คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
“พลังงานชีวะ”ระดับ“มหาภูต 4”หรือแม้ที่เริ่มเป็นชีวะขั้น“เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”-ขั้น“ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต”ซึ่งมันยังไม่มี“ตัวตน”ที่ยึดติดเป็นกิเลสขั้น“อุปาทาน” (เจตภูต จะเป็นขั้นที่ก้ำกึ่งที่จะมีตัวตน ยึดเป็นกิเลส)
แม้เป็น“ชีวะ”แต่มันยังไม่ยึดมั่นผูกพัน มีรักมีชัง จึงยังไม่มี“กรรมวิบาก”ผูกพันแก้แค้นเป็น“นิยายบุพเพสันนิวาส”
เพราะฉะนั้นพวกนี้มันยังไม่เป็นนิยายบุพเพสันนิวาส
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:48:32 )
รายละเอียด
“พลังงานสังขาร”ที่เป็น“ชีวะ”ก็ต้องถึงขั้น“ปาณะ”ขึ้นไป จึงจะสะสม“กรรมวิบาก”ที่เป็นกิเลส“ผูกพัน”ยึดความเป็น“อัตตา” เริ่ม“ดูด-ผลัก”กันเป็น“รัก-ชัง”ขึ้นมามี“ตัวตน” มี“ของตน” จึงต้องระวัง“พลังงาน”เริ่มจากขั้น“ปาณะ”เป็นต้นไป ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเป็น“ศีล”ข้อ 1 ว่า “ปาณา ติ ปาตา เวรมณี” แล้วให้ปฏิบัติกันตั้งแต่“อย่าฆ่าสัตว์”ที่เป็น “สัตว์”ที่เริ่มมี“ร่างอันถึงขั้นเป็นกาย”กันไปทีเดียว
ขอยืนยันว่า “ร่างที่มีกาย”ทีเดียวนะ!
ปาณะนี่ เขาแปลว่า อย่าฆ่าสัตว์ ความจริงพลังงานนี้จะเรียกว่าสัตว์เต็มๆยังไม่ได้ ถ้าสัตว์จะใช้คำว่า สัตตะ แต่เป็นปาณะ ต้องเป็นเจตสิก มีสัตตะ แล้วจึงจะเป็นจิตนิยาม ศีลข้อนี้จึงกำหนดความละเอียดลึกกว่าสัตว์
ฉะนั้นผู้ที่แปลปาณะว่าสัตว์นี่ ก็ยังเข้าใจ ปาณะ เป็นพลังงานอย่างที่อาตมาไล่นี้ไม่ได้ ขออภัยไม่ได้อวดเก่ง แต่เขายังไม่มีรายละเอียดรู้พลังงานในระดับที่กำลังอธิบายอยู่นี่ มันวิวัฒน์พัฒนามาตั้งแต่ มหาภูต เป็นเห็ด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:50:37 )
รายละเอียด
“คำสอน”(doctrine)ของพระพุทธเจ้าเป็นจริงทุกคำสอน และคนสามารถปฏิบัติตามได้ทุก“คำสอน” แม้แต่“พุทธวิสัย”ก็สามารถบำเพ็ญบารมีให้เป็นดั่งพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเป็นได้จริงๆด้วย “คำสอน(doctrine)”ของพระพุทธเจ้าจึงเป็น“ประกาศิต”ก็แท้ๆ ด้วย ทั้งไม่มีการ“บังคับ”ใครใดเลย นับเป็น“ความอิสระ”สุดยอด
ส่วน“คำสั่ง(command,dictate)”ของ“พระเจ้า”พิสูจน์ไม่ได้ทุกคำสั่งสอน แถมไม่สอดคล้องกับ“ความไม่เที่ยง”ของเอกภพมหาจักรวาลอีกด้วย
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 322 หน้า 243
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:04:01 )
รายละเอียด
“พุทธโลกุตระ”จะมีขึ้นในโลก เป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น
ดังนั้น ในโลกยุคใดสมัยใดที่“ไม่มีพุทธโลกุตระ” โลกยุคนั้นสมัยนั้นจึงเป็น“โลกที่ว่างจากศาสนาพุทธ”เรียกว่า “พุทธันดร”
พุทธันดร มาจาก “พุทธ + อันตระ” ก็เป็น“พุทธันตระ” แล้วจึงเพี้ยนมาเป็นไทยว่า “พุทธันดร”
พุทธ ก็คือ ความเป็น“ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ก็รู้กันดีอยู่แล้ว หรือ พุทธ คือ การมีความรู้และการมีความจริงที่เป็นของพระพุทธเจ้า ได้แก่ การบรรลุธรรมของศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระ อันตระ คือ ระหว่าง, ภายใน, ชั้นใน, ความแตกต่าง
พุทธันดร จึงคือ ยุคนั้น ระหว่างนั้นมันมีแต่ความแตกต่าง มันไม่มี“อาริยสัจ 4”เป็น 1 เดียวกันกับของ“พระพุทธเจ้า”เลย
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 362 หน้า 265
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:22:23 )
รายละเอียด
ศาสนาพุทธนั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เทฺว” รู้จนกระทั่งสามารถทำให้เป็น“อเทฺว”สำเร็จจริง จึงเป็นศาสนาที่สามารถทำความเป็น“นิพพาน”กันได้อย่างแน่แท้ สิ้นความเป็น“อัตตา” หรือ“ดับความเป็นวิญญาณ”หรือ“ดับเทฺว”ได้เป็นที่สุดสามารถทำ“จิต”ของตนให้สลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ได้ ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษวิเศษเกินสามัญ“โลกียะ”หรือ“เทฺวนิยม” จึงเป็นเรื่องที่ยากสุดแสนยากยิ่งยวดเกินสามัญจริงๆดังนั้น จึงเป็นศาสนาที่เกิดมาช่วยมนุษยชาติในโลกเป็นช่วงๆคราวๆ ซึ่งไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลกปกติเหมือน“เทฺวนิยม”อันเป็นศาสนา“โลกียะ”ที่มีอยู่ประจำโลกตลอดกาล !
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 455-456 ข้อที่ 631
เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2565 ( 14:27:51 )
รายละเอียด
เพราะผู้“หลับตา”ปฏิบัตินั้น ไม่รู้จักรู้แจ้งความเป็น“ภพ” ความเป็น“ชาติ”ของ“กาม”ของ“กาย” จึงไม่สัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติจาก“ภพหยาบ”อันเป็น“โอฬาริกอัตตา”หรือ“กามภพ”อันเป็น“ภพภายนอก”ก่อน แล้วจึงจะกำจัด“มโนมยอัตตา”ขั้นต่อไปที่เป็น“รูปภพ”ได้ แล้วถึงจะได้กำจัดที่สุดขั้นปลาย“อรูปภพ”ที่เหลือคือ“อรูปอัตตา”บริบูรณ์ ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงไม่ใช่แค่“ลัดภพ-ข้ามภพ”ไปปฏิบัติผิดขั้นตอนของลำดับธรรมจริงๆ ดอก แต่แท้จริง“เพิ่มภพใหม่-ชาติใหม่”ซ้ำซ้อนใส่จิตตนเข้าไปอีกให้มากขึ้นจากที่มีภพเก่าชาติเก่ายิ่งๆ ซึ่งมันคือ การสร้าง“ภพภายใน”ขึ้นเป็น“รูปภพ-อรูปภพ”ใส่จิตตนหนักเข้าไปอีกแท้ๆ โดย“ภพ 3 เดิม”ก็ยังไม่ได้“กำจัดเหตุมัน”ให้หมดไปก่อนเลย
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 462-463 ข้อที่ 643
เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2565 ( 14:28:38 )
รายละเอียด
“ภาวะ 2”ของ“กาย-จิต” และ“ภาวะ 2”อื่นๆอีกมีมากมาย ที่สำคัญคือ แยก“เหตุ”กับ“ปัจจัย”ที่มันร่วมปรุงแต่งกันอยู่เป็น“สังขาร”ทั้งหลาย เช่น ใน“ปฏิจจสมุปบาท”เป็นต้น
ผู้มี“วิชชา”หรือ“ปัญญา-ญาณ”ก็สามารถแยกออกได้ตั้งแต่ภาวะหยาบไปถึงภาวะละเอียด
หยาบคือ ตั้งแต่เป็น“ดินน้ำไฟลม”อันเป็น“มหาภูต 4”ที่ยังไม่เป็น“ชีวะ” จาก“พลังงานมหาภูต 4”จึงจะเจริญเป็น “พลังงานชีวะ”เริ่มตั้งแต่“เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”แล้วจึงค่อยเจริญขึ้นๆเป็น“ภูตคาม”ชีวะที่เกิดแต่“หัว” แล้วก็เป็น“พีชคาม”ชีวะที่เกิดแต่ราก จากนั้นก็จะหลุดลอยตัวออกเป็นตนเอง”ชื่อว่า พลังงาน“เจตภูต” ซึ่งยังไม่มีที่เกาะที่ยึดใด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:57:37 )
รายละเอียด
“ระบอบการปกครอง”ของมนุษย์
(1) การปกครองมนุษย์นั้น แสนยาก
เพราะมนุษย์หลายจิตหลาก กิเลสล้น
แต่ละชาติต่างต้องพาก- เพียรสุด กำลังเฮย
ทั้งพูดทำคิดค้น เพื่อได้ทางเจริญ
(2) ไม่เกินกว่ามนุษย์รู้ ศึกษา
ทุกประเทศล้วนเสาะหา ทิศก้าว
ตามภูมิแห่งเฉกา ที่ฉลาด สุดแล
ใครไป่ปรารถนาน้าว ชาติให้เลวเลย
(3) แต่เคยสะดุดบ้าง มีไหม
ว่า“ระบอบ”ดีสุดใด นั่นแท้
มี“ทิฏฐิวิเศษ”ไหน สร้างโลกุตร์
ตรา“กฎธรรมนูญ”แล้ เลิศพร้อมเพ็ญพูน
(4) “ธรรมนูญ”พุทธพิสุทธิ์แท้ รู้เถิด
สามหมวด“ศีล”สุดประเสริฐ ยิ่งล้ำ
“จุลศีล”หมวดหนึ่งเกิด อาริยะ- ชนเฮย
“มัชฌิมศีล”สองย้ำ ขยายซ้ำละเอียดเสริม
(5) เติม“มหาศีล”เข้าครบ หมวดสาม
ข้อกำหนดห้ามปราม วิเศษนี้
หากใครปฏิบัติตาม ศาสน์สุด สะอาดแฮ
ไร้“ดิรัจฉานวิช”ชี้ พุทธแผ้ววิสุทธิ์ธรรม
(6) กำหนดได้ระบอบนี้ ดีวิศิษฏ์
หลักพุทธแสนสุจริต ประสิทธิ์แท้
ปกครองมนุษย์ชนิด “ธรรมาธิ-ปัตย์”แล
ชัด“อัตตา-โลก”แก้ ปรับได้โดย“ธรรม”
(7) สัมฤทธิ์“อธิปัตย์”ล้วน พิเศษผล
“ระบอบพุทธ”สัมมาชน สำเร็จได้
มี“ศีล”กำหนดตน ตัดกิเลส แท้เทียว
“สมาธิ-ปัญญา”ไซร้ ชี้มนุษย์เจริญจริง.
“สไมย์ จำปาแพง” 12 ก.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 325 ประจำเดือนสิงหาคม 2560]
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 21:12:50 )
รายละเอียด
ถ้าเราได้ศึกษากระทั่งเรามี“วิชชา” ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อะไรต่างๆนั้น มันไม่ใช่“ของใครเลย” มันคือ“ตัวตนของเรา”ทั้งสิ้น ที่เราสามารถจัดการ“ดับตัวตนของเราให้สิ้นให้สูญหายไปไม่เหลือความเป็น“วิญญาณ”เกลี้ยงสนิท กลายเป็น“อุตุ”ไปได้เลย เมื่อผู้มี“วิชชา”สามารถ“ทำใจในใจ”ของตนให้เป็น“อุตุ”ได้ผู้นั้นคือผู้บรรลุ“นิพพาน” เป็น“อมตบุคคล”ที่จะตายลงด้วย“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”เป็นที่สุดไปเลยก็ได้แล้ว ถ้าไม่ประสงค์จะบำเพ็ญตนต่อไปสู่“พุทธภูมิ” ก็ตายลงครั้งสุดท้ายด้วย“การทำใจในใจ”ของตนให้สลายกลายเป็น“อุตุ”อันได้แก่ ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม..จบ!
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 452-453 ข้อที่ 625
เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2565 ( 14:51:52 )
รายละเอียด
ผู้มี“วิชชา”จึงเป็นผู้จัดการหรือบัญชาการ“กรรม”ของตนเองตามความสามารถของตนเองได้เองสำเร็จเองจริงๆ
แต่ผู้ที่“ตนเอง”ยัง“อวิชชา” ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“กรรม”ทั้งหลายของตนๆ หรือของ“อัตตาแต่ละอัตตา” หรือของ“ศาสดาแต่ละศาสดา”เองแท้ๆ ที่เกิดอยู่ใน“กาล”ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุพุทธธรรม“ศาสดา”ของ“เทฺวนิยม”ทั้งหลายจึงหลงผิดว่า มี“อำนาจศักดิ์สิทธิ์”หรือ“อำนาจลึกลับ”คืออำนาจ“พระเจ้า”นั่นเอง เป็นผู้บงการตนหรือคนทั้งหลายให้ทำ“กรรม” จะดีหรือชั่ว จะเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ก็ตามพระประสงค์ของ“พระเจ้า”ทั้งสิ้น
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 228 หน้า 188
เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 13:33:30 )
รายละเอียด
ผู้พ้น“ออกไปจาก..(กิเลสนั้นๆ หรือโลกนั้นๆ อัตตานั้นๆ เป็นต้น)..ได้แล้ว”
ชื่อว่า “วุฏฐาน” ซึ่งหมายถึง“ออกไป(จากโลก-จากอัตตานั้นๆ)ได้แล้ว” ก็“สำเร็จผล”เลย ไม่ใช่“ออกๆ”แล้วก็“เข้าๆ”กันแบบมิจฉาทิฏฐิ
เพราะโลกุตรธรรมนั้น“วุฏฐาน”ไม่ได้แปลว่า “ออกแล้ว”ก็ยัง“วนเวียน”กลับไป“เข้า”สู่ที่เดิมกันใหม่ วนแล้ววนเล่าอีกอยู่ไม่จบ ซึ่งมันเป็น“วิติกกมะ”คือมันเป็น“การก้าวล่วง”หรือหลุดพ้นสิ่งนั้นไปได้แล้ว” ไม่ต้องหวนมามี“การละเมิด”สิ่งนั้นอีกได้แล้ว หยุดวน “วุฏฐาน” ไม่ใช่“ออกๆ-เข้าๆ” วนออก-วนเข้าไม่เลิกไม่จบสักที ตามที่มี“ผู้มิจฉาทิฏฐิ”พูดและทำกัน
เช่น ชาว“เทฺวนิยม”พูดและทำการ“เข้าฌาน-ออกฌาน” หรือ“เข้าสมาธิ-ออกสมาธิ” หรือ“เข้าสมาบัติ-ออกสมาบัติ” แม้“เข้านิโรธ-ออกนิโรธ” ซึ่งไม่จบ ไม่เสร็จเด็ดขาดการ“วนๆ-เวียนๆ”ซะที อย่างนั้นมันเป็นแบบโลกีย์เดียรถีย์ทั้งหลายเขาพูดกันทำกัน ซึ่งโลกีย์เดียรถีย์เขาไม่มี“สูญ” ไม่มี“เลิกการวนเวียน”เด็ดขาด
หนังสืออ้างอิง
เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2564 ( 09:30:09 )
รายละเอียด
“ศีล”คือพี่ใหญ่ พี่คนโตของการเดินทาง!พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันแข็งขันที่สุดว่า สีลัง โลเก อนุตตรัง นั่นคือ ศีลยอดเยี่ยมในโลก
ถ้าไม่ยอดเยี่ยมจริง “ศีล”ก็คงไม่เป็น“ตัวที่ 1”ของ“วิชชาจรณสัมปันโน” อันเป็น“พุทธคุณ”ของพระพุทธเจ้าแน่
เพราะฉะนั้น องค์ประกอบของ“ธรรม”ใดที่ไม่มี“ศีล”เป็นเครื่องชี้บ่งกำหนด“หัวเรื่อง-หัวสิ่ง-หัวสภาวะ”นั้นๆ ก็ไม่สามารถกำหนด“ตัวตน” หรือกำหนดกรอบ ก็ไม่มี“เป้า” ไม่มี“ภววิสัย” ไม่มี object ในการศึกษาก็ไม่มี“เหตุ”ที่จะเป็น“ปัจจัย”ในการศึกษา“เทฺว”ในโลก คือไม่มี“ภาวะ 2”ที่จะเรียนรู้“ความแตกต่าง”ของกันและกันได้ ก็ไม่สามารถจะรู้“ที่สูง-ที่สุด”ของภาวะทั้งปวงในโลกได้ การศึกษาและจัดการภาวะทั้งปวง จึงต้องตีแตกแยกแยะ“เทฺว”คือ“ภาวะ 2”ให้ได้
“ศีล”และ“ธรรม”จึงเป็น“เทฺว”คู่สำคัญยิ่งยอดที่ต้องพูด เป็นภาวะคู่ว่า “ศีลธรรม” ดังที่ได้ฟัง ได้รู้ ได้ยินกันชินหู การปฏิบัติธรรมทั้งหลาย จึงขาด“ศีล”เป็นตัวกำหนด“หัวเรื่อง”ไม่ได้ ด้วยประการฉะนี้
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 131 หน้า121
เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 05:29:03 )
รายละเอียด
ซึ่งการทำ“เตวิชโช”นี้จะ“หลับตา”ระลึกกำหนดรู้ก็ได้ จะ“ลืมตา”ก็ได้ เป็นการใช้“สัญญา”เท่านั้น ไม่ใช่การเกิด“ปัญญา”
เพราะผู้จะปฏิบัติให้เกิด“ปัญญา”นั้นจะต้องปฏิบัติในขณะอยู่ในภาวะ“ลืมตาตื่นๆ” ซึ่งจะมี“องค์ 6” ได้แก่ 1.ปัญญา 2.ปัญญินทรีย์ 3.ปัญญาพละ 4.ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ 5.สัมมาทิฏฐิ 6.มรรคอันมีองค์ 8 (พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258)
การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามีแต่เน้นให้“ลืมตา” ให้ทำ“ความตื่น(ชาคริย)” มีแต่ให้“ตื่นๆ” ให้พากเพียรเป็นผู้มี“ความตื่น” คือ ชาคริยานุโยคะ แต่ที่ทรงกล่าวพาดพิงถึง“การหลับตา”บ้างว่าเป็นอุปการะมาก ก็ต้องมี“สัมมาทิฏฐิในการหลับตา”นั้นๆ ส่วนการ“หลับตา”นั้นพระองค์ทรงตำหนิด้วยซ้ำ (พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 853-865)
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 390 หน้า 283
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 13:07:18 )
รายละเอียด
ผู้“สยัง อภิญญา”จะเริ่มเป็น“ผู้รู้ได้เอง”เพราะได้สั่งสม“ความรู้ที่เป็นโลกุตระ”มาอย่างเพียงพอชนิดที่เกิดมาในโลกโดยไม่ต้องมีครูบาอาจารย์
เพราะ“มีของตนเองติดตัวมา”แล้วมาบำเพ็ญบารมีเพิ่มอีกจึงจะสูงขึ้นไปเป็น“มหาโพธิสัตว์”อันเป็น“โพธิสัตว์ระดับ 8”ผู้มี“ความรู้โลกุตระเอง”นี้ พระโพธิสัตว์ระดับ 7 จะมี“วิบาก”ที่ต้องบำเพ็ญยากยิ่งนักหนาสาหัส นั่นคือ เริ่มจากผู้ที่เป็น“นิยตโพธิสัตว์”จริง ย่อมแสดง“ภูมิรู้โลกุตระของตนเอง”
ต่อมนุษยโลกในยุคที่ไม่มี“โลกุตรธรรม”แล้วในยุคนั้น ออกมาให้มนุษย์ได้ยินได้ฟังอย่างจริงใจซื่อสัตย์ต่อสัจธรรม มันก็จะขัดแย้งกับ“โลกียธรรม”ที่เขาได้หลงผิดยึดถือว่า“ถูกต้อง”มาเหนียวแน่นนั้นอย่างจั๋งหนับกันเลย!
