คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
แล้วก็จะเข้าสู่ฌานที่ 3 เป็นฌานที่ สั่งสมความจางคลายนั้นลงไปจนถึงอุเบกขา ฌาน 3 เริ่มมีอุเบกขา ถึงฌานที่ 3 เขาก็เรียกว่าสุขซึ่งเป็นปรมังสุขังเป็นโลกุตระ สุขที่ว่างจากกิเลสไม่ใช่สุขโลกียะ เป็นสุข ยืมภาษามาใช้เท่านั้น สุขแปลว่าดี ข แปลว่าว่า ว่างนั่นแหละดี เป็นสุขยัง วูปส โมสุข หรืออุปสโมสุข คุณเขียนมาขนาดนี้ก็ใช้ได้ดีแล้ว มันเป็นเรื่องยากมาก คุณผาหินเข้าใจพอใช้ได้ มันมีเหลื่อมนิดหน่อย แนะนำพอสังเขป
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 13:44:11 )
รายละเอียด
ฌาน 4 คือ จิตแยกไม่มีบวก หรือลบ นิวตรอน 0 การสะกดจิตให้ 0 ไม่ได้แยกเลย แต่ผู้แยกธาตุจริง รู้จักกาย เวทนา จิต ธรรม ทุกอย่าง แม้แต่จิต ที่เป็นฐานร่วมมุทุธาตุมีทั้งเจโตและปัญญา ปัญญาก็แยกธาตุเจโต แยกจิต เจตสิก แยกให้เป็นอาการจิตที่ไม่เป็นธาตุรู้สึกเลย ไม่เป็นธาตุรู้เลย “ธาตุรู้สึก คือ เวทนา” “ธาตุรู้ครบ คือ วิญญาณ” วิญญาณจะมีเวทนา สัญญา สังขารร่วมด้วย เวทนากับวิญญาณนี้ต่างกัน สมณโพธิรักษ์อ่านพุทธธรรมของท่านปยุต ท่านก็กำหนด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างกัน กับเขา แล้วท่านจะแยกธาตุอุตุได้หรือไม่นะ สมณโพธิรักษ์แยกธาตุอุตุได้นะ ไปอ่านที่ท่านบรรยายเอาไว้ถึงอุตุ พีชะ ไม่มี ก็อธิบายไว้นิดเดียว
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 12:30:55 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:33 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:29:39 )
รายละเอียด
คือ จิตได้อุเบกขาก็คือ ฐานนิพพาน ฐานไม่สุข ไม่ทุกข์ กลางๆ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 13:59:28 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:50:01 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:30:20 )
รายละเอียด
ฌานก็คือพลังงานที่เป็นทั้งภาคมรรคและภาคผล
ภาคมรรค ก็คือภาคที่พัฒนาไปตั้งแต่ฌาน 1 วิตกวิจาร
ลองฟังความหมายของฌานให้ดีๆ
วิตกวิจาร คือ สภาพ 2 ใช้พยัญชนะว่า วิตกคำหนึ่ง วิจารคำหนึ่ง
วิตกเป็น Static วิจารเป็น Dynamic
เป็นพลังงาน 2 วิตกคือสภาพที่เป็นเจโตหรือศรัทธา วิจารเป็นลักษณะของปัญญาทำงานร่วมกัน พิจารณาพฤติกรรม
สรุปรวมแล้วก็คือพิจารณาพฤติกรรม
วิตักกะก็คือ เริ่มเกิดจิตมาแล้วก็เริ่มดำริ เขาแปลวิตักกะว่า ตริ แล้วก็ตรอง วิจาร ตรองตริ ในสภาวะนี่แหละมันทำงานร่วมกันเรียกว่าฌาน
เพราะสภาพที่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดสภาพขึ้นมาแล้วจิตเราเกิดอย่างไร
ถ้าวิตักกะ มันมีกิเลสกามหรือกิเลสปฏิฆะร่วมมาด้วย เราก็วิจัยวิจาร วิจัยแล้วก็เห็นพฤติกรรมของกิเลส จาระ คือพฤติกรรม เห็น พฤติกรรมของกิเลสนั้นร่วมด้วย คุณก็ต้องแยกเอากิเลสออกมาอย่าไปเอาจิตมาทั้งหมดฆ่าดับไปเลยบื้อๆซื่อๆเหมือนพวกนั่งหลับตาไม่ได้เสียของ เอาแต่ตัวผี เอาแต่ตัวกิเลสดึงเอากิเลสมา
ดึงกิเลสออกมาได้ ไอ้กิเลสรู้ว่าปัญญา ความรู้โลกุตรธรรมเรียกว่าปัญญาคือธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นวิชชาหรือเป็นปัญญาหรือเป็นญาณ ก็พูดแล้วไอ้กิเลสมันเห็นหน้าปัญญา มันวิ่งหูตูบหนีไป มันเป็นสัจจะ ถ้าคุณมาเป็นสีขาว ทับลงไปในสีดำ สีดำสีหม่นหมองสีเทามันก็หายไปถ้ามันมีพลังงานพอ มันก็เป็นธรรมชาติ อันหนึ่งเกิดอีกอันหนึ่งก็ต้องดับ เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นวิตกวิจาร เริ่มทำงาน ฌานที่ 1 ทำได้ขึ้นมาก็จะยินดีเป็นฌานที่ 2 มีปิติ ยินดีที่เราชัดเจน มันเป็นปัญญาที่เฉลียวฉลาดมีทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ฉฬายตนะ ครบใจด้วยเป็น 6
เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายนี้มันจะเกิดองค์ประกอบพร้อมทั้งการสัมผัสแตะต้องกิเลสเกิด ปัญญาซ้อนเห็น แล้วก็ปฏิบัติทำจิตในจิตให้กิเลสมัน เจโตปริยญาณ 16 ทั้งแถบ ก็จะแยกได้หมดเลย อันนี้ราคะ อันนี้โทสะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2567 ( 18:06:47 )
รายละเอียด
ฌาน 4 ของฤาษีเดียรถีย์ก็มีตัวตนแม้อุเบกขาก็มีตัวตน คือฌานของมิจฉาทิฏฐิ แต่เขาไม่รู้หรอกถ้าเขารู้เขาก็หลุดพ้น แต่ฌาน 4 ของพุทธ นี่ปรุงแต่งให้หมดตัวตน แต่ถ้าปรุงแต่งไม่รู้จักหยุดก็เลยมีตัวตน อย่างเช่นหนึ่งฟ้าเป็นต้น ก็สงสาร หรืออย่างท่านประยุทธ์ ปยุตโตเป็นต้น ที่จริงให้ทำทีละ 2 แล้วก็จะจบ เป็น 1 เป็น 0 แล้วจะรู้ว่า 0 ก็คือ ล้าน แล้วล้านก็เป็น 0
พวกมิจฉาทิฐิเทวนิยมนอกจาก ฌาน 4 เขามีหมดเอาสัญญาเป็นตัวตั้ง กำหนดรู้ปฐมฌาน ไม่มีนิวรณ์ ฌาน 2 มีวิตกวิจาร ปีติ สุข แต่ยังไม่อุเบกขา มีแต่เอกัคคตา เป็นหนึ่ง
พอมาฌาน 2 ไม่มีนิวรณ์ 5 ก็ยังไม่ชื่อว่าอุปสโมสุข ยังแรงอยู่ ตัวจิตก็ยังไม่อุเบกขา ยังถือเป็นเอกัคคตา เป็นหนึ่ง
จนดับปีติเข้าถึงฌาน 3 จะมีสุขสงบ คนโลกีย์ ได้เห็นอาการนี้ ถ้าเราไปยุ่งอยู่กับนิวรณ์ กับไม่มีนิวรณ์ ก็อยู่กับวิตกวิจารกับมีกับไม่มีนิวรณ์อยู่อย่างนี้ วิตก กับวิจาร เป็นธาตุบวกลบสองธาตุนี้ ก็ไม่ต้องไปยึดติดกับ 2 ธาตุนี้ที่มันเป็นตัวเป็นตน คุณเลิกวิตกวิจารได้ ก็ดีใจได้ปีติ ก็ยังเป็นตัวปรุงแต่งอยู่ ต้องลดปีติ มันก็เบาว่างดี ก็ชัดเจนขึ้นก็รู้ก็ค่อยๆ วางปีติ
เมื่อ วางปีติ เข้าหาสุข ไม่ทุกข์ไม่สุขดีจนกระทั่งมาเข้าใจความสุขความทุกข์ให้มาเป็นหนึ่ง สุขก็คือทุกข์ ทุกข์ก็คือสุข ไม่ต้องไปแยกเป็น 1 เป็น 2 ที่ไปติดยึดเข้าหาสุขเลย ก็ต้องทำให้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 19:38:13 )
รายละเอียด
ฌาน 4 จะมีอุเบกขาชัด อุเบกขาคือ จิตทำฌานให้เกิดผลเป็นบุญแล้วกิเลสดับลงไปได้ จิตที่สะอาดจากกิเลสนั่นแหละตกผลึกลงไปเป็นสมาธิ
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 13:46:04 )
รายละเอียด
ฌาน 4 ที่สมบูรณ์แบบก็คือ อุเบกขา ก็คือสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา (องค์คุณอุเบกขา 5) อาตมาพูดแล้วก็อธิบายมาหมดแล้ว ทวนไปนะ คนที่ไม่เข้าใจบางคน ฟังอาตมาพูดแล้วงงหมดเลย เพราะเขาไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่พวกเราได้ยินได้ฟัง ก็จะชัดเจน แม้แต่อันนี้จะเป็นสมาธิที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส เพราะมีอาการ 4 อย่างนี้ก็ได้ ในสามัญผลสูตร มุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต ซึ่งอาตมาก็เคยอธิบายพวกนี้
มุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต ก็หมายความว่า มันยิ่งเป็นฌาน ยิ่งจิตเป็นสมาธิ มันยิ่งเร็ว คือจิตที่เป็นสมาธิยิ่งเร็ว ยิ่งแววไว ยิ่งตัดง่าย คือมุทุภูเต, กัมมนิเย หมายความว่า ทำกรรมอันเหมาะควร จะทำกรรมอะไรขึ้นมา มันเหมาะมันก็ดีทุกอย่าง และ ก็ตั้งมั่น ฐีเต ตั้งมั่นๆ จนกระทั่งอเนญชัปปัตเต คือไม่มีเคลื่อน ไม่มีคลอน นี่คือความบริสุทธิ์ผุดผ่องและความเป็นจิตตั้งมั่นอยู่ในตัวของมันเอง มีทั้ง มุทุภูตธาตุ ทั้งความแววไว มีทั้งความเบาง่าย กัมมนิเย ตัวกลาง เป็นตัวกระทำและมีทั้งความตั้งมั่น และสุดท้ายจบก็คือเป็นฐานที่ตั้ง ไม่หวั่นไหว อเนญชัปปัตเต
ซึ่งลักษณะธรรมพวกนี้ เป็นสภาวธรรมจริงๆ ถ้าผู้ใดที่ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงก็ฟังยาก ก็ต้องขออภัยที่อาตมาต้องสอนในเรื่องสูง ในเรื่องที่ละเอียด พวกเรามีฐาน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีฐานรองรับอยู่แล้ว ก็ค่อยๆถ่ายทอดกันไป ค่อยๆสืบทอดกันเอาไว้
อาตมาเกิดมาก็นำพามา พูดไว้ให้มากๆ ให้ละเอียดๆ จะว่าไปแล้ว อาตมาอธิบายธรรมะนี่ อธิบายละเอียดลงไปในสภาวธรรมอย่างละเอียดมาก มากจริงๆ เพื่อที่จะทำความละเอียดในชีวิตของอาตมา ทำความละเอียดลออได้มากเท่าไหร่ก็จะพยายามทำ ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็จะตกหล่น มันก็ไม่ครบ ก็ต้องพยายามเอาขึ้นมาให้คนรู้จัก มาเรียนรู้ มาใช้งานได้ พวกเรามีฐานรองรับกันขึ้นไปเป็นลำดับ คนยังไม่ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังไม่ถึงก็คอยฟังไว้ คนที่ได้ๆๆจึงจะเป็นผู้ที่สืบทอดต่อยอดกันไว้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีการสืบทอด ไม่มีการต่อ ยอด มันก็สิ้น มันก็จบ มันก็ด้วน อาตมามาเป็นผู้สืบทอดศาสนาจึงต้องทำตรงตามสัจจะที่ว่านี้ ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็ไม่จริง มันก็ไม่ตรง มันก็ต้องทำให้จริงทำให้ตรงไปอย่างที่ว่านี้
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2566 ( 13:31:30 )
รายละเอียด
ที่ได้ลักษณะพวกนี้ท่านก็สรุปว่าเป็น ฌาน 1 2 3 4 ฌาน แปลว่าไฟ สภาวะจริงเป็นอุณหธาตุ ฌานไม่ใช่เพ่งแบบสมถะ ไม่ใช่ฌานพุทธ อย่าไปแปลฌานว่าเพ่ง ในพจนานุกรมไทยบาลีแปล ฌานว่าความเพ่งเลยนะ ซึ่งผิด ไม่เพ่ง แต่เป็น สามัญ ธรรมดาปกติของมนุษย์มีผัสสะเป็นปัจจัย มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ปฏิบัติให้กิเลสลด มีสติสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์
ฌาน 4 นี้ ต้องเกิดจากการปฏิบัติจรณะ 11 ไม่ใช่ฌานที่จะต้องไปนั่งหลับตา เพ่งเอา ไม่ใช่ฌานของ พระพุทธเจ้าไม่มี เพ่ง มีแต่วิปัสสนาญาณ รู้แจ้งเห็นจริงตามเหตุปัจจัย มีการกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ตามที่อธิบายได้โดยพิสดารให้ฟังอย่างนี้ นี่คือสัจธรรมพระพุทธเจ้า ตั้งใจฟังดีๆ
อาตมาได้อธิบายธรรมให้พวกคุณฟัง ก็สุขใจสบายใจ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:03:34 )
รายละเอียด
พอฌาน 4 ก็เป็นวิหารธรรม พระอรหันต์จริงๆ ก็ทำงานอยู่กับเมตตากับอุเบกขา อุเบกขาคือฌานที่ 4 เมตตาคือพระพรหมไม่มีที่สุด อัปปมัญญา ช่วยคนได้อย่างไม่มีประมาณเลยตามบารมีของบุคคล ก็มีวิหารธรรมสุดท้ายคือเมตตากับอุเบกขา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:23:16 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 17:58:56 )
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:09:10 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:35:56 )
รายละเอียด
อาตมาพูดไปก็ต้องอ้างอิงความจริงบุคคลพาดพิงผู้นั้นผู้นี้บ้างนั่นแหละมันเป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำผิดทำไม่ดีทำไม่ถูก มันซ้อน เพราะมันมีของจริงก็จะได้อ่านง่ายยืนยันได้ ว่าอย่าไปทำเช่นนั้น
เช่น อย่าไปนั่งหลับตา อันนี้ยากมากเลยเพราะมันหลงเชื่อฝังจิตฝังใจมานานว่า ฌาน ต้องนั่งหลับตาสมาธิต้องนั่งหลับตา ขอยืนยันว่า ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ฌานวิสัยเป็นอจินไตย ฌาน ไม่ต้องนั่งหลับตา ฌานของพระพุทธเจ้าเกิดจากจรณะ 15 ข้อที่ 11-15
มี วิชชาเป็นยาดำ ต้องรู้ด้วยปัญญาตลอดสาย
เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดถึงอยู่อย่างนี้พูดด้วยความมั่นใจ พูดได้อย่างที่เรียกว่าองอาจแกล้วกล้า ไม่ได้เงอะงะว่า มันจะถูกหรือเปล่ามันจะผิดพลาดไหมไม่มี วิจิกิจฉา ไม่มีข้องใจ ไม่มีสงวนเลยว่ามันจะผิดนะหรือ มันจะถูกเต็มที่หรือเปล่า อาตมาว่า ไอ้ที่ยังไม่ค่อยชัดตัวเองจริงๆ เลยนี่นะ อาตมาจะยังไม่พูดออกมา จะบอกว่ามีไหม ก็มี แล้วอาตมาจะพูดออกมาทำไม ยังไม่มั่นใจตัวเองแล้วจะให้ผู้อื่นรู้ทำไมแม้จะได้ยินก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปพูดทำไม ก็เอาที่มันชัดๆ ที่มันมีอยู่เยอะแยะไป ละเอียดลอออะไรก็ชัดก็เอาออกมา
เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีภูมิถึงจริงๆ
1.ฟังไม่รู้เรื่อง
2. ฟังพอได้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แล้วก็ยังไม่ค่อยเชื่อ
3. ฟังเข้าใจได้ ค่อยๆเข้าใจมาเรื่อยๆยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น
4.มาเลยใช่แล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว ใครเคยพูดอย่างนี้บ้างไม่ไปไหนอีกแล้ว เจออโศกแล้วไม่ไปไหนอีกแล้ว ใครเคยพูดอย่างนี้บ้าง
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 21:00:13 )
รายละเอียด
ฌาน ของพระพุทธเจ้า เป็นฌานที่มี อปัณณกปฏิปทา 3 มีศีล มีสัทธรรม 7 แล้วก็เป็นฌาน อาตมาเชื่อว่าฌานของท่านยังอยู่ในภพ อยู่ในภวังค์หลับตา หรือเพ่ง อาจจะพอเข้าใจว่าลืมตาก็ได้ แต่เป็นการเพ่ง หนึ่งเดียวอยู่ที่จุดหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็นพลังงานไฟ เผากิเลสไปได้ เผาได้เท่าไหร่ก็เป็นส่วนบุญเท่านั้น หมดส่วนบุญก็กิเลสหมดเกลี้ยงสิ้นอาสวะ อย่างนี้เป็นต้น ฌานก็หมดหน้าที่ บุญก็หมดหน้าที่
แต่ฌาน ยังใช้ภาษาว่าเป็นฐานพลังงานที่เอามาใช้ ไม่ใช่เอาไปใช้ในการเผากิเลสแล้ว แต่ใช้เป็นพลังงานอาศัย โดยมันมีวิตกวิจาร มีปีติ สุข และมันมีเอกัคคตา เป็นเนื้อหาของคุณธรรมที่จะต้องอาศัยใช้ เป็นเอกัคคตา เป็นหนึ่ง อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นสุขสงบ หรือ จะเป็นปีติ อาศัยบ้าง ยินดี และแน่นอนมีการวิตกวิจาร คือการวินิจฉัย แยกแยะ ต้องทำอยู่แล้ว ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์นั่นเอง อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่เป็น ยังไม่ถึง ยังไม่ได้ มันก็เป็นจริงอยู่ ซึ่ง อาตมามองเห็นและอาตมามั่นใจว่า อาตมาที่กล้าพูดนี้ก็มั่นใจว่าไม่ผิด ถ้าผิดมันโอ้โห ไม่ดีแน่นอน นอกจากไม่ดีแล้วโดนแย้งมาอย่างสำคัญ อาตมาพูดนี้พูดเพื่อเป็นวิชาการ พูดเพื่อเป็นความรู้ ให้ไปศึกษาตามที่อาตมาพูดให้ดีๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้าย ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 21:28:41 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563
หนังสืออ้างอิง
(พตปฎ. เล่ม 25 ข้อ 35
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 10:50:02 )
รายละเอียด
ฌาน พูดกันง่ายๆว่า คือความสงบแห่งจิต ฟังดีๆนะ ความสงบมี 2 แบบ
(พ่อครูอ่านในหนังสือที่พ่อครูเขียน และอธิบายขยายความเพิ่ม ตัวพิมพ์หนาดังต่อไปนี้)
ฌาน คือความสงบแห่งจิต คือความดับของวิญญาณ ฌานนี่คือความดับของวิญญาณ อันนี้ลึกหลายชั้น ความดับของวิญญาณ
วิญญาณคือธาตุรู้ วิญญาณคือ เทฺว (เทวะ) หรือธาตุรู้ที่เกิดจากภาวะ 2 ที่สังขารกันอยู่
เมื่อมันเป็นสังขารของเรา มันก็อยู่ในตัวเรา เมื่อมันอยู่ในตัวเรา มันก็คืออัตตาของเรา
ฟังดี ๆ นะ ค่อย ๆ อธิบายละเอียดไป
จิต 1 กาย 1 อุปธิ 1 คนละอย่างกัน นะ จิต อุปธิ กาย (คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2 ว่าด้วยวิเวก 3 อย่าง พตปฎ.เล่ม 29 ข้อ 33)
