@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

590725

รายละเอียด

590725_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ศาสนากับการเมืองเรื่องเดียวกัน

อ.กฤษฎาว่า...ช่วงเข้าพรรษาพ่อครูก็ได้ไปสัญจรเยี่ยมเยือนลูกๆหลายจังหวัด เป็นโอกาสดีของลูกๆที่ได้มารับฟังธรรมจากสัตบุรุษ ผมก็อยากจะได้สอบถามพ่อครู ถอดความปริยัติให้เกิดการปฏิบัติให้เกิดผล เมื่อผ่านมาไม่นานพ่อครูได้กล่าวถึงแสงอรุณ 7 ก่อนจะเกิดมรรคมีองค์ 8 พ่อครูได้ไปเยียมเยือนหลายที่ พ่อครูได้กล่าวโศลก ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด ทำให้ผมได้เข้าใจเมื่อผมได้ถูกกระทำ แล้วเกิดความหวั่นไหว ซึ่งคนที่ไม่ได้รับฟังธรรมะหรือปฏิบัติธรรมเพียงพอก็จะหวั่นไหว ที่ผ่านมาพ่อครูได้เคยผ่านการถูกดำเนินคดีความ และตอนนี้ได้รับการเปรียบเทียบกับคดีของสำนักอื่น หากพ่อครูไม่ได้มีความมั่นคง เป็นของแท้ก็ย่อมสลายไปตามกาล

แต่ทุกวันนี้ของแท้มักถูกบอกว่าของปลอม ส่วนของปลอมมักถูกยกย่องเชิดชูให้ค่าในโลก แต่ดูเหมือนในระยะยาวนั้นทองแท้ก็ย่อมเป็นทองแท้ แต่ในระหว่างเดินทางนั้น จะทำใจอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...ก็ต้องปฏิบัติ แต่ปฏิบัติอย่างไร? มวลหมู่มิตรสหายนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ละคนมีพลังงาน และยิ่งเป็นพลังงานอาริยะที่มีทิศทางเดียวกัน มารวมกันก็ควบแน่นทั้งทางปัญญาและเจโต มันมองไม่เห็นแต่มีจริง มีจริงเท่าใดก็ทำงานร่วมกัน จะขจัดกันหรือรวมกันแน่นก็ขึ้นอยู่กับสัจจะ อาตมาว่าพวกเราได้สร้างโลกุตรจิต แม้จะไม่ลงตัวเสียทีเดียว มีโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ก็แม้จะต่างระดับแต่แกนหลักทิศทางเดียวกันไม่แตกแยกง่ายๆ ถ้ามีอะไรขบกันมากก็ไม่แน่นแฟ้นมากก็จะช้า ก็บังคับกันไม่ได้แต่ละคนมีของจริงของตน ก็พากเพียรกันไป

อาตมาว่ามันดีเสียอีก ที่มีโจทย์ โจทย์นี้เป็นตัวบังคับให้คนทำนะ ไม่ว่าจะดีหรือเลว มีโจทย์ถือเป็นกำไร พวกเราต้องเตือนกันเสมอว่าอย่าประมาท แล้วตั้งใจให้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สติ วิริยสัมโพชฌงค์เป็นพลังงานสามเส้า

ผู้ใดมีธัมมวิจัยเป็น โดยเฉพาะอย่างโลกุตระคือเราสามารถอ่านจิตในจิตเราเป็น แยกแยะจิตในจิต รู้องค์รวมจิตในใจ เมื่อเกิดเป็นธรรมะสอง จะมีสิ่งที่เป็นตัวถูกรู้เรียกว่ารูป อีกตัวหนึ่งคือจิตเราทำงานเป็นตัวรู้ก็คือ นาม แล้วตัวที่ถูกรู้ก็คือจิตเรานี่แหละ เมื่อเรารู้ลักษณะอาการตามที่เราได้เรียนรู้มา ก็จะได้สัมผัสจริง ยิ่งกระทบแรง กิเลสก็ยิ่งเกิดโตเห็นชัดง่ายมากขึ้น ไม่ต้องไปกังวลหรอก

หนึ่งเราขันติ แข้มแข็งอดทนให้ได้เราฝึกมาเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น มีธัมมวิจัยได้ของเราเท่านั้น ยิ่งเราไม่หนี เราก็ต้องสู้ มีกลไกธัมมวิจัยของเราก็จะคมขึ้นๆๆๆ

อ.กฤษฎาว่า...ตอนกำลังทำใจในใจ ขี่รถมาจากบ้านเลย มันรู้สึกอึดอัด เหมือนส่วนหนึ่งเป็นอาการต้องกดข่ม อีกส่วนหนึ่งใช้ปัญญามอง จะทำอย่างไรให้จิตเป็นฌาน เพิ่มพลัง เผาผลาญกิเลสได้โดยเร็ว

พ่อครูว่า...อย่าไปกังวล เป็นภาษาที่ใช้ได้ ทำให้เราไม่สูญเสียพลังงาน หากกังวลก็สูญเสียพลังงาน หนึ่งทำใจดีๆ ทำใจดีสู้เสือ แล้วเราก็ต้องพยายามสู้ ทำไปอย่างไม่ต้องรีบร้อน แต่รู้ให้ชัด พยายามทำเข้าใจให้จริง ตัวธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์จะทำโดยอัตโนมัติเลย ข้อสำคัญอย่าไปวิตกกังวล ที่จะกินแรง เสียพลังงานขัดแย้งในตัว มันไม่ดี พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์ว่าอย่าทำทุกข์ทับถมตนเอง

 ทำใจดีๆ แล้วสติ ธัมมวิจัย วิริยะ สัมโพชฌงค์จะทำโดยอัตโนมัติ จะได้ผลดี ที่ไม่สูญเสียพลังงานให้มันเลย ใครเก่งเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น

อ.กฤษฎาว่า...มันเหมือนความร้อนที่สูญเสีย แต่ถ้าเป็นญาณ เป็นฌานก็จะเย็น นิพพานเป็นความเย็น ดูเหมือนกว่า แสงอรุณเป็นลำดับมาแล้ว

พ่อครูว่า มิตรดี สหายดี สังคมดีนี้เป็นสิ่งสำคัญลำดับ 1 เลย มีสัปปายะ 4 นี้ด้วย ถ้าขาดบุคคลหรือมิตรดีไม่ได้ ตั้งแต่มิตรดีคือสัตบุรุษที่รู้ยิ่งกว่าเรา ให้เราได้ศึกษาปฏิบัติตาม มิตรดีเป็นข้อสำคัญ

แล้วทำไมท่านเอาศีลมาเป็นข้อ 2 เพราะว่าคนมีศีลไม่เท่ากัน ถ้าคุณทำได้เก่งแค่ศีล 5 ก็ทำแค่ศีล 5 ก่อน อย่าไปทำอย่างไม่มีขอบเขตไม่มี road map ทำอย่างเลอะกว้างไม่ได้ ต้องมีกรอบ จึงทำไม่เกินตัว

ศีลเป็นการกำหนดให้ตัวเองทำได้อย่างมีกรอบสัดส่วนให้เหมาะ แล้วก็มี ศีล มีฉันทะ เป็นพลังงานเสริม ในสุริยเปยยาล คนเราหากไม่ยินดี ทำแค่นๆถูกบังคับมันไม่ได้หรอก แม้ใจคุณไม่ยินดีก็ต้องทำใจให้ยินดี จะทำใจยินดีได้อย่างไรก็ต้องพิจารณาซ้ำว่าที่เรากำลังทำนี่มันดีหรือไม่ดี ถ้าเข้าใจว่าแค่ดีก็ยังจะยินดีได้เพิ่มขึ้นบ้าง ยิ่งเทียบไปหาว่าอันอื่นดีกว่าไหม? หรือสองขณะนี้อะไรที่จะทำดีกว่านี้ยังมีอีกไหม? ก็พยายามตรวจสอบ ก็จะยิ่งได้พลังงานยินดีเสริมอีก

แล้วจะได้เรียนรู้อัตตา ในสุริยเปยยาล จะได้รู้ถึงทิฏฐิ ที่สัมมา เช่นทิฏฐิ 10 เป็นต้น เมื่อมีทิฏฐิเอามาทำให้สัมมา เมื่อได้แล้วเราลงมือทำ อย่างประมาท ท่านสำทับไว้ อย่าเอาแรงเอามากเกิน ประมาท เมื่อเราไม่ประมาทดีแล้วเราสามารถเรียนรู้จากมิตรดีกว่าการทำใจในใจให้ถูกต้องทำอย่างไร หากไม่มีโยนิโสมนสิการ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ธรรมะสอง

ผู้ที่ปรโตโฆษะ ต้องฟังจากสัตบุรุษจึงทำใจในใจให้ถูกต้องได้ คือต้องทำจิตในจิต ให้ลดกิเลส มนสิการเป็นข้อ 2 ของมูลสูตร หากใครทำโยนิโสฯตามสัตบุรุษบอกได้ก็จะเป็นผล

ในสัมมาทิฏฐิ ข้อ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) ท่านจะแจกแจงให้คุณออกจากโลกเก่าที่ยังติดยึดในอะไรก็ตามที่ต้องวนเวียนสุขทุกข์อยู่ให้ออกมาจากโลกเก่า มาสู่โลกใหม่ที่ไม่ติดยึดได้

ศาสนาพุทธต้องฟังมาจากสัตบุรุษผู้รู้ผู้ที่ทำได้มาก่อน เท่านั้นจะรู้เองโดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องทำคุณอันสมควรก่อนแล้วค่อยไปสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ตนเองต้องทำได้ก่อนจึงช่วยคนอื่นได้ แต่ถ้าคุณยังทำไม่ได้จะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร เช่นคุณเก่าแผลตัวเองไม่ได้ จะไปเกาให้คนอื่นได้อย่างไร

อาตมามั่นใจว่าทำมา 46 ปีแล้วไม่เป็นหมันแม้ไม่ง่าย ยาก ช้า แต่ได้ผล ที่ทำให้อาตมามีกำลังใจมากคือสงสารมนุษยชาติ

ตอนนี้สัจจะมันเปิดเผยแล้ว ทางฆราวาสก็เข้าใจชัดแล้วแต่ทางศาสนาเพิ่งเปิดฉาก เมื่อก่อนกระแสไม่ค่อยเผยแพร่ในสังคม แต่ตอนนี้ก็กระจายไปสู่สังคมมากขึ้น สรุปแล้วเป็นเรื่องดี

มีเรื่องที่อาตมาอยากสำทับคือเรื่องธรรมกับการเมือง ใครอย่ามองว่าการเมืองกับธรรมะแยกกัน ศาสนาลัทธิอื่นจะเข้าใจเช่นนั้นก็แล้วไป แต่พุทธอย่าเชียว เพราะธรรมะกับเพื่อมวลประชาชนการเมืองก็เพื่อมวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

แต่เดี๋ยวนี้ธรรมะหรือการเมืองกลับเอามาทำเพื่อตัวเอง เพื่อทำมาหากิน เพื่อญาติพี่น้องเพื่อพรรคพวก ทั้งที่การเมืองและธรรมะนั้นต้องเพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 ถ้าเข้าใจเช่นนี้ก็อย่าไปแยกธรรมะกับการเมืองอีก ข้อสำคัญคือเนื้อหาทำเพื่อประชาชนจริงนะ ไม่ใช่มีแฝง มีกั๊กทำเพื่อตัวอีก อันนี้คือการเมือง

อีกประเด็นที่เขาเข้าใจว่าการเมืองคือการแสวงหาอำนาจ อย่างนั้นไม่ใช่ อาตมาขอบอกว่าเข้าใจผิด เขาว่าถ้าไม่มีอำนาจก็ทำเพื่อบ้านเมืองไม่ได้ มันอธิบายเผินๆดูเหมือนใช่ แต่มันไม่ใช่ การเมืองเป็นงานทำเพื่อประชาชนไม่ใช่อำนาจ อำนาจไม่ใช่เรามี อำนาจนั้นประชาชนมี ถ้าประชาชนเห็นว่าเราทำเพื่อประชาชน ประชาชนจะให้อำนานเรามาทำงาน มีร้อยก็ให้ร้อย มีพันก็ให้พัน แต่ถ้าไปหลงว่าต้องสร้างอำนาจก่อนนั้นมันผิดแล้ว มีอำนาจเพราะว่าใช้ลาภ ยศ สรรเสริญ​หรืออำนาจเบ่งข่มอันนั้นอำนาจปลอม แต่อำนาจจริงนั้นแม้สร้างได้ยาก แต่ว่าถ้าได้แล้วได้จริงยั่งยืนสูงส่ง อย่างในหลวงเราประชาชนเต็มใจให้ ตัวอย่างมี ท่านทรงงานอย่างเดียว รักประชาชนทำเพื่อประชาชนอย่างเดียว ประชาชนก็ต้องยกให้ท่าน

พูดไปแล้วทำไมโพธิรักษ์ไม่ได้เหมือนในหลวง ก็อาตมาไม่มีทุนตั้งต้น และวิธีการปฏิบัตินั้นทวนกระแส คุณไม่เข้าใจสิ่งที่อาตมาทำ คุณก็เลยไม่ยกให้อาตมา

ได้ไม่ได้ไม่มีปัญหา ตรงนี่ไม่เบี้ยวเลย ไม่ต้องเสียเวลามาแก้ไขอีก วนเป็นวัวพันหลัก เหมือนกลุ่มด้ายพันกัน เสียของ

เขาตอนนี้พยายามหาพวกกัน ตอนนี้มีประเด็นจะไปลงคะแนนรับหรือไม่รับประชามติ ร่างรธน. ซึ่งมีกม.บอกว่าอย่าหาเสียงนะก็เลยยาก ก็ดี กันเอาไว้ก็ดี เพราะว่าตัวโจรมีมาก แต่ผู้ที่ควรรู้ก็ต้องใส่ใจ เข้าใจด้วยปัญญา ว่าอะไรควรขนาดไหน? ขอร้องอยู่อย่างหนึ่งว่าอย่าไปนอนหลับทับสิทธ์ให้มันกระจ่างไปเลย อย่างน้อยก็ได้รู้ความจริงแม้จะแพ้ แต่อาตมาว่าคนไทยไม่โง่ ตอนนี้มีแค่สองฝ่าย มีแดงกับเหลืองเท่านั้น มันควรจะลงคะแนนให้เหลืองหรือแดงก็ไม่น่าสงสัยอะไรแล้วป่านนี้ ตอนนี้ก็มีประเด็นซับซ้อนที่ยากเข้าใจ

ถ้าเราจะรับร่างรธน.ฉบับนี้ รับก็ต้องเลือกตั้ง ตอนนี้เสือหิวจะขยุ้มปั๊บ จะคว้าทัน จะทำอย่างไรให้ชะลอไปไหม ให้ลุงตู่อยู่นานหน่อย ถ้ารับนี้มันจะเร็ว ถ้าไม่รับนี่จะชะลอเลือกตั้งไปได้ ก็ไปนั่งคิดดูดีๆ ก็รู้สึกจะใบ้หวยมากไป

การเมืองมี 29นายกฯก็มีคนนี้แหละที่ดูเป็นประชาธิปไตยที่สุด นอกนั้นก็ไม่เห็นประชาธิปไตยเลย ยิ่งคนที่ผ่านมาสองสามคนก่อนคนนี้ก็เห็นแต่เป็นยักษ์ ทั้งตัวผู้ตัวเมีย เราก็ว่าตามประสาจริงใจให้ประเทศชาติ

นี่มองไปทางด้านฝ่ายแดง ยุคนี้ อย่าว่าแต่ธัมมชโย ประสานก็ประสานเถอะ นักเลงโตได้ดีจริงๆ อีกอย่างที่เห็นคือคนยิ้มตาใส ทำนิ่งทำเฉย แต่เบื้องหลังพกหอกดาบมาเต็มเลย

อ.กฤษฎาว่า….สื่อสมัยนี้เหมือนปั้นเรื่องให้คนตีกัน ไม่เกิดปัญญา แต่รายการประเทืองปัญญากลับไม่รับการผลักดัน แต่บุญนิยมทีวีเราก็มีรายการดีๆอยู่นะ

พ่อครูว่า...ก็มีแต่รายการดีๆทั้งนั้นนะ บุญนิยมทีวีเรา ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าการเมืองกับธรรมะอันเดียวกัน คู่เคียงกัน ทิ้งกันไม่ได้

ธรรมะแท้ๆก็เพื่อประชาชน การเมืองแท้ๆก็เพื่อประชาชน ดังนั้นธรรมะกับการเมืองแยกกันไม่ได้ แต่ต้องมีความจริงใจทำเพื่อประชาชนจริงๆอย่างไม่มีเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ญาติ ไม่เห็นแก่พวก อย่างมีลำเอียงใดๆ แต่เห็นแก่ประชาชนเต็มๆ อะไรจะทำให้คนเป็นเช่นนี้ได้นอกจากศาสนาที่ทำให้ได้ทั้งเจโตและปัญญา อาตมาก็ได้นำเสนอความรู้ทางธรรมะ ไม่มีหน้าที่ไปทำด้านโน้นหรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ร่วมมือ แต่ร่วมมือได้แต่ไม่รับหน้าที่ตำแหน่ง แต่คนมีหน้าที่ตำแหน่งจะมาคุยด้วยเอาไปใช้ได้ก็เต็มใจ แต่ไม่ได้ไปลงหน้าที่รับผิดชอบ เพราะอาตมาเผยแพร่ธรรมะนั้นงานหนักเยอะอยู่แล้ว

อ.กฤษฎาว่า...ลูกศิษย์ลูกหาพ่อครูจะเรียกว่าสาวกได้ไหม?

พ่อครูว่า..ได้ สาวก แปลว่าผู้ฟัง คนไหนฟังธรรมอาตมาได้ก็เป็นสาวก เอาไปทำได้ก็รวมเป็นสัจจะหนึ่งเดียว อาตมาไม่เคยท้อเลย ไม่เคยอ่อนแรง แต่อายุยาวไปแรงพยายามจะอ่อน อาตมาก็ไม่พยายามอ่อน ทุกวันนี้คนทักว่า 82 ยังแจ๋ว

ตอนนี้หัวเลี้ยวหัวต่อธรรมะและการเมืองพวกเราติดตามอย่าประมาท เพราะผู้จะเสียอำนาจย่อมไม่ยอมแน่

อ.กฤษฎาว่า… ตอนเราออกไปชุมนุมหลายที่ผ่านมา

พ่อครูว่า...พูดถึงการไปชุมนุมเพื่อเสริมพลัง อาตมาก็พูดหลายทีว่าธรรมะอันปาฏิหาริย์คือ ความสงบ สยบความรุนแรง มันเป็นไปได้

มันเกิดจาก 1.ปฏิภาณปัญญาของคนเข้าใจ รู้ ว่าฆ่าแกงกันเลือดตกยางออก กับไม่ฆ่าแกงกัน พูดกันดีๆ ตกลงกันให้ได้ยอมกันให้ได้ อะไรมันดีกว่าคนชนะก็ควรชนะ คนแพ้ก็ควรแพ้ 

คนอยากได้ความสงบไม่รุนแรง แล้วมีประสิทธิภาพจริง คือตัวเนื้อแท้ความสงบที่มีประสิทธิภาพ

2.ความสงบนี้ไม่เกิดจากอิฐหินดินปูน แต่เกิดจากคนที่จะทำความสงบได้ ถ้ามีมวลพอสมควรจะเกิดพลัง ความสงบนี่ก็ดีแล้วแต่มีคุณงามความดีด้วย พวกนี้ไม่ทำร้ายคนอื่นก็สงบก็ดีแล้ว มวลของที่ไม่ไปทำร้าย มวลตัวดีมีอยู่จริง คนมีภูมิปัญญาจะรู้ ถ้าถึงเวลาจะช่วยเขาจะช่วย เขาก็มีสิทธิ์มีอำนาจจะช่วยก็ต้องช่วย เราไม่มีหรอกพรรคพวก เราไม่มีคนรู้จักที่จะมีอำนาจปืนผา เราออกไปชุมนุมมีแต่จิตให้เกิดเมตตาสงบ เราก็ไปทำ จนเกิดปะทะ ชุลมุน ยิ่งกัน เราไม่มีไปยิงเขามีแต่จะหลบไม่ให้เขายิง จึงเกิดมวลที่ยังอยู่ พวกเราไม่เห็นวิ่งหนีเลย อย่างดีก็นั่งเฉยๆหรือช่วยทำส่ิงดี ไปช่วยคนบาดเจ็บอีกด้วย

ยกตัวอย่างความสงบสยบความเคลื่อนไหวสองครั้ง ครั้งที่อยู่ข้างทำเนียบตอนผู้การแต้ม และตอน 18​กพ.57 อาตมาทำด้วยจริงใจ ไม่ได้ฝืนด้วย

อ.กฤษฎาว่า...สิ่งที่พ่อครูพาทำมานี้ เป็นการพิสูจน์ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามีผู้ปฏิบัติได้จริง และเมื่อมาได้ใกล้ชิด ก็เห็นผลปฏิเวธของพ่อครู เราได้ตามรอยอรหันต์ตามรอยพระโพธิสัตว์

พ่อครู..ว่าก็เป็นปฏิเวธที่ออกมาเป็นรูปธรรมให้เกิดเห็นได้ ถ้าจะบอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ได้ว่า ส่ิงที่อาตมาได้ผ่านมาก็พิสูจน์ว่าอาตมาเป็นจริง

อ.กฤษฎาว่า...ตอนที่พ่อครูเรียกร้องให้คนออกมาชุมนุมเป็นล้านผมก็ดูไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้เป็นคนเรียกร้องให้คนออกมาได้เป็นล้านคนนะ แต่ว่าเป็นคุณสุเทพเป็นหลักแต่ว่า ก็ไม่ได้คนเดียว แต่มีอีกหลายคนที่รวมด้วยเป็นองค์รวม อย่างพล.อ.ปรีชา ได้ทำการปฏิวัติแล้วแต่คนน้อย คนก็ว่าไม่สำเร็จ แต่มันเป็นตัวต่อกันได้ มีเหตุปัจจัยมากมาย คุณสุเทพเป็นเหตุปัจจัยด้วยก็เลยสำเร็จคนมาเป็นล้านคน

อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูว่า การมารวมกันของกัลยาณมิตรหากมารวมกันจะเป็นพลังงานใหญ่ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง พ่อครูว่า มาเป็นล้านได้แต่สุดท้ายก็มาเป็นล้านได้ด้วย

พ่อครูว่า...ตอนนี้ฝ่ายไม่ดีก็ต้องพยายามคัดค้านให้ได้ แต่บางคนที่ลึกๆแล้วใฝ่ดี พอทำไปแล้วรู้ว่าที่ทำไปไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงมาดีได้ นี่คือความไม่เที่ยงที่จัดสรรให้เจริญหรือเสื่อมได้ ไม่มีอะไรดีเท่าสาธยายแสดงความจริง การแสดงความจริงไม่มีอะไรดีกว่าภาษา ถ้าใช้ทั้ง นัจจะ คีตะ วาทิตะ สื่อออกไป ให้เป็นศิลปะอย่างยิ่งจะได้ผลมาก คนไม่รู้ก็ทำไปแบบไม่รู้แต่คนที่ทำโดยรู้ ทำแล้วให้คนอื่นเข้าใจได้คือศิลปิน

อ.กฤษฎาว่า…นิมนต์พ่อครูเปรียบเทียบรัฐประหารตุรกีกับไทยต่างกันอย่างไร?

พ่อครูว่า...อย่างตุรกี ยังไม่เกิดความรู้ของประชาชน ทางตุรกี ประชาชนยังเชื่อถือรัฐบาล เขาไม่เชื่อว่าคณะปฏิวัติจะดีกว่า ประชาชนไม่เชื่อ จริงๆแล้ว ปฏิวัตินี้น้อยครั้งที่จะไม่สำเร็จ ประชาชนไม่มีอาวุธไปสู้เท่าไหร่เลย สู้ทหารไม่ได้หรอก แต่ก็แสดงว่า หนึ่งจิตใจทหารเองด้วยไม่ค่อยเต็มใจปฏิวัติ ถูกบังคับเท่านั้น สองประชาชนเองชนะ ตุรกีเองปฏิวัติไม่สำเร็จ

คนไทยเลยฉวยโอกาส เขาอธิบายว่าพลังประชาชนชนะพลังทหาร ขณะนี้ไทยถูกทหารควบคุมนะ เขาว่าถ้าประชาชนรวมกันก็ชนะนะ เขาก็พูดเอาได้ ถ้าประชาชนเห็นตามเขาก็ได้แต่นี่พลังประชาชนนี่ตอนนี้อาตมาเชื่อว่าประชาชนนี้เห็นด้วยกับทหารร่วมมือกับทหารเลยนะ ทหารคือฝ่ายเหลือง กับอีกพวกฝ่ายแดง อาตมาว่าฝ่ายประชาชนเข้ากับฝ่ายเหลืองมากกว่าแน่

 

_มีคำถามว่า...ดิฉันจะไม่รับร่างรธน.ฉบับนี้ เพราะว่า ร่างกม.หลายข้อร่างมาดีมากแต่ว่าไม่แน่ใจจะทำได้ไหม และสอง พอรับร่างแล้ว นักการเมืองหลายพวกต้องเข้ามาแน่ และคนไทยจำนวนมากชอบขายเสียง ถูกซื้อได้อยู่ และและพรรคที่จะมาเป็นรัฐบาลเตรียมแสวงหาผลประโยชน์และหาวิธีคอรัปชั่นให้แนบเนียนกว่าเดิม

อาตมาว่าคสช.ทำงานมาสองปีนี่ฝีมือคอรัปชั่นไม่เอาไหนเลย ผิดกับรัฐบาลทักษิณรัฐบาลปู คสช.ทำมานี่ก็เห็นมีเล็กน้อยเท่านั้น จะเอามาตีราคาแพงไม่ได้นะ ถือว่า error เล็กๆน้อยๆ ตีราคาเทียบไม่ได้กับยิ่งลักษณ์ทักษิณ

และจม.ว่าอีกจะแก้ไขการเมืองต้องแก้ที่คุณธรรมของคนไม่ใช่แก้ที่รธน. ..ถูกต้อง ต้องแก้ที่คน แต่รธน.ก็ต้องออกไป แต่แท้จริงต้องมาแก้ไขที่คนให้ไม่อคติ ให้มีคุณธรรม

และเขาว่าอีกว่า อยากให้นายกฯประยุทธ์อยู่นานๆเพราะท่านคุมการเมืองอยู่ แล้วท่านเป็นประชาธิปไตยสูงสุดเท่าที่ดูผลงานมา และท่านจะได้สะสางสิ่งไม่ดีต่อไป ก็ถูกแล้ว และรัฐบาลของนายกฯแม้เป็นเผด็จการทหารแต่เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่านายกฯที่มาจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา...จริง

และตั้งแต่ท่านประยุทธ์เป็นนายกฯสงบเรียบร้อย นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้อย่างมาก ประชาชนมีความสงบสุข….จริง

เมื่อกี้นี้เราพูดถึงแสงอรุณ 7 แต่อาตมาฟันธงเลยว่าศาสนาพุทธที่มีอยู่ทุกวันนี้ไม่มีแล้วมีแต่ศาสนาเพี้ยน

การจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ต้องมีแสงอรุณ 7 ก่อน

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . มิตรดีต้องเป็นคนบรรลุธรรม อย่างน้อยโสดาบันเป็นต้นไป ถ้าได้มิตรดีจะพาเราปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

คุณต้องมีความรู้ แล้วประพฤติเช่นนี้จึงปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ มิตรดีต้องเป็นคนบรรลุธรรม อย่างน้อยโสดาบันเป็นต้นไป ถ้าได้มิตรดีจะพาเราปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาแต่ทุกวันนี้ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาไม่ได้มรรคผล ศีลต้องทำให้เกิดอวิปฏิสารไม่เดือดร้อนใจ ต้องมีอานิสงส์ของศีล 10 ทำให้เกิดฉันทะที่จะปฏิบัติให้รู้จักอัตตา 3 เพื่อลดละอัตตา 3 แต่พวกที่บอกว่าอะไรก็ไม่ใช่อัตตามีแต่อนัตตาพวกนี้ตรรกะเข้าใจได้พวกเซนแต่ไม่มีสภาวะจริงที่รู้จักอัตตาและล้างอัตตาได้

เราต้องมาเข้าใจอัตตาตั้งแต่ศีล 5ที่ทำให้เรารู้พยาบาท รู้กามที่เป็นอัตตา หมดกามหมดพยาบาทก็หมดอัตตา ต้องมีทิฏฐิที่สัมมาทิฏฐิ ให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาผละ ที่ต้องเกิดจากการปฏิบัติไม่ใช่ไปนั่งนึกคิดเอาหรือหลับตาทำเอาไม่มีของจริงปฏิบัติ

ทิฏฐิข้อที่ 5 ของสุริยเปยยาลสูตรจะไปเป็นสัมมาทิฏฐิในสัมมาทิฏฐิ 10 ที่จะรู้ว่าทำทานอย่างไรให้เกิดผล มีศีลมียัญพิธีอย่างไรมีผล ตรวจผลได้ แล้วมีกรรมกิริยาอย่างไรเกิดผล เกิดผลแล้วจึงสามารถ อุบัติ ออกจากโลกีย์ (โลกนี้)คือโลกอบาย โลกกามคุณ หลุดพ้นออกมา วุฒานัง หลุดพ้นออกมา ได้นิโรธ แล้ว เป็นปัจจัตตังของผู้ปฏิบัติได้ มันเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิตีจริงๆ รู้ได้เองโดยไม่ต้องให้ใครบอก ว่านิโรธเป็นอย่างไร

เมื่อสามารถรู้อัตตาหยาบ หมดกิเลสภายนอกเป็นอนาคามีแล้ว เหลือแต่กิเลสภายใน มีแต่กิเลสรูปภพอรูปภพ ก็ไม่ต้องหลับตาทำนะ แต่อยู่กับชีวิตประจำวัน สัมผัสแล้วจะเหลือกิเลสภายในเท่านั้น อนาคามีไม่มีพิษภัยต่อสังคมภายนอกนะ สกิทาคามีมีโทษภัยกระทบคนอื่นเล็กน้อย โสดาบันก็กระทบคนอื่นมากกว่า ก็ถ้าอนาคามีเป็นต้นไปแล้วปลอดภัย อนาคามีนี้เป็นผู้ควรไปทำงานการเมือง ให้อนาคามีอรหันต์ทำงานการเมืองได้

อ.กฤษฎาว่า...ศาสนาพุทธไม่วิงวอนอ้อนวอนร้องขอจากใครเลย

พ่อครูว่า...การอ้อนวอนร้องขอไม่ใช่ศาสนาพุทธและไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องทำดีจนคนเขาให้ทำงานเอง การหาเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตย ยังเก๊อยู่ อย่างอเมริกาก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย แต่เป็นทุนนิยมเต็มที่เลย เมืองไทยยังเป็นประชาธิปไตยกว่าเลย การหาเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตยการมีวิป ต่างๆไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นการกำหนดไว้เลยว่าไม่ให้แตกคอยากวิป ไม่มีอิสรเสรีภาพ เมืองไทยเราจะทำได้ไป ไม่ต้องมีวิป ทุกวันนี้มีแต่นายทุนเลยหาเสียงกันอย่างอเมริกา ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย

ประชาธิปไตยอย่างพระพุทธเจ้าต้องทำงานเพื่อประชาชนจริงถ้าอนาคามีไปเป็นนักการเมืองเป็นผู้บริหาร หรือเป็นลูกน้องก็ตาม แต่ทำการเมืองเพื่อประชาชน ถ้าเป็นอนาคามีเป็นต้นไป ถ้ามีมวลพอ ทำเพื่อประชาชน จะได้รับการยอมรับ เขาให้ทำงานเลยแล้วก็จะไม่เอาเงินเดือนเลย รับรองคุณได้เก้าอี้ตลอดกาลจนกว่าคุณจะขอพักเองเลย

เมืองไทยกำลังมีเค้าดี ก็ให้มาสนใจธรรมะมากขึ้น แม้แต่คุณสุเทพนะ เป็นต้น จะได้มีพลังงานบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น อยากให้ประเทศไทยมีคนบริสุทธิ์เป็นอาริยะไปบริหารบ้านเมือง จะเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งกว่าประชาธิปไตยเลย เป็นประชาธิปไตยที่เหนือกว่าประชาธิปไตย ในเมืองไทยมีเค้าเงื่อนเป็นประชาธิปไตยแท้จริงได้ ให้มาปฏิบัติให้จิตมีอาริยธรรม เมืองไทยเกิดอาริยธรรมแล้ว จะเป็นชมพูทวีปต่อไปในอนาคต อาตมาไม่ได้พยากรณ์แต่พูดตามเนื้อผ้า ความจริง แม้จะมีน้อยแต่มีจริงเป็นจริง

ธรรมะกับการเมืองไม่ได้แยกกันเช่นนี้เอง มีคุณธรรมจริง จริงใจเช่นนี้ เป็นนักการเมืองที่ดีจริงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลอก อย่างน้อยอนาคามีเป็นต้นไปท่านไม่เอาบ้านช่องเรือนชานทรัพย์สฤงคารแล้ว แล้วพิสูจน์ว่าคุณทำงานเพื่อประชาชนจริง เขาจะเลี้ยงคุณไว้ เขาไม่ให้คุณตายหรอก มีแต่สุดท้ายว่าให้ผมตายเถิด ตอนนี้ร่างผมไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องสะสมเงินทุนเลย ไม่ต้อง ออกปากหรือแสดงอาการ คนรู้คนเห็นขี้คร้านจะแย่งกันสนับสนุนเลย อาตมาอยากให้ถึงวันนั้นเลย


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:52:14 )

590726

รายละเอียด

590726_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ความมีศีลนั้นคืออย่างไร

พ่อครูว่า...วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2559 ที่พุทธสถานสันติอโศก ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ศึกษาไป แม้เป็นพระอรหันต์ใกล้จะศึกษาก็ศึกษากันต่อไปด้วยกัน ยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติได้อีกอันนี้เป็นจริงเป็นเรื่องลึกซึ้งวิเศษเป็นสิ่งที่ไม่ใช่รู้ได้ด้วยการเดาหรือตรรกะหรือด้วยปริยัติเพียงเท่านั้นแต่จริงๆแล้วไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นกว่าที่จะรู้ได้รอบครบทั้งนอกและในทางลึกและกว้างครบกว่าจะสมบูรณ์อย่างนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ให้ได้ของตนเอง

การเรียนรู้ที่ยึดศีลลัพพตุปาทานทิฏฐุปาทานตามครูบาอาจารย์ ก็ดี ที่ยึดของอาจารย์แต่ไม่ดีที่ยึดมั่นถือมั่นเกินไป ไม่มีปรโตโฆษะ จนมีสิ่งเปรียบเทียบว่าไม่เป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นเลย เราไม่มีจิตอุปาทานแล้ว จะเข้าใจจุดนั้นได้จริงจะเกิดการพัฒนาจิตวิญญาณ ไม่เช่นนั้นจะติดทิฏฐุปาทาน สีลลัพพตุปาทาน ก็ยึดทิฏฐิ ของอาจารย์นั้นๆ ส่วน อัตตาวาทุปาทานคำนี้ยังเข้าใจไม่ค่อยเต็ม ไปตีขลุมว่ายึดอัตตาตัวตน แต่แท้จริง อัตตวาทุปาทานคนยึดแบบนี้ยังไม่ได้เข้าถึงอัตตาเลย มีสองพวก พวกเทวนิยมก็นับถือพระเจ้า ได้แต่คำพูดภาษาบัญญัติว่าพระเจ้าเป็นเช่นนี้ๆ แต่ไม่ได้อยู่ที่จิตเจตสิกตัวเองเลยอยู่ข้างนอกจะได้แค่ภาษาคำพูด พระเจ้าเป็นปรมาตมันตลอดกาล เขาไม่เคยสัมผัสความจริง

จิตวิญญาณเรากับจิตวิญญาณพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน คือคุณต้องมีความบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าไปเป็นลำดับ เช่นโสดาบันก็บริสุทธิ์ได้ระดับหนึ่ง แต่เขายังไม่ได้สัมผัสสักกายทิฏฐิที่สัมผัสของตน รู้ของตนจนพ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ ใช่ว่านี่คือกิเลสแท้ๆ ตัวโกรธ ตัวโลภ อยู่หลัดๆ เป็นอาการลิงคนิมิตเห็นชัด ก็พ้นสังโยชน์ข้อ 2 แล้ว แต่ถ้าไม่ได้ดับมัน ก็ไม่ถือว่าได้สมบูรณ์ ดับกิเลสอัตตาตัวนั้นได้สมบูรณ์ ต้องชำระหรือกำจัดกิเลสตัวนี้จนหมด ไม่หมดก็จะได้ส่วนบุญไปตามลำดับ ก็เร่ิมกำจัดกิเลสได้เป็นส่วนๆ กำจัดได้ครบก็หมดตัวตนของกิเลสไปบุญก็จบหน้าที่ ไปงานหนึ่ง งานต่อไปจะฆ่ากิเลสตัวอื่นก็ใช้บุญตัวใหม่

ผู้กำจัดได้ตามวิธีปฏิบัติหรือศีลพรต ไม่ใช่แค่จับต้องแบบลูบคลำหรือปรามาส คืออยู่กับโจรแต่ไม่ฆ่าโจร ได้แต่อยู่กับกิเลสเล่นกับกิเลส จนคุณต้องฆ่ากิเลสได้ จึงมีญาณเห็นว่ามันดับ ไม่มีชีวิตินทรีย์ไม่มีอาการเคลื่อนไหวของกิเลสจะเรียกว่าตายไปหรือดับไปก็ได้

คุณจะต้องมีญาณอ่าน มันไม่มีสีสันเส้นแสงอะไรจะต้องกำหนดนิมิตเอาเองจากเหตุตัวนี้ราคะที่มันชอบใจดอกหน้าวัวดอกลั่นทมดอกปีบหรือดอกกาสะลอง พอได้กลิ่นแล้วเราก็ชอบแต่คนอื่นอาจจะไม่ชอบก็ได้ว่า จิตชอบไม่เหมือนกัน เราก็อ่านอาการและวิธีการฆ่ากิเลสก็ไม่ต้องโหดเหี้ยมอะไร แต่ให้ใช้ปัญญาในการฆ่าให้มีพลังปัญญาที่มีคุณภาพไปสลายไฟราคะไฟโทสะโมหะได้

แบบทำให้เกิดความจางคลายอ่อนตัวลดลงไปจนกระทั่งเหลือน้อยจนเหลือนิดน้อยจนทำให้มันหมด ก็ต้องดูฉันแน่ใจแนวปฏิบัติในทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีตมันก็จะมีธรรมชาติที่จะต้องสัมผัสแล้วเราก็ทำจริง จึงเป็นรูปกับนามเป็นสิ่งที่ถูกรู้แม้แต่สิ่งที่ว่างแล้วเป็นอาการว่างกับธาตุจิตที่ไปรู้ อย่างมีสภาวะจริง

ทุกวันนี้อุ่นใจว่ามีจริงบางคนทำเป็นแล้วแต่อธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายไม่ได้ ผู้ที่อธิบายที่ดีกว่าอาตมาก็มี พระพุทธเจ้าท่านเข้าชมพระกัจจายนะว่าอธิบายได้ละเอียดชัดเจนกว่าพระตถาคต พระพุทธเจ้าไม่ได้ด้อยกว่าใครแต่ตอนนี้ท่านอาจจะไม่ได้ใช้สิ่งนั้นก็เลยพร่องลงไป อย่างเช่นอาตมาก็บางภาวะไม่ชำนาญเท่าบางท่านก็มี

มาอ่านดู sms เมื่อวานนี้

กราบนมัสการแอดมินค่ะ ฝากข้อความถึงพ่อท่านค่ะ

(กราบ)นมัสการพ่อท่าน

ลูกขอตั้งสัสจาธิษฐาน โดยขอให้พ่อท่านเป็นพยาน

ลูกขอตั้งสัจจาว่าจะพยายาม ลดอหังการที่มีมาก ละอัตตาตัวอวดดื้อถือดี ชอบอวดตัวอวดตน มีความแข็งกระด้างคล้ายบุรุษเพศ พูดดังฟังชัด ไม่มีมารยาท ทำงานไม่เรียบร้อยเพราะทนงตนว่าเก่ง ลูกจะพยายามลดวาสนาที่ติดตัวมาให้ได้มากเท่ามาก

เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา และสร้างความงามให้ชาวอโศกได้เป็นที่เลื่อมใสของคนทั่วไป

เพราะลูกยังอยู่ข้างนอกแล้วประกาศตนว่าเป็นชาวอโศก

(กราบ)นมัสการมาด้วยความเคารพ ลูก"พอ" แห่งนาแรงรัก

 

SMS 25 jul 59

0868293xxx เข้าพรรษานี้ลูกขอตั้งตบะกินมื้อเดียวและไม่กินขนมหวานขนมสดเริ่มตั่งแต่1กค59ค่ะ

0893809xxx ฟ้ามีตาเราต้องช่วยตัวเองก่อนแล้วฟ้าจะช่วยเรา ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติปฏิบัตธรรม คนทุกคนนั้นย่อมมีจิตสำนึกที่ดีแต่ที่ทำผิดไปเพราะความไม่รู้ สงบอ่อนน้อมถ่อมใจไม่ถือดีไม่ผยองลำพองตนต้องเปลี่ยนแปลงตนตรวจสอบกายวาจาใจของตนอยู่เสมอมิให้เผลอผิดพลาดพลั้งเรื่อยไป ธรรมะแท้โดยอโศกสอนสั่งให้ปฏิบัติจริงเดินตามหลักธรรมแท้ของพระพุทธองค์

0893867xxx จรธ.อ.ดร.ฯสมมตินะถ้ากา ทั้งรับกับไม่รับ!บัตรเสียไหม?ที่รับเมื่อปฏิรูปแล้ว!ที่ไม่รับหากไม่มีปฏิรูป?คำถามพ่วงได้ใครมาบริห.ทางใดก็หนีบ่พ้นพวกพ้องนกกระสาพันธุ์เดิมอ.ว่าไหม?กบรมควัน(พิษ)

0893867xxx กบรมควัน(พิษ)ก็เห็นด้วยกับความเห็นลูกหลานอโศกที่เชื่อมั่นลุงตู่เขียว!นายกวาจาบอระเพ็ดถึงขมๆก็เป็นกษัยยา!ดีกว่าปากหวานเสี่ยงลมพิษ!บรื๊ออออ

ตอบ...ก่อนมาอาตมาก็ตอบปัญหานี้ แล้วอาตมาจะบอกได้อย่างไร จะบอกก็ผิดกฏหมาย ก็พูดไปกลางๆ คนก็จับไปเอียงเข้าหาตัวเองเลย ในสังคมจะได้สังเคราะห์สัจจะ ก็อยากจะให้เกิดสัจจะคือขณะนี้คนไทยกำลังมีกิจกรรมนี้ เป็นหน้าที่ประชาชนไทยทุกคนจะต้องทำอย่ากาทิ้งเสียของ เราอยากได้อยากรู้การตัดสินใจของคนประชาชน

_line Sayan

วัดที่สุพรรณ นักบวชสังหมูกะทะมากิตอนเย็นทุกวันกินแบ้วก็ปลงอาบัติ

เด็กที่เล่าให้ฟังเขาบอกว่าหลวงตาสอน…หลวงตาก็กินด้วย

ตอบ..อาตมาก็ขอวิจารนิดนึง การละเมิดธรรมะของพระพุทธเจ้ามันมีวิบากเพราะกรรมเป็นอันทำ คนไม่เชื่อก็ทำ ใครเชื่อก็หยุดไม่ละเมิด คนบรรลุมีญาณปัญญาก็สบาย ชำระกิเลสหมดไปได้จิตก็เฉยๆ ไม่ดูดไม่ผลักแต่รู้ทุกอย่างว่าคนนั้นเขาหลงมากหลงน้อยเราก็เห็นสงสารเขา ถ้ามาบวชอย่าทำ หรือไม่บวชก็อย่าทำจัดจ้านต่อหน้าเลยก็เป็นมารยาทสังคมที่ควรรู้ แต่ทุกวันนี้ทำอะไรไปต่างๆนานา อาตมาพูดได้ว่าพระยุคนี้ อาบัติปาราชิกเรื่องเงินนี้มากกว่าเมถุนธรรม ( 5 มาสกหากยักยอกหรือขโมยก็ปาราชิก 5มาสกน่าจะได้ห้าร้อยบาท) ซึ่งตนเองติดของสวยของหรูราคาแพง เมื่อก่อนมานี้ก็ฟังหลวงพี่น้ำฝนมีรอยสัก เถียงฉอดๆๆๆว่าตนไม่ผิด แต่รถที่แปลงเพศคันนั้น คือชื่อหนึ่งแล้วเอาไปแปลงเป็นอีกชื่อหนึ่ง ติดรสนิยมหรูหรา เขาก็เถียงว่าไม่ผิด แต่เป็นพระนี้จะไปยุ่งทำไม ให้ไปเลย รถคันนี้ราคาเกินห้ามาสกมากมาย แต่ว่าที่สังฆราชก็รถนัยเดียวกัน เวรจริงๆเลยประเทศไทย ยังติดยึดอีก ก็หลอกคนได้อีก ตอนนี้คนไทยเข้าใจได้มากขึ้น คนงมงายก็น่าสงสาร ผู้ไม่ยอมรับผิดก็ดึงดัน หนักหนาอีกหลายชาติ

 

_คำถามจากส.บินก้าว

วันนี้ มีวัยรุ่นมาสนทนากับผม แจ้งว่า ตนเองรักษาศีลข้อ 4. ได้ยากที่สุด กราบรบกวน ส่งคำถามถวายพ่อท่านเพื่อโปรดคนทั่วไปด้วยที่น่าจะมีอาการเดียวกันว่า... พ่อท่าน จะมีแนวทางแก้ไขความบกพร่องในศีลข้อ 4 สู่แนวปฏิบัติได้ อย่างไร ? ขอเป็นลำดับ...

อีกคนวัยเกิน 30 ผ่านการบวชมาแล้ว มาสนทนา ช่วงที่ปฐมมีโครงการ ชีวิตดีทีละก้าว...เขาสนใจขอคำอธิบายคือคำว่า สัมปชานมุสาวาท คือ อยากรู้ว่ามันจะเป็นอันตรายตามที่บุคคลระดับพระพุทธเจ้าว่าไว้นั้นคืออันตรายอย่างไร ?

เพราะเห็นมุสากันทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งพระทั้งฆราวาส...

 

พ่อครูว่า ...ลองไล่เรียง เรื่องเงินนี่ปาราชิกได้มากกว่าเรื่องเมถุนนะ พระเมืองไทยมีสามแสน จะเหลือสักแสนรูปไหม?ที่สะอาดจากปาราชิก แต่ตอนนี้ต้องล้างบาง ในยุคแต่ละยุคจะมีผู้มาช่วยล้าง ศาสนาจะได้กระเตื้องไม่เช่นนั้นหมักหมมเน่าใน เป็นปลาร้า แต่ปลาร้าเขาพยายามพัฒนาไม่ให้เน่าเสียให้เน่ากินได้ แต่นี่ของศาสนาพุทธเมืองไทยนี้เน่าเสียแล้ว ประเทศไทยจะทำได้เรียบร้อยราบรื่นไม่ปะทะรุนแรงก็ค่อยดำเนินไปช่วยกัน

บางปางพระโพธิสัตว์จะต้องทำแรง แต่มีวิบากซ้อน แต่ต้องทำเพราะจำเป็น อย่างอาตมาเคยผ่านมา วิบากก็ตามมา แต่ก็จะลดลง เพราะทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว แต่วิบากส่วนตัวก็จะน้อย ต้องทำไม่ทำไม่สำเร็จ จึงมีผู้เสียสละอย่างโพธิสัตว์ที่ต้องรักษาส่วนใหญ่ โดยยอมเสียส่วนน้อยของตน ตนก็ต้องเสียมีทุกข์มีวิบากได้

ขณะนี้อาตมาก็บอกได้ว่ายุคนี้จะต้องล้างบาง สังเกตสิ เณรคำก็โดนแล้ว ยันตระก็ไม่รอด อยู่ในนี้เข้ามาเองนะ ธัมมชโย สมเด็จช่วงไม่ต้องห่วงค่อยๆทำไป นี่คือสัจจะที่ค่อยๆเป็น ทีนี้ภาษาที่พูดโกหกนี่อันตรายอย่างไร

หนึ่งคุณโกหกก็ผิดมีวิบากอกุศลแล้ว สองนำคำโกหกไปกระจายผลให้คนอื่นได้รับความชั่วนี้ก็บาปซ้ำซ้อน แล้วสาม ตนเองก็รู้ว่าเป็นคำโกหกทำไมไม่ละอาย คนที่ละอายมีหิริโอตตัปปะ  เขาจะไม่กล้าทำ แต่นี่ไม่กลัวเกรงมีหน้าด้านโกหกดื้อๆเลย อาตมาใช้ศัพท์แสลงว่าง่านโด้ คือโง่ยกกำลังด้าน คือซับซ้อนอย่างทวีคูณ ยกกำลังเลย แล้วที่ทำไป คนที่ได้โกหกทั้งที่รู้ว่าตนโกหกแล้วไม่สำนึก นอกจากไม่สำนึกแล้วยังจะทำอีก ก็ยิ่งแรงขึ้นอีก มันคูณร่วมมากเลยนะ ไม่ใช่หารร่วมมาก เสียหายไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหากิเลสใส่ตัว เป็นจาตุมมหาราชิกา

การไปตั้งจิต หวัง ผูกพัน สั่งสม ข้ามชาติเลย สี่ประเด็น  คือ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ  2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ  3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

พวกสายโป้งรวยนี้มีฐานปฏิบัติที่เป็นเช่นนี้หมด แล้วหลอกว่าเป็นความสบายใจ เป็นดาวดึงส์ น่าได้น่ามีน่าเป็น แม้เขาจะได้สบายเป็นสวรรค์เก๊ แต่จะได้ความติดยึดสวรรค์เพลิดเพลินหรูหราเป็นภพชาติ คนหลอกนี้ ชั่วอีกกี่ชาติบาปอีกกี่ชั้น คนที่ถูกหลอกก็บาปชั้นเดียว แต่คนต้นทางหลอกเขานี่บาปกี่ชั้น?

ยังไม่พอจะให้นานๆเป็นยามา ได้ไปทุกชาติๆ หลอกไปหมด แล้วน่าเกลียดที่สุภชัยหาให้ไม่รู้กี่พันล้าน แต่ว่าเขาติดคุกไม่ไปหาไปดูเขาเลย กลับให้การว่าไม่รู้จักกัน ไม่ไปดูดำดูดีก็ชั่วแล้ว แต่โกหกอีกซ้อนชั่วอีก

คนที่ยังหลงภูมิเทวดาเป็นภพเป็นชาติ แต่ถ้าคุณจะไปนิพพานจะต้องออกจากภพชาติ ถ้าเรายังไม่พ้นกามอย่างไรใครจะมาว่าด่าเราเรื่องภพก็ต้องยอมนะ  ต้องออกจากภพชาติให้ได้

ยังมีชั้นที่ 6 อีกนะนะ ทาน  แต่มีใจให้ปลื้ม อตฺตมนตาโสมนสฺ  คือให้ทานแล้วมีแต่ความปลื้มใจ ไปดีใจปลื้มใจในความชั่วเลวของตน ผนึกแน่นไม่ให้แตกเลยนะ เหมือนเทกาวทับลงไปซับซ้อน

การทำผิดเอามาให้แก่ตนนี้เผลอได้ง่ายกว่า ทำผิดได้ง่ายกว่า การฆ่าคนก็ต้องทำได้ยากกว่า การอวดอุตริก็มีได้น้อยกว่าเพราะพูดไม่ค่อยเป็น แต่เงินนี่มากที่สุด  อย่างภิกษุณีนี้ก็ดูไปจะมีมาก และเมืองไทยนี้อาตมาเห็นดีด้วยที่ห้ามกั้นภิกษุณี เพราะผู้หญิงนี่ขี้เห่อกิเลสจุกจิกมากกว่าผู้ชายเยอะ อโศกเราก็จำกัดแค่ศีล 10 ไม่ให้มากกว่าสมณะ แต่ไม่เป็นปัญหา พวกเราเป็นฆราวาสทำให้บารมีสูงก็จะได้มากกว่าอีก แต่มาบวชแล้วอกุศลวิบากมากหากไม่มีคุณธรรมจริง แต่เป็นฆราวาสนี้ก็จะมีอีกนัยหนึ่ง

ทุกวันนี้ศาสนากระเตื้องขึ้นแต่ก็ยังมีเสี้ยน จึงต้องการพลังรวมที่เกิดจากจิตวิญญาณ พวกเราก็พัฒนาตามฐานะ อย่าประมาท ดูดาย วันเวลาล่วงไป กายวาจาของเธอที่ดีกว่านี้ยังมีอีกไหม เราทำกายวาจาให้ดีต้องใช้จิตเป็นตัวรู้

อาการ กาย วาจา ก็ต้องขอลงลึก

 

กาย คำนี้ได้เพี้ยนผิดไปมากนานแล้ว การพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็ถ้าไม่เข้าใจกายก็เพี้ยนไปหมด เพราะเป็นนามธรรมที่ไม่ใช่จะยืนยันง่ายๆ พูดไปแล้วก็กระจายไป

อาตมาจะเอา คำ เรียบเรียงที่เขียนไว้

 

ในพรหมชาลสูตร เป็นสูตรที่ 1ของในพระไตรฯล.9 เป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงอาจารย์กับลูกศิษย์สองคนเถียงกัน ลูกศิษย์ศรัทธาพระพุทธเจ้า ส่วนอาจารย์ตำหนิพระพุทธเจ้า สองคนนี้เถียงกันมา พระพุทธเจ้าก็ให้สิทธิ์ในการเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ท่านไม่ได้ติดใจถือสาเขาเลย ท่านแฟร์ที่สุด ให้อิสระที่สุด

แล้วมาอ่านคำชมของท่าน คนทุกคนมีประเด็นที่ควรชมคือ เป็นคนที่มีศีล แม้พระพุทธเจ้าท่านมีวิมุติ นิโรธแล้ว แต่ท่านก็ว่าใครจะชมเราต้องชมที่เราเป็นคนมีศีล พวกเรานี่ มีศีล 5 แล้วทำให้จริง ไม่ชมได้อย่างไร

พระพุทธเจ้ามีประเด็นที่ให้อิสรเสรีภาพสูงสุด

จาก“พรหมชาลสูตร” สูตรที่ 1 ของพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ ความละเอียดวิเศษ ที่ชัดเจนสำหรับอาตมาประเด็นที่ (1 ) คือ “ความอิสระ”สัมบูรณ์ที่สุดพระพุทธเจ้ามีเต็มๆทีเดียว ใครจะวิจารณ์ ใครจะตำหนิอย่างไร ได้ทั้งนั้น

ท่านใช้สิทธิ์บ้างชี้แจงตอบคำวิจารณ์-คำตำหนินั้นตามที่เป็นจริง ยืนยันสิ่งที่มีจริงนั้นไปแค่นั้น  ไม่วิวาท  ถกบ้างแต่ไม่เถียงและประเด็นอื่นๆอีกต่อมา

(2) พระบรมศาสดาของพุทธนั้น ไม่ยึดตัวตนเลย  ให้สิทธิ์ผู้อื่นเต็ม

(3) ไม่อาฆาต ไม่แค้นใจ ไม่โทมนัส ไม่น้อยใจ

(4) ฟังความที่เขาว่าอย่างใส่ใจ จึงจะพึงรู้คำที่เขาพูดว่า ถูก หรือผิด

(5) จงกล่าวตอบ ว่า ความจริงที่ตนมีเป็นอย่างนั้น ความแท้ที่ตนไม่มีเป็นอย่างนี้ แม้ในเราทั้งหลายก็มีความแท้และไม่มีความแท้นัยเดียวกัน ทั้งที่ตนเห็นว่าถูก เป็นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเห็นว่าผิด เป็นอย่างนี้  แจ้งความจริงให้ชัด

(6) หรือใครจะกล่าวชมเรา ชมพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ เราก็ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น ถ้าเราดีใจ-กระเหิมใจ อันตรายจะพึงมีแก่เธอ

(7) เงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งที่“คน”ควรได้รับคำชมนั้น ก็คือ คนๆนั้น “เป็นผู้มีศีล” นี่คือเงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งของพุทธ ที่พระพุทธ้เจ้าตรัส เริ่มตั้งแต่พระองค์เองทีเดียวว่า “คนจะพึงชมเรา พึงชมเพราะเรามีศีล”

“ความมีศีล”มั่นคงยั่งยืน จึงเป็นคุณ สมบัติที่วิเศษอันดับหนึ่งของความเป็น“คน”

และ“ความมีศีล”นั้น คืออย่างไร?

“ศีล”ของพุทธ คือ “จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล”ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ“ศีล”ที่เป็น“ธรรมนูญ”นี้เองแต่เพียงผู้เดียว ด้วยพระปัญญาธิคุณ-บริสุทธิคุณ-กรุณาธิคุณ

อย่าพึงแก้ไขเปลี่ยนแปลงในศาสนาชาวพุทธส่วนใหญ่ยุคทุกวันนี้

ภิกษุและพุทธศาสนิกชนไม่ถือ“ศีลธรรมนูญ”นี้กันแล้ว ภิกษุถือแค่วินัย 227 กันเท่านั้นและแค่“วินัย 227”นี้ภิกษุยุคนี้ก็ยังหน้าด้านกัน ขนาด“ปาราชิก”แท้ๆ กลัวกันเสียที่ไหน ละเมิดกันโครมๆ เห็นมั้ยเล่า..???!!!

ปาราชิกนี้หนักกว่าพรหมทัณฑ์ ถ้าพรหมทัณฑ์ก็แค่อยู่ด้วยกันได้แต่ไม่บอกไม่สอน แต่ว่าถ้าปาราชิกนี้ไม่ให้ฟังธรรมเลย อยู่ร่วมกันไม่ได้เลย แต่นี่ทุกวันนี้สมีแล้วก็ยังมาเป็นมัคนายก ทำพิธีคล่องเลย ถือว่าโทษแค่บวชอีกไม่ได้แล้วแค่นั้น ก็เท่ากับฆราวาสที่ไม่คิดจะบวชตลอดชีวิตก็แค่นั้นเองหรือ? ก็ไม่มีใครกลัวเลยปาราชิก แต่ไม่บวช แต่ก็สอนคนอื่นได้ รับค่าจ้างได้อีกเยอะ เป็นสมีนะ

“วินัย”เป็นหลักเกณฑ์ที่หยาบและตื้นเป็นผู้ร้ายที่เลวกว่า“ศีล” ศีลลึกซึ้งละเอียดและกว้างเป็นผู้ดีกว่าวินัย อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

“จุลศีล 26 -มัชฌิมศีล 10 -มหาศีล 7”

ทั้งภิกษุทั้งฆราวาสไม่ถือกันแล้ว ซ้ำไม่รู้จัก

จุลศีล 26 เฉพาะผู้ปฏิบัติแต่ละคนสมาทานปฏิบัติไปตามฐานะแต่ละคน ตั้งแต่ “ศีล 5”เป็นพื้นฐาน แล้วก็เป็น“อธิศีล”เพิ่มสูงขึ้นๆได้เป็น“ศีล 8-ศีล 10-ศีล 11-12-13-14 ฯ ไปตามฐานะและถนัดจนถึง 26

ผู้ได้ศีล 26 ข้อนี้ให้ได้ผลก็เป็นอรหันต์แน่ แต่บางคนไม่ถึง 26 ข้อก็เป็นอรหันต์ได้ เณร หรือสิกขมาตุศีล 10 ก็อรหันต์ได้ แต่ถ้าไม่ถึง ศีล 10 ก็ยากเป็นอรหันต์ ใครปฏิบัติจะได้ประโยชน์ตนที่ลดกิเลสได้ ไปตามลำดับ

ปฏิบัติ“จุลศีล”ก็จะพาบรรลุอรหัตผลไปตามลำดับ ซึ่ง“อธิศีล”สูงขึ้นๆมันอาจจะไม่เรียงข้อไปตามลำดับเท่านั้น

ส่วน“มัชฌิมศีล 10”นั้นเป็น“ศีล”ขยายความลึกและกว้างของ“จุลศีล”มากขึ้นๆ และเป็น“ศีล”ที่พาเราพ้นจากเดรัจฉากถา เราก็จะพัฒนาสูงไปตาม“มัชฌิมศีล”

สำหรับ“มหาศีล 7”เป็น“ศีล”ที่พาเราพ้นจากเดรัจฉานวิชา เป็น“ศีล”ส่วนรวมเป็นศีลเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุต้องไม่ละเมิด ต้องเว้นขาดก่อน แล้วฆราวาสก็จะไม่มีในศาสนา จึงเป็น“ศีล”ที่สำคัญยิ่งของศาสนา เป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นพุทธศาสนาที่สูงส่งไปด้วยภูมิปัญญามีศักดิ์ศรีและสง่างามยิ่ง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาล้มล้างเดรัจฉานวิชา ซึ่งศาสนาอื่นๆเขามีกันพิลึกสารพัดประหลาดวิตถาร

แต่พุทธเป็นศาสนาที่ไม่มี“เดรัจฉานวิชา”ตามที่“มหาศีล 7”กำหนดไว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาของพระองค์

เพราะพุทธเป็นศาสนา“อเทวนิยม”ที่จริงที่สุด มีภูมิปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงพิสูจน์ “วิญญาณ”ด้วยการสัมผัสรู้“สภาวะแห่งวิญญาณ”ด้วย“วิชชา 8”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นวิทยาศาสตร์สัมบูรณ์ด้วย“ปรมัตถสัจจะ”ที่แท้กว่าศาสนาใดๆในโลกจึงไม่งมงายไปกับ“อัคคียัญญ”โดยใช้ไฟเป็นสื่อ(จุดธูปจุดเทียนบูชา เป็นต้น) และ“สิญจนยัญญ”คือใช้น้ำเป็นสื่อ(รดน้ำมนต์,กรวดน้ำ เป็นต้น)เชื่อมโยงวิญญาณภพนั้นภพนี้ หรือแม้แต่“สวดมนต์”เป็นสื่อให้ขลัง “ท่องบ่นมนตรา-คาถา-อาเวค”ใดๆก็ไม่มีเลย เป็นอันขาด เป็นต้น

แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา สวดมนต์ สวดคาถา สารพัด [ผู้ศึกษาค้นคว้าได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 9]  

 

ทีนี้ ..“มีศีล”ล่ะ คือ อะไร?

มีศีล คือ “จิตใจของผู้นั้น‘ตั้งมั่น’เป็นปกติ ไม่ชอบ-ไม่ชัง ไม่ทุกข์-ไม่สุข ไม่วูบ-ไม่หวั่นเลย เมื่อถูกสัมผัสกระทบกระแทกกับสิ่งที่จะพึงทำให้จิตใจไหวเคลื่อน ก็ไม่ไหวไม่เคลื่อนเลยแม้แต่นิดน้อย ไม่ว่าจะเคลื่อนแบบมีอาการชอบหรืออาการชัง-มีอาการดูดหรืออาการผลัก ก็ไม่มีอาการดังว่านั้นเลย เป็นปกติ จิตใจมีแต่ความเป็นธาตุรู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสิ่งนั้นตามที่มีจริง เป็นปกติ

นั่นคือ ผู้มี“ศีล”เป็นอาริยะ “จิต”ก็เป็นสมาธิเป็นอาริยะด้วย แถมมี“ปัญญา”เป็นอาริยะครบ จึงบริบูรณ์ในความ“มีศีล”

เช่นคุณพบสัตว์ สัตว์ตัวนี้คุณเคยชอบ เคยเกลียด เคยกลัว เคยอะไรตามมีดูดมีผลัก ผู้ไม่มีศีลเป็นปกติก็เกิดอาการ แต่ว่า ผู้มีศีลแล้วก็ไม่เกิดอาการ แต่ต้องระวังว่าอาการกลัวกับอาการระวังไม่เหมือนกัน ต้องระวังไว้ดี ผู้กลัวบางทีสั่นเลย บางทีต้องระวังแต่จิตไม่กลัว ไม่ให้มันมาทำร้ายจะเป็นผลเสีย อย่างน้อยเจ็บตัวเรา จริงๆแล้วมุมกลับสัตว์มาทำร้ายเราเป็นวิบาก

นอกจากคุณมีวิบากจริงๆ เลี่ยงแล้วก็ยังโดนทำร้ายเจ็บหรือตายก็สุดวิสัย

พระพุทธเจ้าห้ามเพ่งตามอาการ ในกามลามสูตรว่าไว้ว่าอาการนี้คืออย่างนี้ ๆ คุณพิพากษาไม่ได้หรอก ผู้มีศีลคือเป็นผู้มีอาการจิตปกติ ไม่ใช่ว่าปกติ อย่างเช่นวันนี้ปกติเขาก็กินเหล้าสองขวดปกติ มันไม่ใช่ หรือคนนี้กินสามมื้อปกติไม่ใช่ แต่ปกติคืออาการกิเลสลดจนหมดไปไม่มีเป็นปกติ สามัญแปลว่าผู้สงบแล้ว เป็นธรรมดา สามัญถาวร

ดังนั้น “มีศีล”จึงไม่ใช่แค่บริสุทธิ์ทาง “กาย”ทาง“วาจา”เท่านั้น ต้องเป็น“อาริยะ”ทาง“จิต”ด้วย และมี“ปัญญา” เป็นสำคัญ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“สามัญผลสูตร”ว่า ต้องพร้อมด้วย“ศีลอันเป็นอาริยะ-สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ-สติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ-สันโดษอันเป็นอาริยะ” และครบครันก็มีวิชชา 8 ชื่อว่าเป็นผู้สัมบูรณ์ด้วย“ศีล-สมาธิ-ปัญญา” และวิมุติทีเดียว (แต่อรหันต์บางท่านก็อนุโลมเพื่อช่วยคน กิริยาเหมือนผิดศีลแต่ใจท่านไม่ผิด หากคนไม่เป็นจริงก็เอามาทำเป็นหลอกว่าทำแล้วบอกว่าใจเราไม่เป็นทั้งที่เราไม่ได้บรรลุ เราก็โกหกทั้งๆที่รู้ สัมปชานมุสาวาท อาการที่ตนไม่บรรลุแล้วหรอกว่าตนบรรลุก็ปาราชิกได้)

คำว่า “เป็นอาริยะ”นั้น ไม่ใช่การบรรลุแค่กายกับวาจาเท่านั้น ต้องบรรลุถึง“ใจ”

ดังนั้น “ศีล”ต้องมีผลถึงใจ ลดความเดือดร้อนใจไปตามลำดับ ตามพระวจนะในพระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208 อ่านดูดีๆ ทำความเข้าใจให้ครบครัน จะเห็นชัดว่า “ศีล”นั้นมีผลถึง“วิมุติ-นิพพาน”จริงๆ

เรื่องของ“ศีล”จึงไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เล่นๆเป็นอันขาด

ยิ่งเรื่องของความเป็น“กาย”ทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนไทย เกือบหมดทั้งประเทศแล้วกระมังที่“มิจฉาทิฏฐิ”กันสนิท

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:52:39 )

590726

รายละเอียด

590726_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ความมีศีลนั้นคืออย่างไร

sms จากทางบ้าน

0893867xxx กบรมควัน(พิษ)ก็เห็นด้วยกับความเห็นลูกหลานอโศกที่เชื่อมั่นลุงตู่เขียว!นายกวาจาบอระเพ็ดถึงขมๆก็เป็นกษัยยา!ดีกว่าปากหวานเสี่ยงลมพิษ!บรื๊ออออ

ตอบ...ก่อนมาอาตมาก็ตอบปัญหานี้ แล้วอาตมาจะบอกได้อย่างไร จะบอกก็ผิดกฏหมาย ก็พูดไปกลางๆ คนก็จับไปเอียงเข้าหาตัวเองเลย ในสังคมจะได้สังเคราะห์สัจจะ ก็อยากจะให้เกิดสัจจะคือขณะนี้คนไทยกำลังมีกิจกรรมนี้ เป็นหน้าที่ประชาชนไทยทุกคนจะต้องทำอย่ากาทิ้งเสียของ เราอยากได้อยากรู้การตัดสินใจของคนประชาชน

_line Sayan

วัดที่สุพรรณ นักบวชสังหมูกะทะมากิตอนเย็นทุกวันกินแบ้วก็ปลงอาบัติ

เด็กที่เล่าให้ฟังเขาบอกว่าหลวงตาสอน…หลวงตาก็กินด้วย

ตอบ..อาตมาก็ขอวิจารนิดนึง การละเมิดธรรมะของพระพุทธเจ้ามันมีวิบากเพราะกรรมเป็นอันทำ คนไม่เชื่อก็ทำ ใครเชื่อก็หยุดไม่ละเมิด คนบรรลุมีญาณปัญญาก็สบาย ชำระกิเลสหมดไปได้จิตก็เฉยๆ ไม่ดูดไม่ผลักแต่รู้ทุกอย่างว่าคนนั้นเขาหลงมากหลงน้อยเราก็เห็นสงสารเขา ถ้ามาบวชอย่าทำ หรือไม่บวชก็อย่าทำจัดจ้านต่อหน้าเลยก็เป็นมารยาทสังคมที่ควรรู้ แต่ทุกวันนี้ทำอะไรไปต่างๆนานา อาตมาพูดได้ว่าพระยุคนี้ อาบัติปาราชิกเรื่องเงินนี้มากกว่าเมถุนธรรม ( 5 มาสกหากยักยอกหรือขโมยก็ปาราชิก 5มาสกน่าจะได้ห้าร้อยบาท) ซึ่งตนเองติดของสวยของหรูราคาแพง เมื่อก่อนมานี้ก็ฟังหลวงพี่น้ำฝนมีรอยสัก เถียงฉอดๆๆๆว่าตนไม่ผิด แต่รถที่แปลงเพศคันนั้น คือชื่อหนึ่งแล้วเอาไปแปลงเป็นอีกชื่อหนึ่ง ติดรสนิยมหรูหรา เขาก็เถียงว่าไม่ผิด แต่เป็นพระนี้จะไปยุ่งทำไม ให้ไปเลย รถคันนี้ราคาเกินห้ามาสกมากมาย แต่ว่าที่สังฆราชก็รถนัยเดียวกัน เวรจริงๆเลยประเทศไทย ยังติดยึดอีก ก็หลอกคนได้อีก ตอนนี้คนไทยเข้าใจได้มากขึ้น คนงมงายก็น่าสงสาร ผู้ไม่ยอมรับผิดก็ดึงดัน หนักหนาอีกหลายชาติ

 

_คำถามจากส.บินก้าว

วันนี้ มีวัยรุ่นมาสนทนากับผม แจ้งว่า ตนเองรักษาศีลข้อ 4. ได้ยากที่สุด กราบรบกวน ส่งคำถามถวายพ่อท่านเพื่อโปรดคนทั่วไปด้วยที่น่าจะมีอาการเดียวกันว่า... พ่อท่าน จะมีแนวทางแก้ไขความบกพร่องในศีลข้อ 4 สู่แนวปฏิบัติได้ อย่างไร ? ขอเป็นลำดับ...

อีกคนวัยเกิน 30 ผ่านการบวชมาแล้ว มาสนทนา ช่วงที่ปฐมมีโครงการ ชีวิตดีทีละก้าว...เขาสนใจขอคำอธิบายคือคำว่า สัมปชานมุสาวาท คือ อยากรู้ว่ามันจะเป็นอันตรายตามที่บุคคลระดับพระพุทธเจ้าว่าไว้นั้นคืออันตรายอย่างไร ?

เพราะเห็นมุสากันทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งพระทั้งฆราวาส...

 

พ่อครูว่า ...ลองไล่เรียง เรื่องเงินนี่ปาราชิกได้มากกว่าเรื่องเมถุนนะ พระเมืองไทยมีสามแสน จะเหลือสักแสนรูปไหม?ที่สะอาดจากปาราชิก แต่ตอนนี้ต้องล้างบาง ในยุคแต่ละยุคจะมีผู้มาช่วยล้าง ศาสนาจะได้กระเตื้องไม่เช่นนั้นหมักหมมเน่าใน เป็นปลาร้า แต่ปลาร้าเขาพยายามพัฒนาไม่ให้เน่าเสียให้เน่ากินได้ แต่นี่ของศาสนาพุทธเมืองไทยนี้เน่าเสียแล้ว ประเทศไทยจะทำได้เรียบร้อยราบรื่นไม่ปะทะรุนแรงก็ค่อยดำเนินไปช่วยกัน

บางปางพระโพธิสัตว์จะต้องทำแรง แต่มีวิบากซ้อน แต่ต้องทำเพราะจำเป็น อย่างอาตมาเคยผ่านมา วิบากก็ตามมา แต่ก็จะลดลง เพราะทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว แต่วิบากส่วนตัวก็จะน้อย ต้องทำไม่ทำไม่สำเร็จ จึงมีผู้เสียสละอย่างโพธิสัตว์ที่ต้องรักษาส่วนใหญ่ โดยยอมเสียส่วนน้อยของตน ตนก็ต้องเสียมีทุกข์มีวิบากได้

ขณะนี้อาตมาก็บอกได้ว่ายุคนี้จะต้องล้างบาง สังเกตสิ เณรคำก็โดนแล้ว ยันตระก็ไม่รอด อยู่ในนี้เข้ามาเองนะ ธัมมชโย สมเด็จช่วงไม่ต้องห่วงค่อยๆทำไป นี่คือสัจจะที่ค่อยๆเป็น ทีนี้ภาษาที่พูดโกหกนี่อันตรายอย่างไร

หนึ่งคุณโกหกก็ผิดมีวิบากอกุศลแล้ว สองนำคำโกหกไปกระจายผลให้คนอื่นได้รับความชั่วนี้ก็บาปซ้ำซ้อน แล้วสาม ตนเองก็รู้ว่าเป็นคำโกหกทำไมไม่ละอาย คนที่ละอายมีหิริโอตตัปปะ  เขาจะไม่กล้าทำ แต่นี่ไม่กลัวเกรงมีหน้าด้านโกหกดื้อๆเลย อาตมาใช้ศัพท์แสลงว่าง่านโด้ คือโง่ยกกำลังด้าน คือซับซ้อนอย่างทวีคูณ ยกกำลังเลย แล้วที่ทำไป คนที่ได้โกหกทั้งที่รู้ว่าตนโกหกแล้วไม่สำนึก นอกจากไม่สำนึกแล้วยังจะทำอีก ก็ยิ่งแรงขึ้นอีก มันคูณร่วมมากเลยนะ ไม่ใช่หารร่วมมาก เสียหายไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหากิเลสใส่ตัว เป็นจาตุมมหาราชิกา

การไปตั้งจิต หวัง ผูกพัน สั่งสม ข้ามชาติเลย สี่ประเด็น  คือ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ  2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ  3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

พวกสายโป้งรวยนี้มีฐานปฏิบัติที่เป็นเช่นนี้หมด แล้วหลอกว่าเป็นความสบายใจ เป็นดาวดึงส์ น่าได้น่ามีน่าเป็น แม้เขาจะได้สบายเป็นสวรรค์เก๊ แต่จะได้ความติดยึดสวรรค์เพลิดเพลินหรูหราเป็นภพชาติ คนหลอกนี้ ชั่วอีกกี่ชาติบาปอีกกี่ชั้น คนที่ถูกหลอกก็บาปชั้นเดียว แต่คนต้นทางหลอกเขานี่บาปกี่ชั้น?

ยังไม่พอจะให้นานๆเป็นยามา ได้ไปทุกชาติๆ หลอกไปหมด แล้วน่าเกลียดที่สุภชัยหาให้ไม่รู้กี่พันล้าน แต่ว่าเขาติดคุกไม่ไปหาไปดูเขาเลย กลับให้การว่าไม่รู้จักกัน ไม่ไปดูดำดูดีก็ชั่วแล้ว แต่โกหกอีกซ้อนชั่วอีก

คนที่ยังหลงภูมิเทวดาเป็นภพเป็นชาติ แต่ถ้าคุณจะไปนิพพานจะต้องออกจากภพชาติ ถ้าเรายังไม่พ้นกามอย่างไรใครจะมาว่าด่าเราเรื่องภพก็ต้องยอมนะ  ต้องออกจากภพชาติให้ได้

ยังมีชั้นที่ 6 อีกนะนะ ทาน  แต่มีใจให้ปลื้ม อตฺตมนตาโสมนสฺ  คือให้ทานแล้วมีแต่ความปลื้มใจ ไปดีใจปลื้มใจในความชั่วเลวของตน ผนึกแน่นไม่ให้แตกเลยนะ เหมือนเทกาวทับลงไปซับซ้อน

การทำผิดเอามาให้แก่ตนนี้เผลอได้ง่ายกว่า ทำผิดได้ง่ายกว่า การฆ่าคนก็ต้องทำได้ยากกว่า การอวดอุตริก็มีได้น้อยกว่าเพราะพูดไม่ค่อยเป็น แต่เงินนี่มากที่สุด  อย่างภิกษุณีนี้ก็ดูไปจะมีมาก และเมืองไทยนี้อาตมาเห็นดีด้วยที่ห้ามกั้นภิกษุณี เพราะผู้หญิงนี่ขี้เห่อกิเลสจุกจิกมากกว่าผู้ชายเยอะ อโศกเราก็จำกัดแค่ศีล 10 ไม่ให้มากกว่าสมณะ แต่ไม่เป็นปัญหา พวกเราเป็นฆราวาสทำให้บารมีสูงก็จะได้มากกว่าอีก แต่มาบวชแล้วอกุศลวิบากมากหากไม่มีคุณธรรมจริง

 

เงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งที่“คน”ควรได้รับคำชมนั้น ก็คือ คนๆนั้น “เป็นผู้มีศีล” นี่คือเงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งของพุทธ ที่พระพุทธ้เจ้าตรัส เริ่มตั้งแต่พระองค์เองทีเดียวว่า “คนจะพึงชมเรา พึงชมเพราะเรามีศีล”

“ความมีศีล”มั่นคงยั่งยืน จึงเป็นคุณ สมบัติที่วิเศษอันดับหนึ่งของความเป็น“คน”

และ“ความมีศีล”นั้น คืออย่างไร?

“ศีล”ของพุทธ คือ “จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล”ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ“ศีล”ที่เป็น“ธรรมนูญ”นี้เองแต่เพียงผู้เดียว ด้วยพระปัญญาธิคุณ-บริสุทธิคุณ-กรุณาธิคุณ

อย่าพึงแก้ไขเปลี่ยนแปลงในศาสนาชาวพุทธส่วนใหญ่ยุคทุกวันนี้

ภิกษุและพุทธศาสนิกชนไม่ถือ“ศีลธรรมนูญ”นี้กันแล้ว ภิกษุถือแค่วินัย 227 กันเท่านั้นและแค่“วินัย 227”นี้ภิกษุยุคนี้ก็ยังหน้าด้านกัน ขนาด“ปาราชิก”แท้ๆ กลัวกันเสียที่ไหน ละเมิดกันโครมๆ เห็นมั้ยเล่า..???!!!

ปาราชิกนี้หนักกว่าพรหมทัณฑ์ ถ้าพรหมทัณฑ์ก็แค่อยู่ด้วยกันได้แต่ไม่บอกไม่สอน แต่ว่าถ้าปาราชิกนี้ไม่ให้ฟังธรรมเลย อยู่ร่วมกันไม่ได้เลย แต่นี่ทุกวันนี้สมีแล้วก็ยังมาเป็นมัคนายก ทำพิธีคล่องเลย ถือว่าโทษแค่บวชอีกไม่ได้แล้วแค่นั้น ก็เท่ากับฆราวาสที่ไม่คิดจะบวชตลอดชีวิตก็แค่นั้นเองหรือ? ก็ไม่มีใครกลัวเลยปาราชิก แต่ไม่บวช แต่ก็สอนคนอื่นได้ รับค่าจ้างได้อีกเยอะ เป็นสมีนะ

“วินัย”เป็นหลักเกณฑ์ที่หยาบและตื้นเป็นผู้ร้ายที่เลวกว่า“ศีล” ศีลลึกซึ้งละเอียดและกว้างเป็นผู้ดีกว่าวินัย อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

“จุลศีล 26 -มัชฌิมศีล 10 -มหาศีล 7”

ทั้งภิกษุทั้งฆราวาสไม่ถือกันแล้ว ซ้ำไม่รู้จัก

จุลศีล 26 เฉพาะผู้ปฏิบัติแต่ละคนสมาทานปฏิบัติไปตามฐานะแต่ละคน ตั้งแต่ “ศีล 5”เป็นพื้นฐาน แล้วก็เป็น“อธิศีล”เพิ่มสูงขึ้นๆได้เป็น“ศีล 8-ศีล 10-ศีล 11-12-13-14 ฯ ไปตามฐานะและถนัดจนถึง 26

ผู้ได้ศีล 26 ข้อนี้ให้ได้ผลก็เป็นอรหันต์แน่ แต่บางคนไม่ถึง 26 ข้อก็เป็นอรหันต์ได้ เณร หรือสิกขมาตุศีล 10 ก็อรหันต์ได้ แต่ถ้าไม่ถึง ศีล 10 ก็ยากเป็นอรหันต์ ใครปฏิบัติจะได้ประโยชน์ตนที่ลดกิเลสได้ ไปตามลำดับ

ปฏิบัติ“จุลศีล”ก็จะพาบรรลุอรหัตผลไปตามลำดับ ซึ่ง“อธิศีล”สูงขึ้นๆมันอาจจะไม่เรียงข้อไปตามลำดับเท่านั้น

ส่วน“มัชฌิมศีล 10”นั้นเป็น“ศีล”ขยายความลึกและกว้างของ“จุลศีล”มากขึ้นๆ และเป็น“ศีล”ที่พาเราพ้นจากเดรัจฉากถา เราก็จะพัฒนาสูงไปตาม“มัชฌิมศีล”

สำหรับ“มหาศีล 7”เป็น“ศีล”ที่พาเราพ้นจากเดรัจฉานวิชา เป็น“ศีล”ส่วนรวมเป็นศีลเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุต้องไม่ละเมิด ต้องเว้นขาดก่อน แล้วฆราวาสก็จะไม่มีในศาสนา จึงเป็น“ศีล”ที่สำคัญยิ่งของศาสนา เป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นพุทธศาสนาที่สูงส่งไปด้วยภูมิปัญญามีศักดิ์ศรีและสง่างามยิ่ง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาล้มล้างเดรัจฉานวิชา ซึ่งศาสนาอื่นๆเขามีกันพิลึกสารพัดประหลาดวิตถาร

แต่พุทธเป็นศาสนาที่ไม่มี“เดรัจฉานวิชา”ตามที่“มหาศีล 7”กำหนดไว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาของพระองค์

เพราะพุทธเป็นศาสนา“อเทวนิยม”ที่จริงที่สุด มีภูมิปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงพิสูจน์ “วิญญาณ”ด้วยการสัมผัสรู้“สภาวะแห่งวิญญาณ”ด้วย“วิชชา 8”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นวิทยาศาสตร์สัมบูรณ์ด้วย“ปรมัตถสัจจะ”ที่แท้กว่าศาสนาใดๆในโลกจึงไม่งมงายไปกับ“อัคคียัญญ”โดยใช้ไฟเป็นสื่อ(จุดธูปจุดเทียนบูชา เป็นต้น) และ“สิญจนยัญญ”คือใช้น้ำเป็นสื่อ(รดน้ำมนต์,กรวดน้ำ เป็นต้น)เชื่อมโยงวิญญาณภพนั้นภพนี้ หรือแม้แต่“สวดมนต์”เป็นสื่อให้ขลัง “ท่องบ่นมนตรา-คาถา-อาเวค”ใดๆก็ไม่มีเลย เป็นอันขาด เป็นต้น

แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา สวดมนต์ สวดคาถา สารพัด [ผู้ศึกษาค้นคว้าได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 9]  

 

ทีนี้ ..“มีศีล”ล่ะ คือ อะไร?

มีศีล คือ “จิตใจของผู้นั้น‘ตั้งมั่น’เป็นปกติ ไม่ชอบ-ไม่ชัง ไม่ทุกข์-ไม่สุข ไม่วูบ-ไม่หวั่นเลย เมื่อถูกสัมผัสกระทบกระแทกกับสิ่งที่จะพึงทำให้จิตใจไหวเคลื่อน ก็ไม่ไหวไม่เคลื่อนเลยแม้แต่นิดน้อย ไม่ว่าจะเคลื่อนแบบมีอาการชอบหรืออาการชัง-มีอาการดูดหรืออาการผลัก ก็ไม่มีอาการดังว่านั้นเลย เป็นปกติ จิตใจมีแต่ความเป็นธาตุรู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสิ่งนั้นตามที่มีจริง เป็นปกติ

นั่นคือ ผู้มี“ศีล”เป็นอาริยะ “จิต”ก็เป็นสมาธิเป็นอาริยะด้วย แถมมี“ปัญญา”เป็นอาริยะครบ จึงบริบูรณ์ในความ“มีศีล”

ดังนั้น “มีศีล”จึงไม่ใช่แค่บริสุทธิ์ทาง “กาย”ทาง“วาจา”เท่านั้น ต้องเป็น“อาริยะ”ทาง“จิต”ด้วย และมี“ปัญญา” เป็นสำคัญ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“สามัญผลสูตร”ว่า ต้องพร้อมด้วย“ศีลอันเป็นอาริยะ-สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ-สติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ-สันโดษอันเป็นอาริยะ” และครบครันก็มีวิชชา 8 ชื่อว่าเป็นผู้สัมบูรณ์ด้วย“ศีล-สมาธิ-ปัญญา” และวิมุติทีเดียว

คำว่า “เป็นอาริยะ”นั้น ไม่ใช่การบรรลุแค่กายกับวาจาเท่านั้น ต้องบรรลุถึง“ใจ”

ดังนั้น “ศีล”ต้องมีผลถึงใจ ลดความเดือดร้อนใจไปตามลำดับ ตามพระวจนะในพระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208 อ่านดูดีๆ ทำความเข้าใจให้ครบครัน จะเห็นชัดว่า “ศีล”นั้นมีผลถึง“วิมุติ-นิพพาน”จริงๆ

เรื่องของ“ศีล”จึงไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เล่นๆเป็นอันขาด

ยิ่งเรื่องของความเป็น“กาย”ทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนไทย เกือบหมดทั้งประเทศแล้วกระมังที่“มิจฉาทิฏฐิ”กันสนิท

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83128

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfSGxvdEhCanVWc0k

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/6uxdfsr6qyhb/160726

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:53:06 )

590727

รายละเอียด

590727_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมบัติวิเศษของคนคือศีลที่ยั่งยืน

สรุปว่าศีล ไม่ใช่วินัย อย่าไปแก้ไขศีลที่เป็นธรรมนูญ แต่สิกขาบทเล็กน้อยแก้ไขได้ ศาสนาพุทธส่วนใหญ่ ภิกษุและพุทธศาสนิกชนไม่ได้ถือศีลธรรมนูญจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้ว ถือแต่วินัย 227 แต่ก็กลับละเมิดวินัยอีก แม้ปาราชิกก็ไม่กลัว

วินัยนั้นหยาบและตื้น ใครละเมิดเป็นผู้ร้ายที่เลวกว่าผู้ละเมิดศีล ทุกวันนี้หากไปถามว่าท่านถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล หรือไม่ พระจะงงเลย แล้วถามว่าท่านถือศีลเท่าไหร่? ท่านจะตอบว่า 227ข้อ จะได้อย่างนี้เลย เขาจะไม่รู้จักหรอก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

 

พ่อครูว่า...วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2559 แรม 8 ค่ำเดือน 8 วันพระน้อย คู่ 8 ก็คงจะได้มีอะไรดีๆขึ้นมาก็ได้นะ เราก็รอวัน 7 ส.ค. 2559 จะได้ไปพยายามช่วยกัน เพื่อจะได้พิสูจน์ยืนยันว่าคนไทยเราจะมีภูมิปัญญาปฏิภาณที่ดีขึ้น ฉลาดขึ้นหรือไม่? ที่ใช้คำว่าฉลาดขึ้นหรือไม่ คือจะรู้จักความจริงตามความเป็นจริงที่เป็นเรื่องลึกซึ้งขั้นอาริยะ เป็นความฉลาดชั้นประเสริฐไม่ใช่อย่างที่ปุถุชนเป็น ที่อยู่ใต้อำนาจของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

มาถึงเมืองไทยเราวันนี้มีโลกุตระ ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มาถึงวันนี้การเมืองจะวัดด้วยคะแนนเสียง วัดว่าประชากรไทย จะมีไหวพริบมีปัญญารู้ในแนวลึกของโลกุตระอย่างไรแค่ไหน

ขณะนี้ประชาชนเข้าใจแล้วว่าการเมืองกับธรรมะนั้นแยกจากกันไม่ได้ แล้วต้องเข้าใจการเมืองว่าเป็นสิ่งที่มนุษยชาติจะต้องเอาใจใส่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ไม่เช่นนั้นพวกโจรที่มีเล่ห์เหลี่ยมที่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่โจร 500 แล้วเป็นโจรพัน 1 หรือพันห้าแล้ว ซึ่งธรรมะควรชนะอธรรม

ผู้จะลงคะแนนเสียงก็ลงโดยสุจริตอิสระ ไม่ต้องบังคับหลอกล่อ จะได้แสดงออกภูมิธรรมของปชช.คนไทยจริง ว่าจะชัดเจนไหม? ว่าสิ่งอะไรที่ควร ไม่ควร มันมีประเด็นที่อาตมาว่า

เรื่องประชามติ รับร่างรธน. พวกใช้เล่ห์เหลี่ยมซ้อนเชิงมาว่า ถ้าเผื่อว่า รธน.ประกาศออกไปแล้วว่าจะรับหรือไม่รับ ถ้าเผื่อว่ารับ ก็จะต้องเลือกตั้ง เขาก็บอกว่าถ้าเลือกตั้งนี้ ตอนยังไม่สุกเต็มที่ ควรจะต้องให้นายกตู่(ตู่เขียว)กำกับต่ออีก อาตมาก็ว่าเข้าใจดีว่าควรให้นายกฯตู่นี้ทำงานต่ออีก จนกว่าจะพร้อม อาตมาก็ว่าเข้าใจกันแล้วว่านายกฯตู่นี้ทำงานดี เข้าตาปชช.กว่านายกฯที่ผ่านมา 28 คน จะเป็นเพราะว่ามีพื้นฐานสั่งสมจากคนก่อนๆก็ได้

เขาก็เกรงกันว่าถ้าผ่านร่างรธน.นี้ ก็จะต้องเลือกตั้ง เขาก็ไม่ไว้ใจว่าพวกโกงๆนี้ยังมีพลังอำนาจอยู่ ก็เลยว่า อย่าไปรับเลย ถ้ารับจะเสี่ยง ก็เป็นแนวคิดที่ปรารถนาดีเหมือนกันนะ

แต่ทีนี้อาตมามองเป็นความสะอาดสูงส่งไปมากกว่านั้น คือเราไปมองว่าอย่าไปใช้แทคติกเล่ห์เหลี่ยมกลับไปกลับมาเลย เราใช้ความซื่อตรงว่า หนึ่งให้เกียรติกับผู้ร่างรธน. แล้วเราจะไปหักหาญว่าไม่รับเลยก็ไม่ควร สองกลัวอะไรกันเล่า หากยังไม่พร้อม ปชช.ยังหลงใหลได้ปลื้มกับอันเก่ากับพวกใช้เลห์เหลี่ยม ถ้าพวกเล่ห์เหลี่ยมชนะก็จะได้รู้ว่ามันยังไม่พร้อม ถ้าเราไปทำก็เป็นเล่ห์เหลี่ยมด้วยก็ไม่ดี เราตรงๆดีกว่าซื่อตรงดีกว่า นี่เป็นความเห็นของอาตมานะ อาตมาไม่ได้ไปบอกว่ารับหรือไม่รับนะ อาตมาขอซื่อตรง รับ ไม่เอาอันที่ไม่รับ อาตมาว่าให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย ให้เกียรติทุกคน ถ้าการไม่รับนี่มันไม่เต็มเกียรติ เข้าใจนะ แต่อาตมาว่าต้องให้เกียรติทุกคน จะได้รู้ความจริงว่าคืออะไร? อาตมาเอารับ เพราะอาตมา

หนึ่งไม่ยอมเสียเกียรติ ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีซื่อตรง สองให้รู้ไปเลยว่าความจริงคืออะไร สามไว้เกียรติเลย สี่คือถ้าไม่รับแล้วคุณไปให้เขาทำ ทำไม? เพราะฉะนั้นตายอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องจับผักกินเอง เป็นเสือสมัยใหม่เจริญที่สุดแล้ว

 

ในพรหมชาลสูตรว่าไว้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.(เพราะปุถุชนนั้น จะชมอย่างไรก็ชมไม่ถึงพระพุทธเจ้าหรอก เพราะไม่รู้จักความจริงของพระพุทธเจ้า)

                                  จุลศีล

[2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

มีศีลนั้น เช่น คุณไม่ฆ่าสัตว์ไม่มีอาชีพฆ่าสัตว์ แต่คุณก็กินเนื้อสัตว์คุณก็ไม่รู้ว่าศีลคุณไม่มี จิตคุณไม่ได้มีเมตตา มีแต่กดข่มไว้ ระวังไว้ ดีไม่ดียังอยากฆ่าคนอยู่เลย แต่กลัวติดคุก จิตคุณยังมีอาการเช่นนี้อยู่เลยแต่กดข่มไว้ หรือใช้คาถาว่า อย่าให้มีอาการอย่างนี้ตามที่เรียนมา แต่ผู้ที่ไม่ต้องกดข่มไม่ต้องใช้คาถาเลย แต่ไม่มีอาการกิเลสเลย ก็คือคนได้จริง

คนที่จะถือว่าประเสริฐได้ต้องมี ศีล เป็นขั้นแรกเลยว่าเป็นคนดี

ไม่ฆ่าสัตว์เลยไม่เอาของที่ไม่ใช่ของตนเลย สองข้อนี้ก็ดีแล้ว ถ้าศีลข้อ 3 ก็มีแค่ผัวเดียวเมียเดียวไม่จัดจ้าน เป็นโสดาบัน ในเบื้องต้น คนจะชมก็ชมที่มีศีลเป็นหลัก ศีลต้องมีทั้งข้างนอกและข้างใน กายก็ไม่ละเมิด มโนก็ไม่ละเมิด เอามโนเป็นหลัก ไม่ใช่มีศีลแค่กาย วาจา เท่านั้น ไม่ถือว่าบรรลุศีล

การที่ท่านให้ชมหรือตินี่ใจท่านก็กลางๆได้แสดงว่าท่านเป็นคนไม่มีตัวตน อีกอันคือท่านเป็นคนที่แฟร์มาก ให้คนติก็ได้ชมก็ได้

จาก“พรหมชาลสูตร” สูตรที่ 1 ของพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ ความละเอียดวิเศษ ที่ชัดเจนสำหรับอาตมาประเด็นที่

(1 ) คือ “ความอิสระ”สัมบูรณ์ที่สุดพระพุทธเจ้ามีเต็มๆทีเดียว ใครจะวิจารณ์ ใครจะตำหนิอย่างไร ได้ทั้งนั้น

ท่านใช้สิทธิ์บ้างชี้แจงตอบคำวิจารณ์-คำตำหนินั้นตามที่เป็นจริง ยืนยันสิ่งที่มีจริงนั้นไปแค่นั้น  ไม่วิวาท  ถกบ้างแต่ไม่เถียงและประเด็นอื่นๆอีกต่อมา

(2) พระบรมศาสดาของพุทธนั้น ไม่ยึดตัวตนเลย  ให้สิทธิ์ผู้อื่นเต็ม

(3) ไม่อาฆาต ไม่แค้นใจ ไม่โทมนัส ไม่น้อยใจ

(4) ฟังความที่เขาว่าอย่างใส่ใจ จึงจะพึงรู้คำที่เขาพูดว่า ถูก หรือผิด

(5) จงกล่าวตอบ ว่า ความจริงที่ตนมีเป็นอย่างนั้น ความแท้ที่ตนไม่มีเป็นอย่างนี้ แม้ในเราทั้งหลายก็มีความแท้และไม่มีความแท้นัยเดียวกัน ทั้งที่ตนเห็นว่าถูก เป็นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเห็นว่าผิด เป็นอย่างนี้  แจ้งความจริงให้ชัด

(6) หรือใครจะกล่าวชมเรา ชมพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ เราก็ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น ถ้าเราดีใจ-กระเหิมใจ อันตรายจะพึงมีแก่เธอ

(7) เงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งที่“คน”ควรได้รับคำชมนั้น ก็คือ คนๆนั้น “เป็นผู้มีศีล” นี่คือเงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งของพุทธ ที่พระพุทธ้เจ้าตรัส เริ่มตั้งแต่พระองค์เองทีเดียวว่า “คนจะพึงชมเรา พึงชมเพราะเรามีศีล”“ความมีศีล”มั่นคงยั่งยืน จึงเป็นคุณ สมบัติที่วิเศษอันดับหนึ่งของความเป็น“คน”

 

ต้องรู้ตนเอง เช่น อบายมุขที่คุณเคยคิดมานั้นคุณเลิกได้อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณต้องการความยั่งยืนไหม สังคมต้องการความยั่งยืนไหม อาตมากำลังพาทำให้เมืองไทยมีคุณสมบัติที่ดีที่จริงและยั่งยืน หากแต่ละคนทำได้จริง มีพลังงานจริงก็เกิดความจริง เพราะความจริงไม่มีในสัตว์อื่นนอกจากคน แล้วยืนยันว่าได้ข้ามชาติ ถ้ามัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)แล้ว ชาติไหนก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83151

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfZEhaTEZSclFnakE

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/6f00xf5eajb3/160727

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:53:39 )

590727

รายละเอียด

590727_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมบัติวิเศษของคนคือศีลที่ยั่งยืน

พ่อครูว่า...วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2559 แรม 8 ค่ำเดือน 8 วันพระน้อย คู่ 8 ก็คงจะได้มีอะไรดีๆขึ้นมาก็ได้นะ เราก็รอวัน 7 ส.ค. 2559 จะได้ไปพยายามช่วยกัน เพื่อจะได้พิสูจน์ยืนยันว่าคนไทยเราจะมีภูมิปัญญาปฏิภาณที่ดีขึ้น ฉลาดขึ้นหรือไม่? ที่ใช้คำว่าฉลาดขึ้นหรือไม่ คือจะรู้จักความจริงตามความเป็นจริงที่เป็นเรื่องลึกซึ้งขั้นอาริยะ เป็นความฉลาดชั้นประเสริฐไม่ใช่อย่างที่ปุถุชนเป็น ที่อยู่ใต้อำนาจของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

มาถึงเมืองไทยเราวันนี้มีโลกุตระ ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มาถึงวันนี้การเมืองจะวัดด้วยคะแนนเสียง วัดว่าประชากรไทย จะมีไหวพริบมีปัญญารู้ในแนวลึกของโลกุตระอย่างไรแค่ไหน

ขณะนี้ประชาชนเข้าใจแล้วว่าการเมืองกับธรรมะนั้นแยกจากกันไม่ได้ แล้วต้องเข้าใจกลางเมืองว่าเป็นสิ่งที่มนุษยชาติจะต้องเอาใจใส่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ไม่เช่นนั้นพวกโจรที่มีเล่ห์เหลี่ยมที่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่โจร 500 แล้วเป็นโจรพัน 1 หรือพันห้าแล้ว ซึ่งธรรมะควรชนะอธรรม

ผู้จะลงคะแนนเสียงก็ลงโดยสุจริตอิสระ ไม่ต้องบังคับหลอกล่อ จะได้แสดงออกภูมิธรรมของปชช.คนไทยจริง ว่าจะชัดเจนไหม? ว่าสิ่งอะไรที่ควร ไม่ควร มันมีประเด็นที่อาตมาว่า

เรื่องประชามติ รับร่างรธน. พวกใช้เล่ห์เหลี่ยมซ้อนเชิงมาว่า ถ้าเผื่อว่า รธน.ประกาศออกไปแล้วว่าจะรับหรือไม่รับ ถ้าเผื่อว่ารับ ก็จะต้องเลือกตั้ง เขาก็บอกว่าถ้าเลือกตั้งนี้ ตอนยังไม่สุกเต็มที่ ควรจะต้องให้นายกตู่(ตู่เขียว)กำกับต่ออีก อาตมาก็ว่าเข้าใจดีว่าควรให้นายกฯตู่นี้ทำงานต่ออีก จนกว่าจะพร้อม อาตมาก็ว่าเข้าใจกันแล้วว่านายกฯตู่นี้ทำงานดี เข้าตาปชช.กว่านายกฯที่ผ่านมา 28 คน จะเป็นเพราะว่ามีพื้นฐานสั่งสมจากคนก่อนๆก็ได้

เขาก็เกรงกันว่าถ้าผ่านร่างรธน.นี้ ก็จะต้องเลือกตั้ง เขาก็ไม่ไว้ใจว่าพวกโกงๆนี้ยังมีพลังอำนาจอยู่ ก็เลยว่า อย่าไปรับเลย ถ้ารับจะเสี่ยง ก็เป็นแนวคิดที่ปรารถนาดีเหมือนกันนะ

แต่ทีนี้อาตมามองเป็นความสะอาดสูงส่งไปมากกว่านั้น คือเราไปมองว่าอย่าไปใช้แทคติกเล่ห์เหลี่ยมกลับไปกลับมาเลย เราใช้ความซื่อตรงว่า หนึ่งให้เกียรติกับผู้ร่างรธน. แล้วเราจะไปหักหาญว่าไม่รับเลยก็ไม่ควร สองกลัวอะไรกันเล่า หากยังไม่พร้อม ปชช.ยังหลงใหลได้ปลื้มกับอันเก่ากับพวกใช้เลห์เหลี่ยม ถ้าพวกเล่ห์เหลี่ยมชนะก็จะได้รู้ว่ามันยังไม่พร้อม ถ้าเราไปทำก็เป็นเล่ห์เหลี่ยมด้วยก็ไม่ดี เราตรงๆดีกว่าซื่อตรงดีกว่า นี่เป็นความเห็นของอาตมานะ อาตมาไม่ได้ไปบอกว่ารับหรือไม่รับนะ อาตมาขอซื่อตรง รับ ไม่เอาอันที่ไม่รับ อาตมาว่าให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย ให้เกียรติทุกคน ถ้าการไม่รับนี่มันไม่เต็มเกียรติ เข้าใจนะ แต่อาตมาว่าต้องให้เกียรติทุกคน จะได้รู้ความจริงว่าคืออะไร? อาตมาเอารับ เพราะอาตมา

หนึ่งไม่ยอมเสียเกียรติ ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีซื่อตรง สองให้รู้ไปเลยว่าความจริงคืออะไร สามไว้เกียรติเลย สี่คือถ้าไม่รับแล้วคุณไปให้เขาทำ ทำไม? เพราะฉะนั้นตายอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องจับผักกินเอง เป็นเสือสมัยใหม่เจริญที่สุดแล้ว

มาดู SMS 26 JUL 59

0893867xxx  ญตธ.มังสะวิรัติสมาชิกเราคิดอะไรขอทราบรายละเอียดการบริจาคพิมพ์หนังสือธรรมะพ่อครูฯได้ไหม?มีรายละเอียดในเราคิดอะไรโอนปัจจัยร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะผ่านบัญชีคุณศีลสนิทฯได้ไหม? 

ตอบ..ได้ก็ต้องอยู่ในกติกาของเราในการบริจาค

0893867xxx  คืนวานฟังพ่อครูเทศน์ธ.โพชฌงค์7ตรงใจตนเพราะสวดโพชฌังคปริตถวายแด่สถาบันช.ศ.กษฯเผื่อแผ่ให้ผู้ป่วยได้อานิสงส์คลายทุกข์ลดกิเลสรู้ซึ้งความเกิดดับเข้าถึงอริยมรรคทุกคืน!  ผู้น้อยก็สวดมนต์แต่สวดเชิงพุทธศาสตร์ปฏิเสธไสยศาสตร์ตามพระบรมราโชวาทในหลวงฯอย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดนอกจากปัญญาและความกล้าหาญฯทำให้ตนรู้ธ.จากบทสวดตรงตามคำสอนพ่อครูด้วย!

ตอบ...การสวดมนต์มีจุดประสงค์เพื่อให้จดจำคำสอนพระพุทธเจ้าไว้คือสังคีติ ทบทวนให้จำได้แม่น แต่ไม่ใช่เพื่อขลังมีฤทธิ์เดชให้กับใครๆไม่ได้ ต้องไม่สวดเพื่อหวังจะได้อะไร  การสวดที่ว่าเอาไปหากินก็บาปกินหัวหนักแล้ว ไปสวดให้เกิดขลังก็ผิดแล้ว ยิ่งไปหลอกว่าสวดแล้วจะได้ร่ำรวย อยู่ยงคงกะพัน ต้องแคล้วคลาดไสยศาสตร์ก็ยิ่งไม่ใช่ ต้ัองสวดเพื่อให้เข้าใจบทมนต์นั้นๆเป็นคำสอนแล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ผล

 0893867xxx  กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.จุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล13สูตรจากพระตปฎ.เล่ม9จากพระสุตตันตปิฎกเล่ม1มีหลักไตรสิกขาเข้าถึงจรณะวิชชาพุทธแท้สาธุ

ในพรหมชาลสูตรว่าไว้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.(เพราะปุถุชนนั้น จะชมอย่างไรก็ชมไม่ถึงพระพุทธเจ้าหรอก เพราะไม่รู้จักความจริงของพระพุทธเจ้า)

                                  จุลศีล

[2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

มีศีลนั้น เช่น คุณไม่ฆ่าสัตว์ไม่มีอาชีพฆ่าสัตว์ แต่คุณก็กินเนื้อสัตว์คุณก็ไม่รู้ว่าศีลคุณไม่มี จิตคุณไม่ได้มีเมตตา มีแต่กดข่มไว้ ระวังไว้ ดีไม่ดียังอยากฆ่าคนอยู่เลย แต่กลัวติดคุก จิตคุณยังมีอาการเช่นนี้อยู่เลยแต่กดข่มไว้ หรือใช้คาถาว่า อย่าให้มีอาการอย่างนี้ตามที่เรียนมา แต่ผู้ที่ไม่ต้องกดข่มไม่ต้องใช้คาถาเลย แต่ไม่มีอาการกิเลสเลย ก็คือคนได้จริง

คนที่จะถือว่าประเสริฐได้ต้องมี ศีล เป็นขั้นแรกเลยว่าเป็นคนดี

ไม่ฆ่าสัตว์เลยไม่เอาของที่ไม่ใช่ของตนเลย สองข้อนี้ก็ดีแล้ว ถ้าศีลข้อ 3 ก็มีแค่ผัวเดียวเมียเดียวไม่จัดจ้าน เป็นโสดาบัน ในเบื้องต้น คนจะชมก็ชมที่มีศีลเป็นหลัก ศีลต้องมีทั้งข้างนอกและข้างใน กายก็ไม่ละเมิด มโนก็ไม่ละเมิด เอามโนเป็นหลัก ไม่ใช่มีศีลแค่กาย วาจา เท่านั้น ไม่ถือว่าบรรลุศีล

การที่ท่านให้ชมหรือตินี่ใจท่านก็กลางๆได้แสดงว่าท่านเป็นคนไม่มีตัวตน อีกอันคือท่านเป็นคนที่แฟร์มาก ให้คนติก็ได้ชมก็ได้

จาก“พรหมชาลสูตร” สูตรที่ 1 ของพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ ความละเอียดวิเศษ ที่ชัดเจนสำหรับอาตมาประเด็นที่

(1 ) คือ “ความอิสระ”สัมบูรณ์ที่สุดพระพุทธเจ้ามีเต็มๆทีเดียว ใครจะวิจารณ์ ใครจะตำหนิอย่างไร ได้ทั้งนั้น

ท่านใช้สิทธิ์บ้างชี้แจงตอบคำวิจารณ์-คำตำหนินั้นตามที่เป็นจริง ยืนยันสิ่งที่มีจริงนั้นไปแค่นั้น  ไม่วิวาท  ถกบ้างแต่ไม่เถียงและประเด็นอื่นๆอีกต่อมา

(2) พระบรมศาสดาของพุทธนั้น ไม่ยึดตัวตนเลย  ให้สิทธิ์ผู้อื่นเต็ม

(3) ไม่อาฆาต ไม่แค้นใจ ไม่โทมนัส ไม่น้อยใจ

(4) ฟังความที่เขาว่าอย่างใส่ใจ จึงจะพึงรู้คำที่เขาพูดว่า ถูก หรือผิด

(5) จงกล่าวตอบ ว่า ความจริงที่ตนมีเป็นอย่างนั้น ความแท้ที่ตนไม่มีเป็นอย่างนี้ แม้ในเราทั้งหลายก็มีความแท้และไม่มีความแท้นัยเดียวกัน ทั้งที่ตนเห็นว่าถูก เป็นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเห็นว่าผิด เป็นอย่างนี้  แจ้งความจริงให้ชัด

(6) หรือใครจะกล่าวชมเรา ชมพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ เราก็ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น ถ้าเราดีใจ-กระเหิมใจ อันตรายจะพึงมีแก่เธอ

(7) เงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งที่“คน”ควรได้รับคำชมนั้น ก็คือ คนๆนั้น “เป็นผู้มีศีล” นี่คือเงื่อนไขหลักสำคัญยิ่งของพุทธ ที่พระพุทธ้เจ้าตรัส เริ่มตั้งแต่พระองค์เองทีเดียวว่า “คนจะพึงชมเรา พึงชมเพราะเรามีศีล”“ความมีศีล”มั่นคงยั่งยืน จึงเป็นคุณ สมบัติที่วิเศษอันดับหนึ่งของความเป็น“คน”

 

ต้องรู้ตนเอง เช่น อบายมุขที่คุณเคยคิดมานั้นคุณเลิกได้อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณต้องการความยั่งยืนไหม สังคมต้องการความยั่งยืนไหม อาตมากำลังพาทำให้เมืองไทยมีคุณสมบัติที่ดีที่จริงและยั่งยืน หากแต่ละคนทำได้จริง มีพลังงานจริงก็เกิดความจริง เพราะความจริงไม่มีในสัตว์อื่นนอกจากคน แล้วยืนยันว่าได้ข้ามชาติ ถ้ามัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)แล้ว ชาติไหนก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น เอาจูฬวิยูหสูตรมาอธิบายอีก

 

1.สัจจะไม่มีเลยในโลก 2.สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก 3.สัญญาย นิจจานิ

ที่ว่าสัจจะไม่มีเลยในโลกคือ แต่ละคนต่างคนต่างยึด แล้วก็แย้งกันตีกันฆ่ากัน ก็เลยไม่ถือว่าเป็นสัจจะ ต่างคนต่างยึด แล้วการยึดนี้ก็สัญญายนิจจานิ

สัญญาย นิจจานิ นี่เกือบจะยึด แต่อาศัยได้ ซึ่งแต่ว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีสัจจะความจริงที่ตรงกัน เช่นศีลที่เหมือนกัน เพราะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่อันนี้ก็ไม่ใช่สัจจะ สัจจะมีหนึ่งเดียว แล้วผู้จะรู้ต้องรู้อาการจิตที่มีรูปนาม ส่ิงนี้เป็นนามธรรมของคุณเร่ิมตั้งแต่สัญญากำหนดรู้ว่านามธรรมนี้คืออย่างนี้ เช่นคนประเสริฐคือคนมีศีล เริ่มต้นสัญญาก็สั่งสมเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จึงจะค่อยเต็มแต่ต้องเร่ิมที่สัญญาก่อนนะ

ทำตั้งแต่ภายนอกถึงภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ ทำตั้งแต่ กาม มาเป็นรูป ถึงอรูป จบก็เป็นอรหันต์ได้

สรุปว่าศีล ไม่ใช่วินัย อย่าไปแก้ไขศีลที่เป็นธรรมนูญ แต่สิกขาบทเล็กน้อยแก้ไขได้ ศาสนาพุทธส่วนใหญ่ ภิกษุและพุทธศาสนิกชนไม่ได้ถือศีลธรรมนูญจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้ว ถือแต่วินัย 227 แต่ก็กลับละเมิดวินัยอีก แม้ปาราชิกก็ไม่กลัว

วินัยนั้นหยาบและตื้น ใครละเมิดเป็นผู้ร้ายที่เลวกว่าผู้ละเมิดศีล ทุกวันนี้หากไปถามว่าท่านถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล หรือไม่ พระจะงงเลย แล้วถามว่าท่านถือศีลเท่าไหร่? ท่านจะตอบว่า 227ข้อ จะได้อย่างนี้เลย เขาจะไม่รู้จักหรอก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  นี่ปังเลย

 

และ“ความมีศีล”นั้น คืออย่างไร?

“ศีล”ของพุทธ คือ “จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล”ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ“ศีล”ที่เป็น“ธรรมนูญ”นี้เองแต่เพียงผู้เดียว ด้วยพระปัญญาธิคุณ-บริสุทธิคุณ-กรุณาธิคุณ

อย่าพึงแก้ไขเปลี่ยนแปลง

ในศาสนาชาวพุทธส่วนใหญ่ยุคทุกวันนี้ ภิกษุและพุทธศาสนิกชนไม่ถือ“ศีลธรรมนูญ”นี้กันแล้ว ภิกษุถือแค่วินัย 227 กันเท่านั้นและแค่“วินัย 227”นี้ภิกษุยุคนี้ก็ยังหน้าด้านกัน ขนาด“ปาราชิก”แท้ๆ กลัวกันเสียที่ไหน ละเมิดกันโครมๆ เห็นมั้ยเล่า..???!!!

“วินัย”เป็นหลักเกณฑ์ที่หยาบและตื้นเป็นผู้ร้ายที่เลวกว่า“ศีล” ศีลลึกซึ้งละเอียดและกว้างเป็นผู้ดีกว่าวินัย อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

“จุลศีล 26 -มัชฌิมศีล 10 -มหาศีล 7” ทั้งภิกษุทั้งฆราวาสไม่ถือกันแล้ว ซ้ำไม่รู้จัก

จุลศีล 26 เฉพาะผู้ปฏิบัติแต่ละคนสมาทานปฏิบัติไปตามฐานะแต่ละคน ตั้งแต่ “ศีล 5”เป็นพื้นฐาน แล้วก็เป็น“อธิศีล”เพิ่มสูงขึ้นๆได้เป็น“ศีล 8-ศีล 10-ศีล 11-12-13-14 ฯ ไปตามฐานะและถนัดจนถึง 26

ปฏิบัติ“จุลศีล”ก็จะพาบรรลุอรหัตผลไปตามลำดับ ซึ่ง“อธิศีล”สูงขึ้นๆมันอาจจะไม่เรียงข้อไปตามลำดับเท่านั้น

ส่วน“มัชฌิมศีล 10”นั้นเป็น“ศีล”ขยายความลึกและกว้างของ“จุลศีล”มากขึ้นๆ และเป็น“ศีล”ที่พาเราพ้นจากเดรัจฉากถา เราก็จะพัฒนาสูงไปตาม“มัชฌิมศีล”

สำหรับ“มหาศีล 7”เป็น“ศีล”ที่พาเราพ้นจากเดรัจฉานวิชา เป็น“ศีล”ส่วนรวมเป็นศีลเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุต้องไม่ละเมิด ต้องเว้นขาดก่อน แล้วฆราวาสก็จะไม่มีในศาสนา จึงเป็น“ศีล”ที่สำคัญยิ่งของศาสนา เป็นเครื่องชี้บ่งความเป็นพุทธศาสนาที่สูงส่งไปด้วยภูมิปัญญามีศักดิ์ศรีและสง่างามยิ่ง

เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาล้มล้างเดรัจฉานวิชา ซึ่งศาสนาอื่นๆเขามีกันพิลึกสารพัดประหลาดวิตถาร

แต่พุทธเป็นศาสนาที่ไม่มี“เดรัจฉานวิชา”ตามที่“มหาศีล 7”กำหนดไว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาของพระองค์ (เดรัจฉานกถาคือเพียงคำพูด อาจไม่มีสภาวะ แต่ว่าเดรัจฉานวิชชาคือสภาวะที่เป็นเดรัจฉานวิชชาเลย เช่นฤาษีเณรหรือหลวงพ่อซ่วนปลัดขิก เป็นต้น ผู้มีเดรัจฉานวิชชาไม่สง่างามเลย )

เพราะพุทธเป็นศาสนา“อเทวนิยม”ที่จริงที่สุด มีภูมิปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงพิสูจน์ “วิญญาณ”ด้วยการสัมผัสรู้“สภาวะแห่งวิญญาณ”ด้วย“วิชชา 8”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นวิทยาศาสตร์สัมบูรณ์ด้วย“ปรมัตถสัจจะ”ที่แท้กว่าศาสนาใดๆในโลก

จึงไม่งมงายไปกับ“อัคคียัญญ”โดยใช้ไฟเป็นสื่อ(จุดธูปจุดเทียนบูชา เป็นต้น) และ“สิญจนยัญญ”คือใช้น้ำเป็นสื่อ(รดน้ำมนต์,กรวดน้ำ เป็นต้น)เชื่อมโยงวิญญาณภพนั้นภพนี้

หรือแม้แต่“สวดมนต์”เป็นสื่อให้ขลัง “ท่องบ่นมนตรา-คาถา-อาคม”ใดๆก็ไม่มีเลย เป็นอันขาด เป็นต้น

แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา สวดมนต์ สวดคาถา สารพัด[ผู้ศึกษาค้นคว้าได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 9] 

เขาหลอกกันว่าตายแล้วจะได้ไปสวรรค์นั้น สวรรค์มันน้อยนิดเหลือเกิน เป็นสวรรค์ลวง ตายไปแล้ว ถ้าคุณเป็นอนาคามี เป็นอรหันต์จะมีกำลังจิตที่จะระลึกสวรรค์ได้พอสมควรตอนที่ตายไปแล้ว แต่ถ้าเป็นปุถุชนก็จะไม่สามารถมีกำลังจิตระลึกได้เลย จะตกนรกเหมือนกันคนที่ติดยาแล้วเสี้ยนยาเลยล่ะ

จะต้องรู้ทั้งนอกและใน อัชฌัตตังอรูปสัญญี จะรู้ภายนอกด้วยสัญญา สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง แต่ข้างในจะรู้ได้ด้วยปัญญา ข้างนอกก็สัมผัสอยู่ แต่คุณไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว อนาคามีเป็นต้นไปเหลือแต่รูปภพอรูปภพ ภายใน ภายนอกไม่บกพร่องแล้วเป็นอนาคามี นิโรธแล้ว ก็อยู่เหนือมัน เหมือนธรรมดา แต่ถ้าไม่มีทวารนอก ก็มีแต่สัญญาเพ้อพก  แต่มันเป็นจริงนะ นรกที่เหมือนคนเสี้ยนยา อยากได้อยากมีอยากเสพสัมผัส แต่ไม่มีอะไรให้เลยสักทวารก็จะจมนานกว่าชีวิตเป็นๆ ชีวิตเป็นๆยังมีอะไรดึงคุณออกมาได้แต่ตายไปแล้วจะนานตามวิบากร้อยปีพันปีหมื่นปีแสนปี ไม่มีใครสะกิดเกี่ยวด้วย ของคุณคนเดียวแท้ๆ ขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเดา

ศาสนาพุทธจะรู้จั

ในวิชชา 8 มีวิปัสสนาญาณ คือรู้เห็นด้วยตาหูจมูกลิ้นกายร่วมด้วย ไม่ใช่วิปัสสนึกที่ไปนึกคิดเอาเอา เป็นข้อที่ 1 ของวิชชา 8

เพราะพุทธเป็นศาสนา“อเทวนิยม”ที่จริงที่สุด มีภูมิปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงพิสูจน์ “วิญญาณ”ด้วยการสัมผัสรู้“สภาวะแห่งวิญญาณ”ด้วย“วิชชา 8”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นวิทยาศาสตร์สัมบูรณ์ด้วย“ปรมัตถสัจจะ”ที่แท้กว่าศาสนาใดๆในโลก

พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติเรื่องที่เขาเชื่อว่าวิญญาณล่องลอย (มหาตัณาสังขยสูตร  ล.12 ข.442)

มาเข้าสู่หลักวิชชา 8 วิปัสสนาเป็นตัวตั้งต้น

1.      วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . . 

2.      มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้)

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ แต่เขาไปแปลกันว่าทำคนเดียวเป็นหลายคนได้ อย่างเป็นตัวตนบุคคลเราเขา แต่ไม่ใช่เลย ต้องเป็นปรมัตถ์

4.      ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

 

มาดู ที่มีในพระไตรฯว่า..ก็อิทธิปาฏิหาริย์เป็นไฉน? ดูกรเกวัฏฏ์ ภิกษุใน

ธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจด้วยกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้

นี่เป็นภาษาธรรม อย่างคำว่า คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ไม่ใช่แบบตัวตนบุคคลเราเขา แต่เป็นนามธรรม ที่เผยแพร่กันไปให้ได้ผลอย่างเดียวกับที่อาตมามี ได้เป็นส่วนๆไป โพธิสัตว์มีลูกเป็นจำนวนพัน

ทุกวันนี้กองกิเลสเหมือนภูเขาที่คนทั่วไปทะลุไปไม่ได้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านะลุฝา กำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้

แผ่นดินแผ่นน้ำ อากาศ ก็เป็นเหมือนกิเลสที่คนผู้บรรลุแล้วผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ เหมือนมีวิชาตัวเบาเลย ไปไหนไม่หนักหนาไม่ทำให้คนอื่นหนักใจ ตนเองก็ไม่หนักใจ ไม่หาเรื่องหนักให้ใคร ตนเองก็ไม่หนักหนา

ต่อให้กิเลสร้อนแรงอย่างกับพระอาทิตย์ เราก็มีไฟฌานที่สามารถเผากิเลสได้ สามารถอยู่กับส่ิงร้อนแรงได้ อย่างลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้

และใช้อำนาจด้วยกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ จิตเราหมดความเป็นเทวดา มาร มีแต่จิตพรหม จึงเหนือกว่าเทวดามารพรหมทุกชั้น จึงไปในที่ไหนๆได้ เป็นผู้เปิดขุมนรก สวรรค์ เทวดา ชัดเจน มีอำนาจทางรูปกายไปได้ทั่ว

ทุกวันนี้อาตมาเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ในโลก แต่อาตมาอยู่ได้ นรกเท่าที่อาตมาพอไปได้ บางนรกหยาบมากอาตมาสู้ไม่ได้ก็ไม่อวดดีไป นรกอันไหนไปช่วยได้ก็ไป นี่คือภาษาธรรม พิสูจน์อย่างนี้ มาปฏิบัติอย่างที่อาตมาว่า แต่ถ้าเข้าใจเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ก็ไปหาอาจารย์ที่ทำเช่นนั้น แต่อาตมาเอาอย่างอาเทสนาปาฏิหาริย์ ถ้าใครจะเอาแบบอาตมาก็มา แม้จะมีฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริญ์เดรัจฉานวิชชาอยู่อาตมาก็ไม่สอนให้หรอก

ตอนอาตมาใช้อิทธิปาฏิหาริย์ อาตมาเสกให้กระดูกยุบลง มันก็ยุบลงได้จริงๆ (เป็นโรค) อาตมาก็ยังงงเลย แล้วที่เขาทำให้พวกคนที่นอนมาก็มาเสกให้ลุกได้เลยก็ไม่ประหลาดใจอะไร ยิ่งพวกPsychosis ก็ยิ่งชัดเลย อาตมาเคยรักษาผู้หญิงคนหนึ่งตอนนั้นเขาอายุ 17 ปี บอกว่ามีผัวเป็นพระพรหม อาตมาก็ทำการเข้าทรงเป็นพระพรหมที่สูงกว่า ไล่พรหมที่ต่ำกว่าออกไป ก็หายจากโรคนี้ จนต่อมาเขาอายุได้ 50 กว่าปีก็มาหาอาตมาว่าจำหนูได้ไหม?

อาตมาเข้าใจแล้วมีจริงด้วยก็เลยมาพูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าท่านว่า ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ

          1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)

          2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)

          3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ . 

(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341)

ตอนนี้อธิบายมาถึงอิทธิวิธญาณ ยังเหลือวิชชาข้ออื่นอีก ...ต่อโสตทิพย์นิดนึง

โสตทิพย์ก็คือ ได้มีการรู้ยิ่งในนามธรรมที่เป็นกิเลส เป็นอารมณ์โลกีย์ เช่นกระทบสัมผัสตา เห็นแล้วก็เกิดจิต ก็มาแยกจิตแยกกายได้ก็รู้ว่าอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ชื่นใจ การชื่นใจนี้เป็นผีหลอก ก็รู้อารมณ์หลอกสวรรค์เก๊เทวดาเก๊ ก็หาเหตุให้ได้ก็ไปเจอสัตว์นรกที่เป็นตัณหา ได้สัมผัสอันนี้บำเรอใจก็เป็นเทวดาเก๊ แท้จริงคือสัตว์นรก ก็มีตาทิพย์เห็นเทวดาเก๊ แยกของเก๊ออก

เช่นคุณเห็นสีแดง ทุกคนเห็นสีแดงเหมือนกันหากตาไม่บอดสี ก็รู้เป็นธรรมะหนึ่งเดียว แต่ถ้ามีธรรมะสองคือรู้สึกเป็นเวทนาเป็นอารมณ์ชอบใจชื่นใจ เป็นตาทิพย์ที่คุณเห็นผี คุณยิ่งทำให้กิเลสลดได้ก็ยิ่งเห็นผี เมื่อดับกิเลสได้ก็เป็นพรหม เป็นจิตสะอาดขึ้นๆ นี่คือตาทิพย์

แต่ตาธรรมดาก็เห็นเหมือนกัน แต่คุณนี้เห็นเทวดา พรหมได้ แต่คนธรรมดาเห็นสีแดงกับเห็นผี หรือเทวดาเก๊ที่ชื่นใจได้สัมผัส กามคุณ 5 ตามที่ติดยึด แต่คุณแยกออกได้ เป็นเสียงทิพย์กับเสียงที่ปกติได้

ถ้าชอบเป็นของเก๊ ถ้าชังเป็นของเก๊ ถ้ามีนรกสวรรค์ก็เก๊ ใครเห็นได้ได้ยินได้ก็ได้จริง….นี่คือสัจจะ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:54:09 )

590728

รายละเอียด

590728_พุทธศาสนาตามภูมิ ปชต.แบบไทยๆนี้คือใช่แบบพุทธ

_มีคุณ  สหพร ทิพย์จำนงค์ เขียนมาในfb กองทัพธรรมFP  ว่าผมไม่รับ

แม้ผมจะมีความสัมพันธ์อันดีกับอโศก ผมไม่รับแม้พ่อครูจะเชียร์ ผมด่าต่อ

ผมไม่สนใจว่าเกมซับซ้อนซ่อนอะไร ผมสนใจแค่รับไปก็เหมือนอนุมัติประชารัฐ.. ไม่รับครับ^^

ท่านจะระดับใหนก็เรื่องของท่านนับถือ เคารพ แต่ไม่รับครับ

ผมไม่สามารถยอมรับรัฐธรรมนูญที่ออกมาเพื่อกลุ่มทุนยึดประเทศได้

 

สันติอโศกสามารถยืนหยัดได้เพราะระบบของตัวเองเข้มแข็ง แต่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ได้อยู่ในระบบของอโศกนะครับ ผมจึงไม่รับ

 

Phansawat Nitiya สหพร ทิพย์จำนงค์ อยากให้พ่อท่านมาตอบคำถามคุณจัง ประเด็นที่คุณว่าชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ได้อยู่ในระบบของอโศก ...?และรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีผลอย่างไรกับประเทศโดยเฉพาะชาวบ้าน ดิฉันก็อยากทราบว่าท่านจะตอบคำถามของคุณว่าอย่างไร เพราะดิฉันเองก็อยากทราบค่ะ ...ฝากคำถามของคุณ สหพร ถึงพ่อท่านด้วยนะคะ..,ขอบคุณค่ะ

 

ตอบ...อาตมาเห็นว่าปชช.ไม่เข็มแข็งก็เลยต้องให้รัฐบาลมาช่วยทำสิ อาตมาก็เห็นว่ารบ.ชุดนี้ไม่ใช่ทุนนิยม แต่คุณสหพรเห็นว่า เป็นกลุ่มทุนยึดประเทศ อาตมาว่า มากไป อาตมาว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ยึดประเทศ แต่ปฏิวัติ ไม่ได้ยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์มีดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 แต่สองปีกว่านี้ใช้ม.44 อย่างประนีประนอมไม่ได้แสดงอำนาจบาทใหญ่อะไรเลย ก็ค่าเฉลี่ยองค์รวม อาตมาเห็นว่า รบ.ชัดนี้ ที่ปฏิวัติมานี้ไม่เข้าข่ายทุนนิยมเลย ทุกคนก็ฉลาดเท่าที่ตนเองโง่ หรือว่ามีความโง่เท่าที่ตนเองฉลาด ก็แล้วแต่สัญญายนิจจานิ มีการกำหนดหมายแล้วยึดว่าเที่ยง คนที่ยึดว่าเที่ยงแท้ไม่เห็นแก่ใครก็ได้ หรือใครยึดอย่างแข็งแรง แต่ไม่ยึดเป็นตัวตน ก็ยังเข้าใจสังคมโลกที่มีเหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยง เป็นแต่เพียงเข้าใจว่าตนไม่ใช่คนเหลาะแหละเป็นไม้หลักปักขี้เลน เราก็ใช้ปัญญาอย่างยิ่ง คุณสหพรจะคิดว่าถูก ไม่รับ หรือไม่ถูก ไม่รับ รธน.นี้ ซึ่งอาตมาก็เปิดเผยแล้วว่าอาตมารับ รธน.นี้ ด้วยเหตุผลว่าอะไรก็ได้พูดไป

เมื่อปรากฏผลก็เป็นความจริงที่เป็นสมมุติสัจจะที่เกิดจากปรมัตถสัจจะของแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านให้ถือสมมุติสัจจะถูกสำหรับการอยู่กับหมู่พวก แต่ปรมัตถสัจจะก็ของใครก็ของใคร ก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ตามแต่สมควร ก็ตัดสินไป ซึ่งขณะนี้มันยังไม่เกิดผลก็ดูไป

คุณบอกว่าชาวบ้านทั่วไปไม่ได้อยู่ในระบบอโศก … คนที่ไม่แย้งไม่ดิ้นแล้วเห็นสัจจะมีหนึ่งเดียวก็มี เป็นทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา แม้จะมีหลากหลายที่ไม่เท่ากันต่างกัน แต่ทิศทางพฤติกรรมองค์รวม อโศกนี้มีเอกภาพ จึงเข้มแข็ง อโศกจึงมีพลังอยู่ได้ด้วย โลกทำไรไม่ได้ ทุนนิยมอบายมุขทำอะไรไม่ได้ ตามฐานะจริงของอโศก จึงเป็นที่พึ่งของหลายคน เราก็ออกไปช่วยสังคมในเวลาสำคัญ ถึงชุมนุมประท้วงเดินขบวนเราก็ทำ เป็นเรื่องปชต. สิทธิ์ที่ทำได้ในปชต. โลกเข้าใจ เราก็ทำตามควร ซึ่งความเป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียวนั้น ลึกซึ้ง ในจูฬวิยูหสูตร

สัจจะไม่มีในโลก และสัจจะมีหนึ่งเดียว รวมเป็นศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เกิดจากบุคคลที่มีสัญญายนิจจานิ สัจจะที่แย้งกันอยู่ ถ้ามีหลัก หมู่กลุ่มที่เป็นแก่นแกน จะเกิดอย่างมีจริงเลย ผู้ที่รวมหัวกัน เป็นกลุ่มโจรก็รวมแน่น แต่เห็นเลยว่าสังคมส่วนรวมนั้นถ้าไม่เจริญ พลังของโจรก็เข้มแข็ง แต่ถ้าสังคมเจริญ พลังของบัณฑิตจะเจริญ และกลุ่มนั้นจะเข้มแข็ง ยืนหยัดนำพาสังคมไปได้ อาตมาก็มองว่าประเทศไทยมีสัจจะโลกุตระของพระพุทธเจ้าเข้มแข็ง โดยชาวอโศกทำมา 40 กว่าปีมาแล้ว มีอัตราก้าวหน้า มีคนเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ยืนยัน ส่วนผู้ตรงกันข้ามกับชาวอโศกเราก็เห็นว่าเป็นอย่างไร?

อาตมาขอยืนยันว่าปชต.แบบไทยๆนี้คือใช่แบบพุทธ ซึ่งอาตมาเข้าใจตามภูมิอาตมาว่าปชต.ของพระพุทธเจ้านี้อิสรเสรีภาพที่สุด ไม่เห็นแก่ตัวไม่ลำเอียงที่สุด เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)จริงที่สุด

เพราะเกิดจากจิตวิญญาณพรหมที่แท้ ไม่มีอะไรซ่อนแฝง ที่จะต้องสร้างอำนายโลกธรรม มีแต่อำนาจซื่อสัตย์ที่ทำเพื่อประชาชนจริง

เป็นความเห็นที่ต่างจากคุณสหพร

ที่อาตมารับ เพราะผู้จัดทำมีบทบาทการแสดงออกและแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดจริงเป็นการแสดงออกตามแบบของพระพุทธเจ้าใช้ สัปปุริสธรรม และมหาปเทส บางคนมีภูมิแต่ไม่เข้าใจบัญญัติ ทำออกไปไม่ได้รู้ว่าเป็นบัญญัตินี้แต่ว่า ผู้รู้จะมองออก อาตมามองว่ามี สัปปุริสธรรม และมหาปเทส อาตมาถึงกล้าตัดสินเปิดเผยกล้าจะบอกว่าอันนี้ดีกว่าอย่างไร

ที่อาตมายืนยันว่านายกฯ 29 คน คนนี้เข้าตาอาตมา เป็นนายกฯปชต.ได้อย่างดี ดีกว่าอีก 28 คนที่เป็นมา เขาก็คัดเลือกคนที่ดีมาทำร่างรธน. ก็ร่างจนเสร็จก็น่าจะให้เกียรติผู้ร่างที่ทำมา ควรให้เกียรติกัน อาตมามั่นใจว่าผู้มาร่างรธน.นี้ คนจำนวนเป็นร้อย ตั้งแต่หัวหน้าไปเลย อาตมาก็มั่นใจว่าเป็นความจริงในตั้งแต่ประธานร่างรธน. จนผู้ร่วมกันทำก็มองว่ามีความปรารถนาดีที่จะทำเพื่อประเทศชาติ อันนี้ผู้ที่ไม่รับ อาตมาว่าเป็นความตื้นชนิดแรก ทำไมไม่ให้เกียรติเลย อาตมามองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ ไม่ได้ทำเพื่อให้ผู้ใดมาเป็นใหญ่ ต่างคนต่างตั้งใจมาทำดีแล้ว ทำไมไม่ให้เกียรติกันบ้าง คำนี้ ผู้ที่ไม่รับนี้สอบตกแล้ว

รับร่างรัฐธรรมนูญ

_______________

ประสาร มฤคพิทักษ์

ผมขอแสดงตนลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญในวันลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ด้วยเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ร่างขึ้นตามความฝันแบบประชาธิปไตยตะวันตก ไม่ได้ร่างขึ้นเพื่อตอบสนองความคุ้นชินของนักการเมืองจำนวน 3,000 คน แต่ร่างขึ้นโดยเก็บรับบทเรียนในอดีต และเล็งแลไปสู่อนาคตของสังคมไทย ดังนี้

1.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นด้วยการถอดบทเรียนในอดีตซึ่งเป็นสถานการณ์พิเศษเฉพาะประเทศไทยที่มีความขัดแย้งอันร้าวลึกในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาความฉ้อฉลของเสียงข้างมาก ที่นำไปสู่หายนะภัยนานาประการ ทั้งการทุจริตขนาดใหญ่เช่นการจำนำข้าว การฆ่าตัดตอน การนิรโทษกรรมเหมาเข่ง รวมถึงการก่อความรุนแรงฝ่ายเดียว ทำให้กฏหมายไร้สภาพบังคับ จนรัฐบาลก่อน 22 พ.ค.2557 กลายเป็นรัฐล้มเหลว

2.รัฐธรรมนูญฉบับนี้มองไปที่อนาคตด้วยการกำหนดการปฏิรูปอย่างทั่วด้านไว้ในหมวด 16 พร้อมบังคับให้กำหนดแผนปฏิรูป วางขั้นตอน กำหนดวิธีการ ซึ่งต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม และตราเป็นกฏหมายภายใน 120 วันนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลชุดต่อไปจะบิดพลิ้วไม่ได้

3.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ขีดเส้นให้รัฐบาลในอนาคตสะกัดกั้นคนโกงออกไป

และยังวางมาตรการเข้ม ไม่มีพื้นที่ให้แก่การฉ้อฉล เป็นการแก้ปมปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยเรียกร้องตลอดมา

4.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนและเคารพสิทธิชุมชนมากยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 กล่าวคือ นอกจากกำหนดให้ประชาชนและชุมชนมีสิทธิเสรีภาพแล้ว ยังกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ประการต่างๆชัดเจนและเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนและชุมชนด้วย

หากรัฐฉ้อฉล ประชาชนและชุมชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะต่อสู้และพิทักษ์สิทธิของตนเองและชุมชน

นี่เป็นการให้อำนาจประชาชนนั่นเอง

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังกำหนดการกระจายอำนาจ การบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีธรรมาภิบาล การปฏิรูปการศึกษาที่เอื้ออาทรตั้งแต่เด็กเล็กไปจนโต เน้นการปรับปรุงและส่งเสริมวิชาชีพครูเต็มที่

รวมถึงให้บริการสาธารณสุขที่ดีไปกว่าเดิม เด็กเล็ก คนชรา คนพิการได้รับความใส่ใจจากรัฐ

5.ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนในโลกที่จะถูกใจใคร 100% ทุกคนได้บางส่วน ไม่ได้ในบางเรื่อง ผมถือหลัก 70:30 มี 30 % ที่ขัดใจ แต่มี 70 % ที่ต้องใจ ก็ควรลงคะแนนให้

6.หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่าอนาคตว่ารัฐธรรมนูญที่มาแทนจะมีสารรูปดีเลวอย่างไร ต้อนรับสิ่งที่เห็นๆต่อหน้า ดีกว่าวาดหวังอะไรที่มองไม่เห็น

ศ.ดอมินิก รุสโซ แห่งมหาวิทยาลัยปารีส 1ปองเธออง-ซอร์บอร์น มาพูดที่ ก.ต่างประเทศ เมื่อ พค.2557 ว่า "รัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอันเป็นวิกฤตของประเทศได้คือรัฐธรรมนูญที่มีความสมดุลระหว่างคันเร่งและเบรค"

ผมสำรวจดูรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วเห็นว่าคันเร่งคือการใช้อำนาจรัฐ เบรคคือกลไกการตรวจสอบที่หมายรวมถึงประชาชนด้วย ซึ่งออกแบบวางไว้ด้วยกันอย่างค่อนข้างดีในรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว

หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ผมเสียดายโอกาสที่ประเทศไทยจะได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึงปรารถนาร่วมกัน/

 

วันนี้ (27 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร นักวิชาการชื่อดัง โพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว "ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร"

 

ผมจะไม่เป็นหมาหน้าโง่ทิ้งก้อนเนื้อในปาก

ไปไล่งับเงาในน้ำ Chai Rachawat

28 ก.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูน ล้อเลียนการเมืองผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมินชื่อดัง โพสต์ในเฟสบุ๊กส่วนตัว "Chai Rachawat" ระบุว่า "กาลครั้งหนึ่ง มีสุนัขตัวหนึ่ง คาบก้อนเนื้อเดินขึ้นสะพานไม้เพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของคลอง เดินมาถึงกลางสะพานหยุดชะโงกดูเงาของตัวเองในน้ำ พลันมองเห็นก้อนเนื้อในเงาน้ำ ก้อนใหญ่กว่าก้อนที่ตัวเองคาบอยู่ในปาก จึงปล่อยก้อนเนื้อให้หลุดจากปากแล้วโดดลงน้ำหวังงับเอาก้อนเนื้อก้อนที่ใหญ่กว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเพ้อเจ้อไปกับภาพลวงตาที่จับต้องไม่ได้

โอกาสเดียวของผมที่จะได้สั่งสอนพวกนักการเมืองโกงชาติ 7 สิงหาไปการับร่างและรับคำถามพ่วงแน่นอน ใครก็อย่ามาสร้างฝันให้ผมว่าโหวตไม่รับ แล้วลุงตู่จะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เฉิดฉันท์ไฉไลกว่าเก่าให้ชื่นชม ผมจะไม่เป็นหมาหน้าโง่ทิ้งก้อนเนื้อในปากไปไล่งับเงาในน้ำ"

 

อาตมาก็พูดจบไปแล้ว ปัจจุบันเป็นเรื่องจริงที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เรื่องผัสสะในปัจจุบันเป็นสัจจะ เรื่องอดีตกับอนาคตไม่ใช่สัจจะ เงาในน้ำมันเพ้อเจ้อ ตัดสินใจให้ดี อาตมาก็ย้ำไปหลายที ว่าทำไมไม่เห็นว่าเป็นส่ิงจริงในปัจจุบันทำให้ดีทันทีก่อน

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83408

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfblMwYUQxd1F5UWM

 

หรือที่นี่....

http://www.filefactory.com/file/1swkbd9lo3zj/160728


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:54:44 )

590728

รายละเอียด

590728_พุทธศาสนาตามภูมิ ปชต.แบบไทยๆนี้คือใช่แบบพุทธ

พ่อครูว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2559 วันพฤหัสบดีก็มีสัญญากันว่าจะตอบคำถามตอบประเด็นต่างๆจากเด็กนักเรียนที่นี่หรือจากผู้ชมทางบ้านก็ได้ บรรยากาศของเมืองไทยตอนนี้ก็จะมีเรื่องของการเมืองเข้มข้นกว่าเรื่องธรรมะ เพราะใกล้จะถึงวันลงประชามติแล้วรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว

อาตมาไม่ได้เป็นคนไปแย่งชิงกับเขาแต่รู้เห็นในสังคมว่าควรจะต้องออกความเห็นแสดงตัวตน คนจะฟังจะเชื่ออาตมาหรือไม่ก็มีสิทธิ์จะพูดด้วยความจริงใจ ไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับใคร

จะเอา sms มาพูดก่อน SMS 27 JUL 59

 

0839827xxx หนูYESยุแย้วOK^O^@พระพิมพญา

0805925xxx ตามพ่อเด้7สิงหาข่อยสิYESบ่มักหัวNOเด้อ!/ปลายฝน

0893867xxx เขาห้ามบอกว่ารับบ่รับ?แต่ชอบผัดผักคะน้ามากกว่าลาบลู่อยู่แล้วนะปฝ.!?!

0818866xxx เห็นค่ะ เห็นอลัชชี(โฉด) ยกมือแล้วค่ะ

0893867xxx กินซ๊อสมะเขือเทศกะแตงโมปนเปื้อนสารพิษมานานเปลี่ยนมากินผัดผักรวมมิตรมั่งคงจะดีหนะพี่น้องเอ๊ย!?!

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.จุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล!พระแท้จักเว้นขาดการเลี้ยงชีพโดยติรัจฉานฯทายลักษณะฯฤกษ์การม.ฯทายดวงดาวฯพยากรณ์ดินฟ้าฯฤกษ์ยามฯพิธีกรรมทางผิด!ที่สณ.สม.มิเคยผิดมหาศีลเว้นขาดได้จริงสาธุ

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับศีลพระธรรมนูญทำให้ญตธ.เข้าใ จความถึงพร้อมด้วยศีล1ได้อปัณณกปฏิปทา3สัทธ 7ฌาน4เป็นจรณะ15และ วิชชา8จรธ.

 

0818499xxx ผมแอบเป็นลูกชองพ่อมาหลายวันโดยไม่รู้ตัว.สาธุ สาธุ สาธุ

 

_มีคุณ  สหพร ทิพย์จำนงค์ เขียนมาในfb กองทัพธรรมFP  ว่าผมไม่รับ

แม้ผมจะมีความสัมพันธ์อันดีกับอโศก ผมไม่รับแม้พ่อครูจะเชียร์ ผมด่าต่อ

ผมไม่สนใจว่าเกมซับซ้อนซ่อนอะไร ผมสนใจแค่รับไปก็เหมือนอนุมัติประชารัฐ.. ไม่รับครับ^^

ท่านจะระดับใหนก็เรื่องของท่านนับถือ เคารพ แต่ไม่รับครับ

ผมไม่สามารถยอมรับรัฐธรรมนูญที่ออกมาเพื่อกลุ่มทุนยึดประเทศได้

 

สันติอโศกสามารถยืนหยัดได้เพราะระบบของตัวเองเข้มแข็ง แต่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ได้อยู่ในระบบของอโศกนะครับ ผมจึงไม่รับ

 

Phansawat Nitiya สหพร ทิพย์จำนงค์ อยากให้พ่อท่านมาตอบคำถามคุณจัง ประเด็นที่คุณว่าชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ได้อยู่ในระบบของอโศก ...?และรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีผลอย่างไรกับประเทศโดยเฉพาะชาวบ้าน ดิฉันก็อยากทราบว่าท่านจะตอบคำถามของคุณว่าอย่างไร เพราะดิฉันเองก็อยากทราบค่ะ ...ฝากคำถามของคุณ สหพร ถึงพ่อท่านด้วยนะคะ..,ขอบคุณค่ะ

 

ตอบ...อาตมาเห็นว่าปชช.ไม่เข็มแข็งก็เลยต้องให้รัฐบาลมาช่วยทำสิ อาตมาก็เห็นว่ารบ.ชุดนี้ไม่ใช่ทุนนิยม แต่คุณสหพรเห็นว่า เป็นกลุ่มทุนยึดประเทศ อาตมาว่า มากไป อาตมาว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ยึดประเทศ แต่ปฏิวัติ ไม่ได้ยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์มีดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 แต่สองปีกว่านี้ใช้ม.44 อย่างประนีประนอมไม่ได้แสดงอำนาจบาทใหญ่อะไรเลย ก็ค่าเฉลี่ยองค์รวม อาตมาเห็นว่า รบ.ชัดนี้ ที่ปฏิวัติมานี้ไม่เข้าข่ายทุนนิยมเลย ทุกคนก็ฉลาดเท่าที่ตนเองโง่ หรือว่ามีความโง่เท่าที่ตนเองฉลาด ก็แล้วแต่สัญญายนิจจานิ มีการกำหนดหมายแล้วยึดว่าเที่ยง คนที่ยึดว่าเที่ยงแท้ไม่เห็นแก่ใครก็ได้ หรือใครยึดอย่างแข็งแรง แต่ไม่ยึดเป็นตัวตน ก็ยังเข้าใจสังคมโลกที่มีเหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยง เป็นแต่เพียงเข้าใจว่าตนไม่ใช่คนเหลาะแหละเป็นไม้หลักปักขี้เลน เราก็ใช้ปัญญาอย่างยิ่ง คุณสหพรจะคิดว่าถูก ไม่รับ หรือไม่ถูก ไม่รับ รธน.นี้ ซึ่งอาตมาก็เปิดเผยแล้วว่าอาตมารับ รธน.นี้ ด้วยเหตุผลว่าอะไรก็ได้พูดไป

เมื่อปรากฏผลก็เป็นความจริงที่เป็นสมมุติสัจจะที่เกิดจากปรมัตถสัจจะของแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านให้ถือสมมุติสัจจะถูกสำหรับการอยู่กับหมู่พวก แต่ปรมัตถสัจจะก็ของใครก็ของใคร ก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ตามแต่สมควร ก็ตัดสินไป ซึ่งขณะนี้มันยังไม่เกิดผลก็ดูไป

คุณบอกว่าชาวบ้านทั่วไปไม่ได้อยู่ในระบบอโศก … คนที่ไม่แย้งไม่ดิ้นแล้วเห็นสัจจะมีหนึ่งเดียวก็มี เป็นทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา แม้จะมีหลากหลายที่ไม่เท่ากันต่างกัน แต่ทิศทางพฤติกรรมองค์รวม อโศกนี้มีเอกภาพ จึงเข้มแข็ง อโศกจึงมีพลังอยู่ได้ด้วย โลกทำไรไม่ได้ ทุนนิยมอบายมุขทำอะไรไม่ได้ ตามฐานะจริงของอโศก จึงเป็นที่พึ่งของหลายคน เราก็ออกไปช่วยสังคมในเวลาสำคัญ ถึงชุมนุมประท้วงเดินขบวนเราก็ทำ เป็นเรื่องปชต. สิทธิ์ที่ทำได้ในปชต. โลกเข้าใจ เราก็ทำตามควร ซึ่งความเป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียวนั้น ลึกซึ้ง ในจูฬวิยูหสูตร

สัจจะไม่มีในโลก และสัจจะมีหนึ่งเดียว รวมเป็นศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เกิดจากบุคคลที่มีสัญญายนิจจานิ สัจจะที่แย้งกันอยู่ ถ้ามีหลัก หมู่กลุ่มที่เป็นแก่นแกน จะเกิดอย่างมีจริงเลย ผู้ที่รวมหัวกัน เป็นกลุ่มโจรก็รวมแน่น แต่เห็นเลยว่าสังคมส่วนรวมนั้นถ้าไม่เจริญ พลังของโจรก็เข้มแข็ง แต่ถ้าสังคมเจริญ พลังของบัณฑิตจะเจริญ และกลุ่มนั้นจะเข้มแข็ง ยืนหยัดนำพาสังคมไปได้ อาตมาก็มองว่าประเทศไทยมีสัจจะโลกุตระของพระพุทธเจ้าเข้มแข็ง โดยชาวอโศกทำมา 40 กว่าปีมาแล้ว มีอัตราก้าวหน้า มีคนเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ยืนยัน ส่วนผู้ตรงกันข้ามกับชาวอโศกเราก็เห็นว่าเป็นอย่างไร?

อาตมาขอยืนยันว่าปชต.แบบไทยๆนี้คือใช่แบบพุทธ ซึ่งอาตมาเข้าใจตามภูมิอาตมาว่าปชต.ของพระพุทธเจ้านี้อิสรเสรีภาพที่สุด ไม่เห็นแก่ตัวไม่ลำเอียงที่สุด เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)จริงที่สุด

เพราะเกิดจากจิตวิญญาณพรหมที่แท้ ไม่มีอะไรซ่อนแฝง ที่จะต้องสร้างอำนายโลกธรรม มีแต่อำนาจซื่อสัตย์ที่ทำเพื่อประชาชนจริง

เป็นความเห็นที่ต่างจากคุณสหพร

ที่อาตมารับ เพราะผู้จัดทำมีบทบาทการแสดงออกและแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดจริงเป็นการแสดงออกตามแบบของพระพุทธเจ้าใช้ สัปปุริสธรรม และมหาปเทส บางคนมีภูมิแต่ไม่เข้าใจบัญญัติ ทำออกไปไม่ได้รู้ว่าเป็นบัญญัตินี้แต่ว่า ผู้รู้จะมองออก อาตมามองว่ามี สัปปุริสธรรม และมหาปเทส อาตมาถึงกล้าตัดสินเปิดเผยกล้าจะบอกว่าอันนี้ดีกว่าอย่างไร

ที่อาตมายืนยันว่านายกฯ 29 คน คนนี้เข้าตาอาตมา เป็นนายกฯปชต.ได้อย่างดี ดีกว่าอีก 28 คนที่เป็นมา เขาก็คัดเลือกคนที่ดีมาทำร่างรธน. ก็ร่างจนเสร็จก็น่าจะให้เกียรติผู้ร่างที่ทำมา ควรให้เกียรติกัน อาตมามั่นใจว่าผู้มาร่างรธน.นี้ คนจำนวนเป็นร้อย ตั้งแต่หัวหน้าไปเลย อาตมาก็มั่นใจว่าเป็นความจริงในตั้งแต่ประธานร่างรธน. จนผู้ร่วมกันทำก็มองว่ามีความปรารถนาดีที่จะทำเพื่อประเทศชาติ อันนี้ผู้ที่ไม่รับ อาตมาว่าเป็นความตื้นชนิดแรก ทำไมไม่ให้เกียรติเลย อาตมามองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ ไม่ได้ทำเพื่อให้ผู้ใดมาเป็นใหญ่ ต่างคนต่างตั้งใจมาทำดีแล้ว ทำไมไม่ให้เกียรติกันบ้าง คำนี้ ผู้ที่ไม่รับนี้สอบตกแล้ว

 

รับร่างรัฐธรรมนูญ

_______________

ประสาร มฤคพิทักษ์

ผมขอแสดงตนลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญในวันลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ด้วยเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ร่างขึ้นตามความฝันแบบประชาธิปไตยตะวันตก ไม่ได้ร่างขึ้นเพื่อตอบสนองความคุ้นชินของนักการเมืองจำนวน 3,000 คน แต่ร่างขึ้นโดยเก็บรับบทเรียนในอดีต และเล็งแลไปสู่อนาคตของสังคมไทย ดังนี้

1.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นด้วยการถอดบทเรียนในอดีตซึ่งเป็นสถานการณ์พิเศษเฉพาะประเทศไทยที่มีความขัดแย้งอันร้าวลึกในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาความฉ้อฉลของเสียงข้างมาก ที่นำไปสู่หายนะภัยนานาประการ ทั้งการทุจริตขนาดใหญ่เช่นการจำนำข้าว การฆ่าตัดตอน การนิรโทษกรรมเหมาเข่ง รวมถึงการก่อความรุนแรงฝ่ายเดียว ทำให้กฏหมายไร้สภาพบังคับ จนรัฐบาลก่อน 22 พ.ค.2557 กลายเป็นรัฐล้มเหลว

2.รัฐธรรมนูญฉบับนี้มองไปที่อนาคตด้วยการกำหนดการปฏิรูปอย่างทั่วด้านไว้ในหมวด 16 พร้อมบังคับให้กำหนดแผนปฏิรูป วางขั้นตอน กำหนดวิธีการ ซึ่งต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม และตราเป็นกฏหมายภายใน 120 วันนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลชุดต่อไปจะบิดพลิ้วไม่ได้

3.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ขีดเส้นให้รัฐบาลในอนาคตสะกัดกั้นคนโกงออกไป

และยังวางมาตรการเข้ม ไม่มีพื้นที่ให้แก่การฉ้อฉล เป็นการแก้ปมปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยเรียกร้องตลอดมา

4.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนและเคารพสิทธิชุมชนมากยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 กล่าวคือ นอกจากกำหนดให้ประชาชนและชุมชนมีสิทธิเสรีภาพแล้ว ยังกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ประการต่างๆชัดเจนและเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนและชุมชนด้วย

หากรัฐฉ้อฉล ประชาชนและชุมชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะต่อสู้และพิทักษ์สิทธิของตนเองและชุมชน

นี่เป็นการให้อำนาจประชาชนนั่นเอง

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังกำหนดการกระจายอำนาจ การบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีธรรมาภิบาล การปฏิรูปการศึกษาที่เอื้ออาทรตั้งแต่เด็กเล็กไปจนโต เน้นการปรับปรุงและส่งเสริมวิชาชีพครูเต็มที่

รวมถึงให้บริการสาธารณสุขที่ดีไปกว่าเดิม เด็กเล็ก คนชรา คนพิการได้รับความใส่ใจจากรัฐ

5.ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนในโลกที่จะถูกใจใคร 100% ทุกคนได้บางส่วน ไม่ได้ในบางเรื่อง ผมถือหลัก 70:30 มี 30 % ที่ขัดใจ แต่มี 70 % ที่ต้องใจ ก็ควรลงคะแนนให้

6.หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่าอนาคตว่ารัฐธรรมนูญที่มาแทนจะมีสารรูปดีเลวอย่างไร ต้อนรับสิ่งที่เห็นๆต่อหน้า ดีกว่าวาดหวังอะไรที่มองไม่เห็น

ศ.ดอมินิก รุสโซ แห่งมหาวิทยาลัยปารีส 1ปองเธออง-ซอร์บอร์น มาพูดที่ ก.ต่างประเทศ เมื่อ พค.2557 ว่า "รัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอันเป็นวิกฤตของประเทศได้คือรัฐธรรมนูญที่มีความสมดุลระหว่างคันเร่งและเบรค"

ผมสำรวจดูรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วเห็นว่าคันเร่งคือการใช้อำนาจรัฐ เบรคคือกลไกการตรวจสอบที่หมายรวมถึงประชาชนด้วย ซึ่งออกแบบวางไว้ด้วยกันอย่างค่อนข้างดีในรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว

หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ผมเสียดายโอกาสที่ประเทศไทยจะได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึงปรารถนาร่วมกัน/

 

วันนี้ (27 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร นักวิชาการชื่อดัง โพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว "ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร"

 

นายถาวร เสนเนียม รองประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ “รายการสนามข่าว101” ทางวิทยุFM101 ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญว่า ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติของพรรค ซึ่งหมายความว่าทุกคนในพรรคสามารถฟรีโหวตได้ โดยมั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้พรรคอ่อนแอลง และเชื่อว่าน่าจะส่งผลให้คะแนนนิยมพรรคเพิ่มมากขึ้น เพราะแสดงให้เป็นว่า แม้สมาชิกพรรคจะเห็นต่างกันก็ยังอยู่ร่วมกันได้อย่างสร้างสรรค์

“ขอบอกกับสมาชิกพรรคไม่ต้องกังวลใจ เรามีวัฒนธรรมพรรคแบบนี้ ถึงอยู่มาได้ 80 กว่าปี”

ทั้งนี้ นายถาวร ยืนยันว่า ส่วนตัวนั้นรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แน่นอน แม้จะไม่ถูกใจทั้งหมด แต่ก็ชอบเกินกว่าครึ่ง เรื่องที่ไม่ถูกใจ อาทิ การให้อำนาจ ส.ว. มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนเรื่องที่ถูกใจคือประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ ที่ระบุว่า หลังรัฐธรรมนูญผ่าน ให้ตรากฎหมายปฏิรูปประเทศภายใน 120 วัน และต้องเริ่มปฏิรูปภายใน 1 ปี และให้เสร็จใน 5 ปี โดยต้องรายงานต่อรัฐสภาทุก 3 เดือน

ส่วนประเด็นที่นายอภิสิทธิ์และทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เห็นตรงกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างมาแล้วแก้ไขยากนั้น นายถาวร กล่าวว่า การแก้ไขยากเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติ แปลว่า ประชาชนเกินครึ่งประเทศเห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีประเด็นต้องแก้ไขขึ้นมา ก็สามารถใช้เสียง 2 ใน 3 แก้ไขได้

 

ผมจะไม่เป็นหมาหน้าโง่ทิ้งก้อนเนื้อในปาก

ไปไล่งับเงาในน้ำ Chai Rachawat

28 ก.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูน ล้อเลียนการเมืองผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมินชื่อดัง โพสต์ในเฟสบุ๊กส่วนตัว "Chai Rachawat" ระบุว่า "กาลครั้งหนึ่ง มีสุนัขตัวหนึ่ง คาบก้อนเนื้อเดินขึ้นสะพานไม้เพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของคลอง เดินมาถึงกลางสะพานหยุดชะโงกดูเงาของตัวเองในน้ำ พลันมองเห็นก้อนเนื้อในเงาน้ำ ก้อนใหญ่กว่าก้อนที่ตัวเองคาบอยู่ในปาก จึงปล่อยก้อนเนื้อให้หลุดจากปากแล้วโดดลงน้ำหวังงับเอาก้อนเนื้อก้อนที่ใหญ่กว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเพ้อเจ้อไปกับภาพลวงตาที่จับต้องไม่ได้

โอกาสเดียวของผมที่จะได้สั่งสอนพวกนักการเมืองโกงชาติ 7 สิงหาไปการับร่างและรับคำถามพ่วงแน่นอน ใครก็อย่ามาสร้างฝันให้ผมว่าโหวตไม่รับ แล้วลุงตู่จะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เฉิดฉันท์ไฉไลกว่าเก่าให้ชื่นชม ผมจะไม่เป็นหมาหน้าโง่ทิ้งก้อนเนื้อในปากไปไล่งับเงาในน้ำ"

 

อาตมาก็พูดจบไปแล้ว ปัจจุบันเป็นเรื่องจริงที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เรื่องผัสสะในปัจจุบันเป็นสัจจะ เรื่องอดีตกับอนาคตไม่ใช่สัจจะ เงาในน้ำมันเพ้อเจ้อ ตัดสินใจให้ดี อาตมาก็ย้ำไปหลายที ว่าทำไมไม่เห็นว่าเป็นส่ิงจริงในปัจจุบันทำให้ดีทันทีก่อน

_มีคุณ0189 sms มาว่า ถ้ารับไปพวกโกงกินชาติก็กินรวบ แล้วก็เข้าทางประชารัฐอีก ปชช.ยังไม่เข้มแข็ง

ตอบ..อาตมาว่า ปชช.ตื่นตัวแล้ว และต้องให้เกียรติคนทำงาน คนเราก็โง่เท่าที่ตนฉลาด เราก็ฉลาดเท่าที่ตนโง่

_คุณ...ว่าทำไมถึงรับร่าง เคยอ่าน รธน.ไหม? ก็ตอบ...ไม่เคย...แต่รับ เพราะคนโกงไม่ชอบ OK  Naka. จบข่าว เอวัง 555555

_จากเฟสบุค ฟ้าเติมฝัน น้องปลายดาว ลูกยึดทีวีดูกาตูน ดีนะคะมีถ่ายทอดสด กราบขอบพระคุณค่ะ

_หากคุณจะรับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่เห็น จะเกี่ยวกับพ่อครูเลยเพราะพ่อครูไม่ผลประโยชน์กับใครเลย อังศุมาลี(กุง)

ตอบ...อาตมาไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว แต่อาตมายังเป็นคนไทยก็เกี่ยวกับกระแสสังคมอยู่ อาตมาไม่ใช่พระป่าหนีเข้ารูก็อยู่กับสังคม

_0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯนร.สัมมาฯ ผู้สืบสานพุทธศ.ด้วยธ.อัปปิจฉะเพื่ออนาคตพุทธชาติเจริญด้วยปรัชญาพอเพียง!

_0805925xxx YESก็โอเครNOลุงตู่ก็อยู่ต่อข่อยสิมักลุงตู่ออนซอนสะออนหลายเด้อ

_0897146xxx ผู้ให้เกียรติเท่านั้นที่จะเป็นผู้ได้รับเกียรติ เพราะเขาคือผู้มีเกียรติ

_0868293xxx วันที่7สคนี้ลูกตั้งใจจะไปรับร้างทั้ง2ข้อเลยค่ะ

 

ก่อนจะได้ตอบเรื่องนี้ก็ขอ สรุปเรื่องการเมืองไว้ว่า...คราวนี้อาตมาว่าเมืองไทยเป็นนักปชต.ชั้นดีเลย ใช้สิทธิหน้าที่อิสรเสรีภาพดี วิจัยวิจารณ์เต็มที่แสดงออกอย่างงาม อาตมาเข้าใจว่า แม้ว่าคราวนี้ อาตมาอยู่ข้างรับร่างนี้ สมมุติว่า ฝ่ายรับร่างแพ้ ไม่รับร่างชนะ อาตมายังชื่นใจ เพราะว่า ปชช.คนไทยตื่นตัวขึ้นมา แต่ก่อนคนไทยไม่เอาถ่าน ไม่ยุ่งการเมือง ทำมาหากินไป แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว

อันนี้เป็นความเจริญของการเมือง ถ้าปชช.ตื่นดูและเอาใจใส่การเมืองก็ดีแล้ว ส่วนจะมีภูมิธรรมต้องเติมธรรมะเข้าไป เมื่อปชช.มีธรรมะก็ไปสู่การเมืองจะเจริญไปพร้อมกัน อาตมาพาทำทั้งการเมืองและธรรมะ

 

ต่อไปตอบคำถามเด็กๆ

_วันนี้พวกหนูอยากถามว่าสมาธิพุทธกับสมาธิฤาษีต่างกันอย่างไร?

ตอบ...สมาธิฤาษีคือนั่งหลับตาเข้าอยู่ในภพจิตตนเองภายใน ส่วนสมาธิพุทธนั้นลืมตาเปิดทวาร 6 สัมผัสแล้วรู้รูปนาม ตากระทบรูปแล้วจิตเราเกิดภาวะ อ่านสังขาร รูป นามแล้วแยกกิเลสออกได้ แล้วประหารเฉพาะกิเลส จิตจะใสสะอาดขึ้น ไม่ได้ดับจิต สายนั่งหลับตานั้นดับจิตเลย หรือไม่ดับจิตก็ปิดหูปิดตาไปหมด ไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากเห็นแก่ตัว ส่วนสมาธิพุทธนั้นลืมตา แล้วรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างมีสัมผัสเป็นปัจจัย

 

_ตบะคืออะไร?ทำไมต้องตั้งด้วย ถ้าตั้งไว้แล้วทำไม่ได้เป็นอย่างไร? อยากรู้อีกว่า คะกับค่ะแตกต่างกันอย่างไร?

ตอบ...ค่ะ ไม้เอกแปลว่า คำรับ ส่วน คะ เป็นคำถาม ถ้าลงท้ายด้วยคะ เป็นคำถาม ส่วนลงท้ายด้วยค่ะ เป็นคำรับ

ตบะตั้งทำไม ตบะหรือกรรมฐาน ตั้งสัจจะ ฯลฯ แต่ตบะแปลว่าความอดทน แต่ก็คิดเอาว่าตบะคือสิ่งที่ตั้งขึ้นมาแล้วจะงดเว้น เช่นเราติดใจชอบใจก็เลยตั้งใจไม่กินไม่เอาอันนี้ ไม่ไปตรงนั้นตรงนี้ เป็นต้น เราไม่ให้มันนี่แหละเราจะได้อ่านจิตมันดิ้น จะได้รู้จักตัวกิเลสง่ายขึ้น จะอ่านออก เราก็จัดการฆ่ากิเลส จะรู้โจรได้ง่ายขึ้น

 

_ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว สามารถเวียนมาเกิดใหม่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือพระพุทธเจ้า

ตอบ...พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไม่เกิดอีกสมมุติไม่ได้ ถ้าไปสมมุติมันไม่จบ ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ไหนถ้าท่านปรินิพพานแล้วท่านจะมาเวียนเกิดอีกท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี้บรรลุธรรมแล้วมีสิทธิ์ปรินิพพานทำตนให้สูญเลิกเลยได้ ถ้าไม่สูญ ท่านจะบำเพ็ญโพธิสัตว์ต่อไปจนถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ พอถึงพระพุทธเจ้าแล้ว จะสูงสุดจบ ไม่มีอะไรสูงไปกว่านี้อีกแล้ว โดยสมมุติในโลกนี้มันมากเกินจะมากแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็จะรู้เอง แม้โพธิสัตว์ระดับ 9​ก็ไม่สูงเท่าท่าน พอสูงถึงพระพุทธเจ้าแล้ว เอามาใช้กับมนุษย์โลกไม่ได้แล้วคนไม่สามารถทำได้เท่า ท่านมีสิ่งสูงสุดที่สุดแล้ว ท่านจะเกิดมาอีกทำไม ถ้าลงมาเกิดก็ต้องทำงานก็เหนื่อย วุ่น ท่านก็เคยมาแล้ว ให้ท่านพอเสียที อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้อาตมายังพูดเลยว่าขอเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจบ

 

_ความฝันคืออะไรทำไมต้องเกิด

ตอบ...ความฝันคือกิเลสที่ปรุงแต่งไม่เป็นชิ้นเป็นอันไม่มีความจริง ก็แข่งแยงกันก็ไม่เป็นส่ำ อันไหนมีแรงมากก็เป็นเรื่องเป็นราวได้บ้าง แล้วมันมากมายนับไม่ถ้วน พวกเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนก็มีสัญญามากมาย ออกมาเล่นละคน แล้วไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอยากปะติดปะต่อก็ทำไม่ได้ เป็นกิเลสกับสัญญามาปรุงแต่งกันของปุถุชน

อรหันต์ไม่เรียกฝัน แต่เรียกนิมิต เป็นเครื่องหมายแทนอันนั้นอันนี้ได้ อรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์สูงพอจะตั้งเรื่องได้ มีแรงพลังจิตตั้งได้ แต่อรหันต์เริ่มต้นตั้งได้ไม่นานไม่มั่นคง แล้วตั้งเรื่องก็เป็นเรื่องธรรมะไม่มีกิเลสมาแทรก เป็นนิมิตอรหันต์

อรหันต์ที่ยังไม่แข็งแรง ตั้งเครื่องไว้แล้วก็บางทีก็ดับยาก จนกว่าจะแข็งแรงก็ดับได้ ขนาดโพธิสัตว์ที่แข็งแรงบางทีก็ดับไม่อยู่ ใช้เวลาล้าง พวกเราทำไปจะได้รู้

พวกที่คิดเอาก็บอกว่าอรหันต์ไม่มีฝัน ที่จริงเป็นนิมิต อย่างพระพุทธเจ้านี่ท่านเจตนานำมาเลยก็มีเอาจากสัญญา ท่านบอกวาเทวดามาสว่างทั่วสวนเชตวันก็คือสัญญาของท่านเองที่ขึ้นมาเพื่อเอามาใช้กับมนุษยชาติ

 

_ลูกอยากรู้ว่าคนปฏิบัติธรรมแต่ใจไม่ปฏิบัติคืออย่างไร
ตอบ...ก็คือปฏิบัติธรรมแต่อ่านใจไม่เป็นทำใจไม่เป็น ควบคุมได้แต่กาย วาจาภายนอก ก็ดีคนชำนาญเก่งก็คุมได้ แต่ไม่รู้ใจตัวเอง ใช้อำนาจบังคับไม่มีวิปัสสนา ปุถุชนก็ทำได้บ้าง นักปฏิบัติธรรมก็ทำได้ ควบคุมกายวาจา แต่อ่านใจตนเองไม่ออก ทำโยนิโสมนสิการใจตนเองไม่เป็น

 

_หลวงพ่อเด่นว่า เย็นนี้หลวงพ่อเด่นจะมาฟังพ่อท่านไหม? หลวงพ่อเด่นว่า คงมาไม่ไหวเพราะง่วงมาก แต่พอตอนออกรายการเห็นหลวงพ่อเด่นฯมา ถือว่าหลวงพ่อเด่นสัมปชนมุสาวาทไหม?

ตอบ..หลวงพ่อเด่นพูดเป็นปัจจุบันว่าไปไม่ไหวก็เลยบอกว่าจะไม่ไป แต่พอมานี่มาเจอหลวงพ่อเด่นมานี่ ตอนนั้นมันไม่ไหวก็พูดไป แต่ตอนนี้ก็รวมพลังได้ หรือว่าได้ยินแว่วเสียงไม่ถึงใจก็กัดใจมา จะถือว่ามุสาวาสก็ไม่ได้หรอก แต่ไม่ตรงกันก็ตีความว่าโกหกก็ไม่ได้ ตอนนั้นหลวงพ่อเด่นว่าก็ไม่ได้โกหก ต้องเอาปัจจุบันตัดสิน

 

_คำว่าเบื่อผิดศีลไหมคะ เพราะลูกว่าเบื่อทุกวัน แล้วลูกจะตัดมันออกได้ไหม
ตอบ...ถ้าไปสัญญากล่าวศีลไว้แล้วว่าจะไม่พูดก็ผิดสัญญาผิดศีลที่ตั้งไว้สิ แต่ว่าตั้งแล้วถ้าเบื่อก็เป็นความล้มเหลวสิ แต่รู้ตัวก็ดีแล้วอันไหนเบื่อก็ปรับลงมา มันยากไปทำไม่ไหวก็ต้องมีประมาณไหนที่เราทำได้ ตั้งใจให้ดี ถ้าอารมณ์เบื่อมีก็งานก้าวหน้ายาก ต้องไม่ให้อาการเหล่านี้เกิด

 

_หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโพธิสัตว์

ตอบ...รู้ได้เพราะได้ปฏิบัติตนรู้อาการจิต รู้กิเลส ทำกิเลสหมดก็รู้ได้ รู้ภพภูมิอรหันต์ แล้วอรหันต์ที่สูงขึ้น อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์หลวงปู่รู้สภาวะ แล้วมีความก้าวหน้าจึงรู้ว่าตนเป็นโพธิสัตว์ หลวงปู่มีความจริงจึงยืนยันได้ ตรงกับพระไตรฯ คนอื่นเอาไปทำได้ตามตรงกันด้วยก็มีเครื่องรองรับ ที่ตนมีจริง คนอื่นก็มีจริง มากขึ้นๆ ชัดเจน เป็นสัจจะมีหนึ่งเดียว

 

_กราบเรียนพ่อครูเน้นย้ำเรื่อง การวางตัวของ ว.นบ.ว่าอย่างไรคือผู้เจริญ กระบวนการ ว.นบ.คือเครื่องคัดคน เข้าสู่โลกุตระใช่ไหม การทำงานคือการลดกิเลสคือรายได้ของ ว.นบ.ใช่ไหม?
ตอบ...ใช่  ไปทวนคำถามตนให้ดี

 

_ถ้ามีอารมณ์โกรธพุ่งมาโดยแรง หลวงปู่มีวิธีทำให้โกรธลดลงโดยเร็วไหม
ตอบ...หลวงปู่ทำได้แล้ว จะทำได้ต้องทำตามลำดับ อ่านความโกรธให้ทัน ไม่ว่ากิเลสใดก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าเรียกว่าอาคันตุกะ เป็นสิ่งจรมาใส่ใจเรา แต่เราไปหลงติดยึดผูกพัน ให้พิจารณาเสมอ ว่าเป็นแขกเป็นสิ่งจรมา ถ้าเราไปมีมันก็ไม่ดี เราก็ทุกข์ทำชั่วทำเลวได้มาก โกรธนี้ละได้ง่ายกว่าโลภและรัก โลภและรักใช้อาศัยเพื่อทำงานแล้วเราค่อยปล่อย แต่โกรธนี้อย่ามีเลย แม้เล็กน้อย ถ้ารู้แม้น้อยอย่างไรหรือมากหรือกลางอย่างไร ก็ให้ทิ้งมันเลย วางมันเลย ไม่มีประโยชน์ต่อเราเลย

 

_หนูรู้สึกว่าไม่ค่อยลงรอยกับเพื่อคนหนึ่ง พอเจอกันหนูก็ไม่ค่อยเข้ากัน แล้วก็รู้สึกสะใจนิดๆจะทำอย่างไรดี

ตอบ..ดีที่รู้ตัวเอง พิจารณาว่าอาการอย่างนี้ไม่น่ามีในใจเรา ไม่น่ามี พิจารณาแล้วจะเบาบางลง พอละเอียดแล้วก็ค่อยพิจารณาซ้ำอีก

 

_พลเรือตรีมินทร์ ผมได้อ่านร่างรธน. 1 จบ ด้วยพิจนิจพิจารณา เห็นว่ามีหลายมาตราสมควรปรับแก้ จึงลงมติไม่รับน่ะครับ

ตอบ...เอางี้ อ่านดีแล้วอ่านจบแล้วก็รู้ว่าองค์รวมของที่เขาร่างนี้ ที่ควรแก้กับสิ่งที่ดีนั้นอันไหนมากกว่ากัน อาตมาหลับตาตอบได้เลยว่าที่ดีมากกว่าควรแก้ หรือยกไว้สักดี 50 มาดูเศษ 50 นี้ถ้าไม่ดีมีอีกไหมอาตมาว่าไม่ถึง 25 นะ ถ้าไม่ดีสัก 51% เราก็ไม่รับแต่นี่ดีมากกว่า อีก อาตมาว่า คนที่มีใจคิดชั่วจะแย่งอำนาจ ก็จะปักมั่นหนาแน่นไม่รับร่าง แต่คนที่คิดดีจะรับร่างนี้

 

_เด็กๆคุยกันตอนเทศน์หลวงปู่เหนื่อยหรือท้อไหม
ตอบ..เหนื่อย แต่ไม่ท้อ หลวงปู่จะใช้ปากหอกจัดการ ชีวิตนี้ มีอยู่สองคนที่หลวงปู่ต้องใช้ปากหอก เป็นผู้หญิงทั้งสองคนที่หลวงปู่ใช้หอกปาก แต่สองคนนี้ก็ยังเหนียว แต่รู้สึกว่าว่าแรง สองคนนี้ แต่เหนียวยังอยู่ได้

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:55:09 )

590729

รายละเอียด

590729_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พุทธคือเศรษฐศาสตร์ สังคม ปชต.

การเมืองใหม่ที่เป็น ประชาธิปไตยแท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

 

เงินคลังของประเทศเป็นของสาธารณโภคี แต่ผู้จัดสรรไม่ว่าคณะไหนประเทศไหนก็เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง ก็เลยแย่ ที่จริงต้องแจกจ่ายเจือจานให้แก่ประชาชนให้เสมอภาค ไม่ใช่ว่าได้เท่ากันหมด แต่ว่าได้เหมาะสมตามแต่ละคนจำเป็น คนกิน

จะต้องพยายามเลิกเงินเชื่อ (คือเป็นหนี้) ต้องพยายามสร้างอาชีพฝึกฝนให้คนไม่งอมืองอเท้า เมื่อพอกินพอใช้ ก็ทำให้มากให้เกินจะได้แบ่งแจกแก่คนอื่น มีหลัก 4 อย่างนี้ คือ ไม่เป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ทำให้เกินกินใช้แล้วเอาไปแบ่งคนอื่น แล้วคนบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจะขยัน ไม่เห็นแก่ตัว ชาวอโศกเราส่วนใหญ่ทำงานไม่มีเงินเดือน มีมากสุดก็เดือนละห้าพัน แต่ว่า ที่บ.ฟ้าอภัยตั้งมาหลายสิบปีแล้วเงินเดือนสองพัน ไม่เคยขึ้นเลย บางคนก็ไม่เอาเงินเดือนด้วย

 

ศาสนาพุทธจะไม่เสื่อมถ้า

  1. ถ้าไม่แต่งตั้งบุคคลขึ้นมามีอำนาจจนรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆนี้
  2. ธรรมเนียมการบวชต้องเป็นไปตามธรรมวินัย ไม่มีการบวชเล่น บวชลอง
  3. ต้องบวชเพื่อจะอยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีพ บวชเพื่อเอานิพพาน
  4. ต้องจริงจังต่อปาติโมกข์ ต้องมีการสวดปาติโมกข์เพื่อให้คนฟังได้รู้เรื่องเพื่อทบทวนตรวจสอบด้วยจริงจังต่อปาติโมกข์
  5. การยังชีพของภิกษุสามเณรต้องไม่ผิดศีลผิดวินัย
  6. ทรัพย์สินส่วนกลางหรือของสงฆ์ต้องมีไวยาวัจกร ไม่มีใครผูกขาด ภิกษุสามเณรต้องไม่มีเงินส่วนตัว
  7. ต้องเรียนรู้กามคุณ อัตตา และลดล้างได้จริง

เจ็ดข้อนี้ถ้ายังมีอยู่ศาสนาพุทธไม่เสื่อม อโศกฟังไว้ รักษาไว้ให้ดี ใครละเมิดก็เคาะกะบาลให้ดี ระวังจะชกกัน ขายหน้า

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ยังมีสิ่งถูกต้องตรวจสอบได้ตามพระไตรปิฏก ยังสามารถยืนยันได้ ตามวรรณะ 9

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

ไทยเรามีประยุทธ์กับประยุตต์ หนึ่งคนทางโลก อีกหนึ่งคนทางธรรมที่มาทำงานในยุคนี้ อาตมาได้ประโยชน์จากท่านประยุตต์มาก เพราะท่านเป็นนักค้นคว้า เป็นนักวิชาการ

          นักการเมืองทั้งหลาย ! หน้าที่บริหารของเรามิใช่เพื่อ ล่อลวงหลอกประชาชน ให้มาเคารพนับถือนิยมชมชอบ  (ประชานิยม)

          มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวารเข้าพวกเป็นพรรคใหญ่

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ  และเพื่อเสียงสรรเสริญ   มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้เป็นพรรคยอดนิยม   หรือเพื่อค้านพรรคอื่นใดให้ล้มไป  ..และ  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่าเราได้เป็นผู้บริหารอันวิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

          นักการเมืองทั้งหลาย! ที่แท้งานของเรานี้ประพฤติเพื่อเสียสละ เพื่อละ เพื่อหน่ายความฉ้อโกง,  เพื่อดับทุกข์สนิท เพื่อนิพพาน

 

ศาสนาพุทธอันเดียวกับเศรษฐกิจสังคมการเมือง ยกตัวอย่างคนอยากรวยนี้ตกยุคแล้ว ที่ไหนก็รู้ แต่คนอยากจนมุ่งมาจนนี้ ทันสมัยนะ ยกตัวอย่างคนไปมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่ๆ ถ้าเป็นคนรวยจะถูกตรวจสอบ แต่คนจนไปเป็นนี้คนยกมือท่วมหัวเลย

อย่างเช่นอาตมาขี่รถโฟล์ค เขาซื่อมาเปลี่ยนให้ตั้งหลายคันแล้ว แล้วคนก็บอกว่ารถพ่อท่าน อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ใช่สมเด็จช่วงนะ ไม่มีอาตมาไปมีชื่อเป็นเจ้าของรถเลย อาตมาก็ว่าให้ช่วยกันใช้สิ แต่เขาก็เกรงใจไม่ค่อยใช้กัน อย่างที่นั่งนี้ เขาก็ไม่ค่อยนั่งกันบางคนเขาถือ แต่ที่จริงก็นั่งได้ เป็นจริตของแต่ละคน ก็รู้เหมาะควร

สัจจะมีซับซ้อนเยอะ อย่างพระเจ้าอยู่หัวนี้ พวกฝ่ายซ้ายจัดเขาว่าในหลวงมีเงินเยอะ แต่นั้นคือสมบัติส่วนพระมหากษัตริย์ เหมือนกองกลางไม่ใช่ของท่าน ท่านผ่านมาก็ใช้ตามควร ท่านสิ้นไปองค์อื่นก็มาใช่ต่อไม่ได้เป็นของท่าน

อรหันต์จริงไม่มีเชื้อแอบเสพ แต่ต่ำกว่านั้นก็มีแอบเสพได้ ตามลำดับ ท่านจะรู้ว่าควรอนุโลมปฏิโลมตามขนาด บางขนาดเสียผล เสียธรรมก็ไม่ทำ เพราะเราทำเพื่อประโยชน์สังคมประเทศชาติ หากเสียธรรมก็ทำอะไรไม่ขึ้นมันเป็นการทำลายต้นตอ ทำลายเชื้อ

คำว่าเศรษฐ หรือเสฏฐะคือผู้ทำงานรับใช้สังคมสามารถเฉลี่ยลาภให้กับคนในสังคมได้อย่างเหมาะสมทั่วถึง จัดการทรัพย์สมบัติได้ เฉลี่ยได้เหมาะสม คนนี้ความสามารถมากก็ไม่ต้องให้มาก แต่คนนี้เลี้ยงตัวไม่รอดก็ต้องให้มากหน่อย คนนี้อดทนได้มากก็ไม่ต้องให้มาก คนนี้อดทนได้น้อยก็ต้องให้เขาไม่งั้นตาย

นี่คือนักเศรษฐศาสตร์ แต่ที่ทำกันในโลกทุกวันนี้มีเห็นแก่ตัวมาก ไม่ก็เห็นแก่พรรคพวก เห็นแก่ประเทศตัวเอง แต่เว้นแต่ประเทศตัวเองตั้งตัวยังไม่ได้ก็ต้องให้ก่อน ถ้าตั้งตัวได้ก็ควรเผื่อแผ่ประเทศอื่น แต่อย่าให้ตนเองขาดแคลน

จะรู้จักการกระทำที่เหมาะสม อาตมาใช้หลักนี้บริหารพวกเรา ชุมชนเราอยู่ ก็ยาก เพราะบริหารในระบบเศรษฐกิจบุญนิยมของพระพุทธเจ้าท่ามกลางระบบทุนนิยมจัดจ้าน คนเห็นแก่ตัวแรง แล้วคนไม่เข้าใจบุญนิยมด้วย ก็เลยมีน้อย ไม่มีเวลาตั้งตัวด้วย ไม่มีทุนมาก่อนด้วย เร่ิมตั้งแต่ 0 จนทุกวันนี้ลืมตาอ้าปากได้พอควร พึ่งตนเองได้ พี่ก็เลี้ยงน้องได้

อาตมาได้ลองแจกแจงวิธีการทำเศรษฐกิจไว้  4​ข้อ

1.ไม่สะสมเงินเป็นของตนไว้มาก นั่นคือกระจายรายได้ ตีราคาค่าตัวให้ถูกลง หรือค่าผลผลิตให้ถูกลงคือการกระจายรายได้

2.เลิกอาชีพที่ไกลสาระ ไร้สาระ เช่นอบายมุขหยาบ แม้อบายมุขละเอียดแฝงซ้อนก็เลิกไปเป็นลำดับ หรือศักดินาสูง ทุนนิยมจัดก็จะรู้ทัน แล้วลดอาชีพที่ทำงานให้แก่ตัวเองลง จนไม่ทำเป็นอาชีพ ไม่ขยายอาชีพของตนเอง มีแต่รับใช้ประชาชน อาสาทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ

3.ขยันสร้างสรรเสียสละ เกิดเป็นคนต้องทำงาน ทำสัมมาอาชีพให้คุมกินคุ้มใช้แล้วมีมากก็เฉลี่ยแก่คนที่ต้องการขาดแคลน

4.ต้องปฏิบัติธรรมลดกิเลสเป็นอาริยบุคคลจริง จึงมีคุณสมบัติตรีลักษณ์ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง

 

อาตมาได้บอกอย่างหนึ่งที่คนงง คือบอก สามอาชีพกู้ชาติ มีกสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะหอม  อย่างเช่นข้าวนี้ขายแพงไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นคนที่ไม่มีเงินมากตาย ต้องจำกัดราคาไว้อย่าให้แพง การกสิกรรม จะไม่รวยแต่ได้กุศลมาก การกสิกรรมกับปุ๋ยคนก็ไม่สงสัยการกู้ชาติ แต่ว่าขยะวิทยานี้คนสงสัยว่าจะกู้ชาติได้อย่างไร? แต่โทรทัศน์เราเปิดมาจะย่าง 10 ปีแล้วเราก็ใช้เงินจากขยะ เราตั้งสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ

การเมืองก็เพื่อช่วยมนุษยชาติ ธรรมะก็เพื่อช่วยมนุษยชาติ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะฤาษีชีไพร แล้วศาสนาจะเสื่อมไปเป็นฤาษีชีไพร จากนั้นก็เสื่อมได้ที่ จนสังคมโลกเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นมาเพื่อดึงกลับ พระพุทธเจ้าทุกองค์มาตรัสรู้ สังคมก็จะเป็นศาสนาฤาษี เทวนิยมไม่ใช่ศาสนาสังคม ไม่มีโลกานุกัมปายะ ไม่มีโลกุตรจิต ต้องหนีโลก

อาตมาก็ทำมามีบารมีระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงมีแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้เก่าสะสมมา ท่านเวลาคุยกับเทวดาก็คือระลึกเอาของเก่าความรู้เก่าท่านออกมา ตอนที่ท่านตรัสรู้ก็ระลึกของเก่า ตลอด 6 ปีท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องเลย

เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก   ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”   ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี   เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต)  จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

 

ต้นไม้ใดที่พระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ที่นั่นก็เรียกว่าต้นโพธิ์ ชื่อเดิมของต้นที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมไปตรัสรู้ก็มีชื่อเดิมว่าต้นอื่นแต่พอท่านไปตรัสรู้ก็เรียกว่าต้นโพธิ์ การที่ท่านตรัสรู้นั้น ท่านได้ตรัสสิ่งที่ท่านรู้ให้แก่ปัญจัคคีย์ ฟัง พอตรัสแล้วก็มีอัญญาโกณทัญญะบรรลุได้

ท่านตรัสสัมโพธิญาณก็เลยเรียกว่าตรัสรู้ ของใครมีความรู้ตามพพจ.ก็เรียกว่าตรัสรู้อันเดียวกันกับของพพจ.แต่คนละฐานะเท่านั้นเอง สรุปแล้ว คนที่เข้าใจว่าจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุนิพพานต้องเข้าป่านั่งหลับตา คนนี้สุญโญ

 

คนที่ทำอนันตริยกรรมไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้เลย อยากเตือนไว้คนที่ทำสังฆเภท เป็นอนันตริยกรรม อย่างการแยกนิกายนี่เป็นต้น อย่างอาตมาทำนี่ไม่ได้ทำเป็นนิกาย แต่ที่มหาเถรสมาคมทำกับอาตมาให้เป็นนิกายนี่เป็นอนันตริยกรรม ท่านทำสำเร็จแล้ว โดยท่านบอกว่าอโศกเป็นพวกนิกาย ท่านปกาสนียกรรมท่านได้รับกรรมแล้ว กรรมเป็นอันทำ ใครก็แล้วแต่ ท่านทำของท่านเองนะ สงสารแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? อย่าไปเข้าใจอะไรตื้นๆง่ายๆ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีที่

 

เลิกหลงว่าไปนั่งหลับตาจะไปนิพพานเสียเถิด ไปอ่านมหาจัตตารีสกสูตรให้ชัดเจน แม้ในสามัญผลสูตรก็ชัดว่าให้มีศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญา แล้วมีโพชฌงค์ 7 มรรค 8 เป็นธรรมะสอง เป็นมาตา ปิตา ทำให้เกิด โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

อาตมาไม่มีเครดิตก็รู้ตัว แต่ว่าให้ไปศึกษาให้ดี ไม่ต้องมาเป็นศิษย์อาตมาแต่คุณไปศึกษาให้ดี หาสัตบุรุษช่วยดีๆ มาเรียนรู้ปฏิบัติมรรค 7 องค์อย่างไร ปฏิบัติในขณะสัมมาอาชีพไม่ต้องไปนั่งหลับตาที่ไหน คุณเข้าใจการนั่งหลับตามีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของการฝึกเจโตสมถะ

1.      ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก

2.      ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83573

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfWGZJUHk2ajRYdDA

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/38xv6p7tbabh/160729

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:56:16 )

590729

รายละเอียด

590729_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พุทธคือเศรษฐศาสตร์ สังคม ปชต.

พ่อครูว่า..วันนี้วันศุกร์ที่ 29 ก.ค. 2559  อีก 9 วันก็เป็นวันที่สังคมไทยเราจะได้ร่วมมือร่วมใจกันจะได้เห็นว่าคนไทยเราจะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญากันแค่ไหน ก็อาจจะไม่น่าจะพูดอย่างนั้นว่ามีปัญญาหรือไม่ก็น่าจะพูดว่าเขาจะตัดสินกันอย่างไรประชาชนตัดสินออกมาจะดีไหม

แม้จะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่เราก็ยังไม่ทราบผลข้างหน้า ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างจะไปตัดสินอะไรจริงจังก็ยังไม่ได้ แต่อาตมาเองอาตมาชื่นใจดีใจอยู่อย่างหนึ่งว่าการเมืองไทยผ่านมา 84 ปี ปีนี้จึงได้เห็นว่าประชาชนเอาใจใส่การเมืองมีความเข้าใจการเมืองดีขึ้นเรื่อยเรื่อย แต่ขอย้ำว่าเป็นการเมืองแบบไทย เป็นประชาธิปไตยแบบไทย

แล้วประชาธิปไตยแบบไทยคืออย่างไร ที่เรียกว่าแบบไทยนี้มีแกนจิตที่มีจิตวิญญาณมีจิตใจเป็นประธานสิ่งทั้งปวงคือแกนจิตของศาสนาพุทธแล้วศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาที่เป็นประชาธิปไตยที่เลิศยอดเยี่ยมที่สุด

ลักษณะของพุทธศาสนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับตระกูลหรือวรรณะหรือรูปร่างหน้าตาแต่มันอยู่ที่จิตใจเป็นจิตใจที่มีคุณสมบัติคุณภาพเป็นอย่างนั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยมีทั้งจิตใจและปัญญาที่เป็นตัวรู้ เป็นศาสนาที่สุดยอดของมนุษยชาติไม่ว่าในยุคไหนๆ

การเมืองใหม่ที่เป็น ประชาธิปไตยแท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

 

เงินคลังของประเทศเป็นของสาธารณโภคี แต่ผู้จัดสรรไม่ว่าคณะไหนประเทศไหนก็เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง ก็เลยแย่ ที่จริงต้องแจกจ่ายเจือจานให้แก่ประชาชนให้เสมอภาค ไม่ใช่ว่าได้เท่ากันหมด แต่ว่าได้เหมาะสมตามแต่ละคนจำเป็น คนกิน

จะต้องพยายามเลิกเงินเชื่อ (คือเป็นหนี้) ต้องพยายามสร้างอาชีพฝึกฝนให้คนไม่งอมืองอเท้า เมื่อพอกินพอใช้ ก็ทำให้มากให้เกินจะได้แบ่งแจกแก่คนอื่น มีหลัก 4 อย่างนี้ คือ ไม่เป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ทำให้เกินกินใช้แล้วเอาไปแบ่งคนอื่น แล้วคนบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจะขยัน ไม่เห็นแก่ตัว ชาวอโศกเราส่วนใหญ่ทำงานไม่มีเงินเดือน มีมากสุดก็เดือนละห้าพัน แต่ว่า ที่บ.ฟ้าอภัยตั้งมาหลายสิบปีแล้วเงินเดือนสองพัน ไม่เคยขึ้นเลย บางคนก็ไม่เอาเงินเดือนด้วย

 

 

ศาสนาพุทธจะไม่เสื่อมถ้า

  1. ถ้าไม่แต่งตั้งบุคคลขึ้นมามีอำนาจจนรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆนี้
  2. ธรรมเนียมการบวชต้องเป็นไปตามธรรมวินัย ไม่มีการบวชเล่น บวชลอง
  3. ต้องบวชเพื่อจะอยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีพ บวชเพื่อเอานิพพาน
  4. ต้องจริงจังต่อปาติโมกข์ ต้องมีการสวดปาติโมกข์เพื่อให้คนฟังได้รู้เรื่องเพื่อทบทวนตรวจสอบด้วยจริงจังต่อปาติโมกข์
  5. การยังชีพของภิกษุสามเณรต้องไม่ผิดศีลผิดวินัย
  6. ทรัพย์สินส่วนกลางหรือของสงฆ์ต้องมีไวยาวัจกร ไม่มีใครผูกขาด ภิกษุสามเณรต้องไม่มีเงินส่วนตัว
  7. ต้องเรียนรู้กามคุณ อัตตา และลดล้างได้จริง

 

เจ็ดข้อนี้ถ้ายังมีอยู่ศาสนาพุทธไม่เสื่อม อโศกฟังไว้ รักษาไว้ให้ดี ใครละเมิดก็เคาะกะบาลให้ดี ระวังจะชกกัน ขายหน้า

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ยังมีสิ่งถูกต้องตรวจสอบได้ตามพระไตรปิฏก ยังสามารถยืนยันได้ ตามวรรณะ 9

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

ไทยเรามีประยุทธ์กับประยุตต์ หนึ่งคนทางโลก อีกหนึ่งคนทางธรรมที่มาทำงานในยุคนี้ อาตมาได้ประโยชน์จากท่านประยุตต์มาก เพราะท่านเป็นนักค้นคว้า เป็นนักวิชาการ

          นักการเมืองทั้งหลาย ! หน้าที่บริหารของเรามิใช่เพื่อ ล่อลวงหลอกประชาชน ให้มาเคารพนับถือนิยมชมชอบ  (ประชานิยม)

          มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวารเข้าพวกเป็นพรรคใหญ่

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ  และเพื่อเสียงสรรเสริญ   มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้เป็นพรรคยอดนิยม   หรือเพื่อค้านพรรคอื่นใดให้ล้มไป  ..และ  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่าเราได้เป็นผู้บริหารอันวิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

          นักการเมืองทั้งหลาย! ที่แท้งานของเรานี้ประพฤติเพื่อเสียสละ เพื่อละ เพื่อหน่ายความฉ้อโกง,  เพื่อดับทุกข์สนิท เพื่อนิพพาน

 

ศาสนาพุทธอันเดียวกับเศรษฐกิจสังคมการเมือง ยกตัวอย่างคนอยากรวยนี้ตกยุคแล้ว ที่ไหนก็รู้ แต่คนอยากจนมุ่งมาจนนี้ ทันสมัยนะ ยกตัวอย่างคนไปมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่ๆ ถ้าเป็นคนรวยจะถูกตรวจสอบ แต่คนจนไปเป็นนี้คนยกมือท่วมหัวเลย

อย่างเช่นอาตมาขี่รถโฟล์ค เขาซื่อมาเปลี่ยนให้ตั้งหลายคันแล้ว แล้วคนก็บอกว่ารถพ่อท่าน อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ใช่สมเด็จช่วงนะ ไม่มีอาตมาไปมีชื่อเป็นเจ้าของรถเลย อาตมาก็ว่าให้ช่วยกันใช้สิ แต่เขาก็เกรงใจไม่ค่อยใช้กัน อย่างที่นั่งนี้ เขาก็ไม่ค่อยนั่งกันบางคนเขาถือ แต่ที่จริงก็นั่งได้ เป็นจริตของแต่ละคน ก็รู้เหมาะควร

สัจจะมีซับซ้อนเยอะ อย่างพระเจ้าอยู่หัวนี้ พวกฝ่ายซ้ายจัดเขาว่าในหลวงมีเงินเยอะ แต่นั้นคือสมบัติส่วนพระมหากษัตริย์ เหมือนกองกลางไม่ใช่ของท่าน ท่านผ่านมาก็ใช้ตามควร ท่านสิ้นไปองค์อื่นก็มาใช่ต่อไม่ได้เป็นของท่าน

อรหันต์จริงไม่มีเชื้อแอบเสพ แต่ต่ำกว่านั้นก็มีแอบเสพได้ ตามลำดับ ท่านจะรู้ว่าควรอนุโลมปฏิโลมตามขนาด บางขนาดเสียผล เสียธรรมก็ไม่ทำ เพราะเราทำเพื่อประโยชน์สังคมประเทศชาติ หากเสียธรรมก็ทำอะไรไม่ขึ้นมันเป็นการทำลายต้นตอ ทำลายเชื้อ

คำว่าเศรษฐ หรือเสฏฐะคือผู้ทำงานรับใช้สังคมสามารถเฉลี่ยลาภให้กับคนในสังคมได้อย่างเหมาะสมทั่วถึง จัดการทรัพย์สมบัติได้ เฉลี่ยได้เหมาะสม คนนี้ความสามารถมากก็ไม่ต้องให้มาก แต่คนนี้เลี้ยงตัวไม่รอดก็ต้องให้มากหน่อย คนนี้อดทนได้มากก็ไม่ต้องให้มาก คนนี้อดทนได้น้อยก็ต้องให้เขาไม่งั้นตาย

นี่คือนักเศรษฐศาสตร์ แต่ที่ทำกันในโลกทุกวันนี้มีเห็นแก่ตัวมาก ไม่ก็เห็นแก่พรรคพวก เห็นแก่ประเทศตัวเอง แต่เว้นแต่ประเทศตัวเองตั้งตัวยังไม่ได้ก็ต้องให้ก่อน ถ้าตั้งตัวได้ก็ควรเผื่อแผ่ประเทศอื่น แต่อย่าให้ตนเองขาดแคลน

จะรู้จักการกระทำที่เหมาะสม อาตมาใช้หลักนี้บริหารพวกเรา ชุมชนเราอยู่ ก็ยาก เพราะบริหารในระบบเศรษฐกิจบุญนิยมของพระพุทธเจ้าท่ามกลางระบบทุนนิยมจัดจ้าน คนเห็นแก่ตัวแรง แล้วคนไม่เข้าใจบุญนิยมด้วย ก็เลยมีน้อย ไม่มีเวลาตั้งตัวด้วย ไม่มีทุนมาก่อนด้วย เร่ิมตั้งแต่ 0 จนทุกวันนี้ลืมตาอ้าปากได้พอควร พึ่งตนเองได้ พี่ก็เลี้ยงน้องได้

อาตมาได้ลองแจกแจงวิธีการทำเศรษฐกิจไว้  4​ข้อ

1.ไม่สะสมเงินเป็นของตนไว้มาก นั่นคือกระจายรายได้ ตีราคาค่าตัวให้ถูกลง หรือค่าผลผลิตให้ถูกลงคือการกระจายรายได้

2.เลิกอาชีพที่ไกลสาระ ไร้สาระ เช่นอบายมุขหยาบ แม้อบายมุขละเอียดแฝงซ้อนก็เลิกไปเป็นลำดับ หรือศักดินาสูง ทุนนิยมจัดก็จะรู้ทัน แล้วลดอาชีพที่ทำงานให้แก่ตัวเองลง จนไม่ทำเป็นอาชีพ ไม่ขยายอาชีพของตนเอง มีแต่รับใช้ประชาชน อาสาทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ

3.ขยันสร้างสรรเสียสละ เกิดเป็นคนต้องทำงาน ทำสัมมาอาชีพให้คุมกินคุ้มใช้แล้วมีมากก็เฉลี่ยแก่คนที่ต้องการขาดแคลน

4.ต้องปฏิบัติธรรมลดกิเลสเป็นอาริยบุคคลจริง จึงมีคุณสมบัติตรีลักษณ์ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง

 

อาตมาได้บอกอย่างหนึ่งที่คนงง คือบอก สามอาชีพกู้ชาติ มีกสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะหอม  อย่างเช่นข้าวนี้ขายแพงไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นคนที่ไม่มีเงินมากตาย ต้องจำกัดราคาไว้อย่าให้แพง การกสิกรรม จะไม่รวยแต่ได้กุศลมาก การกสิกรรมกับปุ๋ยคนก็ไม่สงสัยการกู้ชาติ แต่ว่าขยะวิทยานี้คนสงสัยว่าจะกู้ชาติได้อย่างไร? แต่โทรทัศน์เราเปิดมาจะย่าง 10 ปีแล้วเราก็ใช้เงินจากขยะ เราตั้งสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ

การเมืองก็เพื่อช่วยมนุษยชาติ ธรรมะก็เพื่อช่วยมนุษยชาติ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะฤาษีชีไพร แล้วศาสนาจะเสื่อมไปเป็นฤาษีชีไพร จากนั้นก็เสื่อมได้ที่ จนสังคมโลกเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นมาเพื่อดึงกลับ พระพุทธเจ้าทุกองค์มาตรัสรู้ สังคมก็จะเป็นศาสนาฤาษี เทวนิยมไม่ใช่ศาสนาสังคม ไม่มีโลกานุกัมปายะ ไม่มีโลกุตรจิต ต้องหนีโลก

อาตมาก็ทำมามีบารมีระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงมีแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้เก่าสะสมมา ท่านเวลาคุยกับเทวดาก็คือระลึกเอาของเก่าความรู้เก่าท่านออกมา ตอนที่ท่านตรัสรู้ก็ระลึกของเก่า ตลอด 6 ปีท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องเลย

เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก   ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”   ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี   เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต)  จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

 

ต้นไม้ใดที่พระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ที่นั่นก็เรียกว่าต้นโพธิ์ ชื่อเดิมของต้นที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมไปตรัสรู้ก็มีชื่อเดิมว่าต้นอื่นแต่พอท่านไปตรัสรู้ก็เรียกว่าต้นโพธิ์ การที่ท่านตรัสรู้นั้น ท่านได้ตรัสสิ่งที่ท่านรู้ให้แก่ปัญจัคคีย์ ฟัง พอตรัสแล้วก็มีอัญญาโกณทัญญะบรรลุได้

ท่านตรัสสัมโพธิญาณก็เลยเรียกว่าตรัสรู้ ของใครมีความรู้ตามพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าตรัสรู้อันเดียวกันกับของพระพุทธเจ้าแต่คนละฐานะเท่านั้นเอง สรุปแล้ว คนที่เข้าใจว่าจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุนิพพานต้องเข้าป่านั่งหลับตา คนนี้สุญโญ

 

คนที่ทำอนันตริยกรรมไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้เลย อยากเตือนไว้คนที่ทำสังฆเภท เป็นอนันตริยกรรม อย่างการแยกนิกายนี่เป็นต้น อย่างอาตมาทำนี่ไม่ได้ทำเป็นนิกาย แต่ที่มหาเถรสมาคมทำกับอาตมาให้เป็นนิกายนี่เป็นอนันตริยกรรม ท่านทำสำเร็จแล้ว โดยท่านบอกว่าอโศกเป็นพวกนิกาย ท่านปกาสนียกรรมท่านได้รับกรรมแล้ว กรรมเป็นอันทำ ใครก็แล้วแต่ ท่านทำของท่านเองนะ สงสารแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? อย่าไปเข้าใจอะไรตื้นๆง่ายๆ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีที่

 

เลิกหลงว่าไปนั่งหลับตาจะไปนิพพานเสียเถิด ไปอ่านมหาจัตตารีสกสูตรให้ชัดเจน แม้ในสามัญผลสูตรก็ชัดว่าให้มีศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญา แล้วมีโพชฌงค์ 7 มรรค 8 เป็นธรรมะสอง เป็นมาตา ปิตา ทำให้เกิด โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

อาตมาไม่มีเครดิตก็รู้ตัว แต่ว่าให้ไปศึกษาให้ดี ไม่ต้องมาเป็นศิษย์อาตมาแต่คุณไปศึกษาให้ดี หาสัตบุรุษช่วยดีๆ มาเรียนรู้ปฏิบัติมรรค 7 องค์อย่างไร ปฏิบัติในขณะสัมมาอาชีพไม่ต้องไปนั่งหลับตาที่ไหน คุณเข้าใจการนั่งหลับตามีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของการฝึกเจโตสมถะ

1.      ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก

2.      ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี

4.  สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:56:44 )

590731

รายละเอียด

590731_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ถ้าทำตามธรรมวินัยสังคมไทยสงบสุข

พ่อครูว่า...ในมหาศีลข้อ 2​พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้เห็นปานนี้อยู่เนือง ๆ คือสะสมข้าวสะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส

กรณีเรื่องยานพาหนะนี้ พระพุทธเจ้าห้ามสะสมยานพาหนะเลย แต่นี่สะสมกันมีชื่อตัวเองเลย แล้วมีบทบาทไปจัดการให้ได้มาอีก อันนี้ก็ผิดแล้ว กรณีสะสมยานพาหนะนี่ เกินห้ามาสกด้วย

ก็ขอสรุปในเรื่องที่ละเมิดในของที่ไม่ใช่ของเราเกินห้ามาสก ปาราชิกไปเท่าไหร่ คดโกงในภาษีนี้ปาราชิกไปเท่าไหร่แล้ว แล้วก็ยังบอกว่าไม่ใช่ของเราอีก เอาไปกกไว้ตั้งหลายปี ใครมาแตะก็ไปว่าเขาอีก ขอยืนยันว่าไม่ใช่พระ เป็นสมีไปแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกัน ถ้าจัดการคราวนี้ไม่ได้ อาตมาว่า เสียของ

วาระนี้เป็นปัจจุบันธรรมที่สำคัญที่เราต้องไปลงคะแนนเสียง อาตมาก็ขอสับธงว่ารับ ส่วนใครไม่รับก็ไม่ใช่พวกของอาตมาก็แล้วกัน….

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83761

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfOEJSNkl4bTQyMTA

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/638qv5tc0pzv/160731

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:57:06 )

590731

รายละเอียด

590731_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ถ้าทำตามธรรมวินัยสังคมไทยสงบสุข

ส.ฟ้าไทเกริ่นกล่าวน่ะ ก่อนอาราธนาพ่อครูแสดงธรรม

พ่อครูว่า….ก็ขอแจ้ง เรื่องเกี่ยวกับหนังสือจากคุณศีลสนิท น้อยอินต๊ะ ว่า..มีคนสนใจอ่านหนังสือ เราคิดอะไร ติดต่อมา ให้ที่อยู่มา จัดส่งให้แล้ว ตีกลับทุกฉบับ เบอร์โทรศัพท์ไม่ได้ให้ไว้  ติดต่อไปยังไปรษณีย์ท้องถิ่น เขาก็ไม่พบบ้านเลขที่ดังกล่าว สนพ.เกรงว่าจะเป็นหนี้เขาค่ะ  เงิน 500 บาทยังอยู่ ถ้าได้ฟังพ่อครูเทศน์ ให้คุณชนาศรี  โชติประสิทธิชัย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาติดต่อ กลับมา ด้วย จนท. จะได้ดำเนินการต่อได้ค่ะ จนท. เราคิดอะไร 08-1253-7677 กราบขอบพระคุณพ่อครูค่ะ และอีกคนค่ะ คุณ Sureerat Sueess จาก Switzerland ก็ตีกลับค่ะ

 

มีข้อความวันที่ 31 กรกฏาคม 2559 จากคุณพิมพ์เพชรรุ้ง

กราบนมัสการพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์

ลูกขอใช้โอกาสนี้พูดถึง การตัดสินใจลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 ส.ค.

เดิมที ลูกก็ได้พิจารณาตามข้อมูลต่างๆแล้ว คิดว่าจะ “ไม่รับ” ร่าง รธน.

แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วค่ะ ว่าจะ “รับ” ร่าง รธน. และประเด็นเพิ่มเติม (คำถามพ่วง)

ไม่ได้เพียงแต่คล้อยตามที่พ่อบอกในรายการแสดงธรรมที่ผ่านมาเท่านั้น

แต่ลูกได้พิจารณาเหตุผลต่างๆ โดยวิธีปฏิบัติธรรม คือ

- ไม่ใช้ "อคติ" แม้ใจจะอยากให้ “ลุงตู่” อยู่ต่อนานๆ แต่ประเทศชาติก็ต้องมาก่อน

- มี "ปรโตโฆสะ" เปิดใจรับฟังทุกฝ่าย ใครบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดี หรือไม่ดีอย่างไร ก็รับฟังข้อมูลทุกด้าน

- ใช้ "สัมมาทิฏฐิ" พิจารณา ไม่ยึดติด ไม่จมอยู่กับอดีต หรือเพ้อฝันและหวังลมๆแล้งๆ กับอนาคตว่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ดูที่ข้อมูลของจริงในสถานการณ์บ้านเมืองและโลก ณ ปัจจุบัน เหตุปัจจัยทั้งจากภายใน และภายนอกประเทศ เป็นอย่างไร

- "โยนิโสมนสิการ" พิจารณาความจริงตามความเป็นจริง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ว่าบ้านเมืองของเราเวลานี้ ต้องการอะไร และผู้บริหารต้องทำอย่างไร ตัวเราต้องทำอย่างไร

- พิจารณาข้อมูลทั้งหมดให้ชัดเจนอีกครั้ง และตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่คิดว่าเหมาะควรกับประเทศชาติ

ลูกขอกราบเรียนถามพ่อท่านฯว่า การที่ลูกใช้ธรรมะเปรียบเทียบแบบนี้ถูกต้องตามบัญญัติหรือไม่คะ

ลูกประทับใจที่ พ่อท่านฯ เคยบอกว่า... คนเราโง่เท่าที่ตัวเองฉลาด และฉลาดเท่าที่ตัวเองโง่

ลูกได้เห็นประโยชน์จากการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ ตามที่พ่อสอน ทำให้ลูกได้พัฒนาตัวเองให้มีโลกะวิทูอย่างสัมมาทิฏฐิขึ้น และจะพยายามพัฒนาตัวเองสู่โลกุตระให้ยิ่งขึ้นด้วยค่ะ

กราบนมัสการพ่อท่านฯ

พิมพ์เพชรรุ้ง

 

พ่อครูว่า….ดีมาก เท่าที่เขียนมานี้ เมื่อเรามีคุณวิเศษในตนแล้วก็เอามาช่วยโลกได้ เป็น โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

สำหรับประเด็นที่จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ถ้ามันผิดก็เป็นโทษถ้ามันถูกก็เป็นประโยชน์

มีสรุปสาระสำคัญของ ร่าง รธน. จากทาง อ.จุฬาฯ มาให้อ่านสั้น ๆ  ดังนี้ครับ

 

อจ.ดร. ศุภชัย ยาวะประภาษ  กรรมาธิการ  กรธ. ฝากเผยแพร่ ดังนี้

สรุปของสรุป

ร่าง รธน ที่จะลงประชามติ 7 ส.ค. 2559 

*********

 ภาพรวม:  รธน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของ ปชช และทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อให้ลูกไทยหลานไทยอยู่ในโลกยุคต่อไปได้ทัดเทียมชาติอื่นได้อย่างยั่งยืน

 **********

 ปัญหาของประเทศไทย:

1. ปท. ไม่เจริญ/ย่ำอยู่กับที่/ดูทันสมัยแต่ไม่พัฒนา

2. เหลื่อมล้ำ/ไม่เป็นธรรมในทุกมิติ

3. สังคมแตกแยก/ใช้สิทธิเสรีภาพกันอย่างไม่รับผิดชอบ

 **********

 สาเหตุของปัญหา:

1. corruption/ความไม่โปร่งใสและไม่รอบคอบของการวางนโยบายสาธารณะ/การใช้จ่ายเงินแผ่นดินโดยไม่คุ้มค่า/การบริหารราชการแผ่นดินไม่โปร่งใส/ไม่รับฟังความเห็นประชาชน (ปชช) กฎหมาย (กม) ไม่ทันสมัย

2.  คุณภาพการศึกษาต่ำมาก/เน้นปริมาณ/ละเลยการพัฒนาเด็กเล็กซึ่งเป็นพัฒนาการที่สำคัญที่สุดของมนุษย์/ไม่เปิดให้เด็กพัฒนาศักยภาพได้ตามถนัด

3.  กม ให้ดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่มากเกินไป/ใช้ระบบควบคุมมากเกินไป/จึงเกิดการใช้ดุลพินิจหลายมาตรฐานและการทุจริต/คนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม/ขณะที่คนไทยเองก็ขาดระเบียบวินัยที่จะปฏิบัติตาม กม

4.  นักการเมืองจำนวนหนึ่งขาดคุณธรรมจริยธรรมอย่างรุนแรง เล่นพรรคเล่นพวก เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ทุจริต

5. ระบบราชการหย่อนประสิทธิภาพ (อาตมาเคยบอกว่า ให้ล้มกรมตำรวจก่อนแล้วค่อยเลือกตำรวจใหม่ที่ดีเข้ามาทำงาน ตำรวจนี้สำคัญมาก)

6 . ไม่มียุทธศาสตร์พัฒนา ปท ที่ ปชช และรัฐเห็นดีเห็นงามร่วมกัน ที่มีความต่อเนื่องในระยะยาว จึงเดินเป๋ไปเป๋มาตามลมการเมือง

7.  ค่านิยมประหลาด: บริโภคนิยม/วัตถุนิยม/ไม่คิดวางแผนระยะยาวให้ลูกหลาน คิดถึงแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า/ขาดวินัย/ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม อยากทำอะไรก็ทำ

 **********

 หลักการของร่าง รธน ใหม่ 

- รับรองความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ในบททั่วไป เพื่อคลุมทุกเรื่องว่าทุกคนต้องเสมอกัน และวางหลักว่ารัฐมีหน้าที่ทำสิ่งดี ๆ ให้แก่บ้านเมือง สิ่งที่บัญญัติไว้เป็นแต่เพียงมาตรฐานขั้นต่ำที่ต้องทำเท่านั้น จะทำดีมากกว่านั้น เป็นประโยชน์แก่ ปชช มากกว่านั้น ทำได้หมด แต่ทำเรื่องเลว ๆ หรือเรื่องที่ รธน หรือ กม ห้ามไว้ไม่ได้

- ประชาชน/ชุมชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น **อะไรที่ รธน หรือ กม ไม่ห้ามไว้ สามารถทำได้หมด** ไม่ต้องเขียนจาระไนแบบเก่า ๆ ที่หลุดง่าย

- การออก กม ที่จำกัดสิทธิ ต้องผ่านการรับฟังความเห็น ปชช./ ผ่านรัฐสภา/ ต้องไม่ขัดหลักนิติธรรม / ไม่เกินจำเป็น ประชาชนและชุมชนขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายได้เสมอ

- ไม่ได้ยกเลิกบัตรทอง แต่กำหนดชัดว่าให้ปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพให้ดีขึ้น รวมทั้งสิทธิประกันสังคมด้วย

-ไม่ได้ยกเลิกเบี้ยผู้สูงอายุ แถมยังกำหนดให้มีเบี้ยยังชีพสำหรับบุคคลผู้ยากไร้ด้วยไม่ว่าจะมีอายุเท่าไร

-เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพตามศักยภาพของแต่ละคนที่แตกต่างกัน และมีคุณธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับคุณลักษณะของประชากรในอนาคตที่ต้องมี "creativity-collaboration-talent"

-รัฐต้องจัดการพัฒนาเด็กเล็กอย่างน้อยตั้งแต่ 2 ขวบ เรื่อยไปจนชั้นอนุบาล ประถม จนจบภาคบังคับ (ม.3) โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รวมอย่างน้อย 14 ปี จบ ม.3 แล้วให้เลือกตามถนัดจะเรียนต่อหรือจะไปทำงานก็ได้ แต่ถ้าจะเรียนต่อต้องได้เรียน โดยมีกองทุนสนับสนุน เป็นกองทุนใหม่ ไม่ใช่ กยศ / ขณะนี้ คสช เห็นด้วยกับแนวทางนี้และมีคำสั่งให้เรียนฟรีได้ถึง ม.6/ปวช.3 ด้วยแล้ว

- ต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ โดยกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องลับเพื่อความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอย่างจริงจัง 

- เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตสำหรับผู้ทุจริตในการเลือกตั้ง/ต่อหน้าที่ ทรัพย์ที่ได้มาจากการทุจริตและที่ได้มาแทน ไม่ว่าจะโอนให้ใครไป ต้องถูกริบคืนให้ตกเป็นของแผ่นดิน 

- ยังเป็นระบบ 2 สภาเหมือนเดิม คือ สส. และ สว. โดยสส. 500 (แบ่งเขต 350 & บช. รายชื่อ 150) เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียวเหมือนเดิมและกาบัตรใบเดียว แต่เพิ่มเติมเรื่องการนำคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเขตได้ลงคะแนนไว้ทุกคะแนน (ทั้งคนที่ได้ /ไม่ได้รับเลือกเป็น สส เขต) ไปรวมนับคะแนนจากเขตอื่นทั่วประเทศเพื่อกำหนดจำนวน สส. ทั้งหมดที่พรรคนั้น ๆ จะได้แล้วนำจำนวน สส. เขตที่พรรคนั้นได้ไปหักออก ก็จะได้ สส. บช. รายชื่อ

- สว. จำนวน 200 คน 

- การเลือก สว. จะตั้งกลุ่มตามความรู้ / เชี่ยวชาญ / อาชีพการงาน ฯลฯ ปชช. สามารถสมัครเองได้ จากระดับอำเภอ --> จังหวัด --> ประเทศ *5 ปีแรก ให้มี สว. 250 คน ทั้งจากการเลือกและสรรหาโดย คสช. เพื่อกำกับและติดตามการปฏิรูปประเทศ

- คสช. สนช. กรธ. จะพ้นตำแหน่งก่อนรัฐบาลใหม่เข้ามาทำหน้าที่

 **********

ปากท้องของพี่น้องประชาชน:

- ไม่กำหนดวิธีการว่าให้ใช้ระบบ ศก. แบบใด (เดิมระบุว่าต้องใช้ระบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด) แต่เน้นว่า เป็นระบบที่ ปชช. ต้องได้ประโยชน์ไปด้วยกันอย่างทั่วถึงและยั่งยืน (inclusive and sustainable growth) ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง / ไม่ใช่มือใครยาวสาวได้สาวเอาตามแบบกลไกตลาดอย่างเดียว

- *รัฐไม่ประกอบกิจการแข่งเอกชน แต่ต้องส่งเสริมให้เอกชนมีความสามารถในการแข่งขัน

- *ส่งเสริมธุรกิจ ขนาดกลาง-ย่อม

- *พัฒนาวัตถุและจิตใจและความอยู่เย็นเป็นสุขของ ปชช. อย่างสมดุล

- กม. ยุทธศาสตร์ชาติ ต้องเสร็จใน 120 วัน หลังรธน. ผ่าน --> ยุทธศาสตร์ชาติ (20 ปี) เสร็จในอีก 12 เดือน

- ดังนั้น เท่ากับว่าหลัง รธน. ผ่าน ยุทธศาสตร์ชาติต้องเสร็จใน 16 เดือน --> เมื่อมี ครม. เข้ามา การทำงานต้องสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงการทำ งปม. ด้วย

- กระบวนการ/ ระยะเวลาอนุมัติ งปม. แผ่นดิน สั้นลง --> แผนต่างๆ เดินหน้าเร็วขึ้น --> กำหนดระยะเวลาจัดทำ กม. หลายฉบับสั้นลงและบทลงโทษในกรณีทำไม่เสร็จ -->ขอเห็นชอบหนังสือสัญญา ระหว่างประเทศต้องพิจารณาให้เสร็จใน 60 วัน (เหมือน รธน. 50) ถ้าไม่เสร็จถือว่าเห็นชอบ

 **********

 สรุป:

ร่าง รธน. นี้ ไม่ใช่เรื่องการปะผุการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นการวางอนาคต ปท ร่วมกัน

7 สิงหานี้ เป็นการลงประชามติว่าประชาชนจะเห็นด้วยกับอนาคตของชาติที่ กรธ. จัดทำมาเสนอหรือไม่

ไม่ใช่เรื่องการเอาชนะคะคานทางการเมืองอย่างที่ใครต่อใครคิด

 

อาจารย์ท่านเสนอแนะว่า หากใครไม่แน่ใจตามนี้ ทางที่ดี ให้อ่านจากของจริง จะได้สบายใจ ...(แต่ว่ามันยาว กลัวจะขี้เกียจอ่านนะสิ)

 

มาอ่านข่าวเกี่ยวกับกรณีสมเด็จช่วง และหลวงพี่น้ำฝน...จากนสพ.ไทยรัฐ

 

เจ้าคุณประสารวอนอย่าทำลาย “บิ๊กตู่” ย้ำจะนำชื่อผู้ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชได้ก็ต่อเมื่อเคลียร์ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ก่อน ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ด้าน “เจ้าคุณประสาร” พระเมธีธรรมาจารย์ ระบุองค์กรพุทธและภาคีเครือข่ายอยู่ระหว่างจับตาดูความเคลื่อนไหววอนผู้เกี่ยวข้องอย่าเอาความสะใจหรืออาศัยกรอบกฎหมายมาทำลายกัน ขณะที่ประธานสมาพันธ์ชาวพุทธฯชี้ ข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นการจงใจสร้างมลทิน เชื่อมีการยื้อเวลาจนกว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ กรณี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมผู้เกี่ยวข้องแถลงผลการตรวจสอบการครอบครองรถเบนซ์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม. และรถจากัวร์ ความคืบหน้า ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนการดำเนินการของรัฐบาล หลังนี้บ้านเมืองยุ่งมากพอแล้ว อะไรที่ยังไม่ใช่ความเร่งด่วนก็ควรที่จะเบาๆกันบ้าง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนการตัดสินใจที่จะนำชื่อผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ครอบครองรถเบนซ์โบราณเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหาว่า ขั้นตอนการพิจารณาเป็นไปตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ขณะขณะที่ยังไม่มีการตัดสินต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายได้ชี้แจงข้อเท็จจริง จากนั้นกระบวนการยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน ถ้าไม่เป็นแบบนี้มันไปต่อไม่ได้ วันนี้บ้านเมืองยุ่งมากพอแล้ว อะไรที่ยังไม่ใช่ความเร่งด่วนก็ควรที่จะเบาๆกันบ้าง

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนการตัดสินใจที่จะนำชื่อผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ขึ้นทูลเกล้าฯสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชได้เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ขั้นตอนของผมก็คือต้องเคลียร์ข้อกล่าวหาให้ได้ก่อน ข้อกล่าวหาต่างๆที่มีอยู่ในขณะนี้

 

ยังไม่ได้บอกเลยว่าผิดหรือถูก ถ้าคิดว่าถูกก็มาสู้คดี นำหลักฐานมาชี้แจงให้ได้ก็จบ ผมเคารพพระสงฆ์ทุกองค์ไม่ได้เลือกข้างใครอยู่แล้ว แต่ต้องเห็นใจผมด้วย เพราะทำหน้าที่ให้ประเทศชาติสงบปัญหาทุกวันนี้ก็ล้วนเป็นปัญหาเดิมทั้งสิ้น ถ้าอยากจะตกอยู่ในวังวนเหล่านี้ก็ไม่เป็นไรก็ทำกันต่อไปสู้กันไปก็แล้วกัน แต่ผมไม่สู้ด้วยไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น ทุกอย่างต้องใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐาน

ที่กระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เผยว่า ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ ส่วนการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการในวันที่ 27 ก.ค. ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะไม่ได้เข้าร่วมประชุม ต้องปล่อยให้คณะพนักงานสอบสวนหารือกัน เท่านั้น ส่วนกรณีทนายวัดปากน้ำภาษีเจริญและวัดไผ่ล้อม ยืนยันว่ารถโบราณทั้ง 2 คัน มีลูกศิษย์มาถวายและยินดีให้ตรวจสอบอีกครั้ง ยังไม่ได้ทำหนังสือชี้แจงมาอย่างเป็นทางการขณะที่พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับองค์กรพุทธและภาคีเครือข่ายทั่วประเทศมากมาย ถึงแนวทางในการเคลื่อนไหว ขอแจ้งให้ทราบว่าขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์ ประกอบด้วย กลุ่มพระสงฆ์ในประเทศ กลุ่มพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระธรรมทูตในต่างประเทศ กลุ่มองค์กรพุทธในประเทศ กลุ่มพระนิสิต นักศึกษาในทั่วประเทศ กลุ่มศิษยานุศิษย์ในคณะสงฆ์ ส่วนแนวทางการทำงานต่อจากนี้ กำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆตามกรอบเวลาที่กำหนดแล้วนำมาสรุปก่อนมีมติในเรื่องสำคัญ ส่วนวันที่ 27 ก.ค.กรมสอบสวนคดีพิเศษจะประชุมหาข้อสรุปเกี่ยวกับคดีการครอบครองรถโบราณในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำฯนั้น องค์กรพุทธและภาคีเครือข่ายอยู่ระหว่างจับตาดูความเคลื่อนไหว ขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรม ความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นหลัก อย่าเอาความมัน ความสะใจ เอาสี เอาข้าง หรือเอาธงจากใคร มาตัดสินโดยอาศัยกรอบของกฎหมายทำลายกัน

พระมหาศิริศักดิ์ สิริวุฑฺฒิปญฺญาเมธี ประธานสมัชชาพระนิสิตพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า สมัชชาพระนิสิตฯเตรียมออกมาสวดมนต์ครั้งใหญ่กับพระสงฆ์ทั่วประเทศ เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและพระมหาเถระที่ถูกย่ำยี ยืนยันไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เตรียมออกแถลงการณ์เพื่อกราบเรียนคณะสงฆ์ พระสังฆาธิการทั่วประเทศ ร่วมแสดงพลังความเป็นเอกภาพปกป้องพระพุทธศาสนา

พระครูกาญจนกิจจารักษ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่ กล่าวว่า เครือข่ายองค์กรสงฆ์รุ่นใหม่ พร้อมที่จะเคลื่อนไหวร่วมกับพระเมธีธรรมาจารย์โดยไม่ให้ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งนี้การออกมาสวดมนต์ไม่น่าผิดพระธรรมวินัยและไม่ได้ก่อปัญหาอะไรกับสังคม เพราะไม่ได้ไปปิดสถานที่ราชการแต่อย่างใด ทั้งยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์สิ่งที่อยู่ในใจพระสงฆ์ทั่วประเทศที่ต้องการรวมใจแสดงให้ทุกฝ่ายเห็น

นายบรรจบ บรรณรุจิ ประธานสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเสนอรายชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อทูลเกล้าฯสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ไม่ยอมลดธงลงและยังคงพยายามหาทางต้านต่อไป การเสนอรายชื่อเพื่อทูลเกล้าฯ คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน ขณะเดียวกันก็คงจะไม่กล้าเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นขึ้นมาแทนด้วย เพราะหากการเสนอรายชื่อสมเด็จพระสังฆราชในครั้งนี้ ไม่ใช่ชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่เป็นขั้นตอนดำเนินการที่ผิดธรรมเนียมประเพณี พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายคงดำเนินการอะไรบางอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาต่างๆนั้นเป็นการจงใจสร้างเรื่องให้เกิดมลทินกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และสร้างความชอบธรรมให้กับพระสงฆ์ของพวกเขา เรื่องนี้ไม่เฉพาะตนที่มองแต่สังคมรวมทั้งพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายทั้งหมดก็มอง คาดว่าคงยื้อไปจนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ส่วนการเคลื่อนไหวขององค์กรพุทธต่างๆทางสมาพันธ์ฯจะพิจารณาว่าควรเข้าร่วมหรือไม่

นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า กรณีหากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น ยังไม่ขอตอบคำถาม จนกว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาที่ชัดเจนออกมา เท่าที่ศึกษาตัวบทกฎหมายต่างๆ ไม่มีกฎหมายฉบับใดบัญญัติว่า เมื่อผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาแล้วจะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใดและให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ (แต่พ่อครูว่า ในพระธรรมวินัย

วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีพระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเชิญชวนให้กลุ่มพระออกมาเคลื่อนไหว หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สรุปผลการครอบครองรถเบนซ์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัด ปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชว่า ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมายจะไปนอกลู่นอกทางไม่ได้ อย่าไปปลุกม็อบเลย เพราะจะเสียหายในภาพรวม

ที่วัดไผ่ล้อม อ.เมืองนครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม และทีมกฎหมายของวัด แถลงข่าวกรณีดีเอสไอระบุว่ารถจากัวร์ แพนเธอร์ โบราณ มีชื่อของหลวงพี่น้ำฝนเป็นผู้ครอบครอง ผิดกฎหมาย เป็นการตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยเจตนา และมีการปลอมลายมือชื่อของนายชรินทร ปถคามินทร์ ผู้นำเข้าเครื่องยนต์ โดยหลวงพี่น้ำฝนกล่าวว่าจะไม่พูดเรื่องรถยนต์ที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะมอบหมายให้ทนายเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ อยากถามว่าทำไมต้องหลีกเลี่ยงภาษี แล้วอาตมาจะมาสร้างวัด สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลมูลค่าไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาททำไม

นายศุภภัทร์พจน์ ชี้แจงถึงที่มาของรถโบราณคันนี้ว่า เมื่อปี 54 หลวงพี่น้ำฝนไปเจริญพุทธมนต์ที่ร้านอาหารไทย ในนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมานายสมเชษฐ เขมทัต เจ้าของร้านถวายรถโบราณคันดังกล่าวที่จอดโชว์หน้าร้าน ให้นำมาจอดโชว์วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ใช้เป็นกุศโลบายให้คนเข้าวัดมากขึ้น ไม่ทราบเรื่องการปลอมลายมือชื่อของนายชรินทร เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำเข้ารถคันนี้ ที่ผ่านมาวัดรอให้ดีเอสไอเข้ามาสอบสวน เพื่อจะได้ให้ปากคำและเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องแต่ก็ไม่มา เคยสอบถามไปยังดีเอสไอได้คำตอบว่าหากเข้ามาสอบจะมีหนังสือแจ้งเข้ามาล่วงหน้า จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครเข้ามาสอบสวน

 

พ่อครูว่า...ในมหาศีลข้อ 2​พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้เห็นปานนี้อยู่เนือง ๆ คือสะสมข้าวสะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส

พระพุทธเจ้าห้ามสะสมยานพาหนะเลย

ในมหาศีลข้อ 7 พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบดิรัจฉานกถาเห็นปานนี้อยู่เนือง ๆ คือ เรื่องพระราชา เรื่องโจรเรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องสงคราม เรื่องข้าว เรื่องน้ำเรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยานเรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษเรื่องคนกล้า เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น ๆ

ไม่ได้พาซื่อไม่ให้พูดอะไรเลย แต่พูดแล้วเป็นไปเพื่อติรัจฉานกถา ไม่ได้เป็นไปเพื่อพระนิพพาน พูดไปแล้วกั้นทางนิพพาน เป็นอันตรายต่อมรรคผล อย่างนี้ไม่ให้พูด

 

การระงับความวุ่นวายเดือดร้อนพระพุทธเจ้าเรียกว่าอธิกรณ์

ในอธิกรณ์ 4 อย่างนั้น

 

วิวาทาธิกรณ์ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมวิวาทกันว่า

             1. นี้เป็นธรรม นี้ไม่เป็นธรรม

             2. นี้เป็นวินัย นี้ไม่เป็นวินัย

             3. นี้พระตถาคตเจ้าตรัสภาษิตไว้ นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสภาษิตไว้

             4. นี้พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงประ-*พฤติมา

             5. นี้พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้

             6. นี้เป็นอาบัติ นี้ไม่เป็นอาบัติ

             7. นี้เป็นอาบัติเบา นี้เป็นอาบัติหนัก

             8. นี้เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ นี้เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้

             9. นี้เป็นอาบัติชั่วหยาบ นี้เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ

ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความทุ่มเถียง ความกล่าวต่างกัน ความกล่าวประการอื่น การพูดเพื่อความกลัดกลุ้มใจ ความหมายมั่นในเรื่องนั้นอันใด นี้เรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ ฯ

 

อนุวาทาธิกรณ์

             [634] ในอธิกรณ์ 4 อย่างนั้น อนุวาทาธิกรณ์ เป็นไฉน ดูกรภิกษุ

ทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมโจทภิกษุด้วยศีลวิบัติ อาจาร-*วิบัติ ทิฐิวิบัติ หรืออาชีววิบัติ การโจท การกล่าวหา การฟ้องร้อง การประท้วงความเป็นผู้คล้อยตาม การทำความอุตสาหะโจท การตามเพิ่มกำลังให้ ในเรื่องนั้นอันใด นี้เรียกว่าอนุวาทาธิกรณ์ ฯ

อาปัตตาธิกรณ์

 [635] ในอธิกรณ์ 4 อย่างนั้น อาปัตตาธิกรณ์ เป็นไฉน อาบัติทั้ง5 กอง ชื่ออาปัตตาธิกรณ์ อาบัติทั้ง 7 กอง ชื่ออาปัตตาธิกรณ์ นี้เรียกว่าอาปัตตาธิกรณ์ ฯ

กิจจาธิกรณ์

 [636] ในอธิกรณ์ 4 อย่างนั้น กิจจาธิกรณ์ เป็นไฉน ความเป็นหน้าที่ ความเป็นกรณีย์แห่งสงฆ์อันใด คือ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติ-*ทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม นี้เรียกว่า กิจจาธิกรณ์ ฯ

 

อธิกรณสมถะ การทำอธิกรณ์ให้สงบระงับ หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย 7 อย่าง คือ

 

1สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน

2สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้ อย่างเช่นอาตมาห

3อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า

4ปฏิญญาตกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด

5ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์

6เยภุยยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก

7ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)

 

แล้วยังมีในมหาศีลที่ พระพุทธเจ้าให้งดเว้นติรัจฉานกถามหาศีล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงในพรหมชาลสูตร มีรายละเอียดดังที่ปรากฏในพรหมชาลสูตร ของพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค มีดังต่อไปนี้

 

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นาเป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัดเป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์

 

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหมร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.

 

พระสมณะโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล [3]

 

แล้วเป็นหมอแล้วมาบวชเป็นพระจะรักษาได้ไหม? ก็เป็นความจำเป็นต้องช่วยเหลือพระด้วยกัน แม้ไม่ใช่หมอก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว

 

ก็ขอสรุปในเรื่องที่ละเมิดในของที่ไม่ใช่ของเราเกินห้ามาสก ปาราชิกไปเท่าไหร่ คดโกงในภาษีนี้ปาราชิกไปเท่าไหร่แล้ว แล้วก็ยังบอกว่าไม่ใช่ของเราอีก เอาไปกกไว้ตั้งหลายปี ใครมาแตะก็ไปว่าเขาอีก ขอยืนยันว่าไม่ใช่พระ เป็นสมีไปแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกัน ถ้าจัดการคราวนี้ไม่ได้ อาตมาว่า เสียของ

วาระนี้เป็นปัจจุบันธรรมที่สำคัญที่เราต้องไปลงคะแนนเสียง อาตมาก็ขอสับธงว่ารับ ส่วนใครไม่รับก็ไม่ใช่พวกของอาตมาก็แล้วกัน….

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:58:04 )

590801

รายละเอียด

590801_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทางเสื่อมของศาสนาพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2559 แรม 13 ค่ำเดือน 8 ปีวอกวันเวลาก็ผ่านไปผ่านไปพวกเราซึ่งเป็นชาวอโศกโดยเฉพาะที่เป็นสมาชิกในชุมชนอาตมาได้ทำงานมาจนถึง 46 ปีก็ยังนึกไม่ถึงว่าเกิดมาได้เป็นไปได้ถึงอย่างนี้โดยเฉพาะเป็นถึงขั้นสาธารณโภคีอาตมาไม่เคยคาดว่าจะเป็นได้ถึงปานนี้

เพราะว่าแม้แต่ในยุคของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่มีสาธารณโภคีในระดับชุมชนฆราวาส ที่ทำงานสัมมาอาชีวะสัมมากัมมันตะสัมมาวาจาสัมมาสังกัปปะ แล้วก็ทำให้เกิดจิตใจที่เป็นสัมมาสมาธิเพราะมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานมีสัมมาวายามะสัมมาสติห้อมล้อมเมื่อมีอาชีพที่เป็นสัมมาให้เกิดกัมมันตะที่สัมมา วาจาที่สัมมา แล้วพวกเราก็ได้ทำจนเกิดผล หากไม่เกิดผลก็ไม่มารวมกันอยู่เป็นชุมชนกลุ่มอย่างนี้

การมารวมกันอยู่แบบนี้เขาเรียกว่าสงฆ์หรือสังฆะ คือหมู่ชน พวกคุณแม้ไม่ได้มาบวช ไม่ได้ผ่านพิธี แต่ว่าก็มีใจที่จะมารวมกันอยู่ในหมู่นี้แหละ แล้วมีการปฏิบัติมรรค 7 องค์เหมือนกัน แล้วก็กล้าพูดได้ว่า พวกคุณเอาจริงกว่าพระสามแสนรูปที่บวชตามพิธี เอาจริงมากกว่ามาก แต่ในสามแสนรูปก็มีพระเอาจริงอยู่ไม่น้อย แต่พวกเรานี่เอาจริงมากกว่าพระจำนวนไม่น้อยในสามแสนรูป พวกเราก็คือนักบวชคือผู้ปฏิบัติธรรม แล้วพวกคุณก็ทำสัมมาอาชีพ

แต่ในวัดต่างๆพวกเขามีรายได้อะไรมากกว่าพวกคุณ แล้วพวกท่านที่บวชเป็นพระก็มีพิธีต่างๆที่เอาไปทำมาหากิน พวกคุณยังไม่ทำด้วย ท่านมีเงินทองมีทรัพย์สมบัติมากกว่าพวกคุณด้วย ยิ่งธัมมชโยนี่มีที่ดินมากมายเลย ไม่ได้ใส่ความด้วยเลย แล้วไม่ได้ใส่ใจศึกษาธรรมะมากเท่าพวกคุณด้วย หลายวัดพระก็อยู่แค่ทำจารีตประเพณี สวดมนต์เท่านี้ มีงานบ้าง แต่ทำเพื่อได้เงินได้ทอง นั่นคือมาบวชเพื่อเอาอะไร แต่ต่างจากพวกคุณ ขออภัยที่พูดความจริงนี้ไม่ได้ตั้งใจพูดข่มพูดอวด แต่สาธยายความจริง

อาตมาทำงานมา สามสิบกว่าปีทำให้เกิดสังคมสังฆะ ที่ปฏิบัติ มรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม พวกคุณปฏิบัติอย่างที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาบรรยาย มากกว่าพระหลายวัด ต้องขอพูดว่า การมาบวชกลายเป็นแหล่งแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุข มาเรียนแล้วได้เทียบปริญญา ได้เปรียญ แล้วออกไปทำมาหากิน ซึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีหรอกแบบนี้ที่มาบวชแล้วจะได้อะไรอย่างนี้

 

ขออ่าน sms เมื่อวานนี้ SMS 31 JUL 59

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.ฯผู้น้อยเห็นด้วยกับพิมพ์เพชรรุ้งกับอ.ดร.ฯที่พ่อครูอ่านตรงกันกับที่ตนอ่าน รรธน.ในผจก.360 อศ.จาก www.ect.go.th ของ กกต.ชัดเจน!

ตอบ...อาตมาก็ไม่ได้ไปลงคะแนนกับเขาหรอก เพราะเป็นนักบวชแล้ว แต่ก็มีหน้าที่ให้ความชัดเจน เป็นการทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง แบบพุทธ ที่มีเป้าหมายคือให้คนมีปัญญาที่จะเป็นสุข เป็นสุขที่ไม่ใช่สุขโลกีย์ที่แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทางกาม ทางอัตตา ได้มาก็สุข ได้เสพกามก็สุข ได้บำเรออัตตาก็สุข แต่เป็นสุขัลลิกะ สุขเท็จ แต่สุขที่อาตมาหมายคือปรมังสุขัง วูปสโมสุข เป็นสุขของโลกุตระ ที่จริงเอาภาษามาพูด แท้จริงไม่ได้สุขหรอก อารมณ์มันว่างจากกิเลส ผู้ที่มีภูมิปัญญาเข้าถึงสัจจะที่อาตมาอธิบาย จะเป็นผู้ที่ให้คนมาได้รับความสุข แล้วทำให้มวลชนเป็นสุข ผู้ที่จะทำให้หมู่ชนเป็นสุข เรียกว่า พหุชนสุขายะ ตามธรรมะของพระพุทธเจ้าที่

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

สันตาของพระพุทธเจ้านี้ลึกซึ้งมาก สงบลึกซึ้ง สงบจากกิเลส โดยไม่มีความเสียหาย ไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษเลย สงบมีแต่ความเจริญ สงบอย่างมีพฤติกรรมดี ผู้สงบอย่างนี้ทำกายกรรม วจีกรรม สงบแต่มีองค์ประชุมรูปนามที่แคล่วคล่องว่องไว ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติไม่ได้เบียดเบียนใคร คำว่าสงบของพระพุทธเจ้านี้ลึกซึ้ง ไม่ใช่ทำอย่างฤาษีที่หนีสังคมไม่เกี่ยวกับสังคม

0805925xxx ชัดนะต้องเคลียร์อย่าซี้ซั่วตั้งช่วงรถหรูยังไม่เคลียร์หน้ามึนจัง!

0893867xxx ผู้รู้ท่าน1บอกว่าอย่าเชื่อผู้มีอำนาจขอให้เชื่อผู้มีบารมี!ผู้น้อยเชื่อใจตัวเองว่าตนเองเชื่อผู้มีบารมีในธรรมจึงจะมาถูกทางได้ความถูกต้องตรงตามสัจธรรมจริง!

0805925xxx บ่แมนหน้าโด้หน้ามึนเด้พ่อช่วงจะฮู้บ่บ่อต้องเคลียร์ช่วยเขี่ยช่วงช่วงได้ป่ะ?

0890529xxx กามราคะเป็นพิษนำจิตทราม ความสวยงามเสมือนหนึ่งดั่งเสือร้าย มั่วกาเมเป็นภัยอย่าย่ำกราย ดั่งใจกายมีสติเป็นยอดคน

0890529xxx แพ้เป็นพระโบราณสอนน่าศึกษา ถูกเขาด่าถูกเขาด่าก่อทุกข์ให้ จงหลบหลีกอดกลั้นให้อภัย เราอย่าไปเอาชนะจะเป็นมาร

0805925xxx ม๊อบพระอลัชชีเจอม๊อบสีกาผ้าใบสีข้างตีนเตะเปรี้ยงคงหายมึนดีป่ะม่ายยบาปเนอะ?

0893867xxx คนไทยรักปท.ไทยจริงจงหยุดจิตทุจริตดึงปท.ติดบ่วงกรรม!พึงพาใจสุจริตฉุดปท.พ้นวิบากกรรม!หนอนธรรมะเชื่อธ.พญาแร้งตามก้นกุฏิอโศกอยู่แล้ว!กบพึ่งตนตัวเดียวในกะลาบนขวานทอง!

 

มาดูบทความในผจก.รายวัน

ครอบครองเบนซ์“ขม99”ผิด กม.สรรพสามิตฯ

โดย ผู้จัดการรายวัน

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “ดีเอสไอ” แถลงผลประชุมร่วม “อัยการ” ย้ำใครครอบครองเบนซ์ ขม 99 ผิด พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ จ่อแจ้งข้อหา สมเด็จช่วง ผู้ครอบครอง พร้อมเอาผิดผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 2 ราย

      

       วานนี้ (28 ก.ค.) เวลา 16.20 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกแถลงความคืบหน้าการประชุมร่วมกับพนักงานอัยการ คดีพิเศษที่ 12/2559 กรณี รถยนต์ยี่ห้อ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ซึ่ง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เคยครอบครอง ความต่อหนึ่งว่า ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วบางส่วน และที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันว่าคดีมีพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนในชั้นนี้ ยังรับฟังได้อีกว่ามี นายพิชัย วีระสิทธิกุล และ นายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับ นายเกษมศักดิ์ ภวังคนันท์ ในความผิดเกี่ยวกับการชำระภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 161 (1) พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการจะได้พิจารณาดำเนินการเรียกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนในเรื่องเกี่ยวกับการประเมินภาษีเพิ่มเติมทางกรมสรรพสามิตได้พิจารณาดำเนินการแล้ว ขณะนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างรอแจ้งผลการดำเนินการ จากกรมสรรพสามิต หากการดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นประการใดจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยเร็ว

ที่เอามาอ่านให้ฟังจะได้รู้พฤติกรรมของผู้ที่มาบวชได้ยาวนาน จนอายุได้ 90 กว่าแล้วก็ยังมีลักษณะที่ไม่ใช่พระ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้สะสม แต่นี่สะสมยานพาหนะ รถหรู อย่าว่าแต่ของใหญ่ๆเลย แม้ข้าวสารอาหารแห้ง พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้สะสม มีอยู่ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  แล้ววินัยกับศีลก็ไม่เหมือนกัน ศีลใช้ปฏิบัติเพื่อให้ศาสนาเจริญขึ้น แต่วินัยนี้อย่าละเมิด มีโทษทุกข้อ แต่ศีลไม่ระบุโทษ เป็นส่ิงประเสริฐ

ในมัชฌิมศีล ...พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้เห็นปานนี้อยู่เนือง ๆ คือสะสมข้าวสะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส

 

สะสมไม่พอ ยังโกงภาษี เพราะฉะนั้นสมเด็จช่วงนี้เป็นผู้เข้าข่าย ผู้ควรแก่ปาราชิก เพราะว่าโกงภาษีเกินกว่าห้ามาสก แม้ไม่ได้โกงเอง แต่ไปกับคนเลี่ยงภาษียังผิดเลย แต่นี่สมเด็จช่วงนี้ เปรียญ 9นะ แล้วมีพระเมธีธัมมาจารย์จะเอากฏหมู่มาช่วยอีก เห็นได้เลยว่า ผู้ที่มีหน้าที่เป็นใหญ่ในศาสนาพุทธในกระแสหลักนี้พึ่งพาไม่ได้ แม้มีพระดี แต่ไม่มีพลังอะไรจะออกมาช่วยได้

ตอนนี้เขามีการเรียกร้องให้ ผู้ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชนี้ให้ขึ้นเป็นสังฆราชแต่ว่ามีการฟ้องร้องจนท่านตกเป็นจำเลยแล้ว ก็ถือเป็นผู้ควรแก่การปาราชิกแล้ว เขาก็หาว่าเป็นการเมืองไม่ชอบมาพากลอีก แต่กรรมที่สะสมรถโบราณนี่ก็ผิดแล้ว แต่ก็มีอีกหลายกระทงที่ผิด เป็นความผิดที่เข้าข่ายต้องชำระ แต่นี่ไม่มีใครออกมาทำอะไรกันเลย อมพะนำกัน แต่ก็มีแต่ผู้ที่บอกว่าต้องเร่งทูลเกล้าให้เป็นสังฆราช แต่ประเทศไทยนี้เคราะห์ดีนะ เพราะถ้าขืนส่งไปได้เป็นก็เป็นเคราะห์ร้ายของประเทศไทย

ยิ่งเขาเอามวลมาแสดงมากๆยิ่งแสดงให้เห็นความเน่าได้ชัดเจน เพราะผู้มาบวชแล้วต้อง  โภคักขันธัง   ปหายะ   ญาติปริวัฎฎัง   ปหายะ มีบาตรบริหารท้อง จีวรบริหารกาย ไปทิศาภาคใดก็ไปได้เหมือนนกปีกแข็ง เป็นอิสรเสรีภาพของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วมาพัฒนาจิตตนให้รู้กิเลส ลดกิเลส เป็นโสดาฯ สกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ จะได้เป็นผู้สืบทอดพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าสืบไป ได้พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างแท้จริง ไม่ใช่ศาสนาฤาษีดาบส เข้าป่า

ในพรหมชาลสูตร ท่านแยกชัดว่า มิจฉาทิฏฐิ ฟุ้งไปในอนาคต 44 ทิฏฐิ และอยู่กับอดีตอีก 18 ทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วต้องมีผัสสะ มีเวทนาเป็นฐานปฏิบัติ แต่ผู้นั่งหลับตาทำสมาธิ มีแต่ตัณหาแส่หา ไม่มีทางบรรลุธรรมเลย

ส่วนสามัญผลสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าจะนำไปสู่ความสงบเป็นสมณะ 4 เหล่า แล้วท่านก็ตรัสว่าต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาเช่นนี้ การปฏิบัติต้องให้สังวรศีล สำรวมอินทรีย์มีสติสัมปชัญญาให้จิตเกิดเป็นฌาน 4 เป็นสมาธิ เกิดวิชชา 8 คือสามัญผลสูตร ปฏิบัติอย่างลืมตาไม่ได้หลับตาปฏิบัติ มีสติสัปชัญญะ สติสัมโพชฌงค์ เกิดสันโดษ มีวรรณะ 9

จากนั้นก็อัมพัฏฐสูตร มีลูกศิษย์ของพราหมณ์มาตรวจสอบพระพุทธเจ้าแล้วกลับไปเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็ปัดด้วยเท้าเลย เพราะไปลบหลู่พระพุทธเจ้า …

 

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

          [165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

          [166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

          ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่4 ประการดังนี้.

[167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.

 

ความเสื่อมของผู้แสวงหาผิดๆสรุปไว้ 4 ประการ

1ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

ศาสนาพุทธนี้เสื่อมตั้งแต่เข้าป่าอาตมาเขียนเป็นหนังสือ ป่ากับศาสนาพุทธ รวบรวมประเด็นไว้มากเลย แต่ผู้ที่เรียนกันมานานยึดถือกันมานาน แล้วเห็นว่าพระปฏิบัติต้องพระออกป่า แต่ทั้งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าปฏิบัติต้องไปในเมือง เดินมรรคมีองค์ 8

การทานนั้นต้องถอดถอนภพชาติเทวดาทั้ง 6

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน

ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้

ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี

ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี

ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร

ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น

ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส

แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตตาลังการัง ,จิตตปริขารัง) เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

 

มีซ้อนที่ว่าตนไปนั่งหลับตาได้ความว่างแบบฤาษี แต่นึกว่าตนเป็นพรหม แต่ก็ไม่ได้ละทิ้ง ภพเทวดา 6 นั้นเลย ก็ยิ่งยึดติดไปใหญ่

สมมุติเทพคือเทวดาทั้ง 6 ชั้น

อุบัติเทพเป็นเทวดาจริง แล้วหมดภพชาติก็เป็นวิสุทธิเทพ

ต้องเรียนรู้อย่างมีเวทนา … [77] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีมิได้.

ต้องเรียนรู้เวทนา 108 นี่คือกรรมฐานที่แท้ของพุทธ ทำให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาที่เป็นฐานนิพพาน สั่งสม อดีต และทุกปัจจุบัน ในเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นอเนญชาภิสังขาร ต้องมาเรียนรู้เวทนาจากมูลกรรมฐาน 5 จนแยกกายแยกจิตได้บริบูรณ์ ….จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:59:06 )

590801

รายละเอียด

590801_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทางเสื่อมของศาสนาพุทธ

ที่เอามาอ่านให้ฟังจะได้รู้พฤติกรรมของผู้ที่มาบวชได้ยาวนาน จนอายุได้ 90 กว่าแล้วก็ยังมีลักษณะที่ไม่ใช่พระ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้สะสม แต่นี่สะสมยานพาหนะ รถหรู อย่าว่าแต่ของใหญ่ๆเลย แม้ข้าวสารอาหารแห้ง พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้สะสม มีอยู่ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  แล้ววินัยกับศีลก็ไม่เหมือนกัน ศีลใช้ปฏิบัติเพื่อให้ศาสนาเจริญขึ้น แต่วินัยนี้อย่าละเมิด มีโทษทุกข้อ แต่ศีลไม่ระบุโทษ เป็นส่ิงประเสริฐ

ในมัชฌิมศีล ...พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้เห็นปานนี้อยู่เนือง ๆ คือสะสมข้าวสะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส

 

สะสมไม่พอ ยังโกงภาษี เพราะฉะนั้นสมเด็จช่วงนี้เป็นผู้เข้าข่าย ผู้ควรแก่ปาราชิก เพราะว่าโกงภาษีเกินกว่าห้ามาสก แม้ไม่ได้โกงเอง แต่ไปกับคนเลี่ยงภาษียังผิดเลย แต่นี่สมเด็จช่วงนี้ เปรียญ 9นะ แล้วมีพระเมธีธัมมาจารย์จะเอากฏหมู่มาช่วยอีก เห็นได้เลยว่า ผู้ที่มีหน้าที่เป็นใหญ่ในศาสนาพุทธในกระแสหลักนี้พึ่งพาไม่ได้ แม้มีพระดี แต่ไม่มีพลังอะไรจะออกมาช่วยได้

ตอนนี้เขามีการเรียกร้องให้ ผู้ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชนี้ให้ขึ้นเป็นสังฆราชแต่ว่ามีการฟ้องร้องจนท่านตกเป็นจำเลยแล้ว ก็ถือเป็นผู้ควรแก่การปาราชิกแล้ว เขาก็หาว่าเป็นการเมืองไม่ชอบมาพากลอีก แต่กรรมที่สะสมรถโบราณนี่ก็ผิดแล้ว แต่ก็มีอีกหลายกระทงที่ผิด เป็นความผิดที่เข้าข่ายต้องชำระ แต่นี่ไม่มีใครออกมาทำอะไรกันเลย อมพะนำกัน แต่ก็มีแต่ผู้ที่บอกว่าต้องเร่งทูลเกล้าให้เป็นสังฆราช แต่ประเทศไทยนี้เคราะห์ดีนะ เพราะถ้าขืนส่งไปได้เป็นก็เป็นเคราะห์ร้ายของประเทศไทย

ยิ่งเขาเอามวลมาแสดงมากๆยิ่งแสดงให้เห็นความเน่าได้ชัดเจน เพราะผู้มาบวชแล้วต้อง  โภคักขันธัง   ปหายะ   ญาติปริวัฎฎัง   ปหายะ มีบาตรบริหารท้อง จีวรบริหารกาย ไปทิศาภาคใดก็ไปได้เหมือนนกปีกแข็ง เป็นอิสรเสรีภาพของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วมาพัฒนาจิตตนให้รู้กิเลส ลดกิเลส เป็นโสดาฯ สกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ จะได้เป็นผู้สืบทอดพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าสืบไป ได้พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างแท้จริง ไม่ใช่ศาสนาฤาษีดาบส เข้าป่า

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=83878

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfTGROVFVBYUJzbzA

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/3fbgnc1l4kpp/160801

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:58:40 )

590802

รายละเอียด

590802_พุทธศาสนาตามภูมิ ใช่พุทธหรือไม่ต้องตัดสินตามธรรมวินัย

ในมัชฌิมศีล เรื่องเดรัจฉานกถา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าสะสมยาน ถ้าสะสมก็เป็นเดรัจฉานวิชชา แล้วถามว่าสมเด็จช่วงสะสมไหม?ก็สะสม ประพฤติไม่ใช่แค่พูดธรรมดา แต่สมเด็จช่วงนี้ยังมีชื่อเป็นเจ้าของรถอีกด้วย จะบอกว่าซื่อๆทำไปเพราะเขาเอามาถวาย แล้วรู้จักอาการจิตที่ไหน จะให้มาขึ้นเป็นสังฆราชได้อย่างไร มันจะลากสังฆะลงมามากกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

ในเรื่องการสะสมนี้ลึกซึ้ง สิ่งที่เรามีเราไม่ได้สะสม อาตมามีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องมือทำงานก็มี ใช้รถยนต์ไหม มีรถไฟฟ้าใช้ด้วย แต่อาตมาไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้ยึดติด ไม่มีสาเฐยจิต ที่จะเอามาเป็นของอาตมาเลย ให้ฆราวาสดูแล จะนั่งเมื่อไหร่ก็บอกเขา อยู่ไหม? เขาก็อยู่มาก ก็ตามเอา 

ถ้าใจคุณรู้ว่าโกหกก็โกหกต่ออีก ก็เป็นสัมปชานมุสาวาท ทบไปไม่รู้เท่าไหร่นะ ขอยืนยันว่าในกรณีอย่างนี้ อาตมาว่าอธิบายครบแล้ว ว่าตัวอย่างขนาดนี้แล้ว จิตตัวเองจะโกหกเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ใช้สามัญสำนึกก็จะรู้ว่าคนๆนี้โกหก

 

 

มาดูในพระวินัยปิฏก ล.1 ข้อ 152

3. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปกับพวกเกวียน บุรุษคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมภิกษุนั้นด้วยอามิสแล้ว เห็นด่านภาษี จึงส่งแก้วมณีซึ่งมีราคามากให้แก่ภิกษุนั้น ด้วยขอร้องว่า

ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงช่วยนำแก้วมณีนี้ผ่านด่านภาษีด้วย จึงภิกษุนั้นนำแก้วมณีนั้นให้ผ่านด่านภาษีไปแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้

มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว            

 

ในมัชฌิมศีล เรื่องเดรัจฉานกถา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าสะสมยาน ถ้าสะสมก็เป็นเดรัจฉานวิชชา แล้วถามว่าสมเด็จช่วงสะสมไหม?ก็สะสม ประพฤติไม่ใช่แค่พูดธรรมดา แต่สมเด็จช่วงนี้ยังมีชื่อเป็นเจ้าของรถอีกด้วย จะบอกว่าซื่อๆทำไปเพราะเขาเอามาถวาย แล้วรู้จักอาการจิตที่ไหน จะให้มาขึ้นเป็นสังฆราชได้อย่างไร มันจะลากสังฆะลงมามากกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

ในเรื่องการสะสมนี้ลึกซึ้ง สิ่งที่เรามีเราไม่ได้สะสม อาตมามีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องมือทำงานก็มี ใช้รถยนต์ไหม มีรถไฟฟ้าใช้ด้วย แต่อาตมาไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้ยึดติด ไม่มีสาเฐยจิต ที่จะเอามาเป็นของอาตมาเลย ให้ฆราวาสดูแล จะนั่งเมื่อไหร่ก็บอกเขา อยู่ไหม? เขาก็อยู่มาก ก็ตามเอา 

ถ้าใจคุณรู้ว่าโกหกก็โกหกต่ออีก ก็เป็นสัมปชานมุสาวาท ทบไปไม่รู้เท่าไหร่นะ ขอยืนยันว่าในกรณีอย่างนี้ อาตมาว่าอธิบายครบแล้ว ว่าตัวอย่างขนาดนี้แล้ว จิตตัวเองจะโกหกเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ใช้สามัญสำนึกก็จะรู้ว่าคนๆนี้โกหก

 

ก็ขอพูดถึงเรื่องเจ้าคุณประสาร หรือสมเด็จช่วงก็ผ่านไป

 

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องพวกเรากับคณะมหาช่วงกับเจ้าคุณประสาร เป็นพุทธเหมือนกันแต่นานาสังวาส อาตมาก็พาคณะเราแยกออกมา ก็ดูว่าสองคณะนี้ คณะไหนที่ประพฤติตรงกับอนุสาสนีย์(คำสอน)ของพระพุทธเจ้าบ้าง

พระพุทธเจ้าให้เป็นคนเลี้ยงง่าย ไปง่ายมาง่ายอยู่ง่ายกินง่าย เป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่ไม่ใช่มักง่ายนะ อาตมานี่พาพวกเรานอนไม่สบายเลย นอนแช่น้ำก็มี

เป็นคนมักน้อย ยืนยันได้เลย ในคณะพวกเรา อย่าว่าแต่สมณะเลย (เราไม่ใช่พระ อย่าเอาคำว่าพระมาเรียกพวกเรา) พวกเราไม่มีเงินมีทอง อยู่แม้แต่สิกขมาตุเราก็ทำได้ไม่ต้องใช้เงินมีเงินเลย แม้แต่ฆราวาสเราบางคนก็ไม่ใช้เงินทองส่วนตัวเลย ให้ส่วนกลางให้ จะเรียนป.โท ป.เอก ก็ยังได้เลย เอาปริญญามาเพื่อรับใช้ปชช.ไม่ได้เอามาหาเงินส่วนตัวเลย

พวกเราออกมานี่ เช่นมีที่ดินก็เซ็นสละออกให้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือสิกขมาตุ อะไรที่เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวเอาออกไปหมด มีบริขารมีปัจจัย 4 ที่มักน้อยสันโดษ

มีชีวิตที่ขัดเกลา ช่วยท้วงติง แนะนำ ดูแล ไม่ปล่อยให้สะสมกองกิเลส ช่วยกันจริงๆ สัลเลขธรรม

มีธูตะ คือศีลเคร่ง การไม่ใช้เงินทอง กินมื้อเดียวก็ศีลเคร่ง เราทำได้ปกติแล้วไม่เดือดร้อน มีศีลเป็นปกติธรรมดา

ปาสาทิกะ เป็นอาการที่น่าเลื่อมใส กาย วจี มโน เป็นอาการไม่เหมือนชาวโลกเขา มีสมณสารูป ไม่ใช่วิ่งเข้าหาโลกธรรม กามคุณ เช่น ชื่นใจจังได้เดินบนดอกไม้ พูดเช่นนี้ไม่มีสมณสารูปเลย น่าเกลียด

มีอปจยะ คือไม่สะสม วัตถุ เงินทอง เราก็ไม่สะสม ชัดที่สุดคือไม่สะสมกองกิเลส พยายามล้างออก เรียนรู้ให้ชัด ไม่สะสมกองกิเลส วัตถุก็ไม่สะสม

มีวิริยารัมภะ คือขยันเสมอ ไม่ขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นการงานของสหธัมมิก มุ่งมั่นเจริญด้วยไตรสิกขา ก็ช่วยกันทำ นี่คือวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า

 

แล้วมีข่าวว่าเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณี พระเมธีธรรมาจารย์  หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เตรียมจัดสวดมนต์ใหญ่ และจะมีการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช หลังการออกเสียงประชามตินั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวตนเชื่อว่าพระสงฆ์ก็ต้องทราบกฎหมายเช่นกัน ซึ่งหากจะมีการชุมนุมจริง ก็ต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ดูแลเรื่องนี้แล้ว

 

พ่อครูว่า….การรวมตัวสวดมนต์ มีสองอย่างคือ 1.สังคีติ กับ 2.สังคายนา นอกนั้นนอกรีตพุทธทั้งนั้น การสวดสังคายนาคือ สวดคนเดียวแล้วคนอื่นก็ฟัง ว่าถูกต้องไหม แล้วท้วงได้ ให้ทุกคนช่วยกันตรวจสอบคำสวดมนต์นี้ เพื่อให้คำสอนยืนนาน แล้วแบบสังคีติ คือสวดท่องจำเอาไว้ ถ้าสวดหมู่ก็ช่วยท่องจำ เหมือนท่องสูตรคูณ อาขยาน ก็เช่นเดียวกัน ก็สวดให้จำได้ดี ก็สวดพร้อมกัน แต่สวดสังคีติไม่ใช่มาสวดต่อหน้าธารกำนัล แต่สวดในที่ๆจะเป็นเฉพาะภิกษุที่จะมาท่องจำกัน

พระพุทธเจ้าตั้งวินัยไม่ให้สวดธรรมบทของพระพุทธเจ้าพร้อมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปให้ฆราวาสฟัง เป็นอาบัติ ทำไมท่านต้องห้ามตรงนี้

ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามตรงนี้เพราะการเอาบทมนต์มาสวดท่อง ทำมาหากินก็มีมาแต่โบราณ แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านกันตรงนี้เอาไว้ แต่ลัทธิศาสนาอื่นก็แล้วแต่ แต่ของพุทธนั้นกันเอาไว้ ไม่ให้เอาไปสวดทั่วไปพร้อมกันอย่างน้อยสองรูป ให้ฆราวาสฟัง อันนี้ผิดเป็นอาบัติ ไม่ว่าจะอาบัติอะไรก็ไม่ควรทำ

แม้อาบัติเล็กน้อยพุทธ แต่ถ้าอยู่เจตนาทำให้บริสุทธิ์สะอาด แม้มีโทษภัยอันมีประมาณน้อยอย่าทำ แต่คุณเจตนาทำซ้ำๆ แบบนี้ไม่ดี ไม่ควรอยู่ในศาสนาเสียเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า โกหกทั้งๆที่รู้ ไม่มีชั่วไหนที่เขาจะทำไม่ได้

การที่จะสวดมนต์ให้มากคนๆ เพื่อความขลังหรือย่ิงใหญ่ก็เป็นเทวนิยม เป็นเดรัจฉานวิชชา

แต่การเอาไปสวดให้สาธารณะได้นั้นคือ สวดประณามคาถา คือคำสวดที่แต่งขึ้นใหม่ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุรุ่นหลังแต่งมา เพื่อยกย่องเชิดชูพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมบทของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะเอามาปฏิบัติธรรม

ในภาษาไทย ประณามคาถาคือคำยกย่องเชิดชู แต่คนไทยเอาไปทำเสีย ก็เลยกลายเป็นลบหลู่ คำว่าประณาม คำเดียวก็แปลว่าคำดูถูก เพี้ยนไปจากคำบาลีเสียแล้ว


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:59:39 )

590802

รายละเอียด

590802_พุทธศาสนาตามภูมิ ใช่พุทธหรือไม่ต้องตัดสินตามธรรมวินัย

พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2559 ชีวิตจะมาไม่เคยรู้สึกว่าอะไรจะสำคัญเท่ากับธรรมะเราเป็นคนไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานก็จะรู้ว่าธรรมะนี้เป็นสิ่งสุดยอดในคนที่จะต้องศึกษาค้นคว้าปฏิบัติเอาให้แก่ตนได้ไว้ที่ตัวให้ได้ที่ตัวเราและต้องให้ได้อย่างบริสุทธิ์ที่สุดความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

SMS 1 AUG 59

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯเมตตาอ่านSMSผู้น้อยๆเคยส่งยา ยาอมสมุนไพรฤาถวายตามงานบุญพุทธสถ.ให้พ่อครู มิรู้ช่วยแก้ไอได้แค่ไหน!จะส่งมาอีกท่านก็จาริกทั่ว ปท.ไม่รู้จะส่งถึงพุทธสถ.ไหนแน่?

0893867xxx ผู้น้อยหาใช่ผู้รอบรู้ไม่!หนังสือธรรมะของพ่อครูกับการเทศน์สอนของท่านต่างหากทำให้ช่างศิลป์งานเล็กๆเบี้ยน้อยๆตั้งใจใฝ่เรียนรู้ให้เข้าถึงใจตนจนเข้าถึงธ.พระพุทธเจ้าสาธุ

0893867xxx ขอถวายบทสวดโพชฌังคปริตรแด่พ่อหลวงฯสมเด็จแม่ฯทรงหายประชวรพระพลามัยแข็งแรงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานฯลูกไทยใจภักดิ์ฯ

 0805925xxx อีกหลายช่วงถึงพ้นมลทินสมชื่อช่วงตามกาละกาลวิบาก?ปลายฝน

0893867xxx เราผ่านมาทุกรบ.ปท.ไทย มีนกม.1เดียวที่นำธ.อัปปิจฉะในพระพุทธเจ้าจากพ่อครูมาใช้บริหารปท.ได้พอเหมาะพอดีพอเพียงคือหัวหน้าพ.พลังธรรมลุงจำลองผู้ว่าฯ ที่สมถะที่สุดในโลก!ยุคต่อไปใครจะทำได้อย่างลุงหนอ?

ตอบ...ก็เห็นอย่างคุณว่านี้ แล้วพวกเราที่ทำนี้ คนไม่เข้าใจเพราะว่าเราทำอย่างจริงใจจริงจัง แล้วทำในสิ่งดีทำเพื่อประชาชนดูเหมือนว่าเราอยากทำ  เขาก็ว่าเรามีตัวตน แท้ๆทำเพื่อตัวเอง...อันนี้ไม่มีใครรู้ของใครได้หรอก แต่เราจะสามารถรู้ได้ว่าคนที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนนี้ มาตรวจสอบได้เลยว่า เอามาเสวยเสพสัมผัสตัวเองหรือไม่ ให้พิสูจน์ได้เลย อาตมากล้ายืนยันท้าทายตรงนี้

0893867xxx ถ้าในวงการเมืองไทยมีนกม.แบบลุงจำลองปชธต.ใบสุจริตโปร่งใสขาวสะอาดแบบไทยไทแท้ผุดนโยบายพอเพียงพาปท.พ้นอบายเจริญในธ.แท้อย่างพอดี!แต่ไม่รู้ ชาติไหนจะได้เจอเอวัง!

0893867xxx ขอธรรมอัปปิจฉะในพระพุทธเจ้าโดยพ่อครูมีชัยเหนืออธรรมมหัปปิจฉะ!นำพาพุทธศ.พ้ นทางเสื่อมสาธุ!จรธ.

ตอบ...ความชนะอยู่ที่จิต จิตไม่มีการอยากเอาชนะเลย แล้วแสดงออกให้คนรู้ คนก็พิจารณาเอาเองตามที่คนรู้ ต้องแสดงออกคนอื่นจึงรู้ได้ ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยก็เอามาพิสูจน์ไม่ได้

0815428xxx ถ้านั่งสมาธิจนหายปวดแล้วควรทำอย่างไรต่อแล้วตอนหลวงปู่บวชใหม่ๆเคยนั่งหลับตาหรือเปล่าขอบคุณครับ

ตอบ...ก็ทำตามที่อยากจะทำต่อ อยากจะลุกก็ลุก จะนั่งก็นั่ง อาตมาก็เคยเป็นลิงลมอมข้าวพอง ทำตามเขาไปแต่ก็ไม่ได้ไปทำผิดอะไรมากมายนัก อาตมาก็ปฏิบัติตามภูมิอาตมา ก็มีสภาพที่คล้ายกับพระพุทธเจ้าที่ถูกมอมเมาครอบงำก่อนแต่ก็มาเป็นตัวเองที่ถูกต้องจนได้ จึงได้ปฏิบัติแล้วพาพวกเราเป็นได้ อาตมานั่งหลับตาถึงขั้นไหนๆได้ แม้แต่นั่งทนทรมาน ที่กุฏิวัดอโศการาม มียุงทะเล อาตมานั่งดับดิ่ง ยุงมาเต็มไปหมด ตอมรุมเลย เป็นผื่นไปหมดก็เคยทำมา และทำอย่างอื่นอีกหลายอย่าง แต่สัจจะที่จะเอามาเป็นพุทธศาสนาเพื่อเรียนรู้กิเลส ลดกิเลสจริง อันนี้เป็นสิ่งที่มุ่งมั่น

แล้วพวกเรานี้ไม่ได้มานั่งสะสม แต่อย่างสมเด็จช่วงนี้มีอาบัติตามพระวินัยเลย ไม่ต้องพูดถึงธัมมชโยที่ปาราชิกแล้ว

 

_จากคุณมงคล  ไลน์ @boonniyomtv

ท่านสมาณะ โพธิรักษ์ พูดถึง การบูชาไฟ เป็นความผิด ในข้อศิล แต่ผมติดตามการออกอากาศของท่านมาตลอด ผมเห็นมีอยูครั้งนึง ท่านทำการบูชาไฟ แล้วจะไม่ผิดศิลหรือ ช่วยตอบ ข้อบูชาไฟ ผิดศิลด้วย

ตอบ...อาตมาพาบูชาดินน้ำลมไฟนะ ไม่ใช่แค่ไฟ เราไม่ได้มุ่งบูชาไฟ

การบูชาไฟ ในนิยามของมันชัดๆนั่นคือ บูชาแบบเดรัจฉานวิชชา คือมุ่งหมายให้การบูชาโดยใช้ไฟเป็นสื่อนำไปสู่วิญญาณเป็นเทวนิยาม เป็นเทวดามารพรหมที่ล่องลอย ถ้ามุ่งหมายเช่นนั้นคือเดรัจฉานวิชชา แต่อาตมามาบูชานี้เพื่อระลึกถึงบุญคุณ ของดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นมหาภูตรูป 4 ที่เราได้อาศัย

การบูชาเพื่อระลึกบุญคุณกับการบูชาแบบเทวนิยม บูชาตัวตนที่เป็นเทวดามารพรหมอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่อาตมาพาทำ

 

_เพชรดินฟ้า ดิศโยธิน

กราบนมัสการพ่อครู ตั้งใจไปลงมติรับร่าง รธน. ยิ่งฟังพ่อครูพูดยิ่งจำเป็นต้องบอกต่อ

1.มีผู้ที่ต้องการ รธน.แบบขาวสะอาดที่สุด เห็นว่าสิ่งที่ขาดไปนั้นขาดไม่ได้เลย จะเสียหายมาก ยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ จึงจะไม่รับร่าง รธน.

คิดแบบนี้ น่าจะแพ้ หรือชนะกันแน่ครับ ?

2.ความเห็นส่วนตัว เรื่องลงมติ รธน. ไม่ว่าใคร ควรเชื่อภูมิพระโพธิสัตว์ ? ที่อุตส่าห์ชี้แนะด้วยความห่วงใย มิใช่ชี้นำ

กราบขอบพระคุณครับ

ตอบ...ใช่แล้ว ตอนนี้ต้องอาศัยคะแนนเสียงของปชช. ตอนนี้จะปราศจากโกง เล่ห์เหลี่ยมมากที่สุดแล้ว ดีมากกว่าก่อนๆนี้ อาตมาไม่ได้ชี้นำแต่ชี้แนะตามควร

มีบทความของนสพ.ไทยโพสต์ว่าไว้ว่า...

 

เมธีลั่นลุยพิทักษ์ศาสนา 'จานบิน'ยันเงินบริสุทธิ์!

"พระเมธี" โพสต์เฟซบุ๊ก ลั่น "มุ่งมั่นไม่หวั่นไหวแม้โดนป้ายสี" ยันเดินหน้าพิทักษ์พุทธศาสนา "ศิษย์ธรรมกาย" โวย ปปง.อายัดบัญชี "พระธัมมชโย" อ้างเงินบริจาคโดยสุจริต "หมอมโน" ชี้ช่องเครือข่ายจานบินมีเข้าข่ายผิด กม.อีกเพียบ

 

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "พระเมธีธรรมาจารย์-เจ้าคุณประสาร" หัวข้อ "มุ่งมั่น ไม่หวั่นไหวแม้จะโดนป้ายสี" ตอนหนึ่งระบุว่า ตลอดเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับและเหตุการณ์ต่างๆ ของคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนามากมาย โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวที่มีการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคณะสงฆ์ ซึ่งมีองค์กรต่างๆ ประกาศตนออกมาพิทักษ์ปกป้องความยุติธรรม จึงทำให้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นทั้งด้านบวกและด้านลบ

 

พระเมธีธรรมาจารย์ระบุว่า ในขณะที่ทั้งพระสงฆ์ คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน พร้อมใจกันแสดงพลังสามัคคีในการที่จะดูแลปกป้องพระพุทธศาสนา ก็ปรากฏว่ามีคนบางกลุ่มบางพวกพยายามสร้างเรื่องสร้างสถานการณ์ ใส่ร้ายป้ายสีให้กับพระสงฆ์ คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนที่ได้เสียสละออกมาในครั้งนี้ ด้วยวิธีการต่างๆ นานา โดยปราศจากข้อเท็จจริง เป็นวิธีการเดิม คือการสาดโคลนที่สกปรกเข้าใส่ จึงรู้สึกสะท้อนใจจริงๆ กับการกระทำของกลุ่มคนกลุ่มนี้

 

"บางท่านนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ด้วยกัน แต่กลับพูดกลับเขียน กล่าวหาคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนด้วยข้อความที่ใส่ร้าย ป้ายสี โดยปราศจากการสืบค้นข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ผิดวิสัยของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง" พระเมธีธรรมาจารย์ระบุ

 

เจ้าคุณประสารระบุว่า ในฐานะที่เป็นพระรูปหนึ่งที่ทนไม่ได้ต่อการกระทำของภาครัฐและกลุ่มบุคคลที่ทำลายคณะสงฆ์ พวกเขากำลังสุมไฟให้ไหม้บ้านเรา ซึ่งกำลังลุกโหมอยู่ในเวลานี้ แม้จะไม่กล้าพูดหรอกว่าคืออุดมการณ์ในการทำงาน เพราะความจริงในเวลานี้คือพวกเราทนไม่ได้ กับความอยุติธรรมที่กำลังเกิดขึ้น จนต้องเอาตัวเข้ามาแลกมาเสี่ยง เสี่ยงต่อคดีความต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ความปลอดภัยส่วนตัว

 

"วันนี้แม้จะต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคนานัปการ มีการกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี โดยปราศจากข้อเท็จจริง ไร้เหตุผล ไร้คุณธรรมของกลุ่มผู้ไม่หวังดี หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็ยังคงยืนหยัด มุ่งมั่นต่อไปในการพิทักษ์ปกป้องคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปโดยไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น" เจ้าคุณประสาร ระบุ

 

วันเดียวกัน นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวถึงกรณีพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดบัญชีทรัพย์สินว่า ได้ประสานสอบถามข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องของวัด ทำให้ได้ทราบข้อแท้จริงแล้ว

 

โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายกล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่องดังกล่าวคือสำนักงาน ปปง. ได้อายัดบัญชีของวัดที่มีเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯ ซึ่งนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ ได้นำมาบริจาคเมื่อปี 2552-2553

 

"สำนักงาน ปปง.ได้ดำเนินการอายัดตามกรณีนี้มาเกือบเดือนแล้ว แต่เพิ่งออกข่าว ซึ่งทางวัดกำลังดำเนินการทำเรื่องเพื่อขอยกเลิกการอายัด เพราะถือเป็นการรับบริจาคโดยเปิดเผย สุจริต และปัจจัยก็นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของงานพระพุทธศาสนาทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าว

 

ด้าน นพ.มโน เลาหวณิช อาจารย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวถึงกรณี ปปง.อายัดทรัพย์พระธัมมชโย 50 ล้านบาทว่า ได้ยินข่าวมานานแล้วว่าจะอายัด ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เชื่อว่า ปปง.มีหลักฐานชัดเจน มีอะไรที่ยืนยันเรียบร้อย ถ้าไม่ชัดเจนคงไม่ทำ เพราะเรื่องพระต้องไตร่ตรองไว้ดีแล้วก่อนทำ จึงไม่ใช่เป็นการไปกลั่นแกล้ง

 

นพ.มโนกล่าวว่า นอกจากนี้บัญชีดังกล่าวยังมีที่เข้าข่ายผิดกฎหมายอีกเยอะ ซึ่งของวัดพระธรรมกายมีถึง 75 แห่ง ที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายไปเบียดเบียนซื้อที่ในราคาถูก โดยมีนักการเมืองท้องถิ่นคอยช่วยเหลือ ดังนั้นตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรดำเนินการให้เด็ดขาด

 

"ตอนนี้พระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย ยังไม่ได้หนีไปไหน ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่เขาทำผิดพลาดเอง เขาเก็บตัวเงียบเหมือนตัวเองป่วยหนัก แต่จริงๆ ไม่ได้ป่วยหนัก แต่การเก็บตัวทำให้ศิษยานุศิษย์ไม่ได้เห็นหน้า ทำให้เสียผลประโยชน์ไปเยอะ ถึงตรงนี้แล้วเขาจะสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้ความเป็นนิติรัฐมันหมดไป ให้เห็นว่าเขาเป็นบุคคลพิเศษใครทำอะไรไม่ได้ ตอนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บุกไปครั้งแรกแล้วจับไม่ได้ทราบว่าดีใจกันมาก ถ้าไปครั้งที่สองและสามยังไม่ได้อีกจะเสียชื่อดีเอสไอ เกิดความระส่ำระสาย ไม่มั่นคงต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลเอง ตรงนี้จะถูกดิสเครดิต" นพ.มโนกล่าว

 

อดีตศิษย์วัดพระธรรมกายกล่าวว่า ดีเอสไอคงต้องดำเนินการเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะไม่มีทางเลือก ดูแค่ว่าวันไหนเท่านั้น น่าจะเป็นหลังจากวันที่ 7 ส.ค.แล้ว เพราะถ้าไม่ทำ คสช.จะระส่ำเอง เพราะฝ่ายเขาทำให้เกิดรัฐซ้อนรัฐ ครั้งสองนี่ต้องได้ตัว ซึ่งส่วนตัวเห็นว่ายุทธการคือต้องกระจายข่าวให้รู้ว่ารัฐบาลเอาจริง หากใครไปเป็นโล่โดนจับแน่.

 

พ่อครูว่า คุณจะพิทักษ์รักษาศาสนาของคุณก็รักษาไป แต่อาตมาเห็นว่าที่คุณรักษานี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธก็หอบไปเลยไม่ได้แย่งหรอก พฤติกรรมที่พวกคุณทำนี่ เอาไปทำเลย พวกเราไม่เอาด้วยไม่ทำเลียนแบบคุณหรอก

อาตมามั่นใจว่า พวกพระมหาศาล (พวกสะสมโลกธรรม) อาตมาไม่ไปแย่งหรอก จงเอาไปเต็มๆ ไม่อยากให้มาแปดเปื้อนเราด้วยอย่างที่พวกคุณทำ เราจะอยู่อย่างสมณะที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจบาทใหญ่ ไม่เอากฏหมู่มาชนะคะคานเขา

 

มีข่าวของสมเด็จช่วง จากนสพ. ผจก.

MGR Online - ดีเอสไอแถลงผลสอบสวนคดี “เบนซ์ ขม 99” ผิดกฎหมาย ฟันผิดทั้งสี่ขั้นตอนตั้งแต่นำเข้า-จดประกอบ-เสียภาษี-จดทะเบียน ทั้งมีการทำเอกสารเท็จ ปลอมแปลงลายมือชื่อ เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร-สรรพสามิต-อาญา ยืนยันเอกสารมีลายมือชื่อ “สมเด็จช่วง” เตรียมสอบต่อโยงขบวนการและปลายทาง

      

       เช้าวันนี้ (18 ก.พ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้เปิดแถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีตรวจสอบรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ โบราณ เลขทะเบียน ขม 99 ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2556 และในปี 2558 มีผู้มาร้องว่ารถคันนี้นำเข้าโดยผิดกฎหมาย ดีเอสไอจึงเข้าตรวจสอบเรื่องนี้โดยมีความเชื่อมโยงกับคดีเกิดเพลิงไหม้รถหรูที่จังหวัดนครราชสีมา

      

       ดีเอสไอชี้แจงต่อว่า หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้รถหรูดังกล่าวนั้น ทางกรมฯ เมื่อรับคดีก็ได้ตรวจสอบรถยนต์จำนวน 6,000 กว่าคัน โดยรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งรถจดประกอบต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายจำนวน 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ขั้นตอนการนำเข้า, การจดประกอบรถ, การเสียภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน

 

สำหรับรถทะเบียน ขม 99 กทม.นั้น ทางดีเอสไอได้เข้าไปตรวจสอบที่วัด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเข้าไปตรวจสอบตามคำเชิญของวัดพร้อมกับสื่อมวลชน และทางวัดก็ให้เอกสารมา ส่วนครั้งที่ 2 นั้นไปตรวจสอบพร้อมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการตรวจทางกายภาพของรถ ซึ่งเมื่อได้เอกสารมาแล้ว “หลวงพี่แป๊ะ” ของทางวัดก็ยอมรับว่าเป็นผู้จัดหารถคันนี้มาในราคา 4 ล้านบาท เพื่อถวายสมเด็จช่วง โดยจ้างคุณวิชาญเป็นผู้จดประกอบ

      

       “ด้านคุณวิชาญก็ยอมรับว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนรถจดประกอบ และไม่ได้ผ่านขั้นตอนตามระเบียบ เมื่อเราย้อนไปดูที่การจดประกอบก็มีผู้ของคุณกาญจนาเป็นอู่จดประกอบ ได้เชิญคุณกาญจนามาสอบสวน คุณกาญจนาก็ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับที่มีชื่อในการจดทะเบียนเสียภาษีจริง ชื่อ ที่อยู่เขาจริง แต่เขาไม่เคยจดประกอบรถคันนี้เลย และเขาเองก็เป็นอู่เคาะพ่นสีรถ ดังนั้นเองคนที่เอาชื่อเขามาใส่ก็มีการปลอมแปลงลายมือชื่อเขา ก็เห็นได้ชัดเจนว่าในขั้นตอนการประกอบรถคันนี้ก็มิชอบ เพราะว่าอู่วิชาญไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิตที่เป็นอู่จดประกอบ ทางการชำระภาษีคุณกาญจนาก็ยืนยันว่าเขาเองไม่ได้เป็นคนทำ มีคนแอบอ้างชื่อเขาไป พอถึงขั้นตอนการจดทะเบียนก็มีผู้รับว่าเป็นผู้รับจ้างจดทะเบียน และเป็นคนกรอกรายละเอียดทั้งหมด ทั้งปลอมลายมือชื่อ และใส่ราคารถ 1 ล้านบาท” อธิบดีดีเอสไอจึงสรุปว่า ในสามขั้นตอนนั้นมีความผิดในข้อหาแตกต่างกัน

      

       พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง กล่าวว่าจากการตรวจสอบยืนยันว่า รถคันดังกล่าวมีการนำเข้ามา การประกอบ การเสียภาษี และการจดทะเบียน โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา ฐานแจ้งความอันเป็นเท็จ ปลอมและใช้เอกสารปลอม

      

       โดยรถยนต์คันดังกล่าว มีห้างหุ้นส่วนจำกัด อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส เป็นผู้นำเข้าชิ้นส่วน จากนั้นได้มีการส่งให้อู่วิชาญ เป็นผู้รับประกอบรถ ที่ไม่มีใบอนุญาต จดประกอบรถยนต์ จากนั้นอู่วิชาญได้แอบอ้างชื่ออู่ เอ็นพี การาจ ที่เป็นโรงงานประกอบรถยนต์ที่จดทะเบียนถูกต้อง เป็นผู้จดประกอบ โดยมีนางกาญจนา เป็นเจ้าของ และปลอมแปลงลายชื่อของนางกาญจนาเป็นผู้เสียภาษี แต่จากการเรียกนางกาญจนา มาสอบสวน ยอมรับว่า อู่ดังกล่าวเป็นของตนเองจริง แต่ไม่เคยนำรถยนต์ดังกล่าวมาจดประกอบ ซึ่งจากการจรวจสอบยังพบว่า นายชลัช ได้ว่าจ้างนายสมนึก ให้นำรถยนต์คันดังกล่าว ไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก จากนั้นได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปขายต่อให้กับหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ก่อนที่จะถวายให้สมเด็จช่วง

      

       นอกจากนี้ดีเอสไอ ยังพบว่า กลุ่มคนที่จดทะเบียน รถยนต์คนดังกล่าวเป็นเครือข่ายรายใหญ่ที่มีการกระทำผิดมาแล้วหลายครั้งให้กับทุกกลุ่มต่างๆในลักษณะต่างๆ มี่ผิดกฏหมายและยังมีผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวอีกหลายคน อย่างไรก็ตาม วันนี้ดีเอสไอ ได้ออกมาชี้แจ้งความผิดที่พบในส่วนของรถคันดังกล่าวเท่านั้น พร้อมรับเป็นคดีพิเศษ โดยหลังจากนี้จะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนผู้ครอบครองและผู้ที่เกี่ยวข้องว่า มีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้รับเอกสารหลักฐานส่วนหนึ่งที่ได้จาการสืบสวนมาแล้ว แต่บางส่วนอาจยังต้องขอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะเร่งรัดทำคดีโดยเร็ว พร้อมยืนยันว่า ดีเอสไอ ทำตามขั้นตอนตามกฎหมายหลังมีผู้ร้องเรียน

      

       ส่วนเมื่อย้อนไปดูการนำเข้าพบว่าบริษัทที่นำเข้าเป็นบริษัทเดียวกัน แต่มีการแยกชิ้นส่วนมาคนละเที่ยวเรือกัน ส่วนอุปกรณ์ส่วนควบที่มีการกล่าวอ้างไว้นั้นก็ไม่สามารถตรวจสอบเจอว่ามีการนำเข้ามาจริง ดังนั้น ดีเอสไอจึงสรุปว่าขั้นตอนต่างๆ ทั้งสี่ข้้นตอน ทั้งการนำเข้า การจดประกอบ การเสียภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน ล้วนไม่ชอบ และเข้าข่ายความผิดกฎหมายหลายเรื่อง เช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.สรรพสามิต กฎหมายอาญาเรื่องแจ้งข้อความเป็นเท็จ-การปลอมแปลงเอกสาร

      

       ทั้งนี้ ในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบ การสืบสวนตามเอกสาร จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวน โดยจากข้อมูลรถคันนี้เป็นรถคลาสสิก ประกอบเมื่อปี ค.ศ.1953 หรือประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว โดยจำนวนที่ประกอบทั้งหมดประมาณร้อยกว่าคัน

      

       ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขั้นตอนการดำเนินการที่พระรูปหนึ่งอ้างว่าเป็นผู้จัดการให้นั้นเป็นชื่อของสมเด็จช่วงตั้งแต่ต้นหรือไม่ ทางอธิบดีดีเอสไอระบุว่า นายสมนึก (ผู้นำรถไปจดทะเบียน) แจ้งว่าในการกรอกเอกสารก็มีลายเซ็นของสมเด็จช่วงอยู่ในเอกสารปลอมนั้น อย่างไรก็ตามยังไม่ได้สอบถึงเจตนาของผู้รับ เพราะต้องให้เข้าสู่ขั้นตอนของการสอบสวนก่อน

      

 

 

   MGR Online - ทนายวัดปากน้ำ แจง “สมเด็จช่วง” บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีรถหรู เป็นเพียงแค่ผู้รับบริจาคนั้น ซ้ำมีพยานปากสำคัญยันไม่มีความผิด ย้อนดีเอสไอแถลงข่าวละเมิดสิทธิทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำสังคมแคลงใจเกิดความเกลียดชัง

       วันนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา11.00น. ที่วัดปากนำภาษีเจริญ นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำแถลงชี้แจง กรณีรถยนต์ยี่ห้อ Mercedes benz หมายเลขทะเบียน ขม 99 กทม. ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (วรปุญฺญมหาเถร) หรือสมเด็จช่วง หลังจากเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้แถลงความคืบหน้าการประชุมร่วมกับพนักงานอัยการว่าผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานมีส่วนรู้เห็นและครอบครองสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครอบถ้วน และร่วมกันแจ้งความเท็จลงในเอกสารราชการ รวม 2 ข้อกล่าวหา

       

       นายสมศักดิ์กล่าวว่า ในฐานะทนายความที่ปรึกษาและผู้รับมอบอำนาจจากสมเด็จช่วงขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการแถลงความคืบหน้าของดีเอสไอ ยังไม่พบว่าสมเด็จช่วงมีความผิดตามกฎหมายที่ได้กล่าวมาแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ขอชี้แจงอีกว่าสมเด็จช่วงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดตามกฎหมายดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2559 สมเด็จช่วงได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังดีเอสไอเกี่ยวกับกรณีรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งมีเนื้อหาพอที่จะสรุปได้ว่าสมเด็จช่วงมีชื่อในการจดทะเบียนรถเท่านั้น และนำรถยนต์คันกล่าวมาแสดงในพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนเข้ามาศึกษาหาความรู้และเยี่ยมชม รวมทั้งจดทะเบียนระงับการใช้งานแล้ว จนกระทั่งมาทราบว่ารถคันดังกล่าวผิดกฎหมายก็ได้ส่งรถคือผู้บริจาค และรถเบนซ์นั้นได้ถูกส่งต่อไปยังดีเอสไอแล้ว

      

       นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนการซื้อขายนั้นสมเด็จช่วงไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ได้รับโอนโดยไม่มีการกรอกเอกสารอื่นๆ เลย แค่ลงนามกำกับว่ารับโอนรถแล้วเท่านั้น ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้น ตั้งแต่บุคคลรับโอนเป็นคนแรก หรือการมอบอำนาจต่างๆ ยืนยันว่าสมเด็จช่วงได้เคยรู้จักและรู้รายละเอียดอื่นๆ เลย สมเด็จช่วงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจเนื่องจากเป็นผู้รับบริจาคเท่านั้นซึ่งพยานบุคคลที่สำคัญของดีเอสไอก็ระบุแล้วว่าสมเด็จช่วงไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด

      

       นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า การที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนดังกล่าวข้างต้นนั้นส่วนตัวเห็นว่าท่านทั้งสองกระทำการกระทบสิทธิและละเมิดสมเด็จช่วง ทำให้ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนเข้าใจว่าสมเด็จช่วงมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ทำให้เสียชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และทำให้เกิดความเกลียดชัง รวมทั้งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเสียหายของสมเด็จช่วงที่เกิดขึ้นจากการแถลงข่าวของท่านทั้งสองเพื่อดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป

 

 

 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ขอบอกการแสดงออกของสมเด็จช่วง ตอนไปเดินบนกลีบดอกไม้ ยังอินโนเซนซ์มากเลย บอกว่าชื่นใจ เกิดมาอายุปูนนี้ยังไม่เคยได้เดินบนกลีบดอกไม้อย่างนี้เลย นี่คือภูมิธรรมความรู้สึกของคนชื่อช่วง มีอารมณ์อ่อนไหวกับโลกีย์อย่างนี้ ยิ่งรถหรูล่ะ จะไม่มีอารมณ์อย่างนั้นหรือ? คุณพูดอย่างเห็นว่าคนอื่นเป็นเด็กอมมืออย่างนั้นหรือ?

แล้วบอกว่าจะเอามาให้ปชช.ศึกษา แล้วจะศึกษาอะไร ให้คนหลงใหลรถหรูหรืออย่างไร? แล้วสมเด็จช่วงหลงใหลรถเบนส์หรือไม่นะ ?

 

แล้วมีข่าวว่าเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณี พระเมธีธรรมาจารย์  หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เตรียมจัดสวดมนต์ใหญ่ และจะมีการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช หลังการออกเสียงประชามตินั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวตนเชื่อว่าพระสงฆ์ก็ต้องทราบกฎหมายเช่นกัน ซึ่งหากจะมีการชุมนุมจริง ก็ต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ดูแลเรื่องนี้แล้ว

 

พ่อครูว่า….การรวมตัวสวดมนต์ มีสองอย่างคือ 1.สังคีติ กับ 2.สังคายนา นอกนั้นนอกรีตพุทธทั้งนั้น การสวดสังคายนาคือ สวดคนเดียวแล้วคนอื่นก็ฟัง ว่าถูกต้องไหม แล้วท้วงได้ ให้ทุกคนช่วยกันตรวจสอบคำสวดมนต์นี้ เพื่อให้คำสอนยืนนาน แล้วแบบสังคีติ คือสวดท่องจำเอาไว้ ถ้าสวดหมู่ก็ช่วยท่องจำ เหมือนท่องสูตรคูณ อาขยาน ก็เช่นเดียวกัน ก็สวดให้จำได้ดี ก็สวดพร้อมกัน แต่สวดสังคีติไม่ใช่มาสวดต่อหน้าธารกำนัล แต่สวดในที่ๆจะเป็นเฉพาะภิกษุที่จะมาท่องจำกัน

พระพุทธเจ้าตั้งวินัยไม่ให้สวดธรรมบทของพระพุทธเจ้าพร้อมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปให้ฆราวาสฟัง เป็นอาบัติ ทำไมท่านต้องห้ามตรงนี้

ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามตรงนี้เพราะการเอาบทมนต์มาสวดท่อง ทำมาหากินก็มีมาแต่โบราณ แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านกันตรงนี้เอาไว้ แต่ลัทธิศาสนาอื่นก็แล้วแต่ แต่ของพุทธนั้นกันเอาไว้ ไม่ให้เอาไปสวดทั่วไปพร้อมกันอย่างน้อยสองรูป ให้ฆราวาสฟัง อันนี้ผิดเป็นอาบัติ ไม่ว่าจะอาบัติอะไรก็ไม่ควรทำ

แม้อาบัติเล็กน้อย แต่คุณเจตนาทำซ้ำๆ แบบนี้ไม่ดี ไม่ควรอยู่ในศาสนาพุทธ แต่ถ้าอยู่เจตนาทำให้บริสุทธิ์สะอาด แม้มีโทษภัยอันมีประมาณน้อยอย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า โกหกทั้งๆที่รู้ ไม่มีชั่วไหนที่เขาจะทำไม่ได้

การที่จะสวดมนต์ให้มากคนๆ เพื่อความขลังหรือย่ิงใหญ่ก็เป็นเทวนิยม เป็นเดรัจฉานวิชชา

แต่การเอาไปสวดให้สาธารณะได้นั้นคือ สวดประณามคาถา คือคำสวดที่แต่งขึ้นใหม่ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุรุ่นหลังแต่งมา เพื่อยกย่องเชิดชูพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมบทของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะเอามาปฏิบัติธรรม

ในภาษาไทย ประณามคาถาคือคำยกย่องเชิดชู แต่คนไทยเอาไปทำเสีย ก็เลยกลายเป็นลบหลู่ คำว่าประณาม คำเดียวก็แปลว่าคำดูถูก เพี้ยนไปจากคำบาลีเสียแล้ว

 

มาดูในพระวินัยปิฏก ล.1 ข้อ 152

3. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปกับพวกเกวียน บุรุษคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมภิกษุนั้นด้วยอามิสแล้ว เห็นด่านภาษี จึงส่งแก้วมณีซึ่งมีราคามากให้แก่ภิกษุนั้น ด้วยขอร้องว่า

ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงช่วยนำแก้วมณีนี้ผ่านด่านภาษีด้วย จึงภิกษุนั้นนำแก้วมณีนั้นให้ผ่านด่านภาษีไปแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้

มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.

เรื่องปล่อยเนื้อ 2 เรื่อง

             1. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความสงสาร ได้ปล่อยเนื้อที่ติดบ่วงไปแล้ว มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้-*มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?

             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าข้า

             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้มีความประสงค์จะช่วยเหลือ ไม่ต้องอาบัติ

             2. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิต ได้ปล่อยเนื้อที่ติดบ่วงไปเสียก่อนด้วยคิดว่าพวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?

             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีไถยจิต พระพุทธเจ้าข้า

             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว

เรื่องปล่อยปลา 2 เรื่อง

             1. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความสงสาร ได้ปล่อยปลาที่ติดลอบไป แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?

             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าข้า

             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้มีความประสงค์จะช่วยเหลือ ไม่ต้องอาบัติ

             2. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิต ได้ปล่อยปลาที่ติดลอบไปเสียก่อน ด้วยคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?

             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีไถยจิต พระพุทธเจ้าข้า

             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.

ในเดรัจฉานกถา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าสะสมยาน ถ้าสะสมก็เป็นเดรัจฉานวิชชา แล้วถามว่าสมเด็จช่วงสะสมไหม?ก็สะสม ประพฤติไม่ใช่แค่พูดธรรมดา แต่สมเด็จช่วงนี้ยังมีชื่อเป็นเจ้าของรถอีกด้วย จะบอกว่าซื่อๆทำไปเพราะเขาเอามาถวาย แล้วรู้จักอาการจิตที่ไหน จะให้มาขึ้นเป็นสังฆราชได้อย่างไร มันจะลากสังฆะลงมามากกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

ในเรื่องการสะสมนี้ลึกซึ้ง สิ่งที่เรามีเราไม่ได้สะสม อาตมามีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องมือทำงานก็มี ใช้รถยนต์ไหม มีรถไฟฟ้าใช้ด้วย แต่อาตมาไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้ยึดติด ไม่มีสาเฐยจิต ที่จะเอามาเป็นของอาตมาเลย ให้ฆราวาสดูแล จะนั่งเมื่อไหร่ก็บอกเขา อยู่ไหม? เขาก็อยู่มาก ก็ตามเอา 

ถ้าใจคุณรู้ว่าโกหกก็โกหกต่ออีก ก็เป็นสัมปชานมุสาวาท ทบไปไม่รู้เท่าไหร่นะ ขอยืนยันว่าในกรณีอย่างนี้ อาตมาว่าอธิบายครบแล้ว ว่าตัวอย่างขนาดนี้แล้ว จิตตัวเองจะโกหกเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ใช้สามัญสำนึกก็จะรู้ว่าคนๆนี้โกหก

 

ก็ขอพูดถึงเรื่องเจ้าคุณประสาร หรือสมเด็จช่วงก็ผ่านไป

 

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องพวกเรากับคณะมหาช่วงกับเจ้าคุณประสาร เป็นพุทธเหมือนกันแต่นานาสังวาส อาตมาก็พาคณะเราแยกออกมา ก็ดูว่าสองคณะนี้ คณะไหนที่ประพฤติตรงกับอนุสาสนีย์(คำสอน)ของพระพุทธเจ้าบ้าง

พระพุทธเจ้าให้เป็นคนเลี้ยงง่าย ไปง่ายมาง่ายอยู่ง่ายกินง่าย เป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่ไม่ใช่มักง่ายนะ อาตมานี่พาพวกเรานอนไม่สบายเลย นอนแช่น้ำก็มี

เป็นคนมักน้อย ยืนยันได้เลย ในคณะพวกเรา อย่าว่าแต่สมณะเลย (เราไม่ใช่พระ อย่าเอาคำว่าพระมาเรียกพวกเรา) พวกเราไม่มีเงินมีทอง อยู่แม้แต่สิกขมาตุเราก็ทำได้ไม่ต้องใช้เงินมีเงินเลย แม้แต่ฆราวาสเราบางคนก็ไม่ใช้เงินทองส่วนตัวเลย ให้ส่วนกลางให้ จะเรียนป.โท ป.เอก ก็ยังได้เลย เอาปริญญามาเพื่อรับใช้ปชช.ไม่ได้เอามาหาเงินส่วนตัวเลย

พวกเราออกมานี่ เช่นมีที่ดินก็เซ็นสละออกให้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือสิกขมาตุ อะไรที่เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวเอาออกไปหมด มีบริขารมีปัจจัย 4 ที่มักน้อยสันโดษ

มีชีวิตที่ขัดเกลา ช่วยท้วงติง แนะนำ ดูแล ไม่ปล่อยให้สะสมกองกิเลส ช่วยกันจริงๆ สัลเลขธรรม

มีธูตะ คือศีลเคร่ง การไม่ใช้เงินทอง กินมื้อเดียวก็ศีลเคร่ง เราทำได้ปกติแล้วไม่เดือดร้อน มีศีลเป็นปกติธรรมดา

ปาสาทิกะ เป็นอาการที่น่าเลื่อมใส กาย วจี มโน เป็นอาการไม่เหมือนชาวโลกเขา มีสมณสารูป ไม่ใช่วิ่งเข้าหาโลกธรรม กามคุณ เช่น ชื่นใจจังได้เดินบนดอกไม้ พูดเช่นนี้ไม่มีสมณสารูปเลย น่าเกลียด

มีอปจยะ คือไม่สะสม วัตถุ เงินทอง เราก็ไม่สะสม ชัดที่สุดคือไม่สะสมกองกิเลส พยายามล้างออก เรียนรู้ให้ชัด ไม่สะสมกองกิเลส วัตถุก็ไม่สะสม

มีวิริยารัมภะ คือขยันเสมอ ไม่ขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นการงานของสหธัมมิก มุ่งมั่นเจริญด้วยไตรสิกขา ก็ช่วยกันทำ นี่คือวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า

 

หรือจะเอา โคตมีสูตร ก็ได้

1.      เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)

2.      เป็นไปเพื่อความพรากสัตว์ออก (วิสังโยคะ) . . .

3.      เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ) .  .

4.      เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) .

5.      เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

6.      เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ) .

7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ) .

8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

          นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา 

(สังขิตตสูตร พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 143)

 

อย่างพวกเรานี้ตรงกับหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า แล้วจะดำเนินต่อไปอีกยาวนาน คนเขาไม่เชื่อแล้วว่าจะมีอรหันต์แม้แต่โสดาบันเขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาไม่รู้ว่าคืออะไรหรือรู้แบบผิดๆ เข้าใจว่าอรหันต์คือต้องไปอยู่คนเดียวนั่งหลับตาสะกดจิต แต่ของพุทธนี้ มีโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

ที่พูดวันนี้ยืนยันว่า คนปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมได้...เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:00:11 )

590803

รายละเอียด

590803_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทานอย่างมรรคมีองค์​8

คุณเคยทำทานเพื่อหวังนิพพานใหม?   ทำแล้วจะได้นิพพานหรือไม่คำตอบจากพ่อครูที่นี่…

เมื่อคุณทำทานไม่เป็นก็ไม่ได้ผลลดกิเลส คุณจะทำทานอย่างไรก็อย่าให้สร้างภพชาติ ในทานสูตรหากทำทานแล้วมีความหวัง (สาเปกโข) คือจิตมันหวังก็คือน่าจะได้อะไรมาหาเรา เราจะได้อะไร แม้แต่จะหวังว่าจะได้นิพพานก็อย่าไปคิด บัญญัติบอกว่านิพพาน แต่ถ้าคุณบอกอยากได้นิพพานแต่ไม่ได้ปฏิบัติให้สัมมาก็ได้แต่ภพ ต้องชัดๆนะ  การทำทานนั้นมีทิฏฐิที่ต่างกันไปในทานสูตร ที่มีการทำทาน ข้อ 1 -6 นี้ที่เป็นการสร้างภพชาติ แต่การทำทานข้อที่ 7 เป็นการล้างภพชาติ จะได้เป็นสหายแห่งพรหม

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา คือ ทำทานแล้ว มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

 

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

อันที่ 6  ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)

 

ทานคือการให้ ไม่มีวิธีอะไรมาก แต่ศีลนั้นเป็นวิธีการที่ปฏิบัติหลากหลายมากมาย เลยเรียนรู้ได้ยากกว่าทาน คือจะทำอย่างไรมันจึงจะทำให้กิเลสลด ไม่สร้างความหวัง ไม่ผูกพัน ไม่สร้างอัตตาข้ามชาติ ที่ตกผลึกไปใหญ่ จะทำอย่างไรก็ต้องไม่ตั้งภพชาติ

ภพชาติคือเทวดา แน่นอนไม่มีใครตั้งภพชาติเป็นสัตว์นรกหรอ

 

เราสามารถเข้าใจว่าทานอย่างไร ทำใจอย่างไรในการทำทานที่จะลดกิเลส โดยปฏิบัติศีลพรต(ยิฏฐัง) หากทำเดรัจฉานวิชชาก็ได้แต่ภพชาติ ไม่มีผลลดกิเลสอะไร ซึ่งการปฏิบัติศีลนั้น จะมีผลตามกิมัตถิยสูตร แต่ถ้าคุณทำผิด คุณปฏิบัติให้จิตคุณไม่เดือดร้อน คุณสบาย แต่เป็นสุขขัลลิกะเป็นสุขเท็จ คุณก็ไม่เดือดร้อน อวิปฏิสาร แต่คุณก็ได้ปีติ ปมุชชะ ปีติ เป็นสุข ได้เหมือนกัน แต่ในกิมัตถิยสูตรก็เจริญเป็นขั้น แต่โลกีย์นั้นจะบำเรอกิเลส แล้วปีติอิ่มใจชื่นใจ แต่คุณจะเข้าใจปัสสัทธิ วูปสโมสุข ไม่ได้

 

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

แต่เมื่อสอนกันผิดๆ ก็ไม่ได้อานิสงส์ของศีล ตามกิมัตถิยสูตร อาตมาอธิบายได้ แล้วพาพวกเราปฏิบัติได้ผล ตามนี้ด้วย ศีล 5 เป็นโสดาบัน ศีล 8 เป็นสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี ศีล 43 เป็นอรหันต์เลย มีศีลปาติโมกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน

กามภพที่เป็นนรกใหญ่สุดชั้นต่ำเรียกว่าอบาย ของใครก็ของมัน เรามีอะไรที่ต่ำสุดก็เลิกอันนั้น ตั้งศีล ข้อนั้น เช่นฆ่าสัตว์ เช่นเอาของคนอื่น เช่นเรื่องกาม มันก็จัดจ้าน ถ้าเป็นกามทางเพศก็คือบำเรอตน เสพสัมผัส ทางทวาร 6

ไม่นานมานี้ มีลงข่าวหนังสือพิมพ์ว่า...มีผู้ชายคนหนึ่งไปสำเร็จความใคร่กับท่อไอเสียรถ ต่อหน้าธารกำนัล มันก็ไปสมมุติกับการสัมผัสเสียดสีกับท่อไอเสีย คุณจะไปสัมผัสเสียดสีอะไรก็จัดจ้านได้หมด จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ถ้าจัดจ้านก็คืออบาย นี่แหละคือสัตว์นรกแท้ๆ วิตถารชะมัดเลย นี่อธิบายสัจธรรมชัดๆ ยกตัวอย่างจริงเลย

ทานนี้เป็นเรื่องที่ทุกศาสนาเข้าใจได้ง่าย แต่ศีลหรือวิธีปฏิบัตินี้มีมากมายหลากหลายเข้าใจได้ยากกว่า

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84127

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfZTF2cjZrTW5OODg

 

หรือที่นี่....http://www.filefactory.com/file/27gddni1xnmz/160803


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:00:39 )

590803

รายละเอียด

590803_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทานอย่างมรรคมีองค์​8

พ่อครูว่า...นักเรียนเรามีประจำที่นั่งอยู่ก็ประมาณ 50 - 60 คนก็เอาให้ได้สักชาตินึงนะเรียนกันจริงๆ วันนี้วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2559 ตอนนี้เหตุบ้านการเมืองก็กำลังเป็นไป ก่อนอื่นก็มาอ่าน sms ก่อน

SMS 2 AUG 59

0833046xxx ผู้น้อยขอมีจิตสำนึกในอีกหนึ่งหน้าที่จะต้องไปลงมติรับร่างแน่นอน เรื่องราวทุกสิ่งขอให้ทุกคนใช้จิตบริสุทธิ์มาไตร่ตรองตามหลักธรรมก็จะแยกดีชั่วรู้แจ้งแทงตลอดได้ด้วยตนเอง

0890529xxx ใจคนเป็นแรงอารมณ์ ใจธรรมเป็นหลักสัจจะ การบำเพ็ญมิใช่อื่นไกลให้ตัดตัณหาความอยากภายใน ภายนอกให้กำหนดพฤติกรรมเพิ่มพาด้วยการสร้างกุศลคุณงามคืนสู่จิตประภัสสร

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชเมืองเรือแห่งลำน้ำมูลที่seufaasin อยากบวชในบั้นปลายถ้าบุญวาสนายังมี!

0893867xxx ศ.พุทธบ่มีวันเสื่อมหรอกวัดวาใกล้บ้านริมแม่น้ำในตลาดตามชุนชนทุกมุมเมืองยังสงบปกติสุข!ไม่มีไฟใดเผาบ้านที่บริสุทธิ์ในศีลในพุทธศ.ได้เลยนอกจากไฟราคะโทสะโมหะในกิเลสเผาใจผู้จมอยู่ในอวิชชาทำให้ตัวเองเสื่อมเอง!

0833046xxx บุญยิ่งล้ำตำแหน่งสูงยิ่งมีภัยให้รอบคอบ เหมือนอยู่ขอบเหวหมื่นวาตกมาหนัก ปีนยิ่งสูงตกยิ่งหนักประจักษ์ชัด เคยฉลาดไม่ควรผิดคิดโง่งม

0893867xxx ถ้าเป็นผู้ทรงศีลที่บริสุทธิ์จริงอะไรจึงต้องอ้างศ.ประท้วงก่อนปชมติ.ไม่พอยังจะทำอึมครึมต่อไปถึงหลังปชมติใกล้งานศิริมงคลของแผ่นดิน!มีเจตนาอะไร?จะพาพระดีตกบันไดพลอยโจนไปเสียเปล่า? ยิ่งป่วนหนักยิ่งรับปช.มติเยอะ!ขอบคุณอำนาจเถื่อนถ่อยดิบที่ทำให้คนไปลงปช.มติสู่อำนาจอธิปไตยด้วยตัวเองมากขึ้นจรธ.

0890529xxx สัตว์,คน เป็นสังคังมือกุดไทกอยิ่งเกายิ่งคันจะเป็นแผลสดเลือดสาด สุนัขถูกน้ำร้อนลวกพากันร้องเอ๋งๆวิ่งหางชี้เลียแผลแสบเอย!

 

_จากไลน์ พันธุ์  พอเพียง สาเถยยจิตน่าจะเป็นจิตที่ไม่บรรลุพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงถามก่อนตัดสิน ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็จะเข้าเกณฑ์ของสติวินัย ผมเข้าใจถูกไหมครับ?

