คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
อัตตะคือได้เป็นตัวๆไป หันตะ คือได้ทั้งหมด อรหัตตะคือได้อรหันต์เป็นเรื่องๆ แต่อรหันต์คือได้ทั้งหมดทุกเรื่อง อรหันต์แปลว่าไม่ลึกลับ แต่ไปนั่งหลับตาแล้วบอกว่าได้อรหันต์นั้นไม่ใช่หรอกมันยิ่งลึกลับเป็น รหัตตา ยิ่งไปกดข่มเข้าไปย่ิงไม่มีจิตไปรู้ มันไม่ได้มีการแยกแยะแจกจิตเจตสิกอะไรออกไปต่างๆนานา รู้หน้าที่ของจิต ไม่ได้มีธรรมวิจัย พวกไปนั่งหลับตาจึงน่าสงสาร ไม่ได้เป็นการปฏิบัติในทางศาสนาพุทธเลย
ที่มา ที่ไป
630429
เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 12:08:04 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:04:20 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:08:43 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:06:18 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:05:38 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:09:10 )
รายละเอียด
1. ผู้ไม่ลึกลับในความเป็นอัตตาแล้ว
2. ความไม่ลึกลับในอัตตา
หนังสืออ้างอิง
รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 21, ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 317
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:42:23 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:47:17 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:09:29 )
รายละเอียด
1. ที่เหมาะเห็นควรเป็นที่สุด เป็นที่สุดกับทุกอย่าง ทุกขณะในจิต
2. การดับสิ้นกิเลสตัวนั้นจนถึงขั้นดับอาสวะหรือดับอนุสัย อันเป็นกิเลสอาการขั้นปลายของกิเลสตัวนั้นๆ ชนิดไม่กลับกำเริบอีก หรือไม่เวียนกลับมาเกิดอีก
3. ความสิ้นอาสวะกิเลส
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 22 – 23, อีคิวโลกุตระ หน้า 96, หน้า 96
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:43:28 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:52:57 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:09:55 )
รายละเอียด
แต่ว่า ทุกอย่างมันวนเวียนซ้ำซากใครที่เรียนรู้ว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่หนึ่งแล้วก็ไปหานับไม่ถ้วน หนึ่งไปหานับไม่ถ้วน ที่นับไม่ถ้วนก็ย่อลงมา
ให้เห็นความสำคัญ หนึ่งในความสำคัญที่สุดที่ชื่อว่ามี จากความมีก็ไปหาความไม่มีคือ 0 มันก็มี 0 กับมี ถ้าใครทำสภาวธรรมเพราะเรายังมียังต้องอาศัยอันนี้ทำประโยชน์อยู่ในที่สุดเราสามารถทำตาย ทำไม่มี ให้แก่ตัวเองได้สูงสุด สูงสุดถึงขั้นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่อาตมาได้แล้วคือได้อรหัตผล ทำความเกิดความดับได้จริงให้แก่จิตวิญญาณ ทำความเกิดความดับของจิตวิญญาณ ให้มันสำเร็จได้ บริบูรณ์แท้จริงเลยได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 18:53:56 )
รายละเอียด
เป็นโลกุตรจิตแห่งพระอาริยะ อันเป็นชั้นที่กำลังพูดถึงอยู่นี้คือพระโสดาบันแท้ๆ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า463
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:44:32 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:55:14 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:10:13 )
รายละเอียด
ความสุขกับความทุกข์มันเป็นคู่แฝดคู่หูแยกกันไม่ได้ เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งเหมือนเหรียญสองหน้า เมื่อแยกกันไม่ได้พระพุทธเจ้าก็จะทำอย่างไรก็ต้องฆ่าทั้งความสุขและความทุกข์ทิ้งไปเลย หมดความสุขหมดความทุกข์ ตั้งแต่ตอนเป็นๆ เป็นพระอรหันต์คือผู้ที่รู้จักความสุขความทุกข์และเป็นผู้ที่ไม่มีความสุขความทุกข์แล้วจิตว่างจากความทุกข์ความสุขเลย โดยศัพท์เรียกว่าอุเบกขาเป็นจิตบริสุทธิ์ สบายไม่มีทุกข์ไม่มีสุข …เป็นได้ไหม?
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 14:01:34 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:06:25 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:10:37 )
รายละเอียด
อรหันค์คือตัวเจโต โพธิสัตว์คือตัวปัญญา ตระกูลของจริตสัตว์โลก มันเป็นจริงๆ จริต ศรัทธาจริตกับพุทธิจริต หรือสายปัญญากับสายเจโต มันเป็นตระกูลมาแต่ไหนแต่ไร โมคคัลลา สารีบุตร อย่างนี้ โมคคัลลานะเป็นสายเจโต สารีบุตรเป็นสายปัญญาอย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งถ้วนรอบแล้ว เจโตกับปัญญาก็เป็นหนึ่งเดียวก็เป็นพระพุทธเจ้า สุดยอด มันจะเป็นอย่างนั้น เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นผู้ที่สุดโต่งไปทางเจโต สุดโต่งไปทางอรหันต์ อย่างยุคนี้ เถรวาทไทย สุดโต่งไปทาง เจโต สุดโต่งไปทางอรหันต์ ฝ่ายมหายานก็สุดโต่งไปทางปัญญาไปใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีที่จบเลย ทางนี้จะว่าจบมันก็ไม่จบเพราะมันมืด มืดบอดเข้าไปๆๆ ก็เลยยิ่งมืดใหญ่ ลงไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอย่างที่ว่า หาไม่เจอเลย อาตมาก็พยายามจะใช้เครื่องมือวิเศษ ดึงขึ้นมาจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ากันให้ได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:12:27 )
รายละเอียด
อรหันตบุคคล คือ เป็นการมีจิตสงัดจาก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่า จิตตวิเวก
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 13:54:01 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:07:18 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:11:04 )
รายละเอียด
พลังงานแรงงาน เวลา แม้แต่จะใช้ทุนรอน เราก็เอามาขยันในสิ่งที่ไม่ควรไปเสียในทางสร้างอาวุธ เสียในทางที่จะเอาเปรียบเอารัด เสียในทางที่จะมาโกงทุจริตอะไร เอามาทำประโยชน์คุณค่าทางนี้หมด มันพูดดูสั้นๆเล็กๆ แต่มันใหญ่ มันจะเป็นพลังรวมที่ยิ่งใหญ่ อโศกไม่ได้เป็นหมู่กลุ่มคนมากเลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่มาก แล้วก็มีกลุ่มหมู่ที่รวมกันอยู่ในชุมชนแต่ละชุมชน
เอาอย่างชุมชนราชธานีอโศกเป็นชุมชนที่อยู่กันอย่าง เอกีภาวะ สามัคคียะ อวิวาทะ สังคหะ และทุกคนก็เคารพกันรักกัน ระลึกถึงกันอย่างแท้จริง ต่างคนต่างมีฐานที่จะปฏิบัติเป็น ทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตาของแต่ละคน พัฒนาให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญาวิมุติ วิมุตติญาณทัสนะ คุณก็ทำให้มันจบ จนจบคำว่าจบกิจ แต่ละกิจ ของแต่ละคนสิ้นกิจ ที่จะต้องทำให้แต่ละคนเป็นอรหัตผล ก็มีอรหันต์ไปเรื่อยๆ จนเป็นอรหันต์เป็นคนระดับ 4 จนเป็นอรหันต์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ระดับ 8 มหาโพธิสัตว์ สูงสุดเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับที่ 9
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 12:13:46 )
รายละเอียด
คือ ผู้สามารถสลายความเป็นธาตุ “จิตนิยาม”ของตนได้จริงแท้ ให้กลายเป็นธาตุ “อุตุนิยาม” ที่ไม่วนเวียนกลับมาเป็น “จิตนิยาม” อีกแล้วในเอกภพ สำเร็จได้จริง
หนังสืออ้างอิง
“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 179
เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 14:22:35 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:12:38 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:11:30 )
รายละเอียด
คือ ชั้นบนสุด ของวิหารพันปี มีความหมายแทนอาริยบุคคลระดับอรหันต์ ทำหน้าที่ขยายความว่างเปล่า หรือการหลุดพ้นให้กว้างขวางออกไป
หนังสืออ้างอิง
“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 138
เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 13:20:26 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:13:39 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:11:54 )
รายละเอียด
อรหันต์ คือ ผู้หมดบุญแต่มีฌาน ฌานคือภาคปฏิบัติ พระเสขบุคคลจึงต้องใช้บุญ ทำบุญอยู่นั่นเอง
คำอธิบาย
คือ ผู้ที่มีความรู้ที่เป็นโพธิ เริ่มต้นมีความรู้และลดกิเลสได้ ยังไม่ถึงอรหันต์ก็เป็นอรหัตผลตามลำดับ อรหันต์แปลว่า ความไม่ลึกลับ ผู้ที่ถึงความไม่ลึกลับแล้ว รู้แจ้งแทงตลอดกิเลสเป็นเช่นนี้ วิธีดับกิเลสเป็นเช่นนี้ กิเลสมันลดลงไปเรื่อยๆ เป็นอรหัตผล ผู้ปฏิบัติเองจะรู้ได้ด้วยตนเป็นปัจจุบันว่าเป็นอย่างนี้ ผู้รู้แล้ว ดับกิเลสได้หมดสิ้นคือ พระอรหันต์ อันตะ สูงสุด คือสิ่งที่ไม่ลึกลับทีละตัวๆ สูงสุดหมดตัวเลย เรียกว่า “อรหันต์” แม้เริ่มต้นด้วยความเป็นโพธิสัตว์ เป็นพระโสดาบันโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง ก็ลดกิเลสได้ในขั้นแรก เรียกว่า พระโสดาบัน เขาเรียกว่าอรหันตผล ถ้ากิเลสมันดับไปหมดเลยตัวนี้ก็เป็นอรหันต์สำหรับกิเลสตัวนั้น เช่น กิเลสสูบบุหรี่หมดสิ้นเกลี้ยงเลยไม่มีกิเลสเลย เห็นบุหรี่ก็ไม่มีปัญหา หรือการติดหมาก เห็นเขากินหมาก ก็ไม่เกิดรสชาติอะไร ไม่เกิดสุขเกิดทุกข์เลย “อรหันต์” คือ ผู้ทำจิตตนให้เป็นอุตุธาตุได้ให้เป็นพีชธาตุได้ อยู่ในฐานะที่ทำจิตตนให้เป็นพีชธาตุได้ ก็เป็นอรหันต์ได้ตอนเป็นๆ ไม่ตาย ไม่สุข ไม่ทุกข์ได้ อาศัยพีชธาตุมีชีวิตอยู่แต่ถ้าตายลงไปแยกธาตุ ไม่ตั้งจิตต่อ ก็แยกธาตุจิตตนเองให้เป็นอุตุเลย ไม่ใช่แค่พีชะ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:30:59 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:08:25 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:12:56 )
รายละเอียด
อรหันต์ คือ ผู้รู้สภาวธรรม 4 แล้วทำความเที่ยงได้ ถึงจะจบความเป็นพระอรหันต์ แล้วจะรู้วสวัตตี เหนือ ชรตา อนิจจตา สร้างอำนาจเหนือรูป 4 สุดท้ายนี้ได้
1. ผู้ไม่แปลก ไม่ลึกลับอะไรแล้วกับความเป็นที่สุด
2. ปล่อยวางความสูงสุดกลับมาเป็นผู้รู้ทางจะทำให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ดับการเกิดของจิตที่ควรดับ ควรปล่อย เข้าใจทุกข์ที่เรียกว่าสังขารได้จริง
3. ความบริบูรณ์
4. ไม่ลึกลับเป็นที่สุด
5. ผู้ที่ตายแล้วไม่เกิดอีก ความหมายทางปรมัตถสัจจะคือผู้ที่มีการตายของตัวตนที่เป็นกิเลสภายในจิต
คำอธิบาย
คือ ผู้ทำจุดสำเร็จแท้ของศาสนาพุทธ ได้ถูต้องแท้จริง ทีนี้ จุดสำเร็จแท้ของศาสนาพุทธ คือ การดับเหตุแห่งทุกข์ ผู้ดับเหตุแห่งทุกข์ได้สำเร็จ ก็คือ ผู้จบสำเร็จเป็นอรหันต์ดังนั้นถึงอย่าหลงมุ่งออกนอกเผ่าศาสนาพุทธเลย เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์แล้วดับเหตุให้ได้ถูกให้ได้แล้ว ทำกันจริงๆ ข้อสำคัญมันอยู่ที่ทุกข์ ทุกข์นั้นมันก็คือสุขนั่นแหละที่มันเป็นกระจกเงาหลอก มันเป็นเทวะ หรือ เทวดา ในกระจกเงาเป็นเทวดาแต่แท้จริง คือ “ตัวผีมาร” แท้จริง มันคือ ทุกข์ มันปลอมตัวมาเป็นสุข หรือจริงๆ สุข ทุกข์มันคือตัวเดียวกัน “ดับทุกข์ จึงคือ ดับสุข” เหมือนมันมี 2 อย่างแท้จริงมันเป็นตัวเดียวกัน ศาสนาพุทธแยกแยะ 2 คือ ความสุข ความทุกข์นี้ได้จึงศึกษาได้ล้ำลึกอีกชั้นหนึ่งว่า แล้วสุข ทุกข์ คือ เทวะ หรือ ธรรมะ 2 “สุข ทุกข์ คือ ธาตุรู้” เรียกมันตรงเข้าไปอีกว่า เนื้อแท้ของธาตุรู้นั้นคือ ความรู้สึก หรืออาการของอารมณ์ เรียกโดยพยัญชนะวิชาการว่า เวทนา จุดเดียวกันนี้เองที่ศาสนาพุทธศึกษา แล้วการศึกษาที่ประสบผลสำเร็จได้จริง จัดการรู้เวทนา ทุกความรู้สึก ความรู้กับความรู้สึก ต่างกันแล้วนะ “ความรู้ เป็น Common noun แต่ความรู้สึกนี้เฉพาะเป็น Proper noun” ความรู้สึกนี้ต้องตัวเองรู้เลยจึ๊กเข้าไปเป็นอารมณ์จุดเดียวนี้เองที่ชาวพุทธศึกษาและประสบผลสำเร็จสูงสุดคือ การดับเวทนา ดับความรู้สึก ไม่มีความสุข ความทุกข์ในอารมณ์ คุณต้องอ่านอารมณ์ อาการของสุข ทุกข์ เป็นอย่างไร มันคนละหน้ากันแต่มันไม่มีความสุข ความทุกข์ เป็นกลางๆ เป็นอย่างไร คุณต้องเรียนรู้อาการเหล่านี้ให้ได้ต้องมีธาตุรู้ เรียกว่า ปัญญา รู้แล้วเป็นโลกุตระ เป็นอัญญาธาตุว่าสุข ทุกข์ มันเป็นอย่างนี้ จุดยืนยันว่า ไม่หลงในความสุข ความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้ดับความทุกข์เพราะว่ามันง่ายกว่าแล้วคุณก็ชัดเจนกว้างๆ แต่คุณดับความทุกข์ได้ อาการทุกข์ได้ คุณดับเหตุแห่งทุกข์ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าความสุขจะหายไปด้วยเพราะมันเป็นตัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นเทวนิยมสุขนิยมไม่เรียนรู้ความทุกข์เอาแต่แสวงหาความสุข พระเจ้าไม่เกี่ยวกับทุกข์ พระเจ้าไม่มีทุกข์ มีหน้าที่สาปคนให้ไปทุกข์ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้คนไปลงนรกเป็นทุกข์ แต่ให้คนไปอยู่กับพระเจ้าจะเป็นสุข นี่คือ
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 28, หน้า 46, ทางเอก ภาค 2 หน้า 224, ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 243, พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 84
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 12:46:19 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:10:52 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:14:08 )
รายละเอียด
ผู้หมดความสุข ความทุกข์ เป็นผู้ดับเทวดา ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตวิญญาณ สะอาด ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี จิตสะอาด หมดสุข หมดทุกข์ จิตนี้เป็นจิตแท้ ๆ บางที่เขาเรียกว่า เป็นจิตเดิมแท้ เป็นจิตที่ต้องศึกทำให้ได้ ขณะเป็นๆ ทำให้ได้ เป็นพระอรหันต์ อย่างลืมตา ปฏิบัติ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา พรหมลูกฟัก อย่างนั้นโมฆะจากศาสนาพุทธ ถ้าแยกกาย แยกจิตออกแล้ว คุณยังเป็นคน ยังมี ถ้ารู้ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ทำจิตคุณด้วยกรรม ด้วยธรรมะ เข้าใจโลกุตรธรรม พีชะของจิต ทำจิตให้เป็นพีชธรรม เป็นธาตุ สอง เทวธัมมา เทวะ แปลว่า สอง
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:35:48 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:11:37 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:14:36 )
รายละเอียด
คือ ผู้“ทำกาละ(ตาย)”เป็นแล้ว หรือผู้ “ทำการตาย”สำเร็จแล้ว “กรรม”ของอรหันต์จึงไม่มี“บาป หรือบุญ”อีกแล้ว(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) ฉะนี้คือ“กรรม”ไม่มีวิบาก นอกนั้นไม่มีใครสามารถเลิก“วิบากกรรม”ของตน
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 491
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 16:36:22 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:12:17 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:15:03 )
รายละเอียด
คือ ผู้เกิด 2 ครั้ง หรือตาย 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เกิดทางสรีระ จากท้องแม่ ที่คลอดออก มาจากมดลูก เป็นการเกิดแบบ“ชลาพุชโยนิ” ถ้าตายก็ ตายทางสรีระ คือ การตายกายแตก(กายัสสะ เภทา) ครั้งที่ 2 การเกิดของสัตว์ทางจิตวิญญาณ(สัตว์ โอปปาติกะ)เป็นการสะสมพลังงานของสัตว์ทางวิญญาณ (โอกกันติ ; อภินิพพัตติ)ที่คลอดแบบ“ผุดเกิด” เป็นการเกิด แบบ“โอปปาติกโยนิ” นั่นคือ จิตวิญญาณหนึ่ง“ตาย”ลง จิตวิญญาณที่ต่อจากนั้นก็เกิดต่อทันที ไม่มีเกี่ยวกับ“สรีระ” ที่เป็นดิน,น้ำไฟ,ลม มีแต่“กาย”กับ“สัญญา”เท่านั้นที่ เป็น “สัตว์”อยู่ ตามความเป็น“สัตว์”ใน“สัตตาวาส 9”หรือ “วิญญาณฐีติ7”
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 492
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 16:37:35 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:13:45 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:15:46 )
รายละเอียด
คือ ผู้ทำ“การตาย”ของสัตว์โอปปาติกะ หรือทำการตายของ“บาป”ของ“อกุศล”ในจิตตนสำเร็จ เด็ดขาด ด้วยอาวุธวิเศษ(ศาสตรา)คือ“บุญ” หรือความรู้ขั้น โลกุตระ(ศาสตรา)มิใช่ผู้ทำ“การเกิด”ทางสรีระเนื้อหนังเลย
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 492
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 16:39:04 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:14:25 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:16:11 )
รายละเอียด
1. สุกขวิปัสสโก (ผู้เห็นแจ้งโดยปัญญาวิปัสสนาเพียวๆ)
2. เตวิชโช (ผู้ใช้วิชชา 3)
3. ฉฬภิญโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 ฝ่ายเจโตสมถะ)
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ทั้ง 4 ได้แก่...