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 504 หน้า 373
เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:55:45 )
รายละเอียด
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้นรวบรวมมาจะมีอยู่ดังนี้
1. ต้องสัมมาทิฏฐิในความเป็น“กาย” เป็น“สัญญา” จึงจะสามารถกำจัดความเป็น“สัตตาวาส 9”ในขณะมี“วิญญาณฐีติ 7”ได้หมดสิ้น
(พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 228 กับข้อ 41)
2. ต้องปฏิบัติในขณะมี“วิญญาณฐีติ 7”(พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 41)
3. ต้องสัมมาทิฏฐิสามารถแยก“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“เฉโก”
กับ“ปัญญา”ได้ ว่า อย่างใดเป็น“โลกียะ” อย่างใดเป็น“โลกุตระ”
4. ต้องมี“สัมมาทิฏฐิ 10”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 257-280) ในความเป็น“สัตว์โอปปาติกะ”จึงจะสามารถกำจัดความเป็น“สัตว์”ในขณะปฏิบัติที่มี“วิญญาณฐีติ 7”กันได้หมดสิ้นความเป็น“สัตตาวาส 9”
5. ต้องสัมมาทิฏฐิในความเป็น“กาย”เป็น“จิต” สามารถแยก “กาย”แยก“จิต”เป็น“ธรรมนิยาม 5 (อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม)”
6. ต้องสัมมาทิฏฐิในความเป็น“คน,มนุษย์”กับ“สัตว์โอปปาติกะ”
สามารถแยกความเป็น“คน,มนุษย์”แยกความเป็น“เทพ-มาร-พรหม”ได้
7. ต้องสัมมาทิฏฐิในความเป็น“กุศล”กับ“บุญ”ที่มีนัยสำคัญยิ่งยอด
8. ต้องสัมมาทิฏฐิใน“ฌาน”ใน“สมาธิ” ใน“บุญ” ใน“บาป”
9. ต้องสัมผัส(ถูกต้อง) วิโมกข์ 8 ด้วยกาย (พระไตรปิฎก เล่ม 11 ข้อ 66)
10. ต้องปฏิบัติให้“สัมมาทิฏฐิ”เป็นลำดับตาม“อนุปุพพวิหาร 9”
11. ต้องสัมมาทิฏฐิในความเป็นพุทธศาสนา ว่าจะไม่ใช้ข้อปฏิบัติ
ที่เป็น“อสัญญีสัตว์” แต่จะมีผลสำเร็จเป็น“สัญญา เวทยิต นิโรธ”
12. ต้องสัมมาทิฏฐิในความเป็น“นิโรธ”ที่บรรลุผลแค่ยัง“มิจฉา
ผล”เป็นโลกียะ กับผลที่เป็น“สัญญา เวทยิต นิโรธ”เป็นโลกุตระของพุทธ
13. ต้องสัมมาทิฏฐิ ว่า ผู้ใดปฏิบัติไม่มี“วิญญาณฐีติ(ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ในขณะปฏิบัติ เช่น “หลับตา”ปฏิบัติ)” นั่นคือ ผู้ปฏิบัติที่ไม่มีสิทธิ์จะ“บรรลุธรรม”
ได้แก่ (ก) ผู้ที่“ตาบอด”ปฏิบัติเป็นต้น
(ข) ผู้“มีตา”แต่“หลับตา”เสีย(ผู้มิจฉาทิฏฐิปฏิบัติ) มันก็“ไม่มีกาย”ให้สัมผัส (3)
มี“รูป”แต่“สัญญา(การทำหน้าที่กำหนดรู้รูป”นั้นของ“สัญญา”)”ไม่ทำงาน มันก็ไม่“เห็น”รูปใน“กาย”
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 439 หน้า 318
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:27:03 )
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:55:31 )
รายละเอียด
ความชี้ชัดว่า “สัจจะเป็น 1 เดียวนั้น” หมายถึง ธรรมะของผู้บรรลุ“อาริยสัจ 4”เป็น“อรหันต์”อย่างเดียวกันได้เท่านั้น “ในใจ”ของผู้บรรลุอรหันต์ทุกคน จึงชื่อว่า “สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มิได้มี 2”
นอกจาก“ความเป็นอรหันต์ ของผู้บรรลุอาริยสัจ 4”นี้แล้ว ไม่มีอะไรเลยในโลกในมหาจักรวาลที่จะ“ลงกันได้เป็นหนึ่งเดียว”จริงสุดๆ ตรงกันสนิทเนียนชนิดที่ไม่มีอะไรเหลื่อมเส้น-แลบแสง-เลยสุด(อันตา)ออกไปจากความเป็น“1”ที่สนิทเนียนยิ่งยอดกว่านี้อีกแล้ว
ยอดแห่งยอดของ“สัจจะมี 1 เดียวเท่านั้น มิได้มี 2” คือ“ภาวะดังว่านี้” และมี 1 เดียวนี้เท่านั้น นอกจาก“ภาวะนี้”แล้ว ไม่มี“ภาวะอื่นใด”เป็น“1 เดียว”ได้แน่แท้ดั่งนี้เลยในโลก... ในมหาจักรวาลเอกภพ นั่นคือ มันมีแต่“ความแตกต่าง”กันทั้งนั้น
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 365 หน้า 267
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 12:20:24 )
รายละเอียด
ซึ่ง“สัมภารวิบาก”ที่หนักหนาสาหัส เช่น ต้องทรมานทรกรรมในทางทุกกรกิริยาก็ไม่มีแล้ว หรือวิบากทาง“รูปธรรม”ที่ยากๆหนักๆ ในการบริหารประชาชน เช่น สอนวิชาชีพเลี้ยงชีพ หรือต้องรับผิดชอบแบกหามเป็นผู้“ทำนำ”ประชานชนที่เป็นงานทาง“โลก”อยู่นั้นก็ไม่ใช่“สัมภารวิบาก”แล้ว จะมีก็แต่ต้องทำงานทาง“ธรรม” แบกหามต่อสู้งานทาง“ธรรม”
โดยเฉพาะที่เป็น“โลกุตรธรรม”ให้กลับคืนมาสู่โลกอีก มนุษยชาติจะได้อาศัยคุณวิเศษนี้ต่อไปกระทั่งสิ้น“พุทธกัปป์”ของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะมี“5,000 ปี”เป็น“กัปป์”
อาตมาคือ ผู้รับอาสาจาก“พระพุทธเจ้าสมณโคดม”มาโดยตรงจึงสามารถพูดบอก“ความจริง”นี้ได้ตามจริง และยังโชคดีที่พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ ยังมีคำตรัสของพระพุทธเจ้าเป็นหลักฐานยืนยันให้อ้างอิงได้ใน“สัมมาทิฏฐิ 10” ข้อที่ 10 ที่ว่า “อัตถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจโลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ”
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 511 หน้า 380
เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2564 ( 09:22:01 )
รายละเอียด
และจะเริ่มต้นรู้จัก“สัมมามรรค”นั้นก็จะเริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“กาย”อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงจะเป็นผู้เริ่มศึกษาให้“พ้นสักกายทิฏฐิ”แล้วปฏิบัติกับ“กายของตัวเอง”ที่เรียกว่า“สักกาย”ก่อนอื่น ยุคไหนสมัยไหนก็ตาม ใครๆก็ตามจะยังไม่มี“สัมมามรรค-สัมมาผล”ได้เองเลย จะไม่มี“ปัญญา” จนกว่าจะได้ยินได้ฟังธรรมที่เป็น“โลกุตระ”จาก“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”หรือจาก“สัตบุรุษ”หรือจาก“สยัง อภิญญา” หรือจากผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ(ตรวจได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 92 “ปัญญาสูตร”)ผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วปฏิบัติจนเกิด“สัมมาผล”เที่ยงแท้แน่นอนยั่งยืนก็จะอยู่กับตนไปตลอดกาลนาน
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 457 หน้า 334
เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 08:26:57 )
รายละเอียด
ดังนั้น ผู้ใดสามารถมี“สัมมามรรค”แล้ว ก็ปฏิบัติชนิดที่มี“กาย”อยู่กับพร้อม “ลืมตา”ปฏิบัติ ไม่ต้อง“หลับตา”ปฏิบัติแล้วก็“เข้าๆ-ออกๆ”แบบการปฏิบัติของเดียรถีย์เลย ไม่ว่าจะปฏิบัติ“ฌาน” หรือปฏิบัติ“สมาธิ” หรือเป็น“นิโรธ” ก็จะเป็น“มรรค”เป็น“ผล”นั้นอยู่ประจำตนอยู่ตลอดลืมตานั่นเอง จึงจะเป็น“สัมมาฌาน” หรือเป็น“สัมมาสมาธิ” หรือเป็น“วิชชา” ผู้เรียนรู้่จนกระทั่งมี“สัมมาทิฏฐิ”เริ่มจากความเป็น“กาย” แล้วศึกษาปฏิบัติ ก็จะ“จัดการ(อภิสังขาร)”ความเป็น“กายกลิ”ได้สำเร็จ เริ่มจากการ“ออกจากความเป็นกาม(เนกขัมมะ)”เป็นขั้นต้น แล้วจึงกำจัดกิเลสขั้น“รูป”และขั้น“อรูป” ที่เป็นกิเลสขั้น “จิตตกลิ”ต่อไปได้กิเลสขั้น“กายกลิ”นั้น กิเลสภายนอกคือ“กาม”ต้องกำจัดให้มี“กายสักขี”ยืนยันกันโทนโท่ ยืนยันเป็นพยานอ้างอิงกับผู้อื่นได้เป็นภายนอกที่สัมผัสได้ด้วย“ทวารทั้ง 5”ไม่ใช่มีแต่กำจัดกิเลสกันแต่ภายใน “จิตใจ”เท่านั้น“กิเลสภายนอก”หมดสิ้นเรียกว่า “สิ้นอาสวะ”เหลือ “กิเลสภายใน “เรียกว่า “อนุสัย”“อาสวะ”คือกิเลสหยาบและกลาง
ส่วน“อนุสัย”คือกิเลสละเอียดที่เหลืออยู่ใน“จิต”ทั้งหลายซึ่งต้องกำจัดด้วย“ไฟฌาน”ที่เป็น“สัมมาฌาน”จึงจะเป็น “สัมมาสมาธิ”ได้ ผู้หลับตาปฏิบัติไม่เกิด “พลังกาย”ที่เป็น “ไฟฌาน” ก็กำจัด “กาม”ไม่ได้ ซึ่งผู้ที่ไม่เรียนรู้เริ่มต้นจาก“กาย”ที่จะมี“กาม”เป็นขั้นต้นก่อน ก็คือ ผู้“มิจฉาทิฏฐิ” เพราะปฏิบัติผิด ตั้งแต่ขั้นต้นก็ยังไม่เริ่มเลย!
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 458 หน้า 335
เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 08:36:28 )
รายละเอียด
เพราะมันไม่สามารถจะได้เรียนรู้แม้แต่ความเป็น“ตนเอง หรือ ตัวตน”ที่เป็น“เทฺว”ที่“ตนเอง”เป็นอยู่เองแท้ๆ หรือไม่ได้เรียนรู้ความเป็น“วิญญาณ”จริงๆ ได้ด้วย“ความรู้”ที่ถึงขั้น“ปัญญา” ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมในตน จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งเป็น“เทฺว”ที่ไปยกไว้ว่า“ยอดใหญ่ที่สุด”คือ“พระเจ้า” และห้ามแตะต้องเป็นเด็ดขาด ก็เลยยิ่งไม่สามารถจะเรียนรู้ ไม่สามารถจะแยกแยะเข้าไปหยั่งรู้“ความจริงของเทฺว”กันได้เลย จึงจมอยู่กับ“ความไม่รู้ตัวเอง”นี้แหละ ซึ่งก็คือ “ความไม่รู้‘เทฺว’ในตนเอง”แท้ๆ
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 441-442 ข้อที่ 608
เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 14:05:22 )
รายละเอียด
หาก“บุญ”ทำหน้าที่กำจัดกิเลส“นั้นๆหมดสิ้น จบสิ้น“กิเลส”ไม่มี“กิเลสาสวะ”เกิดอีกแล้วในจิตผู้นี้ “บุญ”ก็สิ้นไป(ปุญญปริกฺขีโณ) “บุญ”ของตนก็ไม่มีในที่ไหนอีก นั่นคือ ผู้หมดสิ้น“บุญ”เด็ดขาด คนผู้นี้ก็ไม่มี“บุญ”อีกเลยนิรันดร เป็น“อเสขบุคคล”จบกิจ แม้“บุญ”กับ“อายตนะ”ก็ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตรงนี้
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 74 หน้า 87
เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 05:06:52 )
รายละเอียด
เนื่องจากคนผู้นี้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ แค่ขั้น“สีลัพพตุปาทาน”ก็ยังไม่“พ้น”ไปได้เลย นั่นคือ ยังยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ใน“ศีล”ตามที่ตนก็มีความรู้ใน“ศีล”ยังไม่สัมมาทิฏฐิถูกต้องดีแน่แท้ ยังไม่มีความเข้าใจเพียงพอว่า“ศีล”สำคัญยิ่งใหญ่จำเป็นมากที่จะต้อง“มีในคนผู้เจริญหรือในคนผู้ประเสริฐ” ยังไม่มีความเชื่อว่า ต้องมี“ศีล”เป็นหลักนำพาไปสู่“วิมุติหรือนิพพาน” และผู้ไม่พ้น“สีลัพพตุปาทาน”นั้น ยัง“ยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ในการประพฤติปฏิบัติ“ศีล”ได้แค่ตามค่านิยมของยุคนั้นๆ ตามที่ครูบาอาจารย์สมัยนั้นได้สอนอย่างผิดๆ เพี้ยนๆ ไปแล้วนั้นแหละกันไป ไม่พาบรรลุวิมุติหรือนิพพานได้เด็ดขาดโดยแยกการปฏิบัติ“ศีล”ไปคนละโอกาส คนละขณะจากการปฏิบัติให้เกิด“อธิจิต”หรือ“ฌาน”หรือ“สมาธิ”เห็นชัดมั้ยว่า ชาวพุทธหรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ก็สอนกันให้เข้าใจว่า การปฏิบัติ“ศีล”กับ“ฌาน”หรือกับ“สมาธิ”นั้น มันเป็นคนละเรื่อง คนละอย่าง ต้องแยกจากกันไปคนละต่างหากกันเลยคนปฏิบัติธรรมของพุทธจึงต้อง“พ้นสีลัพพตุปาทาน”ให้ได้ก่อน
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 418-419 ข้อที่ 567
เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 14:19:37 )
รายละเอียด
“การหมดสิ้นบุญ”ได้จริงๆ ปานฉะนี้จึงจะเป็น“นิพพาน” ที่มี“คุณวิเศษ”อันสัมบูรณ์แบบชนิด“สูญ”สนิท ชนิดที่“นิรันดร”ทีเดียวด้วย“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”ถ้ายัง“มีความมี”ของ“การกำจัดกิเลส”หรือ“กิจชำระกิเลส”ชนิดที่ไม่มี“จบสิ้นอย่างเด็ดขาดสัมบูรณ์”กันสักที “แล้วไม่รู้แล้ว-จบไม่รู้จบ”กันอยู่นั่นแหละ มันก็ไม่ชื่อว่า“นิพพาน”อันเป็น“คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)”แท้ มันก็ไม่เป็นอัน “หมดสิ้นกิเลสาสวะ”เด็ดขาดไม่สุดสิ้น“การวนเวียน”อันคือ “โลก” หรือ“ดับโลก”เด็ดขาดจริง
นั่นคือ “คน”ผู้บรรลุอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะเป็น“ผู้หมดบุญ”สิ้นสุด“บุญ”ทุกนัย เรียกว่า“ปุญญปาปปริกฺขีโณ(ผู้หมดสิ้นบุญสิ้นบาป)”คำว่า“บุญ”นี้จะต้องศึกษาให้“สัมมาทิฏฐิ”จริงๆ จึงจะปฏิบัติธรรมให้สำเร็จได้จริง“กรรม”ที่เป็น“บุญ” หรือ“กรรม”ที่เป็น“กุศล”จึงแตกต่างกันอย่างสำคัญยิ่งยอด เพราะเป็น“โลกุตระ” เป็น“ปรมัตถธรรม” การทำ“กรรม”ให้เป็น“บุญ”ไม่ได้ ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุนิพพานได้สำเร็จเป็นเด็ดขาด
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 227 หน้า 187
เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 13:29:32 )
รายละเอียด
“หลับตา”นั้นเป็นประโยชน์ของตนเองอยู่เดี่ยวๆเดียวๆจริงๆแท้ๆเท่านั้น และเท่านั้น เว้นแต่“ผู้อวิชชา”ก็จะได้“โทษ”ใส่ตนเอง เพราะ“อวิชชา”จะยิ่งซ้ำ ยิ่งซับซ้อน ทับถมความ“อวิชชา”ใส่ตนเองคนเดียว ฟุ้งไป เพ้อไป หลงไป ยึดไป ติดไป ละเมอไป ไม่จบลงได้เลย จึงได้ชื่อว่า “พญาครุฑ” ซึ่งเป็นคู่หูของ“พญานาค”“พญาครุฑ”คือ คนผู้หลงติดยึดใน“ความรู้” มัวเมาใน“ความรู้”มากมายหลายหลาก ขบคิด ฟุ้งฝันไม่รู้จักหยุดจากพอสักที ไมมีที่จบ ผู้หนักมากก็คือ ผู้ยังไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย”ของตน ยัง“ไม่พ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์”นั่นเอง แต่หลงตนว่า ตนเป็นปราชญ์ นี่คือ มิจฉาทิฏฐิแบบ“พญาครุฑ” ที่นับถือกันอยู่ในสังคม
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 426 ข้อที่ 580
เวลาบันทึก 05 มิถุนายน 2565 ( 15:19:09 )
รายละเอียด
สำหรับผู้ได้ศึกษา“อนุปุพพิกถา 5”ของพระพุทธเจ้า ที่สามารถเข้าใจในความเป็น“ทาน-ศีล-สัคคะ-กามาทีนวะ-เนกขัมมะ”ก็จะเรียนรู้ปฏิบัติตนเพื่อ“ออกจากกิเลสกามคุณ(เนกขัมมะ)”ไปตามลำดับกระบวนการ“อนุปุพพิกถา 5”ได้แก่ ทาน-ศีล-สัคคะ-กามาทีนวะ-เนกขัมมะ” ผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”ใน“อนุปุพพิกถา 5”ก็จะเริ่มปฏิบัติเกิดสัมมาปฏิบัติ ปฏิบัติ“ทาน”ก็จะออกจากกาม ปฏิบัติ“ศีล”ก็จะออกจากกาม ที่ตนหลงเสพเป็น“สวรรค์(สัคคะ)
กระทั่งเกิด“สัมมาปฏิเวธ”ได้สำเร็จจริงเป็นลำดับๆ จนหมดจบบริบูรณ์สัมบูรณ์ผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ในเรื่อง“ทาน-ศีล-สัคคะ(สวรรค์ = สุข)”ก็จะยังประพฤติตนเป็น“โลกียะ”อยู่ จนกว่าจะมี“ภูมิโลกุตระ” จึงจะเริ่มปฏิบัติเพื่อ“ออกจากกาม(เนกขัมมะ)” ออกจาก“โลก” และออกจาก“อัตตา”ก็จะสามารถ“หลุดพ้นสวรรค์-หลุดพ้นนรก”ที่เป็น“เทฺว”นั่นคือ “ภาวะ 2”ไปได้บริบูรณ์ โดยดับ“เหตุ”ที่หลงติด“สวรรค์”นั้นๆได้จริง
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 461 หน้า 338
เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 09:24:02 )
รายละเอียด
“อภิภู”นี้ยังมิใช่“สยัมภู”ดอกนะ! ยังเป็นแค่ขั้น“อภิภู” แม้น “อภิภู”จะหมายถึง “พระผู้เป็นเอง, พระผู้เป็นยิ่ง”ได้แล้วจริงนั่นคือ “ผู้เป็นเอง”ได้แล้ว แต่ก็ยังแค่ขั้น“สยัง อภิญญา” ยังไม่ถึง“สยัมภู”
“สยัมภู”นั้นหมายถึง “พระผู้เป็นเอง”ที่เป็นขั้น“พระพุทธเจ้า” ส่วน“อภิภู”คือ ผู้เป็น“เอง” ซึ่งหมายถึง บุคคลที่มีคุณวิเศษโลกุตรธรรมในตนคนละขนาด คนละขั้น ยังไม่ถึง“สยัมภู” นัยสำคัญคือ ต่างก็เป็น“ผู้เป็นเอง”ได้แล้วเท่านั้น ซึ่งก็คือ เป็น“เจ้าเอง” หรือเป็น“พระเจ้าเอง”แท้ๆ แต่มีนัยสำคัญที่แตกต่างกันสำคัญอยู่ “เอง”คำนี้ยืนยันชี้บ่งว่า ไม่เป็น“ของใครอื่น” มันเป็นของ “ตนเอง”หรือไม่ใช่ “ของใครอื่น”แต่คือ“ของตนเอง”
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 501 หน้า 371
เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:41:12 )
รายละเอียด
นั่นคือ คนต้องมีคุณธรรมระดับความเป็น“อรหันต์”เฉพาะตนของตนได้แล้วจริงนั่นแหละ จึงจะเป็นผู้มี“ภูมิธรรม”อันถ้วนรอบไปช่วยคนอื่นให้บรรลุ“อรหันต์”ตามบ้างได้ดีจริง
ซึ่งแต่ละคนก็ต่างมีองค์ประกอบ“สังขารของชีวิต”ที่แตกต่างกันไปของใครของมันอันต้องช่วยสอนช่วยแนะให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“สังขาร”ตามปัจจยาการของ“ปฏิจจสมุปบาท”ถึงขั้น“ดับภพ”จบ“ชาติ”สำเร็จได้ถูกต้องดีงามด้วยอย่างสัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ-สัมมาปฏิเวธ แม้จะปฏิบัติตนจนกระทั่งดับภพชาติในความเป็น“สังขารของตน”ได้สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ยังมีความเป็น“สังขาร”ของคนอื่นๆอีกที่จะช่วยรื้อขนสัตวโลกทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความเป็น“สังขาร”ด้วยอีก ซึ่งเป็น“หน้าที่”ของ“โพธิสัตว์”แท้ๆจริงๆ
“โพธิสัตว์”จึงหมายถึงผู้ที่มี“โพธิ”อันเป็น“ความตรัสรู้”ของตนแล้วของตนก่อน จึงจะไปช่วยผู้อื่นได้จริงแท้ไปตามลำดับ ผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมของตนได้แล้ว ยังจะถือดีไปทำหน้าที่รื้อขนสัตว์อื่นนั้น มันยิ่งกว่า“เตี้ยอุ้มค่อม”เชียวนะ!
