@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

เรียนที่อโศกคุ้มค่าที่สุด

รายละเอียด

คาดว่าจะได้ผลอย่างไร? ทำแบบนักเศรษฐศาสตร์เลย หลวงปู่ จะตอบไม่เอาใจใครนะ เรียนที่อโศกนี้ดีกว่า หลวงปู่เชื่อว่าพ่อก็ต้องการให้เรียนที่นี่ แม่ก็ต้องการให้เรียนที่นี่ดีกว่าแน่นอน ถ้าไม่แล้ว ไม่ยอมให้หนูมาที่นี่หรอกไม่ยอมให้มาพบหลวงปู่หรอก เดี๋ยวหลวงปู่จะเอาลูกฉันไป เพราะฉะนั้นแน่นอนจะยินดีมากกว่าให้ไปเรียนข้างนอก พ่อด้วยแม่ด้วย เชื่อว่าต้องการให้มาเรียนที่นี่ดีกว่า แล้วจริงๆเลยหลวงปู่ตอบด้วยความจริงที่สุดแห่งที่สุดเลย ที่นี่ดีกว่าแน่ เพราะที่นี่เป็นที่ ที่เป็นพี่เป็นน้องที่แท้จริงเรียกว่าเป็น ญาติธรรม เลี้ยงดูกันอย่าง สร้างให้พี่น้องลูกหลานต่างๆ โตมาอย่างเป็นคนดี อย่างจริงใจสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ต้องป่วยการพูดถึงโลกข้างนอกที่จะต้องเสียเงินจะอะไรต่ออะไร อันนั้น ของเล็กน้อย แต่จิตที่ปรารถนาดีจิตที่ตั้งใจช่วยเหลือกันให้เป็นคนดีของโลกของสังคม ของมนุษยชาติ ในนี้มี เข้าใจไหมที่หลวงปู่พูดนี่เน้นน้ำหนัก เพราะฉะนั้นสรุปเรียนที่นี่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:12:29 )

เรียนที่อโศกฝึกอะไรบ้าง

รายละเอียด

ที่นี่มีอะไรก็ได้ฝึกอันนั้นนะ เช่น เรื่องที่เขาจะชงเหล้าที่นี่ไม่มีหรอก หนูไม่ได้ฝึกแน่ จะมาเล่นอะไรที่ ที่นี่เขาไม่มีสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ที่นี่จะฝึกสิ่งที่เป็นสาระเช่นที่นี่จะฝึกดำนา ทำการกสิกรรม ที่นี่เน้นการทำกสิกรรม กสิกรรมเป็นเรื่องของอาหารที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ไม่ละเว้นจะชั่วดีมีเลวอะไร ต่างๆนานาจะคนโง่คนฉลาดทุกคนก็ต้องกินอาหารใช่ไหม เพราะฉะนั้นอาหารที่เป็นหนึ่งในโลกเลย หลวงปู่กำลังจะพัฒนาพยายามให้พวกเราชาวอโศกเป็นเจ้าแห่งอาหารให้ได้ ไม่เก่งอะไรก็ไม่เป็นไร แต่เก่งเป็นชาวนาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วไม่เน้นปศุสัตว์ ไม่เน้นเรื่องนม เรื่องการประมง ไม่กินเนื้อสัตว์ เรากินแต่ผักก็ปลูกพืชผักซึ่งไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะฉะนั้นมาที่นี่ปลอดภัยที่สุด เจริญที่สุด 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:14:29 )

เรียนที่เวทนาจะบรรลุทุกอย่างจบ

รายละเอียด

เรามาเรียนรู้ธรรมะที่เป็นอภิธรรมที่อาตมาอธิบายขึ้นมานี้ เราก็จะได้รู้เรื่องจิตเจตสิกต่างๆ โดยเฉพาะเวทนา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของศาสนาพุทธ เรียนที่เวทนานี่แหละจะบรรลุทุกอย่างจบ แล้วก็แยกเวทนาให้เป็น 2 ให้ได้ เรียนรู้จากเวทนา 2 ให้ได้ เพราะมีอวิชชามันจะเป็น 2 เมื่อมีวิชชาก็จะเข้าใจว่า เวทนามันต้องมี 1 เท่านั้นแหละ ถ้ามันเป็น 2 อยู่ก็วิปลาสไป กำหนดเวทนาผิดเป็น 2 ก็วิปลาส มันก็ต้องมีแต่ความเป็นจริงตามความเป็นจริง เป็นเวทนา 1 ตามความเป็นจริง ไม่ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทางตาภายนอก ทางหูภายนอก ทางจมูกลิ้นกายภายนอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:23:09 )

เรียนธรรมะขั้นโลกุตระ

รายละเอียด

อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าโลกุตระคืออะไร มีคนจำนวนมากที่ศึกษาศาสนาแต่ไม่รู้จักโลกุตระหรือโลกียะ คนศึกษาศาสนาจึงจะรู้ว่ามีความแตกต่าง 2 อย่างนี้ เข้าใจแล้วสามารถก้าวเข้าสู่โลกุตระได้ เข้าใจแล้วเชื่อว่าตัวเองทำให้จิตวิญญาณก้าวเข้าสู่โลกุตระได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่อาตมาเข้าใจว่าเป็นผลสำเร็จของอาตมาอย่างหนึ่ง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ไม่ใช่ศาสนาอย่างที่กลุ่มใหญ่เขาทำกันตอนนี้ เป็นโลกียะและเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นศาสนาไสยศาสตร์ออกนอกรีตเยอะมากมาย น่าเสียดาย

เป็นการตอบรับที่อาตมาเผยแพร่ธรรมะแล้วทำไมรายงานผลมาเช่นนี้ก็ใช้ได้ ไม่สูญเปล่า จะได้มากได้น้อยจะได้จริงแค่ไหนก็แล้วแต่ อย่างน้อยเขาก็ต้องมีความเข้าใจอยู่บ้างที่พูดมาขนาดนี้ ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกตรงตามพยัญชนะที่พูดมาทุกอย่างแล้ว ถ้าเข้าใจเช่นนี้นิพพานเป็นที่หวังได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:11:26 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 07:39:55 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 06:59:42 )

เรียนธรรมะให้เข้าเป้าอย่างไร

รายละเอียด

แล้วเราก็มาเรียนให้เข้าเป้า เข้าเป้าก็คืออ่านจิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วแยกแยะ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสให้ได้ คุณอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่ฟังอาตมาเอามาขยายความนี้ แล้วคุณก็ไปรู้อาการ ลิงค หรือ ความแตกต่าง 

ในอาการต่างๆมันจะมี 2 อยู่เสมอ โดยเฉพาะก็คือ มันมีกิเลสร่วมด้วยอันนึง เรียกว่า สสังขาริกัง มีกิเลสนำ ปนอยู่ ปรุงแต่งร่วมอยู่ แยกให้ออก เมื่อแยกกิเลสได้ คุณจึงเห็นว่าอาการกิเลสมันเป็นเช่นนี้ แล้วคุณก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่ากิเลสนี้แหละไม่ใช่ตัวจริง การสัมผัสในเวทนาจริงๆ สัมผัสดอกไม้เหลืองมันก็เห็นความเหลือง คนที่มีธาตุรู้มีเวทนาสัมผัสก็เห็นว่าเหลืองเหมือนกันหมด แต่จะเรียกภาษาต่างกันไปตามแต่ละที่ เช่นสีเหลืองที่นี่ก็มีชื่อต่างกันไป ฝรั่งเรียกเหลือง Yellow แต่มันมีอีกมันมีอะไรผสมมันมีอะไรชอบไปดูอันนี้ต้องเรียนแล้วเยกมันเป็นศาสนาพุทธไม่มากไม่มายเลยเมื่อได้แยกมันไปทำเป็นหนึ่งในใจได้จึงเรียกว่าเอกกัคคตาให้เกิดเอกลักษณ์ตราร่มให้เกิดความรู้สึกเกิดอารมณ์ดีแท้ๆ ก็ไม่อาจขาดด้วยนะแปลว่า

เราสัมผัสความจริง เป็นเวทนา ทุกคนที่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีประสาท มีความรู้สึกสัมผัสอะไรก็รู้เหมือนกัน ถืออันนั้นแหละเป็นความจริงที่มีอยู่ในโลกสมมุติ ลึกเข้าไปเป็นปรมัตถ์ก็คือความจริงมันจริงเพียวๆ หรือเปล่า แต่มันมีอีกมีอะไรมาผสมมันมีอะไรมาชอบหรือชัง ผลักหรือดูด อันนี้ต้องมาเรียนแล้วอย่าให้มันเป็น เท่านี้แหละศาสนาพุทธไม่มากมาย มีเท่านี้ เรียนรู้ให้ได้ อย่าให้มันเป็นสอง ให้มันเป็นหนึ่งให้ได้ เรียกว่า เอกัคคตา ให้เกิดเอกัคคตารมณ์ อารมณ์ที่เป็นเอกของมันแท้ๆ เอก ต้องมีอัคคะ อัคคะ คือความยิ่งใหญ่ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความรู้ในเรื่อง 1 เอก คือเอกัคคตาธรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 15:25:23 )

เรียนรู้

รายละเอียด

ก็เป็นเรื่องจริง อาหารเป็นหนึ่งในโลก คำว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลกนี้ก็ลึกซึ้ง เป็นหนึ่งในโลกทั้งความจำเป็นในชีวิตมนุษย์ สัตว์ก็ต้องมีอาหารเป็นหนึ่ง ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนถึงสัตว์หลายล้านเซลล์ อาหารคือสิ่งที่กินเข้าไปบำรุงร่างกาย จะมีความรู้ถึงปรินิพพานก็เอาความรู้เรื่องอาหารนี่แหละไปทำ พระพุทธเจ้าถึงเอามาสอน มีเรื่องอาหาร 4 ครบเลย คุณเรียนอาหาร 4 ให้แตกฉาน คุณสามารถเป็นพระอรหันต์ได้เลย อาหารอย่างแรกคือคำข้าว กวฬิงการาหาร เรียนรู้คือ จะต้องมีผัสสะ คุณจะต้องอ่านจิตของคุณ คุณมีผัสสะภายนอกกินอาหารเข้าไปเกิดอาการเป็นเวทนาเป็นอารมณ์ความรู้สึก แยกเวทนา ก็ต้องมีผัสสะ 

สัมผัสกับอาหารแล้ว หากคุณนั่งหลับตาก็ไม่มีผัสสะ ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตาเป็นการปฏิบัติผิด อปัณกปฏิปทา ข้อที่ 2 ใน 3 ข้อ คุณไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะคุณก็ไม่เต็ม เพราะคุณไปหลับตา สำรวมอินทรีย์ 6 คุณก็ไม่มีคู่มีแต่สำรวมอินทรีย์ 1 มีแต่สำรวมใจในใจอยู่ในภพ คุณจึงโมฆะจากศาสนาพุทธ ฟังบ้างเปิดหัวเปิดหูฟังอาตมาบ้าง ปรโตโฆษะ ปฏิบัติแบบหลับตานั้นเลิกเสีย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 16:13:41 )

เรียนรู้

รายละเอียด

มาเข้าสู่คำว่ากาย คำว่า กาย เริ่มต้น มันมี 2 เริ่มต้น 1 พระพุทธเจ้าตรัสเป็นกลางๆ ของหลักสูตรว่า คุณจะต้องพ้น สักกายทิฏฐิ 

เริ่มต้นอีกอันหนึ่ง พระพุทธเจ้ามีหลักวินัยว่า พระอุปัชฌาย์จะต้องอธิบายแยกกายแยกจิต ให้ผู้ที่บวชขึ้นมาเป็นพระ เป็นภิกษุ ให้รู้จักกาย รู้จักแยกกายแยกจิตได้ให้เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิเลยว่า เมื่อใดเป็นอุตุนิยาม จิตหรือพลังงานจิตนิยาม เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นจิต แล้วก็จะทำให้เป็นกรรมเป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมนิยาม 5 

ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่สามารถแยกกายแยกจิต ทำจิตไม่ให้เป็นกาย ไม่ให้มีกาย ทำจิตให้เหมือนอุตุ เป็นเหมือนดินน้ำไฟลม ซึ่งไม่เป็นชีวะ เป็นวัตถุธาตุ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:18:03 )

เรียนรู้ 2 ใน 1 1 ใน 2

รายละเอียด

ทางนี้ทางเดียวที่จะโง่สมบูรณ์แบบ คุณก็ได้แบบนั้น มันมีทางนี้ทางเดียวคือของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแล้วก็ต้องรู้ 2 ทางมาเปรียบเทียบกัน ว่า 2 ทางนี้มันมีทางเดียวจริงๆ นะ ทางนี้มันยังไม่ใช่ แล้วคุณก็ไปหลงอยู่แค่ทางเดียวที่เป็นทางอีกทางหนึ่ง ที่มีคนเสนอว่ามันไม่เหมือนนะ มันต่าง ถ้ามันมีต่างมันก็ต้องมี 2 สิ 

มันมีต่าง มันมีนานา เพราะฉะนั้น ต้องมาลองอีกอันสิ แล้วคุณถึงจะรู้ว่ามันจบอยู่ในทางนี้ทางเดียว ทางเดียวคือรู้ว่า 2 มันยังไม่จบ มี 2 ไปหลงทางอยู่ 2 ทางแต่คุณโง่ไม่เอาอีกทางหนึ่ง คุณไม่มีทางจบหรอก คุณก็วนอยู่ในโลกโลกีย์อย่างเก่า 

เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้ 2 ใน 1, 1 ใน 2 เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วน 2 (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 

มันจึงเป็นจุดจบ เป็นแหล่งกรรมฐานเวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนา ในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งของการปฏิบัติ แต่เขาก็ไปหลงผิดว่ากรรมฐานต้องไปนั่งหลับตา ไปออกป่าไปบุกดง มันไปกันใหญ่เลยน่าสงสาร มันไม่เข้าตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไปแปลก็เพี้ยนๆ อีกไปตามที่เขาชอบ 

เพราะฉะนั้น อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้า ถกกับอัมพัฏฐมานพ ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าก็คือวิชชาจรณสมบัติ คือ มีทรัพย์หรือว่ามีความรู้ในวิชชาจรณะ อัมพัฏฐมานพ ก็ถือว่าตัวเองมีวิชชาจรณะเป็นลูกศิษย์ผู้มีครูถ่ายทอดมา ท่องได้ไตรเวชครบ วิชชาจรณสัมปันโนทะลุ ต้องไปอ่านรายละเอียดใน อัมพัฏฐสูตร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 13:11:39 )

เรียนรู้ ปฏิจจสมุปบาท

รายละเอียด

ทีนี้ก็มาพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ขึ้นต้นด้วยอวิชชา เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปจึงมีอายตนะ เพราะมีอายตนะจึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาจึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานจึงมีภพมีชาติ แล้วก็ตกอยู่ในภาวะ โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ อยู่ในความโศกเศร้า พิรี้พิไร ทุกข์บ้างโทมนัสบ้าง ไม่ได้เป็นสุขหรอก อุปายาส ทุกข์ทรมานรำคาญใจอยู่อย่างนั้นตลอดกาล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:20:51 )

เรียนรู้ สกะ สวะ สยะ

รายละเอียด

อาตมาพูดนี้ อย่าว่าพูดเพ้อๆเล่นๆ หัวๆ ไม่ใช่ แต่พูดด้วยความจริงที่พยายามใช้สภาพ 2 คือ ภาษาหรือพยัญชนะสื่อเข้าไปสู่สภาวะ สภาวะสัจจะ อธิบายให้รู้ทั้ง 2 สภาพ ถ้ามันแย้งกัน สลับกัน มันก็ผิด 2 อย่างจะไม่เหมือนกัน จบด้วย 2 อย่างจะไม่เหมือนกัน ถ้ามี 2 ผู้ที่เข้าใจ 2 อย่างลงตัวกันเป็นหนึ่งด้วยกันทั้งคู่ ยิ่งสามารถเข้าใจว่าเป็น 0 ได้ ทุกอย่างเป็นแค่อนัตตา เป็นแค่สมมุติ เป็น 1 แล้วก็อาศัยเป็น 1 ไปร่วมกัน แล้วแต่ละคนก็ยิ่งสามารถทำจิตให้เป็น 0 ได้เลยก็จบ จบด้วย 0 1 2 

เพราะฉะนั้นจะไม่งง ไม่สงสัยในความเป็น 2 เลย ในอะไรก็แล้วแต่ต้องเป็น 2 ถ้าอันใดไปหลงเป็น 1 แล้วยึดเป็น 1 เช่นยึดพระเจ้าว่าเป็น 1 เท่านั้นไม่มี 2 อย่าไปแยก อย่าไปอธิบายเป็น 2 อีกไม่ได้ต้องเป็น 1 นิรันดร ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ขึ้นอยู่กับ กาละ เทศะ ฐานะ พวกนี้มืดบอด อยู่กับความเที่ยงที่ ทั้งตายทั้งเน่า อยู่กับซากศพที่เน่าด้วย น่าสงสาร กาละต้องเคลื่อนไป ไม่มีกาละใดที่ไม่เคลื่อน เทศะก็เปลี่ยนไป ฐานะก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมสัดส่วน ฐานะคือภูมิธรรม เทศะคือ ภูมิประเทศ กาละคือสิ่งที่เคลื่อนไป 

ถ้าเข้าใจอันนี้ดี คุณจะอยู่กับโลกอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ศึกษาธรรมะจนกระทั่งเข้าใจแม้แต่อัตตาหรือจิตวิญญาณของเรา แล้วก็เข้าใจรอบถ้วนเลยว่า เราอาศัย เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เราแค่อาศัย แล้วก็ไม่มียางเหนียวอะไรที่จะติด ยึดไม่รู้จักปล่อยวาง เป็นผู้ที่รู้จักสูงสุดในเรื่องของพลังงานเศษวรรค แค่ ยะ 

อยะ ไม่มีแม้แต่เหลือยาง อะ คือไม่ ไม่มีแม้แต่ยางแล้ว อยะคือยางเหนียวที่มันยึดอะไรต่ออะไรอยู่ด้วยอวิชชา เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ด้วยวิชชาแล้วก็ใช้ยางเหนียวนี้เพื่ออาศัย เพื่อ สยะ เท่านั้น โดยใช้งานชั่วคราวเรียกว่า สวะ และ อยู่กับโลกเขาอย่าง สักกะ 

สักกะ สวะ สยะ 3 อย่างนี้ อาตมาใช้พยัญชนะพวกนี้มาสื่อสภาวธรรมที่ลึกซึ้ง อธิบายสภาวธรรมมาสู่ฟัง อาตมาอธิบายสภาวะของ สักกะ อย่างไร สวะ อย่างไร สยะ อย่างไร เช่น อาสวะ พวกเราเข้าใจว่าอาสวะเป็นกิเลส อาสยะ ไม่มีกิเลสแล้วเป็นอาศัยเท่านั้น 

ถ้ายิ่งเป็น อาสกะ มืดเลย แน่นเลยใหญ่เลย เป็นคนโลกๆไปเลยตลอดกาลอีกนานเท่านาน กว่าจะตรัสรู้ กว่าจะหลุดพ้น พวก สักกะ ที่อาตมาอธิบายไปนี้ไม่ใช่พูดพล่อยๆ พูดเล่นไปตามความคะนอง ไม่ใช่ 

อาตมาพูดโดยอาศัยสภาวธรรม เป็นเครื่องอธิบายพยัญชนะทั้งหลายแหล่ที่ปราชญ์เอกผู้ที่บัญญัติภาษาขึ้นมา โดยเฉพาะตั้งแต่ภาษาบาลี เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งสร้าง แล้วพระพุทธเจ้าองค์หลังๆต่อมา ก็ใช้ภาษาพวกนี้ ภาษาบาลีเป็นต้น เรียนรู้จากภาษาให้เป็นสภาวะ จนเข้าใจสภาวะสูงสุด ก็ต้องใช้สื่อจากภาษา 

คนไม่รู้สภาวะไปหลงแต่ภาษาเป็น ปทปรมบุคคล จึงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดที่ได้พูดไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2566 ( 20:26:35 )

เรียนรู้ โอฬาริกอัตตา และ มโนมยอัตตา

รายละเอียด

ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว เรียนรู้เวทนาแล้วแยก มโนปวิจาร 18 

โลกียะเวทนาเรียกว่า เคหสิตเวทนา 18 แล้วทำกิเลสให้ออก เรียกว่าเนกขัมมสิตเวทนา อีก 18 ทำออกได้เรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มต้น โอฬาริกอัตตา รู้จักกามภพ ตั้งแต่อบายภพ

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้หลับตา แต่ลืมตามีสติตื่นเต็มรับรู้ภายนอก โอฬาริกอัตตา รู้กิเลสที่เกิดแล้วกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นให้หมดได้จริงๆ มันตายจริงๆ ด้วยปัญญาอันยิ่ง มันตายข้างนอก เหลือข้างในเป็นรูปภพอรูปภพ ก็ยังเห็นภายนอกอยู่นั่นแหละ เหตุที่มันทำให้เกิดกิเลส กามมันไม่มีแล้ว มันเหลือภายใน เรียกว่ารูป และลึกเข้าไปอีก เหลืออันสุดท้ายเรียกว่า อรูป ก็ยังกระทบสัมผัสอยู่ภายนอกนี่แหละ ไม่ได้หลับตาเลย สักตอนไหนก็ไม่ใช่ แต่กิเลสมันดับ กิเลสมันหมดมันไม่มี จึงอยู่เหนือเรียกว่าโลกุตระ เหนือโลกกาม เหลือรูปโลก อรูปโลก ก็มาหากิเลสขั้นกลางคือรูปอีก เรียก มโนมยอัตตา มันก็ยังเป็นกิเลสภายนอกอยู่ เป็นมโนมยอัตตาภายนอก หมดแล้วก็เหลือแต่ มโนมยอัตตาภายในแท้ๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:36:56 )

เรียนรู้ “กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เรียนอย่างไร?