- อัตถปฏิสัมภิทา ฉลาดในเนื้อแท้แห่งสัจจะ-เป้าหมาย
- ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในสภาวธรรมต่างๆ ทั้งหมด
- นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในการมีภาษาบอกกล่าว
- ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฉลาดในเชาวน์ไหวพริบ
ที่มา ที่ไป
จาก.. คัมภีร์วิสุทธิมรรค
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2562 ( 15:35:38 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:15:54 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:16:31 )
รายละเอียด
อรหันต์ 4 แบบ อรหันต์ในโสดาบัน ในสกิทาคามี ในอนาคามี อรหัตตผลของอรหันต์อรหัตตผลในอรหันต์จึงจะเป็นอรหันต์แท้ที่เข้าใจและทำได้ว่าตนเองจะตาย 0 ได้อย่างไร ต้องมีนิพพาน 3 แบบ ถ้าไม่ทำนิพพาน 3 แบบได้ยังไม่ใช่อรหันต์ต้องอ่านจิตตัวเองให้ได้ สุญญะคืออะไร นิมิตตะคืออะไร อปนิหิตตะคืออะไร เราไม่สร้างนิมิตไม่ตั้งจิตต่อแล้วเป็นอย่างไร คุณก็จะต้องรู้ แล้วไม่ได้รู้ทันที คุณเป็นโสดาบันกว่าจะรู้อย่างละเอียดนี้ อย่านึกว่าเป็นโสดาบันปุ๊บจะรู้ได้ปั๊บ ไม่ได้หรอก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:06:19 )
รายละเอียด
คือ ผู้กระทำกิเลสทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว
1. สัทธาวิมุต (หลุดพ้นกิเลสด้วยศรัทธา)
2. ปัญญาวิมุต (หลุดพ้นกิเลสด้วยปัญญา)
3. อุภโตภาควิมุต (หลุดพ้นกิเลสได้ทั้งสองส่วน เจโตวิมุต กับ ปัญญาวิมุต)
4. สุกขวิปัสสโก (หลุดพ้นกิเลสด้วยวิปัสสนา)
5. เตวิชโช (หลุดพ้นกิเลสด้วยวิชชา 3)
6. ฉฬภิญโญ (หลุดพ้นกิเลสด้วยอภิญญา 6)
7. ปฎิสัมภิทัปปัตโต (หลุดพ้นกิเลสด้วยปฎิสัมภิทา 4)
ที่มา ที่ไป
พระวิสุทธิมัคค์ "ปัญญานิเทศ" หน้า 707,720
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก
เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 14:05:58 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:22:38 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:16:50 )
รายละเอียด
คือผู้กระทํากิเลสทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว
1. สัทธาวิมุต (หลุดพ้นกิเลสด้วยศรัทธา)
2. ปัญญาวิมุต (หลุดพ้นกิเลสด้วยปัญญา)
3. อุภโตภาควิมุต (หลุดพ้นกิเลสได้ทั้งสองส่วนเจโตวิมุต กับ ปัญญาวิมุต)
4. สุกขวิปัสสโก (หลุดพ้นกิเลสด้วยวิปัสสนา)
5. เตวิชโช (หลุดพ้นกิเลสด้วยวิชชา 3)
6. ฉฬภิญโญ (หลุดพ้นกิเลสด้วยอภิญญา 6)
7. ปฏิสัมภิทัปปัตโต(หลุดพ้นกิเลสด้วยปฏิสัมภิทา 4)
หนังสืออ้างอิง
ธรรมพุทธสุดลึก,พระวิสุทธิมัคค์ “ปัญญานิเทศ” หน้า 707,720
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2565 ( 03:37:27 )
รายละเอียด
อันนี้ดูเหมือนจะกลับกัน นิวเคลียร์ฟิวชั่นคือมันสภาพโค้งรวม มาเป็นตัวตน ส่วนฟิชชั่นนั้นไม่มีตัวตนเลย ไปหนึ่งเดียวถ่ายเดียว One Way Traffic เลย ไปแล้วหายจ้อยเลยเส้น ตรงไม่มีเส้นโค้ง คือความหมายสุดท้าย 2 อันนี้มันเป็นสิริมหามายา โฟตอนกับควันตั้ม เขาเถียงกันไม่จบหรอก ก็เถียงกันใครไปยึดด้านไหน แล้วเขาก็ยึดมั่นนั้นมาเถียงกัน ถ้าเกิดว่าคุณเข้าใจอย่างนั้น เราเข้าใจอย่างนี้มันก็จบ คุณเข้าใจว่า ควอนตั้มคือ Static โฟตอนคือ Dynamic แต่อีกคนหนึ่งบอก ไม่ใช่ โฟตอนคือ Static ควอนตั้มคือ Dynamic อ๋อ.. คุณเข้าใจงั้นเหรอ จบ ก็ต่างคนต่างเข้าใจ ต่างกันแล้ว เป็นนานาสังวาส ก็จบ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 12:55:12 )
รายละเอียด
ผู้บรรลุ“อรหันต์”คือ คนผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กิเลสใน ตน”แล้วก็กำจัดกิเลสนั้นของตนได้หมดสิ้นเชื้อขั้น“อาสวะ”
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2566 ( 11:18:23 )
รายละเอียด
คนนี้ลึกซึ้งเลยเถิด ต้องรู้ความสำคัญในความสำคัญหากเลยเถิดไปไม่มีอะไรสำคัญก็แย่เลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 13:31:14 )
รายละเอียด
แม้ท่านก็เคยเป็น"อรหันต์" เชื่อหรือไม่ ?
ก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้ง ถึงเรื่องราว ตามหัวข้อข้างบนนี้ ก็จะต้องทาความเข้าใจ "ความแท้จริง" ต่างๆ ไปตามลาดับขั้นเสียก่อน
มิฉะนั้น ท่านผู้อ่านจะต้องหาว่า ข้าพเจ้าพูดเล่นแน่ๆ
แต่ขอยืนยันอย่างแท้จริง ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวเล่นๆ
เป็นดังนั้นจริงๆ ใน "คน"ทุกๆคน แต่ "คน"ทุกคน ไม่รู้เองต่างหาก
"อรหันต์" คืออะไร? "อรหันต์" คืออะไร? นี่ ควรจะรู้ให้ได้อย่างถูกอย่างแท้ อย่างชัดกันด้วย ไม่เช่นนั้น เราก็จะไม่รู้ว่า ในโลกนี้มี "อรหันต์" หรือ ที่ควรรู้ยิ่งก็คือ แม้เราเอง ก็มีวาระเป็น "อรหันต์" เหมือนกัน ในบางโอกาส
"อรหันต์" นั้น คนเข้าใจผิดกันมากมายก่ายกอง ผิดจากความหมาย อันบ่งบอกถึงลักษณะ ถึงความแท้จริง โดยเพี้ยนไป เป็นสิ่งสูงเกินขนาดไป นั้นหนึ่ง และเพี้ยนไป เป็นสิ่งที่ผิดความจริงไปเลย นั้นอีกหนึ่ง
อรหันต์ คือ มนุษย์พิสดาร ? เข้าใจพระอรหันต์เพี้ยนไป เป็นสิ่งสูงเกินขนาดไปนั้น ก็คือ มีผู้เข้าใจว่า "อรหันตบุคคล" หรือ "พระอรหันต์" จะต้องเป็นผู้ที่สูงส่ง ด้วยประการทั้งปวง
2
สูงจริงๆ แต่สูงอย่างไร? ผู้เข้าใจเอาเองนั้นก็ไม่รู้ ก็ได้แต่เปรียบเทียบเอาว่า ต้องไม่ใช่ "คน"ธรรมดา ก็เลยเข้าใจผิดอยู่ในใจ อยู่เช่นนั้นเองว่า ถ้าตราบใด "คน" ยังมีสองแขนสองขา มีตามีจมูก กินข้าว เดินดิน อยู่ปนๆอยู่กับคนธรรมดาด้วยกัน อยู่อย่างนี้ละก็ "คน" ผู้นั้นจะเป็น "อรหันตบุคคล" หาได้ไม่
"อรหันตบุคคล" จะต้องแปลกไปกว่า "คน" จะต้องพิสดารไปกว่า "คน" แน่ๆ พอเห็นปุ๊บ! จะต้องสะดุดตา หรือ รู้ได้ปั๊บ! เลยว่า นี่คือ "อรหันตบุคคล"
และเขาก็วาดไม่ออก บอกไม่ได้เหมือนกันว่า จะให้ "อรหันตบุคคล" ผู้นั้นแปลกไป หรือพิสดารไปอย่างไร ?
เพียงแต่ในจิตสานึกมีว่า ต้องแปลก ต้องพิสดารเท่านั้น
แต่ตัวผู้รู้สึกอย่างนั้นเอง ก็มองไม่ออก เข้าใจไม่ได้ว่า ความแปลก ความพิสดารของ "อรหันตบุคคล" แปลกและพิสดารอย่างไร ?
พระอรหันต์ คือ คนธรรมดาๆ ? อย่าเข้าใจผิดเลย "อรหันตบุคคล" หรือ "พระอรหันต์" นั้น ไม่ได้แปลกเปลี่ยน พิสดารอะไร ไปจากความเป็น "คน" หรอก
"อรหันตบุคคล" ก็คือ ผู้มีรูปร่างหน้าตาคงเดิม เป็น"คน" อย่างเดิม ยังไม่มีกระบังที่หน้าผาก ยังไม่มีชฎา ยังไม่มีเกือกแก้ว และจะไม่ Tall, Dark and Handsome ด้วย
อาจจะไม่หล่อ ไม่สวย ไม่ผุดผาดอิ่มเอิบซาบซ่า เหมือน "คน" ผู้ยังเต็มไปด้วย กิเลสแห่งความรัก"รูปสวย" รัก"รูปงาม" และ รัก"รูปหล่อ" ทันสมัย เท่-สมาร์ต- น่าทึ่ง เป็นอันขาด
3
นั่นคือ "ความจริง" นั่นคือ "ความตรง-ความถูก" ของลักษณะ "อรหันตบุคคล"
ถ้าจะนับว่าแปลก ว่าพิสดาร ก็คงจะผิดจาก "สานึก" ที่ผู้คาดคิดเอาไว้ ตรงนี้เอง และเป็นมุมกลับด้วย
เพราะ "อรหันตบุคคล" ไม่มี "ความหลง" แล้วในใจของท่าน ท่านมี "ร่างกาย" ก็ย่อมเหมือนไม่มี
ดังนั้น ท่านจะไม่อีนังขังขอบกับร่างกายว่า จะอ้วนท้วนสมบูรณ์ หล่อเหลา ได้รูป-ได้ร่าง อย่างไร?
และ จะไม่อีนังขังขอบ กับเครื่องแต่งกายว่า จะสวยจะงาม จะทันสมัย หรือเหมาะสมกับสังคม สถานที่ หรือไม่?
แต่ท่านก็จะมีร่างกาย เพียงให้มันทรงอยู่ได้ จะนุ่งห่มเพียงเพื่อคลุมกาย กันร้อน -กันหนาว -กันแมลง เท่านั้น เป็นสภาพร่างกาย หรือสภาพของ "คน" ธรรมดา ที่ไร้ความหล่อ -ไร้ความสวย -ไร้ความสง่า - ไร้ความโอ่อ่า - ไร้ความเท่ -ไร้ความทึ่ง พอเห็นปุ๊บ! ก็จะสะดุดตาปั๊บ! แน่ๆ
ด้วยเหตุดังนี้เอง จึงจะเห็น "อรหันตบุคคล" ไม่ได้ง่ายๆ เพราะสภาพที่เห็นได้ ไม่ได้"สูง" ดังวาดไว้
เช่น จะต้องสมบูรณ์เพียบพร้อม-สง่า แต่งกายดีมีราศี หรือมีรัศมี จนบางที คนที่คิดเอาไว้ หรือปรุงแต่ง หรือวาดรูปไว้ มักจะวาดอย่างสุดสวย และแถมมีรังสี มีความพิเศษ ไปในทางที่เด่นๆ แบบทางโลกนึกคิด เอาเสียด้วย
4
ความตรงกันข้าม ด้วยประการดังนี้ จึงทาให้"คน" ไม่พบ"อรหันตบุคคล" และไม่มีโอกาสได้พานพบ "อรหันตบุคคล" เป็นอันขาด ทั้งๆที่อาจจะได้เห็นมาแล้ว หลายครั้ง เพราะความสูงที่วาดไว้อย่างคน กับความ "สูง" ที่ "อรหันตบุคคล" มีอยู่ในตัวท่านนั้น มันเป็นความสูงกันคนละเรื่อง คนละลักษณะ
พระอรหันต์ คือ อภินิหารบุคคล? อีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเข้าใจความเป็น "อรหันต์" ผิด นอกรีตนอกรอยของ "อรหันต์" แห่งพุทธศาสนา ออกไปเลย
คือ เข้าใจว่า "อรหันตบุคคล" จะต้องเป็นคนเก่ง คนมีอภินิหาร เป็นคนที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ เป็นผู้ที่จะแสดงกลต่างๆได้ เป็นนักสะกดจิต เป็นหมอดู เป็นนักบังคับฟ้า กาหนดดินได้ เป็นนักอะไรต่างๆนานา อันผิดแผกไปจาก "คน" ธรรมดาๆ อันเป็นการเข้าใจผิด นอกลู่นอกทาง จากเรื่องของ "พุทธศาสนา" โดยตรงเอาเลย
และก็มีมากเหลือเกิน ที่เข้าใจผิดไปในทานองนี้ แม้แต่ "นักธรรมะ" และผู้ที่เป็น "พระสงฆ์" เอง
จริงๆแล้ว "อรหันต์" ไม่ใช่ "บุคคล" เหล่านั้น ไม่ใช่ผู้จะต้องเป็น "นัก" อะไร ดังกล่าวแล้วนั่นเลย
บุคคลผู้มี "อภินิหารพิสดาร" อะไรเหล่านั้น ไม่ใช่คุณสมบัติที่จาเป็นอะไรเลย ที่ "พระอรหันต์" จะต้องมี
5
แต่ถ้ามีใน "พระอรหันต์" ใด ก็ย่อมจะมีได้เป็นได้ ด้วยธรรมดา และท่านจะไม่ยินดี แสดงอวดอ้างออกมาให้ใครเห็นด้วย นอกจาก เกิดเองเป็นเอง ตามวาระตามสภาพ ซึ่งนานๆ จะมีจะเกิดสักครั้ง
หรืออาจจะไม่มี ไม่เกิดเลยสักครั้ง ตราบจนท่าน "ปรินิพพาน" ไปเลยก็เป็นได้ ไม่ใช่จะต้องเกิดต้องมีต้องทา สิ่งเหล่านั้น ทุกวันทุกชั่วโมง ตามที่คนต้องการ หรือ แม้คนไม่ต้องการก็ยังอวด จึงต้องขอปรับความเข้าใจกัน เป็นขั้นต้นเสียก่อน มารู้จักพระอรหันต์กันเถอะ!
เมื่อความเข้าใจ "ไม่ถูก-ไม่ตรง" กับสภาพความเป็นจริง ที่ "พระอรหันต์" เป็นได้ ดังนี้แล้ว "คน" จะพบเห็น จะได้รู้จัก "อรหันตบุคคล" หรือ "พระอรหันต์" กันได้อย่างไร?
ถ้ายังงั้น "อรหันต์" คืออะไรแน่ ? ถ้าพูดกันโดยศัพท์ "อรหันต์" ก็คือ ผู้ทา "นิพพาน" ทา "นิโรธ" หรือทา "ความดับ" ให้แก่ตนเองได้โดยตั้งใจ นั่นคือ ความหมายของ "อรหันต์" แท้ๆ ตรงๆ ดังนั้น
ขณะใด "คน" ผู้ใด ทาตนเองให้อยู่ในสภาวะ "นิพพาน" หรือ "นิโรธ"
ขณะนั้น "คน" ผู้นั้น ก็เป็น "พระอรหันต์" หรือเป็น "อรหันตบุคคล" เต็มที่
คือ เป็นผู้ที่ "พ้นออกไปแล้วจากทุกข์" หรือ "พ้นออกไปแล้วจากโลกีย์นั้น จากเหตุที่ก่อทุกข์" ในขณะนั้น
และเมื่อเลิกจากสภาวะ "นิพพาน" หรือ "นิโรธ" ปล่อยจิตให้รับรู้ รับกระทบรับรู้สึก กับสิ่งที่จะพบจะเห็นจะสัมผัส คือ ให้ "เวทนาเจตสิก" ทางานนั่นเอง
6
คนผู้นั้นก็พ้นสภาวะ "นิพพาน" ก็เป็น "พระอริยบุคคล" ธรรมดา หรือ ถ้าจะเรียกว่าเป็น "คน" ก็เป็น "คน" ที่มี "สติครองตน" ซึ่งไม่ใช่ "คน" ธรรมดา
เพราะ "คน" ธรรมดานั้น อยู่ตาม "ยถากรรม" หรือ อยู่กับ "อารมณ์ครองตน" เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น ถ้าใครอยากพ้นสภาวะความเป็น "คน" ยกระดับตนขึ้นเป็น "พระอริยเจ้า" ก็จงหัดมี "สติครองตน" ให้ได้ อย่าอยู่อย่างมี "อารมณ์ครองตน"
พูดกันสั้นๆ "อรหันต์" จึงคือ "ผู้พ้นทุกข์" หรือ "คน" ผู้อยู่ในสภาวะ "พ้นทุกข์" นั่นแหละ เรียกว่า ผู้นั้นเป็น "อรหันตบุคคล" จะเป็นผู้รับรู้อารมณ์ทุกอย่างได้ และเป็นผู้เลือกปรุง "รสสัมผัส" ตาม "ปัญญา" หรือ ตาม "ความประสงค์" แห่งตน (ผู้นี้แหละ คือ ผู้อยู่ในสภาวะ "สอุปาทิเสสนิพพาน")
ถ้าพ้นสภาวะ (พ้นทุกข์) นี้ไป ก็เป็นผู้ไม่พ้นทุกข์ คือ ไม่อยู่ในสภาวะนิพพาน หรือ "สภาวะดับ" นั่นเอง
"สภาวะดับ" หรือ "สภาวะนิพพาน" คืออะไร?
"ดับ" หรือ "นิพพาน" ก็คือ ...
ความไม่มีอะไรที่เป็น โลภะ-โทสะ-โมหะ
ความไม่รับรู้โลกียรสเลย
ความไม่มียึด ไม่มีเสพย์อะไรเลย
7
ความรับกระทบสัมผัสอะไร ก็ไม่นามาเป็นอารมณ์อะไรเลยทั้งสิ้น
รู้เหมือนไม่รู้ เฉยๆเมยๆ ไม่มีรัก ไม่มีโกรธ
นั่นแหละ คือ "ดับ" คือ"นิพพาน" ล่ะ ...
ลองนึกดูดีๆ ทาความเข้าใจให้ดี ว่า สภาวะอย่างนี้ มันคืออย่างไรกันแน่ ?
นึกให้เห็นจริง นึกให้ออกให้ได้ ว่า สภาพอย่างนี้ เราเองเคยเป็น เคยมี เคยผ่าน เคยพบไหม ?
ข้าพเจ้าเชื่อว่า คนทุกคนมีโอกาสพบ "สภาวะ" นี้
ผู้พบสภาวะ "นิพพาน"
แต่ผู้พบสภาวะ "นิพพาน" นี้ เหล่านั้น ไม่มีโอกาสทราบ เพราะไม่ทราบว่า "นิพพาน" หรือ "นิโรธอริยสัจ" และ หรือ "ความดับ" นี้ มันเป็นอย่างนี้!
"ความดับ" หรือ "นิพพาน" หรือ "นิโรธอริยสัจ" นี้ ก็คือ ...
ความไม่มี "รสชอบ" และ ไม่มี "รสชัง" เลย จริงๆ
มีแต่การกระทบสัมผัสตามธรรมดาๆ ที่ได้รับทางหู - ทางตา - จมูก - ลิ้น - กาย - ใจ รู้ชัดสภาพที่มากระทบมาสัมผัสนั้น อย่างไม่ลุ่มหลง ด้วยอารมณ์ยินดี และไม่มีอารมณ์ยินร้าย
เป็นผู้รู้ความจริงของสภาพนั้นๆ ตามความเป็นจริง ...
รู้เสียง รู้รูป รู้สี รู้กลิ่น รู้รส รู้สภาพเย็นร้อนอ่อนแข็ง ในการกระทบกาย
8
รู้รูปธรรม รู้นามธรรม ที่ปรากฏใน "ใจ" ได้ชัด
โดยไม่โลภ-ไม่โกรธ แม้นิด-แม้น้อยเลย จริงๆ
นั่นแหละ คือ อาการของ "ความดับ" หรือ "นิพพาน" หรือ "นิโรธอริยสัจ" อ่านทบทวน ทาความเข้าใจให้ดีให้พอ "คน" ธรรมดาๆ จะมีโอกาส "ดับ" อย่างนี้น้อยนัก น้อยจริงๆ แต่ก็จะเคยมีในชีวิตทุกคน
และอาการ "ดับ" ดังกล่าวนี้ จะเกิดกับ "คน" ได้ทั้งที่ "ลืมตา" และ ทั้งที่ "หลับ" อยู่ แต่ในสภาวะลืมตานั้น มีโอกาสเกิดน้อย ยิ่งกว่าหลับ
หลับนั่นแหละ "นิพพาน" ?