ตอบ….คนที่มีสาเฐยคือจิตขโมย เช่นขโมยการยอมรับคำสรรเสริญจากคนอื่นเป็นต้น แต่พระสมัยก่อนเขามีจิตซื่อสัตย์ เวลาถูกถามก็ตอบตรงๆว่ามีสาเฐยจิตก็เป็นปาราชิก แต่หากคนหลงไม่รู้ตัวจริงว่าทำไปก็ไม่ปรับอาบัติ

- มีเจตนาสร้างเรือนไฟบูชาไฟเพื่อรออาจารย์ให้มาสอนตน พอรอนานๆอาจารย์ไม่มาก็เลยตั้งตนเป็นอาจารย์เสียเองทำเป็นสำนักเดรัจฉานวิชาหลอกโยม ไม่สนแล้วซึ่งวิชชาและจรณะที่อุตส่าห์เข้าป่าหาอาจารย์

 

พ่อครูว่า...เรื่องที่อ่านsmsมานี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันทั้งนั้น แต่อาจไม่ต่อเนื่อง แต่มีรูปรอยเข้าเรื่อง ตอนนี้แม้ว่า ผู้ที่บริหารประเทศขณะนี้ที่เป็นตัวหลักจะไม่ใช่พระอาริยะ ผู้บริสุทธิ์ใจจริงๆ แต่อยู่ในเกณฑ์ที่อาตมาว่าจริงใจ จริงใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติแม้จะไม่ใช่อรหันต์ก็ตาม

สักวันหนึ่ง

 

 การเมืองใหม่ที่เป็น  ประชาธิปไตยแท้ๆ

 

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ต้องเลี้ยงตัวเองรอด เมื่อไม่ทำงานปลูกผักพืชหุงข้าว แต่ทำงานรับใช้ทำงานเพื่อปชช. จริงๆคือเขาพึ่งตัวเองได้แล้ว ถ้าเขาไม่ไปทำงานเพื่อสังคมเขาก็จะทำงานพึ่งตัวเองรอด

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน 

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

ต้องศึกษา ทานศีลภาวนาและศีลสมาธิปัญญา คือไตรสิกขาของพระพุทธเจ้า

ไตรสิกขานั้นเราได้อธิบาย ทาน ศีล เป็นตัวปฏิบัติ ทานคือการให้ ศีลคือองค์ประกอบการปฏิบัติต่างๆ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ

ตั้งแต่มนุษย์อยู่เป็นกลุ่มหมู่ก็จะมีหัวหน้าเผ่า ถ้าหัวหน้าไม่เป็นหมอผีเองก็จะมีหมอผีคู่บารมี ในโบราณที่ไม่เจริญ แต่ถ้าเป็นกษัตริย์ก็จะมีปุโรหิตประจำเมือง ในปชต.ขาเดียวขาดจิตวิญญาณขาดนามธรรม แต่ว่าปชต.สองขานี้มีครบกาย อย่างอเมริกาก็แอคไปทำปชต.ขาเดียว ก็ยังไม่ถึงสามร้อยดีเลยนะ

การบริหารหรือเป็นหัวหน้าเป็นกษัตริย์ เป็นผู้ใหญ่สุด พระพุทธเจ้าก่อนจะมาเป็นพระพุทธเจ้าก็เคยเกิดเป็นมาหมดแล้ว เป็นโพธิสัตว์ระดับต่างๆมา ได้เป็นหมดแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม จะผ่านมาเข้าใจจะรู้ พอมาถึงยุคนี้เป็นยุคปลายภัทรกัปป์ ก็จะต้องมีสิ่งที่ดีทิ้งทวน จึงจะเป็นปชต.ทิ้งทวนเกิดที่ประเทศไทย เป็นต้นแบบ เป็นปชต.ต้นแบบมีทั้งวิญญาณและภูมิปัญญาที่เอาศาสนานำ คุณธรรมนำ

เขาว่าคนดีต้องไม่มีศักดินา ...ไม่ใช่หรอก ต้องมี ต่อไปจะเป็นผู้บริหารที่มีศักดินา แล้วจะเข้าใจว่าถ้าเป็นปชต.สองขามีกษัตริย์เป็นประมุข แต่กษัติรย์ยุคนี้ไม่มีศักดินาแล้ว แต่คนไม่รู้ในธรรมชาติฐานะจะต้องมีอะไรตามฐานะ เช่นนิ้วโป้งใหญ่ แม้จะสั้นก็มีหน้าที่ นิ้วก้อยเล็กก็มีหน้าที่ แต่ไม่เท่ากัน แต่มันไม่มีศักดินาอะไร ไม่เกี่ยงกันนะทำงานร่วมกันได้ ถ้าห้านิ้วนี้เกี่ยงกันก็เป็นศักดินา แต่ถ้าไม่เกี่ยงกันก็ทำหน้าที่ร่วมกันได้ดี

 

ทาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมรรคองค์ 8 ในมหาจัตตารีสกสูตร

          7.  มหาจัตตารีสกสูตร  (117)

          [252]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

          พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

          [253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ กับ สัมมาสัมพุทธะ

 

การจะปฏิบัติมรรค 8 ได้ต้องเห็นแสงอรุณทั้ง 7 ก่อน ซึ่งต้องอาศัยมิตรดี เป็นข้อแรก มิตรดีมีทั้งที่เป็น ปัจจัตตัง เป็นปัจเจก เป็นสัมมาสัมพุทธะ ในสัมมาสัมพุทธะแบ่งเป็น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธ กับ สัมมาสัมพุทธะ

ระหว่างปัจเจกสัมมาสัมพุทธ กับ สัมมาสัมพุทธ  ก็มีความรู้เท่ากัน

แต่ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธนั้นได้แต่ของตน ไม่ได้ประกาศต่อโลก ไม่ได้ใช้ศิลปะในการประกาศต่อใคร แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป เพราะว่าท่านต้องการเป็นแบบนี้ และก็บางท่านมีอนันตริยกรรมทีร้ายแรงมาก เช่นเทวทัตเป็นต้น อย่างธัมมชโยนี้ระวังจะเป็นเหมือนเทวทัต ถ้าอยากเป็นต้นธาตุต้นธรรมจะไม่ได้เป็นนะ ถ้ากลับตัวทันก็อาจได้เป็นแต่ถ้าไม่รู้ว่าทำเลยไปหรือยังนะ

แต่ปัจเจกนี้สอนได้ สอนคนได้ทุกคน ไม่ใช่ว่าสอนไม่ได้รู้แต่ตนเอง

สุริยเปยยาล ต้องรู้จัก มิตรดี มีศีลและมีฉันทะ ต้องรู้จักทาน ต้องรู้จักศีล ก็ต้องทำใจในใจให้เป็น รู้จักมิตรดี มีศีล มีฉันทะแล้วจะรู้จักอัตตา 3 ของตัวเอง แล้วก็จะได้รู้ทิฏฐิ

          [254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

อาตมาก็มีแต่ธรรมะที่จะให้คนได้ คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง อาตมาไม่ทำหวานๆนะดีไม่ดีโขกสับด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าพวกคุณมีอัตตามานะไหม ถ้ามีอัตตามานะมากมาไม่ได้หรอก ต้องมาลดอัตตามานะให้มากๆ จึงมาอยู่กับอาตมาได้

คนมีมานะอัตตามากๆ อาตมาสู้ไม่ไหวหรอก เขาเฉลียวฉลาดเยอะ อาตมาไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดมาก อาตมาไม่สู้ก็เอาคนที่พอได้ เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง

แล้วอย่าประมาท เมื่อไม่ประมาทก็ทำใจในใจเป็น ทำตามทิฏฐิ 10​ที่พระพุทธเจ้าตรัส

          [255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ

เมื่อคุณทำทานไม่เป็นก็ไม่ได้ผลลดกิเลส คุณจะทำทานอย่างไรก็อย่าให้สร้างภพชาติ

ในทานสูตรหากทำทานแล้วมีความหวัง (สาเปกโข) คือจิตมันหวังก็คือน่าจะได้อะไรมาหาเรา เราจะได้อะไร

แม้แต่จะหวังว่าจะได้นิพพานก็อย่าไปคิด บัญญัติบอกว่านิพพาน แต่ถ้าคุณบอกอยากได้นิพพานแต่ไม่ได้ปฏิบัติให้สัมมาก็ได้แต่ภพ ต้องชัดๆนะ  การทำทานนั้นมีทิฏฐิที่ต่างกันไปในทานสูตร ที่มีการทำทาน ข้อ 1 -6 นี้ที่เป็นการสร้างภพชาติ แต่การทำทานข้อที่ 7 เป็นการล้างภพชาติ จะได้เป็นสหายแห่งพรหม

 

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา คือ ทำทานแล้ว มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

 

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

อันที่ 6  ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)

 

“ทาน”คือการให้ ไม่มีวิธีอะไรมาก แต่ “ศีล”นั้นเป็นวิธีการที่ปฏิบัติหลากหลายมากมาย เลยเรียนรู้ได้ยากกว่าทาน คือจะทำอย่างไรมันจึงจะทำให้กิเลสลด ไม่สร้างความหวัง ไม่ผูกพัน ไม่สร้างอัตตาข้ามชาติ ที่ตกผลึกไปใหญ่ จะทำอย่างไร ก็ต้องไม่ตั้ง “ภพชาติ”

“ภพชาติ” คือเทวดา แน่นอนไม่มีใครตั้งภพชาติเป็นสัตว์นรกหรอ

 

เราสามารถเข้าใจว่าทานอย่างไร ทำใจอย่างไรในการทำทานที่จะลดกิเลส โดยปฏิบัติศีลพรต(ยิฏฐัง)

หากทำเดรัจฉานวิชชาก็ได้แต่ภพชาติ ไม่มีผลลดกิเลสอะไร ซึ่งการปฏิบัติศีลนั้น จะมีผลตามกิมัตถิยสูตร แต่ถ้าคุณทำผิด คุณปฏิบัติให้จิตคุณไม่เดือดร้อน คุณสบาย แต่เป็นสุขขัลลิกะเป็นสุขเท็จ คุณก็ไม่เดือดร้อน อวิปฏิสาร แต่คุณก็ได้ปีติ ปมุชชะ ปีติ เป็นสุข ได้เหมือนกัน แต่ในกิมัตถิยสูตรก็เจริญเป็นขั้น แต่โลกีย์นั้นจะบำเรอกิเลส แล้วปีติอิ่มใจชื่นใจ แต่คุณจะเข้าใจปัสสัทธิ วูปสโมสุข ไม่ได้

กิมัตถิยสูตร

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

แต่เมื่อสอนกันผิดๆ ก็ไม่ได้อานิสงส์ของศีล ตามกิมัตถิยสูตร อาตมาอธิบายได้ แล้วพาพวกเราปฏิบัติได้ผล ตามนี้ด้วย ศีล 5 เป็นโสดาบัน ศีล 8 เป็นสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี ศีล 43 เป็นอรหันต์เลย มีศีลปาติโมกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน

กามภพที่เป็นนรกใหญ่สุดชั้นต่ำเรียกว่าอบาย ของใครก็ของมัน เรามีอะไรที่ต่ำสุดก็เลิกอันนั้น ตั้งศีล ข้อนั้น เช่นฆ่าสัตว์ เช่นเอาของคนอื่น เช่นเรื่องกาม มันก็จัดจ้าน ถ้าเป็นกามทางเพศก็คือบำเรอตน เสพสัมผัส ทางทวาร 6

ไม่นานมานี้ มีลงข่าวหนังสือพิมพ์ว่า...มีผู้ชายคนหนึ่งไปสำเร็จความใคร่กับท่อไอเสียรถ ต่อหน้าธารกำนัล มันก็ไปสมมุติกับการสัมผัสเสียดสีกับท่อไอเสีย คุณจะไปสัมผัสเสียดสีอะไรก็จัดจ้านได้หมด จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ถ้าจัดจ้านก็คืออบาย นี่แหละคือสัตว์นรกแท้ๆ วิตถารชะมัดเลย นี่อธิบายสัจธรรมชัดๆ ยกตัวอย่างจริงเลย

ทานนี้เป็นเรื่องที่ทุกศาสนาเข้าใจได้ง่าย แต่ศีลหรือวิธีปฏิบัตินี้มีมากมายหลากหลายเข้าใจได้ยากกว่า

ทานศีลภาวนา แต่เถรสมาคมไม่ได้รู้เรื่องศีลเลย

อย่างศีลข้อที่ให้งดเว้น การร้องรำทำเพลงเป็นต้น แต่เรื่องเพลงนี้อาตมาก็รู้ว่าคนต้องมีต้องอาศัยต้องใช้ ขอเปิดเผยคนทำเพลงของอาตมา เขาก็บอกว่าฟังเพลงอาตมาก็บอกว่าเหมือนฟังเทศน์เลย เขาเป็นนักเรียบเรียงดนตรี อย่างนี้เป็นต้น เขารู้ว่าเป็นธรรมะ พวกเราก็รู้ว่าเพลงอาตมาเป็นเพลงธรรมะ

อย่างศีลข้อมาลาคันธวิเลปนธารณมันฑณวิภูสนฐานา อย่างสมเด็จช่วงก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย ธัมมชโยก็ให้คนมาเดินธุดงค์ แต่ธุดงค์แปลว่า ศีลเคร่ง แต่นี่เคร่งอะไรกันทำแบบนี้

ในจุลศีล

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึก

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับตกแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิว ซึ่งเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากที่นอนที่นั่งสูง และที่นอนที่นั่งใหญ่

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญชาติดิบ.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.(คนก็แย้งว่า รับเนื้อสุกได้อีก คนไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์แม้พระเทวทัตก็เคร่งบอกว่าจะให้ภิกษุกินมังฯให้หมด เหมือนกับจะต้องระบุว่า ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็จะไประบุทำไม ให้คับแคบ ศาสนาพุทธนั้นเปิดกว้างไม่คับแคบเช่นนั้น อาตมาไม่เอาด้วยไประบุทำไม? แม้พระเทวทัตจะให้กินมังฯให้หมดพระพุทธเจ้าก็ไม่เอาด้วย หรือจะต้องไปอยู่ป่าตลอด พระพุทธเจ้าก็ไม่เอาด้วย ในข้อที่พระเทวทัตอ้างไป

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและเด็กหญิง.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับนาและไร่

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเป็นทูตและการรับใช้ (การทำฑูตกรรม คือการเชื่อมโยงเพื่อช่วยเขา ไม่ใช่ไปเพื่อเอาทรัพยากรจากเขาหรือเอาอะไรจากเขา ผู้จะเป็นฑูตก็ต้องรู้ว่าจะไปเพื่อเกื้อกูลเป็นพระพรหมมีพรหมวิหาร 4 หรือจะไปเพื่อเผยแพร่ศาสนาก็ไปเพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แม้แต่ไปเพื่อรับใช้เขา ไม่ได้ไปเบ่งข่มเขา ไม่ได้ไปรับจ้าง ไม่ได้ไปเพื่อเห็นแก่ได้ ไม่ได้หาประโยชน์ส่วนตัว

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อและการขาย.(อย่าซื้ออย่าขาย พวกนักบวชของเราไม่มีใครซื้อขาย แต่ฆราวาสเรามีการซื้อขาย ยกเว้นการซื้อขายอย่างบุญนิยม ต้องขายอย่างผู้ให้ ถ้าเอาแต่ maximize profit ก็แย่สิ แบบทุนนิยม แต่บุญนิยมแม้เราจะต้องเอากลับมาบ้างแต่ก็ไม่ให้เกินกว่าราคาตลาด มีสัดส่วยอัตรา 4 อย่างคือ ต่ำกว่าราคาตลาด เท่าทุน ต่ำกว่าทุน แจกฟรี บุญนิยมสี่ระดับ

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยโลหะ และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.(การโกงตาชั่งคือเอาเปรียบเราไม่ทำต้องทำแบบเสียเปรียบด้วย)

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟัน การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น การจี้ [2]

 

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:01:06 )

590804

รายละเอียด

590804_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาทำบุญ

คุณเคยทำบาปทำผิดไหม? จะล้างบาปได้หรือไม่? แล้วจะแก้ไขอย่างไร?

0815428xxx นมัสการครับอยากให้หลวงปู่ให้ทัศนคติแด่ผู้เคยประพฤติปฏิบัติผิดพลาดทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยครับขอบพระคุณอย่าสูงครับ

ตอบ...แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เคยปฏิบัติที่ผิดมาก่อนและเราจะมีทัศนคติอย่างไรกับการปฏิบัติที่ผิด เมื่อเรารู้ว่าเราทำไปแล้วผิด สิ่งที่ทำผ่านไปเป็นกรรมที่ทำไปแล้ว เป็นอันทำ ทำไปแล้วจะลบล้างไม่ได้ก็เป็นวิบาก จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวจะหลงลืมอย่างไรก็แล้วแต่ ยิ่งเป็นการกระทำทั้งทั้งที่รู้ ก็สมน้ำหน้า แต่ถ้าไม่รู้ตัวทำไปแล้วก็รู้ว่าผิดทีหลัง ก็เป็นอกุศลวิบาก ที่นี้จะทำอย่างไรเมื่อผิดแล้ว

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนว่า กรรมที่ทำไปแล้วลบไม่ได้ เมื่อทำไปแล้วกรรมวิบากก็เป็นอย่างหนึ่ง กิเลสก็เป็นอย่างหนึ่งอันนี้จะอธิบายทีหลัง

ผู้ใดทำกรรมที่เป็นวิบากจะเป็นกุศลหรืออกุศลธรรมแล้ว ก็เป็นเราเป็นของเรา แล้วจะออกฤทธิ์กับเราจะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่ ก็มีเหตุปัจจัยจะแรงจะเบาก็เป็นไปตามสัจจะของมัน เป็นอจินไตยไม่ต้องไปคิด แต่มันจะออกกับเราแน่

ทำไปแล้วเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ต้องจำไว้ว่าอย่าทำอีก นี่เป็นประเด็นแรกที่สำคัญ

2 ทำแต่กุศลให้ถึงพร้อมทำแต่ดีไปเถิด

เคยอธิบายไว้ว่ากุศลกับอกุศลเมื่อทำไปแล้วจะสะสมทั้ง 2 อย่าง มันก็จะดันกัน ถ้ากุศลมากก็ดันอกุศลให้มาหาไม่ทัน แต่ถ้ากุศลมันน้อยแต่อกุศลมีมาก มันก็มาทัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเติมกุศลให้มากไว้ แล้วอกุศลก็จะขึ้นมาไม่ได้ไม่ทัน นี่คือวิธีการที่จะไม่ให้เราได้รับผลจากกรรมวิบาก เป็นวิธีเดียวไม่มีวิธีอื่นของศาสนาพุทธ เป็นวิธีที่เราจะไม่ได้รับทุกข์ในปัจจุบัน

เราจะไม่ได้รับวิบากกรรมได้นั้น หนึ่งเราต้องทำกุศลให้มากให้กั้นไว้ อกุศลจะได้มาไม่ทัน แล้วทุกจุบันจะต้องอ่านเหตุปัจจัยที่เป็นบาปเป็นอกุศลคือจิตใจที่มีกิเลสที่เป็นตัวการทำให้เราก่ออกุศลกรรม จึงต้องเรียนรู้กิเลสในภพปัจจุบันแล้วเรียนรู้ที่จะฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน จนกิเลสเรารู้จักเราได้ทุกตัวที่มากระทบและเราก็ฆ่าได้เสร็จหมดจนกิเลสไม่เกิดอีก บุญคือการค้าคือการชำระกิเลสให้จบหมดก็เลิกทำบุญ จนแข็งแรงเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องทำบุญ กำจัดกิเลสหมดแล้ว ทุกกรรมกิริยาก็เป็น กุศลถ่ายเดียว จากนี้ไปมีแต่กุศลๆๆๆ กุศลก็ยันอกุศลไปโน่น ตกไปฟากไหนๆ ไม่มีทางตามทันได้

สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง นี่คือวิธีของศาสนาพุทธ สุดยอดเลย จะไม่ได้รับทุกข์รับภัยอะไรอีก ถ้ายังอยู่จะมีแต่กุศล จนกว่าจะปรินิพพาน

จะทำอย่างไรเมื่อรู้ตัวว่าได้ทำผิดไปแล้ว?

1.หยุดอย่าทำอีก 2.ทำแต่กุศล 3.ล้างกิเลสให้ได้ คือวิธีที่ศาสนาพุทธสอน ที่อาตมาทำมา แล้วนำมายืนยันกับพวกเรา

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84313

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfU0FFLThXZUxkQzQ

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5wg5w1pcje23/160804_

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:01:33 )

590804

รายละเอียด

590804_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาทำบุญ

พ่อครูว่า….วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2559 ทุกวันพฤหัสบดีจะเป็นวันที่ตอบปัญหา ….ส่งมาได้ทาง ไลน์@บุญนิยมทีวี เบอร์โทรศัพท์ 094 2587007  และเบอร์โทรฯ 094 2598885

0822712xxx รับก็รับครับธรรมนูญ พ่อว่าไงก็ว่างั้น ถ้ามันจะโง่ ก็ขอโง่ให้ตายซักชาติ

0815428xxx นมัสการครับอยากให้หลวงปู่ให้ทัศนคติแด่ผู้เคยประพฤติปฏิบัติผิดพลาดทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยครับขอบพระคุณอย่าสูงครับ

ตอบ...แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เคยปฏิบัติที่ผิดมาก่อนและเราจะมีทัศนคติอย่างไรกับการปฏิบัติที่ผิด เมื่อเรารู้ว่าเราทำไปแล้วผิด สิ่งที่ทำผ่านไปเป็นกรรมที่ทำไปแล้ว เป็นอันทำ ทำไปแล้วจะลบล้างไม่ได้ก็เป็นวิบาก จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวจะหลงลืมอย่างไรก็แล้วแต่ ยิ่งเป็นการกระทำทั้งทั้งที่รู้ ก็สมน้ำหน้า แต่ถ้าไม่รู้ตัวทำไปแล้วก็รู้ว่าผิดทีหลัง ก็เป็นอกุศลวิบาก ที่นี้จะทำอย่างไรเมื่อผิดแล้ว

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนว่า กรรมที่ทำไปแล้วลบไม่ได้ เมื่อทำไปแล้วกรรมวิบากก็เป็นอย่างหนึ่ง กิเลสก็เป็นอย่างหนึ่งอันนี้จะอธิบายทีหลัง

ผู้ใดทำกรรมที่เป็นวิบากจะเป็นกุศลหรืออกุศลธรรมแล้ว ก็เป็นเราเป็นของเรา แล้วจะออกฤทธิ์กับเราจะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่ ก็มีเหตุปัจจัยจะแรงจะเบาก็เป็นไปตามสัจจะของมัน เป็นอจินไตยไม่ต้องไปคิด แต่มันจะออกกับเราแน่

ทำไปแล้วเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ต้องจำไว้ว่าอย่าทำอีก นี่เป็นประเด็นแรกที่สำคัญ

2 ทำแต่กุศลให้ถึงพร้อมทำแต่ดีไปเถิด

เคยอธิบายไว้ว่ากุศลกับอกุศลเมื่อทำไปแล้วจะสะสมทั้ง 2 อย่าง มันก็จะดันกัน ถ้ากุศลมากก็ดันอกุศลให้มาหาไม่ทัน แต่ถ้ากุศลมันน้อยแต่อกุศลมีมาก มันก็มาทัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเติมกุศลให้มากไว้ แล้วอกุศลก็จะขึ้นมาไม่ได้ไม่ทัน นี่คือวิธีการที่จะไม่ให้เราได้รับผลจากกรรมวิบาก เป็นวิธีเดียวไม่มีวิธีอื่นของศาสนาพุทธ เป็นวิธีที่เราจะไม่ได้รับทุกข์ในปัจจุบัน

เราจะไม่ได้รับวิบากกรรมได้นั้น หนึ่งเราต้องทำกุศลให้มากให้กั้นไว้ อกุศลจะได้มาไม่ทัน แล้วทุกจุบันจะต้องอ่านเหตุปัจจัยที่เป็นบาปเป็นอกุศลคือจิตใจที่มีกิเลสที่เป็นตัวการทำให้เราก่ออกุศลกรรม จึงต้องเรียนรู้กิเลสในภพปัจจุบันแล้วเรียนรู้ที่จะฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน จนกิเลสเรารู้จักเราได้ทุกตัวที่มากระทบและเราก็ฆ่าได้เสร็จหมดจนกิเลสไม่เกิดอีก บุญคือการค้าคือการชำระกิเลสให้จบหมดก็เลิกทำบุญ จนแข็งแรงเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องทำบุญ กำจัดกิเลสหมดแล้ว ทุกกรรมกิริยาก็เป็น กุศลถ่ายเดียว จากนี้ไปมีแต่กุศลๆๆๆ กุศลก็ยันอกุศลไปโน่น ตกไปฟากไหนๆ ไม่มีทางตามทันได้

สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง นี่คือวิธีของศาสนาพุทธ สุดยอดเลย จะไม่ได้รับทุกข์รับภัยอะไรอีก ถ้ายังอยู่จะมีแต่กุศล จนกว่าจะปรินิพพาน

จะทำอย่างไรเมื่อรู้ตัวว่าได้ทำผิดไปแล้ว?

1.หยุดอย่าทำอีก 2.ทำแต่กุศล 3.ล้างกิเลสให้ได้ คือวิธีที่ศาสนาพุทธสอน ที่อาตมาทำมา แล้วนำมายืนยันกับพวกเรา

 

_พ่อครูครับ ผมจะรับรธน.2559 เพราะนักกฏหมายขี้โกงบอกไม่รับแสดงว่าต้องดีแน่ๆ

ตอบ...อีกฝ่ายหนึ่งที่บอกว่าไม่ดีคือศัตรูของอันนี้ บอกว่าไม่ดีก็แสดงว่ารธน.นี้ดีแน่ อาตมาก็เคยย้ำ

เขาก็คิดว่าไม่รับลุงตู่ก็จะต้องอยู่ต่อ มันเหมือนไม่มีเกียรติ อาตมาก็ว่าต้องรับสิ เราก็ได้คะแนนรับนี่มากกว่าก็ยิ่งมีเกียรติ นี่คือเหตุการณ์ทุกวันนี้ที่ซับซ้อนสับสนจนงงไปหมด แต่อาตมาว่าไม่ต้องคิดมากเลย ถ้าเราต้องการให้ลุงตู่อยู่ เราก็ให้รับให้อยู่อย่างมีเกียรติก็จบ เพราะความเห็นตรงกันที่ต้องการให้ลุงตู่อยู่

_ปัญญาชนคือผู้รู้

 

_พ่อครูเคยกล่าวว่า ผู้บรรลุสัมมาสมาธิได้จริง จะรู้แจ้งรู้จริง ตามความเป็นจริงของมนุษย์ ที่กาย วาจา ใจ รู้ทันผัสสะภายนอก คือโอฬาริกอัตตา รู้ถึงรูปภายใน คือมโนมยอัตตา ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?

ตอบ...ถูกต้อง

 

_ส่วนเจโตสมาธิ ได้แต่จมอยู่ในภวังค์ ติดอยู่กับทิฏฐิ 62 ตามที่พพจ.ตรัสในพรหมชาลสูตร ดังพ่อครูเคยกล่าวไว้

ตอบ...การนั่งหลับตาไม่มีวิจัยจิตเจตสิกรูปนิพพาน ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกวิตกวิจารไม่ออก แต่ของพพจ.นี้รู้เรื่องหมด

 

_ผลหลังประชามิตจะเป็นอย่างไร จะผ่าน มิผ่าน ก็ขอให้จบ ที่การยอมรับกติกา ที่เคารพในสิทธิกันและกันไม่ใช่กฏกติกูที่ชวนตีกัน ยอมรับทุกสิทธิ์ เสียง โดยสงบสันติ รักกัน เพื่อแม่

ตอบ...ดีแล้ว ทุกคนให้มองกันในแง่ดี แล้วพากันทำดีเพื่อประเทศชาติ

 

_0833208xxx คนรู้แจ้งคือคนมีสัมมาสติ รู้ว่าจิตตนคือพุทธะ จะชื่นชมธรรมะบำเพ็ญไม่ผิดในมโน วจีและกายกรรม หูตาจมูกลิ้นกายใจสะอาดสงบ รู้จักเป็นผู้ให้ในการอันควรทุกเมื่อ บังเกิดจิตมหาเมตตากรุณาฉุดช่วยตนและคนอื่นให้รู้แจ้งในธรรมะบรรลุสู่มรรคผล

ตอบ...อันนี้อาตมาว่าโมเมหรือเปล่า? คำว่าพุทธะนี้เป็นความหมายลึกซึ้งจบเลยเป็นผู้รู้จริงไม่ใช่แค่ภาษา แต่เป็นรู้จบเลย เป็นผู้สดชื่นเบิกบาน มีสติเต็ม ไม่มีง่วงเหงา ไม่วุ่นวาย เป็นคนมีพลังสติเต็มดี

 

_จากหินไท....ฝากถามพ่อครูครับ ครั้งหนึ่งมีท่านผู้รู้เคยมาทำการตรวจสอบพ่อครูว่าท่านบรรลุธรรมจริงหรือไม่(น่าจะ20ปีล่วงมาแล้ว)มีการทำการเป็นระบบเขาน่าจะเป็นอ.ที่ไหนสักแห่งและน่าจะเป็นปธ.9ประโยคด้วย เขาได้มาค้นหาข้อมูลในห้องสมุดที่สันติอโศกของเราด้วย วันสรุปตรวจสอบไปทำกันที่ม.ธรรมศาสตร์. วันนั้นพ่อครูก็เดินทางไปรับการตรวจสอบจากเขาคนนั้นผมจำชื่ออ.คนนั้นไม่ได้เขาบอกว่าพ่อครูไม่ได้บรรลุธรรม ผมจำได้ว่าพ่อครูก็ไม่ได้พูดอะไร อยากถามพ่อครูว่าคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น ผมเองมองว่าเขาเองแม้จะได้ปธ.9ประโยคแต่เขาก็คือคนที่ล้มเหลวเพราะสึกออกมาเป็นคนธรรมดา

ตอบออกสื่อก็น่าจะดีเป็นการทบทวนประวัติศาตร์อีกหน้าหนึ่งของพ่อครู

เคยได้ยินว่ามีแต่พระไปถามเรื่องการบรรลุธรรมของพ่อครูที่โคราชแต่นี่เป็นฆราวาสมาทำการตรวจสอบ

ผมอยู่ในเหตุการณ์แต่จำไม่ค่อยได้ครับ  กราบนมัสการครับ

กราบนมก.พ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ตอบ….เป็นเหตุการที่เราจะเดินมีสมณะ สิกขมาตุ เดินจากแดนอโศก นครปฐม เป็นธรรมสถาน อยู่กำแพงแสน เราเดินจากที่นั่นไปโคราช เดินสามเดือน ไปปักกลดที่ศาลากลางเรื่องราวเขาก็รู้ว่าชาวอโศกเดินทางมาทางมหาเถรสมาคมก็จะเล่นงาน ก็มีเจ้าคณะจังหวัดพาพระเลขาธิการคณะไป บุกไปพบอาตมาไปสอบเลยว่ามาทำไม อาตมาก็เลยบอกว่ามาเผยแพร่ธรรมะ เขาก็เลยบอกว่าเอาอะไรมาเผยแพร่ อาตมาก็บอกว่าเอาธรรมะ ท่านก็บอกว่าบรรลุธรรมแล้วหรือ ท่านเป็นเปรียญ 9 อาตมาก็จำได้จิตตอนนั้น ก็บอกว่าเขาลบหลู่เรามีน้ำเสียงมีกิริยาท่าทางที่ส่อแสดงเช่นนั้น อาตมาก็คงหุ่นไม่ให้นะ ซึ่งก็ไม่เคยบอกกับใครว่าบรรลุอย่างไร พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ในอภิณหปัจจเวกขณ์ ไว้ว่าบอกอย่างไม่เก้อเขิน อาตมาก็บอกสำนวนคำต่อคำว่า จะให้ตอบก็ตอบได้ ถ้าโสดากับสกิทาผมก็ผ่านแล้ว….

ตอบแค่นี้พอต่อไปท่านก็ขึ้นเสียง ว่าโสดาด้วยหรือ ? เอ้า จดๆๆๆ บอกเลขาจดใหญ่ ท่านจะเอาผิดที่อวดอุตริมนุสธรรม ก็ไม่เห็นว่าอะไรจะเอาเรื่องต่อก็ไม่รู้ แต่จากวันนั้นไปท่านก็เสียชีวิต ตายโหงรถคว่ำ กระเด็นจมขี้โคลนเลย ท่านเจ้าคุณองค์นี้ นั่นคือครั้งแรกที่อาตมาตอบไปอย่างเปิดเผย

คุณหินไทก็ถามว่าคิดอย่างไร? ก็จำได้ว่าไม่ค่อยจะพูดอะไรใหม่ๆไม่ค่อยอยากจะคุย ตัวเองอาตมานั้นต้องการจะให้คนมาศึกษา อาตมามีความรู้เท่าไหร่ก็จะพยายามแนะนำความรู้แล้วให้คนเขาเอาความรู้มาจับอาตมา เช่นโสดาฯมีกาย วจี มโน อย่างไร จนคนนั้นเขาปฏิบัติก็จะมีคุณธรรมของตน อย่างน้อยก็มีภาษาที่จะเอามาตรวจสอบ เรียนรู้คบหากันไปใช้เวลาจนกว่าเขาจะตอบได้เองว่า เป็นอย่างที่อาตมาพูดไว้ว่าใช่ เขาก็จะรู้ของเขาเอง ถ้าเขาไม่รู้ก็แล้วไป ถ้ารู้ก็คือรู้ ไม่ต้องไปบังคับไปหาอะไร ถือว่าเป็นอิสรเสรีภาพ ตามกามลามสูตร อาตมาก็ชอบที่จะทำเช่นนี้

อาตมาแม้จะจำไม่ได้เต็มที่แต่ก็จำได้ว่าไม่ได้พูดอะไรมาก ส่วนมากอาตมาจะพูดเมื่อจำเป็น ไม่จำเป็นก็ไม่บอก แม้จะมาบังคับให้อาตมาตอบ แม้ผู้รักษาการอธิบดีกรมการศาสนามาถามอาตมาว่าสึกหรือยังเป็นฆรวาสหรือยัง อาตมาก็บอกว่า ไม่ขอตอบใดๆ …

 

_จากคุณทุกข์ อัศวิน ประทับใจ..ที่พ่อครูใส่ใจ ปัญหาของบ้านเมือง..ในวาระที่ใกล้ลงประชามติ..เชื่อมั่นว่า..พ่อครูได้พิจารณาแล้วเจ้าค่ะ

ด้วย กติกาใหม่ของ รธน.ที่กำลังจะลง ประชามตินี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า..ท่านตู่เขียว..จะเข้ามาเป็น นายก..เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติได้อีกวาระหนึ่งเจ้าคะ

จะซ้ำรอย..คราวทักษิณ ที่ลวงด้วยวาทะ.."รวยแล้วไม่โกง"

รธน.ที่ให้ลงมตินี้ มีซ่อนกลลวง หลายจุด เกมือนกับ สนับสนุนกลุ่มทุน

จึงขออนุญาติ..เรียนปรึกษาเพื่อบรรเทาความวิตกกังวล เจ้าค่ะ

กราบ ด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ตอบ...ในชีวิต อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นลูกพพจ.เกิดมาเป็นมนุษย์พพจ.สอนแล้วอาตมาปฏิบัติตาม ให้อาตมาเห็นจริงว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เกิดมาทำไม? เกิดมาเป็นคนมีประโยชน์คือคำตอบ ไม่ใช่เป็นคนผลาญพร่าหนักแผ่นดิน ไม่ใช่เกิดมาเอาเปรียบเป็นคนนิสัยชั่ว เป็นคนแล้วต้องคิดให้ออก อย่าเอาแต่เบียดเบียนเป็นภาระคนอื่น ต้องทำงานต้องมีความรู้โดยเฉพาะรู้กิเลสตัวเอง พพจ.ค้นพบ เราเกิดมาในยุคพพจ. เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ แล้วลดกิเลสจนหมดความเห็นแก่ตัวแล้วขยัน ทำเพื่อมนุษยชาติพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่เป็นความจริงของผู้อรหันต์ทุกคน ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งจริง

การใส่ใจปัญหาบ้านเมืองคือช่วยพลเมืองมนุษยชาติ เป็นโพธิสัตว์อรหันต์จะใส่ใจเช่นนี้ ไม่ห่วงตัวเอง มั่นใจว่าตนทำสิ่งดีงามให้คนอื่นเลี้ยงไว้ ปรปฏิภัทธาเมชีวิกา ตัวเราเองไม่เปลืองผลาญ แต่กินน้อยใช้น้อย มักน้อยสันโดษ คนดูแลเลี้ยงดูง่าย สุภโร ไม่ต้องห่วงเลย เมื่อบรรลุธรรมจะไม่มีปัญหาในชีวิตตัวเอง ทำงานเพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว ไม่ต้องห่วงตัวเองว่าจะกินจะไปจะมาจะอยู่อย่างไรเลย พิสูจน์ตามบารมี ไม่ว่าจะเป็นสมณะ สิกขมาตุ แม้แต่ฆราวาสพวกเราเองของให้จริงเถิด คุณสมบัติเช่นนี้ของคนเราจะเอาไปช่วยส่วนกลางของประเทศเลย ถ้ามีโอกาสแล้วมีผู้ยินดีพลเมืองยินดีให้เราทำ เราไม่ยัดเยียดตัวเอง เราก็จะพยายามเมื่อพลเมืองต้องการเราก็เต็มใจไปทำ

 

_ด้วยกติกาใหม่ของรธน.ที่จะลงประชามติ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านตู่เขียวจะเข้ามาเป็นนายกฯเพื่อแก้ไขปัญหาชาติได้อีกวาระหนึ่ง

ตอบ… ถ้าไม่มั่นใจก็ต้องช่วย อย่างน้อยไปลงคะแนนเสียงอย่างที่ว่า ทำอย่างถูกต้องต่อไป อาตมาว่าแม้แต่ฝ่ายแดงลึกๆก็รู้ว่าอะไรถูกต้อง แต่เขาต้องการอำนาจไปเอาประโยชน์ส่วนตัวอีก ลึกๆมนุษยชาติรู้ว่าอะไรดี ถูกต้องจริง ทำให้ตรงเท่านั้น อาตมาไม่เชื่อว่าลุงตู่จะทำเหมือนทักษิณจะไปวัดรอยเขาทำไม ไม่เชื่อเลย

 

โดยสามัญสำนึก ที่คุณประยุทธได้ทำมาแล้ว มันเป็นตัวอย่างที่ทำมา อาตมาดูแล้วตัดสินว่าไม่ใช่ แต่จะให้คุณประยุทธนี้ไปหักโค่น จัดการนายทุนใหญ่ตูมตามทันที อาตมาว่าใจร้อนไปไหม ต้องทำตามลำดับๆ ใจเย็นๆ สิ่งที่คุณกังวลอาตมาว่าลุงตู่รู้อยู่นะ ต้องให้เวลาเพราะความหมักหมม สิ่งเลวร้ายพอกหางหมูมากไปแล้ว เวลา 84 ปีนานมาก

 

_เนกขัมสิตอุเบกขา ที่เป็นฐานนิพพานมีลำดับอย่างไร?

ตอบ...การทำนั่งหลับตา ก็อุเบกขาได้แต่มันไม่ได้ล้างอัตาสิ้นเกลี้ยงตามลำดับเลยไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอย่างที่พพจ.บัญญัติจึงไม่เข้าขาย เนกขัมสิตอุเบกขา ในมโนปวิจาร 18 ที่เกิดจากทวาร 6 แล้วสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ เกิดทาง 6 ทวารก็เป็น 18 ของโลกีย์ก็เป็น คนไม่รู้ก็สั่งสมหนาไปเรื่อยๆ พอเป็นผู้สัมมาทิฏฐิของพพจ.ก็ค่อยๆล้างไปทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้ (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คือทำให้โลกีย์เป็นโลกุตระ แล้วโลกุตระไม่ได้หนี แต่อยู่เหนือโลกีย์ นี่คือสุดยอดความรู้ของพพจ.ทุกพระองค์ นี่คือ ฐานนิพพาน

คุณเร่ิมจากรอบศีล แล้วเรียนรู้ตามกรอบศีล อย่างที่เกิดกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ลดละไปตามลำดับในศีลแต่ละข้อๆ  ส่วน จิตก็มีปฏิบัติดำริในสังกัปปะ มีดำริ ในกามพยาบาทวิหิงสา ดับกิเลสภายนอกก่อนแล้วดับในรูปาวจร อรูปาวจร ก็จบ ได้อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน สั่งสมอุเบกขาเจริญเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ก็ทำให้แข็งแรงพัฒนาเจริญยิ่งขึ้น โดยจิตจะเป็นมุทุธาตุ เป็นจิตหัวอ่อน ไม่ใช่จิตอ่อนแอ

ในสายจิตเจโตจะเปลี่ยนได้เร็วไว แววไว ปัญญาจะรู้ได้เร็ว ทั้งปัญญาและเจโตแคล่วคล่องว่องไวเรียกว่ามุทุธาตุ เป็นกายกัมมัญญตา ทำงานได้ดี พร้อมไปด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จะทำงานกับสังคมโลกจิตก็ไม่ขุ่นหมอง เป็นปภัสสร เจริญด้วยองค์ 5เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ค่อยเรียนรู้ไป

 

_หลวงปู่จะมีอายุอยู่กับชาวอโศกกี่ปีครับ แล้วจะอยู่ได้เท่ากับที่หลวงปู่คิดได้ไหมครับ

ตอบ..หลวงปู่ตั้งใจอยู่ 151 ปี ก็ไม่ได้พูดเล่น จะพยายามทำให้ได้ ดูสิว่าจะอยู่ได้หรือไม่? อาตมาเป็นโรคปักขันธิกาพาธ คือเป็นโรคไปตำหนิไปว่าเขา พพจ.ก็ตำหนิเขาหนัก ไม่ใช่โรคอื่นมากมาย อาตมารู้ว่าโรคประจำอาตมาเป็นโรควิบากคือไอ ปักขันธิกาพาธ กับอีกโรคคือรู้สึกจิ๊กๆๆเหมือนเข็มแทง ก็ค่อยบอกไป เป็นปัญหาวิบาก อาตมาก็พยายามสร้างกุศลให้กั้นเป็นกำแพงลดวิบาก

 

_จะรับหรือไม่รับร่างรธน.ดี

ตอบ...อาตมาบอกคุณไม่ได้ว่ารับหรือไม่?แต่อาตมาเองรับ

 

_การรักษาผลคือการทำดียิ่งขึ้นๆ เพราะทุกอย่างขึ้นกับหลักไม่เที่ยงสิ่งที่มีนี้ไม่เที่ยงแต่สิ่งที่มีนี้เที่ยงอย่างเดียวคือนิพพาน ความไม่มีนี้โลกีย์ไม่เที่ยงมีแต่นิพพานตัวเดียวเที่ยงทำไมเที่ยงก็เพราะว่าไม่มีที่ไปแล้ว ผู้เป็นอรหันต์แล้วทำทีไรก็นิพพานจึงมีแต่สะสมความไม่มีคือนิพพานมันก็เลยเที่ยง

 

_พพจ.ทำบุญบารมีมาเยอะเพราะเหตุใดวิบากกรรมตามทันได้อีก

ตอบ...วิบากนี้ไม่หมด แต่สร้างอื่นได้ ให้เบาบาง วิบากมันเยอะมาก แต่มันยังไม่ออกฤทธิ์ เช่นพพจ.สมณโคดมอายุ 80 ปี ช่วงเวลา 80 ปีก็จะมีวิบาก ตามเวลา ถ้าพพจ.จะอยู่ต่อก็จะมีวิบากตามมาอีก เพราะคนเราเกิดมามีวิบากมหาศาล มีแต่เลิกจบไปปรินิพพานก็จบ

 

_อโศกแปลว่าอะไร?

ตอบ...โศกแปลว่าเศร้าโศก อโศกคือไม่มีความโศกเศร้าว

 

_พ่อครูคะทำไมกิเลสรู้ได้ยากจังเลย แม้รู้แล้วก็เอาออกยากอีก ช่วยแนะแบบง่ายๆคะ

ตอบ...ถ้ากิเลสรู้ง่ายก็เป็นอรหันต์กันหมดสิ กิเลสรู้ไม่ง่าย ในยุคที่เป็นยุคคนเกิดมาเป็นคนสะอาด กิเลสก็ไม่มาก เรียนรู้ก็ง่าย ก็เป็นอาริยะง่าย พอกิเลสมากขึ้นก็รู้ยากขึ้น เมื่อยุคนี้ปลายภัทรกัปป์แต่ละคนวิบากมากก็เลยรู้กิเลสยาก ที่แนะอยู่ทุกวันนี้ง่ายที่สุดแล้ว

 

_จากนร.สสฐ.ฝากท่านดาวดินถามมา

ตอบ...ถ้าคุณเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ เทวดาเป็นจิตวิญญาณ ถ้าคุณเองไม่ใช่อาตมาก็ไปเข้าใจเชื่อว่าเทวดามีรูปร่าง ก็จะอุปาทาน ยึดแบบมีรูปร่าง แม้คุณไม่ตายก็นึกเห็นเทวดาเป็นรูปร่าง ตายไปก็เห็นเช่นนั้นหรือวิบากคุณเป็นเทวดารูปร่างก็เป็นเช่นนั้น มีรูปร่างพพจ.ก็ว่าเป็นมโนมยอัตตา จิตปั้นได้สำเร็จ เช่นคนเห็นผี ตอนเป็นๆ เขาเห็นจริงๆแต่ไม่มีของจริง จิตเขาหลอน มีอุปทาน เห็นพร้อมกันก็ได้เป็นอุปาทานหมู่

 

_การทำบุญ อะไรที่ทำแล้วได้กุศลสูงสุด และการทำบุญให้ผู้ตายวิธีไหนจะได้กุศลสูงสุด?

ตอบ...การทำบุญให้ผู้ตายวิธีไหนจะได้กุศลสูงสุด คำตอบคือ อย่าทำ เพราะทำอย่างไรก็ไม่ได้เสียเวลาทุนรอนแรงงานเปล่าๆ

แล้วการทำบุญที่จริงคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด อาตมาก็ต้องเหนื่อยหนัก เพราะสอนบุญผิดๆกันมา สอนกันว่าได้เป็นตัวตน แต่ที่จริงบุญมีหน้าที่ประหารกิเลสอย่างเดียวทำแล้วหมดหน้าที่ ผู้ทำบุญเป็นคือประหารกิเลสเป็น

 

_ความรักมีหลายมิติ แต่เด็กนร.มักมีแต่ความรักมิติที่ สามคือเห็นแก่ญาติเท่านั้น คนข้างนอกก็เป็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ตอบ...ตั้งข้อสังเกตก็จริงนะ คนที่เห็นแก่ลูกอย่างเดียวไม่เห็นแก่ญาติก็ไม่ค่อยมีนะ คนก็มีภูมิที่เกื้อกูลกันเผื่อแผ่จากลูกมาให้ญาติ ดีไม่ดี ลูกไม่ดีก็ให้ญาติดีกว่าก็มีจริงได้ ก็เพราะว่าญาตินั้นกว้างกว่าลูก คนมีปฏิภาณปัญญาดีก็เห็นแก่ญาติกว้างขึ้นแต่ก็ยังไม่กว้างกว่านั้นอีก

 

_ทำไมคนต้องมีความรักด้วย มีแล้วผิดหรือไม่?

ตอบ...รักร้อยทุกข์ร้อย รัก สิบทุกข์สิบ รักแสนทุกข์แสน รักล้านทุกข์ล้าน ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย ไม่มีรักมีแต่ความเมตตาเกื้อกูลอย่างนั้นเจริญที่สุด

 

_หลวงปู่คะ หลวงปู่เทศน์เกือบทุกวัน ไม่เหนื่อยหรือเจ็บคอบ้างไหม?หลวงปู่ไม่เคยบอกพวกเราว่าจะเลิกเทศน์ แล้วความรักที่แท้จริงคืออะไรคะ

ตอบ..เป็นวิบากดีอย่างหนึ่งที่ไม่เจ็บคอแต่คันคอเลยไอ ถามว่าเหนื่อยไหม ถ้าinput น้อยกว่า output ก็อ่อนแรง ถ้ามากก็ตายได้เหมือนต้นไม้ก็ธรรมดา หลวงปู่ก็เหนื่อย แต่บารมียังดีไม่เจ็บคอ  ความรักที่แท้จริงคือเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น คือความรักของพระเจ้าของพระพรหม

 

_ทานกับหุตังต่างกันอย่างไร?

ตอบ...หุตังคือสิ่งที่เป็นผลในจิต ต้องมีประโยชน์ทางโลกุตรธรรม ทำทานแล้วทำใจในใจลดกิเลสได้ไหม ถ้าทำได้ก็มีหุตัง ถามว่าทานกับหุตังต่างกันอย่างไร อานิสงค์คือประโยชน์ ของพุทธประโยชน์แท้คือลดกิเลส ถ้าทำทานแล้วล้างกิเลสได้ก็มีอานิสงส์ หุตังก็คือจิตมีผลล้างกิเลสได้ หุตังคือจิตที่ได้ประโยชน์

 

_Jolin Lee กราบนมัสการพ่อครู สมณะ พระคุณเจ้า สิกขมาต ที่เคารพยิ่ง ทุกรูปเจ้าค่ะ ผู้น้อยรับชมจาก กรุงจากาตาร์ อินโดนีเซีย สัญญาณชัดเจนดีมากทั้งภาพและเสียงเจ้าค่ะ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:02:22 )

590804

รายละเอียด

590804_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาทำบุญ

พ่อครูว่า….วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2559 ทุกวันพฤหัสบดีจะเป็นวันที่ตอบปัญหา ….ส่งมาได้ทาง ไลน์@บุญนิยมทีวี เบอร์โทรศัพท์ 094 2587007  และเบอร์โทรฯ 094 2598885

0822712xxx รับก็รับครับธรรมนูญ พ่อว่าไงก็ว่างั้น ถ้ามันจะโง่ ก็ขอโง่ให้ตายซักชาติ

0815428xxx นมัสการครับอยากให้หลวงปู่ให้ทัศนคติแด่ผู้เคยประพฤติปฏิบัติผิดพลาดทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยครับขอบพระคุณอย่าสูงครับ

ตอบ...แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เคยปฏิบัติที่ผิดมาก่อนและเราจะมีทัศนคติอย่างไรกับการปฏิบัติที่ผิด เมื่อเรารู้ว่าเราทำไปแล้วผิด สิ่งที่ทำผ่านไปเป็นกรรมที่ทำไปแล้ว เป็นอันทำ ทำไปแล้วจะลบล้างไม่ได้ก็เป็นวิบาก จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวจะหลงลืมอย่างไรก็แล้วแต่ ยิ่งเป็นการกระทำทั้งทั้งที่รู้ ก็สมน้ำหน้า แต่ถ้าไม่รู้ตัวทำไปแล้วก็รู้ว่าผิดทีหลัง ก็เป็นอกุศลวิบาก ที่นี้จะทำอย่างไรเมื่อผิดแล้ว

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนว่า กรรมที่ทำไปแล้วลบไม่ได้ เมื่อทำไปแล้วกรรมวิบากก็เป็นอย่างหนึ่ง กิเลสก็เป็นอย่างหนึ่งอันนี้จะอธิบายทีหลัง

ผู้ใดทำกรรมที่เป็นวิบากจะเป็นกุศลหรืออกุศลธรรมแล้ว ก็เป็นเราเป็นของเรา แล้วจะออกฤทธิ์กับเราจะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่ ก็มีเหตุปัจจัยจะแรงจะเบาก็เป็นไปตามสัจจะของมัน เป็นอจินไตยไม่ต้องไปคิด แต่มันจะออกกับเราแน่

ทำไปแล้วเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ต้องจำไว้ว่าอย่าทำอีก นี่เป็นประเด็นแรกที่สำคัญ

2 ทำแต่กุศลให้ถึงพร้อมทำแต่ดีไปเถิด

เคยอธิบายไว้ว่ากุศลกับอกุศลเมื่อทำไปแล้วจะสะสมทั้ง 2 อย่าง มันก็จะดันกัน ถ้ากุศลมากก็ดันอกุศลให้มาหาไม่ทัน แต่ถ้ากุศลมันน้อยแต่อกุศลมีมาก มันก็มาทัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเติมกุศลให้มากไว้ แล้วอกุศลก็จะขึ้นมาไม่ได้ไม่ทัน นี่คือวิธีการที่จะไม่ให้เราได้รับผลจากกรรมวิบาก เป็นวิธีเดียวไม่มีวิธีอื่นของศาสนาพุทธ เป็นวิธีที่เราจะไม่ได้รับทุกข์ในปัจจุบัน

เราจะไม่ได้รับวิบากกรรมได้นั้น หนึ่งเราต้องทำกุศลให้มากให้กั้นไว้ อกุศลจะได้มาไม่ทัน แล้วทุกจุบันจะต้องอ่านเหตุปัจจัยที่เป็นบาปเป็นอกุศลคือจิตใจที่มีกิเลสที่เป็นตัวการทำให้เราก่ออกุศลกรรม จึงต้องเรียนรู้กิเลสในภพปัจจุบันแล้วเรียนรู้ที่จะฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน จนกิเลสเรารู้จักเราได้ทุกตัวที่มากระทบและเราก็ฆ่าได้เสร็จหมดจนกิเลสไม่เกิดอีก บุญคือการค้าคือการชำระกิเลสให้จบหมดก็เลิกทำบุญ จนแข็งแรงเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องทำบุญ กำจัดกิเลสหมดแล้ว ทุกกรรมกิริยาก็เป็น กุศลถ่ายเดียว จากนี้ไปมีแต่กุศลๆๆๆ กุศลก็ยันอกุศลไปโน่น ตกไปฟากไหนๆ ไม่มีทางตามทันได้

สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง นี่คือวิธีของศาสนาพุทธ สุดยอดเลย จะไม่ได้รับทุกข์รับภัยอะไรอีก ถ้ายังอยู่จะมีแต่กุศล จนกว่าจะปรินิพพาน

จะทำอย่างไรเมื่อรู้ตัวว่าได้ทำผิดไปแล้ว?

1.หยุดอย่าทำอีก 2.ทำแต่กุศล 3.ล้างกิเลสให้ได้ คือวิธีที่ศาสนาพุทธสอน ที่อาตมาทำมา แล้วนำมายืนยันกับพวกเรา

 

_พ่อครูครับ ผมจะรับรธน.2559 เพราะนักกฏหมายขี้โกงบอกไม่รับแสดงว่าต้องดีแน่ๆ

ตอบ...อีกฝ่ายหนึ่งที่บอกว่าไม่ดีคือศัตรูของอันนี้ บอกว่าไม่ดีก็แสดงว่ารธน.นี้ดีแน่ อาตมาก็เคยย้ำ

เขาก็คิดว่าไม่รับลุงตู่ก็จะต้องอยู่ต่อ มันเหมือนไม่มีเกียรติ อาตมาก็ว่าต้องรับสิ เราก็ได้คะแนนรับนี่มากกว่าก็ยิ่งมีเกียรติ นี่คือเหตุการณ์ทุกวันนี้ที่ซับซ้อนสับสนจนงงไปหมด แต่อาตมาว่าไม่ต้องคิดมากเลย ถ้าเราต้องการให้ลุงตู่อยู่ เราก็ให้รับให้อยู่อย่างมีเกียรติก็จบ เพราะความเห็นตรงกันที่ต้องการให้ลุงตู่อยู่

_ปัญญาชนคือผู้รู้

 

_พ่อครูเคยกล่าวว่า ผู้บรรลุสัมมาสมาธิได้จริง จะรู้แจ้งรู้จริง ตามความเป็นจริงของมนุษย์ ที่กาย วาจา ใจ รู้ทันผัสสะภายนอก คือโอฬาริกอัตตา รู้ถึงรูปภายใน คือมโนมยอัตตา ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?

ตอบ...ถูกต้อง

 

_ส่วนเจโตสมาธิ ได้แต่จมอยู่ในภวังค์ ติดอยู่กับทิฏฐิ 62 ตามที่พพจ.ตรัสในพรหมชาลสูตร ดังพ่อครูเคยกล่าวไว้

ตอบ...การนั่งหลับตาไม่มีวิจัยจิตเจตสิกรูปนิพพาน ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกวิตกวิจารไม่ออก แต่ของพพจ.นี้รู้เรื่องหมด

 

_ผลหลังประชามิตจะเป็นอย่างไร จะผ่าน มิผ่าน ก็ขอให้จบ ที่การยอมรับกติกา ที่เคารพในสิทธิกันและกันไม่ใช่กฏกติกูที่ชวนตีกัน ยอมรับทุกสิทธิ์ เสียง โดยสงบสันติ รักกัน เพื่อแม่

ตอบ...ดีแล้ว ทุกคนให้มองกันในแง่ดี แล้วพากันทำดีเพื่อประเทศชาติ

 

_0833208xxx คนรู้แจ้งคือคนมีสัมมาสติ รู้ว่าจิตตนคือพุทธะ จะชื่นชมธรรมะบำเพ็ญไม่ผิดในมโน วจีและกายกรรม หูตาจมูกลิ้นกายใจสะอาดสงบ รู้จักเป็นผู้ให้ในการอันควรทุกเมื่อ บังเกิดจิตมหาเมตตากรุณาฉุดช่วยตนและคนอื่นให้รู้แจ้งในธรรมะบรรลุสู่มรรคผล

ตอบ...อันนี้อาตมาว่าโมเมหรือเปล่า? คำว่าพุทธะนี้เป็นความหมายลึกซึ้งจบเลยเป็นผู้รู้จริงไม่ใช่แค่ภาษา แต่เป็นรู้จบเลย เป็นผู้สดชื่นเบิกบาน มีสติเต็ม ไม่มีง่วงเหงา ไม่วุ่นวาย เป็นคนมีพลังสติเต็มดี

 

_จากหินไท....ฝากถามพ่อครูครับ ครั้งหนึ่งมีท่านผู้รู้เคยมาทำการตรวจสอบพ่อครูว่าท่านบรรลุธรรมจริงหรือไม่(น่าจะ20ปีล่วงมาแล้ว)มีการทำการเป็นระบบเขาน่าจะเป็นอ.ที่ไหนสักแห่งและน่าจะเป็นปธ.9ประโยคด้วย เขาได้มาค้นหาข้อมูลในห้องสมุดที่สันติอโศกของเราด้วย วันสรุปตรวจสอบไปทำกันที่ม.ธรรมศาสตร์. วันนั้นพ่อครูก็เดินทางไปรับการตรวจสอบจากเขาคนนั้นผมจำชื่ออ.คนนั้นไม่ได้เขาบอกว่าพ่อครูไม่ได้บรรลุธรรม ผมจำได้ว่าพ่อครูก็ไม่ได้พูดอะไร อยากถามพ่อครูว่าคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น ผมเองมองว่าเขาเองแม้จะได้ปธ.9ประโยคแต่เขาก็คือคนที่ล้มเหลวเพราะสึกออกมาเป็นคนธรรมดา

ตอบออกสื่อก็น่าจะดีเป็นการทบทวนประวัติศาตร์อีกหน้าหนึ่งของพ่อครู

เคยได้ยินว่ามีแต่พระไปถามเรื่องการบรรลุธรรมของพ่อครูที่โคราชแต่นี่เป็นฆราวาสมาทำการตรวจสอบ

ผมอยู่ในเหตุการณ์แต่จำไม่ค่อยได้ครับ  กราบนมัสการครับ

กราบนมก.พ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ตอบ….เป็นเหตุการที่เราจะเดินมีสมณะ สิกขมาตุ เดินจากแดนอโศก นครปฐม เป็นธรรมสถาน อยู่กำแพงแสน เราเดินจากที่นั่นไปโคราช เดินสามเดือน ไปปักกลดที่ศาลากลางเรื่องราวเขาก็รู้ว่าชาวอโศกเดินทางมาทางมหาเถรสมาคมก็จะเล่นงาน ก็มีเจ้าคณะจังหวัดพาพระเลขาธิการคณะไป บุกไปพบอาตมาไปสอบเลยว่ามาทำไม อาตมาก็เลยบอกว่ามาเผยแพร่ธรรมะ เขาก็เลยบอกว่าเอาอะไรมาเผยแพร่ อาตมาก็บอกว่าเอาธรรมะ ท่านก็บอกว่าบรรลุธรรมแล้วหรือ ท่านเป็นเปรียญ 9 อาตมาก็จำได้จิตตอนนั้น ก็บอกว่าเขาลบหลู่เรามีน้ำเสียงมีกิริยาท่าทางที่ส่อแสดงเช่นนั้น อาตมาก็คงหุ่นไม่ให้นะ ซึ่งก็ไม่เคยบอกกับใครว่าบรรลุอย่างไร พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ในอภิณหปัจจเวกขณ์ ไว้ว่าบอกอย่างไม่เก้อเขิน อาตมาก็บอกสำนวนคำต่อคำว่า จะให้ตอบก็ตอบได้ ถ้าโสดากับสกิทาผมก็ผ่านแล้ว….

ตอบแค่นี้พอต่อไปท่านก็ขึ้นเสียง ว่าโสดาด้วยหรือ ? เอ้า จดๆๆๆ บอกเลขาจดใหญ่ ท่านจะเอาผิดที่อวดอุตริมนุสธรรม ก็ไม่เห็นว่าอะไรจะเอาเรื่องต่อก็ไม่รู้ แต่จากวันนั้นไปท่านก็เสียชีวิต ตายโหงรถคว่ำ กระเด็นจมขี้โคลนเลย ท่านเจ้าคุณองค์นี้ นั่นคือครั้งแรกที่อาตมาตอบไปอย่างเปิดเผย

คุณหินไทก็ถามว่าคิดอย่างไร? ก็จำได้ว่าไม่ค่อยจะพูดอะไรใหม่ๆไม่ค่อยอยากจะคุย ตัวเองอาตมานั้นต้องการจะให้คนมาศึกษา อาตมามีความรู้เท่าไหร่ก็จะพยายามแนะนำความรู้แล้วให้คนเขาเอาความรู้มาจับอาตมา เช่นโสดาฯมีกาย วจี มโน อย่างไร จนคนนั้นเขาปฏิบัติก็จะมีคุณธรรมของตน อย่างน้อยก็มีภาษาที่จะเอามาตรวจสอบ เรียนรู้คบหากันไปใช้เวลาจนกว่าเขาจะตอบได้เองว่า เป็นอย่างที่อาตมาพูดไว้ว่าใช่ เขาก็จะรู้ของเขาเอง ถ้าเขาไม่รู้ก็แล้วไป ถ้ารู้ก็คือรู้ ไม่ต้องไปบังคับไปหาอะไร ถือว่าเป็นอิสรเสรีภาพ ตามกามลามสูตร อาตมาก็ชอบที่จะทำเช่นนี้

อาตมาแม้จะจำไม่ได้เต็มที่แต่ก็จำได้ว่าไม่ได้พูดอะไรมาก ส่วนมากอาตมาจะพูดเมื่อจำเป็น ไม่จำเป็นก็ไม่บอก แม้จะมาบังคับให้อาตมาตอบ แม้ผู้รักษาการอธิบดีกรมการศาสนามาถามอาตมาว่าสึกหรือยังเป็นฆรวาสหรือยัง อาตมาก็บอกว่า ไม่ขอตอบใดๆ …

 

_จากคุณทุกข์ อัศวิน ประทับใจ..ที่พ่อครูใส่ใจ ปัญหาของบ้านเมือง..ในวาระที่ใกล้ลงประชามติ..เชื่อมั่นว่า..พ่อครูได้พิจารณาแล้วเจ้าค่ะ

ด้วย กติกาใหม่ของ รธน.ที่กำลังจะลง ประชามตินี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า..ท่านตู่เขียว..จะเข้ามาเป็น นายก..เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติได้อีกวาระหนึ่งเจ้าคะ

จะซ้ำรอย..คราวทักษิณ ที่ลวงด้วยวาทะ.."รวยแล้วไม่โกง"

รธน.ที่ให้ลงมตินี้ มีซ่อนกลลวง หลายจุด เกมือนกับ สนับสนุนกลุ่มทุน

จึงขออนุญาติ..เรียนปรึกษาเพื่อบรรเทาความวิตกกังวล เจ้าค่ะ

กราบ ด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ตอบ...ในชีวิต อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นลูกพพจ.เกิดมาเป็นมนุษย์พพจ.สอนแล้วอาตมาปฏิบัติตาม ให้อาตมาเห็นจริงว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เกิดมาทำไม? เกิดมาเป็นคนมีประโยชน์คือคำตอบ ไม่ใช่เป็นคนผลาญพร่าหนักแผ่นดิน ไม่ใช่เกิดมาเอาเปรียบเป็นคนนิสัยชั่ว เป็นคนแล้วต้องคิดให้ออก อย่าเอาแต่เบียดเบียนเป็นภาระคนอื่น ต้องทำงานต้องมีความรู้โดยเฉพาะรู้กิเลสตัวเอง พพจ.ค้นพบ เราเกิดมาในยุคพพจ. เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ แล้วลดกิเลสจนหมดความเห็นแก่ตัวแล้วขยัน ทำเพื่อมนุษยชาติพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่เป็นความจริงของผู้อรหันต์ทุกคน ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งจริง

การใส่ใจปัญหาบ้านเมืองคือช่วยพลเมืองมนุษยชาติ เป็นโพธิสัตว์อรหันต์จะใส่ใจเช่นนี้ ไม่ห่วงตัวเอง มั่นใจว่าตนทำสิ่งดีงามให้คนอื่นเลี้ยงไว้ ปรปฏิภัทธาเมชีวิกา ตัวเราเองไม่เปลืองผลาญ แต่กินน้อยใช้น้อย มักน้อยสันโดษ คนดูแลเลี้ยงดูง่าย สุภโร ไม่ต้องห่วงเลย เมื่อบรรลุธรรมจะไม่มีปัญหาในชีวิตตัวเอง ทำงานเพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว ไม่ต้องห่วงตัวเองว่าจะกินจะไปจะมาจะอยู่อย่างไรเลย พิสูจน์ตามบารมี ไม่ว่าจะเป็นสมณะ สิกขมาตุ แม้แต่ฆราวาสพวกเราเองของให้จริงเถิด คุณสมบัติเช่นนี้ของคนเราจะเอาไปช่วยส่วนกลางของประเทศเลย ถ้ามีโอกาสแล้วมีผู้ยินดีพลเมืองยินดีให้เราทำ เราไม่ยัดเยียดตัวเอง เราก็จะพยายามเมื่อพลเมืองต้องการเราก็เต็มใจไปทำ

 

_ด้วยกติกาใหม่ของรธน.ที่จะลงประชามติ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านตู่เขียวจะเข้ามาเป็นนายกฯเพื่อแก้ไขปัญหาชาติได้อีกวาระหนึ่ง

ตอบ… ถ้าไม่มั่นใจก็ต้องช่วย อย่างน้อยไปลงคะแนนเสียงอย่างที่ว่า ทำอย่างถูกต้องต่อไป อาตมาว่าแม้แต่ฝ่ายแดงลึกๆก็รู้ว่าอะไรถูกต้อง แต่เขาต้องการอำนาจไปเอาประโยชน์ส่วนตัวอีก ลึกๆมนุษยชาติรู้ว่าอะไรดี ถูกต้องจริง ทำให้ตรงเท่านั้น อาตมาไม่เชื่อว่าลุงตู่จะทำเหมือนทักษิณจะไปวัดรอยเขาทำไม ไม่เชื่อเลย

 

โดยสามัญสำนึก ที่คุณประยุทธได้ทำมาแล้ว มันเป็นตัวอย่างที่ทำมา อาตมาดูแล้วตัดสินว่าไม่ใช่ แต่จะให้คุณประยุทธนี้ไปหักโค่น จัดการนายทุนใหญ่ตูมตามทันที อาตมาว่าใจร้อนไปไหม ต้องทำตามลำดับๆ ใจเย็นๆ สิ่งที่คุณกังวลอาตมาว่าลุงตู่รู้อยู่นะ ต้องให้เวลาเพราะความหมักหมม สิ่งเลวร้ายพอกหางหมูมากไปแล้ว เวลา 84 ปีนานมาก

 

_เนกขัมสิตอุเบกขา ที่เป็นฐานนิพพานมีลำดับอย่างไร?

ตอบ...การทำนั่งหลับตา ก็อุเบกขาได้แต่มันไม่ได้ล้างอัตาสิ้นเกลี้ยงตามลำดับเลยไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอย่างที่พพจ.บัญญัติจึงไม่เข้าขาย เนกขัมสิตอุเบกขา ในมโนปวิจาร 18 ที่เกิดจากทวาร 6 แล้วสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ เกิดทาง 6 ทวารก็เป็น 18 ของโลกีย์ก็เป็น คนไม่รู้ก็สั่งสมหนาไปเรื่อยๆ พอเป็นผู้สัมมาทิฏฐิของพพจ.ก็ค่อยๆล้างไปทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้ (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คือทำให้โลกีย์เป็นโลกุตระ แล้วโลกุตระไม่ได้หนี แต่อยู่เหนือโลกีย์ นี่คือสุดยอดความรู้ของพพจ.ทุกพระองค์ นี่คือ ฐานนิพพาน

คุณเร่ิมจากรอบศีล แล้วเรียนรู้ตามกรอบศีล อย่างที่เกิดกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ลดละไปตามลำดับในศีลแต่ละข้อๆ  ส่วน จิตก็มีปฏิบัติดำริในสังกัปปะ มีดำริ ในกามพยาบาทวิหิงสา ดับกิเลสภายนอกก่อนแล้วดับในรูปาวจร อรูปาวจร ก็จบ ได้อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน สั่งสมอุเบกขาเจริญเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ก็ทำให้แข็งแรงพัฒนาเจริญยิ่งขึ้น โดยจิตจะเป็นมุทุธาตุ เป็นจิตหัวอ่อน ไม่ใช่จิตอ่อนแอ

ในสายจิตเจโตจะเปลี่ยนได้เร็วไว แววไว ปัญญาจะรู้ได้เร็ว ทั้งปัญญาและเจโตแคล่วคล่องว่องไวเรียกว่ามุทุธาตุ เป็นกายกัมมัญญตา ทำงานได้ดี พร้อมไปด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จะทำงานกับสังคมโลกจิตก็ไม่ขุ่นหมอง เป็นปภัสสร เจริญด้วยองค์ 5เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ค่อยเรียนรู้ไป

 

_หลวงปู่จะมีอายุอยู่กับชาวอโศกกี่ปีครับ แล้วจะอยู่ได้เท่ากับที่หลวงปู่คิดได้ไหมครับ

ตอบ..หลวงปู่ตั้งใจอยู่ 151 ปี ก็ไม่ได้พูดเล่น จะพยายามทำให้ได้ ดูสิว่าจะอยู่ได้หรือไม่? อาตมาเป็นโรคปักขันธิกาพาธ คือเป็นโรคไปตำหนิไปว่าเขา พพจ.ก็ตำหนิเขาหนัก ไม่ใช่โรคอื่นมากมาย อาตมารู้ว่าโรคประจำอาตมาเป็นโรควิบากคือไอ ปักขันธิกาพาธ กับอีกโรคคือรู้สึกจิ๊กๆๆเหมือนเข็มแทง ก็ค่อยบอกไป เป็นปัญหาวิบาก อาตมาก็พยายามสร้างกุศลให้กั้นเป็นกำแพงลดวิบาก

 

_จะรับหรือไม่รับร่างรธน.ดี

ตอบ...อาตมาบอกคุณไม่ได้ว่ารับหรือไม่?แต่อาตมาเองรับ

 

_การรักษาผลคือการทำดียิ่งขึ้นๆ เพราะทุกอย่างขึ้นกับหลักไม่เที่ยงสิ่งที่มีนี้ไม่เที่ยงแต่สิ่งที่มีนี้เที่ยงอย่างเดียวคือนิพพาน ความไม่มีนี้โลกีย์ไม่เที่ยงมีแต่นิพพานตัวเดียวเที่ยงทำไมเที่ยงก็เพราะว่าไม่มีที่ไปแล้ว ผู้เป็นอรหันต์แล้วทำทีไรก็นิพพานจึงมีแต่สะสมความไม่มีคือนิพพานมันก็เลยเที่ยง

 

_พพจ.ทำบุญบารมีมาเยอะเพราะเหตุใดวิบากกรรมตามทันได้อีก

ตอบ...วิบากนี้ไม่หมด แต่สร้างอื่นได้ ให้เบาบาง วิบากมันเยอะมาก แต่มันยังไม่ออกฤทธิ์ เช่นพพจ.สมณโคดมอายุ 80 ปี ช่วงเวลา 80 ปีก็จะมีวิบาก ตามเวลา ถ้าพพจ.จะอยู่ต่อก็จะมีวิบากตามมาอีก เพราะคนเราเกิดมามีวิบากมหาศาล มีแต่เลิกจบไปปรินิพพานก็จบ

 

_อโศกแปลว่าอะไร?

ตอบ...โศกแปลว่าเศร้าโศก อโศกคือไม่มีความโศกเศร้าว

 

_พ่อครูคะทำไมกิเลสรู้ได้ยากจังเลย แม้รู้แล้วก็เอาออกยากอีก ช่วยแนะแบบง่ายๆคะ

ตอบ...ถ้ากิเลสรู้ง่ายก็เป็นอรหันต์กันหมดสิ กิเลสรู้ไม่ง่าย ในยุคที่เป็นยุคคนเกิดมาเป็นคนสะอาด กิเลสก็ไม่มาก เรียนรู้ก็ง่าย ก็เป็นอาริยะง่าย พอกิเลสมากขึ้นก็รู้ยากขึ้น เมื่อยุคนี้ปลายภัทรกัปป์แต่ละคนวิบากมากก็เลยรู้กิเลสยาก ที่แนะอยู่ทุกวันนี้ง่ายที่สุดแล้ว

 

_จากนร.สสฐ.ฝากท่านดาวดินถามมา

ตอบ...ถ้าคุณเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ เทวดาเป็นจิตวิญญาณ ถ้าคุณเองไม่ใช่อาตมาก็ไปเข้าใจเชื่อว่าเทวดามีรูปร่าง ก็จะอุปาทาน ยึดแบบมีรูปร่าง แม้คุณไม่ตายก็นึกเห็นเทวดาเป็นรูปร่าง ตายไปก็เห็นเช่นนั้นหรือวิบากคุณเป็นเทวดารูปร่างก็เป็นเช่นนั้น มีรูปร่างพพจ.ก็ว่าเป็นมโนมยอัตตา จิตปั้นได้สำเร็จ เช่นคนเห็นผี ตอนเป็นๆ เขาเห็นจริงๆแต่ไม่มีของจริง จิตเขาหลอน มีอุปทาน เห็นพร้อมกันก็ได้เป็นอุปาทานหมู่

 

_การทำบุญ อะไรที่ทำแล้วได้กุศลสูงสุด และการทำบุญให้ผู้ตายวิธีไหนจะได้กุศลสูงสุด?

ตอบ...การทำบุญให้ผู้ตายวิธีไหนจะได้กุศลสูงสุด คำตอบคือ อย่าทำ เพราะทำอย่างไรก็ไม่ได้เสียเวลาทุนรอนแรงงานเปล่าๆ

แล้วการทำบุญที่จริงคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด อาตมาก็ต้องเหนื่อยหนัก เพราะสอนบุญผิดๆกันมา สอนกันว่าได้เป็นตัวตน แต่ที่จริงบุญมีหน้าที่ประหารกิเลสอย่างเดียวทำแล้วหมดหน้าที่ ผู้ทำบุญเป็นคือประหารกิเลสเป็น

 

_ความรักมีหลายมิติ แต่เด็กนร.มักมีแต่ความรักมิติที่ สามคือเห็นแก่ญาติเท่านั้น คนข้างนอกก็เป็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ตอบ...ตั้งข้อสังเกตก็จริงนะ คนที่เห็นแก่ลูกอย่างเดียวไม่เห็นแก่ญาติก็ไม่ค่อยมีนะ คนก็มีภูมิที่เกื้อกูลกันเผื่อแผ่จากลูกมาให้ญาติ ดีไม่ดี ลูกไม่ดีก็ให้ญาติดีกว่าก็มีจริงได้ ก็เพราะว่าญาตินั้นกว้างกว่าลูก คนมีปฏิภาณปัญญาดีก็เห็นแก่ญาติกว้างขึ้นแต่ก็ยังไม่กว้างกว่านั้นอีก

 

_ทำไมคนต้องมีความรักด้วย มีแล้วผิดหรือไม่?

ตอบ...รักร้อยทุกข์ร้อย รัก สิบทุกข์สิบ รักแสนทุกข์แสน รักล้านทุกข์ล้าน ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย ไม่มีรักมีแต่ความเมตตาเกื้อกูลอย่างนั้นเจริญที่สุด

 

_หลวงปู่คะ หลวงปู่เทศน์เกือบทุกวัน ไม่เหนื่อยหรือเจ็บคอบ้างไหม?หลวงปู่ไม่เคยบอกพวกเราว่าจะเลิกเทศน์ แล้วความรักที่แท้จริงคืออะไรคะ

ตอบ..เป็นวิบากดีอย่างหนึ่งที่ไม่เจ็บคอแต่คันคอเลยไอ ถามว่าเหนื่อยไหม ถ้าinput น้อยกว่า output ก็อ่อนแรง ถ้ามากก็ตายได้เหมือนต้นไม้ก็ธรรมดา หลวงปู่ก็เหนื่อย แต่บารมียังดีไม่เจ็บคอ  ความรักที่แท้จริงคือเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น คือความรักของพระเจ้าของพระพรหม

 

_ทานกับหุตังต่างกันอย่างไร?

ตอบ...หุตังคือสิ่งที่เป็นผลในจิต ต้องมีประโยชน์ทางโลกุตรธรรม ทำทานแล้วทำใจในใจลดกิเลสได้ไหม ถ้าทำได้ก็มีหุตัง ถามว่าทานกับหุตังต่างกันอย่างไร อานิสงค์คือประโยชน์ ของพุทธประโยชน์แท้คือลดกิเลส ถ้าทำทานแล้วล้างกิเลสได้ก็มีอานิสงส์ หุตังก็คือจิตมีผลล้างกิเลสได้ หุตังคือจิตที่ได้ประโยชน์

 

_Jolin Lee กราบนมัสการพ่อครู สมณะ พระคุณเจ้า สิกขมาต ที่เคารพยิ่ง ทุกรูปเจ้าค่ะ ผู้น้อยรับชมจาก กรุงจากาตาร์ อินโดนีเซีย สัญญาณชัดเจนดีมากทั้งภาพและเสียงเจ้าค่ะ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:02:23 )

590807

รายละเอียด

590807_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

        ***********************************

         

          (1) ชาติจักสุขสงบได้      ควรคะนึง

          โดยเฉพาะ“วิญญาณ”พึง  ตระหนักรู้            

          แม้นไม่ชัดชาติถึง  สลายล่ม กันแล

          หากประมาทยากกู้ วิกฤติได้ทันกาล

          (2) นานไปหมักพิษร้าย   จงระวัง

          ชั่วจะพาชาติพัง              พินาศแท้

          ยิ่งจะปฏิรูปดัง                 มุ่งมาด 

          หากบ่รีบแน่แพ้                เพราะช้าจริงจริง

          (3) ยิ่ง“ปัญหา”ศาสน์นั้น   สำคัญนัก             

          สะกดจิตคนจมปลัก นรกแท้                

          วิญญาณ“โง่”สยบสมัคร   ใจมอบ มารเลย    

          ต้องรีบช่วยกันแก้  ชาติด้วย“ปัญญา”

          (4) ถ้า“วิชชา”เกิดกับผู้    ใดใคร       

          รู้“โลก”รู้“อัตตา”ไข เล่ห์ได้ 

          เร่งการศึกษาไตร   สิกขพุทธ แท้เทอญ

          ทุกระบอบต้องใช้   สติพร้อม“ปัญญา”

          (5) “วิชชา”มีทั้งโลก        ทั้งธรรม

          “โลก-อัตตา”ก็สำ-   เร็จรู้

          รู้โลกุตระนำ          โลกปุถุ ชนแฮ

          ใช้“มหาปเทส”สู้               เล่ห์ร้ายจึงทัน      

          (6) ไม่เช่นนั้นจักแพ้        กลโกง

          เล่ห์ชั่วมันยืนโรง             ยิ่งแล้ว

          การเมืองบวกศาสน์โยง    กันอยู่ มิเห็นฤา

          หากพลาดชาติไม่แคล้ว    พินาศย้ำซ้ำเดิม

          (7) มารเหิมโหดหนักแล้ว นานพอ

          เถอะโปรดอย่ารีรอ เผด็จได้                                  

ยามดีฤกษ์งามมอ    สี่สิบสี่        

          “ผลสุก”กินเถอะไม่(ไหม้)  เช่นนั้น“เสียของ”

 

          “สไมย์ จำปาแพง” 6 ก.ค. 2559                       

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 313 ประจำเดือนสิงหาคม 2559]

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84495

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfQjRTVS1PdnBjX00

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/4050o3e8a94p/160807

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:03:07 )

590807

รายละเอียด

590807_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศไทยว่าจะไปในทิศทางไหน เพราะเป็นวันที่ประชาชนไทยไปลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2559 ก็ดูว่าคนไทยมีความกระตือรือร้นมากขึ้นในการมีส่วนร่วม

 

พ่อครูว่า….วันนี้จะอ่านกวีก่อน

 

    ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

        ***********************************

         

          (1) ชาติจักสุขสงบได้      ควรคะนึง

          โดยเฉพาะ“วิญญาณ”พึง  ตระหนักรู้            

          แม้นไม่ชัดชาติถึง  สลายล่ม กันแล

          หากประมาทยากกู้ วิกฤติได้ทันกาล

          (2) นานไปหมักพิษร้าย   จงระวัง

          ชั่วจะพาชาติพัง              พินาศแท้

          ยิ่งจะปฏิรูปดัง                 มุ่งมาด 

          หากบ่รีบแน่แพ้                เพราะช้าจริงจริง

          (3) ยิ่ง“ปัญหา”ศาสน์นั้น   สำคัญนัก             

          สะกดจิตคนจมปลัก นรกแท้                

          วิญญาณ“โง่”สยบสมัคร   ใจมอบ มารเลย    

          ต้องรีบช่วยกันแก้  ชาติด้วย“ปัญญา”

          (4) ถ้า“วิชชา”เกิดกับผู้    ใดใคร       

          รู้“โลก”รู้“อัตตา”ไข เล่ห์ได้ 

          เร่งการศึกษาไตร   สิกขพุทธ แท้เทอญ

          ทุกระบอบต้องใช้   สติพร้อม“ปัญญา”

          (5) “วิชชา”มีทั้งโลก        ทั้งธรรม

          “โลก-อัตตา”ก็สำ-   เร็จรู้

          รู้โลกุตระนำ          โลกปุถุ ชนแฮ

          ใช้“มหาปเทส”สู้               เล่ห์ร้ายจึงทัน      

          (6) ไม่เช่นนั้นจักแพ้        กลโกง

          เล่ห์ชั่วมันยืนโรง             ยิ่งแล้ว

          การเมืองบวกศาสน์โยง    กันอยู่ มิเห็นฤา

          หากพลาดชาติไม่แคล้ว    พินาศย้ำซ้ำเดิม

          (7) มารเหิมโหดหนักแล้ว นานพอ

          เถอะโปรดอย่ารีรอ เผด็จได้                                  

ยามดีฤกษ์งามมอ    สี่สิบสี่        

          “ผลสุก”กินเถอะไม่(ไหม้)  เช่นนั้น“เสียของ”

 

          “สไมย์ จำปาแพง” 6 ก.ค. 2559                       

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 313 ประจำเดือนสิงหาคม 2559]

 

(1) ชาติจักสุขสงบได้      ควรคะนึง

          โดยเฉพาะ“วิญญาณ”พึง  ตระหนักรู้            

          แม้นไม่ชัดชาติถึง  สลายล่ม กันแล

          หากประมาทยากกู้ วิกฤติได้ทันกาล

 

คำความของกวีบทนี้มีคำสำคัญเช่น

ชาติ ศาสนา ปัญหา ปัญญา วิชชา

โลก อัตตา โลกียะ โลกุตระ

 

บทที่ 1 นี้ชี้ชัดให้รู้ว่า ชาติ ประเทศหรือรัฐ  ถ้าเป็นชาติของทางโลกก็เป็นอุตุนิยาม ที่มีประชากรอยู่ในขอบเขตของกฏหมายชาตินั้น

อีกความหมายของชาติเป็นเชิงจิตวิญญาณ คือความเกิดทางจิตวิญญาณ 5 ชนิด พระไตรฯล.16 ข.7 หรือล.12 ข.118 มีเขียนไว้ถึงชาติ 5 คือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ถ้าเราไม่สามารถรู้อาการเคลื่อนไหวของจิตก็ไม่รู้ชาติได้ กำหนดรู้ไม่ได้

คำว่าชาติ คือการเกิดทั่วไป คือ common noun

สัญชาติ คือชาติที่เคยเกิดแล้ว ฝังอยู่ในสัญญา ในความจำ แล้วคนที่สามารถรู้เอาความจำตนขึ้นมาศึกษา ดึงขึ้นมาศึกษาได้ คำว่าสัญญะนี้ เป็นความลึกซึ้งเป็นต้นทางเลย เอามากำหนดรู้ศึกษา

ตั้งแต่ยังไม่เกิดปัจจัตตัง ไม่เคยมีธาตุรู้โลกุตรธรรมตามพระพุทธเจ้าก็ต้องใช้สัญญา แต่สัญญานั้นไม่มีความรู้โลกุตระก็ใช้สัญญากำหนดหมายตามที่เคยกำหนด เช่นอันนี้แก้วมังกร อันนี้ระกำ อันนี่ฟักข้าว ก็ใช้สัญญากำหนดหมาย สัญญานี้ใช้กำหนดรู้แล้วก็ยังจดจำอีก ใช้งานหนักมากสำหรับสัญญา เราจะเอาตัวเกิดจากสัญญาเก่า จะเรียนรู้ใหม่ก็สัญญะกำหนดรู้การเกิด

กำลังสัมผัสปัจจุบันก็วิจัยให้ออก มีความรู้นำข้างหน้า อะไรที่เราจะรู้อนาคตได้ อนาคตังสญาณ ตามเหตุปัจจัยตรรกะ ที่รู้ที่คิดก็ได้ พอถึงปัจจุบัน คือโอกกันติ

โอกกันติ คือหยั่งลงในปัจจุบันเลย ปรุงแต่งเหตุปัจจัยทำปฏิกิริยากัน จนแยกแยะเหตุแห่งทุกข์ได้ กำจัดเหตุแห่งทุกข์ได้ก็มีผล หยั่งลงเป็นโอกกันติ

ถ้าไม่ได้เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ ที่หยั่งลงก็เป็นกิเลสกองไป ปรุงแต่งใหม่ใส่เป็นกิเลสเข้าไปเป็นขยะขนาดไหน เป็นกองขยะที่รับไม่อั้นแล้วไม่ค่อยจะมีส่วนของโลกุตระเลยมีแต่ขยะชั่วขยะเลวเป็นโลกียะทั้งนั้นเลย เรามีความรู้มีวิชชาก็จะคอยคัดเลือกเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้เป็นโลกุตระ

ให้เป็นการเกิดอย่างไรที่เรียกว่า นิพพัตติ คือเข้ามาหานิพพาน สะสมพลังงานนิพพานจนเต็ม สูญกิเลสหมด จบตัวนิพพัตติ เป็นอภินิพพัตติ นี่คือการเกิดพลังงาน 5 อย่างนี้

ถ้าเราไม่ได้เรียนถึงต้นทางคือจิตวิญญาณ คือมโน ตัวมโนคือจิตแท้คือตัวลึก ส่วนบทบาทแสดงออกมา มีปฏิกิริยาเป็นจิต ส่วนวิญญาณรวมทั้งจิตและมโน

มโนเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง หากไม่ชัด ชาติที่เกิดก็ไม่ชัดเจน ควบคุมให้เกิดสิ่งดีงามไม่ได้ ก็ช่วยตนเองที่เป็นพลเมืองไม่ได้ พลเมืองไม่ดี ชาติก็ไม่ดีไปด้วย ต้องชัดในชาติที่เป็นพลังงาน ทำให้ไม่เป็นโทษภัยให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ชาติที่เป็นพลเมืองใหญ่ก็สลายล่ม หากประมาทก็ยากจะกู้ขึ้นมาได้

(2) นานไปหมักพิษร้าย   จงระวัง

          ชั่วจะพาชาติพัง              พินาศแท้

          ยิ่งจะปฏิรูปดัง                 มุ่งมาด 

          หากบ่รีบแน่แพ้                เพราะช้าจริงจริง

(2) นานไปหมักพิษร้าย   จงระวัง

          ชั่วจะพาชาติพัง              พินาศแท้

          ยิ่งจะปฏิรูปดัง                 มุ่งมาด 

          หากบ่รีบแน่แพ้                เพราะช้าจริงจริง

ปัญหาที่เป็นต้นทางคือที่จะไปเรียนรู้สัจธรรม ก็คือ ปัญหาทางศาสนานี่แหละ ต้องเอามาแก้มาจัดการก่อน ให้สำคัญเลย หากไม่จัดการก่อนก็พังแน่ๆ

เพราะศาสนาที่นั่งหลับตาสมาธินั้นทำให้ประชากรแย่ แต่ไม่ใช่ว่าการนั่งหลับตาไม่มีประโยชน์แต่ก็ไม่ใช่วิธีหลักของพุทธ

ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ
แบบสะกดจิตให้สงบ (เจโตสมถะ)

1.      ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก

2.      ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .

4.  สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)

 

ทุกวันนี้สะกดจิตกันทั่วโลกเลย ให้ดูช่องนี้ช่องเดียว คนถูกสะกดจิตก็โง่มาก เป็นควายเลย วิญญาณโง่สยบ มอบใจให้มารเลย

แต่ผู้มีวิชชา ที่มีธาตุรู้ นั้น จะรู้โลก รู้อัตตา ก็จะไขเล่ห์ของมนุษย์โลกได้

พลังงานทางฟิสิกส์ก็มีสองแบบ fission และ fusion จิตวิญญาณมนุษย์ก็มีสองทิศทางเช่นกันมีแตกกับรวม การรวมจะมีพลังงานมากกว่าใครรวมได้ไม่แตกแยกก็จะดี ชุมชนชาวอโศกคือชุมชนพลังงาน fusion (ระวังฟิวส์ขาดนะ ให้ฟิวส์ยาวๆอย่าฟิวส์สั้น)

พลังงานของพุทธที่ประเสริฐจะมีลักษณะราบรื่น เป็นลำดับ อันน่ามหัศจรรย์ มีระดับพลังงานที่ลาดลุ่มเป็นลำดับ เป็นพลังงานที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ซึ่งพระพุทธเจ้าแต่ละองค์เกิดมาก็ทำงานไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็จะเหมาะสมกับยุคสมัยแต่ละยุค เป็นความละเอียดลึกซึ้งอย่างพอดีลงตัวมากไม่ใช่บังเอิญ

ผู้สามารถมีสัปปุริสธรรม 7 รู้ตน รู้ประมาณ รู้องค์รวม รู้ซอยลงไปในองค์รวมแต่ละบุคคล คนๆนี้จริตอย่างนี้ๆ อย่างนี้เราติดจะต้องได้แบบนี้ดันๆขนาดนี้ จะรู้ย่อยไปในแต่ละคน รวมกันอยู่เป็นบริษัท แล้วรู้ยุคกาล เอาทั้งหมดมาจัดสรร รวมธรรมะ อรรถะเนื้อแท้ สุดยอดเลย จึงเรียกว่า สัตบุรุษคือผู้มีสัปปุริสธรรม 7 รู้ชาติรู้โลก ยังมีมหาปเทส 4 อีก

พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็จะบัญญัติตามเรื่องราว องค์ใหม่ก็มีสังขารใหม่ มาบัญญัติใหม่ อันใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ก็เอามหาปเทสใช้ได้ ยุคที่พระพุทธเจ้าไม่มีคนฉลาดแกมโกงขนาดนี้ คนเป็นสัตบุรุษจึงจะใช้มหาปเทสได้ ไม่ประมาท อรหันต์จริงท่านไม่ประมาท เพราะท่านไม่มีตัวตน จะเสี่ยงทำไม เสี่ยงแล้วเสียของ

 

โลกกับอัตตา ต่างกันอย่างไร สองคำนี้ยิ่งใหญ่ คำว่าโลกนี้คือความหมุนวนเวียน ในวัฏฏะ ที่เราติด ติดสนุก ติดเพลิดเพลินก็วนเวียนไปกับมันไม่หยุดหย่อน ต้องไปจองตั๋วซื้อตั๋วไปดูคอนเสริ์ตอันนี้ตลอด ถ้าไม่มีโลกที่เราติดก็ไม่ต้องวนเวียนอีก

 

อัตตาที่เรายึดเป็นสัญญายนิจจานิ ต้องได้อย่างที่เรากำหนด โดยไม่อนุโลมปฏิโลมกับใคร ไม่รู้ว่าทุกอย่างต้องประกอบกัน ไม่ใช่คุณคนเดียว แม้คุณจะกำหนดว่าอันนี้ถูกต้องดีที่สุดได้ แล้วคนอื่นเขาได้ด้วยกับคุณไหม ถ้าไม่ได้คุณก็ต้องอนุโลมไป ถ้าเขาไม่ได้ เช่นเด็กจะให้ทำได้ตามที่คุณว่าดี ตามที่พ่อแม่ว่าดี ก็ต้องตีเด็กจนตายเปล่าไป ต้องอนุโลมปฏิโลมกันจึงอยู่ได้

ทุกวันนี้มีคลิปเด็กที่มีปฏิภาณรู้กตัญญู รู้ดีรู้ชั่วเพื่อให้ผู้ใหญ่ได้รู้สึกสำนึกบ้าง

ความเป็นอัตตาพระพุทธเจ้าแยกแยะไว้สามระดับ คือ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

สัจจะนั้นไม่มีในโลก สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก และสัญญายนิจจานิ

สามเส้านี้สุดยอด ไม่มีเลยในโลก หากจะมีก็หนึ่งเดียว และสัญญายนิจจานิก็เอาแต่ของกูคนเดียวไม่อนุโลมกับใครเลยก็เป็นสัญญายนิจจานิของคนพาล

ส่วนสัญญายนิจจานิของคนมีปัญญาก็จะรู้อนุโลมปฏิโลม รู้จักศิลปะ รู้การจัดองค์ประกอบศิลป์ให้ไปสู่จุดสำคัญที่ได้สัดส่วน มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4​คือศิลปินโลกุตระที่ยิ่งใหญ่

เราเรียนรู้อัตตาเรา ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นจนไม่อนุโลมใคร คนนี้ก็เป็นสัตว์ แต่ยังไม่มีบุรุษ สัตว์เดรัจฉานยังไม่เป็นปุริสโส ยังไม่สามารถทำเอกธรรมได้

ผู้ที่ได้ชื่อว่าสัปปุริสธรรมคือผู้ทำเอกบุรุษได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นรู้จักอนุโลมปฏิโลมตามความเป็นจริง รู้จัก harmony องค์รวม รู้ hightlight รู้จัก harmony ไม่มีโทษภัยในสิ่งผสมส่วนนั้น

ผู้ปฏิบัติลดอัตตาก็จะต้องรู้อัตตาตัวแรกคือโอฬาริกอัตตา คือส่ิงที่หยาบต่ำเราอยู่กับสิ่งตำ่เราก็ช่วยเขาได้อย่างเราพ้นแล้วเหนือแล้ว อนุโลมปฏิโลมไปกับสังคมได้ เป็นไปตามแต่ละยุค

ผาแหงนนี้มีประโยชน์มากกว่าเจดีย์จานบินของธรรมกายเยอะเลย อีกหน่อยจะมีอีกหลายอย่างขึ้นมาเช่นหินน้ำไหล เป็นต้นก็ช่วยกันทำขึ้นมา

 

มโนมยอัตตาคืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต ผู้ที่จะจัดการมโนมยอัตตาได้ก็ต้องพ้นโอฬาริกอัตตาได้แล้วเป็นคนที่สามารถมีวิการรูป มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา มีกายวิญญัติกับวิจีวิญญัติ นี่คือวิการรูป 5 คำว่า วิ แปลว่าวิเศษ ถ้าใครวิเศษไม่ได้ก็วิการ คือเสร็จมัน ผู้ที่วิเศษแล้วจะเหนือมัน จึงสามารถจัดให้เบาได้อย่างมีสัดส่วนให้เร็งได้อย่างมุทุตาเลย ทั้งรู้และเป็นได้ทั้งปัญญาและเจโต เป็นตัวเองที่ย่ิงใหญ่ แคล่วคล่องทั้งเวทนา สัญญา สังขาร จึงเป็นวิญญาณอันสามเส้า ที่เป็นตัวงานของวิญญาณ จึงทำกัมมัญญตา ทำให้เกิดการงาน ได้สัดส่วนพอดีพอเหมาะ ไม่แรงเกิน เอาลหุตาเป็นประมาณ อย่าให้แรงจนเสียผล แต่ให้แรงที่จะเกิดประโยชน์สูงประหยัดสุด

ส่วนตัวเองมีลักขณรูป อีก 4 คือ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

คือ อุปจยะคือการเกิด แล้วเกิดก็ต่อเนื่องเป็นสันนติ แต่จะต่อเนื่องอย่างไรมันก็ต้องเสื่อม และที่สุดจะต้องเสื่อมสูญในที่สุด

ทำให้เกิดปริเฉทรูป อาหารรูป ในความมีชีวิตของชีวิตรูป ความเป็นชีวิตคือสภาพของพีชะ และจิตนิยาม ส่วนอุตุนิยามไม่มีชีวะ เราต้องรู้พลังงานที่เป็นระดับชีวะ พลังงานอุตุไม่มีชีวะ เราก็รู้ได้ พอเร่ิมจะมีชีวะ เราก็รู้ได้ เป็นพีชะ ที่ไม่มีโทษเลยส่วนจิตนิยามเร่ิมมีโทษได้ เราก็อาศัยพีชะที่ไม่มีโทษ เอาพลังงานจิตไปคุมพีชะไปทำงานได้

ผู้ที่เรียนรู้อัตตาสูงขึ้นไปเป็นลำดับจนเหลือเศษแห่งธุลีละอองเป็นอรูปอัตตาก็ต้องล้างให้หมด เมื่อทำให้หมดได้ก็เป็นผู้ที่ใช่มโนมยอัตตา คือทำให้สำเร็จด้วยตัวเราได้

ชาติ ก็มีชาติ 5

ศาสนาเป็นคำสอน เรียนแล้วเอามาใช้ให้บรรลุ อาตมาได้แล้วก็เอามาใช้ ก็ใช้ศาสนาใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าเอามาทำงาน ตัวเราเองมีเนื้อของศาสนาก็เอามาใช้ได้ ศาสนาคือคำสอนที่แก้ปัญญาให้เกิดปัญญา

ปัญหาคือความขัดข้องเป็นภัย เป็นความยุ่งวุ่นวายเราก็หาเหตุทำลายสมุทัยให้ได้ตั้งแต่หยาบถึงละเอียด เราพิสูจน์ตั้งแต่หยาบ

จริงๆแล้วต้นไม้เป็นพิษไม่เท่าไหร่ สัตว์พิษก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนพิษนี่ต้องจัดการให้ได้สังคมจึงสงบสุข

ผู้สามารถรู้สัจจะธรรมะของพระพุทธเจ้านี้แก้ปัญหาได้ ถ้าย่นย่อถึงชาติประเทศไทยเราเป็นแดนชมพูทวีปของพระพุทธเจ้าที่มีเนื้อแท้ มีพุทธบริษัท 4 ทำให้เกิดความจริงแก่โลก ผู้บรรลุแล้วมีชีวิตที่ให้คนอื่นเลี้ยงไว้เป็นปรปฏิพัทธาเมชีวิกา เราทำงานรับใช้โลกไป อาตมามุ่งหมายจะทำสิ่งนี้ต่อไปจนกว่าจะรู้ว่าพอแล้ว ตอนนี้อาตมาได้สยังอภิญญา จนกว่าจะรู้ได้เป็นสยัมภู ได้ถึงขีดหนึ่งอาตมาก็จะเลิก สยัมภูในระดับปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ถ้าไม่มีอนันตริยกรรม ถ้ามีอนันตริยกรรมไม่สามารถประกาศศาสนาได้ก็แล้วไป แต่อาตมาไม่ได้ทำอนันตริยกรรมมา

 อย่างธัมมชโยนี่เขาไม่ได้ลบหลู่พระพุทธเจ้านะ แต่เขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็ไปตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้นธาตุต้นธรรม เขาหลอกคนนะ เขาก็ว่าเขาแสดงสัจธรรม อาตมาก็แสดงสัจธรรมก็ให้คนดูตัดสินว่าใครมีสัจธรรมของพระพุทธเจ้ากว่ากัน เขาไม่รู้ตัวว่าทำอนันตริยกรรมทำลายศาสนาถ้าถึงขีดก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นได้สูงสุดก็แค่ปัจเจกฯ

คนที่รู้จักโลก รู้จักปัญหา แล้วแก้ปัญญาได้ก็คือปัญญา ปัญญาคือความรู้ที่จะแก้ปัญหาได้

ปัญญาเกิดได้อย่างไร

ปัญญาเกิดได้ด้วยองค์ 6 สัญญาจะสูงขึ้นจนเป็นอภิสัญญาของแต่ละคน จะกำหนดรู้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นก็เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล ก็มีที่จบเป็นลำดับๆ ไป เป็นโสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ โพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าเป็นต้น

องค์ 6 นี้มี

1.      ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.      ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.      ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . มีพลังงาน static แฝง

4.      ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) . .

5.      ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.      องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

 

ต้องรู้จักสังกัปปะ 7

1. ความตริ,ตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ)

2. ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น  (วิตักกะ) 

3.  ความดำริ-มีความคิดปรุง  (สังกัปปะ)

แกนปัญญา

4. ความแน่วแน่     (อัปปนา)

5. ความแนบแน่น (พยัปปนา)

6. ความปักใจมั่น   (เจตโส อภินิโรปนา)

แกนเจโต

7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร)

(พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 263)

 

(6) ไม่เช่นนั้นจักแพ้        กลโกง

          เล่ห์ชั่วมันยืนโรง             ยิ่งแล้ว

          การเมืองบวกศาสน์โยง    กันอยู่ มิเห็นฤา

          หากพลาดชาติไม่แคล้ว    พินาศย้ำซ้ำเดิม

 

คำว่ายืนโรงคือแข็งโด่ ปักมั่นไม่ยอมเคลื่อนคลายเลย มันยืนโรง เมื่อไหร่มันก็ไม่หนีไป เล่ห์ชั่วนี้ยืนโรง การเมืองบวกกับศาสนาก็โยงกันอยู่เห็นไหม?

(7) มารเหิมโหดหนักแล้ว          นานพอ

          เถอะโปรดอย่ารีรอ          เผด็จได้                                   

ยามดีฤกษ์งามมอ    สี่สิบสี่        

          “ผลสุก”กินเถอะไม่(ไหม้)  เช่นนั้น“เสียของ”

 เผด็จนี้คือชื่อของทัตตชีโวนะ เป็นของเก๊ทั้งนั้น ธัมมชโยก็ขี้เก๊ทั้งนั้น

 

ส.ฟ้าไทว่า….วันนี้พ่อครูอธิบาย ในบทกวี ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 7 ส.ค. นี้เป็นวันอิสรเสรีภาพของชาวอโศก เป็นวันนานาสังวาสของชาวอโศกจากมหาเถรสมาคม

จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:03:46 )

590808

รายละเอียด

590808_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เป้าหมายของพรหมจรรย์

อาตมามาทำงานศาสนาเพราะรู้ตัวว่าบรรลุธรรม พูดด้วยใจที่ไม่มีจิตใจอยากอวดโอ่อะไร แต่ประพฤติตามมโนสัญเจตนาที่ทำ คือมีจิตมุ่งหมาย มุ่งถ่ายทอดธรรมะ

อาตมามีโศลกว่า ไม่มีวินาทีใดเลยที่ไม่ควรเปิดเผยธรรมะ และที่ได้อธิบายสาธยายธรรมะก็มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวารเข้าพวกเป็นพรรคใหญ่

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ  และเพื่อเสียงสรรเสริญ   มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้เป็นที่นิยม   หรือเพื่อค้านคนอื่นใดให้ล้มไป  ..และ  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่าเราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

อาตมาไม่เคยเรี่ยไร ไม่มีตู้รับบริจาค ไม่เคยทำ ไม่เคยคิดทำ และไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าจะสอนให้ทำ ส่วนผู้จะศรัทธาเลื่อมใสจะเอามาบริจาค ก็มีหลักเกณฑ์

 ผู้จะบริจาคให้แก่ชุมชนต้องมาคบคุ้นรู้จักกันอย่างต่ำ 7 ครั้ง อ่านหนังสือธรรมะชาวอโศกเล่มหลักๆ 7 เล่ม หรือฟังธรรมของชาวอโศกอย่างน้อย 70 ครั้ง และต้องเข้าใจจุดประสงค์แท้จริงในการใช้เงินของชุมชน หากผู้บริจาคตั้งเงื่อนไขพ่วง ทางชุมชนก็จะไม่รับ

และที่ทำนี่ ไม่ได้เรียกคนมาเป็นบริวาร ไม่ได้เพื่อลาภสักการะ ไม่ใช่เพื่อเสียงสรรเสริญ ไม่ได้เพื่อล้มคนหรือพวกอื่น ไม่ใช่เพื่อให้คนเห็นว่าตนเป็นผู้วิเศษหรือเป็นหัวหน้าใหญ่ก็ไม่ใช่เลย

พรหมจริยสูตร ล.13 ข.25

[25] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้

เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้

เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้

เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้ โดยที่แท้

ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัดเพื่อดับกิเลส ฯ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84501

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdFNQcEEwd0ZNVXc

 

หรือที่นี่....

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:04:18 )

590808

รายละเอียด

590808_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เป้าหมายของพรหมจรรย์

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2559 วันที่ 7 สิงหาคม 2518 เป็นวันที่ชาวอโศกได้รับอิสระเสรีภาพเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า วันที่ 7 สิงหาคม 2559 ก็มีเหตุการณ์สำคัญสำหรับสังคมไทย ก็เป็นที่แข่งขันกันว่าใครจะเป็นที่ยอมรับ เป็นผู้ถูกต้องเป็นผู้เหมาะควรกว่าสำหรับประเทศไทย

วันที่ 7 สิงหาคม 2518 ก็เป็นเรื่องของเรากับเถรสมาคม พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงหลักการนานาสังวาสก็มี 2 วิธี

ก็มีสงฆ์กระแสหลักคือของเถรสมาคม ตอนแรกอาตมาก็มาบวชอยู่ในแวดวงของเถรสมาคมนี้ แต่อยู่ไปก็ได้รู้ว่าเห็นต่างกันมาก ปฏิบัติต่างกันมาก อยู่ต่อไปก็ไม่เจริญเพราะว่ากระแสหลักนี้ไม่ใช่พุทธแล้ว ไม่ใช่พุทธศาสนาตามที่เรามุ่งหมายคือปฏิบัติเพื่อไปนิพพานเมื่อเราปฏิบัติมุ่งหมายจะไปนิพพาน

เราเข้าใจศีลสมาธิปัญญาหรือไตรสิกขาของศาสนาพุทธ อีกแบบ ไม่เหมือนกับที่เถรสมาคมเข้าใจ เราเป็นนักบวชใหม่ ก็มีคนพูดว่าทำไมคนอื่นอยู่ได้ อย่างท่านพุทธทาสก็อยู่ได้ ทำไมเราอยู่ไม่ได้ อาตมาก็ไม่อยากจะพูดไปลบหลู่ใครเขาทีเดียว ซึ่งอาตมารู้ของอาตมาเองว่ามันยังไม่ใช่

ยกตัวอย่างสมาธิของท่านพุทธทาน ศีลท่านก็ไม่อธิบายละเอียดท่านอธิบายในเชิงปัญญามาก ท่านก็มีอัตลักษณะของท่านพุทธทาส ก็เป็นเชิงปัญญา เป็นต้น อาตมาก็ว่ายังไม่ใช่ มันมีลักษณะคำพูดภาษาที่เข้าท่า แต่ไม่มีสัมมาทิฏฐิที่ถึงขีด ที่ไม่รู้กรรมฐานของศาสนา

กรรมฐานของศาสนาคือเวทนา ในพระไตรฯล.9 พระพุทธเจ้าตรัสในสูตรแรกในพรหมชาลสูตรเลยว่า เว้นผัสสะเสียแล้วไม่เป็นฐานที่จะปฏิบัติได้ ผัสสะก็ทำให้เกิดเวทนาได้

ในล.10 ข.60 ธรรมะสองรวมลงเป็นหนึ่ง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

1.      ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.      ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.      ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.      ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .

5.      จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

 

ศีลนั้นอาตมายืนยันว่า ศีลคือธรรมนูญของพระพุทธเจ้าคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อาตมาก็ว่าเขาไม่มีศีล เขาก็หาว่าว่า ว่าด่าเขาอีก สมาธิอาตมาก็ว่าที่เขาทำนี้ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็นำมาขยายซ้ำๆ ส่วนปัญญานั้นก็ต้องขอวิเคราะห์ให้ฟัง

อาตมาก็อ่านก็ฟัง อาจารย์ที่ท่านอธิบายกัน อาตมาก็เห็นว่าท่านอธิบายปัญญากันอย่างไม่มีที่มาที่ไป ที่เขาอธิบายกันส่วนใหญ่การนั่งสมาธินั่งไปถึงขนาด 1 ปัญญาจะโผล่ขึ้นมาซึ่งไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีที่มาที่ไป

แบบที่อาตมาอธิบายนั้นปัญญาจะเกิดตามการปฏิบัติมรรค องค์ 8 แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ชัดว่ามรรค 8 นั้นปฏิบัติที่มรรค 7 จึงเกิดศีล สมาธิ ปัญญา ก็ปฏิบัติมรรค 7 องค์จึงเกิดสมาธิคือมรรคข้อที่ 8 เวลาปฏิบัติต้องปฏิบัติโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8

อาตมามาทำงานศาสนาเพราะรู้ตัวว่าบรรลุธรรม พูดด้วยใจที่ไม่มีจิตใจอยากอวดโอ่อะไร แต่ประพฤติตามมโนสัญเจตนาที่ทำ คือมีจิตมุ่งหมาย มุ่งถ่ายทอดธรรมะ

อาตมามีโศลกว่า ไม่มีวินาทีใดเลยที่ไม่ควรเปิดเผยธรรมะ และที่ได้อธิบายสาธยายธรรมะก็มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวารเข้าพวกเป็นพรรคใหญ่

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ  และเพื่อเสียงสรรเสริญ   มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้เป็นที่นิยม   หรือเพื่อค้านคนอื่นใดให้ล้มไป  ..และ  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่าเราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

อาตมาไม่เคยเรี่ยไร ไม่มีตู้รับบริจาค ไม่เคยทำ ไม่เคยคิดทำ และไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าจะสอนให้ทำ ส่วนผู้จะศรัทธาเลื่อมใสจะเอามาบริจาค ก็มีหลักเกณฑ์

 ผู้จะบริจาคให้แก่ชุมชนต้องมาคบคุ้นรู้จักกันอย่างต่ำ 7 ครั้ง อ่านหนังสือธรรมะชาวอโศกเล่มหลักๆ 7 เล่ม หรือฟังธรรมของชาวอโศกอย่างน้อย 70 ครั้ง และต้องเข้าใจจุดประสงค์แท้จริงในการใช้เงินของชุมชน หากผู้บริจาคตั้งเงื่อนไขพ่วง ทางชุมชนก็จะไม่รับ

และที่ทำนี่ ไม่ได้เรียกคนมาเป็นบริวาร ไม่ได้เพื่อลาภสักการะ ไม่ใช่เพื่อเสียงสรรเสริญ ไม่ได้เพื่อล้มคนหรือพวกอื่น ไม่ใช่เพื่อให้คนเห็นว่าตนเป็นผู้วิเศษหรือเป็นหัวหน้าใหญ่ก็ไม่ใช่เลย

พรหมจริยสูตร ล.13 ข.25

[25] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้

เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้

เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้

เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้ โดยที่แท้

ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัดเพื่อดับกิเลส ฯ

                      

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีความ

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

สันตา คำว่าสงบนี้คือสงบจากกิเลส กำจัดตัวการคือกิเลสออกไปให้หมดชีวิตินทรีย์ ให้จิตสงบ แล้วจิตนี้แคล่วคล่องว่องไวแข็งแรง จิตสงบของพระพุทธเจ้านี้แข็งแรงทางพฤติกรรมกายวิญญัติ วจีวิญญัติ โดยเฉพาะใจมีมุทุภูตธาตุ แววไวทั้งเชิงปัญญาและเจโต รู้ก็เร็วไว ปรับก็เร็วไว ไม่ใช่แข็งทื่อหยุดนิ่ง แต่ของพระพุทธเจ้านี้ประณีต ยากจะรู้ได้ง่าย ถ้าไม่บรรลุได้จะเดาไม่ได้ อตักกาวจรา แต่พอจะเข้าใจโดยตรรกะ เหตุผลได้ แต่ในความเข้าใจได้ โดยตรระเหตุผลนั้นยังไม่ได้เกิดผล สันตา ปณีตา นิปุณา เป็นสภาพสงบที่ลึกซึ้งละเอียดไม่หยาบตื้นเลย เพราะต้องรู้ อาการ ลิงค นิมิต ของกิเลส แล้วรู้วิธีปฏิบัติ

อย่างหยาบๆก็ทำทาน ทำศีล เขาก็ว่าไม่ยาก ทานก็เอาของไปให้ ศีลก็ทำศีล 5 ก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใจร ไม่พูดปดไม่มีอบายมุข ก็เห็นว่าไม่เห็นจะลึกซึ้งอะไร เป็นต้น ก็เลยไม่ชัดเจนในสภาวธรรม คนก็เลยตื้นเขิน คนอธิบายก็อธิบายตื้นก็เลยไม่สุขุมปราณีต ไม่ละเอียดขั้นนิพพาน ที่ต้องรู้พลังงานในระดับนิพพาน

ถ้าทำให้กิเลสลดลงไป

1.      อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา).

2. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

3.      นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

 มันประณีตไม่ตื้นเขิน ไม่ใช่สงบแบบง่ายๆไม่ใช่เลย การเรียนทุกวันนี้เมื่อตื้นขึ้นจึงแยกกายแยกจิตไม่ได้ กายสังขารังปัสสัมภยังหรือทำให้เกิดกายปัสสัทธิ กายวิเวกก็ไม่รู้แล้ว

กายเกี่ยวกับภายนอก กายเป็นธรรมะสอง มีทั้งนอกและใน แต่ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

เมื่อเข้าใจ กายหมายถึง จิตมโนวิญญาณไม่ได้ ก็ปฏิบัติกายคตาสติ กายาวิปัสสนา กายอื่นๆอีก ก็ปฏิบัติไม่ถูก สักกายะ ที่หมายถึงจิตเจตสิก ทั้งนั้น เช่นกายที่ปฏิบัติจนได้ผลแล้วเป็นกายปาคุญญตาคือกายที่แคล่วคล่องว่องไวทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร มีพลังที่จิตเจริญไม่มีตัวกวน ไม่มีเหตุปัจจัยที่เป็นตัวกวน ก็เลยเป็นจิตมีพลังสูง จึงเกิด กายวิญญัติวจีวิญญัติที่แคล่วคล่อง

ไม่ใช่ว่าจิตสมาธิคือไม่พูดไม่ขยับไม่คิดด้วยเลย ดับจิตวิญญาณเลยซึ่งไม่ใช่ปณีตา นิปุนา ไม่ใช่ทุททสา ทุรนุโพธา อะไรเลย

 

SMS  7 JUL 59

0893867xxx อยู่ท่ามกลางอิทธิพลของความอยากได้อยากมีอยากเป็น108ให้ปลอดภัยที่สุดคือ อยู่ด้วยเจตนาดีที่ไม่อยากอะไรเลย!เพียรรักษาใจให้บริสุทธิ์ทุกขณะตามโศลกธ.พ่อครูดีที่สุด!จรธ.

ตอบ...อาตมาเคยให้โศลกว่า เจตนาแต่อย่าอยาก

คำว่าอยากกับเจตนานั้นก็ต้องแยกกัน ถ้าอยากอย่างมีตัณหาก็จะมีกามภพมาผสม หรือหมดกามภพก็มีจิตมุ่งหมายทำงานโดยไม่มีกาม ก็มีรูปภพ อรูปภพ เป็นภวตัณหา ถ้าปฏิบัติจนกระทั่งรูปก็หมด เหลืออรูปาวจร ก็ปฏิบัติอรูปาวจรอีกจนหมด ก็หมด กามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ จะเหลือแต่วิภวภพ กลายเป็นตัณหาไม่มีภพ เจตนาที่ไม่มีภพนี่แหละอาตมาทำได้และเข้าใจอันนี้

เจตนาแต่อย่าอยากคือต้องแจกเจตนากับความอยากให้ออก ต้องมาบ้าง กามตัณหา ภวตัณหา การหมดตัณหาของพระพุทธเจ้าไม่ได้หนีไปไหน ให้อยู่กับโลกนี่แหละ กับสังคมแล้วตั้งศีลไว้ ศีลข้อ 1   2 3 ก็ปฏิบัติกายวาจา ศีลข้อ 4 คือคำพูด ศีลข้อ 5 ก็คือใจ

ทำศีล 5 ได้ก็ทำศีล 8 เป็นการลดละเพิ่มอีก ใน นัจจะคีตวาทิตวิสูกทัสสนา มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนฐานา เป็นกิเลสที่เมาการละเล่น เสียเพลง เมาสิ่งที่หอม เมาส่ิงที่สวยงาม สิ่งที่คนโลกๆเขาติดกัน ในระดับเมรยะ  เป็นระดับกลาง ต้องจัดการเมรยะอีก ในระดับรูปภพ หมดก็เหลือระดับอรูปภพ ก็เมามัชชะ ก็ต้องล้างกิเลสมัชชะให้หมดสิ้นไปก็จบ

เจตนา ถ้าเราเข้าใจเจตนากับตัณหาที่เป็นกาม เป็นภวตัณหาก็ล้างมันออก ให้เหลือลดลง จนเป็นรูปภพอรูปภพ  ต้องทำตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามีไป เป็นลำดับ

เจตนาดีที่ไม่อยากอะไรเลย มันพูดได้ แต่ไม่ใช่จะเข้าใจแล้วทำให้ได้

คนนี้ส่งรายงานประจำก็ดีที่มีนร.ใส่ใจในการศึกษา รายงานผลงาน

ก็ชื่นใจนะ ก็เห็นว่าคุณ 3867 ส่งมานี้ก็อนุโมทนา

 

 

0893867xxx ผู้น้อยเข้าใจผิดถูกประก.ใด โปรดติเตือนชี้แนะ!ขอบคุณบุญนิยม!skkหลังปช.มติจะเป็นอย่างไรตนก็ยังเป็นช่างศิลป์ต๊อกต๋อยมักน้อยพอเพียงเช่นเดิม!จรธ.

ตอบ… อาตมาไม่ค่อยจะเขียน อาตมาเคยวิจารณ์ตั้งแต่หนังไตตานิค ก็มาให้สติแก่คนว่าไม่ใช่งานศิลป์ แต่เป็นอนาจาร ทำให้คนเกิดรสชาติโลกีย์ก็ใช้นามปากกาว่า ไตรตรานิกข์ คำว่า นิกข์ก็คือเนกขัมมะ

ต่อมาก็เขียนศิลปะโลกุตระเพิ่งออกไป ท่านลานศิลป์ เดิมชื่อลานบุญ ท่านอ่านอันนี้จนชัดเจนเลย ที่อาตมาได้เปิดให้แสดงงานศิลปะโลกุตระไป

ถ้างานใดทำแล้วคนสัมผัสแล้วลดกิเลสนั่นคือศิลปะ แต่ถ้างานใดที่คนสัมผัสแล้วเกิดกิเลสเพิ่มขึ้น งานนั้นไม่ใช่ศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นนาฏกรรมหรือดนตรีการก็ตาม แต่จิตชอบใจนั้นก็รู้สึกตื้นๆ ชอบใจชื่นใจซาบซึ้งก็เป็นมโนมยอัตตาตัวเองที่เขาจะใช้ภาษาหว่านล้อมโน้มน้อมเพื่อให้ปั้นความซาบซึ้งใส่ใจตัวเองเรียกว่ามโนมยอัตตา

เมื่อสัมผัส ประติมากรรม นาฏกรรม คีตกรรม ดนตรีการ สัมผัสแล้วเกิดจิตอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่าถ้าเป็นข้าศึกแก่กุศลอันนั้นเป็นอนาจาร แต่ถ้าสัมผัสแล้วจิตเกิดลดกุศล ก็เป็นมงคลอันอุดม ทำให้คนเกิดจิตกิเลสลด  อกุศลคือโลภะโทสะ โมหะ อันนั้นเป็นข้าศึกแก่กุศล ต้องมาลดกิเลสจึงเป็นศิลปะโลกุตระ

อาตมาถึงแบ่งศิลปะออกเป็น 5 ขั้น

1.      ลามก

2.      ราคะ

3.      สาระ

4.      ธรรมะ

5.      โลกุตระ

(ข้อ 4 กับข้อ 5 เป็นศิลปะ)

ถ้าเป็นธรรมะนั้น ก็มีระดับอีก มีธรรมะขั้นโลกีย์เป็นกัลยาณธรรม ไม่เข้าถึงการลดกิเลสในจิตสันดาน แต่ถ้าเป็นธรรมะระดับโลกุตระก็ต้องทำให้ลดกิเลสได้

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะ3เส้าจากพีชนิยามไร้กรรมทำพลังงานเป็นจิตนิยามมีกรรมเกิดวิญญาณเป็นธรรมะ2ที่รู้ครบเวทนาสัญญาสังขารรู้เท่าทันปัจจุบันขณะเดียว!สาธุ

ตอบ...ก็ดีที่เป็นนร.ที่ดีเขียนรายงานมา อาตมาก็รู้สึกดี ขอบคุณมาก

 

0893867xxx ขอพ่อหลวงพระบิดาแห่งน้ำฯพระแม่เจ้าพระมารดาแห่งป่าฯทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่คู่แผ่นดินไทยทรงพระเจริญยิ่งยืนนานฯลูกไทยใจภักดิ์

 

0893867xxx คนไทยคิดต่างกันยังไงก็เสมือนนิ้วมือที่ไม่เท่ากันเช่นใดแม้เห็นต่างก็อยู่ร่วมกันได้ในมือเดียวกันเฉกเช่นนั้น!นิ้วจะคดตรงฤาสั้นยาวก็ขอ ให้เป็นนิ้วคุณธ.สร้างปชธต.ใบสุจริตธ.ด้วยมือเดียวกัน!คือมือที่โอบอุ้มแผ่นดินพ่อฯแม่ฯเรา!

ตอบ...ใช้ได้ เขียนมารายงานผล

 

0833046xxx ยุคสุดท้ายปลายกัป ธรรมมะคู่กับภัย(มาร) พระโพธิสัตว์อุบัติมาฉุดช่วยเวไนย์สัตว์ให้บำเพ็ญจิตผู้รู้พึงประคองธรรมะพรากเพียรปฏิบัติเพื่อให้ขึ้นฝั่งธรรมจิตญาณบรรลุหลุดพ้นจิตเดิมแท้บริสุทธิ์กลับคืนสู่แดนโลกุตตรภูมิ

ตอบ...อันนี้เป็นคำตอบของสายเซ็น อย่างท่านพุทธทาสว่าเด็กเกิดมามีจิตเดิมแท้ ที่จริงไม่ใช่ คนเกิดมาส่วนใหญ่เพราะอวิชชา ถ้าจิตสะอาดหมดก็เป็นอรหันต์มาเกิด แต่เกิดมาก็มีลิงลมอมข้าวพองได้ จนกว่าหลุดพ้นได้ แม้อรหันต์หรือโพธิสัตว์มาเกิดก็ตาม 

ถ้าอรหันต์ทุกองค์บรรลุแล้วตายสูญ อันนี้ก็จะมีพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

คนเกิดมาพร้อมอวิชชา ต้องมาฟังคำสอนจากสัตบุรุษหรือพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติจึงหลุดพ้นได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นรู้เองคิดเองไม่ได้ ต้องฟังเป็นสาวกภูมิก่อนแล้วจึงจะได้เป็นของตนเอง บรรลุด้วยตน เป็นปัจเจกภูมิ เร่ิมต้นก็สังสมไปจนเป็นสยังอภิญญา

จริงๆไม่ควรเรียกว่าจิตเดิมแท้ ควรเรียกว่าจิตแท้ๆ สมมุติว่าคุณเข้าใจจิตนิยามเร่ิมต้นคุณมีจิตนิยามของสัตว์เซลล์เดียวสองเซลล์ก็เป็นจิตสะอาด แต่ต่อมาก็มีตัวตนขึ้น สะสมตัวตนโดยอวิชชา เป็นเดรัจฉาน จนกว่าจะพัฒนามาเป็นสัตว์มนุษย์กิเลสก็บานมากมาย จิตเดิมของมนุษย์นี้เกิดมาไม่มีจิตเดิมไหนเป็นจิตที่สะอาดหมดเป็นจิตเดิมแท้ๆ ต้องปฏิบัติลดกิเลสจนหมดกิเลสเป็นจิตเดิมแท้ได้

การเข้าใจว่านั่งสมาธิ แล้วจิตจะไม่นึกไม่คิดไม่มีนิวรณ์ไม่มีกิเลสจิตมันว่างไม่มีกิเลสเลย จิตว่างก็เลยอธิบายคำว่า ว่างนี้ว่างจากอะไรไม่ได้เพราะนั่งหลับตาเข้าภพ ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ขาด analysis ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย

การปฏิบัติต้องเข้าใจวิโมกข์

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

จะไปเรียนรู้สัตว์นรกอย่างหยาบๆก็ไม่ได้ อย่างเช่น จาตุมหาราชิกา

อย่างพระพุทธเจ้านี่ว่าคนอื่นตำหนิคนอื่นมาก็เลยมีปักขันธิกาพาธ อย่างอาตมาก็เป็นเช่นกัน เป็นวิบาก แม้จะตำหนิอย่างดีก็มีวิบากได้ ถ้าเป็นสายพระพุทธเจ้านะ

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.ญตธ.บ้านราชฯทุกพุทธสถ.อโศก!ขอฟังธ.ก่อนค่อยไปลงปชมติที่ลงได้ถึงเย็นนี้!

0890529xxx ไม่ปลูกพงรกอสรพิษไม่มาอาศัยศาลเจ้าไม่ดีเทพารักษ์ก็จากไป เมื่อตัณหาไม่สิงใจมารร้ายก็ไกลห่าง แมลงเม่าบินเข้าเพลิงไฟล้วนเกิดจากการประมาณตนผิด ขุนเขาจะย้ายง่ายเหมือนพลิกฝ่ามืออยู่ที่ถือ"สัจจะ" ลงนรกขึ้นสวรรค์ไปถึงฉับไวอยู่ที่ใจวูบเดียว

 

อาตมาทำงาน และก็จะทำงานอย่างนี้ไปตลอดตาย พูดแต่เรื่องวนเวียนอยู่กับธรรมะ ส่ิงที่ไม่ดีก็ต้องด่าเอา ใครจะว่าอาตมาปากจัดปากร้ายก็ไม่เป็นไร เพราะอาตมาต้องตำหนิสิ่งไม่ดีแล้วยกย่องสิ่งที่ดีแต่สิ่งที่ดีนี้ไม่ต้องยกย่องมากเพราะอยู่กับใครนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นอะไรแต่ความชั่วนี้ต้องรีบให้รู้ตัวมันอยู่กับเรา 1 นาทีมันก็ร้าย 1 นาทีมันอยู่กับเรา 1 ชั่วโมงก็ร้าย 1 ชั่วโมงมันอยู่เป็นเดือนเป็นปีก็ยิ่งแย่ต้องรีบเลิกสิ่งนี้ สัจธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านเอานิคคัณเห มาก่อน ปัคคัณเห

ศาสนาพุทธให้หาเหตุแห่งทุกข์ไม่สอนเหตุแห่งสุข อาริยสัจ 4 สอนให้ หาเหตุแห่งทุกข์ดับเหตุแห่งทุกข์ ไม่มีสอนเหตุแห่งสุข

เทวดา 6 ชั้นนี้ไม่ใช่ของพุทธ เอามาจากของเก่าศาสนาเก่า ถ้าจะว่าจริง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็เป็นของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พระพุทธเจ้าก็ยอมรับว่าท่านไม่รู้ที่ต้น ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าที่สืบทอดมา

อาตมามีความศรัทธาธรรมะของพระพุทธเจ้า

เร่ิมต้นจะรู้โสดาบัน แต่โสดาบันก็ไม่รู้ชัดมาก จะมีวิมุติของโสดาบัน ท่านไม่เรียกว่าวิมุติทีเดียว ท่านเรียกว่าทิฏฐิ ปัตตะ วิมุติของเจโตท่านเรียกว่าสัทธาวิมุติ ของปัญญานี้ท่านไม่เรียกวิมุติ แต่เป็นทิฏฐิปัตตะ คือเข้าถึงหลักธรรมด้วยปัญญา

เข้าสู่โลกุตระต้องรู้ กายในกาย เป็นข้อแรก เร่ิมปฏิบัติเป็นโสดาปัตติมรรค แล้วเป็นโสดาปัตติผลเป็นลำดับ เป็นสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็เป็นนิพพาน เป็นโลกุตระ 9 ก็จากปฏิบัติโลกุตระ 37 นี่แหละ คนที่เข้าใจ กาย เวทนา จิต เข้าใจสิ่งที่ทรงไว้หรือไม่ควรทรงไว้ อธรรมไม่ควรทรงไว้ อธรรมหรืออกุศลจิตต่างๆ เป็นตัวปรุงแต่งก็เรียนอันนั้น

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามีอิทธิบาท 4 เป็นแรงหนุน ช่วยให้ปฏิบัติ สัมมัปปธาน  4 ทำการสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ใช่ไปหลับตา แล้วเรียนรู้ ปหานกิเลสเป็น สัมมัปปธาน 4

1.      สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)

2.      ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว) .

3.      ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)

4.      อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)

ก็ทำเป็นลำดับขั้นจะสั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 บนทฤษฎี โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์​8

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:05:12 )

590809

รายละเอียด

590809_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัจจะสามอย่างอันลึกซึ้ง

จาก กองทัพธรรมFP เฟสบุค คุณMongkol Nath พระวินัยท่านห้ามอวดแก่อนุปสัมปัน...ชักยังไง...แล้วท่านโพธิ์...ใกล้ปาราชิกนะ ...ถ้าไม่จริง

พ่อครูตอบ...ก็ขอบคุณที่ทักท้วงมา

ท่านปยุตท่านบอกว่า อุปสัมบันคือผู้ผ่านพิธีบวชมา แต่อาตมาแย้งว่าอนุปสัมบันคือผู้ไม่มีภูมิธรรมจะรู้ได้  อุปสัมบันคือผู้มีภูมิปฏิบัติธรรมมีอาริยธรรมตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป แต่ท่านก็บอกว่าอุปสัมบันคือผู้ผ่านพิธีบวช ส่วนอนุปสัมบันก็คือฆราวาส แต่อาตมาว่า ฆราวาสหากบรรลุธรรมก็เป็นอุปสัมบัน

ทีนี้คุณคนนี้ท้วงว่า ห้ามอวดแก่อนุปสัมบัน แน่นอน อาตมาเทศน์ออกอากาศไป คนที่ไม่มีภูมิก็อาจฟังเข้าใจผิดได้ แต่อาตมาเทศน์ในปรมัตถ์ที่สูงคนอาจฟังไม่ได้เข้าใจบ้าง แต่อาตมาก็ว่า คนที่ฟังเทศน์อาตมาที่มีภูมิสูงพอรับได้จะฟัง แต่พวกที่เป็นอนุปสัมบัน คือไม่มีภูมิพอจะฟังได้ เขาจะไม่ฟังอาตมานานหรอก เพราะว่ามันยากไป เขาก็เอาเท้าก่ายหน้าผากฟัง หากเขาไม่ยินดี ไม่ปราโมทย์ในการฟังเขาไม่ดูหรอก แต่ผู้ที่ดูแล้วเอาไปเข้าใจผิดก็มีบ้างสุดวิสัย แต่ยุคนี้วิธีใดที่จะเผยแพร่ได้มากก็ต้องทำ ถ้าได้มากกว่าเสียอาตมาก็ทำ ก็จบ

อาตมาก็เทศน์ไปนี่ เป็นปรมัตถ์เป็นความรู้อุตริมนุสธรรม ทีนี้อาตมาก็เทศน์ โดยมั่นใจว่าอาตมามีอุตริมนุสธรรมนั้นจริง เทศน์ก็มีประมาณไปทุกที

หนึ่งอาบัติปาราชิกอาตมาไม่มีเพราะมั่นใจว่าสิ่งที่อาตมาไม่รู้จะไม่เทศน์ สิ่งที่ไม่มั่นใจก็ไม่เทศน์ บางอย่างต้องรอเวลาในการพูด หลายอย่างคนอยากให้พูดแต่อาตมาไม่พูด อาตมากำหนดหมายรู้ได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ผ่านมาไม่น้อย ก็ระมัดระวัง รู้โทษภัยดี

สรุปแล้วต้องขอบคุณที่เขาท้วงมา ก็ขอบคุณ แต่อาตมาก็พยายามระมัดระวังเป็นได้ที่อาตมาจะมีโทษปาจิตตีย์บ้าง แต่อาตมาก็ได้รับ การยกสติวินัยแล้ว ก็ไม่กระไร อาตมาก็เจตนาดีแล้วระมัดระวังอยู่ แต่ผลที่ได้นั้นอาตมาพากเพียรแล้วเสียสละทำงานให้ความรู้ที่ เรื่องเล็กๆน้อยๆไม่น่าจะเอามาเป็นเหตุเป็นผล พูดไปแล้ว หลายคนอาจบอกว่าอาตมาพูดเข้าข้างตัวเองก็เป็นได้ ก็ผ่านไป

 

_สมมุติว่าหนูอยู่ในป่า แล้วไม่มีอาหารกิน หนูก็หิวมาก แล้วหนูไปเจอหมูตาย หนูจะกินได้ไหม? คำถามจาก ดญ.น้ำธารธรรม

ตอบ...เรื่องนี้ถ้าเผื่อว่าเราเองไปอยู่ในที่สุดวิสัย สุดที่จะเป็นไปได้แล้ว หิวมากด้วย จะตายแล้วก็มีแต่หมูนี่จะกินได้ ก็ต้องกิน ถ้าเราจะอยู่ แต่ถ้าเราว่าเราสมควรตายเราก็ไม่กิน เราก็ตาย ถ้าเราตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อไปเราก็กิน พระพุทธเจ้าสอนไว้ แม้แต่คนป่วยจะตาย แต่คนป่วยจะต้องกินอาหารเนื้อสัตว์ ถ้าไม่กินอันนี้จะตาย พระพุทธเจ้าก็ให้กิน เพื่อเอาชีวิตไว้ ไม่ได้เบียดเบียนอะไร กินเนื้อตาย ไม่ได้ไปฆ่าเอา แต่ถ้าเราจะรักษาสัจจะรักษาธรรม ตายก็ตาย ก็ไม่กิน เราก็ตาย

แต่คนที่ตายแบบนี้ชาติต่อไปจะมีบารมีสูงขึ้นเยอะ ผู้ที่ตายกับธรรมะ ศาสนาอื่นก็บอกว่าผู้ที่ยอมตายกับธรรมะไม่ยอมให้ธรรมะเสียก็ได้ คนเราต้องเวียนตายเวียนเกิด ตายไปแล้วได้อาริยทรัพย์เยอะ เกิดมาชาติใหม่เรามีกุศลกว่าเก่าอีก หล่อกว่าเก่า รวยกว่าเก่าดีกว่าเก่าอีก แต่อย่าไปแลกกับเรื่องที่ไม่เข้าท่า

สรุปแล้วสมมุติมาตามโจทย์ อยู่ในป่า หมูตายมีต่อหน้า ไม่มีอะไรกินแล้วก็กินเนื้อหมู เนื้อหมูก็ไม่ใช่เนื้อที่พระพุทธเจ้าละเว้น ในเนื้อ 10 อย่างที่ไม่ควรกิน กินแล้วจะมีวิบากต่อเนื่องไป นอกนั้นท่านก็ว่าอนุโลม จริงๆแล้วชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์ใดๆ

ธรรมะมีสัจจะเป็นหลัก การเมืองก็มีสัจจะเป็นหลัก หากมีธรรมะมีสัจจะเป็นหลักก็ดีทั้งนั้น เราเอาสัจจะสามอย่าง ในจูฬวิยูหสูตรนี้มาพูดนี้

1.สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะอย่างที่สองไม่มี

2.สัจจะหลากหลายต่างๆกันนั้นไม่มีเลยในโลก ยกเว้นสัญญายนิจจานิ

3.สัญญายนิจจานิ

คำว่าสัญญายนิจจานี้ ทิ้งไว้กลางๆจะเรียกว่าสัจจะหรือไม่ อยู่ที่ใครไปสัญญายนิจจานิ ยึดมั่นประตูเดียวไม่มีการยอม เลยก็นั่นไม่ใช่สัจจะ

ประโยคนี้พระบาลีว่า...น เหว สัจจานิ นานา อัญญัตระ สัญญายะ นิจจานิ โลเก

เมื่อคุณกำหนดหมายว่าอันนี้เป็นส่ิงเที่ยงแท้ที่สุด ดีงามที่สุด มีสัญญากำหนดรู้แล้ว นิจจานิ แต่เมื่อเราอยู่กับมนุษย์ ส่วนตัวเรานั้นจบว่าดีที่สุด แต่เมื่อเราอยู่กับมนุษย์เขาเอาตามที่เรายึดก็จบ แต่ถ้าเขาไม่เอาตามเรา แม้มนุษย์ไม่เอาตามเรา โดยเฉพาะมนุษย์ส่วนใหญ่ เยภุยสิกา ปชต.เราก็ไม่เอาตามเราก็ได้ เราก็จบ มีแต่ปัญญา สัญญานี้กลายเป็นปัญญาแล้ว เอากับคนส่วนใหญ่ ตัวเองก็จบ ถ้าคุณยึดไม่เอากับหมู่ก็อยู่กับหมู่ไม่ได้

ธรรมะของพระพุทธเจ้า                                                                            นี้สุดยอดเป็นความจริงทำให้อยู่กับหมู่อย่างสันติอบอุ่นเจริญได้ นี่คือธรรมะที่ไม่เคยเก่า เก่าสมัย แต่ใหม่เสมอ เป็นสัจจะที่ฟังยาก หากไม่มีภูมิธรรม เก่านี่แหละไม่เก่าแต่ใหม่ ภาษาเรียกมันว่าเก่าจะกี่ยุค ก็ตามมันก็คือใหม่

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84507

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfeE9ReHJUTjl4VHM

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/4cly64ixes9d/160809


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:05:43 )

590809

รายละเอียด

590809_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัจจะสามอย่างอันลึกซึ้ง

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 9 สิงหาคม 2559 ผ่านวันที่ 7 ส.ค. มา เมืองไทยก็ครึกครื้นขึ้นเยอะ เป็นพฤติกรรมในสังคมที่เป็นความจริงสิ่งใดที่เป็นกุศลเป็นส่วนเสริม มีความเจริญก็มีนัยยะต่างๆหรือความเสื่อมก็มีนัยยะต่างๆ มีรายละเอียดเยอะ

ก็มองตามความเห็นของอาตมาก็นิยามความเห็น ถึงนิยามปชต.ซึ่งก็อาจไม่เหมือนใคร พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะต่างๆไม่มีในโลก สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสัจจะสอง สัจจะก็ต่างๆหลากหลายนั้นไม่มีในโลก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวนี้เป็นสมมุติสัจจะ คือสัจจะที่ปรองดองกันได้ อยู่รวมกันอย่างสามัคคี ปีกแผ่น ที่เรียกว่าสงบ สันติ กลมกลืนกันดี อยู่กันอย่างอบอุ่นดี เรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม ที่อาตมาแปลคำว่าสันติ คือเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม

สังคมมนุษย์จะอยู่อย่างมีพลัง จะขัดแย้งบ้างก็จะไม่เกิดอกุศลจิต แต่การที่ไปยึดในตัวเอง สัญญายนิจจานิ เป็นสัจจาภินิเวช คือเป็นการลงหลักปักแหล่ง(อภินิเวสายะ) การยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในอะไรอันนั้นก็เป็นสัจจะตามที่สัญญาไว้เป็นส่วนตัวของคนใด จะยึดอย่างใด ถ้ายึดแล้วเป็นคนหัวแข็งไม่ยอมอนุโลมกระด้าง แต่ถ้าผู้รู้จริง เราเข้าใจว่าอันนี้ดี แต่ความเป็นอยู่จริงนั้นไม่มีตัวตน ความเป็นสัจจะจริงจะไม่มีตัวตน ผู้รู้ว่าอันไหนดีที่สุด แต่เมื่อเรามีชีวิตอยู่จริงกับสังคม เราก็ต้องรวมกันประสานต้องอนุโลมปฏิโลม ก็จบ เป็นหนึ่งเดียวอย่างอบอุ่นกลมกลืนมีพลังเรี่ยวแรงใช้พลังในการทำดีด้วย อันนี้คือประโยชน์ส่วนตัวกูของกูจะยึดอย่างไรก็ส่วนตัวเขา ผู้รู้จริงหมดตัวตนจะเข้าใจคนอื่น เลิกสลายจบได้ อยู่กับสัจจะหนึ่งเดียว ก็จบเลย

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะหลากหลายต่างๆนี้ต่างคนต่างยึด ก็ทะเลาะกัน ฆ่ากัน แล้วจะเอาไปทำไม? ใครจะทำไปทำไม ถ้าคนรู้แล้วชัดเจน จิตใจตนสามารถปรับกับความจริงนั้นได้ก็ไม่ยึดก็หมดตัวตน อรหัตตผลเลย ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความยึดของคนนี่แหละยาก และโง่จริงๆ จะเอาย่ิงใหญ่เอาชนะเป็นเลิศอยู่อย่างนี้ สัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสในจูฬวิยูหสูตรนี้เป็นเลิศจริงๆ

 

SMS 8 August 2016

0897855xxx พ่อครูเทศฟังไม่เบื่อ

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯผู้น้อยใจชื้นที่ผลปชมติ.ทำให้เรารู้ว่า มีคนไทยหัวใจเดียวกันถึง60กว่า%ไม่ทิ้งบ้านขว้างเมืองเช่นเกมโป?ฮิตกลืนโลก!

0893867xxx ขอคารวะทุกสิทธิเสียงทั้งรับไม่รับปชมติ.ด้วยความยินดีที่ร่วมสร้างปชธต.ใบขาวสะอาดทัดเทียมอังกฤษ ไม่ด้อยกว่าพม่าสูสีสากลโลก!พุทธมังสะฯ

0897146xxx ความดีที่ได้มาจากความรู้ทางด้านศาสนาไม่ใช่มีไว้เพื่ออวดดี แต่ความดีที่ได้มาจากความรู้ทางศาสนามีไว้เพื่อวัดว่าเราชั่วแค่ไหน

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูเมตตาให้คำติชมเป็นขวัญกำลังใจดียิ่งกว่ารางวัลใดๆ!จักตอบแทนพระคุณพ่อครูด้วยการตั้งใจศึกษาธ.พระพุทธเจ้าจากท่านไปตลอดชีวิตสาธุ!

0833208xxx ศัตรูตัวใหญ่ที่สุดของชีวิตคือตนเอง หลอกลวงที่สุดของชีวิตคือขาดปัญญา บาปเวรที่สุดของชีวิตคือหลอกลวงตัวเองหลอกลวงผู้อื่น น่าเศร้าที่สุดของชีวิษคือริษยา น่านับถือที่สุดของชีวิตคือ"วิริยะ"

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธ.5มิติ จากพ่อครูฯมีลามก,ราคะมิใช่ศิลป์!สาระเริ่มมีศิลป์!ธรรมะมีศิลป์แต่ยังไม่รู้ถึงจิต!โลกุตระศิลปะมงคลอุดมถึงปรมัตถฯพ้นโลกธ.จรธ.

 

0867532xxx ดุพ่อครูเทศดีมาก

 

_ส.ลั่นผา แจ้งมาว่า โรคปักขันตทิกาพาธ ที่พ่อครูเทศน์เมื่อคืนนี้ ที่ว่าเป็นโรคเกี่ยวกับคอ แต่ภันเตเบิกบานได้เปิดพจนานุกรมของ ท่านปยุต ประยุทโต แปลว่า โรคท้องร่วง ครับ

ฝากภันเตเรียนพ่อครูด้วย ครับว่า ท่านประยุทธ (พระพรหมคุณาภรณ์) ไม่ได้แปลเหมือนที่พ่อครูแปล ครับ

ตอบ...คำว่าปักขันธิ หรือปักขันธติ มันแปลว่าอาการที่แล่นไป มันแรงมีพลังงานพุ่งไป นี่โดยสภาวะ แล้วก็เกิดมากไป ก็เกิดพิษภัย จะไปเป็นที่คอก็เป็นโรคที่คอ ทำอะไรแรงไปก็พัง จะบอกว่าท้องร่วง ก็ว่าไป

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการตำหนิ สิ่งไหนใช้มากพูดมากคอก็เสีย

SMS 8 August 2016

0897855xxx พ่อครูเทศฟังไม่เบื่อ

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯผู้น้อยใจชื้นที่ผลปชมติ.ทำให้เรารู้ว่า มีคนไทยหัวใจเดียวกันถึง60กว่า%ไม่ทิ้งบ้านขว้างเมืองเช่นเกมโป?ฮิตกลืนโลก!

0893867xxx ขอคารวะทุกสิทธิเสียงทั้งรับไม่รับปชมติ.ด้วยความยินดีที่ร่วมสร้างปชธต.ใบขาวสะอาดทัดเทียมอังกฤษ ไม่ด้อยกว่าพม่าสูสีสากลโลก!พุทธมังสะฯ

0897146xxx ความดีที่ได้มาจากความรู้ทางด้านศาสนาไม่ใช่มีไว้เพื่ออวดดี แต่ความดีที่ได้มาจากความรู้ทางศาสนามีไว้เพื่อวัดว่าเราชั่วแค่ไหน

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูเมตตาให้คำติชมเป็นขวัญกำลังใจดียิ่งกว่ารางวัลใดๆ!จักตอบแทนพระคุณพ่อครูด้วยการตั้งใจศึกษาธ.พระพุทธเจ้าจากท่านไปตลอดชีวิตสาธุ!

0833208xxx ศัตรูตัวใหญ่ที่สุดของชีวิตคือตนเอง หลอกลวงที่สุดของชีวิตคือขาดปัญญา บาปเวรที่สุดของชีวิตคือหลอกลวงตัวเองหลอกลวงผู้อื่น น่าเศร้าที่สุดของชีวิษคือริษยา น่านับถือที่สุดของชีวิตคือ"วิริยะ"

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธ.5มิติ จากพ่อครูฯมีลามก,ราคะมิใช่ศิลป์!สาระเริ่มมีศิลป์!ธรรมะมีศิลป์แต่ยังไม่รู้ถึงจิต!โลกุตระศิลปะมงคลอุดมถึงปรมัตถฯพ้นโลกธ.จรธ.

0867532xxx ดุพ่อครุเทศดีมาก

 

จาก กองทัพธรรมFP เฟสบุค คุณMongkol Nath พระวินัยท่านห้ามอวดแก่อนุปสัมปัน...ชักยังไง...แล้วท่านโพธิ์...ใกล้ปาราชิกนะ ...ถ้าไม่จริง

ตอบ...ก็ขอบคุณที่ทักท้วงมา

ท่านปยุตท่านบอกว่า อุปสัมบันคือผู้ผ่านพิธีบวชมา แต่อาตมาแย้งว่าอนุปสัมบันคือผู้ไม่มีภูมิธรรมจะรู้ได้  อุปสัมบันคือผู้มีภูมิปฏิบัติธรรมมีอาริยธรรมตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป แต่ท่านก็บอกว่าอุปสัมบันคือผู้ผ่านพิธีบวช ส่วนอนุปสัมบันก็คือฆราวาส แต่อาตมาว่า ฆราวาสหากบรรลุธรรมก็เป็นอุปสัมบัน

ทีนี้คุณคนนี้ท้วงว่า ห้ามอวดแก่อนุปสัมบัน แน่นอน อาตมาเทศน์ออกอากาศไป คนที่ไม่มีภูมิก็อาจฟังเข้าใจผิดได้ แต่อาตมาเทศน์ในปรมัตถ์ที่สูงคนอาจฟังไม่ได้เข้าใจบ้าง แต่อาตมาก็ว่า คนที่ฟังเทศน์อาตมาที่มีภูมิสูงพอรับได้จะฟัง แต่พวกที่เป็นอนุปสัมบัน คือไม่มีภูมิพอจะฟังได้ เขาจะไม่ฟังอาตมานานหรอก เพราะว่ามันยากไป เขาก็เอาเท้าก่ายหน้าผากฟัง หากเขาไม่ยินดี ไม่ปราโมทย์ในการฟังเขาไม่ดูหรอก แต่ผู้ที่ดูแล้วเอาไปเข้าใจผิดก็มีบ้างสุดวิสัย แต่ยุคนี้วิธีใดที่จะเผยแพร่ได้มากก็ต้องทำ ถ้าได้มากกว่าเสียอาตมาก็ทำ ก็จบ

อาตมาก็เทศน์ไปนี่ เป็นปรมัตถ์เป็นความรู้อุตริมนุสธรรม ทีนี้อาตมาก็เทศน์ โดยมั่นใจว่าอาตมามีอุตริมนุสธรรมนั้นจริง เทศน์ก็มีประมาณไปทุกที

หนึ่งอาบัติปาราชิกอาตมาไม่มีเพราะมั่นใจว่าสิ่งที่อาตมาไม่รู้จะไม่เทศน์ สิ่งที่ไม่มั่นใจก็ไม่เทศน์ บางอย่างต้องรอเวลาในการพูด หลายอย่างคนอยากให้พูดแต่อาตมาไม่พูด อาตมากำหนดหมายรู้ได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ผ่านมาไม่น้อย ก็ระมัดระวัง รู้โทษภัยดี

สรุปแล้วต้องขอบคุณที่เขาท้วงมา ก็ขอบคุณ แต่อาตมาก็พยายามระมัดระวังเป็นได้ที่อาตมาจะมีโทษปาจิตตีย์บ้าง แต่อาตมาก็ได้รับ การยกสติวินัยแล้ว ก็ไม่กระไร อาตมาก็เจตนาดีแล้วระมัดระวังอยู่ แต่ผลที่ได้นั้นอาตมาพากเพียรแล้วเสียสละทำงานให้ความรู้ที่ เรื่องเล็กๆน้อยๆไม่น่าจะเอามาเป็นเหตุเป็นผล พูดไปแล้ว หลายคนอาจบอกว่าอาตมาพูดเข้าข้างตัวเองก็เป็นได้ ก็ผ่านไป

ตอนนี้เรื่องการเมือง อาตมาเห็นว่า เมืองไทยนี้นำหน้าเรื่องปชต. ตามภูมิของอาตมาว่าปชต.คือการทำเพื่อปชช.

ทำเพื่อปชช.อย่างไร เขามองง่ายๆว่าให้วัตถุ เงินทองข้าวของให้มีกินมีใช้ สองให้นามธรรม อาตมาว่าการให้นามธรรมให้รู้นามธรรมนี้สูงกว่าให้วัตถุ

เปรียบเทียบว่า ถ้าเราให้ปลาแก่คนไปกิน กับ ให้เครื่องมือเขาไปทำมาหากิน การให้เครื่องมือทำกินนี้จะสูงกว่า แต่ถ้าให้ปลาเขากิน หมดปลาเขาก็ไม่มีกินก็ตาย อาตมาไม่มีหน้าที่ทำแบบเอาปลาให้คนกิน

ผู้ที่จะทำวิธีสื่อให้แก่คนอื่นได้ ก็สื่อโดยภาษา ให้เข้าใจรู้ดีเอาไปทำได้ การสื่อภาษาก็มีการสื่อภาษาตรงๆ กับการสื่อแล้วไม่ตรงนักแต่เขาเข้าใจได้ ใช้พลคำ แต่เนื้อแท้ตรงกันก็มี ใช้ภาษาคำเดียวกันแต่เนื้อแท้คนละอย่างก็มี ก็ตั้งใจฟังเอาก็แล้วกัน อาตมาก็ไม่รู้จะระบุอย่างไร เรื่องเดียวกันแต่สื่อผิดก็ฆ่ากันตายได้เลย

 

ความก้าวหน้าของปชต.คือปชช.มาออกเสียงกันมาก แล้วก็ได้ผลอย่างไรก็ยอมรับกันคือความก้าวหน้าของปชต. เป็นอิสรเสรีภาพไม่ได้บังคับ แม้ผู้ปฏิบัติ ขรก.การเมืองหรือขรก.ประจำก็อคติน้อยหรือไม่มี ถ้าไม่มีก็ถือว่าอรหันต์ แต่ผู้ไม่อรหันต์ก็ต้องไม่ให้มีชั่วคราวได้ จะมีลำเอียงก็ให้น้อยที่สุด สรุปแล้วอาตมาให้ค่าว่าการเมืองการปชต.ไทยก้าวหน้ากว่าทุกประเทศเลย นอกนั้นยังแย่งชิงฆ่าแกงกัน เมืองไทยไม่แย่งชิงอำนาจกันแล้ว มีแต่พวกหน้ามืดตาบอดที่แย่งเท่านั้น

อาตมาก็ขออ่านกวีเพื่อเสริมหนุนคณะที่จะทำงานตอนนี้

        บริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด                           ***********************************

         

          (1) ชื่อว่า“คน”สูงสุดไซร้   คือสัจจะ

          จริงหนึ่ง“ปรมัตถะ”           จิตแท้         

          สอง“สมมุติ”คือคณะ           ประชาร่วม กันรา

          หากผนึกมั่นมุ่งแก้            วิกฤติได้ทันกาล

          (2) ถ้าพาลเฉื่อยช้าอีก       ก้าวเดียว   

          ฝูงสัตว์นรกกรูเกรียว         ขย่มซ้ำ 

          ฝันสวรรค์แหลกลาญเหลียวหาบ่ เหลือเลย    

          มารยักษ์มันขยี้ขย้ำ           ขบเคี้ยวกินหวาน  

          (3) ต้องหาญหักบัดนี้       ทันใด                           

          ฤกษ์บ่เคยรอใคร              อย่าช้า                  

          สุกจะเน่าแล้วไฉน   ไม่กัด กินเฮย      

          “เอาเถิดเจ้าล่อ”ท้า    ห่อนแคล้วบรรลัย

          (4) ใดใดก็ชัดแท้     ทุกเม็ด      

          แต่ไม่ลงมือเผด็จ      ศึกเสี้ยน    

          ตนไม่ช่วยตนเสร็จ   ก่อนอื่น ช่วยแฮ  

          โรคจิตกระมิดกระเมี้ยน   พิษร้ายจงระวัง       

          (5) โลกยังจมอยู่ด้วย          ปุถุชน

          ยากจักตามรู้ตน                  ชัดได้                

          อัตตาไม่“กล้าจน”           ทรัพย์โลก    

          จึงไม่บริสุทธิ์ให้                 เศรษฐ์สร้างความจริง

          (6) ไทยชิงธงพุทธแท้         มาครอง

          โลกุตระวสีของ                  สัจจ์ชี้                         

          จึงบรรลุก่อนผอง            มนุษยโลก

          ความชนะยิ่งใหญ่นี้          สุดไร้เทียมทาน

          (7) คนประหารกิเลสได้     เป็นจริง                           

          จึงบริสุทธิ์เอ่ยอิง             สัตย์แท้                

          เพราะพร้อมทุกสิ่งกิง-         ชัจจะศาสตร์  

          ที่สุดบริสุทธิ์แล้                    เท่านั้นชนะสรรพ์

           

                                      “สไมย์ จำปาแพง”                                              26 ก.ค. 2559

           **หมายเหตุ : กิงชัจจะ แปลว่า ผู้มีชาติอะไร,เกิดมาจากไหน             

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 314 ประจำเดือนกันยายน 2559]

 

_สมมุติว่าหนูอยู่ในป่า แล้วไม่มีอาหารกิน หนูก็หิวมาก แล้วหนูไปเจอหมูตาย หนูจะกินได้ไหม?

ตอบ...เรื่องนี้ถ้าเผื่อว่าเราเองไปอยู่ในที่สุดวิสัย สุดที่จะเป็นไปได้แล้ว หิวมากด้วย จะตายแล้วก็มีแต่หมูนี่จะกินได้ ก็ต้องกิน ถ้าเราจะอยู่ แต่ถ้าเราว่าเราสมควรตายเราก็ไม่กิน เราก็ตาย ถ้าเราตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อไปเราก็กิน พระพุทธเจ้าสอนไว้ แม้แต่คนป่วยจะตาย แต่คนป่วยจะต้องกินอาหารเนื้อสัตว์ ถ้าไม่กินอันนี้จะตาย พระพุทธเจ้าก็ให้กิน เพื่อเอาชีวิตไว้ ไม่ได้เบียดเบียนอะไร กินเนื้อตาย ไม่ได้ไปฆ่าเอา แต่ถ้าเราจะรักษาสัจจะรักษาธรรม ตายก็ตาย ก็ไม่กิน เราก็ตาย

แต่คนที่ตายแบบนี้ชาติต่อไปจะมีบารมีสูงขึ้นเยอะ ผู้ที่ตายกับธรรมะ ศาสนาอื่นก็บอกว่าผู้ที่ยอมตายกับธรรมะไม่ยอมให้ธรรมะเสียก็ได้ คนเราต้องเวียนตายเวียนเกิด ตายไปแล้วได้อาริยทรัพย์เยอะ เกิดมาชาติใหม่เรามีกุศลกว่าเก่าอีก หล่อกว่าเก่า รวยกว่าเก่าดีกว่าเก่าอีก แต่อย่าไปแลกกับเรื่องที่ไม่เข้าท่า

สรุปแล้วสมมุติมาตามโจทย์ อยู่ในป่า หมูตายมีต่อหน้า ไม่มีอะไรกินแล้วก็กินเนื้อหมู เนื้อหมูก็ไม่ใช่เนื้อที่พระพุทธเจ้าละเว้น ในเนื้อ 10 อย่างที่ไม่ควรกิน กินแล้วจะมีวิบากต่อเนื่องไป นอกนั้นท่านก็ว่าอนุโลม จริงๆแล้วชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์ใดๆ

ธรรมะมีสัจจะเป็นหลัก การเมืองก็มีสัจจะเป็นหลัก หากมีธรรมะมีสัจจะเป็นหลักก็ดีทั้งนั้น เราเอาสัจจะสามอย่าง ในจูฬวิยูหสูตรนี้มาพูดนี้

1.สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะอย่างที่สองไม่มี

2.สัจจะหลากหลายต่างๆกันนั้นไม่มีเลยในโลก ยกเว้นสัญญายนิจจานิ

3.สัญญายนิจจานิ

คำว่าสัญญายนิจจานี้ ทิ้งไว้กลางๆจะเรียกว่าสัจจะหรือไม่ อยู่ที่ใครไปสัญญายนิจจานิ ยึดมั่นประตูเดียวไม่มีการยอม เลยก็นั่นไม่ใช่สัจจะ

ประโยคนี้พระบาลีว่า...น เหว สัจจานิ นานา อัญญัตระ สัญญายะ นิจจานิ โลเก

เมื่อคุณกำหนดหมายว่าอันนี้เป็นส่ิงเที่ยงแท้ที่สุด ดีงามที่สุด มีสัญญากำหนดรู้แล้ว นิจจานิ แต่เมื่อเราอยู่กับมนุษย์ ส่วนตัวเรานั้นจบว่าดีที่สุด แต่เมื่อเราอยู่กับมนุษย์เขาเอาตามที่เรายึดก็จบ แต่ถ้าเขาไม่เอาตามเรา แม้มนุษย์ไม่เอาตามเรา โดยเฉพาะมนุษย์ส่วนใหญ่ เยภุยสิกา ปชต.เราก็ไม่เอาตามเราก็ได้ เราก็จบ มีแต่ปัญญา สัญญานี้กลายเป็นปัญญาแล้ว เอากับคนส่วนใหญ่ ตัวเองก็จบ ถ้าคุณยึดไม่เอากับหมู่ก็อยู่กับหมู่ไม่ได้

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดเป็นความจริงทำให้อยู่กับหมู่อย่างสันติอบอุ่นเจริญได้ นี่คือธรรมะที่ไม่เคยเก่า เก่าสมัย แต่ใหม่เสมอ เป็นสัจจะที่ฟังยาก หากไม่มีภูมิธรรม เก่านี่แหละไม่เก่าแต่ใหม่ ภาษาเรียกมันว่าเก่าจะกี่ยุค ก็ตามมันก็คือใหม่ อย่างที่ในหลวงว่า ขาดทุนของเราคือ กำไรของเรา อันนี้เข้าใจยากกว่าที่อาตมาพูดนี้อีกนะ

 

• เพชรพุทธสุดยอดศิลปะโลกุตระ

 

(41) สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี

ในฐานะอาตมาคือโพธิสัตว์นักศึกษา อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้านั้นแน่นอน ยังไม่มีภูมิถึงขั้น“สยัมภู” อาตมาก็แค่มีภูมิที่ศึกษาตามพระพุทธเจ้าขั้น“สยัง อภิญญา”เท่านั้น จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ทุกคำทุกความว่าจะไม่มีผิดเพี้ยน เป็นแน่เป็นแท้ เพราะ“สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4”อาตมาก็มีเท่าที่ภูมิบารมีตนมี“จริง”

และอาตมาก็เพียงแต่มีสิทธิ์แสดง“ความรู้” ตามที่อาตมามีเท่าที่“จริง”ของอาตมาออกมาได้ ให้ผู้อื่นรับทราบตามหน้าที่และฐานะของโพธิสัตว์ ด้วยความประสงค์ที่สูงอย่างยิ่งของอาตมา

เพราะ“ความจริง”ที่เป็นโลกุตรสมบัติอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรง“ค้นหาและสะสมให้พระองค์เองเป็น-พระองค์เองมีจริง”มาได้ จนกระทั่งพระองค์ทรงเป็นเจ้าของ(ธรรมสามี)“อาริยสัจจะ”นี้ แล้วทรงยืนยันว่า “สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี”(เอกัง หิ สัจจัง  น ทุตียมัตถิ)

“สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี” จึงได้แก่ “ความเห็นร่วมกัน-ความเข้าใจร่วมกัน-ความเชื่อร่วมกัน-ความรู้ร่วมกัน” เป็นอย่างเดียว

แม้ยังแยกเป็นสองอยู่ก็ไม่ได้ ยิ่งมากกว่าสองยิ่งไม่ใช่  “สัจจะ”ต้องหนึ่งเดียวเท่านั้น

(42) สัจจะหลากหลายต่างๆกันไม่มีในโลกเลย และทรงยืนยันอีกว่า “สัจจะหลากหลายต่างๆกัน เว้นแต่สัญญา(ของตนๆแต่ละคน)ว่า เที่ยง(สำหรับตน)เสีย ไม่มีในโลกเลย” (น เหว สัจจานิ นานา อัญญัตระ สัญญายะ นิจจานิ โลเก)

นั่นก็หมายความว่า “สัจจะหลากหลายต่างๆกัน(สัจจานิ

นานา) ไม่มีในโลก”หรอก ไอ้ที่“มี”นั้นมันแค่“สัญญา ว่า เที่ยง”(สัญญายะ นิจจานิ)ของคนแต่ละคน ที่ยึด“สัญญา”ก็คือ “ยึด“ความสำคัญมั่นหมาย หรือความกำหนดหมาย”

เอาเอง ของตนเอง เท่านั้นแหละ คนอื่นไม่รู้ด้วย

นั่นก็ชัดยิ่งตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัจจะนั้นไม่มีในโลกเลย เว้นแต่“สัญญาว่าเที่ยง”เท่านั้นของแต่ละคน

ถ้า“สัจจะ”นั้นเป็น“ความต่าง”(นานา)ที่แต่ละคนยึดของตนๆว่าเที่ยง(นิจจัง) ว่าแน่นอน(นิจจัง) ว่ามั่นคง(นิจจัง) สำหรับตน ต่างคนก็ต่างยึดของตนๆ

มันจึงขัดแย้งกัน โต้เถียงกัน แล้วก็ยึดของตนว่า “จริง” ว่า“สัจจะ”ของคนอื่นไม่ใช่สัจจะ จึงทะเลาะกัน เพราะต่างก็ยึดได้แค่“ทิฏฐิ”ของตนนั่นแหละ แล้วหลงว่าตน“รู้ธรรม” คนอื่นไม่รู้ คนอื่นเขลา ตนฉลาดแท้ๆแค่“ทิฏฐิ”ตนเองแต่ละคน ที่“แตกต่าง”กันของตนๆนั้น ต่างยึดว่าเป็น“จริง” ว่าเป็น“สัจจะ” ว่าเป็น“ธรรม” จึงชื่อว่าเป็น“สัจจะ”ยังไม่ได้ มันแค่“ทิฏฐิ”ส่วนตน

(43) “สัญญา”ไม่ใช่“ปัญญา” กว่าจะเป็นปัญญา

ส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัญญาว่า เที่ยง(สำหรับตน)ของตนๆแต่ละคน ที่พระองค์ตรัสว่า “เว้นสัญญาเสีย”ก็ไม่มี“สัจจะ”หรือ“ความจริง”เลย

แต่“สัญญา”ยังไม่ใช่“สัจจะ”ดอกนะ อย่าหลงผิด ถ้าแค่ “สัญญา”ของตนๆที่ยึดอยู่ภายใน ยังเ ป็นแต่อดีตหรืออนาคตอยู่เท่านั้น สัญญานั้นยังไม่ได้ทำงานออกมาสัมผัสภายนอกให้ เป็น“สมมุติสัจจะ”จนกระทั่งผู้อื่นร่วมรู้ด้วยเป็น 2 คนขึ้นไป และมากขึ้นๆจนกระทั่งหาที่สุดมิได้

“สัญญา”ของใครจะ“กำหนดหมายหรือสำคัญมั่นหมาย”อยู่ในใจของตนนั้นๆ แล้วยึดว่า“ของตนเท่านั้นสัจจะ(จริง) ของคนอื่นไม่ใช่สัจจะ(จริง) ยังไม่ได้

 เพราะ“สัญญา”ยังไม่ถึงขั้น“สัจจะ” กว่า“สัญญา”จะถึงขั้นเป็น“ปัญญา”ต้องได้ผ่านการอบรมฝึกฝนด้วย“มรรค 8”และ“โพชฌงค์ 7”โดยเฉพาะมี“ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์”เป็นตัวจั                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      กรสำคัญ และมี“สัมมาทิฏฐิ” เจริญไปตามลำดับและต้องครบพร้อม“สมมุติสัจจะ”กับ“ปรมัตถสัจจะ”ที่ปฏิบัติได้ผลเจริญสัมบูรณ์เป็น‘“อุภยัตถะ”(ประโยชน์ทั้งสองสัจจะ)โน่นแหละ จึงจะเรียกว่า“สัจจะ”แท้

โดยพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258 ว่า “ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง”

แม้“สัจจะ”จะมีทั้งภายนอก-ภายในมีผู้ร่วมรู้ด้วยแล้ว นั่นคือเป็น“สมมุติสัจจะ”แต่ยังต้องเป็น“ปรมัตถสัจจะ”ที่คนอื่นนั้นก็ยอมรับว่า“สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี” จึงได้แก่ “ความเห็นร่วมกัน-ความเข้าใจร่วมกัน-ความเชื่อร่วมกัน-ความรู้ร่วมกัน”(สมมุติสัจจะ)เป็นอย่างเดียวโดยแต่ละคน“ไม่เห็นแยกแตกต่างกันออกไปหลากหลายเลย แม้แยกเป็นสองก็ไม่มี มีแต่เห็นร่วมกัน เข้าใจตรงกันเป็นหนึ่งเดียว” ต้องอย่างนี้จึงจะชื่อว่า“สัจจะมีอย่างเดียว”

จะไม่ใช่“สัจจะ”มีสองอย่าง หรือหลากหลายอย่างแตกต่างกันไป ถ้าขัดแย้งกันอยู่กับผู้อื่นภายนอก ส่วนนั้นก็ไม่ใช่“สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น” ซึ่งมีเพียง“ความรู้-ความเห็น-ความเข้าใจ-ความเชื่อ”ของตนอยู่ภายในเท่านั้น ส่วนใดที่เป็น“สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น”ไม่ขัดแย้งกัน ส่วนนั้นจึงจะนับว่า เป็น“สัจจะมีอย่างเดียงเท่านั้น” ด้วย“ปัญญา”

ซึ่งจะประกอบไปด้วย“ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สัจจะ” นั้นอย่างไม่เหลือความขัดข้องใจสงสัยใดๆเลยที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 419 “จูฬวิยูหสูตร” ผู้ใฝ่ศึกษาโปรดตรวจดูเถิด วิเศษนัก

อาตมาเห็นว่า ฉะนี้แลเป็น“ความจริง”(สัจจะ)ที่สุดแล้วสุดๆ อาตมาจึงประสงค์มากยิ่ง-ปรารถนาสูงยอดที่จะให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ที่ว่านี้ อย่างเต็มความสามารถ จึงพากเพียรพยายามอยู่อย่างอุตสาหะ

 

(44) ติเถิด! ..อาตมาขอปวารณาต่อทุกคน

ขอปวารณาไว้ด้วยใจที่จริงก่อนนะว่า หากมีบทใด-ความใดที่อาตมาบกพร่องผิดพลาด ท่านผู้ใดรู้เช่นเห็นชัด ในความบกพร่องผิดพลาดนั้น ได้โปรดกรุณาทักท้วงติติงให้อาตมาด้วย จะเป็นพระคุณอย่างหาที่เทียบเปรียบได้ 

“ความรู้”ที่อาตมาเชื่อยิ่งว่า “จริง”ทั้งหลายที่จะแสดงออกไปให้อ่านนี้ แม้อันใดที่อาตมาจะเน้นหนักว่า “จริง” ก็ไม่ใช่คำพยากรณ์ นั่น..อาตมามีจริงมั่นใจในตนต่างหาก

แต่แน่นอนอาตมากำลังฝึกวิจัย-วิภาค-วิภาษนั้นแน่ๆ ก็ต้องมีการใช้ทั้ง“วิจารณ์”เพื่อพยายามฝึกฝนบ้าง ก็ขอให้อาตมาได้อวดตัวอวดตนบ้างเถอะนะ จะใจดำให้อาตมา

ใบ้  ใช้คำใช้ความใดเขียนบ้าง-พูดบ้าง ไม่ได้เลยเชียวหรือ? 

อาตมาก็แค่ขอวิจัยบ้าง พิจารณาบ้าง ตัดสินบ้าง ยืนยันบ้าง เถอะ.. แม้ไม่เก่ง

อาตมาก็ขอแสดงอะไรออกบ้างน่า..นิด..นะ

 

(45) วาวแววเพชรพุทธ การัตที่ 1

เอาล่ะ..ตานี้อาตมาตั้งใจจะไล่เรียงสาธยายจาก“พระสูตร” เล่ม 1 หรือพระไตรปิฎก เล่ม 9 “พรหมชาลสูตร”ไปตามลำดับกันดู และศึกษาละเอียดๆดูซิ

มาเริ่มต้น จับเรื่องราวเนื้อหาดูจากพระไตรปิฎก แล้วค่อยวิจัยสาธยายกันอีกที

“พรหมชาลสูตร” เรื่องมีอยู่ว่า พระสัมมาพุทธเจ้าเสด็จดำเนินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป ในขณะนั้น แม้สุปปิยปริพาชกก็เดินทางไกลไปในทางเดียวกันพร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้เป็นลูกศิษย์

ได้ยินว่าระหว่างทางนั้น สุปปิยปริพาชก กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย

ส่วนพรหมทัตตมาณพผู้เป็นลูกศิษย์กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองคนนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ พระพุทธเจ้ากับหมู่สงฆ์จะแวะพักแรมที่พระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา แม้สุปปิยปริพาชกกับลูกศิษย์ก็แวะพักอยู่ใกล้ๆที่พระพุทธเจ้าพักนั้นอีกแหละ และอาจารย์ก็กล่าวติ ลูกศิษย์ก็กล่าวชม มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง อยู่อย่างนั้น

ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นมาในเวลาใกล้รุ่ง มานั่งประชุมกันสนทนาเรื่องนี้กัน แล้วพากัน“ทึ่ง”พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆกันได้เป็นอย่างดี  ภิกษุทั้งหลายจึงต่างมหัศจรรย์ในพระพุทธเจ้า

ผู้มีภูมิรู้ถึงขั้นว่า “ธรรมะ 2”(เทฺว ธัมมา)จะเล็กละเอียด(นิปุณา)ปานใดๆก็ไม่มีภาวะใดเท่ากันเลย จึงเห็นความแตกต่าง(ลิงคะ) และสามารถทำ“ความแตกต่าง“ให้เหลือความเป็น“หนึ่ง”ได้สำเร็จจริงโดยรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ตัวตน”(อัตตา)

และทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ที่เป็น“อัตตา”ทุกขนาดทุกขั้น จนกระทั่งสามารถ“ไม่ยึดตัวตน”ของตน ตั้งแต่“โอฬาริกอัตตา”ขั้นต้น และ“มโนมยอัตตา”ขั้นกลาง สุดท้ายขั้น“อรูปอัตตา” ผู้นี้จึงมี“สัจจะเป็นอย่างเดียวเท่านั้น” ได้แท้

“ความขัดแย้ง”จึงเกิดจาก“การยึดตัวตนของตน”ว่าเป็น“สัจจะ”แต่ผู้เดียว ไม่ยอมลดตัวลดตนเลย แพ้ไม่เป็น

เรื่องของสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมาณพผู้ลูกศิษย์ ทั้งสองนั้นมีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ น่ามหัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา

ภิกษุทั้งหลายจึงทูลถามเพราะอยากรู้ละเอียดเรื่องนี้ 

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้พวกที่ไม่รับ มีสองพวก คือพวกหนึ่งไม่รับจริงๆ อีกพวกหนึ่งใจอยากให้คุณประยุทธอยู่ ก็เลยไปลงคะแนนเพื่อไม่รับจะได้ให้คุณประยุทธอยู่ต่อ มันเป็นความซ่อนกลไม่สะอาดบริสุทธิ์ ดร.หลายคนคิดอย่างนี้

อาตมาก็ว่าถึงอย่างไรก็ไม่สง่างาม หากอยู่อย่างแพ้

 

(46) “คำตำหนิ”คือสิ่งประเสริฐชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสอนว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นแน่”

อันตรายแรก คืออะไร ทำความเข้าใจให้แยบคายดีๆ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอจะขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ ฯ”

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระเจ้าข้า”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 1 นี้แหละ)

นี่ไงอันตราย.. เห็นมั้ย อันตรายที่ 1

ซาบซึ้งหรือยังว่า การตำหนิ เป็นทรัพย์ มีคุณค่าประโยชน์ตนยิ่ง ..แวววาวเพชรพุทธ ประเด็นที่ 1 ยอดวิเศษสำคัญ

และยังมีที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อีกมากแห่ง เป็นต้นว่า

“อานนท์ เราจะขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด เราจะชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผล จะทนอยู่ได้

นิคคัยหะ นิคคัยหาหัง อานัทะ วักขามิปวัยหะ ปวัยหาหัง อานันทะ วักขามิโย สาโร โส ฐัสสติ (มหาสุญญตสูตร 14/356)

หรือ “คนเราควรมองผู้มีปัญญาใด ที่คอยชี้โทษ และกำลังขนาบอยู่เสมอไปว่า ผู้นั้นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ล่ะ ควรคบหากับบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น

เพราะเมื่อคบหากับบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้นอยู่ ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐส่วนเดียว ไม่มีเลวเลย

นิธีนังวะ ปวัตตารัง      ยัง ปัสเส วัชชทัสสินัง 

นิคคัยหวาทิง เมธาวิง   ตาทิสัง ปัณฑิตัง ภเช

ตาทิสัง ภชมานัสสะ     เสยฺโย โหติ น ปาปิโย ฯ

(พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 16)

นี้คือ เครื่องชี้บ่งที่ยืนยันว่า คำตำหนิหรือคำขนาบข่มแล้วข่มอีกนั้น เป็นทรัพย์อันประเสริฐแท้จริง 

พ่อครูว่า อาตมาเหนื่อยนะ แต่มีใจทำ พวกคุณยังรับได้อยู่อาตมาก็มีแรงทำ ถ้าพวกคุณไม่รับก็ไม่รู้จะมีแรงไหม แต่ก็มีแรงอยู่ อย่างน้อยก็ประมาณนี้ อยู่ฟังต่อหน้าประมาณ 100 คน

จบ….


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:06:19 )

590810

รายละเอียด

590810_พุทธศาสนาตามภูมิ คำตำหนิคือส่ิงประเสริฐชั่วกับป์ชั่วกัลป์

ยิ่งดารานักกีฬามีค่าตัวมากขึ้นเท่าใด ยิ่งแสดงถึงความเสื่อมต่ำของยุคกาลเท่านั้น ...พ่อครู 10 ส.ค. 59

 

ยกตัวอย่างเขาไปติดโอลิมปิกกัน อาตมาเคยบอกว่าโอลิมปิกจะพาโลกฉิบหาย ประเทศที่ได้จัด นั้นเสียหายไปมากนักเท่าไหร่ ก็เจ้าประคุณขอประเทศไทยอย่าไปบ้าเอาโอลิมปิกมาจัดในเมืองไทยเลย แม้แต่เอเชี่ยนเกมส์ก็ตาม มันเป็นการละเล่นอบายมุข การบันเทิงก็อบายมุขจัดจ้านมาก ตอนนี้ ราคา ค่าตัวของดารา นักกีฬาเพิ่มขึ้นมากคือเครื่องแสดงถึงความเสื่อมต่ำของยุคกาล หลงสิ่งต่ำมาเป็นความจริง

 

 

_ร้านต้นข้าวถามมาว่า...หนูมีเรื่องจะถามค่ะหนูสังเกตเห็นว่าบางทีที่กราบสมณะบางครั้งก็กราบครั้งเดียว บางครั้งก็กราบ3ครั้ง แล้วเวลาก้มลงกราบก็ก้มลงไปนานจัง คือระหว่างที่ก้มลงเราต้องนึกถึงอะไรคะ

ตอบ...ก็เห็นใจว่าบางทีคนกราบก็ดูเหมือนลิงหลอกเจ้าปะหลกๆ กัน อาตมาก็ทำของเดิม เรียกว่ากราบเบญจางคประดิษฐ์ มีห้าจุด เข่า ศอก หน้าผาก ห้าจุด อาตมาก็ทำตามเดิม ทุกวันนี้เห็นเขาทำกันแวบๆๆ คือไม่ได้ให้ใจกับการเคารพนี้ มันรู้สึกว่าฝืน จำใจทำนะ ก็น่าเห็นใจ อาตมาว่า เรากราบนี้กราบด้วยความเต็มใจ เข้าใจว่าเรากราบอะไร ?

กราบ 1 ครั้งคือกราบผู้นั้น หมายใจว่าจะกราบผู้นั้น 1 คน แต่ถ้าเราหมายใจว่าจะกราบพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เราก็กราบ 3 ครั้ง กราบนานหรือไม่นานก็แล้วแต่เจตนา แต่ก่อนกราบนานเพื่อให้สะดุด เดินให้ช้ากราบให้ช้าทำอะไรให้เน้น เจตนาให้สะดุดใจ ว่าผู้นี้โถมใจทำอะไร? ก็จะได้อธิบายแล้วให้ทำตาม เดี๋ยวนี้เข้าใจกันขึ้นก็ไม่เป็นอย่างนั้นเต็มรูปแต่ก็รักษาให้เหมาะควรไว้ ให้มีจิตสัมพันธ์กับกรรมกิริยากับกรรมที่เราทำ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ แต่กาย วาจา ไม่มีจิตร่วมก็ไร้สาระ แต่ถ้าเราเอาจิตร่วม ได้ใช้ระลึก ตั้งใจ อธิษฐานก็ดี

แต่อธิษฐานเดี๋ยวนี้ก็เพี้ยน กราบพระพุทธรูปแล้วก็ขอให้ได้อันนั้นอันนี้ให้บันดาลให้ได้อะไร เป็นเรื่องเดรัจฉานวิชชาไม่ใช่ของศาสนาพุทธ

การกราบนี้ต้องเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิว่าเป็นเครื่องทำจากจิตวิญญาณแล้วทำใจในใจอย่างไร พระพุทธเจ้าถึงอธิบายถึงสภาพทำใจในใจ

เป็นคำกิริยาก็มนสิกโรติ ทำใจในใจให้ลึกซึ้งแยบคายหรือให้ถึงที่เกิด ให้เกิดความหมายของอะไร ก็ให้ชัด การทำใจในใจนี้เป็นตัวหลักของศาสนาพุทธคำว่ามนสิการหรือมนสิกโรติ คือทำใจของเรา เราต้องอ่านถึงใจเราในกายวาจานี้ เราอ่านเจตนา วิเคราะห์เจตนาด้วย อ่านแล้วก็อ่านจิตใจเราวิเคราะห์วิจารณ์ใจเรา ให้รู้เจตนา (มโนสัญเจตนา)

มโนสัญเจตนามีสาม คือ 1.กามตัณหา 2.ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา

กามตัณหาคือกิเลสอยู่ภายนอก มีกิเลสร่วมภายนอกเป็นมิจฉาสังกัปปะ เป็นกาม พยาบาท อย่างหยาบนอกก่อน ส่วนวิหิงสาเป็นเรื่องละเอียดที่ทำทีหลัง ต้องทำกามตัณหา ภวตัณหา(รูปภพ อรูปภพ)ให้หมด ก็เหลือวิภวตัณหา หมดภพชาติแล้ว เป็นตัณหาที่ไม่มีภพ

แต่ส่วนใหญ่ท่านแปล วิภวตัณหาว่าไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ท่านทำไมไม่แปล วิว่า ไม่ คือไม่มีภพ

ที่อาตมาว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหา เขาก็ว่าอาตมามาล้มล้างศาสนาพุทธเลยนะ อาตมาว่าไม่ใช่นะ อาตมามาสืบทอดศาสนาพุทธด้วย แต่คนเขาก็ถือว่าอาตมาพูดผิด เขาว่าพระพุทธเจ้าหมดตัณหาแล้ว เขาติดอยู่แต่บัญญัติภาษา ไม่รู้สัจธรรมสูงสุด

สัจธรรมสูงสุดจะรู้จิตเจตน มโนสัญเจตนาที่มุ่งหมายโดยไม่มีกามตัณหาภวตัณหาแล้ว

 

_0896405xxx  เวลาตื่นนอนแล้วรู้สึกอยากตื่นกันขี้เกียจตื่นอย่างนี้เป็นธรรมะ2ใช่ไหมคะและถ้าเราตัดสินใจตื่นเลยถือว่าเป็นเนกขัมมะไหมคะแต่ถ้าเรานอนต่ออีกหน่อยจึงตื่นอย่างนี้ถือว่าเป็นเคหะสิตตะไหมคะขอบพระคุณค่ะ 

ตอบ...พระพุทธเจ้าว่าอย่าตัดสินจากอาการ ผู้ที่บรรลุธรรมนั้นบางทีแสดงออกเพื่ออนุโลม เหมือนดารานักแสดงที่แสดงให้คนเกิดกุศลเกิดการปฏิบัติธรรม เหมือนศิลปินที่แสดงออก อาตมาว่าอาตมาเป็นศิลปิน ดีไม่ดีสื่อให้คนบรรลุอรหันต์เลย ถ้าเป็นไปได้อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ให้มีความหมาย

อาการของคนหลับ อยากติดนอน กับอาการคนที่ไม่คิดแต่ต้องการพักผ่อนร่างกายมันต้องการ แต่ผู้ไม่ศึกษาไม่รู้ง่ายว่าอาการติดนอนเป็นอย่างไร

พระพุทธเจ้าว่าสิ่งที่คนติดยึด เสพไม่อิ่มไม่เต็มสามอย่างคือ 1.กามเมถุน 2.นอนหลับ 3.สิ่งเสพติดมอมเมา

การติดนอนหลับ เป็นรสอร่อย คนเสพอารมณ์ตอนนอนก็เหมือนกันหมด ก็จะอยู่กับภพนั้น การติดนอนนี้ไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย ก็เลยมันเป็นของที่คนได้ง่าย ก็เลยอันนี้มีโอกาสเมื่อไหร่ก็เอา เพราะไม่ต้องเสียอะไร เพราะฉะนั้นนั่งอยู่ก็เอาหน่อยน่า เพราะเอาฟรี

แล้วมันคืออะไร?จะแก้อย่างไร อาตมาก็มาปฏิบัติ ที่จริงเรียนรู้มาหลายชาติ ชาตินี้ก็ฝึกดูได้ จะต้องเรียนรู้ภพนี้ที่มันติด ต้องรู้ว่าหนึ่งหลับคือหลับ ตื่นคือตื่น อย่าให้มีภพที่คุณอร่อย วิธีไม่ให้มันเกิดคืออย่างไร? เมื่อคุณหลับก็ต้องศึกษาว่า หลับให้มีสติไม่ให้จมให้ลึก เราจะมีวิธีฝึกกันเยอะแยะ สำนักไหนก็มี เราก็มีแต่ก่อนก็นอนเตียงน้อย แม้ที่สุดเนสัชชิ นอนตะแคงก็มี อาตมาดีไม่ดีก็ทำการตีระฆังทุก 1ชม.อันนี้ได้ผล แต่ว่าคนที่ทำไม่ได้ผลก็เสียสุขภาพ แต่การหลับก็หลับตื่นก็ตื่นอันนี้ไม่เสียพลังงาน บางคนกว่าจะหลับหรือกว่าจะตื่นก็ยาก ก็จะไปตีระฆังก็ยาก อาตมาก็พาฝึกตีระฆังทุก 1 ชม. เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นทำกัน ที่สันติอโศกก็ทำกัน จะได้กี่ชม.ก็ทำไป อาตมาก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกชม. บางทีเลยไปสองชม.ก็มี วันไหนทำงานเพลียๆ ส่วนจะตั้งเกินชม.ไปกี่นาทีก็แล้วแต่ ตั้งสติตื่นคือตื่น อย่างัวเงีย การงัวเงียคือประคองภพนั้นไว้ ต้องตื่น ฝึกตื่นคือตื่นหลับก็คือหลับ ให้อย่าติดภพ ให้นอนหลับสนิท ข้อสำคัญคือเวลาตื่นต้องตื่น ถ้ารู้สึกตัวเมื่อไหร่อย่างัวเงีย ตอนรู้สึกตัวต้องทำให้ตื่นสว่าง แล้วหลับต่อก็หลับอย่าก่อความงัวเงีย ไม่เช่นนั้นจะติดภพรสชาติการหลับ เราตัดเลย ตื่นก็สว่างเหมือนไม่หลับ สดชื่น หลับก็หลับให้สดชื่น แต่บางคนก็หลับฝันร้าย ละเมอก็มีแล้วแต่

ถ้าเราตื่นจะถือว่าเนกขัมมะก็ได้ แต่ถ้าเราจะนอนต่ออีกหน่อยก็อยู่ที่ว่าเจตนาของคุณ คุณฝึกตื่นได้ แต่ก็แก้ตัวว่าเสพรส ก็ต้องรู้ตัว ถ้าเสพรสก็แก้ไขว่าตื่นเสียเถิด อย่างัวเงีย ตื่นดีกว่า

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84944

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfeEhoRjdzWHJ1N3M

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/3s9lkxe7wg4j/160810

 

 

590810_พุทธศาสนาตามภูมิ คำตำหนิคือส่ิงประเสริฐชั่วกับป์ชั่วกัลป์

 

คนที่ไม่อยากให้ใครตำหนินั้น เป็นคนมีอัตตามานะ….พ่อครู 10 ส.ค. 2559

ในพระไตรปิฏกไม่มีสอนให้นิยมคำชม แต่ให้นิยมคำติ จะเจริญจะประเสริฐ ให้คบหาบัณฑิตที่ท่านติแล้วติอีกจะได้เจริญแต่ถ่ายเดียว เป็นสุดยอดแห่งภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว บางคนเห็นคนชั่วก็ว่าอย่าไปติเลยปลอยเขาไป อาตมาว่าเป็นคนใจดำนะ อย่างที่อาตมาว่า ธัมมชโยก็ตามมหาช่วงก็ตาม ก็อยากให้เขาวางมือ เพราะปาราชิกไปแล้วทั้งนั้น

อย่างมหาช่วงก็คบกันโกงภาษี ไม่ปาราชิกอย่างไร เขาออกผลมาแล้วว่ารถเขาน่ะผิดกฏหมายทุกระดับขั้นตอน แล้วจะไปเหลือหรือ? เขาตรวจสอบแล้ว อาตมาก็พูดตามที่เขาตรวจสอบ เมื่อเป็นจริงก็คือโกงภาษีซื้อของโจรก็ปาราชิก

ขออภัยที่ถ้าอาตมาพูดแล้ว ไปตู่ว่าคนปาราชิกแต่เขาไม่เป็นปาราชิก ตนเองคืออาตมาก็ต้องสังฆาทิเสส แต่นี่อาตมามั่นใจ ตามหลักฐาน แล้วก็ทำอย่างย่ามใจ อาตมาเชื่อ เพราะตอนนั้นก็มีอิทธิพลไม่มีใครตรวจสอบ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในศีลว่าอย่าสะสมข้าว สะสมยาน ในมัชฌิมศีล แต่พูดไปก็เท่านั้น ทุกวันนี้พระไม่มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีแต่วินัย 227

ศีลนี่ของศาสนาพุทธเลย ศีลเป็นของสูง ถ้าทำตามจะประเสริฐเลิศ แต่วินัยนั้นตรามาเพื่อกำกับควบคุมคนไม่ดี แต่ศีลเป็นของคนดี วินัยเป็นของผู้ร้าย แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีแต่ผู้ร้ายใช้แต่วินัยเป็นหลัก ผู้ดีไม่มีเพราะไม่มีศีล ไม่มีหลักเกณฑ์จะไปเป็นผู้ดี มีแต่หลักเกณฑ์กันผู้ร้ายไว้เท่านั้น

อาตมาก็ว่ายังดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก อาตมาตั้งแต่บวชให้สมณะเราก็ให้ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ต้องถือศีลนี้ แต่วินัย 227 เราก็ปฏิบัติด้วย ทุกปักษ์เราก็ตรวจสอบวินัยกัน

โดยเฉพาะมหาศีลเป็นศีลใหญ่ของศาสนาทั้งหมด  ทำทั้งฆราวาสและภิกษุ เพราะมหาศีลคือห้ามเดรัจฉานวิชชาหมด แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีลแล้ว เดรัจฉานวิชชาครบ 7 ข้อมีหมด

พูดแล้วสงสารตัวเองที่เกิดมาในยุคนี้ไม่เหลือแล้ว ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา นี่พูดอย่างจริงใจไม่ใส่ความนะ

ศีลก็ปฏิบัติไม่มีสัมมาทิฏฐิ สมาธิ ปัญญาก็มิจฉาทิฏฐิ

 

(47) ควร“แก้เนื้อแท้แก้ความ” มิใช่“แก้ตัว”

ใน“พรหมชาลสูตร”นี้เอง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่กล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นด้วยความไม่เป็นจริง ว่า นั่นไม่จริงแม้เพราะเหตุนี้  นั่นไม่แท้แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย”

ชัดเจนไหมว่า พระพุทธเจ้าให้“แก้ตัว”  ที่จริงไม่น่าใช้คำว่า“แก้ตัว”หรอก  จริงๆนั้นคือ พระพุทธเจ้าท่านให้

ทุกคน“กล่าวตอบความถูกต้องตามเป็นจริง”กันนั่นเอง

ไม่ใช่ว่า อย่าไปตอบโต้ อยู่เฉยๆ  ถ้าไปตอบโต้ไม่สงบ

หากอย่างนั้น มันก็เท่ากับว่าเราจำนน  เรายอมรับผิดสิ

ซึ่งก็ต้องมีประมาณ อันพอควรทีเดียว ถ้าตอบไปแล้วเหมือนเถียงกันเราก็ไม่ควรตอบ

โดยเฉพาะผู้ที่“ตนมีความถูกต้อง”อยู่ในตนแท้ ก็ต้อง

“กล่าวแก้” ซึ่งไม่ใช่“การแก้ตัว”​ แต่เป็นการทำ“ความจริงให้อยู่บนความจริง”ที่ยืนยันความถูกต้องแท้จริง

 

แต่นั่นแหละ ผู้ที่มีกิเลส“อัตตามานะ” ก็แน่นอนที่จะร้อนตัว  อยาก“แก้ตัว”อย่างยิ่ง

สำหรับท่านผู้“ไม่มีกิเลสแล้ว”จึงจะประมาณเอาว่า ควร“ตอบความจริง”นั้นหรือไม่ ในโอกาสเช่นนั้น ในองค์ประกอบอย่างนั้น จึงจะเป็นการ“ตอบ”ตามที่มีเหตุปัจจัยตามกาละ ตามเหตุปัจจัย โดยใช้ทั้ง“สัปปุริสธรรม 7” และ‘มหาปเทส 4”

ยกตัวอย่างผู้ใหญ่ติเรา ถ้าเราจะพูดแก้ไป ก็จะโกรธกันเลย โมโหกันเลย ขึ้นหน้าเลย เราก็ต้องรอจังหวะ กาลัญญุตา หรือบางทีในหมู่กลุ่มนั้นเขาว่ามา ควรตอบไหม?

 

(48) คำว่า “อันตราย” หมายถึงอะไร?

จาก“พรหมชาลสูตร”อีก พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ครบ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่”

อันตราย หมายถึง สิ่งกัดขวาง, สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เกิดผลเกิดประโยชน์ที่ควรจะเป็นนั้นๆ ถึงขั้นเสียหายทำลาย บรรลัย  ทำความฉิบหายอย่างร้ายแรงสาหัสยิ่งสุดๆ

นั่นก็คือ พลังงานที่เป็นจิตนั้น จะต้องไม่สูญเสียหรือพร่องไปในทางใดเลย  จึงจะมีพลังเต็มที่ทำงานได้สัมบูรณ์

หาก“จิต”ไม่เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์ โดยพร่องไปในทางเสียใจ หรือดีใจก็ตาม “ความพร่อง”นั้นจะเป็นเครื่องกีดขวาง(อันตราย) ไม่ให้พลังงาน“จิต”ทำงานได้สัมบูรณ์เต็มที่

พลังของ“จิต”มันขาดหาย หรือพร่องไปแน่นอน ..ใช่ไหม?

นี่คือ อันตราย หรือความบกพร่อง ขั้นพลังงาน“จิต” หรือพลังงาน“นามธรรม” ก็เป็นจริงที่สุด ผู้สามารถรู้จะรู้

 

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84944

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfeEhoRjdzWHJ1N3M

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/3s9lkxe7wg4j/160810

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:06:49 )

590810

รายละเอียด

590810_พุทธศาสนาตามภูมิ คำตำหนิคือส่ิงประเสริฐชั่วกับป์ชั่วกัลป์

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2559 คนก็มีกรรมกับกาละ กรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม ก็วนเวียนในมหาจักรวาลตราบที่ไม่ปรินิพพาน

เริ่มต้นพลังงานที่สังเคราะห์กันจนพ้นพีชนิยามก็ได้อัตภาพของตนก็พัฒนามาเรื่อยๆไม่รู้กี่ล้านชาติวนเวียนไป ขึ้นอยู่กับกรรมทั้งสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้สิ่งนี้อาตมาก็เรียนรู้ตามได้สัจธรรมมาเปิดเผย มีหลักฐานจากพระไตรปิฎกก็ได้อาศัยเพื่อที่จะยืนยันเป็นมาตรฐาน เป็นหลักฐาน เพื่อที่จะเดินทางไปในทิศทางเดียวกัน

อาตมาเกิดเป็นคนคนหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็เป็นคน ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ใช่คนหรือสิ่งที่พระเจ้าส่งลงมาก็ไม่ใช่ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาแห่งความเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์อย่างมากตรงที่นิยาม 5 โดยเฉพาะรู้จักกรรมนิยามและธรรมนิยาม วิทยาศาสตร์ก็รู้จักพีชนิยาม อุตุนิยาม

ทุกวันนี้อาตมาทำงานเปิดเผยธรรมะพพจ. พูดไปบางครั้งคนก็เพ่งโทสได้ว่าอวด

ที่อาตมาอวดอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่า ธรรมะอันนี้ของพพจ.หมายถึงอะไร อาตมาอวดอย่างจริงใจตามภูมิที่มี อันนี้ควรอวดเป็นธรรมะของพพจ.ที่ท่านตรัสรู้แล้วอาตมารู้ตาม ได้มาเป็นสมบัติของตัว เป็นจรณสมบัติ เป็นวิชชาสมบัติ ในตัวเรา  มีทั้งสภาวะเนื้อแท้และภาษารองรับกันจริง จึงเป็นความเชื่อที่ครบครัน

เมื่อสามารถรู้ธรรมะพพจ.ที่พาศึกษาปฏิบัติได้ความจริงเพิ่มขึ้น จึงเห็นชัดมากขึ้น ว่ามนุษย์นี่น่าสังเวชใจ หลงเป็นทาสโลกอย่างมาก ซึ่งเขาอยู่คนละโลกกับที่อาตมาพูดเลยเขาจะฟังไม่เข้าใจ คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมีถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนถึง 70 ล้านคนคนที่ตั้งใจฟังจริงๆจะถึง 700 คนใหม่ แต่ 70 อาตมาก็ทำต่อ 7 คนก็ได้ ชีวิตอาตมาเสียเวลา 36 ปีแย่งโลกธรรมกับเขา ก็เลิกมาแล้ว ไม่ได้ตัดสินเสี่ยงทายวูบวาบ แต่ตัดสินอย่างยืนยันชัดเจน ก็เลิกมาทางนี้ 46 ปีแล้ว อยู่กับโลกมา 10 ปีแล้ว มาทางนี้แล้วก็จะพากเพียรอยู่ไปให้นาน แม้จะได้พลเมืองมา 700 คนก็ตาม อาตมาไม่บังอาจคิดถึง 7000 คนหรอก รู้ตัวดี รู้ว่าอาตมาพูดกันคนละภาษากับที่โลกเขาฟังกัน เขาจะฟังกันรู้เรื่องหรือไม่? อาตมาว่าก็ไม่รู้เสียมาก ที่ฟังพอรู้บ้างไม่รู้บ้างฟังกันก็อนุโมทนาแล้ว

มาถึงวันนี้ 46 ปีเป็นสาระวิเศษ ที่พิเศษกว่าสามัญปุถุชนตามโลกโลกีย์ที่เขาเป็นกัน

มาดู sms

 

_ร้านต้นข้าวถามมาว่า...หนูมีเรื่องจะถามค่ะหนูสังเกตเห็นว่าบางทีที่กราบสมณะบางครั้งก็กราบครั้งเดียว บางครั้งก็กราบ3ครั้ง แล้วเวลาก้มลงกราบก็ก้มลงไปนานจัง คือระหว่างที่ก้มลงเราต้องนึกถึงอะไรคะ

ตอบ...ก็เห็นใจว่าบางทีคนกราบก็ดูเหมือนลิงหลอกเจ้าปะหลกๆ กัน อาตมาก็ทำของเดิม เรียกว่ากราบเบญจางคประดิษฐ์ มีห้าจุด เข่า ศอก หน้าผาก ห้าจุด อาตมาก็ทำตามเดิม ทุกวันนี้เห็นเขาทำกันแวบๆๆ คือไม่ได้ให้ใจกับการเคารพนี้ มันรู้สึกว่าฝืน จำใจทำนะ ก็น่าเห็นใจ อาตมาว่า เรากราบนี้กราบด้วยความเต็มใจ เข้าใจว่าเรากราบอะไร ?

กราบ 1 ครั้งคือกราบผู้นั้น หมายใจว่าจะกราบผู้นั้น 1 คน แต่ถ้าเราหมายใจว่าจะกราบพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เราก็กราบ 3 ครั้ง กราบนานหรือไม่นานก็แล้วแต่เจตนา แต่ก่อนกราบนานเพื่อให้สะดุด เดินให้ช้ากราบให้ช้าทำอะไรให้เน้น เจตนาให้สะดุดใจ ว่าผู้นี้โถมใจทำอะไร? ก็จะได้อธิบายแล้วให้ทำตาม เดี๋ยวนี้เข้าใจกันขึ้นก็ไม่เป็นอย่างนั้นเต็มรูปแต่ก็รักษาให้เหมาะควรไว้ ให้มีจิตสัมพันธ์กับกรรมกิริยากับกรรมที่เราทำ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ แต่กาย วาจา ไม่มีจิตร่วมก็ไร้สาระ แต่ถ้าเราเอาจิตร่วม ได้ใช้ระลึก ตั้งใจ อธิษฐานก็ดี

แต่อธิษฐานเดี๋ยวนี้ก็เพี้ยน กราบพระพุทธรูปแล้วก็ขอให้ได้อันนั้นอันนี้ให้บันดาลให้ได้อะไร เป็นเรื่องเดรัจฉานวิชชาไม่ใช่ของศาสนาพุทธ

การกราบนี้ต้องเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิว่าเป็นเครื่องทำจากจิตวิญญาณแล้วทำใจในใจอย่างไร พพจ.ถึงอธิบายถึงสภาพทำใจในใจ

เป็นคำกิริยาก็มนสิกโรติ ทำใจในใจให้ลึกซึ้งแยบคายหรือให้ถึงที่เกิด ให้เกิดความหมายของอะไร ก็ให้ชัด การทำใจในใจนี้เป็นตัวหลักของศาสนาพุทธคำว่ามนสิการหรือมนสิกโรติ คือทำใจของเรา เราต้องอ่านถึงใจเราในกายวาจานี้ เราอ่านเจตนา วิเคราะห์เจตนาด้วย อ่านแล้วก็อ่านจิตใจเราวิเคราะห์วิจารณ์ใจเรา ให้รู้เจตนา (มโนสัญเจตนา)

มโนสัญเจตนามีสาม คือ 1.กามตัณหา 2.ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา

กามตัณหาคือกิเลสอยู่ภายนอก มีกิเลสร่วมภายนอกเป็นมิจฉาสังกัปปะ เป็นกาม พยาบาท อย่างหยาบนอกก่อน ส่วนวิหิงสาเป็นเรื่องละเอียดที่ทำทีหลัง ต้องทำกามตัณหา ภวตัณหา(รูปภพ อรูปภพ)ให้หมด ก็เหลือวิภวตัณหา หมดภพชาติแล้ว เป็นตัณหาที่ไม่มีภพ

แต่ส่วนใหญ่ท่านแปล วิภวตัณหาว่าไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ท่านทำไมไม่แปล วิว่า ไม่ คือไม่มีภพ

ที่อาตมาว่าพพจ.มีตัณหา เขาก็ว่าอาตมามาล้มล้างศาสนาพุทธเลยนะ อาตมาว่าไม่ใช่นะ อาตมามาสืบทอดศาสนาพุทธด้วย แต่คนเขาก็ถือว่าอาตมาพูดผิด เขาว่าพพจ.หมดตัณหาแล้ว เขาติดอยู่แต่บัญญัติภาษา ไม่รู้สัจธรรมสูงสุด

สัจธรรมสูงสุดจะรู้จิตเจตน มโนสัญเจตนาที่มุ่งหมายโดยไม่มีกามตัณหาภวตัณหาแล้ว

 

_0896405xxx  เวลาตื่นนอนแล้วรู้สึกอยากตื่นกันขี้เกียจตื่นอย่างนี้เป็นธรรมะ2ใช่ไหมคะและถ้าเราตัดสินใจตื่นเลยถือว่าเป็นเนกขัมมะไหมคะแต่ถ้าเรานอนต่ออีกหน่อยจึงตื่นอย่างนี้ถือว่าเป็นเคหะสิตตะไหมคะขอบพระคุณค่ะ 

ตอบ...พพจ.ว่าอย่าตัดสินจากอาการ ผู้ที่บรรลุธรรมนั้นบางทีแสดงออกเพื่ออนุโลม เหมือนดารานักแสดงที่แสดงให้คนเกิดกุศลเกิดการปฏิบัติธรรม เหมือนศิลปินที่แสดงออก อาตมาว่าอาตมาเป็นศิลปิน ดีไม่ดีสื่อให้คนบรรลุอรหันต์เลย ถ้าเป็นไปได้อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ให้มีความหมาย

อาการของคนหลับ อยากติดนอน กับอาการคนที่ไม่คิดแต่ต้องการพักผ่อนร่างกายมันต้องการ แต่ผู้ไม่ศึกษาไม่รู้ง่ายว่าอาการติดนอนเป็นอย่างไร

พพจ.ว่าสิ่งที่คนติดยึด เสพไม่อิ่มไม่เต็มสามอย่างคือ 1.กามเมถุน 2.นอนหลับ 3.สิ่งเสพติดมอมเมา

การติดนอนหลับ เป็นรสอร่อย คนเสพอารมณ์ตอนนอนก็เหมือนกันหมด ก็จะอยู่กับภพนั้น การติดนอนนี้ไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย ก็เลยมันเป็นของที่คนได้ง่าย ก็เลยอันนี้มีโอกาสเมื่อไหร่ก็เอา เพราะไม่ต้องเสียอะไร เพราะฉะนั้นนั่งอยู่ก็เอาหน่อยน่า เพราะเอาฟรี

แล้วมันคืออะไร?จะแก้อย่างไร อาตมาก็มาปฏิบัติ ที่จริงเรียนรู้มาหลายชาติ ชาตินี้ก็ฝึกดูได้ จะต้องเรียนรู้ภพนี้ที่มันติด ต้องรู้ว่าหนึ่งหลับคือหลับ ตื่นคือตื่น อย่าให้มีภพที่คุณอร่อย วิธีไม่ให้มันเกิดคืออย่างไร? เมื่อคุณหลับก็ต้องศึกษาว่า หลับให้มีสติไม่ให้จมให้ลึก เราจะมีวิธีฝึกกันเยอะแยะ สำนักไหนก็มี เราก็มีแต่ก่อนก็นอนเตียงน้อย แม้ที่สุดเนสัชชิ นอนตะแคงก็มี อาตมาดีไม่ดีก็ทำการตีระฆังทุก 1ชม.อันนี้ได้ผล แต่ว่าคนที่ทำไม่ได้ผลก็เสียสุขภาพ แต่การหลับก็หลับตื่นก็ตื่นอันนี้ไม่เสียพลังงาน บางคนกว่าจะหลับหรือกว่าจะตื่นก็ยาก ก็จะไปตีระฆังก็ยาก อาตมาก็พาฝึกตีระฆังทุก 1 ชม. เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นทำกัน ที่สันติอโศกก็ทำกัน จะได้กี่ชม.ก็ทำไป อาตมาก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกชม. บางทีเลยไปสองชม.ก็มี วันไหนทำงานเพลียๆ ส่วนจะตั้งเกินชม.ไปกี่นาทีก็แล้วแต่ ตั้งสติตื่นคือตื่น อย่างัวเงีย การงัวเงียคือประคองภพนั้นไว้ ต้องตื่น ฝึกตื่นคือตื่นหลับก็คือหลับ ให้อย่าติดภพ ให้นอนหลับสนิท ข้อสำคัญคือเวลาตื่นต้องตื่น ถ้ารู้สึกตัวเมื่อไหร่อย่างัวเงีย ตอนรู้สึกตัวต้องทำให้ตื่นสว่าง แล้วหลับต่อก็หลับอย่าก่อความงัวเงีย ไม่เช่นนั้นจะติดภพรสชาติการหลับ เราตัดเลย ตื่นก็สว่างเหมือนไม่หลับ สดชื่น หลับก็หลับให้สดชื่น แต่บางคนก็หลับฝันร้าย ละเมอก็มีแล้วแต่

ถ้าเราตื่นจะถือว่าเนกขัมมะก็ได้ แต่ถ้าเราจะนอนต่ออีกหน่อยก็อยู่ที่ว่าเจตนาของคุณ คุณฝึกตื่นได้ แต่ก็แก้ตัวว่าเสพรส ก็ต้องรู้ตัว ถ้าเสพรสก็แก้ไขว่าตื่นเสียเถิด อย่างัวเงีย ตื่นดีกว่า

 

0833208xxx  คนมองเห็นข้างหน้าไกลไปร้อยก้าวแต่ยากจะเห็นกลางหลังของตนเอง นัยน์ตาอาจมองหาฝุ่นละอองละเอียดเล็กแต่ไม่อาจเห็นขนตาบนใบหน้าของตนเอง ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ผู้เห็นความผิดตนเสมอเป็นผู้เหมาะแก่การบำเพ็ญ 

0893867xxx  นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯผู้น้อยอยาก ได้สภาที่เต็มไปด้วยสัตต บุรุษ!รบ.ที่มีแต่ข้ารองบาท ฯจริง!ปชช.จะได้พบผู้บริห ารที่จงรักต่อองค์พ่อฯจริง!ภักดีต่อพระแม่ฯจริงสร้าง ปย.สุขให้ปวงชนดังคำสัต ย์ฯจริง

ตอบ...ความอยากของคุณตรงกับของอาตมา ตรงกับของพพจ.ด้วย

 

0893867xxx  วันมหามงคลฯในทุกปีจะมีพีธีถวายคำสัตย์ปฏิญาณตนฯทุกปี!แล้วที่ผ่านมาคนไ ทยเจอข้าฯอสัตย์ฯไม่รักษาสัจจะวาจานั้นกี่รบ.แล้ว?ขอสภาที่ซื่อตรงต่อคำสัต ย์ฯเกิดขึ้นในยุคต่อไปจริงเถอะ!

0893867xxx  เลือกตั้งหน้า!เอาข้ารองบา ทฯคืนมา!เอาข้าฉ้อราษฎ์ กลับไป!ลูกรักแม่ฯ  2016-08-09 20:39:08

0893867xxx  กราบขอบคุณกับธ.เอกังหิสัจจังนทุติยมัตถิและสัญญาอันยิ่งใหญ่ที่ปฏิบัติสัมมาทิฎฐิจะบรรลุเป็นความรู้จริงคือสัจจะสาธุ

 

มาเข้าสู่บทเรียน…

อาตมาเอาพระไตรฯล.9มาอธิบาย

 

(47) ควร“แก้เนื้อแท้แก้ความ” มิใช่“แก้ตัว”

ใน“พรหมชาลสูตร”นี้เอง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่กล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นด้วยความไม่เป็นจริง ว่า นั่นไม่จริงแม้เพราะเหตุนี้  นั่นไม่แท้แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย”

ชัดเจนไหมว่า พระพุทธเจ้าให้“แก้ตัว”  ที่จริงไม่น่าใช้คำว่า“แก้ตัว”หรอก  จริงๆนั้นคือ พระพุทธเจ้าท่านให้

ทุกคน“กล่าวตอบความถูกต้องตามเป็นจริง”กันนั่นเอง

ไม่ใช่ว่า อย่าไปตอบโต้ อยู่เฉยๆ  ถ้าไปตอบโต้ไม่สงบ

หากอย่างนั้น มันก็เท่ากับว่าเราจำนน  เรายอมรับผิดสิ

ซึ่งก็ต้องมีประมาณ อันพอควรทีเดียว ถ้าตอบไปแล้วเหมือนเถียงกันเราก็ไม่ควรตอบ

โดยเฉพาะผู้ที่“ตนมีความถูกต้อง”อยู่ในตนแท้ ก็ต้อง

“กล่าวแก้” ซึ่งไม่ใช่“การแก้ตัว”​ แต่เป็นการทำ“ความจริงให้อยู่บนความจริง”ที่ยืนยันความถูกต้องแท้จริง

 

แต่นั่นแหละ ผู้ที่มีกิเลส“อัตตามานะ” ก็แน่นอนที่จะร้อนตัว  อยาก“แก้ตัว”อย่างยิ่ง

สำหรับท่านผู้“ไม่มีกิเลสแล้ว”จึงจะประมาณเอาว่า ควร“ตอบความจริง”นั้นหรือไม่ ในโอกาสเช่นนั้น ในองค์ประกอบอย่างนั้น จึงจะเป็นการ“ตอบ”ตามที่มีเหตุปัจจัยตามกาละ ตามเหตุปัจจัย โดยใช้ทั้ง“สัปปุริสธรรม 7” และ‘มหาปเทส 4”

ยกตัวอย่างผู้ใหญ่ติเรา ถ้าเราจะพูดแก้ไป ก็จะโกรธกันเลย โมโหกันเลย ขึ้นหน้าเลย เราก็ต้องรอจังหวะ กาลัญญุตา หรือบางทีในหมู่กลุ่มนั้นเขาว่ามา ควรตอบไหม?

 

(48) คำว่า “อันตราย” หมายถึงอะไร?

จาก“พรหมชาลสูตร”อีก พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ครบ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่” คือถ้าเราใจฟูหรือใจแฟบจะอันตราย

อันตราย หมายถึง สิ่งกัดขวาง, สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เกิดผลเกิดประโยชน์ที่ควรจะเป็นนั้นๆ ถึงขั้นเสียหายทำลาย บรรลัย  ทำความฉิบหายอย่างร้ายแรงสาหัสยิ่งสุดๆ

นั่นก็คือ พลังงานที่เป็นจิตนั้น จะต้องไม่สูญเสียหรือพร่องไปในทางใดเลย  จึงจะมีพลังเต็มที่ทำงานได้สัมบูรณ์

หาก“จิต”ไม่เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์ โดยพร่องไปในทางเสียใจ หรือดีใจก็ตาม “ความพร่อง”นั้นจะเป็นเครื่องกีดขวาง(อันตราย) ไม่ให้พลังงาน“จิต”ทำงานได้สัมบูรณ์เต็มที่

พลังของ“จิต”มันขาดหาย หรือพร่องไปแน่นอน ..ใช่ไหม?

นี่คือ อันตราย หรือความบกพร่อง ขั้นพลังงาน“จิต” หรือพลังงาน“นามธรรม” ก็เป็นจริงที่สุด ผู้สามารถรู้จะรู้

 

(49) “จิตว่าง” คือ “จิต”อย่างไรกันแท้?

“จิตว่าง” คือ จิตที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเต็มความสามารถ ซึ่งไม่พร่องหรือไม่โผล่เอียงไปข้างใดเลย จิตมีเต็มอยู่ในตนครบ หรือเรียกว่า จิตกลางๆ หรือจิตว่าง เพราะ“อิสระ”จากแรงดูดแรงผลักอื่นๆรอบตัวนั่นเอง ก็ทำจิตว่างเท่าที่คุณจะมีภูมิธรรม จะสร้างโดยสมถะก็ตาม สมถะลืมตาอย่างมีผัสสะ ไม่ใช่นั่งหลับตา อย่างลืมตาเป็นสมถะลืมตาก็ได้ ยิ่งฟังพพจ.ท่านตรัสสอนให้เข้าใจอย่ามีตัวตน บางอาจารย์เขาก็สอนว่าอย่าเอาตัวตนเข้าไปรับ แล้วตัวตนคือตัวอย่างไรตัวใหญ่หรือเล็กเข้าไปรับไว้ พูดภาษาก็เป็นภาษาฟังได้แต่ไม่เข้าใจว่าอย่าเอาตัวตนไปรับ คือเป็นสำนวนเท่ๆ

จริงๆแล้วก็คืออ่านอาการของใจ ขณะใดที่คุณถูกกระทบได้รับคำเขาติหรือชม คุณก็อ่านอาการใจของคุณ ถ้าใจของคุณไม่มีอาการฟูแฟบ ไม่เสียใจไม่ดีใจ นั่นคืออาการไม่มีตัวตน ไม่ใช่ว่าไม่เอาตัวตนไปรับ แต่ไม่รู้จักตัวตน ก็พูดภาษาได้เท่ๆ แต่จะรู้สภาวะหรือไม่

อาตมาก็อธิบายว่า พยายามเห็นตัวตนให้ได้ อย่างที่พพจ.ตรัสแล้วอย่าให้ดีใจหรือเสียใจ จะมีสติรู้แล้วทำเมื่อไหร่ก็ตาม นี่เราพูดแค่คำติคำชม คุณก็มีสติแล้วทำใจในใจ มนสิกโรติ ไม่เสียใจไม่ดีใจ ขณะใดคุณไม่มีอาการนี้ใจคุณจะเต็มไม่มีอันตราย เมื่อใจคุณเต็มก็จะฟังได้ตลอด ฟังได้อย่างไม่มีอะไรผลักหรือดูด ก็จะฟังได้เต็ม ถ้าไม่ชอบใจจะมัวๆ แม้แต่ดีใจก็มัว ดีไม่ดีเลยเถิด เขาชมนิดเดียวนึกว่าเขาชมเยอะ มันจะเพี้ยน ให้ฟังตามจริง เขาจะด่าหรือชมก็ฟังตามจริง

คนนี้ด่าเก่ง สรรหาคำมาด่า เราไม่ถึง เราสรรหาคำอย่างนี้ไม่ถึง เขาด่าเก่ง ด่าเชี่ยวชาญ เราจะฟังชัดหมดเลย แม้ที่สุดเขาด่า ว่าคุณไปหาเรื่องมาจากไหน เราไม่เป็นอย่างที่คุณด่าเลย แต่ก่อนมีคนด่าอาตมา คือนายสะอาด จันทร์ดี เขาด่า ว่า ไปสรรหาคำด่ามาจากไหนไม่รู้ เราก็ว่าไม่มีในเรานะ อาตมาเขียนโต้เขาไปเล่มใหญ่เลย เขาด่าทาง Dailymirror ของสมัคร สุนทรเวช

 

“จิตว่าง” คือ จิตที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเต็มความสามารถ ซึ่งไม่พร่องหรือไม่โผล่เอียงไปข้างใดเลย จิตมีเต็มอยู่ในตนครบ หรือเรียกว่า จิตกลางๆ หรือจิตว่าง เพราะ“อิสระ”จากแรงดูดแรงผลักอื่นๆรอบตัวนั่นเอง นี่คือ จิตที่มีประสิทธิภาพเต็มสัมบูรณ์

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ คำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นด้วยความเป็นจริงว่า นั่นจริง แม้เพราะเหตุนี้  นั่นแท้แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะได้ในเราทั้งหลาย ฯ”

เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าทรงให้ชี้แจง“ความจริง-ความแท้”ออกไปตรงๆ ไม่ปกปิด  มิใช่จะปล่อยให้คนอื่นหลงผิด หรือเดา

 

(50) ความเป็น“คนหรือมนุษย์” เอาอะไรวัด

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั้นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล” [แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัส“จุลศีล 26 ข้อ -มัชฌิมศีล 10 ข้อ -มหาศีล 7 ข้อ แต่ไม่ได้คัดมาให้อ่านในที่นี้ ..ขออภัย]  

นี่คือ เครื่องบ่งชี้หลักใหญ่-สำคัญยิ่งอันเป็น“หลักต้น-หลักแรก-หลักเดียว”ที่พระพุทธเจ้าผู้มีพระสัพพัญญูตรัสบอกให้ ว่า ในความเป็น“คน” หรือ“มนุษย์”นั้น อะไรคือ เครื่องหมายชัดเจนยิ่งที่ชี้บ่งความเป็นคนดี-คนประเสริฐ-คนมีประโยชน์คุณค่าแท้ของโลก

พยายามทำความเข้าใจให้ชัดๆเจนๆกันเถิด ว่า “ศีล”

นั้นเป็นเครื่องชี้บ่งขั้นที่ต่ำที่สุดแล้วนะ ของความเป็น“คน” หรือมนุษย์อันจะ“พึงได้รับคำชม”ในสังคม จากมนุษยโลก ว่า เป็น“คน”ดี หรือเป็น“คน”ซื่อสัตย์ เป็น“คน”ไว้ใจได้  เป็น“คน”มีประโยชน์ต่อตนต่อผู้อื่นจริง เป็น“คน”มีพฤติกรรมในชีวิตที่ถือได้ว่า“คนดี”จริงๆ  เป็น“คน”ควรยกย่อง เป็น “คน”ประเสริฐ” เป็น“อาริยชน”[ที่ไม่แค่อารยชน-ไม่แค่อริยชนด้วย]

จะเอาอะไรอื่นมาเป็นเครื่องชี้บ่ง“คน” ว่า เป็น“คน”ดี เป็น“คนประเสริฐ” เป็น“อาริยชน”นั้น ใครอื่น ลัทธิอื่นใด ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ของ“คน”(มนุษย์)ที่เป็นชาวพุทธนั้น พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า “ศีล”เป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นขั้นต้น และถึงที่สุดขั้นปลาย

 

(51) “ศีลธรรมนูญ 3 หลัก” อย่างไรบ้าง?

“ศีล”หลักแรก หรือหลักที่ 1 คือ “จุลศีล”

“ศีล”หลักกลาง หรือหลักที่ 2 คือ “มัชฌิมศีล”

“ศีล”หลักปลาย หรือหลักที่ 3 คือ “มหาศีล”

จุลศีล 26 เฉพาะผู้ปฏิบัติแต่ละคนสมาทานปฏิบัติไปตามฐานะแต่ละคน ตั้งแต่ “ศีล 5”เป็นพื้นฐาน แล้วก็เป็น“อธิศีล”เพิ่มสูงขึ้นๆได้เป็น“ศีล 8-ศีล 10-ศีล 11-12-13-14 ฯ หรือไปตามฐานะ-ตามถนัด และตามบารมี จนถึง 26 อันไม่เท่าเทียมกัน หรือไม่เหมือนกันทุกคน

บ้างก็ต้องปฏิบัติทั้งหมด 26 อย่างนั้น

บ้างก็ไม่ต้องปฏิบัติหมดทั้ง 26 อย่างนั้น มากบ้าง น้อยบ้าง ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้ ซึ่งตามวาสนาบารมี

ปฏิบัติ“จุลศีล”ก็จะพาบรรลุ“อรหัตผล”ไปตามลำดับ ซึ่ง“อธิศีล”สูงขึ้นๆมันอาจจะไม่เรียงข้อไปตามลำดับเท่านั้น

มาเริ่มที่“ศีล 5” อันเป็นมาตรฐานแรกระดับที่ 1 พื้นฐานขั้นต้นในความเป็น“คน” ปฏิบัติทั้งทาง“กาย-วาจา-ใจ”

ศีลข้อ (1) ปาณาติบาต ข้อ (2) อทินนาทาน ข้อ (3) กาเมสุมิจฉาจาร คือปฏิบัติขั้น “กาย” ศีลข้อ (4) มุสา คือ ปฏิบัติขั้น“วาจา” ศีลข้อ (5) สุราเมรยมัชชะ คือปฏิบัติขั้น“ใจ” 

กล่าวคือ ศีล 3 ข้อแรกนั้นหยาบที่สุดเป็นภายนอก “ฆ่าสัตว์-ลักทรัพย์-ผิดเรื่องเพศ หรือผิดเรื่องกามคุณ 5 ที่

จัดแรงเกินมาตรฐานสามัญทั่วไป” ซึ่งหยาบขั้น“ศีลสัมผัสด้วยภายนอก”ได้

จะเป็น“ศีล”ข้อ (4) ก็หยาบเป็นภายนอก “การพูดปด” ซึ่งยังหยาบขั้น“ศีลสัมผัสด้วยภายนอก”ได้ อยู่เช่นกัน

แม้เป็น“ศีล”ข้อ (5) ก็ยังหยาบเป็นภายนอก “เสพของที่ทำให้มึนเมา” นี่ก็หยาบขั้น“ศีลสัมผัสด้วยภายนอก”ได้อยู่

ยกตัวอย่างเขาไปติดโอลิมปิกกัน อาตมาเคยบอกว่าโอลิมปิกจะพาโลกฉิบหาย ประเทศที่ได้จัด นั้นเสียหายไปมากนักเท่าไหร่ ก็เจ้าประคุณขอประเทศไทยอย่าไปบ้าเอาโอลิมปิกมาจัดในเมืองไทยเลย แม้แต่เอเชี่ยนเกมส์ก็ตาม มันเป็นการละเล่นอบายมุข การบันเทิงก็อบายมุขจัดจ้านมาก ตอนนี้ ราคา ค่าตัวของดารา นักกีฬาเพิ่มขึ้นมากคือเครื่องแสดงถึงความเสื่อมต่ำของยุคกาล หลงสิ่งต่ำมาเป็นความจริง

ยิ่งดารานักกีฬามีค่าตัวมากขึ้นเท่าใด ยิ่งแสดงถึงความเสื่อมต่ำของยุคกาลเท่านั้น ...พ่อครู 10 ส.ค. 59

“ศีล”ทั้ง 5 ข้อล้วนมี“ใจเป็นประธาน”อยู่ทั้งสิ้นภายนอกนี้ ถ้าหยาบขั้นต่ำสุดก็เรียกว่า ขั้น“อบายภูมิหรืออบายภพ”คือ“กาม”ขั้นต้นที่ไม่มีขั้นต้นไหนก่อนนี้อีก-ขั้นหยาบสุด-ขั้นต่ำเตี้ยติดพื้นแล้วของแต่ละคน ซึ่งเห็นร่วมยืนยันกันได้กับทุกคน และเมื่อสัมผัสร่วมกันอยู่ จึงใช้เป็นที่รับรองร่วมกันได้ มีสิ่งยืนยันเป็นหลักฐาน

แม้แต่ศีลข้อ 4 มี“สัมผัสทางวจี”นั้น ผู้ที่ได้ยินร่วมกัน ก็ยืนยันเยี่ยงเดียวกันกับ“กรรม”ภายนอก โดยการ“สัมผัสด้วยหู”ตนเอง ได้ยินร่วมกัน  นี้คือ วาจา และกาย เป็นภายนอก

“ศีล”ข้อ 1-2-3 (กาย) และ “ศีล” ข้อ 4 (วาจา)   

“ศีล” ข้อ 5 (ใจ) ที่ภายนอกก็มีให้เห็นทางพฤติกรรมภายนอก ซึ่งมี“ใจ”เป็นตัว“พฤติ”แท้และเป็น“สสังขาริกัง” (เป็นไปกับเหตุที่มาชักนำ) ตั้งแต่หยาบ เป็นภายนอก ยังมี“เหตุ”จากภายนอกชักนำ ก็เป็นไปตามลำดับ

 

(52) “ศีล” ข้อ 5 มีทั้งหยาบ-กลาง-ละเอียด

ซึ่งศีลข้อ 5 นั้น หมายเอาจิตที่ติดที่ยึดเป็น“อัตตา”ในคน จึงยากแก่การหยั่งรู้ เพราะ“จิต”ไม่มีภาวะหยาบ ไม่เหมือน“กายกับวาจา”ที่คนทั้งหลายต่าง“สัมผัส”รู้กันได้ มีภาวะหยาบภายนอก มีโอฬาริกลักษณะ(ลักษณะขั้นหยาบ)

แต่“ความรู้สึกหรืออารมณ์”โดยเฉพาะกิเลส-ตัณหา-อุปาทานที่เป็น“เหตุ”ในความเมานั้น มันมีแต่“อาการ”ในจิตภาษาเรียกคือ“ปรมัตถสัจจะ” “ปรมัตถสัจจะ” เป็น“ความจริงที่คนอื่นภายนอกร่วมรับรู้ยืนยันครบครัน” ไม่ได้  ทว่ามีในใจ มีแต่ใจ มาจากใจ 

ซึ่งต่างกันกับ“ความจริงที่คนอื่นร่วมรับรู้ได้”ยืนยันได้ครบครันเป็นภายนอก   อันนั้นมีภาษาเรียกว่า“สมมุติสัจจะ” แต่“ใจ”มันก็มี หยาบ-กลาง-ละเอียด อีกเหมือนกัน

“สุรา”คือ งมงายเมามาย ขั้นแรงร้ายหยาบใหญ่เบื้องต้น

“เมรยะ”คือ งม-เมา ขั้นแรง อยู่เบื้องกลาง

“มัชชะ”คือ เมา ขั้นละเอียดลึกน้อยสุด เบื้องปลาย

ฉะนี้คือ “จุลศีล”ซึ่งเป็นหลักใหญ่หลักหยาบที่จะให้คนปฏิบัติบรรลุอรหันต์ ซึ่งบัญญัติไว้โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

 

คนที่ไม่อยากให้ใครตำหนินั้น เป็นคนมีอัตตามานะ….พ่อครู 10 ส.ค. 2559

ในพระไตรปิฏกไม่มีสอนให้นิยมคำชม แต่ให้นิยมคำติ จะเจริญจะประเสริฐ ให้คบหาบัณฑิตที่ท่านติแล้วติอีกจะได้เจริญแต่ถ่ายเดียว เป็นสุดยอดแห่งภูมิปัญญาของพพจ.เลยทีเดียว บางคนเห็นคนชั่วก็ว่าอย่าไปติเลยปลอยเขาไป อาตมาว่าเป็นคนใจดำนะ อย่างที่อาตมาว่า ธัมมชโยก็ตามมหาช่วงก็ตาม ก็อยากให้เขาวางมือ เพราะปาราชิกไปแล้วทั้งนั้น

อย่างมหาช่วงก็คบกันโกงภาษี ไม่ปาราชิกอย่างไร เขาออกผลมาแล้วว่ารถเขาน่ะผิดกฏหมายทุกระดับขั้นตอน แล้วจะไปเหลือหรือ? เขาตรวจสอบแล้ว อาตมาก็พูดตามที่เขาตรวจสอบ เมื่อเป็นจริงก็คือโกงภาษีซื้อของโจรก็ปาราชิก

ขออภัยที่ถ้าอาตมาพูดแล้ว ไปตู่ว่าคนปาราชิกแต่เขาไม่เป็นปาราชิก ตนเองคืออาตมาก็ต้องสังฆาทิเสส แต่นี่อาตมามั่นใจ ตามหลักฐาน แล้วก็ทำอย่างย่ามใจ อาตมาเชื่อ เพราะตอนนั้นก็มีอิทธิพลไม่มีใครตรวจสอบ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว พพจ.ตรัสไว้ในศีลว่าอย่าสะสมข้าว สะสมยาน ในมัชฌิมศีล แต่พูดไปก็เท่านั้น ทุกวันนี้พระไม่มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีแต่วินัย 227

ศีลนี่ของศาสนาพุทธเลย ศีลเป็นของสูง ถ้าทำตามจะประเสริฐเลิศ แต่วินัยนั้นตรามาเพื่อกำกับควบคุมคนไม่ดี แต่ศีลเป็นของคนดี วินัยเป็นของผู้ร้าย แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีแต่ผู้ร้ายใช้แต่วินัยเป็นหลัก ผู้ดีไม่มีเพราะไม่มีศีล ไม่มีหลักเกณฑ์จะไปเป็นผู้ดี มีแต่หลักเกณฑ์กันผู้ร้ายไว้เท่านั้น

อาตมาก็ว่ายังดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก อาตมาตั้งแต่บวชให้สมณะเราก็ให้ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ต้องถือศีลนี้ แต่วินัย 227 เราก็ปฏิบัติด้วย ทุกปักษ์เราก็ตรวจสอบวินัยกัน

โดยเฉพาะมหาศีลเป็นศีลใหญ่ของศาสนาทั้งหมด  ทำทั้งฆราวาสและภิกษุ เพราะมหาศีลคือห้ามเดรัจฉานวิชชาหมด แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีลแล้ว เดรัจฉานวิชชาครบ 7 ข้อมีหมด

พูดแล้วสงสารตัวเองที่เกิดมาในยุคนี้ไม่เหลือแล้ว ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา นี่พูดอย่างจริงใจไม่ใส่ความนะ

ศีลก็ปฏิบัติไม่มีสัมมาทิฏฐิ สมาธิ ปัญญาก็มิจฉาทิฏฐิ

ปัญญาคือวิชชา 8เริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณทำกิเลสลดได้ ทำได้มากก็เป็นอิทธิวิธญาณ มีความเก่งในการทำจิตลดกิเลสได้ ทำได้มากเป็นวิธะ หลากหลายพิสดารมากขึ้น ก็สามข้อนี้เป็นภูมิปัญญายิ่งใหญ่ นอกนั้นก็ลึกขึ้นไป เป็นโสตทิพย์เจโตปริยญาณ แต่เขามีแต่วิปัสสนาบ้าบอ วิมุติก็มีแต่มุดไปหานรก

 

ศีลนั้นมีอานิสงส์ไปตามลำดับ

การได้อานิสงส์ 10 ของศีล .
กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ 
ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

ซึ่งศีลทุกวันนี้เหลือแต่ศีล 5 ที่ไปขอเอาเป็นระยะ ไม่ได้ปฏิบัติอย่างมีอานิสงส์เลย

 

 

ความเป็น“กาย”นั้นต้องมีความหยาบใหญ่ภายนอก

ร่วมด้วยอยู่เสมอ ซึ่งก็มีทั้ง“ใจ”ภายในมีทั้ง“กาย”ภายนอก เป็น“ธรรมะ 2” ขาดภายนอกไม่ได้ ไม่เรียก“กาย”(ใจก็ขาดไม่ได้)

ดังนั้น ผู้ที่หลงผิด นั่งหลับตาปฏิบัติ และมิจฉาทิฏฐิ

ว่า “กาย”คือภาวะภายนอกเท่านั้น อันไม่เกี่ยวกับ“ใจ”เลย จึงหมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมของพุทธ  

เพราะกำหนดหมาย“กาย”ผิดไป เมื่อปฏิบัติจึงพิจารณา“นัจจะ-คีตะ-วาทิตะ”(กายวิญญัติ-วจีวิญญัติ) อันเป็นองค์รวมของ“กาย” ที่เกิดจาก“ใจ”เป็นประธานแท้ๆ แต่ทิ้ง“ใจ”เสียนี่!

จึงพิจารณา“กาย”ไม่ต่อเนื่องเข้าไปถึง“ใจ” เพราะมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว ว่า “กาย”ไม่เกี่ยวต่อไปถึง“ใจ”


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:07:37 )

590812

รายละเอียด

590812_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทศนาเนื่องในวันแม่แห่งชาติ

บางคนมีวิบากเกิดมามีลูกไม่ได้เรื่อง ลูกที่เลวร้าย เราก็ถือว่าเป็นวิบากของเรา ข้อสำคัญคืออย่ามีมานะอัตตาอยากเอาชนะเขา มันจะไม่มีปัญญา อย่าถืออย่างนั้นอย่านึกอย่างนั้น แม้ลูกจะเกเรก็ใจเย็นๆค่อยๆสอน พยายามใจดี เอาความดีอย่าไปเอาความร้ายไปสอนลูก ไปตอบโต้กับลูก หนักเข้าตอบโต้จะชังกัน ยิ่งคนมีวิบากจะชังกัน คือคนที่เกิดมาเป็นลูกนี้เกิดมาทวงหนี้จากพ่อแม่ทุกคน อาตมาไม่มีลูกก็คือน้องๆมาทวงหนี้ ต้องมาเลี้ยงดู อุปถัมภ์ค้ำชูกัน มันมาทวงหนี้ทุกคน เพราะฉะนั้นอย่าหนีอย่าเลี่ยงเอาใจดีสู้เสือ เราคิดหาแต่ทางดี ลูกร้ายมาเราหาแต่ทางดีจะแก้ไขเขา อย่าหาทางร้ายมาก็ร้ายไปนี่ใช้ไม่ได้ ถ้าตบมาเราตบไปก็ยิ่งหนัก เสีย

ร้ายมาเราก็รับหาดีทำส่ิงที่ดีแก้ไขต่อไป แก้ให้ดีต่อไปต้องฉลาดนะ มันบังคับให้เราฉลาดมันเป็นอุปกรณ์ให้เราฉลาด ถ้าเราร้ายก็เสีย เพราะหนีไปไหนไม่ได้ มันต้องรับผิดชอบ จะร้ายเลวแค่ไหนก็ตาม คนที่ลูกๆเกิดมาดีก็ดีไป เขาสร้างสิ่งดีก็อนุโมทนา แต่ถ้าลูกร้ายก็อย่าเสียใจ อย่าไปตอบโต้ลูกด้วยวิธีการไม่ดี

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าจงชนะความเลวด้วยความดี ต้องระลึกรู้ตัวมีสติเราจะพูดเราจะแสดงอาการอย่างนี้ตอบโต้อย่างนี้ต้องมีสติรู้ตัวให้ได้ ลูกเขาทำอย่างไรมาจะร้ายจะแรงจะยั่วยุอยู่อย่างไรมาเราก็ต้องมีสติ รู้ตัวให้ได้ว่าต้องเอาดีเข้าตอบ อย่าเอาร้ายเข้าตอบ จำไว้ทุกๆคนเลย แล้วไปฝึกฝนอบรมตัวเองถ้าเราเอาแต่อารมณ์มาแล้วไม่มีสติก็ไปเลยก็โกรธกันทะเลาะกันอย่างนี้ไม่ดีขึ้นเลย

สิ่งที่จะให้สติในวันแม่วันนี้ทำให้ได้แค่นี้แหละ ก็ต้องฝึกอย่างนี้เรียนอย่างนี้ เขาบอกว่ามีลูกคนหนึ่งอย่างน้อยจะต้องทรมานไป 22 ปี อาตมาก็รอดตัวไป แต่มีลูกเป็นพัน แต่ลูกเป็นพันนี้ เป็นไปตามพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าก็มีลูกเยอะเลย เป็นลูกทางธรรม ที่เป็นลูกจริงๆ ส่วนลูกทางโลกนี้เป็นลูกมาทวงหนี้

คนไหนเป็นคนดี พ่อแม่เป็นคนดี แต่ลูกไม่ดีจงรับทราบว่าเป็นวิบากเราที่จะมีลูกไม่ดี แล้วที่ไม่ดีนั้นก็เป็นของเขาเอง เกิดมาทวงหนี้วิบากกันเป็นอจินไตยก็ปลงเสียใช้หนี้ไป ไม่มีใครอยากได้ลูกเลวแต่เมื่อมาแล้วก็ต้องใช้เป็นอุปกรณ์เป็นโจทย์ฝึกเราดีๆ เพราะว่ามาเป็นลูกแล้วฆ่าก็ไม่ตาย ขายก็ไม่ออกมันลูกนะ จงศึกษาดีๆ ใช้เป็นโจทย์อุปกรณ์การศึกษา แล้วเราจะได้เจริญ อย่าไปคิดว่าทำไมคนดีๆไม่เกิดกับเรา เราต้องพยายามปรับปรุง ช่วยลูกที่ไม่ดีนี้ให้ดีขึ้นให้ได้ จงอย่าท้อใจเสียใจ ฆ่าไม่ตายขายไม่ออกแล้ว

อาตมาสงสารบางครอบครัวจะตัดพ่อตัดแม่กับลูกเลย แต่ก็ฆ่าไม่ตายขายไม่ออกจริงๆ เป็นเรื่องสัจธรรมที่ต้องเกิดต้องเป็น

อาตมาชาตินี้ตั้งหน้าตั้งตาไม่ได้คิดจะไม่แต่งงาน  แต่แน่นอนแต่งก็ต้องมีลูกอาตมาไม่ได้รังเกียจเด็ก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งงานหลุดมาบวชเลย ไม่ได้มีลูกเลย ก็มีคนเขาว่าเหมือนกันว่าเกิดมาเสียชาติเกิดไม่ได้แต่งงานไม่ได้มีลูกเต้ากับเขาเกิดมาทำไม?อาตมาไม่ได้น้อยใจเลย ก็ช่างปะไร

ยิ่งตอนนี้ย้อนดู เรานี่มันถ้าไปแต่งงานนั้นเป็นเคราะห์นะ ไม่ได้แต่งงานนี้เคราะห์ดีจังเลย คนไหนไปแต่งงานนั้นเคราะห์ทั้งนั้น อย่าไปนึกว่าเป็นโชคนะการแต่งงานน่ะ

 

ที่มีคำพังเพยว่า อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ก็ให้แต่งงานเสีย ก็อย่าไปผลักดันมันให้มาทางธรรม ถ้ามาทางธรรมถึงขีดแล้วจะเป็นโสด ถึงแม้ว่า มาทางธรรมไม่ได้มาก แต่จะได้ สิ่งที่เป็นธรรมะสิ่งที่เป็นเชื้อใส่จิตวิญญาณของลูกตนเอง ให้ลูกมาทางธรรม แต่พวกคุณนี่คุณส่งลูกมาแล้ว แต่พูดให้คนที่บ้าน ว่าเอามาเก่งทางธรรมจะเป็นประโยชน์ขึ้นเยอะ มาอยู่นี่ อย่างน้อย 6 ปีหรือเรียนประถมด้วย เรียนแล้วจะได้ฝังได้เนื้อธรรมะไป ถ้าจะเอาแบบโลกๆที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าโลกเขา ให้การศึกษาเราตั้งโรงเรียนจบไป 20 กว่ารุ่นแล้ว

 

เรามีลูกก็ต้องรับผิดชอบ สอนให้ดีๆ สอนอย่าเอาความร้ายไปสอนลูก เขายิ่งร้ายยิ่งแรงมาเท่าไหร่เรายิ่งต้องใจเย็นๆ ถ้าใจไม่มีอารมณ์โกรธอารมณ์โลภ โลภก็คืออยากให้ได้อย่างใจมากๆ จนโกรธไม่ได้ดังใจ เราต้องไม่ให้มีอาการเช่นนั้น ไม่โลภ ไม่โกรธ ให้ใจอยู่กลางๆอุเบกขา แล้วเราก็ค่อยพิจารณาว่าทำไมเขาแสดงกิริยาเช่นนี้ก็เอามาไตร่ตรองแล้วค่อยหาทางที่จะบอกเขา ต้องใช้ศิลปะ ต้องรู้กาละโอกาสที่จะบอก บางทีลูกไม่ฟัง แต่เราก็ใช้วิธีการสอนที่ลูกไม่รู้ตัว เขาฟังแล้วไม่ต้าน แล้วเขาเข้าใจก็เป็นผลสำเร็จ เราก็เก่งขึ้นนะ ถ้ามีลูกไม่ดีนี่ถือเสียว่าเราต้องทำโจทย์จนสามารถทำให้ลูกเราดีขึ้นได้นั่นคือคุณเจริญ เป็นเรื่องท้าทายมากเลย ใครมีลูกไม่ดีนี่ท้าทายมากเลย อย่าไปโกรธตอบไม่เอาแล้ว ไม่ได้ คุณจะขว้างงูไม่พ้นคอได้อย่างไร ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาดอย่างไรก็ลูก ต้องพยายามอย่างที่ว่านี้ ….จบ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84961

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfNFVPQWFfTnZ3RGs

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/20c9ln7q79wd/160812

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:08:53 )

590812

รายละเอียด

590812_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทศนาเนื่องในวันแม่แห่งชาติ

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2559 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เป็นวันที่ในหลวงของเรามีพระชนมายุครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน มีคนถามว่า อยากทราบว่าจะเรียกวันนี้ว่าอย่างไรคะ เพราะมีน้อยคนที่จะมีโอกาสได้

ตอนที่อาตมาอายุ 77 ปี 7 เดือน 7 วัน ก็เลยตั้งเป็นวันโพชฌังคาริยสัจจายุ โดยเอาโพชฌงค์ 7 มาผนวกกับอาริยสัจ ก็เลยฉลอง

88 ปี 8 เดือน 8 วัน จะเรียกว่า อัตถาริยสัจจายุ ก็น่าจะเรียกได้นะ ก็ว่ากันไป คนก็มีอะไรที่ ถ้าไปถึง 99 ปี 9 เดือน 9 วันบ้างนี่ก็รอพล.อ.เปรม ก็จะครบ 96 ปีเต็มอีกไม่กี่วันนี่ อีก 3 ปีจะถึง 99 ปี 9 เดือน 9 วัน หรือ 111 ปี ก็ได้นะ คนก็อายุยืนขึ้นเพราะเทคโนโลยี เป็นกังวลกันว่าคนแก่จะเป็นภาระแก่ผู้ที่คอยดูแลระวังรักษาต่อไป พวกเราพยายามปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนไม่อ่อนแอ อย่าไปกวนคนอื่นถ้าไม่ถึงเหลือบ่ากว่าแรง พยายามช่วยเหลือตัวเองแต่บางคนอะไรนิดอะไรหน่อยก็ขอความช่วยเหลือ ใช้คนอื่นจังเลยก็นิสัยเสียและเสียนิสัย

วันนี้วันแม่ ก่อนจะเทศนาเรื่องวันแม่ ก็ขออ่าน sms

SMS 10 AUG 59

_0893867xxx คำถามทางไลน์ทำให้ญตธ.หน้าจอได้ปย.! ตนนอนหน้าห้องพ่อ!หลับแล้วต้องคอยลุกตื่นมาเทของเสียจากท่อถุงปัสสาวะพ่อทุกคืน!แรกๆขี้เกียจตื่นขุ่นมัวฝืนใจมาก!พอลุกทุกคืนจนชิน  หลังๆลุกตื่นโดยสงบ มันคือหน้าที่ๆลูกต้องทำให้พ่อแทนแม่ผู้ชรา!ขอบคุณคำตอบพ่อครูฯ

_0893867xxx ค่าความดีของคนวัดได้ที่ความกตัญญูของคนได้ไหม?ก่อนจะพบสัจธ.ใดๆล้วนต้องเริ่มที่ความกตัญญูก่อนเพราะมีแต่ความกตัญญูเท่านั้นทำให้ทุกๆความดีดำเนินต่อไปได้ถูกไหม?

ลูกๆจักกตัญญูได้จริงนั้นต้องเริ่มที่ศีลธ.ในพ่อแม่ให้ได้ ก่อนถูกไหม?ท่ามกลางสังคมจมอบายหากพ่อแม่ไม่มีศีลลูกคนใดจักมีใจเข้มแข็งในความกตัญญูได้เล่า? ผู้น้อยจึงส่งยาสมุนไพรจีนแก้ไอมาตอบแทนพระคุณพ่อครูที่ท่านช่วยสอนให้รู้ถึงโลกุตระธ.!ส่งด่วนผ่านทางคุรุ ในน้ำคำฝากถวายพ่อครูด้วยแต่ไม่รู้จะถึงวันไหน

ตอบ...จะว่าก็ใช่ อย่างน้อยคนมีความกตัญญูก็มีความรักมิติที่สูงขึ้น เรารักผู้ที่มีคุณธรรมมีคุณค่าประโยชน์ต่อเรา เป็นการลดตัวตนแท้ๆ เช่นว่าประชาชนในประเทศกตัญญูต่อประเทศ เกิดมาในประเทศนี้ได้อาศัยประเทศนี้อยู่ก็กตัญญูต่อประเทศชาติ งานที่เป็นส่วนกลางของประเทศชาติก็พยายามทำเสมอ ใครเห็นใครก็ยกย่องแน่นอน

การกตัญญูต่อคนๆเดียวก็ดี คำว่ากตัญญูคือตอบแทนบุญคุณของท่าน ที่มีบุญคุณต่อเรา ในเมืองไทยเราสอนเรื่องเหล่านี้กัน โดยเฉพาะกตัญญูต่อประเทศชาติ คนได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยแน่ คนไหนเกิดในแผ่นดินไทย อยู่ในแผ่นดินไทย แต่ไม่คิดไม่ทำตอบแทนบุญคุณชาติเลย มีแต่ทำมาหากินเห็นแก่ตัวอย่างเดียว คนนี้เป็นคนเลว

ยกตัวอย่างการไปลงประชามติเป็นต้นก็ต้องไปช่วยกัน หรืองานอื่นๆก็แล้วแต่เราก็ต้องคอยสำเหนียกคอยรับรู้ คอยตอบแทนประเทศชาติ

แต่ยิ่งคนๆเดียวยังไม่กตัญญูเลย ลูกไม่กตัญญุต่อพ่อแม่เลยก็เลวแน่ๆ ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แม้แต่พ่อแม่จะเป็นคนไม่ดี เราเป็นลูกไม่มีศิษย์ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่เลยไม่ได้ เพราะพ่อแม่นี้เลือกไม่ได้นะ ต้องถือว่าเป็นผู้มีพระคุณจริงๆ

พพจ.ว่า แม้จะตอบแทนโดยให้เมืองให้แผ่นดินให้ทรัพย์ใดๆกับพ่อแม่หรือว่าเอาพ่อแม่มาเลี้ยงดูบนบ่าเลยไม่ต้องลงไปก็ไม่ถือว่าได้ตอบแทนสูงสุด เท่ากับให้พ่อแม่ศรัทธาใน ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เชื่อว่าศีลนี้เป็นส่ิงประเสริฐ

คนไม่มีศีลเป็นคนที่ชมไม่ได้ จะชมได้ต้องชมที่เป็นคนมีศีล...พพจ.ตรัสเช่นนั้นจริงๆ พพจ.ว่าจะชมเราต้องชมที่เรามีศีลซึ่งเป็นขั้นต่ำนักด้วย

ถ้าคนไทย 95% ในไทยนี้นับถือพุทธ แล้วมีศีล สัก 50% ของพุทธนี่จะดีแค่ไหน อาตมาออกมาทำงาน 46 ปีนี่ก็เพื่อให้คนมีศีลมีธรรม ไม่ได้ทำงานอื่นเลย อาตมาก็ภูมิใจที่พาคนมามีศีลได้ ชุมชนทุกชุมชนอโศกมีคนที่มีศีล ตั้งแต่เด็กจนแก่เฒ่าเข้าโลงเลย ใครผิดศีลก็ชำระกัน

เมื่อปุถุชนจะกล่าวชมตถาคต ถ้าจะชมเราต้องชมที่เรามีศีล แล้วยังกำกับอีกว่า แค่มีศีลนี้ยังพื้นๆยังต่ำที่สุดเลยด้วย ทั้งกาย วาจา ใจก็ไม่ละเมิดศีล ตามขอบเขตศีลของเรา

ส่วนยาที่จะส่งมาอาตมาก็ยังไม่ได้รับหรอก แต่ไม่ต้องห่วงยาอาตมามาทุกทิศเลย อาตมาเป็นโรควิบาก คือโรคไอ และโรคเจ็บเหมือนเข็มแทงแปล๊บๆ ตามร่างกาย บางวันไม่ได้นอนทั้งคืนเลยก็รู้ว่าวิบากอาตมามี ก็ติดตามไป สักวันหนึ่งก็คงพอรู้กันน่ะ ยามาสารพัด ก็ดีก็บรรเทาไป ช่วยกันไป เป็น symtomatic treatment

0815428xxx นมัสการครับหลวงปู่ เพราะเหตุใดการบริจาคทรัพย์ให้อโศกต้องมาถึง7หนก่อนจึงบริจาคได้ ขอบคุณครับ

ตอบ...คือให้มาศึกษาชาวอโศกให้รู้ว่าเป็นอย่างไร อย่างน้อยว่าสัก 7 ครั้งก็น่าจะพอรู้จักกันดีจะบริจาค แต่ถ้าไม่ถึงก็อาจทำไปเพราะเห่อๆ แน่ใจอย่างไรว่าจะถูกศรัทธาของคุณจริง คุณจะไปรู้หรือเขาอาจแสดงว่าดีก็ได้นะ สร้างภาพไปเท่านั้นก็ได้

ตั้งแต่ตั้งอโศกมา อโศกไม่เรี่ยไรใคร นอกจากว่าจะเป็นเรื่องจำเป็นสำคัญในหมู่กลุ่มก็บอกบุญไป ว่าเช่นจะซื้อที่ดินตรงไหนก็บอกพวกอโศกเองไม่เอาเงินคนนอก เงินพวกเราบริจาคกันเอง ไม่มานั่งวุ่นวายเรี่ยไร อโศกหยิ่งเรื่องนี้ก็ยังพาหมู่กลุ่มรอดมาได้ถึงวันนี้ นี่แสดงคุณภาพของคุณธรรม

ชาวอโศกอยู่อย่างพึ่งตนเอง อัตตหิอัตโนนาโถ ไม่เรี่ยไร ไม่หลอกลวงไม่หว่านล้อมให้มาบริจาคแต่อย่างใด

 

0890015xxx เราผ่านจตุคาม ลูกเทพ โปเกมอน มาได้โดยไม่ติดเลยถือว่าเดินบนอากาศทะล

ตอบ...พิษภัยในโทรศัทพ์มือถือนี้มากมายนัก อาตมาเองไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือใช้ เขาให้ใช้ก็ใช้ได้ แต่กดไม่เป็นเลยไม่พยายามฝึกเลย ไม่เอา

อาตมาเห็นว่าสำคัญ นักบวชก็ต้องมีกฏเกณฑ์ในการใช้ ไม่ถึงวาระโอกาสและเหมาะสมก็ไม่ให้ใช้ แม้นักบวชถือว่าเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็งยังต้องระวังเลย เด็กที่มาเรียนที่นี่บอกเลยว่า ไม่ให้มีโทรศัพท์มือถือใช้ส่วนตัว และก็รับรองว่าเด็กไม่ตกต่ำ ถ้าจะตกต่ำ อาตมาก็ตกต่ำก่อนแล้ว

โทรศัพท์แต่ก่อนนี้อันใหญ่โต หนัก แต่ยิ่งมาเห็นโทรศัพท์รุ่นหลังๆนี่ยิ่งเป็นแดนนรกเลวร้ายมหาศาล โทษมหาศาล ไม่ได้ ถ้าคนไม่มีภูมิคุ้มกันพอก็อย่าเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องทุนนิยมครอบงำ ให้เขารวยกันเต็มโลกเลยไม่รู้เท่าทัน มีประโยชน์แต่โทษมหาศาล ส่ิงมีประโยชน์แต่โทษมันมาพร้อมกันและหนักกว่า มันถึงแย่

 

วันนี้เทศน์เรื่องวันแม่ ก็ขอเทศน์สิ่งที่เกี่ยวข้องกับแม่ก็สุดยอดเลย

อาตมานี้มีแม่นะ เชื่อไหม? แม่อาตมาชื่อโฮม พ่อชื่อเฉย ยายคือลูกหลานเจ้าเมืองอุบลฯ ตาอาตมานี้มาทางอีกสายหนึ่ง ยายอาตมาเป็นลูกหลานคนสุดท้าย

อาตมามีนิยายชีวิตที่ยาวหน่อย เรื่องความกตัญญูอาตมาก็เลี้ยงน้องๆมา ไม่มีน้องคนไหนมาว่าอาตมาได้ว่า ลำเอียงเลี้ยงไม่ได้ อาตมาเลี้ยงเหมือนลูก ทั้งที่ปากกัดตีนถีบ อาตมาสร้างฐานะเอง เกลือเม็ดหนึ่งก็ซื้อ สร้างบ้าน ข้าวของก็ต้องซื้อหมด ด้วยการประมูลของที่เลหลังกัน ไม่มีสิทธิ์ไปซื้อของห้าง ประมูลจากที่หลวงรักษาเขาให้ประมูล อาตมาเรียนจบมาบรรจุทำงานได้เงินเดือน 750 เช่าบ้านหลังละเดือนละ 700 บาทเหลือเงิน 50 บาทเลี้ยงน้องคนหนึ่งเรียนจุฬาฯคนหนึ่งเรียนพยาบาท พอนายฟ้าอยากจะไปเรียนเมืองนอก เข้าที่ไหนก็ไม่ได้ก็เลยส่งไปเรียนอเมริกา อาตมาก็เลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงลูก แต่หนักกว่าเลี้ยงลูกเพราะไม่มีเวลาตั้งตัว เลย ต้องมันโตไล่เรี่ยกัน มันกินใช้เรียนหนักด้วย แต่อาตมาก็ว่าได้ทำหน้าที่มา ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ พ่อแม่เสียตั้งแต่อายุ16 ก็เช่าบ้านให้น้องมาอยู่ ปากกัดตีนถีบ ได้เงินเดือนประจำ 750 นอกนั้นหาเพิ่มทั้งนั้นเลย ถือว่าอาตมาได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่มาเหมือนกัน เป็นวิบาก อาตมาไม่ได้คิดว่าลำบากอะไร เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไม่เป็นเรื่องเท่หรือโก้อะไร คนเราก็ต้องเลี้ยงดูกัน

อาตมาไม่ได้เลี้ยงแต่น้อง คนอื่นๆก็มาขอเงินเรียนหนังสือกัน เหมือนส่งให้ลูกเรียน แม้แต่เด็กอิสลามก็ยังมาขอเงินเรียนเลย

บางคนมีวิบากเกิดมามีลูกไม่ได้เรื่อง ลูกที่เลวร้าย เราก็ถือว่าเป็นวิบากของเรา ข้อสำคัญคืออย่ามีมานะอัตตาอยากเอาชนะเขา มันจะไม่มีปัญญา อย่าถืออย่างนั้นอย่านึกอย่างนั้น แม้ลูกจะเกเรก็ใจเย็นๆค่อยๆสอน พยายามใจดี เอาความดีอย่าไปเอาความร้ายไปสอนลูก ไปตอบโต้กับลูก หนักเข้าตอบโต้จะชังกัน ยิ่งคนมีวิบากจะชังกัน คือคนที่เกิดมาเป็นลูกนี้เกิดมาทวงหนี้จากพ่อแม่ทุกคน อาตมาไม่มีลูกก็คือน้องๆมาทวงหนี้ ต้องมาเลี้ยงดู อุปถัมภ์ค้ำชูกัน มันมาทวงหนี้ทุกคน เพราะฉะนั้นอย่าหนีอย่าเลี่ยงเอาใจดีสู้เสือ เราคิดหาแต่ทางดี ลูกร้ายมาเราหาแต่ทางดีจะแก้ไขเขา อย่าหาทางร้ายมาก็ร้ายไปนี่ใช้ไม่ได้ ถ้าตบมาเราตบไปก็ยิ่งหนัก เสีย

ร้ายมาเราก็รับหาดีทำส่ิงที่ดีแก้ไขต่อไป แก้ให้ดีต่อไปต้องฉลาดนะ มันบังคับให้เราฉลาดมันเป็นอุปกรณ์ให้เราฉลาด ถ้าเราร้ายก็เสีย เพราะหนีไปไหนไม่ได้ มันต้องรับผิดชอบ จะร้ายเลวแค่ไหนก็ตาม คนที่ลูกๆเกิดมาดีก็ดีไป เขาสร้างสิ่งดีก็อนุโมทนา แต่ถ้าลูกร้ายก็อย่าเสียใจ อย่าไปตอบโต้ลูกด้วยวิธีการไม่ดี

คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าจงชนะความเลวด้วยความดี ต้องระลึกรู้ตัวมีสติเราจะพูดเราจะแสดงอาการอย่างนี้ตอบโต้อย่างนี้ต้องมีสติรู้ตัวให้ได้ ลูกเขาทำอย่างไรมาจะร้ายจะแรงจะยั่วยุอยู่อย่างไรมาเราก็ต้องมีสติ รู้ตัวให้ได้ว่าต้องเอาดีเข้าตอบ อย่าเอาร้ายเข้าตอบ จำไว้ทุกๆคนเลย แล้วไปฝึกฝนอบรมตัวเองถ้าเราเอาแต่อารมณ์มาแล้วไม่มีสติก็ไปเลยก็โกรธกันทะเลาะกันอย่างนี้ไม่ดีขึ้นเลย

สิ่งที่จะให้สติในวันแม่วันนี้ทำให้ได้แค่นี้แหละ ก็ต้องฝึกอย่างนี้เรียนอย่างนี้ เขาบอกว่ามีลูกคนหนึ่งอย่างน้อยจะต้องทรมานไป 22 ปี อาตมาก็รอดตัวไป แต่มีลูกเป็นพัน แต่ลูกเป็นพันนี้ เป็นไปตามพพจ. เพราะพพจ.ก็มีลูกเยอะเลย เป็นลูกทางธรรม ที่เป็นลูกจริงๆ ส่วนลูกทางโลกนี้เป็นลูกมาทวงหนี้

 

ลูกทางธรรมนี้เป็นลูกจริงๆ พพจ.บอกว่าท่านเป็นพ่อ สารีบุตรกับโมคคัลลานะเป็นแม่ เป็นภาษาวิชาการ พ่อคือปุริสภาวะ แม่คืออิตถีภาวะสองชนิดนี้เป็นภาวะสองที่ช่วยกัน หรือศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ

ศีลกับปัญญาช่วยกันทำให้เกิดอธิศีลอธิจิต อธิปัญญา จิตเป็นลูก สัตว์โอปปาติกะ เกิดเจริญขึ้นเป็นอาริยบุคคล ทำให้เกิดทางจิตวิญญาณ การเกิดมีสี่อย่าง

1.      ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)

2.      อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)

3.      สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)

4.      โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที     เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   (พตปฎ.เล่ม 11   ข้อ 263)

การเกิดของจิตวิญญาณนี้เปลี่ยนDNAของจิตวิญญาณจริงๆ เปลี่ยนแล้วได้ข้ามชาติเลย จะไปเกิดในท้องพ่อแม่ไหนก็เป็นอาริยะ เช่นคุณเป็นโสดาบัน ตายจากชาตินี้ไปเกิดชาติใหม่ก็เป็นโสดาบัน ถ้ามีคุณสมบัติถึงความไม่ตกต่ำแล้ว เป็นการเกิดที่ยิ่งใหญ่มาก (โอปปาติกโยนิ) มีในศาสนาพุทธ

ผู้สัมมาทิฏฐิจะรู้จักแม่ รู้จักพ่อ แล้วแม่กับพ่อนี้ทำให้เกิดโอปปาติกโยนิ เกิดมาเป็นโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ได้จริง ผู้ใดมีสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะฝึกฝนเป็นลำดับ จิตจะเกิดโอปปาติกะที่เจริญขึ้นได้จริง อาตมามาพาทำให้พวกเราเกิดจิตโอปปาติกโยนิจริงๆ อาตมาไม่ได้มาครอบงำความคิดไม่ได้สะกดจิตพวกเรา เหมือนพุทธไม่รู้กี่สำนัก

สำนักนั่งหลับตาสมาธินั้นสะกดจิตทั้งนั้น สะกดจิตโดยอาจารย์ แล้วอธิบายสอนแนะนำ ส่วนมากไม่ว่าจะสายทางอ.มั่น สายหลับตาแบบพระป่าหรือสายเมือง เมืองที่เด่นก็คือธรรมกาย เขาก็พานั่งสมาธิแล้วครอบงำความคิดทั้งนั้น สายหลับตาแบบพระป่านี้ ก็นั่งหลับตาทั้งนั้น หลับบ้างไม่หลับบ้างเขาก็พยายามไม่ให้หลับ เป็นวิธีสะกดจิต hypnosis ทั้งสิ้น ไม่ได้ใส่ความ อาตมาเรียนวิธีสะกดจิตมาด้วย ตอนทางโลก แต่คนไม่เข้าใจ ไปเชื่อโบราณว่าเป็นวิธีทำสมาธิ ก็ไม่ผิดคุณเชื่อเช่นนั้นก็เป็นเช่นนั้น เป็นสมาธิสะกดจิต แต่มีรายละเอียดที่แปลกแยกของการสะกดจิตไปต่างๆ

ลูกศิษย์นี้จะไม่แย้งกับอาจารย์ สำหรับวิธีพวกนี้ แต่ของพพจ.นี้ลูกศิษย์แย้งอาจารย์เก่ง ลูกศิษย์ไม่เชื่อง่ายๆ แล้วพพจ.ยังสอนในกาลามสูตรอีก อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ

อาตมาชาตินี้เป็นนักรบพ่อลูกอ่อน แล้วลูกมันดื้อด้วย ลูกคนโตที่สอนว่าให้เถียงพ่อแม่ได้จะเป็นอย่างไร พวกคุณเข้าใจพวกคุณก็แย้ง แล้วพวกคุณก็เชื่ออาตมา เป็นโดย

1.      ศรัทธา

2.      ศีล

3.      หิริ (ละลายต่อบาป)

4.      โอตตัปปะ (สะดุ้งกลัวต่อบาป)

5.      สุตะ, พาหุสัจจะ  (รู้ธรรมที่แทงตลอดได้มาก)

6.      จาคะ (การสละ ให้ - บริจาค  เอาออก) . .

7.     ปัญญา    (ธนสูตร  พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 6)

 

กรรมพันธ์นี้เป็นสายทางกรรมนี้ คนเอาไปเรียกผิด เอาไปเรียกการสืบเชื้อสายทางเซลล์ทางgenetic มันไม่ใช่กรรม อาตมาสอนศีล คุณก็เอาไปปฏิบัติ เกิดผลกับจิตวิญญาณตน  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก ลูกที่เกิดมาเป็นเชื้อสายทางเลือดเนื้อนั้น เป็นกรรมของเขาเองที่ต้องมาเกิดเป็นลูกของคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่กรรมของพ่อแม่ แม้พ่อแม่จะมีลูกคนนี้ก็เพราะเป็นกรรมของพ่อแม่เอง

อย่างพ่อแม่อาตมามีลูก 7 คนไม่มีใครเกเรเลย กรรมใครมีลูกเกเรก็เป็นกรรมของคุณแต่คนเกเรก็เป็นกรรมของมันเองนะ บางทีพ่อแม่ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก แต่ลูกมันดี เขาเรียกว่าอภิชาติบุตร กรรมมันพาเกิดพาเป็นแต่ที่เขาเรียกว่ากรรมพันธ์นั้นใช้ศัพท์ผิด ใครมาเกิดเป็นลูกใครจิตวิญญาณก็เป็นของลูกคนนั้น

คนไหนเป็นคนดี พ่อแม่เป็นคนดี แต่ลูกไม่ดีจงรับทราบว่าเป็นวิบากเราที่จะมีลูกไม่ดี แล้วที่ไม่ดีนั้นก็เป็นของเขาเอง เกิดมาทวงหนี้วิบากกันเป็นอจินไตยก็ปลงเสียใช้หนี้ไป ไม่มีใครอยากได้ลูกเลวแต่เมื่อมาแล้วก็ต้องใช้เป็นอุปกรณ์เป็นโจทย์ฝึกเราดีๆ เพราะว่ามาเป็นลูกแล้วฆ่าก็ไม่ตาย ขายก็ไม่ออกมันลูกนะ จงศึกษาดีๆ ใช้เป็นโจทย์อุปกรณ์การศึกษา แล้วเราจะได้เจริญ อย่าไปคิดว่าทำไมคนดีๆไม่เกิดกับเรา เราต้องพยายามปรับปรุง ช่วยลูกที่ไม่ดีนี้ให้ดีขึ้นให้ได้ จงอย่าท้อใจเสียใจ ฆ่าไม่ตายขายไม่ออกแล้ว

อาตมาสงสารบางครอบครัวจะตัดพ่อตัดแม่กับลูกเลย แต่ก็ฆ่าไม่ตายขายไม่ออกจริงๆ เป็นเรื่องสัจธรรมที่ต้องเกิดต้องเป็น

อาตมาชาตินี้ตั้งหน้าตั้งตาไม่ได้คิดจะไม่แต่งงาน  แต่แน่นอนแต่งก็ต้องมีลูกอาตมาไม่ได้รังเกียจเด็ก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งงานหลุดมาบวชเลย ไม่ได้มีลูกเลย ก็มีคนเขาว่าเหมือนกันว่าเกิดมาเสียชาติเกิดไม่ได้แต่งงานไม่ได้มีลูกเต้ากับเขาเกิดมาทำไม?อาตมาไม่ได้น้อยใจเลย ก็ช่างปะไร

ยิ่งตอนนี้ย้อนดู เรานี่มันถ้าไปแต่งงานนั้นเป็นเคราะห์นะ ไม่ได้แต่งงานนี้เคราะห์ดีจังเลย คนไหนไปแต่งงานนั้นเคราะห์ทั้งนั้น อย่าไปนึกว่าเป็นโชคนะการแต่งงานน่ะ

อาตมาก็พยายามจะแต่งงานตามโลกเป็นลิงลมอมข้าวพองเป็นวิบากไป ตามโลก ที่อาตมาเป็นเจ้าชู้ไก่แจ้นั้นยืนยันลิงลมอมข้าวพอง ไก่แจ้คือป้อไปป้อมา จีบผู้หญิงก็ไม่เก่ง คนเขาแย่งไปหมด เป็นเรื่องแสดงความจริง แล้วเราก็อยากจะเป็นอยากจีบผู้หญิงเก่ง เราก็อยากมีตามเพื่อนก็เลยจีบดะไป ที่จริงไม่ได้เข้าท่าเลยไม่เป็นไม่เก่งเหมือนเขา กินเหล้าเล่นพนันไม่เก่ง แม้จะหัดก็ไม่เข้าท่าไม่เก่ง เดี๋ยวนี้เพิ่งรู้ตัวว่าเรามีบารมีไม่เก่งเหมือนเขาแต่โลกเขามอมเมาว่าต้องเก่งนะ เป็นแมนเป็นชายต้องกินเหล้าเก่ง จีบหญิงเก่งอย่างนี้โลกเขาหลอก เราก็พยายามทำเหมือนเขา ก็ไม่เก่งเหมือนเขา ไม่ได้เรื่องก็ดีแล้วที่ไม่ได้เรื่อง ถ้าได้เรื่องก็คงไม่ได้มา

 

ที่มีคำพังเพยว่า อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ก็ให้แต่งงานเสีย ก็อย่าไปผลักดันมันให้มาทางธรรม ถ้ามาทางธรรมถึงขีดแล้วจะเป็นโสด ถึงแม้ว่า มาทางธรรมไม่ได้มาก แต่จะได้ สิ่งที่เป็นธรรมะสิ่งที่เป็นเชื้อใส่จิตวิญญาณของลูกตนเอง ให้ลูกมาทางธรรม แต่พวกคุณนี่คุณส่งลูกมาแล้ว แต่พูดให้คนที่บ้าน ว่าเอามาเก่งทางธรรมจะเป็นประโยชน์ขึ้นเยอะ มาอยู่นี่ อย่างน้อย 6 ปีหรือเรียนประถมด้วย เรียนแล้วจะได้ฝังได้เนื้อธรรมะไป ถ้าจะเอาแบบโลกๆที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าโลกเขา ให้การศึกษาเราตั้งโรงเรียนจบไป 20 กว่ารุ่นแล้ว

ออกไปเรียนกับโลกก็ไม่น้อยไม่ต่ำกว่าโลกเขาเลย อาตมาว่า ดีกว่าโรงเรียนอีกมากเลยนะ

 

เรามีลูกก็ต้องรับผิดชอบ สอนให้ดีๆ สอนอย่าเอาความร้ายไปสอนลูก เขายิ่งร้ายยิ่งแรงมาเท่าไหร่เรายิ่งต้องใจเย็นๆ ถ้าใจไม่มีอารมณ์โกรธอารมณ์โลภ โลภก็คืออยากให้ได้อย่างใจมากๆ จนโกรธไม่ได้ดังใจ เราต้องไม่ให้มีอาการเช่นนั้น ไม่โลภ ไม่โกรธ ให้ใจอยู่กลางๆอุเบกขา แล้วเราก็ค่อยพิจารณาว่าทำไมเขาแสดงกิริยาเช่นนี้ก็เอามาไตร่ตรองแล้วค่อยหาทางที่จะบอกเขา ต้องใช้ศิลปะ ต้องรู้กาละโอกาสที่จะบอก บางทีลูกไม่ฟัง แต่เราก็ใช้วิธีการสอนที่ลูกไม่รู้ตัว เขาฟังแล้วไม่ต้าน แล้วเขาเข้าใจก็เป็นผลสำเร็จ เราก็เก่งขึ้นนะ ถ้ามีลูกไม่ดีนี่ถือเสียว่าเราต้องทำโจทย์จนสามารถทำให้ลูกเราดีขึ้นได้นั่นคือคุณเจริญ เป็นเรื่องท้าทายมากเลย ใครมีลูกไม่ดีนี่ท้าทายมากเลย อย่าไปโกรธตอบไม่เอาแล้ว ไม่ได้ คุณจะขว้างงูไม่พ้นคอได้อย่างไร ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาดอย่างไรก็ลูก ต้องพยายามอย่างที่ว่านี้ ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:09:16 )

590814

รายละเอียด

590814_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อสุรกายแก้วคือ ธรรมกายเก๊

อสุรกาย“แก้ว” คือ ธรรมกาย“เก๊”                   

                 ***********************************

        (1) “อสุรกาย”คือชื่อผู้     สัตว์นรก

        คนที่ชั่วสกปรก             นั่นแล้

        โลภหลอกเล่ห์โกหก       ครบสูตร

        เทพบุตรแต่มารแท้ ผงาดท้าสัจธรรม

        (2) ไทยกำลังกวาดล้าง   อธรรม

        แต่ชั่วยิ่งก่อกรรม  เก่งกล้า

        เลวได้ไม่รู้สำ-              นึกสัก หน่อยเลย

        ซ้ำกระหน่ำย้ำท้า  เยาะเย้ยกฎหมาย

        (3) “ธรรมกาย”นั้นชื่อผู้   ตถาคต

        จงอย่าโอ่โป้ปด     ชั่วช้า

        สะกดจิตอยากรวยหมดลาภยศ ดังเด่น

        เอาแต่สอนบ้าบ้า   ช่องนี้ช่องเดียว            

        (4) เยียวยายากยิ่งแล้ว   คนวิกล

        จิตถูกสะกดจน             สุดแก้

        เล่ห์ครูสั่งให้ขน    เงินทุ่ม ทานเลย

        ถูกรีดหมดตัวแท้   กลับซึ้งคำยอ       

        (5) กว่าหมอดูกว่าฟ้า     ทำนาย

        ตัวต่ำอสุรกาย              ว่า“แก้ว”

        ธรรมกาย“เก๊”กว่าขาย    ของเน่า

        กว่านรกแม่นแล้ว  สัตว์“แก้ว”ธรรมไถล      

        (6) หากแม้นไม่ชั่วแท้     กลัวใด

        หลบอยู่ในรูไฉน   ไม่กล้า

        เก่งรู้เก่งฤทธิ์ไป    ไยหด หัวเวย

        อวดเก่งเบ่งว่าข้า   นี่เฮ้ย“คนดี”  

        (7) ฉะนี้กายอสุระแท้     เต็มตัว

        กายสัตว์ซุกหางหัว ห่อนแย้ง

        เป็นสัตว์ที่ก่นกลัว  จริงสุด แล้วเฮย

        เอาแต่ร้องถูกแกล้ง โธ่ธั้ง“ธรรมกวย”

           

                                “สไมย์ จำปาแพง”                                                        13 ส.ค. 2559       [นัยปก “เราคิดอะไร”]

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=84973

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfSXEyYzFmNGx4SWc

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1xdxasb5n3hj/160814

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:10:06 )

590814

รายละเอียด

590814_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อสุรกายแก้วคือ ธรรมกายเก๊ 

ส.ฟ้าไทว่า...เมื่อวานเรามีงานวันแม่ขึ้น …..ตอนนี้ที่ราชธานีอโศก เน้นว่าเด็กกลับไปที่บ้านควรรับประทานอาหารมังสวิรัติกันทุกคน เลยชวนผู้ปกครองมารับประทานอาหารมังสวิรัติกันด้วย เราต้องการสร้างคนให้มีคุณภาพในสังคม ที่ชาวอโศกทุ่มเททำเพื่อสร้างคนดีให้กับสังคม

วันนี้พ่อครูจะเทศน์เกี่ยวกับ อสุรกายแก้ว

พ่อครูว่า คือธรรมกายนี่เขาใช้คำว่าแก้วนี่ขยายทุกอย่าง ถ้าเป็นแก้วนี่เขาถือว่าเป็นอะไรที่เลิศประเสริฐศรีทั้งนั้น อุบาสิกาแก้ว กัลยาณมิตรแก้ว ฯลฯ เราก็เลยเอาคำว่าแก้วมากำกับคำว่าอสุรกายด้วย คือเขาเป็นอสุรกายก็คืออสุรกายแก้ว ก็ตามใจเขา

ส.ฟ้าไทว่า...เป็นความเมตตาของพ่อครูอย่างหนึ่งที่พยายามจะช่วยมนุษย์ให้กลับตัวกลับใจมาในทิศทางโลกุตระ

พค.ว่า...ที่ท่านฟ้าไทเกริ่นมาว่าอาตมามาทำงานเพื่อสร้างคน นั้น อาตมามีความจริงใจเช่นนั้นจริงๆ ส่วนฝีมือในการสร้างคนของอาตมานั้นได้เท่าไหรก็เท่าที่ได้มาทำงานตลอด 45 ปีไม่เคยมีวันเสาร์_อาทิตย์นะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้วอาตมาทำงานไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตอนนั้นได้เงิน แต่มาทางนี้ไม่ได้เงินแต่ทำทุกวันไม่มีวันหยุด ทำตลอด ก็เต็มใจจะทำ ตั้งใจทำตลอดไม่ได้ว่างเว้น ยังจะพยายามฝืนประคองสังขารไปให้ไกล ให้ตัวเองไม่ตายง่ายๆ

งานที่อาตมาทำคืองานสร้างคน สร้างผู้ใหญ่แล้วก็มารวมเด็ก ขออนุญาตตั้งโรงเรียน  ให้เด็กมาเรียน ตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว ก็ตั้งใจจะสร้างคนให้เป็นคนดีแก่สังคมแก่ประเทศแก่โลก มีเจตนาทำงานนี้ แล้วทำงานนี้งานเดียว ไม่ได้เจตนาสร้างคน แล้วให้คนนี่ไปหาเงินแล้วเอาเงินมาโปรยทำเงินให้อาตมา สร้างคนให้เก่งเป็นคนดี แต่ดีตื้นๆ แต่มองลึกแล้วไม่ดี เพราะว่าต้องไปกอบโกยเอาเงินได้จากคนอื่นให้ได้มากๆ แล้วเอาเงินนั้นมาทำทาน ให้แก่ผู้สอน ให้แก่ผู้สร้างผู้บอกนี่แหละ

ชัดๆก็คือ อย่างอาตมาหรือชาวอโศก อาตมาสร้างคน จนกลายเป็น บ้านวัดโรงเรียน มีกลุ่มหมู่ ในความลึกซึ้งซับซ้อนพฤติชาวอโศกสร้างคนอย่างนี้ ที่อื่นเขาก็สร้าง เช่นเขาพยายามสอนคนให้ดีขึ้น แต่ที่เป็นรูปร่างได้มวลมากคือธรรมกาย

ธรรมกายก็สร้างคน แต่เขาสร้างคนได้ต่างจากชาวอโศก ต่างมาก เดินกันคนละทิศทางเลย

ทิศที่ชาวอโศกเดินไปคือทิศที่เดินไปในทิศทางเดียวกันกับของพระพุทธเจ้าเอาพระไตรฯมาเทียบเคียงเลย ขยายความเห็นเลยว่าเป็นไปตามพระไตรฯ

ส่วนธรรมกายนี้สร้างคนมาไม่ได้ตามพระไตรฯเลย ขุดพระไตรปิฏก ตู่ธรรมะพระพุทธเจ้า ขุดทำลายธรรมะพระพุทธเจ้าทิ้งเลย

ที่อาตมาใช้คำว่าขุด คือคำบาลีว่า ขนสิ

                        8. มหาตัณหาสังขยสูตร

                    ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

          [440] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่าเธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ  ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?   สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?  สาติภิกษุทูลว่า  สภาวะที่พูดได้  รับรู้ได้  ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ  นั่นเป็นวิญญาณ.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า  ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ  ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี   ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น  เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย  เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว … ฯลฯ

ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ .

[444] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณอาศัยปัจจัยใดเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ  วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณวิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ ...  วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ ... วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ ... วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ ... วิญญาณอาศัยมโนและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ ... เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟไม้ ...  ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟป่า  ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับ ว่าไฟหญ้า ฯลฯ  (ล.12  ข.444  มหาตัณหาสังขยสูตร)

พ่อครูว่า อย่างธัมมชโยเที่ยวไปอวดอุตริมนุสธรรมว่ารู้ว่าใครตายแล้วไปอยู่ไหนๆ แต่ว่าเมื่อคนมาแกล้งทดสอบก็เลยทายไม่ถูกเดาเอาหมด ทำให้รู้เลยว่า ธัมมชโยนี่โมเม เดาเอาทั้งนั้น

อย่างจิตวิญญาณนี้ ไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยไปทั่ว แต่เป็นพลังงานจิตที่เกิดตอนสัมผัส เกิดเป็นลักษณะจิตวิญญาณเทวดาหรือมารหรือพรหมเป็นต้น

จาตุมหาราชนี้คือยักษ์คือมารคือผีแน่นอน เพราะว่าเป็นพลังงานจิตวิญญาณอวิชชา คือมีอุปาทานหลงเป็นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่ยิ่งตกต่ำแต่หลงว่าสูง ยามาก็ต่ำลงไปอีก ดุสิตก็ต่ำลงไปอีก นิมมาฯก็ต่ำอีก ปรนิมฯก็ยิ่งต่ำสุด

อย่างธัมมชโยนี่คือปรนิมมิตวสวัตตีคือผู้บงการอยู่ใต้ก้นบึ้งเลย เป็นความเข้าใจผิดของสมีธัมมชโย ที่ตนนึกว่าถูก ก็เลยปรุงแต่งคิดอ่านหลอกคนซับซ้อนให้ผิดไปใหญ่ จึงกลายเป็นจตุมหาราชที่ตำต่ำที่สุด โดยการอธิบายธรรมะแบบนี้เพราะเขาเข้าใจในเรื่องของจิตวิญญาณไม่ได้

เขาเข้าใจจิตวิญญาณผิดเหมือนภิกษุสาติ ไม่ได้เข้าใจจิตวิญญาณที่มีผัสสะเกิดในปัจจุบัน แล้วอ่านวิจัยในขณะนี้ว่าเป็นสัตว์นรก เทวดา อย่างไร จะทำให้เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพอย่างไร เขาไม่เข้าใจเลย

พระพุทธเจ้าท่านด่าภิกษุสาติว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.

กสฺส  นุ  โข  นาม  ตฺว  โมฆปุริส  มยา  เอว  ธมฺม เทสิต อาชานาสิ

นนุ    มยา    โมฆปุริส    อเนกปริยาเยน   ปฏิจฺจสมุปฺปนฺน   วิฺาณ

วุตฺต    อฺตฺร    ปจฺจยา   นตฺถิ   วิฺาณสฺส   สมฺภโวติ   อถ   จ

ปน   ตฺว   โมฆปุริส   อตฺตนา   ทุคฺคหิเตน  อเมฺห  เจว  อพฺภาจิกฺขสิ

อตฺตานฺจ    ขนสิ   พหฺุจ   อปฺุ   ปสวสิ   ตฺหิ   เต   โมฆปุริส

ภวิสฺสติ ทีฆรต อหิตาย ทุกฺขายาติ ฯ

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าภิกษุสาติ เป็นโมฆบุรุษ ถึงสี่ครั้งเลยในย่อหน้านี้

 

อาตมาว่าถ้าเป็นธัมมชโยนี่คงจะต้องกล่าวว่าเป็นโมฆบุรุษมากกว่านี้อีก ยุคนั้นภิกษุสาติก็ไม่ได้ร้ายเท่ายุคสมีธัมมชโยที่หนักมาก ดื้อด้านดึงดันปรุงแต่งปลอมแปลงบิดพริ้วทำบาย ตู่พระพุทธเจ้า คำว่ากล่าวตู่นี้บาลีว่า อพฺภาจิกฺขสิ ที่เขาพูดนี้ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้าแต่เขาอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าขี้ตู่ธรรมะพระพุทธเจ้า และก็ขุดตนเสียด้วย  อตฺตานฺจ    ขนสิ คือย่ำยีทำร้ายตัวเองแหลกราญเลย

หมาป่าจะให้คนเห็นว่ายิ่งใหญ่ก็ต้องเอาหนังราชสีห์มาหุ้มห่อ ฉันเดียวกับธัมมชโยตนเองเป็นเหมือนหมาป่า แต่ต้องการให้คนบอกว่าตนเองดีก็ต้องเอาดีมาหุ้มห่อ ก็มีคนต่างประเทศมาให้รางวัล ก็เพราะว่าสังคมมีคนโง่มากกว่าคนฉลาดเป็นธรรมดา ตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างพระสารีบุตรมาพบพระพุทธเจ้า ตอนนั้นเป็นต้น

ที่ภิกษุสาติทำนั้นบาปหรือมีวิบากน้อยกว่าที่ธัมมชโย แต่ธัมมชโยนี้ บอกว่าตนเองเหนือกว่าพระพุทธเจ้าด้วย ทำตนเหมือนปูเฉสวนที่ทิ้งเปลือกหอยเก่าไปหาเปลือกใหม่ไปเรื่อยๆ ไปตู่พระพุทธเจ้า ตู่คำสอนพระพุทธเจ้าเอายี่ห้อพุทธศาสนาไปอย่างเดียว นอกนั้นเป็นการตู่ท้วงเอาหมดเลย ใส่ร้ายหมดเลยคือ อพฺภาจิกฺขสิ

เขาทำความไม่ถูกต้องในธรรมพระพุทธเจ้า ทำให้ผิดรูป แปลงร่างไปหมดเลย ซึ่งมันไม่จริง คือการกล่าวตู่ใส่ร่าย ไปยัดสิ่งไม่จริงว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ทำให้สิ่งจริงเสียหายแล้วตนเองก็ขุดตนเองด้วย  อตฺตานฺจ    ขนสิ

 

อาตมาเอาทานสูตรมาเป็นตัวยืนยันว่าเขาผิด

                           ทานสูตร

     [49]

     พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้

จาตุมมหาราชิกา = ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)

ธัมมชโยเอาข้อนี้แหละคือทำทานแล้วจะได้สั่งสม มุ่งหวัง ข้ามภพข้ามชาติ มาหลอกคนให้มาทำทานให้ตน

เป็นจิตที่ตั้งไว้ผิด

โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก  ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้เป็นคู่เวรกัน  พึงทำความฉิบหายและความทุกข์ใดให้ 

จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหายและความทุกข์นั้น   (ทิโส  ทิสัง  ยันตัง กยิรา เวรี  วา ปน  เวรินัง   มิจฉาปณิหิตัง  จิตตัง  ปาปิโย นัง  ตโต  กเรติ)

(ธรรมบท ล.25/13  และโคปาลสูตร ล.25/92 )

ธัมมชโยตั้งจิตไว้ผิด แล้วไปล้างสมองคน คนก็โง่ก็เชื่อก็เลยกลายเป็นมวลเกิดในโลก อันนี้เลวร้ายกว่าโจรหัวโจกทำร้ายกัน แต่นี่เหนือกว่าโจรหัวโจกอีก คนที่ตั้งจิตไว้ผิดนี่เลวกว่าอีก โจรธรรมดาก็เลวระดับหนึ่ง โจรหัวโจกก็เลวสองชั้นแล้ว นี่จิตที่ตั้งไว้ผิดเลวกว่าอีกเป็นชั้นที่สาม

เขาประกาศว่าเป็นพุทธ แล้วขยายผลไปในประเทศทั่วประเทศนอกประเทศอีก อธิบายผิดๆอย่างที่เขาอธิบายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าใส่ร้ายทำลายพระพุทธเจ้าทำร้ายศาสนาพุทธ เป็นการขุดตนเองให้จมดิ่งอเวจี

ธัมมชโยนี้สอนสี่อย่างนี้ ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ให้คนเชื่อเช่นนี้ นี่เป็นของธัมมชโย ไม่ได้ทำเหนือไปกว่านี้เลย เนื้อหานี้เป็นบาปอย่างยิ่งนะ สี่ประเด็นนี้

 

 พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

 

แต่ธัมมชโยนี้เอาเงินอย่างเดียว ประยุกต์ไปจากที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว เอาเงินมาแล้วฉันจะสร้างเองหมด

 

สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทานมุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

 

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ   ข้าว   น้ำ   ผ้า   ยาน   ดอกไม้   ของหอมเครื่องลูบไล้   ที่นอน   ที่พัก   ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทานคือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

 ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา ปู่  ย่าตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต

 เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน

คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษี  วามเทวฤาษี  เวสสามิตรฤาษี  ยมทัคคิฤาษี  อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษีวาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ

ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯและภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทาน

ด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

อานิสงส์คือประโยชน์ แล้วอานิสงส์ของศาสนาพุทธคือ การทำใจให้หมดภพชาติ

สรุป ทาน 7 แบบ ในทานสูตร ล.23 ข.49

1.จาตุมมหาราชิกา = ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)

2. ดาวดึงส์ = ให้ทานเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดี

3. ยามา= ให้ทานเพราะทำตามปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษ

4. ดุสิต= ให้ทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารมิได้

5. นิมมานรดี = ให้ทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่

6. ปรนิมมิตวสวัตตี=ให้ทานเพราะอยากได้ความปลื้มใจ (อตฺตมนตาโสมนสฺ)

7. พรหม = ให้ทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร)

 

ในเทวดาจาตุมมหาราชิกา ยังมีแบ่งเป็นสี่ทิศที่เหมือนมีผู้เป็นใหญ่อยู่สี่ทิศคือ ท้าวกุเวร          ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์ ชื่อเป็นเทวดาแต่พฤตินั้นเป็นภูติผีมารยักษ์

 

          อสุรกาย“แก้ว” คือ ธรรมกาย“เก๊”                 

                 ***********************************

         

          (1) “อสุรกาย”คือชื่อผู้      สัตว์นรก

          คนที่ชั่วสกปรก                นั่นแล้

          โลภหลอกเล่ห์โกหก         ครบสูตร

          เทพบุตรแต่มารแท้ ผงาดท้าสัจธรรม

          (2) ไทยกำลังกวาดล้าง    อธรรม

          แต่ชั่วยิ่งก่อกรรม   เก่งกล้า

          เลวได้ไม่รู้สำ-                 นึกสัก หน่อยเลย

          ซ้ำกระหน่ำย้ำท้า    เยาะเย้ยกฎหมาย

          (3) “ธรรมกาย”นั้นชื่อผู้    ตถาคต

          จงอย่าโอ่โป้ปด      ชั่วช้า

          สะกดจิตอยากรวยหมดลาภยศ ดังเด่น

          เอาแต่สอนบ้าบ้า    ช่องนี้ช่องเดียว              

          (4) เยียวยายากยิ่งแล้ว    คนวิกล

          จิตถูกสะกดจน                 สุดแก้

          เล่ห์ครูสั่งให้ขน     เงินทุ่ม ทานเลย

          ถูกรีดหมดตัวแท้     กลับซึ้งคำยอ        

          (5) กว่าหมอดูกว่าฟ้า       ทำนาย

          ตัวต่ำอสุรกาย                  ว่า“แก้ว”

          ธรรมกาย“เก๊”กว่าขาย      ของเน่า

          กว่านรกแม่นแล้ว   สัตว์“แก้ว”ธรรมไถล        

          (6) หากแม้นไม่ชั่วแท้      กลัวใด

          หลบอยู่ในรูไฉน    ไม่กล้า

          เก่งรู้เก่งฤทธิ์ไป     ไยหด หัวเวย

          อวดเก่งเบ่งว่าข้า    นี่เฮ้ย“คนดี”  

          (7) ฉะนี้กายอสุระแท้      เต็มตัว

          กายสัตว์ซุกหางหัว ห่อนแย้ง

          เป็นสัตว์ที่ก่นกลัว   จริงสุด แล้วเฮย

          เอาแต่ร้องถูกแกล้ง โธ่ธั้ง“ธรรมกวย”

           

                                      “สไมย์ จำปาแพง”                                                           13 ส.ค. 2559       

 

 

 

 

 

เทวดานั้นคือของเก๊ เทวดาคือความสุขรสสุข มันเป็นของเก๊ของหลอกของเท็จ อย่างอาตมาแต่ก่อนกินพริกขี้หนูก็อร่อย แต่ตอนนี้แตะเข้าไปแสบอย่างเดียวเลย อันอื่นก็เหมือนกันอันนี้มันหวาน อันนี้เปรี้ยว ปะแล่มๆ ก็ไปติดรสอัสสาทะนี้ไป มีแต่ในโลกีย์ แต่โลกุตระแล้วไม่มี มันไม่มีตัวตน ความจริงมันอนัตตา ส่วนมันมีรสเปรี้ยวก็ได้รับเหมือนกันหมดไม่ว่าอรหันต์หรือปุถุชน กลิ่นอย่างนี้ สัมผัสพระพุทธเจ้าอรหันต์ปุถุชนก็สัมผัสเดียวกัน แต่ตัวที่เกิดจากความโง่อวิชชาเป็นรสสุขรสอร่อยนั่นต่างหากที่ไม่มีเหมือนกัน อรหันต์หวานก็หวานแต่ไม่มีอร่อย ไม่มีอัสสาทะไม่มีหอม กลิ่นนี้ได้ชื่อว่าหอม ต่างกับเหม็น แต่ความชอบใจกับไม่ชอบใจนี้เป็นของคนสมมุติ แล้วคนที่มีก็มีจริงๆ คนที่ไม่หมดก็หมดจริง นี่คือนิพพานคืออนัตตา ไม่ใช่ไปนั่งสมาธินึกคิดเอา ว่านิพพานคือพุทธเกษตรอย่างธรรมกายสอนนี่เป็นการขุดเป็นการตู่พระพุทธเจ้า คนใดที่สอนแบบธัมมชโยนี่เลิกเสียตนเองลงนรกลึกไปเรื่อยๆ

ธัมมชโยนั้นเป็นภูติมารผีเดรัจฉานยักษ์ ให้คนทำทานอย่าง ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) เขาดีใจที่ตนได้เป็นภูติมารผีเดรัจฉานยักษ์ เขาก็ไม่เลิกเป็น

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:10:37 )

590815

รายละเอียด

590815_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฝันหรือนิมิตเป็นเช่นไร

อย่างอาตมาไม่ไปวุ่นวายกับโอลิมปิก ตอนนี้ประเทศไหนถือว่ามีเกียรติมากที่ได้จัดโอลิมปิก ถือว่าเป็นความเห็นที่เสื่อมมาก อาตมากขออย่าให้ประเทศไทยได้จัดโอลิมปิกเลย มันต้องเสียเงินไปทำเพื่อเกียรติยศที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลย กีฬาคือการละเล่นของสัตว์นรกขิฑฑาปโทสิกะเขาชอบ ผู้ใดที่ติดในอารมณ์สนุกสนานรื่นเริง เป็นขิฑฑา ที่เป็นโทษ ปโทสิกะ คือสัตว์นรก ขออภัยที่พูดเหมือนจรเข้ขวางคลอง อย่าไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับสิ่งเหล่านั้น อย่าไปหลงตามโลกที่ไม่รู้โลกุตรธรรมของพุทธ มันเสียจริงๆที่ไปหลงเห่อไปกับเขา

พูดไปเหมือนขวางเขา มีช่องไหนทีวีไหนที่ไม่รายงานกีฬาโอลิมปิกกันนะ ก็มีแต่ช่องบุญนิยมทีวีนี่แหละ เขาว่างเป็นรายงานกีฬานี้เลย เขาได้สปอนเซอร์ด้วยนะ การจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอบายมุขคงหายากกว่าจับโปเกม่อนนะ เขาไม่รู้ว่าเป็นอบายมุขแล้วก็ไม่คิดจะจับ ปล่อยให้วุ่นวายอยู่ในจิตเขาอยู่นั่นเอง ก็ยิ่งจมในอบายจัดจ้าน หนักหนาสาหัส

 

ฝันหรือนิมิตเป็นเช่นไร?

สายเถรวาทหลับตานั่งสมาธิ ก็ไปตีความว่าอรหันต์นอนหลับแล้วไม่มีฝัน ดับนิ่ง อาตมาก็ขออธิบายชัดๆว่า เวลาหลับจิตก็อยู่ที่เรา ที่เรียกว่าฝันเป็นภาษาที่เรียกตามปุถุชน คือฝันแล้วมีอารมณ์ไปตามฝัน ก็สุขทุกข์ รุนแรงไปกับฝัน คือ มันจะมีเรื่องราวที่กระทบสัมผัส มีพฤติใดถ้าจะโลภก็โลภ จะโกรธก็โกรธ แบบนั้นคือฝันของปุถุชน แต่อรหันต์ก็มีเรื่องราวในตอนหลับ แต่ไม่มีอารมณ์โลภ หรือโกรธในภาพเหล่านั้น เรียกว่ามีนิมิต อรหันต์จะหลับแล้วไม่มีนิมิตก็ได้ พวกนั่งหลับตาสมาธิก็ฝึกให้ดับได้เก่ง ก็เก่งจนนอนหลับก็ไม่ฝันได้ เขาก็พักได้มากกว่าที่จะมีเรื่องราว แต่ไม่ได้หมายถึงว่าการพักไม่มีนิมิตเรื่องราวนี้จะเป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นอรหันต์ได้ ฤาษีชีไพรเขาก็ดับได้ แต่ไม่ได้นับเป็นโสดาบันเลย ตัดได้ดับได้ ไม่ฝันไม่นึกคิดได้ ให้จิตหยุดสนิทหยุดทำงาน แต่อนุสัยอาสวะนั้นทำงานอยู่ แต่สำนึกข้างบนนี้หยุด แต่ไม่ได้ชำระกิเลส อนุสัยอาสวะก็ปรุงไปแต่คุณสะกดจิตไว้

ฝันก็คืออาการที่ทุกคนเคยฝัน บางคนก็ละเมอสะดุ้งสะเทือน สุขทุกข์มีกิเลสไปตามฝัน มีอาการโลภ ราคะ โกรธ ตามเรื่องราวในฝัน นั่นคือฝันปุถุชน

เป็นโสดาบันก็ฝันน้อยลงถึงเรื่องโลภ ราคะ โกรธ  เป็นสกิทาคามีก็มีโลภ ราคะ โกรธ น้อยลงอีกในฝัน เป็นอนาคามีก็ยิ่งน้อย เป็นอรหันต์ก็หมดโลภ ราคะ โกรธ ในฝันเลย เป็นเรื่องดีก็ได้ เป็นเรื่องไม่ดีก็ได้ แต่อรหันต์ก็ไม่เกิดอารมณ์ไปด้วย มีเรื่องราวก็จะรู้ว่าตัวละครทำให้เกิดกุศลหรืออกุศล แต่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ทำให้เกิดอาการของจิตโลภ ราคะ โกรธ แม้ลืมตาพบคนต่างๆ มีเรื่องที่น่าโลภ ราคะ โกรธ แต่อรหันต์ท่านก็ไม่มี ตอนนอนมีนิมิตท่านก็ไม่มีเหมือนกัน

ในนิมิตของอรหันต์ จึงเป็นสื่อธรรมะให้ท่าน ที่ขึ้นมาในจิต เพราะไม่ได้เอาจิตไปเกี่ยวข้องรับรู้เรื่องภายนอก นอนหลับจึงมีแต่เรื่องส่วนตัว จึงเป็นการรู้ธรรมะของนิมิตต่างๆ ยิ่งได้ธรรมะ

เป็นนักปฏิบัติธรรมคุณจะอ่านอารมณ์ในฝันได้ อ่านให้ดี มันชี้บ่งว่าเรานอนหลับแล้วฝัน มีโลภ ราคะ โกรธ เหมือนเก่าหรือไม่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถ้าปฏิบัติมีมรรคผลจะนอนหลับฝันดีขึ้นเรื่อยๆ

 

สรุปแล้วโอปปาติกะคือสัตว์ทางจิตวิญญาณหากไม่สามารถกำหนดรู้ มีญาณกำหนดรู้ จะรู้โอปปาติกะได้ด้วยอาการลิงคนิมิตอุเทส ไม่ได้รู้ได้ด้วย รูปร่าง เส้นแสงเงาสี แท่งก้อนไม่ได้ รู้ได้ด้วยอาการ เช่น

อาการกิเลส อาการโกรธ หรืออาการโศกเศร้าเสียใจ อาการดีใจ อาการหลง ต่างๆ ต้องเรียนรู้อาการพวกนี้ให้ได้ ยิ่งอาการของจิตที่สะอาดขึ้นๆ จนที่สุดเป็นอาการของอรหันต์ ก็ต้องรู้ได้ด้วยอาการ มีเครื่องหมาย(นิมิต)ให้รู้ว่าอาการมันต่างจากโลกีย์ มีลิงคะ ที่ต่างกัน

เราต้องเรียนอ่านมันให้รู้ตั้งแต่กามภพ มันจัดจ้านทางทุจริตอกุศล เราต้องมีความรู้ว่าเป็นอกุศล เป็นเรื่องต่ำ อบาย ไม่เจริญ​เราก็ต้องรู้ ว่ามีกรรมกิริยา ปรุงแต่งเห็นเรื่องราวเกี่ยวข้อง จะต้องไปร่วมสังสรรอยู่ โดยเฉพาะไปสังสรรแล้วเราเกิดจิตเป็นรสชอบ ชื่นใจดีใจ ยังเสพรสนี้เป็นสุขอยู่ เช่นยังชอบการละเล่น กีฬา ตอนนี้ก็มีกีฬาโอลิมปิก จะต้องไปยุ่งเกี่ยว ต้องพนัน เสพ สนุกสนานเกิดรสชาติเป็นชีวิตชีวา นั่นแหละเป็นอาการที่เกิดในจิตของคุณ คุณยังไม่หลุดพ้นจากสิ่งนั้น

อาตมาเคยบอกว่ามันเป็นอบายเรื่องกีฬาพวกนี้ ไทยเราก็ส่งนักกีฬา เขาก็ดีอกดีใจ ในการมีคนเก่ง ทำชื่อเสียงให้เหรียญทอง แต่คนในประเทศที่พยายามทำงานสร้างคนให้มีจิตอาริยะ ให้เลิกทุจริตที่คสช.กำลังปราบกันให้มีกุศลทำงานช่วยมนุษยชาติส่วนรวมไม่เห็นแก่ตัว คนเหล่านี้น่าจะได้รับการดีใจมากกว่า ที่จะได้ดีใจไปชนะทางโน้น

ทางนี้แม้เป็นงานที่ยาก ยากกว่าไปเตะลูกกลมๆยากกว่าตีลูกขนไก่เยอะเลย ทำให้คนเป็นคนดีคนประเสริฐ ในชาตินี้ยากกว่ามากเลย เขากลับไม่เห็นคุณค่า ว่าคนเช่นนี้ตั้งใจทำกว่า แล้วได้แล้วได้ตลอดเลยนะ ไม่ใช่ไปนั่งแย่งโลกธรรมกับเขาด้วย ยิ่งสร้างสรรทำให้สังคมดีขึ้นด้วย ขออภัยไม่ได้ทวงบุญคุณด้วยเลยนะ เป็นการอธิบายความเห็นเท่านั้น

คือไม่เห็นสาระเป็นสาระ แต่ไปเห็นอสาระเป็นสาระไป

เรื่องโอปปาติกะนี้เป็นแก่นของพุทธเลย จิตวิญญาณเป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์นรกชั้นต่ำ จนทำให้เป็นเทวดาคือเจริญเป็นอุบัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพ เป็นจิตวิญญาณพรหม ที่จะต้องศึกษาให้ดี แล้วสัตว์โอปปาติกะนี้จะเกิด มีพ่อแม่ให้เกิด มาตา ปิตา ในสัมมาทิฏฐิ ก็ต้องมีปัญญาเข้าใจว่าอะไรคือแม่คือพ่อ ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขาที่เป็นพ่อแม่ตัวตน แต่เป็นสภาวะที่เป็นพ่อเป็นแม่ทำให้เกิดลูกคือจิตวิญญาณใหม่

คำว่าปโรโลโก หรือปรโลก คือโลกหน้า คือโลกทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่โลกที่เกิดทางเนื้อหนัง แบบเกิดเป็นชาตินี้ชาติหน้า แต่แท้จริงโลกหน้าคือโลกโลกุตระที่ไม่ใช่โลกนี้ที่ปุถุชนเขาเป็นกันอยู่ โลกหน้าคือโลกโลกุตระที่เป็นโสดาบนสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ไปตามลำดับ ที่จะหยุดวนเวียนกับโลกเก่าที่เป็นโลกอบาย โลกกามคุณ โลกธรรม โลกอัตตา

อย่างอาตมาไม่ไปวุ่นวายกับโอลิมปิก ตอนนี้ประเทศไหนถือว่ามีเกียรติมากที่ได้จัดโอลิมปิก ถือว่าเป็นความเห็นที่เสื่อมมาก อาตมากขออย่าให้ประเทศไทยได้จัดโอลิมปิกเลย มันต้องเสียเงินไปทำเพื่อเกียรติยศที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลย กีฬาคือการละเล่นของสัตว์นรกขิฑฑาปโทสิกะเขาชอบ ผู้ใดที่ติดในอารมณ์สนุกสนานรื่นเริง เป็นขิฑฑา ที่เป็นโทษ ปโทสิกะ คือสัตว์นรก ขออภัยที่พูดเหมือนจรเข้ขวางคลอง อย่าไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับสิ่งเหล่านั้น อย่าไปหลงตามโลกที่ไม่รู้โลกุตรธรรมของพุทธ มันเสียจริงๆที่ไปหลงเห่อไปกับเขา

พูดไปเหมือนขวางเขา มีช่องไหนทีวีไหนที่ไม่รายงานกีฬาโอลิมปิกกันนะ ก็มีแต่ช่องบุญนิยมทีวีนี่แหละ เขาว่างเป็นรายงานกีฬานี้เลย เขาได้สปอนเซอร์ด้วยนะ การจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอบายมุขคงหายากกว่าจับโปเกม่อนนะ เขาไม่รู้ว่าเป็นอบายมุขแล้วก็ไม่คิดจะจับ ปล่อยให้วุ่นวายอยู่ในจิตเขาอยู่นั่นเอง ก็ยิ่งจมในอบายจัดจ้าน หนักหนาสาหัส

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:11:07 )

590815

รายละเอียด

590815_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฝันหรือนิมิตเป็นเช่นไร

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2559 ปีวอกไม่ต้องแวก อย่าวอกแวก ที่บอกว่าอย่าวอกแวกคือ ไม่มีสติสัมปชัญญะไม่อยู่กับสิ่งสำคัญในปัจจุบันก็เลยไม่ได้ผลไม่ได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นพวกเราได้มาศึกษาเรียนรู้โดยเฉพาะเป็นความรู้ของปราชญ์เอกของโลกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เอาความรู้มาประกาศให้คนเห็นคนรู้คนได้เอามาประพฤติปฏิบัติใส่ตนเองให้ได้ อาตมาว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้วที่จะมีบุคคลค้นหาอะไรได้ ได้มาเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ได้สิ่งที่สุดยอดสุดประเสริฐในความเป็นมนุษย์ที่พึงได้พึงไป ควรได้ควรเป็น

แต่ทำไมคนเราไม่ค่อยเห็นความสำคัญตรงนี้โดยเฉพาะในประเทศไทยเป็นชาวพุทธถึง 95 เปอร์เซ็นต์แต่ไม่ค่อยเห็นจะเอาใจใส่

กิจการกิจกรรมของวัดต่างๆของนักบวชต่างๆในประเทศไทยที่ทำกันทุกวันนี้มันไม่ใช่กิจของศาสนา ที่สอนกันในวัดต่างๆก็ไม่ใช่แบบพุทธ คนที่จะไปวัดนั้นก็จะไปเมื่อเป็นประเพณีหรือประเพณีที่จะต้องไป หรืองานที่วัดจัดขึ้นซึ่งก็ไม่ใช่กิจกรรมของศาสนาพุทธ แต่เป็นประเพณีที่ประกอบประยุกต์ขึ้น หรือที่บอกว่าจะต้องไปเช่นตายก็ต้องหามเข้าวัด เป็นประเพณีก็ไม่ใช่กิจกรรมของศาสนาพุทธ ที่จะทำเลยเถิดกันขนาดนี้

อาตมาเอาชีวิตมาเพื่อที่จะสืบทอดศาสนาพุทธ ก็ไม่ได้มีอาจารย์ที่ไหนมาสอน จากเดิมที่เคยทำมาหากินก็มารู้ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญของศาสนาพุทธเลย ไม่ใช่ที่จะต้องมาหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จะต้องมาทำอะไรอะไรเลยไม่ใช่ อาตมาจึงทิ้งสิ่งที่ตัวเองสามารถหาเงินหาทองอยู่ทางโลกได้ ไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกเลย สร้างรายได้สร้างฐานะของตัวเองไปได้เจริญด้วย อายุ 36 ปีก็เข้าใจ ว่าคนควรจะอยู่กับอาริยธรรม มีชีวิตมีพฤติกรรมเช่นนี้ จะทำอาชีพก็ต้องทำอย่างสัมมาชีพ มีสัมมากัมมันตะเช่นนี้ มีสัมมาวาจาเช่นนี้

แต่ก่อนอาตมาก็มีอาชีพพูดอยู่หน้าจอทีวีเช่นนี้ แต่ตอนนี้พูดคนละเรื่องเลยตอนนั้นพูดให้คนนิยมชมชอบจะได้เงินได้ทองได้รับยศสรรเสริญ ก็ดัดจริตเสียไม่มี พิธีกรที่ออกหน้าเวทีนั้นดัดจริตทุกคนแต่ดัดจริตแบบโลกโลก แต่ตอนนี้อาตมาก็มาพูดอยู่หน้าจอไม่มีดัดชัดๆเลยมีแต่พูดอย่างจริงใจมีแต่ต้องระมัดระวังว่าจะแรงไป เพราะว่าการพูดจริงก็มีทั้งติทั้งชม

อาริยธรรมของพระพุทธเจ้าคือสิ่งที่เรียกว่าวิชชาสมบัติ จรณสมบัติ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ตรัสรู้แล้วเอามาให้แก่มนุษย์ให้ได้ เป็นสมบัติประจำตัวสมบัตินี้จึงเป็นทั้งคุณสมบัติที่เป็นคุณธรรมเป็นคุณวิเศษ เป็นคุณลักษณะเป็นคุณประโยชน์เป็นคุณค่า พูดแล้วก็เลยเห็นว่าคนเราเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนแท้ๆบางคนอายุมากแล้ว 70 ปี 80 ปี ตลอดเวลาที่มีชีวิตไม่ได้ใส่ใจที่จะได้สิ่งเหล่านี้เลย เลยจนตายไปไม่รู้กี่ล้านๆคนแล้ว แม้ศาสนาพุทธประกาศมากกว่า 2600 ปีแล้ว น่าเศร้าจริงๆ

พวกคุณนี่น่าอนุโมทนาสาธุ หรือผู้ที่ใส่ใจฟังหน้าจอตอนนี้ที่เห็นว่าตนเองต้องศึกษาเช่นนี้แหละหรือศึกษาจากที่อื่นอีกก็น่าอนุโมทนา แม้ไม่ไปที่อื่น เอาจากหน้าจอบุญนิยมทีวีก็มีวิชชาสมบัติจรณสมบัติกองใหญ่เลย

เป็นวิชชาจรณสัมปัณโณที่จะต้องเข้าถึงให้ได้ อาตมาก็คงต้องพูดในมุมนี้มากขึ้น ว่าทำไมพุทธศาสนิกชนแท้ๆไม่คำนึงว่าอันนี้เป็นสมบัติที่ควรได้ควรเป็นยิ่งกว่าไปได้ยศศักดิ์เงินทอง มากกว่าโลกธรรม หรือสมบัติใดๆ แต่นี่คือโลกุตรสมบัติ ที่พระพุทธเจ้าท่าน

มาดู sms

 0893867xxx ผู้น้อยส่งด่วนemsไปหลายวันมิทราบยาอมสมุนไพรจีนถึงมือท่านแล้วฤายัง?ขอให้พ่อครูมีเสียงใสกังวานเทศน์ให้พวกเราฟังไป100ๆปีสาธุ

 0893867xxx ธ.นิมิตตังสาธุรูปานังกตัญญูกตเวทิตา!อันพ่อครูสอน ทำให้รู้ว่าพ่อแม่ที่ขาดศีลธ.เป็นมิจฉาทิฐิสอนให้ลูกกตัญญูไม่ได้!แต่ลูกมีศีลธ.ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิกตัญญูรู้คุณด้วยตนเองได้!

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.ที่มีศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อเกิดโอปปาติกโยนิกเป็นลูก!คือการเกิดจิตวิญญาณที่จะเป็นอาริยะมิใช่จากกัมมโยนิแต่เกิดที่ทิชาชาติที่ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิแล้วสาธุ

ตอบ…อาตมาอธิบายว่าลูกทุกคนเป็นลูกทางสรีรพันธุ์ของพ่อแม่ไม่ใช่เกิดจากกรรมพันธุ์ของพ่อแม่แต่อย่างใด

 

_จากไลน์ คุณบุญเรือน กราบเรียนถามค่ะว่าเวลาที่เราหลับจิตของเราอยู่ที่ไหนคะ?

ตอบ...ก็อยู่ที่ตัวคุณ หลับแล้วจิตจะไปไหน ไม่ไปไหนหรอก ถ้าจิตไม่อยู่ที่ตัวคุณก็ตายแล้ว แต่คนนอนหลับนั้นเป็นคนที่ปิดความเป็นสติ สัมปชัญญะทางทวารนอก ก็ไปอยู่กับจิต จิตก็อยู่กับตัวคุณ คุณมีอาการ 32 มีแท่งดินน้ำไฟลม เป็นรูปร่างกายก็มีจิตในนั้น นอนหลับก็จิตอยู่ในนั้น

มีสองนัย คุณจะรู้สึกได้สองนัย นัยหนึ่งจะมีนิมิตหรือฝันอีกนัยหนึ่งคือพักหยุดเฉย นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องก็พักหมดเลยทุกทวาร ทั้ง 6 หรือคุณก็เหลือแต่จิตที่รับรู้เป็นฝันหรือนิมิต

 

ฝันหรือนิมิตเป็นเช่นไร?

สายเถรวาทหลับตานั่งสมาธิ ก็ไปตีความว่าอรหันต์นอนหลับแล้วไม่มีฝัน ดับนิ่ง อาตมาก็ขออธิบายชัดๆว่า เวลาหลับจิตก็อยู่ที่เรา ที่เรียกว่าฝันเป็นภาษาที่เรียกตามปุถุชน คือฝันแล้วมีอารมณ์ไปตามฝัน ก็สุขทุกข์ รุนแรงไปกับฝัน คือ มันจะมีเรื่องราวที่กระทบสัมผัส มีพฤติใดถ้าจะโลภก็โลภ จะโกรธก็โกรธ แบบนั้นคือฝันของปุถุชน แต่อรหันต์ก็มีเรื่องราวในตอนหลับ แต่ไม่มีอารมณ์โลภ หรือโกรธในภาพเหล่านั้น เรียกว่ามีนิมิต อรหันต์จะหลับแล้วไม่มีนิมิตก็ได้ พวกนั่งหลับตาสมาธิก็ฝึกให้ดับได้เก่ง ก็เก่งจนนอนหลับก็ไม่ฝันได้ เขาก็พักได้มากกว่าที่จะมีเรื่องราว แต่ไม่ได้หมายถึงว่าการพักไม่มีนิมิตเรื่องราวนี้จะเป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นอรหันต์ได้ ฤาษีชีไพรเขาก็ดับได้ แต่ไม่ได้นับเป็นโสดาบันเลย ตัดได้ดับได้ ไม่ฝันไม่นึกคิดได้ ให้จิตหยุดสนิทหยุดทำงาน แต่อนุสัยอาสวะนั้นทำงานอยู่ แต่สำนึกข้างบนนี้หยุด แต่ไม่ได้ชำระกิเลส อนุสัยอาสวะก็ปรุงไปแต่คุณสะกดจิตไว้

ฝันก็คืออาการที่ทุกคนเคยฝัน บางคนก็ละเมอสะดุ้งสะเทือน สุขทุกข์มีกิเลสไปตามฝัน มีอาการโลภ ราคะ โกรธ ตามเรื่องราวในฝัน นั่นคือฝันปุถุชน

เป็นโสดาบันก็ฝันน้อยลงถึงเรื่องโลภ ราคะ โกรธ  เป็นสกิทาคามีก็มีโลภ ราคะ โกรธ น้อยลงอีกในฝัน เป็นอนาคามีก็ยิ่งน้อย เป็นอรหันต์ก็หมดโลภ ราคะ โกรธ ในฝันเลย เป็นเรื่องดีก็ได้ เป็นเรื่องไม่ดีก็ได้ แต่อรหันต์ก็ไม่เกิดอารมณ์ไปด้วย มีเรื่องราวก็จะรู้ว่าตัวละครทำให้เกิดกุศลหรืออกุศล แต่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ทำให้เกิดอาการของจิตโลภ ราคะ โกรธ แม้ลืมตาพบคนต่างๆ มีเรื่องที่น่าโลภ ราคะ โกรธ แต่อรหันต์ท่านก็ไม่มี ตอนนอนมีนิมิตท่านก็ไม่มีเหมือนกัน

ในนิมิตของอรหันต์ จึงเป็นสื่อธรรมะให้ท่าน ที่ขึ้นมาในจิต เพราะไม่ได้เอาจิตไปเกี่ยวข้องรับรู้เรื่องภายนอก นอนหลับจึงมีแต่เรื่องส่วนตัว จึงเป็นการรู้ธรรมะของนิมิตต่างๆ ยิ่งได้ธรรมะ

เป็นนักปฏิบัติธรรมคุณจะอ่านอารมณ์ในฝันได้ อ่านให้ดี มันชี้บ่งว่าเรานอนหลับแล้วฝัน มีโลภ ราคะ โกรธ เหมือนเก่าหรือไม่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถ้าปฏิบัติมีมรรคผลจะนอนหลับฝันดีขึ้นเรื่อยๆ

 

_โรงพิมพ์ฟ้าอภัย ขอกราบนิมนต์พ่อครูช่วยประกาศแจ้งด้วยว่า..