รายละเอียด

การเรียนรู้“กายในกาย”คือ การเรียนรู้รอบถ้วนทั้ง“โลก”ทั้ง“อัตตา”ที่เกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งหมดครบ“ภายนอก-ภายใน”ส่วน“เวทนาในเวทนา”นั้นคือ การเรียนรู้เข้าไปหา“ภายใน”ที่ต่อจาก“กาย”อีกที หรือ เรียนรู้ “เวทนา 108”และ“จิตในจิต”คือ การเรียนรู้“เจโตปริยญาณ 16” สำหรับการเรียนรู้“ธรรมในธรรม”นั้นคือ การรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะที่“ทรงอยู่”หรือ“ทรงไว้”ในเครื่องอาศัยอยู่ของเราเองทั้งหมด ทุกเหลี่ยม ทุกมุม ทุกมิติทุกนัยะ ซึ่งจะรู้ครบทั้งในความเป็น“กุศลธรรม-อกุศลธรรม(โลกียะ)” และทั้งในความเป็น“โลกียธรรม-โลกุตรธรรม(โลกุตระ)” รู้ทั้งความจริงที่เป็น“เทฺว”อันคือ“จิตนิรันดร-จิตอนัตตา” ซึ่ง“ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง”แต่ละอย่างเราใช้เป็นอุปกรณ์เรียนรู้“แยกกาย-แยกจิต”ว่าส่วนไหนที่เป็น“กาย” ส่วนไหนที่เป็น“จิต”ได้ ส่วนไหนที่ไม่ใช่“กาย”แล้ว แต่ยังมี“ชีวะ”ซึ่งยังเป็น“พีชนิยาม”อยู่ หรือส่วนไหนที่เป็น“อุตุนิยาม”ไปเลย ไม่ใช่“กาย”แล้วจริง

เช่น คนที่สิ้นลมหายใจ ตายลง ร่างกายเรียกว่า“ศพ(สวะ)” คือ ส่วนนี้ไม่ใช่“กายของเราแล้ว” ไม่ใช่“สก(เป็นของตน)”ของเราแล้ว

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 447 หน้า 325


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:53:16 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:52:29 )

เรียนรู้กระทำใจในใจให้เป็นโยนิโสมนสิการได้อย่างไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เต็มรูปเป็นรูป 28 นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จักทำใจในใจให้เป็นโยนิโสมนสิการได้ คุณต้องมีผัสสะเป็นนาม สามเส้า เวทนา เจตนา ผัสสะ ก็ทำใจในใจที่เวทนา แล้วอ่านเจตนาในเวทนาให้ได้ 

เจตนาเป็นกาม เป็นปฏิฆะ แล้วฆ่า ล้างกาม ล้างปฏิฆะให้หมด ก็เหลือเวทนาสะอาด

เวทนา ปราศจากกิเลส เรียกโดยศัพท์ว่า อุเบกขา หรือ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ปราศจากกิเลส ปราศจากความดูดและผลัก ปราศจากนรกสวรรค์ สะอาดจากความเป็น 2 เป็น 0 หรือเป็นกลาง 

อุเบกขาก็ต้องล้างกิเลสออก ก็ต้องแยกเวทนาออกเป็นเคหะสิตะกับเนกขัมมะให้ได้ ถ้าไม่มีปัญญาแล้วก็ใช้สัญญากำหนดหมายว่า แยะแยะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ทั้ง แยกอาการ ลิงค นิมิต และเวทนา 2 ทำให้เป็น 1 ก็อยู่ในพระสูตรนี้ 

ถ้ามันมี 2 ก็ต้องต่างกัน มันมี 1 ถึงจะไม่มีอะไรต่าง แยกให้ได้ ก็เลยเรียกเวทนาหนึ่งว่าเป็นเวทนาแท้ เวทนาอีกอันว่าเป็นเวทนาเก๊ เพราะมันมีเจตนาผิด เจตนาเป็นตัณหา เจตนาเป็นกามตัณหา ภวตัณหา ก็ล้างกามก่อน หมดกามก็เหลือภว เป็น รูป อรูป ก็ล้างอีก เนกขัมมะ ล้างจนหมด จิตสะอาดทั้งกามและภพทั้ง 3 ภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมด จิตก็เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ คุณก็จะเห็นของจริง รู้ของจริงของคุณได้ ด้วยการปฏิบัติทำอาชีพและกรรมทุกกรรม และทางวาจา แล้วจัดการกับสังกัปปะ 7 ให้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 20:32:22 )

เรียนรู้กามตัณหาเป็นเบื้องต้น

รายละเอียด

อุปาทาน คือ Static ตัณหา คือ Dynamic อุปาทาน คือ จิตเป็นตัวตั้ง ตัณหาคือ Dynamic คือตัวเคลื่อนที่จากตัวตั้ง คู่กัน อุปาทานกับตัณหา พระพุทธเจ้าจึงให้ศึกษาที่ความรู้สึก แยกตัณหา 

ตัวที่เคลื่อนไหวอยู่คือตัณหา ดูได้ง่ายกว่านิ่งดิ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ เฉย เหมือนกับไม่มีตัวตน หลอก อุปาทาน ไอ้ตัวนั้นมันรู้ได้ยาก ก็มาเรียนรู้ตัณหา พระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้อาการเคลื่อน เมื่อสัมผัสก็มีตัณหาเกิดอาการเคลื่อน แล้วก็แยกไปดูตั้งแต่ 

กามตัณหา ซึ่งเป็นเบื้องต้น ต้องเรียนรู้ เมื่อสัมผัสทางกายภายนอกสัมผัสแล้วเรียกว่า กามคุณ 5 ตัณหา กิเลส 5 ทางภายนอกรูปรสกลิ่นเสียง เราต้องรู้ตัวจริงสภาวธรรมของกิเลสคือตัณหานี้ แล้วลดมันให้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤศจิกายน 2564 ( 21:37:37 )

เรียนรู้กามาวจร

รายละเอียด

กิเลสเป็นพลังงาน กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เป็นพลังงาน แล้วก็ต้องถูกประหารด้วยพลังงานปัญญา ประหาร ราคะ โทสะ โมหะ ได้ 

เพราะฉะนั้นผู้สร้างปัญญา สร้างจิตให้เป็นปัญญานี่แหละ จนกระทั่งเกิดปัญญา เกิดจากสภาพ 2 บวกกับลบ สร้างพลังงาน 2 ที่มีบวกกับลบ เป็นรูปกับนาม หรือรวมแล้วเรียกว่ากาย มีสัญญากำหนดรู้กาย กำหนดรู้รูปนาม กำหนดรู้ทั้งกายทั้งวิญญาณ

ในกาย มีทั้งวิญญาณมีทั้งรูปเป็นสภาพ 2 สัญญากำหนดรู้สภาพ 2 นี้ทำงานกันยังไงจบตรงนี้ ในวิญญาณฐิติสูตร มีสัญญากำหนดรู้ครบในความตื่นๆ มีวิญญาณฐิติไม่ใช่เป็นวิญญาณสัมภเวสี ไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอย ไม่ใช่วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้ง แต่เป็นวิญญาณที่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายทำงานอยู่คือกามาวจร 

รู้กามาวจรเสร็จอยู่เหนือได้ ก็เป็นอนาคามีก็ไปเรียนรู้ทำได้กิเลสใน รูปาวจร อรูปาวจรอีก จบเป็นอรหันต์เลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ลักษณะประชาธิปไตยสุดยอด 11 ประการ วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565 แรม 1 ค่ำเดือน 12 ปี ขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2565 ( 12:56:11 )

เรียนรู้กามโทษจากอาหารคือคำข้าว

รายละเอียด

โดยเฉพาะข้อ “โภชเนมัตตัญญุตา” ข้อที่จะสำรวมในของกิน ของใช้ ของกินเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าเน้นเลยให้เรียนรู้เรื่องของกิน ของกินคือคำข้าว โภชเนมัตตัญญุตา

ข้อแรก คือ “คำข้าว” เรียกว่า “กวฬิงการาหาร” อาหารคือคำข้าว การกินนี่แหละ แล้ว เรียนรู้ จากการกินมีผัสสะ มีเจตนา มีวิญญาณ 4 อันนี้แล้วเรียนแล้วเป็นอรหันต์ได้ เรียนจากการกินนี่แหละ อาหารคำข้าว มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในนี้ครบมีกิเลสครบ เรียนรู้ตั้งแต่เป็นกิเลส กาม 

หมดกิเลสกาม แล้วในอาหารนี้มีรูป มีอรูป หมดกิเลสกามแล้วเหลือรูป ต่องแต่งอยู่ข้างใน หมดรูป เหลืออรูปภายใน ล้างให้หมดก็จะหมดได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:28:28 )

เรียนรู้กาย เวทนา จิต ธรรม

รายละเอียด

กาย แปลว่า จิต มโน วิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

คำว่ากาย อาตมาแยกให้รู้มูลกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มีทั้งส่วนเปลือกที่ไม่ใช่กาย แล้วส่วนไหนเป็นจิต ส่วนไหนเป็นอุตุ

เล็บ ส่วนที่หลุดออกไปจากร่างแล้ว ผมหลุดออกไปจากร่างแล้ว แน่นอนมันก็ไม่ใช่กายใครก็รู้ แต่ส่วนเล็บที่ติดกับตัวเราแล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บ ฟันที่เป็นภายนอกก็ไม่เจ็บ ที่ไม่เจ็บก็ยังมีส่วนที่มีชีวะอยู่ได้ แต่ไม่เจ็บ แต่มีชีวะขั้นพีชะ

พีชะ ไม่มีเวทนาไม่มีความเจ็บปวด จึงต้องศึกษาว่าส่วนเหล่านี้ ตัดออกไปแล้วไม่ใช่กาย กายต้องมีจิตร่วมด้วย เป็นสามระดับง่ายๆ หากพิจารณากายในกายไม่ถูกก็ไม่เข้าใจเวทนาในเวทนาเพียงพอ จนสมบูรณ์แบบ เวทนา 108 จิตในจิตซึ่งแยกเป็น มโนปวิจาร เพื่อแยกและทำให้ได้ผลในเจโตปริยญาณ 16

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยะของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)

 2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

 3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

 4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

 5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  

 6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .

 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

9. มหัคคตจิต  (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต  (จิตไม่เจริญขึ้น)

11. สอุตตรจิต  (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต  (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .

13. สมาหิตจิต  (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต  (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต  (จิตหลุดพ้น) . . .

16. อวิมุตตจิต  (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 135)

แล้วก็ทำให้ทรงไว้เป็นธรรมะ หากแยกแยะ กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้จะไปสามารถปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เข้าใจไม่ได้ก็จะปฏิบัติไม่ถูกไปตลอด เข้าใจแล้วจึงปฏิบัติถูกต้องไปตลอด เป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจศึกษา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน คำสอนจากสยังอภิญญาพาบรรลุจริง


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 19:59:50 )

เรียนรู้กายที่มีกิเลสต้องมีจิตด้วย

รายละเอียด

กิเลสไม่ได้อยู่ที่แครอท บีทรูท บักต้องหรืออะไรไม่ใช่ กิเลสมันอยู่ที่จิต เพราะฉะนั้นคุณเรียนรู้กาย คุณก็ต้องมีกายด้วยจิตด้วย เป็นคู่ 2 แล้วเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา เกิดจิต เกิดกิเลส ปรุงแต่งกันด้วยอวิชชา คุณก็ต้องแยกกิเลสให้ออกจากที่มันปรุงแต่ง ปรุงแต่งมาก็เป็นวิญญาณ เป็นกลุ่มก้อนทั้ง 3 ครบเรียกว่าสังขารแล้วก็มาเป็นวิญญาณ จึงจะต้องมาเรียนรูปนามจากคู่จาก 1 และ 2 จากปฏิจจสมุปบาท 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2564 ( 19:20:23 )

เรียนรู้กายรู้จิตที่สมบูรณ์แบบ

รายละเอียด

ธรรมดา ธรรมชาติ ก็เป็นเคหสิตะ มีสุขมีทุกข์ มีดีมีชั่วอยู่ในนั้นหมด จนเราสามารถเรียนรู้ดีชั่วแล้ว ไม่ทำแล้วชั่วทั้งหลาย ตามสมมุติโลก ซึ่งไม่เที่ยงอีก ที่นี่หรือที่อื่นก็สมมุติต่างกัน คุณก็ทำตามสมมุติ ก็อยู่รอดแล้วกับหมู่ฝูง

เสร็จแล้วก็มาเรียนรู้ตัวนี้ทั้งโลกียะทั้งโลกุตระ ต้องมาเรียนรู้สุข หรือเรียนรู้กายรู้จิตที่สมบูรณ์แบบ เมื่อใดคุณจะไม่สุข เมื่อใดคุณจะไม่ทุกข์ 

สุขกับทุกข์ก็ต้องมาแยกกันออก โดยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ให้รู้ถึงอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ปุริสภาวะ เป็น 1 อิตถีภาวะเป็น 2  และ 2 นี้จับปรุงแต่งกัน ถ้าน้อยลงก็เป็น 1 ลดความปรุงแต่งจนกระทั่งไม่ปรุงแต่งเลยเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียกว่าเป็นเอกบุรุษ ไม่ปรุงไม่แต่งแล้ว เกี่ยวข้องกันสัมพันธ์กันช่วยเหลือกันได้ บุรุษนี่แหละช่วยสตรีเยอะ สตรีก็มีแต่จะทำให้บุรุษแย่ลงไปทุกที 

จะต้องยอมรับความจริงว่าเป็นตัวที่ยังมีกิเลสอยู่มากกว่าเอก เอกเขาเป็น 1 สตรีมันมี 2 แล้ว เอกเขานี่ 1 แล้ว 

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจลักษณะแท้พวกนี้ แล้วก็ไม่ยอมรับว่าเราเกิดมาเป็นผู้หญิง เขาเกิดมาเป็นผู้ชาย เกิดเป็นผู้หญิงจะถูกดูถูกก็ทำไมมันเป็นความจริง แต่ก็เรียนรู้เป็นอรหันต์ได้ หมดสุขหมดทุกข์ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ 

มันจะมีวิบากที่เกิดมาเป็นหญิง ก็ช่างศีรษะมันปะไร ก็เราก็ปฏิบัติธรรมะให้มันเป็นอรหันต์  ถ้าเราเองเราอยากพ้นทุกข์ เมื่อคุณพ้นทุกข์แล้ว คุณเป็นอรหันต์แล้วคุณอยากมาเกิดอีกเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ชายอีกคุณได้เป็นแน่ แต่คุณยังไม่มีคุณสมบัติเลย คุณยังไม่มีธรรมะอะไรที่คุณจะมาข้ามเขตมาเป็นบุรุษมาเป็นผู้ชาย มาเป็นเพศชาย มาเป็นเอกบุรุษได้ คุณก็ทำไม่ได้ อยากเป็นอย่างไร หนักเข้าเป็นกะเทยเลย ยุ่ง ยิ่งยุ่งใหญ่เลยยิ่งพิสดารใหญ่เลย เป็นผู้หญิงแท้ๆดัดจริตจะมาเป็นผู้ชาย ไอ้อย่างนี้ไม่ค่อยน่าเกลียดเท่าไหร่ ผู้ชายดัดจริตจะไปเป็นผู้หญิงอีกเถอะ คุณเอ๋ยทำไมโง่ซ้ำซ้อน เอาเถอะผู้หญิงเขาก็โง่แล้ว เขายังอยากจะเป็นกะเทย แต่ผู้ชายนี้ทำไมดีๆ ทำไมถึง อยากไปเป็นผู้หญิงทำไมมันปึกแท้ โง่ ผู้ชายอยากเป็นผู้หญิง

อาตมาไม่ได้ว่าลงโทษเขานะ เป็นสัจธรรม คนที่ยังยึดยังติดยังเป็นเขาก็ยังเป็น อาตมามีหน้าที่รู้แล้วก็ต้องเอามาอธิบาย จะบอกว่าอาตมาเคยเป็นกะเทยมาหรือเปล่า อาตมาจำไม่ได้ มันนานเสียจนอาตมาทิ้งมันมานานแล้ว จนกระทั่งก็น่าจะโง่มาก่อนฉลาดนะ น่าจะเป็นกะเทยมาจนลืมจนระลึกไม่ออกว่าเราผ่านชาติที่เป็นกะเทยมาหรือเปล่า เราก็ระลึกได้แต่ชาติที่เราดีๆขึ้นมาเรื่อยๆเรื่องชั่วๆของเราเคยเป็นนั้นไม่ต้องไปจำเลย เราก็ลืมสนิท มันเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่มันก็เป็นคนเขาเป็นอยู่ไม่รู้ว่าเราเคยเป็นมาก่อนหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เราก็ได้แต่แค่นั้น อาตมาก็พูดได้แค่นั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 06:30:06 )

เรียนรู้กายให้สัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

ถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องกายอย่างสัมมาทิฏฐิ และกายนั้น ต้องรู้หทัยรูป รู้อาการจิตของตน เวลาปฏิบัติสัมผัสก็ต้องอ่านอย่างถูกต้อง ว่านี่คือเวทนานะ มันผลักมันดูดอย่างไร สัญญากำหนดหมายให้รู้ภายนอกภายใน แล้วก็ทำภายนอกนั่นแหละมาก่อน จนอยู่เหนือภายนอกทั้งหมดจนเหลืออรูปอัตตา คุณก็ลืมตาสัมผัสภายนอกอยู่นั่นแหละ แต่กิเลสหยาบกามาวจรมันหมดแล้ว เหลือแต่รูปาวจร อรูปาวจรดำเนินอยู่ในขั้นอรูป ต้องเรียนตอนอวจร ไม่ใช่ไปเรียนตอนมันดับสัมผัส ต้องอวจร คือดำเนินอยู่ในอว หรืออวกาศ หรือ ไม่มีอาการศึกษาไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 14:56:08 )

เรียนรู้กายให้เห็นเป็นภาวะ 2 ในมิติต่างๆ ความมืดมนก็จะหายไป!