และการจะดับทุกข์ได้ ต้องชัดเจนในความเป็น กาย จิต อุปธิ หาไม่แล้วไม่บรรลุนิพพานแน่
เริ่มจาก ความเป็นกายและความเป็นจิต จะแยกขาดจากกันได้อย่างไร กายกับจิต จะแยกขาดจากกันได้อย่างไร? เมื่อไหร่? ในฐานะที่มีชีวะ-มีชีวิตอยู่ก็อย่างหนึ่ง หรือในฐานะที่ไม่มีชีวะ-ไม่มีชีวิตแล้วก็อย่างหนึ่ง
ต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง กันจริงๆ ด้วยภาวะที่มีลักษณะตาม”ธรรมนิยาม 5” (อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม) แท้ๆ จริงๆ
กายกับจิต ตามธรรมนิยาม 5 ต้องมีสภาวะ พูดพยัญชนะก็ต้องรู้ว่าสภาวะของอาการอุตุนิยามเป็นอย่างไร สภาวะอาการที่เป็นพืชหรือพีชะ หรือสภาวะเป็นจิต คืออย่างไร แล้วสภาวะที่จะต้องเป็นการกระทำกับอุตุ ทำให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ เป็นจิตนี่แหละ จนกระทั่งทำได้แล้วก็ทรงไว้ เรียกว่า ธรรมะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2567 ( 16:02:31 )
รายละเอียด
สีลัพพตปรามาส คือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิในศีลแล้วรู้จักว่าปฏิบัติศีลคืออย่างไร เมื่อตั้งศีลขึ้นคุณก็ต้องปฏิบัติตาม อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดสัทธรรม 7 เป็นฌานขึ้นไปเป็นลำดับ เป็นพลังงานทางจิตที่พัฒนาขึ้นมาเป็นปัญญากำจัดกิเลสได้ สรุป ฌาน คือปัญญาที่รู้จักกิเลส วิจัยกิเลสได้ มีโพธิปักขิธรรม 37 ทำให้กิเลสลดลงไปได้ นั่นคือศีลมีบทบาท แต่แม้ผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้วในศีล แต่ไม่ปฏิบัติธรรม มีแต่ปรามาสมีแต่ลูบๆ คลำๆ รู้แล้วล่ะ เหมือนตำรวจไปจับโจร รู้จักโจรแล้วแต่ก็ยังเล่นหัวอยู่กับโจร นั่งกินข้าวต้มกุ๊ยอยู่กับโจรแต่ไม่ได้จัดการจับโจรฆ่าโจรอะไรเลย เหมือนอย่างนั้นก็คือ สีลัพพตปรามาส เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทาง
สีลัพพตปรามาส คือพ้นสังโยชน์ 2 ข้อแล้ว พ้น สักกายทิฏฐิ กับวิจิกิจฉาแล้วแต่ไม่พ้น สีลัพพตปรามาส ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์คุณก็ไม่ได้ปฏิบัติ พรต คุณก็ไม่ปฏิบัติแม้คุณจะสัมมาทิฏฐิแล้วคุณก็ไม่ได้ปฏิบัติ ศีล ก็เลยไม่ได้เกิดมรรคผลของศีลเลย ศีลไม่มีพรต ศีลไม่มีการปฏิบัติ ต่อให้คุณสัมมาทิฏฐิแล้วแต่ไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่มีอะไรเกิด นี่คือรายละเอียดของสัจธรรมต่างๆ สังโยชน์ 3 ข้อแรกไม่ผ่านตั้งแต่ข้อที่ 1
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 21:31:50 )
รายละเอียด
ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย คิดเอาเองไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจริงเข้าถึง ฌาน อย่างเช่นอาตมาอธิบายธรรมชาติจิตอาตมาไม่เป็นฌาน เละไปหมดเลย ขนาดนั้น ยังมีสัญญาวิปลาสเป็นบางครั้งบางคราวเลย
ฌาน คือปัญญา ปัญญาคือฌาน แล้วปัญญาจะมีในการหลับตาไม่ได้ ต้องเกิดในการลืมตา ใน มหาจัตตารีสกสูตรยืนยันไว้ชัด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จะเกิดจากการปฏิบัติ มีธัมมวิจัย สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สมาธิของมรรคมีองค์ 8 ไม่ใช่ข้อ 8 เท่านั้นนั่งหลับตาทำเลย ส่วน 7 ข้อแรกก็ตัดทิ้งไปไม่ใช่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 04:34:38 )
รายละเอียด
คำว่า ฌาน คำเดียวนี้ ยาก ยากที่ชาวเถรสมาคมจะเข้าใจได้ เพราะฌาน ไม่ได้หมายความว่าไปนั่งหลับตาเลย ของพระพุทธเจ้า ฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาเลย
ฌาน คือพลังงานที่เป็นปัญญา ที่รู้จักกิเลสที่แฝงอยู่ในจิตเจตสิกต่างๆ ฌาน มีปัญญา รู้จักกิเลสที่แฝงอยู่ในจิตเจตสิกต่างๆ แล้วรู้วิธีทำให้กิเลสนี้ลดละ จางคลาย ดับลงไปได้
นี่คือ ประสิทธิภาพของฌาน หรือ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า
ฌาน นี้คือปัญญา ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหน ฌานอยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจน
นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต
ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 25 ข้อ 35)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 21:00:12 )
รายละเอียด
ซึ่ง “สำรวมอินทรีย์ภายนอกทั้ง 6-ปฏิบัติตัดกิเลสในการกิน-พากเพียรเรียนรู้ปฏิบัติออกมาหา ความตื่น (ชาคริยา) ทั้ง 3 ข้อนี้ ท่านยืนยันไว้ด้วยว่า การปฏิบัติธรรมต้องมีอยู่ครบ จึงจะถือว่า ไม่ผิด ต้องไม่ขาด ข้อปฏิบัติ 3 ข้อ นี้ จึงจะเป็น การปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณก = ไม่ผิด,ชอบธรรม,จริง,แน่นอน)” กันทีเดียว
แต่ผู้ปฏิบัติที่หลงว่า “หลับตาเข้าไปทำ ‘จิตรวมกันเข้าๆๆๆ’ ให้เป็น‘จิตหนึ่ง’สำเร็จ” ด้วยการข่มเข้าไป บีบเข้าไปๆ จนแน่นก็เกิด “ฌาน” เกิด “สมาธิ” แบบ “วิขัมภนะ” คือ ด้วย “การข่ม” ..มันก็ได้ ก็เป็นแบบ “ข่มเอา” ไง! ก็เป็น “ผล” ของแบบ “โลกีย์เดียรถีย์สามัญทั่วไป” ที่รู้กันง่าย มีกันดาษดื่นอยู่ประจำโลก เป็นสาธารณะ ในศาสนาลัทธิต่างๆ ต่างก็ทำได้แต่“แบบโลกีย์”นี้
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 282 หน้า 220
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:03:56 )
รายละเอียด
เข้ามาถึง อยู่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 เข้าสู่จรณะ 15
ฌาน ทั้ง 4 ของศาสนาพุทธไม่ได้ด้วยการนั่งหลับตา ซึ่งสากลทั่วไปในโลกเข้าใจว่า ฌาน ได้จากการหลับตา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นได้จากการลืมตา ปฏิบัติศีลเป็นหลักแล้วก็เข้าหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะเกิดสำนึกในสัทธรรม 7 เกิดสำนึกศรัทธา ปัญญา อยู่ในนี้
เมื่อสำนึกในศรัทธา ในปัญญาพาให้สำนึกได้ ก็แก้ไขปรับปรุง เป็นผู้ได้ดี พหูสูต เป็นผู้เจริญจริงได้ดีจริง สั่งสมความจริงนี้ขึ้นมา
เมื่อได้เป็นพหูสูต ผู้ที่ได้ดีจริงมีความรู้จริงดีจริง ขึ้นมา ก็ขยายผล ตัวเองก็งอกงามไพบูลย์เจริญต่อ ขยายผลด้วย วิริยะ สติ ปัญญา
สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ พากเพียรที่จะให้มีสภาพ 2 คือสติและปัญญา
สติปัญญาเราจะเรียกคู่กันเสมอ จริงๆแล้วก็ไม่แยกกันสติกับปัญญาไม่แยกกัน แยกกันไปก็เสื่อมแล้ว เป็นคู่ที่ไม่เสื่อมต้องไปด้วยกันช่วยกัน เป็นพลังงานเหมือนกับ Static และ Dynamic
คุณจะเข้าใจ Static ว่าเป็นสติ เข้าใจปัญญาว่าเป็น Dynamic หรือเข้าใจสติว่าเป็น Dynamic ปัญญาเป็น Static ก็ได้ไขว้กัน แต่รู้สภาวะจริงของสติคืออย่างไร ปัญญาคืออะไร
สติคือการตื่นรู้ ตื่นรู้ให้เต็มร้อย ที่จริงสติมีจากรากศัพท์ว่า สตะ แปลว่า ร้อย
ถ้าหลับอยู่มันก็ไม่ได้ตื่นอยู่แล้วแค่นี้ก็ต้องเข้าใจว่ามันแตกต่างกัน ตื่นนี้คือตามันเปิดกว้างเห็นรู้ทั่วกัน เหมือนกันกับทุกคนเห็นหู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสก็รู้เหมือนกับคนอื่นเขารู้เหมือนกัน แต่คุณหลับตานั้นไม่รู้เลยห้าอย่าง ตา หู จมูก ลิ้นกาย คุณไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นคุณอยู่ในภพแคบในกะลาครอบ มันก็รู้น้อยกว่าแน่นอน
รู้ 5 อย่างไม่ได้หมายความว่าข้างในจิตไม่รู้มันรู้พร้อมกับภายนอก 5 อย่างด้วย มันไม่ได้แยกกัน แต่คุณต่างหากแยก 5 อย่างออกจากกัน คุณเอาเดี่ยว คุณจำกัดจำเขี่ยตัวเองไปมุดเข้ารูไปเอง อันนี้สิมันเป็นความโง่ของตนเอง
เพราะฉะนั้นก็ขอตีหัวเข้าบ้านพวกหลับตาอีกที เลิกได้เลยหลับตามันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พูดมาไม่รู้กี่ทีก็ยังเป็นพญานาคเป็นโจรปล้นศาสนา ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวัน เย็น ก็ยัง บื้อ อยู่อย่างนั้น ข้าจะเป็นโจร ข้าก็ไม่รู้ไม่ชี้ ข้าก็เป็นพญานาคหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ข้าจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเกิด 1 องค์อีกแล้วเหรอรู้แค่นี้แล้วก็หลับไม่รู้อะไรต่อไปอีก พญานาคที่เฝ้าถาดทองของพระพุทธเจ้านี้
อาตมาขยายความพวกนี้ละเอียดลออชัดเจนนี้ชัดขึ้นใหม่ พญานาคมีจริงหรือไม่มีจริง ไม่มีจริง
มีคนตอบว่าจริงก็คือคนที่ง่วงนั่นแหละ
นี่เป็นสิริมหามายาจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ ชัดเจนเราก็ไม่แย้ง เรารู้แล้ว ก็เข้าใจแล้ว ใครยังมีอยู่ เลยเถิดไปบอกว่าไม่มีจริงๆเป็นอุจเฉททิฏฐิก็ได้ หรือใครบอกว่าไม่มีจริงก็ได้ หรือมี นี่คือ 2 ที่แยกเป็นหนึ่งไม่ได้เลยอาศัย 2 อันนี้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 11:36:23 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 11:36:50 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:48 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:38:30 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 17:35:42 )
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:09:34 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:40:42 )
รายละเอียด
จิตเราก็จะเป็นฌาน ฌานคืออะไร คือพลังงาน มันเผากิเลส รู้กิเลสดับกิเลส ทำลายกิเลส เป็นอินทรีย์ของ บุญ
บุญคือ พละของการดับกิเลสตัวเด็ดขาด อินทรีย์กับพละ ฌาน จึงมี 1 2 3 4 บุญจึงมีอันเดียว อินทรีย์ จึงมีหลายอัน พละ ก็มีอันเดียว อินทรีย์ก็มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ สุดท้ายเป็นปัญญา ปัญญาคือพละ พละคือปัญญา อย่างนี้เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:22:52 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นสำเร็จด้วยไฟ สำเร็จก็มีพยัญชนะคำว่าบุญเป็นตัวตบท้าย
ฌาน มี คำว่าบุญเป็นตัวคู่
พอไป บุญ จะใช้พยัญชนะว่าฉลาดอีกคู่ก็ไม่ได้ เพราะฌานมีปัญญาเป็นคู่แล้ว ปัญญาอยู่ไหน ฌานอยู่นั่น เป็นแต่เพียงเอาพยัญชนะไปแทน ฌานคือไหม้สิ่งที่เลวร้าย เป็นศัตรู เป็นไม่ดี สิ่งที่เป็นกิเลสเลวร้ายไหม้ให้หมดเลย คำว่าไหม้คือความรู้ยิ่ง คือปัญญา ที่มีพลังงานเป็นไฟ แต่จะบอกว่าไฟ ต่อๆไปอีกก็น่ากลัว แต่เป็นพลังงานอุณหธาตุที่สลายไฟราคะ ก็เป็นอุณหธาตุที่เป็นของผีของมาร ซาตาน แต่นี่เป็นอุณหธาตุของพรหม เป็นผู้รู้ผู้เจริญ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:47:17 )
รายละเอียด
คือ ฌาน สมาธิ ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดในการนั่งหลับตา ต้องเกิดจากการลืมตาปฏิบัติ ต้องเกิดในขณะการทำงานอาชีพ ขณะทำกรรมการงานทุกอย่าง กัมมันตะในขณะพูด ในขณะคิด ไปหลับตาปฏิบัตินี้ผิด100%
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 14:09:32 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 20:16:01 )
รายละเอียด
เรื่องที่อาตมาเอามาพูดในธรรมะต่างๆ ของพระพุทธเจ้านี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกวันนี้ เขาไม่เข้าใจตามที่อาตมาพูดนี้ มันได้ผิดเพี้ยน มันได้หาย มันได้เลือนไปเหมือนกลองอานกะ ในอานีสูตร
เช่นคำว่า ฌาน คำว่า สมาธิ
แม้แต่คำว่า กาย คำว่า บุญ (ปุญญะ) หรือแม้แต่คำว่า ปัญญา ก็เข้าใจเพี้ยนไป จนอาตมาต้องพยายามดึงกลับเข้ามาหาเนื้อแท้ของมัน เพราะถ้ามันใช้เพี้ยนจากเนื้อแท้ของมันมันก็เสื่อม ก็ต้องดึงกลับมา ไม่ดึงกลับมาก็ไม่ได้เพราะท่านหมายอย่างนั้น มันก็เพี้ยนไป ก็ออกนอกลู่นอกทาง ก็ไม่ได้สาระสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:48:38 )
รายละเอียด
ขยายคำว่า “ฌาน” ต่อ เริ่มต้นจุดแรก ของความเป็นฌานคืออะไร คนสัมมาทิฏฐิจะตอบตรงกันว่า ฌานคือสภาวะจิตในขณะที่ไม่มีนิวรณ์ 5 นี่คือคำจำกัดความหรือนิยามคำว่าฌาน ฌานคือ ขณะใดที่จิตคุณ ดูเลยขณะนี้ ปัจจุบันนี้ มันไม่มีนิวรณ์ 5 อาการนั้นเรียกว่า ฌาน
ถ้าอาการที่ไม่มีนิวรณ์ 5 ที่จิตเราเป็นฌานนี้ สั่งสม ตกผลึก ตั้งมั่นลง ภาษาเรียกว่าสมาธิ ภาษาทั่วไป ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านแยกมาเรียกว่า สมาหิโต ของพระพุทธเจ้า สมบูรณ์แบบเลย ยืนยันด้วยหลักการทั้งหมด เอาเจโตปริยญาณ 16 มาเป็นกระบวนการทั้งหมด ของภาวะจิต ที่เป็นกิเลสตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด จนสุดท้ายถึง วิมุติ อวิมุติ ตรวจสอบเป็น 2 คู่ ตั้งมั่นกับไม่ตั้งมั่น วิมุติกับอวิมุติ นี้เป็นอนุตรจิตแล้ว เป็นจิตเหนือสูงสุดแล้ว เป็นคู่สุดท้าย แล้วเลือกเอาที่สมบูรณ์สุด สมาหิโตกับวิมุติ มาเป็นอนุตรจิตเป็นจิตที่เหนือ ไม่มีอะไรเหนืออีกแล้ว นี่คือตัวจบของเจโตปริยญาณ 16 คนที่ยังตามไม่ทันก็พยายาม อาตมาเอาคู่ปลาย วิมุติกับอวิมุติ สมาหิตะกับอสมาหิตะ 2 คู่แล้วก็จับเอาตัวถูกต้อง คือ สมาหิตะกับวิมุติ 2 ตัวนี้ มารวมกัน สุดท้ายจบ เป็น อนุตรจิต จิตสูงสุดก็คือตัวที่ตั้งมั่น ถูกต้องที่สุด กับหลุดพ้น ถูกต้องที่สุด ก็จบ จิตก็สมบูรณ์แบบที่สุด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 4 ประการ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 กันยายน 2565 ( 13:53:48 )
รายละเอียด
ฌาน เกิดได้จากการมีศีล และมีอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วสร้างด้วย สัทธรรม 7 ก็จะเกิด ฌาน 1 2 3 4 ที่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ไปเข้าใจผิดว่า ฌาน คือการนั่งหลับตาสะกดจิต ไปหลงทาง ไปหลงทำให้จิตนิ่งสงบแล้วหยุดนี่คือจบ แต่ไม่รู้ว่า หลงทาง คือการปฏิบัติอย่างไรให้จิตสงบ แต่ไปกดข่มจิต ดับเวทนา ดับสัญญา ดับได้ ก็เลยกลายเป็น อุทกดาบส อาฬารดาบส พวกเดียรถีย์เก่าโบราณทำอย่างนั้นได้ ทำได้เหมือนกันสะกดจิตได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 พฤศจิกายน 2564 ( 21:43:32 )
รายละเอียด
มาเข้าสู่ฌาน เข้าฌานคำนี้เป็นภาษาเนาะ แต่ที่จริง ฌาน ไม่ได้เข้าไม่ได้ออกหรอกเป็นสามัญ ฌานของพระพุทธเจ้าคือสัจธรรมที่จิตไม่มีนิวรณ์ 5 คุณมีอยู่ในปัญญาของคุณ คุณรู้ได้ว่า อาการนิวรณ์เป็นอย่างนี้ แล้วคุณก็ทำให้ไม่มีนิวรณ์ในจิตได้ นั่นแหละคือ ฌานแท้ๆ
ที่นี้มันก็มีนัยยะสำคัญ 2 ประการคือ
1. กดข่มไว้ ไม่ให้มีอาการ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา คุณทำได้ 4 อย่างนี้ไม่มีอาการ กาม พยาบาท รู้แล้วละ ถีนมิทธะ ที่เกาะตัว อุทธัจจะกุกกุจจะ ที่ฟุ้งซ่านก็ไม่มี จะบอกว่าไม่เกาะมันก็เกาะ ของ เดียรถีย์ นิ่ง แต่ของพุทธไม่นิ่ง มันไม่เกาะตัวแต่มันไม่มีนิวรณ์ 5 จิตไวคล่องแคล่วเป็น มุทุภูตธาตุ แล้วทำงานด้วยการอยู่เหนืออาการจิตของตัวเอง ให้จิตมันทำงาน วิตกวิจาร คุณวิเศษของจิตวิญญาณที่ทำได้ มันมีแต่ประโยชน์กับประโยชน์และประโยชน์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 4 ประการ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 กันยายน 2565 ( 14:24:54 )