หนังสือเล่มแจกพร้อมหนังสือเราคิดอะไร ฉบับที่ 316 พ.ย. 59 ในเดือนมหาปวารณา ครบรอบ 46 ปีของพ่อครู ชื่อว่า"โพธิสัตว์บนดิน" นำมาพิมพ์แทน เล่มศิลปะโลกกุตระ ซึ่งจะแจกในโอกาสต่อไป(ยังไม่กำหนด)

 

SMS 14 AUG 59

0897855xxx ชุมชนอโศกต้นแบบของมนุษย์บนโลกที่ประเสริฐสุด

ตอบ….ทำไมคนรู้ อาตมายอมรับด้วยว่าจริงเพราะว่าเป็นชุมชนแห่งสาราณียธรรม 6

1.      เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.      เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.      เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.      แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   
(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.      มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

          (สีลสามัญญตา)

6.      มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22  ข. 282-283)

แม้ว่าชาวอโศกจะไม่หมดกิเลสทุกคนแต่จะมีจิตสำนึกที่จะสังวรสำรวม พฤติกรรมทางวาจาก็จะไม่พูดว่า เงินของเราของเขาของฉัน จะถกเถียงกันเพื่อเอามาเป็นของข้า  แม้แต่พฤติกรรม กัมมันตะก็ไม่ทำ มีแต่ให้กันช่วยเหลือกันแบ่งแจกกันเหมือนครอบครัวเดียวกัน

เป็นสังคมที่โลกทั้งโลกต้องการ แน่ ไม่ได้บังคับ แต่มีทิฏฐิสามัญตา ชุมชนอโศกทุกแห่งมีหลักการเช่นนี้นะ อยู่อย่างสาธารณโภคี ไม่มีอบายมุขนะ มีศีลสามัญตา

ไม่มีเดรัจฉานวิชชาเหมือนวัดทั่วไป สมณะชาวอโศกไม่มีละเมิด จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อย่าว่าแต่สมณะเลย ฆราวาสก็ทำได้

พระพุทธเจ้าว่าถ้าจะชมเราให้ชมที่เรามีศีล ชาวอโศกก็เป็นผู้มีศีลจะชมก็ต้องชมว่ามีศีล

เว้นขาดการรับใช้คือเว้นขาดจากการรับจ้าง แต่การทำอะไรช่วยเหลือให้เป็นการรับใช้ ศาสนาพุทธนี่จะพยายามทำงานเพื่อช่วยให้ เรียกว่ารับใช้อย่างแท้จริง แต่ไม่รับจ้าง การทำฑูตกรรม คือผู้มีสิ่งลึกซึ้งไปให้ ฑูตคือผู้ไปให้เป็นธรรมฑูตก็เอาธรรมะไปให้ เป็นฆราวาสฑูตก็เอาคุณธรรมเอาสมบัติไปให้ ไม่ใช่เป็นผู้ไปเอา

ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลให้เว้นขาดจากการรับใช้(รับจ้าง) แต่ทุกวันนี้เขารับจ้างไปหมดต้องได้สิ่งแลกเปลี่ยนกลับมาทั้งนั้น แต่ธรรมะต้องเว้นขาดจากการรับจ้าง จึงเป็นผู้รับใช้โดยตรง

สำคัญคือต้องเว้นขาดจากการรับจ้างหรือเป็นฑูตที่ไปเอาอะไรจากเขา แต่ธรรมฑูตคือผู้มีธรรมะแล้วเอาธรรมะไปแจกก็ถูกต้อง มีเจตนาตรงอยู่ แต่ธรรมะที่เขาไปแจกจ่ายกัน คือที่ท่านเข้าใจว่าเป็นพุทธศาสนาก็เลยแพร่ลัทธิเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธ

พวกเราเว้นขาดตาม จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ได้มากเลย

 

0893867xxx สากลโลกประจักษ์ชัดพระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกบิดเบือนโดยพวกมหัปปิจฉะมหิจฉะไม่มีวันทำให้สังคมโลกสุขสงบสันติไปได้เลย! ปราชญ์สากลโลกล้วนรู้จริงชัดแจ้งแก่ใจว่ามีแต่3สิ่งที่คุ้มครองโลกได้คือใช้กฎหมายเป็นธรรม,ถือศาสนาถูก ตรง,ทำความดีบริสุทธิ์ใจ!แต่ไม่ทำให้ถูกต้องเองเพราะเห็นแก่เงินมากกว่าเห็นแก่สันติภาพ!พ่อครูว่าจริงไหม?

0893867xxx ธ.อันพ่อครูกล่าวว่าจิตที่ตั้งไว้ผิดนี่เองที่ไม่มีใครหยุดอาชญากรก่ออาชญากรรมทั่วสังคมโลกได้เพราะผู้ถือศาสนาไม่ถูกตรงผู้ถือกฎหมายไม่เป็นธรรมเป็นยิ่งกว่าโจรเสียเองเอวัง!พุทธมังสะ ฯ

คนทุศีลส่วนมากไม่เชื่อบุญบาปสบประมาทในกรรม!คิ ดว่ากรรมเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งๆที่ทุกๆการกระทำดีชั่วนั่นแลคือกรรมใกล้ตัวตามติดดังเงาทุกลมหายใจ!

ฟังธรรมนึกถึงคำพ่อครูเก่าก่อนทีไร!พอเราหมดขุ่นมัว หมดความโกรธหมดความเคืองความแค้น!แม้หน้าเ ราจะไม่เหมือนพระจันทร์ ไม่เหมือนรูปไข่!จะเบี้ยวนิด โค้งหน่อยมันก็งาม!แม้ผิว ดำก็จะดูผ่องใส!ยิ้มทุกที!

ตอบ...สำนักธรรมกายนี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นชัดได้มาก ถึงความขุดตน ตู่คำสอน ใส่ร้ายคำสอน ตู่ธรรมะบิดเบือนธรรมะของพระพุทธเจ้า (ขนสิ=ขุดตน)

เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติ ที่เป็นภิกษุที่มีทิฏฐิลามก ผิดเพี้ยนไป พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่าเธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ  ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?   สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.

คือธัมมชโยก็ทำให้คนมามีจิตมุ่งหวัง สอนให้ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) เหมือนภิกษุสาติ ก็เลยเป็นโมฆบุรุษอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงภิกษุสาติ

ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต อันนี้ก็ชัดเลยว่า ที่ธัมมชโยสอนนี้ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า

คิดหรือพูดหรือทำเมื่อใดก็เป็นกรรม กรรมนี้เป็นข้อที่ 4 ของทิฏฐิ 10 ตั้งแต่มรรคองค์ 8ก็กรรม ทิฏฐิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะก็กรรม ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

กรรมทุกอย่างทำแล้วเป็นผลวิบาก ทำแล้วเป็นของตน

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

ทำแล้วเป็นของตนเลย จะเป็นผลวิบากกุศลหรืออกุศลเราก็ทำเองทั้งนั้น

ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้เพี้ยนไปที่แบ่งกรรมกันได้ แบ่งบุญกันได้ ทำให้ศาสนาพุทธเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าบอกว่ากรรมเป็นของๆตน แบ่งให้กันไม่ได้

พ่อแม่จะแบ่งกรรมพันธ์ุมาให้ลูกไม่ได้ แบ่งมาเป็นเชื้ออะไรของลูกไม่ได้ ลูกต้องทำของตนเอง พ่อแม่ก็ต้องทำของตนเอง แล้วมรดกกรรมก็ของใครของมัน แล้วกรรมนี้พาเราเป็นเราเกิด โดยเฉพาะโยนิคือการเกิด การเกิดทางจิตวิญญาณคือโอปปาติกโยนิ การเกิดทางสรีระไม่ได้แบ่งมาเลย แบ่งให้ไม่ได้ แบ่งกรรมมาให้ไม่ได้ มีส่วนที่จะออกมาก็คือ เรื่องของ Genetic ทางชีววิทยา แต่กรรมแบ่งกันไม่ได้ให้กันไม่ได้ ยิ่งไปบอกว่าแบ่งบุญยิ่งไม่ได้เลย

 

บุญคือเครื่องชำระกิเลส มีหน้าที่ชำระกิเลส ไม่ได้เป็นสมบัติ จริงๆแล้วบุญมีหน้าที่ทำวิบัติให้กับกิเลส กำจัดทำลายกิเลส มีหน้าที่ทำลายบาป อกุศลจิต ทั้งกาย วาจา ใจ ก็ใช่แต่บุญนั้นทำลายที่อกุศลจิตโดยตรง ทำลายแล้วก็สูญไป ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับบุญอีก บุญมีหน้าที่ทำให้กิเลสหมดไป เป็นลำดับ โสดาบันก็ทำได้เป็นส่วนๆ ปุญญภาคิยา คือตนกำจัดกิเลสได้ กิเลสก็หมดไปกับตนได้ คำว่าส่วนบุญ เขาเข้าใจว่าเป็นสิ่งมีนั้นไม่ใช่ แต่บุญทำหน้าที่ทำความไม่มีถ่ายเดียว ทำสำเร็จคือกิเลสหมดไป ทำให้กิเลสศูนย์แต่ไม่ศูนย์ก็ทำได้เป็นส่วนๆ เร่ิมต้นทำก็ได้ส่วนบุญ

ในมหาจัตตารีสกสูตร

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

[254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

[255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ

อาตมามาประกาศตนเองเป็นอาริยะหรือเป็นอรหันต์เขาไม่สนใจเลย เขาไม่เชื่อแล้ว อย่างที่เขาบอกว่าเป็นกันในเมืองไทยเขาก็ไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้ว อาตมามาประกาศคนก็ไม่ค่อยเชื่อไปใหญ่ แต่คนหลอกอย่างธรรมกายนี้ทำไมก็มีคนไปเชื่อมากมายเลย ก็เห็นใจเขาว่ามันไม่มีผู้มีเนื้อแท้ของพุทธมาเปิดเผยนานมาแล้ว มาถึงยุคนี้เขาก็ไม่เห็นศาสนาว่ามีเนื้อหาอะไรให้เขาพึ่งได้ ก็เลยหันไปพึ่งอย่างอื่น พึ่งตนเอง แล้วเห็นว่าศาสนาเป็นประเพณี เอาไว้ทำพิธีเท่านั้น

 

เขาไม่รู้ว่า สัตว์โอปปาติกะเป็นอย่างไร เหมือนอาตมาก็ว่า ไม่รู้จักโปเกม่อนเหมือนกัน เขาไม่รู้จักแล้วโอปปาติกสัตว์เขาก็ว่าไม่มีแล้วไม่รู้เรื่อง ทำไม่ได้หรอก

แต่อาตมาศึกษามานี่ ต้องมีสัตว์โอปปาติกะ ต้องทำความเกิดความตายให้กับจิตวิญญาณให้ได้ ที่ท่านเน้นคำว่าเกิดทางจิตวิญญาณไม่เน้นคำว่าตาย เพราะว่า อกุศลที่จะต้องทำให้ตายนี้ไม่ใช่สิ่งอาศัยแม้แต่ตัวเราก็อย่ายึดมั่นเป็นตัวเราของเราเป็นแต่สิ่งอาศัย ส่วนตัวอกุศลจิตยิ่งไม่ต้องอาศัย ต้องทำให้หมดไปด้วยเลย กำจัดอกุศลได้จนหมดก็เป็นอรหันต์ ส่วนเป็นอนาคามีขึ้นไปเรียกว่า ผู้อุปปาติกะ เพราะจิตของท่านได้ฆ่ากามภพ เหลือแต่กิเลสส่วนที่เป็นของท่านเอง ท่านต้องรับผิดชอบของท่านเอง เป็นอนาคามี เป็นผู้ไม่เกี่ยวกับโลก

อนาคามีหากตายจากโลกกามภพไปแล้วก็เป็นผู้ไม่กลับมาสู่สภาพนี้อีก แม้ท่านไม่ตายตอนมีร่างนี้ ท่านก็ไม่เป็นแบบโลกๆอีก ไม่อาคามี คือกลับไปเป็นการแย่งโลกธรรมอีกแล้ว

สรุปแล้วโอปปาติกะคือสัตว์ทางจิตวิญญาณหากไม่สามารถกำหนดรู้ มีญาณกำหนดรู้ จะรู้โอปปาติกะได้ด้วยอาการลิงคนิมิตอุเทส ไม่ได้รู้ได้ด้วย รูปร่าง เส้นแสงเงาสี แท่งก้อนไม่ได้ รู้ได้ด้วยอาการ เช่น

อาการกิเลส อาการโกรธ หรืออาการโศกเศร้าเสียใจ อาการดีใจ อาการหลง ต่างๆ ต้องเรียนรู้อาการพวกนี้ให้ได้ ยิ่งอาการของจิตที่สะอาดขึ้นๆ จนที่สุดเป็นอาการของอรหันต์ ก็ต้องรู้ได้ด้วยอาการ มีเครื่องหมาย(นิมิต)ให้รู้ว่าอาการมันต่างจากโลกีย์ มีลิงคะ ที่ต่างกัน

เราต้องเรียนอ่านมันให้รู้ตั้งแต่กามภพ มันจัดจ้านทางทุจริตอกุศล เราต้องมีความรู้ว่าเป็นอกุศล เป็นเรื่องต่ำ อบาย ไม่เจริญ​เราก็ต้องรู้ ว่ามีกรรมกิริยา ปรุงแต่งเห็นเรื่องราวเกี่ยวข้อง จะต้องไปร่วมสังสรรอยู่ โดยเฉพาะไปสังสรรแล้วเราเกิดจิตเป็นรสชอบ ชื่นใจดีใจ ยังเสพรสนี้เป็นสุขอยู่ เช่นยังชอบการละเล่น กีฬา ตอนนี้ก็มีกีฬาโอลิมปิก จะต้องไปยุ่งเกี่ยว ต้องพนัน เสพ สนุกสนานเกิดรสชาติเป็นชีวิตชีวา นั่นแหละเป็นอาการที่เกิดในจิตของคุณ คุณยังไม่หลุดพ้นจากสิ่งนั้น

อาตมาเคยบอกว่ามันเป็นอบายเรื่องกีฬาพวกนี้ ไทยเราก็ส่งนักกีฬา เขาก็ดีอกดีใจ ในการมีคนเก่ง ทำชื่อเสียงให้เหรียญทอง แต่คนในประเทศที่พยายามทำงานสร้างคนให้มีจิตอาริยะ ให้เลิกทุจริตที่คสช.กำลังปราบกันให้มีกุศลทำงานช่วยมนุษยชาติส่วนรวมไม่เห็นแก่ตัว คนเหล่านี้น่าจะได้รับการดีใจมากกว่า ที่จะได้ดีใจไปชนะทางโน้น

ทางนี้แม้เป็นงานที่ยาก ยากกว่าไปเตะลูกกลมๆยากกว่าตีลูกขนไก่เยอะเลย ทำให้คนเป็นคนดีคนประเสริฐ ในชาตินี้ยากกว่ามากเลย เขากลับไม่เห็นคุณค่า ว่าคนเช่นนี้ตั้งใจทำกว่า แล้วได้แล้วได้ตลอดเลยนะ ไม่ใช่ไปนั่งแย่งโลกธรรมกับเขาด้วย ยิ่งสร้างสรรทำให้สังคมดีขึ้นด้วย ขออภัยไม่ได้ทวงบุญคุณด้วยเลยนะ เป็นการอธิบายความเห็นเท่านั้น

คือไม่เห็นสาระเป็นสาระ แต่ไปเห็นอสาระเป็นสาระไป

เรื่องโอปปาติกะนี้เป็นแก่นของพุทธเลย จิตวิญญาณเป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์นรกชั้นต่ำ จนทำให้เป็นเทวดาคือเจริญเป็นอุบัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพ เป็นจิตวิญญาณพรหม ที่จะต้องศึกษาให้ดี แล้วสัตว์โอปปาติกะนี้จะเกิด มีพ่อแม่ให้เกิด มาตา ปิตา ในสัมมาทิฏฐิ ก็ต้องมีปัญญาเข้าใจว่าอะไรคือแม่คือพ่อ ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขาที่เป็นพ่อแม่ตัวตน แต่เป็นสภาวะที่เป็นพ่อเป็นแม่ทำให้เกิดลูกคือจิตวิญญาณใหม่

คำว่าปโรโลโก หรือปรโลก คือโลกหน้า คือโลกทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่โลกที่เกิดทางเนื้อหนัง แบบเกิดเป็นชาตินี้ชาติหน้า แต่แท้จริงโลกหน้าคือโลกโลกุตระที่ไม่ใช่โลกนี้ที่ปุถุชนเขาเป็นกันอยู่ โลกหน้าคือโลกโลกุตระที่เป็นโสดาบนสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ไปตามลำดับ ที่จะหยุดวนเวียนกับโลกเก่าที่เป็นโลกอบาย โลกกามคุณ โลกธรรม โลกอัตตา

อย่างอาตมาไม่ไปวุ่นวายกับโอลิมปิก ตอนนี้ประเทศไหนถือว่ามีเกียรติมากที่ได้จัดโอลิมปิก ถือว่าเป็นความเห็นที่เสื่อมมาก อาตมากขออย่าให้ประเทศไทยได้จัดโอลิมปิกเลย มันต้องเสียเงินไปทำเพื่อเกียรติยศที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลย กีฬาคือการละเล่นของสัตว์นรกขิฑฑาปโทสิกะเขาชอบ ผู้ใดที่ติดในอารมณ์สนุกสนานรื่นเริง เป็นขิฑฑา ที่เป็นโทษ ปโทสิกะ คือสัตว์นรก ขออภัยที่พูดเหมือนจรเข้ขวางคลอง อย่าไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับสิ่งเหล่านั้น อย่าไปหลงตามโลกที่ไม่รู้โลกุตรธรรมของพุทธ มันเสียจริงๆที่ไปหลงเห่อไปกับเขา

พูดไปเหมือนขวางเขา มีช่องไหนทีวีไหนที่ไม่รายงานกีฬาโอลิมปิกกันนะ ก็มีแต่ช่องบุญนิยมทีวีนี่แหละ เขาว่างเป็นรายงานกีฬานี้เลย เขาได้สปอนเซอร์ด้วยนะ การจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอบายมุขคงหายากกว่าจับโปเกม่อนนะ เขาไม่รู้ว่าเป็นอบายมุขแล้วก็ไม่คิดจะจับ ปล่อยให้วุ่นวายอยู่ในจิตเขาอยู่นั่นเอง ก็ยิ่งจมในอบายจัดจ้าน หนักหนาสาหัส

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:13:55 )

590816

รายละเอียด

590816_พุทธศาสนาตามภูมิ เลวกว่าโจรหัวโจกคือจิตที่ตั้งไว้ผิด 

ทีนี้ “ทาน”นี่แหละ ที่คนชั่วฉลาดเฉโก ก็จะหลอกด้วยเล่ห์ฉลาดของตนที่ซับซ้อน ยิ่งนัก สร้างวิมานขึ้นมาหลอกให้คนทำทาน

แต่“ความฉลาดที่ก่อวิชชา”(เฉโก)ทำให้ตนมี“หนี้เวร-หนี้วิบาก”ซับซ้อนขั้นปฏิภาคทวียิ่งๆขึ้นตาม“สัจจะ”ด้วยอวิชชาของตน จึง“วน”เป็นโลกีย์อยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ เป็น “โทษหนัก”แก่ตนด้วยความโง่อันตนไม่รู้ ตาม“สัจจะ”ที่ตนเอง“กระทำ”(กรรม)จริงเอง

เช่น ผีมารยักษ์เดรัจฉาน(จาตุมหาราช = ผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศ ที่หลงยึดตนเป็นเทวดาอยู่ แต่แท้จริง ตนคือ“จอมภูต-จอมกุมภัณฑ์-จอมนาค-จอมยักษ์) หลงว่า“ตนได้มา”ด้วย“อำนาจของตน” ซึ่งตนแย่งมาได้ ตนก็ได้“สมบัติ”ที่ได้นั้นๆมายึด  คนผู้นี้ยัง“ไม่ยอมพลีความยึดนั้น”

ไม่ยอมเจริญ“วิบัติ”(หมดสิ้นสูญสลายความเป็นภูตผี-กุมภัณฑ์-นาค-ยักษ์ไปในตัวตน) คนผู้นี้ก็จะยัง“วนเวียน”เกิดในภพในชาติที่เป็น“ผีมารยักษ์เดรัจฉาน(จาตุมหาราช) อยู่ตลอดไปชั่วกาลนาน เพราะยังมิจฉาทิฏฐิ ยัง“ตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฉาปณิหิตตัง จิตตัง ขออภัยขอยกตัวอย่าง เช่น คุณไชยบูลย์หรือธัมมชโยนั่นแหละ)

ซึ่งการ“ตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฉาปณิหิตตัง จิตตัง)นี้ เป็นความลึกซึ้งที่ละเอียดประณีตอย่างสำคัญมาก เพราะ“จิต”นั้นเป็นพลังงานที่ลึกซึ้ง(คัมภีรา)-เห็นตามได้ยาก(ทุททสา)-รู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา)-สงบชนิดวิเศษ(สันตา)-สุขุมประณีตยิ่ง(ปณีตา)-รู้ไม่ได้ด้วยตรรกะ(อตักกาวจรา)-ละเอียดยิ่งสุด(นิปุณา)-บัณฑิตจริงเท่านั้นจึงจะรู้ได้(ปัณฑิตเวทนียา)จริงๆ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 92 ว่า

“โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้(แก่ตนแก่ผู้อื่นแก่โลก) หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวรแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้(แก่ตนแก่ผู้อื่นแก่โลก) ผู้ที่‘ตั้งจิตไว้ผิด’(มิจฉาปณิหิตัง จิตตัง)

พึงทำเขา(พวกนั้น)ให้‘เลว’กว่านั้น”[ทิโส ทิสัง ยันตัง กยิรา  เวรี วา ปนะ เวรินังมิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง   ปาปิโย นัง ตโต กเรติฯ ตติยัง ฯ] 

ความหมายอันลึกล้ำที่ซึ้งสุดของคำตรัสพระพุทธเจ้านี้ ขยายให้ชัดก็คือ โจรหัวโจกคือคนเลวระดับ“หัว”ที่เก่งที่ฉลาด 

เมื่อเห็นกันและกัน และเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน ก็รวมกันร่วมมือกันเกิดพลังรวมได้มาก จึงเกิดพลังร่วมที่ร้ายแรงทำเลวทำชั่วได้หนักหนาสาหัสด้วยกัน หรือคนที่มีเวรคือคนอวิชชามืดหนักหนายิ่งปานกัน เมื่อเห็นกันและกัน และเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน ก็รวมกันร่วมมือกันเกิดพลังรวมได้มาก จึงเกิดพลังร่วมที่ร้ายแรงทำเลวทำชั่วได้หนักหนาสาหัสด้วยกัน ผนึกกันแน่น

เข้าเป็นพลังฤทธิ์ที่มี“ความเลว”มากยิ่ง จึงทำ“เลว”สาหัสร้ายกาจ “เลว”กว่าอย่างอื่น

ดังตัวอย่างคนไทยที่เห็นได้ ทั้งมวลชนบางกลุ่มแย่งอำนาจทางการเมืองกัน และทั้งมวลชนบางกลุ่มที่แย่งอำนาจทางศาสนา

ล้วนคือโจรหัวโจกกับโจรหัวโจกเห็นกันและกันก็ร่วมกัน และคือคนมีเวรกับคนมีเวรเห็นกันและกันทำเลวเป็นปรากฏการณ์จริงอยู่ในเมืองไทยปัจจุบันนี้นั้นแหละ ซึ่งล้วนแต่เพราะ“อวิชชา”ของเขาทั้งหลาย 

ถึงอย่างนั้น “ความเลว”ของโจรหัวโจกกับของคนมีเวร จะเลวปานใด คนที่“ตั้งจิตไว้ผิด”นั้นจะทำ“ความเลว”ได้ยิ่งกว่านั้น

เพราะเขายังไม่รู้วิธี“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ของตน “ทำใจในใจ”ของตนไม่เป็น

ตัวอย่างเช่น“ทำทาน”ชนิดที่ไม่มีหวัง ให้ทาน”(น สาเปกโข ทานัง เทติ) ไม่มีจิตผูกพันในผล ให้ทาน”(น ปฏิพัทธจิตโต ทานัง เทติ) ไม่มุ่งการสั่งสม ให้ทาน”(น สันนิธิเปกฺโข ทานัง เทติ)  ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยทานนี้ จึงให้ทาน(น อิมัง เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ)

ผู้ยังยึด“ภพ”ยึด“ชาติ”ในความเป็น “เทวภพ”(เทวนิยม)อยู่ ด้วยอวิชชา โดยไม่รู้ หรือไม่ยอม“ตัดภพจาตุมหาราช”อันเป็นตัวร้ายต้นตอ จึงมีแต่นรกทับทวีสุดซับซ้อน

เมื่อ“ภพ”ของจาตุมหาราช(ถ้าเพศหญิงก็เรียก“จาตุมหาราชิกา”) ซึ่งเป็น“ภพ”แรก เป็น“ต้นตอ”ในความเป็น“ภพทั้ง 6”(ภพนั้นไม่มีอยู่จริงเลย : อนัตตา) ที่คนทั้งหลายหลงกัน“จริงๆ”ว่า เป็น“ภพ”ที่เจริญ เป็นคนยิ่งใหญ่

เพราะมีอำนาจเหนือใครๆ เหนือคนทั้งหลาย เป็นหัวหน้าคนทั้งหลาย หลงว่านี่คือ“ความเจริญ” คือ“เทพเจ้า” คือ“เทวดา” 

ดังนั้น เมื่อเป็นได้ จะด้วย“ร้าย”ด้วย“เลว”อย่างไร? แค่ไหน? แต่เพราะเขายังหลงมีอวิชชาอยู่ จึงทำร้ายทำเลวนั้นให้ได้ จนได้กุศล กับ บุญ ถ้าหลงผิดจะตกต่ำถึงบัดซบ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในยุคที่ไม่มีพุทธศาสนา หรือในยุคที่คนเสื่อมไปจากพุทธศาสนา เช่นยุคนี้ก็จะมีทิฏฐิหลงภพหลงชาติกันเช่นว่านี้ จึงสร้างภพสร้างชาติได้ซับซ้อนตกต่ำทับทวี ดังที่เห็นและเป็นกันอยู่ในชาวพุทธไทยทุกวันนี้เต็มสังคมไทย อยู่ในวงการพุทธที่รับนับถือกันว่า เป็นพุทธกระแสหลัก(เถรสมาคม)ก็ดี พุทธกลุ่มเด่นยิ่งใหญ่(ธรรมกาย)ก็ด้วย

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85067

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfaTdJQ2RXWFA2TTQ

 

หรือที่นี่....

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:14:23 )

590816

รายละเอียด

590816_พุทธศาสนาตามภูมิ เลวกว่าโจรหัวโจกคือจิตที่ตั้งไว้ผิด 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2559 เราก็มาเรียนกันต่อจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์อีกจนกว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้า ปรินิพพานเป็นปริโยสานด้วยตัวเองได้แล้ว หรือจะกตัญญูกตเวทีต่อศาสนาต่อพระพุทธเจ้าจนกว่าเราจะพอก็ได้

หลายอย่างที่อาตมาเอามาพูดก็หักมุม ตรงกันข้างกับอาจารย์หลายๆคน ก็อิสรเสรีภาพในการเลือกที่จะเชื่อ เป็นสิทธิของเขาเลือกเอาแล้วทำเอา ดีไม่ดีไปเลือกเอาของคนที่เป็นข้าศึกแก่กุศลก็เป็นสิทธิของเขา เขาไปทางโน้นอาจพัฒนาตนไปจนเป็นศาสดาใดองค์หนึ่งก็ได้

วันนี้รายการวิเคราะห์ข่าววิปัสสนาจากสันติอโศก ฝรั่งสาวสวยเลิกใช้ถุงพลาสติก เพราะว่าวันหนึ่งไปเปิดตู้เย็นไปเห็นว่าของที่อยู่ในตู้เย็นล้วนมีแต่ใช้พุงพลาสติกเต็มเลย เธอเลยสะดุดใจแล้วเปลี่ยนตนเองก่อนเลย ไปไหนก็ใช้ภาชนะที่ใช้ซ้ำได้ ถุงผ้าใช้ซ้ำได้ จนขาดก็มี เธอชื่อลอว์เลนซ์ เธอยืนยันว่าไม่ได้กดดันอะไรในใจ ชีวิตเธอก็มีสุข ได้ลดขยะพลาสติก แล้วมีร้านอาหารหน้าสันติอโศกที่เลิกใช้ถุงพลาสติก ทั้งสี่ท่านที่ออกรายการบอกว่าหลวงปู่สมณะโพธิรักษ์ได้เป็นผู้แนะนำให้ทำมาก่อน โดยอ้างอิงหนังสือแสงสูญฉบับขยะเอ๋ย

ได้ยินว่า บ้านราชฯกำลังนำพาชุมชนช่วยกันแยกขยะ ก็เลยขอแนะนำก่อนว่าส่ิงหนึ่งที่ต้องมีก่อนคือจิตสำนึก การงดและการลดใช้ถุงพลาสติกก็น่าจะได้รณรงค์ที่บ้านราชฯให้แข็งแรง เพราะว่ามันมีพิษออกมาจากพลาสติกด้วย เอาแค่ถุงพลาสติกก่อนเลย

ตอบ...คนอโศกนี่บางที่ก็ไม่คิดนะว่าเราจะเป็นได้ขนาดนี้นะ ถ้าเราคิดว่าจะเป็นบางทีไม่ได้เป็นแต่บางคนนั้นไม่คิดว่าจะได้เป็นแต่ก็เป็นเลย อย่างอาตมานี่ก็ไม่นึกว่าเป็นโพธิสัตว์มาก่อนเลย บางคนมีมานะอัตตาก็จะคุยขโมงก่อนเลยว่าตนเป็นได้ แต่ว่าคนที่ระวังตัวไว้ก่อนก็จะไม่ไปคุยไว้ก่อนเลย เพราะว่าบางทีตนเป็นไม่ได้ คนไม่อยากอวดโอ่มากมายไม่มีสาเฐยจิตก็จะทำดีที่สุดไปเรื่อยๆ อย่าไปอยากอวด แม้รู้ว่าตนมีสูงก็ตาม อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ไปดีกว่า

 

SMS 15 AUG 59

0897146xxx เวลาจะเผยแพร่สัจธรรมหากมัวแต่เกรงใจคนไม่เชื่อในสิ่งนั้นก็จะไม่มีวันเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง

ตอบ...อันนี้เป็นความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งแต่ก็อย่าอวดไป แล้วก็อย่าประมาท อาตมาเชื่อมั่นร้อยเต็มแต่ใช้จริงสักเจ็ดสิบเปอร์เซ็น อาตมาจะเผื่อไว้ก่อน ใครจะว่าไม่เก่งก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปอยากอวดเก่งเลย

 

0833046xxx 1ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงต่อสัจธรรม2ความคิดที่ต้องการพ้นไปจากโลกีย์กรรม3การสำรวมวาจา4การกระทำที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น5มีอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น6มีความเพียรที่ถูกต้อง7มีสติที่ถูกต้อง8มีสมาธิที่ถูกต้อง ขอกราบพ่อท่านชี้แนะอธิบายเพื่อปฏิบัติให้พ้นทุกข์

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯผู้น้อยขอน้อมรับคำติติงแก้ไขข้อความจากพ่อครูทำให้เข้าใจถูกตรงสาธุ! ผู้น้อยรู้ว่ากรรมในคำสอนพระพุทธเจ้ามีหลายกรรมกัมมัสสโกมหิ,กัมมทายาโท,กัมมโยนิ,กัมมพันธุกัมมปฏิสรโณ!ในแต่ละกรรมยังเข้าใจไม่ทั้งหมด!

 0833208xxx หลงหลับตาสมาธินั่งเงียบๆ จึงไม่ผิดอะไรกับก้อนหินท่อนไม้ที่ตายแล้ว แต่ถ้าจิตที่มีสติคอยควบคุมให้อยู่ในอาการของการตื่นตัวและรู้เท่าทันกิเลสทั้งปวงและกำหราบกิเลสเหล่านั้นลงไปได้ สมาธิเช่นนี้ต่างหากจึงเป็นหนทางพ้นทุกข์โดยแท้(ลืมตาๆซะเถิดแล้วทำงานๆโดยมีสติควบคุม)

0890015xxx จุลศีล มัชฌิมศีลและมหาศีล คือกระจกส่องพระปราบเดรัจฉานวิชาด้วยมหาศีล

0893867xxx พุทธมังสะฯคือชาวพุทธที่ทานมังสะวิรัติถูกตรงศีลข้อปาณาฯสาธุ

0890015xxx ถ้าหลับตาได้สมาธิแล้ว คนตาบอดจะมีสมาธิดีมาก ชาวพุทธควรฝึกจับกิเลสตัวเอง ไม่ใช่เสียเวลาไล่จับโปเกม่อน

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.เรื่องกรรมเป็นตัวพาเกิดพาเป็นฤาชีวิตมีกรรมเป็นที่เกิดฤามีกรรมเป็นเหตุให้เกิดสาธุ

ตอบ...ถูกทั้งสองอย่าง กรรมเป็นตัวพาเกิดก็ใช่ กรรมเป็นเหตุให้เกิดก็ใช่ สมมุติว่าคุณไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ก็จมอยู่อย่างนั้นไม่เคลื่อนอะไร ถ้าคุณคิดมาก็เป็นมโนกรรม ออกมาเป็นวจีกรรม มาเป็นกายกรรมก็ครบเลยก็รู้ว่าครบบริบูรณ์ทุกอย่าง มีกิเลสหรือไม่มีกิเลสทุกกรรม 3 ก็ตอบได้ว่า กรรมเราสะอาดบริสุทธิ์หมด ถ้าไม่มีกรรมเป็นเหตุ พอรู้ก็ทำกรรมเป็นเหตุแล้วเกิดก็เกิดโอปปาติกะไม่มีอะไรที่เป็นซากเนื้อหนังสรีระเลยนะ ตายก็ไม่มีซาก เกิดก็ไม่มีใครทำคลอด ครบเหตุปัจจัยก็เกิด มีสิ่งที่ตายก็ตาย คืออกุศลจิตตายเกลี้ยงจบก็ตายโดยไร้ซาก จิตเราก็เกิดใหม่ปุ๊บ ผุดเกิดเลย ก็เกิดจากกรรมที่คุณทำ ไม่มีใครทำให้เรา ต้องทำเอง

 

0894536xxx กราบนมัสการพ่อครู ลูกขอกราบเรียนถาม ขอหลักคิดเรื่องการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ถึงแม้จะเข้าใจเรื่องอนิจจัง เรื่องคนคือธาตุที่ประกอบขึ้นเท่านั้นย่อมต้องตั้งอยู่ไม่ได้เมื่อถึงการเสื่อม เข้าใจเรื่องการไม่ควรยึดอะไรเป็นเราเป็นของเรา แต่เหมือนความเข้าใจนี้มันไม่หยั่งลึกลงในใจ บ่อยครั้งเกิดความเศร้า คิดถึงและร้องไห้ เมื่อรู้ตัว ก็พยายามกำจัดความรู้สึกเพศหญิง แล้วสอนตัวเองด้วยข้อธรรมต่างๆ แล้ว มันดีขึ้นแค่เฉพาะตอนนั้น แล้วความรู้สึกเศร้ามันก็จะกลับมาอีกในวันหรือคราวต่อไป เป็นความวน หนูจึงอยากขอโอกาสพ่อครูช่วยสอนหลักคิดให้หนูได้หยุดจิตเศร้าหมองหยุดอาการวน หยุดกิเลสนี้ด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ...พากเพียรทำไปให้ถูกลำดับ ทำศีลสมาธิปัญญาหรือทานศีลภาวนานี่แหละ ก็มีหลักสองอย่างคือทานกับศีลที่เป็นตัวปฏิบัติแล้วทำให้กิเลสหลุดออกให้ได้ เป็นเนกขัมมะ เป็นวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานต่อไป ก็จบที่เมตตา อุเบกขานี่แหละ อาศัยทำงานแบบพรหม

อบายของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน อบายของอาตมาก็ไม่เหมือนพวกคุณ อย่างอบายมุขหยาบๆยุคนี้มันมีเกินกว่ายุคอดีตมากมายเลย

0890529xxx คนไม่รู้จักธรรมญาณของตนเองและมีความเห็นอย่างโง่เขลาว่าการบรรลุพุทธธรรมมีได้ด้วยศาสนพิธีต่างๆที่ประพฤติทางกายภายนอกมิได้เกี่ยวข้องกับจิตคนพวกนี้เข้าใจอะไรได้ยากจึงชอบทำบุญมากกว่าบำเพ็ญจิต

ตอบ...ใช่แล้ว

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมกับธ.โอปปาติกะจากพ่อครูเป็นจิตที่ ชำระอกุศลจิตโดย โยนิโสมนสิการผุดจิตเกิดใหม่คือโอปปาติกะ!จรธ.

ตอบ...โยนิโสมนสิการคือถึงที่เกิดเลย และมีคำว่าหทยรูป ที่ไม่ได้หมายถึงสถานที่ อยู่ที่จิตเรากำหนดรู้ขึ้นมา ที่มีพฤติเคลื่อนไหวของมโนวิญญัติ คุณจับอาการจิตตรงไหนได้ ตรงนั้นคือที่เกิด แดนเกิด ต้องรู้ว่านี่คืออาการจิตเจตสิก มันเป็นอย่างไรวิจัยมันได้

0896405xxx พ่อครูคะเรื่องจิตวิญญานคนไม่ค่อยคิดถึงคิดแต่เรื่องวัตถุจึงทำใหัหลงไหลไปกับกีฬา

ตอบ...เขาไม่รู้ว่าชีวิตเราอยู่ที่จิต ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ คุณไม่อยากทุกข์หรอกแต่ก็ต้องทุกข์ไม่อยากเศร้าแต่ก็ต้องเศร้าเพราะจิตมันเป็น คุณก็ไปหลงเพลิดเพลินในสุขขัลลิกะเป็นสุขเท็จ ก็ไปยินดีเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นจุดหมาย ว่าน่ามีน่าได้น่าเป็นก็เลยไม่ได้ไปเรียนรู้ลดมันบ้าง มันไม่ใช่วัตถุ เป็นจิต แต่วัตถุเป็นองค์ประกอบมัน เมื่อไม่รู้ก็เลยกลายเป็นขิฑฑาปโทสิกะ คำว่าขิฑฑาแปลว่านรก แต่ท่านเรียกว่าขิฑฑาปโทสนิกเทวดา อีกชื่อหนึ่งเรียกว่านรกปหานะ คือนรกที่รื่นเริง

ที่จริงมันเป็นสุขเท็จเป็นเทวดาโง่ คนที่มีปฏิภาณปัญญาไหวตัว ตอนนี้ประเทศไทย มีอาตมามาสืบสาน ฉุดดึงธรรมะพระพุทธเจ้าที่จมเสื่อมลงไปมากเอามาประกาศยืนยันแล้ว หลักฐานคือพระไตรปิฏก ยืนยันอธิบาย แต่คนก็หูหนาตาเร่อไม่ค่อยเอาถ่าน ก็เป็นขี้เถ้าก็ยังดีเอาเสียบ้างก็เลยไม่ค่อยสนใจ ผู้สนใจก็อนุโมทนาสาธุ

 

มาเข้าสู่เรื่องสำคัญเลย ในพระไตรฯล.14 ข.252 - 281 คนที่มิจฉาคือไม่รู้สัมมา ในทิฏฐิ ทั้ง 10

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10.    สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

เมื่อทำได้ผลลดกิเลสก็จะเป็นวิชชา 8 มีเจโตปริยญาณ 16 ที่มี

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

          1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

          7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .

          8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

          09. มหัคคตจิต      (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต    (จิตไม่เจริญขึ้น)

11. สอุตตรจิต       (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต      (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .

13. สมาหิตจิต       (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต    (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต         (จิตหลุดพ้น) . . .

16. อวิมุตตจิต       (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135) 
นี่คือเจโตปริยญาณ 16 ที่เป็นมาตรวัดความเจริญของจิต

1.      วิปัสสนาญาณ (ความรู้แจ้งเห็นจริง – หรือรู้ความจริงในเหตุที่มีความจริงเกิด .. รู้กิเลสตายจริง อกุศลดับจริง) . . 

2.      มโนมยิทธิญาณ (ความมีฤทธิ์ทางจิต ที่จิตสามารถ เนรมิต “ความเกิด” อย่างใหม่ขึ้นมาได้) .

3.  อิทธิวิธญาณ (จิตมีอานุภาพในการบรรลุขจัดทำลายกิเลส ได้หลากหลายวิธี) . . ดู พตปฎ.9/133

4.      ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้)

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) &

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์) .

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138) นี่เป็นวิชชา 8 ที่ทำได้อย่างไม่ใช่แบบอิทธิปาฏิหาริย์ที่ประหลาดอะไร

อาตมาทำ pattern มาอธิบาย ถึงความเจริญและความเสื่อม มีสองทิศทาง ด้านบวกด้านเจริญหรือด้านลบ

ที่เป็นอนาคามีนี่สภาพลงข้างล่างนี้ไม่ได้ อนาคามีดีกว่าสกิทาคามี สกิทาคามีดีกว่าโสดาบัน

อาตมาก็เก่งเท่านี้แหละที่ได้ทำขึ้นมาอธิบายพวกเราไม่ได้ซับซ้อนอะไรไม่ได้ทำเพื่อจะได้รางวัลอะไร ในชีวิตมีคนให้รางวัลอยู่คณะเดียว แต่ที่พูดนี้ไม่ได้ต้องการจะให้ใครมาให้อะไรนะ หรือว่าจะให้ แถมเงินก็ส่งมา โล่ห์นี้ไม่เอาใบอะไรก็ไม่เอาถ้าแถมเงินก็เอาให้ส่งมาได้ แล้วอาตมาจะได้เอามาใช้ประโยชน์เอามาให้ใครต่อใครทำอะไรได้อีกเยอะนะ

มาอ่านบทความใน เปิดยุคบุญนิยม

เรากำลังสาธยายเรื่อง“ทาน” ว่า จะต้องทำ“ความเห็น”(ทิฏฐิ)ให้“สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ ซึ่ง“สัมมาทิฏฐิ”นั้นมีถึง 10 ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจให้ครบทั้ง“สัมมาทิฏฐิ 10” ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถจะปฏิบัติเกิด“ประโยชน์”(อานิสงส์)อันเป็นจุดประสงค์ของศาสนาพุทธได้เลย

ซึ่งทิศทางหรือจุดหมายแท้ของศาสนาพุทธนั้นเราต้องพยายามทำ“กรรม”ใด ก็ควรให้มี“อานิสงส์”(ประโยชน์)ถึงขั้น“โลกุตระ”

อธิบายไปบ้างแล้ว ทั้ง“การทาน”ที่ได้“ผล” และการทานที่ได้“อานิสงส์” แต่ก็แค่เล็กน้อย คร่าวๆ ไม่ลึกซึ้งลับซ้อนอะไรนักหนา

ทีนี้ “ทาน”นี่แหละ ที่คนชั่วฉลาดเฉโก ก็จะหลอกด้วยเล่ห์ฉลาดของตนที่ซับซ้อน ยิ่งนัก สร้างวิมานขึ้นมาหลอกให้คนทำทาน

แต่“ความฉลาดที่ก่อวิชชา”(เฉโก)ทำให้ตนมี“หนี้เวร-หนี้วิบาก”ซับซ้อนขั้นปฏิภาคทวียิ่งๆขึ้นตาม“สัจจะ”ด้วยอวิชชาของตน จึง“วน”เป็นโลกีย์อยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ เป็น “โทษหนัก”แก่ตนด้วยความโง่อันตนไม่รู้ ตาม“สัจจะ”ที่ตนเอง“กระทำ”(กรรม)จริงเอง

เช่น ผีมารยักษ์เดรัจฉาน(จาตุมหาราช = ผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศ ที่หลงยึดตนเป็นเทวดาอยู่ แต่แท้จริง ตนคือ“จอมภูต-จอมกุมภัณฑ์-จอมนาค-จอมยักษ์) หลงว่า“ตนได้มา”ด้วย“อำนาจของตน” ซึ่งตนแย่งมาได้ ตนก็ได้“สมบัติ”ที่ได้นั้นๆมายึด  คนผู้นี้ยัง“ไม่ยอมพลีความยึดนั้น”

ไม่ยอมเจริญ“วิบัติ”(หมดสิ้นสูญสลายความเป็นภูตผี-กุมภัณฑ์-นาค-ยักษ์ไปในตัวตน) คนผู้นี้ก็จะยัง“วนเวียน”เกิดในภพในชาติที่เป็น“ผีมารยักษ์เดรัจฉาน(จาตุมหาราช) อยู่ตลอดไปชั่วกาลนาน เพราะยังมิจฉาทิฏฐิ ยัง“ตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฉาปณิหิตตัง จิตตัง ขออภัยขอยกตัวอย่าง เช่น คุณไชยบูลย์หรือธัมมชโยนั่นแหละ)

ซึ่งการ“ตั้งจิตไว้ผิด”(มิจฉาปณิหิตตัง จิตตัง)นี้ เป็นความลึกซึ้งที่ละเอียดประณีตอย่างสำคัญมาก เพราะ“จิต”นั้นเป็นพลังงานที่ลึกซึ้ง(คัมภีรา)-เห็นตามได้ยาก(ทุททสา)-รู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา)-สงบชนิดวิเศษ(สันตา)-สุขุมประณีตยิ่ง(ปณีตา)-รู้ไม่ได้ด้วยตรรกะ(อตักกาวจรา)-ละเอียดยิ่งสุด(นิปุณา)-บัณฑิตจริงเท่านั้นจึงจะรู้ได้(ปัณฑิตเวทนียา)จริงๆ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 92 ว่า

“โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้(แก่ตนแก่ผู้อื่นแก่โลก) หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวรแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้(แก่ตนแก่ผู้อื่นแก่โลก) ผู้ที่‘ตั้งจิตไว้ผิด’(มิจฉาปณิหิตัง จิตตัง)

พึงทำเขา(พวกนั้น)ให้‘เลว’กว่านั้น”[ทิโส ทิสัง ยันตัง กยิรา  เวรี วา ปนะ เวรินังมิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง   ปาปิโย นัง ตโต กเรติฯ ตติยัง ฯ] 

ความหมายอันลึกล้ำที่ซึ้งสุดของคำตรัสพระพุทธเจ้านี้ ขยายให้ชัดก็คือ โจรหัวโจกคือคนเลวระดับ“หัว”ที่เก่งที่ฉลาด 

เมื่อเห็นกันและกัน และเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน ก็รวมกันร่วมมือกันเกิดพลังรวมได้มาก จึงเกิดพลังร่วมที่ร้ายแรงทำเลวทำชั่วได้หนักหนาสาหัสด้วยกัน หรือคนที่มีเวรคือคนอวิชชามืดหนักหนายิ่งปานกัน เมื่อเห็นกันและกัน และเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน ก็รวมกันร่วมมือกันเกิดพลังรวมได้มาก จึงเกิดพลังร่วมที่ร้ายแรงทำเลวทำชั่วได้หนักหนาสาหัสด้วยกัน ผนึกกันแน่น

เข้าเป็นพลังฤทธิ์ที่มี“ความเลว”มากยิ่ง จึงทำ“เลว”สาหัสร้ายกาจ “เลว”กว่าอย่างอื่น

ดังตัวอย่างคนไทยที่เห็นได้ ทั้งมวลชนบางกลุ่มแย่งอำนาจทางการเมืองกัน และทั้งมวลชนบางกลุ่มที่แย่งอำนาจทางศาสนา

ล้วนคือโจรหัวโจกกับโจรหัวโจกเห็นกันและกันก็ร่วมกัน และคือคนมีเวรกับคนมีเวรเห็นกันและกันทำเลวเป็นปรากฏการณ์จริงอยู่ในเมืองไทยปัจจุบันนี้นั้นแหละ ซึ่งล้วนแต่เพราะ“อวิชชา”ของเขาทั้งหลาย 

ถึงอย่างนั้น “ความเลว”ของโจรหัวโจกกับของคนมีเวร จะเลวปานใด คนที่“ตั้งจิตไว้ผิด”นั้นจะทำ“ความเลว”ได้ยิ่งกว่านั้น

เพราะเขายังไม่รู้วิธี“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ของตน “ทำใจในใจ”ของตนไม่เป็น

ตัวอย่างเช่น“ทำทาน”ชนิดที่ไม่มีหวัง ให้ทาน”(น สาเปกโข ทานัง เทติ) ไม่มีจิตผูกพันในผล ให้ทาน”(น ปฏิพัทธจิตโต ทานัง เทติ) ไม่มุ่งการสั่งสม ให้ทาน”(น สันนิธิเปกฺโข ทานัง เทติ)  ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยทานนี้ จึงให้ทาน(น อิมัง เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ)

ผู้ยังยึด“ภพ”ยึด“ชาติ”ในความเป็น “เทวภพ”(เทวนิยม)อยู่ ด้วยอวิชชา โดยไม่รู้ หรือไม่ยอม“ตัดภพจาตุมหาราช”อันเป็นตัวร้ายต้นตอ จึงมีแต่นรกทับทวีสุดซับซ้อน

เมื่อ“ภพ”ของจาตุมหาราช(ถ้าเพศหญิงก็เรียก“จาตุมหาราชิกา”) ซึ่งเป็น“ภพ”แรก เป็น“ต้นตอ”ในความเป็น“ภพทั้ง 6”(ภพนั้นไม่มีอยู่จริงเลย : อนัตตา) ที่คนทั้งหลายหลงกัน“จริงๆ”ว่า เป็น“ภพ”ที่เจริญ เป็นคนยิ่งใหญ่

เพราะมีอำนาจเหนือใครๆ เหนือคนทั้งหลาย เป็นหัวหน้าคนทั้งหลาย หลงว่านี่คือ“ความเจริญ” คือ“เทพเจ้า” คือ“เทวดา” 

ดังนั้น เมื่อเป็นได้ จะด้วย“ร้าย”ด้วย“เลว”อย่างไร? แค่ไหน? แต่เพราะเขายังหลงมีอวิชชาอยู่ จึงทำร้ายทำเลวนั้นให้ได้ จนได้กุศล กับ บุญ ถ้าหลงผิดจะตกต่ำถึงบัดซบ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในยุคที่ไม่มีพุทธศาสนา หรือในยุคที่คนเสื่อมไปจากพุทธศาสนา เช่นยุคนี้ก็จะมีทิฏฐิหลงภพหลงชาติกันเช่นว่านี้ จึงสร้างภพสร้างชาติได้ซับซ้อนตกต่ำทับทวี ดังที่เห็นและเป็นกันอยู่ในชาวพุทธไทยทุกวันนี้เต็มสังคมไทย อยู่ในวงการพุทธที่รับนับถือกันว่า เป็นพุทธกระแสหลัก(เถรสมาคม)ก็ดี พุทธกลุ่มเด่นยิ่งใหญ่(ธรรมกาย)ก็ด้วย

นั่นคือ ผู้ยังหลงติด“ภพจาตุมหาราช” ไม่ยอมปลดปล่อย เป็นต้นจิต ปักหลักอยู่ ไม่ได้ปลดปล่อยไปก่อน แต่เป็นตัวหลักที่ 1

“ภพ”ต่อมาก็หลงว่า เป็น“ความเสพรส” เป็นภพที่ 2 และหลงจริงๆว่า “ความสุข”เป็น“ความเจริญ”ที่ได้เสพ“สุข”(สุขัลลิกะ) ได้เสวย“ความดีงาม” อันเป็น“อุปาทานโลกีย์”เต็มๆซึ่ง“ภพสุข-ภพยิ่งใหญ่”นั้นก็คือ ดาวดึงส์

“สุข”คือ กาม  ส่วน“ยิ่งใหญ่”คือ อัตตา

“จาตุมหาราช”นี้เองที่อวิชชา หลงว่า ตนจะต้องได้“ความสุข-ความยิ่งใหญ่”มาเสพ

เพราะอวิชชาไม่รู้ภพชาติ จาตุมหาราชจึงตัดภพชาติไม่เป็น และหลงสุขหลงยิ่งใหญ่ต้องได้สุข(กาม) ได้ยิ่งใหญ่(อัตตา) จึงทั้งโลภซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน ทั้งราคะ ทั้งรุนแรง ทั้งร้ายกาจ ทั้งอำมหิต เพราะไม่ลดไม่วางความเป็น“จาตุมหาราช” เป็น“เหตุ”ใหญ่

“จาตุมหาราช”จึงเป็น“ต้นเชื้อเลวร้าย”ที่ไป“ขยายเหตุ-ขยายผลเชื้อร้ายเลว” ซึ่งทำให้เลวให้ร้ายทับทวียิ่งใหญ่มากมาย

ยิ่ง“ฉลาด”(เฉโก)จึงยิ่งเลวร้ายทับทวีซับซ้อน“ซ่อนเชิง”ด้วยเล่ห์ หลอกได้เก่งยิ่งๆ“ความเลว”จึงทวียิ่ง ทับท่วมมากสุดๆ

ทีนี้ ผู้ปล่อยวาง“จาตุมหาราช”เป็นแต่ยังติด“สุข” จะ“สุขด้วยกาม” หรือ“สุขเพราะสมใจที่ได้บำเรออัตตา”ก็หลงว่า“สุข”

ทั้งๆที่“สุข”คืออลิกะ คือเท็จ มันไม่มีจริง มันแค่“ชาติ” แค่“ภพ” ซึ่ง“อนัตตา”ทั้งนั้น เป็นอารมณ์ที่“เท็จ”(อลิกะ)แท้ๆ คนผู้ยังมีอุปาทานใน“ภพกาม-ภพใจ” ก็ยึดจริงๆ“ได้แล้ว” ก็“เสพเป็นสุข”(ดาวดึงส์) ตนเสพก็เป็น“เทพสุข”(เทวดาดาวดึงส์) ก็ยังมี“ภพ”มี“ชาติ”อยู่  เพราะยังมี“ตนเสพ”ชาติเจริญ

“ภพสุข-ชาติสุข”ที่ตนเป็นเทวดาเสพนี้แหละ คือผลวิบากที่“เป็นหนี้”อยู่  มันก็สะสมทับซ้อน หนาขึ้น แน่นหนักยิ่งขึ้นจึงต้องวนเวียน“ใช้หนี้บาป”นี้ไปนาน

เพราะเมื่อ“หลง”ว่าอร่อย ว่าสนุก ว่าเพลิดเพลินว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น(สุภ) จึงยิ่งยึดไว้ให้“เป็นตนนานๆ” “กาลเวลาที่ตน‘ยืด’ให้ตนเป็นตัวตนต่อไปนี้แหละคือ ภพ“ยามา”

ซึ่งอะไรก็ตาม แม้จะ“มี” ก็ต้องเสื่อม ถึงจุด“พัก”หรือจุด“เย็น”จนได้อยู่นั่นเอง ในเวลาหนึ่ง แต่ถ้ายังเป็น“อาคามี” ก็จะวนกลับมาอยู่ ยัง“ไม่จบ”   “ความวน”จึงยาวนานต้องมีภูมิ“อนาคามี”จึงจะไม่วนกลับ

ดังนั้น แม้จะพัก จะหยุด ก็ยัง“วน”ไปใหม่ แต่เพราะตน“ติดจัด” แม้จะถึงจุดพัก จุดหยุด(ดุสิต) ก็ไม่ยอมให้มันพัก จึงต่อและต่อไปไม่มีจุดใดขาด มีแต่“มีกับมี”ตลอดกาล

คนผู้ติดยึด จึงมีแต่“มีกับมี” จึงมีแต่ร้ายกับเลวทับทวี ไม่มีจบ นับประมาณมิได้

กล่าวคือ เมื่อแย่งได้ หลอกสะกดเอา หรือใช้เล่ห์โกงได้ ก็ชื่นใจ สุขใจ ปิติ-ปลื้มใจ

“ความสุขใจ-ปิติใจ-ปลื้มใจ(อัตตมนตา โสมมนัสสา”นี้คือ ลมๆแล้งๆ “อาการหลอก”

                                                                                                                                                        แท้ๆ แต่พิษมันร้ายมาก คนโง่จะยิ่งหลง

ยิ่งยัดเยียดใส่ใจคน เพราะหลงว่ามันเป็นแรง เป็นพลัง แรงบ้านี้จึงเกิดแท้“มี”แท้จนได้

“ความไม่มี”(สูญ)ที่ยึดมั่นว่า“มี” กระทั่งตนเอง“มี”ขึ้นสำเร็จในใจตนจนได้ ฉะนี้แลคือ “อุปาทาน”ที่“สำเร็จโดยหลอกตนเองสำเร็จ เป็น“อัตตาหรือรูปที่สำเร็จด้วยจิต”

(มโนมยอัตตา)อันผู้อวิชชาทั้งหลายหลงยึดกัน

“อาการ”ลมๆแล้งๆเช่นนี้เองคือ “ภพที่ 33”(ตาวติงส) ภพด้านร้ายก็“จาตุมหาราช” เป็น“ต้นตอแห่งความบ้า” และภพด้านดีก็ “ดาวดึงส์” คือ ต้นตอแห่ง“ความมี” ซึ่งเป็น “ภพเก๊” เป็น“วิมานลวง” เป็น“แดนเพ้อพกทั้งงก ทั้งร้าย ทั้งแรง ทั้งสนุก ทั้งปลื้ม จึงเพลิน จึงเพลิด เตลิดไปๆ ไม่รู้จบ”

ซึ่งมันไม่ใช่“ของจริง” เป็นอุปาทาน ความยึดติดใน“มโนมยอัตตา” คือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” มันเป็น มันมีขึ้นมาในจิต

เมื่อได้เสพเสวย“ภพเก๊”(จาตุมหาราช)นั้น-สวรรค์เก๊”(ดาวดึงส์)นั้นไปๆๆจน“สิ้นวิบาก”นั้นแล้ว(โส ตํ กัมมํ เขเปตฺวา) “สิ้นฤทธิ์”(ตํอิทธํ) “สิ้นยศ”(ตํ ยสํ) “หมดความเป็นใหญ่แล้ว”(ตํ อาธิปเตยยํ) ก็จะเป็น“ผู้กลับมา”(อาคามี) กลับมาสู่ความเป็นคนเช่นนี้แหละอีก”แล้วๆเล่าๆ(อาคามี โหติ อาคันตา อิตฺถัตตํ)ตามเดิม วนแล้ววนเล่า เป็นอยู่อย่างนี้

ฉะนี้เอง ความเป็น“โลก”(วน)

ฉะนี้ คือ“ผล”อยู่ในคนปุถุชนธรรมดา

คนที่ติดดาวดึงส์ คุณก็เสพความดีความเนียน แต่นึกว่าดีก็เลยเสพ นึกว่าตนชั้นสูงขึ้นมาแล้วนะ ก็เลยไม่ปล่อยวางก็เลยยิ่งติดลึกหนักเข้าไปอีก

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:15:04 )

590817

รายละเอียด

590817_พุทธศาสนาตามภูมิ ฉีกหน้าความปลื้มใจที่แสนลวงหลอก

“สุข”คืออลิกะ คือเท็จ มันไม่มีจริง มันแค่“ชาติ” แค่“ภพ” ซึ่ง“อนัตตา”ทั้งนั้น เป็นอารมณ์ที่“เท็จ”(อลิกะ)แท้ๆ คนผู้ยังมีอุปาทานใน“ภพกาม-ภพใจ” ก็ยึดจริงๆ“ได้แล้ว” ก็“เสพเป็นสุข”(ดาวดึงส์) ตนเสพก็เป็น“เทพสุข”(เทวดาดาวดึงส์) ก็ยังมี“ภพ”มี“ชาติ”อยู่  เพราะยังมี“ตนเสพ”ชาติเจริญ

“ภพสุข-ชาติสุข”ที่ตนเป็นเทวดาเสพนี้แหละ คือผลวิบากที่“เป็นหนี้”อยู่  มันก็สะสมทับซ้อน หนาขึ้น แน่นหนักยิ่งขึ้นจึงต้องวนเวียน“ใช้หนี้บาป”นี้ไปนาน

เพราะเมื่อ“หลง”ว่าอร่อย ว่าสนุก ว่าเพลิดเพลินว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น(สุภ) จึงยิ่งยึดไว้ให้“เป็นตนนานๆ” “กาลเวลาที่ตน‘ยืด’ให้ตนเป็นตัวตนต่อไปนี้แหละคือ ภพ“ยามา”

ซึ่งอะไรก็ตาม แม้จะ“มี” ก็ต้องเสื่อม ถึงจุด“พัก”หรือจุด“เย็น”จนได้อยู่นั่นเอง ในเวลาหนึ่ง แต่ถ้ายังเป็น“อาคามี” ก็จะวนกลับมาอยู่ ยัง“ไม่จบ”   “ความวน”จึงยาวนานต้องมีภูมิ“อนาคามี”จึงจะไม่วนกลับ

ดังนั้น แม้จะพัก จะหยุด ก็ยัง“วน”ไปใหม่ แต่เพราะตน“ติดจัด” แม้จะถึงจุดพัก จุดหยุด(ดุสิต) ก็ไม่ยอมให้มันพัก จึงต่อและต่อไปไม่มีจุดใดขาด มีแต่“มีกับมี”ตลอดกาล

คนผู้ติดยึด จึงมีแต่“มีกับมี” จึงมีแต่ร้ายกับเลวทับทวี ไม่มีจบ นับประมาณมิได้

กล่าวคือ เมื่อแย่งได้ หลอกสะกดเอา หรือใช้เล่ห์โกงได้ ก็ชื่นใจ สุขใจ ปิติ-ปลื้มใจ“ความสุขใจ-ปิติใจ-ปลื้มใจ(อัตตมนตา โสมมนัสสา”นี้คือ ลมๆแล้งๆ “อาการหลอก”แท้ๆ แต่พิษมันร้ายมาก คนโง่จะยิ่งหลง

อย่างเช่นปีติ มีห้าแบบ

1.      ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.      ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.      โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.      อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.      ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

เรารู้แล้วก็ต้องให้เป็นแบบโลกุตระคือไม่สะสมปีติ ให้ปีติไป ตามลำดับ แต่อย่าปล่อยหลงให้มีอุพเพงคาปีติ ไปติดยึดว่าต้องปีติมากๆ ต้องถึงไคลแมกซ์ ต้องได้ ถ้าชีวิตไม่มีไคลแมกซ์นี้ไม่ได้ คืออุพเพงคาปีติ อย่าให้เป็น อย่าให้มากมาย ให้ใช้ให้พอเหมาะเป็นพลัง ท่านถึงว่าให้พยายามแผ่ให้เป็นผรณาปีติ ให้แทรกไปทุกอาการ 32 เลย อย่าให้เป็นก้อนใหญ่อุพเพงคาปีติ เป็นพลังรวมเยอะ จนติดยึด ถือว่าให้ชีวิตนี้ไม่มีไคลแมกซ์ไม่มีสุดยอดแห่งชีวิตนี้ ผู้ชัดเจนแล้วเลิกรู้แต่ว่ามันสบายๆราบเรียบไม่ต้องมีรสจัดสุดเต็มที่ คนไหนจะไปยึดไคลแมกซ์ขนาดไหนก็แล้วแต่ใคร สุขสุดยอดของคุณ จิตคุณตั้งไว้ขนาดไหนก็ของใครแหละ จุดสุขสุดยอดของคุณ อย่าไปตั้งอย่าไปมี ถ้าไม่เช่นนั้นคุณจะหนักหนาแรงมากขึ้น อย่างที่ปลุกเร้ากันทุกวันนี้ ไม่ว่าอบาย เป็นการบันเทิง ขิฑฑาปโทสิกเทวดาเป็นนรกปหานะทั้งนั้น มีความพอใจสุขใจเป็นโทษ พระพุทธเจ้าท่านตรัสโทษไว้สองอย่าง

ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ คำว่ามโนปโทสิกะคือไปสร้างจิตเป็นโทษ ส่วนขิฑฑาปโทสิกะคือคนหลงรื่นเริงบันเทิงใจอร่อยเป็นสุขขัลลิกะ

ถ้าจะแยกคือมโนปโทสิกะ เป็นอัตตา ส่วนขิฑฑาปโทสิกะ  เป็นกาม

ยิ่งยัดเยียดใส่ใจคน เพราะหลงว่ามันเป็นแรง เป็นพลัง แรงบ้านี้จึงเกิดแท้“มี”แท้จนได้

“ความไม่มี”(สูญ)ที่ยึดมั่นว่า“มี” กระทั่งตนเอง“มี”ขึ้นสำเร็จในใจตนจนได้ ฉะนี้แลคือ “อุปาทาน”ที่“สำเร็จโดยหลอกตนเองสำเร็จ เป็น“อัตตาหรือรูปที่สำเร็จด้วยจิต”(มโนมยอัตตา)อันผู้อวิชชาทั้งหลายหลงยึดกัน

ความสนุกความอร่อยไม่มีตัวตนเป็นแต่เพียงลมๆแล้งๆปั้นกันเอง

“อาการ”ลมๆแล้งๆเช่นนี้เองคือ “ภพที่ 33”(ตาวติงส) ภพด้านร้ายก็“จาตุมหาราช” เป็น“ต้นตอแห่งความบ้า” และภพด้านดีก็ “ดาวดึงส์” คือ ต้นตอแห่ง“ความมี” ซึ่งเป็น “ภพเก๊” เป็น“วิมานลวง” เป็น“แดนเพ้อพกทั้งงก ทั้งร้าย ทั้งแรง ทั้งสนุก ทั้งปลื้ม จึงเพลิน จึงเพลิด เตลิดไปๆ ไม่รู้จบ”

ซึ่งมันไม่ใช่“ของจริง” เป็นอุปาทาน ความยึดติดใน“มโนมยอัตตา” คือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” มันเป็น มันมีขึ้นมาในจิต

เมื่อได้เสพเสวย“ภพเก๊”(จาตุมหาราช)นั้น-สวรรค์เก๊”(ดาวดึงส์)นั้นไปๆๆจน“สิ้นวิบาก”นั้นแล้ว(โส ตํ กัมมํ เขเปตฺวา) “สิ้นฤทธิ์”(ตํอิทธํ) “สิ้นยศ”(ตํ ยสํ) “หมดความเป็นใหญ่แล้ว”(ตํ อาธิปเตยยํ) ก็จะเป็น“ผู้กลับมา”(อาคามี) กลับมาสู่ความเป็นคนเช่นนี้แหละอีก”แล้วๆเล่าๆ(อาคามี โหติ อาคันตา อิตฺถัตตํ)ตามเดิม วนแล้ววนเล่า เป็นอยู่อย่างนี้

ฉะนี้เอง ความเป็น“โลก”(วน)

ฉะนี้ คือ“ผล”อยู่ในคนปุถุชนธรรมดา

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85178

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfT3FIS0l0ZGxWMW8

 

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/vz9odzlujl3/160817

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:15:31 )

590817

รายละเอียด

590817_พุทธศาสนาตามภูมิ ฉีกหน้าความปลื้มใจที่แสนลวงหลอก

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันพุธที่ 17 สิงหาคม 2559

มาอธิบาย sms ก่อน ….

SMS 16 AUG 59

0833208xxx มิจฉาสมาธิเป็นสมาธิที่หลงงมงายไม่สามารถพาให้จิตญาณของตนพ้นเวียนว่ายตายเกิดแม้มีอิทธิฤทธิ์มากมายแค่ไหนก็ไม่อาจพ้นนรก หลงผิดยึดหลับตาสมาธิก็เหมือนการมานั่งเฝ้าก้อนเนื้อไม่เกิดโภคผลใดๆแก่ตัวเองและผู้อื่นเลย

ตอบ...มันเป็นมานานนับกัปป์กาลเลย พอศาสนาพุทธเลือนไปก็จะกลับเป็นนั่งหลับตาสมาธิอีก เพราะว่านั่งหลับตาสมาธิ เป็นสถานีจอดของมนุษย์ที่อวิชชา ทั้งนั้นเลย

“การนั่งหลับตาสมาธิ เป็นสถานีจอดของมนุษย์ที่อวิชชา”...พ่อครู...17 ส.ค. 59

0890529xxx นักบวชแสดงวัตรปฏิบัติเคร่งแต่รูปส่วนจิตใจสกปรกคนก็แห่กันไปกราบกรานอาการผิดเพี้ยนทางพุทธศาสนากลายเป็นพุทธพาณิชย์สร้างความร่ำรวยและกิเลสกองท่วมทับพุทธศาสนิกชน

ตอบ...อาตมาแสดงความจริงใจก็หาว่าอาตมามีกิเลส ก็ตัดสินตามอาการ พระพุทธเจ้าว่าอย่าเชื่อตามอาการ มันมีความลึกซึ้งกว่านั้น อาตมาแสดงความจริงใจมันชัดเจนเหมือนแม่ตีลูกว่าทำไมดื้อไม่เสร็จไม่จบ

0893867xxx โลกธ.อันพ่อครูกล่าวตู่ว่าร้ายที่ตรงกันข้ามกับสรรเสริญยกย่องเปรียบได้กับตู่บนเจริญดีคุณค่าเป็นตู่greenและตู่ล่างเสื่อมเลวทรามเป็นตู่redได้ไหม?พุทธมังสะ

ตอบ...อาตมาไม่ได้กล่าวตู่ แต่พูดสัจจะ ขณะนี้ก็มีคุณตู่ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกตู่ใส่ร้าย แต่ตู่ จตุพร นั้นขณติ คือขุดตนเองให้จมในนรกหนักหนาสาหัสเลย

0833046xxx คนในยุคที่เจริญด้วยเทคในโลยีจึงเป็นผู้อวดดี"อหังการ"โดยปราศจากความดีและ"คุณธรรม"และพร้อมจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองและกลายเป็นผู้ที่ลุ่มหลงประจบสอพลอต่อผู้ที่มีความรู้เหนือกว่าเขา ใครก็ตามบำเพ็ญธรรมแล้วตกอยู่ในภาวะแห่งการหลอกลวงตัวเองจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจมาก เพราะเขายึดถืออาการหลอกลวงนั้นด้วยความมั่นคงตราบชั่วชีวิตทีเดียว

ตอบ...โดยสภาวะอาตมาว่าพวกเราดีขึ้นเรื่อยๆตรงแม่นขึ้นเรื่อยๆ

0893867xxx ธ.จิตที่ตั้งไว้ผิดในโจรหัวโจกไม่มีสิ่งที่โลกต้องการจริงๆคือความอดทนต่อคนโง่!ความกลัวต่อพระศาสดาและหลีกเลี่ยงความชั่ว!ความสงบของจิตใจเพื่อแนะนำเพื่อนมนุษย์ตรงกับปรัชญาสากลเป๊ะ!

0849240xxx จาตุมหาราชเปรียบเช่นทักษิณใช่ไหมครับ

ตอบ...ใช่ จาตุมหาราชนี้เขาไม่ทิ้ง แล้วก็ยังเอายามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมฯ เขาก็เป็นหมด อย่างธัมมชโยนี้เขาขนของโลกที่ว่าดีๆมาฉาบไว้หมด

0893867xxx โจรหัวโจกผู้บงการคนจมโลกธรรมไม่มีวันนำพาโจรหัวโจกฤาผู้อื่นรอดพ้นทุกข์จากความอิ๊บอ๋ายให้อยู่เหนือโลกธรรมได้จริงดังพ่อครูกล่าวเป๊ะ!

ตอบ...คนบงการคนนี่ไม่ใช่จาตุมฯอย่างเดียว แต่คือจาตุมฯรวมกับปรนิมฯด้วย ถ้าสั่งบังคับคือจาตุมฯ แต่ถ้าไม่สั่งแต่ใช้วิธีอื่นให้เขาหลงทำให้ก็คือ ปรนิมฯ ตอนนี้ธัมมชโยถูกหมายจับเรื่องบุกรุกที่ป่าฯ แต่ก็ให้หน้าม้ามาแก้ต่างให้ เลี่ยงกันอยู่ว่าตนไม่ผิด เราก็ดูกันต่อว่าจะจบอย่างไร หนังเรื่องนี้

 

_Bunphot Lorpipat มาดูพุทธศาสนาตามภูมิแล้ว เลิกดูซีรี่ไปเลย

ตอบ...อาตมาว่าโอลิมปิกจะทำโลกฉิบหาย ว่าประเทศตนได้จัดแต่ว่าประเทศตนยังใช้หนี้ไม่หมดเลย ประเทศไทยอย่าให้ได้จัดเลย ไปจัดบันเทิงเริงรมย์อะไรที่เห่อกันมากมายยิ่งใหญ่ ได้เงินเยอะก็ยอมจ่ายเงินยุ่งยากลำบาก อาตมาพูดแล้วเหมือนไอ้เข้ขวางคลอง คนเขามีความสุขเพลิดเพลินกัน

 

เมื่อวานนี้ทวนอีกนิดว่าเมืองไทยตอนนี้กำลังเสื่อมลงมาก แต่อาตมาว่าจะกอบกู้ได้ฟื้นกว่าประเทศอื่นก็ดีขึ้นเห็นๆ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 92 ว่า

“โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้(แก่ตนแก่ผู้อื่นแก่โลก) หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวรแล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้(แก่ตนแก่ผู้อื่นแก่โลก) ผู้ที่‘ตั้งจิตไว้ผิด’(มิจฉาปณิหิตัง จิตตัง)

พึงทำเขา(พวกนั้น)ให้‘เลว’กว่านั้น”[ทิโส ทิสัง ยันตัง กยิรา  เวรี วา ปนะ เวรินังมิจฺฉาปณิหิตัง จิตฺตัง   ปาปิโย นัง ตโต กเรติฯ ตติยัง ฯ] 

ความหมายอันลึกล้ำที่ซึ้งสุดของคำตรัสพระพุทธเจ้านี้ ขยายให้ชัดก็คือ โจรหัวโจกคือคนเลวระดับ“หัว”ที่เก่งที่ฉลาด 

เมื่อเห็นกันและกัน และเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน ก็รวมกันร่วมมือกันเกิดพลังรวมได้มาก จึงเกิดพลังร่วมที่ร้ายแรงทำเลวทำชั่วได้หนักหนาสาหัสด้วยกัน หรือคนที่มีเวรคือคนอวิชชามืดหนักหนายิ่งปานกัน เมื่อเห็นกันและกัน และเข้าใจผิดไปในทางเดียวกัน ก็รวมกันร่วมมือกันเกิดพลังรวมได้มาก จึงเกิดพลังร่วมที่ร้ายแรงทำเลวทำชั่วได้หนักหนาสาหัสด้วยกัน ผนึกกันแน่น

เข้าเป็นพลังฤทธิ์ที่มี“ความเลว”มากยิ่ง จึงทำ“เลว”สาหัสร้ายกาจ “เลว”กว่าอย่างอื่น

ดังตัวอย่างคนไทยที่เห็นได้ ทั้งมวลชนบางกลุ่มแย่งอำนาจทางการเมืองกัน และทั้งมวลชนบางกลุ่มที่แย่งอำนาจทางศาสนา

ล้วนคือโจรหัวโจกกับโจรหัวโจกเห็นกันและกันก็ร่วมกัน และคือคนมีเวรกับคนมีเวรเห็นกันและกันทำเลวเป็นปรากฏการณ์จริงอยู่ในเมืองไทยปัจจุบันนี้นั้นแหละ ซึ่งล้วนแต่เพราะ“อวิชชา”ของเขาทั้งหลาย 

ถึงอย่างนั้น “ความเลว”ของโจรหัวโจกกับของคนมีเวร จะเลวปานใด คนที่“ตั้งจิตไว้ผิด”นั้นจะทำ“ความเลว”ได้ยิ่งกว่านั้น

เพราะเขายังไม่รู้วิธี“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ของตน “ทำใจในใจ”ของตนไม่เป็น

ตัวอย่างเช่น“ทำทาน”ชนิดที่ไม่มีหวัง ให้ทาน”(น สาเปกโข ทานัง เทติ) ไม่มีจิตผูกพันในผล ให้ทาน”(น ปฏิพัทธจิตโต ทานัง เทติ) ไม่มุ่งการสั่งสม ให้ทาน”(น สันนิธิเปกฺโข ทานัง เทติ)  ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยทานนี้ จึงให้ทาน(น อิมัง เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ)

ฟังให้ดี ชาติหน้ามี แต่อย่าอยากให้ได้ในชาติหน้า คุณรู้ว่าอะไรดีก็ทำดี จบ อย่ามีพลังงานต่อ รู้เจตนาดี แต่อย่าอยาก อย่ามีพลังงานต่อ คุณทำทาน

 

ผู้ยังยึด“ภพ”ยึด“ชาติ”ในความเป็น “เทวภพ”(เทวนิยม)อยู่ ด้วยอวิชชา โดยไม่รู้ หรือไม่ยอม“ตัดภพจาตุมหาราช”อันเป็นตัวร้ายต้นตอ จึงมีแต่นรกทับทวีสุดซับซ้อน

การปฏิบัติที่ได้ผลแล้วไม่ยึดติด แต่ยึดอาศัย ไม่มีอาลัย มีแต่สมาทาน ส่วนผู้อวิชชาก็อุปาทาน คือเกิดไม่มีจบ ผู้ที่มีกับมีคือผู้ยึด นับประมาณมิได้

เมื่อ“ภพ”ของจาตุมหาราช(ถ้าเพศหญิงก็เรียก“จาตุมหาราชิกา”) ซึ่งเป็น“ภพ”แรก เป็น“ต้นตอ”ในความเป็น“ภพทั้ง 6”(ภพนั้นไม่มีอยู่จริงเลย : อนัตตา) ที่คนทั้งหลายหลงกัน“จริงๆ”ว่า เป็น“ภพ”ที่เจริญ เป็นคนยิ่งใหญ่

เพราะมีอำนาจเหนือใครๆ เหนือคนทั้งหลาย เป็นหัวหน้าคนทั้งหลาย หลงว่านี่คือ“ความเจริญ” คือ“เทพเจ้า” คือ“เทวดา” 

ดังนั้น เมื่อเป็นได้ จะด้วย“ร้าย”ด้วย“เลว”อย่างไร? แค่ไหน? แต่เพราะเขายังหลงมีอวิชชาอยู่ จึงทำร้ายทำเลวนั้นให้ได้ จนได้กุศล กับ บุญ ถ้าหลงผิดจะตกต่ำถึงบัดซบ

ในยุคที่ไม่มีพุทธศาสนา หรือในยุคที่คนเสื่อมไปจากพุทธศาสนา เช่นยุคนี้ก็จะมีทิฏฐิหลงภพหลงชาติกันเช่นว่านี้ จึงสร้างภพสร้างชาติได้ซับซ้อนตกต่ำทับทวี ดังที่เห็นและเป็นกันอยู่ในชาวพุทธไทยทุกวันนี้เต็มสังคมไทย อยู่ในวงการพุทธที่รับนับถือกันว่า เป็นพุทธกระแสหลัก(เถรสมาคม)ก็ดี พุทธกลุ่มเด่นยิ่งใหญ่(ธรรมกาย)ก็ด้วย

นั่นคือ ผู้ยังหลงติด“ภพจาตุมหาราช” ไม่ยอมปลดปล่อย เป็นต้นจิต ปักหลักอยู่ ไม่ได้ปลดปล่อยไปก่อน แต่เป็นตัวหลักที่ 1

“ภพ”ต่อมาก็หลงว่า เป็น“ความเสพรส” เป็นภพที่ 2 และหลงจริงๆว่า “ความสุข”เป็น“ความเจริญ”ที่ได้เสพ“สุข”(สุขัลลิกะ) ได้เสวย“ความดีงาม” อันเป็น“อุปาทานโลกีย์”เต็มๆซึ่ง“ภพสุข-ภพยิ่งใหญ่”นั้นก็คือ ดาวดึงส์

“สุข”คือ กาม  ส่วน“ยิ่งใหญ่”คือ อัตตา

“จาตุมหาราช”นี้เองที่อวิชชา หลงว่า ตนจะต้องได้“ความสุข-ความยิ่งใหญ่”มาเสพ

เพราะอวิชชาไม่รู้ภพชาติ จาตุมหาราชจึงตัดภพชาติไม่เป็น และหลงสุขหลงยิ่งใหญ่ต้องได้สุข(กาม) ได้ยิ่งใหญ่(อัตตา) จึงทั้งโลภซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อน ทั้งราคะ ทั้งรุนแรง ทั้งร้ายกาจ ทั้งอำมหิต เพราะไม่ลดไม่วางความเป็น“จาตุมหาราช” เป็น“เหตุ”ใหญ่

“จาตุมหาราช”จึงเป็น“ต้นเชื้อเลวร้าย”ที่ไป“ขยายเหตุ-ขยายผลเชื้อร้ายเลว” ซึ่งทำให้เลวให้ร้ายทับทวียิ่งใหญ่มากมาย

ยิ่ง“ฉลาด”(เฉโก)จึงยิ่งเลวร้ายทับทวีซับซ้อน“ซ่อนเชิง”ด้วยเล่ห์ หลอกได้เก่งยิ่งๆ“ความเลว”จึงทวียิ่ง ทับท่วมมากสุดๆ

ทีนี้ ผู้ปล่อยวาง“จาตุมหาราช”เป็นแต่ยังติด“สุข” จะ“สุขด้วยกาม” หรือ“สุขเพราะสมใจที่ได้บำเรออัตตา”ก็หลงว่า“สุข”

ทั้งๆที่

“สุข”คืออลิกะ คือเท็จ มันไม่มีจริง มันแค่“ชาติ” แค่“ภพ” ซึ่ง“อนัตตา”ทั้งนั้น เป็นอารมณ์ที่“เท็จ”(อลิกะ)แท้ๆ คนผู้ยังมีอุปาทานใน“ภพกาม-ภพใจ” ก็ยึดจริงๆ“ได้แล้ว” ก็“เสพเป็นสุข”(ดาวดึงส์) ตนเสพก็เป็น“เทพสุข”(เทวดาดาวดึงส์) ก็ยังมี“ภพ”มี“ชาติ”อยู่  เพราะยังมี“ตนเสพ”ชาติเจริญ

“ภพสุข-ชาติสุข”ที่ตนเป็นเทวดาเสพนี้แหละ คือผลวิบากที่“เป็นหนี้”อยู่  มันก็สะสมทับซ้อน หนาขึ้น แน่นหนักยิ่งขึ้นจึงต้องวนเวียน“ใช้หนี้บาป”นี้ไปนาน

เพราะเมื่อ“หลง”ว่าอร่อย ว่าสนุก ว่าเพลิดเพลินว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น(สุภ) จึงยิ่งยึดไว้ให้“เป็นตนนานๆ” “กาลเวลาที่ตน‘ยืด’ให้ตนเป็นตัวตนต่อไปนี้แหละคือ ภพ“ยามา”

ซึ่งอะไรก็ตาม แม้จะ“มี” ก็ต้องเสื่อม ถึงจุด“พัก”หรือจุด“เย็น”จนได้อยู่นั่นเอง ในเวลาหนึ่ง แต่ถ้ายังเป็น“อาคามี” ก็จะวนกลับมาอยู่ ยัง“ไม่จบ”   “ความวน”จึงยาวนานต้องมีภูมิ“อนาคามี”จึงจะไม่วนกลับ

ดังนั้น แม้จะพัก จะหยุด ก็ยัง“วน”ไปใหม่ แต่เพราะตน“ติดจัด” แม้จะถึงจุดพัก จุดหยุด(ดุสิต) ก็ไม่ยอมให้มันพัก จึงต่อและต่อไปไม่มีจุดใดขาด มีแต่“มีกับมี”ตลอดกาล

คนผู้ติดยึด จึงมีแต่“มีกับมี” จึงมีแต่ร้ายกับเลวทับทวี ไม่มีจบ นับประมาณมิได้

กล่าวคือ เมื่อแย่งได้ หลอกสะกดเอา หรือใช้เล่ห์โกงได้ ก็ชื่นใจ สุขใจ ปิติ-ปลื้มใจ“ความสุขใจ-ปิติใจ-ปลื้มใจ(อัตตมนตา โสมมนัสสา”นี้คือ ลมๆแล้งๆ “อาการหลอก”แท้ๆ แต่พิษมันร้ายมาก คนโง่จะยิ่งหลง

อย่างเช่นปีติ มีห้าแบบ

1.      ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.      ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.      โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.      อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.      ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

เรารู้แล้วก็ต้องให้เป็นแบบโลกุตระคือไม่สะสมปีติ ให้ปีติไป ตามลำดับ แต่อย่าปล่อยหลงให้มีอุพเพงคาปีติ ไปติดยึดว่าต้องปีติมากๆ ต้องถึงไคลแมกซ์ ต้องได้ ถ้าชีวิตไม่มีไคลแมกซ์นี้ไม่ได้ คืออุพเพงคาปีติ อย่าให้เป็น อย่าให้มากมาย ให้ใช้ให้พอเหมาะเป็นพลัง ท่านถึงว่าให้พยายามแผ่ให้เป็นผรณาปีติ ให้แทรกไปทุกอาการ 32 เลย อย่าให้เป็นก้อนใหญ่อุพเพงคาปีติ เป็นพลังรวมเยอะ จนติดยึด ถือว่าให้ชีวิตนี้ไม่มีไคลแมกซ์ไม่มีสุดยอดแห่งชีวิตนี้ ผู้ชัดเจนแล้วเลิกรู้แต่ว่ามันสบายๆราบเรียบไม่ต้องมีรสจัดสุดเต็มที่ คนไหนจะไปยึดไคลแมกซ์ขนาดไหนก็แล้วแต่ใคร สุขสุดยอดของคุณ จิตคุณตั้งไว้ขนาดไหนก็ของใครแหละ จุดสุขสุดยอดของคุณ อย่าไปตั้งอย่าไปมี ถ้าไม่เช่นนั้นคุณจะหนักหนาแรงมากขึ้น อย่างที่ปลุกเร้ากันทุกวันนี้ ไม่ว่าอบาย เป็นการบันเทิง ขิฑฑาปโทสิกเทวดาเป็นนรกปหานะทั้งนั้น มีความพอใจสุขใจเป็นโทษ พระพุทธเจ้าท่านตรัสโทษไว้สองอย่าง

ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ คำว่ามโนปโทสิกะคือไปสร้างจิตเป็นโทษ ส่วนขิฑฑาปโทสิกะคือคนหลงรื่นเริงบันเทิงใจอร่อยเป็นสุขขัลลิกะ

ถ้าจะแยกคือมโนปโทสิกะ เป็นอัตตา ส่วนขิฑฑาปโทสิกะ  เป็นกาม

ยิ่งยัดเยียดใส่ใจคน เพราะหลงว่ามันเป็นแรง เป็นพลัง แรงบ้านี้จึงเกิดแท้“มี”แท้จนได้

“ความไม่มี”(สูญ)ที่ยึดมั่นว่า“มี” กระทั่งตนเอง“มี”ขึ้นสำเร็จในใจตนจนได้ ฉะนี้แลคือ “อุปาทาน”ที่“สำเร็จโดยหลอกตนเองสำเร็จ เป็น“อัตตาหรือรูปที่สำเร็จด้วยจิต”(มโนมยอัตตา)อันผู้อวิชชาทั้งหลายหลงยึดกัน

ความสนุกความอร่อยไม่มีตัวตนเป็นแต่เพียงลมๆแล้งๆปั้นกันเอง

“อาการ”ลมๆแล้งๆเช่นนี้เองคือ “ภพที่ 33”(ตาวติงส) ภพด้านร้ายก็“จาตุมหาราช” เป็น“ต้นตอแห่งความบ้า” และภพด้านดีก็ “ดาวดึงส์” คือ ต้นตอแห่ง“ความมี” ซึ่งเป็น “ภพเก๊” เป็น“วิมานลวง” เป็น“แดนเพ้อพกทั้งงก ทั้งร้าย ทั้งแรง ทั้งสนุก ทั้งปลื้ม จึงเพลิน จึงเพลิด เตลิดไปๆ ไม่รู้จบ”

ซึ่งมันไม่ใช่“ของจริง” เป็นอุปาทาน ความยึดติดใน“มโนมยอัตตา” คือ “อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต” มันเป็น มันมีขึ้นมาในจิต

เมื่อได้เสพเสวย“ภพเก๊”(จาตุมหาราช)นั้น-สวรรค์เก๊”(ดาวดึงส์)นั้นไปๆๆจน“สิ้นวิบาก”นั้นแล้ว(โส ตํ กัมมํ เขเปตฺวา) “สิ้นฤทธิ์”(ตํอิทธํ) “สิ้นยศ”(ตํ ยสํ) “หมดความเป็นใหญ่แล้ว”(ตํ อาธิปเตยยํ) ก็จะเป็น“ผู้กลับมา”(อาคามี) กลับมาสู่ความเป็นคนเช่นนี้แหละอีก”แล้วๆเล่าๆ(อาคามี โหติ อาคันตา อิตฺถัตตํ)ตามเดิม วนแล้ววนเล่า เป็นอยู่อย่างนี้

ฉะนี้เอง ความเป็น“โลก”(วน)

ฉะนี้ คือ“ผล”อยู่ในคนปุถุชนธรรมดา

ถ้าคุณไม่รู้จักอบายของตน คุณวนมาหาอบายใหม่ คุณจะติดหนักกว่าเดิมนะ ถ้าไม่รู้อบายตั้งต้น คือ จาตุมฯกับดาวดึงส์ สองคู่หูนี้แหละที่เป็นธรรมะสอง ถ้าคุณลดจาตุมฯได้ดาวดึงส์จะลดได้ด้วย หรือลดดาวดึงส์ได้ จะลดจาตุมฯได้ด้วย แต่จริงๆแล้วจาตุมฯหยาบกว่าดาวดึงส์

จึงขอประกาศให้ทราบว่า คนทั้งหลาย ถ้าไม่รู้ จะหนักหน้าไปหานรกหนักไปเรื่อย

ทีนี้ “ทาน”เป็น“ประโยชน์”(อานิสังสา)หรือไม่? นี่แหละที่เป็นประเด็นสำคัญมาก ต้องศึกษา อย่าง“ลืมตา”มีสัมผัสเป็นปัจจัย  ถ้าไปหลง“หลับตาสมาธิ”แม้ขั้นใดๆ ก็ไม่ใช่กาละ“ทำทาน”เลย มีแต่อยู่ในภพมืดๆนิ่งๆ

การหลับตาหมดสิทธิ์ทำทาน หมดสิทธิ์จะสิ้นอนุสัย ใครหลับตาทำทานหมดสิทธิ์เป็นอรหันต์

นั่นคือ ประโยชน์หรืออานิสงส์ แม้ผู้ปฏิบัติจะรู้“บาป” แต่จะมีประโยชน์เป็น“บุญ”มั้ย? หรือ“ไม่บาปไม่บุญ”? หรือเป็น บาปยิ่งๆขึ้น? หรือทำจน“บุญ”เสร็จจบ!!!

เสขบุคคลคือคนทำส่วนบุญได้ เป็นปรทัตตูปชีวกเปรต บุญแบ่งกันไม่ได้ กรรมแบ่งกันไม่ได้ แบ่งได้แต่กุศล แบ่งสิ่งที่เป็นความดีงามโลกียะเช่นความรู้เป็นต้น แต่บุญคือการตัดกิเลสอย่างเดียว

ซึ่งแตกต่างจากทำ“กุศล”หรือ“อกุศล” เพราะนั่นเป็นแค่เรื่อง“โลกียะ” และถ้าเป็น “กุศล”ก็เป็นแค่“กัลยาณธรรม”ตามสามัญ

“อกุศล”ก็ไม่ใช่“กัลยาณธรรม”นั่นเอง

“กุศล-อกุศล” โลก“โลกียะ”วนไม่มีจบ

“กุศล”หรืออกุศล”จึงแค่ขั้นโลกียธรรม

“บาป”หรือ“บุญ”จึงจะเป็นโลกุตรธรรม

สูงสุดโลกียะก็“กัลยาณธรรม”เท่านั้น หาก“ทำใจในใจ”ไม่เป็น ก็ไม่มี“ทาง”เข้าสู่ “โลกุตรธรรม” คนผู้นี้จึงหมดสิทธิ์เด็ดขาด

โปรดตั้งใจทำความเข้าใจให้ประณีตสุขุมคัมภีรภาพกันดีๆ ตั้งแต่“หลับตา-ลืมตา”ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่เรา“ทำใจในใจ”

พวกที่เก่งแต่ไม่มีบริวารคือนิมมานรดี เช่นในเมืองไทยมีลักษณะ one man show production เก่งแต่ไม่มีบริวาร บริวารไม่รวมกันติด ที่จะรวมเป็นทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา ไม่มีสาธารณโภคี มีให้เห็นในเมืองไทย แต่ถ้าเป็นโลกุตระจะรวมเป็นสาธารณโภคี จะไม่แตกหรือมีวิบากออกไปบ้างแต่สุดท้ายก็จะมารวมกันในที่สุด

กัลยาณธรรมสูงสุดเป็นได้แค่ศาสนาเทวนิยม ต้องมาเปลี่ยนเป็นอุบัติเทพ เป็นผู้ลดกิเลสได้รู้จักจิตเจตสิกที่แท้จริง รู้จักรูปนาม อ่านรูปนามที่เกิดในปัจจุบันธรรม สายหลับตานี้ปิดประตู เรียนรู้รูปนามที่เป็นเหตุปัจจัยไม่ได้ จะมีแค่ทิฏฐิ 62 เท่านั้น วนอยู่ตรงนั้น ไปๆมาๆวนกับอดีตกับอนาคตเพราะไม่ทำปัจจุบัน แม้แค่อนาคต 44 ก็มีปัจจุบัน 5ที่ซ้อนในอนาคต คือหลับตาก็นั่งเสพภพ อัตตา ภพ ในปัจจุบัน ขณะนั่งหลับตาก็เสพกามในภพ ไคลแมกซ์ในปัจจุบันได้ เป็นกามในภพสร้างเองลมๆแล้งๆเป็นมโนมยอัตตา เป็นกามก็ได้ เป็นฌาน 1 2 3 4 ก็ได้เป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิที่รวมไว้ในอนาคต 44

ผู้จะมาปฏิบัติธรรมได้บรรลุต้องมาลืมตาปฏิบัติที่จะรู้กามในปัจจุบัน เห็นได้จริง ลดได้จริง จึงเกิดฌาน 1 2 3 4 อย่างปัจจุบันลืมตา

ถ้าอาตมาไม่มาเกิดก็จบเลยต่อไม่ได้ เชื่อไหมว่าอาตมาเป็นสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

หลายอย่างอาตมามีเอง แต่มาเจอในพระไตรปิฏกก็พบว่าใช่ตรงกันเลย

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ามีทาน ศีล ภาวนากับ ศีล สมาธิ ปัญญา

มีสองแบบนี้หละ

ทานนี่สอนกันทั่วไปทุกศาสนาแต่ศีลนี้มีของศาสนาพุทธเป็นหลักชัด แต่ของศาสนาอื่นเขาก็มีศีลของศาสนาเขา ศีลหลักของศาสนาคริสต์คือ Ten commandments จะปฏิบัติธรรมะของพุทธต้องมีสัตบุรุษพาทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนกัลยาณธรรม ได้แค่โลกียธรรม มีฤทธิ์เดชมากมายด้วย เขาก็รู้ว่าฤทธิ์เดชไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าเป็นศาสดาสูงๆก็จะไม่เอาฤทธิ์เดช เอาคุณธรรม แต่ถ้าไม่มีจิตรู้จักภพชาติ รู้จักการเกิดที่เป็น สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ เป็นการเกิดของพลังงานจิตวิญญาณ

อนุสยะแปลว่าอยู่ คำว่าสยะแปลว่าตน คำว่าอนุแปลว่าน้อยเล็กละเอียด ผู้มีวิชชาจะตามรู้ของตนได้ คำว่า สก สยะ ก็คือตน

คำว่าสก คือตัวที่จะต้องรู้ครบพร้อมในพฤติกรรมเอามาเรียน ส่วนคำว่า สยะ เป็นตัวตนกลางๆ ส่วน สว นั้นลึกละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ตัวสุดท้ายของ สว คือ สยะ คืออนุสัย

ผู้หมดอาสวะคือผู้หมดพิษภัย ถ้าจะปรินิพพานโดยไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน จะปรินิพพานในโอปปาติกะเป็นอนาคามีก็ไม่มาเกิดในโลกกามาวจรอีกก็ได้ เป็นอนาคามีแล้วแต่บารมี ว่าใครจะปรินิพพานได้เร็วหรือช้า

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

อาตมาไม่เอาอนาคามี 5นี้ จะมาเกิดในภพมนุษย์แล้วจะปรินิพพานในภพมนุษย์ ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:16:00 )

590818

รายละเอียด

590818 พ่อครูให้สัมภาษณ์คุณสำราญ รอดเพชร จาก ช่องฟ้าวันใหม่ เรื่องการศาสนา   จะออกรายการสุดสัปดาห์กับสำราญ ช่องฟ้าวันใหม่ ประมาณ 2 ทุ่ม วันเสาร์นี้ 20 ส.ค.59

คุณสำราญ: วันนี้มาสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ที่สันติอโศก….หลังจากโอภาปราศัยกับพ่อครูพอให้หายระลึกถึงกัน….ถามเรื่องส่วนอ้นตัว ว่าพ่อครูอายุเท่าไหร่ครับ

พ่อครู: ว่า อายุ 83 ย่างแล้ว

คุณสำราญ:ว่า...มีโรคภัยไข้เจ็บไหมครับ

พ่อครู: ว่า...ก็ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร แต่มีวิบากที่ ไอ เป็นโรควิบาก กรรมเก่าของอาตมามาก ไปเที่ยวตำหนิคน พระพุทธเจ้าก็เป็นโรคนี้ ศาสนาพุทธมี นิคคัณเห นิคคหารหัง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการตำหนิ พูดบอกความไม่ดีเพื่อให้เขาปรับปรุงตัว เปลี่ยนแปลงไม่เช่นนั้นก็เสื่อม ความดีอยู่ในตัวเราก็ไม่เดือดร้อนใคร แต่ความชั่วอยู่ในตัวเราก็ไม่ว่าเวลาใดเมื่อใดก็ทำให้เดือดร้อนทั้งตนและคนอื่น

คุณสำราญ: นึกถึงเพลงผู้แพ้แต่งโดย รัก รักพงษ์ครับ

พ่อครู: เพลงนี้แต่งตอนอายุ 21 ปี ตอนนั้นไม่ได้เดือดร้อนใจอะไร เรียนรร.เพาะช่างตอนปี 23 อยู่หอพักบุตรทบ.เดินออกไปเที่ยวกลางคืน ก็ขึ้นมาอารมณ์ศิลปิน ก็เขียนที่เสาไฟฟ้ายืนอาศัยไฟเสาไฟฟ้าจด คิดได้ก็ไม่ไปเที่ยว กลับไปเขียนต่อ

ที่มา ไม่ได้มีเหตุอะไร ไม่ได้เศร้าใจเสียใจอะไร

คุณสำราญ: ภาษาลงตัวมาก สันติอโศกตอนนี้สร้างขึ้นมาได้เท่าไหร่กี่ปีแล้วครับ

พ่อครู: สันติอโศกตั้งมาตั้งแต่ 2519 ตอนนี้ก็ 40 กว่าปี

คุณสำราญ: ที่นี่คือบึงกุ่ม กทม. ตอนนี้มีกี่สาขาครับ

พ่อครู: อาตมาไม่ได้นับ กี่สาขา แต่เป็นหลักๆนี่ก็มีบวร บ้านวัดรร. สมบูรณ์แบบ เป็นสังคมสาธารณโภคี ทุกชุมชน ทุกคนทำงานฟรีเสียภาษีร้อย% ที่หลักๆใหญ่ๆมี 9แห่งนอกนั้นก็มีที่ย่อยๆ

คุณสำราญ: ที่นี่มักจะไม่มีข่าวบุกป่าสงวนนะครับ

พ่อครู: ไม่ได้คิดไปรุกป่าเขา อาตมาว่าอาตมาอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะคุณความดี  ไม่เช่นนั้นนะว่าอาตมา 1.ด่าคนเก่ง 2.ยียวนคนไม่ใช่เล่น สองข้อนี้คนก็จะกระทืบคนตายแล้วแต่อาตมาอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ ก็สร้างชุมชนอยู่ในเมืองหมด เป็นเช่นในสันติอโศก

คุณสำราญ: ที่ผ่านมา ทำไมสำนักปฏิบัติธรรมถึงมีปัญหาเรื่องนี้ มันเป็นความเห็นแก่ตัวหรือสวมรอยครับ

พ่อครู: สรุปคือไม่ชัดเจน จิตมันพาเป็น ถ้าคนดีจะไปรุกทำไม แต่นี่เพราะจิตชั่วเป็นจริงจึงกล้าทำ คนที่สัมมาทิฏฐิจะไปทำผิดทำไม? เขาไม่ทำผิดหรอก คนชั่วก็ทำชั่ว กรรมเป็นอันทำ ถ้าทำแล้วก็เป็นกรรมของเรา

คุณสำราญ: พ่อท่านว่า ไม่ดีหรือว่าจะมีสำนักปฏิบัติธรรมทั่วแผ่นดิน พ่อท่านอยากให้พุทธบริษัทคิดอย่างไรครับ

พ่อครู: อันนี้ครอบงำความคิดไม่ได้ต้องให้อิสรเสรีภาพเขา พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ฟังธรรมให้ครบสองด้าน อันใดหมู่ใดเป็นธรรมวาที อันไหนไม่ใช่ธรรมวาที ก็เลือกเอาเอง อิสรเสรีภาพ

คุณสำราญ: บ้านเมืองควรดูแลบริหารจัดการอย่างไรครับ

พ่อครู: บ้านเมืองควรจะต้องชวยกัน เพื่อที่จะเบาแรงของผู้บริหาร ศาสนาหรือธรรมะ จะต้องเป็นพลังงานรวมของบ้านเมือง มันก็เป็นกรรมของบ้านเมือง บางทีเป็นอวิชชา เราไม่ได้หมายถึงว่าคนส่วนใหญ่จะถูกต้อง การที่บอกว่าปชต.ต้องเอาเสียงส่วนใหญ่ถูกต้องอันนี้ก็เละ ต้องศึกษาให้ทิฏฐิ เป็นสัมมา ตามพระพุทธเจ้า อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ว่าของท่านดี ไม่ได้เอาตามเสียงปชช.ส่วนใหญ่

คุณสำราญ: มาสู่ประเด็นรุกป่าสงวนแห่งชาติ หนึ่งบ้านเมืองต้องดูแล และสงฆ์เองก็ต้องดูแลใช่ไหมครับ

พ่อครู: พัฒนาธรรมะอย่างเดียว ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ จะเป็นอุภโตภาค เป็นประโยชน์สองฝ่าย เป็นประโยชน์ตน และเป็นประโยชน์ท่าน เป็นสัจจะ

คุณสำราญ: ฟังดูพ่อท่านไม่ได้กังวลว่าจะต้องมีสาขามากๆเลยนะครับ

พ่อครู: พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราประพฤติพรหมจรรย์นี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อต้องการลาภยศชื่อเสียงหรือโลกียสุข

คุณสำราญ: ถามแบบชาวบ้านเลยว่า...ตกลงสันติอโศกยืนยาวมา 40 ปีเต็มๆหัวใจแก่นแก่นคำสอนคืออะไรครับ

พ่อครู: หัวใจของศาสนาพระพุทธเจ้าคือนิพพาน สูงสุด ถ้าเอาภาคปฏิบัติก็คือทานศีลภาวนา หรือศีลสมาธิปัญญาหรือไตรสิกขา ต้องเข้าใจว่าทานอย่างสัมมาทิฏฐิป็นอย่างไร แล้วก็จะมีสัมมาปฏิบัติ เพื่อให้ได้สัมมาปฏิเวธ

คุณสำราญ: บางสำนักบอกว่านิพพานเป็นอัตตาครับ

พ่อครู: ของสันติอโศกบอว่านิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่ก้อนตัวตน

คุณสำราญ: ทำไมเขาถึงได้แปลนิพพานว่าอัตตาครับ

พ่อครู: ตอบเลยว่าโง่ แน่นอนว่าเห็นแก่ตัวด้วย

คุณสำราญ: สันติอโศกไม่ได้อยู่ในกำกับมหาเถรสมาคมครับ

พ่อครู: อันนี้ต้องพูดให้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในกำกับของมส. และนี่ไม่ใช่ถูกเขาขับออกมานะ เราออกมาเอง วันที่ 6 ส.ค. 2518 เป็นวันประกาศอิสรเสรีภาพของชาวอโศก อาตมาพาสงฆ์อโศกออกมา มีภิกษุ 21 รูป เณรอีก 2 รูป ก็ประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคม ลาออกมาขอแยกตัวตามธรรมวินัย พระพุทธเจ้าว่าอนุญาตได้ หมู่เล็กขอแยกหรือหมู่ใหญประกาศแยก เข่นพระพุทธเจ้าประกาศกับพระเทวทัตก็แยกตัวกัน แต่นี่เราประกาศแยกออกมาเอง พอเราประกาศมาแล้ว ตั้งแต่พศ.2518 วันร้ายคืนร้ายพศ.2532 เถรสมาคมก็มาดึงเราเข้าไป บอกว่าอโศกอยู่ในครอบครองเขา ดึงเข้าไปอีก ทั้งที่เราก็อยู่ได้ตามปกติ เขาก็ว่าไม่ได้ ต้องให้สึก ถือว่าอยู่ในอาณัติแล้วจะสั่งให้สึกอีก อาตมาก็ต้องโอนอ่อนตามยอมทุกอย่างขึ้นศาลก็แพ้ แพ้ก็แพ้ ลงโทษติดคุก 6 เดือนรอลงอาญาสองปีก็ยอม เราก็อยู่ของเรา สบายๆ มากกว่าเบิร์ดอีก

คุณสำราญ: เรื่องนี้บางคนก็ลืมไปแล้ว เป็นประวัติศาสตร์สำคัญ เรื่องนานาสังวาส ตอนนี้พ่อท่านสบายมากครับ

พ่อครู: ว่า...เป็นแต่เพียงว่าประชาชนนั้นก็ยาก ได้แค่นี้ก็ดี

คุณสำราญ: ฟังเทปพ่อท่านว่าโลกุตรธรรม แล้วภาษาชาวบ้าน โลกุตรธรรมคืออะไรครับ

พ่อครู: คืออยู่เหนือโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข เราไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจโลกธรรมเหล่านั้น โลกุตรธรรมคือเหนือส่ิงเหล่านั้นไม่ได้อยากมีอยากได้สิ่งเหล่านั้นเลย หลุดพ้น

คุณสำราญ: จะถึงจุดนี้ได้ไม่ได้มาโดยง่ายครับ

พ่อครู: ก็ต้องทำเอง ไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอง ต้องปฏิบัติเอง

คุณสำราญ: ก็รู้สึกปีที่แล้ว พ่อท่านก็ไปประกาศสัจธรรม ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกส่ิงทั้งโลก ในที่สุดนะครับ

พ่อครู: เป็นสัจจะที่อาตมาเห็นว่า ถ้าเราไม่บริสุทธิ์นั้นไม่จบ ใครที่ทำความเข้าใจได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุดคืออย่างไร อย่าไปลำเอียง ศึกษาให้จริง แล้วก็เอาอันนั้นเป็นหลักเลย ที่เราตัดสินว่าดีที่สุดบริสุทธิ์ที่สุด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส

คุณสำราญ: ปิดท้ายส่วนนี้ สรุปว่า ช่วงนี้พ่อท่านก็ยังคงแข็งแรง มีวิบากกรรมที่ต้องเทศนาครับ

พ่อครู: ก็มีวิบากที่ไอ พอใช้สรีระส่วนนี้มากก็เลยไม่สมดุล

 

ช่วงสอง

 

คุณสำราญ: ว่า...ตามคำเรียกร้องอยากให้สัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก ...วิกฤติการณ์สงฆ์นี้มีหลายมติ เรื่องการแต่งตั้งสังฆราช เรื่องวัดพระธรรมกายก็ก่อผลสะเทือนก่อความขัดแย้ง เจ้าอาวาสก็ยังไม่มารับการสอบสวน พ่อท่านมองว่าวิกฤตินี้คืออะไรครับ

พ่อครู: เกิดจากสัจจะความจริง คือพวกเราปล่อยปละละเลยไม่ดู คะนอง ระเริง นึกว่าตัวเองสบาย ตอนนี้เขาทำไปอย่างไม่เกรงกฏหมายเลยก็เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิของเขา ถึงเวลาวาระ มันเป็นเช่นนั้นเอง อาตมาอยากตอบก่อน ว่า แล้วเรื่องนี้จะผ่านไปไหม จะเรียบร้อยไหม อาตมาสับธงเลยว่า ผ่านแน่นอน ข้อสำคัญคือผู้มีอำนาจต้องทำหน้าที่ให้บริสุทธิ์ซื่อสัตย์ ทำเต็มที่แล้วทุกอย่างจะเดินหน้า ตอนนี้เขาจะดื้อดึงดัน แต่เขาผิดแล้ว

คุณสำราญ: พ่อท่านว่าผ่านคือสุดท้ายธรรมะต้องชนะอธรรมครับ

พ่อครู: ถูกต้อง ตอนนี้เป็นโอกาสของโลก จะเป็นปชต.ของพระพุทธเจ้า ผิดต้องได้รับผิด เมื่อไหร่อาตมาไม่เก่งตอบไม่ได้ แต่เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้แหละจะทำได้ ถ้ารบ.ชุดนี้ทำไม่ได้ก็เสียมากเลย จริง ถ้าทำไมได้ในรบ.นี้เสียมากนอกจากเสียมากแล้ว ตอนนี้มีอาญาสิทธิ์ม.44 ยังไม่ได้อีก

คุณสำราญ: ถ้าพ่อท่านมีโอกาสบอกผู้มีอำนาจในบ้านเมืองพ่อท่านจะบอกอะไรบ้างครับ

พ่อครู: มิบังอาจจะบอก ถ้าท่านถามก็จะบอกท่าน แต่ถ้าท่านไม่ถามก็มิบังอาจบอก

คุณสำราญ: อย่างไรเสียก็ต้องถูกดำเนินคดี 26 มิ.ย.ก็ไม่ได้ตัว แล้วมีสูตรพิเศษไหมครับ

พ่อครู: ก็ไม่ต้องสอนหนังสือสังฆราชไม่ต้องสอนจระเข้ว่ายน้ำ เขาทำได้อยู่แล้วเพียงแต่จะทำไหม

คุณสำราญ: พ่อท่านจะหวังกับมส.หรือเจ้าคณะจังหวัดตามลำดับจะทำไหมครับ

พ่อครู: ไม่มีใครจะทำได้หรอกท่านเหล่านั้น

คุณสำราญ: มีคนถามผมว่า ถ้าเกิดว่า วันพระธรรมกายไม่มีพระธัมมชโย จะต้องปิดไปไหมครับ

พ่อครู: ถ้าไม่มีธัมมชโยก็อวสานเลย เพราะว่าผู้จะทำได้ใหญ่ต้องมีพลังยิ่งใหญ่ แต่เป็นพลังยิ่งใหญ่ในทางชั่ว ถ้าล้มไปแล้วก็หมด พอหัวหมดไปก็จะแย่งชิงตำแหน่ง เขาอยู่อย่างนั้นจะไม่แน่น

คุณสำราญ: ว่าอยู่ได้เพราะบารมีหัวหน้า คำสอนที่สอนกันร้อยแปดทำไมทำให้อยู่ไม่ได้ครับ

พ่อครู: เป็นคำสอนนอกรีตพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ที่สอนกันนั้นเป็นการสร้างภพชาติ นอกรีต พระพุทธเจ้าสอนให้หมดภพหมดชาติ

คุณสำราญ: ทุกวันนี้เขาขยายเชิงปริมาณมากมาย มีสาขามากมาย ที่เขาใหญ่ก็มีที่ไหนก็มีครับ

พ่อครู: นี่แหละคือปชต.อันธพาล

คุณสำราญ: ทำไมไม่มองว่าเขา เผยแพร่ส่ิงดี เผยแพร่ศาสนาครับ

พ่อครู: เขาไม่ได้ขายศาสนาแต่ขยายสิ่งที่ตรงกันข้ามกับศาสนา อย่างเช่นนิพพานเป็นอัตตาเป็นต้นก็เผยแพร่ส่ิงผิดจากศาสนา ไม่มีทางที่ความชั่วจะชนะความดีในที่สุด

คุณสำราญ: เราควรปฏิรูปอย่างไรครับ

พ่อครู: จะไปบังคับไม่ได้หรอก ต้องมีภมิปัญญาจริงในผู้ที่จะมีหน้าที่ทำการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ทำก็เสียของ ยุคนี้ มีคนที่มีอำนาจหลายคนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงได้

 

คุณสำราญ: แล้วโจทย์ในการปฏิรูปศาสนาพุทธคืออะไรครับ

พ่อครู: ต้องจัดการสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปนี่คือปฏิวัติ ปฏิรูป จัดการสิ่งไม่ดีออกไปให้ได้ มันถูกเป้าแล้ว

คุณสำราญ: คำสอนที่บิดเบือน กม.ที่ล้าหลังควรเปลี่ยนไหมครับ

พ่อครู: ถ้าจัดการเรื่องศาสนาเสร็จอย่างอื่นจะไปได้ดี แต่ทางด้านการเมืองรู้ไหมว่าต้นตอ พลังงานใหญ่ที่รวมศูนย์ตรงไหนไม่ดีก็จัดการให้ได้

คุณสำราญ: ก็คือการเมืองก็เป็นศูนย์รวมทุกอย่างครับ

พ่อครู: การเมืองกับการศาสนาแยกกันไม่ได้ ใครไปแยกการเมืองออกจากธรรมะจะทำให้เสื่อม แยกไม่ได้โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นสัจธรรม ถ้าแยกสัจธรรไม่ให้ยุ่งการเมืองก็ไม่ได้ เพราะนักการเมืองต้องมีธรรมะ ต้องอยู่ด้วยกันไปด้วยกันระหว่างธรรมะกับการเมือง

คุณสำราญ: ศาสนาจักรกับอาณาจักร อันเดียวกันไหม

พ่อครู: อันเดียวกัน

คุณสำราญ: บ้านเมืองเรามีการกำหนดว่า ศาสนาต้องมียศลำดับมีสมณศักดิ์กันไหมครับ

พ่อครู: อันนี้ผิด พระพุทธเจ้าไม่ให้ตั้งใครเป็นใหญ่ ท่านให้ธรรมวินัยเป็นใหญ่ จะตัดสินอะไรก็ให้คณะที่ตั้งขึ้นมาตามเหมาะสมตัดสิน ไม่มีคณะถาวร ไม่มีใครเป็นใหญ่สุด ผิดที่วงการสงฆ์อ่อนด้อยทำให้การเมืองมาควบคุม ถ้าสงฆ์ไม่อ่อนแอ ทำดีนักการเมืองก็จะดีไปด้วย

คุณสำราญ: พระไม่ต้องมีสมณศักดิ์หรือครับ

พ่อครู: ใช่เลย ไม่ต้องตั้งใครเป็นใหญ่สุด การบริหารทุกคนจะรู้ เช่นว่าในหมู่บ้านนี้ตำบลนี้ เขาจะรู้จักกันเองว่าใครที่ควรจะให้เป็นหัวหน้า ใครดีใครเหมาะจะทำงานไหนเขาก็จะรู้กันหมด โดยสัจจะเลย ไม่ต้องไปแต่งตั้ง พอเรื่องกสิกรรมมาก็รู้ว่าใครเหมาะก็ให้ทำ ถ้าเรื่องการศึกษาก็ให้ใครก็จะรู้ มีองค์คณะเพื่อตัดสินพิพากษาว่าจะเป็นอย่างไร อย่างองค์สงฆ์จะทำสังฆกรรมก็ต้องมีอย่างน้อย สี่รูป จึงทำสังฆกรรมได้ ในบางกรณีหรือ บางกรณีให้มี 20 รูปจึงทำสังฆกรรมอันนี้ได้เป็นต้น คนไหนเหมาะสมจะมาเป็นองค์ตัดสินก็ให้เข้ามา ให้เป็นสภาที่มีคนมีปัญญามาช่วยตัดสิน ถ้าหมู่บ้านนี้มีแค่ 3 ก็ต้องไปหาจากหมู่บ้านอื่นมารวมเพื่อให้ครบองค์ พอทำเสร็จเรื่องนี้จบก็สลายคณะ พอมีเรื่องใหม่ก็ตั้งองค์ใหม่ พระพุทธเจ้าไม่ให้ตั้งคณะถาวร

คุณสำราญ: รวมความแล้วถ้าฟังพ่อท่านคือศาสนากับการเมืองแยกกันไม่ได้ แต่ต้องเป็นธรรมะที่ถูกต้องครับ

พ่อครู: อย่างในหลวงนี่ต้องมีปุโรหิต ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว

คุณสำราญ: ตอนนี้บ้านเมืองธรรมะต้องเกี่ยวกับการเมือง วันนี้ดูแล้วบ้านเมืองเป็นอย่างไร

พ่อครู: ดีขึ้น องค์รวมกระแสการเมืองก็ดีขึ้น ก้าวหน้าได้ดี ที่ตามภูมิอาตมาวัดนะ ว่าดีขึ้น อาตมาจึงมั่นใจว่าเมืองไทยจะเป็นตัวอย่างของการเมืองอาริยะ เป็นเมืองชมพูทวีป ที่จะมาสืบสานคุณธรรมของพระพุทธเจ้าต่อไป

คุณสำราญ: ที่เราเห็นปัญหามากมายนี่นะครับ

พ่อครู: คนมีปัญญาแล้วปัญหาจะไม่มี

คุณสำราญ: รอสักครูปัญหาจะผ่านพ้นไปใช่ไหมครับ

พ่อครู: ก็จะมีแต่ดีขึ้นไม่เกี่ยวกับโหราจารย์ไม่มีเดรัจฉานวิชชานะ พระพุทธเจ้าห้าม

คุณสำราญ: พ่อท่านวัดจากอะไรครับ

พ่อครู: วัดจากสิ่งที่ปรากฏจริง เรียกว่าปาตุสัจจะ ที่ปรากฏจริงขึ้น หรือ Phenomena มันเป็นปรากฏการณ์เราดูได้ มีบุคคล มีพฤติกรรม ก็ให้คะแนนได้เลย อย่างนายกประยุทธ์นี่นะ มีเทคนิคลีลาของท่านน่ะ ท่านว่า ถ้าหาคนดีกว่าได้ก็ให้มาทำสิ ท่านไม่มีอัตตามากน่ะ

คุณสำราญ: พ่อท่านมองว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเหมือนเก่าไหมครับ

พ่อครู: มันขึ้นอยู่กับว่าปชช.จะเลือกใคร ถ้าบอกว่าจะเอาคนนี้แหละ ก็เข้าอีหรอบเดิม

คุณสำราญ: ถ้าปชช.ยอม บอกว่าให้สว.ไปโหวตนายกฯให้ได้ด้วย พ่อท่านคิดว่าอย่างไรครับ

พ่อครู: ก็เป็นการไม่ประมาทไม่พลาด

คุณสำราญ: แสดงว่าบ้านเมืองเราต้องการการเปลี่ยนผ่าน จะมาเล่นๆไม่ได้ต้องถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทนะครับ

พ่อครู: ต้องมีบริขารมีองค์ประกอบพร้อมจึงทำได้

คุณสำราญ: เคยคิดไหมครับว่าในสี่ห้าปีนี้จะต้องออกไปประท้วงอีก ไปดมแก๊สน้ำตาอีกครับ

พ่อครู: ก็ไม่มีจิตระแวงนี้ ถ้าระแวงก็เสียพลังงาน แม้ไม่ระแวงแล้วมันจะต้องไปอีก อาตมาก็ผ่านสนามมาแล้วก็ไม่กลัวอยู่แล้ว สมณะไปทำเดรัจฉานวิชชาไม่ได้ ไปดูหมอไม่ได้

คุณสำราญ: พ่อท่านเชื่อว่าไม่มีแต่ก็ไม่ประมาทนะครับ

พ่อครู: ก็ไม่ประมาทเป็นตัวท้ายของธรรมะพระพุทธเจ้าเลย

คุณสำราญ: พ่อท่านอยากสื่ออะไรกับทางบ้านบ้างครับ

ตอบ...ส่ิงที่จะพูดคือ ต้องทำให้ดีไม่เช่นนั้นเสียของ รีบลงดาบไม่เช่นนั้นเสียของ

คุณสำราญ: ถ้าเสียของเที่ยวนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ตอบ...จะแก้ยาก เหมือนเราขนอุปกรณ์จะมาทำอะไรสักอย่าง พอทำแล้วไม่ได้ผลเสียของสลายหมดแล้วก็ฉันเดียวกัน นี่คือโอกาสทอง เท่าที่ดูตอนนี้ก็รอเวลาจัดการ

คุณสำราญ: กราบนมัสการพ่อท่านให้พรแก่ปชช.ครับ

พ่อครู: ก็ขอบอกปชช.ไทยว่าทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยเกิดมาในยุคนี้จงภาคภูมิใจ ที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ประเสริฐ มีผู้บริหารที่ดี ส่ิงที่จะระแวงว่าจะไม่ดีก็ให้เลิกระแวงกัน ให้มารวมใจกัน จะเกิดพลังงานทำให้ดีขึ้นได้อย่างดี...จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:16:26 )

590819

รายละเอียด

590819_เทศน์ขณะมาตรวจ Monometry รพ.บำรุงราษฏร์

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 19 ส.ค. 2559 แรม 1 ค่ำ เดือน 9 ผู้ที่เห็นหน้าเห็นตามอาตมาตอนนี้ก็คงสะดุด ก็ไม่มีอะไรมาก หมอเขาอยากจะให้ตรวจสอบดู ร่างกายอาตมาที่บกพร่อง มันไม่ดี ส่วนไหนก็อยากจะช่วยแก้ไขจัดการให้ดี ก็เพราะว่าเป็นภาระ อย่างที่รู้ว่าไม่สมบูรณ์เต็มที่ ผู้ที่ปรารถนาดีก็อยากจะให้ตรวจสอบ เพราะการวิทยาศาสตร์การแพทย์ตอนนี้เจริญมาก ส่องกล้องไปดูได้หมด ไม่มีอะไรเป็นความลับ ดูสภาพที่ปกติ ที่ดีที่เจริญคืออะไร มันเสื่อมคืออะไรหมอก็รู้จึงได้ช่วยกันมาก คนก็เลยอายุยืนยาวกัน

อาตมาเองก็พยายามตั้งใจอายุยืนไม่ได้เพื่อโลกธรรม เพื่อเด่นดังอะไร อาตมาไม่มีปัญหากับเรื่องเหล่านั้น เราไม่จำเป็นต้องไปได้ไปมีกับเขาหรอก ก็อยู่อย่างเห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คนเกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องพากเพียรเอาให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็เป็นโมฆบุรุษ

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรมอยู่เหนือโลกธรรม ผู้ใดเหนือได้จะรู้ว่าอารมณ์ตนไม่มีที่ต้องเอามาบำเรอตนให้เป็นสุข ภาคภูมิใจดีใจอะไร จะมีปัญญาอ่านรู้ ว่าความคิดที่ยินดีในโลกธรรมเป็นอย่างนี้ จิตเราไม่มี โลกธรรมแล้วจริงๆ อาการจิตที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้รูปนาม

จิตไม่มีรูปร่างตัวตนสีสัน แต่รู้ได้ว่าอาการนี้สุขทุกข์พอใจไม่พอใจ ก็เข้าใจรู้จริงได้ เราก็ทำออกเรียกว่าเนกขัมมะ ทำสิ่งที่ไม่ควรมีในใจเรา อาการเศร้าไม่ดีงาม อาการที่เป็นอวิชชา โง่ไม่เข้าใจโลภโกรธหลง ก็จะรู้อาการและลดลงได้ ลดได้หมดก็หมด ถ้าไม่หมดมันก็มีปรุงแต่งในจิต

ส่ิงที่ปรุงแต่งในจิตเป็นธรรมะสองสองอันปรุงแต่งจะเกิดสังขาร นามรูปหรือรูปนาม ธรรมะสองปรุงแต่งกันเกิดสังขาร มันไม่เท่ากันแล้วจะมีการไม่ทะเลาะกันก็ร่วมกัน มีสองอย่าง ก็เกิดเป็นอันที่สาม เรียนรู้ไปจะเกิดเป็นมีก็จะยึดว่าเป็นจริงเป็นภพชาติ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

สังขารที่ปรุงแต่งเป็นอุตุนิยามก่อน อยู่ด้วยพลังฟิสิกส์ เกาะตัวแล้วก็สลายตัวไป พอเริ่มเป็นชีวะก็มีตัวมันแล้ว เป็น ish เป็นสามเส้าเป็นตัวเราแล้วก็มีอีกสองอย่างปรุงแต่งเป็นตัวที่สามเป็นสามเส้า  s ก็คือ she  เป็นอิตถีภาวะ  h ก็คือ he เป็นปุริสภาวะ คนไม่รู้ก็ไม่สามารถไม่ให้ปรุงแต่เป็นอุกศลได้ เรามีพลังงานตัวเราเป็น i มันรวมการรู้หมด สามอันนี้เป็นเราหมด เรามีอำนาจควบคุมได้ ถ้าสามารถรู้พลังงานเหล่านี้ได้ ควบคุมได้อยู่ใต้อำนาจเรา เราก็จะมีชีวิตใช้พลังงานเหล่านี้ได้

พอมาเป็นพลังงานจิตนิยามก็เป็นเหนือกว่าอุตุ พีชะ ชีวิตที่ดีก็จะเป็นจิตที่ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่น แต่ชีวิตที่โง่จะเป็นโทษภัยต่อคนอื่น เราก็ต้องรู้แล้วหยุดให้ได้ ทำให้เป็นพลังงานที่ดีขึ้น เป็นพลังงานอรหันต์ได้จะดีที่สุด

สังขาร คือการปรุงแต่ง รวมตัวเป็นรูปร่างตัวตน ดิน น้ำ ไฟ ลม มีอวัยวะต่างๆ มีจิตวิญญาณครอบครอง เข้าไปจัดการ ถ้าอวิชชาก็จัดการไปตามโลก พลังงานจิตนี้เลวได้มากที่สุด เลวที่สุดถึงประมาณไม่ได้ อาตมาก็อธิบายไม่ได้ ใช้ภาษาว่าฉิบหายบัดซบได้ แต่ถ้าทำให้พลังงานเลวร้ายเหล่านี้ลดได้ก็หายไปเลย

สังขารในกายเราก็ไม่เที่ยงขึ้นกับวิบาก อาตมาทุกวันนี้ที่เป็นอะไรก็เป็นวิบาก อาตมาไม่ได้เดือดร้อนใจแต่ก็เป็นทุกข์เป็นวิบากที่เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก อย่างอาตมาพูดตำหนิก็พูดด้วยเจตนาดี แต่ไปกระทบเขา เขาก็โกรธ แล้วเขาก็ยึดนะ พลังงานเป็นอจินไตยที่เขาก็โกรธก็เป็นวิบากกระทบกระเทือนมา แต่ถ้าผู้ที่สำนึกได้ก็แก้ไขตัวเองได้ มีคนรับรู้ได้ก็แก้ไขได้ดีขึ้นๆ ส่วนคนไม่ยอมรับรู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี เขาก็ไม่ยอมรับ เราก็บอกแต่เขาก็ว่าเขาดีเลยไม่แก้ไข คนที่รับได้ก็บอกก็ดี แต่ถ้าคนไม่รับ ไม่รู้ รู้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป อย่างยุคพระพุทธเจ้าก็มีปรากฏว่าคนโง่มากกว่าคนฉลาดในโลกนี้ สญชัยเวลัทบุตรก็รู้ อย่างยุคนี้ใกล้กลียุคมากขึ้นก็โง่มากกว่าคนฉลาด เราจะไปเกรงใจคนโง่มาก คนดีก็เสียประโยชน์หมด คนชั่วก็ชั่วอยู่แล้วไม่ยอมแก้ไขด้วย แต่ในลึกๆของจิตคนเขาปรารถนาดีหวังดี ต้องการความดีมาให้แก่ตน แต่ไม่รู้จริงๆจึงไม่ยอมมาเอาดี หรือกิเลสมันมากแม้รู้ก็ห้ามไม่ได้ จนกว่าจะสำนึกพอก็จะพากเพียรมารับธรรมะแล้วเอาไปปรับปรุงตัว คนก็จะพัฒนาไป

โพธิสัตว์เข้าใจวิบากตนแต่ก็ยอมว่าต้องช่วยคน และสองก็ต้องกตัญญูต่อศาสนา เราได้มากจากพระพุทธเจ้าแม้เราต้องเสียสละต้องหนักเหนื่อยเจ็บมีวิบากก็ต้องยอม ถ้ายังไม่ถึงขีดก็วิบากแรง อย่างพระโมคคัลลานะก็ต้องตายเลยนะ สุดท้ายวิบากอนันตริยกรรมก็ต้องยอม

อาตมาพิสูจน์ด้วยกัปป์กัลป์ ได้เกิดเป็นสัตว์โลกที่ต้องผ่านมา ก็จึงพูดได้โดยไม่ใช่เดา ไม่ได้พูดด้วยเหตุผลที่ไม่มีจริงไม่รู้จริง อาตมาผ่านมาแล้ว ว่าไม่ใช่ส่ิงจริงอย่าเอามาพูด คนคะนองเอาสิ่งไม่จริงมาพูดก็เป็นวิบาก อาตมาก็พูดส่ิงจริงเห็นว่าเข้าท่าก็เอา ไม่ได้บังคับ

ตอนนี้สังขารร่างกายอาตมาก็เป็นเช่นนี้

สังขารรากเหง้าคือ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร

คำว่ากาย นี้เป็นของหยาบข้างนอกด้วย ตาหูจมูกลิ้นกาย สามารถสัมผัสรู้จักเป็นโอฬาริกอัตตา เป็นสักกายะ กายใหญ่สามารถรู้ได้ง่ายกว่า พระพุทธเจ้าให้เรียนอันนี้ก่อนทำกายสังขารก่อน แต่คำว่ากายคือองค์ประชุมรูปนามของธรรมะสอง มันปรุงขึ้นมาก็เป็นองค์ 3 เราต้องเรียนรู้สภาพที่เป็นเหตุบกพร่องไม่สมดุล สรีระองคาพยพที่รวมตัวเป็นก้อนแท่งเรียกว่าอาการ 32 เป็นชิ้นเป็นอวัยวะ ในร่างกายเราก็ทำงานร่วมกันหมด

อาการที่ 33​มันไม่ได้มีจริง ภาษาบาลีว่าตาวติงส์ เพี้ยนเป็นดาวดึงส์ ตัวนี้สำคัญ คนเราไม่รู้ก็ปรุงมาเป็นจิตสังขาร ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราก็ต้องมาแตกจิตตัวนี้ที่ทุกข์สุข ก็ต้องมาเรียนรู้เหตุแล้วแก้ไข

กายสังขารนี้พระพุทธเจ้าว่าก็คือจิต ถ้าไม่สามารถอ่านอาการก็ยาก เป็นสภาพลึกซึ้งมาก ถ้าต้องการเป็นคนประเสริฐเป็นคนดีที่แท้ต้องศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ศาสนาพระพุทธเจ้านี้เรียนรู้ลึกถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานทำได้แล้วไม่เวียนกลับคืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้อภิสังขาร คนที่อวิชชาก็ปรุงแต่ง ปรุงแต่งเป็นเนกขัมมะ เอากาย วจี มโนที่เลวร้ายเอาออกไปให้เป็นวิมุติหลุดพ้น นิโรธก็ตาม เป็นไวยพจน์ของนิพพาน ตายสูญถาวรเลย พลังงานเหล่านี้ เรียนรู้เป็นพลังงานที่สูงละเอียดกว่าฟิสิกส์ ทางชีวิทยาก็เรียนรู้นะ แต่ไม่ได้ลึกซึ้งอย่างพระพุทธเจ้าสอน ที่แยกแยะละเอียดไม่ต้องไปสร้างเครื่องมือวัตถุ แต่สร้างเครื่องมือเป็นปัญญาในตน ทำสัญญาให้เจริญขึ้นเป็นปัญญา

อภิสังขารมีสามอย่าง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

คำว่าบุญนี่ก็เข้าใจเพี้ยนกันมากแล้วแม้แต่ชาวพุทธ บุญนั้นศาสนาอื่นเขาก็เอาไปเรียกคนที่ดีประเสริฐว่านักบุญ เป็นต้น ก็เอาไปใช้ แต่เป็นเทวนิยมเป็นกัลยาณธรรม โลกียธรรม ไม่ถึงขั้นเปลี่ยนDNAของจิต ที่จะไม่กลับไม่เวียนกลับ เจริญแล้วเจริญเลย บุญคือการชำระกิเลสประตูเดียว บุญนี้ทำหน้าที่ให้ส่ิงไม่ดีนี้ไม่มีไปเลย จบ บุญก็หายไป สิ้นงานสิ้นหน้าที่ ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง ทุกวันนี้ เขาเอาคำว่าบุญไปใช้เป็นกุศล

กุศลเป็นสิ่งที่ต้องใช้อาศัยสะสม ได้อาศัย ส่วนบุญเป็นส่ิงประหาร ผู้ใดสามารถทำบุญเป็น ทำบุญถูกต้องมีผลได้ประโยชน์คือฆ่ากิเลสได้ ฆ่าได้ส่วนหนึ่งก็เป็นส่วนบุญ จะส่งให้ใครไม่ได้ ส่วนที่เหลืออยู่คือกิเลสหรือบาป เมื่อทำออกอีกก็ได้ส่วนบุญอีก ลดละอีก จนอกุศลสุดท้าย หมดดับหมด หมดบาปหมดอกุศล บุญก็ไม่มีแล้ว บุญตัวเองก็ไม่ใช่จะอยู่นะ หายไปเลยไม่มีตัวตน หมดบาปก็หมดบุญไปด้วย ผู้ทำบุญถูกต้องชำระกิเลสถูกต้องคือทำบุญ ทำให้บาปหายไป บุญก็หมดไปด้วย

อปุญญาภิสังขารนั้น คือการปรุงที่ย่ิงใหญ่เลย สูงกว่าการปรุงธรรมดาเป็นการปรุงของโลกุตรบุคคล แต่เขาแปลไปว่าคือ การปรุงเป็นบาปไปซึ่งไม่ใช่เลย ต้องเป็นการปรุงที่ยิ่งใหญ่ ในคำว่าอปุญญาภิสังขารนี่ ย่ิงกว่ากุศลอภิมหากุศลเลย อปุญญะนี้ไม่มีทางเป็นบาปมีแต่เป็นกุศล เป็นส่ิงอาศัยที่ยิ่งกว่าที่เคยมี เข้าใจชัดไหม?

อปุญญะนี้ไปแปลว่าเป็นบาปนี้ยิ่งตีลังกากลับอีก ไปแปลว่าเป็นบาปเหมือนทำให้ต่ำเขาไปอีก บาปหมดบุญก็ไม่มี อปุญญะแปลว่าบาปหรืออกุศลไม่ได้เลย

สรุปแล้วถ้าคุณได้สั่งสมอเนญชาภิสังขารตัวที่สามนี้ อเนญชาแปลว่าแข็งแรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหว กระแทกกระทุ้งกระเทือนอย่างไรก็ทำลายไม่ได้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

พยัญชนะสามคำนี้ 1.สันตานังปุนาติวิโสเทติ คือนิยามคำว่าบุญ คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด 2.คำว่าปุญญภาคิยา(ส่วนแห่งบุญ) คือส่วนที่ทำลายบาปไปได้เรื่อยๆ หมดส่วนของบาปหมดอกุศลก็ไม่มี สัพพาปัสสอกรณัง 3.สัพพปาปัสสอกรณังคือการไม่ทำบาปทั้งปวง ถ้าเหลือกรรมกิริยาอยู่ก็มีแต่กุศลบุญก็หายไปบาปก็หายไป เป็นกุสสลัสสูปสัมปทา ถ้าจะมีกรรมกิริยาก็มีแต่กุศล คนนั้นตั้งแต่อรหันต์ก็มีแต่กุศล อรหันต์ที่ถึงขีดอย่าไปตู่ท่านว่าท่านไปทำบาปอะไร วิบากไปตู่อรหันต์นี้มีบาป 11 ประการ ให้ยกอรหันต์ไว้เป็นสติวินัย อย่าไปทำบาป อรหันต์ท่านจะมีวิบากอีกเป็นเรื่องของท่าน โพธิสัตว์ก็มีวิบากไม่ดีมาแต่ก็จะมีวิบากดีมากกว่าวิบากไม่ดีเสมอ เพราะรู้ประมาณไม่ทำบาปมากกว่ากุศลแน่นอน ต้องทำกุศลมากกว่าบาปหรืออกุศล เพราะรู้จักบาปจักบุญแล้ว จากอรหันต์ไปถึง โพธิสัตว์ตามลำดับไป ยิ่งรู้ความจริง

กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

กายสังขารคือองค์รวม ทั้งนอกและใน ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้ทิ้งนอกและในนะ รู้ทั้งภายนอกและภายในรู้ภายนอกก็เป็นกามภพ หมดแล้วก็เหลือรูปภพอรูปภพภายใน ล้างรูปภพท่านก็เหลือแต่อรูปภพ ก็เรียกว่าอัชฌัตตังปรูปสัญญี คือในเข้าไป อย่างกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมก็ต้องขั้นธรรมในธรรม ก็จะกำจัดไปตามลำดับ

ภาคปฏิบัติมีสติปัฏฐาน 4 คือกาย เวทนา จิต ธรรม กายคือภายนอกร่วม เวทนาคือเน้นที่อารมณ์ว่ามีอาการของจิตเจตสิกอย่างไร มีเจโตปริยญาณ 16

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

          1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

เมื่อทำจิตให้ไม่มีราคะโทสะโมหะก็จะมีฐานอุเบกขาที่แข็งแรงตามลำดับ คือมีองค์ 5 คือปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  ทำแล้วก็ยังรักษาความบริสุทธิ์ได้ จะแววไวทั้งเจโตและปัญญา แววไวนี้พระพุทธเจ้าว่าคือจิตมุทุ ปรับได้ง่าย สรุปแล้วองค์ 5 คือความตั้งมั่นของอุเบกขาที่แข็งแรงขึ้นของโพธิสัตว์ แล้วทำงานช่วยมนุษยชาติ จะมีเมตตา แล้วลงมือช่วยเป็นกรุณา ทำได้แล้วก็มุทิตา มีอุเบกขาหมุนเวียนไป ทำงานอยู่ที่เมตตา คือทำ แล้วมีพักคืออุเบกขา

เพียรนี่จะมากกว่าพัก พักพอหายเหนื่อย รู้จักพักรู้จักเพียร ให้สมดุล เพียรจึงเป็นตัวกำไรมีประโยชน์ สัจจะต่างๆพวกนี้อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แต่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาตมายังไม่อยากขานว่าเป็นระดับ 8 จะไม่ยอมรับง่ายๆ จนกว่าจะไปถึง 9 จึงจะประกาศตน 8 เราเองเราประกาศกับโลกว่าไม่สูง แต่ความจริงเราสูงจะไปเสียอะไร แต่คนที่ไม่สูงแต่ประกาศตนว่าสูงก็เสีย คนเลวก็หน้าด้านทำได้ แต่คนดีรู้ดีจริงจะไม่ทำ กรรมเป็นอันทำ ผู้ใดทำทั้งที่รู้โกหกทั้งๆที่รู้คนนี้ทำชั่วได้ทุกอย่าง  ในประเทศไทยมีตัวอย่างให้เห็นมากเลย เราต้องช่วยเขา คนเหล่านี้อิงมาทางศาสนาด้วยก็ยิ่งชั่วหนักเลวหนัก

ในสัจจะที่อาตมาค่อยขยายความมา จะค่อยเข้าใจไปเรื่อยๆ ติดตามฟังให้ดี ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา

ขอสรุปว่าบุญคือเครื่องมือประหารความชั่วอย่างเดียวไม่มีหน้าที่อื่น บุญเป็นเรื่องของวิบัติธรรม บุญไม่ใช่สมบัติธรรมที่จะทรงไว้ แต่วิบัติธรรมคือธรรมะที่จะไม่มีทรงไว้ วิบัติแปลว่าไม่มี เขาใช้แปลว่าฉิบหายเลย ธรรมะแปลว่าความทรงไว้ ให้ทรงไว้ซึ่งความไม่มี บุญจึงเป็นวิบัติธรรมะไม่ใช่สมบัติธรรมะ

ในเรื่องของรายละเอียดพวกนี้ฟังตามแล้วปฏิบัติตามจะเข้าใจ อาตมาไม่เอาส่ิงไม่มีไม่เป็นของตนจะไม่พูด แม้มีร้อยจะไม่พูดร้อย จะพูดเจ็ดสิบแปดสิบ ไม่ได้อวดดีจะพูด แต่อวดของสามัญที่ดีไปเฉยไม่ได้อยากได้อะไรกลับเลย

กายสังขารคือองค์ประชุมทั้งนอกและใน พอมาจิตสังขารก็ไม่ทิ้งข้างนอก แต่จะทิ้งก็ได้ แต่ต้องจัดการภายนอกให้ได้ก่อน  จิตที่ทำงานข้างในแล้วค่อยออกมาข้างนอก ตัวที่ทำงานสุดท้ายแล้วจะออกมาข้างนอกคือวจีสังขาร

วจีสังขารคือสังขารที่ปรุงแต่งจิตอยู่ข้างใน มาเป็นกายสังขารก็เป็นกายกรรม มาเป็นวจีกรรมก็ได้ ถ้าเป็นแต่มโนวิญญัติก็มีแต่ภายใน มโนนี้ลึกว่าจิตไม่ออกมาข้างนอกเลย ทำงานปรุงแต่งเป็นวจีสังขาร วจีสังขารเป็นปากกระบอกก่อนออกมา ท่านจึงบอกว่าเวลาจะดับ มีนิโรธ จะดับ วจีสังขารก่อน กายสังขารและจิตสังขาร ส่วนการเกิด เมื่อจิตปรุงแต่งเสร็จ วจีก็เกิดเป็นวจีสังขารแล้วกายจึงเกิดตามมา แล้วจิตเกิดทีหลัง ถ้ายังไม่มีคำพูดหรือพยัญชนะก่อนในใจ แล้วจึงค่อยออกมาเป็นวจีกรรม ถ้าไม่มีภาษาคำนั้นก็ต้องยืมภาษาอื่นเอาภาษาใบ้ออกมาใช้ นอกจากคุณจะตั้งใหม่ในใจของคุณเองเลย จะเอาคำใหม่คำเก่ามาพูดแล้วคุณก็พูดออกมาคนอื่นก็ไม่รู้ด้วย เพราะคุณปรุงของคุณออกมาเอง ถ้าคนอื่นเอาด้วยก็แพร่หลาย

สรุป การดับ หรือการเกิด พระพุทธเจ้าท่านว่า กายกับวจี จิตนี้เป็นตัวกลาง กายดับก่อนหรือวจีดับก่อน ถ้าดับ ดับวจีก่อน ถ้าเกิดนี้จิตเกิดก่อน เพราะจิตเป็นตัวสร้าง จะทำงาน ปรุงแต่งพลังงานจิต วจีต้องเอาคำพูดมาประกอบ

สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่รู้อาการก็สับสน คนอวิชชาไม่รู้จักสังขาร เราอัดเสียงที่นี่ ก็อยู่ในสภาพนี้หมอก็ยังไม่ได้เอาออก โดยสภาพนี้เราก็ดื้อหน่อยเพื่อจะเช็คว่า อิริยาบถสามัญของอาตมาตามจริงที่มีชีวิตประจำวันแล้วก็วัดค่าอะไรจะเกิดหรือไม่เกิดสิ่งที่ปรุงแต่งเป็น Gerd หรืออะไรต่างๆ ก็ใส่สายไว้ จะได้ทราบเหตุที่ทำให้ไอ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจหรือน่ากลัวอะไร ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ก็มีอะไรอยู่ไม่โล่งเปล่าแค่นั้น จะเช็ครอดู แล้วต้องการให้อยู่ในอิริยาบถสามัญ จะกินอาหาร จะเขียนหนังสือก็ทำเหมือนที่อยู่พุทธสถานนะ แล้วให้พลังงานเกิดจริงจะได้ ให้หมอตรวจ ที่ดื้อทำนี่ก็ทำเพื่อให้หมอตรวจเจอ หมอเขาต้องการรู้ในอิริยาบถจริง พลังงานที่จะปรุงแต่งเป็นอาการ 32 จะทำให้เครื่องมือวัดค่าได้จริง ไม่บกพร่อง ไม่ได้ผิด ไม่ขัดแย้งกับหมอที่ทำ เป็น Acception เป็นสติวินัยของอาตมา

กลับมาสู่ กายสังขาร ในอานาปานสติสูตร ท่านว่ามีอยู่สองประเด็น ประเด็นหนึ่งคือปัสสัมภยังกายสังขารัง อีกประเด็นคือ จิตสังขารังปัตสสัมภยัง

ผู้ทำความสงบแก่กายสังขารคือทำให้ส่ิงประกอบภายนอกสงบ ในขณะลืมตาอยู่ พระพุทธเจ้าปฏิบัติไม่ให้ทิ้งภายนอก แม้จะมีแค่ลมหายใจเข้าออกก็ไม่ให้ทิ้ง ที่ท่านต้องทำเช่นนี้เพราะว่าอนุโลมให้กับพวกชอบนั่งหลับตา ก็ให้กำหนดเหลือแต่ลมหายใจเข้าออก แต่อย่าดับหมดเลย นัยสั้นหรือยาวก็เป็นประเด็นให้รู้มุมเหลี่ยมว่าสั้นหรือยาว อื่นๆก็มีทั้งสีสันรูปร่างภายนอก ก็ให้รู้สิ่งแตกต่างลิงค ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งภายนอก ไม่ทิ้งกาย ถ้าทิ้งกายปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ ขาดกันไม่ได้ ต้องมีกาย ตลอด มีเวทนาตลอด ให้ทรงอยู่ กาย เวทนา จิต สามเส้า จิตดับได้เวทนาก็สบาย ไปประชุมเป็นกายที่บริสุทธิ์

พฤติกรรมเสียงสำเนียงนี่ก็เป็นวจีกรรมก็จัดเข้าหมวดกาย เพราะเป็นภายนอก มีผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คำว่าวจีนี้จัดเข้าในกายสัมผัสนะไม่ใช่หูสัมผัส การได้ยินเสียงไม่ใช่คำพูด คำพูดกับเสียงไม่ใช่อันเดียวกัน คำพูดคือพยัญชนะ คำพูดไปกับเสียงเป็นพาหะให้คนรับรู้ได้ มีเสียงเป็นพาหะก็ไปได้ แต่ถ้าไปแตะเลยนี่มีกาย กายไม่ใช่คำพูด กายก็คือส่ิงที่สัมผัส คำพูดมาแตะกาย กายรู้ แต่กายไม่ใช่คำพูด

กายคือองค์รวมของรูปนาม คำพูดมาแตะกาย กายรู้เรื่องโดยเฉพาะมาแตะที่หู

สรุปเอาตรงกาย จิต วจี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ในอธิวจนสัมผัสโส กับปฏิฆสัมผัสโส คำว่าปฏิฆสัมผัสโสเป็นนามกาย อธิวจนสัมผัสโสเป็นรูปกาย

กายคือองค์ประชุม (พระไตรฯล.16 ข.60)

องค์ประชุมของปฏิฆะคือ Action reaction มีการเกิด ฆ เกิดก้อน คณะ องค์ประชุมอันนี้คือ ฆ เป็นสภาพธรรมที่เป็นอะไรอันหนึ่ง อณูหนึ่งปรมาณูหนึ่งเป็นต้น

ส่วนอธิวจนสัมผัสโสคือคำพูดที่ตั้งขึ้น จะรู้ได้ต้องสัมผัสด้วยภาษา แต่ ฆ นี้ยังไม่มีภาษา ฆ กับอธิวจนะ นี้ ฆ ต้องเกิดก่อน นามธรรมต้องรู้ก่อนแล้วจึงเป็นภาษา ถ้าภาษาเคยมีแล้ว ก็จะรู้ว่า ฆ นี่คืออะไร เช่นคำว่าเศร้า คำว่าชอบ คำว่าชัง ก็เอาภาษามาเรียกถูกแต่ถ้าไม่เคยรู้ภาษาเลยก็ต้องตั้งภาษาใหม่

อย่างอาตมาก็ตั้งภาษาใหม่สองคำ คือ ชีวานุปาทิ กับ ชีรานุปาทิ

คำว่าชีวานุปาทิคือชีวะของการเกิด อุปทิคือส่ิงที่ยึดอยู่

ชีรานุปาทิ คำว่าชีระคือการแก่การเสื่อม เป็นเศษที่ยึดไว้น้อยที่สุด แต่สองอันนี้อันหนึ่งยึดทางแก่ชราอันหนึ่งยึดไปทางเกิด คือส่วนที่น้อยนิดของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ที่จะเกิดเป็นลักขณรูปอีก 4 คือ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

ถ้าคุณให้อาการจิตมันอุปจยะก็เกิด แล้วจะต่อก็สันตติ ถ้าไม่ต่อก็ชรตา แม้ไม่ทำอะไรมันสิ่งที่เกินสภาพจะอยู่แล้วเป็นอสังขาริกัง ถ้าจะให้ต่อก็เป็นcontinuum ที่ละเอียดกว่า continuing แต่ถ้า continuous คือองค์รวม

ละเอียดลึกแล้วก็ไม่มีเราไม่มีเขา คนที่ไม่สัญญายนิจจานิ แล้วก็จะอนุโลมให้คนอื่นได้ ที่เถียงกันไม่เป็นสัจจะ จะทุกข์ทรมานไปยึดเอาอะไรไม่ได้ตลอดกาลนาน

สิ่งที่ควรจะพูดคือกรรม การกระทำ มันเป็นวิบากที่แท้จริง ผู้ไม่เชื่อกรรมวิบากแล้วไม่เชื่อว่าเป็นเราเป็นของเราจะเป็นวิบากไปอีกนาน ถ้าคุณไม่ทำชั่วแล้วทำแต่ดีจะพิสูจน์ตัวคุณเองได้เลยว่า ทำดีตลอดเป็นเช่นนี้

อาตมาทำงานมา สิ่งที่ดีมาอุดหนุนอาตมา แต่เดิมอาตมาตั้งใจจะไปทำชั่วอย่างโลกเขา แต่ทำไม่สำเร็จ มันคลาดแคล้วหมด ไม่สำเร็จ สิ่งที่ดีจะมาอุดหนุนเรา ไม่คาดเลย มีส่ิงที่ดีน่าจะได้มากกว่านี้บางอย่างก็ไม่มาเราไม่ได้อยาก แต่แวบว่าน่าได้แต่ถึงน่าได้เราไม่มีบารก็ไม่ได้ผู้รู้แล้วก็จบ ไม่ใช้พลังงานเปลืองเปล่าไป ไม่ได้อะไร จะไปใช้ทำไม เสียของเราก็ไม่ใช้

คนไม่เชื่อกรรมวิบากจะประมาท จะทำกรรมชั่ว คนเชื่อกรรมวิบากจะไม่ทำชั่ว แต่คนบารมีไม่ถึงจะต้องทำชั่วต่อก่อน(นี่ไม่ได้ชี้โพรงให้คนชั่วทำชั่วต่อนะ )แต่ต้องรู้ว่าอันนี้เราสู้ได้จะไม่ทำ อันนี้เราสู้ไม่ได้ต้องทำต่อก่อน พระพุทธเจ้าว่ากรรมชั่วแม้น้อยนิดอย่าทำเสียเลย ข้อสำคัญคือประมาณตนให้พอดี ตั้งตนบนความลำบากกุศลกรรมเจริญยิ่ง ต้องอดทนเอาให้ตายไปกับทนไม่ทำชั่วเลย ทนไปเลย แล้วคุณตายเพราะไม่ทำชั่ว วิบากคุณจะดีหรือจะชั่วก็วิบากดี แต่คุณทนไม่ได้ต้องทำชั่วแล้วก็ตายก็ได้วิบากชั่ว ให้มันตายขาดใจไปกับดีตัวเดียวนี่แหละ

แม้อาตมาพูดเช่นนี้แต่คนที่ทนไม่ไหวจริงๆก็ต้องทำอยู่ดี ไม่เจตนาแต่บาปกิเลสมันแรงก็ต้องทำต่อ

อย่างลูกต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ให้แม่นี้ ไม่ได้อยากทำนะ แต่ว่าจะได้กุศลมากกว่า หนึ่งไม่ได้อยาก สองทำเพื่อผู้อื่นนี้ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร กุศลมากกว่าอกุศล

ที่พูดไปนี้ทุกอย่างไม่ได้เดา พูดสภาวะจริง อันไหนไม่ชัดไม่ตอบ ถ้าพูดไปนี้เป็นกรรม เราก็ต้องรับ เราไปอวดดีทำไม? เราทำแต่สิ่งดีแต่ไม่ได้อยากได้สิ่งดีสิ่งชั่ว

อยากจะย้ำวจีสังขาร ที่ไม่ใช่วจีกรรม วจีกรรมคนรู้กันได้ทั่วไป แต่วจีสังขารนี้อยู่ภายในนะ

ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ไม่มีคำว่า ปัสสัมภยังวจีสังขารัง การทำให้สงบรำงับนี้คือทำให้กิเลสสงบรำงับไม่ใช่ทำให้หยุดกระดุกกระดิกไม่กระพริบตาไม่ใช่ มันหมายถึงกิเลสที่สงบหยุดไป

ปัสสัมภยังจิตสังขารังคือทำให้กิเลสสงบ เมื่อจิตสงบจะออกมาเป็นนัจจะคีตะวาทิตะ อิริยาบถใหญ่ ถ้าไม่ออกมาเป็นอิริยาบถก็ออกมาเป็นวจีสังขารแล้วก็ออกมาแต่วจีกรรมไม่นับเอานัจจะไม่เอาท่าทีลีลาฐานดินน้ำไฟลม มีแต่เสียงกับภาษาเรียกว่าวจีกรรมออกมา

ก็ต้องประมาณในการพูด ยุคนี้หากพูดเบาๆเงียบๆก็ไม่ถึงอุปาทานของคน เราก็ต้องเอาประมาณพอระดับหนึ่ง เราไม่ได้มีจิตที่จะใช้ความแรงอะไร

ในกาลัญญุตา ยุคกาลก็ดี เราต้องใช้ธัมมัญญูตา อัตถัญญุตา คำว่าธัมมัญญุตาคือองค์รวมใหญ่ อัตถัญญุตาคือเป้าหมายโกลด์ แก่นของมัน จุดสำคัญ เราต้องแยกแยะให้ออก เราต้องมาจัดสรรให้ดี เราต้องรู้ว่า ตัวเรานี้คนเชื่อถือเท่าไหร่ อาตมาเคยบอกว่าอาตมาจะพูดสัจจะให้อาตมาถูกกระทืบตายภายในห้าวันอาตมาพูดได้แต่ก็ไม่โง่จะพูดตอนนี้นะ เราดูตัวเราเหมาะสม กาละเหมาะสม เรารู้ตัวเรา เราก็ดูปริสัญญุตา หมู่กลุ่มนี้ควรพูดเท่าไหร่ บางหมู่ไม่ควรพูดขนาดนี้จะเป็นภัยก็รู้ กำหนดมัตตัญญุตาคือส่ิงที่ประมาณแล้ว ดูปุคคลปโรปรัญญุตาก็รู้ว่าควรเท่าไหร่ รวมแล้วสัปปุริสธรรม 7​อาตมาก็ใช้ตลอดมา ใช้มหาปเทส 4 ด้วย

40 กว่าปีที่ผ่านมา อาตมารู้ว่าเขาเข้าใจไม่ได้ เขาก็ต้องรักษาตัวเขาเองอย่างมส. มหาเถรสมาคม แต่อาตมาก็จำเป็นทำสิ่งที่ต้องทำ เมื่อทำแล้วก็ต้องประมาณให้หนัก ทั้งระวังหนักทั้งยอมหนัก จนกระทั่งต้องพิสูจน์ความจริง

มีคนบอกว่าเพลงผู้แพ้นี้แต่งได้อย่างไร แพ้ก็แพ้ชะตาทรามดวงใจทรงความมั่นคงในสัจจะ ก็สัญญายนิจจานิของอาตมา อาตมาทำงานผ่านมา 40 กว่าปีจึงเห็นผลว่า ได้ผลพอสมควร ไม่งั้นหนักกว่านี้ แม้จะไปทำงานหน้าสิ่วหน้าขวานก็ตามก็ไม่มีพวกเราตายในขณะชุมนุมมีพวกเราบางคนเข้าใจผิด มีอ้อยตายคนหนึ่ง เจ้าอ้อยไม่ได้ไปตายเพราะไปชุมนุมนะ นั่งรถมาที่ชุมนุมนะ ตายเพราะวิบากของเขาเป็นต้น จึงไม่มีอะไรที่มาพูดได้ว่าจะไม่จริง ยืนยันบารมีกุศล พลังงานบารมีมีจริง อาตมาก็ไม่รู้พลังงานที่มาช่วยนะก็พยายามช่วยทดแทนบุญคุณอยู่ แต่ที่ไม่รู้ก็ตามไม่ได้ สิ่งที่จะต้องอาศัยจะต้องสะสมกุศลไว้อาศัย ไปเรื่อยๆจะไปตีทิ้งไม่ได้

บาป บุญ มีจริง กุศล อกุศลมีจริง กรรมวิบากมีจริง กัมมสกตา ตนต้องเป็นทายาทของกรรม เอาไปแบ่งให้คนอื่นไม่ได้ ตนต้องรับวิบากของตน กรรมพาเราเกิดเราเป็น กัมมโยนิ ที่เราเกิดเราเป็นก็เป็นตามกรรม กรรเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นพันธุกรรมของใครของมัน (คนใช้คำว่ากรรมพันธุ์ผิดจากความจริง ที่หมายถึงสรีรพันธุ์)

บุญไม่มีอะไรไปแบ่งได้ กุศลก็ยังแบ่งไม่ได้ ความดีงามก็แบ่งกันไม่ได้ คนไม่ได้ทำความดีงามนี้ แล้วจะแบ่งจากคนที่ทำดีก็ไม่ได้ กุศลก็คือกรรมแบ่งกันไม่ได้

มีคำถามจากเด็ก ดญ.พลอยน้ำดินเปรยมา

ที่รัฐเขาออกกฏหมายมาว่าไม่ให้ฆ่าไม่ให้ทำทารุณกับสัตว์ใดๆนั้น แล้วคนที่ทำมีเรื่องจนโดนจับติดคุกไปมีแล้วในไทย หนูอยากถามและฝากถึงผู้ร่างกฏหมายว่าที่มีโรงงานฆ่าและชำแหละสัตว์วัวควายน่ะคะโรงงานนี้น่าจะถูกจับมากกว่าคนที่ทรมานสัตว์นะคะ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธทำไมถึงให้มีการฆ่าสัตว์อยู่ล่ะคะ

ฝากถึงผู้ร่างกฏหมาย ว่าใครฆ่าสัตว์ทุกชนิดนี้ ผิดกฏหมายจับติดคุกหมดเลยค่ะ

ตอบ...นี่คือคำถามเด็กพวกเราถามมา ถึงบอกว่าศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าไม่เคยยกเว้นเลยในปาณาติบาต ว่าให้ฆ่ามากินแล้วไม่บาปไม่มีข้อยกเว้นนี้ ไม่ใช่เหมือนศาสนาอื่น

การฆ่าสัตว์มากินนี้เห็นแก่ตัว เพราะเนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน เป็นแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสตรงนี้เท่านั้น แต่ท่านมีนัยละเอียด ว่าเนื้อสัตว์ต้องห้าม 10 ชนิด แล้วมีข้อละเอียดอีกมากมาย ยกตัวอย่าง ห้ามฆ่าสัตว์ และสองไม่ให้ซื้อขายเนื้อสัตว์ มังสวณิชชา ถ้าไม่ฆ่าไม่ค้าขายเนื้อสัตว์ แล้วคุณจะเอาเนื้อสัตว์ตายเองมากิน ท่านให้กินได้ หรือจะเอามาแจก ถ้ากินแล้วติดใจก็ซวย

สรุปแล้วไม่ต้องกินเนื้อสัตว์นี้ถูกต้อง คนเราสรีระไม่เหมาะกับการกินเนื้อสัตว์ เล็บก็ไม่ใช่Claw เป็น nail ฟันก็ไม่ใช่ canine เป็น molar เป็นต้น คนเป็นสัตว์กินพืช แล้วคนกินเนื้อสัตว์ก็อายุสั้น เช่นพวกเอสกิโม อายุสั้น แต่คนกินแต่พืชนี้อายุยืนยาวได้มากกว่า เป็นเครื่องยืนยันชัดเจน

โรคที่อยู่ในเนื้อสัตว์ก็เยอะ โรคที่อยู่ในพืชก็น้อยกว่าไม่พิสดารเท่าด้วย หาเนื้อสัตว์ก็ยาก เราจะไปเด็ดพืชกับฆ่าสัตว์อันไหนยากกว่ากัน

สรุปแล้ว ถ้าคนมีปัญญาจะไม่เถียงเอาชนะหรอกในเหตุผลเหตุปัจจัยที่แท้แล้วแย้งไม่ได้เถียงไม่ได้ เป็นสัจจะที่แท้ ว่า คนคือสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อสัตว์ เวลากินน้ำนี้สัตว์มันเลียกิน แต่คนนี้ดูดกินน้ำ ช้างม้านี้ดูดน้ำกิน แต่หมาแมวเลียน้ำกินทั้งนั้น ถ้าแม้คุณไม่ฆ่าแต่กินอยู่ก็เป็นเหตุให้คนอื่นต้องฆ่ามาขายให้กิน ก็ยิ่งเอาเปรียบคนอื่น มีแต่เวรภัยบาปชั่วโหดร้ายอำมหิต หนักเข้าก็ต้องไปฆ่าเอง

ก็อยากสรุปว่า กุศลเป็นคุณงามความดีเป็นส่ิงอาศัย สร้างเป็นสมบัติเป็นวิชชาจรณะสมบัติ ส่วนบุญนั้นเป็นวิบัติ เรียกว่าสมบัติไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่ใช้แล้วจบในตัวมันเองสูญหายไปเลยมีหน้าที่ทำลายอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่เหลือ ไม่มีหน้าที่สร้างค่าอะไรอีก ฟังแล้วน่ากลัว แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ที่เอาไว้ทำงาน

อิทธิบาท 4​เป็นพลังงานเสริมหนุนให้ทำสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4

สัมมัปปธาน 4​คือ สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน

การปหานคือต้องทำบุญ ต้องฆ่ากิเลส แล้วต้องเปิดทวารทั้ง 6 คือสังวรปธาน แล้วทำบุญชำระกิเลส ปหานปธาน แล้วเกิดผลคือชำระกิเลสได้ ให้รักษาผลคือกุศล….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:16:59 )

590820

รายละเอียด

590820_เทศน์หน้าศพแม่ชีภร ที่สันติอโศก สติปัฏฐาน อย่างพิสดาร

           สติปัฏฐาน 4

      1.กายในกาย       2.เวทนาในเวทนา      3. จิตในจิต       4. ธรรมในธรรม

         ตัวอย่างของการปฏิบัติ

       เอาก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเป็นตัวอย่าง เพราะสัมผัสแรกองค์ประชุมรูปนามก็เกิดขึ้น

ผีขึ้นเลย เกิดการปรุงแต่งในจิต มีผีตัวอยากเกิดขึ้น ก็บอกว่าจะเอาให้ได้

      ถ้าเจ้าของมันไม่ให้ ก็ฆ่ามันเสีย แล้วเอาของมันมา เมื่อมันอยากหนักจะเอาให้ได้ อาตมาเคยยกตัวอย่าง  เรื่องขนมหม้อแกง มีคนจองไว้ก่อนแล้วยังไม่ได้เอา แต่มีอีกคนหนึ่งจะมาเอา แม่ค้าก็เลยให้ไป พอคนที่จองไว้กลับมา ไม่ยอมก็เลยทะเลาะกัน และก็ฆ่ากันตาย แทงกันตายเพราะขนมหม้อแกงชิ้นเดียว เป็นอารมณ์โกรธมืดหน้าไม่ฟังอะไร

สรุปแล้วอกุศลจิตตัวนี้เกิด เมื่อมีผัสสะ  ซึ่งสัมผัสเดี๋ยวนี้เกิดเดี๋ยวนี้ สภาวะนี้

ท่านเรียกว่าสมมุติสัจจะ

และอ่านสภาวะของจิตตัวเองภายในที่รู้คนเดียว ไม่มีผู้อื่นร่วมรู้ด้วย

เรียกว่าปรมัตถสัจจะ

สมมุติ คือ สิ่งที่ทุกคน รู้ร่วมกันได้สัมผัสร่วมกันได้ ทางภายนอก

เสร็จแล้ว คุณก็อ่านจิตของคุณภายในว่า มันมีอะไรเป็นเหตุทำให้เกิดเวทนา    ที่หลอกเป็นความอร่อย เป็นความชื่นใจ เป็นความเพลิดเพลิน ที่เรียกว่า สุขขัลลิกะ เป็นอารมณ์ที่ไม่จริง เป็นอารมณ์ที่เป็นเท็จ มีชั่วคราวแล้วมันก็หายไป อยากได้อีก เอามาสัมผัสอีก หรือระลึกขึ้นมา ก็เป็นลมลมแล้งๆไม่ได้เป็นของจริง 

ตายไปก็นึกอยากจะได้อีก เป็นการตกนรกลึกว่า จะมีสวรรค์อย่างที่เคยเสพอีก ในฝัน หรือความนึกคิดนั้นเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ ยิ่งกว่าตอนสัมผัสจริงแน่นอน

เราก็ฆ่าจิตในจิต จิตที่จะฆ่าก็ฆ่าไป เหลือจิตอีกตัวที่สะอาด

กายในกาย เราสัมผัสแล้วก็ไม่เกิดความรู้สึกเป็นผีหรือเป็นเทวดาหลอก

มีแต่อารมณ์จริงความรู้สึกจริง จิตใจก็รู้จริง จิตใจที่เป็นอกุศลก็ไม่เกิดแล้ว เราเอามันออกไปแล้ว เหลือแต่จิตที่เป็นกุศลตัวเดียว

 กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต จึงเป็นตัวเดียว เอกสโมสรณา ทรงไว้ซึ่งธรรมอันเอกบริสุทธิ์สะอาดจากอกุศลทั้งหลาย

เพราะเรารู้ภายใน ภาพภายใน ยังมีอีก  แล้วก็เอามันออกอีกให้เหลือ 1 เดียวอีก พระอรหันต์นั้นมีแต่หนึ่งเดียว เมื่อเข้าไปอีกก็เป็น 0 มีแต่หนึ่งเดียวกับ 0

เป็นนปุงสกลิงค์  เมื่อเข้าไปก็มีแต่เราคือ 1 กับ 0  อรหันต์จะอยู่กับนปุงสกลิงค์คือไม่มีเพศก็ได้ จะอยู่ที่ปุงลิงค์ก็ได้ เพราะได้ทำอิตถีเพศให้หมดไปได้แล้วสนิท นี่คือสภาพของกาย เวทนา จิต ธรรม

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85416

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfSHFybmtEWDB6dEE

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5kgeimsirkj9/160820

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:17:24 )

590820

รายละเอียด

590820_เทศน์หน้าศพแม่ชีภร ที่สันติอโศก สติปัฏฐานพิสดาร

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นการเทศน์หน้าศพแม่ชีภร คือพวกเราที่โกนหัวนุ่งห่มผ้าขาวถือศีล 8 หรือศีล 10 ขึ้นไป ซึ่งเป็นอธิศีลสิกขา ต่ำสุดก็คือศีล 5 ขึ้นไป ผู้ที่ยืนยันตัวเองจะถือศีล 8 หรือศีล 10 เป็นอย่างต่ำก็ถือไป ก็ได้ทั้งนั้น

ศีล 10 ต่ำสุดก็เป็นจุลศีล ข้อ 11 12 13 จนถึง ข้อ26 เป็นจุลศีล

ต่อจากนั้น ก็เป็นมัชฌิมศีล ซึ่งจะขยายความลึกซึ้งของจุลศีลขึ้นไปอีก ในเรื่องของเดรัจฉานกถา  ซึ่งเป็นอธิศีลจากจุลศีล

*ส่วนมหาศีล คือศีลที่ยืนยันการบอกว่านี่คือ ศาสนาพุทธ เพราะให้งดเว้นเดรัจฉานวิชาทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงให้เว้นขาด ทุกชุมชนของชาวอโศกนั้นไม่มีเดรัจฉานวิชา

เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่ขวางทางนิพพาน

 

 เป็นไสยศาสตร์ไปตามลำดับ เครื่องชี้วัดของศาสนาพุทธคือไม่มีเดรัจฉานวิชชา สังคมชุมชนใดหรือรัฐใดไม่มีเดรัจฉานฉานวิชาก็เป็นพุทธเป็นปัญญาชน ผู้มีเดรัจฉานวิชชายังไม่ใช่ปัญญาชน เป็นเรื่องลึกลับที่อธิบายไม่ได้

วันนี้มีผู้ที่อยากจะฟังเป้าหมายสำคัญที่เรียกว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เอาข้อที่หนึ่งก็คือ สติปัฏฐาน 4

โลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้านั้นมี 7 ข้อหลัก แล้วก็แยกเป็นข้อย่อยอีก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดในพระไตรปิฎกเล่ม ล.31 ข.620  ว่าคือโลกุตรธรรม 37

1.      สติปัฏฐาน 4 .        สติตรวจสอบจิตให้บริสุทธิ์

2.      สัมมัปปธาน 4 .      ยุทธวิธีที่เพียรทำลายกิเลส

3.      อิทธิบาท 4             ทะยานยันเพื่อไปสู่ความสำเร็จ

4.      อินทรีย์ 5 .             สั่งสมเป็นกำลังธรรมของจิต 

5.      พละ 5 .                 ขุมกำลังธรรมะของจิต

6.      โพชฌงค์ 7 .         การก้าวเดิน..สู่การตรัสรู้

7.     มรรคมีองค์ 8          ทางเอกเพื่อเดินสู่การตรัสรู้

 

ตัวเลขของชาวอโศกคือ 4578

สัมมัปปธาน 4 คือ ตัวปฏิบัติในการที่จะทำการลดละ (ยุทธวิธีเพียรทำลายกิเลส)

1.      สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดข้ึน)

2.      ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว) .

3.      ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)

4.      อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 14)

กายจะต้องมีภายนอกภายในเป็นธรรมะ2 เสมอ

 

เร่ิมต้นกายในกายนี้ ในสติปัฏฐาน 4  ต้องรู้จักคำว่า กายให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ

แต่ทุกวันนี้คำว่ากายในภาษาไทยได้ถูกใช้ให้หมายถึงเพียงแค่สรีระภายนอกเท่านั้นคือร่างกาย

กาย นั้นหมายเอา จิต มโน วิญญาณ เป็นเอก

และ กาย นั้นก็ไม่ได้ขาดจากภายนอกด้วย จะต้องมีภายนอกภายในเป็นธรรมะ 2 เสมอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิโมกข์ 8 ข้อ ที่ 2. ดังนี้

*ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)

กาย จะต้อง…

  • มีนอกและในเสมอ เมื่อมีการสัมผัส ทั้ง5 ทวาร (ตา หู จมูก ลิ้น กาย)
  • *แล้วจึงเกิดภาวะทางจิต เมื่อสภาวะของจิตเกิด เราก็อ่านอาการ ลิงคะ ของสภาวะนั้นให้ได้ ในปัจจุบันขณะนั้น

*ตัวอย่าง สมมุติว่าผัดไทย 1 จาน

วางอยู่ตรงนี้ มีควัน มีกลิ่น มีสีสัน น่ากิน คนเห็นแล้วก็น้ำลายสอเลย

 ตา ทำงานภายนอก 

แต่ใจก็ทำงานด้วยทั้ง *นอกและใน* ปรุงแต่งกันขึ้น

ความเร็วของกิเลสทำงานอย่างรวดเร็วอยู่ภายใน มันก็ เกิดความอยากกินขึ้นมาทันที

 เป็นอาการของกิเลสทำงานทันทีเลย ภายนอกภายใน ร่วมกับกิเลส เป็นสามเส้าทำงานทันทีเลย

เมื่อเกิดอาการแล้วให้รีบอ่านเลย มันมีจิตแล้ว ก็มีกิเลส ที่เรียกว่าอกุศลจิต

*ต้องแยก อาการที่เรียกว่า “ความอยาก”นี้ให้ได้ และอ่านอาการให้ได้

เราจะเลือกเฟ้น กำหนดรู้ อาการในปัจจุบัน

ขอย้ำว่าต้องอ่าน อาการใน*ปัจจุบัน* เท่านั้น

ไม่ใช่ไปนั่งหลับตานึกคิดเอาว่าตอนนั้นเราเคยไปเจอนึกภาพแล้วก็มีอาการน้ำลายไหล มันก็ได้แต่มันไม่จริง พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ออกมาสัมผัสกับของจริง

 

จิตใจนี้ยังมี ค่าละเอียดจากภายนอก เข้าไปเป็นรูปาวจร อรูปาวจร

ในการปฏิบัติ ต้องทำจากภายนอกก่อนให้ได้ให้อยู่เหนือให้ได้

เช่นผัดไทย วางอยู่ เราก็ไม่มีอาการอยากเลย ตอนแรกมีอยู่แต่ก็สะกดได้

บังคับได้ ต่อมาก็ไม่ต้องสะกดบังคับ เพราะมีหิริโอตตัปปะ

ข้างนอกละอายไม่กระทำ มีภาวะที่สัมผัสแล้วไม่เอามาบำเรอตน

ไม่เอามาเสพได้แล้วโดยทนได้ไม่ยาก ทนได้ไม่ลำบากเลย

เหลือแต่รูปาวจร ภายใน ก็ต้องล้างอีก ว่ามันจะเป็นจะตายหรืออย่างไร

เมื่อปฏิบัติได้ภายนอกแล้ว ยังจะมา”อยาก”อยู่ภายในอีกทำไม ? เพียรปฏิบัติทำซำ้ๆเข้า ก็จะลดลง ลดลง จนเหลือกิเลสขนาดกลาง เรียกว่า รูปาวจร

แล้วก็ทำให้หมดไปถึงอรูปาวจร ซึ่งมันเล็กละเอียดจนไม่เป็นรูปแล้ว

เราก็ทำต่อให้หมด 3 ชั้นเลย (กามาวจร  รูปาวจร อรูปาวจร)

มันก็ดับสนิท เราจะอยู่เหนือ(กิเลส)ได้จริงๆ ไม่ต้องหนี

 แม้จะต้องไปสัมผัส จิตเราก็จะมีพลังที่สามารถอยู่เหนือกิเลสนั้นได้

ไม่เกิดอาการ สุขทุกข์ เลยเมื่อสัมผัส

หรือจะไปสัมผัสเงิน 500 ล้านกองอยู่ ก็ไม่เกิดอาการเลย ทั้งรูปาวจร อรูปาวจร แต่ถ้าทนไม่ได้ *ก็ออกมาเป็นกามาวจรเลย **จะได้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เอา เพราะอยากได้เป็นเรา เป็นของเรา

คำว่า กาย คือ มันมีสิ่งหนึ่งให้เราสัมผัส เป็นสอง

จะสัมผัสตั้งแต่วัตถุที่ไม่มีชีวิตเป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุนิยาม

หรือเป็นพืชที่เป็นชีวิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร (พีชนิยาม)

จนเป็นจิตที่มีโทษมีภัยกับตนเองและคนอื่นได้ (จิตนิยาม)

จะสัมผัสกับพืช(พีชนิยาม) หรือสัมผัสกับคนที่มีชีวิต( จิตนิยาม )

กิเลสของเราก็ไม่เกิด มีสิ่งที่ถูกสัมผัส(รูปตัวถูกรู้)กับธาตุรู้(นาม)ของเราเป็น ธรรมะ2 เสมอ

ถ้าสัมผัสข้างนอก เรียกว่า กามาวจร (กามคุณ5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส)

 ถ้าสัมผัสเข้าภายใน เรียกว่า รูปาวจร

ถ้าหมด รูปาวจร เรียกว่า อรูปาวจร

คุณทำได้ขั้นไหนก็จะรู้ของตัวเอง แต่ต้องมีองค์ประชุม 2 เสมอ ไม่ได้หนีไปอยู่เดี่ยวเดี่ยว

 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

มันมีธาตุรู้ที่เห็น….

 1. อาการของกิเลสที่เกิดจากกิเลส

 

  2. อาการที่รู้ ความจริงตามความเป็นจริง ถ้าคนประสาทไม่เสียรับกระทบสัมผัสก็จะรู้เหมือนกันหมด เป็นธาตุรู้ที่เป็นตัวแท้ ส่วนอีกอันเป็นเวทนาตัวไม่แท้ (1)นี้คือเป็นเวทนา 2

พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือ จิต มโน วิญญาณ ล.16 ข. 230

กายนี้ ไม่ได้เรียกมหาภูตรูป แต่ใช้เรียกอุปาทายรูป

 

รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้  ส่วนนามคือตัวรู้

แล้วรูปนี้ ถ้าอยู่ภายใน เป็นนามธรรมก็ได้  จะเรียกว่ารูปจิต

เช่น สัมผัสผัดไทยอยู่นี่ก็เรียกได้ว่า “กาย” แม้ไม่ได้ชิม แต่มีอาการอยาก รู้สึกว่าน่าจะอร่อยแน่นอน และเมื่อได้ชิมทางทวารลิ้นเข้าไปอีก ก็อร่อยอีก อร่อยจริงๆ ก็เกิดเวทนา

คำว่า เวทนา นี้ในภาษาไทยแปลว่า น่าสงสาร เพราะอะไร ?

ก็เพราะว่า จมอยู่กับกิเลส เป็นภาษาของพระโพธิสัตว์ น่าจะให้เขารู้ตัว ไม่เช่นนั้นก็วนเวียนเป็นอาคามี

ต้องทำให้หมด ไม่วนเวียน เป็นอนาคามี ไม่มีอาการทางจิตที่เป็นรสอะไรอีกแล้ว ก็ไม่ต้องสัมผัส ไม่สัมผัสก็ไม่เสพอีก ก็จะเป็นผู้ไม่มีเวทนาที่อร่อยหรืออยากได้อยากมีอยากเป็น

มีแต่เวทนาหรือความรู้สึกตัวเดียวตามความเป็นจริง

เวทนาตัวนั้น จึงเป็นปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง

มันสีแดงก็สีแดง ตามที่ทุกคนเห็น

แต่ถ้ามีความรู้สึกว่าสวยและอยากได้ก็มีอาการที่ 2 ขึ้นมา

สีแดงนั้นมันไม่มีความรู้สึก อยากได้ อยากเป็น แต่เมื่อเรามีความชอบ อยากได้ อยากมี อยากเป็น คุณทำให้เกิดอาการที่ 2 (เกิดผี)ขึ้นมาเอง

 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ต้องทำให้จิตเป็นหนึ่งให้ได้ ไม่มีอาการที่ 2 ที่เป็นกิเลส นั่นแหละคือการบรรลุธรรม

สรุปคือ กายต้องมีสอง มีนอกและใน มีรูปและนาม

ถ้ามีแต่ภายในก็ได้ แต่ต้องชัดเจนว่า หมดกิเลสภายนอกแล้วจริงๆ

คือเราทำกายสังขารังปัสสัมภยังได้แล้วก็ทำจิตสังขารังปัสสัมภายัง

จะทำแบบลืมตาหรือหลับตาก็ได้

แต่ถ้ายังทำภายนอกไม่ได้แล้วไปทำภายในเลยจะไม่ได้

ต้องทำภายนอกก่อน เราจะได้อาวุธที่ละเอียดขึ้นไป ทำเล็กๆได้

ถ้าทำเล็กๆได้แล้วจะไปสู้ใหญ่ๆไม่ได้ ต้องชนะจากใหญ่ไปเล็ก

ใหญ่หรือเล็กคือสภาวธรรมของเรา แล้วบางคนบอกว่า ทำไม? มันใหญ่

ก็เพราะว่าคุณไปสร้างมันเองทำมันเอง ถึงแม้มันใหญ่ คุณก็แบ่งทำเอาได้

ตัวอย่าง สมมุติว่ามันเป็นช้าง ก็เอาแต่ ขา แต่ละข้าง หรือเอาแต่ หาง มันก่อนก็ได้

มาเป็นเวทนาที่เป็นสอง   อันหนึ่ง คือความรู้สึกจริง  ที่คนอื่นก็รู้เช่นนั้น

                                  อีกอันหนึ่ง คือความรู้สึกอยากลิ้มรส

การปฏิบัติ ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง โดยใช้ “บุญ

 

วิธีปฏิบัติ

1.ต้องทำ อาการที่อยากลิ้มรสนี้ให้หมดไป เพราะมันเกิดจาก อกุศล* และจิตก็เกิดจากกิเลส คือราคะ (อยากลิ้มรส) 

2.เราก็ต้อง*อ่านอาการของราคะ*นี้ ให้ออกว่าเป็นอกุศลจิตที่มันทำให้เราเกิดความอยาก อ่านให้ชัดจนพ้นวิจิกิจฉา

เมื่อสัมผัสว่าขณะนี้ ผัดไทยร้อนฉ่า ก็เกิดอาการ อ่านอาการมันอย่างโทนโท่เป็นเป็นเลย นี่เรียกว่าสักกายะ คือองค์ประชุมสอง

คำว่า สักกะแปลว่าตัวเรา จะเรียกว่าสัตว์นรกก็ใช่สัตว์นรก

คือ สัตว์ที่มันกำลังอยากจะเอามาให้แก่ตัวเอง ถ้าเอามาไม่ได้ จิตที่อยากได้ ก็   จะต้องแย่ง ต้องสู้กัน สู้ได้ก็ได้มา สู้ไม่ได้ก็อาฆาตพยาบาทไว้

ตอนนี้ กาย เลื่อนมาหา เวทนา มาหาจิตแล้วนะ 

*สิ่งที่เรียกว่า จิตก็คือธรรมะ มันยังทรงอยู่

*ธรรม คือทรงอยู่ มันอยู่ในใจเราไม่ได้หนีไปไหน คำว่าธรรมนี้ คุณยังไม่ตาย ในจิตของคุณมันทำอะไรคุณไม่ได้แล้ว

 แต่คุณจะต้องอยู่กับโลกเขา คุณจึงต้องมีตัวตนอยู่ จะหนีไปไหนไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพาน

เวทนาเป็นภาวะ 2 ที่เราทำให้เป็นหนึ่งได้โดยจะต้องกำจัดอกุศลจิต

โดยใช้ “บุญ”

บุญ”เป็นเครื่องชำระกิเลสอย่างเดียว ไม่ใช่กุศล

คนไปเข้าใจผิดคำว่า “บุญ”กลายเป็น “กุศล”ก็เลยไม่ได้ผลในการปฏิบัติ

กุศลนั้น มีแต่ดีไม่ไปทำร้ายอะไรเลย

แต่บุญจะว่าดีก็โหดคือฆ่ากิเลสอย่างไม่ให้ฟื้นขึ้นมาเลย

มันเป็นอาวุธสำหรับฆ่ากิเลสโดยเฉพาะ ฆ่าเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่

ผู้ที่ใช้บุญเป็น สามารถทำให้กิเลสลดได้ ลดได้ที 1 ขนาด 1 ก็ได้ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา

บุญ จึงมีส่วนที่ฆ่าเขาได้ คือ ส่วนที่ทำให้มันหายไป ไม่ใช่ส่วนที่ได้มานะ

*คำว่าส่วนแห่งบุญจึงเป็น *เสขบุคคล*

ซึ่งป็นบุคคลที่  กำลังปฏิบัติลดละกิเลส ยังไม่หมดกิเลส ก้อนนั้นตัวนั้น เช่น พระโสดาบัน

*พระอรหันต์คือผู้ที่หมดกิเลสแล้ว * เป็นผู้ที่ทำบุญได้ครบหมดแล้ว บุญก็หมดไปได้ทันทีไม่เหลือ

 พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปปริขีโณ) เพรนะเอาบุญมากำจัดบาปเพราะบาปหมด. บุญก็หมดไปด้วยกัน เลยไม่มีทั้งบุญและบาป ปุญญปาปริกขีโณ สิ้นบุญสิ้นบาป

เมื่อกี้นี้อาตมาเปิดทีวีช่องธรรมะของช่องต่างๆ ก็เห็นว่าทั้งฆราวาสและพระนั้นอธิบายธรรมะได้ดีขึ้น อธิบายอย่างคนที่รู้และมีภูมิสูงขึ้น อย่างนี้มีหวังแน่

ประโยคเพชรของพุทธ

 

ในพระไตรปิฏก ล.10ข.60นี้ คือ  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

*เป็นประโยคเพชรของศาสนาพุทธเลย*

เป็นประโยคที่ไขภาวะ การประพฤติธรรม โดยให้แยก*เวทนา* เป็นการทำให้เวทนาเหลือ 1 เดียว เพราะกำจัดอกุศลและเหตุได้

แยกออกว่าเป็น เวทนาโลภ อร่อย สุขทุกข์

อาการของจิตเหล่านี้เรียกว่า “เจตสิก” เป็นอกุศล และเจตสิก ตัวนี้แหละ เป็นตัวที่กำลังอยากกินผัดไทย ขณะสัมผัสนี้แหละมัน(ตัวอยากกิน)เกิดแล้ว

จะต้องฆ่ามัน กำจัดมัน (บุญ)  กำจัดให้อกุศลและเจตสิกตัวนี้ อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

จากเวทนาก็มาดับกิเลสที่ จิต  เมื่อ “อกุศลจิต”ตายไป

คนก็จะมีแต่ธรรมะที่ทรงไว้ จนเป็นพระอรหันต์แล้ว คุณก็จะยังอยู่กับโลก

จะเวียนเกิดเวียนตายต่อไป คุณจะยังเป็นแท่งธรรมะ เพราะ คำว่าธรรมะแปลว่า ยังอยู่คือทรงไว้ อยู่อย่างเป็นธรรมไม่ใช่อธรรม

คำว่า อธรรม คือสิ่งที่แปลกปลอม ต้องเอาอธรรมนี้ออกไปให้เหลือแต่ธรรมะ

 

*กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม *

มาเอาชามก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเป็นตัวอย่าง

เพราะเมื่อเราเห็นชามก๋วยเตี๋ยวผัดไทย

*สัมผัสแรกองค์ประชุมรูปนามก็เกิดขึ้น( ผีเกิดขึ้นเลย)

* ปรุงแต่งมี ผีตัวอยาก ก็บอกว่าจะเอาให้ได้ ในบางกรณีถ้าเจ้าของมันไม่ให้

ก็ฆ่ามันเสียแล้วเอาของมันมา มันอยากหนัก จะเอาให้ได้

อาตมาเคยยกตัวอย่าง เรื่องของขนมหม้อแกง มีคนจองไว้ก่อนแล้วยังไม่ได้เอา แต่มีอีกคนหนึ่งจะมาเอาแม่ค้าก็เลยให้ไป พอคนที่จองไว้กลับมาก็ไม่ยอม ก็เลยทะเลาะกันและก็ฆ่ากันตาย แทงกันตายเพราะขนมหม้อแกงชิ้นเดียว เป็นอารมณ์โกรธมืดหน้าไม่ฟังอะไร

สรุปแล้วอกุศลจิตตัวนี้(ผีอยากได้)เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะ

*โดยสัมผัสเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ท่านเรียกว่าสมมุติสัจจะ

และสภาพจิตตัวเองภายในเรียกว่าปรมัตถสัจจะ

สมมุติ คือสิ่งที่ทุกคนรู้ร่วมกันได้สัมผัสร่วมกันได้ ทางภายนอก

เสร็จแล้วคุณก็อ่านจิตของคุณภายใน* ว่า มันมีอะไร เป็นเหตุทำให้เกิดเวทนา ที่หลอกเป็นความอร่อยเป็นความชื่นใจเป็นความเพลิดเพลินที่เรียกว่า สุขขัลลิกะ เป็นอารมณ์ที่ไม่จริง เป็นอารมณ์ที่เป็นเท็จ

มีชั่วคราวแล้วมันก็หายไป อยากได้อีกเอามาสัมผัสอีก หรือระลึกขึ้นมาก็เป็นลมๆแล้งๆไม่ได้เป็นของจริง

ตายไปก็นึกอยากจะได้อีก เป็นการตกนรกลึกว่าจะมีสวรรค์อย่างที่เคยเสพอีก ในฝันหรือความนึกคิดนั้นเป็นเรื่องลมๆแล้งๆยิ่งกว่าตอนสัมผัสจริงแน่นอน

เราก็ฆ่าจิตในจิต จิตที่จะฆ่าก็ฆ่าไป เหลือจิตอีกตัวที่สะอาด

กายในกายเรา สัมผัสแล้วก็ไม่เกิดความรู้สึกเป็นผีหรือเป็นเทวดาหลอก

 มีแต่อารมณ์จริง ความรู้สึกจริง จิตใจก็รู้จริง จิตใจที่เป็นอกุศลก็ไม่เกิดแล้ว เราเอามันออกไปแล้ว

เหลือแต่ตัวเดียว กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต จึงเป็นตัวเดียว เอกสโมสรณา ทรงไว้ซึ่งธรรมอันเอกบริสุทธิ์สะอาดจากอกุศลทั้งหลาย

เพราะเรารู้ภายใน ภพภายในยังมีอีก แล้วก็เอามันออกอีกให้เหลือ 1 เดียวอีก พระอรหันต์นั้นมีแต่หนึ่งเดียว เข้าในไปอีกก็เป็น 0 

มีแต่หนึ่งเดียว(1) กับ 0 เป็นนปุงสกลิงค์ ในเข้าไปก็มีแต่เราคือ 1 กับ 0 อรหันต์จะอยู่กับนปุงสกลิงค์คือไม่มีเพศก็ได้

หรือจะอยู่ที่ *ปุงลิงค์(ปุริสภาวะ)ก็ได้ เพราะได้ทำอิตถีภาวะ*ให้หมดไปได้แล้วสนิท นี่คือสภาพของ กาย เวทนา จิต ธรรม

 

ผู้ที่มีสิ่งที่ทรงไว้ในจิตตน เรียกว่า ธรรมะ หรือธัมมะ

ปุถุชนที่อวิชชา จะมีภาวะที่ทรงอยู่ คืออวิชชามาก่อน ก็จะมีธรรมะ 2  ซึ่งจะมีกิเลสทรงไว้ด้วยเสมอ แล้วไม่รู้ตัวว่าเป็นกิเลส ดีไม่ดีกิเลสกลายเป็นอำนาจด้วย ไม่มีความฉลาดมีแต่โง่อวิชชา

ปุถุชนผู้มีอวิชชา จึงมีกิเลสเป็นตัวจัดการ เราจึงต้องแยกแยะธรรมะของตนให้ออกก่อนเป็นธรรมะ 2

พอแยกได้ก็เริ่มต้นจัดการด้วยปหาน 5

ประหารด้วยการกดข่มยังไม่มีปัญญา จะต้องประหารด้วยปัญญาที่เรียกว่าเป็นไฟฌานคือกองไฟพิเศษ ที่ไปล้าง ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้

เป็นพลังงานที่เป็นแรงเป็นฤทธิ์จริงๆ ทำให้พลังงานไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ  สู้พลังงานไฟฌาน พิเศษนี้ไม่ได้ คือปัญญา

*ฌานอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใดฌานอยู่ที่นั่น ปัญญาไม่มี ฌานก็ไม่มี ฌานไม่มีปัญญาก็ไม่มี

ฌาน เป็นพลังงานตัวฉลาดที่จะล้างพลังงาน ไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ ได้ ละลายไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะให้หายไปได้เลย

พลังงานฌานคือปัญญา ไม่ใช่พลังงานกดข่ม ดับปี๋รู้มะลำมะเลืองในภพอย่างนั้นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักกิเลสด้วย ไม่มีพลังทำลายไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ **ไม่มีการแยกแยะวิจัยวิจารอะไรเลยในจิต เป็นแต่ hypnosis ไม่ใช่ analysis **

การสะกดจิตแบบหลับตานั้นยังไม่เป็นโทษกับคนอื่นเท่าไหร่ ไม่ร้ายเท่ากับการสะกดจิตแบบลืมตาที่ออกไปเที่ยวอาละวาดอย่างธรรมกาย อย่างตู่จตุพร พรหมพันธ์นี่ก็หลอก นามสกุลตนเองก็หลอกตัวเอง อยู่กับบัญญัติหลอก อย่างเทวทัตคือเทวดาโง่นะ แต่หลอกว่าตนฉลาด คือทัตตะ (ทัตตะ=โง่)

ผู้รู้*กาย*ผิดไปจากความเป็นจริงจึงโมฆะ ประเทศไทยน่าสงสารเอาคำว่า *กาย* มาใช้ผิดๆจากสัจธรรมพระพุทธเจ้า ไปหมายว่า*กาย* คือดินน้ำไฟลมภายนอก เป็นร่างภายนอกอีก

 

คำว่า*บุญ* อีกคำที่ต้องอธิบายกันหนัก เป็นสภาพที่ใช้ฆ่ากิเลสอย่างเดียวมันเป็นสภาพที่มี*ความวิบัติ* ไม่ใช่สภาพที่เป็นสมบัติ

เป็นความทรงไว้ซึ่ง*ความวิบัติ* ความทำลายความสูญหายไปแตะเข้าก็ต้องทำลายมันเอาตายเลย คนที่จะสร้างอาวุธที่เรียกว่า*บุญ* นี้ได้จะต้องเก่งเพราะอยู่กับตัว จะต้องไม่ทำลายตัวเอง

 แต่ถ้าคุณมีพลังงานนั้นที่เป็นบาป ถ้าคุณมีบุญไปทำลายบาป คือคนมีสิ่งที่เป็นอาวุธที่เรียกว่า*บุญ*ได้ มันอยู่กับคุณและจะต้องไม่ทำลายคุณด้วยนะ แต่มันมีหน้าที่ทำลายอย่างอื่น ไม่ได้มีหน้าที่จะมาอาศัย มันมีหน้าที่กำจัดไม่ไว้หน้าอกุศล กำจัดหมด

คำว่าบุญจึงเข้าใจยากมากกว่ากายอีก เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะเป็นตัวที่ล้างอวิชชาล้างกิเลสกำจัดตัวที่แย่ที่สุดในมนุษย์ บุญเป็นสิ่งที่ทำลาย

พระอรหันต์ขึ้นไป ไม่ต้องทำลายอะไรอีกแล้ว เพราะไม่มีบุญอีกแล้ว

 

*นรกอยู่ในสวรรค์ * เพราะคนในโลกนี้ไม่มีใครต้องการ นรกใช่ไหมแต่ด้วยความโง่ที่ไปหลงสวรรค์นั่นแหละ คือ*นรก* สวรรค์มีอยู่ 6 ชั้นไม่ได้มีมากกว่านั้น

สวรรค์ มี6 ขั้น ก็คือภพก็มี 6 อย่างนี้ ทุกคนเกิดมาต้องการสวรรค์และสวรรค์ก็มี 6 เท่านี้

สวรรค์ตัวแรกนี่แหละคือตัวที่คุณไม่รู้จริงมันก็คือ นรกมันหลอกคุณ เอาไว้อธิบายกันวันหลัง ติดตามอย่ากระพริบตา

วันนี้เราได้ฟังส่ิงที่ประเสริฐ เป็นอริยาภรณ์ คือเครื่องห่มด้วยอริยะ เป็นคนทำอาหารให้อาตมากินเป็นประจำมา จนป่วยคนอื่นก็ทำแทน ทำให้อาตมาฉันตลอด ศึกษาธรรมะมาพอสมควร ก็สู้ส่ิงที่สู้ได้พอสมควร ก่อนจะตายก็ได้แสดงออกถึงความไม่พ่ายแพ้ไม่ฟูมฟาย ไม่อ่อนแอ นี่คือการแสดงออกถึงพุทธธรรม

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:17:51 )

590821

รายละเอียด

590821_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก เรื่อง นรกอยู่ในสวรรค์

นรกอยู่ในสวรรค์...วิธีคิดที่ยึดมั่นถือมั่นคือสอนให้ลงนรกทั้งสิ้น

พ่อครูว่า...คนเรานั้นมีแนวคิด ซึ่งแนวคิดของธัมมชโยนั้นเป็นแนวคิดไปข้างหน้าทั้งสิ้น ว่าจะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้เผชิญกับปัจจุบัน แล้วเลี่ยงสิ่งที่จะมากระทบกับเราออกไป หนีไปดื้อๆ ทำตนเองปลีกแยกไปจากสังคมบ้านเมืองที่มีกฎหมายมีวัฒนธรรมแต่นี่เขาไม่แคร์วัฒนธรรมไม่แคร์กฎหมาย แล้วแกจะอยู่อย่างไร คนนี้เขาขุดรูอยู่ลึกเลยจนเจ้าหน้าที่หารูไม่เจอ ถ้าไปหากบเขียดก็ยังพอจะรู้ได้ยังธรรมกายนี่ธัมมชโยอยู่รูไหนไม่เจอเลย

จิตของคนที่คิดไปในอนาคตสร้างภพชาตินี้เป็นแบบนี้ซึ่ง ศาสนาพุทธไม่หลงอนาคต ไม่หลงอดีต อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วจะไปจัดการเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ส่วนคนที่คิดฟุ้งไปในอนาคตนั้นก็คือประเด็นที่จะพูดในวันนี้

ในพระไตรปิฎกเล่ม 23 ที่เป็นตัวอย่างของคนที่มีพฤติกรรมมีชีวิตที่สร้างภพสร้างชาติ ให้แก่ตัวเอง ทานสูตร ข.49 เอามาขยายความหลายเดือนแล้ว เขียนขยายความด้วย คนเราไม่พ้นอันนี้หรอก ไม่พ้นความตั้งจิตแบบนี้ที่จะมีภพ 6

มีภพอะไรบ้าง

1จตุมหาราช 2ดาวดึงส์ 3ยามา 4ดุสิต 5นิมมานรดี 6ปรนิมมิตวสวตี นี่คือ 6 ภพที่คนอยากได้ ในความเป็นชีวิตมนุษย์ไม่มีคนไหนเลยไม่อยากได้ภพ แม้ไม่รู้จักชื่อ 6 ชื่อเหล่านี้ คนทุกคนอุแว้มาก็อยากได้ 6 ภพนี้ และก็ไม่มีภพอื่นเลยที่คนอยากได้นอกจากนี้ คนไม่มีใครอยากได้ภพนรกเลย เขาอยากได้ 6 ชั้นนี้แหละ มันมีอีกภพหนึ่งคือ ภพพรหม อันนี้คนคิดไม่ถึงคิดไม่ออกหรอก นอกจากคนขวนขวายศึกษาในธรรมะในจิต รู้ว่ามันสูงกว่าเทวดานะ แต่คนไม่ได้ศึกษาก็เอาไม่ออก แต่โดยสัญชาติจริงๆอยากได้ 6 ภพนี้ไม่ได้มีภพอื่นอีกเลย อย่างอื่นไม่มี แม้แต่ภพของพรหม

สัจจะของคำว่า พรหม คือ ภพที่ล้าง 6 ภพนี้ แล้วมนุษย์จะคิดออกได้อย่างไร?

ในพระไตรฯสูตรนี้ชัดเจนว่า ถ้าผู้ใดไม่ตั้งจิตจะมี 6 ภพนี้ พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพัน

ในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

6 ภพนี้คือให้แล้วอยากเอาคืนมา แต่ว่าผู้ไม่ให้ก็ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าจะต่ำกว่าอีก

คนเราไม่มีคนไหนเลยที่จะไม่ตั้งภพ 6 ภพนี้ ไม่มีใครเลยที่จะทำอะไรออกไปแล้วไม่ตั้งจิตหวังใน 6 ภพนี้ ทุกคนเป็นเช่นนี้ คนทำทั้งถูกและผิดนั้น ถ้าทำถูกสัมมาทิฏฐิจริงจะเป็นพรหม หลุดพ้นจาก 6 ภพนี้ คนไม่ได้ศึกษาพากเพียรถูกจะอยู่กับ 6 ภพนี้ ซึ่งคุณเองไม่ได้อยากได้นรกเลย แต่คุณอยากได้ 6 ภพนี้แล้วชีวิตต้องทำกรรม แล้วกรรมนั้นแหละพาคุณ ตกนรก ทั่งที่คุณอยากได้ 6 ภพนี้ไม่มีใครอยากได้ภพนรก

 

นรกอยู่ในภพไหน? ก็ในสวรรค์ 6 ภพนี้ไง นรกอยู่ในสวรรค์...พ่อครู 21 ส.ค. 59

เพราะกรรมที่คุณทำนั้นไม่ถูกต้อง คุณทำกรรมใดกรรมเป็นอันทำ ถ้ากรรมนั้นเป็นธรรมที่ไม่ถูกสัจจะก็เป็นนรก ถ้ากรรมอันนั้นถูกต้องตามสัจจะก็เป็นสวรรค์ตามที่คุณอยากได้ในสวรรค์ 6 ภพนี้ ย่ิงคุณศึกษาอยากล้าง 6 ภพนี้ คุณทำได้ก็เป็นอาริยะไปจนเป็นอรหันต์เลย ต้องเป็นพรหมสัมมาทิฏฐินะ

ทุกคนมีกรรมทุกเวลา กรรมเป็นอันทำ คิด พูด ทำ ก็เป็นกรรม ทุกอิริบาบถ ถ้ากรรมมันผิด ไม่เป็นไปเพื่อได้สวรรค์ (ยกความเป็นพรหมไว้) ไม่เป็นสวรรค์มันก็เป็นนรกทั้งนั้น

เทวดา 6 ภพนี้คือกรรมอย่างใด? กาย วจี ชี้บ่งไม่ได้ แต่จิตนี้ชี้บ่งชัดเจน แต่กายกับวจีก็เป็นสวรรค์ลวง ไม่ใช่สวรรค์แท้ที่เป็นอุบัติเทพ เป็นแค่สมมุติเทพ เป็นใจที่ปลอมใจหลอกไม่จริงไม่แท้

เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนในทานสูตรนี้ สวรรค์ 6 ชนิดนี้ มันก็คือนรก ที่เขาบัญญัติเอาไว้อีก บัญญัติไว้ไม่ใช่แดนภพที่คนต้องการ นรกมี

นิรยะ(นรก) ติรัจฉานโยนิ(เดรัจฉาน) เปรต อสุรกาย นี่คือนรก 4 ภูมิ คุณไม่อยากได้แต่คุณจะต้องเป็น อย่างธัมมชโยนี้เป็นทั้ง 4 ภูมินี้ โดยเฉพาะตัวอสุรกายนี้เป็นชัดมาก เขาไม่อยากได้ไม่อยากเป็นแต่เขาเป็นด้วยกรรมของเขา (ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างก็ขอบคุณธัมมชโย)

การให้ทานนี้ คือการให้ ไม่ใช่การเอานะ แต่ให้แล้วแต่ใจยังเอา ทานแล้วใจยังเอา เป็นการเอาที่ไปเอาภพชาติ ยังไม่ตายนะ ก็เอาแล้ว

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวังว่าจะได้อะไรคืน) ทาน เทติ  คือทานไปแล้วแต่ใจยังมีเยื่อใยอยากได้กลับคืนมา

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ  คือให้ไปแล้วจิตยังมีอาการมากกว่าหวังคือผูกพันกับอาการให้นั้นๆ ยังไม่พอ

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  ยังสั่งสม ว่าของกูนะเว้ยๆๆ ให้ไปจากตัวเองแต่มีจิตคิดสั่งสมจิตแบบนี้ ทำอาการนี้ใส่จิตโดยอวิชชา แม้เรียนรู้แล้วทำไม่ถูกก็ยังสั่งสมก็เป็นจริง

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ คือทำทานแล้วคิดว่าตายไปแล้วจะได้เสวยนี่สมบัติของกูนะ ไม่ได้เคยให้ใครเลย แล้วคิดแบบทุนนิยมด้วยต้องมีออกดอกมีปันผลให้ได้มากขึ้น ธัมมชโยก็เลยเอามาหลอกว่าตายไปแล้วได้เสวยผลอย่างไร มีนิทานมาหลอกคนมากมายที่เขาคิดขึ้น ว่าทำทานแล้วตายไปแล้วได้ไปสวรรค์ชั้นไหนๆ อวดอุตริมนุสธรรมที่หลอกกันมา หรือมีการบอกว่าญาติที่ตายไปแล้วอยู่ไหนไปสวรรค์นรกชั้นไหนๆ ก็ทำนายให้ นี่คือแนวคิดธัมมชโย

นรกอยู่ที่ไหน นรกก็อยู่ที่แนวคิดนี้ครบเครื่อง นรกมีคำเดียวคือยึดมั่นถือมั่น ผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็มีนรก ผู้หมดความยึดมั่นถือมั่นก็คือหมดนรกเป็นอรหันต์

วิธีคิดที่ยึดมั่นถือมั่นคือสอนให้ลงนรกทั้งสิ้น ...พ่อครู 21 ส.ค. 59

ภพที่ 6 ปรินิมมิตวสวัตตีนี้ยึดมั่นถือมั่นเต็มรูปแบบเพราะว่าไปทำจิต อตฺตมนตาโสมนสฺ (ให้ทานเพราะยากได้ปลื้มใจ)

สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ คือพระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมทุกอย่างไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นี่คือสายท่านพุทธทาสจะสอนเช่นนี้ ทุกสรรพสิ่งอย่าไปยึดมั่นถือมั่น นรกก็คือความยึดมั่นถือมั่น…

ส.เพาะพุทธว่า...การยึดมั่นในสวรรค์ 6 เป็นนรกซับซ้อน

พ่อครูว่า...มีแต่คนอยากสร้างสวรรค์ไม่มีใครอยากสร้างนรกแต่คุณทำผิดก็เลยลงนรก ที่ทำผิดนั้นเป็นนรกทั้งนั้น แต่ทีนี้ของพระพุทธเจ้าท่านสอนให้หมดนรกหมดสวรรค์ คือไม่มีทั้งภพสวรรค์ภพนรก เป็นโลกุตระเป็นอาริยะ

คนที่อยู่ในโลกียภูมิมีสวรรค์นรกแล้วไม่รู้ว่าควรทำใจอย่างไรจึงไม่เป็นนรก เพราะว่าคุณอยากได้สวรรค์แน่ แต่อวิชชาทำให้คุณไม่รู้จักคุณก็ทำกรรมนั้นเป็นนรก

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85519

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efbzh3WnVlNEk1eTQ

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/39009pvaelyz/160821

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:18:21 )

590821

รายละเอียด

590821_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก เรื่อง นรกอยู่ในสวรรค์

ส.เพาะพุทธว่าถ้ามีการตั้งคำถามว่าสบายดีไหมอาตมามักจะตอบว่าสบายไม่ดีหรอกลำบากถึงจะดี แต่ถ้ามีคนตั้งคำถามกับพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ถามว่าพ่อท่านสบายดีไหม คำตอบคือสบายดีมาก และอยากจะให้ทุกคนสบายดีมากอย่างอาตมา คำตอบของอาตมาเป็นคำตอบของเสขบุคคล ส่วนคำตอบของพ่อครูเป็นคำตอบของอเสขบุคคล

คำว่าปุญญภาคิยานั้น บรรดาพระเสขทั้งหลายต้องสั่งสมส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)

พ่อครูว่า….ไม่ใช่สั่งสมบุญ แต่สั่งสมส่วนแห่งบุญ บุญสั่งสมไม่ได้ คำว่าส่วนของบุญที่มีผล สำเร็จน้อยหรือมากก็แล้วแต่เป็นส่วนๆ ยังไม่หมด ถ้าบุญนี้ทำผลสำเร็จครบส่วนบุญก็หมดไป บาปก็หมดไปด้วย บุญมีหน้าที่กำจัดบาป เป็นส่วนวิบัติ เป็นโลกุตระ มีหน้าที่กำจัดบาปเมื่อกำจัดบาปได้บ้างก็เป็นส่วนแห่งบุญ เมื่อกำจัดได้หมดเป็นอนาสวะคือสิ้นอาสวะ เป็นปุญญาปาปริกขีโณ สิ้นบุญสิ้นบาป

ส.เพาะพุทธว่า...ผมได้ไปที่ทะเลธรรม ได้ฟังญาติธรรมฟังธรรมพ่อครูผมเลยฟังด้วย มีประเด็นเทศน์ที่ทะเลธรรมในคราวนี้คือผมได้นำธรรมะที่ฟังพ่อท่านเมื่อคืนนี้(19/8/59)มาเทศน์ต่อในเรื่อง อรูปอัตตา ต่อเนื่องจาก โอฬาริกอัตตา และ มโนมยอัตตา ได้เน้นย้ำเรื่องการยึดว่ามีในสิ่งที่ไม่มี จนกลายเป็นความมีตามที่ยึด แต่ไม่มีตามที่มีจริง

มีรายการชามะนาว คุณสมพงษ์ บอกว่าถ้าเราจะเห็นทุกข์ในทุกข์ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่บุคคลที่เห็นทุกข์ในสุขได้นี่ลึกซึ้งมาก ก็เลยนึกถึงพระพุทธเจ้าที่เห็นทุกข์จากปราสาทสามฤดูได้ วันนี้พ่อครูจะเทศน์เรื่องภพชาติ นรกสวรรค์ การเห็นทุกข์ในสุข พ่อครูมักพูดจากที่ได้รู้จากพระพุทธเจ้าว่า ความสุขเป็นของเท็จ ความทุกข์เป็นของแท้ พ่อครูจะมาเทศน์เรื่องภพชาติ

พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2559 วันนี้ก็เทศน์ต่อหน้าศพของโยมอริยาภรณ์ วัฒนานนท์เป็นคนทำกับข้าวทำอาหารให้อาตมามานานจนป่วยก็มีคนมาทำแทน เมื่อคืนวันที่ 19 ก็เสียชีวิต วันนี้ก็จะไปฌาปนกิจที่วัดบางเตยเวลา 4 โมงครึ่ง

คนเราเกิดมาก็ต้องตายแน่ ตายตอนอายุต่างๆกันนับไม่ถ้วนมีทุกอายุที่ตายได้ ในสัตว์โลกที่เกิดมามีชีวิต คนก็เป็นจิตนิยามที่รู้กรรมรู้ธรรม ก่อนจะได้พูดเรื่องภพชาติ ก็ขออ่านบทความแนวหน้า บ้านเกิดเมืองนอนของสิริอัญญา วันที 21​นี้

 

ดื้ออาญา...หนักหนากว่าดื้อยา!

ธัมมชโยถูกศาลส่วนอาญาออกหมายจับเพราะเหตุขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก และได้รู้เห็นเป็นใจให้มีการขัดขวางการเข้าจับกุมของเจ้าพนักงานต่อเนื่องมาเป็นเวลานานแล้ว จนกระทั่งถึงบัดนี้ก็ยังคงขัดขืนหมายของศาลและไม่มีทีท่าว่าจะยอมปฏิบัติตามหมายศาลนั้น

 

อันการปกครองของประเทศไทยเรา อำนาจตุลาการเป็นอำนาจสำคัญที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ทางศาล ดังนั้นหมายศาลซึ่งก็คือคำสั่งของศาลให้เจ้าพนักงานทำการจับกุมธัมมชโย จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นการใช้อำนาจตุลาการโดยศาล ซึ่งกระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

 

ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มีความขลัง เทพารักษ์เจ้าที่และภูตผีทั้งหลายยังต้องหลีกหนี ด้วยยำเกรงพระบารมีแห่งพระเจ้าแผ่นดิน พระผู้ทรงทศพิธราชธรรมและมีพระเมตตาคุณอันยิ่งแก่เหล่าสัตว์ทั้งหลาย

 

แต่ธัมมชโยกลับดื้อดึงไม่ยอมรับปฏิบัติตามหมายของศาลราวกับว่าตั้งตัวอยู่เหนือกฎหมาย แบ่งแยกแผ่นดินนี้ออกเป็นส่วนของตน ที่มีการขัดขวางเจ้าพนักงานไม่ให้ปฏิบัติตามหมายศาลได้ทั่วราชอาณาจักร

 

การกระทำของธัมมชโยแบบนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่บรรดาผู้เลื่อมใส ซึ่งจำนวนมากถูกดำเนินคดีอาญาฐานฝ่าฝืนกฎหมายประการต่างๆ รวมไปถึงลูกศิษย์ทั้งที่ห่มเหลืองและไม่ห่มเหลืองให้ต้องคดีอาญา กระทั่งถูกออกหมายจับตามมาอีกหลายคน อันเป็นการผิดวิสัยของผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพระสงฆ์

 

ความจริงธัมมชโยนั้นต้องพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชว่าเป็นปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุมาช้านานแล้ว แต่บรรดาลิ่วล้อบริวารช่วยกันโอบอุ้มเอาไว้ มิหนำซ้ำยังตั้งเป็นเจ้าอาวาสและขอพระราชทานสมณศักดิ์เพิ่มให้อีก ซึ่งผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่สามารถที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสหรือขอพระราชทานสมณศักดิ์ได้อีกเลย

 

ประชาชนทั่วประเทศเฝ้าจับตามองถึงเหตุการณ์ที่ธัมมชโยตั้งตนไม่ขึ้นต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองดังที่เป็นอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

 

ในขณะที่ประชาชนรอคอยอยู่นั้น ก็ปรากฏถึงกรรมอันธัมมชโยและคณะได้ก่อขึ้นกับคนไทยและบ้านเมืองนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าการบุกรุกที่หลวง หรือการยักยอกและการฟอกเงินอีกหลายคดี

 

ล่าสุดธัมมชโยก็ถูกศาลจังหวัดเลยออกหมายจับเพิ่มอีกคดีหนึ่งแล้ว และคงจะมีคดีตามมาอีกหลายคดี โดยที่สถานการณ์มาถึงวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าในกรณีที่มีการจับตัวธัมมชโยก็ดี หรือเข้ามอบตัวเองก็ดี กรณีย่อมไม่อาจให้ประกันตัวได้ตามกฎหมายอีกต่อไปแล้ว

 

ประกอบทั้งเมื่อมีคดีพัวพันจำนวนมาก ยากจะหลุดรอดไปจากกระแสแห่งความยุติธรรมได้ ดังนั้นอนาคตของธัมมชโยจึงมีเส้นทางสายเดียว คือระยะสั้นจะต้องถูกจับสึก หรือหนีให้พ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ และระยะยาวซึ่งอาจต้องหลบหนีตลอดชีวิต หรือติดคุกตลอดชีวิต นี่เป็นอนาคตที่เห็นได้ในปัจจุบัน

 

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นไม่ได้มีใครกลั่นแกล้งหรือใส่ความ แต่เป็นผลแห่งกรรมที่ธัมมชโยทำเองทั้งสิ้น เป็นไปตามกฎแห่งกรรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อมาถึงวันนี้ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส ที่บรรดาผู้หลงใหลติดยึดในธัมมชโยก็ลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ความโดดเดี่ยวเหมือนปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำที่กำลังเหือดแห้งลงเป็นภาพที่ปรากฏชัดที่คนทั้งประเทศย่อมเห็นได้ในปัจจุบันนี้แล้ว

 

แม้ว่าจะดื้อดึงไม่เข้ามอบตัว แต่สภาพของธัมมชโยในวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ติดคุกแล้ว เพราะไม่สามารถแสดงบทบาทใดๆ ต่อสาธารณะได้ ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้โดยอิสระเสรีดังแต่ก่อน

 

ในทางกาย แม้ไม่ติดคุกก็เหมือนกับติดอยู่ในคุกอยู่แล้ว ส่วนในทางจิตใจนั้นเล่า ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่าคนเราเมื่ออยู่ในสภาพเช่นนี้ ย่อมไม่มีวันที่จะสุขกายสุขใจอะไรได้ มีแต่ทุกข์กายทุกข์ใจทุกเช้าค่ำ

 

บริษัทบริวารก็มีแต่ร่อยหรอลงไป ที่อยู่ใกล้พอมองเห็นกันก็ไม่รู้ว่าใครมองด้วยสายตาอย่างไรหรือคิดอย่างไร หรือว่าจะไว้ใจกันได้อีกสักแค่ไหน เพราะทุกคนกำลังถูกความจริงปลุกให้ตื่น เห็นความจริงมากขึ้นทุกที สักวันหนึ่งคนเหล่านั้นอาจจะช่วยกันจับกุมนำส่งเจ้าพนักงานก็ได้

 

ธัมมชโยผู้อ้างตนเป็นต้นธาตุ ต้นธรรม แม้สมณศักดิ์ล่าสุดก็มีความหมายว่าเหนือกว่าพระพุทธเจ้า และได้แสดงออกถึงความทะนงตัวเหนือพระอริยเจ้าทั้งหลาย แต่มาบัดนี้ความอิสระเสรีในทางกายก็สู้สุนัขตัวหนึ่งยังไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความอิสระเสรีทางจิตใจ ที่สู้ยามหน้าวัดก็ยังไม่ได้

 

สภาพเช่นนี้จึงเป็นสภาพทุกขเวทนาสาหัสนัก มันจะต่างอันใดเล่ากับการตกอยู่ในนรกโลกันตร์ที่ไม่มีโอกาสเห็นวันเดือนอีกเลย นี่แหละการดื้ออาญาเป็นทุกขเวทนายิ่งกว่าการดื้อยามากมายนัก! คงเหลือว่าจะตัดสินใจเข้าคุกจริงๆ แต่สบายใจ กับไม่ติดคุกจริงแต่ทุกข์ใจยิ่งกว่าติดคุกจริงเสียอีกนั้น จะเลือกเอาอย่างไหน? ไม่ช้าหรือเร็ว ถึงไม่เลือกก็ต้องเผชิญหน้าโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!

 

พ่อครูว่า...คนเรานั้นมีแนวคิด ซึ่งแนวคิดของธัมมชโยนั้นเป็นแนวคิดไปข้างหน้าทั้งสิ้น ว่าจะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้เผชิญกับปัจจุบัน แล้วเลี่ยงสิ่งที่จะมากระทบกับเราออกไป หนีไปดื้อๆ ทำตนเองปลีกแยกไปจากสังคมบ้านเมืองที่มีกฎหมายมีวัฒนธรรมแต่นี่เขาไม่แคร์วัฒนธรรมไม่แคร์กฎหมาย แล้วแกจะอยู่อย่างไร คนนี้เขาขุดรูอยู่ลึกเลยจนเจ้าหน้าที่หารูไม่เจอ ถ้าไปหากบเขียดก็ยังพอจะรู้ได้ยังธรรมกายนี่ธัมมชโยอยู่รูไหนไม่เจอเลย

จิตของคนที่คิดไปในอนาคตสร้างภพชาตินี้เป็นแบบนี้ซึ่ง ศาสนาพุทธไม่หลงอนาคต ไม่หลงอดีต อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วจะไปจัดการเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ส่วนคนที่คิดฟุ้งไปในอนาคตนั้นก็คือประเด็นที่จะพูดในวันนี้

ในพระไตรปิฎกเล่ม 23 ที่เป็นตัวอย่างของคนที่มีพฤติกรรมมีชีวิตที่สร้างภพสร้างชาติ ให้แก่ตัวเอง ทานสูตร ข.49 เอามาขยายความหลายเดือนแล้ว เขียนขยายความด้วย คนเราไม่พ้นอันนี้หรอก ไม่พ้นความตั้งจิตแบบนี้ที่จะมีภพ 6

มีภพอะไรบ้าง

1จตุมหาราช 2ดาวดึงส์ 3ยามา 4ดุสิต 5นิมมานรดี 6ปรนิมมิตวสวตี นี่คือ 6 ภพที่คนอยากได้ ในความเป็นชีวิตมนุษย์ไม่มีคนไหนเลยไม่อยากได้ภพ แม้ไม่รู้จักชื่อ 6 ชื่อเหล่านี้ คนทุกคนอุแว้มาก็อยากได้ 6 ภพนี้ และก็ไม่มีภพอื่นเลยที่คนอยากได้นอกจากนี้ คนไม่มีใครอยากได้ภพนรกเลย เขาอยากได้ 6 ชั้นนี้แหละ มันมีอีกภพหนึ่งคือ ภพพรหม อันนี้คนคิดไม่ถึงคิดไม่ออกหรอก นอกจากคนขวนขวายศึกษาในธรรมะในจิต รู้ว่ามันสูงกว่าเทวดานะ แต่คนไม่ได้ศึกษาก็เอาไม่ออก แต่โดยสัญชาติจริงๆอยากได้ 6 ภพนี้ไม่ได้มีภพอื่นอีกเลย อย่างอื่นไม่มี แม้แต่ภพของพรหม

สัจจะของคำว่า พรหม คือ ภพที่ล้าง 6 ภพนี้ แล้วมนุษย์จะคิดออกได้อย่างไร?

ในพระไตรฯสูตรนี้ชัดเจนว่า ถ้าผู้ใดไม่ตั้งจิตจะมี 6 ภพนี้ พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพัน

ในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดีไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา  ปู่  ย่า   ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษีวามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใสจะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

6 ภพนี้คือให้แล้วอยากเอาคืนมา แต่ว่าผู้ไม่ให้ก็ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าจะต่ำกว่าอีก

คนเราไม่มีคนไหนเลยที่จะไม่ตั้งภพ 6 ภพนี้ ไม่มีใครเลยที่จะทำอะไรออกไปแล้วไม่ตั้งจิตหวังใน 6 ภพนี้ ทุกคนเป็นเช่นนี้ คนทำทั้งถูกและผิดนั้น ถ้าทำถูกสัมมาทิฏฐิจริงจะเป็นพรหม หลุดพ้นจาก 6 ภพนี้ คนไม่ได้ศึกษาพากเพียรถูกจะอยู่กับ 6 ภพนี้ ซึ่งคุณเองไม่ได้อยากได้นรกเลย แต่คุณอยากได้ 6 ภพนี้แล้วชีวิตต้องทำกรรม แล้วกรรมนั้นแหละพาคุณ ตกนรก ทั่งที่คุณอยากได้ 6 ภพนี้ไม่มีใครอยากได้ภพนรก

 

นรกอยู่ในภพไหน? ก็ในสวรรค์ 6 ภพนี้ไง นรกอยู่ในสวรรค์...พ่อครู 21 ส.ค. 59

เพราะกรรมที่คุณทำนั้นไม่ถูกต้อง คุณทำกรรมใดกรรมเป็นอันทำ ถ้ากรรมนั้นเป็นธรรมที่ไม่ถูกสัจจะก็เป็นนรก ถ้ากรรมอันนั้นถูกต้องตามสัจจะก็เป็นสวรรค์ตามที่คุณอยากได้ในสวรรค์ 6 ภพนี้ ย่ิงคุณศึกษาอยากล้าง 6 ภพนี้ คุณทำได้ก็เป็นอาริยะไปจนเป็นอรหันต์เลย ต้องเป็นพรหมสัมมาทิฏฐินะ

ทุกคนมีกรรมทุกเวลา กรรมเป็นอันทำ คิด พูด ทำ ก็เป็นกรรม ทุกอิริบาบถ ถ้ากรรมมันผิด ไม่เป็นไปเพื่อได้สวรรค์ (ยกความเป็นพรหมไว้) ไม่เป็นสวรรค์มันก็เป็นนรกทั้งนั้น

เทวดา 6 ภพนี้คือกรรมอย่างใด? กาย วจี ชี้บ่งไม่ได้ แต่จิตนี้ชี้บ่งชัดเจน แต่กายกับวจีก็เป็นสวรรค์ลวง ไม่ใช่สวรรค์แท้ที่เป็นอุบัติเทพ เป็นแค่สมมุติเทพ เป็นใจที่ปลอมใจหลอกไม่จริงไม่แท้

เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนในทานสูตรนี้ สวรรค์ 6 ชนิดนี้ มันก็คือนรก ที่เขาบัญญัติเอาไว้อีก บัญญัติไว้ไม่ใช่แดนภพที่คนต้องการ นรกมี

นิรยะ(นรก) ติรัจฉานโยนิ(เดรัจฉาน) เปรต อสุรกาย นี่คือนรก 4 ภูมิ คุณไม่อยากได้แต่คุณจะต้องเป็น อย่างธัมมชโยนี้เป็นทั้ง 4 ภูมินี้ โดยเฉพาะตัวอสุรกายนี้เป็นชัดมาก เขาไม่อยากได้ไม่อยากเป็นแต่เขาเป็นด้วยกรรมของเขา (ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างก็ขอบคุณธัมมชโย)

การให้ทานนี้ คือการให้ ไม่ใช่การเอานะ แต่ให้แล้วแต่ใจยังเอา ทานแล้วใจยังเอา เป็นการเอาที่ไปเอาภพชาติ ยังไม่ตายนะ ก็เอาแล้ว

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวังว่าจะได้อะไรคืน) ทาน เทติ  คือทานไปแล้วแต่ใจยังมีเยื่อใยอยากได้กลับคืนมา

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ  คือให้ไปแล้วจิตยังมีอาการมากกว่าหวังคือผูกพันกับอาการให้นั้นๆ ยังไม่พอ

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  ยังสั่งสม ว่าของกูนะเว้ยๆๆ ให้ไปจากตัวเองแต่มีจิตคิดสั่งสมจิตแบบนี้ ทำอาการนี้ใส่จิตโดยอวิชชา แม้เรียนรู้แล้วทำไม่ถูกก็ยังสั่งสมก็เป็นจริง

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ คือทำทานแล้วคิดว่าตายไปแล้วจะได้เสวยนี่สมบัติของกูนะ ไม่ได้เคยให้ใครเลย แล้วคิดแบบทุนนิยมด้วยต้องมีออกดอกมีปันผลให้ได้มากขึ้น ธัมมชโยก็เลยเอามาหลอกว่าตายไปแล้วได้เสวยผลอย่างไร มีนิทานมาหลอกคนมากมายที่เขาคิดขึ้น ว่าทำทานแล้วตายไปแล้วได้ไปสวรรค์ชั้นไหนๆ อวดอุตริมนุสธรรมที่หลอกกันมา หรือมีการบอกว่าญาติที่ตายไปแล้วอยู่ไหนไปสวรรค์นรกชั้นไหนๆ ก็ทำนายให้ นี่คือแนวคิดธัมมชโย

นรกอยู่ที่ไหน นรกก็อยู่ที่แนวคิดนี้ครบเครื่อง นรกมีคำเดียวคือยึดมั่นถือมั่น ผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็มีนรก ผู้หมดความยึดมั่นถือมั่นก็คือหมดนรกเป็นอรหันต์

วิธีคิดที่ยึดมั่นถือมั่นคือสอนให้ลงนรกทั้งสิ้น ...พ่อครู 21 ส.ค. 59

ภพที่ 6 ปรินิมมิตวสวัตตีนี้ยึดมั่นถือมั่นเต็มรูปแบบเพราะว่าไปทำจิต อตฺตมนตาโสมนสฺ (ให้ทานเพราะยากได้ปลื้มใจ)

สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ คือพระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมทุกอย่างไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นี่คือสายท่านพุทธทาสจะสอนเช่นนี้ ทุกสรรพสิ่งอย่าไปยึดมั่นถือมั่น นรกก็คือความยึดมั่นถือมั่น…

ส.เพาะพุทธว่า...การยึดมั่นในสวรรค์ 6 เป็นนรกซับซ้อน

พ่อครูว่า...มีแต่คนอยากสร้างสวรรค์ไม่มีใครอยากสร้างนรกแต่คุณทำผิดก็เลยลงนรก ที่ทำผิดนั้นเป็นนรกทั้งนั้น แต่ทีนี้ของพระพุทธเจ้าท่านสอนให้หมดนรกหมดสวรรค์ คือไม่มีทั้งภพสวรรค์ภพนรก เป็นโลกุตระเป็นอาริยะ

คนที่อยู่ในโลกียภูมิมีสวรรค์นรกแล้วไม่รู้ว่าควรทำใจอย่างไรจึงไม่เป็นนรก เพราะว่าคุณอยากได้สวรรค์แน่ แต่อวิชชาทำให้คุณไม่รู้จักคุณก็ทำกรรมนั้นเป็นนรก

มาขยายนรก 6 สวรรค์ 6

พระพุทธเจ้าท่านตรัสในปฏิจจสมุปบาท พระไตรฯล.16 ว่า

ภพก็เกิดจากอวิชชา (ไม่รู้) เมื่อไม่รู้ก็มีสังขารเป็นปัจจัย ไม่รู้สังขารก็มีวิญญาณเป็นปัจจัย วิญญาณก็มีนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะ...ผัสสะ...เวทนา...ตัณหา…อุปาทาน...ภพ….ชาติ….

เวทนาเป็นตัวที่ต้องเรียน เรียนตัณหา อุปทาน แล้วจึงเป็นภพชาติ

พระพุทธเจ้าท่านซอยละเอียด แล้วท่านก็อธิบายในวิภังคสูตร ล.16

ท่านไล่ปฏิจจสมุปบาท ข้อ 5 มาข้อ 6 ท่านก็บอกว่า ชรา มรณะเป็นไฉน

[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุดผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด(ชาติ) ความบังเกิด(สัญชาติ) ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

เมื่ออยากได้ภพชาติ ก็ทำตามภูมิตัวเองที่อวิชชา ตั้งจิตไม่เป็นและตั้งจิตไว้ผิด เหมือนโจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจก  ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้เป็นคู่เวรกัน  พึงทำความฉิบหายและความทุกข์ใดให้ 

จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหายและความทุกข์นั้น   (ทิโส  ทิสัง  ยันตัง กยิรา เวรี  วา ปน  เวรินัง   มิจฉาปณิหิตัง  จิตตัง  ปาปิโย นัง  ตโต  กเรติ)

(ธรรมบท ล.25/13  และโคปาลสูตร ล.25/92 )

 

คนที่ทำทานแล้วมุ่งหวังจะต่างจากคนทำทานที่ไม่มีจิตมุ่งหวัง ปกติแล้วใครก็จะเอาสวรรค์ทั้งนั้น ถ้าทำแล้วตั้งจิตจะเอาอะไรคืนมันไม่ได้สวรรค์แล้ว ถ้าทำอะไรแล้วตั้งจิตให้ก็เป็นสวรรค์แล้วแต่สวรรค์แบบไหนก็แยกแยะอีกที เป็น 6 แบบ

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

5.อตฺตมนตาโสมนสฺ (ให้ทานเพราะยากได้ปลื้มใจ)

6.ต้องมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร)

 

ผู้ใดไม่รู้จักอาการจิตก็ทำไปโดยไม่รู้ ไปหวังภพชาติ แต่ผู้รู้ก็อย่าไปหวังภพชาติ ให้มีเจตนารู้ รู้ว่าเราทำกรรมอันนี้กุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นกุศลก็ทำก็จบ ทำแล้วอย่าไปนึกว่าจะได้อะไรกลับ จะได้สวรรค์ชั้นไหนๆ

แต่ถ้าทำทานแล้วมีหวังเผื่อว่าเราจะได้เจริญ ก็เจริญก็หวังแล้ว ถ้าให้อะไรก็แล้วแต่ เราหวังว่าเราจะมีอะไรเจริญ คุณมีภพทันที

ท่านตรัสไว้ในพระไตรฯล.23 ว่า เร่ิมต้นคุณหวังทัง 4 นัยนี้

ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) คือการได้เป็น จาตุมมหาราชิกา เป็นมหาราช 4ทิศ

จาตุมหาราชิกา โดยศัพท์แปลว่า "แห่งมหาราชทั้งสี่" เมื่อแปลแบบเอาความจึงหมายถึง "แดนเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้งสี่" หรือ "อาณาจักรของท้าวมหาราช 4 องค์" กล่าวคือ สวรรค์ชั้นนี้เป็นดินแดนที่จอมเทพ 4 องค์ผู้รักษาคุ้มครองโลกใน 4 ทิศ ซึ่งเรียกว่า ท้าวโลกบาล ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจาตุมหาราช หรือ สี่ปวงผี[1] ปกครองอยู่องค์ละทิศ

คือแดนนรกหยาบสุด คือจตุมหาราช ถ้าอวิชชาก็มีจตุมหาราชเป็นตัวตั้งแล้วก็อยากได้ดาวดึงส์ยามาซับซ้อนต่ำลงนะ เร่ิมต้นด้วยสีดำแล้วก็ยิ่งดำต่ำลงไปอีกเรื่อยๆมีทั้งหลอกลวงตลบแตลงตอแหลครบเครื่อง ทุจริตขี้โกงในนี้ครบ ฟังดีๆ

กรรมเป็นของๆตนใครทำแล้วก็เป็นของๆตน ลบไม่ได้ ทำให้มันออกไปไม่ได้ เป็นมรดกของตนทั้งสิ้น กัมมทายาโท กัมมสโกมหิ กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ทำแล้วเป็นของเรา น่ากลัวที่สุด คุณมีสีดำมาป้ายคุณนิดก็ติดคุณเลยเอาออกไม่ได้นะ นรกไม่มีออกนะ น่ากลัว กรรมเป็นอันทำ นอกจากคุณจะไม่ทำอันนี้ซ้ำแล้วทำกรรมกุศลก็คือสีขาว แล้วมันก็ออกฤทธิ์เป็นกำแพง ถ้าดำมาก็ออกฤทธิ์แซกขาวได้มาก ถ้าขาวมากดำไม่มากมันก็ไม่ถึงออกมา อาริยเจ้า อรหันต์เจ้ามีแต่กำแพงกุศลกั้นไว้ กรรมไม่มีหายไปไหน มีแต่กุศลกับอกุศล ส่วนบุญนั้นคือชำระเหตุ ที่มันจะให้ทำอกุศลทั้งหลาย

ถ้าจิตเราไปชอบอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราจะไปทำกรรม จิตตัวที่มันชอบนี้ผูกใจในอนุสัยอาสวะ จิตเป็นอกุศลจิตเลว ถ้าทำก็เป็นบาป ถ้ามันยึดอยู่ก็เป็นบาปให้ล้างเสียอย่าให้ยึดในจิตอีก ถ้าล้างได้หมด จิตของคุณก็ไม่มีสิ่งนั้นแล้ว ทุกปัจจุบันและอนาคตคุณล้างอย่างไม่เกิดไม่มีอีกในทุกปัจจุบัน อนาคตทุกอนาคตก็ไม่มีส่ิงนั้นอีก นี่คือวิชาการพระพุทธเจ้าจึงให้ทำในปัจจุบันมีทวารทั้ง 6ครบกระทบสัมผัส แล้วล้างกิเลสที่เกิดปัจจุบัน จนทำได้แบบกิเลสไม่เกิดอีกเลย กระทบกระแทกหนักหนาอย่างไรกิเลสไม่เกิด แข็งแรงไปเรื่อยๆ การพิสูจน์ตัวจบก็ต้องพิสูจน์ในปัจจุบันว่ากิเลสไม่เกิด ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำไปนึกคิดว่าไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีอกุศล กลางว่างเฉย อย่างนั้นก็จริงแต่ไม่ใช่การล้างเหตุในอาริยสัจ 4 เป็นวิธีคิดแบบฤาษีชีไพรมีมานานในโลก

อาตมาพูดมา 46 ปีว่าการนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้มาเปิดทวาร 6 เรียนรู้อกุศลจิตแล้วกำจัดมันให้ได้ตลอดไป แต่ถ้าไปนั่งหลับตามีสว่างกับมืดสองสายก็เป็นแต่สร้างภพชาติให้ตัวเอง เป็นการปัดสวะออกไปทำน้ำใสชั่วคราว ที่พูดนี้ไม่เกลียดชังหรือริสยานะ อาตมาฝึกนั่งสมาธิมามากเหมือนกันแต่อาตมาชัดว่าไม่ใช่ อาตมามีทั้งสองอย่างทำได้

อาตมามีคนเดียว แค่คนที่มีภูมิรู้ได้ก็มาทำด้วยกัน อย่างที่เห็นนี้ก็ไหลกันมารวมกันได้ มาอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมชาติที่เกิดจริงเป็นจริง คุณจะไหลไปไหลมาอีกก็เรื่องของคุณทั้งนั้น อาตมาไม่มีสิทธิ์บังคับ อยู่ได้ก็อยู่อยู่ไม่ได้ก็ไป มันมีส่ิงที่ไล่กันเองในตัวนะ แล้วมันก็ไม่ไล่ ไม่ไล่ เข้ากันได้ก็จะมารวม

 

ภพที่เป็นภพนรก แต่ไปหลงว่าเป็นภพสวรรค์คือ สี่ปวงผี

สวรรค์นั้นคือนรก ถ้าไม่รู้(อวิชชา) ทำผิดก็เป็นนรก ถ้าทำถูกก็เป็นสวรรค์ ถ้าผู้ใดให้แล้วจบไม่ต้องการอะไรกลับคืนเลยก็คือให้จริง แต่ถ้าให้แล้วไม่จบมีอะไรต้องการกลับคืน ไม่มีจิตหวังอะไรเลย ก็คือให้จริง

สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ท่านใช้คำว่า หวัง คือไม่จบไม่สูญ ให้แล้วยังมีเราให้ ของเรา อีก เป็นพลังงานที่มีอะไรอีก แต่ถ้าให้แล้วก็จบ แต่จิตไม่จบว่า นี่เราให้นะ

ต่อมาอันที่สอง ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) คือยืดยาดยืนยาว อย่างนี้ไม่ได้ให้ คือคนโกหก โกหกว่าให้แต่แท้ใจไม่ได้ให้ ให้ของเขาไปแล้วเป็นสิทธิ์ของเขาแล้วก็ยังบอกว่าเป็นของกูๆ นี่แหละคือตัวกูของกูคือภพชาติ

ยังไม่พอ สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) ให้แล้วทำจิตสั่งสม ว่านี่ข้าได้ให้ ของข้าให้นะ ครั้งเดียวก็สั่งสมไว้ ครั้งที่สองให้อีก สามสี่ห้าหก ดีไม่ดีหาวิธีออกดอกอีก คือไม่ทิ้งไม่ปล่อยวางไม่สละไม่ตัดขาดในสิ่งที่เป็นเราเป็นของเรา ใจคิดเช่นนี้จริงๆ คนที่จะรู้ใจตนว่าได้ทำใจเช่นนี้ก็ยากนะ แม้รู้แล้วจะทำจิตให้ขาดสมบูรณ์แบบ จงไปทำให้ได้ ใครทำได้เป็นอรหันต์

อันที่สี่นี้ อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)อยากได้เสวยผลเมื่อตายไปกี่ชาติๆก็เป็นของข้าเลย

สำนักไหนๆก็สอนให้มีจิตยินดีที่ได้ให้ทาน มีพยัญชนะสำทับว่าของกูนะ จะได้อะไรกลับต่อๆไปนะ สอนผิดกันหมดเลย ขอพูดต่อหน้านร.นี้นะ ทีปฏิบัติกันในวัดวาเดี๋ยวนี้ไม่ใช่พุทธเลย ไม่เกิดอานิสงส์ที่ถูกต้อง กลับทำให้เกิดจิตหวัง ผูกพัน สั่งสม ข้ามภพชาติ เติมภพกระหน่ำชาติไปใหญ่ เมื่อไหร่จะล้างภพชาติได้ น่าเอนจอนาถ สอนสร้างภพชาติกันเต็มบ้านเต็มเมือง

ทาน 7 แบบ ในทานสูตร ล.23 ข.49

1.จาตุมมหาราชิกา = ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)

2.  พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี(สาหุ) เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ใครเริ่มต้นทำจิตทำทานแบบ ไม่มี1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  อันนี้จิตได้สวรรค์ดาวดึงส์ แปลว่าผู้เสพสุข ต้องทำอันนี้ถึงจะเป็นผู้ได้สวรรค์จริงกว่าจตุมหาราชิกา (ผีสัตว์นรก) คนเราอยากได้สวรรค์ทั้งนั้นแต่ทำผิดตั้งจิตผิดก็เลยได้นรก กรรมที่ทำนั้นสำคัญ

ส่วนแนวคิดทุนนิยมมีแต่หอบเอาของคนอื่น เอากุ้งฝอยตกปลากระพง เป็นแนวคิดเลวชั่วทำให้สังคมเดือดร้อนไปหมด คำสอนพระพุทธเจ้าว่าอย่าไปเอาของใครอย่าไปอยากได้ของใคร จะได้อะไรก็สร้างเองสร้างขึ้นให้ได้ตนเองพึ่งตนได้ พอสร้างได้เกินก็เผื่อแผ่คนอื่น ถ้าแต่ละคนทำได้อย่างนี้เศรษฐกิจสังคมโลกจะดีขึ้นไหม ง่ายไหม ให้ไปทำ….

 

ส.เพาะพุทธว่า...บอกกับเด็กๆที่มานี่ว่าแนวธรรมะที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เน้นเสมอคือการให้ อันตรงข้ามกับทุนนิยมคือบุญนิยม บุญคือการสละกิเลสในจิต ล้างกิเลสในจิตให้หมดไปจนไม่เหลือบาปในจิตเลย บาปคือกิเลส กิเลสคือบาป ถ้าหมดบาปก็หมดบุญ

จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:19:01 )

590822

รายละเอียด

590822_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก อรหันต์คือผู้หมดหวังแน่

อย่าไปเอาเลยลอตเตอรี่ ได้ถูกรางวัลมาก็เป็นหนี้ เพราะ

 1. คุณไม่ได้ลงมือสร้าง ไม่ได้ก่ออะไรเลย

 2. คุณไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไรเลย

 3. สร้างแต่ความเพ้อความหวัง

 

อ.กฤษฎาว่า...แรกพบคือแรกเจอแผงล็อตเตอรี่ เรามีผัสสะปัจจุบัน ถ้าเรารู้สึกว่ายังอยาก (ซื้อ)

พ่อครูว่า...คนที่ยังติด ล็อตเตอรี่ หวังว่าจะได้ถูกรางวัล ยังมีจิตเป็นภพว่า ล็อตเตอรี่เป็นสินค้าที่ซื้อแล้วเรามีหวัง เป็นวัตถุที่อธิบายได้ชัด พอเห็นคนขายลอตเตอรี่มาพร้อมสัมผัสแล้วอาการหวังมันก็เกิดเลย ก็บอกว่าเสี่ยงหน่อย แต่คนที่ไม่ติดภพนี้เลยบอกว่าลอตเตอรี่คือสลากกินเรียบ ใครไปซื้อเข้าก็ถูกกินเรียบทั้งนั้นแล้วคุณก็ไม่ติดเลยในลอตเตอรี่นี้คุณสัมผัสลอตเตอรี่เมื่อไหร่อาการหวังนิดหนึ่งคุณก็ไม่เกิด ให้ฟรียังไม่เอาเลยไม่มีภพเลยไม่มีแวบเลย

อย่าไปเอาเลยลอตเตอรี่ได้ถูกรางวัลมาก็เป็นหนี้ คุณไม่ได้ลงมือสร้างไม่ได้ก่ออะไรเลย ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไรเลย สร้างแต่ความเพ้อความหวัง

อ.กฤษฎาว่า...ผมมองว่า ถ้าเห็นคนขายลอตเตอรี่มา ใจเราก็เกิดอาการนั้นแต่ยังไม่ซื้อ อันนี้คือหวัง แต่ถ้าลงมือซื้อคือความอยากได้มาครอบครอง มันแรงแล้ว แต่ถ้าเราไม่เกิดอาการใจเลยก็คือขาดแล้ว

พ่อครูว่า...ลอตเตอรี่นี้เป็นการสร้างภพสร้างชาติจริงๆ จิตใจมันยังหลงมันผูกพันอยากจะได้กลับคืนมาซื้อแล้วก็ยังหวังจะได้หรือไม่ได้ก็ยังมีหวัง

คนที่ลึกลึกแล้วซื้อลอตเตอรี่ ก็ซื้อไปอย่างนั้นแหละแต่ลึกลึกใจของเขานั้นมีความหวัง ถ้าคุณไม่มีใจลึกๆหวังจะไปซื้อไปทำไม คุณกลบเกลื่อนข้างบนว่าไม่หวังไม่อยากได้ ถ้าคุณไม่หวังไม่อยากได้คนไม่ซื้อหรอกเขาจะเซ้าซี้ให้ซื้ออย่างไรก็ไม่เอา เป็นการส่งเสริมการพนันอยู่ตลอดกาลและนาน สังคมใดถ้ายังเลิกลอตเตอรี่ไม่ได้ก็เป็นสังคมที่มีอบายมุขอยู่

อ.กฤษฎาว่า...บางทีสงสารแล้วก็ช่วยเขาซื้อหน่อยแต่แท้จริงแล้วยังหวังว่าจะถูกอยู่

พ่อครู ตอบ..เป็นจริงได้ที่สงสารจึงช่วยเหลือเขา แต่ไม่มีปัญญา

-รู้ว่าช่วยเหลือเขาแต่กลับเป็นการสนับสนุนส่งเสริมอาชีพที่เป็นอบายมุข

-เราควรจะสอนเขาให้ไปทำมาหากินอย่างอื่น ถ้าตาบอดไม่รู้จะทำมาหากินไปขายลอตเตอรี่ก็เห็นใจ

 ความจริงแล้วเราก็ไม่จำเป็น จะต้องไปมี ไปทำเรื่องของสังคมที่ไม่เจริญ

ถ้าสังคมเจริญจริงๆแล้ว ไม่ต้องหาทางได้อย่างนี้  คือให้มนุษย์จะต้องหวังเช่นนี้       มนุษย์ที่หวังแค่ล็อตเตอรี่นี้ จะยิ่งจม เป็นสังคมเสี่ยงทาย

 

*พระพุทธเจ้าสอนว่าภพต้องมีผัสสะ ปัจจุบัน *

หากไม่มีปัจจุบันจะไม่รู้ภพ ภพที่ค้างเลยจากปัจจุบันเป็นภพแล้ว เป็นภพที่คุณเรียนไม่ได้ จิตของคุณอันแรก ทานแล้วจิตคุณหวัง ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง จิตเป็นสัตว์มีอาการหวัง พอคุณหวังปั๊ปก็เกิดแล้ว ผ่านปัจจุบันไปแล้ว ไม่ทัน?

*คุณต้องเรียนรู้ อาการหวัง

เมื่อคุณเห็นอาการหวัง คุณก็ต้องจัดการมันตรงนั้นเลย

ถ้าคุณยังมีผัสสะอยู่ ก็ยังพออ่านอาการทุกปัจจุบันได้ คุณยังไม่วางตา ไม่วางหู ก็ยังได้สัมผัสอยู่ ก็มีสิทธิ์อ่านอาการ

* แต่ถ้าอันใด(ผัสสะ)ผ่านปัจจุบันไปแล้วก็เป็นอดีตเป็นภพแล้ว *

อาการหวัง มันเกิดไปแล้วก็เป็น ภพของคุณแล้ว คุณทำอาการของมโนกรรมของคุณไปแล้ว

** มันต้องเอาปัจจุบันเป็นหลัก**

ถ้าคุณทำปัจจุบันเสร็จจบ โดย...

-ไม่มีอาการหวังเลย

-ไม่มีความผูกพันเป็นเราเป็นของเราเลย

-ในขณะที่คุณทำได้จนกระทั่งขาดจริง ทุกปัจจุบันที่สัมผัสอยู่

-คุณสัมผัสจิตได้จริง ก็เป็นอรหันต์

 

_คนทั่วไปมีความคิดว่าจะต้องแต่งงาน เพราะว่าจะต้องมีลูกเอาไว้ฝากผีฝากไข้ หรือจะเลี้ยงดูตอบแทนเรา..หวังอย่างนี้ถูกไหม

ตอบ...อาตมาขอถามตามความเป็นจริง คนที่เลี้ยงลูกเพื่อฝากผีฝากไข้นั้นสมมุติว่า อย่างมากคุณมีลูกสิบคุณก็พึ่งสิบคนนี้

แต่ถ้าคุณมารวมอยู่กับหมู่นี้ คนที่คุณจะฝากผีฝากไข้ ไว้กับคนเป็นร้อยเป็นพัน อันไหนจะรู้สึกว่ามันโล่งใจมากกว่า

 ยิ่งคุณไม่อยากมีลูกมาก มีลูกคนเดียว จะไปหวังได้อย่างไร? ลูกคนเดียวจะให้หวังได้อย่างไร ?

แต่มาที่นี่คุณจะพิสูจน์ได้ว่า

-มีคนที่เพิ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บกันได้

-เป็นมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือเป็นญาติธรรม

ญาติ คือการพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้

เราท้าให้มาพิสูจน์ ทุกวันนี้เราทำได้ อาจไม่สมใจคุณหมด ที่คนต้องมาประคบประหงมอย่างดีตามต้องการ แต่ไม่น่าเกลียดก็ช่วยกันได้

ผ่านมา 40 กว่าปีแล้ว สังคมเราเป็นญาติธรรมคือพึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้  แต่ถ้าเป็นลูกเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันแต่ พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันไม่ได้ มันไม่ใช่ญาติ

ญาติ คือ พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้  เป็นตัวชี้บ่ง ไม่ใช่DNA เป็นตัวชี้บ่ง ถ้าคุณไม่มีทางเลือกอย่างคนโลกๆที่เขามีลูก แต่โดนอกหักไปหลายรายแล้ว

แต่ถ้าคุณมาอยู่ที่นี่ ฝึกหัดศีล5 ละหน่ายคลายกิเลสได้ กินมังสวิรัติและลดละอะไรได้ เราก็มีหลักเกณฑ์พื้นฐานชิ้นนี้ถ้ามาได้ก็มาแล้วเรียนรู้ให้เจริญขึ้น ผู้มีมรรคผลจึงทนอยู่ได้ คุณก็อยู่กับหมู่นี้ไปจนตายก็ฝากผีฝากไข้ได้

หลายคนป่วยเจ็บจะตาย ก็ไม่เคยบอกไปว่า ติดต่อพี่ ติดต่อน้อง ติดต่อลูก ติดต่อหลานไป ไม่เลย พวกเราเป็นอย่างนี้เยอะ

เพราะพวกเรานี้ คือ พี่น้องปู่ย่าตายายดูแลกันไปจนตายอยู่แล้ว พอเจ็บป่วยมากๆ ลึกๆจะรู้ว่าลูกนี้พึ่งไม่ได้ด้วย นอกจากใจอยากจะฝึกให้ลูกกตัญญูกตเวทิตาบ้าง ก็จะทำ แต่แค่พวกเรานี้ก็พึ่งพากันได้อยู่แล้ว

การจะแต่งงานเพื่อจะมีอย่างนั้นเป็นความคิดตื้นๆ ถ้าเกิดได้แต่งงานมีลูกแล้วจะได้ฝากผีฝากไข้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักไฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง.

ถ้าไม่แต่งงานแล้ว ที่นี่ฝากผีฝากไข้กันได้ไหม บางคนอยู่มา 40 กว่าปีแล้ว คุณนึกจะไปถึงญาติสายเลือดไหม คุณมั่นใจว่าพึ่งญาติธรรมนี่แหละได้ไหม?

คุณช่วยบุญบอกว่า ไม่ต้องพึ่งทางบ้านหรอก

พ่อครูตอบ  คุณพูดก็เพราะว่าเราจะเผาให้ใช่ไหม?(คุณช่วยบุญเป็นสัปเหร่อประจำปฐมอโศก ไม่ได้แต่งตั้ง แต่เป็นเอง) ก็ดีแล้ว

สรุป สัจจะของปัญญา เราจะรู้ว่าควรจะพึ่งพาใคร ที่สำคัญ คือ เราจะพึ่งพาตนเอง พึ่งพาคุณงามความดีของตัวเอง

แล้วญาติมิตรหรือเพื่อนจะเห็นคุณงามความดีของเรา เขาจะช่วยเหลือเราเอง ไม่ต้องหวังด้วย

ถ้าเราไม่ดีเป็นหมาหัวเน่า แน่นอนใครก็ไม่ช่วย แต่ถ้าคุณไม่ถึงขั้นเป็นหมาหัวเน่า เขาก็จะช่วยพอสมควร

ถ้าคุณเป็นคนดี เขาก็จะต้องช่วยมากขึ้นอีก อันนี้เป็นสัจจะที่พิสูจน์ได้

คนเราถึงมีที่พึ่งเพราะตัวเราเอง เราพึ่งตัวเองตนเอง มีพฤติกรรมดี มีคุณธรรมมีกรรมกิริยาเป็น กุศล เป็นสิ่งที่ดีงาม คนที่มีปัญญาจะรู้ว่าคนนี้เป็นคนดีงามจะต้องช่วยเหลือ บกพร่องขาดเหลืออะไรเขาก็จะหาให้ ยกตัวอย่างอาตมานี้เขาจะช่วยเหลืออย่าให้รีบตายเพราะมีประโยชน์ให้อยู่ไปนานๆ เป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนี้เป็นความรู้ของมนุษยชาติและสังคม เมื่อมนุษยชาติมีความรู้และปฏิบัติประพฤติตนแบบนี้ จะมารวมเป็นสังคม

ในสังคมอโศกนี้พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ หลายคนจะมั่นใจว่าของพวกเรานี้ พึ่งพากันได้มากกว่าอีก อย่างเช่นโยมแดงนี้ลูกหลานบอกว่าจะให้ไปอยู่บ้าน ก็ไม่ยอมไปอยู่บ้าน

 

_ชาวอโศกคงไม่ได้คิดตั้งจิตเป็นเทวดา 6 ชั้น แต่คิดว่า...

-ทำทานเพราะเราเห็นเป็นสิ่งที่ดี

-หรือเป็นสิ่งที่ควรสืบทอดต่อไป

 -โดยเห็นว่าเราควรช่วยเหลือเขาที่ลำบากกว่า

 -เคยเห็นถ้าทำไปแล้วจะได้ปลื้มใจสบาย

ตอบ...ถ้าทำเช่นนั้น คือ ทำทานแล้วหวัง ผูกพัน สั่งสม ก็เป็นจตุมหาราช

แล้วดีใจที่ได้แย่งเขาได้ชนะ ดีใจที่ได้ทำชั่วมันได้ล้างไหม?

ดีใจนี่เป็นเทวดาชั้น 2 นะ (ดาวดึงษ์) คุณไม่ได้ล้างเลย เป็นนรก 6 ชั้น ทับถมกันเลย

นรก คือการติดยึด ตัวเดียว เมื่อคุณไม่รู้จัก จะติดยึดซับซ้อนก็ยิ่งหนาไปใหญ่

ในโลกนี้มีภพ 6 ชั้นนี้เท่านั้นที่คุณต้องการ ไม่มีใครต้องการนรก

แสดงว่าภพนรกไม่มีเพราะคนไม่มีใครเอา แต่คุณอยากจะเอาภพ 6 ชั้นนี้ใช่ไหม  เพราะคุณอยากจะเอาภพ 6 ชั้นนี้

ทีนี้พอได้ชั้นแรก(มหาจาตุราชิกา) ก็ได้นรกทันที เพราะภพแรกคือจตุมหาราชิกาคือยักษ์เขี้ยวยาวตาโปน

แล้วก็ดีใจที่มีอำนาจแย่งเขาได้ เพราะแย่งเขาได้ก็ยินดี เป็นภาษาเรียกว่าเทวดา ต่เนื้อแท้ก็คือสัตว์นรก

เพราะฉะนั้นสัตว์นรกก็อยู่ในสวรรค์ 6 ชั้นนี่แหละ ตัวสัตว์นรกแท้ก็คือจตุมหาราชิกา

คุณไม่ได้ต้องการนรกนะแต่ทำไมคุณได้นรกละก็เพราะว่าคุณทำผิด คุณไปทำชั่ว ไม่ได้ทำดี

การทำดี ที่จะไม่ได้นรก ก็คือ ต้องทำดีแบบล้างภพชาติ หากไม่ได้หวัง 4 อย่างนั้นจะได้ดาวดึงส์ แต่ถ้าไม่เลิกชั้นที่หนึ่ง ก็ได้ชั้นที่สอง ก็จะยิ่งซับซ้อนทับถมไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่เลิก จะบอกว่าคุณไม่มี ได้อย่างไร มันมี แต่ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นต้องทำเบื้องต้นก่อน

ลักษณะที่จะไม่มีเบื้องต้นคุณจะตัดจบเลยไม่ได้

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85594

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfMEtUcjJCcGgtYjg

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/4q14d8fw8ku5/160822

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:19:40 )

590822

รายละเอียด

590822_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก อรหันต์คือผู้หมดหวังแน่

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้ผมได้มีโอกาสได้มาดำเนินรายการตรงกับวันที่  22 สิงหาคม 2559 แรม 4 ค่ำเดือน 9 แล้ว ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาพ่อครู ได้เทศนาต่อเนื่องในเรื่องของกาย เรื่องของทาน และเราได้เห็นสังคมอีกด้านหนึ่งที่เขาใช้ให้คนไปหาสวรรค์ เตรียมชีวิตอย่างไรให้ไปสวรรค์ แต่คนที่สอนให้ไปสวรรค์นี้ก็ไม่กล้าไปที่ dsi

พ่อครูจะไม่ใช้คำว่าสวรรค์ในความหมายของคนทั่วไป เพราะทั่วไป จะคิดถึงสวรรค์ตอนหลังตายแล้ว ซึ่งขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า และในเรื่องของฝันและนิมิต มีทั้งเรื่องของการสร้างภพชาติ ภาษาทั่วไปได้ก็ฝันหวาน นอนก็อยากจะให้รู้สึกฝันดี ฝันให้มีความสุข และไม่ค่อยอยากจะตื่น เพราะฝันค้าง ก่อนหน้านี้พ่อครูได้เทศนาถึงการตื่นรู้ ก็มาพิจารณาตัวเองว่าเวลาจะตื่นก็ไม่ค่อยอยากจะตื่น วันนี้มีลูกชายมาด้วยกว่าจะลุกขึ้นได้ก็นาน เราก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก

อยากจะได้ปัญญาจากพ่อครูว่าทำอย่างไรจะรู้สติได้ให้อยู่กับปัจจุบันไม่ไปติดภพ หรือหลงสวรรค์ 6 ชั้น พ่อครูอธิบายว่า ทั้ง 6 ภพนี้เกิดในปัจจุบันมีร่างกายได้ ไม่ได้หมายถึงเกิดได้ตอนชาติหน้าอย่างธรรมกายสอน อยากให้พ่อครูอธิบาย 6 ภพนี้ ที่เขาถูกหลอกให้ติดยึด แท้จริงคืออย่างไร?

ชีวิตผมเคยนั่งสมาธิ ผมก็เห็นคนที่สอนผมก็นั่งโงกเช่นกัน ผมก็โงก ก็เลยกลายเป็นไปนั่งหลับ แล้วก็บอกว่าคือการปฏิบัติธรรม เราจะต้องไปนั่งที่วัดด้วย ก็เลยมีความย้อนแย้งในสิ่งที่เรารู้มากขึ้น คิดว่าเราจะต้องเลือกเส้นทางที่ถูกต้องจากสัตบุรุษ

พ่อครูว่า...อาตมาฟังแล้วก็สามารถตอบเป็นอันเดียวได้ เพราะความจริงมีอันเดียวส่วนความหลงและนั้นมีความแตกต่างกันไปมากมายที่ไม่ใช่สัจจะ สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลกพระพุทธเจ้าตรัสยืนยันใน จูฬวิยูหสูตร

ก่อนอื่นเอาคำว่าภพก่อนก็ได้ ผู้ที่เข้าใจคำว่าภพได้ก็ต้องเข้าใจคำว่าจิต ความเป็นภพชาตินั้นหมายถึงอาการของจิต ไม่ได้หมายถึงภพชาติที่ตายไปจากร่างนี้ เปิดในภพคนตาย เป็นภพนรกจนภพสวรรค์ อันนี้เป็นแนวคิดนอกรีตของศาสนาพุทธที่มีมากเป็นแนวคิดของเทวนิยม เป็นตัวเป็นตนเป็นรูปเป็นร่าง ไปไปมามา แม้เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธคนที่มิจฉาทิฏฐิจากศาสนาพุทธจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กลายเป็นคนเห็นอย่างที่อธิบายไป ไปเห็นว่าภพก็คือแดนหนึ่งที่ตายไปแล้วคนจะไปอยู่ที่แดนนั้น เป็นแดนสวรรค์เป็นแดนนรกเป็นแดนของพระพรหม เป็นความเห็นที่เลยเถิดไปไกลจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 49 ทานสูตร

ยืนยันชัดเจนเป็นขั้นตอน ว่าผู้ใดจะทำดีคือการทำทาน

การทำทานนั้นมันดีทั้งนั้นในภายนอก แต่ภายในอีกเรื่องหนึ่ง คนที่ทานคือการให้ ภายนอกก็มีวัตถุข้าวของหรือแรงงานความรู้บรรยาย เพื่อจะให้ได้ เอาความรู้ของคนนั้นคนนี้ไปยัดใส่สมองคนอื่นไม่ได้ แต่สื่อแสดงด้วยสัมผัสรู้แล้วคนนั้นทำความเข้าใจเอาก็ได้ความรู้นั้นไป

ผู้ที่เข้าใจในเรื่องของจิตเจตสิกรูปนิพพานไม่ได้ อ่านอาการของจิต  จิตจะรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาอธิบายมา 46 ปีก็คืออุเทศ การสาธยายยกหัวข้อธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้คนเข้าใจ คนเข้าใจก็ไปอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ในจิตตนเองได้

จิตถูกรู้ได้ด้วยญาณปัญญาธาตุรู้ของเรา จะอ่านภพชาติก็ต้องอ่านในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ใจในใจเป็นอันนี้เรียกว่าชาติ เป็นลักษณะสัตว์นรก เทวดา มนุษย์ เป็นต้น ก็คือใจนี่แหละ มันมีอาการนั้นๆ ภพชาติของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงร่างกายตายแล้ว จะต้องตกไปในภพนรก ภพสวรรค์ ภพมนุษย์ (คนเข้าใจว่ามนุษย์คือคนเท่านั้นแต่ที่จริงมนุษย์คือจิตใจสูงที่จะพัฒนาเป็นเทวดาเป็นพระพรหมก็คือจิตใจมนุษย์ทั้งนั้น)

เมื่อกำหนดผิดเข้าใจผิดแค่คำว่าภพนั้นไม่ใช่อาศัยกาละเวลาผ่านร่างกายนี้ไปจะบอกว่ากายแตกตายไปก็เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส แต่คนที่จะไปรอกายแตกตายนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนที่ตายแตกตายจะไปเช่นนั้นก็เป็นจริง แต่ที่สำคัญคือพระพุทธเจ้าไม่เคยคิดนึกถึงการตายแล้วจะไปเช่นนั้นไม่ต้องคิดเลย การตายไปแล้วจะไปสวรรค์หรือนรกหรือสร้างความหวัง ก็เข้าสู่ทานสูตร

คนคิดว่า ถ้าตายไปจะได้อะไรเป็นอะไรก็คือจิตหวัง ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ในปัจจุบันนั้นเลย ถ้าทำทานแล้วจิตตนทำเช่นนี้ก็คือ หวังจะได้อย่างนั้นอย่างนี้เลย เมื่อเร่ิมมีอาการจิตเป็นอย่างนั้น คือการมีภพ ทีนี้ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น อาตมาก็พูดเรื่องภพ 6

เทวดา 6 ชั้น คนเราทุกคนนั้นนึกว่า 6 ภพนี้เป็นภพที่ทุกคนตั้งใจว่าจะต้องไปอยู่ไปได้ไปเป็น อยากให้ได้อาการนี้เดี๋ยวนี้ แต่ไม่อ่านอาการเดี๋ยวนี้กัน ถ้าอ่านอาการเดี๋ยวนี้ แล้วเป็นภพ เช่นเป็นอาการดาวดึงส์ เป็นแดนสุขใจ เป็นแดนสุขาวดี

ถ้าจิตเราเกิดอารมณ์สุขใจในปัจจุบันก็เป็นภพดาวดึงส์ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าไม่ให้เกิดภพมีภพ จะแสนสุขอย่างไร อาตมาก็ขยายความไว้ ว่า

ภพจาตุมหาราชคือภพนรกเลวร้ายแต่ไปหลงว่าเป็นเทวดา มันไม่ใช่เทวดา แต่คือผีคือมาร เดรัจฉาน แต่เขาเข้าใจว่าจาตุมหาราชเป็นเทวดาคือจิตเจริญ ที่ว่าเจริญคือมีอำนาจเบียดเบียนคนอื่นได้แย่งได้ข่มเอามาได้

เขาทานนี่ให้นะแต่ทานโดยไม่ต้องมีหวัง ทานโดยไม่ต้องมีการ ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) โดยเฉพาะไปสั่งสมสนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) เป็นคลังเป็นเซฟสะสมก็ยิ่งเป็นเรื่องราวสะสมภพชาติหนาแน่น คิดว่าตายไปแล้วจะได้เสวยอีก นั่นคือเต็มรูปเลย คืออันที่สี่เป็นภพเต็มบ้องเลย อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)

การหวังในผลทาน ในผลดี เป็นผลของทานที่ได้ให้เหมือนเราเอาอะไรให้เขาแล้วก็จะได้อะไรกลับมา คิดแล้วก็เป็นภพแล้ว ภพอันนี้เป็นแดนเกิด เป็นสิ่งที่เป็นที่มี แต่คนเราไม่ได้คิดแค่นี้นะ ถ้าคิดว่าตายไปแล้วได้ภพชาติอะไรก็ไม่แล้วก็ลดลงมา แม้จะสั่งสมเป็นการรวมใส่คลังไว้เราก็ไม่แล้วเลิกมา จนจิตผูกพัน

การให้ทานนั้นดีแน่นอนแต่จิตมันเกิดภพเกิดชาติ พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้มีอันนี้หรือแม้แต่จิตที่ผูกพันจิตที่มีกระแสมีอาการอะไรออกมานิดนึงก็ตามว่าจะต้องมี มีภพมีชาติอะไรนิดหนึ่งเป็นความหวัง ความคิดความหวังนี่คือจะมีสิทธิ์ที่จะได้จะได้อะไรก็แล้วแต่ แต่มีสิ่งที่จะได้ก็มีสภาวะที่จะได้เรียกว่าภพ พระพุทธเจ้าให้หยุดแม้แต่จิตที่จะหวังก็ไม่ให้มีเลย ถ้าล้างทั้ง 4 อย่างนี้ได้ไม่ต้องให้เกิดได้

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) คือไม่มีสี่อย่างนี้เลย อย่างที่ธัมมชโยนี้เอามาหลอกชาวบ้านชาวเมือง จนศาสนาเละเทะไปหมด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าผู้ใดเลิกทั้ง 4 อย่างนี้ เข้าใจว่าทำทานเป็นส่ิงดีงาม แล้วไม่ต้องมีภพสี่อย่างนี้ จิตจึงเป็นดาวดึงส์ (ดาวดึงส์ = ให้ทานเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดี)

จิตเป็นกุศล ในลักษณะที่หยุดได้เลิกได้ต้องอ่านอาการจิต คือกำหนดนิมิต เครื่องหมายว่าเป็นจิตที่ตั้งให้มีหวัง หรือผูกพันให้เป็น ถ้าเราอ่านจิตเช่นนั้นออก แล้วทำจิตเช่นนั้นได้ คือผู้ฝึกไม่ตั้งภพ ตั้งแต่จตุมหาราช ถ้าตั้งจิตหวังอย่างนั้นคือเป็นผีมาร เดรัจฉาน ยักษ์ แต่เขาก็เรียกว่าเป็นเทวดา ทั้งที่อาตมาย้ำว่าเป็นมาร

ถ้าตั้งจิตเช่นนี้แล้วไปมีจิตยินดี ภพตัวผีนี้คุณไม่ได้ล้างจาตุมหาราชเลย เช่นคุณไปตั้งภพแล้วก็ไปทำ ถ้าทำทานนี้ของดี ก็ดี แต่ถ้าไม่ทำทาน จะได้ชัดขึ้น

คุณไปทำพฤติกรรมที่ไม่ใช่ทาน กำลังไปแย่งเขามาได้ คุณต้องเกิดจิตดีใจเป็นดาวดึงส์ ชนะได้แล้ว ทำชั่วเช่นนั้นคุณก็ยังหลงดีใจเป็นดาวดึงส์เสพสุขชื่นใจดีใจ คุณไปแย่งเขามานี่ชั่วแล้วนะ ไม่ใช่ดีนะ เอานะ แย่งนะ คุณก็ไปยินดีในชั่วอีกแล้วไปยกกำลังไหมละ แล้วภพชาติที่มิจฉาทิฏฐิจะซ้อนทับหนาขึ้นไหม?

ในทานสูตรนี้ท่านบอกว่าไปให้ด้วยซ้ำไม่ได้ไปเอาไม่ได้ไปแย่ง ไปให้นะ การให้นี้เป็นคำกิริยา การตั้งจิตนี้ภาษาบาลีเรียกว่า ปณิหิตตัง ถ้าตั้งจิตไว้ผิดมิจฉาปณิหิตัง  จิตตัง คือไปมีอาการภพชาติตั้งลงไป

ยิ่งคุณเข้าใจภพชาติเป็นตัวตนรูปร่าง ตายไปแล้วก็เป็นแดนแห่งนรกสวรรค์อันนี้ก็เลิกพูดกันเลย ผู้ตั้งจิตเช่นนี้ที่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าภิกษุสาติ  ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า  ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ  ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี   ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น  เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย  เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว … ฯลฯ

แล้วคนเราก็เกิดมาอยากได้ภพของเทวดา 6 ชั้นนี้ทั้งหมด ไม่มีใครอยากได้นรก ถ้าไปยินดีอีกยิ่งจะตกนรกหกชั้นนี้ นรกคุณจะไปลึกอีกสักเท่าไหร่ คุณจะโง่หนักโง่หนาไปอีกเท่าไหร่

อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูไม่เคยอธิบายหลักของการทำทานขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า การทำทานคือการให้หลุดให้ขาดให้สละออกไป สมณะนักบวชนี้หลุดเหลือแค่ผ้าปิดกายแค่นี้กับสภาวะความเป็นอยู่นี่คือการตัดออกไปไม่ต้องหวังกับสวรรค์ 6 ชั้นนี้

พ่อครูว่า...ตามหลักปฏิจจสมุปบาท คนอวิชชาไม่รู้สังขาร แล้วก็เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นวิญญาณตัวตนอีกก็แย่

อวิชชามีสังขารเป็นปัจจัยท่านก็ให้เรียนรู้สังขารลดสังขารที่เป็นบาปก็ลดอวิชชา แต่คุณไม่ได้เรียนรู้ก็เลยมีอวิชชามีสังขารต่อ พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้นามรูป เป็นธรรมะสอง ใช้ปัญญาเรียนรู้ การปรุงแต่งรู้วิญญาณรู้สังขาร อวิชชาจะลด แต่นี่ไม่ศึกษานามรูป ไม่เข้าใจนามรูป

การจะศึกษานามรูป เป็นธรรมะสองคืออาการที่เกิด

อาการที่เกิด พระพุทธเจ้าท่านสอนให้อ่านอาการปัจจุบัน คือจะต้องเห็นภพชาติในปัจจุบัน ท่าท่านก็บอกว่าภพคืออะไร ภพมีสามอย่างคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ อย่างในกาม เขาก็บอกว่ากามคุณทั้งที่มันคือกามโทษเป็นอาทีนวะ เป็นโทษไม่ใช่คุณ แต่ไปหลงสวรรค์เป็นสัคคะทั้งที่มันคืออาทีนวะ

ในอนุปุพพิกถา ทาน ศีล สัคคะ อาทีนวะ เนกขัมมะ 5 อย่างนี้ จะทานหรือรักษาศีลเพื่อจะเลิกภพชาติ ศีลก็เพื่อเลิกภพชาติ แต่คนไม่รู้ทำทานก็ติดสวรรค์ ทั้งที่จะต้องเลิกสวรรค์แต่ไม่รู้ ก็สอนกันไม่รู้สัจจะ ทานก็สร้างภพ ศีลก็สร้างภพ ก็เลยมีสัคคะ(สวรรค์) ก็เลยมีอาทีนวะเป็นโทษ มันคือกามโทษ ไม่ใช่กามคุณ แต่คนไม่ฟังหรอก ไปเรียกกามคุณแล้วเสพติด คนทั้งหลายเลยหลงกัน

ในสี่อันนี้ ทาน ศีล สัคคะ อาทีนวะก็ไม่มีวันเนกขัมมะได้ ต้องสอนให้เนกขัมมะเป็น จะทำเป็นได้ต้องเรียนจากสัตบุรุษ อธิบายฟังให้เข้าใจว่า อาการจิตที่เป็นภพชาตินี้ ท่านเรียกว่าเวทนาเป็นอาการเป็นความรู้สึกเป็นอารมณ์

ต้องแยกธรรมะสองให้ได้

ภพก็คือเกิดตั้งลง ชาติคืออาการเกิด เมื่อคุณไม่รู้นามรูปก็ไปมีอายตนะ มีการต่อเนื่องจากธรรมะ 2 แต่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ 2 เมื่อมีสัมผัสเมื่อใดก็เป็นธรรมะสองคุณก็ยังไม่รู้ นามรูปต้องมีสะพานเชื่อมต่อ คืออายตนะก็ไม่รู้

เมื่อมีผัสสะจะรู้อายตนะได้ ก็ไม่ได้เรียนจากผัสสะอีก ผัสสะนี่แหละเมื่อผัสสะเกิดคือนาม พระพุทธเจ้าตรัสว่านามมี 5 อย่าง คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ผัสสะจัดในนามนะ ผัสสะไม่ใช่แค่ตากระทบรูปแต่มีผัสสะเป็นนามเกิดด้วย ต้องจัดการนาม 5นี้ให้ได้ถูก ต้องรู้มนสิการ ผัสสะ เมื่อไม่รู้ก็ไม่มีวันรู้เจตนา

มโนสัญเจตนาจะมีตัณหา 3 ถ้าอวิชชาจะเกิดตัณหา ในอาหารสูตร

เมื่อไม่เข้าใจเวทนา ไม่รู้ตัณหา ไม่รู้ภพชาติ เลยขีดจะรู้แล้ว

ถ้าผู้ใดเข้าใจ อาการที่ปรุงแต่งเป็นวิญญาณ ผี สัตว์นรก เทวดา เกิดจากผัสสะปัจจุบัน มีอายตนะ ผัสสะแล้วเกิดเวทนา(เวทนาคือสังขาร) มันปรุงแต่งแต่คุณไม่รู้ว่าปรุงเป็นผีเป็นเทวดา

ถ้าเอาแต่แย่งให้ได้ก็เป็นจาตุมหาราช มีตัณหา ในปัจจุบันเรียกว่ากามภพ กามาวจร (ภพมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ) เบื้องต้นต้องเรียนกามภพ มีโอฬาริกอัตตาหยาบๆ มีผีมารใหญ่นี่ต้องจัดการมันก่อน ต้องจัดการโอฬาริกอัตตาให้ไม่มีผีมารสัตว์นรกก่อน จะเหลือรูปภพ เป็นภพต่อไป ต้องรู้ภพที่ 1 ก่อนจึงรู้ภพที่ 2นี้

ในขณะคุณไม่ได้กำจัดอาการยักษ์ผีมารในกามภพ จะไปหยั่งรู้ตัวละเอียดได้อย่างไร ผีตัวใหญ่ก็ยังยินดีกับมันอยู่ จะสามารถไปรู้ผีตัวเล็กละเอียดกว่านั้นได้อย่างไร ไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายเลย ต้องรู้ตัวหยาบก่อนถึงมีญาณมีวิชชาไปอ่านรูปภพได้

จะบังอาจไปอ่านรูปภพอรูปภพแต่ไม่ได้ศึกษาผ่านกามภพก่อนเป็นไปไม่ได้ การไปนั่งหลับตานั้นลัดตัดไปไม่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ตามพระพุทธเจ้าสอน

ต้องมาเรียนรู้กามในปัจจุบันสัมผัสแล้วเกิดอาการ หวัง ผูกพัน สั่งสม ข้ามชาติเลย เราต้องเลิกหยาบก่อนคือตัดภพชาติข้ามชาติ จากนั้นก็มาเลิกสั่งสมใส่คลังไม่ยอมเลิกนี้ก่อน รู้ตัวแล้วเลิก แต่ก็มีจิตอาลัยผูกพันก็รู้อาการที่เกิด ต้องลดอีก ลดได้จิตจะแวบมีภพชาติหวัง การหวังนี่เป็นภพแล้ว

ต้องทำหยาบกลางละเอียดไปถึงหวัง ถ้าทำหวังหมดก็เป็นพรหมเลย ทำอะไรก็ดี สาธุ  ทำทานนี่ดีสุดแล้ว คนเราดีสุดก็คือการให้ คือการทำทาน มีศีลเพื่อล้างตัวกูของกู ปฏิบัติตนไปสู่การให้ การให้นี่เป็นเรื่องที่สุดในมนุษย์ อรหันต์คือนักทาน นักให้ไม่ใช่นักเอา เป็นผู้ให้ตลอดกาลนานมีชีวิตเพื่อการให้ เป็นทานบดี

อรหันต์คือทานบดี

คำว่า บดี คือผู้ที่เป็นเจ้าเป็นยิ่งใหญ่เป็นเจ้าของ เป็นทานบดี

คำสอนที่อธิบายนี้เป็นโลกุตระ พระพุทธเจ้าให้ล้างภพ ไปเป็นลำดับ แต่เมื่อไม่เรียนไปตามลำดับ คืออาการเห็นปัจจุบันหลัดๆไม่เรียน แต่จะเข้าไปเรียนภพชาติที่ตายไป แล้วเมื่อไหร่จะรู้นรกสวรรค์ของจริง การไปแย่งเอาคือจตุมหาราช ได้โดยอำนาจ แล้วดีใจทับถมซับซ้อนให้ได้ยาวนาน ยามาอีก คุณก็เอาต่อไปให้ยาวนานทั้งที่นรกทั้งนั้น ดาวดึงคือสุขขัลลิกะสุขหลอก ไม่มีจริง

จิตใจของอรหันต์ไม่มีภพชาติสัมผัสเมื่อไหร่ก็เป็นอุเบกขารู้ความจริงตามความเป็นจริงจังเช่นมะระนี้ ถ้าบอกว่ามันน่าทานมีสภาพเช่นนี้คงกินดี ไม่ใช่บอกว่ามีรสมีรูปเช่นนี้จะกินดีชอบใจ แต่ถ้าลูกเล็กแข็งก็คงกินยากกว่านี้นะ ก็แค่เปรียบว่าอันนี้น่าจะสบายกว่า คือต้องแยกอาการสวรรค์อัสสาทะ เป็นจิตยินดี ชอบใจพอใจ เป็นปีติ

ปีติหรือ ที่ท่านเรียกว่า เปรต มีศัพท์ว่า ปิติวิสัย คือจิตผู้มีวิสัย(ติดยึดยิ่งกว่านิสัย อาศัย)อรหันต์มีอาศัย (อาสยะคือตัวเรา) แต่ผู้ใดไม่ติดสิ่งที่เป็นนี้ รู้เลย ว่า อาคามี (คามะ แปลว่าบ้าน ชาวโลกชาวบ้าน) อาคามีแปลว่าผู้กลับมาเป็นคนโลกๆชาวบ้านปุถุชน (อยังโลโก) ด้วยความไม่รู้ ไม่หมดภพชาติ

ในทานสูตร ผู้ที่ไม่รู้จักภพ สร้างภพ แม้จะเข้าใจความเป็นภพและลดภพบ้างแต่ไม่ได้ลดอย่างเป็นขั้นตอนลำดับว่า 1.เลิกจาตุมหาราช ไม่ตั้งภพ1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) แต่คุณเองยังเสพรสดาวดึงส์ ก็เริ่มมีนิดนึงแล้ว แต่ถ้าคุณไม่รู้ ก็เอาความมีไปต่อก็เป็นยามายาวนาน

ดุสิตแปลว่าหยุดพัก เย็น มันร้อนมาแล้วก็มาสู่ที่เย็นเป็นตัวพักโดยธรรมชาติ แต่คุณชอบใจแล้วก็เลยอยากให้ยามายาวนาน พระอาทิตย์นี้อย่าให้ตกเลย ให้ฝันหวานยาวนาน แต่มันต้องหยุด ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่เลิกลา คือดุสิตพัก แต่ใจคุณไม่อยากให้หยุดหรอก ก็เลยเผินไม่รู้จักพัก ถ้ารู้จักพักรู้จักหยุดก็จะมีสันโดษ แต่ดุสิตคือแดนพัก

อาฬารดาบสไม่มีญาณรู้ว่าจะดับอย่างไรจิตก็ต้องเกิดแวบ แต่โง่ไม่รู้จิตแวบ เป็นภพต่อตรงนั้นไม่มีปัญญารู้ตัวเกิดตัวพักตัวหยุด ตัวแวบนี่เกิดอยู่แต่เขาไม่รู้ จิตไม่รับรู้อะไรแม้จะแวบมารู้ แต่อาฬารดาบสไม่รู้ได้

อุทกดาบสเก่งกว่า คือรู้แวบได้ แต่ก็รู้ก็ไม่เอา ก็ดับต่อ ก็คือฤาษีนั่งหลับตา มีกันอยู่ทั่วโลกไม่ใช่นิโรธแบบพระพุทธเจ้าที่เป็นนิโรธแบบลืมตาที่กิเลสดับสนิท ที่รู้ว่าอาการอกุศลจิตเกิดอย่างไร มันมีมากหรือจางเบาอย่างไรก็ทำให้มันตายโดยสนิท

พระพุทธเจ้าสอนว่าภพต้องมีผัสสะ ปัจจุบัน หากไม่มีปัจจุบันจะไม่รู้ภพ ภพที่ค้างเลยจากปัจจุบันเป็นภพแล้ว เป็นภพที่คุณเรียนไม่ได้ จิตของคุณอันแรก ทานแล้วจิตคุณหวัง ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง จิตเป็นสัตว์มีอาการหวัง พอคุณหวังปั๊ปก็เกิดแล้ว ผ่านปัจจุบันไปแล้ว ไม่ทัน? คุณต้องเรียนอาการหวัง มันทำหวัง ทำการหวังก็ต้องจัดการมันตรงนั้นเลย ถ้าคุณยังผัสสะอยู่ก็ยังพออ่านอาการทุกปัจจุบัน คุณยังไม่วางตา ไม่วางหู ก็ยังได้สัมผัสก็มีสิทธิ์อ่าน แต่อันใดผ่านปัจจุบันไปแล้วก็เป็นอดีตเป็นภพแล้ว

อาการหวังมันเกิดไปแล้วก็เป็น ภพของคุณแล้ว คุณทำอาการของมโนกรรมของคุณไปแล้ว มันต้องเอาปัจจุบันเป็นหลักเองทำปัจจุบัน ถ้าทำปัจจุบันเสร็จจบไม่มีอาการหวังเลยไม่มีความผูกพันเป็นเราเป็นของเราเลย ในขณะที่คุณทำได้จนกระทั่งขาดจริง ทุกปัจจุบันที่สัมผัสอยู่คุณสัมผัสจิตก็เป็นอรหันต์

อ.กฤษฎาว่า...ที่ผ่านไปคือมันเจอผัสสะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่เจอมันอีกเลย ดังนั้นเป็นสภาพอรหันต์ใช่ไหม

พ่อครูว่า...ใช่มันไม่เกิดภพชาตินี้อีกมันไม่เกิดอาการนี้ในจิตอีก ต้องไม่ให้มีสภาพนั้นในภพปัจจุบัน ต้องมาเรียนรู้อาการนี้ไม่ให้มีตัวตน เมื่อคุณสุขได้จริงมีอาการแข็งแรงเป็นจิตที่รู้ความจริง

เคยพูดโศลกว่า มีเจตนาแต่อย่าอยาก เป็นภาษาที่หยาบกว่าหวัง ถ้ามโนสัญเจตนามีความมุ่งหมายรู้ว่าจิตใจนี้จะไปทำอะไรแต่คุณอย่าไปอยากอย่าไปหวัง

อ.กฤษฎาว่า...แรกพบคือแรกเจอแผงล็อตเตอรี่เรามีผัสสะปัจจุบัน ถ้าเรารู้สึกว่ายังอยาก

พ่อครูว่า...คนที่ยังติด ล็อตเตอรี่ หวังว่าจะได้ถูกรางวัล ยังมีจิตเป็นภพว่า ล็อตเตอรี่เป็นสินค้าที่ซื้อแล้วเรามีหวัง เป็นวัตถุที่อธิบายได้ชัด พอเห็นคนขายลอตเตอรี่มาพร้อมสัมผัสแล้วอาการหวังมันก็เกิดเลย ก็บอกว่าเสี่ยงหน่อย แต่คนที่ไม่ติดภพนี้เลยบอกว่าลอตเตอรี่คือสลากกินเรียบ ใครไปซื้อเข้าก็ถูกกินเรียบทั้งนั้นแล้วคุณก็ไม่ติดเลยในลอตเตอรี่นี้คุณสัมผัสลอตเตอรี่เมื่อไหร่อาการหวังนิดหนึ่งคุณก็ไม่เกิด ให้ฟรียังไม่เอาเลยไม่มีภพเลยไม่มีแวบเลย

อย่าไปเอาเลยลอตเตอรี่ได้ถูกรางวัลมาก็เป็นหนี้ คุณไม่ได้ลงมือสร้างไม่ได้ก่ออะไรเลย ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไรเลย สร้างแต่ความเพ้อความหวัง

อ.กฤษฎาว่า...ผมมองว่า ถ้าเห็นคนขายลอตเตอรี่มา ใจเราก็เกิดอาการนั้นแต่ยังไม่ซื้อ อันนี้คือหวัง แต่ถ้าลงมือซื้อคือความอยากได้มาครอบครอง มันแรงแล้ว แต่ถ้าเราไม่เกิดอาการใจเลยก็คือขาดแล้ว

พ่อครูว่า...ลอตเตอรี่นี้เป็นการสร้างภพสร้างชาติจริงๆ จิตใจมันยังหลงมันผูกพันอยากจะได้กลับคืนมาซื้อแล้วก็ยังหวังจะได้หรือไม่ได้ก็ยังมีหวัง

คนที่ลึกลึกแล้วซื้อลอตเตอรี่ ก็ซื้อไปอย่างนั้นแหละแต่ลึกลึกใจของเขานั้นมีความหวัง ถ้าคุณไม่มีใจลึกๆหวังจะไปซื้อไปทำไม คุณกลบเกลื่อนข้างบนว่าไม่หวังไม่อยากได้ ถ้าคุณไม่หวังไม่อยากได้คนไม่ซื้อหรอกเขาจะเซ้าซี้ให้ซื้ออย่างไรก็ไม่เอา เป็นการส่งเสริมการพนันอยู่ตลอดกาลและนาน สังคมใดถ้ายังเลิกลอตเตอรี่ไม่ได้ก็เป็นสังคมที่มีอบายมุขอยู่

อ.กฤษฎาว่า...บางทีสงสารแล้วก็ช่วยเขาซื้อหน่อยแต่แท้จริงแล้วยังหวังว่าจะถูกอยู่

พ่อครูว่า..เป็นจริงได้ที่สงสารจึงช่วยเหลือเขาแต่ไม่มีปัญญารู้ว่าช่วยเหลือเขาแต่กลับเป็นการสนับสนุนส่งเสริมอาชีพที่เป็นอบายมุข เราควรจะสอนเขาให้ไปทำมาหากินอย่างอื่น ถ้าตาบอดไม่รู้จะทำมาหากินไปขายลอตเตอรี่ก็เห็นใจ ความจริงแล้วเราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปมีเป็นเรื่องของสังคมที่ไม่เจริญถ้าสังคมเจริญจริงๆแล้วไม่ต้องหาทางได้อย่างให้มนุษย์จะต้องหวังเช่นนี้ มนุษย์หวังแค่ล็อตเตอรี่นี้จะยิ่งจมเป็นสังคมเสี่ยงทาย

มาเข้าสู่สัจจะปรมัตถ์

ภพ 3 ชาติ 5

คนที่ไม่รู้จิตที่มีความหวังตั้งภพไว้คนนั้น ต้องทำความเข้าใจเมื่อทำความเข้าใจแล้วก็ต้องปฏิบัติเรียนรู้ในปัจจุบันให้มีผัสสะเป็นปัจจัยในปัจจุบัน เรียนรู้กามภพแล้วสร้างความสามารถกำจัดผลของความอยากได้นั้นนั้นแม้จะเหลือรอยไรของความหวังก็ฆ่าให้หมด ต้องล้างหวังให้หมด มันถึงจะหมดกามภพ แต่ในขณะที่คุณหมดอยาก หวังนี่คือรูปภพ อยากแรงๆก็ไม่แล้ว บางทีก็หวังไม่แรง คุณก็ไม่ซื้อ หรือบางทีคุณก็ว่าไม่จำเป็นต้องซื้อเงินไม่พอก็ มีเหตุปัจจัยไม่ให้บำเรอความหวัง เราจะอ่านอาการอย่าให้มันมีความหวัง แม้มันจะเกิดความหวังก็ต้องอ่านอาการให้ชัดเจนและพยายามอย่าให้มีอาการอย่างนี้ให้ได้

ใครที่อ่านอาการความหวังนี้ได้คนคนนี้มีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณตัดภพไม่ให้มีความหวังทุกอย่างมีแต่จิตเจตนาโดยไม่ต้องหวัง

เช่นคุณทำให้เกิดมะระได้ 1 ลูก คุณก็รู้วิธีจะทำให้เกิดมะระลูกที่ 2 ได้ คุณเองก็หวังลูกที่ 2 แต่ถ้าลูกที่ 2 ไม่เกิดเสียที ก็คิดว่าทำไมมันถึงไม่เกิดก็เอาปุ๋ยมาใส่เอาปุ๋ยมาเร่ง คุณก็มาเร่งให้ทำมะระลูกที่2 ให้ คุณก็พยายามอีก อาการหวังนั่นแหละ ถ้าได้ลูกเดียวก็ไม่ต้องอยากได้อีกก็ไม่ต้องหวัง

ถ้ารู้เหตุปัจจัย ก็เอาเมล็ดมะระมาปลูกก็ไม่ต้องไปหวัง คุณไม่ต้องหวังก็ได้มะระเพราะทำเหตุปัจจัยให้ครบ ถ้าต้นนี้ต้นที่ 1 มันมีพลังงานชีวะ มันก็จะเกิดต้นที่ 2 ต่อไป คุณก็ได้แต่บำรุงให้มันมีการพัฒนาเจริญเป็นมะระลูกที่ 2 ต่อไปเองโดยที่ไม่ต้องอยากให้ทำเหตุปัจจัยให้ครบ ผลมันก็ออกมาได้โดยไม่ต้องอยากไม่ต้องหวังว่าจะได้ถ้าเหตุมันถูกต้องมันครบก็จะได้ พระอรหันต์เจ้าจึงทำงานโดยไม่มีความหวัง

อ.กฤษฎาว่า...ถ้าทุกอย่างมันพร้อมมันก็จะเกิดเอง โดยไม่ต้องตั้งความหวังตั้งเมื่อไหร่มีภพเมื่อนั้น

พ่อครู ว่า...ถ้าอ่านอาการนี้ออกคุณมีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่เกิด ถ้าคุณรู้จักเหตุ 1 คุณเอาเหตุอีก 1 มาใส่ก็เป็น 2 คุณไม่ต้องหวังว่า 2 นี้จะเกิด ถ้า 1 สองอันมารวมกันก็เกิด 2 จัดการเหตุให้บริบูรณ์ครบครันมันก็ครบก็เกิด ถ้าไม่มีเหตุทุกอย่างก็ไม่เกิด

นอกจากปัจจุบันเป็นภพทั้งนั้น

ผู้ใดสามารถฟังรู้ด้วยเหตุด้วยผลด้วยตรรกะแล้วคุณก็ไปปฏิบัติจริงๆ จับปฏิบัติจริงๆต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยในปัจจุบันทุกอาการที่เกิดจึงจะเรียนรู้ในปัจจุบันได้ พอหลับตาก็เป็นภพเป็นชาติเป็นเรื่องราวเพ้อฝันทั้งนั้นเลย คนไม่มีที่จะเรียนรู้ปัจจุบันถ้าพ้นปัจจุบันมันไม่มีจริง แล้วเมื่อไหร่จะตัดภพล้างภพได้ เมื่อผ่านปัจจุบันก็หวังแล้วเป็นภพแล้ว หวังนี่ผ่านปัจจุบันเป็นภพไปแล้ว 

เมื่อผ่านปัจจุบันก็เป็นภพแล้ว เมื่อคุณเข้าใจตรงนี้ก็จะทำแต่ในปัจจุบันถูกปัจจุบันที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย

เหตุปัจจัยนั้นรู้ว่าเมล็ดของมะระ นี่เป็นเหตุ ถ้าเอาเมล็ดของมะระ ไปให้เป็นเหตุปัจจัยเอาไปเพาะกับวุ้นกับพาหะ แล้วมันจะเกิดตามที่มีความรู้ก็เกิดมะระขึ้นจริงๆเพราะเราทำเหตุ แล้วมันจะต้องใช้น้ำใช้อากาศเท่าไหร่ที่เพียงพอ อากาศที่ร้อนเกินไปก็ไม่เกิดน้ำไม่พอมีแต่อากาศก็ไม่เกิด ก็ทำเหตุให้ถูกต้องถึงเกิดไม่ต้องไปหวังว่าจะเกิด จะเสียพลังงานทำความหวังทำไม ทำเหตุปัจจุบันให้พร้อม

ข้อสำคัญคือเราไม่มีปัญญารู้เหตุในปัจจุบัน  อาตมาเองไม่เก่ง ก็เลยไม่รู้พร้อมหมด

อ.กฤษฎาว่า...อรหันต์จะไม่รู้สึกหวั่นไหวต่ออะไร แม้เสียงฟ้าผ่าก็ไม่หวั่นไหวไม่ไหลตามภพที่เป็นสิ่งเร้าภายนอก

พ่อครูว่า...ขอขยายความตรงนี้ อรหันต์พอฟ้าผ่าจะไม่สะดุ้ง ….

จริงที่อรหันต์จะไม่แปลกใจไม่ตกใจที่ฟ้าผ่า แต่พระอรหันต์จะตกใจเพราะว่าในขณะที่อรหันต์มีจิตจดจ่ออยู่กับอะไร แต่ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงมากระแทก หน้ากระตุกแต่จิตกำลังเกาะแน่นก็จะต้อง ขาดจากอันนั่นแหละคือการขาดจากสติต้องมารับรู้อีกมันก็เลยเหมือนมีอาการสะดุ้งถ้าเหตุปัจจัยมันแรงเกิด  มันเป็นสิ่งที่แรงจนกระเทือนก็ต้องขาดจากอันเก่าก็เกิดอาการสะดุ้งขึ้นมา จะเรียกว่าตกใจก็คืออาการมันไม่ราบรื่นไม่ต่อเนื่องก็ขาด จะเรียกว่าพระอรหันต์ไม่สะดุ้งก็ไม่ใช่ เป็นอยู่ได้เหมือนกัน ถ้ามันมากเกินจริงๆจนกระทั่งกระแทกกระเทือนมากเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเดินทำสมาธิเดินจงกรมอยู่ในโรงกระเดื่อง เมื่อฟ้าผ่า วัวตายไป 4 คนตายไป 2 ดังเปรี้ยงท่านก็ไม่ได้ยินเสียงนี้เลย นี่เป็นวิสัยที่เป็นพุทธวิสัย อย่างอาตมาฟ้าผ่าเปรี้ยงอาตมาก็ไม่ตกใจ แต่ถ้าอาตมาใช้จิตจดจ่อกับอะไร ฟ้าผ่าเปรี้ยงก็ตกใจได้เหมือนกัน อย่าพาซื่อเอาตัวจบอย่างพระพุทธเจ้าเลยไม่ได้ คนละฐานะ

 

มีปัญหาถามมา…

_ปะฝนฟ้า...การให้ทานนอกจากวัตถุทาน ยังหมายถึงการให้แรงกายแรงใจแรงสติปัญญาด้วยใช่ไหม  อย่างพวกเราพยายามจะรวมกลุ่มผู้ปกครอง ของศิษย์เก่าเพื่อให้จิตวิญญาณเขาเจริญขึ้นมา แล้วเราคาดหวังว่า เราถามความหวัง ถ้าเขาเจริญขึ้นย่อมเสียสละมากขึ้นเขาจะได้มาช่วยในการพัฒนาคนเช่นมาช่วยอบรมยุวพุทธฯ ช่วยงานอื่นๆของส่วนรวม คิดอย่างนี้คือเราทำทานอย่างมีการหวังผลผูกพันในทางนั้นใช่ไหม

ตอบ...ใช่เราทานให้แรงงานแรงกายแรงใจได้ แต่แรงใจนี้คนไม่รู้ด้วยกันสักเท่าไหร่แต่แรงงานนี้รู้กันได้ ถ้าจะบอกว่าหวัง ก็ใช่คนที่มีเหตุผลมากก็จะอ้างไปได้ยาว

ถ้าเราทำงานให้ส่วนรวมกองกลาง ถ้าเราไปเบิกเงินจากกองกลาง การเงินก็ชักจะตาเขียวเขียวขวางๆ เราก็คิดเพ่งโทษว่าทำไมไม่ให้ก็คือหวัง ผูกพัน หรือใครทำจิตสั่งสม ถ้าไม่ให้ก็ยาวเลย ดีไม่ดีไม่พูดด้วยเหตุผลแล้ว สำนวนก็จะแรง อะไรวะ เท่านี้ไม่ได้มาอยู่เป็นเดือนเป็นปีแล้วให้แค่นี้ไม่ได้หรือ

ถ้าแค่ผูกพันก็ลดลง แม้หวังก็มีติ่งๆ ถ้าให้โดยไม่หวังเลยไอ้หวังตายแน่ตายแน่ไอ้หวัง ไม่มีไอ้หวังในจิตเราควรทำงานอย่างนี้คือทำงานแล้วไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกไม่มีภพไม่มีชาติ เราก็กินอยู่อย่างได้เท่าไหร่เท่านั้นไม่ตีราคาเพราะเราได้มากเท่านั้นทั้งนี้ นี่คือสุดยอด

_ถ้าไม่ทันผัสสะ จะรู้เมื่อผัสสะเกิดไปแล้วจะต้องทำอย่างไร

ตอบ...ก็ต้องฝึกฝน ที่บอกว่าไม่รู้ทันนั้นไม่ใช่ ผัสสะมีแล้วแต่ไม่ทันอารมณ์รู้สึกที่เกิด ถ้าคุณไม่รู้ทันผัสสะ ยิ่งผัสสะเมื่อใดรู้อารมณ์ได้นี่เก่งนะ ผัสสะแล้วต้องรู้อารมณ์ที่เกิด เป็นนรกเป็นสวรรค์อย่างไรก็รู้และขณะนี้ไม่ได้พรากจากเหตุปัจจัย

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

สัญญา เป็นตัวกำหนดรู้ที่จะเกิดปัญญา

เจตนา มี 3 คือกามตัณหา ภวตัณหา(รูปภพ อรูปภพ) วิภวตัณหา

วิภวตัณหาคือตัณหาไม่มีภพ ถ้ามีตัณหาไม่มีภพถาวรคุณก็เป็นพระอรหันต์ มีเจตนา ทำตามเหตุปัจจัย ไม่มีหวังไม่ต้องพูดถึง 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ในคำสอนของพพจ.ไม่มีว่า ให้เป็นภพชาตินอกตัว ตายไปจะได้ภพชาติ

ท่านบริภาษภิกษุสาติ ว่าตู่เราใส่ร้ายเรา เราไม่เคยสอนเช่นนี้ ธัมมชโยนี้ทำยิ่งกว่าหลอกคนให้เชื่อตามไปหมดเลย เป็นเหล่ากอของภิกษุสาติตัวเบ้ง ที่บอกว่าตายไปแล้วจะอยู่ในพุทธเกษตรไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าอันนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า แล้วบอกว่าเอาข้าวไปให้วิญญาณกิน แต่ข้าวมันของหยาบวิญญาณเป็นของละเอียดจะบ้าหรือ

มีผู้คัดบทมาว่า ผู้ที่สามารถหยั่งรู้ใจคน เพราะว่ามีอาการเชื่อมต่อ อย่างเช่นอาตมาเห็นธัมมชโยทำก็เห็นว่าเขาทำแบบนี้เพราะมีนรกสวรรค์บ้าบอ นี่คือการอ่านใจเพราะเรามีต้นตอที่สามารถรู้ได้

อย่างฝนฟ้าที่ถามมา อาตมาว่าอย่าไปหวังจากเขาเลยเราทำปัจจุบันของเราให้ดี คุณเองทำความหวังให้ยาวนี้ให้สั้นลงให้ได้ไม่ต้องไปคิดยุ่งยากเสียเวลา ทำกับพวกเราให้ได้ แล้วจะได้แรงงานคนมาทำได้ต่อ ทำปัจจุบันไป ถ้าคุณคิดอย่างที่คุณคิดนี้จะได้คนไม่มีปัญญามากขึ้น จะเป็นภาระต่อเราจะได้ฝูงควายที่โง่ไปอยู่กับเราต่อไปเป็นลำดับยาวออกไปเยอะ เหนื่อยยากลำบากนักเป็นแนวคิดที่อาตมาไม่ทำ ไม่ไปหาฝูงควายโง่โง่ ให้มาอยู่ด้วยมากขึ้นจะลำบากจะหนัก เรามาสร้างคนที่มีปัญญามาอยู่ด้วยให้มากขึ้น คนที่มีปัญญาเข้ามาได้เราก็ต้องช่วยเหลือ แค่นี้งานก็หนักแล้ว แล้วเราได้พวกนี้เราก็จะได้สะอาดบริสุทธิ์ได้ของจริงเป็นฤทธิ์เป็นแรง เมื่อใดมากขึ้นมากขึ้นอันนี้จะเป็นระเบิดปรมาณูในอนาคต

ขณะนี้อโศกยังไม่มีพลังงานระดับปรมาณู สักวันหนึ่งจะถึงระดับปรมาณู ไม่ใช่มีผลแค่ระดับปรมาณู แต่จะมีกระแสที่ให้คนอื่นสัมผัสเห็นแสงนี้ได้ การสั่งสมแก่นที่เป็นปรมาณูสักวันหนึ่งแก่นที่เต็มจะระเบิดตูม สว่างจ้าเลย

_คนทั่วไปมีความคิดว่าจะต้องแต่งงาน เพราะว่าจะต้องมีลูกเอาไว้ฝากผีฝากไข้ หรือจะเลี้ยงดูตอบแทนเรา..หวังอย่างนี้ถูกไหม

ตอบ...อาตมาขอถามตามความเป็นจริง คนเลี้ยงลูกฝากผีฝากไข้ไว้กับโลกอย่างมากคุณมีลูกสิบคุณก็พึ่งสิบคนนี้ แต่ถ้าคุณมารวมอยู่กับหมู่นี้คนฝากผีฝากไข้ไว้กับคนเป็นร้อยเป็นพันอะไรจะรู้สึกว่ามันโล่งใจมากกว่า ยิ่งคุณไม่อยากมีลูกมากมีลูกคนเดียวจะไปหวังไว้อย่างไร ลูกคนเดียวจะให้หวังได้อย่างไร แต่มาที่นี่คุณพิสูจน์สิว่ามีคนที่เพิ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บกันได้เป็นมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือเป็นญาติธรรม ญาติคือการพึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ ท้าให้มาพิสูจน์ ทุกวันนี้เราทำได้ อาจไม่สมใจคุณหมด คนต้องมาประคบประหงมอย่างดีที่ต้องการแต่ไม่น่าเกลียดก็ช่วยกันได้ ผ่านมา 40 กว่าปีแล้ว สังคมเราเป็นญาติธรรมคือพึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้  แต่ถ้าเป็นลูกเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันแต่ พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันไม่ได้ มันไม่ใช่ญาติ

ญาติคือ พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้  เป็นตัวชี้บ่งไม่ใช่DNAบอก ถ้าคุณไม่มีทางเลือกอย่างคนโลกๆเขาก็มีลูก แต่โดนอกหักไปหลายรายแล้ว แต่ถ้าคุณมาอยู่ที่นี่ ฝึกหัดศีล5 ละหน่ายคลายกิเลสได้ กินมังสวิรัติและลดละอะไรได้ เราก็มีหลักเกณฑ์พื้นฐานชิ้นนี้ถ้ามาได้ก็มาแล้วเรียนรู้ให้เจริญขึ้น ผู้มีมรรคผลจึงทนอยู่ได้ คุณก็อยู่กับหมู่นี้ไปจนตายก็ฝากผีฝากไข้ได้

หลายคนป่วยเจ็บจะตายก็ไม่เคยบอกไปว่าติดต่อพี่ติดต่อน้องติดต่อลูกติดต่อหลานไป ไม่เลย พวกเราเป็นอย่างนี้เยอะ เพราะพวกเรานี้คือพี่น้องปู่ย่าตายายดูแลกันไปจนตายอยู่แล้ว พอเจ็บป่วยมากๆลึกๆจะรู้ว่าลูกนี้พึ่งไม่ได้ด้วย นอกจากใจอยากจะฝึกให้ลูกกตัญญูกตเวทิตาบ้าง ก็จะทำแต่แค่พวกเราก็พึ่งพากันได้อยู่แล้ว

การจะแต่งงานเพื่อจะมีอย่างนั้นเป็นความคิดตื้นๆ ถ้าเกิดให้แต่งงานมีลูกแล้วพระพุทธเจ้าทำไมตรัสว่า ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักไฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง.

ถ้าไม่แต่งงานแล้วที่นี่ฝากผีฝากไข้กันได้ไหม บางคนอยู่มา 40 กว่าปีแล้ว คุณนึกจะไปถึงญาติสายเลือดไหม คุณมั่นใจว่าพึ่งญาติธรรมนี่แหละได้ไหม?

ช่วยบุญบอกว่า ไม่ต้องพึ่งทางบ้านหรอก คุณพูดก็เพราะว่าเราจะเผาให้ไหม?(คุณช่วยบุญเป็นสัปเหร่อประจำปฐมอโศก ไม่ได้ตั้งแต่เป็นเอง)ก็ดีแล้ว

สรุปแล้ว สัจจะของปัญญา เราจะรู้ว่าควรจะพึ่งพาใคร ที่สำคัญคือเราจะพึ่งพาตนเองพึ่งพาคุณงามความดีของตัวเอง แล้วญาติมิตรหรือเพื่อนจะเห็นคุณงามความดีของเรา เขาจะช่วยเหลือเราเอง ไม่ต้องหวังด้วย ถ้าเราไม่ดีเป็นหมาหัวเน่า แน่นอนใครก็ไม่ช่วย แต่ถ้าคุณไม่ถึงขั้นเป็นหมาหัวเน่าเขาก็จะช่วยพอสมควร ถ้าคุณเป็นคนดี เขาก็จะต้องช่วยมากขึ้นอีก อันนี้เป็นสัจจะที่พิสูจน์ได้ คนเราถึงมีที่พึ่งเพราะตัวเราเอง เราพึ่งตัวเองตนเองมีพฤติกรรมดีมีคุณธรรมมีกรรมกิริยา กุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม คนที่มีปัญญาจะรู้ว่าคนนี้เป็นคนดีงามจะต้องช่วยเหลือ บกพร่องขาดเหลืออะไรเขาก็จะหาให้ ยกตัวอย่างอาตมานี้เขาจะช่วยเหลืออย่าให้รีบตายเพราะมีประโยชน์ให้อยู่ไปนานๆ เป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนี้เป็นความรู้ของมนุษยชาติและสังคม เมื่อมนุษยชาติมีความรู้และปฏิบัติประพฤติตนแบบนี้ จะมารวมเป็นสังคม ในสังคมอโศกนี้พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ หลายคนจะมั่นใจว่าของพวกเรานี้พึ่งพากันได้มากกว่าอีก อย่างเช่นโยมแดงนี้ลูกหลานบอกว่าจะให้ไปก็ไม่ยอมไปอยู่บ้าน

บางคนมีความคิดซ้อนว่าไม่อยากให้ลูกหลานมาเพราะว่าจะเป็นภาระก็เลยอยู่ที่นี่ดีกว่า

 

_ การก่อการร้ายกับก่อวินาศกรรมต่างกันอย่างไร?

ตอบ….การก่อวินาศกรรมก็คือการก่อการร้าย ผู้กระทำคือผู้ก่อการร้าย เขารู้สึกดีที่ทำสำเร็จแต่เขาทำบาป

พ่อครูว่า...ผู้ก่อการร้ายคือผู้เริ่มทำ ส่วนผู้ที่ก่อวินาศกรรมคือผู้ทำสำเร็จแล้ว

 

_คุณวิเศษกับอุตริมนุสธรรมต่างกันอย่างไร

ตอบ...ต่างกันที่ตัวหนังสือ คุณนะวิเศษเป็นภาษาไทย อุตตริมนุสสธรรมเป็นภาษาบาลี

 

_พพจ.ไปเทศน์โปรดมารดาที่ดาวดึงส์คืออย่างไร?

พ่อครูว่า...สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความซับซ้อนของปุคคลาธิษฐานกับธรรมาธิษฐาน

คำว่ามาตาหรือแม่คือผู้ให้กำเนิด คนไม่รู้จักศาสนาพระพุทธเจ้าก็ไปมองว่าแม่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา แต่แม่ของพระพุทธเจ้านั้นตายไปท่านก็มีกรรมของท่านพระพุทธเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแทรกกรรมของท่านไปช่วยอะไรไม่ได้ จะไปเทศน์ให้ฟังไม่ได้ตายไปแล้วไม่มีหู คำว่ามารดาหรือแม่นี้เป็นนามธรรมเป็นสภาวะธรรม ไม่ใช่สภาพเป็นตัวตนบุคคล พระพุทธเจ้าก็สร้างสาวก ให้มีลักษณะเป็นแม่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรเป็นแม่นมและแม่เลี้ยง พระภิกษุทั้งหลายก็กำลังจะถูกสร้างขึ้นมาเป็นแม่ สามารถทำคลอดทางจิตวิญญาณ ให้กับคนอื่น พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ แล้วมีพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเป็นแม่ช่วยเลี้ยงดู ภิกษุทั้งหลายให้เกิดจิตวิญญาณใหม่ นี่คือการสร้างแม่หรือการเทศนาโปรดมารดา ถ้าเป็น ปุริสภาวะก็จะมาให้ความกำเนิด

แล้วที่พูดว่าท่านไปเทศนาโปรดมารดา พระพุทธเจ้าเอง ถ้าไปเทศนาโปรดมารดาท่านก็ต้องสัตตาหะไปได้ 7 วันแล้วกลับไปกลับมา แต่ที่พูดว่าพระพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดาอยู่ถึง 3 เดือน แล้วท่านจะสัตตาหะไปอย่างไร เป็นนิทานที่ไม่สมประกอบ

สรุปคือมารดาคือผู้ให้กำเนิดจะเป็นบุคคลก็ตาม ก็ไม่ได้ให้กำเนิดทางร่างกาย เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปสำคัญทางร่างกายมากกว่าจิตใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างพันธุ์ม้าวัวควายที่เก่ง แต่ไปสร้างจิตวิญญาณให้เป็นอาริยบุคคล คือการสร้างแม่ แม่แปลว่าผู้ให้กำเนิด ถ้าไปเข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ผู้นั้นก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เทศน์สร้างผู้เป็นแม่ มาตาไม่ใช่แม่ของพพจ.ไม่ใช่พระนางสิริมหามายา

ผู้ที่ตายไปแล้วก็ไปรับกรรมของตน กรรมเป็นเผ่าพันธ์ุของตนเองทุกคนมีพันธุ์ทางจิตวิญญาณ คนอื่นไม่เกี่ยวเลย ใครก็มี DNAของตนเอง เชื่อมต่อกับคนอื่นไม่ได้มีแต่สรีรพันธุ์ที่ต่อกันได้

คุณจะเอามารดาอย่างไหนก็เลือกเอา แบบที่อาตมาอธิบายกับแบบที่เขาอธิบายกันมาแต่เก่าก่อน

 

_ชาวอโศกคงไม่ได้คิดตั้งจิตเป็นเทวดา 6 ชั้น แต่คิดว่าทำทานเพราะเราเห็นเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ควรสืบทอดต่อไป โดยเห็นว่าเราควรช่วยเหลือเขาที่ลำบากกว่า เคยเห็นถ้าทำไปแล้วจะได้ปลื้มใจสบาย

ตอบ...ถ้าทำเช่นนั้นคือทำทานแล้วหวัง ผูกพัน สั่งสม ก็เป็นจตุมหาราช แล้วดีใจที่ได้แย่งเขาได้ชนะ ดีใจที่ได้ทำชั่วมันได้ล้างไหม? ดีใจนี่เป็นเทวดาชั้น 2 นะ คุณไม่ได้ล้างเลย เป็นนรก 6 ชั้นทับถมเลย นรกคือการติดยึด ตัวเดียว คุณไม่รู้จักจะติดยึดซับซ้อนก็ยิ่งหนาไปใหญ่ ในโลกนี้มีภพ 6 ชั้นนี้เท่านั้นที่คุณต้องการไม่มีใครต้องการนรก แสดงว่าพบนรกไม่มีเพราะคนไม่มีใครเอา แต่คุณจะเอาภพ 6 ชั้นนี้ใช่ไหม  เพราะคุณจะเอาภพ 6 ชั้นนี้ ทีนี้พอได้ชั้นแรกก็ได้นรกทันที เพราะภพแรกคือจตุมหาราชิกาคือยักษ์เขี้ยวยาวตาโปน แล้วก็ดีใจที่มีอำนาจแย่งเขาได้ เพราะแย่งเขาได้ก็ยินดีเป็นภาษาเรียกว่าเทวดาแต่เนื้อแท้ก็คือสัตว์นรก เพราะฉะนั้นสัตว์นรกก็อยู่ในสวรรค์ 6 ชั้นนี่แหละ ตัวสัตว์นรกแท้ก็คือจตุมหาราชิกา คุณไม่ได้ต้องการนรกนะแต่ทำไมคุณได้นรกละก็เพราะว่าคุณทำผิด คุณไปทำชั่ว ไม่ได้ทำดี การทำดีที่จะไม่ได้นรกก็คือต้องทำดีแบบล้างภพชาติ หากไม่ได้หวัง 4 อย่างนั้นจะได้ดาวดึงส์ แต่ถ้าไม่เลิกชั้นที่หนึ่งได้ชั้นที่สองก็ยิ่งซับซ้อนไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่เลิกจะบอกว่าคุณไม่มีได้อย่างไร มันมีแต่ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นต้องทำเบื้องต้นก่อน

ลักษณะที่จะไม่มีเบื้องต้นคุณจะตัดจบเลยไม่ได้

จบ..