รายละเอียด

“กาย”คือ ภาวะ 2 ที่มี“รูปกับนาม” มี“ภายนอกกับภาย

ใน” มี“สุขกับทุกข์” มี“ภาวะที่ถูกรู้(รูป)”กับ“ตัวเองเป็นผู้รู้(นาม)” มี“ความรู้สึกชอบ”กับ“ความรู้สึกไม่ชอบ” มี“ภาวะเกิด”กับ“ภาวะดับ”

เฉพาะอย่างยิ่งพิสูจน์“ภาวะ 2”ที่เป็นคู่สำคัญคือ “ภาวะที่พิสูจน์ได้”กับ“ภาวะลึกลับ”เป็นต้น นี่คือ การชี้ชัด“สภาวะคู่เอก” “สภาวะคู่”สำคัญที่สุดในความเป็น“วิญญาณ”ทั้งหลาย ที่เรียกว่า “อัตตาหรืออาตมันหรือปรมาตมัน” นี้แหละ“กาย”คู่เอกในความเป็น“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”หรือ“เทฺว”ที่ต้องเรียนพิสูจน์ 

เช่น “เทฺว”หรือ“อัตตา(อาตมัน,ปรมาตมัน)”ซึ่งอยู่ในสภาพเป็น“วิญญาณ”ทั้งหลาย 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 327 หน้า 245


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:10:23 )

เรียนรู้กายได้ในวิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

ที่จริงวิญญาณมันไม่ได้แค่ลอย ไม่มีที่ตั้ง มันต้องมีที่ตั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สายหลับตา มีแต่วิญญาณสัมภเวสีไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีวิญญาณแท้ๆที่เป็นวิญญาณฐิติ ที่ตั้ง

เมื่อมีวิญญาณฐีติ ให้เรียนรู้กายในวิญญาณฐีติ 7 เรียนรู้จบทั้งหมดที่ 7 ที่อากิญจัญญายตนะ อะไรที่ไม่ควรให้มี ก็คือ กลิ หรือกิเลส ทำให้ไม่มีเสร็จจบ ไม่มีเลย อากิญจัญญะ นิดนึงน้อยนึงก็ไม่มี ก็จบที่กายกับสัญญา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 15:54:19 )

เรียนรู้การประมาณตามสัปปุริสธรรม 7

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รู้ว่ามันซ้อน สอนให้รู้ว่า 1 ที่ดีคืออะไร จึงสอนทีละคู่ๆ เทวะ แล้วให้รู้จักกาละ เทศะ ฐานะ ตามสัปปุริสธรรม 7 ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา มีทั้ง 2 อย่าง แล้วก็จะต้องรู้จักการประมาณ รู้จักการจัดสรรว่า 2 อย่างนี้เมื่อใดแล้วก็ต้องไปถึง กาลัญญุตา แล้วก็ต้องไปถึงหมู่กลุ่ม ปริสัญญุตา แต่ละหมู่กลุ่มก็จะกำหนดกัน ตามกาละโอกาส หรือแต่ละบุคคล ปุคคลปโรปรัญญุตา ต้องรู้ธรรมะ รู้อรรถะ เรารู้ตัวเอง อัตตัญญุตา มัตตัญญุตาค่าเฉลี่ยทั้งเหตุผลตัวเราเองทั้งกาละเวลาและหมู่กลุ่มทั้งแต่ละบุคคล นี่เป็นสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากเลย ถ้ามาจัดสรร เอามาสรุป 7 ตัวนี้ ยิ่งใหญ่มาก แต่ขนาดนั้นก็ยังมีประมาณ ขึ้นอยู่กับแต่ละยุค ยุคที่มีการกำหนดซ้อนกันอีก กัปหรือกาละที่รวมเอาขนาดไหน ย่อลงมาน้อย จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าองค์เดียว พุทธกัป มีเท่านี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายพระองค์ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นพุทธกัป ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 5,000 ปี ขององค์อื่นก็มีตั้งเป็นแสนปี ก็แต่ละองค์ ซึ่งก็เป็นการกำหนด แล้วเราก็จะรู้ตามกำหนดว่ามันชัดเจน ตามสื่อภาษาที่บอกทุกอย่างเป็นสภาวะต่างๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 12:54:58 )

เรียนรู้การสร้างอาหารของจิต

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น อาหารของจิต ทีนี้ มาพูดถึงอาหารของจิต ผู้สร้างอาหารให้แก่โลกที่เป็นวัตถุ ที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ดีแล้ว แต่อย่าไปสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นอาหาร อย่าไปสร้างอะไรเลอะเทอะ อย่าไปสร้างแฟชั่นอะไรบ้าๆบอๆ หรือไปสร้างทางจิตวิญญาณให้เป็นคน ล่า ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข เป็นนายทุนสามานย์อยู่อย่างนั้น 

มาสร้างอาหารทางวิญญาณ เรียกว่าวิญญาณาหาร อาหารทางวิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาสอนไว้ อาหารทางวิญญาณ วิญญาณคือธาตุรู้ประจำสัตว์ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานจนถึงมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นมนุษย์อาริยะ จึงรู้จักธรรมะในระดับโลกุตระนี้ 

สร้างอาหารให้กับวิญญาณ วิญญาณแยกเป็นนามรูปเป็นสภาวะ 2 รู้จักตั้งแต่เริ่ม ผัสสะ ก็รู้แล้ว จิตเมื่อผัสสะก็มีความรู้สึก มีอาการรับรู้เรียกว่าเวทนา เรียนรู้เวทนา ที่มีผัสสะอายตนะเกิดขึ้นมา แล้วมันก็มีตัวที่เกิดด้วยอวิชชา คือตัณหา มาปรุงแต่งในจิตปุ๊บเลย โดยมีอวิชชา มีสังขาร มีตัณหามาปรุงแต่งด้วยทันทีเลย แล้วตัณหามันมีคู่ของมันอยู่ด้วยกัน คือ อุปาทาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤศจิกายน 2564 ( 21:35:18 )

เรียนรู้การสลายอัตตาได้จึงจบ

รายละเอียด

ที่ว่าจบนั้นก็คือ คุณมีอัตภาพใด คุณก็สั่งสมสัญญา ความเป็นบทบาท ความเป็นกรรมวิบากอะไรไว้ แล้วคุณก็จะวนเวียนกับกรรมวิบากนั้นไป จนกระทั่งคุณสามารถหยุดกรรมวิบากได้แล้ว จนคุณเรียนรู้การสลายอัตตาได้ คุณก็จบ จบแล้วก็แยกเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว แล้วคุณยังจะถามว่าดินน้ำไฟลมเดี๋ยวก็มาเป็นพีชะ เดี๋ยวก็มาเป็นจิตอีก เราก็ต้องบอกได้แต่ว่าถ้าอย่างนั้นคุณก็จะต้องเรียนรู้ความไม่จบ กันอยู่ตลอดกาลนาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 09:22:53 )

เรียนรู้การเอากิเลสออกด้วย อาหารรูป วิญญัติรูป วิการรูป

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้ความปรุงแต่งที่กิเลสเข้าไปร่วมปรุงอยู่ด้วย สสังขาริกัง เรียนรู้กิเลสเอากิเลสออก จนกระทั่งเป็น 

ฉ. อาหารรูป1 = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร 

ซ. วิญญัติรูป 2 = 16.กายวิญญัติ  17.วจีวิญญัติ ไหวให้รู้ 

ฌ. วิการรูป = 18.ลหุตา  19.มุทุตา  20.กัมมัญตา 

ลหุตา แปลโดยพยัญชนะว่า มันเบา ที่จริงกิเลสมันสูญ ลหุตานี่ เป็นอาการทางรูป บางเบา น้อยนิด จนกระทั่งไม่รู้จะเรียกอะไร ก็เรียก ลหุ ตรงข้ามก็ครุ หนัก แล้วก็มุทุตา

มุทุเป็นสภาพที่ทั้งเบาทั้งเล็กทั้งนิ่งทั้งอ่อนอยู่ตรงนี้ อยู่ที่มุทุเป็นจุดกลาง มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุกลางที่รวมเอาไว้ของจิตพระอรหันต์ เช่นจิตพระอรหันต์จะมีอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มุทุภูตธาตุ เป็นความสะอาดแล้ว ปริสุทธาปริโยทาตา ไปทำงานอีก กัมมัญญามีกรรมกิริยาต่างๆ ก็สะอาดโดยที่กิเลสติดไม่ได้ กิเลสเข้ามาร่วมด้วยไม่ได้ เป็นงานที่เหมาะที่ควรที่สวยที่สุดแล้ว กัมมัญญา เป็นการงานที่ดีที่สุด การงานของพระอรหันต์ที่มี มุทุภูตธาตุ เพราะว่าบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไปทำงานแล้วจิตก็ยังประภัสสร สะอาดผ่องใส สุกสกาว วาววามอยู่อย่างเดิม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 19:19:47 )

เรียนรู้การไม่มีกิเลสด้วยวิญญาณฐีติ

รายละเอียด

กลายเป็นจิตในระดับ อากาสาฯ คือก็ว่างๆ โล่งว่าง แล้วที่มันรู้โล่งว่างมีอะไรไปรู้ ก็คือ วิญญาณ มันมี อากาสาฯ​มีวิญญานัญจายตนะ มันก็มี 2 ตัวนี้ วิญญาณกับอากาศ จิตของเราว่างแล้วเป็นอากาศว่างกลาง แล้วก็ธาตุวิญญาณก็รับรู้ เราก็รู้ว่ามีเท่านี้ มันมีเท่านี้เพราะอะไร?..เพราะมันไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีเลยนิดนึงก็ไม่มี ภาษาก็ว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีแม้นิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี อะไรไม่มี..ก็คือกิเลส ก็ทบทวนเรียนรู้ซับซ้อนจากวิญญาณกับอากาศ อากาศคือว่างไม่มีแล้วกิเลส ว่างจริงๆ ก็ตรวจสอบอีกไม่มีแล้ว นิดนึงน้อยนึงก็ไม่มี ก็จบ 

เพราะฉะนั้น เรียนรู้การไม่มีกิเลสนี้จึงเรียนรู้วิญญาณ ในขณะที่มีวิญญาณตั้งอยู่ ภาษาก็คือวิญญาณฐีติ วิญญาณฐีติ 7 จบที่ อากิญจัญญายตนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:09:58 )

เรียนรู้กิเลส กาม อัตตา มานะ

รายละเอียด

ก็ต้องติดตามเรียนรู้อัตตา อาตมาก็พยายามนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายขยายความว่าอย่างนี้อย่างนี้ทำอย่างนี้อย่างนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มต้นต้องรู้จัก ขั้นกามก่อน แล้วก็จะได้คัดแยกกามกับอัตตามี 2อย่าง กามเป็นภายนอกเป็นหลัก อัตตาเป็นภายในเป็นหลัก แต่ก็เกี่ยวข้องกัน ส่วนมานะเป็นกิเลสในจิต กิเลสในเชิงกุศลก็เป็นมานะ แต่กิเลสอกุศลคือดีถือตัวก็ไม่ดี 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 12:37:46 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:07:24 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:01:06 )

เรียนรู้กิเลสตอนสัมผัสแล้ล้างให้หมดไปแค่ศีล 3 ข้อแรกก็จบ

รายละเอียด

ศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เป็นเรื่องแรกที่พระพุทธเจ้ายกขึ้นมา เป็นเรื่องที่กระทบ กระทบกับพืชก็ไม่เป็นไร กระทบกับสัตว์ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่า สัตว์มันก็คือสัตว์ มันถูกกระทบก็มีวิบากต่อกันไป กัดกันหรือไม่กัดกัน แต่คนอยู่ด้วยกันนี้ กัดกันไม่จบ ท่านก็เลยต้องมาสอนตั้งแต่ต้น

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชกับข้าวของ พืชกับข้าวของไม่ได้มาสัมผัสกับเรา มายั่วกิเลสเรา แต่มันยั่วได้แต่ไม่ได้ยั่วเหมือนคน จึงจัดลำดับไว้เป็นอันที่ 2

เมื่อสัมผัสแล้วเกี่ยวกับศีลข้อที่ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลส สรุปแล้วก็เรียนรู้กิเลสตอนสัมผัสแล้วก็ล้างกิเลส จบ ศีลมี 3 ข้อนี้ จบ ถ้าทำถูกต้องตามที่อาตมาอธิบายแล้วจะล้างกิเลสหมดแค่ 3 ข้อนี้จบ แล้วก็เอาไปพูดต่อเป็นศีลข้อที่ 4 จิตใจของคนก็เป็นจิตที่ทำให้กิเลสหมดไปได้ใน 3 ข้อแรกก็คือศีล ข้อที่ 5 ก็จบเท่านี้เอง ศาสนาพุทธง่ายนิดเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ทำอย่างไรจะหายกลัวตาย


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:23:06 )

เรียนรู้กิเลสในอาหารคำข้าว

รายละเอียด

ต้องเรียนจากอาหาร ตั้งแต่อาหารคำข้าว เรียนรู้โภชเนมัตตัญญุตา เครื่องกินเครื่องใช้ แต่ถ้าเอาอาหารเครื่องกินโดยตรงคำข้าวมาเลี้ยงขันธ์ กิเลสมันอยู่ตรงนี้แม้แต่คุณเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องกินอาหารอย่างนี้เป็นต้น ถึงต้องเรียนรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นกิเลสในสิ่งเหล่านี้ได้จนเป็นพระอรหันต์ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2563 ( 14:26:14 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:09:51 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:01:31 )

เรียนรู้ความติดยึดกับความละออกในอาหาร

รายละเอียด

พระชั้นสูงจะเจอแต่ของประณีตของดีๆ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่รู้ตัว พุงออก ทั้งนั้นเลย ก็กินไป คือกลบเกลื่อนตัวเอง เราเรียนมาแล้วอย่าไปติดยึด ก็เลยได้กินทุกวันเพราะคนเขาเอามาให้กิน ไม่เคยรู้ความละออก จิตเราออกจากกามได้จริงไหม เห็นไหม เป็นรูปราคะ อรูปราคะในจิต สนิทเนียนมากเลย เรียนแต่วิธีหลอกไม่เรียนรู้วิธีอ่านกิเลสตั้งแต่หยาบก่อน หัดฝึกจริงๆ จนอยู่เหนือมันได้ ขนาดเป็นพระอรหันต์อยู่เหนือมันได้ มันยังมีความจำมันยังหลอน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้อาหารให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:53:33 )

เรียนรู้ความรู้สึกอย่ายึดมั่นถือมั่น

รายละเอียด

และจริงๆ แล้ว มันไม่มีตัวไม่มีตน เป็นเรื่องของการมาปรุงแต่งกันอยู่ เราก็จำนน เราเกิดมามีชีวะแล้ว มันต้องมี 2 มีธาตุรู้กับอีกอันนึง ก็มาเรียนรู้ความรู้สึก อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย 

อะไรที่มันเกิดมันปรุงแต่งกันขึ้นมา มันก็เป็นเช่นนั้นอย่างนั้นๆ ตามที่มันเป็น รู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็รู้ว่าอะไรควร ควรอาศัย ควรเป็นอยู่ ควรได้ควรมีควรเป็น ตามพอสมควร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

พระอรหันต์เป็นผู้มีความรู้เรื่องอาหารดีกว่าคนโลกีย์


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 16:02:10 )

เรียนรู้ความสูงความใหญ่

รายละเอียด

อย่าไปนึกว่าตัวเองสูง ตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่ก่อน เรามาเรียนรู้เป็นลำดับไปจากคู่ที่ 1 จากสิ่งที่ต่ำที่สุด เอาอันแรกเสียก่อน เรียนให้ดี ให้รู้เทวะคู่นี้ แล้วเราจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นอบายมุขของเราเอง สัตว์ที่เราโง่เราต่ำตัวนี้ ต้องเข้าใจให้ได้ว่าอันนี้เป็นสัตว์ต่ำ เราเองเป็นสัตว์นรกสัตว์อบายตัวนั้น เราจะต้องเลิกละหลุดพ้นให้ได้เราจะต้องศึกษาให้รู้ตัวตนของสัตว์นรกตัวนั้นจริง แล้วเราจะหลุดพ้นออกมาอย่างไร มีวิธีอุบายเครื่องออกอย่างไร ปฏิบัติให้หลุดพ้น จนกระทั่งหลุดพ้นได้ ก็จะเห็นว่ามันไม่เที่ยงแท้ ไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ มันลดลงได้จริง มาเป็นอันใหม่ให้ได้ ไปชั่วอย่างเก่าไม่ได้ไปจัดจ้านหลงเลอะอย่างเก่า ก็จะทำได้ตกผลึกลงมาจนกระทั่งสมบูรณ์แบบได้ หลุดพ้นจนสมบูรณ์เต็มตัวได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:14:59 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 07:41:26 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:02:17 )

เรียนรู้ความเป็นอัตตาได้อย่างไร

รายละเอียด

ศาสนาพุทธเรียนรู้ความเป็นอัตตา ผู้ที่จะได้ศึกษาความเป็นอัตตาก็จะได้รู้ว่า คนต้องศึกษาอัตตาหรือจะได้รู้อันนี้ ต้องได้รู้จักการพบผู้รู้ ผู้รู้ที่อยู่ในฐานะครูที่เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือผู้รู้ที่เป็นสัตบุรุษ หรือได้รู้จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ทำให้เรารู้นั้นเป็นกัลยาณมิตรเป็นมิตรดีแล้วทำให้เกิดอายะ เกิดประโยชน์ อายะคือประโยชน์คือสิ่งที่ได้รับทำให้เจริญ 

ได้รับจากผู้ที่รู้แล้วเราก็รับมาจากผู้รู้ สหายะคือร่วมกัน ได้รับสัมผัสสัมพันธ์กับผู้รู้จากพระพุทธเจ้าจากสัตบุรุษ จากครู ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิก็เข้าไปคบไปพบ รู้ผู้นี้ควรคบ ผู้นี้คือผู้รู้ ในยุคพระพุทธเจ้าก็ต้องตามพระพุทธเจ้าไปให้เจอ พระพุทธเจ้าไม่มีก็ต้องตามสัตบุรุษให้เจอ ผู้ที่ไม่เจอสัตบุรุษก็ต้องเจอผู้รู้ที่รู้ความจริงสัมมาทิฏฐิให้ได้ เมื่อรู้ได้จึงจะได้รู้ความจริง แต่ถ้ารู้ไม่ได้ไปสำคัญผิดว่า อสัตบุรุษ หรือ ผู้ไม่ใช่ครูที่สัมมาทิฎฐิ ก็ไปรู้ตามนั้นอีกเหมือนกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 13:44:06 )

เรียนรู้ความเมื่อยและไม่เมื่อย

รายละเอียด

อธิบายเนื้อหาสาระธรรมะมาเรื่อยๆก็ยังเข้าใจกันไม่ได้ง่าย ก็เหนื่อย แต่ก็ต้องทน เขาก็ถามอยู่เรื่อยๆไปเดินมาวันนี้เมื่อยไหม อาตมาก็ปรับเอาก็เรียนรู้ความเมื่อยและไม่เมื่อย กำลังทำงานขนาดนี้ แม้แต่กินอาหารก็เมื่อยทุกวันนี้กว่าจะจบ ถ้าคุณเข้าใจคำว่าเมื่อยคืออะไรมันฝืนอยู่ก็คือเมื่อย สิ่งที่ไม่ฝืนมันไม่เมื่อยหรอก ส่วนถ้ามันร่าเริงในธรรม มันมีรสชาติมีธรรมรส โลกียรสเขายังเพลิดเพลินเลย แต่นี่เป็นธรรมรสก็เป็นธรรมชาติธรรมดาจะไม่เมื่อย แล้วไม่เสียหายหรอกถ้ายังไม่ Over ไม่เกินขีด ต้องรู้จักพักรู้จักเพียร ให้มันสมดุลหากเกินไปมันจะไม่ดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:28:15 )