รายละเอียด
มันเกิดดับในปัจจุบัน เกิดในขณะนั้นถ้าใครมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ความสามารถมนสิการทำจิตในจิตของตนเองให้เป็นพฤติการณ์ของการฆ่า คือการเกิดปฏิกิริยานั้น ฆ่ากิเลสตาย ฆ่าไม่ผิดด้วยบุญเนี่ย เพราะฌาน เป็นปัญญานำมาก่อน แล้วก็นำการฆ่ามาด้วย บุญก็ร่วมฆ่า เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ยืนยันว่าต้องตายเด็ดขาด เจอดาบของบุญแล้วกิเลสต้องตาย
ดาบที่ 1 2 3 ยังไม่ตายเจอดาบที่ 4หรือดาบที่ 5 บางทีอภิธรรมเขาก็ถือว่ามี 5 ฌาน มี 5 ตายเด็ดขาดเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเรื่องรายละเอียดพวกนี้มันเป็นเรื่องที่คิดเอาเองไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องมีความรู้จริง มีสภาวะธรรมจริง อาตมาเป็นคนจริง เป็นคนบรรลุธรรมมาจริง พูดแต่ความจริง ไม่ได้พูด เหลาะแหละ หรือ ผิดไปจากความจริงเลย พูดแล้วก็น่าหมั่นไส้แต่พูดความจริงบอกความจริงอีก ถ้าคุณไม่มีจิตอคติไม่เพ่งโทษ ฟังอาตมาให้ดีๆ จะรู้ว่า คนอย่างอาตมานี้ คนลอกเลียนการพูดอย่างอาตมา ลอกเลียนไม่ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิชชาจรณสมบัติ และพรหม 20 ชั้น วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2565 ( 09:04:06 )
รายละเอียด
ฌาน คือ ใช้เป็นเครื่องอาศัยไปกับการดำเนินชีวิตได้ตลอดของพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ ผู้มีภูมิ ผ่านกตญาณแล้ว ซึ่งแตกต่างกับคำว่า ฌานที่ยังทำหน้าที่บุญ
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:32:58 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 20:56:12 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:42:56 )
รายละเอียด
ฌาน คือ ไฟ เอาตัวพรางคือกิเลสตัวที่ทำให้คนอวิชชา โง่ หลงผิดยังไม่จริงแท้ เต็มสมบูรณ์ ฌานจะมีคุณสมบัติอย่างนี้ โดยฌานที่ 1 ก็ต้องตรวจแล้ว ตรวจอีก วิตก วิจาร ดูแล้วดูอีก ทบทวนซ้ำปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำอีก ตรวจแล้ว ตรวจอีก ปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีก จนให้ถึงที่สุดแห่งที่สุดให้ได้ จุดหมายอยู่ตรงนี้ เราก็ทำไปฌาน 1 วิตก วิจาร อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง จนกระทั่งยิ่งปฏิบัติก็จะยิ่งปีติมันก็จะยิ่งเป็นความจริง พอใจ ยินดี แล้วจะกลายเป็นความสงบสุข สุข คือ ด้วยความจะหยุด ก็จะค่อยๆ สงบลงไม่ต้องไปทำอะไรอีก พอ เบาได้แล้ว หยุดได้แล้ว สุขสงบลงไป เรียบร้อยไปเรื่อยๆ เพราะความจริงปรากฏ เพราะสิ่งที่เราได้ปฏิบัติ ประพฤติจนเป็น จนมี มันมี มันเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นตัวกิเลสตัวที่กวนไม่สงบมันหมดๆๆ จนตรวจสอบถึงขั้นอรูป อากาสาฯ วิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา เบาบางละเอียดจนสุดละเอียดลงไปเรื่อยๆ จนหมดจะว่าไม่จริงก็ไม่ได้จะว่าไม่ได้ตรวจสอบก็ไม่ได้ ตรวจสอบกันจนกระทั่งจะไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไม่ได้ จะว่าใช่มันสุดจะใช่แล้ว เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันสุดยอดสมบูรณ์แบบ พ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ การสำคัญมั่นหมายลงไปในสิ่งนั้นจนสมบูรณ์แบบ สัญญาทำงานเต็มที่นิโรธแน่นอน ซึ่งดูได้จากการตรวจสอบจากเวทนา คือ ความรู้สึกซึ่งเป็นตัวกรรมฐานแท้ ตัวปฏิบัติแท้ของพระพุทธเจ้าเวทนา เป็นกรรมฐานเดียวด้วย
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:12:57 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 20:52:43 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:44:47 )
รายละเอียด
แล้วก็จัดการ“อภิสังขาร(การทำใจในใจของตนอย่างวิเศษนั่นเอง)” ให้ได้ตามที่เราประสงค์ ให้สำเร็จผลไปเป็นขั้นๆ จนจบเสร็จถึงขั้นบริบูรณ์ นั่นคือ “ฌาน 1”มีองค์ 5 ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข
เอกัคคตา
วิตก คือ วิ + ตก หรือ ตักก
วิจาร คือ วิ + จาร
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 287 หน้า 223
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:21:49 )
รายละเอียด
ฌาน คือ การสร้างพลังงานจิต ที่สามารถไปทำลายพลังงานที่มันเป็นต้นตอ เรียกว่าวิญญาณ พลังงานธาตุรู้ ธาตุไฟ หรือธาตุเย็นก็แล้วแต่ สามารถรู้ความจริงของสภาวะพวกนี้ แล้วก็ทำได้ สร้างได้ เอามาใช้ได้ เป็น วสวัตตีโก ผู้ที่มีอำนาจเหนือพลังงานเหล่านี้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถสร้างพลังงานจิตของตัวเองได้ตามต้องการ ที่ใช้ถูกสัดส่วน ถูกกับเรื่องราว ถูกกับโอกาส ในขณะที่จะทำให้เป็นประโยชน์คุณค่า มีแต่เจตนาดีไม่มีเจตนาร้ายไม่สร้างสิ่งที่ร้าย สร้างแต่สิ่งที่ดี ตามปัญญาจะรู้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 16:53:55 )
รายละเอียด
เทวนิยมไม่เข้าใจฌานวิสัยที่เป็นโลกุตระ แต่ฌานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จะรู้กันง่ายเลย ตัวจบของพลังงานฌานจะจบเมื่อเผากิเลสเสร็จก็เป็นบุญ เป็นตัวประหารตัวจริงตัวเพชฌฆาตตัวจริงส่วนตัวที่เป็นผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจอะไรต่างๆ ก็คือฌาน
ฌานคือพลังงานอุณหธาตุคือไฟ แต่เขาไปแปลฌานว่าเพ่ง ซึ่งมันเป็นภาษาที่บอกวิธีสะกดจิตให้หยุดนิ่งเท่านั้น
ฌาน ไม่ใช่เป็นไฟที่เผาแล้วจึงจะเย็น แต่ว่าตัวฌานนี้ไม่เย็น บุญก็ไม่เย็น มีแต่ร้อนเพราะมันต้องสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะให้หายไปเลย มันต้องมีพลังงานเหนือ พลังของฌาน พลังบุญ ต้องมีพลังงานที่เหนือพลังของราคะ โทสะ โมหะ ถ้าไม่เหนือเป็นอุตระแล้วมันจะไปสลายพลังงานราคะ โทสะ โมหะได้อย่างไร มันจะต้องเหนือชั้น เหนือชั้นด้วยปัญญา
พระพุทธเจ้าว่าไว้ ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:39:27 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:42:23 )
รายละเอียด
ใครสามารถทำให้เกิดฌานได้ ปัญญาก็เกิด เพราะว่าฌานคือตัวปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌาน ปัญญา ทำคนละหน้าที่ หน้าที่หนึ่ง เป็นตัวตี ตัวทำลายคือฌาน หน้าที่หนึ่ง เป็นตัวรู้คือปัญญา ฌานเป็นตัวเผาทำลายศัตรู ส่วนปัญญาเป็นตัวฉลาดรู้ช่วยกันแยกกันไม่ได้ ฌานกับปัญญาเป็นคู่เทวที่ยิ่งใหญ่
ฌาน คือตัวเผา ตัวไฟ ส่วนปัญญา คือตัวลม
ไฟกับลมเป็นคู่กัน
เอ็งไหม้ข้าเป่า เอ็งเป่าข้าไหม้ ไหม้คือไหม้เผา ไม่ใช่ ไม่คือหยุด แต่ให้ไหม้ลามใหญ่เลย คุณทำให้ไฟไหม้แล้วเอาลมเป่ามันก็ยิ่งพัดให้ไฟเผาลามมากยิ่งขึ้น รวมกับไฟช่วยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 เมษายน 2564 ( 21:18:31 )
รายละเอียด
ฌานกับสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นแยกกัน เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าฌาน อาตมาก็เข้าใจฌานไม่เหมือนกับที่เขาเข้าใจ ว่า ฌานนั้นเป็นพลังงานที่เกิดได้ด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 มีศีล มีจรณะ 15 ฌานของพระพุทธเจ้าต้องเกิดด้วยวิธีของจรณะ 15 ไม่ได้มีหลับตา ไม่ได้เข้าอยู่ในภพในภวังค์ ต้องเป็นการ เปิดจิต ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น จึงจะเกิดพลังงานปัญญา ฌานเป็นพลังงานปัญญาที่รู้จักกิเลส แล้วทำให้กิเลสลดได้ด้วยเพราะฌานคือพลังงาน อุณหธาตุ ฌาน คือไฟ คือเตโชธาตุ อุณหธาตุ เผากิเลสหายไป อย่าว่าแต่ขี้เถ้าเลย ขี้เถ้าก็ไม่เหลืออย่างนี้ เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 แรม 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 มกราคม 2567 ( 19:02:57 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้น จิตนี้จึง กัมมัญญา มาทำงานอะไรก็คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวเรียบร้อย ได้สมเหมาะสมควร สมดุล ดีทุกประการเพราะมีทั้งการประมาณได้เหมาะเจาะดีที่สุด ปโหติ ทำการงานก็เก่งมีสมรรถนะสูงสุดไปด้วย ทำเท่าไหร่เท่าไหร่ จิตก็ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์เรียกว่า จิตประภัสสร คุณจะทำอะไร อย่างไรก็สะอาดยิ่งกว่าเดิมขึ้นด้วย ยิ่งใสๆๆ ประภัสสร
แต่ไม่ใช่ใสอย่างพวกธรรมกาย ก็จะไม่พูดถึงเขา คนจะแย่เต็มที่อย่างธรรมกายก็แย่แล้ว ก็จะมีคนจํานวนหนึ่งงมงายอยู่ตรงนั้นต่อไป ซึ่งก็มีแน่นอนเขาต้องมีบริวาร พระเทวทัตก็ยังต้องมีบริวาร ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก คนในโลกนี้ก็ต้องมีจำนวนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นมันจะเป็นสภาพ 2 อยู่เสมอ มีทั้งบวกและลบ มีผิดมีถูกเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ฌานกับสมาธิ มันเป็นสภาพที่มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันอยู่ที่ว่า ฌานนั้นเผากิเลส เผาออกให้จิตสะอาดตกผลึกเป็นสมาธิ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 14:32:03 )
รายละเอียด
ฌานของพระพุทธเจ้า คือ การทำกิเลสออกจึงเรียกว่า “ฌาน” เผากิเลสเป็นจรณะ15 เกี่ยวกับ
ศีลข้อ1 คนเกี่ยวกับสัตว์ คุณจะไปทำร้ายมันจะไปฆ่าแกงมัน ก็ไม่รู้เรื่องเลย อปัณกธรรม3 คุณไม่เคยปฏิบัติ สำรวมอินทรีย์6 โภชเนมัตตัญญุตา คุณจะเกี่ยวข้องกับมันแล้วเอามาบริโภคอุปโภค เกี่ยวกับสัตว์คุณละอายหรือไม่คุณมีความขี้โลภหรือไม่ ฌานของพระพุทธเจ้าเกิดจากศีลเกิดจากการปฏิบัติ อปัณกธรรม3 เกิดสัทธรรม7 ปฏิบัติอย่างหลับตามันทำให้เกิดความเย็นไม่เกิดไฟในการเผากิเลสไม่เป็นฌานแต่ “ฌาน” คือ “ไฟ” เผากิเลส เขาไม่รู้จักกิเลส รู้จักแต่การดับ แต่การทำฌานคือเผากิเลสทำให้เกิดวิราคานุปัสสีเผากิเลสจนดับเห็นนิโรธานุปัสสี สมณะโพธิรักษ์ได้เห็นสิ่งใดแล้ว เอามาพูด มันหมดแล้วจึงประกาศได้ว่าเป็นอรหันต์ พวกเราอยากเป็นอรหันต์ แต่พวกเขาไม่เอาเขาจะไปนั่งหลับตาแล้วเป็นอรหันต์ พวกนั้นจึงน่าสงสาร อรหันต์ไม่มีหรอกอย่างนั้น ต้องมาทำอย่างนี้คือ รู้จักกิเลสลด กิเลสเพิ่ม หมดกิเลสจริงเป็นพระอรหันต์ พวกเขาจำนนทุกอย่างที่ท่านสอนแต่เขาจะทำอย่างอาจารย์ขาทำแบบเดิมเขาจึงเป็นพวกที่ไกลจากวิเวกและจมไปด้วยกิเลสไม่ใช่ผู้ไกลจากกิเลส
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 09 ตุลาคม 2562 ( 09:02:03 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 21:00:12 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:41:18 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:07:20 )
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:10:20 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:43:28 )
รายละเอียด
ถ้าเกิดว่าจิตของเราไม่อยากอยู่ ถูกบังคับอยู่ อยู่ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็ไป ถูกพ่อแม่บังคับ หรือถูกอำนาจของผู้ใหญ่ใครก็แล้วแต่มาบังคับให้อยู่ โอ้โห! นับวันนับเดือนนับปี อยากจะออกๆ แต่คนก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะออกอะไร ธรรมดา อยู่ได้ มันก็มีบารมีแล้ว คนที่ไม่มีบารมีก็เห็นใจนะ อาตมาก็เห็นใจว่าอย่าอยู่เลย อยู่แล้วมันทนทรมาน ลำบากอยู่ อยู่อย่างยากอยู่อย่างลำบาก ไม่เป็นฌานเลย ไม่มีพลังไฟ พลังอุณหธาตุ ที่จะทำให้กิเลส ไม่มารบกวนกันเกินจนเดือดร้อนเพราะเป็นคนที่มี ฌาน อยู่ในตัว นี่คือฌานของพระพุทธเจ้า
ฌาน ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตเอา ไม่ใช่ อาตมาก็อธิบายยาก เพราะมันเป็นอจินไตย ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้ามันเป็นพลังงานของปัญญา เป็นพลังงานระดับปัญญาประเสริฐ
คนจะรู้จักเรื่อง ฌาน ของพระพุทธเจ้า เป็นฌานวิสัยไม่ง่าย ยิ่งไปหาในพระป่าหรือจะไปหาในสายไหนไม่มีหวังที่จะเจอ ขนาดมีอยู่ในชาวอโศกเขายังบอกเลยว่า ฌานอะไรมัน
ดุ๊กดิ๊ก ดุ๊กดิ๊ก นั่นแหละคนยิ่งมีฌาน ยิ่งแคล่วคล่องทางกาย กายปาคุญญตา ยิ่งแคล่วคล่องทางจิต จิตปาคุญญตา ฌาน มันตรงกันข้ามกับที่เขาเข้าใจ คนละทิศคนละทาง คนละฝั่งเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 14:44:16 )
รายละเอียด
ฌานของพระพุทธเจ้าคือเป็นอาการ เป็นประสิทธิภาพของจิตวิญญาณที่เข้าใจทุกอย่างได้ เปิดเผยและตื่นอยู่ตลอดเวลา ลืมตา ได้ยินเสียงเต็ม 100% ฌานไม่ได้ไปหลับตา ไม่ได้ไปทำหรี่ ไม่ได้สะกดความรับรู้ทั้ง 5 ทวาร 6 ทวารให้หรี่ให้หลบเข้าไปในภวังค์ ฌานคือความตื่นเต็ม 100% ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตื่นออกมาแล้วรับรู้ทุกอย่าง ฌานของพระพุทธเจ้านั้นจะปฏิบัติได้ต้องมีศีล อปัณกะปฏิปทา 3 นี่เป็นหลักยืนยันอปัณกะปฏิปทาแปลว่าไม่ผิดไปจากพุทธ ถ้าผิดไปจากเอาไปอปัณกะปฏิปทา 3 นี่แหละนอกพุทธ
อปัณณกปฏิปทา 3 1.สำรวมอินทรีย์ 2.โภชเนมัตตัญญุตา 3.ชาคริยานุโยคะ ซึ่งอาตมาแปลว่า กิน อยู่ หลับ นอน ตื่นแล้วสำรวมอินทรีย์คือเป็นอยู่เป็นอยู่อย่างสำรวม สำรวมนี่แหละเป็นผู้ที่จะต้องตื่นรู้ตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่เป็นปกติและปฏิบัติในการตื่นเต็มร้อย ตา หู จมู กลิ้น กาย ไม่ใช่ไปหลับไปหรี่เลย ไอ้นั่นมันขอเดียรถีย์โมฆะ เห็นความเสื่อมไหม ไปนั่งหลับตา มันเสื่อมเดี๋ยวนี้ก็ยังไปหลงอยู่ อาตมาพูดไปเถอะ เขาจะไม่เชื่ออาตมา เขาจะเชื่ออาจารย์ที่พาเขาผิด เพราะเขาได้โง่สนิทสมบูรณ์แล้ว เขาจึงฟังอาตมาไม่เข้าใจ ไม่ขึ้น คนที่ฟังอาตมาแล้วแว้บๆว่าอันนี้น่าจะถูกนะเออ..คนนี้ ชักมีหวัง แต่คนที่ไม่แว้บเลยหาว่าอาตมามาทำลายศาสนาอีก อันนี้น่าสงสารแต่เราบังคับไม่ได้หรอก ไปทำอะไรกันไม่ได้ อาตมาก็ได้แต่แสดงความจริง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมะพ่อครูไม่เหมือนใครตรงที่...คนทำตามบรรลุได้จริง วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2566 ( 11:19:06 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:29:24 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:20:13 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:40:28 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นในเรื่องของคำว่าบุญก็ดี คำว่ากายก็ดี คำว่าสมาธิก็ดี คำว่าฌาน ก็ดี มันเป็นเรื่องที่จะต้องอธิบายกันอีกนาน