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 414 หน้า 300
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 21:36:47 )
รายละเอียด
“อรูปฌาน”ของ“โลกุตระ”นั้นเป็นการรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ภาวะรูป”กับ“ภาวะอรูป”กันอย่าง“ตื่นๆ(ชาคริยะ)”มี“ทวาร 5”ภายนอกรับรู้อยู่“เต็มสติ-เต็มปัญญา”ครบถ้วน แจ่มแจ้งกระจ่างสว่างใสทั้งภายนอกทั้งภายใน บริบูรณ์ถ้วนรอบกันเลย
ส่วน“อรูปฌาน”ของ“โลกียะ”นั้นไม่ได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ภาวะรูป”กับ“ภาวะอรูป”กันอย่าง“ตื่นๆ(ชาคริยะ)”ที่มี“ทวาร 5”ภายนอกรับรู้อยู่“เต็มสติ-เต็มปัญญา”ครบถ้วน แจ่มแจ้งกระจ่างสว่างใสทั้งภายนอกทั้งภายใน บริบูรณ์ถ้วนรอบกันดังที่ชาว “โลกุตระ” รู้เลย
การหลงหลับหลบเข้าไปยึดเอา“อรูปฌาน”ภายในจึงคือ หลงผิดเข้าไปยึดเอา“อัตตา”ภายในจิตตนเองซ้ำเข้าไปอีก จึงยิ่งเป็น“มิจฉาทิฏฐิ”หนักหน้าเข้าไปใหญ่ ที่เป็น“ความไม่รู้”ว่า นั่นคือ“ตนเองมืดดำมุดเข้าไปในอัตตาตนเอง”หนักหน้าสาหัสยิ่งขึ้น!
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 299 หน้า 229
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:37:33 )
รายละเอียด
“เทฺวนิยม”เชื่อว่า “พระเจ้า”ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่กว่า“กรรม” ก็เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“กรรม”ใน“วิบาก” ใน“กรรมเป็นของของตน” เนื่องจากไม่ได้ศึกษาเรื่อง“กรรมวิบาก”ที่เป็น “อจินไตย”จริงๆ เพราะไม่เชื่อถือ“ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”เนื่องจาก“เทฺวนิยม”ยัง“อวิชชา”อยู่แม้แต่“ในตนเอง” ไม่มีความรู้ในความเป็น“ตนเอง” หรือไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“อัตตาหรืออาตมัน”นี้แหละ“ตนเอง”แท้ๆ “พระธรรม”ที่เป็นของตนเองแท้ๆ และ“ความตรัสรู้ของตนเอง”แท้ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็น“ของตนเอง”เลย!
ซึ่งจริงๆ แล้ว “คำสอน”หรือ“พระธรรม”ที่“พระศาสดา”แต่ละพระองค์นำมาประกาศนั้นไม่ใช่ของ“พระเจ้า”ที่ไหนหรอก “พระธรรม”ของแต่ละพระศาสดานำมาประกาศนั้นๆ ล้วนเป็น“คำสอน”ของ“ตนเอง(อัตตา)” คือของผู้เป็น“ศาสดา”เองนั่นแหละแต่พระศาสดาเอง“ไม่รู้ความจริง”นี้ จริงๆ
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 229 หน้า 189
เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 13:37:11 )
รายละเอียด
ผู้ทำลาย“อัตตา”ได้ด้วยตัวเอง จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“อนัตตา”นี้มีภาวะในตนเอง ไม่ใช่แค่“อนัตตา”แบบตรรกะเท่านั้น “เทฺวนิยม”ทั้งหลายในโลก ไม่มี“อนัตตา”เลย เขามีแต่“อัตตา”นิรันดร หรือแม้ชาวพุทธเองก็เถอะ ใช่ว่าจะมีภาวะ“อนัตตา”กันได้ง่ายๆ เพราะแม้แค่ความเป็น“อัตตา”แท้ๆก็ยัง“หลับตา”ปฏิบัติ มันก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ด้วย“การสัมผัสจากทวาร 5 ภายนอก”กันสักที“ภาวะจริง”ที่ตนจะเรียนรู้”มันก็ไม่มีให้เรียนกันอยู่เพราะ“มิจฉาทิฏฐิ” ยังอวิชชากันอยู่เลย แล้วจะตีแตกแยกแยะ“อัตตา”กันด้วย“ภาวะ 2 (เทฺว)”ไปทีละคู่ ซึ่งมีมากมายพิสดารกันได้อย่างไรเล่า?
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 440 ข้อที่ 606
เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2565 ( 14:32:07 )
รายละเอียด
“อาสวะ”คือ จิตที่ยังมี“เชื้อ”ของ“ตัวตนขั้น“สวะ” อยู่ “เชื้อ”ที่เรียกว่า “อุปาทิ”
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ
เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2566 ( 19:49:27 )
รายละเอียด
“ปัญญาวิมุตติ”จึงเป็นผู้ที่มี“การสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” แน่นอนจึงเป็นผู้ที่“อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา” สูงกว่าผู้“กายสักขี(บุคคลลำดับ 5)”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสโต้งๆ แม้แต่ผู้‘กายสักขี”ที่มี“อาสวะบางอย่างสิ้นไป”เห็นมั้ยว่า ก็ยังต้องมี“กาย”เป็น“สักขี(เป็นพยานหลักฐานืนยัน)”แล้ว เป็นบุคคลขั้นที่ 5 รองจาก“ปัญญาวิมุตติ”ซึ่งเป็นบุคคลลำดับที่ 4 รองจากผู้“อุภโตภาควิมุตติ(ลำดับ 3)” จาก“ปัจจเจกสัมพุทโธ(ลำดับ 2)” จาก“สัมมาสัมพุทโธ(ลำดับ 1)”
ดังนั้น ผู้“ปัญญาวิมุตติ”ก็จะต้อง“สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”ด้วยแน่ เพราะท่านผู้นี้ย่อมปฏิบัติเป็นสัมมาทิฏฐิ คือ ต้องปฏิบัติในขณะมี“วิญญาณฐีติ 7”ที่ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“กาย” และต้องมี“สัญญา”ที่ไม่ผิด ไม่วิปลาสแน่ จึงจะเป็นผู้“อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา”ได้ปานนั้นถ้าแม้น“ปัญญาวิมุตติ”เป็นผู้“มิได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” ก็เป็นผู้ทำให้“อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา”ไม่ได้!
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 441 หน้า 320
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:35:19 )
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:56:05 )
รายละเอียด
เหตุุก็เพราะเติม“อวิชชา”ยิ่งเรียนยิ่งโง่มี“อุปาทาน”จัดหนักหน้าเพิ่มแน่นเข้าไปอีก ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“กาย”เป็น“จิต”เป็น“พืช”หรือเป็น“อุตุ” ยังหลงผิดยึดพลังงานที่เป็น“พีชนิยาม”ว่าเป็น“กาย”ของตนอยู่ เพราะยังไม่มีสัมมาทิฏฐิพอที่จะรู้ว่า พลังงานของความเป็น“คน”ที่มี“กาย”และ“จิต”นั้น แค่ไหน? อย่างไร? จะต้องแยกจากกันตอน“ตายสิ้นลมหายใจไปแล้ว” ซึ่งสัตวโลกแม้เดรัจฉานมันก็รู้เป็นสามัญ และสัตว์เดรัจฉานหรือปุถุชนสามัญธรรมดาปกติทั่วไปที่ไม่มี“อุปาทาน”ซับซ้อนผิดๆวิตถาร เมื่อมัน“ตาย”ลงตามสามัญมันก็ปล่อยขันธ์-ทิ้งร่างนั้นไปทันที เป็นธรรมดาปกติสัตวโลกที่“ไม่โง่จัด”จนกระทั่งตีกลับซับซ้อนเลยเถิดเกินสามัญ กลายเป็น“ยิ่งเรียนยิ่งโง่ยิ่งโตยิ่งเซ่อ”! ทั้งๆ ที่“ตายทางร่างกาย”แล้ว ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่าตนตายจากความเป็น“สัตว์”ที่มี“ร่างเก่า”นั้นแล้ว ทิ้งร่างนั้นได้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมทิ้งร่างนั้น ยังหลงยึดว่า“เป็นของตน” เพราะยึดติด“ร่าง”ของตนอยู่ว่าเป็น“กาย”ของตนอยู่ ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ จึงเป็นผู้มี“ความติดยึดยิ่งกว่าปุถุชนสามัญ”หนักจัด ก็ไม่ทิ้ง“ร่างเก่า”นี้ไป!
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 451 หน้า 329
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:09:31 )
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:56:52 )
รายละเอียด
ซึ่ง“อเทฺวนิยม”หรือชาวพุทธมีทฤษฎีเรียนรู้ด้วยการ“สัมผัสความจริงอันปรากฏจริง”ของ“ภาวะ 2”คือ ความเป็น“เทฺว”ที่เปิดเผยหมดเกลี้ยงแม้“โลก”แม้“อัตตา”นั้นจะเป็น“เทฺว”ยิ่งเล็กยิ่งใหญ่ขนาด“พระเจ้า”ที่สูงส่งเลิศยอดแค่ไหนก็“สัมผัส”ได้หมดสิ้น เปิดเผยโจ่งแจ้ง สะอาดสว่าง“โลก” แจ่มกระจ่างทะลุในนอก“อัตตา”ศาสนาพุทธจึง“ไม่มีความลึกลับ (อรหัง)”ใดๆ เลยส่วน“เทฺวนิยม”หรือลัทธิยังนับถือ“พระเจ้า”นั้นหมดสิทธิ์ที่จะได้เรียนรู้“ความจริงตามความเป็นจริง”อัน“สัมผัส”กันโต้งๆ ชัดๆ
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 472-473 ข้อที่ 659
เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2565 ( 14:55:08 )
รายละเอียด
ผู้เรียนรู้ตามทฤษฎีหรือตาม“ทิฏฐิ”ของพระพุทธเจ้าก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ทั้งหลายทั้งปวงได้ไปตามลำดับ ทั้ง“เทวดา”นั้นอย่างไร ทั้ง“มาร”นั้นเป็นไฉน ทั้งพรหม-ทั้งมนุษย์ตามที่เป็น“สัจธรรม”แท้จริงนั้น ถ้าเป็น“ปุคคลาธิษฐาน”จะเป็นแบบไหน หรือถ้าเป็น“ธรรมาธิษฐาน”จะมีลักษณะใดเพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“วิญญาณ”หรือภาวะ“เทฺว”ได้ชัดแท้สัมผัสจริงด้วย“รูป”และ“นาม” ทั้งหยาบ-กลาง-ละเอียด ทั้งสูง-ทั้งต่ำ เฉพาะอย่างยิ่ง“ทั้งสุข-ทั้งทุกข์” ชนิดที่เป็น“อนัตตา”กันทีเดียว จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”ที่เป็น“เทฺว”น้อยใหญ่ได้หมดสิ้นทุกขนาดถึงขั้น“ปรมาตมัน” แม้แต่“พระเจ้า”นั้นแหละก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ตัวเอง” เพราะได้เรียนรู้การแยก“เทฺว”หรือแยกความเป็น“2”ของตัวเองไปทีละคู่ๆ กระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงที่สุดความเป็น“0”หรือ“นิพพาน”ในความเป็น“จิตของตนเอง” ด้วยทฤษฎียิ่งใหญ่คือ “วิชชาจรณสัมปันโน”
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้าที่ 443-444 ข้อที่ 611
เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 14:19:29 )
รายละเอียด
ก็แจ่มแจ้งที่สุดกันแล้วว่า “เทฺวนิยม”ไม่สามารถแยกธาตุ “จิตนิยาม”ให้สลายกลายไปเป็น“อุตุนิยาม” ไม่เหลือสภาพของ “ชีวะแห่งอัตตา”กันอีกได้เลย ไม่ว่า“อัตตา”หรือ“อาตมัน”หรือ “ปรมาตมัน”ของชีวะที่เป็น“พีชนิยาม”หรือ“จิตนิยาม”
“เทวฺนิยม”แยกสลาย“จิตธาตุ”ให้กลายไปเป็น“อุตุธาตุ”ไม่เป็น ดับสิ้น“เวทนา”ให้บริบูรณ์สัมบูรณ์ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย“ธาตุรู้”ที่ชื่อว่า“ปัญญา”หรือ“วิชชา 8”ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ไม่มีความรู้นี้! ซึ่งแตกต่างจากพุทธที่มีทั้งความรู้และทั้งพิสูจน์ได้ครบทั้ง “ความไม่มีเวทนาเป็นสุข-เป็นทุกข์(อทุกขมสุขหรืออุเบกขา)” อันก็คือ“ดับเทฺว”ซึ่ง“ดับภาวะ 2” ตั้งแต่ยังครองความเป็น“คน”อยู่ ก็ทำ“จิต
นิยาม”ให้เป็น“พีชนิยาม” นั่นก็คือ ไม่มี“เวทนาที่เป็นสุข-เป็นทุกข์”ได้จริงแท้แน่แล้ว นี้ 1 นี่คือ ยืนยัน“การดับเทฺว”ได้ขณะยังมีชีวิตในคนเป็นๆแท้ๆ
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 317 หน้า 240
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:59:00 )
รายละเอียด
“ความไม่รู้สึกเลย”นั้นมันก็คือ “นิโรธอย่างมิจฉาทิฏฐิ”ก็ได้ คือ ความรู้สึกใดๆ มันดับไปหมดเลยถ้าแม้น“ความรู้สึกใดๆมันดับไปหมดเลย” อย่างนี้มันก็คือ “การดับแบบโลกีย์” แบบ“เทฺวนิยม”ธรรมดาๆ เพราะมัน“ไม่มีความรับรู้ใดๆ ในจิต”ขณะนั้น จะเพราะ“เหตุ”จากการปฏิบัติตามทฤษฎีเดียรถีย์ทั้งหลายก็ตาม หรือมัน“พักการรับรู้ไปโดยอัตโนมัติ”ตามธรรมชาติก็ตาม มันก็คือ “จิตดับอยู่-ไม่ทำงานรับรู้”เท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่“ผล”แห่งการปฏิบัติที่“สัมมาทิฏฐิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
เพราะถ้าตาม“สัมมาทิฏฐิ”แล้ว มัน“ดับเฉพาะสุขกับทุกข์ที่เป็น“เวทนา”เท่านั้นให้“ไม่มี” โดยเราไม่มี“วิปลาส 4”แล้ว แต่“ความรู้ยิ่ง(ปัญญา)”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เวทนา”ของเราขณะนั้น และความกำหนดรู้(สัญญา)“อาการที่ไม่มีความรู้สึก(เวทนา)สุข-ทุกข์”นั้นๆ ก็ยัง“มี”อยู่
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 444 หน้า 323
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:43:42 )
เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:25:41 )
รายละเอียด
“เวทนา”เป็นกรรมฐานสำคัญ ต้องแยกอาการโลกียะโลกุตระให้ออก!ซึ่งแท้จริง พระวจนะของพระพุทธเจ้าทรงยืนยันไว้ชัดเจนยิ่งว่า “เวทนา”เป็น“กรรมฐาน” ไม่ใช่“กสิณ”ที่มีกันตั้ง 40 นั้นเลย