เรียนรู้คุณกับโทษที่มีอยู่ในโลกอย่างไร

รายละเอียด

สรุปแล้วพระพุทธเจ้าท่านสรุปในพระไตรปิฎก มีคุณและโทษ รู้จักคุณและโทษ แล้วก็เข้าใจคุณกับโทษที่มีอยู่ในโลก แล้วเราก็ไม่ไปประพฤติสิ่งที่เป็นโทษ มันจะมีอย่างไรเราก็ไม่ไปติดยึดในคุณ แต่เราก็ทำงานในสิ่งที่เป็นคุณ มีกรรมกิริยาเป็นสิ่งที่เป็นคุณ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:11:33 )

เรียนรู้จนกระทั่งทำตัวเองให้เป็นพีชะได้

รายละเอียด

สังคมที่ยังเอาคำสอนความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบความลึกซึ้ง ซึ่งเป็นความลึกลับของทางเทวนิยมเขา แต่เป็นความลึกซึ้งลึกล้ำของสัจธรรม เอามาเปิดเผยให้เห็นทุกอย่างครบรอบหมดเลย จนกระทั่งกลายเป็นอมตะ อมตะคุณจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้จะอยู่ก็ได้ไม่อยู่ก็ได้ สุดท้ายจริงๆก็คือหมด ไม่อยู่เลย 0 จากจิตนิยามซึ่งเป็นพลังงานจิตวิญญาณ เรียนรู้จนกระทั่งทำตัวเองให้เป็นพีชะ มีแต่คุณค่าประโยชน์ ไม่เป็นโทษภัยกับใครเลย แม้ว่าทุเรียนมันจะมีหนามมากมายก็ไม่มีโทษภัยกับใคร ใครอย่าไปแตะทิ่มแทงมันก็แล้วกัน มันอยู่ของมันเฉยๆ คุณเอามือเอาร่างกายไปทิ่มหนามมันเอง 

พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษภัยกับใครเลย จึงเป็นจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ธรรม จิตนิยามคือพลังงานของคนนี้ จัดการพลังงานของคนนี้ให้มีคุณสมบัติมีประสิทธิภาพเหมือนพืชให้ได้ หมดลักษณะโหดเหี้ยมแบบ

จิตนิยาม หมดความโหดร้ายรุนแรงเลิก อย่างนั้นอย่ามาใส่ในจิตวิญญาณของตนเองให้พักให้เลิกให้หยุดเลย เพราะเราได้ฝึกฝนตามพระพุทธเจ้ามา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 20:50:45 )

เรียนรู้จนหมดวิปลาสในอัตตา

รายละเอียด

วิธีเรียนจึงต้องเรียนตั้งแต่ความหยาบหยาบ เรียกว่าโอฬาริกอัตตา หยาบคือ มีองค์ประกอบพร้อมภายนอกหมด รูปเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนภายนอกที่ต้องรวมอยู่ด้วย แต่เวลาปฏิบัติจะเอามาทั้งหมดไม่ได้ ต้องเอามาทีละคู่ รูป สัมผัสอะไร? แล้ววิปลาสอย่างไร? ก็เรียนรู้จนหมดวิปลาส รู้ความจริงตามความเป็นจริงได้ก็ไห้รู้กำหนดชัด จนกระทั่งไม่หลงตัวปลอมที่มันหลอกให้ปรุงแต่ง ได้เห็นความจริงเป็นหนึ่งๆๆๆ คุณก็ไม่มี 2 เลิกเป็นเทวะ 

เทวะที่เป็นธาตุสอง ที่มีสุขมีทุกข์ ถ้ามีสุขก็ต้องมีทุกข์ ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีสุข ก็ต้องไม่ให้มีทั้งสุขและทุกข์ อทุกข์กับอสุข คุณต้องทำจิตของคุณให้เป็นอย่างนั้นได้ ที่มันสุขมันทุกข์เพราะมีเหตุ ตัวที่มันหลอก ตัวอวิชชาคุณ ก็จับตัวเหตุที่มันหลอกมันเป็นกิเลส สร้างปัญญาให้เห็นว่าไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องไปข่ม ซึ่งปัญญาจะมีพลังอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือ มันมีแรงเหนือแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:36:29 )

เรียนรู้จักมนุษย์และสังคม เป็นความสมบูรณ์แล้ว

รายละเอียด

คุณมีดวงตา คุณมีสิ่งที่ได้เห็น คุณมีหูได้ยิน คุณมีสัมผัส ก็รู้จักสิ่งที่มีพฤติการณ์พฤติกรรมของสังคมของมนุษยชาติ ก็รู้ความจริงเรียนรู้ความจริงให้ได้ เพราะฉะนั้น ความรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ให้เรียนรู้จักมนุษย์และสังคมเป็นความสมบูรณ์แล้ว พระพุทธเจ้าเรียนจบในยุคนั้น ตักสิลามี 18 แขนงเท่านั้น มหาวิทยาลัยใหญ่นะ ตักศิลา 18 แขนงท่านเรียนจบหมดเลย แล้วท่านก็ไม่เอาทิ้งหมด วิชาทางโลก 18 แขนง เรียนจบหมด มีวิชายิงศร มีวิชาเทคนิค อะไรท่านจบหมดเกียรตินิยมหมด แล้วก็ทิ้งหมด มาเอาวิชาธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ที่เป็นโลกุตระวิชาเดียว ทำงานตลอดพระชนม์ชีพ 45 ปี 

คือมาช่วยคน ช่วยสังคม ให้เกิดภูมิปัญญาแล้วเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นอาริยบุคคล อาริยกะ หรือศิวิไลซ์ ที่เป็นภาษากลางๆของอังกฤษเขาบอกว่า เป็นความเจริญหรือประเสริฐ เพราะฉะนั้นความเจริญความประเสริฐที่มีนัยยะสิริมหามายา เป็นนัยยะที่กลับกับทางโลกเขา เป็น dialectic โลกเขามองว่าเป็นหลังมือ แต่ที่จริงแล้วเป็นหน้ามือ เขามองว่าอันนี้เป็นหน้ามือ แต่ที่จริงเป็นหลังมือ แต่สิริมหามายาจะสลับอย่างไรก็รู้ทัน จอมยุทธพลิกฝ่ามือ อย่ามาหลอก เรารู้ทัน ผู้ที่ชัดเจนจะรู้ทันและเป็นจอมยุทธที่เป็นสิริมหามายาจะไม่ใช่งมงาย ใช้เล่ห์หลอกคน กลับไปกลับมา โดยจับความจริงของจริงที่ถูกต้องตามความจริงยังไม่ได้ ตัวเองก็เมาเห็นหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นหลังมือเป็นหน้ามือ เป็นนักมายากล นี่เป็นไม่ใช่มายากล แต่มีสภาพของ วิพากษ์วิภาษณ์ที่มัน dialectic แต่จับได้ทุกหน้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 13:36:13 )

เรียนรู้จิตที่อยู่ในระดับ จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามให้ดีๆ

รายละเอียด

นี่เป็นนัยยะที่ละเอียดที่อาตมามีภูมิรู้อธิบายสู่ฟังได้ 

สรุป ตรงนี้ก็ได้ว่า เรียนรู้จิตที่อยู่ในระดับ จิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามให้ดีๆ ที่พูดนี้มันอยู่ระดับครึ่งๆ ไม่เป็นอุตุนิยาม จะเป็น พีชนิยาม เล็บมันยังงอก ผมก็ยังยาว มันไม่รู้สึกเจ็บปวด มันไม่มีบาปไม่มีบุญ มันไม่ใช่เราแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว คำว่า เรา ของเราคือ เราต้องอยู่ครบทั้งกายและจิต รู้สึกเต็มๆ แต่พอมันออกมาเป็นเล็บที่เป็นชีวะ ยังเป็นพืช ไม่มีประสาทรับรู้แล้ว เล็บก็ตาม ผมก็ตาม ฟันหนังก็ตาม ผมก็หยาบ ขนก็เล็กละเอียด ฟันก็ยากกว่า หนังก็ยิ่งยากใหญ่มันละเอียด ก็อธิบายที่เล็บ 

เพราะฉะนั้นมันยาวออกมาไม่มีกายแล้วแต่คุณยึดว่าเป็นเรา ไม่เจ็บไม่ปวดแต่คุณก็เจ็บปวด ผู้หญิงที่รักเล็บสวย หักออกไปจะเป็นจะตายจะฆ่ากันหวงว่า เล็บฉัน มันไม่ใช่ของฉันแล้วแต่คุณก็ของฉันของฉัน มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ยึดมั่นถือมั่นหรอก ตัวมันเองตัวเล็กมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่เราไปยึดมั่นถือมั่นกับเล็บ แต่เล็บมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นกับเรา มันไม่ใช่เราแล้ว มันหนีไปอย่างอื่นแล้ว อธิบายละเอียดให้ฟัง เพราะฉะนั้นคนที่แยกกายแยกจิตตรงนี้แหละ จากที่ พระพุทธเจ้า ท่านให้ศึกษาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อธิบายอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หนังนี่อธิบายยาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566 วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 11:20:32 )

เรียนรู้จิตนิยามความเป็นมนุษย์ชาติที่สูงสุด

รายละเอียด

เมื่อมาเรียนรู้ตัวไม่ดีตัวซาตาน ถ้าจะเป็นจิตวิญญาณก็ฆ่าตัวไม่ดี ตัวซาตานนี้ให้หมด เหลือแต่จิตวิญญาณที่ดี จะอยู่ต่อไปก็เป็นเวไนยสัตว์ขั้นอรหันต์ จะมีจิตอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะรู้ความจริงหมดแล้วว่า สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่นี้คือนามรูป คือธาตุสอง ถ้าแยกได้ก็เป็นอุตุ ดินน้ำไฟลมไป ถ้าแยกเป็นพีชะ ก็ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีสภาพสอง ก็เอาสภาพดีนี้ไว้ใช้ แล้วสามารถทำให้เป็น 0 ได้ก็จบ อาตมาก็อธิบายพวกนี้จนกระทั่งใช้สังขยาเลข 0 บ้าง 1 บ้าง 2 บ้างอธิบายแยกแยะให้ฟังโดยใช้ภาษานี้ เป็นสื่ออธิบายสภาวะจนกระทั่งอธิบายทะลุจบจนไม่รู้กี่เที่ยว ที่อาตมาอธิบายอย่างนี้ได้เพราะอาตมาทำได้ อาตมาเป็นจริง  บรรลุธรรมพวกนี้ ที่อาตมาพูดอย่างนี้อย่างสบายใจเพราะอาตมาประกาศไปหมดแล้วว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมารู้แจ้งอาตมารู้จบอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์มาศึกษาให้เป็นพระพุทธเจ้า รู้จบตั้งแต่เป็นอรหันต์แล้ว เป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 ถึง 7 ศึกษาไปอีกเป็นระดับ 8 เป็นระดับ 9 จนถึงขั้นพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะรู้ในความเป็นจิตนิยามเป็นมนุษย์ชาติ   เป็นมนุษย์ชาติที่สูงที่สุดคือพระพุทธเจ้า สูงสุดจนกระทั่งรู้ว่าจิตวิญญาณนี่ไม่ใช่ของพระเจ้า ไม่ใช่ของใคร ของเราเอง ตายแล้วก็สลายไป พระเจ้าก็นั่งเก้อ เฮ้ย! ตายแล้วไปไหน?..ทำไมไม่มาหาข้าล่ะ พระเจ้าก็เก้อไป เพราะเราจับได้แล้วว่า มันไม่ใช่ของพระเจ้า มันเป็นของเราเอง อย่ามาหลอก พระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าคืออวิชชา คือยังไม่รู้ตัวเอง พระเจ้าคือสภาวะที่ไม่รู้ตัวเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:10:58 )

เรียนรู้จุดสำคัญของกรรมฐานคืออารมณ์จริงๆ มีหนึ่งเท่านั้น

รายละเอียด

คำว่าอวิชชาไม่รู้ปรุงแต่ง สังขารก็ไม่รู้ ถ้ามาแยกแยะตีแตกทีละสอง เวทนา ที่เกิดเพราะผัสสะมีอายตนะ ไปยึดว่ามีประโยชน์ก็เลยกลายเป็นตน ที่เราได้เรามีเราเป็นก็เป็นตนอยู่ตรงนั้น ก็ต้องมาเรียนรู้ที่เป็นจุดสำคัญของกรรมฐาน เรียนอายตนะ ผัสสะ เวทนา เลื่อนมาจากวิญญาณ นามรูป มาผัสสะ ก็จะเกิดอายตนะ เกิดเวทนา 

อารมณ์จริงๆมันมีหนึ่งเท่านั้นคือวิญญาณ ต้องแยกแยะไอ้ที่มันเป็นตัวหลอก ตัวมายา พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหักเรือนยอดของเธอแล้ว เรือนของมารก็ไม่มีอยู่หมดเคหะ หมดที่อยู่ก็ตาย เหมือนไวรัส มันไม่มีที่พักที่อาศัยที่เกาะมันชักตายนะ มันอยู่ในอวกาศมันมีอายุของมันอยู่ได้ไม่นานหรอก เหมือนกันกับพืชหลายอย่างถ้าไม่มีดินให้เกาะมันอยู่ไม่ได้ จนกระทั่งกลายเป็นพืชที่ไม่ต้องเกาะดินแต่เกาะเกี่ยวกับน้ำ มันก็เป็นพวกไฮโดร เอาใส่ธาตุในน้ำก็อยู่ได้ บางอย่างก็อยู่กับอากาศเลยกินอาหารอยู่กับอากาศ เช่นพวกกล้วยไม้ต่างๆเป็นต้น แม้แต่หนวดฤาษีก็ยังกินอากาศเลย ไปดูที่สวนนันทวันชั้น 4 ได้ เราก็ต้องดูแลมัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 19:28:39 )

เรียนรู้ดับกิเลสด้วยปัญญา รู้สัจจะความจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

รายละเอียด

แบบสะกดจิตไว้แบบลืมไม่ให้มันมีอาการแบบกดข่ม ไม่ได้เรียนรู้เหตุ ไม่ได้สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา ไม่ได้เรียนรู้แบบนี้เลย ก็ต้องทำด้วยปัญญา จะรู้สัจจะความจริงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละคือพระอรหันต์ คือผู้รู้จริงๆเห็นจริงๆเลยว่า สังขารทั้งหลายเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นสังขารก็อยู่ในสภาพ 3 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ แท้ๆมันอนัตตา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีจิตถึงอนัตตาจะรู้จักอัตตา แล้วได้เรียนรู้อัตตาที่จิตตนเองแล้วล้าง อัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา เหลืออรูปอัตตาก็ล้างจนสิ้น แม้จะไม่มีอัตตาแล้วก็ยังอาศัยอัตตา เป็นสิริมหามายา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าในโลกนี้ก็ต้องใช้ความมีและไม่มีนี่แหละในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ก็ต้องใช้คำว่ามีและไม่มีนี่แหละ คือโลกสมุทัย กับ โลกนิโรธ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2563 ( 10:43:26 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:07:50 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:03:15 )

เรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ

รายละเอียด

อาตมาก็มั่นใจจะต้องยืนยันให้คนมาปฏิบัติ ให้มันเกิดความจริงตามความเป็นจริงแล้วให้คนเอามาแทก เอามาเปรียบเทียบซ้อนดูจนสนิทเนียนอย่างนี้ ใช่ โสดาบันเป็นอย่างนี้ สกิทาคามีอนาคามีอรหันต์เป็นอย่างนี้ ตั้งแต่รูปจนถึงนาม นามมันรู้ยากก็ตรวจสอบไป ใช้เวลา นามก็แสดงออกมาทางกายวาจา ได้ ตรวจสอบไปนานเท่านาน ใครไม่ไหวแล้วตายไปก่อนก็เกิดมาใหม่ เกิดมาตรวจสอบอีก แล้วเราก็มาปฏิบัติไปจริงๆ เรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:11:55 )

เรียนรู้ด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติให้จิตเกิดปัญญาอันยิ่ง

รายละเอียด

เป็นรัฐศาสตร์ การเมืองหรือการทำงานกับพลเมือง อาตมาก็ทำงานกับพลเมือง ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ตามทฤษฎีโลกุตระ ตามทฤษฎีที่อาตมารู้ว่า มันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขัดแย้งกับกฎหมาย ของโลกด้วย อย่าว่าแต่ของไทยเลยที่อาตมาพาทำ คุณไปปฏิบัติประพฤติอย่างนี้อยู่ในสังคม แม้ในคอมมิวนิสต์ ไม่มีใครเขามาว่าหรอก คอมมิวนิสต์นี่ พวกเรามาจนอย่างนี้เขาจะจนแบบสาธารณโภคีด้วย เขาอยากให้เป็นสาธารณโภคีให้เป็นกองกลางที่ทุกคนเข้ากองกลางทั้งหมดให้มาก เขาว่าหมดไม่ได้เหมือนเรา แต่เขาว่าให้มาก มากสู้อโศกได้หรือ หมดเลย 

นอกนั้นก็ปล่อยให้อิสระของแต่ละคนที่เขาจะต้องมีมากบ้าง แต่เขารู้แล้วอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้ามาหมดเนื้อหมดตัว มาเป็นคนจนนี้สูงสุด มีปัญญารู้แล้วว่าความจนดีที่สุด มาเป็นคนจนดีที่สุด เสียภาษีให้สังคมมากที่สุดหรือ 100% สูงสุดแล้ว 

เพราะฉะนั้นเป็นอิสระนะ ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ไม่ได้บังคับด้วยกฎหมาย แต่เรียนรู้ด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติให้จิตเกิดปัญญาอันยิ่ง เต็มใจจน ตั้งใจจน จนสำเร็จ จน จนสุขสำราญเบิกบานใจ มันสุดยอดของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว คอมมิวนิสต์ก็ไม่มีเรียน ประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยไหนก็ไม่มีเรียน มีเรียนในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าหรือมหาวิทยาลัยอโศกที่สอนอยู่ แล้วประพฤติจริง ปฏิบัติจริง เป็นทฤษฎีจริง แล้วก็ปฏิบัติ พิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่พูดพล่อย ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่ใช่เทวศาสตร์ ชัดเจนหมด ไม่ใช่ศาสตร์ลึกลับ ไสยศาสตร์ ไม่ใช่เทวศาสตร์ที่มีแต่จินตนาการ เป็นเทวะ เป็นพระเจ้าอะไร ไม่ใช่ 

เป็น Phenomenology  เป็นปรากฏการณ์ศาสตร์ มีปรากฏการณ์จริง ยืนยันจริง ไม่ใช่ epistemology หรือไม่ใช่ไสยศาสตร์ นี่คือสัจจะที่สุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 10:44:35 )

เรียนรู้ด้วยปัญญา อย่ากดข่ม

รายละเอียด

ต้องเรียนรู้ด้วยปัญญาจริงๆ ไม่ได้ไปข่ม กดข่มมันไม่รู้แล้ว ยิ่งกดข่มมันจะถึงจุดระเบิดได้ เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นคนไม่มีสติไม่มีอะไรยับยั้ง ระเบิดออกมานั่นแหละคือคนหน้ามืด โทสะมากก็หน้ามืด ราคะหนักก็หน้ามืด
โลภะหนักก็หน้ามืด 

พระพุทธเจ้าบอกว่ากดข่ม ไม่รู้แล้วมันสะสมก็จะระเบิด เรื่องของเรื่องคือมีกิเลสราคะโทสะโมหะนี่แหละคือตัวเหตุ ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ว่าถ้าไปมีพลังงานอย่างนี้มันโง่ โง่ๆๆๆ พลังปัญญาจะมีอำนาจแห่งความรู้ธาตุรู้ที่มีพลังจริงๆ 

พลังรู้แล้วมีอำนาจลดพลังราคะโลภะโทสะ เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เมื่อเกิดปัญญาได้ปัญญาก็จะกำราบ ลดโทสะ ด้วยความรู้ว่าอย่าโง่นะ เพราะฉะนั้นความโง่หรืออวิชชาก็ยอมแพ้ไปตามสัจจะ ปัญญาจึงเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 12:04:23 )