ยิ่งคำว่าฌาน คำว่าสมาธิ ก็เรื่องที่เขาทำกัน ปฏิบัติกันยิ่งใหญ่เลยนะ คำว่าฌาน คำว่าสมาธิ แต่มันไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่สมาธิของศาสนาพุทธ มันเป็นของทั่วไปเป็นของเดียรถีย์ เป็นของสามัญโลกีย์ มันไม่ใช่เป็นของพระพุทธเจ้า
ฌาน ต้องปฏิบัติด้วยจรณะ 15 จึงจะทำให้เกิดฌาน เมื่อปฏิบัติศีลปฏิบัติ อปันกปฏิปทา 3 แล้วก็จะเกิดจิตเป็นสัทธรรม 7 ทั้ง 11 องค์ ประกอบเป็นความเจริญของจิตที่เรียกว่า ฌาน 1 2 3 4
เรื่องไม่ง่ายเลย คัมภีรา (ลึกซึ้ง), ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก), ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก), สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่), ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น), อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้), นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน), ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูผู้ปราบมารเพื่อยังพุทธศาสนาให้ถึง 5,000 ปี วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 05:09:11 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 13:49:12 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:51:23 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:38:17 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นคำว่า ฌาน คำนี้ ฌานของพระพุทธเจ้าไม่มีหลับตา ฌานของพระพุทธเจ้ามีอยู่ในชีวิตปกติสามัญ คุณสมบัติของจิตที่มันรู้จักกิเลส แล้วมันก็สร้างพลังงานปัญญา พลังงานญาณ พลังงานวิชชา ปัญญา ให้มีธรรมฤทธิ์ คงจะเข้าใจนะให้ปัญญามีธรรมฤทธิ์ มีอำนาจ มีอิทธิพลนะ จนกระทั่งทำให้กิเลสมันยอมสยบ ตาย
พยัญชนะภาษาก็พูดได้เท่านี้ มันจะเป็นจริงถ้าคุณเกิดปัญญาเกิดญาณ เกิดวิชชา มันจะเป็นธรรมฤทธิ์ แล้วธรรมฤทธิ์ที่ว่านี้เมื่อมันเผชิญกับตัวกิเลส กิเลสของเรานี่แหละ แล้วกิเลสจะเกิดจริงก็ต้องมีผัสสะเป็นของจริง คุณไปหลับตาไม่มีกิเลสจริงหรอก มีแต่กิเลสที่เกิดในอดีตและอนาคต เพราะความจริงนั้นอยู่ที่ ทิฏฐกาละหรือทิฏฐธรรม อยู่ในปัจจุบันชาติ เป็นการเกิดอยู่ในปัจจุบัน การเกิดอยู่ในปัจจุบัน คือคุณจะต้องครบด้วย จักษุ เปิดดวงตา เปิดหูรับรู้ จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัสรู้ โผฏฐัพพะ คุณตื่นคุณจะต้องอย่างนี้ แล้วมีผัสสะ มีคู่รูปนาม มีกายนอกมีกายใน มีกายมีจิต รับรู้ 2 สภาวะเสมอ
ไปหาทางไปที่เดี่ยว อันเดียว อย่างเดียว หลับตาแล้วก็ขาด 2 ไปเป็น 1 นี้มันเป็น เดียรถีย์ เดียรถีย์เก่าเขาหยุดได้แค่นั้น เขารู้อยู่แค่นั้น มันเป็นโลกียะ มันต้องมามี 2 เสมอ แล้วสามารถทำ 2 ให้เป็น 1 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 นี่คือ ฌานลืมตา มีผัสสะ มีเวทนา เพราะฉะนั้น กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา อาการของความรู้สึก อาการของธาตุรู้ที่มันทำงานเป็นปัจจุบันชาติขณะนี้ สัมผัสแล้วเกิดจริงจึงเป็นตัวจริงของกิเลส ปัจจุบันชาติ
ไปหลับตานั้นเป็นอดีต อนาคต คิดเฟื่องไปเองทั้งนั้น แล้วมันจม มันไม่เป็นของจริง ของจริงต้องปัจจุบัน อดีตอนาคตไม่ใช่ของจริง อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง มันไม่จริง เข้าใจความจริงให้ได้ว่า ความจริงมันมีที่ปัจจุบันเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณมีแต่กิเลสหลอกของอดีต กิเลสหลอกของอนาคต แล้วคุณไปงมงายอยู่กับมันทำไม เข้าใจตรงนี้ให้ได้ เข้าใจไม่ได้ คุณไม่มีฌานของพุทธ ฌานของคุณเป็นชานหมาก เป็นชานเรือน ชานบ้าน ชานอ้อย ฯ มันไม่ใช่ ฌาน ฌอเฌอ สระอา นอหนู
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2566 ( 13:35:38 )
รายละเอียด
หากไม่สัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติได้จะไม่มีทางได้ฌานของพุทธเลย ฌานของพระพุทธเจ้าไม่หลับตา ฌานของพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติลืมตาแล้วมีสัมผัสทั้ง 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจทำงานร่วมกัน แล้วก็มีการปฏิบัติเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ เบื้องต้นก็ศีล 5 เป็นขั้นต้น ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชกับของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 คือฐานข้างนอก แล้วก็ใจ นี่คือเบื้องต้น ศีล 5 ผู้ที่ปฏิบัตินั่งหลับตา ไม่พยายามปฏิบัติให้มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย มาเรียนรู้ กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะเกิดไฟ ราคะโทสะโมหะ ไฟราคะคือศีลข้อ 3 ไฟโลภะ คือศีลข้อ 2 ไฟโทสะคือศีลข้อ 1 ก็ต้องเรียนรู้อาการกิเลสเหล่านั้นจริงๆ แล้วก็ลดมาเป็นเบื้องต้น
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่ ธันวาคม2562
เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:45:48 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 21:06:15 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:42:34 )
รายละเอียด
ธรรมะพระพุทธเจ้ายากจริงๆเป็น อจินไตย พุทธวิสัย แม้ฌานวิสัย ก็เป็นเรื่องยาก คนเข้าใจแค่ฌานวิสัยแบบโลกีย์ แบบเดียรถีย์ แบบเทวนิยมที่สะกดจิตเป็นฌาน
ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องหลับตาปฏิบัติสะกดจิต แต่ปฏิบัติ ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 จะเกิดฌาน 1- 4 ตามจรณะ 15 พูดไปอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะภูมิ ไม่ถึง ถ้าภูมิถึงจะเข้าใจ หรือ บางคนอาจจะต้องฟังหลายทีจึงเข้าใจ เพราะปัญญาข้อที่ 2 ต้องฟังแล้วฟังอีกต้องไปถามไถ่แล้วถามไถ่อีก
แม้ได้ฟังแล้วเป็นปัญญาข้อที่ 1 ได้ฟังจากพระโอษฐ์ก็ดี ฟังจากสัตบุรุษก็ดี ฟังจากผู้ที่มีภูมิในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิก็ดี ในปัญญาข้อที่ 1 ก็ต้องเข้าไปฟังแล้วฟังอีก ให้บริบูรณ์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 09:04:02 )
รายละเอียด
ฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเลย นั่งหลับตานั้นเอาทิ้งขุดหลุมฝัง ของเน่า ตอนพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ก็ไปนั่งหลับตาออกป่าเขาถ้ำกับพวกเดียรถีย์ ก็เป็นวิบากของท่าน เมื่อท่านตรัสรู้แล้วจะมาสอนแบบตัดรอนเลยไม่เอื้อเขาเลย ก็ไม่ได้ ส่วนอาตมานั้นเกิดมาในยุคที่มีศาสนาพุทธแล้ว ความถูกมันมีอยู่แล้ว ต้องมาล้างความผิดที่มันเกิด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:18:36 )
รายละเอียด
คือฌาน 1,2,3,4 ไม่ได้เกิดด้วยการนั่งหลับตา สะกดจิต เพ่งนั่น เพี่งนี่แต่เกิดจาก จรณะ 11 หลักนี้ โดยเฉพาะสัทธรรม คุณต้องมีความเชื่อมั่น เชื่ออย่างมีความเข้าใจ มีรายละเอียดพิสูจน์แล้วด้วย ศรัทธา แล้วจึงเกิดจิต มี หิริ โอตตัปปะ ลักษณะของจิตที่มีความละอาย หิริ มันเกิดในจิตของคุณจริงๆ แม้คุณจะไม่รู้พยัญชนะ คุณก็จะต้องทำให้เกิดอาการจิตที่มีความละอายจริงๆ ละอายจน กระทั่ง แข็งแรง ก็เป็นโอตตัปปะ มันไม่เอาจริงๆ เหมือนเด็กจับไฟไหม้มือ มันก็กลัวที่จะจับ มันเกิดอาการนั้นของจิต ผลสำเร็จของคุณจึงจะเกิด ถ้าไม่อย่างนั้น มันไม่เกิดจริงหรอก เมื่อคุณพิสูจน์ได้จริง ก็ทำฌานสำเร็จ สมบูรณ์แบบ สั่งสมจิตสะอาดตกผลึกเป็นสมาธิ
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 14:45:08 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 21:10:28 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:37:51 )
รายละเอียด
ฌานของพุทธเป็นพลังงานจิตที่มีคุณสมบัติพิเศษ ฌานคือพลังงานไฟที่เผากิเลสอันได้แก่ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะไง อย่างนี้เป็นต้น
ผู้ที่สามารถปฏิบัติฌานคือปฏิบัติทำใจในใจหรือมนสิการของตน ให้เป็นฌานได้สำเร็จ จึงทำบุญสำเร็จ อ่านไปฟังแล้วพวกเราเข้าใจเลยใช่ไหม
แล้วพากเพียรปฏิบัติสั่งสมผล (อนุรักขนาปทาน )ด้วย อาเสวนา ทำซ้ำๆให้คุ้นเคยแล้วมันก็เป็นภาวนา คือทำอย่างที่มันได้เกิดผล อย่างที่ได้เรียกว่า ภาวนา พหุลีกัมมัง ก็คือมาก ทำให้มาก จนกระทั่งมี อาเนญชาภิสังขาร คือมีจิตที่ปรุงแต่งได้ด้วยสมาธิ ที่มั่นคงแน่วแน่ไม่หวั่นไหวแล้ว แข็งแรงชำนาญบริบูรณ์ ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ซึ่งมีฌาน 4 ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2567 ( 18:58:23 )
รายละเอียด
ฌานของพุทธคือ
1. มีศีล 2. ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตื่นทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ไม่ตื่นก็ต้องตื่น ชาคริยานุโยคะ ตื่นมารู้ ตาก็ต้องตื่น จมูกลิ้นกายก็ต้องตื่น ไม่ไปหรี่หลับ สัมผัสโดย ตากระทบรูป หูกระทบเสียงอยู่นี่แหละแล้วกิเลสเกิดในขณะนี้คือเรื่องจริง ลิ้นกระทบรสอยู่ เกิดกิเลสไหมนี่แหละเรียนอันนี้ให้จบ ฌานคือเผากิเลสคือไฟ พลังงานทางจิต ฌานเป็นปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่นไม่มีปัญญาไม่มีฌานไม่มีฌานไม่มีปัญญา
เป็นภาษา 2 อัน อันหนึ่งคือพลังงาน อีกอันหนึ่งคือความรู้ปัญญา 2 อย่าง แต่ก็คืออันนี้แหละสภาวะอย่างนี้แหละ เกิดแล้วทำให้กิเลสมันลดได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 มกราคม 2566 ( 12:30:12 )
รายละเอียด
1. ศีลเป็นตัวตั้ง
2. อปัณกปฏิปทา 3 มี สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ การไปหลับตาก็ไม่เอาลืมตานี้ยังต้องให้ตื่นมีสติสัมปชัญญะปัญญารู้เต็มเลย ชาคริยา ต้องพากเพียรตื่นเต็ม อย่าว่าจะไปนั่งหลับตาเลย
3. จิตจึงมี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ต้องมีสติปัญญารู้ว่า กระทบอันนี้ เป็นเรื่องของบาปอกุศลที่จะเกิดความละอายกลัวเลยไม่เอาไม่ทำ ก็ประพฤติตาม เกิดเป็นพหูสูตเป็นคนเจริญเป็นปัญญาชน เห็นผลมีสติสมาธิปัญญา
4. สั่งสมลงเป็น ฌาน 1 2 3 4
5. โดยมีวิชชา 8 เป็นยาดำรู้มาตั้งแต่ตลอดสายตั้งแต่สังวรศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วมีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติปัญญา
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 66 วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:04:44 )
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 21:17:52 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:37:21 )
รายละเอียด
ผู้ยังหลงผิดอยู่ ทำ“ฌาน”แบบเดียรถีย์ ทำ“บุญ”แบบชาวโลกีย์
ของปุถุชนกันไม่เป็น“โลกุตระ”นั้น หมดสิทธิ์ที่จะได้นิพพาน
“ฌาน”ของพุทธซึ่งแตกต่างกันอย่างยิ่งกับ“ฌาน”ที่สามัญ
ทั่วไปในโลกที่ชาว“เทฺวนิยม”ทำๆกันอยู่ ชนิดที่เป็นคนละแบบ
เป็นคนละเรื่อง อยู่ดาวคนละดวงเลยทีเดียว
ผู้ทำได้จริง จึงเป็นผู้ทำ“ฌาน”แบบพุทธ ทำ“บุญ”แบบพุทธ
อย่างมีประสิทธิภาพ เกิด“สัมมามรรค-สัมมาผล”สัมบูรณ์
กิเลสหมดสิ้นอาสวะ เป็นอรหันต์ ก็สามารถจะตายลงด้วย
“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ได้จริงทุกองค์ แยกธาตุ“จิตของตน”
ให้แตกสลายไปเป็นธาตุดินน้ำไฟลม ซึ่งเป็น“อุตุนิยาม”ได้สำเร็จจริง
ตั้งแต่ตนเองบรรลุ“อรหันต์”ซึ่งเป็น“โพธิสัตว์ระดับ 4”เป็นต้นไป ได้ทุกองค์
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 493 หน้า 365
เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2564 ( 09:21:33 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นจึงเป็นความรู้ หรือเป็นความบรรลุ โดยมี ตาก็เปิด หูก็เปิด แล้วก็มี ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่างอาโลก 5 ประการนี้ อาตมาก็เอามายืนยันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยอย่างนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ไปคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านหลับตานะ ท่านอยู่กลางคืนในที่มืด ถึงแม้จะมีพระจันทร์เต็มดวงก็ตามแต่มันก็มืด ไม่มีแสงอาทิตย์ แล้วมันจะมีจักษุ จะมีปัญญาญาณ วิชชา อาโลก มันก็ไม่มีแล้ว อาโลกคือแสงอาทิตย์ มันไม่มี มันเป็นกลางคืนมีแต่พระจันทร์ 15 ค่ำเดือน 6 แล้วจะไปตรัสรู้ได้อย่างไร ตรัสรู้ก็ไม่ตรงตามที่ว่าสิ ที่มี จักษุ อาโลก มีตา มีแสงสว่างเห็นอยู่ ทำงานได้ ไม่ใช่มืด เอาเถอะไม่เอาแสงจันทร์ ไม่ใช่แสงจันทร์ อาโลกคือแสงอาทิตย์
เพราะฉะนั้นของพุทธมีนัยยะที่ต่างกันอีกเยอะแยะ ฌานของพุทธ ไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปหลับตา ไม่ต้องไปเต๊ะท่า ทำการงานอยู่เรียบร้อย ทำทุกอย่างได้เหมือนคนสามัญปกติ แต่กิเลสมันถูกฆ่าไปตามลำดับ ไม่ต้องไปหยุด ไม่หยุดเลย มีแต่เหมือนนักรบ ฆ่าๆๆ นักรบจะหยุดได้อย่างไร ถ้าหยุดเขาก็ฆ่าเอาสิ ฆ่ากิเลสเป็นธรรมดาธรรมชาติของนักรบที่ทำลายศัตรูได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 13:22:17 )
รายละเอียด
ฌานของพุทธ คือ ฌานที่จะต้องเกิดพลังงานไฟขึ้นในจิตใจได้จึงทำการเผา (ฌาปน) กิเลสจนมีผลแท้ที่สุดสำเร็จถึงขั้นบุญสิ้นได้จริง
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่27 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:37:51 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:03:20 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:38:33 )
รายละเอียด
ฌาน เป็นพลังงานสองนัย ฌานที่อาตมาพูดหมายถึงฌานของพุทธ ไม่ได้หมายถึงฌานที่เข้าใจผิดออกนอกทางของพุทธ
ฌานที่เข้าใจออกนอกทาง คือจิตที่ไปนั่งสะกดจิตให้ไปอยู่ภายใน เขาสรุปฌาน 1 2 3 4 แล้วก็ไปจิตสงบ เป็นความหมายลวกๆ ตื้นๆง่ายๆ แต่แท้จริง ฌาน ในพจนานุกรมบาลีก็ให้ความหมายชัด แต่เขาก็อดไม่ได้ เติมว่าฌานคือทำให้จิตสงบ แต่คำแปลที่ถูกต้อง คือ ไฟ ฌาน เขาก็แปลถูก ตามพจนานุกรม ยังมีอยู่ ฌาน แปลว่าไฟกองใหญ่ บางฉบับแปลอย่างนี้
เป็นไฟที่มีประสิทธิภาพ มีประสิทธิภาพ ล้าง ชำระ กำจัด เก่งกว่าไฟราคะโทสะโมหะ เป็นอุณหธาตุ ใครสร้างพลังงานไฟชนิดนี้ได้ ไฟชนิดนี้มันจะสู้และทำลายกำจัดไฟราคะโทสะโมหะเท่านั้น อธิบายอย่างพุทธ
แต่เขาเข้าใจฌานเป็นเรื่องภพชาติ ต้องไปอยู่สงบ สะกดจิตแบบเดียรถีย์ สะกดจิต hypnotize ทำให้พลังงานจิตไม่ทำงาน นิ่ง มีแต่เย็นกับเย็น แต่ไฟนี่มันต้องมีพลังงานทำลายสลายมีฤทธิ์ แต่นี่เขาไม่ใช่ มันเป็นแบบสงบ เป็นความหมายคนละทางคนละลักษณะเลย นี่คือความเข้าใจของชาวพุทธทุกวันนี้ ศาสนาพุทธทุกวันนี้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดารวันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญกับฌานอะไรเก่งกว่ากัน