คนธรรมดา จึงมีโอกาส เคยตกอยู่ในสภาวะ"ดับ" ในเวลา"หลับ" เสียแหละมาก แต่ไม่นานเป็นอันขาด
แม้จะหลับ ก็จะตกอยู่ในสภาวะ "ดับ" นี้ ได้ไม่นานเลย สาหรับคนธรรมดาๆ
ยิ่งอยู่ในขณะ "ลืมตา" แล้ว ยิ่งจะตกอยู่ในสภาวะ "ดับ" ช่วงสั้นที่สุด สั้นจริงๆ จนตนเอง ก็ไม่มีโอกาสนึกรู้เห็นได้เลย
"ความดับ" ที่เรียกว่า "นิพพาน" หรือ "นิโรธอริยสัจ" นั้น คือ "ความดับ" หรือ "ความสงบสนิท" ขั้นไม่มีการ "ปรุงแต่ง" หรือไม่มีการ "รับรสสุข - รสทุกข์" อะไรทั้งสิ้น ในอารมณ์นั้น -ในจิตนั้น
9
จะเรียกขานโดยใช้ศัพท์ ก็อาจจะเรียกได้ว่า ช่วงนั้นแหละ คือช่วงกาลังตัด "วัฏฏะ" หรือเป็นช่วงที่ไม่มี "ปัจจยาการ" หรือ "สันตติ" ขาดลงจากสุขเวทนา - ทุกข์เวทนา หรือ แม้โสมนัสเวทนา - โทมนัสเวทนา ก็ไม่มี
จะมีก็แต่ความรู้สึกเฉยๆ กับสภาพที่กาลังรับกระทบสัมผัสนั้นอยู่ ด้วยปัญญารู้ชัดว่า สภาพรูป -รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัส ที่กาลังรับรู้ รับแจ้งอยู่นั้น เป็นอย่างนั้นๆ ตามความแท้ของรูปธรรมที่มากระทบเรา นั่นเอง
"อาการ" ดังนี้เอง ที่เรียกว่า "ดับ" เรียกว่า "นิพพาน" หรือ "นิโรธอริยสัจ" คือ ช่วงระยะโอกาสนั้น
จงตายตั้งแต่ยังไม่ตาย
แม้ "ตัวตน" ของเราจะมีอยู่ ก็มีแต่ "ตัวตน"
แต่ "จิตใจ" นั้น ไม่มีโลภะ-โทสะ-โมหะแล้ว ไม่ "รับรสที่เป็นทุกข์ใดๆ" เลย หรือไม่รับรู้อาการที่ "กระทบ" หรือ "สัมผัส" แล้วจะให้จิตเรา "หลงชอบ-หลงชัง" ไปด้วย
คือไม่ยอมรับ "ปรุง" ใดๆเลย "รู้"ก็สักแต่ว่า"รู้" ตามรูปธรรมเดิมแท้ ที่เข้ามากระทบนั้นๆ
"สภาวะ" ดังกล่าวนี้ เป็นสภาวะที่มีได้เกิดได้ ในคนทุกคน ไม่ใช่ของที่ต้องไปค้นไปหามาจากไหน หรือ ไปสร้างไปก่อเอาจากที่ใด อยู่ที่ตัวคนนี่เอง แต่ "คน" ไม่รู้จักมันเอง และไม่ยอมหัดทาตนให้อยู่ในสภาวะนี้ ให้ได้เอง ต่างหาก
เพราะฉะนั้น หากสภาวะ "ดับ" นี้ เกิดกับ "คน" ผู้ใดก็ตาม
10
"คน" ผู้นั้น เมื่อนั้น ก็คือ ผู้ตกอยู่ในสภาวะ "นิพพาน" หรือ "นิโรธ"
นั่นคือ ผู้นั้นได้ชื่อว่า ขณะนั้นเป็น "อรหันต์"
คนธรรมดาๆ ก็เป็น "อรหันต์"!
แม้คนธรรมดาๆ ก็เช่นกัน ก็เรียกว่า ขณะนั้น (สภาวะดับ) คือ "อรหันต์" ได้เป็น "อรหัตตผลจิต" ที่เรียกว่า "นิโรธ"
แต่ มันเป็น "อรหันต์" ที่บังเอิญ
เป็น "อรหันต์" ที่ไม่จงใจทาตนให้เป็นไป
เป็น "อรหันต์" ที่แม้ตัวเอง ก็ไม่รู้ตัวเองได้เป็นอันขาด
จึงไม่นับ ไม่เรียกว่า เป็น "ผลจิต" ที่ตนได้สะสมฝึกใส่จิตของตน แต่ก็เป็นไปจริง เป็นไปได้ และ เป็นไปอยู่ กับคนทุกคน
นั่นคือ ที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นหัวข้อว่า "อรหันต์" นั้นมีอยู่เต็มโลก ก็โดยนัยนี้ นั่นเอง
แต่ "คน" ก็ไม่เสพรส "อรหันต์" หรือไม่รับรส "อรหัตตผล" นั้นเลย เพราะไม่รู้จักมัน และไม่รู้ตัวเอาด้วย ในขณะตกอยู่ในสภาวะอรหันต์ หรือ สภาวะอรหัตตผลนั้น จึงไม่ได้เสวยผลนั้น
ดังนั้น การเป็น "อรหันต์" ของคนผู้นั้น จึงสูญเปล่า
"อรหัตตผล" นั้น จึงไม่มีผล ไม่เกิดผลใดๆ ให้กับผู้เป็นเจ้าของเลย แม้นิดน้อย
11
เพราะเขาไม่รู้ตัว จิตของเขารับสภาวะนี้ไม่ได้ มันละเอียดลออ หรือมันสูงเกินกว่า จิตของเขาจะรู้จะรับได้ "ผล" นี้เท่ากับไม่เกิด - เท่ากับไม่มี ใน "คน"ธรรมดา จึงไม่รู้ "รสอริยสุข" นั้น
ผู้รู้รสแห่งนิพพาน
ถ้าผู้ใดเพียง "รู้" ว่า "รสอริยสุข" หรือ "อรหัตตผล" มีดังที่กล่าวมานี้
และ "รส" ของ "อรหัตตผล" เป็น "รส" ที่ได้สัมผัสกับจิตบ้างแล้ว
และ "รับรู้รส" บ้างแล้ว ว่า "ดีเลิศ" เหลือเกิน จะต้องขอเสพรส "อรหัตตผล" นี่แล เป็นยอดของชีวิตให้ได้ หรือ ผู้นี้ได้ติดในรส "อรหัตตผล" อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว จะเพราะบังเอิญ หรือ จะเพราะเกิดด้วยเหตุใดก็ตามแต่ ได้แตะชิม "รสอรหัตตผล" นี้เข้าไปแล้ว และแน่ใจใน "รสอมตะ" นี้ยิ่งแล้ว
ผู้นี้ก็จะได้ชื่อว่า "อริยบุคคล" ทันที (เริ่มจากโสดาบัน...)
และท่านผู้นี้ ก็จะเพียรหาทาง หาวิธีสร้าง "อรหัตตผล" ให้ตนเองเสพให้ได้ ให้มากขึ้นๆ
และ ถ้าผู้ใดได้พากเพียร จงใจทา จงใจหาวิธีสร้าง "สภาวะดับ" หรือ "สภาวะนิพพาน" อันคือ "ความไม่มีชอบ - ไม่มีชัง" เลยนี้ ให้กับตนเองได้
ผู้นั้นก็คือ ผู้ทาความเป็น "อรหันต์" ให้กับตนเองได้ นั่นเอง
12
ถ้าทาได้ช่วง 1 วินาที ก็เรียกว่า ท่านผู้ได้ทา "อรหัตตผล" ให้ตนลิ้มชิมได้แล้ว 1 วินาที ก็ได้ชื่อว่า เป็น "อรหันต์" ได้แล้ว 1 วินาที จึงเรียกท่านผู้นี้ว่า "อริยบุคคล" ขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่า ไม่ใช่ "คน" ธรรมดาแล้ว
เป็นผู้ปรุง "รส" หรือ "อาหาร" อันเรียกว่า "อรหัตตผล" และเป็นผู้ทา "อรหัตตผล" หรือ "ความไม่มีชอบ-ไม่มีชังเลย" หรือ ทา "นิพพาน" ให้ตนเองลิ้มได้ เป็นคนเก่งแล้ว มีความสามารถแล้ว ซึ่งก็ยังน้อยนิดนัก
แต่ก็จงแน่ใจเถิดว่า ท่านผู้นี้จะไม่มีวันหันเหไปทางใด และท่านผู้นี้ จะไม่เห็นดีเห็นงามใน "รส" ใดอีกแล้ว ในชีวิตของท่าน นอกจากรส "อรหัตตผล" หรือ รส "นิพพาน" นี้ หรือ รส "นิโรธอริยสัจ" หรือ รส "ความดับ" หรือ รสแห่ง "ความไม่มีชอบ ไม่มีชังเลย" หรือ รสแห่ง "อริยสุข" หรือ ความว่างเปล่า สูญเปล่า อันเรียกว่า "สุญญตา" นี้ แต่ไม่ใช่ "สูญ" จากความไม่รู้อะไร เป็น "นิโรธ" แบบ "อสัญญี" คือดับหมด แม้อะไร ก็ไม่รู้เอาเลย อย่างนั้นไม่ใช่ "นิโรธอริยสัจ" นั่นเป็น "นิโรธพรหม" ไม่ใช่ "พุทธ" อย่าเพิ่งราคาญ!
ท่านผู้อ่านก็คงจะราคาญ หรือ บางท่านอาจจะงงๆอยู่บ้าง ที่ข้าพเจ้านาเอาคาต่างๆ มาเทียบเคียง "หรือ" อย่างนั้น "หรือ" อย่างนี้ กันอยู่นั่นแล้ว มากมายก่ายกอง
เช่นว่า "อรหันต์" ก็คือ "ผู้นิพพาน" หรือ "ผู้นิโรธ" ฯลฯ หรือ "นิพพาน" ก็คือ "อรหัตตผล" หรือคือ "สุญญตา"
และแล้ว "สูญ" ก็ยังคือ ความไม่สูญ ฯลฯ อะไรทานองนี้
ต้องพยายามตีความ ให้ถึงเนื้อ เอาให้ได้เถิด เพราะความแท้จริง ไม่ใช่ภาษา และ แม้ภาษาเรียก ก็ไม่จาเพาะเจาะจงอะไรลงไปตรงเผงๆนัก เป็นเพียงคากาหนด ให้ประมาณเวลา
13
และประมาณการ ในสิ่งที่ไม่มีตัวตน - ไม่มีรูปร่าง -ไม่ใช่วัตถุ -ไม่ใช่สสาร ที่จะก่อรูป-ก่อร่าง มีรูป-มีร่าง ให้เห็น ให้จับ ให้ชี้ ได้ตรงเผงๆ
มันจึงค่อนข้างยากมากอยู่ทีเดียว เพราะมันเป็นเรื่อง "ไม่มีที่จิต" ส่วนทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มัน"มี" แถมจิตของเรา ก็ยัง "มีรู้" อยู่อีกด้วย
ที่ "ไม่มีในจิต" นั้น มันไม่มีชอบไม่มีชัง หรือไม่มีรักไม่มีเคือง ไม่มีโลภะไม่มีโทสะ
มีแต่ "ปัญญา" อัน "สะอาด" ไม่มีโมหะเอาด้วย
ธรรมะขั้นสูง (ปรมัตถ์)
เรื่องของ "ธรรมะ" ขั้นสูงสุด ที่ใช้ภาษาบาลี เรียกว่า "ปรมัตถ์" (ปรม+อัตถ) นั้น เป็นเรื่องของ "นามธรรม" โดยแท้ ไม่ใช่เรื่องของ "วัตถุธรรม" เลย เป็นอันขาด แต่มันก็เกี่ยวกับ "วัตถุ" ที่จะโยงใยอยู่กับ "ใจ" ดังนั้น การศึกษาใดๆ อันเป็นเรื่องการเจริญ-การก้าวหน้าทางวัตถุ การก่อ-การสร้างทาง "วัตถุธรรม" จึงไม่อยู่ในข่ายที่นักปฏิบัติธรรม จะต้องสนใจ เอาใจใส่ เป็นอันขาด
ผู้ตัดทิ้งได้มากเท่าใด ยิ่งคือ ผู้เป็น "นักปฏิบัติธรรมแห่งพุทธศาสนา" แท้ยิ่งขึ้นเท่านั้น
และ "การปฏิบัติธรรม" ก็ไม่ใช่การยึดอยู่แต่ "ภาษา" หรือ วนเวียนอยู่แต่ กับ "ศัพท์แสง" คาใดๆ เท่านั้นไม่ !
การรู้ของ "ธรรมะ" เรียกว่า "รู้แจ้ง เห็นจริง" อันเป็น "รู้" ขั้นเรียกว่า "วิชชา" นั้น เป็นการ "รู้แจ้ง" ตัว "นามธรรม" ต่างๆ อย่างแท้อย่างจริง ให้ถึงใจ ขั้นลึกสุดของใจ อันเรียกขานกันว่า "อาสวะ" หรือ "อนุสัย" นั้น ให้ได้
14
ซึ่งตัว "นามธรรม" เหล่านั้น ในภาษาเรียก ก็ตั้งชื่อมาเรียกกัน เพื่อให้คนเข้าใจได้ ถูกฝาถูกตัว ซึ่งบางทีก็ลาบากมาก เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว "นามธรรม" ต่างๆ มันแปรเปลี่ยนสภาพเท่านั้นเอง มันไม่ใช่มีมากตัวอะไรเลย
"นามธรรม" หลายหลาก คือ หนึ่งเดียว
ถ้านับโดยจริงแล้ว "นามธรรม" ที่มีชื่อเรียกต่างๆนานานั้น ก็มีตัวเดียว เท่านั้นเอง ที่เราเรียกว่า "นาม" นั่นแหละ มันอยู่ในสภาวะที่แปรเปลี่ยน จากใหญ่ไปสู่เล็ก จากเล็กไปสู่ใหญ่ จากช้าไปสู่เร็ว จากเร็วไปสู่ช้า จากหนึ่งไปเป็นสอง จากสองไปเป็นสาม ฯลฯ อยู่ไม่หยุดหย่อน และให้ฤทธิ์-ให้รส จากน้อยเป็นมาก จากมากเป็นน้อย ผิดแผกกันไป ตามสภาพเท่านั้น
และในสภาวะช่วงต่างๆนั้น เราก็แบ่งออกเป็นช่วงๆ แล้วก็ตั้งคาเรียก กาหนด แจ้งสภาวะของแต่ละช่วง แต่ละตอนไว้
เช่น สภาวะอย่างหนึ่งเรียก "จิต" สภาวะอย่างหนึ่งเรียก "มานะ" สภาวะอย่างหนึ่งเรียก "ปฏิฆะ"บ้าง "อุทธัจจะ"บ้าง หรือ "เวทนา"บ้าง "สัญญา" บ้าง และแม้สภาวะหนึ่ง ที่เรียกว่า "อาสวะ" หรือ "อนุสัย" นั้น
ก็ล้วนแล้วแต่ "จิต" ซึ่งแท้ที่จริงก็คือ ตัว"นามธรรม" ตัวเดียวนั่นเอง
เหมือนเช่น เราเรียก "คน" ผู้เกิดใหม่ๆ ว่า ทารก เด็กอ่อน เด็กแดงๆ หรือ เรียก ลูกอ่อน
ดูเถอะ! เฉพาะเด็กเกิดใหม่ ยังเรียกได้หลายคา
พอโตมาหน่อย ก็เรียก หนู เด็กชาย เด็กหญิง เด็กไม่เดียงสา
15
พอโตไป ก็เรียกเด็กหนุ่ม เด็กสาว เด็กเดียงสา หรือ เด็กแตกพาน เรียกนักเรียน เรียกจิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋ จนก้าวขึ้นไปเรียก หนุ่ม สาว แฟน เรียกคู่ควง เรียก พระเอก นางเอก เรียกนักศึกษา เรียกผัว เรียกเมีย
และแล้วก็หนุ่มใหญ่ สาวใหญ่ หรือเรียกนาย เรียกนาง เรียกพ่อ เรียกแม่
ไปจนกลางคน ก็ยังมีคุณนาย คุณหญิง มีนายห้าง ลูกจ้าง เสมียน มีข้าหลวง มีชาวนา ชาวสวน
จนแก่ชรา ก็ผ่านตาแหน่งต่างๆ มามากมายก่ายกอง ซึ่งที่ยกมากล่าวนั้น หรือยังไม่ได้ยกมากล่าว อีกทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่ชื่อเรียก สภาวะ "คน" แต่ละขนาด แต่ละช่วง ของการแปรเปลี่ยน ความเป็น "คน" ของคนทั้งสิ้น
แต่ภาษาเรียก "คน" ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้ายกมานั้น เป็นภาษาไทย และบางคา ชื่อยังนาไปเรียก ภาวะของคนบางช่วงบางตอน ซ้าๆซ้อนๆ กันได้
ส่วนภาษาที่ใช้เรียก "นามธรรม" ที่เราเรียน เราได้ยินได้ฟังมา ส่วนมากนั้น นอกจากจะซ้าๆซ้อนๆ กันได้ เหมือนเช่นนั้น ยังแถมเป็นภาษาบาลีอีก มันจึงยิ่งงง ยิ่งชวนให้เข้าใจผิด เข้าใจไม่ตรง ออกไปเรื่อยๆ
โดยแท้จริงแล้วก็คือ ชื่อกาหนดที่ตั้งขึ้นมา เรียกสภาวะของ "นามธรรม"
บางอันตั้งเรียกให้รู้ไปถึงว่า เป็น "กริยา" ของนามธรรม
บางอันตั้งเรียก เป็น "ตัวตน" ของนามธรรม
จึงจะต้องพยายามเข้าใจให้ถึง "ความแท้จริง" ของมันให้ได้
16
เพียงแค่ปริยัติ...ไม่อาจลุถึงปรมัตถ์
ถ้าเรียนแค่ "ปริยัติ" หรือแค่จากตัวหนังสือ หรือฟังอธิบาย (ทฤษฎี)
จะไม่ "รู้เรื่อง" หรือ "รู้แท้" "รู้จริง" ได้อย่างแน่แท้ เป็นอันขาด
และผู้นั้นจะยกระดับ "จิต" ของตนเองขึ้นสูงไม่ได้ด้วย ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ เพราะผู้เรียน รู้เพียงจากตัวหนังสือนั้น จะไม่รู้ "ตัวตน" แท้ๆ ของ "นามธรรม" ตัวใดเลย
เหมือนช่างกล ผู้เรียนแต่ตารา ไม่เคยจับตัวจริงของเครื่องยนต์กลไกเลย แม้แต่น็อตสักตัว (ที่จริงช่างกล ก็ยังดีกว่า เรียนเป็นนักธรรม เพราะยังมีรูปภาพ ของเครื่องยนต์ให้ดู) ดังนั้น ช่างกลจะทาจริงๆ หรือเป็น "ช่างกล" จริงๆ ไม่ได้เด็ดขาด แต่ตรงกันข้าม ผู้หยิบจับ เครื่องยนต์กลไกจริงๆ อยู่เสมอ นั่นแหละ จะเป็น "ช่างกล" ได้เร็ว และแท้จริง โดยไม่จาเป็นต้องรู้ชื่อ รู้นาม ของเครื่องชิ้นใด ส่วนไหนเลย ก็ได้
โดยนัยนี้เอง คาว่า "อรหันต์" แท้จริงนั้น ก็คือ "ช่างกล" นั่นเอง เป็นช่างขั้นซ่อมจักรยานถีบธรรมดา เพียงขันน็อตเชื่อมต่อได้ ก็เป็นช่างขั้นต่าหน่อย ถ้าเป็นช่างซ่อมจักรยานยนต์ ก็สูงขึ้นไปอีก และสูงขึ้นไปจน รถยนต์ เครื่องบิน จรวดอะไรโน่น ก็เป็นระดับเป็นขั้นขึ้นไป แต่ก็ได้ชื่อว่า "ช่างกล" ทั้งนั้น
พุทธศาสนาสอนอะไร ?