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:20:10 )

590822

รายละเอียด

590822_โอวาทประชุมชุมชนปฐมอโศก

อาตมาเห็นพัฒนาการของพวกเรา ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แม้แต่ลูกมะระนี่ (บนโต๊ะ) สมัยอาตมากินแกงจืดมะระยุคโน้นไม่ได้ลูกโตอย่างนี้เลย อีกหน่อยมีเจ้าเจ๋งช่วยจะใหญ่กว่านี้ คะน้าเราต้นโตใบใหญ่กรอบด้วย เป็นการพัฒนากาย วจี มีมโนเป็นประธาน

อาตมาทำงานมา 40 ปี เห็นด้วยมิเตอร์วัดด้วยอาตมาเอง มีปฏิกิริยาลูกโซ่ไปในประเทศด้วย มีการยอมรับจากเดิมที่ปักมั่นยึดมั่นแบบผิดๆมิจฉาทิฏฐิ  แต่ก็ถูกสัจจะที่เรายืนยันนี้ทำให้แปรเปลี่ยนได้พอสมควร ยอมรับว่ายากมาก แต่เป็นได้ เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ

อาตมายิ่งมั่นใจว่าพยากรณ์ไทยว่าเป็นชมพูทวีป เป็นประเทศที่จะมีทฤษฎีพฤติกรรมจริงที่เกิดจากปชต.แบบพุทธ

การที่ยอมรับความผิดของตนเองเห็นความผิดตนเองจริง แล้วก็แก้ไข นั่นคือจุดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่ที่สูงสู่โลกุตระ หากเราไม่กล้ายอมรับไม่กล้าเปลี่ยนแปลงหรือบางคนกล้ายอมรับเฉพาะตนเอง แต่ไม่กล้ายอมรับเฉพาะคนอื่นก็ไม่เป็นไร แต่มันจะช้า เพราะไม่มีมิตรดีคอยสัลเลขธรรม เพราะคนอื่นไม่รู้ด้วยกับเรา เราไม่เปิดเผยก็ทำตนเองก็จะยากจะช้า แต่ถ้าคนอื่นจะช่วยด้วยบางสิ่งควรเปิดเผย เพื่อนจะได้ช่วยจะได้เร็วขึ้น แต่บางอย่างเห็นใจว่า หนักหนาไม่กล้าเปิดเผย แต่มันจะช้าเรา บางทีไม่บรรลุด้วย โดยเฉพาะเรามีองค์ประกอบมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีทุกระดับด้วย ตั้งแต่โพธิสัตว์ไล่เรียงลงมา เป็นของจริง

กระแสด้านการเมืองเศรษฐกิจสังคมตอนนี้ ก็เปลี่ยนแปลง เรื่องการศึกษานี้สำคัญ ขณะนี้ดร.ที่จบจากสถาบันศาสนาเขายังไม่ยอมรับเท่าไหร่ เขาก็ว่าปริญญาจากมจร.หรือมมร.เขาก็บอกว่าเท่ากับราชภัฏเท่านั้น แต่ในความเป็นเนื้อหานั้นอโศกเราได้รับรองไปทางธรรม แต่เนื้อแท้เป็นธรรมะอโศกนะ ที่พวกเราไปได้ปริญญาทางมจร.มมร. เปลือกคือดร.ของเขา แต่ก็เป็นเครื่องเชื่อม แต่เนื้อเป็นของเรา เราก็จะไปแสดงเผยแพร่เปิดเผยความจริงจากตัวจริงที่เราเป็นเรามี เรียกภาษาเดียวกัน แต่ของเราเป็นสมาธิแบบเรา ของเขาก็ว่าสมาธิแบบเขา หรือวิมุติก็อย่างเราไม่ใช่อย่างเขา เป็นต้น พยัญชนะเดียวกัน

คำว่าวิมุติ ของอโศก ของผู้มีปริญญาของอโศกอธิบายแสดงความจริง ยิ่งใครมีวิมุติของจริงก็แสดงเลยเป็นส่ิงยืนยันเปรียบเทียบกับของเขา จะเห็นความต่าง ลิงค ชัดเจน คนมีปัญญาจะเห็น

ตอนนี้เขาก็เละเป็นขี้เลย เราไม่จำเป็นต้องไปอวดตน แต่ไปแจ้งความจริงของเราตามกาละที่ควร ควรยืนยันว่าเราเป็นอย่างนี้ๆก็ทำ แต่ถ้าไม่ถึงกาละก็ไม่ควรทำ ไม่ต้องไปแทรกของเราไป ตอนนี้ถึงกาละก็ต้องเปิดเผย เพราะว่าถึงยุคต้องเปิดเผยธรรมะ แต่ก่อนนี้ธรรมะเปิดเผยไม่ได้บอกไม่ได้อย่ามาอวดดี พวกกระแสหรือรังสีพลังงานทางโลกีย์ ความต่ำมันคลุมไว้หมดเป็นพลังงานสนามแม่เหล็กที่กดไว้หมด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว พลังงานโลกุตระมันกำลังมีพลังเพิ่มขึ้นๆ

ในอนาคตต่อไป แม้การเมืองตั้งพรรค การเมืองต้องมีธรรมะอะไร อย่างกรณีพรรคพลังประชาชนปฏิรูป ของคุณไพบูลย์ ที่ได้หยาดน้ำใจทองคำไป อาตมาให้ไป 4 คน คนหนึ่งก็ให้ป้าส้มจีน ให้ไปอันแรกเลย เป็นกตัญญูกตเวทีเหมือนแม่เลี้ยงดูเรามา อันที่สองก็ให้คุณจำลอง อันที่สามให้อ.วิชา อันที่สี่ก็ให้คุณไพบูลย์ อาตมาก็ไม่ได้ให้ใครง่ายๆ ก็คิดว่า มันกำลังราบรื่นเจริญพัฒนาไปดีเลยทีเดียวเท่าที่ดูกระแส

แม้ทางด้านเศรษฐกิจก็ยังไม่ชัด เศรษฐกิจที่เราทำนี่ไม่มีในตำราไหนของโลก ของเราเศรษฐกิจบุญนิยม บุคคลต้องเข้าหาสูญ แต่เขาก็จะว่า คนไม่มีเงินให้ส่วนตัวจะอยู่ได้อย่างไร เขาก็คิดยากมาก คนมีรายได้ 0 ก็ไม่รู้จะบวกลบคูณหารอย่างไร แต่ที่จริงคิดได้ดีด้วย เช่น คนนี้หักออกไปส่วนตัว 10,000 หรือคนนี้ไม่เอาเลย 10,000 ก็จะมี 2 ข้าง ให้คิดเปรียบเทียบได้ นอกจากว่าเวลาไม่เท่ากัน

มั่นใจว่าสาธารณโภคีจะเป็นกองกลางของทรัพย์กองกลางจะมีมากที่สุด แต่จะไม่มีมากเหมือนกับทุนนิยม ที่กอบโกยเอามาไว้ถ่ายเดียว แต่โลกุตระนั้นไม่ได้กอบโกยแต่จะสะพัดออกไปให้มากที่สุดไม่มีเจตนาจะกอบโกยเอาไว้ส่วนตัว ตัวแปรที่ชัดเจนก็คือบุคคลที่มีสมรรถนะมีความสร้างสรรค์มีค่าแรงงาน แต่เขาไม่เอาสัก 1 บาท

ตอนนี้ demand ความต้องการคนประเสริฐนั้นสูง คนรู้มากขึ้นเขาก็ยิ่งต้องการ ต้องการคุณธรรมอันนี้ ราคาค่าก็จะสูงตามไปด้วย เป็นสัจจะซับซ้อน จงดีใจเถิดพากเพียรเถิดสักวันหนึ่งเขาจะยอมรับอโศกอย่างสง่า

เดือนหน้าประชุม 26 ก.ย. 59

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:20:39 )

590823

รายละเอียด

590823_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ แยกกายแยกจิตก่อนตาย

จะอธิบายแยกกายแยกจิต

พระพุทธเจ้าท่านสอนมูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นกาย

เป็นองค์ประชุมของรูปนาม มีทั้งนอกและใน เป็นอาการ 32 แล้วต่อเชื่อมกับจิตวิญญาณ

ยกตัวอย่างเล็บ มีองค์ประชุมเรียกว่า กาย มีจิตกับภายนอก ภายนอกมีดินน้ำไฟลม รวมเป็นอุตุนิยาม

จิตนิยามนั้นเวไนยสัตว์ถึงเรียนรู้กรรมได้ อเวไนยสัตว์เรียนรู้กรรมไม่ได้

ดินน้ำไฟลมเป็นธาตุแท้ๆที่ไม่มีชีวะ เป็นอุตุนิยามแท้

พีชนิยาม เริ่มมีชีวะ มีสัญญามีสังขาร แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ชอบหรือชังอะไร มีแต่สัญญากับสังขาร สัญญากำหนดรู้ว่าอันนี้จะเอาก็เอาอย่างเดียว เอามาใส่ตัวเอง

มันมี ish คือ มีตัวเราแล้วอีกสองพลังงาน คืออิตถีภาวะและปุริสภาวะ ธอ

คือมีสามเส้า ตัวเรา(i)กับเธอ(she)และเขา(he ) สับขารกันอยู่ เป็น พีชะก็จะเอาตามสัญญากำหนดรู้มา สังขารปรุงแต่งตนเอง เกิดแล้วก็ตั้งอยู่แล้วเสื่อม ไม่มีกรรม ไม่มีความรู้สึกชอบหรือชัง จะต้องไปมีปฏิกิริยากับอย่างอื่น ไม่ใช่ คุณไปฟันโค่นต้นไม้ มันก็ไม่จองเวรคุณ

พอเริ่มต้นยึดตัวตนเป็นสัตว์ขึ้นมาแล้ว มีตัวตนอัตตาจะเป็น self แต่ self นี้จะมี ish ต่อเป็น selfish เป็นความเห็นแก่ตัว เริ่มต้นจากเซลล์เดียวที่มีselfish และก็เป็น

อเวไนยสัตว์มาก่อน จนกว่าจะเป็น เวไนยสัตว์ ซึ่งต้องเป็นคนเท่านั้น จะเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ เพราะองค์ประกอบไม่ครบ

กายนี้ต้องมี *ผัสสะ   มีผัสสะแล้วก็ต้อง อ่านอาการจิต เช่นตัวอย่างจากเล็บ

ถ้าตัดเล็บออกจะไม่เจ็บ เล็บข้างนอกไม่มีประสาทรับรู้สึก ชิ้นส่วนที่ตัดออกมาแล้ว อันนี้ไม่ใช่กายของเรา รู้สึกไม่ได้ ไม่ต้องไปศึกษามัน

เล็บที่งอกยาวออกมาจากฐานเล็บก็ไม่มีความรู้สึก แต่มันมีชีวะนะ ยังโตได้ เสื่อมได้ แต่ไม่มีเวทนา ยังไม่ได้ตัดออกจากร่างกายเรา ยังเป็นชีวะ แต่ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนาจึงไม่ใช่กาย ถ้าตัดออกไปก็ไม่ใช่กายแน่ แต่แม้ติดกับร่างเราแต่ไม่รู้สึกก็ไม่ใช่กาย มันเป็นพีชะ ไม่มีเวทนา มีแต่สัญญากับสังขาร

เราจะศึกษากาย จิตได้จากมูลกรรมฐาน

เมื่อตัดออกไป ไม่เป็นชีวะไม่ใช่กาย แต่ถ้าติดกับร่าง เป็นชีวะแต่ไม่ใช่กาย คนไทยเราคำว่ากายนี้คนไทยสอบตก เพราะแยเขาก็คิดว่าเล็บที่ติดเราคือกาย ผมที่ติดหัวอยู่คือกาย นักปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้กำหนดรู้คำว่ากายให้ถูกต้อง ก็ไปปฏิบัติแต่ภายนอก ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ ไม่ได้อ่านจิตเลย

อยู่ในตัวเรานี่เป็นกายก็มีไม่ใช่กายก็มี ส่วนที่ไม่รู้สึกคือไม่ใช่กาย เป็นพีชะ ไม่ใช่จิต แต่คนไปยึดเป็นเราเป็นของเรา ใครมาตัดผมเราเราก็จะฆ่าเขาเลย ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา นี่ดร.มิ่งหมาย ก็ตัดผมจะเอาอย่างพิมพ์เพชรรุ้ง พอตัดออกก็รู้สึกวาบๆ หายหรือยัง?

การจะยึดว่าเล็บเป็นเราเป็นของเรายังหยาบมาก

เป็นกายที่ห่างจากจิตมาก หรือไม่ใช่กายด้วยยังไปยึดเป็นเราเป็นของเราอีก เล็บส่วนที่ติดกับเส้นประสาท ตัดเข้าไปก็เจ็บ ส่วนนั้นแหละคือกาย หรือผิวหนังที่รู้สึกเจ็บก็คือกาย แต่ผิวหนังที่ไม่รู้สึกเจ็บขูดออกได้ก็ไม่ใช่กาย ฟันส่วนที่กรอออกไปได้ไม่เจ็บก็ไม่ใช่กาย ส่วนฟันที่มีรากประสาทหมอฟันกรอไปถึงเจ็บก็คือกาย

ส่วนนอกเหนือจากผมขนฟันเล็บผิวหนัง อยู่ข้างในก็คือกายของเราทั้งสิ้น มีอาการรับรู้ได้ทั้งหมด เป็นอาการ 32-5= 27 อวัยวะ

 มันมีอีกสองอัน คืออุจจาระกับปัสสาวะ (อาหารใหม่อาหารเก่า)

อาหารใหม่ ก็จะปรุงแต่งเป็นชีวะ

แต่อาหารเก่าที่ทิ้งออกมาไม่ปรุงแต่งต่อแล้วเป็นปัสสาวะอุจจาระหรือเสลด เลือดน้ำหนอง

เลือดของผู้หญิงที่เป็นเมนส์พระพุทธเจ้าเรียกภาษาบาลีว่า เลือดระดู เมนส์นี้ไม่ใช่ชีวะ คำว่าระตูหรือระดูนี้เป็นบาลี

 ระดูของผู้หญิงไม่ใช่กาย เพราะหมดชีวะแล้ว คือเลือดเสียที่ไม่ก่อชีวะอีกแล้ว menstruation หรือระดู มันเป็นเลือดที่ ถ้าเป็นชีวะจะรวมเป็นก้อนเลือดที่จะผสมเป็นชีวะ แต่พอไม่ได้ผสมตกเป็นเลือดระดูมันไม่ใช่ชีวะแล้วไม่ใช่กาย

ระดูของผู้หญิงจึงไม่ใช่กาย เป็นอุตุ

 ส่วนเลือดในเส้นเลือดหรือในร่างกายเราเป็นชีวะอยู่นะ ไม่ใช่อุตุ

 ที่จริงเลือดที่เป็นระดูนี้ไม่ใช่เลือดเสีย แต่เป็นเลือดที่ไม่มีโอกาสเป็นชีวะก็เลยขับทิ้งออกมา

เป็นเลือดที่จะทำให้ไข่นี้ผสมกับเชื้อ ได้ Zygote เป็นตัวอ่อน กลละแล้ว นอกนั้นก็จะสลายออกมาหมด เป็นเมนส์ อันนี้คืออุตุหรือระดู

คนที่เรียนรู้ปฏิบัติธรรมจะพิจารณากายในกาย ถ้าเข้าใจไม่ได้เข้าใจผิดก็หมดสิทธิ์ที่จะได้บรรลุธรรม เพราะไปเข้าใจกายว่าเป็น อุตุนิยามหมดเลย

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85599

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfaTdsaWFGY0sxR00

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1h1kopfuryox/160823

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:21:06 )

590823

รายละเอียด

590823_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ แยกกายแยกจิตก่อนตาย

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 เราจะมาฟังธรรมกัน ยังฟังธรรมได้ยังไม่ตายก็มาฟังธรรม

ในผู้ที่บรรลุแล้ว อย่างพระอรหันต์ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่เบื่อหน่ายในการฟังธรรม ท่านบรรลุธรรมแล้วแต่ไม่เบื่อหน่ายในการฟังธรรม

 เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมาฟังธรรมกันเสมอ มันไม่เสียหายอะไรเลย การที่จะไปฟังอะไรบ้าๆบอๆก็ฟังกันมานักต่อนัก สู้ฟังธรรมะไม่ได้ชีวิตมันจะดีเจริญกว่า

ก่อนอื่นก็มีข่าวมรณัสสติ คือ อาเม คุณแม่ของ คุณพัชรี ตุลาบดี

ญาติธรรมอ.ปากช่อง เสียชีวิตแล้วเช้านี้เวลา 5.55น.กำหนดตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ.มูลนิธิสว่างวิชชา ธรรมสถาน อ.ปากช่อง  จ.นครราชสีมา

และรายต่อมาคือคุณเทียนพุทธเสียชีวิตวันนี้ 09.00 น. เทียนพุทธเป็นผอ.FMTV คนแรก ตอนมาเป็นผอ.FMTV ก็เป็นมะเร็งมาแล้ว เป็นมะเร็งมา 17 -18 ปี มะเร็งต่อมลูกหมากก่อนจะเสียชีวิต เราเรียกว่าแมว 10 ชีวิต สุดท้ายไม่ฟื้น เสียชีวิตเมื่อเช้า เก้าโมงเช้า

 คุณเทียนพุทธ พุทธิพงษ์อโศก (อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ FMTV คนแรกและคนเดียว )เสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง จ.อุบลราชธานี สิริอายุ  64 ปี  สรีระร่างตั้งอยู่ที่ เฮือนศูนย์สูญ พุทธสถานราชธานีอโศก กำหนดฌาปนกิจศพ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2559 เวลา 14.00 น. ณ เฮือนสุดชีวิต ราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี

SMS 22 AUG 59

0833208xxx วิมุติปัญญา เป็นปัญญา อันทำให้เกิดภาวะหลุดพ้นตัดไปจากเครื่องร้อยรัดติดตรึงจากอารมณ์ทั้ง 6 ตัดความยึดมั่นถือมั่นได้เด็ดขาด

 นั่งสมาธิหลับตาจึงเป็นการเบี่ยงเบน เพื่อตัดอายตนะภายนอกให้พ้นไปจากรูปกิเลสนั้น แต่ "จิต" ยังติดพันอยู่จึงตัดไม่ขาด

ตอบ...ไปนั่งหลับตาไม่มีทางบรรลุธรรม *สายศรัทธา*  ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย(คือต้องมีกายสักขี) จึงจะบรรลุอรหันต์ได้ 

ในวิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คือ มีสิ่งจริงให้สัมผัส

สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า รูป สิ่งที่ไปรู้เรียกว่า นาม

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) (*พ่อครูแปล อรูปสัญญี* ว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

0890015xxx จะตั้งจิตใหม่ในทานเดิม มีผลหรือไม่

ตอบ....คุณตั้งจิตใหม่ก็หมายถึงว่า คุณจะต้องจำได้ว่าเคยทำใจอย่างไร แต่ผ่านไปแล้วจิตมันเกิดไปแล้ว พลาดไปแล้วก็พลาดไป ได้ผลหรือไม่ได้ผลก็คือได้แล้ว ทานที่จบไปแล้วในทินนัง (ทานที่เสร็จแล้ว) ถ้าเป็นนัตถิทินนัง ก็ตรวจดูว่าได้ผลหรือไม่ เรายังหวัง สั่งสม ผูกพันหรือให้ได้เสวยในชาติต่อไปอีกหรือไม่? ยิ่งไปกันใหญ่

คำว่า *เตวิชโช * ป็นการตรวจสอบของจริงที่คุณผ่านไปแล้ว ยิ่งเตวิชโชไปนั่งนึกในภพอ่านจิตเกิดดับ ที่เคยผ่านไปแล้ว เป็นแต่เพียงศึกษาตรวจสอบ ไม่ใช่ภาคปฏิบัตินะ

ที่ถามมานี่ผลใหม่ จะเกิดจากเตวิชโชไม่ได้ ซึ่งเตวิชโชจะเป็นแต่เพียงความรู้

0893867xxx นมัสกรา พ่อครูฯ สณ.สม.จรธ.อ .ดร.ฯญตธ.ปฐมอโศก

ธรรมะเรื่องภพชาติทางนามธรรมที่อยู่กับจิตวิญญาณอันสุข คือ สวรรค์!อันทุกข์ร้ายคือนรก! ถ้าผู้น้อยเข้าใจผิดโปรดชี้แนะ?

0833208xxx การบำเพ็ญธรรมติดอยู่ที่รูปแบบ มิได้ไปค้นคว้าปฏิบัติที่"จิต"ให้ถูกต้อง ความฟั่นเฟือนผิดเพี้ยนจึงเกิดขึ้นมากมาย ผู้บำเพ็ญปฏิบัติจึงเดินผิดหนทางไปตามที่อาจารย์ต่างๆได้กำหนดแบบและเหมาเอาว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้

ตอบ...ต้องอ่านให้ถูก จิต เจตสิกจริงๆ โดยอ่านจาก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

ซึ่งมันไม่มีเส้นแสงสีเสียงตัวตนอะไร ?มันมีแต่ อาการไหว

*ยกตัวอย่าง หากเกิดอาการโกรธ *มันเกิดภายใน อาการ เศร้าใจ ทุกข์ใจสุขใจ หรือเวทนา ที่เกิดจาก สัมผัส พระพุทธเจ้าให้อ่าน อาการความรู้สึกต่างๆ คือเวทนา

*กรรมฐานของศาสนาพุทธ คือให้ปฏิบัติเวทนาในเวทนา *

หากใครจัดการ ตัว เวทนาในเวทนาได้ คนนั้นมีหวังแล้ว(ปฏิบัติถูกทาง)

โดย ทำธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

เราก็จะทำให้เกิดเนกขัมมสิตเวทนา อย่างเดียว. อย่าให้มีเคหสิตเวทนาอีก

แม้เนกขัมฯก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ ระดับหยาบ กลาง ละเอียด เป็นฌาน 1 2 3 4 แล้วยังทำให้เวทนาเนกขัมสิตอุเบกขา ถ้าทำให้แข็งแรงตั้งมั่นสั่งสม ในเวทนา 108 เกิดทางทวาร 6 เป็นสุขทุกข์อุเบกขา (ภายในก็เป็น โสมนัส โทมนัส อุเบกขา)ให้เป็นอุเบกขาที่เป็นสมาหิตัง

0890015xxx หลักเกณฑ์กำหนดอาวาสสถานมีอะไรบ้าง /

ตอบ….1.ต้องมีสถานที่เป็นส่วนกลาง(นิตินัย)ขององค์กรชาวอโศก 2.มีสมาชิกชาวอโศกอยู่ในสถานที่นั้น เป็นประจำ มีมวลพอสมควร ไม่กำหนดตายตัวต้องพอสมควร อย่างน้อย 10 คน หรือจรไปจรมาเป็น 20 30 เป็นต้น 3.มีภาคปฏิบัติ แล้วฝึกฝนปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ให้ถูกมรรคผล แม้ไม่มีสมณะประจำ แต่จรไปดูแล หรือไม่ถึงมี บ้าน วัด โรงเรียน ก็ตาม แต่ธรรมะต้องมี ไม่ถึงกับสังฆสถานหรือพุทธสถานที่มีสมณะไปจำพรรษาหรือแม้โรงเรียนก็ไม่มี แต่เอากิจกรรมกิจการแต่ละที่มีพอสมควร ก็พิจารณาตั้งไปแล้ว 9 อาวาสสถาน

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯบุญนิยมกับธรรมะ กามภพกามาวจร ทำให้รู้ถึง ความเป็นภพที่เกิดฤาชาติกเขตตะ!หยั่งรู้ถึงความเป็นชาติสัมภวะจนถึงความเกิดตัวตนฤาชาตัตตะ!สาธุ

ตอบ...จะต้องรู้จักชาติสัมภวหรือหทยรูป ที่จะต้องปฏิบัติตรงนี้ จนถึงการเกิดตัวตน เป็นชาตัตตะ เป็นตัวตนของการเกิด ทีนี้ตัวตนของการเกิด คำว่าอัตตานี้เป็นคำกลางๆ ถ้าเราอยู่เหนืออัตตาแล้วอัตตาเป็นเครื่องอาศัย ถ้าไม่อยู่เหนืออัตตา อัตตาก็ขี่หัวเราเป็นนายเรา ถ้าเราบรรลุอัตตาคือองค์รวมความเป็นเราเป็นของเรา ชาตัตตะ คือความเกิดในอัตตาของเรา ถ้าเป็นอรหันต์ก็คุมการเกิดได้ ถ้าไม่หมดกิเลสก็ถูกอัตตาเล่นงาน

0893867xxx ธรรมะเรื่อง ความหวังของพ่อครู ตรงกับธรรมะของท่านพุทธทาส ความหวังเป็นเครื่องทรมานใจ มิใช่เป็นเครื่องบำรุงจิต ดังที่คนเขาคิดกันและสอนให้อยู่ด้วยความหวัง!อันตรายที่สุดคือการคาดหวัง!พุทธมังสะฯ

ตอบ… “ความหวังมิใช่เครื่องบำรุงจิตแต่เป็นเครื่องทรมานใจ” ...พ่อครู 23 ส.ค. 59

ไปคาดหวังโครงการนี้จะได้อย่างนั้นอย่างนี้ พอไม่ได้มาก็ตกนรก

พอได้มาก็ดีใจขึ้นสวรรค์แล้วก็หายไป ก็อยากใหม่ ไปหาอันใหม่มาบำเรออีก ก็เป็นอาคามีคือผู้ยังวนเวียนกลับมา จนกว่าจะไม่เวียนกลับเรียกว่าอนาคามี

 

_จากไลน์ sayan กราบนมัสการพ่อท่านพ่อท่านจะไปเยี่ยมชาวนาแรงรักเมื่อไรคะข้าวกำลังงามอย่ากให้พ่อท่านเห็นเป็นกำลังใจชาวนาค่ะ

ตอบ...ก็ขอผลัดไปก่อน นาแรงรักตอนนี้ก็เจริญงอกงามแต่เดิมมีแต่หินเยอะ เราก็ไปทำจนเกิดผลผลิต ท่านเสียงศีลไปบุกเบิก จนขรก.การเกษตรต้องไปดูงานขอศึกษาว่าทำได้อย่างไร?

 

_ปิ๋ม สวีเดน ถาม...เมื่อกระทบผัสสะ เจตสิกคือตัวที่เกิดก่อนจิต คือตัวที่ละเอียดกว่าจิต ใช่ไหมคะ  ตามที่ดิฉันเข้าใจจากตัวอย่าง ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่พ่อท่านยกในการเทศน์ที่สันติเมื่อวันที่ 20ส.ค.

ตอบ... ความรู้สึกองค์รวมคือจิต พอสัมผัสแล้วตัวเกิด อาการคือเจตสิก ตัวที่ละเอียดกว่าจิตคือเจตสิกก็ถูกต้อง

 

SMS 20 AUG 59

_0833208xxx ผู้ที่ติดยึดอยู่ในตัวตนและความมี ความเป็นคือเขาพระสุเมรุ ใจที่สามานย์ต่ำช้าได้แก่มหาสมุทร มีกิเลสเป็นระลอกคลื่น มีความชั่วเป็นเช่นมังกรร้าย ความเท็จคือผีห่า อารมณ์ภายนอกเป็นเช่นสัตว์น้ำต่างๆ ความโลภและโกรธคือนรกโลกันต์ อวิชชาและความมัวเมาทั้งปวงคือสัตว์เดรัจฉานทั่วไป  อายตนะหกเป็นเหตุให้เกิดสัมผัส แล้วเกิดอารมณ์ แล้วเกิดความอยากหรือตัณหา แล้วเกิดความยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปทานจึงเป็นเหตุให้เกิดภพเกิดชาติเวียนวนในทะเลทุกข์ไม่สิ้นสุด อารมณ์ของกามภพคือรักเกลียดโกรธหลง อารมณ์ของรูปภพคือติดอยู่ในรูปลักษณ์ทั้งรูปธรรมนามธรรม นั่งหลับตาสมาธิมักมีภาพนิมิตให้หลงใหลจึงติดร่างแหแห่งความงมงายไปเสียแล้ว อย่าปล่อยให้ใจคดเคี้ยวไปมาอย่าประพฤติความตรงแน่วเพียงริมฝีปาก คนที่งมงายอยู่ภายใต้อวิชชาย่อมเชื่ออย่างดื้อดึง เขาจึงรั้นที่จะแปลเอาตามชอบใจของตัวเอง ยังมีคนโง่เขลาอีกจำพวกหนึ่งชอบนั่งนิ่งๆเงียบๆและพยายามทำจิตของตนให้ว่างโดยไม่คิดถึงสิ่งใดๆ ทั้งหมดแล้วก็เรียกตนเองว่า"มหา"คนเหล่านี้มีความเห็นนอกลู่นอกทาง ก็เป็นการยากที่จะกล่าวถึงพวกเขาว่าเป็นอย่างไรถึงจะถูกตรงได้

0839827xxx กุศลคือต้นทางขัดกิเลส(สัลเลขะ)ก่อเกิดเป็นบุญเหมือนมรรคก่อเป็นผล

0893867xxx น้อมจิตนำปรัชญาพอเพียงตามรอยพ่อหลวงฯน้อมใจนำทางสายกลางตามคำพระแม่เจ้าฯด้วยธรรมะ อัปปิจฉะ มัชฌิมาปฏิปทาที่พ่อครูพาทำด้วยธรรมะพระพุทธเจ้าเสริมส่ง พระบารมีแผ่ไพศาลคุ้มแผ่นดินสุขร่มเย็นสาธุ

0805925xxx ปฏิบัติธรรมสำคัญที่สุด จับจิตเวทนาให้รู้ทันแมนบ่พ่อ?

ตอบ...ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เวทนาถึงแจกถึง 108 ผู้ไปปฏิบัติหลับตาไม่มีผัสสะ จึงปิดประตูเป็นอรหันต์

0893867xxx คนอื่นเขาแข่งกันตั้งพรรคโปรยยาหอมปรนเปรอฐานเสียง เตรียมคืนสู่อำนาจลาภยศ อันมั่งคั่ง!แต่ตัวเองแข่งกับ อวิชชาสู้กับกิเลสหวังคืนสู่นิพพาน!บั้นปลายสะเก็ดปท .ขี้ฝุ่นเล็กๆสู่ละอองโลกอณู1คืนธาตุรู้ธาตุเดิมธาตุเดียว

ตอบ...สายมหายานชอบใช้คำว่าจิตเดิม จิตเดิมมีอวิชชามาทั้งนั้น เพราะกว่าจะพัฒนาจากสัตว์มาเป็นคนก็สะสมอวิชชามาแล้ว (ปองเอี้ยมร้องไห้ พ่อครูบอกว่าจิตเดิมแท้เลย)   สรุป คือจิตเดิมแท้ ไม่มีที่ปราศจากอวิชชา

 

จะอธิบายแยกกายแยกจิต

 

พระพุทธเจ้าท่านสอน มูลกรรมฐาน 5  ได้แก่ ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นรูปนามเป็นกาย เป็นองค์ประชุมของรูปนาม มีทั้งนอกและใน เป็นอาการ 32 แล้วต่อเชื่อมกับจิตวิญญาณ

ยกตัวอย่างเล็บ มีองค์ประชุมเรียกว่า กาย มีจิต กับภายนอก

ภายนอกมี ดินน้ำไฟลม รวมเป็นอุตุนิยาม

จิตนิยามนั้นเวไนยสัตว์ถึงเรียนรู้กรรมได้

 อเวไนยสัตว์เรียนรู้กรรมไม่ได้

ดินน้ำไฟลม เป็นธาตุแท้ๆที่ไม่มีชีวะ เป็นอุตุนิยามแท้ๆ

พีชนิยาม เริ่มมีชีวะ มีสัญญามีสังขาร แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ชอบหรือชังอะไร มีแต่สัญญากับสังขาร สัญญากำหนดรู้ว่าอันนี้จะเอาก็เอาอย่างเดียว เอามาใส่ตัวเอง มันมี ish

เมื่อมีตัวเราแล้ว บวกกับอีกสองพลังงาน คืออิตถีภาวะและปุริสภาวะ คือมีสามเส้า ตัวเรากับเขาและเธอสังขารกันอยู่เป็น พีชะก็จะเอาตามสัญญากำหนดรู้มาสังขารปรุงแต่งตนเอง เกิดแล้วก็ตั้งอยู่แล้วเสื่อม ไม่มีกรรม ไม่มีความรู้สึกชอบหรือชัง จะต้องไปมีปฏิกิริยากับอย่างอื่นไม่ใช่ คุณไปฟันโค่นต้นไม้ มันก็ไม่จองเวรคุณ

*พอเริ่มต้นยึดตัวตนเป็นสัตว์ขึ้นมาแล้ว มีตัวตนอัตตาจะเป็น self

แต่ self นี้จะมี ish ต่อเป็น selfish เป็นความเห็นแก่ตัว เริ่มต้นจากเซลล์เดียวที่มีselfish  นี่แหละ ก็เป็นอเวไนยสัตว์มาก่อน จนกว่าจะเป็นเวไนยสัตว์ ซึ่งต้องเป็นคนเท่านั้นจะเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ได้เพราะองค์ประกอบไม่ครบ

**กายนี้ต้องมีผัสสะ มีผัสสะแล้วก็ต้องอ่าน อาการจิต จากเล็บ

ถ้าตัดเล็บออกจะไม่เจ็บ เล็บข้างนอกไม่มีประสาทรับรู้สึก ชิ้นส่วนที่ตัดออกมาแล้ว อันนี้ไม่ใช่กายของเรา รู้สึกไม่ได้ ไม่ต้องไปศึกษามัน

เล็บที่งอกยาวออกมาจากฐานเล็บ ก็ไม่มีความรู้สึก

แต่มันมีชีวะนะ ยังโตได้ เสื่อมได้ แต่ไม่มีเวทนา ยังไม่ได้ตัดออกจากร่างกายเรา ยังเป็นชีวะ แต่ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนาจึงไม่ใช่กาย ถ้าตัดออกไปก็ไม่ใช่กายแน่ แต่แม้ติดกับร่างเรา แต่ไม่มีรู้สึก ก็ไม่ใช่กาย มันเป็นพีชะ ไม่มีเวทนา มีแต่สัญญากับสังขาร

*เราจะศึกษากาย จิต ได้จากมูลกรรมฐาน *

เมื่อตัดออกไป ไม่เป็นชีวะไม่ใช่กาย

แต่ถ้าติดกับร่าง เป็นชีวะ แต่ก็ไม่ใช่กาย

คนไทยเราคำว่ากายนี้คนไทยสอบตก เพราะแยกกายออกไปจากจิต

**เขาก็คิดว่าเล็บที่ติดเราคือกาย ผมที่ติดหัวอยู่คือกาย

นักปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้ กำหนดรู้ คำว่ากายให้ถูกต้อง ก็ไปปฏิบัติแต่ภายนอก ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ ไม่ได้อ่านจิตเลย

*สิ่งที่อยู่ในตัวเรานี่ เป็นกายก็มี ไม่ใช่กายก็มี *

ส่วนที่ไม่รู้สึกคือไม่ใช่กาย เป็นพีชะ ไม่ใช่จิต

แต่คนก็ไปยึด เป็นเราเป็นของเรา เช่น คนที่รักผมใครมาตัดผมเรา เราก็อยากจะฆ่าเขาเลย ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา นี่ดร.มิ่งหมาย ก็ตัดผมจะเอาอย่างพิมพ์เพชรรุ้ง พอตัดออกก็รู้สึกวาบๆ หายหรือยัง?

การจะยึดว่าเล็บเป็นเรา เป็นของเรานั้นยังหยาบมาก จิตยังไม่ยึดเป็นเรา

ส่วนเล็บเป็นกายที่ห่างจากจิตมาก หรือไม่ใช่กายด้วยยังไปยึดเป็นเราเป็นของเราอีก

*เล็บส่วนที่ติดกับเส้นประสาท ตัดเข้าไปก็เจ็บ ส่วนนั้นแหละคือกาย

หรือผิวหนังที่รู้สึกเจ็บก็คือกาย แต่ผิวหนังที่ไม่รู้สึกเจ็บขูดออกได้ก็ไม่ใช่กาย ฟันส่วนที่กรอออกไปได้ไม่เจ็บก็ไม่ใช่กาย

ส่วนฟันที่มีรากประสาทหมอฟันกรอไปถึง แล้วเจ็บก็คือกาย (ประสาท)*

ส่วนอวัยวะอื่นนอกเหนือจาก ผมขนฟันเล็บผิวหนัง ที่อยู่ข้างในก็คือ กายของเราทั้งสิ้น มีอาการรับรู้ได้ทั้งหมด เป็นอาการ 32-5= 27 อวัยวะ

มันมีอีกสองอัน คืออุจจาระกับปัสสาวะ (อาหารใหม่อาหารเก่า)

 อาหารใหม่ ก็จะปรุงแต่งเป็นชีวะเป็นพลังงาน

แต่อาหารเก่า ที่ทิ้งออกมาไม่ปรุงแต่งต่อแล้ว เป็นปัสสาวะ อุจจาระหรือเสลด เลือดน้ำหนอง เลือดของผู้หญิงที่เป็นเมนส์พระพุทธเจ้าเรียกภาษาบาลีว่า เลือดระดู เมนส์นี้ไม่ใช่ชีวะ

 คำว่าระตูหรือระดูนี้เป็นบาลี ระดูของผู้หญิงไม่ใช่กาย เพราะหมดชีวะแล้ว

 คือ เลือดเสียที่ไม่ก่อเกิดเป็นชีวะอีกแล้ว menstruation หรือระดู มันเป็นเลือดที่ ถ้าเป็นชีวะจะรวมเป็นก้อนเลือดที่จะถูกผสมเป็นชีวะ แต่พอไม่ได้ผสมตกเป็นเลือดระดูมันไม่ใช่ชีวะแล้วไม่ใช่กายแล้ว

ระดูของผู้หญิงจึงไม่ใช่กาย เป็นอุตุ ไม่มีโอกาสกลับไปเป็นชีวะอีกแล้ว

*ส่วนเลือดในเส้นเลือดหรือในร่างกายเราเป็นชีวะอยู่นะ* ไม่ใช่อุตุ ที่จริงเลือดที่เป็นระดูนี้ไม่ใช่เลือดเสีย แต่เป็นเลือดที่ไม่มีโอกาสเป็นชีวะก็เลยขับทิ้งออกมา

เป็นเลือดที่จะทำให้ไข่นี้ผสมกับเชื้อ ได้ Zygote เป็นตัวอ่อน( กลละ)แล้ว นอกนั้นก็จะสลายออกมาหมด เป็นเมนส์ อันนี้คืออุตุหรือระดู

คนที่เรียนรู้ปฏิบัติธรรม จะพิจารณา กายในกาย ถ้าเข้าใจไม่ได้เข้าใจผิด

ก็หมดสิทธิ์ที่จะได้บรรลุธรรม เพราะไปเข้าใจกายว่าเป็น อุตุนิยามหมดเลย อาจจะเคลื่อนไหว แต่ไม่มีความรู้สึก เขาไปอ่านที่ ร่าง ไม่ได้อ่านกาย อ่านจิต

เช่น ย่างหนอ แตะหนอ สัมผัสหนอ ก็ต้องรับรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็ง ไม่ใช่แค่ยกย่างเหยียบเท่านั้น

นี่คืออาจารย์ที่พลาดเป้า สร้างทฤษฎีให้ปฏิบัติผิด เสียเวลานานมาก

ซึ่ง ได้ผลเป็นแค่สติกำหนดรู้เท่านั้น

*แต่ไม่ได้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม  ไม่มีสติปัฏฐาน แต่มีสติตัวเดียว ไม่ต่อเนื่องแบบ กาย เวทนา จิต ธรรม

พระพุทธเจ้าว่าตถาคตเรียก กายว่าคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

คำว่า กายนอกกาย ก็คือสัมผัส 5 ทวาร ภายนอกสัมผัสแล้วไม่ได้ขาดกัน เชื่อมต่อไปภายในเป็นสันตติ continuum เป็นปัจจุบันธรรม อันนี้สัมผัสอยู่แต่คุณไม่ได้เพ่งภายนอกแต่เพ่งอ่านจิตภายใน พิจารณาเวทนาแล้วลึกเป็นเวทนาในเวทนา

เช่น

# เวทนา 2

(แบ่งเป็น 2 เวทนา  ได้แก่..)

-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ  (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)

-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ  (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).

#แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่.. 

สุขเวทนา

ทุกขเวทนา .  .

อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์  อุเบกขา).

#เวทนาทั้ง 5 ได้แก่

  1. สุขินทรีย์
  2. ทุกขินทรีย์
  3. โสมนัสสินทรีย์
  4. โทมนัสสินทรีย์
  5. อุเบกขินทรีย์

พระอรหันต์ จิตท่านจะอ่านอาการจิต(เจตสิก)ได้ไวเร็วรู้โดยเชิงปัญญา

 เชิงที่จะปรับให้มีหรือไม่มี ให้มากหรือน้อย ปรับได้ทุกขณะ เป็นผู้ควบคุมพลังงานในตนให้มี มุทุ ภูเต มีสมรรถนะของมุทุลึกซึ้ง ในปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา(คุณสมบัติของอุเบกขา)

 

1.      ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)

2.      ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.      มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) ทำได้เร็วไว ของใครจะเร็วขนาดไหนแล้วแต่บารมี เร็วไวหรือนานก็ได้หมด 

4.      กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ)  เป็นธาตุที่ทำงานได้วิเศษ เป็นงานอันเหมาะควร วิเศษขึ้นเรื่อยๆตามบารมี  เป็นความคล่องแคล่วของเวทนา สัญญา สังขาร หรือกายกัมมัญญตา คือองค์ประชุมรูปนามที่ทำอย่างรู้ (อัญญา คือรู้ยิ่งระดับโลกุตระ แต่ถ้า*อัญญาณ*นั้นคือโง่ไม่รู้)

5.      ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)  จะทำงานมากอย่างไรก็ยังผ่องใสสะอาดผ่องแผ้ว นอกจากสะอาดแล้วยังมีแสงสว่าง ไม่ใช่ใสอย่างธรรมกายที่ใสมืด วิมานใส (มโนมยอัตตา)

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

 

มาสู่เวทนา 108 อีก

# 6 เวทนา ได้แก่

 

  1. จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
  2. โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
  3. ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
  4. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
  5. กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
  6. มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

 

ที่จริงมีภาวะสัมผัส 5 คู่ *ใจนั้นมีอันเดียว *แต่ขาดใจไม่ได้ ต้องรวมเป็น 6 เพราะใจสำคัญกว่าทางทวาร 5 มีกามคุณ ถึงเรียกกามคุณ 5 ไม่เรียกว่ากามคุณ6

แต่เวลามีเวทนาเรียกว่าเวทนา 6 มีใจในใจด้วย เป็นสุข ทุกข์ โกรธ โลภได้

 

ต้องมี 6 นี้เรียกว่าอายตนะ 6

คำว่าอายตนะ กร่อนมาจากคำว่า ฉฬายตนะ คำว่า ฉฬ คือ 6 กร่อนมาเป็นฉลาด ทางอายตนะ แต่เดี๋ยวนี้คำว่าฉลาดไม่ได้รู้เท่าทันอายตนะ 6 นี้เลย ถ้ารู้เท่าทันก็จะรู้ว่าอะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล ต้องทำอกุศลให้ออก จะเป็นปัญญา หรือฉลาด แต่ถ้าทำไม่ได้เป็นเฉกา เป็นความฉลาดของคนไม่รู้จักอายตนะ ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้ลดละกิเลสอันนี้

ปัญญา พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ใน ล.14 ข.258

1.      ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา)

2.      ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.      ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง)

4.      ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค)

5.      ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น

6.      องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

ปัญญานั้นเป็นเจตสิกอันละเอียดไปเรื่อยๆ

 สติ

สัมปชัญญะ =  ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้

สัมปชานะ    =  รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ     =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ   =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)

สัมปฏิเวธะ         =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น

ปฏิสาเรสฺสามิ .  = จักทำให้เขาสำนึก

ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก)

ฌาน เป็นพลังงานที่มีฤทธิ์ทำลายราคะโทสะโมหะได้

 พลังงาน ที่ทำลายพลังงานเลวคือ พลังงานฌานกับปัญญา ซึ่งไปด้วยกัน ปัญญาอยู่ที่ใด ฌานอยู่ที่นั่น ฌานอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น

 เพราะฉะนั้น ปัญญา ก็คือพลังงานแต่ฉลาดเฉกาเป็นพิษภัยต่อตนและคนอื่น

ปัญญาเจริญเป็นปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง) ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) ทำได้ในโพชฌงค์ 7

1.      สติ (ความระลึกได้) เปรียบเหมือนจักรแก้ว

2.      ธัมมวิจัยะ (ความเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว

3.      วิริยะ (ความเพียร) เปรียบเหมือนม้าแก้ว

4.      ปีติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนมณีแก้ว

5.      ปัสสัทธิ (สงบจากกิเลส) เปรียบเหมือนนางแก้ว

6.      สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว

7.     อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) เปรียบด้วยปรินายกแก้ว

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 81)

สั่งสมองค์คุณอุเบกขาเป็นความตั้งมั่นแข็งแรง

สามตัวต้นของโพชฌงค์ 7 เป็นตัวปฏิบัติลดกิเลสให้เกิด ปีติสัมโพชฌงค์ ปีติก็จะต้องทำให้บางเบาลง คือเป็นอุปกิเลสอยู่ให้เป็นผรณาปีติ ได้แล้วสั่งสมคุณลักษณะเจโตปัญญารวมเป็นสมาธิ สมาธิเจริญสั่งสมฐานอุเบกขาด้วยองค์ 5

การทำธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จะมีสัมมาทิฏฐิเสมอๆ จากพยายามปฏิบัติไป ก็จะมาสัมมาทิฏฐิขึ้นเสมอๆ เจริญขึ้น ฟังธรรมไปจะมีอานิสงส์ 5 ประการคือ

 

1.      ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.      ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.      ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.      ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ)

5.      จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

รู้สึกตัวกันไหมว่าเราสัมมาทิฏฐิขึ้น ปัญญาเจริญเป็นปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ปัญญาเกิดจากเหตุปัจจัยเช่นนี้ ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วเกิดเอง

ส่วนปัญญาที่เกิดเอง ระลึกได้เอง เป็นปัญญาทางวิปัสสนาญาณ เกิดจริง

แต่คุณต้องมีมาก่อน เป็นความจำ จากที่คุณเคยได้มาแล้วเป็นของเก่า ถ้าคุณไม่มีของเก่าจะนั่งสมาธิจนปัญญาเกิดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องปลอมๆ อย่างธัมมชโยหลอกคนทั่วโลก แกสร้างนิยายหลอกคนต่อไป พระพุทธเจ้าว่าคนโกหกทั้งๆที่รู้ไม่มีชั่วใดจะทำไม่ได้

คุณธัมมชโยจึงเป็น จาตุมหาราช แล้วเป็นปรนิมมิตวสวัตตี คือ โจรหัวโจกคบโจรหัวโจก  ก็หรือคนมีเวรเห็นคนผู้เป็นคู่เวรกัน  พึงทำความฉิบหายและความทุกข์ใดให้ 

จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด พึงทำบุคคลนั้นให้เลวยิ่งกว่าความฉิบหายและความทุกข์นั้น   (ทิโส  ทิสัง  ยันตัง กยิรา เวรี  วา ปน  เวรินัง   มิจฉาปณิหิตัง  จิตตัง  ปาปิโย นัง  ตโต  กเรติ)

(ธรรมบท ล.25/13  และโคปาลสูตร ล.25/92 )

*เขาเป็นจตุมหาราชผนวกกับปรินิมมิตวสวัตตี *

ปรินิมมิตวสวัตตี คือหลอกว่าฉันเป็นคนดี เป็นจอมโจรบัณฑิต The Great Pretender ส่วน จาตุมฯคือนักเลงหัวไม้ ส่วนดีอย่างนี้ใครก็รู้ ยกตัวอย่าง ให้รวย คนก็อยากรวยทั้งนั้น คนที่จะไปลดรวยจะมีเท่าไหร่

เวทนา 6 เป็นฉฬายตนะ เป็นอายตนะคือสะพาน หากไม่มีสะพาน ตาหูจมูก...ไม่มีการทำงานอายตนะไม่เกิด

อายตนะเกิด ต่อเมื่อมีปฏิกิริยารูปกับนาม คือสิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ทำงานร่วมกันแต่ถ้าไม่มีการทำงานของรูปกับนาม อายตนะก็ ไม่มีตัวตน ไม่มีที่ตั้งอยู่ที่ใด

ต้องมีปฏิฆสัมผัสโส มีaction และ reaction เกิด ฆ คือก้อน คือแท่ง

เมื่อไม่มีสัมผัส อายตนะก็ไม่เกิด แม้จบเรื่องอายตนะนั้นก็ไม่ตั้งอยู่ ในพระไตรฯ ล.25 ข.158

พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะวิญญาณัญจายตนะอากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอาตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไปหาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

           จบสูตรที่ 1

เป็นที่สุดแห่งทุกข์และอายตนะก็หายไป สุขก็ไม่เรียกทุกข์ก็ไม่เรียก เรียกว่าอทุกขมสุข ไม่มีพยัญชนะจะเรียกแล้ว จริงๆแล้ว ป.ปลา เป็นสภาวะที่เป็นปภวะ คือภพที่ประกอบ ปะ-เอก-ขะ เอก คือ 1 , ข คือว่าง

คำว่า สาเปกขา คำว่า สาคืออุปสรรคที่ก่อตัวตนแต่ไม่มีตัวตน คือสาเปกโข หวังต่อไป ถ้าเปกโข คือว่าง เช่นอุเบกขาเป็นต้น

เอกคือ 1 คือมี , ป คือสภาพรวมสามเส้า เป็นเปกโข รวมเป็นตัวตนให้เราเรียก ซึ่งไม่มีภาษาที่จะเรียกตัวตนของความว่างให้เราเรียนศึกษา แม้องค์คุณของความว่าง 5 อย่าง มีประสิทธิภาพมีฤทธิ์ประเสริฐยิ่งเลย เป็นกุศลธาตุ แต่อุเบกขาอันธพาล ใครจะฆ่ากันตายก็ใช้เป็นอุเบกขาแบบใจดำ หรือว่ามีปัญญามีความรู้ความสามารถจะช่วยงาน จะช่วยการเมืองอะไรได้ก็อุเบกขา ไม่เกี่ยวไม่ใช่เรื่องวางเฉยอย่างนี้คืออุเบกขาที่อันตราย เป็นอกุศลธาตุ ไม่มีประโยชน์ นอกจากไม่มีประโยชน์และเป็นการเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ

คนอุเบกขาไม่ใช่คนดูดายไม่ใช่คนเฉยเมยไม่มีน้ำใจแต่เป็นคนที่มีน้ำใจเป็นคุณธรรมของพระเจ้าเป็นคุณธรรมของพระพรหม อัปปมัญญาที่ยิ่งใหญ่

สรุป วันนี้ได้พยายามแยกแยะ

รูปนามหรือธรรมะ 2  ส่วนรูปคือสิ่งที่ถูกรู้  หยาบภายนอก

เมื่อไปถึงในจิต ก็เป็นรูปที่เป็นชีวะ แม้เป็นอรูปก็ละเอียดยิ่งกว่าบางเบายิ่งกว่ารูป หรือเศษธุลีละอองยิ่งกว่ารูป รู้ได้ยากยิ่งกว่ารูป

แม้ยากเท่าไหร่ก็ต้องสร้างภูมิปัญญาที่จะรู้ได้จึงเป็นผู้ที่สามารถไปถึง อรูปฌาน ถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ

เนวสัญญาคือตัวกำหนดรู้ใน นานัตสัญญา คือสัญญาหลากหลาย คือเรียนรู้ เอว อันนั้น ปฏิเสธก็ไม่ใช่ เนว จะมีก็ไม่ใช่จะไม่มีก็ไม่ใช่ มันน้อยมากจนแทบจะไม่มีแล้ว เป็นอันสุดท้ายที่จะต้องรู้สัญญาต้องกำหนดรู้

ต้องกำหนดรู้ให้ได้ต้องสัมผัสถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ต้องมีตัวกำหนดรู้ตัวเนวสัญญาตัวนี้ ที่บอกว่าจะรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ จึงจะพ้นอวิชชา ถ้าอาสวะก็พ้นอาสวะ ถ้าพ้นอนุสัยก็พ้นอนุสัย

อาสวะนั้นหยาบหยาบกว่าอนุสัย  อนุสัยนี้ไม่พาทำบาปทำชั่ว แต่เหลือเศษของคุณ แต่อาสวะนั้นเหลือเศษของคุณ

สกนี้หยาบใหญ่ ตัวตนเรา  สักกายะคือองค์ประชุมของรูปนามที่หยาบ ทำให้ละเอียดลงไปคือ สวะ หรือแผลงเป็น สวะ หมดสวะก็เหลือสยะ คืออนุสยะ

อนุคือเล็กน้อยสุดแล้ว เป็นตัวเราตัวปลายที่สุดแล้ว (สยะ)

ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ย มันกลับกันกับ ว เอา ย มาเรียกตัวรู้ง่ายก่อน

สว คือตัวตน 

สย ก็ตัวตน แต่สยคือ เหมือนวิญญาณ จิตหรือมโนก็ย่อยลงมา

วิญญาณเป็นองค์รวมทั้งหมด เป็นคำรวมเลย

แต่พอจะมาปฏิบัติเรียกว่าจิต แจกจิตออกไป พอมาเรียนมาทำงานก็แจกแจงจิต ไม่ได้แจกแจงวิญญาณ

เหมือนเรียกรวมว่า คน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและกระเทยเป็นเพศที่สาม เป็นcommon noun เช่นเดียวกับวิญญาณ

ก็ไปแจกแจงที่ จิต  ส่วนมโนเป็นตัวปลายสุด

ในกระบวน จิต มโน วิญญาณ นั้นมโนเป็นตัวปลายสุด

 

ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจเวทนา 108 ก็ไม่เข้าใจตัวจิตในจิตหรือธรรมในธรรม ถ้าคุณตายแล้วไม่มีอะไรที่ทรงอยู่(ธรร)

รู้กายได้ก็แยกธรรมะสองได้ แจกแจง เจโตปริยญาณ 16 ได้ทำให้ลดละ ราคะโทสะโมหะ ทำสังขิตตจิต วิกขิตตจิต เป็นมหัคคตจิต(จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  อมหัคคตจิต     (จิตไม่เจริญขึ้น) สอุตตรจิต(จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

อนุตตรจิต(จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) สมาหิตจิต(จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) อสมาหิตจิต(จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) วิมุตตจิต(จิตหลุดพ้น)อวิมุตตจิต          (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

จบ

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:21:34 )

590824

รายละเอียด

590824_พุทธศาสนาตามภูมิ  จุดเทียนแห่งพุทธเพื่อเปลี่ยนชีวิต

มหาช่วงออกมาบอกว่า ให้เป็นชุมชนถือศีล5 แล้วทำได้ไหม อาตมานี้ทำได้มาตั้งนานแล้ว อาตมาเริ่มตั้งชุมชนตั้งแต่พ.ศ. 2527 ชุมชนแรกคือชุมชนปฐมอโศก ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้อาตมาก็มีอมู่บ้าน ก็ยังเป็นหมู่บ้านชุมชนที่ถือศีลจริงๆไม่ใช่เห็นแค่ชั่วคราวเอาไปโชว์อวด ถือศีลแล้วรู้ว่าศีลสมาธิปัญญาปฏิบัติอย่างไร

 

ประเด็นสำคัญที่จะพูดถึงคือการเปลี่ยนชีวิต มาเป็นคนที่อยู่ในวงวัด ที่นี่เป็นวงวัด ชุมชนชาวอโศกทุกแห่ง เป็นชุมชนที่ทุกคนอยู่ในชุมชนจะเป็นคนปฏิบัติธรรม อยู่ข้างนอกวัดก็คือวัด ปฏิบัติธรรมบ้างไม่ปฏิบัติธรรมบ้าง ลูกศิษย์ลูกหาบางวัดมาอยู่วัดเพียงเพื่อเรียนหนังสือไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย ดีไม่ดีเกเรด้วยไม่ได้มาปฎิบัติธรรม แต่มาอยู่ที่นี่ต้องปฏิบัติศีล 5 เป็นอย่างต่ำในชุมชนชาวอโศกทุกคนไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดง จะรู้เดียงสาหรือไม่รู้เดียงสาก็อยู่ในกรอบนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ใครจะถือศีล 8 ศีล 10 สูงกว่านั้นก็ไม่มีปัญหา

ที่พูดนี้ให้เห็นว่าคนเรามีชีวิตเป็นของเรา คนที่ออกมาอย่างนี้ พูดตรงๆคือเป็นคน เป็นคนเนกขัมมะ ออกมาจากชีวิตโลกีย์ที่ทำงานเพื่อแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นเคหสิตะ เป็นชาวบ้านธรรมดาเป็นชาวโลกๆ แต่มาอย่างนี้เป็นชาวเนกขัมมะ เขาแปลเป็นไทยว่าคือผู้ออกบวช ออกมาเพียรปฏิบัติธรรม อยู่ในหลักเกณฑ์ไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญา คนที่มาอยู่กับชุมชนชาวอโศกทุกแห่งจะรู้โดยปริยาย ออกมาอยู่ด้วยก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม บางแห่งก็เป็นบ้านวัดโรงเรียนสมบูรณ์ บางแห่งก็มีบ้านกับวัดไม่มีโรงเรียน แต่อย่างน้อยก็มีบ้านกับวัด คือมีสังคมของฆราวาส และมีทั้งสมณและฆราวาสปฏิบัติอยู่ในนี้ ชุมชนบางชุมชนไม่มีสมณะประจำแต่บ้านของชุมชนชาวอโศกก็มีคนที่ปฏิบัติธรรม

บางชุมชนตอนนี้ยกระดับเป็นอาวาสสถาน ผู้ที่อยู่ในชุมชนอยู่ในบ้านก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมมีเนกขัมมะทั้งนั้น แล้วมีชีวิตอย่างชีวิตปกติเหมือนกับคนปกติเหมือนชาวบ้านข้างนอก แต่เรามีตัวปฏิบัติธรรมประกอบอยู่ด้วยโดยสำนึก ไม่ใช่มาอยู่วัดค้างคืนวันพระรุ่งเช้าก็กลับ แต่ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนเหมือนมาเข้าค่ายตลอดปีตลอดเดือนทุกวันตลอดไป ดีไม่ดีคนที่มาเป็นสมาชิกที่นี่ จะออกไปข้างนอกไปโน่นมานี่ก็ปฏิบัติธรรม หลายคนแม้บางคนไม่ได้อยู่ประจำเลยแต่กลับไปอยู่บ้านก็ยังสังวรระวังมีการปฏิบัติธรรม จะปฏิบัติได้มากไปน้อยก็เป็นสำนึกของตนเองว่าฉันคือนักปฏิบัติธรรม

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกชาวอโศกนั้น มีความสำนึกว่าเป็นผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องสังวรศีล และกินมังสวิรัติ และไม่มีอบายมุขแม้จะไม่อยู่ในชุมชน จะอยู่ไหนก็แล้วแต่อยู่บ้านตัวเองก็ปฏิบัติธรรม อาตมาถือว่านี่เป็นผลสำเร็จที่อาตมาทำงานมา ตั้งแต่ออกมาจนถึงวันนี้ 46 ปี ก็เป็นผลสำเร็จที่ชัดเจนอันนึงเหมือนกัน

ถ้ามาอยู่รวมกันเป็นชุมชนบ้านวัดโรงเรียนเลย อาตมาขอพูดจะถือว่าคุยตัวหรืออวดตัวก็ขอพูด อาตมาทำให้เกิดชุมชนสังคมที่เป็นหมู่บ้าน จนกระทั่งเป็นหมู่บ้านจริงๆ มีไหมวัดไหนสำนักไหนที่อาจารย์เขาสร้างเป็นหมู่บ้านได้บ้าง แล้วปฏิบัติธรรมกันทั้งหมู่บ้าน สำนักไหนวัดไหนวัดใหญ่ๆ วัดดังๆขนาดธรรมกายใหญ่สุดที่มีอิทธิพล มีบริวารมีสมาชิกมีลูกศิษย์ลูกหามากที่สุดเลย เขามีไหมทำให้เกิดมวลที่เป็นวัฒนธรรมมีพฤติกรรมมีชีวิตอยู่เป็นชุมชนเป็นระบบ จนกระทั่งเราเรียกได้ว่าเป็นระบบการปฏิบัติธรรมที่ถึงขั้นสาธารณโภคี นี่คือผลสำเร็จของอาตมาการเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่

มีการตั้งชุมชนที่เป็นหมู่บ้านที่เป็นได้ถึงขั้นนิตินัย อย่างหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศกหรือหมู่บ้านศรีษะอโศก เป็นนิตินัยมีผู้ใหญ่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ทางนิตินัยที่จะต้องมี ติดต่อเชื่อมโยงเหมือนหมู่บ้านอื่นๆเขาไป แต่พฤติกรรมวัฒนธรรมชีวิตของคนในหมู่บ้านเป็นแบบของเรา กินมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน ถือศีลทั้งหมู่บ้าน

มหาช่วงออกมาบอกว่า ให้เป็นชุมชนถือศีล5 แล้วทำได้ไหม อาตมานี้ทำได้มาตั้งนานแล้ว อาตมาเริ่มตั้งชุมชนตั้งแต่พ.ศ. 2527 ชุมชนแรกคือชุมชนปฐมอโศก ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้อาตมาก็มีอมู่บ้าน ก็ยังเป็นหมู่บ้านชุมชนที่ถือศีลจริงๆไม่ใช่เห็นแค่ชั่วคราวเอาไปโชว์อวด ถือศีลแล้วรู้ว่าศีลสมาธิปัญญาปฏิบัติอย่างไร

ก็คือปฏิบัติศีลให้ชำระกิเลสแล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์บริบูรณ์ไปโดยลำดับ ปฏิบัติศีลให้เจริญเป็นกุศลขัดเกลาตนเองให้บรรลุเป็นพระอรหันต์บริบูรณ์ไปโดยลำดับ ในกิมัตถิยสูตร

แต่กระแสหลักที่เขาเรียนกันนั้นคือศีลขัดเกลาแค่กายกับวาจาไม่ได้บรรลุอาริยธรรมหรือบรรลุอรหันต์ ถ้าจะไปบรรลุอาริยธรรมก็ไปเข้าใจว่าจิตจะต้องเป็นสมาธิ เข้าใจว่าถือศีลไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์จะต้องปฏิบัติสมาธิจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์   ท่านก็ยังมิจฉาทิฐิเข้าใจว่าต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิต่างหาก มีวิธีองค์ประกอบแยกไปต่างหาก

แทนที่จะเข้าใจว่าปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์แล้วจะเกิดสมาธิที่เรียกว่าอริโยสัมมาสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรเล่มที่14 สมาธิต้องมาปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ทำในขณะคิดพูดทำ กัมมันตะ อาชีวะ ก็ให้เป็นสัมมา ปฏิบัติแม้ในขณะคิดนึกก็ให้เป็นสัมมา ทำให้ได้อย่างนี้แหละ แล้วจะเกิดผลสั่งสมรวมเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นเอกัคคตาจิต ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเอา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบตรงที่ว่า

ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิก็ต้องเป็นมิจฉา จะเป็นสัมมาสมาธิได้จะต้องปฏิบัติให้ได้ สัมมาอาชีวะ 5 ถ้าไม่เข้าหลักเกณไม่เป็นสมาธิ

ให้พ้นมิจฉา 3 ของกัมมันตะ ถ้าไม่เข้าสัมมากันมันตะไม่เกิดสัมมาสมาธิ

วาจาก็มีมิจฉา 4 กัมมันตะก็มีมิจฉา 3 ที่ต้องทำให้พ้น โดยเฉพาะมิจฉา 3 ของสังกัปปะ มิจฉาที่ไปดำริในกาม พยาบาท วิหิงสา ตต้องลดกามต้องลดพยาบาทเขาไม่ได้ระลึกถึงอันนี้เป็นตัวหลัก

เขาไม่ได้เรียนรู้สัมมาหรือมิจฉาเลย อาตมาได้แต่ตำหนิสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 46 ปีแล้วทำไมว่าแต่เขา แต่เขาก็ไม่รู้สึก เขาถือว่าโพธิรักษ์พูดนี้เหมือนหมาเห่าเครื่องบินไม่ได้สนใจไม่ได้แยแส ไม่ได้อะไรเลยไม่มีใครเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่ออกนอกขอบเขตพุทธไปแต่ไหนไหน

อาตมาก็พูดชัดเจนว่าทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีลเลยแม้แต่พระก็แต่มีวินัย  227 มีศิลที่ใหนถ้าไปถามพระว่าศีลของพระคืออะไร นอกจากพระที่ศึกษามาก็จะรู้ แต่ ถ้าไปถามก็จะตอบว่ามีศีล 227   ทั้งๆที่คือวินัยถ้าไปละเมิดก็ต้องอาบัติ     แต่ศีลก็คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่ไม่มีแล้วตอนนี้วัดวาอารามต่างๆก็ละเมิดกันด้วย 

ทุกวัดที่จุดธูปจุดเทียนก็คือวัดที่ละเมิดศีลของพระพุทธเจ้า  ในมัชฌิมศีล ว่าเป็นเดรัจฉานกถา เสื่อมขนาดศีลก็ไม่มีแล้วศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่มีศีลแล้วและไปละเมิดกันด้วยพระเจ้าต่างๆวัดวาก็ไม่มีศีลพระไม่ได้มาพูดถึงสิน 43 ข้อนี้เลย

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfaFJJMkJpOVJJbUU

 

หรือที่นี่....http://www.filefactory.com/file/3r7589y1hqt/160824

 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:22:02 )

590824

รายละเอียด

590824_พุทธศาสนาตามภูมิ  จุดเทียนแห่งพุทธเพื่อเปลี่ยนชีวิต

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2559 วันนี้ก็เป็นการเทศนาหน้าศพของ คุณเทียนพุทธ พุทธิพงศ์อโศก

สถานีโทรทัศน์บุญนิยมทีวี ของชาวอโศก เดิมชื่อ FETV (For The Earth Television) สถานีโทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน แต่เนื่องจากชื่อพ้องกับพรรคการเมืองเพื่อแผ่นดิน ที่ตั้งขึ้นภายหลัง จึงได้เปลี่ยนชื่อสถานีเป็น FMTV (For Mankind Television) หรือโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ มีผู้อำนวยการคนแรกชื่อเทียนพุทธ พุทธิพงศ์อโศก ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น บุญนิยมทีวี เนื่องจากมีการรัฐประหารโดยคสช.เมื่อปี 2557

คุณเทียนพุทธ พุทธิพงศ์อโศก หรือชื่อเดิมคือ คุณชูศักดิ์ วารีสระ เกิดวันที่ 21 พฤษภาคม 2495 ภูมิลำเนาอยู่ ที่จ.นครพนม

 ตำแหน่งล่าสุดก่อนลาออกมาเป็นสมาชิกชุมชนชาวอโศกคือ ผู้จัดการ    ฝ่ายกฏหมายไทยโมบาย ที่ขับเคลื่อนเรื่องสหภาพแรงงานมาโดยตลอด เป็นผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิรู้รักสามัคคีพนักงาน ทศท. เพื่อให้พนักงานอยู่กันด้วยความเข้าใจและอบอุ่น รวมทั้งตรวจสอบการบริหารงานในองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยให้โปร่งใสด้วย อีกทั้งยังเป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ ที่ก่อตั้งกันมาเพื่อต่อต้านนายทุนปล่อยเงินกู้แพง ตั้งแต่สหกรณ์มีเงินไม่กี่ตังค์ จนปี 2550 มีสินทรัพย์ประมาณ แปดพันกว่าล้านบาท เพื่อช่วยเหลือให้พนักงานที่จำเป็นต้องใช้เงินไม่ให้ถูกนายทุนเอาเปรียบ

เมื่อชาวอโศกได้ออกไปร่วมชุมนุมทางการเมืองอย่างเต็มที่ตั้งแต่ปี 2549 ในการขับไล่ทักษิณ ชินวัตร ภายหลังจากชุมนุมในปี 2550​ ชาวอโศกจึงได้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์“เพื่อแผ่นดิน” For the Earth Television หรือ FE.TV ขึ้นโดยมีคุณเทียนพุทธ เป็นผู้อำนวยการคนแรก ต่อมาจึงได้เปลี่ยน FMTV และบุญนิยมทีวีในปี 2557

จากเงินเดือน แสนบาท มาสู่เงินเดือน 0​ บาทที่ FMTV คุณเทียนพุทธได้เลือกเส้นทางสู่โลกุตระนี้แล้วว่าเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด มีเป้าหมายคือสู่ความพ้นทุกข์ เอาตัวเองเข้ามาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติสมาธิลืมตา เป็นคนจนมหัศจรรย์ที่ลดละขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยมสร้างสรร สวรรค์นิพพาน

แรกเริ่มก่อนเข้าวัดได้เข้าไปช่วยงานที่ชุมชนปฐมอโศกโดยทำงานอยู่ที่ฐานทำกลด อยู่ 5 ปี ไปๆกลับๆวัดกับบ้าน ทำให้ได้ฝึกความละเอียดละออในการทำงาน และได้ฟังธรรมพ่อครูแล้วเข้าใจเข้าถึงธรรมะได้ สามารถลดละอบายมุข คว่ำแก้วเหล้าเดินเข้าวัดได้ในปี 2545 โดยไม่เวียนกลับไปเสพอีกเลยตลอดชีวิต

คุณเทียนพุทธยังได้ร่วมต่อสู้ทางการเมืองกับชาวอโศกและประชาชนผู้รักชาติมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2549-ปี2557 ร่วมกินนอนร่วมเป็นร่วมตายเคียงข้างมวลมหาประชาชนอยู่บนถนนการเมือง อย่างไม่เห็นแก่ความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะสุดท้าย

คุณเทียนพุทธเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากประมาณ 5 ปีก่อนเข้าวัด และได้เข้ารับการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนทางเลือกมาตลอด เคยเกือบตายหลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ด้วยการหมั่นปฏิบัติตามหลัก 7 อ. และมีพลังทางใจที่เข้มแข็งที่เกิดจากการฟังธรรมและปฏิบัติธรรม

หลังจากที่ต่อสู้กันมานานกว่า 17 ปี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 เวลา 9.00 น. คุณเทียนพุทธได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง จ.อุบลราชธานี สิริอายุรวมได้ 64 ปี

คุณเทียนพุทธ หรือที่ลูกหลานเรียกกันว่า ลุงเทียนพุทธบ้าง อาชูบ้าง ป้าสีดา(ขวัญใจดาว) ช่วยดูแล ช่วงสุดท้ายของชีวิต

กำหนด ฌาปนกิจศพ วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2559 เวลา 14.00 น. เฮือนสุดชีวิต พุทธสถานราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

 

อาตมามั่นใจว่าพวกเราพึ่งพากันได้ เจ็บป่วยตายก็พึ่งพากันได้เหมือนญาติ เป็นญาติธรรม ไม่ใช่พ่อแม่ตระกูลเดียวกันแต่เป็นสกุลพุทธเจ้า คำว่าญาติ อาตมาก็แปลความว่า ญาติคือผู้ที่พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งจะพึ่งตายกันได้ แต่คนที่คลอดจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันถ้าพึ่งกันไม่ได้ก็คือไม่ใช่ญาติ เวลาเจ็บป่วยก็เกี่ยงกันที่จะดูแล จำเป็นก็ไปแบบเสียไม่ได้ไม่มีจิตวิญญาณ

ทุกวันนี้ก็เป็นเพียงประเพณีวัฒนธรรมทางสังคม ทำไปตามเรื่องของโลกของสังคมไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกไม่ได้เกิดจากความจริงใจ อาตมาทำงานมา 46 ปี ก็เกิดผลทางจิตวิญญาณในลักษณะดังกล่าว พวกเราสร้างญาติขึ้นมาได้ จนเป็นครอบครัวใหญ่ มีทั้งญาติที่อยู่ร่วมกัน บ้านเดียวกัน หมู่บ้านเดียวกัน ไม่ใช่มาอยู่รวมเป็นหมู่บ้านก็ไปๆมาๆเหมือนบ้านญาติจริงๆ จะมาค้างอยู่กี่วันกี่เดือนก็มา จะไปนั่นมานี่ก็ไป นี่เป็นเรื่องที่ได้ผลจากการเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นภราดรภาพ ตั้งแต่มาทางศาสนานี้อาตมาตั้งชื่อไว้เท่มาก ว่าบรมภาวะสุดประเสริฐ 5 อย่าง

  1. อิสรเสรีภาพ
  2. ภราดรภาพ
  3. สันติภาพ
  4. สมรรถภาพ
  5. บูรณภาพ

ห้าภาพนี้มีจริง อาตมาได้นำความรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาสาธยายบรรยายแจกแจง  จนคนรับฟังปฏิบัติได้ผล อาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาสก็ทำมาหากินสร้างฐานะ แต่มาทางธรรมนี้ก็เลิกสร้างฐานะเลิกสร้างโลกธรรมโดยอาตมามั่นใจว่าเลิกได้แบบนี้ไม่ใช่บังคับตนเองไม่เสแสร้ง อาตมาว่าอาตมาเลิกได้หลายชาติแล้ว จากเดิมอยู่ทางโน้นมา 36 ปี ก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง อาตมาเป็นระดับโพธิสัตว์ แล้ววิบากเราต้องเป็นเช่นนั้น และมันไม่รู้ ถ้าเรารู้ตั้งแต่ตอนนั้นก็มาเป็นแบบนี้เลย แต่ไม่รู้ก็เลยต้องมาเป็นอย่างนี้ กว่าจะรู้ตัว 36 ปีถึงออกมาได้ ต้องไปตามวิบากมาถึง 36 ปีค่อยหันเห มาดูธรรมะ

ไม่มีใครมาบังคับมาเอง ปฏิบัติเอง ไม่ได้ไปปฏิบัติที่สำนักใหนไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหน ปฏิบัติของตนเอง ก็ดูเขาบ้างอย่างโน้นอย่างนี้เขาก็นั่งหลับตา ทำศีลทำสมาธิไป คือมันมีภูมิของตัวเอง โดยสามัญเขาก็เลือกปฏิบัติตามครูอาจารย์แล้วเลือกสำนักใช่ไหมล่ะ ไปทำตามครูบาอาจารย์ตามสำนัก เพราะผู้จะไปปฏิบัติก็ต้องรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีอะไร ตัวเองจึงต้องไปปฏิบัติกับคนที่เป็นภิกษุ  เป็นเจ้าสำนักมีชื่อเสียง

บางที่บอกว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยนะอาตมาก็ไปดูกับเขา ลองทำกับเขาบ้างแต่ไม่ได้ไปเป็นจริงจัง เป็นกิจลักษณะว่าต้องไปเรียนรู้เพื่อเอาอะไรจากอาจารย์ ไม่มีจิตคิดทำแบบนั้น จนกระทั่งมาปฏิบัติเองเป็นเองแล้วขอเปิดเผยว่า ปฏิบัติไปแล้วสุดท้าย อาตมาขอพูดย้ำเลยว่า

อาตมาปฏิบัตเองแล้วบรรลุธรรมของตัวเอง ไม่ได้พูดเล่นหลักฐานเขียนไว้ในหนังสือ บรรลุเองแล้วก็คิดว่าเราจะทำอย่างไงดี  เราเองเรารู้ว่าเราบรรลุธรรม แล้ววัดว่าต่างๆมีเยอะจะไปอยู่กับวัดไหนก็ไช่ที่? พูดตรงๆว่ามันไม่มีถูกต้องเลย อาตมาเห็นว่าไม่มีสำนักไหนถูกต้องเลย แล้วจะไปอยู่วัดไหน?

คนที่อยู่ด้วยเป็นแม่บ้านเขาก็รู้ อาตมาก็เปรยว่าเอ๊ ไปหาที่สักที่ เราก็ไปปลูกกุฏิอยู่ตรงนั้น ก็คุณชวนนี่แหละ ไปหาที่ให้ ได้สักสองไร่ เป็นที่สมควรหน่อยต้องเป็นสวนเป็นต้นไม้ ตะลอนหาก็ไม่ได้เหมาะใจ ก็ยังไม่ได้ลาออกจากงาน แม่บ้านก็เปรยๆที่ตลาดเขาไปซื้อของ ว่ามีที่ตรงไหนไหม คุณผู้ชายอยากหาที่ปฏิบัติธรรมอยากได้สักสองไร่ พอดีไปคุยกับแม่ค้า มีคนเขาบอกว่า จะไปหาทำไม ก็วัดอโศการามมีป่าแสมเยอะแยะ คนก็ไปปลูกกุฏิอยู่เยอะแยะ ไม่ต้องซื้อหา แม่บ้านก็มาบอกอาตมา เขาก็ชวนไปดู ก็เป็นป่าแสม ชายทะเล น้ำขึ้นก็ท่วมป่าแสม พอน้ำลดก็มีขี้โคลนมีปลาตีนเต็มเลย ก็ว่าพอใช้ได้ ไม่ต้องซื้อด้วย ไปปลูกกุฏิก็น่าจะดี เลยไปถามเจ้าอาวาส

อาตมาไปถามว่า “ ที่นี่ บอกว่าคนมาปลูกกุฏิอยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม?” ท่านก็ว่าได้ แต่กุฏิที่ปลูกแล้วต้องเป็นของวัดนะ เราก็ไม่มีปัญหา ก็เลยตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าผมมาปลูกอยู่แล้ว พระไม่มากวนผมได้ไหม? ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสหัวเราะว่าคนนี้พูดแปลก ท่านก็ว่ามีแต่คนมาอยู่นี่จะไปยุ่งกับพระเจ้า อาตมาก็ว่าพระเจ้าอย่ามายุ่งกับผมก็แล้วกัน เท่านั้นแหละอาตมาก็ไปสร้างกุฏิอยู่

เจาะจากปากทางลึกเข้าไปในป่าแสม 50 เมตรทำสะพานยาวเข้าไปแล้วก็ไปสร้างกุฎอยู่ที่นั้น แม่บ้านเขาก็จะออกไปด้วย (แม่บ้านไม่ใช่คือภรรยานะ ที่จริงก็คือคนใช้แต่อาตมาไม่เรียกคนใช้ อยู่กันมาตั้งแต่เร่ิม ก็ไปหาจากกรมสังคมสงเคราะห์ ได้มา เขามีลูกติดอยู่คนหนึ่งแกมีลูกสองคน คนก็ไม่มีใครอยากได้เพราะมีลูกติด ธรรมดาคนที่หาคนใช้เขาก็ไม่อยากได้ แต่เราก็ว่า มีลูกติดก็ไม่เป็นไร ลูกเล็กๆ เอามาอยู่ด้วย นี่พูดถึงคนใช้ในบ้าน ตกลงค่าจ้างเดือนละ 150​ บาท สมัย 60 ปีมาแล้วด้วย ก็อยู่กันไปจนกระทั่งขึ้นมาเงินเดือน 800 บาท ก่อนจะออกมา คืออย่างน้อยให้เดือนละ 800 บาท อาตมาจะออกมาปฏิบัติธรรม ไม่เอาแล้วทางโลกแกก็ขอมาด้วย อาตมาก็ว่าให้อยู่บ้านนั่นแหละ มีน้องจะมาอยู่บ้าน แกก็จะมาปฏิบัติพัดวีอาตมา อาตมาก็เลยต้องสร้างกุฏิให้แก่ฝ่ายหญิง จะทำกับข้าวซักผ้าผ่อนดูแลเหมือนเดิม แม้แต่ที่สุดอาตมาเอาเงินมาก้อนหนึ่ง ฝากแบงค์ไว้ก็ให้แกดูแลอาตมาก็ไม่ยุ่งเกียวกับเงิน)

วันนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะเทศน์ก็เล่าเชิงพวกนี้ให้เห็นว่าถึงการเปลี่ยนชีวิต

 ชีวิตของคนอย่างคุณเทียนพุทธนี้เขาก็มีชีวิตของเขา อาตมาก็ทำงานทำมาหากินเหมือนคนโลกๆ ออกมาสร้างฐานะแก่ตัวเอง เทียนพุทธก็เช่นกัน อาตมาก็ไปของอาตมา เล่าเป็นนิยายซีรีย์ยาวพอสมควร แต่เสร็จแล้ว มันก็มีมนุษย์อยู่ไม่น้อยที่ออกมาอย่างอาตมา ออกมาอย่างเทียนพุทธ หรืออย่างพวกเราส่วนใหญ่ อยู่ในนี้

แต่ก่อนก็ทำมาหากินได้เงินเดือนได้เงินมา แต่แล้วก็มาอยู่ทำงานฟรี เอาชีวิตมาเป็นคนแบบนี้ มาเป็นคนสาธารณโภคี มาเป็นคนมีชีวิตแบบนี้ก็ทำงานเหมือนเดิม ดีไม่ดีหนักกว่าเดิมไม่มีวันเสาร์วันอาทิตย์ด้วยเลย ดีไม่ดีเวลาทั้งโลกเขาก็ยังมีเวลาเลิกงาน แต่ที่นี่เรียกว่า over time ก็ไม่ใช่เรียกว่าทำทุกtime มีงานทำตลอดทุกเวลา ที่เป็นงาน ดีไม่ดีตั้งแต่ตีสามตีสี่ กลางค่ำกลางคืนกี่ทุ่มกี่ยามก็ทำ ก็ไม่เกินไปบางครั้งจำเป็นก็ทำ บางคนทำยันเช้าเลยก็มี ทางโลกก็มีแต่เราก็มีพิเศษบ้างครั้งคราว

ประเด็นสำคัญที่จะพูดถึงคือการเปลี่ยนชีวิต มาเป็นคนที่อยู่ในวงวัด ที่นี่เป็นวงวัด ชุมชนชาวอโศกทุกแห่ง เป็นชุมชนที่ทุกคนอยู่ในชุมชนจะเป็นคนปฏิบัติธรรม อยู่ข้างนอกวัดก็คือวัด ปฏิบัติธรรมบ้างไม่ปฏิบัติธรรมบ้าง ลูกศิษย์ลูกหาบางวัดมาอยู่วัดเพียงเพื่อเรียนหนังสือไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย ดีไม่ดีเกเรด้วยไม่ได้มาปฎิบัติธรรม แต่มาอยู่ที่นี่ต้องปฏิบัติศีล 5 เป็นอย่างต่ำในชุมชนชาวอโศกทุกคนไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดง จะรู้เดียงสาหรือไม่รู้เดียงสาก็อยู่ในกรอบนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ใครจะถือศีล 8 ศีล 10 สูงกว่านั้นก็ไม่มีปัญหา

ที่พูดนี้ให้เห็นว่าคนเรามีชีวิตเป็นของเรา คนที่ออกมาอย่างนี้ พูดตรงๆคือเป็นคน เป็นคนเนกขัมมะ ออกมาจากชีวิตโลกีย์ที่ทำงานเพื่อแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นเคหสิตะ เป็นชาวบ้านธรรมดาเป็นชาวโลกๆ แต่มาอย่างนี้เป็นชาวเนกขัมมะ เขาแปลเป็นไทยว่าคือผู้ออกบวช ออกมาเพียรปฏิบัติธรรม อยู่ในหลักเกณฑ์ไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญา คนที่มาอยู่กับชุมชนชาวอโศกทุกแห่งจะรู้โดยปริยาย ออกมาอยู่ด้วยก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม บางแห่งก็เป็นบ้านวัดโรงเรียนสมบูรณ์ บางแห่งก็มีบ้านกับวัดไม่มีโรงเรียน แต่อย่างน้อยก็มีบ้านกับวัด คือมีสังคมของฆราวาส และมีทั้งสมณและฆราวาสปฏิบัติอยู่ในนี้ ชุมชนบางชุมชนไม่มีสมณะประจำแต่บ้านของชุมชนชาวอโศกก็มีคนที่ปฏิบัติธรรม

บางชุมชนตอนนี้ยกระดับเป็นอาวาสสถาน ผู้ที่อยู่ในชุมชนอยู่ในบ้านก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมมีเนกขัมมะทั้งนั้น แล้วมีชีวิตอย่างชีวิตปกติเหมือนกับคนปกติเหมือนชาวบ้านข้างนอก แต่เรามีตัวปฏิบัติธรรมประกอบอยู่ด้วยโดยสำนึก ไม่ใช่มาอยู่วัดค้างคืนวันพระรุ่งเช้าก็กลับ แต่ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนเหมือนมาเข้าค่ายตลอดปีตลอดเดือนทุกวันตลอดไป ดีไม่ดีคนที่มาเป็นสมาชิกที่นี่ จะออกไปข้างนอกไปโน่นมานี่ก็ปฏิบัติธรรม หลายคนแม้บางคนไม่ได้อยู่ประจำเลยแต่กลับไปอยู่บ้านก็ยังสังวรระวังมีการปฏิบัติธรรม จะปฏิบัติได้มากไปน้อยก็เป็นสำนึกของตนเองว่าฉันคือนักปฏิบัติธรรม

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกชาวอโศกนั้น มีความสำนึกว่าเป็นผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องสังวรศีล และกินมังสวิรัติ และไม่มีอบายมุขแม้จะไม่อยู่ในชุมชน จะอยู่ไหนก็แล้วแต่อยู่บ้านตัวเองก็ปฏิบัติธรรม อาตมาถือว่านี่เป็นผลสำเร็จที่อาตมาทำงานมา ตั้งแต่ออกมาจนถึงวันนี้ 46 ปี ก็เป็นผลสำเร็จที่ชัดเจนอันนึงเหมือนกัน

ถ้ามาอยู่รวมกันเป็นชุมชนบ้านวัดโรงเรียนเลย อาตมาขอพูดจะถือว่าคุยตัวหรืออวดตัวก็ขอพูด อาตมาทำให้เกิดชุมชนสังคมที่เป็นหมู่บ้าน จนกระทั่งเป็นหมู่บ้านจริงๆ มีไหมวัดไหนสำนักไหนที่อาจารย์เขาสร้างเป็นหมู่บ้านได้บ้าง แล้วปฏิบัติธรรมกันทั้งหมู่บ้าน สำนักไหนวัดไหนวัดใหญ่ๆ วัดดังๆขนาดธรรมกายใหญ่สุดที่มีอิทธิพล มีบริวารมีสมาชิกมีลูกศิษย์ลูกหามากที่สุดเลย เขามีไหมทำให้เกิดมวลที่เป็นวัฒนธรรมมีพฤติกรรมมีชีวิตอยู่เป็นชุมชนเป็นระบบ จนกระทั่งเราเรียกได้ว่าเป็นระบบการปฏิบัติธรรมที่ถึงขั้นสาธารณโภคี นี่คือผลสำเร็จของอาตมาการเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่

มีการตั้งชุมชนที่เป็นหมู่บ้านที่เป็นได้ถึงขั้นนิตินัย อย่างหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศกหรือหมู่บ้านศรีษะอโศก เป็นนิตินัยมีผู้ใหญ่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ทางนิตินัยที่จะต้องมี ติดต่อเชื่อมโยงเหมือนหมู่บ้านอื่นๆเขาไป แต่พฤติกรรมวัฒนธรรมชีวิตของคนในหมู่บ้านเป็นแบบของเรา กินมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน ถือศีลทั้งหมู่บ้าน

มหาช่วงออกมาบอกว่า ให้เป็นชุมชนถือศีล5 แล้วทำได้ไหม อาตมานี้ทำได้มาตั้งนานแล้ว อาตมาเริ่มตั้งชุมชนตั้งแต่พ.ศ. 2527 ชุมชนแรกคือชุมชนปฐมอโศก ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้อาตมาก็มีอมู่บ้าน ก็ยังเป็นหมู่บ้านชุมชนที่ถือศีลจริงๆไม่ใช่เห็นแค่ชั่วคราวเอาไปโชว์อวด ถือศีลแล้วรู้ว่าศีลสมาธิปัญญาปฏิบัติอย่างไร

ก็คือปฏิบัติศีลให้ชำระกิเลสแล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์บริบูรณ์ไปโดยลำดับ ปฏิบัติศีลให้เจริญเป็นกุศลขัดเกลาตนเองให้บรรลุเป็นพระอรหันต์บริบูรณ์ไปโดยลำดับ ในกิมัตถิยสูตร

แต่กระแสหลักที่เขาเรียนกันนั้นคือศีลขัดเกลาแค่กายกับวาจาไม่ได้บรรลุอาริยธรรมหรือบรรลุอรหันต์ ถ้าจะไปบรรลุอาริยธรรมก็ไปเข้าใจว่าจิตจะต้องเป็นสมาธิ เข้าใจว่าถือศีลไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์จะต้องปฏิบัติสมาธิจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์   ท่านก็ยังมิจฉาทิฐิเข้าใจว่าต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิต่างหาก มีวิธีองค์ประกอบแยกไปต่างหาก

แทนที่จะเข้าใจว่าปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์แล้วจะเกิดสมาธิที่เรียกว่าอริโยสัมมาสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรเล่มที่14 สมาธิต้องมาปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ทำในขณะคิดพูดทำ กัมมันตะ อาชีวะ ก็ให้เป็นสัมมา ปฏิบัติแม้ในขณะคิดนึกก็ให้เป็นสัมมา ทำให้ได้อย่างนี้แหละ แล้วจะเกิดผลสั่งสมรวมเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นเอกัคคตาจิต ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเอา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบตรงที่ว่า

ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิก็ต้องเป็นมิจฉา จะเป็นสัมมาสมาธิได้จะต้องปฏิบัติให้ได้ สัมมาอาชีวะ 5 ถ้าไม่เข้าหลักเกณไม่เป็นสมาธิ

ให้พ้นมิจฉา 3 ของกัมมันตะ ถ้าไม่เข้าสัมมากันมันตะไม่เกิดสัมมาสมาธิ

วาจาก็มีมิจฉา 4 กัมมันตะก็มีมิจฉา 3 ที่ต้องทำให้พ้น โดยเฉพาะมิจฉา 3 ของสังกัปปะ มิจฉาที่ไปดำริในกาม พยาบาท วิหิงสา ตต้องลดกามต้องลดพยาบาทเขาไม่ได้ระลึกถึงอันนี้เป็นตัวหลัก

เขาไม่ได้เรียนรู้สัมมาหรือมิจฉาเลย อาตมาได้แต่ตำหนิสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 46 ปีแล้วทำไมว่าแต่เขา แต่เขาก็ไม่รู้สึก เขาถือว่าโพธิรักษ์พูดนี้เหมือนหมาเห่าเครื่องบินไม่ได้สนใจไม่ได้แยแส ไม่ได้อะไรเลยไม่มีใครเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่ออกนอกขอบเขตพุทธไปแต่ไหนไหน

อาตมาก็พูดชัดเจนว่าทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีลเลยแม้แต่พระก็แต่มีวินัย  227 มีศิลที่ใหนถ้าไปถามพระว่าศีลของพระคืออะไร นอกจากพระที่ศึกษามาก็จะรู้ แต่ ถ้าไปถามก็จะตอบว่ามีศีล 227   ทั้งๆที่คือวินัยถ้าไปละเมิดก็ต้องอาบัติ     แต่ศีลก็คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่ไม่มีแล้วตอนนี้วัดวาอารามต่างๆก็ละเมิดกันด้วย 

ทุกวัดที่จุดธูปจุดเทียนก็คือวัดที่ละเมิดศีลของพระพุทธเจ้า  ในมัชฌิมศีล ว่าเป็นเดรัจฉานกถา เสื่อมขนาดศีลก็ไม่มีแล้วศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่มีศีลแล้วและไปละเมิดกันด้วยพระเจ้าต่างๆวัดวาก็ไม่มีศีลพระไม่ได้มาพูดถึงสิน 43 ข้อนี้เลย

ส่วนเณรนั้นก็ให้รับศีล 10 ส่วนพระนั้นถือศีลจริงๆก็เป็นวินัย 227 อย่างนั้นเลยส่วนของสมาธินั้นเอาไปหลับตา อาตมาถามถึงว่าในพระไตรปิฎกมีคำไหนบอกว่าให้ไปนั่งหลับตาแล้วจะเกิดสมาธิ เอาคำว่าหลับตามาให้ดูหน่อย หามาหน่อยสักคำ ว่าหลับตาสมาธิมีไหมในพระไตรปิฎก

ส่วนปัญญาตามหนังสือวิชชา 8 ตั้งแต่วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ ก็ไปเข้าใจว่าเป็นฤทธิ์เดช เป็นอภิญญา คำว่าอภิญญาก็คือก็ไม่มีปัญญานั้นเลย สรุปแล้วศาสนาพุทธไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสมาธิไม่มีทั้งปัญญา ป่วยการกล่าวไปไยคำว่าวิมุติ

สมาธิเขาก็บอกว่าให้ไปนั่งหลับตาก็ใช่มีอยู่แต่มันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้ามันไม่ใช่สัมมาสมาธิมันเป็นมิจฉาสมาธิ เมื่อมันไม่ใช่สัมมาก็เป็นมิจฉา สมาธิของพุทธเจ้าได้เต็มเติมว่าเป็นสัมมาสมาธิ แม้แต่ทิฏฐิก็ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้ความเห็นอาชีพก็สัมมาอาชีวะก็คือทำงานอาชีพต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้ทำแต่มิจฉาอาชีวะ

เมื่อวานโยมไปฟังงานสวดศพพระที่มาแหล่ให้ฟัง ก็ตั้งราคาไว้ 7000 บาท แล้วก็มีคนเมามาด่าเพราะว่าเห็นแก่เงิน

คือฟังแล้วน่าเศร้าน่าเกลียดน่าสลดใจน่าเกลียดมาก ขออภัยที่พูดแล้วเกรงใจกันอย่างมากจริงๆแต่เลี่ยงไม่ออกที่จะต้องพูดอย่างนี้ ต้องตำหนิว่าไม่ถูกต้อง เลี่ยงไม่ได้จริงๆดูแล้วน่าสังเวชใจในศาสนาพุทธเสื่อมมากแล้วจนกระทั่งต้องพูดว่า พูดชัดๆพูดตรงๆเลย ว่าอาตมาเอาชีวิตมาทางนี้ตั้ง 46 ปีแล้วก็พูดมาอย่างนี้ตลอด ไม่ได้เสแสร้งไม่ได้มาดัดจริตแต่เป็นความจริงใจที่ว่า ที่ตำหนิด้วยปรารถนาดี เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกยืนยันอ้างอิงด้วยไม่ได้พูดอย่างหลักลอยใส่ไคร้หาเรื่องด้วยเลยเอาอะไรมาตรวจสอบไม่ใช่เลย

ขนาดผู้ที่จะขึ้นเป็นสังฆราช ก็ดูสิมีคดี แล้วก็ยังดันทุรังจะเป็นอีก ดีไม่ดีเขามีหลักฐานยืนยัน ว่ารถคันนี้ ผิดกฎหมายทุกขั้นตอนและได้ยินมาบ้าง ผิดกฎหมายก็ต้องอาบัติปาราชิกแล้วแต่ก็เฉยกัน แล้วเอาพระคณะใหญ่มาประท้วงว่าจะต้องแต่งตั้งเป็นสังฆราช รวมหัวกันเลยเป็นพระมาแสดงตัวกันมากเลย ก็หมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าพระเหล่านั้นไม่ได้รู้เรื่องไม่สะดุดกันเลยจะเอาพระปาราชิกขึ้นจะเป็นสังฆราช ไม่สะดุดใจหรือ นั่นยิ่งแสดงถึงหลักฐานว่าสังคมพระสงฆ์ส่วนใหญ่ รวมตัวกันมาขู่รัฐบาลว่าถ้าไม่จัดการทูลเกล้าให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชก็จะออกมาประท้วงกัน

ทั้งที่ประวัติยังไม่เรียบร้อยบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีคดีค้างคา จะเอาขึ้นไปทูลเกล้าได้อย่างไร เขาก็ว่าต้องเอาคนนี้แหละตามหลักเกณฑ์ แล้วดันทุรังว่าจะต้องตั้งให้ได้ อยากจังเลย เป็นพระเป็นเจ้าอะไรกัน ดูแล้วมันน่าเศร้าน่าสลดใจจริงๆในเรื่องของวงการศาสนาในเมืองไทย

อาตมาเองพอยืนยันได้ว่าได้ออกจากทางโลกออกมาจริงๆตั้ง 46 ปีแล้วไม่คิดจะเวียนกลับไปจริงๆไม่มีจิตทุรพลที่ท้อแท้ไม่เอา หนักแสนหนักยากแสนยากก็จะตายทางนี้ ขอยืนหยัดยืนยัน จะเกิดอุปสรรค์ก็ไม่ไปเอางานอื่นที่จะทำอีกแล้วเพราะอะไร

เพราะว่ามนุษย์นั้นทุกคนเกิดมาไม่มีอะไรดีกว่าที่จะต้องมาศึกษาเอาธรรมะ เพราะอะไร    เพราะมนุษย์ต้องมาเอาอันนี้กันเถิด เอาธรรมะเถิด ชีวิตเกิดมาอย่าเป็นโมฆบุรุษ คนเกิดมาไม่ใส่ใจปฏิบัติธรรมะคือคนเกิดมาตายเปล่าคือโมฆบุรุษ เกิดมาไม่ได้เรียนรู้ศึกษาธรรมะฝึกฝนธรรมะก็ได้อธรรมไป

แล้วธรรมะพระพุทธเจ้านั้น

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) 

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้นแม้ไม่ง่ายก็ต้องเอาพระพุทธเจ้าตรัสว่าเกิดมาแล้วไม่เอาธรรมะก็คือโมฆบุรุษแล้วมาบอกว่าตนเองเป็นพุทธศาสนิกชน เวลากรอกเอกสารมีช่องให้กรอกว่าตนเองนับถือศาสนาอะไร ก็กรอกว่าตนเองเป็นพุทธ แต่ไม่เคยแยแสพุทธธรรมเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอะไรก็ขอเตือนสติว่าพวกคุณเป็นมนุษย์  เมื่อเกิดมาเป็นคน  แต่เกิดมาไม่สนใจธรรมะก็คือโมฆบุรุษ คนไทย 95 เปอร์เซนต์เป็นพุทธศาสนิกชนตามทะเบียนบ้านมา  ใส่ใจมาเอาธรรมะได้ธรรมะถึง 1% บ้างไหม มันน่าเศร้าไหม!!

ต้องเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ได้ แม้แต่ไปปฏิบัติธรรมในวัดคุณก็ยังไม่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ได้ก็ได้เปลือกๆบางคนนึกว่าตนเองได้เยอะเพราะตนเองได้เรียนพุทธศาสนาจบบัณฑิตเป็นด็อกเตอร์ เป็นดอกเตอร์ทางศาสนาด้วยนึกว่าตนเองได้ธรรมะพระพุทธเจ้าไปแล้วแต่แท้จริงยังเป็นโมฆะบุรุษ ได้โสดาปัตติมรรคหรือยัง ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงโสดาปัตติผล ใครที่ได้มาบอกหน่อยว่าได้อย่างไร

จะมาอ้างว่าได้แบบเดียวกันกับที่พระโกณฑัญญะบรรลุ หรือพระยสะบรรลุมาอธิบายให้ฟังให้อาตมารู้บ้าง พระยสะนี้ฟังธรรมกันฑ์แรกก็บรรลุพระโสดาบันหมายความว่าจิตเข้ากระแส จิตมันมีปัญญารู้เลยว่า ไปหาเงินหาทองอย่างนั้น ไปล่าลาภยศอย่างนั้น มันไม่ใช่ทาง และพระยสะก็ฟังธรรมอีกกัณฑ์หนึ่งบรรลุพระอรหันต์เลยไม่ได้ไปล่าลาภยศสรรเสริญมาเป็นตำนานเป็นประวัติจะให้บรรยาย เพราะว่าพ่อพระยสะมาตามหาก็เลยฟังธรรมอีกอันหนึ่งลูกก็ได้เป็นพระอรหันต์เลย   พ่อได้ฟังเทศนาแล้วก็บอกกับลูกว่ากลับบ้านเถิด พระพุทธเจ้าก็บอกกับพ่อพระยสะว่า ลูกของเธอบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วจะเอากลับไปทำไม

ผู้ที่บรรลุธรรมจะต้องอธิบายอารมณ์จิตเจตสิกของผู้บรรลุธรรมได้ แม้จะไม่ใช่ภาษาของทางวิชาการแบบพระพุทธเจ้า ก็จะบอกอาการจิตของตนเองได้ เนื้อหาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ว่าเป็นอย่างไร เช่นจะพูดคำว่าเวทนาก็ไม่ต้องบอกว่าเวทนาก็พูดว่าความรู้สึกของเราไม่เอาแล้ว ไม่เอาความสุขแบบโลกๆอีกแล้ว ถ้าจิตเป็นพระอรหันต์จิตไม่สุขไม่ทุกข์แล้วมันจืดจริงๆ ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ไม่มีกามไม่มีพยาบาทในกามภพ ก็จะมีพลความอธิบายด้วยพยัญชนะอธิบายให้รู้ลักษณะต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่นโสดาบันท่านบอกว่าจะต้องพ้นอบายภพได้ อบายภพคือเอาหยาบๆเช่นคน คนคนนี้บรรลุโสดาบันคนคนนี้จะไม่ฆ่าสัตว์อีกเลย คนคนนี้จะไม่เอาแล้วของที่ไม่ใช่ของของเราอีกแล้ว แต่อยากได้ของคนอื่น ก็ยังอยากอยู่แต่จะไม่โกงเอามาเลย อารมณ์กามร่วมเพศก็มีผัวเดียวเมียเดียว ถ้ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านก็ไม่เอาแล้วจะต้องไปเสพก็ไม่มี อบายมุขไม่มี จะชัดเจนว่ามันมีหิริโอตัปปะ

ถ้าคุณรู้สึกว่าเป็นอย่างนี้  คิดถึงคนนี้ไม่เอาต่อไปอีกก็ถือว่าเป็นโสดาฯแล้ว ถ้าเป็นโสดาบันเต็มรูป เรียกว่า นิยตะ สัมโพธิปรายนะ แม้ในใจจะมีอยู่แต่ทางภายนอกจะไม่ละเมิดศิล5

คนทั่วไปเข้าใจว่าปฏิบัติศีล 5 ภายนอกคือปฏิบัติศีล จิตเขาอธิบายไม่เป็น จิตของคนที่มีกำลังจนไม่ละเมิด 5 ข้อนี้ได้ เมื่อไหร่ก็ไม่ละเมิด ต่อหน้าและลับหลัง จิตใจห้ามได้ อาจจะมีจิตใจที่อยากได้ แต่เป็นเงินที่ไม่ใช่ของเราจะไม่โกงเอามาเลยไม่ละเมิด

_คนอู๊ดถามว่าถ้าในวัดนี้มีปลวกขึ้นศาลาหลังใหญ่นี้ ?

พ่อครูตอบว่า...ปลวกมันขึ้นบ้านเรา จิตของคนไม่มีอยากฆ่าหรอก จิตของคุณไม่อยากฆ่าเลย ถ้าเป็นแต่ก่อนคุณจะคิดไหม คุณไม่คิดเลยอยากฆ่าไม่ยากก็เอายามาฆ่าเลย หรือไม่ก็บี้มันเลยแต่พอคุณบรรลุแล้วจิตของคุณสัมผัสสัตว์จะไม่อยากฆ่ามันเลย ถ้าเป็นคนรู้ว่าสัตว์ไม่มีชีวิตหรือไม่? ถ้าคุณไม่รู้อย่างนี้ไม่มีทางเป็นโสดาบันหรอก เช่นคนตบยุงคนตบยุงอยู่จะเป็นโสดาบันได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์แล้วมันก็มีชีวิต

คุณก็ต้องหาวิธีเอาปลวกออกไปจะมีความรู้อย่างไรที่จะเอาออกไปไม่ใช่ฆ่ามัน ถ้าคุณรู้แล้วฆ่าปลวกนี้เป็นวิบากบาป ทำแล้วเป็นอกุศลวิบาก แต่คุณรักข้าวของมากจนคิดว่ากรรมก็กรรมเถอะก็ทำไปก็เป็นวิบากของคุณ   ก็ได้บาปไปก็เท่านั้นเอง

_คนอู๊ดถามอีกว่า มีนักบวชบอกว่าช่วยพิจารณาหน่อยว่าจะเอาวัดไว้หรือจะเอาปลวกไว้?

พ่อครูตอบว่าก็แล้วแต่ใครจะเสียสละไหม ว่ากันตามสัจธรรม บางทีก็ไปบวกลบคูณหารกันไม่ได้ง่ายๆแต่ก็มีค่าของมันทั้งนั้น พูดไปแล้วจะหาว่าไปยุแหย่ให้ฆ่าสัตว์ไม่ได้มันผิดมันไม่ดี ก็ต้องใช้ปฏิภาณปัญญาเอาเอง

 

สรุปอีกทีหนึ่งว่าชีวิตของคนเราทำไมไม่พยายามมาเอาธรรมะ เป็นเรื่องพิสูจน์ยืนยันเหลือเกินว่าคนเราในโลกนี้ไม่มีความคิดปรารถนาสิ่งประเสริฐพูดได้อย่างนั้นเลยเพราะไม่มาขวนขวาย  ไปเสียเวลาแย่งลาภยศสรรเสริญก็เป็นวิบากบาปเยอะก็ในโลกทุนนิยมสามานย์มันทำให้จิตของคนต้องไปแย่งกันอย่างสำคัญ แย่งกันอย่างใช้เล่ห์เหลี่ยมวิชาการ เพื่อจะเอาเปรียบเขานะ ได้ชนะเขาได้มากกว่าเขา คุณว่าคุณคิดฉลาดหรือคิดโง่แบบนี้?

การคิดหาวิธีการเอาเปรียบ  เอาชนะเขาให้ได้ให้ได้ลาภยศได้สรรเสริญมากกว่าเขา มันคิดฉลาดหรือคิดโง่  ตอบ….ก็คิดโง่ !  พวกคุณตอบถูกต้องเลย แต่คนทั้งโลกเขาจะตอบอย่างนี้ไหมเขาจะไม่ตอบอย่างนี้ แล้วเขาจะไม่ปฏิบัติแน่นอน เขาก็จะปฏิบัติโง่ๆอย่างนั้นแหละเขาจะต้องคิดแย่งชิงเอาให้ได้ตลอดไป

เขาก็จะคิดว่าจะต้องได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมากกว่าคนอื่น หมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา  ก็คือเป็นอารมณ์โลกีย์ เป็นอย่างนี้ตลอดกาลนานแต่พวกคุณได้รู้จักทิศทางโลกุตระแล้ว จึงไม่เป็นคู่แข่งแย่งเขา

ถ้าอาตมาไม่ได้สอนให้พวกคุณรู้แบบนี้ คุณก็จะไปแย่งกับทางโน้นมากกว่านี้อีกใช่ไหม นี่แหละคือธรรมะได้บรรเทาสังคม ลดคู่แข่งแย่งชิงของสังคมลดความเดือดร้อนลดความวุ่นวาย สร้างความสงบให้แก่สังคมส่วนหนึ่ง

อาตมาช่วยคนไม่ให้ไปแย่งโลกีย์กับโลกก็คือได้ช่วยสังคม แม้แต่สำนักหลายสำนักที่เอาคนมานั่งหลับตากัน ก็ดูเหมือนว่าเขาช่วยทำความสงบให้แก่สังคมเหมือนกันแต่เมื่อนั่งหลับตาแล้วปลุกเร้าสอนผิดทิศทางให้ไปอยากได้ร่ำรวยได้เงินมามากๆแล้วจะได้มาทำทานให้มากๆ เพื่อจะเอาไปทำงานจะได้รวยยิ่งกว่าเก่า ไปเอาเปรียบมากกว่าเก่า เขาก็จะขวนขวายอุตสาหะวิริยะ เพิ่มความสามารถให้มากให้ได้รวยมากๆจะได้ทำทาน คนสอนอย่างนี้ไม่ได้ลดไม่ได้ทำความสงบในโลกเลย ไม่ได้ทำความสงบให้กับสังคมเลย อย่างเช่นสำนักธรรมกาย

อาตมาเป็นหมอต้องการกำจัดโรคที่เป็นพิษ ถ้าไม่ทำก็เสียหมอหมด ที่ต้องตำหนิธรรมกายนี้

คนทำความสงบให้แก่บ้านเมือง คนที่พาไปนั่งสงบเหมือนทำให้เกิดความสงบชั่วคราว แต่ยิ่งเกิดการปลุกเร้าให้คนไปรวยแล้วไปมาทำทานมากๆก็จะได้สวรรค์วิมานใหญ่กว่านี้ คือการหลอกลวงครอบงำทางความคิด เอาวิมานบ้าๆบอๆมาหลอกให้เขาหลงเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสถึงการทำทานในข้อที่ 4 บอกว่า อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) อันนี้เป็นขั้นเลวร้ายแล้ว

แม้แต่ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) ธัมมชโยก็ไม่รู้แล้ว

การทำทานต้องไม่ตั้งจิตใจที่ผิด การทำทานคือการให้ให้แล้วก็จบ ผู้ใดทำจิตละเอียดทำได้อย่างนี้ได้เลยคือจิตใจของพระอรหันต์ เป็นจิตใจของพระพรหมแล้วอย่างน้อยเป็นอนาคามี คือผู้ที่ไม่เปลี่ยนกลับอีกแล้ว แต่กลับไปตั้งจิตอยากได้ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต แล้วคุณจะได้ไม่เวียนกลับได้อย่างไร?

อาตมาเอามาอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมะที่ดับภพจบชาติ

ศาสนาพระพุทธเจ้าคือศาสนาดับภพจบชาติ แล้วภพที่คนต้องการโดยอวิชชาอยู่นั้นก็คือภพของเทวดา จตุมหาราชิกาไปถึงปรนิมิตวสวัตตี คนต้องการอย่างนี้ทั้งนั้นเลย ภพอย่างนั้นมันไม่มีที่มนุษย์ต้องการมี 6 ประเภทเท่านั้น

มีมนุษย์ที่ไหนต้องการภพของนรก ไม่มีแต่มันต้องได้นรก แม้คุณต้องการเทวดา 6 ชั้น แต่คุณจะไม่ได้ตามต้องการเพราะคุณอวิชชาเพราะไม่รู้ว่าทำอย่างนี้มันจะได้นรก เพราะฉะนั้นคนที่ไปทำทาน คนที่ไปปฏิบัติธรรมกับธรรมกายนั้นไม่รู้จักนรก เขาต้องการสวรรค์ 6 ชั้นนี้เท่านั้น แต่เขาได้นรกมากกว่า 6 ชั้นนี้ แดนนรกแบบยกกำลัง เพราะเขาไม่รู้ความซับซ้อนของกิเลส

เขาตั้งจิตไว้ผิดไม่ได้ล้างภพชาติเลยมีแต่ตั้งจิตจะได้ภพชาติ

ทำทานเพราะ 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)   3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม) 4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) อาจารย์ก็สอนว่าภพหน้าจะได้รวยมากกว่าเขารวยมหาศาล ภพ ที่ 1 เขาก็เอาภพที่ 2 เขาก็เอาภพที่ 3 ภพที่ 4 ภพที่ 5 ภพที่ 6 เป็นนรกยกกำลังเลย

ศาสนาพุทธเจ้าต้องการล้างภพจบชาติแต่เขาไปสร้างภพชาติซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้นไม่ต้องไปพูดถึงว่าภพนั้นมี

ภพ ของนรก 4 ภพ ของเทวดา 6 ภพมนุษย์อีกหนึ่ง ภพพรหมอีก 20 เขาไม่รู้จักทำจิตพระพรหม เพราะไม่รู้จักวิธีทำจิตให้สะอาด ไม่ว่าจะสายหลับตาสมาธิแบบมืดหรือสว่างแบบธรรมกาย ก็มีการสร้างภพชาติไม่ได้ล้างภพชาติ ไม่ได้ทำการปฏิบัติตั้งแต่กามภพเลย เบื้องต้นก็ไม่ทำ จะไปปฏิบัติตอนกลางตอนปลายได้อย่างไร

เมื่อคุณทำทาน กายกรรมก็ให้ วจีก็ “อิมินาฯลฯ…..” ให้แล้ว แต่จิตอธิษฐานไว้ ตั้งไว้แล้วว่าเอา ก็สอนกันอย่างนี้ทั้งนั้นทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะฉะนั้นต้องตั้งจิตใจว่าอย่าไปเอา คุณให้ทานไปแล้ว คุณอย่ามี สาเปกฺโข(มุ่งหวัง)  ความหวังคือการสร้างภพ จิตของคุณให้ก็คือให้

ล้างกิเลสกามภพได้ก็ล้างรูปภพต่อ แต่ก็ยังอยู่กับกามภพ เสนอกลับมาพบแล้วไม่ได้เสพในกาม ก็อยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแต่มันก็ไม่มีผลกับคุณ คุณไม่ทำเวรทำบาปกับมันแล้ว อยากได้ก็สร้างเอา จิตของคุณเป็นแบบนี้ไหมก็อ่านสิ

อาจจะต้องทำงานเพื่อแลกไปได้มาเป็นสุจริตไม่ผิดกฎหมาย ไม่เลี่ยงภาษี ไม่ต้องไปพูดถึงการฟอกเงินเลย คุณก็ทำเป็นพระโสดาบันได้ แต่นี่คุณยังฟอกเงินยังเลี่ยงภาษีได้คุณไม่เป็นโสดาบันเลย ไม่ต้องพูดถึงนิพพานเลย

การจะรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพานนั้น จะรู้ได้ต้องรู้จักรูปที่ 28

รูปที่ 28นี้คือองค์ประกอบของกายที่จะต้องรู้ได้ด้วยปัญญาหรือสัญญาของเรา เช่นดินน้ำไฟลมคือมหาภูตรูป4คุณสัมผัสกับมันแล้ว นามธรรมของคุณก็รู้ว่านี้คือธาตุดิน เป็นก้อนก้อน อย่างนี้เรียกว่าธาตุน้ำ อย่างนี้เรียกว่าธาตุลม อย่างนี้เรียกว่าธาตุไฟเป็นพลังงานความร้อนความเย็นขนสัมผัสแล้วก็เรียนรู้ เรียกว่ารูป ในมหาภูตรูป 4

แล้วคุณมีปสาทรูป โคจรรูป คุณมีประสาทรับรู้ได้ และก็ต้องมีการสัมผัสจึงจะมีโคจระ ก็เอาตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัส ให้สัมผัสเกิดภาวรูปเกิดภาวะเกิดอารมณ์ กับสิ่งที่สัมผัสกระทบกันขึ้นก็เป็น ภาวรูปอีก 2 เป็นอุปาทายรูปแล้ว เลื่อนเข้ามาภายในแล้ว ต้องมีปสาทรูป โคจรรูปทำงานร่วมกัน

รูปอันนี้เป็นนามธรรมเป็นกายแล้ว ตรวจเป็นสภาพธรรมะสอง  มีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะแล้ว ถ้าไม่ปรุงแต่งเป็นเอก ปุริสภาวะ เมื่อปรุงแต่งเป็นอิตถีภาวะ เกิดที่หทยรูปสถานทีไม่ใช่พิกัดในโลกนี้ แต่เป็นนามธรรม คือคุณสัมผัสรู้อาการจิตของเรา เมื่อภาวรูปเกิดที่ไหนคุณสัมผัสได้คือหทยรูป แล้วเรียนรู้หทยรูป เรียนรู้จิตในจิตคือเวทนา แล้ววิจัยเข้าไปเป็นธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ จนอ่านอาการ วิธีการของพระพุทธเจ้าถ้าไม่ให้มันแล้วมันจะดิ้นรนเป็นตัณหา เป็นอกุศลจิต ก็จะรู้ว่านี่คือเหตุ แล้วอกุศลจิตตัวนี้มันมีชีวิตินทรีย์ มันเป็นชีวะที่ไม่ตาย ตรวจตัณหานี่คือตัวการเลยคุณจะต้องทำชีวิตนี้ให้ดับ การเกิดก็คือชีวิตของตัณหาเป็นอกุศลจิตคุณจะต้องดับมันให้ได้ เมื่อคนจัดการอาการกิเลสตัวนี้ไม่ให้เกิด ไม่มีชีวิตินทรีย์ของอกุศลเหตุตัวนี้เป็นสโมสรณา

แล้วก็มีอาหาร มีปริเฉท จนคุณกำจัดได้คือกำจัดกิเลสลง มันอาศัยอะไรที่ทำให้เกิดชีวิตินทรีย์ คือตัวอกุศลจิตตัวกิเลสโดยเฉพาะ ไม่ใช่อาการจิตสามัญของสัตว์โลกธรรมดา ๆ ไม่ใช่ แต่เป็นอาการจิตที่เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์อริยสัจเป็นตัวอกุศลจิต เรียกว่าตัณหา

ในตัณหานี้ท่านให้เรียนรู้ว่าอาศัยอะไร วิธีปฎิบัติเช่นอาหารหยาบเลย อย่างอาหารคำข้าวที่กิน เอาตัวนี้ เรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา เป็นกวฬิงการาหาร ในนี้ คนอวิชชาทั้งหลาย มันมีความชอบหรือไม่ชอบในอาหารนั้น เด็กกว่ามีกามหรือพยาบาทกับอาหารนี้ได้ คนที่อวิชชามันมีอยู่ วิธีเรียนเข้าไปสัมผัสอาหารเรียกว่ามีผัสสาหาร แล้วอ่านมโนสัญเจตนาว่าเป็นกามเป็นพยาบาทอะไร?

ใครทำเบื้องต้นในกามภพก่อน แล้วเรียนรู้กามภพลดละกิเลสให้ได้ เป็นมโนสัญเจตนาที่มีตัณหาเป็นตัวเหตุ อยู่ในกามภพนี่แหละ

นามคือตัวรู้ ตั้งแต่สัญญาถึงปัญญา รู้กำจัดกิเลสให้กิเลสลดลงปัญญาคือความฉลาดของสิ่งที่รู้ คุณเข้าใจด้วยความเฉลียวฉลาด คือปัญญาสัญญาคือความกำหนดรู้ ปัญญาคือความเฉลียวฉลาดที่เพิ่มขึ้นเพิ่ม ถ้ามันโง่ลงก็ไม่ใช่ปัญญาเป็นอวิชชา

ภาวรูป 2 หทยรูป2 ชีวิตรูป 2 อาหารรูป ปริเฉทรูป เมื่อคุณปฏิบัติลดกิเลสได้ก็จะรู้ว่า ในวิญญัติรูป 2 ว่าวิญญัติเราไม่ละเมิดแล้ว อาการเราไม่ละเมิด

เช่นเราถือศีล 5 เราไม่ละเมิดแล้วอ่านภายนอกและอ่านภายในลึกซึ้งเข้าไปถึง วิการรูป คือ

  1. ลหุตา คือความเบา
  2. มุทุแปลว่า ความคล่อง ความแววไว ดัดได้ไว
  3. กัมมัญญตา
  4. กายวิญญัติ
  5. วจีวิญญัติ

ลหุคืออาการจิตของคุณ จิตคุณหนัก,แรงไหม ถ้าสะกดจิตไว้ไม่ให้ละเมิดสะกดข่มจิตไว้ มันจะแรงอยู่ไหม มันก็แรง ก็ไม่ลหุ คุณต้องทำให้ลหุ ให้มันเบานะ อย่าให้มันแรงมันหนักมันยาก หากคุณสมถะกดข่มก็ทำให้เบาได้ วิธีการนั่งสมาธิหลับตาไม่ได้ทำการวิจัยเลยมีแต่ดับจิตสะกดจิตเลยไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า วิธีการของพุทธต้องมีผัสสะ แล้วอ่านจิตที่มีแรงเลย หากแรงมากอดไม่ไหว ศีล 5 ก็ฆ่าเสีย เอาของเขาเสีย ผิดผัวเขาเมียใครเสีย มันก็พูดปดเสีย แล้วเสพย์สิ่งเสพติดเสีย แล้วจิตไม่เจริญไม่แววไว ไม่มีปัญญารู้ทันเลย กิเลสพาไป

แม้รู้ทัน แต่คุณจะดัดมันปรับมัน ทำให้กิเลสลด เมื่อเปิดตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสภายนอกและอ่านกิเลสพยายามทำประหาน 5

พยายามพิจารณาว่ามันไม่ใช่ตัวจริงมันไม่มีตัวตนจะให้มันมีตัวตนเป็นเรามันไม่ใช่ของเที่ยงแท้มันเป็นของหลอกมันไม่ใช่ของจริงมันไม่ใช่ของเที่ยงแท้ มันพาเราทุกข์ มันพาเราเป็นภาระ ก็ต้องพิจารณาไตรลักษณ์พวกนี้จริงๆ จนเกิดญาณปัญญาจริงทำให้บ่อย ทำให้ซ้ำ

กล่าวถึงภาษาอาจารย์ในไหนๆก็พูดไม่ต่างอาตมาเท่าไหร่เขาจะมีนัยยะละเอียดลึกซึ้งที่จะขยายความอย่างอาตมานั้น มีทั้งคำสอนพระพุทธเจ้าที่เอามาร้อยเรียงเท่าไหร่ แต่อาตมาร้อยเรียงเยอะ

คนที่ไปเรียนอภิธรรมจะไม่อธิบายรูป 28 อย่างละเอียดก่อนแต่จะไปอธิบายอภิธรรมก่อน

นามไม่รู้แล้วจะไปรู้รูปที่ไหน ในวิโมกข์ 8 1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)

ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องรู้รูปนาม  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ต้องรูปกายเวทนาจิตธรรม ทำสำเร็จเป็นเอกธรรม สั่งสมผลที่จะไปนิพพาน

แม้แต่ลักขณรูป 4 เป็นตัวสุดท้ายเลยจะรู้ว่าอย่างไหน อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

ถ้าเป็นพระอรหันต์จะอยู่กับลักขณรูปสี่นี้  จะรู้ว่าจิตเริ่มเกิดจะมีสภาพอุปจยะอย่างไร พอมันเป็นอกุศลจิต สมมุติว่าคุณเป็นพระอรหันต์รู้เลย จิตใจพระอรหันต์จะไม่มีอกุสลจิตเกิด การเกิดของจิตจะไม่เป็นอกุศลจิต เกิดในปัจจุบันที่ผัสสะ พอผัสสะแล้วมีแต่กุศลจิตเกิด แต่ก็ต้องพิจารณาว่าจะให้กุศลจิตนี้เกิดเบาหรือแรง จะต้องมีจิต มุทุภูตธาตุควบคุม คนเป็นพระอรหันต์จิตใจก็จะแววไวตามที่มีบารมีแล้วก็ปรับได้ มีสัปปุริสธรรม 7

คุณจะเกิดอย่างไรทุกอย่างก็จะต้องมีแก่แล้วไม่เที่ยง ทำให้เกิดขึ้นมาก็ไม่เที่ยง ถ้ารักษามันเสริมให้มันอยู่ไปเรื่อยเรื่อยๆมันก็มี แต่อะไรเกิดมาแล้วก็จะต้องมีแก่ และก็หมดไป ลักษณะสุดท้ายมีสี่อย่างนี้

ผู้ที่เลือกหรือตัดหรือต่อสันตติได้คืออรหันต์ โสดาบันก็เริ่มฝึกไปไม่ให้มีสันตติคือไม่ให้อกุศลจิตเกิด จะด้วยวิกขัมภนปหานกดข่มไว้ก่อน โดยสามัญของมนุษย์ก็จะทำเป็นอัตโนมัติสามัญ ถ้ามาปฏิบัติธรรมก็สังวรเป็น ก็กดข่มไว้ก่อนแล้วเรียนวิปัสสนาวิธี เรียนรู้วิธีมันจะปรุงแต่งอย่างไรจะอนุโลมปฏิโลมอย่างไรเราถือศีลแค่ไหน เรียนกว่ามีปริเฉทรูป มีกรอบของเราเท่านี้

เช่นกิเลสศีลข้อ 3 มันมีกาม มีพยาบาท จะอนุโลมขนาดไหน ปริเฉทรูปขนาดไหน เอาปริมาณเท่าใดจัดกรอบมัน ถ้ามากกว่านี้สูงไปไม่เอา ยกตัวอย่างศีลข้อ 3 8 ศีลข้อที่ 1 เริ่มต้นก็ต้องไม่ฆ่า ศีลข้อ 2 ของคนอื่นก็ไม่เอา ศีลข้อที่ 3 ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ก็อนุโลม ศีลข้อ 4 ไม่พูดปด แต่ศีลข้อ 5 ไม่เอาสุรา คือสิ่งที่ครอบงำเราจนเมาไม่รู้เรื่องไม่เอา เอาอันหยาบกลางออกก่อนแต่อันละเอียดคือเมรยะเอาไว้ก่อน

แล้วพยายามปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 วิชชา 8 มาขยายความแล้วปฏิบัติให้ได้ ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้งมากมาย

แต่เขาปฏิบัติกันทุกวันนี้ปฏิบัติแบบแยกส่วน สมาธิก็ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ปัญญาเข้าไปนั่งเรียนเอา ศีลก็ถือแต่กายกับวาจา

ในศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ในนั้น เราก็กำหนดเอาแค่กรอบบริบทของเรา แล้วเอามาปฏิบัติ ด้วยการรู้กิเลสที่เป็นตัวเหตุให้ได้แล้วก็ฆ่ากิเลส มันยากตรงที่เราจะต้องอ่านจิตเป็น   แล้วแยกแยะตัวจิตที่เป็นเหตุที่เป็นตัวสมุทัยแท้ ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ตัวสำคัญ คือ analysis การวิจัยวิเคราะห์จิตในจิต เชื่อมกับภายนอก แต่ต้องเอาภายในเป็นหลัก

ภายนอกต้องรู้ว่ามันเป็นเหตุปัจจัยเช่นสัมผัสกับธนบัตร ก็เป็นศีลข้อ 2, สัมผัสกับสัตว์ก็เป็นศีลข้อ 1, ศีลข้อ 3 ก็ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส

บอกขออนุโมทนาที่ได้ฟังธรรม ให้ได้เกิดอานิสงส์5ประการของการฟังธรรมเอาไปทำให้เกิดการบรรลุ ….จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:22:29 )

590825

รายละเอียด

590825_เทศนางานฌานปนกิจศพ คุณเทียนพุทธ พุทธิพงศ์อโศก

เวลา 12.00 น. ที่ศาลาเฮือนศูนย์สูญมีรายการรำลึกถึงคุณงามความดีของอาเทียนพุทธ มีญาติทั้งญาติทางสายเลือดและญาติธรรมร่วมรำลึกถึงอาเทียนพุทธกันอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจ รายการนี้มีการถ่ายทอดสดทางบุญนิยมทีวีด้วย

          จากนั้น พ่อครูนำหมู่นักบวช เดินธรรมยาตรานำขบวนนำศพของคุณเทียนพุทธเดินเท้าไปสู่เมรุสุดชีวิตในเวลา 14.30 น. ถึงเมรุตอนประมาณ 14.50 น.

          คุณในน้ำคำอ่านประวัติของอาเทียนพุทธสั้นๆ ก่อนที่พ่อครูจะเทศนาก่อนฌาปนกิจศพ

          พ่อครูว่า...วาระนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องอีกไม่กี่นาทีนี้เราก็จะได้ประชุมเพลิง คุณเทียนพุทธ พุทธิพงศ์อโศก เป็นญาติธรรมที่ได้ร่วมทั้งก่อตั้งทั้งต่อสู้ฟันฝ่ารบกันมาแบบอหิงสา

อาตมาเห็นพฤติกรรมของพวกเราทำผ่านมาถึงเวลานี้ ที่อาตมาพาทำ ครั้งแรกที่ถ.ราชดำเนิน ผู้การแต้มจะมาสลาย พวกเราก็นั่งสงบนิ่ง ผู้การแต้มก็พาตำรวจกลับอย่างสงบ เป็นครั้งแรกที่อาตมาเห็นความสงบสยบความเคลื่อนไหวหรือรุนแรง

          ครั้งต่อมา หรือมีอีกมากกรณีเมื่อเขารุนแรงมา เกิดปฏิกิริยาเขาได้สำนึกกันทุกที สุดท้ายเขาก็แพ้ กลับไป โดยเราไม่ได้ตอบโต้รุนแรงเลย อย่างมากทนไม่ได้ก็ตะโกนออกไปหรืออ้อนวอนร้องขอ อย่าทำพวกเราเลย สุดท้ายจิตวิญญาณคนก็เข้าใจ เราไม่ได้ไปทำร้ายใคร เราก็บอกเจตนาว่าเราทำเพื่อส่วนรวม จนถูกเขารุกราน ยิงมา พวกเราก็ตายเจ็บไปบ้างก็ไม่มากนัก โดนระเบิดน้ำตาใส่บ้าง ดีอาตมาไม่โดนลูกปืนสักนัด ก็โดนแค่แก๊สน้ำตา ฤทธิ์เดชไม่ใช่เล่น

          จนวันที่ 18 ก.พ. ซัดตูมตาม ยิงมา อาตมาก็เป็นเป้าบนเวที อยู่กลางศูนย์ชัดเจน ไม่ต้องหายากเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี เขาก็ลาทัพหอบโล่ห์ ทิ้งโล่ห์บ้าง เราก็เห็นธรรมฤทธิ์ของความสงบสยบความรุนแรง ไม่ใช่นึกเอาแต่เป็นเหตุการณ์จริง

          เป็นเรื่องที่มนุษย์จะไม่เชื่อง่ายๆหากไม่เจอความจริง เราได้ต่อสู้มาจริง เป็นประวัติศาสตร์แท้จริง ก็เป็นเรื่องที่บันทึกไว้เป็นตำนานให้รุ่นหลังได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ละครหรือหนัง เราจะยังมีเหตุอะไรให้เราทำต่ออีกหรือไม่เราไม่รู้แต่เราก็ถ้าเป็นไปถึงขีดไหนก็แล้วไป คนมีวิบากของตนเอง วิบากใครหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องเป็น

          ถึงเวลาอันสมควรแล้ว อ.เป็นต้นก็เขียนโคลงส่งมา เป็นโคลงสี่สุภาพ

 

ลาก่อนโลกนี้

ร่างกายแก่หง่อมแล้ว        ลาที

ถูกโรคร้ายราวี                ทุกข์แท้

ปิดฉากงบบัญชี               ชีวิตโลกเฮย

กรรมเก่าฤาห่อนแก้          กอบกู้คืนมา

 

กรรมวิบากคู่นี้                 มีมา

ตั้งแต่เกิดชีวา                  ก่อไว้

ดีชั่วประทับตรา               ตรึงอยู่ เสมอเฮย

ชีพดับฤาหลบได้              มุดด้าว ดินหนี

 

เสียงสวนเสรครึกครื้น      เย้ยใคร

เสียงสรรพสำ                  เนียงใส่ สุขเแท้

ลืมความลับอา                 ลัยเย้ย บรรเลง

หลงเล่นเพลิดเพลินแท้     ล่วงแล้ว วัยคะนอง

 

ก่อความดีฝากไว้             ลูกหลาน

ทำชั่วถูกประจาน             แก่เจ้า

อย่าเก่งแต่กิจการ            ธุรกิจ กอบโกย

สนามรบคือโรคเร้า          รุกเร้ารานรอน

 

ใครจะเก่งเบ่งบ้า              ช่างใคร

ใครจะรวยเท่าใด            ห่อนง้อ

ใครจะเลิศวิไล                 แฝงเลห์เลิศฟ้า

แม้จะทุกข์ห่อนท้อ            จิตแท้ คู่ธรรม

                                      _เป็นต้น นาประโคน


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:35:39 )

590826

รายละเอียด

590826_พุทธศาสนาตามภูมิ  ดับภพ จบชาติ ฉลาดแบบพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 วันนี้เราเทศน์หน้าศพญาติธรรมเราอีกคน เรามีเรื่องของมรณกรรมติดต่อกันมา 4 ศพ บางศพอาตมาก็ไปร่วมไม่ได้ ต้องขออภัยในหลายศพ เมื่อวานเราก็มีเผาไป 1 ศพ วันนี้ก็มีอีกศพ คือลุงโก๊ะ(นายกำไร พุ่มพฤกษ์) นายช่างประจำราชธานีอโศก เสียชีวิตด้วยโรคไตวายเฉียบพลันเมื่อ 25 ส.ค. 2559 เวล 01.25 น.

สิริอายุได้ 58 ปี เกิด 10 มีนาคม 2501 มรณะ 25 สิงหาคม 2559 อย่างข้างนอก เขาก็มีเกิดมีตาย สูญเสียกันไป แต่พวกเราก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมา ตายเราก็ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้กัน ถึงเวลาเราก็ช่วยกันให้เรียบร้อยตามประเพณี

มาดู SMS 24 August 2016

0833208xxx ปราชญ์เมธี พึงรักษาศรัทธาแต่แรกเริ่ม ศึกษาเติมเต็มความรู้ให้กับตน ข้ามพ้นวังวนแห่งการยึดถือ ฝึกปรือด้วยท่าทีอ่อนน้อม แสดงออกถึงธรรมภายในตน กุศลบุญสร้างนำชดใช้หนี้กรรม

0877854xxx น้อมส่งอาเทียนพุทธด้วยจิตคารวะครับ

0893867xxx สลดใจมรณัสสติผู้วายชนม์เตือนจิตตนแม้แต่ผู้ถือศีล5 บำเพ็ญศีล8 ทานมังสวิรัติ สร้างแต่บุญกุศลใช่ว่าจะพ้นวิบากเก่า!ขอยึดมรณังของท่านเป็นครูเตือนใจตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท แม้ถือศีลละอบายแล้วสาธุได้

ตอบ...พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง วิบากเก่า ที่ต้องออกป่าบำเพ็ญทุกรกิริยามา 6 ปี แล้วท่านก็ว่าเป็นทางผิดไม่ได้บรรลุธรรมด้วยทางนั้น

อาตมาก็พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังสะดุดว่าธรรมะของพระพทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะที่จะออกไปปฏิบัติในป่า

แม้แต่คำตรัสของพระพุทธเจ้าในอัมพัฏฐสูตร ว่า ศาสนาพุทธถ้าคนหลงปฏิบัติไปหาอาจารย์ในป่าถือว่าเป็นความเสื่อม

แม้แต่ตรัสว่าอุบาลีเธออย่าออกป่าเลย หาความสงบรำงับได้ยาก หาความวิเวกได้ยากไม่น่าอภิรมย์ ถ้าไม่มีผลสมาธิ ไปก็จมหรือลอย ท่านกลัวอย่างนั้นเลย คนที่ไม่มีผลสมาธิดีนะ

สมาธิที่เป็นมรรคผล ถ้าไม่มีแล้วออกป่าก็ไม่จมก็ลอย อาตมาหยิบมาพูดเพื่อเตือนสตินักปฏิบัติธรรม แม้แต่ที่พระพุทธเจ้าท่านว่าให้นั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ในอานาปานสติ อาตมาก็ชัดว่า การออกป่าเขา ที่แจ้งลอมฟางป่าช้าก็ดี

คำว่าก็ดี คือ หมายถึงท่านตรัสกับผู้ออกป่าขณะนั้น แม้ท่านจะบรรลุแล้ว ท่านก็ว่าคนจะออกป่าก็ตาม ท่านก็อธิบายให้เห็นว่าต้องทำใจในใจอย่างไร

อาตมาเขียนในหนังสือป่ากับศาสนาพุทธ ว่าพระไตรปิฎกเล่มนี้ที่เราใช้กัน มีพระกัสสปะเป็นประธาน จึงมีคำสอนโน้มหนักไปทางป่า เอียงไปทางป่าเยอะ จนทุกวันนี้คนเข้าใจว่า สถานปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ต้องออกป่า อยู่ในเมืองไม่ถือเป็นพระปฏิบัติ เขาว่าพระป่าพระกรรมฐานธุดงค์คือพระปฏิบัติ ส่วนพระในเมืองเรียนภาษาเหตุผล เขาเรียกว่าพระปริยัติ ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม แสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธเสื่อมจนไม่เห็นว่าวิธีปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าคืออะไร

*ต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์*ไม่ได้อยู่ป่าเลย

แล้วปฏิบัติด้วย **สัมมัปปธาน4**

1.สังวรปธาน(สำรวมอินทรีย์6)              

2.ปหานปธาน

3.ภาวนาปธาน                               

4.อนุรักขณาปธาน

การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 จะต้องเรียนรู้ 

1.*กายในกาย       2.*เวทนาในเวทนา        3.*จิตในจิต    4.*ธรรมในธรรม

 

วิธีปฏิบัติสติปัฏฐาน4 คือ สำรวมสังวรอินทรีย์ 6 โพชฌงค์ 7 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ได้ผลเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 สั่งสมผล หรือโลกุตรธรรม 37

 

*ศาสนาพุทธ คือศาสนาโลกุตระ

เมื่อปฏิบัติจะ บรรลุได้เป็น บุคคล 8 และนิพพาน 1 คือโลกุตรธรรม 9 *

โดยปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 รวมเป็น โลกุตรธรรม 46 (37+9=46)*

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ แต่คนทุกวันนี้ไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอนาคตคนจะพูดเรื่องโลกุตระไม่รู้เรื่อง จะพูดแต่หวังสวรรค์เพ้อพก ไม่มีโลกุตระ สะกดจิตอย่างเดียวนั่งหลับตาอย่างเดียว คนจะหลงสะกดจิตนั่นคือศาสนาพุทธเสื่อมแล้ว อาตมาพูดนี่แรงนะ เพราะศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่นั่งหลับตา 

*ถ้าจะนั่งหลับตาก็ต้องสัมมาทิฏฐิ *

-จะเป็นอุปการะมาก เสริมในการพักผ่อน รู้จิตในจิต เป็นเตวิชโช(ตรวจสอบ)

-แต่ไม่ใช่ทางเอก ทางปฏิบัติ

พูดไปแล้วคนก็ว่าอาตมาไปเอาจากไหน เขาก็ว่าต้องนั่งหลับตาปฏิบัติทั้งนั้น แต่อาตมาว่า **ในพระไตรฯทั้ง 46 เล่มนี้ มีไหมสักคำบอกว่า ต้องปฏิบัติหลับตา มันไม่มี เมื่อทางปฏิบัติผิดจึงหามรรคผลไม่ได้

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ปฏิบัติที่ไม่มีกายสักขี ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่รู้จักกาย ไม่มีทางบรรลุอรหันต์

 แต่คนก็อาจแย้งว่า กายสักขีมี บางคนอาสวะบางอย่างก็สิ้นไปได้

 

ผู้นั่งหลับตา ไม่ได้ปฏิบัติอย่างกายสักขี ไม่มีพยานข้างนอกเลย

สำหรับผู้มีบารมีปฏิบัตินั่งสะกดจิต จิตสามารถรู้เข้าใจได้ก็สามารถมีอาสวะบางอย่างดับได้ *แต่ว่าไม่ได้หมายความว่า การปฏิบัตินั้นเป็นทางปฏิบัติอันเป็นปฏิปทาแบบพระพุทธเจ้า* อันนี้เข้าใจยาก

อธิบายมา 30 ถึง 40 ปีก็ยังรู้สึกว่าอธิบายไม่เก่ง

 

0811236xxx กราบเรียนพ่อครูครับมีหมู่บ้านที่อำเภอลี้จังหวัดลำพูนเป็นหมู่บ้านของคนกะเหรี่ยง ถือศีลกินมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีร้านอาหารมังสวิรัติทั่วไป นำโดยครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม สายครูบาศรีวิชัย ท่านพาคนทำ แบบนี้ก่อนชาวอโศก ไม่เชื่อไปดูได้ ขอยืนยัน ตอนนี้ครูบาวงค์ท่านมรณภาพไปนานแล้ว ขอบคุณครับ ที่หมู่บ้านไม่มีคนเลี้ยงไก่เลี้ยงหมู พระที่วัดฉันอาหารมังสวิรัติทุกวัน ถ้าชาวอโศกจะไปเยี่ยมบอกก่อนได้ครับ มีอาหารเลี้ยง ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ ถ้าจะไปวัดครูบาวงศ์  วัดพระบาทห้วยต้มโทรบอกได้ครับที่เบอร์นี้ 0937613579 จะไปนอนเยี่ยมชมหมู่บ้านก็ได้ครับ

0893867xxx วัวควายตายเหลือไว้เพียงเขาหนัง! ช้างตายเหลืองาเป็นศักดิ์ศรี! คนเราตายเหลือ ไว้แต่ชั่วดี! บรรดามีประดับไว้ในโลกา!

ตอบ...คนเราตายหากไม่เอาไปใช้ประโยชน์ก็เผาก็ฝัง จะมีแต่สิ่งที่ทำไว้คือกรรม ประดับไว้ในโลกา

จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้ว่า เราทำแล้วจะได้ประดับไว้ในโลกาหรอก ไม่ได้ให้อยากเด่นอยากดัง แต่เป็นสัจจะชนิดหนึ่ง เราทำดีก็เป็นตัวอย่างให้คนจำไว้เอาอย่างตาม คนก็จะยอมรับนับถือปฏิบัติดี

จะปฏิบัติดีได้ ต้องรู้ว่า *ดีคืออย่างไร ถ้าปฎิบัติดีได้แค่ กายกับวจี แต่มโนไม่ได้ทำ ก็ยังไม่ครบ

#เวลาเราทำกายกรรม วจีกรรมให้ดี  *ใจเรา* ก็ต้องเป็นเหตุไปควบคุมกายกรรม วจีกรรม ซึ่งเป็นสามัญสำนึก นอกจากคนประมาท ไม่ดีก็รู้แต่ยังทำ

เมื่อทำไปแล้วกรรมเป็นอันทำ ก็เป็นวิบากของแต่ละคน

อันนี้แหละ ถ้าจิตไม่ระมัดระวัง แต่จริงๆลึกๆ คนเราก็จะระมัดระวัง บ้างมากหรือน้อยก็แล้วแต่ละคน

โดยสามัญไม่มีใครที่จะทำออกมาเลยอย่างไม่สังวร จิตไม่ควบคุมเลย มันก็ควบคุมบ้างนิดๆหน่อยๆ ตามสามัญสำนึก นอกจากบางคนรู้เลยว่าชั่ว แต่เจตนาจะทำ บอันนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย พวกไม่คำนึงถึงธรรมะนึกถึงแต่อธรรม

คนที่มีสามัญสำนึกระลึกสังวร อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราสำทับตัวเองว่า เราควรมีสติสำนึกให้มากสังวรให้มากขึ้น อย่างนั้นคือปฏิบัติธรรม

จิตสั่งไม่ให้ไปทำกรรมอย่างที่ไม่ดี จิตเป็นตัวสั่งทั้งนั้น จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม จิตสั่งทั้งนั้น

มันหนักหนาสาหัส ที่จิตสั่งเป็นอัตโนมัติ ทำชั่วเป็นอัตโนมัติ แม้จะสังวรบ้างแต่มันอัตโนมัติ สังวรนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ทันอัตโนมัติ ทำชั่วไปแล้วก็นึกได้ทีหลังทุกที

สติจึงเป็นตัวสำคัญมาก ที่เราต้องรู้ตัว* กายกรรม วจีกรรมจะออกไปอย่างไร คนเราสามัญแม้ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่มีใครปล่อยให้ออกไปตามกิเลส ราคะโทสะ หมดหรอก แต่ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมะจะสังวรสำรวมน้อย

วิธีสังวรระวังจะช่วยไม่ให้ทำชั่วอยู่จริง แต่ประเด็นหลักของศาสนาพุทธลึกซึ้งว่า  

ถ้าเรามีสติสังวรจะคุมกายกับวาจา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่แค่สติคุมกายกับวาจาเท่านั้น

*แต่ในขณะตากระทบรูป หูกระทบเสียง รวมกายกรรมทั้งหมด *ขณะพูดก็ตาม เราเรียกว่ามีความเป็น กาย

พระพุทธเจ้าท่านให้มาอ่านที่ใจ ถ้ามีสัมผัสกับภายนอกเป็นกายกรรมภายนอก *แต่กายกรรมกำลังเกิดนี่ พระพุทธเจ้าท่านให้อ่านจิต 

**ตถาคตเรียกกายว่าคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

มีกรรมข้างนอกที่สัมผัสสัมพันธ์ภายนอก แล้วท่านให้เรียนรู้ที่ จิต มโน วิญญาณ ถ้าไม่สังวรที่ จิต มโน วิญญาณไม่เรียกว่ากาย ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อย่างนั้นเลย

#คำว่า “กาย” มีกายกรรม วจีกรรมด้วย และสำคัญคือ จิต มโน วิญญาณ #

ต้องเรียนรู้อันนี้แหละ ขณะมีกายกรรมด้วย วจีกรรมด้วย สัมผัสอยู่นี่แหละแล้วสังวรระวัง อ่านจิตในจิต ทำโยนิโสมนสิการทำใจในใจให้แยบคาย

ผู้ปฏิบัติมนสิการอย่างถ่องแท้แยบคายถูกต้องตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ปรับจิต แน่นอนกายกับวจีต้องปรับอยู่แล้ว อย่าทำชั่วหยาบ มิจฉากัมมันตะ มิจฉาวาจา มิจฉาอาชีวะ

แต่เขาก็สอนแค่กายกรรม แล้วเข้าใจว่ากัมมันตะคือกายกรรมหยาบๆ นัจจะ ท่าทีลีลา กายวิญญัติ แล้วแยกวจีวิญญัติเป็นวจีกรรม ส่วนมโนกรรมก็เน้นที่ใจอย่างเดียว

คำว่ากายกรรม ตถาคตเรียก กายว่า คือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง

*กายกรรม ก็คือทำที่มโนกรรม เรียกว่าทำใจในใจ (มนสิกโรติ) *

ทำอย่างมีปัญญาเรียกว่าโยนิโส กำจัดอกุศลจิต ด้วยปหานปธาน เกิดผลเป็นภาวนาปธาน สังวรแล้วปหานให้ได้

*สัมมปัปธาน 4 เป็นวิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า

สำรวมอินทรีย์6( สังวรปธาน )ปหานปธาน ได้ผลเป็นภาวนาปธาน เมื่อได้ผลก็รักษาผล เป็นอนุรักขณาปธาน

ใครเข้าใจสัมมัปปธาน 4 คือทฤษฎีปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ารวมไว้หมดเลย

เรียนรู้สัมมาทิฏฐิของสำรวมอินทรีย์

**ก่อนสำรวมอินทรีย์เราต้องมีกรอบปฏิบัติเรียกว่า ศีล หากมากกว่ากรอบปฏิบัติไป เช่นเราถือศีล​5 ถ้าเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ สัตว์เดรัจฉานถึงคน เราจะไม่ทำร้าย ปานาติปาตา คือไม่ทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วง ตกต่ำ แม้แต่สัตว์นรก เราก็ต้องทำให้เจริญขึ้นมาด้วยซ้ำ     ไม่ทำให้เขาตกนรกยิ่งขึ้น **

ในอีกความหมายหนึ่ง เราจะต้องมีศีล แล้วถึงจะปฏิบัติ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ คือการปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธ เรียกว่า อปัณกปฏิปทา

ผู้ใดไปนั่งหลับตาปฏิบัติคือ ปิดทวาร ไม่ได้สำรวมอินทรีย์ 6 เป็นการปฏิบัติผิดจากพระพุทธเจ้าสอน สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ

*โภชเนมัตตัญญุตา นั้นถ้าไปนั่งหลับตาจะไปกินอะไรได้ เขาก็ไม่กินเวลานั่งหลับตา แต่ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น ให้เรียนรู้ปฏิบัติธรรมขณะกิน ที่จริงโภชเนมัตตัญญุตาไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่มีเรื่องอุปโภคด้วย แต่เรื่องบริโภคนี้สำคัญ ให้เริ่มตรงนี้ก่อน*

แล้วทำให้ตนเองเป็นผู้ตื่นรู้ชาคริยานุโยคะ คือเราไม่เป็นคนหลับไหล จมอยู่กับโลกีย์ ใน sms อันนี้บอกว่า

0865356xxx ผู้รู้ผู้ตื่นรู้ว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่นี้ผิด แต่ไม่กล้าแสดงตน เพราะกลัวถูกโดดเดี่ยวเดือดร้อน ก็เลยอยู่เฉยๆดีกว่าสบายดีๆ

0832401xxx นมัสการพ่อท่านลูกได้อ่านคั้นมาจากศีลจากพ่อสุรัตน์เมื่อปี2525

0893867xxx ผู้น้อยฟังธรรมพ่อครูสอนบรรลุ ธรรมถึงระดับไหนไม่รู้?รู้แต่ว่ายังเป็นเวไนยสัตว์ที่ต้องปฏิบัติธรรมให้รู้ถึงสติปัฐฯ 4 สัมมัปฯ 4 อิทธิฯ4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพธฌฯ 7 มรรคองค์ 8 อาริยสัจ 4 สามัญฯ 4 นิพพาน1ให้ ครบโลกุตรธรรม 46 ให้ได้! มีแต่โลกุตรธรรม 46 ดังพ่อครูสอนทำให้รู้กายถูกต้อง รู้ภพชาติถูกทาง รู้นิพพานถูกตรง รู้ถึงธรรมตถาคตถูกจริง สาธุ!

ตอบ...กายคือธรรมะสอง หากไม่รู้จักกายที่ถูกต้องก็ไปเข้าใจว่า กายคือธรรมะหนึ่ง จะไปปฏิบัติกายคตาสติ กายในกาย หรือกายต่างๆก็ไม่ได้ผล

เพราะไปเข้าใจว่า กายคือแค่ภายนอก ไม่เนื่องต่อไปถึงจิต ไม่เข้าใจว่ากายมีภายนอกและภายในด้วย

คำว่ากาย มากลายเป็นภาษาไทยเต็มรูป กาย แปลว่าร่างภายนอกไม่ได้มีจิตเลย

คนทั่วไปที่ได้ฟังธรรมะอาตมา น่าจะได้ไปศึกษาจุดนี้ หากเข้าใจคำว่ากายคือธรรมะสองไม่ได้ กายคือองค์ประชุมของรูปนาม

พระพุทธเจ้าท่านว่าแม้นั่งหลับตาหายใจเข้าออกในอานาปานสติก็รับรู้ลมหายใจเข้าออก เข้าก็รู้ออกก็รู้อย่างนี้ก็เรียกว่า กาย

คนไม่เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าหมายถึง  ว่า กายต้องมีภายนอก อย่างลมหายใจก็คือภายนอก หากไม่มีลมหายใจเข้าออกแล้ว ก็ไม่มีกาย ต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ปฎิบัติธรรมต้องมี กายสักขี

หากดับจิตไม่มีลมหายใจเข้าออก จิตไม่รับรู้ลมหายใจ จิตเข้าไปอยู่แต่ภายในก็ไม่ใช่กาย แล้วครูบาอาจารย์ก็สอนกันว่า. อย่าให้จิตออกมาข้างนอก จิตต้องอยู่ข้างใน สอนกันเช่นนี้คือ ต้านคำสอน ทวนคำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่สอนแบบนี้

คำว่ากายนี้ลึกซึ้งแค่ไหน?

กายต้องมีรูปกับนามเป็นธรรมะสอง แล้วทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง เป็นเอกสโมสรณา พระไตรฯล.10 ข. 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ก็คือการภาวนาวิธีการทำให้เกิดผล (ภวันติ) คือ ปฏิบัติเวทนา

เวทนาจึงคือกรรมฐานของศาสนาพุทธ เวทนาก็คือนามธรรม  

เวทนาในเวทนา จะมีเหตุ คือ จิตในเวทนา ทำให้เกิด สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ล้วนมาจากจิต

จึงต้องเรียนเวทนาจริงๆ เมื่อมีการกระทบสัมผัส ก็ต้องอ่านถึงจิต ไม่ใช่แยกส่วนเรียนรู้

แล้วเรียนรู้เข้าไปถึงธรรมะ คือทรงอยู่ในกายเรา ก็มาจากมโนกรรมหรือจิตสังขาร เป็นตัวเหตุ หากเหตุเป็นกิเลสมีอำนาจ กิเลสร่วมเป็นอำนาจ ปุถุชนส่วนมากจะมีกายกรรมวจีกรรมก็ปรุงด้วยกิเลสปรุงเป็นใหญ่ อาจทุจริตได้

แม้สุจริตก็ยังสร้างทำด้วยกิเลส ไปจนรุนแรงเกินไป ยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราเกินไป เป็นอุปาทาน ตัณหา

การปฏิบัติที่เข้าใจไม่ละเอียดจึงยากบรรลุ โดยเฉพาะศาสนาพุทธเรียนรู้เรื่องภพชาติ

*ในปฏิจสมุปบาทไปจบที่ภพชาติ* คนเรามีอวิชชา แล้วมีสังขาร สังขารเป็นปัจจัยเกิดอวิชชา

ท่านแยกสังขาร 3 คือ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร กายก็อ่านจิต วจีก็อ่านจิต แต่คนไปเข้าใจ กาย แยกไปเป็นอย่างๆ กายสังขารคือการปรุงแต่งของดินน้ำไฟลมเท่านั้น จิตสังขารคือการปรุงแต่งของจิต วจีสังขารก็คือการปรุงแต่งออกมาเป็นวจีกรรม

วจีสังขารหากคนไม่เรียนรู้ทำใจในใจเป็นถึงมนสิการเป็น แล้วถึงรู้จักวจีสังขาร ในวจีสังขารจะต้องอ่านสังกัปปะ 7 ออก

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ปรุงแต่งออกมาเป็นวจีสังขาร อยู่ในจิตหมด สังกัปปะ 7 นี้ปรุงแต่งในจิต

พระพุทธเจ้าตรัสในมหาจัตตารีสกสูตรถึงองค์ธรรม 7 นี้ การปฎิบัติธรรมสร้างสัมมาสมาธิต้องทำจิตในจิตที่รู้จักองค์ 7 ของสังกัปปะ คือคำว่ารู้จักวิตกวิจาร มันมีแกนกับมีการเคลื่อน

การเคลื่อน คือตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ

แกน คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ถ้าผู้ใดไม่รู้สภาวะ ก็ไม่สามารถทำโยนิโสมนสิการ  ทำใจในใจไม่ได้ ผู้ทำโยนิโสมนสิการเป็น คือผู้ทำสังกัปปะ 7 เป็น

การปฏิบัติสังกัปปะ 7 นี้ได้ถึงทำสัมมาสมาธิได้

อัปปนา ที่แปลว่า จิตแน่วแน่ จะทำให้เป็น อัปปนาสมาธิ

หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต จะไม่รู้จัก ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ

คุณต้องทำวิตกวิจาร คือทำฌาน เป็นฌาน 1 มีปีติ สุข เอกัคคตา

แต่ผู้นั่งหลับตาปฏิบัติไม่รู้จักวิตกวิจารเลย ไม่รู้จักตักกะวิตักกะ สังกัปปะ

แต่ทำจิตไม่มีกิเลสได้ด้วยสมถะสะกดจิตสมถะ

คุณก็ว่าจิตคุณเป็นอัปปนาสมาธิ

แต่ศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องมี วิจัยวิจาร มีโพชฌงค์ข้อแรกเป็นหลัก ไม่ใช่ศาสนาสะกดจิต Hypnosis แต่เป็นศาสนา Analysis แต่ทุกวันนี้เพี้ยนเป็น สะกดจิตหมด

คำว่า *วิตกวิจาร เป็นฌาน 1 จึงไม่มีเพราะทำสังกัปปะ 7 นี้ไม่ได้

อาตมาไม่เคยได้ยินอาจารย์สำนักไหนพูดเรื่องนี้เลย ถ้าอาตมาไม่ได้เจอในพระไตรปิฎกก็คงอธิบายตามอาตมาไป ไม่ได้เรียบเรียงได้อย่างพระพุทธเจ้า

คำว่า* ตักกะ แปลว่าจิต เริ่มดำริ

*สังกัปปะ. แปลว่า จิตปรุงแต่งสำเร็จ

- คุณก็จับเหตุที่เป็น อกุศลเจตสิก

- จับได้แล้วก็ กำจัดนิวรณ์

- กำจัดได้ เรียกว่าฌาน

คือ จิตตักกะนั่นแหละที่ดำริ พอเราเห็นกิเลสก็ทำให้ไม่มี (นิวรณ์)

จิตเราจะไม่มีกิเลส ก็เรียกว่า วิตักกะ

 คุณสามารถทำให้จิตไม่มีกิเลสได้ เรียกว่าวิตักกะ

 วิ มีความหมายหนึ่งว่าวิเศษ อีกความหมายของ วิคือ ไม่

มันมีอะไรดำริในกามในพยาบาทก็ฆ่ากามฆ่าพยาบาทไป เพราะกามพยาบาทปรุงแต่งในจิต เป็นมิจฉาสังกัปปะ

หากกำจัดกิเลสได้ จิตก็เป็นวิตักกะ อ่านพฤติกรรมนี้เป็นวิจาร จึงทำวิตักกะสำเร็จ รู้พฤติกรรมที่ทำได้สำเร็จ ทำได้ก็รู้อยู่ เห็นอยู่ คือวิธีทำที่ยังไม่เก่ง ก็ต้องพยายามทำให้ไม่มีนิวรณ์ได้

เมื่อไม่มีนิวรณ์ก็เป็นฌาน แม้จะคุมเคร่งอยู่ก็ตาม เหมือนหัดขี่จักรยานใหม่ๆ ต้องเคร่งคุม จนกิเลสมันตายได้นานได้เก่งขึ้น วิตกวิจารก็ดับไป คือไม่ต้องทำอีก ไม่ต้องพิจารณาอีกมันได้แล้ว คือวิตกวิจาร คือวิธีปฏิบัติ

*เมื่อวิตกวิจารดับ คือคุณเหลือแต่  จิตในจิต แสดงว่า กามภพภายนอกนี้ ฌาน 1 ของคุณ มันมีการควบคุมระวัง

พอทำฌาน 2 ไม่ต้องระวังพฤติภายนอก กามภายนอกไม่ต้องระวังก็เหลือแต่จิต ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นฌาน 2

ท่านก็ให้ระงับปีติที่เป็นอาการอุปกิเลส ฌานก็สูงขึ้น สุขก็สุขอย่างสงบ ท่านก็ไม่ให้ติดภพนี้อีก ให้ทำจิตอุเบกขา เป็นจิตเอกัคคตาได้ เป็นฌาน 4

ทุกวันนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติอย่างลืมตา อ่านจิตทำจิตในจิตอย่างอาตมาอธิบาย อาจจะไม่มีตำราเล่มไหนอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบาย อย่างที่อาตมาพูดเลย แต่ขอยืนยันว่าอาตมาพยายามพูดให้ถูกที่สุด ใครก็ตามที่สอนแล้วผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้าก็บาปทั้งนั้น อย่าอวดดีเลย กรรมเป็นอันทำ ทำให้คนเข้าใจผิดเพี้ยนไปจากธรรมของพระพุทธเจ้าก็ทำให้ธรรมะเสื่อม เป็นบาป ยิ่งมีลูกศิษย์มากๆฟังเข้าใจตามก็ยิ่งเสื่อมมาก การมีลูกศิษย์มากๆ ถ้าเเราาสอนผิดเราก็บาปมาก อย่างธัมมชโย มีลูกศิษย์มากแล้วก็พูดผิดมากสร้างบาปให้แก่ตัวเองมาก ทำกรรมที่น่าสังเวชน่าเวทนามาก แล้วแกก็อวดดีหลงตนหรืออาจารย์อะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำผิดอย่างนี้

ตนเองอธิบายธรรมะมีแต่ภพชาติไม่เคยเลิกภพชาติเลย ธัมมชโยสอนเช่นนี้ แล้วภพชาติก็คือภพชาติทั้ง 6 แล้วภพชาติทั้ง 6 ก็คือนรก จิตไม่สะอาดจากภพชาติทั้ง 6 ก็ไม่มีวันเป็นพระพรหม ไม่มีใครอยากได้พบชาตินรก แต่คนที่ไม่รู้ก็ไปปฏิบัติผิด คือไปกระหน่ำซ้ำภพเข้าไป

1 ปฏิบัติธรรมด้วยทานด้วยศีล เพื่อให้เกิดผล เรียกว่าทานศีลภาวนาก็เพื่อดับ*ภพชาติ แต่ทำแล้วไม่ได้ดับภพ ดับชาติ แต่กลับกลายเป็นติดภพภพชาติ ตายไปแล้วจะได้รับผลของทาน ได้รับผลของศีล ในทานสูตร

อย่างธัมมชโยสอนว่า

1.สาเปกฺโข (มุ่งหวัง)                    2.ปฏิพทฺธจิตฺโต (ผูกพัน)  

3.สนฺนิธิเปกโข ( สั่งสม)     4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ (ให้ข้ามภพชาติ)

ทำทานก็ต้องมีหวังเกิดภพ เกิดชาติ  จะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ให้แก่ตัวกูของกู เริ่มต้นมีหวัง(สาเปกโข) จิตมีพลังงานหวัง ก็เกิดภพชาติแล้ว การทำทานทำศีลไม่ให้เกิดภพชาตินี้ไม่ง่ายเลย การสอนให้หวังภพสวรรค์นั้นไม่ได้สอนให้หมดหวังนะ แต่ว่าคนพวกนี้หมดหวังที่จะได้มรรคผล

การหวังว่าจะได้มรรคผลเป็นความล้มเหลวของการปฏิบัติธรรม ฟังแล้ว งงๆไหม?

พระไตรปิฎก ล.23 ข.149 พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้

เขาพูดกันว่าสั่งสมบารมีๆ

คำว่าสั่งสมบารมี คือสั่งสมบุญ

แต่ทุกวันนี้สอนคำว่าบุญผิด คือสอนว่าทำบุญแล้วจะได้สมบัติ อันนี้ผิด กลับหัวเป็นตีนเลย คนละเรื่อง เพราะบุญนั้นใครทำบุญสำเร็จ คือกำจัดกิเลสที่หลงภพชาติได้ เป็นผลสำเร็จแห่งบุญ แม้กำจัดภพชาติไม่หมด ก็คือส่วนแห่งบุญ เป็นเสขบุคคล เป็นผู้ไม่สิ้นของส่วนนั้น ถ้าดับส่วนบุญนั้นได้หมด บุญก็ไม่เหลือ บาปก็ไม่เหลือสิ้นบุญสิ้นบาป ไม่เหลือส่วนบุญส่วนบาป ปุญญปาปริกขีโณ เป็นอนาสวะ เป็นอรหันต์ เป็นอเสขบุคคล

แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปไกลมากเลยเอาบุญเป็นกุศล เผยแพร่ไปทั่วโลก เป็นสมบัติ แต่แท้จริงบุญคือวิบัติ ไม่ใช่มีหน้าที่สร้างสมบัติ บุญมีหน้าที่สร้างวิบัติให้แก่อกุศลจิตคือกิเลส

บุญเป็นโลกุตรธรรม บุญมีหน้าที่กำจัดกิเลสกำจัดภพชาติ ไปนิพพาน แต่ถ้าเข้าใจบุญไม่ได้ ก็ไม่ได้นิพพาน

กุศลนั้นไม่เที่ยง ยิ่งฉาบฉวย ศาสนาพุทธไม่งมงายกับกุศล แต่กุศลเราก็ทำ ศาสนาพุทธชัดเจนในบุญ ไม่ใช่ในกุศลเท่านั้น ต้องทำเป็นสามัญอยู่แล้ว แต่บุญ บาปนี้ศาสนาพุทธชัดเจน ศาสนาอื่นเอาภาษาคำว่าบุญ บาปไปใช้ แต่ใช้ไม่หมด ชาวพุทธเองยังเข้าใจไม่หมดเรื่องบุญเลย

ศาสนาอื่นเอาไปเรียกนักบุญเลย แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่มีบุญมาก ไม่ใช่หรอก แต่คือนักกุศล นักทำคุณงามความดี ไม่ใช่โลกุตรธรรม

 

0832401xxx ลูกบวชใจที่บ้าน อยู่มาหลายวัด ผิดที่ตัวเองที่นั่งสมาธิแล้วมีอัตตา

ตอบ...เก่งนะคุณคนนี้ ขอยืนยันว่า การนั่งสมาธิที่ไม่สัมมาทิฏฐิ คือการสร้างอัตตา สร้างภพชาติ เพราะไม่เรียนรู้เบื้องต้น โอฬาริกอัตตามาแต่ต้น ที่ต้องเรียนรู้กาย เรียนรู้ภพชาติ ที่ต้องดับโอฬาริกอัตตาก่อนจึงค่อยเรียนรู้รูปภพ อรูปภพ ตามลำดับ การนั่งหลับตาจึงมีแต่สั่งสมมโนมยอัตตากับอรูปอัตตา

มโนมยอัตตาคืออัตตาที่มีรูปสำเร็จด้วยจิต บ้างก็เห็นรูปสัตว์นรกสัตว์เทวดา เห็นภพชาติ ดีไม่ดี เห็นพลังงานจิตว่าทำอะไรได้เก่ง เป็นมโนมยอัตตาเป็นภพชาติ

ถ้าจะไปทำจิตให้ว่างก็แค่ไม่นึกคิด ไม่ได้วิจัยจิตเจตสิก แล้วทำให้จิตเจตสิกนั้นดับอกุศลด้วยวิชชา ยิ่งไปเป็นอรูปอัตตายิ่งไม่รู้เรื่อง

คุณคนนี้เก่งที่รู้ว่าตนเองมีอัตตา
 

0818866xxx ไม่วนค่ะ พ่อท่าน ตรงกับที่เกิดในจิต และทำให้เข้าใจชัดเจนมากค่ะ เห็นแดนเกิดละเอียดยิ่งนัก

 

_ชมร.ของอโศก สันติ เชียงใหม่ ปฐมอโศก อาหารรสจัดหลายรายการ เป็นโทษต่อสุขภาพ ควรมีการปรับปรุงไหมครับ

ตอบ…ขนาดนี้คนเขาก็ติจะแย่อยู่แล้ว เขาบอกว่ากินไม่ไหวอาหารร้านชาวอโศก แต่คุณคนนี้ก็บอกว่าจัดไปก็ต้องสั่งพิเศษเองสิ อาหารที่ไม่ปรุงรสมากก็ดีอยู่ แต่จริงๆแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าให้ลดรสอาหาร ไม่ได้สอนให้ไม่ปรุงแต่ง มีแต่สอนให้รู้เท่าทัน จะปรุงแต่งรสอย่างไร จิตเราอย่าไปชอบหรือชัง ปรุงแต่งไปกับรสชาติ อาหารจะรสจัดหรือจืดจิตเราก็ไม่มีชอบหรือชัง

เราก็ไม่กินแบบจัดจ้านแต่ไม่ต้องไปวุ่นวายกับรสมันจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ต้องอ่านจิตเราที่ไปชอบหรือไม่ชอบรสนั้น

 

_นมัสการครับผมนึกออกแล้วพ่อครูบรรลุธรรมตอนยังเป็นฆราวาสครับ  ชาวพุทธกำลังกราบสมีที่ปาราชิกอยู่ ทุกวันสมเพชจริงๆฆราวาสที่สอนที่วิทยาลัยสงฆ์ซึ่งก็เป็นพระมาก่อน สึกออกมาก็สอนต่อห้ามชาวบ้านไม่ให้ฟังไม่ให้อ่านสิ่งที่พ่อครูเทศน์และเขียน/

ตอบ...มีสมีอยู่หลายวัดแต่สมีที่ชัดเจนอยู่ที่วัดพระธรรมกายคือธัมมชโย อาตมาพูดตรงๆพูดตามความเป็นจริง คือนายไชยบูลย์เป็นสมีแล้วไม่ใช่พระภิกษุ ไปเรียกยศศักดิ์ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ นี่ก็พูดตรงๆ ที่พูดนี้มีหลักฐานยืนยัน เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนนี้ ปาราชิกแล้ว ที่อวดอุตริมนุสธรรมคืออวดบอกว่าจิตตนหยั่งรู้ว่าคนตายแล้วไปเกิดที่ไหนๆ แต่เสร็จแล้วคนไปลองจับเท็จ แต่งเรื่องไปหลอกนายไชยบูลย์ คือคุณชาติชาย นามสกุล…. เขียนไปว่าพ่อเขาตาย เล่าเป็นนิทานว่าได้ไปทำบุญทำทานกับธรรมกายด้วย ช่วยดูหน่อยว่าพ่อผมตายแล้วไปเกิดที่ไหน นายไชยบูลย์ก็ตอบออกทีวีเลย ว่าไปอยู่สวรรค์เฟส 3 เป็นเทวดาสบายดี ไม่ต้องห่วงหรอก มาทำทานมากๆก็แล้วกัน พูดเป็นนัยๆว่าให้ไปทำทาน เสร็จแล้วคนนี้เขาก็เขียนไปบอกทีหลังว่า จับเท็จได้แล้ว เพราะว่าพ่อเขานี่ยังไม่ได้ตาย เขาโกหกเขียนไปบอกว่าพ่อตาย จึงจับเท็จได้แล้วว่าคุณโมเม เป็นเรื่องจริง คืออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนนี่ปาราชิกแล้ว

คุณไพบูลย์ นิติตะวันหยิบเรื่องไปฟ้องมหาเถรสมาคม เรื่องก็เงียบไปจนทุกวันนี้ เขาว่าเงียบเหมือนเป่าสาก สำนวนไทยว่าไว้ มส.ก็เงียบ มีผู้ไปอ้างอธิกรณ์ว่าพระเป็นแบบนี้ต้องจัดการ นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ เมืองไทยมีพระกระแสหลัก เสื่อมไปด้วยกันหมด แล้วเดือดร้อนร่วมกันไปด้วย แสดงว่าเละเทะไปหมดแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว

มีเรื่องของการฟ้องร้องให้มาแสดงตัวตามข้อหาก็ไม่มาแสดงตัว มีข้อหาฟอกเงิน รับของโจร ให้ไปรับข้อหาก็ไม่ไป จนขอหมายศาลออกให้จับก็ไม่ให้จับอีก นี่คือวงการศาสนาและวงการของสังคมไทย

ละเมิดถึงปาราชิก ไม่ยอมขึ้นกับกฏหมายไทยแล้วเป็นคนไทยหรือเปล่า ลอยนวลอยู่อย่างนั้นได้ เมืองไทยจะพึ่งพาอะไรแค่ไหนนะ พึ่งกฏหมายเขาก็ดื้อ DSI ก็ไปจับเก้อเลย จนเขาออกหมายศาลซ้ำแล้วนะ จ.เลยออกมาอีกหมาย บุกรุกพื้นที่อีก

อาตมาก็ต้องพูดถึง เพราะเป็นสิ่งต้องตำหนิ นิคคัณเห  นิคคหารหัง เราเป็น-พุทธด้วยกันแม้เป็นนานาสังวาส แต่เขาก็ว่าเขาเป็นพุทธ เราก็พุทธเราก็ต้องตำหนิเรื่องที่ผิด 

_คุณเชวงที่เขียนมาถามนี้แจ้งว่าฆราวาสที่สอนที่วิทยาลัยสงฆ์ซึ่งก็เป็นพระมาก่อน สึกออกมาก็สอนต่อห้ามชาวบ้านไม่ให้ฟังไม่ให้อ่านสิ่งที่พ่อครูเทศน์และเขียน

ตอบ...ก็มีอยู่เสมอเขาไม่ส่งเสริมอาตมาหรอก เขาเสียผล เขายึดถือคำสอนเขาก็ไม่ฟังอาตมาหรอก เป็นธรรมดา   เขาไม่เห็นด้วยก็ต้องห้าม อาตมายืนยันว่าไม่สอนสิ่งผิด มันเป็นบาป สอนผิดก็เป็นกรรม ทำแล้วกรรมเป็นอันทำ

_เมื่อวานก่อนหนูลืมเก็บรถเข้าบ้าน เช้าขึ้นมารถหาย ไม่ใช่รถหนูด้วย ใจหนูทุกข์มาก พอแจ้งเจ้าของรถ เขาก็บอกว่านี่มันเรื่องใหญ่นะ ตอนเย็นเจ้าของรถก็บอกมาว่า “ เรื่องรถหายแล้วก็หายไป ไม่ต้องคิดมาก เป็นหนี้ยาวก็แล้วกัน นวดใช้หนี้เอา หนูก็น้ำตาไหลพราก ณ วันนี้หนูก็ยังทำใจไม่ได้ คิดมาก จะทำใจอย่างไรดีคะ

ตอบ...ก็ไปแจ้งความบอกตำรวจ (แต่จะหวังได้หรือ?) ก็ไปทวงถามบ่อยหน่อย เผื่อตำรวจจะทำงานค้นหาให้บ้าง แต่ขออภัยที่พูดเหมือนลบหลู่ตำรวจนะ แค่คุณอาจเคราะห์ดี ที่ได้รถคืนมาก็ได้ ดีที่เจ้าของรถอนุโลมไม่หนักหนาสาหัส ก็วางใจ เจอเจ้าของรถใจดีก็กุศลของเราก็มากแล้ว คุณก็ทำงานเป็นหมอนวดหรือเปล่า เจ้าของรถนี้ใจดีนะ ให้นวดใช้หนี้ เจ้าของหรือคุณก็ต้องช่วยกันแจ้งความหรือตามหาเองได้ก็ดี หาเจอก็ไปสอนตำรวจบ้าง

 

ก็ขอสรุปรวมในธรรมะที่พูดมานี้ ก็อยู่ในจุดหมายเดียวกัน คือจุดหมายดับภพจบชาติ ที่อธิบายไป มีเป้าหมายมีจุดสำคัญ คือพยายามปฏิบัติตนให้ดับภพจบชาติ ธรรมพระพุทธเจ้าให้หน่ายคลาย ดับภพจบชาติ

ภพชาตินี้ที่มนุษย์เข้าใจผิดและต้องการคือสวรรค์ 6 ชั้นจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จะศึกษาหรือไม่ศึกษาธรรมะก็ต้องการสวรรค์ 6 ชั้นนี้ทั้งนั้น

ตัวต้น

จาตุมหาราช ภพนี้แหละคือภพที่คุณนึกว่าคุณไปสวรรค์แต่แท้คือภพนรก ที่ว่าภพนรกก็เพราะว่าคุณไม่ได้ดับภพจบชาติ ในพระไตรฯ ล.23 ข.49 ในทานสูตร

พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทานคือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทานคือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช(คือผีมารยักษ์ เป็นจอมผีจอมมาร จอมยักษ์ จอมเดรัจฉาน จอมนาค เป็นเทพบุตรมาร_ผี)

 

 สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้ว

ให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ   ข้าว   น้ำ   ผ้า   ยาน   ดอกไม้   ของหอมเครื่องลูบไล้   ที่นอน   ที่พัก   ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

ที่อธิบายนี้เป็นสภาวะเป็นตัวตั้งในการขยายความ ที่อาตมาเอามาพูด และมั่นใจว่าไม่อธิบายผิดเพราะเป็นบาป

ในโลกนี้คนสามัญต้องการ 6 ภพนี้เท่านั้น ชีวิตต้องการจาตุมหาราช มีอำนาจ เขามักเขียนภาพจาตุมฯว่าเป็นยักษ์มีอาวุธ ยื้อแย่งเขา แย่งได้ก็มีอำนาจ กรรมกิริยาที่แย่งเขานี่คือนรก แย่งเขาได้เป็นนรก ถือว่าตนเองมีอำนาจ ได้แล้วก็ดีใจเป็น “ดาวดึงส์”(ขึ้นสวรรค์)เป็นภพที่ 33 ตาวติงสา เป็นของเท็จไม่มีจริง ปั้นขึ้นมาเองเป็นสุขทุกข์ ผู้บรรลุอรหันต์ไม่มีสุขทุกข์หรอก แต่เขาต้องการสุขให้ได้นานเป็นยามา แต่จะนานเท่าไหร่ก็ต้องวนกลับมาอย่างเก่า (อาคามี) แต่ไม่รู้จักหยุด คือดุสิต ก็เลยต้องไปแย่งอีก แย่งเก่งก็เป็นนิมมานรดี จนปรินิมฯ มีอำนาจ วส วนเวียนแบบนี้ จนกระทั่งต่างคนต่างมีคนอื่นร่วมช่วย กลายเป็นหลงว่าตนใหญ่โต มีคนมาหามาช่วยสร้างให้ซับซ้อนอย่างคุณไชยบูลย์

เขามั่นใจว่าเขาเป็นยอดปรนิมมิตวสวัตตี

ถ้าไม่ล้างภพชาติตั้งแต่จาตุมหาราช คุณก็ไม่ได้เป็นพรหม ต้องเลิกเสีย อย่าไปคิดว่าต้องไปหวัง สั่งสม ผูกพัน ตั้งแต่เลิกตั้งภพชาติทำทานแค่คิดว่าดีก็จะได้ดาวดึงส์ ต้องเลิก การทานแบบมีหวัง สั่งสม ผูกพัน หรือข้ามภพชาติ จึงจะเป็นดาวดึงส์

ถ้าไม่เลิกภพชาติดาวดึงส์คุณก็ไม่ได้  ยิ่งดีใจปลื้มใจ ท่านไปขยายในภพที่ 6 ปรินิมฯก็ยิ่งสำทับว่า ทำมานี่เป็นเรื่องที่ต้องได้ภพชาติมากมาย ยิ่งหนาเป็นห้าชั้นยิ่งเป็นอัตตมนตาโสมมนัสสา ปลื้มอกปลื้มใจดีอกดีใจ ที่เราได้มีภพ มีชาติ หนาหนักเข้าไปใหญ่

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:36:48 )

590827

รายละเอียด

590827_เทศนาหน้าศพลุงโก๊ะ(กำไร พุ่มพฤกษ์) บ้านราชฯ

เวลาประมาณ 13.00 -14.00 น มีรายการรำลึกถึงลุงโก๊ะและต่อมาเวลาประมาณ 14.00 นก็เริ่มจัดแถวเดินธรรมยาตรานำร่างของลุงโก๊ะไปสู่เมรุโดยเริ่มเดินตั้งแต่เฮือนศูนย์สูญไปสู่เมรุสุดชีวิตซึ่งบรรยากาศก็เป็นใจแสงแดดไม่แรงมากนักลมพัดมาอ่อนอ่อนทำให้การเดินทางไปสู่เมรุราบรื่นดี

ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก็มีความรู้ทางธรรมะและเข้าใจว่าคนเราเมื่อเกิดก็ต้องมีตายเป็นเรื่องธรรมดาทำให้ไม่เกิดอาการโศกเศร้าเสียใจมากเหมือนดั่งเช่นงานศพทั่วไปที่มักจะมีผู้คนร้องไห้เสียใจอย่างมากมายกับการเสียชีวิตของบุคคลที่เขารักและเคารพมาก

 

          พ่อครูว่า...ณ เวลานี้ก็ได้เวลาที่จะทำการฌานปกิจ (เวลาประมาณ 15.00 น.ของวันเสาร์ที่ 27 ส.ค. 2559)

          ฌาปน แปลว่า เผา เป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิตเรา ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้านิยมให้เผา

          พ่อใหญ่เป็นต้น ตาบอด เขียนกวีสุดท้ายมาว่า

 

"ป่วยเร็วไปเร็ว"

 

ไม่ทันตะวันสายที่ปลายฟ้า

มาด่วนดับลับลาน่าสงสัย

เห็นหลัดหลัดพลัดพรากจากกันไป

ไม่รีรอง้อใครไม่ร่ำรา

 

เห็นแข็งแรงแฝงร่างต่างก็รู้

ช่างโก๊ะอยู่รู้เย็นเป็นวาสนา

ยังไม่ทำคำนวณด่วนมรณา

เหมือนเย้ยฟ้าท้าดินจนสิ้นใจ

 

อยู่ที่นี่ที่ไหนในจักรวาล

อยู่ในถ้ำกรรมฐานอยู่บ้านใหญ่

อยู่กระท่อมซ่อมซ่อรอพึ่งใคร

อยู่เวียงวังฟังไว้ไม่ถาวร

 

อยู่เมืองหลวงห่วงหลังสั่งเมืองเล็ก

เจ้าเป็นเด็กเล็กอยู่สู้พร่ำสอน

เจ้าดีดดิ้นถวิลใดในดินดอน

จึงขอย้อนสอนเย็นเป็นสิ่งยล

 

อยู่เสพสุขสนุกสนานสักปานใด

เห็นฟ้าใสไม่สู้อยู่ไพรสน

อยู่ให้คิดติดค่าสมว่าคน

อยู่กี่หน ดลให้ ไปนิพพาน

 

          อาตมาก็ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าชีวิตของคนก็มีแต่ตอนเป็นๆ จะเปลี่ยนกรรมของเราให้มีผลต่อการแก้ไขวิบาก วิบากอดีตแก้ไม่ได้มีแต่กรรมปัจจุบันที่จะทำเพื่อให้เป็นกุศล หรือเพื่อล้างกิเลสของเรา ขณะมีองคาพยพ 32 ครบต้องรีบทำ อย่าไปรอช้า ไม่มีโอกาสอื่นเลยที่จะแก้ไขชีวิตแก้ไขอัตตภาพ มีโอกาสเดียวปัจจุบัน

ผู้ใดเข้าใจแล้วรับรวมตัวมาอยู่กับสัปปายะ 4 คือเสนาสนสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ ซึ่งมีพร้อมแล้วในทุกชุมชนเรา แล้วก็ได้มรรคผลใส่ตน

 

นอกนั้นไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพายยึดเอาไม่ได้ ถ้าเราสามารถทำกิเลสหมดแล้วเราอยากจะอยู่อีก มีอาการ 32 ครบอีกกี่ชาติมันเป็นหลักประกัน อรหัตตผลเป็นหลักประกันที่เราจะไม่ทำชั่ว มีแต่ทำดีเป็นประโยชน์คุณค่า ตนก็สบายไปตลอด

ต้องมาเอาอรหันต์ให้ได้ แล้วจะอยู่ต่อไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่ตกต่ำ มีแต่เจริญขึ้นๆนี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า นี่คือส่ิงสุดยอดประเสริฐ ในโลกนี้สื่อสารมันรู้กันทั่ว ว่าสู้ของพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้หรอก

ผู้ใดที่ชัดเจนก็มารวมกัน ทุกวันนี้สังคมโลกต้องการมาก ซึ่งได้หยั่งลงแล้วในประเทศไทย ชาวอโศกเราเป็นต้นหลักเกิดขึ้นแล้วในโลก

มาครั้งนี้ได้ยินที่อาตมาย้ำก็เอาไปคิด ผู้ใดเห็นดีเห็นงามก็เอาไปปฏิบัติเถิดเทอญ ..จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:37:16 )

590828

รายละเอียด

590828_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ กรรมกับกาละ

กรรมกับกาละ …..กรรมคือการกระทำ กาละคือเวลา

ทุก“การประพฤติ”ล้วนเป็น“กรรม”ทั้งสิ้น..ใช่มั้ย  ไม่มี“พฤติ”ใดที่พ้นไปจาก“กรรม”

“ความไม่รู้”หรืออวิชชานี้ชัดๆ คือ ไม่รู้ว่า “อะไรคือภพนรก-อะไรภพสวรรค์”ที่แท้

หรือไม่เชื่อว่า “ภพนรก”มีจริง เป็นจริง

คนผู้นั้นจึงทำ“ภพนรก”ให้ตน เพราะหลงติดยึด ว่าเป็น“ภพสวรรค์” ..เห็นมั้ย?

เพราะผู้ไม่มีภูมิขั้น“ปรมัตถสัจจะ”นั้น ไม่รู้หรอกว่า “ภพ”คือ “จิต”ของคนผู้นั้นเอง แล้วตนก็“ทำ”เองด้วยโง่ ด้วยโมหะให้เกิด “ภพ”เอง แล้วตนก็ต้องไปสู่“ภพ”นั้นๆเอง และที่สำคัญมากยิ่งๆ ก็คือ “คน”ผู้ไม่มีภูมิขั้นอาริยบุคคลที่ “สัมมาทิฏฐิ” จริง จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “ความเป็นภพนรกหรือภพสวรรค์” กันได้ง่ายๆหรอก

จะมีแต่ “หลงงมงายอยู่กับรสสวรรค์”

เพราะในความเป็นจริงนั้น “ภพ”ที่มีอยู่ตายตัวมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย“อุปาทาน”กันตลอดกาลคือ ปรารถนาสวรรค์ อยากได้สวรรค์ จดจ่อจดจิตอยู่ที่สวรรค์ไม่ว่าจะเกิดในโลกกัปป์ไหนกัลป์ใด  ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ก็มีแค่“ภพสวรรค์ 6 ชั้น” หรือ“ภพเทวดา 6 ชั้น” เท่านี้เท่านั้น ที่คนทั้งหลาย“อยากได้” อยู่ตลอด ไม่เคยห่างหายคลายจางไปจากคน

เขาไม่นึกถึง“นรก”ดอก เพราะหลงใหลสวรรค์ทิศเดียว จิตจึงมุ่งด่ำดิ่งอยู่แต่สวรรค์

ไม่มี“ภพ”อื่นใดเลย ตามสามัญแล้วที่ “คนทั้งหลายในโลก “อยากได้” ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ล้วน “อยากได้สวรรค์” มุ่งฉะนี้ทั้งนั้นทั้งสิ้น

และไม่ปรารถนาความเป็น “นรก” เลยแค่สักนิด ไม่ฉุกใจแม้แต่สักน้อยสักหน่อย

“สวรรค์ 6 ชั้น” ได้แก่ จาตุมหาราช-ดาวดึงส์-ยามา-ดุสิต-นิมมานรดี-ปรนิมิตวสวัตตี ที่หลงกันว่าเป็น “สวรรค์” ทั้งหลายมีเท่านี้แหละ ที่มนุษย์ทั้งหลายปรารถนามุ่งดิ่งกันอยู่จริงๆ อยากได้ตลอดทุกกัปป์กัลป์

“ภพ” อื่นๆ ไม่มีมนุษย์ปุถุชนหน้าไหนปรารถนาหรอก โดยเฉพาะ“ภพนรก”หนะจริงๆ ..ใช่มั้ย? 

“ภพนรก” นี้ท่านผู้รู้แปลไว้ว่า ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข์ของสัตว์ผู้ทำบาป, ที่อันไม่มีความสุขความเจริญ

แต่เพราะไม่รู้จักความเป็น“ภพนรก” กัน ผู้นั้นจึง“ทำนรก”(ทำกรรม,ทำใจในใจตน)ให้ตนเองทั้งนั้น ด้วยโง่ๆ “อวิชชา”ของตนแท้ๆ 

ซึ่ง “นรก” ก็คือ “ภพ”ที่เกิดจาก“กรรม”

คนผู้นั้น“ทำ”เอง หากแน่นอนว่า“กรรม”นั้นเป็น“อกุศลกรรม”หรือ“บาป” ผู้ที่“ทำ”(กรรม)นั้น จึงมีผลของ“กรรม”(วิบาก) เป็น“ภพ”ที่ผู้“ทำ”เองต้องได้“นรก” เป็นของตนชัดๆเพราะตนทำ “อกุศลกรรม” ด้วย“อวิชชา”ของตนเองแท้ๆ  แล้วจะให้“ผล”เป็นอื่นไปได้ไง!!

ความเป็น “นรก” นี้ลึกล้ำสำคัญมากยิ่ง เพราะเป็น “อาการ” ของใจตรงๆ ถ้าไม่รู้ทั้งความเป็น “ใจ”ทั้งความเป็น“กรรม” ใจผู้นั้นก็อวิชชาสั่งใจทำ “อกุศลกรรม” ได้แน่นอน ต้องศึกษาฝึกฝนอ่านรู้อย่างพินิจจริงๆ จึงจะอาจสามารถหยั่งรู้  “ใจ”  รู้ “กรรม” อย่างถูกต้องถ่องแท้  ไม่เช่นนั้นยากจะ“รู้”จริงได้

คนทั้งหลาย“มีอวิชชา”มากกว่า คน “เป็นอาริยะ” “นรกภูมิ” จึงมีคนสั่งสมเอามากกว่าคนบรรลุ “อาริยภูมิ” เป็นธรรมดา

“นรก” ก็อนัตตา “สวรรค์” ก็อนัตตาคือ ไม่มีตัวตนจริงเลยทั้งนั้นในที่สุด แต่เพราะ “โง่เอง” จึงได้ “นรก” ทั้งๆที่ทุกคนจะเอา “สวรรค์” แท้ๆ เวลาทำกรรมจริงกลับทำ “นรก” เสียนี่ ก็เพราะยังไม่รู้ทัน “ภาวะกรรม” ที่ตนทำ  กับยังไม่มี “ธาตุมุทุ” ในตนจริง

ก็ “สวรรค์” มันไม่มีตัวตนแท้ไง! คนไปหลงยึดมาเป็น“ตัวตน” จนจิตมัน“เกิด”(โอปปาติกะโยนิ=มโนมยอัตตา)มาให้ตนหลงว่าจริงได้  แต่ที่แท้มัน “เท็จ” (อลิกะ; สุขัลลิกะ เป็นต้น)

และ“นรก”มันก็ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครคิดจะยึดไว้ใส่ตน แต่เพราะ“อวิชชา”ไง!

เพราะ“โง่” ไม่มี“วิชชา” ปุถุชนจึงทำ“กรรม”

อันเป็น“ภพ” เป็น“ชาติ”ที่ชื่อว่า“นรก”เกิดใส่

ตน ด้วยประการฉะนี้เอง  เห็น..“ไอ้โง่”มั้ย?

“นรก”นั้นแม้ตนจะไม่ปรารถนา แต่เมื่อตน“ทำกรรม”นั้นด้วยตนประพฤติจริง และ“กรรม”นั้นเป็น“อกุศลกรรม”จริง

“กรรม”นั้นก็“เป็นอันตนเองทำ” จึงเป็นของๆตน เป็น“กัมมัสสกะ”ตามสัจจะ  แล้วมันจะเป็นของคนอื่นได้ไง?

หรือจะเอาไปทิ้ง? ทิ้งไหน? ทิ้งได้ไง?

ก็ตนเอง“ทำเองแท้ๆ” ทำเสร็จลงแล้ว มันจริงลงไปแล้วว่า“ตนทำ” แล้วจะบอกว่า “เอาไปทิ้ง” ..จะไม่เอา!!!  กรรมคือ การทำนะคุณทำเสร็จ ก็เป็นอัน“ทำเกิดขึ้นแล้ว” คุณจะไม่เอาความจริงที่เป็น“อดีต”นี้ที่มันจริงนะ! เพราะจริงๆนี้คุณ“ทำเอง”สัจจะก็เป็น“กัมมัสสกะ”แล้ว(สัจจะนั้นเป็นของตนแล้ว)

จะปฏิเสธ“ความจริง”ที่เป็น“อาการ”ของกิริยาที่“คุณทำ”แท้ๆแล้วนี้ว่า“ไม่มี”ยังไง?

“กระทำ”(กรรม)ในกาละ“ปัจจุบัน”ใด เสร็จแล้วปุ๊บ!  มันก็ไปอยู่ในกาละ“อดีต”ปั๊บ!หรือคุณว่ากาละที่เรียกว่า“ปัจจุบัน”

เรียกว่า“อดีต”มันไม่มี ..หา?

“กาละ”มันมีแค่ 3 คือ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มันมีจริงนะ..“กาละ”หนะ ตราบที่“จักรวาฬ”ยังมี  และตราบที่“คน”ผู้เป็นสัตวโลกอันเป็น“จิตนิยาม”ก็ยังมี และตราบที่คนผู้นั้นยังไม่“สูญสิ้น”ไปจาก“เอกภพ”ก็ต้องมีกรรม เพราะผู้นั้นเป็นคนที่ยังไม่“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”

คนก็มีแต่“กรรม”กับ“กาล”เท่านั้นแหละ

คุณจะไม่ยอมรับ“กาลอดีต”งั้นหรือ?

ทิ้งไว้ที่“ปัจจุบัน”งั้นหรือ? หรือจะเอาไปทิ้งใน“อนาคต”? หือ??  เอา“อดีต”ไปไหน?

“อดีต”มันก็ต้องเป็น“อดีต”...!!!!

“กรรม”คุณไม่ยอมรับ คุณก็ไม่มีหวังจะ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” เท่านั้น

แต่“กาละ”สิ ...คุณจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม เมื่อจักรวาฬมี “กาละ”ต้องมี

คุณบังอาจ“ทำลายกาละ”เขาหรือไง?

ที่คุณ“ทำ” ก็เป็น“อดีต”ของคุณแล้ว หรือว่ามี“กาละอื่น”มากกว่า“ปัจจุบัน-อนาคต-อดีต” 3 กาลนี้อีก ในจักรวาฬนี้

คุณปฏิเสธ“กาละ”ในจักรวาลนี้ ไม่ได้หรอก  “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต”ต้อง“มี”จริง

เห็นชัดไหมว่า “ชีวิต”ไม่มี“กรรม”กับ “กาล” ไม่ได้

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=85976

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efcm1zRGlUaHZVWGc

 

หรือที่นี่....http://www.filefactory.com/file/3vgyzld6jrtr/160828


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:38:03 )

590828

รายละเอียด

590828_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ กรรมกับกาละ

เริ่มต้นก่อนสวดมนต์ด้วยเพลง ก่อนสิ้นแสงตะวัน

แดดเรืองแสงร้อนแรง คลุมหล้าวับวาม แผ่รังสีในยามตะวันนี้จร อย่าระเริงหลงว่า เวลาผันผ่อน จะพาร้อนใจ

แดดอ่อนแสงร้อนแรง พลันคลายมิคง อย่าลืมหลง เวลาล่วงเลยล้ำไป อย่ามัวเพลินหลงว่า เวลานั้นไม่ ควรสนใจคำนึง

จงคิดอย่าเมินมอง แดดอ่อนเรืองรองรำไร นั้นไซร้ควรคิดแหละพึง สำนึกดูเสียสมพอใจจึง ซึ้งในคุณและค่าตะวัน

ก่อนสิ้นแสงตะวัน จะจากลับไกล โปรดจำไว้ ถึงวัยล่วงไปพร้อมกัน จึงควรตรองเสียก่อน อย่านอนหลงมั่น วัยและวันจะผ่าน

จงคิดอย่าเมินมอง แดดอ่อนเรืองรองรำไร นั้นไซร้ควรคิดแหละพึง สำนึกดูเสียสมพอใจจึง ซึ้งในคุณและค่าตะวัน

ก่อนสิ้นแสงตะวัน จะจากลับไกล โปรดจำไว้ ถึงวัยล่วงไปพร้อมกัน จึงควรตรองเสียก่อน อย่านอนหลงมั่น วัยและวันจะผ่าน

 

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2559 เมื่อหมดกันยายน ก็จะเข้าหน้าเทศกาลกินเจ เวลาก็ผ่านไปดังเช่นเพลงก่อนเริ่มรายการ กาลเวลาก็ผ่านไปชีวิตเราก็ผ่านไป ถ้าเราติดอยู่ในภพภูมิไหนก็อยู่ในภพภูมินั้น

ทุกวันนี้เราก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณตัวเอง บุญเราไม่ได้ แต่นำมาใช้ประโยชน์ต่อชีวิตตัวเองได้แล้วก็สร้างกรรมดีที่เป็นกุศลให้แก่ตัวเอง ถ้าในยุคกาลนี้ไม่มีผู้พาทำก็จะไม่รู้ เหมือนกับเด็กๆถ้าไม่มีผู้ใหญ่พาทำก็จะทำอะไรไม่เป็น เหมือนกับเราเองบางอย่างก็ทำเป็นกุศลบางอย่างก็ทำเป็นแต่อกุศล ต้องอาศัยพ่อครูซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องของการสร้างกรรม มาพัฒนาเราให้เป็นผู้ที่พ้นทุกข์และช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ได้ ในชาติใดชาติหนึ่งเราต้องหลุดพ้นได้สักชาติหนึ่ง ตราบใดที่ยังมีความเพียร

เราไม่จะไปเกิดในเอธิโอเปียใครจะมีวิบากไปเกิดก็แล้วแต่ ใจเราก็อยากจะไปกับพ่อครูแต่กรรมดีของเราจะไปด้วยกับท่านหรือไม่ก็แล้วแต่ ถ้าเราติดในสวรรค์ของเทวดา 6 ชั้นใจเราก็ไปแต่นรก คิดอย่างหนึ่งแต่การกระทำของเราไปอีกทาง ก็ไม่สามารถไปกับพ่อครูได้ เราต้องทำกรรมตามที่พระครูสอนบอกเราให้ได้ ให้เราหมดกิเลส ถ้าเราหมดกิเลสแน่นอนเราก็จะไปกับท่านได้ วันนี้พ่อครูจะมาอธิบายกรรมกับกาละ ให้เราเอาบุญมาใช้ประโยชน์แก่ชีวิตตัวเองได้ แล้วก็ทำกุศลให้กับตัวเองได้

พ่อครูว่า...ท่านฟ้าไทได้เกริ่นกล่าวถึงคำว่ากรรม หรือการกระทำ คำว่ากรรมยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ โดยเฉพาะกรรมที่เป็นมโน กรรมที่เป็นพฤติกรรมของจิต เราจะรู้ได้ง่ายๆแค่ทางกายกรรมวจีกรรม แต่มโนเราไม่ได้ไปตาม การกระทำทางกายหรือการกระทำทางวาจาที่พูดที่ทำ อันนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สุด ที่คนเราเข้าใจไม่ได้

เมื่อคนเข้าใจไม่ได้ไม่รู้ต้นทางถึงจิตที่ตั้งไว้จะให้ไปในทิศทางไหน ไม่สามารถควบคุมดูแลทิศทางของจิตที่จะไป ความเห็นความเข้าใจจะไปสวรรค์ แต่ ความรู้ที่จะไปจัดการกับมโนกรรมไม่ได้ไปสวรรค์เลยมันพาไปนรก

นรกไม่ใช่ใหญ่โตที่จะไม่รู้ได้เรียนดีๆรู้ได้ง่าย จะได้รู้ว่านรกคืออะไร นรกเป็นเพราะเป็นชาติอะไร นรกคือจิต จิตที่มันมีภพมีชาติ นั่นก็คือนรก ให้ชัดก่อนนั้นคือจิตมันอยากได้นั่นแหละคือนรก ถ้ายังไม่ชัด จิตมันมีความเป็นตัณหาอยากได้ นั่นแหละคือนรก ศาสนาพุทธสอนให้ดับสมุทัยคือตัณหา

เมื่อจิตเรามีความอยากได้ มันมีอาการนี้ไหม ถ้าอ่านไม่เป็นเข้าใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าอาการอย่างนี้คือความอยากหรือไม่อยาก ถ้ามันอยากเมื่อใดนั่นแหละคือนรก

พระพุทธเจ้าท่านตรัสในพระไตรปิฎกเล่ม 23 ในทานสูตร

เรื่องก็คือพระพุทธเจ้าท่านคุยกับพระสารีบุตร เรียกว่าผู้มีปัญญาต่อผู้ที่มีปัญญามาคุยกันรู้เรื่องว่า ผู้ที่ทำทาน เราพูดกันว่าทานเป็นความดี พูดยังไงก็เป็นสิ่งที่ดี เมตตากายกรรมเป็นการทาน วจีกรรมก็เป็นทานก็เป็นสิ่งดี เป็นการให้ ปากก็พูดว่าให้ บางคนเขียนเรื่องทาน อิมินาสักกาเรนะฯ อาตมาเห็นว่าเป็นคำที่แต่งขึ้นมาไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า

พฤติกรรมที่ทำมาคือทั้งกายกรรมและวจีกรรม เอาข้าวเอาน้ำเอาเงินเอาทองเอาผ้ามาทาน พระก็พาทำสอนและพาตั้งจิต ตั้งให้ 1 หวังในผลทาน 2 ผูกพันในผลทาน 3 สั่งสม สันนิธิเปกโข สั่งสมภพชาติ อยากได้เมื่อไหร่ก็เป็นภพเมื่อนั้น

ก็อยากได้ก็คือตัณหา คุณตั้งจิตเป็นตัณหา

1 พอบอกว่ามีจิตใจตั้งภพก็ไม่เข้าใจ 2 มีจิตอยากได้ อยากได้ก็คือตัณหา ตัณหาก็คือกิเลส อยากได้ก็เป็นภพเป็นชาติแล้ว วจีกรรมก็พูดว่าให้ทาน แต่ขอให้ได้สวรรค์ขอให้ได้อะไรต่างๆ คือกายกรรมให้แต่ใจกับสร้างภพชาติ

ศาสนาพระพุทธเจ้าคือศาสนาที่ล้างภพจบชาติ 

จะล้างภพได้ก็ต้องรู้จิตเราที่มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดภพ

ตัณหาคือตัวกิเลส การทำทาน กายกรรม พูดเรื่องทานแต่ใจตั้งภพ ใจอยากได้ ใจเป็นตัณหา ใจเป็นกิเลส ใจจึงเป็นนรก ชัดไหม!!!

พูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งแต่ใจไม่เป็นอย่างที่พูดและทำ ด้วยความรู้ ทานก็ดี ศีลก็ดี ก็คือการทำดีทั้งนั้น แล้วดีที่การทำดีนี้เพื่ออะไร เพื่อให้เกิดบุญ ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่ทำให้เกิดผลสำเร็จของบุญ บุญนี้เป็นสิ่งที่ทำให้กิเลสเกิดวิบัติ มีหน้าที่ทำลายกิเลส แต่เสร็จแล้วใจที่ไม่มีปัญญาเข้าใจ ไม่มีปัญญาทำใจในใจ ไม่มีปัญญาโยนิโสมนสิการ ไม่มีปัญญาทำใจในใจที่แยบคายถ่องแท้ ให้ถึงที่เกิดแล้วกำจัดกิเลสที่เกิด ทำไม่เป็นทำไม่ได้

เรียนรู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าถ้าไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาว่าและก็ไม่ได้ทำก็ไม่เกิดผลสำเร็จ จะไปนั่งจนก้นแตกก้นยุบก็ไม่ได้เกิดผลแบบพุทธเจ้า

กายกรรมวจีกรรมทำใจนั้นจะต้องทำด้วย คือเอาออก ไม่เอากลับคืนไม่แลกเปลี่ยนกลับ ไม่เอาแม้แต่ภาษาที่จะขอบคุณกลับ หรือจะมีอะไรตอบแทนทางวัตถุ หรือเป็นภาษาขอบคุณตอบแทน แต่ถ้าใจเรานี้จริง คือเราให้ตามคำว่าทานจริงๆยังไม่มีภพชาติ อันนั้นคือสัจจะ อันนั้นคือสัจจะที่ถูกต้องตามความจริง

เข้าใจได้ง่ายไหมแล้วทำได้ง่ายไหม

สมณะฟ้าไทว่ามันเคยชิน

พ่อครูว่า.ความเคยชินคือสัญชาตญาณเป็นตถตา แก้ไขยาก ในทานสูตรบอกว่าให้คือทานคือเอาออก แล้วทำไมยังเอากลับมา

สมณะฟ้าไทว่า..มันอัตโนมัติ

พ่อครูว่า...วจีกรรมบอกเอาออกนะ ให้นะให้นะ แต่ดันผ่าที่ใจตั้งภพชาติจะเอา นั่นแหละคือไม่จริงคือคนตลบแตลงกลับกลอก เอาวัตถุมาล่อว่าให้

เหมือนอย่างกับธัมมชโยสอนคนบอกว่าให้ให้หมดตัวเลยและก็สอนให้สร้างภพชาติ ก็เลยผูกพันไปหมดเลย ตั้งแต่ 1..หวังในผลทาน  2.ปฏิพัทธ์ผูกพันในผลทาน 3 สั่งสมในผลทาน 4 คิดว่าตายไปแล้วจะได้รับผลของทานนี้ ทั้งหมด ออกดอกออกผลด้วย งอกงามเจริญด้วย นี่แหละคือพฤติกรรมที่ธัมมชโยเอาอันนี้มาหลอกคน เอาภพชาติอันนี้มาหลอกคน อธิบายให้วิจิตรพิสดารหลอกเป็นสวรรค์ตายไปแล้วจะเป็นเทวดา เป็นเทวดาสุดหล่อในสวรรค์เฟส 3 แค่พูดไปให้คนเข้าใจเหมือนกับไปจองบ้านจัดสรรเฟส 2 เฟส 3 เฟส4  มีวิมานอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แกก็เห็นเป็นตุเป็นตะเลยนะ วิมานชั้นนั้นชั้นนี้ มีอะไรหรูหราบ้านเรือนสวยงามอะไรต่างๆนานา คนฟังก็เคลิ้มตาม

นี่คือสอนผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเป็นคนละเรื่องเลย ใครไปอ่านพระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อที่ 49 ในทานสูตร อ่านสักร้อยแปดเที่ยว

ผู้ที่ไม่รู้ประเด็นเพราะอวิชชา เป็นคนไม่รู้ก็คือคนไม่รู้ ที่ไม่รู้เพราะว่า ภูมิยังไม่มี อันหนึ่ง แม้มีก็ยังไม่ถึง แม้มีภูมิความรู้แต่ไม่ถึงขั้นความจริงถูกต้อง คนผู้นั้นจะทำอย่างพาซื่อ คนไม่รู้คือวิชชาไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เท่าไหร่

แต่คนอวิชชา ที่ไม่รู้ว่าหลงผิด มิจฉาทิฏฐิหรือโมหะและตนเองเป็นคนอวิชชา(โง่ไม่รู้เรื่องไม่มีภูมิธรรม)แต่มาแสดงว่าตนเหมือนมีภูมิธรรมเป็นความคิดเห็นที่ผิด ที่ผิดคือไปหลงภพไม่รู้จักภพหลงความรู้นึกว่าตนเองรู้ ที่พูดไปนี้เข้าเนื้อของนายไชยบูลย์ สิทธิผล หรือสมีไชยบูลย์ ตรงตามที่เขาประพฤติปฏิบัติเต็มรูปเลย สร้างภพชาติหลอกคนในสังคม

ชาวสำนักธรรมกาย เป็นชาวนรกที่หลงว่า นรกนั้นเป็นสวรรค์เพราะเขาพูดเขากระทำ ทำทานบริจาคอย่างยิ่งด้วย แต่ใจเขานั่นไม่ได้ตรงความจริงเลย ความเป็นสวรรค์อุบัติเทพแท้ คือการลด กำจัดภพชาติ หากกำจัดภพชาติได้เกลี้ยงก็คืออรหันต์

แต่ธรรมกายนั้นสอนตรงกันข้ามแล้วครอบงำความคิดปลุกเร้าให้จิตใจอยากทำทานอยากบริจาคยิ่งบริจาคมากยิ่งบริจาคหมดตัว แล้วก็ติดในภพชาติมากๆด้วยจนกลายเป็นคนที่ทำทาน พูดเรื่องทาน ทำเรื่องการบริจาคได้ดี

เพราะว่าลักษณะของการทำทาน การให้คนอื่นการพูดก็ยิ่งดี การทำก็ยิ่งดี โลกทั้งโลกรู้ความดีนั้นหมด แต่ใจตนเองกลับตลบตะแลงเป็นใจที่เอา เอาเพราะเมาภพชาติ ตายแล้วจะไปได้อะไรอีก สั่งสมผลของความดี ใครทั้งโลกก็รู้ว่าการให้การทำทานนี้ดี

ศาสนาหรือลัทธิไหนๆก็ต้องการให้ทำดีเป็นกุศล เป็นความดีงาม แต่ใจต้องเป็นบุญ บุญคืออะไร ใจต้องชำระภพชาติ ใจต้องชำระความอยากได้ ใจต้องชำระตัณหา ต้องอ่านตัวกิเลสให้ออก อ่านตัวตัณหาให้ออก อ่านตัวอยากได้ให้ออก อ่านใจที่มีอาการ ติดภพชาติ ใจมันหวังอะไรต่อ ไม่ตัด ไม่มีใจไปกับให้ ถ้าใจไปกับให้เลยยิ่งดี คุณให้วัตถุ ปากก็ให้ โดยไม่มีใจเป็นตัวกูของกู ไม่มีใจอยากเขากลับมาให้เราเลย คือให้จริงๆ

ถ้าจะให้วัตถุก็เห็นให้เลย วาจาก็พูดแต่ใจกลับหวัง สาเปกโข หวังก็คือภพชาติแล้ว ยังไม่พอยังผูกพันกับความหวังนั้น ตายแล้วเรายังจะไปอยู่กับไอ้หวังในภพชาติหน้าอีก ไอ้หวังตายไม่ได้นะ

สมณะฟ้าไทว่า...ชาตินี้พระท่านได้ตังค์แต่โยมจะได้สวรรค์ในชาติหน้า

พ่อครูว่า...โยมมีเท่าไหร่ก็จ่ายมา แล้วไปนัดพบกันในชาติหน้า อยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่มเลย ขออภัยที่ยกตัวอย่างเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการสร้างภพสร้างชาติอย่างมหาศาล ช่างใหญ่โตหรูหราหลอกลวงมนุษยชาติได้อย่างมากมายมหาศาล ใหญ่โตมโหฬารพิลึกพิลั่น แกสร้างอย่างนั้นจริงแล้วหลอกให้คนสร้างภพชาติทั้งนั้น ติดภพชาติทั้งนั้น ยิ่งติดภพชาติมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคือนรกลึกเท่านั้น ฟังความเป็นนรกสวรรค์อย่างเดียวกันเข้าใจไหม

อยู่ที่วิชชาหรืออวิชชา อยู่ที่มองหาหรือมิจฉาทิฐิ ไอ้หลงภพและหลงความรู้ของตัวเองด้วย ว่าตัวเองนี้รู้จริงแล้วหลงยึดมั่นความไม่ถูกต้องนี้ด้วย ซึ่งผู้ไม่รู้จริงๆก็อย่างนึง คนไม่รู้จริงๆก็แล้วไปเถิด แต่คนที่รู้สิ คนนี้เลวหนักยิ่งกว่าคนไม่รู้

คนนี้เขารู้แต่ดื้อดึงดันทุรังทำทั้งทั้งที่รู้ว่าทำอย่างนี้มันผิด สัมปชานมุสาวาท คนที่ทำตกนรกจกเปรตอย่างนี้ คือการสร้างภพชาติ มันไม่ได้หยุดแค่นั้นมันซับซ้อนเป็นปฏิภาคทวีซับซ้อนทับถมทวีดอกทบต้นยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น

ซึ่งในทุกการประพฤตินี้ล้วนเป็นกรรรมทั้งสิ้น ไม่มีพฤติใดที่พ้นไปจากกรรม ความไม่รู้หรืออวิชชาคือไม่รู้ว่าอะไรคือภพนรก อะไรคือภพสวรรค์ที่แท้ ไม่รู้

ภพ คือ อาการของจิตไปตั้ง

กรรม ที่เป็น กายกรรมคนมาทำทาน คือเอาของมาให้ …. มีเงินร้อยล้านพันล้าน เอามาบริจาคทำทานนะคะ นะครับให้ท่านนะครับ จะให้ส่วนตัวหรือให้ส่วนรวมเป็นวัดเป็นวาก็ให้ ในกายกรรมคือให้

กายกรรม วจีกรรม ก็เป็นกรรม กายกับวจีไม่มีภพ แต่จิตเป็นภพ คุณก็เลยตั้งจิตไว้ การสละออกก็เป็นการลดภพลดชาติ

แต่กลับกัน ตายไปแล้วไปอยู่กับไอ้หวัง กายให้วจีให้ แต่ภพกลับสั่งสมไว้หมดเลย เอาแม้ตายไปกูก็เอา ไปอยู่กับของกูนั่นแหละ พูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งแต่ใจกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง

การทำให้เห็นว่าให้ๆๆไม่ยากหรอก แต่ใจมันไม่เห็น แต่ใจมันให้ด้วยหรือเปล่า? คำพูดอธิบายขยายความ คนพูดว่าทำทานจะได้ภพได้ชาติจะได้สวรรค์ ไม่มีใครอยากจะได้นรกหรอก ก็อยากได้สวรรค์ วาดหวังสวรรค์ไว้

คุณทำอย่างหนึ่งแต่คุณเองตั้งจิตไว้ผิด มิจฉาปณิหิตตังจิตตัง นี่แหละคือประเด็นการทำใจในใจผิดคือนรก การให้นี้เหมือนสวรรค์ แต่ภพชาติคือนรกอยู่ที่จิต คุณจึงเป็นนักตอแหลนักโกหกหลอกลวง คุณพูดกับทำนั้นตรงกันข้ามกับใจ

คุณจะได้สวรรค์ 6 ชั้น แต่จิตคุณได้นรกหมด มันผิดตั้งแต่ภพแรก

หนึ่งตั้งจิตอยากได้ ไอ้หวัง คุณทำทานพูดเรื่องการให้แต่กลับไปสอนไปแนะนำให้คนสร้างไอ้หวัง ผูกพันกับไอ้หวัง(ปฏิพัทจิตโต) สั่งสมไอ้หวัง(สันนิธิเปกโข) และก็อิมังเปจ ปริภุญชิสสามีติ ทานัง เทติ คือไปตั้งจิตคิดไว้ว่า เราให้ทานนี้ไป ตายไปจะไปอยู่กับไอ้หวังในวิมาน ไม่ได้ให้ไปเลยมีแต่จะเอากลับคืนมาอีกมากมาย

สั่งสมไอ้หวังเลยมีตัวมีตนไอ้หวัง ที่จริงมันลมๆแล้งๆ สวรรค์ไม่มีตัวตน เอาภพมาขาย ภพคือแดนๆหนึ่ง ที่เป็นแดนอันเป็นภพชาติ เขาสอนกันให้เกิดภพชาติพวกนี้ จึงเป็นนรกของสวรรค์ หลอกเป็นภาษาว่าสวรรค์ แต่ที่แท้คือแดนนรกของใจ คือความจริงที่คุณตั้งจิตจริง คุณตั้งจิตหวังปฏิพัทธ์ ตั้งภพชาติว่าตนจะได้ไปเสวยผลของกูตัวกู ไม่ได้ปล่อยวางเลิกภพล้างภพเลย ศาสนาพุทธสอนให้ล้างภพชาติ ศาสนาเทวนิยมเขาสอนแต่กุศลไม่ได้สอนบุญ บุญคือการชำระกิเลส

บุญคือการชำระกิเลส อาการที่คุณชำระกิเลสได้เสร็จคือคุณทำบุญเสร็จ คือบาปมันวิบัติ จิตที่มันสร้างภพชาติไม่มีอีก บุญก็หมดหน้าที่ทำงานของบุญ

กุศลคือสิ่งดีงามเช่นการทำทาน เป็นสมบัติ แต่บุญคือวิบัติ ทำเสร็จก็หายไป แต่กุศลนี่ทำมากๆดี  ได้รางวัลได้เหรียญตราได้สายสะพายนะ

คุณทำบุญแล้วก็ทำกุศลได้ด้วย เมื่อจบบุญก็ไม่ต้องมีบุญมีบาปอีก ไม่มีอกุศลแล้ว มีแต่สัพพปาปัสส อกรณัง มีแต่ทำกุศลถ่ายเดียว กุสสลสูปสัมปทา ต้องทำบุญให้หมดบุญ ให้จบให้ได้ ทำบุญจบก็หมดบุญ ปุญปาปปริกขีโณ เป็นอรหันต์ มันง่ายจะตายไป

คุณบ่นว่าทำไม่ถูก เพราะไม่เข้าใจการทำใจในใจ ทำใจในใจไม่เป็น ใจในใจนี้คือ

1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม นี่แหละคือใจในใจ สี่อันนี้

อาตมาไปทำงานกับทางโลก ได้เงินแลกเปลี่ยนมา ใช้โวหารทำงานแลกเปลี่ยนเอาเงินมา ก็ใช้วิธีนี้ทางโลกไม่ยาก แต่อาตมารู้ว่าล้างกิเลสนี้ยาก อยากจะลงทุนหนึ่งแล้วได้เป็นล้านนี่แหละคือต้องล้างตัวอยากตัวนี้ต้องกำจัดตัวนี้แหละ มันทวนกระแสคนละเรื่องกับโลกียะเลย

โลกุตระต้องมาล้างโลกียะ เกิดมาไม่เอาอะไรจากใครไม่เอาของใครนี้มันเท่ห์นะ เรามีแรงงานความรู้ก็สร้างสรรแล้วทำให้มากแล้วให้คนอื่นไป

แต่โลกนี้ทำเสร็จแล้วคิดราคามากเกิน ถ้าคนทำอะไรมาอันหนึ่งลงทุนทำอะไรอันหนึ่ง วิธีคิดเศรษฐศาสตร์คิดต้นทุนหมด บวกเกินไปอีก อย่าให้ต่ำกว่าทุน อย่าให้ต่ำกว่าจริง มีค่าใช้จ่ายค่าโสหุ้ยค่ารถค่าไฟค่าน้ำ แต่จะบวกมากกว่าต้นทุนเสริม มักจะโกงต้นทุนแต่ต้นแล้ว ยังไม่พอ แม้บวกทุนขี้โกงมาแล้ว ยังมาบวกกำไรอีก อย่างนี้เป็นต้น

แล้วคนพวกก็ชมกัน พวกสายตรง Direct sale ไปบวกให้แพงได้มากเท่าไหร่จะได้ชั้นทองชั้นเพชร ใช้จิตวิทยาหลอกได้เก่ง เพื่อคนจะได้หลงลมซื้อของที่ราคาไม่ถึงแต่ว่าให้ขายได้แพงอย่างนั้น นี่คือ maximize คือขี้โลภกำไรอย่างไม่มีขอบเขต maximize จะต้องได้มาอย่างไม่มีขอบเขต คนก็เลยยิ่งตกต่ำลงนรก เพราะไปสร้างภพ ไปสร้างตัณหายิ่งขึ้นๆ

ถ้ามาสอนกลับกันเสีย ในรูปการให้ วิธีให้นี่นะ คนที่เขาเก่งอย่างสมีไชยบูลย์ เก่งการให้  แต่ก็เอามาให้แก่ตัวเองอย่าไปให้ใคร

ถ้าคนสอนเก่งจริง สอนให้แล้วไปให้คนอื่นสิ อย่ามาให้เรา นี่เก่งจริง

แต่สอนว่าให้ แต่จงมาให้กูนะ อย่าไปให้คนอื่นนะ ช่องนี้ช่องเดียวนะ อย่าไปให้สองช่อง ช่องนี้เท่านั้นจะพาไปถึงขั้นถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ไม่มีช่องอื่น นี่คือวาทกรรมสะกดจิตได้สำเร็จ เขาหลอกคนสำเร็จมาก คนหลงเป็นทาสตกเป็นบริวารเชื่อถือ นี่เขาจะมาฆ่าอาตมาไหม อาตมาว่าเขา เขาตกนรกเป็นผีไปหมด ลูกศิษย์สมีไชยบูลย์ คือผีทั้งนั้น ถูกให้ไชยบูลย์หลอก ทุ่มโถมหมดเนื้อหมดตัวเลย

มีเขียนมาบ่นให้ดูเป็นตัวอย่าง จบป.โท แต่ไปทำทานกับไชยบูลย์หมดเนื้อหมดตัวเลย เขาสัมภาษณ์บอกว่าก็ว่าเชื่อถือศรัทธาหลวงพ่อธัมมชโยมาก เชื่อว่ามีภพสวรรค์รอ ก็เก็บเงินทองไปทำทานหมดที่หมดบ้านเลยไม่มีกินใช้ เขาครอบงำคนได้สำเร็จเก่งมากจริงๆ

คนมีใจโลภอยู่แล้วก็เลยหลงไปตามเขาน่าสมเพชเวทนา เราพูดสัจธรรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ายุคต่อมา คนจะพูดแต่เรื่องความไพเราะประเล้าประโลม คนจะชอบไปฟัง แต่คนที่พูดโลกุตระ พูดล้างภพชาติ คนจะไม่ฟังจริงๆ พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้

คนพูดตรงพูดแรงจริงจังอย่างโพธิรักษ์คนไม่ฟัง แต่เขาจะไปฟังนะจ๊ะๆ

คนที่ประพฤติ มีสองอย่าง คือประพฤติข้างนอก กับข้างใน

คนไม่รู้ความประพฤติข้างในก็หลอกเอาๆ แต่ข้างนอกทุ่มโถมทำดี คนถึงบอกธัมมชโยสอนดี๊ดี แต่เขาเลวตรงหลอกซ้ำซ้อนในจิต เขาพูดทางวัตถุว่าทำดี ทำทานใหญ่โตเป็นระเบียบเรียบร้อย คนก็จำนนเพราะไม่รู้ว่าที่รูปลักษณ์ใหญ่โตดูดีมีระเบียบ แล้วให้ทำทาน ธัมมชโยก็บอกว่าให้มาร่วมกันสร้างวิมาน เป็นการสร้างบารมีร่วมกันสร้างบารมีภพชาติยิ่งใหญ่ จะได้ในชาติหน้าต่อไป

ดร.มโนเคยบอกว่า เขาได้ทานมาจากประชาชน เขาไม่เปิดเผยเลยว่าได้มาเท่าไหร่ ไม่มีการเปิดเผย แต่คนมาทำทานนี่ไชยบูลย์บอกว่าจะได้วิมานตอนตายไปแล้ว ตอนเป็นๆนี้ทานให้หมดทุ่มโถมให้หมด มีลูกคู่ด้วยนะ ว่าจริงๆๆคนเลยเชื่อ

ในสัจธรรมมีคนโลกๆก็ทำงาน ทุกคนทำงานก็จะต้องให้มีผลเจริญงอกงามร่ำรวย เขาก็ไปทำ แต่พอทำแล้วเขาก็ได้ผลงอกเงย ในคนกี่ร้อยพันหมื่นแสนล้านเขาก็ทำงาน ไชยบูลย์ก็ไม่ได้สอนคนงอมืองอเท้า เขาสอนให้ขยันทำงาน ทำงานแล้วจะร่ำรวย คนก็ไปขยันทำงาน รวยแล้วเอามาทำทานยิ่งทานยิ่งรวย คนที่มีความรู้ความสามารถเขาก็ทำ เขาก็มีผลเจริญ​ แล้วคนที่มีผลเจริญร่ำรวยเขาก็หยิบเอามาอวดอ้าง ในคนจำนวนมากนี้ มีคนที่ได้ผลร่ำรวยนี้มีจำนวนน้อย แต่คนที่ไม่ไม่ร่ำรวยอย่างนี้มีจำนวนมาก คนหมดเนื้อหมดตัว ที่เชื่อที่หวังว่าจะมีเหมือนคนรวย เหมือนเจ้าสัวบุญชัย ที่มาออกตัวว่าเขารวยได้เพราะทำถูกจังหวะมาทำธุรกิจสื่อสารก็เลยรวย ตอนนี่ยุคนี้ก็เลยรวย ได้สัมปทานอันนี้รวยทุกคน คนก็แย่งประมูลกันแพงมาก เขาก็เอารวยแบบนี้มาเป็นตัวอย่าง

เหมือนอย่างอาตมาเคยยกตัวอย่างศาลพระพรหม ศาลเจ้าพ่อ มาอธิษฐานกันศาลนี้ร้อยคนพันคน ถ้ารวยแล้วจะมาแก้บนที่นี่ คนก็ไปทำงาน ทำงานแน่นอนก็ต้องมีคนได้ผลสำเร็จหรือรวยได้เกินคิดค่าที่ต้องการ เขารวยแล้วก็เอาของมาแก้บน คนก็มาที่ศาลพระภูมินี่แหละ รวมกันที่นี่ คนรวยก็มาแก้บน คนที่มาบนนี้เป็นร้อยพันหมื่นแสน คนก็มาพบกันที่ศาลเจ้าพ่อนี้ คนก็มาพบคนที่แก้บนที่ได้ผล ส่วนคนที่มาบนแล้วไม่ได้ผลก็หายไป เขามาบนพันคนก็ได้ผลร้อยคน คนที่มาก็มาเจอคนที่ได้ผลมาแก้บน ศาลนี้เลยขลังเพราะไปเจอคนที่ได้ผลร้อยคน แต่ไม่เจอคนอีก 900 คนที่ไม่ได้ผล ต้นไม้คนมาผูกผ้าสีก็ยังขลังเลย มีกองขี้หมาแล้วดอกไม้มากลบไม่เห็นขี้หมา คนก็มาเห็นนึกว่าคนมาเอาดอกไม้บูชาก็เลยเอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาอีก ก็เลยหลงกองขี้หมา

ศาลเจ้าไหนๆนานๆไปก็ขลังทั้งนั้น จะเป็นต้นไปไม้จอมปลวก ก็ขลังได้ คุณทำเองก็ได้ จอมปลวกนี้ก็กราบทุกวันเลย คนอื่นก็จะมากราบบ้าง เขาจะได้สมใจแล้วมาแก้บน สองคน สามคน ยี่สิบคน คนขยันมากราบไหว้บูชาได้บ้างไม่ได้บ้างก็ขลังแล้ว ถ้าขลังจริง คุณมากราบมาขอให้ช่วยอันนี้ว่าควรจะได้สักร้อยล้าน หมื่นล้านสาธุของให้ได้ แล้วคุณก็อย่าทำอะไรนอนตีพุง ว่าเงินนั้นจะมาหาไหม? คุณก็ต้องทำงานนั้น ทำก็ต้องสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่สำเร็จก็ความสามารถของคุณ ศาลเจ้าขี้หมาไม่ได้ช่วยหรอก คูณต้องช่วยตัวเองก่อนพระเจ้าถึงจะช่วยคุณ พระเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเองหรอก คุณทำงานอะไรก็ได้ผลนั้นก็เป็นผลงานของคุณเอง

 

มีคำถามมาจากชาวค่ายสัมมาอาริยมรรค

บุญคือการกระทำให้เกิดวิบัติ กุศลคือการกระทำที่ให้เกิดสมบัติ แล้ววิบัติอะไรก็คือวิบัติที่อกุศล วิบัติในสิ่งที่ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม วิบัติแปลว่าให้หมดไป ให้เสื่อมเสียไปให้สิ้นไป สมบัติคืออะไร สมบัติคือสิ่งที่สั่งสมให้มีมากขึ้นๆสมบัติคือกุศล  ส่วนบุญนั้นคือวิบัติที่ทำลายอกุศล  บุญคือการทำลายอกุศลทำลายบาปให้หมดไป มีหน้าที่นี้เท่านั้น

เมื่อทำลายได้เสร็จวิบัติก็จบ หน้าที่ของบุญก็จบ ส่วนกุศลนั้นเป็นสมบัติเหมือนยิ่งทำมันยิ่งมีวันที่จะได้มันต่างจากบุญ กุศลนั้นเป็นคุณงามความดี แต่บุญนั้นเป็นเครื่องมือชำระกิเลส

อาตมาพยายามจะพูดว่า

1 บุญแปลว่าชำระกิเลสจากจิตสันดานให้บริสุทธิ์ สันตานังปุนาติวิโสเทติ แต่ทุกวันนี้ไปเข้าใจว่าบุญคือการทำแล้วได้ ได้สมบัติหรือได้อะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ได้วัตถุได้เงินได้ทองได้ข้าวได้ของได้ทรัพย์สิน บุญนิยมทำจริงได้ไม่ใช่ บุญยิ่งทำยิ่งเสียยิ่งหมดยิ่งชำระหมด หมดแล้วก็จบหน้าที่บุญ การที่คุณทำบุญแล้วได้สำเร็จผลเป็นส่วนเรียกว่าเป็นส่วนแห่งบุญ ปุญญภาค แปลว่าชำระกิเลสได้บ้าง

คนที่ชำระกิเลสได้บ้างก็คือ เสขบุคคล ทำให้กิเลสออกไปได้ส่วนหนึ่ง ยังไม่หมด เป็นสาสวะยังไม่สิ้นอาสวะ ทำได้ส่วนหนึ่งจึงเรียกว่ามีส่วนบุญ คือมีส่วนเสีย มีส่วนที่ชำระไปได้ มีส่วนแห่งบุญ ท่านแปลบาลีเป็นไทย ว่ามีผลสำเร็จของบุญ เป็นส่วนๆแล้วทำต่อให้สิ้นอาสวะหรือบาป หรือกิเลสาสวะ ให้หมดสิ้นก็หมดอกุศลหมดอาสวะหมดบาป ก็เป็น อเสขบุคคล ผู้ทำหมดอนาสวะแล้ว จึงเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ เสร็จจบเป็นพระอรหันต์

เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว คนผู้นี้จึงทำสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง บาปของท่านไม่เกิดอย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) กรรมที่จะทำต่อไปก็มีแต่กุศลกรรมเป็นกุสลสูปสัมปทา ท่านได้ชำระกิเลสหมดสิ้นไปแล้วเป็นสจิตตปริโยทปนัง

เริ่มต้นต้องทำส่วนแห่งบุญเป็นพระเสขบุคคลก่อนจนหมดบุญ ก็มีหลักฐานเป็นพยัญชนะว่า ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคนสัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) จิตท่านได้ชำระได้สะอาดหมดจดแล้ว

จบด้วยคำว่าบุญไม่ใช่กุศล กุศลเป็นสิ่งที่มี บุญเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มี กุศลนั้นยิ่งทำยิ่งมียิ่งเป็นสมบัติ แต่บุญนั้นยิ่งทำยิ่งไม่มี ยิ่งเป็นวิบัติ

 

_อยากถามพ่อครูว่าการทำงานร่วมกลุ่มหรือไม่ร่วมกลุ่มบ้าง จะถือว่าช่วยพ่อครูไหม

ตอบ..การช่วยอาตมานั้นก็ไม่จำเป็นต้องช่วยด้วย คนที่อยู่ใกล้ๆก็ช่วยก็ใกล้คนที่ไม่อยู่ใกล้จะถือว่าไม่ได้ช่วยก็ไม่จริง สรุปง่ายๆ คนที่มาอยู่ที่นี้ร่วมสถานที่ เสร็จแล้วคุณก็ใส่ใจศึกษา เรียนรู้และมีข้อปฏิบัติ ทำการงานทำอาชีพ ทำสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เรียนรู้เรื่องจิตคือสังกัปปะ พัฒนาไปอาตมาก็แนะนำไปสอนไปคุณก็ได้ปฏิบัติสังกัปปะ ตรวจสังกัปปะไปด้วย

  คุณุช่วยหรือไม่ช่วย ถ้าคุณปฏิบัติช่วยอยู่ในนี้ทั้งการงานอาชีพ การพูดการกระทำ แล้วใจคุณสามารถลดกิเลสได้ นั่นแหละคุณได้ช่วยอาตมา ถือว่าได้ช่วยอาตมา แต่ถ้าคุณมาอยู่ที่นี่แล้วคุณก็ไม่ทำงาน ไม่ทำกรรมคือการงานการกระทำที่นี่ไม่พูดด้วย คุณก็ไปอยู่ที่บ้านก็ไปทำอะไรอยู่ที่บ้าน คุณขยันก็มาฟังธรรม แล้วอยู่ที่บ้านไม่เกี่ยวอะไรกับใครเลย

ถ้าคุณฟังธรรมแล้ว คุณก็ไปทำสังกัปปะ 7 เป็น ทำใจในใจได้สำเร็จ จะพูดจะทำก็สอดคล้องกันจะทำอาชีพก็สอดคล้องกัน คือจะไม่เห็นแก่ตัว จะไปช่วยหมู่กลุ่มจะเกิดปัญญา 7 ประการ

ปัญญาข้อที่ 5 จะอยู่ร่วมกับสหธัมมิกหมู่ฝูงจะช่วยทำงานของตนและช่วยงานสหธัมมิกน้อยใหญ่เหมือนโคแม่ลูกอ่อน

อาริยสาวกถึงความขวนขวาย  ในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไรของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้..  ถึงอย่างนั้น  ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาของอาริยสาวกนั้น  ก็มีอยู่

          เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน  ย่อมเล็มหญ้ากินด้วย ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉะนั้น

(พุทธพจน์ จาก พตปฎ. เล่ม 12  ข้อ 547)

ถ้าเราถ้าเรายังเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยหมู่ฝูงเลย เอาแต่ฟังธรรม จะรู้ได้ยากหรือ? เราได้แต่ฟังธรรม กินอยู่บ้านไม่ทำอะไร อย่างนั้นถือว่าไม่ช่วยใคร คุณมาเห็นแก่ตัวอย่างเดียวสรุป

 

_สัมมาอาริยมรรคแปลว่าอะไร

ตอบ...สัมมาเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า มรรคแปลว่าวิธีปฏิบัติ หรือทางเดินสู่นิพพาน เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเจริญสูงขึ้นไปสู่สัมมา  ส่วนมิจฉาคือผิดไปจากพระพุทธเจ้าสอน ส่วนสัมมาก็ถูกตามพระพุทธเจ้าสอน

 

_1.บ้านราชฯหรือ 2.พุทธสถานต่างๆ 3.สังฆสถานต่างๆของอโศกที่พ่อครูพาทำนั้นตรงกับเสนาสนะ 5 ของพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ

ตอบ...เสนาสนะ 5 มีว่า...เสนาสนะอันประกอบด้วยองค์ 5 อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะในธรรมวินัยนี้ อยู่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก สมบูรณ์ด้วยทางไปมา กลางวันไม่เกลื่อนกล่น กลางคืนเงียบเสียง ปราศจากเสียงอึกทึก มีเหลือบ ยุง ลม แดด และ สัมผัสแห่งสัตว์เลื้อยคลานน้อย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัย แห่งคนไข้ ย่อมเกิดขึ้นโดยไม่ฝืดเคืองแก่ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะนั้นภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ เป็นพหูสูต ชำนาญคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา อยู่ในเสนาสนะนั้น

ที่นี่ครบหมดเลย แล้วแถมด้วย แถมพากันทำสัมมาอาชีพสัมมากัมมันตะสัมมาวาจาด้วย พาทำเป็นชุมชนเลย

 

_นามสกุลของชาวอโศกมีความหมายอย่างไร

ตอบ...ก็มีตามนั้น ...ตามภาษาเช่น ชาวหินฟ้า เช่นนาวาบุญนิยม คือตั้งใจมาเป็นผู้สร้างนาวาบุญนิยม (เรือโนอาห์) ที่จะรับช่วยฝูงสัตว์ทั้งหลาย ศาสนาโน้นบอกว่าน้ำจะท่วมโลกอยู่แล้ว ศาสนาพุทธบอกว่าไฟจะไหม้โลกอยู่แล้ว คือตายทั้งคู่มนุษยชาติจะถูกล้มล้างตายทั้งคู่ นาวาบุญนิยมคือเรือมาช่วยในลักษณะบุญนิยม บุญนิยมแปลว่า ลัทธิบุญ Boonism คือลัทธิกำจัดกิเลส

คนมีสิทธิ์ใช้ก็ต้องมาศรัทธาปฏิบัติตามชาวอโศกพาเป็นพาไป จะเลือกสกุลไหนก็เลือกเอา เลือกแล้วก็ไปขอจากเจ้าของสกุล ถ้าเขาอนุญาตก็เข้าได้ ไปเปลี่ยนกับนายทะเบียน ถ้าเขาไม่ให้ก็ไม่ได้

_การเปลี่ยนชื่อของชาวอโศกหมายถึงอย่างไร ส่วนใหญ่ตรงข้ามกับนิสัย

ตอบ..คนมาขอให้เปลี่ยนชื่อส่วนมากอยากได้ชื่อทางธรรม แต่จะบอกว่าตรงกันข้ามกับนิสัยเขาไหม อาตมาก็ตั้งทั้งตรงข้ามกับสอดคล้องกับนิสัยเขาด้วย ดูตามเหมาะสม ถ้าคนไม่รู้จักมาขอชื่อ อาตมาก็ตั้งส่งเดชไปอย่างนั้น ถ้าดูหน้าตาหรือดูลักษณะก็ตั้งตามนั้นได้หรือให้เขาบอกว่าชอบแบบไหน

_ดิฉันเคยบนกับพระแม่ธรณี ก็ได้สมหวังบ้าง เช่นลงประชามติก็บนอยู่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะ แล้วอย่างนี้งมงายไหม?

ตอบ...งมงาย มันไม่ได้สมหวังเพราะคุณไปบนหรอก แต่เพราะเหตุปัจจัย ศาสนาพุทธไม่ได้เชื่อเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล แต่เชื่อเหตุปัจจัย

_กรณีแง่ของกฏแห่งกรรมว่าเป็นอย่างไรเพื่อเป็นแนวทางศึกษาปฏิบัติธรรมต่อไป

ตอบ…กฏแห่งกรรม คำนี้คำกว้าง

ศาสนาพระพุทธเจ้าย่นย่อที่

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

ศาสนาพุทธจึงเรียนเรื่องกรรมอย่างเดียว แล้วกรรมจะพาเราเกิดพาเราเป็นคือกัมมโยนิ ส่วนศาสนาเทวนิยมเขาเรียนคำสอนพระเจ้าหรือพระบุตร คำสอนส่วนมากเป็นคำสั่ง แต่ของศาสนาพุทธไม่มีผู้ใดมาสั่งมีแต่คำสอน ให้รู้กรรมกับกาละ

กรรมกับกาละ …..กรรมคือการกระทำ กาละคือเวลา

ทุก“การประพฤติ”ล้วนเป็น“กรรม”ทั้งสิ้น..ใช่มั้ย  ไม่มี“พฤติ”ใดที่พ้นไปจาก“กรรม”

“ความไม่รู้”หรืออวิชชานี้ชัดๆ คือ ไม่รู้ว่า “อะไรคือภพนรก-อะไรภพสวรรค์”ที่แท้

หรือไม่เชื่อว่า “ภพนรก”มีจริง เป็นจริง

คนผู้นั้นจึงทำ“ภพนรก”ให้ตน เพราะหลงติดยึด ว่าเป็น“ภพสวรรค์” ..เห็นมั้ย?

เพราะผู้ไม่มีภูมิขั้น“ปรมัตถสัจจะ”นั้น ไม่รู้หรอกว่า “ภพ”คือ “จิต”ของคนผู้นั้นเอง แล้วตนก็“ทำ”เองด้วยโง่ ด้วยโมหะให้เกิด “ภพ”เอง แล้วตนก็ต้องไปสู่“ภพ”นั้นๆเอง และที่สำคัญมากยิ่งๆ ก็คือ “คน”ผู้ไม่มีภูมิขั้นอาริยบุคคลที่ “สัมมาทิฏฐิ” จริง จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “ความเป็นภพนรกหรือภพสวรรค์” กันได้ง่ายๆหรอก

จะมีแต่ “หลงงมงายอยู่กับรสสวรรค์”

เพราะในความเป็นจริงนั้น “ภพ”ที่มีอยู่ตายตัวมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย“อุปาทาน”กันตลอดกาลคือ ปรารถนาสวรรค์ อยากได้สวรรค์ จดจ่อจดจิตอยู่ที่สวรรค์ไม่ว่าจะเกิดในโลกกัปป์ไหนกัลป์ใด  ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ก็มีแค่“ภพสวรรค์ 6 ชั้น” หรือ“ภพเทวดา 6 ชั้น” เท่านี้เท่านั้น ที่คนทั้งหลาย“อยากได้” อยู่ตลอด ไม่เคยห่างหายคลายจางไปจากคน

เขาไม่นึกถึง“นรก”ดอก เพราะหลงใหลสวรรค์ทิศเดียว จิตจึงมุ่งด่ำดิ่งอยู่แต่สวรรค์

ไม่มี“ภพ”อื่นใดเลย ตามสามัญแล้วที่ “คนทั้งหลายในโลก “อยากได้” ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ล้วน “อยากได้สวรรค์” มุ่งฉะนี้ทั้งนั้นทั้งสิ้น

และไม่ปรารถนาความเป็น “นรก” เลยแค่สักนิด ไม่ฉุกใจแม้แต่สักน้อยสักหน่อย

“สวรรค์ 6 ชั้น” ได้แก่ จาตุมหาราช-ดาวดึงส์-ยามา-ดุสิต-นิมมานรดี-ปรนิมิตวสวัตตี ที่หลงกันว่าเป็น “สวรรค์” ทั้งหลายมีเท่านี้แหละ ที่มนุษย์ทั้งหลายปรารถนามุ่งดิ่งกันอยู่จริงๆ อยากได้ตลอดทุกกัปป์กัลป์

“ภพ” อื่นๆ ไม่มีมนุษย์ปุถุชนหน้าไหนปรารถนาหรอก โดยเฉพาะ“ภพนรก”หนะจริงๆ ..ใช่มั้ย? 

“ภพนรก” นี้ท่านผู้รู้แปลไว้ว่า ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข์ของสัตว์ผู้ทำบาป, ที่อันไม่มีความสุขความเจริญ

แต่เพราะไม่รู้จักความเป็น“ภพนรก” กัน ผู้นั้นจึง“ทำนรก”(ทำกรรม,ทำใจในใจตน)ให้ตนเองทั้งนั้น ด้วยโง่ๆ “อวิชชา”ของตนแท้ๆ 

ซึ่ง “นรก” ก็คือ “ภพ”ที่เกิดจาก“กรรม”

คนผู้นั้น“ทำ”เอง หากแน่นอนว่า“กรรม”นั้นเป็น“อกุศลกรรม”หรือ“บาป” ผู้ที่“ทำ”(กรรม)นั้น จึงมีผลของ“กรรม”(วิบาก) เป็น“ภพ”ที่ผู้“ทำ”เองต้องได้“นรก” เป็นของตนชัดๆเพราะตนทำ “อกุศลกรรม” ด้วย“อวิชชา”ของตนเองแท้ๆ  แล้วจะให้“ผล”เป็นอื่นไปได้ไง!!

ความเป็น “นรก” นี้ลึกล้ำสำคัญมากยิ่ง เพราะเป็น “อาการ” ของใจตรงๆ ถ้าไม่รู้ทั้งความเป็น “ใจ”ทั้งความเป็น“กรรม” ใจผู้นั้นก็อวิชชาสั่งใจทำ “อกุศลกรรม” ได้แน่นอน ต้องศึกษาฝึกฝนอ่านรู้อย่างพินิจจริงๆ จึงจะอาจสามารถหยั่งรู้  “ใจ”  รู้ “กรรม” อย่างถูกต้องถ่องแท้  ไม่เช่นนั้นยากจะ“รู้”จริงได้

คนทั้งหลาย“มีอวิชชา”มากกว่า คน “เป็นอาริยะ” “นรกภูมิ” จึงมีคนสั่งสมเอามากกว่าคนบรรลุ “อาริยภูมิ” เป็นธรรมดา

“นรก” ก็อนัตตา “สวรรค์” ก็อนัตตาคือ ไม่มีตัวตนจริงเลยทั้งนั้นในที่สุด แต่เพราะ “โง่เอง” จึงได้ “นรก” ทั้งๆที่ทุกคนจะเอา “สวรรค์” แท้ๆ เวลาทำกรรมจริงกลับทำ “นรก” เสียนี่ ก็เพราะยังไม่รู้ทัน “ภาวะกรรม” ที่ตนทำ  กับยังไม่มี “ธาตุมุทุ” ในตนจริง

ก็ “สวรรค์” มันไม่มีตัวตนแท้ไง! คนไปหลงยึดมาเป็น“ตัวตน” จนจิตมัน“เกิด”(โอปปาติกะโยนิ=มโนมยอัตตา)มาให้ตนหลงว่าจริงได้  แต่ที่แท้มัน “เท็จ” (อลิกะ; สุขัลลิกะ เป็นต้น)

และ“นรก”มันก็ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครคิดจะยึดไว้ใส่ตน แต่เพราะ“อวิชชา”ไง!

เพราะ“โง่” ไม่มี“วิชชา” ปุถุชนจึงทำ “กรรม”

อันเป็น“ภพ” เป็น“ชาติ”ที่ชื่อว่า“นรก”เกิดใส่

ตน ด้วยประการฉะนี้เอง  เห็น..“ไอ้โง่” มั้ย?

“นรก” นั้นแม้ตนจะไม่ปรารถนา แต่เมื่อตน “ทำกรรม” นั้นด้วยตนประพฤติจริง และ “กรรม” นั้นเป็น “อกุศลกรรม” จริง

“กรรม”นั้นก็ “เป็นอันตนเองทำ” จึงเป็นของๆตน เป็น “กัมมัสสกะ”ตามสัจจะ  แล้วมันจะเป็นของคนอื่นได้ไง?

หรือจะเอาไปทิ้ง? ทิ้งไหน? ทิ้งได้ไง?

ก็ตนเอง“ทำเองแท้ๆ” ทำเสร็จลงแล้ว มันจริงลงไปแล้วว่า “ตนทำ” แล้วจะบอกว่า “เอาไปทิ้ง” ..จะไม่เอา!!!  กรรมคือ การทำนะ คุณทำเสร็จ ก็เป็นอัน“ทำเกิดขึ้นแล้ว” คุณจะไม่เอาความจริงที่เป็น“อดีต”นี้ที่มันจริงนะ! เพราะจริงๆนี้คุณ“ทำเอง”สัจจะก็เป็น“กัมมัสสกะ” แล้ว(สัจจะนั้นเป็นของตนแล้ว)

จะปฏิเสธ“ความจริง”ที่เป็น“อาการ”ของกิริยาที่“คุณทำ”แท้ๆแล้วนี้ว่า“ไม่มี”ยังไง?

“กระทำ”(กรรม)ในกาละ“ปัจจุบัน”ใด เสร็จแล้วปุ๊บ!  มันก็ไปอยู่ในกาละ“อดีต”ปั๊บ!หรือคุณว่ากาละที่เรียกว่า“ปัจจุบัน”

เรียกว่า“อดีต”มันไม่มี ..หา?

“กาละ”มันมีแค่ 3 คือ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มันมีจริงนะ..“กาละ”หนะ ตราบที่“จักรวาล”ยังมี  และตราบที่“คน”ผู้เป็นสัตวโลกอันเป็น“จิตนิยาม”ก็ยังมี และตราบที่คนผู้นั้นยังไม่“สูญสิ้น”ไปจาก“เอกภพ”ก็ต้องมีกรรม เพราะผู้นั้นเป็นคนที่ยังไม่“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”

คนก็มีแต่“กรรม”กับ“กาล”เท่านั้นแหละ

คุณจะไม่ยอมรับ“กาลอดีต”งั้นหรือ?

ทิ้งไว้ที่   “ปัจจุบัน”   งั้นหรือ?  หรือจะเอาไปทิ้งใน  “อนาคต” ?  หือ??  เอา“อดีต”ไปไหน?

สมณะฟ้าไทว่า...ไม่มีใครหวังว่าจะได้นรก มีแต่หวังจะได้สวรรค์ เราทำทานนี้สั่งสมเจ้าหวังไว้อีก ตายไปก็อยู่กับเจ้าหวัง แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เป็นอัตโนมัติของเรา เราสั่งสมเทวนิยมในจิตวิญญาณเรามานานแล้ว ให้ปุ๊บจะเอาปั๊บทันทีเลย พ่อครูสอนให้เราทำบุญ บุญคือการกระทำให้เกิดวิบัติ กุศลคือการกระทำให้เกิดสมบัติ ….พ่อครูเน้น กุศลคือกายกรรม วจีกรรม ได้แต่บุญคือต้องเป็นมโนกรรมที่ทำใจในใจให้สัมมา ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:39:26 )

590829

รายละเอียด

590829_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าจักรวาฬ

_0815428xxx นมัสการครับหลวงปู่. สิ่งมีชีวิตในสากลโลกนี้เกิดขึ้นอย่างไร? มีเวรกรรมอย่างไร? มนุษย์ต่างดาวมีหรือเปล่า? ระบบสุริยะจักรวาลมีผู้ขับเคลื่อนหรือเป็นตามธรรมชาติ? หลวงปู่บวชที่วัดอโศการามทันหลวงพ่อลีไหม ใครเป็นอุปฌาย์หลวงปู่มีฉายาว่าอย่างไร กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ.

ตอบ...อาตมามีฉายาว่า โพธิรักขิโต อาตมาบวชทั้งธรรมยุตและมหานิกาย

อุปัชฌาย์มหานิกายคือ เจ้าคุณพระครูสถิตวิสุทธิคุณ  ส่วนอุปัชฌาย์ธรรมยุตนั้นคือพระครูราชวรคุณ

ตอนนั้นอาตมาก็มีพระรูปหนึ่งมาชวนอาตมาไปอบรมสอนธรรมะที่กำแพงแสน ก็ไปขออนุญาตอุปัชฌาย์ว่าจะขอไปจำพรรษาที่โน่นได้ไหม ท่านก็ถามว่ามีพระมหานิกายร่วมไปด้วยไหม? อาตมาก็บอกว่ามี อาตมาบวชไม่กี่ปีหรอก แต่ท่านเจ้าคุณท่านก็รู้ เพราะว่าอาตมาแสดงธรรมมาตั้งแต่ไม่บวช ตอนแรกอาตมาอยู่วัดอโศกรามก็บอกว่าอีก 10 ปีจะบวชแต่ว่ามาอยู่ปีเดียวก็ขอบวชแล้ว ท่านก็หาบริขารให้เสร็จเลย อาตมาบวชใหม่ก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย ทั้งที่วัดอโศการามนั้น จะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ต้องอายุพรรษา 10 ขึ้นไป

ท่านถามอาตมาก็บอกว่ามีพระมหานิกายไปจำพรรษาร่วมด้วย อาตมาก็บอกว่าทำไมล่ะ ต่างคนต่างมาแสวงหาพุทธรรม อาตมาไม่เคยมีความเป็นนิกายในใจเลย แม้แต่ลาออกมาใครก็อย่าหาว่าอาตมาสร้างนิกายนะ เพราะนิกายเป็นอนันตริยกรรม อาตมารู้ว่าทำอย่างไรเป็นนิกาย อย่างไรเป็นนานาสังวาส คนไม่รู้ยัดเยียดว่าอาตมาทำนิกายใหม่ แต่แท้จริงอาตมาทำนานาสังวาส

ท่านก็ไม่ให้อาตมาไป เพราะมีพระมหานิกายไปจำพรรษาด้วย แต่อาตมาก็มีผู้เข้าใจธรรมะแล้วมาศึกษาติดตามแล้ว อาตมาก็บอกว่าถ้าผมจะไปจะให้ทำอย่างไร ท่านก็บอกว่าถ้าจะไปก็ต้องคืนใบสุทธิ อาตมาก็พาซื่อนะ อาตมาก็ว่าคืนไปไม่เห็นยากเลย อาตมาก็เลยว่า ตกลงครับ ผมจะคืนแต่ตอนนี้ผมยังไม่คืน ก็เลยถือใบสุทธิไปด้วยท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ไปที่โน่น อาตมาก็ไปจำพรรษาที่แดนอโศก ที่กำแพงแสน ที่ของโยมจ่น พ่อของพระมหานิกายรูปหนึ่งมีพระน้องชายเป็นเจ้าคณะตำบล อาตมาก็ไปขึ้นกับวัดนี้ เพราะว่าต้องขึ้นกับวัดใดวัดหนึ่ง ก็ไปขึ้นกับหลวงอาของโยมจ่น ท่านก็ว่าไม่ยาก สวดญัติเข้าไปอีกทีหนึ่ง อาตมาก็ว่าได้ ก็บวชมหานิกายอีก สวดญัติเข้าไปอีกหนึ่ง คือบวชญัตติจตุตถกรรม ก็เลยเป็นพระสองแบบทั้งธรรมยุติและมหานิกาย ไม่ได้สึกก่อนนะ ก็ได้ใบสุทธิสองใบ อีกใบหนึ่งก็ยังไม่ได้คืน จนเป็นหลายเดือนค่อยเดินทางเอาใบสุทธิคืนให้

อาตมาก็ไปอยู่ที่แดนอโศกตั้งแต่ตอนนั้นหลายปีตามประวัติ อาตมาก็แยกจากวัดอโศการามตั้งแต่ตอนนั้น อาตมาก็ถือว่าอาตมาไม่แยกนิกาย คนไม่เข้าใจก็โมเมว่ากันไปเรื่อย

อาตมารู้พัฒนาการของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจากพลังงาน พัฒนาการจากอุตุนิยามเป็นพีชนิยาม เป็นชีวะ จากพีชนิยามก็พัฒนาการมาเป็นจิตนิยาม ถ้าพัฒนาเป็นเวไนยสัตว์จะรู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาย รู้จักถึงโลกียธรรม โลกุตรธรรมได้นี่คือ ธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

ใช้ภาษาวิทยาศาสนาเรียกพลังงานว่า ตั้งแต่เป็นพลังงานอุตุจนมีพัฒนาการ จากที่ว่างมาเป็นสองพลังงาน แล้วเป็นพีชะ เป็นจิตอย่างไรก็แยกแยะ พีชนิยามไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิบากอะไร

มีเวรกรรมอย่างไรต้องมีจิตนิยาม แล้วถึงมีกรรมได้ตามที่เขาทำ ต้องอยู่เวรวนเวียน จนกว่าจะหมดเวร(ผูกพัน)

ถามว่ามนุษย์ต่างดาวมีไหม? ตอบได้ว่า ดาวที่มีชีวิตดาวที่มีสัตว์คนนี้มีอยู่ในมหาจักรวาลนี้ ถามว่าดาวอื่นเขามีมนุษย์ไหม?...มี ส่วนมนุษย์ที่จะมีจานบินมานั้นเชื่อว่าไม่มี ถ้ามี UFO มาจะพัฒนาการได้อีกเยอะ แต่นี่ไม่มี ตามความเชื่ออาตมาว่ามนุษย์ต่างดาวมี แต่ไม่ได้มาที่โลกนี้ แต่อย่าถามเยอะ

ระบบสุริยจักรวาลเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดขับเคลื่อน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86059

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efc3JWbHljRFlWMGM

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1iuf4iy68mnh/160829

 

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่…https://www.youtube.com/watch?v=yA5rOP7DfuM

.

สำหรับวิดีโอ PC ดูได้ทันที แต่ สมาร์ทโฟน รอซักครู่


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:40:00 )

590829

รายละเอียด

590829_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าจักรวาฬ

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2559 แรม 11 ค่ำเดือน 9 ปีวอก ไม่ใช่ปีวอกแวก พวกเราผู้ที่ตั้งใจมาเรียนอยู่เท่าที่เห็นๆมีมากคน ไม่วอกแวก ผู้ที่มาเรียนวอกแวกบ้างก็มี แต่เวียนมาเรียนก็มี ผู้ที่ไม่ค่อยเวียนนานๆเวียนมาทีก็มี ส่วนผู้ที่ไม่มาแวเลย คือไม่มาเลย ไม่มาแวะเลย ไปไหนๆ มาตรงนี้ผ่านก็ผ่านไปเลย ไม่เห็นว่าเป็นที่ๆควรแวะ ควรสนใจก็เยอะมากเลย สำหรับพวกเราที่ตั้งใจศึกษาชีวิตอย่างนี้

เป็นเรื่องที่น่าคิดน่าสำนึกในการเกิดมาเป็นคน ว่าคนเราเกิดมาแล้วก็แสวงหา การแสวงหาลงทุนก็คือการศึกษา การแสวงหาถึงขั้นลงทุนก็คือมุ่งมาดปรารถนาจริง เอาชีวิตลงมาจมกับอันนี้เลย คนเหล่านั้นตั้งใจมามีชีวิตแบบพระพุทธเจ้าก็มาบวชเลยไม่เอาแล้วอาชีพทางโลกทำมาหากินไม่มี ฝากชีวิตไว้ให้ฆราวาสเลี้ยงไว้ บิณฑบาตเลี้ยงตน นั่นคือผู้ที่มาบวชจริงๆ คนแบบนี้ทุกวันนี้มีน้อยลง

แล้วทุกวันนี้ก็กลายมาเป็นบวชแล้ว ถูกหมู่ฝูงชักนำไปทำมาหากินสร้างฐานะตนเอง ไม่ได้มุ่งพัฒนาตัวเองไปสู่การปฏิบัติพากเพียรเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพระบ้านหรือพระป่า ที่จริงศาสนาพุทธไม่มีพระป่า การออกมาปฏิบัติในป่าแสวงหาอาจารย์ในป่าเป็นสิ่งที่ผิด ศาสนาพุทธตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร อาตมาก็แปลเน้นย้ำ ท่านแปลเป็นแต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่าเท่านั้น แต่เป็นแง่ที่ต้องเน้นให้ดีในอัมพัฏฐสูตร ล.9 ข.163

 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

          ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

          1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

มุ่งเข้าสู่ราวป่า ก็ไปบำเรออาจารย์ในป่า ที่เป็นนักบวชในป่า ก็แสดงว่าผู้นั้นเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นอาจารย์ในป่าก็ไปรับใช้เป็นทางเสื่อม ก็หมายถึงว่าอาจารย์ผู้นี้ไม่เป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะแท้ ก็โดยพลความคือเป็นความเสื่อม ประเด็นคือเข้าป่าแล้วถ้าไปรับใช้ผู้บรรลุจริงจะไปเสื่อมได้อย่างไร? คำว่า “โดยแท้” นี้เป็นคำซ้ำเติม ถ้าไปบำเรอเฉยๆตนเองก็ไม่ได้เสื่อม อาตมาก็เลยตีความว่า เสื่อมนี่คือหลงทางไปป่าถ้าไปเข้าป่าคือเป็นความเสื่อมแล้ว ประเด็นหลักคือเข้าป่า 

          [164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

          [165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

พ่อครูว่า...ไปป่าแล้วยังไม่พอสร้างเรือนไฟเลยใช้ไฟเป็นสื่อนี้ออกนอกรีตแล้ว ทุกวันนี้เอาธูปเทียนจุดในเมืองเต็มไปหมด ศาสนาพุทธไม่มีใช้อัคคียัญ สิญจนยัญ แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้วเป็นศาสนาเพี้ยนเป็นศาสนาอื่นไปไกลเลย งมความเป็นพุทธขึ้นมายากกว่างมเข็มจากมหาสมุทร

          [166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

พ่อครูว่านี่มีการตลาด marketing ใช้วิชาชาวเมืองเลยโดยแท้มี complex หรือว่า Department store เลย อาตมาสัมผัสข้อนี้ตั้งแต่แรกนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ความเสื่อมสี่อย่างนี้ยังไม่เกิดนะ

หนึ่งพระพุทธเจ้าไม่ให้ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า ไม่หาบบริขารเข้าป่า

อีกสามข้อนั้นไม่ให้สร้างเรือนไฟ มีมุขสี่ด้านมีทางสี่แพร่งเหมือนเขาสร้างธนาคารใหญ่ๆ เหมือนธรรมกายทำ สร้างใหญ่โตแบบโลกๆหมด ดักล่อไว้สี่ทิศ เขามีรถนำเข้าวัดด้วย เพื่อที่จะทำอะไรของเขาเพื่อหาทางแบบเขาใครมารับหมด แล้วก็บำเรอกัน ไม่ได้บำรุงสร้างสรร แต่ต่างคนต่างพากันลงนรก พากันเสื่อม นี่เป็นเรื่องที่อาตมาก็พูดไปมากแล้วแต่ก็ต้องพูดอีก

ว่าอาตมาต้องมากอบกู้ศาสนาพุทธ ต้องพูดอย่าหาว่าอวดดีอวดตัวอวดตนก็ตามก็ต้องมากอบกู้ศาสนาพุทธเพราะว่ามันผิดเพี้ยนไปแล้ว จำเป็นต้องพูดตรงๆ อาตมาก็สงสาร บางท่านบางองค์บวชก็ปรารถนาไปนิพพาน แต่ไม่มีผู้ที่ถึงวิชชาสมบัติและจรณะสมบัติ ที่จะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมันไม่มี ท่านก็พยายามพากเพียรกันศึกษาค้นคว้า แต่จะศึกษาค้นคว้าอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีภูมิเดิมมาในยุคนี้ ไม่มีวิชชาสมบัติและจรณะสมบัติ ตั้งแต่เริ่มเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ติดตัวมาก็ยาก เพราะธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องฟังธรรมะจากสัตบุรุษผู้มีภูมิมาเก่า จะศึกษาจะคิดให้ตายอย่างไรก็เป็นแค่ ตักกาวจรา ต้องพากเพียรตรรกะเอาไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นอตักกาวจรา ต้องเป็นสาวกภูมิที่ฟังการถ่ายทอดจากสัตบุรุษ จะไปนั่งตีความเอาอย่างไร ให้ซาโตริยังไงก็ไม่ได้

คนที่จะซาโตริได้ต้องมีภูมิของตน อย่างเช่นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้น จนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน  6 ท่านก็ตีความได้ครบบริบูรณ์ที่ใต้ต้นโพธิ    แม่น้ำเนรัญชราที่ระลึกตีความเอาของเก่าตนเองออกมาได้ เพราะท่านมีเชื้ออยู่เดิม แต่ถ้าไม่มีใช้อยู่เดิมจะตีความอย่างไรก็ได้แค่บัญญัติภาษา เข้าสู่สัจจะสาระไม่ได้ จะเป็นแค่ตรรกะ เป็นแค่เหตุผลมีความรู้ความหมาย ไม่สามารถเข้าถึงสาระได้

เช่นบอกว่า โลกนี้โลกหน้า  อยังโลโก (ปรโลก) เขาตีความอย่างไรก็เป็นการตีความปรโลกแบบเทวนิยม  อาจจะตีความโลกนี้ เป็นโลกียะได้ แต่ละคนนั้นเขาจะตีความเป็นเทวนิยม เป็นโลกหลังตาย จะไม่เข้าใจว่าโลกนี้คือจิตคือความหมุนเวียนของภพชาติติดยึดโลกียะในจิตใจ ส่วนโลกอื่นก็คือโลกที่ต่างจากโลกีย์ที่เป็นความวนเวียน ต้องอ่านจิตเจตสิกออก ว่าเราไม่ยึดไม่ติดแล้ว อย่างน้อยเป็นพระโสดาบันก็ได้ขั้น 1 เราไม่ควรเวียนอยู่ในโลกอบาย ก็จะรู้ตัว จะได้ ถ้าไม่เช่นนั้นไม่มีทาง

อาตมาก็ทำงานด้านนี้มา ทุกวันนี้ก็ไม่อยากจะอวดตัวตนว่าเป็นผู้รู้ เหมือนเราเป็นผู้รู้อยู่คนเดียวคล้ายๆอย่างนั้น เพราะว่าตีทิ้งผู้อื่นหมด แล้วบอกคนอื่นเป็นอรหันต์เก๊หมด ที่เขายกย่องนับถือกันอาตมาก็ไม่ได้ยอมรับนับถือด้วย นอกจากนับถือในส่วนดีส่วนถูกบ้าง ก็มีส่วนที่จะบรรลุธรรมส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้บรรลุมากเกินกว่าที่เขาเข้าใจ สรุปก็คือ เหมือนลบหลู่ บุคคลผู้ที่เขายกย่อง เพราะอาตมาไม่ได้ยกย่องบุคคลที่พวกเขายกย่อง อาตมาให้คะแนนให้เกรดต่ำกว่าที่เขาให้

ก็หมายความว่าอาตมาต้องรู้กว่า ต้องเป็นครูจึงให้คะแนนผู้ที่ไม่ถูกต้องได้มันก็เหมือนเป็นการอวดดีอวดตัวอวดตน แต่เกรงใจอย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูด อาตมาก็ไม่เจตนาที่จะลบหลู่ อาตมาทำงานอยู่ด้านนี้กว่า 40 ปีแล้ว ถ้าเป็นทั่วไปก็ปลดเกษียณแล้ว แต่นี่อาตมา 46 ปีแล้ว เลยเกษียณแล้ว อาตมาก็ถือว่าตนเองแก่วัดแล้ว เป็นรัตตัญญูทางศาสนาแล้ว บวชนานแล้วก็ยังมั่นคง ไม่ได้คิดอยากเปลี่ยนอาชีพ ถูกตีถูกว่าถูกไม่ยอมรับมา กระแสหลักตีทิ้งด้วย สังคมไทยก็เชื่อตามกระแสหลัก อาตมาก็เข้าใจ

ในระดับด้านบนคนบริหารปกครองก็เกรงใจกระแสหลักแม้บางท่านฟังอาตมาเข้าใจก็ไม่กล้าแสดงออก ผู้มีฐานะทางสังคมก็ไม่กล้าแสดงออก ถ้าท่านแสดงออกแล้วมีผลต่อสังคมเยอะท่านก็ไม่กล้าแสดงออกต่อสังคมแม้ยอมรับ ก็เห็นใจเข้าใจท่าน

เป็นเรื่องที่ชาตินี้อาตมาต้องมาพบว่า อาตมาจะต้องมาพิสูจน์สัจธรรมนี้ จนกระทั่งคนตาบอดเห็นได้ จนกระทั่งคนจะมืดโง่อย่างไรก็ต้องยอมรับ ซึ่งใช้สำนวนว่าเป็นคนตาบอดรู้ได้เห็นได้และยอมรับว่าใช่ ทุกวันนี้ก็มีคนที่ยอมรับขึ้นมาบ้างแล้ว แม้บางคนยอมรับแล้วแต่ไม่กล้ายอมรับออกสังคม ไม่กล้าบอกว่า พุทธศาสนานั้นต้องอย่างโพธิรักษ์ อาตมายังไม่เคยได้ยินผู้ที่มีฐานะทางสังคมพูดอย่างนี้เลย ที่พูดนี้ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้บังคับ แต่พูดถึงสัจจะที่มีจริงเป็นจริง

มาอ่าน sms

_ลีชุงยุนอายุ 256 ปีมีภรรยา 24 คน แต่พ่อครูมีภรรยา 0 คน จะมีอายุ 200 ปีอย่างลีฯคงประเสริฐสุดๆ เพราะมีเดิมพันคือพระพุทธศาสนา จึงขออาราธนาพ่อครูให้อยู่ถึง 200 ปี สาธุๆๆ

ตอบ...แช่งอาตมาทำไม? อาตมาจะอายุ 151 ปี คุณสรุปว่าต้องมีภรรยามากๆถึงจะมีอายุยืนหรือ ถ้าจะบอกว่ามีเดิมพันคือพระพุทธศาสนาก็จริงที่สุด

 

_0890529xxx (อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และ ผู้ใดดวงตาเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ดวงตาไม่เห็นธรรมแม้เกาะจีวรตถาคตก็ได้ชื่อว่าไม่เห็นตถาคต )กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ โปรดเมตตาอธิบายให้ผู้น้อยผู้ด้อยปัญญาได้รับความกระจ่าง

การปฏิบัติธรรมให้ถึงซึ่งพุทธภาวะมิได้อาศัยเงินตราเป็นผู้ดลบันดาลแต่ประการใด ผู้ที่หลอกลวงชี้นำให้คนทั้งหลายหลงผิดให้ทำตามใช้เงินทำบุญซื้อสวรรค์เพื่อหนีนรกจึงเป็นเช่น"อสูรกายเต็มตัว"โดยแท้

ตอบ...ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นเหมือนดวงตากระทบสัมผัสเลย เช่นเอาเอาผลนี้มาโชว์ เขาว่าคือบักนาว(มะนาว) ลูกโตกว่ามะนาวปกติ น้ำเยอะกว่า ภาษาอีสานเรียกว่าบักเวอ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช้คำว่า ผู้ได้ยินตถาคตแล้วจะบรรลุธรรมก็ไม่ใช้ แต่ใช้คำว่าเห็น เป็นกาย เป็นองค์ประกอบที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงเป็นผู้มีจักษุเห็นธรรมตถาคต เป็นคำที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่เห็นธรรม เห็นตถาคต คือเห็นธรรม เห็นธรรมตัวนี้คือเห็นธรรมกาย เห็นองค์ประกอบครบทั้งนอกและใน ผู้ที่เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้าคือต้องมีทั้งภายนอกและภายในครบทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะทั้งสองอย่าง

อย่างที่ธรรมกายบอกว่าเห็นธรรมกายอยู่ที่เหนือสะดือ 2 นิ้วอย่างนี้ผิดจากสัจจะพระพุทธเจ้า อย่างนั้นไม่ใช่ธรรมจักษุ

อย่างในพระไตรปิฎกว่า...ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย หากไม่มีเวทนาก็ไม่มีผัสสะ ไม่เป็นฐานแห่งการปฏิบัติได้

แล้วที่คุณเขียนมาว่า การปฏิบัติธรรมให้ถึงซึ่งพุทธภาวะมิได้อาศัยเงินตราเป็นผู้ดลบันดาลแต่ประการใด ผู้ที่หลอกลวงชี้นำให้คนทั้งหลายหลงผิดให้ทำตามใช้เงินทำบุญซื้อสวรรค์เพื่อหนีนรกจึงเป็นเช่น "อสูรกายเต็มตัว" โดยแท้

ก็ใช้โดยแท้ คือหนีนรกจะไปอยู่สวรรค์ เหมือนนิยายของหนังจีน หลอกลวงชี้นำให้ใช้เงินใช้ทองแล้วบอกว่ามาทำบุญ มาซื้อสวรรค์แล้วเอาสวรรค์มาหลอกหนีนรก เป็นจริงอย่างคุณว่าก็เป็นอสุรกาย หนีกลัว หลบเข้ารู จนคนไม่เห็น ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเลย ตอนนั้นบอกว่าป่วยขาโต แต่ตอนนี้เงียบไป ก็หาพรรคพวกมากัน ละเมิดกฏหมายประเทศเลย ยิ่งกว่าอสุรกาย แล้วบอกว่าตัวเองเป็นธรรมกาย แต่มีกายเป็นอสูร แล้วบอกว่าตนเป็นธรรม แต่ตนเป็นอสูร เป็นสัตว์นรก นี่ชัดๆ ความประพฤติของเขายืนยันความเป็นจริงของเขา

หนีจนกระทั่งไม่กล้าสู้จนกระทั่งกล้าที่จะละเมิดกฎหมายของประเทศ กล้าละเมิดคำสั่งของศาล กลัวหดจนไม่เอา ไม่กล้าต่อสู้เผชิญความจริง เป็นคนที่กลัวจริงๆ แล้วมาหลอกชาวบ้าน พฤติกรรมนั้นค้านแย้งทั้งนั้นเลย

 

_0893867xxx โลกมีทุกๆศาสนาล้วนอยู่กับโลกธรรม 8 โลกธรรมเปรียบเสมือนเหรียญๆทุกเหรียญมี2ด้านๆดี เลว,ขาวดำ,มืดแจ้ง,ชอบชัง,สูงต่ำ,รุ่งร่วง,ดังดับ,ฯ คนยึดศาสนาใดก็ถือใจอยู่เหนือเหรียญ2ด้านอยู่ด้วยจิตเป็น1เดียวกับการมีสติรู้เท่าทันทุกปัจจุบันขณะจึงจะเข้าถึงธรรมพระศาสดาทุกศาสนาได้!พุทธมังสะฯ

คำสอนของพระศาสดาในทุกศาสนามีแต่ศาสนิกชนที่รู้จักตัวเองรู้ถึงตัวตนจึงจะรู้ถึงพระศาสดาจริง!ดังผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต!คนเห็นตัวเองจึงจะเห็นพระเจ้า!พ่อครูว่าจริงไหม?

คนที่ฝึกจิตให้ดับภพจบชาติได้คือคนที่รู้จักตัวรู้ถึงตนรู้ทันอัตตาได้ถูกไหม?

คำสอนซื้อบุญขายสวรรค์เพื่อให้ได้ปัจจัยมาปรนเปรออำนาจลาภยศบริวารมาจากการไม่รู้จักอัตตาตัวตนของอดีตบิ๊กจานบินจึงไม่มีวันรู้ถึงภพชาติถูกทางใช่ไหม?

กราบขออภัยถ้าถามคำถามไม่เหมาะสมกับสถานะการณ์โลกที่ผลประโยชน์ข้ามชาติกลืนกินอธิปไตยแก่งแย่งธรรม มวลชนจนวิกฤติทั่วโลกเพราะคนยึดศาสนาถืออัตตาไม่รู้ถึงตัวตนถูกไหม?

ตอบ….พ่อครูว่า….โลกียธรรมนั้น วนเวียนสั่งสมดีชั่ว แต่ไม่ได้ล้างกิเลส กิเลสเป็นธรรมะสอง ต้องล้างอธรรมกายออก ให้เหลือแต่ธรรมกาย คือองค์ประชุมรูปนามสิ่งที่สัมผัสเรียนรู้ได้ ไม่ให้มีอธรรม มีแต่ธรรมะแท้บริสุทธิ์เรียกว่า หนึ่งในสองธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

อันนี้อาจเหมือนไปว่าศาสนาอื่นเขา เขาอาจกดข่มชั่วไม่ทำความต่ำ พยายามทำความดีความเจริญ ไม่มีคำว่าบุญ ไม่ได้ชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจดได้ ไม่สามารถทำบุญสำเร็จ อย่างเก่งก็ทำกุศลเป็นกัลยาณธรรม ไม่ได้เรียนรู้กิเลสในจิต แล้วก็มีวิธีเครื่องออก วิธีทำกิเลสออก คือ “ปุญญะ”(กำจัดกิเลสออก) ไม่มี ศาสนาอื่นไม่มี ศาสดาอื่นไม่มี มีแต่พระศาสดาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมีวิธีทำกิเลสออกให้เป็นเหรียญหน้าเดียวตลอดกาลได้ แม้จะอยู่กับโลกมีสองด้าน แต่ผู้ที่บรรลุธรรมมีเหรียญหน้าเดียวไม่มีสองด้าน แต่จะอยู่เหนือโลกที่มีสองด้านได้อย่างเหนือโลก ทำให้เป็นเหรียญหน้าเดียวได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ที่จริงใจของคุณคนนี้ไม่ลบหลู่ศาสดาศาสนาไหนนี้ดีแล้ว แต่อาตมานั้นพูดเหมือนข่มศาสนาอื่น แต่ความจริงเป็นสัจจะว่าศาสนาอื่นไม่มี

ศาสดาท่านก็สอนคนด้วยเจตนาดีทำให้สังคมโลกอยู่ได้ตามฐานะของแต่ละศาสนิกแต่ละคน มีหลากหลายก็ดี แต่ประเด็นสำคัญคือศาสนาพุทธมีโลกุตระ มีอาริยธรรม อันนี้เป็นสัจจะที่อาตมาจำเป็นต้องพูดอันนี้ ส่วนคนจะเข้าใจว่าพูดข่มก็ขออภัย อาตมาไม่มีเจตนาข่ม แต่จำเป็นต้องพูดสัจจะ

อีกอันคุณบอกว่าผู้เห็นตัวเองจึงจะเห็นพระเจ้า (อัตตา อาตมัน )พระเจ้าเป็นอัตตา อัตตาสูงส่งเรียกว่าปรมาตมัน พระเจ้าเองก็ยังไม่เห็นตนเอง แต่แน่นอน พระเจ้าหรือศาสดาใหนก็สอนให้ดูตนเอง ดูพฤติกรรม กาย วาจา แล้วพยายามทำใจ ทำใจให้เมตตาเสียสละ ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง แต่ไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของอัตตา 3 (โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา)แล้วกำจัดอัตตาจนหมดไม่มีอัตตา

ศาสนาที่เป็นสายเทวนิยมมีปรมาตมันจึงไม่ได้ล้างอัตตา มีแต่กดข่ม มีแต่พากเพียรพยายามควบคุมฝึกฝนจิตให้มีพฤติกรรมที่เป็นกัลยาณธรรม เป็นสิ่งดีของโลกแล้วท่านก็พาคนมีพฤติกรรมดีได้ แต่ไม่ได้กำจัดกิเลสไม่ได้รู้จักกิเลส ท่านเป็นอาตมันใหญ่ อัตตาใหญ่ ดี กดข่มความไม่ดี แล้วสร้างความพฤติที่ดี แม้จิตก็ให้มีจิตที่ประพฤติดี แต่ไม่ได้แยกแยะจิตเจตสิก แยกแยะกิเลส กุศล อกุศล ตัวผีตัวอัตตาออก

การเห็นพระเจ้านั้นต้องเห็นด้วยจิต พระเจ้าคือจิตที่ดีที่สุด จิตที่ดีที่สุดคือไม่มีอัตตาไม่ยึดอัตตา แม้มีอรหัตตาหรืออรหันต์ มีอัตตารู้จักอัตตาไม่ลึกลับแล้ว เป็นอรหันต์ไม่ลึกลับในอัตตา เป็นอนัตตาแล้ว เป็นผู้ไม่ลึกลับที่สูงสุดแล้วในเรื่องปรมาตมัน ในพระเจ้าในจิตเจตสิกต่างๆบริบูรณ์แล้ว ผู้นี้ยังไม่ตาย เป็นอรหันต์ที่ไม่ตาย เป็นโพธิสัตว์ก็มีอัตภาพ มีภาวะที่เป็นอัตตาอาศัยแต่ไม่เป็นทาสอัตตา ท่านไม่ติดยึดอัตตาหรืออนัตตา แต่ท่านทำอนัตตาของจิตได้แล้ว จนท่านจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หมดอัตตา 0 ไม่ได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าเลย อรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่เหลืออัตตาไม่เหลือปรมาตมันใดๆ แต่ศาสนาเทวนิยมจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าเป็นอัตตานิรันดร ไม่มีสูญหายไปใหนเหมือนพวกธรรมกายหรือสายนั่งหลับตาก็เป็นอัตตา

เพราะเข้าใจอัตตาผิด มีคำอธิบายว่าเที่ยง นิจจัง ทุวัง สัสสตัง ก็เลยทำความเที่ยง สายอาจารย์มั่นถือว่านิพพานเที่ยง

นิพพานเที่ยงนั้นไม่ได้หมายถึงว่านิพพานเป็นอัตตา เพราะสัพเพธัมมาอนัตตา เขาก็ว่าผู้ได้นิพพานนี้เที่ยง ก็ใช่ คือผู้บรรลุนิพพานแล้วท่านไม่เปลี่ยนเป็นอื่นเลย ไม่ได้หมายถึงอัตตาท่านเที่ยง แต่ว่านิพพานต่างหากเที่ยง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นิพพานคือสิ้นอัตตา ผู้ทำให้อัตตาสิ้นได้นี่แหละเที่ยง อย่างอนัตตา ยั่งยืน เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีอะไรหักล้างได้ กิเลสตายหมดแล้วตายแล้วไม่มีวันเกิดกับท่านอีกแล้ว นี่คือความเที่ยงของนิพพานไม่ใช่ความเที่ยงของอัตตา

คนที่ฝึกจิตให้ดับภพจบชาติได้ คือคนรู้ทันอัตตาได้ก็ถูกต้อง ในอัตตา 3 นั่นแหละ

ส่วนคำสอนซื้อบุญขายสวรรค์เพื่อให้ได้มาบำเรอตัวตน นี้มาจากการไม่รู้จักอัตตาตัวตน จากอดีตบิ๊กจานบิน จึงไม่มีวันรู้ถึงภพชาติ

อันนั้นก็ถูกต้อง แต่ปัจจุบันเขายังเป็นบิ๊กจานบินอยู่นะ

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้แย่งอะไรใคร มิใช่ประพฤติเพื่อเรียกคนมาเป็นบริวารเข้าพวก มิได้ให้คนมานับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ  และเพื่อเสียงสรรเสริญ   มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้มีคนมานิยม   หรือเพื่อค้านหมู่อื่นใดให้ล้มไป  ..และ  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่าเราได้เป็นผู้บริหารอันวิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

แต่ธรรมกายทำตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลยค้านแย้งกับพระพุทธเจ้าหมดเลย ยิ่งกว่าพระเทวทัตอีก

เขาสะกดจิตเก่ง เก่งทางเลว เก่งฉิบหาย จนได้บริวาร ได้ลาภสักการะ ทั้งเถรสมาคมหลงตามได้ ไม่เก่งได้อย่างไร เก่งขนาดนี้ไม่ให้อาตมาว่าเก่งฉิบหายได้อย่างไร พาศาสนาฉิบหายหมดทั้งมส. เก่งทำศาสนาให้ฉิบหายได้ทั้งกระแสหลัก ตกในอำนาจเขา ชัดเจนทุกอย่าง ผู้ที่จะขึ้นมามีตำแหน่งสังฆราชก็อยู่ในอาณัติเขาทุกอย่าง ยกย่องเชิดชู ยอมศิโรราบแล้ว

อาตมาขออภัยที่พูดความจริงอย่างนี้

 

_0815428xxx นมัสการครับหลวงปู่. สิ่งมีชีวิตในสากลโลกนี้เกิดขึ้นอย่างไร? มีเวรกรรมอย่างไร? มนุษย์ต่างดาวมีหรือเปล่า? ระบบสุริยะจักรวาลมีผู้ขับเคลื่อนหรือเป็นตามธรรมชาติ? หลวงปู่บวชที่วัดอโศการามทันหลวงพ่อลีไหม ใครเป็นอุปฌาย์หลวงปู่มีฉายาว่าอย่างไร กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ.

ตอบ...อาตมามีฉายาว่า โพธิรักขิโต อาตมาบวชทั้งธรรมยุตและมหานิกาย

อุปัชฌาย์มหานิกายคือ เจ้าคุณพระครูสถิตวิสุทธิคุณ  ส่วนอุปัชฌาย์ธรรมยุตนั้นคือพระครูราชวรคุณ

ตอนนั้นอาตมาก็มีพระรูปหนึ่งมาชวนอาตมาไปอบรมสอนธรรมะที่กำแพงแสน ก็ไปขออนุญาตอุปัชฌาย์ว่าจะขอไปจำพรรษาที่โน่นได้ไหม ท่านก็ถามว่ามีพระมหานิกายร่วมไปด้วยไหม? อาตมาก็บอกว่ามี อาตมาบวชไม่กี่ปีหรอก แต่ท่านเจ้าคุณท่านก็รู้ เพราะว่าอาตมาแสดงธรรมมาตั้งแต่ไม่บวช ตอนแรกอาตมาอยู่วัดอโศกรามก็บอกว่าอีก 10 ปีจะบวชแต่ว่ามาอยู่ปีเดียวก็ขอบวชแล้ว ท่านก็หาบริขารให้เสร็จเลย อาตมาบวชใหม่ก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย ทั้งที่วัดอโศการามนั้น จะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ต้องอายุพรรษา 10 ขึ้นไป

ท่านถามอาตมาก็บอกว่ามีพระมหานิกายไปจำพรรษาร่วมด้วย อาตมาก็บอกว่าทำไมล่ะ ต่างคนต่างมาแสวงหาพุทธรรม อาตมาไม่เคยมีความเป็นนิกายในใจเลย แม้แต่ลาออกมาใครก็อย่าหาว่าอาตมาสร้างนิกายนะ เพราะนิกายเป็นอนันตริยกรรม อาตมารู้ว่าทำอย่างไรเป็นนิกาย อย่างไรเป็นนานาสังวาส คนไม่รู้ยัดเยียดว่าอาตมาทำนิกายใหม่ แต่แท้จริงอาตมาทำนานาสังวาส

ท่านก็ไม่ให้อาตมาไป เพราะมีพระมหานิกายไปจำพรรษาด้วย แต่อาตมาก็มีผู้เข้าใจธรรมะแล้วมาศึกษาติดตามแล้ว อาตมาก็บอกว่าถ้าผมจะไปจะให้ทำอย่างไร ท่านก็บอกว่าถ้าจะไปก็ต้องคืนใบสุทธิ อาตมาก็พาซื่อนะ อาตมาก็ว่าคืนไปไม่เห็นยากเลย อาตมาก็เลยว่า ตกลงครับ ผมจะคืนแต่ตอนนี้ผมยังไม่คืน ก็เลยถือใบสุทธิไปด้วยท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ไปที่โน่น อาตมาก็ไปจำพรรษาที่แดนอโศก ที่กำแพงแสน ที่ของโยมจ่น พ่อของพระมหานิกายรูปหนึ่งมีพระน้องชายเป็นเจ้าคณะตำบล อาตมาก็ไปขึ้นกับวัดนี้ เพราะว่าต้องขึ้นกับวัดใดวัดหนึ่ง ก็ไปขึ้นกับหลวงอาของโยมจ่น ท่านก็ว่าไม่ยาก สวดญัติเข้าไปอีกทีหนึ่ง อาตมาก็ว่าได้ ก็บวชมหานิกายอีก สวดญัติเข้าไปอีกหนึ่ง คือบวชญัตติจตุตถกรรม ก็เลยเป็นพระสองแบบทั้งธรรมยุติและมหานิกาย ไม่ได้สึกก่อนนะ ก็ได้ใบสุทธิสองใบ อีกใบหนึ่งก็ยังไม่ได้คืน จนเป็นหลายเดือนค่อยเดินทางเอาใบสุทธิคืนให้

อาตมาก็ไปอยู่ที่แดนอโศกตั้งแต่ตอนนั้นหลายปีตามประวัติ อาตมาก็แยกจากวัดอโศการามตั้งแต่ตอนนั้น อาตมาก็ถือว่าอาตมาไม่แยกนิกาย คนไม่เข้าใจก็โมเมว่ากันไปเรื่อย

อาตมารู้พัฒนาการของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจากพลังงาน พัฒนาการจากอุตุนิยามเป็นพีชนิยาม เป็นชีวะ จากพีชนิยามก็พัฒนาการมาเป็นจิตนิยาม ถ้าพัฒนาเป็นเวไนยสัตว์จะรู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาย รู้จักถึงโลกียธรรม โลกุตรธรรมได้นี่คือ ธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

ใช้ภาษาวิทยาศาสนาเรียกพลังงานว่า ตั้งแต่เป็นพลังงานอุตุจนมีพัฒนาการ จากที่ว่างมาเป็นสองพลังงาน แล้วเป็นพีชะ เป็นจิตอย่างไรก็แยกแยะ พีชนิยามไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิบากอะไร

มีเวรกรรมอย่างไรต้องมีจิตนิยาม แล้วถึงมีกรรมได้ตามที่เขาทำ ต้องอยู่เวรวนเวียน จนกว่าจะหมดเวร(ผูกพัน)

ถามว่ามนุษย์ต่างดาวมีไหม? ตอบได้ว่า ดาวที่มีชีวิตดาวที่มีสัตว์คนนี้มีอยู่ในมหาจักรวาลนี้ ถามว่าดาวอื่นเขามีมนุษย์ไหม?...มี ส่วนมนุษย์ที่จะมีจานบินมานั้นเชื่อว่าไม่มี ถ้ามี UFO มาจะพัฒนาการได้อีกเยอะ แต่นี่ไม่มี ตามความเชื่ออาตมาว่ามนุษย์ต่างดาวมี แต่ไม่ได้มาที่โลกนี้ แต่อย่าถามเยอะ

ระบบสุริยจักรวาลเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดขับเคลื่อน

 

หมดsms มาเข้าสู่ภพชาติที่ค้างไว้

เรื่องภพ ชาติ เป็นเรื่องสำคัญ ในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาไล่ไปถึงสังขาร มีภพ มีชาติ เพราะมีภพชาติ จึงไปถึง โศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส

ในวิภังคสูตร

1.      เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยโง่ๆ จึงก่อสังขารโง่ๆ .

2.      อาศัยสังขาร(3) จึงเป็นเหตุแก่ วิญญาณ(6)  .

3.      อาศัยวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ นามรูป . . .

4.      อาศัยนามรูป เป็นปัจจัยแก่ อายตนะ(6)  .

5.      อาศัยอายตนะ เป็นปัจจัยแก่ ผัสสะ(6) 

6.      อาศัยผัสสะ เป็นปัจจัยแก่ เวทนา(6) . . 

7.     อาศัยเวทนา6 เป็นปัจจัยแก่ ตัณหา 6 . 

8.      อาศัยตัณหา6 เป็นปัจจัยแก่ อุปาทาน 4 .

9.      อาศัยอุปาทาน4 เป็นปัจจัยแก่ ภพ 3 
(กามภพ, รูปภพ,  อรูปภพ) 

10.    อาศัยภพ เป็นปัจจัยแก่ ชาติ 5 (ชาติ  สัญชาติ  
โอกกันติ   นิพพัตติ  อภินิพพัตติ) .

11.    อาศัยชาติ เป็นปัจจัยแก่  ชรา  มรณะ   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกขะ . โทมนัส  และอุปายาสะ

(พตปฎ. เล่ม 16  ข้อ 2)

ต้องมาเรียนรู้ชาติกันก่อน ชาติคือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ท่านแปลว่า  ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ

สภาวะ ชาติ คือการเกิดทุกอย่าง ชาติปิทุกขา การเกิดทุกชนิด การเกิดใดๆ เป็นทุกข์ทั้งสิ้น (สัพเพธัมมาทุกขา) คำว่าชาติคือการเกิดรวมๆหมด

ต่อมา ถ้าใครเรียนรู้ปรมัตถ์จะแยกว่าตัวไหนจะให้เกิดตัวไหนไม่ให้เกิดได้

สัญชาติ แปลว่า ความเกิดที่ฝังไว้ในสัญญาแล้ว การเกิดที่เป็นอดีตมาสัญชาติญาณ คือญาณหรือความรู้จากของเก่าที่อยู่ในความจำเก่าๆที่คุณสั่งสมมาแล้ว เชื่อมโยงมาถึงชาตินี้ แล้วทำให้คุณมีอัตโนมัติ สัญชาติญาณจึงเป็นอัตโนมัติของสัตว์โลก โดยเฉพาะกิเลสเป็นสัญชาติที่ฝังไม่มีเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าไม่เรียนรู้เข้าใจจริงเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้

สัญชาติคือสิ่งที่สั่งสมในจิตมาแล้ว รู้หรือไม่ก็ตามก็เป็นอัตโนมัติ มันพาเกิดอย่างเราไม่รู้ได้ว่าทำไมต้องเป็น

ขอขยายความ...พระพุทธเจ้าท่านบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในปางนี้ตอนเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้นท่านไม่ได้มาบรรลุธรรมในชาตินี้เลย แต่เอาของเก่าพุทธมีมาใช้ แล้วจะบอกว่าท่านไปปฏิบัติ 6 ปี ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอันนั้นเป็นการหลงทางเป็นการปฏิบัติผิด แต่คนก็กลับเอา 6 ปีนี้เป็นทางปฏิบัติออกป่า เข้าถ้ำ ไปสู้กับเสือกับสิงกับผีป่าอะไรเลอะเทอะ เป็นมโนมยอัตตาไม่รู้เรื่อง เป็นพระธุดงค์เป็นพระกรรมฐานอยู่ในป่า ถ้าอย่างนั้นเป็นนิทานล่องไพรของพระ เป็นนวนิยายล่องไพร บางคนบอกว่าต่อสู้กับเสือจนกระทั่งเสือหยุดนิ่งเลย เก่ง ก็เอามาเล่ากันบอกว่าเสือสงบเลย มีพระกรรมฐานบางองค์ มีคนมาเล่าให้ฟังอีก คือหลวงพ่อชอบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องวิวิชชาที่จะต้องมาคุยโม้เลย

ในสัญชาติ คือสิ่งที่เกิดในจิตแล้วโดยเฉพาะเป็นอริยะภูมิเป็นโสดาบันแล้วมีมา แต่ถ้าไม่ถึงอารยะภูมิไม่มีอะไรเป็นเชื้อโลกุตระที่จะมี นิยตะ ยั่งยืนได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น สังกุปปัง วินิปาตธรรม เปลี่ยนแปลงได้ไม่เที่ยงแท้

ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นมีความเที่ยงแท้ ตั้งแต่บรรลุพระโสดาบัน โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ พระโสดาบันที่มีคุณสมบัติถึงขั้นที่ 3 นิยตะ จะไม่ตกต่ำอีกแล้ว เป็นผู้ที่จะได้อรหันต์แน่นอน

ชาตินี้บรรลุสังโยชน์ 3 เป็นพระโสดาบัน อีก 7 นี้คืออีก 7 สังโยชน์ สัตตักขัตตุปรมโสดาบันก็คือเช่นนี้ แต่ถ้าเป็นโสดาบันที่เก่งกว่านี้ก็ไม่ต้องทำอีก 7 นี้

ในคำว่าชาติ ถ้าไม่ศึกษาชาติ สัญชาติ โอกกันติ คำว่าโอกกันติ คือการประพฤติปฏิบัติแล้วจะสั่งสม คุณปฏิบัติสร้างอกุศลกรรมก็หยั่งลงด้วยอวิชชาในจิต เป็นกุศลก็หยั่งลงได้เช่นกัน คนอวิชชาปุถุชนก็สั่งสมอกุศลมาก เพราะไม่รู้ได้ง่ายๆ ไม่สามารถบังคับอกุศลได้ มันเลยพาเราทำชั่วได้

สิ่งที่หยั่งลงจะต้องเป็นโลกียะก็หยั่งลงเป็นโลกียะ แม้จะเป็นกุศลเป็นกัลยาณธรรมก็หยั่งลงเป็นตามโลก เป็นนรกเป็นสวรรค์ก็หยั่งลง  พูดได้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจนอ่านกิเลสมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกเวทนาในเวทนาออก แยกแยะเคหสิตตะเวทนาออก รู้มโนปวิจาร 18

อ่านเวทนาว่าอันนี้เคหสิตะเป็นโลกีย์ถ้าทำจิตให้ข้ามเขต เป็นการลดละหน่ายคลาย รู้จักอกุศลจิต แล้วมีอุบายเครื่องออก ทำให้กิเลสลดได้จริง พ้นสีลพตปรามาส ผู้นี้ทำได้จริงก็ทำเนกขัมมะได้ มีมโนปวิจาร 18 ข้างเนกขัมมะได้อีก

มโนปวิจาร 18 มีสองด้าน คือเคหสิตะ กับเนกขัมมสิตะ เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่แยกแยะอีกเป็นสามเวทนาคือ สุข ทุกข์ อุเบกขา คือสามคูณหกเป็น 18 รู้อาการแล้วทำอาการจิตให้เปลี่ยนจนมาเป็นเนกขัมมะ คือลดกิเลสได้ เปลี่ยนจริงละหน่ายคลายจากเคหสิตะมาเป็นเนกขัมมมะ เป็นฐานนิพพาน คืออุเบกขา

เคหสิตอุเบกขาก็มีคือพักยกได้ หรือนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าอุเบกขาได้เขาฝึกรู้นิ่งเฉยก็หยุดได้ แต่เป็นการกดข่มเป็นสมถะ ไม่มีธัมมวิจัย ไม่มีโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่มี analysis ก็อุเบกขาได้แต่แค่พักยกไว้เฉยๆได้ ไม่ไปไม่มา ไม่สุขทุกข์ ก็ธรรมดาธรรมชาติพักยกได้ แต่ไปฝึกสมถะก็พักยกได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นอุเบกขาอย่างรู้เหตุดับเหตุ จนเหตุดับสนิทได้ถาวร เพราะดับเหตุของอาริยสัจะแท้จริง

การดับชาติคือกำจัดเหตุอกุศลจิตได้แท้จริง ผู้ที่ทำบุญได้ คือกำจัดกิเลสได้อย่างถูกตัว ถูกตน ถูกวิธีและจริงเลย ถูกวิธีคือสามารถเกิดภูมิปัญญาเห็นความไม่เที่ยง เห็นความทุกข์ เห็นความเป็นเหตุแห่งทุกข์ จับเหตุแห่งทุกข์ได้จึงเกิดอนัตตาไปตามลำดับ ไม่มีตัวตนลดตัวตนได้เป็นไปตามลำดับ การลดตัวตนไปตามลำดับนั้น ลดตัวตนไปทีละส่วน ทำด้วยความมีส่วนแห่งบุญ บุญคือการกำจัดอัตตา ขจัดกิเลสตัวอกุศลจิต ลดละจางคลายมีส่วนได้ คือส่วนที่ดับ จางคลาย ไม่เป็นตัวตนอาการของกิเลสอกุศลจิต ส่วนด้านนี้คือส่วนที่ปัดเป็นส่วนเสียไปเป็นส่วนที่อกุศลจิตเราถูกกำจัดไปได้เรื่อยๆเรียกว่าบุญ

ถ้าเข้าใจส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยานี้ไม่ได้ ก็จะไปเข้าใจว่าต้องมีสวรรค์เพิ่มขึ้นแต่ของพระพุทธเจ้านั้น ต้องลดความเป็นสวรรค์ ความเป็นนรกไปได้เรื่อยๆ ผู้ที่ทำส่วนแห่งบุญได้ คือเสขบุคคล เพื่อลดความเป็นชาติได้ ภพก็ลดลงได้ด้วย

ภพมีสามภพ กามภพ รูปภพและอรูปภพ

ท่านให้ปฏิบัติที่กามภพก่อน ส่วนรูปภพคือภพในจิต ผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติไม่ปฏิบัติกามภพก่อนนั้นผิดตั้งแต่ต้น จัดสลับไปสลับมาไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย การเป็นนั่งหลับตานั้นไม่รู้จักมรรคมีองค์ 8 ที่จะมีการคิด พูด ทำ ทำอาชีพ เขาจะไม่เข้าใจ ในการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์เพื่อเกิดสัมมาสมาธิ เขาจะไปนั่งหลับตา ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นมิจฉาปฏิบัติ มันเป็นมิจฉามรรค

เขายึดถือกันว่า ต้องไปนั่งหลับตา ถ้าไม่นั่งหลับตาไม่มีทางที่จะบรรลุธรรม ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาพูดมามากกว่า 46 ปีละ ก่อนบวชก็พูด เขียนหนังสือ เป็นคอลัมนิสต์เขียนหนังสือเปิดคอลัมน์ธรรมะมาก่อนที่จะบวช

ผู้ที่สามารถทำให้ชาติ หยั่งลง โอกกันติ ให้โลกุตระ อาริยธรรมหยั่งลง แทนที่จะเป็นโลกียธรรมหรือกัลยาณธรรมหยั่งลง เราทำได้ก็จะหยั่งลง

โอกกันติคือตัวกลาง ต้องทำให้โลกุตรธรรมหยั่งลง ทำได้ก็เป็นนิพพัตติ เป็นการเปิดประตูสู่นิพพาน ก็ก้าวเข้าสู่ภูมิธรรมของโลกุตระไปได้เรื่อยๆ

อภินิพพัตติก็คือภูมินิพพานสูงสุด ก็คือสร้างโลกุตรจิตไปเรื่อยๆสูงสุดของนิพพัตติคืออรหัตตผล เกิดเป็นอรหันต์

เขาไปแปลอภินิพพัตติว่า เกิดจำเพาะ ก็เห็นใจท่าน ถ้าอาตมาแปลจะไม่ใช้คำนี้ มันไม่เข้าใจได้ง่าย ต้องแปลว่า เกิดเป็นอรหันต์ ถ้าเป็นนิพพัตติก็เกิดเป็นอาริยะเป็นตามลำดับ โอกกันติคือการเกิดกลางๆ

ต้องรู้เวทนาในเวทนา เป็นมโนปวิจาร 18 ทำให้เนกขัมมะได้ หยั่งลงเป็นนิพพัตติได้เรื่อยๆ สูงสุดเป็นอภินิพพัตติ เป็นโสดาบัน ไปตามลำดับ เต็มก็เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นผู้ที่ไม่เวียนกลับอีกแล้ว

จะบำเพ็ญต่อเป็นอรหันต์หรือเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นเทวดาฐานอนาคามีภูมิ จะนานเท่าไหร่ก็ได้ แต่จะเป็นคนไม่มีโทษภัยต่อโลกนี้อีกแล้ว เพราะไม่มีกามาวจร ไม่มีโลกที่ติดยึดในตาหูจมูกลิ้นกายอีกแหละ จะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตทำงานให้แก่สังคมอย่างไม่เป็นโทษภัย

คนเป็นอนาคามีนี่แหละจะทำงานให้กับสังคมอย่างไม่เป็นโทษภัย โดยเฉพาะไปเป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการ จะเป็นผู้ที่ทำงานให้กับสังคมโดยหน้าที่ จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำก็ตาม ไปทำงานมีตำแหน่งหน้าที่ทำงานให้แก่สังคม จะมีแต่ประโยชน์ไม่เป็นโทษภัยแก่สังคมเลย จะไม่ทุจริตในกามาวจร ท่านไม่เป็นทาสของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ที่เป็นไปด้วยกามท่านไม่มีแล้ว ไม่เดือดร้อนแล้ว มีเหลือรูปาวจร รูปภพอรูปภพในใจบ้างก็แล้วแต่ตามฐานะ

ท่านมีพลังไม่ให้มันออกมา มีหิริโอตตัปปะพอ เข้าใจโลกียะโลกุตระ ท่านไม่ละเมิด คนละเมิดก็คือคนที่ไม่ใช่ คนใช่ก็ไม่ละเมิด

อันนี้เป็นสัจจะที่ได้จริงเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสอนให้สร้างจิตเป็นคนเช่นนี้ อาตมามั่นใจ จะอยู่ไปถึงร้อยห้าสิบเอ็ดปีเพื่อจะพิสูจน์ว่าคนทำงานการเมืองแล้ว ที่เขาพูดถึงการคอรัปชั่นกันเยอะแยะแล้วในสังคมตอนนี้  แต่เราจะทำการเมืองแบบไม่มีคอรัปชั่น ไม่มีอกุศลพวกนี้เลย ให้เป็นจริงได้

เขาไปเข้าใจเนกขัมมะว่าคือการออกบวช ไปเข้าใจอย่างพาซื่อ เพราะฉะนั้นผู้ทำเนกขัมมะได้ก็ต้องมาบวช แต่ความจริงผู้ปฏิบัติเนกขัมมะนั้น เป็นฆราวาสก็เป็นได้ แม้ถึงเป็นอรหันต์ก็เป็นได้โดยไม่ต้องบวช แมสมัยพระพุทธเจ้าก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในตอนเป็นฆราวาสได้ทั้งนั้น มีเยอะด้วย แต่เขากลับไปเข้าใจว่าถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องมาบวชภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะต้องตายอันนี้ก็เดาทั้งนั้น

ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์นั้นมีเยอะกว่าคนที่ออกมาบวช พระพุทธเจ้าท่านจึงสร้างศาสนาสำเร็จ ท่านได้ถ้ามีฆราวาสเป็นผู้ช่วยสร้างมีอัครสาวกเป็นแม่ มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ช่วยกันสร้างศาสนา

คนไม่เชื่อพลังงานที่เป็นโลกุตรธรรมว่าเป็นพลังงานที่จะเป็นพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) 3 คำนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่

อาตมาขอยืนยันว่าวินาทีนี้ของโลก สังคมไทยกำลังเป็นประชาธิปไตยกว่าอเมริกา อาตมาไม่เถียงหรอกกับพวกจตุพรคือใคร ใครคือนักวิชาการระดับด็อกเตอร์ที่ไหน

ประชาธิปไตยไทยกำลังจะเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าอเมริกา ซึ่งมีความซับซ้อนมีคนมาแย้งตอนนี้ แต่พลเอกประยุทธ์ได้ใช้ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ดีที่สุด ขนาดมีม.44 เป็นอำนาจเผด็จการสูงสุดก็ยังใช้อย่างประชาธิปไตย

ม. 44 นี้เป็นอาญาสิทธิ์ที่จะใช้ในยุคที่เละเทะเต็มที คนงมงายในประชาธิปไตย ไปเข้าใจประชาธิปไตยตื้นๆว่ามีแต่เลือกตั้ง จะต้องมีอิสระจะต้องด่าได้ด่าใครได้อย่างเละเทะ

คนที่ควบคุมเกมของสังคมได้ ให้อยู่ในระดับไม่ก่อความวุ่นวายก่อเรื่องเลวร้ายได้นั่น คือคนที่สามารถสร้างความเป็นประชาธิปไตยได้ เป็นความพอเหมาะพอดี แน่นอนว่าจะต้องมีบวกมีลบมีฝ่ายค้านมีฝ่ายเสนอ แต่ทุกวันนี้ประชาชนคนไทยนั้นเป็นฝ่ายเสนอมากกว่าฝ่ายค้าน เขาทำโพลออกมาตลอดเวลา

คะแนนความนิยมของพลเอกประยุทธ์นี้ชนะฝ่ายค้าน โดยที่ไม่ต้องไปโฆษณา ไม่ต้องเลือกตั้ง ดีไม่ดีมีวิธีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะทำการปฏิรูปก็ได้สักระยะหนึ่ง ขนาดมีหลักเกณฑ์เขายังดื้อด้านดึงดัน ขนาดนี้แล้วมันยังละเมิดเลย พวกกวนเมือง ไม่มีไม่ได้ มันต้องมี เขารู้แล้วก็ทำตามควร แต่พวกนี้ก็ต้องค้านแย้งธรรมดาเพราะมันอยากได้อำนาจเป็นพวกฝ่ายค้านที่หน้ามืด

เมืองไทยนี้ประชาธิปไตยพัฒนา อย่างอเมริกาเข้าใจยาก เพราะว่าประชาธิปไตยของอเมริกานั้นเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่ได้มีความลึกซึ้งเลยเป็นโลกีย์หยาดเยิ้ม ส่วนของไทยนี้ถูกเขาล้างสมองมอมเมาเอาตามเขาเสียเยอะแล้ว

ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเอาใจพลเอกประยุทธแต่พูดสัจจะ

จบ…….


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:40:45 )

590830

รายละเอียด

590830_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่ามิจฉาทิฏฐิ

กรณีมีคนเผาหนังสือธรรมะของพ่อครูแล้วส่งภาพในเฟสบุค

_กันตสีโลภิกขุ….นี่เป็นหนังสือธรรมะของสำนักสันติอโศกที่อาตมาเคยอ่าน เห็นหลายคนเคยฟังเพลงเพื่อชีวิตของวงคาราวาน , คาราบาว ฯลฯ แล้วเลิกฟัง โยนเท็ปและซีดี. ทิ้งลงถังขยะ เพราะศิลปินพวกนี้ไม่มีอุดมการณ์จริงตามบทเพลงที่ร้อง และยังไปสนับสนุนการรัฐประหาร สนับสนุนเผด็จการที่กดขี่ ย่ำยี ข่มเหงประชาชนอยู่ในเวลานี้

อาตมาเองก็เช่นกัน เคยอ่านหนังสือธรรมะ และเคยปฏิบัติธรรมกับที่นี่มาก่อน แต่เมื่อเจ้าสำนักคือ "สมณะโพธิรักษ์" ได้เป็นผู้มี "ทิฏฐิวิบัติ" เสียแล้ว คือเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แยกแยะชั่ว-ดี , ถูก-ผิด ไม่ออก ไปเข้าข้างสนับสนุนผู้มีอำนาจที่กดขี่ข่มเหงเบียดเบียนประชาชน หนังสือธรรมะพวกนี้ก็เปรียบเสมือนคำลวงโลกของคนเขียน ไร้ค่าเกินไปที่จะเก็บเอาไว้  ทีแรกว่าจะเอาให้คนเก็บของเก่าเอาไปชั่งกิโลขาย แต่คิดไปคิดมา เผาทำลายมันเสียเลยดีกว่า จะได้ไม่ไปเป็นมลพิษทางจิตวิญญาณแก่คนที่ได้อ่านต่อไป

 

         พ่อครูตอบ

ในความเห็นของ กันตสีโลภิกขุ ก็เห็นตามโลกว่าเป็นรัฐประหาร 100% อาตมา มาสนับสนุนรัฐประหารของคณะรัฐบาลนี้ ที่เขาก็ถือว่าเป็นคณะเผด็จการ

กันตสีโลภิกขุ ว่าอาตมาเป็นคนไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีความรู้  ซึ่งอาตมานั้นก็รู้ว่ามี คุณเองมีความรู้

 ส่วนความรู้ของคุณ อาตมาถือว่าเป็นความรู้เล็กน้อย

แล้วหาว่าอาตมาทิฏฐิวิบัติ จากอุดมการณ์ อุดมคติ ขอยืนยันว่าคุณยังไม่เข้าใจความเห็น ทิฐิ ของอาตมาด้วยซ้ำ มันตื้นเกินไป

คำว่ากดขี่ข่มเหง อาตมาจะยกตัวอย่าง การกดขี่ข่มเหงที่เลวร้ายที่สุดให้ฟังในศาสนาพุทธที่ชื่อว่า สำนักธรรมกาย

เป็นสำนักที่กดขี่ข่มเหงซับซ้อนหลอกชาวโลกอย่างสนิทสนมที่สุด

จนกระทั่งทุกคนกลายเป็นคนไม่มีทิฏฐิของตนเองเลย

ครอบงำจนกระทั่ง ทิฏฐิวิบัติไปตามเจ้าสำนักแล้ว จะพาขึ้นเขาลงห้วยอะไร ลงนรก ขึ้นสวรรค์ขี้หมูขี้หมาอะไรไป ก็เชื่อหมด

ขอยืนยันว่าสวรรค์ขี้เก๊ สวรรค์ขี้หมูขี้หมา สวรรค์ขี้หลอก

สวรรค์ของธรรมกาย คือ นรกจกเปรต

เพราะเป็นนรกที่เอาคำว่า เทวดาคือสวรรค์ 6 ชั้น เอาภาษา มาหลอกมนุษยชาติให้หลงใหล หลงโง่ หลงติดยึด หลงเพ้อพก สุดปลื้ม ให้เขาเชื่อคำหลอกให้หมดอย่างสนิทใจ ที่สุดเลย

*นั่นแหละคือ การกดขี่ทางปัญญาให้เป็นคนไร้ปัญญา มีแต่ความหลงใหลและอวิชชาเต็มบ้องเลย

 เป็นการกดขี่ ที่ใช้เลศเล่ห์หลอกลวงเพราะเป็นของดีงาม

การจะหลอกคน เขาไม่เอาของเลวร้ายมาหลอกคนหรอก ไม่เอาหน้ายักษ์หน้ามารมาหลอก

แต่เอาหน้าสวยหน้าหล่อ หน้าดี หน้างาม มาหลอก แล้วเอาหน้ากากหลอกๆพวกนั้นมาแล้วประกาศว่า นี่คือความดี เขาก็เอาสิ่งที่ดีที่ตื้นๆมาหลอก

เขาไม่มีภูมิปัญญาจะเข้าใจหรอกว่า ศาสนาของฉันนั้นเป็นภพ ที่มนุษย์ติดยึด

มนุษย์ในโลกนั้นเกิดมาก็อวิชชา ติดยึดสวรรค์ 6 ชั้นนี้ทั้งนั้น แม้แต่ศาสนาอื่น เขาก็หลงในสวรรค์ 6 ชั้นนี้ คือสวรรค์แห่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นสุขทางกาม เป็นสุขทางอัตตา แล้วคนก็เพ้อฝันอยากได้สวรรค์นี้หมด

ธรรมกายเอาสวรรค์นี้มาปั้นรูปแปลงโฉมหลอก จนกระทั่งคนหลงงมงายติดในสวรรค์ อยากได้สวรรค์ จมดิ่งอยู่กับสวรรค์ ชีวิตนี้มีแต่สวรรค์กับสวรรค์

*ศาสนาพุทธเป็นศาสนา ที่ล้างภพจบชาติ ล้างภพสวรรค์ ล้างนรก นรกไม่มีภพหรือภพที่มีมีแต่สวรรค์ 6 ชั้นที่มนุษย์ต้องการ

*แต่มีความโง่ที่ซ้อนอยู่กับสวรรค์หกชั้นนี่แหละคือนรก *

 

_0811203xxx  กราบนมัสการพ่อครูค่ะ จากการที่ลูกได้ศึกษาฟังธรรมจากพ่อครูย่างปีที่สามแล้ว และได้ฝึกปฏิบัติตาม โดยเริ่มต้นจากการรักษาศีลห้าง่ายๆ กินอาหารมังสวิรัตบ่อยขึ้น ใช้ชีวิตเรียบง่ายทำเกษตรอินทรีย์ ไม่แต่งหน้า ไม่สะสมทรัพย์สินเหมือนก่อนแล้วค่ะ สำหรับการฝึกของลูกเวลานี้ คิดว่าการเลิกกินเนื้อสัตว์ เลิกกาแฟ เลิกแต่งตัวน่ะ ง่าย ง่ายกว่าการเลิกกับคู่ชีวิตเสียอีกค่ะ เป็นเพราะการยึดในตัวคนบุคคลและความโง่ใช่ไหมคะ ลูกถึงต้องได้แต่ปวดใจอย่างนี้ค่ะ

ตอบ...ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนตั้งตนเป็นคนโสดท่านเรียกว่าบัณฑิต

ผู้ฝักใฝ่เมถุนไปหาคู่ไปแต่งงานย่อมเศร้าหมอง จริงไหมล่ะ 

อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสโดยสากลโดยทั่วไป สำหรับคนที่แต่งงานกันแล้ว ก็ต้องอดทนถนอมน้ำใจกันไป ที่จะราบรื่นมากนั้น มันมีบารมี ของคู่ที่มาหลอกกันซ้ำซ้อน หนังใหม่

*คนที่มีคู่บารมีที่ราบรื่นนั้นมันเป็นความรวมที่ซับซ้อน มาหลอกกันให้ติดยึดมากยิ่งกว่า กามนิต-วาสิฏฐี ให้หลอกกันด้วยเกสรดอกไม้กับหยาดน้ำผึ้ง ดีต่อกันไปก็เลยตลอดชีวิตนี้ดีจังเลย ชาติหน้าต้องเกิดอีก *

พอตายจากกันแล้ว ร้องห่มร้องไห้เจ็บปวดหัวใจ

เมื่อตายจากกัน คนนี้ก็อาจจะไปเจอกันอีก แต่ก็อาจจะไม่เจอก็ได้

เขาก็จะแสวงหากันในชาติต่อไปต่อไป

เมื่อชาติต่อไปเขาเกิด แต่คู่อริ คู่พยาบาท คู่เวรคู่กรรม อาจจะมาถึงสองคน สามคนในชีวิตหน้า แล้วก็จะเจอกันแย่งชิงกัน จะไม่ราบรื่นเหมือนกับชาติที่แล้ว

ในชาติที่ราบรื่นและผูกพันธ์สนิทรักมาก เมื่อไปเกิดในชาติต่อมา คู่ของเรานั้นไม่ใช่คนเดียว คู่เวรคู่กรรมนั้นมีเป็นล้าน

คนทุกคนมีคู่เวรคู่กรรมเป็นล้าน คนที่เกิดมาไม่มีเวรกรรมนั้นก็เป็นกุศลไป

แต่ชาติใดที่เกิดแล้ว มีคู่เวรคู่กรรมมาแย่งชิงกัน ก็เป็นคู่อริกันอีกหลายชาติ

ชาติที่มีคู่อริเกิดนี้ คิดเอาเองว่าจะเกิดอะไรครับ!!