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:16:49 )
รายละเอียด
“ฌาน”แบบพุทธนั้นลึกซึ้งมาก จะไม่หมายเอาแค่กรรมกิริยาตื้นๆ แค่“หลับตา”ปฏิบัติเข้าไปแล้วจึงจะเป็น“ฌาน”ซึ่งเป็น“ฌาน”ที่มี“ฤทธิ์เก่งก็แค่ภพภายในจิตเท่านั้น”
“ภายนอกจิต”ไม่ได้ฝึกฝน ไม่มีความสามารถทำได้จริง เพราะไปฝึกแต่จิตภายในเท่านั้น
แต่“ฌานของพุทธ”จะมีได้ในคนปกติ“ลืมตา”โต้งๆ จึงมี“ความสงบ(ปัสสัทธิ)”ที่มีประสิทธิภาพเป็นคุณวิเศษยิ่งกว่า
“ฌานหลับตาแบบที่มีได้แค่กว้างลึกในภพขณะ“หลับตา” จะกว้าง จะใหญ่ จะวิเศษอย่างไร ก็อยู่ในแค่หลับตา
เพราะ“ฌานลืมตา”ฝึกฝนอบรมประสิทธิภาพครบภายนอกและภายใน มี“สัมผัส”พร้อม จนชำนาญเชี่ยวชาญจริง
“ฌานแบบพุทธ”จึงมีประโยชน์คุณค่ายิ่งกว่า“ฌานแบบที่ไม่ใช่พุทธ”ชนิดที่เทียบกันให้เห็นๆ ให้รู้ๆกันได้ฉะนี้แล
ความมี“ฌาน”คือ อาการในจิต “ฌานของพุทธ”นั้นจะปฏิบัติให้เกิด“ฌาน”ได้ทุกโอกาส ไม่จำเป็นจะต้อง“หลีกเร้น(สัลลีนะหรือปฏิสัลลีนะ) หรือต้องออกไปหาที่“สงัด”ปฏิบัติเลย
ไม่ต้องหลีกเร้น ไม่ต้องหลับ ไม่ต้องไปไหนๆ ฌานเกิดอยู่ธรรมดา ทุกอย่างที่สัมผัสที่สัมพันธ์เกี่ยวข้อง ไม่ต้องหลีกเร้น หรือไปหาที่สงัดปฏิบัติ
“ฌานแบบพุทธ”ปฏิบัติได้ทั้งในขณะที่อยู่ในภาวะของ“กายวิเวก” ทั้งในขณะที่“กายไม่วิเวก” ดังนี้เป็นต้น
กายวิเวกคือเอากายหนีหลบเข้าไป หนีจากความสัมผัส แต่ฌานของพุทธนี่ หนีก็ยิ่งง่ายสิ สัมผัสอยู่นี่มันยากกว่า ใช่ไหมละ? ถ้าจะทำความสงบน่ะ กิเลสมันมากวนนี้ เกิดเหตุ มีเหตุปัจจัย
(ทวน)“ฌานแบบพุทธ”
หมายความว่า ปฏิบัติได้ทั้งในขณะที่อยู่ในที่มีสัมผัสรอบตัว ทวาร 6 เปิดรับสัมผัสอยู่ปกติ ไม่ต้องหนีออกไปหาที่“สงัด” จึงจะปฏิบัติ“ฌาน”กันได้ ไม่ต้องทำอย่างนั้นเลย
“ฌานแบบพุทธ”จึงเป็น“ฌาน”ที่ปฏิบัติได้ทุกโอกาส ไม่จำเป็นจะต้องไปหาสถานที่“วิเวก” ซึ่งเป็นการหลีกเร้นหรือหนีการกระทบสัมผัส เพราะไม่อ่อนแอต่อ“สัมผัส”
ฌานแบบพุทธ ไม่อ่อนแอต่อสัมผัส แต่คนยังไม่แข็งแรงก็ต้องแน่นอน อ่อนแออยู่ ฌาน 1 ฌาน 2 ยังไม่เก่งอะไร พอขึ้นเป็นฌาน 3 แล้ว สุขแล้ว สงบขึ้นมา ไปเรื่อยๆ ถึงฌาน 4 จะสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ
“ฌานแบบพุทธ” ไม่ต้อง“หลับตา”ปฏิบัติฝึกฝน แต่ฝึกฝนอบรม“จิต” เข้าไปหา“จิตตสังขาร”โดยตรงเลย จึงสามารถทำแบบนี้กันได้
“จิตตสังขาร” เข้าไปหาการปรุงแต่งจิต จึงสามารถแบบเข้าไปสู่จิตโดยตรง จิตจะเป็นพลังโดยตรงได้เลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2567 ( 16:33:02 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 09:53:41 )
รายละเอียด
คำว่าออกฌาน จริงๆ มันเป็นภาษาที่ติดมาจากทางโลกีย์เขา เพราะว่าฌาณทางโลกีย์เขาจะต้องนั่งหลับตา เข้าฌานและก็จะต้องออกฌาน เป็นภาษาที่ติดมาจากโลกียะ เพราะฉะนั้นฟังไปก็อนุโลมพูดตามตามเขาไปเท่านั้นเอง บาลีท่านว่า วุฒฐาน ออก
พระสารีบุตรก็เคยท้วง ท่านธัมมทินนาภิกษุณีท่านก็เคย ท้วงคนว่า ศาสนาพุทธนั้น ฌานก็ดี สมาธิก็ดี นิโรธก็ดี มันไม่มีเข้าไม่มีออก ไม่เข้าไม่ออกอะไรหรอก ทำพลังงานฌาน ก็ทำในดวงตาเปิดๆ นี่แหละ ฌานของพระพุทธเจ้าก็สร้างจากจรณะ 15 สร้างโดยการปฏิบัติ จรณะ 11 กับ วิชชาอีก 8 จะช่วยกัน
จรณะ 11 กับวิชชา 8 คือ ปฏิภาณปัญญาหรือญาณ จะช่วยกันทำให้เกิดจิตเจริญ 7 การสร้างพลังงานขึ้นมาเรียกภาษาไทยว่าไฟ เป็นอุณหธาตุ พลังงานความร้อน มีทั้งความเย็นด้วย แต่เราเอาพลังงานร้อนเรียกว่าไฟมาใช้เผากิเลส จึงเรียกว่าฌาน ฌานแปลว่าเผาหรือแปลว่าไฟ ฌาปนกิจคือเผาศพ แล้วมี ฌ อีกหลายคำ
สรุปแล้วก็คือพลังงานที่สร้างให้เกิดพลังงานนี้ขึ้นมาอย่างลืมตาไม่ใช่หลับตา ฌานที่หลับตาไม่ใช่ของพุทธ พูดซ้ำซากจนเบื่อตัวเองแล้ว แต่คนที่เขาไม่เบื่อหน่ายคลายกันเลย ไปนั่งหลับตาทำฌานกันน่าสงสาร ฌานของพุทธนี้ศึกษาดีๆไม่ได้หลับตา แต่เป็นการลืมตาปฏิบัติตามจรณะ 15 กับวิชชา 8 แล้วก็จะได้ ฌาน 1, 2, 3, 4, 5 ตามลำดับ
จะออกจะเข้ามันก็เป็นคำที่ติดกันมา ก็อนุโลมพูดไปตามเขาไปอย่างนั้น คนที่อธิบายได้ก็อธิบาย คนที่อธิบายไม่ได้ก็นั่งหลับตากันไป คนที่อธิบายได้ฟังได้ก็มาศึกษาต่ออย่างพวกเราอธิบายส่วนตัวอธิบายกับพวกเขาไปเรื่อยๆก็จะเจริญทางโลกุตระที่เราพากันทำ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 21:14:54 )
รายละเอียด
ทีนี้ความเป็นฌาน แบบพระพุทธเจ้าเรียกว่าโลกุตระ เป็นอจินไตย เป็นความเหลือวิสัยที่จะพูดกันได้ง่ายๆ คนไม่เข้าใจหรอกฌานพระพุทธเจ้า ฌานวิสัย พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นอจินไตย 1 ใน 4 ฌานของพระพุทธเจ้านั้นเป็นจิตที่คล่องแคล่ว จิตที่ทั้ง กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา
เอาหลักวิชาก่อนฌานของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ฌานไปนั่งหลับตาสะกดจิต อันนั้นมันเป็นของเดียรถีย์ ของพวกฤาษีต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องนอกรีตของศาสนาพุทธมานานแล้วครองโลก ฌานของพระพุทธเจ้านั้นหายากที่เรียกว่าอจินไตย หายากเป็นได้ยาก แต่ผู้มาเรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิจริงๆปฏิบัติอย่างชาวอโศก จึงมีฌาน
พวกเรามีฌานทั้งนั้น ลืมตาเป็นฌานหมด ฌานลืมตานั้นเป็นฌานที่มีโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นฌานที่มีโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นชานที่มีการปฏิบัติมีศีลเป็นหลัก แล้วก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ปฏิบัติแล้วจึงจะเกิดอินทรีย์ 5 เกิดพละ 5 ตามแกนปฏิบัติใหญ่คือโพชฌงค์ 7 และมรรคมีองค์ 8 นี่คือโลกุตรธรรม 37 ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฌานถ้าไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ ไม่อยู่ในกระบวนธรรมนี้ไปนั่งหลับตาซึ่งมันออกนอกรีต นอกกระบวนธรรมทั้งหมดเลย ฌานแบบนั้นเป็นของฤาษี นั่งหลับตาปฏิบัติอย่างที่อาตมาพูดแล้วพูดอีกด้วยความสงสาร พวกนั่งหลับตา ลัทธิหลับตา ลัทธิที่ยังงมงาย มันไม่รู้จะทำอย่างไรก็น่าสงสาร พูดไปเท่าไหร่ก็เห็นอย่างนั้นจริงๆ
เมื่อไหร่จะตื่น เมื่อไหร่จะเข้าใจสักทีว่าพระพุทธเจ้านั้นไม่เคยสอนอย่างนั้นแต่ไปอ่านพระไตรปิฎกผิด ไปอ่านพระไตรปิฎกไม่แตกก็ไปอ่านอานาปานสติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเริ่มออกสอนก็จะเจอคนไปนั่งหลับตา นั่งคู้บัลลังก์ นั่งตั้งกายตรง ดำรงสติคงมั่น ตอนแรกไปเจอปัญจวัคคีย์เป็นอย่างนั้น ก็ค่อยๆ บอกค่อยช่วยสอนว่าไม่ใช่อย่างนั้น โกณทัญญะก็เป็นคนแรกที่รู้ว่าโลกุตระเป็นอย่างนี้ต้องทำใจแบบนี้ ต้องปฏิบัติแบบนี้หรือซึ่งมันเป็นอจินไตย ต้องปฏิบัติฌาน ต้องปฏิบัติสมาธิ ต้องปฏิบัติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ แล้วก็ถึงจะเป็นฌาน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 12:26:42 )
รายละเอียด
“การทำฌานโลกีย์” (ถ้าจะปฏิบัติแบบโลกุตระ)จะปฏิบัติ“จิตตวิเวก”กันทันทีในขณะที่ไม่ต้องปลีก“กายวิเวก”ไปหาสถานที่“หลีกเร้น(สัลลีนะ)” และไม่ต้อง“หลับตา” นั้นเขาทำกันไม่ได้ ไม่เป็น ไม่ชำนาญ
“จิตตวิเวก” ไม่ใช่ปัสสัทธินะ สงัดคือวิเวก สงบคือปัสัทธิ
ฌานโลกุตระ จะปฏิบัติจิตตวิเวกกันทันทีในขณะ ไม่ต้องปลีกกายวิเวกไปหาสถานที่หรือหลีกเร้น และไม่ต้องหลับตา แบบนี้ชาวโลกีย์เขาทำกันไม่ได้ ไม่เป็น ไม่ชำนาญ
แต่“ฌานโลกุตระ”มี“กาย”ที่หมายถึงทั้ง“ภายนอกและภายใน”อยู่พร้อมกัน ไม่แยกกันเลย จึงปฏิบัติ“ฌาน”ได้ทันที เพราะมี“เวทนา”หรือ“ความรู้สึก”ต่อเนื่องกันอยู่เสมอตลอด
(ฌานโลกุตระปฏิบัติ)โดยไม่ต้องเอา“ร่างกาย”หลีกเร้น หรือหนีไปไหน ก็ปฏิบัติ“ฌาน”ได้ทันทีที่มี“สัมผัสภายนอก” มี“กายวิเวกและจิตตวิเวก”อยู่พร้อมสรรพแล้ว เพราะเรียนรู้“กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”มาอย่างดี จัดการกับ“เวทนา 108”ได้เก่งตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าด้วย
ฟังให้ดีนะมาถึงตรงนี้ เพราะปฏิบัติ”เวทนา 108” ฌานพุทธนี้ต้องจัดการกับเวทนา 108 ได้อย่างดี ฟังความนี้ไว้แล้วจำไว้ ฌานของพุทธ ปฏิบัติต้องมีเวทนา 108 มีผลสำเร็จได้อย่างดี
ส่วน“ฌานโลกียะ”นั้น เขาไม่ได้ปฏิบัติ“ฌาน”แบบที่มี “ภายนอก” เพราะเขามีหลักเกณฑ์กันแบบนั้น เขาจึงไม่สามารถทำ“ฌาน”ในขณะที่“มีสัมผัสภายนอก”ได้แบบพุทธ จึงไม่เหมือน“ชาวโลกุตระ”ที่มีความสามารถต่างกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2567 ( 17:19:16 )
รายละเอียด
อาตมาฟังภาษาที่คุณพูดมายังรู้สึกว่าคุณติดยังเข้าใจคำว่า ฌานไม่ได้ อาตมาเข้าใจว่าคุณอยากเข้าใจ ฌาน คือการนั่งหลับตา ยังอยู่ในภพ ซึ่งฌานนั้นยังไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ ฌานไม่มีนั่งหลับตา มีแต่ลืมตา หลับตาเป็นฌานไม่ได้เพราะหลับตาไม่มีศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 เพราะฉะนั้นหลับตานั้นเป็นฌานไม่ได้ ใน จรณะ 15 วิชชา 8 มันต้องเป็นปัจจยาการกันไปหมด ไม่ใช่ตัดอันใดอันหนึ่ง อย่าไปตัดทิ้ง ต้องไปถึงวิชชา 8
ฌาน ต้องไปถึงฌานที่ 4 จึงเป็นวิชชา 8 หมายความว่า ต้องมี สังวรศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 แล้ว วิชชา 8
สรุปว่าถ้าเข้าใจฌานของพระพุทธเจ้าไปเป็นการนั่งหลับตานั้น ผิดเลย ฌานของพระพุทธเจ้าไม่มีการหลับตา แต่มีฌานของพระพุทธเจ้าแล้วหลับตา สบม ทมด ปกต หห จจ ปกต หห จจ มชยลล ไม่มีอะไรยุ่ง ภายนอกก็สบาย หลับตาก็ใช้เตวิชโชสบายเลย ถ้าฌานของพุทธ หลับตาก็เตวิชโชระลึกไปของเก่าบ้างของใหม่บ้างอะไรกันสบาย ได้อะไรเพิ่มเติมด้วย พระพุทธเจ้าก็ยังใช้เลย
เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว ฌาน คุณสื่อฟ้าศิลป์ ต้องศึกษาให้ดีๆ เพราะฌาน ที่ทำกันอยู่นั่งหลับตามันเป็นโลกียะไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า มาฝึก ฌาน ของพระพุทธเจ้า ฌานวิสัย จึงเป็น อจินไตย เรื่องที่นึกคิดเอาไม่ได้ง่ายๆ ต้องคนมีสภาวธรรมแท้ๆเข้าใจ ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ได้ขึ้นไปเรื่อยๆ จะอ๋อ มันต้องกำกับด้วยศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ท่านก็หยิบเอาอาหารคือคำข้าวเพราะมันเกี่ยวกันเป็นด้วย ข้างนอกมีสัมผัสทั้ง 5 แต่ลิ้นมันอยู่ข้างใน ก็เลยต้องเอาลิ้นด้วยจึงเป็นอาหารคือคำข้าวเคี้ยว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นวนิยายโลกุตระที่เราอย่ารีบตายก่อนได้ดู วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2565 ( 11:46:27 )
รายละเอียด
ใช่ ร่วมกันได้ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ร่วมกัน คนนี้ประสาทตาก็ดี ก็เห็นความจริงตามความเป็นจริง หูก็ได้ยินร่วมกัน จมูกได้กลิ่นตรงกัน รู้สัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็งตรงกันเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51 เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กันยายน 2565 ( 14:16:47 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:26:52 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:24 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:39:57 )
รายละเอียด
อาตมาก็ขอยืนยันว่าไม่มี ศาสนาพุทธนั้นฌานวิสัยของพุทธเป็นอจินไตย ฌานวิสัยของพุทธไม่มีหลับตา ไม่ได้เข้าฌานออกฌาน ฌานของพุทธไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก ได้แล้วก็ได้เลย ไม่ต้องเข้า ไม่ต้องออก ศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นคำว่า ฌานวิสัย เป็นอจินไตย อธิบายได้ยาก ฌานมีมากมายในศาสนา คำว่าฌาน เป็นของเก่าของแก่ เสร็จแล้วมันผิดเพี้ยนไปไกล พระพุทธเจ้าก็ดึงกลับมาได้ยากอยู่ ยิ่งโพธิรักษ์ยิ่งจะดึงยากใหญ่ ดึงกลับมาเป็น ฌานพุทธ
ฌานพุทธ เกิดจากการมีศีลเป็นหลัก แล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวปฏิบัติ จึงจะเกิด สัทธรรม 7 แล้วเกิดฌาน และมีวิชชา มาร่วมให้เกิด เกิดการเจริญ เกิดการพัฒนาเป็นมรรคเป็นผล ไม่มีไปนั่งหลับตาอะไร ไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปเต๊ะท่าอย่างโน้นอย่างนี้ ทำฌาน ทำสมาธิ ไม่ต้อง สมาธิต้องนั่ง ฌานก็ต้องนั่ง แล้วก็ต้องหลับตา ไม่ต้อง หาที่สงบหน่อยอะไร ไม่ต้อง ฌาน สมาธิ ก็ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ในจรณะ 15 นี้แหละ ปฏิบัติจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้านี่แหละ
มันเสื่อมไปไกลจนกระทั่งว่า ปฏิบัติจรณะ 15 เกิดฌาน เกิดสมาธิ อย่างนี้ใครเขาสอนกันวะ มีที่ไหน ดีนะว่า ยังมีในพระไตรปิฎกยังยืนยันยังเอาออกมาพูดได้ คำว่าฌาน 1 2 3 4 ยังอยู่ในจรณะ 15 ยังดีนะ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาหัวขาดเลย เขาเอาตายเลย เขาบอกว่ามันเอาอะไรมาพูด ยังดีมีหลักฐานของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่งั้นหมดท่าเลย แล้วคำว่าฌาน ก็ไปอยู่ในข้อที่ 12 13 14 15 ของจรณะ 15 ไปอยู่ตอนปลายด้วย มันก็เลยยิ่งไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่ค่อยจะเชื่อว่า ฌาน มีด้วยเหรอที่เกิดจากการมามีศีล ปฏิบัติศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะเกิด ค่อยๆลดละกิเลสลงไป จึงจะเกิดการรู้เรียกว่าศรัทธา ถึงจะเกิดการเห็นเรียกว่าศรัทธา จึงจะเกิดการเชื่อว่า อ๋อ ปฏิบัติศีล และ อปัณณกปฏิปทา 3 ถึงจะเกิดการรู้จักกิเลส แล้วทำให้กิเลสลดได้ อ๋อ รู้กิเลส ลดกิเลสอย่างนี้หรือ
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 34 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 หนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2566 ( 11:49:12 )
รายละเอียด
ฌานที่ท่านแปลว่าเป็นพลังงานไฟเพลิง แต่เดี๋ยวนี้เขาว่าทำฌานคือการเพ่งจดจ่ออยู่กับกสิณ ถือว่าอย่างนั้นคือสมาธิคือฌาน เป็นจิตที่หยุดนิ่งเป็นหนึ่ง แต่มันไม่ได้เรียนรู้กิเลส ไม่ได้เรียนรู้ที่จะลดกิเลสจนกิเลสหายไป
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่23 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:24:25 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:10:37 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:39:24 )
รายละเอียด