ดังนั้น ความจริงแล้ว "พุทธศาสนา" ไม่ได้สอนอะไรมากเลย
17
สอนให้รู้ความจริงแท้ของตัว ที่ไม่มีรูปไม่มีร่าง ที่มันยุ่งเกี่ยวอยู่ในตัวคน หรือตัวเราเองนี่แหละ ให้ได้รู้ละเอียดลออ และต้องเรียกว่า ศึกษาตัวนี้ "ตัวเดียว" เท่านั้น เป็นขั้นสุด
แต่ก็ต้องศึกษาไต่ระดับมาจาก "วัตถุ" หรือ "ความมีรูปร่าง" ชัดๆ ที่เราจะอาศัย สืบสื่อต่อทอด มาได้ละเอียดขึ้นๆ แล้วจึงมาถึง "จิต" ถึงตัวที่ "ไม่มีตัว" ที่มันแปรเปลี่ยนสภาวะยืดหยุ่น อยู่อย่างพิสดาร ตัวนั้น ก็คือ ตัว "นามธรรม" นี่เอง
และที่มันยุ่งมันยากมากมาย ที่คนตามไปรู้ไปแจ้งไม่ได้ ก็เพราะแม้จะเรียนรู้ "นามธรรม" เองนั้น ก็ยังมี "รูปธรรม" ตัวตน อยู่ใน "นามธรรม" นั้นด้วย คือ "นามธรรม" ตัวที่แปรเปลี่ยนตัวเอง เป็น "รูปธรรม" แล้วนั่นเอง อันนี้เองที่มันยาก เพราะคนเข้าใจแต่เพียงว่า "รูปธรรม" คือ "วัตถุธรรม" เท่านั้น จึงแบ่งแยกเพียง "รูป" กับ "นาม" ได้เพียงขั้นหยาบ
พอไปถึงขั้นละเอียด มองเห็นก็ไม่ได้ เมื่อแยกไม่ได้ ก็เป็นอันไม่"รู้"อะไร มากกว่าหรือสูงกว่า"โลก" ไปได้แน่ ก็คงอยู่กับโลก อันมีแต่รูปแต่ร่าง เป็นตัวเป็นตน มีของ "อร่อย" นี่เท่านั้นนั่นเอง เลยรู้ความแท้จริง ของตัว "รสอร่อย" อันไม่มีรูปไม่มีร่างไม่ได้ ว่ามันคืออะไร? มันเป็นผู้ช่วย ตัวสาคัญของโลกอย่างไร? หรือมันคือเครื่องมือ ชิ้นสาคัญของโลก ขนาดไหน?
จะฆ่ามัน หรือจะเห็นมัน เพื่อจับมันมา"ปหาน" ได้อย่างไร? จึงทาไม่ได้สักที
จงรู้สภาวะสองให้ชัดแจ้ง
การเรียนรู้ทางพุทธศาสนา เรียนรู้ให้ได้ถึงความแท้จริง ว่าอาการดิ้นอยู่ หรือแปรเปลี่ยนอยู่ มันมีอยู่สองสภาวะเท่านั้นในโลก (คือ นาม-รูป, ไม่มี-มี) ไม่ว่าโลกนี้ หรือโลกไหน
18
และตราบใด ที่รู้จนชัดเจนชัดแจ้งไม่ได้ ว่าของสองสภาวะนี้ มันก็เป็นของสิ่งเดียว หรือ สิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปร มาจากสภาวะแรกสภาวะเดียว เท่านั้นเอง คือ "ความไม่มีอะไรเลย" หรือทาตนให้นิ่ง อยู่ในสภาวะหนึ่ง เท่านั้น ไม่ให้เกิดความดิ้นความหมุน (นิพพาน)
เมื่อรู้แท้รู้จริงไม่ได้ และไม่สามารถระงับ หรือดับทุกสิ่งทุกส่วน ในตัวตนของตนเองลงได้ ถึงขั้นความไม่มีชอบ-ไม่มีชังเลย หรือความนิ่งสงบสนิทอยู่ มีแต่ "รู้" เฉยๆ
ผู้นั้นก็ถึงกาละ"ดับ" ไม่ได้แน่ๆ และจะถึงกาละ"พินาศสิ้น" ถึงกาละ"จบสิ้นไม่มีเชื้อ" อย่างแท้จริง ไม่ได้เลย
จงทาตนให้พินาศสิ้น
ผู้ถึงกาละ กระทาให้ตน "พินาศสิ้น" ได้โดยตน ชั่วกาลนาน (ปรินิพพาน) ดังนี้ จึงเรียกว่า "พระอรหันต์" ถ้าผู้ที่ "รู้" ได้ ว่าโลกนี้ มีสภาวะแรก สภาวะเดียว คือ "ความไม่มีอะไรเลย" (สุญญตา)
และสามารถทา "ความไม่มีอะไรเลย" อันเป็น "ของตนเอง" ให้ตนเองได้ ในช่วงระยะยาวนาน แต่ยังไม่ถึงขั้น "ดับหมดสิ้น" ถึงขั้น "พินาศ" จน "จบไม่มีเชื้อ ชั่วกาลนาน"
คือเพียงทาให้เป็นช่วงยาวนานเท่านั้น ท่านผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า "พระสกทาคามี" แท้ๆเต็มๆ เป็นผู้ทาตนให้ถึงกาละ เข้าสู่ "นิพพาน" ได้บ้างแล้ว ซึ่งยังไม่แน่ใจเสียทีเดียว
แต่ถ้าผู้ใดเพียง "รู้" ว่า สภาวะแรกสภาวะเดียว คือ "ความไม่มีอะไรเลย" เป็นอย่างไร แต่ ทา "ความไม่มีอะไรเลย" ให้กับตนเองไม่ได้ ในทันทีที่ต้องการ ท่านผู้นั้นก็คือ "พระอริยเจ้า" ขั้นต่าลงไปอีก เรียกว่า "พระโสดาบัน"
19
ส่วนพวกฤาษี เดียรถีย์ หรือผู้ปฏิบัติธรรมแบบดับ หลับตาเอานั้น ที่จริงก็สามารถทา "นิพพาน" ให้ตนได้แล้วแหละ แต่ว่าจะทาได้ก็ต่อเมื่อ เข้าสู่ "สมาบัติ"บ้าง หรือในบางโอกาส อันยังไม่แน่นอนเด็ดขาด ตามที่ประสงค์จะทา ทุกคราวไป คือ ยังไม่มีความเก่งพอถึงขนาด
จะทา "นิพพาน" ให้ตนได้เมื่อใด ก็ต้องตั้งท่าให้ดี แล้วก็ใช้เวลา ค่อยๆระงับจิตตน ตัวความมีอะไร ออกไป ๆๆ จนถึง "ความไม่มีอะไรเลย" ซึ่งต้องใช้เวลา ใช้พลังงาน การกระทามากกว่า และไม่แน่ว่า จะเวียนกลับอีกหรือไม่ เพราะไม่มีความรู้แท้รู้ชัดในจิต อันละเอียดของตน
ผู้ที่ได้ชื่อว่า "พระอรหันต์ -อนาคามี -สกทาคามี -โสดาบัน"
ผู้ที่ได้ชื่อว่า "พระอรหันต์" ของพุทธศาสนาแท้ๆนั้น ต้องการจะ "นิพพาน" เมื่อใด ก็ "ดับ" หรือ ทา "ความไม่มีโลภะ-โทสะ-โมหะ" ให้กับตนเอง ได้ทันทีโดยไว เป็นอัตโนมัติ ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่า "พระอรหันต์" แท้
และ "พระอรหันต์" ก็ยังมีขั้นต่า-ขั้นสูง อีกมากมายหลายระดับ หรือ มีความเก่งประกอบตน แตกต่างกันอยู่อีก ก็อีก
ส่วนผู้ที่เอาแต่รู้เฉยๆ ว่าสภาวะแห่ง "ความไม่มีอะไรเลย" นั้นเป็นอย่างไร และก็ได้เฝ้าพากเพียร หัด"ดับ"หัดทาอยู่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้ใน "ความไม่มีอะไรเลย" ของเรื่องบางเรื่อง
20
เช่น "ดับ" เรื่องรูปได้บางอย่าง เรื่องรสได้บางอย่าง เรื่องกลิ่นได้บางอย่าง เรื่องเสียงได้บางอย่าง เรื่องสัมผัสได้บางอย่าง เป็นจานวนๆ ไม่หมดเสียทีเดียว ท่านผู้นี้ก็ชื่อว่า "พระสกทาคามี"
ถ้าทาได้มาก คือ ดับได้มากจานวนขึ้น ก็เรียกว่า "พระสกทาคามี" ขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
จนถ้าดับ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ภายนอกได้ขาด ไม่เวียนมาปรุง มามีบทบาทอยู่ภายนอกได้จริงๆ เหลือภายใน ที่จะต้องดับมอดไปในที่สุดได้ ก็เรียกผู้นี้เป็น "พระอนาคามี"
แต่ก็เป็นพระอนาคามีขั้นต่า หรือพระสกาทาคามีขั้นสูงนั่นเอง มันก็จะเป็นระดับๆ อยู่ดังนี้ ต่าๆสูงๆ อยู่ทุกขั้น ไม่มีขีดตายตัวลงไปได้ เสียทีเดียวหรอก
ส่วนผู้รู้เพียง "รูป" กับ "นาม" คือ สภาวะสองสภาวะ อันเกิดมาจากต้น สภาวะแรก สภาวะเดียว แล้วก็มามีบทบาท แปรเปลี่ยนหมุนเวียน ครองสภาวะรูปกับสภาวะนาม อยู่เท่านั้น ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ ยังทาอะไรให้กับตนเองก็ไม่ได้ (และ "รู้" คานี้ คือรู้ถูกตัว ถูกตนของมัน ที่ตนเองจริงๆด้วย มิใช่ "รู้" แต่ภาษาเท่านั้น) ผู้นี้ก็เป็น "พระโสดาบัน"
แต่ผู้จะเป็น"พระโสดาบัน"ได้ ก็ต้องรู้ได้อย่างแท้ ถึงใจด้วยนะ ว่า สภาวะรูปเป็นอย่างไร? สภาวะนามเป็นอย่างไร ? และรู้ด้วยว่า สภาวะทั้งสองนั้น ไม่เที่ยง ทรงอยู่ไม่ได้ ทั้งสองสภาวะ จะเคลื่อนจะหมุน จะแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา รู้ถึงตัวตนแท้ๆ ที่ไม่มีรูปไม่มีร่าง ของสองสภาวะนั้นด้วย จึงจะเรียกว่า ผู้นี้เป็น "พระโสดาบัน"
21
ผู้รู้ รู้แค่ไหน ?
ไม่ใช่ว่า เพียงผู้ที่อ่านคาอธิบายของข้าพเจ้านี้ เข้าใจแล้ว จะได้ชื่อว่า "รู้" ทันทีนั้น ยังไม่ได้
ต้องเอา"ความรู้-ความเข้าใจ"นี้ ไปเทียบไปสอบกับ "สภาวะจริงๆ" ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ให้แจ้งใจแน่ๆ เสียก่อนว่า "สภาวะรูป" นั้น คือ สภาวะอย่างนี้แน่ๆ และ"สภาวะนาม" นั้น คือ สภาวะอย่างนี้แน่ๆ
บางคน "รู้" จากอ่าน-จากฟัง มาจากคัมภีร์อื่นๆใดๆ นานเป็น 10-20-30- 40 ปี
ก็ยัง "รู้ไม่ถึงใจ" รู้ไม่แท้ จนตายไปก็ยัง"ไม่รู้" ก็มีมากมายก่ายกอง
และมีเป็นจานวนมากคนกว่า ผู้ที่ได้ "รู้ถึงใ
ที่มา ที่ไป
พ่อครู 25 เมษายน 2513
เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2563 ( 04:54:13 )
รายละเอียด
สภาวะที่อาตมาอธิบายโดยพยัญชนะนี้ถ้าพวกคุณรู้ชัดเจนแล้วทำให้สภาวะมันถูกต้องได้ตามที่อาตมาพูดนี้ คุณคืออรหันต์ ใครทำได้ก็รู้ตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ทำได้อย่างแข็งแรงมั่นคงถาวร ไม่มีในจิต กระทบสัมผัสอยู่บัดนี้อยู่หลัดๆ อย่าง หยาบ กลาง ละเอียด อย่างไรก็ไม่เกิด
ภาวะใดก็ไม่เกิดมั่นคงถาวร สมาหิโต จิตตั้งมั่นที่อาเนญชา สมบูรณ์แบบ ไม่หวั่นไหว ไม่เกิดอาการ อิญชนะ ไม่มีการเคลื่อนไหว จิตนะ มันไม่เคลื่อนไหว ไม่ใช่ว่ากายไม่เคลื่อนไหว กายคล่องแคล่วเลย วจีกรรมก็คล่องแคล่ว จิตก็คล่องแคล่ว แต่ไม่มีกิเลสมาแฝงในจิต ที่จะมาคล่องแคล่วมาทำหลอก แวบๆวับๆ เร็วไวเลยนะ ไม่มี หายไป หมดสะอาดได้หมดจากจิต ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีบทบาทของกิเลสเหลือในจิตเลย อนุปาทิเสสะ ไม่เหลือ นิพพาน ที่เป็น อนุปาทิเสสนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจ สัตตาวาส 9 คือ ยังเป็นสัตว์อยู่หมดทั้ง 9 ตัว ส่วนวิญญาณฐิติ 7 นั้น บรรลุธรรมไปตามลำดับ พอพ้นลำดับที่ 4 ระดับที่ 5 6 7 ก็เป็นอรหันต์แล้ว หมดในรูปของอย่าง 1 อย่าง 2 อย่าง 3 อย่าง 4 ถ้ายังเหลือก็เป็น ฌาน หรือเป็นสภาพที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ ทำวิญญาณฐิติ 7 ให้ไม่มีนิวรณ์ 5 ก็ได้ชั่วคราว ยังไม่มีพลังของปัญญาแสงสว่างความกระจ่างแจ้ง ที่สมบูรณ์แบบ จนกระทั่งมีปัญญามีความรู้ความเข้าใจ มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเป็นอาภัสรา เต็มสภาพขึ้นมาเรื่อยๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 10:03:59 )
รายละเอียด
แต่อาตมานั้น“ง่ายสสสส์”สุดแสนง่ายที่อาตมาจะบอก“ความจริง-ยืนยันตนเองที่เป็นจริง”ของอาตมา นำออกมาแสดงต่อสังคมกันอยู่จริงๆ นี้ ตามที่ตนเองเป็นตามที่อาตมามี“ผลของความสำเร็จในการเป็นอรหันต์จริง”นั้นๆ มาแล้ว และผ่าน“ความเป็นอรหันต์”เป็น“อนุโพธิสัตว์”ผ่านขึ้นไปเป็นอรหันต์ขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”กระทั่งเจริญขึ้นผ่านมาเป็นอรหันต์ขั้น“นิยตโพธิสัตว์” และกำลังมีกระแสความเป็นอรหันต์ขั้น“มหาโพธิสัตว์”ระดับที่ 8 ซึ่งมีความเป็น“อรหันต์”กันสูงขึ้นๆ เป็นลำดับๆ ไม่ใช่มี“อรหันต์”ขั้นเดียวเท่านั้น แต่มันมีตั้งหลายระดับ
มันต้องมี“สภาวธรรม”จริงในตนเองแท้ จึงจะนำเอา“คุณวิเศษ”อันเป็น“สัจธรรม”แท้ๆ ที่“วิเศษแท้”นี้ออกมาพูดมาบอกได้ง่ายๆ เป็นลำดับๆอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย ไม่ใช่พวก ปทปรมบุคคล ปทะ คือบท บทเรียนการเล่าเรียนความรู้ แล้วก็ไปติดอยู่ที่ ความรู้นี้ว่า ปรมะคือบรม คือยอด เขาได้แต่แค่บทเรียน
ท่านเปรียบเหมือนพวกบัวใต้ตม ที่ไม่ได้ธรรมะ ปทปรมะนี่ต่ำสุดอยู่ใต้ตม สูงขึ้นมาคนนั้นคือ เนยยบุคคล แต่ก็ยังอยู่ใต้น้ำยังไม่โผล่จากน้ำ สูงขึ้นไปอีก อยู่ปริ่มน้ำเรียกว่า วิปจิตัญญู ส่วนคนที่สูงกว่านั้นที่สุดเรียกว่าอุคฆติตัญญู เจอแสงสว่างรู้ได้ทันที ส่วนพวกวิปจิตัญญูคือต้องรับเพิ่มอีกหน่อย ส่วนพวก เนยยบุคคล ต้องอีกหลายขั้นกว่าจะบรรลุ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2566 ( 20:01:24 )
รายละเอียด
อาตมาเทศน์ไว้มากแล้วฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ คนที่ฟังธรรม ฟังเทศน์ไม่เบื่อ คือธรรมะที่เป็นโลกุตระ เป็นธรรมรส เป็นวิมุตติรส พระอรหันต์ก็ฟังไม่มีเบื่อ บรรลุอรหันต์แล้วก็ไม่มีเบื่อ เพราะว่าถ้าอรหันต์แล้วนะ มันยังไม่จบง่ายๆ อรหันต์มีตั้ง 6 ขั้นที่อาตมาขยายความมา มีตั้ง 6 ขั้น
ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เพ้อเจ้อนะ เพราะอาตมานี้ขั้น 7 ซึ่งขั้น 7 นี้นับโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มีถึง 9 ขั้น
1, 2, 3, 4 นี้อรหันต์ 1 แล้วบวกอรหันต์อีก 5 ขั้น ก็เป็น 9 ขั้น ถ้า 10 ท่านก็หายไปเลยหมดความเป็นพุทธะ พระพุทธเจ้าก็อยู่
ขั้นที่ 9 เป็นขั้นที่ 9 ของโพธิสัตว์ ถ้าพ้นโพธิสัตว์ไปแล้วก็เป็นทางศาสนาพราหมณ์เขาเรียก กัลกิริยาวตาร คือเป็น 0
ถ้าจะหมายความ กัลกิริยาวตาร ก็คือ เป็นอาการของอวตาร จะอวตารมาเป็นอะไรก็ได้ เหมือนอมตบุคคล พราหมณ์เขาก็ไปเข้าใจเอาอย่างโน้น อ้าว เดี๋ยวจะมากเกินไป เอาล่ะพอแล้ว จะเฟ้อไป เราไม่ต้องไปคำนึงอย่างพราหมณ์ ที่เขาแถมมา มันก็เป็นเพียงการรู้เพิ่ม เราก็ไม่ได้ใช้อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็เฟ้อเปล่าๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนารายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 15:01:18 )
รายละเอียด
ก็ศึกษาดีๆ โพธิสัตว์กับอรหันต์เป็นอย่างไรอาตมาก็ขยายความแล้วว่าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ คือผู้ที่เป็นอรหันต์ ผู้ที่เป็นอรหันต์ต์คือบรรลุผล อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ ผลคือความไม่ลึกลับในโลกโลกีย์ อยู่เหนือโลกีย์แล้ว อรหันต์คือความเป็นผู้ที่ไม่ลึกลับแล้วในโลกโลกีย์ ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ จบ เรียกว่าอันตะ เป็นที่สุด เป็นผู้ที่ไม่ลึกลับแล้วในสามภพ ส่วนโพธิสัตว์อาตมาขยายความ กรอบ ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอริยะของโสดาบัน จบกรอบก็คือ โพธิสัตว์โสดาบัน มี โพธิสัตว์โสดาบัน โพธิสัตว์สกิทาคามี โพธิสัตว์อนาคามี โพธิสัตว์อรหันต์ แล้วจะต่อจากพระอรหันต์ไปจนเป็นพระพุทธเจ้า 4 อย่างแรกนั้นเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก อรหันต์คือ อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ไม่ใช่แค่พระอรหันต์เบื้องต้น
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 10:28:08 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:50 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:17:27 )
รายละเอียด
คนที่จะเป็นอรหันต์ ผู้ที่ไม่ได้ไปติดยึดอะไรมามาก เป็นพระอรหันต์พื้น ๆ ที่สุด ไม่มีอภิญญาไม่มีความรู้อะไรมาก ตัดกิเลสเฉพาะตนได้หมด คือตนเองติดหลงโลกมาน้อย ก็เลยมีกิเลสน้อย ของตนเองติดมาน้อย แต่คนอื่นติดมาเยอะแยะมาก จะไปเอาอย่างได้อย่างไร พระอรหันต์รูปนี้ อาตมาเรียกอรหันต์ขี้กะโล้โท้
คือเป็นพระอรหันต์ที่เคยเป็นเดรัจฉานมา แล้วมาเป็นมนุษย์ ก็ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หลายล้านปีเท่าไหร่ ไปติดที่มนุษย์เขาหลอกมา ไม่เท่าไหร่ มันก็ล้างได้ง่าย แล้วก็เลิก เป็นพระอรหันต์ไป แต่ที่มันเหลือมาอยู่ป่านนี้ยาวนานมานี่มันน้อยหรือไง ไปถูกเขาหลอกสะสมมาไอ้นี่ก็น่าได้ ไอ้นี่ก็น่าเป็น มนุษย์ต้องเอา ตั้งเท่าไหร่มาจนป่านนี้ มันจึงไม่เหมือนกัน นี่พอเข้าใจไหมว่า อรหันต์ขี้กะโล้โท้ มันดี แต่ทำไมคุณไม่เอาอย่างท่านล่ะ ก็แต่ละคนติดมามากเท่าไหร่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิบากของอรหันต์ที่อภิญญาน้อย
เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 17:36:44 )
รายละเอียด
ถ้าอยากรู้ว่าอรหันต์คืออะไรก็มาสิ อาตมาอธิบายอยู่แล้ว โพธิสัตว์อะไร แจกแจงโพธิสัตว์ แจกแจงอรหันต์เป็นลำดับขั้น ฟังแล้วเมาไหม ...ไม่ นั่นๆแน่ไม่เมาหรือ โอ้ เรียงลำดับได้นะ โอ้โห เก่งจังเลย อรหันต์มีกี่ขั้น โพธิสัตว์มีกี่ขั้น โพธิสัตว์กับอรหันต์อะไรมีหลายขั้นกว่ากัน โพธิสัตว์มีมากกว่า โพธิสัตว์มีหลายขั้นกว่าอรหันต์
อรหันต์จะนับตั้งแต่ขั้นที่ 4 ของโพธิสัตว์ โสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี ยังไม่ใช่อรหันต์ อรหันต์นับตั้งแต่ขั้นที่ 4 ส่วนโพธิสัตว์นับมาตั้งแต่โสดาบัน โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น พวกเราฟังแล้วก็เข้าใจแล้วก็รู้ อ้อ สภาวธรรมหรือสัจธรรมมันมีขั้นมีลำดับมีของจริงเป็นเนื้อของมันเช่นนี้ เช่นนี้ แล้วก็มาศึกษาเอาแล้วปฏิบัติให้ได้
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2566 ( 19:16:26 )
รายละเอียด
แสดงว่าคนคนนี้เข้าใจว่าคนที่เต๊ะท่า จริงๆ แล้วอรหันต์คือคนไม่เต๊ะท่า ถ้ายังเต๊ะท่าอยู่ไม่ใช่อรหันต์ คนที่เต๊ะท่าอยู่นั้นมีเยอะ อาตมาเป็นคนไม่เต๊ะท่า
คำว่าเต๊ะท่าคำเดียวก็กินขาดแล้ว คนเต๊ะท่าเป็นพระป่าเป็นพระบ้านเป็นพระที่สำโรง แต่พระรัก รักษ์พงษ์ พระโพธิรักษ์มันไม่สำรวมเลย ไม่เต๊ะท่า ก็เข้าใจ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 13:13:40 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561
เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:11:26 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 10:08:49 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 24 มิถุนายน 2563 ( 11:23:12 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:22 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:17:47 )
รายละเอียด
ผู้ที่สำเร็จความรู้ของพระพุทธเจ้าเรียกว่าอรหันต์ จึงเป็นสภาพที่มันเกิดมาเป็นไอ้ตัวที่มันกอดกันไม่ออก ไม่ทิ้ง ร่างคนคนหนึ่งนี่แหละคือตัวกอด คือพระเจ้า คือวิญญาณ คืออัตภาพ คือปรมาตมัน อันเดียวกันนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นสามารถเรียนรู้ไปถึงว่า แล้วทำอย่างไรถ้ามันเกิดมาอย่างนี้แล้วมันจะสูญได้ไหม เทวนิยม ไม่มีทางสูญ ไม่มีใครสอน พระเจ้าก็สูญไม่เป็น พระเจ้าก็ยังสูญไม่ได้เลย พระเจ้าก็ยังต้องอยู่เป็นนิรันดร
1 มี 0 ไม่อยู่นิรันดร 2 ถ้าจะไม่สูญถ้าจะอยู่ มันได้ร่างนี้ อัตภาพนี้มาแล้วจะอยู่อย่างไร ดีที่สุดสุดยอดแห่งดีที่สุดจะอยู่อย่างไร คืออยู่อย่างเป็นอรหันต์ ก็เป็นมนุษย์ที่ดีสุดยอดที่สุด นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 21:02:45 )
รายละเอียด
เมื่อมีอะไรมากระทบจิต ทำให้จิตที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ มีกิเลสอย่างหยาบ กลาง ละเอียด ก็เรียนรู้กิเลสหยาบ กลาง ละเอียด แล้วล้างให้หมด ล้างหมดได้แล้วก็ถาวรยั่งยืนเป็นจิต ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไปถาวรเป็นอุเบกขาไปตลอดกาล เป็นอรหันต์ อรหันต์คือผู้มีอุเบกขา 5 นี้ตลอดไป ไม่เว้าแหว่งไม่แวะ เป็นอย่างนี้ถาวรคงทนยั่งยืนตลอดกาล อรหันต์ ไม่มีมัวหมอง ไม่มีสิ่งสุขสิ่งทุกข์ เข้าใจอาการของสุข อาการของทุกข์ดีที่สุด ไม่บกพร่อง ไม่มีเศษของอาการสุขนิดนึง อาการทุกข์นิดนึงก็ไม่มี โดยเฉพาะเหลือแต่สุขนิดนึงก็ไม่เหลือ หมดสุขหมดทุกข์ เพราะทุกข์กับสุขจริงๆมันอันเดียวกัน มันกระดาษแผ่นเดียว คุณจะเอาอันใดอันหนึ่งไม่เอาอันใดอันหนึ่งไม่ได้ จริงๆมีกระดาษ 2 หน้า เท่ากับไม่มีกระดาษ 2 หน้านี้ ที่มีอยู่ก็คือมันต้องมีกระดาษ 2 หน้า ถ้าคุณไม่ให้มีกระดาษ 2 หน้าก็คือไม่มีเลยทั้งหน้าไหนก็ไม่มี นี่เป็นภาษาจบ ถ้าคุณมีคุณต้องมีกระดาษ 2 หน้า แต่คุณไม่มีกระดาษ 2 หน้าคุณไม่มีอะไรเลย กระดาษคุณก็ไม่มี
พวกเราฟังอาตมาพูดนี้ยิ่งกว่าพวกเซนเรียนกัน เขาเรียก โกอาน คำคมๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 18:07:50 )
รายละเอียด
อรหันต์คือพืช อันนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนเลยว่า ถ้าคุณไม่รู้จัก พีชธาตุ อุตุธาตุ จิตธาตุ กรรมนิยาม ธรรมนิยาม โดยเฉพาะไม่รู้จักจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม แล้วทำให้จิตใจมีโยนิโสมนสิการ ทำให้จิตใจเกิดสภาวะ มีอาการเป็นลักษณะของมันเลย ให้เป็นอุตุธาตุ ให้มีอาการอารมณ์ มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย เช่น อารมณ์อุเบกขา อารมณ์เฉยๆ มันไม่ใช่แค่คนเข้าใจเพียงตรรกะแล้วจะทำเฉยๆกลางๆแยกเป็น 2 อย่างมันไม่ใช่ อารมณ์กลางกลาง อารมณ์เฉยๆ คืออารมณ์มันไม่สุขไม่ทุกข์ คุณจะต้องดูอาการของความไม่สุขไม่ทุกข์ หรือ อาการมันไม่มีกามไม่มีอัตตา คุณจะต้องรู้สภาวะของจิตที่มันยังมีส่วนของ กาม หยาบ กลาง ละเอียด จนกระทั่งหมด กาม เข้ามาในเรื่องของภพ รูปภพ อรูปภพ ที่เหลือ ไปจนกระทั่งหมดอัตตา นี่คือสภาพของอุเบกขา มันหมดสิ้นทั้งกามทั้งอัตตา บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งสองข้างหมดความเป็น อันตา ไม่มีข้างในเลยไม่มีดูดไม่มีผลัก ไม่มีสภาพ 2 ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา เป็นสภาพหนึ่งหรือศูนย์
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 14:20:34 )
รายละเอียด
เพราะงั้น อารมณ์ที่เราฝึกหัดอบรมต้องตรวจสอบเวทนาของเรา ว่ามันไม่สุขไม่ทุกข์ต่อเมื่อกระทบสัมผัสอันนี้ อันใดก็แล้วแต่ในโลกโลกีย์ สัมผัสแล้วเราไม่สุขไม่ทุกข์ สิ่งที่เราชอบเราติดเรายึด เราสัมผัสแล้วเราก็ต้องเกิดรสชาติอย่างไรก็ตามใจ มันไม่มีแล้วรสชาติที่เป็นสุขเป็นทุกข์ โลกุตระนี่คือสุขทุกข์ นี่คือไม่มีกายเป็นพีชะ ส่วนอุตุ แน่นอนมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไรแน่นอน ขนาดพืชหรือพีชธาตุ เล็บ ผม ขน ฟัน หนัง ที่เราเอามาแยกแยะเรียนรู้วิเคราะห์ให้ฟัง ผมยาวๆ นี่ตัดมัน ทุบมัน มันก็ไม่เจ็บ ขนก็เหมือนกันแต่มันเล็ก ฟันก็อธิบายยากกว่า ยิ่งหนังก็ยิ่งมีแต่ขี้ไคล
เมื่อใดตัวมันนั่นแหละ อวัยวะส่วนนั้น เรามีอวัยวะสัมผัสกับข้างนอก ผมขนเล็บฟันหนังเรียนรู้สุขทุกข์จะทำให้เกิดสภาพแบบมีอาการแบบอุตุ แบบพืช โดยทำกรรมให้เกิดโลกุตรธรรม มีกรรมนิยาม ธรรมนิยามเมื่อจิตนิยาม จิตเราเป็นอรหันต์ จิตนั้นก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีชีวะชีวิตอยู่ ทำตนให้เป็นพืช ที่มีสติเต็ม พืช ไม่มีภายนอกนั้นไม่ใช่ พืชมีกาย แต่ไม่มีกาย เป็นคำสิริมหามายา dialactic พืชที่มีกาย อรหันต์นี้คือมนุษย์พืช ที่มีทั้ง กาย มีทั้งจิต มีทั้งภายนอกภายใน มีสติเต็มทั้งภายนอกภายใน และไม่มีกาย คือไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่มีกาย เพราะมีความเป็นภายนอกภายใน มีสภาวะ 2 มีจิต มีวัตถุที่มากระทบ แล้วก็รู้
วัตถุ ข้างนอกตัวเรา จิตวิญญาณ ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง ไม่ได้ไปสัมผัสเลย มันก็ไม่มีอายตนะ มันก็ไม่มีผัสสะ มันก็ไม่รู้สึกอะไร มันต้องมีเวทนา มีตัวรู้สึก เพราะฉะนั้นตัวเรียนรู้จริงๆ กรรมฐานแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าก็คือเวทนา ต้องมีฐานที่ตั้งเวทนา ผัสสะแล้วเกิดเวทนาให้ศึกษา คุณไปหลับตาแล้วทิ้งกายภายนอก โยนทิ้งได้เลย ไม่มีทางบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า
ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านั้น มีกายภายนอกสัมผัสอยู่ กิเลสกามไม่มี กิเลสรูปราคะอรูปราคะ ก็ไม่มีหมดสิ้น ทำที่สัมผัสอยู่กับภายนอกนี่แหละ ไม่ได้หนีไปไม่ได้หลับหูหลับตา มีสติเต็ม แต่กิเลสมันดับหมด ดับจากหยาบ ทางกายทางกาม แล้วเหลือรูปราคะ อรูปราคะ ก็ไปดับอีก เหลือกิเลสมานะ อุทธัจจะ อีก หมดอวิชชา มีวิชชาเต็มบริบูรณ์ เป็นอรหันต์จ้อย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2565 ( 14:59:40 )
รายละเอียด
ถ้าพระอรหันต์มีรอบเดียว จบอรหันต์แล้วก็ไม่มีอีกแล้วต่อ ความรู้อรหันต์มีแค่เป็นอรหันต์ อรหันต์ที่จะสูงขึ้นไปอีก เป็นอรหันต์ที่มีภูมิธรรมสูงไปกว่านั้นอีก เอางี้อีกที อรหันต์คืออะไร? ก่อน
เพราะฉะนั้น ความรู้พระพุทธเจ้าตีกรอบความจบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมจบกิจรอบที่เรียกได้ว่าเป็นอรหันต์ เช่น ปฏิบัติ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผู้จบอรหันต์คนนี้ มีคุณธรรม ตนเองพ้นสุขพ้นทุกข์ ความสุขความทุกข์ไม่มีแล้วก็สบายความเป็นอรหันต์ท่านนี้
1. พ้นสุขพ้นทุกข์แล้ว
2. รู้จักความเกิดความดับ รู้จักการตายสูญ หรือจะตายเกิด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์รู้จักตายสูญ ได้ ตายลงในชาตินั้นจะไม่เกิดอีก ตายแล้วจะสูญได้
ความเข้าใจของคุณว่าพระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญก็ตรงนี้แหละพระอรหันต์สูญได้ แต่พระอรหันต์ก็จะเกิดอีกได้ นี่คุณไม่รู้ คุณไม่เข้าใจ ถ้าคุณเข้าใจว่าอรหันต์ทุกองค์จบอรหันต์แล้วต้องตายสูญหมด ก็มีอรหันต์ที่เป็นอรหันต์ อรหันต์ที่เป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถามอีกทีที อรหันต์ทุกองค์มีความรู้เท่ากันกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมคุณว่า ...ไม่มีทางเป็นไปได้
ผู้จบอรหันต์ ซึ่งมีอรหันต์สาวกเยอะแยะ ผู้จบอรหันต์แล้ว สามารถที่จะตายสูญ เพราะจบอรหันต์ตายสูญได้หรือจะตายเกิดอีกก็ได้ หมดสุขหมดทุกข์ หมดกิเลส แต่อรหันต์นี่ เมื่อทุกองค์ตายสูญหมดแล้ว ผู้ที่จะเป็นอรหันต์ต่อๆๆมา จนสูงมา จนสูงที่สุดเป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีได้อย่างไร ก็มีอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวในโลกและก็จบสิ้นสุดเลย ไม่มีอรหันต์อีกแล้ว หรือ อรหันต์ คุณธรรมของอรหันต์ขั้นแรก อรหันตสาวกธรรมดา ก็เท่ากันกับ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ แล้วคุณว่าเท่ากันไหม
อรหันต์เท่ากันที่สามารถทำตายทำเกิดสูญได้เท่ากันและหมดทุกข์เท่ากัน แต่ความรู้เรื่องโลก ความรู้เรื่องอัตตา ความรู้เรื่องคนต่างๆที่มีกรรมมีวิบาก มีอะไรต่ออะไรอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ มันเท่ากันที่ไหนคุณ
อย่างอาตมามีความรู้โพธิสัตว์ระดับ 7 หรืออรหันต์ระดับ 4 อรหันต์ของพระพุทธเจ้ามี 6 ระดับ
1.อรหันต์โพธิสัตว์ 2.อนุโพธิสัตว์ 3.อนิยตโพธิสัตว์ 4.นิยตโพธิสัตว์ 5.มหาโพธิสัตว์ 6.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 กำลังจะบำเพ็ญเป็นอรหันต์ระดับ 5 จบระดับที่ 6 แล้วไม่มีสูงกว่านี้อีกแล้ว ท่านก็ต้อง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไป จบศาสนาของท่านเสร็จ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 19:57:40 )
รายละเอียด
อรหันต์ไม่ใช่คนประหลาดคนวิเศษ แต่เป็นคนเบิกบานร่าเริง เป็นคนไม่มีความหม่นหมองในจิต ไม่มีอาการ เกิดโลภ โกรธ ไม่มีโมหะ ชัดเจนในจิตตัวเอง ทุกเวลา สัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ ขนาดนั้นขนาดนี้ อย่างอาตมานี่ยกตัวอย่าง ไม่ได้อวดอุตตริมนุสสธรรมอะไร ทุกวันทุกเวลาอาตมาสบาย บางครั้งบางคราวสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ควรจะมีก็ตำหนิ บางทีใช้วาจาสำเนียงแรงหน่อยก็ตำหนิ แต่ไม่ได้ตำหนิเหมือนชาวโลก ไม่ได้ตำหนิด้วยอารมณ์ ไม่ได้ตำหนิอย่างมีกิเลสผสมด้วย ก็เป็นสิ่งที่สังเกตได้ คบคุ้นแล้วก็จะรู้ได้ บางคนเข้าใจเผินตามตักกะ สังเกตเอาตามที่ตนเข้าใจ สังเกตว่าคนนี้จะอรหันต์หรือไม่อรหันต์ก็ดูจากกิริยา ถ้ายังมีการแรงตำหนิด่าว่าก็ไม่ใช่อรหันต์ อรหันต์ไม่ด่าว่าใคร อรหันต์ต้องยิ้ม ยิ้มมากก็ไม่ได้ เรียนมาละเอียดลออ ก็เลยเหมือนท่อนไม้ที่ขัดให้มันๆเงาๆใน Concept ของเขาอรหันต์เป็นอย่างนั้น กระดุกกระดิกอะไรไม่ได้ เกินเขตอะไรไม่ได้กำหนดความเป็นอรหันต์ของเขา ก็น่าสงสาร อย่างทุกวันนี้ อาตมาอธิบายธรรมะพูดธรรมะ นิคคัณหะคำตำหนิคำแรง ชมก็ไม่ค่อยชม ชมทีไรก็ชมชาวอโศกก็ปฏิบัติได้ เข้าตัวเองอีกมันก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ เพราะฉะนั้นเอาตำหนิอย่างเดียวก็แล้วกัน ก็โดนคนที่ยังมีอยู่ แม้แต่พวกเราก็ถูกตำหนิในสิ่งละเอียดก็ยังมี คนที่ยังมีมากก็ถูกตำหนิมากเป็นธรรมดา
ที่มา ที่ไป
เทศน์ ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561
เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:47:40 )
รายละเอียด
ความเป็นอัตตะ พระพุทธเจ้าพิสูจน์สูงสุดแล้ว ที่สุดแล้วเราสามารถใช้การกระทำของเรานี่แหละทำให้ อตต ไม่ต้องอยู่ อ คือไม่ ตต คือตั้ง ตั้งอยู่ 2 ตัว ติดอยู่ ยึดฐานอยู่ อัตตะ
เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่ฉลาดและเจริญมีอารยธรรมเป็นอรหันต์แล้ว อรหัตตะ ไม่ลึกลับในอัตตะแล้ว อรหะคือไม่ลึกลับ ในอัตตะ เพราะฉะนั้นก็ใช้จิตของเรา มม นี่แหละ ทำ กมม ให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น มันไม่ใช่ตัวตน อัตตะ ทำให้ไม่ใช่ตัวตนให้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 05:23:04 )
รายละเอียด
ฟังดีๆนะอาตมาจะพูดเป็นปรมัตถธรรม ก็ขอยืนยันอาตมาพูดไปแล้วว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ถ้าเป็นอรหันต์ก็ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมให้ประเทศชาติ คุณพูดดี อาตมาทำอยู่ตั้งแต่บวชมาจนถึงวินาทีนี้ อาตมาทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา ทำให้จริงๆ ทำให้อย่างถูกต้องตามโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเลย โลกุตรธรรมนั้นมีสภาพของโลกียะด้วย โลกียะที่เป็นกุศล และโลกุตระที่เป็นสิ่งที่เหนือกว่าโลกุตระที่ทวนกระแสกุศลด้วย ทวนกระแสโลกด้วย อาตมาทำประโยชน์ให้โลกียะด้วย โลกียะนั้นสอนให้ทำดีละชั่ว ส่วนโลกุตระนั้นสอนให้ทิ้งความสุขทิ้งความทุกข์ ให้รู้ในความสุขความทุกข์ แล้วไปเรียนรู้ความหลงที่ไปยึดติดในความสุขความทุกข์ ความสุขมันเป็นความเท็จ สุขขัลลิกะ ส่วนทุกข์นั้นเป็นความประเสริฐเป็นทุกข์อริยสัจที่จะต้องเรียนรู้ ส่วนความสุขนั้นไม่ต้องไปเรียนรู้ เมื่อใดอารมณ์นั้นไปก็จะหลงติดอยู่อย่างนั้น