เรียนรู้ทฤษฎี ปฏิบัติจนได้มรรคได้ผล

รายละเอียด

คนที่มาเรียนรู้แล้วก็เข้าใจทฤษฎี เข้าใจระบบระเบียบกระบวนการ ของความรู้และปฏิบัติไปได้มรรคได้ผลอะไรต่อไป นี่เป็นตัวอย่างที่อาตมาอ่านให้ฟัง อย่างนี้แหละถูกต้อง ถูกต้องแล้ว ดีแล้ว ประเสริฐจริง เพราะฉะนั้นแต่ละคน แต่ละคน ฟังไปแล้วก็ตรวจสอบตัวเอง ตัวเองจะเอาจริงเอาจังอะไรแค่ไหนก็คิดดู แล้วทำได้อะไรแค่ไหนก็ตรวจสอบไป 

เพราะฉะนั้นก็ ผู้ที่มาและฟัง วันนี้ก็ยังเป็นพัน นั่งฟังธรรมกันอยู่วันนี้วันที่ 1 ยังอยู่ครบแล้วก็จะอยู่กันอีกเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่ก็คงจะกลับๆกันไปไม่ใช่น้อย ผู้ที่จะอยู่เลย จะต่อหรือตั้งใจจะไปแล้วอีกงานก็จะมาก็แล้วแต่ ตัวใครก็ตัวใคร 

อาตมาก็ทำงานไปจนอายุ 90 ปีนี้ เพราะอาตมาเกิด 2477 ปีนี้มัน 2567 ถ้ามัน 2577 ก็100 ปี เพราะฉะนั้นต้องพยายาม อาตมาตั้งใจจริงๆ จะพยายาม กระเสือกกระสน อีลาก อีเลื่อไป ไปให้ถึง 77 นี่มัน 67 ไปให้ถึง 77 ให้ได้ ถ้าถึง 5 มิถุนายน 77 ก็สมบูรณ์แบบ 100 ปีถ้วน เลย 

5 มิถุนายน 2577 ก็พูดไป แล้วก็ทำ มันเป็นการท้าทายพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าถึงอิทธิบาทว่า อายุขัยนี้อาตมาพิสูจน์มาแล้วแหละแต่เพื่อพิสูจน์ให้ชัดเจนเลยว่า คนเรานี่ทุกวันนี้อายุคนทุกวันนี้มันสั้นแล้วใช่ไหม 100 ปีหายากแล้ว 90 ก็น้อย อายุ 60 70 ก็ถือว่าไม่ค่อยจะแน่นอนแล้ว เพราะฉะนั้นทางการก็ปลดเกษียณกัน 60 ตามสากลส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเมืองไทยอายุทั่วไปหรือทั่วโลก ทุกวันนี้ยุคนี้มันประมาณนั้น มันไม่เหมือนยุคหลายๆยุคที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อยู่ในตำนานอยู่ในพระไตรปิฎกบอกว่าคนอายุตั้งหลายร้อยปี หลายพันปีก็ยังมี 80,000 ปียังมีเลย โอ้โห ไอ้อย่างนั้นเราคิดไม่ออกเลยเนาะ อายุ 80,000 ปีนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:30:10 )

เรียนรู้ทีละคู่ในเจโตปริยญาณ 16 จนจบ 8 คู่ 

รายละเอียด

ในเจโตปริยญาณ 16 จึงมีทีละคู่จนจบสุดท้ายเลย ทั้งหมด 8 คู่ 

ราคะ สราคะ วีตราคะ โทสะ โมหะ เป็น 3 ตระกูลใหญ่ของกิเลสก็ต้องรู้ทีละคู่ รู้อะไรที่มันเป็นราคะก็เอาออก อะไรที่เป็นโทสะ โมหะ ก็เอาออก ฆ่าได้ไปตามลำดับ สังขิตตังจิตตังวิกขิตตังจิตตัง ก็อีกคู่   มหัคตะกับอมหัคตะ ก็อีกคู่   จนกระทั่ง สอุตระกับอนุตระอีกคู่ จิตที่เจริญขึ้นกับไม่มีเจริญกว่านี้อีก แต่เราจะรู้เลยว่ายังไม่จบ

จะจบได้ต้องรู้ตัวตั้งมั่นกับหลุดพ้น หรือเป็นผู้ไม่มีแล้วหายไปแล้ว แต่ถ้าตั้งมั่นคือยังอยู่ หลุดพ้นคือหายไป เป็นสภาวะ 2 สภาวธรรม ตั้งมั่นคือยังอยู่ วิมุติหลุดพ้นคือหายไป ไม่มี ก็คือ มีกับไม่มี คือโหติกับนโหติ คืออัตถิกับนัตถิ พยัญชนะ พระพุทธเจ้าจึงสรุปให้รู้ 2 อย่างนี้ คือ มีกับไม่มี อย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่รู้ความมีกับไม่มีแล้ว ในสภาพที่คุณรู้ความจริงในใจ ปัจจุบันชาติ มันก็คือมี คุณยังมี ยังไม่ตาย ต้องอยู่กับไม่มีเป็นฐานอาศัย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 34 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 21:58:46 )

เรียนรู้ที่จิตวิญญาณ คือธาตุรู้ของตนเอง

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าจิตวิญญาณคืออะไร ก็ให้เรียนรู้ที่จิตวิญญาณของเรามันปรุงแต่งกันอยู่อย่างไร มันรวมกันเป็นอายตนะ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา เราก็เรียนรู้เวทนา จริงๆเวทนานั้นมันไม่มีการยึดติดกันหรอก เป็นแต่เพียงมันรู้ด้วยปัญญาว่ามันปรุงแต่งด้วยธาตุ 2 เป็นรูปกับนาม ถ้ามีกิเลสโง่ มีตัณหา มีอุปาทาน มันก็จะยึดเพื่ออยู่ด้วยอวิชชา 

พออยู่ด้วยวิชาแล้วเราจะยอมให้มันอยู่ไหม ถ้าให้มันยินดียึดมันก็ยึดได้ อยู่กันอย่างรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ตายอรหันต์ ตายกายแตก หลังกายแตกแล้ว ไม่ให้มันเกิดอีกแล้ว สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แล้วเราก็ทำได้ 

คนที่ต้องการตายสลายเลยเป็นอรหันต์มี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ตายอย่างแยกธาตุตัวเองไป เลิก ก็รู้ว่าจิตวิญญาณคือธาตุรู้ของเราเองไม่มีพระเจ้า ที่จะมาเป็นเจ้าของ ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร ไม่หรอกจิตวิญญาณไม่นิรันดร จิตวิญญาณเราพิสูจน์แล้วเราว่าสูญเป็นดินน้ำไฟลมได้ เราทำได้อิสรเสรีภาพส่วนตัวของเรา จิตวิญญาณเป็นของเราเราทำเอง เราจะทำให้เป็นกรรมดีกรรมไม่ดี หรือแม้แต่เข้าไปรู้นามธรรมมันสุขมันทุกข์ ก็รู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นสมมุติหลอก ให้คนหลงติดก็ติดแต่สุข 

เพราะฉะนั้นพวกเทวนิยมไม่รู้จักจิตวิญญาณ ติดในความสุขไม่เอาทุกข์ แต่ไม่มีปัญญารู้ว่า แล้วจะทำอย่างไรให้พ้นทุกข์เขาไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ ก็อย่าไปยึดติดว่าสิ่งที่มี 2 สภาพคือเทวะ หรือพระเจ้าหรือคือจิตวิญญาณ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ วันอังคารที่ 11 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:19:17 )

เรียนรู้ธรรมะให้เกิดมรรคผลตาม โพธิปักขิยธรรม 37

รายละเอียด

อาตมากำลังขยายความเรื่องกาย ซึ่งคำว่ากายนี้มีตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสุดท้ายจบ ต้น กลาง ปลาย  เช่น รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วก็มาปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 เริ่มต้นด้วยกาย กายนอกแล้วก็มีกายในกาย แล้วเข้าไปหาภายในไปเรื่อยๆ เป็น เวทนา จิต ธรรม

ลึกเข้าไปจนสามารถทำจิตเจตสิกต่างๆให้มันเป็นธรรมะที่เป็นโลกุตระลึกซึ้ง ลึกเข้าไปเจริญเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 ขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยฐานสำคัญคือโพชฌงค์กับมรรคมีองค์ 8 นั่นก็เต็มสูตร 7 หลักในโพธิปักขิยธรรม 37  สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8  ครบ นี้เป็นโลกุตรธรรม 37 ในศาสนาพุทธ พวกเราเรียนและเข้าใจ เอาไปปฏิบัติ เกิดมรรคเกิดผล อาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกเรานี้เรียนรู้ธรรมะเกิดมรรคเกิดผล จนกระทั่งเป็นจริง  มีคนหลุดพ้น มีคนเข้าใจปล่อยวางเรื่องรักโลกียะจนกระทั่งขั้นหยาบ จนกระทั่งสูงขึ้นๆ ละเอียดขึ้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:19:37 )

เรียนรู้ผัสสะเมื่อกินจะเกิดเวทนา 3

รายละเอียด

เพราะมีผัสสะจึงจะเกิดเวทนา คุณกินเมื่อไหร่ก็เกิดเวทนา สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ให้เรียน ผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา 3 ก็เรียนรู้ตามอันนี้ สุขทุกข์ เรียนรู้อาการความสุขนี้เป็นผีเป็นมายา ที่จริงพระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นมายาหมด ไม่มีหรอกสุขทุกข์มันเป็นอนัตตา มันเป็นกระดาษ 2 หน้า มันหลอกเรา อย่างที่อาตมาอธิบายไปมากมายต้องเรียนรู้มัน มันหลอกเรามันไม่มีจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้อาหารให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:30:39 )

เรียนรู้พยัญชนะให้เข้าถึงสภาวธรรม

รายละเอียด

อาตมาอ้างอิงธรรมะในระดับโลกุตระมายืนยันอธิบายด้วย ไม่ใช่ว่าอาตมาอธิบายเลอะเทอะโมเม ผู้ที่ฟังธรรมะโลกุตระอย่างที่อาตมาพูดนี้ไม่เข้าใจ เขาจะสับสนวุ่นวายเพราะเขาเรียนมาตาม ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์  ตามแบบของเขา ซึ่งเขาอยู่ในโหมดภาษาพยัญชนะ แล้วมีแต่เหตุผลของภาษาพยัญชนะ เขาไม่ได้เข้าใจถึงสภาวะที่แท้จริง พวกนี้น่าสงสาร เขาเก่ง ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ เขาเก่ง แต่ไม่รู้จักสภาพสัจธรรมปรมัตถธรรม ไม่รู้แม้กระทั่งความเป็นกายก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่เลย ยิ่งความเป็น สักกายทิฏฐิ ความเป็นตัวตนความเป็นอัตตา ยังอีกนาน เขายังเข้าใจไม่ได้ ยังหลง ไม่เข้าถึงสภาวะ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้นยิ่งจะเข้าไปแยกแยะกรรมฐานคือเวทนา 108 เขายิ่งไม่รู้จักแน่ จึงได้มิจฉาทิฏฐิ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2566 ( 20:08:42 )

เรียนรู้พลังงานระดับต่างๆ

รายละเอียด

ต้องเรียนรู้พลังงานในระดับพืช ระดับสัตว์  ระดับจิตนิยาม ระดับจิตนิยามเป็นเรื่องของสัตว์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:12:28 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 07:42:22 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:03:36 )

เรียนรู้พุทธคุณมีจรณะ 15 วิชชา 8 เท่านี้จบ

รายละเอียด

เป็นบัญญัติสมมุติสัจจะอันหนึ่งที่สุดแห่งที่สุดก็มีสมมติไว้เป็นได้หรือไม่ได้จริงหรือไม่จริงก็ไม่มีปัญหารู้จักความหมายก็ใช้ได้มันเป็นเรื่องดี แล้วพระอวโลกิเตศวรก็อวตารมาเป็นเจ้าแม่กวนอิมเป็นต้น และอธิบายว่าอวตารเป็นอะไรอีกหลายอย่างหาอะไรมาเป็นเครื่องประดับของแต่ละองค์คนนี้เด่นจุดนี้มุมนี้ไป ก็เป็นการสื่อให้รู้ว่าคนเรานี้สามารถมีความสามารถศึกษาแล้วก็สร้างตนเองให้มีความสามารถอย่างนั้นเพื่อที่จะเป็นมนุษย์ ซึ่งมีมาก โลกจินตา นับไม่ถ้วนปรุงแต่งขึ้นมาอีกก็ได้แต่ก็ควรจะอยู่ในกรอบ 

กรอบ ของสิ่งที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านสรุปมาอยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือกรอบ สรุปขึ้นมาเรียกว่าพุทธคุณนอกเกินกว่านั้นเรียกว่าพุทธโทษ เฟ้อ เอาแค่นี้แหละพุทธคุณมีจรณะ 15 มีวิชชา 8 เรียนรู้เท่านี้จบ จบ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็จบอยู่แค่นี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:07:40 )

เรียนรู้มโนปวิจาร 18 อย่างไร

รายละเอียด

จิตวิญญาณมีนามรูปอยู่แล้ว ผู้ที่รู้จักรูป รู้จักนามทำงานด้วยกันก็ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะ รูปนามไม่ทำงาน อายตนะไม่เกิด ก็นิ่ง เป็นหนึ่งๆๆ อยู่อย่างนั้นแหละ 

มีผัสสะ อยู่สองตัวเป็นเทวะ เป็นภาวะ 2 ที่ต้องสัมผัสกัน ถ้าต่างคนต่างนิ่งก็ไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร มันต้องเกิดปฏิกิริยาด้วยการกระทบสัมผัสกัน จึงเกิดสภาพใหม่ขึ้นมา สภาพใหม่ก็คือวิญญาณสำหรับพวกอวิชชา แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแจกแจงต่อไปอีก วิญญาณที่มีเวทนา คือ รายละเอียดของเจตสิกของวิญญาณคือเวทนา ผัสสะแล้วเกิดเป็นเวทนา 

เวทนา คือแหล่งกลางที่จะศึกษาด้วยเวทนา 108 โดยเรียนรู้มโนปวิจาร 18 ของโลกีย์ที่ยังมีอวิชชา แล้วเรียนรู้กิเลส เอากิเลสออกได้เรียกว่าเนกขัมมะ ก็มี มโนปวิจาร เนกขัมมะ อีก 18 

มันก็เกิดการปรุงแต่งเป็น สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ กับ ทวารทั้ง 6 ตากระทบรูป เกิดความสุขก็ได้ความทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ หูก็กระทบเสียง เกิดความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ ...จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกาย ใจ ก็เช่นกัน ทั้งหมดรวมเป็น 18 

ก็รู้กิเลสตัวเหตุของมัน ดับเหตุได้ก็ออกจากมันได้ โดยใช้ ฌาน 1 2 3 4 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:53:41 )

เรียนรู้มโนสัญเจตนาหารจากตัณหา 3

รายละเอียด

ถ้าคุณสามารถรู้ว่ามโนสัญเจตนาหารมี 3 กาม ภวะ วิภวะ 3 นี้เท่านั้นเป็นจบก็เท่ากับไม่ต้องเรียนรู้อะไรอีก เรียนรู้แล้วแก้ไขตัณหาทั้ง 3 ให้หมดให้จบ ให้จบในความเป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยากความต้องการ มันก็ดำรงความต้องการอยู่นั่นแหละแม้จบแล้ว พ้น ไม่มีกามตัณหา ดับภวตัณหาหมดสิ้นคุณก็ไม่มีภพ 3 กามภพ รูปภพ อรูปภพ คุณก็ไม่มีภพแล้วแต่คุณยังมีชีวิตไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานคุณก็ยังต้องมีภพอาศัยด้วยปัญญาอันยิ่ง คุณไม่ได้หลงภพ คุณมีภพ โดยไม่ต้องมีภพ

สรุปตรงข้อที่ 3 เป็นเจตนา 3 ผู้ที่สามารถรู้ด้วยกามตัณหา ภวตัณหา ซึ่งเป็น 3 ภพ ภพ กาม ภพรูป กับอรูป หมดก็เป็นวิภวภพ ก็ใช้วิภวะ เป็นสิริมหามายา หมดแล้วแต่ก็มีอยู่ ไหนว่าหมดแล้ว แต่ก็อยู่เหนือมัน ก็อนุโลมปฏิโลมกับคนอื่นทำงานไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 15:41:55 )

เรียนรู้รอบถ้วนในกวฬิงการาหารจนเป็นนัตถิอุปมา

รายละเอียด

ทุกคนแม้พระพุทธเจ้าก็ต้องกินอาหาร บรรลุสูงสุดขนาดนั้น พระอรหันต์ทุกคนก็ต้องกินอาหาร คนธรรมดา เปรต แม้แต่สัตว์ก็กินอาหาร แต่มันกินด้วยความหลง ถ้าเอาอาหารเรื่องเดียวนี่แหละ กวฬิงการาหาร ถ้าเรียนรู้ดีๆรอบถ้วน และอัตถิอุปมา เอาไปเทียบกับสิ่งอื่นๆจะเห็นแจ้งรู้จริงทั้งหมดเลยก็จะเป็นนัตถิอุปมา เปรียบเทียบอะไรก็ชัดเจนหมด ว่าอะไรเป็นตัวปรุงแต่ง อะไรเป็นตัวไม่ต้องปรุงแต่ง เป็นหนึ่งเดียว อะไรปรุงแต่งเป็น 2 3 ขึ้นไปก็จะรู้ไปหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 19:01:17 )

เรียนรู้รูป 24 โดยมีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง

รายละเอียด

ในชีวิต ตั้งแต่ปสาทรูปกับโคจรรูป คนที่มีประสาท และก็ประสาททำงานไม่บกพร่อง ไปเกี่ยวข้องกับอะไรขึ้นมา คือโคจรรูปหรือวิสยรูป สัมผัสแล้วก็มี ภาวรูป 2 มีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ จาก 2 อย่างนี้ก็เกิดสภาพต่างๆ เป็นธรรมะ 2 คนที่อวิชชาก็ปรุงแต่งกันจนเต็มโลกขึ้นมา

ผู้ที่เรียนรู้ รูป 24 ตั้งแต่จิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง มันไม่มีสถานที่อยู่ที่ไหน อยู่ในคูหาสยังในร่างกายเรานี้ นอกจากนี้ก็อาศัยภายนอกสัมผัสจิตเรา คนที่จับหทัยรูปได้ รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม คือ รวมหทัยรูป

แล้วก็เรียนรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จากหทัยรูป ของชีวะชีวิตก็มีชีวิตรูป มีชีวิตินทรีย์ กับชีวิตที่มันมีความปลอมชีวิตอวิชชาโง่ สุขทุกข์ ชีวิตจริงมันไม่มีสุขทุกข์อะไร กลางๆ มีธรรมะ 2 อาศัยธรรมะ 2 ทำงาน จิตใจพระอรหันต์ ไม่มีบวกมีลบไม่มีดูดมีผลักอะไร จากนั้นก็อาศัยปริเฉทรูป รู้กายวิญญัติ วจีวิญญัติและวิการรูปอีก 5 จนสามารถทำให้วิการรูป เบาที่สุด ลหุตา เป็นจิตที่ดีที่สุด คล่องแคล่วที่สุดไวที่สุด

แล้วทำกรรมการงานกิริยาทุกอย่างกัมมัญญตาอยู่ในนี้ออกมาเป็นกายวิญญัติวจีวิญญัติ วิการรูป 5 สุดท้ายอยู่ที่ ลักขณรูป 4 คืออุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

อาตมาไม่ได้ท่องนะแต่ว่ามันเป็นสภาวะ จึงออกมาได้อย่างนี้ คนที่เป็นอรหันต์สูงสุดแล้วก็จะอยู่ที่ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวรรณกรรมโลกุตระของโลก วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 13:04:26 )