อาตมาเป็นคนมีฌานอยู่ตลอดเวลาคือ มีลักษณะจิตเป็นพลังงานที่ได้สร้างมาแล้วทำได้แล้ว เป็นไฟที่เผากิเลส โลภะโทสะโมหะ เผาได้ เพราะฉะนั้นในชีวิตของอาตมา จิตจะเป็นฌานอยู่ตลอดเวลา ราคะโทสะโมหะมากระทบปั๊บ ไหม้เลย จะเอาพลังงานราคะโทสะโหมะใส่อาตมา กระทบอาตมาก็ร่วงผลอย อย่างกับปลิงที่ มาถูกร่างกายเราที่ได้ทาน้ำมันหม่องไว้ มันกระทบก็อ่อนผล็อยเลย หลุดไปเลยมันไม่กล้าแตะ มันเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เป็นธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ลักษณะฌานที่เข้าใจกันอยู่ เป็นสิ่งที่คุณไปทำจิตในจิตเป็นมนสิการชนิดหนึ่ง แล้วคุณก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้จิตเป็นสมถะ หยุดๆ แต่ฌานเป็นพลังงานอุณหธาตุ ไฟ ไฟ เรารู้ว่าร้อน แต่ไฟฌานไม่ใช่ร้อนแบบโลกๆ ไฟฌานไม่ได้ทำอะไรอื่นนอกจากเผาราคะโทสะโมหะ ไฟฌานไม่ทำหน้าที่อื่นเลอะเทอะ นอกจากมาเผากิเลสอย่างเดียว พอไฟฌานเผากิเลสเรียบร้อยเรียกพลังงานสุดท้ายว่า บุญ กำจัดกิเลสเสร็จเป็นผลของบุญ หากทำไม่ได้สำเร็จหมด ก็ได้แค่ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยาเช่นได้แค่โสดาบันไม่ได้อรหันต์ อรหัตตะ คือสุด อรหะ กับ อันตะ พอเผาได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าส่วนแห่งบุญก็เป็นโสดาบัน ได้สูงกว่านั้นเป็นสกิทาฯ เป็นอนาคาฯก็สุด อันตะ อาตมาพูดพยัญชนะเหล่านี้เป็นภาษาสภาวะ แล้วฌานนั้นได้แล้วได้เลย ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก แบบฌานฤาษี แต่เดี๋ยวนี้เขาอยู่กับฌานฤาษีเต็มไปหมด อาตมาหยิบเอาฌานที่เป็ของพระพุทธเจ้า เป็นอจินไตย
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่13 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:44:22 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:35 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:36:40 )
รายละเอียด
บุญคือตัวสุดท้ายของฌาน พลังงานไฟที่เผากิเลส ฌานคือตัวปัญญา ฌานคือปัญญา คือธาตุรู้ มารู้จักกิเลสและรู้จักสร้างพลังงานฌาน สร้างพลังงานเผา เผาให้เก่งๆ เผาพลังงานราคะ โทสะ โมหะ มันก็เป็นพลังงานเหมือนกัน พลังงานทางจิตวิญญาณ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์โลกีย์ทางโลกๆวัตถุ แต่เป็นพลังงานทางจิตซึ่งเผาได้ เผาหมดลง เรียกด้วยพยัญชนะว่าปุญญะ ฌานคือปัญญา ปัญญาสูงสุดก็คือบุญ ดับกิเลสได้สนิทเลย เมื่อสนิทแล้วบุญก็หายไปไม่ต้องมีบุญอีก ปริกขีโณสูญสิ้นไป ทำงานได้เสร็จจบเป็น ปุญญปาปปริกขีโณ บาปหมดบุญก็หมด ไม่เหลือ ก็เหลือแต่ปัญญาเท่านั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 13:51:35 )
รายละเอียด
ฌานไม่ใช่เรื่องนั่งเพ่งสะกดจิต มันไม่ใช่ แต่ฌานคือปัญญาที่สามารถ ไม่ให้กิเลสมาเล่นงานเราได้ นี่คือฌาน จิตของเรามีปัญญารู้จักกิเลส เราสัมผัสมันอยู่ มันเล่นงานเราไม่ได้ ผู้นั้นมีฌาน มีพลัง เขาเรียกว่าไฟ อุณหธาตุ มันมีฤทธิ์แรงยิ่งกว่ากิเลสที่เป็นอบายมุข ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่มีพลังงาน มีฤทธิ์ดึงให้คนติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 12:12:49 )
รายละเอียด
ขณะนี้ ก็ขอเข้าสู่ความเป็นฌาน อาตมาเคยยืนยันอธิบายให้ฟังว่า เด็กๆ เดียงสาหน่อย 7 ขวบขึ้นไปก็รู้ว่าจิตใจเป็นไงแล้ว แต่ถ้าไม่ถึง 7 ขวบ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องกำหนดรู้ไม่ได้ แต่ถ้า 7 ขวบพอรู้เรื่องแล้ว 7 ขวบขึ้นไปจึงเป็นอรหันต์ได้ จิตของคน พระพุทธเจ้ายืนยันไว้ ในยุคของท่านก็มีอรหันต์ 7 ขวบ
ผู้มีฌาน สมาธิ จิตไม่มีนิวรณ์ 5 ต่อเนื่องกันอยู่ไม่บกพร่อง ผู้นั้นคืออรหันต์ โดยรู้ๆตัวเองด้วย หรือยิ่งคุณทำได้ คุณเป็นคนทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ 5 เองเลย สำเร็จแล้วสำเร็จเลย ได้ต่อเนื่องไปตลอด คุณก็เป็นอรหันต์ตลอด เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับผู้ทำได้แล้วไม่ยากจริงๆ จึงเรียกว่าได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4
ฌานทั้ง 4 คือ พฤตินัยของจิตสมาธิหรือว่าของจิตที่สมบูรณ์แบบ เป็นจิตสะอาดจากนิวรณ์ แล้วก็เอามาทำงาน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 4 ประการ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 กันยายน 2565 ( 13:58:56 )
รายละเอียด
ฌานคือ เป็นพลังอุณหธาตุ สร้างพลังงานหนึ่งขึ้นมาในจิตและมันก็เผา ฌาปน แปลว่าเผา ฌาปนกิจ คือกิจการงานเผา เผาศพ ฌาปนะ ฌานะ แปลว่าไฟ แปลว่าเพลิง อุณหธาตุที่ไปทำลาย พลังงานไฟราคะโทสะโมหะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:10:48 )
รายละเอียด
ฌาน คือการเผากิเลสได้ ฌาน ไม่ใช่การเพ่งเข้าไปให้นิ่งให้ดับให้สนิทให้ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ คนละโลกเลยคนละฟากโลกเลย ดาวคนละดวงเลย คนละข้างเลย ข้างหนึ่งอยู่ประเทศไทยอีกข้างหนึ่งอยู่อเมริกาเลยคนละโลกเลย เมืองไทยเจอพระอาทิตย์สว่างจ้า อเมริกามืดตึ๊ดตื๋อเลย ตรงกันข้ามกัน เที่ยงคืนเลย เมืองไทยเที่ยงวัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 08:32:28 )
รายละเอียด
ฌานคือไฟ พลังงานทางจิต ผู้ที่สร้างพลังงานทางจิต ทำให้มีประสิทธิภาพเพื่อเผาไฟราคะโทสะโมหะ ยังดีที่มีพยัญชนะยืนยันว่าไฟราคะโทสะโมหะ ฌานก็แปลว่าไฟ ในพจนานุกรมบาลีก็แปลว่าไฟ แต่เขาไม่ใช้แล้ว ไปแปลว่าความเพ่ง ไอ้เพ่งนี้มันเพี้ยน คำว่าเพ่งนี้เพี้ยน ฌานไม่ได้เพ่ง แต่ฌานคือคุณต้องชัดเจนถ่องแท้โยนิโสมนสิการ ต้องรู้ความเป็นฌาน ว่าเป็นสภาวะสร้างพลังงานให้แก่จิต เข้าไปสลายไฟราคะ โทสะโมหะได้
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่13 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:42:44 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:25:20 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:38:58 )
รายละเอียด
ความรู้ที่สมบูรณ์แบบฌานวิสัย มันต้องชัดเจนว่าอาการ ฌาน คืออาการอย่างไรของจิต คือพลังงานที่เป็น อุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟ ฌาน แปลว่าไฟ
โชคดี พจนานุกรมไทยมีติ่งคำแปลว่าไฟ ก็ยังดี แต่พจนานุกรมส่วนมากแปลว่า การเพ่ง หรือการทำสมาธิ อะไรพวกนี้ ซึ่งจริงๆแล้วจะว่าไปแล้ว ฌานนี่นะ ถ้าจะพูดจริงๆมันไกลจากความเป็นสมาธิด้วยซ้ำ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 14:29:32 )
รายละเอียด
ฌานคือเรื่องสามัญปกติที่ไม่มีนิวรณ์ 5 เพราะฉะนั้น ใครไม่มีนิวรณ์ 5 ตราบใดเวลาใดก็แล้วแต่ แม้แต่เด็กๆ แกไม่ประสีประสา แต่จิตของแก พอดีตอนนั้นมันไม่มีนิวรณ์อะไรเลย มันก็เป็นฌาน แต่ยิ่งเรารู้และอ่านจิตเป็นด้วย กาม พยาบาท ปฏิฆะ มันเป็นอย่างไรก็ไม่มี ฟุ้งซ่านหรือ ถีนมิทธะ มันเป็นอย่างไรก็ชัดเจนว่ามันไม่มี ในขณะที่ไม่มีนิวรณ์ 5 นั่นแหละมันก็เป็นฌาน แต่ฌาน ของคุณจะเป็นปกติเที่ยงแท้ เป็นสมาธิตั้งมั่นตกผลึก จนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ใช้พยัญชนะบาลีของพระพุทธเจ้ามากำกับอยู่ตลอดเวลา จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ได้หรือเปล่า
ถ้ายังไม่ได้คุณก็ต้องทำให้ได้ ถ้าได้แล้วมันก็เป็นอย่างที่ว่า เป็นสัจจะตามที่พยัญชนะบอกสภาวะ สัจจะ เที่ยงแท้แน่นอน ไม่แปรเปลี่ยน ยั่งยืน สัสตัง ตลอดกาล อวิปริณามธัมมัง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีอะไรมาทำลายลบล้างได้ อสังหิรัง ไม่กลับกำเริบ อสังกุปปัง ผู้ที่รู้สภาวะ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำบรรยายอธิบาย เอามาชี้แจง อย่างนี้แหละคืออุเทส ที่อาตมากำลังแสดงอยู่นี้คืออุเทส คือ อธิบายยาวหน่อย ส่วนสั้นๆ คือ นิเทศ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 13:41:53 )
รายละเอียด
คำว่าฌาน เป็นฌานวิสัย เป็นอจินไตย คนจะมี อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย คนผ่าน นิสยะ วิสยะ ผ่านมา จนรู้ สยะเป็น อนุสยะ อนุสัย อาตมาใช้พยัญชนะเหมือนกันแต่อธิบายต่างกันกับคนอื่น คนที่ถึงขั้น อนุสยะ เป็นฌาน ฌาน คือพลังงานจิตที่ผู้ที่สามารถสร้างพลังงานจิตให้เป็นไฟ เป็นอุณหธาตุ เป็นความร้อน ซึ่งราคะ โทสะ ก็เป็นไฟ โมหะ เป็นไฟ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ทีนี้ ไฟฌาน เป็นไฟที่มีปัญญา ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน
ปัญญาคือ ธาตุรู้ที่รู้เหนือกว่าราคะโทสะโมหะ เป็นพลังงานที่เหนือชั้นกว่าราคะโทสะโมหะ ถึงจะเป็นความจริง เป็นพลังงานที่สามารถเหนือกว่าพลังงานราคะ จึงสามารถทำลายพลังงานราคะลงได้ เหนือกว่าโทสะ โดยสภาวะจริงมันต้องเป็นอย่างงั้น ถ้ามันไม่เหนือมันก็ไปทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะไม่ได้ ใช้พยัญชนะอธิบายซ้ำมันเข้าใจได้นะ ที่นี่ความจริง คุณทำอย่างที่อาตมาใช้ภาษานี้สื่ออย่างนี้ พลังงานจิตของคุณทำให้เป็น อุณหธาตุ เป็นธาตุร้อนที่มันสลายกัน ทำได้ถึงสภาวะจริงไหมล่ะ คุณจะทำ ทำได้อย่างไร
วิธีทำฌานของพระพุทธเจ้านั้นคือ
1.ศีล 2. อปัณณกปฏิปทา 3.สัทธรรม 7 แล้วจะเกิด ฌาน 1 2 3 4 นี่คือพุทธคุณของพระพุทธเจ้าเป็นจรณะ 15 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ศีลก็ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่มี สัทธรรม 7 ไม่ต้องไปฝัน ฌานก็เป็นแต่ชานหมาก เคี้ยวหมากหยับๆ แล้วเคี้ยวใหม่ อย่างมหาบัวเป็น ก็เคี้ยวแต่หมาก งมงายกันไปหมด
ขออภัยพูดชัดๆพูดเหมือนลบหลู่ แต่สิ่งที่ผิดก็ควรต้องถูกลบหลู่ไป คุณจะถือตัวก็เป็นของคุณเอง คุณจะถือตัวว่าลบหลู่ถูกไหม นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2565 ( 13:51:38 )
รายละเอียด
ผู้เกิดจริง มีจริง ถึงจริง
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3 หน้า 39
เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:35:55 )
เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:05:06 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:36:03 )
รายละเอียด
ฌานตามแบบทั่วไป คือ ฌานที่ยึดถือตามแบบเทวนิยมทั้งหลายจะไม่สามารถเผา (ฌาเปติ) กิเลสเป็นบุญได้เลย เพราะฌานตามแบบทั่วไปของเทวนิยม จะเป็นฌานที่ไม่ใช่พลังงานไฟ แต่จะเป็นพลังงานเย็นที่เป็นสมถจิต ยิ่งๆ ขึ้น จะเป็นพลังงานยิ่งนิ่ง ยิ่งจับตัวแน่นเข้าๆ ยิ่งหยุดยิ่งแข็ง ยิ่งอืด ยิ่งไม่แคล่วคล่อง ยิ่งช้า ยิ่งเฉื่อย ยิ่งเย็น ไม่มีไฟทำงาน ยิ่งไม่รับรู้โลกกว้าง ยิ่งมีมีโลกวิทู ฌานตามแบบทั่วไปของเทวนิยม ไม่มีปัญญารู้ในความเป็นกายที่ครบทั้งรูปนามโดยเฉพาะมีนามเป็นสำคัญ
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่27 กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:36:25 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:29:10 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:35:45 )
รายละเอียด
เรื่องของฌาน โดยใช้จากอาหาร คือมันเกิดฌาน เกิดพลังงานอย่างที่เรียกว่าพลังงานทางจิต เป็นภาษาศัพท์ของคุณภาพของจิตชนิดหนึ่ง เรียกว่าฌานนี้ ที่ได้จากอาหาร โดยใช้จากอาหาร เกิดจากกินอาหารและใช้พิจารณาจากอาหารนี้แหละ
เรื่องอาหารประจำวัน เรากินอาหารเพื่อเลี้ยงขันธ์ นี้มันเป็นพฤติกรรมสามัญของมนุษยชาติอยู่แล้ว ทุกคนกินอาหารในแต่ละวัน บางคนกิน 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง บางคนกินนับครั้งไม่ถ้วน พวกกินนับครั้งไม่ถ้วนนั้นก็ไม่ต้องไปพูดถึงเขาหรอกเพราะเขายังไม่สนใจ ขนาดคนที่ตั้งใจจะลดละ น้อยครั้งน้อยมื้อลงมาแล้ว แล้วยังพยายามพิจารณารายละเอียดยังมีอีกเยอะ
ทำฌานไม่ใช่เรื่องพิลึกพิลืออย่างเดียรถีย์ ไปนั่งสะกดจิตหลับตา เข้าไปทำความเป็นหนึ่ง เขาก็อาศัยคำว่าความเป็นหนึ่งเหมือนกัน แต่มันเป็นหนึ่งชนิดแบบของเขามันผิด ก็ค่อยๆ ศึกษาไป พูดมามากแล้ว
พยายามทำไปให้ละเอียดๆ มันมีความหลงผิดแทรกๆ แซงๆ อยู่ไม่น้อยนะ พยายามศึกษาให้ละเอียดลออไปตามขั้นตามตอน แล้วเราจะรู้ว่า..โอ้โห! แม้แต่ทางที่ถูกต้องนี้ ยังมีมารหลอกให้หลงทางอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เหมือนกัน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 42 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2567 ( 19:06:12 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 10:22:06 )
รายละเอียด
ฌานทั้ง 4 คือ การเพ่งเผากิเลสจนเกิดสภาวะจิตแน่วแน่ สงบจากกิเลสโดยอาศัย รูปธรรมเป็นอารมณ์
1. ปฐมฌาน (ฌานที่ 1) มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เกิดจากวิเวกอยู่
1. ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) ไม่มีวิตก วิจาร มีปีติ สุข เกิดจากสมาธิอยู่
2. ตติยฌาน (ฌานที่ 3) ปีติสิ้นไป ได้สุขด้วย นามกาย (จิต) มีสติ มีอุเบกขาอยู่
4. จตุตถฌาน (ฌานที่ 4) ละสุข ละทุกข์ ดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ที่มา ที่ไป
พระไตรปิฎก เล่ม 9สามัญญผลสูตร ข้อ 127– 130
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 08:37:37 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:44:49 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:33:58 )
รายละเอียด
คำว่าฌานทั้ง 4 คือ สภาพของพลังงานที่เผากิเลส ฌานคือพลังงานไฟ อุณหธาตุ เผาไฟ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเขาพูดมาก่อนแล้ว ฌาน เขาก็พูดมาแล้วแต่เขาไม่พูดกัน ฌานคือไฟ เขาก็ไม่พูด ฌาน เขาพูดกันไปว่าเป็นความเย็นด้วยซ้ำไป ถ้าจิตเป็นฌานก็เย็น ที่จริงแล้ว ฌานมันเป็นไฟ ดีนะ พจนานุกรมบาลีเขายังแปลว่าไฟ แปลว่าเพลิง แต่เขาไปแปลว่าเพ่ง อันนั้นของฤาษี ใช่ฌานฤาษีเอาแต่เพ่ง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่เพ่ง ปรุง พัดไฟให้ร้อนเลยไม่ใช่ไปนั่งนิ่งให้เย็น แต่ทำให้เกิดไฟมากเลยตรงกันข้ามคนละขั้วเลยของพระพุทธเจ้า ฌานปรุงแล้วเป็นไฟ ไม่ใช่ฌานแล้วทำให้เย็น ท่านพุทธทาสก็เหมือนกันบอกว่าเย็น นิพพานแปลว่าเย็น..ไม่ใช่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:34:34 )
รายละเอียด