ที่บอกว่า ถ้าบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ก็ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมให้ประเทศชาติ เหมือนอาตมาตอบแทนให้แก่ประเทศชาติตลอดมา ตั้งแต่ทำงานศาสนามา ปีนี้ปีที่ 48 ย่างเข้าปี 49 แล้ว แล้วก็ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติแก่ส่วนรวม อาตมาไม่ได้ทำงานเพื่อลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่ได้พูดปากเปล่า พวกเรารับรองได้ ไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ยศอะไรมีแต่เขาด่าว่าบ้า ว่าโง่ มาทำลายศาสนา นี่คือยศที่เขาให้ คือความอัปยศที่ไม่น่าได้แต่เขาให้ อาตมาเป็นคนได้รับอย่างนั้นจริงๆ
คนที่เข้าใจมีความสรรเสริญเยินยอก็มี คนที่ไม่เข้าใจก็นินทาด่าว่า อาตมาเข้าใจทั้งนั้นอาตมามาเกิดในยุคนี้ ได้เอาแก้วแหวนที่เอามาให้ไก่หรือลิง จนไก่หรือลิงจะเข้าใจว่ามันดีกว่าเมล็ดถั่วเมล็ดข้าว แต่อาตมาก็ไม่ประมาทว่า ประชาชนชาวพุทธทั้งหลายไม่ใช่ลิงไม่ใช่ไก่ อาตมาไม่ได้ดูถูกพวกคุณ อาตมาจึงจำเป็นที่จะพยายามอธิบายให้พวกคุณ พวกไก่พวกลิงทั้งหลายเอ๋ย อาตมายังเชื่อมั่นให้เกียรติว่าคุณยังไม่ใช่ลิงไม่ใช่ไก่ คุณต้องรู้นะว่านี่คือเพชรคือทอง ไม่ใช่ของไร้สาระ แต่เป็นของมีค่านะ จริงๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:01:49 )
รายละเอียด
อาตมาก็มีคนที่ติดตามอยู่ เขาเชื่อว่าเป็นอรหันต์จริงไม่ใช่อรหันต์เก๊ ส่วนคุณจะไม่เชื่อก็มาศึกษาดูสิ ปฏิบัติเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอย่างไร ก็ไปลองปฏิบัติดู ถ้าตัดทิ้งไม่รับเลยมันก็แคบไปนะ ที่เรารู้อยู่นั้นมันก็จะแคบ ถ้าเรารับรู้ แม้ว่าทางที่อาตมาทำไม่ถูกต้องคุณก็จะรู้มากยิ่งขึ้นว่า คนคิดได้อย่างนี้ก็มีนะ แบบของคนถูกคุณเชื่อว่าของคุณถูกแบบนี้ไม่ถูก แต่ทำไมเขาอยู่ได้ เขาเป็นไปได้อย่างไร ก็มาศึกษาดูสิเอาพระไตรปิฎกมาตรวจสอบ ดูว่าตรงตามพระไตรปิฎกไหม อย่างที่คุณเชื่อนั้นมันตรง หรืออันนี้มันตรงกว่ากัน เป็นภาษาไทยอ่านเข้าใจกัน
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563
เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 17:02:07 )
รายละเอียด
ที่จริงอาตมาบอกด้วยซ้ำไปว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธผ่านมา2500 กว่าปีมันเสื่อมไปแล้วไม่รู้ว่าพระอรหันต์คืออะไร ก็เลยมีแต่พระอรหันต์เดา เข้าใจอรหันต์เก๊ว่าเป็นอรหันต์ ก็เดากันไปเมื่อพระอรหันต์จริงมาบอกว่านี่แหละคือพระอรหันต์เขาก็ส่ายหน้า เหมือนกับอเจลกะ ที่เจอพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกก็แลบลิ้นใส่พระพุทธเจ้าเลย
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 28 มกราคม 2563 ( 18:10:06 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:59 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:18:11 )
รายละเอียด
พระอรหันต์ขณะนอนหลับจะไม่มีฝันร้ายสำหรับพระอรหันต์
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:04:28 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:19:43 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:18:40 )
รายละเอียด
สติ สัญญา กำหนดจดจ่อ กับเรื่องนี้ เป็น concentrate คนที่พยายามจะมากระตุก หรือมีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงจากนี้ไป พลังงานมันรวมอยู่ตรงนี้เพลินไปมันก็สะดุด มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดา สะดุดได้ สะดุ้งได้แต่เขาเข้าใจหยาบๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 12:21:27 )
รายละเอียด
สำหรับผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม วาจา กัมมันตะ สามารถที่จะจัดการมโน ที่เป็นโยนิโสมนสิการ เป็นที่ก่อความเกิด รู้จักจุดที่ต้น เป็นที่ต้นแห่งการเกิด โยนิโสฯ จัดการโยนิโสฯ จัดการการเกิด ที่เรียกด้วยภาษากลางๆว่า ชาติ ทำลงไปถึงต้นตอที่เป็นที่เกิดทางจิต ทำให้เกิดเป็นนิพพัตติ หรือรู้จักโอกกันตะ รู้จักกรรมกิริยาของมโน กรรมกิริยาของจิต หรือจะเรียกกรรมกิริยาของวิญญาณก็ได้แต่มันหยาบ เอาละเอียดก็กรรมกิริยาของมโน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 11:14:06 )
รายละเอียด
อะไรก็แล้วแต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับชีวิตของคนเรา คนเรามีชีวิตสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ประกอบกัน ดำรงชีวิตอยู่ไป ผู้ที่จะปฏิบัติทางจิตก็ปฏิบัติไป ผลทางจิตเจริญจนกระทั่งเป็นอรหันต์ก็ตาม ทุกวันนี้ก็ขอยืนยันว่า ในวงการศาสนาพุทธ ไม่ได้เข้าใจความเป็นอรหันต์ของศาสนาพุทธที่แท้จริงได้เลย พูดได้อย่างนั้น
เขามีแต่เดา กับมีความรู้ตามอาจารย์ที่สอนผิดเพี้ยนมา เพี้ยนจนสุดเลย สุดจนเห็นผิดเป็นถูก เพราะฉะนั้นเมื่อความเห็นที่เห็นผิดเป็นถูกแล้ว เขาจะเห็นอรหันต์เป็นอย่างไร เขาก็ต้องเห็น อระหอยเป็นอรหันต์ แน่นอน เห็นอรเหว เป็นอรหันต์แน่นอนอย่างนั้นจริงๆ
อรหันต์ตัวจริงมายืนยันก็ตาม อรหันต์ตัวจริงเหมือนกับคนสูงสุดคืนสู่สามัญ เบิกบานร่าเริงไม่มีโศกไม่มีโลภไม่มีโกรธไม่มีราคะ มีจิตอภิปโมทยังจิตตัง ถ้าคุณฟังภาษาแค่นี้นักศึกษาทางศาสนาบาลีฟังอาตมาพูด พอเข้าใจ จริงๆนะ ไม่ใช่คนมะรื่อทื่อแข็ง ดีไม่ดีตาแข็งคือ Concept ของเขา กลายเป็นความคิดสรุปผลรวบยอดของเขาว่า อรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:49:41 )
รายละเอียด
ขออภัยจริงๆ อรหันต์ต้องมาดูคนชาวอโศกต้องมาดูอาตมา ซึ่งอาตมายืนยันว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ อย่างไม่ได้มี สาเฐยจิต ไม่ได้มีจิตอยากอวดอะไร อาการที่เป็นสาเฐยจิต อาตมาก็รู้ว่าเป็นอย่างไร อาตมาไม่มีอะไรแล้วก็ยืนยันว่าไม่มี อาตมาจะไม่โกหก โกหกเป็นอนันตริยกรรมอย่างไร อาตมา ถ้าโกหกไม่มีหน้าผ่องใสอย่างนี้หรอก หน้ามันจะเป็นสัตว์นรกไปถ้าเป็นอนันตริยกรรม ขนาดพระเทวทัตยังถูกธรณีสูบเลย บิดเบี้ยวไปหมดเลย ถูกธรณีสูบ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:30:45 )
รายละเอียด
อาตมาเห็นพฤติกรรม พฤติการณ์อย่างนี้แล้วก็ มันน่าสงสารพระพุทธเจ้า น่าสงสารศาสนา อาตมาเอง อาตมาก็เจตนาจะประกาศ จะยืนยันว่า อรหันต์ ต้องเป็นอย่างนี้ ประกาศตัวเอง เจตนาอย่างยิ่งเลย เจตนาอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการข่มเบ่งอะไรเลย ต้องการบอกให้รู้ว่าอรหันต์นั้นคืออย่างนี้ อย่างนั้นมันไม่ใช่ อย่างที่มันเชื่องๆช้าๆชุ่มๆฉ่ำๆ อย่างนั้นไม่ใช่อรหันต์อรหันต์จะต้อง กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา นี่ใช้ภาษาวิชาการเลย รู้จักบ้างไหม กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา คืออาการอย่างไร นี่ดูอาการ 87 ปีนี่ยังเป๋งๆ อยู่เลย(พ่อครูพูดผิดว่า 89 ปีอีกแล้ว) สัญญาวิปลาสไปเลย อาตมาไม่ได้ทิฏฐิวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาสอย่างเดียว จิตอาตมาเต็ม จิตอาตมาเป็นพระอรหันต์จะมีทิฐิและจิตที่วิปลาส ไม่ได้มีแต่สัญญาที่วิปลาส ในวิปลาส 3
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 21:19:25 )
รายละเอียด
คนที่ไม่ได้เป็นอรหันต์บอกอุตตริมนุสสธรรมบอกไปก็ผิด ส่วนคนที่เป็นอรหันต์จะต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานของตัวเอง รู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม โดยเฉพาะเวทนา 108
เวทนา 108 มีจุดสำคัญตรงที่ เคหสิตเวทนา 18 กับเนกขัมสิตเวทนา 18 เรียกว่ามโนปวิจาร 18 พฤติกรรมของมโน อาการของจิต 18 อย่างที่เป็นเคหสิตเวทนา เวทนาหรืออารมณ์ที่ยังมีความรู้สึกแบบโลกีย์แบบโลก
เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ารู้เวทนาในเวทนา และเรียนรู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า อย่างมีสัมมาทิฏฐิ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกกิเลสจากจิตหรือไม่ จิตมีเวทนาเป็นกิเลสหรือมีการปรุงแต่งด้วยกิเลส ก็แยกกิเลสออกมาได้ แล้วหาเหตุที่มันปรุงแต่งออกเป็นรสสุข รสทุกข์
ก็จับได้ว่า มีผัสสะ ก็มีตัณหาอุปาทานเป็นเหตุ เกิดมีนามรูป เกิดมาจากวิญญาณ ก็มีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งด้วยอวิชชา พอเริ่มศึกษาก็มีวิปัสสนาญาณแยกจิตแยกกิเลสได้ สัมผัสอาการกิเลสแยกจิตแยกกิเลสได้ มันเป็นความชอบใจไม่ชอบใจ มีกามมีพยาบาท ก็ชัดเจนในตัวเหตุก็พิจารณาถึงตัวเหตุ เห็นว่าเอ็งเป็นตัวการมาเล่นงานคนโง่คนอวิชชา ขณะนี้ฉันรู้แกแล้ว มาอยู่ในบ้านฉันมานานแล้ว ฉันรื้อหมดแล้วเรือนยอดของแกหมดเลย นี่กำลังจะรื้อนะ อาตมาอธิบายมันยิ่งกว่าฉายหนังช้า 32 เฟรม ต่อวินาที ธรรมดาก็แค่ 16 เฟรมต่อวินาที หรือจะเอา 64 เฟรม เอาช้ากว่านี้ก็ได้นะ
จากนั้นพอเราอ่านจิตอ่านเวทนา แยกตักกะ วิตักกะ สังกัปปะอออก แยกเหตุคือกิเลสในจิตเราทำให้เราเป็นเทวดาเป็นผีอยู่ จุดสำคัญต้องเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญาอันนี้เห็นอะไรเห็นความไม่เที่ยงของจิต เห็นว่ามันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็คือเหตุที่ไปหลงสุข มีวิปลาส เห็นทุกข์เป็นสุข ที่จริงมันเป็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จัดการเหตุตรงนี้หมดก็หมด
ก็บอกเอ็งอย่ามาแหลมหน้า เอ็งเป็นตัวการเป็นเหตุแห่งทุกข์ จริงๆเอ็งไม่มีตัวไม่มีตัวตนหรอก อย่ามาหลอกเสียให้ยากเลย ปัญญาจะค่อยๆเข้าใจ กระทบมะขามนี้ มันน่ากิน เอาไปแช่อิ่มมา สวยๆโอ้โห ฉ่ำๆ เลยกรอบด้วยนะเนื้อก็เยอะ ปอกเปลือกเหลือเนื้อหวานฉ่ำ มีเปรี้ยวผสมหวานอย่าบอกใครเชียว มันก็ไปใหญ่ฟุ้งไปถึงสวรรค์วิมาน
เอ็งอย่ามาหลอก ข้าเคยหลงสวรรค์ วิมานสวรรค์ไม่มีจริงหรอก มันมีแต่นรกที่ไปหลงว่ามันอร่อยนี่แหละเป็นตัวจริง อย่ามาหลอก เรารู้เหตุแห่งทุกข์แล้วรู้ว่ามันไม่จริงปัญญาจะชัดเจนเลยว่า มันเป็นสภาวะเป็นเครื่องปรุงแต่งระหว่าง ตัณหาโง่ๆ อวิชชา หากเราเกิดปัญญาเกิดวิชชาควรพิจารณาทุกทีที่สัมผัส มีโภชเนมัตตัญญุตากระทบสัมผัสสิ่งที่กินที่ใช้ตลอดเวลา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:53:34 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:13:41 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีดวงตาแล้ว แล้วเราจะจมอยู่กับสิ่งที่โง่ แล้วก็ลืมในแต่ละชาติ ไม่ได้ศึกษาความจริง มันก็ได้แต่หลงที่จะมีมากเป็นโลกีย์ ต้องเลิกมาสูญแล้วเบาสบาย ดีไม่ดี สูญ จิตที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณได้เป็นอรหันต์ จิตทำสูญได้หมด เป็นอรหันต์ถาวร เป็นอรหันต์ที่จิตหมดกิเลสไม่เกิดอีก เที่ยงแท้แน่นอน นิจจัง(เที่ยงแท้), ธุวัง (ถาวร), สัสตัง(ยืนนาน), อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน), อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้ จะมาแก้ไขมาเผาทำลายไม่ได้, อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตายแล้วตายเลยไม่กลับกำเริบ พยัญชนะบาลีเหล่านี้ อาตมาพยายามเอามาอธิบาย นิรันดร คืออรหันต์นิรันดร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 16:50:52 )
รายละเอียด
คือทำแล้วก็อาศัยกินใช้แรงงานของตัวเอง นอกนั้นเหลือเกินแบ่งแจกให้คนอื่นๆ ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์ ที่ทำให้เกิดความอุดม สมบูรณ์ ไม่แย่งชิงกัน กิน มีกิน มีใช้ เพราะว่าพระอรหันต์จะไม่ได้เอาแรงงงานไปเสียเวลาในอบายมุข เอาไปแตะบอล เอาไปเต้นแรง เต้นกา ได้เงินทอง เป็นอบายมุขมอมเมากันอยู่ นั่นแหละ พระอรหันต์เข้าใจแล้ว ไม่เอาพลังงานไปเสีย หรือเอาพลังงานไปแย่งชิง เอาเปรียบคนอื่นท่านก็ไม่ทำแล้ว ไม่เอาพลังงานมาสร้างสรรค์ ตัวเอง ก็มักน้อย สันโดษ รู้จักสาระ แก่นสารเหตุปัจจัย กับชีวิต กินใช้ เท่าที่จะยังสังขารไปไม่มาก จะมีพลังงาน มีสมรรถนะ ทำงาน สร้างสรรค์ เอาไปแจกจ่ายผู้อื่นได้อีกเยอะ แยะ ซึ่งเป็นผู้ที่มีประโยชน์ ในสังคมในโลก ถ้าเป็นผู้ที่ ไม่ผลาญ ไม่ทำลาย ไม่แย่งชิง ไม่สะสมไม่กักตุน เป็นผู้ทีสร้างสรรค์ แต่สิ่งดี คนอื่น เอาไปใช้สอยได้อย่างไม่เป็นพิษภัย จำเป็นเศรษฐศาสตร์ ที่สูงสุดเลยในการมาเป็นคนอาริยะแบบพระพุทธเจ้า
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:46:36 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:20:30 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:19:25 )
รายละเอียด
ทำแล้วก็อาศัยกินใช้แรงงานของตัวเอง นอกนั้นเหลือเกินแบ่งแจกให้คนอื่นๆ ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์ ที่ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ไม่แย่งชิงกันกิน มีกิน มีใช้ เพราะว่าพระอรหันต์จะไม่ได้เอาแรงงงานไปเสียเวลาในอบายมุข เอาไปเตะบอล เอาไปเต้นแร้งเต้นกา ได้เงินทอง เป็นอบายมุขมอมเมากันอยู่ นั่นแหละพระอรหันต์เข้าใจแล้ว ไม่เอาพลังงานไปเสีย หรือเอาพลังงานไปแย่งชิงเอาเปรียบคนอื่นท่านก็ไม่ทำแล้ว ไม่เอาพลังงานมาสร้างสรรค์ตัวเอง ก็มักน้อย สันโดษ รู้จักสาระแก่นสาร เหตุปัจจัยกับชีวิต กินใช้เท่าที่จะยังสังขารไปไม่มาก จะมีพลังงาน มีสมรรถนะ ทำงาน สร้างสรรค์ เอาไปแจกจ่ายผู้อื่นได้อีกเยอะแยะ ซึ่งเป็นผู้ที่มีประโยชน์ในสังคมในโลก ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ผลาญ ไม่ทำลาย ไม่แย่งชิง ไม่สะสม ไม่กักตุน เป็นผู้ที่สร้างสรรค์แต่สิ่งดี คนอื่น เอาไปใช้สอยได้อย่างไม่เป็นพิษภัย จำเป็น เศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดเลยในการมาเป็นคนอาริยะแบบพระพุทธเจ้า