เรียนรู้รูป 28 ให้ครบ

รายละเอียด

ต้องเรียนรู้รูป 28 ให้ครบ ตากระทบรูปก็ให้รู้อยู่รูป 28 หูกระทบเสียงก็ให้รู้รูป 28 จมูกกระทบกลิ่นก็ให้รู้รูปที่ 28 ส่วนใจนั้นจะเหลือ เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญี ที่อาตมาก็ว่านอกไปจากวิญญาณฐีติ  วิญญาณจะรับรู้ ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสแล้วมีวิญญาณเกิดรู้ หากไม่มีการสัมผัสไม่มีเวทนาก็ไม่เกิดวิญญาณ แล้วจะให้จริงต้องมีสัญญาและสังขารจึงจะครบวิญญาณ หากทำแบบไม่เต็มเว้าแหว่งมันก็ปฏิบัติธรรมได้ไม่เต็ม ปฏิบัติธรรมต้องมีวิโมกข์ข้อที่ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 เป็นหลัก ส่วนข้อที่ ข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 เป็นอรูป

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:58:52 )

เรียนรู้รูป 28 ให้ครบอย่างไร

รายละเอียด

ต้องเรียนรู้รูป 28 ให้ครบ ตากระทบรูปก็ให้รู้อยู่รูป 28 หูกระทบเสียงก็ให้รู้รูป 28 จมูกกระทบกลิ่นก็ให้รู้รูปที่ 28 ส่วนใจนั้นจะเหลือ เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญี ที่อาตมาก็ว่านอกไปจากวิญญาณฐีติ  วิญญาณจะรับรู้ ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสแล้วมีวิญญาณเกิดรู้ หากไม่มีการสัมผัสไม่มีเวทนาก็ไม่เกิดวิญญาณ แล้วจะให้จริงต้องมีสัญญาและสังขารจึงจะครบวิญญาณ หากทำแบบไม่เต็มเว้าแหว่งมันก็ปฏิบัติธรรมได้ไม่เต็ม ปฏิบัติธรรมต้องมีวิโมกข์ข้อที่ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 เป็นหลัก ส่วนข้อที่ ข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 เป็นอรูป

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม 5 รูป 28


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:40:27 )

เรียนรู้รูปนามต้องมีผัสสะจึงเกิดอายตนะตามหลักปฏิจจสมุปบาท

รายละเอียด

ถ้าเรียนรู้ได้ว่าผีมารหรือซาตาน เป็นความเท็จไม่ใช่เป็นความจริง กับสิ่งที่จริงคือสังขาร สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ด้วยเหตุและปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบาท มีวิชชา เริ่มรู้ว่าสังขารเป็นอย่างไร สังขารมันปรุงแต่งมาเป็นวิญญาณ 

วิญญาณท่านแยกให้ศึกษานามรูป ก็จะรู้จักวิญญาณ ก็จะเรียนรู้วิญญาณ แยกเป็น จิตเจตสิก รูป นิพพานได้ โดยวิธีเรียนรู้รูปนามต้องมีผัสสะ จึงเกิดอายตนะ ตามหลักปฏิจจสมุปบาทเลย มีนามรูป ได้เรียนรู้จะต้องมีผัสสะและมีอายตนะก็จะรู้นามรูป 

และนามรูปนี้ สิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นรูป เราเรียกว่าเวทนา นามที่รู้เราเรียกว่า ปัญญา หรือสัญญากำหนดรู้เวทนา 

สัญญาที่มีความฉลาดถึงขั้นปัญญาแล้ว กำหนดรู้เวทนาและแยกเวทนาได้ ตรงนี้แหละ คือ ฐานปฏิบัติอันยิ่งใหญ่ “เวทนา” มี 

กายยิกเวทนา เจตสิกเวทนา สุขเวทนา ทุกข์เวทนา อทุกขมสุขเวทนา

และมีดีกรีมีน้ำหนักของมัน ทุกขเวทนา สุขเวทนา โทมนัสเวทนา โสมนัสเวทนา อุเบกขาเวทนา เราละสุขทุกข์ โทมนัสโสมนัส อยู่ที่อุเบกขา

ไม่ทุกข์ไม่สุขกับอุเบกขาก็ต่างกัน อุเบกขาแปลโดยโวหารก็แปลว่าเฉยๆกลางๆ แปลโดยคุณลักษณะแล้วก็คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นไวพจน์ที่ใช้ทดแทน มันไม่มีสภาพคู่ ความทุกข์ความสุขคือสภาพคู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:34:58 )

เรียนรู้วิญญาณนามรูปจากอาหารอย่างไร

รายละเอียด

สำคัญที่สุดก็คืออาหารที่กินเข้าไปข้างในนี่แหละ มันจะติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรต่างๆ อันนี้แหละ ตัวอาหารจึงเรียกว่าเป็นหนึ่งในโลก แล้วท่านก็แยกมาเป็นอาหาร ให้เรียนรู้มันโดยเป็นอาหาร 4 

เรียนรู้ตั้งแต่อาหาร แล้วก็คือคู่มันคือวิญญาณหรือนามรูป ต้องมาเรียนรู้นามรูป 2 อย่างนี้ แล้วก็จะรู้จักวิญญาณที่มันโง่ มันไปติดในอาหาร เป็นวิญญาณอวิชชา วิญญาณโง่ 

เมื่อผัสสะแล้วก็มีเวทนาเจตสิก ก็มีความสุขความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อมีความสุขความทุกข์ ก็จะมีเจตนามีความมุ่งหมายต้องการตั้งแต่ หยาบๆภายนอกเป็นภพชาติ ภพชาติตั้งแต่หยาบภายนอกก็คือกามภพ ก็เรียนรู้กามภพ ฆ่ากิเลสตัวหยาบที่เป็นกามภพให้หมด จนกระทั่งหมดข้างนอกเหลือข้างในเข้ามาเป็นภวภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ฆ่ารูปภพแล้วเหลืออรูปภพ หมดเกลี้ยงไม่เหลือภพ หมดภพ  กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมดเกลี้ยง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:28:56 )

เรียนรู้วิญญาณาหารกับนาม รูป

รายละเอียด

มาเรียนรู้ อาหาร 4 ต่อ ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ไม่มีเวทนา 3 ไม่มีสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ให้เรียน เมื่อไม่มีเวทนา 3 ก็ลึกไปถึงเจตนาไม่ได้ ถึงจะเป็นมโนสัญเจตนา เจตนาที่วิ่งออกไป มันยังยึดติดยังมีที่มุ่ง มุ่งในสิ่งที่เราไปอุปาทานยึดไว้ ว่าต้องได้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้เคยมีเคยเป็น สัญญะ เคยยึด เคยติด เป็นตัณหา 3 ตั้งแต่กาม

ถ้าไม่เรียนรู้ กาม ด้วยรูปนาม 

อันที่ 4 คือวิญญาณ ต้องเรียนรู้รูปนามแล้วจะรู้หมด ท้ายท่านบอกว่า เมื่ออาริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออาริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อาริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้อาหารให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:00:07 )

เรียนรู้วิญญาณาหารต้องเรียนรู้นามรูป

รายละเอียด

จะเรียนรู้วิญญาณาหารต้องเรียนรู้นามรูป ก็เรียนรู้แยกรูป 28 นาม 5 มาศึกษาวิญญาณาหาร ศึกษาวิญญาณที่เราอาศัยนี้ จะรู้ได้ครบเลย รู้แค่นามรูปนี้แหละให้ดี แล้วปฏิบัติด้วยนามรูปนี้แหละ คุณจะทำลายวิญญาณ จบกิจได้เลย เพราะฉะนั้นคำว่า นามรูป มาขยาย ปฏิจจสมุปบาท คนที่มีอวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย วิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัย ผู้ที่มีอวิชชาอยู่ไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้วิญญาณ แยกนามแยกรูปไม่ได้ ก็คือแยกสภาวะ 1 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวผู้รู้ที่มีธาตุรู้ไปสัมผัสกับรูปนั้น ก็จะเกิดการรู้ขึ้นมา ตามวิโมกข์ 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 11:06:38 )

เรียนรู้ว่าสิ่งที่เป็นพิษสิ่งที่เป็นความมอมเมาคืออะไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นอธิปไตย 3 พลังงานหรืออำนาจที่เรารู้ว่า อำนาจของโลก คนที่มีตัวตนจัด ก็จะเป็นคนที่จะรวบอำนาจโลกมาเป็นกู เอาอำนาจโลกมาเป็นตัวตน จะเป็นเจ้าโลก จะเป็นเจ้าอำนาจอย่างที่เขาโง่ๆทำกัน มันเป็นความเลว มันไม่ใช่ความดี แต่เขาไม่รู้กัน แต่ละผู้นำแต่ละประเทศจะเป็นใหญ่จะสร้างอำนาจให้ทุกคนจะต้องเกรงกลัว จะต้องยอมรับ จะต้องนับถือ ฉันเก่ง ฉันใหญ่ฉันโก้ เพราะเราข่มเพราะเราเบ่ง

จะเบ่งด้วยอำนาจอาวุธเข่นฆ่า หรือเบ่งด้วยอำนาจของสิ่งที่เราสร้างได้แล้วเอามาเป็นเครื่องล่อ เป็นเครื่องให้แจกก็ตาม เพราะ เบ่งด้วย อำนาจ กับ ด้วยสิ่งที่เอาไปแจกจ่าย อันไหนดีอันไหนเลว ...จ่ายแจกดีกว่า

ทีนี้ก็มาเรียนรู้ความจ่ายแจก คุณจ่ายแจกสิ่งที่เป็นพิษ จ่ายแจกสิ่งที่เป็นความมอมเมา กับจ่ายแจกสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์  อันไหนดีกว่ากันอีก ... สิ่งที่เป็นคุณค่าดีกว่า 

คุณก็มาเรียนรู้ว่า สิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่เป็นความมอมเมาคืออะไร ที่คุณจะสร้าง คุณจะเอาไปจ่ายแจกเขา เพราะฉะนั้นคุณเทียบคู่อันนี้แล้ว สิ่งที่เป็นพิษมอมเมากับสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร ยังชีพ ยังมนุษยชาติ ยังสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข คุณก็มาทำอันนี้ 

สรุปเข้าเป้าตรงนี้ ประเทศไทยรู้จักสาระแก่นสารอันนี้ไม่เก่งเลยในการทำสิ่งที่เป็นการเข่นฆ่าเป็นอาวุธ อันนี้รอดตัวแล้วเมืองไทย ไม่ต้องไปกลัวว่าเราสร้างอาวุธสู้เกาหลีเหนือไม่ได้ สู้อเมริกาไม่ได้ สู้รัสเซียไม่ได้ สู้ประเทศไหนๆไม่ได้ก็ช่าง 

ไม่ต้องไปกลัวมันเลยสร้างอาวุธเข่นฆ่าคนไม่ได้ แม้ในที่สุดจะมาสร้างสิ่งมอมเมา หรือเป็นพิษให้แก่มนุษยชาติ ไม่ได้ สู้เขาไม่ได้ สิ่งที่มอมเมาเป็นพิษนั้น ไอ้สิ่งที่เป็นวัตถุกดประสาทเลย นั่นก็ง่าย สิ่งที่เป็นพิษมอมเมา ที่มันกดประสาทเลย ก็อย่าไปทำสิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 05:56:19 )

เรียนรู้ศีลพรตและทิฏฐิอย่างไรให้สัมมา

รายละเอียด

พยายามรู้ศีลพรตและทิฏฐิ อย่างโพธิรักษ์ บอกศีลพรตให้สัมมาทิฏฐิมาเรียนรู้กับชาวอโศก ปฏิบัติศีล ปฏิบัติอปันกธรรม 3 ก็จะเกิดสัทธรรม 7 ปฏิบัติโดยมีผัสสะเป็นปัจจัยก็จะเกิดเวทนาแล้วแยกเวทนาได้รู้จักตัณหา รู้ความโง่ คนสอนให้รู้อย่างนี้เขาสอนถูกเอาตามเขาสอน พวกนี้จะรู้จัก ละอาย พอได้ความรู้ความเข้าใจความเชื่อความศรัทธาขึ้นมา สัทธรรม 7 คุณก็จะละอายขึ้นมาเลยมันเป็นความจริงแต่ถ้าคุณยังโง่คุณยังอวิชชาคุณยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ คุณจะไม่เข้าใจจากนี้จะไม่ปฏิบัติอย่างที่ว่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:52:01 )

เรียนรู้สภาวะ 2 จนถึงปรมังสุขัง ที่ยิ่งกว่าสุข

รายละเอียด

แต่เราย่อเข้ามาหาสภาวะ 2 เรียนรู้จักภาวะ 2 ตั้งแต่บวกลบ ดีชั่ว โดยเฉพาะโลกุตระกับโลกียะ เรียนรู้เนื้อแท้ของพวกนี้ให้จริงแล้วเปรียบเทียบกัน อันนี้มันเป็นโลกียะ อันนี้เป็นโลกุตระ ก็ทำให้เป็นโลกุตระ ถ้าดีชั่วก็เอาก่อนได้ เอาแต่ดีไม่เอาชั่ว ได้มันไปด้วย ได้ดีแล้วไม่เอาชั่วแล้วก็อาศัยกันทั้งโลกียะและโลกุตระ 

ถ้าโลกุตระต้องมีสุขมีทุกข์ เอ้า..ไม่ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ มีอยู่ในโลก มีก็ต้องมีแต่ส่วนดีไม่มีส่วนชั่ว ถ้ามีที่เป็นโลกุตระก็เอาแต่สุข แต่สุขของพระพุทธเจ้าจริงๆ สุดท้ายมันไม่มี ก็เลยเอาปรมังสุขัง ยิ่งกว่าสุขก็แล้วกัน แต่เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง สุข เราก็รู้ว่ามันเป็นโลกียะอยู่ความสุขกับความทุกข์ ทั้งคู่ ถ้าโลกุตระมันยิ่งกว่าสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์จึงเรียกว่า ปรมังสุขัง สภาวะมันเป็นอย่างนั้น ถ้าใครไม่รู้ก็วนเวียน ปรมังสุขัง ไปวนเวียนก็คือ มีสุขอย่างยิ่ง แต่นี่มันยิ่งกว่าสุข คือไม่ทุกข์ไม่สุข พอเข้าใจไหมใช้พยัญชนะมาพูด พูดได้เท่านี้เพราะมีพยัญชนะเท่านี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:31:10 )

เรียนรู้สภาวะ 2 ด้วยวิญญาณฐีติ

รายละเอียด

ต้องมาเรียนรู้สภาวะ 2 ตลอดเวลา ทเวธัมมา ต้องเรียนรู้ในสอง โดยเฉพาะกรรมฐานคือเวทนาจะต้องมีผัสสะจึงมีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ วิญญาณฐีติ คือ วิญญาณเกิดในขณะมีที่ตั้ง ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มีที่ตั้งแล้วก็มีองค์ประกอบ 

ตาก็จะเกิดเรื่องรูป หูก็เป็นเรื่องของเสียง จมูกเรื่องกลิ่น ลิ้นเรื่องรส กายกระทบสัมผัส แต่นี่ไม่มีที่จอดไม่มีที่ลงไม่มีที่ไป เป็นสัมภเวสี น้ำมันไม่หมดสักที ลอยไป ใช้น้ำมันอะไร บินอยู่ได้ ลอยอยู่ได้ไม่รู้จักหาที่จอดที่ลง ก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่องปฏิบัติไม่ได้ แต่เขาก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นแหละ 

สรุปตรงที่ว่าคำว่าวิญญาณจะต้องมีเทวะมีนามรูปมี 2 คือ จะเป็นภายนอกภายในจะเป็นกายเป็นจิต ก็เป็น 2 ทั้งนั้น โดยให้มีสภาวะ 2 อย่างแล้วกำหนดรู้ จะเป็นมิติใด นัยยะใด เอามาเทียบกันหมดด้วย 2 นี่แหละ คำว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ที่สุด 

เพราะฉะนั้นเมื่อแยก 2 ออกมา แล้วเปรียบเทียบกันไปตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายก็จบด้วย 2 หากคุณไม่ทำอย่างนี้ คุณนึกเลยว่า 1 เป็น 2 ไม่ได้ ห้ามแยกห้ามเปรียบเทียบ ก็จะเป็นเทวนิยมยึดถืออย่างเดียวตลอดกาลนิรันดรอย่างที่เป็นอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 15:02:05 )

เรียนรู้สภาวะจิตที่เป็นกิเลสด้วยเจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

กระทั่งไปถึงจิต แล้วกิเลสมันก็มาร่วมปรุง มีราคะ โทสะ โมหะ เราก็แยกราคะ โทสะออกได้ ว่า ตระกูลนี้อาการโทสะ ตระกูลนี้ราคะ ตระกลูนี้โมหะ แยกราคะ โทสะ โมหะได้ ก็ลดมันไป ปฏิบัติจนอาการราคะโทสะลด ก็มี เจโตปริยญาณ 16 แล้วก็สามารถที่จะรู้สภาวะจิตของเรา สภาวะกิเลสมันมีขึ้นมา พวกเราทำให้มันไม่เที่ยง ทำให้มันลดลงไปได้ 

ไม่เที่ยงมี 2 ประการ 1. ไม่เที่ยงเพราะว่ากิเลสเพิ่มขึ้นๆๆ กับมันก็ไม่เที่ยง มันไม่อยู่กับที่หรอกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็รู้ได้ จะลองทำให้มันลดได้มันก็ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเพราะมันจางคลาย จนกระทั่งถึงดับ จนถึงนิโรธดับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 05:23:58 )

เรียนรู้สัตตาวาส 9 ได้ด้วย วิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

ในสัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ 7 มีภาษาสำคัญคือ กายกับสัญญา หากคนเข้าใจไม่ถูกอธิบายไม่ได้

สัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ 7 ต่างกันที่ วิญญาณฐีติ 7 คือ สัตตาวาส 9 มีสองข้อหลังเพิ่มจาก วิญญาณฐีติ 7 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญีสัตตายตนะ

เนวสัญญาคือ มีสัญญารู้ทุกอย่างแต่จะสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ ถ้าหากสัมมาทิฏฐิก็รู้หมด เป็นผู้ที่สามารถรู้ถ้วนรอบก็เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ส่วน อสัญญีสัตว์นั้นไม่รู้อะไรเลย

สัตตาวาส 9 คือความเป็นสัตว์ทั้ง 9 ชนิด พระพุทธเจ้าลงเอาไว้ในความเป็นสัตว์มีอยู่ 9 ชนิดโดยเฉพาะมนุษย์ พวกสัตว์เดรัจฉานยังไม่รู้เรื่องหรอก แม้แต่คน ที่เป็นปุถุชน อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่ยังเข้าใจธรรมะที่เราพูดกันนี้ไม่ได้ คนที่ฟังอาตมารู้เป็นเวไนยสัตว์จะมีจำนวนไม่มาก คนอเวไนยสัตว์จะไปฟังแบบธรรมกายเยอะ ฟังอะไรก็สาธุปลื้มๆไปตลอดหรือพวกนั่งหลับตาก็คืออสัญญีสัตว์ ส่วนพวกเนวสัญญานาสัญญายตนะคือธรรมกาย

ปฏิบัติธรรมต้องเรียนรู้สัตว์ทั้ง 9 นี้ด้วยการมีวิญญาณตั้งอยู่เรียกว่าวิญญาณฐิติ ถ้าวิญญาณไม่มี ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าหากวิญญาณไม่มี ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ ตีทิ้งเลย การจะนั่งหลับตา เป็นอสัญญีสัตว์ หรือเข้าใจปนไปว่า แม้จะลืมตาอยู่อะไรก็ไม่ใช่สัญญา เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 15:47:50 )