ดังนั้น ในปฏิจจสมุปบาทก็ดี ในโพธิปักขิยธรรมก็ดี ยิ่งใน“เวทนา 108”ยิ่งชัดแจ้งยิ่งว่า “ฐานปฏิบัติคือเวทนา”(กัมมัฏฐาน) โดยเฉพาะ“มโนปวิจาร 18” และ“มโนปวิจาร 36”นี้ยิ่งชัดว่า “อาการแท้ของเวทนา”ตรงนี้แหละที่“แยกเวทนา”ได้ชัดแจ้งชัดเจนว่า “อาการอย่างไร”ที่เป็น“โลกียะ”..? อย่างไรที่เป็น“โลกุตระ”..?ตรง“มโนปวิจาร 18” ที่แยก“เคหสิตเวทนา 18”กับ“เนกขัมมสิตเวทนา 18”นี้เอง ที่บ่งชี้ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “เวทนา”จะมี“อาการ”ยืนยัน“เคหสิตเวทนา”นั้นเป็น“โลกียะ”
ส่วน“อาการ”ของ“เนกขัมมสิตเวทนา”เป็น“โลกุตระ”ผู้ปฏิบัติได้จริงก็จะยืนยันของตนเองได้อย่างเป็น“ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” “ฐาน”ที่ปฏิบัติจึงได้แก่ “เวทนา”ชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งจะต้องศึกษาให้ครบ“เวทนา 108”จึงจะจบสุดสัมบูรณ์ ด้วยประการฉะนี้
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 67 หน้า 82
เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 20:37:08 )
รายละเอียด
ในสังคมขณะนั้นหรือในกาละช่วงปัจจุบันนั้นๆ“มันคืออย่างไร?” เอาอะไร? มาเป็นเครื่องวัดหรือเครื่องชี้บ่งยืนยัน ว่า “เศรษฐกิจดี” หรือ“เศรษฐกิจไม่ดี”
1)ถ้าผู้ใดจะเอา“ตัวเลขของการเงิน” ที่ได้ที่มี นับเอาจากเงินคงคลังและจากกระแสสะพัด ที่มี“จำนวนสูง-จำนวนมากแห่งตัวเลขของเงิน”เท่านั้นเป็นตัวชี้บ่งยืนยันว่า “เศรษฐกิจดี” ผู้นั้นก็จะได้“ความรู้”แค่ว่า สังคมนั้นเก่งในเรื่อง“ตัวเลขของการเงิน”ชี้บ่งว่า “เศรษฐกิจดี”แค่นั้น และเท่านั้น ที่อยู่แค่“ตัวเลขของ GDP”นี้แหละ เป็นตัวบ่งชี้“เศรษฐกิจ” ตัดสินกันว่า “เศรษฐกิจดี”หรือ“เศรษฐกิจไม่ดี” ก็คือ ยืนยันด้วยตัวเลข GDP ซึ่งมันแสนง่ายดายกันเหลือเกิน!! มันผิวเผินตื้นเขินเกินไป!!!สังคมใดที่เอาแค่“ตัวเลขของ GDP”มาเป็นเครื่องชี้บ่งตัดสิน เด็ดขาดว่า “เศรษฐกิจ” ดีหรือไม่ดี มันก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบกันแค่“ตัวเลข”
แล้วก็เอาแค่“ตัวเลขของ GDP”เท่านี้ มายืนยัน“เศรษฐกิจ”ว่า ดีหรือไม่ดี นี้คือ ความรู้-ความฉลาดของชาว“เทฺวนิยม” ก็เป็นแค่รสนิยม“โลกียะ” ที่ขึ้นอยู่กับ“ค่านิยม”ของอำนาจ“ลาภยศสรรเสริญสุข” ที่“ทุนนิยม”ใช้เป็นเครื่องชี้บ่งว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี”กันอยู่เท่านั้น แน่นอน ในโลกสามัญปุถุชนคนโลกียะทั่วไป เขาก็ถือกันว่า“จริง”อยู่ แต่ชาว“บุญนิยม”หรือคนผู้มี“ความรู้-ความฉลาด”เป็น“โลกุตระ”จะมีเครื่องชี้บ่งตัดสิน“เศรษฐกิจดี”ที่“จริง”แตกต่างไปกว่าชาว“เทฺวนิยม”โลกียะหรือ“ทุนนิยม”ทั้งหลาย อย่างมีนัยสำคัญลึกซึ้งซับซ้อนอีกมาก
2)ยังมีอะไรอื่นที่เป็น“องค์ประกอบ”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ด้วย ที่จะเป็นเครื่องชี้บ่งว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เช่น มันต้องมี“คน” มี“การกระทำ” มี“ความรู้สึก” มี“กาละ” มี“เทศะ” มี“ฐานะ”เป็นต้น ที่แต่ละอย่างก็เปลี่ยนแปรไปเสมอ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ทั้ง“กาละ”ทั้ง“เทศะ”ทั้ง“ฐานะ” โดยเฉพาะมี“ความรู้สึก” หากไม่เอามาคิดมาร่วมคำนวณด้วย มันก็ไม่ครบ“ความจริง”แน่ มันผิวเผินตื้นเขินเกินไป มันบ่งชี้ยืนยันตัดสิน“ความจริง”ที่เรียกว่า “เศรษฐกิจดี”กันยังไม่ได้หรอก“กาละ”คือ เวลา ซึ่งเคลื่อนที่เสมอ, กำหนดเอาวาระเป็นครั้งเป็นรอบ และ“ไม่คงที่” มีอยู่นิรันดร ตราบที่มีอวกาศมีเอกภพมีมหาจักรวาล“เทศะ”คือ องค์ประกอบสิ่งต่างๆ,แต่ละอย่างต่างกัน ย่อมแย้งกัน หรือขัดกัน ไม่ใช่ความเป็นหนึ่งเดียว ต้องกระทบกันทำให้ไม่หยุดอยู่
“ฐานะ”คือ ที่ตั้งของรูปกับนาม, ตำแหน่งของขั้นชั้นที่เป็นอยู่ ซึ่งล้วน“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ดับไป”ในสรรพสิ่งอยู่ตลอดกาล ดังนั้น จึงไม่มีอะไร“เที่ยงแท้-คงที่-เป็นหนึ่ง”อยู่เป็นอันขาด เพราะแค่“กาละ”คือ เวลา มันก็ไม่เคย“คงที่” ไม่มีใครจะบังอาจให้“กาล” หรือให้“เวลา”มันนิ่ง เที่ยงแท้ แม้แต่“พระเจ้า”
มันจึงต้องขึ้นกับ“กาละ”ด้วยแน่นอน แม้“เทศะ” และ“ฐานะ” โดยเฉพาะ“คน” แม้“การกระทำ” และ“ความรู้สึก”นั่นแหละยิ่งสำคัญกับความเป็น“เศรษฐกิจ” ที่จะมี“ความรู้สึก”เป็นเครื่องชี้บ่งว่า “เศรษฐกิจดีหรือเศรษฐกิจไม่ดี” ซึ่งจะมี“ความรู้-ความฉลาด”ระดับ“ปัญญา”ตัดสินได้ “เศรษฐกิจดี”ในความหมายของชาวเทฺวนิยมโลกียะนั้นจึงยังไม่ “จบกิจ”เด็ดขาดได้แน่นอน เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“จิต เจตสิก รูป นิพพาน” ดังนั้น“เศรษฐกิจดี”ของเทฺวนิยม ก็ยังขึ้นอยู่กับ“สุข”อยู่ดี
3) เฉพาะอย่างยิ่ง“ฐานะ”ของ“คน”ที่ประกอบไปด้วย“กาย”กับ“จิต” และต่างก็เป็น“ภาวะของตนเองทั้งสิ้น” ต่างก็อิสระของแต่ละคน ไม่มีใครบังอาจ จะมาเป็น“เจ้า”เป็น“นาย”ใครเลยในความเป็น“อัตตภาพ” อันเป็นตนของตน แต่คนหรือลัทธิศาสนาที่ยังไม่สามารถมี“ธาตุรู้”ที่เจริญกว่านั้น มันก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริงของ“เศรษฐกิจ”หรือของ“ตัวของตน”แน่ๆ เพราะมันยังมี“เฉโก”กับ“ปัญญา” หรือ“อวิชชา”กับ“วิชชา” หรือยังมี“กิเลส”กับ“ไม่มีกิเลส”เป็นต้น ที่เป็นภาวะ 2” อันเป็นเรื่องของ“เทฺว”ใน“จิตนิยาม” ซึ่งมันย่อม“แตกต่าง”กันอยู่นั้น “ความจริง”มันก็ไม่ลงรอยกันอยู่แท้ มันต่างกันไปมี“เทฺว” มี“ภาวะ 2” ตราบที่มี“นามกับรูป”ในความเป็น“จิตวิญญาณ”หรือมี“จิตนิยาม”กันแล้วในโลก
ผู้ไม่มี“ปัญญา” ย่อมตัดสินให้“ยุติธรรม”ไม่ได้อยู่ดี ผู้มี“ปัญญา”เท่านั้นที่จะตัดสินให้“ยุติ”หรือ“จบกิจ”สำเร็จ
4) “เศรษฐกิจ”มันอยู่เหนือ“กาละ”ไม่ได้หรอก หรืออยู่เหนือ“เทศะ”ก็ไม่ได้แน่ หรืออยู่เหนือ“ฐานะ”ของคนที่มีไม่เท่ากันยิ่งไม่ได้เด็ดขาด มันย่อม“ไม่เที่ยงแท้-ไม่คงที่”อยู่ตลอดกาลแน่นอนดังนั้น จะ“ยุติ”กันได้ถึงขั้น“จบกิจ”แท้จริง จึงไม่ใช่ไปทำ“เศรษฐกิจ”ที่เป็นองค์ประกอบของ“ภายนอกกาย-ภายนอกจิต”ของตนๆ มันต้องหันมาทำ“ยุติธรรม”กันในจิตใจของคนแต่ละคนจึงจะ“จบ” และก็สามารถทำความ“จบกิจ”ได้เฉพาะตนแต่ละคนผู้มี“ปัญญา”เมื่อมี“ปัญญา”แล้ว จึงจะได้ช่วยกันจัดการ“องค์ประกอบ”ต่างๆอื่นๆให้สังคมเกิด“เศรษฐกิจ”ที่จะเรียกว่า “เศรษฐกิจดี”ได้จริง
พุทธทำความเที่ยงและทำความไม่เที่ยงได้ จบสุดที่ 0 ทำตัวเองให้ 0 ได้ เทวนิยมีแต่ความมีนิรันดร ไม่มีความไม่มี พวกนี้โง่ยิ่งกว่าเจ้าชายอนุรุทธ เพราะเจ้าชายอนุรุทธไม่รู้จักคำว่า “ไม่มี” ชีวิตเจอแต่ความมี อันนี้เป็น อจินไตย สำคัญมาก ของเขาจะไม่รู้จักเลยคำว่า ไม่มี หรือคำว่า ศูนย์ ของเขาจะมีนิรันดร เจ้าชายอนุรุทธให้เอาขนมมาแต่วันนั้นขนมหมด ข้ารับใช้เลยบอกว่า ขนมไม่มี เจ้าชายอนุรุทธก็เลยบอกว่าเอาขนมไม่มีนั่นแหละมาให้
5) ซึ่ง“ฐานะ”ของ“จิต”คนผู้ยังเป็น“ปุถุชน”อยู่นั้น จิตย่อมเป็น“เฉโกโลกียะ”อยู่ ก็เป็นธรรมดาที่จะยัง“ตกต่ำเป็นธรรมดา(วินิปาตธรรม)” เพราะ“ปุถุชน” นั้นยังไม่“นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง”แน่นอนดังนั้น คนที่มี“จิต”แตกต่างกันอยู่แท้จริง คือ ฝ่ายหนึ่ง “ยังมั่นคงยั่งยืนไม่ได้” แต่อีกฝ่ายนั้น“มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกแล้ว” มันก็ย่อมมี“เศรษฐกิจ”ที่แตกต่างกันคนละขั้ว คนละดีแน่ๆ
“เศรษฐกิจดี”ก็ต้องมี“ฐานะ”เข้าขั้น“มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกแล้ว” จึงจะนับว่า เป็น“เศรษฐกิจดี”ได้แท้ ซึ่งภาวะที่จะ“มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปรเป็นอื่นอีกแล้ว” ก็มีแต่“จิตวิญญาณ”ของคนผู้มี“ปัญญา” และทำ“จิต เจตสิก รูป นิพพาน”สำเร็จ จึงจะเป็นผู้“จบกิจ”อย่างยั่งยืนตลอดกาลนิรันดร
6)แต่“ความแตกต่าง”ก็ยังคงมีอยู่ ไม่มีใครหรือพระเจ้าใดจะมาทำให้ “ความแตกต่าง”ที่เป็น“ภาวะ 2”ยิ่งใหญ่ในเอกภพมหาจักรวาล “ยุติ”ได้นอกจาก“ตนเอง”เท่านั้นที่จะจัดการกับ“จิตวิญญาณ”ของตนเองให้เป็น“ปัญญา”ได้จริง จึงจะสามารถจัดการ“กับ“ตนเอง”และ“ความไม่เที่ยง-ไม่คงที่”ของ“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ได้ถึงขั้น“จบกิจ”เฉพาะตนเป็น“ยุติ”จึงจะมีความ“จบกิจ”เฉพาะคนที่มี“จิต”เข้าขั้นคุณวิเศษถึงขั้นเป็น“อาริยบุคคล”ที่เป็น“ความรู้-ความฉลาด“ขั้น“ปัญญา”สามารถรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง“เศรษฐกิจ”ของโลกของสังคม และ“การกระทำจิตในจิต(มนสิการ)ของตน”ให้อยู่กับ“ความไม่เที่ยง-ไม่คงที่”ของ“กาละ-เทศะ-ฐานะ”อันเป็นองค์ประกอบที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันให่้เกิด“เศรษฐกิจ” และ“ปัญญา”ที่“ฉลาดเพียงพอของแต่ละคน อยู่ในสังคมมนุษยชาติ
7) ซึ่งไม่มีอำนาจใดแม้แต่ของ“พระเจ้า”จะมาจัดการกับ “เศรษฐกิจ” โดยเฉพาะจัดการกับ“จิตวิญญาณ”ของใครแต่ละคนได้ นอกจาก“ตัวเราเอง” ถ้า“พระเจ้า”บัญชาทุกสรรพสิ่งได้หมด สังคมมนุษย์ก็ไม่ต้องมีโรงเรียน หรือไม่ต้องมีมหาวิทยาลัยกันหรอก หรือมนุษย์ก็ไม่ต้องมีสมอง ไม่ต้องมีจิตวิญญาณ พระเจ้าก็สั่งคนนั้นคนนี้ให้จัดการตามพระประสงค์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียทุนรอน ไม่ต้องเสียแรงงานใดๆเลย มนุษย์ ทุกคนและสังคมที่อยู่ในบัญชาของพระองค์ก็เป็นอยู่อย่าง“สงบสุข”ได้ตามพระประสงค์กันแล้ว ไม่ต้องมากังวลกับ“ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก
แต่ตามจริงของ“สังคมมนุษย์”ที่เกิดที่เป็นกันได้จริงนั้น คนที่ยังมีแต่“เฉโก” ไม่มี“ปัญญา”ที่เป็น“โลกุตระ” ก็จะยัง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” ให้“ดี”พอที่จะเรียกว่า “จบกิจ“เป็นที่“ยุติ”ไม่ได้ แม้แต่“พระเจ้า”ก็บังคับหรือบัญชาให้เศรษฐกิจเป็นเข่นนั้นเป็นเข่นนี้ไม่ได้ พระเจ้าบังคับให้“เศรษฐกิจไม่ดี”ตลอดกาลก็ไม่ได้ หรือบังคับให้“เศรษฐกิจดี”ขั้น“จบกิจ” เป็นที่“ยุติ”ให้แก่คนแก่สังคมก็ไม่ได้ คนแต่ละคนต่างหากที่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิตวิญญาณของตนเอง”และสามารถอยู่กับ“เศรษฐกิจที่แม้จะแปรปรวนวิปริตวุ่นวายปานใด ก็จะอยู่ด้วยจิตใจมี“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”อย่าง“ยุติธรรม” เพราะ“จบกิจ”ได้เฉพาะตน
8) นอกจาก“พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์และสังคมไม่“สงบสุข”กันเท่านั้น ถ้า“พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์ก็ดี สังคมก็ดี “สงบอบอุ่น”กันจริงละก็ ท่านก็จัดการกับเรื่องขี้ปะติ๋วแค่“เศรษฐกิจ”นี้ ไม่ให้มันต้องเป็นภาระหนักยุ่งยากให้แก่มนุษย์ที่ต้องสรรหา“วิธี” ตาม“เจตนา” ตามที่มี“อุดมคติ” ตามที่มี“เชิงคิด”ของมนุษย์นำมาใช้“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอย่างไม่เคย “จบกิจ”กันลงได้นี้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกันแล้วๆเล่าๆให้แก่คนในโลก “เศรษฐกิจ”ไม่“จบกิจ”เป็นที่“ยุติ”ในมนุษย์ในสังคมในประเทศกันดอก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เศรษฐกิจดี หรือ เศรษฐกิจไม่ดี คืออย่างไร วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2566 ( 11:29:52 )
รายละเอียด
มาเจาะลึกวินิจฉัยกันให้ละเอียดๆ ดูทีรึ? ว่า อะไร? ตรงไหน? ที่มันหลงกำหนดหมายผิดเพี้ยนกันอยู่ มันไม่สำเร็จเสร็จจบอย่างไร?
จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบได้ใน“ความถูกต้องถ่องแท้ของความหลงผิดนั้น”กันเสียที อาตมาขอหยิบยกเอาข้อความต่อไปนี้ มาจาก“กูเกิ้ล” มาเป็นจุดเริ่มต้นสาธยาย“คำว่า GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม”
นอกจากคำว่า GDP เขาแถม GNP : Gross National Product มาให้อีกด้วยนะ! ยิ่งใช้คำว่า GNP : Gross National Product นั้นแหละ ยิ่งเน้นให้หมายเจาะลงไปที่“เฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นของตนเองในชาติตนเองแท้ๆเท่านั้น” มันก็ยิ่งชัดเจนว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะได้ว่า ไม่มี“โลกุตระ”เศรษฐศาสตร์แบบพุทธที่เป็น“โลกุตรธรรม”นั้น แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะหรือแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาว“ทุนนิยม”สากลทั่วไปที่ทั้งหลาย ทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญลึกล้ำมาก
แต่คนเห็นว่า “โลกุตรธรรม”นั้น“สุดโต่ง”เกินไป และเชื่อว่า ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อสังคม ต่อโลก หรือเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่สากล เป็นของคนส่วนน้อย “มีได้”กลุ่มเดียว กระจุกเดียว เล็กๆ ไม่สากลทั่วถ้วน “โลกุตระ”นี่กระจายขยายเฉลี่ยเนื้อหาออกไปสู่คนทั้งหลายไม่ได้ เพราะเขามองตื้นๆ แค่“รูปธรรม”เขาต่างหากที่เป็นคนที่เห็นสุดโต่งนั้น เขาไม่เข้าใจว่า ความเป็นคน มี“จิตวิญญาณ”ที่ซึมซาบลึกล้ำเป็น“อิทัปปัจจยตา” มีปัจจยาการ มีปฏิสัมพันธ์อันละเอียดลออของจิตวิญญาณเยี่ยมยอดลาดลุ่มเรียบปานฝั่งทะเล อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เขาไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย จิตวิญญาณของคนนี้ซึมซับลึกล้ำ มีอิทัปปัจจยตามีความต่อเนื่องเชื่อมต่อเพราะเหตุนั้นจึงเป็นผลนี้เป็นปัจจยาการ
ความเป็น“โลกุตรธรรม”นั้นมีความเป็น“ยอดสูงสุด”นั้นแน่นอน แต่คนผู้“ไม่มีปัญญา”จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง รู้จบในความเป็น“ยอด”นั้น เขาก็ว่า นั่นเป็น“ความสุดโต่ง”เหมือน“หมาเห็นองุ่นเปรี้ยว” ฉันใดฉันนั้น ที่จริงนั้น ไม่สุดโต่งหรอก มันเป็นไปได้ในคนกลุ่มที่มีอินทรีย์พละ ได้ศึกษาปฏิบัติบรรลุธรรม“โลกุตรธรรม”สัมมาทิฏฐิได้แท้จริงแล้ว เขา“เป็นไปได้” และหมด“ปัญหา ไม่เป็นทุกข์-ไม่เป็นสุข” เป็น“การทำใจในใจ”คือ“มนสิการ” มี“ปัญญา”ปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”จริง จึงทำได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”ในเรื่อง“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแท้ๆยืนยัน“ตัวอย่าง”ใน“คน”ที่มีความเป็น“คน”เช่นเดียวกันกับคนทั้งหลายในโลก ว่า วิชชาการสุดวิเศษ ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาการเมืองได้สำเร็จเสร็จ “จบกิจ”ยั่งยืนถาวรนิรันดรนั้น“มี”จริง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 12:46:17 )
รายละเอียด
“ความเป็นใหญ่หรือความยิ่งใหญ่”ที่มีในตน“เอง” เป็นของตน“เอง”นี้ที่เรากำลังพูดถึง ก็หมายถึง“คุณวิเศษที่เป็นโลกุตรธรรม”อันมีใน“ศาสนาพุทธ”ศาสนาเดียวเท่านั้น ที่มีคำว่า“เอง”หรือ“สยัง”“อภิภู”คือ ผู้ชนะ,ผู้มีชัย,ผู้ประสบชัยชนะ,ผู้มีอำนาจเหนือ,ผู้ยิ่งใหญ่,พระผู้เป็นเจ้าแห่งความรู้ที่มีจริงเป็นจริงในธรรม“เอง”คำนี้จึงยิ่งใหญ่ เป็นใหญ่ สำหรับมนุษย์อย่างสำคัญจริงๆ
ในโลกในเอกภพมหาจักรวาล ซึ่งหมายถึง“จิตนิยาม”เมื่อ“อภิญญา”เกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นได้“เอง” และ“อภิญญา”นี้ต้องเป็น“โลกุตรธรรม”เท่านั้น “ความเป็นเอง”นี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นของ“พระองค์เอง” จึงเป็นของศาสนาพุทธหนึ่งเดียวแท้ๆ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสั่งสมกรรมวิบากมาด้วย“พระองค์เอง” ตรัสรู้เอง แล้วนำมาสอนให้ผู้อื่น“เป็นเอง”ได้ตาม
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 502 หน้า 371
เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:45:58 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2563 ( 17:45:10 )
รายละเอียด
โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้, ธรรมอันเป็นไปในฝ่ายแห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ สติปัฏฐาน 4,สัมมัปปธาน 4,อิทธิบาท 4,อินทรีย์ 5,พละ 5,โพชฌงค์ 7,มรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 นี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 ว่า เป็น“โลกุตรธรรม”ทั้งหมด ทั้ง 37 ข้อ
โพธิ คือ ความรู้อันยอดเยี่ยม,การตรัสรู้,ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงมี, โพธิคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้ประกอบด้วยองค์ 7 เรียกว่า โพชฌังคา หรือสัมโพชฌังคา
ดังนั้น ผู้อื่น คนอื่นที่มี“โพธิ” ซึ่งแตกต่างไปจาก“ปุถุชน”ชาวโลกียะหรือแตกต่างจากสัตวโลกสามัญ จึงชื่อว่า “โพธิสัตว์”
เพราะ“จิตนิยาม”ของคนผู้นี้มีความรู้-ความฉลาดเจริญถึงขั้นที่เรียกได้ว่า “ปัญญา” อันเป็น“ความรู้-ความฉลาด”แบบใหม่เข้าขั้น“โลกุตระ”ซึ่ง“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“โลกุตระ”นี้ มันไม่ใช่“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“โลกียะ”สามัญธรรมดาในโลกของปุถุชนแล้ว มันเป็นความรู้-ความฉลาด”แบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนกับคนในโลกปุถุชนคนโลกีย์เท่าที่เคยมีมา จึงเรียกความรู้นี้ว่า“โพธิ
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 473 หน้า 351
เวลาบันทึก 24 มิถุนายน 2564 ( 09:04:26 )
รายละเอียด
“โลกียะ”ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความสุข-ความทุกข์”ว่าเป็น“มายา”คู่สำคัญ มันเป็น“เทฺว (คือ 2)”แท้ๆ เพราะ“โลกียะ”นั้นไม่มี“ปัญญา”ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว”อย่างพิสดารโดยเฉพาะเรื่องของ“เทฺว”คู่เอกที่สำคัญยิ่งคือ “สุข-ทุกข์” เพราะยัง“อวิชชา”อยู่จริงๆ จึงหลงยึดอยู่แต่ในมุมด้าน“สุข”ของ“เทฺว”เป็นใหญ่ ก็จมงมอยู่กับ“สุขนิยม”ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในมุมด้าน“ทุกข์”อันเป็น“คู่หู”ที่แยกกันไม่ได้เด็ดขาดเรื่อง“ทุกข์”จึงเป็น“อาริยสัจ (ความจริงสุดประเสริฐ)”ยิ่งใหญ่ ที่พูดกันติดปากว่า “ทุกข์อริยสัจ”นั่นไง! เพราะ“เทฺวนิยม”ไม่มีทฤษฎี“โลกุตระ” ไม่ได้เรียนรู้“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ของ“เทฺว”เลย “เทฺว”จึงเป็นมายาหลอกหลอนตนเองอยู่อย่าง“อวิชชา” จึงไม่รู้ว่า “มันเป็นจอมมายา 2 หน้า”
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 450-451 ข้อที่ 622
เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2565 ( 14:26:18 )
รายละเอียด
เพราะ“โลกุตรธรรม”เป็นธรรมะแบบ“ใหม่”อีกแบบหนึ่ง ที่ยังไม่เคยมีในโลก พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาองค์เดียวเท่านั้นในโลกที่ตรัสรู้ “โลกุตรธรรม” ซึ่ง“โลกุตรธรรม”นี้เป็น“ธรรมะ”แบบ“อื่น(อัญญะ)”แตกต่างไปจาก“โลกียธรรม”เป็นคนละโลกเลยทีเดียวใน“เทฺวนิยม”หรือใน“โลกียะ”คือ โลกที่ไม่มี“โลกุตรธรรม”
ดังนั้นคนมีความรู้หรือความเฉลียวฉลาดที่เป็น “โลกุตระ” นั้น จึงเป็นความรู้หรือความฉลาดที่เพิ่มขัึ้นจากความรู้ความฉลาดแบบ“เฉโก”ขึ้นเป็นแบบใหม่ แบบอื่น ที่ใช้ภาษาเรียกว่า“ปัญญา”
“ปัญญา”กับ“เฉโก”จึงเป็นคนละความรู้ คนละความฉลาด“เฉโก”กับ“ปัญญา”จึงเป็น“ความรู้”หรือ“ความฉลาด”ของคนที่เป็นคนละโลกกันเลย จึงไม่ควรเอาความรู้ความฉลาดที่เป็นแค่“เฉโก”ไปเรียกว่า“ปัญญา” มันผิดความเป็นจริง
ชัดเจนขึ้นนะว่า ความรู้ความฉลาดแบบ“เฉโก”นั้น ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดแบบ“ปัญญา”เด็ดขาด มัน“ความรู้”คนละโลก
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 358 หน้า 263
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:16:19 )
รายละเอียด
“โลกุตระ”หรือ“อเทฺวนิยม” จึงชื่อว่า “อันตรกัปป์” ในกาละแห่งมหาจักรวาลเอกภพ (มีในระหว่าง“กัปป์” มิใช่มีครองโลกตลอดกาล) ในโลกจึงมีช่วงที่“ว่าง”จากศาสนาที่มี“โลกุตระ”เป็น“อเทฺวนิยม”เรียกว่าเป็นช่วงของ“พุทธันดร” นั่นคือ ใน“กาละ”ที่ชื่อว่า“พุทธันดร”นั้นจะไม่มี“โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ โลกสามัญปกติจึงมีแต่“โลกียธรรม”ครองโลกอยู่นิรันดรที่ศึกษากันแต่“กุศล(ความดี)-อกุศล (ความชั่ว)”เท่านั้น ยังไม่ศึกษา“สุข-ทุกข์” จึงหลงวนจมกันอยู่แต่ในความเป็นโลกแห่ง“สุขนิยม”
หนังสืออ้างอิง
เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 450 ข้อที่ 621
เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2565 ( 14:22:14 )
รายละเอียด
“ทฤษฎี”ของชาวเทฺวนิยม หรือชาวโลกที่ยังไม่มี “ทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”ไม่มี“จุดสำเร็จ”ของ“ปัญหา”ว่า จะ “จบปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”แท้จริงได้เลย เพราะ“คำตอบ”ของคนร่ำรวยหรือของผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ที่ยังไม่มี“ปัญญา”นั้น จะไม่มีคำว่า “เพียงพอ”หรือ“พอ”เป็นอันขาด คนผู้ไม่มี“ปัญญา”รู้แจ้งรู้จริงทาง“จิตวิญญาณ”จากการเรียนรู้และปฏิบัติ จนกระทั่งเกิด“ปัญญา”แท้ใน“อาริยสัจ 4”เท่านั้น ที่จะ“ยุติ”การกอบโกย-การเอาเปรียบจากสังคม
“ความรู้-ความฉลาด"แค่“เฉโก”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ”พูดแล้ว เหมือนอาตมาไปเรียนรู้เศรษฐศาสตร์จากที่ไหนมา เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพูดมานี้มีอยู่ในประเทศไทยเป็นพุทธศาสนาแล้วต้องเป็นโลกุตระด้วย ทุกวันนี้มีได้เป็นได้ก็อยู่ในชาวอโศกเรานี่แหละ ถ้าไม่ศึกษาหรือทำให้เกิดความรู้-ความฉลาดทาง“จิตวิญญาณ”เจริญจาก“เฉโก”ขึ้นเป็น“ปัญญา”ให้แก่ประชาชนเกิดรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “เงินๆทองๆ”นั้นไม่ใช่ “พระเจ้า” แต่เป็น“ซาตาน” หรือเป็นผี เป็นมารต่างหาก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 11:24:44 )
รายละเอียด
สัมบูรณ์
หนังสืออ้างอิง
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 396
เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:31:40 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:24:24 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:28:32 )
รายละเอียด
คือการซึมซับ แต่เราอยู่อย่างเป็น บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) แต่เรามี Osmosis ธรรมให้กัน
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 11:00:12 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 17:04:39 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:28:52 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 10:56:31 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 19:56:23 )
เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 08:20:02 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:29:23 )
รายละเอียด
ทุกวันนี้นี่ถือว่าคลื่นของความเป็นประชาธิปไตยเก๊นี้ มันเป็น After Shock ปลายหางแล้ว คลื่นประชาธิปไตยเก๊ของทักษิณตอนนี้มีคลื่นอยู่เป็น After Shock ปลายหาง ฟังเข้าใจนะภาษานี้มันเป็น After Shock ปลายหางเป็นคลื่น
และอาตมาเคยพูดว่าลัทธิทักษิโนมิค ทักษิณนี้อำมหิตจริงๆ “อำมหิตที่จะฆ่าลูกสาว” ขอใช้ภาษานี้ หรืออำมหิตครอบงำคนโง่ คนที่โง่หลงตามให้เขาครอบงำก็ อำมหิตจริงๆนะ ยอดอำมหิต ตนเองแม้แต่ลูกสาว ที่จริงมันซ้อนอยู่ว่ามันไม่ใช่มันเป็นเหตุที่เขาโง่หนักมากทักษิณ แต่เขาหลงว่าเขาฉลาดจริงๆ มันเป็นมายาและเขาเป็นตัวมายาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ใช่สิริมหามายา เขาไม่รู้ตัว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 3 วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2566 ( 12:35:08 )
รายละเอียด
Algorithm คือ เป็นชุดของลำดับขั้นตอนที่แน่นอน ซึ่งใช้ในการแก้ปัญหาหรือชุดของคำสั่งสอนที่กำหนดไว้อย่างเป็นขั้นตอนเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาพัฒนาชีวิตให้เจริญ เป็นชุดทฤษฎีความรู้ที่มนุษย์คิด มนุษย์สร้างขึ้นมา เขาไปใช้ทางวิทยาศาสตร์ด้วย เขาใช้คำศัพท์ว่า Artificial intelligence ย่อว่า AI
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 17 กันยายน 2562 ( 15:44:12 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 17:05:35 )
รายละเอียด
คนชาวโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาอุปทานเป็นโลกียธรรมอยู่เยอะแยะมากมายหลากหลาย ทำให้ลดลงมา เป็นอย่างเดียว All for One One For all
จากมากมายหลากหลายก็เป็น all for one เอามาเป็นหนึ่ง เอโกธัมโม ตรงกัน ทิฏฐิสามัญญตาเป็น เอกัคตารมณ์ได้ หนึ่งเดียวอาตมาหนึ่งเดียวทำให้เกิดมวลหลากหลายขึ้นมาได้ จาก 1 เราก็แปลอันนี้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ว่า จากหนึ่งจึงเป็นเรารวมเราเขาก็เป็นหนึ่ง แปลสำนวนนี้ ใช้ภาษาอังกฤษว่าเอา ALL For One One For All หรือ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ นี่แหละ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เมืองไทยเป็นเมืองของพระพุทธเจ้า-โลกุตรธรรมจะช่วยโลกได้ วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 07 เมษายน 2564 ( 20:05:08 )
รายละเอียด
นี่เป็น Best Record ที่ไม่มีอะไรจะมา beat Record ได้เลย เป็นเบสเรคคอร์ดที่ขึ้น Top Ten ไม่ใช่แค่ท็อปเท็นแต่เป็นท๊อบวัน ไม่มีใครเทียบได้เลย พูดอย่างเป็นปรากฏการณ์โลก นักรัฐศาสตร์จะต้องศึกษา ว่าทำไมประเทศไทยทำได้ขนาดนี้ อยู่ดีๆมันเกิดเองได้ไหม ไม่ได้ นายกตู่จะปฏิวัติบอกว่าผมขอยึดอำนาจ จบแล้วปฏิวัติเสร็จแล้วบริหารประเทศมาจนป่านนี้ มันไม่มีเหตุปัจจัยจะเป็นอย่างนั้นได้ โดยลำพังใช่ไหม หรือพูดจริงๆให้ชัดๆ เขากลัวคุณประยุทธ์จนกระทั่งยอมอย่างนั้นหรือเขากลัวอำนาจการเมืองของประเทศ
เขากลัวอำนาจของประเทศหรืออำนาจของคุณประยุทธ์ เขาก็กลัวอำนาจของประเทศ คุณประยุทธ์ไม่ได้โหดเหี้ยมอะไร เป็นคนมีเมตตาด้วยซ้ำไป เขาไม่ได้กลัวคุณประยุทธ์ ถ้าจะบอกว่าอำนาจก็เป็นอำนาจใจดี อำนาจเมตตาสุภาพ ปฏิวัติด้วยความสุภาพด้วยอาวุธสุภาพที่สุด “อย่างนั้น...ผมขอยึดอำนาจ!” พวกนั้นไม่มีน้ำยาเลย เขาก็มีคณะก็มีกองกำลังทางฝ่ายโน้นเหมือนกัน เขาก็มี ใช่ไหม แต่มันเรียบร้อยมันก็จบเลย จนถึงวันนี้ ก็มีแต่ทางโน้นยังไม่ยอมแพ้ ดันทุรังอยู่ เพราะว่าโกงเงินได้เยอะ มีลิ่วล้ออยู่ตลอดเวลา ยังไม่เคยหยุดเลย นอกจากนั้นก็ยังไม่มีความคิดก็ยังโง่เป็นทาสของทักษิณเป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 21:49:40 )
รายละเอียด
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงงานมา 70 กว่าปีก็ชัดเจน จิตวิญญาณคนไทยก็มีโลกุตระก็ จึงเกิดเหตุการณ์ Bomb of love ซึ่งไอน์สไตน์ได้เขียนทิ้งไว้บอกลูกสาว แต่ก็ไม่ได้เขียนว่าจะเกิดอย่างไร แต่อาตมาก็มาย้ำว่าเกิดเหตุการณ์ Bomb of love ประชาชนคนไทยรักในหลวงไม่ได้รักที่ท่านรูปหล่อ หรือร่ำรวย แจกเงินทองก็ไม่ แต่ท่านมีคุณธรรมวิเศษที่เป็นโลกุตรธรรม ท่านเป็นนักรับใช้ประชาชน เป็นนักบริหารบ้านเมืองที่เป็นตัวอย่างของโลก สหประชาชาติก็เห็นเช่นกันจึงให้ถ้วยรางวัล สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่จะปรากฏแก่มนุษยชาติไปเรื่อยๆ