ผู้ใดท่ีลดคู่เวรคู่กรรมไป ในแต่ละชาตินั้นจะปลอดภัย จะได้เรื่อยๆ

คนมารักเราก็ช่างหัวมัน เราลดให้ได้ก็แล้วกัน รักษาตัวรอดเป็นยอดดีให้ได้

#อาตมาเคยพูด ได้บอกว่า อาตมาจะพยายามปฏิบัติธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ในปางที่ตรัสรู้โดยไม่มีคู่ ไม่มีคู่เวรคู่กรรมมา จะพยายามหาทางรอดให้ได้ #

*ชาติที่จะตรัสรู้นั้น จะไม่มีภรรยา ตั้งจิตไว้เช่นนั้น

ก็ขอให้พูดให้เขาคิดให้สติไว้ว่า ชาตินี้ก็ถือว่าใช้หนี้เวรหนี้กรรมก็แล้วกัน ก็พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด จิตที่จะต้องไปหวงแหนไปทุกข์ถ้าเขาไปมีคนอื่น เรื่องเงินทองเรื่องเป็นอยู่ก็แล้วแต่

คนเรานั้นจิตใจของเราเอง แค่คนเดียวก็ยังตามใจเราไม่ได้หมด แล้วไปเอาอีกคนหนึ่งมาเป็นคู่ ซึ่งเขาว่าเหมือนคนๆเดียวกัน การแต่งงานไม่เหมือนคนๆเดียวกันแล้ว

เพราะฉะนั้นจิตใจของคนอีกคนมาผนึกกับของเรา ของเราเองยังตามใจจิตใจเราตนเองไม่ไหว แล้วไปเอามาอีกคนหนึ่งมันจะไหวหรือจ๊ะ มันหนัก พูดให้สำนึก

อาตมาไม่อยากให้ใครแต่งงานหรอก ผู้ใดไม่แต่งงานเป็นบัณฑิต ผู้ใดแต่งงานก็เศร้าหมอง

 

_วิท เชียงใหม่... กราบนมัสการพระคุณเจ้า ลูกมีความสงสัยจะถาม เรื่องการสำเร็จมรรคผลเฉียบพลัน ไม่ต้องบำเพ็ญภาวนานาน ศึกษาโดยการฟังธรรมสั้น ๆ แค่ประโยคเดียว อย่างเช่น พระอัญญาโกญทัญญะ พระพุทธองค์ บอกว่า สัพพานัง อนัตตา อีก 2 ทิวา ราตรี พระโกณทัญญะสำเร็จอรหันต์ ดวงตาเห็นธรรมเป็นไปได้จริงไหมครับ

ตอบ…มีแต่พระพาหิยทารุจริยะ ที่ฟัง4ประโยคก็บรรลุ แต่คนอื่นฟังเป็นกัณฑ์ทั้งนั้น

เรื่องการบรรลุนิพพานนั้น เป็นบารมีของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมาแล้ว พอมาเจอพระพุทธเจ้า หรือเจอสัตบุรุษที่พูดธรรมะที่ตรงถูกต้องเลย ผู้ที่มีบารมีนั้นฟังแล้วก็เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ หรือบรรลุเฉียบพลันก็ได้ อาจจะหลายครั้งถึงจะต้องบรรลุ มันยังสายปัญญา

สายมหายานที่เขาบอกว่ามีสัตว์โลกแล้วก็บรรลุเฉียบพลัน มันเป็นเรื่องที่หลงใหล น่าสงสาร พวกนี้เข้าใจผิดว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะบรรลุเฉียบพลันแล้วก็คิดเอาเอง คิดเอาว่าจะได้บรรลุ แต่การคิดนั้นเป็นประกาศทั้งสิ้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุเลย ความรู้นะไม่ใช่ความคิด

*ปัญญา* คือการรู้ความจริงตามความเป็นจริง

ปัญญาของพระพุทธเจ้ามี ศีล สมาธิ ปัญญา

ปัญญา ตัวนี้ไม่ใช่แค่ความคิด*

*แต่ปัญญา คือ ผล*ของความคิด

 ปัญญา คือ รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีตัวอย่าง

เช่น ตากระทบรูป กระทบน้ำเต้านี้เห็นน้ำเต้านี้ ก็เป็นปัญญา*

ซึ่งการเห็นนั้น จะเห็นทั้งข้างนอกข้างใน ครบทุกทวาร

ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ มัคคังคะ มีธัมมวิจัย สัมมาทิฏฐิ

แล้วจะเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีองค์มรรค มีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ที่ครบครันตามปฏิจจสมุปบาท

คนที่ไม่มีบารมี อย่าไปคิดจะไปทำเช่นนั้น แต่ถ้ามีบารมีก็ไม่จำเป็นจะต้องทำ ถ้าจะบรรลุเพราะฟังธรรมะก็ฟังธรรมะไป

คนที่บรรลุในสมัยพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีบารมี เป็นพระอัครมหาสาวก

 เป็นคณะที่มีบารมี ที่จะมาช่วยสร้างศาสนาของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าจะต้องมีครบ

*อาตมานั้นไม่อยากพูดอยากกล่าวถึงของอาตมา ถ้ามันจะเป็นจริงตามที่เป็นจริง ถ้าเป็นจริงมันจะต้องมีและมา ถ้าไม่จริงก็จะไม่มี แล้วก็ไม่มา *

อย่างเช่นอาตมาเกิดมาเป็นคน ก็มีคนที่เกิดมาในประเทศไทยร่วมกันเสริมสานทำงานไปก็มี ก็เคยกล่าวระบุกันบ้าง

สรุปแล้ว การบรรลุนิพพานนั้นเป็นบารมีส่วนตัว

 ถ้าคุณมีบารมี ก็จะบรรลุได้ ไม่วาระใดก็วาระหนึ่ง

คุณอาจจะเป็นทักขิเณยยบุคคล ที่จะต้องฟังธรรมแล้วเอาไปปฏิบัติ

แล้วปฏิบัติอีกจนเหลืออีกนิดเดียว ขอฟังธรรมประโยคเดียวก็บรรลุได้ 

ไม่ใช่ว่าบรรลุเพราะฟังธรรมแค่ประโยคเดียว แต่เพราะว่าเคยฟังประโยคนี้มานานแล้ว เคยปฏิบัติมานานแล้ว จนฟังอีกแค่ประโยคเดียวก็บรรลุ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมะพระพุทธเจ้ามี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

ไม่มีการปฏิบัติแบบตัดลัดขั้นตอน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86124

 

 ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfVGpxLVJyZ3dVSDg

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/7o5c55j67wt/160830

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=DG1aHWbYjL8


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:41:22 )

590830

รายละเอียด

590830_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่ามิจฉาทิฏฐิ

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2559 เรามีชีวิตไปกับวันเวลา ก็ทำงานกับงานที่ควรจะทำ อาตมาเลือกงานที่คิดว่าควรจะทำ คืองานเผยแพร่ธรรมะ ทั้งเผยแพร่ทั้งค้นคว้าทั้งศึกษา พยายามพากเพียรที่จะทำงานนี้ อย่างที่ได้ลาออกมาจากงานทางโลก อย่างที่คนทั้งหลายแหล่เขาทำกัน ดูเขาทำกันเพื่อที่จะมี ลาภยศสรรเสริญ ได้รับโลกียสุขบำเรอให้แก่ตัวเอง เป็นชีวิตที่มีอะไรต้องเลี้ยงชีพมาบำเรอชีวิตให้เป็นสุข

แต่อาตมาชัดเจนว่าชีวิตนี้ไม่ต้องหาอะไรมาบำเรอให้ตัวเองเป็นสุข เลิกจากชีวิตที่จะหาความสุขใส่ตัวเอง ไม่ว่าความสุขนั้นจะเป็นความสุขที่ได้ลาภมา ได้ยศ ได้สรรเสริญ เป็นสุข ได้เสพกามคุณ 5 เป็นสุข ได้บำเรออะไรสมใจ เป็นอัตตาก็เป็นสุข

เข้าใจคำว่า สุขขัลลิกะ ชัด คือ สุข กับ อัลลิกะ

คำว่าอัลลิกะแปลว่าเท็จ ก็แปล สุขขัลลิกะว่าสุขเท็จไม่ใช่สุขจริง

อาตมาชัดเจนว่าอาตมาไม่ได้ต้องการความสุข แน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้ทุกข์แน่นอน

ก็มีภาษาเรียก นิพพานังปรมังสุขัง ก็มีคำว่าสุขด้วย ท่านก็แปลว่าบรมสุขด้วยนะ แล้วก็มีนิพพานเป็นบรมสุข ท่านก็แปลกันว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อาตมาก็ไม่เห็นด้วย อาตมาก็แปลนิพพานว่า ยิ่งกว่าสุข

มันไม่ใช่สุข สุขมันเป็นโลกียะ เป็นสุขเท็จ

พระอรหันต์ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นคนหมดทุกข์หมดทุกข์ เป็นคนอุเบกขา มีอุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นฐานนิพพาน

ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้อง ปฏิบัติที่เวทนา*

 

ถ้าผู้ใดมีความรู้ ที่จะ แยกแยะ วิจัยวิจาร มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะออกรู้จักเวทนา จับคู่เวทนาเป็นธรรมะสอง แล้วปฏิบัติตัวนี้ *เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนายเอกสโมสรณา ภวนฺติ *ทำให้เวทนาเหลือเวทนาเดียว คือ เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ถ้ามีคู่อยู่ก็เป็นสุข ทุกข์ แต่เนกขัมมสิตอุเบกขาเป็นธรรมะเดียว

ธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้สองเป็นหนึ่งได้ ผู้ใดทำได้สำเร็จก็ได้รับผล ได้รับความบรรลุธรรมอย่างแท้จริง

อาตมามาทำงานนี้ไม่ต้องการความสุข ไม่ได้เป็นความสุขหรือความทุกข์

 แต่เป็นอุเบกขา เป็นอทุกขมสุข อาตมาไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมเล่นๆ

แต่พูดยืนยันความจริงในตน เพื่อยืนยันว่าคนเรามีอารมณ์นี้ได้ ไม่ใช่ว่าของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครเป็นได้ อารมณ์อย่างนี้ ไม่มี โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ อาตมาพิสูจน์ว่ามีจริง ที่พูดนี้เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมในตน

ก็ได้พูดมานานแล้ว สี่สิบกว่าปีอวดอุตริมนุสธรรมทั้งนั้นแหละ ซึ่งไม่เหมือนกับกระแสหลักเขาด้วย ที่เขาเข้าใจกันแล้วเขาก็นำพากัน เขาก็มีพระไตรปิฎกอันเดียวกัน แต่เขาก็เพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ตรงตามพระไตรปิฎก

เอาง่ายๆแค่ศีล สมาธิ ปัญญา เขาก็เป็นปัญญาที่ออกนอกลู่นอกทางไปมากแล้ว ปัญญานั้นละเอียดกว่าศีล ละเอียดกว่าสมาธิ

ทำงานมาถึงขนาดเช่าช่องโทรทัศน์ดาวเทียม ไม่ได้เป็นช่องโทรทัศน์ที่เอามาหาเงินหาทองเลย ซึ่งเอามาเผยแพร่ธรรมะแล้วต้องใช้เงินใช้ทองมากเลย แต่เราก็พอเป็นไปได้ ก็บอกญาติโยมมาร่วมกำลังกันมาช่วยกันทำ ไม่ได้จ้างใครสักคนเดียว

มาถึงวันนี้ก็รู้สึกว่ามันยากจริงๆ การไม่สร้างใครแล้ว ไม่มีระบบแบบโลกที่ต้องจ้าง เพราะระบบการจ้างนั้นเขาสั่งได้เขาบังคับได้ แต่ระบบของเรานั้นไม่ได้จ้าง แล้ว ใช้น้ำใจ มีน้ำใจเท่านั้นจริงๆ

อาตมาก็ขอพูดเถอะว่าคนมีน้ำใจที่ได้รับผิดชอบเข้าทำงานอยู่ แต่คนที่น่าจะมีน้ำใจกว่านี้ ที่จะช่วยกว่านี้ เป็นนักเรียนก็ตาม เราได้อาศัยแรงนักเรียนเป็นช่างภาพส่วนใหญ่ สอนให้เขาๆก็ได้ ก็เป็นการศึกษาเหมือนกัน แต่นักเรียนก็ยากมากเลย ก็ต้องอาศัยผู้ใหญ่ที่จะคอยให้สติเขา แต่พวกเราไม่มีการบังคับกัน แต่ก็พยายามให้ความสำนึก ให้สติสัมปชัญญะ ปัญญาให้เขาเข้าใจ ว่าควรจะรับผิดชอบบ้าง มาช่วยบ้าง อย่างโทรทัศน์เราจะต้องออกอากาศประจำเวลานั้นเวลานี้ เป็น routine ที่จะต้องออก เป็นงานประจำที่เป็นรายการสด ส่วนรายการอื่นๆที่จะต้องเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็แล้วกันไป

ตารางการถ่ายทอดสดนี้จะต้องใช้ความสำนึกกัน ก็น่าจะรู้ว่าชั่วโมงนี้เป็นรายการสด เราควรจะไปช่วย เด็กๆก็ไม่ค่อยสำนึก ไม่เข้ามาช่วย อย่างวันนี้มีกล้องตัวเดียว บอกไปเลยขายหน้าข้างนอก จะออกอากาศแล้วมีกล้องตัวเดียว แล้วค่อยค่อยหอบกล้องอื่นๆตามมา อาตมาก็รู้สึกว่า นึกถึงบารมีตัวเองว่าบารมีเรามีแค่นี้หนอ อาตมาเปิดโรงเรียนมา 20 กว่าปี สอนเด็กให้ได้เรียน ขอขอบคุณคุณครูที่เอาภาระช่วยให้เกิดโรงเรียนมา 20 กว่าปี ได้ 20 กว่ารุ่นแล้ว จบม.6 ออกไป จบอาชีวะออกไป ก็เพื่อที่จะสอนธรรมะเป็นหลัก ให้คนได้ธรรมะเป็นหลัก

จึงมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติที่ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ไม่ได้ทำเพื่อหาเงินหาทองในสร้างบารมีอะไร

แต่คนที่รู้สึกสำนึกดี กตัญญูกตเวทีเองก็จะเจริญ แต่เด็กที่จบไป ทำไมยังไม่ค่อยมี กตัญญูกตเวที

 อาตมาพูดคำนี้ ด้วยความสะท้อนใจมาก ว่าทำไมเด็กไม่มีความกตัญญูกตเวที อาตมาล้มเหลวหรือเปล่า

เด็กๆทุกคนฟังนะ ทำไมความกตัญญู กตเวที มันถึงไม่มีกัน

คนไม่มีกตัญญูกตเวทีนี้คือ คนเลวจริง

อาตมาพูดนี่พูดว่าเด็กนะ ผู้ใหญ่ฟังด้วยฟังเอาก็แล้วกัน มันเป็นธรรมะเท่านั้น กตัญญูกตเวที ก็เป็นธรรม เป็นการแสดงถึงสัจธรรมของมนุษย์ที่สำคัญ คนเนรคุณหรือคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติอันควรประพฤติปฏิบัติ ตนเองต้องมีปฏิภาณปัญญามีสติสัมปชัญญะรู้ว่าอะไรควร

อาตมาต้องพูดว่าเพราะมันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสไปได้เรื่อยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่มีใครทำ ไม่มีใครดูแลอย่างเช่นวันนี้ อาตมาสะท้อนใจมาก เห็นกล้องอยู่ตัวเดียวจะออกอากาศอยู่แล้ว จะถ่ายทำแล้ว เอาเถอะก็พูดจากความจริงใจออกไปให้ฟัง ตามประสาที่รู้สึกเอาใจตัวเองมาพูดให้ฟังแล้ว ได้ความคิดความรู้สึกได้ประโยชน์ก็เอาไปแก้ไขปรับปรุง ตัวใครก็ตัวใคร อาตมาไม่นิยมการบังคับ แต่ไหนแต่ไรมาให้สำนึกเองให้เข้าใจเอง ให้มีปัญญาเอง มีปฏิภาณเอง ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น แต่มันก็พอได้ แต่บางอันบางอย่างมันยาก อันนี้มันยาก สร้างโทรทัศน์โดยที่มีใช้เงินจ้างเลย อาตมาว่า สถานีโทรทัศน์ที่มีของวัดของธรรมะหลายวัดหลายที่ อาตมาไม่รู้นะว่าเขาจ้างหรือเปล่า เขาจะมีจ้างคนบ้างไหม แต่ของเรานี้ไม่ได้จ้างคนสักคนเดียว แล้วก็ทำได้สำเร็จมา 10 ปีแล้ว ก็พอได้ แต่ว่าแรงมันรู้สึกว่าร่อยหรอ ก็ต้องบ่นบ้าง พูดบ้าง ไม่อยากตำหนินะ

ที่ไม่ตำหนิเพราะว่าจะมาขอบคุณ ผู้ที่มาช่วยทำนี้ อาตมาขอบคุณอย่างลึกซึ้งเลย ก็ไม่ค่อยตำหนิเท่าไหร่

แต่วันนี้ขอตำหนิเถอะ เพราะอาตมาขอบคุณจริงๆ อาตมาอยู่ในวงการโทรทัศน์มารู้ดีจริงๆ ก่อนเรียนจบก็ทำงานโทรทัศน์แล้ว เป็นพิธีกร พอจบแล้วก็มาทำงานโทรทัศน์เป็นหลักอย่างเดียว ก็พอเข้าใจเรื่องโทรทัศน์ดีไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

โทรทัศน์เขามีสปอนเซอร์จะต้องตรงเวลาเป๊ะๆ ก่อนจะถึงเวลา เขาจะต้องมาเตรียมกันอย่างน้อย 30 นาทีทุกรายการ เวลาทำงานก็เก็บให้เรียบร้อย

แต่อาตมาไม่ได้บังคับ เขาจะมีผู้กำกับเวที ผู้กำกับรายการ ผู้ช่วยด้วยผู้ดูแลด้วย แต่ของเรานี้ไม่มี ผู้ที่มีจิตอาสาก็ดูแลไปตามประสา ก็ขอบคุณผู้ที่ช่วยทำ

โทรทัศน์ที่อาตมาพยายามทำจะต้องใช้เงินมากเดือนละเป็นล้านๆ เราไม่ต้องจ้างใครเลย ยังใช้ค่าใช้จ่ายเป็นล้านๆ ต่อเดือน ซึ่งก็พยายามหาทางให้เขาทำขยะมันก็เป็นผลสำเร็จ ให้เป็นตัวเลี้ยงโทรทัศน์มาได้ 10 กว่าปีแล้ว ก็พอได้ ถูๆไถๆ กันพอได้ ก็ไม่ถึงกับเป็นหนี้เป็นสินกับใคร

มันเป็นการเผยแพร่ธรรมะเป็นงานหลักเลย อาตมาไม่ได้วิ่งไปเทศน์ที่ไหนเลยแต่เทศน์ที่โทรทัศน์เป็นหลัก แต่ก่อนออกมาใหม่ๆก็บินไปเทศนาที่วัดนั้นวัดนี้แต่เดี๋ยวนี้ไม่เลย ไม่ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ที่ไหนเลย อาศัยโทรทัศน์นี้จะเผยแพร่ธรรมะเป็นหลัก อาตมาเห็นว่าโทรทัศน์เป็นความสำคัญ

แต่ขณะที่พูดนี้มันสะท้อนใจมาก ความท้อแท้นั้นไม่มีหรอก แต่มันสะท้อนใจอย่างที่พูดไปแล้วว่า ทำไมพวกเราไม่ค่อยจะเข้าใจ ไม่ค่อยมีกตัญญูกตเวทีสำหรับผู้ที่ควรกตัญญูกตเวที

แค่ว่าอาตมาสอนธรรมะให้ก็ควร กตัญญูกตเวที ไหม ก็ควรใช่ไหม

บางคนเข้ามาช่วยดูแลทีมงาน ปัดกวาดเช็ดถูมาเตรียมงานอย่างดีเลยนะ

เขารู้หน้าที่ คนที่ดูดายก็ดูดายไป คนที่ไม่ดูดายก็ช่วยกัน

ถ้ามีผู้ที่มีปฏิภาณปัญญามาช่วยกัน มันก็จะเบา งานก็จะเสร็จเร็วเป็นธรรมดา แต่นี้ก็ได้เท่านี้แหละ ถ้าว่าไป

ก็พูดเปรยไปจากจิตใจ หวังว่าผู้ที่ได้ฟังจะรู้สึกสำนึกกระเตื้องกันบ้าง อยู่ด้วยกัน ก็ปรับปรุงกัน อาตมาพูดไปไม่ช่วยอีกก็เท่านั้น อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เป็นการเกริ่นจากจิตใจที่มีความสะท้อนสะท้านใจบ้าง

 

มาดู sms ก่อน

 

กรณีมีคนเผาหนังสือธรรมะของพ่อครูแล้วส่งภาพในเฟสบุค

 

_กันตสีโลภิกขุ….นี่เป็นหนังสือธรรมะของสำนักสันติอโศก ที่อาตมาเคยอ่าน เห็นหลายคนเคยฟังเพลงเพื่อชีวิตของวงคาราวาน , คาราบาว ฯลฯ แล้วเลิกฟัง โยนเท็ปและซีดี. ทิ้งลงถังขยะ เพราะศิลปินพวกนี้ไม่มีอุดมการณ์จริงตามบทเพลงที่ร้อง และยังไปสนับสนุนการรัฐประหาร สนับสนุนเผด็จการที่กดขี่ ย่ำยี ข่มเหงประชาชนอยู่ในเวลานี้

 

อาตมาเองก็เช่นกัน เคยอ่านหนังสือธรรมะและเคยปฏิบัติธรรมกับที่นี่มาก่อน แต่เมื่อเจ้าสำนักคือ "สมณะโพธิรักษ์" ได้เป็นผู้มี "ทิฏฐิวิบัติ" เสียแล้ว คือเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แยกแยะชั่ว-ดี , ถูก-ผิด ไม่ออก ไปเข้าข้างสนับสนุนผู้มีอำนาจที่กดขี่ข่มเหงเบียดเบียนประชาชน หนังสือธรรมะพวกนี้ก็เปรียบเสมือนคำลวงโลกของคนเขียน ไร้ค่าเกินไปที่จะเก็บเอาไว้ ทีแรกว่าจะเอาให้คนเก็บของเก่าเอาไปชั่งกิโลขาย แต่คิดไปคิดมา เผาทำลายมันเสียเลยดีกว่า จะได้ไม่ไปเป็นมลพิษทางจิตวิญญาณแก่คนที่ได้อ่านต่อไป

 

ตอบ...ท่านก็เข้าใจของท่าน ซึ่งตอนนี้มีรัฐประหารจริงๆ แต่เผด็จการกับประชาธิปไตยนั้น ไม่ได้ตัดสินง่ายๆ อาตมาก็ไม่อยากพูดถึงความเห็นตื้นๆเด็กๆของท่าน แต่ว่าคราวนี้ถึงกับเผาหนังสือเลย

ความเห็นตื้นเขินว่าที่นี้ คือ เผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย ก็มีความจริงที่มีรัฐประหาร แต่จะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการไม่ได้เข้าใจกันง่ายๆ

อย่างคอมมิวนิสต์นี้ เขาว่าเป็นเผด็จการหมู่ แต่ที่จริงคอมมิวนิสต์นี้เขาก็จะทำเพื่อประชาชน ก็ตรงกับประชาธิปไตยที่จะทำเพื่อประชาชน แต่ไม่ได้ทำคนเดียวแต่ทำเป็นหมู่ก็เลยเป็นเผด็จการหมู่ ใช้พลังงานกดขี่บังคับมาก

อาตมาเคยอธิบายประชาธิปไตยว่าคืออะไร ?

*ประชาธิปไตย คือการทำงานนั้นๆเพื่อประชาชน ให้สังคมให้ประชาชนอยู่กันอย่างเรียบร้อย ดีงาม อยู่กันอย่างเจริญ

อีกทีหนึ่ง ประชาธิปไตย คืออะไร?

* ประชาธิปไตย คือการบริหาร จะเป็นการบริหารคนเดียวเป็นเผด็จการ ดูจะเป็นเผด็จการหมู่แบบคอมมิวนิสต์ หรือจะเป็นแบบรัฐประหารด้วยทหารก็ตาม

แต่ถ้าว่าการบริหารนั้นของคนคนเดียวที่เป็นใหญ่ หรือหัวหน้าที่เป็นใหญ่ หรือแม้แต่การรัฐประหาร แล้วมีผู้บริหารประเทศขึ้นมา อย่างไรถือว่าเป็นประชาธิปไตยก็พูดไปแล้ว

จะเป็นประชาธิปไตยก็คือ เพื่อที่จะให้ประชาชนที่ถูกบริหารอยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย มีการพัฒนา มีการเจริญ ให้สังคมประเทศชาตินั้นๆที่มีอะไรบกพร่องก็แก้ไขปรับปรุง มีอะไรเจริญ ก็ให้ทำกัน อะไรไม่ดี ก็กำจัดหรือแก้ไข อะไรเจริญก็ทำ มีสองทิศทางง่ายๆ

ผู้ที่ทำรัฐประหารตอนนี้ก็มาบริหาร มาบริหารก็ทำสองอย่างนี้ คือกำจัดสิ่งที่ทำให้สังคมประเทศชาติไม่เจริญ แล้วส่งเสริมสร้างสรรสิ่งที่ดีงามให้แก่ประเทศชาติ ส่วนวิธีการนั้นเขามีการใช้กฎหมายมีการบังคับก็มีทั้งนั้น ในด้านของการบังคับ

ทีนี้ในสังคมประเทศไหนมันแย่ การบังคับก็จะต้องโดดเด่น พูดแล้วก็ต้องชี้ชัดว่าประเทศไทยนั้นแย่ เพราะว่าการเมืองหรือการประชาธิปไตยที่ทำมา 84 ปีสะสมความแย่มาเรื่อยๆจนถึงวันนี้ ก่อนที่จะรัฐประหาร แย่จนกระทั่งอาตมาทำงานศาสนา ได้ตัดสินใจออกไป ร่วมประท้วงทางการเมือง

ซึ่งเป็นความเข้าใจของศาสนาในเมืองไทยว่า มันไม่มีที่ไหน ที่พระจะออกมาประท้วง ออกมาทำงานการเมืองอย่างนี้ อาตมาตัดสินใจออกไปทำเพราะมันแย่ อาตมาทำไปแล้ว ใครจะตัดสินว่าทำไม่ดีทำชั่วอย่างไรก็แล้วแต่  แต่อาตมามั่นใจว่าได้ทำสิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ใครจะเห็นว่าเป็นสิ่งเลวร้ายทำลายชาติศาสนาก็แล้วแต่ เข้าใจอย่างนั้นก็ไปห้ามเขาไม่ได้ แต่ใครจะเห็นว่าที่ทำนี้มีความบริสุทธิ์ใจมีความจริงใจที่จะเสียสละ ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้พูดเอาดีเอาเด่นนะ แต่พูดสัจจะสู่ฟัง

จนกระทั่งมาถึงวันนี้ก็มีสิ่งที่ยืนยันว่า ทำให้ประเทศไทยนี้ ค่อยกระเตื้องขึ้นๆ เพราะมันเริ่มจากคณะที่ผู้ที่ต้องการ กอบกู้ความเสื่อมของสังคมให้ดีขึ้น ไม่อยากพูดว่าอาตมาพยายามทำ ออกตัวอย่างแรงพากันไปชุมนุมประท้วง จนกลายเป็นการประท้วงกันเป็นเดือนๆเป็นปีๆ ก็ขอบคุณพันธมิตรที่ออกไปพานำ อาตมาก็พาออกไปสมทบพากเพียรลากจูงกันไป จนกลายเป็นประวัติศาสตร์แบบใหม่ที่ประท้วงกันอย่างตั้งรกรากเลยเป็นปีจนเลยปี นอนกลางถนนกัน

อาตมาว่าผลอันนั้นแหละ ทางรัฐศาสตร์จะมองอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ผลเกิดจากการทำอย่าง ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ

วิธีการสื่อสารไปว่า มีความผิดอย่างไร มีความเลวอย่างไร มีความชั่วอย่างไร คนชั่วนั้น จนกระแสการเมืองของฝ่ายหนึ่ง กับอีกกระแสการเมืองฝ่ายหนึ่งเป็นสองกระแส

ฝ่ายหนึ่งคือประชาชน อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้รักษาอำนาจ แล้วพยายามจะดึงอำนาจไว้ เขาบริหารประเทศอยู่ เราก็ออกไปประท้วงคณะรัฐบาลที่เห็นว่าเหลือเกินแล้ว เราเห็นว่าเขาทำงานการเมืองที่เลวมากจึงออกไปประท้วง

ผลของการประท้วง ก็มีผลจนกระทั่งนายกต้องลาออกไป ถ้าสมัครเองทางรัฐศาสตร์จะเรียบร้อยได้ดีมากเลย

จนสุดท้ายทำรัฐประหารได้ดีที่สุดเรียบร้อยที่สุด เพราะอะไร?

อยู่ดีๆมันเกิดอย่างลอยๆไม่ได้ ถ้ามันไม่เกิดกระแสในสังคมประเทศชาติจากประชาชน แม้แต่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่สามารถที่จะคิดอะไรได้

ถ้าอย่างงั้น ผมขอยึดอำนาจ นี่คือรัฐประหารเมืองไทย *

จะเรียกว่ารัฐประหารก็ไม่ใช่หรอก เพราะรัฐประหาร จะต้องมีการบังคับกัน มีรถถังมีระเบิดอะไรออกมาขู่กัน ว่า ต่อไปนี้ต้องฟังแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ซึ่งมันไม่ใช่อย่างที่เป็นเลย

การปฏิวัติอย่างนี้รัฐศาสตร์จะต้องศึกษาอย่างสำคัญ เป็นการปฏิวัติคือการรัฐประหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เกิดได้อย่างยิ่งใหญ่และสวยงาม ก็เพราะประชาชนคนไทย จะบอกว่าต่างคนต่างทำนั้น อาตมากับประชาชนก็ไปร่วมมือด้วย ขออภัยไม่ได้ทวงบุญคุณ แล้วมันเกิดสภาวะเหมือนจริง ร่วมไม้ร่วมมือกันใครความจริงให้ประชาชนรับทราบ ถ่ายทอดออกไปทางโทรทัศน์ทาง ASTV และ FMTV  แน่นอนว่าสื่อสาร่ที่อื่นเขาก็ร่วมด้วยช่วยกัน

สรุปแล้ว จิตวิญญาณของประชาชนได้รู้สึกว่า การเมืองคืออะไร?

สรุปก็คือการเมืองมันดีขึ้น ประชาธิปไตยมันดีขึ้น จนปฏิวัติรัฐประหารนี้เกิดขึ้น แล้วเขาก็ใช้คำว่ารัฐประหารนี้เป็นคำเดียวที่บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งอาตมาบอกแล้วว่า แม้แต่วิธีรัฐประหารก็ไม่ใช่รัฐประหาร

ความเข้าใจของคนที่ไม่มีภูมิปัญญา ขออภัยที่ต้องพูดอย่างดูถูก จึงไม่ได้เรื่องอะไรเลย แล้วเอาแค่นี้มาตีทิ้ง อาตมาพูดไปแล้วนะ ว่าขณะนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก ขอยืนยันว่าไม่ได้พูดพล่อย พูดอย่างมีสติสัมปชัญญะและปัญญาของอาตมาด้วย

ถ้าพลเอกประยุทธ์ปฏิวัติรัฐประหารแล้ว ตั้งแต่รัฐประหารจนถึงวันนี้ ถ้าไม่ดีไม่เป็นประชาธิปไตยอันดี ป่านนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกานั้น เอาตายแล้ว เข้ามาตะโกนกันว่าไม่ให้อิสระเสรีภาพ อย่างเช่นไผ่ ดาวดิน ก็เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง ทำอย่างจะเป็นจะตาย นักการเมืองหญิงคนหนึ่งก็ออกมาประกาศ คนอื่นเขาเอามาทวนให้ฟัง

มันมีสิ่งที่เชื่อมโยงเป็นเหตุปัจจัย

ขอขยายความว่า ประชาธิปไตยของประเทศไทยขณะนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดของโลก เป็นพฤติกรรมปัจจุบัน

ประเทศอื่นสู้ไม่ได้หรอก แม้ขณะนี้“อเมริกา” กำลังหาเสียงเพื่อหาประธานาธิบดี ก็มีแต่ความเสแสร้งลีลาซับซ้อน ยิ่งกว่าละครลิง ที่กำลังหาเสียงแข่งกันจะเป็นประธานาธิบดี ใช้โวหารใช้วาทกรรม เพื่อประกาศวาทะเท่านั้น ไม่ได้มาประพฤติปฏิบัติอะไร ที่เป็นการบริหารประเทศ ที่เป็นรูปร่างอะไร เอาแต่ความคิดมาสร้างวาทกรรม เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า คือนโยบาย คือแนวความคิด คือกึ๋นของแต่ละคน

แล้วก็โม้กันไปบอกว่า นี่คือ ภูมิความรู้ ก็เหมือนกับยิ่งลักษณ์ที่ออกมาหาเสียง เวลาเป็นนายกฯแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างที่พูดเลย

การหาเสียงนั้น ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยที่แท้นั้น ประชาชนเขาจะรู้ว่าใครที่เหมาะควร มีฐานะอันควรที่จะขึ้นมาบริหารประเทศ คนนี้ควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี ใครควรจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหน ประชาชนจะรู้ความจริง

ประชาชนจะไปเลือกนายกรัฐมนตรี เลือกรัฐมนตรีเอง นั่นคือประชาธิปไตยจริง แต่นี่มันยังไม่ถึงกันหรอก อเมริกาก็ยังไม่ถึง จากการเลือกตั้งอย่างเดียวมาตัดสิน นายกรัฐมนตรี ก็ต้องให้ประชาชนเลือก แม้แต่คณะกรรมาธิการที่จะไปทำงานก็ตาม ก็ต้องให้ประชาชนเลือกทั้งนั้น ข้าราชการก็ต้องให้ประชาชนเลือก

 ถ้าจะเอาจริงๆอย่างประชาธิปไตยต้องใช้การเลือกตั้ง แต่ความจริงแล้วเป็นไปไม่ได้จึงต้องมีวิธีการซับซ้อน ในที่สุดก็ต้องมีรัฐประหารด้วย แล้วมีการบริหารให้เป็นประชาธิปไตย

ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ปฏิวัติรัฐประหารมา แล้วก็ทำงานมาถึงวันนี้ เห็นพลเอกประยุทธ์ทำงานเป็นประชาธิปไตยได้อย่างดีวันดีคืน มองตามประสาอาตมา

อาตมาไม่จำเป็นจะต้องไปประจบประแจงพล.อ.ประยุทธ์ แต่นี่พูดสัจจะความจริง ไม่จำเป็นต้องให้พลเอกประยุทธ์มาอนุมัติอะไรให้อาตมาเลย

ที่พูดมานี้ก็ ขอสรุปว่าประชาธิปไตยจริงๆ  กนฺตสีโลเอ๋ย มีความรู้ทางประชาธิปไตยสักแค่ อุจจาระเล็บ

พวกที่ออกมาพูดลอยๆตอนนี้ ถ้าเป็นยุคของจอมพลสฤษดิ์ไม่เหลือแล้ว แต่ มาตรา 44 ที่พลเอกประยุทธ์มีตอนนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์กว่าจอมพลสฤษดิ์ แต่พลเอกประยุทธ์ก็ใช้มาตรา 44 นี้อย่างประชาธิปไตย มันต้องมีอะไรที่ตัดไม้ข่มนามเพราะประชาธิปไตยที่ผ่านมา 84 ปีนี้มันเละเทะ ต้องมาแก้คืน ก็เห็นใจพลเอกประยุทธ์ที่เหน็ดเหนื่อย ยังไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีที่ไหน ตั้งแต่อายุมาถึงป่านนี้แล้ว ประชาธิปไตยเกิดมาตั้งแต่ปี 2475 นายกฯกี่คนก็พอเห็นมา ไม่เห็นนายกฯคนไหน ที่ทำได้เท่า เอาใจใส่เหน็ดเหนื่อยเอาภาระจริงๆจังๆ อย่างนายกฯพลเอกประยุทธ์

อาตมาไม่รู้ในรายละเอียดว่าพลเอกประยุทธ์จะเอาเวลาไปเที่ยว เอาเวลาไปผ่อนคลายหรือไม่ แต่เท่าที่ดูนั้นเอาใจใส่การงาน นอกจากจะเอาใจใส่การงานแล้วยังมีกึ๋น มีความรู้ความสามารถโดยภูมิรู้ของอาตมาแล้ว

อาตมาเองก็บริหารมา บริหารชุมชนบริหารบุคคล จนเกิดหมู่บ้านเกิดชุมชนเกิดวัฒนธรรม จนเกิดสังคม กลุ่มที่มีวัฒนธรรม การทำสัมมาชีพ สัมมากัมมันตะสัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มาอยู่เป็นหมู่เป็นหมู่กลุ่ม ชุมชน จนกระทั่งถึงขั้นสาธารณโภคี ที่ยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ เพราะคอมมิวนิสต์นั้นพยายาม รีดนาทาเร้นเข้าส่วนกลางมากๆ เขาก็ไม่ชอบกันเพราะในผู้ที่ทำงานได้มากๆก็ถูกรีดภาษีมาก เป็นเชิงบังคับ ก็รีดภาษีได้เยอะ

แต่ที่อาตมาทำ ไม่รีดภาษี แต่คนทำงานในชุมชนนี้เสียภาษี 100 เปอร์เซ็น ไม่ได้รีด ประชาชนเข้าใจ แล้วเต็มใจหรือจะจำใจก็แล้วแต่ เสียภาษี 100% อาตมาก็ไม่เคยหาเสียง แต่ว่าชักชวนก็เคยพูดบ้าง แต่จะไปเรียกร้องใครมาก็อาย เป็นอิสระเสรีภาพใครจะเข้ามาก็มา อาตมาทำอย่างประชาธิปไตยเต็มสภาพ เชื่อว่าถ้าทำประชาธิปไตยแล้ว ไม่มีประชาธิปไตยระบบไหนสู้ของพระพุทธเจ้าได้

พุทธเจ้าประกาศประชาธิปไตยมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ท่านตั้งธรรมนูญของท่านมาเลยเป็น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วพากันมาทำอย่างมีจารีตประเพณี มีวัฒนธรรม มีกฎระเบียบ มีวินัย จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

แล้วท่านก็เผยแพร่ลัทธิ ซึ่งตอนใหม่ๆก็ได้ลัทธิของท่าน ออกไปแต่ละแคว้น ท่านเป็นนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ให้มีสังคมอย่างนี้ แล้วท่านก็ได้ประชาชนมาเป็นสังคมประชาธิปไตย

คนที่เข้ารีตพระพุทธเจ้าคือชาวประชาธิปไตยทั้งนั้น

รับสมัครเป็น พุทธมามกะ คือคนที่มาเป็นมวลประชาชนของลัทธิพุทธ

มันซ้อนอยู่จนเกินกว่าแคว้นจนเกินกว่าประเทศ ถ้าไม่มีสถานที่ไม่มีแผ่นดินที่จำเพาะ แต่มีมวลชนเป็นกลุ่มๆหนึ่ง มีพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

เมื่อทำผิด ใช้กฎระเบียบในการบริหารก็คือ พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ภิกษุก็เหมือนข้าราชการ ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ช่วยกันบริหารศาสนาพุทธ บริหารลัทธิ บริหารประเทศที่ไม่ต้องตั้งคำว่าประเทศ ไม่ต้องตั้งคำว่ารัฐ แต่เป็นรัฐอิสระ ไปที่แคว้นไหน ประเทศไหน ก็มีคนของแคว้นนั้นประเทศนั้นมาเข้ารีตเป็นมวลประชาชนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าถามพระเจ้าแผ่นดินของประเทศนั้น หากคนของท่านเมื่อมาเข้ารีตของเรา ท่านจะเอาคนของท่านกลับคืนไปไหม ถ้าคนของท่านมาประพฤติปฏิบัติแบบนี้ ในสามัญผลสูตร พระพุทธเจ้าถามพระเจ้าอชาตศัตรู ว่าถ้าคนของท่านมาเข้าสู่ธรรมนูญของพระพุทธเจ้าจะเอาคืนไปไหม?

พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าไม่เอาคืนหรอก ถ้าประชาชนจะมาเป็นคนที่ดีอย่างนี้ให้ไปทำเลย ถ้าเขาสมัครใจจะเข้ารีตแล้วไปด้วยกับพระพุทธเจ้าก็เอาไปเลยถ้าเขาไม่ไปจะอยู่ในแคว้นนี้ต่อก็เป็นคนดีของแคว้นนี้เลย บวชแล้วเหมือนเป็นข้าราชการของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปกับพระพุทธเจ้าเลยไปเผยแพร่เพื่อขยายลัทธิของพุทธ รัฐพุทธ ออกไปประกาศหลักเกณฑ์วัฒนธรรม ประกาศธรรมนูญ ประกาศแนวคิดสังคมแบบนี้ สังคมพุทธ

ท่านกระทำได้สำเร็จ เป็นประชาธิปไตยอยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านมีรัฐอิสระของท่าน ซึ่งมันซ้อนอยู่ที่ว่าไม่มีสถานที่แต่มันมีตัวบุคคล

มีกฎหมาย มีธรรมนูญ มีหลักการหลักวิชา แล้วหลักเกณฑ์นี้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ ศีลและธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมายนะ แม้ทุกวันนี้ก็ยังศักดิ์สิทธิ์แต่เขาเข้าใจผิดไปแล้ว

อย่างเช่นในประเทศไทยมีศาสนาพุทธคนก็ยังเคารพมากกว่า แต่เขาเข้าใจผิดแล้ว ไปละเมิดซ้อนอยู่ในความเพี้ยน ออกนอกรีตไป มันออกไปนอกรีตนานแล้ว แต่ซ้อนในนั้นเขาก็ยังเคารพพระธรรมวินัย แต่เขาเคารพที่มันเพี้ยนไปแล้ว ที่จริงๆกลับไม่เอา

ในความเห็นของ กันตสีโลภิกขุ ก็เห็นตามโลกว่าเป็นรัฐประหาร 100% อาตมามาสนับสนุนรัฐประหารของคณะรัฐบาลนี้ ที่เขาก็ถือว่าเป็นคณะเผด็จการ

กันตสีโลภิกขุว่าอาตมาเป็นคนไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีความรู้ ซึ่งอาตมานั้นก็รู้ว่ามี คุณเองมีความรู้ ส่วนความรู้ของคุณ อาตมาถือว่าเป็นความรู้เล็กน้อย

แล้วหาว่าอาตมา ทิฏฐิวิบัติ จากอุดมการณ์อุดมคติ ขอยืนยันว่าคุณยังไม่เข้าใจความเห็น ทิฐิ ของอาตมาด้วยซ้ำ มันตื้นเกินไป

คำว่ากดขี่ข่มเหง อาตมาจะยกตัวอย่างการกดขี่ข่มเหงที่เลวร้ายที่สุดให้ฟังในศาสนาพุทธที่ชื่อว่า

สำนักธรรมกายเป็นสำนักที่กดขี่ข่มเหงซับซ้อนหลอกชาวโลกอย่างสนิทสนมที่สุด จนกระทั่งทุกคนกลายเป็นคนไม่มีทิฏฐิของตนเองเลย ครอบงำจนกระทั่งทิฏฐิวิบัติไปตามเจ้าสำนักแล้ว จะพาขึ้นเขาลงห้วยอะไร ลงนรก ขึ้นสวรรค์ขี้หมูขี้หมาอะไรไป ก็เชื่อหมด ขอยืนยันว่าสวรรค์ขี้เก๊ สวรรค์ขี้หมูขี้หมา สวรรค์ขี้หลอก

สวรรค์ของธรรมกาย คือนรกจกเปรต เพราะเป็นนรกที่เอาคำว่าเทวดาคือสวรรค์ 6 ชั้น เอาภาษา มาหลอกมนุษยชาติให้หลงใหล หลงโง่ หลงติดยึด หลงเพ้อพก สุดปลื้ม ให้เขาเชื่อคำหลอกให้หมดอย่างสนิทใจ ที่สุดเลย

นั่นแหละคือ การกดขี่ทางปัญญาให้เป็นคนไร้ปัญญา มีแต่ความหลงใหลและอวิชชาเต็มบ้องเลย เป็นการกดขี่ที่ใช้เลศเล่ห์หลอกลวงเพราะเป็นของดีงาม การจะหลอกคน เขาไม่เอาของเลวร้ายมาหลอกคนหรอก ไม่เอาหน้ายักษ์หน้ามารมาหลอก แต่เอาหน้าสวยหน้าหล่อหน้าดีงามมาหลอก แล้วเอาหน้ากากหลอกๆพวกนั้นมาแล้วประกาศว่า นี่คือความดี เขาก็เอาสิ่งที่ดีที่ตื้นๆมาหลอก

เขาไม่มีภูมิปัญญาจะเข้าใจหรอกว่า ศาสนาของฉันนั้นเป็นภพ ที่มนุษย์ติดยึด

มนุษย์ในโลกนั้นเกิดมาก็อวิชชา ติดยึดสวรรค์ 6 ชั้นนี้ทั้งนั้น แม้แต่ศาสนาอื่น เขาก็หลงในสวรรค์ 6 ชั้นนี้ คือสวรรค์แห่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นสุขทางกาม เป็นสุขทางอัตตา แล้วคนก็เพ้อฝันอยากได้สวรรค์นี้หมด ธรรมกายเอาสวรรค์นี้มาปั้นรูปแปลงโฉมหลอก จนกระทั่งคนหลงงมงายติดในสวรรค์ อยากได้สวรรค์ จมดิ่งอยู่กับสวรรค์ ชีวิตนี้มีแต่สวรรค์กับสวรรค์

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ล้างภพจบชาติ ล้างภพสวรรค์ ล้างนรก นรกไม่มีภพหรือภพที่มีมีแต่สวรรค์ 6 ชั้นที่มนุษย์ต้องการ แต่มีความโง่ที่ซ้อนอยู่กับสวรรค์หกชั้นนี่แหละคือนรก

อันดับแรกคือ เมื่อตายไปจะต้องได้ภพสวรรค์ ตายแล้วก็ต้องได้ภพสวรรค์ นี่คือโง่อันดับแรกที่สุด

ระดับรองลงมาคือการสั่งสม สวรรค์

อันดับรองลงมาคือผูกพันในสวรรค์

โง่อันดับต้นๆจริงๆก็คือสร้างจิตที่หวังในสวรรค์ เอานรกมาหลอกว่า ถ้าไม่ทำทานจะตกนรกอย่างนี้ ถ้ามาทำทานกับธรรมกายจะได้สวรรค์อย่างนี้ แล้วทำการสะกดจิต วิธีการสะกดจิตเพื่อการนั่งหลับตา ให้ปฏิบัตินั่งหลับตาสร้างบารมี ให้เบาเบาๆใสๆ อะไรก็ว่าไป คือการนิ่มนวลเอาอะไรตื้นๆมาหลอก อย่างอาตมานั้นจริงใจจริงจังไม่มีเสแสร้งเลย ซื่อจริง ไม่มีอิตถีภาวะเลย แต่อันนั้น นั้นจริตจะก้านกระเทยร้อยคนยังสู้ไม่ได้

พุทธเป็นเรื่องของปัญญา ในเรื่องของการทำทานกับศีล เป็นเหตุปัจจัยที่สามารถปฏิบัติ ก็มีทานกับศีลหรือทินนัง ยิฏฐัง สองอย่างนี้ ทำทานก็เพื่อจะให้ล้างภพล้างชาติ แต่ที่เขาทำสารพัดก็ทำทานไม่ได้ล้างภพล้างชาติ จะปฏิบัติศีลพรตก็ตามก็ต้องเพื่อให้ล้างภพล้างชาติ

ทินนัง ยิฏฐังก็เพื่อล้างภพล้างชาติ ถ้าล้างภพได้ ก็เป็นอัตถิทินนัง ถ้าทำยัญพิธีแล้วล้างภพได้ก็เป็นอัตถิยิฏฐัง แต่ถ้าไม่ได้ล้างภพล้างชาติได้เป็นนัตถิยิฏฐัง

แล้วตรวจสอบว่าสังเวยที่บวงสรวง ได้ทำทาน ได้ปฏิบัติศีลพรตแล้วจิตคุณได้ล้างภพล้างชาติออกไหม ? ถ้าได้ล้างก็อัตถิหุตัง ไม่ได้ล้างก็นัตถิหุตัง ก็ศึกษาด้วยกรรมของแต่ละคน สุกฏทุกตานังกัมมานังผลังวิปาโก กรรมวิบากสั่งสมให้เกิดผลสุขทุกข์

ก็ออกจากอยังโลโก โลกเก่ามาสู่ภพโลกุตระ ที่จริงโลกุตระนั้นไม่ใช่สร้างภพ แต่ใช้ภาษามาเรียก ที่จริงนั้นออกจากภพจากชาติ ไปอย่างอื่น ปรโลกต่างหากต่างจากโลกนี้ที่ติดยึดภพชาติ ที่คนอวิชชามาเป็นเหมือนกันแต่ไหน

เมื่อมารู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ถูกก็ได้หลุดพ้นโลก หมดภพชาติ นั่นคือจบ

มาตาก็ดีปิตาก็ดี สัตว์โอปปาติกะหรือจิตวิญญาณก็คือการล้างภพล้างชาติ

ในทิฏฐิ 10 อาตมาประกาศแล้วว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญาผู้นั้น ในข้อที่ 10 นี้ ที่ประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้รู้แจ้ง อย่างไม่เหมือนใคร สอนอย่างอาตมานี้สอนอยู่คนเดียว ไม่มีใครกล้าสอนอย่างนี้ หลายคนพอรู้แต่ไม่กล้าสอน แต่ต่อไปเขาบรรลุเป็นโสดาฯ สกิทาฯจริง ก็จะกล้าสอนอย่างอาตมา มีพวกเราที่ได้แล้วก็กล้า คนข้างนอกเขารู้เข้าใจขึ้น เพราะอาตมาเอาพระไตรปิฎกมายืนยันว่าอย่างนี้ๆ

 

ขออ่าน ของคนอื่นต่อ SMS 29 August 2016

_0893867xxx  นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชเมืองเรือขอให้น้ำอย่าล้นแม่มูน!ขอให้น้ำที่ท่วมไม่รั่วลงทะเล!ขอให้น้ำไหลเข้าเขื่อนเต็มทุกภาค!

ตอบ...ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาขอ มีแต่ทำให้เกิดจริงเป็นจริงตามนั้น

 

_ 0819643xxx  พระโพธิสัตวเคยเสียชีวิตตอนเด็กมั้ย

ตอบ...เคย อายุไม่ยาวยืนก็เสียชีวิตก่อน เจอวิบากปัจจุบันก็ตนเองพลาดก็เสียชีวิตก็มี ขยายความว่า โพธิสัตว์มีตั้งแต่ โสดาบัน สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ส่วนซึ่งเลยอรหันต์ไปคือโพธิสัตว์แท้ เป็นผู้ที่มาเพิ่มบารมีเพื่อต่อไปเป็นพระพุทธเจ้า

โสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง สกิทาคามีต่อมา อนาคามีต่อมา อรหันต์ก็จบกิจ ต่อจากจบกิจนั้นแล้วก็บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า

อรหันต์บางองค์จบกิจแล้วไม่ตั้งจิตต่อก็เลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ บางองค์ก็ต่อ บางองค์ก็พอแล้ว องค์ที่ต่อก็มีสิทธิ์เป็นระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด

อาตมาก็พูดตามภูมิของอาตมามาประกาศโพธิสัตว์ในเมืองไทย แล้วโพธิสัตว์เลอะเทอะในมหายานก็มากมาย 

 

_0893867xxx  กราบขอบคุณพ่อครูกับคำอธิบายชี้แนะธรรมะรรมในศาสนาาสนาอื่นให้ฟัง!เพราะมีชนหลายเชื้อชาติเริ่มสนใจพุทธศาสนาที่เข้าถึงจิตวิญญาณได้ลึกซึ้งที่สุด!

ตอบ...ศาสนาพุทธที่เข้าถึงจิตวิญญาณได้ลึกซึ้งที่สุด รู้หน้าที่ของจิตวิญญาณที่พัฒนา มาเป็นลำดับ สามารถทำให้จิตมีมโนกรรมเป็นประธาน มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐามโนมยา ได้ดีที่สุดคือจะเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นพระอรหันต์ก็เป็นผู้ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของตัวเองดีที่สุด  จบกิจ

 

_ 0893867xxx  ศ.อัลเบิร์ตไอน์สไตน์เคยกล่าวว่าพุทธศาสนาเป็นคำตอบสำหรับหลักการนี้กับประธานระธานองค์การพุทธศาสนาาสนาสัมพันธ์โลก!คงมีแต่พ่อครูที่เผยแพร่พุทธอเทวนิยมถูกตรงตามหลักการนี้ได้เพราะาสนาศาสนาอื่นเป็นพุทธเทวนิยมไม่ตรงกับไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้! าสนาศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาศาสนาแห่งสากลซึ่งล่วงพ้นจากความเชื่อในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าฤาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย... โดยมีหลักการที่จะต้องตั้งอยู่บนรากฐานของความศรัทธาที่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ในทุกๆด้านทั้งในด้านธรรมชาติและด้านจิตวิญญาณอย่างมีเหตุผล

ตอบ...อันนี้เป็นคำที่ไอน์สไตน์กล่าวไว้ ก็เป็นจริงเพราะไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ที่รู้ความหมายของศาสนาพุทธว่าคือเช่นไร

_0893867xxx  ขอถวายกำลังใจแด่พ่อครูฯอยู่เผยแพร่าสนาศาสนาพุทธอเทวนิยม ให้สาธุชนโลกประจักษ์ชัดในการเข้าถึงธรรมชาติจิตวิญญาณตรงตามหลักการที่ไอน์สไตน์กล่าวไป150ปีสาธุ! 

ตอบ...มาลดอายุอาตมาไป 1 ปีนะอาตมาจะอยู่ 151 ปี

 

_0811203xxx  กราบนมัสการพ่อครูค่ะ จากการที่ลูกได้ศึกษาฟังธรรมจากพ่อครูย่างปีที่สามแล้ว และได้ฝึกปฏิบัติตาม โดยเริ่มต้นจากการรักษาศีลห้าง่ายๆ กินอาหารมังสวิรัตบ่อยขึ้น ใช้ชีวิตเรียบง่ายทำเกษตรอินทรีย์ ไม่แต่งหน้า ไม่สะสมทรัพย์สินเหมือนก่อนแล้วค่ะ สำหรับการฝึกของลูกเวลานี้ คิดว่าการเลิกกินเนื้อสัตว์ เลิกกาแฟ เลิกแต่งตัวน่ะ ง่าย ง่ายกว่าการเลิกกับคู่ชีวิตเสียอีกค่ะ เป็นเพราะการยึดในตัวคนบุคคลและความโง่ใช่ไหมคะ ลูกถึงต้องได้แต่ปวดใจอย่างนี้ค่ะ

ตอบ...ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนตั้งตนเป็นคนโสดท่านเรียกว่าบัณฑิตผู้ฝักใฝ่เมถุนไปหาคู่ไปแต่งงานย่อมเศร้าหมอง จริงไหมล่ะ 

อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสโดยสากลโดยทั่วไป สำหรับคนที่แต่งงานกันแล้วก็ต้องอดทนถนอมน้ำใจกันไป ที่จะราบรื่นมากนั้น มันมีบารมี ของคู่ที่มาหลอกกันซ้ำซ้อน หนังใหม่ คนที่มีคู่บารมีที่ราบรื่นนั้นมันเป็นความรวมที่ซับซ้อน มาหลอกกันให้ติดยึดมากยิ่งกว่า กามนิตวาสิฏฐี ให้หลอกกันด้วยเกสรดอกไม้กับหยาดน้ำผึ้ง ดีต่อกันไปก็เลยตลอดชีวิตนี้ดีจังเลย ชาติหน้าต้องเกิดอีก ตายจากกันแล้วร้องห่มร้องไห้เจ็บปวดหัวใจ ตายจากกัน คนนี้ก็จะไปเจอกันอีก แต่ก็อาจจะไม่เจอก็ได้ เขาก็จะแสวงหากันในชาติต่อไปต่อไป เพื่อชาติต่อไปเขาเกิด แต่คู่อริ คู่พยาบาท คู่เวรคู่กรรม อาจจะมาถึงสองคน สามคนในชีวิตหน้า แล้วก็จะเจอกันแย่งชิงจะไม่ราบรื่นเหมือนกับชาติที่แล้ว ในชาติที่ราบรื่นและผูกพันธ์สนิทรักมากเมื่อไปเกิดในชาติต่อมา คู่ของเรานั้นไม่ใช่คนเดียว คู่เวรคู่กรรมนั้นมีเป็นล้าน คนทุกคนมีคู่เวรคู่กรรมเป็นล้าน คนที่เกิดมาไม่มีเวรกรรมนั้นก็เป็นกุศลไป แต่ชาติใดที่เกิดแล้วมีคู่เวรคู่กรรมมาแย่งชิงเป็นคู่อริกันอีกหลายชาติ ชาติที่มีคู่อริเกิดนี้คิดเอาเองว่าจะเกิดอะไรครับ

ผู้ใดที่ลดคู่เวรคู่กรรมไปในแต่ละชาตินั้นจะปลอดภัยจะได้เรื่อยๆ คนมารักเราก็ช่างหัวมัน เราลดให้ได้ก็แล้วกัน รักษาตัวรอดเป็นยอดดีให้ได้ อาตมาเคยพูดให้บอกว่า อาตมาจะพยายามปฏิบัติธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ในปางที่ตรัสรู้ไม่มีคู่ ไม่มีคู่เวรคู่กรรมมา จะพยายามหาทางรอดให้ได้ ชาติที่จะตรัสรู้นั้นจะไม่มีภรรยา ตั้งจิตไว้เช่นนั้น

ก็ขอให้พูดให้เค้าคิดให้สติไว้ว่า ชาตินี้ก็ถือว่าใช้หนี้เวรหนี้กรรมก็แล้วกัน ก็พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด จิตที่จะต้องไปหวงแหนไปทุกข์ถ้าเขาไปมีคนอื่น เรื่องเงินทองเรื่องเป็นอยู่ก็แล้วแต่ คนเรานั้นจิตใจของเราเอง แค่คนเดียวก็ยังตามใจเราไม่ได้หมด แล้วไปเอาอีกคนหนึ่งมาเป็นคู่ ซึ่งเขาว่าเหมือนคนๆเดียวกัน การแต่งงานไม่เหมือนคนๆเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นจิตใจของคนอีกคนมาผนึกกับของเรา ของเราเองยังตามใจจิตใจเราตนเองไม่ไหว แล้วไปเอามาอีกคนหนึ่งมันจะไหวหรือจ๊ะ มันหนัก พูดให้สำนึก

อาตมาไม่อยากให้ใครแต่งงานหรอก ผู้ใดไม่แต่งงานเป็นบัณฑิต ผู้ใดแต่งงานก็เศร้าหมอง

 

_0811203xxx  จากคำกล่าวที่ว่า ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนแสวงหาความสุขแต่ให้รู้จักความทุกข์ ตัวทุกข์ อาการของทุกข์และให้เรียนรู้เพื่อหาทางดับทุกข์ ตามความเข้าใจของลูกนะคะ แสดงว่าถ้าเรากำลังพบกับความทุกข์เราไม่ต้องหนีด้วยการหาสิ่งอื่นมาเสพสุขทดแทน แต่เราต้องอดทนอยู่กับความทุกข์นั้นอย่างมีสติด้วยความอดทนโดยไม่เอาตัวเราเข้าไปเป็นตัวทุกข์แล้วหาวิธีดับเหตุแห่งทุกข์เราจะได้กำไรล้วนๆ ลูกฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจค่ะแต่ยังไม่ชัด กราบนิมนต์พ่อครูช่วยขยายความและให้ทัศนะกับคำกล่าวนี้ด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ 

ตอบ...ถูกต้อง …หมดเลยที่คุณพูดมา เขียนมาขนาดนี้นี่ชัดนะ แต่ที่คุณพูดมาว่าไม่ชัด เพราะว่าคุณยังมีจิตที่ยังเป็นโลกีย์ๆอยู่ ก็เลยทำความเบลอๆ แต่ที่จริงคุณเขียนมาถูกหมด ที่บอกว่าไม่ชัดเพราะมีกิเลสอย่างโลกๆอยู่นะ

อาตมาบรรยายพูดมา 46 ปีแล้ว กำลังอธิบาย ทุกคำความ ก็คือที่คุณต้องการฟังนี่แหละเพราะฉะนั้นฟังต่อไป

 

_0893809xxx  มิจฉาสมาธิ หลับตาสมาธิถอดจิตได้เห็นรูปลักษณ์ทั้งปวงจึงมิใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่กลายเป็นทุกข์หนัก เพราะจิตหลอกลวงตัวเองโดยไม่รู้ตัว จึงเป็นการทำลายชะตาชีวิตอย่างน่าเสียดาย เมื่อจิตติดยึดเสียแล้วย่อมถอนออกจากความโง่เง่าได้ยากนัก 

ตอบ...การนั่งสมาธิหลับตาที่เรียกว่าถอดจิตได้เป็นอุปาทาน จิตของคุณไม่ได้ถอดไปไหนหรอก จิตของคนก็คือธาตุรู้ แต่เมื่อคนไปฟังอาจารย์คนไหนที่พูดบอกว่า ถอดจิตออกไปจากร่างนี้ไปที่นั่นที่นี่ ก็เป็นมโนมยอัตตา จิตนั้นไม่มีรูปร่างไม่มีสีสัน ตัวตน ไม่มีสรีระ จิตวิญญาณนั้นเป็นอาการ เป็นอาการเคลื่อนไหวของนามธรรม ไม่มีสีสันรูปร่าง เช่น จิตของคุณกำลังเศร้านั้น มันไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตนไม่มีหัว ไม่มีหางของความเศร้า แต่มันเป็นอาการของความเศร้า

คนกำลังดีสัตว์มันไม่ได้เป็นเทวดาที่ใส่เครื่องทรงสวยงามเลย มันเป็นลีลาของอาการความดีใจ คนที่ไปเข้าใจว่าจิตเป็นตัวตน เป็นเส้นแสง เป็นสรีระก็ไปนั่งปั้นแล้วเห็น เช่นเห็นจิตวิญญาณของผี เห็นจิตวิญญาณของเทวดาเป็นรูปร่างตัวตน

ความเห็นอย่างนั้นเป็นความเห็นทั่วไปของผู้ที่สอนสมาธิสอนจิตทั่วโลก ไม่เข้าใจก็นั่งหลับตาแล้วปั้นเป็นรูปร่าง เหมือนกำลังฝัน มันเป็นเรื่องจิตอุปาทานที่ปั้นเรื่องขึ้นมาเป็นรูปขึ้นมา นานมากแล้วสั่งสมติดภพ เป็นสัญชาตญาณ ติดรูปร่าง แม้ตรัสรู้เป็นอรหันต์แล้ว ก็ยังติดในสัญญา พระอรหันต์นอนหลับแล้วก็มีรูปมีร่างเกิดขึ้นสารพัดที่จะมีมันตกค้างอยู่ในสัญญา ธาตุอาการทั้งหมดมิจฉาทิฏฐิแล้วไม่ต้องการเป็นแต่มันตกค้างอยู่ มันเป็นสัญญา มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นอัตโนมัติ

อรหันต์นั้นไม่เรียกว่าฝัน แต่เรียกนิมิต ในนิมิตนั้นไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลง ส่วนมากถ้าเป็นสายเจโตจะมีน้อยหรือไม่มี แต่ถ้าเป็นสายปัญญาจะมีภาพนิมิตมากกว่า แล้วภาพนิมิตนั้นจะเป็นภาพนิมิตต่อเนื่องของวิชาการของธรรมะ ถ้าเข้าใจภาพนิมิตนี้ได้ เข้าใจสิ่งแทนว่าเป็นสิ่งอะไรได้ ถึงเรียกภาพนิมิตนี้ว่าเทวดา ก็เป็นภาพที่สิ่งนี้แทนธรรมะ

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ รู้แล้วก็ใช้ด้วยซ้ำ การนอนมี ตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นปิดหมด ก็ใช้อันนี้เป็นนิมิต นอนก็จะปรุงแต่งได้ดี แต่จริงๆแล้วก็ควรจะพักในการนอน แต่เมื่อปรุงแต่งก็จะไม่ได้พัก ต้องรู้จักพักรู้จักเพียร

คนที่เดาว่าถ้าอรหันต์นั้นหลับแล้วจะไม่ฝัน พวกฤาษีต่างๆสะกดจิตหลับตาลง ก็จะมีภาพที่เขาสร้าง ถ้าเขาไม่สร้างก็จะดับได้ แต่ถ้าดับได้เกินฤทธิ์ของเขาก็จะเกิดภาพขึ้นมา

การนั่งหลับตาแล้วไม่สัมมาทิฏฐิ หลับตาแล้วก็ไปพบเทวดา เป็นตัวเป็นตนจริงจังหมดเลย สายหลับตาแม้กระทั่งมีภาพของพระพุทธเจ้า เป็นเทวดาอย่างไรก็มีหมด อย่างเช่นอาจารย์มั่นก็เล่าออกมาเยอะแยะ เข้าสมาธิแล้วก็จะมีการสอนเทวดาพูดคุยกับเทวดา ตามบุคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสว่า นอนแล้วคุยกับเทวดา แต่ท่านไม่เคยพูดว่าเข้าสมาธิแล้วมีเทวดามา เพราะธรรมดาแล้วศาสนาพระพุทธเจ้าไม่มีเข้าหรือออกในสมาธิ สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาอย่าง Supra concentration

 

_0811203xxx  กำลังชมพ่อครูเทศอยู่ เห็นบรรยากาศญาติธรรมที่บ้านราชนั่งฟังด้วยอาการสงบอย่างตั้งใจในขณะที่ฝนฟ้าคนองหนักหนา รู้สึกพลังศรัทธาในหมู่กลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นค่ะ สาธุ แต่เป็นห่วงสุขภาพพ่อท่านค่ะไออีกแล้ว 

ตอบ...โรคอาตมาเป็นโรควิบากเกิดจากใช้คอ เป็นมาหลายชาติแล้ว กับโรคที่เหมือนมีเข็มแทงตามร่างกาย หนึ่งวิบากเก่าสองวิบากใหม่ แต่คนไปหาวิบากใหม่มานี่เยอะ วิบากเก่าก็มีเยอะแยะแล้ว

 

_นมัสการพ่อครูกระผมโชคดีที่ได้ฟังเทศจนมีความรู้สึกว่าขาดไม่ได้เลยครับกระผม ถึงแม้ว่ายังไม่เข้าใจเรื่องวิโมกข์กข์แปดและธรรมสองอยู่ครับ/

ตอบ... ก็ดีแล้วสนใจ ทุกวันนี้อาตมาไปที่ไหนก็จะมีคนมาบอกว่าเห็นแต่ในทีวี เข้ามาทักทายให้สัญญาณยิ้มแย้ม แสดงว่าได้ประโยชน์บ้าง แต่ถ้าคนที่เห็นว่าไม่ชอบใจไม่เข้าหูไม่เข้าใจ ดีไม่ดีหาว่าทำลายศาสนาก็ไปใหญ่ จะไม่ยิ้มทักเลย

 

_วิท เชียงใหม่... กราบนมัสการพระคุณเจ้า ลูกมีความสงสัยจะถาม เรื่องการสำเร็จมรรคผลเฉียบพลัน ไม่ต้องบำเพ็ญภาวนานศึกษาโดยการฟังธรรมสั้น ๆ แค่ประโยคเดียว อย่างเช่นพระอัญญาโกญทัญญะ พระพุทธองค์ บอกว่า สัพพานัง อนัตตา อีก 2 ทิวาตรีพระโกณทัญญะสำเร็จอรหันต์ดวงตาเห็นธรรมเป็นไปได้จริงไหมครับ

ตอบ…มีแต่พระพาหิยทารุจริยะที่ฟัง4ประโยคก็บรรลุ แต่คนอื่นฟังเป็นกัณฑ์ทั้งนั้น เรื่องการบรรลุนิพพานนั้นเป็นบารมีของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมาแล้วพอมาเจอพระพุทธเจ้า หรือเจอสัตบุรุษที่พูดธรรมะที่ตรงถูกต้องเลย ผู้ที่มีบารมีนั้นฟังแล้วก็เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ หรือบรรลุเฉียบพลันก็ได้ อาจจะหลายครั้งถึงจะต้องบรรลุ มันยังสายปัญญา สายมหายานที่เขาบอกว่ามีสัตว์โลกแล้วก็บรรลุเฉียบพลัน มันเป็นเรื่องที่หลงใหล น่าสงสาร พวกนี้เข้าใจผิดว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะบรรลุเฉียบพลันแล้วก็คิดเอาคิดเอาว่าจะได้บรรลุ แต่การคิดนั้นเป็นประกาศทั้งสิ้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุเลย ความรู้นะไม่ใช่ความคิด ปัญญาคือการรู้ความจริงตามความเป็นจริง ปัญญาของพระพุทธเจ้ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาตัวนี้ไม่ใช่แค่ความคิด แต่ปัญญาคือผลของความคิด ปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง

เช่นตากระทบรูป กระทบน้ำเต้านี้เห็นน้ำเต้านี้ ก็เป็นปัญญา เห็นทั้งข้างนอกข้างในครบทวาร ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ มัคคังคะ มีธัมมวิจัย สัมมาทิฏฐิ แล้วเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีองค์มรรค มีตา หู จมูก ลิ้น กายใจที่ครบครันตามปฏิจจสมุปบาท

คนที่ไม่มีบารมี อย่าไปคิดจะไปทำเช่นนั้น แต่ถ้ามีบารมีก็ไม่จำเป็นจะต้องทำ ถ้าจะบรรลุเพราะฟังธรรมะก็ฟังธรรมะไป คนที่บรรลุในสมัยพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีบารมี เป็นพระอัครมหาสาวก เป็นคณะบารมีที่จะมาช่วยสร้างศาสนาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะต้องมีครบ อาตมานั้นไม่อยากพูดอยากกล่าวถึงของอาตมา ถ้ามันจะเป็นจริงตามที่เป็นจริง ถ้าเป็นจริงมันจะต้องมีและมา ถ้าไม่จริงก็จะไม่มีแล้วไม่มา

อย่างเช่นอาตมาเกิดมาเป็นคน ก็มีคนที่เกิดมาในประเทศไทยร่วมกันเสริมสานทำงานไปก็มี ก็เคยกล่าวระบุกันบ้าง

สรุปแล้ว การบรรลุนิพพานนั้นเป็นบารมีส่วนตัว ถ้าคุณมีบารมีก็จะบรรลุได้ไม่วาระใดก็วาระหนึ่ง คุณอาจจะเป็นเนยยบุคคลที่จะต้องฟังธรรมแล้วเอาไปปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีกจนเหลืออีกนิดเดียว ขอฟังธรรมประโยคเดียวก็บรรลุได้  ไม่ใช่ว่าบรรลุเพราะฟังธรรมแค่ประโยคเดียว แต่เพราะว่าเคยฟังประโยคนี้มานานแล้ว เคยปฏิบัติมานานแล้ว จนฟังอีกแค่ประโยคเดียวก็บรรลุ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะพระพุทธเจ้ามีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่มีการปฏิบัติแบบตัดลัดขั้นตอน

 

_viseschachchaval Chachaha รูปข้างหลัง ทำให้มีรัศมี ทำให้เสื่อม คนหมั่นไส้

ตอบ...เป็นรูปสูญญุตา ที่จริงรูปนี้เป็นรูปที่อาตมาเขียนเอง มีตัวหนังสือว่าอโศก เป็นตราประทับของชาวอโศกเลย ในใบสุทธิของชาวอโศกก็มีตรานี้ประทับ มันไม่ใช่รัศมีอะไรเลย แต่แน่นอนแล้วก็คิดไปได้ถึงฉัพพรรณรังสีก็ไม่ใช่

อาตมาเจตนาให้เห็นว่าเป็นเส้นสายวุ่นวาย ไม่มีเจตนาทำทึบนะ มันสับสนซับซ้อนคือโลกีย์ ตรงกลางคือสุญญตา นี่คือเจตนาที่อาตมาเขียนสร้างขึ้นมา แล้วเขาก็ตั้งรูปนี้ให้ตรงที่อาตมานั่งพอดี คุณคนนี้ก็ให้ข้อคิดมา เขาก็ทำกันเอง อาตมาก็ว่าดูดีเข้าท่าเหมือนกัน

คนที่จะดูแล้วรู้สึกเหมือนคุณviseschachchaval Chachaha ก็น่าจะจริง แต่อาตมาก็จะขอนั่งอย่างนี้คุณจะรู้สึกหมั่นไส้ก็ทุกข์เอง ดีไม่ดีปั่นป่วนอาเจียนออกนะหมั่นไส้นี่ ก็สมน้ำหน้าคนหมั่นไส้เลย ยิ่งอาเจียนออกก็ยิ่งหมั่นไส้ มันเป็นอะไรนักหนา อาตมาดูวิเศษวิเสโสอะไรนักหนา ไม่ได้เจตนาเช่นนั้นเลย ก็เป็นไปตามเรื่อง ก็ขอบคุณ มีคนอย่างนั้นที่คุณทักท้วง แต่อาตมาก็ว่าไม่ต้องไปอะไรมากมายนัก ไม่ต้องบ้าจี้เกินไป อะไรท้วงหน่อยก็บ้าจี ขออภัยที่ไม่ได้ทำตามที่เรียกร้อง

 

_ของคุณ Master Taizen ทราบว่าพ่อครูประกาศเป็นนานาสังวาสกับมหานิกาย...แล้วได้ประกาศนานาสังวาสกับธรรมยุตินิกายหรือเปล่าครับ..(ทราบว่าพ่อครูบวชในสังกัดธรรมยุติ)..

..

เมื่อเป็นนานาสังวาสแล้ว..พ่อครูได้ประกาศชื่อของนิกายหรือเปล่า.

..

ถ้ามองในมุมสังฆเภท..การแตกนิกายใหม่ไม่น่าจะเข้าข่ายทำสังฆเภท..เพราะไม่ใช่การทำลายหมู่สงฆ์(สังคมอริยชน)..แต่เป็นการปฏิบัติบูชาตามพระธรรมวินัยในทัศนะและสภาวะของพ่อครู..จนเห็นผลปรากฏผลบวกเชิงประจักษ์แล้ว..ก็น่าจะมีชื่อนิกายกำกับที่ชัดเจน..มากกว่าคำว่าชาวอโศกเฉยๆ..

..กราบนมัสการถามมาด้วยความเคารพ.

ตอบ...เรื่องนิกายเป็นเรื่องใหญ่ อาตมาก็ขอพูดว่าจะไม่ข้องแวะไม่พูดอะไรกับใครในเรื่องความเป็นนิกาย เพราะการทำให้เกิดนิกาย ใครทำให้เกิดนิกายคนนั้นทำอนันตริยกรรม อาตมารู้ดีตั้งแต่ต้นแต่ไหนแต่ไร อาตมาจึงมิบังอาจจะมาทำนิกายเด็ดขาด ส่วนใครจะทำให้เกิดนิกาย แล้วหาว่าจะมาเป็นนิกาย มาพูดว่าจะมาเป็นนิกายหนึ่ง ใครกล่าวว่าจะมาเป็นนิกายหนึ่งคนนั้นกำลังทำนิกาย คนนั้นมีส่วนหรือเปล่าที่จะได้รับอนันตริยกรรมด้วย อาตมาไม่ได้ทำนิกายเลย อาตมาทำนานาสังวาส เอาไว้พูดพรุ่งนี้

 

_คุณTeera ขอโอกาสครับ เคยได้ยินพ่อครูพูดเปรียบเทียบ บุญนิยม(ประโยชน์สูง ประหยัดสุด) กับทุนนิยม (กำไรสูงสุด ต้นทุนต่ำสุด) ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ทั่วไปกับเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ...โปรดเมตตาขอทราบอีกครั้งครับ

ตอบ...ไว้ฟังพรุ่งนี้

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:41:53 )

590831

รายละเอียด

590831_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จิตว่าง 5 อย่าง

กลับเข้าไปสู่ของคุณ 4497 คือคำว่า “ว่าง”

คำว่า ว่างนี้ พูดกันมาก ในสายมหายาน ว่าจิตว่าง

อาตมาเคยแบ่ง ว่าง 5 อย่าง สมาธิอีก 4

  1. ว่างตามธรรมชาติ ธรรมชาติธรรมดาก็ต้องมีจิตว่าง อย่างท่านพุทธทาสก็มักพูดเสมอ แต่ไม่ใช่โลกุตรธรรม เป็นโลกียธรรม เป็นธรรมชาติแต่จิตคนไม่ค่อยว่างได้ง่ายๆหรอก ปุถุชน แต่มันมีบางเวลาว่าง แต่คุณจะไม่ค่อยทันมันเพราะจิตเร็วกว่าลิงอีก แต่ถ้าไม่ว่างเสียเลยก็ตายเลย เครื่องร้อนจี๋ระเบิดแน่
  2. ว่างมืด ว่างดำ อันนี้พวกหลับตานั่งเข้าไปในภพ ก็ดำ สายอาจารย์มั่น สายนิโรธดับ สุภกิณหา ดับดำ ส่วนผู้นั่งสมาธิก็ว่าง อีกว่างหนึ่ง
  3. ว่างสว่าง สายธรรมกาย สายท่านพุทธทาส สายติชนัทฮันห์ หรืออาจารย์เทียน สะอาดสว่างสงบอย่างนี้ ว่างแบบลืมตา สะกดลืมตาได้ อะไรก็ใสว่าง นี่ก็ว่างสว่าง
  4. ว่างของโลกุตระ คือเสขบุคคล คือกำจัดกิเลสออกจากจิตได้ ว่างโดยความจริง “ตถตา” ว่างไปตามลำดับ เริ่มว่างเป็นคราวๆ ก็เป็นมรรค พอว่างได้บริบูรณ์ก็เป็นผลไปตามลำดับ
  5. ว่างของอเสขบุคคล เป็นผลสมบูรณ์ คือว่างอย่างอรหันต์
  6. ถ้าจะแยกเป็น6 ก็คือเป็นผลสูงสุด แต่จะยากไป*อย่าไปแยกเลย เอาแค่*ว่าง 5 อย่าง

เราก็อ่านตัวเองว่าเราทำว่างแบบไหนกันทั้ง 6 อย่างนี้

สายดับนั้นหรือเรียกว่าอสัญญี  แต่อสัญญีเป็นคำกลาง

 แม้แต่ดับสว่างก็อสัญญี ดับสัญญาแต่ส่วนที่ไม่ดับก็ คือทำงานอย่างเฉกา ส่วนทีดับก็สะกดไว้เป็นส่วนที่เขาดับ อย่างลืมตาก็มี *

 

เมื่อไม่เข้าใจจิตว่างแต่อธิบายกันไป พระพุทธเจ้าตรัสว่าศาลานี้ว่างจากช้าง ศาลานี้ว่างจากคน ศาลานี้ว่างจากเสา คือเอาสิ่งที่จะเอาออกได้เป็นลำดับ

ในจุฬสุญตสูตร ล.14

[334]  พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า 

ดูกรอานนท์  แน่นอน  นั่นเธอสดับดีแล้ว  รับมาดีแล้ว  ใส่ใจดีแล้ว  ทรงจำไว้ดีแล้ว 

ดูกรอานนท์  ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้  เราอยู่มากด้วย สุญญตวิหารธรรม  เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้  ว่างเปล่าจากช้าง  โค  ม้า  และลาว่างเปล่าจากทองและเงิน  ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ  มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น  ฉันใด 

ดูกรอานนท์  ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล  ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน  ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ 

ใส่ใจแต่สิ่งเดียว  เฉพาะสัญญาว่าป่า  จิตของเธอย่อมแล่นไป  เลื่อมใสตั้งมั่น  และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า  ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้าน  และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย 

มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือ ภาวะเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้นเธอรู้ชัดว่า  สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้านสัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์  และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น

ด้วยอาการนี้แหละ  เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย  และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี 

ดูกรอานนท์  แม้อย่างนี้  ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด  บริสุทธิ์  ของภิกษุนั้น  ฯ

 

**สรุป คือเราว่างจากสิ่งที่ต้องไปพัวพัน ในโลก

 ความพัวพันผูกพันต่างจากสัมพันธ์ เราอยู่กับสังคมก็สัมพันธ์

 ถ้าทำงานร่วมกันก็สร้างสรรค์ร่วมกันจบงานเราก็จบ แม้แต่จะสร้างสิ่งดีงามประเสริฐ เราก็ไม่ยึดติดมาเป็นเราเป็นของเรา

 คนที่ยึดติดสิ่งที่ดีงามอยู่นั้นยังมีอัตตามานะ ยังยึดดีถือดีเป็นของเราเป็นเราอยู่

 ถ้าเราทำแล้วเราจะยึดติดหรือไม่ยึดติดกลับเป็นของเราไหม

 ก็เป็นของเรา

 แต่เราอย่าไปทำจิตว่า อย่าลืมนะ แต่ถ้าลืมมันจะเป็นของเราไหม

แม้ลืมว่าเราทำกรรมดีนี้ แต่ก็คือกรรมของเรา

แม้เราจะลืมแต่คนข้างนอกเขาเห็นนะ ก็จะรู้ เขาพยายามสอนกันว่า อย่าไปลืมบุญคุณ กตัญญูกตเวที ศาสนาไหนก็สอนกัน แล้วก็ต้องใช้ การตอบแทนกับการกตัญญูกตเวทีก็ต้องมีอยู่ในโลก มันไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไรมากมายแต่เป็นเรื่องดี

คนที่พูดถึงความเป็นกลางนั้นมีมากมาย ต่างๆนานา

 อาตมาเคยแยกแยะความเป็นกลางว่าต้องเข้าข้างคนดี แล้วแยกไว้ เป็นระดับ

 

  1. ความเป็นกลางตามยถากรรมตามธรรมชาติ
  2. โง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิดหรือถูกเลยก็เลยบอกว่าเป็นกลาง เมื่อไม่รู้อะไรถูกก็เลยไม่ช่วยอะไรใครไม่ได้ ไปเข้าข้างใครก็ไม่ได้
  3. กลัว กลัวจะเสื่อมลาภ เสื่อมยศเสียตำแหน่งเสียโลกธรรม กลัวจะเสีย ก็เลยบอกว่าตัวเองเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด
  4. มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิด (ซึ่งต่างจากความโง่ที่คืออวิชชาไม่รู้เรื่อง) การเห็นผิดมิจฉาทิฐิ เข้าใจผิดว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างฝ่ายไหน คนนี้ไปถูกครอบงำความคิด แม้จะรู้ว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด แต่ไปเข้าใจผิดมาว่าความเป็นกลางคือไม่เข้าข้างใครไม่เข้าข้างทั้งคนถูกหรือคนผิด นี่คือมิจฉาทิฏฐิ
  5. ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นคนที่ถูกไม่มีกำลังไม่มีพวก อย่างเช่นอาตมานี้ทำถูก แต่ไม่ค่อยมีหมู่พวก คนที่รู้ว่าอาตมาถูก ดี แต่กลัวเสียลาภยศ หรือไปเข้าใจผิดว่า เป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใครเลย

ถ้าเข้าใจถูกต้อง ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนที่ถูกต้อง ต้องเข้าข้างบัณฑิต มาอยู่กับบัณฑิต

นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องมีปัญญาเหมือนคนอยู่บนยอด มีปัญญาปาสาทิกะ มีปัญญาอยู่บนยอดปราสาท จะเข้าใจเห็นจริง

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86129

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfY3JHdWdETUJyOEk

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/26s22slte6p3/160831

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=6x_jSIhSf8Q

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:42:20 )

590831

รายละเอียด

590831_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จิตว่าง 5 อย่าง

พ่อครูว่า...เป็นไง สบายดีบ่ อากาศเย็น ฝนโปรยมาเย็นๆ คนทำงานที่ต้องการฝนก็ชื่นใจ คนที่ทำการงานที่ไม่ต้องการฝน ก็ชักจะไม่ค่อยสะดวก ตอนนี้หน้าฝนก็ให้เขาหน่อย เป็นธรรมดาของธรรมชาติ

เราอยู่ในประเทศไทย เรามีฝนหรือลม ดินน้ำลมไฟ ที่มันไม่เหมือนกับต่างประเทศ เขายังลมเฮอริเคน ลมทอร์นาโด เมืองไทยเรามีแต่ลมหัวกุด ภาคกลางเรียกลมบ้าหมู แต่ไม่ใหญ่เท่าทอร์นาโดหรือเฮอริเคน ยกตึกทำลายแหลกราญ น้ำก็ไม่โหด ขนาดสึนามิก็ไม่รู้กี่ร้อยปีมาที ไม่เหมือนประเทศอื่นน่าสงสาร

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของบารมี เราก็มาเลือกอยู่ถิ่นที่นี้ สัจจะเราเลือกไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าสั่งด้วย แต่เป็นไปตามกรรมให้พวกเรามารวมกัน

อาตมา ตอนนี้เขียนหนังสือบรรยาย ลึก จนพวกนักฉลาดทั้งหลาย จะหาว่าอาตมาโมเมชั่นหรือเปล่า ดำน้ำหรือไม่นะ

แต่จะหาว่าดำน้ำนั้น ก็มีสติสัมปชัญญะ แต่ มีปัญญาดำได้ลึกกว่าที่เขาจะคาดคิดถึง แต่ดำน้ำของจริงนั้นไม่ได้เท่าไหร่

นี่เป็นสัจจะที่ยากแก่การเข้าใจเป็นอจินไตยที่ค่อยๆว่าไป วันนี้วันพุธที่ 31 สิงหาคม 2559 แรม 13 ค่ำเดือน 9 เป็นวันโกน

วันนี้เรามีเรื่องที่จะต้องพูดอย่างสนุก เรื่องนิกายก็ยังไม่ได้พูด เรื่องนานาสังวาส จะบรรยายคำว่า กาย* กับคำว่า นิกาย* เรื่องความว่าง *

ก่อนจะได้ฟังก็มาอ่าน คำชมเขาหน่อย

ผู้เขียน ชื่อ ด็อกเตอร์ดี   เขียนมาว่า...พุทธแท้สันติอโศก ผมรู้จักสมณะโพธิรักษ์และชาวสันติอโศก ตั้งแต่เริ่มชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549

เพราะผมได้พึ่งพิงครัวชาวอโศก ไม่ได้ใกล้ชิดไม่สัมผัส ได้รู้จักได้ฟังธรรมะ ติดตามทาง FMTV จึงได้พบเห็น วิถีพุทธอันงดงามของชาวอโศก ที่มีท่านโพธิรักษ์ได้วางแนวทางมาตั้งแต่ต้น

 มันช่างแตกต่างจากข่าวสารในทางลบ ที่เคยได้ยินมาก่อนอย่างสิ้นเชิง

10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมสรุปได้ด้วยภูมิของตนว่า

ที่นี่สันติอโศกเท่านั้น ที่ทุกตารางนิ้วของหัวใจของคนชาวอโศก เลือกดำเนินชีวิต ก้าวตามคำสอนของพระพุทธองค์โดยแท้

โดยมีท่านพ่อครูโพธิรักษ์เป็นเสมือนผู้นำต้นแบบ ตามแบบอย่างของพระอรหันต์ของพระพุทธองค์ ที่ยังมีชีวิตและสัมผัสได้ ที่กำลังนำทำ ชี้แนะ ชี้นำคำสอนของพระพุทธองค์แท้ๆ เป็นเช่นไร พร้อมนำมาใช้ในสังคมจริงเช่นชาวอโศก ในรูปของสาธารณโภคี ได้อย่างประสบความสำเร็จแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน

บัดนี้พุทธเทียมกำลังจะล่มสลาย เหลือแต่พุทธแท้อย่างสันติอโศก ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ หลงลืม หรือเข้าใจผิด กำลังเติบใหญ่ ก้าวไกลนำหน้า และเป็นแบบอย่างสังคมแห่งพุทธแท้ ที่เป็นความหวังของคนที่อยู่ในสังคม ทั้งวันนี้และวันหน้า

ถึงไม่มีเหตุผลอันใด ที่ผมจะไม่ชม เชียร์ แชร์และไลน์กิจกรรมต่างๆของชาวสันติอโศก และบุญนิยมทีวี ถ้ามันทำให้คนรู้จักการทำความดีมากขึ้นทุกวัน

นักการเมืองสำหรับผมแล้ว ควรเป็นผู้ทรงคุณธรรมเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้เสียสละ เพื่อมาทำงานด้านการเมือง แล้วผมคิดและคาดว่าในอนาคต บุคคลที่จะเป็นนักการเมืองที่ชนทั้งชาติ พึ่งพาได้ น่าจะมาจากสังคมแห่งพุทธแท้อย่างสันติอโศกมากขึ้นเพราะสังคมต้องการนักการเมืองที่ละกิเลสได้เท่านั้นที่จะนำพาสังคมสู่ความสงบสุขได้

เราไม่สามารถพึ่งพานักการเมืองในปัจจุบันที่ต่างเข้ามาเพราะกิเลส เพื่อกอบโกย

คือเราไม่สามารถพึ่งพานักธุรกิจใหญ่ทั้งหลาย เพราะพวกเขามีกิเลสหนาอยู่แล้ว และจงรู้ไว้ว่าไม่มีนักธุรกิจใดที่ละกิเลส

นักการเมืองรู้ไหม? ว่าการโกงเป็นเรื่องผิด ตอบว่าทุกคนรู้ แต่ทำไมยังโกงอีก ตอบยังไงว่า เพราะเขามีกิเลส แต่ละจากกิเลสไม่ได้นั่นเอง

ถามต่อว่า แล้วนักการเมืองที่จะละกิเลสได้ควรเป็นเช่นใด?

นักการเมืองในอนาคต ที่จะละกิเลสได้ต้องได้รับการฝึก ให้อยู่ในศีลธรรม พึ่งพาตนและช่วยเหลือผู้อื่นมาตั้งแต่เด็กๆเท่านั้น ที่จะละกิเลสได้

หันดูรอบทิศทั่วไทยแล้ว มีที่เดียวที่ผมคิดว่าเป็นคำตอบได้คือ “สันติอโศก”

จากด็อกเตอร์ดี

พ่อครูตอบ

นานๆทีมีคนชมมาก็ฟังอย่างไพเราะ คนที่เป็น มาโซคิสได้รับคำด่าก็ยังชอบเลย คนที่เป็น ซาดิสซึ่ม ได้ทำคนอื่นให้เจ็บแสบด่าคนอื่นตนก็ชอบ เสียเงินทองเท่าไหร่ก็ไปดูเขาตีกันฆ่ากันชกกัน

 

ต่อของคุณ master taizen …..ทราบว่าพ่อครูประกาศเป็นนานาสังวาสกับมหานิกาย...แล้วได้ประกาศนานาสังวาสกับธรรมยุตินิกายหรือเปล่าครับ..(ทราบว่าพ่อครูบวชในสังกัดธรรมยุติ)..

..เมื่อเป็นนานาสังวาสแล้ว..พ่อครูได้ประกาศชื่อของนิกายหรือเปล่า.

..ถ้ามองในมุมสังฆเภท..การแตกนิกายใหม่ ไม่น่าจะเข้าข่ายทำสังฆเภท

..เพราะไม่ใช่การทำลายหมู่สงฆ์ (สังคมอริยชน)

..แต่เป็นการปฏิบัติบูชาตามพระธรรมวินัยในทัศนะและสภาวะของพ่อครู

..จนเห็นผลปรากฏผลบวกเชิงประจักษ์แล้ว

..ก็น่าจะมีชื่อนิกายกำกับที่ชัดเจน..มากกว่าคำว่าชาวอโศกเฉยๆ..

..กราบนมัสการถามมาด้วยความเคารพ.

ตอบ...อาตมาได้ประกาศ นานาสังวาส ไม่ใช่นิกาย

ขอยืนยันว่าคำว่า นิกาย นี้เป็นเรื่องร้ายแรงเป็น อนันตริยกรรม* คนที่ทำนิกายนั้นเขาไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจคำว่านิกาย

ธรรมกายแปลว่าธรรมะ 2 คือ รูปกับนาม ของสสารกับวิญญาณ* ไม่ใช่สสารกับพลังงานนะ

 ถ้าจะเป็นพลังงาน ก็ต้องเป็นพลังงานระดับ จิตนิยาม

คำว่านิ แปลว่า ไม่  นิกายคือผู้ที่มีกายไม่ใช่ธรรมกายไม่ใช่พรหมกาย

คำว่าพรหมกาย หรือธรรมกายคือพระพุทธเจ้า กาย นั้น คือองค์รวมทั้งหมดของคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะสอง

เมื่อกายมันแตกเด็ดขาดจึงเป็น นิกาย

อาตมาไม่ใช่นักศึกษาค้นคว้า แต่ยุคนี้ในไทย ท่านประยุทธ์ ปยุตฺโต หรือท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านเป็นยอดนักศึกษา ท่านซื่อตรงต่อการศึกษาได้บันทึกไว้

 อาตมาก็ได้ประโยชน์มากจากการเก็บรวบรวมค้นคว้าของท่าน อาตมาก็ไม่มีเวลาทำแบบท่าน ก็ขอบคุณท่านมากจริงๆ

ในยุคนี้มีสองประยุทธ์ ประยุทธ์ทางธรรมะต้องขอบคุณท่านปยุตอย่างมากจริงๆ ทางด้านการเมืองก็ขอบคุณประยุทธ์อย่างมาก

คำว่าประยุทธ์แปลว่าการรบ แล้วเป็นการรบสองด้านนี้ อันนี้เป็นเรื่องอจินไตยของอาตมาใครอย่ามาใช้ด้วย เป็นเรื่องของรูปกับนามที่จะลงตัว

พระสมณโคดม ต้องมีอัครสาวก ชื่อโมคคัลลานะกับสารีบุตร ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ ทุกอย่างเป็นอจินไตยที่สุดยอด ไม่มีผิด

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพระพุทธเจ้ากับพระอัครสาวกจึงเป็นคนอินเดีย ชื่อเป็นบาลีหมด ก็แค่ภาษาบาลีที่ยกมานี้ก็มากมายแล้ว ภาษาอื่นไม่รู้เรื่องกันจะเอามาพูดทำไม ก็เอาเท่าที่รู้ แล้วก็พูดก็จบไม่ต้องสงสัยอะไรอีก ให้รับรู้ร่วมกันได้ก็จบ

มาเข้าหาคำว่ากาย

ผู้ที่ทำ นิกาย ก็ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า เช่น นิกายของพุทธ ใครเป็นนิกายที่บอกว่าปาราชิกก็ยังละเมิด เช่นพระมีเมียได้ มันเป็นปาราชิกแล้ว ไปตั้งบอกว่าพระมีเมียได้..ได้อย่างไร? นิกายของพุทธนี้ก็มีอยู่ แล้วจะให้เราไปคบคุ้นสังสรรค์กับเขาได้อย่างไร ดีไม่ดีเขาเอาเมียมาด้วย แล้วจะไปรับไหว้กันอย่างไร อย่างนี้มันไม่ได้ ยกตัวอย่างถึงจะไม่หยาบเท่านี้ ก็ต้องอยู่ในขอบเขตพอสมควร เรื่องนิกายจึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

อย่างเช่นธรรมยุตกับมหานิกายก็ยังถือปาราชิก มีพระวินัยที่เป็นบทลงโทษ แต่ศีลนั้นไม่มีบทลงโทษแต่เป็นหลักปฏิบัติ

​ถ้าไม่เข้าใจในลึกซึ้งก็จะทำเลอะเทอะไปหมด

เช่นความเข้าใจของคำว่ากายจะต้องมีทั้งรูปทั้งนาม จะต้องมีทั้งภายนอกและภายในอยู่เสมอร่วมกัน จะเน้นภายนอกหรือจะเน้นภายในเป็นครั้งคราว แต่ก็ต้องมี 2 ส่วนร่วมกันเสมอ เป็นธรรมะ 2  ถ้าไม่เช่นนั้นก็แหว่ง ไม่ครบสัจจะ ถ้าใช้ธรรมะก็ต้องเป็นธรรมะสองที่เป็นสัจจะ ครบสองเสมอ

เมื่อคำว่ากายมาเป็นภาษาไทย แล้วเป็นคำไทยที่สนิทสนมมาก อย่างเพี้ยนผิด ไปเป็นกายที่เป็นแค่ธาตุอุตุนิยาม

 แม้พีชะก็ไม่ค่อยเรียกว่า กาย เขาก็ไม่เรียก เช่นลูกฟักข้าว ลูกแก้วมังกร ก็ไม่เรียกกาย เช่น กายน้ำเต้า กายแก้วมังกร ก็ไม่เรียก

พระพุทธเจ้าเน้นว่า *กาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ  *กายจึงเน้นไปทาง*นามธรรม*เป็นสำคัญ

 แต่พี่ไทยเน้น กายออกไปข้างนอก เป็นรูปที่ เป็น มหาภูตรูปหมดเลย

กายกลิ กายปัสสัทธิ กายปาคุญญตา กายต่างนานา จึงเข้าใจไม่ได้

ทำกายผิด แม้แต่กายกรรม ก็เอาเฉพาะข้างนอก

พืชไม่มีกรรม กรรมนี่เป็นของสัตว์ สัตว์เดรัจฉานนั้นพูดไม่รู้เรื่อง คนมีกายกรรม วจีกรรมก็ต้องมีจิตควบคุมทั้งนั้น เพราะฉะนั้น กายวิญญัติ วจีวิญญัติในรูป 28 จึงมีสองภาค

ภาคหนึ่งอยู่ข้างนอก เรียกว่า กายวิญญัติ วจีวิญญัติ อีกภาคหนึ่งอยู่ข้างใน รวมในวิการรูป 5 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ที่คุณต้องเรียน รูป 28 นี้ ต้องเรียนวิการรูป 5 ที่รวมกายวิญญัติ วจีวิญญัติด้วย (หมายเอาข้างนอก ) แต่คนไทยไปหมายแค่กายกับวจีกรรมในกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่จริงต้องเกี่ยวแต่เน้นข้างนอก

จึงมีสอง คือวิญญัติรูป 2 แล้ว แต่วิการรูป 5 จึงมีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา แล้วรวม กายวิญญัติ วจีวิญญัติด้วย

 

ยกตัวอย่างเช่นว่า “กายกลิ” มันต้องหมายถึงจิตเจตสิก คือองค์ประชุมของรูปนามที่เป็นกิเลส เช่นสักกายะ ตัวที่หนึ่งหยาบเลย คุณต้องอ่านตัวตน องค์ประชุมตัวแรกของสังโยชน์ข้อ 1 เลย ต้องอ่านอาการออก เป็นกายกลิที่คุณจะต้องกำจัด เมื่อคุณกำจัดได้ องค์ประชุมของรูปนามของคุณจึงเก่งขึ้น เป็นกายปาคุญญตา

เป็นความคล่องแคล่วของเวทนาสัญญาสังขาร เป็นความเร็วไว ความแคล่วคล่องคืออะไร  คือ มุทุธาตุ เป็นธาตุที่ว่องไวคล่องแคล่วปราดเปรียว ทั้งเชิงปัญญาทั้งเชิงเจโต ว่องไวปราดเปรียวทั้งคู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าปฏิบัติอย่างสมาธิที่จะได้ 2 อย่างนี้ซ้อนอย่างได้สัดส่วน กายกัมมัญญตา คือการงานที่มีเวทนา สัญญา สังขารเข้าไปร่วมทำงาน ได้อย่างเหมาะควร เพราะควบคุมด้วยปัญญา ที่ทำงานอย่างวิเศษคือ  อัญญา  อย่างเช่นคุณสิริอัญญา ก็หมายถึงปัญญาที่ลึกซึ้ง

เราพาดพิงปัญญาก็อยากจะขยายความ คำว่า ปัญญา กับ สัญญา

ถ้าอยู่ภายนอก ในขณะที่คุณใช้พลังงานความรู้ระดับสัญญา สัญญาจะทำงานภายใน แต่ปัญญานั้นเป็นพลังงานที่รวบรวมความรู้ทั้งหมดมาเป็นปัญญา มาเป็นความรู้มันเป็นความรู้ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งสมมุติ และปรมัตถ์ เป็นตัวที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงครบครัน แล้วก็เอามาใช้ภายนอกได้อย่างเต็มที่ ก็เลยเรียกข้างนอกว่าเป็นปัญญา แต่แท้จริงในปัญญานั้นจะต้องมีสัญญากำหนดรู้ แต่กำหนดรู้อย่างครบเครื่องเลยเรียกว่าปัญญา แต่ถ้ากำหนดรู้แต่ภายใน เรียกว่าสัญญา จริงๆก็แถมออกมาข้างนอกบ้างแต่ก็เน้นภายใน

สัญญาที่คนเรายากจะรู้มากที่สุดก็คือ การนั่งหลับตาสะกดจิต เขาก็สะกดจิตลงไปแล้วก็ดับจิต เรียกว่านิโรธ เขาจับให้ไม่รู้ทั้งเวทนา สัญญา สังขาร สัญญาของเขาก็ถูกสะกดจิตไว้ คนที่ฝึกอย่างนี้ได้เก่ง จิตใจก็เลยติดยึดอย่างนี้เป็นความสามารถ เขาก็สะกดจิตให้นิ่งได้เลยนะ แล้วแต่ความสามารถของใครก็ทำได้ แต่ในเวลาลืมตาเขามีสติออกมาทำงาน มีสติสัมปชัญญะ แต่ถ้าเป็นสติของคนที่ทำงานอย่างสะกดจิตไว้ ตัวรู้ตัวนั้นมะมันไม่ใช่ปัญญาเป็นเฉกา เป็นความฉลาดนะแต่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะปัญญา แต่เป็นสติสัมปชัญญะเฉกา โดยตรงเขาก็ไม่มีปัญญา แต่ใช้ความฉลาดที่อวิชชาทำงานเก่งขึ้น อวิชชาเก่งขึ้นฉลาดขึ้น เหมือนยังกะธัมมชโยหรือทักษิณ คนเก่งขึ้นแล้วก็ออกมาทำงานมีสติ

เราเรียกสติว่ารู้ตัวทั่วพร้อมทั้งภายนอกและภายใน มีพลังงานที่เป็นไฟฌาน สัมปชลิตะ พลังงานพวกนี้สร้างได้อย่างสำคัญ คนที่เรียนไม่รู้เรื่องไม่จริงมันสร้างไม่ได้ สร้างไม่เป็น แล้วหลงใหลหลงผิดไปใช้พลังงานที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นของดีแต่กลับไปทุ่มโถมสร้างให้มันมีมาก ก็เลยยิ่งวิเศษทั้งที่ไม่วิเศษเลย แต่คือวิบัติ วินาศก็ได้ มีพลังงานอำนาจมากเก่ง

คนอวิชชาจึงทำงานฉลาดเหมือนคนมีปัญญา แต่ตัวฉลาดนั้นเป็นตัวเฉกา

สรุปตรงนี้ว่าผู้นั่งหลับตาสะกดจิตจนเก่งมากใช้สติสัมปชัญญะเฉกาออกมาข้างนอกได้ ไม่ใช่สติสัมปชัญญะปัญญา จึงทำงานได้โดยที่คนเขาจะไม่เข้าใจได้ง่ายๆเลย เมื่อไม่เข้าใจธรรมะสองที่เป็นรูปเป็นนาม แนวปฏิบัติผิดก็ไม่รู้ข้อปฏิบัติเฉกาไม่มีปัญญา

ก็เกิดจากธรรมะ 2  คือกาย เมื่อแยกไม่ออก ก็เลยเดี่ยวโด่ไปหาตัวชั่ว ความชั่วจึงทำชั่วได้เก่งกว่าความดี จึงเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดที่เป็นจริง เพราะความชั่วนั้นทำเดี่ยวๆจึงเป็นพลังงานรวมได้ แต่ความดีนั้นจะมีสองเสมอ ความชั่วทำเดี่ยวๆไปเลยซึ่งมีพลังแรงพลังจัดจ้านทำความชั่วได้มาก ความดีจึงต้องรวมกันให้มาก

มันซ้อนที่ว่าคนชั่วร่วมกันอย่างไรก็เห็นแก่ตัว แต่คนดีมันไม่มีความเห็นแก่ตัวยิ่งรวมตัวกันยิ่งจะเป็นหนึ่งเดียว แต่ก็เป็นพลังงานรวม แต่ชั่วเป็นพลังงานเดี่ยวนะ

พลังดีหรือพลังสัจธรรมจึงต้องรวมกันเสมอ อย่าแตกกันทีเดียวพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่าการแตกกลุ่มสงฆ์ออกไปเป็นสังฆเภทจึงเลวร้ายมากนะ มันเสียหายมากนัก รวมกันก็ไม่ง่ายแล้วก็สู้เดี่ยวๆไม่ได้ด้วย การสร้างนิกายจึงเลวร้ายที่สุด อาตมารู้อนันตริยกรรม พระเทวทัตจึงไม่สามารถเป็นสัมมาสัมพุทธะได้ เป็นได้แค่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ นอกจากนั้นยังบังอาจประกาศเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้าอีก จึงได้เป็นแค่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่คือเรื่องนิกาย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก

 

นานาสังวาส(สังวาส-ร่วม) (นานา-แตกต่าง) คนไม่ค่อยเข้าใจ อย่างพวกเรานี้ พระข้างนอกมาร่วมกับเรา เราจะต้องซักไซ้ไล่เรียงก่อน เมื่อจะทำสังฆกรรม ง่ายๆ เช่นร่วมฟังปาติโมกข์ พระเมืองไทยนี้ปาติโมกข์อันเดียวกัน ท่องทุก 15 วันเป็นกฏหมายที่ต้องมีนะ ส่วนศีลนั้นเป็นหลักเกณฑ์ของผู้ดี แต่วินัยนั้นทำผิดก็ถูกลงโทษ หนักถึงปาราชิกก็ได้

พระข้างนอกมาถ้าจะมาร่วมสังฆกรรมกับเราเราต้องซักถามว่ามีนิสสัคคิยปาจิตตีย์หรือไม่ มีเงินมีทองพกมาหรือไม่ เราก็ไม่เอาเข้มงวดถึงกับว่ายินดีในเงินทองฝากไว้ที่ไหนหรือไม่ จะมาร่วมกับพวกเรานี่ เราอนุโลมเข้าฟังปาติโมกข์ร่วมกันได้ถ้าคุณมาแล้วสะอาดไม่มีนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ไม่มีเงินทองสะสมในตู้ ถ้าถึงขนาดพกเมียมาด้วย เราจะไปสังสรรค์ร่วมได้อย่างไร แต่ถ้าศาสนาพุทธเปิดกว้างรับหมดเลย แม้แต่ในสังคมสงฆ์ของเมืองไทยกันเอง บอกตรงๆเลย บางคณะบางคนปาราชิกแล้ว เราก็ไม่ร่วมด้วย นอกจากว่างานที่ไม่เกี่ยวกับงานศาสนา เป็นงานสังสรรค์บางทีก็อนุโลมได้ แต่ก็ยากเพราะว่าเราเองจะต้องระมัดระวังมาก คนปาราชิกเราไม่ให้โอกาสเขาได้ธรรมะ มันไม่ง่ายนะ เพราะถ้าเราไปร่วมแล้วเกิดมีสมีร่วมในวงด้วย แล้วเขานิมนต์เทศนาธรรมะเราจะทำอย่างไร ให้สมีฟังไม่ได้ ได้ยินไม่ได้ต้องตัดขาดลงโทษหนักตลอดชาติเลย แต่ในเมืองไทยสมีมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องธรรมะด้วย เขาจะไปเห็นโทษนักหนาได้อย่างไรในเรื่องของปาราชิก

ปาราชิกหนักกว่าพรหมทัณฑ์ที่ไม่สอนแค่นั้น ไม่บอกไม่สอน แต่ปาราชิกนั้นโทษสูงกว่าพรหมทัณฑ์ที่ไม่ให้โอกาสรับธรรมะตลอดชาตินี้เลย เราอยู่กับสังคมก็ต้องใช้อนุโลมปฏิโลมไป

เรานานาสังวาสก็นานาสังวาสทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ร่วมกันในส่วนที่ร่วมได้  และบางทีมารวมกันแล้วก็รวมตัวกันได้ดีเราก็ทำพิธีรับเข้าหมู่ได้

ข้างนอกเขาบวชกันก็ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องศีลนัก แต่ของเราบวชทุกรูปต้องรับจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

แล้วจะไปประกาศชื่อนิกายได้อย่างไร เราเป็นแค่นานาสังวาส ที่จริงสันติอโศกคือพุทธสถาน เราเรียกพวกเราว่าชาวอโศก อย่างเช่นศาสนาอิสลาม เขาเรียกตนเองว่าชาวมุสลิม แต่สันติอโศกคือชื่อพุทธสถานที่อยู่ในกรุงเทพ เราไม่ได้เรียกตัวเองว่านิกาย อย่ามาเรียกว่า นิกายอโศกนะ ไม่ยอม

คุณคนนี้บอกว่าถ้ามองในมุมสังฆเภท การแตกนิกายใหม่ไม่น่าเรียกสังฆเภทนั้น คุณจะไปตีกลับวนไปวนมาไม่ได้ การทำสังฆเภททำให้เป็นนิกาย แต่ทำนานาสังวาสไม่ได้ทำให้แตก นิกายนั้นต้องสึกนะถ้าจะข้ามนิกาย แต่นานาสังวาสนั้นไม่ต้องสึกนะ ถ้าจะมาเปลี่ยนแปลงความนับถือ เช่นมาปฏิบัติร่วมกันจนแน่ใจว่าจะเข้าหมู่ใหม่ ก็ให้หมู่ยอมรับกัน แต่ถ้ามีพระอันดับในพิธีรูปใดรูปหนึ่งไม่ยอมรับก็เข้าหมู่ไม่ได้ ต้องเป็นเอกฉันท์ในการรับเข้าหมู่ เราซักจริงๆ ไม่ใช่แค่บอกนัตถิ 5 อามะ 8 มันเป็นวิบัติแล้ว พูดถามกับพูดตอบก็ไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีก็โกหก ถามว่าเป็นข้าราชการหรือเปล่า ก็บอกว่า นัตถิภันเต ทั้งที่ยังเป็นข้าราชการอยู่ บางทีให้ทางบ้านรับเงินเดือนก็มี

คนที่ถามมานี้เข้าใจไขว้ๆ เข้าใจคำว่านิกายไม่ถูกต้อง

 

_คุณ Teera….ขอโอกาสครับ เคยได้ยินพ่อครูพูดเปรียบเทียบ บุญนิยม(ประโยชน์สูง ประหยัดสุด) กับทุนนิยม (กำไรสูงสุด ต้นทุนต่ำสุด) ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ทั่วไปกับเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ...โปรดเมตตาขอทราบอีกครั้งครับ

ตอบ...อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของชีวิตเลย กิน อยู่ หลับ นอนใช้ชีวิตจนถึงตาย อาตมาก็ค่อยๆอธิบาย อาตมาเคยเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ ไปต่อทะเบียนแต่ไม่ได้เรียน เป็นไปตามวิบาก

 

_Sms 30 August 2016

0844497xxx เจ้าสำนักและเจ้าลัทธิต่างพากันโหมกระพือแสดงอวดตนว่าเป็นผู้รู้ ใช้ปากพูดถึง "ความว่าง" โดยที่ "สภาวะแห่งจิต" ไม่เคยพบความว่างเลย ประกาศความเป็นใหญ่ด้วยปากแต่แท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีโอกาศเป็นผู้ใช้"ปัญญา"

ตอบ...

0844497xxx กตัญญุตา จงตั้งใจจริงมุ่งมั่นบำเพ็ญ ประคองรักษาจิตธรรมให้บริสุทธิ์หมดจด หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ หยุดการเวียนว่าย ยิ่งต้องสงบ สว่าง ชีวิตจิตญาณ ระมัดระวังวินาทีของลมหายใจฉุดช่วยตน ฉุดช่วยเวไนย ต้องลงแส้ม้าตีฝ่าอุปสรรคของตน เพื่อก้าวเดินบนหนทางธรรม

0844497xxx การบำเพ็ญต้องรู้ย้อนมองส่องตนแก้ไขตนมิใช่ไปแก้ไขผู้อื่นหนา ทุกสิ่งนั้นล้วนเกิดดับจากใจดวงนี้ บำเพ็ญธรรมจริงจัง ขัดเกลาจิตใจ รู้เท่าทันกิเลสในใจตนและหยุดลงได้ มิให้ก่อเกิด

0844497xxx ใจคนดุจดั่งลิง มิหยุดนิ่งแม้เสี้ยวนาที บางคราวดั่งเทพเทวา บางคราดั่งผีนรก จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง "บำเพ็ญแท้ แต่สุดท้ายพ่ายอารมณ์"สูญเสียเปล่า น่าเสียดายเป็นยิ่งนัก

ตอบ...สำหรับปุถุชนใจคนดุจดั่งลิง ก็ใช่แล้ว

แต่สำหรับอาริยชนนั้น จิตใจมีความเร็วของสติ สัมปชัญญะ ปัญญา เร็วทันใจ คุณสามารถที่จะจับใจของตนเองได้ แล้วหยุดส่วนที่จะให้หยุดได้

ส่วนที่จะให้ทำงานก็ให้ทำงานได้ จึงเร็วกว่าลิง เร็วกว่าจิตลิง ส่วนจิตของปุถุชนไม่ได้ศึกษานั้นควบคุมไม่ได้ ส่วนผู้ศึกษาแล้วควบคุมจิตตัวเองได้ ส่วนจะเร็วไวเท่าไหร่ขึ้นกับบารมี

จิตใจไม่หยุดนิ่งยิ่งกว่าเสี้ยววินาที สำหรับปุถุชน ถ้าเข้าใจจิตเทวดา สมมุติเทพ อุบัติเทพ ผีนรกคืออะไร

ผีนรกหยาบที่สุดไม่เข้าข่ายอาริยะ คือนรก อปายะ คืออบายมุข คือหัวหน้านรกเลย ผู้ที่เป็นโสดาบันคือผู้พ้นอบายภูมิ ความหยาบระดับอบายภูมิที่โสดาบันทำได้ คือในกามภูมิ หรือกามาวจรนั้นไม่มีความผิดตามสังคมสมมุติสัจจะแล้ว จะมีหลักเกณฑ์วัฒนธรรมกฏหมายไม่ผิดข้างนอก แต่ข้างในยังดื้อดึงอยู่บ้าง สำหรับสกิทาคามีก็แรงแต่ระงับได้ อนาคามีจะไม่แรงมีแต่ภายในไม่ออกมาข้างนอกแน่นอน

จะรู้ถึงอาการ รู้น้ำหนักของจิตเราที่แรงหรือเบา ทำได้หรือไม่ได้ จึงไม่เชื่อเรื่องงมงาย หรือความลึกลับจัดเป็นเรื่องลึกซึ้ง ลึกล้ำ เป็นเรื่องชัดเจนเป็นเรื่องแท้และเป็นเรื่องเป็นจริง บอกว่าใจคนดังลิงนั้นถูกต้อง สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชนยังไม่บรรลุ แต่ผู้ที่บรรลุแล้ว ใจของท่านนั้นท่านควบคุมได้ก็ทำได้ตามบารมี

ผู้ที่เข้าใจว่าจะต้องดูลมหายใจตนเอง คนนั้นจะใช้ลมหายใจเมื่อถึงคราวว่าจะต้องใช้ความแคบ ความเล็ก ความละเอียดสำหรับตน แต่ถ้าปกติแล้ว ไม่ต้องไปกังวลถึงลมหายใจ แต่จะรู้ถึงดิน น้ำไฟ ลมทั้งหมด ลมหายใจก็คือส่วนหนึ่งของมหาภูตรูป

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าจะขาดรูปทั้ง 4 นี้ไม่ได้ คือดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูป 4 ส่วนอุปาทายรูปมี 24 เริ่มตั้งแต่

ปสาทรูป 5 แล้วทำงานเป็นโคจรรูปอีก 5 จะเกิดภาวะที่ 6 ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ก็ไม่เต็มเต็งจึงเรียกว่า 9 (5+5=9) ไม่อธิบายต่อก็รู้นะ เพราะทำงานร่วมกันจึงไม่นับเป็น 10 คนไม่มีสภาวะจะงงว่าทำไม 9 เพราะว่าครึ่งหนึ่งนอกครึ่งหนึ่งใน ถ้ามีแต่จิตไม่มีนอกก็ไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย จะใช้ตาก็ใช้นอกและในอย่างละครึ่ง หู จมูก ลิ้น กาย ก็เช่นกัน ต้องเรียนรู้รูป 24 นี้ จิตจะละเอียดรู้ เจตสิก 52 จิต 89 หรือก็เป็นจำนวนหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ร่วมกับรูปทั้งนั้น

แต่อภิธรรมที่เรียนกันไปสำคัญที่จิตหมด แต่ไม่รู้รูปทำงานร่วมกันอย่างไรไม่รู้เรื่อง สำนักอภิธรรมที่พูดกัน แม้แต่อ.สุจินต์ บริหารวนเขต ก็เก่งขยายความด้วยเหตุผล แต่ไม่ได้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ที่รู้รูปนาม

ต้องเข้าใจภาวรูปเป็นอย่างไร เริ่มต้นที่มีปสาทรูปทำงานกับโคจรรูป แล้วเกิดภาวรูป 2 ก็เป็นภาวะที่ 10 ในภาวรูปก็แยกเป็นสอง เป็นอิตถีภาวะ เป็นปกติของปุถุชน ต้องทำให้เป็นหนึ่งจึงเป็น ปุริสภาวะ เป็นอรหันต์คือหนึ่ง เป็นเอกัคคตา

ต้องรู้จับมั่นว่าจิตเราอยู่ตรงไหน คือหทยรูป เมื่อจับได้ก็แยกแยะว่ามันมีชีวะหรือไม่ มีพลังงานของชีวะ เรียกว่าชีวิตินทรีย์ ต้องอ่านชีวะอย่างหยาบ กลางละเอียด ชีวิตของผีร้ายทำให้ชีวิตของผีนรกร้ายนี้ลดลงจนเป็นพระพรหม ทำได้แข็งแรงตั้งมั่นหรือไม่ จนนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

บางคนท่องจำพยัญชนะอย่างนี้ไม่ได้แต่ก็มีสภาวะ

ต้องรู้อาหารรูป ตั้งแต่อาหาร 4 คือ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ว่าผัสสะแล้วมีเวทนาอย่างไร

ในนาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ผัสสะคือนาม ต้องมีการสัมผัสนอกและใน ต้องมีประสาทแล้วมีจิต มีเวทนา ในปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดเวทนา ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ ก็ต้องมาเพ่งที่เวทนา ทำเวทนาในเวทนา จิตในจิตก็ทำมนสิการเป็น

คนที่ปฏิบัติถูกจะทำมนสิกโรติตลอดเวลา แยกแยะ เวทนากับจิตมันสังขารกัน ในนามธรรม 5 จึงไม่มีคำว่า สังขาร มีแต่เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ไม่มีคำว่าสังขาร

เพราะว่าสังขารคือ มนสิการคือตัวถูกเรากระทำอยู่ ต้องอ่านเจตนา แยกเวทนาจับเหตุในจิตให้ได้ คือ อกุศลเจตสิก เหมือนอย่างในเจโตปริยญาณ 16 ก็เรียกเจตสิก

 

กลับเข้าไปสู่ของคุณ 4497 คือคำว่า “ว่าง”

คำว่า ว่างนี้ พูดกันมาก ในสายมหายาน ว่าจิตว่าง

อาตมาเคยแบ่ง ว่าง 5 อย่าง สมาธิอีก 4

  1. ว่างตามธรรมชาติ ธรรมชาติธรรมดาก็ต้องมีจิตว่าง อย่างท่านพุทธทาสก็มักพูดเสมอ แต่ไม่ใช่โลกุตรธรรม เป็นโลกียธรรม เป็นธรรมชาติแต่จิตคนไม่ค่อยว่างได้ง่ายๆหรอก ปุถุชน แต่มันมีบางเวลาว่าง แต่คุณจะไม่ค่อยทันมันเพราะจิตเร็วกว่าลิงอีก แต่ถ้าไม่ว่างเสียเลยก็ตายเลย เครื่องร้อนจี๋ระเบิดแน่
  2. ว่างมืด ว่างดำ อันนี้พวกหลับตานั่งเข้าไปในภพ ก็ดำ สายอาจารย์มั่น สายนิโรธดับ สุภกิณหา ดับดำ ส่วนผู้นั่งสมาธิก็ว่าง อีกว่างหนึ่ง
  3. ว่างสว่าง สายธรรมกาย สายท่านพุทธทาส สายติชนัทฮันห์ หรืออาจารย์เทียน สะอาดสว่างสงบอย่างนี้ ว่างแบบลืมตา สะกดลืมตาได้ อะไรก็ใสว่าง นี่ก็ว่างสว่าง
  4. ว่างของโลกุตระ คือเสขบุคคล คือกำจัดกิเลสออกจากจิตได้ ว่างโดยความจริง “ตถตา” ว่างไปตามลำดับ เริ่มว่างเป็นคราวๆ ก็เป็นมรรค พอว่างได้บริบูรณ์ก็เป็นผลไปตามลำดับ
  5. ว่างของอเสขบุคคล เป็นผลสมบูรณ์ คือว่างอย่างอรหันต์ ถ้าจะแยกเป็น
  6. ก็คือเป็นผลสูงสุด แต่จะยากไปอย่าไปแยกเลย เอาแค่ว่าง 5 อย่าง

เราก็อ่านตัวเองว่าเราทำว่างแบบไหนกันทั้ง 6 อย่างนี้ สายดับนั้นหรือเรียกว่าอสัญญี แต่อสัญญีเป็นคำกลาง แม้แต่ดับสว่างก็อสัญญี ดับสัญญาแต่ส่วนที่ไม่ดับก็คือทำงานอย่างเฉกา ส่วนทีดับก็สะกดไว้เป็นส่วนที่เขาดับ อย่างลืมตาก็มี

เมื่อไม่เข้าใจจิตว่างแต่อธิบายกันไป พระพุทธเจ้าตรัสว่าศาลานี้ว่างจากช้าง ศาลานี้ว่างจากคน ศาลานี้ว่างจากเสา คือเอาสิ่งที่จะเอาออกได้เป็นลำดับ ในจุฬสุญตสูตร ล.14

[334]  พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า 

ดูกรอานนท์  แน่นอน  นั่นเธอสดับดีแล้ว  รับมาดีแล้ว  ใส่ใจดีแล้ว  ทรงจำไว้ดีแล้ว 

ดูกรอานนท์  ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้  เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม  เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้  ว่างเปล่าจากช้าง  โค  ม้า  และลาว่างเปล่าจากทองและเงิน  ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ  มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น  ฉันใด 

ดูกรอานนท์  ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล  ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน  ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์  ใส่ใจแต่สิ่งเดียว  เฉพาะสัญญาว่าป่า  จิตของเธอย่อมแล่นไป  เลื่อมใสตั้งมั่น  และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า 

เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า  ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้าน  และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย  มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้นเธอรู้ชัดว่า  สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าบ้านสัญญานี้ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์  และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น

ด้วยอาการนี้แหละ  เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย  และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี

 ดูกรอานนท์  แม้อย่างนี้  ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด  บริสุทธิ์  ของภิกษุนั้น  ฯ

 

สรุป คือ เราว่างจากสิ่งที่ต้องไปพัวพัน ในโลก ความพัวพันผูกพันต่างจากสัมพันธ์ เราอยู่กับสังคมก็สัมพันธ์  ถ้าทำงานร่วมกันก็สร้างสรรค์ร่วมกันจบงานเราก็จบ

แม้แต่จะสร้างสิ่งดีงามประเสริฐ เราก็ไม่ยึดติดมาเป็นเราเป็นของเรา คนที่ยึดติดสิ่งที่ดีงามอยู่นั้นยังมีอัตตามานะ ยังยึดดีถือดีเป็นของเราเป็นเราอยู่ ถ้าเราทำแล้วเราจะยึดติดหรือไม่ยึดติดกลับเป็นของเราไหม ก็เป็นของเรา แต่เราอย่าไปทำจิตว่าอย่าลืมนะ แต่ถ้าลืมมันจะเป็นของเราไหม แม้ลืมว่าเราทำกรรมดีนี้ แต่ก็คือกรรมของเรา แม้เราจะลืมแต่คนข้างนอกเขาเห็นนะ ก็จะรู้ เขาพยายามสอนกันว่า อย่าไปลืมบุญคุณ กตัญญูกตเวที ศาสนาไหนก็สอนกัน แล้วก็ต้องใช้ การตอบแทนกับการกตัญญูกตเวทีก็ต้องมีอยู่ในโลก มันไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไรมากมายแต่เป็นเรื่องดี

*คนที่พูดถึงความเป็นกลางนั้นมีมากมาย ต่างๆนานา อาตมาเคยแยกแยะความเป็นกลางว่าต้องเข้าข้างคนดี แล้วแยกไว้ เป็นระดับๆ

  1. ความเป็นกลางตามยถากรรมตามธรรมชาติ
  2. โง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิดหรือถูกเลยก็เลยบอกว่าเป็นกลาง เมื่อไม่รู้อะไรถูกก็เลยไม่ช่วยอะไรใครไม่ได้ ไปเข้าข้างใครก็ไม่ได้
  3. กลัว กลัวจะเสื่อมลาภ เสื่อมยศเสียตำแหน่งเสียโลกธรรม กลัวจะเสีย ก็เลยบอกว่าตัวเองเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด
  4. มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิด (ซึ่งต่างจากความโง่ที่คืออวิชชาไม่รู้เรื่อง) การเห็นผิดมิจฉาทิฐิ เข้าใจผิดว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างฝ่ายไหน คนนี้ไปถูกครอบงำความคิด แม้จะรู้ว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด แต่ไปเข้าใจผิดมาว่าความเป็นกลางคือไม่เข้าข้างใครไม่เข้าข้างทั้งคนถูกหรือคนผิด นี่คือมิจฉาทิฏฐิ
  5. ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นคนที่ถูกไม่มีกำลังไม่มีพวก อย่างเช่นอาตมานี้ทำถูก แต่ไม่ค่อยมีหมู่พวก คนที่รู้ว่าอาตมาถูก ดี แต่กลัวเสียลาภยศ หรือไปเข้าใจผิดว่า เป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใครเลย

ถ้าเข้าใจถูกต้อง ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนที่ถูกต้อง ต้องเข้าข้างบัณฑิต มาอยู่กับบัณฑิต อย่าไปเป็นพวกพาล

นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องมีปัญญาเหมือนคนอยู่บนยอด มีปัญญาปาสาทิกะ มีปัญญาอยู่บนยอดปราสาท จะเข้าใจเห็นจริง

 

_0893867xxx นมก.พ่อครูฯโปรดอย่าท้อใจกับคนเผาหนังสือธรรมะพฤติกรรมตกผลึกมาจากระบอบล้ม..เผาเมือง!เพราะพระแท้ที่เข้าถึงแก่นของพุทธแท้จะไม่มีพฤติกรรมตรงข้ามกับความเห็นของประชาชน60กว่าเปอร์เซนต์ที่เห็นชอบ คสช.!กบรมควัน(พิษ)เหยื่อ เผด็จการรัฐสภาจากรัฐบาลเลือกตั้ง!

ตอบ...ตอนนี้ต้องถึงเวลามาเข้าข้างคนดีที่เข้าข้างคสช.ทางโน้นนั้นยังผนึกกันแน่นตีไม่แตกเลย

_0893867xxx วิชามารจากฝ่ายตรงข้ามกับพ่อครูฯ แผนใช้โซเซียลดิสเครดิตพ่อครูฯไม่ใช่วิชาธรรมแท้! มีกลุ่มเดียวที่ถนัดใช้!พวกหลงประชาธิปไตยตะวันตกไม่ลืมหูลืมตาจนมัวเมาเผาคำสอนพระศาสดาของตัวเองได้เหมือนพวกเผากรุงฯ!

ตอบ...พวกเขาหลงใหลประชาธิปไตยขาเดียวแบบในตำรา ต้องมาเอาแบบในหลวง ทางตะวันตกนี้ไม่เข้าใจจิตวิญญาณเป็นเทวนิยม เป็นอัตวาทุปาทาน เข้าใจพระเจ้าที่เป็นแค่โวหารไม่เข้าถึงจริงอย่างอินเดีย จีน ยังมีความรู้เข้าใจจิตวิญญาณเยอะ  พวกตะวันตกมาถึงเอเชียนี้ มาเจอวัฒนธรรมไทยนี้ซาบซึ้งน้ำตาไหลทั้งนั้น

 

_0893867xxx ดูกรุงเทพโพลคนส่วนใหญ่ต้องการมีม.44 เชื่อบ้านเมืองสงบฤาเปล่าคนว่าพ่อครูฯ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวนะ ไม่เป็นไรพระนารายณ์4กร ถือกงจักรคู่ดอกบัวอยู่แล้วนะ คนเห็นอุจจาระดีกว่าไส้!

_0893867xxx 2สำนักโพลเผยปชช.ค่อนข้างเชื่อมั่นรบ.ทุกด้านยกเว้นศก.!มองพัฒนาชาติถูกทาง!นี่คือสิ่งที่ปชช.ได้รับจากคสช.ที่รัฐประหารแต่คอร์รัปชั่นดียิ่งกว่ารัฐบาลจากเลือกตั้งทุกยุคที่หมักหมมคอร์รัปชั่นทุกสมัย!นะท่านภิกขุ!ผู้น้อยเคารพทุกความเห็นต่างที่แสดงออกโดยสงบสันติ

_0898498 ปี 53 ไม่ทันได้เผากับเขาหรือไงครับ พระจึงมาเผาหนังสือธรรมะ หวังเข้าตานายใหญ่

_0805925xxx เห็นต่างได้แต่อย่าเพ่งจับผิดผู้อื่นจนลืมจิตตนเป็นไฟสุมจิตตนอัยยะ!ร้อนนะจ็ะ! ไม่ชอบไม่เห็นด้วยในธรรมต่างคนต่างทำมรรคผลใครมรรคผลมันดีกว่าไหมว่าป่ะ?

_0811203xxx กราบขอบพระคุณพ่อครู ที่เมตตาช่วยไขความสงสัย แห่งทุกข์เรื่องการมีคู่ที่ลูกเข้าใจน่าจะเป็นอาการเบลอๆ แบบทางโลกีย์มีกิเลสปนอยู่นี่เอง ทำให้ลูกเข้าใจเรื่องคู่กรรมคู่วิบากมากขึ้นค่ะ ลูกจะหมั่นฟังเทศน์พ่อครูบ่อยๆ แล้วพยายามมีสติอยู่กับปัจจุบันไม่ปรุงแต่งความคิดให้ตัวเองทุกข์ใจรู้สึกว่าเสียพลังงานเชิงบวกมากไปแล้ว ลูกเคยคิดและลองทำใจได้บ้างแต่ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เพราะเหมือนลูกเข้าใจแต่ตัวภาษาแต่ยังไม่เข้าใจสภาวะก็เลยยังวนอยู่ค่ะ ควรปรับแก้ไขอย่างไรบ้างคะ กราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ...1. ฟังธรรมบ่อยๆ

          2. มาคบคุ้นพูดคุยกับพวกเราบ่อยๆ มีคนที่.มีประสบการณ์กันมาไม่น้อย จะได้ข้อมูลหลักฐานอะไรซาบซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเอาแต่คิดคนเดียวมีน้ำหนักน้อย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ผู้ที่อยู่ในชุมชนจึงเป็นกำไรมหาศาล เป็นข้อแรกของสุริยเปยยาลสูตร ข้อแรกของแสงอรุณเลย

พระอานนท์บอกกับพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่ามิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เลย พระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ต่างหาก

ของเราพร้อมทั้ง สัปปายะ 4 คือ

1.เสนาสนสัปปายะ              2. บุคคลสัปปายะ 

3.อาหารสัปปายะ .               4. ธรรมะสัปปายะ

เรามีเหตุปัจจัยให้ได้ปฏิบัติ แม้แต่ตำรวจก็เยอะ FBI ,CIA ,KGB, เยอะ เห็นหมดลึกซึ้ง ดีไม่ดีเห็นแล้วจวกแรงด้วย เป็นมิตรดี สหายดีที่พึ่งพาอาศัยกันจริง 

มันลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่ พึ่งแค่เกิดแก่เจ็บตาย แต่พึ่งพาทางธรรมก็มากมาย เพราะมันรู้ ก็เลยท้วงได้ ไปอยู่กับกลุ่มที่เขาไม่รู้ จะไปท้วงอะไรได้มาก เขาก็ท้วงตื้นๆ ท้วงผิดๆถูกๆ แต่นี่มีปัญญา แล้วมีอนุโลมปฏิโลมรู้ฐานกัน แต่ข้างนอกไม่บันยะบันยัง เอาตามอารมณ์เลย

 

_0811203xxx พ่อครูคะ การที่ลูกส่งข้อความมาถามปัญหาส่วนตัว ที่เห็นว่าลูกยังมีกิเลสทางโลกๆ อยู่ บางครั้งก็รู้สึกอาย เหมือนประจานตัวเอง อย่างที่เพื่อนว่าค่ะ แต่ลูกคิดว่ามันคือ กิเลสตัวเล็กตัวน้อยที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบลึกที่ล้างออกยาก

 ถ้าลูกมัวแต่อายอยู่เชื้อร้ายก็ยังคงฝังตัวอยู่ข้างใน แล้วเมื่อไรจะได้รู้จักกิเลสหยาบในตัว และ วิธีล้างกิเลสตัวเองซะทีละคะ ไม่แน่ใจว่าลูกทำถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกอย่างไรลูกกราบขออภัยพ่อท่านและญาติธรรมมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ตอบ... มันเป็นการปลงอาบัติไม่ใช่ประจานตัวเอง มีบางเรื่องเหมือนกันที่ไม่ควรเปิดเผย ถ้าเปิดเผยจะมีน้ำหนักที่เสียมากกว่าได้ ตนเองก็ต้องฝึกฝนอย่างสำคัญ แต่ถ้าเปิดเผยในหมู่เพื่อนฝูงเขาจะได้ช่วย เขาจะได้รู้ข้อบกพร่อง จะได้ช่วยดูแล เพราะพวกเราเป็น หมู่มิตรดีสหายดีที่จะปรารถนาดีต่อกัน จะไม่ถล่มทลายซ้ำเติมกันมากๆ จะเห็นใจกัน แต่ไม่เหมือนกันกับข้างนอกที่ย่ำ ซ้ำเติม หยามหยัน

แต่อาริยบุคคลจะซ้อนลึกดีกว่า พระพุทธเจ้าจึงให้เปิดเผย

แต่พระพุทธเจ้าว่า อาบัติหนัก สังฆาทิเสส ปาราชิก อย่าเพิ่งเปิดเผย ดีไม่ดี ถ้าเอาอาบัติหนักไปเปิด ซึ่งไม่ควรเปิด ก็ต้องปรับอาบัติคนเปิดเผยอีก

 

_เชวง กิจจะบรรณ์

นมัสการครับพ่อครู เพราะกระแสโลกีย์มันแรงมากเกินที่จะฝืนจึงกลับมาได้น้อยมาก (คุณเชวงคงหมายถึงเด็กนร.เรา)

ผมว่ามาจากเรื่องเดียวกับ กันตสีโล คือไม่ยอมตั้งสังฆราชใช่ไหม จึงไม่พอใจ

ที่ไม่กล้าสอนเหมือนพ่อครู เพราะกลัวอดยากปากแห้ง เพราะเขาตั้งแต่เรือนไฟเอาไว้อย่างเดียว เขาสร้างชุมชนโลกุตระก็ไม่เป็นครับ

เรียนพ่อครูออกชื่อผมออกทีวี ซึ่งผมถือว่าเป็นมงคลครับผม

กราบเรียนพ่อครูที่อ่านชื่อผมทางทีวีเป็นมงคลอย่างสูงกับกระผมครับ

ตอบ...เรื่องนักเรียนของเราตอนนี้ก็ต้องให้โอกาสเขาบ้าง ที่ศีรษะอโศกก็จับกลุ่มกันมา ช่วยงานที่บ้านราชฯ ก็เลยมอบหมายงานแรกให้เขาทำคือทำอาคารที่ ลานเบิ่งฟ้า (เดิ่นเบิ่งฟ้า) จะเห็นพระอาทิตย์ดวงโตขึ้นมาบนน้ำริมมูลตั้งแต่เช้า

 

โรงเรียนอโศกมี 9 โรงเรียน ศิษย์เก่าจบไปก็รวมกลุ่มกันมา เรากำลังสร้างบ้านแปลงเมือง เราไม่ได้ทำเหมือนที่อื่น เพราะเราทำด้วยความจน เราทำมาหากิน แล้วก็สะพัดแจกจ่ายออกไปด้วย พวกเรามามือเปล่าจริงๆ ก็เลยซ้อนที่สร้างได้ช้า แม้แต่โรงงานเราก็จะสร้างขึ้นเพื่อผลิตออกไปให้ได้มาก

เป็น ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจขายสด งดเชื่อ นี่คือหลักเกณฑ์ของ นักธุรกิจของเรา

ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เรื่องขายสดงดเชื่อนี้ยิ่งใหญ่ ทุนนิยมนั้นเลวร้ายเพราะใช้เรื่องของสินเชื่อ แล้วผูกผู้คนที่เป็นลูกหนี้ไว้ คนเอาสินเชื่อมาจับนั้นเก่ง การพนันเช่นพวกประกัน การพนันลามไปถึงพวกหุ้น

สินเชื่อก็มากมายหลายเล่ห์เหลี่ยม เพราะฉะนั้นพวกเราจึงทำแบบสด เป็นร้านค้าข้าวต้มปลากะพง ถ้าไม่มีปลากะพงก็ปิดร้าน ไม่เอาปลาอะไรอื่นอื่นมาปลอม เอาปลากะพงแท้ๆ ถ้าไม่มีก็ปิดร้าน เราทำเท่าที่เราทำได้

มีเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น มี 500 ก็ค้าขาย 500 มี 1000 ก็ค้าขาย1000 ซื้อขายเท่าที่ตัวมีอย่าไปฝึกหัดเรื่องสินเชื่อ มันพาเราจมหนักหนาสาหัส พวกทุนนิยมถึงร่ำรวยกันแล้วขูดรีดกดขี่

ก็ได้อธิบายเศรษฐศาสตร์นิดหนึ่ง เรื่องนี้เราจะค่อยอธิบายจนถึงสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยหรือ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการเงินเข้ากองกลางให้มากที่สุด แต่คนเห็นแก่ตัวก็มีการโกงกินกัน เพราะจิตใจไม่ได้สะอาด ไม่ได้มักน้อยสันโดษ ไม่รู้จักพอเพียง

จิตใจขี้โลภไม่มีจำกัด ไม่มีลิมิตlimit จิตใจไม่มีพอเพียง

คนที่รู้จักพอเพียง คือจิตใจที่มีขีดจำกัด

ตอนแรกเราพอแค่นี้ไม่ได้เพราะติดใจต้องการมาก ก็ต้องตั้งไว้ว่ามากสุดให้พอแค่นี้จนจิตใจพอแค่นี้ก็จะชัดเจนว่า พอ แล้วก็ล้มลงไปอีก แล้วก็ไปพออีก จนกระทั่งมันน้อยเท่าไหร่ก็พอ 0 ก็พอ แล้วเรามีระบบสาธารณโภคีมีเพื่อนฝูงคนนี้ป่วยเจ็บคนนี้แก่มากแล้วก็ช่วยเหลือกัน ทดแทนกัน เศรษฐศาสตร์บทนี้ สาธารณโภคีอาตมามั่นใจว่าจะรุ่งเรืองในอนาคตแต่ทำยาก

มันต้องมาปฏิบัติจิตใจให้ลดกิเลส หมดความเห็นแก่ตัว ให้เป็นอรหันต์จริงเป็นอนาคามีจริง เป็นสกิทาคามี จึงเป็นโสดาบันจริง เป็นอริยะจริง จึงจะมีผลสำเร็จ แล้วพวกเราทำได้อยู่แล้ว เพราะเราทำสาธารณโภคีมา 40 กว่าปี มันก็เพิ่มขึ้นอยู่ได้เรื่อยๆสร้างสรรค์ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่มันช้า ช้าก็ต้องทนเอาหน่อย ใครที่เห็นดีเห็นงามเข้ามาศึกษาเอาตรงนี้ ไม่เรียกร้องไม่ได้เร่งรัด ใครจะมาก็เห็นว่าควรมาช่วยกัน มาร่วมกันก็เชิญ เด็กนักเรียนที่นี่อาตมาฝัง ชิป ไว้หมดแล้วแต่ออกฤทธิ์ช้าก็ไม่เป็นไร ชิป มีฤทธิ์มากฤทธิ์น้อยก็แล้วแต่ก็รับไป

เจริญธรรม

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:42:52 )

590901

รายละเอียด

 590901_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ตอบปัญหาพาพ้นนรกสวรรค์

        _ต่อมาถามว่าสวรรค์นรกนั้นมีจริงไหม….. สวรรค์นรกนั้นอยู่ในจิตใจ จิตใจของเรามีสวรรค์นรกก็ต้องมี สวรรค์นรก คืออาการของจิตใจ ถ้าอาการเป็นสุข เขาเรียกว่าสวรรค์ ถ้าอาการเป็นทุกข์ เขาเรียกว่านรก แล้วมันเป็นจริงด้วย เคยไหมที่ถามมานี้ อ่านใจตัวตนที่ทุกข์ มันไม่สบายใจ อ่านเป็นไหม นั่นแหละคือนรก ยิ่งมีเรื่องราวมากรับผิดชอบมาก หาเรื่องมาก ก็ทุกข์มาก ติดยึดมาก ถ้าไม่มีปัญญาทางธรรมก็จะทุกข์มาก

คนเรามีสุขแล้ว ก็ไปชอบรสประทับใจ ชอบความสนุก ชอบความเพลิดเพลิน ชอบที่เขาหลอกไปเยอะเลย ก็ไปคิดตามเขาและเป็นจริงเรียกว่าอุปาทาน บ้านนอกมาเป็นสวรรค์เก๊ สวรรค์ปลอม ไปติดเข้าแล้วเลิกยากด้วย เพราะมันโง่มันอวิชชา เราจะได้สวรรค์ตอนสัมผัสขณะมีเหตุปัจจัยครบ เลิกจากสวรรค์จิตใจก็ติดยึดนั้นต่อเป็นนรกต่ออยากได้มาก ชีวิตจริงอยู่กับนรกมากกว่าสวรรค์ อยากได้ตัวไหนที่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ คนเราอยากนั่งตรงนี้ อยากนอนตรงนี้ อยากจะยืน อยากจะเดิน อยากจะพบอันนี้ อยากจะได้กลิ่นอันนี้ อยากจะได้รับรสอันนี้ เยอะไปหมดจนนับไม่ถ้วน อยากตัวไหนนรกตัวนั้น แล้วก็จะแสวงหามาให้แก่ตัวเอง อยากได้ก็แสวงหา หรือไม่ก็แย่งชิง แย่งชิงอย่างร้ายแรงทุจริต ฆ่าแกงทำร้ายคนอื่นอย่างอำมหิตทุจริต นั่นแหละคือสัตว์นรกชั้นต่ำ นั่นคือจิตใจทั้งนั้นที่เป็นอยู่ คือสัตว์นรก สัตว์เทวดา สัตว์สวรรค์ จิตใจก็พาเป็นทั้งหมดมนุษย์ทั่วโลกนี้

ต้องมาศึกษาตามพระพุทธเจ้าจะรู้ถึงสิ่งเหลวไหลเลวร้าย หรือว่ามันไม่มี รูปรสกลิ่น เสียง สัมผัส ที่จะเที่ยงแท้ถาวรไม่มีหรอก มันมีตามเหตุที่กระทบสภาพ เดี๋ยวมันก็จะหายไป บางอย่างอาจอยู่นาน เป็นเหล็ก เป็นหิน แต่เราก็จะตายก่อนมันสลายก่อนมัน หรือมันจะสลายก่อนเรา อย่างผ้าที่ปูโต๊ะนี้ก็ต่อไปก็สลายแน่

ถ้าเราไปยึดก็จะแย่งอยากได้เป็นเราของเรา ก็แย่งเกิดเวรกรรม เวรคือผูกพัน เป็นการกระทำที่ผูกพัน ชาติแล้ว ชาติเล่า ฆ่าแกงกัน เป็นทุกข์ร้อนไม่รู้กี่กัปี่กัลป์ คนที่มาศึกษามีบารมีจะลดความอยากได้ พอลดความอยากได้แล้วกลับจะได้เมื่อมีบารมี พอมีบารมีจะได้ แต่ตอนแรกไม่มีบารมีจะไม่ได้ ต้องอดทนสร้างเองเกื้อกูลคนอื่น กุศลก็จะกลับมาทดแทนเราเหมือนทรัพย์ที่เราฝากแบงค์ไว้ กี่ชาติก็จะมาทดแทนเราเป็นเรื่องจริงเลย สรุปแล้วอะไรต่างๆนานาไม่มีของฟรี เราทำไว้ให้คนอื่นเราไม่ต้องจำ ให้คนอื่นเป็นลูกหนี้ก็จะมาใช้เรา บางคนเขาไม่เต็มใจ แต่วิบากเขาจะมาใช้ให้เรา แต่คนกตัญญูเป็นคนดีจะเอามาใช้หนี้เราเยอะ หรือเขาจะมาฝากเรา มาให้เรา มาให้เราแล้ว ถ้าเป็นพระอาริยะ อรหันต์จะเป็นนาบุญ

เขามาบริจาคเรา เขาไม่ได้มาใช้หนี้หรอก แต่เขามาให้เราเอาไปงอกไปทำประโยชน์กับคนอื่นได้ เขาทำเองจะได้กุศลเป็นรายได้ไม่ขยายผลอย่างเรา เราทำนี่จะงอกเงยขยายผลยิ่งกว่าพวกทุนนิยม เป็นนาบุญที่งอก อย่างข้าวดีเมล็ดเดียวจะงอกเป็นร้อยพันเมล็ด

ผู้ที่มาบริจาคให้นี้ ให้แล้วท่านไม่ได้เอามาบำเรอตน ก็จะไปทำกุศลต่องอกเงยต่อ ขยายผลไปอีกเยอะจึงเรียกว่านาบุญ ทำบุญกับพระอาริยะ จะมีผลสูง ยิ่งถ้าทำบุญกับพระอาริยะอย่างพระพุทธเจ้าจะยิ่งมีผลสูงมาก

ใส่บาตรพระโสดาบัน 1 ครั้งมีผลสูงกว่าทำ  นิจทาน (ทำทานใส่บาตรทุกวัน) ใส่บาตรโสดาบัน 1 ครั้งมีผลสูงกว่าพระปุถุชน 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระสกทาคามี 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรพระโสดาบัน 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระอนาคามี 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรพระสกิทาคามี 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระอรหันต์ 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรอนาคามี 100 ครั้ง

…..

ใส่บาตรเป็นสังฆทานไม่กำหนดระบุพระ แต่ใส่เพราะท่านต้องการเป็นของจำเป็น นั้นมีผลสูงกว่าใส่บาตรพระพุทธเจ้า ไม่กำหนดรูปใดขอให้เป็นภิกษุที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าไม่ระบุองค์ หนึ่งท่านน่าศรัทธา และสองสิ่งที่ทำทานเป็นสิ่งจำเป็น เป็นด้ายเป็นเข็ม ได้กุศลยิ่งกว่าสร้างตึกวิหารถวายอีก

พระพุทธเจ้านั้นจะอยู่ในระยะหนึ่งแล้วปรินิพพานไป ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้านั้นจะอยู่สืบทอดต่อไป ถ้าสามารถช่วยอย่างมีใจที่กว้าง องค์ไหนก็ตามที่ท่านขาดแคลน และท่านจำเป็น องค์อื่นๆมีพอแล้วแต่องค์นี้ขาดแคลนมาก ดังนั้นมันตรงกับความต้องการความจำเป็นมีประโยชน์ ยิ่งท่านไม่ต้องการท่านไม่ไปขอ ท่านไม่เรียกร้องก็ยิ่งมีผลสูง ถ้าไปทำทานกับคนที่เรียกร้อง ต้องการนั้นกุศลจะราคาต่ำ ถ้าทำทานกับคนที่ไม่เรียกร้อง แต่ก็เห็นว่าควรจะทำทานกับท่านอย่างนั้นอานิสงส์จะมีสูง มีกุศลสูง ถ้าปฏิบัติธรรมต่อไปจะเข้าใจซึ่งกัน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86145

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYXBWMjhjcWZ4Nm8

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1xp2cl0qtxu9/160901

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=Uk6nFZTuWEY

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:43:21 )

590901

รายละเอียด

590901_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ตอบปัญหาพาพ้นนรกสวรรค์

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2559 แรม 14 ค่ำเดือน 9 วันนี้เป็นวันพระเดือนขาด เดือนคี่ ถ้าเป็นข้างแรมของเดือนคี่ วันพระของปลายเดือนนี้จะ 14 ค่ำ เดือน ห้า เดือนอ้าย เดือน สาม เดือน เจ็ด เดือน เก้า เดือน11 วันพระของเดือนคี่จะเป็นวันที่ 14 เดือนหนึ่งจะมี 29 วัน ถ้าเดือนคู่จะถึง 30 ทุกเดือน นั่นเป็นเดือนไทย แต่ถ้าเดือนสากลก็อีกแบบหนึ่ง รู้กันดีแล้ว เขากำหนดแม่นตายตัว

ของเรานี้ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่หรือคนแก่ก็เรียนกันตลอดชีวิตเรียนจนถึงพระอรหันต์ ก็ยังมีรายละเอียดให้เรียนอีกลึกซึ้งซับซ้อนจนถึงพระพุทธเจ้า

ถ้าเป็นอรหันต์แล้วจะอยู่ต่อเป็นโพธิสัตว์ก็ได้ แม้เราจะต้องไปพบกับเหตุการณ์องค์ประกอบที่จะต้องทนทุกข์ ของคนอื่นอีกก็ศึกษาของเขาได้ ศึกษาได้มากมายหลากหลายนับไม่ถ้วน คนอื่นก็จะมีเหตุการณ์มีองค์ประกอบมีเหตุปัจจัยต่างๆซึ่งไม่เหมือนกับเรา อาตมาก็เจอมามากมายหนักหนา ขนาดนั้นก็ยังมีที่คนอื่นเขาเจอแล้วเราไม่ได้เจออีก เป็นโพธิสัตว์ก็ต้องรู้กว้างไปอีกเพิ่มเติมแล้วก็สอนคนให้ได้อีกช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้อีกไปเรื่อยๆ

_มีคำถามของเด็กๆมา สมุนพระรักถามมาจากสันติอโศก ส่วนที่บ้านราชนี้มีสมุนพระราม ...หนูชื่อนุ่นอายุ 7 ขวบอยู่ชั้นป. 1 กลุ่มสมุนพระรัก หนูอยากจะถามหลวงปู่ว่า ถ้าหนูเป็นคนดีทุกวัน แม่จะได้บุญไหม

ตอบ...ได้ ต้องตอบอย่างนี้ อันนี้ตอบให้เด็กฟังแม่ก็จะได้รับความดีงามนั้นด้วย ถ้าหนูทำดีทุกวันเป็นคนดีทุกวัน แม่ก็จะได้ด้วย ต้องตอบอย่างนี้สำหรับเด็กยังไม่ลงลึกว่าบุญนี้เป็นของใครของมัน

 

_ผมนะโมครับอยู่กลุ่มสมุนพระรักถามว่า บ้านแท้ของหลวงปู่อยู่ไหน แล้วผมก็อยากรู้อีกอย่างว่า สวรรค์กับนรกมีจริงไหมครับ ผมขอให้หลวงปู่ตั้งชื่อให้ผมใหม่ได้ไหมครับ

ตอบ...หลวงปู่มีบ้านอยู่หลายบ้าน เป็นพุทธสถาน เป็นสังฆสถาน เป็นหมู่บ้านก็มากมายแต่อยู่ไม่ทั่วถึง บ้านของหลวงปู่บ้านไม่ใหญ่ เป็นบ้านเล็กๆน่าเอ็นดูเป็นกระต๊อบ ใหญ่กว่านิดหน่อย แต่เขาก็ทำให้แข็งแรงเรียบร้อยดูดีเท่านั้นเอง ใช้ประโยชน์ได้ดีมาก ไม่สวยงามหรูหราอะไรเลย ในแต่ละแห่งเขาพยายามให้เรียบร้อย พยายามให้สวยพอประมาณ เขาดูว่าสวยเกินไปหลวงปู่จะไม่พัก ถ้าเป็นลิเก สวยพริ้งเกินไป หลวงปู่ก็ติติงให้เอาออก จะไม่สร้างให้สวยเกิน

แต่ถ้าบ้านหมายถึงที่เกิดที่อยู่ ที่อยู่นานๆมากๆ ก็จะเล่าเป็นประวัติศาสตร์ว่า หลวงปู่นี้เกิดและตกฟากอยู่ที่ศรีสะเกษ เกิดอยู่อายุไม่กี่ปี ลุงก็เอามาเลี้ยง บ้านของลุงอยู่หนองคาย มีลุงเป็นหมออยู่ประจำจังหวัดก็ย้ายไปเรื่อยๆ จังหวัดหนองคาย จังหวัดสกลนคร จังหวัดนราธิวาส จังหวัดกรุงเทพก็เพราะเป็นข้าราชการ

แต่หลวงปู่อยู่กับลุงก็ไม่นานนะ อยู่หนองคายย้ายมาสกลนคร ระเบิดก็ลง ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ลุงก็ย้ายไปเรื่อยๆ แล้วลุงก็มีลูกของตัวเองขึ้นมาเยอะ หลวงปู่นี้เป็นเหมือนลูกคนโตของลุง ตอนนั้นลูกของลุงยังไม่เกิด ลูกของลุงเกิดมาก็อายุน้อยกว่าหลวงปู่ทั้งนั้น เมื่อลุงมีลูกใหม่อีก 2 คนคนที่ 3 อยู่ในท้อง ก็เลยไม่ไหว หอบลูกโลกหนีสงคราม ก็เลยส่งคืนแม่หลวงปู่ ตอนกลับมาอยู่กับแม่อายุ 7 ขวบแล้วก็แล้วไปอยู่ที่ศรีสะเกษ เรียนชั้นประถมศึกษาอยู่ 2 ปีที่วัดพระโต

เรียนจนขึ้นป.4 ถึงย้ายมาอยู่ที่วารินชำราบ แม่ก็เลยบอกว่าให้กลับมาอยู่ที่ ที่ตั้งรกรากของตระกูลหลวงปู่ ก็คือที่อำเภอพิบูลมังสาหารจังหวัดอุบลราชธานี มีทวดของหลวงปู่เป็นเจ้าเมืองพิบูลมังสาหาร ก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ ส่วนแม่ก็เช่าบ้านอยู่ที่อำเภอวารินฯ ตอนแรกเช่าห้องแถวอยู่สามคูหา ชื่อร้านรักพงษ์ตราภรณ์ ซึ่งแม่เขาตั้งชื่อเอง เป็นร้านขายโชห่วยต่างๆ สารพัด แล้วรับจ้างโรงงานทำสารพัด

ส่วนใหญ่ไปอยู่ที่พิบูลฯ หอบหลานไปเลี้ยง เพราะเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดในตัวเมือง ก็เลยหนีออกชนบท ก็หอบเอาน้องๆไปเอาอาตมาไปด้วย ตอนแรกอาตมาไม่ไป จนเรียน ม.3 ม.4 จึงไปอยู่ที่พิบูลฯ วัดหลวงม. 5 ม.6 เรียนอยู่อุบลฯ ตกม.6 เด็กๆอย่าเอาอย่างหลวงปู่นะ จบม.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ

บ้านก็ย้ายไปเรื่อยๆ ไปอยู่กรุงเทพก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านไปตั้งแต่อายุ 15 ปี อายุ 14 จบม.6 อายุ 15 ก็ไปเรียนต่อไปต่อ ม. 7 ม.8 ตกอยู่สามปี ปีที่สี่ก็ไม่ต่อ ม.8 แล้ว ก็ไปเรียนเพาะช่าง เขาจบม.6 ก็ไปต่อได้แล้ว เราเอาใบสุทธิม.7 ไปต่อ

ตอนนั้นบ้านจะพักก็ไม่มี ไปซุกหัวนอนอยู่บ้านเพื่อนๆ จนลุงมาจับใส่เข้าไปที่วัดบรมนิวาส ไปอยู่วัดบรมนิวาส ท่านเจ้าคุณท่านมีความลำเอียง ลูกศิษย์คนที่รักส่วนเรากลายเป็นลูกศิษย์คนที่ชัง เลยไม่ชอบใจอยู่ได้ปีเดียว เลยออกไม่อยู่แล้วหนีไปอยู่กับคุณล้วน ควันธรรม ไปเลี้ยงลูกให้เขา อยู่ 2 ปีตอนนั้นอยู่ ม.8 สอบตกเลยเข้าเพาะช่าง อยู่ที่บ้านคุณล้วน 2 ปีเขาก็ใช้เหมือนแม่บ้าน ทำครัว ซักผ้าซักผ่อน เลี้ยงลูกเต้า เขามีลูกชาย 2 คน เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

อยู่บ้านคุณล้วนถนนอัษฎางค์มีห้องแถว หลังศาลอาญา จากที่นั่น ที่นี้ลุงเห็นว่าออกไปจากที่นั่นแล้วไม่มีที่อยู่อีก ลุงมาเห็นอีกก็เลยจับมาฝากหอพักบุตรทบ. ก็เลยอยู่หอพักบุตรทบ.ตั้งแต่ตอนนั้นมา ตอนอยู่โรงเรียนเพาะช่างปี 2 จนเรียนครบ 5 ปีจบเพาะช่าง เสร็จแล้วก็ขอจักรยานของลุงมาทำงานส่งหนังสือพิมพ์หารายได้ให้ตัวเอง

ตอนนั้นก็แต่งเพลง เขียนหนังสือ หารายได้หาเลี้ยงตัวเองได้เรียบร้อย ส่งเงินมาให้น้องอีกด้วย ถ้าอยู่บ้านก็ทำอาหารกินเอง ถ้าไม่อยู่บ้านก็ไปกินกับใครก็ได้ ส่วนบ้านที่ซุกหัวนอนเป็นที่ๆจะต้องนอน เมื่อไหร่ก็ไปนอนได้อย่างนั้นด้วยบ้านแท้ๆไม่แน่ไม่นอน

พอจบแล้วออกมาทำงานจึงมีบ้านของตัวเองได้ ก่อนนั้นก็เช่าบ้านอยู่หลายปี กว่าจะมีบ้านของตัวเองจนเรียนจบ เอาน้องมาเลี้ยงอยู่ด้วย ก็เลยอยู่บ้านหลังนั้น 10 กว่าปีจนออกมา เป็นบ้านหลังสุดท้าย เป็นบ้านที่สร้างด้วยตัวเองที่แคบ 100 กว่าตารางวา ให้น้องมาอยู่ด้วย ทำน้ำตกน้ำไหลเล็กๆ ตอนนั้นเขาเอาหินมาขาย ไม่มีบ้านไหนซื้อ อาตมาก็ว่าเอาๆ ซื้อหิน 1500 บาท คนก็ร้องว่าซื้อทำไม คนตกใจว่าซื้อได้อย่างไร ประมาณ สิบกว่าก้อน ก้อนไม่ใหญ่เท่าไหร่ ก็เอามาต่อสร้างเป็นน้ำตก วางเรียงเป็นสนาม ที่จริงภาพมี คือมันมีจิตใจเป็นธรรมชาติ

มีที่รองเท้าปั้นเป็นรูปตีน แปลว่าสร้างด้วยลำแข้งตัวเอง ลุงก็ถาม ก็เลยบอกอย่างนี้ ลุงก็เข้าใจพยักหน้า มีน้ำตก มีรังนก เลี้ยงนกฟิ้นช์ ในนี้หุ้มเป็นกรงใหญ่ เรือนอีกหลังที่ตั้งใจสร้างตั้งชื่อว่าเรือนรัก ส่วนหลังแรกตั้งชื่อว่าเรือนร่ม ให้เป็นสระน้ำแล้วมีน้ำตกน้ำไหล

มาทำปฐมอโศกก็สร้างภูเขาน้ำตก คุณไม้ร่มก็มาร่วมสร้างด้วย ที่บ้านที่สร้างนั้นออกแบบเองมีการตกแต่งธรรมชาติ

พอออกมาก็มาอยู่ที่กุฏิวัดอโศการาม มีแม่บ้านคือคนที่ช่วยทำงานบ้านมาอยู่ด้วย หาได้มาจากกรมประชาสงเคราะห์ มาเป็นคนใช้ แม่บ้านคนนี้มีลูกติด ซึ่งใครก็ไม่เอา รังเกียจ เราก็ว่าน่าเอาก็เลยรับแกมาอยู่ด้วย ไม่ได้ถือว่าเป็นคนใช้นะ ลูกแกก็เลี้ยงจนโต ลูกสาวแก ตอนนี้อายุจะ 60 ปีแล้ว ลูกสาวของแม่พวง ตอนนี้ก็ยังอยู่กับกิ่งรัก อาตมาตั้งชื่อว่าพิกุลแก้ว

เรียนจบปั๊บก็เช่าบ้านไว้ก่อนเลย ราคาค่าเช่าเดือนละ 700 บาท อาตมาเงินเดือนตอนบรรจุนั้นก็ไม่กี่ร้อยบาท ใช้รถแลมเบตต้าและเวสป้า ขี่ไปทำงานทั่วไป ได้บ้านใหม่ก็เลยย้ายออกไปที่ทุ่มมหาเมฆอย่างที่เล่า แล้วก็อยู่บ้านหลังนี้จนพ.ศ. 2513 ก็เลยเลิกไปอยู่วัดอโศการาม ปลูกกุฏิให้ของอาตมาและก็ของฝ่ายหญิง

จากนั้นก็ออกจากวัดอโศการาม ก็มีบ้านอีกเยอะ ทุกวันนี้มีบ้านเยอะ เพราะเป็นคนไม่มีบ้านก็เลยมีบ้านเยอะ

บ้านแท้อยู่ไหน? ทุกวันนี้เป็นคนไม่มีบ้านของตนเองแต่มีบ้านเยอะ เพราะไม่มีบ้าน แต่มีบ้านเยอะ นี่เป็นเรื่องพิเศษประหลาด ไม่ได้อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่มีเยอะ คนนั้นคนนี้ก็สร้างให้อยู่

 

_ต่อมาถามว่าสวรรค์นรกนั้นมีจริงไหม….. สวรรค์นรกนั้นอยู่ในจิตใจ จิตใจของเรามีสวรรค์นรกก็ต้องมี สวรรค์นรก คืออาการของจิตใจ ถ้าอาการเป็นสุข เขาเรียกว่าสวรรค์ ถ้าอาการเป็นทุกข์ เขาเรียกว่านรก แล้วมันเป็นจริงด้วย เคยไหมที่ถามมานี้ อ่านใจตัวตนที่ทุกข์ มันไม่สบายใจ อ่านเป็นไหม นั่นแหละคือนรก ยิ่งมีเรื่องราวมากรับผิดชอบมาก หาเรื่องมาก ก็ทุกข์มาก ติดยึดมาก ถ้าไม่มีปัญญาทางธรรมก็จะทุกข์มาก

คนเรามีสุขแล้ว ก็ไปชอบรสประทับใจ ชอบความสนุก ชอบความเพลิดเพลิน ชอบที่เขาหลอกไปเยอะเลย ก็ไปคิดตามเขาและเป็นจริงเรียกว่าอุปาทาน บ้านนอกมาเป็นสวรรค์เก๊ สวรรค์ปลอม ไปติดเข้าแล้วเลิกยากด้วย เพราะมันโง่มันอวิชชา

เราจะได้สวรรค์ตอนสัมผัสขณะมีเหตุปัจจัยครบ เลิกจากสวรรค์จิตใจก็ติดยึดนั้นต่อเป็นนรกต่ออยากได้มาก ชีวิตจริงอยู่กับนรกมากกว่าสวรรค์ อยากได้สุขในที่ไหนๆ คนเราอยากนั่งตรงนี้ อยากนอนตรงนี้ อยากจะยืน อยากจะเดิน อยากจะพบอันนี้ อยากจะได้กลิ่นอันนี้ อยากจะได้รับรสอันนี้ เยอะไปหมดจนนับไม่ถ้วน

อยากตัวไหน….นรกตัวนั้น แล้วก็จะแสวงหามาให้แก่ตัวเอง อยากได้ก็แสวงหา หรือไม่ก็แย่งชิง แย่งชิงอย่างร้ายแรงทุจริต ฆ่าแกงทำร้ายคนอื่นอย่างอำมหิตทุจริต นั่นแหละคือสัตว์นรกชั้นต่ำ นั่นคือจิตใจทั้งนั้นที่เป็นอยู่ คือสัตว์นรก สัตว์เทวดา สัตว์สวรรค์ จิตใจก็พาเป็น ทั้งหมดมนุษย์ทั่วโลกนี้

ต้องมาศึกษาตามพระพุทธเจ้าจะรู้ถึงสิ่งเหลวไหลเลวร้าย หรือว่ามันไม่มี รูปรสกลิ่น เสียง สัมผัส ที่จะเที่ยงแท้ถาวรไม่มีหรอก มันมีตามเหตุที่กระทบสภาพ เดี๋ยวมันก็จะหายไป บางอย่างอาจอยู่นาน เป็นเหล็ก เป็นหิน แต่เราก็จะตายก่อนมันสลายก่อนมัน หรือมันจะสลายก่อนเรา อย่างผ้าที่ปูโต๊ะนี้ก็ต่อไปก็สลายแน่

ถ้าเราไปยึดก็จะแย่งอยากได้เป็นเราของเรา ก็แย่งเกิดเวรกรรม เวรคือผูกพัน เป็นการกระทำที่ผูกพัน ชาติแล้ว ชาติเล่า ฆ่าแกงกัน เป็นทุกข์ร้อนไม่รู้กี่กัปี่กัลป์ คนที่มาศึกษามีบารมีจะลดความอยากได้ พอลดความอยากได้แล้วกลับจะได้เมื่อมีบารมี พอมีบารมีจะได้ แต่ตอนแรกไม่มีบารมีจะไม่ได้ ต้องอดทนสร้างเองเกื้อกูลคนอื่น กุศลก็จะกลับมาทดแทนเราเหมือนทรัพย์ที่เราฝากแบงค์ไว้ กี่ชาติก็จะมาทดแทนเราเป็นเรื่องจริงเลย

สรุปแล้วอะไรต่างๆนานาไม่มีของฟรี เราทำไว้ให้คนอื่นเราไม่ต้องจำ ให้คนอื่นเป็นลูกหนี้ก็จะมาใช้เรา บางคนเขาไม่เต็มใจ แต่วิบากเขาจะมาใช้ให้เรา แต่คนกตัญญูเป็นคนดีจะเอามาใช้หนี้เราเยอะ หรือเขาจะมาฝากเรา มาให้เรา มาให้เราแล้ว ถ้าเป็นพระอาริยะ อรหันต์จะเป็นนาบุญ

เขามาบริจาคเรา เขาไม่ได้มาใช้หนี้หรอก แต่เขามาให้เราเอาไปงอกไปทำประโยชน์กับคนอื่นได้ เขาทำเองจะได้กุศลเป็นรายได้ไม่ขยายผลอย่างเรา เราทำนี่จะงอกเงยขยายผลยิ่งกว่าพวกทุนนิยม เป็นนาบุญที่งอก อย่างข้าวดีเมล็ดเดียวจะงอกเป็นร้อยพันเมล็ด

ผู้ที่มาบริจาคให้นี้ ให้แล้วท่านไม่ได้เอามาบำเรอตน ก็จะไปทำกุศลต่องอกเงยต่อ ขยายผลไปอีกเยอะจึงเรียกว่านาบุญ ทำบุญกับพระอาริยะ จะมีผลสูง ยิ่งถ้าทำบุญกับพระอาริยะอย่างพระพุทธเจ้าจะยิ่งมีผลสูงมาก

ใส่บาตรพระโสดาบัน 1 ครั้งมีผลสูงกว่าทำ  นิจทาน (ทำทานใส่บาตรทุกวัน) ใส่บาตรโสดาบัน 1 ครั้งมีผลสูงกว่าพระปุถุชน 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระสกทาคามี 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรพระโสดาบัน 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระอนาคามี 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรพระสกิทาคามี 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระอรหันต์ 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรอนาคามี 100 ครั้ง

…..

ใส่บาตรเป็นสังฆทานไม่กำหนดระบุพระ แต่ใส่เพราะท่านต้องการเป็นของจำเป็น นั้นมีผลสูงกว่าใส่บาตรพระพุทธเจ้า ไม่กำหนดรูปใดขอให้เป็นภิกษุที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าไม่ระบุองค์ หนึ่งท่านน่าศรัทธา และสองสิ่งที่ทำทานเป็นสิ่งจำเป็น เป็นด้ายเป็นเข็ม ได้กุศลยิ่งกว่าสร้างตึกวิหารถวายอีก

พระพุทธเจ้านั้นจะอยู่ในระยะหนึ่งแล้วปรินิพพานไป ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้านั้นจะอยู่สืบทอดต่อไป ถ้าสามารถช่วยอย่างมีใจที่กว้าง องค์ไหนก็ตามที่ท่านขาดแคลน และท่านจำเป็น องค์อื่นๆมีพอแล้วแต่องค์นี้ขาดแคลนมาก ดังนั้นมันตรงกับความต้องการความจำเป็นมีประโยชน์ ยิ่งท่านไม่ต้องการท่านไม่ไปขอ ท่านไม่เรียกร้องก็ยิ่งมีผลสูง ถ้าไปทำทานกับคนที่เรียกร้อง ต้องการนั้นกุศลจะราคาต่ำ ถ้าทำทานกับคนที่ไม่เรียกร้อง แต่ก็เห็นว่าควรจะทำทานกับท่านอย่างนั้นอานิสงส์จะมีสูง มีกุศลสูง ถ้าปฏิบัติธรรมต่อไปจะเข้าใจซึ่งกัน

 

_ผมน้องนาย อยู่ชั้นป.1 ทำไมผมต้องตั้งตบะด้วยครับ ช่วงเข้าพรรษาผมตั้งตบะว่าจะไม่ดูทีวี แล้วผมไม่ดูทีวีก็รู้สึกดีแล้วผมมีเวลาว่างที่จะทำการบ้าน

ตอบ...ฉลาดนะ ตั้งตบะนี้มีเวลาทำการบ้านอีกเยอะแยะด้วย ก็เห็นไหมว่าตั้งสบายแล้วดี

 

_การทำความเพียร เป็นการสร้าง  self กับ ish ซึ่งมันเริ่มมีสามเส้า คือมี i ตัวเรา she he เป็นสามเส้า วัฏฏะ เช่นพีชนิยามเป็นวัฏฏะสามเส้ามันไม่รู้ตัวเอง มันมีธรรมะสองกับตัวเอง ตัวเองคือสังขาร ปรุงแต่งให้ตัวเองแล้วมีสองอย่าง ธรรมะสอง ทุกอย่างที่ต่างกันเป็นธรรมะสอง มันจะเลือกอย่างที่ใช่ ไม่ใช่ไม่เลือก นี่คือพลังงานพีชนิยามไม่เป็นพิษภัยกับใคร มี self และ ish สามเส้า ยังไม่เป็น selfish ยังไม่เห็นแก่ตัวเอง แต่เป็นแค่ตัวเอง ไม่รบกวนเบียดเบียนใคร เป็นเหตุปัจจัยให้ตัวเอง ธาตุไหนได้ก็เอา พีชนิยามจะได้สมบูรณ์มันก็เอา แต่มันเกินมันไม่เอา ขาดมันก็พร่อง แต่ถ้ามันได้สมบูรณ์มันก็เอา มันมีพลังงานกำหนดของมันเหมือนกัน

สรุปแล้วเป็นผลดีของตัวเอง มีพัฒนาการไม่ทำร้ายใคร ไม่เป็นพิษกับใคร นี่คือพลังงาน self หรือ ish สามเส้า มันขยันพวกเพียรตลอดวันคืนนะ แต่บางอย่างพืชก็พักบางขณะไม่มีแสง แต่ธรรมดาไม่มีพัก มันทำตามของมันประจำ

 

_น้ำใจ ความกตัญญูเป็นรูปธรรมเป็นตัวอย่างอยู่ที่เกมอาริยะใช่ไหมคะ ไม่ได้อยู่ที่เกมโปรเกม่อน ใช่ไหมคะ

ตอบ.น้ำใจกตัญญูเป็นรูปธรรม คือให้ความรู้จักบุญคุณคน แล้วก็ตอบแทนบุญคุณคน เป็นตัวอย่างของเกมส์อาริยะ ถูกต้อง ทำไปเถอะเป็นกำไรตลอด แม้เขาจะไม่รู้จักคุณคนก็ไม่เป็น พระสารีบุตรมีคนใส่บาตรให้ 1 ทัพพี เมื่อคนนี้ที่ใส่บาตรมาบวชตอนอายุเยอะ ก็ไม่มีใครหาบริขารให้ ไม่มีใครบวชให้ ทุกคนรังเกียจไม่ให้ สารีบุตรไปเห็นเข้าก็พบว่าคนนี้เคยใส่บาตรเรา ก็เลยเป็นเจ้าภาพหาบริขารให้บวช ก็เลยได้บวช

เมื่อเราช่วยคนอื่นแล้วมีผลมากกว่าที่เราจากเขาก็จะเป็นกำไรของเรา

 

_ลดกิเลส คือหน้าที่หลัก ส่วนการทำงานหนัก คือหน้าที่ ได้ไหม

ตอบ..ก็ได้ ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ข้างนอก แล้วเราก็สังเกตไปด้วย งานเราก็ทำตามควร

 

_นิสิต  ว.นบ. คือผู้เจริญแล้ว วันนี้คุณใช้ บุญ แทนใบประกาศหรือใบประกันชีวิตได้ไหมคะ

ตอบ...บุญไม่ใช่ใบประกันชีวิต แต่บุญคือเครื่องมือฆ่ากิเลส ต้องปฏิบัติให้รู้จักกิเลสแล้วกำจัดกิเลสได้ด้วยปหาน 5 จะเป็นเครื่องมือกำจัดกิเลสครบ

1.      วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

 

ปหานกิเลสเสร็จหมดบุญก็หมดไปด้วย

 

 _จากนร.สสฐ.อยู่ปฐมอโศก (ดรีม เปรมิกา ) ประชาธิปไตยสำหรับหลวงปู่หมายความว่าอะไรคะ

ตอบ...หมายความว่า สิ่งที่เพื่อประชาชน อย่างไม่อคติ อย่างไม่ลำเอียงอย่างไม่มีการเห็นแก่ตัวเลย นั่นแหละคือยอดสุดประชาธิปไตย ผู้ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจเลย และไม่ลำเอียงไปเข้าข้างคนของเรา พรรคพวกของเราจะ ไม่มี ไม่ลำเอียงและไม่มีตัวตน ไม่ทำเพื่อตัวตน ไม่ทำเพื่อใครส่วนตัวทั้งนั้น

จะอยู่ในระบอบเผด็จการแต่คนนั้นทำเพื่อประชาชนอย่างไม่ลำเอียงไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่พวก ทำอย่างบริสุทธิ์ มีจิตเป็นความรักระดับมิติที่ 7 มิติ 8 มิติที่ 9 มิติที่ 10 เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และมนุษยชาติ ผู้ที่ทำได้อย่างนั้นนั่นแหละ คือนักประชาธิปไตยตัวจริง

เขาจะอยู่ในระบอบเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราช สมัยพระพุทธเจ้าท่านก็คือนักประชาธิปไตย แล้วก็สร้างนักประชาธิปไตยมาเป็นสาวก ช่วยเผยแพร่ประชาธิปไตยมาตลอด จึงมีผลต่อประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่มีคอรัปชั่นไม่ลำเอียง ทำตามสัจธรรม คนไหนควรช่วยเหลือก่อนหรือหลังจะรู้ แล้วทำเต็มที่เรียกว่านักประชาธิปไตย จะอยู่ในระบอบเผด็จการ ระบอบคอมมิวนิสต์ คือระบอบที่ชื่อว่าประชาธิปไตยจริงๆก็ตาม แต่ถ้าพฤติกรรมเป็นอย่างที่ว่านี้ ก็คือนักประชาธิปไตย แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ทำเห็นแก่ตัวลำเอียง คอร์รัปชั่นสร้างอำนาจบาตรใหญ่ ต่อให้ชื่อว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตยคือระบอบใดใด ถ้ารวมหัวรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่จะขบถต่อประชาชน ถ้ายิ่งตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่รวมอำนาจไปหมด จนคนอื่นต้องยอม แม้แต่ชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยก็ตาม มีกฎระเบียบ มีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ แต่ตนเองประพฤติเห็นแก่ตัว คนนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย

นักประชาธิปไตยของหลวงปู่เป็นนักประชาธิปไตยที่ดีที่สุด เป็นนักเผด็จการที่ดีที่สุด เป็นนักคอมมิวนิสต์ที่ดีที่สุด ทำเพื่อประชาชนอย่างไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่ตัว มีปัญญาแจกจ่ายจัดสรรอย่างไม่ลำเอียงมีปัญญาที่สุดยอด

 

_ทำไมบางครั้งเรารู้สึกผิดกับบางเรื่อง ที่เราไม่ได้ทำด้วย การที่หนูรู้สึกผิดกับคนอื่นที่เขาทำผิดไปด้วยมันหมายถึงอย่างไร

ตอบ...เราไปเห็นใจคนอื่นที่เขาทำผิด 1 ตนเองรู้สึกว่าอันนี้มันผิดจริงๆ ถ้าเราทำเองก็รู้สึกในตัวเอง สองเราไปเห็นคนอื่นทำผิดก็น่าเห็นใจ ความจริงมันก็ดี ถ้าเราไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเราไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง เราจะช่วยเขาได้ก็ช่วย

 

_ในความเห็นของพ่อครู สาธารณโภคีของชาวอโศกที่ไหนสมบูรณ์แบบมากที่สุด

ตอบ….ยังตอบไม่ได้ ว่าที่ไหนสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ตอนนี้ สาธารณโภคีของชาวอโศก ที่ปฐมอโศกเป็นสาธารณโภคี ที่ตัวเองไม่ต้องไปยืมใคร ซึ่งชาวอโศกไม่เป็นหนี้ใครอยู่แล้ว แต่จะมีหนุน อย่างบ้านราชฯนี้มีเงินหนุนจากสันติอโศก แล้วได้รับเงินหนุนจากปฐมอโศก เดือนละไม่ต่ำกว่าล้าน ปฐมอโศกเป็นที่ๆเลี้ยงตัวเองรอด แล้วก็ช่วยเหลือน้องๆด้วย รอดตัวเป็นสาธารณโภคีมีประชากรทำกิจการเลี้ยงตนเองรอด เป็นระบบสาธารณโภคี ทุกคนทำงานฟรี แล้วก็เอาเข้าส่วนกลาง เสียภาษี 100% อยู่กันอย่างพี่น้องพึ่งพากัน เกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ จะเรียกว่าสมบูรณ์ที่สุดก็ได้ ส่วนสันติอโศกนั้นไม่ได้เป็นหนี้ใคร จะมีเงินฝากจากสมาชิก เป็นเหมือนธนาคารกองกลาง ฝากก็ไม่ได้ดอกเบี้ยหรอก ใช้เงินส่วนนี้หมุนเวียนให้คนอื่นยืมไปทำงาน อย่างเช่นราชธานีอโศกยืมมาทำโรงปุ๋ย 10 ล้านถึง 20 ล้านเป็นต้น หรือไปซื้อข้าวที่โรงสี ก็ไปเอาจากกองกลาง ระบบก็คล้ายกับทุนนิยม แต่เราไม่มีชักดาบ หมุนเวียนช่วยกันอย่างดีสุด อาตมาเชื่อว่าโลกทั้งโลกต้องการแบบนี้ ยิ่งกว่ายูโทเปียที่โทมัสมอร์เขียนไว้ เป็นเมืองในฝัน

ส่วนของเรามีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ปฏิบัติธรรมเรียนกันไปตลอดเวลา ตั้งแต่เล็กจนถึงแก่จนถึงตาย เป็นหลักสูตรอาริยบุคคล โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตลอดและปฏิบัติไป แม้จะเป็นอรหันต์แล้วก็เป็นโพธิสัตว์ต่อ เกื้อกูลดูแลช่วยเหลือคน เพียรกันไป ไม่จบอรหันต์แล้วตนเองตายไปจะไม่ตั้งจิตต่อเป็นพุทธภูมิก็ได้ หรือจะต่อพุทธภูมิก็ได้ แต่อาตมากล้าพูดว่าผู้ที่จะต่อพุทธภูมิต่อก็จะมาเกิดกับชาวอโศก น้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน ตามสัจจะ อาจจะไปรับวิบากที่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมา แต่คนไหนที่ไม่มาคือไม่ใช่ บางคนอยากมาแต่มาไม่ได้ ส่วนคนไม่อยากมาก็ไม่มีปัญหา

สรุปว่าปฐมอโศก สมบูรณ์สุดตอนนี้ก็ได้ แต่อาตมาก็เห็นว่าดีกว่านี้ยังมีอีก เขากำลังพัฒนาต่อ

 

_ตอนนี้หลวงปู่มีพระอรหันต์ 9 รูปหรือไม่คะเป็นนักบวชหรือฆราวาส

ตอบ...ก็ตอบได้ว่ายังไม่ได้ถึง 9 รูป แต่ก็มีเข้าข่ายอยู่บ้าง มีคนหนึ่งที่อาตมาประกาศว่า เป็นอรหันต์แต่เสียชีวิตไปแล้ว คนอื่นก็มีคุณสมบัติอยู่ แต่ก็ไม่ต้องตรวจสอบ ถ้ามีอรหันต์ 9 รูปแล้ว อาตมาถือว่าชมพูทวีปจะเต็มรูป จะช่วยศาสนาต่อไปถึงห้าพันปี ถ้ามากกว่า 9 ก็ยิ่งเต็ม

 

_ดิฉันติดตามบุญนิยมทีวีที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติเป็นอันมาก ชาวบ้านแถวบ้าน คนไทยชอบทำบุญกลัวบาป แถวบ้านมีพระกินมังสวิรัติเหมือนกัน แต่มีพระอยู่น้อยแค่หนึ่งหรือสองรูป แต่ชาวบ้านก็นับถือคอยช่วยงานวัด แต่ดิฉันว่าพระมีความรู้น้อยไม่แข็งแรงพอ แต่วัดที่มีพระเปรียญ 9 จะแข็งแรง มีพระมากกว่า คนก็ไม่ค่อยชอบ แต่คนกับพระก็ต้องอยู่ร่วมกัน ดิฉันชอบพ่อท่านเทศน์มาเป็นคนจนเข้ายุคสมัยมากเลย ก็คนจนจริงๆ พอจนรายได้ไม่เหมือนเก่าคือจนไม่ถึงกับรวย อยู่ได้ ทำงานแบบคนจนดีจังไม่เปลือง ความรัก สามัคคีกลับมาเหมือนเดิมแล้ว มีการแบ่งปันกันมากขึ้น เนื่องจากจน เด็กๆก็ไม่ได้เที่ยวเตร่ ต้องช่วยครอบครัวเด็กก็รู้จักคุณค่าของเงินมากขึ้น พ่อท่านเทศน์เรื่องการทำงาน เทวดา 6 ชั้นดิฉันชอบฟังมาก

ตอบ...ก็ขอเสริมตรงที่ว่า อโศก มาจนอย่างจริงๆ จนเดินตามรอยทางพระพุทธเจ้า ไม่สะสมเงินทองเป็นของตนเอง ไม่สะสมสมบัติ การไม่สะสมสมบัติแต่เรามีสาธารณโภคีเป็นองค์รวมส่วนกลาง ประชาชนที่ไม่ใช่แบบโลกุตระเขาไม่เข้าใจ ส่วนกลางที่ทุกคนช่วยดูแล เขาก็รู้ แต่จิตใจเขาเห็นแก่ตัวเป็นจำนวนมาก เขาไม่ได้ล้างกิเลส เขาพอรู้ แต่จะเป็นได้ต้องเรียนรู้ทฤษฎี เรียนรู้อาการลิงคนิมิตของกิเลสแล้วมีวิธีปหาน 5 กำจัดกิเลสได้ จะมีอาริยคุณจริง แล้วน้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน จะสบายใจ ช่วยกันพัฒนา ช่วยสร้างให้เจริญ

ผู้ใดไม่ถึงอรหันต์ก็ต้องพากเพียรให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็เสียเวลาทรัพย์สินไปเสียพลังงานไป แต่ถ้าเป็นอรหันต์ก็จะไม่เสียพวกนี้ จะทำงานช่วยศาสนาได้เต็มที่

มาถึงปางนี้อาตมาต้องมาอธิบาย จนมีรูปธรรมของสังคมนี้ สังคมคนสาธารณโภคี คนที่ศึกษาแสวงหาเขาจะเห็นแล้วมาเอา

ตอนนี้ไม่ได้แพร่ไปกว้างถึงต่างประเทศ อาตมาไม่ได้ดิ้นรนขวนขวายที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ดิ้นรนจะใช้ เพราะไม่อยากให้กระจายไปมาก เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง จะไม่สูญเสียง่าย

วิธีทำของอาตมาจึงช้าหน่อย ไม่เร็วทันใจคนนัก แต่คนใจร้อนอยากให้ได้ผลเร็ว อาตมาเข้าใจ แต่เราจะตะกละเกินไม่ได้ เราค่อยทำสะสมไปตามเหตุปัจจัย จะช้าหน่อย แต่ของให้แข็งแรงจริง บริสุทธิ์จริงจะอยู่ได้นานและจริง

 

_ถ้าชาตินี้เราทำดีไว้เยอะชาติหน้าจะติดตัวเราไปไหม

ตอบ...ไปด้วยแน่ กัมมัสโกมหิ ต้องทำแต่ดีอย่าไปทำชั่ว

 

_ความหมายของผู้ที่มีประชาธิปไตยมากที่สุดคืออะไร หลักความเสมอภาคคืออะไร

ตอบ...ความหมายก็อธิบายกันเยอะแยะแล้วจะต้องเอาความจริง ความจริงหมายถึงอะไรบ้าง ความหมายของผู้ที่มีประชาธิปไตยคือ จะต้องทำให้จริง คือผู้ไม่มีกิเลส ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ลำเอียง จะต้องมีปัญญา อ่านอย่างซื่อสัตย์ว่าใครควรได้มากหรือน้อยได้ก่อนหรือหลัง จะใช้มหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 อย่างไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่ตัว เอาสัจจะความจริงของแต่ละหมู่กลุ่ม แต่ละกาละ ในสัปปุริสธรรม 7 รู้อัตถะ ธรรมะ รู้ตัวเองอัตตัญญุตาว่าเราทำได้แค่ไหน ประชาธิปไตยที่มากที่สุดคือคุณสมบัติที่ไม่มีกิเลส ไม่ลำเอียงมีปัญญา มีมหาปเทส 4

หลักความเสมอภาค คือจัดสรรให้ได้สัดส่วนสมดุล ตอบตรงนี้ให้ฟังว่า สิ่งที่เกิดสองอย่างไม่มีอะไรเท่ากันตั้งแต่นิวเคลียร์ฟิชชั่น ฟิวชั่น สองพลังงานหน่วยเล็กที่สุดก็ไม่เท่ากัน  ทั้งพลังงาน สสารก็ไม่เท่ากัน คนที่ไม่รู้จัก ดึงดันก็จะพยายามทำให้เท่ากัน  เหมือนผีไปเห็นคนที่นอนอยู่ คนนอนนั้นสูงไม่เท่ากัน ผีก็จะจัดให้เท่ากัน ก็ไปดึงหัวให้เท่ากัน แล้วก็ไปดึงเท้าให้เท่ากัน ก็จะไม่เท่ากันไปตลอด จัดไปจัดมาเรื่อยๆ เขาก็จะเป็นผีตัวนี้ ผู้ที่จัดเสมอภาคในโลก มันไม่มีหรอก

ธรรมะสองนี่ตั้งแต่สองสิ่ง แฝดสองคนก็ไม่เหมือนกัน แฝดนี่หยาบ อณูระดับนิวเคลียสก็ไม่เท่ากัน จะอิตถีภาวะกับปุริสภาวะก็ไม่เท่ากัน

ภาวะธรรมะสอง คนจะมีเหตุปัจจัยมากระทบเป็นธรรมะสองพอเกิดปฏิกิริยาก็มีเรา เราก็ใช้ปัญญาจัดการตัวนี้ได้

ความเสมอภาค คือจัดสรรให้เป็นไปด้วย สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4 จัดสรรให้เรียบร้อยราบรื่นง่ายงามที่สุด ไม่มีอะไรเท่ากัน แต่ทุกอย่างจะไม่ตรงไม่เท่ากันหมดเป็น 0 ได้ คือพลังงานไม่มีทศนิยม โลกนั้นคือโลกแห่งหลุมดำเบอร์มิวด้า ที่ไม่มีอะไรรู้จัก ถ้าเริ่มมีจิตวิญญาณรู้จักก็ไม่ต้องลงหลุมดำเบอร์มิวด้า

อุตุนิยามเริ่มปรุงแต่งจับตัวเป็นสองแล้วก็จะปรุงแต่งไปเรื่อยๆ สร้างตัวเองไป พีชนิยามก็มีสามส่วนจับตัวกัน จะมีหลายมิติก็เรื่องของมัน จะไม่ออกนอกตัวเอง ถ้ามันพัฒนาเป็นจิตนิยามก็จะมีลักษณะของน้ำ ลม ไฟ ที่จะทำงานร่วมกันเป็นดินเป็นก้อนแท่งขยายไป

 

_ชาดกและอีสปคืออะไรคะ แล้วทำไมต้องมีคะ

ตอบ..คือตัวอย่างของกรรมของสัตว์โลก เป็นเรื่องราวไปให้รู้เห็นในวัฏฏสงสาร คือชาดกหรืออีสป เรื่องราวของพพจ.ท่านก็เอาเรื่องที่น่าเล่ามาเล่าท่านไม่ได้เล่าหมดหรอก เอาเรื่องที่เป็นประโยชน์ตัวอย่างมาเล่า

ชาดกเป็นเรื่องจริงของพระพุทธเจ้าที่ท่านมีสิ่งที่ผ่านมา เอามาเล่าให้เป็นประโยชน์ตัวอยาง ส่วนอีสปเป็นเรื่องที่คนสร้างแต่งขึ้น คือคนชื่ออีสปเป็นคนเล่า ทำไมต้องมีก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่ต้องมี

 

_ทำไมหลวงปู่เรียกชาวอโศกว่าชาวอโศกคะ

ตอบ...ติดตามชาวอโศกให้นานๆหน่อย มีเหตุปัจจัยให้ชื่อนี้ ทำไมต้องชื่อโมคคัลลานะทำไมต้องชื่อสารีบุตร ทำไมต้องชื่อรัก รักพงษ์ มันมีเหตุปัจจัยทั้งนั้นนะ

เหตุการณ์ในปัจจุบัน คือหลวงปู่บวชครั้งแรกที่วัดอโศการาม บวชเสร็จแล้วก็มาแสดงธรรมอยู่ที่ลานอโศก ควงทวนธรรมะอยู่ที่นั่น สนุกมากเลย เป็นย่านตักสิลาแต่ก่อนนี้ แต่เดี๋ยวนี้เป็นตึกราม แต่ก่อนมีต้นอโศกอยู่เต็ม มีตลาดคนมาขายของเป็นดงเป็นแดนตักกศิลานักธรรมะ

อาตมาบวชอยู่ใหม่ๆก็ไปถกอยู่ที่นั่นนาน อยู่ไปอยู่ไปก็จะต้องสร้างหนังสือสักเล่มหนึ่งก็ช่วยกันเขียน ก็พิมพ์ 15 วันออก 1 เล่ม ก่อตั้งชื่อว่าหนังสืออโศก เพราะว่าวิ่งไประหว่างวัดอโศการามกับลานอโศก เอาชื่อมาเรียกว่าหนังสืออโศกก็แล้วกัน เล่มแรกก็ช่วยกันเขียนหลายคอลัมน์ทุกคนชื่ออโศกหมดเลย

 

_ทำไมบ้านราชเมืองเรือก่อสร้างทีหลังทำไมถึงได้เป็นเมืองหลวงของอโศก

ตอบ...ง่ายๆว่า มันมีที่ดินมากกว่าที่อื่นหมด สอง มันมีทั้งแม่น้ำจะสร้างภูเขาจะสร้างลำธารได้ครบใหญ่ต่อมากกว่าที่อื่นหมด ที่จริงเรามีที่ดินที่ดอยรายปลายฟ้ามีภูเขา แต่มีที่ไม่ถึงพันไร่ แต่ที่นี่มีถึงพันไร่ มีแม่น้ำ ส่วนภูเขาเราจะสร้างเอง เราจะทำให้มีสัปปายะ 4 เป็นเมืองหลวงซ้อนในประเทศไทย แต่ไม่ได้ขบถต่อประเทศทำเมืองหลวงซ้อนนะ แต่ทำประโยชน์ต่อมนุษยชาติ

 

_ด.ญ.ใสเสมอ ถามว่าทำไมคนเราต้องเกิดมาคะ

ตอบ...คนเราที่ต้องเกิดมา เพราะมีกิเลสหรือมีอวิชชา ถ้าคนหมดอวิชชาหมดกิเลสแล้ว ถ้าไม่อยากเกิดอีกก็ทำตนเองสูญสลายได้ไม่เกิด ส่วนคนไม่หมดกิเลสไม่หมดอวิชชา ไม่อยากเกิดอย่างไรก็ต้องเกิด จะต้องเกิดมาเจอทุกข์ ไม่อยากเกิดอย่างไรมันก็ต้องเกิด กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมพันธุ กัปปฏิสรโณ เป็นวิบากตนที่ต้องชดใช้ แบ่งให้ใครไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะมันได้เกิดมาเป็นชีวะแล้ว ตั้งแต่มันเริ่มพัฒนามาตั้งแต่จิตนิยามเป็นพลังงานสัตว์ ก็เริ่มสะสมแล้ว จนมาเป็นคนต้องมาล้างพลังงานที่จะทำกรรมวิบากเพิ่ม ของพุทธไม่มีล้างบาป แต่ทำกุศลให้มากเพื่อกันพลังงานอกุศลไม่ให้ออกฤทธิ์รบกวนเราได้ ซึ่งไม่หมดง่ายๆเลย ขนาดบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีเศษวิบากตามทันได้ แต่น้อย

จะสิ้นวิบากกุศลอกุศลที่ตนได้ก่อมาตั้งแต่เป็นสัตว์โลก ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีอะไรเกิดอีกเลย ศาสนาพุทธทำได้ศาสนาเดียว

 

_ด.ญ.เมย...พระเทพโมลี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่สองของวัดอโศการามคือผู้ที่บวชให้หลวงปู่ค่ะ

ตอบ...น้องเมยรู้เองหรือเปล่า ใครบอกให้เขียนมา ก็ขอบคุณ ...คือเจ้าคุณที่เป็นอุปัชฌาย์อาตมาเสียชีวิตตอนเป็นพระเทพโมลี

 

_SMS 31 August 2016

_0818557xxx กราบนมก.พ่อครู ตั้งแต่ติดตามดูมา วันนี้ท่านพูดถึงเรื่องเด็ก เข้าใจทุกท่านที่อยู่อโศก เด็กทุกวันนีไม่เหมือนเมื่อก่อนค่ะ พวกเค้าไม่รู้ตัวเองเลยว่า ได้บุญ(เครื่องมือประหารกิเลส) มีวาสนา(อยู่ในหมู่คนดี)อยู่ใกล้พระอริยสงฆ์ ลูกมองเด็กๆพวกนี้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ถ้ามีโอกาสเกิดเป็นคนอีก ขอให้ได้เกิดในดินแดนของพ่อครู การกระทำของเด็กๆที่แสดงออกมาบางครั้ง สักแต่ว่าทำ แต่บางคนตั้งใจทำดีจริงๆ เห็นความต่างชัดเจน เท่าที่ได้คุยกับญาติธรรมบางท่าน ทราบว่า ปัจจุบันผ่อนปรนมากกว่าเมื่อก่อน อยู่ที่จิตสำนึกของเด็กๆเองเจ้าค่ะ และปัจจุบันสิ่งแวดล้อมที่เป็นมารมีมากเหลือเกินที่คอยยั่วยุ เพราะฉะนั้นเด็กที่ดีต้องเป็นเพชรพุทธจริงๆเจ้าค่ะ..สาธุ

_0857882xxx อธิบายคำวำใจในใจกายในกายดัวยค่ะ

_0844497xxx ในทุกวันต้องรู้ บำเพ็ญจิตตน แก้ไขสิ่งผิดพลาด ลดละอารมณ์ให้เบาบาง กิเลสตัณหาต้องให้สิ้นไป เช่นนี้จิตใจจึงบริสุทธิ์ใสไร้มัวหมอง หากทุกวันมองที่ตนพิเคราะห์จิตตน จึงไม่มีเวลาที่ "มองจับผิดผู้อื่น" เช่นนี้การบำเพ็ญจึงมีความผาสุขไม่มีทุกข์ใจ

_0844497xxx "ศีล" เป็นเช่นเครื่องมือที่ขัดเกลากิเลสทั้งปวง เมื่อเข้าสู่กลียุคกลับกลายเป็น"ศีลอวดกัน"เท่านั้นเอง ผู้ที่ปฏิบัติไม่ตรงต่อสัจธรรมจึงเป็นผู้ที่วุ่นวายสับสนหาความสงบได้ยาก เพราะความฟุ้งเฟ้อแห่งจิตที่วิ่งไปตามอายตนะทั้งหกไม่หยุดหย่อน

_0893867xxx หลักการนานาสังวาสมีมาจากพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพราะเห็นหมู่สงฆ์คิดต่างจนขัดแย้ง จึงให้มีการประนีประนอมโดยแยกหมู่โดยรักษาเอกภาพไม่แตกกันไปเลย! พ่อครูเคยพูดบ่อย มส.ยุคนั้นรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อ ครูประกาศนานาสังวาสต่อสงฆ์ตามภูมิของนานาสังวาส2ปก.จากพระตปฎ.5/ 250มีลายลักษณ์อักษรยืนยั นต่อเจ้าคณะอำเภอเมื่อ 6 สค.2518!แต่มส.ยุคนี้ไม่บอกให้สงฆ์ยุคใหม่เข้าใจ! เรื่องในมส.จึงยุ่งเถียงนิกาย วุ่นกับธก.ธมยเป็นวิบากไม่รู้ จบเอวัง!

_0893867xxx ผู้น้อยก็ทำตามตถาคตที่ตรัสต่อคหบดีที่เห็นหมู่สงฆ์วิวาทกันว่าจงถวายทานในภิกษุ2ฝ่ายจงฟังธ.ใน2ฝ่ายๆใดเป็นธ.วาทีก็จงพอใจ ถูกใจ ชอบใจ เชื่อถือในภิกษุนั้น!พระตปฎ.5/255!

ตอบ...ก็เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงนานาสังวาส ว่าจะอยู่กันอย่าไร เช่นด่ากันได้ แต่จะตบตีกันไม่ได้ ด่าแรงๆก็ได้ คือปฏิกโกสนา ท่านแปลสวยๆว่าค้านแย้งอย่างจัง ก็คือพูดว่าไม่ถูกอย่างไร เปรียบเทียบได้แต่ได้แค่แรงทางปาก จะไปฟ้องร้องอธิกรณ์กันไม่ได้ ได้แต่กล่าวคัดค้าน

ทิฏฐาวิกัมม์ คือชี้แจงได้ในหมู่กลุ่ม ไม่แรง ไม่ค้านแย้งหักหาญกัน แต่ปฏิกโกสนาคัดค้านหักล้างกันได้เต็มที่กว่า

 

_0893867xxx พระเกจิครูบาอ.หลวงปู่หลวงตาที่เคยสอนตนคงเข้าใจจิตใจตนที่เห็นหมู่สณ.แล้วปฏิบัติตามดังคำสมณพราหมณาสัมมัคคตาสัมมาปฏิปันนาเยอิมัญจโลกังปรัญจโลกังสยังอภิญญาสัจฉิกัตวาปเวเทนตีติ!สาธุ

 

_0859856xxx กราบนมัสการพ่อครูครับพ่อครูเห็นด้วยครับที่ท่านเชียร์ คสช.แต่ผมยังไม่ไห้สุดตัวกับคสช.นะครับ เพราะเรื่องพลังงานเรื่องทรัพยากรที่ไห้สัมปทานให้นายทุน ผมยังต้องดูก่อนครับ นับว่าคสช.ยังไม่ฟังประชาชนเลยครับ

ตอบ...เรื่องพลังงานนี้อาตมาก็ได้รับการต่อว่าบ้าง อาตมามีความเข้าใจเรื่องนี้ว่า เกี่ยวกับพลังงานน้ำมันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มีคนเกี่ยวข้องทั้งระดับต่ำถึงสูง แล้วมีอิทธิพลต่างๆ ผู้มาจัดการก็รู้ข้อมูลดีด้วย แล้วเขาก็ต้องทำตามเหมาะสม เพราะเรื่องต่างๆนั้น เขาทำมาด้วยความรู้พยายามเต็มที่ดีทั้งนั้น แต่มีเรื่องนี้ที่คาราคาซัง อาตมาก็รู้ว่าเกี่ยวข้องเยอะ มีทั้งเรื่องลึก เรื่องจำเป็นต้องรักษาสถานะอันนี้ไว้ อาตมาว่าเรื่องนี้ปล่อยกรรมไปเถอะ ใครจะเอาเปรียบขี้โกงก็อกุศลเขาวิบากเขา สักวันหนึ่งพลังงานน้ำมันก็หมด มาแย่งแสงแดดกันดีกว่า แย่งได้แต่ไม่ต้องไปกวนใครหรอก ถ้าพระอาทิตย์หมดแสงโลกก็ไม่เหลือ เรื่องพลังงานฟอสซิลน้ำมันก็ปล่อยวิบากจัดการ แต่อาตมาหันมาหาพลังงานแสงแดด

ก็พูดไปตรงนี้ ถ้าใครจะมาช่วยอาตมาด้านพลังงานโซล่าเซลล์ มั่นใจจะทำให้ครบวงจรในราชธานีอโศก เพื่อให้หมุนเวียนจะให้มี น้ำตก นกร้อง น้ำไหล ไฟสว่างกลางวันก็สว่าง กลางคืนก็มืดตามวงจร ก็จะให้เป็นตัวอย่างสำคัญของประเทศชาติ ให้เกิดวงจรสมบูรณ์ด้วยพลังงาน แล้วมีธรรมชาติที่คนสร้าง โดยคนไม่ต้องดูแลมาก ให้ซ่อมบำรุงไปเท่านั้น ต้องมีต้นทุน ศิษย์เก่าถ้าจะมาช่วยอาตมาก็อนุโมทนาล่วงหน้า

เริ่มที่ลานเบิ่งฟ้าก็จะทำกัน ขณะนี้หมู่บ้านที่นี่จะให้ติดโซล่าเซลล์ทุกบ้านแต่ละบ้านคุ้มของตน แล้วให้นร.นศ.ศึกษาความรู้ เพื่อให้เป็นสาธารณโภคีให้สมบูรณ์แบบ

 

_0844497xxx "วิปัสสนาภาวนา" "รู้เอง เป็นเอง" ผู้น้อยกราบนมัสการพ่อครูเมตตาโปรดอธิบายชี้แนะเพื่อเข้าใจถูกต้อง

ตอบ…ผลัดไว้พรุ่งนี้ เรื่องยาว

 

_(กราบ)นมัสการพ่อท่าน ลูกมีเรื่องสงสัย สภาวะที่ปรากฏขณะทำงานว่า การทำงานที่ไม่หวังอะไรเลย แม้แต่ผลผลิตที่จะได้ การทำงานก็รู้อยู่กับงานที่ทำ และรู้สึกว่าไม่มีอาการของโลกธรรม 8 คือความสุข ไม่มีทุกข์ร่วม มันสุขเฉยๆ อธิบายไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่ทำงานหนักมาก เหนื่อนมากขนาดที่เรียกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำงานหนักอย่างนี้ แต่สงบเย็น มีปีติ แม้อยู่กลางแดด ตั้งแต่เกิดมาโดนแดดแล้วเป็นไมเกรน คำถาม พลังนี้เกิดจากอิทธิใช่ไหมคะ/

ตอบ..ถ้าเราทำงาน เราเกิดความชำนาญ ก็ได้ของเราเต็มๆ แล้วมีกุศลที่เกิดผลผลิต ที่เกิดให้คนอื่นได้ด้วย เป็นกุศลอีก ก็ได้อีก เป็นกุศลติดตัวเราไปอีก มีปลีกย่อยแค่สองประเด็นหลักก็เต็มรูปแล้ว ที่ควรทำอย่างเต็มใจ แต่ให้ระวังรักษาสุขภาพด้วย อย่าให้เกินไปนัก นี่ท่านถักบุญนอนให้น้ำเกลืออยู่ ตอนนี้หยุดให้แล้ว ทำมากไป ต้องทำให้พอเหมาะพอดี...เจริญธรรมทุกคน

590901_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ตอบปัญหาพาพ้นนรกสวรรค์


          พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2559 แรม 14 ค่ำเดือน 9 วันนี้เป็นวันพระเดือนขาด เดือนคี่ ถ้าเป็นข้างแรมของเดือนคี่ วันพระของปลายเดือนนี้จะ 14 ค่ำ เดือน ห้า เดือนอ้าย เดือน สาม เดือน เจ็ด เดือน เก้า เดือน11 วันพระของเดือนคี่จะเป็นวันที่ 14 เดือนหนึ่งจะมี 29 วัน ถ้าเดือนคู่จะถึง 30 ทุกเดือน นั่นเป็นเดือนไทย แต่ถ้าเดือนสากลก็อีกแบบหนึ่ง รู้กันดีแล้ว เขากำหนดแม่นตายตัว

ของเรานี้ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่หรือคนแก่ก็เรียนกันตลอดชีวิตเรียนจนถึงพระอรหันต์ ก็ยังมีรายละเอียดให้เรียนอีกลึกซึ้งซับซ้อนจนถึงพระพุทธเจ้า

ถ้าเป็นอรหันต์แล้วจะอยู่ต่อเป็นโพธิสัตว์ก็ได้ แม้เราจะต้องไปพบกับเหตุการณ์องค์ประกอบที่จะต้องทนทุกข์ ของคนอื่นอีกก็ศึกษาของเขาได้ ศึกษาได้มากมายหลากหลายนับไม่ถ้วน คนอื่นก็จะมีเหตุการณ์มีองค์ประกอบมีเหตุปัจจัยต่างๆซึ่งไม่เหมือนกับเรา อาตมาก็เจอมามากมายหนักหนา ขนาดนั้นก็ยังมีที่คนอื่นเขาเจอแล้วเราไม่ได้เจออีก เป็นโพธิสัตว์ก็ต้องรู้กว้างไปอีกเพิ่มเติมแล้วก็สอนคนให้ได้อีกช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้อีกไปเรื่อยๆ

_มีคำถามของเด็กๆมา สมุนพระรักถามมาจากสันติอโศก ส่วนที่บ้านราชนี้มีสมุนพระราม ...หนูชื่อนุ่นอายุ 7 ขวบอยู่ชั้นป. 1 กลุ่มสมุนพระรัก หนูอยากจะถามหลวงปู่ว่า ถ้าหนูเป็นคนดีทุกวัน แม่จะได้บุญไหม

ตอบ...ได้ ต้องตอบอย่างนี้ อันนี้ตอบให้เด็กฟังแม่ก็จะได้รับความดีงามนั้นด้วย ถ้าหนูทำดีทุกวันเป็นคนดีทุกวัน แม่ก็จะได้ด้วย ต้องตอบอย่างนี้สำหรับเด็กยังไม่ลงลึกว่าบุญนี้เป็นของใครของมัน

 

_ผมนะโมครับอยู่กลุ่มสมุนพระรักถามว่า บ้านแท้ของหลวงปู่อยู่ไหน แล้วผมก็อยากรู้อีกอย่างว่า สวรรค์กับนรกมีจริงไหมครับ ผมขอให้หลวงปู่ตั้งชื่อให้ผมใหม่ได้ไหมครับ

ตอบ...หลวงปู่มีบ้านอยู่หลายบ้าน เป็นพุทธสถาน เป็นสังฆสถาน เป็นหมู่บ้านก็มากมายแต่อยู่ไม่ทั่วถึง บ้านของหลวงปู่บ้านไม่ใหญ่ เป็นบ้านเล็กๆน่าเอ็นดูเป็นกระต๊อบ ใหญ่กว่านิดหน่อย แต่เขาก็ทำให้แข็งแรงเรียบร้อยดูดีเท่านั้นเอง ใช้ประโยชน์ได้ดีมาก ไม่สวยงามหรูหราอะไรเลย ในแต่ละแห่งเขาพยายามให้เรียบร้อย พยายามให้สวยพอประมาณ เขาดูว่าสวยเกินไปหลวงปู่จะไม่พัก ถ้าเป็นลิเก สวยพริ้งเกินไป หลวงปู่ก็ติติงให้เอาออก จะไม่สร้างให้สวยเกิน

แต่ถ้าบ้านหมายถึงที่เกิดที่อยู่ ที่อยู่นานๆมากๆ ก็จะเล่าเป็นประวัติศาสตร์ว่า หลวงปู่นี้เกิดและตกฟากอยู่ที่ศรีสะเกษ เกิดอยู่อายุไม่กี่ปี ลุงก็เอามาเลี้ยง บ้านของลุงอยู่หนองคาย มีลุงเป็นหมออยู่ประจำจังหวัดก็ย้ายไปเรื่อยๆ จังหวัดหนองคาย จังหวัดสกลนคร จังหวัดนราธิวาส จังหวัดกรุงเทพก็เพราะเป็นข้าราชการ

แต่หลวงปู่อยู่กับลุงก็ไม่นานนะ อยู่หนองคายย้ายมาสกลนคร ระเบิดก็ลง ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ลุงก็ย้ายไปเรื่อยๆ แล้วลุงก็มีลูกของตัวเองขึ้นมาเยอะ หลวงปู่นี้เป็นเหมือนลูกคนโตของลุง ตอนนั้นลูกของลุงยังไม่เกิด ลูกของลุงเกิดมาก็อายุน้อยกว่าหลวงปู่ทั้งนั้น เมื่อลุงมีลูกใหม่อีก 2 คนคนที่ 3 อยู่ในท้อง ก็เลยไม่ไหว หอบลูกโลกหนีสงคราม ก็เลยส่งคืนแม่หลวงปู่ ตอนกลับมาอยู่กับแม่อายุ 7 ขวบแล้วก็แล้วไปอยู่ที่ศรีสะเกษ เรียนชั้นประถมศึกษาอยู่ 2 ปีที่วัดพระโต

เรียนจนขึ้นป.4 ถึงย้ายมาอยู่ที่วารินชำราบ แม่ก็เลยบอกว่าให้กลับมาอยู่ที่ ที่ตั้งรกรากของตระกูลหลวงปู่ ก็คือที่อำเภอพิบูลมังสาหารจังหวัดอุบลราชธานี มีทวดของหลวงปู่เป็นเจ้าเมืองพิบูลมังสาหาร ก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ ส่วนแม่ก็เช่าบ้านอยู่ที่อำเภอวารินฯ ตอนแรกเช่าห้องแถวอยู่สามคูหา ชื่อร้านรักพงษ์ตราภรณ์ ซึ่งแม่เขาตั้งชื่อเอง เป็นร้านขายโชห่วยต่างๆ สารพัด แล้วรับจ้างโรงงานทำสารพัด

ส่วนใหญ่ไปอยู่ที่พิบูลฯ หอบหลานไปเลี้ยง เพราะเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดในตัวเมือง ก็เลยหนีออกชนบท ก็หอบเอาน้องๆไปเอาอาตมาไปด้วย ตอนแรกอาตมาไม่ไป จนเรียน ม.3 ม.4 จึงไปอยู่ที่พิบูลฯ วัดหลวงม. 5 ม.6 เรียนอยู่อุบลฯ ตกม.6 เด็กๆอย่าเอาอย่างหลวงปู่นะ จบม.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ

บ้านก็ย้ายไปเรื่อยๆ ไปอยู่กรุงเทพก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านไปตั้งแต่อายุ 15 ปี อายุ 14 จบม.6 อายุ 15 ก็ไปเรียนต่อไปต่อ ม. 7 ม.8 ตกอยู่สามปี ปีที่สี่ก็ไม่ต่อ ม.8 แล้ว ก็ไปเรียนเพาะช่าง เขาจบม.6 ก็ไปต่อได้แล้ว เราเอาใบสุทธิม.7 ไปต่อ

ตอนนั้นบ้านจะพักก็ไม่มี ไปซุกหัวนอนอยู่บ้านเพื่อนๆ จนลุงมาจับใส่เข้าไปที่วัดบรมนิวาส ไปอยู่วัดบรมนิวาส ท่านเจ้าคุณท่านมีความลำเอียง ลูกศิษย์คนที่รักส่วนเรากลายเป็นลูกศิษย์คนที่ชัง เลยไม่ชอบใจอยู่ได้ปีเดียว เลยออกไม่อยู่แล้วหนีไปอยู่กับคุณล้วน ควันธรรม ไปเลี้ยงลูกให้เขา อยู่ 2 ปีตอนนั้นอยู่ ม.8 สอบตกเลยเข้าเพาะช่าง อยู่ที่บ้านคุณล้วน 2 ปีเขาก็ใช้เหมือนแม่บ้าน ทำครัว ซักผ้าซักผ่อน เลี้ยงลูกเต้า เขามีลูกชาย 2 คน เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

อยู่บ้านคุณล้วนถนนอัษฎางค์มีห้องแถว หลังศาลอาญา จากที่นั่น ที่นี้ลุงเห็นว่าออกไปจากที่นั่นแล้วไม่มีที่อยู่อีก ลุงมาเห็นอีกก็เลยจับมาฝากหอพักบุตรทบ. ก็เลยอยู่หอพักบุตรทบ.ตั้งแต่ตอนนั้นมา ตอนอยู่โรงเรียนเพาะช่างปี 2 จนเรียนครบ 5 ปีจบเพาะช่าง เสร็จแล้วก็ขอจักรยานของลุงมาทำงานส่งหนังสือพิมพ์หารายได้ให้ตัวเอง

ตอนนั้นก็แต่งเพลง เขียนหนังสือ หารายได้หาเลี้ยงตัวเองได้เรียบร้อย ส่งเงินมาให้น้องอีกด้วย ถ้าอยู่บ้านก็ทำอาหารกินเอง ถ้าไม่อยู่บ้านก็ไปกินกับใครก็ได้ ส่วนบ้านที่ซุกหัวนอนเป็นที่ๆจะต้องนอน เมื่อไหร่ก็ไปนอนได้อย่างนั้นด้วยบ้านแท้ๆไม่แน่ไม่นอน

พอจบแล้วออกมาทำงานจึงมีบ้านของตัวเองได้ ก่อนนั้นก็เช่าบ้านอยู่หลายปี กว่าจะมีบ้านของตัวเองจนเรียนจบ เอาน้องมาเลี้ยงอยู่ด้วย ก็เลยอยู่บ้านหลังนั้น 10 กว่าปีจนออกมา เป็นบ้านหลังสุดท้าย เป็นบ้านที่สร้างด้วยตัวเองที่แคบ 100 กว่าตารางวา ให้น้องมาอยู่ด้วย ทำน้ำตกน้ำไหลเล็กๆ ตอนนั้นเขาเอาหินมาขาย ไม่มีบ้านไหนซื้อ อาตมาก็ว่าเอาๆ ซื้อหิน 1500 บาท คนก็ร้องว่าซื้อทำไม คนตกใจว่าซื้อได้อย่างไร ประมาณ สิบกว่าก้อน ก้อนไม่ใหญ่เท่าไหร่ ก็เอามาต่อสร้างเป็นน้ำตก วางเรียงเป็นสนาม ที่จริงภาพมี คือมันมีจิตใจเป็นธรรมชาติ

มีที่รองเท้าปั้นเป็นรูปตีน แปลว่าสร้างด้วยลำแข้งตัวเอง ลุงก็ถาม ก็เลยบอกอย่างนี้ ลุงก็เข้าใจพยักหน้า มีน้ำตก มีรังนก เลี้ยงนกฟิ้นช์ ในนี้หุ้มเป็นกรงใหญ่ เรือนอีกหลังที่ตั้งใจสร้างตั้งชื่อว่าเรือนรัก ส่วนหลังแรกตั้งชื่อว่าเรือนร่ม ให้เป็นสระน้ำแล้วมีน้ำตกน้ำไหล

มาทำปฐมอโศกก็สร้างภูเขาน้ำตก คุณไม้ร่มก็มาร่วมสร้างด้วย ที่บ้านที่สร้างนั้นออกแบบเองมีการตกแต่งธรรมชาติ

พอออกมาก็มาอยู่ที่กุฏิวัดอโศการาม มีแม่บ้านคือคนที่ช่วยทำงานบ้านมาอยู่ด้วย หาได้มาจากกรมประชาสงเคราะห์ มาเป็นคนใช้ แม่บ้านคนนี้มีลูกติด ซึ่งใครก็ไม่เอา รังเกียจ เราก็ว่าน่าเอาก็เลยรับแกมาอยู่ด้วย ไม่ได้ถือว่าเป็นคนใช้นะ ลูกแกก็เลี้ยงจนโต ลูกสาวแก ตอนนี้อายุจะ 60 ปีแล้ว ลูกสาวของแม่พวง ตอนนี้ก็ยังอยู่กับกิ่งรัก อาตมาตั้งชื่อว่าพิกุลแก้ว

เรียนจบปั๊บก็เช่าบ้านไว้ก่อนเลย ราคาค่าเช่าเดือนละ 700 บาท อาตมาเงินเดือนตอนบรรจุนั้นก็ไม่กี่ร้อยบาท ใช้รถแลมเบตต้าและเวสป้า ขี่ไปทำงานทั่วไป ได้บ้านใหม่ก็เลยย้ายออกไปที่ทุ่มมหาเมฆอย่างที่เล่า แล้วก็อยู่บ้านหลังนี้จนพ.ศ. 2513 ก็เลยเลิกไปอยู่วัดอโศการาม ปลูกกุฏิให้ของอาตมาและก็ของฝ่ายหญิง

จากนั้นก็ออกจากวัดอโศการาม ก็มีบ้านอีกเยอะ ทุกวันนี้มีบ้านเยอะ เพราะเป็นคนไม่มีบ้านก็เลยมีบ้านเยอะ

บ้านแท้อยู่ไหน? ทุกวันนี้เป็นคนไม่มีบ้านของตนเองแต่มีบ้านเยอะ เพราะไม่มีบ้าน แต่มีบ้านเยอะ นี่เป็นเรื่องพิเศษประหลาด ไม่ได้อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่มีเยอะ คนนั้นคนนี้ก็สร้างให้อยู่

 

_ต่อมาถามว่าสวรรค์นรกนั้นมีจริงไหม….. สวรรค์นรกนั้นอยู่ในจิตใจ จิตใจของเรามีสวรรค์นรกก็ต้องมี สวรรค์นรก คืออาการของจิตใจ ถ้าอาการเป็นสุข เขาเรียกว่าสวรรค์ ถ้าอาการเป็นทุกข์ เขาเรียกว่านรก แล้วมันเป็นจริงด้วย เคยไหมที่ถามมานี้ อ่านใจตัวตนที่ทุกข์ มันไม่สบายใจ อ่านเป็นไหม นั่นแหละคือนรก ยิ่งมีเรื่องราวมากรับผิดชอบมาก หาเรื่องมาก ก็ทุกข์มาก ติดยึดมาก ถ้าไม่มีปัญญาทางธรรมก็จะทุกข์มาก

คนเรามีสุขแล้ว ก็ไปชอบรสประทับใจ ชอบความสนุก ชอบความเพลิดเพลิน ชอบที่เขาหลอกไปเยอะเลย ก็ไปคิดตามเขาและเป็นจริงเรียกว่าอุปาทาน บ้านนอกมาเป็นสวรรค์เก๊ สวรรค์ปลอม ไปติดเข้าแล้วเลิกยากด้วย เพราะมันโง่มันอวิชชา

เราจะได้สวรรค์ตอนสัมผัสขณะมีเหตุปัจจัยครบ เลิกจากสวรรค์จิตใจก็ติดยึดนั้นต่อเป็นนรกต่ออยากได้มาก ชีวิตจริงอยู่กับนรกมากกว่าสวรรค์ อยากได้สุขในที่ไหนๆ คนเราอยากนั่งตรงนี้ อยากนอนตรงนี้ อยากจะยืน อยากจะเดิน อยากจะพบอันนี้ อยากจะได้กลิ่นอันนี้ อยากจะได้รับรสอันนี้ เยอะไปหมดจนนับไม่ถ้วน

อยากตัวไหน….นรกตัวนั้น แล้วก็จะแสวงหามาให้แก่ตัวเอง อยากได้ก็แสวงหา หรือไม่ก็แย่งชิง แย่งชิงอย่างร้ายแรงทุจริต ฆ่าแกงทำร้ายคนอื่นอย่างอำมหิตทุจริต นั่นแหละคือสัตว์นรกชั้นต่ำ นั่นคือจิตใจทั้งนั้นที่เป็นอยู่ คือสัตว์นรก สัตว์เทวดา สัตว์สวรรค์ จิตใจก็พาเป็น ทั้งหมดมนุษย์ทั่วโลกนี้

ต้องมาศึกษาตามพระพุทธเจ้าจะรู้ถึงสิ่งเหลวไหลเลวร้าย หรือว่ามันไม่มี รูปรสกลิ่น เสียง สัมผัส ที่จะเที่ยงแท้ถาวรไม่มีหรอก มันมีตามเหตุที่กระทบสภาพ เดี๋ยวมันก็จะหายไป บางอย่างอาจอยู่นาน เป็นเหล็ก เป็นหิน แต่เราก็จะตายก่อนมันสลายก่อนมัน หรือมันจะสลายก่อนเรา อย่างผ้าที่ปูโต๊ะนี้ก็ต่อไปก็สลายแน่

ถ้าเราไปยึดก็จะแย่งอยากได้เป็นเราของเรา ก็แย่งเกิดเวรกรรม เวรคือผูกพัน เป็นการกระทำที่ผูกพัน ชาติแล้ว ชาติเล่า ฆ่าแกงกัน เป็นทุกข์ร้อนไม่รู้กี่กัปี่กัลป์ คนที่มาศึกษามีบารมีจะลดความอยากได้ พอลดความอยากได้แล้วกลับจะได้เมื่อมีบารมี พอมีบารมีจะได้ แต่ตอนแรกไม่มีบารมีจะไม่ได้ ต้องอดทนสร้างเองเกื้อกูลคนอื่น กุศลก็จะกลับมาทดแทนเราเหมือนทรัพย์ที่เราฝากแบงค์ไว้ กี่ชาติก็จะมาทดแทนเราเป็นเรื่องจริงเลย

สรุปแล้วอะไรต่างๆนานาไม่มีของฟรี เราทำไว้ให้คนอื่นเราไม่ต้องจำ ให้คนอื่นเป็นลูกหนี้ก็จะมาใช้เรา บางคนเขาไม่เต็มใจ แต่วิบากเขาจะมาใช้ให้เรา แต่คนกตัญญูเป็นคนดีจะเอามาใช้หนี้เราเยอะ หรือเขาจะมาฝากเรา มาให้เรา มาให้เราแล้ว ถ้าเป็นพระอาริยะ อรหันต์จะเป็นนาบุญ

เขามาบริจาคเรา เขาไม่ได้มาใช้หนี้หรอก แต่เขามาให้เราเอาไปงอกไปทำประโยชน์กับคนอื่นได้ เขาทำเองจะได้กุศลเป็นรายได้ไม่ขยายผลอย่างเรา เราทำนี่จะงอกเงยขยายผลยิ่งกว่าพวกทุนนิยม เป็นนาบุญที่งอก อย่างข้าวดีเมล็ดเดียวจะงอกเป็นร้อยพันเมล็ด

ผู้ที่มาบริจาคให้นี้ ให้แล้วท่านไม่ได้เอามาบำเรอตน ก็จะไปทำกุศลต่องอกเงยต่อ ขยายผลไปอีกเยอะจึงเรียกว่านาบุญ ทำบุญกับพระอาริยะ จะมีผลสูง ยิ่งถ้าทำบุญกับพระอาริยะอย่างพระพุทธเจ้าจะยิ่งมีผลสูงมาก

ใส่บาตรพระโสดาบัน 1 ครั้งมีผลสูงกว่าทำ  นิจทาน (ทำทานใส่บาตรทุกวัน) ใส่บาตรโสดาบัน 1 ครั้งมีผลสูงกว่าพระปุถุชน 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระสกทาคามี 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรพระโสดาบัน 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระอนาคามี 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรพระสกิทาคามี 100 ครั้ง

ใส่บาตรพระอรหันต์ 1 ครั้ง มีผลสูงกว่าใส่บาตรอนาคามี 100 ครั้ง

…..

ใส่บาตรเป็นสังฆทานไม่กำหนดระบุพระ แต่ใส่เพราะท่านต้องการเป็นของจำเป็น นั้นมีผลสูงกว่าใส่บาตรพระพุทธเจ้า ไม่กำหนดรูปใดขอให้เป็นภิกษุที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าไม่ระบุองค์ หนึ่งท่านน่าศรัทธา และสองสิ่งที่ทำทานเป็นสิ่งจำเป็น เป็นด้ายเป็นเข็ม ได้กุศลยิ่งกว่าสร้างตึกวิหารถวายอีก

พระพุทธเจ้านั้นจะอยู่ในระยะหนึ่งแล้วปรินิพพานไป ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้านั้นจะอยู่สืบทอดต่อไป ถ้าสามารถช่วยอย่างมีใจที่กว้าง องค์ไหนก็ตามที่ท่านขาดแคลน และท่านจำเป็น องค์อื่นๆมีพอแล้วแต่องค์นี้ขาดแคลนมาก ดังนั้นมันตรงกับความต้องการความจำเป็นมีประโยชน์ ยิ่งท่านไม่ต้องการท่านไม่ไปขอ ท่านไม่เรียกร้องก็ยิ่งมีผลสูง ถ้าไปทำทานกับคนที่เรียกร้อง ต้องการนั้นกุศลจะราคาต่ำ ถ้าทำทานกับคนที่ไม่เรียกร้อง แต่ก็เห็นว่าควรจะทำทานกับท่านอย่างนั้นอานิสงส์จะมีสูง มีกุศลสูง ถ้าปฏิบัติธรรมต่อไปจะเข้าใจซึ่งกัน

 

_ผมน้องนาย อยู่ชั้นป.1 ทำไมผมต้องตั้งตบะด้วยครับ ช่วงเข้าพรรษาผมตั้งตบะว่าจะไม่ดูทีวี แล้วผมไม่ดูทีวีก็รู้สึกดีแล้วผมมีเวลาว่างที่จะทำการบ้าน

ตอบ...ฉลาดนะ ตั้งตบะนี้มีเวลาทำการบ้านอีกเยอะแยะด้วย ก็เห็นไหมว่าตั้งสบายแล้วดี

 

_การทำความเพียร เป็นการสร้าง  self กับ ish ซึ่งมันเริ่มมีสามเส้า คือมี i ตัวเรา she he เป็นสามเส้า วัฏฏะ เช่นพีชนิยามเป็นวัฏฏะสามเส้ามันไม่รู้ตัวเอง มันมีธรรมะสองกับตัวเอง ตัวเองคือสังขาร ปรุงแต่งให้ตัวเองแล้วมีสองอย่าง ธรรมะสอง ทุกอย่างที่ต่างกันเป็นธรรมะสอง มันจะเลือกอย่างที่ใช่ ไม่ใช่ไม่เลือก นี่คือพลังงานพีชนิยามไม่เป็นพิษภัยกับใคร มี self และ ish สามเส้า ยังไม่เป็น selfish ยังไม่เห็นแก่ตัวเอง แต่เป็นแค่ตัวเอง ไม่รบกวนเบียดเบียนใคร เป็นเหตุปัจจัยให้ตัวเอง ธาตุไหนได้ก็เอา พีชนิยามจะได้สมบูรณ์มันก็เอา แต่มันเกินมันไม่เอา ขาดมันก็พร่อง แต่ถ้ามันได้สมบูรณ์มันก็เอา มันมีพลังงานกำหนดของมันเหมือนกัน

สรุปแล้วเป็นผลดีของตัวเอง มีพัฒนาการไม่ทำร้ายใคร ไม่เป็นพิษกับใคร นี่คือพลังงาน self หรือ ish สามเส้า มันขยันพวกเพียรตลอดวันคืนนะ แต่บางอย่างพืชก็พักบางขณะไม่มีแสง แต่ธรรมดาไม่มีพัก มันทำตามของมันประจำ

 

_น้ำใจ ความกตัญญูเป็นรูปธรรมเป็นตัวอย่างอยู่ที่เกมอาริยะใช่ไหมคะ ไม่ได้อยู่ที่เกมโปรเกม่อน ใช่ไหมคะ

ตอบ.น้ำใจกตัญญูเป็นรูปธรรม คือให้ความรู้จักบุญคุณคน แล้วก็ตอบแทนบุญคุณคน เป็นตัวอย่างของเกมส์อาริยะ ถูกต้อง ทำไปเถอะเป็นกำไรตลอด แม้เขาจะไม่รู้จักคุณคนก็ไม่เป็น พระสารีบุตรมีคนใส่บาตรให้ 1 ทัพพี เมื่อคนนี้ที่ใส่บาตรมาบวชตอนอายุเยอะ ก็ไม่มีใครหาบริขารให้ ไม่มีใครบวชให้ ทุกคนรังเกียจไม่ให้ สารีบุตรไปเห็นเข้าก็พบว่าคนนี้เคยใส่บาตรเรา ก็เลยเป็นเจ้าภาพหาบริขารให้บวช ก็เลยได้บวช

เมื่อเราช่วยคนอื่นแล้วมีผลมากกว่าที่เราจากเขาก็จะเป็นกำไรของเรา

 

_ลดกิเลส คือหน้าที่หลัก ส่วนการทำงานหนัก คือหน้าที่ ได้ไหม

ตอบ..ก็ได้ ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ข้างนอก แล้วเราก็สังเกตไปด้วย งานเราก็ทำตามควร

 

_นิสิต  ว.นบ. คือผู้เจริญแล้ว วันนี้คุณใช้ บุญ แทนใบประกาศหรือใบประกันชีวิตได้ไหมคะ

ตอบ...บุญไม่ใช่ใบประกันชีวิต แต่บุญคือเครื่องมือฆ่ากิเลส ต้องปฏิบัติให้รู้จักกิเลสแล้วกำจัดกิเลสได้ด้วยปหาน 5 จะเป็นเครื่องมือกำจัดกิเลสครบ

1.      วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

 

ปหานกิเลสเสร็จหมดบุญก็หมดไปด้วย

 

 _จากนร.สสฐ.อยู่ปฐมอโศก (ดรีม เปรมิกา ) ประชาธิปไตยสำหรับหลวงปู่หมายความว่าอะไรคะ

ตอบ...หมายความว่า สิ่งที่เพื่อประชาชน อย่างไม่อคติ อย่างไม่ลำเอียงอย่างไม่มีการเห็นแก่ตัวเลย นั่นแหละคือยอดสุดประชาธิปไตย ผู้ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจเลย และไม่ลำเอียงไปเข้าข้างคนของเรา พรรคพวกของเราจะ ไม่มี ไม่ลำเอียงและไม่มีตัวตน ไม่ทำเพื่อตัวตน ไม่ทำเพื่อใครส่วนตัวทั้งนั้น

จะอยู่ในระบอบเผด็จการแต่คนนั้นทำเพื่อประชาชนอย่างไม่ลำเอียงไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่พวก ทำอย่างบริสุทธิ์ มีจิตเป็นความรักระดับมิติที่ 7 มิติ 8 มิติที่ 9 มิติที่ 10 เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และมนุษยชาติ ผู้ที่ทำได้อย่างนั้นนั่นแหละ คือนักประชาธิปไตยตัวจริง

เขาจะอยู่ในระบอบเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราช สมัยพระพุทธเจ้าท่านก็คือนักประชาธิปไตย แล้วก็สร้างนักประชาธิปไตยมาเป็นสาวก ช่วยเผยแพร่ประชาธิปไตยมาตลอด จึงมีผลต่อประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่มีคอรัปชั่นไม่ลำเอียง ทำตามสัจธรรม คนไหนควรช่วยเหลือก่อนหรือหลังจะรู้ แล้วทำเต็มที่เรียกว่านักประชาธิปไตย จะอยู่ในระบอบเผด็จการ ระบอบคอมมิวนิสต์ คือระบอบที่ชื่อว่าประชาธิปไตยจริงๆก็ตาม แต่ถ้าพฤติกรรมเป็นอย่างที่ว่านี้ ก็คือนักประชาธิปไตย แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ทำเห็นแก่ตัวลำเอียง คอร์รัปชั่นสร้างอำนาจบาตรใหญ่ ต่อให้ชื่อว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตยคือระบอบใดใด ถ้ารวมหัวรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่จะขบถต่อประชาชน ถ้ายิ่งตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่รวมอำนาจไปหมด จนคนอื่นต้องยอม แม้แต่ชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยก็ตาม มีกฎระเบียบ มีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ แต่ตนเองประพฤติเห็นแก่ตัว คนนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย

นักประชาธิปไตยของหลวงปู่เป็นนักประชาธิปไตยที่ดีที่สุด เป็นนักเผด็จการที่ดีที่สุด เป็นนักคอมมิวนิสต์ที่ดีที่สุด ทำเพื่อประชาชนอย่างไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่ตัว มีปัญญาแจกจ่ายจัดสรรอย่างไม่ลำเอียงมีปัญญาที่สุดยอด

 

_ทำไมบางครั้งเรารู้สึกผิดกับบางเรื่อง ที่เราไม่ได้ทำด้วย การที่หนูรู้สึกผิดกับคนอื่นที่เขาทำผิดไปด้วยมันหมายถึงอย่างไร

ตอบ...เราไปเห็นใจคนอื่นที่เขาทำผิด 1 ตนเองรู้สึกว่าอันนี้มันผิดจริงๆ ถ้าเราทำเองก็รู้สึกในตัวเอง สองเราไปเห็นคนอื่นทำผิดก็น่าเห็นใจ ความจริงมันก็ดี ถ้าเราไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเราไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง เราจะช่วยเขาได้ก็ช่วย

 

_ในความเห็นของพ่อครู สาธารณโภคีของชาวอโศกที่ไหนสมบูรณ์แบบมากที่สุด

ตอบ….ยังตอบไม่ได้ ว่าที่ไหนสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ตอนนี้ สาธารณโภคีของชาวอโศก ที่ปฐมอโศกเป็นสาธารณโภคี ที่ตัวเองไม่ต้องไปยืมใคร ซึ่งชาวอโศกไม่เป็นหนี้ใครอยู่แล้ว แต่จะมีหนุน อย่างบ้านราชฯนี้มีเงินหนุนจากสันติอโศก แล้วได้รับเงินหนุนจากปฐมอโศก เดือนละไม่ต่ำกว่าล้าน ปฐมอโศกเป็นที่ๆเลี้ยงตัวเองรอด แล้วก็ช่วยเหลือน้องๆด้วย รอดตัวเป็นสาธารณโภคีมีประชากรทำกิจการเลี้ยงตนเองรอด เป็นระบบสาธารณโภคี ทุกคนทำงานฟรี แล้วก็เอาเข้าส่วนกลาง เสียภาษี 100% อยู่กันอย่างพี่น้องพึ่งพากัน เกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ จะเรียกว่าสมบูรณ์ที่สุดก็ได้ ส่วนสันติอโศกนั้นไม่ได้เป็นหนี้ใคร จะมีเงินฝากจากสมาชิก เป็นเหมือนธนาคารกองกลาง ฝากก็ไม่ได้ดอกเบี้ยหรอก ใช้เงินส่วนนี้หมุนเวียนให้คนอื่นยืมไปทำงาน อย่างเช่นราชธานีอโศกยืมมาทำโรงปุ๋ย 10 ล้านถึง 20 ล้านเป็นต้น หรือไปซื้อข้าวที่โรงสี ก็ไปเอาจากกองกลาง ระบบก็คล้ายกับทุนนิยม แต่เราไม่มีชักดาบ หมุนเวียนช่วยกันอย่างดีสุด อาตมาเชื่อว่าโลกทั้งโลกต้องการแบบนี้ ยิ่งกว่ายูโทเปียที่โทมัสมอร์เขียนไว้ เป็นเมืองในฝัน

ส่วนของเรามีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ปฏิบัติธรรมเรียนกันไปตลอดเวลา ตั้งแต่เล็กจนถึงแก่จนถึงตาย เป็นหลักสูตรอาริยบุคคล โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตลอดและปฏิบัติไป แม้จะเป็นอรหันต์แล้วก็เป็นโพธิสัตว์ต่อ เกื้อกูลดูแลช่วยเหลือคน เพียรกันไป ไม่จบอรหันต์แล้วตนเองตายไปจะไม่ตั้งจิตต่อเป็นพุทธภูมิก็ได้ หรือจะต่อพุทธภูมิก็ได้ แต่อาตมากล้าพูดว่าผู้ที่จะต่อพุทธภูมิต่อก็จะมาเกิดกับชาวอโศก น้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน ตามสัจจะ อาจจะไปรับวิบากที่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมา แต่คนไหนที่ไม่มาคือไม่ใช่ บางคนอยากมาแต่มาไม่ได้ ส่วนคนไม่อยากมาก็ไม่มีปัญหา

สรุปว่าปฐมอโศก สมบูรณ์สุดตอนนี้ก็ได้ แต่อาตมาก็เห็นว่าดีกว่านี้ยังมีอีก เขากำลังพัฒนาต่อ

 

_ตอนนี้หลวงปู่มีพระอรหันต์ 9 รูปหรือไม่คะเป็นนักบวชหรือฆราวาส

ตอบ...ก็ตอบได้ว่ายังไม่ได้ถึง 9 รูป แต่ก็มีเข้าข่ายอยู่บ้าง มีคนหนึ่งที่อาตมาประกาศว่า เป็นอรหันต์แต่เสียชีวิตไปแล้ว คนอื่นก็มีคุณสมบัติอยู่ แต่ก็ไม่ต้องตรวจสอบ ถ้ามีอรหันต์ 9 รูปแล้ว อาตมาถือว่าชมพูทวีปจะเต็มรูป จะช่วยศาสนาต่อไปถึงห้าพันปี ถ้ามากกว่า 9 ก็ยิ่งเต็ม

 

_ดิฉันติดตามบุญนิยมทีวีที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติเป็นอันมาก ชาวบ้านแถวบ้าน คนไทยชอบทำบุญกลัวบาป แถวบ้านมีพระกินมังสวิรัติเหมือนกัน แต่มีพระอยู่น้อยแค่หนึ่งหรือสองรูป แต่ชาวบ้านก็นับถือคอยช่วยงานวัด แต่ดิฉันว่าพระมีความรู้น้อยไม่แข็งแรงพอ แต่วัดที่มีพระเปรียญ 9 จะแข็งแรง มีพระมากกว่า คนก็ไม่ค่อยชอบ แต่คนกับพระก็ต้องอยู่ร่วมกัน ดิฉันชอบพ่อท่านเทศน์มาเป็นคนจนเข้ายุคสมัยมากเลย ก็คนจนจริงๆ พอจนรายได้ไม่เหมือนเก่าคือจนไม่ถึงกับรวย อยู่ได้ ทำงานแบบคนจนดีจังไม่เปลือง ความรัก สามัคคีกลับมาเหมือนเดิมแล้ว มีการแบ่งปันกันมากขึ้น เนื่องจากจน เด็กๆก็ไม่ได้เที่ยวเตร่ ต้องช่วยครอบครัวเด็กก็รู้จักคุณค่าของเงินมากขึ้น พ่อท่านเทศน์เรื่องการทำงาน เทวดา 6 ชั้นดิฉันชอบฟังมาก

ตอบ...ก็ขอเสริมตรงที่ว่า อโศก มาจนอย่างจริงๆ จนเดินตามรอยทางพระพุทธเจ้า ไม่สะสมเงินทองเป็นของตนเอง ไม่สะสมสมบัติ การไม่สะสมสมบัติแต่เรามีสาธารณโภคีเป็นองค์รวมส่วนกลาง ประชาชนที่ไม่ใช่แบบโลกุตระเขาไม่เข้าใจ ส่วนกลางที่ทุกคนช่วยดูแล เขาก็รู้ แต่จิตใจเขาเห็นแก่ตัวเป็นจำนวนมาก เขาไม่ได้ล้างกิเลส เขาพอรู้ แต่จะเป็นได้ต้องเรียนรู้ทฤษฎี เรียนรู้อาการลิงคนิมิตของกิเลสแล้วมีวิธีปหาน 5 กำจัดกิเลสได้ จะมีอาริยคุณจริง แล้วน้ำจะไหลไปหาน้ำ น้ำมันจะไหลไปหาน้ำมัน จะสบายใจ ช่วยกันพัฒนา ช่วยสร้างให้เจริญ

ผู้ใดไม่ถึงอรหันต์ก็ต้องพากเพียรให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็เสียเวลาทรัพย์สินไปเสียพลังงานไป แต่ถ้าเป็นอรหันต์ก็จะไม่เสียพวกนี้ จะทำงานช่วยศาสนาได้เต็มที่

มาถึงปางนี้อาตมาต้องมาอธิบาย จนมีรูปธรรมของสังคมนี้ สังคมคนสาธารณโภคี คนที่ศึกษาแสวงหาเขาจะเห็นแล้วมาเอา

ตอนนี้ไม่ได้แพร่ไปกว้างถึงต่างประเทศ อาตมาไม่ได้ดิ้นรนขวนขวายที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ดิ้นรนจะใช้ เพราะไม่อยากให้กระจายไปมาก เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง จะไม่สูญเสียง่าย

วิธีทำของอาตมาจึงช้าหน่อย ไม่เร็วทันใจคนนัก แต่คนใจร้อนอยากให้ได้ผลเร็ว อาตมาเข้าใจ แต่เราจะตะกละเกินไม่ได้ เราค่อยทำสะสมไปตามเหตุปัจจัย จะช้าหน่อย แต่ของให้แข็งแรงจริง บริสุทธิ์จริงจะอยู่ได้นานและจริง

 

_ถ้าชาตินี้เราทำดีไว้เยอะชาติหน้าจะติดตัวเราไปไหม

ตอบ...ไปด้วยแน่ กัมมัสโกมหิ ต้องทำแต่ดีอย่าไปทำชั่ว

 

_ความหมายของผู้ที่มีประชาธิปไตยมากที่สุดคืออะไร หลักความเสมอภาคคืออะไร

ตอบ...ความหมายก็อธิบายกันเยอะแยะแล้วจะต้องเอาความจริง ความจริงหมายถึงอะไรบ้าง ความหมายของผู้ที่มีประชาธิปไตยคือ จะต้องทำให้จริง คือผู้ไม่มีกิเลส ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ลำเอียง จะต้องมีปัญญา อ่านอย่างซื่อสัตย์ว่าใครควรได้มากหรือน้อยได้ก่อนหรือหลัง จะใช้มหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 อย่างไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่ตัว เอาสัจจะความจริงของแต่ละหมู่กลุ่ม แต่ละกาละ ในสัปปุริสธรรม 7 รู้อัตถะ ธรรมะ รู้ตัวเองอัตตัญญุตาว่าเราทำได้แค่ไหน ประชาธิปไตยที่มากที่สุดคือคุณสมบัติที่ไม่มีกิเลส ไม่ลำเอียงมีปัญญา มีมหาปเทส 4

หลักความเสมอภาค คือจัดสรรให้ได้สัดส่วนสมดุล ตอบตรงนี้ให้ฟังว่า สิ่งที่เกิดสองอย่างไม่มีอะไรเท่ากันตั้งแต่นิวเคลียร์ฟิชชั่น ฟิวชั่น สองพลังงานหน่วยเล็กที่สุดก็ไม่เท่ากัน  ทั้งพลังงาน สสารก็ไม่เท่ากัน คนที่ไม่รู้จัก ดึงดันก็จะพยายามทำให้เท่ากัน  เหมือนผีไปเห็นคนที่นอนอยู่ คนนอนนั้นสูงไม่เท่ากัน ผีก็จะจัดให้เท่ากัน ก็ไปดึงหัวให้เท่ากัน แล้วก็ไปดึงเท้าให้เท่ากัน ก็จะไม่เท่ากันไปตลอด จัดไปจัดมาเรื่อยๆ เขาก็จะเป็นผีตัวนี้ ผู้ที่จัดเสมอภาคในโลก มันไม่มีหรอก

ธรรมะสองนี่ตั้งแต่สองสิ่ง แฝดสองคนก็ไม่เหมือนกัน แฝดนี่หยาบ อณูระดับนิวเคลียสก็ไม่เท่ากัน จะอิตถีภาวะกับปุริสภาวะก็ไม่เท่ากัน

ภาวะธรรมะสอง คนจะมีเหตุปัจจัยมากระทบเป็นธรรมะสองพอเกิดปฏิกิริยาก็มีเรา เราก็ใช้ปัญญาจัดการตัวนี้ได้

ความเสมอภาค คือจัดสรรให้เป็นไปด้วย สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4 จัดสรรให้เรียบร้อยราบรื่นง่ายงามที่สุด ไม่มีอะไรเท่ากัน แต่ทุกอย่างจะไม่ตรงไม่เท่ากันหมดเป็น 0 ได้ คือพลังงานไม่มีทศนิยม โลกนั้นคือโลกแห่งหลุมดำเบอร์มิวด้า ที่ไม่มีอะไรรู้จัก ถ้าเริ่มมีจิตวิญญาณรู้จักก็ไม่ต้องลงหลุมดำเบอร์มิวด้า

อุตุนิยามเริ่มปรุงแต่งจับตัวเป็นสองแล้วก็จะปรุงแต่งไปเรื่อยๆ สร้างตัวเองไป พีชนิยามก็มีสามส่วนจับตัวกัน จะมีหลายมิติก็เรื่องของมัน จะไม่ออกนอกตัวเอง ถ้ามันพัฒนาเป็นจิตนิยามก็จะมีลักษณะของน้ำ ลม ไฟ ที่จะทำงานร่วมกันเป็นดินเป็นก้อนแท่งขยายไป

 

_ชาดกและอีสปคืออะไรคะ แล้วทำไมต้องมีคะ

ตอบ..คือตัวอย่างของกรรมของสัตว์โลก เป็นเรื่องราวไปให้รู้เห็นในวัฏฏสงสาร คือชาดกหรืออีสป เรื่องราวของพพจ.ท่านก็เอาเรื่องที่น่าเล่ามาเล่าท่านไม่ได้เล่าหมดหรอก เอาเรื่องที่เป็นประโยชน์ตัวอย่างมาเล่า

ชาดกเป็นเรื่องจริงของพระพุทธเจ้าที่ท่านมีสิ่งที่ผ่านมา เอามาเล่าให้เป็นประโยชน์ตัวอยาง ส่วนอีสปเป็นเรื่องที่คนสร้างแต่งขึ้น คือคนชื่ออีสปเป็นคนเล่า ทำไมต้องมีก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่ต้องมี

 

_ทำไมหลวงปู่เรียกชาวอโศกว่าชาวอโศกคะ

ตอบ...ติดตามชาวอโศกให้นานๆหน่อย มีเหตุปัจจัยให้ชื่อนี้ ทำไมต้องชื่อโมคคัลลานะทำไมต้องชื่อสารีบุตร ทำไมต้องชื่อรัก รักพงษ์ มันมีเหตุปัจจัยทั้งนั้นนะ

เหตุการณ์ในปัจจุบัน คือหลวงปู่บวชครั้งแรกที่วัดอโศการาม บวชเสร็จแล้วก็มาแสดงธรรมอยู่ที่ลานอโศก ควงทวนธรรมะอยู่ที่นั่น สนุกมากเลย เป็นย่านตักสิลาแต่ก่อนนี้ แต่เดี๋ยวนี้เป็นตึกราม แต่ก่อนมีต้นอโศกอยู่เต็ม มีตลาดคนมาขายของเป็นดงเป็นแดนตักกศิลานักธรรมะ

อาตมาบวชอยู่ใหม่ๆก็ไปถกอยู่ที่นั่นนาน อยู่ไปอยู่ไปก็จะต้องสร้างหนังสือสักเล่มหนึ่งก็ช่วยกันเขียน ก็พิมพ์ 15 วันออก 1 เล่ม ก่อตั้งชื่อว่าหนังสืออโศก เพราะว่าวิ่งไประหว่างวัดอโศการามกับลานอโศก เอาชื่อมาเรียกว่าหนังสืออโศกก็แล้วกัน เล่มแรกก็ช่วยกันเขียนหลายคอลัมน์ทุกคนชื่ออโศกหมดเลย

 

_ทำไมบ้านราชเมืองเรือก่อสร้างทีหลังทำไมถึงได้เป็นเมืองหลวงของอโศก

ตอบ...ง่ายๆว่า มันมีที่ดินมากกว่าที่อื่นหมด สอง มันมีทั้งแม่น้ำจะสร้างภูเขาจะสร้างลำธารได้ครบใหญ่ต่อมากกว่าที่อื่นหมด ที่จริงเรามีที่ดินที่ดอยรายปลายฟ้ามีภูเขา แต่มีที่ไม่ถึงพันไร่ แต่ที่นี่มีถึงพันไร่ มีแม่น้ำ ส่วนภูเขาเราจะสร้างเอง เราจะทำให้มีสัปปายะ 4 เป็นเมืองหลวงซ้อนในประเทศไทย แต่ไม่ได้ขบถต่อประเทศทำเมืองหลวงซ้อนนะ แต่ทำประโยชน์ต่อมนุษยชาติ

 

_ด.ญ.ใสเสมอ ถามว่าทำไมคนเราต้องเกิดมาคะ

ตอบ...คนเราที่ต้องเกิดมา เพราะมีกิเลสหรือมีอวิชชา ถ้าคนหมดอวิชชาหมดกิเลสแล้ว ถ้าไม่อยากเกิดอีกก็ทำตนเองสูญสลายได้ไม่เกิด ส่วนคนไม่หมดกิเลสไม่หมดอวิชชา ไม่อยากเกิดอย่างไรก็ต้องเกิด จะต้องเกิดมาเจอทุกข์ ไม่อยากเกิดอย่างไรมันก็ต้องเกิด กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมพันธุ กัปปฏิสรโณ เป็นวิบากตนที่ต้องชดใช้ แบ่งให้ใครไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะมันได้เกิดมาเป็นชีวะแล้ว ตั้งแต่มันเริ่มพัฒนามาตั้งแต่จิตนิยามเป็นพลังงานสัตว์ ก็เริ่มสะสมแล้ว จนมาเป็นคนต้องมาล้างพลังงานที่จะทำกรรมวิบากเพิ่ม ของพุทธไม่มีล้างบาป แต่ทำกุศลให้มากเพื่อกันพลังงานอกุศลไม่ให้ออกฤทธิ์รบกวนเราได้ ซึ่งไม่หมดง่ายๆเลย ขนาดบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีเศษวิบากตามทันได้ แต่น้อย

จะสิ้นวิบากกุศลอกุศลที่ตนได้ก่อมาตั้งแต่เป็นสัตว์โลก ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีอะไรเกิดอีกเลย ศาสนาพุทธทำได้ศาสนาเดียว

 

_ด.ญ.เมย...พระเทพโมลี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่สองของวัดอโศการามคือผู้ที่บวชให้หลวงปู่ค่ะ

ตอบ...น้องเมยรู้เองหรือเปล่า ใครบอกให้เขียนมา ก็ขอบคุณ ...คือเจ้าคุณที่เป็นอุปัชฌาย์อาตมาเสียชีวิตตอนเป็นพระเทพโมลี

 

_SMS 31 August 2016

_0818557xxx กราบนมก.พ่อครู ตั้งแต่ติดตามดูมา วันนี้ท่านพูดถึงเรื่องเด็ก เข้าใจทุกท่านที่อยู่อโศก เด็กทุกวันนีไม่เหมือนเมื่อก่อนค่ะ พวกเค้าไม่รู้ตัวเองเลยว่า ได้บุญ(เครื่องมือประหารกิเลส) มีวาสนา(อยู่ในหมู่คนดี)อยู่ใกล้พระอริยสงฆ์ ลูกมองเด็กๆพวกนี้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ถ้ามีโอกาสเกิดเป็นคนอีก ขอให้ได้เกิดในดินแดนของพ่อครู การกระทำของเด็กๆที่แสดงออกมาบางครั้ง สักแต่ว่าทำ แต่บางคนตั้งใจทำดีจริงๆ เห็นความต่างชัดเจน เท่าที่ได้คุยกับญาติธรรมบางท่าน ทราบว่า ปัจจุบันผ่อนปรนมากกว่าเมื่อก่อน อยู่ที่จิตสำนึกของเด็กๆเองเจ้าค่ะ และปัจจุบันสิ่งแวดล้อมที่เป็นมารมีมากเหลือเกินที่คอยยั่วยุ เพราะฉะนั้นเด็กที่ดีต้องเป็นเพชรพุทธจริงๆเจ้าค่ะ..สาธุ

_0857882xxx อธิบายคำวำใจในใจกายในกายดัวยค่ะ

_0844497xxx ในทุกวันต้องรู้ บำเพ็ญจิตตน แก้ไขสิ่งผิดพลาด ลดละอารมณ์ให้เบาบาง กิเลสตัณหาต้องให้สิ้นไป เช่นนี้จิตใจจึงบริสุทธิ์ใสไร้มัวหมอง หากทุกวันมองที่ตนพิเคราะห์จิตตน จึงไม่มีเวลาที่ "มองจับผิดผู้อื่น" เช่นนี้การบำเพ็ญจึงมีความผาสุขไม่มีทุกข์ใจ

_0844497xxx "ศีล" เป็นเช่นเครื่องมือที่ขัดเกลากิเลสทั้งปวง เมื่อเข้าสู่กลียุคกลับกลายเป็น"ศีลอวดกัน"เท่านั้นเอง ผู้ที่ปฏิบัติไม่ตรงต่อสัจธรรมจึงเป็นผู้ที่วุ่นวายสับสนหาความสงบได้ยาก เพราะความฟุ้งเฟ้อแห่งจิตที่วิ่งไปตามอายตนะทั้งหกไม่หยุดหย่อน

_0893867xxx หลักการนานาสังวาสมีมาจากพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพราะเห็นหมู่สงฆ์คิดต่างจนขัดแย้ง จึงให้มีการประนีประนอมโดยแยกหมู่โดยรักษาเอกภาพไม่แตกกันไปเลย! พ่อครูเคยพูดบ่อย มส.ยุคนั้นรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อ ครูประกาศนานาสังวาสต่อสงฆ์ตามภูมิของนานาสังวาส2ปก.จากพระตปฎ.5/ 250มีลายลักษณ์อักษรยืนยั นต่อเจ้าคณะอำเภอเมื่อ 6 สค.2518!แต่มส.ยุคนี้ไม่บอกให้สงฆ์ยุคใหม่เข้าใจ! เรื่องในมส.จึงยุ่งเถียงนิกาย วุ่นกับธก.ธมยเป็นวิบากไม่รู้ จบเอวัง!

_0893867xxx ผู้น้อยก็ทำตามตถาคตที่ตรัสต่อคหบดีที่เห็นหมู่สงฆ์วิวาทกันว่าจงถวายทานในภิกษุ2ฝ่ายจงฟังธ.ใน2ฝ่ายๆใดเป็นธ.วาทีก็จงพอใจ ถูกใจ ชอบใจ เชื่อถือในภิกษุนั้น!พระตปฎ.5/255!

ตอบ...ก็เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงนานาสังวาส ว่าจะอยู่กันอย่าไร เช่นด่ากันได้ แต่จะตบตีกันไม่ได้ ด่าแรงๆก็ได้ คือปฏิกโกสนา ท่านแปลสวยๆว่าค้านแย้งอย่างจัง ก็คือพูดว่าไม่ถูกอย่างไร เปรียบเทียบได้แต่ได้แค่แรงทางปาก จะไปฟ้องร้องอธิกรณ์กันไม่ได้ ได้แต่กล่าวคัดค้าน

ทิฏฐาวิกัมม์ คือชี้แจงได้ในหมู่กลุ่ม ไม่แรง ไม่ค้านแย้งหักหาญกัน แต่ปฏิกโกสนาคัดค้านหักล้างกันได้เต็มที่กว่า

 

_0893867xxx พระเกจิครูบาอ.หลวงปู่หลวงตาที่เคยสอนตนคงเข้าใจจิตใจตนที่เห็นหมู่สณ.แล้วปฏิบัติตามดังคำสมณพราหมณาสัมมัคคตาสัมมาปฏิปันนาเยอิมัญจโลกังปรัญจโลกังสยังอภิญญาสัจฉิกัตวาปเวเทนตีติ!สาธุ

 

_0859856xxx กราบนมัสการพ่อครูครับพ่อครูเห็นด้วยครับที่ท่านเชียร์ คสช.แต่ผมยังไม่ไห้สุดตัวกับคสช.นะครับ เพราะเรื่องพลังงานเรื่องทรัพยากรที่ไห้สัมปทานให้นายทุน ผมยังต้องดูก่อนครับ นับว่าคสช.ยังไม่ฟังประชาชนเลยครับ

ตอบ...เรื่องพลังงานนี้อาตมาก็ได้รับการต่อว่าบ้าง อาตมามีความเข้าใจเรื่องนี้ว่า เกี่ยวกับพลังงานน้ำมันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มีคนเกี่ยวข้องทั้งระดับต่ำถึงสูง แล้วมีอิทธิพลต่างๆ ผู้มาจัดการก็รู้ข้อมูลดีด้วย แล้วเขาก็ต้องทำตามเหมาะสม เพราะเรื่องต่างๆนั้น เขาทำมาด้วยความรู้พยายามเต็มที่ดีทั้งนั้น แต่มีเรื่องนี้ที่คาราคาซัง อาตมาก็รู้ว่าเกี่ยวข้องเยอะ มีทั้งเรื่องลึก เรื่องจำเป็นต้องรักษาสถานะอันนี้ไว้ อาตมาว่าเรื่องนี้ปล่อยกรรมไปเถอะ ใครจะเอาเปรียบขี้โกงก็อกุศลเขาวิบากเขา สักวันหนึ่งพลังงานน้ำมันก็หมด มาแย่งแสงแดดกันดีกว่า แย่งได้แต่ไม่ต้องไปกวนใครหรอก ถ้าพระอาทิตย์หมดแสงโลกก็ไม่เหลือ เรื่องพลังงานฟอสซิลน้ำมันก็ปล่อยวิบากจัดการ แต่อาตมาหันมาหาพลังงานแสงแดด

ก็พูดไปตรงนี้ ถ้าใครจะมาช่วยอาตมาด้านพลังงานโซล่าเซลล์ มั่นใจจะทำให้ครบวงจรในราชธานีอโศก เพื่อให้หมุนเวียนจะให้มี น้ำตก นกร้อง น้ำไหล ไฟสว่างกลางวันก็สว่าง กลางคืนก็มืดตามวงจร ก็จะให้เป็นตัวอย่างสำคัญของประเทศชาติ ให้เกิดวงจรสมบูรณ์ด้วยพลังงาน แล้วมีธรรมชาติที่คนสร้าง โดยคนไม่ต้องดูแลมาก ให้ซ่อมบำรุงไปเท่านั้น ต้องมีต้นทุน ศิษย์เก่าถ้าจะมาช่วยอาตมาก็อนุโมทนาล่วงหน้า

เริ่มที่ลานเบิ่งฟ้าก็จะทำกัน ขณะนี้หมู่บ้านที่นี่จะให้ติดโซล่าเซลล์ทุกบ้านแต่ละบ้านคุ้มของตน แล้วให้นร.นศ.ศึกษาความรู้ เพื่อให้เป็นสาธารณโภคีให้สมบูรณ์แบบ

 

_0844497xxx "วิปัสสนาภาวนา" "รู้เอง เป็นเอง" ผู้น้อยกราบนมัสการพ่อครูเมตตาโปรดอธิบายชี้แนะเพื่อเข้าใจถูกต้อง

ตอบ…ผลัดไว้พรุ่งนี้ เรื่องยาว

 

_(กราบ)นมัสการพ่อท่าน ลูกมีเรื่องสงสัย สภาวะที่ปรากฏขณะทำงานว่า การทำงานที่ไม่หวังอะไรเลย แม้แต่ผลผลิตที่จะได้ การทำงานก็รู้อยู่กับงานที่ทำ และรู้สึกว่าไม่มีอาการของโลกธรรม 8 คือความสุข ไม่มีทุกข์ร่วม มันสุขเฉยๆ อธิบายไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่ทำงานหนักมาก เหนื่อนมากขนาดที่เรียกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำงานหนักอย่างนี้ แต่สงบเย็น มีปีติ แม้อยู่กลางแดด ตั้งแต่เกิดมาโดนแดดแล้วเป็นไมเกรน คำถาม พลังนี้เกิดจากอิทธิใช่ไหมคะ/

ตอบ..ถ้าเราทำงาน เราเกิดความชำนาญ ก็ได้ของเราเต็มๆ แล้วมีกุศลที่เกิดผลผลิต ที่เกิดให้คนอื่นได้ด้วย เป็นกุศลอีก ก็ได้อีก เป็นกุศลติดตัวเราไปอีก มีปลีกย่อยแค่สองประเด็นหลักก็เต็มรูปแล้ว ที่ควรทำอย่างเต็มใจ แต่ให้ระวังรักษาสุขภาพด้วย อย่าให้เกินไปนัก นี่ท่านถักบุญนอนให้น้ำเกลืออยู่ ตอนนี้หยุดให้แล้ว ทำมากไป ต้องทำให้พอเหมาะพอดี...เจริญธรรมทุกคน

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:44:10 )

590902

รายละเอียด

590902_พุทธศาสนาตามภูมิ ตัดขาดขายตรงส่งผลถึงนิพพาน

มีคนส่งข้อความเกี่ยวกับการขายตรง (direct sell ) ของนายแพทย์ผู้ที่เคยออกรายการสุขภาพดีด้วย 8 อ.ของหมอฟ้ารัก แล้วหมอท่านนี้แนะนำให้ใช้อาหารเสริม ที่บอกว่าชาวมังสวิรัติขาดสารอาหารนี้ อาหารเสริมนี้ราคาไม่ใช่น้อย 

มีชาวอโศกที่เป็นสมาชิก ไปขายให้แก่ชาวชุมชน บางคน (อาตมาเคยปรามเคยด่าไดเรคเซลล์ว่าเป็นทุนนิยมชั้นเลว ให้มันตายเพราะไม่ได้กินของดีของไดเรคเซลล์เถอะ อย่าไปใช้เลย) บางคนก็ขายถูก บางคนก็ขายแพงบวกกำไรแพง ทั้งที่เรากินข้าวหม้อเดียวกันยังเอากำไรได้อีก

ถามว่าชาวอโศกควรขายไดเรคเซลล์ไหม? จะสนับสนุนหรือคบค้าด้วยไหม? (พ่อครูว่าไม่ส่งเสริมและไม่คบค้า)

และไดเรคเซลล์เขาจะเปลี่ยนแปลงสินค้าทุก 2 ปี (พ่อครูว่า เขามีคณะวิจัยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จะกระตุ้นเรื่อยๆ แน่นอนทุกสินค้าที่เขาทำ ก็เลยมีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็เห็นว่าทำมากี่ปีก็ไม่เห็นจะยั่งยืน มีมากี่สินค้าก็ดังวูบวาบ เพราะเขาเอาสารกระตุ้นใส่ตรงนั้นตรงนี้ มันมีความรู้แล้วหลอกกินชั่วคราว อย่าไปหลงบ้ากับมันเลย ถ้าของดีจริงป่านนี้ขึ้นแป้นรับรางวัลโนเบลแล้ว )

ซึ่งชาวอโศกเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ หากเขาใช้ความคุ้นเคยศรัทธามาให้พวกเราซื้อจะบอกอย่างไรดี

พ่อครูสอนบุญนิยม แต่ลูกๆกลับทำสวนทาง สังเกตว่าผู้ใช้บริการขายตรงมักเป็นผู้ที่ศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ชัดเจน แวะข้างทางชมสวนสุขภาพข้างทางหรือเปล่าคะ เพราะหลงเชื่อโฆษณาง่ายจัง

สังคมอโศกเป็นสังคมกสิกรรม ปลูกอยู่ ปลูกกิน ได้ของสดๆจากต้น เอาไปปั่นขายให้ คนที่ทำกินเองไม่ได้  มากิน ซึ่งได้ผลต่อสุขภาพดี แต่ชาวอโศกกลุ่มหนึ่งกลับไปนิยมของที่เขาสกัดแบบไม่ไร้สาร คุณค่าอาหารหายไปด้วย เขาก็ไปเติมสารที่ทำให้เก็บได้นาน ผ่านกรรมวิธีสารพัด อุณหภูมิสูงๆ สารเคมี บรรจุภัณฑ์ต่างๆสิ่งเหล่านี้ไดเรคเซลล์ไม่พูดถึง

วิถีชาวอโศกปลอดภัยกว่าชาวโลกมากมาย แต่กลับดิ้นรนเอาพิษภัยใส่ตัว อย่างนี้มิจฉาทิฏฐิไหม?

ขอให้หลวงปู่ช่วยให้สัมมาทิฏฐิ แก่พวกดิ้นรนจนจะออกนอกวัด แล้วมาเอาเปรียบพวกเรากันเองอีก ขอหลวงปู่ช่วยด้วยค่ะ

ตอบ...บอกมาก็ดีแล้วขอบคุณ ก็ขอยืนยันว่า direct sale มันเป็นแนวคิดของกลุ่มทุนนิยมที่ฉลาดหาอะไรมาวิจัยหน้าก็ประสมผลผลิต สินค้าของเขาเอามาปล่อยทีละตัวๆ มาขายเสร็จแล้วก็หายไป

ถ้าเขาทำไปได้ดีก็จะติดตลาดถาวร แต่สินค้าของ direct sale นี้ยังไม่เห็นติดตลาดถาวร เห็นแต่เปลี่ยนไปมีสินค้าใหม่มาได้เรื่อยๆ 3 ปีหรือ 5 ปี

ถ้าเป็นของดีอย่างเช่นยาหรืออาหารเสริม ถ้ามันดีจริงๆก็ควรจะทำให้ติดตลาดไปเลย นานไปถึง 30 ปีถึง 40 ปี แล้วคนก็จะมาทำตามเพราะขายได้ดี เขาก็จะทำให้ถูกลงได้ นี่เป็นข้อสังเกตของอาตมาที่มอง direct sale แล้วเขาก็ทำวิธีนี้หากินมาตลอด เป็นวิธีที่ไม่ซื่อตรงเท่าไหร่

สำนักสงฆ์หลายสำนักก็สอนศีลธรรมเอาความดีพื้นๆขึ้นมาหลอก อย่างเช่นธรรมกายหลอกล่อให้สร้างสวรรค์วิมาน ไม่รู้กี่ชั้น ตั้งชื่อหลอกกันวิจิตรพิสดาร มีพุทธเกษตรถวายข้าวพระพุทธเจ้า ก็เพิ่งเคยได้ยินสำนักนี้ไปพบพระพุทธเจ้าได้ ถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ คนที่ไปหลงเชื่อเช่นนี้โง่สุดๆโง่จริงๆ

ภาวะนิพพานไม่ได้มีลักษณะแบบนั้นเลย เป็นความที่ลึกที่เกินเลย คนก็ยังเชื่อได้ ปล่อยให้เขาหลอกล่อครอบงำความคิด แล้วขูดรีด ดูดไปอย่างหนัก จนหมดตัวเลย ทุนนิยมลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายๆกัน ถ้ามาอยู่ในชาวอโศกให้มันตายไป ถ้าไม่มีของดีที่จะรักษา จากพวกไดเร็คเซลล์นี้

2 อย่าเอาระบบบ้าบอนี้เข้ามาในอโศก

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86185มา

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efd09RNmlHbmVRUUU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/2xjuoo32jwg7/160902_

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=ZYnAnlzpCxQ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:46:55 )

590902

รายละเอียด

590902_พุทธศาสนาตามภูมิ ตัดขาดขายตรงส่งผลถึงนิพพาน

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีวอก อีกสองเดือนก็หมดปี อาตมาเห็นพวกเรามานั่งฟังธรรม อาตมาก็เทศน์เกือบทุกวัน อาตมาเทศน์นั้นไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะอาตมาสมัครใจมาทำหน้าที่นี้ตั้งแต่บวชมา ไม่กลับไปแล้วทางโลก อาตมาก็มาทำงานทางนี้ได้ 46 ปี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีไฟเพียร ไฟขยันทำงานนี้อยู่ ไม่ได้คิดท้อถอยหรือท้อแท้ ตั้งใจทำหน้าที่นี้ แล้วเข้าใจด้วยปัญญาชัดเจนว่า เรามาทำงานทางนี้

พวกคุณมานั่งฟังประจำทุกวันๆ อาตมาอนุโมทนาสาธุ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาเอาทางนี้ โดยเฉพาะนักบวช ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือสิกขมาตึ ถ้ามาบวชเป็นสมณะสิกขมาตุแล้ว ก็มาเอาใจใส่ อาตมาไม่ได้เรียกประชุม ไม่ได้เรียกสอน อาตมาก็ใช้เวลานี้เป็นหลัก เกือบทุกวัน สอนบรรยายธรรมะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่มาเอาทางนี้ โดยเฉพาะนักบวช ผู้มาบวชแล้วมีหน้าที่มาฟังธรรมะ ก็ต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ก็ต้องรู้จักพากเพียรเอา จะต้องรู้ว่า อาตมามีหน้าที่สอน อาตมาก็ทำหน้าที่ แต่ผู้ที่มารับสมัครแล้วไม่รับคำสอนไม่เอาถ่าน อาตมาว่ามันผิดหน้าที่นะ มันรู้สึกว่ามันจะขบถต่อความจริงที่ตนเองมา น่าจะใส่ใจ เอาใจใส่ ตั้งใจมาฟัง เพราะนี่คือการแสดงธรรม

อาตมา ขวนขวาย ค้นคว้านะ ไม่ใช่ว่าอาตมาดูดายทำอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้ทำอย่างแต่สักแต่ว่าทำไปวันๆหนึ่ง อาตมาก็พยายามพากเพียร ทำสอนธรรมะให้ลึกซึ้งๆและชัดเจนกระจ่างขึ้น ผู้ที่ตั้งใจฟังก็อนุโมทนา ใครทำใครก็ได้ นี่ก็เตือนให้สติโดยเฉพาะผู้ที่มาบวชแล้ว มาตั้งใจมาทางนี้แล้ว ก็ไม่น่าที่จะขบถต่อตัวเองให้เสียโอกาส เสียประโยชน์ที่ควรจะได้

มี sms เมื่อวานค้างไม่ได้ตอบอยู่บ้าง ..

_มีคนส่งข้อความเกี่ยวกับการขายตรง direct sell ของจากนายแพทย์ผู้ที่เคยออกรายการสุขภาพดีด้วย 8 อ.ของหมอฟ้ารัก แล้วหมอท่านนี้แนะนำให้ใช้อาหารเสริมที่บอกว่าชาวมังสวิรัติขาดสารอาหารนี้ อาหารเสริมนี้ราคาไม่ใช่น้อย มีชาวอโศกที่เป็นสมาชิก ไปขายให้แก่ชาวชุมชน บางคน (อาตมาเคยปรามเคยด่าไดเรคเซลล์ว่าเป็นทุนนิยมชั้นเลว ให้มันตายเพราะไม่ได้กินของดีของไดเรคเซลล์เถอะ อย่าไปใช้เลย) บางคนก็ขายถูก บางคนก็ขายแพงบวกกำไรแพง ทั้งที่เรากินข้าวหม้อเดียวกันยังเอากำไรได้อีก

 ถามว่าอโศกเราควรขายไดเรคเซลล์ไหม? จะสนับสนุนหรือคบค้าด้วยไหม?(*พ่อครูว่าไม่ส่งเสริมและไม่คบค้า)

และไดเรคเซลล์เขาจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสินค้าทุก 2 ปี

(*พ่อครูว่า เขามีคณะวิจัยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จะกระตุ้นเรื่อยๆ แน่นอนทุกสินค้าที่เขาทำ ก็เลยมีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็เห็นว่าทำมากี่ปีก็ไม่เห็นจะยั่งยืน มากี่สินค้าก็ดังวูบวาบ เพราะเขาเอาสารกระตุ้นใส่ตรงนั้นตรงนี้ มันมีความรู้แล้วหลอกกินชั่วคราว อย่าไปหลงบ้า อย่าไปโง่กันกับมันเลย ถ้าของดีจริงป่านนี้ขึ้นแป้นรับรางวัลโนเบลแล้ว )

ซึ่งชาวอโศกเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ หากเขาใช้ความคุ้นเคยศรัทธา มาให้พวกเราซื้อจะบอกอย่างไรดี

พ่อครูสอนบุญนิยม แต่ลูกๆกลับทำสวนทาง สังเกตว่าผู้ใช้บริการขายตรงมักเป็นผู้ที่ศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ชัดเจน แวะข้างทางชมสวนสุขภาพข้างทางหรือเปล่าคะ เพราะหลงเชื่อโฆษณาง่ายจัง

สังคมอโศกเป็นสังคมกสิกรรม ปลูกอยู่ ปลูกกินเอง ได้กินของไร้สารพิษสดๆจากต้น จนเอาไปปั่นขาย ทำให้คนในสังคมที่เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนปลูกทำกินเองไม่ได้ มาซื้อมากิน ซึ่งได้ผลต่อสุขภาพดี

แต่ชาวอโศกกลุ่มหนึ่งกลับไปนิยมของที่เขาสกัดแบบไม่ไร้สาร คุณค่าอาหารหายไปด้วย เขาก็ไปเติมสารตัวนั้นตัวนี้ ที่สามารถทำให้เก็บได้นาน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านกรรมวิธีสารพัด อุณหภูมิสูงๆ สารเคมีต่างๆ  รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ที่ปนเปื้อนโลหะหนักอีกมาก สิ่งเหล่านี้พวกไดเรคเซลล์ไม่พูดถึง อีกมากมาย

วิถีชาวอโศก ได้กิน ได้อยู่ อย่างอุดมสมบูรณ์ปลอดภัยมากกว่า ชีวิตคนโลกๆมากมาย แต่กลับมีทิฏฐิดิ้นรนไปแสวงหาสิ่งอันไม่ปลอดภัยใส่ตัว อย่างนี้มิจฉาทิฏฐิไหม?

ขอให้หลวงปู่ช่วยให้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ แก่พวกดิ้นรนวิ่งขายจนจะออกไปนอกเขตวัดแล้ว ยังไม่รู้ตัวหรือว่ามาทำสิ่งที่เป็นบาปเวรภัยเอาเปรียบพวกพี่น้องเรากันเองในวัดก็ตาม ขอหลวงปู่ช่วยเทศน์เตือนเขาด้วยค่ะ

ตอบ...บอกมาก็ดีแล้วขอบคุณ ก็ขอยืนยันซ้ำอีกว่า direct sale มันเป็นแนวคิดของกลุ่มทุนนิยมที่ฉลาดหาอะไรมาวิจัยแล้วก็ผสมตัวผลผลิต สินค้าของเขาเอามาปล่อยทีละตัวๆ มาขายเสร็จแล้วก็หายไปๆ ไม่ได้ฮือฮา ติดตลาดอย่างถาวร

ถ้าเขาวิจัยได้ดีก็จะติดตลาดถาวร แต่สินค้าของ direct sale นี้ยังไม่เห็นติดตลาดถาวร เห็นแต่เปลี่ยนไปมีสินค้าใหม่มาได้เรื่อยๆ 3 ปีหรือ 5 ปี

ถ้าเป็นของดีอย่างเช่นยาหรืออาหารเสริม ถ้ามันดีจริงๆก็ควรจะทำให้ติดตลาดไปเลย นานไปถึง 30 ปีถึง 40 ปี แล้วคนก็จะมาทำตามเพราะขายได้ดี เขาก็จะทำให้ถูกลงได้ 

นี่เป็นข้อสังเกตของอาตมาที่มอง direct sale แล้วเขาก็ทำวิธีนี้หากินมาตลอด เป็นวิธีที่ไม่ซื่อตรงเท่าไหร่

สำนักสงฆ์หลายสำนัก ก็สอนศีลธรรมเอาความดีพื้นๆขึ้นมาหลอก อย่างเช่นธรรมกายหลอกล่อให้สร้างสวรรค์วิมาน ไม่รู้กี่ชั้น ตั้งชื่อหลอกกันวิจิตรพิสดาร มีพุทธเกษตรถวายข้าวพระพุทธเจ้า ก็เพิ่งเคยได้ยินสำนักนี้ไปพบพระพุทธเจ้าได้ ถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ คนที่ไปหลงเชื่อเช่นนี้โง่สุดๆโง่จริงๆ

ภาวะนิพพานไม่ได้มีลักษณะแบบนั้นเลย เป็นความที่ลึกที่เกินเลย คนก็ยังเชื่อได้ ปล่อยให้เขาหลอกล่อครอบงำความคิด แล้วขูดรีดดูดไปอย่างหนัก จนหมดตัวเลย ทุนนิยมลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายๆกัน ถ้ามาอยู่ในชาวอโศกให้มันตาย ถ้าไม่มีของดีที่จะรักษา จากพวกไดเร็คเซลล์นี้

**อย่าเอาระบบบ้าบอนี้ เข้ามาในอโศก **

 

_SMS 1 SEP 59

_0893867xxx พืชผลถั่วอะไรตรงหน้าพ่อครูใหญ่ยาวเฟื้อยบะเริ่มเทิ่ม!คงเป็นพันธุ์1ในaecกักตุนเก็บไว้ปรุงกับข้าวได้ทั้งปี!

_0893867xxx ประชาธิปไตยโดยธรรม ยุคต่อไปคงเกิดได้โดยฆราวาสธรรมในสังคมที่ควรมี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ จะทำให้ได้การเมืองเปี่ยมคุณธรรม มีสังคหวัตถุธรรม!เราจะได้พบไหมหนอ?skkควันหลงกลียุค จากคอร์รัปชั่น!

ตอบ...ได้พบ อย่ารีบตาย เพราะว่าตอนนี้คนเข้าใจเรื่องการเมืองกับธรรมะ ศาสนาพุทธไม่ได้แยกธรรมะกับการเมือง มันอยู่ด้วยกัน เป็นคุณธรรมในคนทุกคนไม่แบ่งแยก ไม่ว่า อาชีพไหน

นักการเมืองที่ตอนนี้มา ทุจริต ขี้โกง เอาเปรียบ ตลบตะแลง ตอแหล บอกว่าจะมาช่วยมารับใช้ประชาชน แต่กลับมาขูดรีด ตั้งแก๊งตั้งค่าย เป็นอาชีพ

การเมืองแท้จริงคือ งานรับใช้ประชาชน ประชาชนจะเลี้ยงไว้ ไม่มีเงินเดือน แต่นักการเมืองนั้นมีเงินเดือนด้วย เพราะฉะนั้นนักการเมืองดีไม่ต้องกลัวอดตายเลย

- นักการเมืองไม่ใช้ นักล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข

- นักการเมืองคือ จิตอาสาเสียสละ ไม่ใช่มา กอบโกย โกงกิน

- นักการเมืองคือ คนประเสริฐ ผู้มีธรรมะ แต่ไปถูกแยกว่าการเมืองกับศาสนาคือคนละอย่างกัน มาร่วมกันไม่ได้ นักการเมืองไม่เอาศาสนาก็เลยฉิบหาย ไม่รู้จักธรรมะก็เลยเลวลงเสื่อมลง ก็เลยเป็นอย่างที่เป็น การสอนที่ผิดๆ จึงทำให้เลวร้าย ทำให้เสื่อมไปจากศาสนา อาตมาไม่ยอมจึงจะเอาสิ่งที่ถูกต้องนี้กลับคืนมา

_0893867xxx ส่งกำลังใจให้คณะปฏิรูปปท.มีพรหมวิหารธรรมในการปฏิรูปตนเองให้ได้มีสังคหวัตถุธรรมในการปฏิรูปสังคมสำเร็จทุกด้าน!สู้ๆ

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครู บุญนิยมกับ ธรรมะ นิวรณ์ 5 ปหาน 5 วิมุต 5 กิเลสในตัวที่ต้องละตนให้ สิ้นจนหลุดพ้นอัตตาได้

สาธุ!skkที่รู้ 50 ปฏิบัติ 50ยังมิเต็ม100เจริญธรรม

_0893809xxx บางอาจารย์ก็ถือตนเป็นผู้รู้แจ้ง สั่งสอนศิษย์ให้เคร่งสมาธิจนกลายเป็น "สมาธิบ้า" อาการสมาธิบ้านับว่า "อันตรายที่สุด" เพราะนั่งกันจนเพลิดเพลินหลอกหลอนตัวเองว่าได้พบสวรรค์วิมาน ระลึกชาติได้ พบพระพุทธองค์ขนาดได้นั่งฟังพระพุทธองค์เทศนาให้ฟังจนบรรลุมรรคผลนิพพาน (หลงผิดงมงาย)

ตอบ...พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไประลึกชาติ มาเกิดเป็นใครต่อใคร

*ในบุพเพนิวาสานุสติญาณ เขาไปเข้าใจว่าเป็นปุคคลาธิษฐาน ซึ่งไม่ใช่

แม้เราจะรู้จริง เป็นบุคคลได้ระลึกได้ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องเอามาพูดให้คนยึดติด แต่ให้ระลึกเนื้อหาสาระของธรรม วานนี้ก็อดีตแล้ว สัปดาห์ผ่านไป เดือนผ่านไป ก็ให้ระลึก ระลึกถึงการเกิด ชาติ สัญชาติ โอกกันติ แล้วทำชาติให้เป็นนิพพัตติ อภินิพพัตติ นี่คือการระลึกชาติ

 อาตมาแม้จะรู้ได้ ก็ไม่มาอ้างอิงในตัวตน บุคคล อาตมาดูถูก

อาตมาก็เป็นจริง ชาติก่อนๆ อาตมาเป็นผู้มีความรู้ทางธรรม ก็มีประวัติอยู่ได้ แต่พอมาเป็นชาตินี้ อาตมา มาเป็นสมณะโพธิรักษ์ แต่ว่ามีคนมาบอกว่า อาตมาเป็นคนนั้นคนนี้มาเกิด อาตมาถือว่าดูถูกอาตมา เพราะว่าอาตมาจะมีภูมิธรรมสูงกว่าคนเก่านั้นแล้ว เพราะอาตมามาพัฒนาตัวเอง

อันโน้นอันเก่าย่อมภูมิต่ำกว่าอาตมาตอนนี้ ถ้าบอกว่าอาตมาคือคนนั้นอาตมาถือว่าดูถูกอาตมา

อาตมาไม่จำเป็นต้องเอาคนนั้นคนนี้มาอ้างอิง เช่น คนที่บอกว่าเป็น ร.นั้น ร.นี้มาเกิด จะให้คนบอกว่าเราเก่ง คนนี้ไม่แน่จริงไม่เก่ง คนที่ทำอย่างนั้นอ้างอย่างนั้น อย่าง นิกร ระลึกชาติว่าเป็นคนนั้นคนนี้มาเกิด อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง ไม่แน่จริง จริงๆแล้วไม่ต้องอ้าง พิสูจน์ความรู้ความสามารถของตนเองให้คนอื่นนับถือได้เลย

*อาตมาพอระลึกถึงได้ ระลึกไม่ได้อาตมาจะบอกได้หรือว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์* ระลึกว่าเคยบำเพ็ญมา แต่อย่างโพธิสัตว์นี้ อาตมาเจตนาขยายความ อาตมาประกาศโพธิสัตว์มา คนเขาก็ด่าอาตมาว่าไม่ได้รู้เรื่อง แต่อาตมาอธิบายโพธิสัตว์คนละอย่างกับเถรวาทอธิบาย

 อย่างมหายานนั้นนับถือโพธิสัตว์มากกว่าอรหันต์ แต่เลอะเทอะกว่าเถรวาทที่ไม่นับถือโพธิสัตว์ ไม่บานปลาย แต่มหายานบานปลาย โพธิสัตว์เลอะเทอะอะไรมากมาย

 

_0893809xxx เรียนรู้ธรรม จำต้องเรียนรู้ตน จะต้องมุ่งหวังอย่างอริยามีเป้าหมายให้กับตนใครจะว่าอย่างไรอย่าได้สับสน อย่าใส่ใจคำพูดดูหมิ่นถากถางจากผู้อื่นให้มากเกิน หากจะต้องใส่ใจผู้อื่น จะต้องใส่ใจ "เมตตารัก" ที่มอบให้เขาเหล่านั้น อย่าได้เก็บขยะอันเป็นสัมภาระที่เปล่าประโยชน์มาไว้กับตน

 

_0893809xxx ผิดหลักธรรมคือบาป ทำการให้เสียคือบาป เห็นแก่ตัวคือบาป พูดธรรมะแต่ไม่ทำตามธรรมะ รู้ผิดไม่แก้ไข "นี่ร้ายอันดับ1" เสียเปรียบหน่อยไม่พอใจได้เปรียบหน่อยดีใจ"นี่ร้ายอันดับ2" ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวไม่อาจมีส่วนได้ แต่จรดใจใคร่ได้ไม่ลืม "นี่ร้ายอันดับ3"

ตอบ...เป็นบาปจริงแต่อย่ากลัวเกิน เพราะว่าผู้มีภูมิยังไม่ถึงก็ต้องผิดไปตามฐานะ อาตมาตามภาษาสำนวนเข้าไม่ถึงสภาวะของคุณคนนี้ อาตมายอมแพ้ เขาเก่งแต่ผิดหรือถูกนั้นไม่รู้ แต่ก็ดูมีอะไรดีๆอยู่

_0888879xxx ปัจจุบันเป็นเหตุ อ่านเหตุด้วยวิปัสสนากรรมฐาน. ให้รู้รูปนามถูกไหม๊คะ

ตอบ….มีรูปอย่างเดียวก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ มีนามอย่างเดียวก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้

_ทำไมหลวงปู่ถึงต้องการให้มีอรหันต์ 9 รูปด้วยคะ

ตอบ...ทำไมนักเรียนส่งsmsได้ ยืมของผู้ใหญ่หรือเปล่า? …

โดยภูมิโดยปัญญาของอาตมา ถ้ามีผู้ที่บรรลุอรหันต์มาทำงานช่วย จะเป็นผู้ที่ปล่อยให้ทำงานช่วยเต็มมือได้เลย อาตมาก็ต้องการเพียง 9 รูป ใครก็ตามก็จะมีบารมีพ่วง เป็นผู้ที่มาขึ้นด้วย เป็นทีมเป็นคณะ เป็นบริวารมันมีตามสัจจะโดยธรรม ตามบารมี ถ้ามีอรหันต์ 9 รูป จะมีคณะเสริมซ้อน ทำงานจนยืนยาวครบห้าพันปี  ตอนนี้ผ่านมากว่าสองพันหกร้อยปีแล้ว นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทำงานศาสนามา

 

_ตอนนี้ฟังธรรมพ่อครูมากขึ้น เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ทำให้เห็นพระสงฆ์ที่รับเงิน ก็สงสารเขามากค่ะ

ตอบ...ดี ก็ไม่ต้องไปถล่มทลายท่าน ปล่อยให้อาตมาพูดก็พอ ที่จริงใครทำผิดก็ต้องบอก ต้องว่า ต้องติเตียน อะไรถูกก็ต้องบอกถูก อะไรผิดก็ต้องบอกผิด ส่วนอาตมา มาทำงานศาสนา มีเรื่องที่ต้องตำหนิ เพราะมันทำให้ศาสนาเสื่อม แต่ที่ทำถูกอยู่แล้วไม่ต้องเสียน้ำลายไปชมเชย ให้เขาทำไป แต่ที่ไม่ถูกนี่ ต้องพูด เหมือนอาตมาพูดปากปลาร้า ว่าเขาทุกวัน ว่าหนักๆ ก็มี บางทีพูดคำแรงจนถือว่าหยาบสำหรับอาตมา แต่คำหยาบอย่างโลกๆไม่ได้ใช้ แต่อาตมาให้ความหมายหยาบคือคำแรง ว่าหนัก ว่าตรงเกินไป ทั้งน้ำเสียงสำเนียง ก็จะขออภัยบ้าง แต่ไม่อยากขออภัยหรอก เพราะอาตมาเจตนาทำเอง มันต้องโขกสับหน่อย สำหรับพวกดื้อด้าน จนอาตมาต้องผลิตคำว่าโด้ มันด้านเกินคาด คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีได้ ขนาดที่ดึงดันดื้อด้านต่อกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายบ้านเมืองทำอะไรไม่ได้

 

_บุญเรือน ถามว่า  จิตมีกี่มิติคะ?   กราบนมัสการค่ะ

_ลิหวา   อยากทราบนามธรรม 5 ที่พ่อท่านเทศน์เมื่อ31สค ค่ะ

_เต็มตะวัน ถามว่า  ปัจเจก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นแบบไหน???  แล้ว คุณสมบัติของใจ ที่เป็นปัจเจกภูมิแท้คืออย่างไร????

ชีวิตก็ต้องตาย สิ่งที่ยังไม่ตาย แท้ๆคืออะไร ?

 

ตอบ...ปัจเจก คือส่วนตนที่ได้ เป็นลำดับมาจาก

*1.ปัจจัตตัง                                  *2.ปัจเจก                       *3.สยังอภิญญา   

*4.ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ                *5.สยัมภู

 

1. ขั้นสยัมภู*  คือระดับเป็นเจ้าของธรรมะ เป็นพระพุทธเจ้า

 2.ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า *คือมีภูมิระดับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ประกาศศาสนาในโลก แต่ท่านผู้นี้บรรลุสัมมาสัมพุทธะเป็นปัจเจกส่วนตน มีคนตีความว่าสอนไม่เป็น ก็ไม่น่าใช่

ขนาดโสดาบันก็ยังสอนได้มากมาย มีมานะอัตตาด้วย อยากสอนเพราะมันเห็นดีเห็นจริง มีเพชรเม็ดนิดนึงก็อยากให้คนเห็นคนรู้ บางทีก็แรงไปมากไป

3.ปัจจัตตัง  คือ คำว่า ปัจจะคือสว่าง ผนวกกับคำว่าสัจจะ คือสิ่งที่รู้ สว่าง เกิดแล้ว เป็นปัจจัตตัง คือตนเองได้บรรลุขั้นแรก มีส่วนรู้จริง เป็นอัญญาโลกุตระไม่ใช่โลกีย์ จะได้ถาวร

โสตาปันนะ เข้ากระแสแล้ว จะเพิ่มเป็น อวินิปาตธรรม ไม่แปรเปลี่ยน แต่ถ้าถึงนิยตะ จะเที่ยงแท้

โสตาปันนะ (25%) อวินิปาตธรรม (50%)  นิยตะ (75%)  สัมโพธิปรายนะ (เลย 75%)

4.สยังอภิญญา คือมีภูมิของตนที่สูงกว่าปัจเจก จากนั้นก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ แต่ถ้าเต็มเป็นอนุตตรสัมมาสัมพุทธะจะเรียกว่าธรรมสามีได้

 

_ชีวิตก็ต้องตาย แล้วสิ่งที่ยังไม่ตายแท้ๆ คืออะไร?

ตอบ… ในคนทั่วไป ร่างกายตาย แต่ยังไม่ตายแท้ๆใช่ไหม ในปุถุชนทั่วไป ร่างกายตาย

แต่เราได้เรียนธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น  จิตไม่ได้ตายจริง แล้วสิ่งที่ไม่ตายแท้ๆคือ...ตราบที่ยังไม่สิ้นเชื้ออวิชชาอยู่ ผู้นั้นยังไม่ตายจริง สิ่งที่ไม่ตายจริงไม่สิ้นเชื้อคืออวิชชา

แต่ถ้าอวิชชาตายจริงๆสนิท ผู้นี้คือผู้ตายจริง แม้จะเป็นอรหันต์ที่จะเอาร่างกายเกิดมาใหม่ แต่ผู้นี้อวิชชาดับสนิทแล้ว คนนี้ตายถาวร จะสั่งสมเป็นพระพุทธเจ้าก็เชิญ

 

_ปัจเจกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นแบบไหน

ตอบ..ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ

_นามธรรม 5 คือ ที่ต้องศึกษา พระพุทธเจ้าตรัสไว้นพระไตรปิฎก ล.16 นามธรรมที่ต้องเรียนคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ พวกที่ไปเรียนอภิธรรมไม่ได้ศึกษานามธรรม 5 ชนิดนี้ ได้แต่ไปท่องนามธรรมพวกจิตเจตสิก ไม่ได้มาพยายามเรียนรู้ฝึก เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ  จึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเรียกผัสสะว่า นาม แต่ว่า เวทนา สัญญา เจตนา ก็ต้องเป็นนามแน่

แต่ในพระไตรปิฎก ล.16 นี้มีบอกว่า ผัสสะ 6 ด้วย ผัสสะ 6 ก็หมายถึงข้างนอกด้วย แต่เมื่อไม่เข้าใจลำดับถูกต้องเลยปฏิบัติผิด ไม่เข้าใจรูป 28 ไปเรียนแต่จิต เจตสิกเป็นหลัก พวกนี้ทำผิดฐานปฏิบัติ ที่จะต้องทำที่นาม 5 รูป 28 ซึ่งในรูป 28 นี้ มีนามที่จะเรียนรู้ถึงเจตสิกต่างๆ มีเจตสิก 52 ในนั้นด้วยเลย ไม่ต้องท่องพยัญชนะก่อน จะท่องก่อนก็ได้ แต่อย่าไปหลงแต่จิต เจตสิก ไม่มาเรียนรู้ฐานปฏิบัติเลยเพี้ยนไป

เวทนาเป็นกรรมฐานที่ต้องเรียน ศาสนาพุทธมีกรรมฐานคือเวทนา ในพระไตรปิฎก ล.9 ชัดเจนว่า *ผู้ที่ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา *

เริ่มตั้งแต่ข้อ 77  มีข้อความที่ว่า “เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้” คือไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติ

อ่าน นาม 5 นี้  มีผัสสะ แล้วจะได้ทำใจในใจ อย่างถูกต้องแยบคายลงไปถึงที่เกิดคือโยนิโสมนสิการ แต่ทุกวันนี้ แปลโยนิโสมนสิการแค่คิดให้แยบคาย แต่ทั้งที่มันคือการทำใจเลย ทำกับใจ ทำให้ถูกต้อง ทำให้มันดับ กิเลสดับ จิตจะเกิดเป็นอาริยะ แต่แปลไม่ถึง แปลได้แค่คิดพิจารณา ทำความละเอียดลึกซึ้งแค่นั้นไม่ใช่

มนสิการเป็นตัวปฏิบัติหลักเลย อยู่ในมูลสูตร 10

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ทำให้เกิดอาริยชน คนเกิด แต่เป็นคนที่ดับภพจบชาติ เป็นวิภวภพ คนที่ไม่ได้มีสภาวะแท้จะไม่เข้าใจ ภพ 3 นี้ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไปติดใจว่า ถ้าอยากได้นิพพานก็สอบตกแต่ต้น เขาว่าอย่างนี้เลยนะ ในนสพ.ก็เขียนว่า อย่าอยาก อยากไม่ได้เลยนะ

ในนาม 5 ต้องใช้สัญญากำหนดหมายตลอด ตั้งแต่ภายในถึงภายนอก จนเกิดการบรรลุ สัญญาจึงจะกลายเป็นปัญญา สัญญาต้องทำงานตลอดตั้งแต่ต้น จนสำเร็จ คนใช้สัญญาไม่เป็น ไม่รู้จักหน้าที่สัญญาปฏิบัติธรรมไม่ได้ ต้องรู้จักว่า สัญญาธาตุ อาการหรือพลังงานระดับสัญญาทำหน้าที่อย่างไร

เจตนา ต้องวิจัยให้อ่านเจตนาให้ออก เบื้องต้นที่กามตัณหา

_แยกแยะดูเจตนา เป็นธรรมะสอง

_เจตนาจะฆ่ากิเลส นี่เป็นธรรมะหนึ่ง อกุศลเจตนาก็เป็นกิเลสในจิตเรา 

เช่นกามตัณหา ก็ต้องฆ่ากามตัณหานี้ให้ได้

เมื่อฆ่าได้ก็เป็น วิภวตัณหา ดับภพได้ ดับภพอบายได้ก็เป็นโสดาบัน

_ต่อมาดับโสดาฯได้ก็เป็นสกิทาฯ

_ถ้าดับสกิทาฯ ก็เป็นอนาคาฯ ถ้าดับภพอนาคาฯ ก็เป็นอรหันต์ มีแต่วิภวตัณหา ที่บรรลุธรรม

ท่านแปล อภิสังขาร 3 กันผิดๆ

ปุญญาภิสังขาร เขาแปลกันว่า จัดการกิเลสให้เป็นบุญ ก็ถูก บุญคือการจัดการกำจัดกิเลสได้

แต่อปุญญาภิสังขารท่านแปลว่าเป็นการสังขารที่เป็นบาป ผู้ใดแปลเช่นนี้คือไม่เข้าใจภพชาติ ไม่เข้าใจอภิสังขาร โดยเข้าใจไปว่า อปุญญะคือไม่ใช่บุญ ไม่มีบุญ ก็เป็นบาป ก็ตรรกะคิดเอาเองว่า คือบาป

แต่แท้จริง อปุญญาภิสังขาร คือปรุงแต่งอย่างไม่มีบุญได้แล้ว

ทำได้ก็สั่งสม อเนญชาภิสังขารต่อ ซึ่งไม่ใช่บุญ บุญนั้นหมดหน้าที่แล้ว เป็นการรักษาผล ให้ตั้งมั่นเป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง เพียรรักษาผล

ผู้ที่แปลอปุญญาภิสังขารว่าเป็นบาป คือผู้ที่ไม่เข้าใจบุญ หรือเข้าใจบุญไม่สัมมาทิฏฐิ หรือสอง ผู้นี้ภูมิไม่ถึงการกำจัดกิเลส

*อเนญชาภิสังขาร ไม่มีการทำบุญแล้ว เป็นปฏิปัสสัทธิปหาน เป็นอาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกให้มากๆ พหุลีกัมมัง มากจนนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

*ในนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการนั้น ผัสสะเป็นสมุทัยในการปฏิบัติ  หากผู้ปฏิบัติขาดสมุทัย(ผัสสะ)ในภาคปฏิบัตินี้ก็ไม่มีผล

*อาริยสัจ 4 ใช้สมุทัยคือตัณหา ซึ่งเป็นสมุทัยในจิต

แต่อันนี้ ผัสสะคือสมุทัยนั้นเป็นภาคปฏิบัติ*ในมูลสูตร *

 

3.      มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.      มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)  ต้องรู้มโนปวิจาร 18 โดย...__ทำให้เคหสิตเวทนาให้เป็น เนกขัมสิตเวทนาให้ได้ ในฐานอุเบกขาคือ

ฐานนิพพาน ทำสั่งสมนิพพาน โดยได้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ไปได้เรื่อยๆ

_กำจัดเคหสิตอุเบกขาเวทนาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้

_แม้จะทำสมถะลืมตา รู้ นิ่ง เฉยได้ แต่กดข่มไว้เท่านั้น ไม่มีการวิจัย

ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์มีแต่ hypnosis ไม่มี analysis

ต้องแยกแยะธรรมะสอง แล้วทำให้เอกสโมสรณา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ต้องอ่านอย่างมีญาณปัญญา ไม่ใช่แค่พยัญชนะรู้เท่านั้น

**ต้องรู้ว่า เนกขัมมสิตอุเบกขา มันต่างจาก เคหสิตอุเบกขาเวทนา **

ไปถามคนหลับตาปฏิบัติ ว่า เนกขัมมสิตอุเบกขา ต่างจากเคหสิตอุเบกขาไหม? เขาทำได้นะ จิตว่างกลางเฉย แต่ถามว่า อุเบกขาสองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร? เขาจะตอบได้ไหม? ไม่ได้

5.  มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีอะไรตายอีกคือไม่มีกิเลสจะตายอีก เพราะตายหมดแล้วจึงไม่มีอะไรเกิดอีก

แต่คนอมตะจะให้ตนเองเกิดหรือตายได้ตามที่ต้องการ จะตายก็ตายเอง จะเกิดอีกก็ได้ เป็นคนไร้พิษภัยแล้ว ถึงแก่นศาสนา มีวิมุติแล้ว ตนเองจะเกิดก็ได้ จะไม่เกิดทำปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ อมตะคือผู้ไม่เกิดไม่ตาย

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

 

นี่คือมูลสูตร 10 อาตมาไม่ต้องท่องเลย มีเนื้อยาแล้ว เอาป้ายฉลากยามาแปะก็ได้แล้ว

 วิภวตัณหา คือ ตัณหาอุดมการณ์ที่ล้างภพจบชาติ อรหันต์ทำงานอย่างไม่มีภพชาติ อาตมาบอกว่าพระพุทธเจ้ามีวิภวตัณหา คนก็บอกว่าอาตมาพูดผิดไปว่าพระพุทธเจ้า แต่แท้จริงอาตมาชมพระพุทธเจ้าต่างหาก ที่ใช้วิภวตัณหาทำงาน

 

_จิตมีกี่มิติ?

ตอบ...มิตินี้จะหมายถึงอะไร? ..จิตเจตสิก รูปนิพพาน หรือจะแยกเป็นจิต 89 หรือ 121 ดวงก็ได้มิติจะหมายเอาแค่ไหน? คุณบอกมิติของคุณมาก็จะตอบได้

 

_ที่ค้างไว้คือคำว่า ใจในใจ กายในกายด้วย อีกคำหนึ่งคือวิปัสสนากรรมฐานคืออย่างไร?

ตอบ…คำว่ากรรมฐาน คือสถานที่จะปฏิบัติ ทางที่จะประพฤติ เป็นที่ตั้งของที่จะประพฤติ ตรงนั้น บ่อนนั่นล่ะ(ภาษาอีสาน) หม่องนั่นล่ะ ทำตรงนั้นแหละกรรมฐาน ข้ออ้างอิงในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ว่าตำแหน่งที่จะปฏิบัตินั้น เริ่มตั้งแต่ข้อ 77  มีข้อความที่ว่า เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้” คือไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติ 

ก็คือ *เวทนา เว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีเวทนาจะปฏิบัติไม่ได้

 ผัสสะ*เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เมื่อไม่มีเวทนาเป็นปัจจัย การปฏิบัติก็ไม่มีฐานที่จะปฏิบัติก็ไม่มีกรรมฐาน

ส่วนภาวนาคือ การเกิดผล แล้วเพี้ยนไปเป็นคำว่าภาวนาคือการนั่งท่องบ่น เพี้ยนไปไกลมาก หรือภาวนาคือการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เลย

*ภาวนาคือ การเกิดผล ภาวนาก็คือภพ เป็นภพของวิภพ เป็นผลของการปฏิบัติแล้ว

ภาวนาไม่ได้แปลว่าผลของการท่องบ่น และไม่ได้แปลว่าการปฏิบัติที่เขาบอกว่าไปภาวนา คือไปนั่งสมาธินั้นไม่ใช่

*ภาวนาคือผลของการปฏิบัติ (สัมมัปปธาน4)*

ในภาวะของสัมมัปปทาน 4

1.      สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)

2.      ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว) .

3.      ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)

4.      อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 14)

คุณจะเรียนรู้กรรมฐานก็ต้องรู้ให้ถูก แล้วทำให้เกิดผล ก็คือภาวนา

การจะทำให้เกิดผล ต้องมีวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็น วิชชา ตัวแรกในวิชชา8

คำว่า ปัสสะคือ การเห็น ต้องเห็น ความจริงตามความเป็นจริง

คำแปลคำว่า *ปัญญา* ว่าเห็นความจริงตามความเป็นจริง แปลได้ถูก

แต่คนเข้าใจทั้งภาษาและคำแปลนั้นไปเข้าใจผิด ความจริงตามความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่แค่ตรรกะ ตรรกะไม่ใช่ความจริงตามความเป็นจริง ตรรกะคือการขบคิด เหตุและผล แล้วไปเข้าใจผลลัพธ์ของการขบคิดว่าคือปัญญา

1+1ได้เท่าไหร่หนอ 1+1=2 นั้นไม่ใช่

*อาตมาตากระทบแก้วมังกร แก้วมังกรเป็นเช่นนี้เองก็คือ*ปัญญา* รู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็คือข้างนอก และการเห็น *เวทนา**ว่า คืออาการอารมณ์เช่นนี้ นั่นคือปัญญา

ปัญญาไม่ใช่การเกิดผุดขึ้นมาจากการนั่งสมาธิสงบนิ่ง แล้วจะพูดว่าปัญญาจะเกิดขึ้นมาเอง ไม่รู้ใครสอนมาอย่างผิดๆจากของพระพุทธเจ้า

 แล้วบอกว่าปัญญาคือต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาต้องเกิดหลังสมาธิ

แล้วสมาธิจะต้องหลับตา แล้วปัญญาจะเกิดเอง ไอ้ที่เกิดเองนั้นขอยืนยันว่าคือสัญญาทั้งสิ้นไม่ใช่ปัญญา

คนนั่งหลับตาแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ตัวใด นั่นคือสัญญาทั้งสิ้น การหลับตาไม่ได้เห็นผัสสะอะไร การเกิดเอง นั่นคือสัญญาของคุณ ความจำขึ้นมาให้คุณรู้เห็นทั้งนั้น เป็นสัญญาความจำ ถ้าคุณไม่มีสัญญานั้นไม่มีอะไรเกิดหรอก

ถ้าคุณไม่เคยบรรลุธรรมแล้วสั่งสมในสัญญาไว้ คุณมานั่งให้ตายทั้งชาติสัญญาที่จะเป็นตัวบรรลุเป็นปัญญาที่จะบรรลุธรรมได้นั้นไม่มีเกิด เพราะคุณไม่มีอยู่ในสัญญา แต่ถ้าคุณบรรลุแล้วนั่งหลับตาอย่างพระพุทธเจ้าไปนั่งหลับตาใต้ต้นโพธิ์ตอนระลึกถึงของเก่าสัญญาท่านที่มีปัญญาบรรลุแล้ว เป็นสัมมาสัมโพธิญาณท่านก็ระลึกได้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน #หลับตาสมาธิไม่มีทางเกิดปัญญา มีแต่สัญญา#

ที่พระพุทธเจ้าไปนั่งหลับตาปฏิบัติหรือทำทุกรกิริยา 6 ปีนั้นเป็นทางที่ผิดทั้งนั้น แต่พอท่านมาระลึกถึงของเก่า เพราะว่าท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณมาเก่าแล้วท่านก็เลยระลึกถึงได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาที่บรรลุแล้ว นั่งให้ตายกี่ล้านชาติก็ไม่บรรลุอาตมาพูดถึงเรื่องนั่งหลับตาสมาธิไม่มีทางบรรลุมานานกว่า 46 ปีแล้วเขาก็ไม่สนใจเลย นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายไม่สนใจไม่ฉุกคิด

หาว่าอาตมาพูดนอกรีตนอกทางอีก ทั้งที่อ้างอิงหลักฐานในพระไตรปิฎกมุมนั้นมุมนี้มาตลอด เนื้อแท้ในพระสูตรแรกเลยคือพรหมชาลสูตร ท่านก็บอกว่า นั่งหลับตานั้นจะได้เจโตสมาธิและจะได้ทิฏฐิมี62 เพราะไม่มีปัจจุบัน

และในการปฏิบัตินั้น ก็ไม่ได้ปฏิบัติอยู่กับผัสสะ มีแต่สอนว่ามันทุกข์ก็ให้รู้ แล้ว ว่าง วางเฉย รู้นิ่งเฉยๆ วางว่าง ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้วิเคราะห์ วิจัย ไม่ได้เห็นความจริง รู้ความจริง

ความจริงนั้น คือสิ่งที่รู้ด้วยกัน เห็นความจริงตามความเป็นจริง ตั้งแต่ภายนอกเช่น ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรสต่างๆ เห็นความจริงตามความเป็นจริง

   ไม่ได้ปฏิบัติ*ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง*

 ที่เกิดจากการ กระทบสัมผัสตั้งแต่ *ข้างนอกถึงข้างใน *

วิปัสสนาจริงแล้ว แปลว่า เห็น แปลว่า รู้ เป็นวิชชาข้อที่ 1

เมื่อรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็อ่านจากภายนอกถึงข้างใน

และต้องรู้สัมผัสในปัจจุบัน สัมผัสข้างนอกในปัจจุบัน

แล้วจึงเกิดเวทนา ก็แยกเวทนาในเวทนา

แยกให้เข้าไปถึงจิต ในองค์ประชุมของรูปนามเป็น  *กายในกาย *

กาย คือธรรมะสอง กายคือรูปนาม กายคือภายนอกกับภายใน กายคือสมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ ต้องมี 2 เสมอ หนึ่งเดียวเป็นกายไม่ได้ *

กายนอกกาย คืออ่านข้างนอกเป็นหลัก

แต่กายในกาย คืออ่านข้างในเป็นหลัก

*แต่ไม่ได้หมายความว่า การสัมผัสนอกนั้นไม่มีใจ  มี ยังมีใจอยู่ และเห็นความจริงตามความเป็นจริงอยู่

** เช่น เสียงก็กำลังได้ยิน  รูปก็กำลังกระทบอยู่ แล้วก็คุณอ่านอาการจึงจะเป็นการฝึกจิตที่เก่ง

อ่านจากข้างนอก แล้วก็มาอ่านข้างในโดยไม่ขาด แล้วก็พิจารณาข้างในได้

แยกวิเคราะห์วิจัยได้ เวทนาก็แยกออก กระทบข้างนอก แล้ววิเคราะห์วิจัยถึงภายใน เวทนาในเวทนา จิตในจิต จนสามารถจับตัวเหตุคืออกุศลจิตได้ แล้วทำการปหาน ปหาน 5 ให้เกิดบุญ 5 บุญก็คือปหาน นี้แหละ

เมื่อปหานได้ คุณก็เก่ง ด้วยความมีฤทธิ์ (ฤทธ์คืออิทธิ) คุณทำใจของคุณนี่แหละ เก่งทั้งใจ จึงเรียกว่ามโนมยิทธิ สำเร็จทางใจ  มยะ แปลว่าสำเร็จ มโนมยิทธิเป็นวิชชาข้อที่2 คือ เห็น เห็นความจริงตามความเป็นจริง เห็นกิเลสอยู่หลัดๆและกำจัดกิเลสได้อยู่หลัดๆ นั่นคือเก่ง เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นฤทธิ์ของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปเหาะเหินเดินน้ำดำดินเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์อิทธิปาฏิหาริย์นั้นไม่ใช่ มโนมยิทธิ แต่ของพุทธนั้นคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ แล้วทำได้หลากหลาย คืออิทธิวิธญาณ วิธแปลว่าหลากหลาย

ทำหนึ่งเดียวเป็นหลากหลายก็ได้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ ก็เจริญขึ้นเรื่อยๆเป็น1, 2,3,4,5,--เป็นญาณหลากหลายมากขึ้นๆ

*วิปัสสนาญาณ  มโนมยิทธิ. และอิทธวิธญาณ 3 ญาณนี่แหละ คือญาณปฏิบัติสำเร็จผล. เสร็จแล้วคุณก็จะเก่งขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เรียกว่าทิพโสตญาณ*

 

1.วิปัสสนาญาณ

2.มโนมยิทธิ

3.อิทธิวิธญาณคือ ญาณที่ทำได้สำเร็จผล แล้วก็เก่งขึ้นเป็น โสตทิพย์ ดูได้เก่งขึ้นบางเบาขึ้น ไม่ต้องหยาบใหญ่ก็รู้ได้รู้ได้ลึกซึ้งขึ้น

4. ทิพโสตญาณ (สามารถแยกแยะ การได้ยินสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง รู้ได้ขนาดบางเบาขึ้นไม่ต้องหยาบๆใหญ่ๆ เช่น กิเลสปะปนมากับคำร่ำลือ กับเสียงที่เกินกว่าคนธรรมดาเขาจะรู้นัยยะได้) มีปัญญาธัมมวิจัย ได้ยินเสียงก็ได้ยินเหมือนคนทั่วไป แต่แยกแยะกิเลสได้ แยกแยะเสียงที่เปรียงว่ามาแต่ไกลๆได้ โดยมีความรู้เป็น เสียงหนึ่งกับเสียงสอง

* เสียงหนึ่ง เป็น เสียงความจริงตามความเป็นจริง

* อีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงทิพย์เกินสามัญมนุษย์

เพราะฉะนั้นไอ้เสียงทิพย์ที่เกินสามัญมนุษย์นี่ ก็คือเสียงที่รู้ละเอียดยิ่งกว่ามนุษย์รู้

* รู้ว่าเป็นเสียงที่ประกอบไปด้วยกิเลสเป็นต้น เช่น อ้อ! นี่เป็นเสียงปนกิเลสและถ้ารู้เป็นแบบสามัญมนุษย์ นั่นแหละเรียกว่ารู้ตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อเราได้ยินเสียงนี้แล้ว ถ้าทุกคนประสาทหูไม่เสีย จะได้ยินเหมือนกัน แม้ว่าได้ยินมาจากทางไกล แล้วทุกคนได้ที่ยินก็จะ มีปัญญามีธรรมวิจัยแยกว่า เสียงนี้เสียงอะไร?ยิ่งเสียงที่คล้ายๆกันเช่นเสียงที่เกิดจากกลอง

ว่าอันนี่เสียงกลองตะโพน อันนี้กลองอีตุ้บ นี่กลองเปิงมาง นี่บัณเฑาะว์เป็นต้น คือ คุณรู้ได้เพราะมีธรรมวิจัยได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น ที่ยากขึ้นก็รู้ ที่บางเบาขึ้นก็แยกแยะได้ ผู้มีทิพโสตญาณจะมีภูมิธรรมสูงขึ้น จาก3ญาณแรก เก่งขึ้น เป็นภายในละเอียดละออขึ้น บางเบาขึ้น

5. เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ความแตกต่างในจิตขั้นอื่นๆ ของตนได้รอบถ้วน) คือแยกแยะอกุศลจิตได้ อันนี้เปรียบเป็นเหมือนมาตรวัด

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์

 

          1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

          7.      สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายเจโต

          8.      วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) สายปัญญา

          9.      มหัคคตจิต   (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  คือต้องทำให้ยิ่งขึ้น ดีขึ้นได้สำเร็จ ทำได้

10.    อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) ถ้าทำให้ดีขึ้นได้ไม่สำเร็จ

11.    สอุตตรจิต    (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) ทำดีแล้วแต่ดีกว่านี้มีอีกยังไม่จบ

12.    อนุตตรจิต    (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) คือสองขาใหญ่ คือสมาธิกับวิมุติ ตั้งมั่นกับหลุดพ้นชัดเจน มีปัญญารู้แจ้ง วิมุติอย่างรู้ๆ ทำสำเร็จแล้วเป็นสมาหิตังต่อ

13.    สมาหิตจิต    (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) ตั้งมั่นแน่นอนเที่ยงแท้ หลุดพ้นจริง ไม่มีเศษมาหลอกหล่อน มีวิมุติตลอด ไม่มีอสมาหิตัง

14.    อสมาหิตจิต  (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15.    วิมุตตจิต      (จิตหลุดพ้น)

16.    อวิมุตตจิต    (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

ถ้าคุณไม่รู้จริง ไม่มีสภาวะจริง อธิบายเจโตปริยญาณ 16 ไม่ได้

นอกจากคุณจะได้ฟังจากสัตบุรุษผู้รู้มาก่อน และคุณก็ไปทำความเข้าใจ

แต่ถ้าคุณไม่มีสภาวะจริง บรรลุจริง จะสอนคุณไม่ได้ อธิบายไม่ออก คิดเองไม่ได้ ( อตักกาวจรา )ที่จะขยายเจโตปริยญาณ 16 นี้ได้

 คนที่จะขยายได้ต้องมีสภาวะจริง ถ้าไม่ได้สภาวะจริงก็ต้องเรียนรู้จากสัตบุรุษ จากผู้รู้จริง จำได้แล้วเอามาขยายตามอาจารย์ ซึ่อย่างนี้ก็ทำได้ แค่อธิบายปริยัติ

*แต่ถ้าคุณปฏิบัติเองจริงบรรลุเองจริง รู้เอง ตอนนี้คุณก็เอาของคุณมาอธิบายของคุณเองได้ *

อาตมาก็อวดอุตตริมนุสสธรรม เพราะอาตมาเอาของตัวเองมาที่อธิบายได้ ไม่ได้เอามาจากคำบรรยายของใคร ของพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มีในตำราว่าอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบาย เพราะอาตมาพยายามอธิบายให้ภาษาง่ายขึ้น

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การย้อนระลึกถึงการเกิดกิเลสเก่าก่อน  มารู้อริยสัจจะจนหายโง่จากอวิชชา)

7. จุตูปปาตญาณ (รู้เห็นการเกิด-การดับของจิตที่ดับเชื้อกิเลส แล้วเกิดเป็นสัตว์เทวดา หรืออาริยะสัตว์)

8. อาสวักขยญาณ (ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน)

(พตฎ. เล่ม 9  ข้อ 127 - 138)

สามข้อท้ายเป็นเตวิชโช ซึ่งเป็นการตรวจสอบ เปรียบเเหมือนการลงบัญชีเมื่อไปทำงานค้าขายมาตรวจสอบดูบัญชี

-ว่า กิเลสตัวไหนเราดับได้ ก็จุติเกิด เป็นอุบัติเทพ ดับภพดับกิเลส ไม่มีสวรรค์หรือนรก เลื่อนจากเทวดาโลกีย์มาเป็นเทวดาโลกุตระ

-ทบทวนของเก่าเอาสัญญามาตรวจสอบว่า ทำได้หรือไม่ได้จะแก้ไขอย่างไร เป็นเตวิชโช ต้องใช้เสมอ

แม้พวกคุณฟังอาตมาอยู่ตอนนี้ก็ระลึกได้ ว่าใช่หรือไม่ใช่ ทันหรือไม่ทัน หลายคนมีปฏิภาณฟังไป เตวิชโชไป 

ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา ไม่สนใจภายนอก แต่แม้สนใจภายนอก แต่จิตเรามีมุทุภูตธาตุ สามารถระลึกย้อนได้ แววไวเร็วไว ไหวพริบเร็วจิตก็หัวอ่อนปรับได้ แก้ไขให้จิตดีขึ้นได้เร็วไวขึ้น

 มุทุ (จิตหัวอ่อน)ทั้งเชิงเจโตและปัญญา

ขณะฟังนี้ ถ้าจิตไม่มีมุทุภูตธาตุก็ไม่ค่อยฟัง แต่ถ้ามีก็ทำได้

เราเคยได้หรือไม่ได้ ผ่านหรือไม่ผ่าน เราก็รู้ตัวเองได้

นี่คือการทบทวนสิ่งที่เราได้ผ่านมาในอดีต

*เตวิชโชคือตรวจสอบอดีต*ทั้งนั้น

ท่านถึงแยก เตวิชโชไว้ บางอรรถกถาก็แยกแยะเป็น อภิญญา 5 แต่เขาอธิบายนอกรีตเป็นเดรัจฉานวิชชา เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์หรืออิทธิปาฏิหาริย์เสียเยอะ

 

จบ...