เรียนรู้สำคัญเรื่องพืช

รายละเอียด

เรื่องของสัตว์ปล่อยมันไปตามวิบาก เรื่องของวัตถุปล่อยมันไปตามฟิสิกส์ พลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า คุณมาเอาสำคัญที่พืช เพราะคุณต้องกินพืช เรื่องสัตว์คุณไม่กินแล้วจบ แต่พืชนี่แหละ ยังมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสยังมีโฆษณา ยังมีการหลอกล่อให้ไปนิยมอย่างโน้นอย่างนี้ อีกเยอะ การเรียนรู้เรื่องพืชนี้สำคัญ รู้ว่าอะไรสมควรมันมีธาตุอะไรที่เราเอามาใช้ได้ เรามีความรู้โภชนาหารพอสมควร ไม่ต้องไปจบดอกเตอร์โภชนาหารหรอก เขาเรียนมาละเอียดก็ดีแล้วเราค่อยเรียนรู้จากเขา เอามากินมาใช้ ว่ากินอันนี้ดี ใช้อันนี้ดีสำหรับอาหาร ไม่ใช่วัตถุ อาหารพวกพืชผักผลไม้ พีชนิยาม แค่นี้แหละคุณก็รู้สิ่งที่อาศัยเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารก็พอแล้ว ทีนี้ โลกียะนี่ไม่มีความรู้  โลกุตระมีความรู้ปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 12:10:24 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 07:44:23 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:04:55 )

เรียนรู้หลักกวฬิงการาหาร

รายละเอียด

ต่อมา อาหารรูป อาหาร เป็นเครื่องอาศัย พระพุทธเจ้าแยกอาหารรูปไว้ 4
กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร 

ต้องไปเรียนรู้ที่หลักมันเลยคืออาหารที่เป็นกวฬิงการาหาร นี่แหละฐานที่อยู่กับมนุษย์ทุกคนต้องกิน อาหารคำข้าวที่คุณต้องกินต้องเคี้ยวต้องแตะลิ้น นี่แหละกลิ่นด้วย อาหารบางอย่างมันก็มีเสียงหรือไม่มีเสียง แต่มันมีครบทั้ง 5 นั่นแหละใน กวฬิงการาหาร 

คุณเคี้ยวคุณกลืน แล้วมันจะมีรส ก็อ่านจากรส คุณติดรสนี่แหละ กลิ่นก็ติด เสียงก็ติด รูปก็ติด รูปน่ากิน รูปไม่น่ากิน กลิ่นไม่น่ากิน กลิ่นน่ากิน 

น่ากินกับไม่น่ากิน เป็นทุกข์กับไม่เป็นทุกข์ หรือไปหลงเป็นสุข ก็เป็น 2 หลงวิปลาสแต่ละคู่ๆไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 22:04:52 )

เรียนรู้อภิสังขารควบคุมกายและจิตได้จบ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้ปฏิจจสมุปบาทแล้วรู้เวทนา นี่แหละเป็นโครงสร้างใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ถ้าปฏิจจสมุปบาทก็ทั้งหมด คนไม่ได้รู้ง่ายๆหรอก ยิ่งเวทนา 108 ที่เป็นการจัดการหัวใจของสัตว์มนุษย์ หัวใจของความเป็นชีวิต วิญญาณ เวทนาเป็นหัวใจ เรียนรู้หัวใจจัดการเหตุปัจจัย ดับเหตุปัจจัยที่มันโง่ ที่มันไม่รู้ความพอเหมาะพอดี ความสามารถที่จะให้เกิดสังขารปรุงแต่งกันอยู่อย่างได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี ทั้งสังขารกาย สังขารจิต ส่วนสังขารวาจานั้นก็เป็นส่วนกลางที่จะออกมาสื่อให้รู้กัน แท้ๆก็กายกับจิต จึงสามารถควบคุมกายควบคุมจิต หรือจัดการอภิสังขาร จัดการกับกายจัดการกับจิตได้จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

พระอรหันต์เป็นผู้มีความรู้เรื่องอาหารดีกว่าคนโลกีย์


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 18:56:18 )

เรียนรู้อรูป ความมีและไม่มี

รายละเอียด

นิดนึงกับไม่มีนี้แยกยาก 

ขนาดนิดหนึ่งคุณก็ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ มันเหลือน้อยเท่าไหร่ก็เอาให้ไม่มี ไม่มีคุณก็จะค่อยๆ มีญาณแหลมคมลึกเข้าไป เรียนรู้ความมีและไม่มี มีที่หยาบอีก เหลือไม่มีละเอียดลงไปก็ลดลงไปอีก จนกระทั่งท่านใช้คำว่า อากาสา วิญญานัญจา อากิญจัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:10:06 )

เรียนรู้อะไรจากกวฬิงการาหาร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้พิจารณาเรียนรู้ กวฬิงการาหาร เป็นตัวสำคัญเลย โภชเนมัตตัญญุตา ก็ตาม ก็พิจารณาอาหารคือ คำข้าว การกิน ของกิน มันมีกิเลสอยู่ในของที่กินที่เคี้ยวเข้าไปในปาก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็เรียนรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอันนี้ จากอาหารนี่แหละ มันมีผัสสะ ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร ก็อยู่ในอาหารคำข้าวและมีวิญญาณาหาร รูปนาม 2 สภาพ 

อ่านวิญญาณ มันเกิดอยู่ใน กวฬิงการาหาร วิญญาณ พอไม่รู้มันก็มีวิญญาณอยู่ตลอดไป เป็นวิญญาณสุขไปก็ไม่รู้ตัว ไปกับมันตลอดกาลนาน ไม่เรียนรู้มีผัสสะอยู่ เจตนาที่มีกิเลส อกุศลเจตนา เป็นจิตที่มุ่งหมายต้องการหาสถานที่ดูดีๆมีจุดมุ่งหมายก็ไม่ได้เรียนรู้จุดมุ่งหมาย ไม่ได้เรียนรู้เจตนา ไม่ได้เรียนรู้ตัณหา 3 เจตนา เป็นตัณหา 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 13:39:27 )

เรียนรู้เจตนาตั้งแต่หยาบภายนอก

รายละเอียด

ก็เกิดสภาพสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ สามารถรู้จักเจตนา สามารถควบคุมและจัดการเจตนาได้ ว่าจะให้เป็นเจตนาบริสุทธิ์ เจตนาที่ต้องการสุขทุกข์นั่นแหละ ที่จริงสุขทุกข์มันเป็นมายา ยึดติดอะไรมันสุข ยึดติดอะไรมันทุกข์ คนซาดิสม์ก็รู้สึกอย่างนึง คนโรแมนติกก็รู้สึกอย่างหนึ่ง มันก็เท่านั้นเองแบ่งเป็น 2 

เมื่อรู้เจตนาแล้ว ท่านก็ให้เรียนรู้เจตนาตั้งแต่หยาบ คือเจตนา เอามาปรุงแต่งเป็นสภาพ 2 ตั้งแต่ข้างนอก เจตนา อยากได้ ติดยึด เอาข้างนอกมา เรียกว่าปรุงแต่งกัน มันเป็นประโยชน์เป็นโทษ ถ้าปรุงแต่งเป็นโทษ จากข้างนอก ตาหูจมูกลิ้นกายกระทบกันเสร็จ ท่านก็เรียก กามาทีนวะ แต่คนมันไม่รู้โทษของการปรุงแต่ง ก็นึกว่ามันเป็นคุณ เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น เรียกว่ากามคุณ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

พระอรหันต์เป็นผู้มีความรู้เรื่องอาหารดีกว่าคนโลกีย์


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 19:01:01 )

เรียนรู้เป็นลำดับจะจับแกนของศาสนาพุทธได้

รายละเอียด

แล้วรู้ลำดับด้วยถ้าเรียนรู้เป็นลำดับจะจับแกนของศาสนาพุทธได้คือ 

1. ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล . . มีศีล 5 8 10 จุลศีล, มัชฌิมศีล, มหาศีล

ต่อมาข้อ 2 3 4 ของจรณะ 15 ที่เป็นอปัณกปฏิปทา เป็นการ ปฏิบัติที่ไม่ผิด แต่หากปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วไม่มี 3 ข้อนี้ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพุทธ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มี 3 ข้อนี่ 

อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดทางพุทธ)

1. อินทรียสังวร (การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทวาร) .

2. โภชเนมัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในสัดส่วน . ทั้งอาหารกาย, อาหารอารมณ์, อาหารวิญญาณ) . 

3. ชาคริยานุโยค (การหมั่นตื่นออกจากกิเลสโลกีย์) 

(พตปฎ. เล่ม 20   ข้อ 455)

ถ้าหากปฏิบัติ 3 ข้อนี้ศาสนาพุทธยังอยู่ เอาจริงเอาจังใน 3 ข้อนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:10:50 )

เรียนรู้เรื่องทานเรื่องศีล

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงสอนอันนี้เริ่มต้นโดยอนุปุพพิกถา สอนเรื่องชีวิตอยู่ ศาสนาไหนก็สอนเรื่องทานเรื่องศีล แล้วก็เรียนรู้เรื่องทานเรื่องศีล 

ถ้าทานได้ถูก ทานได้ดี ทานได้มาก ก็จะเป็นสวรรค์ รักษาศีลเรียนรู้ว่าควรจะต้องปฏิบัติกายวาจา ใจ โดยเฉพาะหยาบๆ ก็ กายกับวาจา ก็มันปรุงแต่งเป็นกาย เป็นวาจา ก็ควบคุมด้วยศีล ด้วยหลักเกณฑ์ ด้วยความรู้ของศาสดา ของพระพุทธเจ้าก็สอนตั้งแต่มันเกี่ยวข้องกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับของ เกี่ยวข้องกับการกระทบ ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เรียนรู้อะไรควรอะไรไม่ควรอย่างไร ก็ทำให้ดีให้เหมาะควร ก็ดีแล้ว ไอ้สุขทุกข์มันก็ยึดเอาเอง 

เมื่อมาเรียนรู้ได้จริง สามารถแยก ตาหูจมูกลิ้นกาย ใจ ที่เป็นตัวร่วมกับตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ ในสัตว์ ในคนนี่แหละ ศึกษา แต่พูดถึงสัตว์อื่นเขาเรียนรู้ไม่เป็นหรอก คนนี่ แล้วก็แยกให้ออก สามารถเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์จริง ก็จะใช้ได้ประโยชน์ แล้วก็อาศัยอย่างสมเหมาะสมควรอย่างสมดุล ชีวิตก็ดำเนินไปดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

พระอรหันต์เป็นผู้มีความรู้เรื่องอาหารดีกว่าคนโลกีย์


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 19:02:25 )

เรียนรู้เวทนา 2 คือสุขทุกข์เป็นความรู้สึกของมนุษยชาติ

รายละเอียด

ที่พูดมาเมื่อกี้นี้ว่า ไม่ใช่ว่าอาตมาไปจัดการมีหลักเกณฑ์หมวดหมู่ขั้นตอนไม่ใช่ อาตมาไม่ได้เจตนาไม่ได้เก่งทั้งนั้นเลย แต่อาตมาตามรู้ทีหลังว่า สภาวะทุกอย่างนี่นะ ทุกวันนี้อาตมาแหม พูดแล้วก็ขออภัยที่ต้องพูดตรงนี้ อาตมาตีแตกตั้งแต่คำว่า 2 เทวธัมมา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60

คู่ที่เอามาแยกคือเวทนา จับคู่ของเวทนา แล้วเรียนรู้เวทนาคือความรู้สึกของมนุษยชาติ ความรู้สึกสุขทุกข์เป็น 2 แยกสุขแยกทุกข์ให้ออกให้ชัด แต่ที่จริงมันแยกไม่ได้ 2 ก็คือหนึ่งหนึ่งก็คือสองอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมเขาตี 2 ไม่แตก พระพุทธเจ้ามาตี 2 ให้แตกแยกเป็นหนึ่ง แล้วมันก็สลับไปสลับมา จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้ ยิ่งละเอียดยิ่งเร็วไปดูไม่ทัน ยิ่งละเอียดยิ่งรู้ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยกลายเป็นสภาพที่ ยิ่งละเอียดแล้วยิ่งไว ยิ่งเร็ว ยิ่งรู้ไม่ชัดรู้ไม่ทัน สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนนักเล่นกลนักมายากล แต่เป็นนักมายากลที่จริงไม่ใช่กลเลย แต่มันเร็วมันไวมันละเอียด วิธีรู้ทันว่ามันปรุงแต่งกันอยู่สังขารกันอยู่สังเคราะห์กันอยู่ ก็แยกได้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA

วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 20:21:46 )

เรียนรู้เวทนา 5

รายละเอียด

ก็จะมีเวทนาอีก 5 ก็คือ ลำดับน้ำหนักของมัน องศาของมัน คุณภาพของมัน มันนอกมันในมันใหญ่มันเล็กมันเบามันแรงอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นความทุกข์ใช้พยัญชนะเรียกว่า ทุกขเวทนา คู่กับ สุขเวทนา มันคือหยาบ มีภายนอก ก็มาเรียนรู้ หยาบ ภายนอกมันเป็นสุขมันเป็นทุกข์หมดไปได้แล้ว ก็เหลือโสมนัสโทมนัส อุเบกขาจากทุกข์สุข ก็เป็นอนาคามี ทำโสมนัสโทมนัสหมดอีก ก็อุเบกขา จิตของคุณจะเป็นจริงเลย กระทบสัมผัสอย่างไรข้างนอกก็ไม่มี ข้างในเป็นรูป หยาบเป็นรูปก็ลดรูปอีก เหลืออรูป ก็ลดอีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:07:31 )

เรียนรู้เวทนาเรื่มจากกายิกเวทนาและเจตสิกเวทนา

รายละเอียด

คนถามมานี่ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจ คำถามของคุณเป็นคำถามยังไม่ชัดเจนของคุณเองถามมา อาตมาจะต้องอธิบายซ้อนลงไปด้วยซ้ำ ว่า คุณบอกว่าไม่อยากมีเวทนาจากใคร อันนี้ก็เป็นคำตอบของคุณว่าไม่อยากมีเวทนาจากใคร ก็แสดงว่าคุณเองคุณเข้าใจคำว่าเวทนา ที่จะมีเวทนาจากใครๆก็ไม่อยากมีเวทนานั้นจากใครๆ แล้วคุณจะไปห้ามเขาจะมีเวทนาได้อย่างไร มันห้ามไม่ได้ เวทนาคือความรู้สึก สัตว์ทุกตัวมีเวทนามีความรู้สึก แต่เราจะเข้าใจอาการของลักษณะเวทนาที่มันเกิดมันมีดีหลายอย่างไร มีความแตกต่างมีนัยยะแตกต่างอย่างไรที่คุณจะต้องเรียนรู้ แจกเป็นเวทนา แค่เป็นเวทนาสุข อาการมันทุกข์ อาการมัน ไม่สุขไม่ทุกข์คุณจะต้องรู้ เริ่มตั้งแต่ กายิกเวทนา และ เจตสิกเวทนา อนึ่งเกิดร่วมแต่กายอันหนึ่งเกิดร่วมกับจิต อีกอันต้องร่วมกับกาย จริงๆแล้วจิตกับกายแยกกันไม่ได้ คำว่ากายนี้ อาการ 2 อันนี้จะทำให้เป็น 1 ก็ได้แต่คุณจะต้อง ฆ่า 2 ให้มันเป็น 0 / ในภาษาบาลี 2 คือเทวะ คือกาย ต้องฆ่ากาย ให้เหลือเป็นอุตุ หรือพีชะ พีชะเป็นชีวะ แต่ไม่มีความรู้สึกแล้วก็ต้องดูอาการสภาพพลังงานที่เรียกว่าพืชคืออย่างไร พืชจะเหลือ 1 มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีบาปไม่มีบุญ นี่อาตมาก็อธิบายมาจนมาก ซึ่งไม่ง่ายต้องติดตามฟังดูให้ดี 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:25:07 )

เรียนรู้แต่ละปริเฉท

รายละเอียด

ฉ. อาหารรูป 1 = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร 

ช. ปริเฉทรูป 1 = 15.อากาสธาตุ=รูปที่กำหนดจะให้ว่าง ทำทีละปริเฉท ก็รวมที่วิการรูป 

ซ. วิญญัติรูป 2 = 16.กายวิญญัติ  17.วจีวิญญัติ ไหวให้รู้ 

ฌ. วิการรูป = 18.ลหุตา  19.มุทุตา  20.กัมมัญญา 

กายวิญญัติคือ ความเคลื่อนไหวร่วมกับกายภายนอกกับวจีภายนอก วจีวิญญัติก็คือต้องเรียนรู้ตั้งแต่ภายในถึงภายนอก ตัวภาษา แล้วมีจิตไปกำกับ จิตไปกำกับกาย วาจา ให้เป็นอาการของกาย วาจา อาการของภาษา คุณเลือกภาษามาพูดให้ถูกสภาพ เรียกว่า วาทิตะ วาจาก็เป็นคำเรียกกลางๆทั่วไปคือคำพูด วาทิตะคือภาษาที่คุณเลือกแล้ว เอามาใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะ 

นักแต่งกวี ใช้ภาษาที่เอามาแต่งกวีคือวาทิตะ คุณรู้จักต่างจากภาษาธรรมดามันก็ทั่วไป เมื่อมีความรู้ในวาทิตะก็เลือกเอามาใช้งานให้เป็นประโยชน์ กวีเอามาใช้เป็นคำแต่งโคลง กลอน กวีถ้ามีความเชี่ยวชาญเก่งก็เอาวาทิตะ คำที่เหมาะสมสวยงามดีตามโลกนิยมก็เอามาแต่งกลอน แต่งกวี ได้ดี ได้เก่ง 

อย่างอาตมาแต่งกวีได้เก่ง เอาตามค่านิยมสังคมก็ได้  ค่านิยมของสังคม
ต้องการฟรุ้งฟริ้ง ปรุงแต่งมากๆ ก็ได้ แต่อาตมาไม่เอาแบบนั้น แต่งแค่นี้ก็เหลือกินแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:57:47 )

เรียนรู้โทษและลดละกามอย่างไร

รายละเอียด

จุดสำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือเวทนาหรืออารมณ์ หรือความรู้สึกนี้ ต้องมาเรียนรู้คุณเรียนรู้โทษ เรียนตั้งแต่กาม หยาบภายนอก หมดแล้วกามภายนอก มีวิมุตติญาณทัสสนะ มีปัญญาญาณทัศนวิเศษอยู่เหนือมันแล้ว เด็ดขาด เหลือข้างในก็เป็นอนาคามีล้างอีก 

ลด ความหลงโง่หลงยึดติด จนหมด เห็นเป็นสิ่งที่เป็นสังขารธรรมดาในโลก มันสังขารตามเป็นจริงของมัน ตามภาวะปรุงแต่งกันด้วย 2 สภาพขึ้นไปก็เป็นธรรมดา จะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา ไม่ได้หวั่นไหวไปกับรสแรง รสเบารสกลาง จะเป็นรสทางตา เป็นรสทางเสียง จะเป็นรสทางกลิ่น จะเป็นรสทางลิ้น จะเป็นรสทาง สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มันสัมผัสกันเกี่ยวข้องกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 21:07:25 )

เรียนรู้โลกแล้วให้รู้จักพอ

รายละเอียด

ถนัดอะไรในสิ่งที่ควรจะทำ เช่นพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นต้น เขาก็ลงมือทำและศึกษาความรู้ทำให้มันมีผลผลิตออกมา เสร็จแล้วเขาก็เรียนรู้เรื่องโลก มอมเมาให้ไปติดหลงเรื่องขี้หมูขี้หมาอะไรก็แล้วแต่หลอกต้องไปจ่ายเงิน เราก็ฉลาดรู้ทัน ไม่ถูกหลอกให้ต้องไปเสียเงิน เช่น เสียเงินไปดูฟุตบอล เสียเงินไปดูเต้นรำเต้นร้อง เสียเงินไปอะไรต่ออะไร จนกระทั่งไปเสียเงินซื้ออะไร ที่มันเป็นแฟชั่นอะไรต่ออะไร เราก็ไม่ เราก็รู้จักสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยแก่ชีวิต ข้าว ผ้ายา บ้าน เป็นต้น หรือเครื่องใช้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเล็กๆน้อยๆ หรือบริขารที่จำเป็น แว่นตาต้องใส่ ปากกาต้องใช้ เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ก็ต้องอนุโลมทำงานได้ ทุ่นแรงหรือสร้างสรรอะไรได้ทันโลกเขา เราก็ซื้อบ้าง สิ่งที่จำเป็นสมควร นอกนั้นเราก็เอาแรงงานมาสร้างสิ่งที่กินที่ใช้
แล้วเราก็รู้ว่าสิ่งจำเป็นของชีวิตข้าวผ้ายาบ้าน เราต้องกินต้องใช้ เราไม่ไปหลงโลกที่มันครอบงำมอมเมา เราอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ เพราะฉะนั้นเทียบกับไอ้คนทางโลกที่เขาถูกมอมเมาครอบงำติดยึด อะไรก็ไม่พอ อะไรก็ไม่มีไม่ได้ อะไรก็ต้องมี อะไรก็ต้องเอา ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม เท่าไหร่ก็ไม่ค่อยพอ ไม่รู้จักพอ 