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2562 ( 07:39:23 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 17:07:12 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:30:38 )
รายละเอียด
ความรักนี้คือความรักในประชาธิปไตย ความรักในผู้รับใช้ประชาชน รัชกาลที่ 9 ของเราคือผู้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง 70 พรรษา 70 ปี ท่านทรงรับใช้ประชาชนในฐานะในหลวง คนเข้าใจหมดทั้งโลกไม่ใช่แต่คนไทย คนไทยยิ่งมีเชื้อของโลกุตระแล้ว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:56:03 )
รายละเอียด
มาถึงยุคกึ่งพุทธกาล เกือบหมดเลย อาตมาขอใช้คำว่าเกือบเท่านั้น ถ้าไม่มีเลย ไม่มีอัญญธาตุ อยู่ในอนุสัยของคนไทยกู่ไม่ขึ้นหรอก ที่พิสูจน์ว่ายังมีเชื้อโลกุตระอยู่ก็ ที่มีคนท้วงอยู่ เขาใช้คำว่า bomb of love ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราที่มีคนท้วงว่า อย่าใช้คำว่า bomb ให้ใช้คำว่า Explosion อย่าไปใช้คำว่า bomb เพราะมันเป็นการขยายความรัก ไม่ใช่ระเบิดแห่งรัก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:54:25 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:07:23 )
รายละเอียด
คำว่า Bomb of Love ก็ไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ ภาษาอังกฤษเขาใช้ Explosion เป็นแรงระเบิด แต่เป็นแรงระเบิดอย่างสร้างสรรค์ แต่คำว่า Bomb เขาว่าเป็นคำที่ใช้ลักษณะทำลาย ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของสังคมมนุษยชาติที่เกิดขึ้นได้จริง อย่างที่โพธิสัตว์ไอสไตน์บอกไว้ให้ลูกคอยดู ว่า ในโลก จะเกิดลักษณะอาการของ Bomb of love แล้วก็มาเกิดที่ประเทศไทย แสดงความรัก ระเบิดออกมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นการระเบิดที่มารวมกัน ไม่ใช่ระเบิดที่ทำให้แตกสลาย
เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่ไอสไตน์เขาว่าไว้ Bomb of love เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องแสดงถึงความรักที่ออกมา แสดงตัวออกมา ระเบิดออกมาจากจิตวิญญาณคน ออกมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่งดงาม ใครเห็นใครก็ต้องยกย่องเชิดชู ทุกคนเสียสละออกแรงงาน ออกทุนรอนมาอย่างเต็มใจ มันเกิดพฤติการณ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ซึ่งอธิบายความยิ่งใหญ่นี้ยากอยู่ แต่มันก็เกิดแล้ว มันเกิดจริง สุดยอดเลย ยอดเยี่ยม แล้วเกิดที่เมืองไทย ที่คนไทย เกิดขึ้นมาได้ ยิ่งใหญ่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:58:42 )
รายละเอียด
อาตมามีวิบากดี ที่อาตมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้เลย นอกจากภาษาไทย หรือภาษาอีสานหรือภาษาลาว พอจะรู้เรื่องได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่อาตมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้นั้นดี หากว่าพูดภาษาต่างประเทศได้คนต่างประเทศ เข้าใจก็จะเข้ามาขออภัย แต่พวกเขาบารมียังไม่ถึงคนไทย คนไทยมีบารมีพอที่จะรับได้มากกว่า อาตมาจึงต้องเป็นเช่นนี้ Born To Be ต้องเกิดเป็นคนแบบนี้ ตั้งแต่เรียนหนังสือมัธยม อาจารย์ที่สอน ภาษาอังกฤษท่านสอนกับลูกๆของท่านที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิง ลูกเป็นผู้ชายชื่อหม่อมราชวงศ์สารีบุตร เรียน ม. 6 มาด้วยกันท่านก็สอนให้ลูกหลานท่าน อาตมาก็เป็นคนหนึ่งกับอีกหลายคน ที่ท่านสอน ท่านจบวิศวะ แต่สอนภาษาอังกฤษ สอนจนกระทั่งสิ้นชีวิต ท่านเคยชมอาตมาว่า นี่จะเก่ง แต่ว่าโดยวิบากไม่เก่ง เพราะชาวต่างประเทศจะมาแย่งพวกคุณเอาเวลาแรงงานไป แต่เขาบารมียังไม่ถึงพวกคุณ มันยังไม่เป็นฐานที่แท้จริงที่จะเจริญมันจะต้องมาเป็นอันนี้
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562
เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:48:35 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 17:08:12 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:34:55 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นการเมืองก็จึงเป็นการเมืองของพุทธ โลกุตตระจะเสื่อมลงก็ตาม ก็ยังมีเชื้อของโลกุตระ แล้วยิ่งในยุคนี้ มีพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นโพธิสัตว์ รัชกาลที่ 9 เข้ามาสถาปนา แล้วอาตมาก็ร่วมมาด้วยสถาปนา ในหลวง ร. 9 ทรงงานทางรูปธรรม อาตมาก็ทำทางนามธรรม เกิดอยู่ในสังคม อาตมาพูดนี้พูดอย่างไม่ได้ละอาย ไม่ได้เกรงใจ ไม่ได้กลัวใครจะว่าผิด ขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่จริง เกิดจริงเป็นจริง ก็ต้องมีอย่างนี้อยู่ในประเทศไทย เป็น Born To Be ไม่ได้พูดเล่น ต้องเกิดต้องเป็นอย่างนี้
มันจึงมีของจริงที่เป็นโลกุตระที่เกิดขึ้น คนก็ได้อานิสงส์ ได้รับความรู้อันนี้โดยปริยาย ตั้งใจเอาก็ยิ่งได้มาก ยังไม่ตั้งใจเอาก็ไม่เป็นไร มันก็จะต้องมีการออสโมซิสอยู่ในนี้ จนมีพฤติการณ์พฤติกรรมของการเป็นการเมือง เป็นเศรษฐกิจหรือเป็นเรื่องของสังคมก็ตาม เกิดจริงเป็นจริงอยู่ในมนุษยชาติคนไทยที่เรียกว่าแบบพุทธ แบบโลกุตระด้วย มันเสื่อมไป 2,500 กว่าปี พอยุค 2,500 กว่าปีมีในหลวงกับอาตมาเกิดมาก็สถาปนากันขึ้นใหม่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 10:47:37 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:13:39 )
รายละเอียด
ผู้แพร่พันธ์ุ
หนังสืออ้างอิง
รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 136
เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 13:15:57 )
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:05:10 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:35:09 )
รายละเอียด
ตั้งแต่พระโสดาบันก็มี Coefficient ไม่เหมือนโลกียะ จะเป็นอัตราการก้าวหน้าที่เป็นลักษณะคูณไปหายกกำลัง และไม่มีการขาดตอน จึงจะถือว่าบริบูรณ์ ถ้ายังขาดตอนอยู่ ให้เร็วนะ ให้เหมือนเด็กน้อยมือถูกไฟ ต้องชักกลับให้เร็วนะ เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาไม่บอก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สร้างสัมประสิทธิ์คนจนอาริยะด้วยไตรสิกขา
เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:35:09 )
รายละเอียด
ก็ปรากฏว่าเกิน 72 ปีมาได้ ผลการก้าวหน้าในการกอบกู้โลกุตรธรรมก็ก้าวหน้ามาได้จริง จนกระทั่งเป็นโล้เป็นพายเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นอะไรต่ออะไรไป ตอนที่อาตมาอายุ 72 ปี พ.ศ. 2549 อาตมาก็เห็นว่าไม่ไหว คงไปไม่รอด ลาภ ยศ สรรเสริญ การเมืองก็ดี ทางธรรมไม่ต้องพูดเลย ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ อาตมาก็เลยพยายาม โดยเพิ่มพลังเพื่อที่จะให้มีอิทธิบาทเป็นปฏิภาคทวีขึ้น มันเป็นนามธรรม อธิบายได้ประมาณนี้
พยายามทำหาพยัญชนะมาใช้เรื่องการเพิ่มพลังนี้ ทางโลกเขาเรียก coefficien หรือสัมประสิทธิ์ เป็นภาษาคณิตศาสตร์ ก็เห็นว่าอันนี้พอใช้ลำลองแทนได้ เป็นการเพิ่มพลังทางจิตวิญญาณ เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มพลังเร่งอัตราเร่งให้ต่ออายุขัยขึ้นไป ก็ขอใช้คำว่า coefficients เขาแปลเป็นไทยว่าสัมประสิทธิ์ คำนี้ก็ดี ก็ทำมา จนกระทั่งถึงอายุ 72 ปีเป็นไปได้ อายุ 72 ปีถึงขันธ์แล้ว เลย 72 ปีไปได้ ตอนอายุ 73-74 ปีก็แข็งแรงพอสมควร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมในงานพิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2564 ( 15:19:40 )
รายละเอียด
Concept อย่างนั้นมันไม่ใช่ความจบ มันไม่ใช่ความสมบูรณ์ มันไม่ใช่ความถูกต้องที่คุณจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ ไม่ เพราะมันไม่ใช่ ไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์บริบูรณ์แก้อย่างไรก็ไม่จบ เพราะมันมีกิเลส กูจะต้องรวย กูจะต้องใหญ่ กูจะต้องเป็นเจ้าโลก มันจะไปจบที่ไหนกิเลส กิเลสมันเป็นตัวนำ ยิ่งนำยิ่งรู้สึกว่าตัวเองรวยตัวเองได้เปรียบ คนยอมรับ แบบโลกียะ ใหญ่โตหรูหราแบบโลกียะ คนในโลกก็นับถือพระเป็นคนโลกีย์
ที่มา ที่ไป
วิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 10:20:21 )
เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 17:08:58 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:35:47 )
รายละเอียด
ซึ่งอาตมาก็เข้าใจ Concept ของเขา ก็สงสาร เขามี Concept อย่างที่ว่า มีความคิดรวบยอดของเขา มันเป็นผลสรุปความคิดของเขาตามที่ฉลาดตามที่รู้ อาตมาว่า เขาคงจะรู้สึกถูก สรุปผลความเป็นอรหันต์ของเขาต้องเป็นอย่างนี้ ดูแล้วก็น่าสงสาร
คืออรหันต์ที่กลายเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาสอนอย่างผิดๆมาหมดเลย อรหันต์นี้พูดไม่ได้บอกใครไม่ได้ บอกแล้วเป็นเรื่อง ก็เลยมีแต่การเดา แล้วเขาก็เดาผิดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผิดน้อยก็กลายเป็นหลายน้อย จนไม่เหลืออะไร มันก็คือกลายเป็นไม่เหลือความถูกต้องแล้ว กลายเป็นความซับซ้อนผิดมาจนซับซ้อน อะไรก็ไม่รู้ อรหันต์ของเขา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ
เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:51:44 )
รายละเอียด
ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าดีๆ ใครก็ตาม ในมหาเอกภพนี้ หรือในมหาจักรวาลนี้ ในกาละ ใน space and time of continuum นี้ ก็ตาม หรือใน Kamma and time of continuum
continuum ก็คือสันตติ ตัวที่เชื่อมต่อกันอยู่ จะให้มีก็ได้ จะให้ไม่มีก็ได้ สันตติ จะต่อหรือไม่ต่อก็ได้ ต่อก็เป็น อุปจยะ ถ้าไม่ต่อก็เป็น ชรตา เสื่อมไปถึงที่สุด จะสุดหรือไม่สุดท่านก็มีปลายเปิดที่ อนิจจัง ก็ไม่เที่ยงแล้วแต่จะตัดสิน กับ กาละ ปัจจุบันนั้นอีก
นี่เป็นความตรัสรู้ของลักขณรูป 4 ในรูป 28 ที่อาตมาอธิบายลักษณะธรรมต่างๆเอาพยัญชนะพระพุทธเจ้ามายืนยัน ไม่ได้หมายความว่ามีแต่ความรู้ของตัวเอง แต่มีของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้ยืนยัน และคำอธิบายของอาตมามันไม่เหมือนกับผู้รู้ที่ท่านรู้มาแล้ว เอามาเปิดเผย เอามาเผยแพร่อยู่ทุกวันนี้ มันเป็นความรู้ที่เรียนรู้กันมากเป็นผู้รู้ แต่อาตมาโผล่ออกมาในปางนี้ยุคนี้สมัยนี้ ไม่ได้รู้ตามที่ท่านรู้กัน แล้วก็ขัดแย้งด้วย ตรงกันข้ามกับที่ท่านรู้อีก มันก็เลยต้องพิสูจน์กัน ยืนยันกัน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 กันยายน 2565 ( 19:11:45 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 22 กันยายน 2563 ( 18:43:52 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2561
เวลาบันทึก 13 มกราคม 2564 ( 09:25:31 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563
เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 10:11:58 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 11:41:22 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:14:34 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:36:28 )
รายละเอียด
วิญญาณที่มีความเต็มของวิญญาณฐีติ ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นสัมภเวสีก็จะพูดกันได้ เพราะมีปาก มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีทวารข้างนอก ตากระทบรูปก็คุยกันเรื่องรูป หูกระทบเสียงก็คุยกันเรื่องหูกระทบเสียง หรือคุยกันเรื่องที่กระทบทวารภายนอกเรื่องดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ได้
วิญญาณสัมภเวสีคุยกันไม่ได้ ไม่ได้ออกจากภพด้วย ปากมีที่ไหน อวัยวะที่จะออกส่งเสียงไม่มี มันก็มีแต่เสียงสัญญาที่ตัวเองปั้นเอง คิดเอง มีเอง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เป็นนิรมาณกายเองเท่านั้น ถ้าคุยกันได้รับรองวุ่น ถ้าโลกเห็นตัวด้วยก็ยุ่งฉิบหาย พระเจ้าหรือธรรมชาติจะไม่สร้างมาอย่างนั้นหรอก ธรรมชาตินี้เป็นระบบที่สุด ถ้าไอ้ที่มันไม่เป็นระบบมันไม่เป็น cyclic order มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติพิการ เป็นธรรมชาติวิปริต ถ้าธรรมชาติลงตัวเรียบร้อยแล้วเรียกว่า cyclic order มันจะมีระบบระเบียบไปเรื่อยๆ ราบเรียบ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 19:08:42 )
เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2563 ( 15:34:08 )
รายละเอียด
ในเมืองไทยจึงมีกลุ่มหมู่มนุษย์ชาวอโศก ทำสาธารณโภคีเป็นเครือแห ทำ 100% 90% 80% 70% 60% มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย เราเข้าใจและยอมเสียสละทำให้ถึง โดยไม่ต้องตั้งใจที่จะเอาเปรียบไม่มีที่สิ้นสุด ได้เปรียบเท่าไหร่ฉันก็ได้เปรียบไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวิธีคิดที่ยิ่งกว่า direct Sale ไดเร็กเซลนี้คือลัทธิที่หลอกคน มาเป็นบริวารเพื่อที่จะสั่งให้ได้ยอดเพชรยอดทองอะไรของเขา มันจะได้เป็นคนที่ได้เปรียบมากที่สุด ก็ต้องเป็นเหยื่อกันเป็นทอดๆ ทำขั้นนี้แล้วจะได้เป็นขั้นทองขั้นเพชรอะไรไป ก็ตั้งค่าหลอกไว้ ก็จะมีคนที่ได้อยู่ แต่คนต้นคิดนี้รวยเสวยสบาย ทุกอย่างก็เข้ามาไม่รู้กี่สาย เป็นวิธีของทุนนิยมที่เลวที่สุดชั่วที่สุด วิธีคิดเอาเปรียบคนที่ไม่รู้เท่าทัน ทั้งๆ ที่รู้บางทีเขาก็ต้องยอม อาศัยระบบนี้อยู่ direct sale จึงเป็นระบบที่ชั่วร้ายหาทางเอาเปรียบจนเขาจำนนต้องอยู่ในระบบ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 07:35:18 )
รายละเอียด
สรุปว่าเมืองไทยก็มีความดีขึ้นมาก มีผู้พาทำดี ศึกษาตามศาสตร์พระราชา ศาสตร์พระราชาคือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ศึกษาให้แตกฉานเลย อาตมาไม่บังอาจว่าไปศึกษาโพธิรักษ์ ไม่บังอาจหรอก แต่ศึกษาเถอะของพระพุทธเจ้าของในหลวง ศึกษาให้ดี ขนาดของในหลวง ร. 9 นี้ ก็ถือว่าเหลือใช้ เข้าใจในความรู้ที่ท่านตรัสเอาไว้ ก็ไม่ใช่น้อยๆ บันทึกไว้ไม่ใช่น้อย ศึกษาให้ดีๆ มันมีตัวตั้ง มันมีสิ่งที่เป็นเชื้อ DNA ของเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทุนนิยม แต่ว่าเป็นบุญนิยม เป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้านี่แหละ ใช้บุญนิยมเพื่อขยายคำว่าบุญ บุญนิยม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 22:01:14 )
รายละเอียด
ทำให้ดีที่สุดแล้วก็ดูไป ไม่ใช่ปล่อยปะละเลยนะ Let It Be อยากไปแปลว่าปล่อยปละละเลย เราก็เอาอันที่ดีที่สุด Do it Best และ Let It Be พวกเราจะไม่ทุกข์ก็ตรงที่มีปัญญาปฏิภาณเข้าใจ พวกเราศึกษาธรรมะแล้วเอาไปใช้จิตใจก็ไม่ทุกข์ยากพอสมควรเข้าใจเหตุการณ์เข้าใจเหตุปัจจัยแล้วก็ทำได้ทำใจได้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2566 ( 20:15:59 )
รายละเอียด
หนังสือ การเมืองตามประสาโพธิรักษ์
http://online.anyflip.com/frovl/umjg/mobile/index.html
หนังสือ ความรัก 10 มิติ
http://online.anyflip.com/frovl/ljlq/mobile/index.html
หนังสือ พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้
http://online.anyflip.com/frovl/jnfr/mobile/index.html
หนังสือ คนจนที่มีแบบ
http://online.anyflip.com/frovl/cawm/mobile/index.html
หนังสือ ดั่งเผาใจให้เป็นผุยผง
http://online.anyflip.com/frovl/ovsa/mobile/index.html
หนังสือ ตอบฝรั่งเรื่องสังคมพุทธ
http://online.anyflip.com/frovl/scyi/mobile/index.html
หนังสือ คนพาล
http://online.anyflip.com/frovl/xtbl/mobile/index.html
หนังสือ มโนสัญเจตนาหารของพ่อครู
http://online.anyflip.com/frovl/nrmz/mobile/index.html
หนังสือ ฆ่ามันด้วยมือเรา
http://online.anyflip.com/frovl/gfrj/mobile/index.html