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:47:35 )

590904

รายละเอียด

590904_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ นิพพานคือจิตว่าง

พ่อครูว่า….นิพพานคือจิตใจของเรา ขณะนี้ที่จิตใจเรามีความรับรู้ แล้วเรามีอาการอะไรอยู่ในจิต มันเป็นพลังงานจนบทบาทเป็นลีลาในจิต มีอิทธิพลอยู่ในจิตเลย แล้วรู้ว่ามันไม่ดีมันทำความชั่วนั่นแหละเป็นตัวกิเลส เป็นตัวที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วเราก็ทำให้มันหายไปจากจิตเรา อาการเช่นนี้แหละที่เราจะทำให้มันหายไปจากจิต พูดชัดๆง่ายๆแค่นี้

เมื่อมันหายไปออกจากจิตกิเลสหรืออาการที่ว่า อาการที่เป็นอกุศลมันหายไปได้มันดับ สมมุติว่าเราปฏิบัติถูกต้อง มันก็จะไม่เกิดในจิตอีก ความไม่เกิดนี่คือจิตว่าง จิตเราก็มีตัวนี้ แล้วมันว่างจนกระทั่งมันไม่มีอีกเลยมันไม่มาอีกเลย เราเรียกว่าเที่ยง

คนพูดว่านิพพานคือจิตว่าง ไม่ผิด คนพูดว่านิพพานเที่ยง ไม่ผิด แต่ถ้าคุณไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ได้มาเรียนแบบนี้ คุณไม่รู้เองว่าจิตมันว่างจากกิเลสแล้ว คุณทำได้อย่างไร ในจิตใจ แล้วมันว่างอย่างไม่มีอีกเลย ไม่กลับมาเกิดในจิตใจเราอีกเลย มันตายลงอย่างพิสูจน์ได้ว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดกิเลสเราก็สัมผัสอยู่ แต่ก่อนนี้มันกระทบสัมผัสกับเราเราก็เกิดกิเลส อาการกิเลสมันเกิดในจิต ต่อมาๆมันก็น้อยลงๆ จนกระทั่งประสบสัมผัสแล้วกิเลสไม่เกิดอีกเลย สัมผัสอีกเมื่อไหร่จะมายั่วยวนหลอกล่อ จะมาทีเผลออะไรก็แล้วแต่ กิเลสมันก็ไม่เกิดอีกเลย นั่นคือการพิสูจน์ของเราเองว่ามัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

เส้นความหมายง่ายๆชัดๆแต่คุณต้องอ่านอาการออก อ่านออกเสียงศักยะที่เป็นองค์ประชุมของรูปนามของกิเลส แล้วมันทำให้หายไปได้อย่างสัมมาทิฏฐิแล้วทำอย่างสัมมาปฏิบัติ จึงเกิดผลเป็นสัมมาปฏิเวธ

แม้เหตุปัจจัยกระทบสัมผัสอยู่ตลอดเวลาเมื่อใดก็แล้วแต่ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ถ้าคนเรามีความตั้งใจจะมีตัวต้าน แต่ถ้ามีตัวตั้งใจที่เผลอมันก็ไม่เกิด คือทำจนกระทั่งทุกทีถ้าที่มันมากระทบสัมผัสก็ไม่เกิดกิเลส

ศาสนาพระพุทธเจ้าจิตว่างจิตใจมีนิพพานจริงๆได้แล้วตั้งแต่เริ่มปฏิบัติจนถึงบรรลุแล้วจะไม่พรากจากสัมผัส สัมผัสเป็นตัวยืนยันตั้งแต่เริ่มปฏิบัติจนมันดับตลอดการตายอย่างเที่ยง จิตว่างตลอดจากกิเลสไม่มีกิเลสตัวนี้เกิดอีกเลย เหตุปัจจัยที่เรากระทบสัมผัสอยู่จะมีลีลา ยั่วยวน กระแทกกระทั้นอย่างแรงอย่างมากอย่างหนักอะไรก็ตาม จิตใจเราก็ว่าง จิตใจเราก็เข้มแข็ง ไม่มีกิเลสอะไรเกิดอีกเลย ทำได้ไหมเอาของจริงพิสูจน์ให้ได้

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86213

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfQWhHMGlMY3pLS28

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/dyeoj6oir57/160904

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=lyX6xSMeKuY

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:48:02 )

590904

รายละเอียด

590904_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ นิพพานคือจิตว่าง

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2559 อีก 1 เดือนก็จะถึงเทศกาลงานกินเจ ที่บ้านราชฯ นี้เริ่มเทศกาลกินเจตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนนี้ มีวันล้างท้องก่อน ที่นี่วันนี้ มีศพมาตั้งอยู่คือศพของหลานของหลวงปู่ผิว ชื่อนายชาญวิวัฒน์ จะเผาวันพุธ ให้พ่อแม่ทำใจก่อน เพราะตายกะทันหัน ทุกวันนี้คนเกิดอุบัติเหตุตายกันเยอะ

ถ้าเป็นสายธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาสจะเรียนเรื่องจิตว่าง อาตมาก็เคยอ่านหนังสือของท่าน อ่านแล้วก็ทำจิตว่าง ท่านว่านุ่งกางเกงยีนส์ก็จิตว่างได้ ว่างนั้นแต่ก่อนคิดว่า คือการไม่ต้องคิดอะไร เฉยๆไม่ต้องมีอะไรมายุ่ง เข้าใจว่าอย่างนั้น ไม่ต้องมีอะไรมารบกวน ใครอย่ามายุ่งอะไรกับเรา แต่พอมาเรียนกับพ่อครูคนละเรื่องเลย พ่อครูบอกว่าคนที่จิตว่างมันจะไม่ว่าง แต่คนจิตไม่ว่างจะว่างๆ เป็นอย่างไง

โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะชอบความสบาย พระพุทธเจ้าจะเร่งให้เกิดความเพียร ถ้าคนเราติดความสบายจะไม่อยากลำบากเพิ่ม พ่อครู หรือครูบาอาจารย์จะต้องเขียนให้เราลำบากขึ้นเพื่อสร้างบุญบารมี ไม่อย่างนั้นคงจะไปติดที่ความสบาย เพราะอยากอยู่ข้างๆ เพราะจิตไม่ว่างเลย อยากอยู่ว่างๆ พ่อครูนั้นก็ทำงานแทบตลอด ไม่งั้นก็ดูงานรอบบ้านราชฯ วันนี้เราจะมาฟังเรื่องจิตว่างแบบต่างๆจากพ่อครู

พ่อครูว่า...อย่างที่ท่านฟ้าไท ได้เกริ่นไปแล้วว่าคนเราพูดที่มีจิตว่างจะไม่อยู่ว่าง เพราะ คำว่าจิตว่างนี้คือคนมีปัญญา เป็นคนที่จิตว่างแบบพุทธเป็นคนมีปัญญา ส่วนคนที่จิตไม่ว่างจะมีเฉกา จัดเต็มไปด้วยความคิดฉลาดแกมโกง เฉกา ท่านแปลในพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน ว่าความฉลาดแกมโกง คือความฉลาดที่มีกิเลส กิเลสเป็นตัวฉลาดชั่ว ฉลาดแกมโกง ฉลาดเห็นแก่ตัว ฉลาดเลวร้าย นี่คือความฉลาดของคนที่จิตไม่ว่าง คือไม่ว่างจากกิเลสก็จะมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน

คนที่จิตไม่ว่างจะเป็นคนขี้โกง วุ่นวายหาสร้างเรื่องราวไม่หยุดหย่อน ส่วนคนที่จิตว่าง ก็คือว่างจากกิเลส ว่างจากความเฉโก เป็นคนที่มีปัญญา จิตว่างนั้นมีปัญญา จิตไม่ว่างมีแต่เฉกา จิตว่างจึงทำงานอย่างมีความเพียร มีความรู้งานเรียบร้อยเป็นระบบ มีแต่ความดี มีความประเสริฐไม่สูญเสีย นี่คือผู้ที่จิตว่างจากกิเลส ก็มีปัญญาเข้าไปทดแทน ส่วนจิตไม่ว่างนั้นเต็มไปด้วยกิเลส จึงมีแต่กิเลสทดแทนทำให้วุ่นวายเลวร้าย เพราะจิตไม่ว่าง

สรุปแล้วคนที่มีจิตว่างเฉยเฉยๆ เด๋อๆ ไม่มีปัญญาไม่มีความรู้ แล้วเขาเข้าใจว่าจิตว่างนั้นจะต้องมีความเป็นเอก มีความเป็นหนึ่งเดียว สักแต่ว่ารู้ไม่มีการวินิจฉัยไม่รู้ดีรู้ชั่ว นั่นคือการคาดคะเน ตรรกะเอาตามความคิดของตัว ว่าความว่างน่าจะเป็นอย่างนี้ เป็นการด้นเดาผิดหมด เขาเข้าใจว่าจิตว่างคือว่างอย่างไม่คิดอะไร อาตมาจะอ่านบทความของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่ลงไว้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคมนี้

 

สื่อใจสมานสร้างสรรค์ โดยอริยาภรณ์ สิทธิธรรมพิชัย การวางขันธ์

 

การวางขันธ์'อัตตา' ตัวตน หรือ 'ตัวรู้' นี่แหละ ที่เป็นเหตุ เป็นต้นตอ

ถ้าวางตัวรู้ได้ ทุกอย่างจะจบ'เพียงแค่รู้ สักแต่ว่ารู้ ไม่ปรุงแต่งต่อ'

ทุกอย่างจะกลับสู่เดิมๆ ของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย

***************

(พ่อครูแทรกว่า...ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ทำให้จิตว่างจากกิเลส โดยให้รู้สาระสัจจะต่างๆแล้วรู้เหตุว่า มันมีสิ่งที่ทำให้เราไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จักไม่รู้จริงไม่รู้ถูกต้องยังไม่เป็นสัจจะทำให้ไขว้เขว ผิดเพี้ยนไป เรารู้เหตุตัวนี้ก็ดับตัวเหตุนี้ ดับอย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็รู้ดับได้ชั่วคราว หรือดับได้ถาวรดับได้หมดเลย ก็จะมีตัวด้วยเหตุผลรู้จักจากของจริงอย่างละเอียดเลย นี้คือของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ทำอย่างเด๋อๆ แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นเอง มันไม่ใช่เลย มันจะรู้ทุกละเอียดลออทุกขั้นตอนการกระทำ ทำได้ก็รู้ว่าได้ ทำไม่ได้ก็รู้ว่าทำไม่ได้ ก็แก้ไขให้ถูกต้อง ให้ลดละ ให้จางคลาย เหลือน้อยแล้ว หรือหมดแล้วก็จะรู้ มันยังเวียนวนอยู่ก็รู้ จนกระทั่งมันไม่เวียนมาเลยอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ))

 

อ่านบทความต่อ

 

สื่อใจสมานสร้างสรรค์ ผู้จัดการรายวัน360องศา จ29/8/59ครั้งที่ 420

วันนี้ มีประเด็นที่น่าพิจารณามาเสนอ คือ 'การเอาตัณหาไปหานิพพาน' หรือ

ปฏิบัติด้วยความอยากต่างๆ เช่น อยากสงบ อยากบรรลุ อยากพ้นทุกข์ ฯลฯ

ล้วนสนองความอยากล้วนๆ ไม่ใช่เพื่อละ เพื่อวาง

พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้รู้ จึงกล่าวเตือนว่า 'การจะเอาตัณหาไปหานิพพาน' นั้นยังไงก็ไม่พบเจอ !จนเมื่อจิตปล่อยวางทุกอย่าง จะกลายเป็น 'สูญญตา' นั่นเรียกว่า 'หลุดพ้นฉับพลัน'แหละตัวที่วางยากสุด คือ 'อัตตา' หรือ 'ตัวรู้' เพราะมันมี 'ตัวเรา' อยู่ตลอดเวลา...จึงเมื่อดับขันธ์ทั้งสี่แล้ว 'ขันธ์ที่5 คือ วิญญานขันธ์' ก็ให้ละวางด้วย

คุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรม จะไม่เพ่งโทษผู้อื่น แต่มักกลับมาดูใจตนเองแทน ผู้มี 'ธรรม' จะไม่ทำตนแปลกแยกจนดูขัดเขินด้วยทิฏฐิมานะ หรือ ด้วยการสร้างภาพ เพราะนั่น...มาจากใจที่ไม่เป็นอิสระ

'ใบบุญ' ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการศึกษา เรียนรู้สัจธรรม ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาว่า.."มนุษย์เรา เกิดมาเพื่อ2สิ่งคือ ชดใช้กรรมเก่ากับหลงสร้างกรรมใหม่"

เรามักยึดติดในอัตตา เพราะคิดว่า 'ยังต้องมี' มัน..อันเป็นมานะอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าคิดว่า 'ไม่มีมัน ก็..ไม่มี'คุรุผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตา มักเตือนลูกหลานในลานธรรมยามเช้าเสมอว่า.."เมื่อไม่มีตัวหลงยึดก็หมดตัวคอยยึดใดๆ"เพราะทุกอย่างมันเป็นไปเองของมันอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่เราหลงไปให้ความหมาย ให้ความสำคัญกับมันเอง ทุกอย่างล้วนอุปโลกป์ขึ้นใช้ชั่วคราวตามโลกสมมุติ ซึ่งจะเกิดขึ้นและดับไปเองโดยไม่ต้องไปพะวง หรือ ทำอะไรกับมัน

ความหลง 'ไม่รู้ในสัจธรรม' เป็นเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดอัตตา ไปยึดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ เป็น 'มานะ' ในการมีคติ หรือ อคติ'

การใช้ชีวิตบนทางสายกลางที่แท้จริง คือสามารถอยู่ได้ 'ท่ามกลาง' ในทุกสภาวะโดยไม่ต้องยอมรับ และ ไม่ปฏิเสธ ไม่ดิ้นหนี ไม่ดิ้นสู้

เนื้อหาของนิพพานหรือความหลุดพ้นไม่ได้เนื่องด้วยสภาวะ หรือสิ่งสมมุติใดๆ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว, บาปหรือบุญ,ถูกหรือผิด, กุศลหรืออกุศล, ถูกจริตหรือไม่,

ความว่าง หรือไม่ว่าง, ความเพียรมาก หรือเพียรน้อย

จะลัทธินิกาย หรือ สายไหนๆก็ตาม เราล้วน 'สมมุติ' ปรุงแต่งขึ้นมาเอง

จิตประภัสสรเดิมๆ 'ไม่มีอะไรอยู่แล้ว, ว่างอยู่แล้ว' เหมือนก้อนหินที่ไม่รู้สึก

หรือหวั่นไหวกับอะไรที่มากระทบ เพราะ 'ไม่มีตัวรู้' ต่างที่เรามี 'วิญญานขันธ์ หรือ ตัวรู้' และ ถูกสอนตามธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือสืบต่อกันมาตั้งแต่เกิด จึงสั่งสมความต้องตั้ง(ใจ) มาตลอด เช่น ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องสงสัยซะก่อน ไม่งั้นก็ไม่ยอม 'วาง' (ใจ) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นธรรมชาติของจิต ที่ต้องมีการเกิด มีการดับ ตลอด..

คุรุผู้เมตตา จึงแนะนำให้โฟกัสไปที่ 'อัตตา' ตัวตน หรือ 'ตัวรู้' นี่แหละ ที่เป็นเหตุ เป็นต้นตอ ถ้าวางตัวรู้ได้ ทุกอย่างจะจบ 'เพียงแค่รู้ สักแต่ว่ารู้ ไม่ปรุงแต่งต่อ' ทุกอย่างจะกลับสู่เดิมๆ ของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย

'ขันธ์ 5' ในวงจร 'ปฏิจจสมุปบาท'มี รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ

เมื่อ 'วิญญาณ' หรือ 'ตัวรู้' ดับขันธุ์ทั้ง4 ที่เหลือ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร จะดับตามโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะขันธ์เหล่านี้ จะทำงานร่วมกับวิญญาณขันธ์ หรือ ตัวรู้เสมอ แล้วธรรมทั้งหลายที่เรียนรู้ และ เข้าใจมาจะเกิดขึ้นเองตามอัตโนมัติความหลุดพ้นที่แท้จริงจะต้องทิ้งทั้งทางโลก และทางธรรม ถ้าวางทางโลก แต่ยังเอาทางธรรมอีก ก็คือยึดอีก นั่นคือ 'ตัณหา' ตัวเดียวกันอะไรที่ขึ้นชื่อว่า 'ยึด' นั่นคือ 'ไม่ละวาง' นั่นเอง

ส่วนความเพียรนั้น มีประโยชน์ในโลกสมมุติ แบบ 'โลกียะวิสัย' เพียง 'นำมาใช้ชั่วคราว แล้ววางไป' เช่นเดียวกับ 'สติ สมาธิ ปัญญา' หากนำมายึดถือไว้อยู่ตลอดเวลา ก็เป็นภาระ

ลองทำใจให้ว่างๆ ไม่ต้องปรุงแต่งแต่อย่างใดให้ 'เกิดและดับไปเอง ตามอัตโนมัติ' อย่าผูกมัด ยึดติด หรือ คาดหวังใดๆ เมื่อถึงเวลาต้องการใช้ ค่อยดำริขึ้นมาใช้ชั่วคราว จะได้ไม่ต้องมีภาระในการ 'คงการรู้' อยู่มากขึ้น

เพียงเท่านี้ ก็ได้ชื่อว่า'นิพพานฉับพลัน' แล้ว ไม่ต้องรอถึงชาติไหนๆ เพราะ 'สัจธรรมที่แท้จริง คือ การละวางจากทุกสิ่ง ไม่ยึดติด แม้แต่ธรรมะใดๆ'

ความอยากสงบ อยากบรรลุ อยากพ้นทุกข์ ล้วนคืออาการของ 'ตัณหา' การตามสนองความอยากล้วนๆ ไม่ได้ละ ไม่ได้วาง จะ 'ว่าง' ได้อย่างไร...

***

'พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต' ได้แบ่งปันทัศนะ ไว้ใน Face Book ว่า..จะภาวนาอย่างไรก็แล้วแต่ จะสงบ ละเอียด ลึกซึ้ง อย่างไร จะคิดแยกแยะ 'ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ'ได้มากเพียงไรหากยังไม่ 'รู้สึกตัว'ไม่สามารถตระหนักได้ถึงความจริงใน 'ปัจจุบัน' ของกายและใจ โดยพ้นจากความคิด ความปรุงแต่ง พ้นจากเจตนาจะรู้เมื่อนั้น..ก็ยังคงต้องว่ายวน อยู่ใน 'อ่าง แห่ง สังสารวัฏ' อยู่เช่นเดิม...

***(พ่อครูเสริมว่าคือลัทธินัตถิกทิฏฐิ)

ขอนำเสนอบางส่วนจาก 'จุลธรรมนำใจ 26 กัณฑ์ที่ 427''พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต' กล่าวว่า...ร่างกายของเราประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่ อันนี้หลายคนก็รู้อยู่แล้ว เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายของเราต้องดับลง ร่างกายหรือก้อนเนื้อก้อนนี้จะหาประโยชน์ได้ยากอย่างยิ่ง เราลองมาดูกระบวนการดับของธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย..

1. เริ่มจากธาตุลม คือ ธาตุลมจะดับก่อนอันดับแรก เมื่อธาตุลมดับ ร่างกายทุกส่วนก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะธาตุลมนี่เอง ที่เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวได้สะดวกลองสังเกตคนที่เป็นอัมพฤต-อัมพาต เราจะเห็นได้ว่า สาเหตส่วนใหญ่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเลือดลมในร่างกาย ไหลเวียนไม่สะดวกเพราะฉะนั้น เมื่อธาตุลมดับ ชีวิตก็จบไปด้วย พร้อม ๆ กัน ร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็แข็งทื่อ ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เกลื่อนอยู่ในป่า

2. เมื่อธาตุลมดับ ธาตุไฟก็ดับตามด้วย ธาตุไฟนี้ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ให้มีความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป ช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไปย่อยได้ง่ายเมื่อธาตุไฟนี้ดับเสียแล้ว กายที่เคยอบอุ่นกลับเย็นยะเยือก ผิวที่เคยมีสีแดงอมชมพูกลับกลายเป็นซีดจาง จนไม่น่าดูน่ามองเลย

3.เมื่อลมไฟดับไปแล้ว ธาตุน้ำในร่างกายก็จะเสีย ตั้งแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำดี หรือสารพัดน้ำในร่างกายก็จะค่อย ๆ มีกลิ่นเหม็น ก่อให้เกิดเป็นแก๊สขึ้น ภายในร่างกาย ส่งผลให้ตัวพองขึ้นอืด เพราะแก๊สจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนมีอาการตึงไปทั้งตัว เมื่อตึงก็ต้องมีทางระบาย ถ้าไม่ระบายก็จะระเบิดเหมือนลูกโป่งแต่โชคดีที่ร่างกายของมนุษย์ได้ถูกออกแบบมาอย่างดี มีทางระบายถึงเก้าทางด้วยกัน หรือ ที่เรียกว่าทวารทั้งเก้า มี ตา หู จมูก ปาก เป็นต้น น้ำเหลืองหรือน้ำเสียก็ไหลทะลักออกทางทวารทั้งเก้านี้ จนหมดตัว

4. สุดท้ายก็จะเหลือแต่ธาตุดิน ที่มีแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น และ กระดูก เท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป ธาตุดินเหล่านี้ ก็จะย่อยสลายกลายเป็นดินตามชื่อของธาตุนั่นเอง เราจะเห็นได้ว่าร่างกายของเรานี้ ถ้ามองกันให้ชัด ๆ แล้ว ไม่มีอะไรเลย ที่น่าลุ่มหลง ไม่มีอะไรเลยที่น่ายินดี ไม่มีอะไรเลยที่น่ายึดติด

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เรามาแต่กายละเอียดเท่านั้นเพราะฉะนั้น หากปล่อยวาง ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง ก็นิ่งอย่างเดียว 'การวางขันธ์ห้า' นี้ ถ้าวางได้ ก็นิ่งได้ ถ้านิ่งได้ ก็หยุดได้ ถ้าหยุดได้ ก็เข้าถึงธรรมได้ ก็แค่นี้เอง !

หมายเหตุ : เรื่องที่จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ สามารถมาบอกธรรม สอนธรรมแก่ศิษย์ผู้มีภูมิจิต ภูมิธรรม อันควรแก่ธรรม หลายๆ ท่าน ไม่เชื่อ เพราะเข้าใจว่า สภาวะแห่งนิพพาน คือ สภาวะที่ดับสูญ ไร้รูป ไร้นาม จึงไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ แต่ท่านอาจจะลืมไปว่า จิตของพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ ท่านมีฤทธิ์มีเดชต่างๆ นาๆ ประการ

 การมาปรากฏแห่งสภาวะรูปของ "นิมิต" เช่น ในเรื่องนิมิตของหลวงปู่มั่น ซึ่งท่านเห็นพระพุทธเจ้ามาโปรด เทศนากับท่าน เล่าโดย หลวงตามหาบัว และ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นต้น เป็นเรื่องอจินไตยที่เกินวิสัยปุถุชนจะหยั่งรู้ได้ จึงไม่ควรใช้ตรรกะทางโลกีย์ คิดหาเหตุหาผลตาม

*หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้กล่าวไว้ว่า "พระพุทธเจ้าท่านมาในรูป "พุทธนิมิต" ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย และ เป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าพระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตา จะโปรดบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่สำคัญที่สุด คือ "คุณธรรมภายในจิต หรือ ภูมิจิตภูมิธรรมของนักปฏิบัติรายนั้นๆ คู่ควรแก่ธรรมที่ท่านจะมาโปรดหรือไม่ ?"

มีบทความจากเพจ'ตะวันธรรมนำชีวิต'ที่รวบรวม 'ธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์พระอริยะ' ไว้ ดังนี้...

*สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี"นิพพาน คือ ว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญ นั่นคือ วิญญาณในขันธ์ 5 เท่านั้น "

*ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ธมฺมวิตกฺโก"ตายแล้วจิตยังติดต่อกันได้

*หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา"นิพพานเป็นแดนแห่งความมั่น เที่ยง นิพพานแล้วเป็นสุข นิพพานมีสาระเป็นแก่นสาร นิพพานมีความเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานไม่ใช่อัตตา พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง"

*หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึง กิเลสดับ และ ขันธ์ 5 ดับ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตดับ

*หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พระนิพพานเป็นของเที่ยง ไม่แปรผัน ยักย้าย สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้น เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา"

*พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ"สรณะทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดยึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่า หรือ เรือนว่างก็ตาม สรณะทั้งสามก็ปรากฏแก่เราอยู่ทุกเมื่อ"

*หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม "พระนิพพาน มีอยู่ไม่เสื่อมสูญ พระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานก็มีอยู่ในพระนิพพานนั้นแล ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ จึงจะเห็นจะรู้ที่อยู่พระพุทธเจ้า ที่อยู่ของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย"

*หลวงปู่ดูลย์ อตุโล "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง

*หลวงปู่บุดดา ถาวโร "นิพพานไม่สูญ เป็นแต่อาสวะกิเลสสูญ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม วิบาก มันสูญ แต่ สังคตะธรรม อสังคะธรรม วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย

*หลวงปู่ชอบ ฐานสโม"นิพพานไม่ได้สูญ ไม่ได้อยู่ตามที่โลกคาดคะเน หรือเดากัน ทำจริงจะได้เห็นของจริง รู้จริง และจะเห็นนิพพานเอง เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านบริสุทธิ์เอง และ หายสงสัยโดยประการทั้งปวง

*ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม"โลกนิพพาน ไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย กายเป็นของสูญ จิตเป็นของไม่สูญ ไม่ตาย จิตที่ดับจากกาย ย่อมหายไป เหมือนกับไฟที่ดับจากเทียน"

*หลวงพ่อเกษม เขมโก

"พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ท่านอยู่นอกโลก

*หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน"ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ แดนพระนิพพานมีจริง หลวงปู่มั่นเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ เสด็จมาเยี่ยมท่าน"

 

พ่อครูว่า….นิพพานคือจิตใจของเรา ขณะนี้ที่จิตใจเรามีความรับรู้ แล้วเรามีอาการอะไรอยู่ในจิต มันเป็นพลังงานจนบทบาทเป็นลีลาในจิต มีอิทธิพลอยู่ในจิตเลย แล้วรู้ว่ามันไม่ดี มันทำความชั่วนั่นแหละเป็นตัวกิเลส เป็นตัวที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วเราก็ทำให้มันหายไปจากจิตเรา อาการเช่นนี้แหละที่เราจะทำให้มันหายไปจากจิต พูดชัดๆง่ายๆแค่นี้

เมื่อมันหายไปออกจากจิตกิเลสหรืออาการที่ว่า อาการที่เป็นอกุศลมันหายไปได้มันดับ สมมุติว่าเราปฏิบัติถูกต้อง มันก็จะไม่เกิดในจิตอีก ความไม่เกิดนี่คือจิตว่าง จิตเราก็มีตัวนี้ แล้วมันว่างจนกระทั่งมันไม่มีอีกเลย มันไม่มาอีกเลย เราเรียกว่าเที่ยง

คนพูดว่านิพพานคือจิตว่าง ไม่ผิด คนพูดว่านิพพานเที่ยง ไม่ผิด แต่ถ้าคุณไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ได้มาเรียนแบบนี้ คุณไม่รู้เองว่าจิตมันว่างจากกิเลสแล้ว คุณทำได้อย่างไร ในจิตใจ แล้วมันว่างอย่างไม่มีอีกเลย ไม่กลับมาเกิดในจิตใจเราอีกเลย มันตายลงอย่างพิสูจน์ได้ว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดกิเลสเราก็สัมผัสอยู่ แต่ก่อนนี้มันกระทบสัมผัสกับเราๆก็เกิดกิเลส อาการกิเลสมันเกิดในจิต ต่อมาๆมันก็น้อยลงๆ จนกระทั่งประสบสัมผัสแล้วกิเลสไม่เกิดอีกเลย สัมผัสอีกเมื่อไหร่ จะมายั่วยวนหลอกล่อ จะมาทีเผลออะไรก็แล้วแต่ กิเลสมันก็ไม่เกิดอีกเลย นั่นคือการพิสูจน์ของเราเองว่ามัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

เช่นความหมายง่ายๆชัดๆแต่คุณต้องอ่านอาการออก อย่าง”สักกายะ”ที่เป็นองค์ประชุมของรูปนามของกิเลส แล้วทำให้มันหายไปได้อย่างสัมมาทิฏฐิแล้วทำอย่างสัมมาปฏิบัติ จึงเกิดผลเป็นสัมมาปฏิเวธ

แม้เหตุปัจจัยกระทบสัมผัสอยู่ตลอดเวลาเมื่อใดก็แล้วแต่ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ถ้าคนเรามีความตั้งใจจะมีตัวต้าน แต่ถ้ามีตัวตั้งใจที่เผลอมันก็ไม่เกิด คือทำจนกระทั่งทุกทีถ้าที่มันมากระทบสัมผัสก็ไม่เกิดกิเลส

ศาสนาพระพุทธเจ้าจิตว่างจิตใจมีนิพพานจริงๆได้แล้วตั้งแต่เริ่มปฏิบัติจนถึงบรรลุแล้วจะไม่พรากจากสัมผัส สัมผัสเป็นตัวยืนยันตั้งแต่เริ่มปฏิบัติจนมันดับตลอดการตายอย่างเที่ยง จิตว่างตลอดจากกิเลสไม่มีกิเลสตัวนี้เกิดอีกเลย เหตุปัจจัยที่เรากระทบสัมผัสอยู่จะมีลีลา ยั่วยวน กระแทกกระทั้นอย่างแรงอย่างมากอย่างหนักอะไรก็ตาม จิตใจเราก็ว่าง จิตใจเราก็เข้มแข็ง ไม่มีกิเลสอะไรเกิดอีกเลย ทำได้ไหมเอาของจริงพิสูจน์ให้ได้

ถ้ามาดูในพระไตรปิฎกสูตร ในล.16 นี้จะยืนยันได้

 2.  ฉวิโสธนสูตร  (112)

        [166]  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

          สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐี

(พ่อครูบอกว่าคำว่าสมัยหนึ่งนี้มีคนเอาไปใช้เป็นชื่อ แต่ไม่ค่อยมาฟังธรรม...ก็คิดถึงจึงพูดถึง คนเราควรเอาเวลามาเอาธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งวิเศษที่สุดสำหรับมนุษย์ คนไปหลงโลกธรรมงมงายกันทุกวันนี้ เมืองไทยมี 67 ล้านคนก็หลงอยู่สัก76 ล้านคน คือมันหลงซับซ้อนทบต้นน่ะ หลงเต็มบ้องแล้วแถมดอกเบี้ยอีกไง)

เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ  ทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

          [167]  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า  ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย  พวกเธออย่าเพ่อยินดี  อย่าเพ่อคัดค้านคำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  ครั้นไม่ยินดีไม่คัดค้านแล้ว  พึงถามปัญหาเธอว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุโวหารอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  4  ประการ  4  ประการเป็นไฉน  คือ  คำกล่าวว่า  เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว(ทิฏฐะ)  คำกล่าวว่าได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว(สุตะ)  คำกล่าวว่า  ทราบในอารมณ์(มุตะ)  ที่ตนทราบแล้ว  คำกล่าวว่า  รู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว(วิญญาตะ)  นี้แล  โวหาร  4  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจาก  อาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้  ฯ

          [168]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้น  สัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน  พ้นวิเศษแล้ว  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้าไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ข้าพเจ้า

ไม่ยินดี  ไม่ยินร้าย  ...  พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัด  มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่  อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในโวหาร  4  นี้

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุ

ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  อุปาทานขันธ์อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ  นี้มี  5  ประการแล

5  ประการเป็นไฉน  คือ  รูปูปาทานขันธ์  เวทนูปาทานขันธ์  สัญญูปาทานขันธ์  สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอุปาทานขันธ์  5  ประการ  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้  ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้  ฯ

          [169]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า  ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในรูปได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งเวทนาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในเวทนา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในเวทนาได้  ข้าพเจ้ารู้จักแจ้งสัญญาแล้วแลว่า  ...  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืน  ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสัญญา  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสัญญาได้  ข้าพเจ้ารู้แจ้งสังขารแล้วแลว่า  ...  จิต  ของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในสังขาร  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในสังขารได้

ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า  ไม่มีกำลัง  ปราศจากความน่ารัก  มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจจึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์  5  นี้

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนาว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ธาตุอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มี  6  ประการ  6  ประการเป็นไฉนคือปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  อากาสธาตุ  วิญญาณธาตุ  ดูกรท่านผู้มีอายุ

 นี้แลธาตุ  6  ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่า  จึงหลุดพ้น  จากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้  ฯ

          [170]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยปฐวีธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้นสำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยปฐวีธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยปฐวีธาตุได้  ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยเตโชธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยเตโชธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา  ...  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวาโยธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวาโยธาตุได้ข้าพเจ้าครองอากาสธาตุโดยความเป็นอนัตตา...เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยอากาสธาตุและอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยอากาสธาตุได้  ข้าพเจ้าครองวิญญาณธาตุโดยความเป็นอนัตตา  มิใช่ครองอัตตาอาศัยวิญญาณธาตุเลย  จึงทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวิญญาณธาตุ  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวิญญาณธาตุได้  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แลจึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ  6  นี้

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ก็อายตนะภายใน  อายตนะภายนอก  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบ  นี้มีอย่างละ  6  แล  อย่างละ  6  เป็นไฉนคือจักษุและรูป  โสตและเสียง  ฆานะและกลิ่น  ชิวหาและรส  กายและโผฏฐัพพะมโนและธรรมารมณ์  ดูกรท่านผู้มีอายุ  นี้แลอายตนะภายในอายตนะภายนอกอย่างละ  6  อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสไว้ชอบแล้ว  ก็จิตของท่านผู้มีอายุ  ผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจากอาสวะ  ไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ  6 เหล่านี้  ฯ

          [171]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้วพ้นวิเศษแล้ว  เพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควร  จะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในจักษุ  ในรูป  ในจักษุวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในโสต  ในเสียง  ในโสตวิญญาณ  และใน  ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดีตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในฆานะ  ในกลิ่น  ในฆานวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานวิญญาณ

ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในชิวหา  ในรส  ในชิวหาวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาวิญญาณ  ข้าพเจ้าทราบชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความพอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหาอุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในกาย  ในโผฏฐัพพะ  ในกายวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยกายวิญญาณ

ข้าพเจ้าทราบ  ชัดว่า  จิตของเราหลุดพ้นแล้ว  เพราะสิ้น  สำรอก  ดับ  สละ  และสลัดคืนซึ่งความ  พอใจ  ความกำหนัด  ความยินดี  ตัณหา  อุปาทานที่ยึดมั่น  และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่น  ในมโน  ในธรรมารมณ์  ในมโนวิญญาณ  และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ  ดูกรท่านผู้มีอายุ  จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างนี้แล  จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ  6  เหล่านี้

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น  พวกเธอควรชื่นชม  อนุโมทนา  ว่า  สาธุ  ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า  ก็เมื่อท่านผู้มีอายุ  รู้อยู่  เห็นอยู่อย่างไร  จึงถอนอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา  ว่าของเรา  ในกายอันมีวิญญาณนี้และในนิมิตทั้งหมด  ในภายนอกได้ด้วยดี  ฯ

          [172]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว  อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ  พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า 

ดูกรท่านผู้มีอายุ  เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นผู้ครองเรือน  ยังเป็นผู้ไม่รู้  พระตถาคตบ้าง  สาวกของพระตถาคตบ้าง  แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าฟังธรรมนั้นแล้ว  จึงได้ความเชื่อในพระตถาคต  ข้าพเจ้าประกอบด้วยการได้ความเชื่อโดยเฉพาะนั้น  จึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า 

ฆราวาสคับแคบ  เป็นทางมาแห่งธุลี  บรรพชาเป็นช่องว่าง  เรายังอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์  บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ที่เขาขัดแล้ว  นี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย  อย่ากระนั้นเลย  เราพึงปลงผมและหนวด  นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด  สมัยต่อมา  ข้าพเจ้าจึงละโภคสมบัติน้อยบ้าง  มากบ้าง  ละวงศ์ญาติเล็กบ้าง  ใหญ่บ้างปลงผมและหนวด  นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์  แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

(พ่อครูว่าการบวชนั้นมาบวชเพื่อนิพพาน ไม่ได้มาบวชเล่นบวชเฉิดฉิ่งอย่างทุกวันนี้ ทุกวันนี้คนมาบวชเขาบอกว่าถ้ามาทำอย่างโพธิรักษ์นี้ ถือว่าเป็นการทำนอกรีตเคร่งเกินไป น่าสังเวชจริงๆศาสนาพุทธสมัยนี้ ตอนอาตมาออกบวชนั้นก็เซ็นชื่อให้ทรัพย์สมบัติมอบให้น้องๆหมด ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็สบาย อาตมาตอนแรกออกบวชไม่พูดถึงญาติพี่น้องเลย แต่ต่อมาน้องๆมาปฏิบัติด้วยเองตามบารมีเขา ในพวกเราก็ขอพูดผ่าน ผู้ปฏิบัติธรรมที่นี่ แล้วก็มีลูกมีเต้าแล้วก็เอาเรื่องของโลกที่เขาติดหนี้มารบกวนพวกเราแม้แต่รบกวนสมณบอกว่าจะขอยืมเงินไปช่วยลูก

พวกเรามาปฏิบัติธรรมไม่มีเงินทองมากหรอก เพราะเรามาลดละพยายามจะออกมาจน แล้วพวกเราเองกลับมากวนพวกเราเองในนี้ วิบากของคุณจะมีมากเพราะมาทำซับซ้อน มาเอาเงินของพวกเราไปใช้หนี้ อย่าพยายามทำ ก็ขอเตือนเอาไว้ อย่างไรก็ออกไปสู้เอาเงินข้างนอกจะไปทำมาหารายได้มันก็เป็นวิบากของใครของมัน นี่ก็ปรามไว้ไม่เช่นนั้นจะบาปเพิ่มเป็นหนี้เพิ่ม เป็นหนี้ทางธรรมเป็นกรรมวิบากมันไม่ดี)

ข้าพเจ้าเมื่อเป็นผู้บวชแล้วอย่างนี้  ถึงพร้อมด้วยสิกขาอาชีพของภิกษุทั้งหลายเพราะละปาณาติบาต  จึงเป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางอาชญา  วางศาสตราแล้วมีความละอาย  ถึงความเอ็นดู  ได้เป็นผู้อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูต 

พ่อครูว่า เมื่อออกบวชแล้วก็อยู่กับศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

ส.ฟ้าไทว่า ถ้าพวกเราสามารถบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว ก็คงจะไม่ต้องมาฟังพ่อครูเทศนาให้ฟังทุกๆวันอย่างนี้หรอก กว่าจะฟังรู้เรื่อง พ่อครูก็ต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เราก็ตรวจสอบตัวเองตามที่พระพุทธเจ้าตรัส เราไม่ปฏิเสธที่จะไปรู้สิ่งที่คนอื่นเขาปฏิบัติ แต่ก็ตรวจสอบดูว่าเขาได้ลดละกิเลสตามนั้น ตามขั้นตอนที่ได้เรียนรู้มาหรือไม่ ในฉวิโสธนสูตร ที่พ่อครูได้เอามากล่าวไว้

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:48:29 )

590905

รายละเอียด

590905_พุทธศาสนาตามภูมิ นิกายกับนานาสังวาสมีกายต่างกันไฉน

ในเมืองไทยขณะนี้ อาตมาก็ยังยืนยันว่า อาตมาทำนานาสังวาส ใครมากล่าวว่าอาตมาทำนิกายคุณรับไปเอง คุณเอาอนันตริยกรรมของคุณไปเองอาตมาไม่มีจิตคิดแม้แต่เล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มทำงานศาสนา อาตมาก็จะรวมธรรมยุติกนิกายและมหานิกาย แต่พวกเขาก็ไม่เอาด้วย แถมร่วมหัวกันมาจัดการอาตมาด้วย ดีแต่ว่าอาตมาหนังเหนียวไม่เป็นปัญหา   ไม่เป็นอะไร เรียกว่ายิงไม่เข้าแทงไม่ออก มันเหมือนเข็นเขาขึ้นครก หรือเท่ากับเป่าควายให้ปี่ฟัง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป่าดีๆนะเป่าไม่ดีควายขวิดเอาไม่รู้ด้วย มันสลับไปสลับกันมา คนไม่รู้จะงงเอาหัวเป็นเท้าเอาเท้าเป็นหัว

 

ตอนนี้ในสังคมไทย เรื่องการศาสนาหรือเรื่องเมืองการสังคมเป็นเรื่องเกี่ยวกัน เป็นเรื่องอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นเขาต้องทำเรื่องใดๆก็แล้วแต่จะดีทั้งคู่ แต่อาตมาก็มีความเห็นว่า ถ้ายิ่งทางศาสนาทำไปแล้วมันเป็นเรื่องลึก เป็นเรื่องที่จะมีอิทธิพลมีอำนาจ มีพลัง ช่วยได้มากอย่างยิ่ง เพราะเป็นความสะอาด เป็นเรื่องของวิญญาณ ไม่ใช่แค่เรื่องของรูป แต่เป็นเรื่องของนาม เป็นเรื่องลึกซึ้ง มีพลังยิ่งใหญ่กว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นตามไปเป็นทวีคูณ

ที่อาตมาพูดนี้พูดด้วยขออภัยพูดด้วยความจริงใจไม่ได้น้อมโน้ม   โน้มน้าวด้วย psychology ก็แล้วแต่ อาตมาขอยืนยันว่าไม่มี ในจิตใจอาตมาไม่มี อาตมารับรองจิตใจของอาตมาเอง เพราะอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เท่าที่อาตมามีบารมี มีภูมิธรรมก็แสดงมาตลอด เปิดเผยมาตลอด จริงใจมาตลอด

เอาง่ายๆว่า อาตมาพยายามยืนหยัดยืนยันในสัจธรรม ไม่ได้ดื้อดึงอะไรเลย ความนี้จะต้องพิจารณาให้ดี ที่ว่าอาตมาเป็นคนดื้อ แต่คุณเทียบได้เลยว่าอาตมาทำ กับที่คนอื่นทำนั้น มันชัดเจนว่าเขาได้ด้านดึงดัน อาตมาไม่ได้ดื้อด้านแต่มั่นคงยืนหยัดต่อสัจธรรม ตั้งแต่ว่าจะมาให้อาตมาสึก อาตมาก็ยืนยันว่าไม่สึก อาตมายืนหยัดยืนยันตายเป็นตาย ตายก็ตายไม่มีปัญหา ขอยืนหยัดยืนยันอันนี้ตลอดมา ซึ่งไม่ได้ดื้อด้านดึงดันเหมือนอย่างที่เขาเป็นกันอยู่ตอนนี้ นี่เป็นสัจจะที่ผู้มีปฏิภาณปัญญาก็จะรู้ได้ไม่ยากหลอกเข้าใจได้ง่าย

เหตุการณ์ตอนนี้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ดีมากในสังคมไทย ที่เกิดการชำระสะสางสิ่งที่ได้ชำระสะสาง ในเมืองไทยต่อไปก็จะเข้าใจคำว่านิกายนี่ดีขึ้นมาก

ขณะนี้อาตมาดูแล้ว ธรรมยุติกนิกายหรือมหานิกายก็รวมตัวกัน แต่ควรจะทำให้สะอาด เพราะในทั้งสองก็มีการทำความสะอาดได้ อย่าปล่อยให้มันเลอะเทอะเสียหายต่อไปก็แล้วกัน จัดการให้สะอาดจัดการให้บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

_สม.รินฟ้า...ขอเรียนถามพ่อท่านค่ะ ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมระดับไหนจึงจะไม่ติดตามดูละครทีวี หรือภาพยนตร์ชีรีย์ต่างๆ ระดับโสดาบัน ยังดูอยู่ใช่ไหมคะ?

ตอบ...ใช่ ในระดับที่จะไม่ดูหนังดูพวกนี้ ถ้าจะต้องดูก็ดูเอาสาระ อย่างเช่นอาตมา เมื่อก่อนต้องรับเซ็นเซอร์หนังพวกนี้ แต่ตอนนี้มีผู้รับช่วงไปแล้ว

ผู้ที่จะไม่ดูพวกนี้จริงๆต้องเป็นอนาคามีขึ้นไป ต้องพ้นกามาวจร คือมีปฏิฆสัมผัสโส มีภาวะ action reaction คนเป็นอนาคามีเป็นต้นไปแล้ว รูป รสกลิ่น เสียง สัมผัสในโลก กามราคะต่างๆ ก็ไม่ติดแล้ว แม้แต่เป็นคนจริงก็ไม่มีปัญหาแล้ว ดูหนังก็ไม่มีปัญหา

 

อนาคามีจะเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง อนาคามีต่ำๆ อาจจะมีพริ้วพราย เป็นรูปราคะ อรูปราคะในจิต แต่ข้างนอกจะไม่มีแล้ว แต่ถ้าโสดาบัน สกิทาคามี ก็ยังดูอยู่ เป็นสกิทาคามีสูงขึ้นก็ไม่คุ้มเสียเวลาที่จะไปดู ดูแล้วก็ไม่มีรสชาติที่จะต้องไปเสพติด

พูดถึงรสชาติก็ขอแวะในธรรมะ 2 กายคือธรรมะ 2 รูปกับนาม แล้วก็เป็นสภาพ ธรรมคือตัวเราที่จะรับรู้เสมอแล้วก็อ่านวินิจฉัยกรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา แล้วก็ต้องเรียนรู้เวทนา 108 โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 ที่เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวารมาสัมผัสแต่ต้องก็จะเกิดปรุงแต่งเป็นสังขารและเป็นเวทนาเป็นรสชาติของสังขาร รสชาติทุกข์หรือสุข อร่อย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ผลักออก หรือดูดเข้า หรือชอบก็ไม่ชอบไม่ชอบก็ไม่ใช่เป็นครั้งคราว  เคหสิตอุเบกขาได้ แต่ถ้าปฏิบัติเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงที่ตนเองได้ผล ว่ามันเป็นอย่างนี้เองจึงต้องกระทบสัมผัสภายนอก กระทบสัมผัสอย่างไรก็เฉยกลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าคนนี้แสดงบทอย่างนี้ แสดงบทรักบทชัง อันนี้เป็นสีแดงสีเขียว สีน้ำเงิน แต่ก่อนเคยชอบแดง เคยชอบเขียว เดี๋ยวนี้ก็เฉย เฉยๆ มีรสชาติอย่างนี้เปรี้ยว หวาน เค็ม แต่ก่อนนี้ก็ชอบ แต่ตอนนี้ก็เฉย รู้ความจริง เหลืองก็เหลือง เปรี้ยวก็เปรี้ยว หวานก็หวาน เค็มก็เค็ม แต่ถ้ามันจัดจ้าน ก็ทนไม่ไหว อย่างเช่น ทุกวันนี้อาตมาก็กินพริกไม่ได้ ทั้งที่อาตมาเป็นคนอีสานที่แต่ก่อนกินพริกขี้หนูสวน เม็ด 1 ต่อข้าวคำหนึ่ง เคี้ยวสดๆเลย พอกัดนี้ดังกร็อบกลิ่นฉุยออกไปเลย แล้วเผ็ดจ๊ากเลย บางครั้งตอนถ่ายก็แสบด้วย แต่ก่อนต้องอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย แม้แต่น้ำแข็งหรือน้ำเย็นก็ไม่ได้ เย็นนิดหน่อยพอได้ แต่ถ้าเย็นออกมาจากช่องฟรีซไม่ได้เลย กินร้อนนี้กินได้มากกว่ากินเย็น แต่ก่อนนี้ไม่ได้นะ ไม่เย็นไม่กินนะ น้ำต้องมีน้ำแข็งเสมอหรือไม่ก็ออกจากฟรีซมา ตั้งแต่เป็นฆราวาส

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86224

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfRmFJSThINnFiQzg

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/3qdmxstl2s7j/160905

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/ieE3QKXtpho


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:48:56 )

590905

รายละเอียด

590905_พุทธศาสนาตามภูมิ นิกายกับนานาสังวาส มีกาย ต่างกันไฉน

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2559 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีวอก ก็มาฟังธรรมกันต่อ ตอนนี้มีคนสนใจเพิ่มขึ้น มีมุมดีๆ เพราะความไม่ดีก็เริ่มคลายไป อาตมาก็มาเปิดเผยไป ก็เตะตาคน ก็คงถึงยุคสมัยถึงเวลาแล้วหนอ

อาตมาค้างของคุณ master taizen ถามเรื่องนิกาย

นิกายนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแล้ว ของพระพุทธเจ้าต้องเป็นธรรมกายหรือพรหมกาย ที่เป็นธรรมะ 2 ซึ่งแยกกันไม่ได้

ทุกวันนี้คำว่ากาย คนไทยนึกว่าเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีจิตวิญญาณเกี่ยวข้อง

นี่เป็นเรื่องที่ผิดอย่างฉิบหายเด็ดขาด ผิดอย่างสนิทไร้ค่าไร้ผลเลย ที่ไปเข้าใจว่า *กายคือร่างภายนอกเท่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ชัดๆ ติดตามในหนังสือเราคิดอะไรดู

ประเด็นคำว่านิกาย คุณ master taizen บอกว่า สืบเนื่องจากคำถามเรื่องนิกาย..

สรุปคำตอบของพ่อครูเรื่องนิกาย..คือวิถีธรรมอโศก เป็นนานาสังวาสกับหมู่สงฆ์ทุกนิกายในโลก ..เพราะตามคำอธิบายขยายความของพ่อครูแล้ว ทุกนิกายในโลกล้วนเข้าข่ายทำสังฆเภท ซึ่งเป็นอนันตริยกรรม  ผมสรุปถูกไหมครับ.. ถ้าสรุปถูกตามนี้ .. 

พ่อครูว่า...อาตมากำลังมากอบกู้ศาสนา ซึ่งเขาได้เข้าใจผิด ทำอนันตริยกรรมมานานแล้ว อาตมาเอาพระไตรปิฏกในสังฆเภทกัณฑ์นี้ในล.7 มาอธิบาย

ถ้าศาสนาพุทธขณะนี้ที่อาตมากำลังเอาสิ่งจริงมายืนยัน

แล้วอาตมานี่แหละ เกิดจากการอุปสมบทจากนิกายที่อนันตริยกรรมมาก่อนแล้วด้วย จะให้ทำอย่างไร

แม้อาตมาจะมีปรมัตถสัจจะ ที่เป็นสยังอภิญญามาแต่ปางก่อน ล้มล้างไม่ได้ แต่ในรูปของสมมุติสัจจะ อาตมาก็เป็นชาวพุทธที่เกิดจากสงฆ์หมู่ใหญ่ของอนันตริยกรรมนี้แหละจะไปไหนเสีย เพื่อจะได้รูปนี้

แต่ขนาดนั้นพวกท่านก็มาปู้ยี่ปู้ยำอาตมาทำไม เป็นเรื่องอจินไตยเยอะมาก ทำไมอาตมาจะต้องมาเป็นในเมืองไทย ที่ในเมืองไทยมีทั้งธรรมยุตินิกายและมหานิกาย อาตมาก็เป็นพระทั้ง 2 นิกายโดยไม่รู้เรื่อง อาตมาก็เป็นไปตามท่าน ก็คุณเล่นผิดไปผิดมา เตะไปเตะมา อาตมาเลยต้องเป็นหมด แต่ให้กระดอนไปเป็นมหานิกาย แล้วก็ต้องมาประสานเป็นธรรมยุต แล้วก็ไล่ออกมาจากคณะทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ซึ่งก็มาร่วมกันทำอีก

ความจริงสังฆกรรมที่ทำนี้ ที่จะขจัดหรืออัปเปหิอาตมาออกจากคณะสงฆ์ มารวมกันทำสังฆกรรมซึ่งผิดคณะปูรกะ ที่ห้ามเอาพระคนละนิกายมาทำสังฆกรรมกัน

สรุปแล้ว ท่านทำผิดพลาดมากมาย จนกระทั่งอาตมาต้องพยายามประนีประนอม ต้องเก็บกวาดชำระสะสาง จนอาตมาอายุปูนนี้ 82 ,83 แล้ว จนตั้งไว้ว่าจะอยู่ให้ถึงอายุ 151 ปี แล้วถ้าอาตมาอายุสัก 120 ปี แล้วมีกระฉับกระเฉงได้อย่างนี้นะ ไอ้หวังไม่ตายแน่

ก็มาเข้าเรื่องของคุณ master taizen ต่อ

….นั่นก็ย่อมแสดงว่าการบวชในหมู่สงฆ์คณะธรรมยุติกนิกายตั้งแต่ปี 2531 ของกระผม  ก็เข้าข่ายมอบตนในทางที่ผิด เข้าหมู่กลุ่มที่ทำสังฆเภท เช่นนั้นหรือ?(พ่อครูว่าใช่ แต่มีนัยยะที่อธิบายต่อ)

ทั้งๆที่ผมก็กางพระธรรมวินัย จากพระไตรปิฏกสายเถรวาทไทยเป็นแม่แบบ บวชมา29พรรษา ก็ไม่มีเงินเก็บสะสมเป็นของส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว  ฉันผลาหารเจมื้อเดียวในบาตร ปาราชิก 4 ไม่ขาด สังฆาทิเสส 13 ไม่หมอง อาบัติตามวินัย(กฏหมายลูก) ก็สำรวมระวังได้  กระทั่งจุลศีล,มัชฌิมศีล,มหาศีลก็ตรวจสอบมั่นคงอยู่ในระดับ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดินอยู่..จะต้องมีส่วนร่วมรับผลวิบากในสังฆเภท ที่ตนไม่ได้ก่อหรือไม่..อย่างไร? น้อมนมัสการถามมาด้วยความเคารพครับผม.

ตอบ...ขอยืนยันว่าคุณหลุดรอดคุณไม่ได้เป็นตัวการ ไม่ได้มีบาปอะไรหรอก อาตมาจะเอา สังฆเภทขันธกะมายืนยัน

        สังฆเภทขันธกะ(ล.7 )

        ผู้ทำลายสงฆ์ไม่ต้องเกิดในอบาย

           [412] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์  ไม่ต้องเกิดในอบายไม่ตกนรก อยู่ชั่วกัป พอช่วยเหลือได้ เป็นไฉน

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมแสดงอธรรมว่า  เป็นธรรมมีความเห็นในอธรรมนั้นว่าเป็นธรรม มีความเห็นในความแตกกันว่า   เป็นธรรม ไม่อำพรางความเห็นไม่อำพรางความถูกใจ ไม่อำพรางความชอบใจ ไม่อำพรางความจริง ย่อมประกาศให้จับสลากว่านี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์   ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้

           ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล ไม่ต้องเกิดในอบาย ไม่ตกนรก  อยู่ชั่วกัปพอช่วยเหลือได้

           อนึ่ง อุบาลี ภิกษุย่อมแสดงธรรมว่าเป็นอธรรม ... ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นธรรม มีความเห็นใน  ความแตกกันว่าเป็นธรรม ไม่อำพรางความเห็น ไม่อำพรางความถูกใจ ไม่อำพราง  ความชอบใจ ไม่อำพรางความจริง ย่อมประกาศให้จับสลากว่า นี้ธรรม นี้วินัย  นี้สัตถุศาสน์ ท่านทั้งหลาย จงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้ ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล ไม่ต้องเกิดในอบาย ไม่ตกนรก  อยู่ชั่วกัปพอช่วยเหลือได้ ฯ

ตติยภาณวาร จบสงฆ์เภทขันธกะ ที่ 7 จบ

พ่อครูว่า...ผู้ที่ยังเข้าใจไม่ได้ขยายไม่ออกหรอก เอาคำว่าสลากก่อน

จงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้ คำว่าสลากนี่ คือเลือกเอา 1 ดีที่สุด คนเลือกก็ต้องเอาดีที่สุดในวาระสุดท้าย ของการตัดสินใจปฏิบัติธรรมต่อไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สุดทางแล้วไม่มีแล้ว เช่นในยุคนี้ ศาสนาพุทธยังมีสัมมาปฏิบัติ ยังมีสิ่งที่เป็นสัจธรรมยังมีเนื้อแท้อยู่

พูดก็พูดเถอะ อาตมาเอาเนื้อแท้มาหยั่งลง หรือแม้แต่ก่อนอาตมายังไม่มาสิ่งนี้ก็มีอยู่ ทุกคนมีความจริงใจที่จะเอาสาระสัจจะจากศาสนาพุทธ เอาชีวิตมามอบให้เลยนะ

เขาทำกันอย่างซื่อสัตย์จริงใจเปิดเผย พออาตมาเข้ามาร่วมก็เอามาเปิดเผย ขัดแย้งกับที่ท่านทำ อาตมาก็ว่าให้มาศึกษาใหม่เอาที่ถูกสิ

ข้อเสนอของท่านอันหนึ่งของอาตมาอย่างหนึ่ง ลงท้ายคุณก็ต้องจับสลาก

คุณจะเอาอย่างอาตมาหรืออย่างที่ท่านทำ ต้องจับสลากแล้ว เอา 1 มันเป็นที่สุดแห่งที่สุดแล้ว ก็ต้องเลือกเอาดีที่สุดถูกต้องที่สุดใช่ไหม บริสุทธิ์ที่สุด ที่เป็น phenomenol ที่เป็น “ปาตุสัจจะ” (เป็นสิ่งที่ปรากฎจริง) ก็ต้องเอาอันใดอันหนึ่ง

ที่พูดนี้ไม่ได้พูดหว่านล้อม โฆษณา ว่าคุณจะต้องมาเข้าอโศก ต้องมาอโศกนะ อาตมาไม่ได้มีจิตตัวนี้ ไม่มีสาเฐยจิต หว่านล้อมและเล็มเลียบเคียง อาตมาไม่มีจิตพวกนี้ อาตมาพูดความจริงตรงที่สุด มันเป็นสัจจะ ปรากฏจริงในสังคมพุทธในเมืองไทยขณะนี้ ใครจะทำอย่างไร

พระพุทธเจ้าก็สอนนานาสังวาสเป็นสุดท้ายว่า ให้ไปฟังธรรม 2 ข้าง ฟังด้วยปัญญาให้ดี แล้วเราเป็นผู้ตัดสินว่า เห็นอันใดเป็นธรรมวาที คุณก็เลือกเอา ด้วยปัญญาของคน

นี่คืออิสระเสรีสุดยอดของพระพุทธเจ้าให้เกียรติทุกคน ตัดสินใจเองผิดก็ของคุณ ถูกก็ของคุณ คุณฉลาดหรือโง่ก็ของคุณ ตนเองตัดสินใจเอง 100%

ให้ไปฟังธรรมมะสองข้าง อันใดที่เป็นธรรมวาที คือเป็นธรรมะไม่ใช่อธรรม

คุณก็ตัดสินเอาเอง เลือกเอาเลยอันใดถูกต้อง ตอนนี้มันอยู่ในวาระที่เรียกว่า เกณฑ์บังคับ Fight บังคับ อยู่ในกรอบที่คุณต้องทำ

ใช้ command ต้องใช้เป็นคำสั่งหน่อยๆว่า ต้องทำ have to หรือ must คุณต้องทำ อย่างนี้เป็นต้น

คำว่าจับสลาก เข้าใจขึ้นแล้วใช่ไหม จึงต้องทำแล้วเป็นขั้นสุดท้าย Fight บังคับ

สรุปแล้วองค์ประกอบของปรมัตถสัจจะและสมมติฐานจากมันได้ทั้งคู่ ตกลงคุณจะเลิก ลบไปใหม่ทั้งหมด ไม่มีแล้วศาสนาพุทธลบทิ้ง ใครจะไปลบทิ้งได้ เพราะมันยังมีเนื้อแท้ที่เป็นอารยธรรมเป็นโลกุตระธรรมยังมีอยู่ อาตมายืนยันขอรับรอง พวกเราหลายคนก็รับรองด้วย และพวกเราก็ติดตามพิสูจน์ว่าโลกุตรธรรมเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม เป็นไปตามหลักฐานในพระไตรปิฎกไหม ก็ตรวจสอบ ใครจะมีภูมิปัญญาก็ช่วยตรวจสอบ เอาจริงๆนี้ขึ้นมาให้แก่ประเทศชาติให้แก่มนุษยชาติ

เมืองไทยได้สัจจะจริงอันนี้ จะช่วยคนทั้งโลก คนทั้งโลกมีแต่เทวนิยม เป็นโลกียธรรม ไม่มีอเทวนิยมไม่มีโลกุตระสัจจะนี้

สรุปที่คุณ master taizen เขียนมา คุณไม่ต้องไม่สบายใจ คุณสบายใจได้

คุณไม่ได้มีบาปเกี่ยวข้องร่วมแม้น้อยนิดเลย อนุโมทนากับคุณด้วยที่คุณได้พยายามพากเพียรอุตสาหะวิริยะ แต่คุณไม่ได้รังเกียจอาตมาเลยดีมาก

ในเมืองไทยขณะนี้ อาตมาก็ยังยืนยันว่า อาตมาทำนานาสังวาส

ใครมากล่าวว่าอาตมาทำนิกาย คุณก็รับไปเอง คุณเอาอนันตริยกรรมของคุณไปเอง อาตมาไม่มีจิตคิดแม้แต่เล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มทำงานศาสนา อาตมาก็จะรวมธรรมยุติกนิกายและมหานิกาย แต่พวกเขาก็ไม่เอาด้วย แถมร่วมหัวกันมาจัดการอาตมาด้วย ดีแต่ว่าอาตมาหนังเหนียวไม่เป็นปัญหา   ไม่เป็นอะไร เรียกว่ายิงไม่เข้าแทงไม่ออก มันเหมือนเข็นเขาขึ้นครก หรือเท่ากับเป่าควายให้ปี่ฟัง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป่าดีๆนะ เป่าไม่ดีควายขวิดเอาไม่รู้ด้วย มันสลับไปสลับกันมา คนไม่รู้จะงงเอาหัวเป็นเท้าเอาเท้าเป็นหัว

อาตมาก็ขอตอบอันนี้ให้เข้าใจกันทั่วว่า อาตมามาทำงานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องจัดการให้สะอาดบริสุทธิ์ดีงามที่สุดที่ได้เป็นมา

ผู้ใดอยากจะเข้าใจมากขึ้นก็ไปหาหนังสือเล่มนี้อ่าน คือหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส อาตมาอายุ 80 กว่าแล้ว ถึงพยายามเอาเรื่องนี้มาเปิดเผยเรื่องนี้ มันไม่มีอาการที่จะเก้อเขินอะไร ไม่มีguilty นิดหน่อยก็ไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์ใจเต็มที่ ไม่มีจิตสะดุดอะไร เป็นความจริงใจที่สะอาด แล้วก็รู้สึกลึกๆว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก มีเหตุปัจจัยขึ้นมาครบถ้วนดี ซึ่งอาตมาก็ยังมั่นใจอยู่ว่า ผู้ใหญ่ในทางศาสนานี้จะฟังเรื่องเหล่านี้กันอยู่พอสมควร

*ตอนนี้ในสังคมไทย เรื่องการศาสนา หรือ เรื่องการเมือง การสังคม เป็นเรื่องเกี่ยวกัน เป็นเรื่องอยู่ด้วยกัน

เพราะฉะนั้นเขาต้องทำเรื่องใดๆก็แล้วแต่ จะดีทั้งคู่

แต่อาตมาก็มีความเห็นว่า ถ้ายิ่งทางศาสนาทำไปแล้ว มันเป็นเรื่องลึก เป็นเรื่องที่จะมีอิทธิพล มีอำนาจ มีพลัง ช่วยได้มากอย่างยิ่ง

เพราะเป็นความสะอาด เป็นเรื่องของวิญญาณ ไม่ใช่แค่เรื่องของรูป แต่เป็นเรื่องของนาม เป็นเรื่องลึกซึ้ง มีพลังยิ่งใหญ่กว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นตามไปเป็นทวีคูณ

ที่อาตมาพูดนี้พูดด้วย ขออภัยพูดด้วยความจริงใจไม่ได้น้อมโน้ม   โน้มน้าวด้วย psychology ก็แล้วแต่ อาตมาขอยืนยันว่าไม่มี ในจิตใจอาตมาไม่มี อาตมารับรองจิตใจของอาตมาเอง เพราะอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เท่าที่อาตมามีบารมี มีภูมิธรรมก็แสดงมาตลอด เปิดเผยมาตลอด จริงใจมาตลอด

เอาง่ายๆว่า อาตมาพยายามยืนหยัดยืนยันในสัจธรรม ไม่ได้ดื้อดึงอะไรเลย ความนี้จะต้องพิจารณาให้ดี ที่ว่าอาตมาเป็นคนดื้อ แต่คุณเทียบได้เลยว่าอาตมาทำ กับที่คนอื่นทำนั้น มันชัดเจนว่า เขาได้ด้านดึงดัน อาตมาไม่ได้ดื้อด้านแต่มั่นคงยืนหยัดต่อสัจธรรม ตั้งแต่ว่าจะมาให้อาตมาสึก อาตมาก็ยืนยันว่าไม่สึก อาตมายืนหยัดยืนยันตายเป็นตาย ตายก็ตายไม่มีปัญหา ขอยืนหยัดยืนยันอันนี้ตลอดมา ซึ่งไม่ได้ดื้อด้านดึงดัน เหมือนอย่างที่เขาเป็นกันอยู่ตอนนี้ นี่เป็นสัจจะที่ผู้มีปฏิภาณปัญญาก็จะรู้ได้ไม่ยากหลอกเข้าใจได้ง่าย

เหตุการณ์ตอนน้ี มันเป็นเหตุการณ์ที่ดีมากในสังคมไทย ที่เกิดการชำระสะสางสิ่งที่ได้ชำระสะสาง ในเมืองไทยต่อไป ก็จะเข้าใจคำว่านิกายนี่ดีขึ้นมาก

ขณะนี้อาตมาดูแล้ว ธรรมยุตินิกายหรือมหานิกายก็รวมตัวกัน แต่ควรจะทำให้สะอาด เพราะในทั้งสองก็มีการทำความสะอาดได้ อย่าปล่อยให้มันเลอะเทอะเสียหายต่อไปก็แล้วกัน จัดการให้สะอาด จัดการให้บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด ต้องบอกกันให้สำคัญ

 

ทีนี้เรามาเข้าสู่คำอธิบาย เอา sms ก่อน

SMS 2 SEP 59

_0844497xxx ไม่ว่าต่อเรื่องราวใด อย่าได้มัวแต่ตำหนิผู้อื่น ต้องรู้ย้อนวิจารณ์ภายในตน เช่นนี้ จึงเป็นการลดความเคืองแค้นที่ผู้อื่นมีต่อเรา "เวลาทำงานทุ่มเทกายใจให้ยืนอยู่แถวหน้า เวลาเสพสุขให้ยืนอยู่แถวหลัง" คำพูดที่เป็นหลักปฏิบัติได้ตลอดชีวิต คือ "ให้อภัยและโอบอุ้ม เห็นใจผู้อื่น"

_0893867xxx อยากสำเร็จต้องหมั่นชื่นชม!ไม่อยากอิ๊บอ๋ายก็อย่าดีแต่จับผิดจ้องตำหนิเที่ยวดูหมิ่นดูแคลน!ความลับของปราชญ์จักรวาล!ธ.ดอกหญ้า

_0893867xxx ผู้น้อยอยู่กับโลกธรรมมาครึ่งชาติก็มีแต่พ่อครูที่ไม่เคยรังเกียจผู้ที่มีกรรม!ไม่ซ้ำเติมผู้ที่หลงผิด!ช่วยชี้ทางถูกให้ แก่ผู้ที่มืดบอดตื่นรู้ทันโลกธรรมมาตลอดดังคำenglishกล่าว!

_0893867xxx ภาวนาปธานในสัมมัปปธาน 4 คือเพียรทำให้บุญใหม่เกิดผลขึ้นจากพระตปฎ.21/13 ถ้าบุญนั้นชำระกิเลสตรงตัวปุญญาภิฯจนถึงอปุญญาภิสังขารถูกไหม?

ตอบ...ในพระบาลีไม่มีอย่างที่คุณ 3867 ว่า ซึ่งที่จริงไม่มีคำว่าบุญ มีแต่ทำกุศลใหม่ให้เกิดขึ้น มีแต่คำว่า กุสลานัง และคำว่าปุญญาภิสังขารคือ ทำบุญได้ผล จนทำได้ครบหมดก็ไม่ต้องทำบุญอีก จะอภิสังขารอีกก็ไม่ต้องใช้บุญอีกเพราะบาปหมดแล้ว บุญมีหน้าที่ชำระบาปอกุศลเท่านั้น มีหน้าที่เดียว กุศลมีสมบัติเกิด แต่บุญนี่ทำให้เกิดวิบัติ ทำให้สลายหายไปจบ หมดหน้าที่ก็ปุญญปาปปริกขีโณ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วจึงไม่ทำบาปทั้งปวง และท่านก็ไม่ต้องใช้บุญจึงไม่ต้องมีบุญหรือทำบุญเลย ทำไปทีไรก็มีแต่กุศลจึงเป็น  สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่ทำบาป ทำเมื่อไหร่ก็มีแต่กุสลสูปสัมปทา ทำแต่กุศลซึ่งเป็นสมบัติเป็นบารมีที่ท่านจะได้รับ อย่างเช่นอาตมาก็มีกุศลไว้อาศัย ทุกวันนี้อาตมาไม่มีบุญไม่มีบาปไม่ต้องทำ เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องสัจจะ

สังคมไทยฉิบหายวายป่วงเพราะเอาบุญไปล่อ *

บุญที่แท้จริงคือธรรมาวุธขั้นสุดยอดประเสริฐยิ่งใหญ่ คือกำจัดกิเลสได้

บุญ คือ ปหาน 5 *

1.      วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

ทำเสร็จ บุญก็หายไปเหมือนอายตนะ อายตนะจะเกิดขึ้นตอนกระทบสัมผัสเท่านั้น เมื่อหมดการกระทบสัมผัสอายตนะก็หายไปจะไม่ตั้งอยู่ในที่ใด จะมีอยู่ก็ตอนทำงานตามเหตุปัจจัย

อาตมาได้มาเปิดเผยคำที่สำคัญของศาสนาพุทธ คือคำว่า บุญ กับคำว่า กาย ถ้าไม่รู้ทำบุญเป็นบาปหมด

ทำผิดใครทำก็เป็นกรรมของคนนั้น อันนี้น่าสงสารมาก เพราะแม้ทำโดยไม่รู้ก็มีวิบาก ไม่ได้ทำด้วยเจตนา แต่วิบากนั้นมีแน่

 

SMS 4 September 59

_0849680xxx ดำรงตนอยู่ในสัจจะพูดจริงทำจริงไม่หลอกลวงใคร คือการรู้จักแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง คือความอดทนต่อสิ่งต่างๆได้ดีเช่นการทำงานหนัก ความอดทนต่อสิ่งที่ไม่ดีที่มายั่วเย้าให้ลุ่มหลง คือความไม่เห็นแก่ตัวรู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นและทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง

ตอบ….ทำกรรมแล้วอย่าผูกพัน ทำความสัมพันธ์กันแล้วก็เกื้อกูลกัน ในโลกอยู่ได้ด้วยความสัมพันธ์ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้อย่าสร้างความผูกพัน หากมีความผูกพัน เมื่อพรากจากกันก็จะเศร้าโศก เพราะทุกอย่างต้องพรากจากกัน ไม่มีอะไรที่จะไม่พรากจากกัน เราต้องเรียนรู้ อย่าไปสร้างความผูกพันใส่จิต

อย่าไปสร้างความผูกพัน ผู้ที่ไม่สร้างความผูกพันเลย จะมีสิ่งที่มารวมเป็นหมู่เอง เรียกโดยศัพท์ว่าบริวาร อย่างพระพุทธเจ้าย่อมมีบริวาร มีสาวกเป็นอสีติสาวกมาช่วยกัน มีมวลมหาศาลมาช่วยกัน

อย่างอาตมานี้มีมวลมาช่วยไม่มาก เพราะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ได้ขนาดนี้แหละ อาตมาเอง อาตมาเปิดเผยว่า อาตมาคือ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

อาตมาเป็นสมณพราหมณ์คนนั้น ผู้ใดไม่เห็นอาตมา ก็คือผู้ที่ นัตถิโลเกฯ นั่นคือคุณไม่เห็น คุณไม่รู้อาตมาในโลกนี้ คุณก็ไม่เห็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่ 

อาตมาว่า อาตมาเป็นผู้นี้เป็นคนคนนี้ พูดนี้ยืนยันสัจธรรมให้ฟัง ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธยังอยู่ เนื้อแท้ที่เป็นโลกุตรธรรมก็ยังมี อาตมาก็เอามาเปิดเผย พวกเราก็มีเกิดได้เป็นได้จริง แล้วค่อยเป็นไป นี่เริ่มชัดเจน เริ่มเปิดเผย ยืนยันสิ่งนี้กัน ก็ติดตาม

_ 0893867xxx ขออนุโมทนาศิลปินสไมล์บัพฟาโล่กับการให้ทานเป็นที่สุดของชีวิต!สณ.สม.ญต ธ.ผู้ให้ธรรมทานโดยไม่หวังไม่ผูกพันไม่สั่งสมไม่คิดเสวยผลทาน!แต่ปรุงแต่งจิตเพื่อการสิ้นภพจบชาติสาธุ!

_0805925xxx พ่อขา ปลายฝนขอถามในจักรวาลนี้มีแต่โลกภูมินี้ที่จะเป็นที่เดียวที่จะเป็นที่ตรัสรู้และสร้างบารมีแมนบ่?

_0849108xxx เพราะโลกภูมินี้มีธาตุ4ดินน้ำลมไฟเป็นสังขารปรุงแต่งแมนบ่

_0805925xxx นู๋ชอบฟังธรรมดูภาพอสุภะหน่ายกามคุณ แต่ก็ยังติดกามกินละโคตรรรรรยากกกก!/0893867xxx ปราชญ์ผู้รู้ตามครูบาอาจารย์ลืมบอกของพระพุทธทาสฤาเปล่า?ว่าพระนิพพานอยู่เหนือความต้องการสิ่งใดๆแม้แต่นิพพานเอง!

ตอบ...โดยภาษาเหตุผลนั้นตรงกัน แต่ท่านพุทธทาสนั้นไม่ได้หยั่งเข้าถึงสภาวะ มีปัญญาแต่ยังไม่เข้าถึงภาวะเจโต พูดนี้คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็บังคับไม่ได้

แต่ก็ขออภัยผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสท่านพุทธทาส ก็เกรงใจอยู่ ว่าพูดไปเป็นเชิงตำหนิ แต่ไม่ได้ตำหนิหรอก แต่กำลังพูดสัจจะว่า ท่านมีภูมิอย่างนี้ อาตมาพูดผิดหรือถูกก็รับผิดชอบตัวเอง มั่นใจว่าไม่ได้พูดความผิด ทำแล้วมันเป็นจริง อาตมาพูดเพื่อประโยชน์ผู้ที่ใฝ่ดี

ท่านพุทธทาสอยู่ในสายปัญญาแต่เจโตยังไม่ลึก ยืนยันว่าท่านพุทธทาสเจโตยังไม่เข้าถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ท่านเองก็พูดของท่านเอง ว่าพวกที่เรียนอภิธรรมจิตเจตสิกนั้น พวกนี้เม็ดมะขาม ท่านว่า

ผู้ที่รู้ จิต เจตสิกในพระอภิธรรมนั้น ใช้ได้เกือบหมด ตามภูมิรู้ของอาตมานะ แต่ท่านพุทธทาสว่าพวกเม็ดมะขาม แม้พระไตรปิฎกของเถรวาท ท่านบอกว่าฉีกทิ้งได้ 60% อาตมาก็ยังเคราะห์ดีที่ท่านไม่ฉีกทิ้ง เหลือให้อาตมาเอามาทำงานได้ ท่านดูถูกพระไตรปิฎก 60% เลย ซึ่งแสดงว่าท่านเข้าใจได้แค่ 40% อาตมายังนับถือว่า 99%

ที่ผิดคือ มีคนแปลเพี้ยน แต่เนื้อแท้นั้นเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ 99% ศาสนาพุทธผ่านมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว

ท่านพุทธทาส ถ้าจะนับก็เป็น ธัมมานุสารี แต่ไม่ถึง ทิฏฐิปัตตะ ยิ่งปัญญาวิมุติก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ท่านก็กำลังได้ส่วนที่ดำเนินไปสู่สัมมาทิฏฐิ

 

 

_0893867xxx พระนิพพานเป็นสภาวจิตที่ขาวรอบว่างโล่งโปร่งใสเหลือธาตุ!ปัญญาล้วน!ไม่มีตัวตนไม่ยึดติดใดๆ แม้นยึดในนิพพานก็ไม่! นิพพานของพุ ทธทาสตรงกับนิพพานของพ่อครูไหมหนอ?

ตอบ...ยังไม่ตรงกันทีเดียว ท่านเป็นธัมมานุสารี ยังไม่เข้าถึงทิฏฐิปัตตะ พูดความจริงก็ต้องขอคารวะ ขออภัยท่าน อาตมาก็เคยไปคารวะท่าน อาตมาท่านมากขอบคุณที่ท่านมาเปิดอาริยะ โลกุตระ ก็เป็นบุญคุณมาก

_0849680xxx สร้างกุศลจิต ละอกุศล ลดละกรรมปาก มิสร้างกรรมผูกพัน ลดละกรรมบาป หยุดนินทาว่าร้าย ชะล้างความเข้าใจผิด ชะล้างจิตที่ผูกแค้นเคือง สายตามองให้ไกล มีสายตาให้กว้างใหญ่ดังพุทธะพระโพธิสัตว์ การจะบำเพ็ญสำเร็จมรรคผลนั้น คุณธรรมความดีงาม ต้องนำพาเป็นพื้นฐาน

พ่อครูว่า….อาสวะนั้นเป็นปัญญาวิมุติ นับได้ว่าเป็นอรหันต์ แต่ดีกว่านั้น มีอุภโตภาควิมุติ สิ้นอนุสัย เป็นอรหันต์สมบูรณ์ แต่ปัญญาวิมุตินั้นดับสิ้นอาสวะ แต่ยังเหลืออนุสัย

 

 _ 0849108xxx พระสมัยนี้บวชไปนรกกันเยอะในนรกพระตกนรกมากกว่าโยม

ตอบ...พระตกนรกจำนวนน้อยกว่าโยม แต่ตกนรกไม่ลึกเท่าพระ      แต่พระตกนรกลึกกว่าโยม

 

_0805925xxx เปิดใจกว้างก็รู้แอนตี้ ก็รู้รู้อัตตาตน ดูตนเองนิ่งๆก็เห็นอัตตากู?

_0893867xxx พ่อครูอ่านพระตปฎ.เพื่อจะบอกว่านิพพานในตถาคตคือจิตที่หลุดพ้นอาสวะแล้วด้วยการสิ้นสำรอกดับสละคืนอุปาทานขันธ์อนุสัยความปักใจมั่นในวิญญาณทุกธาตุฯลฯถูกไหมหนอ

_0845818xxx ผู้เข้ามาบวชในพุทธศาสนา แต่นำปัจจัยทั้งหลายข้าวของเงินทอง ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวตนเองตลอดมา บาปหนามั๊ย ขอพ่อครูโปรดเมตตาอธิบาย สาธุ

ตอบ...หนาพอสมควรเชียวแหละ มาบวชแล้วเอาเงินทองมาเลี้ยงครอบครัวนี้ อธิบายไม่ไหว เพราะคนทำมีเหตุปัจจัยน้อยมากหยาบหรือละเอียดต่างกันอีก จะไปสรุปผลไม่ได้ อยู่ที่กรรมที่เหตุปัจจัย ตอบไว้ว่าคนมาบวชแล้วแล้วยังไปสะสมเงินทอง “โภคขันธาปหายนะ” ไม่มีสมบัติส่วนตัว แต่ถ้าสะสมสมบัติส่วนตัวก็บาปแล้ว นี่เอาเงินไปเลี้ยงลูกเต้าครอบครัวไม่บาปหนาได้อย่างไร

คนมาบวชแล้ว แล้วก็ยังสะสมเงินทองก็บาปแล้ว หวงแหนเงินทองไม่บริสุทธิ์ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ปลงอาบัติไม่ตก เพราะไม่สละทรัพย์ออก ต้องไม่สะสม และถ้าใจยังยินดีว่าเงินนั้นของกูก็บาปแล้ว เป็นพระนี้ทำใจอย่างนี้บาป แต่ฆราวาส ไม่ต้องร้อนใจไม่บาป ส่วนฆราวาสอย่าร้อนใจ คนละฐานะ

 

_ในโลกใบนี้มีพระพุทธเจ้าเกิดได้ที่ละองค์เดียวไม่มีเกิดซ้อนกัน แล้วถ้าในมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ในเอกภพนอกโลกดาวดวงอื่นๆเป็นไปได้ไหมครับ ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ ณ.ดาวดวงต่างๆเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวซ้อนกันกับดาวอีกดวงครับ/The Sun

ตอบ…ไม่รู้ อาตมาไม่มีภูมิรู้จริง ขืนตอบไปก็บาป เดาก็เอาได้ แต่ไม่เสียเวลาเดา ด้วยเหตุผลตรรกะไป ไม่เอา ถ้ามันผิดแล้วใครรับบาปไป อาตมาไม่เอา หาเหาใส่หัว ไม่รู้จริงบาปใส่ตัว กรรมเป็นอันทำ อาตมาไม่เอา ทุกวันนี้วิบากก็มีไอ มีเจ็บเหมือนเข็มแทงเจ็บ แต่ละวัน

_เคยฟังพระที่ไหนๆเขาเทศน์ มีแต่ว่าอยากรวยให้ทำทานเยอะๆให้ทานมากรวยมากค่ะทั้งขาตินี้และชาติหน้าคะ ขอบคุณอีกครั้งคะที่ให้ธรรมหลวงพ่อคะส่งมาให้ฟังอีกนะคะจะได้ไม่หลงทางอีกคะ/อรนันท์

ตอบ...ก็ในประเทศไทยตอนนี้ มีคนสอนให้มาจนอยู่สองคนก็คือ ในหลวงกับอาตมา อันนี้เป็นเรื่องจริงที่มีปรากฏการณ์จริง  phenomenology มีอยู่สองคนในโทรทัศน์ของเราก็เอามาออก  มาเป็นคนจน มาขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

 

*_สม.รินฟ้า...ขอเรียนถามพ่อท่านค่ะ ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมระดับไหนจึงจะไม่ติดตามดูละครทีวี หรือภาพยนตร์ชีรีย์ต่างๆ ระดับโสดาบัน ยังดูอยู่ใช่ไหมคะ?

ตอบ...ใช่ ในระดับที่จะไม่ดูหนังดูพวกนี้ ถ้าจะต้องดูก็ดูเอาสาระ อย่างเช่นอาตมา เมื่อก่อนต้องรับเซ็นเซอร์หนังพวกนี้ แต่ตอนนี้มีผู้รับช่วงไปแล้ว

ผู้ที่จะไม่ดูพวกนี้จริงๆต้องเป็นอนาคามีขึ้นไป ต้องพ้นกามาวจร คือมีปฏิฆสัมผัสโส มีภาวะ action reaction คนเป็นอนาคามีเป็นต้นไปแล้ว รูป รสกลิ่น เสียง สัมผัสในโลก กามราคะต่างๆ ก็ไม่ติดแล้ว แม้แต่เป็นคนจริงก็ไม่มีปัญหาแล้ว ดูหนังก็ไม่มีปัญหา

 

อนาคามีจะเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง อนาคามีต่ำๆ อาจจะมีพริ้วพราย เป็นรูปราคะ อรูปราคะในจิต แต่ข้างนอกจะไม่มีแล้ว

แต่ถ้าโสดาบัน สกิทาคามี ก็ยังดูอยู่  เป็นสกิทาคามีสูงขึ้นก็ไม่คุ้มเสียเวลาที่จะไปดู ดูแล้วก็ไม่มีรสชาติที่จะต้องไปเสพติด

พูดถึงรสชาติก็ขอแวะในธรรมะ 2

กายคือธรรมะ 2 รูปกับนาม แล้วก็เป็นสภาพธรรมคือ ตัวเราที่จะรับรู้เสมอแล้วก็อ่านวินิจฉัย กรรมฐานของศาสนาพุทธคือ เวทนา

แล้วก็ต้องเรียนรู้เวทนา 108 โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 ที่เกิดจาก ตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร มาสัมผัสแตะต้องก็จะเกิดปรุงแต่งเป็นสังขาร และเป็นเวทนา

เป็นรสชาติของสังขาร รสชาติทุกข์หรือสุข อร่อย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ผลักออก หรือดูดเข้า หรือชอบ ก็ไม่ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ใช่ เป็นครั้งคราว เป็นเคหสิตอุเบกขาได้

* แต่ถ้าปฏิบัติเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา *ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่ตนเองได้ผล ว่ามันเป็นอย่างนี้เอง จึงต้องกระทบสัมผัสภายนอก

กระทบสัมผัสอย่างไรๆก็เฉยๆกลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า คนนี้แสดงบทอย่างนี้ แสดงบทรักบทชัง อันนี้เป็นสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน แต่ก่อนเคยชอบแดง เคยชอบเขียว เดี๋ยวนี้ก็เฉย เฉยๆ มีรสชาติอย่างนี้เปรี้ยว หวาน เค็ม แต่ก่อนนี้ก็ชอบ แต่ตอนนี้ก็เฉย รู้ความจริง เหลืองก็เหลือง เปรี้ยวก็เปรี้ยว หวานก็หวาน เค็มก็เค็ม แต่ถ้ามันจัดจ้าน ก็ทนไม่ไหว

อย่างเช่น ทุกวันนี้อาตมาก็กินพริกไม่ได้ ทั้งที่อาตมาเป็นคนอีสานที่แต่ก่อนกินพริกขี้หนูสวน เม็ด 1 ต่อข้าวคำหนึ่ง เคี้ยวสดๆเลย พอกัดนี้ดังกร็อบกลิ่นฉุยออกไปเลย แล้วเผ็ดจ๊ากเลย บางครั้งตอนถ่ายก็แสบด้วย แต่ก่อนต้องอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย แม้แต่น้ำแข็งหรือน้ำเย็นก็ไม่ได้ เย็นนิดหน่อยพอได้ แต่ถ้าเย็นออกมาจากช่องฟรีซไม่ได้เลย กินร้อนนี้กินได้มากกว่ากินเย็น แต่ก่อนนี้ไม่ได้นะ ไม่เย็นไม่กินนะ น้ำต้องมีน้ำแข็งเสมอหรือไม่ก็ออกจากฟรีซมา ตั้งแต่เป็นฆราวาส

 

คำว่า “กาย”  มาบวชเป็นภาษาไทย มีการใช้คำว่า ร่างกาย เป็นร่างข้างนอกของกาย

คำว่ากายคำเดียวไปเข้าใจว่าเป็น Body ภายนอกซึ่งไม่ใช่

คำว่ากายต้องมีจิต*เข้าไปร่วมเสมอ แล้วท่านเน้นภายใน*ด้วย

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม เรียนรู้ หมดกิเลสภายนอกแล้ว มีกระทบสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง ทรัพย์สมบัติบ้านช่อง สัมผัสแล้วก็ไม่มีจิตที่มีกิเลสอยากได้มา

สำหรับอนาคามี จะมีในจิตให้นิดๆหน่อยหน่อย

แต่ถ้าเป็นอรหันต์ไม่มีเศษอะไรในจิตเลย เพราะฉะนั้นจึงหมดความเป็นจิตที่เห็นกิเลสเกลี้ยง* แต่สัมผัสข้างนอกก็มีอยู่ได้ สัมผัสแรงอย่างไร สัมผัสจัดๆอย่างไร

รูปจัดๆ สีจัดๆ รสที่เราเคยติดยึดอย่างนี้ สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง สัมผัสอย่างนี้ มันก็ไม่มีกิเลส มันก็เฉยทั้งนั้น ไม่หนี มีอเนญชาภิสังขาร  มีความไม่หวั่นไหว เฉย แต่ไม่แข็งทื่อ รู้ทุกอย่าง สามารถอนุโลมให้เขาได้

เช่นอันนี้มา บางทีอนุโลม เพราะไม่งั้นก็แตก ก็หลุด ก็ให้เขาหน่อย

อนุโลมกินให้เขาหน่อย เช่นเอาอันนี้มาให้ จำเป็นก็ต้องรับไว้บ้าง แต่ก็ให้เขารู้ว่า ไม่ต้องเอามาอีก ก็ไม่ต้องรับ คนไหนแข็งก็ไม่ต้องรับได้ ก็ทำ

แต่ถ้าอันไหนอาบัติไม่ได้ ก็ต้องบอกเขาไป ให้เป็นหลักฐานยืนยัน แต่บางอย่าง เป็นมหาปเทส ไม่มีในธรรมวินัย ก็ต้องใช้มหาปเทส 4

 

ข้อเขียนใน เราคิดอะไร คนจะมีธรรมะได้อย่างไร 315

คำว่า “กาย”ในความเป็น“พุทธ”นั้นมีนัยสำคัญยิ่ง ซึ่งทุกวันนี้ชาวพุทธได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปมากแล้ว กระทั่งไม่สามารถบรรลุธรรมของพุทธได้ ก็เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ”ในคำว่า“กาย”นี่เอง จึงพิจารณา“กายในกาย”ผิดไปจริงๆ ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง“ปรมัตถธรรม”ได้

เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ”ที่เข้าใจ ว่า “กาย”

คือ “ภายนอก”เท่านั้น จึงหลงผิดไปกำหนดหมาย(สัญญา)เอาแต่“อาการ”ดินน้ำไฟลมแค่นั้นเอง จะเพ่ง“กายังคะ”ก็ดี ก็เพ่งอยู่แค่“ดินน้ำไฟลม”ที่เป็นร่างภายนอก แม้จะเพ่ง“กายคตาสติ”ก็ดี ก็เพ่งแต่อาการ“ดินน้ำไฟลม” ที่เคลื่อนไหวภายนอก

จะ“กายานุปัสสนา”ก็เพ่งแต่“ดินน้ำไฟลม”ภายนอกกันเท่านั้น (พ่อครูแทรกว่า...มีพวกสายเจโตที่นั่งสมาธิให้ร่างนอกแข็งได้เลย ผลักก็ล้มกลิ้งไปไม่เปลี่ยนท่าเลยเหมือนกลิ้งลูกฟักก็เลยเรียกว่าพรหมลูกฟัก ไม่รู้จักอารมณ์ที่จะได้มาเรียนรู้ลดละกิเลสเลย)

พอทำให้ความเคลื่อนไหวภายนอกนิ่งหยุดสนิทได้ก็หลงผิดว่า สำเร็จแล้วนี้แหละคือ “กายปัสสัทธิ(กายสงบ) ซึ่ง“ผิดถนัด”เลย

นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิแล้วก็พาซื่อ หลงผิดว่า ปฏิบัติให้เป็นผล“กายปัสสัทธิ”ได้แล้วนั้นคือ จัดการกับ“อาการเคลื่อนไหวของกายกรรม หรือวจีกรรม”อันเป็นภายนอก ให้ไม่รุนแรง ให้สุภาพ ให้เรียบร้อย ให้สงบ ให้ไม่เกะกะเกเร ให้ไม่ไปทำ“อกุศลกรรมทางกาย-ทางวาจา”ใดๆ หรือให้การเคลื่อนไหวของกาย-ของวาจา ช้าลง เฉื่อยลง เบาลง เงียบลง นิ่งลง หยุดสนิท ก็ได้แค่“ภายนอก”

ก็ถือว่า นี่คือ “กายปัสสัทธิ”แล้วจบ

กายปัสสัทธิ”ไม่ได้หมายเอาที่“กาย กรรม-วจีกรรม”เท่านั้นเป็นสำคัญเลย แต่หมายเอา “ธรรมะ 2”อันคือ“กาย”หรือ“องค์ประชุมของรูปกับนาม”ต่างหากให้“สงบระงับ” ซึ่งเป็นความสงบระงับของธรรมะ 2

นั่นคือ “กาย” มีรูปกับนามมัน“สังขาร”กันอยู่ หรือคือ “ธรรมะ 2”มัน“สังขาร”กันอยู่ เราก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สังขาร”ที่มี “วิญญาณ”เป็นปัจจัยให้เกิด“สังขาร”

 เราก็ต้องเรียนรู้“วิญญาณ”อันเป็นปัจจัยสำคัญ

หัวหน้าของ“สังขาร”  วิญญาณ ก็คือ“นาม”

การจะรู้จัก“สังขาร”ได้ก็ต้องเรียนรู้จากปัจจัยของ“สังขาร”คือ “นามรูป”

“นามรูป”ก็คือ “นาม”และ“รูป”

*“นามรูป”นี้แหละคือ องค์ประกอบของ“วิญญาณ” ซึ่งก็คือ “กาย”หรือ“ธรรมะ 2”ที่ปรุงแต่งกันอยู่ หรือที่“สังขาร”กันอยู่

ตามหลักปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เพราะเรามี“ความไม่รู้”(อวิชชา)  เป็นปัจจัยให้เกิด“สังขาร”

“สังขาร”คือ การปรุงแต่งกันอยู่ ก็ต้อง

เรียนรู้“สังขาร”ศึกษาจาก“ธรรมะ 2” ซึ่ง “สังขาร”ที่ไม่สงบระงับ เพราะมี“กิเลส”ร่วมปรุงแต่งอยู่ใน“ธรรมะ 2” 

“ธรรมะ 2”ก็คือ “รูปกับนาม”หรือ“กาย”

นั่นคือ ต้องเรียนรู้“กิเลสในกาย”

ขั้นต้น ก็“กิเลส”ของ“กายภายนอก” กำจัดก่อนให้ได้

“กาย”จึงจะสงบ เรียกว่า“กายปัสสัทธิ

“กายปัสสัทธิ”นั้นคือ “การสงบระงับของกาย” ซึ่งต้องจัดการที่“กายสังขาร” ให้สงบระงับลง ที่ต้องปฏิบัติให้“ปัสสัมภยัง กายสังขารัง”คือ ให้“กายสงบระงับ”

“กาย”คือ “องค์ประชุมของธรรมะ 2” 

 (การปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิ ทิ้งแม้แต่ลมหายใจ มีแต่รูปภพ อรูปภพ ขาดจากกามภพนั้นเป็นการปฏิบัติที่ผิดแล้ว เพราะพวกนี้ไม่ได้ปฏิบัติกามภพก่อน จะไปข้ามขั้นไปปฏิบัติ รูปภพ อรูปภพนั้นไม่ได้ เพราะถ้าทำได้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ เป็นอนาคามี เป็นอรหันต์ก็ยังคงอยู่กับโลกภายนอก มีสัมผัสในรูป รสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่)

คำว่า“กาย”ไม่ใช่แค่“ดินน้ำไฟลม”อันมี“มหาภูต 4”ที่เป็น“ร่างภายนอก”ส่วนเดียวเท่านั้นที่“ปรุงแต่ง”กันอยู่

แต่ต้องหมายเอา“การปรุงแต่งของรูปกับนาม”จึงจะชื่อว่า“กาย” เพราะ“กาย”คือ “ธรรมะ 2”

“กาย”คือ “องค์ประชุมของรูปกับนาม” ที่ปรุงแต่งกันอยู่

ดังนั้น“รูปกับนาม” สองอย่างนี้ เป็นตัวสำคัญหลักที่ทำให้“สงบระงับ”ได้ ก็ต้องเป็น“นาม” เพราะ“รูป”ไม่ใช่“ตัวบงการ” หรือไม่ใช่ส่วนที่เป็น“พลังงานทำหน้าที่ก่อความไม่สงบระงับ”ในความเป็น “สังขาร”ของชีวิต  “เหตุ”แห่ง“ความไม่สงบระงับ”นั้น อยู่ที่“จิต-มโน-วิญญาณ”คือ อยู่ที่“นาม”

เป็น“ตัวการสำคัญ” ไม่ใช่อยู่ที่“รูป”หรือที่“ร่าง”อันเป็น“ดินน้ำไฟลม”เด็ดขาด ที่เป็น“ตัวบงการ” เพราะ“ดิน น้ำ ไฟ ลม”นั้นไม่มี“ธาตุรู้”ที่จะทำ“ความไม่สงบระงับ”หรือ“ทำ ความทุกข์วุ่นวาย”ขึ้นมาในชีวิตคน

 (กายนิ่ง กายสงบรำงับ นี้หมายถึงจิตนิ่งเป็นสำคัญ ให้กิเลสมันสิ้นพลังงานไม่มีบทบาทมาในจิตอีกเลย ต้องหมายถึงนามนิ่งไม่ใช่รูปนิ่ง รูปไม่ใช่ตัวบงการ ไม่ใช่ส่วนที่เป็นพลังงานก่อความไม่สงบรำงับ แต่นามเท่านั้นคือตัวการ เหตุแห่งความไม่สงบรำงับคือ นาม​ ไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะดิน น้ำ ไฟ ลมไม่มีธาตุรู้ที่จะทำความไม่สงบรำงับหรือความวุ่นวายในคน)

 

พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดใน“อัสสุตวตาสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) อ่านดูดีๆ

“(230) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง จะพึงคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนี้เพราะเหตุไร

เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ย่อมปรากฏ

ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า  จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา ดังนี้

ตลอดกาลช้านานนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

(231) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ

แต่ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ฯ

(232 ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ”

ข้อ 230 กับข้อ 231 นั้น จับสาระได้จาก คำสำคัญแรกก็คือ “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”

 พ่อครูว่า...พวกตรรกะคิดนึกเอา ไม่มีทางละหน่ายคลายกำหนัดได้ปฏิบัติจนบรรลุ ได้แต่เหตุผลไม่รู้อาการของนามธรรม คำว่าปุถุชนผู้มิได้สดับ อันนี้ก็ยิ่งใหญ่สำหรับคนแล้ว  พวกเซ็น บรรลุฉันพลันนี้เป็นต้น ไม่ได้มีการปฏิบัติถึงอาการจิตเลย

ความแค่นี้นี่แหละ มีความสำคัญยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับความเป็นคนทั้งหลาย

นั่นก็คือ คนชาติใดนับถือศาสนาไหนก็ตามที่ยังเป็นปุถุชน ถ้าแม้น“มิได้สดับ” ก็คือ ถึงแม้ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังคำความที่เป็น “พระธรรม”คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เถอะ ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของ“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ มันก็มีปรากฏให้เห็นอยู่ คุณจะอยู่ศาสนาไหนจะเป็นใครก็ตาม ความเจริญ ความเสื่อม ความเกิดของกายมหาภูตรูป 4 ก็ปรากฏให้เราเห็นอยู่ คนทุกคนก็เป็น จะมีดวงตาเห็นความเกิดความไม่เที่ยงความดับของมันหรือไม่ก็เท่านั้นเอง คนเชื้อชาติไหนก็แล้วแต่

คำว่า“ร่างกาย”ในพระไตรปิฎกนี้ บาลีคือ“กาย”ไม่มีคำว่า“ร่าง” แต่ท่านผู้แปลใส่คำว่า“ร่าง”เข้าไปด้วย โดยให้หมายถึงส่วนที่“ถูกรู้”นั่นคือ “รูป”หยาบใหญ่ภายนอกของ“กาย”

“กาย”คือ “องค์ประชุมของรูปกับนาม” จึงมีทั้งส่วนภายนอก และส่วนภายใน

เพราะ“กาย”นั้น มีทั้งภายนอกคือ “ดิน น้ำ ไฟ ลม”ที่ประชุมกันอยู่ร่วมกับภายในคือ จิต-มโน-วิญญาณ

ซึ่งคำว่า“กาย”นั้น คือ “ธรรมะ 2” ได้แก่ “รูปภายนอกบ้าง-รูปภายในบ้าง” ที่เป็น“ภาวะที่ถูกรู้”ถ่ายเดียว กับ“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” กับ“รูปภายในบ้าง-นามภายในบ้าง”

โดยเฉพาะ“นาม”ที่เป็น“ผู้ทำหน้าที่รู้” ซึ่งจะต้อง“กำหนดรู้”ทั้ง“กายภายนอกและกายภายใน” ทั้ง“เวทนานอกและเวทนาใน” ทั้ง“จิตนอกและจิตใน” ทั้ง“ธรรมนอกและธรรมใน”    

ดังนั้น ความหมายส่วนแรกนี้จึงหมายถึง คนจะพึง..เบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ย่อมได้ ใน“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 (ส่วนนี้คือภายนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม)นี้ แม้ไม่ได้สดับคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะมันหยาบใหญ่ เห็นได้ง่ายดาย ใน“ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี” เพราะมันปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน ไม่ยากเท่าความเป็น“กาย”ที่หมายเอา“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง”  

(พ่อครูแทรกว่า...เอาง่ายๆว่าคนที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว หรือคนที่แก่มาก เจ็บปวดมากคนป่วยก็อยากทิ้งร่างก็ทิ้งไม่เป็นแล้ว ไม่อยากทนแล้ว คนอยากตายจากร่างกาย แต่จิตใจไม่เป็น ถึงอย่างไรร่างนี้คนก็ทิ้งได้ บางคนก็ฆ่าตัวตายเลย เพราะมันหยาบใหญ่ เห็นได้ง่าย ในความเจริญ​เสื่อมเกิด หรือตายก็เห็นได้ง่าย หยาบๆ มันปรากฏชัดเจน ไม่ยุ่งยากเท่ากับ กาย คือจิต มโน วิญญาณ)

 

ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้ามุ่งหมายเอา“กาย”ที่หมายเอา “จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง”  พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”(คำสอนของพระพุทธเจ้า) ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

เพราะ“จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง”นั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา จึงไม่อาจเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หลุดพ้น“ส่วนที่เป็น“จิต-มโน-วิญญาณ”นี้ได้เลย

และในข้อ 231 นั้นพระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นชัดขึ้นอีกว่า “ปุถุชนจะพึงเข้าไปยึดถือเอา“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4” โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่” (แต่จิตนั้นติดไปด้วยกันเลยนะไม่มีพรากเลย)

นั่นก็เพราะ..“ร่างกายภายนอกนั้นมีดินน้ำไฟลมประชุมกันอยู่เป็นของหยาบ  เมื่อดำรงอยู่นาน เป็นปีๆ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง.... ไปจนถึง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง(ถ้าถึง) จึงปรากฏเห็นได้ชัด

แต่ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงหมายเอาความเป็น“กาย”นี้ ที่เป็นส่วนของ“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง”

และไม่ใช่แค่ได้ยินได้ฟังผ่านหูเฉยๆเท่านั้น มันต้องถึงขั้นได้ยินได้ฟังแล้วต้องเรียนรู้อย่าสัมมาทิฏฐิให้ถ่องแท้ แล้วก็ปฏิบัติกันให้สัมมาปฏิบัติจริงๆอีก จึงจะสามารถบรรลุผลเป็นปฏิเวธธรรม

จบ….


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:49:22 )

590906

รายละเอียด

590906_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ผู้ได้สดับกับอธิวจนสัมผัสโส

ในพระไตรฯล.27 ข้อ 342 บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่ สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.

มันซับซ้อน คนฆ่าสัตว์โดยอำมหิตนี่ ยังบาปสู้คนที่เลี้ยงสัตว์แล้วฆ่ามันไม่ได้ สัตว์มันก็มีจิตที่หลง แล้วคนก็ฆ่ามันกิน หนักกว่าคนอำมหิต          ซับซ้อน เลี้ยงสัตว์เองแล้วก็กลับฆ่ามันกินเฉยเลย เหมือนกับคนหลอกให้คนอื่นหลงรักบูชาเทิดทูน เสร็จแล้วก็ฆ่าก็ทำร้ายเขานั่นแหละ คือบาปซับซ้อนร้ายแรง

สัตว์ที่พระพุทธเจ้าให้กินมีปวัตมังสะ นอกนั้นกินไม่ได้เป็นอุทิสมังสะ พระเองก็เลี่ยงบาลี ว่าให้บริสุทธิ์โดยส่วนสาม

1.ไม่รู้ว่าตายเพราะคนฆ่า แต่เห็นคนฆ่าหลัดๆ

2.ได้ยินข่าวว่าเขาฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ปวัตตมังสะ แต่เป็นอุทิสมังสะ อย่างเช่นข่าวเนื้อสัตว์ตายในตลาดนี้ เราก็รู้ว่าคนฆ่าทั้งนั้นไม่ใช่สัตว์ตายเอง มันขึ้นเขียงเองไม่ได้ สัตว์นี้ถูกคนฆ่าแน่

3.แม้สงสัยลังเล ว่าเนื้อสัตว์นี้เป็นปวัตตมังสะหรือไม่? เป็นเดนสัตว์กินไหม?แม้แค่สงสัยก็ไม่บริสุทธิ์โดยส่วนสามแล้ว

พระพุทธเจ้าห้ามมิจฉาวณิชชาแล้ว ชาวพุทธอย่าค้าขายเนื้อสัตว์ หนึ่งอย่าฆ่า สองอย่าขาย แล้วเอาสัตว์ที่ไหนมากิน?

ตกลงเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเราไม่ฆ่า เราไม่ฆ่าแล้วจะไปซื้อมา? คุณก็ซื้อได้จากคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธก็ไม่ผิดมิจฉาวณิชชา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัตว์ถูกคนฆ่า แต่คนเลี่ยงบาลีว่า สัตว์นี้เราไม่ได้ฆ่าเอง เขาเอามาถวายเราก็จะกินได้ เป็นต้น

 

_คำถามจากคุณ Tuk Sirima

กราบนมัสการค่ะ ขอโอกาสกราบเรียนพ่อครูกรุณาอธิบาย"ชีวิตรูป" หรือ"ชีวิตินทรีย์" ใน"รูป 28" กราบขอบพระคุณค่ะ

ในรูป 28 มีมหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ที่แยกง่ายว่าไม่ใช่กาย พอมีปสาทรูป โคจรรูปทำงานร่วมกัน เกิดภาวรูป ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 สองอันนี้ ถ้าไม่ทำงานเลยไม่มีอะไรเกิดให้ศึกษาเลย ต้องมีประสาทได้ทำงานสัมผัส แต่ถ้าเกิดแล้วคุณไม่ได้ต่อไม่ได้รับรู้ก็ไม่เกิดอะไร สังขารคือภาวรูป ในสังขารนั้นมีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เป็นภาวะสองแล้วมีเราเป็นอีกหนึ่งเป็นสามเส้า

ตอนแรกจะมี ish คือ i she he มีสามเกิด ก็พิจารณาภาวะสองนี้ ภาวะของอิตถีภาวะแล้วทำให้เป็นปุริสภาวะให้ได้ ก็เริ่มพิจารณาจับสภาวะได้ เป็นหทยรูป แล้วตรวจสอบว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เป็นชีวิตของจิตเจตสิก เป็นรูปที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องมีสัญญาปัญญาเข้าไปกำหนดรู้ภาวะนั้นว่า อาการนี้มีชีวิต เป็นชีวิตรูป แล้วมันมีสังขาร สังขารนี้จะมีกิเลสอยู่ตอนแรก เราก็ต้องแยกเอากิเลสให้ชัด เราได้ตัวจริงของโจรก็ปหานตัวนี้

ชีวิตรูปตัวนี้คือพลังงานของกิเลสที่เราต้องฆ่าต้องดับให้สิ้น ดับสิ้นก็เหลือแต่ชีวิตของผู้บรรลุธรรมเป็นปุริสภาวะ การเป็นนิพพานหรือนิโรธของพระพุทธเจ้าไม่ใช่นิโรธอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั่งสะกดจิตดับอย่างเดียว ไม่มีการวิจัยเลย จึงปิดประตูนิพพานให้แก่ตัวเอง

การนั่งหลับตาเป็นการปิดประตูนิพพาน อาตมาจะต้องพูดไปถึงอายุ 151 ปีเลย

สมาธิของพุทธจะต้องเป็น supra concentrationเลย แต่เดี๋ยวนี้มันหายกลายเป็นสมาธิฤาษีสมาธิสามัญไปหมดเลย อย่างนั้นมันคือ meditation เป็นสมาธิแบบ general ทั่วไป แต่ของพระพุทธเจ้าเป็น special สมาธิเป็นพิเศษ มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น เป็นsupra concentration ไม่ใช่ meditation

ชีวิตรูปจะบริบูรณ์ต้องมีตัวปฏิบัติ คืออาหารรูป ในอาหารรูปก็ไล่ไปตั้งแต่กวฬิงการาหาร อาหารคือเครื่องอุปโภค บริโภค เป็นตัวนำ ไม่ใช่แค่ของกินนะ แต่ทั้งใช้ด้วย ทรัพย์ศฤงคารข้าวของใช้ด้วย

อาหาร 2 ย่อมเกิดจาก 1.กาม 2.ผัสสะ 3.มโนสัญเจตนา 4.วิญญาณ คือนามรูป

ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วเรียนรู้ในสิ่งที่อุปโภคและบริโภค ว่าเป็นมโนสัญเจตนาที่มีกามตัณหา หรือภวตัณหา หรือไม่ก็ล้างตั้งแต่กามตัณหา แล้วล้างภวตัณหาอีกจนหมด สุดท้ายเหลือแต่วิภวตัณหา

อาตมาบอกว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหา คนก็จะเอาอาตมาตาย ท่านทำงานด้วยเจตนาเป็นมโนสัญเจตนา ไม่ได้มีความอยาก ท่านมีแต่วิภวตัณหา คือตัณหาที่ไม่มีภพ เป็นภพพิเศษภพอาศัยเท่าที่มีขันธ์ 5 ทำงานแก่โลก รักษาอัตภาพไว้

คนจะไม่เข้าใจได้ง่ายๆ

เมื่อสามารถ อาหารรูปเป็นเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติธรรมก็ทำไปตามแต่ละกรอบแต่ละปริเฉทแต่ละบริบทที่กำหนดไว้ หรือแต่ละ concept ก็ได้

เช่นเราเอาแค่กรอบศีล 5 ก่อน หรือว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราต้องกำหนดเอาเอง เมื่อได้ก็จบปริเฉทรูป นอกนั้นก็เป็นวิญญัติรูป 2 วิการรูป 5  อาศัยลักขณรูป อีก 4

ในรูป 25 มีกายตั้งแต่ปสาทรูปกับโคจรรูป มีภาวรูปก็มีกายแล้ว แต่คุณต้องทำอิตถีภาวะออก ให้เหลือแต่ปุริสภาวะให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ แล้วทำที่อาหารรูป หทยรูป แต่ละปริเฉทรูป แล้วมีวิญญัติรูปและวิการรูป ตัวสุดท้ายคือ ลักขณรูป อีก 4 ที่จะต้องมีการเกิดคืออุปจยะ แล้วคุณจะต่อหรือไม่ต่อก็เป็นสันตติ แต่แม้จะต่อหรือให้เกิดอย่างไร ลงท้ายต้องชรตา และอนิจจตาไม่มีอื่นเลย สภาวะของลักขณรูปทั้ง 4 คือนามธรรม ต้องเป็นรูป คือสิ่งที่ถูกรู้ แต่เป็นรูปที่เป็นนามธรรม คือนามรูป มีลักษณะว่าอย่างนี้คืออุปจยะ อย่างนี้คือสันตติ คือชรตา คืออนิจจตา

รูป 28 ที่อาตมาอธิบาย พวกเรารับพอได้แล้ว แต่พวกอภิธรรมที่หลงบัญญัติไปก็น่าสงสาร ผู้ใดเข้าใจแล้วมาเลื่อนฐานะปฏิบัติตามลำดับก็ดี แต่ถ้าคุณไม่รู้รูป แต่ไปเอานามเลยมันละเอียดเกิน มันข้ามขั้นตอน คุณยังมีอบายมุขสิ่งเสพติดอยู่แล้วเป็นกามภพแล้วจะไปทำในรูปภพ อรูปภพ ก็ทำไม่ได้หรอก ไม่เป็นลำดับ ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการศึกษานะ

อย่างท่านอาจารย์มหาบัวนี้ ยังเคี้ยวหมากจับๆๆอยู่แล้ว แล้วไม่รู้ว่านี่คือสิ่งเสพติดหยาบๆก็ไม่รู้ว่าคืออบายขั้นต้นที่ควรเลิกก่อนแล้ว ไปหลงกันว่าเป็นพระอรหันต์ ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ท่าน แต่ก็ไม่มีใครบอกท่าน ที่พูดนี้ก็รู้ว่าคนนับถือกันเยอะ แล้วไม่ได้ฟังสัจธรรม  อบายข้างนอกก็ยังตัดไม่ได้เลย ท่านก็พยายามทำแต่ไม่ได้สุดท้ายก็จนสิ้นชีวิต ท่านมีในปากไม่ขาดเลยนะ เทศน์ไปก็น้ำหมากย้อยไปเรื่อยๆ อาตมาพูดธรรมะ ไม่ได้เจตนานินทาว่าร้ายผู้ใด ไม่มีเจตนาลามกเช่นนั้น

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86232

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdEozcEZ1RnhLTlU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/6ep1c6z0t00n/160906

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=JuRKQts2Vyw

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:49:48 )

590906

รายละเอียด

590906_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ผู้ได้สดับกับอธิวจนสัมผัสโส

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 6 กันยายน 2559 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 10 ปีวอก วันเวลาก็เคลื่อนไปนิรันดรไม่รู้จบ คนเราเกิดมามีชีวิต มีอัตภาพแล้ว ก็ต้องมาเรียนรู้เรื่องอัตภาพนี้แหละ สำคัญมากในความเป็นอัตภาพของมนุษยชาติ กว่าจะล้าง กว่าจะจบความไม่ยึดติด เป็นตัวเราของเราได้ สุดยอด ที่จะยาก เสร็จแล้วเราก็ไม่รู้จักที่จะล้างอัตตาทำอัตตาให้หมดสิ้น เมื่อยังไม่หมดอัตตาหรืออัตภาพ ก็วนเวียนไม่รู้สักกี่ชาติ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อยู่กับวิบากร้ายวิบากเลวลำบากลำบน วิบากดีหน่อยก็ดี ไม่ดีจะไปหลงอีก หลงติดยึดวิบากสุขสบายเป็นโลกีย์ ที่เรายึดติดซ้ำซ้อน ทำให้หมุนวนเป็นวิบากหนัก ใช้หนี้วิบากมันอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ อาตมาพูดกับคนที่ไม่ได้บรรลุนี่ยากมากเลย

 

พระไตรฯล.27 ข.[341] ศีรษะของนรชนปรากฏว่ามีมาก มีผมดำยาวปกคลุมถึงคอ บรรดาคนทั้งหลายนี้ จะหาคนผู้มีปัญญาสักคนก็ไม่ได้.

มันน่าสงสารจริงๆ ถ้าเราไม่เข้าใจคำว่าปัญญา เราก็จะงงเหมือนกัน หาว่าพระพุทธเจ้าดูถูก คำว่าปัญญาเป็นโลกุตระธรรม เป็นความฉลาดทางโลกุตระ แบบความฉลาดของคนหัวดำทั้งหลาย หมายถึงความฉลาดทางเฉกาหรือเฉกตา ที่ไม่ใช่ปัญญา เป็นความฉลาดแกมโกง ฉลาดมีกิเลสเลวร้ายมากๆ เป็นคนฉลาดทั้งนั้นที่เลวร้ายด้วยซ้ำซ้อน อย่างเช่นทักษิณ หรือธัมมี่ หรือธัมมชโย หลอกคนได้จนป่านนี้ก็มีบริวารมาซูฮก ยังไม่ยอมถดถอยเลย ยอมได้สนิทมาก

ธัมมชโยนี้ตกนรกหนักว่าทักษิณ เพราะว่าหลอกในร่างของสมณะ ของธรรมะ เอาธรรมะมาหลอก ส่วนทักษิณนั้นหลอกในร่างฆราวาส หลอกในร่างพระนี่คนเขายกให้ว่าเป็นคนดีนะ ก็หลอกได้ชั้นหนึ่งแล้ว แล้วยังเอาความดีมาหลอกก็จะหลอกได้หลายชั้นอีก  นี่คือความซับซ้อนที่ชัดเจน

แค่ทักษิณหนี เป็นอสุรกาย ไม่กล้าสู้ กลัว แต่ธัมมชโยนี่ไม่หนี แค่นี้ก็เห็นความแข็ง ทน ดื้อด้านมากกว่าเท่าไหร่ เสร็จแล้วก็มีสารพัดเล่ห์เหลี่ยมยึกยักจนป่านนี้ยังเอาตัวมาไม่ได้เลย

อาตมาพูดได้ว่าสงสาร ไม่น่าจะทำตัวเอง คือตกอยู่ในห้วงแห่งวัฏสงสารนี้อีกนาน ช่วยตรงๆก็ไม่ได้ ได้แต่กระแทกกระทุ้งให้เห็นความเลวร้าย ก็น่าจะรู้สึกสำนึกบ้าง

1 ถ้าไม่ตอบก็ไม่ได้เตือนเขา

2 ไม่ได้เตือนคนอื่นที่ไม่รู้เท่าทัน

มันเลี่ยงไม่ได้เลยที่จำเป็นจะต้องบอก ไม่บอกก็ใจดำ เราไม่ดีอีก เราจะไม่ปล่อยให้เขาหลอก ทั้งที่ตนเองรู้ๆก็ไม่ช่วย ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป บอกใครไม่ได้ แต่นี่รู้แสนรู้ แล้วก็ร้ายแรงด้วย เห็นหมาบ้าสัตว์ร้ายมันวิ่งมา แล้วเราก็ไม่บอกคน ปล่อยให้มันกัดคนไป ถ้าเราไม่บอกคน คนนั้นก็เลวร้ายอำมหิตแล้ว ก็คงคลี่คลายไปเรื่อยๆประเทศชาติคงจะดีขึ้น

 

อีกอันหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 13 ข้อ 758 บอกถึงเทวดา ซึ่งคนทุกคนต้องการภพสวรรค์เทวดานี้อยู่ ก็ต้องมีการเกิด เป็นชาติ ไม่รู้แล้วไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าท่านว่าต้องตัดตั้งแต่ สาเปกโข (หวัง) ต้องให้ไอ้หวังตายแน่ อย่าไปสร้างจิตมุ่งหวังอะไร มีเจตนาแต่อย่าอยาก

อยากนี่แหละเป็นความต้องการหวังต่อไป เพราะฉะนั้นอย่าไปอยากอะไรเลย อย่าไปหวังอะไรเลย ต้องมีมโนสัญเจตนา แล้วหาเหตุปัจจัย เราอยากได้ 4 ก็ต้องหา 1+1+1+1 หรือหา 2+2 ก็ได้ 4 เราต้องทำเหตุปัจจัย อะไรที่จะได้ 4 ตกลง 2+2 ได้ 4 ก็ต้องทำ 2 กับ 2 แต่ถ้าไม่ใช่ 1+3=4 ก็ต้องสร้าง 1 กับ 3 เป็นต้น

เจตนาแต่อย่าอยาก รู้ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรแล้วทำ

พวกเราเรียนธรรมะอย่างถึงที่เลยนะ คำว่า เทวดานี่เป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้าที่สมมุติกัน เทวดามีแต่เป็นภพชาติ เป็นเทวดาจริงๆ ที่หลงเสพติด ต้องมาใช้หนี้ทีหลัง กว่าจะเข้าใจในการล้างอัตภาพ อัตตาพวกนี้ได้บริบูรณ์จึงไม่ง่าย กว่าจะได้มาพบเจอกันแล้ว ก็ศึกษาตั้งใจดีๆ พยายามพากเพียร เราก็จะได้ไปตามลำดับไปเรื่อยๆ

ในพระไตรฯล.27 ข้อ 342 บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่ สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.

มันซับซ้อน คนฆ่าสัตว์โดยอำมหิตนี่ ยังบาปสู้คนที่เลี้ยงสัตว์แล้วฆ่ามันไม่ได้ สัตว์มันก็มีจิตที่หลง แล้วคนก็ฆ่ามันกิน หนักกว่าคนอำมหิต          ซับซ้อน เลี้ยงสัตว์เองแล้วก็กลับฆ่ามันกินเฉยเลย เหมือนกับคนหลอกให้คนอื่นหลงรักบูชาเทิดทูน เสร็จแล้วก็ฆ่าก็ทำร้ายเขานั่นแหละ คือบาปซับซ้อนร้ายแรง

สัตว์ที่พระพุทธเจ้าให้กินมีปวัตมังสะ นอกนั้นกินไม่ได้เป็นอุทิสมังสะ พระเองก็เลี่ยงบาลี ว่าให้บริสุทธิ์โดยส่วนสาม

1.ไม่รู้ว่าตายเพราะคนฆ่า แต่เห็นคนฆ่าหลัดๆ

2.ได้ยินข่าวว่าเขาฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ปวัตตมังสะ แต่เป็นอุทิสมังสะ อย่างเช่นข่าวเนื้อสัตว์ตายในตลาดนี้ เราก็รู้ว่าคนฆ่าทั้งนั้นไม่ใช่สัตว์ตายเอง มันขึ้นเขียงเองไม่ได้ สัตว์นี้ถูกคนฆ่าแน่

3.แม้สงสัยลังเล ว่าเนื้อสัตว์นี้เป็นปวัตตมังสะหรือไม่? เป็นเดนสัตว์กินไหม หรือมันตายเอง?แม้แค่สงสัยก็ไม่บริสุทธิ์โดยส่วนสามแล้ว

พระพุทธเจ้าห้ามมิจฉาวณิชชาแล้ว ชาวพุทธอย่าค้าขายเนื้อสัตว์ หนึ่งอย่าฆ่า สองอย่าขาย แล้วเอาสัตว์ที่ไหนมากิน?

 

 

ตกลงเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเราไม่ฆ่า เราไม่ฆ่าแล้วจะไปซื้อมา? คุณก็ซื้อได้จากคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธก็ไม่ผิดมิจฉาวณิชชา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัตว์ถูกคนฆ่า แต่คนเลี่ยงบาลีว่า สัตว์นี้เราไม่ได้ฆ่าเอง เขาเอามาถวายเราก็จะกินได้ เป็นต้น

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการตั้งศพของนายต้น (ชาญวิวัฒน์ พาลี)เป็นหลานสมณะผิว พาลสุริโย ที่เสียชีวิตในร่างสมณะ นี่เป็นหลานท่าน ก็ทำให้ญาติโยมพี่ๆน้องๆที่ไม่ค่อยเข้าวัด แม้เข้าใจ ก็ได้มา อาตมาก็ว่าดี เหตุลากจูงกันมาได้ฟังได้ยินบ้าง เรียกว่า ได้สดับ เป็นบุคคลผู้ได้สดับนี้ก็ดี

ปุถุชนไม่ได้สดับก็ไม่มีทางได้ละหน่ายคลายเลย คนอยู่ต่างประเทศคนละภาษาห่างไกล ก็น่าเห็นใจ แต่คนอยู่ใกล้ๆแล้วไม่ฟัง ปัดโธ่เอ๋ย มันน่าเคาะ...ไหม?ไม่เอาถ่าน คนที่อยู่ไกลไม่มีโอกาสไม่รู้ข่าวก็แล้วไป แต่นี่อยู่นี่แท้ๆ ใกล้เกลือกิน…(ขี้) ใกล้เกลือไม่กินเกลืออีก แต่ดันไปกินอะไรก็ไม่รู้

มีพี่ชายมากราบเมื่อวาน ว่าเป็นกุศลของเขาที่ได้มาฟังธรรม เป็นเรื่องดี คนเรามันถึงเวลาวาระมีวิบากร่วม สิ่งประเสริฐก็เป็นไป ฟังกันไม่ใช่ง่ายๆ แต่ก็ยาก อาตมาต้องพากเพียร ใครว่าอาตมาเหนื่อยไหม? ปัจฉาฯรู้ว่าอาตมาจะทำอะไรก็รู้หมด แม้จะนอนก็ตาม นี่เก็บไว้หมดนะ อาตมาจะทำอะไร ลุกขึ้นมากลัวจะลืมก็โน้ตไว้ ท่านนี้ก็รู้ไวนะ อาตมาเปิดไฟ ตะเกียงโซล่าเซลล์มาเขียน ท่านก็มาละ ถ่ายรูป … เก็บไว้หมด คือเห็นว่า มันก็มองไปในแนวลึกก็ดี ก็น่าสนใจ ไม่ใช่มาทำชั่ว เป็นกรรมดี พฤติกรรมดี เอาไว้ดูกันก็ดี

มาดู sms เมื่อวานนี้วันที่ 5

SMS 5 September

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะ กายปัสสัทธิการสงบระงับของกายคือรูปกับนามรู้ทุกการกระทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม!เป็นกายปาคุญตา!ทำการงานอันควรที่สุดเป็นกายกัมมัญญตาธ.2!สาธุ

ตอบ...คุณทำกายปัสสัทธิได้ คือทำความสงบได้ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แต่ไม่ได้ว่าต้องนั่งแข็งทื่ออย่างเดียวนะรวมหมดเลย แต่จะเกิดกายปาคุญญตา แคล่วคล่องทั้งข้างนอกและข้างใน คือความคล่องแคล่วของ เวทนา สัญญา สังขาร มีจิตวิญญาณเป็นมุทุภูตธาตุ ปราดเปรียว  ไม่ใช่ยิ่งเฉื่อยชา ยิ่งนิ่ง ยิ่งแข็งทื่อ แต่มีตัวมโนเป็นประธาน ทำการงานอันควรที่สุด เป็นกายปาคุญญตา

เมื่อมีกายปัสสัทธิ จิตก็เป็นกายปาคุญญตา ก็ทำกายกัมมัญญตา ทำการงานง่ายปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่อืดช้าเลย

_0893867xxx รักพ่อหลวงฯร่วมสร้างปรัชญาพอเพียงเสริมธรรมาธิปไตยให้ประชาธิปไตรไทยเจริญด้วยคุณธรรมตามรอยพระแม่ ฯคู่หทัยรักษ์แผ่นดินฯลูกไทยใจภักดิ์!

_0893867xxx ผู้น้อยศรัทธาพ่อครูก็ตรงถามตอบทุกประเด็นตอบตรงตามความเป็นจริง!รู้ก็ว่ารู้ไม่ รู้ก็ว่าไม่รู้!ไม่เคยอวดรู้ดังวลีโลกว่า ความโอ้อวดเป็นแม่ของความโกหกทั้งหลาย หาไม่ยากในวงการเมืองน้ำเน่ายุคเก่า!กบที่เคยถูกต้มยำ!

ตอบ...ประชาธิปไตยต้องไม่หาเสียง ตอนนี้พรรคประชาชนปฏิรูปของคุณไพบูลย์ประกาศแล้วว่า การเมืองต้องไม่หาเสียง คุณไพบูลย์นี้เอาไปทำก่อนเลย ของเรามีแต่ไม่ได้ออกไป การหาเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตย  อาตมาพูดตั้งแต่แรกๆ คุณจำลองก็งงๆว่า ไม่หาเสียงจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร เขาก็หาเสียงกันทั้งโลก ยิ่งอเมริกา น้ำเน่าที่สุดเป็นประชาธิปไตยขาเดียว พลางหลอกคน มีนายทุนใหญ่สุดที่อเมริกา ซับซ้อนมากที่สุด มีแต่เลห์เหลี่ยม ประชาธิปไตยขาเดียวจึงแย่กว่าอังกฤษ ทั้งที่แยกจากอังกฤษ

_0893867xxx ภาวนาปธานในปธาน4เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้นที่พ่อครูบอกมาจากพระตปฎ.21/14ไม่ตรงกับภาวนาปธานในสัมมัปปธาน4เพียรทำให้บุญใหม่เกิดขึ้นจากพระตปฎ.21/13จริงด้วย

ตอบ...ดีแล้ว

_0849680xxx ศรัทธาขาดปัญญา :ไม่รู้ชัดสัจธรรม หลงตามหลงบำเพ็ญ ศรัทธาหลงผิด : หวังอภินิหาริย์บันดาลให้วาดภาพเพ้อฝันอยากเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ศรัทธากระจ่าง : รู้หลักการถูกต้องเหตุผลชัดเจน

_0810971xxx กราบนมัสการเจ้าค่ะ เรียนถามเจ้าค่ะ ไม่กินเนื้อสัตว์ อาริยะระดับไหน

ตอบ....ตัดสินไม่ง่าย คนไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะบอกว่าได้อะไรเยอะเลย ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างพวกจีนกินเจไม่กินเนื้อสัตว์ อินเดียก็ไม่กินเนื้อสัตว์เยอะแยะ มาเป็นพันๆปี ก็ไม่ได้เป็นอาริยะหรอก ถามว่าไม่กินเนื้อสัตว์จะเป็นอาริยะระดับไหน?ตัดสินไม่ง่าย ต้องใช้ปัญญาอาริยะไข ตัดสิน

ระดับมีปัญญาเข้าใจว่ากินเนื้อสัตว์เป็นบาป บาปคือเวรภัย ผูกพัน ใช้หนี้บาปไม่รู้จบ จบถ้าคุณหลุดพ้นมาโลกุตระก็จบ แต่ถ้าไม่มีโลกุตระก็ใช้หนี้เวรกรรมไปไม่รู้กี่ล้านชาติ แล้วคิดดูสิว่าวันหนึ่งกินเนื้อสัตว์กี่ตัว

ถ้าเข้าใจวิบากที่จะทดแทนกันไปเรื่อยๆ อันเป็นเวรภัยก่อทุกข์โทษที่เป็นเรื่องพยาบาท กินกัน เป็นเวรติดต่อไป แต่ที่สำคัญคือ คุณไปติดยึดเนื้อสัตว์ นี่คือตัวกิเลสแท้ ถ้าจิตมีปัญญา

1.รู้บาป

2.มีปัญญา รู้หน่ายคลายจริงๆ นี่จึงนับเป็นอาริยะ วิราคะไปเรื่อยๆ เริ่มจากภายนอกว่าไม่เอาจริงๆ คนมีบารมีบางคนไม่เอา กินก็อ้วกเลย ไม่ได้เขาไม่เอา คือบารมีประจำตัวเขามา เมื่อได้ภายนอกแล้วก็ได้ภายในก็สูงขึ้น เหลือเชื้อภายในบ้างก็เป็นอาริยะ ภายนอกไม่เอาจริงๆก็เป็นอาริยะระดับหนึ่ง คุณต้องมีปัญญาตัดสินว่าไม่เอาจริงๆ แม้จะเป็นอนาคามี ใจระริกระรี้ แต่ไม่กินแน่ คืออนาคามี ยิ่งหมดรูปราคะ อรูปราคะ ก็จริงที่สุด ต้องเอาปรมัตถสัจจะมาตัดสิน ว่าจะเป็นอาริยะหรือไม่ จะตัดสินทื่อๆไม่ได้

 

_0805925xxx ที่พระตกนรกลึกกว่าโยมเพราะศีลพระสองสองเจ็ดโยม5ใช่ป่ะพ่อ?ปลายฝน

ตอบ...พระมีวินัย 227 ข้อ แต่ศีลของพระก็อีกอย่าง แต่ทุกวันนี้ คนเขาไม่เข้าใจว่าศีลพระคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล รวม 43 ข้อ แต่ทุกวันนี้เข้าใจว่า พระมีศีล 227 ข้อนั่นไม่ใช่

จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 และมหาศีล 7 ข้อ แต่ทุกวันนี้พระไม่ปฏิบัติศีล ก็เลย เดรัจฉานวิชชาเต็มบ้านเมืองเลย แต่ทุกวันนี้ดีขึ้น อาตมาพูดนี้ ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกยืนยัน อาตมาตายไปนานแล้ว

ที่ถามมาก็พระถือวินัย 227 แต่โยมถือศีล 5

_0849108xxx ชอบดูภาพอสุภะดูแล้วเห็นกายนี้แค่อาศัยสร้างบารมีแต่คนคิดไม่เป็นบารมีธรรมต่างกันแมนเด้@ปลายฝน

ตอบ...อันนี้ดีมากเลย

_0805925xxx นิพพานคือสภาวะธรรมที่ปลดแอกจิตใจแห่งกิเลสนู๋เข้าใจยังนั้น?ปลายฝน

ตอบ...ถูกแล้ว คนนี้ก็ศรัทธาดี แต่เชิงฉลาดหวือหวาเกิน เจโตยังไม่ค่อยแข็ง ไปเรื่อย

_0833208xxx ธรรมะแท้แปรเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ บังเกิดปัญญาธรรมวิมุติทางตรง อย่ามัวหลงติดรูปลักษณ์อันจอมปลอม ลาภยศชื่อเสียงผลัดกันชมเวียนหมุนชมไปมาไม่เคยนิ่ง เกิดดับต่อชีวิตต่อสรรพสิ่งต่อความจริงที่ต้องรู้"สัจธรรม"เจริญตามปฏิปทาคุณธรรมอย่ายึดในบุคคลจะหลงนา จงยึดหลักธรรมะหลักเที่ยงตรง

_0805925xxx ระดับละกามราคะจะไม่ยึดติดในสิ่งใดๆแม้นแต่กามคุณจะหน่ายเสพเห็นภัย

 

_คำถามจากคุณ Tuk Sirima

กราบนมัสการค่ะ ขอโอกาสกราบเรียนพ่อครูกรุณาอธิบาย"ชีวิตรูป" หรือ"ชีวิตินทรีย์" ใน"รูป 28" กราบขอบพระคุณค่ะ

ในรูป 28 มีมหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ที่แยกง่ายว่าไม่ใช่กาย พอมีปสาทรูป โคจรรูปทำงานร่วมกัน เกิดภาวรูป ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 สองอันนี้ ถ้าไม่ทำงานเลยไม่มีอะไรเกิดให้ศึกษาเลย ต้องมีประสาทได้ทำงานสัมผัส แต่ถ้าเกิดแล้วคุณไม่ได้ต่อไม่ได้รับรู้ก็ไม่เกิดอะไร สังขารคือภาวรูป ในสังขารนั้นมีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เป็นภาวะสองแล้วมีเราเป็นอีกหนึ่งเป็นสามเส้า

ตอนแรกจะมี ish คือ i she he มีสามเกิด ก็พิจารณาภาวะสองนี้ ภาวะของอิตถีภาวะแล้วทำให้เป็นปุริสภาวะให้ได้ ก็เริ่มพิจารณาจับสภาวะได้ เป็นหทยรูป แล้วตรวจสอบว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เป็นชีวิตของจิตเจตสิก เป็นรูปที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องมีสัญญาปัญญาเข้าไปกำหนดรู้ภาวะนั้นว่า อาการนี้มีชีวิต เป็นชีวิตรูป แล้วมันมีสังขาร สังขารนี้จะมีกิเลสอยู่ตอนแรก เราก็ต้องแยกเอากิเลสให้ชัด เราได้ตัวจริงของโจรก็ปหานตัวนี้

ชีวิตรูปตัวนี้คือพลังงานของกิเลสที่เราต้องฆ่าต้องดับให้สิ้น ดับสิ้นก็เหลือแต่ชีวิตของผู้บรรลุธรรมเป็นปุริสภาวะ การเป็นนิพพานหรือนิโรธของพระพุทธเจ้าไม่ใช่นิโรธอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั่งสะกดจิตดับอย่างเดียว ไม่มีการวิจัยเลย จึงปิดประตูนิพพานให้แก่ตัวเอง

การนั่งหลับตาเป็นการปิดประตูนิพพาน อาตมาจะต้องพูดไปถึงอายุ 151 ปีเลย

สมาธิของพุทธจะต้องเป็น supra concentrationเลย แต่เดี๋ยวนี้มันหายกลายเป็นสมาธิฤาษีสมาธิสามัญไปหมดเลย อย่างนั้นมันคือ meditation เป็นสมาธิแบบ general ทั่วไป แต่ของพระพุทธเจ้าเป็น special สมาธิเป็นพิเศษ มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น เป็นsupra concentration ไม่ใช่ meditation

ชีวิตรูปจะบริบูรณ์ต้องมีตัวปฏิบัติ คืออาหารรูป ในอาหารรูปก็ไล่ไปตั้งแต่กวฬิงการาหาร อาหารคือเครื่องอุปโภค บริโภค เป็นตัวนำ ไม่ใช่แค่ของกินนะ แต่ทั้งใช้ด้วย ทรัพย์ศฤงคารข้าวของใช้ด้วย

อาหาร 2 ย่อมเกิดจาก 1.กาม 2.ผัสสะ 3.มโนสัญเจตนา 4.วิญญาณ คือนามรูป

ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วเรียนรู้ในสิ่งที่อุปโภคและบริโภค ว่าเป็นมโนสัญเจตนาที่มีกามตัณหา หรือภวตัณหา หรือไม่ก็ล้างตั้งแต่กามตัณหา แล้วล้างภวตัณหาอีกจนหมด สุดท้ายเหลือแต่วิภวตัณหา

อาตมาบอกว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหา คนก็จะเอาอาตมาตาย ท่านทำงานด้วยเจตนาเป็นมโนสัญเจตนา ไม่ได้มีความอยาก ท่านมีแต่วิภวตัณหา คือตัณหาที่ไม่มีภพ เป็นภพพิเศษภพอาศัยเท่าที่มีขันธ์ 5 ทำงานแก่โลก รักษาอัตภาพไว้

คนจะไม่เข้าใจได้ง่ายๆ

เมื่อสามารถ อาหารรูปเป็นเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติธรรมก็ทำไปตามแต่ละกรอบแต่ละปริเฉทแต่ละบริบทที่กำหนดไว้ หรือแต่ละ concept ก็ได้

เช่นเราเอาแค่กรอบศีล 5 ก่อน หรือว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราต้องกำหนดเอาเอง เมื่อได้ก็จบปริเฉทรูป นอกนั้นก็เป็นวิญญัติรูป 2 วิการรูป 5  อาศัยลักขณรูป อีก 4

ในรูป 25 มีกายตั้งแต่ปสาทรูปกับโคจรรูป มีภาวรูปก็มีกายแล้ว แต่คุณต้องทำอิตถีภาวะออก ให้เหลือแต่ปุริสภาวะให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ แล้วทำที่อาหารรูป หทยรูป แต่ละปริเฉทรูป แล้วมีวิญญัติรูปและวิการรูป ตัวสุดท้ายคือ ลักขณรูป อีก 4 ที่จะต้องมีการเกิดคืออุปจยะ แล้วคุณจะต่อหรือไม่ต่อก็เป็นสันตติ แต่แม้จะต่อหรือให้เกิดอย่างไร ลงท้ายต้องชรตา และอนิจจตาไม่มีอื่นเลย สภาวะของลักขณรูปทั้ง 4 คือนามธรรม ต้องเป็นรูป คือสิ่งที่ถูกรู้ แต่เป็นรูปที่เป็นนามธรรม คือนามรูป มีลักษณะว่าอย่างนี้คืออุปจยะ อย่างนี้คือสันตติ คือชรตา คืออนิจจตา

รูป 28 ที่อาตมาอธิบาย พวกเรารับพอได้แล้ว แต่พวกอภิธรรมที่หลงบัญญัติไปก็น่าสงสาร ผู้ใดเข้าใจแล้วมาเลื่อนฐานะปฏิบัติตามลำดับก็ดี แต่ถ้าคุณไม่รู้รูป แต่ไปเอานามเลยมันละเอียดเกิน มันข้ามขั้นตอน คุณยังมีอบายมุขสิ่งเสพติดอยู่แล้วเป็นกามภพแล้วจะไปทำในรูปภพ อรูปภพ ก็ทำไม่ได้หรอก ไม่เป็นลำดับ ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการศึกษานะ

อย่างท่านอาจารย์มหาบัวนี้ ยังเคี้ยวหมากจับๆๆอยู่แล้ว แล้วไม่รู้ว่านี่คือสิ่งเสพติดหยาบๆก็ไม่รู้ว่าคืออบายขั้นต้นที่ควรเลิกก่อนแล้ว ไปหลงกันว่าเป็นพระอรหันต์ ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ท่าน แต่ก็ไม่มีใครบอกท่าน ที่พูดนี้ก็รู้ว่าคนนับถือกันเยอะ แล้วไม่ได้ฟังสัจธรรม  อบายข้างนอกก็ยังตัดไม่ได้เลย ท่านก็พยายามทำแต่ไม่ได้สุดท้ายก็จนสิ้นชีวิต ท่านมีในปากไม่ขาดเลยนะ เทศน์ไปก็น้ำหมากย้อยไปเรื่อยๆ อาตมาพูดธรรมะ ไม่ได้เจตนานินทาว่าร้ายผู้ใด ไม่มีเจตนาลามกเช่นนั้น

 

เมื่อวานพูดถึงกาย เอาพระไตรฯล.16 ข.237 อัสสุตวตาสูตรที่ 2

[237] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมใส่ใจด้วยดีโดยแยบคายถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนาจึงเกิดสุขเวทนา เพราะผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนานั้นดับไป สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนา จึงดับ จึงสงบไป เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา จึงเกิดทุกขเวทนาขึ้น เพราะผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนานั้นดับไป ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนานั้น จึงดับ จึงสงบไป เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งเวทนาที่ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ จึงเกิดอทุกขมสุขเวทนาขึ้น เพราะผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นดับไป อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้น จึงดับ จึงสงบไป ฯ

สูตรนี้ท่านเน้นที่ปฏิบัติต้องมีผัสสะ จึงมีเวทนาให้ปฏิบัติ

สุขนั้นมีคู่กับทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ก็หมดไป สุขก็หมดไปด้วย เป็นธรรมะสองที่ไปด้วยกัน ต้องดับจึงจะเหลือหนึ่ง หนึ่งนั้นคืออยู่กับภาวะ 0 นับหนึ่งนั้นคือความมีแต่ความมีนั้นมันคือความไม่มี ในพระไตรฯล.16 ข.43 ว่าคนเราอยู่กับความมีและความไม่มี เหมือนกับบอกว่าพระอรหันต์มีสวรรค์ไหม คือท่านไม่มี แต่ท่านก็มี เหมือนกับปุญญปาปปริกขีโณ คืออรหันต์ ไม่มีบุญ ไม่มีบาป

สังคมศาสนาพุทธเอาบุญมาหลอกกัน บุญคือปหาน 5 คือธรรมาวุธหากทำปหาน 5 ได้หมดก็จบ ไม่ต้องใช้อีก อรหันต์คือคนสิ้นบุญ

เรามาทวนกับอัสสุตวตาสูตรที่ 1 ข้อ 231

 

(231) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้างสามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ

แต่ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ฯ

(232) ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ”

ข้อ 230 กับข้อ 231 นั้น จับสาระได้จากคำสำคัญแรกก็คือ “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”

ความว่า“ปุถุชนผู้มิได้สดับ”แค่นี้แหละ มีความสำคัญยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับความเป็นคนทั้งหลาย แต่คนก็ไม่ได้ฉุกคิดกันเลย

นั่นก็คือ คนชาติใดนับถือศาสนาไหนก็ตามที่ยังเป็นปุถุชน ถ้าแม้น“มิได้สดับ” ก็คือ ถึงแม้ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังคำความที่เป็น “พระธรรม”คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เถอะความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของ“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ มันก็มีปรากฏให้ใครๆเห็นอยู่  จึงเห็นได้ง่าย

คำว่า“ร่างกาย”ในพระไตรปิฎกนี้ บาลีคือ“กาย”ไม่มีคำว่า“ร่าง” แต่ท่านผู้แปลใส่คำว่า“ร่าง”เข้าไปด้วย โดยให้หมายถึงส่วนที่อยู่ภายนอก และเป็นส่วนหยาบใหญ่ของ “กาย” เป็นภาวะ“ถูกรู้”นั้นคือ “รูป”ที่จึงเห็นได้ง่าย ในความเป็น“กาย”(ธรรมะ 2)

ส่วนที่เป็น“ภายในและละเอียดนั้นคือ “จิต-มโน-วิญญาณ” ซึ่งจะเรียนรู้และรู้จักได้ยากกว่า ในความเป็น“กาย”(ธรรมะ 2)

“กาย”คือ “องค์ประชุมของรูปกับนาม” จึงมีทั้งส่วนภายนอก และส่วนภายใน

เพราะ“กาย”นั้น มีทั้งภายนอกคือ “ดินน้ำไฟลม”ที่ประชุมกันอยู่ร่วมกับภายในคือ“จิต-มโน-วิญญาณ” เป็น“ธรรมะ 2”

ซึ่งคำว่า“กาย”นั้น คือ “ธรรมะ 2” ที่มี“รูปกับนาม”เสมอ ได้แก่ “รูปภายนอกบ้าง-รูปภายในบ้าง” ในภาวะที่“ถูกรู้”ก็เป็น“รูป” กับ ที่เป็นภาวะ“นาม” ได้แก่ “จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” นามนี้เป็น“ธาตุรู้” ซึ่ง“จิตก็ดี-มโนก็ดี-วิญญาณก็ดี”เป็นได้ทั้งในภาวะของ“รูป”และภาวะของ“นาม” แต่“ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม”เป็นต้นนั้น เป็น“นาม”ไม่ได้จึงมี“รูปภายนอกบ้าง-รูปภายในบ้าง”

โดยเฉพาะ“นาม”ที่เป็น“ผู้ทำหน้าที่รู้” ซึ่งจะต้อง“กำหนดรู้”ทั้ง“กายภายนอก และกายภายใน” ทั้ง“เวทนานอกและเวทนาใน” ทั้ง“จิตนอกและจิตใน” ทั้ง“ธรรมนอกและธรรมใน”    

ดังนั้น ความหมายส่วนแรกนี้จึงหมายถึง คนจะพึง..เบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ย่อมได้ ใน“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 (ส่วนนี้คือภายนอก ดินน้ำไฟลม)นี้ แม้ไม่ได้สดับคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะมันหยาบใหญ่ เห็นได้ง่ายดาย ใน“ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี” เพราะมันปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน ไม่ยากเท่าความเป็น“กาย”ที่หมายเอา“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง”  

ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้ามุ่งหมายเอา“กาย”ที่หมายเอา “จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง”  พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”(คำสอนของพระพุทธเจ้า) ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

เพราะ“จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง”นั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา จึงไม่อาจเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หลุดพ้น“ส่วนที่เป็น“จิต-มโน-วิญญาณ”นี้ได้เลย

และในข้อ 231 นั้นพระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นชัดขึ้นอีกว่า “ปุถุชนจะพึงเข้าไปยึดถือเอา“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4” โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่”

นั่นก็เพราะ“ร่างกายภายนอก”นั้นมีดิน

น้ำไฟลมประชุมกันอยู่เป็นของหยาบ  เมื่อมันดำรงอยู่เป็น“ร่างกายของคน” มันก็อยู่เป็นแท่งเป็นก้อนให้เห็นได้อยู่นาน เป็นปีๆ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง...สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ไปจนถึง แปดสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง(ถ้าใครอยู่ถึง) จึงปรากฏเห็นได้ชัดกว่ามาก

กายกับอัตตา...คุณว่าอันไหนใหญ่หยาบกว่ากัน …

กายนี่หยาบกว่าอัตตา อัตตานี่ซ้อนอยู่ในกายอีกที คนจะเรียนรู้อัตตาตัวแรกต้องเรียนรู้สักกายะ ตัวหยาบก่อน

อัตตาก็แยกอีก 3 คือ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

 

แต่ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงหมายเอาความเป็น“กาย”นี้ที่เป็นส่วนของ“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” นี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้ชัด ลองอ่านทวนดูดีๆสิ

“ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ฯ

(232) ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ”

“จิต” ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป มันเกิด-ดับ เกิด-ดับ ไม่ตั้งอยู่เป็นก้อนเป็นแท่งให้เห็นเหมือนแท่งก้อนของดินน้ำลมไฟ  จิตเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่ตลอดอย่างนั้น ไม่ว่ากลางคืน หรือกลางวัน มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น

เหมือน“วานร(ลิง)เมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป”

เกิด-ดับ เกิด-ดับต่อเนื่องกันอยู่อย่างนั้น เหมือนลิงกระโดดไปกิ่งนั้น กระโดดไปกิ่งนี้ เป็นไปอย่างนั้นไม่หยุดหย่อน ฉันใด ก็ฉันนั้น

ชัดเจนดีมั้ย?

พระพุทธเจ้าจึงตรัสยืนยันว่า

“(233)ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)ด้วยดี ถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ฯลฯ (ต่อเนื่องกันไปอย่างนั้น เช่นกัน)

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ   

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

อนึ่ง เพราะอวิชชาดับ ด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังชารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ  ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ”

(234) ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้...(คำว่าพิจารณานี่ต้องมีจิตวิเคราะห์ มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีปหาน 5 ปหานได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าได้ส่วนบุญ คือองค์ธรรมของ ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ องค์แห่งมรรค เมื่อรู้กิเลสก็ปหานกิเลสปหานได้ส่วนหนึ่งก็เรียกว่าส่วนแห่งบุญก็เป็นปัญญา ปหานได้เพิ่มขึ้นอีก เป็นเสขบุคคล ส่วนบุญคือปหานได้ แต่ไม่ใช่ได้อะไรนะ บุญมีแต่วิบัติไม่ใช่สมบัติ  บุญทำได้ผลเมื่อไหร่มีแต่สิ่งหายไปไม่มีสิ่งได้มา การเอาบุญไปแบ่งให้กันนี่ทำให้ศาสนาพุทธฉิบหาย

บุญคือปหาน 5

1.      วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

เมื่อได้ส่วนบุญคือปุญญภาคิยา คือเสขบุคคล จนปหานได้เสร็จไม่เหลือส่วนกิเลสเลย บุญก็หมดหน้าที่ บุญก็ไม่ต้องทำงาน ผู้ปฏิบัติก็หมดส่วนแห่งบุญ เมื่อปหานกิเลสเสร็จจบกิจแล้วไม่ต้องทำอีก อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ))

อ่านต่อ...ดูกรอาริยสาวกมิได้สดับ ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ  เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมทราบชัดว่า“ชาติ”สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ดังนี้แล ฯ”

ขออธิบายแทรกว่าเพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงรู้จักจิต จิตส่วนไหนดับได้ ส่วนไหนให้มีต่อ จึงรู้ว่าอะไรมีอะไรไม่มี ตอนแรกเอาพระไตรปิฎก ล.6 ข.43 มาอ่านให้ฟัง…

...พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

ที่ไม่ให้มีคือกิเลส กิเลสไม่มีอีกเลย พระโพธิสัตว์จึงรู้ความมีหรือไม่มีของอัตภาพได้

ในพระไตรปิฎก แปลโยนิโสมนสิการ ความว่า “ใส่ใจโดยแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)ด้วยดี ถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้น”

“ใส่ใจโดยแยบคาย”นี้นั้น บาลีท่านว่า “โยนิโสมนสิการ” แล้วหมายถึง“การใส่ใจ”

คือ“เอาใจใส่ใจของตน”เท่านั้นไม่พอ ต้องมี“ธรรมวิจัย” แยกแยะ“อาการ”ต่างๆของใจ กันจริงๆ แล้วจัดการกับ“ใจตน” 

“ทำใจในใจโดยแยบคายด้วยดี”ทำให้ได้ ซึ่งเมื่อแยบคายถ่องแท้ถูกตรงแล้ว ดีจริงก็จะเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทธรรมที่เป็น“ปัจจยาการ”ปฏิกิริยาลูกโซ่ ไปเป็นลำดับจริงๆ กับความเป็น“กาย”-ความเป็น“จิต” อันเป็น“ธรรม 2”ของเรา สลับกันไปสลับกันมา จะตรงกับความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจริงๆ และจะเป็นไปตามที่ตรัสไว้ในเล่ม 10 ข้อ 60 อย่างชัดแจ๋ว แจ่มแจ้งอีกจริงๆ

“(60) ดูกรอานนท์ ธรรมะทั้งสอง เหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ

ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้  เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ (พระอานนท์ทูลตอบ)

เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะ นั่งเอง ฯ

ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้

????????????? 

(จะเอาเล่ม 16 ต่อ จากข้อ 233)   ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิตอุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

พ่อครูว่า...ก็ถ้าเผื่อว่าคุณยังไม่เคยสัมผัส นามธรรมคุณยังไม่มีเลย แล้วคุณจะเอาคำว่าเห็ดตีนแรดมาจากไหน ภาษาอื่นอาจใช้เรียกเห็นเท้าแรดก็แล้วแต่ เป็นอธิวจนะของเขาคุณจะสัมผัสอธิวจนะนี้ได้ที่ไหน? นามต้องมาก่อนอะไรทั้งหมดเลย ถ้ายังไม่เกิดองค์ประชุมของนามธรรมขึ้น

ในสังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นฝ่ายปัญญา ส่วนอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาเป็นฝ่ายเจโต เป็นจิตในจิต กายสังขารมีธรรมะสอง มีรูปกับนาม ในขณะเราทำสังกัปปะ 7 คือมีทั้งปัญญาและเจโต เมื่อทำงานได้เรียบร้อยก็ปรุงแต่งเป็นสังขาร มีปัญญากับเจโต เป็นพ่อกับแม่ มีลูกคลอดออกมาเป็นวจีสังขาร ไม่ออกเป็นวจีกรรมนะ อยู่ในจิต ถ้าเป็นสังขารที่ปัญญา เจโตทำงานร่วมกันสังเคราะห์เป็นสังขารใหม่ แต่ถ้าคุณยังไม่ได้ตั้งชื่อเลย คนอื่นๆก็ไม่ได้รู้ด้วยเลย เป็นของใหม่ไม่ใช่สัญญาเก่า คุณก็ไม่ได้เรียกชื่อ แต่เรียกโดยศัพท์ว่า วจีสังขาร ที่จะออกมาเป็นกายกรรมวจีกรรมได้

วจีสังขารออกมาภายนอกเป็นกายวิญญัติวจีวิญญัติได้ ออกมาเป็นกรรม เป็นต้นธาตุต้นธรรมที่จะมาเป็นวจีกรรมกายกรรม คุณต้องมีภาษาคำพูดตรงนี้ก่อนจึงเป็นวจีกรรมได้ ถ้าไม่มีคำพูดนี้ก็อธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้ มันยังไม่มีชื่อในโลกคุณก็ต้องอธิบายมาก ต้องตั้งชื่อให้ใกล้เคียงกับคำอื่นแล้วอธิบาย อย่างอาตมาทำงานมา 46 ปีตั้งภาษาบาลีไว้สองคำคือชีรานุปาทิ กับชีวานุปาทิ

การจะเกิดรูปกายที่เป็นอธิวจนสัมผัสโส คุณจะสัมผัสภาษาที่เป็นชื่อ มันมีภาษาก็เรียกกำหนดได้ดีกว่า ถ้านามกายไม่เกิดปฏิฆสัมผัสโส อธิวจนสัมผัสโสจะไม่มีได้

วจีสังขารเป็นจิตในจิต ไม่ได้พูดออกมาเป็นวจีกรรม แต่เรารู้ชื่อได้แล้ว เช่นคุณสัมผัส(หยิบลูกน้ำเต้ามา) แต่เราพูดในใจเราว่าลูกน้ำเต้า มีวจีสังขารว่าน้ำเต้า แล้วเราก็พูดออกมาว่าน้ำเต้า ก็เป็นวจีกรรม แต่ถ้าไม่พูดออกมา ก็เป็นวจีสังขาร แต่ถ้ามันยังไม่เคยมีชื่อเลย แต่เรากระทบสัมผัสแล้ว มีวจีสังขารแล้ว ไม่รู้ชื่อ แต่ก็อธิบายไปว่าคือลูกกลมๆมีจุก ก็อธิบายมากหน่อย แต่ถ้าคุณรู้ว่าลูกน้ำเต้าเป็นเช่นนี้ คนนี้ก็อธิบายสีสันรูปร่าง คุณก็จินตนาการตามว่า ใช่ลูกน้ำเต้า ก็พูดเป็นภาษาได้ อย่างนี้เห็ดตีนแรด อย่างนี้แก้วมังกร ถ้าคุณไม่รู้จักชื่อ ไม่มีชื่อเลย ก็ต้องอธิบายลักษณะ แต่คนเขารู้ชื่อก็พอบอกได้ว่า คือชื่ออะไร

นามกายนั้นคืออย่างใด รูปกายคืออย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ     ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

พ่อครูว่า ถ้าคุณไม่สามารถอ่านอาการได้ แล้วจะไปรู้จักปฏิฆสัมผัสโสไม่ได้ ไม่มีทางได้ คุณจะต้องรู้จักอาการ ลิงค ในความต่าง ของอันอื่น  ถ้าเอามาพูด แสดงให้คนอื่นรู้ ถ้าคุณไม่รู้ลิงค ที่ต่าง เพื่อเทียบ โดยเฉพาะคุณยังไม่รู้ชื่อเลย คุณมาพูดให้คนอื่นฟังให้ตายอย่างไร เขาก็ไม่รู้เรื่อง คุณต้องมีข้อเปรียบเทียบกับอันที่ใกล้เคียงกัน หรือต่างกันมาก เช่นดำกับขาว ดำกับเทา เป็นต้น ต้องมีคู่เทียบคือลิงค หรือเพศ

ถ้าไม่มีคู่เทียบก็แยกไม่ออก พูดสื่อกันฟังไม่ค่อยรู้ ตนเองรู้คนเดียวทำได้คนเดียว หรือตนเองแยกไม่ออก เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส แยกตัวรู้นิดหนึ่ง อุทกดาบสแยกได้ แต่อาฬารดาบสแยกไม่ออกก็จบแค่นั้น แต่มีตัวแทรกอยู่นิดๆละเอียดสุดแล้ว เหมือนจะแยกรอยต่อระหว่าง อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม หรือจะแยกอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ หรือแยก ปุงลิงค์ กับอิตถีลิงค์ และนปุงสิกลิงค์

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:51:20 )

590907

รายละเอียด

590907_เทศนางานฌาปนกิจศพ คุณต้น(ชาญวิวัฒน์ พาลี)

เวลา 14.00 น. พ่อครูนำหมู่นักบวช ฆราวาส ญาติธรรมรวมทั้งญาติของคุณต้น(ชาญวิวัฒน์ พาลี) เดินธรรมยาตรานำหน้าศพ เดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 1 กม. ไปสู่เมรุสุดชีวิต

         

เวลา 14.15 น. คุณในน้ำคำอ่านประวัติของคุณต้น(ชาญวิวัฒน์ พาลี) ก่อนที่พ่อครูจะเทศนาธรรม....พ่อครูว่า...ณ เวลานี้ก็เป็นเวลาที่ทุกคนมาที่นี่ ที่นี่ชื่อว่า เฮือนสุดชีวิต ตั้งชื่อไว้ ที่เป็นที่สุดท้ายปลายชีวิตแล้ว โดยเฉพาะสิ้นชีวิตก่อนจะมาที่นี่ด้วยซ้ำก็เป็นที่สุดแห่งชีวิต ทุกคนก็ต้องมาถึงจุดนี้ ไม่มีใครล่วงพ้นได้ ต้องตาย

         

ถ้าเราได้ศึกษา เห็นแจ้งความจริงของชีวิตว่าทุกชีวิตต้องเกิดแก่เจ็บตาย บางคนก็ไม่ถึงเจ็บหรือไม่แก่ อย่างเช่นต้น แค่เกิดมาอายุไม่ถึง 30 ก็ตายก็เป็นธรรมดา เกิดแก่เจ็บตายตามวิบาก หลีกเลี่ยงได้ยาก มีทั้งวิบากเก่าที่ส่งผลถึงชาตินี้ ซึ่งทำให้เราต้องประสพกับวิบากอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่เราไม่ได้เจตนา เราไม่ได้อยากทำ นั่นเป็นวิบากเก่า ส่วนวิบากใหม่นั้นประกอบด้วยเจตนาในปัจจุบัน เราต้องการไปโน่นนี่ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ที่จะเป็นเจตนาเรา นั่นเป็นวิบากใหม่

 

วิบากใหม่และวิบากเก่ามีอิทธิพลกับชีวิตทำให้ชีวิตเราดำเนินไป เรียกว่ากัมมโยนิ เมื่อประสมกันสุดท้ายอาจถึงอุปัทวเหตุ แต่ละคนก็มีลีลาของพลังงาน ที่มีทั้งพลังงานอดีตที่มีผลถึงพลังงานปัจจุบันได้ นั่นเป็นความหมายของศาสนาเทวนิยม พระเจ้ากำหนดให้เป็นก็เป็นจริงส่วนหนึ่ง แต่เราเป็นเจ้าจองจิตวิญญาณ เราสามารถที่จะให้ชีวิตเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แม้จะพลังงานอดีตหรือพระเจ้ามาด้วย แต่เราก็มีสติพิจารณารู้ตัวทั่วพร้อมแล้วเราก็ไม่ทำตามได้

 

ศาสนาพระพุทธเจ้านี้รู้กรรมเก่า แล้วทำกรรมใหม่ทุกปัจจุบันมีการพิจารณาไตร่ตรองเลือกเฟ้นแล้วทำสิ่งที่ดี สิ่งที่เสี่ยงไม่ดีเราก็ไม่ทำ แม้จะฝืน จะมีอำนาจกรรมเก่ามาเราก็ฝืนได้ บางอย่างกรรมเก่ามาก จนฝืนไม่ได้แม้จะมีสติสัมปชัญญะปัญญาก็ฝืนไม่ได้

         

สรุปคือพลังงานที่จะแก้ได้ต้องมีทั้งปัญญาและเจโตที่จะมากพอที่ไม่ให้เราทำกรรมอันไม่ดี ไม่น่าพึงเป็น แก้ไขปรับปรุงได้ ผู้ไม่ศึกษาธรรมะจะไม่มีสติ ไม่สังวรไม่เข้าใจอย่างที่ว่า ไม่สังวรระวังชีวิต ปล่อยให้ชีวิตไปตามกิเลส และกรรมเก่าร่วมกันวิบากเก่าร่วมกัน ถ้ามันเป็นไปในทางเสื่อมเสียและเราก็ไม่มีสติไม่รู้ตัว ไม่ปรับเปลี่ยนให้จิตเราที่มีกิเลสบงการไปในทิศทางไม่ดี ไม่ได้ฝืน ก็เลยเป็นไปใหญ่ ดีไม่ดีมันเป็นอกุศลกรรม แต่ผู้นี้ไปหลงว่าเป็นส่ิงดี เป็นกุศลก็เลยยิ่งเสริมกำลังนั้นแรงยิ่งขึ้นไปสู่ทางไม่ดี เพราะไม่ได้ฝึกสติ ไม่ได้ฝึกกรรมกิริยาที่จะทำต่อไป ต้องสังวรระวังต้องทำกรรมดีอย่าทำกรรมไม่ดี เสี่ยง จึงปล่อยให้ชีวิตประสพสิ่งไม่ดีไม่งามได้ง่าย พลาดพลั้งอย่างที่เห็นมากมาย

 

ส่วนผู้ที่ทำดี แต่วิบากเก่ามีมาก อย่างอาตมาฟังเหตุปัจจัยของต้น รู้สึกว่าจะเป็นกรรมเก่ามากกว่า มีหลายเหตุปัจจัย มีรถใหญ่เสียสองคัน แล้วต้องไปขับรถเล็ก รถเล็กนี้หนังหุ้มเหล็กไม่ใช่เหล็กหุ้มหนังก็เสียชีวิตได้ง่าย ก็มีอาชีพค้าขายก็ต้องทำ ก่อนจะมานี่ เขาก็ติดเครื่องให้สัญญาณ ต้นเขาก็ไม่ได้ยินหรอก แต่ไม่เสียหาย แต่ก็อธิบายความจริง ส่ิงที่เป็นไปได้ก็เป็นไปได้ แต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็มีมากที่หลงผิด อวิชชามิจฉาทิฏฐิเยอะแยะมากมาย

 

เราเป็นชาวพุทธ แต่ชีวิตไม่ได้ใฝ่ธรรมะ เอาชีวิตไปแย่งลาภยศ เพิ่มกิเลสอยากได้อยากมีตลอดชีวิตก็เลยซวยตลอดชีวิต ซ้ำนึกว่าเราจะไปวัดไปวาไปทำกุศลก็ถูกพระหลอกล้วงกระเป๋าอีก ทำทานแล้วได้กิเลสเพิ่ม คนทำทานในศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่ได้ทำทานแล้วมีผลลดกิเลส แต่ทำทานแล้วมีแต่ได้ภพชาติได้กิเลสเพิ่ม พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าทำทานต้องลดภพ ล.23 ข.49 ทานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าทำทานต้องทำใจให้ตัดภพ

 

ตัดภพคืออย่าสร้างวิมานอย่าสร้างสวรรค์ไม่ให้มีภพชาติ ถึงเป็นทานที่มีผล อัตถิทินนังแต่ทุกวันนี้พระเจ้าไม่รู้เรื่องสอนทำทานแล้วสร้างภพสวรรค์ ไม่ได้ทำบุญ บุญคือการทำที่ตัดภพตัดชาติ การทำทานแล้วหวังจะได้สวรรค์ก็คือสร้างภพชาติ ถ้าทำทานจะได้กุศลคือสิ่งดีงามแต่ทำบุญต้องตัดภพตัดชาติ ทุกวันนี้ทำบุญไม่เป็น บุญไม่มีอะไรจะได้มาก เป็นวินาศ วิบัติ ทำบุญได้สมบูรณ์ก็เป็นผู้หมดบุญหมดบาป สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญปาปปริกขีโณ เป็นพระอรหันต์ ท่านไม่ทำบาป ทำแต่กุศล

 

ชีวิตที่เหลือของผู้มีชีวิตให้ใฝ่ศึกษาธรรมะให้ดี ไม่เช่นนั้นจะมีวิบากทับถมไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าแก้ไขชีวิตตั้งแต่วันนี้ ศึกษาปฏิบัติธรรมก่อนจะตายเหมือนต้น เราจะได้มีชีวิตที่ไม่โมฆะไม่สูญเปล่า เปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตให้เจริญไปสู่ภพหน้าที่ดีกว่านี้......

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:52:10 )

590907

รายละเอียด

590907_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำทานอย่างไรไม่เวียนกลับ

พ่อครูอธิบายถึง อาคามี คือผู้กลับมา แล้วท่านก็อธิบายว่า เมื่อสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ มีอาการจิตเช่นนี้เมื่อตั้งจิตแบบนั้น จะตั้งจิตแบบที่เป็นผู้ทำทานแล้วมีจิต หวัง ทั้งหวัง ทั้งจิตปฏิพัทธ หรือตายไปจะได้เสวยผล จิตตั้งแบบนี้จะมีพลังความเป็นใหญ่ในตน ทำแล้วมีผล มีกรรมที่เป็นอำนาจ มีฤทธิ์มียศในกรรมที่ทำทานนี้ ก็คือจิตของตัวเรานั่นเอง ทำทานแล้วรู้สึกว่าเราได้ จะได้ในใจเรา ก็ตาม หรือจะได้เพราะองค์ประกอบเขาทำให้เราได้เป็นทายก เป็น ทายิกา เป็นผู้ได้หน้าตา นั้นตนเองก็มีความรู้สึกเองทั้งนั้นในกรรมอันดีนี้

นอกจากจะนึกว่ากรรมอันดีนี้ ตนเองยังปฏิพัทธ ยังสั่งสม ยังอยากได้เสวยผลในชาติหน้าอีกเป็นตัวตนของกู ผูกพันสั่งสมเป็นของตัวของตนขนาดตายไปก็ยังไม่ทิ้ง กี่ภพชาติก็จะเอาเป็นของกู จิตสร้างภพชาติ ตั้งแต่คิดหวังนิดนึงก็ตาม พพจ.ท่านให้ไม่หวังเลย ทานคือให้ก็จบ แต่นี่ให้แล้ว ฉันจะต้องมีอะไรอีก?

ในประเด็นแรก พระพุทธท่านตรัสว่า จิตเป็นภพชาติทั้งนี่ประเด็น คนๆนี้ชื่อว่าจตุมหาราช ใส่ยศว่าเป็นเทวดาด้วย เทวดาคือผู้เจริญ

คนเจริญทางโลกีย์คือคนรวย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข คนผู้นี้มีจิตผูกพันว่า ฉันได้ทำอะไรได้ทานอะไรให้ใครคนอื่น ยกตัวอย่างให้วัตถุ อุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ แก่ผู้ควรให้เป็นปฏิคาหก เราเป็นทายก เสร็จแล้วก็ตั้งจิตครบเครื่องเลย ผู้นี้ ชื่อโดยภาษา จาตุมหาราช การพูดที่เขายกย่องว่าได้พร้อมทั้งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

คนเราเมื่อเวลาทำทานกับสมณะพราหมณ์แล้ว ตนเองก็ไปทำงาน จิตของตนเองก็ว่าทำทาน เรามีกรรมเราไปทำทาน กรรมของเราก็จะต้องมีฤทธิ์มียศ กรรมของเรานะมีอำนาจ เราทำทานนะ มันใหญ่กว่าทำทานด้วยไม่ตั้งความหวังว่าเราต้องมียศมีอำนาจ ไม่ต้องตั้งว่าเราจะเป็นใหญ่ แต่เทวดาจตุมหาราช คือจิตวิญญาณที่ถือว่าตัวเองเป็นใหญ่นะ

คำว่าจตุมหาราช เป็นภาษาที่เรียกจิตวิญญาณของคน ที่เรียกกันมานานมาก พระพุทธเจ้าก็เอาของเก่ามาเรียกอธิบายต่อ

ได้มาก็ด้วยกรรมอันคือทาน ได้มาด้วย กรรม ฤทธิ์ ยศ ความเป็นใหญ่ แต่เมื่อผลทานนี้ สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือคุณจะกลับมาเป็นคนที่หมดคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์ ยศ ความเป็นใหญ่อำนาจต่างๆ

มีฤทธิ์คือ ยกตัวอย่างรูปธรรม เช่นคุณไปทำทาน ถวายเงินแก่พระเจ้าอยู่หัว คุณได้เป็นคุณหญิง คุณไปทูลเกล้าถวายมากๆก็ได้ คุณไปทำทานกับใครก็แล้วแต่ อย่างถวายเงินในหลวงก็ได้รับตอบแทนเป็นฤทธิ์ ยศ อำนาจ มาตอบแทน

จะทำทานกับใครก็แล้วแต่ แต่อันนี้ถ้ามาทำทานกับสมณะ อย่างทำทานกับอาตมา แล้วอาตมาก็ไม่มีแม้คำสวดให้พร ไม่มีอะไรให้เลยก็เลยยกตัวอย่างยาก แต่ทางโลกเขาให้นะ ทางวัดวาพระเจ้าบางทีมีพระเครื่องให้บ้างเป็นต้น นั่นคือรูปวัตถุ ตอบแทน ยิ่งมีการให้และการตอบรับ มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์ใจในการเกื้อกูลช่วยเหลือสละหรือให้แก่ใครๆ มันไม่ใช่ความสะอาดของจิต แต่คุณให้เพื่อที่จะรับ คุณให้เพื่อที่จะเอา  ตั้งแต่ตั้งความหวัง ก็ยังยึดว่ากรรมของฉันมี แม้ให้น้อยก็ยังยึดว่าตนเองให้ตั้งมาก

อาตมาเคยเขียนคำร้อยกรอง….เพลงอาริยะ เงินบาทหนึ่งของเศรษฐีกับเงินบาทหนึ่งของกระยาจกนั้นค่าต่างกันเพราะว่าจิตของคนมันต่างกัน

สมมุติว่าเศรษฐีใหญ่ทำทานร้อยล้านกับสมณะนี้ แต่เขามีเป็นหมื่นล้าน

กับคนจนๆคนหนึ่งวันๆมีเงินร้อยบาทก็ดีแล้ว เขาก็ยังไปทำทานสิบบาท ยี่สิบบาท

ค่าของเงินของคนจน เขามีร้อยบาทก็เจียดไปทำทานนั่น ค่ามันสูงกว่าเงินของเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน

คนที่ทำทานโดยไปคิดค่าของตนเอง ตั้งค่าของตน เช่นเศรษฐีตั้งค่าว่าเราทำทานเป็นล้าน อาตมาว่าค่าของท่านเศรษฐีมีพันล้านกับคนจนที่เขามีเงินน้อยกว่ามากนี้มีค่ามากกว่า

แต่จะกระยาจกหรือเศรษฐี ถ้าทำทานแล้วมีจิตหวัง หรือจิตว่าฉันได้ทำทานแล้วได้ให้เขาแล้วนะ ยกตัวอย่างไปทำทานกับพระนี้แล้วจะได้รวยตอบแทน เช่นทำทานกับธัมมชโยเป็นต้น ใช้จิตวิทยาครอบงำคน

คนทั้งหลายที่มีสิทธิ์ที่จะไปทำทานแล้วหวังว่าจะได้มากๆ  มหัปปิจฉะเป็นคนมักมาก ผู้ใดไปทำทานแล้วหวังได้กลับมามากๆคือจิต จตุมหาราช

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

จะได้อะไรตอบแทนมามากๆเป็นเรื่องสุดยอด มีภพมีชาติมากมายมหาศาล

ทีนี้ การสอน ทั่วไปแม้แต่ธัมมชโยด้วย ไม่เคยสอนให้ลดภพชาติ ตั้งแต่ไม่ต้องสร้างความหวัง หรือ

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

เขาไม่ได้สอนเลย อาตมาว่าส่วนใหญ่เกือบหมดเลย ทั้งที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกว่าให้ลดนะ อย่าไปตั้งจิตหวังอะไรเลย เพียงแต่ว่าทานนี้มันดี อย่างนี้ยังได้เป็นดาวดึงส์ จิตยังดี แต่นี่ไม่หยุด

เมื่อไม่หยุดขอยืนยันว่า จตุมหาราชนี้คือสัตว์นรก อวิชชา จะให้แท้ๆกลับทำจิตสร้างภพสร้างชาติ การให้ที่แท้คือ ต้องลดภพลดชาติ การให้นี่คือขาว แต่คุณให้นี่กลับไปสร้างดำ คุณทำใจในใจ (มนสิการ) แบบนี้เลย มันผิด

เพราะฉะนั้นผู้ใดไปทำแล้วสร้างความหวัง เต็มบ้องเลยทั้ง

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

ครบครันครบเครื่องเลย จิตคุณดำปี๋เลย พระพุทธเจ้าให้ทำขาว คือเลิกตั้งทั้งสี่อย่าง แต่คุณกลับตั้งอย่างผูกพัน สั่งสม อย่างธัมมชโยใช้นี่

เพราะฉะนั้นแม้จะเป็นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต แต่ต้นทางคุณดำแล้ว ก็ยิ่งหนัก ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตก็ยิ่งหนัก เพราะไม่ได้ถอดถอนแต่ต้น ทานคือให้ แต่ใจคุณกลับเอา ทานคือขาว แต่ใจคุณสร้างดำ

เอามาให้เป็นอุปกรณ์ที่จะดำจริงด้วย ถ้าคุณคิดว่าจะให้ แต่ไม่มีอะไรไปทานให้เขาเลย คุณก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ทำทาน  แต่นี่คุณตั้งใจแล้วมีของเอาไปให้ด้วยก็ยิ่งจริง คุณจะมีจิตสี่อย่างนี้จริง ก็เป็นจตุมหาราชจริงแล้ว

ภพ 6 ภพนี่ 6 ชั้น

จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต  นิมมานรดี ปรินิมมิตวสวัตตี คือภพที่คนทุกคนต้องการเช่นนี้ ภพพระพรหมนั้น คนไม่อยากได้หรอก เขาคิดไม่เป็น คิดไม่ถึงหรอกตรงนั้น แต่ภพที่คนจะพยายามทำคือ 6 ภพนี้ แล้วคนก็ทำจิตที่ยิ่งติดยึดภพชาติ

การยึดติดนั่นแหละคือนรก ฟังอีกหมื่นเที่ยว การยึดติดนั่นแหละคือนรก  อุปาทานสั่งสมในจิต เพราะฉะนั้นนรกคือ 6 ภพนี้แหละ สรุป

คนอวิชชาก็ทำผิด แทนที่จะเป็นขาวให้ลดภพ 6 ภพนี้ กลับไปสร้าง 6 ทั้งภพนี้ใส่ตนเอง แทนที่จะเป็นสวรรค์กลับเป็นนรก คุณไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ลดภพชาติ แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้สอนแต่สร้างภพชาติ จึงได้แต่นรกกันทั้งนั้น

เพราะนรกขั้นที่ 1 คือนรกใหญ่ มหาราช เพราะเริ่มต้นพระพุทธเจ้าให้หยุด อย่าไปตั้งจิต

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

คนใดไม่ตั้งจิตเช่นนี้ คือคนเข้าใจภพชาติ ตั้งแต้ขั้นแรก รู้ว่าการทานเป็นเรื่องดี (สาหุ) ไม่ได้ตั้งภพชาติเลย คุณเป็นเทวดาดาวดึงส์เลย ดาวดึงส์คืออาการที่ 33 เป็นความเจริญ ความสุขที่จะพึงได้ของจิตวิญญาณ แต่ถ้าไปทำจิตสี่อย่างนี้คือมนสิกโรติ การทำจิตแบบสี่อย่างนี้เป็นภพชาติ

เราต้องทำทานโดยไม่มีสี่อย่างนี้ คือเริ่มไม่มีภพชาติ จึงเริ่มเป็นความดี

ต่อมาเมื่อไม่ตั้งจิตภพที่ 1 ทำโดยจิตที่รู้ว่าดี แต่ไม่ได้มีปัญญาอะไรในจิต ยิ่งกว่านั้นมีเหตุผลสำทับประกอบว่าเป็นจารีตประเพณีนะ คนเขาทำกัน มีปัญญาปฏิภาณก็ทำ ก็เจริญขึ้นเป็นยามา

ต่อมา แบบที่สี่ นอกจากจะเป็นเรื่องดีเป็นจารีตประเพณีแล้ว ก็รู้ว่าสมณะผู้ออกบวชท่านไม่มีหม้อข้าวหม้อแกง ไม่ได้หุงหาอาหารนะ เราก็ควรจะให้ท่าน เป็นปัญญาที่ดีจึงให้ท่าน ก็เป็นดุสิต

ต่อมามีปัญญาอีก เห็นว่านักบวช นักพรต หรือฤาษี (สมัยก่อน) สมัยนี้เป็นพระนี่แหละ เป็นผู้แสวงบุญ แสวงธรรม เป็นฤาษี เราควรทำ เราก็จะได้เป็นอย่างท่านด้วย คนเรามีปัญญา ยิ่งทำทานแก่คนออกบวชยิ่งดี คุณก็เป็นนิมมานรดี

อันที่หก ทำทานนี้แล้วปลื้มใจ อตฺตมนตาโสมนสฺ (ให้ทานเพราะอยากได้ปลื้มใจ) อันนี้ได้ปรินิมมิตวสวัตตี เป็นภพสั่งสมดำปี๋มหาศาลเลย

แต่ถ้ากลับกัน พระพุทธเจ้าว่าเลิกตั้งภพชาติเลย จึงจะเป็นพรหม สรุป

เป็นแต่เพียงทำจิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร) ทำทานเป็นเครื่องปรุงแต่งเพื่อชำระจิตให้หมดภพชาติให้ได้ นั่นแหละถึงจะเป็นพรหม

จึงจะเป็นผู้ไม่ต้องกลับมา เป็นอนาคามี คือไม่ตั้งภพทั้ง 6 นี้ จะสิ้นฤทธิ์ สิ้นกรรม สิ้นยศ สิ้นอำนาจ ก็จะไม่กลับมาได้

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfSlo5Q3EtMm1QN3c

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5g2wn8nx737h/160907

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=UAJ3KXipPN8


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:52:50 )

590907

รายละเอียด

590907_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำทานอย่างไรไม่เวียนกลับ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 7 กันยายน 2559 อาตมาก็มานั่งนึกๆดูตัวเอง นึกว่าเรามาอยู่ทางนี้ ก็เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาพูดอยู่อย่างนี้ อยู่ทางโลกก็พูดชวนคนขายของ พูดให้คนมาเที่ยว มากิน มาเสพต่างๆนานาสาระพัด มานี่ก็มีแต่พูดให้ละให้วางให้ปลดปล่อย อยู่ทางโลกก็พูดได้กว้าง หลากหลาย ดูแล้วก็รู้สึกไม่ซ้ำซาก ถ้ามีเรื่องราวหลากหลายพูดไป พวกเราเบื่อไหม อาตมารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ซ้ำซากมาตั้งนานแล้ว เคยเขียนบทเพลงแห่งความซ้ำซากไว้ถึง 10 บทเพลง

ก็ไม่ได้วุ่นวายอยากได้อะไรทางโลกเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เรื่องสุข สุขฉะนี้นี่ฤาจะลืมๆ (เพลงสมัยก่อน)

เรามาตัดเรื่องภพชาติแห่งการแสวงหา ลงไปเยอะแล้ว นอกจากตัดแล้วยังกระหนาบกระหน่ำ ภพชาติแห่งโลกียธรรมอีกด้วย อาตมาเอาทานสูตรมาบรรยาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดมาก ที่ว่าชัดมากคือความเป็นภพเป็นชาติ อาตมาว่าบทเดียวนี้ถ้าสอนกันไปให้ครบแล้วเป็นบทที่เลิศยอด มันมีผลและความที่ยืนยันว่าปฏิบัติตน ประพฤติตน แม้แต่จะทำทาน ซึ่งเป็นการทำความดีและเป็นเรื่องสุดยอด

ถ้าจะว่าไปแล้ว คนเรามาปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะได้เป็นผู้ให้ สุดยอดของพระอรหันต์คือผู้ให้อย่างเดียว ในบารมี 10 ทัศ คือทาน จะปฏิบัติศีลก็เพื่อจะเป็นผู้ให้ผู้สละ โดยจะปฏิบัติ ทาน ศีล เนกขัมมะ

เนกขัมมะ ก็คือ เอาออกจนหมด จนตนเองเป็นผู้ให้ โดยเอาอัตตาออก เอาภพชาติออก  เพราะเป็นอัตตาที่ไปยึดภพชาติ

เมื่อไปตั้ง ภพชาติก็คือ การเป็นสัตว์นรก

เมื่อเอาภพชาติออก ก็เป็นความเจริญเป็นเทวดาจริง แต่ถึงแม้จะเป็นเทวดาก็ตาม ก็ยังวนเวียนกลับ เรียกว่า* อาคามี*

พอเอาภพชาติออกหมด ครบอย่างถูกต้องเลย ถึงขั้นปรนิมมิตวสวัตตี ก็จบเป็น*พรหม*เลย

ในทานสูตรนี้ เป็น*พรหม*ก็หมดภพชาติ ทำให้พรหมนี้เที่ยงแท้เจริญ ก็จบภพชาติ

คิดว่าเอาอันนี้มาขยายความให้ย้อนไปย้อนมาดีไหม?

ขยายความว่าสัตว์นรกคืออะไร?_

มาอ่าน sms กันซึ่งทุกวันนี้มีมากขึ้น เป็นการแสดงว่าคนเขาสนใจฟัง ก็ดี

SMS 6 September 2016

_0833208xxx ผู้รู้ธรรมจะต้องไม่ถือดี ผู้รู้มโนธรรมจะต้องไม่ใคร่ได้ ผู้รู้คุณธรรมจะต้องไม่หวังชื่อเสียง ใครก็ตามที่ไม่ยึดหมายในคุณความดีที่สำเร็จ การที่ตนไม่โอ้อวดบุญกุศลที่ตนทำ จึงจะเป็นบุญกุศลจริงและคุณความดีที่สำเร็จการจริง

_0840651xxx ขอบคุณพ่อครูที่อธิบาย ธรรมให้ฟังอยู่จ.ราชบุรีค่ะ

_0849680xxx "ปัญญาตรัสรู้" เป็นอีกสภาวะหนึ่งอันไม่สามารถบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาใดๆ ได้เลย ผู้ปราถนาสดับพระธรรมชั้นแรกจึงควรชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ครั้นได้ฟังแล้วจึงควรชะล้างความสงสัยให้เกลี้ยงเกลาไปเฉพาะตน "หากกล่าวเช่นนี้" ขอความเมตตาพ่อครู โปรดไขความกระจ่าง

ตอบ...คุณเอาตรรกะมาพูดมากไป เพราะที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ก็คือปัญญาตรัสรู้ของท่าน ปัญญาตรัสรู้ก็คือความรู้ในธรรมะ

ธรรมะ -แปลว่า ความดี ความเจริญ

          - แปลว่าคุณธรรมอะไรที่ลึกซึ้ง เป็นนามธรรมแล้วก็เข้าใจทุกอย่าง   ธรรมะแปลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความเลวและความดีประดามีในโลก

-ธรรมะ หมายถึงความชั่วและความดี เป็นธรรมะหมด

-ธรรมะแปลว่าสิ่งที่ทรงอยู่ 

*พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เรื่องมนุษยชาติ มีทั้งจิตใจที่ทรงไว้ซึ่งความชั่วและจิตใจที่ทรงไว้ซึ่งความดี อะไรชั่วไม่ดีก็เอาออก อะไรดีก็ทรงไว้

คุณก็หาเหตุผลเป็นประเด็นมาพูด ก็เข้าใจได้ตามที่คุณเขียนมา

 

_0849680xxx มโนธรรม คือความคิดจิตสำนึกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม กรุณาธรรม คึอคุณสมบัติของความเป็นคน ผู้มีกรุณาจะสมถะ มีจิตใจเที่ยงตรง ปราศจากความเห็นแก่ตัว ไม่มีบาปใดหนักเท่าความโลภ ไม่มีโทษใดหนักเท่าความอยาก ไม่มีทุกข์ใดมากเท่าความไม่รู้พอ 

ตอบ...ก็เป็นปรัชญาเป็นความคิดเหตุผลที่คุณพยายามร้อยเรียง บางส่วนก็เข้าทีเป็นเหตุเป็นบัญญัติ ก็ดูไม่เข้ากับเรื่องที่อาตมาบรรยายเท่าไหร่

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครู กับธรรมะผู้มีผัสสะเป็นปัจจัย ทำให้รู้จักความเป็นโลกจึงจะรู้ถึงความเป็นอัตตาได้ สาธุ

เพราะมีอัตตาจึงรู้ถึงการเกิดดับ! ถ้าไม่มีอัตตาให้เรียนรู้ทันตัวตน จะรู้ถึงการเกิดดับได้อย่างไร?

ตอบ...อัตตาตัวแรก คือโอฬาริกอัตตา ต้องมีผัสสะภายนอกด้วย

เมื่อเราสัมผัสภายนอกก็ได้อ่านอัตตา ถ้าเราไม่มีการยึดติดเป็นตัวเป็นตนในผัสสะภายนอกแล้ว คนๆนี้ก็เหลือแต่อัตตาภายในคือ* มโนมยอัตตา และอรูปอัตตาคนนี้อย่างน้อยเป็นอนาคามีเป็นต้น 

*ถ้าทำให้มโนมยอัตตาและอรูปอัตตาหมดก็เป็นพระอรหันต์*

แม้ว่าอัตตาหยาบหมดแล้ว ก็ยังรับสัมผัสภายนอกอยู่

แต่จะเหลืออัตตาภายในคือ มโนมยอัตตา และอรูปอัตตาก็ยังกระทบสัมผัสภายนอก เสร็จแล้วเมื่อเรารู้ว่า เราปฏิบัติสามารถทำให้ อัตตาตัวแรก*ข้างนอกดับได้ ก็รู้จักความเกิด*ของอัตตา ความดับ*ของอัตตา หากไม่มีอัตตาให้เรียนรู้ก็ไม่สามารถทำให้หมดอัตตาได้

คนที่ไปปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตาก็ไม่ใช่การศึกษาแบบพุทธ *ของพุทธนั้นดับอัตตาภายนอก แล้วก็ยังต้องอยู่กับสิ่งภายนอก*

แต่ก็จะล้างอัตตาที่ 2 (มโนมยอัตตาอัตตาที่ 3 (อรูปอัตตา)ต่อไป

เมื่อล้างหมดแล้ว ก็หมดอัตตาของความเป็นสัตว์โลก ได้เป็นพระอรหันต์บรรลุเป็นผู้มีภูมิโลกุตระเหนือโลก

_0893867xxx ทำไมหนอมวลชนคนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สละส่วนตนแทนคุณแผ่นดินปกป้องประโยชน์ส่วนรวม จึงหนีไม่พ้นวิบากกรรมสักทีเฮ้อ ส่งความอาลัยแด่ผู้วายชนม์ญาติของชาวอโศกและวีรชน7ตุลา คุณรุ่งทิวาผู้สละชีพเพื่อชาติราชบัลลังก์ฯสู่สุขคติ!ด้วยจิตคารวะ!มวลชนคนกู้ชาติ 

ส่งกำลังใจให้คุณสนธิastvต้องโทษในเรือนจำด้วยอุบัติเหตุทางการเงิน!NEWS1สู้นะอย่าท้อ!พธม.มวลเสริมกองทัพธรรมไม่ทิ้งกัน

 

_กราบนมก.พ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ลูกคิดว่าที่ท่านเทศน์ทุกวันนี้ เห็นควรพิมพ์เป็นรูปเล่มในแต่ละปีๆ เพราะเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของธรรมะแท้ๆๆ ลูกได้ติดตามเท่าที่มีโอกาส และแต่ละโอกาสที่ได้ชมฟัง ได้แต่ปิติ หาอริยสมณะที่ไหนที่ทั้งอ่าน ทั้งแปลซ้ำย้ำให้ลูกๆๆได้เข้าใจ

 

_0818892xxx ทุกข์เศร้าเหลืองสวนลุม/ฟ้าห่วน

_0805925xxx กราบพ่อขอโทษค่ะพ่อ นู๋เศร้าใจลุงสนธิจังขอหวือหวาตามลมเพลมพัดนะพ่อ มื้อนี้ขอจ่มเป็นผีบ้าให้หายกลุ้ม! รู้ว่าลุงสนธิแกร่งแต่ใจแกร่งปานใดดั่งหินก็กร่อนแตกได้ ตามผัสสะเวทนา?รักลุงเสมอ ..จำคืนเก่าปี49ยัน51ร่วมเป็นแม่ยกตามติดสุวรรณภูมิ เป็นสัญญาจำติดใจ เศร้าจัง…(ที่เหลือเป็นคำไม่ควรอ่านออกอากาศ)

 

_กราบนมก.พ่อครูเจ้าค่ะ../JQ

พ่อครูเทศนาในหลักธรรมที่เป็น ปรัชญา ยกตัวอย่างบทสวดมนต์ที่คนทั่วไปสวดกัน(บทพาหุง)

พระทั่วไปจะแปลออกมาเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แทบทั้งนั้น.แต่พ่อครูแปลออกมาให้ดูที่จิตตนเอง

ไม่ว่าจะเป็นพญามาร ก็ดูที่จิตตนเองเป็นมาร.เป็นยักย์.ความอดทน.ความมีเมตตา.และการรู้จักข่มตน

ก็ให้ดูตนเองไม่ใช่ให้สวดให้หลงเป็นฤทธิ์เดชอย่างทั่วๆ/Apijet Tulapitak

 

_โยมฝากส.สยาม มาว่า กินมื้อเดียวกินจืดไม่ปรุงแต่งเป็นอาริยะระดับไหน

ตอบ..เจตนาแต่อย่าอยาก เจตนาจะเอาอาริยะก็จริง แต่อย่าอยาก

ตอบว่าเขาไม่ได้เป็นอาริยะระดับไหนหรอกต่อให้กิน 2 วันต่อมื้อ หรือกินไม่มีรส คือรสจืดอย่างทนทรมานมากแล้วก็ตาม จะถามว่าเป็นอาริยะหรือยัง?

เหตุปัจจัยที่เรามาใช้ปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็จะไปกระทบสัมผัสเรื่องนั้นเรื่องนี้ เสร็จแล้วเราก็มาอาศัยการสัมผัสต่างๆนั่นแหละมาเลี้ยงชีพ จะเป็นการอุปโภคหรือบริโภคก็ตาม เป็นโภชเนมัตตัญญุตา แล้วก็อ่านวิจัยในจิตเรา ว่ามันมีกิเลสมาประกอบปรุงแต่งตัวใหนเป็นเหตุตามอริยสัจ 4 หรือตามมรรคมีองค์8 ก็ชำระกิเลสให้ได้ 

ได้มาก็ชื่นใจ อยากได้มาก็แย่งชิง เป็นยักษ์ มาร เหมือนคนโลกๆก็ไม่ดี

เพราะฉะนั้นคำสอนที่เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิดของพระพุทธเจ้าคือ

*สํารวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ  เป็นอปัณกปฏิปทา ก็สามข้อนี้แหละ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่ผิด รวมสั้นย่อไว้แค่นี้ ถ้าเข้าใจ

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้อง สํารวมอินทรีย์ 6 ไม่ใช่ไปหลับตาปฏิบัติ ขออภัยที่ไปพูดว่าพวกนั่งหลับตา

การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เขาก็บอกว่าเป็นไตรสิกขาเหมือนกัน ส่วนเขาจะปฏิบัติศีลนั้นเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ให้เกิดสมาธิ มีปัญญาร่วมรู้ร่วมเห็น ว่าปฏิบัติไปแล้วจิตใจก็ลดละไปได้เรื่อยเรื่อยๆ เป็นส่วนแห่งบุญ จนกระทั่งมันได้ชำระกิเลสหมด ก็เป็นวิมุติหรือเป็นนิโรธ ก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ปัญญาก็เห็นความจริงว่า เรามีวิมุติ การปฏิบัติธรรมก็มีแค่นี้แหละ

เพราะฉะนั้นการจะใช้การกิน กินมื้อเดียวก็ดี หรือกินไม่ปรุงแต่งก็ดี กินไม่ปรุงรส คุณก็ต้องอ่านจิตใจให้ดีว่า อันนี้เป็นกิเลส

*เริ่มต้นปฏิบัติตามหลักวิชาของพระพุทธเจ้า*

- เริ่มจากตัวจิต แล้วทำธรรมวิจัยจับตัวที่เป็นกิเลสให้ได้

- ด้วยการเห็น สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูป

- โดยมีนามธรรมไปกำหนดรู้ อ่านดูอาการของจิต

- โดยมีธรรมวิจัยแยกแยะอาการต่างๆ

- จนสามารถแยกแยะอาการของจิตได้ว่าอันนี้เป็นจิต ขณะที่มีผัสสะ

- แล้วแยกได้ว่าตัวนี้เป็นตัวกิเลส ตัวนั้นคือตัวสักกายะ ชัดเจน

อ่านในจิตเราเลยว่า อันนี้แหละเป็นธรรมะ แม้จะมีองค์ประชุมรูปนาม มันเป็นอาการเป็นเวทนา คือองค์ประชุมของกาย สัมผัสกันอยู่ มันปรุงแต่ง

เราก็เห็นก็แยกแยะได้

ถ้าถือศีลแล้วพอสัมผัสแล้วชอบ มันก็อยากได้

 ถ้าเราอยากได้แต่มันไม่ใช่ของเรา หรือแม้ว่ามันอยากได้และเป็นของเราก็ตาม เป็นอาการอยากได้อยู่ในจิตเรา

มันเป็นเวทนาและจิต มันเป็นอาการความรู้สึกและจิต

 การเห็นกิเลสเป็นสักกายะนั้นคือ กุศลจิต*

ขณะปฏิบัติเราจะมีธัมมวิจัย เพราะว่าจิตใจเราเป็นได้สารพัด เป็นทั้งเวทนา แล้วคำว่ากาย พระพุทธเจ้าเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

ขณะปฏิบัติ ก็อ่านองค์ประชุม(รูปนาม=กาย) เป็นธรรมะสอง คือเวทนาสอง  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ทำให้กิเลสลดลงได้ เป็นเนกขัมสิตเวทนาให้ได้

* แต่ก่อนเป็นเคหสิตเวทนา ที่อยากได้ ก็พยายามเอามาให้ได้ ได้มาก็เสพสุข แต่นี่ถ้าเราตั้งศีลไว้  ตัวอย่างเช่น เราชอบแก้วมังกร เราสัมผัสแล้วก็อยากได้ เราติดใจแต่ไม่ใช่ของเรา เป็นของเขา แต่เราจะละเว้นไม่เอาหรอก เด็ดขาด เวรมณีเรื่องแก้วมังกร เราจะงดเว้น นี่คือโภชเนมัตตัญญุตา

คนเราต้องกินทุกคน กิเลสเรื่องกินนี้เยอะด้วย ถ้าอ่านกิเลสจับกิเลสได้ ล้างกิเลสได้ก็จะเจริญ

ทำปหาน 5 ปหานกิเลสได้ เป็นอาริยะไปตามลำดับ จะได้ขั้นไหนก็แล้วแต่ จะกินมื้อเดียวไม่ปรุงรส หรือกินสองมื้อก็ตาม หากมันมากไปพิจารณาไม่ไหวก็ทำให้มันแคบเข้า

 

 

_ฝากถามปัญหาวันพฤหัส 8 ก.ย.59 ครับ...

พระไตรปิฎกเล่ม 27 ข้อ 340 .. กาลย่อมกลืนกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผาตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว...ผู้ใดกินกาล หมายความว่าอย่างไร หมายถึงบุคคลเช่นไรครับ/chai

ตอบ...คนเราก็มีกรรมกับกาละเท่านั้น กรรมก็ดี กาละก็ดี กาละนี้เป็นเรื่องของมัน มันมีโลกเกิดมา โลกหมุน มันก็เกิดการเดินทาง ใครไปกำหนดก็เป็นเวลา กาละ คนไปกำหนดว่าพระอาทิตย์โผล่ออกมาก็เป็นกาละเช้า จนถึงเย็น พรุ่งนี้ก็หมุนวนมาอีกก็ได้ก็เป็นวัน ก็เป็นความวนเป็นความหมุนของโลก ที่ผ่านไปผ่านไป คนเราเกิดมาท่ามกลางเอกภพ ท่ามกลางโลกใบนี้ คุณมีอัตภาพเกิดมา ก็ต้องไปอยู่ใน กาละ เป็นสัตว์โลกในกาละ

ในกาละนี้พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้กรรม กาละกับกรรม ชีวิตคือกรรมกับกาละ รู้สึกว่าทีวีช่องเราช่วงนี้ประโคมเพลงก่อนสิ้นแสงตะวันจะจากลับไกล เกิดไปซาบซึ้งอะไรมาก ผู้ทำรายการโทรทัศน์ช่องนี้นะ

กรรมของเรา เราได้เรียนรู้ไหมแต่ละกรรม มันเป็นกรรมชั่วหรือดี คนเราต้องจัดแจงกรรมของตนให้ดี ก่อนก็ยังไม่รู้ มีอวิชชาเราก็มีกรรมแบบคนโลกๆ แบบโลกๆ พาไปล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข ดีไม่ดีมันทุจริตมันขี้โกงอะไรก็ทำไปได้ ให้ได้มาก็แล้วกัน มีกฎหมายมีอะไรก็เกรง เลี่ยงไปได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้กล่าวได้ละเมิดกฎหมาย ละเมิดวัฒนธรรมก็แล้วแต่ ก็อยู่อย่างนั้นไม่รู้จักทำให้กรรมของเรามันดี ไม่รู้จักว่ากรรมของเราจะพาให้ดี โสดาบันก็เลิกไปได้โลกหนึ่งที่ไม่ต้องไปแย่งชิงกัน สกิทาคามีก็เลิกมาอีก อนาคามีก็เลิกมาอีก อรหันต์เลิกสนิทเลย เราไม่เบียดเบียนใคร เราเป็นคนก็ทำงานมีสัมมาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ทั้ง 4 อันนี้เราทำอย่างปราศจากโทษภัยไม่มีกิเลสประกอบร่วม ก็มีชีวิตไม่มีโทษภัย เป็นคนไม่ขี้เกียจคร้าน เป็นคนขยันหมั่นเพียร ก็มีผลในการสร้างผลผลิตจากงาน เสร็จแล้วเราก็อาศัยกินอาศัยใช้ เราไม่หวงแหนแบ่งแจกเกื้อกูลกัน

ชาวอโศกตื่นมาแต่เช้าก็รู้ว่าควรจะทำอะไร ไปช่วยงานที่ไหน ได้ผลผลิตส่วนดีงามก็แจกจ่ายเกินไปให้คนภายนอก หรือจะใช้วิธีขายบ้างเท่าที่เราจะเอาเงินมาหมุนเวียนผลิตในส่วนที่เราทำไม่ได้ บางอย่างเราต้องให้คนข้างนอกมาทำงานในนี้บ้างเราก็ต้องมีเงินมาจ้างเขาในนี้ ที่นี่ก็เลยมีทั้งทำงานทั้งกินใช้กันในนี้ เสร็จแล้วเราก็ยังมีเงินส่วนเหลือส่วนเกินไปจ้างให้คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาอาศัยทำงานที่นี่ วันๆหนึ่งก็จ่ายหลายตังค์อยู่ในชุมชนเรานี่ คนของเราทำงานฟรี คนข้างนอกเราก็ต้องใช้เขาก็ต้องใช้เงินเราก็ทำไป ส่วนเราก็ทำงานฟรีอยู่ในนี้ไป จนป่านนี้ก็รู้สึกว่ายังพอได้ มีคนช่วยเหลือในระบบสาธารณโภคี แต่พูดกันจริงๆ ขณะนี้ราชธานีอโศกที่กำลังสร้างบ้านแปลงเมือง ส่วนที่หาได้ในราชธานีอโศกนี้ หาได้ไม่คุ้มหรอกต้องอาศัยจากพี่น้องมาช่วย ยังเลี้ยงตัวไม่คุ้มในแต่ละเดือน แต่ละคนให้เข้าใจและขยันหมั่นเพียรเพิ่มขึ้น

อาตมาถามนิดหนึ่งว่าพวกคุณขยันพอหรือยัง มีความขยันเหลืออยู่ไหม งานเราก็ยังมียังขาดแคลน บางทีก็เฉื่อยไปเฉื่อยมาไม่ค่อยกระตือรือร้น ก็ขอให้ขมีขมันเพิ่มขึ้น

สรุปแล้วกรรมกับกาละเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ก็มีสัตว์เกิดขึ้น กาลย่อมกลืนกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย คมนะประโยคนี้

*ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผาตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว...

*ผู้ใดกินกาละหมายถึง ผู้อยู่เหนือกาละ ผู้อยู่กับกาละโดยไม่มีทุกข์ ในทุกๆกาละ กาละก็หมุนไป แต่คุณอยู่กับกาละนี้ กาละหมุนไปยังงัย เราก็ไม่มีเรื่องที่จะทุกข์ เรื่องทุกข์นี้เรื่องใหญ่ ก็ใช้กาละเป็นประโยชน์ไม่ก่อโทษภัย

กาละนั้นซื่อสัตย์หมุนเวียนไปผ่านไป เราก็เป็นสัตว์ที่หมุนไปตามกาล

*แต่ถ้ากรรมของเรากลับเป็นประโยชน์ไม่มีโทษก็ไม่เสียหายอะไร อยู่เหนือกาละ กรรมของเราเป็นกรรมมีประโยชน์คุณค่า ไม่เสียหายเลย

คือ**ผู้นั้นเผาตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว...ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นก็คือผู้ที่นิพพานแล้ว*

แต่ถ้าคุณไม่รู้ก็ถูกกาลกลืนกินไป

แดดเรืองแสงร้อนแรงคลุมหล้าวับวาม อันต่อมา แดดอ่อนแสงร้อนแรงพลันคลายมิคง ก็ให้ดูกาละที่ วัยและวันจะผ่าน ระวังไว้ ถ้าไม่รู้ ตัณหาก็กินเรา ผู้ใดกินกาละคือผู้เผาตัณหา คือผู้ใดเห็นความสำคัญของแต่ละกาละ วัยและวันจะผ่าน คนเรามีวัยมากขึ้นๆแล้วเป็นไง? ก็แก่ก็ตาย เสร็จแล้วเราไม่ได้ดูกรรม ไม่ได้เรียนกรรม ไม่ได้ปรับปรุงกรรมของเราเลย เราก็ได้แต่ปล่อยให้กาละมันกลืนกิน

ถ้ากาละกินสัตว์ทั้งปวงและกินตัวเอง ก็เท่ากับกาละนั้น คุณเกิดมามีกรรมในกาละ กาละมันกลืนกินเราไปตลอด เราไม่มีท่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเรากลืนกินกาละไม่ให้ผ่านไปเปล่าผู้นั้นเผาตัณหา กำจัดสัตว์โอปปาติกะ ตั้งแต่สัตว์อบาย สัตว์นรก สัตว์อัตตาต่างๆ ก็กำจัดไปกับกาละคุณก็จะอยู่กับกาละโดยที่กาละนั้นไม่สูญเปล่า

แต่ละกาละมีกรรม สุกฏทุกตานังกัมมานังผลังวิปาโก กรรมแต่ละกรรมก็มีผลเป็นดีหรือชั่วก็เป็นผลของกรรม  คุณก็ต้องเรียนรู้กาลแต่ละกาลโดยไม่ให้กาละสูญเปล่า แต่ละกาละคุณได้เผาตัณหาหรือไม่? ก็ชัดๆง่ายๆ

สรุปง่ายๆ ผู้อยู่เหนือกาละ คือผู้อยู่กับกาละได้ทุกกาละโดยไม่ทุกข์ อรหันต์ดับตัณหาเผาสัตว์ได้หมด ก็มีกรรมที่ไม่ก่อทุกข์แล้ว ไม่ติดยึดในกาละด้วย มันแก่ชราก็ตาย ยังไม่ตายก็ทำกรรมดีเป็นประโยชน์ไป จะพรากจากโลกนี้ก็ไปไม่มีอะไรยึดติด อยู่ก็ทำแต่กรรมดี สุดท้ายเป็นผู้ทำกรรมอันไม่มีโทษมีภัยเลย ทุกกรรมกิริยามีแต่ประโยชน์คุณค่า

 

_ส.ใต้ดาวฝากมาว่า….ดร. มิชิโอะ คะกุ สรุป โลกเราถูกสร้างโดยพระเจ้า

 

ถ้าหากบอกว่า มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งบอกว่า “พระเจ้ามีอยู่จริง” คุณอาจคิดว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นเพี้ยนก็เป็นได้ แต่ถ้าหากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกเป็นคนพูดเองล่ะ ?

ดร. มิชิโอะ คะกุ นักฟิสิกส์ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน ที่เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน จากผลงานหนังสือ Hyperspace ที่เป็น Best Seller ในอเมริกา และได้รับเลือกจาก The New York Times ในปี ค.ศ. 1994 และ The Washington Post และยังมีผลงาน Parallel Worlds ที่ทำให้ได้รับรางวัล Samuel Johnson Prize ในปี 2005

และนอกจากนั้น ยังมีหนังสืออีก 3 เล่มที่ได้รับการยืนยันจาก The New York Times ให้เป็น Best Seller อีกด้วย แถมยังเป็นวิทยากรให้กับรายการสารคดีชื่อดังอีกมากมายอย่าง BBC, Discovery Channel, History Channel และ Science Channel ซึ่ง ดร.คะกุ คนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

มาพูดถึงสิ่งที่ ดร.คะกุกล่าวอ้างเกี่ยวกับ ‘พระเจ้ากัน’ ซึ่ง ดร.คะกุเรียกสิ่งนี้ว่า “primitive semi – radius tachyons “ หรือแปลเป็นไทยตรงๆ ว่า “กึ่งบรรพกาล – รัศมีแทคคิออน”

แทคคิออน คือ อนุภาคที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง แต่ปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันมีศักยภาพในการถอดรหัสจักรวาล หรือ สูญญากาศในอวกาศระหว่างอนุภาคต่างๆ ที่ทิ้งทุกอย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลโดยรอบของจักรวาล โดยหลังจากการทดสอบแล้ว ดร.คากุสรุปได้ว่าเราอาศัยอยู่ใน“แมทริกซ์”

“ผมขอสรุปว่า เราอยู่ในโลกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกฏต่างๆ โดยภูมิปัญญาอย่างหนึ่ง” เขายืนยัน “เชื่อผม ทุกสิ่งที่เราเรียกว่าบังเอิญวันนี้ มันจะไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป”

“สำหรับผม มันชัดเจนว่า เราอยู่ในแผนการหนึ่ง ที่ถูกปกครองโดยกฏต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ถูกออกแบบขึ้น โดยภูมิปัญญาหนึ่งในจักรวาล และมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

ทฤษฎีของ ดร.คะกุ ดูเหมือนจะเป็นการบอกทุกคน ว่า จริงๆ แล้วโลกของเราถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็น ‘พระเจ้า’ ก็เป็นได้ ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนให้กับชุมชนวิทยาศาสตร์ เพราะ ดร.คะกุ ถือเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญคนหนึ่งของโลกในปัจจุบันนี้ และยังเป็นหนึ่งในผู้สร้างและนักพัฒนาทฤษฎีสตริง ซึ่งเกี่ยวกับโลกคู่ขนานอีกด้วย

ที่มา : zonnews

เขียนโดย บุรุษชุดดํา ที่ 05:35

ตอบ... อาตมาอ่านแล้วก็รู้สึกมึนๆ งงๆ พอสมควร เป็นภาษามีหลักการทฤษฎีอะไรต่างๆของเขาเพิ่มขึ้นมาอีก เกินกว่าที่อาตมาจะศึกษาแบบรับไม่มีแรงงานความสามารถไม่มีพลังงานจะไปรับงานเพิ่มอีกแล้ว อาตมาก็ตอบไปว่าไม่ขอพิจารณา มันเกินกำลังของคนอย่างอาตมาที่จะไปศึกษาเพิ่มเติมได้ ชอบเป็นอะไรใหม่ๆ อาตมาไม่รู้เรื่องเลย

 

_เฉลิมชัย ล้อลีลา  ถาม

 สัตว์ประจำโลก ค้ำจุนระบบโลก โดยปลดปล่อยคลื่นพลังงานจิตย่านไร้เดียงสา ซึ่งพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานในระบบโลก การทำร้ายพวกเขาเท่ากับ ทำร้ายเพื่อนร่วมงาน และ มีผลย้อนทำร้ายตัวมนุษย์เองด้วย ครับ (supra concentration?ความเข้มข้นหรือความตั้งใจในระดับยิ่งยวดที่ต้องการทราบ คำตอบ ต่อ คำถามที่ตั้งไว้เพียง 1 คำถาม )

 พ่อครูบอกว่าตอบไม่ได้(ไม่รู้เรื่องจริงๆ)

 

_สมถวิล บาลเวช

ผัสสาหาร(มีลูกค้าน้ำผักปั่นไม่พอใจราคาพูดยืดยาว)เห็นกิเลสตัวเองแม้จะพยายามอธิบายลูกค้าก็ไม่ฟัง อ่านจิตไม่ทันมองเห็นความอึดอัด ไม่พอใจรูปตรงนี้เป็นอิตถีภาวะ อัตตาตรงนี้ยังอยากเอาชนะอยู่ กราบขออภัยหลวงปู่ จะพยายามสอนตัวเองมากกว่านี้

 

มาพูดถึงทานสูตร  พระไตรฯ ล. 23 ข. 49

 

ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแลและทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมี ฯ

     สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน(สาเปกโข ทานังเทติ) มีจิตผูกพันในผลให้ทาน(ปฏิพัทจิตโต ทานังเทติ) มุ่งการสั่งสมให้ทาน(สันนิธิเปกโข ทานังเทติ) ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน(อิมํ  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทาน เทติ ) (พ่อครูแทรกว่า ไม่มีคำว่าให้เงินนะ ยุคโน้นคงหาเงินได้ยาก แต่ยุคนี้ทานแต่เงิน ไม่ค่อยพูดเรื่องทานของ แล้วเรียกเงินว่าคือปัจจัยด้วยนะเอาเงินเป็นแก้วสารพัดนึก)

 คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ  (ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่คนให้ทานแบบนี้)

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ (จตุมหาราชเป็นอาการของจิต ถ้าถอดตัวตนร่างนี้ออกเหลือแต่จิต จิตคุณก็จะเป็นจตุมหาราช ไม่มีรูปร่างแต่จิตเป็นจิตจตุมหาราช)

 

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ   ข้าว   น้ำ   ผ้า   ยาน   ดอกไม้   ของหอมเครื่องลูบไล้   ที่นอน   ที่พัก   ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

(ข้อนี้ไม่คิดอะไรมาก ให้ทานเพราะเห็นว่ามันดี )

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทานคือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

พ่อครูอธิบายถึง อาคามี คือผู้กลับมา แล้วท่านก็อธิบายว่า เมื่อสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ มีอาการจิตเช่นนี้เมื่อตั้งจิตแบบนั้น จะตั้งจิตแบบที่เป็นผู้ทำทานแล้วมีจิต หวัง ทั้งหวัง ทั้งจิตปฏิพัทธ หรือตายไปจะได้เสวยผล จิตตั้งแบบนี้จะมีพลังความเป็นใหญ่ในตน ทำแล้วมีผล มีกรรมที่เป็นอำนาจ มีฤทธิ์มียศในกรรมที่ทำทานนี้ ก็คือจิตของตัวเรานั่นเอง ทำทานแล้วรู้สึกว่าเราได้ จะได้ในใจเรา ก็ตาม หรือจะได้เพราะองค์ประกอบเขาทำให้เราได้เป็นทายก เป็น ทายิกา เป็นผู้ได้หน้าตา นั้นตนเองก็มีความรู้สึกเองทั้งนั้นในกรรมอันดีนี้

นอกจากจะนึกว่ากรรมอันดีนี้ ตนเองยังปฏิพัทธ์ ยังสั่งสม ยังอยากได้เสวยผลในชาติหน้าอีกเป็นตัวตนของกู ผูกพันสั่งสมเป็นของตัวของตนขนาดตายไปก็ยังไม่ทิ้ง กี่ภพชาติก็จะเอาเป็นของกู จิตสร้างภพชาติ ตั้งแต่คิดหวังนิดนึงก็ตาม พพจ.ท่านให้ไม่หวังเลย ทานคือให้ก็จบ แต่นี่ให้แล้ว ฉันจะต้องมีอะไรอีก?

ในประเด็นแรก พระพุทธท่านตรัสว่า จิตเป็นภพชาติทั้งนี่ประเด็น คนๆนี้ชื่อว่าจตุมหาราช ใส่ยศว่าเป็นเทวดาด้วย เทวดาคือผู้เจริญ

คนเจริญทางโลกีย์คือคนรวย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข คนผู้นี้มีจิตผูกพันว่า ฉันได้ทำอะไรได้ทานอะไรให้ใครคนอื่น ยกตัวอย่างให้วัตถุ อุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ แก่ผู้ควรให้เป็นปฏิคาหก เราเป็นทายก เสร็จแล้วก็ตั้งจิตครบเครื่องเลย ผู้นี้ ชื่อโดยภาษา จาตุมหาราช การพูดที่เขายกย่องว่าได้พร้อมทั้งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

คนเราเมื่อเวลาทำทานกับสมณะพราหมณ์แล้ว ตนเองก็ไปทำงาน จิตของตนเองก็ว่าทำทาน เรามีกรรมเราไปทำทาน กรรมของเราก็จะต้องมีฤทธิ์มียศ กรรมของเรานะมีอำนาจ เราทำทานนะ มันใหญ่กว่าทำทานด้วยไม่ตั้งความหวังว่าเราต้องมียศมีอำนาจ ไม่ต้องตั้งว่าเราจะเป็นใหญ่ แต่เทวดาจตุมหาราช คือจิตวิญญาณที่ถือว่าตัวเองเป็นใหญ่นะ

คำว่าจตุมหาราช เป็นภาษาที่เรียกจิตวิญญาณของคน ที่เรียกกันมานานมาก พระพุทธเจ้าก็เอาของเก่ามาเรียกอธิบายต่อ

ได้มาก็ด้วยกรรมอันคือทาน ได้มาด้วย กรรม ฤทธิ์ ยศ ความเป็นใหญ่ แต่เมื่อผลทานนี้ สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือคุณจะกลับมาเป็นคนที่หมดคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์ ยศ ความเป็นใหญ่อำนาจต่างๆ

มีฤทธิ์คือ ยกตัวอย่างรูปธรรม เช่นคุณไปทำทาน ถวายเงินแก่พระเจ้าอยู่หัว คุณได้เป็นคุณหญิง คุณไปทูลเกล้าถวายมากๆก็ได้ คุณไปทำทานกับใครก็แล้วแต่ อย่างถวายเงินในหลวงก็ได้รับตอบแทนเป็นฤทธิ์ ยศ อำนาจ มาตอบแทน

จะทำทานกับใครก็แล้วแต่ แต่อันนี้ถ้ามาทำทานกับสมณะ อย่างทำทานกับอาตมา แล้วอาตมาก็ไม่มีแม้คำสวดให้พร ไม่มีอะไรให้เลยก็เลยยกตัวอย่างยาก แต่ทางโลกเขาให้นะ ทางวัดวาพระเจ้าบางทีมีพระเครื่องให้บ้างเป็นต้น นั่นคือรูปวัตถุ ตอบแทน ยิ่งมีการให้และการตอบรับ มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์ใจในการเกื้อกูลช่วยเหลือสละหรือให้แก่ใครๆ มันไม่ใช่ความสะอาดของจิต แต่คุณให้เพื่อที่จะรับ คุณให้เพื่อที่จะเอา  ตั้งแต่ตั้งความหวัง ก็ยังยึดว่ากรรมของฉันมี แม้ให้น้อยก็ยังยึดว่าตนเองให้ตั้งมาก

อาตมาเคยเขียนคำร้อยกรอง….เพลงอาริยะ เงินบาทหนึ่งของเศรษฐีกับเงินบาทหนึ่งของกระยาจกนั้นค่าต่างกันเพราะว่าจิตของคนมันต่างกัน

สมมุติว่าเศรษฐีใหญ่ทำทานร้อยล้านกับสมณะนี้ แต่เขามีเป็นหมื่นล้าน

กับคนจนๆคนหนึ่งวันๆมีเงินร้อยบาทก็ดีแล้ว เขาก็ยังไปทำทานสิบบาท ยี่สิบบาท

ค่าของเงินของคนจน เขามีร้อยบาทก็เจียดไปทำทานนั่น ค่ามันสูงกว่าเงินของเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน

คนที่ทำทานโดยไปคิดค่าของตนเอง ตั้งค่าของตน เช่นเศรษฐีตั้งค่าว่าเราทำทานเป็นล้าน อาตมาว่าค่าของท่านเศรษฐีมีพันล้านกับคนจนที่เขามีเงินน้อยกว่ามากนี้มีค่ามากกว่า

แต่จะกระยาจกหรือเศรษฐี ถ้าทำทานแล้วมีจิตหวัง หรือจิตว่าฉันได้ทำทานแล้วได้ให้เขาแล้วนะ ยกตัวอย่างไปทำทานกับพระนี้แล้วจะได้รวยตอบแทน เช่นทำทานกับธัมมชโยเป็นต้น ใช้จิตวิทยาครอบงำคน

คนทั้งหลายที่มีสิทธิ์ที่จะไปทำทานแล้วหวังว่าจะได้มากๆ  มหัปปิจฉะเป็นคนมักมาก ผู้ใดไปทำทานแล้วหวังได้กลับมามากๆคือจิต จตุมหาราช

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

จะได้อะไรตอบแทนมามากๆเป็นเรื่องสุดยอด มีภพมีชาติมากมายมหาศาล

ทีนี้ การสอน ทั่วไปแม้แต่ธัมมชโยด้วย ไม่เคยสอนให้ลดภพชาติ ตั้งแต่ไม่ต้องสร้างความหวัง หรือ

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

เขาไม่ได้สอนเลย อาตมาว่าส่วนใหญ่เกือบหมดเลย ทั้งที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกว่าให้ลดนะ อย่าไปตั้งจิตหวังอะไรเลย เพียงแต่ว่าทานนี้มันดี อย่างนี้ยังได้เป็นดาวดึงส์ จิตยังดี แต่นี่ไม่หยุด

เมื่อไม่หยุดขอยืนยันว่า จตุมหาราชนี้คือสัตว์นรก อวิชชา จะให้แท้ๆกลับทำจิตสร้างภพสร้างชาติ การให้ที่แท้คือ ต้องลดภพลดชาติ การให้นี่คือขาว แต่คุณให้นี่กลับไปสร้างดำ คุณทำใจในใจ (มนสิการ) แบบนี้เลย มันผิด

เพราะฉะนั้นผู้ใดไปทำแล้วสร้างความหวัง เต็มบ้องเลยทั้ง

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

ครบครันครบเครื่องเลย จิตคุณดำปี๋เลย พระพุทธเจ้าให้ทำขาว คือเลิกตั้งทั้งสี่อย่าง แต่คุณกลับตั้งอย่างผูกพัน สั่งสม อย่างธัมมชโยใช้นี่

เพราะฉะนั้นแม้จะเป็นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต แต่ต้นทางคุณดำแล้ว ก็ยิ่งหนัก ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตก็ยิ่งหนัก เพราะไม่ได้ถอดถอนแต่ต้น ทานคือให้ แต่ใจคุณกลับเอา ทานคือขาว แต่ใจคุณสร้างดำ

เอามาให้เป็นอุปกรณ์ที่จะดำจริงด้วย ถ้าคุณคิดว่าจะให้ แต่ไม่มีอะไรไปทานให้เขาเลย คุณก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ทำทาน  แต่นี่คุณตั้งใจแล้วมีของเอาไปให้ด้วยก็ยิ่งจริง คุณจะมีจิตสี่อย่างนี้จริง ก็เป็นจตุมหาราชจริงแล้ว

ภพ 6 ภพนี่ 6 ชั้น

จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต  นิมมานรดี ปรินิมมิตวสวัตตี คือภพที่คนทุกคนต้องการเช่นนี้ ภพพระพรหมนั้น คนไม่อยากได้หรอก เขาคิดไม่เป็น คิดไม่ถึงหรอกตรงนั้น แต่ภพที่คนจะพยายามทำคือ 6 ภพนี้ แล้วคนก็ทำจิตที่ยิ่งติดยึดภพชาติ

การยึดติดนั่นแหละคือนรก ฟังอีกหมื่นเที่ยว การยึดติดนั่นแหละคือนรก  อุปาทานสั่งสมในจิต เพราะฉะนั้นนรกคือ 6 ภพนี้แหละ สรุป

คนอวิชชาก็ทำผิด แทนที่จะเป็นขาวให้ลดภพ 6 ภพนี้ กลับไปสร้าง 6 ทั้งภพนี้ใส่ตนเอง แทนที่จะเป็นสวรรค์กลับเป็นนรก คุณไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ลดภพชาติ แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้สอนแต่สร้างภพชาติ จึงได้แต่นรกกันทั้งนั้น

เพราะนรกขั้นที่ 1 คือนรกใหญ่ มหาราช เพราะเริ่มต้นพระพุทธเจ้าให้หยุด อย่าไปตั้งจิต

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

คนใดไม่ตั้งจิตเช่นนี้เลย คือคนเข้าใจภพชาติ ตั้งแต้ขั้นแรก รู้ว่าการทานเป็นเรื่องดี (สาหุ) ไม่ได้ตั้งภพชาติเลย คุณเป็นเทวดาดาวดึงส์เลย ดาวดึงส์คืออาการที่ 33 เป็นความเจริญ ความสุขที่จะพึงได้ของจิตวิญญาณ แต่ถ้าไปทำจิตสี่อย่างนี้คือมนสิกโรติ การทำจิตแบบสี่อย่างนี้เป็นภพชาติ

เราต้องทำทานโดยไม่มีสี่อย่างนี้ คือเริ่มไม่มีภพชาติ จึงเริ่มเป็นความดี

ต่อมาเมื่อไม่ตั้งจิตภพที่ 1 ทำโดยจิตที่รู้ว่าดี แต่ไม่ได้มีปัญญาอะไรในจิต ยิ่งกว่านั้นมีเหตุผลสำทับประกอบว่าเป็นจารีตประเพณีนะ คนเขาทำกัน มีปัญญาปฏิภาณก็ทำ ก็เจริญขึ้นเป็นยามา

ต่อมา แบบที่สี่ นอกจากจะเป็นเรื่องดีเป็นจารีตประเพณีแล้ว ก็รู้ว่าสมณะผู้ออกบวชท่านไม่มีหม้อข้าวหม้อแกง ไม่ได้หุงหาอาหารนะ เราก็ควรจะให้ท่าน เป็นปัญญาที่ดีควรจะให้จึงให้ท่าน ก็เป็นดุสิต

ต่อมามีปัญญาอีก เห็นว่านักบวช นักพรต หรือฤาษี (สมัยก่อน) สมัยนี้เป็นพระนี่แหละ เป็นผู้แสวงบุญ แสวงธรรม เป็นฤาษี เราควรทำ เราก็จะได้เป็นอย่างท่านด้วย คนเรามีปัญญา ยิ่งทำทานแก่คนออกบวชยิ่งดี คุณก็เป็นนิมมานรดี

อันที่หก ทำทานนี้แล้วปลื้มใจ อตฺตมนตาโสมนสฺ (ให้ทานเพราะอยากได้ปลื้มใจ) อันนี้ได้ปรินิมมิตวสวัตตี เป็นภพสั่งสมดำปี๋มหาศาลเลย

แต่ถ้ากลับกัน พระพุทธเจ้าว่าเลิกตั้งภพชาติทุกอย่างเลย จึงจะเป็นพรหม สรุป

เป็นแต่เพียงทำจิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร) ทำทานเป็นเครื่องปรุงแต่งชำระจิตเป็นอภิสังขารให้หมดภพหมดชาติให้ได้นั่นจะเป็นพรหม

จึงจะเป็นผู้ไม่ต้องกลับมา เป็นอนาคามี คือไม่ตั้งภพทั้ง 6 นี้ จะสิ้นฤทธิ์สิ้นกรรม สิ้นยศ สิ้นอำนาจ ก็เป็นผู้ไม่กลับมาได้แล้ว

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:53:36 )

590908

รายละเอียด

590908_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ซ้ำซากอย่างใดให้เข้าถึงทาน

ธรรมะหลวงปู่ตอนนี้อธิบายบรรยายเป็นธรรมะที่ลึก ไกล ในระดับก้าวหน้าไปอีกหลายชั้น จะกลับคืนมาสู่ที่ต้นอีกก็ยากมากทีเดียว ก็เลยพยายามผสมผสาน เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็ตั้งใจฟัง เอาใจช่วยอาตมาหน่อยนะ มันไปไกลกันจริงๆ อธิบายจนพวกเราหลายคนก็ยังทำใจไม่ได้

บางคนก็เข้าใจแล้ว ถ้าจิตเรามันมีอาการโลดแล่นไปข้างหน้า ไปมีภพมีชาติ มันก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันต้องไม่แล่นไป แต่ใจเราก็ยังแล่นไป ก็เลยรู้สึกเสียว วาบๆ ก็อย่าไปลงโทษตัวเอง มันยังไม่ถึงขีดที่เราจะสังวรสำนึก ปฏิบัติอยู่เสมอแล้ว เราก็พยายามทำ ได้เท่าไหร่ก็ค่อยๆเป็นไป อย่าไปฮึดฮัดฟัดเหวี่ยงอย่าไปรู้สึกกดดันทับถม ทำให้เราซ้ำลงไปกับอาการจิตที่กลายเป็นจิตที่ 1.แข็งด้าน 2.ไม่เบิกบานแจ่มใส 3.ไม่คล่องตัว ไม่มุทุภูตธาตุ จะไม่ราบรื่น อย่าไปทำ ก็ปล่อย อันนี้เป็นกิเลสอภิชัปปา คือกิเลสล้ำหน้า คือเราอยากจะได้ก่อนเวลา อยากจะได้เร็วๆ ก่อนที่ความเป็นจริงของเราจะถ้วนรอบถึงได้ เป็นกิเลสล้ำหน้า ก็ระมัดระวัง

มีเจตนาแต่อย่าอยาก เอาคำนี้ไปแก้ก็จะได้ คือพากเพียรทำไป เท่าที่เรารู้ว่าเราใช้ความพยายาม แต่อย่าอยาก อย่าไปต้องการได้เร็วๆจะยิ่งเสีย ก็พยายามทำไป เพราะพวกเราอย่างน้อยที่สุด เราก็ศึกษาเล่าเรียนพากเพียรอยู่แล้ว ถ้าจิตเราตั้งทิศนี้แล้วจะไม่ถอยกลับ เราทำกายกรรม

วจีกรรมก็ช่วยได้แล้ว ยิ่งจิตเราก็พยายามทำใจ มนสิกโรติ การทำใจในใจ เราก็เพียรอยู่แล้ว อย่าไปกดดันมันมากจะซับซ้อนเป็นภาวะตีกลับ แทนที่จะได้ก็ไม่ได้

_ถ้าทำทานแบบหวัง ผูกพัน สั่งสม  จะได้เป็นเทวดาจาตุมหาราชิกา

แต่ถ้าทำทานแบบไม่หวัง ผูกพัน สั่งสม  จะได้เป็นเทวดาดาวดึงส์ ก็ถามว่าถ้าเราไม่ หวัง ผูกพัน สั่งสม

ถามว่าทำไมได้แค่เทวดาชั้นต้น

ตอบ...ทำแค่ชั้นต้นก็ได้ชั้นต้น คุณจะทำแบบไม่มีภพชาตินั้น อย่านึกว่าจะได้ทันที แต่โวหารให้ทำแบบนี้ จะได้ตามบารมี

 

การสร้างภพชาตินี้จึงลึกซึ้งมาก อาตมาพยายามเปิดเผยว่าคนเรามี 6 ภพนี้เท่านั้นแหละที่อยากได้ แต่นรกนั้นมีเยอะนะ อาตมาไม่จำเลย เพราะนรกมันมากชื่อมันก็เลยเยอะ แต่เทวดามี 6 เทวดา แต่เทวดา 6 นี้ก็คือนรกแท้ๆอยู่ที่เทวดาชั้นที่ 1 นอกนั้นก็เป็นภพหลอก หากไม่ปิดประตูเทวดาแรก ก็จะซับซ้อนมากขึ้นในเทวดาอื่นๆ

เช่นถ้าเราอยากได้ แย่งมาได้ก็สมใจ แล้วดีใจเป็นดาวดึงส์ การชอบใจกับไม่ชอบใจนั้นคู่กัน ร้ายกับดีมันคู่กัน ไม่มีร้ายไม่มีดีก็นิพพาน ถ้าไม่หยุดร้ายดาวดึงส์จะซับซ้อน เมื่อคุณหยุดร้าย แล้วดีใจที่หยุดร้ายได้เป็นดาวดึงส์ คือภพอ่อนลง แต่ถ้าคุณร้ายแล้วเป็นดาวดึงส์คือภพซับซ้อน

ถ้าคุณเองหยุดจาตุมหาราชก็ได้ดาวดึงส์

แต่ถ้าคุณไม่หยุดจาตุมหาราช ร้ายนะ แต่ดีใจก็ได้สองหรือสามร้าย

แต่ถ้าหยุดแล้วคุณดีใจคุณได้ หนึ่ง แต่ถ้าไม่หยุดแล้วดีใจอีกก็ได้สองหรือสาม จะทบแรงเป็นทศนิยมเพิ่มขึ้นเลย

การหยุดมีวันจบ แต่การเพิ่มมีแต่ทศนิยมขยายตัว

ความมีอนันต์ ความมี ไม่มีที่สุด ความหมด มีที่สุด

พวกที่เพิ่มแรงไม่มีทางสุด พวกที่ลดแรงได้คนนั้นมีที่สุด

 

เพลงความซ้ำซาก

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 1

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (เซ็ง) หรอก!

แต่แท้จริงเป็นการสร้าง “ความปกติ”

และความถาวร มั่นคง สถิตเสถียร

ให้เกิด ให้เป็นขึ้นมา ต่างหาก

ดังนั้น . . . . .

ผู้ไม่พยายามเพียรกระทำความซ้ำซาก

ในสิ่งในเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

จึงคือ . . . . .

ผู้จะไม่ถึงความสำเร็จกิจนั้นๆ ได้เลย

แล้ว “ความยากลำบาก” ใดๆ

ก็จะเป็น “ความง่าย” สบายเบา

ไม่ได้เป็นอันขาด.

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 11/2525 : กีฬาเอ๋ย)

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 2

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (สุดเซ็ง) ดอก !

ไม่เช่นนั้นเราจะยิ่งนอน ก็ยิ่งจะเบื่อการนอน

ยิ่งได้ทรัพย์ ยิ่งจะเบื่อการได้ทรัพย์

ยิ่งได้ยศ ยิ่งจะเบื่อการได้ยศ

ยิ่งได้สรรเสริญ ยิ่งจะเบื่อการได้สรรเสริญ

ยิ่งได้สุข ก็ยิ่งจะเบื่อการได้สุข เป็นแน่แท้

ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

 

แต่ “ความมีอารมณ์เบื่อหน่าย”

ในสิ่งที่ “ยิ่งซ้ำซาก ก็ยิ่งทำให้ได้ดี ได้มั่นคง ให้ง่ายเบา” นั้น

มันคือตัว “หน้าโง่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ของเราเองต่างหาก

หรือ ที่แน่แท้จริงก็คือ กิเลสสดๆ

ที่มันกำลังจะมีชัยชนะอย่างกระหยิ่ม นั่นเอง.

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 12/2526 : คุณครูเอ๋ย)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 3

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (แสนเซ็ง) ดอก!

แต่แท้จริงแล้ว . . . .

ยิ่งซ้ำซากเรายิ่งจะกลายเป็นเคยในกิจนั้น

ง่ายในกิจนั้นเป็นที่สุดนั่นต่างหาก

 

รู้เถิดว่า . . . . . . . .

ถ้าเจ้ากิเลสตัวที่ชื่อว่า “ความเบื่อหน่าย” นี้

มันเข้ามาเยี่ยมกราย ในอารมณ์คุณเมื่อไร

เมื่อนั้นแหละ คือ

คุณกำลังประจัญต่ออุปสรรคตัวเลวร้าย และฤทธิ์มาก

แต่เยียบเย็นและแสนแสบที่สุด

ที่จะทำให้คุณล้มเหลวในกิจนั้นๆ เอาง่ายๆ

กว่าอุปสรรคร้อยแปดอื่นใดทีเดียว !

 

แท้จริงมันคือ มารลวง

หรือความหน้าโง่ชั่วแวบของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แท้ๆ จริงๆ

ซึ่งคุณอย่าเผลอให้มันอยู่กับเราหลายแวบ เป็นอันขาด

มิฉะนั้น มันจะเกิดเป็นความหน้าโง่ตัวถาวร

อยู่กับเรา พร้อมกับความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

 

ถ้าคุณแน่ใจว่า กิจนั้นดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น อย่างยิ่งแล้ว

อย่าโง่เสียเวลามีอารมณ์เบื่อหน่ายเลย

แม้แต่เสี้ยววินาทีเป็นอันขาด.

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 13/2526 : อาหารเอ๋ย 1)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 4

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย จริงๆ

ไม่เช่นนั้น กลางวันแล้วก็กลางคืนที่ซ้ำซากนี้

จะมีอยู่แล้วๆ เล่าๆ ไม่ได้เป็นอันขาด

ดังนั้น ถ้าคุณแน่ใจว่ากิจนี้ดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้น่ามีน่าเป็นอย่างที่สุดแล้ว

คุณจงรู้เถิดว่า อารมณ์เบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น กับคุณเมื่อใด

นั่นคือ ความล้มเหลวในกิจนั้นของคุณ

กำลังโผล่หน้ามาเยี่ยมกรายคุณ อย่างถึงหน้าบ้าน แล้วทีเดียว

หากคุณไม่ไล่เจ้าตัวอารมณ์นี้ ออกไปจากหน้าบ้าน

อย่างเร็วด่วนให้ได้แล้วละก้อ

ไม่นานเลย

คุณก็จะอยู่กับความล้มเหลว

และ แต่งงานกับเจ้าความเบื่อหน่าย ในกิจนั้น

อย่างสุดรักสุดบูชา

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 14/2526 : อาหารเอ๋ย 2)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 5

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย จริงๆ

ไม่เช่นนั้น คุณจะต้องเป็นทุกข์และ ทรมานมาก

ที่คุณจะต้อง เดิน-ยืน-นั่ง-นอน

หรือต้องกิน ต้องอุจจาระอยู่อย่างซ้ำซากแท้ๆ เหมือนกัน

คุณจะหัดซ้ำซากในอะไร ก็จะได้

คุณจะเลิกไม่ซ้ำซากในอะไร ก็จะได้ เป็นที่สุด

ดังนั้น ถ้ากิจใดคุณแน่ใจว่ากิจนั้นดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น

หรือกิจนั้นต้องเป็น ต้องอยู่ ต้องอาศัย อย่างที่สุดแล้ว

คุณอย่าให้มี “ความเบื่อหน่าย”

เกิดมาแทรกคั่นในกิจนั้นๆ เป็นอันขาด

แต่จงมีความร่าเริง “ฉันทะ” กับกิจนั้นๆ เสียเลย

“วิริยะ” พากเพียรเต็มที่ บากบั่น มั่นสู้ไม่ถอย

“จิตตะ” คือเปิดใจ ปล่อยใจ วางใจ ยกหัวใจ

ให้กับกิจนั้นๆ ไปเลย

แล้วก็ “วิมังสา” คือ ลงมือฝึกปรือ ใช้ปัญญา ทำกับกิจนั้น

ให้ดีที่สุดขึ้นเรื่อยๆ ให้ได้เสมอ

ฉะนี้แล คือ ทฤษฎีแห่งความสำเร็จ

ที่จะพ้นทุกข์แท้

และจะสร้างสรรความประเสริฐสุดได้จริง.

 

11 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 15/2526 : อาหารเอ๋ย 3)

 

อย่างไรๆเราก็ตอบไม่ได้หรอกว่าทำไมต้องกลายมาเป็นจิตนิยาม ทำไมไม่หยุดแค่พีชนิยาม ก็เพราะว่ามันไม่รู้นี่หว่า? ก็เพราะอวิชชาไง จึงทำให้มาวนเวียนตามวัฏสงสาร จนกว่าคุณจะทำให้จิตนิยามเลิกวนเวียน สลายตัวเป็นอุตุนิยาม แล้วนานมากกกกกกก กว่าจะพัฒนามาเป็นจิตนิยาม ไม่ต้องกลัวหรอก จะมาอีกก็ไม่รู้แล้ว เมื่อคุณมาเป็นจิตนิยามแล้วเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทำปรินิพพาน

คุณจะมาบอกว่ารู้อย่างนี้ไม่เกิดมาเป็นจิตนิยามหรอก? แล้วตอนเป็นพีชนิยามมันจะรู้เรื่องไหม? ก็ไม่รู้เรื่องอีก

ขอสรุปว่า คนเราเกิดมามีพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ที่สุดแล้วไหมอาตมาจะไม่ถึงที่สุดเป็นแค่สยังอภิญญาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาก็ยังรู้ถึงการเกิดมาเป็นคนเป็นชีวิตมันไม่มีอะไรดีที่สุดเท่าที่จะมาเรียนรู้วันนี้ ถ้าคุณจถ้าคุณสามารถทำจิตนิพพานได้ คุณจะอยู่นานเท่าพระอวโลกิเตศวรที่ท่านมีปณิธานว่าจะรื้อขนสัตว์โลกให้ไปนิพพานหมดโลกก่อนท่านถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย

ผู้ที่ไม่รู้ทางจบก็เป็นพระเจ้านิรันดรแปลงเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นคนดีที่ไม่ทำชั่วตลอดกาล แล้วจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ได้ เพราะว่าเงื่อนไขคือคุณต้องเป็นจิตนิยามที่วิเศษสุดไม่เป็นพิษภัยกับใคร แต่จะเป็นพีชะก็ได้ประโยชน์แค่พีชะ เป็นอุตุก็ได้ประโยชน์เท่าอุตุ แต่จิตนิยามนี้ดีกว่า แล้วคุณเองไม่รู้ว่าทำไมต้องมาเป็นจิตนิยามอยู่แล้ว

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้เรื่องของความวนเวียนของนิยามชีวิต อาตมาตั้งไว้จะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ต่อไป แล้วยังไม่ตั้งจิตถอย เชื่อว่าถ้าเรารู้ดีและชั่วอย่างหยาบกลางละเอียดครบ แล้วเราไม่ทำชั่วอีกเลย ทำแต่ดี จะช้านานอีกเท่าไหร่อาตมาไม่ได้ขาดทุนเลย เพราะอาตมาเสียอยู่ตลอด ไม่ได้ขาดทุนเลย

เพราะอาตมาเสียอยู่ตลอดอาตมาจึงไม่ขาดทุน

อาตมาเสียอยู่ตลอดไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร

เกิดมาเป็นคนอาตมาไม่เห็นเลยว่าอะไรจะดีกว่านี้อีก นอกจากคนนั้นอยากทำชั่วอยู่ ไม่ต้องพูดกัน ก็จบ แต่ถ้าคนไม่อยากทำชั่วใดเลยก็มาทางนี้ แล้วจะทำอะไรก็ทำ เพราะเป็นสิ่งดี ...เอวัง

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 6

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลยจริงๆ

แต่ตัว “ความเบื่อหน่าย” นั้นแหละ

คือตัว “ทุกข์” แท้ๆ

และคือ ตัวที่จะทำให้ผลักเบนจาก “ความดี”

หรือจาก “ความไม่ดี” กันอย่างสำคัญเลยทีเดียว

 

ดังนั้น ถ้าใครใช้ปัญญาวิเคราะห์ จนรู้แน่ใจแล้ว

ว่า นี้คือ “ความไม่ดี”

ก็จงตัดขาดหลีกเร้น อย่า “ซ้ำซาก” อยู่

ว่า นี้คือ “ความดี”

ก็จงตัดขาด “ความเบื่อหน่าย” ออกไปให้เด็ดขาด

แล้วจงซ้ำซากอยู่เถิด

จนกว่าเราจะหมดสิ้นเหตุปัจจัย

 

ผู้ถึงธรรม คือ ผู้ทำกุศลกรรมนั้นๆ

ซ้ำๆ ซากๆ ได้แล้ว สบายๆ ไม่มีเบื่อ

ผู้ยังไม่ถึงธรรม คือ ผู้ทำกุศลกรรมแท้ๆ

ซ้ำซากมากไป ก็จะเบื่อ.

 

11 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 16/2527 : การศึกษาเอ๋ย )

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 7

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย

แท้จริงนั้น “ความซ้ำซาก” คือ

ความอมตะ คือความนิรันดร์

ข้อสำคัญคือ เราจะซ้ำซากกิจนี้อยู่

เพราะมันยังชื่อว่าดี

ว่าสมควรแล้วอยู่จริง

หรือจะไม่ซ้ำซากกิจนี้ต่อไปแล้ว

เพราะมันชื่อว่า ไม่ดี

ว่าไม่สมควรแล้ว

โดยใช้ปัญญาอันยิ่งแท้

อย่างปราศจากความลำเอียง

และหรือ อย่างไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย

ด้วยสัปปุริสธรรม 7 กันจริง เท่านั้น

ดังนั้น ผู้ถึงธรรมแล้ว

จึงไม่มี “ความเบื่อหน่าย” ในอะไรเลย

และจะไม่ติดแม้ในสิ่งส่วนที่ชื่อว่า

ดียิ่งยอดใดๆ ด้วย

แต่ท่านรู้เป็น-รู้ตาย รู้เกิด-รู้ดับ รู้พัก-รู้เพียร

และท่านตัด-ท่านต่อของท่านได้แน่แท้

เด็ดขาดถึงที่สุดแล้วจริงๆ.

 

15 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 17/2527 : อาชีพเอ๋ย 2 )

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 8

ความซ้ำซาก

ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายหรอก

ถ้าการซ้ำซากนั้นเป็นไปเพื่อ

ทำให้เกิดความละหน่าย

เกิดความเลิก ความพราก

ความละคลายแล้วละก้อ

ยิ่งจะต้องซ้ำซากให้ยิ่งๆ เสียด้วยซ้ำ ตะหาก

เพื่อความหน่าย ความเลิก ฯลฯ นั้นๆ

จะได้เต็ม จะได้เป็นจริง จะได้สำเร็จ จบครบ

และแล้วที่สุดแห่งที่สุดอีก

เรายังจะต้องมาทำใจไม่ให้หน่ายชัง

ไม่ให้รังเกียจสิ่งที่เราละหน่าย

ให้สัมพันธ์ต่อสิ่งที่เราละหน่ายมานั้นๆ ได้

หากสัมผัสก็สมานกันอยู่ได้

โดยไม่ทุกข์ ไม่ผลัก-ไม่ดูด ไม่ชอบ-ไม่ชัง

เป็นสุดท้ายจริงๆ ด้วยซ้ำไป -เห็นไหม?

 

16 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 18/2527 : อาชีพเอ๋ย 3)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 9

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย หรอก !

ถ้าความซ้ำซากนั้นคือ การสร้างสรร

คือ ความดี คือ ความเจริญจริงแล้ว

ความซ้ำซากนั้นๆ ยิ่งจะทำให้เราง่าย

เราเคย เราสบายในกิจนั้นๆ ต่างหาก

และถ้าแม้นเราโมหะ หรืออวิชชา

ก็จะทำให้ติดให้หลงเอาเสียด้วยซ้ำ

ติดหลงความได้เปรียบ-ความชั่ว ซวยหนัก

แต่ติดหลงความเสียสละ-ความดี ซวยน้อย

จึงต้องรู้ให้แท้ว่า . . . . .

อะไรๆ ในโลกนี้ ก็ไม่น่าติดน่าหลง เป็นอันขาด

แล้วเราก็ไม่ต้องมีความน่าเบื่อหน่ายใดๆ เลย

หรือ ถ้าจะมีเป็นสุดท้ายจริงๆ

ก็ความเป็นผู้เด็ดไม่ขาด ในความซ้ำซากนั้นๆ

เท่านั้นแหละ คือ “ทุกข์” เหลือ

 

16 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 19/2527 : อาชีพเอ๋ย 4)

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 10

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย หรอก !

แต่ถ้าความซ้ำซากนั้นยิ่งทำให้ติด

คือ ทำให้ยิ่งซ่ารส ยิ่งหวงแหน ยิ่งอร่อย

ทำให้หลงเสพย์ไม่ปล่อย ไม่หยุดวน ละก้อ

จงเลิกซ้ำซากสิ่งนั้นมาก่อน

แล้วค่อยตั้งหลักเข้าไปฝึกเคยฝึกชิน

จนซ้ำซากสัมผัสสัมพันธ์กันได้ เป็นที่สุดเถิด

หากสิ่งนั้น กิจนั้น เป็นกุศล เป็นการสร้างสรร ถูกธรรมแท้ๆ

 

แต่ถ้าสิ่งนั้น กิจนั้น เป็นอกุศล เป็นความไม่เจริญ

ไม่สร้างสรรอะไร ไม่จำเป็นอะไร

ก็จงหยุดซ้ำซากให้ได้เด็ดขาดเถิด

หรือ ยิ่งติดสิ่งนั้น กิจนั้นอยู่เก่า-อยู่เดิม แล้วละก็

ยิ่งจะต้องหัดเลิก หัดห่างการซ้ำซากนั้นๆ มาให้ได้

จนเลิกขาดได้เป็นที่สุดเทอญ

แล้วจะใช้ภาษาเรียกว่า “เบื่อหน่ายสิ่งนั้น” ก็ได้

และก็จงเข้าใจเถอะว่า แม้อย่างนั้น . . . .

จิตเราต้อง “ไม่ชอบ-ไม่ชัง” ในอะไรเป็นที่สุด.

 

16 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 20/2528 : การศึกษาเอ๋ย)

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86288

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYTRiaTVqeU9lam8

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5tyq035txvvz/160908_

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=0yt4nCH3Qq4


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:54:15 )

590908

รายละเอียด

590908_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ซ้ำซากอย่างใดให้เข้าถึงทาน

พ่อครูว่าวันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2559 ขึ้น 7 ค่ำเดือน 10 ปีวอก วันนี้ก็มีนักเรียนมานั่งเข้าชั้นเรียน ธรรมะหลวงปู่ตอนนี้อธิบายบรรยายเป็นธรรมะที่ลึก ไกล ในระดับก้าวหน้าไปอีกหลายชั้น จะกลับคืนมาสู่ที่ต้นอีกก็ยากมากทีเดียว ก็เลยพยายามผสมผสาน เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็ตั้งใจฟัง เอาใจช่วยอาตมาหน่อยนะ มันไปไกลกันจริงๆ อธิบายจนพวกเราหลายคนก็ยังทำใจไม่ได้

เช่นบางคนก็เข้าใจแล้ว ถ้าจิตเรามันมีอาการโลดแล่นไปข้างหน้า ไปมีภพมีชาติ มันก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันต้องไม่แล่นไป แต่ใจเราก็ยังแล่นไป ก็เลยรู้สึกเสียว วาบๆ ก็อย่าไปลงโทษตัวเอง มันยังไม่ถึงขีดที่เราจะสังวรสำนึก ปฏิบัติอยู่เสมอแล้ว เราก็พยายามทำ ได้เท่าไหร่ก็ค่อยๆเป็นไป อย่าไปฮึดฮัดฟัดเหวี่ยงอย่าไปรู้สึกกดดันทับถม ทำให้เราซ้ำลงไปกับอาการจิตที่กลายเป็นจิตที่ 1.แข็งด้าน 2.ไม่เบิกบานแจ่มใส 3.ไม่คล่องตัว ไม่มุทุภูตธาตุ จะไม่ราบรื่น อย่าไปทำ ก็ปล่อย อันนี้เป็นกิเลสอภิชัปปา คือกิเลสล้ำหน้า คือเราอยากจะได้ก่อนเวลา อยากจะได้เร็วๆ ก่อนที่ความเป็นจริงของเราจะถ้วนรอบถึงได้ เป็นกิเลสล้ำหน้า ก็ระมัดระวัง

มีเจตนาแต่อย่าอยาก เอาคำนี้ไปแก้ก็จะได้ คือพากเพียรทำไป เท่าที่เรารู้ว่าเราใช้ความพยายาม แต่อย่าอยาก อย่าไปต้องการได้เร็วๆจะยิ่งเสีย ก็พยายามทำไป เพราะพวกเราอย่างน้อยที่สุด เราก็ศึกษาเล่าเรียนพากเพียรอยู่แล้ว ถ้าจิตเราตั้งทิศนี้แล้วจะไม่ถอยกลับ เราทำกายกรรม

วจีกรรมก็ช่วยได้แล้ว ยิ่งจิตเราก็พยายามทำใจ มนสิกโรติ การทำใจในใจ เราก็เพียรอยู่แล้ว อย่าไปกดดันมันมากจะซับซ้อนเป็นภาวะตีกลับ แทนที่จะได้ก็ไม่ได้

ก่อนจะได้ฟังบรรยายก็วันนี้อ่าน sms ตอนนี้มีกระแสตอบรับว่ารู้หรือไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ถามมาอีกมันก็ดี อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามีผู้ศึกษาอยู่ ไม่ใช่พูดไปลมๆแล้งๆหายวับไปไม่มีอะไรใส่ใจเลย สะท้อนกลับเลย no echo เลยหายไป มันก็ไม่ได้เรื่องก็มีสะท้อนกลับบ้าง โดยเฉพาะรายงานผลว่าดีหรือไม่ดี ทำให้เรารู้ว่าพูดไปอธิบายไปมีผลดีหรือยังแค่ไหนอย่างไร ก็ขอบคุณทุกคนที่ได้สนใจแล้วเสียสละ ตอบรับมา

SMS 7 September

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.มหัปปิจฉะทานที่ให้แล้วหวังผลทำให้รวยจริง คือจิตรวยกิเลสเพิ่มพูน! ธรรมะอัปปิจฉะ ทานที่ให้แล้วให้เลยทำให้ ให้จนจริง คือจิตจนกิเลสลดลงจริงสาธุ!สกก

ตอบ...เราเอาคำตรัสของในหลวง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรากับแบบคนจนมาออก คนก็ยากที่จะเข้าใจได้ก็เห็นใจเขาจริงๆ ที่จริงอาตมาก็สอนมาก่อนแล้ว โทรทัศน์เราออกมาประมาณ 10 ปี เอาคำตรัสในหลวงมาออกได้สัก 5 ปีได้มั้ง ก็ค่อยๆ มีเสียงตอบรับ พวกเราก็ค่อยๆเข้าใจ ดีขึ้น จึงเห็นว่า มีผล มีความหวัง (แต่อย่าไปสร้างจิตหวัง)

 สิ่งนี้จะก้าวหน้าเป็นไปได้

_0844497xxx การปล่อยวางใน "รูป" การปล่อยวาง "นาม" และ "ความไม่มีตัวตน" ผู้น้อยมีความไม่เข้าใจความหมายถึงสิ่งใดที่ลึกซึ้งถึงแก่น กราบขอความเมตตาพ่อท่านอธิบาย เพื่อจะได้เข้าใจชัดเจนถูกต้อง

ตอบ...ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ารูปกับนามก่อนรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ object ส่วนนามเป็นตัวรู้ subject (ประธาน) 

รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ object (กรรม) นั่นคือรูปกับนาม

คำว่ากาย มันคือการทำงานร่วมกันของรูปกับนาม ต้องมีสองอันเสมอแล้วเราจะเรียนตรงนามหรือกาย อาการของธาตุรู้ด้วย แล้วปฏิบัติที่จิตด้วยเป็นหลัก ส่วนกายทำก่อนก็ไม่ยากมันหยาบ แล้วเราต้องอ่านจิต ต้องวิปัสสนาตรงนี้

วิปัสสนาเริ่มตั้งแต่กายในกาย คือองค์รวม คำว่ากายนอกกาย คืออยู่ข้างนอก ซึ่งเราก็ควบคุมกายกรรม วจีกรรมอยู่แล้ว สมมุติว่าคนที่ทำไม่ได้ก็คุมกายกรรม วจีกรรมไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจิต ก็ทำให้สำเร็จกาย วจีก่อน ขณะที่เรากำลังปรับ กุศลกรรมทางกายกรรม (กายวิญญัติ) มันกำลังเคลื่อนไหวไปในทางอกุศลไปในทางทุจริตไม่ดีไม่งาม เราก็ต้องพยายามไม่ให้มันทำ ซึ่งก็ต้องใช้จิตควบคุมจัดการ วจีก็เช่นกันไม่ให้มันพูดเช่นนี้ก็ใช้จิต แต่ถ้ามันเกินกว่าเราจะห้ามมันก็ให้สุดที่พยายามให้จริงใจ อย่าซูเอี๋ย เล่นละคร แล้วมันจะดีขึ้นๆ ถ้าคนไม่มีบารมีก็จะช้านาน แต่คนมีบารมีบ้างไม่ช้านานเท่าไหร่

คนไม่มีบารมีก็อย่าไปท้อแท้ เพราะเราไม่มีบารมีจึงต้องพากเพียร อย่าใจร้อน เราไม่มีบารมีก็อุตสาหะ อยู่กับหมู่ ยิ่งคนไม่มีเรี่ยวแรงมากควรต้องอยู่กับหมู่

พระพุทธเจ้าตรัสว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ มันเป็นสนามแม่เหล็ก เป็นการตรวจสอบ เป็นการเมตตาช่วยเหลือกันจริงๆ มิตรสหายดีจึงเป็นข้อ 1 ของแทบทุกอย่าง ต้องมีองค์รวมช่วยเหลือ โดยเฉพาะสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นสัปปายะ มีอิทธิพลมีน้ำหนักช่วยเหลือเราได้อย่างมาก

ชุมชนชาวอโศกทุกวันนี้เป็นสัปปายะ 4 ที่บริบูรณ์ มีทั้งสถานที่ ที่ไม่เป็นมลพิษเราพยายามความพยายามสร้างให้ไม่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ เป็นเสนาสนสัปปายะ มีบุคคล ผู้ที่รู้ รู้มากรู้น้อยก็ดี บางชุมชนคนมีน้อย ไม่มีอรหันต์ ไม่มีอนาคาฯสกิทาฯแต่ก็มีอาริยบุคคลในระดับนั้น ระดับนี้ น้อยหรือมากก็มีแต่เป็นไปตามธรรม

ถ้าเราเข้าใจว่าสังคมใดก็ตามในชาวอโศก ที่เป็นอาวาสถาน เป็นสังฆสถาน พุทธสถาน แม้จะไม่เป็นอาวาสสถานก็แล้วแต่ ยิ่งเป็นสังฆสถาน พุทธสถานก็ยิ่งดี

ในคนที่มีคุณธรรมมีอาริยธรรม มันเป็นจริง  มีเอหิปัสสิโก เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ได้ ศึกษาให้ดีว่าโลกุตระมีทิศทางเช่นนี้ รวมตัวพากเพียรไป นอกจากคุณเองแย่เต็มทีอยู่ไม่รอด มาแล้วทำให้เราเสื่อมหนัก เก็บกด แก้แค้น หมักหมม ซับซ้อนก็ไม่เป็นไร ออกไปปฏิบัติข้างนอกก่อน

 คนที่มีจิตใจรับรู้แล้วว่าอันนี้มันใช่ อันนี้มันเป็นสิ่งที่ถูก แม้จะไม่มีบารมีอยู่ในนี้ไม่ได้ แต่ก็ปฏิบัติข้างนอกตามฐานะของเรา เพราะเรามีจิตใจที่มีปัญญารู้ว่าใช่ ก็ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้จัดจ้านเกินไป ถ้ายิ่งจัดจ้านจะตีกลับเป็นพลังสะท้อนกลับ ก็ค่อยๆพากเพียรเอา จะปล่อยวางรูปนาม ทำใจในใจ (มนสิกโรติ) คือวางส่วนที่เราจะวาง จะไม่ยึดติดผูกพัน ให้มันดับเราก็จะทำดู ก็จะรู้ว่าทำอย่างไร เราจะรู้ไปเรื่อยๆ มีพลังปัญญา คือฌาน

คือพลังงานอุณหธาตุ คือธาตุไฟ ฌานนี่คือปัญญา ถ้าฌานสะกดจิตแบบฤาษีชีไพรกดข่มก็ทำให้เป็นก้อน แต่พลังงานธาตุไฟนี้จะสลาย มีฤทธิ์แรง ร้อยดีกรี สองร้อยสามร้อยดีกรี จะมีพลังงานไฟไปสลายกิเลสได้

ราคะ โทสะ โมหะ (คือพลังงานไฟพักยก จะเบา แต่ถ้าโมหะทำงานจะร้ายแรง แต่ไม่เต็มรูปราคะโทสะ แต่ถ้ามันทำงานจะเลวกว่าราคะโทสะอีก)

สรุปแล้วคุณทำไปจะค่อยๆมีญาณปัญญารู้อาการที่ไม่มีรูปร่าง สีสัน ตัวตน แต่เราจะเข้าใจรู้ได้ด้วย อาการ หรือกิริยาของมัน กิริยาจะหยาบกว่าอาการ อาการโกรธ โลภ เศร้า ดีใจ เราจะอ่านอาการพวกนี้ออก ว่า อ๋อ.. ตอนนี้เรากำลังมีอาการดีใจแรงๆ ตอนนี้มีอาการไม่ชอบใจแรงๆ มีอาการเศร้ามากๆ มีอาการตื่นเต้นมากๆ เราจะอ่านอาการใจออก

_0899621xxx แมททริค คือโลกเสมือนจริงซ้อนไปอีกทีครับเหมือนชีวิตในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประหนึ่งว่าเราเป็นโปรแกรมหนึ่งที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาโดยประกอบ

ตอบ...โลกเสมือนจริงก็คือสิ่งลวงนั้นแหละ อย่าไปหลงผิดว่าเหมือนจริงนั้นคือจริง

_0805925xxx คำถามจิตนู๋ถามตัวเองตั้งแต่เด็กที่สนใจศาสนาหาคำตอบไม่เจอ?อยากรู้เหมือนกันจิตมาจากไหนเกิดมาจากอะไรร่างกายมาจากดินน้ำลมไฟแล้วจิตอุบัติปรุงแต่งจากอะไร?กำเนิดของจิต?เฮ้อ อจินไตย!นะ  กิเลสกามกินผูกใจจัง กิเลสกามเสพผูกใจเจ็บ กิเลสคนคนวัฎฎะไม่หน่ายคลายกามคุณ!จริงเนอะ! ปลายฝน

ตอบ...อย่าใจร้อน พากเพียรก็ดีแล้ว ไปเรื่อยๆ ต้องอ่านอาการ จะรู้ว่าอุตุนิยามเป็นอย่างไร มีในตัวเราด้วย เป็นดินน้ำลมไฟ มีอาการอยู่ในตัวเรา อาการละเอียดด้วย แล้วอาการละเอียดเหล่านี้จะข้ามมาเป็นพีชนิยาม

ก็เรียนรู้อุตุต่างจากพีชะที่มีชีวะ ชีวะหรือชีวิตจะมีสัญญากับการปรุงแต่งอยู่ในตัวมัน อาการที่มันปรุงแต่ง คือดินน้ำลมไฟ มีแค่สัญญากับสังขาร เอาธาตุที่สัญญากำหนดรู้เอามาปรุงแต่งสังขารตนเอง อันไหนใช่ก็เอามาปรุงแต่งสังขารสร้างตัวมันเอง มันสร้างตัวมันเองเป็นชีวะ

แล้วพืชจะขึ้นมาเป็นจิตนิยาม พืชจะไม่เคลื่อนที่ อยู่ติดที่ ไม่ไประรานใคร พืชไม่ค่อยไปไหน จะไปกับลมผลักดันไปเช่นเกสร ก็เพราะลมพาไป แต่ตัวมันจะปักหลักไม่ออกไประรานใคร

แล้วพอสัญญากำหนดหมายได้เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงเป็นจิตจะหลุดจากที่แล้ว จะหลุดจากที่เดิมมีชีวะเคลื่อนได้อิสระ แล้วสามารถมีความรู้สึก ดูด และผลัก แล้วจะแรงขึ้น หนักเข้าก็จะทำร้ายเลย

สัตว์เดรัจฉานชนิดต่ำๆก็ทำร้ายกันแรง แล้วจะค่อยๆพัฒนาขึ้นมา จากพลังงานที่กำหนดหมาย มาเป็นสัตว์ ครบ เวทนา สัญญา  สังขาร เป็นวิญญาณ เป็นพลังงานครบ 4 ที่จะเป็นองค์รวมขยายได้ต่อไป

พลังงานหลัก 4 เป็นต้นแรกที่จะทำอะไรต่อไปได้ เป็นหลักรวมครบทั้งปัญญา แต่ถ้าไม่ถึง 4 จะไม่ถึงปัญญา พลังงานเหล่านี้ จากอุตุมาเป็นพีชะมาเป็นจิตแล้วจะไปรู้เรื่องกรรม

แล้วจิตนี่จะเป็นอเวไนยสัตว์ก่อน แล้วพัฒนามาเป็นเวไนยสัตว์แยกแยะกุศล อกุศลได้  แยกกรรมที่เป็นโลกุตระหรือโลกียะออก

สั่งสมธรรมที่เป็นโลกุตระให้กับตัวเองเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ไปตามลำดับ

ก็ไม่ต้องใจร้อน เรียนรู้ไปเรื่อยๆ พวกเพียร จึงเป็นปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยปัจจัตตลักษณะ เข้าใจดีๆแล้วเรียนรู้เถิด มันยากแต่ก็เป็นสิ่งที่ยอด มันไม่มีอะไรเลิศยอดเท่านี้อีกแล้วสำหรับการเป็นมนุษย์โลกนี้

ถ้าไม่ใส่ใจธรรมะก็พัฒนาการไปตามลีลาอัตภาพของใครของมัน มันมีเหตุผลอะไรของตนหวือหวาก็ไปเร็ว แต่ไม่มีก็ไปช้า จนถึงขีดเรียนรู้จัก ดี ชั่ว รู้กุศล รู้อกุศล ก็ค่อยๆเรียนรู้ แล้วจะเข็ด ในแต่ละชาติ ระลึกไม่ได้ แต่ถ้ามาศึกษาธรรมะจะรู้อดีตได้เร็วขึ้น จริงลึกขึ้น แต่ถ้าไม่ศึกษาเป็นสัมมาทิฏฐิจะเลอะเทอะ เห็นแต่รูปไม่เห็นนาม

ยกตัวอย่างพวกนั่งหลับตาสมาธิ จะเห็นแต่รูป ไม่รู้อาการจิต เช่นเห็นเทวดาเป็นรูปร่าง ก็จะช้าพวกนี้ เพราะมันผิด มันต้องเน้นรู้จิตมันจะชัดขึ้น

 จิตที่เป็นรูปจิต แต่ถ้าสายหลับตาสะกด จิตจะติดแค่รูป ไม่เน้นรู้จิต ที่จะทำให้ชัด แก้ไขเหตุที่จิตได้ เหตุอยู่ที่นามไม่ใช่รูป

ถ้าศึกษาทางรูป ไม่ศึกษาทางจิต ก็จะช้ากว่าพวกที่ศึกษาจิต

 

_0893867xxx วิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ให้ความรู้เรื่องพลังงานที่ทดลองได้จักรวาลที่พิสูจน์ได้!แต่ไม่มีใครพิสูจน์นิพพานได้นอกจากจิตใครจิตมัน! พ่อครูบ่มีวันตกโลกเพราะธ.พระศาสดาที่พ่อครูเผยแพร่ มีแต่พามนุษย์ยกโลกด้วยการหยุดคนจิต! เพราะธรรมชาติโลกแย่ลง เหตุถูกมนุษย์คนจิตตน ฉุดโลกตกลงมาทั้งโลก ทั้งตัวเอง!สกก.

ตอบ..มีหมอประสาน ตางใจ สนใจศึกษาทางนี้ สนใจทางรูป ก็น่าสงสาร มีความล่อด้วยความหลากหลายมีความรู้อะไรมากมายให้หลงผิด แต่ถ้าเน้นมาทางนามก็จะได้

 

_0893867xxx พ่อครูขยันเทศนาธรรมผู้น้อยก็ขยันฟังธรรมตามท่านแม้จะวนอยู่กับธรรมเดิมๆซ้ำๆเพราะทุกเรื่องในพระตปฎ.ทุกข้อล้วนวนเวียนอยู่กับจิตต่อเนื่องจนจบที่นิพพานเป็น1เดียวกันอยู่แล้วสาธุ!

_0857882xxx ทำอย่างไรให้จิตสงบ

ตอบ...ตอบเบื้องต้นง่ายก่อน การทำจิตแบบสมถะ นั่งสะกดนั้นยังมีเวียนกลับ ต้องมาเรียนรู้อาการของจิต เจตสิกต่างๆ ทำอย่างวิปัสสนาไม่ใช่สมถะ แต่จะกำจัดเหตุที่เริ่มตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

_0844497xxx การให้ทุกอย่างคือ การได้ทุกอย่าง การหวงแหนคือ การสูญเสียทุกอย่าง ของที่เก็บไว้ยังไม่เป็นของเรา ของที่ให้ออกไปจึงเป็นของเราแท้จริง คนใจต่ำดีใจที่ได้เปรียบ คนใจสูงเบิกบานเมื่อได้เสียเปรียบ ผู้น้อย กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ โปรตเมตตาขยายความ

ตอบ...ถูกหมดแล้ว ไม่ขยายความ ขอบคุณ เรียบเรียงมาใหม่จะได้อ่านสู่กันฟังอีก

 

_จากไลน์…คุณสมถวิล บาลเวช ..

ทานๆให้ๆสมองคิดรู้ว่าไม่ต้องมุ่งหวังไม่ผูกพันไม่สั่งสมไม่หวังข้ามภพข้ามชาติแต่พอคนไม่เห็นค่าสิ่งที่ทำ บางครั้งก็เห็นแว้บๆให้เจ็บอยู่นี่คะ...

จะสอนตัวเองท่าไหนล่ะคะจึงจะหมดเสียที?

ตอบ..นี่แหละอย่างที่อธิบาย อย่ามีอาการฮึดฮัด อภิชปาอยากได้เร็วๆ ก็เลยยิ่งช้า คุณได้เพียรเต็มที่แล้ว ก็ได้เพียรแล้ว อย่าไปหวัง อย่าไปอยากได้ ให้เพียรเต็มที่

 

_จากคุณป่าร่ม

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร? อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร

ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

1. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัวกลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ๆ ไปหมด ทุกอย่างที่เห็นเหมือนมองไปกลางถนนขณะแดดจัด ๆ ภาพต่าง ๆ จะเต้นระยิบระยับไปหมด

2. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้ คือเริ่มไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

3. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

4. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจจะหยุดหมด พลังงานทั้งหลายที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใด ๆ ความรู้สึกสัมผัสหมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่าผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง” คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน 4 ประการคือ

1. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง

2. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง

3. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี

4. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่าตายอย่างอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้นแปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก 4 ประการคือ

1. มีอารมณ์เฉย ๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย

2. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร

3. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต และเกิดปิติปลาบปลื้ม

4. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ “ฝึกตายก่อนตาย” ดั่งที่ท่านพุทธทาสเคยสอนเรานั้นเป็นเรื่องประเสริฐสุด แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว

การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้นลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกตื่นรันทดและทรมานเพราะความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกธรรมะในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้ เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง

นมัสการครับ ..เป็นเช่นนี้หรือครับ ผมว่าไม่น่าใช่ ธาตุดินกลายเป็นน้ำ น้ำกลายเป็นไฟไม่สมเหตุสมผล ผมว่าเราทำให้เราตายจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นการตายที่ถูกต้องมากกว่า ใช่ไหมครับ?

 

ตอบ...ก็ดี ดีในความเห็นของคุณป่าร่ม ท้ายข้อความ คนอย่าไปยึดธาตุต่างๆว่าจะตายตัวดินน้ำไฟลมจะต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ต้องกังวลหรอกว่า ของเขาผิดหรือของเขาถูก คุณก็ทำใจของคุณว่าเราตายจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็เป็นจริง ตรงที่ว่าตายอย่าไปตายอย่างโง่ๆ อย่างที่ไม่รู้จักรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเลยมันตายอย่างไม่เข้าท่า มันมีถ้ารู้ก็ต้องรู้ มันต้องมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ต้องชัดเจนว่า

รูปเป็นอย่างนี้ เสียงเป็นอย่าง นี้เปลี่ยนเป็นอย่างนี้ รสเป็นอย่างนี้ มันก็ชัดเจนของมัน ก็รู้เท่าที่มันเป็นจริงตามความเป็นจริง แล้วทำจิตให้ปล่อยวาง จิตที่ทำอย่างนั้นแหละ มันจะเป็นจริง ตามที่แต่ละคนจะฝึกได้

เราเรียนภาวะที่อุตุจะมาเป็นพีชะมาเป็นจิต มันจะไม่สงสัยไปนั่งยึดติดอะไร พอเวลาจะตาย คุณก็ปล่อยไปโล่ง ปล่อยให้มันสิ้นสุด ถ้าจะพูดภาษาวิทยาศาสตร์ก็ทำให้จิตมันเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ไปกดดันอะไรปล่อยไปให้เป็นนิวเคลียร์ฟิชชันไม่ใช่นิวเคลียร์ฟิวชั่น นั่นแหละให้ตายอย่างนั้นดีที่สุด

 

คำถาม

_พระอริยบุคคลระดับโสดาบันมีนิสัยเบื้องต้นเป็นอย่างไรภูมิธรรมเป็นอย่างไรครับ(ของ่ายๆนะครับ)

ตอบ...อริยบุคคลในระดับโสดาบันวิสัยเบื้องต้นคือ ไม่ทุจริต ไม่ทำอะไรผิด นี่อย่างง่ายๆ เป็นคนรู้ว่านี่ทำอะไรผิด เราไม่ทำ เช่นเราทำอันนี้ผิดเป็นกายกรรมเราก็ไม่ทำแล้ว จะพูดอย่างนี้ผิดโกหกก็ไม่ทำเรื่องนั้น แล้วก็ทำให้ได้จะเป็นโสดาบันแต่เบื้องต้น

 

ก็รู้ว่าอันนี้ไม่ดี จิตก็ต้องไม่ทำ เหมือนเด็กรู้ว่าไฟนี่ร้อนจะไม่จับ รู้ว่า กายกรรม วจีกรรมนี้ผิดจะไม่ทำเลยภายนอก ใจก็ยังมีนะ แต่ข้างนอกเราไม่ทำเลย นี่แหละคือจิตพระโสดาบัน

 

_พวกหนูทีมอุทยาน เส้นทางที่พวกหนูใช้เดินทางกลับมาที่วัด จะมีโรงฆ่าสัตว์อยู่ริมทาง แล้วทุกๆวันพวกหนูก็จะเห็นเขาฆ่าหมูอยู่แล้วเกือบทุกครั้ง พวกหนูก็จะแอบเผลอไปมองบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะมอง ในจิตใจหนูคิดสงสารสัตว์พวกนั้นอยู่ อยากจะถามว่าจะบาปไหม?

ตอบ….เราไปเห็นแต่ใจเราก็ไม่ได้ไปนึกดีอะไรไปกับเขาก็ไม่บาป

 

_ของคุณใบฟ้า ปีนี้ ขณะนี้ พ่อครูอายุย่าง 83 ปีเชื่อว่าลูกๆใคร่ทราบการปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพด้วย 8 อ. คืนไหนที่พ่อครูนอนไม่หลับ(พ่อครูว่าไม่มีคืนไหนที่นอนไม่หลับ กลางวันก็ยังหลับได้เลย พักผ่อนให้อ้วนขึ้นมา ตอนนี้น้ำหนัก 52 ไป 53 แล้วนะ รู้สึกเป็นห่วงพ่อครูที่มีวิบากเหมือนเข็มแทงนอนไม่หลับจะชดเชยอย่างไร(พ่อครูว่าก็พักผ่อนเพิ่มเติม)

สืบเนื่องจากที่พ่อครูยกระดับการศึกษาของ ว.นบ.ว่าเป็นศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา ความหมายของปรัชญายังแตกต่างหลากหลายตามความเข้าใจนิสิตแต่ละคน

ตอบ...ศีลเต็มก็คือเราพากเพียรปฏิบัติไปจนเต็มที่หลักของพระพุทธเจ้า คือจุลศีล 26 ข้อ ถ้าเราปฏิบัติได้เต็มนี้ก็จะได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบากแล้วนั่น คือศีลเต็ม

แต่ละข้อมันเต็มในตัวของมันเอง เช่นศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลจะเต็มก็คือกายเราไม่ทำ วจีเราไม่ทำ แต่ใจเรายังมีวูบวาบ บางคนใจยังอยากฆ่าอยู่ก็ไม่เต็ม แม้ที่สุดมันจะเฉยๆ สัตว์มันจะทำร้ายเรา เราก็เฉยๆ แม้ที่สุดมันทำร้ายเราๆก็เฉยๆ เราก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้ก็เฉยๆ นั่นคือศีลเต็มในข้อ 1 แม้ว่าเราจะสงสาร ก็อย่าไปยึดติด จริงๆก็แค่เฉยๆก็คือเต็ม

สัตว์จะทำร้ายเรา ก็ไม่มีใจโกรธแค้นเคือง หรือไม่ชอบใจอะไรขึ้นมาในจิต ก็เป็นวิบากเขาวิบากเรา ข้ออื่นก็มีลักษณะเช่นนี้ ถ้าทำได้ใจเราเช็คได้ก็เต็ม

จุลศีลเป็นเรื่องปฏิบัติตน มัชฌิมศีลเป็นการขยายความละเอียดของจุลศีลหรือเดรัจฉานกถา เป็นการพูดขวางทางนิพพาน แต่ถ้าเดรัจฉานวิชชา คือครบกาย วาจา ใจ

มัชฌิมศีล คืออธิศีลของจุลศีล รายละเอียดเพิ่มขึ้น ส่วนมหาศีล คือศีลส่วนรวม ศีลเป็นความไม่ดี ไม่งาม ที่ศาสนาพุทธไม่มีเลยทั้งนักบวชและฆราวาส ใครยังละเมิดมหาศิลก็ด่างพร้อยไม่เต็ม มันควรทำก่อนอื่น คือเว้นเดรัจฉานวิชชา

มหาศีลเป็นตัววัดกลุ่มพุทธไหนที่ยังมีเดรัจฉานวิชชาอยู่ คือศีลไม่เต็ม ศาสนาพุทธนั้นไม่มี เดียรัจฉานวิชาเป็นเครื่องวัดตัวแรกและตัวรวม

เข้มงาน คือทำงานเต็มที่ คุณรู้ว่าไม่ได้หลบเลี่ยง เมื่อยก็พัก              หายเมื่อยก็เพียร

สืบสานวิชชา เรามีวิชชาขนาดไหน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์แล้วก็ช่วยสืบสานไปตามจริง เมื่อใช้ได้แล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจกตัญญูกตเวทิตา นำความรู้อันนี้เผื่อแผ่คนอื่นต่อไป ตามที่เรามีจะไปทำเกินตัว มันไม่ดีมันไม่ใช่ เราไม่มีเงินสักบาทก็จะไปทำทานจะบ้าหรือ ไปยืมเงินคนอื่นมาทำทานมันไม่ใช่ เราไม่เอา เอาสิ่งที่เรามีอย่าไปอวดดี หรือทำเกินตัวหรือหมดตัวเพราะมีอยู่ 10 บาทไม่ใช่ไปให้ทาน 10 บาทเลย หรือถ้าเราจะทาน 10 บาทได้เราก็ต้องรู้ว่าไม่เป็นปัญหา

 

_ทำไมเราต้องเกิดมาด้วยคะ

ตอบ...ก็ต้องเกิดมาก็เพราะว่าเรายังมีวิบาก เรายังมี คนที่จะต้องเกิดยังปรินิพพานไม่ได้ ก็ค่อยเรียนรู้ว่าวิบากคืออะไร

นอกจากมีวิบากแล้วยังมีอุปทานอีก ถ้าสมาทานนี้ยึดอย่างสมณะอย่างฉลาดไม่ยึดติด แต่อุปทานนี้ยึดอย่างโง่

 

_หลวงปู่มีวิธีฝึกจิตไม่ให้โกรธครับ ทำอย่างไรจึงเลิกโกรธ(อย่างง่ายนะครับ)

ตอบ...ก็พยายามรู้ว่าโกรธนี้เป็นภัยต่อเราเอง เป็นภัยต่อคนอื่นด้วย ถ้าเราโกรธมาก เดี๋ยวก็ออกมาทางกายกรรม ทางวจีกรรม ก็ต้องรู้ว่าโกรธนี้ไม่ดี แล้วจะทำไปทำไมในความไม่ดีนั้น คนเราถ้าไปทำความไม่ดีก็คือคนโง่ ถ้าเป็นอาตมาก็จะไม่เอาหรอกความไม่ดี

 

_ถ้าทำทานแบบหวัง ผูกพัน สั่งสม  จะได้เป็นเทวดาจาตุมหาราชิกา

แต่ถ้าทำทานแบบไม่หวัง ผูกพัน สั่งสม  จะได้เป็นเทวดาดาวดึงส์ ก็ถามว่าถ้าเราไม่ หวัง ผูกพัน สั่งสม

ถามว่าทำไมได้แค่เทวดาชั้นต้น

ตอบ...ทำแค่ชั้นต้นก็ได้ชั้นต้น คุณจะทำแบบไม่มีภพชาตินั้น อย่านึกว่าจะทำได้ทันที แต่โวหารให้ทำแบบนี้ จะได้ตามบารมี

 

การสร้างภพชาตินี้จึงลึกซึ้งมาก อาตมาพยายามเปิดเผยว่าคนเรามี 6 ภพนี้เท่านั้นแหละที่อยากได้ใครก็ไม่อยากได้ภพนรก แต่นรกนั้นมีเยอะนะ อาตมาไม่จำเลย เพราะนรกมันมากชื่อมันก็เลยเยอะ แต่เทวดามี 6 เทวดา แต่เทวดา 6 นี้ก็คือนรกแท้ๆอยู่ที่เทวดาชั้นที่ 1 นอกนั้นก็เป็นภพหลอก หากไม่ปิดประตูเทวดาแรก ก็จะซับซ้อนมากขึ้นในเทวดาอื่นๆ

เช่นถ้าเราอยากได้ แย่งมาได้ก็สมใจ แล้วดีใจเป็นดาวดึงส์ การชอบใจกับไม่ชอบใจนั้นคู่กัน ร้ายกับดีมันคู่กัน ไม่มีร้ายไม่มีดีก็นิพพาน ถ้าไม่หยุดร้ายดาวดึงส์จะซับซ้อน เมื่อคุณหยุดร้าย แล้วดีใจที่หยุดร้ายได้เป็นดาวดึงส์ คือภพอ่อนลง แต่ถ้าคุณร้ายแล้วเป็นดาวดึงส์คือภพซับซ้อน

ถ้าคุณเองหยุดจาตุมหาราชก็ได้ดาวดึงส์

แต่ถ้าคุณไม่หยุดจาตุมหาราช ร้ายนะ แต่ดีใจก็ได้สองหรือสามร้าย

แต่ถ้าหยุดแล้วคุณดีใจคุณได้ หนึ่ง แต่ถ้าไม่หยุดแล้วดีใจอีกก็ได้สองหรือสาม จะทบแรงเป็นทศนิยมเพิ่มขึ้นเลย

การหยุดมีวันจบ แต่การเพิ่มมีแต่ทศนิยมขยายตัวไปอีก

ความมีอนันต์ ความมี ไม่มีที่สุด ความหมด มีที่สุด

พวกที่เพิ่มแรงไม่มีทางสุด พวกที่ลดแรงได้คนนั้นมีที่สุด

 

_ถ้าคนเราไม่ชัดเจนว่าอยากไปมากๆให้เดินทางมากน้อยแล้วอยากไปรีบร้อนให้เดินทางตามลำดับ ไม่เช่นนั้นก็จะขลุกขลัก

 

ในพระไตรฯ ล.27 ข้อ 1445

1445] คนผู้ตระหนี่กลัวยากจน ย่อมไม่ให้อะไรๆ แก่ผู้ใดเลย ความกลัวจน

นั่นแลจะเป็นภัยแก่คนผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอยากข้าว อยากน้ำ ความกลัวนั้นแหละ จะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า. ทานเถิด เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า.

[1447] ทานผู้ให้ได้ยาก เพราะต้องครอบงำความตระหนี่ก่อน แล้วจึงให้ได้

อสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ทำทานตามที่สัตบุรุษทำแล้ว ธรรมของสัตบุรุษอันคนอื่นรู้ได้ยาก.

[1448] เพราะเหตุนั้น คติจากโลกนี้ของสัตบุรุษ กับอสัตบุรุษจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปนรก สัตบุรุษย่อมไปสวรรค์.

[1449] บัณฑิตพวกหนึ่ง ย่อมให้ไทยธรรมแม้มีส่วนเล็กน้อยได้ สัตว์พวกหนึ่ง แม้มีไทยธรรมมาก ก็ให้ไม่ได้ ทักขิณาทานที่บุคคลให้จากของเล็กน้อยก็นับว่าเสมอด้วยการให้จำนวนพัน.

[1450] แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารมา ผู้นั้นชื่อว่า ประพฤติธรรม อนึ่ง บุคคล

ผู้เลี้ยงบุตรและภรรยาของตน เมื่อไทยธรรมมีน้อยก็เฉลี่ย ให้แก่สมณะและพราหมณ์ บุคคลนั้นชื่อว่า ประพฤติธรรม ยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชาแก่คนผู้ควรบูชาจำนวนพัน ยัญของคนเช่นนั้น ย่อมไม่ถึงแม้เสี้ยวแห่งผลทาน ของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่.(คนมี

[1451] เพราะเหตุไร ยัญนี้ก็ไพบูลย์ มีค่ามาก จึงไม่เท่าค่าแห่งผลทานของ

บุคคลที่ให้โดยชอบธรรมเล่า ไฉนยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชา แก่คนที่ควรบูชาจำนวนพันๆ จึงไม่เท่าแม้ส่วนเสี้ยวแห่งผลทาน ของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรม ให้เกิดโดยชอบให้อยู่?

[1452] เพราะว่า คนบางพวกตั้งอยู่ในกายกรรมเป็นต้น อันไม่เสมอกันทำสัตว์ให้ลำบากบ้าง ฆ่าให้ตายบ้าง ทำให้เศร้าโศกบ้าง แล้วจึงให้ทาน ทักขิณาทานนั้น มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พร้อมทั้งอาชญา จึงไม่เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่งผลทานที่บุคคลให้แล้วโดยชอบธรรม เพราะอย่างนี้ยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชายัญ แก่คนที่ควรบูชาจำนวนพันๆ จึงไม่เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่งผลทาน ของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่.

                      จบ พิลารโกสิยชาดกที่ 12.

 

พ่อครูว่า คนที่มีน้อยเขาก็เจียดมาให้นั้นก็ดีกว่าคนที่ฆ่าสัตว์แล้วเอามาทำดีทำทาน ดีที่สุดก็คือการทาน ฆ่าสัตว์แล้วเอามาทำทานจะทำให้คนเป็นแสนก็ตาม สู้คนยากเข็ญใจที่เขาทานเจียดมาทำทานนิดนึงโดยชอบ ยังไม่เป็นการทำร้ายตัวเองด้วย สรุปแล้วฆ่าสัตว์มาทำทานนี้ไม่มีผลอานิสงส์

 

 

 

เพลงความซ้ำซาก

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 1

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (เซ็ง) หรอก!

แต่แท้จริงเป็นการสร้าง “ความปกติ”

และความถาวร มั่นคง สถิตเสถียร

ให้เกิด ให้เป็นขึ้นมา ต่างหาก

ดังนั้น . . . . .

ผู้ไม่พยายามเพียรกระทำความซ้ำซาก

ในสิ่งในเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

จึงคือ . . . . .

ผู้จะไม่ถึงความสำเร็จกิจนั้นๆ ได้เลย

แล้ว “ความยากลำบาก” ใดๆ

ก็จะเป็น “ความง่าย” สบายเบา

ไม่ได้เป็นอันขาด.

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 11/2525 : กีฬาเอ๋ย)

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 2

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (สุดเซ็ง) ดอก !

ไม่เช่นนั้นเราจะยิ่งนอน ก็ยิ่งจะเบื่อการนอน

ยิ่งได้ทรัพย์ ยิ่งจะเบื่อการได้ทรัพย์

ยิ่งได้ยศ ยิ่งจะเบื่อการได้ยศ

ยิ่งได้สรรเสริญ ยิ่งจะเบื่อการได้สรรเสริญ

ยิ่งได้สุข ก็ยิ่งจะเบื่อการได้สุข เป็นแน่แท้

ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

 

แต่ “ความมีอารมณ์เบื่อหน่าย”

ในสิ่งที่ “ยิ่งซ้ำซาก ก็ยิ่งทำให้ได้ดี ได้มั่นคง ให้ง่ายเบา” นั้น

มันคือตัว “หน้าโง่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ของเราเองต่างหาก

หรือ ที่แน่แท้จริงก็คือ กิเลสสดๆ

ที่มันกำลังจะมีชัยชนะอย่างกระหยิ่ม นั่นเอง.

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 12/2526 : คุณครูเอ๋ย)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 3

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (แสนเซ็ง) ดอก!

แต่แท้จริงแล้ว . . . .

ยิ่งซ้ำซากเรายิ่งจะกลายเป็นเคยในกิจนั้น

ง่ายในกิจนั้นเป็นที่สุดนั่นต่างหาก

 

รู้เถิดว่า . . . . . . . .

ถ้าเจ้ากิเลสตัวที่ชื่อว่า “ความเบื่อหน่าย” นี้

มันเข้ามาเยี่ยมกราย ในอารมณ์คุณเมื่อไร

เมื่อนั้นแหละ คือ

คุณกำลังประจัญต่ออุปสรรคตัวเลวร้าย และฤทธิ์มาก

แต่เยียบเย็นและแสนแสบที่สุด

ที่จะทำให้คุณล้มเหลวในกิจนั้นๆ เอาง่ายๆ

กว่าอุปสรรคร้อยแปดอื่นใดทีเดียว !

 

แท้จริงมันคือ มารลวง

หรือความหน้าโง่ชั่วแวบของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แท้ๆ จริงๆ

ซึ่งคุณอย่าเผลอให้มันอยู่กับเราหลายแวบ เป็นอันขาด

มิฉะนั้น มันจะเกิดเป็นความหน้าโง่ตัวถาวร

อยู่กับเรา พร้อมกับความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์

 

ถ้าคุณแน่ใจว่า กิจนั้นดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น อย่างยิ่งแล้ว

อย่าโง่เสียเวลามีอารมณ์เบื่อหน่ายเลย

แม้แต่เสี้ยววินาทีเป็นอันขาด.

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 13/2526 : อาหารเอ๋ย 1)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 4

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย จริงๆ

ไม่เช่นนั้น กลางวันแล้วก็กลางคืนที่ซ้ำซากนี้

จะมีอยู่แล้วๆ เล่าๆ ไม่ได้เป็นอันขาด

ดังนั้น ถ้าคุณแน่ใจว่ากิจนี้ดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้น่ามีน่าเป็นอย่างที่สุดแล้ว

คุณจงรู้เถิดว่า อารมณ์เบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น กับคุณเมื่อใด

นั่นคือ ความล้มเหลวในกิจนั้นของคุณ

กำลังโผล่หน้ามาเยี่ยมกรายคุณ อย่างถึงหน้าบ้าน แล้วทีเดียว

หากคุณไม่ไล่เจ้าตัวอารมณ์นี้ ออกไปจากหน้าบ้าน

อย่างเร็วด่วนให้ได้แล้วละก้อ

ไม่นานเลย

คุณก็จะอยู่กับความล้มเหลว

และ แต่งงานกับเจ้าความเบื่อหน่าย ในกิจนั้น

อย่างสุดรักสุดบูชา

 

10 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 14/2526 : อาหารเอ๋ย 2)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 5

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย จริงๆ

ไม่เช่นนั้น คุณจะต้องเป็นทุกข์และ ทรมานมาก

ที่คุณจะต้อง เดิน-ยืน-นั่ง-นอน

หรือต้องกิน ต้องอุจจาระอยู่อย่างซ้ำซากแท้ๆ เหมือนกัน

คุณจะหัดซ้ำซากในอะไร ก็จะได้

คุณจะเลิกไม่ซ้ำซากในอะไร ก็จะได้ เป็นที่สุด

ดังนั้น ถ้ากิจใดคุณแน่ใจว่ากิจนั้นดีแน่แล้ว

เป็นกิจที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น

หรือกิจนั้นต้องเป็น ต้องอยู่ ต้องอาศัย อย่างที่สุดแล้ว

คุณอย่าให้มี “ความเบื่อหน่าย”

เกิดมาแทรกคั่นในกิจนั้นๆ เป็นอันขาด

แต่จงมีความร่าเริง “ฉันทะ” กับกิจนั้นๆ เสียเลย

“วิริยะ” พากเพียรเต็มที่ บากบั่น มั่นสู้ไม่ถอย

“จิตตะ” คือเปิดใจ ปล่อยใจ วางใจ ยกหัวใจ

ให้กับกิจนั้นๆ ไปเลย

แล้วก็ “วิมังสา” คือ ลงมือฝึกปรือ ใช้ปัญญา ทำกับกิจนั้น

ให้ดีที่สุดขึ้นเรื่อยๆ ให้ได้เสมอ

ฉะนี้แล คือ ทฤษฎีแห่งความสำเร็จ

ที่จะพ้นทุกข์แท้

และจะสร้างสรรความประเสริฐสุดได้จริง.

 

11 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 15/2526 : อาหารเอ๋ย 3)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 6

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลยจริงๆ

แต่ตัว “ความเบื่อหน่าย” นั้นแหละ

คือตัว “ทุกข์” แท้ๆ

และคือ ตัวที่จะทำให้ผลักเบนจาก “ความดี”

หรือจาก “ความไม่ดี” กันอย่างสำคัญเลยทีเดียว

 

ดังนั้น ถ้าใครใช้ปัญญาวิเคราะห์ จนรู้แน่ใจแล้ว

ว่า นี้คือ “ความไม่ดี”

ก็จงตัดขาดหลีกเร้น อย่า “ซ้ำซาก” อยู่

ว่า นี้คือ “ความดี”

ก็จงตัดขาด “ความเบื่อหน่าย” ออกไปให้เด็ดขาด

แล้วจงซ้ำซากอยู่เถิด

จนกว่าเราจะหมดสิ้นเหตุปัจจัย

 

ผู้ถึงธรรม คือ ผู้ทำกุศลกรรมนั้นๆ

ซ้ำๆ ซากๆ ได้แล้ว สบายๆ ไม่มีเบื่อ

ผู้ยังไม่ถึงธรรม คือ ผู้ทำกุศลกรรมแท้ๆ

ซ้ำซากมากไป ก็จะเบื่อ.

 

11 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 16/2527 : การศึกษาเอ๋ย )

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 7

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายเลย

แท้จริงนั้น “ความซ้ำซาก” คือ

ความอมตะ คือความนิรันดร์

ข้อสำคัญคือ เราจะซ้ำซากกิจนี้อยู่

เพราะมันยังชื่อว่าดี

ว่าสมควรแล้วอยู่จริง

หรือจะไม่ซ้ำซากกิจนี้ต่อไปแล้ว

เพราะมันชื่อว่า ไม่ดี

ว่าไม่สมควรแล้ว

โดยใช้ปัญญาอันยิ่งแท้

อย่างปราศจากความลำเอียง

และหรือ อย่างไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย

ด้วยสัปปุริสธรรม 7 กันจริง เท่านั้น

ดังนั้น ผู้ถึงธรรมแล้ว

จึงไม่มี “ความเบื่อหน่าย” ในอะไรเลย

และจะไม่ติดแม้ในสิ่งส่วนที่ชื่อว่า

ดียิ่งยอดใดๆ ด้วย

แต่ท่านรู้เป็น-รู้ตาย รู้เกิด-รู้ดับ รู้พัก-รู้เพียร

และท่านตัด-ท่านต่อของท่านได้แน่แท้

เด็ดขาดถึงที่สุดแล้วจริงๆ.

 

15 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 17/2527 : อาชีพเอ๋ย 2 )

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 8

ความซ้ำซาก

ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่ายหรอก

ถ้าการซ้ำซากนั้นเป็นไปเพื่อ

ทำให้เกิดความละหน่าย

เกิดความเลิก ความพราก

ความละคลายแล้วละก้อ

ยิ่งจะต้องซ้ำซากให้ยิ่งๆ เสียด้วยซ้ำ ตะหาก

เพื่อความหน่าย ความเลิก ฯลฯ นั้นๆ

จะได้เต็ม จะได้เป็นจริง จะได้สำเร็จ จบครบ

และแล้วที่สุดแห่งที่สุดอีก

เรายังจะต้องมาทำใจไม่ให้หน่ายชัง

ไม่ให้รังเกียจสิ่งที่เราละหน่าย

ให้สัมพันธ์ต่อสิ่งที่เราละหน่ายมานั้นๆ ได้

หากสัมผัสก็สมานกันอยู่ได้

โดยไม่ทุกข์ ไม่ผลัก-ไม่ดูด ไม่ชอบ-ไม่ชัง

เป็นสุดท้ายจริงๆ ด้วยซ้ำไป -เห็นไหม?

 

16 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 18/2527 : อาชีพเอ๋ย 3)

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 9

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย หรอก !

ถ้าความซ้ำซากนั้นคือ การสร้างสรร

คือ ความดี คือ ความเจริญจริงแล้ว

ความซ้ำซากนั้นๆ ยิ่งจะทำให้เราง่าย

เราเคย เราสบายในกิจนั้นๆ ต่างหาก

และถ้าแม้นเราโมหะ หรืออวิชชา

ก็จะทำให้ติดให้หลงเอาเสียด้วยซ้ำ

ติดหลงความได้เปรียบ-ความชั่ว ซวยหนัก

แต่ติดหลงความเสียสละ-ความดี ซวยน้อย

จึงต้องรู้ให้แท้ว่า . . . . .

อะไรๆ ในโลกนี้ ก็ไม่น่าติดน่าหลง เป็นอันขาด

แล้วเราก็ไม่ต้องมีความน่าเบื่อหน่ายใดๆ เลย

หรือ ถ้าจะมีเป็นสุดท้ายจริงๆ

ก็ความเป็นผู้เด็ดไม่ขาด ในความซ้ำซากนั้นๆ

เท่านั้นแหละ คือ “ทุกข์” เหลือ

 

16 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 19/2527 : อาชีพเอ๋ย 4)

 

 

 

 

 

ความซ้ำซาก หมายเลข 10

ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย หรอก !

แต่ถ้าความซ้ำซากนั้นยิ่งทำให้ติด

คือ ทำให้ยิ่งซ่ารส ยิ่งหวงแหน ยิ่งอร่อย

ทำให้หลงเสพย์ไม่ปล่อย ไม่หยุดวน ละก้อ

จงเลิกซ้ำซากสิ่งนั้นมาก่อน

แล้วค่อยตั้งหลักเข้าไปฝึกเคยฝึกชิน

จนซ้ำซากสัมผัสสัมพันธ์กันได้ เป็นที่สุดเถิด

หากสิ่งนั้น กิจนั้น เป็นกุศล เป็นการสร้างสรร ถูกธรรมแท้ๆ

 

แต่ถ้าสิ่งนั้น กิจนั้น เป็นอกุศล เป็นความไม่เจริญ

ไม่สร้างสรรอะไร ไม่จำเป็นอะไร

ก็จงหยุดซ้ำซากให้ได้เด็ดขาดเถิด

หรือ ยิ่งติดสิ่งนั้น กิจนั้นอยู่เก่า-อยู่เดิม แล้วละก็

ยิ่งจะต้องหัดเลิก หัดห่างการซ้ำซากนั้นๆ มาให้ได้

จนเลิกขาดได้เป็นที่สุดเทอญ

แล้วจะใช้ภาษาเรียกว่า “เบื่อหน่ายสิ่งนั้น” ก็ได้

และก็จงเข้าใจเถอะว่า แม้อย่างนั้น . . . .

จิตเราต้อง “ไม่ชอบ-ไม่ชัง” ในอะไรเป็นที่สุด.

 

16 ก.ค. 2523

(“แสงสูญ” ฉบับที่ 20/2528 : การศึกษาเอ๋ย)

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:54:54 )

590909

รายละเอียด

590909_พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาล้างภพชาติ

_0819643xxx ถามว่า...พระมารดาของพระพุทธเจ้าเมื่อคลอดพระกุมารแล้วต้องตายใน7วันเพราะอะไรและเกิดขึ้นกับพระมารดาพระพุทธเจ้าทุกองค์มั้ย

ตอบ...ไม่รู้ ถามอจินไตยพวกนี้ อาตมาก็หมดปัญญา จะรู้ไปทำไมนะ มันไกลเกินตัวมากไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าอาตมาจะอวดรู้ก็พอจะเดาด้น ผสมผเสแต่อาตมาไม่อยากตอบ เลยบอกว่าไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่ถูกเต็มร้อยก็ไม่ขอตอบ..ถ้าจะให้ตอบบ้างโดยพรกเพียรเอาเหตุผลหลักฐานมาตอบก็พอได้ แต่เสียเวลา ให้มาคิดใส่ใจหลักปฏิบัติดีกว่า ว่าจะได้ผลอย่างไรดีกว่า

 

_กราบเรียนถามหลวงปู่สมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูง

ขอถามว่า การบริจาคทรัพย์สร้างหน้าต่างและบันไดพระอุโบสถโดยทางวัดสลักชื่อและนามสกุลไว้ ถือว่าเป็นการให้ทานโดยตัดขาดจากกิเลสหรือไม่

ถ้าไม่ จะลบออกดีมั้ยครับ/กาญจน์  จันทร

ตอบ...ดี ที่เขาไม่สลักไว้ที่หน้าผาก  อาตมานึกถึงคำโฆษณา ของสสส.ที่เขาสลักตัวหนังสือที่หน้าผากว่าโกง 

ถ้าคุณจะทำทานกับที่นั่น เห็นว่าจำเป็นควรทำก็ดี มีใจเสียสละ

แต่ถ้าคุณทำทาน ก็ต้องทำใจ อย่าไปสร้างภพชาติ อย่ามี...

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

หัดอ่านใจทำใจในใจ  แต่เขาก็มีวิธีสร้างภพชาติ โดยให้สลักชื่อไง

ทำทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดเลย ทำแล้วไม่ได้มรรคผล มีแต่ภพชาติมากขึ้น ได้ภพเทวดา 6 ก็คือได้นรก

สะสมภพชาติจัดจ้านขึ้นอย่างธรรมกาย หลอกซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น หลอกว่าจะรวย เอาโลกียะหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามมาหลอก

แล้วเอาดีอย่างตื้นๆแบบเด็กๆมาหลอก โดยบอกว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน

เอาความใหญ่โตเป็นระเบียบหรูหรามาหลอก เป็นโลกียะดีๆนี่เอง

 เป็นสังคมศาสตร์ตื้นๆ ง่ายๆ เอากัลยาณธรรมมาหลอก

ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย

พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องสอนซ้ำซาก อย่างที่เขาหลอก ใครทำก็ไม่ว่า แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านี้สิ เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย ไม่เช่นนั้นไม่เข้าเป้าความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ที่ทำอย่างกัลยาณธรรม ไม่ใช่ วิชชาจรณสัมปัณโณ คือเป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายเป็นไปเพื่อนิพพาน

*กัลยาธรรมหรือความดีนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้คัดค้าน แต่มันไม่ได้พาหลุดพ้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด จึงไม่หลุดพ้น

พระพุทธเจ้าว่า *ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับจะละหน่ายคลายหลุดพ้นเป็นไปไม่ได้*

แต่เขาสลักชื่อแล้วจะไปลบออกเดี๋ยวจะทะเลาะกัน

 

_0837623 บ้านน้าดิฉันเลี้ยงหมูแล้วก็มาขอเศษอาหารที่บ้านดิฉันไปให้หมูดิฉันจะบาปด้วยไหมคะ

ตอบ...พระพุทธเจ้าไม่เคยส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ เพราะสัตว์ทุกตัวมันเกิดมาใช้วิบากของตนเอง ถ้าคุณไปเลี้ยงมันคุณก็ไปผสมกับวิบากของมัน ไปทำให้วิบากของมันผิดเพี้ยนไป มันไม่ได้ใช้วิบาก มันไม่ได้แก้วิบาก มันไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะใช้วิบาก

 การเลี้ยงสัตว์นั้นมี

1. เลี้ยงเพื่อขายหรือกิน

2. เลี้ยงเพราะรักมันหรืออื่นๆเลี้ยงเพื่อใช้งานหรืออื่นๆ อาตมาเอาแค่สองอย่างนี้ก่อน

มันบาปทั้งนั้นเลย แน่นอนเลี้ยงเพื่อจะใช้แรงงาน หรือจะฆ่ามันกิน หรือเอามาขายมันก็บาปชัดๆแล้ว บาปอย่างคนที่ฉลาด ปัญญาสามัญก็รู้ได้

ส่วนการเลี้ยงเพราะสงสาร ดี เลี้ยงเพราะรักมัน และประคบประหงมมัน ทำให้มันเสียสัญชาตญาณของสัตว์เสียนิสัยสัตว์ คุณทำให้สัตว์เสียความเป็นสัตว์นี้จะเจริญมั้ย? บางคนเขาก็ไม่ เขาก็สอนให้สัตว์ทำอะไรต่ออะไรเป็นนะ แต่จะสอนอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ได้ตามประสาสัตว์ มันก็เล่นละครสัตว์หาเงินต่อ มันไม่ได้เป็นโล้เป็นพายอะไรหรอก เอามาใช้แรงงาน มันลำบาก กินแรงงานมันบาป ดีไม่ดีเอามาเลี้ยงก็ไม่ได้ให้อาหารมันด้วย

สรุปแล้วมันเสียสัตว์ เสียนิสัย เสียสัญชาติญาณ โดยไม่ได้เป็นไปตามวิบากและไม่ได้ใช้หนี้วิบากของมันเอง พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เลยในจุลศีลก็มี แต่ท่านจะไปห้ามบุคคลเลยก็ดูกระไร

เศษอาหารของคุณจะไปหวงทำไม? เขาจะเอาไปเลี้ยงสัตว์ก็บาปของเขา จะทะเลาะกันไหม เขาเป็นน้าด้วยถ้าไม่ให้ ก็ถือว่าบาปใครบุญมันก็แล้วกัน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86294

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfQ0dDS0wtcXVOTWM

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/54sj4ue44zd1/160909

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/Wc3Tfz3tGzY


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:55:31 )

590909

รายละเอียด

590909_พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาล้างภพชาติ

 พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2559 ขึ้น 8 ค่ำเดือน 10 ปีวอก วันพระน้อย เราก็มาฟังกันไป แต่ละวันๆ เหนื่อยฟังกันบ้างไหม แล้วคุณว่าอาตมาเหนื่อยพูดไหม? มันก็เหนื่อยบ้าง เพราะใช้แคลอรี่พูด ต้องใช้พลังความคิด ไม่ใช่พูดไปสุ่มสี่สุ่มห้า หนึ่งต้องใช้ concentrate นึกถึงสิ่งที่ควรจะพูดก็จ่ายแคลอรี่ไปก็เหนื่อยบ้าง เหนื่อยแน่ แต่จะเหนื่อยก็เป็นงานที่อาตมาเต็มใจจะออกมาทำตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ไม่มีองศาที่จะเปลี่ยนทิศทางกลับไป นับวันจะยิ่งแม่นมั่น มั่นใจว่าเราเดินทางถูกแล้ว

จะเจออุปสรรคอะไรก็ยิ่งชัดเจน เช่นอาตมามาบรรยายไปแล้วนี่ กระแสหลักท่านค้านแย้งอาตมาเลย ก็ยิ่งชัด ถ้าไม่ค้านก็ไม่ชัด ถ้าไม่เช่นนั้นอาตมาก็ต้องปฏิบัติกับกระแสหลักไป แต่เพราะออกมาแล้วอาตมาออกมาพูดก็คนละขั้วเลย แล้วเขาก็แสดงออกมาชัดเจน มันไม่ได้เป็นการชี้บ่งว่าอาตมามาถูกแล้ว ถ้าอาตมาไม่มานี่เลอะไปใหญ่เลย ไม่มีอะไรต้านไม่มีอะไรมาท้วง เพื่อที่จะเกิดสิ่งที่เข้ามาแก้ไขปรับปรุงเปรียบเทียบให้คนเลือกว่าอะไรเป็นธรรมวาที อะไรเป็นอธรรมวาที จะได้ชัดเจน

อาตมาเอามาบรรยายให้พวกคุณเข้าใจ แล้วปฏิบัติได้มาอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ จนเขาหาว่าเป็นนิกาย มาค้านแย้งนิกายหลักของประเทศ นิกายหลักสองอย่างในประเทศเขาก็ไปกันได้แล้ว ทำไมคณะนี้มาค้านแย้ง เขาก็จะมาจัดการ

แต่ทุกวันนี้ก็ลงตัว ต่างคนต่างนานาสังวาส ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเป็น ก็ชัดเจน ซึ่งอาตมาก็พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง พูดซ้ำวนไปซ้ำซากอยู่นั่นแหละ แต่ที่พูดนี้จากใจจริง เห็นเช่นนั้นเป็นเช่นนั้น

ว่าชีวิตคนถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วมันหมดท่า อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า คนเราถ้าเผื่อว่าไม่ได้สดับธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะมา ละหน่ายคลาย สิ่งที่ควรละหน่ายคลาย

*ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายเท่านั้น *

ปุถุชนผู้มิได้สดับ ธรรมะอันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นความจริงอันประเสริฐอันยิ่งใหญ่ ผู้เป็นอาริยะจึงจะฟังแล้วศรัทธาเลื่อมใส

เริ่มแรกแล้วสะดุด สะดุดแล้วก็เงี่ยโสตสดับ ซึ่งมันไม่เป็นไปตามครรลองของปุถุชนของโลกสามัญ

 ผู้สะดุดและเงี่ยโสตสดับตั้งใจรับฟังด้วยดี ก็จะเกิดปัญญาเกิดความเข้าใจ ฟังไปๆ ยิ่งฟังมากเข้าๆก็จะอ๋อ มันจะเกิดขยายความละเอียด เปรียบเทียบกับที่เราอยู่กับโลกีย์ ผ่านประสบการณ์ต่างๆมาพอสมควร มีเหตุต่างๆมาเปรียบเทียบ แล้วเราจะได้ฟังถึงความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัส ว่าคำสอนของท่านเป็นโลกุตระที่ทวนกระแสกับโลกียของปุถุชน มันคนละทาง

ทางนิพพานกับทางโลกมันคนละทาง สวนทางกัน เดินกันคนละทิศทาง

 

*ผู้เข้ากระแสเรียกว่าโสตาปันนะ แล้วเข้าไปเรื่อยๆเป็นลำดับ ...

1.โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ)

2. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา)

3. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น)

4. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า)

 

ทิศทางของความเจริญนั้น โลกียะมันคนละอย่างกับของโลกุตระ มันคนละทางกัน เจริญแบบนั้นกลับมีลาภยศสรรเสริญมาก

แต่โลกุตระนั้นกลับกันคนละทางเลย มันเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความระงับไม่ก่อโทษภัยก่อเวรเลย

ปัญญาที่เห็นจริงเช่นนี้นั่นแหละ คือคนที่ไปโลกุตระแน่ พวกเราที่ฟังๆตรวจสอบตัวเองว่ามีสภาวะอย่างที่อาตมาพูดนี้ไหม?..(มี)...อวดอุตริมนุสธรรมนี่นะ …

มาอ่าน sms ขยายความกันดู

SMS 8 September 2016

0893867xxx ขอบคุณ นร.สัมมาฯกับทุก คำตอบจากพ่อครูทำให้รู้จักความซ้ำซากจำเจร่วมกันโดยไม่มีเบื่อหน่าย!คน อยู่กับเรื่องเดิมหายเซ็งเลย!สกก.

0893867xxx ทานที่ทำถูกตรงสัมมาทิฎฐิ10ต้องมีมิตรดีฤาสัตตบุรุษทำให้การทำทานต้องมนสิกโรติอย่างไร จึงจะอัตถิ!ฤามีผลโลกียะ ผลโลกุตระเป็นอย่างไร?สกก.

ตอบ..คำว่า มนสิกโรติ ท่านไปแปลว่าใส่ใจ ถ้าไม่ใส่ใจก็ อโยนิโสมนสิการ อาตมาว่าคำว่าใส่ใจนั้นน้ำหนักไม่พอ

แต่มันต้องทำ คำว่า การ หรือกโรติ แปลว่าการกระทำ มันต้องทำใจของเรา มนสิที่ใจเรา พยัญชนะก็ชัดๆว่า ต้องทำ คำว่าทำนี้มันกินความลึก คือจัดการกับใจเราทำให้ใจเรามันเป็นเลย

ใจเราเป็นโลกียะ เราก็ต้องทำให้ใจเราเป็นอาการใหม่

จะจัดการ จะมีฝีมือเป็นช่าง เป็นผู้แก้ไขปรับปรุงจัดการ (ภาษาบาลีเรียกว่าอภิสังขาร )

เปลี่ยนแปลงใจเลย ไม่ใช่ใส่ใจก็แค่ใส่ใจสนใจเอาใจใส่ มันไม่พอ

อาตมาอธิบายทุกวันนี้ ก็อธิบายว่าทำใจในใจอย่างไร?

ที่อธิบายถึง *อาการ ลิงค นิมิต* ก็เอาหัวข้อธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความ เพื่อให้รู้ จิตเจตสิกต่างๆ แล้วเราก็ไปทำให้มันเปลี่ยนแปลงลักษณะใจเราให้ได้ ให้เป็นโลกุตรจิตถาวรเลย นั่นแหละจบ

ไม่ใช่โลกียะสามัญปุถุชน เป็นคนโลกใหม่ ไม่ใช่โลกโลกียะเก่า

จะบอกว่าอย่างไรก็ที่พูดทุกวันนี้ เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย แก้ไขจิตที่วนเวียนอย่างปุถุชนมีนรกสวรรค์วนอยู่อย่างนี้

ลงนรกขึ้นสวรรค์ ตกนรกขึ้นสวรรค์หมุนวนเช่นนี้ เรียกว่า *อาคามี* ต้องหมุนเวียนตลอดกาล

ต้องทำให้เป็น *อนาคามี ไม่หมุนเวียนตลอดกาล

ในความรู้ ความเห็นต้องเข้าใจตั้งเเต่ ทิฏฐิตัวแรกเลย (ในสัมมาทิฏฐิ10)

พระพุทธเจ้าก็กล่าวถึงเรื่อง *ทาน*

ทานอย่างไรมีผล ทานอย่างไรไม่มีผล 

ต้องฟังจากมิตรดีที่สัมมาทิฏฐิ

ถ้าใจคุณสัมผัสไม่ได้ ไม่รู้จักกาย หรือเข้าใจคำว่ากาย เป็นมิจฉาทิฏฐิ

 มันก็จะไม่ชัดเจนว่า กายเป็นธรรมะสอง กายต้องมีรูปกับนามเสมอ สัมผัสกันอยู่ เมื่อสัมผัสแล้วเกิด ภาวะที่สาม เรียกว่าสังขารปรุงแต่ง เราก็เรียนรู้อันนั้นเรียกว่าองค์ประชุมของกาย

ท่านก็ให้พิจารณาโดยการปฏิบัติโลกุตระ หรือโพธิปักขิยธรรม 37

 ตัวแรกคือ กายในกาย

จะมีกายนอกกาย แล้วจะมีกายในกาย ท่านไม่ได้บอกว่า

สติปัฏฐานให้เน้นกายนอกกาย แต่ให้พิจารณา *กายในกาย*

หากเข้าใจ กาย เป็นแค่หนึ่งเดียวก็จบเลย

 กายในกาย มันเป็นอย่างไรก็กายมันข้างนอก? ใช่ไหม?

ก็เลยเข้าใจเพี้ยนจากองค์ประชุมของรูปนาม กลายเป็นรูปร่างเลย

คนที่เข้าใจผิดเช่นนี้ เขาก็จะบอกว่า รูปร่างข้างนอก ก็ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เอารูปก่อน ….