คุณก็สติเฟื่องนั่นแหละ อาตมาทำทั้งหลับตาและลืมตา เวลานอนอาตมาหลับตา พิจารณาธรรมอยู่เยอะ ดีไม่ดีเกือบตลอดทั้งคืน จะไม่พักเอา นี่เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นลืมตาก็ทำสิ ลืมตานั้นของแน่นอนต้องทำ หลับตาก็ทำ หลับตาเมื่อไหร่อาตมาก็อยู่การคิดพิจารณาธรรมโดยตรวจสอบธรรม เพราะฉะนั้นจะไปเดาจิตของผู้ที่เป็นอภิภู ท่านแปลกันว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ คือผู้ยิ่งใหญ่ที่โตกว่าเราจริงๆ มันเดาไม่ได้หรอก คนที่ไม่ได้ถึงขั้นนั้น คุณก็ได้แต่เดา ได้แต่จินตนาการ เดาส่งไปเรื่อย ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ อาตมาวิจัยวิจารณ์ไป ใครฟังแล้วไม่ชอบใจก็ขออภัย อาตมาอธิบายตามจริง คนที่ไม่เชื่อถืออาตมา ฟังแล้วเขาจะหมั่นไส้ นอกจากพูดแล้วไม่เห็นเหมือนอย่างที่เขาเห็นและเขายังหมั่นไส้ที่ยังอวดตัวตนอีกด้วย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 08:52:32 )
รายละเอียด
วิตกวิจาร เป็นฌานที่ 1 วิตกคือธาตุดำริ วิจาร คือถ้าพิจารณาแล้ว วิตกคือดำริขึ้นมาแยกแยะเอากิเลสออกมาให้ได้ จากธาตุแท้กับธาตุที่มีกิเลสแยกให้ออก แล้วก็รู้ให้เท่าทัน ไอ้เจ้ากิเลสมันจะไม่รอหน้าปัญญาเลย พลังปัญญานี้เมื่อกิเลสเจอแล้ว เจอปัญญามันก็รีบไปเลย กิเลสมันกลัวปัญญา ปัญญามีฤทธิ์มีสิ่งวิเศษมีอิทธิฤทธิ์มีพลังวิเศษ อันนี้เป็นสัจจะใช้ภาษาสื่อเท่านี้แล้วมันมีจริงๆ ถ้าหากธาตุปัญญาเกิดจริงแล้ว กิเลสเห็นหน้าปัญญา รีบหายตัวไปทันทีเลย ไม่รอหน้าเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 พฤษภาคม 2565 ( 12:21:50 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 13:34:13 )
รายละเอียด
แต่พวกเรานี่ก็ไม่ยั่น เพราะเป็นฌาน ทำได้โดยไม่ยากทำได้โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตแล้วได้ฌาน นิ่งๆหลับๆ ฌานอย่างที่เขาทำนั้นมันเป็นสภาพที่ทำกับวิญญัติ ที่พวกเขาเรียนกัน เขาไม่ได้ทำกับวิญญาณ ฌานของเขาเขาทำแค่วิญญัติ ไปทำให้ไม่เคลื่อน ทำให้จิตไม่เคลื่อน ทำให้จิตไม่เคลื่อน เขาไม่ได้ทำกับวิญญาณนะ เขาไม่ได้ทำกับจิตหรือวิญญาณ ให้กิเลสออกแล้วเป็นปาคุญญตา ให้จิตคล่องแคล่ว ไม่ แต่ทำให้จิตมันหนืดๆๆ ทื่อๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 12:17:00 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:06:07 )
รายละเอียด
กำกับเลยว่า เรื่อง “ฌาน” ที่เป็นของพุทธแท้ๆ
ตั้งใจฟังเป็นลำดับ ฌานที่เป็นของพุทธแท้ๆ อยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ฌานสมาธิที่เกิดจากการหลับตาทำ จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้หลับตาทำเลย เป็นการปฏิบัติที่ทำให้ตื่นด้วย ไม่ใช่ตื่นธรรมดา ไม่ใช่ตื่นอยู่ในภพ ไม่ใช่ตื่นในภวังค์ แต่ตื่นทั้งทางกาย ทางวาจา ตื่นทั้งทางใจ เป็นผู้ที่พยายามต้องตื่นอยู่ตลอดเวลา
คนที่ตื่นมาฟังธรรมนี้คุณยังไม่ครบเลย คุณยังไม่ได้ตื่นเต็มทั้งกายวาจาใจ มันยังไม่ครบ เพราะฉะนั้นต้องพยายามพากเพียรให้เป็น เป็นหนึ่งให้เป็นธรรมะที่มันกลับไปเพ่งลงไปที่จุดหนึ่ง เอาจิตเพ่งไปที่จุดหนึ่งให้มันเก่งให้มันชำนาญ เข้าไปที่จิต ที่คุณกำลังอภิสังขารกำลังปรุงแต่งพลังงาน มันจะชำนาญ มันจะสามารถทำได้ คุณทำอาชีพ ตามมรรคมีองค์ 8 คุณทำอาชีพอยู่ก็ เพ่งจิตไป ล้วก็แยกจิตให้ได้ มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ คุณแยกแยะให้ได้ ถ้าไม่มีสติสัมโพชฌงค์และวิริยะสัมโพชฌงค์แข็งแรงเต็ม มันก็วิจัยได้ยาก ถ้าฝึกไปมันก็จะเต็ม สัมโพชฌงค์คือสามารถถึงขั้นตรงตามคำตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โพชฌงค์คือโพธิหรือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สามารถที่จะจับ มีสติที่เก่ง มีสัมปชัญญะปัญญาปฏิภาณที่ไวไปสามารถจับจิตแล้วก็แยกจิต แล้วท่านไม่ให้เอาอะไรเลอะเทอะมากมาย ท่านให้จับตรงที่เวทนา ตรงความรู้สึก
ฌาน ของพุทธแท้ๆอยู่ที่จรณะ 15 วิชชา 8 จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่เป็นสัมมาทิฐิ ไม่มีวิชชา 8 ไม่มีจรณะ 15 ไม่มีอปัณกปฏิปทา 3 ไปหลับตาไม่มีชาคริยานุโยคะ ไม่ได้ทำตนเองให้ตื่น ไม่ได้มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่ได้กระทบอาหาร อาหารการกิน มีกะหล่ำปลีกิน มีกล้วยหอม มีดอกแค มีอะไรต่ออะไร พืชพันธุ์ธัญญาหารกินเยอะแยะ เราก็ไม่ได้ติดยึดอันนั้นอันนี้ บอกว่าไม่ชอบหรอกดอกแค ชอบกินแต่กะหล่ำปลี บางคน ชอบแต่บล็อกโคลี่ไม่ชอบดอกแค ก็มีตามเขา เราก็เป็นคนไม่เรื่องมากเป็นคนเลี้ยงยาก มันก็จะมีหลากหลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันนี้มีวิตามินมีสารอาหารแบบนี้เยอะ อันนี้มีอันนี้อันนั้นมีอันนั้นแตกต่างกัน ก็กินถัวเฉลี่ยกันไปเท่าที่มี หรือเห็นว่าเราขาดอะไรก็หามาปลูกขึ้นมากิน
การกินโภชเนมัตตัญญุตาเป็นเรื่องใหญ่ ท่านถึงเอาขึ้นไว้เป็นข้อแรกของอาหาร 4 เป็นเครื่องอาศัยในชีวิตมนุษย์สัตว์โลก จะต้องมีอาหาร อาหารที่สำคัญที่สุดก็คือ คำข้าวหรือการกิน พืชพันธุ์ธัญญาหาร สำคัญที่สุด คุณก็ต้องเรียนรู้กิเลสที่จะเกิดในอาหาร
เรียนรู้เวทนาที่เกิดจากการกินอาหารครบครันหมดเลย
มาเข้าเรื่องฌานต่อ เรื่องฌานนี้ขอให้ตั้งใจพิจารณาดีๆ ที่อาตมาติงไว้แล้ว ฌานของพระพุทธเจ้าเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 หากไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ที่เป็นพุทธคุณของศาสนาพุทธวิชชาจรณสัมปันโนมันไม่ใช่ของพุทธ ไม่ใช่พุทธคุณมันเป็นเดียรถีย์คุณ จะได้พุทธคุณฌานของคุณจะต้องอยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8
อปันกปฏิปทา จะต้องมีเน้นแล้วเน้นอีกย้ำซ้ำซาก หากไม่มีก็ไม่ใช่ของพุทธมันผิดไปจากพุทธถ้าไม่มีมันผิด ก็ไปนั่งหลับตาไม่ได้ตื่น นั่งหลับตาไม่ได้มีโภชนะให้พิจารณา สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ก็ไม่มี นั่งไปข้างในมีแต่อินทรีย์เดียวสำรวมอินทรีย์เดียว เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เกิดสัทธรรมได้เพราะว่าศีลคุณก็ไม่มี สัจธรรมคุณก็ไม่มี
สัทธรรม 7 ก็คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา และมีการปฏิบัติศีล คุณจะเกิดความเข้าใจความรู้ความเชื่อถือ แล้วคุณจะมีปฏิภาณปัญญารู้ว่า อ้อแต่ก่อนนี้ เอาง่ายๆ แต่ก่อนนี้กินเนื้อสัตว์กินแหลก แต่ก่อนไม่ได้เคยนึกอะไรเลย ตะกละตะกรามเป็นยักษ์มาร หากินจากเนื้อสัตว์ต่างๆ จะไปกินสัตว์แปลกๆอะไรอย่างนี้ หรือกินสัตว์ที่ฉันชอบ ก็ไปนั่งแสวงหาอยู่อย่างนี้ แต่ตอนนี้มารู้สึกมีปฏิภาณปัญญาว่ามันไม่ใช่ของควรกิน มันเป็นอกัปปิยะ
เรียนรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันเกิดกิเลสที่ต้องกำจัดออกจากสัตว์ที่เป็น กามสัตว์ ล้างออกให้ได้ จึงเรียกว่า รูปฌาน 4 ล้างออกได้ ไปตามลำดับ วิตกวิจาร คือจิตมันดำริขึ้นมา กระทบสัมผัส แล้วก็อ่านพฤติกรรมเรียกว่าจาระ จิตมันกระทบสัมผัสก็เกิดในจิต มันก็จะมี 2 มาเรื่อยๆ แยกดูพฤติกรรมของมัน แยกจาระ พฤติกรรมกิริยาของมันแยกออก ว่ามันสะอาดจากกามหรือยัง นี่เป็นเบื้องต้น หากยังมีกามอยู่ ก็เอากามออกก่อน คือ ฌาน 1
คุณก็จะออกไปเริ่มต้นออกได้คุณก็ปิติยินดี ฌาน 2 คุณมีปีติ รู้ว่ามีกิเลส กาม ก็เอากิเลสกามออกได้คุณก็จะมีปิติ จนลดลงมาได้ก็เป็นฌาน 2
จากวิตกวิจาร ก็เป็นปีติ แล้วในฌาน ที่ 3 หากคุณไม่ทำให้เกิด สุข ที่เป็นอุปสโมสุขหรือวูปสโมสุข สุขจากกิเลสที่มันลดลงเรียกว่าสุข สุขตัวนี้ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่สุขที่บำเรอกาม ที่มันเป็นกามสุข แต่นี้มันเป็นวูปสโมสุโข ไม่ใช่กามสุข (มันคนละเรื่องคนละอย่าง)
พอเริ่มฌาน 3 ท่านบอกว่าผู้รู้จึงจะมีธาตุรู้ มีความรู้ ของตัวเองนั่นแหละ หรือผู้รู้ที่รู้มาก่อนก็จะพูดอย่างนี้ได้ ยังไม่ถึงฌานที่ 3 ก็ยังไม่มีความสงบจากกิเลส ไม่ใช่กามสุข แต่สุขในฌานกับสุขข้างนอกมันต่างกัน เมื่อสุขแล้วก็ยังเป็นอุปกิเลส แต่ของเทวนิยมอยู่กับสุขสบายอยู่กับพระเจ้าจบแล้ว เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข แค่นี้ ไม่รู้จักว่าสุขมันเป็นมายา สุขนี้แหละเป็นเรื่องอริยสัจ เป็นความรู้ของคนประเสริฐ อาริยะ สุดยอด มันเป็นความจริง สัจจะที่เป็นความประเสริฐสุดยอดของพระพุทธเจ้า พอรู้อุปกิเลสนี้ก็หมดสุขหมดทุกข์เป็นอุเบกขา ทีนี้ก็สะอาดเลยเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
นี่คือฌาน 4 ต้องลืมตามปฏิบัติตอนตื่นนี่แหละถึงจะรู้ ไม่ใช่ไปหลับตาปฏิบัติ ทำจิตให้บริสุทธิ์ก็จะไป ปริสุทธา ปริโยทาตา บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น มีความแววไว มุทุ มีจิตปาคุญญตา กายปาคุญญตา กัมมัญญา ปภัสสรา
รูปฌาน 4 (ต่อสู้เพ่งเผากิเลส จนจิตไร้นิวรณ์)
1. ปฐมฌาน (มีวิตก มีวิจาร. มีปีติ มีสุข มีเอกัคตารมณ์)
2. ทุติยฌาน (ละวิตก-ละวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิด จากจิตคลายกิเลสลง จนตั้งมั่นมีสมาธิ)
3. ตติยฌาน (มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย.. เพราะปีติสิ้นไป)
4. จตุตถฌาน (ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นฐาน ให้สติบริสุทธิ์ จิตเป็นมัชฌิมา เป็นกลางอยู่)
(พตปฎ.เล่ม 9 ข้อ 127-130)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันพุธที่ 13 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 11:11:08 )
รายละเอียด
ฌานที่เป็นพุทธ คือเป็นฌานอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นฌานโลกุตระ สามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ตัวตนกิเลสที่เป็นสักกายะ (รูปนามของตน) ฌานจึงจะเป็นพลังงานจิต ที่ถึงขั้นมีประสิทธิภาพทำให้เกิดบุญได้จริงแท้นั่นคือกำจัดกิเลสสำเร็จจริง พลังงานอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนิวเคลียร์ ก็ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ พลังงานฌานที่สามารถทำลายกิเลสได้จึงยิ่งใหญ่กว่า
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:30:16 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:49:01 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:32:57 )
รายละเอียด
ฌานที่ไม่ใช่พุทธ คือ ฌานที่ยังเป็นฌานโลกีย์ หรือเป็นของเทวนิยม นั้นแบบหนึ่ง ไม่สามารถเผากิเลสได้เพราะไม่มีปัญญาที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงตัวตนกิเลสของตน(สักกาย)
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27กันยายน 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:29:19 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:51:35 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:31:54 )
รายละเอียด
เรื่องฌาน ฌ กะเชอ สระอา น หนู เป็น อจินไตย ฌานวิสัย เข้าใจของพระพุทธเจ้าไม่ได้ง่ายๆ ไปเข้าใจกันว่าฌานเป็นเรื่องของการเพ่งจิต เป็นเรื่องของการจับให้จิตมันอยู่นิ่งๆ ผลของฌานคือ เป็นสมาธิ เขาว่างั้น ผลของฌานเป็นสมาธิ แล้วสมาธิของเขาคืออะไร สมาธิของเขาคือให้จิตหยุดเป็นอสัญญีจิตหยุดคิด จิตหยุด ไม่มีความรู้ ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา สัญญาเวทยิตนิโรธ เขาก็แปลว่า สัญญาและเวทนานิโรธดับ คือดับทั้งเวทนาและสัญญา เขาก็แปล สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอสัญญี แปลเป็นการดับสัญญา ซึ่งมันไม่ใช่
เวทยิตะ คือ อารมณ์ต่างๆ สัญญาเวทยิตะ สัญญาคือเจตสิกตัวที่กำหนดรู้ ก็ให้กำหนดรู้เวทนาต่างๆ เวทยิตตัง เคล้าเคลียอารมณ์ เคยมีผู้แปลว่าเคล้าเคลียอารมณ์ อารมณ์ก็คือเวทนา ซอกแซกอ่านให้รู้หมดเลยทุกเวทนาอารมณ์ ว่ามันนิโรธแล้วนะ นิโรธอะไร นิโรธจากกิเลส กิเลสมันดับไปจากเวทนา กิเลสมันดับไปจากจิตเจตสิก ในจิตเจตสิกสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสได้ เพราะฉะนั้นจิตยิ่งบริสุทธิ์ผ่องใส จิตยิ่งแข็งแรง ยิ่งปราดเปรียว ยิ่งแคล่วคล่อง ยิ่งเต็มที่ ไม่ใช่ยิ่งไปเฉื่อย ยิ่งไปหยุด ยิ่งไปนิ่ง ยิ่งไปดับยิ่งไม่รับรู้ มันตรงกันข้ามกันเลย เขาไปเข้าใจคำว่า ฌาน ยิ่งเป็นสมาธิการตั้งมั่น ตั้งมั่นด้วยความหยุดเป็นอสัญญีสัตว์ มันคนละเรื่องเลย ตั้งมั่นของพระพุทธเจ้าคือสมาหิโต
จิตยิ่งเป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา อภิปโมทยังจิตตัง เหมือนอย่างโพธิรักษ์นี่ จิตสุดยอดแล้ว จิตเป็นฌานเต็ม จิตเป็นสมาธิเต็ม ปราดเปรียว แคล่วคล่อง ว่องไว เปิดรู้ทุกอย่าง ไม่ได้มีอะไรหรี่ อะไรดับ ไม่ได้หลบอะไรเลย รู้แจ้ง รู้ครบ รู้สว่าง รู้ตื่นเบิกบาน ซึ่งเขาเข้าใจผิดกันไปหมดเลยว่า ฌาน ไปแปลว่า เป็นความเพ่ง เพ่งแลัวก็หยุด นี่คือความเสื่อมที่ชัดเจน ไปเป็นแบบเดียรถีย์ เดียรถีย์ก็คือพวกนอกรีตศาสนาพุทธ เป็นพวกอวิชชา เป็นพวกไม่รู้เรื่อง เป็นพวกโง่ ปฏิบัติดักดาน ผิดไปคนละน้อยสองน้อยสามน้อย ผิดต่างกันไป ก็เป็นกายต่างกัน-สัญญาต่างกัน เต็มไปหมดเลย กำหนดรู้อะไรก็รู้กันไป ว่าสัตว์เป็นอย่างนั้น มนุษย์เป็นอย่างนั้น เทวดาเป็นอย่างนั้น พระพรหมเป็นอย่างนั้น ก็ว่ากันไป บัญญัติเทวดา พระพรหม เป็นมนุษย์เป็นมาร อะไรก็เป็นภาษา บัญญัติ
อารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์ไม่ดี มาร อารมณ์ดีก็เป็นเทวดา ก็เป็นโลกีย์ มีตัวมีตน เป็นสภาพอารมณ์ ของพระพุทธเจ้านี่ ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วไม่มีหรอก เทวดงเทวดา มาร แน่นอนอยู่แล้วไม่มี ไม่มีเทวดา 6 ชั้น พรหมอีก 20 ชั้น เป็นภพเป็นชาติ เป็นความมีทั้งนั้น พระอรหันต์ไม่มีหรอกพระพรหม 16 ชั้น 20 ชั้น แม้แต่เทวดาก็ไม่มี แต่รู้จักคนที่เขายังติดภพชาติเหล่านี้ อย่างอาตมานี่รู้ รู้ว่า อ้อ! คนนี้เขายังติดภพติดชาติอยู่อย่างนั้นอย่างนี้อยู่นะ เข้าใจว่าเขายังติดภพติดชาติอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่ท่านย่อไว้เป็นสุดยอดแล้ว แยกจากจิตเป็นส่วนย่อยเป็นเจตสิกต่างๆ ตั้งแต่เป็นเจตสิกละเอียด ไปจนแม้แต่เวทนาก็ไปถึง 108 อย่างนี้ เป็นต้น หรือเจตสิก ในสวนอื่นก็ตาม สัญญา สังขาร ก็แล้วแต่มีตั้งแยอะตั้งแยะ ก็เข้าใจรายละเอียดของอาการของจิต มันเป็นอาการอย่างนั้นอย่างนี้ มันแสดงบทบาทอย่างนั้นอย่างนี้
ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้น ยิ่งตื่นเต็ม ไม่ใช่ไปหรี่หลับมุด ยิ่งเปิดสว่าง เป็นพลังงานเต็มที่ ฌานคือปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น เป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ ฌาน โดยเฉพาะรู้ด้วยเป้าหมายสำคัญ เป้าหมายสำคัญก็คือรู้จักกิเลสในจิต หยาบ กลาง ละเอียด แล้วทำออก จนจิตเราไม่มี กิเลสนี้เข้าไม่ได้ อย่างหยาบ เข้าไม่ได้แล้ว อย่างกลางเข้าไม่ได้อีก อย่างละเอียดสุด หมด ไม่มีแล้วในจิต จิตผ่องใสสะอาดตลอดกาลนาน เรียกว่า อุเบกขา