หนังสือ เจริญชีพด้วยการก้าว
http://online.anyflip.com/frovl/mnan/mobile/index.html
หนังสือ เดินตรงสู่การเป็นอาริยะ
http://online.anyflip.com/frovl/shbe/mobile/index.html
หนังสือ ถอดจากหัวใจโพธิรักษ์
http://online.anyflip.com/frovl/pzqe/mobile/index.html
หนังสือ ถ้าอย่างนี้ล่ะการเมืองใหม่มั๊ย
http://online.anyflip.com/frovl/fmxt/mobile/index.html
หนังสือ ทุจริตของคนดี
http://online.anyflip.com/frovl/kjsk/mobile/index.html
หนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ
http://online.anyflip.com/frovl/uznf/mobile/index.html
หนังสือ ธรรมอันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
http://online.anyflip.com/frovl/odlw/mobile/index.html
หนังสือ บุญ-บาป ที่เห็นได้ในชาตินี้
http://online.anyflip.com/frovl/eyvi/mobile/index.html
หนังสือ ทางเอก ภาค 1
http://online.anyflip.com/frovl/lzns/mobile/index.html
หนังสือ ทางเอก ภาค 2
http://online.anyflip.com/frovl/pzrs/mobile/index.html
หนังสือ ทางเอก ภาค 3
http://online.anyflip.com/frovl/pycm/mobile/index.html
หนังสือ รหัสกรรม
http://online.anyflip.com/frovl/xkim/mobile/index.html
หนังสือ ระบบสังคมบุญนิยม
http://online.anyflip.com/frovl/xcwt/mobile/index.html
หนังสือ โศลกธรรม
http://online.anyflip.com/frovl/dvgq/mobile/index.html
หนังสือ สมาธิพุทธ
http://online.anyflip.com/frovl/cyko/mobile/index.html
หนังสือ สรรค่าสร้างคน
http://online.anyflip.com/frovl/pcgm/mobile/index.html
หนังสือ สวดมนต์ให้ถูกพุทธ
http://online.anyflip.com/frovl/kggq/mobile/index.html
หนังสือ สัจจะชีวิต ภาค 1
http://online.anyflip.com/frovl/khvy/mobile/index.html
หนังสือ สัจจะชีวิต ภาค 2
http://online.anyflip.com/frovl/isnd/mobile/index.html
หนังสือ สัจจะชีวิต ภาค 3
http://online.anyflip.com/frovl/koja/mobile/index.html
หนังสือ สัจจะชีวิต ภาค 4
http://online.anyflip.com/frovl/xpat/mobile/index.html
หนังสือ สาธารณโภคีเศรษฐกิจชนิดใหม่
http://online.anyflip.com/frovl/hrzh/mobile/index.html
หนังสือ อหิงสา
http://online.anyflip.com/xylus/wllh/mobile/index.html
หนังสือ หลักการปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์
http://online.anyflip.com/xylus/glyo/mobile/index.html
หนังสือ สามทศวรรษแห่งการงาน
http://online.anyflip.com/xylus/tlej/mobile/index.html
หนังสือ วิถีพุทธยุคเศรษฐกิจพอเพียง
http://online.anyflip.com/xylus/jgtw/mobile/index.html
หนังสือ วิถีพุทธ
http://online.anyflip.com/xylus/qypo/mobile/index.html
หนังสือ วิถีธรรมในสังคมการเมืองใหม่
http://online.anyflip.com/xylus/ykat/mobile/index.html
หนังสือ วรรณะ 9
http://online.anyflip.com/xylus/zmkf/mobile/index.html
หนังสือ ศิลปะโลกุตระ
http://online.anyflip.com/xylus/bcqi/mobile/index.html
หนังสือ ยอดนิยายของโลก
http://online.anyflip.com/xylus/pwpw/mobile/index.html
หนังสือ มรรคาปรมัตถ์
http://online.anyflip.com/xylus/czjy/mobile/index.html
หนังสือ พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้
http://online.anyflip.com/xylus/rjrf/mobile/index.html
หนังสือ พุทธเทวนิยมหรือพุทธอเทวนิยม
http://online.anyflip.com/xylus/djal/mobile/index.html
หนังสือ พอเพียงแบบพุทธ
http://online.anyflip.com/xylus/ouqc/mobile/index.html
หนังสือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้การเมืองใหม่ไม่เกิด
http://online.anyflip.com/xylus/jwzx/mobile/index.html
หนังสือ ป่ากับศาสนาพุทธ
http://online.anyflip.com/xylus/thrm/mobile/index.html
หนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส
http://online.anyflip.com/xylus/chnx/mobile/index.html
หนังสือ ปฏิบัติธรรมคืออะไร
http://online.anyflip.com/xylus/szeh/mobile/index.html
หนังสือ คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก
http://online.anyflip.com/xylus/kbzi/mobile/index.html
หนังสือ กิจวัตรของชาวอโศก
http://online.anyflip.com/xylus/kpbv/mobile/index.html
หนังสือ การลอกคราบการเมืองใหม่
http://online.anyflip.com/xylus/emgn/mobile/index.html
หนังสือ การฆ่าพระพุทธศาสนา
http://online.anyflip.com/xylus/hiag/mobile/index.html
หนังสือ วิทยานิพนธ์วิชชาจรณสัมปันโน
http://online.anyflip.com/xylus/tvtd/mobile/index.html
เวลาบันทึก 06 เมษายน 2563 ( 12:08:50 )
รายละเอียด
http://online.anyflip.com/frovl/xhgt/mobile/index.html พยัญชนะอัมพร
http://online.anyflip.com/frovl/demc/mobile/index.html พยัญชนะแป้ง
เวลาบันทึก 22 เมษายน 2563 ( 11:22:09 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:15:24 )
รายละเอียด
ถ้ารู้อันนี้ แม้แต่ในทางโลกีย์ แม้ในทางพลังงานทางวิทยาศาสตร์ คุณก็จะชัดเจนว่า พลังงานที่เอามาใช้ E=mc2 คือนิวเคลียร์ฟิชชั่น เมื่อพลังงานระเบิดไปแล้ว คุณก็จะเก็บพลังงานจากลูกเก่ามาใช้อีกไม่ได้เลย ไม่เหลือ เป็นสูญ หายไปหมด อย่างนี้เป็นต้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 17:49:48 )
รายละเอียด
ฟังอาตมาไปเรื่อยๆ MC คือสภาพของรูปกับนาม
M คือ แมส mass มวลทั้งหลาย
C คืออัตราการเร่ง Coefficient
ถ้าคณิตศาสตร์ได้แค่คูณ ไอสไตน์รู้ถึงยกกำลัง Coefficient ทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เรียนแค่คูณ ส่วนทางพุทธศาสนานั้นเรียนรู้หมดทั้งการคูณและยกกำลัง ทั้งวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จับคู่กันมาได้ทั้งหมด เอามาร่วมกันและสังเคราะห์กันช่วยกัน จะส่งเสริมหรือจะทำลาย ได้ทั้งนั้น มันมี 2 นัยยะ ส่งเสริมหรือทำลาย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้าวันขึ้นปีใหม่ งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 มกราคม 2565 ( 20:53:53 )
รายละเอียด
ทีนี้อาตมาอยากจะให้ข้อคิดอยู่ในประเด็นที่เขาพูดผ่านมาบ้างแล้ว ว่าความรู้กับการกระทำ ความรู้นั้นมันรู้อะไรก็คิดไปตามรู้ได้มันมาก แต่การกระทำจริงๆ มันจะตรงกับที่เรารู้ไหมนั่นก็หนึ่ง และ 2 มันไม่ตรง มันก็ไปกันใหญ่ เช่น มันเป็นแค่นักมายากลยังไม่แม่นเป้า มาเล่นตลก เช่น คุณบอกว่าคุณจะมาช่วยเศรษฐกิจ มนุษยชาติ คุณก็มาลงมือช่วยทำ แต่คุณช่วยเศรษฐกิจมนุษยชาติ คุณทำอย่างไร คุณช่วยให้คนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย คุณช่วยคนจะให้คนร่ำรวยหรูหราฟู่ฟ่ามีมากฟุ่มเฟือย คุณทำอย่างนี้ แต่คุณบอกว่าคุณอยากจะช่วยเศรษฐกิจ
ที่นี่ภาษาคำว่าเศรษฐกิจภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Economy ซึ่งไม่ได้แปลว่าฟุ่มเฟือย ไม่ได้แปลว่าหรูหราฟู่ฟ่า Economy มันแปลว่าประหยัด คุณบอกว่าจะมาช่วยเศรษฐกิจ Economy แล้วเศรษฐกิจจะต้องประหยัดแต่คุณดันจะไปช่วยให้คนร่ำรวย ให้คนมีมากได้ฟุ่มเฟือยให้ความร่ำรวยมีมากนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า Luxury หรูหราฟุ่มเฟือยมีมาก ซึ่งขี้โกหก ก็บอกว่าจะมาทำให้ดี แต่ว่าถ้าให้มนุษยชาติหลงความหรูหราฟู่ฟ่าและจะบอกว่าให้รวยๆ เศรษฐกิจดีแล้วจะรวยแล้วรวยแล้ว มันตลบแตลงหรือเปล่า
ตรงนี้ลึกซึ้งนะ ความหมายของคำว่า economy Economic มันหมายถึงมาน้อย ไม่ได้หมายถึงพวก Luxury ที่เป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่าหรูหราฟุ่มเฟือยมากมาย ลักษณะอย่างนี้แหละเรียกว่ามายา คุณพูดอย่างหนึ่งแต่คุณพามาทำอีกอย่างหนึ่ง อันนี้มันลึกซึ้งตรงนี้ มากเรื่องเลย จิตตัวเองเป็นยอดมายาหลอกตัวเอง หลอกด้วยคำว่าสุข
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2566 ( 20:55:18 )
รายละเอียด
สมรรถภาพ
หนังสืออ้างอิง
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 396
เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:32:14 )
เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:25:03 )
เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:37:08 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2561
เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:39:12 )
รายละเอียด
Concept คือความเห็นมวลรวมของแต่ละคน เราก็เห็นว่าอย่างนี้จริงกว่า เพราะฉะนั้นการวัด GDP Gross Domestic Product ไปวัด GDP กันที่จำนวนตัวเลขของรายได้ นั่นคือวิสัยทัศน์ชนิดหนึ่ง มันมีภาวะซับซ้อนอยู่ในตัวเลขนั้น คือ การขายอย่างเสียสละ หรือขายอย่างเอาเปรียบ ถ้าขายอย่างเอาเปรียบนี่ เอาเปรียบด้วยดีไม่ดีก็โก่งราคาด้วย ดีไม่ดีแถมโกงด้วย แทนที่จะขายราคาตลาดหรือขายต่ำกว่าราคาตลาด แต่ขายโก่งกว่าราคาควรจะเป็น ดีไม่ดีโกงเข้าไปหาเรื่องหลอกอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความโลภ
มันก็จะขายได้ ได้ตัวเลขมา เอามาคุยโม้ว่า GDP เจริญก้าวหน้า เพราะมีตัวเลขของเงินได้ ได้มากเท่าไหร่ก็เอามาโชว์ๆๆ นั่นก็เป็นการโชว์ชนิดหนึ่ง มีไหม มี แล้วทำกันอยู่ แต่ถ้าการวัด GDP คำว่า GDP เหมือนกัน แต่วัด GDP กันที่จำนวนผลผลิตและจำนวนของแรงงานความสามารถที่ลงมือทำและก็สร้างขึ้นมามีผลจริง แล้วก็ขายอีก ขายอย่างเสียสละหรือว่าแจกฟรีด้วย เป็นการสะพัดของนั่นเองเป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์สะพัดของ เสียสละหรือแจก เงินหรือจำนวนของตัวเลขมันก็มีน้อย มันก็ได้เอามาโชว์มาแสดงไม่เหมือนกันใช่ไหม มันก็จะได้น้อยๆ แตกต่างกันไปคนละทิศคนละทางแน่ๆ เลย
แบบทุนนิยมก็จะมีตัวเลขของเงินมาโชว์ว่าได้มาก ว่าเป็นความเจริญของเศรษฐกิจทุนนิยม ฟังดีๆ สับสนไหม ไม่สับสนนะ นั่นน่ะทุนนิยมเขาจะอย่างนั้น แต่บุญนิยมนั้น ไม่มีตัวเลขของเงินมาโชว์ว่าได้มาก แต่จะโชว์หรือแสดงการได้ให้หรือการได้เอาออกไป เอาออกไปยิ่งเสียสละออกไปยิ่งๆ โชว์อันนี้โชว์อย่างนี้ต่างหากว่า เป็นความเจริญพัฒนาของเศรษฐกิจบุญนิยม โชว์กันคนละอย่าง แสดงออกคนละอย่างเพื่อที่จะได้อวดอ้างโชว์ แต่มันมีนัยยะสำคัญซ้อนอยู่คนละแบบกันอยู่ นี่เรียกว่าโชว์ GDP แนวคิด
เราจะเอาตัวเลขของเงินทองหรือจะเอาจำนวนผลผลิตแรงงานความสามารถที่เราลงมือทำลงมือสร้างอย่างมีผลผลิตจริง มาเป็นเครื่องวัด มาเป็นเครื่องชี้บ่งกัน ว่าความเจริญพัฒนานั่นน่ะ เอาอย่างไหนกันแน่ ยิ่งได้เอามาให้ตนหรือได้เสียสละออกไปให้ผู้อื่นกันแน่ เป็นการตัดสินความจริงว่าอย่างไรคือความเจริญของคน การพัฒนาสังคม เห็นไหม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 เมษายน 2566 ( 13:58:37 )
รายละเอียด
แต่ถ้าเอาผลผลิตของ โดเมสติกโปรดักส์ ไปให้ผู้อื่นแล้วก็ได้รายได้แลกเปลี่ยนมา ได้มามากขึ้นได้เปรียบ แล้วเราถือว่าเรามี GDP ดี อันนี้ขี้โกงตำราขี้หมาพวกนี้ ตำราพวกนั้นมันผิด มันมีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ มันไม่ใช่คนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเจือจาน สังคหะ เกื้อกูลผู้อื่น มันยังไม่ใช่เศรษฐกิจเจริญ product ผลผลิตที่เราทำ Domestic ของเราเองในประเทศของเราเองภายในโดเมสติก มันพอกินพอใช้เหลือเฟือเลี้ยงตัวเองเหลือรอด เผื่อแผ่แจกจ่ายผู้อื่น มีมากเกินที่เรากินใช้ เราก็แจกเขา ไม่ใช่เอาผลผลิตที่ดีด้วยก็ยิ่งออกไปโก่งราคายิ่งเอาเปรียบเอารัดได้ราคาที่เกินทุนเท่าไหร่คือเจริญเท่านั้น โอ้โห ทำไมถึงคิดทรามได้ถึงขนาดนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 14:21:06 )
รายละเอียด
อาตมาขอไปที่ GDP การคิด GDP ของทางโลกมันก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับ GDP ทางโลกุตระที่อาตมานำเสนอเท่าไหร่ การคิด GDP ทางโลกุตระ มันมีประเด็นใหญ่ๆ อยู่ 2 ประเด็นหลัก
ประเด็นที่ 1 รวยกับจน
ประเด็นที่ 2 ก็คือ มีความคิดกับการพูด กับการลงมือกระทำสร้างผลผลิต เขาไปคิด รายได้จากการขาย ซึ่งมีความซับซ้อนจากการโกงราคา เอาเปรียบ แล้วเขาก็เอาการได้ เป็น Gross
2 ตัวสร้าง Product ของผู้ที่อยู่ในกรอบของ domestic อยู่ในกรอบของไทยแท้ๆเลยนะ ไทยสร้างเป็นต้น หรือประเทศใดก็ตามคุณสร้างของคุณ เอารายได้ที่ขายอันนี้ไป มาเป็น Gross รายได้องค์รวมและวิธีที่ได้เป็นการได้อย่างเสียสละอย่างขาดทุน เพราะฉะนั้นการวัด GDP จึงไม่ได้เอาตัวเลขรวย ตัวเลขจะต้องต่ำ มันก็ไม่สูญทีเดียว จะว่ากันจริงๆ การซื้อขายมันต้องมีคืนมาบ้าง
สรุปแล้วมันต้องน้อยได้เท่าไหร่ต่างหากคือการวัดค่า ไม่ใช่เอามากมาเป็นการวัดความเจริญ มันเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ นะ เข้าใจได้แล้วแต่ทำจริงๆ โอโฮ เจ้าประคุณเอยที่นี้แล้วตรงนี้ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น อาตมาพูดถึงตรงนี้แล้วทีไร อาตมาก็เห็นใจคนทั้งโลก ที่เขาไม่ได้เรียนโลกุตรธรรม มหาวิทยาลัยสอน ความรู้โลกุตรธรรมมีในประเทศไทยแห่งเดียว ที่ถูกต้อง จริง มีพุทธศาสนาที่พูดถึงโลกุตระอยู่ ในมหายานเขาก็พูดถึงโลกุตระเก่ง สังคมพุทธที่ไหนที่เขามีมหายานเยอะๆ เขาก็พูดเก่ง แต่มันเพี้ยนแล้ว มหายานของเขานั้นมันเพี้ยน มันยังอยู่ในหินยานหรือยานเล็กคือยานชาวอโศกหรือยานในประเทศไทยหรืออยู่ในเอเชีย ที่เป็นพุทธที่พอจะพูดคำว่าโลกุตระกันบ้าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนแท้ ยังไม่จริงจังพอ เหมือนที่ในประเทศไทย และสูงไปกว่านั้นประเทศไทยก็คือพุทธชาวอโศก
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 13:50:18 )
รายละเอียด
เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาอธิบายหลายทีแล้วว่า เศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจ GDP อันประเสริฐเป็น GDP ที่เจริญจะเป็นอย่างไร
GDP (Gross Domestic Product) ..Product ก็คือผลผลิตที่เมื่อผู้ใดผลิตโดยเฉพาะในกลุ่ม โดเมสติก กลุ่มไหนก็กลุ่มนั้น จากคนไทยก็คือคนไทยร่วมกัน ผลิต Product สร้าง สร้างได้แล้ว แล้วก็พึ่งพาอาศัยเลี้ยงตัวเอง ผลผลิตนั้นในไทยเราเอง โดเมสติก ในหมู่คนไทยเราเองภายใน เลี้ยงดูกันอยู่รอดแล้ว มีอยู่มีกินอาศัยได้เหลือเฟือเพียงพอ ใช้แรงงาน ใช้สมรรถนะ ใช้ความสามารถ เห็นความสำคัญในความสำคัญ เห็นสาระในสาระ
เช่น อาหารคือสาระ อาหารคือคำข้าวที่กินเลี้ยงขันธ์ เราเข้าใจเราก็สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราก็อยู่ในโซนที่สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดีด้วย เราก็สร้างจนพอกินพอใช้เหลือเฟือ เลี้ยงชาติเลี้ยงประเทศ ทีนี้เมื่อเลี้ยงประเทศแล้วเราจะไปเผื่อแผ่แก่คนอื่น เพราะฉะนั้นจะเผื่อแผ่คนอื่นไป
รายได้องค์รวมเรียกว่า Gross ของคนไทย รายได้ส่วนรวม ถ้าเราได้แลกเปลี่ยนหรือรายได้ตอบแทนการซื้อขายผลผลิตของเรา 1 ผลผลิตของเราดีไม่มีสารพิษ มีคุณค่าทางอาหาร มีคุณค่าอย่างประเสริฐ ขาย ยิ่งขายราคาถูก ถูกเท่าไหร่ได้รายได้มาน้อย แต่โดเมสติคผลผลิตของเราก็ยังคุ้มกินคุ้มใช้พอที่จะขายอยู่ถึงขั้นแจกฟรีผู้อื่นด้วย นี่คือ GDP ที่เจริญที่สุดสูงที่สุด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 พฤษภาคม 2565 ( 14:14:57 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:06:59 )
รายละเอียด
แม้ที่สุดเงิน“คงคลัง”ของชาวอโศกโลกุตระ ก็จะพยายามเหลือเก็บไว้ให้“น้อยที่สุด”เท่าที่จะสามารถทำการสะพัดให้ได้เร็วและออกไปมากที่สุด เท่าที่จะสามารถรักษาสภาพการอยู่ได้ในกระแสหมุนเวียนของสังคมในช่วงไม่ใกล้ไกลนัก โดยอ่านเอาจากสมาชิกของสังคมนั้นๆแต่ละสังคมว่า มี“ความสามารถ”กับ“ความขยัน”เป็นหลัก เป็นการประมาณประเมิน ประมาณ