เขา ก็จะเห็นรูปข้างนอกว่า อ๋อ!นี่คือกาย

กายในกายก็เห็นรูปข้างใน ก็เลยเห็นรูปร่างคนมีหัว มีขาแขน ก็เห็นแล้วกายในกายมีรูปร่างข้างใน

แม้ไม่หลับตาก็นึกภาพข้างในว่าเป็นรูป เป็นร่าง จึงเข้าใจไปว่า อันนั้นแหละคือใน คือกายใน เป็นรูปที่อยู่ในกาย

ที่จริงก็ไม่ผิดนะ แต่มันจะผิดตรงที่ว่ามีรูปมีร่าง กระทบแล้วเป็นกายสังขาร องค์ประชุมรูปนามปรุงแต่งภายใน

เมื่อท่านสอนให้ทำกายสังขาร สงบ รำงับ (ปัสสัมภยัง กายสังขารัง)

 ก็สับสนสิ ถ้าหลับตาก็จะเห็นภาพ ไม่หลับตาก็นึกภาพ กระด็อกกระแด๊กของรูปนี้ให้นิ่งเฉยอย่ากระดุกกระดิกนะ นี่เขาว่าสงบรำงับ

เขาเข้าใจ(ผิด)ว่า  กายในกายนี้หมายถึงภายใน

ถ้าจะหมายข้างนอก ต้องหมายถึงกรรม กายวิญญัติ การเคลื่อนไหวเป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็ทำให้ระงับ คือให้นิ่งๆ อย่าให้ปุบปับ ให้ช้าๆสงบรำงับลงมา อย่าให้แรง ให้เบาๆๆ ก็เข้าใจเช่นนี้ ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย ขอยืนยันว่าไม่ใช่ กายสงบระงับไม่ใช่เช่นนี้เลยขอยืนยัน

*กาย สงบระงับ หมายถึง การระงับกายที่มันทุจริต วจีกรรมที่ทุจริต เรียกว่าอกุศลแล้วก็ระงับจากอกุศลจิตนี้

อย่างนี้ใช่ นี่คือ *กายวิญญัติ จะบอกว่า  *กายสังขารภายนอก ก็ใช่

แล้วจะบอกว่า *ปัสสัมภยังกายสังขารัง คือระงับอกุศล อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญาใช้ได้ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ

แต่คุณจะทำสัมมาอาชีพอย่างแคล่วคล่องว่องไว แต่ไม่ทุจริตไม่อกุศล

ทำแต่กุศลทำแต่สิ่งที่ดีเลยอย่างนี้คือ  *ปัสสัมภยังกายสังขารัง*ถูกต้องใช้ได้

ทำสัมมาอาชีวะให้พ้น มิจฉาอาชีวะ 5

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง

คำว่า ลปนะ แปลว่าคำพูด คืออาชีพหลอกลวง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเลี่ยง-ยังไม่แน่แท้ โดยอรรถ คือคุณกำลังรู้แล้วว่ากำลังจะปรับปรุงอาชีพของคุณ ที่มันโกง มันทุจริต มันหลอกลวง มันเป็นอกุศล คุณก็จะต้องตั้งใจเลยว่าคุณจะไม่ทำ จะหยุด จะไม่ให้มันมีทุจริตมา ให้มามีกุศลนี้ให้ได้ คุณก็เริ่มต้นทำ

ถ้าคุณบอกว่าเป็นนักการเมือง ก็บอกว่าพร้อมจะหยุดแล้ว ไม่โกงอีก แล้วคุณก็ทำนั่นแหละ คือตั้งใจทำ

 ถ้ามันทำไม่ได้ คุณบอกกับประชาชนว่า จะไม่โกง แต่คุณก็ไปโกง คุณก็ตลบตะแลงพูดไม่จริง หรือคุณตั้งใจของคุณเองก็ตลบแตลงต่อตัวเอง

 เนมิตกตา คือผู้กำลังปฏิบัติแล้วพยายามแก้ไขตัวเอง พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าทำได้ก็ผ่าน เป็นโชคเลย เหมือนคุณกำลังเสี่ยงโชคว่าจะได้หรือไม่ได้หนอ ก็ทำให้ได้

เมื่อทำได้ก็ผ่าน เนมิตกกตา จนทำได้แข็งแรงตั้งมั่นสำเร็จทุจริตนี้เลิกได้ กลับเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์แล้ว ถ้าคุณไม่ทำแล้วในอกุศลนี้

คุณจะค้าขายทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ เป็นนักกสิกรรม เป็นวิศวกรรมสร้างอะไรต่างๆก็ทำให้มันสุจริต ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีอกุศลอะไร เมื่อคุณทำได้แข็งแรงแล้วขั้นต่อไปก็มีอีกคือ

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

คุณได้แล้วแต่อย่าไปร่วมมือกับคนที่ผิด อย่าไปผสมผสานเหมือนกับเขา เช่น คุณทำได้เป็นคนบริสุทธิ์แล้ว

 เมื่อมีโรงงาน หนึ่งหรือมีบริษัทหนึ่ง กิจการบริษัทนั้นหรือโรงงานนั้นมันขี้โกง มันมีทุจริต แต่คุณก็ยังไปร่วมเข้าไปอยู่ในบริษัทนั้น ไปทำงานในกลุ่มธุรกิจกลุ่มนั้น อย่าไปร่วมมือกับคนผิดไม่มอบตัวกับคนผิด กับทางที่ผิด นี่เป็นอาชีพที่สูงขึ้นขั้นที่ 4 เพราะฉะนั้นคุณทำได้บริสุทธิ์แล้ว พ้นเนมิตกตาแล้ว คุณกระทำของคุณหรืออยู่กับหมู่ที่เขาทำทุจริตได้ร่วมกันช่วยกันอย่างเช่นทุกคราวนี้ อย่าไปอยู่กับพวกคนผิด

ขั้นที่ 4 นี้จึงเป็นอาชีพที่กันบุคคลอย่าให้ไปส่งเสริมอกุศล จะเป็นบริษัทยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงหรูหราร่ำรวยหรือจะเป็นธุรกิจ เป็นคณะราชการการเมืองมีพรรคพวกอย่างไร ถ้าทำทุจริตไม่ซื่อสัตย์จะไปไม่ร่วม

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา) ข้อนี้ถ้าใครเข้าใจแล้วปฏิบัติได้จริงๆ มันเป็นความสุดยอดของมนุษยชาติแต่ละคน และสุดยอดของสังคมด้วย

ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา ก็คือทำงานฟรี ทำงานไม่ใช้ลาภแลกลาภ ได้ค่าจ้าง หรือแลกวัตถุ แลกค่าจ้าง ได้ค่าเทศน์ ได้ค่าบรรยาย ได้ค่าความคิด ทำงานแล้วเอาลาภแลกลาภ

ของเราให้ลาภแก่เขา แต่เราไม่ได้เอาอะไรคืนจากเขา

สรุป แล้วการทำงานของคนผู้สัมมาทิฏฐิ พ้นมิจฉาทิฏฐิ 5

คือ คนทำงานฟรีเสียสละทำงาน ไม่ต้องการอะไรแลกเปลี่ยนมาตอบแทนเลย เป็นสัมมาอาชีวะสูงสุด

ถ้ายังทำงานรับรายได้อยู่ ก็ไม่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5

มีในพระไตรปิฎกชัดเจนแต่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

อาตมาว่าคนที่เจอในพระไตรปิฎกมีเหมือนกัน

 แต่เขาไม่กล้าเอามาพูด อาชีพที่ทำงานฟรีจะอยู่ได้อย่างไร เขาจะคิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่ได้อย่างไร คนเดียว

พระพุทธเจ้าพูดผิดหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้เป็นไปได้ไหมทำงานฟรีเสียสละไม่เอาอะไรตอบแทนได้ไหม ….ตอบกันว่าได้

เป็นไปได้ อาตมานำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติ อธิบายแล้วพวกเราก็เห็นภาพแปลกดี ทำงานฟรี อย่างคนข้างนอกไม่ได้ยินได้ฟัง อาตมาอธิบายให้ฟังเขาก็ได้ฟัง แล้วก็บอกว่าสัมมาอาชีพเป็นอย่างนี้หรือ ถึงขั้นอย่างนี้เหรอ ถึงขั้นทำงานไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนเลย ทำงานฟรีเสียสละหมดเลย แล้วจะอยู่ได้ยังไง ถ้าจะบอกว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติอย่างนี้จริงหรือ

ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่เชิญมาพิสูจน์ได้ แล้วพวกคุณจะมาเสแสร้งกดข่มไว้เฉยๆหรือเปล่า หลอกพระโพธิรักษ์ให้ดีใจว่าทำได้ แต่กดข่มอดทน ใครเตรียมตัวจะไปเมื่อไหร่นี้บอกหน่อย ใครมีกำหนดอีกนานเท่าไหร่ มาทำทีหลอกให้โพธิรักษ์บอกว่า หลงตัวเองสอนเก่ง แล้วใครว่าพวกเราทำได้ไหม …..ได้(เสียงตอบ)

มันเป็นเรื่องที่เกินจะเชื่อเกินสามัญที่จะคิด อาตมาว่า ลัทธิความเชื่อของอาจารย์ เจ้าสำนักไหนที่ไม่ใช่ของพุทธ หรือแม้แต่ของพุทธก็คงไม่มีใครพูดอย่างอาตมาพูด ที่จะมาพูดถึงการให้มาทำงานฟรี ถึงสาธารณโภคีนี้

ถ้าคาร์ลมากซ์มาพูดกันอย่างลึกๆคงสนุก

คาร์ลมากซ์นั้นก็คงคิดทำ แต่คงคิดไม่ถึง แกใช้วิธีกดข่ม ทฤษฎีใช้อำนาจตั้งกฏหมาย ระเบียบ มารวมหมู่เพื่อแจกแบ่งให้เสมอภาค

ถ้าคนเดียวพลังไม่พอก็ต้องใช้หมู่กลุ่มมามีอำนาจ เป็นเผด็จการหมู่แล้วทำตามกฏเกณฑ์คอมมิวนิสต์ ก็ทำได้ เขาก็มักน้อยสันโดษนะ พยายามให้เสมอภาค แต่มันยากที่จะทำได้

 สรุป คือคอมมิวนิสต์นี้ใช้การกดขี่อย่างสูง ตอนนี้ก็คงเหลือแต่เกาหลีเหนือ ที่ยืนยันคอมมิวนิสต์เต็มรูป นอกนั้นก็ผสมผสาน แม้จีนก็ตาม กลายเป็นว่าคอมมิวนิสต์หรือว่าไม่ใช่คอมมิวนิสต์เป็นประชาธิปไตยหรือ? หนักเข้าอย่างลาวจะเรียกตนว่าคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้ ก็เรียกว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปโน่นเลย

ที่อาตมาขยายผลยาวนี่ ไม่มีอะไรมากไปกว่า การลดละกิเลสให้กาย วจี มโนเป็นความวิเศษ เป็นไปเพื่อไม่เห็นแก่ตัว ไปเป็นแบบนี้แหละ เป็นผู้ทำงาน..

 -เพื่อมวลชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)

 -พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)

 -โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

เป็นยอดสุดที่แท้จริง เป็นคนหมดตัวหมดตน ไม่มีกิเลสแล้ว แล้วจะอยู่แต่ผู้เดียว แล้วก็จะบรรลุ

อาตมาว่ามันไม่ใช่นะ อยู่แต่ผู้เดียว อยู่แต่ผู้เดียวแล้วจะบรรลุนั้น

ของพระพุทธเจ้าต้องอยู่กับ มิตรดี สหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี

แต่เอกธรรมนี้เกิด มันคือการทำให้เอกสโมสรณา

เอกธรรม มีผู้ไปแปลว่าเอกธัมโมว่า ประพฤติอยู่แต่ผู้เดียว ไม่ช้าไม่นานก็บรรลุอรหันต์

โดยไปแปล เอกังว่า อยู่ผู้เดียว จะกิน จะไป จะมา อยู่ผู้เดียวนั้น ไม่ใช่

 ถ้าไปก็ไปเป็นเอก ถ้ามาก็มาเป็นเอก คือให้จิตเป็นหนึ่ง เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ คือให้ทำที่เวทนาเป็นกรรมฐาน ทำให้เป็นหนึ่ง คือจิตนั้นไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข *เป็นอุเบกขา*

 

0893867xxx มิตรดีพ่อครูเคยบอกว่าเป็น1ในของจริง7ข้อ ที่ยืนยันความเป็นโลกุตระ

มีศีล,ฉันทะ อัตตา,ทิฏฐิ,ความไม่ประมาท,โยนิโสมนสิการด้วย จึงจะปฏิบัติมรรคองค์8อย่างสัมมาทิฏฐิได้!

ตอบ...คนไม่ปฏิบัติมรรคองค์ 8​ ไม่มีทางบรรลุเลย ในศาสนาพระพุทธเจ้า

 แต่ทุกวันนี้ไกลมรรคองค์ 8​ กันมากเลย ก่อนจะปฏิบัติได้ต้อง ได้ต้องพบแสงอรุณ 7

เมื่อดวงอาทิตย์คือ มรรคมีองค์ 8 จะขึ้น

สิ่งที่ขึ้นก่อนเป็นนิมิตมาก่อน คือแสงอรุณ หรือแสงเงินแสงทอง

หากไม่ได้รับแสงก่อน ไม่มีสิทธิ์ได้เห็นพระอาทิตย์ หรือจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ไม่ได้

นี่เป็นเงื่อนไข ก็ไม่เห็นค่อยพูดกันเลย ไม่พูดกันก็ไม่ได้แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าว่าต้องเห็นแสงอรุณก่อน

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

 

พวกนักตรรกะทั้งหลายบอกว่า อัตตาไม่มี แต่พระพุทธเจ้าตรัสเองว่า ต้องเห็นอัตตาก่อน

แต่เขาแย้งว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า สัพเพธัมมาอนัตตา จะมากล่าวอัตตาทำไม? ความจริงแล้วคุณต้องมาเรียนรู้อัตตา ทุกตนต้องศึกษาอัตตาของตน ปฏิบัติทำอัตตาจนจางคลาย แล้วจึงทำให้อนัตตาให้ได้ จะต้องอนัตตาจริง แต่ต้องเป็นอรหันต์แล้วนะ    อัตตามี 3อย่าง คือ

1.      การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)

2.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา  ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)

3.      การยึดครองหรือได้อัตตา ที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ) .

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302)

ต้องเรียนรู้อัตตาในจิตตน แล้วล้างอัตตา จึงถึงอนัตตา

แต่เขาเอาตัวจบมาทำก่อนเลย คือสัพเพธัมมาอนัตตาติ รูปังก็อนัตตา เวทนาก็อนัตตา สัญญาก็อนัตตา สังขารก็อนัตตา วิญญาณก็อนัตตา

เขาสรุปว่า สัพเพธัมมาอนัตตา แล้วจะเอาอัตตาไหนมาปฏิบัติ

อาตมาก็เคยเล่าถึงฝรั่งคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาหน้าแดงก่ำ ดูดบุหรี่มาเลย ดื่มเหล้ามาด้วย แวะมาคุยกับอาตมา เรื่องสูญญตา พูดออกมาเยอะกลิ่นเหล้าก็โชยออกมา เขาดับบุหรี่แล้วก็ค่อยมาหาอาตมา อาตมาก็บอกว่าคุณไปปฏิบัติก่อน ตั้งแต่ข้างนอกถึงข้างใน ตั้งแต่กามาวจร หยาบเข้ามาถึงข้างใน เขาก็โพล่งออกมาว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้วจะเอาตัวตนที่ไหนมาปฏิบัติ  สัพเพธัมมาอนัตตา จะเอาอะไรไปปฏิบัติ ปฏิบัติอะไรละ อาตมาก็บอกว่าคุณกับอาตมาก็คงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง

ก็ขอสรุปไว้ว่า สุริยเปยยาลข้อ 1 หรือข้อ 4 ก็รู้อัตตา จากนั้นก็รู้ทิฏฐิ แล้วไม่ประมาทตัวที่ 6 แล้วตัวที่ 7 โยนิโสมนสิการสำคัญมาก *

จะต้องทำใจในใจเป็น ไม่ใช่แค่พิจารณาใส่ใจ แต่จะต้องทำใจในใจ ถ้าทำใจในใจไม่เป็นคนไม่มีทางบรรลุธรรมเลย

 เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการจึงเป็นตัวสำคัญมาก ถ้าคุณทำใจในใจไม่เป็น

คุณไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ  2 คือต้องมีปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ ต้องมีสองตัวนี้จึงสัมมาทิฏฐิ

          1.ปรโต จ  โฆโส จ (การได้ฟังสัจจะมุมอื่นจากผู้รู้อื่นๆ หรือจากบัณฑิตอื่น  จะไม่ติดยึดแต่ภูมิรู้เดิมๆ ของตน)

          2. โยนิโส จ . มนสิกาโร (ปรับใจ ปฏิบัติกระทำใจให้ละเหตุแห่งการเกิดกิเลสที่ใจ  กระทำใจละให้เป็น  ให้ถ่องแท้  ให้หยั่งลงไปถึงแดนเกิด คือ สมุทัย ที่ใจ) . . .

          สัมมาทิฐิ ย่อมมีเจโตวิมุติ  มีปัญญาวิมุติเป็นผล  และเป็นอานิสงส์ 

โดยมีองค์ 5 คือ

1.สัมมาทิฐิอันมี ศีลอนุเคราะห์แล้ว   

2. สุตะอนุเคราะห์  

3.สากัจฉาอนุเคราะห์ 

 4.สมถะอนุเคราะห์
5.วิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว

(พตปฎ. เล่ม 12   ข้อ 497)

 

โยนิโสมนสิการ คือการทำใจในใจได้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ทำใจในใจไม่ได้ แล้วคุณจะไปแก้อะไร แก้แต่อะไรไม่รู้ตื้นๆ ดีไม่ดีก็สร้างภพชาติเลอะเทอะ เป็นมโนมยอัตตา อรูปอัตตา สร้างรูปภพ อรูปภพไป ก็ไม่รู้ตัวเองว่าสร้างภพชาติ

*เพราะไม่รู้ตัวเอง ที่ต้องเรียนรู้ *กามภพก่อน*

สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายแล้วเกิด อัตตาหยาบ โอฬาริกอัตตา ล้างอัตตาตัวต้นก่อน ล้างได้แล้วจึงเหลือ รูปภพ อรูปภพ ในมโนมยอัตตา อรูปอัตตา

แต่เขาก็ทำลัดขั้นตอนไปนั่งหลับตาเอาเลย จิตก็ปั้นรูปในจิต หลอกตัวเองไป โดยไม่รู้ว่าโอฬาริกอัตตาที่เป็นกิเลสหยาบเล่นงานตนอยู่ในชีวิต

ทุกวันนี้ก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่ใช่อาตมานี้คงเบื่อ แต่อาตมาให้ตายอย่างไรก็ไม่เบื่อ ถ้าอธิบายไม่เข้าใจ ก็อธิบายกันไปจนตายเลย ถ้าบรรยายให้คนฟังแล้วคนฟังรับไม่ได้ อาตมาก็ขอตายกับการบรรยายที่คนรับไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ก็มีคนรับได้ไม่ failure ไม่ล้มเหลว แต่ทำได้แล้ว แม้จะได้น้อย เพราะยาก พูดมาซ้ำซาก 46 ปีแล้วว่าอย่าไปนั่งหลับตา ให้มาลืมตา พูดกันนี่ การนั่งหลับตานั้นทำทีหลัง ได้บรรลุแล้วค่อยไปนั่ง แต่นั่งแล้วมีประโยชน์อย่างไร

*ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ แบบสะกดจิตให้สงบ (เจโตสมถะ) *

1.ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก

2.ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์

3.  เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน ตรวจสอบ) ได้อย่างดี .

4.  สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน) อันสุดท้ายนี้พุทธตีทิ้ง

แต่ถ้าไม่ทำนั่งหลับตา ก็ไปลืมตาปฏิบัติอย่างมีอายตนะ 6 เวทนา 6 แล้วจะทำจิตเป็น สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิที่เป็น supraconcentration ไม่ใช่ meditation

และเป็น analysi​s ไม่ใช่ hypnosis อย่างรู้แจ้ง มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะโลกียะ โลกุตระได้ อาตมาพูดมา 46 ปีแล้ว ก็ได้หมู่กลุ่มน้อยแค่นี้

นอกนั้นเขาก็เข้าใจว่าไปนั่งหลับตานี้ดีให้สงบ นอกจากนั่งหลับตาแล้วอย่าให้จิตออกนอกให้อยู่ข้างในนะ อาตมาว่ามันไปกันใหญ่ ไม่ใช่ทิศทางของพระพุทธเจ้าสอน เอาพระไตรปิฎกมาบอกในพระสูตรเล่มหนึ่ง คือพระไตรฯล.9 พระพุทธเจ้าบอกว่า การไปนั่งหลับตามันมีแต่อดีตกับอนาคต แต่ปัจจุบัน 5 ไม่มีกามภพ คุณก็ไปหลงในภพ นั่งหลับตา เป็นกามในภพ ซึ่งมันไม่จริง ต้องมีกามภายนอก กระทบสัมผัส จึงเรียกทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ

แค่คำว่าอดีต อนาคต ปัจจุบันก็ไม่เข้าใจกัน ไม่ปฏิบัติกับปัจจุบัน

*ศาสนาพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติกับปัจจุบัน หากไม่อยู่กับปัจจุบันไม่ใช่*

ผู้ไม่รู้จักสุริยเปยยาลสูตร ไม่สามารถที่จะเข้าใจโยนิโสมนสิการได้ ก็ไม่มีทางปฏิบัติได้ถูก ทิฏฐิ 10 ต้องเข้าใจให้สัมมา ทำทานต้องมีสัมมาทิฏฐิ ทำทานต้องทำใจในใจให้เป็น แต่กลับไปทำใจสร้างภพชาติ ก็มีแต่นัตถิทินนังตลอดกาล อย่าว่าแต่ทานเลย ง่ายที่สุดแล้ว คุณไม่ต้องมีอะไรก็ทำทานได้หมด ถ้าทำใจในใจเป็นก็มีผล ยิ่งมีศีลแล้วทำใจในใจเป็นสัมมาทิฏฐิก็ อัตถิยิตถัง แต่ภาษาโบราณเขามาแปลยิตถังว่าสังเวยที่บวงสรวง เป็นเรื่องราวพิธีการใหญ่ ที่พวกโบราณนอกรีตทำกัน ก็จะไปทำทำไม เพราะคำว่ายิตถังนั้น ก็คือรวมพิธีการของพวกนอกรีตถึงของพระพุทธเจ้าด้วย แล้วทำการปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเกิดผลลดละหน่ายคลายกำหนัดถึงหลุดพ้นได้

0893867 พุทธแท้ศึกษาจิตวิญญาณด้วยศาสตร์1ศาสตร์เดียวในโลกคือวิชชาศาสตร์ฤาวิชชา8!

_0837623 บ้านน้าดิฉันเลี้ยงหมู แล้วเขาก็มาขอเศษอาหารที่บ้านดิฉันไปให้หมู ดิฉันจะบาปด้วยไหมคะ

ตอบ...พระพุทธเจ้าไม่เคยส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ เพราะสัตว์ทุกตัวมันเกิดมาใช้วิบากของตนเอง ถ้าคุณไปเลี้ยงมันคุณก็ไปผสมกับวิบากของมัน ไปทำให้วิบากของมันผิดเพี้ยนไป มันไม่ได้ใช้วิบาก มันไม่ได้แก้วิบาก มันไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะใช้วิบาก

 การเลี้ยงสัตว์นั้นมี ...

1. เลี้ยงเพื่อขายหรือกิน

2. เลี้ยงเพราะรักมันหรืออื่นๆเลี้ยงเพื่อใช้งานหรืออื่นๆ อาตมาเอาแค่สองอย่างนี้ก่อน

มันบาปทั้งนั้นเลย แน่นอนเลี้ยงเพื่อจะใช้แรงงาน หรือจะฆ่ามันกิน หรือเอามาขายมันก็บาปชัดๆแล้ว บาปอย่างคนที่ฉลาด ปัญญาสามัญก็รู้ได้

ส่วนการเลี้ยงเพราะสงสาร ดี  เลี้ยงเพราะรักมัน และประคบประหงมมัน ทำให้มันเสียสัญชาตญาณของสัตว์ เสียนิสัยสัตว์ คุณทำให้สัตว์เสียความเป็นสัตว์นี้จะเจริญมั้ย?  บางคนเขาก็ไม่ เขาก็สอนให้สัตว์ทำอะไรต่ออะไรเป็นนะ แต่จะสอนอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ได้ตามประสาสัตว์ มันก็เล่นละครสัตว์หาเงินต่อ มันไม่ได้เป็นโล้เป็นพายอะไรหรอกเอามาใช้แรงงาน มันลำบาก กินแรงงานมันบาป ดีไม่ดีเอามาเลี้ยงก็ไม่ได้ให้อาหารมันด้วย

สรุปแล้ว มันเสียสัตว์ เสียนิสัย เสียสัญชาติญาณ โดยไม่ได้เป็นไปตามวิบากและไม่ได้ใช้หนี้วิบากของมันเอง

พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เลยในจุลศีลก็มี แต่ท่านจะไปห้ามบุคคลเลยก็ดูกระไร

เศษอาหารของคุณจะไปหวงทำไม? เขาจะเอาไปเลี้ยงสัตว์ก็บาปของเขา จะทะเลาะกันไหม เขาเป็นน้าด้วยถ้าคุณไม่ให้  ก็ให้ถือว่าบาปใครบุญมันก็แล้วกัน

0805925xxx ถ้าไปนิพพานหมด โลกคงขาดสีสรร ยมบาลตกงาน เทวดาอดหนมเซ่นไหว้แหงๆ!555ปลายฝนโคตรรรรมโน  นู๋เข้าใจนิพพานปลดแอกจากกิเลสผู้ถึงนิพพานตัดวัฎฎะแล้วไปอยู่ภพภูมิใดอยากรู้จัง?

วิญญาณเกิดจากอะไรปรุงแต่ง? แล้ววิญญาณมาจากไหนมาสิงในกายจ๊ะพ่อ?แสดงว่าจิตคือตัวรู้เป็นนามธรรมปรุงแต่ง?ใช่ป่ะพ่อ ปรุงแต่งจากสัญญาเวทนา:-)แสดงว่านู๋เข้าใจจิตตามบอกไปตรงกันบารมีธรรมเก่าเนอะ

ตอบ...ต้องอ่านจิตอ่านใจให้เป็น ตั้งใจศึกษาบ้าง ไม่อย่างนั้นเสียเวลาเปล่าเป็นโมฆบุรุษ ไหนๆก็ใส่ใจฟังธรรมอยู่บ้าง

0840651xxx พ่อครูอธิบายเรื่องทานได้กระจ่างแท้ /จ.ราชบุรี

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯนร.สัมมาฯ ลูกหลานชาวอโศกผู้สืบสานพุทธอเทวนิยมให้พุทธศ.เจริญถึงแก่นแท้ในทศวรรษต่อไป!

0819643xxx พระมารดาของพระพุทธเจ้าเมื่อคลอดพระกุมารแล้วต้องตายใน7วันเพราะอะไรและเกิดขึ้นกับพระมารดาพระพุทธเจ้าทุกองค์มั้ย

ตอบ...ไม่รู้ ถามอจินไตยพวกนี้ อาตมาก็หมดปัญญา จะรู้ไปทำไมนะ มันไกลเกินตัวมากมันไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าอาตมาจะอวดรู้ก็พอจะเดาด้น ผสมผเสไป แต่อาตมาไม่อยากตอบ เลยบอกว่าไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่ถูกเต็มร้อยก็ไม่ขอตอบ..ถ้าจะให้ตอบบ้างโดยพากเพียรเอาเหตุผลหลักฐานมาตอบก็พอได้ แต่เสียเวลา ให้มาคิดใส่ใจหลักปฏิบัติอะไรดีกว่า ได้ผลอย่างไรดีกว่า

 

_กราบเรียนถามหลวงปู่สมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูง

ขอถามว่า การบริจาคทรัพย์สร้างหน้าต่างและบันไดพระอุโบสถโดยทางวัดสลักชื่อและนามสกุลไว้ ถือว่าเป็นการให้ทานโดยตัดขาดจากกิเลสหรือไม่

ถ้าไม่ จะลบออกดีมั้ยครับ/กาญจน์  จันทร

ตอบ...ดีเขาไม่สลักไว้ที่หน้าผาก  นึกถึงโฆษณา สสส.ที่เขาสลักตัวหนังสือที่หน้าผากว่าโกง  ก็เป็นการมีเยื่อใย ถ้าคุณจะทำทานกับที่นั่น เห็นว่าจำเป็นควรทำก็ดีมีใจเสียสละ แต่คุณทำทานก็ทำใจอย่าสร้างภพชาติ อย่ามี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

หัดอ่านใจทำใจในใจ  แต่เขาก็มีวิธีสร้างภพชาติให้สลักชื่อไง ทำทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดเลย

ทำแล้วไม่ได้มรรคผล มีแต่ภพชาติมากขึ้น ได้ภพเทวดา 6 ก็คือได้นรก

สะสมภพชาติจัดจ้านขึ้นอย่างธรรมกาย หลอกซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น หลอกว่าจะรวย เอาโลกียะหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามมาหลอก แล้วเอาดีอย่างตื้นๆเด็กๆมาหลอก บอกว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน เอาความใหญ่โตเป็นระเบียบหรูหรามาหลอก เป็นโลกียะดีๆ เป็นสังคมศาสตร์ตื้นๆ ง่ายๆ เอากัลยาณธรรมมาหลอกซึ่งไม่เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องสอนซ้ำซากเขาหรอก ใครทำก็ไม่ว่า แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านี้สิ เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลาย ไม่เช่นนั้นไม่เข้าเป้าความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทำอย่างกัลยาณธรรม ไม่ใช่วิชชาจรณสัมปัณโณ คือเป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายเป็นไปเพื่อนิพพาน

กัลยาธรรมหรือความดีนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้คัดค้าน แต่มันไม่ได้พาหลุดพ้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัดไม่หลุดพ้น *

พระพุทธเจ้าว่า *ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับจะละหน่ายคลายหลุดพ้นเป็นไปไม่ได้

แต่เขาสลักชื่อแล้วจะไปลบออกเดี๋ยวจะทะเลาะกัน

 

_อีกคำถาม….ทำทานอย่างไร ไม่เวียนกลับ คำนี้ฟังแล้วรู้สึกลึกซึ้งแท้/sujira

ตอบ...ทำทานไม่เวียนกลับคือ เป็น อนาคามี

แต่ถ้าทำทานอย่างมิจฉาทิฏฐิก็เวียนกลับทั้งนั้น (อาคามี)

 

 

_อีกคำถามไม่เข้าใจเรื่อง รูปครับว่า ตอนไหนเป็น ปุงลิงค์ อิตถีลิงค์ และนปุงสกลิงค์?/สมเดช แก้วอุ่นเรือน

*ตอบ...อันนี้ต้องศึกษาให้ดี ต้องฟัง ต้องศึกษาให้ดี

ปุงลิงค์ คือ ปุริสภาวะเป็นเอกธรรม 

อิตถีลิงค์ จะเป็นธรรมะสอง

ปุงลิงค์เป็น ธรรมะหนึ่ง นปุงสกลิงค์ไม่มีเพศเป็น 0

ปุงลิงค์เป็นเพศชาย เอกบุรุษ อิตถีลิงค์เป็นเพศหญิง

คุณต้องเรียนรู้รูปได้ ถ้าเข้าใจรูป 28

 

ในภาวรูปก็จะเกิดเมื่อมีผัสสะ  โดยมี ปสาทรูปทำงานร่วมกับโคจรรูป

สัมผัสกับรูป ก็จะเกิดภาวะปรากฏเป็น สังขารปรุงแต่ง

ในนั้นแหละที่คุณต้องเรียนรู้ ธรรมะสอง จะเป็น อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ

แล้วก็หาเหตุ*ที่ทำให้เป็น อิตถีลิงค์ แล้วกำจัดเหตุ ก็จะเป็นปุงลิงค์ได้

ที่พูดนี้คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

รูปคำนี้ไม่ใช่รูปคำต้น

แต่รูปคำนี้ลึก หมายถึงนามธรรมในกาย คือสิ่งที่ถูกรู้ ที่ประชุมกันเป็น กาย ตั้งแต่กระทบสัมผัสภายนอก มันรวมภายนอกด้วย

เช่นที่ข้างหน้าอาตมานี้มีผลไม้หลากหลาย

เมื่อตากระทบรูปภายนอก ก็ต้องรู้ที่ใจของเรา และมีสัมผัสนอกรวมเป็นกาย

*มีรูปมีนาม เป็นธรรมสอง*

 สิ่งที่ถูกรู้ คือรูป ผู้ที่ไม่รู้ก็จะอธิบายว่า *รูปคือสิ่งที่ไม่รู้ตัว* แต่ข้าวของอุตุนิยามพีชนิยามก็ไม่รู้ตัว

* แต่จิตนิยามมี อาการจิตที่ถูกรู้ได้ เรียกว่ารูปจิต หรือจิตรูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้ไ

 

_กราบนมัสการพ่อครูครับ... มีสำนักพุทธสำนักหนึ่งในไทยกำลังได้รับความนิยม..(ได้ข่าวว่าท่านจันทร์ไม่ปลื้มกับสำนักนี้เท่าไรนัก)ซึ่งผมมีโอกาสได้ไปนั่งฟังเทสนาจากเจ้าสำนักในวันธรรมดามีคนไม่มากนักจึงได้ฟังคำสนทนาและคำถามต่างๆ...ซึ่งพระที่สำนักนี้มีวัตรปฏิบัติคล้ายๆสันติอโศกคือพระไม่จับเงินไม่เรี่ยไร..ไม่รดน้ำมนต์..ไม่มีดอกไม้ธูปเทียน..สอนให้ลดละเลิกอบายมุข..แตกต่างที่แนวสอน..สอนให้เจริญสติ..ละนันทิ(คำถามที่ 1.=นันทิคืออะไรครับ?)..ให้ดับผัสสะและสฬายตนะ..(มีคนถามว่าต้องถือศีลอย่างเคร่งครัดไหม..ท่านตอบว่า..เมื่อเรามีสติ..เจริญสติจนเป็นเป็นมหาสติ..มีปัญญาละนันทิได้..ศีลก็ไม่จำเป็นต้องถือ)...ให้ท่องจำคำสอนที่ออกจากปากพุทธะโดยตรง..เช่น..พุทธะวจนะต่างๆ..พระสูตรต่างๆให้ขึ้นใจและแทงตลอดตามคำอธิบายของอาจารย์(เจ้าสำนักนี้)..ถ้าทำได้ตามนี้..ก่อนตายจะมีผิวพรรณเหลืองผ่องใส..แม้ตายแล้วเนื้อหนังก็ยังนุ่ม..ไม่เน่า..ผู้นี้จะได้นิพพาน..แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ผู้นั้นจะได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์รอรับนิพพานอย่างแน่นอน..ผู้ที่มาศึกษาและปฏิบัติกับสำนักนี้..จะเป็นชาติสุดท้ายของผู้นั้น..ท่านก็เล่าถึงชีวิตการบวชของตัวเองว่า..โง่เขลาอยู่ตั้งนาน..พอมาเจอเส้นทางนี้ทำให้ตัวท่านเองมองเห็นแนวทางรอดและหลุดพ้น..ก่อนจะไปสบายจึงอยากให้ผู้คนเพื่อนญาติพี่น้องร่วมโลกให้หลุดพ้น..(มีคนพูดขึ้นว่า..ดิฉันไปโรงพยาบาลเอาซีดีเปิดให้ญาติเพื่อนกำลังป่วยฟัง..เมื่อวานเขาโทรมาบอกญาติตายแล้ว..พระเจ้าสำนักถาม..ก่อนตายมีผิวพรรณเหลืองผ่องไหม..ดิฉันไม่ได้ไปดูเจ้าค่ะ..พระเจ้าสำนักย้ำว่า..ถ้าเขามีผิวพรรณเหลืองผ่อง..ผู้นั้นเข้าถึงนิพพานแน่นอน)...ผมเคยถามสมณะชาวอโศกรูปหนึ่งในเรื่องนี้..ท่านตอบผมว่า..เขาสอนไม่ผิดและสอนไม่ถูก..ในทุกๆสำนักไม่มีคำสอนที่ถูกหรือผิดตามสัจจะ..ท่านพูดอย่างนี้แสดงว่า..คำสอนพ่อครูเป็นได้ทั้งถูกและผิด..(คำถามที่ 2.=สมณะรูปนี้พูดถูกหรือเปล่าครับ?)...กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ/

ผาหิน ภูผาฟ้าน้ำ

 

ตอบ...ตอบเลยสมณะรูปนี้ ยังไม่รู้เลยว่าเป็นรูปไหน ….ที่บอกว่าคำสอนพ่อครูไม่มีถูกหรือผิดก็สอนไปทำไม เสียเวลาเสียน้ำลาย ตอบชัดๆเลยว่า ตอบอย่างนี้ตอบไม่ถูกหรอก คนฟังก็งง อาตมาก็ว่าพอมีปัญญาพอรู้ ฟังแล้วอาตมาก็ยังงงเลย สอนไม่ผิดแล้วสอนไม่ถูก ก็สอนไปทำไม? สอนทั้งทีก็สอนให้ถูก คนสอนทุกคนเจตนาสอนให้ถูกทั้งนั้นแหละไม่มีใครอย่างสอนผิดหลอก

เนื้อหาที่ว่ามา อาตมาก็ว่าเป็นสำนักที่พยายามหาจุดเด่นที่มันมีเงื่อนไขหรือมีหลักฐานที่ดี เอาแต่พระพุทธพจน์ไม่เอาคำสอนขององค์อื่นก็ขยายความเข้าใจของตัวเองมา อาตมาก็ไม่แน่ใจว่าที่คุณเอามาขยายความให้อาตมาฟังนั้นตรงกับที่ท่านพูดหรือไม่ แต่อย่างที่คุณบอกว่าถ้าเขามีผิวพรรณเหลืองผ่องนี้นิพพาน อาตมาก็ว่าไม่มีพุทธพจน์ไหนเลยนะที่ว่าอย่างนี้ ยังไม่เคยเจอเลยว่า ผิวเหลืองผ่องเป็นการแสดงถึงนิพพาน ฟังแล้วทะแม่งๆ ท่านจะสอนอย่างนี้จริงหรือ?

แล้วที่บอกว่าผู้มาศึกษากับสำนักนี้จะเป็นชาติสุดท้ายทุกคน คือทุกคนมีสิทธิ์เป็นอรหันต์หมด ก็พอเดาๆได้ว่าสำนักไหน ฟังแล้วทะแม่งๆ ไม่วิจัยวิจารณ์มากหรอก

 

_กราบนมัสการค่ะ เปิดรับชมพ่อท่านเกือบทุกวันค่ะ ใช้ความพยายาม ลดละเลิกกิเลส. ลาภ โกรธ หลง. อยู่ค่ะ. ไม่ทานเนื้อสัตว์มา 4 เดีอนแล้วค่ะ แต่ยังไม่บริสุทธิ100%บางมื้อยังเป็น เจเขี่ยอยู่ แต่น้อยมากค่ะ. จะเพิ่มความพยายามอีกค่ะ/Phaksarat

ตอบ...ให้มีศีลแล้วปฏิบัติมรรค 7 องค์ให้เกิดสัมมาสมาธิ

 

_กราบนมัสการพ่อท่าน การทำงานโดยใช้อิทธิบาท จนกระทั่งร่างกายรับไม่ไหว เป็นบาปไหมคะ งานที่ทำแล้วไม่หวังผลแต่ต้องการให้งานเสร็จ จิตไม่มีความโลภยิ่งทำยิ่งสนุกไม่เหน็ดไม่เหนื่อย แต่ตอนนี้มีอาการข้ออักเสบ เพราะถอนหญ้าวันละประมาณ 10 ชั่วโมง พอร่างกายรับไม่ไหว เลยคิดว่าเป็นการทรมานสัตว์หรือไม่/Sayan ทุ่งนาแรงรัก

ตอบ...มันเกินไปหน่อย สมณะที่นั่นช่วยแก้ไขด้วย

_สละทรัพย์-อวัยวะ-ชีวิตทั้งหมด เพื่อรักษาธรรมคือยังไงค่ะ ลูกไม่เข้าใจ/ยายก้าน

ตอบ..พุทธพจน์มีว่า...สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม  ล.28 ข.382

ถ้าต้องสละอวัยวะแขนขาขาดเพื่อรักษาชีวิต จำนนจำเป็นก็ต้องทำ สุดท้าย ถ้าเป็นธรรมะ เสียสละชีวิตเพื่อธรรมะถ้าจำนนสุดท้ายก็ต้องทำ เป็นปณิธานของพระโพธิสัตว์

_พ่อครูว่านิพพานไม่อยู่ในไตรลักษณ์ นิพพานจะเป็นอัตตาหรือ อนัตตาครับ/NOP HS6RAM

ตอบ...นิพพานเป็นอนัตตาแน่นอน ทำให้หมดอัตตาก็เป็นนิพพาน แล้วไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตน ซึ่งจะต้องเข้าใจอย่างมีปัญญา ผู้ที่ปฏิบัติโดยใช้สิ่งดังนี้เป็นองค์ประกอบหลักว่า ทุกอย่างมันอนิจจัง และทุกอย่างนั้นมันจะเป็นทุกข์ ก็ต้องศึกษาตัวทุกข์นี่แหละเหตุแห่งทุกข์ ต้องรู้ความเป็นทุกข์ แล้วก็ศึกษาวิธีปฏิบัติจนกระทั่งดับเหตุแห่งทุกข์ได้เป็นนิโรธ ก็เรียกว่าอริยสัจ 4 ในการเรียนรู้ ไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขังอนัตตา นิพพานไม่ได้อยู่ในนี้ แต่นิพพานก็อยู่ในนี้ ต้องเรียนรู้ว่าทุกข์อยู่ในนี้แล้วมันไม่เที่ยง ต้องหาเหตุแห่งทุกข์ แล้วดับเหตุแห่งทุกข์ ก็ดับทุกข์ จริงๆแล้วอัตตานั่นแหละคือตัวทุกข์ เมื่อเราดับอัตตา ก็คือดับเหตุแห่งทุกข์

_สังเกตุเห็นพระผมยาวไม่โกนผมตามวันโกนวันพระมากขึ้นแม้เข้าไปรับพัดยศที่ในวังก็ไปผมยาวทั้งผมดำผมขาวหรืองานราชพิธีต่างๆ เรียนถามพระรูปหนึ่ง ท่านบอกว่าแล้วแต่การกำหนดจะโกนผม 1 อท. 2 อท. 1 ด. หรือสูงสุดได้ 2 ด.!! กราบเรียนถามพ่อครู ว่าถูกต้องหรือไม่!!??/Somjet Wet.90

ตอบ….เรื่องเล็กน้อย ถูกก็ได้ไม่ถูกก็ได้ อย่างนี้ตอบได้เช่นนี้ ติดใจอะไรนักหนาเรื่องเล็กน้อย ศาสนาพุทธนั้นท่านตัดปัญหาเรื่องผม ไม่ต้องดูแลไม่มีขี้รังแค ไม่มีปัญหา โกนเสียก็จบ ง่าย ท่านก็ให้โกน ท่านจะถือว่ากี่วันกี่เดือนก็แล้วแต่ แต่ชาวอโศกเราก็ประมาณหนี่งสองอาทิตย์หรือกึ่งเดือน ส่วนมากอาตมาก็อาทิตย์หนึ่งก็โกน ไม่เอาถึงสองอาทิตย์ ไม่ยากอะไร ยิ่งทุกวันนี้หัวมันล้าน สมณะปัจฉาฯมาโกนให้ไม่ถึงสิบนาทีเสร็จ อาตมาเดี๋ยวนี้ไม่ได้โกนเอง ทำงานไปท่านก็โกนให้ไป ไม่เสียเวลา

_มีข่าวจากสำนักข่าวอเมริกา บอกว่า นายทิมฯ ผลักดันรัฐสภาอเมริกาว่า ให้เจริญสติแบบพุทธศาสนาเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อความสงบสุขของประเทศ รวมทั้งอังกฤษก็จะดำเนินตามนี้หมดข้อพิสูจน์แล้วว่ามีเพียงศาสนาพุทธเท่านั้นที่แก้ปัญหาประเทศได้รักษาจิตใจคนในชาติใดมีเหตุและผลที่สามารถพิสูจน์ได้ขอแสดงความยินดีกับพุทธมามกะทั้งโลกก็ขอบคุณข่าวดีมากสำหรับวันนี้ก็ขอเจริญธรรมทุกคน

จบ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:56:20 )

590911

รายละเอียด

590911_วิถีอาริยธรรม  ไขความจริง:จะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร

การกีฬานั้นส่งเสริมให้มีการเอาชนะ จะทำอะไรก็ให้เอาชนะ จะโยนไม้ โยนห่วง จะเตะหรือกระโดดก็เอาชนะ กีฬาทั้งหลายจึงเป็นการส่งเสริมจิตใจให้ยื้อแย่งหนักขึ้น แล้วก็มีแฝงแสดงว่าให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้รู้ชนะ แต่ก็แย่งจะเป็นผู้ชนะผู้ฮึกเหิมอย่างเดิมนั่นแหละ

การกีฬาจึงเป็นสิ่งที่ทำลายสังคมอย่างหนัก ถ้ามีแต่การส่งเสริมให้ชนะคะคานกัน มีความฮึกเหิมจะเอาชนะกัน

กีฬานั้นเป็นการเล่นเพื่อออกกำลังกาย แต่มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะกันด้วยนึกว่าฉลาดแต่อวิชชา ไม่รู้ว่าเป็นการทำลายโลก จนกระทั้งโอลิมปิก คืออวิชชากันทั้งโลก ขออภัยเหมือนไอ้เข้ขวางคลอง เขาออกข่าวกันแทบทุก 10 นาที ข่าวกีฬาขึ้นหน้ามาก แล้วแย่งชิงได้ก็ได้หน้าได้ตา ได้เงินทอง ได้ความนิยมโด่งดังเด่นเลยไม่ต้องทำอะไร ชีวิตเกิดมาเป็นนักกีฬา ไร้สาระ แล้วก็จิตเอาชนะคะคานด้วย

สมณะฟ้าว่า..กว่าจะได้นักกีฬาจีนหนึ่งคนมีคนต้องพิการเยอะแยะ

พ่อครูว่า อันนี้ขอเตือนโลกว่าเป็นคนต้องรู้จักวิธีการออกกำลังกาย จะเรียกฟิตเนส ตามภาษาฝรั่งก็ไปออกกำลังกายของตน อาตมาเองก็ออกกำลังกายเกือบทุกวัน ไม่มีขี้เกียจ นอกจากบางวันมันทำงานอื่นเพลิน ไม่เช่นนั้นก็มีการออกกำลังกายเสมอ แต่ไม่ได้ไปเล่นกีฬา ไม่ได้เอาการละเล่นมาแข่งขันเอาชนะแบบเขา เมื่อเลยเถิดออกจากการออกกำลังกาย เป็นการแข่งขั้นอันนั้นเป็นอบายมุขแล้ว

เห่อกันจนมีกระทรวงกีฬา ทำไมต้องโง่ตามเขา เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเป็นชาวพุทธ ท่านสอนว่า กีฬาคือการละเล่น ไม่ใช่การออกกำลังกาย การเล่นผ่อนคลายเล็กๆน้อยๆตามควร แต่โตแล้วไม่ต้องเล่นหรอก จะออกกำลังกายก็ทำ จะทำงานก็ทำงาน จะพักผ่อนก็พักผ่อน แต่ไม่ใช่ไปทำการกีฬามาเป็นอาชีพ เมืองไหนเอากีฬามาเป็นอาชีพคือเมืองนรก เมืองอวิชชา เมืองอบาย เมืองโง่ อย่านึกว่าเจริญนะ แต่เขาชื่นใจหาเงินทองเข้าประเทศด้วยกีฬา

การจะนำเสนอโลกด้วยการเก่งสร้างสรรเสียสละเกื้อกูลมนุษยชาติมีเยอะกว่ากีฬา ที่จะเอาไปฝึกฝนแล้วนำเสนอเก่งๆ สร้างสรรได้เก่ง เสียสละได้เก่ง ขยันหมั่นเพียรได้เก่ง มีเยอะแยะ ที่เป็นการงานอาชีพกัมมันตะต่างๆ แต่ไม่เอา ไปเอาการละเล่น

อาตมาขอเตือน ในฐานะผู้มีอายุมาก อายุแปดสิบกว่าแล้ว โลกเขาก็ว่าควรตายได้แล้ว คนส่วนมากไม่ค่อยถึง 80 หรอก

การละเล่นไม่ใช่เรื่องของสังคมประเทศชาติที่จะมาเอาเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าจะทำก็ให้ออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเป็นการทำเป็นอาชีพทำทั้งวันทั้งคืน จนเป็นมหาวิทยาลัยกีฬาอีก อาตมาจะเหมือนไอ้เข้ขวางคลองที่ไปขวางเขา ตอนนี้กีฬาเป็นอบายมุขที่ขึ้นหน้าเด่นในโลก พวกดาราก็เด่นได้เงินทอง เพราะไม่ได้สอนให้ลดกิเลส ศาสนาไหนก็ไม่ได้สอนให้ลดกิเลสชัดเจนเหมือนศาสนาพุทธ ที่รู้จักกิเลสแล้วไม่ส่งเสริมให้กิเลสอ้วนใหญ่โต ไม่ส่งเสริมคนเป็นปุถุชน แต่ส่งเสริมให้คนเป็นอาริยชน แต่เขาไม่รู้ว่าศาสนาพุทธสอนเช่นนี้

 

กล่าวคือ ใครก็ตาม ตรวจตนเอง ให้ได้ ว่า ตนเองยังติดความชั่วใด ที่เราเข้าใจว่านี่คือชั่ว ..เอากายกรรม กับวจีกรรม ก่อน

และเริ่มด้วยเชิง“ผลัก”(โทสะ = ลบ)ก่อน

นั่นคือ ผู้ยัง“ยึดแรง”ในการทำร้ายชีวิตผู้อื่น ถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วสะใจ นี่คือ ศีลข้อ 1 ต้องหยุด

ทีนี้ เชิง“ดูด”(โลภ = บวก) ผู้ยัง“มุ่งแย่ง” ของที่ไม่ใช่ของเรา ของที่เราไม่มีสิทธิ์ ก็แย่งถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วเอามาเป็นเรา-เป็นของเราได้  ก็รู้สึกเป็นรสสุข(โลภะ)อยู่ อย่างนี้“รสสุข”

นี่คือ ศีลข้อ 2 ก็ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ผู้ยัง“ยึดแรง”ในความรัก-ราคะในโฉมผู้อื่น ในร่างผู้อื่น มาให้ตนเสพสัมผัสต่างๆ(ราคะ) ก็เป็นรสสุข นี่คือ ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ ไม่เสพรสจากสัมผัสเสียดสีใด

ทำได้จริง  อย่างนี้ก็หมดไปได้จริงๆ

หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ ใช้เล่ห์ด้วยเชิงฉลาด หลอกซับซ้อนซ่อนลวงสารพัด เก่งฉกรรจ์ฉกาจ ให้เขาหลงผิดในสิ่งที่ผิดว่าถูก   ซ้ำหลงเทิดทูนผู้หลอกว่ายอด ว่าเก่งเยี่ยมซึ่ง“ละเมิดของหวงผู้อื่น” สารพัดสิ่งหวง  ก็หยุดละเมิด ทั้งทางกายกรรม ทางวจีกรรม

นี่ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ยัง“โกหก” ก็หยุดได้ นี่คือ ศีลข้อ 4

ยัง“ต้องเสพสุขโดยการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายกับสิ่งภายนอกนั้นอยู่” และตนเห็นว่า“ต่ำแล้ว”สำหรับตนแต่ละคน นี้คือ “อบาย”ข้อ 5 คือยัง“มัวเมาขั้นสุรา” ก็หยุดเว้นขาด ไม่สัมผัสภายนอก ละ ล้างเหตุภายในที่ยังอยากเสพของตนในใจให้ได้ จนทำได้ตามหลัก“ปหาน 5”(หลักของบุญ) กระทั่ง“ประหาร”สำเร็จเสร็จจบบริบูรณ์

“บุญ”ทำกิจแล้ว “บุญ”ก็หายสูญไป

“บุญ”กำจัดทั้ง“กายนอก-กายใน” ทั้ง“รูปจิต-อรูปจิต” ให้“วิบัติ”ได้สำเร็จผล

“รสแท้”คือ รสเดียวกันทุกคน-ตรงกัน(พ่อครูยกตัวอย่างผลไม้ชื่อหมากพิพวน ที่รสไม่ได้เรื่อง รสเจวเลวๆ ต่างจากรสลองกอง สัมผัสทางลิ้น ทุกวันนี้มันอบายทางลิ้นนี้มอมเมาครอบงำไปใหญ่แล้วคนไทยเรานี่ ยอดมอมเมาเลย เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนๆก็ไปตั้งร้านอาหาร เพราะฝรั่งถูกคนไทยหลอก รสสารพัดที่ต่างชาติไม่ค่อยรู้เหมือนคนไทย คนไทยนี่รสทั้งเปรี้ยว เผ็ด หวาน เค็ม รสเน่า ก็มี คนก็เชื่อติดใจ ก็ไปตั้งร้านอาหารในเมืองนอก ตั้งหลักฐานได้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นกุ๊กอะไร ไปทำกินทำใช้ก็เลี้ยงตนรอดแล้ว ของเน่ายังเอามาหลอกได้ ปลาร้า บูดู ถั่วเน่า สารพัด)

“รสสวรรค์-หรือรสนรก”คือ รสของแต่ละคน“อุปาทาน”เอง แล้ว“มีจริงเอง”ของแต่ละคน จึงเป็น”อาการที่ 33” ที่ปั้นขึ้นมาเอง

ลมๆแล้งๆ ของใครของมัน ซึ่งไม่ใช่“รสแท้”ที่เกิดจาก“อาการ 32”ที่มีกันทุกคน

“รสที่ 33” คือ รสสวรรค์ดาวดึงส์ คือภพ ที่แต่ละคนปั้นขึ้นมาเอง  “เท็จ”ทั้งนั้น(อลิกะ)

เพราะ“รสที่ 33”คือ “รสเก๊”(อลิกะ=เท็จ)

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86337

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfaVFROC1LcmdEa1E

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/knts6ohtbm7/160911

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:56:49 )

590911

รายละเอียด

590911_วิถีอาริยธรรม  ไขความจริง:จะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร

สมณะฟ้าไท.ว่า...วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2559 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ก็ใกล้เวลาออกพรรษา พ่อครูได้เทศน์ ได้บอก ได้สอนให้พวกเราได้ฟังทุกวัน

ท่านสอนให้คนได้เป็นอาริยบุคคลตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีจนถึงพระอรหันต์ ที่เคยฟังปณิธานพระครูบอกว่า ให้มีพระอรหันต์ไปเป็นนายกรัฐมนตรีปกครองบ้านเมืองได้ ถ้าเป็นยังงั้นได้ โลกจะดีขึ้นแน่นอน ไม่ต้องสงสัย ที่ไม่สงสัยเพราะว่าขณะนี้เราอยู่กับพระอรหันต์ เราก็มีความสงบสุข มีความผาสุกแล้ว ถ้ามีพระอรหันต์ไปปกครองประเทศได้ก็จะดีแน่นอน โลกนี้ก็จะเกิดความสงบ

 แต่สิ่งที่ยากก็คือ ทำอย่างไรจะเป็นได้ ยากรองลงมาคือ เมื่อมีสัตบุรุษ ผู้อธิบายธรรม มาให้เราปฏิบัติ ทำอย่างไรจะเข้าใจได้

เมื่อวานนี้มีนิสิต ว.นบ.มาอธิบาย ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา เขาดูตื่นกระตือรือร้นมาก ในการมานำเสนอ ทำให้สมณะสิกขมาตุพลอยตื่นตัวไปด้วย เรานั่งฟัง 2 ชม.กว่าก็ตื่นเต็มดี

แต่ฟังธรรมพ่อครู ดูเหมือนทำไมเราไม่ตื่นเต็ม ก็ได้แง่คิดว่า ต้องค้นหาสิ่งที่เราไม่เข้าใจ พ่อครูมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง ที่จะเสนอแนะได้ ไม่ได้เพ่งโทษ แต่ให้เรามีธัมมวิจัยเพิ่ม

วันนี้พ่อครูจะมา ไขความจริง เรื่องจะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร?

 ถ้าเป็นโสดาบันได้ ก็จะเหมือนสตาร์ทติดเครื่องแล้วไปสู่ที่สูงได้ แต่ถ้าสตาร์ทเครื่องไม่ติดก็ยิ่งซวยหนัก พ่อครูอธิบายซ้ำซาก เพื่อให้เรามีรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเข้าใจกระจ่างก็จะปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้น

พ่อครูว่า..อาตมาออกจากงานทางโลก มาทำงานทางนี้ก็ได้ความมุ่งมั่นจริงๆ ที่จะพยายามชี้แจงอธิบาย ตามที่เราเองมั่นใจว่า...

คนเราที่เป็น”อาริยะ” คือ เป็นคนเจริญ เจริญเพราะจิตใจนั้นกิเลสลด

 คนเราจะเจริญได้มั่นคงถาวรก็เพราะว่าจิตใจเปลี่ยนแปลง ถอดจิตใจมันเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่ไปกดข่มบังคับจิตใจให้ทำกายกรรมดีขึ้น ให้จิตใจมาบังคับวจีกรรมเราให้ดีขึ้น ก็จิตเป็นประธานมาก่อนเกิดกรรมทุกอย่าง อย่างนั้นยังไม่ใช่ความบรรลุ

ความ”บรรลุ”อยู่ที่จิตเราได้เปลี่ยน แต่ก่อนนี้จิตเราเป็นอีกอย่าง

คนไม่ได้ศึกษาจะไม่รู้ว่า จิตของเรามีกิเลสมาจุ้นจ้านเป็นนาย ให้เราต้องเชื่อฟังมัน มันบังคับเราได้ ทั้งที่โดยปฏิภาณสำนึกเรารู้ว่า นี่เป็นสิ่งชั่วนะ แต่มันก็จะทำ เพราะว่าตัวกิเลสในจิตมีอิทธิพล มันเก่ง มันบังคับให้เราทำ

คนเราแพ้กิเลส เพราะฉะนั้น กรรม กิริยาที่ออกมาข้างนอก สู่สังคม หมู่ชน จึงเป็นกรรมกิริยาที่เกิดจาก กิเลสเป็นตัวการ

นี่คือ *เป้าหมายหลัก ที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ตัวการ ตัวกิเลสนี่แหละ ให้ได้ แล้วมีวิธี *ปหานกิเลส *นี้ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นอาริยสัจ 4

รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ โดยมีวิธีปฏิบัติจัดการกิเลสนี้ได้

นี่คืออาริยสัจ 4 หัวใจศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้ชาวพุทธ ไม่รู้แล้ว

ชีวิตมีการเอาแต่สุข เอาสุขมาทดแทนอารมณ์(เวทนา) ที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น แล้วเรียกว่าสุข โดยระบุอาการนั้น ก็ได้ แต่ถ้ารู้ละเอียดว่า ความสุขที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น เป็นสุขที่พิเศษ วูปสโมสุข เป็นสุขยิ่งกว่าสามัญ ที่มีกามอยากได้ใคร่มาเสพ ก็หามาบำเรอ หรือบำเรออัตตาให้เป็นอย่างใจ ที่เว้นจากกามคุณ 5 แล้วใจมันเองก็ต้องการอีก หรือจะต้องการนอกเหนือจากนั้นอีก ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ต้องการได้สมใจทั้งนั้น

เป็นรูปในภพ หรืออรูปในภพ เป็นภพเทวดา มีวิมานในฝันจะได้เป็นคนสวย คนรวย คนเก่ง ได้ยศสูง ประเสริฐเลิศเลอ ก็ฝันไป นั่นคือวิมานทั้งหลาย นั้นคืออัตตาตัวแท้ (มโนมยอัตตา) อัตตาที่ปั้นขึ้นมาสำเร็จด้วยจิต ไม่ได้เรียนรู้ แต่ไม่สอนกันก็เลยเลอะเทอะ

ก็ยังอยากได้ อยากมี อยากเป็นในกามคุณ ทั้งวัตถุทรัพย์สมบัติ เป็นโอฬาริกอัตตา แล้วก็กลายเป็นมโนมยอัตตาภายในจิตต่อไป

สมณะฟ้าไท.ว่า...สิ่งที่เราอยากได้ เราเคยเป็นมาก่อนไหม

พ่อครูว่า มันมีมาแต่อ้อนแต่ออก ตัวเล็กๆถ้าเอาอะไรมาล่อมันอยากได้แล้วไม่ได้ ก็ร้องใช้อำนาจต่อรอง เป็นกิเลสประจำตัว คนเราเกิดมาเวียนวนเป็นคนเกิดแล้วเกิดอีก ไม่ใช่อัตภาพที่เพิ่งเกิด เป็นสัตว์มันก็อยากได้ เป็นคนก็ยิ่งมีความอยากได้สะสมมานานแล้ว ตั้งแต่เกิดก็มีมาแล้ว พกมาเต็มกระบุงเลย เป็นของเก่าด้วยแล้วพากันโง่ใหม่อวิชชาด้วย อยากได้ใหม่ๆ คือคนไม่ได้สดับ ของเก่าก็เต็มที่ของใหม่ก็อยากได้เติมเข้าไปอีก ไม่ได้สดับธรรมะพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้มีแต่เติมกิเลสสร้างกิเลสให้โตขึ้นท่านจึงเรียกว่า ปุถุชน

คำว่าปุถุ แปลว่าโต หนา อ้วน ใหญ่ มาก เพิ่มตัวตน เพิ่มฤทธิ์เดช เพิ่มพลังความอยากได้กิเลสต่อ จึงถูกตราหน้าว่าเป็นปุถุชน คือคนที่เต็มไปด้วยกิเลสต่อมีตัณหาโตใหญ่ ตัณหามาก หากไม่ได้สดับธรรมะพระพุทธเจ้า เรียนรู้กิเลสพวกนี้แล้วลดกิเลสให้ได้ ทำไปตามลำดับเรียนปริตตัง มีหลักเกณฑ์มีศีล เรียนรู้แล้วละกิเลสไปตามลำดับตามกรอบเล็กๆ ตั้งแต่ศีล 5 เกี่ยวกับสัตว์กับวัตถุ มันไม่ควรเอาไม่เป็นของเราก็ไม่ควรเอา หรือสัมผัสเสียดสีเรื่องเพศ เราก็จะต้องไม่ให้เกินขอบเขตที่สังคมวัฒนธรรมดีงามให้เป็น ไม่ทุจริตไม่พูดปด ไม่ไปหลงโลกหลอกให้เสพติดคืออบาย  คำว่าอบายคือความต่ำ

คนเกิดมานี้หนาด้วยกิเลส คือคนเรายิ่งจะมีอบายความต่ำนี้มากขึ้น แล้วไปมัวเมาต่างๆ ปรุงแต่งให้หลงเสพติด โฆษณา ธุรกิจต่างๆ มีแต่จะให้ได้ลาภมากขึ้น ยศมากขึ้น ได้รับการสรรเสริญมากขึ้น ผู้ไม่ได้สดับธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่เรียนรู้สัจธรรมจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

แต่ละคนต้องการอันเดียวกันหมดคือ อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย สุขอันเดียวกันหมดจึงแย่งกัน พระพุทธเจ้าทำให้ศึกษาว่า ไม่ควรไปแย่งกันหรอก มันจะมีก็มีไปตามธรรม แต่การอยากได้มาก อยากได้รวย รวยๆ อยากได้สูงสูงจะได้เปรียบคนอื่นเขา แล้วก็อยากกันไม่หยุดหย่อน แย่งกันไม่หยุดหย่อน โลกจึงเต็มไปด้วยความยื้อแย่ง จะเอาชนะคะคานกัน ทุกคนมีแต่จะไปส่งเสริมกีฬา

การกีฬานั้นส่งเสริมให้มีการเอาชนะ จะทำอะไรก็ให้เอาชนะ จะโยนไม้ โยนห่วง จะเตะหรือกระโดดก็เอาชนะ กีฬาทั้งหลายจึงเป็นการส่งเสริมจิตใจให้ยื้อแย่งหนักขึ้น แล้วก็มีแฝงแสดงว่าให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้รู้ชนะ แต่ก็แย่งจะเป็นผู้ชนะผู้ฮึกเหิมอย่างเดิมนั่นแหละ

การกีฬาจึงเป็นสิ่งที่ทำลายสังคมอย่างหนัก ถ้ามีแต่การส่งเสริมให้ชนะคะคานกัน มีความฮึกเหิมจะเอาชนะกัน

กีฬานั้นเป็นการเล่นเพื่อออกกำลังกาย แต่มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะกันด้วยนึกว่าฉลาดแต่อวิชชา ไม่รู้ว่าเป็นการทำลายโลก จนกระทั้งโอลิมปิก คืออวิชชากันทั้งโลก ขออภัยเหมือนไอ้เข้ขวางคลอง เขาออกข่าวกันแทบทุก 10 นาที ข่าวกีฬาขึ้นหน้ามาก แล้วแย่งชิงได้ก็ได้หน้าได้ตา ได้เงินทอง ได้ความนิยมโด่งดังเด่นเลยไม่ต้องทำอะไร ชีวิตเกิดมาเป็นนักกีฬา ไร้สาระ แล้วก็จิตเอาชนะคะคานด้วย

สมณะฟ้าว่า..กว่าจะได้นักกีฬาจีนหนึ่งคนมีคนต้องพิการเยอะแยะ

พ่อครูว่า อันนี้ขอเตือนโลกว่าเป็นคนต้องรู้จักวิธีการออกกำลังกาย จะเรียกฟิตเนส ตามภาษาฝรั่งก็ไปออกกำลังกายของตน อาตมาเองก็ออกกำลังกายเกือบทุกวัน ไม่มีขี้เกียจ นอกจากบางวันมันทำงานอื่นเพลิน ไม่เช่นนั้นก็มีการออกกำลังกายเสมอ แต่ไม่ได้ไปเล่นกีฬา ไม่ได้เอาการละเล่นมาแข่งขันเอาชนะแบบเขา เมื่อเลยเถิดออกจากการออกกำลังกาย เป็นการแข่งขั้นอันนั้นเป็นอบายมุขแล้ว

เห่อกันจนมีกระทรวงกีฬา ทำไมต้องโง่ตามเขา เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเป็นชาวพุทธ ท่านสอนว่า กีฬาคือการละเล่น ไม่ใช่การออกกำลังกาย การเล่นผ่อนคลายเล็กๆน้อยๆตามควร แต่โตแล้วไม่ต้องเล่นหรอก จะออกกำลังกายก็ทำ จะทำงานก็ทำงาน จะพักผ่อนก็พักผ่อน แต่ไม่ใช่ไปทำการกีฬามาเป็นอาชีพ เมืองไหนเอากีฬามาเป็นอาชีพคือเมืองนรก เมืองอวิชชา เมืองอบาย เมืองโง่ อย่านึกว่าเจริญนะ แต่เขาชื่นใจหาเงินทองเข้าประเทศด้วยกีฬา

การจะนำเสนอโลกด้วยการเก่งสร้างสรรเสียสละเกื้อกูลมนุษยชาติมีเยอะกว่ากีฬา ที่จะเอาไปฝึกฝนแล้วนำเสนอเก่งๆ สร้างสรรได้เก่ง เสียสละได้เก่ง ขยันหมั่นเพียรได้เก่ง มีเยอะแยะ ที่เป็นการงานอาชีพกัมมันตะต่างๆ แต่ไม่เอา ไปเอาการละเล่น

อาตมาขอเตือน ในฐานะผู้มีอายุมาก อายุแปดสิบกว่าแล้ว โลกเขาก็ว่าควรตายได้แล้ว คนส่วนมากไม่ค่อยถึง 80 หรอก

การละเล่นไม่ใช่เรื่องของสังคมประเทศชาติที่จะมาเอาเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าจะทำก็ให้ออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเป็นการทำเป็นอาชีพทำทั้งวันทั้งคืน จนเป็นมหาวิทยาลัยกีฬาอีก อาตมาจะเหมือนไอ้เข้ขวางคลองที่ไปขวางเขา ตอนนี้กีฬาเป็นอบายมุขที่ขึ้นหน้าเด่นในโลก พวกดาราก็เด่นได้เงินทอง เพราะไม่ได้สอนให้ลดกิเลส ศาสนาไหนก็ไม่ได้สอนให้ลดกิเลสชัดเจนเหมือนศาสนาพุทธ ที่รู้จักกิเลสแล้วไม่ส่งเสริมให้กิเลสอ้วนใหญ่โต ไม่ส่งเสริมคนเป็นปุถุชน แต่ส่งเสริมให้คนเป็นอาริยชน แต่เขาไม่รู้ว่าศาสนาพุทธสอนเช่นนี้

อาตมาเอามาเปิดเผยว่าศาสนาพุทธสอนเช่นนี้เขาก็ไม่ฟัง แต่ไปนับถือที่ผิดๆ เช่นใช้คำว่าบุญหรือใช้การปฏิบัติธรรม ไปหากิน คำว่าบุญนี่ก็เพี้ยนไปไกลแล้วทุกวันนี้ เกือบจะไม่มีหลักฐานในพจนานุกรม บาลีไทยอังกฤษ ฉบับภูมิพโลภิกขุ ว่าบุญ คือสันตานังปุนาติวิโสเทติ ท่านธรรมปาละแปลไว้...ซึ่งอาตมาก็ได้เอาไปค้นคว้าอีกหลายที่

บุญคือการชำระบาป ชำระกิเลสในจิตให้หมดจด ถ้าทำได้หมดกิเลสหมดก็ไม่ต้องใช้บุญอีกเลย เป็นปุญญปาปริกขีโณ อกุศลหรือบาปเข้าไม่ได้อีก มีประสิทธิภาพในการฆ่ากิเลสได้เก่ง จนเป็นในตัวเองไม่ต้องฆ่าอีก ก็ไม่ต้องทำบุญอีก เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปริกขีโณ

และสอง ผู้ปฏิบัติชำระกิเลสเป็นส่วนๆเรียกว่าปุญญภาคิยา เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์

และสามเมื่อชำระกิเลสหมดก็เป็น ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปริกขีโณ

จากนั้นผู้นี้จะไม่ทำบาปทั้งปวง สัพพปาปัสสอกรณัง

ท่านทำกรรมใดก็มีแต่กุสลสูปสัมปทา เพราะท่านได้ชำระกิเลสจากจิตให้สะอาดแล้ว สจิตตปริยทปนัง คือได้ทำบุญนั่นเอง จนเป็นอรหันต์

ในโอวาทปาติโมกข์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้...สัพพปาปสอกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา (ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)

แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่มีแล้ว นอกจากไม่มีแล้วทำตรงกันข้ามด้วย

การชำระบาปจากจิตสันดาน ถ้าทำได้จิตจะไม่มีภพชาติต่อไปอีกเลย แต่ทุกวันนี้ สอนกันปฏิบัติกันให้สร้างภพสร้างชาติ  ทำทาน ศีล ภาวนา

ทานก็สร้างภพชาติ ศีลก็สร้างภพชาติ ภาวนาจึงมีแต่ภพชาติ แต่ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจภพชาติด้วย ตรงไหนเป็นภพ อาการของภพเกิดเป็นแบบไหน ไม่รู้ จึงไม่สามารถลดภพชาติได้ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค ก็ไม่เกิดโสดาปัตติผล

ที่ลดไม่ได้เพราะไม่เข้าใจสภาพธรรมะสองคือรูปกับนาม

เพราะทุกสัมผัส ก็ต้องมีธาตุรู้ไปรู้ ต้องทำใจอย่างไร เช่นสัมผัสหมากพิพวน สีมันชวนใจเหลือเกิน พอสัมผัสแล้ว อยากได้อยากกิน เกิดภพแล้ว เป็นภพกิเลสตัณหา แต่ไม่รู้ ไม่เรียน ดีไม่ดี เห็นแล้วอยากได้ แม้ไม่ใช่ของๆเราก็เอาไปเฉยเลย ถือว่าไม่มีเจ้าของ หรือแม้มีเจ้าของก็เอามันต่อหน้า ปล้นจี้เลย ละเมิดสิ่งที่ไม่ควร

หรือเจอสัตว์ เจอตัวไหนไม่ถูกใจก็จะฆ่า มดปลวกก็ฆ่า จิตแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจิตตนเป็นเช่นไร อาการอยากฆ่า อยากเอาชีวิตผู้อื่น ปาณาติบาต ก็ไม่รู้ว่าจิตเราชั่วแล้วเป็นภพต่ำ ภพอบาย จิตที่คิดจะฆ่า คิดจะเอาของคนอื่น คิดมีกาม(ถ้าศีล 5 อนุโลมบำเรอแค่คู่คนเดียว ที่จะมาสัมผัสเสียดสี เกินกว่านั้นไม่เอา เพื่อไม่ให้กิเลสลุกลามเกินไป) ก็ไม่ได้ศึกษา

หรือพูดปดเพื่อจะได้ตามที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเป็นทุจริตกรรมในการพูด พูดโกหก เพราะต้องการหลบเลี่ยง หรือต้องการได้สิ่งนั้นโดยไม่ถูกต้อง เราไม่ได้เป็นเจ้าของหรือโกหกทุจริตกรรม ก็ไม่รู้ว่าเป็นอบาย สั่งสมนิสัย วิสัย ใส่จิตไปให้ชั่วไปเรื่อยๆก็ไม่รู้จัก เพราะไม่รู้ธรรมะสอง ไม่รู้กาย

 

คำว่า “กาย”ในความเป็น“พุทธ”นั้นมีนัยสำคัญยิ่ง ซึ่งทุกวันนี้ชาวพุทธได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปมากแล้ว กระทั่งไม่สามารถบรรลุธรรมของพุทธได้ ก็เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ”ในคำว่า“กาย”นี่เอง จึงพิจารณา“กายในกาย”ผิดไปจริงๆ ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง“ปรมัตถธรรม”ได้

เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ”ที่เข้าใจ ว่า “กาย”

คือ “ภายนอก”เท่านั้น จึงหลงผิดไปกำหนดหมาย(สัญญา)เอาแต่“อาการ”ดินน้ำไฟลมแค่นั้นเอง จะเพ่ง“กายังคะ”ก็ดี ก็เพ่งอยู่แค่“ดินน้ำไฟลม”ที่เป็นร่าภายนอก แม้จะเพ่ง“กายคตาสติ”ก็ดี ก็เพ่งแต่อาการ“ดินน้ำไฟลม” ที่เคลื่อนไหวภายนอก จะ“กายานุปัสสนา”ก็เพ่งแต่“ดินน้ำไฟลม”ภายนอกกันเท่านั้น

พอทำให้ความเคลื่อนไหวภายนอกนิ่งหยุดสนิทได้ก็หลงผิดว่า สำเร็จแล้วนี้แหละคือ “กายปัสสัทธิ(กายสงบ) ซึ่ง“ผิดถนัด”เลย

นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิแล้วก็พาซื่อ หลงผิดว่า ปฏิบัติให้เป็นผล“กายปัสสัทธิ”ได้แล้วนั้นคือ จัดการกับ“อาการเคลื่อนไหวของกายกรรม หรือวจีกรรม”อันเป็นภายนอก ให้ไม่รุนแรง ให้สุภาพ ให้เรียบร้อย ให้สงบ ให้ไม่เกะกะเกเร ให้ไม่ไปทำ“อกุศลกรรมทางกาย-ทางวาจา”ใดๆ หรือให้การเคลื่อนไหวของกาย-ของวาจา ช้าลง เฉื่อยลง เบาลง เงียบลง นิ่งลง หยุดสนิท ก็ได้แค่“ภายนอก”

ก็ถือว่า นี่คือ “กายปัสสัทธิ”แล้วจบ

“กายปัสสัทธิ”ไม่ได้หมายเอาที่“กาย กรรม-วจีกรรม”เท่านั้นเป็นสำคัญเลย แต่หมายเอา “ธรรมะ 2”อันคือ“กาย”หรือ“องค์ประชุมของรูปกับนาม”ต่างหากให้“สงบระงับ” ซึ่งเป็นความสงบระงับของธรรมะ 2

นั่นคือ “กาย” มีรูปกับนามมัน“สังขาร”กันอยู่ หรือคือ “ธรรมะ 2”มัน“สังขาร”กันอยู่ เราก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สังขาร”ที่มี “วิญญาณ”เป็นปัจจัยให้เกิด“สังขาร” เราก็ต้องเรียนรู้“วิญญาณ”อันเป็นปัจจัยสำคัญ

หัวหน้าของ“สังขาร”  วิญญาณ ก็คือ“นาม”

การจะรู้จัก“สังขาร”ได้ก็ต้องเรียนรู้จากปัจจัยของ“สังขาร”คือ “นามรูป”

“นามรูป”ก็คือ “นาม”และ“รูป”

“นามรูป”นี้แหละคือ องค์ประกอบของ“วิญญาณ” ซึ่งก็คือ “กาย”หรือ“ธรรมะ 2”ที่ปรุงแต่งกันอยู่ หรือที่“สังขาร”กันอยู่

ตามหลักปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เพราะเรามี“ความไม่รู้”(อวิชชา)  เป็นปัจจัยให้เกิด“สังขาร”

“สังขาร”คือ การปรุงแต่งกันอยู่ ก็ต้องเรียนรู้“สังขาร”ศึกษาจาก“ธรรมะ 2” ซึ่ง “สังขาร”ที่ไม่สงบระงับ เพราะมี“กิเลส”ร่วมปรุงแต่งอยู่ใน“ธรรมะ 2” 

“ธรรมะ 2”ก็คือ “รูปกับนาม”หรือ“กาย”

นั่นคือ ต้องเรียนรู้“กิเลสในกาย” ขั้นต้น ก็“กิเลส”ของ“กายภายนอก” กำจัดก่อนให้ได้

“กาย”จึงจะสงบ เรียกว่า“กายปัสสัทธิ”

“กายปัสสัทธิ”นั้นคือ “การสงบระงับของกาย” ซึ่งต้องจัดการที่“กายสังขาร” ให้สงบระงับลง ที่ต้องปฏิบัติให้“ปัสสัมภยัง กายสังขารัง”คือ ให้“กายสงบระงับ”

“กาย”คือ “องค์ประชุมของธรรมะ 2” 

คำว่า“กาย”ไม่ใช่แค่“ดินน้ำไฟลม”อันมี“มหาภูต 4”ที่เป็น“ร่างภายนอก”ส่วนเดียวเท่านั้นที่“ปรุงแต่ง”กันอยู่ แต่ต้องหมายเอา“การปรุงแต่งของรูปกับนาม”จึงจะชื่อว่า“กาย” เพราะ“กาย”คือ “ธรรมะ 2”

“กาย”คือ “องค์ประชุมของรูปกับนาม” ที่ปรุงแต่งกันอยู่ ดังนั้น“รูปกับนาม” สองอย่างนี้ ตัวสำคัญหลักที่ทำให้“สงบระงับ”ได้ ก็ต้องเป็น“นาม” เพราะ“รูป”ไม่ใช่“ตัวบงการ” หรือไม่ใช่ส่วนที่เป็น“พลังงานทำหน้าที่ก่อความไม่สงบระงับ”ในความเป็น “สังขาร”ของชีวิต  

“เหตุ”แห่ง“ความไม่สงบระงับ”นั้น อยู่ที่“จิต-มโน-วิญญาณ”คือ อยู่ที่“นาม”

เป็น“ตัวการสำคัญ” ไม่ใช่อยู่ที่“รูป”หรือที่“ร่าง”อันเป็น“ดินน้ำไฟลม”เด็ดขาด ที่เป็น“ตัวบงการ” เพราะ“ดินน้ำไฟลม”นั้นไม่มี“ธาตุรู้”ที่จะทำ“ความไม่สงบระงับ”หรือ“ทำ ความทุกข์วุ่นวาย”ขึ้นมาในชีวิตคน

พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดใน“อัสสุตวตาสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) อ่านดูดีๆ

“(230) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง จะพึงคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนี้เพราะเหตุไร

เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง  ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า  จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้น นั้นได้เลย  ข้อนั้นเพราะเหตุไร (เพราะไม่ได้ยินไม่ได้สดับฟังคำสอนของพพจ.)

เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา ดังนี้ตลอดกาลช้านานนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

(231) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้างสามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ

แต่ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ฯ

(232) ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ”

จากคำตรัสข้อ 230 กับข้อ 231 นั้น จับสาระสำคัญ ประเด็นแรกได้ ก็คือ

“ปุถุชนผู้มิได้สดับ”(อัสสุตวา ปุถุชฺชโน) 

ความว่า“ปุถุชนผู้มิได้สดับ”แค่นี้แหละ มีความสำคัญยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับความเป็นคนทั้งหลาย  แต่คนก็ไม่ได้ฉุกคิดกันเลย ในคำตรัสว่า “ปุถุชนผู้มิได้สดับ” ประโยคนี้ ว่า มีความหมายลึกล้ำ สื่อสาระสำคัญยิ่ง เตือนสติสัมปชัญญะ กระตุกความเป็นคนของคนทั้งหลาย ให้รู้ตัวว่า ปุถุชนคนทั้งหลาย ที่ยัง“ไม่ได้สดับ”

ยัง“มิได้สดับ”อะไร?

ยังมิได้สดับ“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุด

ประเสริฐ”(อาริยสัจจะ) ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ(สัมมาสัมพุทธะ) แล้วนำมาประกาศให้ชาวโลกรู้ตาม ชาวโลกได้ปฏิบัติตาม กระทั่งสามารถบรรลุ“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสิฐ”(อาริยสัจจะ)นั้นๆตาม นั่นเอง  

แล้ว“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสิฐ”

(อาริยสัจจะ)นั้น คือ อะไรเล่า?

“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสิฐ”(อาริยสัจจะ)นั้น คือ ไม่ได้ฟังเรื่อง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ -มรรค” ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็น“คน”

เพราะคนผู้นั้นจะไม่เบื่อหน่าย ไม่พึงคลายกำหนัด ไม่หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

เพราะว่า“จิต”เป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา(อัตตนียา) นั่นเป็นเรา(อัตตา)

นั่นก็คือ “ตัณหา”และ“ทิฏฐิ”นี้เองที่ทำให้“คน”ยึดถือ“จิต”ว่า เป็นของเรา เป็นเรา

ตัณหา คือ ความอยาก ไม่ว่าอยากได้ หรืออยากทำลายทำร้าย ยึดมั่นต้องได้อย่างนั้น ยังไงๆก็ต้องได้ ผิดเลว ร้ายอำมหิต ก็ชั่ง

ทิฏฐิ คือ ความเห็น ความรู้ ความเชื่อ  เป็นการยึดที่ตนเข้าใจอย่างนั้นรู้อย่างนั้น

เมื่อ“ยึดมั่น” ในตัณหา หรือทิฏฐิ ก็เอาตามนั้น สุดฤทธิ์สุดแรง เอาจนได้ ร้ายเลว ฆ่าแกง แรงอำมหิตขนาดไหน ไม่แคร์ทั้งนั้น 

นี่คือ ต้องเป็นเรา ต้องเป็นของเรา ล่ะ! (นอกจากนั้นยังสอนให้ยึดติดอีก เป็นปรมาตมันไป)

ปุถุชน ก็คือ คนทั่วไปทั้งหลายในโลก ทุกชาติทุกภาษา ทุกศาสนาลัทธิ ไม่ละเว้นว่าเป็นใครก็ตาม ที่ยัง“ไม่ใช่อาริยชน” หรือยัง“ไม่มีภูมิหยั่งรู้ความเป็นโลกุตรธรรม”ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ  ยังคือ “ปุถุชน”ทั้งสิ้น

ดังนั้น ผู้จะ“พ้นจากปุถุชน” เจริญขึ้นสู่“อาริยชน” จึงจะต้อง“ได้สดับ ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)

นั่นคือ ได้ฟังเรื่อง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ -มรรค” ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็น“คน”ผู้“พ้นจากปุถุชน” เป็น“อาริยชน”นั้น คือ ผู้มี“ภูมิโลกุตระ”ได้แท้ ชื่อว่า ผู้เจริญ เป็น“อาริยะ”กันได้กันจริงๆ

ที่ว่า“เจริญ”นั้น ..วัดกันตรงไหน?

วัดกันตรง“จิต” ลด-ละ-กิเลสได้ หรือไม่มีกิเลสเลย ก็จะไม่ทุจริต ไม่อกุศลใดๆจริง

ผู้มี“ภูมิโลกุตระ”คือ ผู้มี“จิตใจ”เปลี่ยนแปลงจาก“จิตใจ”เดิมของตนไปจริง

เริ่มต้นจาก“จิตใจ”ในชีวิตของตนยัง

“ยึดภพอบาย”อยู่ แล้วปฏิบัติตน“หลุดพ้น

จากภพอบาย”นี้ได้ นี้คือ ขั้นต้น

อบายคือ อะไร? นี่แหละยากมาก ที่จะกำหนดตายตัว เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะตน(การติดกีฬาโอลิมปิกคืออบายใหญ่ การไปติดดารานักแสดงนี่คืออบายตัวพ่อตัวแม่ เสียเวลาเสียเงินต้องไปฟัง กระดี๊กระด๊าดีใจ แล้วเสนอหน้าแถวเลย ริงไซด์เลย บัตรราคาเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไป อบายมุขทุกวันนี้รู้ยาก อย่างนี้ก็พอฟังเข้าใจ แต่นักการเมืองเลวร้ายคืออบายมุข หาวิธีการต่างๆ ตอนนี้กฏหมายไทยกำลังแก้ลำ ดัดหลังนักการเมืองที่เลวร้าย ที่ได้สร้างรูปแบบวิธีการเละเทะ ไม่ได้พาประเทศชาติเจริญ นั่นคืออบายมุขใหญ่

หรือนักธุกิจที่มีวิธีหลอกดูดเงินประชาชน การเล่นหุ้น การเสี่ยงทาย ไปทำประกันชีวิตก็คือการพนัน ดีไม่ดีประกันหน้าแข้ง ประกันหู ประกันตา คือมันเละไปหมดเลย ประกันความสวยงาม ประกันผิว

ในสังคมไม่เข้าใจคำว่าอบายมุข เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยาก เดี๋ยวนี้อบายมุขเต็มโลก แล้วยึดว่าเป็นไฮโซอีกต่างหาก ในโลกนี้เลย ขึ้นหน้าขึ้นตา อาตมาเหมือนไอ้เข้ขวางคลอง อย่างโอลิมปิกหรือดาราใหญ่ ที่ทั้งโป๊เปลือย เช่นเลดี้กาก้ากาแก้ อาตมาเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นบ้าบออย่างนี้ นั่นคือยิ่งกว่าอภิมหาอบายมุขอีก น่าสงสาร

พวกเราถูกมันตามมาหลอกมาให้หลงใหลพวกนี้ พวกเราโง่กว่าทั้งโลกนะ ถูกอาตมาครอบงำ นี่ก็คนหนึ่ง (พูดถึงสมณะฟ้าไท)

ก็มีคุณ(สมณะฟ้าไท)นี่แหละชม พวกข้างนอกเขาหาว่าหลอก พูดให้ฟังไม่ฟัง ไปหาให้เขาหลอก

อบายนั้นยากกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับเฉพาะตนที่ยึด แต่เขาไม่รู้ก็ทำอย่างหน้าเชิดเลย

และที่ยากแท้ๆก็คือ มันไม่รู้ว่า อย่างนี้หนะเหรอ คือ อบาย คือความเลวความต่ำ

มันไม่ยอมรับ หรือรับไม่ได้ว่าต่ำ ว่าเลว

เช่น โลภลาภ โลภยศ โลภสรรเสริญ โลภ“สุข”(เสพรส) ที่เกิดจาก“กาม”หรือจาก

“อัตตา” พอได้ชื่นใจกับรสที่ได้สัมผัสกระทบเข้าก็นี่แหละ “สวรรค์”หรือ“สัคคะ” ซึ่งก็คือ “สว + อรรค”หรือ“ส + อัคค”

นั่นคือ “เรา + เลิศ” หรือ“เรา +สูงสุด”      

กล่าวคือ ใครก็ตาม ตรวจตนเอง ให้ได้ ว่า ตนเองยังติดความชั่วใด ที่เราเข้าใจว่านี่คือชั่ว ..เอากายกรรม กับวจีกรรม ก่อน

และเริ่มด้วยเชิง“ผลัก”(โทสะ = ลบ)ก่อน

นั่นคือ ผู้ยัง“ยึดแรง”ในการทำร้ายชีวิตผู้อื่น ถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วสะใจ นี่คือ ศีลข้อ 1 ต้องหยุด

ทีนี้ เชิง“ดูด”(โลภ = บวก) ผู้ยัง“มุ่งแย่ง” ของที่ไม่ใช่ของเรา ของที่เราไม่มีสิทธิ์ ก็แย่งถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วเอามาเป็นเรา-เป็นของเราได้  ก็รู้สึกเป็นรสสุข(โลภะ)อยู่ อย่างนี้“รสสุข”

นี่คือ ศีลข้อ 2 ก็ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ผู้ยัง“ยึดแรง”ในความรัก-ราคะในโฉมผู้อื่น ในร่างผู้อื่น มาให้ตนเสพสัมผัสต่างๆ(ราคะ) ก็เป็นรสสุข นี่คือ ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ ไม่เสพรสจากสัมผัสเสียดสีใด

ทำได้จริง  อย่างนี้ก็หมดไปได้จริงๆ

หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ ใช้เล่ห์ด้วยเชิงฉลาด หลอกซับซ้อนซ่อนลวงสารพัด เก่งฉกรรจ์ฉกาจ ให้เขาหลงผิดในสิ่งที่ผิดว่าถูก   ซ้ำหลงเทิดทูนผู้หลอกว่ายอด ว่าเก่งเยี่ยมซึ่ง“ละเมิดของหวงผู้อื่น” สารพัดสิ่งหวง  ก็หยุดละเมิด ทั้งทางกายกรรม ทางวจีกรรม

นี่ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ยัง“โกหก” ก็หยุดได้ นี่คือ ศีลข้อ 4

ยัง“ต้องเสพสุขโดยการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายกับสิ่งภายนอกนั้นอยู่” และตนเห็นว่า“ต่ำแล้ว”สำหรับตนแต่ละคน นี้คือ “อบาย”ข้อ 5 คือยัง“มัวเมาขั้นสุรา” ก็หยุดเว้นขาด ไม่สัมผัสภายนอก ละ ล้างเหตุภายในที่ยังอยากเสพของตนในใจให้ได้ จนทำได้ตามหลัก“ปหาน 5”(หลักของบุญ) กระทั่ง“ประหาร”สำเร็จเสร็จจบบริบูรณ์

“บุญ”ทำกิจแล้ว “บุญ”ก็หายสูญไป

“บุญ”กำจัดทั้ง“กายนอก-กายใน” ทั้ง“รูปจิต-อรูปจิต” ให้“วิบัติ”ได้สำเร็จผล

“รสแท้”คือ รสเดียวกันทุกคน-ตรงกัน(พ่อครูยกตัวอย่างผลไม้ชื่อหมากพิพวน ที่รสไม่ได้เรื่อง รสเจวเลวๆ ต่างจากรสลองกอง สัมผัสทางลิ้น ทุกวันนี้มันอบายทางลิ้นนี้มอมเมาครอบงำไปใหญ่แล้วคนไทยเรานี่ ยอดมอมเมาเลย เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนๆก็ไปตั้งร้านอาหาร เพราะฝรั่งถูกคนไทยหลอก รสสารพัดที่ต่างชาติไม่ค่อยรู้เหมือนคนไทย คนไทยนี่รสทั้งเปรี้ยว เผ็ด หวาน เค็ม รสเน่า ก็มี คนก็เชื่อติดใจ ก็ไปตั้งร้านอาหารในเมืองนอก ตั้งหลักฐานได้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นกุ๊กอะไร ไปทำกินทำใช้ก็เลี้ยงตนรอดแล้ว ของเน่ายังเอามาหลอกได้ ปลาร้า บูดู ถั่วเน่า สารพัด)

“รสสวรรค์-หรือรสนรก”คือ รสของแต่ละคน“อุปาทาน”เอง แล้ว“มีจริงเอง”ของแต่ละคน จึงเป็น”อาการที่ 33” ที่ปั้นขึ้นมาเอง

ลมๆแล้งๆ ของใครของมัน ซึ่งไม่ใช่“รสแท้”ที่เกิดจาก“อาการ 32”ที่มีกันทุกคน

“รสที่ 33” คือ รสสวรรค์ดาวดึงส์ คือภพ ที่แต่ละคนปั้นขึ้นมาเอง  “เท็จ”ทั้งนั้น(อลิกะ)

เพราะ“รสที่ 33”คือ “รสเก๊”(อลิกะ=เท็จ)

 

มูลกรรมฐาน 5

พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาตรงนี้ แล้วจะแยกกายแยกจิตได้ ไม่เช่นนั้นแยกไม่ออก โดยเฉพาะอาตมาได้ภาษา เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม เรียนรู้ความต่างนี้ให้ได้

การจะเรียนรู้ละกิเลสก็ละที่จิตนิยาม ทำให้เป็นพีชนิยามแล้วมีองค์ประกอบของอุตุนิยาม แต่ไม่ต้องทำไปถึงอุตุนิยาม

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอาการ 5 ใน อาการ 32 เรียกว่ามูลกรรมฐาน จะได้รู้ว่าอะไรคือกายอะไรคือจิต แล้วคนก็ไปยึดภายนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นเราเป็นของเรา ก็พอได้แต่จะรู้ว่าเรายึดจิต มโน วิญญาณเป็นเราเป็นของเรานั้นยากกว่า และก็เป็นจุดที่คนจะไปยึดเอากาย หรือร่างภายนอกว่าเป็นเรา ยังชอบกว่า แต่ไปยึดจิตมโนวิญญาณเป็นเรา เป็นของเรานั้นไม่ควรเลย เพราะอันนั้นยึดแล้วมันติด ถ้าคุณมีจิต แล้วคุณยึดกาย กายก็ตาย อย่างไรก็ต้องตายเน่าเหม็น แต่จิตก็ต้องไปกับจิต ถ้าไม่ทำให้เรียนรู้วางจิตไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราได้ก็ไม่จบ

 

เล็บ….

เล็บตัวที่ไม่ใช่กาย เลย คือเล็บที่ตัดออกไปแล้ว เพราะตัดขาดออกไปแล้วไม่มีประสาทรับรู้ได้แล้ว อันนั้นไม่ใช่กายแน่

เล็บที่ยังติดกับตัวเราอยู่ ส่วนนั้นไม่ใช่กาย  แต่เราก็ไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราก็จะบอกว่าตัดออกไปก็ได้ แต่ติดอยู่กับตัวเรามันก็ไม่ใช่เราแล้ว ใครที่ไปยึดติด ไว้เล็บยาวนะ ใครมาตัดของเขาก็โกรธเลย

เล็บที่ไม่มีความรู้สึกแล้ว แต่เป็นชีวะ คือพีชะ ไม่ใช่กาย เพราะไม่มีจิตเข้าไปร่วม แต่มีชีวิตินทรีย์ มีพลังงานของชีวะ ยังไม่ได้ตัดออกไป ถ้าตัดออกไปก็หมดชีวะแล้ว ส่วนที่ไม่ใช่กายไม่ใช่ชีวะ เป็นพีชะ มีแต่สัญญากับสังขาร มันก็เอาส่วนที่จะปรุงแต่งเป็นเล็บของมันไปใช้ปรุงแต่งเป็นเล็บ แต่ไม่มีวิญญาณ

ส่วนเล็บที่ประสาทรับรู้ มีจิตร่วมรับรู้สึกเจ็บได้ รู้สึกถูกแตะได้ ตรงที่ติดประสาท แต่เล็บที่ไม่ติดประสาทแตะอย่างไรก็ไม่เจ็บ ผมก็เช่นกัน ผิวหนังก็เช่นกัน ตัดออกได้ ผิวก็เช่นกันตรงไหนไม่มีประสาทรับรู้ ไถออกก็ไม่เจ็บ เป็นส่วนของพีชะ

แต่คนไปยึดว่าเป็นเรา ท่านให้พิจารณาตั้งแต่นอกไป ตัดทิ้งได้ตั้งแต่ภายนอกไม่ใช่กาย แม้เป็นพีชะที่ติดเราก็อย่าไปยึด แม้แต่ที่มีประสาทเป็นกายก็ไม่ให้ติดยึด

จะต้องพิจารณาว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราทั้งภายนอก ที่เป็นพีชะ ไปจนถึงกายเรา จนถึงนามธรรมที่เป็นจิต ที่ต้องไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่จิตนั้นไม่เป็นก้อนแท่ง เรียนรู้ได้ยาก แต่ยากก็ต้องเอา ให้พิจารณาเริ่มตั้งแต่ กายในกาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายหมายถึง จิต มโน วิญญาณ  ต้องเรียนรู้ปล่อยวางไปตามลำดับ

อาตมาก็ไม่เก่ง รู้สึกว่าอยากอธิบายคำว่ากายให้ลึกซึ้งกว่านี้ แต่พูดไปก็รู้สึกว่าทำไมได้แค่นี้นะ กายในกายเป็นโลกุตรธรรมข้อแรกในโพธิปักขยิธรรม 37 ข้อแรก ใครพิจารณากายในกาย ทำการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดตั้งแต่กาย คนนั้นเป็นโสดาบัน

อาศัยพยัญชนะว่า กายในกาย ก็ต้องมารู้ธรรมะสองว่า มีเหตุอย่างไรปรุงอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ให้พิจารณาดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูป แต่ให้พิจารณาที่ จิตมโนวิญญาณ….

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครู ก็เน้นย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องของกาย ย้ำว่ากายคือธรรมะ 2 ในการลดละกิเลสเบื้องแรกคือ ต้องรู้สักกายะ กิเลสใหญ่ที่เราติดยึด ต้องลดอันนั้นให้ได้ ทำได้แล้วจะมีตัวอย่างให้ลดละอย่างอื่นต่อไป

พ่อครูให้เรียนรู้เรื่องปุถุชนที่มิได้สดับ คนปัจจุบันเขาไลน์บอกว่าปุถุชนว่าคือสาระเลว

คำว่า “อบาย” นี้ ถ้าไม่กำหนดรู้ เรียนรู้ก็ไม่รู้จักอบายของแต่ละคน เช่นกีฬา นักการเมือง ประกันชีวิต เป็นอบาย เขาก็ไม่รู้กันแล้ว

คนเรามีกิเลสอยู่แล้วเมื่อเกิดมา แล้วก็เพิ่มเข้าไปอีก ยิ่งน่าสงสาร เราควรปหานกิเลสอย่างไร พ่อครูก็มาอธิบาย มาเรียนรู้รสแท้ รสสวรรค์ รสนรก ทำการลดสวรรค์นรกด้วยการใช้บุญ = ปหาน 5

พ่อครูเป็นนักเทศนาที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก พ่อครูว่าอธิบายไม่เก่งไม่สามารถอธิบายได้อย่างที่ต้องการ แต่เราก็ยังมะงุมมะงาหรา เป็นความผิดเราที่ไม่บรรลุธรรมตามพ่อครูอธิบายได้ ...จบ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:57:17 )

590912

รายละเอียด

590912_พุทธศาสนาตามภูมิ ไขความจริง-จะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร ตอน 2

เริ่มต้นจาก“จิตใจ”ในชีวิตของตนยัง“ยึดภพอบาย”อยู่

 แล้วปฏิบัติตน“หลุดพ้นจากภพอบาย”นี้ได้ นี้คือ ขั้นต้น

อบายคือ อะไร?

นี่แหละยากมาก ที่จะกำหนดตายตัว เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะตน

และที่ยากแท้ๆก็คือ มันไม่รู้ว่า อย่างนี้หนะเหรอ คือ อบาย คือความเลวความต่ำ มันไม่ยอมรับ หรือรับไม่ได้ว่าต่ำ ว่าเลว

เช่น ลาภ เขาก็ต้องอยากได้ลาภ แล้วต้องไปแสวงหาแย่งชิงมา

หรือยศ นี่ยิ่งต้องแย่งชิง เพราะคนไหนก็ต้องเอายศ หากไม่แย่งคนอื่นเอาไปหมด

*อบาย *คือ กาม คือ กามภายนอกที่เกิดจาก กามและอัตตา

อัตตาคือ ตัวเรา

กาม  คือ เกี่ยวกับภายนอก

กามเนื่องจากอัตตา เอามาเสพให้ชื่นใจ ที่ได้สัมผัสกระทบ สมกับอุปาทาน ที่อยากได้ รูป รส กลิ่นอย่างนี้

เช่น โลภลาภ โลภยศ โลภสรรเสริญ โลภ“สุข”(เสพรส) ที่เกิดจาก“กาม”หรือจาก“อัตตา” พอได้ชื่นใจกับรสที่ได้สัมผัสกระทบเข้า

*ก็นี่แหละ “สวรรค์”หรือ“สัคคะ” ซึ่งก็คือ “สว + อรรค”หรือ“ส + อัคค”

นั่นคือ “เรา + เลิศ” หรือ“เรา + สูงสุด”    พยัญชนะเป็นเช่นนั้น แต่ของแต่ละคนจะมีมากหรือน้อยก็แล้วแต่

ตัวอย่างเช่นนักฟุตบอลเวลาดีใจ ตีลังกา ดีใจ นั่นคือ อุพเพงคาปีติ แรง จนกระโดดโลดเต้น บางคนก็ว่าเหาะได้เลย ตัวลอยตัวเบา   

กล่าวคือ ใครก็ตาม ต้องตรวจตนเอง ให้ได้ ว่า ตนเองยังติดความชั่วใด ที่เราเข้าใจว่านี่คือชั่ว ..เอากายกรรม กับวจีกรรม ก่อน (พูดไปแล้วอย่าเร่งรีดตัวเอง จะเอาให้หมด ตรรกะล้ำหน้า เป็นอภิชัปปา ไม่ได้ ต้องทำตามลำดับไป)

และเริ่มด้วยเชิง“ผลัก”(โทสะ = ลบ)ก่อน

โทสะ นั่นคือ ผู้ยัง“ยึดแรง”ในการทำร้ายชีวิตผู้อื่น ถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วสะใจ นี่คือ ศีลข้อ 1 ต้องหยุด  ยิ่งทำแบบสุภาพ แต่ซับซ้อนอำมหิตอีก แล้วกลับแสดงออกถึงว่าน่าสงสาร เขาเรียกว่า “ตอแหล” หนักกว่าตลบแตลง เสแสร้ง ตนเองยังไม่รู้ใจตนก็มี แต่ทั้งรู้ใจตนแต่ก็ตีหน้าสงสาร นี่คือสุดยอดอำมหิต

ทีนี้ เชิง“ดูด”(โลภ = บวก) ผู้ยัง“มุ่งแย่ง” ของที่ไม่ใช่ของเรา ของที่เราไม่มีสิทธิ์ ก็แย่งถึงขั้นฆ่าก็ได้ ทำร้ายก็ได้ ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วเอามาเป็นเรา-เป็นของเราได้  ก็รู้สึกเป็นรสสุข(โลภะ)อยู่ อย่างนี้“รสสุข”

นี่คือ ศีลข้อ 2 ก็ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ผู้ยัง“ยึดแรง”ในความรัก-ราคะในโฉมผู้อื่น ในร่างผู้อื่น มาให้ตนเสพสัมผัสต่างๆ(ราคะ) ก็เป็นรสสุข

นี่คือ ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ ไม่เสพรสจากสัมผัสเสียดสีจากร่างกายคน

พูดเผื่อพวกกระเทย ซึ่งธรรมชาติเขาก็มีตัวผู้ตัวเมียเป็นธรรมชาติ แต่กระเทยนี้ไม่ใช่เพศธรรมชาติ เอาแต่เสพรสสัมผัสเสียดสี ไม่คำนึงหญิงหรือชาย สร้างภพชาติให้มีสุขที่วิตถารเกินธรรมชาติ คนเหล่านี้จึงติดเนื้อหา เสพกามเต็มบ้อง ซับซ้อนหลายตลบ

คนเขาว่าพวกกระเทยนี้ฉลาด ก็ใช่ เพราะต้องใช้ชั้นเชิงทักษะฉลาด เพราะสั่งสมซับซ้อนหลายตลบ ตนเองเลยชำนาญช่ำชองเรื่องนี้ คนเหล่านี้เก่งฉลาด เลยมาลบล้างกิเลสตัวเองไม่ได้ จะมาลบล้างกิเลส แต่เพราะกิเลสนี่แหละเขาจึงเก่ง ได้สัมผัสเสียดสีเป็นรสนี่แหละ

ทำได้จริง  อย่างนี้ก็หมดไปได้จริงๆ เป็นอบายขั้นหยาบ

หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ ใช้เล่ห์ด้วยเชิงฉลาด หลอกซับซ้อนซ่อนลวงสารพัด เก่งฉกรรจ์ฉกาจ ให้เขาหลงผิดในสิ่งที่ผิดว่าถูก   ซ้ำหลงเทิดทูนผู้หลอกว่ายอด ว่าเก่งเยี่ยมซึ่ง“ละเมิดของหวงผู้อื่น” สารพัดสิ่งหวง  ก็หยุดละเมิด ทั้งทางกายกรรม ทางวจีกรรม

อย่างธัมมชโยนี่ มีคนเชื่อคนศรัทธามาก มีวิบากบาปทบต้นทบดอกมากมาย ไปครอบงำความคิดให้คนหลงผิด แล้วให้คนตกภพชาติแบบนั้น เขาจะต้องไปเกิดอีกเท่าไหร่

คุณไปทำเขาทั้งนั้น หลอกครอบงำเขาสะกดจิต จนเขาตกเป็นบริวาร แล้วหลงว่าตนเองเก่งอีกนะ  ทำให้หลงซับซ้อนไปหมด พูดไปนี่เขาจะฟังอาตมาพูดไหม ไชยบูลย์เอ๊ย มันน่าสงสาร ออกเสียงไปไม่ได้โกรธเกลียดชัง พูดเหมือนพูดกับลูกที่มันน่าเขกกะบาล ให้เขาหลงว่าอาจารย์เรายอด

อย่างเจ้าสัวบุญชัย ว่าท่านเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ถ้าไม่มีท่านเราไม่มีวันนี้ ท่านเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของเรา นี่คือให้เขาหลงเทิดทูนว่าตนเองเก่งเยี่ยม

ต้องมาเรียนรู้ ละ ล้าง กาย วจี มโนไปตามลำดับ

ขอพาดพิง คุณบุญชัยหน่อยว่า อายุก็มากแล้ว ไปหลอกดารามาได้หลายคนแล้ว ได้เอ๊าะๆมานี่ จะให้เห็นว่าเอ็งสู้ข้าไม่ได้ ที่พูดนี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่น่าได้ หัดฝึกลดละล้างกิเลสบ้าง

นี่ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ใครยัง“โกหก” ก็หยุดได้ นี่คือ ศีลข้อ 4

ยัง“ต้องเสพสุขโดยการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายกับสิ่งภายนอกนั้นอยู่”

และตนเห็นว่า“ต่ำแล้ว”สำหรับตนแต่ละคน นี้คือ “อบาย”ข้อ 5

คือยัง“มัวเมาขั้นสุรา” ขั้นต่ำ ก็หยุดเว้นขาด ไม่สัมผัสภายนอก ละล้างเหตุภายในที่ยังอยากเสพของตนในใจให้ได้

จนทำได้ตามหลัก“ปหาน 5”(หลักของบุญ) กระทั่ง“ประหาร”สำเร็จเสร็จจบบริบูรณ์

 

เมื่อ“ดับ”ได้(นิโรธ) สนิทสัมบูรณ์ดีแล้ว

คนผู้นั้นไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์อยู่กับ“ภพอบาย”นั้นๆได้แล้ว อย่างสง่าผ่าเผย โดยเราก็อยู่ในสังคมที่มี“อบาย”นั้นแลได้ อย่างมี“จิตใจ” สบาย ไม่ลำบาก และ“ไม่”แม้แต่แอบเสพสุข

คนผู้นี้แหละคือโสดาบัน ดับภพอบายได้แล้ว อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ความประเสริฐ (อาริยะ) ของพระโสดาบัน

-ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน .

-ยิ่งกว่าสวรรคาลัย

-ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง

นี่คือ พระโสดาปัตติผล .

นี่คือที่สุดแห่งความลึกลับในโสดาบัน (อรหันตโสดาบัน) เชิญมาดูได้พิสูจน์ได้ อวดได้อย่างสง่าผ่าเผย

ไม่มีแม้แต่แอบเสพสุขจาก“ความเป็นอบาย”นั้นๆอยู่กับสังคม อยู่ภายในใจของตนเอง

ก็ไม่มี“แอบ”แล้ว ก็หมดสิ้น“อบาย”นั้นได้แท้ กระทั่งใจสะอาดเป็นขั้นๆไปตามลำดับเรียบร้อย น่าอัศจรรย์

 ถ้าแอบเสพไม่มีใครรู้กับเรานะ แต่ถ้าเราบริสุทธิ์ไม่แอบเสพได้ ไม่ลึกลับสำหรับเราแล้ว ชัดเจนมาก ใจเราสะอาดมาเป็นขั้นตอน อย่างนี้คือความบริสุทธิ์สะอาดเป็นขั้นตอน ไปตามโครงสร้าง

*นี่คือความอัศจรรย์อันลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล เป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด *

แล้วก็มา ลด ละ ล้างกิเลสตัวต่อไปของเรา คือ กาม ใน“กามภพ”ที่เหลือ ก็“ภพ”ที่มี“ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก”สัมผัสอยู่-สัมพันธ์อยู่ใน“ภพกาม”สามัญปกติ ที่ในใจเราหมด“รสสุข”กับ“ภพอบาย”นั้นแล้วจริงๆ

อบายก็คือ ความต่ำใน“กามภพ”ของเรา  เฉพาะของเรานะ  ต่ำสุดของแต่ละคน

เปรียบกับของคนอื่นดูได้ เพื่อความชัดเจนสำหรับตน(อย่าไปยึดว่าสูงหรือต่ำกว่าเขา อย่ายกตน หลงตน) ซึ่งจะรู้ชัดได้เลยว่า ที่แท้เรายังต่ำกว่าคนอื่นเสียอีก หรือเรายังดีกว่าคนอื่นบ้างด้วยซ้ำ ก็แล้วแต่ที่มีอย่างนั้นจริงๆ  จะได้พัฒนา“ความต่ำของเรา”นั้นๆให้ยิ่งขึ้นๆ

ที่“ต่ำสุด”ของเราก็สำคัญของเรา นั่นแหละ“อบาย”ของเรา

แม้จะสูงกว่า“คนอื่น” ก็คือ“อบาย”ของเรา เพราะนี่คือ“ชั่วต่ำสุดของเรา”     “อบาย”คือ“ต่ำสุด” ก็ของตนๆ

ผู้ละล้างกำจัดกิเลสได้แล้วในใจตน ก็นี่แหละ ผู้“หลุดพ้นจากภพ” ไปแต่ละภพๆ

*นี้คือ “ผู้ได้สดับ”แล้วปฏิบัติจน *“ใจตนมีความหลุดพ้น”จาก“ภพ”ต่ำไปเป็นลำดับๆ

แม้จะ“ได้สดับ” จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งในคำว่า“โลกุตระ”ก็ตาม แต่ถ้าคนผู้นั้น“จิตใจ” ยังไม่มีผลของจิตเข้า“กระแสโลกุตรธรรม”(โสตาปันนะ) แม้ขั้นต้น ก็คือ ผู้ยังไม่“หลุดพ้น”เลย

พลังงานจิตของเราที่เริ่ม“เข้ากระแสธรรมโลกุตระ”

ผู้ปฏิบัติของพุทธจะต้องมี“สัญญา” กำหนดรู้“พลังงาน”นั้นก่อน

แล้วจึงจะรู้จริงยิ่งขึ้นๆเป็น “ทิฏฐิปัตตะ”

พอมาปฏิบัติได้บรรลุก็ได้ทิฏฐิปัตตะ กระทั่งบริบูรณ์ด้วย“กายสักขี”บริบูรณ์

ว่า เรา“หลุดพ้น”แล้วด้วย *“ปัญญาวิมุติ” *

โดย“มีจิตสัมผัสอาการของกระแสจิตที่เดินทางไปสู่ทิศที่ตรงกันข้ามกับกระแสโลกีย์”อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ชัดเจนแท้ใน“ความแตกต่าง”(ลิงคะ)ของกระแส

คนเราจะมีจริต สองแบบใหญ่ๆ คือ สายศรัทธากับสายปัญญา

สายศรัทธา เริ่มจาก

1.สัทธานุสารี ซึ่งมาศึกษาทางพระพุทธเจ้านี้ต้องสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิไม่มีทางบรรลุ ก็มาพยายามค้นตามเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็น สัทธานุสารี คือเอาศรัทธานำ

ส่วนธัมมานุสารี คือผู้เอาปัญญานำ

เมื่อศึกษาเพิ่มขึ้น

2.ได้สัทธาวิมุติ  การที่จะรู้จัก จิตเจตสิกต่างๆไม่ค่อยได้สำหรับสายศรัทธาสายเจโตนี้ ไม่ค่อยเก่งภาษา

ผู้เป็นสายศรัทธาจะบรรลุก่อนเรียกว่าสัทธาวิมุติ

แม้จะวิมุติแล้ว แต่ไม่รู้ชัดเจน ไม่มีองค์ประชุมของกาย

ไม่มีกายสักขี ไม่มีองค์ประชุมภายนอกภายใน

*เช่นได้แต่ภายในไม่ออกมายืนยันเป็นสักขีภายนอก พระพุทธเจ้ายังไม่รับ ต้องมาสัมผัสภายนอก มีอัชฌัตตัง และพหิทารูปานิ ต้องมีทั้งนอกและใน พระพุทธเจ้าถึงยอมรับว่า บรรลุทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ

 3. มีกายสักขี

ส่วนพวกสายปัญญา

1.ธัมมานุสารี มาเป็น

2.ทิฏฐิปัตตะ มาเป็น

3.ปัญญาวิมุติ

 

ส่วนอุภโตภาควิมุติ ท่านว่า ทางพยัญชนะว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ในวิโมกข์ 8 มี

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป) ต้องมีองค์ประชุมของสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็มีญาณปัญญาไปรู้ ยืนยันกับคนอื่นได้ด้วย ผู้นั่งหลับตาอาสวะบางอย่างดับได้แต่ไม่บริบูรณ์หมดสิทธิ์บรรลุได้

พวกสัทธานุสารี มาเป็นกายสักขี มาเป็นสัทธาวิมุติ นั้นถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่บรรลุ ต้องมีกายสักขี ก่อน จึงเป็นสัทธาวิมุติ

ปัญญาวิมุตินั้นเป็นอรหันต์ได้เลย ได้อาสวะสิ้นแล้ว

เหลืออนุสัยที่เป็นตนน้อยๆ แต่นับว่าอรหันต์แล้ว

แต่สายศรัทธา แม้ได้ สัทธาวิมุติ ก็ต้องมาทำให้เป็น อุภโตภาควิมุติ ต่อ จึงนับว่าเป็นอรหันต์

*อุภโตภาควิมุติ* นั้นสูงสุดแล้ว ได้ทั้งสองส่วน

 

“โลกียะ” กับกระแส“โลกุตระ” ซึ่งมี“นิมิต” หรือมี“เครื่องหมาย”ให้ตนเองรู้ชัดๆ ตาม “อุเทศ”(คำสาธยายอธิบาย)ที่ได้ยิน ได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้า หรือจากสัตตบุรุษ ครบ“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60)

ซึ่งมิใช่เดา(อตักกาวจรา) แต่มี“วิตักกะ”แท้ (อาตมาต้องพูดให้ไม่ผิด มีเจตนาเช่นนี้ พูดพล่อยไม่ได้ แต่สัญญาอาตมากำหนดผิดได้แต่สภาวะอาตมาไม่ผิด สัญญาวิปลาสไปบ้าง วิปลาสมี 3 คือจิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาส)

(คำว่าลิงค นี้มีสองอย่าง คือ เพศต่างกัน กับน้ำหนักต่างกัน)

อาตมานั้นภาษาบัญญัติไม่ตรงกับเขาบ้าง เขามาฟังอาตมาก็เลยหาว่าอาตมาไม่รู้จักอรรถะ พยัญชนะ อาตมาก็ไม่มีหลักฐานปริญญาอะไรมายืนยัน แต่อาตมาก็แม่นสภาวะ ก็ค่อยๆแสดงความจริงไม่ได้อวดโอ่)

การเข้ากระแสธรรมโลกุตระ” หมายความ ว่า

1.ผู้นั้น รู้จักจิตใจตนเอง

2.อ่านจิตใจตนเองได้จริงว่า จิตใจตนอยู่ในทิศทางของ“เคหสิตเวทนา”(ความรู้สึกแบบโลกีย์) อันเป็น“มโนปวิจาร 18”ของเวทนาโลกียธรรม มาก่อน

3. แล้วสามารถทำจิตใจของตน(มนสิกโรติ)ให้“ออกจากกระแสโลกียะ”เข้าสู่ “โลกุตระ”(เนกขัมมสิตเวทนา)ได้สำเร็จ

แม้ขั้นแรกขั้นต้น ชื่อว่า“โสตาปันนะ” เรียกในภาษาไทยว่า โสดาบัน    

จบ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86342

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYWl1S1A5Z3YxMlk

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/77czivrztcrl/160912

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/L9_G8ks99ps


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:57:45 )

590912

รายละเอียด

590912_พุทธศาสนาตามภูมิ ไขความจริง-จะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร ตอน 2

พ่อครูว่าวันนี้วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2559 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก เมื่อวานนี้เป็นวันเหตุการณ์ nine one one เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนความรู้สึกของมนุษย์ มนุษย์ก็อาจหาญขับเครื่องบินชนตึกพังพินาศวินาศสันตะโร เขาเก่งจริงๆ เก่งฉิบหาย

เรายิ่งเห็นก็ยิ่งซับทราบความจริงว่าใกล้กลียุค คนจึงเลวร้ายได้ขนาดนี้ เราเองประคองชีวิตได้ก็ทำไป ช่วยเขาไป ก็ไม่ท้อไม่เหนื่อย วันๆหนึ่งก็ไม่หยุดทำงาน เราไม่เก่งในการทำงานต้องแก้แล้วทวนอีก คนเก่งเขาก็ไม่ต้องทวนซ้ำซาก ขนาดนั้นก็พร่องไม่บริบูรณ์  ลองอ่าน sms ก่อน

_ไลน์ของคุณพิมพ์เพชรรุ้ง….กราบนมัสการพ่อท่านฯ สมณะโพธิรักษ์ ที่เคารพอย่างสูง จากการที่ ลูกได้ฟังธรรมะที่พ่อท่านฯแสดงในรายการพุทธศาสนาตามภูมิ 2-3 วันมานี้ ลูกได้เกิดสภาวะ เห็นการปรับสภาพความสมดุลของสรรพสิ่งในโลก ทั้งที่เป็นอุตุนิยาม พีช นิยาม และจิตนิยาม แบบนี้ค่ะ ตัวอย่างเช่น ร่างกายของคนที่มีพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม ที่ไม่เหมาะสมต่อการมีสุขภาพดี ร่างกายก็จะปรับสภาพสมดุลของตัวมันเองด้วยการสร้าง เซลล์มะเร็งบ้าง เป็นโรคต่างๆบ้าง ถ้าบุคคลนั้นไม่มีจิตใจที่ตระหนักรู้ว่า ควรปรับเปลี่ยน พฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีขึ้น และยอมจํานนต่อความผิดปกติที่ เกิดขึ้น เขาก็จะกลายเป็นคนป่วยและป่วยหนักจนถึงตายไป (ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน) เช่นเดียวกับ สังคมที่มีสุขภาพดี* (*สุขภาพ ตามความหมายขององค์การอนามัยโลก WHO หมายถึง สุขภาวะของร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ) ถ้าผู้นําหรือคนส่วนใหญ่ ในสังคมเป็นผู้ที่มุ่งหวังความเจริญ มีกําลังอินทรีย์พละมากพอ ก็จะรักษาสภาพความสมดุลให้ เกิดความสุขความเจริญในสังคมได้ สามารถขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคและไม่ดีงามออกไปจาก สังคมได้ แต่ถ้าผู้นําหรือคนส่วนใหญ่เพิกเฉยหรือยอมจํานนต่อความชั่วร้าย สังคมนั้นก็จะปรับ สภาพสมดุล จนกลายเป็นสังคมที่ป่วยและตกตกาลงไปเรื่อยๆหรืออาจล่มสลายลงไป ลูกขอกราบเรียนถามพ่อท่านฯ ว่า ความไม่สมดุล เกิดจากอวิชชาใช่มั้ยคะ และศีลจะเป็น จุดเริ่มต้นทําให้เกิดสภาพความสมดุลได้มั้ยคะ ขอพ่อท่านฯ ได้โปรดขยายความ เรื่องสภาพ ความสมดุลตามแบบพุทธแท้ๆ ให้ลูกเข้าใจดีขึ้นด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ พิมพ์เพชรรุ้ง

ตอบ...ความไม่สมดุลเกิดจากอวิชชาก็ใช่  ศีลก็เป็นข้อกำหนดให้เกิดการสมดุลได้  ของสังคมไม่มีใครกำหนดศีลให้สังคมได้ ต้องกำหนดของแต่ละคนเอง

ทั้งหมดนี้ ที่กำลังอธิบายไปตามลำดับ มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไร จะได้หนักแน่นชัดเจน ว่ารัดรอบ มีส่วนเกินส่วนเหลือด้วยซ้ำ

- ต้องรู้อาการของเวทนาให้ชัดๆ

- แล้วทำการปหาน 5

- มีพลังปัญญา ไฟฌาน มีพลังงานแห่งปัญญา มีประสิทธิภาพขึ้น ทำให้ดับพลังราคะ โทสะ ที่เกิดบัดนั้น

 เราจะเห็นว่ามีฤทธิ์ทำให้มันดับ อ่อนตัว จางคลายดับต่อหน้าเลย

 นี่คือ รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าทำยังไม่สมบูรณ์ก็ทำต่อให้สมบูรณ์ ทำให้ตั้งมั่นแข็งแรง จะเห็นว่าตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน

เราจึงเชื่อสิ่งที่ เราได้ เรามี ไม่ใช่ตื้นเขิน ลอยลมเพ้อฝัน

แต่เป็นเรื่องจริง แต่เป็นนามธรรมเหลือเกิน จะได้เห็นว่ามีประสิทธิภาพจริงๆ ที่สามารถจัดการสมุทัย จัดการตัวร้ายมันได้จริงๆ

เราทำได้เองแล้วก็ยังมีคนอื่นๆ ผู้พี่ที่ทำได้ให้เห็นอีกด้วย

มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นญาติโก โยติกา ร่วมกันไป จึงเป็นสังคมที่มีทุกอย่างครบ

 อาตมาก็ยังอยากจะให้ คุณหวังพาเราไปเจริญแน่ แต่ก่อนไอ้หวังตายแน่ แต่ตอนนี้ คุณหวังไม่ตายแล้วจะพาเราไปเจริญ มีหวังได้เพราะเรามั่นใจของเราเอง แล้วดูกระแสสังคมไทย ว่ามีท่าทีว่าไปได้ แม้ยังไม่บริบูรณ์แต่ค่ารวมดีขึ้น

 

_0893867xxx อยากให้พ่อครูอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทในความหมายของพุทธศาสนาเชิงวิทยาศาสตร์?สกก.

_0893867xxx ดูเหมือนว่าเจ้าประจำธรรมะอโศกตั้งใจใฝ่ธ.บุญนิยมทีไรท้าวคลื่นจ้าวสัญญาณผู้คุมดาวเทียมอิทธิพลใกล้ufoทำจอสดุดทุกที!

_ขอถามพ่อท่าน

เมื่อเราไม่รับรู้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดทุกกรณี ถือว่าเราได้นิพพานจากสิ่งนั้นหรอไม่ครับ/Narong Aimkajohnchai

ตอบ...ไม่ได้..อย่างหลวงพ่อดุลย์นี่เป็นต้น บอกว่าอย่าเอาจิตออกนอกตัว จะได้สงบนะ เพราะสะกดจิตนิ่งแบบฤาษี เขาติดนะ แต่ไม่ใส่ใจ เขาสะกดได้ แล้วบอกว่าพวกเอ็งมัวแต่วุ่นวาย ข้าได้นั่ง พวกเอ็งไม่มานั่งแบบข้า มันพาให้หลงติด แล้วสบาย เป็นพวกอาฬารดาบส อุทกดาบส น่าสงสาร

สรุปว่าไม่ยุ่งเกี่ยวสิ่งใดไม่ใช่นิพพานเลย เป็นภพเป็นชาติ หากไปสิงสู่อยู่ที่รูปภพก็ได้ รูปภพ ไปสิงสู่อรูปภพก็ได้ อรูปภพ รูปภพก็หยาบกว่าอรูปภพแค่นั้น อยู่ภายใน มันจะมีพลังช่วย ไม่เอาอะไรภายนอก หากมีเรื่องก็หลับตา หรือบางคนลืมตาก็ทำได้

แต่ไม่รู้จักเหตุ ไม่รู้สมุทัยอริยสัจ ไม่ได้ดับเหตุอย่างสิ้นเกลี้ยงอาสวะอนุสัยไม่รู้เลย

อย่างที่เราแจกแจกจิตเจตสิก แค่รูป 28 ก็หยาบอยู่ ถ้าแจกถึงจิต 89 จิต 212 จะละเอียดไปอีก แต่ค่อยๆเรียนจะไม่รู้สึกลำบากใจ ค่อยไปตามลำดับ ทุกวันนี้เราก็มีสิ่งที่เราเป็นเราได้ หลายอันเราลืมชื่อหรือไม่รู้จักชื่อ แต่เรามีสภาวะ เราก็ได้

 

_พ่อครูช่วยอธิบายอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ…..

พ่อครูว่า….เร่ิมตั้งแต่

อบายคือ ความต่ำ ที่เราต้องหัดตรวจสอบจริงๆ เป็นของหยาบก็ได้ เช่นว่าเราไปทุจริตทางกาย เราทุจริตทางวาจา ไปโกหกเป็นต้น

พอโกหกแล้ว เสร็จไปแล้ว เราจะรู้สึกเลย หากเราเป็นคนมีหิริโอตตัปปะมีจิตเทวดาจริง จะรู้สึกละอายเลย ยิ่งเราอยู่กับกลุ่มหมู่ เราจะรู้สึกเลยว่าเรามีผลกระทบ อาการที่เป็นกับเรา นี่คืออาการอิตถีภาวะ เราก็สารภาพกับหมู่ แจ้งไปหมดแล้ว เราก็ปรับตัวเรา ทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ที่เราทำมานั้น มันจะค่อยๆชิน (ชินแปลว่าชนะ) (ชาแปลว่ารู้) จะชนะไปเรื่อยๆ

แล้วจะรู้ว่า  ถ้าเราได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆ โดยสิ่งที่เราเคยทำนั้น เราไม่ทำอีก หมู่ก็จะให้อภัย ความชินกับชาจะทำให้เราชนะ สบาย เฉย เรื่อยๆไปได้

แต่วิบากที่ทำแล้วนั่นมันไม่ได้หายไปใหน

วิบากใดๆทั้งหมดตั้งแต่เป็นจิตนิยามมามันสั่งสมทั้งนั้น มาเป็นแท่ง เทหวัตถุแท่งทึบ

วิบากที่เราทำมานี่ยิ่งกว่าแท่งทึบ มีอยู่จริง แล้วมันมีอำนาจ มีบทบาท ตามที่เราเองทำมา

ถ้าเราทำวิบากกุศลกับอกุศลใส่เข้าไป ถ้าเราเอาวิบากกุศลใส่ไปมากๆ วิบากอกุศลจะยากที่จะมาทัน จะมาออกฤทธิ์ปัจจุบันไม่ได้เพราะกุศลยิ่งมาก

 กุศลกับอกุศลไม่มีดับ มีแต่บาป ที่ถูกกำจัดด้วยบุญ บาปนั้นดับ สูญสิ้นหมด ไม่มีอะไรดิ้นตามได้อีก

แต่กุศลกับอกุศลเป็นสมบัติ แต่บาป บุญ เป็นวิบัติ

กุศล อกุศล เป็นสมบัติจึงเรียกสมบัติผลัดกันชม

แต่วิบากหมดก็หมด ไม่หมดก็มาเล่นงานไม่มีสมบัติผลัดกันชม

บาปบุญนี้ของเราส่วนตัวคนเดียว

 แต่กุศล อกุศลเป็นส่วนรวมเป็นสังคม

*บาป บุญเป็นปรมัตถสัจจะเป็นของเราคนเดียว กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมปฏิสรโณ

ก็ทำไปตามที่เรารู้ลีลาภาวะ เป็นเอกอย่างไร สูงกว่าปุริสภาวะ เป็นนปุงสกลิงค์ ว่าง  ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

 

มาต่อในบทความ นสพ.เราคิดอะไร..คอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?

 

ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า  จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา ดังนี้ตลอดกาลช้านานนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

(231) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้างสามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ

แต่ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ฯ

(232) ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ”

จากคำตรัสข้อ 230 กับข้อ 231 นั้น จับสาระสำคัญ ประเด็นแรกได้ ก็คือ “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”(อัสสุตวา ปุถุชฺชโน) 

ความว่า“ปุถุชนผู้มิได้สดับ”แค่นี้แหละ มีความสำคัญยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับความเป็นคนทั้งหลาย  แต่คนก็ไม่ได้ฉุกคิดกันเลย ในคำตรัสว่า “ปุถุชนผู้มิได้สดับ” ประโยคนี้ ว่า มีความหมายลึกล้ำ สื่อสาระสำคัญยิ่ง เตือนสติสัมปชัญญะ กระตุกความเป็นคนของคนทั้งหลาย ให้รู้ตัวว่า ปุถุชนคนทั้งหลาย ที่ยัง“ไม่ได้สดับ”

ยัง“มิได้สดับ”อะไร?

ยังมิได้สดับ“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)* ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ(สัมมาสัมพุทธะ) แล้วนำมาประกาศให้ชาวโลกรู้ตาม ชาวโลกได้ปฏิบัติตาม กระทั่งสามารถบรรลุ“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)นั้นๆตาม นั่นเอง  

แล้ว“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)นั้น คือ อะไรเล่า?

“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)นั้น คือ ...

*ไม่ได้ฟังเรื่อง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ -มรรค” ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็น“คน”

เพราะคนผู้นั้นจะไม่เบื่อหน่าย ไม่พึงคลายกำหนัด ไม่หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

เพราะว่า“จิต”เป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นของเรา

นั่นก็คือ “ตัณหา”และ“ทิฏฐิ”นี้เองที่ทำให้“คน”ยึดถือ“จิต”ว่า เป็นของเรา เป็นเรา

ตัณหา คือ ความอยาก ไม่ว่าอยากได้อะไร หรืออยากทำลายทำร้าย ยึดมั่นต้องได้อย่างนั้นๆ ยังไงๆก็ต้องได้ ผิดเลวร้ายอำมหิต ก็ชั่ง ต้องได้ๆ แล้วก็แรง กระทำร้ายแรงได้เลย ตัณหาอยากๆๆๆ ต้องการเอาให้ได้

ทิฏฐิ คือ ความเห็น ความรู้ ความเชื่อ  เป็นการยึดที่ตนเข้าใจอย่างนั้นรู้อย่างนั้นว่าใช่

เมื่อ“ยึดมั่น” ในตัณหา หรือทิฏฐิ ก็เอาตามนั้น สุดฤทธิ์สุดแรง เอาจนได้ ร้ายเลว ฆ่าแกง แรงอำมหิตขนาดไหน ไม่แคร์ทั้งนั้น

นี่คือ ต้องเป็นเรา ต้องเป็นของเรา ล่ะ!

ปุถุชน ก็คือ คนทั่วไปทั้งหลายในโลก ทุกชาติทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกลัทธิ ไม่ละเว้นว่าเป็นใครก็ตาม ที่ยัง“ไม่ใช่อาริยชน” หรือยัง“ไม่มีภูมิหยั่งรู้ความเป็นโลกุตรธรรม”ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ  ยังคือ “ปุถุชน”ทั้งสิ้น

แม้เขาจะไม่เอาก็เป็นของเขาอยู่แล้ว เป็นทิฏฐิของเขาอยู่แล้ว เขาก็ไปมีตัณหาอย่างที่เขาสอนกันว่าอยากได้ไปอยู่กับพระเจ้า เป็นอาตมันเป็นภพเป็นชาติ เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ตายไปชาตินี้ก็ติดไปชาติหน้าอีก

ยิ่งไม่ได้พบศาสนาพุทธก็ยิ่งแย่ ยิ่งติดยึดกระหน่ำซ้ำแน่นไปเรื่อยๆ ถ้ามาอยู่เมืองไทยมีผู้ที่ขัดแย้ง พูดไปคนละทางพูดไปโลกุตระก็จะพอได้ มีปรโตโฆสะ ถ้าฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา

ดังนั้น ผู้ใส่ใจจะ“พ้นจากปุถุชน” เจริญขึ้นสู่“อาริยชน” จึงจะต้อง“ได้สดับ ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจ)

นั่นคือ ได้ฟังเรื่อง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ -มรรค” ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็น“คน”

ผู้“พ้นจากปุถุชน” เป็น“อาริยชน”นั้น คือ ผู้มี“ภูมิโลกุตระ”ได้แท้ ชื่อว่า ผู้เจริญ เป็น“อาริยะ”กันได้กันจริงๆ

 

ที่ว่า“เจริญ”นั้น ..วัดกันตรงไหน?

วัดกันตรง“จิต” ลด-ละ-กิเลสได้ หรือไม่มีกิเลสเลย ก็จะไม่ทุจริต ไม่อกุศลใดๆจริง

อย่างอาตมานี้ เขาอ่านตามอาการ แล้วว่าคนนี้ยังมีพลังงานที่เป็นอัตตา จะเอาชนะคะคานเป็นต้น ก็อ่านแล้วแปลตามอาการ

แต่อาตมาบอกว่าคุณผิดแล้ว อาตมาไม่มี อาตมารู้ว่าต้องใช้อย่างนี้ สำหรับผู้ไม่ถือสาก็จะเข้าใจได้ดี

อย่างเช่นการรับเงิน อาตมานี่ใจไม่ได้อยากได้เป็นเรา เป็นของเราเลย เขาให้มาก็เอาไปใช้ประโยชน์ ฟังแล้วเหมือนเล่นลิ้นตลบแตลงคนอื่น แต่ใจอาตมาไม่มีจิตที่คิดได้เป็นเราเป็นของเรา ซึ่งก็ย้อนแย้งว่าไม่มีแล้วรับมาทำไม ก็รับมาทำงาน เอามาใช้ตามหน้าที่ คนจะแย้ง เขาก็ฟังไม่ขึ้นอีก

ผู้มี“ภูมิโลกุตระ”คือ ผู้มี“จิตใจ”เปลี่ยนแปลงจาก“จิตใจ”เดิมของตนไปจริง

กว่าจะเป็นจิตนิยาม มาเป็นมนุษย์นี้สะสมอวิชชามามหาศาล

จิตเดิมแท้ของสัตว์โลก เริ่มเกิดมาก็อวิชชาแล้ว

แต่ผู้มีตรรกะจะบอกว่า จิตเดิมแท้นั้นสะอาด

มันไม่ใช่ มันต้องไปดูต้นรากเง่าตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว มันไม่รู้ว่าความหมาย จากการแย่งชิงทำร้ายเป็นอย่างไร มันไม่รู้การมักน้อยสันโดษพอเพียงพอดีเป็นอย่างไร มันไม่รู้สัตว์ทั้งหลาย แต่สัตว์หลายตัวมันก็เพียงพอกว่าคนอีก

เริ่มต้นวัดจาก“จิตใจ”ในชีวิตของตนที่ยัง“ยึดภพอบาย”อยู่

แล้วปฏิบัติตนจน“หลุดพ้นจากภพอบาย”นี้ได้ นี้คือ ขั้นต้น

 

อบายคือ กาม คือกามภายนอกที่เกิดจาก กามและอัตตา

อัตตาคือ ตัวเรา

กาม คือ เกี่ยวกับภายนอก

กามเนื่องจากอัตตา เอามาเสพให้ชื่นใจ ที่ได้สัมผัสกระทบ สมกับอุปาทาน ที่อยากได้ รูป รส กลิ่นอย่างนี้

เช่น โลภลาภ โลภยศ โลภสรรเสริญ โลภ“สุข”(เสพรส) ที่เกิดจาก“กาม”หรือจาก“อัตตา” พอได้ชื่นใจกับรสที่ได้สัมผัสกระทบเข้า

*ก็นี่แหละ “สวรรค์”หรือ“สัคคะ” ซึ่งก็คือ “สว + อรรค”หรือ“ส + อัคค”

นั่นคือ “เรา + เลิศ” หรือ“เรา + สูงสุด”    พยัญชนะเป็นเช่นนั้น แต่ของแต่ละคนจะมีมากหรือน้อยก็แล้วแต่

ตัวอย่างเช่นนักฟุตบอลเวลาดีใจ ตีลังกา ดีใจ นั่นคือ อุพเพงคาปีติ แรง จนกระโดดโลดเต้น บางคนก็ว่าเหาะได้เลย ตัวลอยตัวเบา   

กล่าวคือ ใครก็ตาม ต้องตรวจตนเอง ให้ได้ ว่า ตนเองยังติดความชั่วใด ที่เราเข้าใจว่านี่คือชั่ว ..เอากายกรรม กับวจีกรรม ก่อน (พูดไปแล้วอย่าเร่งรีดตัวเอง จะเอาให้หมด ตรรกะล้ำหน้า เป็นอภิชัปปา ไม่ได้ ต้องทำตามลำดับไป)

และเริ่มด้วยเชิง“ผลัก”(โทสะ = ลบ)ก่อน

โทสะ นั่นคือ ผู้ยัง“ยึดแรง”ในการทำร้ายชีวิตผู้อื่น ถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วสะใจ นี่คือ ศีลข้อ 1 ต้องหยุด  ยิ่งทำแบบสุภาพ แต่ซับซ้อนอำมหิตอีก แล้วกลับแสดงออกถึงว่าน่าสงสาร เขาเรียกว่า “ตอแหล” หนักกว่าตลบแตลง เสแสร้ง ตนเองยังไม่รู้ใจตนก็มี แต่ทั้งรู้ใจตนแต่ก็ตีหน้าสงสาร นี่คือสุดยอดอำมหิต

ทีนี้ เชิง“ดูด”(โลภ = บวก) ผู้ยัง“มุ่งแย่ง” ของที่ไม่ใช่ของเรา ของที่เราไม่มีสิทธิ์ ก็แย่งถึงขั้นฆ่าก็ได้ ทำร้ายก็ได้ ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วเอามาเป็นเรา-เป็นของเราได้  ก็รู้สึกเป็นรสสุข(โลภะ)อยู่ อย่างนี้“รสสุข”

นี่คือ ศีลข้อ 2 ก็ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ผู้ยัง“ยึดแรง”ในความรัก-ราคะในโฉมผู้อื่น ในร่างผู้อื่น มาให้ตนเสพสัมผัสต่างๆ(ราคะ) ก็เป็นรสสุข

นี่คือ ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ ไม่เสพรสจากสัมผัสเสียดสีจากร่างกายคน

พูดเผื่อพวกกระเทย ซึ่งธรรมชาติเขาก็มีตัวผู้ตัวเมียเป็นธรรมชาติ แต่กระเทยนี้ไม่ใช่เพศธรรมชาติ เอาแต่เสพรสสัมผัสเสียดสี ไม่คำนึงหญิงหรือชาย สร้างภพชาติให้มีสุขที่วิตถารเกินธรรมชาติ คนเหล่านี้จึงติดเนื้อหา เสพกามเต็มบ้อง ซับซ้อนหลายตลบ

คนเขาว่าพวกกระเทยนี้ฉลาด ก็ใช่ เพราะต้องใช้ชั้นเชิงทักษะฉลาด เพราะสั่งสมซับซ้อนหลายตลบ ตนเองเลยชำนาญช่ำชองเรื่องนี้ คนเหล่านี้เก่งฉลาด เลยมาลบล้างกิเลสตัวเองไม่ได้ จะมาลบล้างกิเลส แต่เพราะกิเลสนี่แหละเขาจึงเก่ง ได้สัมผัสเสียดสีเป็นรสนี่แหละ

ทำได้จริง  อย่างนี้ก็หมดไปได้จริงๆ เป็นอบายขั้นหยาบ

หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ ใช้เล่ห์ด้วยเชิงฉลาด หลอกซับซ้อนซ่อนลวงสารพัด เก่งฉกรรจ์ฉกาจ ให้เขาหลงผิดในสิ่งที่ผิดว่าถูก   ซ้ำหลงเทิดทูนผู้หลอกว่ายอด ว่าเก่งเยี่ยมซึ่ง“ละเมิดของหวงผู้อื่น” สารพัดสิ่งหวง  ก็หยุดละเมิด ทั้งทางกายกรรม ทางวจีกรรม

อย่างธัมมชโยนี่ มีคนเชื่อคนศรัทธามาก มีวิบากบาปทบต้นทบดอกมากมาย ไปครอบงำความคิดให้คนหลงผิด แล้วให้คนตกภพชาติแบบนั้น เขาจะต้องไปเกิดอีกเท่าไหร่

คุณไปทำเขาทั้งนั้น หลอกครอบงำเขาสะกดจิต จนเขาตกเป็นบริวาร แล้วหลงว่าตนเองเก่งอีกนะ  ทำให้หลงซับซ้อนไปหมด พูดไปนี่เขาจะฟังอาตมาพูดไหม ไชยบูลย์เอ๊ย มันน่าสงสาร ออกเสียงไปไม่ได้โกรธเกลียดชัง พูดเหมือนพูดกับลูกที่มันน่าเขกกะบาล ให้เขาหลงว่าอาจารย์เรายอด

อย่างเจ้าสัวบุญชัย ว่าท่านเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ถ้าไม่มีท่านเราไม่มีวันนี้ ท่านเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของเรา นี่คือให้เขาหลงเทิดทูนว่าตนเองเก่งเยี่ยม

ต้องมาเรียนรู้ ละ ล้าง กาย วจี มโนไปตามลำดับ

ขอพาดพิง คุณบุญชัยหน่อยว่า อายุก็มากแล้ว ไปหลอกดารามาได้หลายคนแล้ว ได้เอ๊าะๆมานี่ จะให้เห็นว่าเอ็งสู้ข้าไม่ได้ ที่พูดนี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่น่าได้ หัดฝึกลดละล้างกิเลสบ้าง

นี่ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ใครยัง“โกหก” ก็หยุดได้ นี่คือ ศีลข้อ 4

ยัง“ต้องเสพสุขโดยการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายกับสิ่งภายนอกนั้นอยู่”

และตนเห็นว่า“ต่ำแล้ว”สำหรับตนแต่ละคน นี้คือ “อบาย”ข้อ 5

คือยัง“มัวเมาขั้นสุรา” ขั้นต่ำ ก็หยุดเว้นขาด ไม่สัมผัสภายนอก ละล้างเหตุภายในที่ยังอยากเสพของตนในใจให้ได้

จนทำได้ตามหลัก“ปหาน 5”(หลักของบุญ) กระทั่ง“ประหาร”สำเร็จเสร็จจบบริบูรณ์

 

บุญ”ทำกิจแล้ว “บุญ”ก็หายสูญไป ทำบุญภายนอกได้แล้วก็มาล้างภายใน ต่ออีก

“บุญ”กำจัดทั้ง“กายนอก-กายใน” ทั้ง“รูปจิต-อรูปจิต” ให้“วิบัติ”ได้สำเร็จผล

 

รสแท้ๆ”คือ รสเดียวกันทุกคน-ตรงกัน (พ่อครูยกฟักข้าวเป็นตัวอย่างว่า ลูกนี้สีแดง ภาษาจีนว่า อั๊ง ภาษาอังกฤษว่า Red ภาษาคนละแบบแต่ว่า แต่สภาวะอันเดียวกันหมด เวทนาที่รู้ร่วมกันได้ทุกคน ว่านี่แดง red อั๊ง นี่คือรสแท้ เวทนาแท้ๆ)*

 

อีกรสหนึ่ง* ชอบใจหรือไม่ชอบใจ“รสสวรรค์-หรือรสนรก”คือ รสของแต่ละคน“อุปาทาน”เอง แล้ว“มีจริงเอง”ของแต่ละคน จึงเป็น”อาการที่ 33” ที่ปั้นขึ้นมาเอง ลมๆแล้งๆ ของใครของมัน

ซึ่งไม่ใช่“รสแท้”ที่เกิดจาก“อาการ 32”ที่มีกันทุกคน

อาการทั้งหลายที่ปรุงแต่งในคนมีอาการ 32 เท่านั้น

แต่ที่ปั้นมาเองคืออาการ 33 เป็นลมๆแล้งๆ

 

รสที่ 33” คือ รสสวรรค์ดาวดึงส์ คือภพ ที่แต่ละคนปั้นขึ้นมาเอง  “เท็จ”ทั้งนั้น(อลิกะ)

เพราะ“รสที่ 33”คือ “รสเก๊”(อลิกะ=เท็จ)

“อบายรส” คือ ขั้น  สุรา   “เก๊”ขั้นต้น

“กามรส”   คือ ขั้น  เมรยะ “เก๊”ขั้นกลาง

“ภวรส”     คือ ขั้น มัชชะ    “เก๊”ขั้นปลาย

ซึ่ง“ภวรส”นี้ ยังมีละเอียดอีก 2 ขั้นคือ รูป-อรูป

ไม่ว่า“รสบำเรอกาม” หรือ“รสบำเรออัตตา” ซึ่งเป็น“ภพ”อยู่ทั้งนอกและใน 2 ข้าง 

ภพนอก คือ“กาม”. ก็. ภพในคือ“อัตตา”

ก็ “ภพ” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนซึ่งเป็น “อาริยธรรม”สูตรแรก(ธัมมจักกปวัตตนะ)ของโลก มีกามกับอัตตา ผู้หมดสิ้นเกลี้ยง“ภพ”ทั้ง 2 ข้าง(นอก-ใน)จากใจได้จริง ก็รู้ว่าตน ก็เห็น“ความจริง”ในใจตนว่า “ภพ”หมดสิ้นไป อย่างไร?​

แล้ว เป็นอนาคามี ซึ่งมีถึง 5 ขั้น

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

ผู้บรรลุจริงแท้จะมี“ของจริง” และมี “ปัญญา”รู้-เห็น“ของจริง”ตามความเป็นจริง     

กาม”หมายเอา“ภายนอก” ดังนั้น หมด“กาม”แล้ว ภายนอกไม่มี แต่จะมี“ภายใน”

“อัตตา”ก็คือ “ใจภายใน” เป็นพลังงาน “จิตนิยาม”ที่ผู้ยังเหลือ“ชีพ”อยู่ก็ต้องอาศัยภาวะนี้อยู่ ย่อมชื่อว่า“มี”

แต่ถ้าผู้“ไม่ยึดเป็นเรา-ของเรา”แล้ว จะทั้ง“มี”และทั้ง“ไม่มี”

พลังงานที่ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรากับภายนอกแล้ว กลับจะยิ่งมีพลังงานมาทดแทนอีก กลายเป็นพลังงานดีมาเสริมซ้อน ยิ่งไม่มียิ่งมี ยิ่งหมดไปยิ่งทำลายไปยิ่งงอกงาม  ยิ่งไม่เป็นของเรา ยิ่งมีของเรา

“สัตว์-วัตถุ-พืช”ที่อยู่ข้างนอก มิใช่เรา ไม่เป็นเรานั้นแน่นอน รู้ง่าย

ส่วน“จิต”นั้นรู้ยาก ที่จะรู้ว่า“ยึด”ว่า ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา

แม้เราจะกำอยู่กับมือนี่ เป็นของเราไหม? ลองตายดูสิ มือกำเพชรเม็ดโต เขาก็งัดมือออกแน่ เอาเพชรไปจากมือคุณแน่นอนเพชรเม็ดโตเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ยอม ไม่ยอมให้เผาหรอก มันไม่ใช่ของเรา

สัตว์มันก็มีชีวิตของมัน แต่เราไปตู่ให้มันมาหลงรักเรา ซับซ้อน เป็นต้น

จึงต้องศึกษาฝึกฝนจนเกิด“ญาณ”หรือปัญญาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง.     “เห็นความจริงตามความเป็นจริง” ก็จะไม่สงสัย ไม่ลึกลับ(อรหะ)ในความเป็น“เรา”หรือเป็น“ตน”

เห็นกิเลสของเราเอง เราล้างกิเลสนี้ออก มันจริง ตามความเป็นจริง มันหมดก็รู้ว่าจริง ไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเราแล้ว ไม่สงสัย ไม่กังขา อรหะแล้วไม่ลึกลับแล้วในความเป็นเราเป็นของเราหรือความเป็นตนนี้

“นาม”หรือความเป็นพลังงานขั้น“จิตนิยาม”เท่านั้น จึงจะเรียนรู้“ความเป็นตน-เป็นเรา”

พลังงานขั้น“อุตุนิยาม-พีชนิยาม”ไม่มีสิทธิ์

แม้ขั้น“จิตนิยาม”ก็ต้องขั้น“เวไนยสัตว์”จึงจะเป็น“พลังงานขั้นอาริยะ”สามารถมีประสิทธิภาพมีปัญญารู้“ความจริง”ขั้นนี้ได้ จึงเรียกว่า“อาริยะ”

คือ ผู้เจริญถึงขีดจริงขั้น“โลกุตรภูมิ”

เราวางได้ในสิ่งใด เช่นวาง กาม ก็เป็นตัวอย่างให้ทำในรูปจิต อรูปจิตอีก เห็นเอง เป็นเอง รู้เอง จะเข้าใจความเป็นตน ของตน

พวกสายปัญญา สายตรรกะได้แต่ขบคิด มีโศลก เป็นโกอาน พวกเซ็น เขาก็ว่ารู้แล้วๆ น่าสงสาร มันไม่ได้เห็นของจริง ไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริง ที่ได้ไล่ให้ฟัง ได้แต่ขบคิดเอา โอ้สว่าง..

พลังงานของผู้เป็น“จิตนิยาม” แล้ว สามารถทำ“จิต”(ใจ)ของตน ให้ตนเองทั้ง“รู้แจ้ง”จริง ทั้ง“ทำใจตน”ได้แท้ ให้อยู่ในภาวะที่เป็น“พีชนิยาม”สำเร็จ

และทั้งมี“ความรู้”(ปัญญา) จัดการ“ปรับแต่งตนเอง”ให้อยู่ในภาวะ“พีชนิยาม-อุตุนิยาม”ได้แท้ ในขณะที่ตนก็ยังมี ความเป็น“จิตนิยาม”

นี้คือ ความสามารถของคน ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบทฤษฎี ที่เรียกชื่อว่า “พุทธธรรม-พุทธศาสตร์-พุทธศาสนา” ขั้นอุตุ พีชะ วิทยาศาสตร์เขาก็เรียน

แม้แต่จิตนิยามเขาก็เรียน แต่เขาไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่มีทฤษฎีที่มีรายละเอียด เป็นหลักสูตรเป็นขั้นตอน

 ถ้าอาตมารู้ภาษาวิทยาศาสตร์ละเอียดจะเอามาอธิบายได้อีกเยอะ

การที่เราปฏิบัติจน รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“การเกิด” และสามารถทำ“การดับ”ให้แก่“จิตในจิต”ของตนได้อย่างเป็นจริง จึงสามารถจะ“ดับ”พลังงานส่วนที่ต้องการให้“ดับ”.  ดับได้ อย่างถาวรยั่งยืนนิรันดรก็ได้ ต้องการเหลือส่วนที่จะ“อาศัย”ใช้สอยได้ ทั้งในภาวะทำงาน ทั้งภาวะที่ให้หยุดนิ่งรออยู่

เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ของพลังงาน“จิตนิยาม”อย่างถ่องแท้”(โยนิโส) และมีความสามารถ“ทำใจในใจ”(มนสิการ)ของตนได้จริงๆ (ทางสมัยใหม่ คือ input - process - output - outcome - impact )

จึงสามารถ“ดับเหตุ” แล้วอาศัย“สมุทัย-ปัจจัย“ใช้พลังงานเป็น“นิทาน” เป็นเรื่องราวของ“จิตนิยาม”ไปอย่างดีได้จริง ทำได้สำเร็จก็เป็นผล ให้คุณอยู่กับโลก

อย่างแต่ก่อนเราถูกเจ้านายใหญ่ให้หมุนวนตามเจ้านาย แต่ตอนนี้เราเป็นเจ้านายตัวเองได้

นี้คือ “โลกใหม่”(ปรโลก)หรือ“โลกอื่น”(ปรโลก)ที่พระพุทธเจ้าทำได้ มีนิยามว่า “อเทวนิยม” จึงชื่อว่า “โลกุตระ” เพราะมันโลกคนละโลก คือ เราฆ่าเทวดาเก๊ตายเสร็จ ตัวเราเองได้เป็นเทวดาจริงเลย  แต่อย่าไปว่าคนที่เขายึดเทวดาเก๊แบบเทวนิยมนะ

พุทธเป็นอเทวนิยม ที่ไม่ใช่ไม่เอาเทวดา(เป็นจิดที่สูงที่เจริญ) แต่พุทธรู้พลังงานเทวดา แล้วอยู่เหนือได้

ต่างกับพลังงานโลกีย์ที่มาเป็นนายครอบงำ

แต่นี่พลังงานโลกุตระนั้นคนละขั้วเลย

ผู้เป็นทาสโลกีย์ คือทาสผู้ปล่อยไม่ไป

แต่คนโลกุตระนั้นหมดซึ่งความเป็นทาสตลอดไป

ผู้ดับ“เหตุ”ของโลกในใจไปตามลำดับ  โดยไม่ตัดลัด ไม่สับสน ก็เป็น“โลกุตรธรรม”

 

เมื่อ“ดับ”ได้(นิโรธ) สนิทสัมบูรณ์ดีแล้ว

คนผู้นั้นไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์อยู่กับ“ภพอบาย”นั้นๆได้แล้ว อย่างสง่าผ่าเผย โดยเราก็อยู่ในสังคมที่มี“อบาย”นั้นแลได้ อย่างมี“จิตใจ” สบาย ไม่ลำบาก และ“ไม่”แม้แต่แอบเสพสุข

คนผู้นี้แหละคือโสดาบัน ดับภพอบายได้แล้ว อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ความประเสริฐ (อาริยะ) ของพระโสดาบัน

-ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน .

-ยิ่งกว่าสวรรคาลัย

-ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง

นี่คือ พระโสดาปัตติผล .

นี่คือที่สุดแห่งความลึกลับในโสดาบัน (อรหันตโสดาบัน) เชิญมาดูได้พิสูจน์ได้ อวดได้อย่างสง่าผ่าเผย

ไม่มีแม้แต่แอบเสพสุขจาก“ความเป็นอบาย”นั้นๆอยู่กับสังคม อยู่ภายในใจของตนเอง

ก็ไม่มี“แอบ”แล้ว ก็หมดสิ้น“อบาย”นั้นได้แท้ กระทั่งใจสะอาดเป็นขั้นๆไปตามลำดับเรียบร้อย น่าอัศจรรย์

 ถ้าแอบเสพไม่มีใครรู้กับเรานะ แต่ถ้าเราบริสุทธิ์ไม่แอบเสพได้ ไม่ลึกลับสำหรับเราแล้ว ชัดเจนมาก ใจเราสะอาดมาเป็นขั้นตอน อย่างนี้คือความบริสุทธิ์สะอาดเป็นขั้นตอน ไปตามโครงสร้าง

*นี่คือความอัศจรรย์อันลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล เป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด *

แล้วก็มา ลด ละ ล้างกิเลสตัวต่อไปของเรา คือ กาม ใน“กามภพ”ที่เหลือ ก็“ภพ”ที่มี“ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก”สัมผัสอยู่-สัมพันธ์อยู่ใน“ภพกาม”สามัญปกติ ที่ในใจเราหมด“รสสุข”กับ“ภพอบาย”นั้นแล้วจริงๆ

อบายก็คือ ความต่ำใน“กามภพ”ของเรา  เฉพาะของเรานะ  ต่ำสุดของแต่ละคน

เปรียบกับของคนอื่นดูได้ เพื่อความชัดเจนสำหรับตน(อย่าไปยึดว่าสูงหรือต่ำกว่าเขา อย่ายกตน หลงตน) ซึ่งจะรู้ชัดได้เลยว่า ที่แท้เรายังต่ำกว่าคนอื่นเสียอีก หรือเรายังดีกว่าคนอื่นบ้างด้วยซ้ำ ก็แล้วแต่ที่มีอย่างนั้นจริงๆ  จะได้พัฒนา“ความต่ำของเรา”นั้นๆให้ยิ่งขึ้นๆ

ที่“ต่ำสุด”ของเราก็สำคัญของเรา นั่นแหละ“อบาย”ของเรา

แม้จะสูงกว่า“คนอื่น” ก็คือ“อบาย”ของเรา เพราะนี่คือ“ชั่วต่ำสุดของเรา”     “อบาย”คือ“ต่ำสุด” ก็ของตนๆ

ผู้ละล้างกำจัดกิเลสได้แล้วในใจตน ก็นี่แหละ ผู้“หลุดพ้นจากภพ” ไปแต่ละภพๆ

*นี้คือ “ผู้ได้สดับ”แล้วปฏิบัติจน *“ใจตนมีความหลุดพ้น”จาก“ภพ”ต่ำไปเป็นลำดับๆ

แม้จะ“ได้สดับ” จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งในคำว่า“โลกุตระ”ก็ตาม แต่ถ้าคนผู้นั้น“จิตใจ” ยังไม่มีผลของจิตเข้า“กระแสโลกุตรธรรม”(โสตาปันนะ) แม้ขั้นต้น ก็คือ ผู้ยังไม่“หลุดพ้น”เลย

พลังงานจิตของเราที่เริ่ม“เข้ากระแสธรรมโลกุตระ”

ผู้ปฏิบัติของพุทธจะต้องมี“สัญญา” กำหนดรู้“พลังงาน”นั้นก่อน

แล้วจึงจะรู้จริงยิ่งขึ้นๆเป็น “ทิฏฐิปัตตะ”

พอมาปฏิบัติได้บรรลุก็ได้ทิฏฐิปัตตะ กระทั่งบริบูรณ์ด้วย“กายสักขี”บริบูรณ์

ว่า เรา“หลุดพ้น”แล้วด้วย *“ปัญญาวิมุติ” *

โดย“มีจิตสัมผัสอาการของกระแสจิตที่เดินทางไปสู่ทิศที่ตรงกันข้ามกับกระแสโลกีย์”อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ชัดเจนแท้ใน“ความแตกต่าง”(ลิงคะ)ของกระแส

คนเราจะมีจริต สองแบบใหญ่ๆ คือ สายศรัทธากับสายปัญญา

สายศรัทธา เริ่มจาก

1.สัทธานุสารี ซึ่งมาศึกษาทางพระพุทธเจ้านี้ต้องสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิไม่มีทางบรรลุ ก็มาพยายามค้นตามเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็น สัทธานุสารี คือเอาศรัทธานำ

ส่วนธัมมานุสารี คือผู้เอาปัญญานำ

เมื่อศึกษาเพิ่มขึ้น

2.ได้สัทธาวิมุติ  การที่จะรู้จัก จิตเจตสิกต่างๆไม่ค่อยได้สำหรับสายศรัทธาสายเจโตนี้ ไม่ค่อยเก่งภาษา

ผู้เป็นสายศรัทธาจะบรรลุก่อนเรียกว่าสัทธาวิมุติ

แม้จะวิมุติแล้ว แต่ไม่รู้ชัดเจน ไม่มีองค์ประชุมของกาย

ไม่มีกายสักขี ไม่มีองค์ประชุมภายนอกภายใน

*เช่นได้แต่ภายในไม่ออกมายืนยันเป็นสักขีภายนอก พระพุทธเจ้ายังไม่รับ ต้องมาสัมผัสภายนอก มีอัชฌัตตัง และพหิทารูปานิ ต้องมีทั้งนอกและใน พระพุทธเจ้าถึงยอมรับว่า บรรลุทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ

 3. มีกายสักขี

ส่วนพวกสายปัญญา

1.ธัมมานุสารี มาเป็น

2.ทิฏฐิปัตตะ มาเป็น

3.ปัญญาวิมุติ

 

ส่วนอุภโตภาควิมุติ ท่านว่า ทางพยัญชนะว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ในวิโมกข์ 8 มี

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป) ต้องมีองค์ประชุมของสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็มีญาณปัญญาไปรู้ ยืนยันกับคนอื่นได้ด้วย ผู้นั่งหลับตาอาสวะบางอย่างดับได้แต่ไม่บริบูรณ์หมดสิทธิ์บรรลุได้

พวกสัทธานุสารี มาเป็นกายสักขี มาเป็นสัทธาวิมุติ นั้นถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่บรรลุ ต้องมีกายสักขี ก่อน จึงเป็นสัทธาวิมุติ

ปัญญาวิมุตินั้นเป็นอรหันต์ได้เลย ได้อาสวะสิ้นแล้ว

เหลืออนุสัยที่เป็นตนน้อยๆ แต่นับว่าอรหันต์แล้ว

แต่สายศรัทธา แม้ได้ สัทธาวิมุติ ก็ต้องมาทำให้เป็น อุภโตภาควิมุติ ต่อ จึงนับว่าเป็นอรหันต์

*อุภโตภาควิมุติ* นั้นสูงสุดแล้ว ได้ทั้งสองส่วน

 

“โลกียะ” กับกระแส“โลกุตระ” ซึ่งมี“นิมิต” หรือมี“เครื่องหมาย”ให้ตนเองรู้ชัดๆ ตาม “อุเทศ”(คำสาธยายอธิบาย)ที่ได้ยิน ได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้า หรือจากสัตตบุรุษ ครบ“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60)

ซึ่งมิใช่เดา(อตักกาวจรา) แต่มี“วิตักกะ”แท้ (อาตมาต้องพูดให้ไม่ผิด มีเจตนาเช่นนี้ พูดพล่อยไม่ได้ แต่สัญญาอาตมากำหนดผิดได้แต่สภาวะอาตมาไม่ผิด สัญญาวิปลาสไปบ้าง วิปลาสมี 3 คือจิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาส)

(คำว่าลิงค นี้มีสองอย่าง คือ เพศต่างกัน กับน้ำหนักต่างกัน)

อาตมานั้นภาษาบัญญัติไม่ตรงกับเขาบ้าง เขามาฟังอาตมาก็เลยหาว่าอาตมาไม่รู้จักอรรถะ พยัญชนะ อาตมาก็ไม่มีหลักฐานปริญญาอะไรมายืนยัน แต่อาตมาก็แม่นสภาวะ ก็ค่อยๆแสดงความจริงไม่ได้อวดโอ่)

การเข้ากระแสธรรมโลกุตระ” หมายความ ว่า

1.ผู้นั้น รู้จักจิตใจตนเอง

2.อ่านจิตใจตนเองได้จริงว่า จิตใจตนอยู่ในทิศทางของ“เคหสิตเวทนา”(ความรู้สึกแบบโลกีย์) อันเป็น“มโนปวิจาร 18”ของเวทนาโลกียธรรม มาก่อน

3. แล้วสามารถทำจิตใจของตน(มนสิกโรติ)ให้“ออกจากกระแสโลกียะ”เข้าสู่ “โลกุตระ”(เนกขัมมสิตเวทนา)ได้สำเร็จ

แม้ขั้นแรกขั้นต้น ชื่อว่า“โสตาปันนะ” เรียกในภาษาไทยว่า โสดาบัน    

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:58:16 )

590913

รายละเอียด

590913_พุทธศาสนาตามภูมิ ไขความจริง-จะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร ตอน 3

_0815428xxx นมัสการครับหลวงปู่... กินรังนกผิดบาปไหม?กินอาหารเจกินรังนกได้ไหม?กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ.

ตอบ...จริงๆแล้วถ้าไม่กินได้จะดีกว่า ถามว่าบาปไหม?

รังนกนั้นมันก็คือ   น้ำลายของมัน จริงๆแล้วนำ้ลายนี้มันก็ออกมานอกตัวนกแล้ว ซึ่งนำ้ลายนี้มันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำไว้ใช้เลี้ยงชีวิตมัน เพราะมันเอาออกมาใช้เป็นส่วนข้างนอกทิ้งไปแล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเก็บตอนที่มันทิ้งแล้ว (คือมันใช้เป็นที่เลี้ยงลูกอ่อนเสร็จแล้วมันก็ทิ้งรัง) ถ้าอย่างนี้ก็ไม่น่ามีปัญหามาก

 แต่นี่ไปเก็บที่ตอนมันใช้งานอยู่ เลี้ยงลูกอยู่ ดีไม่ดีเอาลูกมันทิ้งด้วยก็ไม่ดี ต้องบาปแน่

แต่ถ้ามันก็ใช้งานเสร็จแล้ว(เลี้ยงลูกเสร็จแล้ว) และลูกมันก็ไม่ใช้รังแล้ว เราก็เก็บรังมันมากินก็ไม่น่าจะบาปอะไร มันก็จะทิ้งรังนี้แล้ว เหมือนกับเดนที่สัตว์กินนะ หรือที่มันตายเองสัตว์ตายเอง เป็นปวัตตมังสะเป็นเนื้อสัตว์ที่ มันทิ้งร่างของมันเอง

*ไม่มีใครไปฆ่าสัตว์ ไม่ได้ตายด้วยการมุ่งหมายฆ่า *(อุทิสสมังสะ )คือคนเจตนามุ่งหมายฆ่าสัตว์ แล้วมันตาย อย่างนี้กินไม่ได้*

แต่ถ้าเป็น ปวัตตมังสะ มีนัยยะสองอย่าง

1. คือมันตายเอง เจ้าของจิตนิยามมันทิ้งร่างมันไปแล้ว เอามากินได้

2. หรือเดนที่สัตว์เดรัจฉานด้วยกันที่มันต้องกินเนื้อ มันก็กินกันเอง ซึ่งมันก็เป็นวิบากกันไปกันมาของพวกมันเอง กินทิ้งเดนไว้แล้วเป็นเนื้อบังสุกุล (ทิ้งแล้ว) ก็กินได้

  เพราะฉะนั้น รังนกที่เป็น ปวัตตมังสะ ทิ้งแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ก็ถือว่าเป็นปวัตตมังสะ

แต่ถ้าเอามาจากที่ๆมันใช้งานอยู่ เลี้ยงลูกอยู่ นี่ก็บาปแล้ว *

ถ้าไปจับลูกนกไปไว้รังนั้นรังนี้ แล้วเอารังนกมากิน ก็ไม่ได้ *

 

“เข้ากระแสธรรมโลกุตระ” หมายความ ว่า ผู้นั้นรู้จักจิตใจตนเอง อ่านจิตใจตนเองได้จริงว่า จิตใจตนอยู่ในทิศทางของ“เคหสิตเวทนา”(ความรู้สึกแบบโลกีย์) อันเป็น“มโนปวิจาร 18”ของเวทนาโลกียธรรม มาก่อน แล้วสามารถทำจิตใจของตน(มนสิกโรติ)ให้“ออกจากกระแสโลกียะ”เข้าสู่ “โลกุตระ”(เนกขัมมสิตเวทนา)ได้สำเร็จ แม้ขั้นแรกขั้นต้น ชื่อว่า“โสตาปันนะ” เรียกในภาษาไทยว่า โสดาบัน

ทำอย่างวิปัสสนาคือ ไม่ใช่กดข่ม แต่เป็นเชิงปัญญา และมีเจโต อย่างรู้ความจริงตามความเป็นจริง แม้ขั้นต้นเราก็จะอ่านออก คนปฏิภาณดีจะอ่านออกเร็ว    

และคำว่า “มิได้สดับ” ก็คือ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังคำตรัสหรือความรู้ขั้น“โลกุตระ” ซึ่ง“ความรู้”นี้ เป็นความรู้ขั้น“อาริยชน”

“อาริยชน”คือ ผู้มี“ภูมิปัญญา”หยั่งรู้แล้วปฏิบัติบรรลุธรรมอันเป็น“ปรมัตถธรรม”มีผล

“ปรมัตถธรรม”คือ ธรรมะที่เป็นภาวะของ“จิต-เจตสิก-รูป(สิ่งที่ถูกรู้แม้ขั้นนามธรรม)-นิพพาน” ผู้สามารถหยั่งรู้“จิต-เจตสิก-รูป(สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่วัตถุแค่นั้นรู้ถึงขั้นนามธรรม)-นิพพาน”ได้

“อาริยชน”จริงนั้นจะสัมผัสความเป็น“นามธรรม”ดังกล่าวนี้ได้แท้ ด้วย“สัญญา” และด้วย“ปัญญา“ของตน และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ที่สามารถวิจัย“จิต-เจตสิก-รูป(สิ่งที่ถูกรู้แม้ขั้นนามธรรม)-นิพพาน”สำเร็จ

เริ่มจาก“โสดาบัน”คือ รู้“วิตักก(วิตก)-วิจาร” เป็นอาริยชนขั้นต้น ต่อจากนั้นก็“สกิทาคามี” แล้วก็“อนาคามี” และสูงสุด“อรหันต์”

“ความรู้ขั้นอาริยะ”นี้เป็น“ความรู้อันยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ท่านทรงค้นพบ“ความรู้”ขั้นนี้ขึ้นมาประกาศให้โลกรู้ตาม และคนสามารถเรียนรู้ แล้วปฏิบัติบรรลุได้จริง ที่พิสูจน์ได้แท้ เป็นวิทยาศาสตร์แน่นอน

แต่ยุคทุกวันนี้ แม้ชาวพุทธเองแท้ๆ ก็“ไม่สดับ” คือ ไม่ฟัง“ธรรมอันเป็นโลกุตระ”กันแล้ว แม้จะได้ยินก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก ไม่สนใจ โดยเฉพาะ“โลกุตระ” ไม่แยแสจริงๆ

เพราะไม่มี“ผู้รู้ธรรมที่เป็นโลกุตระ” ได้แท้ แม้จะพอ“รู้”ก็รู้กันยังไม่สัมมาทิฏฐิพอ จึงไม่สามารถนำพาผู้ศึกษาปฏิบัติบรรลุธรรมพุทธศาสนาอันเป็น“โลกุตรธรรม”ได้

พุทธศาสนาล่วงเลยมาแค่ 2500 กว่าปีเท่านั้น ก็พิสูจน์ชรตา อนิจจตา กันปานนี้

กล่าวคือ เนื้อแท้ของพุทธสัจจะยังอยู่

แต่“ทิฏฐิ”ของคนไม่เที่ยง เปลี่ยนไป เพี้ยนไป เข้าใจผิดไป รู้ไม่ถูกต้อง ยังไม่ตรงตาม

คำสอนของพระศาสดา ยังไม่ลึกซึ้งพอที่จะปฏิบัติ จนสามารถพาบรรลุธรรมได้

ยืนยันความเป็น“พลังโลกีย์” อำนาจกระแสโลกีย์ที่มีมวลมากในยุคทุกวันนี้ มันมีฤทธิ์มีอิทธิพลแรงจริงๆ แต่ก็ยังมีผู้รู้ได้อยู่

ดังนั้น ผู้สามารถเอาชนะพลังอำนาจโลกีย์ได้นั้น จึงแข็งแกร่งแกล้วกล้าอาจหาญจริงๆ สำหรับยุคนี้ ที่สามารถชนะพลังแรงฉกาจฉกรรจ์ของโลกีย์ได้ สำเร็จ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86349

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfQmY4eElyMDd4WVk

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/7jqlvfwa2c3x/160913

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=hAhmBz9dGEg

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:58:41 )

590913

รายละเอียด

590913_พุทธศาสนาตามภูมิ ไขความจริง-จะรู้จักโสดาบันได้อย่างไร ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันอังคารที่ 13 กันยายน 2559

ผู้ใดเห็นความสำคัญในความสำคัญ เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ พากเพียรเอาสิ่งที่ดีใส่ชีวิตตัวเองไปให้ได้มรรคผลไปตามลำดับ

พูดได้อย่างเดียวว่าชีวิตคนเราถ้าไม่เอาธรรมะก็วนเวียนอยู่ในโลกีย์

อย่างดีก็เป็นกัลยาณชนสูงขึ้น หรืออย่างดีก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งแล้วก็ประกาศศาสนาของตนเป็นโลกียะเป็นกัลยาณธรรม ไม่ใช่อาริยธรรม ไม่ใช่โลกุตระเป็นโลกียะไปตลอดกาล และนานหมุนเวียนอยู่สูง แล้วก็ต่ำตลอดกาลนานนับกัปกัลป์

จนกว่าจะได้เข้าใจเรื่องของโลกุตรธรรที่แยกพลังงาน อุตุ พีชะ จิตแล้วสามารถแยกจิต ชัดเจนว่ามันเป็นอุตุ มันจะแยกมาเป็นพลังงานพีชะ เป็นชีวะขึ้นมา แล้วความเป็นชีวะต่างจากไม่เป็นชีวะอย่างไร?

เมื่อเป็นชีวะหรือชีพแล้ว จนกระทั่งเจริญขึ้นไป

สามารถแยกโลกียะ แยกโลกุตระ หรือแยกปุถุชน กัลยาณชน และอาริยชนกันได้อย่างไร?และในพลังงานตรงไหน?

ซึ่งเราจะรู้ เวทนาในเวทนา ที่เป็นอาการของพลังงานจิต ที่มันเป็นความรู้สึก(เวทนา)

เราจะต้องอ่านความรู้สึก อ่านเวทนาในเวทนาอย่างจริงจังเลย  มันเป็นความรู้สึกที่เป็นอารมณ์ ที่แยกเวทนา 2 ได้จริงๆ  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

 คำว่าภวันติคือ ทำให้เป็น ทำให้กลายเป็นหนึ่งได้ ทำให้สำเร็จได้ แยกเป็นหนึ่งในสอง

ซึ่งก็จะมีธรรมะสองเสมอในคน คือมี รูปกับ นาม

แม้แต่ ธรรมะที่เป็น นปุงสกลิงค์ กับ ปุงลิงค์

คำว่า ปุงลิงค์ คือ 1  นปุงสกลิงค์ คือ 0

แล้วก็เราอาศัย 0 กับ 1 อยู่ ไม่ปรุง ไม่แต่ง ไม่มีอะไรได้

หรือจะเป็น ปุงลิงค์  กับอิตถีลิงค์ แล้วก็สามารถอนุโลมเป็นอิตถีลิงค์ได้

ส่วนอภิสังขาร ร่วมปรุง ร่วมทำงาน ร่วมอนุโลมกับเขาก็ได้

แต่ตนเองต้อง มีธาตุที่มีสมาธิ มีธาตุฐีติที่แข็งแรง ไม่ได้เอนเอียง เหลวไหลไปกับเขา

*เปรียบเหมือนกับ คนที่อยู่บนปากบ่อเอื้อมมือลงไปช่วยคนที่ตกอยู่ในบ่อได้

โดยตนเองไม่หลุดจากปากบ่อตกลงไปเขา

 จึงเป็นคนที่แข็งแรงที่จะช่วยคน ช่วยโลกได้อย่างแท้จริง

แต่ก็อย่าอวดดีกันนะ อย่าประมาท เช่น เรามีร้อยอย่าไปอวดดีใช้เกินร้อยหรือใช้เต็มร้อย แม้ใช้ 90 ก็เสี่ยง ใช้แค่60-70-80 คนที่ไม่มีหน้า ไม่รักหน้า ไม่รักศักดิ์ศรีมักจะไม่อยากอวดเก่ง

คนอยากอวดมักจะประมาทใช้เกิน

คนที่อยากอวด มีสาเฐยจิตก็อยากอวด แต่คนไม่อยากอวดก็ไม่ไปอวด ไม่พลาดท่า เพราะไม่มีกิเลสอยากอวด แต่คนที่อยากอวดก็มีกิเลสอยู่

วันนี้มีคนมานั่งฟังธรรมเกิน 72 คนที่นี่ก็ใช้ได้ พระพุทธเจ้าท่านมี อสีติมหาสาวก ก็มีกลุ่มที่เป็นผู้ช่วยแข็งขัน อาตมาก็มีคนสนใจขนาดนี้ก็ไปได้เรื่อยๆ เจ็ดสิบกว่าคนนี้ก็ดีแล้ว  ก็มาอ่าน ไลน์ sms ก่อน

_จาก Master taizen….

ผู้มีเงินล้านในกระเป๋าตนเอง..ย่อมควรต่อการบอกกล่าวต่อสาธารณชนว่าตนจะใช้เงินล้านไปเกื้อกูลสร้างสรรค์สาระใดๆให้สังคมได้ฉันใด..

 

อริยคุณสูงสุดใดๆที่มีในตนของพ่อครูมหาโพธิสัจ..(พ่อครูว่าอาตมายังไม่ถึงมหาโพธิสัตว์ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7) ก็น่าควรและเหมาะแก่การและกาละที่จะเปิดเผย..บรรลือสีหนาทกันชัดๆว่า..แม่ทัพมีอริยคุณต้นทุนสูงสุดอยู่เท่าไหร่?..เพื่อไพร่พลจะได้เกิดขวัญกำลังใจฮึกเหิมหาญกล้า..ในการเข้าร่วมกรีฑากองทัพพุทธธรรมฉบับออริจินอลของแท้ดั้งเดิมจากพระพุทธองค์..ที่สูญหายไปจากโลกมาตั้งแต่หลังพุทธกาล..

และยิ่งไม่เคยมีผู้ใดเลย..นำมาเปิดเผยเป็นพุทธธรรมกายสักขี..อย่างแจ้งชัดในประเทศไทย..ดินแดนที่มีฝูงชนพันธุ์อกหัก,หลักลอย,คอยงาน,สังขารเสื่อม,อยากเลื่อนวิทยฐานะ,ขยะสังคม,ฯลฯยกโขยงกันเข้ามาอาศัยยูนิฟอร์มพระกันเป็นหลักแสน..ตั้งแต่หางยันหัวขบวน..ดั่งเช่นที่ปรากฏชัดในสังคมพุทธไทยทุกวันนี้..

..ไม่ทราบว่าพ่อครูเคยประกาศอริยคุณที่มีในตนชัดๆหรือยังครับ..ผมได้ยินแต่พ่อครูพูดว่าเป็นพระโพธิสัตว์

 ..ในส่วนตัวของผม..เคยเห็นพ่อครูเมื่อตอนผมบวชได้พรรษา3.ที่งานปลุกเสกพระแท้ๆที่ศรีษะอโศก(ปี2534)..เห็นแค่กายภายนอก..ที่มีออร่าแห่งรังสีพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์..ก็บอกกับเพื่อนพระว่า..ได้เจอพระพุทธอริยะของแท้แล้ว..และยิ่งได้เห็นภาพข่าวทีวีตอนที่พ่อครูถูกดำเนินคดี..จนต้องเปลี่ยนไปครองผ้าขาวเห็นรอยยิ้ม ...ของผู้หมดรสอารมณ์หดหู่กังวลทั้งๆที่อยู่หน้าห้องคุมขัง..ในสถานการณ์คอขาดบาดตาย..ผมยิ่งมั่นใจจนถึงกับกล้าบอกกับพระทุกองค์ที่อยู่ร่วมกันในวันนั้นว่า. นั้นแหละรอยยิ้มพระอรหันต์ผู้ดับทุกข์ล้างข้อมูลกิเลสออกจากชีวิตได้อย่างสิ้นเชิงของแท้ของจริง..

..เพราะคนปกติทั่วไป..เวลาถูกจับดำเนินคดี..ถ้าไม่มีความบริสุทธิ์จริงใจอันเป็นศาสตร์ป้องภัยอันอุดมสูงสุดแล้ว..ย่อมต้องตัวสั่นหน้าถอดสีแววตาหดหู่อย่างแน่นอน..

แต่รอยยิ้มแววตาของพ่อครูในวันนั้น..ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ยิ้มเปิดโลก ตาเปิดใจแจ้งพิศุทธิ์ไม่ได้อย่างนั้นอย่างแน่นอน..

ผมเข้าใจผิดไปไกลหรือเปล่า..ถ้าไม่ผิด.ก็ขออภัยกราบเรียนถามว่า..พ่อครูเคยประกาศอริยคุณหรือเปล่าครับ..

ถ้าไม่เคย..พ่อครูใช้เหตุผลใดในการยับยั้งการประกาศ...ในทัศนะของผม..ปาราชิกข้อที่ว่า..อวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีในตนต่ออนุสัมปัน(ผู้ไม่ใช่พุทธบริษัท4)..นั่นผิดแน่ๆชัดๆ..

...แต่ถ้ามีอริยคุณแท้ๆในตนเทียบดั่งที่มีเงินล้านในกระเป๋า..แล้วบอกกับโลกว่าจะเอาเงินล้านไปสร้างสังคมพุทธยูโทเปียช่วยมวลมนุษย์ชาติให้เห็นเป็นของจริงแตะต้องสัมผัสได้จริงๆ..ผมคิดว่าไม่น่าจะเข้าข่ายปาราชิกหรอกกระมัง

 ..กราบเรียนถามมาด้วยจิตน้อมเคารพอย่างสูงสุดครับผม.

ตอบ...อาตมาเคยอธิบายเคยบอกหลายที คุณก็คงได้ฟังบ้าง อาจจะไม่ครบอาตมาเคยบอกว่าตนเองเป็นอรหันต์ แต่ประกาศตนเองว่าเป็นโพธิสัตว์ตั้งแต่ออกบวช คำว่าโพธิสัตว์ของชาวเถรวาทนั้นเขาเข้าใจไม่ถูกต้อง แม้แต่มหายานนั้นก็เข้าใจไม่ถูกต้อง เลยเถิดไปฟุ้งซ่านเยอะ ยังไม่รู้ว่าโพธิสัตว์คืออะไรแท้ๆ

อาตมาประกาศโพธิสัตว์แล้วก็ทำงานมาเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะประกาศอรหันต์ง่ายๆ เพราะทางมหายานเขาถือโพธิสัตว์ แม้ประกาศเขาก็ไม่ติดใจเพราะไม่ติดยึดมากเหมือนเถรวาท

จนกระทั่งน้องสาวคือ อาจารย์ขวัญดีถาม ตอนนั้นอาตมามาบวชแล้ว เขาเซ้าซี้ถามว่า อาตมาเป็นอรหันต์หรือเปล่า อาตมาก็เลยบอกว่าเป็น คนนี้บอกก่อนใครเลย ต่อมาอาจารย์แสง จันทร์งาม ก็มาถามอีก เซ้าซี้ถามตอนอยู่สันติอโศก กำลังจะฉันข้าว อาจารย์แสงก็มาที่อาสนะสงฆ์ ก็มาถาม เซ้าซี้ไปมา อาตมาก็ว่า อาจารย์ก็เป็นผู้รู้ทางศาสนา ถือว่าเป็นอุปสัมบัน เข้าใจได้ อาตมาก็บอกว่าใช่เป็นอรหันต์ จากนั้นก็ไม่ได้ประกาศกับสาธารณะ จนกระทั่ง 1 มี.ค. 58 ก็ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นอรหันต์ ในงานพุทธาภิเษก

อาตมานั้น ก็ทำอย่างที่คุณว่าอยู่ แต่ไม่ประมาท เอามาใช้หรือปฏิบัติอย่างที่ว่า คือมี ร้อยก็จะใช้อย่างเก่งก็ 85 ต้องยักไว้เผื่อพอ ไม่ประมาท ไม่อยากอวดดีอวดเด่นอะไร ตัวเราเองแสดงออก มากสุด 85 ก็พอแล้ว มีก็ไม่บอกหมด เผื่อไว้ ถ้าใช้หมดตัว พลาดมาก็ตายเลย ไม่ได้เรื่อง เป็นไรไป ใครเขาว่าเราไม่มีมากก็ไม่เป็นไร ก็เป็นไปตามควร คุณมีเงินล้านจะเทกระเป๋าล้านเลยก็คนละทรรศนะกับอาตมา

 

SMS 12 September 2016

_0893867xxx TV.สกก.บ่ปกตินะปลายฝน ป่วยเหมือนหอบหืดสลับแหบแห้งพิก๊ลพิกลหนิปฝ.!

_0893867xxx พ่อครูพูดตอนสำคัญๆขณะนี้เสียงยังขาดๆหายๆเลยโดนดูดเสียงฤาเทคนิคขัดข้องไม่รู้?เครื่องมนุษย์หูเทียมก็ปกติ

ตอบ...พูดถึงเรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกเราที่มาช่วยกันทำงาน ไม่ได้จ้างสักคน ช่วยกันด้วยใจ ก็ขอบคุณ เครื่องมือเราก็ไม่ได้ดีนัก ส่วนมากเรา 3rd hand 4th hand ราคาใหม่เอี่ยมของแพงเราไม่ค่อยได้น่ะ ได้ขนาดนี้อาตมาก็ว่าสมตัวแล้วละ ไม่กระดี๊กระด๊าอะไร ได้ดีกว่านี้ก็ดีแต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ได้ขนาดนี้แหละ

 

_0811203xxx วันนี้ระบบเสียงขัดข้องหรือเปล่าคะ ขาดหายบ่อยค่ะ

_0845818xxx วันนี้ต้องมีสติตั้งใจฟังพ่อท่านอย่างมาก เพราะเสียงขาดๆหายๆบ่อยมาก ไม่ทราบด้วยว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัยอันใด (ยิ่งบรรยายเปิดเผยธรรมะแท้จริงยิ่งเข้มข้น หูตาสว่างรู้ทันสิ่งที่เป็นอวิชชาทั้งหลาย)ผู้น้อยกราบขอบพระคุณพ่อท่านที่นำหลักธรรมะของจริงของพระพุทธองค์มาสอนสั่งทุกวันนี้

_0893867xxx เห็นTV.ขลุกขลักก็เหมือน เห็นสรรพสิ่งอันปรวนแปรแต่ใจบ่กังวลบ่หวั่นไหวคงสติมั่นในธรรมก็พอหนิปฝ.!สกก.

_0805925xxx เสียงก็ดีชัดเจนอยู่นะสะแกกรังปฝฟังจากมือถือก็ชัดดีนะทีวีบ้านซังกะบ๋วยป่ะ?ปลายฝน

_0844497xxx โลกนี้คือ"ค่ายกล" ไม่มีอะไรสักอย่างที่ไม่ทำให้คนลุ่มหลงงงงวย คนสมัยนี้ถูกสวมหมวกใบใหญ่ถอดไม่ออก เวลาและยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้ "คนระดับต่ำ" หลงผีสางเทวดาหลงเกรียติยศหลงกามหลงกินหลงแต่งตัว "น่าสงสารแท้"

_0893867xxx จำตอนที่สนธิพูดที่สวนลุมในเมืองไทยสัญจร กับที่เวทีทำเนียบราว48ถึง52ผ่านastvสมัยนั้นสนธิยังบอกว่า โดนดูดเสียงเลย!กบกู้ชาติ!

_0893867xxx อารมณ์ความรู้สึกความคิดทั้งหลายก็ล้วน..เกิด..ดับ!สกก.

_0811203xxx กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ใกล้ออกพรรษาทีไร ก็จะพบกับมหกรรมซื้อขายบุญใหญ่ของวัดทั่วไปในนาม"กฐิน" ทำกันเป็นอุตสาหากรรมจริงๆ จังๆ เอาถังเปล่าหนึ่งใบแถมไม้เสียบตังค์มาพร้อมเสร็จ แล้วบอกว่าออกพรรษาจะมารับถังบุญนะโยม เท่านั้นแหละลูกหยิบใบฎีกาออกมาจากถังหนึ่งแผ่นเขียนพอสรุปคร่าวๆ ว่าบุญคือการชำระกิเลส คือการเอาออกไปไม่ใช่สะสม เอาสวรรค์สุขสบายรวยๆ มาพาคนยึดติดแล้วคิดจะไปนิพพาน ไปทางไหนได้น้อฯลฯ ก็ปฏิเสธไปตรงๆเพราะเห็นว่าพระก็เกินไปและรู้สึกอนาถใจกับชาวบ้านยากจนต่างเดือดเนื้อร้อนใจไม่มีเงินทำบุญกลัวไม่ได้บุญกัน เห้อ สาสนาพุด

_0828818xxx กราบนมัสการพ่อครู ลูกติดตามพ่อครูมหากปีแล้วฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจแต่จะฟังต่อไปให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ

_0831219xxx กราบพ่อครูฯ,สณ.,สม.ด้วยความเคารพยิ่งและกราบขอบคุณชาวบุญนิยมทุกท่านฯลูกได้ฟังธรรมจากพ่อครูฯมาเกือบสองปีแล้วได้ชวนภรรยากินมังสวิรัติกินมาได้สามเดือนเศษแล้ว กราบถามพ่อครูฯ ลูกแนะนำให้เกษตรกรใช้เชื้อรากำจัดแมลงเช่นด้วงมะพร้าวแทนการใช้เคมีลูกจะมีอกุศลวิบากไหมครับกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

ตอบ...มันก็มีกุศลเจตนาไม่อะไรเท่าไหร่ ก็ค่อยๆเลื่อนฐานทำบาปให้น้อยลงๆก็ได้ไม่ผลีผลามนัก ก็ไปตามลำดับ โดยมีกุศลเจตนา ค่อยๆเลื่ อนฐานเขา

_0815952xxx ชอบค่ะกราบนมัสการพ่อท่านค่ะ

_0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูกับธ.วิทยาศาสตร์พลังงานอุตุนิยามพีชนิยามจิตนิยามที่ประสานสัมพันธุสังเคราะห์สังขารทำตามหน้าที่แต่ละนิยามได้จาก3เส้าเกิดวิญญาณจากเวทนาสัญญาสังขารจากการที่มีผัสสะกันทุกขณะ!ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?

ตอบ … ถูกแล้ว

_0815428xxx นมัสการครับหลวงปู่... กินรังนกผิดบาปไหม?กินอาหารเจกินรังนกได้ไหม?กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ.

ตอบ...จริงๆแล้วถ้าไม่กินได้จะดีกว่า ถามว่าบาปไหม?

รังนกนั้นมันก็คือ   น้ำลายของมัน จริงๆแล้วนำ้ลายนี้มันก็ออกมานอกตัวนกแล้ว ซึ่งนำ้ลายนี้มันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำไว้ใช้เลี้ยงชีวิตมัน เพราะมันเอาออกมาใช้เป็นส่วนข้างนอกทิ้งไปแล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเก็บตอนที่มันทิ้งแล้ว (คือมันใช้เป็นที่เลี้ยงลูกอ่อนเสร็จแล้วมันก็ทิ้งรัง) ถ้าอย่างนี้ก็ไม่น่ามีปัญหามาก

 แต่นี่ไปเก็บที่ตอนมันใช้งานอยู่ เลี้ยงลูกอยู่ ดีไม่ดีเอาลูกมันทิ้งด้วยก็ไม่ดี ต้องบาปแน่

แต่ถ้ามันก็ใช้งานเสร็จแล้ว(เลี้ยงลูกเสร็จแล้ว) และลูกมันก็ไม่ใช้รังแล้ว เราก็เก็บรังมันมากินก็ไม่น่าจะบาปอะไร มันก็จะทิ้งรังนี้แล้ว เหมือนกับเดนที่สัตว์กินนะ หรือที่มันตายเองสัตว์ตายเอง เป็นปวัตตมังสะเป็นเนื้อสัตว์ที่ มันทิ้งร่างของมันเอง

*ไม่มีใครไปฆ่าสัตว์ ไม่ได้ตายด้วยการมุ่งหมายฆ่า *(อุทิสสมังสะ )คือคนเจตนามุ่งหมายฆ่าสัตว์ แล้วมันตาย อย่างนี้กินไม่ได้*

แต่ถ้าเป็น ปวัตตมังสะ มีนัยยะสองอย่าง

1. คือมันตายเอง เจ้าของจิตนิยามมันทิ้งร่างมันไปแล้ว เอามากินได้

2. หรือเดนที่สัตว์เดรัจฉานด้วยกันที่มันต้องกินเนื้อ มันก็กินกันเอง ซึ่งมันก็เป็นวิบากกันไปกันมาของพวกมันเอง กินทิ้งเดนไว้แล้วเป็นเนื้อบังสุกุล (ทิ้งแล้ว) ก็กินได้

  เพราะฉะนั้น รังนกที่เป็น ปวัตตมังสะ ทิ้งแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ก็ถือว่าเป็นปวัตตมังสะ

แต่ถ้าเอามาจากที่ๆมันใช้งานอยู่ เลี้ยงลูกอยู่ นี่ก็บาปแล้ว *

ถ้าไปจับลูกนกไปไว้รังนั้นรังนี้ แล้วเอารังนกมากิน ก็ไม่ได้ *

_0811203xxx ขออนุญาตแจ้งข่าวค่ะ ลูกดูรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ช่องหนึ่งมีการนำเสนอข่าวคนที่ จ.นนทบุรีเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า และมีรายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่าปีนี้กำลังระบาดสูงสุดในรอบห้าปี ภาคอีสานที่ จ.อุบลฯ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีเชื้อดังกล่าวในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ อีก จึงฝากข่าวไปยัง ญตธ. ทางบ้านที่เลี้ยงสัตว์อยู่ให้ระมัดระวังกันด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ. ปล.พ่อครูสอนว่าไม่ควรเลี้ยงสัตว์ เพราะเป็นการสร้างอกุศลวิบากเรื่องความผูกพันลูกเข้าใจถูกต้องไหมคะ

ตอบ...คนแต่ละคนก็ตาม สัตว์แต่ละตัว มันก็เกิดมาใช้วิบากของมัน เราก็ให้มันใช้วิบากตามความสามารถของมัน แต่ถ้าเราไปยุ่ง เหมือนหมูจะหามเราเอาคานไปสอด ก็ยุ่ง วิบากเขาก็ให้มันรับของเขาเอง ถ้าเราไปช่วยเขา เขาก็ไม่ได้ชนะด้วยความสามารถของเขา ก็เสียเวลาของเขา(ในการใช้วิบาก) คุณไปแทรกทำไม? สัตว์มันไม่รู้เรื่องด้วยอีก

*พระพุทธเจ้าสอนให้อย่าทำนาคนอื่น ให้ทำนาตนเองก่อน เอาให้มันถูกต้อง

 

_0893867xxx ธรรมะพ่อครูวันนี้ย๊ากยากจริงขอบคุณบุญนิยมจรธ.สื่อ ฟ้าศิลป์

_0818557xxx กราบนมก.พ่อครูที่เคารพอย่างสูง ลูกชอบมากๆเจ้าค่ะที่ท่านเทศน์..ย้ำทุกคำจากพปฏ. ซ้ำๆบ่อยๆนะเจ้าคะ ช่วยลูกๆให้เข้าใจและจดจำได้..กราบนมก.เจ้าค่ะ

_ถ้าจะส่งเราไปบวชวัดพระธรรมกายจริงๆ ให้เราไปหลอกลวงคนมาทำขายตรงดีกว่า บาปน่าจะเท่ากัน ข้อความตรงใจ หาคนช่วนตอบด้วย/Gusara Tamma

ตอบ...การขายตรงนี้บาปตลบเดียว

แต่การไปทำแบบธรรมกายนี้บาปซับซ้อนกว่าอีก รู้ทันไม่ง่าย ซับซ้อนหลายชั้น

_พ่อครูเจ้าขาเราเป็นผู้หญิงเราควรจัดการอิตถีภาวะหรือความเป็นผู้หญิงของตนให้เป็นปุริสภาวะ แล้วปุริสภาวะคืออย่างไร?

ตอบ...อันนี้ตอบแล้ว

_ดิฉันตั้งจิตอย่างนี้ถ้าดิฉันตายตอน 80 ปีมีสิทธิ์เกิดมาตอนพ่อครูยังอยู่ได้ไหมคะ

ตอบ..ตั้งได้แต่จะได้หรือไม่ขึ้นกับวิบาก คนเราเกิดมาชาติหนึ่งเอาวิบากกลุ่มหนึ่งมาใช้มาใช้ชุดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเอาวิบากมาทั้งหมดนะ เช่นชาติหนึ่งคุณต้องใช้วิบากอันนี้แค่นี้

ขออภัย อาตมาเคยเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาแล้ว แต่ชาตินี้ต้องมาเกิดเหมือนหมากลางตลาด จนแล้วจนอีก ต้องหลบบังตอ ต้องหลบน้ำร้อนเขา แต่อาตมาก็เคยผ่านมาแล้วเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7​ มานี่ผ่านมาไม่รู้กี่ล้านๆๆๆชาติ เพราฉะนั้นคนมาเกิด เอาวิบากกลุ่มหนึ่งมาเกิด บางปางก็เป็นวิบากที่ให้คุณสู้ในชาตินี้ จะต้องทำอันนี้ให้ได้

ขออภัยอย่างในหลวงก็ต้องทำแบบของพระองค์ซึ่ง ไม่เหมือนของอาตมา

ในหลวงท่านมาบำเพ็ญเตมีย์ใบ้กับมหาชนก

แต่ละคนก็มีชุดวิบากแต่ละคน และพอตายลง วิบากใหม่จะสังเคราะห์ใหม่กับวิบากเก่าอีก แล้วก็จัดจำนวนหนึ่งให้เราไปเกิดตามฐานะของเราไปเกิดใหม่จะต้องไปใช้วิบากอันนี้ ซึ่งมันละเอียดละออมาก เป็นอจินไตย เพราะฉะนั้นไม่แน่ไม่นอน ไม่เที่ยงไม่แท้

อย่าเพิ่งไปตู่ว่าใคร ว่าเป็นพี่เป็นน้องกันมา มาปางนี้ดูเหมือนคนนี้ต่ำเตี้ยกว่าเรา แต่ความจริงสูงกว่าเราตั้งเยอะ อย่าไปทำเป็นอันขาด ระมัดระวังนะจะไปเจอคอนะซวยนะทำเป็นดูถูกดูแคลนไปละลาบละล้วงอะไรมากมายไม่ดี อย่าไปดูถูกใคร

ก็ตั้งจิตได้ แต่จะเกิดใหม่ได้หรือไม่ ตามต้องการก็ไม่แน่

 

หมด sms มาเข้าสู่บทเรียน …

*โสดาบัน “ผู้เข้ากระแสธรรมโลกุตระ”* หมายความ ว่า

ผู้นั้นต้องรู้จักจิตใจตนเอง และ อ่านจิตใจตนเอง อ่านออกอ่านได้จริงๆ ว่า จิตใจตนอยู่ในทิศทางของ“เคหสิตเวทนา”(ความรู้สึกแบบโลกีย์) อันเป็น“มโนปวิจาร 18”ของเวทนาโลกียธรรม คนเราจะต้องผ่านทางนี้มาก่อน

- แล้วสามารถทำจิตใจของตน(มนสิกโรติ)ให้“ออกจากกระแสโลกียะ”เข้าสู่ “โลกุตระ”(เนกขัมมสิตเวทนา)ได้สำเร็จ

เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นพลังงานจิตของเราว่า เราทำเนกขัมมะออกได้จริงๆ มันไม่ใช่งมๆๆคลำๆ มันต้องชัดเจนใน อาการของจิตเจตสิกของเรา ว่าอย่างนี้จิตของเราอยู่ในกระแสของโลกีย์ ซึ่งเราก็พยายามปฏิบัติกดข่มมัน มันก็เฉยๆ กดข่มมัน มันก็ลดโลกีย์

แต่นี่มันไม่ใช่กดข่ม มันเกิดจริงเลยว่า อ๋อ!  มันเปลี่ยนแปลงมันลดได้

แล้วมันก็มีอาการมา มีพลังงานมา ทางเนกขัมมะ การกดข่มนั้นพลังงานดับไปเฉยๆ หยุดไปหมด

แต่ทางไม่กดข่ม(สมถะ=กดข่ม)คือ วิปัสสนา

มันไม่ได้ทำอย่างนั้น มันเอาเฉพาะอกุศลจิต หรืออกุศล เจตสิก มาดับมาลด

พอดับลดลงๆ ส่วนจิตของเราสะอาดขึ้น พลังงานมันมากขึ้น

พลังงานมันดีขึ้น ไม่ว่าจะเชิงปัญญาหรือเชิงเจโตมันจะทำให้เราได้เข้าใจตามของจริงเป็น ปัจจัตตัง

เราจะอ่านออกเพราะฉะนั้นเราจะเห็น เราจะเห็น รู้เองว่า อ๋อ! เนกขัมมะ! จิตของเรามันผ่านเข้ามาทางกระแสโลกุตระแล้ว

แม้ขั้นแรกขั้นต้น เราจะเห็นว่า เอ้อ! มันเปลี่ยน มันคนละลักษณะอาการ

คนไหนมีปฏิภาณดีๆจะอ่านออกเร็ว คนปฏิภาณไม่ดีก็จะอ่านออกช้า

เเต่ยังไงคุณก็จะต้องมี ญาณปัญญารู้ของจริง ถ้าคุณทำถูกต้องสัมมาทิฏฐิ

*เราก็จะเห็น จิต*ของเรา นี่!มันเข้ากระแส ที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าโสดาบัน ภาษาบาลีก็เรียกว่าโสตาปันนะ

 

และคำว่า “มิได้สดับ” ก็คือ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังคำตรัสหรือความรู้ขั้น“โลกุตระ” ซึ่ง“ความรู้”นี้ เป็นความรู้ขั้น “อาริยชน

 

“อาริยชนคือ ผู้มี“ภูมิปัญญา”หยั่งรู้ แล้วปฏิบัติบรรลุธรรมอันเป็น“ปรมัตถธรรม”มีผล  

และหยั่งรู้ถึงการปฏิบัติ และก็รู้ว่าจิตตัวเอง บรรลุธรรม เพราะจิตของเรามี  ปรมัตถธรรม  (จิต เจตสิก *รูป* นิพพาน )

จิต เจตสิก ของเรามันเปลี่ยนแปลงจริงๆ อ่านจากอาการ ลีลาเคลื่อนไหวของมันจริงๆ

“ปรมัตถธรรม”คือ ธรรมะที่เป็นภาวะของ“จิต-เจตสิก-*รูป*-นิพพาน

 คำว่า”*รูป*ในจิต เจตสิก รูป นิพพาน”นี้ หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้แม้ขั้นนามธรรม และ มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้เป็นรูปธรรมที่เชื่อมโยงมาจากข้างนอก

แล้วมันก็เป็นเฉพาะรูปขั้นนามธรรมระดับ รูปจิต อรูปจิต  *ถูกรู้ได้อีกทั้งๆที่มันเป็น รูปจิต อรูปจิต แล้วนะ

ถ้า”กามจิต” มันเชื่อมโยง กับกามคุณ5 ทวาร

ทีนี้เมื่อมันไม่มีแล้ว กิเลสกามหมดแล้ว

เหลือแต่กิเลสในจิต รูปจิต อรูปจิต มันก็เป็น *รูป*ที่ถูกรู้ได้ (สิ่งที่ถูกรู้ นั้นเรียกว่ารูป)

เพราะคำว่า จิต เจตสิก *รูป* นิพพาน  (ปรมัตถธรรม)

คำว่า รูป*  คำนี้จึงไม่ใช่ รูป^ เบื้องต้น ที่อยู่ในกลุ่ม รูป^ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  (รูป^ คำนี้มันหยาบกว่า รูป* ในจิต เจตสิก รูป* นิพพาน)

เพราะฉะนั้น ผู้สามารถหยั่งรู้“จิต-เจตสิก-*รูป* (สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่วัตถุแค่นั้นรู้ถึงขั้นนามธรรม)-นิพพาน”ได้

“อาริยชน”จริงนั้นจะสัมผัสความเป็นนามธรรม”ดังกล่าวนี้ได้แท้ ด้วย

สัญญา” และด้วย“ปัญญา“ของตน และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”

ที่สามารถวิจัย“จิต-เจตสิก-รูป(สิ่งที่ถูกรู้แม้ขั้นนามธรรม)-นิพพาน”สำเร็จ

 

โดยเริ่มจาก“โสดาบัน”คือ ต้องรู้

*“วิตักกะ(วิตก)- วิจาระ” รู้จิตที่เป็นอาการของวิตักกะ อาการของวิจาร ถือเป็น อาริยชนขั้นต้น *

ต่อจากนั้นก็“สกิทาคามี” แล้วก็“อนาคามี” และสูงสุด“อรหันต์”

ขอแวะมาอธิบาย วิตักกะ. วิจาระ

ผู้ที่สามารถทำใจในใจเป็น คือทำสังกัปปะ 7 เป็น หรือทำเวทนาในเวทนาหรือมโนปวิจาร 18 มโนปวิจาร36 ที่เป็นโลกีย์(เคหสิต)ทำให้เป็นเนกขัมสิตะที่เป็นโลกุตระได้  คือสามารถ *อ่านอาการ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ*

 

อ่านอาการตั้งแต่ เริ่มดำริ เรียกว่า ตักกะ

ถ้า ตักกะ เราเอามาเรียกในภาค มรรค ภาคต้นบัญญัติ ก็คือ เหตุ และผล เป็นธรรมะสอง

สิ่งที่เปรียบที่เทียบกันไปเหมือนจะชัด พอเรามาอ่านจิตของเรา จะอ่านได้ว่า...

 อ๋อ! จิตของเรา*เริ่มดำริขึ้นมา มันไม่ใช่จิตตัวเดียวแท้ๆสะอาดๆนะ

มันมา*สองนะ *

*ตักกะของคนอวิชชาทุกคนนี่ มีธรรมะสองมาเกิด เราจะแยกจิตที่เริ่มดำรินี่ แยกออกเลยว่า...

นี่คือ กามสังกัปปะหรือ กามวิตก (วิคือรู้ยิ่งเลย)

โอ้โอ! นี่มันมี อาการกาม อยู่กับจิตที่เป็นธาตุรู้ของเรา

ธาตุรู้ของเราคือจิตแท้ ใช้สัญญากำหนดรู้เข้าใจ โอ้! แยกออก อาการอย่างนี้ของจริง อาการอย่างนี้ คือ กาม

ตัวอย่าง เช่น เจอแก้วมังกรข้างหน้า แหม! สัมผัสแล้วนี่ รูปงาม สวยเปล่งเลย โอ้โฮ! อาการกามเกิด คุณก็อ่านอาการ กามออก  อาการ อารมณ์หรือความรู้สึกแท้หรือเวทนาตัวจริง คือเห็นของแท้

ใครๆก็เห็นเหมือนกัน อ๋อ! แก้วมังกรอันนี้มันรูปร่างอย่างนี้สีสันอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ ทุกคนเห็นเหมือนกัน รู้เหมือนกันทุกคน ด้วยตา ถ้าได้กลิ่นก็ได้กลิ่นเหมือนกัน  สีก็เห็นเหมือนกัน แตะลิ้นรสก็รู้เหมือนกัน การรู้อันนั้นคือของแท้ 

*แต่เวทนาตัวกามมีอาการต่างกับอันนั้น ไม่ใช่เวทนาตัวจริง เป็นเวทนาตัวเก๊ ตัวปลอม

ถ้ามันอยาก(เวทนา) ก็คือ อาการผีนรก*

ถ้าคนที่เห็นแล้วรู้สึกดี  รู้สึกโอ้โฮ!เห็นตัวนี้ก็ชื่นใจ นี่เป็นสวรรค์ ติดกับสวรรค์

คนที่ไม่ชื่นใจเห็นแล้วไม่ชอบ มันไม่ใช่สัตว์สวรรค์แล้วอันนี้เป็นสัตว์นรกแล้ว มันไม่เหมือนกันแล้วอันนี้นะ แต่ไอ้รูปร่างสีสันของจริงมันเหมือนกันทุกคน ทุกเพศทุกวัยถ้าไม่ประสาทเสีย จะเห็นเหมือนกันหมดทุกคน

แต่อารมณ์อีกอารมณ์หนึ่ง ที่คุณอุปาทาน คุณเป็นไปเอง *อันนั้นของเก๊ นั่นแหละเวทนา2

เพราะฉะนั้น ตักกะ(เร่ิมดำริ)คุณแยกออกว่าอันนี้อาการ กาม หรืออาการพยาบาท

เอาละ! เอา กามก่อน  พยาบาท ก็เหมือนกันถ้าเราเข้าใจว่า มันเป็นอาการ ทำร้าย กามมันดูด อ่านอาการให้ออก คุณก็จัดการกับตัวนี้(กาม)

*วิจาระ คือ พฤติกรรมของมัน (กิเลส)

*ตักกะ คือ เหตุและผล แยกได้ อธิบายได้ ว่าคืออันนั้น อันนี้ อย่างโน้น อย่างนี้

จาร คือตัวจริง พฤติกรรมจริง พฤติของไอ้ตัวนี้แหละ มันมีพลังงาน มันมีลีลา

มันมีอะไรอย่างไรๆ คุณจะเห็นมันเลย นอกจากจะรู้เหตุ รู้ผล จะแยกได้โดยเชิงปัญญา

ไอ้ตัว จาร  คือตัวเจโต ตัวเจตสิกจริง อาการจริงของจิตเลย มัน(กาม)เป็นอย่างนี้แหละ กามมันเป็นอย่างนี้นะ มันต่างจากพยาบาทนะ

มันมีอาการ แรงเท่านี้ เบาเท่านี้ แรงกับเบาก็ต่างกัน เป็นลิงคะ เช่นมันแรงเท่านี้นะ คุณก็เริ่มอ่านอาการออก

จากนั้นคุณก็ สังกัปปะ ต้องจัดการให้มันเป็นสัมมาสังกัปปะ คือ จัดการปหาน ตัวนี้แหละ คุณใช้ปหาน5 จัดการให้ชนิดเสร็จเลย ไม่ว่าจะได้เท่าไร ก็ทำเป็นส่วนแห่งบุญ ไปเรื่อยๆ เมื่อเสร็จจบ คุณก็ได้ ตัววิเศษเลย เป็น วิตักก

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ สามเส้านี้ทำงานได้สำเร็จ(ปหาน5) เป็น วิตักกะ

สังกัปปะ ก็คือ การสังเคราะห์ สังขาร อภิสังขาร จัดการเลย จัดการสังกัปปะ7นี่แหละ ปหาน5 ให้มันเสร็จ เสร็จแล้วก็เป็น วิตักกะ

วิตักกก็อยู่ในจิตที่จะออกไปใช้งาน เมื่อคุณทำได้ ก็เพิ่มสั่งสมลงไปเป็น

อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภิโรปนา เป็น3ขั้น จริงๆมันมากเป็น ร้อยขั้น พันขั้น  นี้ก็ได้ จิตของคุณมันจะตั้งมั่น ดีขึ้นๆเรื่อยๆ

ก็คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภิโรปนา ตั้งมั่นได้แข็งแรงที่สุด ขั้นเก่งสุด ท่านแบ่งเป็น 3 ขั้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้น คุณทำไป สั่งสมไป ตั้งมั่นได้มากเท่าไหร่ๆ ก็ผ่านอันนี้ไปได้ ก็ไปใช้งาน

ความตั้งมั่นเป็นตัวรับรองว่า คุณจะไป ใช้งานได้ดี แข็งแรง ตั้งมั่น มีพลังสูง อะไรก็แล้วแต่ จึงเป็นธรรมะ 2 ปรุงแต่งกันขึ้นเป็น วจีสังขาร เป็นสังขารตัวที่เป็นอภิสังขารที่คุณจะเอาไปใช้ หมายความว่า คุณผ่านด่าน 2 ด่าน

 คือ ด่านปัญญา กับ ด่านเจโต

 2 ตัวนี้ (ปัญญา กับ เจโต) จะจัดการ ตามจริต  บารมี ของใครของมัน คุณก็จัดการกับจิตของคุณ ที่จะออกไปใช้ ใครจะประมาท โอ้โอ!! ได้แค่นี้ ใช้หมด ใช้เกินกว่าจริง เช่น อาตมามี 100 อาตมาจะไม่ใช้100

ก็จัดการเอาไปใช้งานข้างนอก

วจีสังขาร จึงยังไม่ใช่ กรรม

วจีสังขาร เป็นการสังขารภายใน เป็นเรื่องของ จิตในจิต จริง

ออกไปข้างนอกแล้วจึงจะเป็น วจีกรรม

ถ้าไปเป็นองค์ประชุมรวมทั้งหมด นัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็เป็นกายกรรม เป็นกายวิญญัติ เป็นวจีวิญญัติ ออกไปทำงาน นั่นคือ สังกัปปะ7

เพราะฉะนั้น ตักกะ วิตักกะ ก็มีนัยะต่างกันอย่างที่ว่านี้ และต่างกับ วิจาร

ตัววิตักกะ เป็นตัวทำงานเลย

วิจาร คือจาระ  คือ เจโต    จาระ วิจาระ.   เป็น รูป*

ตักกะ วิตักกะ  คือ ปัญญา  เป็น  นาม*

เข้าคู่กันก็เป็นธรรมะ2. เมื่อทำได้ลงตัว เป็นเอกธรรม*สำเร็จ และจิตของคุณก็เป็น * เอกัคตา คือจิตที่ทำ 2 ให้เป็น 1

ให้เป็นจิตสะอาด ให้เป็จิตที่บริสุทธิ์  ให้เป็นจิตที่ปราศจากคู่(เมถุน) เป็นเอกธรรม เป็นเอกัคตาจิต

คุณก็ทำอย่างนี้ไปตลอด เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอาริยชนขั้นต้น เป็นโสดาบัน ต่อจากนั้น ก็เป็นสกิทาคามี อนาคามี สูงสุดก็เป็นอรหันต์

สรุป มันก็ทำอย่างนี้แหละขั้นต้น แล้วคุณก็สั่งสมไปเป็นระดับๆ จากโสดาบันทำได้แล้ว คุณก็ทำอย่างที่ได้แล้วนี้อีกกับปัจจัยอื่น คุณก็ทำไปๆ ก็จะสั่งสมเป็นสกิทาฯสกิทาฯจึงยังไม่มีที่จะเป็นแบบ

พอสกิทาฯเต็มตัวเมื่อไหร่ ก็เป็น อนาคามี*

สกิทาฯ เป็นตัวอยู่ระหว่างกลาง เหมือนกับ อินทรีย์ กับ พละ

อินทรีย์ ก็คือสั่งสม ปัญญา ปัญญินทรีย์สั่งสมไปๆจบ ก็เป็นปัญญาพละ

เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปก็ทำตามลำดับ สะสมไปเป็นลำดับ ด

จากโสดาบันทำได้แล้ว ก็ทำอย่างนั้นกับเหตุปัจจัยอื่นอีก

สกิทาฯก็ไม่มีการแบ่ง เหมือนกับอินทรีย์กับพละ

อินทรีย์ ก็คือสั่งสม ปัญญา ปัญญินทรีย์สั่งสมไปๆ จบก็เป็นปัญญาพละ

สัทธาก็สัทธาเริ่มต้น ต่อไปสัทธาก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สัทธินทรีย์ สูงไป

นั่นแหละเหมือนโสดาฯ สกิทาฯ จนกว่าจะเป็นอรหันต์ 

เพราะฉะนั้นถ้ายังอยู่ ในระดับพวกนี้ ก็จะมีวงวน*ของตัวเองอยู่

จนกว่าจะถึงอนาคามี จึงจะตัดรอบไม่วนได้แล้ว

 ไม่ออกมาหากาม ไม่ออกมาหาภพพวกนี้แล้ว

แต่พวกนี้มันก็จะสูงๆตำ่ๆ

จนกว่าจะไปได้สูงขึ้นเรื่อยๆ เลื่อนชั้นอยู่สูง ไม่ลงตำ่ง่ายๆ จนกระทั่งไม่ลงเลยเด็ดขาด

เข้าเขตอนาคามี จะไม่ออกมาหากามภพข้างนอก คุณก็ล้างไปซิ ท่านก็แบ่งไว้อีก5ขั้น

 พอเป็นเต็มสกิทาฯ ก็เป็นอนาคามี ซึ่งมีอีก 5 ขั้น

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

คุณก็จัดการไป เหลือของตนเองไป แม้คุณจะไม่ทำ เป็นอนาคามีแล้ว คุณไม่ปฏิบัติต่อ ปล่อยไป มันก็เสื่อมของมันเอง แต่จะนานเท่าไหร่ บ่ฮู้!(ไม่รู้) แล้วแต่บารมี แล้วเเต่เหตุปัจจัยของคุณ เพราะคุณจะไปทำอะไรได้หละ ก็ได้แค่นี้ คุณก็ปล่อยแล้ว มันจะนานเท่าที่มันจะนาน นี่คืออันตราปรินิพพายี

อุปหัจจปรินิพพายี แปลว่าด้วยความสามารถ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าคุณไม่ปล่อย  คุณทำมันไปเอง คุณมีพลังงานเท่าไหร่ที่คุณจะใช้แม้ในภายใน

ถ้าในปัจจุบันที่มีเหตุปัจจัยครบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันจะมีองค์ประกอบครบ มีองคาพยพครบ และอนาคามีทำขึ้นเรื่อยๆได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ

ตายไปแล้วอุปกรณ์ไม่ครบ จะช้านาน แม้จะอุปหัจจ(ด้วยสามารถ) คุณจะพากเพียรเท่าไหร่ ก็ยาก

เพราะฉะนั้นอาตมาคนหนึ่งไม่เอาอนาคามี 5 ที่เป็นสุทธาวาส เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม บอกว่า “เราไม่เอา เราไม่เข้าสุทธาวาส” จะไปค้างอนาคามีอยู่ในภพทางจิตเราไม่เอา จะเอาแบบมีองคาพยพ 32​ประการ ใช้อันนี้แหละทำ ไม่ไปเสียเวลาในอนาคามี

อุปหัจจ(ด้วยสามารถ) ยังแบ่งไปอีก 2 คือ..

-สสังขารปรินิพพายี (ผู้ที่สามารถไม่ดีเท่าไหร่ มาก น้อยจนกระทั่งสำเร็จ

-อสังขารปรินิพพายี  (ผู้ที่สามรถดี)

ส่วน อกนิฏฐคามี คือผู้มีบุญบารมีสูง ยังไงจะทำหรือไม่ทำ ก็ยังปรินิพพานได้ไวกว่าขั้นอื่น4ขั้น ยิ่งทำก็ยิ่งเร็วขึ้น

ส่วนอันตราปรนิพพายี ยังไงก็ปรินิพพาน แต่ไม่รู้เมื่อไหร่?

นี่คือ อานาคามีภูมิ 5

เป็นความรู้ขั้นอาริยะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศาสนาไหนๆ ก็ไม่มี…..

-ไม่มี สมณะ 4 คือ โสดาฯ  สกิทาฯ อนาคาฯ และอรหันต์

-ไม่มี มรรคองค์ 8

-ไม่มี โพชฌงค์ 7

ไม่มีความรู้ ทฤษฎีพวกนี้ ซึ่งสามารถทำให้เป็นอาริยะ โดยทำให้ “จิต”

เป็นอาริยะจิต อย่างนี้ไ้ด้ถ

เพราะฉะนั้นความรู้อันนี้เป็นความรู้อันยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็น อเทวนิยม สายพุทธโดยตรง

ศาสดาอื่นๆ ก็เป็น เทวนิยม ซึ่งคนละขั้ว คนละทาง

ศาสดาทางเทวนิยมถ้าเริ่มมาเข้าอเทวนิยม แล้วเริ่มรับ อเทวนิยมไปบ้างๆไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะมีฐานจิตของชาว อเทวนิยม ตอนแรกจะอวดดี มีอัตตานะ

เอามาแต่ไม่บอกว่าเอาของเขามา พยายามจะเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายสำนึก เมื่อเป็นอาริยะสูง จะยอมรับว่าไม่ใช่ของอันนี้จริง และจะชัดเจนใน เทวนิยม กับอเทวนิยมแท้ๆ ว่ามันคนละตระกูล คนละDNA คนละขั้ว

อันโน้นจะวน(เทวนิยม) ดีสุดอย่างเก่งก็เป็นศาสดา แต่ไม่มีนิพพาน*

และ เป็นอาคามีตลอด* หมดกรรมสิ้นฤทธิ์สิ้นอำนาจ ก็วนมาเช่นเดิม  ไม่รู้พลังงานอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยายจริง จะดันทุรังก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีจริงจะชัดเจนปัญญาของตัวเอง ยอมรับ แล้วเราเป็นอะไรก็จะยอมรับ

“ความรู้ขั้นอาริยะ”นี้เป็น“ความรู้อันยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ท่านทรงค้นพบ“ความรู้”ขั้นนี้ขึ้นมาประกาศให้โลกรู้ตาม และคนสามารถเรียนรู้ แล้วปฏิบัติบรรลุได้จริง ที่พิสูจน์ได้แท้ เป็นวิทยาศาสตร์แน่นอน

ไม่ใช่เรื่องอวดเบ่ง คนที่มีอัตตายึดติด เบ่งใหญ่ ก็ยึดจริง เราก็ต้องยอม จนกว่าเขาจะเข้าใจว่าของแท้เป็นอย่างไร? เขาจะเป็นได้เอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อันนี้ สัจจะมีหนึ่งเดียว ธรรมะโลกุตระจึงมีหนึ่งเดียวไม่อยู่นิรันดร อยู่ตามยุคกาล ตามเหตุปัจจัย

ยุคสองยุค ที่พระพุทธเจ้าไม่มาเกิดคือ

- ยุคหนึ่งคือ เป็นคนดีหมด ไม่ต้องการศาสนาพุทธมาช่วย เป็นกัลยาณธรรม มีคนดีมากพอ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเกิด

-กับอีกยุคคือ ยุคที่เกิดไม่ได้ มีแต่การฆ่าแกงกัน เกิดมาแล้วเสียของ เช่นยุคนี้พระพุทธเจ้าไม่เกิดหรอก เสียศักดิ์ศรีพระพุทธเจ้า ปล่อยให้โพธิรักษ์มาเกิดไม่ค่อยเต็มเต็งนัก ได้เท่านี้ก็ไม่เป็นไร เพราะยุคปลายภัทรกัปป์แล้ว

แต่ยุคทุกวันนี้เสื่อมมาก แม้ชาวพุทธเองแท้ๆ ก็“ไม่สดับ” คือ ไม่ฟัง“ธรรมอันเป็นโลกุตระ”กันแล้ว แม้จะได้ยินก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก ไม่สนใจ โดยเฉพาะ“โลกุตระ” ไม่แยแสจริงๆ

คนที่มาฟังธรรมโลกุตระได้คือ ต้องเป็นคนมีบารมี แม้คนต่างชาติก็มี แต่อาตมาไม่มีบารมีเรื่องการพูดภาษาต่างชาติ ได้ตามฐานะ จะต้องให้คนที่ไม่ใช่ไทย ฟังภาษาไทยไม่ออก เขาต้องขวนขวายมาเรียนเอา ดีว่ายุคนี้มีโทรทัศน์ออกไปต่างประเทศแล้ว แต่ยุคนี้มีเครื่องแปลภาษา เขาขวนขวายได้

เพราะไม่มี“ผู้รู้ธรรมที่เป็นโลกุตระ” ได้แท้ แม้จะพอ“รู้”ก็รู้กันยังไม่สัมมาทิฏฐิพอ จึงไม่สามารถนำพาผู้ศึกษาปฏิบัติบรรลุธรรมพุทธศาสนาอันเป็น“โลกุตรธรรม”ได้

 คนรู้บัญญัติภาษามีมากกว่าอาตมามาก แต่ไม่ได้สภาวะก็เลยไม่มีฤทธิ์

บางคนรู้ครบ แต่จิตไม่เข้ากระแส ชำนาญพยัญชนะมาก ท่องจำเหตุผลร้อยเรียงได้เก่งมากอย่างสายอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์หรือสายเจ้าคุณประยุทธ์ ที่ละเอียดกว่าสายท่านพุทธทาส สุจินต์ก็ละเอียดทางอภิธรรม แต่ไม่ได้เข้าใจสภาวะเนื้อจริง ก็เลยบรรยายไม่ร้อยเรียง

พุทธศาสนาล่วงเลยมาแค่ 2500 กว่าปีเท่านั้น

 ก็พิสูจน์ ชรตา(ความเสื่อม)  อนิจจตา(ความไม่เที่ยง) กันได้ปานนี้

กล่าวคือ เนื้อแท้ของพุทธสัจจะยังอยู่

แต่“ทิฏฐิ”ของคนไม่เที่ยง เปลี่ยนไป เพี้ยนไป เข้าใจผิดไป รู้ไม่ถูกต้อง ยังไม่ตรงตามคำสอนของพระศาสดา ยังไม่ลึกซึ้งพอที่จะปฏิบัติ จนสามารถพาบรรลุธรรมได้ ยืนยันความเป็น“พลังโลกีย์” อำนาจกระแสโลกีย์ที่มีมวลมากในยุคทุกวันนี้ มันมีฤทธิ์มีอิทธิพลแรงจริงๆ แต่ก็ยังมีผู้รู้ได้อยู่

ถามว่ายุคที่คนเลวร้ายสอนไม่ได้ โพธิสัตว์เกิดมาไหม?...

ก็มีมาเกิดเพื่อมาศึกษา แม้จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไปเกิดตามจำเป็นที่ต้องไปศึกษาให้ชัดเจน ไม่ใช่เดา เสียเวลาชาติหนึ่งๆยิ่งบางชนิด สัตว์มันไม่กี่ปีหรอก อย่างเก่งก็ประมาณคน อย่างเต่านี่ไม่ต้องไปเกิดเป็นหรอก มันไม่เลวร้ายรุนแรงอะไรหรอก สัตว์บางชนิดก็ไม่ต้องไปเกิด

ดังนั้น ผู้สามารถเอาชนะพลังอำนาจโลกีย์ได้นั้น จึงแข็งแกร่งแกล้วกล้าอาจหาญจริงๆสำหรับยุคนี้ ที่สามารถชนะพลังแรงฉกาจฉกรรจ์ของโลกีย์ได้ สำเร็จ

ข้อแรก“มรรค 8” มี“ทิฏฐิ”เป็นประธาน  

เช่น “ทิฏฐิ 10” ก็ยังเป็น

“1.นัตถิ ทินนัง                       2.นัตถิ ยิฏฐัง.             3.นัตถิ หุตัง

 4.นัตถิ สุกตทุฏฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก              5.นัตถิ อยังโลโก

6. นัตถิ ปโรโลโก.                7.นัตถิ มาตา               8.นัตถิ ปิตา

9.นัตถิ สัตตาโอปปาติกา           10.นัตถิ โลเก สมณพรหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปัญจ โลกัง  สยัง อภิญฺญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนฺตีติ”

ซึ่งมี 10 ทิฏฐิ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 255 “มหาจัตตารีสกสูตร” เป็นต้น

 

ซึ่งปุถุชนคนอวิชชาที่ยัง“มิจฉาทิฏฐิ” อยู่ทั้ง 10 ข้อนี้ ก็ย่อม“นัตถิ” นั่นคือ ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่สามารถบรรลุผลธรรมแน่นอน

เริ่ม..“นัตถิ ทินนัง” อันหมายความว่า “ทานที่ทำแล้ว ไม่มีผล” เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ” ทุกวันนี้เขาสอนทำทานไม่ได้ละหน่ายคลาย มีแต่สอนทำทานให้เพิ่มภพชาติ

กล่าวคือ ผู้“ทำทาน” ทำทานเป็นแต่ภายนอก ส่วนใจ“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่ลดความโลภ เป็นต้น

ผู้สอนก็ไม่รู้ เรียนเปรียญมารู้ ภพชาติว่าแปลว่าอะไรนะ มนสิการก็แปลได้นะ แต่ไม่รู้ใจ การจะรู้ใจ รู้จริง รู้จิต มโน วิญญาณ *ต้องรู้ขณะปัจจุบัน ปัจจุบันมีผัสสะเป็นปัจจัย* พระพุทธเจ้าย้ำในพรหมชาลสูตรเลย ว่าต้องเป็นปัจจุบันเป็น(ทิฏฐธรรม) ต้องมีกระทบสัมผัสภายนอกแล้วมีใจรับรู้

การทำทานต้องมีปฏิคาหกและทายก ต้องมีผู้ให้และผู้รับทาน แม้คุณจะให้ แล้วบอกว่าไม่ให้คุณนะ แต่ให้คุณเป็นบุรุษไปรษณีย์ส่งไปให้ปู่ย่าตายายที่ตายก็ตาม ผู้เป็นผู้รับ ปฏิคาหก ก็บอกทานไม่ถูก ก็เล่นลิเก บอกว่าส่งไปให้คนตาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ว่ากรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม กรรมของตนพาเกิดพาเป็น ไม่ใช่ God ที่ไหน เรามีกรรมของเราบันดาล เรียกว่ากัมมโยนิ เราสั่งสมกรรมของเราเรียกว่ากรรมพันธุ เราได้อาศัยกรรมของเราเป็นที่พึ่ง อัตตาหิอัตตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา จะเปลี่ยนแปลงภพชาติ ใครก็เปลี่ยนให้เราไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนภพชาติให้เราไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนภพชาติของเราเอง กรรมจะเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ เป็นที่พึ่งของเราเอง

1.      กัมมสัทธา (เชื่อกรรมเป็นเหตุ)

2.      วิปากสัทธา (เชื่อผลวิบากของกรรม) &

3.      กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็น  สมบัติแท้ของตน กรรมเป็นพระเจ้าบันดาลแท้)

4.      ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของตถาคต)

(ข้อ 4 มีใน พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 4)

กรรมจำแนกสัตว์ กัมมุนาวัตตีโลโก เราจำแนกของเราเอง

กรรมเป็นของๆตน กรรมของตนแบ่งคนอื่นไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ ไม่ระเหยระเหิด กรรมของเราเป็นอันทำ อย่าไปเล่นกับกรรม มันไม่ออกฤทธิ์ชาตินี้ก็แล้วไปเถอะ อย่าทำเป็นเล่น มันจะออกฤทธิ์ในเวลาอื่นแน่

ทาน เป็นสิ่งที่ดีแล้ว (สาหุ) อะไรก็มาหาทาน ในบารมี 10 ทัศก็ไปสุดที่ทาน ทำทาน ทำศีล ภาวนาก็เพื่อมารับใช้ผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่น

อรหันต์จบแล้วก็มาเป็นผู้ให้ตลอดกาล แม้จะรับมาก็เพื่อให้ต่อไปอีก เป็นอุปกรณ์ในการให้ต่ออีก ชีวิตก็จบที่ให้

ไม่ใช่จบที่เอา เอานี่แหละตัวร้าย เขามาให้เราเราก็รับ แต่ไม่เอา ให้จริงนะ เราก็เอามาใช้งานเป็นเครื่องประกอบ ผู้มีบารมีก็มีผู้มาให้มาก ผู้ไม่มีบารมีก็ฝืดหน่อยตามธรรม อาตมายังภาคภูมิใจนะว่าชาตินี้อาตมาไม่พาพวกเราเรี่ยไร ไม่หาเล่ห์เลศ

อาตมาอธิบายกับคนงานที่มาทำงานกับเราว่าที่นี่ไม่ขูดรีดเอาเปรียบจากคนอื่น คนมาเที่ยวน้ำตก เราไม่ตั้งร้านค้าขายเอาเปรียบไม่หาเงินจากเขา ไม่ตั้งกล่องรับบริจาคค่านำ้ค่าไฟ ไม่เอาดอกไม้มาขาย ไม่เอา

 ทำงานสุจริต สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ได้ตามแบบบุญนิยม ไม่ทำบาป ขายก็ให้เป็นกุศล ไม่เอาขายเป็นบาป ซึ่งก็ได้น้อย น้อยก็เอาตามน้อย

ไม่ประเล้าประโลมหลอกให้คนมาทำทาน กติกาเราคนนอกมาบริจาคยังไม่รับนะ ไม่ใช่ใช้จิตวิทยา แต่จริงใจ ให้คุณมาคบคุ้นเข้าเกณฑ์ก่อน เราไม่ได้มีใช้จิตวิทยาเลย เป็นเรื่องสัจจะ

อาตมาทำงานมาได้ขนาดนี้ เป็นความสะอาด ความบริสุทธิ์สะอาดตามหลักพระพุทธเจ้า

แม้แต่นักบวชเราก็สะอาด มีเล็กน้อยบกพร่องก็จัดการชำระกัน ใครจะมาเป็นนักบวชไม่ว่าชายหรือหญิงก็ต้องชัดเจน

 ฆราวาสก็คุณธรรมสูงกว่านักบวชได้ แล้วจะเก่งกว่านักบวชด้วย เพราะนักบวชได้อภิสิทธิ์ แต่คุณเป็นฆราวาสก็ทำได้เท่ากับนักบวช แต่อย่าหลงตัว ต้องรู้จักสมมุติ ไม่รู้สมมุติจะพัง ไม่ได้ ต้องมีจิตรู้จักครุกรณะ ปิยกรณะ สังคหะ ต้องเข้าใจพุทธพจน์ 7 นี้ สามัคคียะ เอกีภาวะ

การทานต้องอ่านใจ

ต้องแยกกาย แยกจิตออก แล้วต้องรู้รายละเอียดขององค์ประชุมของจิต พลังงานอุตุ พีชะ จิต สามเส้าต้องแยกออก

คุณทำทานแล้วจิตของคุณขาดไหม? จิตคุณเป็นอาริยะไหม? หรือจิตยังยึดเป็นเราเป็นของเรา ให้แล้วยังยึดอยู่ไหม มันขาดความเป็นเราของเราตรงไหน ละเอียดลึกซึ้งมาก

เอาที่เล็บของเราก่อน เล็บที่ตัดออกไปเป็นอุตุแล้ว

แต่เล็บที่ติดกับร่างอยู่แต่ไม่มีประสาท เป็นพีชนิยาม ยังยาวได้ โตได้มีธาตุต่างๆเลี้ยง แต่มันไม่ใช่กาย แล้ว

มันไม่มีจิตนิยามเข้าไปร่วม มีแต่พีชนิยาม ถ้าตัดออกเป็นอุตุนิยาม มีแต่สัญญากับสังขาร ปรุงแต่งได้

 ความรู้สึกอันนี้นี่แหละที่ไม่เป็นกาย เล็บที่ยาวออกมาไม่มีประสาทติด แต่มีชีวิต

คุณก็ทำทาน พลังงานที่จิตของคุณ ต้องไม่เป็นกาย ให้พิจารณากาย ก็ให้พิจารณาจิต จิตเราไม่ไปสู่เล็บแล้ว แต่ไม่ได้ตัดออกไปนะเป็นจิตนะ คุณให้เขาไปก็เหมือนเล็บยังเป็นเรา

คุณตัดขาดไปแล้วแต่จิตคุณยังต่อเนื่อง ต้องอ่านตัวเราเป็นเรา มันเป็นเราเมื่อไหร่ละวะ มันให้เขาไปแล้ว

 แต่อัตตา อัตตนียา คุณยังไม่ขาดจากเป็นเราของเรา

มันไม่ใช่ชีวะด้วยซ้ำ สิ่งพวกนี้เป็นวัตถุนอกด้วยซ้ำ หรือแม้แต่เล็บจะตัดเอาให้เขาก็ตัดเล็บออกไปก่อน (มีคนคอยเก็บเล็บอาตมาอยู่บ้าง บางที่ก็ใช้เป็นอนุสรณ์ทำให้เขาชื่นใจบ้างก็ใช้เป็นสมาทานยึดไว้อันหนึ่ง)

มันไม่ใช่เรา แต่คุณก็ยังมีเราตามไปอีก คุณต้องอ่านอาการว่าเล็บนี่เราไม่รู้สึกแต่อันนั้นก็ให้เขาไปแล้ว วันคืนไม่ดีนัก ไปเจอ เขาไม่ดูแลเลย ทิ้งขว้าง ของเรามีค่าจะตาย นั่นยังยึดเป็นเราเป็นของเราอีก ทั้งที่ให้เขาไปแล้วนะ

ก็อ่านใจตนเองของเราว่านั่นคือเรา คือของเรา  แม้เราจะสัญญาจำได้ แต่อย่าไปยึด

จำได้ ว่า สิ่งนี้ขาดจากเราไป จำได้ ไม่ได้ห้ามสัญญา แต่คุณอย่ามีอาการยึดเป็นเราเป็นของเรา ให้ไปแล้วทานไปแล้วก็ให้ขาด การทำทานนี่แหละศึกษาเป็นอรหันต์ได้เลยนะ ถ้าทำได้ขาดก็ได้อรหัตผล

แม้อนาคามีก็จะรู้ว่าเหลืออยู่นิดๆในรูปราคะ อรูปราคะ ยังเป็นเราเป็นของเราไหม?

การที่บอกว่าเป็นเราเป็นของเราโดยตรรกะนั้นน่าสงสาร ไม่ได้อ่านจิตอย่างที่อาตมาว่า เพราะทุกคนมีทานทั้งนั้นให้น้อยหรือมากก็แล้วแต่ เช่นเดียวกับที่คนต้องกิน ก็อ่านจิตในจิตเรื่องกิน จะบรรลุอรหันต์ได้ ไม่ต้องยึดถืออะไรเอา

พ่อแม่ให้แก่ลูกยังยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่ มีไหม? ขนาดพ่อแม่นะ “ให้”ก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเราอีก

บางทีกลับกัน ให้ลูกสิ ต้องถือว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ให้กับคนอื่นนี่ ไม่ยึดถือกว่าให้ลูกอีก บอกว่ามันลูกเรา เราให้มันเกิดมานะ ซับซ้อน

นัยของการให้ หรือทานที่ให้แก่เขา เราต้องอ่านอาการพวกนี้ให้สำคัญ

แต่นี่อ่านอาการของใจไม่เป็นก็ไม่บรรลุ ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทสดีๆแล้วไปทำ ก็นั่นเป็นเรา เป็นของเรา

 ยึดไว้ด้วยตัณหาและทิฏฐิ

ตัณหา คือโยงใยอยากคืนมา

ส่วนทิฏฐิ คือความเข้าใจ

ลดตัณหาได้ก็ยังเหลือทิฏฐิ เป็นเยื่อใย ในความรู้ความเห็น ก็ไม่ได้อยากเอาคืนแล้วล่ะ แต่ก็ยังบอกว่าตนเองคือผู้ให้อีก อย่างเช่นอาตมานี้ ให้นะสอนมาแท้ๆนะ นิปปุนามาก ละเอียดระดับนิพพานเลย ปณีตะก็ละเอียด แต่นิปุนานี้ละเอียดกว่าปณีตะ

ก็มาที่ผู้ไม่ได้สดับก็ไม่มีหวัง ไอ้หวังตายแน่? แต่คุณอย่าสร้างความหวัง(สาเปกโข) มันจะเป็นเราเป็นของเราสร้างภพชาติ ทำทานก็อย่าสร้างความหวัง ยิ่งได้ฟังละเอียดขึ้นก็ยิ่งดี คนไม่ได้ฟังจากผู้ช่วยอธิบายสู่ฟัง ไม่มีมิตไม่มีสัตบุรุษนี้จะช้า แต่ถ้ามีมิตรดีจะเร็ว ยิ่งได้ฟังจากพระพุทธเจ้าเลย เข้าใกล้เงี่ยโสตสดับ ก็ยิ่งบริบูรณ์

1.      การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .

2.      การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.      ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

ต้องอยู่กับกลุ่มบัณฑิตที่จะนำพาไปได้...จบ

 

 

เพราะ“ทำทาน”ทีใด ก็ได้แต่“ทำใจในใจ”ให้มี“ความโลภ”เพิ่มขึ้นๆ มีแต่“ทำใจอยากได้สิ่งตอบแทนคืนมามากขึ้นๆ จิตใจก็มีแต่“ทำใจ”เติมกิเลสโลภเพิ่มขึ้นๆ แล้วมันจะ“มีผล”ลดความโลภกันตรงไหนล่ะ?

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเป๊ะเลย(เล่ม 23 ข้อ 49) ตั้งแต่“ทำใจในใจไว้”หยาบใหญ่ที่สุดคือ “ทำทาน”แล้ว ยังตั้งจิตคิดว่า ตายไปแล้วจะได้เสพเสวยของผลทานที่ให้แล้ว นั้นๆ”(อิมัง เปจฺจะ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ)  

นี่คือ “ยึดภพ”ไว้อย่างเหนี่ยวแน่นปักมั่น ไม่มีทางจะลด“ภพ”ได้แต่อย่างใดเลย ตาม

จิตของคนที่“ยึดอยู่”จริง ยังไงๆก็ยังมี“ภพ” มี“ชาติ”ที่ตนจะได้เสพเสวยผล ยังไม่ลดละ

ถ้าแม้นผู้ใด“ทำทาน”โดยไม่ตั้ง“ภพ”ดังว่านี้ คือ “ไม่คิดว่า ตายแล้วตนจะได้เสวยผลทานนี้ ในชาติหน้าโน้น” 

ผู้นี้ก็เริ่มจะลด“ภพ”ให้แก่ตนขั้นหยาบ

สุดลงบ้างขั้นหนึ่ง ขั้นต้น ชื่อว่า ได้ทำใจใน

ใจ“ลดภพ”ลงจริง ลดขั้นหยาบได้แล้ว แต่ก็

ยังไม่ได้ลดละ“ขั้นสะสมผล-ผูกพันในผล-

หวังในผล” เหลืออีก 3 ขั้นที่ยังไม่ได้ลดละ

ทำได้ขั้นนี้ ก็ลดละ“รสดาวดึงส์หรือลดน้ำหนักพลังความเป็นเทวดาเก๊”ที่ผู้นั้นยังเสพยังติดลงไปได้ระดับหนึ่ง”เท่านั้น 

นั่นก็คือ “เทวดาจาตุมหาราช” ขั้นนั้นลดลง“ความเป็นเทวดาดาวดึงส์”คู่“ธรรมะ 2”ของจาตุมหาราช”นั้นจึงลดลง ซึ่งก็ยังมี “เทวดาจาตุมหาราช”ที่ยังเป็นแกนร้ายอยู่ และยังเหลือความเป็น“เทวดาดาวดึงส์”อีก

นั่นคือ“ความเป็นปรนิมิตวสวัตตี”แค่นั้นที่ลดลง “นิมมานรดี”และอื่นๆยังเหลืออยู่

ถ้าลด“เหตุ”ที่จะเกิด“ภพ”ลงได้อีก คือ สามารถลด“มุ่งการสั่งสมให้ทาน”(สันนิธิเปกฺโข ทานัง เทติ)ได้ ผู้นี้ก็จะ“ดับภพ”เทวดาขั้น“นิมมานรดี”ลงอีก เป็นระดับต่อไป ก็เพราะกำจัดความเป็น“จาตุมหาราช”ที่เป็นตัวอำนาจบาตรใหญ่ขั้นที่เหลือลงได้อีก นั่นเอง

ถ้าลด“การผูกพันในผลทาน”(ปฏิพัทธจิตโต)ลงได้อีก ก็คือ สามารถลด“จาตุมหาราช”ที่ยังเหลือลงไปได้อีกขั้นหนึ่ง ผลจึงเท่ากับ

“ดับความเป็นเทวดาดุสิต”ลงไปอีกขั้นหนึ่ง

ถ้าสามารถลด“ไม่ตั้งความหวังในการทำทานใส่จิตเลย”ได้ ความเป็น“เทวดาขั้นยามา”ก็เป็นอันไม่มีแล้ว สิ้นสุดความเป็น “เทวดาเก๊”ที่เป็น“ปัจจัย”(outcome)ลงได้แล้ว

เหลือแต่ท่านผู้นี้จะปรับแต่งความเป็น “เทวดาจริง”ได้แก่ “ดาวดึงส์-ยามา-ดุสิต” ที่เป็น“3 เส้าแห่งความมีชีวะในจิตนิยาม อันเป็นอกนิฏฐคามินี”ก็สิ้นเทวดาเก๊(โลกีย์) เหลือแต่“ดาวดึงส์”เทวดาตาม“ญาณ”อาริยะจริง

ดาวดึงส์”ก็คือ“ จิตเทวดาผู้เจริญแท้ๆ

 

ยามา”ก็คือ กาละของเทวดา เท่าที่ท่านจะพึงมีสันตติ(จะต่อเนื่อง-จะเชื่อมต่อไป)เอาเองเท่าใดๆตามเหมาะควร

 

ดุสิต”ก็คือ ภูมิอันเป็นที่พัก ภูมิแห่งความสงบสุขเย็นเป็นที่พักสูงสุดของเทวดาแท้พึงอาศัย(สันดุสิตเทวราช=สงบสุขเย็นที่ยิ่งใหญ่)   

ซึ่ง“ดาวดึงส์-ยามา-ดุสิต” จิตอาศัย 3 เส้านี้เป็น“อัตตาอาศัย”(อรหัตตาคือ อัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว)สำหรับแต่ละฐานบารมีของแต่ละท่านที่มีจริง ท่านก็ปรับแต่งเท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ ไม่หลงตน ทำแต่พอดีพอเหมาะ ไม่ให้เสียผล ให้มีผลดีที่สุดตาม“ญาณ”ของท่าน

    

ดังนี้ ก็เป็นการทำใจในใจขั้นปลายสำเร็จลงแล้ว เป็นการปรับแต่ง(อภิสังขาร)ขั้นอาริยะในจิต คงเหลือแต่ความเป็น“ธรรมะ 3 เส้า”ที่เป็น“มุทุธาตุ”ตามบารมีแต่ละภูมิ

กล่าวคือ เป็นผู้ไม่หลง“ภพเทวดาภูมิไหน”อีกแล้ว และสามารถจะควบคุมปรับแต่ง“จิต”ของตนให้อนุโลม-ปฏิโลมเหมาะควรแก่การณ์นั้นๆตามควรได้(จิตตาลังการัง จิตตปาริกขารัง)เท่าที่บารมีของแต่ละท่านทำได้

              

ฉบับที่แล้วกำลังพูดถึง จุดเริ่มต้นของความเป็น“โสดาบัน” ••••[ฉบับ 316]••••

เรามาขยายความกันให้ลึก ให้ชัดขึ้น

ไปอีก เท่าที่เราจะสามารถสื่อกันได้

“การทำใจในใจ”(มนสิการ)นั้น เราต้องอ่าน “อาการ”ของ“ความรู้สึกในใจตน”คือ เวทนา ได้จริงๆ โดยใช้ใจที่ชื่อว่า“สัญญา”ทำหน้าที่“กำหนดรู้”อาการของเจตสิกต่างๆ

ด้วยการใช้“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”กันอย่างสำคัญ จึงจะสามารถแยกแยะรู้อะไรต่ออะไรจากความเป็น“กาย”ก็ดี ซึ่งจะได้รู้ความเป็น“เวทนา”ที่พระพุทธเจ้าแยกแยะไว้

ถึง“108 เวทนา”เป็นต้น ให้เราศึกษาและปฏิบัติให้เกิดผล จนถึงที่สุดสัมบูรณ์ 108 เวทนา จึงจะชื่อว่า บรรลุ“อรหันต์”อย่างน้อยเป็น“ปัญญาวิมุติ”เป็นผู้สิ้น“อาสวะ 10”

ส่วนผู้ที่“อุภโตภาควิมุติ”นั้นคือผู้ที่ถึงขั้น“เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ”ทั้ง 2 ส่วน และที่สุดเป็นผู้หมดสิ้น“อนุสัย 7”สัมบูรณ์

“การทำใจในใจให้ถ่องแท้หรือลงไปถึงที่เกิด”ที่บาลีเต็มๆว่า“โยนิโสมนสิการ” นี้แล คือ การทำ“กายในกาย”ไปจนถึงทำ“ใจในใจ”

“สัญญา”คือ ใจส่วนหนึ่งของเราที่มีหน้าที่“กำหนดรู้” อ่านรู้ใจ-อ่านรู้กายเรา

“กรรมฐาน”ตัวหลักสำคัญที่ผู้ปฏิบัติ

ทุกคนไม่ละเว้น จะใช้ปฏิบัตินั้นคือ“เวทนา”

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสระบุไว้เสมอ เริ่ม

ตั้งแต่“พรหมชาลสูตร”มาทีเดียว(พระไตรปิฎก

เล่ม 9 ในข้อที่ 77-89) ที่ท่านทรงยืนยันในข้อ 77 ว่า “เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”(อัญญัตร ผัสสา ปฏิสังเวทิสฺสันตีติ เนติ ฐานัง วิชฺชติ ; ปฏิสังเวเทติ = รู้สึก, เสวยอารมณ์)

“เวทนา”นี้เป็น“กรรมฐาน”แท้ในการ

ปฏิบัติให้เกิด“วิปัสสนา” อันมี“โพชฌงค์ 7”

เป็น“พ่อ”(ปิตา)กับ“สติปัฏฐาน 4”เป็น“แม่” (มาตา)ช่วยกันให้“โอปปาติกโยนิ”เป็น“สัมมาสมาธิจิต” ซึ่งต่างกันกับ“กรรมฐาน”ที่ปฏิบัติกันแบบ“สมถะ”ที่ชาวพุทธไทยทุกวันนี้ทำกัน

ซึ่ง“กรรมฐาน”ที่เกิด“วิปัสสนา”นี้ครบพร้อมไปกับการ“ลืมตา”ปฏิบัติมี“สังขาร 3-วิญญาณ 6-“นาม 5-รูป 28-อายตนะ 6-ผัสสะ 6-เวทนา 6-ตัณหา 6-อุปาทาน 4-

ภพ 3-ชาติ 5” จะมีพร้อมในการปฏิบัติตาม“ปฏิจจสมุปบาท”ครบครัน

ส่วนการปฏิบัติ“กรรมฐาน”แบบสะกดจิต(hypnotize)นั้นมีได้ทั้งแบบ“ลืมตา”และมีได้ทั้งในแบบ“หลับตา”

แบบ“หลับตา”นั้นก็กำหนดหมายเอาวัตถุอะไรก็ได้บ้างก็ใช้“รูป” บ้างก็ใช้“อรูป” ยึดเกาะไว้ให้มั่น แล้วก็“สะกดจิต”เข้าไปให้นิ่ง ให้แน่น ให้ปักมั่น ผลก็เป็น “หนึ่ง”แบบ“1 ไม่มี 2”อย่างพาซื่อกับคำว่า“เอกธรรม”

ซึ่งมันคนละแบบกันกับการปฏิบัติที่มี“เวทนา 2”แล้วทำให้เป็น“เวทนา 1 ใน 2” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “เทฺว ธัมมา

ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ”

(พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 60) ซึ่งมันครบครันในการปฏิบัติ“ปฏิจจสมุปบาท”เป็นองค์รวมแท้จริง สมบูรณ์แบบจริงๆ 

ผู้รู้การปกิบัติทั้ง 2 แบบนี้ ก็ปฏิบัติได้ทั้ง 2 แบบตามควรของแต่ละคน

ส่วนผู้ที่“รู้”แบบเดียวคือแบบ“สมถะ” ก็

จะทำได้แต่“การสะกดจิต”(มีแต่ hypnotize ซึ่ง

ไม่มี analyze) จึงไม่มีโอกาสบรรลุ“เวทนา 1 ใน

2”(ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ)

แม้ผู้ปฏิบัติ“ลืมตา”แต่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะยังปฏิบัติเป็นแบบ“สมถะ”ซึ่งยังไม่ใช่แบบ“วิปัสสนา”แท้บริบูรณ์เต็มสัมมาทิฏฐิ

แต่มักจะหลงตนว่าตนทำวิปัสสนา เพราะลืมตาปฏิบัติ และมี“สติสัมปชัญญะ”รู้เห็นภายนอกได้ด้วย เคลื่อนไหวภายนอกอยู่ ก็เลยนึกว่า นี่คือ “วิปัสสนาวิธี”แล้ว

ก็มี“วิปัสสนา”อยู่บ้าง แต่ยังไม่ครบครัน“สัมมาทิฏฐิ”บริบูรณ์

ผู้ปฏิบัติครบครัน“ปฏิจจสมุปบาท 12” และครบครันทั้ง“โพธิปักขิยธรรม 37” (โลกุตรธรรม 37)จึงจะปฏิบัติได้บริบูรณ์ ได้ผลถึงขั้นสัมบูรณ์สุด(absolute) อันติมะสูงยอด(ultimate) ได้จริงๆ

เรามาดูจากพระพุทธวจนะ เล่ม 9

ข้อ 78 “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใด มีทิฐิ ว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไมเที่ยง ย่อมบัญญัติ“อัตตาและโลกว่าเที่ยง บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง” ด้วยเหตุ 4 ประการ  เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 77 เป็นต้นไปถึง

ข้อ 89) พระพุทธเจ้าทรงยืนยันไว้ชัดๆว่า เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ไม่มีผัสสะในการปฏิบัติ แล้วจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ตามทิฏฐิ”ที่แสดงออกมานั้น

ซึ่งสมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฐิก็ดี ยึดไปต่างๆก็ดี ตาม“อันตคาหิกทิฏฐิ 10” โดยกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ก็ด้วยเหตุ 18 ประการเท่านั้น ซึ่งเขาเหล่านั้นจะกล่าวตาม“ทิฏฐิ”ของเขาไปต่างๆถึง 18 ประการได้ ก็ต้อง“มีผัสสะ”

“เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้” ??????????

แม้จะเป็นกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ก็ด้วยเหตุ 44 ประการเท่านั้น ซึ่งเขาเหล่านั้นจะกล่าวตาม“ทิฏฐิ”ของเขาไปต่างๆถึง 18 ประการได้ ก็ต้อง“มีผัสสะ”

 

“เวทนา”นี่แหละคือ “ความรู้สึกหรืออารมณ์” ซึ่งเป็น“อาการทางใจ”ตัวสำคัญ  ต่อจากคำว่า“กาย”(คือ องค์ประชุมของ“ธรรมะ 2”)

และ“ใจ”ก็คือ“จิต” ที่เกี่ยวโยงอยู่กับ“เวทนา”ในคน จึงมีภาวะที่ทรงไว้อยู่ทั้ง “กาย-เวทนา-จิต” “ภาวะที่ทรงไว้อยู่”นี้ แล คือ “ธรรม” สัญญา”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง”(พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 230) “ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย เพราะเหตุไร  เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน  ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ฯ”    

“กาย”จึงคือ “ใจกับรูป” หรือนามกับรูป ซึ่งก็คือ ธรรมะ 2 (เทฺว ธัมมา)ที่เราใช้ศึกษาอยู่เสมอ และเราก็ต้องทำภาวะ 2 นี้ให้เป็น“1

ใน 2”ให้ได้(ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ) จึงจะเป็น“เอกธรรม”(ปุลิงค์หรือปุริสภาวะ ชื่อว่า

เอกัคคตาจิตหรือเอกัคตาเจตสิก) เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ นั่นเอง

“รูป”ก็คือ ภาวะที่ปรากฏให้เรารู้เมื่อมีสัมผัส 6 (เลิกงมอยู่แต่“หลับตา”มีแค่สัมผัส 1 ในใจ กันก่อน) ลืมตาขึ้นมาเห็น ทำความเข้าใจดีๆ

แล้วปฏิบัติ“ลืมตา”ดูบ้าง แล้วปฏิบัติมี“สัมผัส

6 รู้ภายนอกกันดู” แล้วคุณจะได้“จิต”ที่มี

คุณภาพถึงขั้น“ปริสุทธา-ปริโยทาตา-มุทุ-กัมมัญญา-ปภัสรา”คือ“อุเบกขา 5”กันจริงๆ

ก็จะเป็นผู้“อนุโลม-ปฏิโลม”ต่อผู้อื่น ช่วยคนอื่นได้ เสียสละให้ผู้อื่นได้แท้ๆแน่ๆ

จึงจะรู้ได้จริง เป็นได้จริงด้วยตนเองแท้

เช่น จะยืดหยุ่นอนุโลมให้มีอาการจิต

รื่นรมย์เบิกบาน หรือทำ“อภิปปโมทยังจิตตัง”ก็ได้ให้สมคล้อยไปตามโอกาสกับสังคม

บริษัท(ปริสัญญู)ที่เราร่วมอยู่ด้วยนั้น หรือ

กับบุคคลแต่ละบุคคล(ปุคคลปโรปรัญญู)นั้นๆ

อย่างเหมาะสม และร่วมทำไปกับสังคมได้อย่างกลมกลืน ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม

เป็น“สันติภาวะ”หรือ“สันติธรรม”แท้

ท่านก็อนุโลมปฏิโลมได้เท่าที่ฐานบารมีแต่ละท่านมีจริง ฉะนี้คือ ประสิทธิิภาพของจิต ที่มีคุณสมบัติ“มุทุ”(จิตหัวอ่อน)ของแต่ละท่าน

“มุทุ”หมายถึง จิตมีคุณธรรมเจริญขึ้นเป็น“จิตหัวอ่อน” กล่าวคือ ด้านปัญญาของเราก็แววไวไหวพริบเร็วขึ้น เฉลียวฉลาดปราดเปรียวขึ้น นี้จิต 1 ซึ่งเป็นด้าน“ปัญญา”

ด้านเจโตก็สุภาพอ่อนโยนขึ้น ไม่แข็งกระด้างดื้อดึงดันอย่างเดิม จะให้จิตเป็นไปอย่างไร ก็สามารถปรับให้เป็นไปได้ตามที่ต้องการได้ดีขึ้นเร็วขึ้น เป็นคุณสมบัติเจริญดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับ

และอย่างนี้ด้าน“เจโต”นี้อีกจิต 1

เจริญทั้ง 2 ด้าน ดังนี้เอง

“จิต”ผู้ได้ปฏิบัติมาอย่างสัมมาทิฏฐิจึงสามารถอนุโลมปฏิโลมอยู่กับสังคมด้วย

“สัปปุริสธรรม 7”และ“มหาปเทส 4”ได้ดี  

ที่เอาพระพุทธพจน์มาอ้างอิงประกอบ

และสาธยายวิจัยวิจารณ์ผ่านมานั้น ก็คือ

ชาวพุทธทุกวันนี้ว่า“ให้ทาน”(ทานัง เทติ)กัน

หรือ“ทำทาน”กันไม่มีอานิสงส์(ประโยชน์) มีแต่“กุศล”(ความดีงาม)เท่านั้น เพราะยังไม่เป็น “บุญ”(ชำระกิเลส)

ซ้ำมิหนำ“ทำทาน”แล้วมีแต่สร้าง“ภพ” สร้าง“ชาติ”ใส่จิตตนหนักหน้าทับทวีเข้าไปอีก อย่างไม่ประสีประสากันเลยด้วยซ้ำ

เพราะ“ทำใจในใจ”ไม่เป็น ทำไม่ถูก คือ ไม่มีโยนิโสมนสิการ(อโยนิโสมนสิการ) จึงประพฤติ“กรรม”ไม่เป็น“บุญ”ซ้ำ ก็ได้“บาป”

นี่คือ ปฏิบัติ“ทาน”ที่ไม่มีอานิสงส์ คือ ไม่มีผลที่เป็น“บุญ” มีแต่“บาป”

หรือ“ไม่เป็นบุญ-ไม่เป็นบาป”  กลางๆ  ว่างๆ เฉยๆ ทำไปแล้วไม่เกิดบุญ-ไม่เกิดบาป ไม่บวก-ไม่ลบ ก็ทำไปเปล่าๆ สูญเปล่า 

ถ้ามี“ผล” ก็ได้แค่ผลบาป หรือมีแค่เกิดผลกลางๆ-ว่างๆ  ไม่เกิดผลอะไร เป็นต้น

ไม่มีผล“บุญ”นั่นเอง มิได้ชำระกิเลสเลย

“อานิสงส์”หรือ“ประโยชน์”คือ เช่นนี้

“บุญ”จึงมี“ประโยชน์”(อานิสงส์) ไม่ใช่ ไม่มีอะไร  แต่เป็นประโยชน์ด้าน“วิบัติ”สิ่งที่ควร“วิบัติ”(หายฉิบ) ก็ บาป ก็ อกุศล,ทุจริต นั้นแล ที่“หายไป”เสียฉิบ ..มิใช่สิ่งดีหายไป

ปฏิบัติ“ศีล”ก็เหมือนกัน ทำใจในใจ”

ไม่เป็น  มีแต่ปฏิบัติ“ศีล”แล้วตนก็เพิ่มกิเลส

แม้แต่ทำ“สมาธิ”ก็เช่นกัน มีแต่เพิ่มกิเลสใส่ใจตนเองยิ่งขึ้นๆ เพราะ“ทำใจในใจ”

ไม่เป็น “ทำใจในใจ”เกิดกิเลสซ้ำเสียอีก หรือ “ทำใจในใจ”ไม่เกิดอะไรเลย ..ทำเสียเปล่าไง!

แม้“นัตถิ หุตัง” จิตใจจะเกิดผล ลด ละ หน่ายคลายหรือเปล่า อย่างไร? ก็ไม่รู้!!!

“นัตถิ”อื่นๆอีก ก็ไม่รู้  ยังมิจฉาทิฏฐิ

อยู่ทั้งนั้น  “กรรม”ก็รู้ไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องของ“กรรม” ของ“วิบาก”นั้น ยังมีอจินไตยอีก

“โลกนี้”(อยังโลก) ก็รู้ไม่ถูกต้อง

“โลกหน้า”(ปรโลก) ก็รู้ไม่ถูกต้อง

“แม่”ก็ไม่รู้ว่า แม่หมายถึงอะไร

“พ่อ”ก็ไม่รู้ว่า พ่อหมายถึงอะไร

“สัตว์โอปปาติกะ”คืออย่างไร? ไม่รู้!

โดยเฉพาะ..“สมณะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือสัตตบุรุษ  นี่สิ ..ไม่รู้จัก ตนก็เลย “รู้”อย่างไร? “รู้”เท่าที่ตน“รู้”เก่า  ก็“รู้”อยู่อย่างเก่า !  เพราะ“ไม่ปรโตโฆสะ” เข้าใจ“การทำใจในใจ”อยู่อย่างเก่า ไม่มี“ใหม่”ขึ้นได้

โยนิโสมนสิการ ก็มี“การทำใจในใจ”อยู่อย่างเก่า เช่น หลับตาปฏิบัติอยู่อย่างเดิม หรือลืมตาเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีรายละเอียดที่จะมี“ญาณสัมผัส”ลงไปถึงจิตสำนึกขั้นลึกได้ เพราะยังใช้แต่แค่“สัญญา”เป็นหลัก

สัมผัสได้อยู่แค่“จิตสำนึก”ขั้นพื้นฐาน(conscious)ชั้นต้นเท่านั้น ยังไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้ลึกลงไปถึงขั้น“จิตใต้สำนึก”(subconscious) ยิ่งขั้น“จิตไร้สำนึก”(unconscious)จึง

ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะยังไม่ถึงฐานะจะพูด

แม้จะพบสัตตบุรุษแล้วแต่ก็ยังไม่เชื่อว่าท่านจะเป็นสัตตบุรุษ เพราะยึดแต่ความรู้ความเข้าใจเก่าๆ ไม่มีปรโตโฆสะ ไม่ใส่ใจฟังธรรมด้วยดี จึงเป็นผู้ได้พบสัตตบุรุษแล้วแท้ๆ

แต่ไม่พบสัตตบุรุษเสียนี่..!!!!!

ทั้งๆที่พบสัตตบุรุษแล้ว ก็ยังเห็นเป็นสัตตบุรุษไม่ได้ เพราะยึดติดภูมิเดิม หรือได้เห็น  แต่“ไม่ยอมรับ” 

เพราะถ้า“รับ” ก็เท่ากับยอมว่า ตนต่ำกว่าเขา อัตตามานะมันก็ไม่ยอม(ยังมีอัตตา)

บางคน“ใจ”อาจจะยอมรับนะ แต่ทางภายนอกยังไม่กล้าแสดงการยอมรับ เพราะกลัวจะเสียลาภ-เสียยศ-เสียสรรเสริญ-เสีย

สุขโลกีย์ โดยเฉพาะยัง“กลัวจะเสียสรรเสริญ-กลัวจะเสียศักดิ์ฐานะ”

คนอย่างนี้ มีอยู่จริงในโลก ถ้าไม่ยอมลดอัตตา ไม่ละมานะ ไม่กล้าเสียสละชาติภูมิ ไม่กล้าตัดภพในใจออกเสียบ้าง ก็มีแต่ทบต้น

เมื่อ“ทิฏฐิ 10”นี้ก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ จึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมบรรลุได้แน่ยิ่งกว่าแน่

จากพระไตรปิฎก ต่างๆที่อาตมานำมาเฉลย ล้วนเป็น“คำสอนหรือคำตรัส”ที่คนผู้ยังไม่ได้“สดับ” ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง ย่อมไม่สามารถเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งนั้นๆแน่นอน จึงไม่อาจ“เบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง”ได้แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง

คำว่า“สดับ” หมายถึง ได้ยินได้ฟัง ได้ตั้งใจเงี่ยโสตสดับ พิจารณาด้วยดี จนเลื่อมใสเข้าใจแจ่มแจ้งในสัทธรรม เต็มศรัทธา ก็จะสามารถเป็น“ผู้ทำใจในใจ”เป็น(โยนิโสมนสิการ)

นั่นก็คือ คนชาติใดนับถือศาสนาไหนก็ตามที่ยังเป็นปุถุชน ถ้าแม้น“มิได้สดับ” ก็คือ ถึงแม้ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังคำความที่เป็น “พระธรรม”คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เถอะความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของ“กาย”อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ มันก็มีปรากฏให้ใครๆเห็นอยู่  เพราะมันของหยาบ เห็นได้ง่าย 

ใครก็ตาม นับถือศาสนาไหนก็ตาม

ย่อมรู้ย่อมเห็น“ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี”ได้ ในความเป็น

“ธาตุหยาบ”ที่ประชุมกันของธาตุมหาภูต 4

ดินน้ำลมไฟ ได้ แต่“ธาตุจิต”สิ..ละเอียดลึกล้ำ  

คำว่า“ร่างกาย”ในพระไตรปิฎกนี้ บาลีคือ“กาย”ไม่มีคำว่า“ร่าง” แต่ท่านผู้แปลใส่

คำว่า“ร่าง”เข้าไปด้วย โดยให้หมายถึงส่วนที่

อยู่ภายนอก และเป็นส่วนหยาบใหญ่ของ “กาย” เป็นภาวะ“ถูกรู้”นั้นคือ “รูป”ที่จึง

เห็นได้ง่าย ในความเป็น“กาย”(ธรรมะ 2)

ส่วนที่เป็น“ภายในและละเอียดนั้นคือ “จิต-มโน-วิญญาณ” ซึ่งจะเรียนรู้และรู้จักได้ยากกว่า ในความเป็น“กาย”(ธรรมะ 2)

“กาย”คือ “องค์ประชุมของรูปกับนาม” จึงมีทั้งส่วนภายนอก และทั้งส่วนภายใน

เพราะ“กาย”นั้น มีทั้งภายนอกคือ “ดินน้ำไฟลม”ที่ประชุมกันอยู่ร่วมกับภายในคือ

“จิต-มโน-วิญญาณ” เป็น“ธรรมะ 2”

ซึ่งคำว่า“กาย”นั้น คือ “ธรรมะ 2” ที่มี“รูปกับนาม”เสมอ ได้แก่ “รูปภายนอกบ้าง-รูปภายในบ้าง” ในภาวะที่“ถูกรู้”ก็เป็น“รูป”

กับ ที่เป็นภาวะ“นาม” ได้แก่ “จิตบ้าง

-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” นามนี้เป็น“ธาตุ

รู้” ซึ่ง“จิตก็ดี-มโนก็ดี-วิญญาณก็ดี” บ้าง

ก็เป็นภาวะ“รูป” และบ้างก็เป็นภาวะ“นาม”

หาก“ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม”เป็นต้นนั้น เมื่อเป็น“นาม”ไม่ได้  ก็ไม่สามารถ“รู้”อะไรได้ ทั้งในตัวเอง ทั้งภาวะอื่นๆทั้งหลาย

ถ้าขั้น“อุตุนิยาม-พีชนิยาม”ก็ยังไม่รู้ “ตัวเอง”ชนิดถาวรอยู่ ยั่งยืนอยู่[เป็น ish] คือ ภาวะ 3 เส้าปรุงแต่งกันเป็นระบบวงวนแล้ว(cycric order)ในส่วนตน เป็น cell แต่ยังไม่ยึดเป็น“ตัวตน” ยังเป็นแค่ ish ยังไม่ยึด cell จึงยังไม่เกิด self ยังไม่หลงยึด ish จึงยังไม่มี selfish ยังต่างก็ยังเป็น ish แต่มีชีวะเป็น

“พืช”ในระดับยังไม่พัฒนาเข้าเขต“จิตนิยาม”

I(ไอ=ตัวเอง) S(ตัวอื่นเพศเมีย) กับ H(ตัวอื่น

เพศผู้) องค์รวมของ 3 เส้า ซึ่งก็“ธรรมะ 3”ที่แตกต่างกันสังขารกันเป็น“วงวน”อยู่ ตั้งแต่“3 เส้า”ที่มีเชิงแตกต่างกันของ“อุตุนิยาม” แม้“3 เส้า”ของ“พีชนิยาม” ก็จะทรงสภาพตนเองอยู่ในนัยะเยี่ยงเดียวกัน ซึ่งนานเท่าที่จะมีเหตุปัจจัยมาเป็นตัวแปร

หากมี“ตัวแปร”เข้ามาผสมในแบบ “สร้างสรรค์”(หนักไปทางทำ : ศรัทธา) หรือในแบบ“สร้างสรร”(หนักไปทางเลือกเฟ้น : ปัญญา)

จะเป็น“สร้างสรรค์”หรือ“สร้างสรร” ก็อยู่ที่ฝ่ายใดมีน้ำหนักเป็นตัวแปร นั่นคือ

น้ำหนักนั้นเป็นใหญ่ เป็นประธาน จะเกิด

ด้วยการสังเคราะห์ขึ้นมาจากองค์รวม จาก

องค์ประชุม  เป็นตัวแปร เป็นอำนาจกว่า  

กล่าวคือ เมื่อเกิด 3 เส้ายกกำลัง ก็

เป็น 9 เส้า แล้วก็เกิด“วงวนหรือวงกลม”ในตัวเองขึ้น เป็น 10 หมุนอยู่อย่างสมดุล ตราบที่ยังรักษาสมดุลไม่ให้เกิด“ทสนิยม” ก็จะหมุนอยู่อย่างนั้นไปนานเท่านาน

ก็วนไปตาม“ลักษณรูป 4” อันได้แก่ “อุปจยะ-สันตติ-อนิจจัง-ชรตา” นั้นแล 

หากเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม ก็ชื่อว่า self(ทั้งตัวตนของขั้นพีช แม้แต่ขั้นจิต)ที่ดี จึงยังไม่มี

อะไรมาแปร ให้เปลี่ยนไป จึงยังรักษา“ความเป็นตัวตน”รอดไปได้อยู่ แม้จะ“เห็นแก่ตัว”

(selfish)ร้ายแรงปานใดๆ

ดังนั้น เมื่อใดเกิด“ทสนิยม”ขึ้นกระทั่งมีพลังถึงขั้นไม่ราบรื่น ไม่เรียบร้อย ไม่ง่ายแล้ว ไม่งามแล้ว ก็ถึงขั้นต้องเปลี่ยนแปรกันขึ้นมา ก็ต้องเปลี่ยนต้องแปร เกิดภาวะใหม่ขึ้นกันจนได้ นั่นแล

จะแปรกันอย่างแรงก็อยู่ที่ทำลายกันร้ายแรง-อำมหิต-โหด-โฉดชั่ว แค่ไหน

ถ้าแปรกันได้อย่างดีวิเศษ ก็ปฏิรูปขั้นเทพ จะเทพขั้นไหน ก็ขึ้นอยู่กับภาวะที่เกิดนั้นสุภาพ เรียบร้อย ราบรื่น เป็นตัวตัดสิน 

หาก ish “พลังรวม”ยังเป็น“3 เส้า”อยู่

ยังไม่มีพลังอะไรมาทำให้แตกให้แยก ก็คือ อยู่กันอย่างสุภาพเรียบร้อย จนกว่าจะเกิด“ทสนิยม”จาก 3 ขึ้น 4 ขึ้น 5 ขึ้น 6 ถ้ายังไม่มีโอกาส เป็น 7 ที่เป็นทั้งพลัง“นิยตภูมิ” และพลังแห่ง“ตัวแปร”ตัวสำคัญ ก็จะยังยืนตัวอยู่ หมุนเป็นหลัก 10 เกิดความ

ไม่เป็นระเบียบ(chaos)ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะ

ต้องมีพลังที่สามารถมาเปลี่ยนแปลงไปได้

ฉะนี้คือ กัปป์แห่งสังคมมนุษยชาติ

สำหรับผู้สามารถ“รู้ยิ่ง”(มีวิปัสสนาญาณ)​ความเป็น“สัจจะ”จึงมี“รูปภายนอกบ้าง-รูปภายในบ้าง”สังขาร-สังเคราะห์”กันอยู่ตลอด


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:59:13 )

590914

รายละเอียด

590914_พุทธศาสนาตามภูมิ นรกก็คือสวรรค์ 6 ชั้น

_คำถามจากคุณเรืองบุญ มั่นเมืองพุทธ กราบนมัสการค่ะ...

เมื่อวานฟังพ่อครูแล้วมีข้อสงสัย...ขออนุญาตถามได้ไหมคะ...ประเด็นไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับวิบากของสัตว์เพราะจะทำให้สัตว์ไม่ได้ใช้วิบาก หรือวิบากหมดช้า...แต่สำหรับคนด้วยกันทำไมถึงให้ช่วยเหลือก่อนถ้าช่วยไม่ได้ค่อยอุเบกขา...คนที่ไม่มีเมตตาไม่คิดช่วยผู้อื่นก็จะอ้างได้ว่าเดี๋ยวจะไปขัดขวางวิบากเขา...ให้เขาทุกข์ทรมานดีแล้วจะได้หมดวิบากไวๆ

การช่วยเหลือคนกับช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อนมีผลดีผลเสียต่างกันอย่างไรในแง่ของเป็นสิ่งมีชีวิตมีจิตวิญญาณเหมือนกัน.

ตอบ...เทศน์สอนคนให้บรรลุนี้ก็ยากขนาดแล้วไม่ไปสอนสัตว์ให้ไปนิพพานไม่ได้หรอก คนที่สุดวิสัยช่วยไม่ได้ก็ปล่อย เหมือนกับสัตว์ เราช่วยไม่ได้ก็ปล่อยเขา คนขนาดไหนเรารู้ว่าช่วยไม่ได้ก็ปล่อย ขนาดคนเราก็ยังช่วยไม่ได้มากเลย ยิ่งสัตว์ยิ่งช่วยไม่ได้ใหญ่เลย อาตมาไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรไปช่วย อาตมาเป็นสมณะมีหน้าที่ช่วยคนให้ไปนิพพานเท่านั้น นอกเกณฑ์ที่จะช่วยก็ไม่ช่วย เราควรช่วยคนก่อนหรือสัตว์ก่อน สัตว์มันก็รับวิบากไปอีกนาน

ในร่างกายของคนบางคน จิตบางคนเลวกว่าสัตว์ อย่างนี้เราก็ไม่ช่วย

หนึ่ง สัตว์มันก็รับวิบากของมันไป

สอง อย่าไปต่อเชื่อมวิบากกับสัตว์อีก ไม่ว่าเชิงกุศลหรืออกุศล เช่นกามนิตกับวาสิฏฐีอย่านึกว่าเขาทำดีนะ เป็นเวรานุเวร จะไปเกิดร่วมกันที่ทางช้างเผือก ที่แดนสุขาวดี เป็นเรื่องผูกพันจะเป็นทางกุศลหรืออกุศลก็ตาม มันก็ผูกพันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ บาปก็ต้องคุมให้ได้ อยากเป็นนักในเรื่องของกุศลอกุศล ในกุศลนั้นก็จะมีบุญด้วย ถ้าทำได้ถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกต้องบุญก็ไม่เกิด ถ้าทำบุญอย่างสัมมาทิฏฐิได้จริงผลกุศลก็จะเกิดด้วยเป็น 2 ส่วน  อุภยัตถะ

สาม อาตมาไม่มีเวลาพอที่จะไปช่วย ช่วยคนแค่นี้เวลาก็ไม่พอแล้ว

สี่ เมตตา การเมตตา คือต้องการให้คนพ้นทุกข์ แต่คนพูดไม่ครบทั้งหมดว่าพ้นทุกข์แค่โลกีย์ ดีไม่ดีไปบำเรอเสพสุขด้วย  แต่แท้จริงนั้นให้พ้นทุกข์อาริยสัจ

เวลา ทุนรอน แรงงานเราไม่พอที่จะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างเกินไปช่วยสัตว์ เราไม่ช่วยสัตว์ก็ไม่เป็นไร ไม่ผูกพัน คุณทำให้คนเป็นมิตรได้ทั้งหมดก็ทำก่อนเถอะ แต่ใครจะช่วยทั้งคนและสัตว์เก่งก็ทำไป อาตมาไม่เก่งอย่างนั้นก็ทำได้ประมาณหนึ่ง

 

สัมมาทิฏฐิ 10 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในข้อที่ 10 มีว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

อาตมามาประกาศโพธิสัตว์ เอาของเก่าที่มีมาเปิดเผย แต่คนก็ว่าไม่มีหรอก อรหันต์ยุคนี้เขาว่าไม่มีแล้ว โสดาบันจะมีหรือเปล่าไม่รู้ ที่พูดกันนี่ปุถุชนทั้งนั้น คนนี้หมิ่นคำตรัสพระพุทธเจ้าข้อนี้ ถ้าคุณเชื่อว่าไม่มีก็สิ้นแล้ว ปิดประตูตัวเอง ก็ไม่เชื่อใครเลย มันหลงตน บอกว่ากูยังไม่ใช่แล้วใครจะเก่งกว่ากูล่ะ พวกนี้ที่ไม่เชื่อว่ามี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ตัวเองไม่มีดวงตาเห็นเอง

ในกลียุคหนักคนชั่วมากเป็นอเวไนยสัตว์ แต่โลกก็ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ แม้กลียุคก็มี ไม่ขาดหรอก ไม่ขาดจากสมณะพราหมณ์ แต่คนรู้ไม่ได้ไม่ยอมรับ ดีไม่ดีหาว่านอกรีตอีก

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86355

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfUU9KMnlQbnhfb1k

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/4e6spyi6czat/160914

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=Z043AnOicEM


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 13:59:36 )

590914

รายละเอียด

590914_พุทธศาสนาตามภูมิ นรกก็คือสวรรค์ 6 ชั้น

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 14 กันยายน 2559 ทุกอย่างในโลกนี้มีแต่กรรมกับกาละเท่านั้น ผู้ใดที่รู้จักกรรม ทำให้กรรมของเราเป็นกรรมดี กรรมประเสริฐ ทำให้เกิดกุศลที่ถึงขั้นเป็นบุญ ให้ถึงขั้นกำจัดกิเลสได้ให้มากกรรมที่สุด นั่นคือกรรมกับกาละอันกำไร เป็นโชคมหาโชค อภิมหาโชคเลย เป็นคนที่ได้ดี

ชีวิตนี้อาตมาไม่เห็นว่าจะมีสิ่งที่ควรได้ควรมีคนเป็น นอกจากว่าให้ทุกกรรมกิริยาของเรา ตั้งแต่ที่เรายังไม่บรรลุเป็นอาริยะบุคคล ให้เป็นผู้บรรลุ สามารถกำจัดกิเลสได้ตั้งแต่เริ่มต้นไป จนกระทั่งเป็นอรหันต์ จัดการเรื่องกรรมเรื่องเดียวตราบที่เรายังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน

เราก็ยังมีกรรม เป็นอัตภาพ เป็นสัตว์โลก เรายังมีกิริยา กายกรรม วจีกรรมมโนกรรมอยู่ หากเราเป็นอรหันต์ก็จบได้ กรรมทุกกรรมไม่มีบาปเกิด ทุกกรรมเป็นกุศลตลอด เพราะเราได้ทำจิตให้บริสุทธิ์ชำระกิเลสจากจิตสะอาดสิ้นหมดแล้วบริบูรณ์แล้ว สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระกิเลสออกจากจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)

เป็นทฤษฎีที่คนสามารถค้นพบได้ เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่ที่สุด คนๆนั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นทฤษฎีที่มีรายละเอียดมากมายยิ่งกว่าศาสดาใดที่จะมีรายละเอียดแห่งคำสอนเช่นนี้ ศาสดาใดๆก็ไม่ละเอียดเท่า

ธรรมชาติ ธรรมฐีติ ธรรมนิโรธ

ธรรมชาติ คือสิ่งยังมียังทรงไว้อยู่ แต่อรหันต์ท่านไม่มีชาติแล้ว

แต่ธรรมฐีติคือสิ่งที่ยังตั้งอยู่ทรงอยู่ยังไม่หายไป

ธรรมนิโรธ คือสิ่งที่ตั้งอยู่แต่มีนิโรธแล้ว เป็นผู้ที่ทำนิโรธได้สำเร็จในใจตนแล้ว

คำว่าธรรมะ คือธรรมชาติที่ชอบพูดกัน ซึ่งเป็นการกล่าวตู่กัน เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่โลกีย์ เพราะว่าธรรมะของศาสนาเทวนิยมเป็นธรรมชาติมีนรกมีสวรรค์ ส่วนศาสนาพุทธนั้นมีธรรมะที่ไม่ชาติแล้วดับชาติได้ จึงไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นธรรมนิโรธ 

ธรรมฐีติคือมีความหมายสองนัยคือ แบบไม่ดับภพจบชาติก็ตั้งอยู่ได้ แต่ผู้บรรลุธรรมนิโรธ มีธรรมะอันดับภพจบชาติได้จริง แต่ก็ยังตั้งอยู่ได้ มีสองนัย

ส่วนธรรมชาติมีนัยเดียว ดับการเกิดไม่ได้ ส่วนธรรมนิโรธนั้นดับการเกิดได้ สิ่งไหนควรเกิดก็ให้เกิดได้ สิ่งไหนไม่ควรเกิดก็ไม่ทำให้เกิดได้ เช่นอกุศลต่างๆ

ถ้าสิ่งดีสิ่งเป็นกุศล ประเสริฐไม่เป็นโทษภัยเป็นประโยชน์เกื้อกูลก็ควรเกิด ผู้ใดทำสิ่งไม่ควรเกิดไม่ให้เกิดได้นิรันดรคือความบรรลุสูงสุดของศาสนาพุทธ

มาอ่าน sms

sms13 กันยายน 2559

0893867xxxกิเลสดังคุก!ตัณหาดุจเรือน จำ!ยิ่งอยากยิ่งติดกรงวิบาก!หยุดอยากหลุดพ้นแดนวัฏฏะฯกบหมายนิพพานดุจกระต่ายหมายจันทร์!เอ๋???

0893867xxxพ่อครูบอกว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ผู้น้อยขอความเมตตาจากท่านช่วยพาตนพ้นวิบากชี้นำจิตวิญญาณเมื่อถึงวาระนั้นมาเกิดแดนชมพูทวีปได้ไหม?หากบุญบารมี ยังมิมากพอสู่นิพพาน?

ตอบ..คุณก็ต้องเรียนรู้ปฏิบัติด้วยตัวเอง อาตมาก็นึกสงสาร คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวพุทธที่เข้าใจว่า คนบรรลุธรรมตั้งแต่โสดาบัน เขาก็มีนิพพานขั้นหนึ่งของตน ดับกิเลสได้เป็นระดับๆ อาริยะของพระพุทธเจ้า คือผู้กำจัดกิเลสได้จริง เริ่มตั้งแต่โสดาบัน มีโสดาปัตติผล ถ้าโสดาปัตติมรรคคือเริ่มต้นเดินทาง จนถึงเขตสกิทาคามี อนาคามี เป็นผู้ไม่เวียนกลับอีกแล้ว ทำเศษที่เหลือก็เป็นอรหันต์ได้ อยู่ในร่างคนเป็นๆได้เลย

อาตมาทำหน้าที่ชี้นำชี้ทาง แต่ไม่ถึงกับเหมือนพระพุทธเจ้านะ อาตมาก็ประกาศตนเป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ไปเท่าที่ประกาศ อาตมามีหน้าที่ชี้ทางแนะนำคนอื่น ประโยชน์ตนเองอาตมาไม่ต้องมีแล้ว มีแต่ประโยชน์คนอื่น มารื้อขนสัตว์คือนำพาคนให้พ้นวัฏฏสงสาร พาให้บรรลุนิพพาน

ทุกวันนี้อาตมาก็ช่วย ซึ่งคุณเองก็เกิดในชมพูทวีปแล้ว ชมพูทวีป คือแดน พื้นที่ของคนมีพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า แดนไหนมีคนเป็นเช่นนั้นเป็นมวล มีผู้บรรลุอาริยธรรมของพุทธเป็นปึกแผ่นอยู่ ที่ไหนที่นั่นคือแดนชมพูทวีป เป็นหลายที่หลายประเทศก็ได้ แต่จะนับว่าที่ไหนเป็นที่หนึ่งก็แดนไหนที่มีคนบรรลุอาริยธรรม ได้นิพพานมากที่สุดก็เป็นที่หนึ่ง มีจริงไหม? มีจริงก็อันนั้น

ในเมืองไทยนี่แหละ อินเดียก็ไม่มีแล้ว ไปก็สู้เทวนิยมในอินเดียเขาไม่ได้ แม้ในเมืองไทยนับถือพุทธกว่า 95% นี้ก็เทวนิยมกันมาก.. ยังพูดกันยากเลย ก็ค่อยศึกษาไป

0893867xxxประทับใจจิตอริยะอันประเสริฐ!ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน!ยิ่งกว่าสวรรคาลัย! ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง!ชาตินี้จะได้ถึงจิตพระโสดาฯไหมหนอ?สกก.

ตอบ..อาริยะของศาสนาพุทธเหมือนคนธรรมดานี่เองไม่ใช่เรื่องลึกลับแต่พิสูจน์ได้ เช่น คนที่เคยไปติดยึดในอบายมุข แล้วก็มาจัดการกับกิเลสเหล่านั้นได้ แล้วก็ไม่ได้หนีไปไหน แต่อยู่กับโลกปกติ แต่ท่านไม่วุ่นวาย กับสิ่งที่หลุดพ้นมาแล้ว ตั้งแต่ในโลกอบาย โลกกาม ไม่เสียเวลา ทุนรอน แรงงาน สามอย่างนี้ไม่สูญเสียไปกับสิ่งเหล่านั้น หลุดพ้นมาแล้ว ไม่เสียแรงกายแรงสมอง ไม่เสียทรัพย์สินวัตถุกับอันนั้น ไม่เสียเวลาด้วย สามอย่างนี้เป็นความหลุดพ้น ท่านแตะต้องสัมผัสแต่ก็ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ได้ดูด ไม่ได้ผลัก ก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้ในโลก ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือต้องไปแสดงฤทธิ์เดช อ่านใจคนได้ ตาม concept ของคนทั่วไป ที่ว่าต่างจากคนทั่วไป คือท่านต่างที่ท่านไม่ไปเสพเสวยสิ่งเหล่านั้น แต่ก็สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นอยู่ ดีไม่ดีต้องไปทำงานร่วมไปสอนเขาช่วยเขา แต่ไม่ได้ไปส่งเสริมเขาหากสิ่งเหล่านั้นต่ำ ให้เขาเลิกละมาด้วยซ้ำ แต่ก็ไปร่วมอยู่ก็อนุโลมปฏิโลมตามสัปปุริสธรรม มหาปเทส เช่นต้องไปร่วมวงกินข้าวกับเขาด้วยมีอุ้งตีนหมี ปลาทอดดิ้นได้ แต่ท่านไม่เสพกับเขา ไม่กินกับเขา ก็นั่งร่วมวงกับเขาได้ เขาอาจดื่มเหล้าเฮฮา แต่ท่านก็ไม่ได้ดื่มกับเขา ไม่รังเกียจรังงอนอะไรด้วย คนก็อาจสงสัยว่าทำไมไม่เสพเหมือนคนอื่น สิ่งใดเราร่วมได้ก็ร่วม สิ่งใดร่วมไม่ได้ก็ไม่ร่วม

ในอาริยะต่างๆ ที่คุณว่าจะเป็นขั้นไหน อาตมาก็ไม่อยากพยากรณ์หรอกว่าจิตคุณถึงโสดาบันแล้ว ต้องอ่านเอง อาตมาก็อ่านจากคุณส่งความเห็นมา ก็มีลักษณะเจโตร่วมกับตรรกะเหตุผล อาตมาก็พอรู้ ประมวลแล้ว คุณยังไม่ชัดเจนตัวเองก็อ่านใจตนเอง ไม่รู้ขนาดมาตรวัด

คนเป็นโสดาบันไม่น้อยหรอกในเมืองไทย แต่ตัวเองไม่รู้ตัว คนไม่รู้ตัวก็ไม่รู้กรอบตนปฏิบัติก็เวียนกลับได้ เพราะไม่มีปัญญาวิมุติ คนอื่นเขาสนุกสนาน แต่ตนไม่สนุกกับเขาแล้ว จิตมันไม่เอา แต่ปัญญามันไม่รู้ว่าจิตของตนหลุดพ้นแล้ว ดีไม่ดีก็วนเวียนไปเสพกับเขาอีก ปัญญาเป็นตัวตัดสินเลยว่าไม่เวียนกลับแล้ว เจโตก็ไม่ชัดก็เวียนวนกับเขา หนักเข้าไปมีอุปาทานติดกับเขาอีกด้วย เจโตนี่เวียนกลับได้เก่ง ถ้าตรรกะก็เวียนกลับอีก แต่ปัญญาจริงไม่เวียนกลับ ก็พยายามอ่านจิตตนให้ดี

อาตมาก็พยายามบอกความเป็นจริง ให้ไปตรวจตัวเอง เราจะไปพยากรณ์คนมันไม่ง่าย คนอื่นมารู้จิตเราไม่ได้เท่าเรา อ่านอาการลิงค นิมิต อาการจิต เจตสิก อ่านให้จริง อ่านให้ออก แล้วจะรู้ขนาด

ต้องอ่านอาการของกายให้ออก เล็บนี่ ตัดออกไปได้ ไม่เจ็บ แต่ถ้าติดอยู่ก็มีส่วนไม่เจ็บเป็นพีชะ มีสัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนา ไม่ใช่กาย มันเป็น พีชะเท่านั้น เมื่อไม่ใช่กายเราก็เหลือแต่จิต คุณก็มาทำจิตที่ถูกรู้ที่เหลือ ก็มาเข้าใจเวทนา 2

ต้องเข้าใจกายในกาย แล้วมาสู่เวทนาในเวทนา ก็ทำเวทนาให้เป็นหนึ่งอีก แล้วก็ทำรูปจิต ทำอรูปจิต จากสองให้เป็นหนึ่งได้

อ่านอาการหรือพลังงานที่เป็นกิริยาของจิต กายคือจิต มโน วิญญาณ อ่านจากของจริงให้ออกถ้าออกแล้วทำออกได้เลยจริงๆ ถ้าเนกขัมมะได้จริงก็ได้จริง รู้ด้วยเห็นด้วยสัมผัสปัจจุบันได้ด้วย ไม่ใช่ไม่มีธัมมวิจัยไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธแยกแยะวิตกวิจารได้ชัดเจน

 

_0893867xxxวันนี้ฟังธ.บ่ต่อเนื่องฝนตกฟ้าร้องไฟติดดับ2พรึ่บ!นึกถึงตอนชุมนุมปักหลักพักค้างที่ชมัยมรุเชษมีระเบิดปิงปองประทัดยักษ์ปืนมั่ง!คนอื่นสดุ้งตื่นพรึ่บแต่ตัวเองหลับอุตุนอนถอดหูเทียมบ่ได้ยินเสียงบึ้ม!มันน่ากลัวฤา?กลัว รถฉีดน้ำแรงดันสูง ม๋าต๋าจะทำหูเทียมเสียยิ่งกว่าแก๊สน้ำตาอีก! หูยรบ.หน้าอย่าเจอ อีกเล๊ย!สกก. :

0893867xxxกราบขอบคุณพ่อครูบุญนิยมกับธ.ผมขนเล็บฟันหนังเป็นรูปรูปตัดบ่เจ็บก็บ่มีจิตมโนวิญญาณเป็นแค่มหาภูตรูป4บ่นับเป็นกาย!พรุ่งขอดูเทปซ้ำต่อสาธุ!

ตอบ….มูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนังนั้น ทั่วไปเขาก็สอน แต่ไม่รู้เนื้อหาแท้จริง อย่างอาจารย์ชาก็สอน แต่ไม่รู้พลังงานตอนไหนที่ไม่ใช่กาย ก็ไม่รู้โสดาบันเพราะต้องรู้กายก่อน ศาสนาพุทธปัจจุบันเข้าใจกายว่าแค่ดินน้ำไฟลม ไม่ได้เข้าใจว่าคือ จิต มโน วิญญาณอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส

ต้องรู้ว่าความเป็นกายคืออย่างไร ณ ขณะนี้จิตของเราไม่เป็นกายแล้ว เหลือแต่จิต แม้กายหมดไป มี แต่จิตแล้วเป็นอนาคามี ก็ไม่มีกายในกามแล้วก็เหลือแต่กายในรูปจิต ในอรูปจิต ก็กายในกายไม่มีกายแล้ว เวทนาในเวทนาไม่มีเวทนาแล้ว จิตในจิตก็ไม่มีจิตแล้ว ทำเวทนาเป็นหนึ่งได้ จิตก็ทำให้เป็นหนึ่งได้ ธรรมในธรรมก็เป็นหนึ่งได้แล้ว เป็นเอกธรรมไม่มีธรรมแล้ว ผู้รู้ชัดหมดในกาย เวทนา จิต ก็ไม่มีทรงไว้ซึ่งสิ่งเหล่านั้นแล้ว ทรงไว้แต่พรหมกายหรือธรรมกายที่สะอาดแล้ว

เป็นธรรมกายที่ไม่มีภพชาติ ตรงกันข้ามกับสำนักธรรมกาย สำนักธรรมกายที่เต็มไปด้วยภพชาติ ธรรมกายของพระพุทธเจ้า คือธรรมกายที่สิ้นภพจบชาติ พระพุทธเจ้า ตรัสว่าธรรมกาย พรหมกาย คือชื่อของเรา แต่ธรรมกายของสำนักธรรมกายที่ทุกวันนี้ใหญ่มากเต็มไปด้วยภพ เต็มไปด้วยขยะชาติ มีแต่เกิดกับเกิด แม้นิพพานก็เป็นแดนอัตตา มีแต่ภพชาติเต็มบ้องเลย แล้วซับซ้อนหลอกคนหลงอย่างหนัก

คนเรามักไปยึด อุตุว่าเป็นเรา กายก็เป็นของเรา พีชะว่าเป็นเราเป็นของเรา แม้ข้าวของต่างๆ ก็ไม่ใช่ของเรา เพชรนิลจินดาก็ไม่ใช่ของเรา .    แม้พีชะเราก็ทำใจไม่หลงใหลได้ แม้จิตเราก็ละเว้นได้ แต่นี่ไม่ได้ศึกษาเลย อุตุก็เป็นตัวกูของกู สัตว์ คนก็ของกูหมด ลูกกู หลานกู หมด อะไรเป็นต้น สิงสาราสัตว์ช้าง ม้า วัว ควาย ของกูหมด ไม่ได้ศึกษาเป็นขั้นตอน จนสุดท้ายเหลือแต่จิตเป็นอนาคามีก็ไม่มีสิทธิ์รู้ได้เลย

0891169xxxพ่อครับช่วยอธิบายตก_วิตกและวิตก_วิจารให้ละเอียดด้วยครับจักขอบคุณมากครับ

ตอบ...ตักกะพอจิตเริ่มดำริ ตริหรือตรึก เริ่มมีจิตขึ้นมา ในจิต สังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คือภาคปัญญา ส่วนอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือภาคเจโตเป็นสมาธิควบแน่น เป็นสมถะเป็นผลที่ปฏิบัติได้ผล ควบแน่น ไม่ใช่สะกดจิต

ฝ่ายปัญญา ฝ่ายธัมมวิจัย เรียนรู้อาการจิต  ส่วนฝ่ายเจโตคือผลสำเร็จ

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ นี้ เราต้องพยายามอ่านจิตให้ทันให้เร็ว      จิตเริ่มมีอะไรขึ้นมา เราก็มีธัมมวิจัย ออกว่า จิตเรามีอะไรมาปนด้วย เป็น.   สสังขาริกัง (มีตัวนำพาไปในทางชั่วก็คือกิเลสผสมมาด้วย) เราต้องอ่านตัวนี้แยกแยะจับกิเลสตัวนี้ให้ได้

แยกกิเลสออกมา จับกิเลสออกมาอย่างไม่สงสัยไม่วิจิกิจฉา รู้สักกายะ รู้องค์ประชุมรูปนามว่าตัวนี้คือกิเลสแท้ เป็นสมุทัยอาริยสัจ รู้อย่างไม่สะเปะสะปะ ไม่ใช่ในห้องประขุมนี้มีโจรอยู่ แต่มีคนเป็นพัน ก็เผาทั้งหมดเพื่อเผาโจร ไม่ใช่ ต้องจับเฉพาะโจร นอกนั้นคนบริสุทธิ์ ไม่ใช่เหมาเข่งเช่นนั้น ศาสนาพุทธมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์แยกแยะจับสักกายะ อ่านจับตัวมันได้  จนพ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ มีปหาน 5 กำจัดให้ได้ ถ้าจับโจรได้แล้วแต่ซูเอี๋ยกับโจร เล่นๆหัวๆลูบคลำไม่เอาจริง เรียกว่าสีลลัพพตปรามาส คือรู้กิเลสจับกิเลสได้ แต่ไม่ได้จัดการ ไม่มีพลัง ไม่สามารถพอ วิธีการเราไม่เก่งพอก็ไม่พ้นสีลพตปรามาส ต่อเมื่อกำจัดกิเลสได้ก็แล้ว มีส่วนแห่งบุญ ถ้ายิ่งดับได้หมด ข้างนอกดับได้หมดกายข้างนอกขาด เหลือแต่ในก็เป็นอนาคามี เราอ่านของจริง รู้ของจริงก็พ้นสังโยชน์ 3 เป็นโสดาบันแล้ว ก็ไล่จัดการกิเลสที่เหลือต่อ

ตักกะ เมื่อทำสำเร็จก็กลายเป็นวิจาระ หรือวิตักกะ จารคือพฤติกรรม ความประพฤติของจิตที่ทำได้ดีและวิเศษแล้ว ก็คือ วิตักกะ เป็นวิเศษแล้ว ได้ดีแล้วก็เป็นจิตที่ได้ทำสังกัปปะให้เป็นสัมมาสังกัปปะ เมื่อทำได้บริบูรณ์ก็รักษาผลให้เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาตั้งมั่นแข็งแรง

 

_เรืองบุญ มั่นเมืองพุทธ กราบนมัสการค่ะ...

เมื่อวานฟังพ่อครูแล้วมีข้อสงสัย...ขออนุญาตถามได้ไหมคะ...ประเด็นไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับวิบากของสัตว์เพราะจะทำให้สัตว์ไม่ได้ใช้วิบาก หรือวิบากหมดช้า...แต่สำหรับคนด้วยกันทำไมถึงให้ช่วยเหลือก่อนถ้าช่วยไม่ได้ค่อยอุเบกขา...คนที่ไม่มีเมตตาไม่คิดช่วยผู้อื่นก็จะอ้างได้ว่าเดี๋ยวจะไปขัดขวางวิบากเขา...ให้เขาทุกข์ทรมานดีแล้วจะได้หมดวิบากไวๆ

การช่วยเหลือคนกับช่วยเหลือสัตว์ที่เดือดร้อนมีผลดีผลเสียต่างกันอย่างไรในแง่ของเป็นสิ่งมีชีวิตมีจิตวิญญาณเหมือนกัน.