อุเบกขา แปลว่า ความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เพราะฉะนั้นจึงเป็นฐานจิตของพระอรหันต์แท้ พระอรหันต์มีแต่อุเบกขา มีแต่เมตตาทำงาน เมตตาก็คือร่วมกับผู้อื่น ช่วยเหลือเกื้อกูล ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ต้องการให้เขาพ้นสุข ต้องการให้เขาบรรลุธรรม ต้องการให้คนอื่นเป็นเหมือนที่เราเป็นได้ ให้เขาเจริญ ควรที่เจริญเหมือนอย่างที่เราเป็นได้ หรือตามฐานะอันควรของเขา ให้ไต่มาตามลำดับก็ตาม ผู้บรรลุแล้วก็ช่วยผู้อื่นต่อ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ที่จะเป็นโพธิสัตว์นี่ก็ไม่ค่อยขยันนัก ก็เป็นโพธิสัตว์บ้าง แล้วก็ทำประโยชน์ ผู้ที่ไม่ได้ตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์เลย พอเป็นพระอรหันต์แล้วจิตก็มีฌาน 4
ฌาน 4 ไม่ได้เกิดจากการหลับตา เป็นฌานของพระอาริยะ ของพระอรหันต์ จิตสะอาดแล้วก็เป็นฌานทั้งนั้น ฌาน ปกติมีตลอดเวลาไม่ต้องมีเวลาพัก ฌานมีตลอดเวลา เพราะที่ไม่เป็นฌานเพราะมันมีกิเลส พระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้วไม่เกิดในจิตอีกแล้ว มันก็เป็นฌานตลอดเวลา จะทำงานหรือไม่ทำงานเท่านั้น ฌาน 1 ทำงานก็มีวิตกวิจารณ์ ฌาน2 วิตกวิจารณ์ก็ทำงานอยู่นั้นแหละ แต่ทำงานได้ผลดีก็เป็นปิติ ทำงานได้ผลดีอีกก็คือเกิดเป็นสุขสงบ เป็นฌานที่ 3 เสร็จจบเป็นอุเบกขาเป็นฌานที่ 4 ก็ทำงานด้วยฌาน 1 2 3 4 โดยไม่ยากไม่ลำบาก เพราะฉะนั้นพระอรหันต์คือตัวฌาน พระอรหันต์ที่ยังอยู่มีชีวิตอยู่ เป็นโพธิสัตว์นั้นคือฌานแท้ๆ อย่างอาตมานี่คือตัวฌาน ทำงานอยู่นี่ทำงานด้วยฌานทั้งนั้น ไม่ต้องเข้าต้องออก ได้แล้วมันก็เป็นฌานเป็นความลดกิเลสได้แล้ว กิเลสดับสนิท ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา เที่ยงแท้แล้ว มีแต่ไปเป็นที่สูงอย่างเดียว สัมโพธิปรายนะ ไม่ต้องไปวนเวียนเข้าๆออกๆ ทำแล้วทำอีก..ไม่ ทำให้เห็นเป็นปัจจุบันธรรมนี้เลย อ่านจิตอ่านใจอ่านอะไรออกหมด มีโพชฌงค์ 7 หรือมีโพธิปักขิยธรรม 37
รู้ลักษณะของเจตสิกต่างๆของตน แล้วก็ทำออก เนกขัมสิตะ ไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ ไอ้ที่ไปนั่งหลับตาเข้าๆออกๆฌาน นั้นเป็นของเดียรถีย์ ฌานนอกพุทธ ฌานต้องไปนั่งหลับตาเอา ต้องไปหาสถานที่ทำฌาน ไม่ใช่ ฌานปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก ทุก อานา อาปานะ แล้วก็เป็นสมาธิทุกอานา-อาปานะ ไม่ต้องไปเพ่งจิตหยุดอยู่ตรงนั้นตรงนี้..ไม่ใช่
อ่านสัมผัสเมื่อเกิดแล้วอาการกิเลสเกิดให้รู้ แล้วก็รู้ให้ชัดเจน จนกระทั่งเกิดพลังของปัญญาที่มีธรรมฤทธิ์ เพราะปัญญาตัวฌานนี้ มันเห็นหน้ากิเลส กิเลสมันเห็นตัวฌาน มันจะรู้เลยว่านี่ไอ้ปัญญา มันจะวิ่งหนีเลย นี่พูดเป็นภาษา สภาวะมันเป็นอย่างนี้ ไอ้กิเลสนี่มันไม่รอหน้าปัญญาหรอก ปัญญาเห็นมัน มันวิ่งหนีหูตูบเลย พูดมาหลายทีวนเวียน พูดภาษานี้มา มันเป็นอย่างนั้นของมันจริงๆ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นฤทธิ์เดช มันเป็นธรรมฤทธิ์ เป็นพลังงานอย่างนั้นจริงๆ มันไม่ได้ไปต่อสู้รบรากันเหมือนอย่างการฟันดาบ..ไม่ใช่หรอก มันเป็นธรรมฤทธิ์ มันเป็นพลังงานนามธรรมพลังงานจิต
เพราะฉะนั้น คำว่าฌานคือปัญญาของคนเจริญ โลกุตระคือหลุดพ้นจากความที่ยังโง่ โลกียะคือผู้ที่ยังไม่รู้จักก็จะหลงเป็นทาสโลกียะ ยังเป็นคนเถื่อน ยังเป็นคนไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจความเป็นอาริยชนหรืออริยกชน ยังเป็น มิลักขชน อย่างพวกที่คิดอาวุธเพื่อที่จะฆ่าคนทำให้มันมีฤทธิ์เดชรุนแรง อย่างคิมจองอึน เป็นต้น ก็คิดแต่จรวด ระเบิดปรมาณูที่ทำร้ายมีฤทธิ์แรงเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็เอามาลากโชว์ข่มใครๆอยู่
หรือแม้แต่อเมริกาหรือรัสเซียก็ตาม หรือประเทศไหนก็แล้วแต่ที่คิดอาวุธอยู่ พวกนี้เป็นคนเถื่อนทั้งนั้น พวกมิลักขชนทั้งนั้น แต่เขา ไปยกย่องกันว่าเจริญ เป็นความฉลาดเฉลียว คิดอาวุธได้ร่ายแรง ขายราคาได้ดี ทำแล้วก็ขาย ตีตลาด ว่าของดี ราคาถูก รับรองซื้อแหลกเลย เพราะคน มิลักขชน คนเถื่อนพวกนี้จะหลงไปซื้อวัตถุไปฆ่ากันเขายังจะเห็นการฆ่าคนไม่เป็นเรื่องประหลาด เป็นเรื่องไม่มีกรรมวิบาก ไม่ได้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไร..ฆ่าคน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ฆ่าคนและไม่ฆ่าแม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย อย่างศาสนาพระพุทธเจ้านี้มันสุดยอดแห่งการรู้จัก ธาตุที่มันเกิดมา จิต เจตสิก ที่อาตมาได้อธิบาย เอาของพระพุทธเจ้าอธิบายแยกให้ฟัง เป็นตั้งแต่ สัตตะ ปานะ ภูตะ ชีวะต่างๆ แยกละเอียดให้ฟัง
กว่ามันจะมาบำเพ็ญ กว่ามันจะพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่มันเป็น มหาภูต ดินน้ำไฟลม มาเป็นภูตคาม พีชคาม เจตภูต จนมาเป็น ปาณะ จนมาเป็นสัตตะ ใครฟังตามเข้าใจไหมที่อาตมาพูด มันมีลำดับขั้น ใครฟังเข้าใจยกมือขึ้น โอ้! หลายคนเข้าใจ
เข้าใจแล้วอ่านอาการของตัวเราเอง จิตตน สักกะ ตัวเราเอง อ่านอาการของเรา เรารู้อาการของเราละเอียดขั้นนี้นะ อ่านแล้วก็เดาไป เอาพยัญชนะพวกนี้ไปใส่อาการของจิตตนเอง ว่า เออ ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ พีชคาม น่าจะเป็นภูตคาม อันนี้น่าจะเป็นมหาภูต ถ้าคุณเห็นและอ่านได้ออกว่า ทำจิตให้เป็นมหาภูตได้ มหาภูต คือดินน้ำลมไฟ ก็เป็นอรหันต์ ทำจิตให้เป็นมหาภูต มันไม่มีสภาวะจะเกิดเป็นชีวะแล้ว ก็เป็นอุตุธาตุ คุณก็ทำธรรมนิยาม 5 ได้ ทำจิตเป็นมหาภูต อุตุธาตุได้ หรือเอออันนี้ให้มันเป็นชีวะ คนที่มีฌานสามารถกำหนดให้มันเป็นมหาภูต ฌานนี้เป็นพลังงาน เป็น วสวัตตีโก ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะให้เป็นมหาภูต..ทำได้ จะให้เป็นภูตคาม เป็นพีชคาม เป็นได้ จะให้เป็นเจตภูต เป็นได้ จะให้เป็นปาณะ
ปาณะ เป็นขีดที่เริ่มเรียกได้ว่ากำลังจะเป็นสัตว์ เป็น 6 ธาตุแล้ว ถ้าเป็นถึงธาตุที่ 7 ก็ถือว่าเป็นสัตตะ อย่างนี้เป็นต้น เราอ่านอาการจิตของเรา ว่า เออ อันนี้น้อยเล็กขนาดนี้ มันน่าจะอยู่ในระดับนี้ อาการอย่างนี้เป็น มหาภูต จิตของคุณ ถ้าคุณอ่านออก และจิตของคุณทำได้ คุณก็เป็นจริงสิ คุณทำจิตให้เป็นมหาภูตได้ คุณก็เป็นอรหันต์ แล้วคุณก็ทำให้มันเป็นนั่นน่ะ คุณก็มีธาตุจิตอื่นอีก เจตสิกอื่นอีกตั้งเยอะ คุณก็อาศัยสิ่งที่มันเป็นชีวะ อันนั้นไม่เป็นชีวะแล้วก็ทิ้งไปทำให้เป็นมหาภูตได้ก็ทิ้งมันไป ไอ้ที่ยังทำอยู่ต่อ อาศัยมันบ้าง ให้มันเป็นแค่ ภูตคาม พีชคาม เจตภูต อันนี้เป็นปาณะอยู่ อันนี้เป็นสัตตะ
สัตตะ ที่เรารู้เท่ารู้ทัน รู้อาการของเจตสิกต่างๆที่มันทำงานครบ 7 เป็นพลังงานที่เราอาศัยมัน ให้เป็นกุศล ให้มันไปทำเป็นกรรมกิริยา เป็นพลังงาน ใช้พลังงานทำประโยชน์ เราต่างหากเป็นเจ้าของพลังงานต่างๆ เป็นวสวัตตี เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เราก็ทำมันไป สั่งให้มันเป็นอย่างนั้นนี้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่เป็นพระเจ้าแท้ๆ เราเป็นพระเจ้าที่สั่งการจิต เจตสิก รูป นิพพาน ของเราเองหมดเลย ละเอียดลออขึ้นชัดมั้ย
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 39 ฌานปัญญาของคนเจริญจริงคือทำจิตให้เป็นมหาภูตได้ วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2566 ( 20:27:31 )
รายละเอียด
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาเคยบอกเคยเล่า อาตมาว่าฌานของพุทธไม่ต้องไปหลับตาทำ ไม่ต้องไปหาเวลาทำ แต่ว่า ฌานพุทธทำได้ทันทีทันใด เดี๋ยวนี้ก็ทำได้เลย สัมปติ suddenly เลย ทำฌาน เดี๋ยวนี้เลยก็เกิด ฌาน เดี๋ยวนี้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่ง ฌาน ทั้ง 4 ไม่ต้องไปรอทำยึกยักอยู่ต้องออกๆ เข้าๆ แต่มันถึงปั๊บเลย เร็วกว่าแสงไม่รู้กี่เท่าทันทีเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:52:34 )
รายละเอียด
พระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวว่า “อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร?”
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าสัญญาเวทยิต-นิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯลฯ
ที่มา ที่ไป
ว่าด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ เล่ม17 ข้อ517
ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 12:55:51 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:57:39 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:32:35 )
รายละเอียด
ศาสนาพุทธก็ไม่มี ฌานพุทธศาสนา มีแต่ฌานฤาษี ไปนั่งหลับตาแล้วบอกว่า เป็นฌาน แค่นี้เป็นเบื้องต้น ฌานของพุทธไม่ได้หลับตา ฌานของพุทธต้องลืมตา ฌานของพุทธต้องประกอบไปด้วยศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับคนกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่คือคนนี่แหละ คุณต้องสัมผัสกับคน ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสกับคนแล้วมีกิเลสหรือไม่ กิเลสนิวรณ์ 5 เรายังมีกาม ลดให้หมด อ้อ เรายังมี พยาบาทโกรธเคือง ลดให้หมด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 มกราคม 2566 ( 12:19:48 )
รายละเอียด
“ฌาน”ของพุทธ “บุญ”ของพุทธจึงพิเศษเป็น“คุณวิเศษ”ที่เรียกว่า“อุตตริมนุสสธรรม”เกินกว่าสามัญทั่วไป เพราะมีในพุทธศาสนาเดียว
ในศาสนาอื่นหรือศาสนาใดไม่มี แม้ในชาวพุทธเองแท้ๆ ยุคปัจจุบันนี้ก็“มิจฉาทิฏฐิ”เกือบหมดแล้ว ทำได้ก็แต่“ฌาน”แบบไม่ใช่ของพุทธกันทั้งนั้น จึงไม่บรรลุธรรมขั้น“บุญ”ได้เลย
“ฌาน”ที่ทำๆ กันก็ได้แต่“กุศล” อันเป็น“โลกียธรรม”เท่านั้นเพราะเป็น“ฌาน”ที่“มิจฉาทิฏฐิ”ไปจากแบบพุทธกันแล้ว “บุญ”จึงไม่สำเร็จเป็น“ผล”ได้จริง เพราะทำกิเลสไม่“วิบัติ”นั่นคือ “หลับตา”ปฏิบัติ ก็ไม่เกิด“พลังงานไฟ”ตาม“ฌาน”พุทธ
คำอธิบาย
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 496 หน้า 368
เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2564 ( 12:21:51 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2563 ( 11:15:26 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:16 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:35:21 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 11:47:34 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:52 )
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:34:55 )
รายละเอียด
ฌานของฤาษีไม่มีปัญญามีแต่เฉกา คือ เป็นธาตุรู้โลกีย์หรือความรู้ของโลกีย์ ส่วนปัญญา เป็นธาตุรู้ของโลกุตระของพระพุทธเจ้า แต่ถูกขี้ตู่เอาไปใช้เขลอะไปหมดเลย เพราะคนชอบพูดนี่แหละ แล้วคนอื่นเห็นดีเห็นงามก็เอาปัญญาไปใช้หมายถึงปัญญาก็เลยดี บอกว่าปัญญาเท่ดี กลืนเฉโกไปหมดเรียกแต่ปัญญา
ฉันเดียวกัน ฌานวิสัย จะพูดก็ไปเรียก ฌานไปหมด ไม่ใช่กว่าจะเป็นฌานวิสัยต้องรู้ตั้งแต่ อาศัย นิสัย วิสัย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อจินไตยของฌานวิสัย
เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 21:17:51 )
รายละเอียด
ฌาน 1 วิตกวิจาร พักได้ มันก็ปีติดีใจ ที่เราเจริญด้วยดีว่าถูกต้องแล้วหนอ เสร็จแล้วมันก็ต้องลดเพราะว่าปิติถือว่าเป็นอุปกิเลส ให้มันสงบลงไปจึงเป็นขั้นสุข ปีติ สุข จนกระทั่งสุขก็ยังมีอาการอยู่ กรึ่มๆไม่เอา ให้มันเป็นกลางๆ วางเฉยเป็นอุเบกขา
สายเจโต วิตกวิจารก็อย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่งต่างกัน เสร็จแล้วไปถึงฌานที่ 4 ฌานที่ 4 เขาก็เป็นเอกัคคตา เป็นจิตเป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แต่ยังไม่เข้าฐานอุเบกขา แต่มันมีอุเบกขาเป็นคำอธิบายของพระพุทธเจ้าอยู่ เขาก็เลยโมเมเป็นอุเบกขา แต่ อุเบกขาของเขาไม่ได้หมายถึงจิตสะอาดจากกิเลส เขากดข่มกิเลส มันก็ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ ตัวเอกัคคตาเขา ทำเป็นแบบสะกดจิตกดข่ม เป็นสายนั่งหลับตาแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส นอกรีต ของพระพุทธเจ้า เขาก็ทำได้
สัญญาไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันแต่กายต่างกัน เพราะฉะนั้นพวกที่ลืมตาทำกายต่างกัน ฌาน จึงเป็น ฌาน ลืมตาที่เป็น ฌานวิสัยไม่ใช่เดาได้ง่ายๆ พวกฌานหลับตานั้น เดาไม่ออกเลยจนกว่าจะมาปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองได้เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ คุณจะรู้ได้ว่า ฌานลืมตา มันต่างจาก ฌานหลับตาอย่างนี้หรือ
ตายๆๆ หลงมาไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้ก็หลงมาเสียจนแก่แล้ว ฟังโพธิรักษ์มาไม่รู้กี่ร้อยเที่ยวแล้ว กูก็จะนั่งหลับตาบอกว่า โพธิรักษ์ไม่เคยนี่หว่า ปัดโธ่เอ๋ยอย่างนั้นมันจะไปยากอะไรนั่งหลับตา อย่างนั้นอาตมาก็พูดให้ฟังไม่รู้กี่ทีแล้ว อาตมานั่งหลับตาอยู่ที่ป่าแสม วัดอโศการาม เคยพูดแล้ว ใครนึกออกไหมว่าจะพูดอย่างไรต่อไป ...
นั่งตากยุงอยู่ข้างนอกแหละ แล้วก็นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปข้างใน ยุงทะเล ยุงป่าแสม มันมาทีละก้อนๆ นะ มันไม่ได้มาทีละตัว มันรุมเรา ไม่รู้สึกเลยข้างนอก เก่งมาก สมถะเก่งมาก ถ้าอาตมาทำจริงๆไม่ได้พูดโกหก ฝึกมาทำไมจะไม่รู้ไอ้อย่างนั้น พอออกมา โอ้โห อาตมาไล่ยุงแล้วแดงเถือกลายพร้อยคันคะเยอ ยุงทะเลนี่ไม่ใช่ยุงลายยุงที่เป็นโรค
เพราะฉะนั้นอย่างนั้นอาตมาว่า อาตมาไม่ใช่หมาเห็นองุ่นเปรี้ยว อย่างที่คุณทำนี้อาตมาทำได้หมดแล้วก็ไม่ได้ด้อยได้น้อยกว่าพวกคุณหรอก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านรู้หมดท่านทำมาหมดทุกอย่างอะไรที่ เดียรถีย์ เขา ทำ
อาตมาไม่ได้ถึงขั้นจะต้องไปกินขี้ ตั้งแต่กินขี้ก้อนใหญ่ จนกระทั่งออกมาหรือขี้ก้อนน้อยลงก็กินขี้ที่ออกมาอีกน้อยลงน้อยลงจนกระทั่ง ไม่เหลือ พระพุทธเจ้าท่านทำมาหมด อาตมายังไม่ถึงขั้นนั้น อย่างนี้เป็นต้น
ที่เขาผ่านมาแล้วอาตมาผ่านมาหมดไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ว่าเราเป็นหมาเห็นองุ่นแล้วกินไม่ได้เราก็เลย แอ๊คว่า องุ่นนี้มันเปรี้ยว อาตมากินมาไม่รู้กี่พวงแล้วองุ่น ไม่ใช่หมานะคนนี้แหละกินองุ่น นึกว่าคุณเป็นคนกินองุ่นเท่านั้นอาตมาก็เป็นคนกินมาทั้งนั้นไม่ใช่หมาเห็นองุ่นเปรี้ยว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 21:00:14 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name