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 20:12:05 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:15 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:20:00 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้น ตัวสุดท้าย ผู้ที่เป็นอรหันต์ที่มีปฏิสัมภิทาญาณ ไม่ไปค้างอยู่ที่สุทธาวาส 5 ตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน ความเป็นชรตาก็ไม่อยู่
นอกจากคุณจะเอาอมตภูมิคุณมาใช้ ท่านมีปลายเปิดเป็นอนิจจัง อนิจจังเป็นรูปที่กำหนดไว้เป็นตัวสุดท้ายซึ่งไม่ใช่นามคือรูป เป็นปลายเปิดเป็นอมตบุคคลนึกว่ามันจะจบแล้วมันไม่จบนะมันต้องมาทำต่อก็ไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเป็นคนกลับกลอก อนิจจัง ตัวสุดท้ายถือว่าไม่เป็นคนกลับกลอก แต่เป็นคนจริงเป็นคนบริสุทธิ์ใจ ต้องกลับมาทำงาน ไม่ได้มีตัวตนไม่ได้เพื่อตัวตน แล้วอาตมาว่า ชาตินี้จะทำให้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเลย นอกจากว่าอาตมาจะต่อภูมิ ถ้าหากอาตมาไม่ต่อภูมิสามารถทำหน้าที่ที่รับผิดชอบจากพระพุทธเจ้าที่จะช่วยต่อศาสนาพุทธให้ถึง 5,000 ปี อาตมาทำให้ครบ 5,000 ปีได้เสร็จแล้ว อาตมาตัดสินใจไม่ต่อแล้ว อนิจจัง ไม่เป็นพระพุทธเจ้าอีกแล้ว เมื่อยชิบเป๋ง แต่อาตมายังมีปณิธานอยู่ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ถึงจะทำต่อภพภูมิสืบทอดของพระพุทธเจ้าให้ถึง 5,000 ปีนี้ จบได้สมบูรณ์แบบตามหน้าที่อาตมา อาตมาก็ไม่ผิดเลย อาตมาก็สมบูรณ์แบบ อาตมาจะปรินิพพาน หรือไม่ปรินิพพานก็เรื่องของอาตมา แต่อาตมายังไม่ได้ปลดปณิธานที่จะไปสู่เป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็คงจะเกิดต่อ นั่นคือปลายเปิดของอนิจจัง ในลักขณรูปที่ 5
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 04:39:40 )
รายละเอียด
ก็หมายความว่าเกิดมาเป็นอรหันต์นี่ไม่หลายชาติ เป็นอรหันต์แล้วไม่กี่ชาติก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป หรือเป็นพระอรหันต์แบบสมสีสี เป็นอรหันต์พร้อมกับการปรินิพพานสิ้นไปเลย ปริโยสานไปพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรต่อเลยก็จะไปมีปฏิสัมภิทาญาณอะไร เป็นอรหันต์ที่ไม่ได้บำเพ็ญปัญญาธิคุณมากชำนาญ ตามฐานานุฐานะ ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณยิ่งขึ้นเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์สายปัญญาธิกะ ก็ยิ่งกว่าหน่อย ผู้เป็นสายศรัทธาก็สามารถมีขึ้นมาได้จนกลายเป็น ปัญญาธิกะได้ ถ้าเจตนา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 19:45:50 )
รายละเอียด
ใช่ คุณยุทธิชัยพูดถูก มันก็เข้าใจกันไปคนละแบบต่างกัน ต่างความเห็น มันเป็นธรรมชาติ เป็นนานาสังวาส อรหันต์มีหลายแบบ นานาสังวาส คนนี้เห็นว่าอรหันต์เป็นแบบนี้แบบนั้น อย่างที่แยกมาย่อยๆ อรหันต์ที่เขายึดถือกัน คนละแบบมีเยอะ แม้ที่สุด ถึงขนาดอรหันต์เป็นศรีอริยเมตไตรยก็มี อรหันต์จี้กงก็มี เป็นประวัติศาสตร์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 11:45:28 )
รายละเอียด
พระอรหันต์แต่ละองค์สมรรถนะไม่เท่ากันความผิดพลาดบกพร่องไม่เท่ากัน แต่ความบริสุทธิ์ในจิตที่ไม่มีกิเลสนั้นเท่ากันทุกองค์ อรหันต์ทุกองค์ตรงกันที่จิตไม่มีกิเลส เด็ดขาดไม่เกิดอีก ทุกองค์เท่ากัน ส่วนสมรรถนะความสามารถหรือความบกพร่องผิดพลาดความสามารถในการสร้างกรรมกระทำแก่คนอื่นมันก็เท่ากับผู้นั้นจะมีสมรรถนะเท่าไหร่ ใช่ไหม มันเก่งเท่านี้ ผิดพลาดได้บ้างก็ผิด อันนี้เป็นสมมติสัจจะ ทำกรรมการงานกับผู้อื่นมันเป็นสมมติสัจจะ แต่เรื่องปรมัตถ์ของท่านไม่ผิดเพี้ยนไปแล้วจิตวิญญาณของท่านสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสถาวรแน่นอนมั่นคงไม่กลับกำเริบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ที่มา ที่ไป
รายการบ้านราช กายนี้คือวิญญาณ วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:50:11 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:22:11 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:20:29 )
รายละเอียด
ทำให้เห็นว่าศาสดาของเทวนิยมทุกองค์ยังรู้ไม่จบ ยังรู้ไม่ครบ ยังรู้ไม่ถ้วน
ศาสดาของพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่เป็นผู้ที่บรรลุอรหันต์ทุกองค์ก็รู้ความจบว่า จิตวิญญาณคืออะไร จิตนิยามคืออะไร สุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ทุกองค์ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วอรหันต์ทุกองค์ รู้ที่จบยิ่งกว่าศาสดาของศาสนาเทวนิยม รู้ที่จบของจิตวิญญาณ รู้ที่จบของอัตตา รู้จักอนัตตา พูดไปแล้วดูเหมือนยิ่งใหญ่แต่ไม่ใช่หรอก มันเป็นความจริง เป็นเรื่องสามัญเป็นความจริง ไม่มีใครไปใหญ่กว่าใครหรอก เป็นความจริงที่เป็นจริงที่ทำได้สำเร็จ
เพราะฉะนั้นภิกษุที่จะรู้เรื่องนี้ รู้โลกุตรธรรม รู้จิตวิญญาณเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ผู้รู้นั้น รู้เองไม่ได้ เกิดเป็นจิตวิญญาณเป็นจิตนิยามแล้ว จะรู้เองไม่ได้เด็ดขาด เหมือนกับศาสดาเขายืนยันของเขาว่า ศาสดาไม่ใช่เจ้าของความรู้ ความรู้คือของพระบิดาของพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้ อาตมาก็พิสูจน์แล้วว่าตัวศาสดานั่นแหละเป็นพระเจ้า เป็นพระบิดา เป็นพระบุตร ตัวเองนั่นแหละสั่งสมกรรมวิบากมาก็มีความรู้ ของศาสดาองค์นี้ก็มี ศาสนาเทวนิยมอีกศาสนาหนึ่งก็เป็นอีกองค์หนึ่งก็ขัดแย้งกัน ก็แข่งกันใหญ่ ก็มีศาสดาหลายองค์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 21:15:10 )
รายละเอียด
อาตมาจะบอกคุณคนนี้ว่า อรหันต์คือคนที่ยิ่งแคล่วคล่องเร็วไว ถ้าคนนิ่งนี้คือคนที่กำลังจะเป็นเหน็บชา และกำลังจะเป็นง่อย จะเป็นอัมพาตนั่นคืออรหันต์นิ่ง พระอรหันต์ นั้นจะต้องมีองค์คุณอุเบกขา 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มีกายปาคุญญตา ทำงานได้อย่างเร็วคล่อง เร็วจนคุณจับไม่ติดด้วย
อย่างอาจารย์เกษม เขมโก ที่นั่งหลับตานิ่ง อยู่ป่าช้าไตรลักษณ์ สุสานไตรลักษณ์ แล้วเข้าใจว่าอย่างนั้นเป็นอรหันต์ ซึ่งน่าสงสารมาก ถ้าหากพระอรหันต์มีอย่างนั้นเต็มเมืองแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร พูดก็ไม่พูดนะ อาจารย์เกษม เขาเรียกหลวงพ่อเกษม วันๆ เอาแต่นั่งหลับตาคนก็มานั่งเฝ้าท่าน นี่คือยกตัวอย่างง่ายๆ นอกนั้นก็มีที่เอาแต่ไม่พูดเอาแต่นิ่ง ก็ควรสอนสิ คนยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งต้องสอนมาก สอนหนัก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 13:16:21 )
รายละเอียด
คนก็บอกว่าทำไมท่านมาประกาศว่าตนเองเป็นอรหันต์ รู้ได้อย่างไร ก็ถ้าอาตมาไม่รู้ว่าเป็นอรหันต์จะบอกได้อย่างไร อาตมาต้องรู้สิว่าอาตมาเป็นอรหันต์เป็นอย่างไร อาตมาก็จึงได้อธิบายลักษณะจิตเจตสิกต่างๆ ให้เห็นชัดเจนว่า จิตตัวนั้นใช้บัญญัติภาษาของพระพุทธเจ้าบาลี เวทนา สัญญา สังขาร ต่างๆ นานาหรือแม้แต่เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือแม้แต่เจตสิกต่างๆ เจตสิก 108 เป็นต้น ที่แยกชัดเจน เคหสิตเวทนา หรือเนกขัมสิตเวทนา มโนปวิจาร 18 ฝ่ายโลกียะกับฝ่ายโลกุตระต่างกันอย่างไร ที่อาตมาได้อธิบายชี้แจง ยืนยันได้ว่าตามที่ตัวเองมีตัวเองเป็นตัวเองได้ ไม่ใช่เอาแต่ตำรามาพูด อะไรก็ยืนยันไปหมดแล้ว พวกคุณก็ฟังเข้าใจ แล้วยิ่งคบอาตมานานเข้าก็ยิ่งชัดว่า ใช่ท่านเป็น ยถาวาทีตถาการี หมายความว่า พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 20:40:55 )
รายละเอียด
อรหันต์มีอยู่ 2 ระดับ 1. อรหันต์ปัญญาวิมุติ 2. อรหันต์ อุภโตภาควิมุติ เมื่อเริ่มต้นอาสวะหมดสิ้นก็เริ่มนับว่าเป็นอรหันต์ได้เป็นปัญญาวิมุติ
อรหันต์ปัญญาวิมุติเป็นผู้หมดอาสวะสิ้น แต่ยังไม่สมบูรณ์หมดสิ้นด้วยอนุสัย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:37:11 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:19:27 )
รายละเอียด
จะเป็นอรหันต์ในระดับต้น คือพระโสดาบันมีอรหัตผล ก็ต้องมีจึงจะช่วยเขาได้ แต่คุณได้นิดหน่อยจะช่วยอะไรเขาได้มาก ตัวเองก็ยังช่วยตัวเองไม่ค่อยไหว เอาตัวเองไม่ค่อยไหว ล้มลุก ใครเหนี่ยวนิดเดียวก็ล้มแล้ว เหมือนคนตกบ่อ คุณจะมีแรงไปช่วยคนตกบ่อจะต้องมีแรงดึงเหลือ เพื่อจะสามารถดึงน้ำหนักของคนตกบ่อขึ้นมาได้เท่าไหร่ หากคุณประมาณไม่เป็นก็ตกบ่อไปตามเขา ก็หัวทิ่มลงบ่อ คุณต้องรู้ตัวเองว่าสามารถมีแรงที่จะเริ่มลงไปดึงคนข้างล่างอีกไหม ต้องเผื่อไว้ มีที่ยึดถือแล้วดึงขึ้นมาจากบ่อได้ ถ้าคุณไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีเท่าไหร่ และไปช่วยเขาก็ตกบ่อไปตายตามเขา ไม่ประมาณตน คนตกบ่อไปตามเขานั้นมีเยอะเหมือนกัน อวดดี หลงตัว นึกว่าตัวเองแน่ ตัวเก่ง
อรหันต์มีภูมิร้อย จะไม่ใช้ภูมิทั้งร้อยนั้นไปช่วยใคร ช่วยแค่ 7 8 10 เผื่อพอไว้ ถ้าเกิดว่าเรามี 100 เราไปช่วยเขา 70 80 เผื่อพอไว้ มันไม่ใช่ เราเข้าใจผิดก็จะเหลือแค่ 90 75 ก็ยังพอช่วยตัวเองได้ เรายังไม่ประมาทตัวเองยังไม่หลงตัวเองว่าตัวเองมีมากมาย ที่จริงเรามีเกินความจริงเราก็เลยต้องมีน้ำหนักพอที่จะช่วยเขาได้ เพราะเรามีมากกว่าจริง คนไหนตัวเองมี 100 ก็ใช้ทั้ง 100 เลยก็เสร็จสิ ต้องเผื่อไว้ คุณเข้าใจจริงไหมว่าคุณเองมี 100 คุณอาจจะมี 80 แล้วนึกว่าตัวเองมี 100 ก็ต้องเผื่อไว้มากๆ เลยไม่เสียหาย ถ้าไม่เผื่อเอาไว้ผิดพลาดขึ้นมา เผื่อไว้ไม่พอคุณก็ตายไปตามเขา เสียเวลาทั้งคู่ตัวเองก็ซวย อวดดี แล้วมันเป็นภาวะที่เป็นภาระวิบาก คนนั้นก็ต้องดึงทึ้งกันไปอีก ชาตินี้ชาติหน้าเป็นอจินไตยอีกเยอะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:18:02 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561
เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 12:14:52 )
รายละเอียด
อรหันต์มีสองแบบ คือ ปัญญาวิมุติ กับอุภโตภาควิมุติ ทุกวันนี้ที่เราเดากันว่าเป็นอรหันต์นั้นยังไม่ใช่ของแท้ เป็นของปลอม พระอรหันต์ เหมือนกับมีกายสักขี หมายถึงเห็นได้ด้วยตา กายวาจาใจ ว่า ท่านองค์นี้อรหันต์แล้ว ท่านมักน้อยสันโดษ ศาสนาพุทธไม่ได้มักน้อยสันโดษจนเลยเถิดเหมือนศาสนาเชน ที่ไม่นุ่งผ้าเลย ไม่สะสมจริงๆ มักน้อยแบบสุดโต่ง ประโยชน์ไม่สูง แต่ประหยัดสุดมาก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ปัจฉิมกถาปิดงาน มหกรรมคืนชีวิตให้แผ่นดินครั้งที่ 12
ที่มาบเอื้อง จ.ชลบุรี วันที่ 18 มีนาคม 2561
เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:42:21 )
รายละเอียด
พระพุทธเจ้านี้ เข้าใจความเจริญของธาตุจิตที่เป็นเจโตก่อน ได้เจโตแล้วเป็นปัญญา พอได้โพธิของโสดา ได้โพธิของสกิทา ก็ต้องได้ความบรรลุเป็นอรหัตผลของโสดาบัน อรหัตผลของสกิทาคามี อรหัตผลของอนาคามี อรหัตผลของอรหันต์
อรหัตผลของอนุโพธิสัตว์ อรหัตผลของอนิยตโพธิสัตว์ อรหัตผลของนิยตโพธิสัตว์ จนกระทั่งถึง อรหัตผลของมหาโพธิสัตว์ จึงจะเป็นการบรรลุอรหัตผล หรือเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น อรหันต์มันมีขั้นๆๆๆ ไปเข้าใจว่าอรหันต์มีอรหันต์เดียว ก็คือคุณไม่มีโพธิสัตวภูมิเลย เป็นได้เหมือนกัน พาซื่อ ถ้ามันสัมมาทิฏฐิมันก็บรรลุได้ แต่มันยาก มันไม่มีที่เปรียบ มันยาก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:41:52 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2561
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2564 ( 10:59:30 )
รายละเอียด
ต้องเข้าใจให้ได้ว่า มันมีอารมณ์นิพพานอย่างเดียวกันที่ตรงกัน อารมณ์นิพพานเป็นปรมัตถ์สัจจะ ส่วนสมมุติสัจจะไม่มีอะไรแย้งกันหรอก พระอรหันต์ก็แย้งกันอยู่ในสมมติสัจจะ ในเรื่องของโลกเขา ไม่ใช่เป็นเรื่องจุดสำคัญของจิตวิญญาณที่เป็นปรมัตถธรรมปรมัตถสัจจะ พระอรหันต์กิเลสไม่มี สูญหมดตัวตนเหมือนกันหมดเป็นหนึ่งเดียวกันหมด แต่ในสมมุติข้างนอกออกมาอีกนี่ เริ่มเป็น 2 ต้องไปอ่าน จูฬวิยูหสูตร และจูฬสุญญตสูตร หลายๆ เที่ยว ไม่ง่ายเลย สัจจะมีหนึ่งเดียว สัจจะที่ขัดแย้งกันมี 2 ไปเรื่อยๆ ต่างกันทั้งนั้น ผู้ที่ไม่มีตัวตนแล้วก็จะไม่มีของข้าถูกของเอ็งผิด ก็จะแยกนานาสังวาสได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 20:22:44 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็อธิบายไม่ได้อย่างที่อาตมาอธิบาย ใครที่ถามว่าอาตมามาประกาศเป็นอรหันต์รู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ก็นี่ไงกำลังอธิบายให้ฟัง เป็นความรู้ของอาตมาทั้งนั้น ถ้าคนไม่รู้อย่างอาตมาอธิบายอย่างนี้ได้เหรอ อาตมารู้ถึงปรินิพพานเป็นปริโยสาน จึงพูดได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะตั้งภพเป็นโพธิสัตว์ ยังจะทำงานต่ออีก แล้วตัวเองก็จะตั้งปณิธานบำเพ็ญต่อไปเป็นพระพุทธเจ้า
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น
จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 20:24:06 )
รายละเอียด
อรหันต์สร้างบุญอีกไม่ได้ อาตมาก็สร้างบุญอีกไม่ได้แล้ว เพราะว่าบุญเป็นแต่ของตนเองจัดการกิเลสตนเอง
และ“บุญ”ใหม่นี้จะเกิดผล ก็คือฆ่ากิเลส
“ตัวที่มี”นั้นๆ เป็น“กรรมใหม่” ใน“กาละใหม่”
มันคนละโอกาส และคนละสภาวะ
“บุญ”เป็นแค่“สภาวะ”หรือแค่“อาการปรากฏ”ในจิตของคนในแต่ละ“ปัจจุบัน”ที่สามารถ“อภิสังขารขึ้นได้(ปรุงสร้างขึ้นมาทำงานวิเศษยิ่งให้แก่ใจของตน แต่ทำให้คนอื่นไม่ได้)”เท่านั้น
ทำเสร็จแต่ละ“ปัจจุบัน”ก็หายไปทุกครั้ง “บุญใหม่”ต้องทำใหม่ใน“ปัจจุบันใหม่”
“บุญ”จึงไม่“ตั้งอยู่หรือทรงไว้”จนข้าม
“กาละปัจจุบัน”ไปเลยสัก“บุญ”เดียว
“บุญ”จึงไม่ใช่“ธรรม” ..งงมั้ยล่ะ?