ตอบ...เทศน์สอนคนให้บรรลุนี้ก็ยากขนาดแล้วไม่ไปสอนสัตว์ให้ไปนิพพานไม่ได้หรอก คนที่สุดวิสัยช่วยไม่ได้ก็ปล่อย เหมือนกับสัตว์ เราช่วยไม่ได้ก็ปล่อยเขา คนขนาดไหนเรารู้ว่าช่วยไม่ได้ก็ปล่อย ขนาดคนเราก็ยังช่วยไม่ได้มากเลย ยิ่งสัตว์ยิ่งช่วยไม่ได้ใหญ่เลย อาตมาไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรไปช่วย อาตมาเป็นสมณะมีหน้าที่ช่วยคนให้ไปนิพพานเท่านั้น นอกเกณฑ์ที่จะช่วยก็ไม่ช่วย เราควรช่วยคนก่อนหรือสัตว์ก่อน สัตว์มันก็รับวิบากไปอีกนาน

ในร่างกายของคนบางคน จิตบางคนเลวกว่าสัตว์ อย่างนี้เราก็ไม่ช่วย

หนึ่ง สัตว์มันก็รับวิบากของมันไป

สอง อย่าไปต่อเชื่อมวิบากกับสัตว์อีก ไม่ว่าเชิงกุศลหรืออกุศล เช่นกามนิตกับวาสิฏฐีอย่านึกว่าเขาทำดีนะ เป็นเวรานุเวร จะไปเกิดร่วมกันที่ทางช้างเผือก ที่แดนสุขาวดี เป็นเรื่องผูกพันจะเป็นทางกุศลหรืออกุศลก็ตาม มันก็ผูกพันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ บาปก็ต้องคุมให้ได้ อยากเป็นนักในเรื่องของกุศลอกุศล ในกุศลนั้นก็จะมีบุญด้วย ถ้าทำได้ถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกต้องบุญก็ไม่เกิด ถ้าทำบุญอย่างสัมมาทิฏฐิได้จริงผลกุศลก็จะเกิดด้วยเป็น 2 ส่วน  อุภยัตถะ

สาม อาตมาไม่มีเวลาพอที่จะไปช่วย ช่วยคนแค่นี้เวลาก็ไม่พอแล้ว

สี่ เมตตา การเมตตา คือต้องการให้คนพ้นทุกข์ แต่คนพูดไม่ครบทั้งหมดว่าพ้นทุกข์แค่โลกีย์ ดีไม่ดีไปบำเรอเสพสุขด้วย  แต่แท้จริงนั้นให้พ้นทุกข์อาริยสัจ

เวลา ทุนรอน แรงงานเราไม่พอที่จะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างเกินไปช่วยสัตว์ เราไม่ช่วยสัตว์ก็ไม่เป็นไร ไม่ผูกพัน คุณทำให้คนเป็นมิตรได้ทั้งหมดก็ทำก่อนเถอะ แต่ใครจะช่วยทั้งคนและสัตว์เก่งก็ทำไป อาตมาไม่เก่งอย่างนั้นก็ทำได้ประมาณหนึ่ง

 

ตอนนี้เจาะลึกเรื่องทาน

ในโลกมีพลังโลกีย์กับโลกุตระ ยุคนี้พลังโลกีย์มีมาก มวลเขามีมาก มีฤทธิ์อิทธิพลแรงจริงๆ

ยืนยันความเป็น“พลังโลกีย์” อำนาจกระแสโลกีย์ที่มีมวลมากในยุคทุกวันนี้ มันมีฤทธิ์มีอิทธิพลแรงจริงๆ แต่ก็ยังมีผู้รู้ได้อยู่

ดังนั้น ผู้สามารถเอาชนะพลังอำนาจโลกีย์ได้นั้น จึงแข็งแกร่งแกล้วกล้าอาจหาญจริงๆ สำหรับยุคนี้ ที่สามารถชนะพลังแรงฉกาจฉกรรจ์ของโลกีย์ได้ สำเร็จ

ข้อแรก“มรรค 8” มี“ทิฏฐิ”เป็นประธาน

ก่อน มีมรรคองค์ 8 ได้ต้องมีแสงเงินแสงทอง จากสุริยเปยยาลสูตร

 [129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

 

เช่น “ทิฏฐิ 10” ก็ยังเป็น“นัตถิ ทินนัง -นัตถิ ยิฏฐัง -นัตถิ หุตัง -นัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก -นัตถิ อยังโลโก -นัตถิ ปโรโลโก -นัตถิ มาตา -นัตถิ ปิตา -นัตถิ สัตตาโอปปาติกา -นัตถิ โลเก สมณพฺราหฺม ณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อมัญจ โลกัง ปัญจ โลกัง  สยัง อภิญฺญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนฺตีติ” ซึ่งมี 10 ทิฏฐิ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 255 “มหาจัตตารีสกสูตร” เป็นต้น

ก็ยังไม่เห็นวัดไหนสอนกันชัดๆเจนๆให้ทำทานแบบละภพชาติตามทานสูตรเลย

ต้องให้ละภพชาติ ในเทวดา 6 ชั้นนั้น

จตุมหาราช นี้ภพหยาบ ที่จริงคือสัตว์นรก เดรัจฉาน จอมยักษ์ จอมมาร จอมเดรัจฉาน แต่อธิบายกันเพี้ยนว่าเป็นเทวดา มันซ้อน ความเป็นเทวดาคือจิตไปหลงภพชาติได้เสวยบำเรออัตตาเป็นสุข เรียกว่าเทวดาดาวดึงส์เป็นอาการ 33 อาการสุขเก๊ ที่คนไม่มีหรอก แต่ปั้นเอาเอง

ศาสนาใดๆก็เอาภพชาติทั้ง 6 มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนให้ล้างภพ 6 นี้ เพราะภพ6 นี่คือนรก สวรรค์อยู่ที่ไหนนรกอยู่ที่นั่น มันเป็นธรรม 2 มันเป็นเมถุนธรรม ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นอทุกขมสุข อุเบกขา สุญญตา แต่มันลึกซึ้งอยู่

คนไม่เคยได้ยินหรอก ที่อาตมาพูดไปนี้ เขาจะว่ามาพูดอะไร ภพ 6 คือนรก เขาฟังไม่รู้เรื่อง อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน? ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่สอนให้ดับภพจบชาติ ศาสนาไหนๆก็มีภพมีชาติเป็นปรมาตมัน พาไปสวรรค์ มีศาสนาอุจเฉทิฏฐิ พวกนัตถิกทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิพวกนี้ก็ไม่มีอะไร

ศาสนาพุทธนี้ ไม่สอนไปสวรรค์แต่รู้ไปตามลำดับ ที่จริงดับภพจบชาติหมดสวรรค์หมดนรก

 

ซึ่งปุถุชนคนอวิชชาที่ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ทั้ง 10 ข้อนี้ ก็ย่อม“ไม่มีผล”(นัตถิ) นั่นคือ ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่สามารถบรรลุผลธรรม แน่นอน เพราะ“ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น หรือทำไม่ถูกต้องตามทฤษฎีของพุทธ ซึ่ง“การทำใจในใจ”(มนสิการ)ก็คือ“ทำฌานหรือทำสมาธิ”นั่นเอง แต่เขาทำไม่เป็น ไม่ถูกต้องตามแบบพุทธ เพราะไม่ง่าย

ฌาน แปลว่า เผา คือเผากิเลส แต่เขาไปแปลฌานว่าเพ่ง แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เพ่ง วิจัย การเพ่งเป็นลักษณะทำกสิณที่นอกรีตพุทธ สะกดนิ่งจดจ่อ เพ่ง แต่ของพุทธมีวิจัย มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ analysisไม่ใช่ hypnosis

เขายึดผิดเป็นถูกมานานแล้ว  คำว่าฌาน คำว่าสมาธิทุกวันนี้เข้าใจผิดไปมาก เป็น meditaion ไปหมด ไม่ใช่ supra concentration แม้อาจารย์บางคนพอเข้าใจ ว่าของพุทธไม่ไช่ไปนั่งสะกดจิต ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับโลกด้วย แต่ไม่ได้รายละเอียดไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ แม้แต่การทำทาน หรือยิตถังก็ไปแปลตามภาษาว่า ยัญพิธีที่บวงสรวงแล้วไม่มีผล ก็เลยเข้าใจยัญพิธีแบบการบูชายัญเอาคนมาต้ม ไปโน่น จริงๆแล้ว ยิตถังคือวิธีการใดๆก็แล้วแต่ที่เป็นไปเพื่อให้ลดละกิเลสได้ ไม่ใช่พิธีกรรมโบราณ ก็อย่างนั้นก็ทำได้แต่ไม่ใช่ไปทำผิดๆ พิธีของพุทธคือ ศิล สมาธิ ปัญญา

หุตัง แปลว่า มี หรือมีผล มีสิ่งสำเร็จเป็นผลหรือไม่ ปโหติ ถ้าทานหรือศีล (ยิตถัง) วิธีปฏิบัติปฏิปทา ไม่มีผล ก็ตรวจสอบหุตังว่าทำแล้วไม่เกิดผล จริงๆก็คือ ทาน ศีล ภาวนา คือการเกิดผล เกิดจากกรรม สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก

ต้องรู้ถึงการทำใจ มนสิการ เปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ใจ เปลี่ยน DNA ที่ใจเลย เปลี่ยนจากอยังโลโก เป็นปโรโลโก เปลี่ยนจากสัตว์โลกโลกียะเป็นสัตว์โลกุตระได้ ต้องรู้ความแตกต่างของโลกนี้กับโลกหน้า หรือโลกอื่น คนละโลกกัน ไปดำเนินชีวิต สุกตะ ไม่ดำเนินเส้นทางโลกีย์แล้ว ไม่เอาแล้ว แต่ก็อยู่กับโลกเขา เดินไปเดินมากับโลกเขา แต่เราไม่ไปเสพสุขกับเขาแล้ว

คนต้องรู้โลกโลกียะ รู้โลกโลกุตระ แล้วประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง

ต้องรู้แม่ รู้พ่อ รู้สัตว์โอปปาติกะ

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

10.    สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

มีภูมิธรรมของตนเอง ตามขั้นตอน ปัจจัตตัง สยังอภิญญา สยังอภิญญา อาตมานั้นมีภูมิสยังอภิญญา ไม่ใช่ภูมิสยัมภู ตอนแรกที่อาตมาประกาศ พตต.อนันต์ เสนาขันธ์ทำหนังสือบอกว่าเป็นศาสดามหาภัยเลย ซึ่งภูมิรู้อาตมาไม่เหมือนที่เขาถือกันด้วย ก็เลยเหมือนรู้เองคนเดียว อาตมาก็เลี่ยงสัจธรรมไม่ออกต้องพูดสิ่งที่ถูก

การนั่งสมาธิ เขาก็ว่าต้องนั่งหลับตาปฏิบัติ ลืมตาไม่ใช่ แต่อาตมาโชคดีมีพระไตรปิฎกยืนยันให้ รอดตัวได้เพราะพระไตรปิฎกแท้ๆ อาตมาอวดตัวอวดตนว่าเป็นสยังอภิญญานะ  แล้วอาตมาต้องมาทำในยุคนี้ด้วย ต้องมากอบกู้ในยุคนี้

มีอาจารย์พร รัตนสุวรรณที่ท่านเข้าใจสัตว์โอปปาติกะว่าเป็นผี เป็นวิญญาณเป็นเทวดา ภูติผี เป็นตัวตนไปเกิดตรงนั้นตรงนี้ ก็เลยไปสร้างเจดีย์ให้ ไปนั่งสมาธิแล้วก็บอกว่าเจอสัตว์โอปปาติกะ ที่นั่นที่นี่แล้วก็ไปสร้างที่อยู่ให้ ท่านหลงว่าตนมีภูมิรู้อย่างนั้น จนตั้งโรงพิมพ์ของตนเองชื่อว่าโรงพิมพ์วิญญาณ แต่เข้าใจแบบภิกษุสาติ ยิ่งกว่าภิกษุสาติอีก เข้าใจวิญญาณล่องลอยไปที่ไหนๆ ไปเข้าใจวิญญาณอย่างนี้จริงๆ

มีอีกคนหนึ่ง ภิกษุณีวรมัย  กบิลสิงห์ บวชมาจากเมืองจีน เข้าใจจิตวิญญาณแบบอาจารย์พร นั้นซึ่งยาก ผู้ที่เข้าใจแบบนี้แล้วไปนั่งสมาธิเห็นมโนมยอัตตา คือ รูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นรูปร่าง เป็นตัวเป็นตน สายนั่งหลับตาส่วนมากจะเห็นอย่างนั้นเข้าใจอย่างนั้น ก็เลยยาก เพราะมีอัตตาสำเร็จเป็นรูปแล้วไม่อ่านนาม เห็นสัตว์นรกก็เป็นรูปร่าง เห็นพระพรหมก็เป็นรูปร่าง เห็นเทวดาเป็นสัตว์มีรูปร่าง เลยเห็นความใสว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นอรหันต์ ไม่เอารูปร่าง แต่เอาความใสเลย อย่างธรรมกาย แล้วปั้นพระพุทธเจ้ามีหัวแหลมหัวปุ้มต่างกันเลยทะเลาะกัน เลยแยกเป็นสองธรรมกาย ก็เป็นของปลอมทั้งคู่ ทั้งที่สัจจะนั้นมีหนึ่งเดียว แต่ก็เลยคิดว่าของตนเองถูกก็เลยแตกเป็น 2 ประเภทของธรรมกาย เข้าใจกายไม่ได้ เลยเป็นธรรมกลาย

ต้องอ่านอาการกายของสัตว์นรก หยาบๆให้ออกก่อน สัตว์ที่เป็นโทษ พระพุทธเจ้าแยกเป็นสองสัตว์ใหญ่ๆคือ

สัตว์กามสุขขัลลิกะ คือเทวดาขิฑฑาปโทสิกะ คือยึดกามที่เป็นโทษ

สัตว์อัตตากิลมถะคือเทวดา มโนปโทสิกะ คือยึดอัตตาที่เป็นโทษ

คำว่าแม่นี้ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขา แต่หมายถึงภาวะของเพศ ที่ต่างกันในอาการ ลิงค นิมิต ว่าอาการเช่นนี้เป็นอิตถเพศ อาการเช่นนี้เป็นปุริสภาวะ เพศที่ยังมีสงครามกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ คือเพศแม่ พระพุทธเจ้าท่านเป็นพ่อ สารีบุตร โมคคัลลานะ หรืออิสีติสาวกเป็นแม่ ก็เพื่อช่วยกันทำคลอด สร้างลูกสัตว์โอปปาติกะทางจิตวิญญาณ เป็นพ่อแม่ลูกทางจิตวิญญาณ

เหตุปัจจัยที่เป็นลักษณะสองแบบนี้ ทำให้เกิดอธิจิต เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เป็นต้น จะเป็นลักษณะเด่นดีเป็นพ่อ ลักษณะยุ่งยากหลากหลายเป็นลักษณะแม่ ยังไม่เป็นหนึ่ง ไม่สง่าผ่าเผย แม้ในวัตถุก็มีเชิงนี้ อย่างภาษาฝรั่งเศสก็แยกเพศของภาษา

สัมมาทิฏฐิ 10 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในข้อที่ 10 มีว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

อาตมามาประกาศโพธิสัตว์ เอาของเก่าที่มีมาเปิดเผย แต่คนก็ว่าไม่มีหรอก อรหันต์ยุคนี้เขาว่าไม่มีแล้ว โสดาบันจะมีหรือเปล่าไม่รู้ ที่พูดกันนี่ปุถุชนทั้งนั้น คนนี้หมิ่นคำตรัสพระพุทธเจ้าข้อนี้ ถ้าคุณเชื่อว่าไม่มีก็สิ้นแล้ว ปิดประตูตัวเอง ก็ไม่เชื่อใครเลย มันหลงตน บอกว่ากูยังไม่ใช่แล้วใครจะเก่งกว่ากูล่ะ พวกนี้ที่ไม่เชื่อว่ามี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ตัวเองไม่มีดวงตาเห็นเอง

ในยุคกลียุคหนักคนชั่วมากเป็นอเวไนยสัตว์ แต่โลกก็ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ แม้กลียุคก็มี ไม่ขาดหรอก ไม่ขาดจากสมณะพราหมณ์ แต่คนรู้ไม่ได้ไม่ยอมรับ เพราะไม่รู้ ดีไม่ดีหาว่านอกรีตอีก

แม้แต่“ทำทาน” ก็“ทำใจในใจไม่เป็น หรือทำไม่ถูกต้องตามแบบพุทธ

ใน“สัมมาทิฏฐิ 10” ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 255 เริ่มตั้งแต่

“การทำทาน” ก็“นัตถิ ทินนัง” อันหมายความว่า “ทานที่ทำแล้ว ไม่มีผล” เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ” เพราะ“ทำทาน”โดย“ทำใจในใจ” กิเลสไม่ลดละหน่ายคลายลงเลย กิเลสมีแต่เพิ่ม

กล่าวคือ “ทำทาน”โดย“ทำใจในใจ”มีแต่การสร้าง“ภพ”สร้าง“ชาติ”ใส่เติมลงไป“ในใจ”(มนสิ) ของตนเองอีกซ้ำเข้าไป ด้วยอวิชชา หรือมิจฉาทิฏฐิอยู่ นั่นเอง

นั่นก็คือ “ทำใจในใจ” ไม่เป็น“โยนิโส” ไม่ถูกต้องถ่องแท้ กล่าวคือ “มนสิการ”(การทำใจในใจ)ไม่เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่ไป“ทำใจในใจ”ตามแบบของคนอื่น ตามคำสอนผู้อื่น อันไม่ใช่แบบพุทธ

ประเด็นสำคัญคือการทำทานทุกวันนี้ไม่สัมมาทิฏฐิ มีแต่ทำทานแล้ว

สอนให้ทำใจในใจว่าให้มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

การทำทานแล้วส่งให้ไปถึงผู้ตายนั้น ไม่มีในพระไตรปิฎกเล่มไหน แต่ไปเอาบุคลาธิษฐาน ที่ท่านอธิบายถึงเปรต  แต่คนไม่เข้าใจสัจธรรม ว่าพระพุทธเจ้าพูดถึงเทวดาว่าเทวดามาหาเรากลางคืน คนไม่เข้าใจก็ไปเข้าใจว่า คือตัวตนบุคคลเราเขา ทั้งที่จริงคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ท่านเอาบุคลาธิษฐานมาอธิบาย เพราะยุคสมัยนั้นเขาเข้าใจกันเช่นนั้น เช่นเดียวกับอาตมาที่เอาภาษาทางโลกมาอธิบาย พวกเราก็เข้าใจเป็นปรมัตถ์กัน

ทานที่เป็นภพเป็นชาติทานนั้นไม่มีอานิสงส์  ทำทานนั้นมีผลทั้งนั้น บางคนทำทานแล้วได้นรก ได้ภพชาติ แม้จะเรียกว่าสวรรค์ก็เป็น อาคามี คือความวนเวียนอยู่ในโลกียะ จะเรียกว่าสวรรค์ ก็เป็นอาคามี ไปหลงภพได้ภพ เมื่อสิ้นกรรม สิ้นยศ สิ้นอำนาจ ก็เวียนกลับ ดีไม่ดีจะหนักกว่าเก่า เพราะไปทำหนี้บาปเวรภัยมากกว่าเก่า

หลายคนเกิดมาในโลกแล้วได้บัลลังก์ ลูกคนรวยมีศักดิ์ศรีก็เบ่งข่มคนอื่นเยอะ เมื่อหมดยศ สิ้นอำนาจ  ก็ตกลงไปหนักกว่าเก่า เป็น อาคามี          ไปหลงว่าตนเองได้สวรรค์ แต่คือสัตว์นรกในร่างของคน เป็นจาตุมหาราช เมื่อได้แล้วก็ดีใจเป็นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่ไม่มีจริง เป็นสุขเท็จ มีแต่ศาสนาพุทธที่สอนไม่ให้เอาสวรรค์

 

พวกที่เป็นนักบวช ไปเสวยบัลลัง ลาภ ยศ สรรเสริญหนาหนัก ไม่รู้กิเลส แม้มันพอรู้แต่เสพเสวยสั่งสมใจที่ติดไปแล้ว จนตลอดชีวิต บวชแล้วก็ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ ชาตินี้ก็พอถูไถ ขนาดเขาจับได้ว่าละเมิดว่าชั่ว แต่ก็ยังทำให้คนก็เคารพกราบไหว้นับถืออีก มันบาปซับซ้อนหลายชั้น คนที่ทำชั่วแล้วก็ไม่ยอมรับ แต่ให้คนอื่นมารับรองให้ เป็นหนี้ซ้ำซ้อนกว่า เป็นเรื่องลึกซึ้งอจินไตย แต่เขาก็ดันทุรังทำต่อไปสารพัด คนไม่รู้ก็ตกเป็นเหยื่อเป็นพรรคพวกของเขา

สรุป ว่าไม่มีศาสนาไหนเลยที่ดับภพจบชาติ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียว ให้เข้ามาเรียนรู้ล้างภพจบชาติให้ได้ จึงจะบรรลุสูงสุดเป็นอรหันต์ไม่มีนรกสวรรค์หมดภพชาติ

มีสวรรค์ 6 ชั้นนี้แหละที่คนต้องการ การเป็นพรหมต้องมาลดสวรรค์ 6 นี้ คนไหนก็ต้องการสวรรค์ 6 ชั้นไม่มีใครต้องการนรก แต่นรกก็คือสวรรค์ 6 ชั้นนี้แหละ จะมาทำอย่างไรก็ตั้งใจติดตามที่อาตมาบรรยาย

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:00:00 )

590915

รายละเอียด

590915_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาหมดบุญ

มาลองดูคำถามของเด็กๆดูบ้าง

_หลวงปู่คะ ทำไมคนต้องมีกิเลสด้วยหรือคะ ? ด.ญ.รุ้งดอกไม้

ตอบ...คนมีกิเลสมาตั้งแต่เกิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น คนเกิดมาด้วยอวิชชาคือตัวพ่อของกิเลส ต้นตอต้นตระกูลของกิเลส อวิชชาพาให้เกิดมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนมีกิเลสที่ต้องมีกิเลสก็เพราะว่าตัวอวิชชานั้นแปลว่าโง่ เพราะคนเราโง่มีความไม่รู้ คนเราไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร

และการเกิดมาก็เพราะกิเลสมันพาเกิด ทำให้เป็นการเกิดที่ไม่ดี โดยแนวลึกคือ คนเกิดมาแล้วมันก็เป็นภพเป็นชาติ ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นดับภพจบชาติ

 

ถ้าทำได้ปล่อยวางในกายได้จะสบาย อาตมาถึงอยากให้หลายคนได้สบายอย่างนี้มันดีจริงๆ อาตมาเคยล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขมาแล้ว ได้ลาภมาก็สุขเชื่อไหม ได้ยศก็สุขนะเชื่อไหม ได้สรรเสริญมาได้เสพสุขทางกาม สัมผัสเสียดสีบำเรออัตตาก็มีความสุข ก็เคยสุขอย่างนั้นกับทางโลกสุขแบบโลกีย์ ได้บำเรอรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส คือได้บำเรออัตตามันก็เป็นสุข มันเคยเป็นเคยมีเคยได้

แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วอาการอย่างนั้นไม่มี สัมผัสกับลาภต่างๆก็เฉยๆ สัมผัสยศต่างๆก็เฉยๆ แต่ก่อนนี้เขาไม่เรียกพ่อครู แต่ตอนนี้เขายกยศให้เป็นพ่อครูก็เฉยๆ เขาจะยกย่องเชิดชูสรรเสริญก็เฉยๆ ที่อาตมาพูดนี้กำลังอวดอุตริมนุสธรรมนะ อาตมาเฉยๆจริงๆ อุเบกขา เพราะอาตมารู้ว่าเนกขัมสิตอุเบกขาเป็นอย่างไรแล้ว เจ็บมีอาการอย่างนั้นก็รู้ แม้สัมผัสเสียดสี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็เฉย ไม่ได้เกิดอารมณ์สุขหรือทุกข์ว่าอยากได้หรือไม่อยากได้ไม่มี อะไรควรทำก็ทำอะไรไม่ควรทำก็ไม่ทำไม่ร่วม ไม่ได้ต้องการอะไรมาบำเรออย่างที่ใจเราต้องการเป็นอัตตา การไม่ได้มีสุขอย่างนั้น การไม่มีสุขอย่างนั้นท่านเรียกว่า  ปรมังสุขัง ...นิพพานัง ปรมังสุขัง ท่านแปลกันว่าสุขอย่างยิ่ง อาตมาก็ขอแปลใหม่ว่ามันยิ่งกว่าสุข รสสุข ที่ได้ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือสัมผัส หรือบำเรออัตตาตัวเองอารมณ์สมใจได้เป็นสุขตัวนั้น มันคือความสุขโลกีย์ สุขอย่างมีรสชาติมีตัวตน

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีตัวตนของสุขนั้น ไม่ใช่ว่าได้ลาภมาตอนนี้ดีใจเท่านี้ ได้มาอีกก็ดีใจยิ่งกว่าอีก คือสุขยิ่งกว่า ก่อนนี้ได้เงินมาพันหนึ่งดีใจ แต่ว่าปฏิบัติแล้วได้เงินมาพันหนึ่งจะสุขยิ่งกว่าเก่า อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ต้องเป็นแต่ก่อนได้เงินพันหนึ่งเป็นสุข แต่ตอนนี้ได้เงินพันเท่าเก่าก็สุขลดลงหรือเฉยๆเลย  ปรมังสุขังไม่ใช่สุขอย่างยิ่งแต่คือยิ่งกว่าสุข

การเข้าใจว่าปรมังสุขัง คือสุขอย่างยิ่ง คือได้รสชาติยิ่งกว่าเก่า ได้ลาภมาสุขแค่นี้ ได้เพชรมา 1 เม็ดก็สุขขนาดนี้ ตอนหลังได้เพชรมาก้อนหนึ่งเหมือนเก่านี้ก็สุขยิ่งกว่าเขาอีกดีใจยิ่งกว่าเก่าอีก มันไม่ใช่

คราวนี้เราได้กินก๋วยเตี๋ยวชามนี้ก็อร่อยเป็นสุข เสร็จแล้ว วันหลังเราก็มาได้กินก๋วยเตี๋ยวชามนี้อย่างเก่ารสชาติเหมือนเก่าแม่ครัวคนเก่า กินแล้วก็รู้สึกว่าสุขกว่าเก่าอีก มันไม่ใช่ การมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกนั่นยิ่งซวย แสดงว่ามีอุปาทานโตขึ้น

แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ได้กินก๋วยเตี๋ยวชามเก่ารสชาติความสุขมันก็ลดลงจนมันไม่มี นั่นต่างหากคือปรมังสุขังมันยิ่งกว่าสุข

อาการอารมณ์ที่เป็นเนกขัมสิตเวทนา จนเป็นอุเบกขาเนกขัมสิตเวทนา กลางๆเฉย เป็นอารมณ์นิพพาน โดยการมีเนกขัมมะ มีการทำออก มีการทำให้ใจเราอุเบกขา ไม่ใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา ที่เป็นแบบพักยก แบบโลกๆ เคยอร่อยกับของนี้ วันหลังก็เซ็งๆเฉยๆในต่อไป หรือมันอิ่มแล้วกินคำต่อไปไม่อร่อยแล้ว เคหสิตอุเบกขาเวทนา ดีไม่ดีกินไม่ลงแล้ว แบบนั้นไม่ใช่อุเบกขาที่เป็นฐานนิพพาน เนกขัมมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขาเวทนา นั้นมีนัยต่างกัน โลกียะอย่างหนึ่งโลกุตระก็อย่างหนึ่ง

เด็กนักเรียนฟังแล้วเข้าใจไหมยกมือขึ้นสิ ...ไม่กล้ายก แปลว่าคงยากจริงนะ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86359

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfUzI2eFlLWEVpd0k

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/63o4m0fbd035/160915

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=K15HZugzM2g


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:00:34 )

590915

รายละเอียด

590915_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาหมดบุญ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2559 เป็นวันไหว้พระจันทร์ ขึ้น 14 ค่ำเดือน 10 ปีวอก เป็นวันที่เปิดโอกาสให้ถามปัญหา     มีนักเรียนมาร่วมฟังด้วย ก่อนเริ่มรายการก็มีประชาสัมพันธ์ ที่บ้านราชมีค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 14 เชิญมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาตมาก็พยายามพูดไปตามความเห็นจริง ว่าคนเรานี่ช่างกระไรไม่พยายามขวนขวายฟังธรรมเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ อาตมาเห็นเป็นความสำคัญมากที่จะต้องฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดมาก็สูญเปล่า เป็นโมฆะบุรุษเสียเวลาจริงๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

เกิดมาแล้วไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและไม่ได้ปฏิบัติตามด้วย ก็คือปุถุชนผู้มิได้สดับ จะไม่อาจสามารถ เบื่อหน่ายคลายกำหนัด จากกาย จากจิต ได้เลย

คำว่าเบื่อหน่ายคลายกำหนัดหรือหลุดพ้นจากกาย จากจิต มันเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า เมื่อเราได้สดับฟัง ก็ต้องศึกษาต่อว่า จะหลุดพ้นจากกายจากจิตทำไม​ ก็ติดยึดมันไปตลอด ตายไปแล้วเกิดอีกกี่ชาติก็อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

การติดยึดนี่เรื่องยิ่งใหญ่ การติดยึดนี่มันทุกข์ ติดยึดในอุปทานขันธ์ 5

อุปทานในขันธ์ 5 คือ รูปูปาทานักขันโธ เวทนูปาทานักขันทา สัญญูปาทานักขันโธ เวทนูปาทานักขันโธ สังขารูปานักขันโธ วิญญูปาทานนักขันโธ ถ้าเราไม่เรียนรู้ขันธ์ 5 ว่ามันมีอาการติดยึดอย่างไร แล้วสามารถปล่อยวางไม่ยึดติดได้ จะเป็นคนไม่มีทุกข์ อาการทุกข์ในตัวเรา จิตใจเราจะไม่มี เป็นอรหันต์จะไม่มีหมดเลยเลย

เป็นวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ที่ตนเองที่บอกว่าเป็นพุทธศาสนิกชน จะเกิดมาก็โมฆะ มีอายุ 100 ปีก็สูญเปล่า พอกพูนความมติดยึดผูกพันไปอีกต่างหาก เวรจริงๆ นอกจากโมฆะสิ่งที่ควรได้เมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ยังติดยึดพอกพูน   ยังติดยึดเข้าไปอีกหลายๆชาติ

การติดยึดนั้นทุกข์แน่นอน แต่ไม่รู้ ไม่รู้การวางปล่อย ไม่ได้มาศึกษาเลย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

ชาตินี้ทำมารู้แล้ว ไม่ติดยึดแล้วในโลก อาตมาไม่เอาแล้วการติดยึดในลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข รู้ว่ามันวางปล่อยได้อย่างไร ละวางปล่อยได้ อาตมาว่าอาตมาได้ทำมา ก็เลยมาทำงานนี้ เลิกการแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขกับบุคคลในโลก แล้วก็มาอธิบาย มาขยายความ มาสอน มาบอกความจริงนี้ ถึงมันยากก็มาทำงานนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษยชาติ ส่วนเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้น ดูแล้วไม่แย่งกับเขาแล้ว ก็มามีชีวิตอย่างนี้ 46 ปีแล้ว ก็ยังจะอยู่ต่อไปอีกตั้งใจจะอยู่ให้ได้อายุ 151 ปี ตอนนี้อายุ 82 ย่างเข้า 83 แล้ว ใครจะอยู่อีก 69 ปียกมือขึ้น

 

SMS วันที่ 14 กันยายน 2559

0828818xxxกราบนมัสการพ่อครูเนื่องในวันที่เสียงพ่อครูขาดขาดหายหายนั้นลูกเห็นคำว่าแบต์ตลี่ต่ำเลยทำให้เสียงขาดหายไปค่ะ

0861218xxxผู้บำเพ็ญนำปฏิบัติประจักษ์สำเร็จธรรม จิตเดิมสะอาดบริสุทธิ์ไม่ตำหนิไม่เรียกร้อง ปล่อยวางรัตนตรัยอยู่ในตัวเราเปลี่ยนตัวก่อนค่อยให้เขาเปลี่ยน สุขัสสะ สัคคัง ปาปัสสะ ปาปัง สวรรค์ในอกนรกในใจ

ตอบ..สิ่งที่อาตมาพูดไปนี่ ไม่ใช่แค่ภาษา แต่เป็นสิ่งที่อาตมามี ที่ได้บรรลุอาริยธรรมที่ได้ที่มี นอกจากบางอันมีบ้างที่เป็นของพุทธวิสัย ที่อาตมายังไม่มี แต่ได้กล่าวถึงก็บอกไปว่าอาตมายังไม่มี สูงเกินกว่าที่อาตมามีก็บอกไว้

ก็ดีที่คุณเอาภาษาบาลีนี้มา สุขัสสะ สัคคัง ปาปัสสะ ปาปัง สวรรค์ในอกนรกในใจ  แต่คำว่า จิตเดิมสะอาดนั้นยังไม่เคยเห็นในพระไตรปิฎก แต่สายมหายานพูดกัน ในพระไตรปิฎกไม่เคยเห็น เพราะจิตเดิมนั้นไม่สะอาด

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น คนเราเกิดมาก็มีอวิชชาเป็นตัวนำมาเกิด แล้วจะบริสุทธิ์สะอาดได้อย่างไร คนเราไม่ได้ศึกษาทำความบริสุทธิ์ไม่ได้ต้องมาศึกษาศาสนาแล้วทำจิตให้สะอาด ส่วนคนที่บอกว่าจิตเดิมสะอาดมาก่อนนั้น เป็นความเห็นผิด

บางคนอธิบายถึงว่า เด็กๆเกิดมานี่จิตบริสุทธิ์ ยังไม่มีกิเลสแล้ว มามีกิเลสตอนโต ก็ไปใหญ่เลย ก็ขอเห็นต่างที่คุณบอกว่าจิตเดิมสะอาดบริสุทธิ์ เป็นคุณสมบัติดีที่ไม่ตำหนิ ไม่เรียกร้อง แต่อาตมาฟังพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนให้นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ชมสิ่งที่ควรชม

แล้วบอกว่าปล่อยวางรัตนตรัยอยู่ในตัวเราเปลี่ยนตัวก่อน ค่อยให้เขาเปลี่ยน เป็นอย่างไร หรือแก้วสามดวงไม่เหมือนอย่างที่นายกี้ อริสมันต์ ตะโกน เขาหมายถึงอะไร หมายถึงมีมวลชน มีกองกำลังติดอาวุธ ...ไม่ใช่อย่างนั้นนะ

เมื่อเริ่มต้นเป็นอาริยสาวก เริ่มได้สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นสงฆ์มีคุณธรรมที่ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของธรรมะนี่คือสิ่งที่มนุษย์เกิดมาไม่ควรโมฆะ ต้องศึกษาแล้วปฏิบัติให้ได้อันนี้

ผู้ที่นั่งฟังอาตมาอยู่บัดนี้ เด็กด้วยผู้ใหญ่ด้วยหลวงปู่จะถามคำถามว่า…

ผู้ที่ฟังธรรมะหลวงปู่แล้ว ได้สดับแล้ว แล้วมีพุทธธรรมในตัวเองบ้าง...ใครมีบ้างยกมือ...ก็ยกมือกันเยอะแยะ ...มีหลายคนที่เป็นเด็ก ยกมือด้วย

คือเราได้ธรรมะอะไรที่เราได้ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน อย่างน้อยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น มีศีล

คำว่ามีศีลคำนี้ไม่ใช่ตื้นๆนะ ลึกซึ้งนะ เช่นศีลข้อ 1 ท่านบอกว่า

เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เราเองก็ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านให้เว้น เราก็เลยปฏิบัติตามจริงๆ กายก็ไม่ฆ่า วาจาก็ไม่บอกไม่พูดให้ใครฆ่าสัตว์ ใจนี่สิสำคัญ ศีลถือเอาที่ใจได้ ถ้าใจยังไม่มียังไม่ถือว่ามีศีล ใจเราไม่ต้องการฆ่าสัตว์ ใจเป็นประธาน สัมผัสกับสัตว์อยู่ก็ไม่ฆ่า สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กยุงมดปลวกก็ไม่ฆ่า แม้ที่สุดฆ่าเพื่อเอามากินก็ไม่ฆ่าแล้ว ก็มีปัญญารู้ว่าเนื้อสัตว์ไม่ควรกิน เพราะสัตว์มันต้องถูกฆ่าแน่ๆถ้าเอามากิน แม้เราไม่ฆ่าเองคนอื่นก็ต้องไปฆ่ามาให้เรา ทำไมเราต้องให้คนอื่นฆ่ามาให้เรากิน เราเองยังไม่ฆ่า การฆ่าสัตว์ก็ต้องไม่ดีสิ เป็นการเอาเปรียบคนอื่นตัวเองรู้ว่าการฆ่าสัตว์ไม่ดีแต่ให้คนอื่นไปฆ่ามาให้กิน ตัวเองก็เอาเปรียบคนอื่น แล้วจะบอกว่าตัวเองดี อาตมาว่าเลวกว่าที่คนไปฆ่าเองด้วย เพราะมันไม่ดีตนเองก็ไม่ทำ ไม่ทำสิ่งที่มันไม่ดี แต่ก็กินสิ่งที่ไม่ดี

เหมือนกับการโกงคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี ตนเองก็ไม่เอาเงินที่โกงมาใช้ คนอื่นมาโกงให้เราใช้เราก็ไม่เอา เพราะมันไม่ดี เพราะเราก็ไม่โกง  แต่คนไม่ศึกษา คนโกงมาให้เรา เราก็เอา เราก็ใช้ คนฆ่ามาให้เรา เราก็กิน ใจคนนี้ไม่ฆ่าคนนี้มีศีล

ศีลข้อที่ 2 ก็เช่นกันไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเรา

ศีลข้อที่ 4 ก็ไม่พูดโกหก ใจก็ไม่โกหกด้วยอย่างนี้เป็นต้น

นี่คือคนมีศีล มีอยู่ที่ใจ

ใจมันยังเสพติดสุรา (กล้าแข็ง) ยังไปมัวเมาสิ่งที่หลอกใจเราก็ไม่ติดในสิ่งที่เมาแล้ว ใจมีศีล มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา รู้ชัดเจนว่ามันไม่ดี ใจเราก็ไม่เอา รู้แล้วว่าไม่ดีเราก็ไม่เอาไม่เสพ ไม่สบาย ไม่เอา ไม่ละเมิดที่ท่านให้เว้นขาด ใจมันก็สบายสบายไม่ยากไม่เย็นอะไร นั่นคือผู้บรรลุ

แม้แต่ศีลข้ออื่นก็เหมือนกันศีลข้อที่ 6 ข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ก็เหมือนกัน    ใจมันสัมผัสสิ่งนั้นก็สบาย มีสติสัมปชัญญะหลุดพ้นได้

_0819643xxxวานก่อนเราถามเรื่องอจินไตยโดนดุ ตัดสินใจตั้งหลายปีกว่าจะกล้าถาม ต่อไปคงไม่กล้าถาม ตอนนี้ทั้งผวาทั้งหลอนน่ากลัวมาก

ตอบ...อาตมาขอแก้ตัวหน่อยนะว่าเรื่องดุนี้ อาตมาไม่ใช่คนดุ  แต่อาตมาเป็นคนจริงจัง ถ้าสิ่งที่ไม่ดีจะว่าแรงๆ ความไม่ดีจะกระตุกแรงเลย ไม่ใช่ดุ แต่คนไปตีความว่าเป็นคนดุ เข้าใจให้ดี แต่อาตมาจริงจังกับความจริง ถ้าสิ่งไม่ดีจะกระหน่ำแรงๆ ว่าแรงๆ ตำหนิแรงๆ

เวลาพ่อแม่จะว่าลูกที่ไม่ดีจะว่าแรงไหม แต่ก็ไปตีความว่าดุ คำว่าดุนี้หมายถึงจิตใจที่ดุร้ายจิตใจร้าย ไม่ใช่ แต่เป็นคนจริงจัง ต้องฟังภาษาให้เป็นภาษา ถ้าฟังภาษาเพี้ยนไปจะไม่ได้ประโยชน์ อาตมาทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ดีงาม อย่าเอาภาษาเลวร้ายมาใส่อาตมา คุณก็เลยเสียผล ก็อย่าไปเกิดอาการอย่างนั้น คุณเข้าใจผิด อาตมาไม่ใช่คนดุ แต่เป็นคนพูดจริง เอาจริง

ผู้ที่บรรยายถ้าท่านเห็นควรบรรยายสิ่งที่จะเอามาอธิบาย อย่างอาตมาอธิบายธรรมะให้ฟัง ถ้าอาตมาไม่อธิบายนี่คุณจะคิดให้ตายก็คิดไม่ออก เช่นคำว่ากายนี้ หมายถึงรูปนาม ไม่ใช่หมายถึงภายนอกอย่างเดียว กายคือจิต มโน วิญญาณ ถ้าอาตมาไม่อธิบาย คุณคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เป็นอจินไตย คุณคิดไม่ถูกหรอก ขนาดอาตมาอธิบายให้ฟัง ยังเข้าใจไม่ได้หมดเลย ยังยากเลย  เป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่สามัญจะคิดได้ง่ายๆ

อย่างอาตมาอธิบายเรื่องเล็บ

คนมีเล็บทุกคนมีเล็บ ก็จะได้ตรวจสอบว่าเล็บอันนี้มันไม่ใช่กายเราแล้ว ถ้าสิ่งที่มันอยู่ข้างนอกได้ไม่ใช่ของเราเข้าใจใช่ไหม เมื่อขาดออกจากตัวเราก็ไม่ใช่ของเราแล้ว แต่ที่มันติดอยู่กับตัวเรานี่ แล้วอาตมาอธิบายว่าติดอยู่นะ แต่เล็บส่วนที่คุณไม่มีประสาทรับรู้ด้วย เล็บส่วนนี้ไม่ใช่กาย คือมันไม่ใช่เรา แต่เมื่อตัดออกไปจากเราก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่กายแน่นอน แต่แม้ว่าติดเกี่ยวกับตัวเรามันยังไม่ใช่ตัวเราเลยไม่ใช่กาย ถ้าจะมาไม่มาธิบาย คุณจะรู้ไหมว่าเล็บที่ติดอยู่กับตัวเราไม่ใช่กาย หนักกว่านั้น ถ้าไม่ได้ยินที่พระพุทธเจ้าตรัสเองว่า  กายนี้ ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ถ้าเราได้ฟังเป็นขั้นตอนอย่างที่อาตมาอธิบายจะเข้าใจได้ แต่คนไทยซวยมาก เกิดมาก็ได้ยินคำว่ากายเป็นภาษาไทย เข้าใจความหมายว่าคือร่างกายข้างนอก ไม่ได้หมายถึงจิต มโน วิญญาณเลย คุณจะไม่รู้ว่ากายหมายถึงจิต มโน วิญญาณใช่ไหม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 ตถาคตเรียก กาย ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ต้องศึกษาทำไม เอามาพูดทำไม ก็ปล่อยให้กายคือร่างภายนอกเท่านั้นสิ แต่มันต้องมีประโยชน์สิ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่พาพ้นทุกข์จริงๆ ยิ่งฟังแล้วถ้าไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องศึกษา ยิ่งคนที่เห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งดีงามควรจะต้องรู้ควรจะต้องศึกษา ก็ต้องสะกิดใจว่าพระพุทธเจ้าสอนถึงอย่างนี้เหรอ ตถาคตเรียก กาย ว่า จิตบ้างมโนบ้าง วิญญาณบ้างแล้วมันจะเป็นยังไงก็ต้องรีบศึกษา อาตมายังไม่เก่งในการอธิบาย

ยังเปรยๆกับท่านดินไทว่า ยังแสดงอธิบายคำว่ากายยังไม่ถึงเท่าไหร่ แต่ต่อมาก็คิดว่าถึงบ้างแล้ว คือมันไม่ใช่กายเราแล้วจะไปยึดเป็นเราเป็นของเราทำไม การที่ตัดเล็บออกไป มันก็ไม่ใช่เป็นเรา เป็นของเรา จิตเราก็ไม่ไปผูกพันกับมันแล้ว

ต่อมาเล็บมันยังติดอยู่เลย แล้วท่านก็บอกว่านี่ไม่ใช่เรา มูลกรรมฐาน 5 ให้พิจารณาว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่กายแล้ว คุณก็ไม่ยึดว่าเป็นเรา ยิ่งกว่านั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเรียก กาย ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง แม้กายก็ไม่ใช่ของเรา มโนก็ไม่ใช่ของเรา วิญญาณก็ไม่ใช่ของเรา ในอัสสุตวตาสูตร

แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้ตลอดกาลช้านาน ฉะนั้นปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

เพราะมันปรากฏให้เห็นได้ว่าไม่เที่ยง เจริญบ้าง เสื่อมบ้าง ตายบ้าง

[231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้เมื่อดำรงอยู่   ปีหนึ่งบ้าง   สองปีบ้าง   สามปีบ้าง   สี่ปีบ้าง   ห้าปีบ้าง   สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้างย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

[232] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

[233] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

[234] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้  ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลายย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ

จบสูตรที่ 1

 

ถ้าทำได้ปล่อยวางในกายได้จะสบาย อาตมาถึงอยากให้หลายคนได้สบายอย่างนี้มันดีจริงๆ อาตมาเคยล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขมาแล้ว ได้ลาภมาก็สุขเชื่อไหม ได้ยศก็สุขนะเชื่อไหม ได้สรรเสริญมาได้เสพสุขทางกาม สัมผัสเสียดสีบำเรออัตตาก็มีความสุข ก็เคยสุขอย่างนั้นกับทางโลกสุขแบบโลกีย์ ได้บำเรอรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส คือได้บำเรออัตตามันก็เป็นสุข มันเคยเป็นเคยมีเคยได้

แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วอาการอย่างนั้นไม่มี สัมผัสกับลาภต่างๆก็เฉยๆ สัมผัสยศต่างๆก็เฉยๆ แต่ก่อนนี้เขาไม่เรียกพ่อครู แต่ตอนนี้เขายกยศให้เป็นพ่อครูก็เฉยๆ เขาจะยกย่องเชิดชูสรรเสริญก็เฉยๆ ที่อาตมาพูดนี้กำลังอวดอุตริมนุสธรรมนะ อาตมาเฉยๆจริงๆ อุเบกขา เพราะอาตมารู้ว่าเนกขัมสิตอุเบกขาเป็นอย่างไรแล้ว เจ็บมีอาการอย่างนั้นก็รู้ แม้สัมผัสเสียดสี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็เฉย ไม่ได้เกิดอารมณ์สุขหรือทุกข์ว่าอยากได้หรือไม่อยากได้ไม่มี อะไรควรทำก็ทำอะไรไม่ควรทำก็ไม่ทำไม่ร่วม ไม่ได้ต้องการอะไรมาบำเรออย่างที่ใจเราต้องการเป็นอัตตา การไม่ได้มีสุขอย่างนั้น การไม่มีสุขอย่างนั้นท่านเรียกว่า  ปรมังสุขัง ...นิพพานัง ปรมังสุขัง ท่านแปลกันว่าสุขอย่างยิ่ง อาตมาก็ขอแปลใหม่ว่ามันยิ่งกว่าสุข รสสุข ที่ได้ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือสัมผัส หรือบำเรออัตตาตัวเองอารมณ์สมใจได้เป็นสุขตัวนั้น มันคือความสุขโลกีย์ สุขอย่างมีรสชาติมีตัวตน

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีตัวตนของสุขนั้น ไม่ใช่ว่าได้ลาภมาตอนนี้ดีใจเท่านี้ ได้มาอีกก็ดีใจยิ่งกว่าอีก คือสุขยิ่งกว่า ก่อนนี้ได้เงินมาพันหนึ่งดีใจ แต่ว่าปฏิบัติแล้วได้เงินมาพันหนึ่งจะสุขยิ่งกว่าเก่า อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ต้องเป็นแต่ก่อนได้เงินพันหนึ่งเป็นสุข แต่ตอนนี้ได้เงินพันเท่าเก่าก็สุขลดลงหรือเฉยๆเลย  ปรมังสุขังไม่ใช่สุขอย่างยิ่งแต่คือยิ่งกว่าสุข

การเข้าใจว่าปรมังสุขัง คือสุขอย่างยิ่ง คือได้รสชาติยิ่งกว่าเก่า ได้ลาภมาสุขแค่นี้ ได้เพชรมา 1 เม็ดก็สุขขนาดนี้ ตอนหลังได้เพชรมาก้อนหนึ่งเหมือนเก่านี้ก็สุขยิ่งกว่าเขาอีกดีใจยิ่งกว่าเก่าอีก มันไม่ใช่

คราวนี้เราได้กินก๋วยเตี๋ยวชามนี้ก็อร่อยเป็นสุข เสร็จแล้ว วันหลังเราก็มาได้กินก๋วยเตี๋ยวชามนี้อย่างเก่ารสชาติเหมือนเก่าแม่ครัวคนเก่า กินแล้วก็รู้สึกว่าสุขกว่าเก่าอีก มันไม่ใช่ การมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกนั่นยิ่งซวย แสดงว่ามีอุปาทานโตขึ้น

แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ได้กินก๋วยเตี๋ยวชามเก่ารสชาติความสุขมันก็ลดลงจนมันไม่มี นั่นต่างหากคือปรมังสุขังมันยิ่งกว่าสุข

อาการอารมณ์ที่เป็นเนกขัมสิตเวทนา จนเป็นอุเบกขาเนกขัมสิตเวทนา กลางๆเฉย เป็นอารมณ์นิพพาน โดยการมีเนกขัมมะ มีการทำออก มีการทำให้ใจเราอุเบกขา ไม่ใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา ที่เป็นแบบพักยก แบบโลกๆ เคยอร่อยกับของนี้ วันหลังก็เซ็งๆเฉยๆในต่อไป หรือมันอิ่มแล้วกินคำต่อไปไม่อร่อยแล้ว เคหสิตอุเบกขาเวทนา ดีไม่ดีกินไม่ลงแล้ว แบบนั้นไม่ใช่อุเบกขาที่เป็นฐานนิพพาน เนกขัมมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขาเวทนา นั้นมีนัยต่างกัน โลกียะอย่างหนึ่งโลกุตระก็อย่างหนึ่ง

เด็กนักเรียนฟังแล้วเข้าใจไหมยกมือขึ้นสิ ...ไม่กล้ายก แปลว่าคงยากจริงนะ

 

มาลองดูคำถามของเด็กๆดูบ้าง

_หลวงปู่คะ ทำไมคนต้องมีกิเลสด้วยหรือคะ ? ด.ญ.รุ้งดอกไม้

ตอบ...คนมีกิเลสมาตั้งแต่เกิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น คนเกิดมาด้วยอวิชชาคือตัวพ่อของกิเลส ต้นตอต้นตระกูลของกิเลส อวิชชาพาให้เกิดมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนมีกิเลสที่ต้องมีกิเลสก็เพราะว่าตัวอวิชชานั้นแปลว่าโง่ เพราะคนเราโง่มีความไม่รู้ คนเราไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร

และการเกิดมาก็เพราะกิเลสมันพาเกิด ทำให้เป็นการเกิดที่ไม่ดี โดยแนวลึกคือ คนเกิดมาแล้วมันก็เป็นภพเป็นชาติ ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นดับภพจบชาติ เพราะฉะนั้นจิตที่ยังไม่ตาย คนที่ยังไม่ตายรู้จักความเป็นภพเป็นชาติ แล้วก็ละเอียดลึกซึ้งๆไปอ่านตัวภพ ที่ไม่ให้เกิดอย่างไร ท่านก็สอนภพไว้สามภพ

กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นภพทั้งสาม แล้วท่านก็สอน

ตัณหาอีก 3

1 กามตัณหา 2 ภวตัณหา 3 วิภวตัณหา

ผู้ที่เรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า 2 อย่างนี้ ภพ 3 ภพ ตัณหา 3 ตัณหา

ตัณหาแรกคือกามภพ ท่านก็ให้เลิกก่อนจะให้ไปมีภพ ให้ล้างกามภพก่อน กามตัณหาก่อน ต่อมาก็เรียนรู้รูปภพ ไม่ให้มีกิเลสเกิดในรูปภพอีก แล้วก็เรียนรู้ในอรูปภพมาให้มีกิเลสเกิดในอรูปภพอีก หมดทั้ง 3 ภพ ก็เป็นคนที่มีตัณหาที่ไม่มีภพก็เรียกว่าวิภวตัณหา เรียกว่าตัณหาที่ไม่มีภพ

แล้วก็เป็นคนอยู่ยังมีตัณหาอยู่ แต่ตัณหาเป็นมโนสัญเจตนา ในอาหาร 4 มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วไม่ได้เกิดภพชาติ แต่เป็นผู้รู้จักภพ อยู่เหนือภพ อยู่เหนือภพชาติ เป็นเรื่องที่คิดไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ปฏิบัติจนบรรลุ แล้วจะรู้ว่าวิภวตัณหาเป็นเช่นนี้

อาตมาก็มาอธิบายวิภวตัญหาว่าเป็นตัณหาอุดมการณ์ พระพุทธเจ้าท่านสอนศาสนาด้วยวิภวตัณหา เป็นมโนสัญเจตนา เป็นความต้องการที่ไม่มีภพ ท่านสอนให้ลดภพ ลดชาติ ท่านมีความต้องการ มีความมุ่งหมายด้วยนะ ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีความมุ่งหมายอะไรเลย เฉยเด๋อ เป็นคนบ้า มันไม่ใช่

อย่างเช่นอาตมาที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ ทำงานด้วยวิภวตัณหา มีความต้องการที่จะต้องทำงาน เพื่อคนอื่น ไม่ใช่ทำงานเพื่อต้องการเป็นเราเป็นของเรา เป็นความมุ่งหมายเป็นความประสงค์เฉยๆ

คนเราเกิดมาต้องเรียนรู้ที่จะทำให้หมดกิเลสจนเป็นพระอรหันต์ จะเกิดมาก็ไม่มีกิเลส อรหันต์นั้นเกิดมาอาจจะเริ่มต้นเหมือนมีกิเลส เหมือนคนโลกๆ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณมาก่อนแล้ว เกิดมาชาตินี้เพื่อมาสร้างศาสนา ท่านเกิดมาเพื่อประกาศศาสนา ท่านไม่ต้องมาศึกษาศาสนาอีกแล้ว เพราะท่านบรรลุมาก่อนแล้ว อาตมาเล่ากี่ทีคนก็ไม่เข้าใจแต่พวกเราเข้าใจกันไหม เจ้าชายสิทธัตถะท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณมาก่อนแล้วที่จะมาประกาศศาสนาในชาตินั้น ไม่ใช่ท่านมาปฏิบัติธรรม ท่านไม่ต้องปฏิบัติหรอก นอกจากจะไม่ปฏิบัติแล้ว เมื่ออายุ 29 ปีท่านยังไม่ได้ออกบวช ท่านก็เข้าป่าไปปฏิบัติแบบคนโลกๆพาทำ ท่านก็ยังไม่ฟื้นคืนพุทธธรรม ในวันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็ฟื้นคืนความรู้ของท่าน ในยามที่สองยามที่สามความรู้เหล่านั้นก็คืนมา ท่านจึงประกาศ ศาสนา ไปประกาศกับปัญจวัคคีย์ก่อนว่าเรารู้แล้ว บรรลุแล้ว

แล้วท่านก็มาบอกทีหลังอีกว่าที่ไปปฏิบัติในป่า 6 ปีนั้นเป็นทางผิด นั่นเป็นการใช้หนี้วิบากบาปที่ไปตู่ท้วงพระพุทธเจ้ากัสสปะ ในปางหนึ่งที่ท่านเกิดเป็นโชติปาลมานพ

เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก   ท่านจะได้จากโพธิมณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”   ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี   เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต)  จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

พระพุทธเจ้าก็สารภาพว่า 6 ปีในป่านั้นเป็นทางผิด การบรรลุนั้นเพราะว่าท่านระลึกชาติได้ ท่านไม่ได้ปฏิบัตินะแต่ท่านนั่งระลึกชาติใต้ต้นโพธิ์ในวัน 15 ค่ำเดือน 6 แล้วท่านก็รู้ว่าธรรมะเป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านก็รู้ตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็มาประกาศตัวเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาว่าพูดชัดขยายความเต็มรูปชัดเจนนะ แต่คนก็ยังเข้าใจผิดอยู่ทุกวันว่า ปฏิบัติธรรมต้องหนีจากบ้านช่องเรือนชานแล้วก็เข้าป่าแล้วก็ไปนั่งทรมานทรกรรมบำเพ็ญทุกรกิริยาต่างๆ เหมือนบรรดาฤาษีดาบสต่างๆที่สอนให้นั่งสะกดจิตทำทุกรกิริยา ก็คือทำกิริยาที่ไม่เป็นประโยชน์(ทรมานตน) มันเสียเวลาเปล่าไม่ได้เกิดคุณค่าอะไรไม่ได้พาบรรลุธรรม เพราะฉะนั้นทำอะไรก็แล้วแต่นั่งดูลมหายใจเข้าออก ก็เป็นทุกรกิริยามันไร้ประโยชน์มันไม่ใช่ทางบรรลุธรรม

ทางบรรลุธรรมจะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยและอ่านกิเลสที่เกิด ทำการประหาร 5 ประหารด้วยความเข้าใจว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ไปยึดไม่ได้ พิจารณาในปัจจุบันตามเหตุปัจจัย พิจารณาในกายเวทนาจิต อย่างจริงๆอย่างมีสภาวะรองรับ  มี analysis ไม่ใช่ hypnosis มันคนละเรื่องเลย

ยุคนี้ 2,500 กว่าปีแล้ว ศาสนาไม่เสื่อมหรอก แต่คนนั้นเสื่อม ความเข้าใจผิดเพี้ยนไปแล้วจากศาสนาพุทธ อาตมาเอาสิ่งที่ถูกต้องมาพูด เขาก็ไม่เชื่อเลย แม้เขาจะไม่เชื่อฟังไม่ขึ้นก็ไม่ท้อแท้ เพราะพูดไปนี้มีคนเข้าใจบ้าง ใครเข้าใจบ้างเท่านี้ก็เอาแล้ว ได้แค่นี้ก็เอา อาตมาตั้งใจมาเปิดเผยสิ่งนี้ได้เท่าไหร่ก็เอาชาตินี้ ชัดเจนว่ามาสอนที่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกต้องก็เลิกเสียมันงมงาย

 

_หลวงปู่คะถ้านักเรียนทำผิดนิดหน่อยแล้วคุณครูตี ถูกไหมคะได้ข่าวว่าทางกระทรวงไม่ให้ตีเด็ก

ตอบ….ผิดนิดหน่อยถ้าสมควรตีเขาก็ตีนิดหน่อย โรงเรียนนี้สอนให้ตี ไม่ใช่สอนไม่ให้ตีเด็ก การตีเด็กนั้น ถ้าเด็กผิดถึงขั้นควรตีก็ควรตี แต่ไม่ใช่คู่กรณี ผิดต่อหน้าครูคนนี้แล้วให้ครูคนนี้ตีไม่ใช่ ต้องให้กรรมการเป็นคนตี ครูคนอื่นเป็นคนตี ไม่ใช่พอผิดปุ๊บก็พั๊วเลย ไม่ใช่ ถือว่าครูทำผิด แต่ตีให้รู้ว่าเขาทำผิด ให้ที่ประชุมเป็นผู้ตัดสินว่าสมควรตี แล้วให้ใครเป็นคนตีด้วย ไม่ใช่ครูที่เป็นคู่กรณีเป็นผู้ตี นี่คือวิธีการมีทางอารมณ์เหตุผลมีของจริงตัดสิน

 

_หลวงปู่คะเวลานักเรียนคุยกันหลวงปู่ได้ยินไหมคะ แล้วหลวงปู่รู้สึกอย่างไรคะ

ตอบ….ถามมา 2 ประเด็น เวลานักเรียนคุยกันหลวงปู่ไม่ได้ยินหรอก แต่ตาเห็นว่าคุยกันเสียงมันก็ไปไม่ได้ยิน แต่ตานี้เห็น หลวงปู่รู้สึกว่าเด็กที่ไม่ได้เรื่องมานั่งเรียนแต่กลับมาคุยกัน หลวงปู่พูดบรรยายอยู่ก็ไม่เคารพหลวงปู่ ไม่มีมารยาทสังคม มีนิสัยไม่ดีรู้สึกอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้นปรับปรุงเสีย

 

_หลวงปู่คะเมื่อวันพุธ เขาออกข่าวว่าต้นโพธิ์ล้มทับรถค่ะ ก่อนจะตัดเขาคิดว่ามีเทวดาอยู่คะเขาเลยให้เจ้าอาวาสวัดมาบูชาค่ะ แต่หนูคิดว่าเทวดาอยู่บนท้องฟ้าหนูอยากจะถามว่าเทวดามีจริงไหมคะ  ดญ.ใสเสมอ

ตอบ...หนูใสเสมอเข้าใจว่าเทวดาอยู่บนฟ้า เลยอยากถามว่าเทวดามีจริงไหม ตอบว่า เทวดาหมายถึงจิตใจที่เป็นความเจริญเป็นกุศล เป็นจิตใจที่เจริญที่ประเสริฐ ไม่ใช่อยู่ที่บนฟ้า หรือที่ไหนๆจะอยู่ที่ในจิตใจเราในตัวเรา เพราะฉะนั้นต้นไม้มันล้ม มันไม่มีเทวดาหรอก ต้นโพธิ์เป็นพีชนิยาม เป็นชีวะในระดับพืช ในระดับไม่ใช่สัตว์ที่เป็นจิตนิยาม อย่างอุตุนิยามไม่มีความรู้สึกไม่มีความรับรู้ ไม่มีตัวรู้ อย่างพวกดินน้ำไฟลมความร้อนแสงเสียง ไม่มีตัวรู้ เรียกอุตุนิยาม

ส่วนพืช มีสัญญากับสังขารเป็นธาตุรู้ แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ยังไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีวิบาก ไม่มีกรรม การเอาต้นไม้มากินนี้ไม่มีวิบากไม่มีบาปไม่มีบุญอะไร ถ้ามันเป็นพีชนิยาม เป็นองค์ประกอบของสังขารธรรมในโลก ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีรักไม่มีชัง มีแต่สัญญาที่เอาธาตุอาหารมาเลี้ยงตัวเองทั้งนั้น

เทวดาคือพลังงานขั้นจิตนิยาม มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วนพืชนั้นมีแต่รูป สัญญา สังขาร แต่จิตนิยามนี้มีมากกว่า

ที่ถามว่าเทวดามีจริงไหม เทวดาคือจิตในสัตว์โลก สัตว์โลกทั่วไปไม่มีปัญญารู้หรอก คนเท่านั้นที่จะเรียนรู้ได้ และคนในระดับเวไนยสัตว์เท่านั้นที่จะเรียนรู้ศึกษาได้ ส่วนคนระดับอเวไนยสัตว์พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แม้จะจบเปรียญ 9 ได้ doctor มาไม่รู้กี่ใบแต่ไม่มีภูมิธรรมที่จะเรียนรู้ได้สอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

ส่วนคนที่จะเรียนรู้ธรรมะได้เป็นเวไนยสัตว์ไม่ได้เรียนรู้หนังสือเลย แต่ศึกษาธรรมะได้ บรรลุเป็นอรหันต์ได้ด้วย จบป.4 แต่บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ได้ จะบอกว่าเรียนจบสูงสูงแล้วจะบรรลุอรหันต์ไม่ใช่เลย

ศาสนาอื่นเขาเคยบอกว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนา เพราะไม่มีวิญญาณไม่รู้จักพระเจ้าเป็นปรัชญา คนที่พูดเช่นนี้ไม่รู้เรื่องเลยว่าศาสนาพุทธเป็นอย่างไร ศาสนาพุทธนั้นรู้จักวิญญาณได้ชัดเจนอย่างรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง อย่างสมบูรณ์แบบด้วย แต่ศาสนาเทวนิยมนั้นไม่มี analysis ทางจิตวิญญาณ จึงไม่รู้จักจิตวิญญาณดีที่สุด ส่วนมากก็แค่ กดข่ม เป็น hypnotized สะกดจิตเอา ส่วนมากก็แค่ให้ทำดีอย่าทำชั่วอย่าให้ออกมาทางกายกรรมทางวจีกรรมไปทำชั่ว ให้ทำแต่ดีเป็นการสะกดจิต ไม่ได้มีรู้ใจ ไม่ได้รู้จิตในจิต ไม่รู้เวทนา 108 ไม่รู้การทำใจในใจเป็นสังกัปปะ 7 ไม่มีวิธีการมรรคองค์ 8 ไม่มีอาริยะโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ศาสนาอื่นไม่มี อาตมาพูดอย่างนี้แล้วก็อย่าไปดูถูกศาสนาอื่นเขาล่ะ

จิตวิญญาณที่ละกิเลสนั่นคือเทวดาอุบัติเทพ จิตที่มีกิเลสดับหมดคือวิสุทธิเทพ ส่วนจิตวิญญาณของคนที่มีความรู้ เป็นเทพเทวดาที่ทำกิเลสให้ลดไม่ได้ แต่จิตใจเขารู้สึกว่าเจริญได้ทำดี ถ้าจะทำชั่วเขาก็สะกดจิตไว้อย่างนั้นได้ เป็นสมมุติเทพ แล้วเทพอย่างนี้จะไม่รู้จักสุขจากทุกข์ที่แท้ เป็นสุขทางโลกีย์ที่ได้บำเรอกิเลส ส่วนของศาสนาพุทธนั้นกิเลสลดนั้นได้ยิ่งกว่าสุข วูปสโมสุขหรืออุปสโมสุข ไม่ใช่เป็นสุขที่ได้บำเรอกิเลสแล้ว พอใจยินดีที่ได้ตามกิเลส การบำเรอกิเลสและเป็นสุขเรียกว่าสมมุติเทพ ส่วนการลดกิเลสได้ แม้ได้ไม่หมดก็เรียกว่าอุบัติเทพเป็นจิตวิญญาณที่เจริญ หมดก็เป็นวิสุทธิเทพ

 

_บรรลุโสดาบันแล้วจะสามารถเวียนกลับไปลงไปถึงโลกีย์ได้ไหม

ตอบว่าโลกียคือโลกสามัญของคน  อันนี้เป็นเรื่องอบาย เป็นเรื่องไม่ดีแล้ว เช่นเขาจะอะเร็ดอะอร่อย เขาจะเล่นกัน เช่นร่วมเล่นไพ่เป็นขาไพ่ มันเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องอบายมุข คนที่เป็นโสดาบันแล้วจะไม่เอา เอาหลักของพระพุทธเจ้ามาเลย

1 ไม่ฆ่าสัตว์ 2 ไม่เอาทรัพย์ของคนอื่น 3 ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร 4 ไม่พูดปด 5 ไม่เสพสิ่งเสพติดไม่มัวเมากับเรื่องหยาบต่ำแล้วไม่เอาแล้วไม่ไปร่วมด้วยแล้ว

เพราะฉะนั้นโสดาบันไม่ไปเอากับเขาแล้ว เช่นเรื่องเล่นไพ่ ก็ไม่เล่นแล้ว ถ้าเป็นโสดาบันแล้วไม่ไปร่วมเล่นด้วย ในจิตใจอาจจะมีอยู่บ้าง แต่ไม่เอาแน่เด็ดขาด ภายนอก ภายในใจก็หักห้ามได้

สรุปแล้วโลกีย์หยาบ ที่โสดาบันหลุดพ้นแล้วไม่เวียนกลับ 1 โสดาบันไม่ฆ่าสัตว์ เขาฆ่าสัตว์โสดาบันไม่เอาด้วย แม้ในใจจะรู้สึกว่าน่าจะได้มัน น่าเอามากินมีเหตุผล ก็จะไม่เอา

ถ้าสิ่งไหนไม่ใช่ของเราแล้ว จิตใจมันยังอยากจะได้ แต่จะไม่ทำ มันไม่ใช่ของเราจะไม่เอา สามารถระงับใจได้ไม่ยากไม่ลำบาก ถ้าได้โดยไม่ยากไม่ลำบากมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นฌานที่สูง

ศีลข้อที่ 3 ผัวเดียวเมียเดียวกายเราก็ไม่ละเมิด ใจเราก็ไม่ละเมิด ไม่นอกใจ สามารถระงับได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก

การพูดปดนั้นไม่เอา อย่างนี้ไม่เอา

นี่คืออบายมุขไปสนุกจัดจ้านเกินไป มันเสียเวลา เสียแรงงาน ไม่ดี ไม่เอา อันนี้มันจัดจ้านมากไป อันนี้มันรูปสวยเกินไป เสียงมันเพราะเกินไปไม่เอา ร่ำรวยเกินไปไม่เอา กลิ่นที่มันยั่วยวนเกินไปไม่เอา อันไหนที่มันแรงมากไปจะไม่เอา

จะไม่เปลี่ยนกลับเพราะคุณสมบัติของโสดาบันนั้น

  1. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) . .
  2. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา)
  3. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น)
  4. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า)

(พตปฎ. เล่ม 19  ข้อ 1475)

 

_จาก ด.ช.เพชรแสงธรรม 1 สายเจโตคือคนเช่นไรครับ 2 สายปัญญาคือคนเช่นไรครับ 3 แล้วหลวงปู่คิดว่าสายไหนดีที่สุดครับ 4 หลวงปู่เป็นคนสายไหนครับ

ตอบ...สรุปแล้วมี 2 สายสายเจโตกับสายปัญญา

เจโต หมายถึงคนที่มีจริตนิสัยเป็นของตน คนก็จะมีจริตบางทีท่านก็เรียกว่าสายศรัทธากับสายปัญญา สายสัทธานุสารี สายธัมมานุสารี

สายเจโตคือถนัดทางศรัทธา สายปัญญาก็ถนัดทางใช้ปัญญา

ถามว่าสายไหนดีที่สุดมันก็ดีคนละแง่ แต่จริงๆแล้วใช้ปัญญาจะมีเชิงชั้นกว่า ทำไมอาตมาพูดเช่นนั้น เพราะถ้าใช้ปัญญานำ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธิปัญญา แจ้งเตือนสายที่เอาปัญญานำ ดีกว่าสายเจโตนำ เจโตจะช้ากว่า อย่างพระโมคคัลลานะบรรลุก่อน พระโมคคัลลานะนั้นเป็นสายเจโต อันนั้นมีบารมีเก่า แต่ไม่ลึกซึ้งเท่า สายปัญญา

สายศรัทธา

1. สัทธานุสารี . >

3. สัทธาวิมุติ .  >

5. กายสักขี  .   >

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8)

 

สายปัญญา

2. ธัมมานุสารี .

4. ทิฏฐิปัตตะ .

6. ปัญญาวิมุติ . .

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)

 

สายปัญญาวิมุติ จะดับอาสวะสิ้นแล้วถือว่าได้อรหันต์ แต่ขั้นที่ 3 ของสายศรัทธาคือกายสักขีนั้นดับอาสวะบางอย่างสิ้น แต่ไม่สิ้นหมด แต่สายปัญญาวิมุติ จะดับอาสวะสิ้นได้ สายศรัทธาต้องได้อุภโตภาควิมุติจึงเป็นอรหันต์ได้ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมีกาย

ต้องมีความรู้ว่า กายคืออะไร ให้เป็นสักขี

สักขีคือสิ่งยืนยันได้เป็นพยานได้ ต้องมีกายเป็นสักขี

กายหมายถึงภายนอกด้วยภายในด้วย ต้องสัมผัสภายนอกด้วยภายในด้วยเป็นหลักฐานเป็นอุภโตภาควิมุติ จึงสิ้นอาสวะได้ ถ้าไม่ได้สัมผัสภายนอกแล้วนั่งหลับตาสมาธิและบอกว่าจะบรรลุเป็นอรหันต์นั้น เป็นการปิดประตูบรรลุ เพราะไม่มีกายสักขีเลย

แม้การนั่ง พระพุทธเจ้าให้รู้ลมหายใจเข้าออก จึงจะมีกาย แม้มีเศษเสี้ยวของกายอยู่ แม้ไม่รู้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้น แต่ยังสัมผัสลมหายใจเข้าออกได้อยู่ก็ถือว่ามีกาย อย่าไปทิ้งกาย ถ้าอานาปานสติ ไม่รู้ข้างนอกไม่ได้ ไม่มีนอกไม่มีกาย ไม่ได้เลย คนที่ไปสอนอย่างมิจฉาทิฏฐิ นั่งหลับตาสมาธิ บอกว่าใจอย่าออกนอก อยู่ข้างในหมด คนอย่างนี้ปิดประตูนิพพาน คนสอนอย่างนี้มีเช่นหลวงพ่อดุลย์ สอนอย่างนี้เลย หรือธรรมกายก็สอนให้รู้ใสแต่ข้างใน ไม่รู้นอก ปิดประตูนิพพานเลย

การที่จะมีภายนอกและมีสิ่งที่จะสัมพันธ์กับภายนอกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากศาสนาพุทธจึงต่างกับศาสนานั่งสมาธิหลับตามากเลย

ถามว่าสายไหนดีที่สุดครับก็ดีทั้งสองอย่างนั้นแหละแต่สายปัญญาจะบรรลุได้ง่ายกว่า เพราะศาสนาพุทธต้องใช้ปัญญา แต่ถ้าศาสนาพุทธไปดับ เช่นไปนั่งหลับตาแล้วดับสัญญาตัวธาตุรู้ ซึ่งเป็นเจตสิกที่มีความสำคัญในการกำหนดรู้ แต่ไปนั่งหลับตาดับเวทนาดับสัญญาแล้วถือว่านี้เป็นนิโรธนี่คือความมิจฉาทิฐิ  สุญโญของศาสนาพุทธ ไปดับธาตุรู้ของศาสนาพุทธหมดเลย ขนาดภายนอกท่านยังไม่ให้ดับแล้วไปดับจิตอีก เพราะภายนอกจะทำให้รู้จักกิเลสครบครันที่เกิดจากการสัมผัสสัมพันธ์ภายนอกอย่างถูกต้องตัวกิเลสแล้วจับกิเลสประหารกิเลส ศาสนาพุทธสอนอย่างนี้

แต่การไปดับสัญญา เวทนา แล้วบอกว่า นี่คือนิโรธ แท้จริงคืออสัญญีสัตว์ เป็นสุภกิณหะ เป็นสัตว์ที่มีแต่ความมืดดับดำมืด แล้วหลงว่านี่คือนิโรธ คือมิจฉาทิฏฐิที่เต็มบ้อง

นิโรธ คือดับกิเลส ดับได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าได้ส่วนแห่งบุญ ดับได้หมดก็หมดบุญหมดบาป ดับอาสวะตัวนั้นได้ ก็ถือว่าปุญญปาปปริกขีโณ สิ้นบุญสิ้นบาป เพราะบุญคือการประหารกิเลส

อย่างเรื่องบุญกับเรื่องกุศลตอนนี้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปมากก็เลยปฏิบัติบุญไม่เป็น เพราะเข้าใจบุญเป็นกุศล แล้วไปหลอกกันด้วยว่าให้มาทำบุญมาสร้างบารมี ส่งบุญแบ่งบุญไปให้คนนั้นคนนี้ได้อีก บุญนั้นแท้จริงคือการดับกิเลสของใครของมัน ถ้าเราแบ่งบุญกันได้ อาตมาก็ไม่ต้องเสียเวลาเทศน์ ก็มานั่งแบ่งบุญให้ก็จบแล้ว ไม่ต้องสอนให้เมื่อย แต่มันแบ่งกันไม่ได้ บุญคือปหาน 5

ปหานเสร็จหมด บุญก็หมดไป บุญเป็นวิบัติ บุญไม่ใช่สมบัติ        

หลวงปู่สายปัญญา

 

_พระอสีติสาวกมีความหมายว่าอย่างไร จำนวนของพระอสีติสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีส่วนสัมพันธ์กับอายุของพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์หรือไม่อย่างไร พ่อครู เอ่ยถึงจำนวน 72 คนมีนัยยะอย่างไร

ตอบ...มีนัยยะ นึกขึ้นได้ตอนนั้น อาตมานี่เลข 72 ของอาตมา อาตมาสัมผัสลึกอยู่ในเลข 72 เพราะอาตมารู้ว่าอายุขัยของอาตมานั้น 72 ปี อาตมาต้องตายในอายุ 72 ปีแล้ว แต่อาตมาไม่ยอมตาย ก็พยายามให้อยู่ไปนานๆเท่าที่จะนานได้

เลข 72 นั้นก็มีอยู่ในใจ

พระอสีติสาวกของพระพุทธเจ้ามี 80 องค์ พระพุทธเจ้าก็อายุ 80 ก็ตาย อาตมาก็คงจะล้อเลียนบ้าง อายุ 70 ปีก็ตาย ไม่ได้จริงจังในหลักการหรอก อาตมาก็ว่ามี 72 รูปก็ตาย

พระพุทธเจ้าท่านคัดเลือกตามเกณฑ์ของท่านว่า นี่คืออสีติสาวก คือผู้ที่มีคุณสมบัติ มีคุณธรรมเชิงต่างๆเก่งแบบต่างๆมีความสามารถต่างๆกันแต่ละองค์ ทั้ง 80 องค์ ถามซ้อนว่า สัมพันธ์กับอายุของศาสนาไหม ก็มีส่วนสัมพันธ์ เพราะถ้าอสีติสาวกนั้นเก่งและชำนาญมีภูมิธรรมสูงกันดี พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็มีอสีติสาวกเก่งต่างกันไป ถ้ามีอสีติสาวกเก่งชำนาญกว่ามากก็ดีกว่า นำพาศาสนาไปได้ดีกว่าเป็นธรรมดา

ในศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมมีอสีติสาวก 80 องค์มีบารมีเท่านี้จึงนำศาสนามาได้เท่านี้มาถึง 2,500 สองพันหกร้อยกว่าปี เหลือเชื้อของพุทธธรรมเท่านี้และเสื่อมไปเยอะ ถ้าอสีติสาวกมากกว่านี้ มีบารมีมากกว่านี้ ก็จะเหลือเนื้อแท้มากกว่านี้อีก แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้าบางพระองค์จะนานไปกว่านี้ก็เพราะมีอสีติสาวกที่ช่วยสืบสานร่วมกัน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าไม่ปรินิพพาน จนพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็สืบสานต่อ จึงมีผลต่ออายุศาสนา

 

_0890529xxxบำเพ็ญธรรมจะต้องอดกลั้นอดทน จะต้องจริงจังยั่งยืน จะต้องไม่หน่ายคร้านไม่เข้าข้างตนไม่หลอกลวงตน ขจัดนิสัยความเคยชินที่ไม่ดีของตนออกไป ฝึกฝนตามขั้นตอน ไม่ขัดฝืน ผู้น้อยกราบขอบพระคุณพ่อครู ที่อบรมและชี้ทางนำธรรมะจริงมาโปรดเวไนยให้รู้ตื่นและนำมาปฏิบัติเพื่อจิตนี้หลุดพ้น

0893867xxxกราบขอบคุณพ่อครูกับคำตอบจิตอริยะณ.แดนชมพูทวีป!กับธ.ที่ต้องรู้ได้ด้วยตนเองโดยท่านกล่าวตรงพระพุทธองค์ทรงช่วยบ่ได้ดอก!แต่ทรงแนะลู่ทางวางไว้ให้! เราต้องขยันปฏิบัติขัดเกลาไป!จึงจะได้พ้นทุกข์สู่นิพพานสาธุ!skk

0893867xxxพ่อครูตอบตรงไปตรงมาตรงใจเป๊ะ! มวลเสริมกองทัพธรรมนักรบศีล8ด้วยธรรมาวุธยุทธวิธีโดยธ.สงบสันติอหิงสาณ .มัฆวานผ่านฟ้าฯสกก.

0893867xxxขอบคุณบุญนิยมกับธ.พ่อครู สอนมิจฉาทิฏฐิ10ไม่มีผล ส่วนแห่งบุญตรงกันข้ามกับสัมมาทิฎฐิที่เป็นสาสวะ10 มีส่วนแห่งบุญเกิดแก่ขันธ์5! ผู้มีวิบากหูดับขณะศึกษาธ.จนใช้หูเทียมไม่ได้เหมือนวิบากพ่อครูไอขณะสอนธ.!สกก.คนโลกเงียบ!

ตอบ...สาสวะคือมีอาสวะเหลือ ส่วนอนาสวะคืออาสวะสิ้น คนสัมมาทิฏฐิจะกำจัดกิเลสเป็นส่วนๆคือส่วนแห่งบุญ บุญไม่ใช่สมบัติแต่บุญคือวิบัติ ส่วนแห่งบุญ ไม่ได้หมายความว่ามีอะไรขึ้นมา แต่กำจัดออกไปเป็นส่วนๆ ในอุปาทานในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ก็สะอาดขึ้นเรื่อยๆเรียกว่าเป็นผลแก่ขันธ์ ลดกิเลสได้เรียกว่าบุญ หรือเสียกิเลสออกไปเรียกว่าบุญไม่ใช่ได้อะไรมา บุญไม่ได้ได้อะไรมา บุญคือการเสียออกไปสละออกไป ทำออกไป เนกขัมมะออกไป ไม่ได้ได้อะไรมา ไม่ใช่กุศล กุศลคือสิ่งดีงามได้เป็นเครื่องอาศัย เป็นสมบัติ คุณต้องมีคุณงามความดี มีนิสัย มีกุศล คุณต้องอาศัยสิ่งนั้น คุณต้องอาศัยเครื่องมือกำจัดกิเลส กำจัดได้มันก็หมดไปในตัวเอง บุญกำจัดกิเลสได้ บุญก็ลด บุญกำจัดกิเลสได้หมด ก็หมดบุญ จึงเรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ สิ้นบุญ คนไหนกำจัดกิเลสได้หมดเป็นคนไม่มีบุญ หมดบุญ สิ้นบุญ

ใครไปเอาบุญกับกุศลไปปนเปกันแยกไม่ออก ก็เลยทำให้ปฏิบัติธรรมไม่ถูกเลยทุกวันนี้

 

0893867xxxวันนี้บ่ถามมากเพื่อพ่อครูจะได้มีเวลาตอบประเด็นให้ นร.สัมมาฯลูกหลานชาวอโศกทำให้ ญตธ.ทุกท่านได้อานิสงส์ด้วย!สกก.

ตอบ...เอาไว้วันหลังค่อยตอบต่อ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:01:07 )

590916

รายละเอียด

590916_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เจาะลึกนัยยะของนิพพาน

เหมือนกับคนที่จะเลิกบุหรี่ ฟังเหตุผลแล้วบอกว่าไม่ดีจะเป็นถุงลมโป่งพอง มันไม่ดีก็จะไปยึดติดอะไรมันก็รู้ แต่ยังไม่มีปัญญาตื่นยังไม่มีชาคริยานุโยคะ เพราะมันยังติดรสแล้วเมามันไปกับรสชาติ จนกระทั่งมาพิจารณาว่าเป็นของไม่น่าติดนะ ไม่น่าจะไปหลงกับมัน พิจารณาว่ามันไม่เที่ยงลองพิสูจน์ดูสิ ว่ามันเพราะเป็นไปได้ไม่ต้องไปบำเรอตามที่มันต้องการ ตามที่มันสั่ง ตามที่มันอยาก ไม่ให้มันมันก็ลดลงได้ ยิ่งพิจารณามีปัญญาว่ามันเป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษ แล้วมันก็ไม่จริง แต่ก่อนมันเสพขนาดนั้น ตอนนี้ก็ลดละจางคลายลงมา เห็นความจางคลายลงมาบางครั้งมันดับ พอเลิกไปได้พิจารณาอย่างมีปัญญา เห็นความไม่ดีของมันว่าจะเป็นโรคเป็นภัย มันเป็นทุกข์

สุขมันเป็นสุขขัลลิกะ มันไม่มีจริงหรอก มันเป็นอนัตตา ถ้าคุณยิ่งเห็นยิ่งทำได้อย่างนั้น คุณจะตื่นเป็นพุทธะเลย อย่าว่าเป็นชาคริยานุโยคะเลย แต่ก่อนไปหลงว่าต้องมีต้องเป็น อย่างเช่นแต่ก่อนนี้อาตมา เป็นคนอีสานกินพริกก็อร่อยมีรสแซบจริงๆ แต่ตอนนี้ แสบคอ นิดหน่อยก็ไอแล้ว แต่ก่อนแสบก้นด้วยเวลาถ่าย อาการสุขรสสุขเวนาสุขตอนนี้ไม่มี ทั้งที่ประสาทเราก็ปกติ แต่ไม่อร่อย

ความอร่อยนั้นมันหายไป มันมีแต่รสจริง จะอร่อยกับผลไม้ข้างหน้านี้ สัมผัสทางลิ้น ไม่มีเวนาที่เป็นรสอร่อยแล้วมีเวทนาเดียว ไม่มีเวทนาสองเป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) สัมผัสอีกก็เป็นรสเดียว ถ้ามันหวานก็รสหวานเดียว ไม่มีรสอร่อย รสอร่อยนั้นเป็นของเก๊เป็นอุปาทาน

ถ้าคุณคนนี้ติดในฟักข้าวเมื่อสัมผัสฟักข้าวก็อร่อย อีกคนหนึ่งไม่ได้ติดฟักข้าว เอาอันเดียวกันนี่แหละให้คนนี้กินแตะเข้ากับลิ้น ก็บอกว่าไม่อร่อย นั่นแหละเป็นของไม่อร่อย  รสฟักข้าวนี้มีรสเดียว ส่วนรสอร่อยนั้นทำให้หายไปทั้งสองคนเลยก็เป็นรสเดียวคือนิพพาน รู้ความจริงตามความเป็นจริงอันเดียวกัน จะรีบไปภาษาอันใดก็เป็นสัจจะอันเดียวกัน เพิ่มความอร่อยหรือไม่อร่อย อร่อยน้อยอร่อยมากก็เป็นอุปาทานของคนเท่านั้น นั่นคือเวทนาตัวที่เป็นผีตัวที่หลอกเป็นอุปาทานของคน ตัวที่ตัวเองไปสร้างใส่จิตและก็เป็นสุขเพราะอุปาทานตัวนั้น ผู้ที่ล้างอุปาทานตัวนั้นหมดจากเครื่องอุปโภคบริโภคที่คุณสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องในโลกนี้ได้คุณก็เป็นอรหันต์ อรหันต์มันง่ายๆแค่นี้แหละ แต่ปฏิบัติก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่หรอกนะ

ผู้ที่ไม่มีรสอร่อยนะแต่เป็นนิพพานเป็นรสอนัตตา ผู้ที่มีรสอร่อยอยู่เป็นอัตตา ต้องรู้อารมณ์เสีย อารมณ์สัตว์นรก ถ้าเราชื่นใจก็เป็นสวรรค์เป็นเทวดา ถ้าไม่ชื่นใจมีความชังก็เป็นไม่ชอบ รู้อย่างก็เป็นสัตว์นรกทั้งนั้น จนกระทั่งผู้ปฏิบัติแล้วความอร่อยเป็นเทวดาไม่มี ความอยากหรือไม่อยากก็ไม่มี ความชังก็ไม่มี ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก อย่างนี้คืออนัตตา แล้วไอ้ที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อร่อยก็ไม่มี มีแต่ความเป็นจริง สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีอร่อย ไม่มีไม่อร่อย ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก รู้ความเป็นจริงอย่างเดียว คืออนัตตา เป็นนิพพาน

ถ้าจะมีนิพพานอย่างที่อาตมาว่ากับใครจะมีนิพพานอย่างมีอัตตา แล้วก็บอกว่ายึดกันต่างคนต่างยึด ก็บอกให้ว่าไปถูกหลอกอยู่อย่างนั้น ชีวิตจะเสียเวลาเป็นโมฆะเปล่าๆมันไม่ถูกต้อง

อย่างธัมมชโยนี่หลอกคนสารพัด เอาวาทกรรมไปใช้หลอกคน

คนที่ปฏิบัติอนัตตาเห็นอนัตตา เขาเห็นนะ ไม่ใช่เห็นภพชาติที่ใสใส เอาคำว่าใสๆนั้น เป็นไวยพจน์ ของความไม่มี ความว่าง มันคล้ายกันแทนกันได้ ใสๆ

เขาเริ่มต้นคือให้เห็นธรรมกายว่าใส เป็นมโนมยอัตตา เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต จิตมันปั้นขึ้นมาสำเร็จ สำเร็จใสๆ

คนที่รู้ความจริง ถ้าคุณหลับตาคุณจะเห็นความมืดหรือเห็นแสงสว่าง แต่เขากลับให้เห็นแสงสว่างเมื่อหลับตา แค่นี้ก็มันวิปริตแล้ว คนที่มีอุปาทาน หลับตาแล้วคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมหลับตาแล้วจะเห็นแสงสว่างวูบๆวาบๆ สีต่างๆ คุณหลับตาแล้วมันก็มืด แสงไม่เข้าไปในจอตา ก็มืดเป็นวิทยาศาสตร์สัจจะ มืดสนิท ไม่มีแสงสะท้อนเข้าไปเลย แต่แสงเข้าผนังตาก็พอมีแสงแต่มืดๆเลย หลับตาก็มืด แต่ถ้าคุณยังเห็นแสงวูบวาบๆ ก็คือมโนมยอัตตาทำงาน โดยหลักของวิทยาศาสตร์แล้ว แสงคือความสว่าง หลับตาแล้วไม่มีแสงสว่างเข้าไปในตาไปสู่จอประสาทตาเลย มันไม่มีอะไรไปกระทบเลย มันมีแต่มืดกับมืด เพราะฉะนั้นผู้ใดมาสอนนั่งหลับตาแล้วจะเห็นความสว่างใสเห็นอันโน้นอันนี้ขึ้นมา มันคือสัญญา มันคือการกำหนดหมายแล้วก็ปั้นขึ้นมาสำเร็จด้วยจิตเรียกว่า มโนมยอัตตา แค่นี้ถ้าเข้าใจได้ ก็จะไม่หลงใหลอะไรมากมาย

การไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมแล้วจะเห็นนรกสวรรค์นั้น เป็นการสร้างภพสร้างชาติทั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้มารู้กับตา หูจมูก ลิ้น กาย มีใจมาร่วม เรารู้ที่เวทนาคือความรู้สึก ในความทุกข์อริยสัจอันนี้ ให้เรียนรู้ว่า ความทุกข์ก็คือภาระที่ไปหลงในความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่ต้องพาให้เราเหน็ดเหนื่อยทรมานทรกรรมก็ต้องเอา ดีไม่ดีต้องฆ่าแกงกันก็ต้องเอาอย่างนี้ ก็มาเรียนอันนี้แล้วก็พอที ไม่ต้องไป หลงได้ หลงมี หลงเป็นกับเขา

ชีวิตเราก็จะอยู่กับเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลายก็มีพออาศัยใช้เท่านั้นพอเลี้ยงร่างกาย มีร่างกายแข็งแรงดีมีกำลังวังชา ก็ทำงานที่เป็นกุศล ทำงานที่เป็นประโยชน์ จะสร้างสิ่งที่เป็นสาระสร้างอาหาร สร้างสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ที่คนจะได้อาศัย สร้างเสื้อผ้า สร้างบ้านเรือน สร้างยาที่เป็นปัจจัย 4 หรือเป็นบริขารที่จำเป็น ทำให้พอกินพอใช้ให้มากพอแล้วแบ่งปันกัน อย่าไปสร้างเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขมากมายเป็นนายทุน ไม่ใช่ สร้างมาแล้วเอาไปช่วยเหลือกัน แบ่งแจกกัน อย่างที่อาตมาพาพวกเราทำกัน

สังเกตชาวอโศกในยุคนี้ปลูกอะไรขึ้นมาก็เยอะแยะ ใครมาก็เชิญให้กิน จิตใจหวงแหนนั้น มันไม่มีเหมือนก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยหวงแหน มันมีน้ำใจสังเกตไหม นี่คือความเจริญของอารยธรรม คนที่เข้ามาในแดนดินของชาวอโศก ใครมาก็ยินดีต้อนรับ เพราะพวกเราพอมีพอกินไม่ขาดแคลน กินจนเฟ้อ กินทิ้งกินขว้าง มีเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ปัจจัย 4 ก็ไม่ยึดติดมากเหมือนคนข้างนอกไม่ต้องตามแฟชั่นแบบคนข้างนอก เพราะเราล้างกิเลสแล้วไม่ใช่ล้างสมอง หายเมื่อยไหม ถามอี๊ดนี่เจ้าแม่แฟชั่น แต่ก่อนนี้บ้า ตอนนี้เบาไหม ยอมรับไหม จิตมัไม่ต้องบ้าแข่ง แต่ก่อนนี้บ้าแข่งแต่งตัว

 

 

แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า..นิพพานังปรมังสุขัง แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขยิ่ง .แต่อาตมาไม่แปลว่าอย่างที่เขาแปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่อาตมาแปลนิพพานว่ายิ่งกว่าสุขเพราะนิพพานนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่เขาแปลว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นี่แปลมาจากผู้ไม่รู้ทั้งนั้น ถ้าไปเข้าใจว่านิพพานคือสุขอย่างยิ่ง ก็คือสุขให้มากกว่านี้อีกเป็นอาการสุขที่เพิ่มขึ้น อันนั้นไม่ใช่ ที่เป็นสุขนั้นเป็นโลกียะ แต่แท้จริงนิพพานนั้นมันมีอยู่แล้ว แต่กลับจางลง วิราคา สุขที่มีนั้นมันหมดไป มันยิ่งกว่าสุข เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เอาแต่ตรรกะมาแย้งต่างๆนานา

เขาก็ว่า ต่างคนต่างเห็นกันไปจะได้สามัคคี ต่างคนต่างพูด ประชาธิปไตยจะได้สามัคคี เป็นเอกภาพ เขาพูดไป ก็เห็นต่างจะเป็นเอกภาพอย่างไร ต่างกันก็อย่างน้อยสองแล้ว ถ้าต่างมากก็มีสาม สี่ ห้า แล้วเห็นต่างจะบอกว่าเป็นเอกภาพ?

จะยกตัวอย่าง ง่ายว่า นี่อะไร นี่กล้วย นี่อะไร นี่ฟักข้าว มันต่างกันไหม? ก็ต่างกัน ความต่างกันนี่ให้ต่างกันไป ฟักข้าวจะได้เป็นกล้วย กล้วยจะเป็นฟักข้าวไม่ต้องแยกกัน ใครจะบอกว่ากล้วยก็ไปเอาฟักข้าวมาให้เพราะมันอันเดียวกันนี่ จะบ้าหรือ? ก็ต้องให้มันชัดสิ

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่อาตมาชัดเจนมากว่านิพพานนั้นเป็นเรื่องของความเที่ยงแท้ มั่นคงถ้าทำได้สำเร็จ ต้องทำความไม่เที่ยงนั้นให้หมดไปเป็นศูนย์ ความมั่นคง ยั่งยืนเที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยนในความสูญนั้นอย่างไม่มีตัวตนของกิเลสแล้ว

แล้วจะบอกว่าอัตตาก็ปล่อยไป อนัตตาก็ปล่อยไปแล้วเมื่อไหร่มันจะเป็นนิพพาน คุณไม่ยอมรับว่านิพพานคืออนัตตา

ก็เข้าใจแค่ว่านิพพานคืออัตตา อย่ามาแตะของข้า ต่างคนต่างปฏิบัติไปสิ ให้ปฏิบัติดีเท่านั้นก็พอ ต่างคนต่างปฏิบัติเขาก็ว่าไป

 

อีกอันเขาว่า...พุทธพจน์ยืนยันว่าพระนิพพานนั้นเป็นนิจจังคือเที่ยงแท้ยังยืนและเป็นบรมสุขคือเป็นสุขอย่างยิ่ง

ยสฺส  อุปฺปาโท  ปฺายติ  วโย  นตฺถิ ตสฺส    อฺทตฺถุ    6    ปฺายติ   นิพฺพาน   นิจฺจ   ธุว   สสฺสต อวิปริณามธมฺมนฺติ อสหิร อสงฺกุปฺป ฯ

แปลว่าความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใดย่อมปรากฏความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มีนิพพานเป็นคุณชาติที่เที่ยงยั่งยืนมั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันอะไรๆนำไปไม่ได้ ไม่กลับกำเริบ (ขุททกนิกาย จูฬนิเทส ล.30 ข.659 น.315)

นิพพานังปรมังสุขัง แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขยิ่ง (ขุททกนิกาย ธรรมบท  ข.25 น.42)

พ่อครูว่า...ก็ขอวิเคราะห์บทที่ว่า พระนิพพานเป็นนิจจัง ฯ ...คุณพูดถูกแต่เข้าใจไม่ได้ ขอยืนยันว่า ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อเห็นอัตตาตัวตนของกิเลสที่เรียกว่าสักกายะ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 รู้กายของตน แต่ธรรมกายนี้รู้กายไม่ได้ ไม่รู้จักคำว่ากาย เขาเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลมภายนอกเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับจิต เป็นสภาพรูปธรรม ไม่มีนามธรรมมาเกี่ยวข้อง

ธรรมกายจะเห็นว่า นิพพานเป็นสิ่งใสๆ ไม่เกี่ยวกับนามธรรม โสดาบันก็ใส สกิทาคามีก็ใส อนาคามีก็ใส อรหันต์ก็ใส พระพุทธเจ้าก็ใส

เรื่องของนิพพานที่เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ผู้ปฏิบัติต้องมีความรู้ความเห็นแจ้งว่าอะไรคือนิจจัง

นิจจังนั้นคือนิพพาน นิพพานคือสุญญตา คือไม่มีกิเลส ความไม่มีกิเลสในใคร ใครที่ทำให้ตนเองกิเลสหมดไม่มีในตนได้ และความไม่มีกิเลสมันเป็นนิจจัง ทุวัง คือความไม่มีกิเลสในอรหันต์ ท่านมีนิพพานทรงไว้ในตนแล้ว อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือคุณลักษณะของนิพพานอันเที่ยงแท้ ก่อนนิพพานจะเป็นของเที่ยงคุณต้องเห็นความเป็นอัตตา อัตตามันไม่เที่ยง  แล้วคุณจะต้องปฏิบัติจนอัตตาที่มันไม่เที่ยงนี้มันหมดไปได้ มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่เที่ยงมันไม่มีตัวตน ต้องทำจนกระทั่งเห็นเลยว่าอาการจิตที่มันยึดอะไรก็แล้วแต่ ไปฝังในอนุสัยไปยึดมันก็เที่ยง เช่นไปยึดอารมณ์สุขว่าเที่ยง เมื่อไหร่สัมผัสเหตุปัจจัยมันก็จะเกิดสุขอย่างนี้ยืนยันอย่างไม่มีผิดพลาด ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เที่ยงอย่างนี้ อันนั้นคือคุณมีอัตตาเที่ยง

คุณปฏิบัติแล้ว ความเป็นสุขที่เคยติดยึดนั้นมันไม่เที่ยง โดยมันจางคลายแล้วมันดับไปอย่างไม่มีในจิตคุณอีกอีกเลย มันก็เป็นอนัตตา มันก็ไม่มีตัวตนความสุขนี้ในใจคุณอีกเลย และความไม่มีตัวตนของความสุขเกิดอีกอย่างเที่ยงแท้ยั่งยืนไม่แปรเป็นอื่น ไม่มีอะไรหักล้างได้ อันนี้ต่างหากที่เป็นคุณลักษณะพิเศษ ที่คุณทำผลมันได้อย่างให้นิพพานเที่ยง ไม่ใช่กิเลสสุขๆทุกข์มันเที่ยง

น่าสงสารคนที่ไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็เพ้อฝันนิพพานของเขาไป จึงมีโรงเรียน ฝันในฝัน อยู่ในวิมาน เป็นภพชาติ ไม่เข้าใจภพชาติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนานิพพานดับภพจบชาติ แต่เขากลับไปสร้างภพชาติหนามากขึ้น เฟสสองเฟสสาม ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวเองตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ พูดเพ้อพกแล้วก็บอกว่านิพพานๆ นิพพานคือการดับภพจบชาติ แต่ตนเองกลับสอนให้สร้างภพสร้างชาติ

ในทานสูตร สอนให้ดับภพจบชาติ แต่เขากลับสอนให้ทำทานอย่างสร้างภพชาติ สวรรค์ 6 ชั้นนั้นซับซ้อนแล้วซับซ้อนอีก แล้วอาตมาก็สรุปให้ฟังแล้วว่า สวรรค์ 6 ชั้นนั่นแหละถ้าเป็นภพเป็นชาติคือนรก ยิ่งซับซ้อนจมดิ่งในนรก ก็ยากที่จะทำความเข้าใจกับคนพวกนี้ เขาถูกสะกดจิตถูกครอบงำทางจิต เป็นวิธีการสะกดจิต เขาเป็นนักสะกดจิต ทำนิ่มๆนุ่มๆหยุดๆเงียบๆ สะกดจิตแล้วก็ใส่เข้าไปเลย เมื่อสะกดจิตให้จิตใจคนอื่นอยู่ในอาณัติแล้วก็ครอบงำความคิดได้หมด ตกเป็นทาสเป็นบริวารไปหมด นี่คือวิชาการของสำนักธรรมกายเขาทำสำเร็จ คนที่ตกไปเป็นทาสก็คือถูกสะกดจิตให้หมด

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86381

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfNTJFa25NYzJJdVU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/trpr79agw5j/160916

 

ดาวโหลดยูทูปได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Xh3YUYSa-y8

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:01:34 )

590916

รายละเอียด

590916_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เจาะลึกนัยยะของนิพพาน

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2559 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ปีวอก วันนี้เป็นวันพระ ก่อนจะเทศนาก็เชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 14 เริ่มตั้งแต่ 16-18 ก.ย. 59 ตอนนี้มีคนมาเข้าค่ายแล้ว 15 คน มันน่าจะสัก 50 คนนะ ให้คนมาเข้าค่ายมาเอาสิ่งประเสริฐใส่ตน ไม่เสียตังค์ ก็มาเข้าค่ายกัน มีชีวิตอยู่กับที่นี่ อบรม 3 วันสองคืนเอง แต่ไม่ค่อยเอาถ่าน มันตกต่ำ สังคมมนุษยชาติ ไม่ได้เห็นความสำคัญของสิ่งที่มีค่ากับชีวิตคืออะไร อาตมาก็พูดไป คนได้ยินได้ฟังจะรู้สึกฉุกคิดสะดุดใจ ขมีขมัน ว่าอย่างนี้ว่าทำไมเรายังไม่คิดจะมาบ้าง จะมีบ้างใหมหนอ

จริงๆแล้วเรื่องของธรรมะน่าจะเป็นสิ่งที่โฆษณาป่าวร้อง โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศ ท่านก็ทำอย่างเหนื่อย ยิ่งขณะนี้กำลังปราบโกงกัน คนโกงก็คือคนไม่มีธรรมะ ไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่รู้จักสิ่งชั่วร้าย การโกงคือการทำอกุศลกรรม คือการทำชั่วที่เป็นบาปแท้ๆ แล้วเป็นพิษภัยต่อมนุษยชาติต่อสังคม

จริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของผู้บริหารประเทศควรจะปลุกเร้าให้มาใส่ใจมาศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรม ให้มีธรรมะกันเยอะๆ กันจริงๆขึ้นมาให้ได้ และปัญหาที่หนักหนาสาหัสอยู่นี้มันก็จะลดไปอย่างแท้จริง มันเป็นเป้าหมายที่ตรงเลยในเรื่องของธรรมะ

ก็เลยมีกระแสว่า การร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้เป็นการร่างรัฐธรรมนูญเอื้อกับทางศาสนามาก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ มีทิศทางโน้มเน้นให้ตื่นตัวทางศาสนาของตนๆกันจริงๆ แล้วมาประพฤติปฏิบัติธรรมทางศาสนา ท่านน่าจะได้ทำอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ ก็มีปัญหาของธรรมะโดยตรงเลย อันนี้เป็นการทำลายธรรมะเลย อ้างตัวว่าเป็นนักธรรมะ แล้วมาทำลายธรรมะในศาสนา แล้วเอาจริงเอาจังเอาหนักด้วย มีคนมาเป็นบริวารเยอะด้วย อันนี้สิแย่ ลองฟังดู

 

ธรรมกายไม่ผิด คอลัมน์ถูกทุกข้อ ไทยโพสต์ 14 ก.ย. 2559

 

เรียน คุณอัตถ์ อัตนัย

จากการศึกษาพระพุทธศาสนา= ไม่สามารถอาศัยหลักฐานทางคัมภีร์เท่าที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบันมาสรุปยืนยันความถูกต้องลึกซึ้งละเอียดรอบคอบชัดเจนเด็ดขาดของความเห็นความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตาโดยไม่มีประเด็นให้ผู้อื่นขัดแย้งคัดค้านได้

คำว่าสัพเพธัมมา อนัตตา = ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา สัพเพธัมมา คือธรรมทั้งปวงกินความกว้างเพียงใด เพราะมีทั้งคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่บอกว่าธรรมทั้งปวงในที่นี้รวมเอาพระนิพพานด้วย  (อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิเทสฉบับมหาจุฬาราชวิทยาลัย หน้า 8,อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิเทส ฉบับจุฬาฯราชวิทยาลัย หน้า 218) 

และมีทั้งคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่บอกว่าธรรมทั้งปวงในที่นี้เอาเฉพาะขันธ์ 5 ไม่รวมเอาพระนิพพาน (อรรถกถา ธรรมบท ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ภาค 7 หน้า 62)

พุทธพจน์ยืนยันว่าพระนิพพานนั้นเป็นนิจจังคือเที่ยงแท้ยังยืนและเป็นบรมสุขคือเป็นสุขอย่างยิ่ง

ยสฺส  อุปฺปาโท  ปฺายติ  วโย  นตฺถิ ตสฺส    อฺทตฺถุ    6    ปฺายติ   นิพฺพาน   นิจฺจ   ธุว   สสฺสต อวิปริณามธมฺมนฺติ อสหิร อสงฺกุปฺป ฯ

แปลว่าความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใดย่อมปรากฏความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มีนิพพานเป็นคุณชาติที่เที่ยงยั่งยืนมั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันอะไรๆนำไปไม่ได้ ไม่กลับกำเริบ (ขุททกนิกาย จูฬนิเทส ล.30 ข.659 น.315)

นิพพานังปรมังสุขัง แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขยิ่ง (ขุททกนิกาย ธรรมบท  ข.25 น.42)

เพราะฉะนั้นการที่ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งแต่ใช้วาทะเรื่องจากกล่าวหาวัดพระธรรมกายว่า บิดเบือนเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานว่าเป็นอัตตานั้น เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเหตุที่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่เหลืออยู่ในปัจจุบันไม่สามารถสรุปยืนยันความถูกต้องชัดเจนของความเห็นความเข้าใจในเรื่องพระนิพพานได้

ดังนั้นความเห็นความเข้าใจในเรื่องพระนิพพานนี้จึงมีความหลากหลายมากสรุปยุติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนั้นถามว่าเราจะปล่อยให้ใครสอนอย่างไรก็ได้ตามใจชอบหรือ คำตอบก็คือ ไม่ใช่

หลักสำคัญมีอยู่ว่าตราบใดที่ยังสอนให้ทำความดี ตามหลักคำสอนที่เป็นไปเพื่อการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา เช่นเจริญมรรคมีองค์ 8 ไตรสิกขา ทิศ 6 บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 3 ลดละเลิกอบายมุขเป็นต้น

แม้ความเห็นในเรื่องพระนิพพานจะอ้างอิงบทคัมภีร์คนละจุดตีความและมีความเห็นต่างกันบ้าง เราก็ยอมรับซึ่งกัน นี่คือความเป็นประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา และร่วมแรงร่วมใจทำงานยกระดับความคิดคนด้วยการศึกษา และยกระดับจิตใจคนด้วยธรรมะ เป็นท่าทีที่ถูกต้อง ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีความเป็นเอกภาพสามัคคีเป็นปึกแผ่น และหากเราเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องคืออริยมรรคมีองค์แปด โดยไม่เลิกละกลางคันแล้วล่ะก็ ในที่สุดเราก็ย่อมจะบรรลุเป้าหมายปลายทางพระนิพพานนั้นและรู้แจ้งกระจ่างชัดด้วยตัวของเราเองว่า ปลายทางพระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งทุกคนก็จะเข้าใจตรงกันหมดเหมือนกันหมดโดยไม่ต้องทะเลาะกันเลย

ถ้าระหว่างเดินทางมามัว ถกเถียงกันว่าเป้าหมายปลายทางตามที่ว่าในลายแทงนั้นเป็นอย่างไรแล้วยิ่งใครไม่ยอมเดินไม่ยอมรักษาศีลไม่ยอมเจริญสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ5 โพชฌงค์7อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8  แล้วมาถกเถียงกันเรื่องพระนิพพานว่าเป็นอย่างไรเป็นสิ่งไม่ให้ประโยชน์ (พ่อครูว่า คุณพูดไปส่งๆ เพราะความเห็นแรกไม่ตรงแล้ว ต่อไปก็ผิดไปหมด ต้องทำทิฏฐิให้สัมมาก่อน คือพูดเหมือนคนไม่รู้ ว่าตนเองพูดอะไร อยากพูดเหตุผลอะไรก็พูดไป น่าสงสารคนพวกนี้ ดิ่งจมในเหตุผลตัวเอง แต่ไม่มีอรรถะ มีแต่ตรรกะ เวรจริงๆเลย สอนกันครอบงำความคิดกัน มีแต่เหตุผลแล้วหมายถึงความดีตื้นๆ)

เพราะเรื่องของพระนิพพานนั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่จินตนาการจะไปถึงเหมือนเอาขาไก่ไปหยั่งความลึกของน้ำทะเลแต่ไม่ยอมปฏิบัติก็คงเสียประโยชน์เปล่าเท่ากับไม่มีวันถึงนิพพานนั้นได้เลย

การที่ท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาบอกผมต้องดูแลศาสนาอื่นด้วย ก็ดูแลไปสิ ใครว่าอะไร แต่อย่ามาทั้งๆ ที่ท่านนายกเป็นชาวพุทธนี่แหละแต่มาทำให้เกิดการแตกแยกในพระพุทธศาสนาด้วยการมุ่งแต่ใช้วาทะจ้วงจาบ กล่าวหาวัดพระธรรมกายว่าบิดเบือนเรื่องพระนิพพานว่าเป็นอัตตา จะเป็นการทำให้เกิดการแตกแยกในพระพุทธศาสนา จะเป็นบาปเป็นกรรมให้แก่ท่านนายกเปล่าๆเป็นเพียงแต่ท่านนายกเท่านั้นแหละ=เชื่อเรื่องบาปบุญหรือเปล่า ยกระดับจิตใจตนเองด้วยธรรมะหรือเปล่า

ใช้หลักความจริงคืออริยสัจ 4 เป็นฐานคิดเหมือนกับที่เขียนบทความจากใจนายกไว้ลงในจดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชนฉบับที่ 21 ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2559 หรือเปล่า โดยเฉพาะผู้ที่เป็นไม้เป็นจักรกลสำคัญในการรับนโยบายไปปฏิบัติ มิฉะนั้นก็จะมีแต่นโยบายของผู้นำที่วิ่งนำหน้าไปทุกเรื่อง แต่หาได้มีข้าราชการวิ่งตามให้ทันไม่ พร้อมมีช่องว่างทำให้ล้มเหลวได้ง่าย

ด้วยอำนาจแห่งปีศาจร้าย 3 ตนในตัวมนุษย์ คือโลภะ โทสะ และโมหะ มิฉะนั้นแนวความคิดนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ท่านนายกเขียนไว้ใน (จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชนฉบับวันที่ 21 ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2559) จะต้องสูญสลายแล้วไร้ผลอย่างสิ้นเชิง ถ้าท่านนายกยังไม่สามารถปราบตัวกิเลสในใจทั้ง 3 ประการให้ทุเลาเบาบางลง เท่ากับ ยุทธศาสตร์ที่ท่านนายกวางไว้ก็ยากที่จะเป็นเข็มทิศนำทางสำหรับเตรียมการสู่อนาคตที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนได้

แม้ท่านนายกเขียน แนวความคิดนโยบายและยุทธศาสตร์ไว้ใน”จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน”และท่านนายกไม่นำมาใช้(ด้วยอำนาจแห่งปีศาจร้าย 3 ตนในใจท่านนายกเองจะมีประโยชน์อันใด)

แม้ท่านนายกเขียนบทความจากใจเท่ากับหลักความจริงคืออริยสัจ 4 แต่ท่านนายกไม่นำบทความจากใจคือหลักความจริงอริยสัจ 4 มาใช้ในการพ้นทุกข์ทั้งปวง เพราะอำนาจแห่งปีศาจร้าย 3 ตนคือโลภะ โทสะ และโมหะในใจของท่านนายกเองก็จะมีประโยชน์อันใดกับบทความจากใจคือหลักความจริงอริยสัจ 4 ที่ท่านนายกเขียนไว้เองใน”จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน” ฉบับดังกล่าว

ดังนั้นความไม่สงบเหตุร้ายจึงเกิดขึ้นในประเทศไทย

ซึ่งในความเป็นจริงวัดธรรมกายก็ไม่เคยไปสร้างความแตกแยกในพระพุทธศาสนาด้วยการใช้ “วาทะจ้วงจาบกล่าวหาใครว่าบิดเบือนพระนิพพานว่าเป็นอนัตตาเหมือนท่านนายกที่มุ่งแต่ใช้วาทะจ้วงจาบกล่าวหาวัดพระธรรมกาย

ซึ่งคำพูดนี้จะทำให้เกิดการแตกแยกในพระพุทธศาสนาหรือว่าการที่ท่านนายกนั้น มุ่งแต่ใช้คำพูดนี้เป็นการ(ดูแลศาสนาอื่น)ตามความคิดความเห็นของท่านนายก

จึงขอให้ท่านนายกอย่ามองข้าม อย่าละทิ้งที่ตนเองได้เขียนเป็นบทความจากใจไว้ในจดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชนฉบับที่ 21 ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2559 บ้านเมืองจะได้ไม่เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย

ท่าทีที่ถูกต้องของชาวพุทธที่แท้จริงในเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ในทางวิชาการยังไม่อาจสรุปยืนยันได้สิ่งที่ชาวพุทธที่แท้จริงถึงทราบก็คือการตั้งใจปฏิบัติธรรมเจริญมรรคมีองค์ 8 ตั้งใจรักษาศีลเจริญภาวนาจนเกิดปัญญาความรู้แจ้งเรื่องพระนิพพานด้วยตัวของตัวเองและเมื่อนั้นย่อมจะเข้าใจประจักษ์ชัดเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานอย่างแน่นอนกันดีกว่า

ขอเจริญพร

พระชาญชัย วิสารโท

 

นมัสการหลวงพ่อครับประเด็นว่าด้วยเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตายังเป็นที่ถกเถียงกันก็จริงแต่เมื่อจำแนกว่าฟังที่เชื่อว่าเป็นอัตตาและฝั่งที่ยืนยันว่าเป็นอนัตตาก็ชัดเจนในตัวมันเอง

ขอพูดเรื่องธรรมกายครับ กรณีธรรมกายในวันนี้ไม่มีใครพูดเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาสักเท่าไหร่ เพราะมันยังไม่ใช่ประเด็นที่ต้องพูดถึงแต่เรื่องหลักที่เกี่ยวข้องกับธรรมกายและธัมมชโยโดยตรงนั้นคือเรื่องเงินบริจาคที่ได้มาจากการโกงประชาชนมันเป็นเรื่องกฎหมายบ้านเมืองครับ

เมื่อทำผิดกฎหมายบ้านเมืองจะมาบอกว่ารอประเทศเป็นประชาธิปไตยก่อนคงไม่ได้ การปฏิเสธไม่เคารพกฎหมายก็ไม่ต่างจากไม่เคารพพระธรรมวินัย ขนาดสงฆ์ทำผิดปิดวัดไม่ยอมให้จับกุม ผมก็ยังมองไม่ออกว่าประเทศจะอยู่กันสงบสุขได้อย่างไร และเมื่อทุกคนไม่เคารพกฎหมายเอาแต่กฏกู บ้านเมืองก็พังพินาศครับ

พ่อครูว่า..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่นะของวงการศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าให้อะไรผิดก็ให้ถูกท้วงติงกัน นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคหารหัง ติสิ่งที่ควรติ ชมสิ่งที่ควรชม ไม่ใช่ว่าอยู่กันไปเรื่อย

 

เอาที่เขาว่า เรียน คุณอัตถ์ อัตนัย

จากการศึกษาพระพุทธศาสนา= ไม่สามารถอาศัยหลักฐานทางคัมภีร์เท่าที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบันมาสรุปยืนยันความถูกต้องลึกซึ้งละเอียดรอบคอบชัดเจนเด็ดขาดของความเห็นความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตาโดยไม่มีประเด็นให้ผู้อื่นขัดแย้งคัดค้านได้

พ่อครูว่า ใครจะแย้งหรือคัดค้านได้ก็อยู่ที่ปัญญา ถ้าปัญญาเห็นแจ้งจบชัดเจนว่าเป็นเช่นนี้ นิพพานมีอาการอย่างนี้ ปฏิบัติประพฤติแล้วเป็นอาการอย่างนี้ ผู้นั้นจะรู้แจ้งจบด้วยปัญญาหรือญาณทัสสนะวิเศษ หรือวิชชา อย่างรู้จบรู้แจ้งจริงๆ อันนี้อาตมาขออภัยอย่างมาก ที่จะบอกว่าอาตมาบรรลุอันนี้แล้วและบรรลุจริงๆ ว่าความเป็นนิพพานเป็นอย่างไร อาตมาว่าอาตมาบรรลุอันนี้แล้วก็รู้อันนี้จริง ก็ขอยืนยันว่า ไม่ใช่อย่างที่ท่านพูด คุณยังไม่ได้ก็พูดตามประสาคนที่ยังไม่ได้ เป็นอัตตามานะว่าใครจะมาแตะต้องความเห็นของตนไม่ได้

ต่อมาว่า...คำว่าสัพเพธัมมา อนัตตา = ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา สัพเพธัมมา คือธรรมทั้งปวงกินความกว้างเพียงใด เพราะมีทั้งคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่บอกว่าธรรมทั้งปวงในที่นี้รวมเอาพระนิพพานด้วย

พ่อครูว่า...ธรรมะทั้งปวงนั้นหมายถึงอะไร...จะบอกว่ารวมเอานิพพานด้วยหรือไม่ ถ้าเข้าใจด้วยปัญญา ว่าขันธ์ 5 หรือนิพพานก็เอาสองอย่าง ในนิพพานมี ขันธ์ 5 ในขันธ์ 5 นั้นแหละมีนิพพานด้วย นิพพานคือความไม่มีกิเลส ความไม่มีกิเลสจะมีอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเท่านั้น ไม่ไปอยู่ที่ยอดไม้หรืออยู่ที่ไหน จะอยู่ในคนนี้เท่านั้น คนเราก็มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านก็ให้เรียนจนกิเลสในตัวเองนี้สูญญตาหรือนิพพาน ที่เขาพูดนี้เอาพยัญชนะภาษามาพูดส่งๆไป คนที่ไม่รู้ภาษาก็ฟังแล้วบอกว่ามีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อาตมาเห็นเลยว่าคุณไม่เดียงสา คุณพูดสะเปะสะปะ เอาภาษาเหตุผลพูดมาผิดๆ

นิพพานนั้นก็อยู่ในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ก็มีนิพพาน ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย

 

อีกอันเขาว่า...พุทธพจน์ยืนยันว่าพระนิพพานนั้นเป็นนิจจังคือเที่ยงแท้ยังยืนและเป็นบรมสุขคือเป็นสุขอย่างยิ่ง

ยสฺส  อุปฺปาโท  ปฺายติ  วโย  นตฺถิ ตสฺส    อฺทตฺถุ    6    ปฺายติ   นิพฺพาน   นิจฺจ   ธุว   สสฺสต อวิปริณามธมฺมนฺติ อสหิร อสงฺกุปฺป ฯ

แปลว่าความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใดย่อมปรากฏความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มีนิพพานเป็นคุณชาติที่เที่ยงยั่งยืนมั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันอะไรๆนำไปไม่ได้ ไม่กลับกำเริบ (ขุททกนิกาย จูฬนิเทส ล.30 ข.659 น.315)

นิพพานังปรมังสุขัง แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขยิ่ง (ขุททกนิกาย ธรรมบท  ข.25 น.42)

พ่อครูว่า...ก็ขอวิเคราะห์บทที่ว่า พระนิพพานเป็นนิจจัง ฯ ...คุณพูดถูกแต่เข้าใจไม่ได้ ขอยืนยันว่า ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อเห็นอัตตาตัวตนของกิเลสที่เรียกว่าสักกายะ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 รู้กายของตน แต่ธรรมกายนี้รู้กายไม่ได้ ไม่รู้จักคำว่ากาย เขาเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลมภายนอกเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับจิต เป็นสภาพรูปธรรม ไม่มีนามธรรมมาเกี่ยวข้อง

ธรรมกายจะเห็นว่า นิพพานเป็นสิ่งใสๆ ไม่เกี่ยวกับนามธรรม โสดาบันก็ใส สกิทาคามีก็ใส อนาคามีก็ใส อรหันต์ก็ใส พระพุทธเจ้าก็ใส

เรื่องของนิพพานที่เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ผู้ปฏิบัติต้องมีความรู้ความเห็นแจ้งว่าอะไรคือนิจจัง

นิจจังนั้นคือนิพพาน นิพพานคือสุญญตา คือไม่มีกิเลส ความไม่มีกิเลสในใคร ใครที่ทำให้ตนเองกิเลสหมดไม่มีในตนได้ และความไม่มีกิเลสมันเป็นนิจจัง ทุวัง คือความไม่มีกิเลสในอรหันต์ ท่านมีนิพพานทรงไว้ในตนแล้ว อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือคุณลักษณะของนิพพานอันเที่ยงแท้ ก่อนนิพพานจะเป็นของเที่ยงคุณต้องเห็นความเป็นอัตตา อัตตามันไม่เที่ยง  แล้วคุณจะต้องปฏิบัติจนอัตตาที่มันไม่เที่ยงนี้มันหมดไปได้ มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่เที่ยงมันไม่มีตัวตน ต้องทำจนกระทั่งเห็นเลยว่าอาการจิตที่มันยึดอะไรก็แล้วแต่ ไปฝังในอนุสัยไปยึดมันก็เที่ยง เช่นไปยึดอารมณ์สุขว่าเที่ยง เมื่อไหร่สัมผัสเหตุปัจจัยมันก็จะเกิดสุขอย่างนี้ยืนยันอย่างไม่มีผิดพลาด ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เที่ยงอย่างนี้ อันนั้นคือคุณมีอัตตาเที่ยง

คุณปฏิบัติแล้ว ความเป็นสุขที่เคยติดยึดนั้นมันไม่เที่ยง โดยมันจางคลายแล้วมันดับไปอย่างไม่มีในจิตคุณอีกอีกเลย มันก็เป็นอนัตตา มันก็ไม่มีตัวตนความสุขนี้ในใจคุณอีกเลย และความไม่มีตัวตนของความสุขเกิดอีกอย่างเที่ยงแท้ยั่งยืนไม่แปรเป็นอื่น ไม่มีอะไรหักล้างได้ อันนี้ต่างหากที่เป็นคุณลักษณะพิเศษ ที่คุณทำผลมันได้อย่างให้นิพพานเที่ยง ไม่ใช่กิเลสสุขๆทุกข์มันเที่ยง

น่าสงสารคนที่ไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็เพ้อฝันนิพพานของเขาไป จึงมีโรงเรียน ฝันในฝัน อยู่ในวิมาน เป็นภพชาติ ไม่เข้าใจภพชาติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนานิพพานดับภพจบชาติ แต่เขากลับไปสร้างภพชาติหนามากขึ้น เฟสสองเฟสสาม ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวเองตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ พูดเพ้อพกแล้วก็บอกว่านิพพานๆ นิพพานคือการดับภพจบชาติ แต่ตนเองกลับสอนให้สร้างภพสร้างชาติ

ในทานสูตร สอนให้ดับภพจบชาติ แต่เขากลับสอนให้ทำทานอย่างสร้างภพชาติ สวรรค์ 6 ชั้นนั้นซับซ้อนแล้วซับซ้อนอีก แล้วอาตมาก็สรุปให้ฟังแล้วว่า สวรรค์ 6 ชั้นนั่นแหละถ้าเป็นภพเป็นชาติคือนรก ยิ่งซับซ้อนจมดิ่งในนรก ก็ยากที่จะทำความเข้าใจกับคนพวกนี้ เขาถูกสะกดจิตถูกครอบงำทางจิต เป็นวิธีการสะกดจิต เขาเป็นนักสะกดจิต ทำนิ่มๆนุ่มๆหยุดๆเงียบๆ สะกดจิตแล้วก็ใส่เข้าไปเลย เมื่อสะกดจิตให้จิตใจคนอื่นอยู่ในอาณัติแล้วก็ครอบงำความคิดได้หมด ตกเป็นทาสเป็นบริวารไปหมด นี่คือวิชาการของสำนักธรรมกายเขาทำสำเร็จ คนที่ตกไปเป็นทาสก็คือถูกสะกดจิตให้หมด

แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า..นิพพานังปรมังสุขัง แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขยิ่ง .แต่อาตมาไม่แปลว่าอย่างที่เขาแปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่อาตมาแปลนิพพานว่ายิ่งกว่าสุขเพราะนิพพานนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่เขาแปลว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นี่แปลมาจากผู้ไม่รู้ทั้งนั้น ถ้าไปเข้าใจว่านิพพานคือสุขอย่างยิ่ง ก็คือสุขให้มากกว่านี้อีกเป็นอาการสุขที่เพิ่มขึ้น อันนั้นไม่ใช่ ที่เป็นสุขนั้นเป็นโลกียะ แต่แท้จริงนิพพานนั้นมันมีอยู่แล้ว แต่กลับจางลง วิราคา สุขที่มีนั้นมันหมดไป มันยิ่งกว่าสุข เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เอาแต่ตรรกะมาแย้งต่างๆนานา

เขาก็ว่า ต่างคนต่างเห็นกันไปจะได้สามัคคี ต่างคนต่างพูด ประชาธิปไตยจะได้สามัคคี เป็นเอกภาพ เขาพูดไป ก็เห็นต่างจะเป็นเอกภาพอย่างไร ต่างกันก็อย่างน้อยสองแล้ว ถ้าต่างมากก็มีสาม สี่ ห้า แล้วเห็นต่างจะบอกว่าเป็นเอกภาพ?

จะยกตัวอย่าง ง่ายว่า นี่อะไร นี่กล้วย นี่อะไร นี่ฟักข้าว มันต่างกันไหม? ก็ต่างกัน ความต่างกันนี่ให้ต่างกันไป ฟักข้าวจะได้เป็นกล้วย กล้วยจะเป็นฟักข้าวไม่ต้องแยกกัน ใครจะบอกว่ากล้วยก็ไปเอาฟักข้าวมาให้เพราะมันอันเดียวกันนี่ จะบ้าหรือ? ก็ต้องให้มันชัดสิ

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่อาตมาชัดเจนมากว่านิพพานนั้นเป็นเรื่องของความเที่ยงแท้ มั่นคงถ้าทำได้สำเร็จ ต้องทำความไม่เที่ยงนั้นให้หมดไปเป็นศูนย์ ความมั่นคง ยั่งยืนเที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยนในความสูญนั้นอย่างไม่มีตัวตนของกิเลสแล้ว

แล้วจะบอกว่าอัตตาก็ปล่อยไป อนัตตาก็ปล่อยไปแล้วเมื่อไหร่มันจะเป็นนิพพาน คุณไม่ยอมรับว่านิพพานคืออนัตตา

ก็เข้าใจแค่ว่านิพพานคืออัตตา อย่ามาแตะของข้า ต่างคนต่างปฏิบัติไปสิ ให้ปฏิบัติดีเท่านั้นก็พอ ต่างคนต่างปฏิบัติเขาก็ว่าไป

ที่เขาว่า..เพราะฉะนั้นการที่ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งแต่ใช้วาทะเรื่องจากกล่าวหาวัดพระธรรมกายว่า บิดเบือนเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานว่าเป็นอัตตานั้น เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเหตุที่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่เหลืออยู่ในปัจจุบันไม่สามารถสรุปยืนยันความถูกต้องชัดเจนของความเห็นความเข้าใจในเรื่องพระนิพพานได้

พ่อครูว่า....ก็ใช่ เพราะคุณไม่มีปัญญาก็ยืนยันไม่ได้ สับสนวนไปวนมา คุณไม่เคารพแม้หลักฐานอะไร หลงอาจารย์ตนคนเดียวว่า พูดอย่างไรถูกหมด คัมภีร์ใดๆตีทิ้งหมด ก็น่าสงสารสังเวชใจ

เขาว่าอีก...ดังนั้นความเห็นความเข้าใจในเรื่องพระนิพพานนี้จึงมีความหลากหลายมากสรุปยุติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยาก

พ่อครูว่า เรื่องนี้ เป็นสัญญายนิจจานิ ใครทำนิพพานได้จะตรงกันหมด เป็นสัจจะหนึ่งเดียว  นิพพานคือขันธ์ 5 ที่ปราศจากอุาปทาน รูปก็ไม่มีอุปาทาน เวทนาก็ไม่มีอุปาทาน สัญญาก็ไม่มีอุปาทาน สังขารก็ไม่มีอุปาทาน วิญญาณก็ไม่มีอุปาทาน

นิพพานนั้นไม่ได้หลากหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตรงกันหมด แต่มันยากเพราะว่าคุณเองไม่ฉลาด ไม่ฉลาดเอาเลยก็ต้องยาก

แล้วเขาว่า.เมื่อเป็นเช่นนั้นถามว่าเราจะปล่อยให้ใครสอนอย่างไรก็ได้ตามใจชอบหรือ คำตอบก็คือไม่ใช่ หลักสำคัญมีอยู่ว่าตราบใดที่ยังสอนให้ทำความดีตามหลักคำสอนที่เป็นไปเพื่อการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาเช่นเจริญมรรคมีองค์ 8 ไตรสิกขา ทิศ 6 บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 3 ลดละเลิกอบายมุขเป็นต้น

พ่อครูว่า...ความดีนั้นไม่ใช่นิพพานความดีเป็นโลกียะเป็นกุศล อันนี้พูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องเพราะเขาหลงบุญกันอย่างหน้าดำหน้าเขียวขนาดนั้น

บุญนั้นคือเครื่องมือชำระกิเลส ได้แก่  ปหาน 5 

ทำแล้วไม่ตกเป็นความดี แต่บุญมีหน้าที่ทำลายกิเลส กิเลสหมดไป บุญก็ไม่มีหน้าที่ทำงาน จึงมีพยัญชนะว่า เราคือคนสิ้นบุญสิ้นบาป หรืออรหันต์อย่างพระโมคราช ว่าเราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปปริกขีโณ) ทำบุญเสร็จบุญก็จบ บุญไม่โตไม่ใหญ่ เป็นเครื่องมือปหานกิเลส มีประสิทธิภาพแม่น คม ชัดในการทำลายกิเลส ไม่ใช่บุญทำแล้วจะใหญ่โตอะไรขึ้นมา บุญเป็นเครื่องมือทำวิบัติให้แก่กิเลส

เขาว่า.แม้ความเห็นในเรื่องพระนิพพานจะอ้างอิงบทคัมภีร์คนละจุดตีความและมีความเห็นต่างกันบ้าง เราก็ยอมรับซึ่งกัน.พ่อครูว่า ก็จะปล่อยไปให้ผิดๆหรือ ใจดำไปไหม นอกจากผิดคนเดียวแล้วยังแพร่ความผิดนี้ไปไกลเลย เป็นเวรจริงๆ เราบอกว่าไม่ให้แพร่ ก็ไม่ฟัง เขาก็ว่าต่างคนต่างแพร่สิ เราก็ว่าแพร่เชื้อโรคไม่ดี มันบาปมันเวรนะ นี่คือประชาธิปไตยหรือ? ต่างคนต่างเสนอ ก็มีการค้านได้สิ

เขาว่า..นี่คือความเป็นประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา และร่วมแรงร่วมใจทำงานยกระดับความคิดคนด้วยการศึกษา และยกระดับจิตใจคนด้วยธรรมะ .พ่อครูว่าธรรมะผิดๆจะไปยกระดับให้ผิดไปมากมายทำไม? จะปล่อยไปอย่างไร ทำไมคุณเป็นคนมักง่ายจังเลย ใครจะทำผิดก็ให้เขาทำไปหรือ คนมักง่ายอย่างนี้ก็มีหรือ ความคิด

เขาว่าอีก..เป็นท่าทีที่ถูกต้อง ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีความเป็นเอกภาพสามัคคีเป็นปึกแผ่น และหากเราเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องคืออริยมรรคมีองค์แปด .พ่อครูว่า ถ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 แล้วคุณมีสุริยะเปยยาลทั้ง 7 หรือยัง ผู้ที่ยังไม่เห็นแสงอรุณทั้ง 7 นี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามรรคองค์ 8 คือพระอาทิตย์คุณจะได้เห็นพระอาทิตย์จะไปแตะพระอาทิตย์ได้คุณต้องเห็นแสงอรุณทั้ง 7 ก่อน ถ้าคุณยังไม่แตะต้องแสงอรุณทั้ง 7 อย่าบังอาจไปไม่มีสิทธิ์ไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไปได้เลย แล้วอย่างนี้คุณได้เรียนมาไหม คุณได้ปฏิบัติประพฤติมาก่อนไหม

คุณต้องเริ่มจากค้นหามิตรดีที่มีความถูกต้องก่อน แต่มันยากที่คุณได้ลงเป็นทาสของธัมมชโยเสียก่อนแล้วอย่างปักมั่นด้วย ก็เลยไม่มีปรโตโฆษะไม่ฟังใคร แล้วยึดอยู่ทั้งที่เป็นสิ่งไม่สัมมาทิฏฐิ เพราะคุณโยนิโสมนสิการไม่เป็นคุณอโยนิโสมนสิการคุณทำใจในใจของคุณไปหานรก

ต้องรู้ ชาติ 5 รู้นาม 5 นั้นคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ตัวมนสิการ นี่ต้องทำใจในใจอย่างโยนิโส ต้องมีผัสสะ แต่คนไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะ ก็ผิดแล้ว ไม่ได้เรียนรู้นาม 5

ผู้ที่มีผัสสะแล้วทำใจในใจได้อย่างถูกต้อง ใจตนจะต้องมีนามทั้ง 5 นี้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คุณมนสิการเป็นแล้วมีทักษะข้อปฏิบัติที่สัญญาและเจตนา โดยเจตนานั้นมี 3 มโนสัญเจตนา คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภภวตัณหา ต้องล้างตัวตนที่มายึดเป็นชาติในภพกาม หมดภพกามก็ไปล้างรูปภพ แล้วก็ล้างในอรูปภพต่อ คุณจะมีความต้องการความประสงค์อะไรก็มีความต้องการความปรารถนาที่สะอาด โดยไม่มีภพ เป็นวิภวตัณหา เป็นความปรารถนาที่ไม่มีภพไม่มีชาติเป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระพุทธเจ้า ที่ท่านมีความปรารถนาความต้องการทุกอย่างแต่ เป็นความปรารถนาที่ไม่มี เพราะไม่มีภพชาติ

คนจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะต้องมีมิตรดีสหายดี เป็นข้อแรกแล้วปฏิบัติต้องเชื่อในศีล แต่คุณเองก็สีลลัพพตุปาทาน ไม่เกิดอานิสงส์ไม่เกิดอวิปฏิสาร ปมุชชะ จนถึง วิมุติญาณทัสสนะ

ต้องมีมิตรที่เป็นสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม แล้วทำให้บริบูรณ์ จะเกิดตามอวิชชาสูตร

1.      การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .

2.      การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.      ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

ก็จะต้องมีอย่างนั้นเสียก่อน ถ้าไม่เจอมิตรดี ศีลก็ไม่มี เป็นฉันทะที่มีภพชาติไปมีอัตตา พระพุทธเจ้ายังมีอัตตาเลยของคุณ  อันที่สี่ของสุริยเปยยาลนี้คือ อัตตสัมปทา คือเป็นผู้ที่เรียนรู้อัตตา 3 ได้

1.      การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)

2.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา       ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)

3.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ) .

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302)

ต้องทำใจในใจให้ลดละอัตตา ลดละภพชาติไม่ใช่สะสมอัตตาอย่างธรรมกายสั่งสมภพชาติ จึงยากมาก เพราะเขามิจฉาทิฏฐิ 10 คือ

  1. ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล (ไม่เห็นการลด) (นัตถิ ทินนัง). . . .
  2. ยัญพิธี(พิธีการ)ที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  (นัตถิ ยิฏฐัง)
  3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผล  (นัตถิ หุตัง)
  4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  ไม่มีผล  .  
(นัตถิ  สุกตะทุกกะฏานัง กัมมานัง   ผลัง วิปาโก) . .
  5. โลกนี้  ไม่มี  (นัตถิ อยัง โลโก)  .
  6. โลกหน้า  ไม่มี  (นัตถิ ปโร โลโก) .
  7. (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 255) 7. ไม่มีปัญญาเห็นมารดา  (นัตถิ  มาตา) .
  8. ไม่มีปัญญาเห็นบิดา (นัตถิ  ปิตา) .  .
  9. ไม่มีปัญญาเห็นสัตว์อุบัติขึ้นเอง.(นัตถิ สัตตา โอปปาติกา). . .
  10. ไม่เห็นสมณพราหมณ์ทั้งหลาย.เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกนี้  (นัตถิ โลเก  สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญจ  โลกัง  ปรัญจ  โลกัง  สยัง อภิญญา  สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 255)

ไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิที่ เพราะไม่เจอ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

พูดไปเขาก็ไม่ฟัง เพราะยึดมั่นในอาจารย์เขาแล้ว แล้วสอนว่า ช่องนี้ช่องเดียว ช่องอื่นไม่เข้าหู ไม่ต้องพูดถึงเข้าใจเลย ไม่เข้าถึง ไม่บรรลุแน่ จะเข้าใจสัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้แล้วเพราะอโสตัง ไม่เข้าหูแล้ว มันไม่ Enter เลย

เขาก็ว่า..โดยไม่เลิกละกลางคันแล้วล่ะก็ ในที่สุดเราก็ย่อมจะบรรลุเป้าหมายปลายทางพระนิพพานนั้นและรู้แจ้งกระจ่างชัดด้วยตัวของเราเองว่า ปลายทางพระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งทุกคนก็จะเข้าใจตรงกันหมดเหมือนกันหมดโดยไม่ต้องทะเลาะกันเลย

พ่อครูว่า…ที่พูดกันนี้ไม่ตรงกันหรอกกับคนอื่นไม่เหมือนกับคนอื่นหรอก ที่พูดนี้ไม่ได้มาทะเลาะ แต่มาวิจัยวิจาร ฟังกันไหมล่ะ วิจัยวิจารกันไม่ได้หรือ แล้วไปเรียกว่าทะเลาะด้วย ขี้ตู่จัง

แล้วเขาว่า..ถ้าระหว่างเดินทางมามัว 6 เถียงกันว่าเป้าหมายปลายทางตามที่ว่าในลายแทงนั้นเป็นอย่างไรแล้วยิ่งใครไม่ยอมเดินไม่ยอมรักษาศีลไม่ยอมเจริญสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ5 โพชฌงค์7 อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 แล้วมาถกเถียงกันเรื่องพระนิพพานว่าเป็นอย่างไรเป็นสิ่งไม่ให้ประโยชน์

พ่อครูว่า...พูดเท่ซะไม่มีเลย ที่พูดนี้ไม่ได้เพียงแต่กำลังวิจัยวิจารณ์ว่าสิ่งที่คุณพูดให้มาผิด คุณเอาพยัญชนะของพระพุทธเจ้ามาพูด แค่สติปัฏฐาน 4 ของคุณ กายในกายตัวแรกเลยคือโลกุตระตัวที่ 1 พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่าโพธิปักขิยธรรม 37 นี้คือโลกุตระ 37 (สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ5 โพชฌงค์7 อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8) พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า นี่คือโลกุตระ ก็ต้องมาวิจัยกันให้ถูกต้องก่อนสิว่าโลกุตระคืออย่างไร โลกียะคืออย่างไร จะต้องมาเข้าใจกันให้ได้ถ้ามันไม่เข้าใจก็จะดำน้ำปฏิบัติประพฤติไป โดยยกคำพูดมา

คำว่ากายในกายคำแรกของสติปัฏฐาน 4 คุณได้รู้คำว่ากายไหม แล้วทำเป็นก็ไปเรียกตนเองว่าธรรมกาย เป็นธรรมกลายมากกว่า ขอยืนยันว่าสำนักธรรมกายไม่รู้จักคำว่ากาย มหาเถรสมาคมจบเปรียญ 9 เปรียญ 18 ดร.กี่ใบมาจะเข้าใจกัน จะเข้าใจมูลกรรมฐาน ผมขนฟันเล็บผิวหนังกันไหม?

กรรมฐาน 5 นี้ ให้รู้ว่าอะไรที่เป็นกายอะไรเป็นจิต อะไรไม่ใช่กาย อะไรไม่ใช่จิต จะไปยึดไว้ก็บ้าแล้ว แม้แต่อะไรที่เป็นกายเราจะไปหลงยึดเป็นเราเป็นของเราก็ยังบ้า สุดท้ายทั้งกายและจิตก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา จะต้องมาเรียนรู้ตั้งแต่หยาบ

ต้องเอามาขยายผลเอาภาษาฟิสิกส์มาประกอบก็ยากแล้ว ไม่ง่าย เมื่อแยกแยะกายในมูลกรรมฐาน 5 ไม่ออกแล้ว จะไปอ่านของจริงว่าไหนไม่ใช่กายแล้วเช่นเล็บของคุณ ถ้ามันไม่ได้ติดกับตัวเราตัดมันออกไปแล้ว อันนั้นเป็นอุตุนิยาม มันเป็นดินน้ำไฟลมที่ไม่มีชีวิต มันไม่ใช่เราก็เข้าใจได้ อย่าไปยึดนะ แม้มันติดอยู่กับตัวเรา ยังไม่ตัดออกไป แต่มันพ้นจากประสาทเข้าไปร่วมทำงานแล้ว แต่มีส่วนที่เป็นชีวะเข้าไปทำงานอยู่แล้ว มันยังยาวได้อยู่ มันเป็นพีชะ เป็นพืชชนิดหนึ่ง แต่มันไม่ใช่จิตนิยามแล้ว จิตไม่ได้ร่วมเข้าไปรับรู้แล้ว มีแต่สัญญากับสังขาร ตัดออกไปก็ไม่เจ็บ

อันที่ตัดออกไปไม่ใช่กายก็ชัด อันที่ติดกับกายเราก็ต้องชัดว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แม้แต่เล็บที่ติดอยู่กับเราเป็นกาย ตัดก็เจ็บ อย่างนี้ก็อย่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา คนที่ไม่ยึดในจิตนี้ยากกว่า

ท่านตรัสไว้ว่า แม้ไม่ได้สดับธรรมพระพุทธเจ้าก็ยังเบื่อหน่ายร่างภายนอกได้ เพราะมันเสื่อมมันเจริญปรากฏให้เห็นง่าย

ในพระไตรฯล.16 ข.230 ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย

[231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้เมื่อดำรงอยู่   ปีหนึ่งบ้าง   สองปีบ้าง   สามปีบ้าง   สี่ปีบ้าง   ห้าปีบ้าง   สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้างย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

(ต้องเรียนรู้ล้างตัณหาอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วล้างภพชาติได้หมดก็จะมีความไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราได้ ต้องปฏิบัติมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายตามลำดับอันน่ามหัศจรรย์ ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่มีเวียนวน ถ้าทำได้สัมมาทิฏฐิตามลำดับ)

 

[233] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

พ่อครูว่า...ตั้งแต่ต้นที่ได้อ่านบทความนี้ที่เขาอ้างธรรมะของพระพุทธเจ้ามาหลายบทแล้ว เขาได้ชัดเจนในการปฏิบัติไหม จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 หรือโพธิปักขิยธรรม 37 นั้น ก่อนจะปฏิบัติเขามีผู้รู้มีสัตบุรุษอธิบายให้ฟังหรือไม่ มีมิตรดีสหายดีมาปฏิบัติแล้วเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติศีลเป็นอย่างไร ปฏิบัติศีลได้ก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ โดยสำรวมอินทรีย์ 6 และพิจารณาสิ่งที่กินที่ใช้ โภชเนมัตตัญญุตา พิจารณาว่าเกิดกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้จนรู้ว่า แต่ก่อนเรากินเราอยู่เราใช้เครื่องเป็นเครื่องใช้บริโภคและอุปโภคที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เกี่ยวข้อง เราก็ไปตามโลกโลกีย์มันมาตลอดเลย ได้ลาภมาก็ดี ได้ยศมาก็ดี ได้สรรเสริญได้ชมเชยก็เป็นสุข ได้เสพสัมผัส ได้สมอัตตา ก็สุข หลงกับสุขนี้ตลอดเลย แต่เมื่อมาเรียนรู้มาศึกษา มาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน พิจารณาว่ามันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่ของเรา มันมีกิเลสตัณหาอุปทานไปยึด ลดละกิเลสได้เราก็อ๋อ ชาคริยา ตื่น แต่ก่อนนี้กลับหลงใหลไปกับโลกียะ อะไรอร่อยไปกับมัน มีแต่วิมานมีความสุขโลกีย์หนักหน้าไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่สุขอย่างนั้นมันโลกีย์ พระพุทธเจ้าก็สอนให้เลิก ต้องพิจารณาว่าเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วไม่มีตัวตน อะไรที่ติดอย่างจริงๆจังๆก็ต้องเวียนวนเสพสัมผัสเกี่ยวข้องวนกับมัน มันวนเป็นโลกียะโลกคือความวนอยู่อย่างนี้ หลงสุข หลงว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น เราก็อยากจะเลิก

เหมือนกับคนที่จะเลิกบุหรี่ ฟังเหตุผลแล้วบอกว่าไม่ดีจะเป็นถุงลมโป่งพอง มันไม่ดีก็จะไปยึดติดอะไรมันก็รู้ แต่ยังไม่มีปัญญาตื่นยังไม่มีชาคริยานุโยคะ เพราะมันยังติดรสแล้วเมามันไปกับรสชาติ จนกระทั่งมาพิจารณาว่าเป็นของไม่น่าติดนะ ไม่น่าจะไปหลงกับมัน พิจารณาว่ามันไม่เที่ยงลองพิสูจน์ดูสิ ว่ามันเพราะเป็นไปได้ไม่ต้องไปบำเรอตามที่มันต้องการ ตามที่มันสั่ง ตามที่มันอยาก ไม่ให้มันมันก็ลดลงได้ ยิ่งพิจารณามีปัญญาว่ามันเป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษ แล้วมันก็ไม่จริง แต่ก่อนมันเสพขนาดนั้น ตอนนี้ก็ลดละจางคลายลงมา เห็นความจางคลายลงมาบางครั้งมันดับ พอเลิกไปได้พิจารณาอย่างมีปัญญา เห็นความไม่ดีของมันว่าจะเป็นโรคเป็นภัย มันเป็นทุกข์

สุขมันเป็นสุขขัลลิกะ มันไม่มีจริงหรอก มันเป็นอนัตตา ถ้าคุณยิ่งเห็นยิ่งทำได้อย่างนั้น คุณจะตื่นเป็นพุทธะเลย อย่าว่าเป็นชาคริยานุโยคะเลย แต่ก่อนไปหลงว่าต้องมีต้องเป็น อย่างเช่นแต่ก่อนนี้อาตมา เป็นคนอีสานกินพริกก็อร่อยมีรสแซบจริงๆ แต่ตอนนี้ แสบคอ นิดหน่อยก็ไอแล้ว แต่ก่อนแสบก้นด้วยเวลาถ่าย อาการสุขรสสุขเวนาสุขตอนนี้ไม่มี ทั้งที่ประสาทเราก็ปกติ แต่ไม่อร่อย

ความอร่อยนั้นมันหายไป มันมีแต่รสจริง จะอร่อยกับผลไม้ข้างหน้านี้ สัมผัสทางลิ้น ไม่มีเวนาที่เป็นรสอร่อยแล้วมีเวทนาเดียว ไม่มีเวทนาสองเป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) สัมผัสอีกก็เป็นรสเดียว ถ้ามันหวานก็รสหวานเดียว ไม่มีรสอร่อย รสอร่อยนั้นเป็นของเก๊เป็นอุปาทาน

ถ้าคุณคนนี้ติดในฟักข้าวเมื่อสัมผัสฟักข้าวก็อร่อย อีกคนหนึ่งไม่ได้ติดฟักข้าว เอาอันเดียวกันนี่แหละให้คนนี้กินแตะเข้ากับลิ้น ก็บอกว่าไม่อร่อย นั่นแหละเป็นของไม่อร่อย  รสฟักข้าวนี้มีรสเดียว ส่วนรสอร่อยนั้นทำให้หายไปทั้งสองคนเลยก็เป็นรสเดียวคือนิพพาน รู้ความจริงตามความเป็นจริงอันเดียวกัน จะรีบไปภาษาอันใดก็เป็นสัจจะอันเดียวกัน เพิ่มความอร่อยหรือไม่อร่อย อร่อยน้อยอร่อยมากก็เป็นอุปาทานของคนเท่านั้น นั่นคือเวทนาตัวที่เป็นผีตัวที่หลอกเป็นอุปาทานของคน ตัวที่ตัวเองไปสร้างใส่จิตและก็เป็นสุขเพราะอุปาทานตัวนั้น ผู้ที่ล้างอุปาทานตัวนั้นหมดจากเครื่องอุปโภคบริโภคที่คุณสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องในโลกนี้ได้คุณก็เป็นอรหันต์ อรหันต์มันง่ายๆแค่นี้แหละ แต่ปฏิบัติก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่หรอกนะ

ผู้ที่ไม่มีรสอร่อยนะแต่เป็นนิพพานเป็นรสอนัตตา ผู้ที่มีรสอร่อยอยู่เป็นอัตตา ต้องรู้อารมณ์เสีย อารมณ์สัตว์นรก ถ้าเราชื่นใจก็เป็นสวรรค์เป็นเทวดา ถ้าไม่ชื่นใจมีความชังก็เป็นไม่ชอบ รู้อย่างก็เป็นสัตว์นรกทั้งนั้น จนกระทั่งผู้ปฏิบัติแล้วความอร่อยเป็นเทวดาไม่มี ความอยากหรือไม่อยากก็ไม่มี ความชังก็ไม่มี ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก อย่างนี้คืออนัตตา แล้วไอ้ที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อร่อยก็ไม่มี มีแต่ความเป็นจริง สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีอร่อย ไม่มีไม่อร่อย ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก รู้ความเป็นจริงอย่างเดียว คืออนัตตา เป็นนิพพาน

ถ้าจะมีนิพพานอย่างที่อาตมาว่ากับใครจะมีนิพพานอย่างมีอัตตา แล้วก็บอกว่ายึดกันต่างคนต่างยึด ก็บอกให้ว่าไปถูกหลอกอยู่อย่างนั้น ชีวิตจะเสียเวลาเป็นโมฆะเปล่าๆมันไม่ถูกต้อง

อย่างธัมมชโยนี่หลอกคนสารพัด เอาวาทกรรมไปใช้หลอกคน

คนที่ปฏิบัติอนัตตาเห็นอนัตตา เขาเห็นนะ ไม่ใช่เห็นภพชาติที่ใสใส เอาคำว่าใสๆนั้น เป็นไวยพจน์ ของความไม่มี ความว่าง มันคล้ายกันแทนกันได้ ใสๆ

เขาเริ่มต้นคือให้เห็นธรรมกายว่าใส เป็นมโนมยอัตตา เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต จิตมันปั้นขึ้นมาสำเร็จ สำเร็จใสๆ

คนที่รู้ความจริง ถ้าคุณหลับตาคุณจะเห็นความมืดหรือเห็นแสงสว่าง แต่เขากลับให้เห็นแสงสว่างเมื่อหลับตา แค่นี้ก็มันวิปริตแล้ว คนที่มีอุปาทาน หลับตาแล้วคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมหลับตาแล้วจะเห็นแสงสว่างวูบๆวาบๆ สีต่างๆ คุณหลับตาแล้วมันก็มืด แสงไม่เข้าไปในจอตา ก็มืดเป็นวิทยาศาสตร์สัจจะ มืดสนิท ไม่มีแสงสะท้อนเข้าไปเลย แต่แสงเข้าผนังตาก็พอมีแสงแต่มืดๆเลย หลับตาก็มืด แต่ถ้าคุณยังเห็นแสงวูบวาบๆ ก็คือมโนมยอัตตาทำงาน โดยหลักของวิทยาศาสตร์แล้ว แสงคือความสว่าง หลับตาแล้วไม่มีแสงสว่างเข้าไปในตาไปสู่จอประสาทตาเลย มันไม่มีอะไรไปกระทบเลย มันมีแต่มืดกับมืด เพราะฉะนั้นผู้ใดมาสอนนั่งหลับตาแล้วจะเห็นความสว่างใสเห็นอันโน้นอันนี้ขึ้นมา มันคือสัญญา มันคือการกำหนดหมายแล้วก็ปั้นขึ้นมาสำเร็จด้วยจิตเรียกว่า มโนมยอัตตา แค่นี้ถ้าเข้าใจได้ ก็จะไม่หลงใหลอะไรมากมาย

การไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมแล้วจะเห็นนรกสวรรค์นั้น เป็นการสร้างภพสร้างชาติทั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเช่นนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้มารู้กับตา หูจมูก ลิ้น กาย มีใจมาร่วม เรารู้ที่เวทนาคือความรู้สึก ในความทุกข์อริยสัจอันนี้ ให้เรียนรู้ว่า ความทุกข์ก็คือภาระที่ไปหลงในความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่ต้องพาให้เราเหน็ดเหนื่อยทรมานทรกรรมก็ต้องเอา ดีไม่ดีต้องฆ่าแกงกันก็ต้องเอาอย่างนี้ ก็มาเรียนอันนี้แล้วก็พอที ไม่ต้องไป หลงได้ หลงมี หลงเป็นกับเขา

ชีวิตเราก็จะอยู่กับเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลายก็มีพออาศัยใช้เท่านั้นพอเลี้ยงร่างกาย มีร่างกายแข็งแรงดีมีกำลังวังชา ก็ทำงานที่เป็นกุศล ทำงานที่เป็นประโยชน์ จะสร้างสิ่งที่เป็นสาระสร้างอาหาร สร้างสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ที่คนจะได้อาศัย สร้างเสื้อผ้า สร้างบ้านเรือน สร้างยาที่เป็นปัจจัย 4 หรือเป็นบริขารที่จำเป็น ทำให้พอกินพอใช้ให้มากพอแล้วแบ่งปันกัน อย่าไปสร้างเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขมากมายเป็นนายทุน ไม่ใช่ สร้างมาแล้วเอาไปช่วยเหลือกัน แบ่งแจกกัน อย่างที่อาตมาพาพวกเราทำกัน

สังเกตชาวอโศกในยุคนี้ปลูกอะไรขึ้นมาก็เยอะแยะ ใครมาก็เชิญให้กิน จิตใจหวงแหนนั้น มันไม่มีเหมือนก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยหวงแหน มันมีน้ำใจสังเกตไหม นี่คือความเจริญของอารยธรรม คนที่เข้ามาในแดนดินของชาวอโศก ใครมาก็ยินดีต้อนรับ เพราะพวกเราพอมีพอกินไม่ขาดแคลน กินจนเฟ้อ กินทิ้งกินขว้าง มีเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ปัจจัย 4 ก็ไม่ยึดติดมากเหมือนคนข้างนอกไม่ต้องตามแฟชั่นแบบคนข้างนอก เพราะเราล้างกิเลสแล้วไม่ใช่ล้างสมอง หายเมื่อยไหม ถามอี๊ดนี่เจ้าแม่แฟชั่น แต่ก่อนนี้บ้า ตอนนี้เบาไหม ยอมรับไหม จิตมันชัดเจนไม่ต้องบ้าแข่ง แต่ก่อนนี้บ้าแข่งแต่งตัว

คนที่อยากรวยไม่ต้องทำอะไรคิดอ่านสร้างแฟชั่นให้ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เต็มโลกเลยเป็นเจ้าแฟชั่น ปีนี้ยาวสวย สั้นเชย พอปีหน้า ยาวเชย สั้นสวยอีก ก็หลอกได้อีก โง่เสียไม่มี เลย เคยมาก่อนแล้วใช่ไหม

อาตมาก็ยังเคยลงแต่ก่อนนี้มองตากูต์ ต้องมีทุกสี ในวันแต่ละวันเราแต่งตัวไปทำงาน ต้องหาเวลาใส่มองตากูต์

ถ้าคุณเรียนรู้ไม่ติดยึดได้ใน อุปโภคบริโภค โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะได้ก็นิพพาน

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:02:05 )

590917

รายละเอียด

590917_พ่อครูพบชาวค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 14

_ผู้ที่นี่จะมาเริ่มต้นนั้นจะทำอย่างไร

ตอบ...ให้ยินดีเต็มใจมาเลย แล้วมาตั้งใจ  1 ยินดี 2 เต็มใจ 3 ตั้งใจ แล้วคุณมาอะไรมาเป็น

1 มาเป็นผู้แพ้ 2 มาเป็นผู้ทำ 3 มาเป็นผู้รับใช้ จบด้วย 4 มาเป็นผู้ให้

ไม่มีใครทำคุณต้องเป็นผู้ทำเป็นคนรับใช้ แพ้แล้วก็ทำ ทำรับใช้ จบด้วยให้

ทำแล้วไม่มีเรานะ ถ้ายังเอาไว้มาเป็นของคุณก็ยังไม่ให้ ก็เป็นตัวกูของกู แต่คุณไม่เป็นหนี้เพราะคุณเป็นผู้แพ้คุณเป็นผู้ทำ แล้วคุณก็เป็นผู้รับใช้ คุณไม่เป็นหนี้ แต่คุณยังมีตัวกูของกู ให้ยังไม่ได้

 

คนทำ...ขยายความ ทำแล้วทำไมยังตกนรก ทั้งๆที่เข้าใจดีแล้วทำไมถึงมีนรก เพราะมันยังไม่ชัดมันแม่นยังไม่คมไม่มีพลังพอ รู้ทั้งรู้แล้ว มันก็ยังไม่ใช่ยังทำไม่ตรงยังทำไม่ได้เต็มที่ ไม่มีใครอยากตกนรก แต่เป็นนรกจริงจากการกระทำ นรกจึงมากกว่าสวรรค์

ผู้ที่ยังสร้างสวรรค์อยู่ ยังไม่รู้จักจุดสำคัญคือพอ ไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอก็เลยไปใหญ่เลย ถ้าไม่เพียงพอ พอไม่เป็น ก็มันไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าพอมันถึงขีดไหนอย่างไรก็ไม่รู้จัก คุณต้องรู้จักพอ ถ้าเป็นวัตถุเป็นตัวเลขเป็นชิ้นเป็นอันก็พอนับได้หยุดได้ แต่พอที่เป็นอารมณ์เป็นอาการความรู้สึกนี่แหละ มันเข้าใจยากของใครของมัน เราต้องดูว่าอาการนี้มันนิ่งกว่ามันน้อยลงกว่าจะเข้าใจยาก พอคือมันไม่มากไปแล้วมันก็ไม่น้อยไป อาตมาจึงขอแนะนำว่า คนทำให้รู้สึกน้อยไว้ๆนั่นแหละพอ แต่คุณจะเอาพอดี แต่กิเลสคุณไม่หมด กิเลสคุณจะหลอก อย่างพอดีๆคือกำลังแซบนั่นแหละกิเลส ต้องให้น้อยไว้เสมอ พระพุทธเจ้าถึงให้สำนวนว่า ผู้ตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง จะไปบำเรอตัวเองหรือกลางกลางก็ไม่ดีไม่แน่ ให้ตั้งตนบนความลำบากไว้รู้สึกว่าพร่องไว้ เพราะฉะนั้นพร่องไว้เสมอ มันจึงจะเข้าเกณฑ์ที่จะไม่ผิดพลาด เพราะคุณยังอัตตายังไม่หมดมันจะเข้าข้างตัวเอง เพราะฉะนั้นเผื่อไว้เสมอ แต่เผื่อมากๆแล้วไม่มีแรงก็ให้มีแรงเต็มเต็มๆ เผื่อไว้ขนาดนี้ยังมีแรงเต็มที่อยู่อันนี้ใช้ได้

สวรรค์ก็คือพอสบายดี ถ้านรกมันไม่สบาย แต่จริงๆแล้วจะต้องมีความฝืน ใจเรายังรู้สึกตั้งตนบนความลำบาก ไม่สมอารมณ์เต็มใจไว้เสมอดี มันจะพร่องให้เราได้ฝึก

ทำอย่างไรจึงจะถึงสภาพ แดนพรหมได้ ทำอย่างนี้แหละจะสะอาดขึ้นเรื่อย จนทำจริงเต็มจะถาวรยั่งยืนได้จริงเอง นี่เป็นลักษณะที่อาตมาพยายามอธิบายสภาวะที่แสนยาก

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86671

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfbG9KUVpJUW9XWlk

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/51d1rq8p9u83/160917

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=rvGBuy4Fw4o


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:07:43 )

590917

รายละเอียด

590917_พ่อครูพบชาวค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 14

พ่อครูว่า...อาตมาตั้งใจจะฝึกตัวเองให้สมรรถนะเพิ่มขึ้นอีก แล้วจะมาพบกับชาวที่มาจัดคอร์สกันนี่แหละ เพราะว่ามันน่าจะได้ทำ และอาตมา ก็จะเป็นการขับดันเรา ให้มีพลังภายในของตัวเองขึ้นมา Stimulate เราก็จะได้พยายามพากเพียรกันทั้งสองฝ่าย ตอนนี้อาตมาว่าพวกเรามีภูมิธรรมมีความรู้ที่เป็นความลึก เป็นความจริงที่ลึกขึ้นได้เรื่อยๆจริง

มีคำถามมา

_นี่ก็ห่วงพี่สาว ตั้งใจมาปฏิบัติที่บ้านราชแล้ว แต่ไม่สามารถชวนพี่สาวให้มาอยู่ได้ เคยชวนมาอยู่แต่อยู่ได้มาถึงอาทิตย์ก็กลับอ้างว่าเป็นห่วงบ้านกลัวบ้านจะเหงาก็เลยกลับ เป็นสาวโสดพ่อแม่ก็สิ้นไปหมดแล้วอยู่บ้านคนเดียว

ตอบ...มันยังไม่ถึงคราว จิตใจมันยังไม่ถึงจริงๆบังคับอย่างไรก็ไม่ได้ สำคัญที่ตัวเอง ถ้าตัวเราเป็นตัวอย่างที่ตรงให้เขาเห็นได้ชัดว่าอย่างนี้ใช่ แล้วก็เป็นตัวสำคัญ ตัวผู้ใดปฏิบัติได้แล้วมันเห็นโดยพฤติกรรม การกระทำให้เห็นเลย ปัญญาของคนในขั้นหนึ่งก็จะรู้ เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่เราต้องเป็นให้ได้ อาตมาถึงมีหลักว่า ต้องพยายามปฏิบัติให้คนตาบอดเห็นได้ ให้คนตาบอดได้เห็นได้

เราทำตัวเราไปก่อน อย่างน้อยก็ทำตัวเราได้ก่อนเราสบายก่อนเราเจริญก่อน เรามีประโยชน์คุณค่าก่อน เป็นชีวิตที่ประเสริฐก่อน แล้วคนอื่นจะตามมาตามมา ก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละไม่เช่นนั้นมันไม่เกิดหรอก

ต้องเริ่มเกิด 1 จาก 0  One for all. all for one เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

จากหนึ่งมาเป็นหลายแล้วจากหลายรวมเป็นหนึ่งเป็นเอกภาพ  One for all. all for one

คือพวกเรานี้ช้าจริงๆ และยาก ได้กลุ่ม แกนแท้จะมีฤทธิ์เป็นไป อาตมาหัวเดียวกระเทียมลีบมาเดี่ยวๆตอนนี้ 46 ปีแล้ว อายุก็ 80 กว่าแล้ว คิดดูสิ ยอมแก่ไม่ได้ จะต้องหนุ่มต่อไป ยอมไม่ได้ต้องเป็นหนุ่มให้ได้ พยายามแข็งขืนเป็นหนุ่มให้ได้

อาตมาจะเริ่มต้นตรงนี้ เริ่มต้นที่ความหมายของจิต จิตเป็นธาตุรู้ แล้วมันก็รู้ไปเรื่อยๆค่อยๆไล่ไปรู้น้อยรู้มาก ตามลำดับๆ เพราะฉะนั้นจิตมันรู้มากขึ้น จนกระทั่งรู้ซับซ้อนลึกซึ้ง จนรู้อะไรมากขึ้นจนเป็นอาริยชน ก็รู้โลกุตระ

โลกเขาจะสุขด้วยลาภยศสรรเสริญโลเกียสุข  กาม อัตตา บำเรอกามคุณ และอัตตา บำเรอใจ เป็นทวารทั้ง 6 แล้วมันก็บำเรอก็คือการสัมผัส แล้วก็เกิดอารมณ์

ตอนนี้มาพูดถึงสาระรายละเอียด จิต นี่ อาตมาพยายามขยายความ ไม่ง่าย แต่ไม่น่าจะยาก คือคนเรานี่เกิดมาแล้วหลงภพสวรรค์ ทุกคนอยากได้สวรรค์ ไม่มีใครอยากได้นรก มันมีนรก มีสวรรค์​แล้วก็มีนิพพาน นิพพานคือสะอาดบริสุทธิ์ หรือพรหม

แล้วสวรรค์ก็แยกเป็น 2 อย่าง ถ้าสวรรค์หมุนเวียนอยู่ก็เป็นสวรรค์โลกีย์ มีสวรรค์ไม่มีสูญ มีสวรรค์ก็ตกนรกหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นนานนับชาติ ไม่รู้กี่ล้านล้านชาติ จะช้าจะเร็วจะมากจะน้อยของใครก็แล้วแต่จะมากหรือจะน้อยจะสมมุติแบบไหนก็ของใครของมันอยู่อย่างนี้ เมื่อมันลดสวรรค์ขี้หมาได้ก็เป็นพรหม เข้าหา 0 มาหาสุญญตา ลดลงได้ๆ จนศูนย์ 00000 ไป ก็เท่านี้

เพราะฉะนั้นคนไม่รู้นี่ แต่อยากได้คือสวรรค์ 6 ชั้น สวรรค์นั้นมี 6 ชั้นเท่านั้น ส่วนพระพรหมนั้นจะต้องมาเป็นอาริยะ มาเป็น อเวไนยสัตว์ ต้องมีภูมิปัญญาแล้วทำให้ได้ถึง อ่านหนังสือฐานที่จะไปหาพรหม ส่วนโลกียะนั้นหมุนไปหานรกสวรรค์

นรกชั้นที่ 1 นั้นหรอกว่าเป็นสวรรค์แต่แท้จริงคือนรก หลงผิดว่าเป็นสวรรค์ดาวดึงส์ แต่มันไม่ใช่สวรรค์แท้จริงคือนรกจะหมุนเวียนตกนรกเป็นหลัก ถ้ายิ่งโง่ยิ่งหนักกว่าเก่า ที่บอกว่าสวรรค์อร่อยกว่าเก่า แซบหลายกว่าเก่าก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก เมื่อจางคลายก็ขึ้นมาได้จนมี 0 ได้ 0 ไปได้เรื่อยๆ

ทีนี้ในรายละอียดของ ยามา นิมมานรดี ปรินิมฯนั้น ดาวดึงส์คืออาการ 33 ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเหนือจากอาการ 32 อีก คนอยากได้ดาวดึงส์ด้วยความโง่ก็อยากให้อยู่ได้นานๆ เรียกว่ายามา คือเวลา กาละ ให้เป็นสวรรค์นานๆ สวรรค์อย่ารู้จบ

แต่มันไม่เป็นไปได้มันต้องหยุดต้องสงบเรียกว่า ดุสิต คือแดนหยุด แต่คนมันไม่ยอมหยุดก็หมุนมาหายามาอีก จนกว่าจะมีปัญญาจริง จึงหยุดจริง ที่ดุสิต ผู้ที่ชัดเจนจริงทำให้หยุดจริงก็จะหยุด แล้วถ้ายังจะเกิดอีกก็อนุโลมให้คนอื่นได้ ยังไม่ปรินิพพานก็อยู่ต่อไป ผู้จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าจะพักอยู่ที่แดนดุสิต ทุกพระองค์ มาช่วยมนุษย์โลกสร้างศาสนาไว้ พระโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญบารมีจะเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก่อสร้างศาสนา ศาสนาพุทธจะมีในโลกเป็นคราวคราวอยู่ในสังสารวัฏนี้

ยามา เมื่อรู้จักพอเวลาจะสั้นลงได้ ไม่ต้องยาวมากหรอกรู้จักพอ ไม่มีก็ได้ คนที่ไม่มีแล้วจะมีก็ได้ คือไม่มีของตัวแล้วเมื่อไม่มีของตัวจริงๆจะมีก็ได้ มีก็ทำเพื่อผู้อื่น จะมีชีวิตมีการงานการกระทำก็ทำแต่ทำให้ผู้อื่นไม่ได้ทำเพื่อตนเอง จะอยู่ยาวนานอย่างพระอวโลกิเตศวรจะช่วยคนให้หมดทั้งโลกก่อน ตนเองจึงจะปรินิพพานคนสุดท้าย ก็ได้แต่ก็ไม่ยอมสร้างศาสนาของตัวเอง ไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า ขอชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์ใหญ่จริงๆ เพราะฉะนั้นจึงอวตารได้หลายแบบ

มาเข้าสู่ 6 สวรรค์

สวรรค์ที่ 1 จาตุมหาราชิกา เป็นสวรรค์ที่เลวร้ายที่สุดคือนรกแท้ๆแต่หลงว่าตัวเองได้มาเป็นตัวกูของกูตัวแรก เมื่อล้างตัวกูของกูจากจตุมหาราชิกาได้ ก็จะหยุดได้ แต่เมื่อล้างไม่ได้ก็เจอคือนรกคือผีตลอดกาลนาน

จตุมหาราช คือภพนรกที่คนไม่อยากเป็น แต่คงต้องเป็นเพราะทำกรรมที่ไม่ใช่สวรรค์แท้ คนเราจะคิดเห็นเข้าใจอย่างไรก็ได้แต่เวลามาปฏิบัติกรรมจริงๆ ก็อีกอย่างนึง อันนี้แหละยาก แม้เราเข้าใจว่าทำดีแล้วแต่มันไม่ใช่ คือมันเบลอมันเลอะ

อย่างเช่นธัมมชโยเข้าใจว่าอย่างนี้คือนิพพานยิ่งใหญ่ที่สุด แต่จริงๆแล้วไม่ได้เข้าใจนิพพานถูกต้องเข้าใจเป็นอัตตา หนักหน้าต่อไป เขาแก้ตัวไม่ตก เพราะว่ากรรมเขาผิด เข้าใจว่าสวรรค์ มีอัตตา นิพพานเป็นอัตตา เขาเข้าใจคำว่านิพพานนี่เป็นอัตตา เพราะฉะนั้นเขาจะทำอย่างไรก็เพิ่มอัตตา ไม่มีวันขึ้นจากนรกได้ มีแต่ลงนรก

เพราะเข้าใจกาย เข้าใจจิตไม่ได้ ปัญญารู้ว่าให้ 0 แต่ทำกรรมจริงๆไม่ 0 เหมือนคนเห็นผี แต่เดินเข้าไปจริงๆไม่ใช่

คนไหนก็ต้องการสวรรค์แต่เวลาปฏิบัติจริงๆกลับทำนรก ต้องมาลดละไม่แย่งมาเป็นเราเป็นของเรา คือลดจาตุมหาราชิก ลดดาวดึงส์ ลดรสอร่อย มันก็มีทั้งเวลา ปริมาณ ก็ลดด้วย น้ำหนักความแรงก็ลดลงด้วย จบที่สุดอยู่ดุสิต

 แต่ถ้าคนที่ยิ่งเข้าใจผิด เหมือนธัมมชโย ก็เลยอยากได้มากได้ใหญ่ก็เลยเพิ่มทั้งดาวดึงส์เพิ่มทั้งยามา ไม่มีดุสิต ก็ไม่มีหยุดไม่มีเย็นไม่มีพักมีแต่เอาๆอย่างเดียว ล่า ฆ่า เอา สั่งสมให้ยาวนานเป็นยามา สั่งสมเป็นนิมมานรดีที่เลวร้าย แล้วเขาก็ได้สมใจ เขาเป็นนิมมานรดีได้ก็ยิ่งหลงชื่นใจ ถ้ามันยิ่งได้ยิ่งมากยิ่งนานยิ่งยิ่งใหญ่ ทำให้หลงเข้าไปอีก เราจะสร้างให้มีบริวารมาช่วยเป็นปรนิมมิตวสวัตตี ธัมมชโยนั้นเป็นแบบนี้เต็มรูปแบบ เขาหลงว่าเป็นสวรรค์แต่แท้จริงคือนรกทั้งหมด ซับซ้อน 6 ชั้น เขาไม่มีดุสิต ไม่มีวันหยุด ทุกวันนี้เขาก็เลยนอนขาบวมให้บริวารช่วย

ธัมมชโยนั้นจะพ้นนรกได้ยากนานมากทุกวันนี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่หยุดก็เป็นนิมมานรดี แล้วเป็นเจ้าโลกปรนิมมิตวสวัตตี เป็นนรกครบเซ็ตเลย

 

_ผู้ที่ที่จะมาเริ่มต้นนั้นจะทำอย่างไร

ตอบ...ให้ยินดีเต็มใจมาเลย แล้วมาตั้งใจ  1 ยินดี 2 เต็มใจ 3 ตั้งใจ แล้วคุณมาอะไรมาเป็น

1 มาเป็นผู้แพ้ 2 มาเป็นผู้ทำ 3 มาเป็นผู้รับใช้ จบด้วย 4 มาเป็นผู้ให้

ไม่มีใครทำคุณต้องเป็นผู้ทำเป็นคนรับใช้ แพ้แล้วก็ทำ ทำรับใช้ จบด้วยให้

ทำแล้วไม่มีเรานะ ถ้ายังเอาไว้มาเป็นของคุณก็ยังไม่ให้ ก็เป็นตัวกูของกู แต่คุณไม่เป็นหนี้เพราะคุณเป็นผู้แพ้คุณเป็นผู้ทำ แล้วคุณก็เป็นผู้รับใช้ คุณไม่เป็นหนี้ แต่คุณยังมีตัวกูของกู ให้ยังไม่ได้

 

คนทำ...ขยายความ ทำแล้วทำไมยังตกนรก ทั้งๆที่เข้าใจดีแล้วทำไมถึงมีนรก เพราะมันยังไม่ชัดมันแม่นยังไม่คมไม่มีพลังพอ รู้ทั้งรู้แล้ว มันก็ยังไม่ใช่ยังทำไม่ตรงยังทำไม่ได้เต็มที่ ไม่มีใครอยากตกนรก แต่เป็นนรกจริงจากการกระทำ นรกจึงมากกว่าสวรรค์

ผู้ที่ยังสร้างสวรรค์อยู่ ยังไม่รู้จักจุดสำคัญคือพอ ไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอก็เลยไปใหญ่เลย ถ้าไม่เพียงพอ พอไม่เป็น ก็มันไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าพอมันถึงขีดไหนอย่างไรก็ไม่รู้จัก คุณต้องรู้จักพอ ถ้าเป็นวัตถุเป็นตัวเลขเป็นชิ้นเป็นอันก็พอนับได้หยุดได้ แต่พอที่เป็นอารมณ์เป็นอาการความรู้สึกนี่แหละ มันเข้าใจยากของใครของมัน เราต้องดูว่าอาการนี้มันนิ่งกว่ามันน้อยลงกว่าจะเข้าใจยาก พอคือมันไม่มากไปแล้วมันก็ไม่น้อยไป อาตมาจึงขอแนะนำว่า คนทำให้รู้สึกน้อยไว้ๆนั่นแหละพอ แต่คุณจะเอาพอดี แต่กิเลสคุณไม่หมด กิเลสคุณจะหลอก อย่างพอดีๆคือกำลังแซบนั่นแหละกิเลส ต้องให้น้อยไว้เสมอ พระพุทธเจ้าถึงให้สำนวนว่า ผู้ตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง จะไปบำเรอตัวเองหรือกลางกลางก็ไม่ดีไม่แน่ ให้ตั้งตนบนความลำบากไว้รู้สึกว่าพร่องไว้ เพราะฉะนั้นพร่องไว้เสมอ มันจึงจะเข้าเกณฑ์ที่จะไม่ผิดพลาด เพราะคุณยังอัตตายังไม่หมดมันจะเข้าข้างตัวเอง เพราะฉะนั้นเผื่อไว้เสมอ แต่เผื่อมากๆแล้วไม่มีแรงก็ให้มีแรงเต็มเต็มๆ เผื่อไว้ขนาดนี้ยังมีแรงเต็มที่อยู่อันนี้ใช้ได้

สวรรค์ก็คือพอสบายดี ถ้านรกมันไม่สบาย แต่จริงๆแล้วจะต้องมีความฝืน ใจเรายังรู้สึกตั้งตนบนความลำบาก ไม่สมอารมณ์เต็มใจไว้เสมอดี มันจะพร่องให้เราได้ฝึก

ทำอย่างไรจึงจะถึงสภาพ แดนพรหมได้ ทำอย่างนี้แหละจะสะอาดขึ้นเรื่อย จนทำจริงเต็มจะถาวรยั่งยืนได้จริงเอง นี่เป็นลักษณะที่อาตมาพยายามอธิบายสภาวะที่แสนยาก

 

_อยากเสนอแนะเรื่องการปรุงอาหารว่าควรใช้เกลือทำ เพราะจะดีต่อสุขภาพ ไม่อยากให้หลงรสปรุงแต่ง

ตอบ...พวกเรามีปฏิภาณปัญญาเรื่องนี้อยู่แล้วก็พากเพียรเอา ถ่วงไว้นี่ก็ดีแล้ว จริงๆแล้ว ซีอิ๊ว น้ำที่มีรสเค็ม มันเป็นของปรุงแต่งขึ้น จริงๆสดๆก็คือเกลือ

 

_ตาของพ่อครูเป็นอะไรคะแล้วหายหรือยังคะ

ตอบ...ตาไม่ได้เป็นต้อหิน แต่มีเส้นเลือดฝอยแตกในวุ้นลูกตา

 

_วันที่พ่อเทศน์หน้าศพคุณต้น เทศน์ถึงกรรมเก่า ดิฉันแวบถึงกรรมเก่า มันให้คำตอบว่า ตั้งแต่รถต้นเสียคันแรก คันที่สองก็เสียอีก เขาบอกแต่แรกแล้วแต่ไม่หยุด ไปตามตั้งใจให้ได้ สุดท้ายครั้งที่สามก็จบชีวิต ดิฉันคิดว่าถ้าเรามีปัญญาชกคิดนิดนึงตัดรอบไม่ไปวันนั้น แล้วไปวันหลังก็อาจจะไม่ตายได้ไหมคะ

ตอบ...อาตมาก็ตอบไม่ได้ว่ามันจะตายหรือไม่ตาย ไม่รู้เหตุปัจจัยของเขา เขาตัดสินใจอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น ก็เอาของเราเราจะประมาณของเราอาตมาว่าน้อยไว้ดีกว่า

 

_สามีข้าน้อย ไปมีภรรยาใหม่ แต่ภรรยาน้อยด่าข้าผู้น้อยมาก จะต้องทำอย่างไรคะ

ตอบ...ก็ให้เขาด่าไป ถามหน่อย คนเขาด่าเราคำด่าอยู่ที่ใคร ก็อยู่ที่เขา เขาจะได้ด่าดี ด่าไม่ดีก็เป็นของเขาทั้งนั้น ด่าดีๆก็ได้ กรรมก็เป็นของเขาไปยุ่งกับเขาทำไม ไปยุ่งกับเขามันก็ไม่ดีเป็นเสือใส่เกือก เสือใส่ร้องเท้ามันไม่ดี

 

_ถ้าเราตายไปแล้วความหิวจะตามเราไปไหมคะ

ตอบ...ไม่ตาม ถ้าเราไม่มี หยุดอยู่อยากในปัจจุบันนี้ได้ ขอขยายความคำว่าหิวกับอยาก ทุกวันนี้อาตมาไม่เคยอยากน้ำไม่เคยอยากอาหาร มันจะเหนื่อยมันจะอยู่อย่างไรก็ไม่เคยกระหายน้ำ มีแต่ out put ไม่มี input

 

_แก้จิตวางใจอย่างไรได้คะ

ตอบ...วางใจอย่างไรคะ ภาษานี้ตอบไปอีกนานได้มากเลย หลวงพ่อพระพยอม บอกว่าบุหรี่นี้ไม่ยากอะไรไม่ต้องคาบมันก็หลุดจากปากแล้ว ถ้าเราถืออยู่นี่มันหนักก็วางลงสิ แต่การจะวางใจ มันไม่ง่าย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเล่นของลูกปัดทำมันเสื่อมมันเจริญมันเกิดมันตายก็เห็นได้ง่ายจริงๆ มันไม่ยากที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แต่จิตใจนี่มันยากที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด มันจะวางอย่างไร

ก็ต้องค่อยค่อยเรียนความจริง อาตมาอธิบายมูลกรรมฐาน 5 เอาเล็บมาเป็นตัวอย่าง ผมขนเล็บฟันหนังอย่างอื่นก็เหมือนกัน

เมื่อเราตัดเล็บออกไปแล้วมันขาดจากเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา แต่เล็บที่ติดอยู่กับเราแม้มันไม่มีความรู้สึก มันยังมีชีวิตอยู่ แต่มันไม่มีเวทนาแล้ว ไม่มีความรู้สึกร่วมมันมีแต่ พีชะ มีสัญญากับสังขาร มันก็ยาวออก แต่เราก็ยังหลงยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราต้องเข้าใจว่าอันนี้มันไม่ใช่เรา ให้เป็นตัวอย่าง แล้วและคนอื่นคุณก็ไม่รู้สึกได้เหมือนเล็บของเรา คุณต้องอ่านเล็บของคุณ ต้องทวนอ่าน มันเป็นกายหรือไม่ใช่กาย แล้วมันเป็นเราหรือไม่ใช่ของเรา บางคนนั้นก็เอาไว้ให้ช่างทำเล็บ ทำให้อีก ใครมาทำเสียก็เอาตายเลยมันยึดเป็นเราเป็นของเรา

จะบอกว่ามีความจำเป็นไหมก็มีความจำเป็นจะต้องรู้ชัดชัดๆมันเป็นนามธรรม ไปเอาของคนอื่นมาเทียบเคียง แต่ความรู้สึกจริงๆของคุณนั้นก็เป็นของคุณเอง จากกรรมฐานแท้ๆ

ที่ถามมาว่าสามีไปมีเมียน้อยก็ใส่พานไปให้เขาเลย เรามาอยู่กับพี่กับน้องเราเยอะแยะมากมาย อยากได้ลูกเต้าก็มีมากมายอย่าไปมีสามีก็เท่านั้นแหละในนี้ สบายจะตายชัก อยู่ที่เราจะล้างกามออกหมดหรือยัง ก็จะเข้าใจเข้าใจว่างปล่อยไปให้อิสระแก่กันและกัน แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนให้เป็นไปด้วยกัน มีอะไรคู่ในอโศกเรา คนไหนทำได้ไม่ต้องประกาศก็ได้สบายแล้ว ใครมาถามเราก็บอกได้ จะได้เป็นหลักฐาน พระพุทธเจ้าก็ยังพรากจากพระนางพิมพาได้ ใครที่ทำได้จริงมันก็จริง ไม่มีปัญหาอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่ยังมีอยู่ในโลกได้ ยังไม่สูญสิ้นไปจากโลก เอามายืนยันกับโลกสอนโลก ผู้ที่พากเพียรเป็นอย่างนี้ต่อไป แล้วก็จะสืบสานสืบต่อไปเรื่อยๆ มันถึงเป็นของจริง ไม่เช่นนั้นไม่มีของจริงอะไรหรอก

ความจริงอันนี้แหละในเมืองไทยยังมีอยู่ เป็นประโยชน์แก่หมู่กลุ่มเรา แล้วก็เผื่อแผ่แบ่งปันไปหาผู้อื่นไปหาประเทศเท่าที่มันจะมีพลังงานอยู่เท่าไหร่ มันมีพลังงานอยู่จริงก็ไปช่วยได้ ตอนนี้เราก็กำลังเริ่มต้นพากเพียรไป กำลังสั่งสมไป

ที่เราทำเรานี่แหละเป็นผู้ได้ ทำได้จริงจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ช่วยมนุษยชาติได้ และจะมาย้ำอีกครั้งว่าประเทศไทยมีอันนี้ประเทศอื่นไม่มี หรือใครเห็นว่าประเทศอื่นมี มีประเทศไหนที่เขามีโลกุตระอย่างนี้ ในเอเชียมีก่อน แล้วในเอเชียก็คือประเทศไทย แต่อย่าไปหลงตัว อย่าไปกำแหง เท่านั้นแหละ ทำไปเถอะ จะได้ช่วยตนช่วยโลก ก็ดีมาก ที่รวมแล้วตกลงนับใหม่สิ…. มี 56 คน

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:08:11 )

590918

รายละเอียด

590918_วิถีอาริยธรรม สุขภาพดีวิถีโลก งานนวทศวรรษชีวี ศีรษะอโศก

งานนวทศวรรษชีวี ศีรษะอโศก ฉลองผู้มีอายุยาว 90 ปี

สฟ.ว่า…วันนี้รายการวิถีอาริยธรรมก็มาสัญจรที่ชุมชนวัฒนธรรมบุญนิยมศีรษะอโศก เป็นวันที่เขามาฉลองให้คนอายุยาว 90 ปี ถ้าถึงร้อยปีก็จะฉลองอีก ถ้าพ่อครูอายุ 100 ฉลองอีก พ่อครูไม่ใช่คนแก่เป็นคนหนุ่มที่มีอายุยาว วันนี้ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2559  วันนี้มีประชาชนมาฟังอยู่เป็นจำนวนมาก มีผู้ใส่เสื้อสีเทา ผู้ใส่เสื้อสีม่วง ผู้ใส่เสื้อสีน้ำตาล เสื้อสีเทาเป็นแพทย์แผนไทย เสื้อสีม่วงเป็นบ้านยาดี วันนี้เรียกว่างาน นวทศวรรษชีวี ศีรษะอโศก ฉลองผู้มีอายุยาว 90 ปี

อาตมาอายุย่าง 59 ปี พ่อครูนี่ แก่กว่าอาตมา 24 ปี พ่อครูก็อายุ 83 ปี วันนี้ให้พ่อครูเทศน์ สุขชีวีวิถีโลก ใครๆก็อยากจะมีความสุข วิถีโลกมีเงินมีรถมีบ้านตามแบบโลก แต่ถ้ามาอยู่กับชาวอโศก พ่อครูแปลนิพพานว่ายิ่งกว่าสุข มันสบายเป็นชีวิตที่น่าเป็นน่าได้ แต่ความสุขแบบโลกมันไม่น่าเป็น

เมื่อเราปฏิบัติธรรมลดละกิเลส เรื่องของสรีระร่างกาย ชีพก็อย่างหนึ่ง ชีวะก็อย่างหนึ่ง พ่อครูเขียนไว้ในเราคิดอะไรให้เรา ทำเวทนาให้เป็นหนึ่ง แดงก็แดง เขียวก็เขียว หวานก็หวาน ไม่มีชอบหรือไม่ชอบ แต่วันนี้ดูรายการสุขภาพดีด้วย 8 อ. มีโยมเขาบอกว่าจิตวิญญาณทำให้เราป่วยเป็นโรคหรือไม่เป็นโรคได้ 80 % พ่อครูมาสอนให้เรารักษาจิตวิญญาณและสรีระให้แข็งแรง เป็นโลกุตระที่พาพ้นโลกได้ ดูตัวอย่างได้จากพ่อครูที่อายุยืนยาวและแข็งแรง ท่านประกาศตนเป็นอรหันต์ ท่านแข็งแรง ใครไม่เชื่อไปเดินเร็วตามพ่อครู อาตมาเดินตามไม่ทันต้องวิ่งตามท่านที่เดิน

วันนี้เราจะได้มาฟังสาระของชีวิตที่ควรจะฟังอย่างยิ่งแล้วมีสิ่งที่ยิ่งกว่าสุขให้เป็นหลักประกันของชีวิตให้ได้ ได้แล้วจะเกิดอีกกี่ชาติก็เป็นคุณกับโลก

พ่อครูว่า... ชื่องานตั้งเสียวิลิศมาหราเลย นวทศวรรษชีวี ศีรษะอโศก ฉลองผู้มีอายุยาว 90 ปี ตั้งชื่อแล้วบาลีเขารับรองหรือยัง อาตมาไม่เก่งบาลี มีผู้ทักท้วงว่าผิดเสมอ ก็ยอมรับ

 

คุณจำลอง ทิ้งสุขเขียนมาว่า กราบนมัสการพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ที่เคารพ ผมได้ขอนำเสนอหนังสือของวัดพระธรรมกายสุดแล้วแต่พ่อท่านจะได้เห็นประโยชน์อย่างไร ก็ขอบคุณที่ส่งมาให้ ส่งมาให้ก็ขอบคุณเราก็จะได้รู้ของเขาว่าเราไม่ใช่ปิดหูปิดตาไม่ใช่ช่องนี้ช่องเดียว วันนี้ก็เลยจะเอาช่องนี้มาส่องให้ฟัง ดูว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวถึง 90 ปีจะได้ยินได้ฟังไหม

เริ่มตั้งแต่ชื่อหนังสือว่าอยู่ในบุญ การตั้งชื่อหนังสือก็ทำให้รู้ว่าไม่รู้จักประสีประสา บุญนั้นอยู่ในไม่ได้ บุญคือเครื่องมือที่จะกำจัดกิเลส ซึ่งทุกวันนี้ในศาสนาพุทธแล้วก็ศาสนาอื่นๆ ก็เอาคำว่าบุญจากศาสนาพุทธไปใช้ผิดหมด ไปใช้เรียกสิ่งที่เป็นกุศล อันหมายถึงคุณงามความดีอยู่ บุญไม่ใช่คุณงามความดี บุญเจริญสุดเลิศกว่าคุณงามความดี และไม่มีตัวตนสะสมไม่ได้ บุญทำหน้าที่ตัดกิเลสถ้าตัดได้บุญก็หมดไป เป็นส่วนแห่งบุญ ถ้าเรามีกิเลส 10 เราตัดกิเลสได้ 3 ก็ได้ส่วนบุญไป 3

อย่างเช่นในหลวงบอกว่าเราเสียนี่แหละคือเราได้ คนไทยหรือพุทธศาสนิกชนฟังแล้วก็หูหัก ฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ เสียมันจะได้อย่างไร สิ่งใดที่ทำให้เสียใจได้วิบัติไปได้นั่นแหละคือบุญ ไม่ได้บุญแล้วก็ 0 ก็จบ การตั้งชื่อหนังสือว่าอยู่ในบุญเป็นความหมายชัดเจนว่าเขาไม่ประสีประสาในเรื่องของความเป็นบุญ หรือคำว่าบุญ หรือสัจจะของบุญทั้งหมด เขาตั้งตนเป็นแหล่งพระพุทธศาสนา ที่ไม่มีความรู้เรื่องของบุญ เอาบุญไปปู้ยี่ปู้ยำแหลกราญหมดเลย สำนักธรรมกายนี้เน้นคำว่าบุญ โดยแปลง บุญแปลว่าทาน เป็นการให้

เขาก็จะมีคำต่อว่า ทำไมต้องชวนทำบุญบ่อยๆ ก็เพราะบุญเก่ามันหมดไปบ่อยๆ พ่อครูบอกว่าบุญให้มันหมดไปนี้ดีแล้ว การกำจัดกิเลสได้ก็คือเป็นบุญ เป็นอาการที่ใช้ แวบๆ ไม่มีตัวตน แล้วเขาบอกว่าทำบุญให้มาทดแทนบุญเก่า เป็นสิ่งที่ต้องสะสมซึ่งมันไม่ใช่

จะอธิบายคำว่าบุญที่เกิดจากการทาน ผู้ใดไม่เข้าใจบุญ การทำทานนั้นแทนที่จะได้บุญกลับได้บาป บาปคือได้ภพ ชาติ ได้กิเลส เพราะไม่เข้าใจคำว่าบุญโดยตรง

พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข. 49 พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้วเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา(อาคามี) คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคล

บางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ   ข้าว   น้ำ   ผ้า   ยาน   ดอกไม้   ของหอมเครื่องลูบไล้   ที่นอน   ที่พัก   ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

     สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

     พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทานคือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา  มารดา ปู่  ย่า ตา  ยายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

(เทวดาที่เป็นสวรรค์จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา มันเป็นสิ่งที่ปั้นขึ้นมาลมๆแล้งๆทั้งนั้น)

จะเป็นดาวดึงส์นั้นจะต้องไม่มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

สูงไปกว่านั้น ไม่ได้ตั้งจิตแค่ว่าดีเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างประเพณี แต่เห็นว่าภิกษุท่านหุงหาอาหารเองไม่ได้ เราควรทำแทนท่าน แต่ทุกวันนี้พระก็สะสมข้าวสารอาหารแห้ง ทั้งที่เป็นยาวกลิก ไม่ให้สะสม แต่เดี๋ยวนี้นอกรีตศาสนาพุทธหมด แต่อย่างที่สามนี้ รู้ว่าพระท่านนี่เราควรทานให้ท่านก็เป็นปัญญามากขึ้น คนให้ทานเช่นนี้จะเป็นสหายเทวดาชั้นดุสิต

 

 

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าเราหุงหากินได้สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อนคือ อัฏฐกฤาษี  วามกฤาษี  วามเทวฤาษี  เวสสามิตรฤาษี  ยมทัคคิฤาษี  อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษีวาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯและภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

     ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส (อตฺตมนตาโสมนสฺ)

 แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

(คือผู้ที่รู้อัตตาตัวเอง จึงดีใจที่ได้รู้จักอัตตา  แต่ท่านมาแปลว่าปลื้มใจ ที่จริงท่านไม่ได้ตั้งหลายอย่าง แต่ไม่ได้ตั้งว่าต้องล้างอัตตา คือไม่รู้จักความเป็นอัตตาแล้วจะกำจัดความเป็นอัตตาให้มันสลายหายไป เขาไม่รู้จักวิธีทำ ก็เลยเวียนกลับ ไม่มีสิทธิ์เป็นอนาคามี ผู้ไม่เวียนกลับ จะวนเวียนกับภพชาติ)

     แต่บุคคลที่ ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต(จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ)(คือทำทานให้ลดกิเลส ลดภพชาติ จะเป็นอนาคามีได้)

 เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัยเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

อันสุดท้ายนี้ ทำทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ลดกิเลส จึงหมดภพหมดอัตตาไม่วนเวียนกลับมา คือผู้ทำทานอย่างมีอานิสงส์ แต่คนทำทานมีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์นั้นมีอยู่มากในโลก ส่วนคนทำทานมีผลมาก มีอานิสงส์มากคือไม่มีภพชาติไม่เวียนกลับมาอีกเลย อย่างนี้มีผลมีอานิสงส์

 

จะทวนให้ฟัง

การทานอย่างศาสนาพุทธคือทานไม่มีภพชาติ ทานเพื่อล้างภพจบชาติ ผู้ที่ไม่ศึกษาการทำทานอย่างดีจะทำใจในใจอย่างไร ทำทานอย่างมีอัตถิทินนัง(มีเนื้อหามีอานิสงส์มาก)จะทำอย่างไร ในสัมมาทิฏฐิ ทำทานต้องทำใจไม่ตั้งภพชาติ แต่ถ้าตั้งใจหยาบๆ ตายแล้วจะลอยไปรับผลจากทาน ที่เฟส 1 เฟส 2 อย่างธรรมกายว่า ธรรมกายเป็นสำนักที่ไม่มีบุญุแต่ไปตั้งว่าอยู่ในบุญ เป็นสำนักที่ไม่มีความเป็นศาสนาพุทธแต่กลับทำลายศาสนาพุทธอีกด้วย ตั้งตนเป็นต้นธาตุต้นธรรม เข้าข่ายผีบุญ ซ่องสุมคนได้เยอะ เพราะสะกดจิตคน มีอำนาจมาก จนถึงกับประเทศไทยจะใช้กฏหมายจับเขาไม่ได้ นี่คือผีบุญใหญ่

DSI ให้มารับข้อหา ว่าไปรับของโจร ซื้อของโจร ฟอกเงิน เขาใหญ่มาก เขาไม่รับข้อหา ไม่ฟัง ไม่ไป จนกระทั่ง DSI ต้องขอหมายศาล ให้ไปรับข้อหา เขาก็ไม่ไป ต้องขอหมายอีก เมื่อถึงหมายศาลไม่ไปรับข้อหา ว่ามีความผิด รับของโจร ฟอกเงินเขาก็ไม่ไป DSI ก็ไม่มีฤทธิ์ ก็เลยขอหมายจับจากศาล ก็เอาเดินเข้าไป แต่ผู้คนที่เขาซ่องสุมผีบุญ มานั่งล้อมจนDSI หมดน้ำยาต้องกลับไป นี่คือความใหญ่ของคนๆหนึ่งที่ชื่อว่า ไชยบูลย์ สุทธิผล

อาตมารู้มานานแล้ว ว่าคนๆนี้ปาราชิกสมเด็จ พระสังฆราช ญาณสังวรฯก็บอกว่าทำทุจริตการเงิน วินิจฉัยว่าปาราชิกแล้ว มีอำนาจเหนือมหาเถรสมาคม ขนาดพระสังฆราช มีพระลิขิตมา มหาเถรไม่ทำตามกลับเข้าข้างธัมมชโยอีก

นี่คือเขาอยู่ในแผ่นดินนี้ไม่ได้เกรงพระทัยในหลวงเลย ศาลนี้ทำตามพระปรมาภิไธย เขาใหญ่กว่าในหลวง ใหญ่กว่าการปกครองปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อาตมาก็ว่าเอาหลักกฏหมายมาจับเลยว่าผีบุญ ที่ลบหลู่ผู้ใหญ่สุดในปชต. เขาไม่เข้าใจปชต. แต่เขาอาจเข้าใจว่าปชต.ต้องไม่มีกษัตริย์ ไม่มีใครมีอำนาจเหนือเขา เขาไม่ไว้ใจใครเลย แม้พระเจ้าแผ่นดินเขาก็ไม่ไว้ใจ เขาเชื่อตัวเขาเองนี่คือความใหญ่ของอัตตาเขา

ประชาธิปไตยในโลกมี 2 แบบแบบแรกคือเป็นประชาธิปไตยขาเดียวคือไม่มีพระมหากษัตริย์ แบบนี้อาตมาว่าไม่มีความลึกซึ้งในจิตวิญญาณของประชาชนของผู้ที่เป็นมนุษย์ มนุษย์มีจิตวิญญาณที่จะต้องมีลำดับมีความสำคัญ

1.      สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.      ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.      ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.      สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.      อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.      สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.     เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

มีสาราณียธรรม 6

1.      เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.      เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.      เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.      แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   
(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.      มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

          (สีลสามัญญตา)

6.      มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22  ข. 282-283)

แต่คนนี้เขาไม่มีเลย แสดงออกว่ากฏหมายเขาก็ไม่เอา แต่กฏหมายนี้ศาลดำเนินตามพระปรมาภิไธยของในหลวง เขาก็ไม่ทำตาม อาตมาก็ยังนึกว่า ถ้าเขาใหญ่อย่างนี้ ใหญ่จริงเขาก็จะอยู่ได้ ใหญ่กว่าในหลวงอีก เขาต้องทำได้ แต่ถ้าเขาเป็นประชากรไทยไม่ใหญ่กว่าในหลวง ไม่ใหญ่กว่ากฏหมาย ไม่ใหญ่กว่ารธน.เขาก็อยู่ไม่ได้ แต่ขณะนี้เขาอยู่ได้ แล้วแสดงตนว่าใหญ่กว่ากฏหมาย รธน. รัฐบาล ในหลวงก็ตาม เขาแสดงว่าตนใหญ่กว่า อาตมาว่าคนๆนี้ไม่มีนรกจะตก อติวินิบาติ

ก็มาเปิดหนังสืออยู่ในบุญของเขา ก็เห็นเลยว่า เขาหลงลาภยศชูเกียรติ ประโคมเกียรติยศแก่พระ ไปได้เปรียญ 9 ก็ฉลองกัน สำนักธรรมกายจึงคือแหล่งซ่องสุมสะสมคนโมหะมาเป็นบริวารมาใช้งานตามแบบผีบุญ เต็มความจริง

เพราะว่าเขาหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ หลงสิ่งที่ว่าเป็นสุข สุขปลื้มใจอตฺตมนตาโสมนสฺ  ในทานสูตร คือหลงภพชาติทั้งหมดไม่พอ สำทับไปอีกว่าปลื้มใจในภพชาติ ดีใจที่ตนเองได้มีอัตตมน คือมีอัตตาเต็มรูปเลย

 

การทำทานคือการให้ แต่เขามาหลอกคนว่า กรรมกิริยาที่ให้นี้ จริงๆกรรมนี้มีทายกเป็นผู้ให้มีปฏิคาหกเป็นผู้รับ เมื่อมีอะไรมาให้เขาก็สอนว่าให้ตั้งจิตมีหวังในทาน ผูกพันในทานสั่งสมในทาน ตายไปแล้วจะได้เสวยผลเป็นวิมาน ในเฟสต่างๆ ทำให้คนหลงใหล ไปทำทานอย่างสั่งสมภพชาติ ไม่ได้รู้จักการละล้างภพชาติ ไม่ได้อยู่ในความคิดนึก ความรู้สึกในตัวเขา ไม่มีเลย เป็นอย่างนั้นเลย

คำว่าบุญ แปลว่าสิ่งที่ชำระออก จึงไม่มีในความคิดเขาเลย มีแต่การใส่เข้าไปๆๆ

ในหนังสือเขาว่าเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ธรรมสถานล้านนา ได้ทำพิธีตักบาตร 1250 รูป ที่ม.แม่โจ้ โดยมีเจ้าคณะอำเภอสันทรายเป็นประธานสงฆ์ แล้วมอบกองทุนส่งเสริมสามเณร ใน 4 จ.ภาคใต้ และโครงการสนับสนุนเยาวชนบนดอย อีกด้วย ….คือเขามีวิธีการหยิบส่ิงตื้นๆง่ายๆ กุ้งฝอยตกปลากระพง เป็นวิธีการประชานิยมการตลาดที่ยิ่งใหญ่ เอาเปลือกผิวง่ายของโลกก็ดี การให้ทุน การมีพระมาบิณฑบาต 1250 รูป แต่ถ้าพระมาบิณฑบาตแล้วเกิดการจราจรติดขัด เพราะฉะนั้นอย่าไปเกณฑ์พระมามากเกิน เอาความใหญ่มากกว่า สร้างยอดรวมพระได้มาก แต่ผลสะท้อนที่กลับมานั้นมีความเสียหายเลวร้ายกับสังคมก็เอาความใหญ่มาล่อก็เท่านั้นเอง โดยธรรมชาติธรรมดาพระจะมีถึง 1250 รูปเดินแถวเดียวคงไม่ได้ ในอีสานนั้นจะมีพระวัดละ 10-20 รูปเท่านั้น ถ้าเป็นวัดใหญ่ ธรรมดาก็มี 3- 4 รูปเท่านั้น ประเด็นที่เขาเอา คือเอาลักษณะใหญ่โตมากนั้นมาเป็นเครื่องมือประกอบการ จะต้องมีการบวชแสนรูป ใช้ลักษณะนี้มาตลอดเลยคนๆนี้ ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกว่าธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักใหญ่มักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต เขาหลงในภพของวิมานใหญ่โตหรูหรา ไม่มีไม่มี ไม่มีไม่ได้ แล้วก็ใช้วาทกรรมหลอกคนซ้ำซ้อนอีกว่าเขาเป็นครูไม่ใหญ่ สอนเรื่องใหญ่ ให้คนมักมักใหญ่ แต่ทำเป็นว่าตนเองเป็นครูไม่ใหญ่ นี่คือเล่ห์กลคารมวาทะกรรมของนายคนนี้ แล้วก็ทำเป็นว่ามีรร.ฝันในฝัน เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นฝันๆเท่านั้นว่าแล้วแต่คุณจะเชื่อ คนๆนี้มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกคงไม่พอ ต้องมะกอกสามมหาสมุทรปาก็ไม่ถูกเขา มีหมายเรียกหมายจับจากศาล เขาก็ไม่ไป

ส.ฟ้าไทว่า ทำไมให้ทานเพื่อความดียังเป็นดาวดึงส์

พ่อครูว่า...คนที่ทำทานแล้ว

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

เป็นภพชาติเต็มรูปเลย ก็คือเป็นภพชาติเต็มบ้อง จะได้เป็นจาตุมหาราชิกา แต่ผู้มีไหวพริบก็ไม่ตั้ง 4 อย่างนี้แล้วแต่ก็รู้ว่าเป็นความดี คือดาวดึงส์คือภพของกุศลความดีชนิดหนึ่ง แต่ดาวดึงส์นี้ไม่มีบุญเลย คือเห็นว่าเป็นความดีงาม เป็นภพชาติ ยังยึดดี ของพระพุทธเจ้านี้ บุญคือหมดอกุศลหมดบาปได้สมบูรณ์แบบ

ส.ฟ้าไทว่า ทำไมให้ทานเพื่อประเพณียังเป็นยามา

พ่อครูว่า...คือเขามีภูมิปัญญามากขึ้น มากกว่าพวกที่เห็นว่าทำทานนี้ดีอย่างเดียว ไม่ต้องมีภูมิปัญญาก็รู้ได้ว่า การให้คนอื่นนี้มันดี แต่ว่านี้ทำเพราะให้เป็นประเพณี แต่ต้องทำทานอย่างลดภพชาตินะ แต่ถ้าไม่ลดก็จะซับซ้อน ว่าไม่ลดจาตุมหาราชิกา กลับนึกว่าดี ทำแล้วก็บาปยกกำลังสองแล้วก็จะให้เป็นประเพณียาวนานอีกก็ซ้ำสามอีก

อาตมาเชื่อว่าชาวอโศกมีอีกไม่น้อยที่ตั้งจิตว่าทำทานแล้วก็จะได้เสวยผลในชาติต่อๆไป ไม่ถามหรอกว่าใคร ไม่ง่ายนะ ที่จะบอกว่าทำทานนี้อย่าตั้งภพชาตินี้ คุณต้องอ่านอาการจิตว่ามีกระแสหวังอะไร ผูกพันอะไร นิดนึง นี่ไม่ผูกพัน สองนิดก็ถูกแล้ว สามนิด สี่นิดก็สั่งสมเป็นสันนิธิ อัดเข้าไปเลย ใช้เครื่องอัดไฮโดรลิกเลย สันนิธิเปกโข

ดุสิตคือแดนกลางๆ ต้องมีวันพักวันหยุด คนจะไปดุสิตมันต้องมีวรรค แต่คนดึงดันจะเอายามาไม่ขอเว้นวรรค จะต่อไปให้หมด คนดึงดันทุรังมากควรพักกูก็ไม่พัก มีแต่นิรันดร คนนี้ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพอ มีแต่ มีๆๆๆๆๆ ไม่มีไม่มี

แต่ของพระพุทธเจ้านี้รู้พักรู้จบรู้พอที่ดุสิต อย่างที่โพธิสัตว์จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็จะมาพักอยู่ที่ดุสิตก่อน

ส่วนพวกที่หลงความบ้า ความโง่ห้าชนิดคือมาปลื้มใจที่ตนได้โง่สุดตกต่ำสุด ชั่วสุด อย่างนี้น่าสังเวช ดีใจในความเลวร้ายยิ่งๆเลย

อาตมาพยายามไขความจริงของอมนุษย์คนนี้ เขายิ่งกว่าจอมจตุมหาราชกา ยิ่งกว่าจอมภูติผี ยิ่งกว่าจอมเดรัจฉาน ยิ่งกว่าจอมมาร ชื่อว่า จอมภูต(เจ้าผี) จอมกุมภัณฑ์(เจ้ามารมายา) จอมนาค(เจ้าเดรัจฉาน) จอมยักษ์(เจ้ากุเวร = เวรชั่ว)

จตุมหาราชคือจิตที่ต้องการสวรรค์ เขาสมมุติกันว่ามีสวรรค์ 6 ชั้น ชั้นแรกคือ จตุมหาราช ต้องเป็นมหาราชที่ได้ทั้ง 4 ทิศ ใหญ่มาก จึงเป็นคนที่จะต้องล่า เขาก็เขียนเป็นรูปธรรม มีอาวุธร้าย แล้วแย่งมาก็ได้มาเป็นของกู ของเรา เช่นเจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช นั่นคือความจริงของคนที่จะต้องได้เป็นเจ้าประเทศเจ้าโลก ได้ทั้งทรัพย์สินเงินทองผู้คน แผ่นดิน ฆ่ามันให้แหลก ได้มาก็เป็นดาวดึงส์ ได้มาเป็นตัวกูของกูแล้วดีใจเป็นการสร้างภพชาติ เป็นความประพฤติเลวร้ายแต่คนหลงเป็นเทวดา เทวดาที่สุขขัลลิกะเป็นสุขเท็จ สุขที่ฆ่าได้แย่งได้เอาเปรียบมาได้ ประเทศที่เขาว่าเป็นมหาอำนาจนั้น เดี๋ยวนี้เขาก็ทำ แต่เขาทำแบบซ่อนแฝง ไม่ได้มาเป็นผู้รับใช้โลก แต่เป็นประเทศมหาอำนาจเจ้าโลกที่เป็นจตุมหาราช เบ่งขี้แตกเลยที่ทำอยู่นั้น ประเทศไหนเอ่ยที่ทำอยู่ตอนนี้

อาตมาก็เลยดีใจที่พล.อ.ประยุทธ์ทำท่าที จนสุดท้ายมหาอำนาจต้องมายอมจับมือกับพล.อ.ประยุทธ์ ถ้าเขาไม่ยอมรับจะไม่ให้ไปประเทศเขาหรอก ทำได้ขนาดนี้ทักษิณจึงโดนตอกหน้า ยิ่งเดี๋ยวนี้วิธีการที่นายกฯทำก็เก็บคะแนนเพิ่มเรื่อยๆ ทักษิณก็แอ็คว่ากูไม่มีคำว่าแพ้ อย่างธัมมชโย

 

_มีคำถาม เกี่ยวกับสุขภาพ อยากทราบว่าหลังชุมนุมที่แล้วมา ญาติธรรมติดกาแฟเยอะมากๆๆพ่อครูเห็นเป็นประการใด กาแฟพาไปสู่นิพพานได้ไหม?

ตอบ..กาแฟมันเป็นสิ่งเสพติด มีคาเฟอีนเป็นสิ่งเสพติด เป็นธาตุกระตุ้นจิตประสาท กินข้าวไปแล้วก็ติด เพราะฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งเสพติดไม่มีทางจะพาไปนิพพาน ต้องละเว้นขาด เวรมณี

เช่นมีอรหันต์เก๊รูปหนึ่งกินหมากติดหมากแล้วคนก็นับว่าเป็นอรหันต์ คนๆนี้เคยจะเลิกหมากแต่ไม่ได้ก็เลยทำประชดประชันไปเลย ไปหลงว่าคนนี้เป็นอรหันต์เป็นต้น เช่นเดียวกับกาแฟที่เราจะต้องลดละ ต้องเรียนรู้จิตเจตสิก เรียนรู้กาย ไกลคือจิตคือมโนคือวิญญาณต้องพิจารณาเป็นตั้งแต่มูลกรรมฐาน 5 เช่นเล็บที่ตัดขาดไปแล้วก็ไม่ใช่กายเรา แม้จะอยู่กับเราที่ไม่รู้สึกมันก็ไม่ใช่กายเรา ก็เรียนรู้ความไม่ใช่กายที่จะไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา บางคนเล็บตัดออกไปแล้วก็ยังบอกว่าเป็นของกูอย่าเอาไป แม้แต่เล็บที่ติดอยู่กับตัวเรามันยังยาวออกมาก็ไม่มีเวทนามันเป็นชีวะ แต่ไม่มีเวทนา อย่าไปยึดเป็นเรา ถ้ายังยึดเป็นเราก็ยังหยาบอยู่ ถ้าตัดออกไปก็ไม่ยึดแล้วก็ดี แต่ถ้ามันติดอยู่นี่ ไม่รู้สึกก็ไม่ใช่ตัวเราของเรา แม้เล็บที่ติดกับประสาทยังเจ็บอยู่ก็อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา

แต่ไม่ได้เรียนรู้กันก็เลยไม่รู้มูลกรรมฐาน 5 ไม่รู้จะเอามาพิจารณาว่าคืออะไร จะต้องมาพิจารณาปล่อยวางไปตามลำดับ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:08:36 )

590918

รายละเอียด

590918_วิถีอาริยธรรม สุขภาพดีวิถีโลก งานนวทศวรรษชีวี ศีรษะอโศก

งานนวทศวรรษชีวี ศีรษะอโศก ฉลองผู้มีอายุยาว 90 ปี

ส.ฟ้าไทว่า ทำไมให้ทานเพื่อความดียังเป็นดาวดึงส์

พ่อครูว่า...คนที่ทำทานแล้ว

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

เป็นภพชาติเต็มรูปเลย ก็คือเป็นภพชาติเต็มบ้อง จะได้เป็นจาตุมหาราชิกา แต่ผู้มีไหวพริบก็ไม่ตั้ง 4 อย่างนี้แล้วแต่ก็รู้ว่าเป็นความดี คือดาวดึงส์คือภพของกุศลความดีชนิดหนึ่ง แต่ดาวดึงส์นี้ไม่มีบุญเลย คือเห็นว่าเป็นความดีงาม เป็นภพชาติ ยังยึดดี ของพระพุทธเจ้านี้ บุญคือหมดอกุศลหมดบาปได้สมบูรณ์แบบ

ส.ฟ้าไทว่า ทำไมให้ทานเพื่อประเพณียังเป็นยามา

พ่อครูว่า...คือเขามีภูมิปัญญามากขึ้น มากกว่าพวกที่เห็นว่าทำทานนี้ดีอย่างเดียว ไม่ต้องมีภูมิปัญญาก็รู้ได้ว่า การให้คนอื่นนี้มันดี แต่ว่านี้ทำเพราะให้เป็นประเพณี แต่ต้องทำทานอย่างลดภพชาตินะ แต่ถ้าไม่ลดก็จะซับซ้อน ว่าไม่ลดจาตุมหาราชิกา กลับนึกว่าดี ทำแล้วก็บาปยกกำลังสองแล้วก็จะให้เป็นประเพณียาวนานอีกก็ซ้ำสามอีก

อาตมาเชื่อว่าชาวอโศกมีอีกไม่น้อยที่ตั้งจิตว่าทำทานแล้วก็จะได้เสวยผลในชาติต่อๆไป ไม่ถามหรอกว่าใคร ไม่ง่ายนะ ที่จะบอกว่าทำทานนี้อย่าตั้งภพชาตินี้ คุณต้องอ่านอาการจิตว่ามีกระแสหวังอะไร ผูกพันอะไร นิดนึง นี่ไม่ผูกพัน สองนิดก็ถูกแล้ว สามนิด สี่นิดก็สั่งสมเป็นสันนิธิ อัดเข้าไปเลย ใช้เครื่องอัดไฮโดรลิกเลย สันนิธิเปกโข

ดุสิตคือแดนกลางๆ ต้องมีวันพักวันหยุด คนจะไปดุสิตมันต้องมีวรรค แต่คนดึงดันจะเอายามาไม่ขอเว้นวรรค จะต่อไปให้หมด คนดึงดันทุรังมากควรพักกูก็ไม่พัก มีแต่นิรันดร คนนี้ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพอ มีแต่ มีๆๆๆๆๆ ไม่มีไม่มี

แต่ของพระพุทธเจ้านี้รู้พักรู้จบรู้พอที่ดุสิต อย่างที่โพธิสัตว์จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็จะมาพักอยู่ที่ดุสิตก่อน

ส่วนพวกที่หลงความบ้า ความโง่ห้าชนิดคือมาปลื้มใจที่ตนได้โง่สุดตกต่ำสุด ชั่วสุด อย่างนี้น่าสังเวช ดีใจในความเลวร้ายยิ่งๆเลย

อาตมาพยายามไขความจริงของอมนุษย์คนนี้ เขายิ่งกว่าจอมจตุมหาราชกา ยิ่งกว่าจอมภูติผี ยิ่งกว่าจอมเดรัจฉาน ยิ่งกว่าจอมมาร ชื่อว่า จอมภูต(เจ้าผี) จอมกุมภัณฑ์(เจ้ามารมายา) จอมนาค(เจ้าเดรัจฉาน) จอมยักษ์(เจ้ากุเวร = เวรชั่ว)

 

_มีคำถามว่า วิชาแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชชา อย่างไร?

พ่อครูว่า...วิชาแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชชาคือวิชชาที่ไม่พาไปนิพพานไม่ได้พาละหน่ายคลายจางจากกิเลสก็เป็นเดรัจฉานวิชชาทั้งหมด

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86676

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfWEVqZUdxMUhYZ2s

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/4xyk8gxtcvn3/160918

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 

         


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:09:26 )

590919

รายละเอียด

590919_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นรก 6 ชั้นของปุถุชนผู้มิได้สดับ

0893867xxxบิ๊กบอสUFOใหญ่ๆจริงๆใหญ่พอๆกับกรรมที่ยิ่งใหญ่พอกพูนกรรมของตนใหญ่โตจนสุดท้ายใครจะใหญ่เกินกรรม?คนเคารพพระลิขิตฯ ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

 

ตอบ กลอนของ พ.กิ่งโพธิ์เขียนในไทยโพสต์

ธรรมกายขายตรง หลงสวรรค์

ไดเร็คเซลล์ เล่นกัน สนั่นก้อง

ธรรมกายขายเกลื่อนเพื่อนพ้อง

วัดหายวับถูกจับจองเป็นซ่องโจร

 

ธรรมกายตายแล้วจากแถวพุทธ

จิตสำนึกมวลมนุษย์หลุดไปโน่น

ธรรมกายขยายอยากฝังรากโคน

พุทธเหลือแค่หัวโขนเถรสมาคม!

 

ที่ปฏิบัติกันในวัดธรรมกายไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย คนที่ไปวัดก็ไปทำการสวดมนต์และฟังพระเทศน์เรื่องสังคมศาสตร์ตื้นๆกว้างๆ ไม่ได้เรียนสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายกิเลส ได้รู้จิตเจตสิก เรียนรู้โยนิโสมนสิการในหลักธรรมพระพุทธเจ้าให้เป็น

 ก็มีที่ทำใจในใจก็ให้นั่งสะกดจิต ไปนั่งหลับตา แล้วเรียกกันว่า ทำสมาธิซึ่งเป็นวิธีสะกดจิต เป็นสมาธิแบบ meditation เป็นสมาธิของศาสนาฤาษีชีไพร

ไม่ใช่ supra concentration ที่เรียกว่า *สัมมาสมาธิ ของพระพุทธเจ้า

ไม่ว่าจะสายพระป่าหรือ สายธรรมกาย เป็นเรื่องนอกรีต

 อาตมาพูดตรงพูดอย่างจริงใจพูดอย่างชัดๆ เตือนสติ แต่ก็ไม่ค่อยเกิดเรื่องกัน อาตมาไม่มีเครดิตในสังคม พวกสื่อสารมวลชนจะหาว่าอาตมาเป็นพวกที่มหาเถรสมาคมทำปกาสนียกรรมไปแล้ว ปัพพาชนียกรรม ประกาศไล่ออกจาก สงฆ์หมู่ใหญ่ไปแล้ว

อาตมาก็เคยบอกว่าที่ทำปกาสนียกรรมนั้น สงฆ์หมู่ใหญ่อาบัติ ทำผิด เพราะอาตมาลาออกก่อนที่จะทำพิธีไล่นั่นแหละ อาตมาออกมาตั้ง 2518 ตั้งแต่ 6 ส.ค.ก็เป็นอิสระตั้งแต่ 7 ส.ค. 2518 อยู่มาวันดีคืนดี ในปี 2532 พวกมหาเถรสมาคมก็รวม พระจากธรรมยุตหรือมหานิกายมาทำพิธีร่วมกันประกาศปกาสนียกรรม ซึ่งมันผิด

คนที่นานาสังวาสกันมาทำสังฆกรรมร่วมกันก็ผิด คณปูรกะ มันด่างพร้อย แม้มีสงฆ์นานาสังวาสคนเดียวมาร่วมกันก็ผิดแล้ว

อาตมาทำนานาสังวาสแต่ปี 2518 รู้กันดี แต่ไม่รู้กินรังแตนมาอย่างไรมาจัดการกับอาตมา เขาทำได้สำเร็จเพราะเป็นคณะใหญ่ จะเอาอาตมาเข้าคุก

อาตมาก็ยอมทุกอย่างไม่ได้ดื้อด้านดึงดันอย่างธรรมกาย

อาตมาถูกให้ไปรายงานตัวก็ไป ขึ้นศาลก็ไป จนแพ้ ก็รอลงอาญา จนสิ้นความหมด ไม่เคยดึงดันอะไรเลย

แต่ทางธรรมกายมันคนละเรื่องกับที่อาตมาทำ แล้วล้มเหลวด้วย ว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์หาว่าเป็นเรื่องของกฏหมายไปโน่น

ขนาดชาวพุทธอธิกรณ์ไป ส่งไปว่าธัมมชโย นี่ขโมย ผิดศีลข้อ 2 ปาราชิกแล้ว ทุจริตเงินทองฟอกเงินรับของโจร เป็นอธิกรณ์

ทางสงฆ์หมู่ใหญ่บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ ทั้งที่เขาอธิกรณ์ไปเป็นหลักการด้วยนะ

อาตมาก็ว่าเสื่อมทราม ลำเอียงไม่รู้จักธรรมวินัยจนไม่เหลือแล้ว นี่คือศาสนาพุทธในเมืองไทย เจ้าข้าเอ๊ย

ที่อาตมาพูดไปนี้ ผู้ที่มีปัญญา ไม่อคติไม่ลำเอียงมากมาย ก็จะเข้าใจ บางคนก็คิดว่าอาตมามาทำลายศาสนา

คนคิดเช่นนี้ก็ลองดูอาตมาว่า จะทำอย่างไรต่อไป(ฝนตกฟ้าร้องเปรี้ยงตอนนี้)

อาตมามีความจริงใจ มาพยายามฟื้นศาสนาพุทธที่เสื่อม ด้วยความจริงใจ อาตมาไม่ได้มาทำลายศาสนา อาตมารู้บาป รู้กุศล อกุศลดี

ขอต่ออีกว่า ธรรมกายนี้ร้ายกาจ ขนาด เขาบอกว่าเขาไม่ไว้ใจใครเลย จึงไม่ให้จับ การไม่ไว้ใจนี่ก็ไม่ว่า แต่เขาไม่ไว้ใจไปถึงพระเจ้าแผ่นดินไทย เขาเป็นประชาชนคนไทยแต่ไม่ไว้ใจในพระเจ้าแผ่นดินไทย เขาไม่ให้เกียรติพระเจ้าแผ่นดิน เพราะเขาไม่ยอมรับแม้แต่คำวินิจฉัยของศาล แม้แต่คำสั่งศาลเขาก็ไม่ยอมรับ แล้วก็บอกว่าไม่ไว้ใจศาล

แต่ศาลก็คือตัวแทนของพระเจ้าแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์เลย ซึ่งเขากล้าบอกว่าไม่ไว้ใจใคร ถึงไม่ยอมให้จับ ไม่ยอมแม้คำสั่งศาล

เขาทำกรรมนี้ไปแล้วจริงๆจนสำเร็จ กรรมเป็นอันทำ

อาตมาถึงบอกว่าธัมมชโยนี้เข้าข่ายเป็นผีบุญ ครบถ้วน

เพราะกบฏต่อแม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน ซ่องสุมประชากร เอาโล่ห์มนุษย์มาใช้ อาตมาก็พอรู้ว่า มีผีบุญที่เกิดในประเทศไทยมาบ้าง แต่ไม่เห็นว่าผีบุญคนไหนยิ่งใหญ่กว่าพฤติกรรมคนนี้

อาตมาก็ขอส่งเรื่องนี้ฝากฟ้าฝากดินกับคณะบริหารประเทศว่า ท่านดูแลประเทศไทยอยู่

แล้วท่านให้ผีบุญนี้แสดงฤทธิ์อำนาจอยู่มันเป็นเรื่องถูกต้องแล้วหรือ

 อาตมาว่าเป็นเรื่องที่เขากำแหงมาก เขายิ่งใหญ่แสดงฤทธิ์เดชจนกระทั่งอย่างที่เขาได้ทำ เขาไม่ไว้ใจใครเลยแม้แต่คำสั่งศาล ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัว

 นี่พูดโดยสัจธรรมไม่ได้ใส่ความใคร จะทำอย่างไรกับคนๆนี้

แล้วองค์ประกอบของที่เขาประพฤติทุกๆอย่าง มันเข้าข่ายผีบุญ ซึ่งเป็นผีบุญที่ตัวใหญ่มากเท่าที่เคยมีมา

เป็นแต่เพียงว่าเขามีลีลาอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาไม่ทำอย่างแรงๆ เขาทำเป็นสุภาพนิ่งๆ เท่านั้นเองเป็นตัวกลบเกลื่อน

มีลีลาของความสุภาพไม่โต้เถียง ใครจะว่าอย่างไรกูไม่เอาด้วย

กูจะใหญ่คนเดียวจะทำอะไรในประเทศนี้อย่างไรก็ได้

ประชาสัมพันธ์โฆษณาอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดเลย ก็ยังงงๆอยู่ว่าเขามีอภิสิทธิ์อะไรทำเช่นนี้

ขอยืนยันว่าธัมมชโยนี้ไม่ใช่พระ ทำผิดปาราชิก 2 อย่างเลยนะ

  1. ปาราชิกในเรื่องเงินทอง ตั้งแต่ก่อนนั้นก็ชัดเจน ยอมรับว่าเอาเงินไปแล้วก็คืน นี้ก็ปาราชิกแล้วแม้แต่คืน นั้นก็ปาราชิก ก็เอาไปแล้ว สมัยก่อนเงินแค่ 5 มาสกก็ปาราชิกแล้ว แต่นี่ตั้ง 900 ล้าน พระพุทธเจ้าว่า ถ้าลักของ ของเคลื่อนเกิน 1 องคุลีก็ปาราชิกแล้ว แต่นี่เอาไปตั้ง 900 ล้านไปตั้งหลายปี นั่นปาราชิกชัดเจน มาตอนหลังมีอีก จนสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตอีกตั้ง 9 ฉบับ ว่าธัมมชโยปาราชิก แต่เถรสมาคมเฉยเพราะเขาติดสินบนไว้หมด วิธีการเขา พระส่วนใหญ่ ยอมเป็นทาสต่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็เลยตกเป็นทาสของสมี น่าสังเวชใจ

      2. ปาราชิก ข้ออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน อันนี้ปาราชิกแล้ว

          เพราะมีคนจับผิดโดยคุณชาติชาย บอกว่าพ่อตายไปแล้ว

          แล้วให้ธัมมชโยตรวจสอบให้ดูว่าเป็นอย่างไร ธัมมชโยบอกว่า ไปอยู่

          สวรรค์เฟส 3 ต่างๆนานา พูดออกอากาศด้วย แล้วเขาก็บอกว่าเขาแต่ง

          เรื่องมา พ่อเขายังไม่ตาย จะไปสวรรค์ได้อย่างไร ธัมมชโยโกหกชัดๆ

          อันนี้ชัดเจนว่าปาราชิกแน่ๆ แม้นุ่งเหลืองห่มเหลืองก็ไม่ใช่พุทธ

พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุในศาสนาพุทธต้องห่มสีทั้ง 7 สีนี้

1.สีครามล้วน           2.สีเหลืองล้วน         3.สีแดงล้วน     4.สีบานเย็นล้วน

5. สีดำล้วน               6. สีแสดล้วน           7. สีชมพูล้วน

พตปฎ. เล่ม 5  ข้อ 169

อาตมาได้มาทักท้วงเรื่องนี้ที่วัดบวรก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนเหลืองจัด แต่ตอนนี้ก็มาเป็นสีอีกแบบที่ไม่เหลืองจัดเป็นสีแก่นขนุน

อาตมาพูดแล้วเหมือนโกรธเกลียดชังคนๆนี้ ทั้งที่จริงไม่ได้กระทบอาตมาเลย ไม่แย่งลูกค้าด้วยเพราะเดินคนละสาย

ลูกค้าธัมมชโยเดินเข้าไปให้สะกดจิต               แต่ลูกค้าอาตมาเลิกสะกดจิต

ลูกค้าธัมมชโยตั้งใจไปรวยกันทั้งนั้น .              แต่ลูกค้าอาตมาตั้งใจมาจน ไม่ได้กระทบกันเลย แต่สำคัญที่เขาว่า เขาอ้างว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ที่จริงไม่ใช่ เอาชื่อพุทธไปแปะไว้เท่านั้น แล้วเผยแพร่สิ่งผิดไปทั่วโลก มีสถานีโทรทัศน์กระจายไปมากมาย ก็ขอย้ำ

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86791

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfR0o2YlJSYV9TeWc

 

หรือที่นี่....

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:10:00 )

590919

รายละเอียด

590919_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นรก 6 ชั้นของปุถุชนผู้มิได้สดับ

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 19 ก.ย. 2559 วันนี้เราก็มีศพ ของนายไหม ลักขณัติ ซึ่งเป็นพ่อของครูเทียนธรรม เสียชีวิตก็มาตั้งศพอยู่ จะเผาวันพุธ

ของเราเผาศพดอกไม้จันทน์เราก็ใช้ฟืน หรือจะใช้ดอกไม้จันทน์ก็แล้วแต่ เรื่องเอาภาระดูแลเตาเผาที่ปฐมอโศกเขาใช้ถ่าน มีนางสาวช่วยบุญ เป็นสัปเหร่อ ที่ราชธานีอโศกตอนนี้ก็มี ไทเทิดธรรม ดูแล มีดาวนา ทีมหรรษาดูแล

ที่เราไม่ใช่เรื่องของทางโลกๆ ที่จะเป็นอาชีพหาเงิน การทำงานพวกนี้เป็นงานอาชีพทั้งนั้น แต่เรากลับไม่มีเงินจ้าง ไม่มีพนักงานบรรจุไวเป็นประจำ มีรายได้มีเงินเดือนยังงั้น เราไม่มี

เราทำด้วยใจสมัครเป็นจิตอาสา ก็ยังไม่เคยบกพร่อง

อาตมาพาทำตั้งแต่เริ่ม โดยอาตมาเป็นสัปเหร่อเองตั้งกองฟอนเอง ไม่ต้องตั้งเสาอะไร มีวิธีตั้งฟืนให้เป็นกองฟอน เอาศพตั้งบนนั้นแล้วก็เผา แล้วก็ค่อยๆลงไปไม่แตกกระจาย

ด้วยมีวิธีวางฟืนที่เป็นกองฟอน ก็เป็นความรู้ชนิดหนึ่งเรื่องวิธีการวางฟืน เดี๋ยวนี้ก็มีเมรุก็ดีขึ้นอีก

ใครจะมาเผาเราก็ไม่เก็บเงินทอง มีแต่เรื่องช่วยกันด้วยจิตใจ ด้วยน้ำใจ พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันไป นี่เป็นวัฒนธรรมที่อาตมาภาคภูมิใจยังรักษายังทำกันได้ดี

พูดถึงเรื่องนักเรียน ชาวอโศกก็มีโรงเรียนถึง 9 โรงเรียน เป็นโรงเรียนจิตอาสาเช่นกัน เป็นโรงเรียนทางนิตินัย จดทะเบียนมีใบรับรองเป็นโรงเรียนเอกชน ในกระทรวงศึกษาธิการ

 แต่เป็นโรงเรียนที่เราจัดสอนเด็กอย่างเจตนาที่จะให้ความรู้การศึกษาแบบที่คิดว่าควรจะเป็น เพราะเห็นว่าการศึกษา การสอนการเรียน ประถม มัธยม จนถึงอุดมศึกษา เราขออุดมศึกษายังไม่ได้

แต่การเรียนทุกวันนี้ขาดศีลธรรม ไม่มีการให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องศีลธรรมกันเลย มีแต่การเรียนวิชาการทั้งโลก

อาตมาเห็นว่าเป็นเหตุใดที่ทำให้สังคมเสื่อม แต่โบราณนั้นโรงเรียนอยู่ในวัด อย่างน้อยก็มีพระ ให้สัมผัสให้เห็นมีสำนึก ถ้ามีพระภิกษุไปสอนด้วยให้ศีลธรรมไปอีกก็ยังมีสิ่งนั้นใส่มนุษยชาติได้บ้าง

อย่างของเราอาตมาเห็นเลย ตั้งใจให้เด็กมามีศีล โดยวิธีใดๆที่เกิดการอบรมสั่งสอนให้ฝึกฝนเลย ให้เขารู้จักสำนึกปฏิบัติ ต้องถือศีล 5 ผิดศีลก็ต้องชำระกัน

แล้วเรียนรู้ว่าชีวิตจะอยู่กับสังคมอย่างไร จะทำงานกันอย่างไร มีฐานงาน ซึ่งเด็กทั่วไปไม่มีบทฝึกหัด แม้แต่จะปัดกวาดเช็ดถูช่วยสังคมก็ไม่มี

ไม่มีในการศึกษาตั้งแต่ประถมมัธยมเช้าตื่นมาก็ไปโรงเรียนเย็นก็กลับบ้าน ซึ่งไม่มีสิ่งที่สังคมควรจะเป็นเลย อาตมาก็เลยตั้งโรงเรียนขึ้นมา

*มีหลักเกณฑ์ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา

ก็เรียนครบตามหลักสูตรเขากำหนดด้วย แต่เราให้ได้มีศีลเด่นและเป็นงานใส่เข้าไปด้วย สร้างมาได้ 20 กว่าปีแล้ว

นักเรียนของเราที่จบออกไป เรียนปริญญาตรี โท เอกมีหมด เด็กจะรับพื้นฐานจากเราออกไปได้ข่าวคราวก็เป็นคนดี  แต่เราก็มีความคิดว่าเด็กๆเหล่านี้ น่าจะมาช่วยกัน เพราะว่าทำไปทำไปคนที่จะช่วยเป็นครูหรือทำงานในชุมชน เป็นคนจิตอาสา ก็ค่อยๆค่อนขอดขึ้นได้เรื่อยๆ

 อาตมาก็เลยนึกถึง นักเรียนที่เรียนไปจากเรา ที่พูดไปนี่ก็เกรงใจเหมือนกับไปทวงบุญคุณ ต้องการตอบแทน ก็เกรงใจ

แต่ว่าเราก็ไม่ได้ไปเน้น ที่อาตมาไม่สอนเรื่องกตัญญูกตเวที ก็เพราะว่าเกรงใจว่าจะเป็นการทวงบุญทวงคุณ

อย่างเราสอนเด็ก อยู่กับเราบางคน 12 ปี ประถมฯ 6 ปี มัธยมฯ 6 ปี จบออกไปแล้วก็น่าจะได้ระลึกถึง มีจิตอาสาช่วยสอนดูแลรุ่นต่อๆไป สืบสานต่อไป ซึ่งเป็นน้ำใจที่ประเสริฐ

แต่เด็กๆเหล่านั้นก็ไม่ค่อยจะมา 20 กว่าปีแล้ว ต้องกัดอกกัดใจพูด พูดแล้วก็เหมือนทวงบุญคุณก็ไม่ดี แต่เราจะเน้นกันในเรื่องสอนกตัญญูกตเวที ก็เพิ่งจะมาพูดนี่แหละ

อย่างน้อยเขาก็ได้ความรู้พื้นฐานจะไปเรียนปริญญาต่ออีก ก็น่าจะกลับมาช่วย ซึ่งรุ่นหลังหลังต่อไปจะได้สืบสาน มาเอาภาระดูแลบ้าง อย่างน้อยมีความรู้ที่พอจะช่วยได้ก็น่าจะมีน้ำใจ

อาตมาก็เข้าใจว่าต้องไปทำมาหากินต้องไปเลี้ยงดูครอบครัว แต่นี้เป็นเรื่องจิตอาสาที่จะมาช่วยบ้าง ก็ไม่ได้เรียกร้อง จะต้องมาเป็นครูอาสาอยู่ในนี้ประจำเลยก็ไม่ได้เรียกร้องขนาดนั้น ส่วนใครจะมีบ้างจะมาก็ดี

จบแล้วจะมาเป็นครูในนี้มาทำงานต่อในนี้ก็มีอยู่บ้าง แต่มันก็น้อยไป มันน่าจะอุดมสมบูรณ์มันน่าจะไม่ขัดข้อง มาเอาภาระช่วยกันบ้าง จะทำมาหากินก็ไม่เป็นไรหรอกแต่น่าจะมาเกื้อกูลช่วยเหลือกันทำประโยชน์ทดแทน อย่างน้อยก็สืบสาน

อาตมาว่าเขาน่าจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องดี ที่ได้มีการเรียนการสอนแบบนี้ เราสอนนี่ไม่ใช่อย่างที่อื่น ที่อื่นเก็บเงินเก็บทอง นอกจากโรงเรียนรัฐ ถึงงั้นก็เสียค่าอื่นๆ

 แต่ที่นี่เราไม่เคยเก็บค่าอะไรเลย เราให้ปัจจัย 4 กินอาหารที่นี่ เลี้ยงเหมือนลูกหลาน เลี้ยงทั้งชีวิต ให้การศึกษา ยิ่งกว่าโรงเรียนทั่วไปด้วย เราให้การศึกษาครบ พูดไปก็เกรงใจ เขาก็เลยบอกว่าให้ลองพูดดูสิ ทางครูอาสาก็เข้าใจอยากให้พูด

เรามีครูอาสา ไม่มีเงินเดือนอะไร ก็ลองดูว่าศิษย์เก่าทั้งหลาย ตอนนี้เร่ิมที่สันติอโศก สส.สอ.ที่สำเร็จมาตั้งแต่ 2534 จบไปแล้วถึง 2558 ก็มี 24 รุ่นแล้ว

ศิษย์เก่าที่จบออกไปแล้วถ้าได้ยินได้ฟัง บอกข่าวกันส่งข่าวกัน มาร่วมประชุมระดมความคิดเห็น Focus group เพื่อที่จะช่วยเรื่องการศึกษาแบบ บ้าน วัด โรงเรียน เขากำหนดวันกัน มาประชุมรวมกันเพื่อช่วยออกความคิด พัฒนาการขึ้นมาบ้าง

วันที่ 1 ตุลาคม วันที่ 9 ตุลาคม 15 ตุลาคม และ 22 ตุลาคม 2559 ที่พุทธสถานสันติอโศก กำหนดไว้เผื่อ ผู้ติดงาน ใครมาได้ครบ 4 ครั้งก็ดี

สำหรับที่อื่นจะคิดอ่านกันดูอย่างที่ว่านี้ก็ลองดูสิ ที่บ้านราชฯนี้ก็ยังไม่ได้คิด แต่ว่าที่สันติอโศกคิดแล้วจะลองดู ศิษย์เก่าคนใดที่เห็นว่าควรจะมาร่วมประชุมระดมความคิดเห็นกันบ้าง จะติดต่อก็ติดต่อเบอร์โทรศัพท์ดังนี้

เบอร์โทรฯ 089 522 57 32 ติดต่อตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ภายใน 30 กันยายน นี้ นี่เรื่องนร. เป็นเรื่องสังคมศาสตร์เป็นเรื่องมนุษย์ที่เราพยายามสร้างมนุษย์ให้เป็นคนที่ดีมีการศึกษาที่ดีมีประโยชน์คุณค่า

มาถึงเวลาที่จะว่ากันถึง ตกลงคะแนนคืออะไร

ว.นบ.ความจริง คือลูกพระโพธิสัตว์ที่มาปฏิบัติตนเพื่อสู่สูงและสูญ

การสอบเพื่อการแสดงออกความจริงที่อยู่ในใจและสมมุติว่า ตรงกันไหม. เพื่อชีวิตว.นบ.ใช่ไหม แล้วคะแนนคืออะไร?

ในเมื่อพระพุทธเจ้าห้ามพิพากษาคนอื่น คะแนนคือเรื่องของความจำเอาไว้พิพากษาความเก่งทางโลกีย์ใช่ไหม 

พ่อครูจะเปิดโอกาสให้ วันพฤหัสบดี เป็นวันให้ว.นบ.รายงานความจริงได้ไหมคะ

ปัจจุบันพระก็หาญ มารก็คะนอง

ว.นบ.วันนี้คะนองบุญบาป ทำงานตามหน้าที่เพื่อลดกิเลส

 กิเลส คือเจ้านาย ส่วนเงินคือคะแนน ซื้อธรรมะสองได้หรือเปล่า?

 

ตอบ...คะแนนก็คือตัวเลข สำหรับผู้ที่มีจิตใจเอาชนะคะคานการแข่งขันกันก็เป็นได้ แต่สำหรับเราคะแนนคือการตรวจสอบ ทดสอบจากการศึกษา

เมื่อมีการศึกษา ผลของการศึกษามีผลได้อย่างไร กรอกตัวเลขมาเป็นเครื่องวัด มากำหนดเข้าไป เพื่อให้เกิดความรู้ว่ามีผลได้ผลเสีย ถ้ารู้สารัตถะก็เป็นไป

 คนที่มีจิตใจเอาชนะคะคานแข่งขันก็เป็นแบบนั้น เราไม่ได้มีจิตใจอวดดิบอวดดีเอาชนะคะคานแข่งขัน คนที่มีกิเลสมากก็จะมีอัตตา

ก็พูดมาเป็นเชิงของคุณคนนี้ก็เตือนกันได้ไม่เป็นไร

เราเปิดว.นบ.อาตมามีเจตนาเพื่อที่จะผนึกความเอาจริงในการศึกษาธรรมะมากขึ้น

ทำมาแล้วตั้งแต่สองปีที่แล้ว ก็ได้ผลนะ คือยังมีนิสิตนักศึกษาที่มาร่วมกันต่อเนื่องสามปีแล้ว คนไหนจืดจางไม่เห็นความสำคัญก็มีบ้างก็ธรรมดา

อาตมาเจตนาจะให้คนได้ประโยชน์ ได้ส่ิงที่ดี

อาตมาพูดไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ที่พูดนี้คือทำไมคนเราทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธเขาไม่ได้สนใจเรื่องธรรมะกันเลย

ศาสนาคืออะไร ธรรมะคืออะไร พระพุทธศาสนาคืออะไร เขาไม่ได้สนใจเลย ไปวัดตามจารีตประเพณี น้อยคนนักที่จะไปตั้งใจเป็นว่า ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต น้อยคนนักจะเห็นเช่นนั้น ที่อาตมาพูดเช่นนี้เพราะอาตมาเคยโง่อยู่เหมือนกัน อาตมาโง่มา 36 ปี เหมือนคนทั้งหลายไม่เกี่ยวข้องวัดวาเลย มีชีวิตดำเนินชีวิตตามประสา ตั้งแต่เด็กเรียนหนังสือโตขึ้นมาก็ทำงานจนอายุถึง 36

เรียนจบตอนอายุ 23 ปี แล้วทำงานอยู่ถึงอายุ 36 ปี ก็ไม่ได้เอาใจใส่เรื่องธรรมะ จึงรู้สึกว่าเราโง่ เราชั่วไม่เข้าใจจริงๆ จะไปวัดวาก็ ไปไม่เห็นความสำคัญ จนมาเห็นว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ก็เลยมาทำจนบัดนี้ กว่า 40 ปีแล้ว ก็ทำให้เห็นว่าตนได้ทำสิ่งเป็นประโยชน์ การไปทำงานกับทางโลกได้แต่นรก เพราะอาตมาได้อธิบายนรกสวรรค์กันลึกซึ้งมาก

เพราะจริงๆแล้วมนุษยชาติต้องการสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น 

นี่คือชื่อสวรรค์หรือเทวดา 6 ชั้น หรือ 6 ชนิด ลักษณะ

มนุษย์ต้องการสวรรค์ทั้งนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนต้องการนรก ไม่มีใครอยากได้นรก

แต่เขาปฏิบัติความอยากได้สวรรค์แต่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ศึกษาธรรมะไม่มีสัมมาทิฏฐิ

จะเป็นจตุมหาราชก็เป็นแบบหน้าเลือด สวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนี้เป็นภพ เป็นชาติ คือแดนทุกข์

ผู้มีภพมีชาติอยู่คือ ผู้มีทุกข์อยู่ทั้งสิ้น ไม่มีใครพ้นทุกข์ นรกคือแดนทุกข์

เพราะฉะนั้นผู้ใดยังไม่จบชาติ ไม่สิ้นภพจบชาติยังเป็นนรกอยู่ทั้งสิ้น

ผู้ที่แสวงหาภพสวรรค์ก็คือผู้ที่แสวงหาภพนรกทั้ง 6

 

ได้นำทานสูตรมาศึกษาแล้วจะรู้ว่า ต้องไม่ตั้งภพชาติ

ผู้ไม่เรียนรู้ไม่เข้าใจ จึงหลงสวรรค์ต้องการสวรรค์ และทำอะไรเพื่อจะได้สวรรค์ก็คือนรกทุกคน ผู้อยากได้ภพได้ชาติเป็นนรกอยู่ทั้งนั้น

ที่ยังไม่สิ้นภพจบชาติคือ ผู้ที่ยังมีนรก ยังมีทุกข์ ภพชาติ มีภพ คือทุกข์ทั้งนั้น ชาติปิทุกขัง ชาติใดๆคือทุกข์

เมื่อไม่มาเรียนความเกิด ความดับ ก็มีนรกทั้งนั้น

นี่คือความไม่เข้าใจ ความอวิชชา ชีวิตที่ไม่ใส่ใจธรรมะไม่สามารถทำใจในใจ มาให้มีภพชาติ ให้ได้ ดีไม่ดีกลับเข้าใจผิดไปสร้างภพชาติเพิ่มขึ้นอย่างกับธรรมกาย มีแต่สร้างภพสร้างชาติ สร้างนรกทั้งสิ้น ขออภัยพูดนี่ไม่ได้ใส่ไคล้ แต่พูดสัจธรรม แม้ยากก็พยายามทำไม่ท้อ

ขออ่าน sms

SMS วันที่ 18 กันยายน 2559 (รายการวิถีอาริยธรรม)

0893867xxxคนไกลอโศกขอร่วมฉลองอายุยืนยาวในจิตผู้อาวุโสที่ไม่มีวันแก่แม้กายชราด้วยการถือศีลกินเจคงจิตเป็นบุญด้วยใจบริสุทธิ์อนุโมทนาสาธุ! สื่อฟ้าศิลป์

0893867xxx บิ๊กบอส UFOใหญ่ๆจริงๆใหญ่พอๆกับกรรมที่ยิ่งใหญ่พอกพูนกรรมของตนใหญ่โตจนสุดท้ายใครจะใหญ่เกินกรรม?คนเคารพพระลิขิตฯ ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

ตอบ...กลอนของ พ.กิ่งโพธิ์เขียนในไทยโพสต์

ธรรมกายขายตรง หลงสวรรค์

ไดเร็คเซลล์ เล่นกัน สนั่นก้อง

ธรรมกายขายเกลื่อนเพื่อนพ้อง

วัดหายวับถูกจับจองเป็นซ่องโจร

 

ธรรมกายตายแล้วจากแถวพุทธ

จิตสำนึกมวลมนุษย์หลุดไปโน่น

ธรรมกายขยายอยากฝังรากโคน

พุทธเหลือแค่หัวโขนเถรสมาคม!

 

ที่ปฏิบัติกันในวัดธรรมกายไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย คนที่ไปวัดก็ไปทำการสวดมนต์และฟังพระเทศน์เรื่องสังคมศาสตร์ตื้นๆกว้างๆ ไม่ได้เรียนสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายกิเลส ได้รู้จิตเจตสิก เรียนรู้โยนิโสมนสิการในหลักธรรมพระพุทธเจ้าให้เป็น

 ก็มีที่ทำใจในใจก็ให้นั่งสะกดจิต ไปนั่งหลับตา แล้วเรียกกันว่า ทำสมาธิซึ่งเป็นวิธีสะกดจิต เป็นสมาธิแบบ meditation เป็นสมาธิของศาสนาฤาษีชีไพร

ไม่ใช่ supra concentration ที่เรียกว่า *สัมมาสมาธิ ของพระพุทธเจ้า

ไม่ว่าจะสายพระป่าหรือ สายธรรมกาย เป็นเรื่องนอกรีต

 อาตมาพูดตรงพูดอย่างจริงใจพูดอย่างชัดๆ เตือนสติ แต่ก็ไม่ค่อยเกิดเรื่องกัน อาตมาไม่มีเครดิตในสังคม พวกสื่อสารมวลชนจะหาว่าอาตมาเป็นพวกที่มหาเถรสมาคมทำปกาสนียกรรมไปแล้ว ปัพพาชนียกรรม ประกาศไล่ออกจาก สงฆ์หมู่ใหญ่ไปแล้ว

อาตมาก็เคยบอกว่าที่ทำปกาสนียกรรมนั้น สงฆ์หมู่ใหญ่อาบัติ ทำผิด เพราะอาตมาลาออกก่อนที่จะทำพิธีไล่นั่นแหละ อาตมาออกมาตั้ง 2518 ตั้งแต่ 6 ส.ค.ก็เป็นอิสระตั้งแต่ 7 ส.ค. 2518 อยู่มาวันดีคืนดี ในปี 2532 พวกมหาเถรสมาคมก็รวม พระจากธรรมยุตหรือมหานิกายมาทำพิธีร่วมกันประกาศปกาสนียกรรม ซึ่งมันผิด

คนที่นานาสังวาสกันมาทำสังฆกรรมร่วมกันก็ผิด คณปูรกะ มันด่างพร้อย แม้มีสงฆ์นานาสังวาสคนเดียวมาร่วมกันก็ผิดแล้ว

อาตมาทำนานาสังวาสแต่ปี 2518 รู้กันดี แต่ไม่รู้กินรังแตนมาอย่างไรมาจัดการกับอาตมา เขาทำได้สำเร็จเพราะเป็นคณะใหญ่ จะเอาอาตมาเข้าคุก

อาตมาก็ยอมทุกอย่างไม่ได้ดื้อด้านดึงดันอย่างธรรมกาย

อาตมาถูกให้ไปรายงานตัวก็ไป ขึ้นศาลก็ไป จนแพ้ ก็รอลงอาญา จนสิ้นความหมด ไม่เคยดึงดันอะไรเลย

แต่ทางธรรมกายมันคนละเรื่องกับที่อาตมาทำ แล้วล้มเหลวด้วย ว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์หาว่าเป็นเรื่องของกฏหมายไปโน่น

ขนาดชาวพุทธอธิกรณ์ไป ส่งไปว่าธัมมชโย นี่ขโมย ผิดศีลข้อ 2 ปาราชิกแล้ว ทุจริตเงินทองฟอกเงินรับของโจร เป็นอธิกรณ์

ทางสงฆ์หมู่ใหญ่บอกว่าไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ ทั้งที่เขาอธิกรณ์ไปเป็นหลักการด้วยนะ

อาตมาก็ว่าเสื่อมทราม ลำเอียงไม่รู้จักธรรมวินัยจนไม่เหลือแล้ว นี่คือศาสนาพุทธในเมืองไทย เจ้าข้าเอ๊ย

ที่อาตมาพูดไปนี้ ผู้ที่มีปัญญา ไม่อคติไม่ลำเอียงมากมาย ก็จะเข้าใจ บางคนก็คิดว่าอาตมามาทำลายศาสนา

คนคิดเช่นนี้ก็ลองดูอาตมาว่า จะทำอย่างไรต่อไป(ฝนตกฟ้าร้องเปรี้ยงตอนนี้)

อาตมามีความจริงใจ มาพยายามฟื้นศาสนาพุทธที่เสื่อม ด้วยความจริงใจ อาตมาไม่ได้มาทำลายศาสนา อาตมารู้บาป รู้กุศล อกุศลดี

ขอต่ออีกว่า ธรรมกายนี้ร้ายกาจ ขนาด เขาบอกว่าเขาไม่ไว้ใจใครเลย จึงไม่ให้จับ การไม่ไว้ใจนี่ก็ไม่ว่า แต่เขาไม่ไว้ใจไปถึงพระเจ้าแผ่นดินไทย เขาเป็นประชาชนคนไทยแต่ไม่ไว้ใจในพระเจ้าแผ่นดินไทย เขาไม่ให้เกียรติพระเจ้าแผ่นดิน เพราะเขาไม่ยอมรับแม้แต่คำวินิจฉัยของศาล แม้แต่คำสั่งศาลเขาก็ไม่ยอมรับ แล้วก็บอกว่าไม่ไว้ใจศาล

แต่ศาลก็คือตัวแทนของพระเจ้าแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์เลย ซึ่งเขากล้าบอกว่าไม่ไว้ใจใคร ถึงไม่ยอมให้จับ ไม่ยอมแม้คำสั่งศาล

เขาทำกรรมนี้ไปแล้วจริงๆจนสำเร็จ กรรมเป็นอันทำ

อาตมาถึงบอกว่าธัมมชโยนี้เข้าข่ายเป็นผีบุญ ครบถ้วน

เพราะกบฏต่อแม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน ซ่องสุมประชากร เอาโล่ห์มนุษย์มาใช้ อาตมาก็พอรู้ว่า มีผีบุญที่เกิดในประเทศไทยมาบ้าง แต่ไม่เห็นว่าผีบุญคนไหนยิ่งใหญ่กว่าพฤติกรรมคนนี้

อาตมาก็ขอส่งเรื่องนี้ฝากฟ้าฝากดินกับคณะบริหารประเทศว่า ท่านดูแลประเทศไทยอยู่

แล้วท่านให้ผีบุญนี้แสดงฤทธิ์อำนาจอยู่มันเป็นเรื่องถูกต้องแล้วหรือ

 อาตมาว่าเป็นเรื่องที่เขากำแหงมาก เขายิ่งใหญ่แสดงฤทธิ์เดชจนกระทั่งอย่างที่เขาได้ทำ เขาไม่ไว้ใจใครเลยแม้แต่คำสั่งศาล ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัว

 นี่พูดโดยสัจธรรมไม่ได้ใส่ความใคร จะทำอย่างไรกับคนๆนี้

แล้วองค์ประกอบของที่เขาประพฤติทุกๆอย่าง มันเข้าข่ายผีบุญ ซึ่งเป็นผีบุญที่ตัวใหญ่มากเท่าที่เคยมีมา

เป็นแต่เพียงว่าเขามีลีลาอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาไม่ทำอย่างแรงๆ เขาทำเป็นสุภาพนิ่งๆ เท่านั้นเองเป็นตัวกลบเกลื่อน

มีลีลาของความสุภาพไม่โต้เถียง ใครจะว่าอย่างไรกูไม่เอาด้วย

กูจะใหญ่คนเดียวจะทำอะไรในประเทศนี้อย่างไรก็ได้

ประชาสัมพันธ์โฆษณาอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดเลย ก็ยังงงๆอยู่ว่าเขามีอภิสิทธิ์อะไรทำเช่นนี้

ขอยืนยันว่าธัมมชโยนี้ไม่ใช่พระ ทำผิดปาราชิก 2 อย่างเลยนะ

  1. ปาราชิกในเรื่องเงินทอง ตั้งแต่ก่อนนั้นก็ชัดเจน ยอมรับว่าเอาเงินไปแล้วก็คืน นี้ก็ปาราชิกแล้วแม้แต่คืน นั้นก็ปาราชิก ก็เอาไปแล้ว สมัยก่อนเงินแค่ 5 มาสกก็ปาราชิกแล้ว แต่นี่ตั้ง 900 ล้าน พระพุทธเจ้าว่า ถ้าลักของ ของเคลื่อนเกิน 1 องคุลีก็ปาราชิกแล้ว แต่นี่เอาไปตั้ง 900 ล้านไปตั้งหลายปี นั่นปาราชิกชัดเจน มาตอนหลังมีอีก จนสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตอีกตั้ง 9 ฉบับ ว่าธัมมชโยปาราชิก แต่เถรสมาคมเฉยเพราะเขาติดสินบนไว้หมด วิธีการเขา พระส่วนใหญ่ ยอมเป็นทาสต่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็เลยตกเป็นทาสของสมี น่าสังเวชใจ

      2. ปาราชิก ข้ออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน อันนี้ปาราชิกแล้ว

          เพราะมีคนจับผิดโดยคุณชาติชาย บอกว่าพ่อตายไปแล้ว

          แล้วให้ธัมมชโยตรวจสอบให้ดูว่าเป็นอย่างไร ธัมมชโยบอกว่า ไปอยู่

          สวรรค์เฟส 3 ต่างๆนานา พูดออกอากาศด้วย แล้วเขาก็บอกว่าเขาแต่ง

          เรื่องมา พ่อเขายังไม่ตาย จะไปสวรรค์ได้อย่างไร ธัมมชโยโกหกชัดๆ

          อันนี้ชัดเจนว่าปาราชิกแน่ๆ แม้นุ่งเหลืองห่มเหลืองก็ไม่ใช่พุทธ

พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุในศาสนาพุทธต้องห่มสีทั้ง 7 สีนี้

1.สีครามล้วน           2.สีเหลืองล้วน         3.สีแดงล้วน     4.สีบานเย็นล้วน

5. สีดำล้วน               6. สีแสดล้วน           7. สีชมพูล้วน

พตปฎ. เล่ม 5  ข้อ 169

อาตมาได้มาทักท้วงเรื่องนี้ที่วัดบวรก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนเหลืองจัด แต่ตอนนี้ก็มาเป็นสีอีกแบบที่ไม่เหลืองจัดเป็นสีแก่นขนุน

อาตมาพูดแล้วเหมือนโกรธเกลียดชังคนๆนี้ ทั้งที่จริงไม่ได้กระทบอาตมาเลย ไม่แย่งลูกค้าด้วยเพราะเดินคนละสาย

ลูกค้าธัมมชโยเดินเข้าไปให้สะกดจิต               แต่ลูกค้าอาตมาเลิกสะกดจิต

ลูกค้าธัมมชโยตั้งใจไปรวยกันทั้งนั้น .              แต่ลูกค้าอาตมาตั้งใจมาจน ไม่ได้กระทบกันเลย แต่สำคัญที่เขาว่า เขาอ้างว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ที่จริงไม่ใช่ เอาชื่อพุทธไปแปะไว้เท่านั้น แล้วเผยแพร่สิ่งผิดไปทั่วโลก มีสถานีโทรทัศน์กระจายไปมากมาย ก็ขอย้ำ

 

0893867xxxสัจธรรมแท้ที่ไม่เคยเลือนหายไปกับกาลเวลาจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่พ้นกรรม!สกก.

0893809xxxรายการช่องธรรมะบุญนิยมของชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติดีมาก ๆ(เราทุกคนบนโลกนี้คือพี่น้องเราทั้งหมด)ให้ความรู้ชัดเจนจริงมีเหตุมีผลนำมาปฏิบัติจริงและสามารถนำไปช่วยผู้อื่นได้จริงนี่แหละคือ ธรรมะจริง ได้ปฏิบัติจริง (ฝึกเสียสละ จาคะ มีจิตเมตตา )สาธุ สาธุ ผู้น้อยขออนุโมทนาบุญ

 

_จากคุณสู่แดนธรรม…กราบนมัสการเรียนถามครับพ่อท่าน

 

ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่  พลันก็มีเทวดามาคุยด้วยในห้องน้ำ คุยถามเรื่องนิพพานัง ปรมัง สุขัง  ผมตอบว่าให้สังเกตุดีๆ ว่าแต่ละคำล้วนแต่ผ่านเป็นช่อง 3 แล้วทั้งนั้น

 

โดยเฉพาะคำว่า สุขัง  ทำไมต้องใช้คำว่าสุขัง ทำไมไม่ใช้คำว่า โสมนัสสัง  ซึ่งเป็นรสละเอียดอ่อนภายใน 

 

ผมหมายถึงว่า การที่จะเช็คว่ามีนิพพานในปัจจัยของอะไรก็ตาม จะต้องเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวชี้วัดยืนยัน ว่า

 

แม้แต่ตัวความสุขที่อาศัยเหตุปัจจัยภายนอกพาให้เกิดสุข เมื่อนิพพานกับมันแล้ว สุขนั้นย่อมเลื่อนขึ้นเป็น สุขัง คือ จบความสุขไปแล้ว เลยพ้นความสุขไปแล้ว จึงสุขัง(สงบดี)อย่างยิ่ง"บรม

 

เมื่อนิพพานแล้วจึงสงบดี(สุขัง)อย่างยิ่ง  จึงไม่ใช่แค่ โสมนัสดีอย่างยิ่ง ที่มันยังเป็นโสมนัสที่พาเกิดรสเกิดชาติอยู่ จึงต้องใช้คำว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง"

 

ผมตอบเทวดาได้ถูกไหมครับ ขอกราบนิมนต์พ่อท่านช่วยตอบขยายความอีกด้วยครับ

พ่อครูว่า...ที่สู่แดนธรรมเขียน สงบดี(สุขัง)อย่างยิ่ง ก็ดี แล้วนิพพานนั้นต้องพิสูจน์อาการจิต ได้แล้วจิตต้องพ้นจากสุขัง คือปรมัง นี่ยิ่งกว่าอันนี้

อาตมาจึงแปล *ปรมังสุขัง*ว่า ยิ่งกว่าสุข เพราะนิพพานเป็นโลกุตระ

อย่างเช่น นี่ บักผีผ่วน (ลูกนมวัว) รสชาติเป็นอย่างนี้ไม่ได้เรื่องอะไรเลย

คนที่ชอบก็ว่าสุข ได้กิน พอมากินลองกอง ก็ว่ารสชาติดีกว่า นั่นคือสุขกว่า อร่อยกว่ากินบักผีผ่วน ก็สุขยิ่งกว่า เป็นเวทนา เสวยรสที่สุขกว่า เป็นโลกียรส

ได้กินก๋วยเตี๋ยวชามนี้ ก็ว่าอร่อยแล้ว ได้กินอีกชาม อร่อยกว่าอีก เขาแปล นัยโลกีย์ว่า สุขอย่างยิ่ง สุขยิ่งกว่าอันเก่า นี่คือแปลแบบโลกีย์

แต่นิพพานนี้เป็นโลกุตระ เพราะฉะนั้นอย่าไปแปลสำนวนโลกีย์ว่าสุขอย่างยิ่ง เมื่อแปลอย่างนั้น คนก็เลยฟังแล้วเข้าใจอารมณ์นิพพานผิดไปว่าเป็นอารมณ์โลกีย์ ทั้งที่อารมณ์นิพพานเป็นโลกุตระ

อาตมาจึงแปลนิพพานว่า ยิ่งกว่าสุข คือ ว่างๆไม่ใช่รสอร่อยยิ่งกว่า ฟังเพลงนี้เพราะกว่า คนนี้ร้องเพลงเพราะกว่าคนนั้น มันไม่ใช่ ไม่ต้องเสพรสโลกีย์เลย

แต่กลับ ลด รสโลกีย์มีทิศ หน่ายคลายโลกีย์ จนไม่มีรสโลกีย์ มีแต่รสธรรมชาติ

เช่นสัมผัสรสบักผีผ่วนก็มีแต่รสแท้ๆ ใครมาสัมผัสก็รสเดียวกัน

แต่ใครมาสัมผัสแล้ว เกิดรสชอบไม่ชอบ ก็เป็นเวทนา 2

เป็นเวทนาที่เป็นกิเลสไม่ใช่นิพพาน

*เวทนาที่เป็นนิพพานก็มีรสเดียว* คนที่ไม่มีรสชอบหรือชัง

สัมผัสรสก็รู้รสเช่นนี้ สัมผัสลองกองก็รสนี้ รสชาติเดียว*กันกับทุกคนทุกชาติ เรียกว่า *ของแท้ รสแท้ เสียงแท้ กลิ่นแท้ สัมผัสแท้ อันเดียวกันหมด*

 

**คนที่ปฏิบัติธรรม จิตไม่มี*รสสอง* คนไหนทำได้เป็นรสเดียวก็เป็นอรหันต์อาตมาทำไมรู้ ก็เพราะว่าอาตมาเป็นได้แล้ว ใครจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ว่าไป อาตมาทำมา 46 ปีแล้ว ไม่ได้อยากประกาศหรอก ไม่งั้นประกาศไปนานแล้วต่อสาธารณะ แต่นี่เพิ่งประกาศต่อสาธารณะ ปี 58 นี้ เคยบอกส่วนบุคคลก็กับขวัญดี กับอาจารย์แสง จันทร์งาม เท่านั้น

จะต้องศึกษาธรรมะแล้วจะได้จริงเช่นนั้น

 

มาดูในคอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร ...ต่อกัน

ชัดเจนนะ ว่า “กาย”ไม่ใช่หมายเอาเฉพาะ“ร่างภายนอก”เพียงส่วนเดียวเท่านั้น

ตามที่คำว่า “กาย”มันได้กลายเป็น“ภาษาไทย”สนิทแล้ว  นี่แหละคือ “มิจฉาทิฏฐิ” อย่างสำคัญที่นักปฏิบัติธรรมชาวพุทธไทยทุกวันนี้ ไม่บรรลุธรรมกันได้ เพราะปฏิบัติกันอย่างไรๆ ก็ไม่มีโอกาสบรรลุพุทธธรรมได้เลย ด้วยมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่เบื้องต้น คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ในความเป็น“กาย”นี่เอง

“กาย”คือ “องค์ประชุมของธรรมะ 2” 

คำว่า“กาย”ไม่ใช่แค่“ดินน้ำไฟลม”อันมี“มหาภูต 4”ที่เป็น“ร่างภายนอก”ส่วนเดียวเท่านั้นที่“ปรุงแต่ง”กันอยู่ แต่ต้องหมายเอา“การปรุงแต่งของรูปกับนาม”จึงจะชื่อว่า“กาย” เพราะ“กาย”คือ “ธรรมะ 2”

“กาย”คือ “องค์ประชุมของรูปกับนาม” ที่ปรุงแต่งกันอยู่ ดังนั้น“รูปกับนาม” สองอย่างนี้ ตัวสำคัญหลักที่ทำให้“สงบระงับ”ได้ ก็ต้องเป็น“นาม” เพราะ“รูป”ไม่ใช่“ตัวบงการ” หรือไม่ใช่ส่วนที่เป็น“พลังงานทำหน้าที่ก่อความไม่สงบระงับ”ในความเป็น “สังขาร”ของชีวิต  

“เหตุ”แห่ง“ความไม่สงบระงับ”นั้น อยู่ที่“จิต-มโน-วิญญาณ”คือ อยู่ที่“นาม”เป็น“ตัวการสำคัญ” ไม่ใช่อยู่ที่“รูป”หรือที่“ร่าง”อันเป็น“ดินน้ำไฟลม”เด็ดขาด ที่เป็น“ตัวบงการ” เพราะ“ดินน้ำไฟลม”นั้นไม่มี“ธาตุรู้”ที่จะทำ“ความไม่สงบระงับ”หรือ“ทำ ความทุกข์วุ่นวาย”ขึ้นมาในชีวิตคน

พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดใน“อัสสุตวตาสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) อ่านดูดีๆ

“(230) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง จะพึงคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนี้เพราะเหตุไร

เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ย่อมปรากฏ

ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง  ในร่างกายนั้น

แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า  จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านานนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

เขาก็พอรู้ว่า ต้องมีวิปัสสนา แต่เขาก็เข้าใจว่า วิปัสสนาคือนั่งหลับตา จิตสงบแล้วยกจิตสู่วิปัสสนา ซึ่งอย่างนั้นไม่ตรงกับวิโมกข์ 8 ข้อ 2ที่ว่า อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ คือต้องสัมผัสตั้งแต่ภายนอก เข้าไปอ่านถึงภายในเลย ถึงอรูป แล้วต้องมีกายสักขี ต้องมีกายเป็นพยาน ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องเห็นอยู่รู้อยู่ตั้งแต่ รูปีรูปานิปัสสติ แล้วเป็น อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ เป็นเรื่องของความรู้ที่มันเกิดจริง เป็นสุภันเตว อธิมุตโตโหติ

การเรียนรู้ไม่ตามคำสอนพระพุทธเจ้าจึงเพี้ยนไปหมด อาตมาได้แต่ตำหนิเขาอย่างกับ อาตมามีปริญญา จบเปรียญ แต่เป็นสิ่งที่ต้อง นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ แล้วชมสิ่งที่ควรชม แล้วที่ยากเพราะว่าที่ติก็ไปถูกเขาทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วชมก็มาชมอโศกแห่งเดียวอีก เพราะเขาปฏิบัติผิดเช่นนั้นจริงๆ อาตมาตีลงไป ขออภัย เคาะออกไปว่าผิด มันไปถูกหัวโล้นของทั้งหมดเลย

(231) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า  แต่จะเข้าไปยึดเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่  ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้างสามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ

แต่ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ฯ

(232) ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืน และกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ”

จากคำตรัสข้อ 230 กับข้อ 231 นั้น จับสาระสำคัญ ประเด็นแรกได้ ก็คือ “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”(อัสสุตวา ปุถุชฺชโน) 

ความว่า“ปุถุชนผู้มิได้สดับ”แค่นี้แหละ มีความสำคัญยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับความเป็นคนทั้งหลาย  แต่คนก็ไม่ได้ฉุกคิดกันเลย ในคำตรัสว่า “ปุถุชนผู้มิได้สดับ” ประโยคนี้ ว่า มีความหมายลึกล้ำ สื่อสาระสำคัญยิ่ง เตือนสติสัมปชัญญะ กระตุกความเป็นคนของคนทั้งหลาย ให้รู้ตัวว่า ปุถุชนคนทั้งหลาย ที่ยัง“ไม่ได้สดับ”

ยัง“มิได้สดับ”อะไร?

ยังมิได้สดับ“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ) ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ(สัมมาสัมพุทธะ) แล้วนำมาประกาศให้ชาวโลกรู้ตาม ชาวโลกได้ปฏิบัติตาม กระทั่งสามารถบรรลุ“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)นั้นๆตาม นั่นเอง   แล้ว“ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”

อาริยสัจจะนั้น คือ อะไรเล่า?

ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)นั้น คือ ไม่ได้ฟังเรื่อง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ -มรรค” ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็น“คน”

เพราะคนผู้นั้นจะไม่เบื่อหน่าย ไม่พึงคลายกำหนัด ไม่หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

เพราะว่า“จิต”เป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา

นั่นก็คือตัณหา”และ“ทิฏฐินี้เองที่ทำให้“คน”ยึดถือ“จิต”ว่า เป็นของเรา เป็นเรา เพราะไปยึดแล้วว่า นี่ของเรานี่เรา นี่เงินเรา ของเรา บ้านของเรา ที่ดินของเรา ยศของเรา อำนาจของเรา ดีไม่ดีแข่งเอาสรรเสริญบ้าบอ แข่งบ้าแข่งบออะไรไปหมด

เตะลูกกลมๆเก่งก็ยกย่องชมเชยกัน เสียเวลาจริงๆ อาตมาถึงบอกว่ากีฬาการละเล่นจะทำลายชาติ โอลิมปิกจะทำลายโลก พูดไปแล้วเหมือนไอ้เข้ขวางคลองเขาออกข่าวกันแทบทุกชั่วโมง เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าสังคมนี้ติดหลงงมงายในสิ่งไร้สาระทั้งที่มันเป็นอบายมุข เดี๋ยวนี้เขาไม่เข้าใจอาตมาพูดไปเขาก็หาว่าสุดโต่ง อาตมาไม่ตามโลกเขาหรอก…

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:10:25 )

590920

รายละเอียด

590920_พุทธศาสนาตามภูมิ วิเคราะห์ผู้อวิชชาที่ไม่มีเลือดไทย

“ปราชญ์”  จะไม่สร้างอำนาจให้แก่ตนเอง 

จนคนเกรงและกลัว ไม่กล้าค้านแย้ง หรือตำหนิติเตียน

ส่วน “คนแค่ฉลาด”  จะสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง

ให้คนเกรงและกลัว จนไม่กล้าค้านแย้ง ตำหนิติติง

 

ขอยืนยันว่า นายไชยบูลย์ไม่ใช่ภิกษุในศาสนาพุทธ ทั้งปาราชิกแล้ว ทั้งทำลายหลักธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นอกรีตอย่างไม่เคยมีใครทำได้ขนาดนี้มาก่อน แม้แต่กฏหมายบ้านเมืองเขาก็ไม่นับถือ เขาทำได้ อย่างที่เห็นๆ กฏหมายไม่มีน้ำยา เจ้าหน้าที่ข้าราชการทำอะไรเขาไม่ได้

นายไชยบูลย์ปฏิเสธ ไม่เคารพ ไม่ยอม รับคำสั่งศาล ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล

เกิดมาอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยเห็นใคร “บังอาจ”แสดงอำนาจบาตรใหญ่ กับแม้แต่พระเจ้าอยู่หัวถึงขนาดนี้ เขากล้าบังอาจจริงๆ

เห็น“อัตตา”ที่“ใหญ่”(อัคค)ของเขาได้ เพราะเขาได้แสดงออกมาแล้วจริงโจ่งแจ้งชัดเจน เขาแสดงความใหญ่กว่าใครหมด ในแผ่นดินนี้ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็กล้าทำ

เขาถือ“อำนาจ”ใหญ่กว่าใครหมดแล้ว

เขากล่าวด้วยว่า เขา“ไม่เชื่อใจใคร” การแสดงออกของเขานั้น ยืนยันอยู่โต้งๆ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็ไม่เชื่อ ไม่นับถือ

นี้คือ “ผีบุญ”แล้ว ใช่มั้ย? เห็นชัดมั้ย?

ที่พูดนี้ไม่ใช่การกล่าวหา แต่เป็นจริงยิ่งกว่าการกล่าวหา เพราะพูดตามที่มีพฤติกรรมปรากฏของนายไชยบูลย์ที่ได้ทำแล้วตามที่เห็นและเป็นอยู่จริง ไม่ได้หาความเลย

เขายึดครอง“อำนาจ”เป็นใหญ่แล้วหนึ่งเดียวในแผ่นดินนี้ เขาทำตนใหญ่สุดจริงๆ

หากเขาไม่ยอมเคารพแม้แต่“พระเจ้าแผ่นดิน”ของประเทศนี้ เขาก็ไม่ควรจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่มี“ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ไม่ใช่..“นายไชยบูลย์เป็นประมุข”

เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนี้ จริงๆ

เขาแสดง“ความใหญ่”(อัคค)ของเขาออกมาให้เห็นว่าเขาไม่ยอมลงให้แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินของประเทศนี้แล้ว ความยิ่งใหญ่ของเขาเข้าข่าย“ผีบุญ”..ไหม? โปรดพิจารณาดู

เขาซ่องสุมพลเมืองด้วยการสะกดจิตได้จริง เป็นพลเมืองใต้อุ้งอำนาจ(อธิปไตย)ของเขา ที่เทิดทูนบูชาเขาจริงๆ เขามีกองกำลังที่ซ่องสุมจริงๆ เขาคือหัวหน้ากองกำลังนี้

เขาได้แสดงพลังอำนาจด้วยกองกำลังนี้มาแล้ว หลายกาละ  มีประสิทธิภาพด้วย 

เขาเบ่งอำนาจบาตรใหญ่ที่เห็นแล้วว่า “ใหญ่”กว่าใครๆในประเทศนี้ ตามที่เขา“มักใหญ่”อยู่ในจิตที่เขาจะเป็นเหนือกว่า“ต้นธาตุ-ต้นธรรม”ตามวิมานในฝันของเขา

“อัตตา”ของเขา“ใหญ่”(อัคค)จริงอย่างนี้ และแถมเขาก็ได้แสดงออกปรากฏจริงแล้วด้วย(ปาตุสัจจะ,phynomenon) “กรรม”เป็นอันทำสำเร็จแล้ว เขาก็ควรจะได้รับผลกรรมตามที่เขาทำจริงนี้แล้ว แต่ผลกรรมก็ยังดูช้าอยู่!!!

เขาเป็น“คน”ก็จริง แต่เลือดและวิญญาณของเขาอยู่ในระดับ“จาตุมหาราช 4”เต็มรูป

เขาเป็นทั้ง“จอมผี-จอมมารมายา-จอมเดรัจฉาน-จอมยักษ์” ที่ต้องนับเป็นขั้น “จอม”เพราะเขามีประสิทธิภาพปรากฏจริงๆ

เห็นไหม..ถึงขนาดติดต่อกับโอบามา

ส่อความใฝ่ที่จะเป็น“ประชาธิปไตย”ขาเดียวของเขา ให้เห็นได้อยู่ชัด

ซึ่ง“ประชาธิปไตย”ขาเดียวนั้น เป็น“ประชาธิปไตย”ที่ไม่มีการสืบสายสันตติวงค์แห่ง“วิญญาณ”ที่ตกผลึกสืบทอดตาม กฏมณเฑียรบาล อันเป็นเรื่องของวิญญาณในความเป็นสังคมมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่

ประชาธิปไตย 2 ขา มีมาแต่โบราณกาล ตั้งแต่คนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นเผ่า ก็เริ่มมี“หัวหน้าเผ่า”ที่ต่างยึดถือและใช้จิตวิญญาณเป็นรากเหง้าแห่งการอยู่ร่วมของมวลชนกันทั้งสิ้น และ“จิตวิญญาณ”นี้แหละ ที่ผูกพันสัมพันธ์ลึกซึ้งกันและกัน ต่างเป็นประโยชน์ยิ่งแก่กันสุดวิเศษมาแต่ไหนแต่ไร ของความเป็นคน แม้ทุกวันนี้มนุษยชาติจะได้วิวัฒน์พัฒนาด้วยปัญญา ก้าวหน้ามา

มาก  “ประชาธิปไตย 2 ขา”ที่จริงก็ยิ่งเด่นชัด

ประชาธิปไตย ขาเดียวนั้น เกิดมาทีหลังประชาธิปไตยแท้ เป็นประชาธิปไตยแปลงไปจากประชาธิปไตยต้นกำเนิด เป็นประชาธิปไตยไม่เต็มเต็งครบ“ความเป็นจิตนิยาม” ครบความเป็น“กาย”ของสัตวโลก ที่ประยุกต์ขึ้นจากประชาธิปไตย 2 ขา

เป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมดุลเป็นวงพลวัต ไม่เหมือนประชาธิปไตยอันมี“ราชประชาสมาศัย”(พระราชากับประชาชนพึงมีอัชฌาสัยต่อกันสม่ำเสมอ) ที่สัมบูรณ์แท้ ซึ่งเป็น“สาธารณโภคี” อันมีลาภโดยธรรม(ลาภธัมมิกา)บริบูรณ์  

เพราะประชาธิปไตยขาเดียวนั้น เป็น ระบบ CEO จึงมีผู้“อยากใหญ่”เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดแต่ผู้เดียวอยู่เสมอ

ผู้เป็นใหญ่สูงสุดที่ไม่ยอมแพ้ ที่ไม่ยอมเสียสละ ที่ไม่มักน้อย ที่ไม่สันโดษ ด้วยจิตวิญญาณอันเป็น“อาริยะ”จริง

จิตวิญญาณเป็นอาริยะตามแบบพุทธจริงแท้นั้น “วิญญาณพุทธ”จะเป็นคนมีธาตุอิสระ ที่“รู้เอง-รู้สึกเอง”ของตนเองทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อ“วิญญาณ”ของประชาชนเองกับ “วิญญาณ”ของพระเจ้าแผ่นดินของเขาสมัครจิต ผนึกใจประสานกันเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย“ความรู้และรู้สึก”อันประเสริฐและอิสระเอกภาพแท้ เป็น“ราชประชาสัมมาศัย”จริง

จึงนับเป็น“ประชาธิปไตย”ที่ยิ่งใหญ่สัมบูรณ์ อันมีครบ“ธรรมะ 2”ได้แก่“รูปกับนาม หรือกายกับใจ” ซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตวโลกที่มีคุณชาติของธรรมะสูงส่งได้ถึงขั้นมี“คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม) เป็น“อาริยชน”ที่สามารถทำ“ประชาธิปไตย”อันเป็น“พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมมปายะ”ของมนุษย์โลกุตระกันได้จริงๆ

ส่วนประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยเพียงแค่“อุตุนิยาม” หรืออนุโลมอย่างดีก็แค่ “ประชาธิปไตยพีชนิยาม” หากจะนับว่ามี“สัญญา”ของคน(สูงกว่าสัญญาของพืช) ก็ได้ แต่เป็นได้แค่อเวไนยยสัตว์ คือสัตว์ที่สอนไม่ได้ เพราะ“โง่”มากอยู่ หรือโง่หนักจนเกินจะสอน  สอนยังไงก็สูญเปล่าโดยแท้ 

เพราะ“ความรู้สึก”(เวทนา)จริงๆของประชาชนคนไทยนั้น เขาเป็นประชาชนของแผ่นดินที่“มีเลือด”ในร่างเทิดทูนภักดีต่อ “เจ้าของร่าง”คือพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะ ร.9 พระองค์นี้  ซึ่งนายไชยบูลย์ไม่ภักดี ซึ่งเห็นได้จริง ตามที่เป็นอยู่แท้

นายไชยบูลย์ไม่เชื่อใครในประเทศไทยไม่ไว้ใจใคร ไม่ไว้ใจศาล ไม่ยกให้ใครทั้งนั้น

แม้แต่ในหลวง เขาทำตนอยู่เหนือกฏหมาย นายไชยบูลย์ทำตน“ไม่มีเลือด(ไทย)”ในร่าง อันเป็น“ชีวิต”ของตน  เขาจึงไม่ใช่ “คน”!! ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย

แม้จะนับว่า เป็นเลือด เขาก็มีเลือดในกรุ๊พ“คนโง่”เดียวกันกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกเขาสะกดจิตได้ ซึ่งเป็นชีวิตคนกลุ่มที่มี“วิญญาณสัตว์โอปปาติกะ”ผู้ยังไม่เจริญพวกหนึ่งเท่านั้น

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86850

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYUZqdmJ1a2JUYVk

 

หรือที่นี่....

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=wzM5V_AnKDk


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:10:53 )

590920

รายละเอียด

590920_พุทธศาสนาตามภูมิ วิเคราะห์ผู้อวิชชาที่ไม่มีเลือดไทย

พ่อครูว่า...ที่บ้านราชฯ วันนี้วันอังคารที่ 20 กันยายน 2559 แรม 4 ค่ำเดือน 10 ปีวอก ก็มีงานศพของนายไหม ลักขณัติ  งานศพของเราไม่มีการสวดอภิธรรม เรามีแต่การเทศนาหน้าศพ ซึ่งการเอาพระธรรมบทมาสวดพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป ต่อหน้าคฤหัสถ์ต่อหน้าสาธารณะเป็นการสวดที่ผิดวินัย เป็นอาบัติ เขาก็ฟังไม่ขึ้น หาว่าอาตมาพูดไปเรื่อย

ที่มันเสื่อมก็คือการได้รับค่าสวดนั้นหนึ่ง สองผู้ฟังก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอกภาษาบาลีนั้น ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่เสียประโยชน์ตรงที่ว่าทำให้เข้าใจเป็นเทวนิยม สวดมนต์แล้วจะได้สวรรค์วิมาน เป็นเรื่องเข้าใจผิดเป็นภพเป็นชาติไป ว่าเป็นกุศลเป็นสิริมงคลต่างๆนานา ซึ่งเป็นเรื่องเพ้อพก เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องอุปาทานไร้สาระ เพราะจริงๆแล้วมันไม่ได้อะไรอย่างนั้นหรอก แต่ถ้าเผื่อว่าจะเอาพระธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย ขยายความไม่ใช่มานั่งสวดกันเป็นหมู่คือตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปให้ฆาราวาสหรือคฤหัสถ์ฟังต่อหน้าธารกำนัล นั่นแหละคือพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ทำ เพราะศาสนาอื่นๆเขาก็ทำ ศาสนาที่เป็นเทวนิยมต่างๆทำทั้งนั้นแหละ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาของอเทวนิยม พูดอย่างไรเขาก็หาว่าอาตมาเข้าใจผิด เข้าใจเกินไป

ถ้าจะสวดเป็นหมู่พร้อมกันต่อหน้าธารกำนัล ก็สวดได้แต่เพียงคำประณามคาถา สุดคำยกย่องเชิดชูบูชารำลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นการเชิดชู เป็นคำแต่งร้อยกรองของคนรุ่นหลัง ไม่ใช่ธรรมบทของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาท่องอย่างนั้นถ้าทำอย่างนั้นทำได้ สวดเพื่อชักจูงใจให้ประชาชนศรัทธาเลื่อมใส โดยประณามคาถาก็คือ คาถาที่ยกย่องเชิดชูพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างนั้นได้ สวดพร้อมกันก็ได้ ซึ่งธรรมบทกับประณามคาถานั้นคนละอย่างกัน ยิ่งถ้าเอาพระอภิธรรมมาสวดหน้าศพเลย กุสลาธัมมาอกุสลาธัมมาอะไรอย่างนั้นเป็นอาบัติเลย เป็นความเพี้ยนไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้

อาตมาพูดไปก็อาจทำให้คนชังน้ำหน้า ว่ามาทำลายศาสนาทำลายธรรมะ ซึ่งอาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง วันนี้ก็มีเจ้าภาพที่มาร่วมแสดงความเห็นใจด้วยเป็นผู้จ่ายค่าสวดอะไรในงานนั้นด้วย แต่ของเราไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรก็มาแสดงความเป็นเจ้าภาพก็ดี ขออนุโมทนาด้วยก็มีคณะครูผู้บริหารบ้านโพนทอง... ก็มาเป็นเจ้าภาพตามประเพณีก็ว่ากันไป

ต่อไปก็ขออ่านข้อความ….

          _มีผู้ส่งข้อความเกี่ยวกับเรื่องศิษย์เก่า  ใครถนัดอะไรหรือทำอะไรอยู่ก็มาเจอมาพบปะกันตอนนี้เราขอแรงมาร่วมบุญกันที่สันติอโศกก่อน ใครสนใจก็ติดต่อมา แต่อาที่ดูแลอยู่ก็คืออาตั๋ง ติดต่อเบอร์ 089 522 5732

ก็จะรู้ได้ว่าสมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขานั้นจะมีน้ำยาแค่ไหนก็ดูได้ตรงนี้นะคะ ขอพ่อครูขยายความคำว่าสืบสานวิชชา เป็นภาษาบาลีหรือวิชาการทางโลกอื่นๆหรือไม่

ตอบ...ไม่ใช่สืบสานวิชชาไม่ใช่ทางโลกๆ วิชชาก็คือความรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นอยู่ในกลุ่มของศาสนา ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา เป็นเรื่องของความรู้ธรรมะทั้งนั้น ไม่ใช่สืบสานความรู้ทางโลก ความหมายคำว่าสืบสาน ตัวเราจะได้เกิดผล หมู่กลุ่มก็เกิดผลเจริญขึ้นด้วย

ก็ขอให้พวกเราที่มาร่วมมือกัน เขาเริ่มต้นที่สันติอโศกกัน สส.สอ. มีตั้งแต่พ. ศ. 2534 ถึง 2558 มี 24 ปี " ขอความร่วมมือจากศิษย์ เก่ารร.สส.สอ. ที่สำเร็จ กศ.ปี 2534-2558 มาร่วมประชุมระดมความคิดเห็น(focus group) เพื่อปรับทิศทาง การศึกษา.แบบ บ้าน วัด โรงเรียน ในวันที่ 1,9,15 และ 22 ตุลาคม 2559 ที่ พุทธสถานสันติอโศก กรุงเทพมหานคร ศิษย์เก่าคนใดมีความประสงค์จะมาร่วมประชุมระดมความคิดเห็น สามารถโทร.ติดต่อได้ที่โทร. 089 522 5732 ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2559 เวลา 08.00-18.00 น.

 

ก็มาเริ่มเข้าสู่บทเรียน เอาที่ sms ก่อน

SMS วันที่ 19 กันยายน 2559

0893867xxxนมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯพ่อครูบ่ต้อ งอ่านทุกความเห็นก็ได้ผู้น้อยส่งหลังจอต้องการแสดงเจตนาว่ามีคนสนใจใฝ่ธ.อโศกด้วยความตั้งใจดับทุกข์สิ้นโศกจริงๆ!สื่อฟ้าศิลป์

0893867xxxธ.พระพุทธเจ้าอันพ่อครูสอนให้รู้ว่าสวรรค์นรกล้วนคือทุกข์คือการสร้างภพชาติ! ไม่มีใครสอนให้ดับทุกข์ดับที่ภพชาติให้เข้าใจได้ดีเท่าพ่อครูจริงๆ!สกก.

ตอบ...ศาสาพุทธเป็นศาสนาดับภพจบชาติ ไม่มีใครอยากได้นรก ทุกคนต้องการสวรรค์แต่คนจะได้นรกจากการปฏิบัติของตัวเองนี้แหละ ที่พาไปสู่นรก เพราะมุ่งแต่สั่งสมภพชาติ

ภพมีสามภพ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ

ที่เรียกว่าสวรรค์ 6 ชั้นก็เป็นการสร้างภพชาติขึ้นมา แทนที่จะรู้กามภพแล้วดับกามภพ ดับรูปภพ อรูปภพต่อ แต่กลับเห็นผิดสร้างภพชาติ

ตั้งแต่จตุมหาราช คือจอมยักษ์ จอมผี จอมมาร จอมเดรัจฉาน นั่นแหละ 4 ตัวนี้ เขาปั้นยักษ์จตุมหาราช คือยักษ์เขี้ยวยาวตาโปนถือง้าว แย่งชิงเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาได้ก็เสร็จสมเป็นภพชาติหนาเข้าไปอีก เสพสุขได้อารมณ์สวรรค์เป็นดาวดึงแล้วอยากให้ยาวนานเป็นยามา สร้างอุปาทานในจิตสร้างภพชาติยาวนาน มันก็ต้องมีพักที่ดุสิตแต่กลับไม่ยอมหยุดไม่ยอมจบ จะดึงดันเอาใหม่ต่อให้ได้ เขาก็เก่งในการสร้างภพชาติกลายเป็นนิมมานรดี แล้วเก่งกาจสามารถสร้างบริวารมาช่วยเหลือให้ได้ยิ่งใหญ่เป็นปรนิมมิตวสวัตตี นั่นแหละคือแดนที่เขาทำกัน คนที่ประพฤติผิดก็เป็นนรกทั้ง 6 ชั้น

ทุกวันนี้เขาไม่รู้จักโลกุตระ ไม่รู้จักภพชาติ ไม่รู้จักสอนแนะนำกัน ซึ่งท่านเดินดินก็หยิบเอาทานสูตรนี้มาให้ดู ในทานสูตรนี้ครบหมดเลย ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ข้อ 49 ทุกวันนี้ไปวัดไปวาก็มีแต่ให้ตั้งภพชาติสั่งสมภพชาติ ก็เลยได้แต่นรกน่าเศร้าใจน่าสังเวชใจ แทนที่พระเจ้าจะสอนถูกให้ลดละหน่ายคลายจากกิเลสแต่กลับให้เพิ่มเติมภพชาติหนาหนัก หลงเลอะมากขึ้น มีอวิชชามากขึ้น โง่มากขึ้น

ชาวพุทธกว่า 95 เปอร์เซ็นต์นี้ปฏิบัตินอกรีต แทนที่จะได้กุศลกลับได้อกุศลไป ได้บาปไปเพราะไม่เข้าใจบุญ เอาบุญไปค้าขายสร้างวิมานหลอกกัน บุญแท้จริงคืออาวุธชำระกิเลส เขาก็ไม่เข้าใจ จึงไม่มีการตัดกิเลส ไม่มีการชำระกิเลสกันเลย เพราะคำว่าบุญ คำที่เห็นชัดๆ คำที่ยิ่งใหญ่วิเศษคำนี้คำเดียว ซึ่งหมายถึงปหาน 5 แต่เขาไม่เข้าใจกันแล้ว กลับกลายเป็นสร้างภพชาติขึ้นไปอีก

อาตมาพูดและแสดงออกท่าทางเหมือนโกรธ แต่ใจนั้นไม่ได้มีหรอก อาตมาเพียงทำท่าทางอย่างกับนักแสดง อาตมาเป็นดาราตุ๊กตาท้อง ตัวโตกว่าตุ๊กตาทอง แสดงสื่อไปเฉยๆ แต่คนไม่เข้าใจก็หาว่าอาตมาไม่เรียบร้อยไม่สงบ เขาจาบจ้วงอาตมาก็ไม่ดีหรอก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็น่าเห็นใจ ให้ฟังด้วยดี ฟังด้วยปัญญา อย่าอ่านตามอาการ มาตีราคาว่าอาตมาแสดงอารมณ์ อาตมาไม่ได้มีอารมณ์เช่นนั้นแล้ว ประกาศไปแล้ว

 

0847354xxx"ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม" ใจกายบำเพ็ญกุศล ทำให้จิตญาณสงบสุข ใจกายก่อกรรมทำชั่ว ทำให้จิตญาณต้องแบกรับทุกข์เวทนา (ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย อยู่คู่กับ ความบริสุทธิ์)

 

_จากไลน์

เด็กสัมมาสิกขาปฐมอโศกให้ความสำคัญกับคะแนนมาก จะแสดงความเคารพ หรือให้ความสำคัญกับผู้ที่มีคะแนนให้

ถ้าผู้ใหญ่ที่ไม่มีคะแนนให้บอกให้ช่วยทำงานบ้างจะไม่ทำ เวลาพบกันจะแกล้งมองไม่เห็น จนผู้ใหญ่ต้องเจริญธรรมก่อน/

ตอบ...ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เสียชื่อมาอยู่โรงเรียนสัมมาสิกขา ถ้ามีพฤติกรรมอย่างนี้จริงๆชัดเจนก็ไล่ออก บอกตรงๆนะว่าไล่ออก ถ้ามีความประพฤติที่ชัดเจนอย่างนี้เห็นแล้วก็ทำจนเป็นนิสัยอย่างนี้ให้ออกไปเลย เพราะว่าถ้าเรียนโรงเรียนนี้มีนิสัยอย่างนี้ มีความไม่ดีงามอย่างนี้ ไม่เอาหรอก เพราะเราตั้งโรงเรียนมาไม่ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อค้าขาย ตั้งโรงเรียนเพื่อมาช่วยรัฐบาล สอนเด็กให้ได้รับความรู้เป็นเยาวชนเป็นประชาชนของประเทศ เจตนาทำอย่างนั้น

พูดไปก็เหมือนทวงบุญคุณ เกรงใจที่จะต้องพูดแต่ก็ต้องพูดความจริงบ้าง เราตั้งโรงเรียนมา 20 กว่าปีได้ถึง 9 โรงเรียนแล้ว ผลิตเด็กออกไปทุกปีจบม.6 เป็นโรงเรียนจริงๆ ออกไปทำมาหากิน ต่อได้ปริญญาตรีโท เอกก็เยอะแยะ ก็เป็นเด็กดีกันทั้งนั้น เราสอนกันเหมือนลูกหลาน มีปัจจัย 4 ให้ครบ เลี้ยงดูกันลูกหลานกินนอนอยู่ในนี้ 6 ปี หรือมากกว่า จบแล้วก็ออกไปเป็นพลเมืองดีต่อสังคม คนที่ไม่ชัดเจนก็จะไม่รู้ว่าตั้งโรงเรียนมาเพื่ออะไร เราไม่ได้ตั้งโรงเรียนมาเหมือนเอกชนทั้งหลาย แต่ที่นี่สร้างเยาวชนให้ความรู้ ให้การศึกษาแก่เยาวชนของไทยช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยรัฐบาล ช่วยสังคม

ที่ตั้งใจตั้งโรงเรียนก็เพราะว่าเห็นว่าการศึกษามันพร่องสอนแต่วิชาการการศึกษา สอนแต่อยู่ในกล่อง ตื่นเช้าเข้าโรงเรียนเข้ากล่อง เย็นก็กลับบ้านมาอาบน้ำอาบท่าเข้านอนเสร็จแล้วตื่นเช้าก็ไปโรงเรียนอีก ไม่ว่าจะชั้นประถมหรือชั้นมัธยมก็ตาม แม้แต่เรียนปริญญาก็ตาม ทำให้เป็นเด็กไม่รู้สังคม เพราะไปโรงเรียนแบบเข้ากล่อง ที่นี่จึงมีการเรียนแบบบ้านวัดโรงเรียน แบบไม่แยกส่วน เด็กเขาต้องรู้จักสังคม ต้องรู้จักความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ เขาอยู่ยังไงทำงานกันยังไง เกื้อกูลกันยังไง เป็นสังคมที่มีศีลธรรม ทำงานเป็นช่วยเหลือเกื้อกูลกันมีน้ำใจเป็นคนของสังคม บ้านวัดโรงเรียนเราทำอย่างนี้จริงๆ ได้มากหรือน้อยก็ตาม อาตมาเห็นว่าการศึกษามันขาด ทุกวันนี้มีแต่เอาความรู้ใส่หัวให้รู้เรื่องสังคม ให้รู้เรื่องการงานได้ปริญญาตรีโทเอกเข้าไปรับราชการ เป็นฝ่ายบริหาร ไปสอนอย่างที่เป็นกันสังคมถึงได้เสื่อม

_มีผู้อ้างว่าพระสารีบุตรนี้มีคำสอนที่ผิด กรณีให้ภิกษุที่ติดตามพระเทวทัตไป ต้องบวชใหม่ ไม่ทราบว่าพ่อครูวินิจฉัยหรืออย่างไร

ตอบ...เรื่องนี้เคยอ่านว่า พระพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรไปตามพระที่ตามพระเทวทัตไป เมื่อตามกลับมาก็ให้บวชใหม่ก่อนเข้าหมู่ เขาก็ว่าพระสารีบุตรทำผิด ซึ่งจริงๆ มันเป็นวิธีการปฏิบัติ ถือว่าทำผิดแล้ว พระพุทธเจ้าก็ต้องติง คนที่ไปถูกครอบงำความคิดออกนอกรีต แม้ผู้จะมาบวชใหม่ ถ้าเป็นผู้อยู่ศาสนาเดียรถีย์มา ก็ต้องมาล้างสมองก่อน จึงบวชได้ จะว่าผิดหรือไม่ผิด...ก็ถ้าผิดพระพุทธเจ้าก็เอาเรื่องแล้ว

 

ก็มาเข้าสู่บทเรียนที่เราต่อเชื่อมกันอยู่ จากข้อเขียนในคอลัมน์คนจะมีธรรมะได้อย่างไรต่อ...

เพราะคนผู้นั้นจะไม่เบื่อหน่าย ไม่พึงคลายกำหนัด ไม่หลุดพ้น ในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

เพราะว่า“จิต”เป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา

นั่นก็คือ “ตัณหา”และ“ทิฏฐิ”นี้เองที่ทำให้“คน”ยึดถือ“จิต”ว่า เป็นของเรา เป็นเรา

ตัณหา คือ ความอยาก ไม่ว่าอยากได้ หรืออยากทำลายทำร้าย ยึดมั่นต้องได้อย่างนั้น ยังไงๆก็ต้องได้ ผิดเลว ร้ายอำมหิต ก็ชั่ง

ทิฏฐิ คือ ความเห็น ความรู้ ความเชื่อ  เป็นการยึดที่ตนเข้าใจอย่างนั้นรู้อย่างนั้น

เมื่อ“ยึดมั่น” ในตัณหา หรือทิฏฐิ ก็เอาตามนั้น สุดฤทธิ์สุดแรง เอาจนได้ ร้ายเลว ฆ่าแกง แรงอำมหิตขนาดไหน ไม่แคร์ทั้งนั้น

นี่คือ ต้องเป็นเรา ต้องเป็นของเรา ล่ะ!

ปุถุชน ก็คือ คนทั่วไปทั้งหลายในโลก ทุกชาติทุกภาษา ทุกศาสนาลัทธิ ไม่ละเว้นว่าเป็นใครก็ตาม ที่เป็นปุถุชน ยัง“ไม่ใช่อาริยชน” หรือยัง“ไม่มีภูมิหยั่งรู้ความเป็นโลกุตรธรรม”ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ  ยังคือ “ปุถุชน”ทั้งสิ้น (อย่าไปกล่าวว่าศาสนาอื่นต่อหน้าคนศาสนาอื่นแต่ที่เราพูดนี้เพื่อการศึกษา)

ดังนั้น ผู้จะ“พ้นจากปุถุชน” เจริญขึ้นสู่“อาริยชน” จึงจะต้อง“ได้สดับ ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ”(อาริยสัจจะ)

นั่นคือ ได้ฟังเรื่อง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ -มรรค” ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็น“คน”

ผู้“พ้นจากปุถุชน” เป็น“อาริยชน”นั้น คือ ผู้มี“ภูมิโลกุตระ”ได้แท้ ชื่อว่า ผู้เจริญ เป็น“อาริยะ”กันได้กันจริงๆ

อย่างธรรมกายนี้ สอนให้คนไปรวยๆๆนี่ สวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้คนมาจน ตามกถาวัตถุ 10 คือคำพูดใดที่เป็นไปเพื่อ

1.      เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา)

2.      เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.      เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) 

4.      เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

5.      เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) 

6.      เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.     เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา)

8.      เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.      เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10.    เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 69)

ตอนนี้พวกเราไปตั้งนามสกุลเกี่ยวกับความจนกันเยอะ ตั้งแต่นายตายแน่ มุ่งมาจน นายทะเบียนไม่ให้ตั้ง เขาก็ว่าไม่เป็นศิริมงคล พูดอย่างไรนายทะเบียนก็ไม่ยอม ก็ต้องต่อสู้ส่งเรื่องไปถึงกระทรวง ก็เลยได้ตั้งนามสกุลนี้ได้ เขาให้เป็นสิทธิส่วนบุคคล การตั้งนามสกุลมุ่งมาจน พอจากนั้นแล้ว กองทะเบียนก็ให้ได้ เราก็มีนามสกุลจนไม่รู้กี่จน เต็มใจจน ตั้งใจจน เป็นต้น ตอนหลังนายทะเบียนก็ไม่ท้วงแล้ว

อาตมาตั้งชื่อให้อัจฉรา(พนารัตน์) ว่า ป่าแก้ว เขาก็ไปขอเปลี่ยน เขาก็ว่าเปลี่ยนไม่ได้ ไม่เป็นศิริมงคล เขาว่าในพจนานุกรมไม่มี เป็นแต่เพียงภาษาไทย แล้วคำว่าพนารัตน์เขาก็ให้ตั้งได้ แต่พอตั้งว่าป่าแก้ว ก็ความหมายเดียวกันเป็นภาษาไทยด้วย เขาก็ว่าไม่ได้ หลายคนไปตั้งไม่ให้ตั้ง กองทะเบียนว่าไม่ถูกต้องตามหลักการตั้งชื่อ แต่เดี๋ยวนี้คนตั้งชื่ออะไรเข้าใจยาก แต่ของเราเป็นไทยๆเข้าใจง่าย

 

ที่ว่า“เจริญ”นั้น ..วัดกันตรงไหน?

วัดกันตรง“จิต” ลด-ละ-กิเลสได้ หรือไม่มีกิเลสเลย ก็จะไม่ทุจริต ไม่อกุศลใดๆจริง

ผู้มี“ภูมิโลกุตระ”คือ ผู้มี“จิตใจ”เปลี่ยนแปลงจาก“จิตใจ”เดิมของตนไปจริงๆ

เริ่มต้นจาก“จิตใจ”ในชีวิตของตนยัง“ยึดภพอบาย”อยู่ แล้วปฏิบัติตน“หลุดพ้นจากภพอบาย”นี้ได้ นี้คือ ขั้นต้น คนโกงกันได้ถึงห้าแสนล้านบาทนี่ยอดอบายมุข แต่ก็ไม่รู้กัน แล้วศาสนาพุทธก็พากันทำแบบงมงายไป และที่ยากแท้ๆก็คือ มันไม่รู้ว่า อย่างนี้หนะเหรอ คือ อบาย คือความเลวความต่ำ เราบอกว่าอย่างนี้อบาย แต่เขาไม่เชื่อ เช่นรวมหัวกันโกงตั้งห้าแสนล้านบาทพากันทำนรกใส่หัวกัน เขาได้นรกแล้วแต่เขาไม่รู้สัจจะ เขามีการกระทำที่ได้นรกแล้วแต่เขาไม่รู้ เขาได้นรกใส่อัตภาพ จิตวิญญาณเขาเป็นแล้ว แต่ก็ทำหน้าสวยหน้าหล่อใส่คนอื่น แต่จิตเขาได้บาปอกุศลใส่จิตไปแล้ว ส่วนวิบากบาปจะออกฤทธิ์เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้กำลังมาแรง ให้เข้าคุกได้ในชาตินี้เลย แม้ว่าไม่ได้เข้าคุกชาตินี้นรกก็จะมีต่อไป

 

อบายคือ อะไร? นี่แหละยากมาก ที่จะกำหนดตายตัว เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะตน

มันไม่ยอมรับ หรือรับไม่ได้ว่าต่ำ ว่าเลว

เช่น กินอาหารอร่อยนั่นแหละนรกแล้วนี่คือสัจธรรม อาตมาเอามาเปิดเผยยืนยันนั้นทวนกระแสใจ ยากมากเลย ที่พูดนี้ไม่ท้อนะ ยิ่งยากยิ่งต้องอยู่ให้นานเพื่ออธิบายให้เข้าใจได้ อาตมาต้องมาสืบสานศาสนานี้ เพราะว่าศาสนานั้นผิดเพี้ยนมานานแล้ว พูดไปเหมือนเราใหญ่ พระ เจ้าอื่นๆเขาผิดหมด เขารับไม่ได้ ชังน้ำหน้า ก็ไม่ได้อยากให้ใครชัง แต่เลี่ยงไม่ออกที่ต้องพูดสัจธรรม

เช่น โลภลาภ โลภยศ โลภสรรเสริญ โลภ“สุข”(เสพรส) ที่เกิดจาก“กาม”หรือจาก“อัตตา” พอได้ชื่นใจกับรสที่ได้สัมผัสกระทบเข้าก็นี่แหละ “สวรรค์”หรือ“สัคคะ” ซึ่งก็คือ “สว + อรรค”หรือ“ส + อัคค”

นั่นคือ “เรา + เลิศ” หรือ“เรา +สูงสุด”     

ไปหลงสวรรค์แต่มันไม่ใช่สวรรค์หรอก แต่มันคืออาทีนวะ ตามในอนุปุพพิกถา

  1. ทาน การสละ  การให้
  2. ศีล  การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น
  3. สัคคะ (สวรรค์)
  4. กามานัง  อาทีนวัง  โอการัง  สังกิเลสัง โทษของกาม  ความต่ำทรามของกาม    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย
  5. เนกขัมมะ อานิสังสา  อานิสงส์การออกจากกาม

 

คนใดทำทานแล้วจิตมี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

ท่านบอกว่าทำทานนี้จะได้เป็น “จอมผี-จอมมารมายา-จอมเดรัจฉาน-จอมยักษ์”แล้วไปเรียกว่าเทวดาอีก จาตุมหาราช ถ้าอาตมาไม่มาเปิดเผย ก็จะจมกันในความผิดที่เสื่อมสุด นี่มันเสื่อมมามากแล้ว 2500 กว่าปี ไม่รู้จักสัจธรรม ดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกอยู่ไม่เช่นนั้นอาตมาพูดไปนี้ตายแล้ว เขาก็สอนกันว่า ไปทำทานก็ตั้งจิตว่าจะได้อะไร อิมินาสักกาเรนะฯ เป็นต้น อาตมาก็เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน ถ้าอาตมาผิดพระไตรปิฎกก็ผิดสิ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เท่ากับรื้อศาสนาทั้งศาสนาเลยนะ 

 

ศีลเขาก็ทำเป็นสีลัพพตุปาทาน เป็นภพสวรรค์วิมานกัน

แล้วเขาก็ทำเพื่อให้ได้ภพสวรรค์ จึงต้องทำกามาทีนวะ คือเป็นกามานัง  อาทีนวัง  โอการัง  สังกิเลสัง โทษของกาม  ความต่ำทรามของกาม    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย เข้าไปในจิตตนเองให้หนามากขึ้น เพราะไม่เข้าใจการปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่ทั้งหมดต้องเนกขัมมมะ ต้องออกจากกาม ไม่ใช่เอาเข้า เนกขัมมะคือเอาออก การทำทาน ทำศีล ก็ต้องเอาออก แม้แต่สวรรค์คือสุขเท็จ สุขขัลลิกะก็ต้องเอาออก มันลวงให้อยากได้ ได้มาก็สั่งสมในอนุสัยอีก

แม้อนุปุพพิกถา 5 นี้เทศน์ให้พระยสะฟัง เทศน์กัณฑ์แรกเป็นพระโสดาบันเลย คือที่ผ่านมาเข้าใจผิด ใครมาฟังอาตมานี่ เข้าใจแล้วจะได้เป็นโสดาบันในที่นั่งแห่งนี้ได้อย่างพระยสะได้

ว่าโลกนี้เขาสอนจะต้องให้ได้สวรรค์วิมาน แต่แท้จริงต้องเอาออก สวรรค์คือตัวหลอก เราต้องไม่ไปสร้างภพชาติสวรรค์ ยิ่งไปอยากได้ภพชาติสวรรค์วิมานเพิ่มยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ต้องเนกขัมมะ จึงมีอานิสงส์

ต้องเข้าใจโทษของจิตที่อยากได้ อยากเอา อยากมี เป็นกามาทีนวะ เป็นกามที่เป็นโทษ ที่อาตมาพูดนี้ยืนยันว่าไม่ผิด แล้วทวนกระแสกับที่พระต่างๆพูดกันด้วย ไม่ว่าจะเรียนตรีโทเอกสายศาสนาก็ไม่ได้เข้าใจอย่างที่อาตมาพูดให้ละคลายออก แม้แต่คำว่าอย่าไปติดสวรรค์ก็ไม่รู้ แต่ให้ทำตามลำดับ ลดไปตามลำดับ นั้นถูกต้องไม่ใช่ไปไล่สวรรค์ออกหมดทันทีก็ไม่ไหว พระพุทธเจ้าให้เริ่มที่ศีล 5 ก่อน นอกนั้นละใว้ก่อน

ยกตัวอย่างง่ายๆศีลข้อ 3 มีกาม มีผัวมีเมียมีคู่ก็มีคนเดียว ถ้าถือศีล 8 ค่อยไม่แต่งงานเลย นี่คือขั้นต้นก็อนุโลมก่อน

การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การเอาของ เอาทรัพย์ผู้อื่น แต่ทุกวันนี้มีวิธีการทางทุนนิยมที่ทำศีลข้อ 2 ให้ผิดอย่างตะกละตะกราม เอากำไรอย่างพวกขายตรงอันนี้บาปมหันต์ ไปหลอกครอบงำความคิด มีวิธีการพูดแบบการตลาด ให้เขาซื้อแล้วบวกกำไรอย่างเอาเปรียบ พวกขายเกินทุนนี้บาปทั้งนั้น ที่นี่ไม่สอนอย่างนั้น ที่นี่ให้มาค้าขายขาดทุน เอาอย่างเสียงที่ในหลวงท่านตรัส แบบคนจน แต่ผู้รู้ทั้งหลายไม่สอนแบบนี้

ในหลวงท่านตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐกิจได้ยินก็บอกว่าพูดอย่างนี้ได้อย่างไร แต่ท่านก็ว่ามันเป็นอย่างนั้น ขาดทุนของเรานี่คือกำไรของเรา คนฟังก็หูหัก นักเศรษฐศาสตร์ก็หูหัก อะไรหนอ!ได้ขาดทุนแล้วจะคือกำไร อันนี้พูดภาษาไทยนะ ในหลวงก็เลยพูดเป็นภาษาฝรั่งว่า our loss is our gain.

เป็นสัจจะที่ยากซึ่งในประเทศไทยมีพระโพธิสัตว์ที่มีโลกุตรธรรม แต่น่าสงสารประเทศที่คนไม่เข้าถึงท่านได้ อย่างเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเขาก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งจะเกี่ยวกับสันโดษมีความมีใจพอ แต่เขาแปลไปเลอะเทอะกันหมด ขัดกับกถาวัตถุที่ว่าต้องเป็นอัปปิจฉกถา   สันตุฏฐิกถา  ปวิเวกกถา  อสังสัคคกถา  วิริยารัมภกถา  ศีลกถา  สมาธิกถา  ปัญญากถา  วิมุตติกถา  วิมุตติญาณทัสสนกถา

อย่างธรรมกายนี้สอนผิดไปเลยจากคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่ทำตามคำสั่งศาลอีก คือไม่รับคำสั่งศาล ก็เท่ากับไม่รับพระปรมาภิไธย เพราะศาลดำเนินการตามพระปรมาภิไธย เขาเป็นคนใหญ่สุดในประเทศแล้ว ไม่เข้าข่ายผีบุญแล้วจะเข้าข่ายอะไร ทั้งซ่องสุมผู้คนด้วยไม่ทำตามกฏหมาย อาตมาเกิดมาอายุ 80​ กว่าแล้ว ไม่เคยเห็นคนแบบนี้เลย

 

กล่าวคือ ใครก็ตาม ตรวจตนเอง ให้ได้ ว่า ตนเองยังติดความชั่วใด ที่เราเข้าใจว่านี่คือชั่ว ..เอากายกรรม กับวจีกรรม หยาบๆก่อน

และเริ่มด้วยเชิง“ผลัก”(โทสะ = ลบ)ก่อน

นั่นคือ ผู้ยัง“ยึดแรง”ในการทำร้ายชีวิตผู้อื่น ถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วสะใจ นี่คือ ศีลข้อ 1 ต้องหยุด แต่ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนศีลข้อ 1 ก็ไม่มีแล้ว ฆ่าสัตว์กันไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย แม้ไม่ฆ่าเองก็กินเนื้อสัตว์ ก็เป็นบาป ใครฆ่าก็บาป อาตมาก็พาทำ ถ้าจะว่าจริงๆ การไม่กินเนื้อสัตว์นี้เป็นอธิศีล การไม่ฆ่าสัตว์นั้นเป็นระเบิดลูกด้านไม่ออกผล ก็เลยขยับมาเพิ่มอธิศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ทำให้เกิดผลต่อจิต แต่ก่อนนี้ฆ่าสัตว์ยุงกัดก็ตบ มดจะมากินน้ำตาลเราก็ฆ่าไม่เคยมีน้ำใจเลย สัตว์มันก็หากินของมัน มันจะไปรู้อะไร เราเป็นคนนะ แต่มดไม่รู้หรอก คุณไปติดป้ายว่าห้ามมดขึ้น มดก็ไม่รู้เรื่องหรอก คนเราต้องมีปัญญาไหวพริบ

อาตมาพาไม่กินเนื้อสัตว์ได้เป็นผลสำเร็จ มากินมังสวิรัติปฏิบัติได้ขนาดนี้ก็มีผลต่อเนื่องมาไปถึงจิตของเราดีขึ้น มีความเอ็นดูมีเมตตาดีขึ้นเยอะหลายอย่าง นี่คือประเด็นที่ 1 เรื่องโทสะ ฆ่าชีวิตผู้อื่น

 

ทีนี้ เชิง“ดูด”(โลภ = บวก) ผู้ยัง“มุ่งแย่ง” ของที่ไม่ใช่ของเรา ของที่เราไม่มีสิทธิ์ ก็แย่งถึงขั้นฆ่าก็ดี ทำร้ายก็ดี ให้เขาทุกข์ทรมานก็ดี แล้วเอามาเป็นเรา-เป็นของเราได้  ก็รู้สึกเป็นรสสุข(โลภะ)อยู่ อย่างนี้“รสสุข”

นี่คือ ศีลข้อ 2 ก็ต้องทำให้หมดไปจากใจ

ทุกวันนี้ที่เป็นกันอยู่ชีวิตของคนทุกวันนี้ไม่ได้ไม่ผิดศีล มีความโลภอยากได้แล้วหาวิธีการเอาเปรียบไม่พอยังมีเล่ห์เหลี่ยม โกงเล็กโกงน้อย โกงใหญ่โกงมากก็บาปผิดทั้งนั้น ทำกันอย่างหน้าตาเฉย ตอนนี้ก็จะมาปราบคอรัปชั่นปราบปรามโกงที่หนาหนักจริง แทบจะหากรมกอง ที่ไม่มีคอรัปชั่นเลยไม่มี กองไหนก็คอรัปชั่นกันหมดพูดแล้วก็น่าเศร้า

อาตมาว่ารัฐบาลนี้เอาจริงเอาจังกว่านี้หน่อยเถอะ เอาให้เด็ดขาดจริงๆ นี่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ ก็อนุโมทนาสาธุ พยายามปราบจริงๆ ก็ชำระพวกที่โกงได้โกงดี เชือดไก่ให้เสือกลัวบ้าง

 

ศีลข้อ 3 ผู้ยัง“ยึดแรง”ในความรัก-ราคะในโฉมผู้อื่น ในร่างผู้อื่น มาให้ตนเสพสัมผัสต่างๆ(ราคะ) ก็เป็นรสสุข นี่คือ ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ ไม่เสพรสจากสัมผัสเสียดสีใด ทำได้จริง  อย่างนี้ก็หมดไปได้จริงๆ

หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ ใช้เล่ห์ด้วยเชิงฉลาด หลอกซับซ้อนซ่อนลวงสารพัด เก่งฉกรรจ์ฉกาจ ให้เขาหลงผิดในสิ่งที่ผิดว่าถูก   ซ้ำหลงเทิดทูนผู้หลอกว่ายอด ว่าเก่งเยี่ยมซึ่ง“ละเมิดของหวงผู้อื่น” สารพัดสิ่งหวง  ก็หยุดละเมิด ทั้งทางกายกรรม ทางวจีกรรม

นี่ศีลข้อ 3  ต้องทำให้หมดไปจากใจ

 

ใครยัง“โกหก” ก็หยุดได้ นี่คือ ศีลข้อ 4 ทุกวันนี้แม้แต่พระ เจ้า ก็โกหกเยอะเลยพูดเอาใจญาติโยมให้คลายใจ ทั้งที่รู้ว่าโกหก อย่างธัมมชโยโกหก โกหกว่าตัวเองหยั่งรู้ภพชาติว่าคนตายไปอยู่ไหน เชิงพูดว่าคนนี้ทำบุญกับธรรมกายมายังไงแล้วไปอยู่สวรรค์ยังไง ก็พูดไปทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก แล้วโกหกในระดับอวดอุตริมนุสธรรม คือตัวเองมีคุณวิเศษหยั่งรู้เป็นพิเศษเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์

ก็มีคนตรวจสอบชัดเจนว่าทำผิด แล้วสมเด็จพระสังฆราชก็มีพระลิขิตว่าธัมมชโยปาราชิก แล้วปาราชิกข้อโกงเงินด้วย ส่วนข้อที่อวดอุตริมนุสธรรม ก็ปาราชิกด้วย อย่างที่มีคุณสมชาย ไปทดลอง แกล้งถามว่าคนตายไปไหน ธัมมชโยก็ทำนายว่าไปสวรรค์ชั้นไหนๆ สบายแล้วให้ลูกหลานทำบุญกับวัดสร้างบารมีต่อ หว่านล้อมให้มาทำทานต่ออีก แต่คุณชาติชายนี้ แกล้งเขียนเรื่องโกหกหรือมุขมาหลอกธัมมชโย ก็เลยจับผิดธัมมชโยได้ ธัมมชโยก็พูดออกอากาศไปอย่างเท่ห์เลย เสร็จแล้วก็มาเฉลยทีหลังว่าน้าเขายังไม่ตาย 

นี่ก็เห็นเลยว่าเถรสมาคมนั้นไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย อาตมาเลยต้องออกมา อาตมาบวช 13 ทนมาถึง 18 ก็เลยประกาศออกจากเถรสมาคม ขอแยกเป็น นานาสังวาสในวันที่ 6 ส.ค. 2518 ต่อหน้าพระคณะสงฆ์มหาเถรสมาคม เขาก็รับแล้วด้วย เพราะ กรมรถไฟ มีหนังสือไปถึงเถรสมาคม เราเองก็อยากให้ลดค่ารถไฟ แต่ถ้าไม่ใช่สงฆ์ของเถรสมาคมก็ไม่ลดราคาให้ เขาเลยส่งหนังสือถึงการรถไฟ โดยให้อธิบดีกรมการศาสนา ส่งหนังสือถึงการรถไฟว่า สงฆ์อโศกนี้ไม่ได้อยู่ในการปกครองของเถรสมาคมแล้ว       ลาออกแล้ว ก็คือเขายอมรับแล้ว นั่นยังไม่ถึงพ.ศ.2532 แต่พอถึงพ.ศ.2532 ไม่รู้ไปกินตีหมีดีเสือที่ไหน ดึงเราเข้าไปในเถรสมาคมอีก ก็สั่งให้เราสึก เราก็ว่านานาสังวาสแล้วสั่งได้ที่ไหน ไม่เอาตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย มาอธิกรณ์กันไม่ได้ มาว่าความอธิกรณ์ตัดสินอาตมาด้วย แล้วทำการตัดสินลับหลังอาตมาด้วย เอาธรรมยุติกับมหานิกายรวมกันทำด้วย เป็นการผิดคณปูรกะด้วย

พ่อท่านประกาศลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์เถรสมาคม  เมื่อวันพุธ ที่ 6  สิงหาคม 2518  (แรม 14 ค่ำ ด.8  วันโกน)  ขณะกำลังประชุมพระนวกะ ณ ศาลาวัดหนองกระทุ่ม ต.กระตีบ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม  ซึ่งมีเจ้าคุณพระปฐมนคราภิรักษ์ (ชุณห์ กิตฺติวณฺโณ) วัดวังตะกู  เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม  เป็นประธาน ..พระครูปราการลักษาภิบาล วัดใหม่ปีนเกลียว เจ้าคณะ อำเภอกำแพงแสน  และพระครูปทุมธาดา วัดปทุมทองสุทธา-ราม เจ้าคณะตำบลกระตีบ  เป็นพระเถระผู้ใหญ่ในที่ประชุมพร้อมด้วยพระสงฆ์รวม 180 รูป  พระรัก โพธิรักขิโต พร้อมด้วยสงฆ์จำนวน 21 รูป ประกาศลาออกจากการปกครองในตอนบ่าย

(ข้อมูลโดย  พระครูสิริวรรณวิวัฒน์)

เป็นการยืนยันความไม่ชอบมาพากลในวงการพุทธศาสนา ถ้ามันผิดก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่เสีย

 

ถ้ายัง“ต้องเสพสุขโดยการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายกับสิ่งภายนอกนั้นอยู่” และตนเห็นว่า“ต่ำแล้ว”สำหรับตนแต่ละคน นี้คือ “อบาย”ข้อ 5 คือยัง“มัวเมาขั้นสุรา” ก็หยุดเว้นขาด ไม่สัมผัสภายนอก ละ ล้างเหตุภายในที่ยังอยากเสพของตนในใจให้ได้ จนทำได้ตามหลัก“ปหาน 5”(หลักของบุญ) กระทั่ง“ประหาร”สำเร็จเสร็จจบบริบูรณ์

 

ขอเอา“นายไชยบูลย์”หรือ“ธัมมชโย” เป็นกรณีตัวอย่าง จะเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

นายไชยบูลย์แสดงออกเป็น“ปาตุสัจจะ”(ความจริงอันปรากฏ,phynomenon)ที่เห็นได้ หยิบมาพูดถึงได้ เพราะได้กระทำจริง ปรากฏภาวะนั้นจริง

กล่าวคือ เขาได้แสดงตัวตนของเขา “ใหญ่”(อัคค) ใหญ่ยิ่งกว่าใครๆหมดในแผ่นดินนี้ ในแผ่นดินที่เป็น“ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ซึ่งเป็น“ประชาธิปไตย”ของมนุษย์ชนิดหนึ่งในโลกใบนี้ ถือกำเนิดเกิดจากประเทศอังกฤษ เดี๋ยวนี้อังกฤษก็ยังเป็นประชาธิปไตยชนิดนี้โดยแท้

แม้ทุกวันนี้ก็ยังชื่อว่า“ประชาธิปไตย” จริงของโลกชนิดแรก (ประชาธิปไตย “2 ขา” ตามสำนวนของอาตมาเอง ที่เคยใช้เรียกมาตามประสาอาตมา ที่ใช้สื่อความหมายเจตนาให้ชัดๆง่ายๆ อย่างจริงใจ ซึ่งได้พูดมาแล้วหลายครั้งคราในที่สาธารณะ)

“ประชาธิปไตย 2 ขา”คือประชาธิปไตยต้นแบบของโลกแท้ ซึ่งมีครบทั้ง“รูปและนามหรือทั้งกายและใจ” อันสัมบูรณ์สุด“ธรรมะ 2”

พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็น“หัวใจ หรือวิญญาณ”ของแผ่นดิน ที่ใครบังอาจคิดใหญ่กว่าในแผ่นดินนี้ มิได้  คนไทยเขาไม่ละเมิด

แต่นายไชยบูลย์ ได้แสดงความไม่ภักดีอย่างชัดแจ้ง ไม่ยอมปฏิบัติตนตามกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล  ศาลคือราชอำนาจ  ศาลคือราชปรมาภิทัย คือพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ คนไทยน้อมใส่เกล้า

ใครๆเห็นเขานุ่งห่มเหลือง โกนหัว แม้แต่เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ ก็หลงเข้าใจว่า เขาเป็นพระ เป็นภิกษุ ก็เกรงใจ เกรงกลัว ให้เกียรติ ไม่กล้าทำกับเขาเช่นคนไทยทั่วไป นี่ก็เป็น“ผลชั่ว”ที่นายไชยบูลย์ทำได้สำเร็จ

“ปราชญ์”  จะไม่สร้างอำนาจให้แก่ตนเอง 

จนคนเกรงและกลัว ไม่กล้าค้านแย้ง หรือตำหนิติเตียน

ส่วน “คนแค่ฉลาด”  จะสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง

ให้คนเกรงและกลัว จนไม่กล้าค้านแย้ง ตำหนิติติง

 

ขอยืนยันว่า นายไชยบูลย์ไม่ใช่ภิกษุในศาสนาพุทธ ทั้งปาราชิกแล้ว ทั้งทำลายหลักธรรมวินัยพระพุทธเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นอกรีตอย่างไม่เคยมีใครทำได้ขนาดนี้มาก่อน แม้แต่กฏหมายบ้านเมืองเขาก็ไม่นับถือ เขาทำได้ อย่างที่เห็นๆ กฏหมายไม่มีน้ำยา เจ้าหน้าที่ข้าราชการทำอะไรเขาไม่ได้

นายไชยบูลย์ปฏิเสธ ไม่เคารพ ไม่ยอมรับคำสั่งศาล ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล

เกิดมาอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยเห็นใคร “บังอาจ”แสดงอำนาจบาตรใหญ่ กับแม้แต่พระเจ้าอยู่หัวถึงขนาดนี้ เขากล้าบังอาจจริงๆ

เห็น“อัตตา”ที่“ใหญ่”(อัคค)ของเขาได้ เพราะเขาได้แสดงออกมาแล้วจริงโจ่งแจ้งชัดเจน เขาแสดงความใหญ่กว่าใครหมด ในแผ่นดินนี้ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็กล้าทำ

เขาถือ“อำนาจ”ใหญ่กว่าใครหมดแล้ว

เขากล่าวด้วยว่า เขา“ไม่เชื่อใจใคร” การแสดงออกของเขานั้น ยืนยันอยู่โต้งๆ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็ไม่เชื่อ ไม่นับถือ

นี้คือ “ผีบุญ”แล้ว ใช่มั้ย? เห็นชัดมั้ย?

ที่พูดนี้ไม่ใช่การกล่าวหา แต่เป็นจริงยิ่งกว่าการกล่าวหา เพราะพูดตามที่มีพฤติกรรมปรากฏของนายไชยบูลย์ที่ได้ทำแล้วตามที่เห็นและเป็นอยู่จริง ไม่ได้หาความเลย

เขายึดครอง“อำนาจ”เป็นใหญ่แล้วหนึ่งเดียวในแผ่นดินนี้ เขาทำตนใหญ่สุดจริงๆ

หากเขาไม่ยอมเคารพแม้แต่“พระเจ้าแผ่นดิน”ของประเทศนี้ เขาก็ไม่ควรจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่มี“ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ไม่ใช่..“นายไชยบูลย์เป็นประมุข”

เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนี้ จริงๆ

เขาแสดง“ความใหญ่”(อัคค)ของเขาออกมาให้เห็นว่าเขาไม่ยอมลงให้แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินของประเทศนี้แล้ว ความยิ่งใหญ่ของเขาเข้าข่าย“ผีบุญ”..ไหม? โปรดพิจารณาดู

เขาซ่องสุมพลเมืองด้วยการสะกดจิตได้จริง เป็นพลเมืองใต้อุ้งอำนาจ(อธิปไตย)ของเขา ที่เทิดทูนบูชาเขาจริงๆ เขามีกองกำลังที่ซ่องสุมจริงๆ เขาคือหัวหน้ากองกำลังนี้

เขาได้แสดงพลังอำนาจด้วยกองกำลังนี้มาแล้ว หลายกาละ  มีประสิทธิภาพด้วย 

เขาเบ่งอำนาจบาตรใหญ่ที่เห็นแล้วว่า “ใหญ่”กว่าใครๆในประเทศนี้ ตามที่เขา“มักใหญ่”อยู่ในจิตที่เขาจะเป็นเหนือกว่า“ต้นธาตุ-ต้นธรรม”ตามวิมานในฝันของเขา

“อัตตา”ของเขา“ใหญ่”(อัคค)จริงอย่างนี้ และแถมเขาก็ได้แสดงออกปรากฏจริงแล้วด้วย(ปาตุสัจจะ,phynomenon) “กรรม”เป็นอันทำสำเร็จแล้ว เขาก็ควรจะได้รับผลกรรมตามที่เขาทำจริงนี้แล้ว แต่ผลกรรมก็ยังดูช้าอยู่!!!

เขาเป็น“คน”ก็จริง แต่เลือดและวิญญาณของเขาอยู่ในระดับ“จาตุมหาราช 4”เต็มรูป

เขาเป็นทั้ง“จอมผี-จอมมารมายา-จอมเดรัจฉาน-จอมยักษ์” ที่ต้องนับเป็นขั้น “จอม”เพราะเขามีประสิทธิภาพปรากฏจริงๆ

เห็นไหม..ถึงขนาดติดต่อกับโอบามา

ส่อความใฝ่ที่จะเป็น“ประชาธิปไตย”ขาเดียวของเขา ให้เห็นได้อยู่ชัด

ซึ่ง“ประชาธิปไตย”ขาเดียวนั้น เป็น“ประชาธิปไตย”ที่ไม่มีการสืบสายสันตติวงค์แห่ง“วิญญาณ”ที่ตกผลึกสืบทอดตาม กฏมณเฑียรบาล อันเป็นเรื่องของวิญญาณในความเป็นสังคมมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่

ประชาธิปไตย 2 ขา มีมาแต่โบราณกาล ตั้งแต่คนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นเผ่า ก็เริ่มมี“หัวหน้าเผ่า”ที่ต่างยึดถือและใช้จิตวิญญาณเป็นรากเหง้าแห่งการอยู่ร่วมของมวลชนกันทั้งสิ้น และ“จิตวิญญาณ”นี้แหละ ที่ผูกพันสัมพันธ์ลึกซึ้งกันและกัน ต่างเป็นประโยชน์ยิ่งแก่กันสุดวิเศษมาแต่ไหนแต่ไร ของความเป็นคน แม้ทุกวันนี้มนุษยชาติจะได้วิวัฒน์พัฒนาด้วยปัญญา ก้าวหน้ามามาก  “ประชาธิปไตย 2 ขา”ที่จริงก็ยิ่งเด่นชัด

ประชาธิปไตย ขาเดียวนั้น เกิดมาทีหลังประชาธิปไตยแท้ เป็นประชาธิปไตยแปลงไปจากประชาธิปไตยต้นกำเนิด เป็นประชาธิปไตยไม่เต็มเต็งครบ“ความเป็นจิตนิยาม” ครบความเป็น“กาย”ของสัตวโลก ที่ประยุกต์ขึ้นจากประชาธิปไตย 2 ขา

เป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมดุลเป็นวงพลวัต ไม่เหมือนประชาธิปไตยอันมี“ราชประชาสมาศัย”(พระราชากับประชาชนพึงมีอัชฌาสัยต่อกันสม่ำเสมอ) ที่สัมบูรณ์แท้ ซึ่งเป็น“สาธารณโภคี” อันมีลาภโดยธรรม(ลาภธัมมิกา)บริบูรณ์  

เพราะประชาธิปไตยขาเดียวนั้น เป็น ระบบ CEO จึงมีผู้“อยากใหญ่”เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดแต่ผู้เดียวอยู่เสมอ

ผู้เป็นใหญ่สูงสุดที่ไม่ยอมแพ้ ที่ไม่ยอมเสียสละ ที่ไม่มักน้อย ที่ไม่สันโดษ ด้วยจิตวิญญาณอันเป็น“อาริยะ”จริง

จิตวิญญาณเป็นอาริยะตามแบบพุทธจริงแท้นั้น “วิญญาณพุทธ”จะเป็นคนมีธาตุอิสระ ที่“รู้เอง-รู้สึกเอง”ของตนเองทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อ“วิญญาณ”ของประชาชนเองกับ “วิญญาณ”ของพระเจ้าแผ่นดินของเขาสมัครจิต ผนึกใจประสานกันเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย“ความรู้และรู้สึก”อันประเสริฐและอิสระเอกภาพแท้ เป็น“ราชประชาสัมมาศัย”จริง

จึงนับเป็น“ประชาธิปไตย”ที่ยิ่งใหญ่สัมบูรณ์ อันมีครบ“ธรรมะ 2”ได้แก่“รูปกับนาม หรือกายกับใจ” ซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตวโลกที่มีคุณชาติของธรรมะสูงส่งได้ถึงขั้นมี“คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม) เป็น“อาริยชน”ที่สามารถทำ“ประชาธิปไตย”อันเป็น“พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมมปายะ”ของมนุษย์โลกุตระกันได้จริงๆ

ส่วนประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยเพียงแค่“อุตุนิยาม” หรืออนุโลมอย่างดีก็แค่ “ประชาธิปไตยพีชนิยาม” หากจะนับว่ามี“สัญญา”ของคน(สูงกว่าสัญญาของพืช) ก็ได้ แต่เป็นได้แค่อเวไนยยสัตว์ คือสัตว์ที่สอนไม่ได้ เพราะ“โง่”มากอยู่ หรือโง่หนักจนเกินจะสอน  สอนยังไงก็สูญเปล่าโดยแท้ 

เพราะ“ความรู้สึก”(เวทนา)จริงๆของประชาชนคนไทยนั้น เขาเป็นประชาชนของแผ่นดินที่“มีเลือด”ในร่างเทิดทูนภักดีต่อ “เจ้าของร่าง”คือพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะ ร.9 พระองค์นี้  ซึ่งนายไชยบูลย์ไม่ภักดี ซึ่งเห็นได้จริง ตามที่เป็นอยู่แท้

นายไชยบูลย์ไม่เชื่อใครในประเทศไทยไม่ไว้ใจใคร ไม่ไว้ใจศาล ไม่ยกให้ใครทั้งนั้น

แม้แต่ในหลวง เขาทำตนอยู่เหนือกฏหมาย นายไชยบูลย์ทำตน“ไม่มีเลือด(ไทย)”ในร่าง อันเป็น“ชีวิต”ของตน  เขาจึงไม่ใช่ “คน”!! ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย

แม้จะนับว่า เป็นเลือด เขาก็มีเลือดในกรุ๊พ“คนโง่”เดียวกันกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกเขาสะกดจิตได้ ซึ่งเป็นชีวิตคนกลุ่มที่มี“วิญญาณสัตว์โอปปาติกะ”ผู้ยังไม่เจริญพวกหนึ่งเท่านั้น

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:11:21 )

590921

รายละเอียด

590921 เทศนางานฌาปนกิจศพ ตาไหม ลักขณัติ

พระครูสมณโพธิรักษ์ได้เดินนำนักบวชฆราวาสและญาติธรรม เพื่อส่งศพไปสู่เมรุสุดชีวิต

ในเวลา 14:45 น.พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้เทศนาก่อนทำการฌาปนกิจศพ … วันนี้เราก็จะได้ชนะกิจศพยมไหมซึ่งยมใหม่ก็ได้ไปก่อนพวกเราตายแล้วก็ไปกับพี่ปากไปรับพี่ปาก ทุกวันนี้ชาวพุทธมีแต่แสวงหาพระ พบชาติเต็มไปด้วยความไม่รู้ พบสวรรค์กับนรกนั้น เป็นอยู่คู่กันหก เราจะต้องมาหลังพบสวรรค์ ดับ pages ของภัสวรรณพักนรกก็หายไปด้วย

บุญ

 ต้องศึกษาให้ดีพุทธชาดนำทางให้สัมมาทิฏฐินั้นยากมากพวกเราชาวอโศกก็ได้สั่งสมบารมีมาพอสมควรส่วนใครที่มาช้าก็อย่ารีรอจะปฏิบัติอยู่ที่บ้านหรือปฏิบัติมาภายในก็อาศัยมาจับจองอยู่ได้มองมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์อย่าชักช้าของใครของมันทำใครใครก็ได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ใครพักผ่อนก็ชาไปดี


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:12:28 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์