นี่คือ GDP ที่อาตมามีความรู้ตามประสาอาตมาที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้มาจากตำราเทวนิยมหรือไม่ได้มาจากตำราใดๆ แต่จะได้มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงตั้งแต่หลายชาติมาแล้วมาถึงชาตินี้ ก็มาพาชาวอโศกทำ สร้าง GDP แบบนี้ หรือมาทำเศรษฐศาสตร์แบบนี้ คนข้างนอกฟังแล้วก็บอกว่า โพธิรักษ์ทำอะไรจะรู้เรื่องหรือไม่ ไม่แน่ อาจจะรู้ก็ได้
ประเด็นนี้แหละ ประเด็นที่เขาฟังธรรมะของชาวอโศก เอาชัดๆ ฟังธรรมะจากอาตมา เขาฟังแล้ว หาว่า พูดอะไรวะโพธิรักษ์ บ้าหรือเปล่า? ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีที่ไหนคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ต้องมาจนกัน สบายกว่าไปรวย จะเป็นคนก้าวหน้า คนประเสริฐต้องมาจนกัน
ประเด็นนี้ การพัฒนา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเอาประเด็นว่าทุกคนรู้จักลดลง พอ แล้วจน ไม่ต้องไปรวย พูดกันให้ชัดๆเลยผู้บริหารประเทศ ทำความเข้าใจกับประชาชนเลย ให้เข้าใจว่า นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า จะสำเร็จผลเป็นคนวรรณะ 9 เป็นคนคลาสสิค เป็นคนมีชั้นวรรณะที่เจริญ เป็นผู้เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนกล้าจน มักน้อย เป็นคนใจพอ เป็นคนขัดเกลาตนเอง เป็นคนที่มีหลักเกณฑ์หลักการ การปฏิบัติพัฒนาตนให้เจริญทางกายวาจาใจได้ มีอาการที่น่าเลื่อมใส มีกายกรรมก็น่าเลื่อมใส มีวจีกรรมก็น่าเลื่อมใส มโนกรรมก็น่าเลื่อมใส
เป็นผู้ไม่สะสม อปจยะ แต่เป็นคนพากเพียรขยันระดมความเพียร สำนวนของท่านมหาประยุทธ์หรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านแปล วิริยารัมภะว่า การระดมความเพียร เป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยศัพท์ที่เขาแปล
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 20:45:08 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561
เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:26:21 )
รายละเอียด
ในหลวง ร.9 ส่งเสริมให้ทำแบบคนจนและ อโศกก็สอนให้เป็นคนจน ไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวแต่ขยันสร้างสรรค์เพื่อผู้อื่น จนมีส่วนเหลือเอาไปช่วยผู้อื่นได้อย่างนี้เป็น GDP ที่แท้จริงไม่หลอกไม่แฝง จึงได้ชื่อว่าเราเป็นคนจนที่ไม่ได้งอมืองอเท้าเป็นคนจนมีความรู้ความสามารถมีความพร้อมมีความแข็งแรง มีการสร้างสรรไม่หยุดหย่อน ไม่เห็นแก่ตัว สร้างสรรเพื่อมนุษยชาติเพื่อสัตว์โลก ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงนี่คือสุดยอดสุดประเสริฐของมนุษยชาติ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม อธิปไตย อภิบาล อภิปัญญาคือประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2561ที่บ้านราชฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจแบบต่างๆ 5 ประเภท
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:31:52 )
รายละเอียด
เศรษฐกิจที่เขาเรียกว่า GDP Gross domestic Product การจัดการรายได้มวลรวมของประเทศ ด้วยความคิดของอาตมา รายได้มวลรวมของเราของประเทศเรา คือเราสร้างแล้วเราก็มีผลผลิตนั้นแจกจ่ายจำหน่ายขาย ได้สิ่งแลกเปลี่ยนกลับคืนมา ได้เท่าไหร่ อันนี้เป็น Gross domestic เป็นของเรา จบตรงนี้ แต่ ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์นักเศรษฐกิจสังคมเขาไม่เอา เขาก็ไปเอาข้างนอกด้วย ทั้งๆ ที่บอกว่า Domestic ของคุณ เขาก็ไปเอาของนอกมาเป็นการตะกละ แล้วคุณก็บอกว่าเศรษฐกิจของคุณดี คุณได้เปรียบจากข้างนอกเขามาเอามารวม แล้วคุณก็บอกว่าเจริญเท่านั้นกี่เปอร์เซ็นต์ มันเป็นการออกนอกกรอบ Domestic เป็นการคิดแบบตรรกะเห็นแก่ได้เอาเปรียบ เอาของคนอื่นมารวมและบอกว่าเจริญ เป็นการเอาเปรียบคนอื่นมันเป็นบาป เพราะแนวคิดของอาตมานั้น ความเจริญทางเศรษฐกิจคือเราสามารถสร้างผลผลิตของเราได้ โดยรวมแล้วเรากินเราใช้เหลือ เอาส่วนเหลือนี้ไปขายให้ถูกๆ หรือให้แจกเลย นี่คือความเจริญทางเศรษฐกิจ หากขี้โลภมากไม่รู้จักพอถือว่าเศรษฐกิจเจริญ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม 5 รูป 28
เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:00:19 )
รายละเอียด
ถ้าเราเป็นคนจนแบบอุดมสมบูรณ์ไม่เบียดเบียนประเทศไหนไม่เบียดเบียนใคร GDP ของเราไม่ต้องการภายนอกเลย คุณบอกว่า D หมายถึงภายใน G คือผลได้ของชาวเราเอง แต่คุณดันไปเอาจากข้างนอกน่ะ ตลบแตลงในตัวเองเลย GDP
รายได้มวลรวมประชาชาติ แล้วเอามาได้ถือว่าเป็นของตัวเอง D คือ Domestic ทำให้เกิดอันนี้ เสร็จแล้วคุณก็ไปเที่ยวแย่งของคนอื่นมา เอามาจากต่างประเทศมา ถ้าเผื่อว่ารายได้มวลรวมของ G D จริงๆก็คือมวลรวมภายในของคุณจริงๆ รายได้คุณดี เพราะ Product ของคุณ แข็งแรงดี ก็ต้องสร้างแจกคนอื่น รายได้มวลรวมของคุณเหลือแล้วเอาไปแจกคนอื่น จึงเป็น GDP แท้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 13:49:53 )
รายละเอียด
ทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า คำว่า “พระเจ้า”นั้น เราไม่ได้หมายถึง GOD ที่ชาวเทฺวนิยมเคารพนับถือ กันอย่างสูงยิ่ง สำหรับ GOD หรือ“พระเจ้า”ของชาวเทฺวนิยมทั้งหลายบูชาเคารพนับถือนั้น เราก็ให้ความเคารพอยู่เช่นกัน เพราะ GOD อันหมายถึง“วิญญาณ”หรือ“พระศาสดา”ที่ทรงคุณงามความดีแท้กันทุกพระองค์ เราย่อมเคารพพระผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง ไม่ว่าจะเป็นชาติเชื้อใดแน่นอน
เป็นการทวนกระแสถ้าฟังไม่ดีดูเหมือนจะเป็นการลบหลู่พระเจ้าเลยทีเดียว ต้องฟังให้ดีๆแต่เราไม่ได้ไปข่มแต่เราเห็นความต่าง
ความต่างนี่แหละเป็นอุตระหรือเป็นโลกุตระที่นอกเหนือจากที่คุณเข้าใจกันแปลศัพท์สั้นๆ เขาแปลอุตระว่าอยู่เหนือ
แต่“พระเจ้า”ในที่นี้ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ หมายถึง เรื่อง“เงินๆทองๆ”ที่เป็น“วัตถุ”แท้ๆ ซึ่งคนไปหลงงมงายวุ่นวายเอาเป็นเอาตายอยู่ที่“เงินๆทองๆ”กัน โดยนับถือเงินทองเป็น God ยิ่งชีวิต
และความรู้ความเห็นที่อาตมาแสดงออกไปนี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ไม่ใช่แบบโลกียะที่อาตมามีน้อยนิดจริงๆ ซึ่งเป็นความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นแบบโลกุตระ จึงแน่นอนว่า มันย่อมผิดเพี้ยนไป ไม่ตรงกับผู้รู้เศรษฐศาสตร์ หรือไม่ตรงกับผู้มีครูมีอาจารย์มีตำราเรียนกันมาแบบสากลโลกียะนั้นแน่ยิ่งกว่าแน่
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิโดยพ่อครู GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 15:21:55 )
รายละเอียด
ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรง
ของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ
คนมักจะหลงผิดไปกำหนดหมายเอา“ตัวเลข”หรือ“จำนวนตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้ว่า เป็น“ความเจริญเนื้อแท้”ของคนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งดีทางค้าขายหรือธุรกิจ แม้แต่จะเป็นการแข่งขันของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่หลงสำคัญกันที่“การเลือกตั้ง” ล้วนมุ่งมั่นหมายแข่งกันที่“ตัวเลข”กันนั่นเอง ที่กำหนดหมายกันผิดอยู่
เพราะพากันเผลอเผินไปหลง“ตัวเลข”กัน ว่า เป็น“เนื้อหาแท้จริง”
ตัวเลขสูงหมายถึงค่ามันสูงแต่ชาวโลกุตรธรรมเอาน้อย ของมันถูกนะ เราก็แจกฟรีจึงได้น้อย แต่ของเรายิ่งดีนะ ยิ่งมากจำนวนด้วย แต่เราขายถูกๆ ตัวเลขมันก็ต้องน้อยสิ เราก็ต้องแพ้เขาชัดเจน เพราะฉะนั้นการชี้บอกว่าแพ้หรือได้น้อย นี่แหละคือคนเจริญ คนประเสริฐ
ไม่กำหนดหมายกันที่“การทำงานของคน”ที่เป็นผู้มีความรู้ในเรื่อง“เศรษฐศาสตร์” แบบ“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า หรือการเมืองก็เช่นกัน ก็ไปหลงกันที่“ตัวเลข” ไม่ไปสำคัญมั่นหมายกันที่“ตัวนักการเมือง”หรือกำหนดหมายกันที่“ผลงานของนักการเมืองทำจริง”มายืนยันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เป็นความสำคัญที่เป็นเนื้อหาแท้จริงยิ่งกว่า “ตัวเลข”ของ“การนับคะแนนเอาที่การเลือกตั้ง” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลสารพัด มันจึงไม่ตรงสัจธรรม หรือความเป็นจริงกันได้จริง
“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 2 นี้ โลกียะหรือเทฺวนิยมจะวิปลาสไปคิดเน้น“ตัวเลข”แทนที่จะคิดเอา“เนื้องาน”ที่เป็น“ผลผลิตของคนผู้ผลิต”หรือสำคัญมั่นหมายกันที่“คนผู้ทำงานผลิตจริง” เป็นความเจริญทาง“เศรษฐกิจ”หรือ“การเมือง”กันแท้
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:44:32 )
รายละเอียด
ประเด็นที่ 3 นั่นคือ “โลกียะ”นับเอา“ผลได้” ที่เมื่อ“ได้เปรียบ”คู่แข่งขัน หรือผู้อื่น แล้วเราได้ทำเกิน“ทุน”มาเป็น“ของเรา” มีผลมากเกินกว่า“คนอื่น”แท้ เมื่อ“เปรียบเทียบ”ก็เป็นจริง คือเขาถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม ก็ถูกของเขา ที่เขา“ยึดถือของเขาชาว“โลกียะเทฺวนิยม”เป็นสากล
ชาว“โลกียะ”มีความยึดถือเช่นนี้ เข้าใจและเชื่อว่า อย่างนี้แหละว่า“ถูกต้อง”ดีจริง
ความเป็น“โลกียธรรม”จะไม่ยอม“เสีย(สละ)ไปให้ใคร” ไม่ยอม“ขาดทุน” จะมีแต่“เอาเปรียบ-ได้เปรียบ”ถือว่า เป็นความเจริญ เป็นอารยะ(ศิวิไลซ์ civilize) หากจะ“เสียสละออกไป”ก็จะคิดเป็น“ราคาของคุณงามความดี-ความเขื่องคุณ-เท่ เก๋ โก้”ที่ตนให้แก่คนอื่นได้แล้วยึดเป็น “อุปกิเลส” มันก็ซับซ้อนขึ้นไปอีก แล้วยึดติดใส่จิตตนเองเป็น“ตน(อัตตา)” เป็น“ของของตน(อัตตนียา)”อยู่ และนับเป็น“บุญคุณ”ที่ตนมีต่อผู้อื่น นี้คือ ความยึด มันคือ“อุปาทาน”ที่เป็น“กิเลส”แท้ๆ นี้คือความยึด มันคือ“อุปาทาน”ชนิดหนึ่ง เป็น“อุปกิเลส”แท้ๆ
“ความยึด”ภาวะนั้นๆ เป็นตน-เป็นของตนนั้น มันคือ“อุปาทาน”นะ! เป็น“กิเลส”ทั้งๆ ที่“กิเลส”มันไม่ใช่“บุญ”เลยแม้แค่นิดน้อย “อุปาทาน”มันเป็น“การยึด”แท้ๆ แต่ก็เพี้ยนไปยึดเอา“กิเลส”มาเป็น“บุญ” แล้วก็หลงผิดว่า “ความยึด”เป็น“กุศล”“บุญ”ต้อง“ไม่มี”อาศัยอยู่ในชีวิต ส่วน“กุศล”นั้นต้อง“มี”อาศัยอยู่ในชีวิต แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษในกุศล แต่อรหันต์หมดบุญไปแล้วเป็นผู้ ปุญญปาปปริกขีโณ
ที่ถูกแท้นั้น “บุญ”คือ “การทำลายความยึด” “บุญ”ไม่ใช่“การไปยึดมามีไว้”แต่“กุศล”มันต้อง“มี” มันต้องสะสม “กุศล”จึงแตกต่างจาก“บุญ”ที่มันไม่ต้อง “มี” “บุญ”มันก็“ผิด”ไปจาก“สัจจะ”ที่แท้ของ“โลกุตระ”กันอย่างอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ เพราะไพล่ไปเห็น“กุศล”เป็น“บุญ”อันผิดเพี้ยนไปจาก“สัจจะ”คนละทิศละทางเลย
“บุญ”มันไม่ใช่“สมบัติ”ที่จะ“มีสะสมไว้” ซึ่งแตกต่างจาก“กุศล”ที่คนต้องสะสม แต่“บุญ”เป็นแค่“พลังงานจิต”ที่สร้างให้เกิดเป็น“ฌาน”เป็น“ปัญญา” เผากิเลสเท่านั้น “บุญ”มีหน้าที่ทำแต่“วิบัติ”ทำลาย“กิเลส” หรือมีหน้าที่ฆ่ากิเลสให้ดับสิ้น “บุญ”ไม่มีความเป็น“สสาร” ไม่ว่าทางวัตถุหรือทางจิต เพราะ“บุญ”ไม่จับตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มก้อนเด็ดขาด มันเป็นแค่“พลังงานทางจิต” ซึ่ง“บุญ”นี้จะไม่“ทรงอยู่” เป็น“ธรรม”เกินกว่า“ปัจจุบันชาติ” เนื่องจาก“บุญ”เพียงทำหน้าที่เป็น“พลังงานขึ้นได้ในปัจจุบันของอาริยชนโลกุตระ”เท่านั้น “บุญ”ไม่เกิดใน“อดีต”หรือไม่เกิดใน“อนาคต”
“บุญ”เกิดใน“ปัจจุบันชาติ”เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันที่เป็นคนผู้มีพร้อม“ตาหูจมูกลิ้นกาย”ตื่นเต็มทำงานร่วมกันกับ“ใจภายใน”เป็น“ภาวะ 2”แล้วไซร้ “บุญ”ก็เกิดไม่ได้ “บุญ”เป็น“พลังงานจิต”ที่ทำหน้าที่“ประหารกิเลส”เท่านั้น ไม่มี“คุณวิเศษ”อื่น
“เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 3 นี้ชาวเทฺวนิยมโลกียะเขาหลงผิดนับเอา“ความได้เปรียบ” นับส่วนที่ได้เกิน“ทุน” หรือได้เกินกว่า“คนอื่น”นั้นๆ ถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม ซึ่งมันตรงกันข้ามกับ“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระกันคนละทิศละทางกันเลย
“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระนั้น นับเอา“ความเสียสละ”ซึ่งเป็น“ความเสียเปรียบ” นั่นเอง ว่าคือ“การได้กำไร” เพราะเสียสละก็“ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น” และก็แค่“สักแต่ว่าทำ”ไม่“ยึดเป็นตัวตน” หรือปฏิบัติจนกระทั่งไม่ยึดมา“เป็นตน-เป็นของตน”ได้สำเร็จจริง นี้คือ “คุณวิเศษ”ที่ชาวโลกุตระ“ทำได้” ซึ่ง“ยึด-ไม่ยึด”นี้ ชาวโลกียะยังไม่ศึกษา“ความยึด”ภาษาวิชาการว่า “อุปาทาน”นี้เอง คือ “กิเลส”ที่ต้องศึกษาและพิชิตมัน
“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระจึงแตกต่างกับชาวโลกียะเทฺวนิยม ยิ่งกว่าดาวคนละดวง
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:47:21 )
รายละเอียด
ประเด็นที่ 4 นั้นคือ ความเป็น“โลกุตรธรรม”นี่แหละสำคัญมากยิ่ง ได้แก่ “ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา”
ประเด็นนี้แหละที่ชาว‘เทฺวนิยมโลกียะเขายังทั้งไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความลึกล้ำของความจริงนี้ ทั้งยังไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันให้สำเร็จได้ อย่างภาคภูมิใจ เต็มใจ อิ่มเอมใจ เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละจริงๆจังๆ กันเลย
ชาวพุทธที่เจริญอาริยธรรมเป็น“โลกุตระ”กันได้สำเร็จจริงๆนั้น จะนับเอา“การขาดทุนของเรา” เป็น“ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าของเรา” ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จริงใจด้วย“ปัญญา”อันยิ่ง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น คือ คนผู้เสียสละ ผู้ขาดทุนให้แก่ผู้อื่น..ดี แพ้ผู้อื่น..ได้ แต่จะไม่ยอมเป็นผู้ผิด ไม่ยอมทุจริต แล้วยินดี เต็มใจเป็น“ผู้รับใช้ผู้อื่น-รับใช้สังคมประเทศชาติ หรือรับใช้โลก ที่ไม่ใช่ทาส หรือไม่ใช่ผู้รับจ้าง เป็นอันขาด”
ผู้เป็น“อาริยบุคคล”แบบ“โลกุตระ” จึงไม่ใช่ทั้ง“ทาส”ทั้ง“เทพ”หรือเทฺวะผู้ยิ่งใหญ่ใด เพราะเป็นผู้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ ความเป็น“เทพ”หรือ“เทฺว”แม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดปานใด
ความเป็น“ทาส”คือ ผู้ยังมี“ตัวตน”แล้ว ไม่รู้ว่า “ตนเองเป็นทาส”ที่หลงรับใช้ตัวเองก็ละลดความเป็น“ทาส”ได้ไปตามลำดับ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
ฟังให้ดีนะ ตัวเองจะเป็นทาส จะเป็นผีเป็นซาตาน จะเป็นเทพก็ตัวเองทั้งนั้น ชีวิตที่มีอยู่ จึงอยู่อย่างมี“ปัญญาอันยิ่ง”ว่า ยังมีแรงทำกรรมที่เป็นประโยชน์ได้ จึงอยู่อย่าง“เสียสละ” หรือรับใช้ผู้อื่นที่เหมาะที่ควร ชนิดที่ไม่ยึดติดความเป็น“ตัวตน”กันแท้
ผู้หมดสิ้น“อัตตา” หรือหมดสิ้นตัวตน เป็นคนตามที่กล่าวนี้จริงใจ จริงกาย ไม่เสแสร้งจึงเป็น“วัวงานเศรษฐกิจ”ที่ซื่อสัตย์ จริงใจ เต็มใจแก่สังคมมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้แท้
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:49:38 )
รายละเอียด
ประเด็นที่ 5 ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดในความเป็น“โลกุตระ”ที่แตกต่างยิ่งใหญ่จากระบบ“ทุนนิยม”หรือแบบชาว“เทฺวนิยมโลกียธรรม”
สามัญของปุถุชน นั่นก็คือ ชาว“โลกุตระ”ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์“สุข”กับ“การได้กำไร” และไม่มีอารมณ์“ทุกข์”กับ“การขาดทุน”เลย การทำ“เศรษฐกิจ”จึงสบายกายที่สุด สงบใจที่สุด
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:50:42 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name