ฟังใหม่อีกที..ฟังดีๆ “บุญไม่ใช่ธรรม”
และ“บุญ”ก็ไม่ใช่“ธรรมะ”เลย จริงๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:48:48 )
รายละเอียด
ก็มาเข้าสู่สิ่งที่เราควรเรียนให้จบ ก็คือ คำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้นแล้วก็ทำให้จบ ผู้ที่จบอรหันต์แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไรอีกเลยจริงๆ จะต่อก็ต่อได้เป็นอมตบุคคล จะไม่ต่อจะจบก็จบได้ อยากจะจบเมื่อไหร่เมื่อใดเท่าไหร่เท่าไหน อยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น เราทำเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอันนี้จึงมาหักล้างความจริงว่าอัตภาพหรืออัตตา ที่มันได้อัตภาพมา จิตนิยามของสัตว์โลกตั้งแต่เซลล์เดียวไปจนกระทั่งถึงมาเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงเวไนยสัตว์ สามารถที่จะสลายอัตตาได้ เดรัจฉานไม่รู้เรื่องมันสลายไม่ได้ มาเป็น อเวไนยสัตว์มันก็ยังไม่ได้ จนมาเป็นเวไนยสัตว์ถึงขั้นจบเป็นอรหันต์ก็จึงจะสลายได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 09:34:00 )
รายละเอียด
เป็นอรหันต์แล้วจะตั้งจิตต่อภพภูมิ ปณิปิตตจิต อย่างอาตมาบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วตั้งจิตเกิดมาอีกก็ได้ เป็นพระอรหันต์แล้วค่อยเป็นโพธิสัตว์ อันนี้อาตมาพูดแล้วเขาก็ยิ่งขัดใจเขา ขัดจากความเข้าใจความรู้สึกของเขา ก็ต้องค่อยๆพูดไป ตอนนี้ก็ค่อยคลายความขัดแย้งลง เพราะหากว่าอาตมาพูดไปอย่างไม่มีหลักฐานพูดไปแล้วเขาก็จะมากระทืบเอาแบนเลย
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2562 ( 15:04:22 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:22:59 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:20:58 )
รายละเอียด
อรหันต์หรือพระพุทธเจ้าคือ ผู้“สิ้นบุญ(ปุญญปริกฺขีโณ)” ผู้ไม่มี“บุญ”ตัวจริงตัวแท้ มีพระพุทธเจ้าก็พูดไว้ พระอรหันต์เช่น พระโพธิราชก็เคยพูดไว้ มีหลักฐานในพระไตรปิฎก
เพราะท่านเป็นผู้“สิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปปริกฺขีโณ)”แล้วบริบูรณ์สัมบูรณ์ สำคัญความข้อนี้ให้ละเอียดลออดีๆ
“บุญ”เป็นแค่“พลังงาน”ที่ทำหน้าที่ใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น ถ้าหมด“ปัจจุบัน”ปุ๊บ ทุกปัจจุบัน “บุญ”ก็หายไปปั๊บ“ทุกปัจจุบัน”
ดังนั้น ยิ่ง“บุญ”เสร็จกิจ จบหน้าที่ คนผู้นั้นก็ยิ่ง“หมดสิ้นสนิทในบุญ”เด็ดขาด
เป็นผู้สิ้น“บุญ”ทั้งปัจจุบัน-ทั้งอดีต-ทั้งอนาคต” คนผู้นี้จึงไม่มี“บุญ”อีกแล้วในทุก“กาละ” ก็เป็นคนผู้ไม่ต้อง“ทำกรรมที่จะกำจัดกิเลส”กันอีกแล้วในทุก“กาละ”
ก็เป็นคนที่ไม่มี“บุญ”ให้ทำอีก หรือเป็นผู้ไม่มี“บุญ”แล้วใน“กาล”ทั้งหลาย
จึงเท่ากับคนผู้นี้หมดสิ้น“กาละ”ที่จะทำ“กรรม”อันเป็น“บุญ”อีก
ก็เป็นคนผู้ไม่มี“บุญ”อีกแล้วในชีวิตต่อไปของตน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:52:32 )
รายละเอียด
คือ เมื่อผู้นั้นตายหมด ลมหายใจหรือดับขันธ์ลงแต่ละชาติ หากยังไม่ยอม “ตายหายสูญไปจาก กรรมและกาล ก็สามารถยังมีชีพ ขั้นจิตนิยาม เกิดวนใน “วัฏฏสงสาร”” นี้อยู่ต่อไปได้ จนกว่าเจ้าตัวจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน จึงสิ้นภพจบชาติ สูญสนิทสัมบูรณ์
หนังสืออ้างอิง
“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 226
เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 15:59:25 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:23:58 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:21:32 )
รายละเอียด
จิตที่ฝังไว้ก้นบึ้งของจิตยังไม่ทิ้งง่ายๆ แต่เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์แล้วไม่มี สยะได้
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:35:43 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:23:41 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:21:52 )
รายละเอียด
กามฉันทะเป็นกิเลสเบื้องต้น เวลาเขาไปปฏิบัติธรรมไปนั่งหลับตาเขาก็มีกามฉันทะทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็นั่งหลับตาไปจนเขาว่าดับจนบรรลุอรหันต์ ปึ๊งปั๊งไป ไม่รู้การกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ก็บอกว่าเป็นอรหันต์แต่กินหมากอยู่อย่างนั้น ขออภัยที่เอามาพูด เพราะว่าเขาเชื่ออรหันต์เก๊อย่างนี้ เพราะว่าแม้แต่กามคุณ 5 ภายนอก เป็นสิ่งเสพติดก็ติดจนตาย เกิดมาชาติหน้าคุณว่ามหาบัวจะเกิดอีกไหม ….เกิด ก็ขออภัย ขอบคุณมหาบัวสายปฏิจจสมุปบาท ผัสสะ นามรูป วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันจากด้านบนลงมาที่เวทนา มีวิญญาณ แล้วก็นามรูป ผัสสะ เวทนาจึงถูกจัดการทั้งหมด ในสายที่เป็นเหตุปัจจัยกัน สรุปรวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา พยัญชนะก็บอก ยังมีส่วนสองสภาพแต่รวมเป็น 1 แต่ก็มีสองคือ อันหนึ่งคือตัวรู้ อันหนึ่งคือสิ่งที่ถูกรู้
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 09:03:40 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:25:10 )
รายละเอียด
มีภาพอรหันต์ในเมืองไทยให้ดู นี่แหละอรหันต์เก๊กัน ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ ให้มาพิสูจน์ตรวจสอบเลยว่าคนเหล่านี้มีวรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 หรือโคตมีสูตรมาตรวจสอบ ในพระสูตรเหล่านี้จะมีคำว่า มาจน อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ อปจยะไม่สะสม เป็นหลัก ไม่สะสม พวกเชน ฤาษีออกป่าก็ไม่สะสม มันทำได้ง่าย แต่อัตตา กาม นี้ยากไม่ติดยึดในกาม ในอัตตา มันไม่ง่าย กว่าจะรู้รอบกว่าจะเข้าใจได้หมดพวกนี้ ถ้ามันง่ายพระพุทธเจ้าก็คงไม่สุดยอด พระศาสดาไหนก็คงจะทำได้ถ้ามันง่าย แต่นี่ขนาดเป็นพระศาสดาเทวนิยมก็ยังทำไม่ได้เลย แล้วก็ซ้อนโลกุตระที่ไม่ถึงฐานะครู โลกุตระที่เป็นครู ถึงสยัมภู ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาก็ประกาศทำตามพระพุทธเจ้า ถ้ามาบอกว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ใครจะเป็นพี่ก็มาประกาศว่าเป็นพี่สิ พี่ขนาดไหนอาตมาจะได้รู้ ที่จริงหากมี ก็จะมีคณะหมู่กลุ่มอย่างนี้ นอกจากเป็นไก่ตัวพี่ที่มาทีหลัง แต่ก็จะตรงกับอาตมามีแต่จะมาร่วมสอดคล้อง แม้แต่ท่านเป็นตัวพี่ท่านก็จะเด่นชัดมาเรื่อยๆ อาตมาก็จะยอมรับ คนอื่นก็จะยอมรับ อาตมาไม่หลงผิดหรอก สัจจะเป็นหนึ่งเดียว จะเห็นเป็นสองได้อย่างไร สัจจะเป็นหนึ่งเดียวผู้ใดสัญญายนิจจานิ ไม่ตรงกับอาตมาก็จะไม่เห็นหนึ่งเดียวกับอาตมา
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:57:01 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:26:06 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:23:18 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2563 ( 10:15:33 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:27:00 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:30:31 )
รายละเอียด
การบอกผู้อื่นอีกว่า ผู้บอกผู้อื่นว่าบรรลุผู้นั้นไม่ใช่ผู้บรรลุ อันนี้เป็นความคิดและคำพูดที่ค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเข้าใจอย่างนั้น อรหันต์ก็จะเป็นอรหันต์ เดาเอาหมด เพราะว่าเป็นอรหันต์และบอกคนอื่นไม่ได้คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร เขาก็เดาไปทั้งนั้น นี่คือคำพูดที่ไม่คมไม่ชัด ทำให้ผิดเพี้ยนไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:45:02 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:02:59 )
รายละเอียด
หากอรหันต์ตายแล้วสูญหมดก็ไม่มีใครมาเป็นผู้สืบทอดอย่างยุคนี้ 2500 กว่าปีในประเทศไทยถ้าอาตมาไม่เกิด อรหันต์ไม่มีแล้ว ค่าศาสนาพุทธศูนย์ไปแล้วไม่ถึง 5000 ปี อาตมาเป็นสยังอภิญามาเกิดยุคนี้ จึงต่อเชื้ออรหันต์ได้ หากคุณไม่เห็นว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ ก็ไม่มีทางรู้เองได้หรอก อาตมายืนยันว่าอาตมาเคยเกิดมาในยุคพระพุทธเจ้า ถ้าอรหันต์ตายแล้วสูญ ผู้ที่บรรลุอรหันต์รู้จบสมบูรณ์แบบตายแล้วแยกจิตเป็นอุตุธาตุ ได้เลย อาตมาเกิดมายุคนี้รู้ทั้งอรหันต์เก๊ อรหันต์จริง ไม่ได้แกล้งว่าแต่ยืนยันให้เห็น พิจารณาให้ดีแล้วคุณตรวจสอบในพระไตรปิฎก
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:30:24 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:28:45 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:33:09 )
รายละเอียด
อาตมาถึงบอกว่าความจริงที่จริงคือปัจจุบันที่เล็กที่สุด ไวที่สุด นิดที่สุด หายไปเลยปัจจุบัน ตัวความจริงในปัจจุบันมันจึงยากที่คนจะรู้จักปัจจุบัน แล้วยากที่จะทำความสำเร็จลงที่ปัจจุบัน ทั้ง 3 กาละนี้ ได้สมบูรณ์แบบ ผู้ทำได้จึงเป็นสุดยอดแห่งมนุษย์
เห็นไหมว่าอรหันต์นี้สุดยอดอย่างไรขนาดไหน แต่เอาเถอะอรหันต์ยังไม่เก่งอย่างที่อาตมาพูด อาตมาไม่ได้บอกว่าเก่งเหมือนอาตมานะ แต่ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า ถ้าอาตมาไม่มีความจริงอันนี้ จะเอาอะไรมาพูด เพราะว่าคำอธิบายนี้ไม่ได้มีอยู่ในตำราไหน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 04:54:13 )
รายละเอียด
เป็นอรหันต์ก็เป็นเรื่อง เอาอาการความสุขความทุกข์เป็นเครื่องชี้วัด ความทุกข์ความสุขเป็นอริยสัจ เป็นความจริงของผู้ประเสริฐที่จะศึกษารู้ได้แบ่งได้ตัดชั้น ความรู้ได้เลย
คนที่มีปัญญาสามารถจะรู้ความจริงเหล่านี้ได้ มันไม่ใช่ธรรมดา มันต้องมีความรู้องค์ประกอบต่างๆ อาตมายังไม่สามารถบอกองค์ประกอบทั้งหมดได้ พระพุทธเจ้ามีพุทธวิสัยสามารถบอกได้ อาตมามีฌานวิสัยบอกได้ แต่จะไม่ได้รู้มากมายขนาดพุทธวิสัย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:48:53 )
รายละเอียด
ก็เหลืออยู่แต่ว่า“อรหันต์”ของคุณ กับ“อรหันต์”ของอาตมา
อย่างไหนมันจะเป็น“อรหันต์”ตามแบบพระพุทธเจ้าแท้จริงกว่ากัน?
ซึ่งก็คงต้องตรวจสอบตาม“พระไตรปิฎก”ที่มีอยู่ฉบับเดียวกันนั้นดูอย่างละเอียดลออ ถ่องแท้กันจริงๆ เท่านั้น ว่า “ของใครจะตรงตามพระไตรปิฎก”แน่แท้กว่ากัน?
แต่ถ้าต่างคนต่างก็“ตีความจากพระพุทธวจนะ”แล้ว ต่างก็ยืนยันว่า“ตนถูกต้องของตนๆ”ทั้งคู่ ก็เป็น“อันจบ”ลงตรงนี้
นั่นคือเราทั้งคู่ ต่างก็เป็น“นานาสังวาส”กันแล้วเรียบร้อย
ต่างยึดถือตาม“ทิฏฐิ”ของตนๆ เป็นที่สุดแล้ว
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 410 หน้า 297
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 21:31:10 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 07:39:11 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:29:13 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:39:23 )
รายละเอียด
พระพุทธเจ้ายังต้องใช้อัตตาทำงาน อรหันต์ แปลว่าไม่ลึกลับ อรหัตตา เป็นอัตตาที่ไม่ลึกลับ จนถึงที่สุดอรหันต์เป็นความไม่ลึกลับถึงที่สุด อันตะ แปลว่าถึงที่สุดจบ อย่างอาตมานี้ไม่ลึกลับ ในความเป็นอัตตา อาตมาอาศัยอัตตาโพธิสัตว์ทำงาน จึงสามารถอธิบายอัตตา 3 รายละเอียดเท่าที่ภูมิธรรมอาตมาอธิบายได้ สู่ฟัง คนตั้งใจฟังธรรมะให้ดีก็จะได้รับความรู้ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา คนที่ปฏิเสธอาตมาเขาก็ไม่ฟังเขาก็ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไรอาตมาก็ขายสินค้าไม่ออกเท่านั้นเอง
ที่มา ที่ไป
พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:42:27 )
รายละเอียด
ถ้ายังไม่ปรินิพพานไม่สลายรูปนามนี้ ไม่สลาย H2O อรหันต์แยก H2O หมดเลย ไม่มีธาตุน้ำนี้แล้ว คนนี้คือธาตุน้ำ ไม่เหลือที่เป็นอัตภาพของคนจบแล้ว นั่นคือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ผู้ที่ยังไม่สุดตัวนี้แล้ว พระอรหันต์อยากจะให้อะไรเกิดอยู่ เป็นวิภวตัณหา เป็นความอยากที่ไม่มีภพ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์จะรู้ดี เพราะอาตมายังไม่คิดตัด คิดจะต่อสืบต่อศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไป จะยังไม่คิดตัดสันตติ ไม่คิดจะตายแบบไม่ต่อภพชาติแล้ว ยังไม่หยุดยังไม่เลิก ยังจะทำงานอันนี้ต่อไปอีก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 13:06:03 )
รายละเอียด
อรหันต์แยกเป็น 3 ชื่อใหญ่ๆ 1. พระอรหันต์ธรรมดา 2. พระอรหันต์โพธิสัตว์ 3. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
อรหันต์ธรรมดา คือจากผู้ที่เป็นปุถุชนปฏิบัติตนเป็นเสขบุคคล จนเป็นอเสขบุคคล
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบ ขยายความมาไม่รู้กี่ทีแล้วๆเล่าๆ
อนุพุทธของคนผู้นี้ก็มีความเต็มสมบูรณ์ขั้นต้น ปริตตัง ของคนผู้ใดผู้หนึ่งที่ควรพึงมีให้แก่ตัวเองก่อน เป็นลำดับนะอย่าไปลัด ไม่เอาอรหันต์จะไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 เลย ขึ้นไปโดยไม่มีบันไดขึ้นเลย เหาะไป เป็นจอมยุทธตัวเบา มันไม่ได้
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติอย่างไม่มีขอบเขต ต้องตามกรอบขอบเขตที่เรากำหนดเอาแต่พอเหมาะแก่ตน ปฏิบัติได้ผลจึงจะเพิ่มขอบเขตขนาดเพิ่มขึ้นๆไปตามลำดับ
ปริตตังคือ การประมาณให้เหมาะแก่ตนต้องรู้ตัวเอง สักกะ มีขอบเขตเท่าใดอยู่ขนาดไหนที่มีอยู่แล้วเป็นวาสนาเป็นบารมีมาแล้วมีแล้วเป็นของตน
ตรงกันข้ามกับ อัปปมาณหรืออัปปมัญญา คือไม่มีประมาณหรือประมาณไม่ได้ ก็ไม่รู้กรอบไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้ขนาดที่ตนเองเป็นอย่างไรอยู่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 19:05:07 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2563 ( 14:28:30 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:29:41 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:40:25 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 07:37:07 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:30:07 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:44:14 )
รายละเอียด
โอ้โห! อันนี้ต้องขอขยายความ จริง ยิ้มเสมอจนกระทั่งทางพวกที่เขาเคร่งๆ พวกพระป่าพระนั่งสมาธิ เขาบอกว่าพระอะไรกัน ยิ้ม หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่สำรวมเลย อะไรอย่างนี้นะ เขาว่าอย่างนั้นนะ อาตมาก็ว่า เออนะ มันก็จริงของเขาสำหรับเขาที่มีความยึดมั่นถือมั่นหรือมีความเห็นว่า ความสงบนั้นแม้แต่ยิ้มก็ไม่ได้ ยิ้มหรือหัวเราะเสียงดังก็ถือว่าไม่สงบ โอ้โห เคร่งจัดเลยนะ ฟังแล้วเคร่งจัด
ทำไมคนยิ้ม คนหัวเราะ นี่มันจะเป็นความ เอาล่ะถ้าพูดเว่อร์ๆ ถ้ามันหัวเราะดังๆ หัวเราะรบกวนคนอื่นก็ว่ากันไป มันโอเว่อร์ แต่คนที่มีแต่การยิ้ม มีแต่เสียงหัวเราะกันทั่วไป อาตมามีเพลงอาริยะบทนึงอยู่นะ ที่บอกว่า ได้ยินเสียงหัวเราะหรือเสียงร้องไห้
มันเป็นยังไง คนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันจะเป็นสังคมที่ไม่น่ายินดีหรือไม่น่ายอมรับหรือยังไง? มันก็ดีสิ เจอหน้ากันก็มีแต่ยิ้ม ไม่ใช่บ้านะ ยิ้มอย่างคนบ้าก็อีกเรื่องนึง คือมันสดชื่น มันรื่นเริงเบิกบาน ยิ้มแล้วก็มีเสียงหัวเราะ จริงอาจจะหัวเราะดังๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากบ้าง มันก็ไม่น่าจะเป็นไร หัวเราะดังๆ เอิ๊กอ๊ากๆ อย่างนี้เป็นต้น
จะไปเคร่งจัด มีสำรวม สงบ จะโต่งไปถึงขั้นว่าเบิกบานร่าเริง เป็นจิต”อภิปโมทยังจิตตัง”อะไรก็ไม่ได้ อาตมาก็ว่า เขาจะสุดโต่งไปยังไงเขาก็ว่ากันไปเถอะ มันสุดโต่งไปหาศูนย์ สุดโต่งไปหาไม่มีอะไรอะไรเลย ไม่ต้องกระดุกกระดิก บื้อๆ ทื่อๆ มันเวอร์เกินไป มันสุดโต่งไปไกล
อาตมาไม่มีความรู้สึกในใจใดๆ ที่ว่าจะขาด”อภิปโมทยังจิตตัง” จิตไม่ได้ขาด อภิปโมทยังจิตตัง แปลว่า จิตยินดี ปราโมทย์ ยินดีชื่นใจ อิ่มเอม ปราโมทย์อยู่ มันเป็นอย่างนั้น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันก็เป็นจริงตามที่มันเป็น มันไม่ใช่เราจะต้องพยายามหรือว่าจะต้องเสแสร้ง มันไม่ใช่ มันสบายๆ มันยิ้มแย้มแจ่มใส มันสบาย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง ควรเพิ่มพลังพากเพียร วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 06:18:11 )
รายละเอียด
ถามหน่อย ร่างเฉยๆ หมายถึงสรีระวัตถุ ไม่มีจิตเข้าไปสั่งการบัญชาให้ร่างมันทำ มันก็จะทำอย่างสะเปะสะปะตามพลังงานของอุตุหรือพลังงานของพีชะ แต่แน่นอนคุณกำหนดพีชะไม่เป็น แต่อรหันต์ใช้พลังงานพีชะเป็น เป็นเรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระอรหันต์ที่เป็นคนนี้กำหนดให้จิตใช้พลังงานแบบพืชโดยที่เวทนาไม่มี พีชะไม่มีเวทนา เพราะฉะนั้นกรรมจึงไม่เป็นอันทำ ไม่มีวิบาก อรหันต์ทำกรรมจึงไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะกรรมของพระอรหันต์หมดบาปหมดบุญแล้ว ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นกรรมที่บริสุทธิ์จริงใจซื่อสัตย์ ถ้าไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่นับ
ที่มา ที่ไป
รายการบ้านราช กายนี้คือวิญญาณ วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:01:33 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:30:32 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:46:15 )
รายละเอียด
โอ้โหดีจังเลย ใช้เวลาอีกสัก 10 20 ปีอธิบายคำว่า อรหันต์ในพระอรหันต์
ว่าจะอธิบายสัมมาทิฏฐิ อันนี้ก็คือทำให้สัมมาทิฏฐิเหมือนกัน อธิบายไปได้ในตัว
อรหันต์ คืออะไร อรหันต์ในอรหันต์จะเป็นอย่างไร
อรหันต์ มาจากคำว่า อรหะ + อันตะ
อะ กับ รหะ อะแปลว่า ไม่, รหะ แปลว่า ลึกลับอยู่ ยังไม่รู้เรื่อง
อรหะ แปลว่า ไม่ลึกลับแล้ว
อันตะ แปลว่า ที่สุด อรหันต์จึงแปลว่า ไม่ลึกลับเป็นที่สุด นี่แปลบาลีอย่างโพธิรักษ์ ไม่ได้แปลตามหลักไวยากรณ์ของเขา ที่งงไม่รู้เรื่อง อาตมาแปลอย่างอาตมาเลย
ไม่ลึกลับทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ไม่ได้ลึกลับในอะไร ไม่ลึกลับในความสุขความทุกข์ ไม่ลึกลับในทุกข์อริยสัจ ไม่ลึกลับในความสุขที่เป็นมายา เป็นสุขขัลลิกะ สุขเก๊ ส่วน ทุกข์ นั้นคือ อาริยะ เป็นความประเสริฐที่จะต้องศึกษาและรู้ให้ทันว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2565 ( 12:46:05 )
รายละเอียด
ไม่ชัดเจนในความเป็นกาม ความเป็นรูป อรูป ก็เลยต่องแต่งอยู่อย่างนั้น หากเข้าใจแล้วมันเป็นแล้วเป็นพอสมควรมีมวลพอสมควร เช่นพวกคุณมีความรู้สมรรถภาพ แต่ก่อนต้องไปรวย ห้าล้านสิบล้าน พวกคุณทำได้ พอมาเข้าใจแล้วเปลียนไปได้ มายังไม่ถึง 10 ล้าน ออกมาก่อนก็อาจสงสัยว่า จะได้จริงไหม แต่มาได้แล้ว แต่หากไปมีก่อนได้ 10 ล้านแล้วก็จะมายาก หลายคนมาก่อนก็สำเร็จ ไม่ไปแล้ว ตายอยู่กับที่นี่แหละ วิจารณ์ต้อม ดร.ทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่อะไรหรอก ขอวิจารณ์สักหน่อยตั้งใจรับดีๆ แค่ชื่อปรารถนา อาตมาต่อให้เอา “จน” ใส่ท้ายให้ว่า ปรารถนาจน ก็ไม่กล้าเปลี่ยน ยังมีมากอยู่ มันย้อนแย้ง แต่จิตเข้าใจแล้วล่ะ อาตมาสรุปว่า คุณจะตายจากเงินคุณไหม ตาย หากทิ้งมาจิตวิญญาณคุณจะเจริญเร็ว เพราะอะไร เพราะยังติดเที่ยว ติดอะไรทางโน้นเยอะ นี่ไปเอสกิโมมาหรือยัง ไปแล้ว วางแผนเป็นปีเลย
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ยอดคนอาภัพที่มีระดับของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 21:07:07 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:31:45 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:48:36 )
รายละเอียด
เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว ผู้บรรลุอรหันต์แล้วไม่ต่อโพธิสัตวภูมิพุทธภูมิต่อ จบในอรหันต์โสดาฯ สกิทาฯ จบอนาคามีอรหันต์ อรหันต์ในอรหันต์ สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ทั้งนั้น คนที่บอกว่า อรหันต์ตายแล้วสูญอย่างเดียวเท่านั้นจะไม่บรรลุได้แม้แต่พระโสดาบันอรหันต์โสดาบันก็ตายสูญยังไม่ได้ จะหลงว่าตนเองต้องตาย 0 แล้วมันก็ยังต้องเกิดอีก มันก็จะรู้ในชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ คนนั้นเป็นพระโสดาบันแต่นึกว่าตนเองเป็นอรหันต์ ก็ยังจะต้องเกิดอีกจนกว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นพระโสดาบัน ก็ค่อยๆ ศึกษาต่อไปเป็นลำดับ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:05:07 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:09:24 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:32:31 )
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 12:52:35 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name