พอมาลดเหลือชีวิตก็แค่ข้าว ผ้า ยา บ้าน มีบริขารเป็นเครื่องทำงาน แว่นตา ปากกา เครื่องคอมพิวเตอร์ อะไรที่นิดหน่อย เครื่องใช้ที่สำคัญที่จำเป็นอะไร เราก็อยู่รอดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 16:01:37 )

เรียนรู้ในตัวเองต้องเอาที่เวทนาเป็นตัวหลัก 

รายละเอียด

ให้มาเรียนรู้อันนี้แล้วจะรู้ได้ทุกอย่างครบ เรียนรู้ทุกอย่างครบคือมาเรียนรู้หาเป้าเป็นกรรมฐาน เป็นแก่นแกน พระพุทธเจ้าสรุปถึงสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ปรุงแต่งกันขึ้นมา แล้วก็เป็นสังขาร เป็นเวทนา โดยมันมีขยายความไป ถึงขั้นวิญญาณมันก็ต้องมี 2 สภาพ คือ 1. เป็นธาตุรู้ของเราเองเรียกว่านาม 2. อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเทวะคู่แรก ธาตุรู้ของเราเองกับอีกสิ่งหนึ่ง เรียนรู้ทีละคู่ 

การจะไปรู้นอกตัวมันก็ไม่จบ ต้องมาเรียนรู้ในตัวเอง ก็เอาที่เวทนาของตัวเอง เอานามรูปนี้ไปสัมผัส เมื่อมีนามรูปสัมผัส นามคือธาตุรู้ มีวิญญาณอาศัยประสาทตากับลูกตา วิญญาณที่อาศัยหูกับเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส เอาอันนี้มาสัมผัสของจริง เมื่อมีการสัมผัสของจริงก็มีวิญญาณเกิด 

และในวิญญาณนั่นแหละมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร ในวิญญาณเป็นขันธ์รวมขันธ์ใหญ่เป็น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เป้าหมายของพระพุทธเจ้าชัดเจน ให้เรียนรู้ที่เวทนาเป็นตัวหลัก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 15:49:58 )

เรียนรู้ในวิสุทธิมรรค กสิณ 40 เป็นเรื่องนอกรีต

รายละเอียด

การไปเรียนรู้ในวิสุทธิมรรค มีกสิณ 40 พวกนี้เป็นเรื่องนอกรีตหมด ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าสอนหรอก รวบรวมมาจากเกจิอาจารย์เป็นอรรถกถาจารย์มารวมไว้ แล้วก็เรียนกันไป เสียเวลาเปล่าๆ มันเป็นสมถะ ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมถะอย่างนั้น ลืมตามีจรณะ 15 วิชชา 8 อันนี้สัมมาทิฏฐิ อันนี้มิจฉาทิฏฐิ เมื่ออาตมาเอามาพูด เขาก็เห็นว่าแปลก ไม่มีอาจารย์คนไหนพูด ใช่ เพราะมันเสื่อมไปหมดแล้วโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามันไม่เหลือแล้วในยุคนี้อาตมาเอามาพูดขึ้น 

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจำเป็นมากเลย แล้วอาตมาเชื่อว่าอาตมาไม่ได้เข้าใจผิด อาตมาเข้าใจถูกแล้วว่าจริงๆ ด้วย มันได้เพี้ยนได้ผิดไปจนกระทั่งต้องเอากลับคืนมา เรียนรู้พัฒนา 108 ให้สมบูรณ์แบบนี้แหละ มันจะเข้าใจง่ายๆนะที่จะแยกแยะมาสาธยายให้รู้ว่า เวทนา 108 คืออะไร แล้วมันจะเอาไปปฏิบัติอย่างไร จะได้สภาวะอย่างเป็นลำดับอย่างไร 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังคมของคนที่ตายจากกิเลสจนเป็นพระอาริยะ วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2565 ( 11:45:27 )

เรียนรู้ให้ได้จนถึงอาการอโศกะ วิรชะ เขมัง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องรู้อาการ คือการเคลื่อนไหวของจิต เคลื่อนไหวเป็นสุขเคลื่อนไหวเป็นทุกข์ เป็นอาการตั้งแต่ หยาบ ก็ลดได้ ไม่มีอาการแล้วสุขทุกข์ในความหยาบ ลดลงเหลือกลางๆ สุขทุกข์อย่างกลางๆ อย่างหยาบๆ เลิกเลย ไม่เสพ ไม่อร่อย ไม่สุข ไม่ทุกข์ เลิกเลยอาการจิตอย่างนั้นจนกระทั่งลดลงมีทุกข์นิดนึง ปลาย ดุกดิกๆ เป็นวิรชะ อโศกะ 

อโศกะ คือไม่โศก แต่ยังมีส่วนโศก, วิรชะ คือส่วนเสพ เสพรส, วิรชะ เป็นรสอย่างยิ่ง เสพอย่างยิ่ง, รชะ เป็นรสโลกีย์อย่างยิ่ง เหลือนิดนึง คุณก็ต้องรู้ให้ได้ จนไม่มีเลย ผลักดูด โศกะก็ผลัก รชะ ก็ดูด ไม่มีทั้งผลักทั้งดูดถึงจะเป็นเกษม

เขมัง บริสุทธิ์สะอาดหมดเลยไม่มีอะไรอีกสูงสุดอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:26:10 )

เรียนรู้ 3 ภพในปฏิจจสมุปบาท

รายละเอียด

ทีนี้ ภพ ย้อนมาอันที่ 2 ไล่มาจากตัวท้ายของ ปฏิจจสมุปบาท ภพ คือแดนเกิด ภพ ท่านแยกง่ายๆเป็น 3 ภพ  ภพที่เป็นการเกิดที่เกี่ยวข้องกับวัตถุข้างนอก การเกิดที่มีจิตวิญญาณร่วมด้วย เกี่ยวกับข้างนอก สัมพันธ์กันแล้วเป็นการเกิดเรียกว่า กามภพ แล้วก็ดำเนินไปตามลีลาบทบาทตามความเป็นเรียกว่า กามาวจร มันก็ร่วมกันไปเป็น กามาวจร 

มาที่กามภพ เรียนรู้ภพชาติ กาม​ผูกพันกับข้างนอก มีตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นกามคุณ เลิกให้ได้ จนจิตเราอยู่กับกามก็เฉยๆ สัมผัส รูปเราก็เห็น เหมือนคนอื่นเขาเห็นเขาชอบไม่ชอบเราก็มองเฉยๆกลางๆ เสียงก็เหมือนกัน คนอื่นได้รับเสียง เราก็กลางๆ กลิ่นรสอะไรหมดทุกอย่างทวารทั้ง 5 เราก็เฉยๆกลางๆทั้งนั้นไม่ผลักไม่ดูด ไม่ชังไม่รัก อาศัยกันก็อาศัยไป เป็น ประโยชน์คุณค่าก็อาศัยไป ปรุงแต่งร่วมกับ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไป นี่กามภพ

คุณหมดอาการที่ติดยึดผูกพันจน ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ผลักไม่ดูด มันยังไม่ทีเดียวหรอก เป็นรูปภพข้างในมันยังผลักยังดูด อยู่ในจิตของคุณแต่คุณไม่แสดงออกทางรูปข้างนอกเสียงข้างนอกกลิ่นรสข้างนอก ผัสสะภายนอก คุณไม่แสดงออกแล้ว มีอยู่ในใจมันผลักมันดูดอยู่ภายในใจ เป็นรูป เป็นของหยาบก่อน ข้างในที่หยาบเรียกว่ารูป รูปภพ คุณก็เรียนรู้อีก มันยังหยาบ ให้มันลดลงไปอีก จนเหลือน้อยๆๆ จนเรียกมันว่าง ไม่ใช่รูปแล้ว อรูป แทบไม่มีรูปแล้วจึงถึงขั้นอากาศถึงขั้นวิญญาณ 

สัมผัสแล้วมันก็ว่างแต่มันมีอยู่ วิญญาณมันก็มีผลักมีดูดเล็กๆน้อยๆ รังแคะรังคายกัน ตามธาตุแท้ของมัน เท่าที่คุณจะรู้ได้ ว่าคุณ หยาบ คุณก็เรียนรู้ หยาบ กลาง ละเอียด ถ้าคุณละเอียดคุณก็เรียนรู้ความละเอียดไปหาอากาศ ไปหาวิญญาณ 2 ธาตุอากาศคือว่างแล้ววิญญาณคือความรู้ แล้วก็ตรวจอีกอันว่านั่นแหละมันยังถือว่าเป็นกิเลส อากิญจัญญายตนะ มันต้องไม่มีนะ อรูป นิดนึงน้อยนึงมันก็ไม่มี คุณต้องรู้ให้ได้ว่า มันมีหรือไม่ต้องให้ไม่มี อากิญจัญญายตนะ นิดนึงน้อยนึง ไม่มีเลยคุณก็จบ จบ อากิญจัญญายตนะ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กันยายน 2565 ( 15:21:50 )

เรียนรู้กายอย่างไรให้สัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

การเรียนกับพระพุทธเจ้าคือ ต้องเรียนรู้เรื่องกายให้สัมมาทิฏฐิ กายของตัวเราเรียกสักกายหรือสักกายะ

แม้แต่แค่ตัวเราต้องทำสัมมาทิฏฐิให้ได้ สักกะ แปลว่าเป็นไปด้วย เป็นไปกับ มันมีอาการอะไรต่ออะไรเป็นไปอยู่ สักกะ เราก็พยายาม ใช้ 

1. ธาตุรู้ของเราเรียกว่า นาม 

2. กำหนดรู้สิ่งที่จะรู้ให้ได้เรียกว่า รูป 

กาย คำว่า กาย คำนี้จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ต้องมี 2 เป็นต้นไป ธาตุหนึ่งเป็นตัวถูกรู้ อีกธาตุหนึ่งเป็นตัวเรากำหนดรู้เรียก object กับ subject สอง ภาษาบาลีอีกคำเรียก เทวะ

ศาสนาพุทธแยกกายแยกจิต ทีนี้แยกกายเป็นสอง หนึ่งกายหนึ่งจิต คนก็เลยแยกว่า กายก็ต้องเป็นรูป ก็ถูก จิตก็ต้องเป็นนาม ก็ถูก แต่คำว่ากายนี่แหละ สำคัญ มันเป็นรูป แต่รูปที่ยังไม่ได้ขาดจากสภาวะนามธรรม หรือจิตที่เข้าไปปรุงไปร่วมอย่างสนิทเนียน อันนี้แหละยากมากที่เทวนิยมแยกไม่ได้ หมดปัญญา แม้แต่ชาวพุทธก็ยังแยกได้ด้วยความรู้ ด้วยปัญญาเท่านั้น มีปัญญาเป็นตัวตัดสิน

สัญญาเป็นตำรวจ แล้วปัญญาเป็นผู้พิพากษา ไปจับเอามา จับเอากายมา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 15:56:18 )

เรียนรู้การจบกิจกิเลสไม่มีด้วยอาการลิงคนิมิต

รายละเอียด

ทีนี้ ก็มาเรียนรู้ 3 อย่าง อาการ ลิงค นิมิต นิมิตคือกำหนดสภาวะ นิมิตกับอาการ ก็อันเดียวกันนั่นแหละ นิมิตคือตัวไม่เคลื่อนไหว คือ Static อาการคือ Dynamic ตัวเคลื่อนไหว ตัวเดียวกันนั่นแหละ

แต่สภาวะนี้มันมีนัยยะต่างกัน ลิงค หรือเพศ​ มันมีนัยยะต่างกันนะ ต้องรู้ความต่างกันเพราะว่า 2 อย่างในโลกนี้เกิดมาแล้วต่างกันทั้งนั้นเลย แต่ในความต่างนี่แหละทำให้มันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ อยู่ด้วยกัน มาด้วยกันได้ เลือดราชธานีเอ๋ย ไม่ใช่เลือดสุพรรณนะ มันต้องเลือดที่เก่งกาจดังราชธานีเอ๋ย … ไปด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดเก่งกาจ ราชธานีเอย 

ทำสำเร็จ เด็ดขาดได้ คุณก็จบกิจ กิเลสไม่มี ไม่มีอย่างแข็งแรงเที่ยงแท้ตั้งมั่น สิ้นอาสวะแล้วตกผลึกลง ยังไม่มากมันก็ไม่แน่นเท่าไหร่ ตกผลึกควบแน่นๆๆ มันก็ยิ่งเจริญด้วย อาเนญชา เจริญด้วย ความไม่หวั่นไหว ไม่กระเทือน ก็เป็นจิตตั้งมั่นยิ่งขึ้นๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 13:54:28 )

เรียนรู้การเกิดของภพทั้ง 3 แล้วลดการเกิดให้สิ้นลงให้ได้

รายละเอียด

ภพ มันมี 3 ภพ กามภพ อบายมุขคือกาม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หยาบๆใหญ่ๆ สายหลับตาไม่ได้เรียนรู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย หยาบๆใหญ่ๆ ไม่เรียนรู้ แล้วจะไปหลับตาให้มันดับกิเลสไปเลยมันก็เป็นโมฆะ มันทำไม่ได้ หยาบๆ ยังรู้จักไม่บริบูรณ์ คุณเลิกไม่ได้เป็นขั้นตอนหยาบ กลาง ละเอียด คุณทำไม่ได้ คุณไม่ได้ทำ มันก็เป็นโมฆะอยู่ตลอด โมเมไปอยู่อย่างนั้น นึกว่ามันดับๆ 

ทีนี้มันก็มีซ้อนว่า อาสวะบางอย่างของพวกสัทธาวิมุตนี้มีได้ ก็เพราะว่าเขาเคยทำได้ในชาติที่เขาเคยดับได้มาแล้วถึงขั้น อาสวะ พอมาชาตินี้ ก็เลยติดมาเป็นสัญชาติ แล้วก็มาดับได้ในชาตินี้ เพราะรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในสัทธาวิมุติ อันที่ไม่รู้ก็ดับไม่ได้ อันที่ดับได้เพราะดับได้ตั้งแต่ในชาติก่อนมา พอชาตินี้ไม่ได้เปิดทวารทั้ง 5 ดับ แล้วจะไปดับอาสวะ ไม่ได้ อาสวะไม่มีภายนอก มันไม่สมบูรณ์มันไม่เป็นอาสวะจริง มันต้องมีหยาบ กลาง ละเอียด 

คุณเองคุณต้องปอกเปลือกทุเรียนก่อน แล้วคุณก็ค่อยๆเอาเปลือกออก หรือ คุณจะกินจาวมะพร้าว คุณก็ต้องปอกเปลือกนอกออกก่อน แล้วปอกเข้าไปจนถึงเปลือกใน เอากะลาออก เอาเนื้อออก คุณถึงจะได้กินจาวมะพร้าว 

ถ้าคุณจะกินจาวมะพร้าว แต่คุณไม่ได้ปอกเปลือกเลย คุณจะทำอย่างไรจะได้กิน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นอย่าไปหลับตามันเป็นโมฆะ เสียเวลาปฏิบัติ หลับตาปฏิบัตินั่นแหละ อาตมาก็พูดเยอะ ยกตัวอย่างและอธิบายให้เห็นต่างๆ นานา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอน แล้วไปเข้าใจอย่างไรว่าพระพุทธเจ้าสอนให้นั่งหลับตา 

เดียรถีย์เขาผิด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาจะมีแต่เดียรถีย์ที่นั่งหลับตาเปล่า นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นเป็นของเดียรถีย์ทั้งนั้น แล้วเขาก็ยืนยันจะมาทำอย่างเดียรถีย์อย่างเก่า มันก็ไม่เสร็จ พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดกลับไปโง่ไม่เสร็จ จนกระทั่ง ต้องทำอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้เลย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คนพวกนี้แทงด้วยปากหอกร้อยเล่ม หอกหัก กลางวันก็แทงอีกหัก เย็นก็ร้อยเล่มก็หัก เดี๋ยวขอทุนรอนไปซื้อหอกอีกหน่อย จะได้มาแทงพวกนี้อีกเพราะมันน่าสงสาร ทำไมมันจะเหนียวทนทานขนาดนั้น ไม่รู้จักสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2565 ( 14:36:51 )

เรียนรู้กิเลสจากการกินสำคัญที่สุด

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าทุกวันนี้เขาทำได้เสื่อมมาก เพราะไม่ได้เริ่มที่ศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ที่จะสัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้ สรุปแล้วมีที่การอุปโภค บริโภคเครื่องกิน เครื่องใช้ สัมผัสแล้วกิเลสจะเกิดจากอันนี้ โดยเฉพาะเรื่องกิน ซึ่งจำเป็น เครื่องใช้ไม่ใช้ก็ไม่ตาย แต่ไม่กินนี้ตาย จึงเป็นเรื่องสุดยอดของมนุษย์หรือสัตว์โลก กิเลสอยู่ตรงกินนี่แหละ ต้องเรียนรู้กิเลสจากตรงนี้สำคัญที่สุด 

เพราะฉะนั้นตั้งหลัก กวฬิงการาหาร สิ่งที่กิน พอจะกินคุณก็ต้องสัมผัสแล้ว เริ่มต้นก็เห็นแล้ว ได้ยินเสียงแล้ว ได้ยินเสียงมาแต่ไกล ก๊องแก๊งๆ หม้อไหจานชาม มาแล้วๆ จานชามที่ยังไม่มีอาหารก็รู้ เสียงดังอย่างนี้ จานชามที่มีอาหารใส่มาก็เสียงดังอย่างหนึ่ง แยกได้นะ จานชามเปล่าก็ดังอย่างหนึ่ง มีโสตทิพย์ จานชามที่ใส่อาหารมามันกระทบกันมันก็ดังอีกอย่างหนึ่ง รู้แล้วตอนนี้พร้อมแล้ว ตอนแรกได้ยินเสียงจานชาม แบบนี้ยังไม่มีอาหารก็รู้อีก พอได้ยินจานชามเสียงเป็นอย่างนี้ ชัดเจนจานนี้มีอาหารแล้ว เรียกว่า หนูไม่รู้ หนูไม่เข้าใจ แต่นกรู้ หนูนี่โง่ ไม่รู้ ถ้านกรู้ เสร็จแล้วก็กิน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะ 15 พัฒนาปัญญา 8 ประการ วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 12:20:36 )

เรียนรู้ความสุขความทุกข์แล้วจะพบว่าอวิชชาของเราเองที่ไปหลงว่ามี

รายละเอียด

แต่ถ้ากระดาษแผ่นหนึ่งมันมี 2 หน้า มันมาด้วยกันเลยนะมันไม่แยกกันเลย หน้ามันบางๆ แต่คนนี้มีหน้าหน๊าหนา หูสองข้าง หน้าหน๊าหนา กั้นด้วยตา กั้นด้วยจมูก ลิ้น กั้นด้วยหูสองข้างนี้ ก็เลยผสมโรงว่าเป็นเราด้วย ตา จมูกลิ้น กายก็เป็นเราอีก ก็เลยยิ่งยึดติดอุปาทานหนาขึ้นๆ ไม่รู้ได้ง่ายๆ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความสุขความทุกข์ เรียนรู้ความสุขความทุกข์ สุดท้ายก็มีตัวโง่ คืออวิชชาของเราเองนี่แหละ มันไปหลงว่ามี อ้อ..มันมีพอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า โธ่เอ๊ย!จริงๆ แล้วมันไม่มี มันมีเพราะเราไปยึด เราไปอุปาทานว่ามันมี เพราะฉะนั้นคำว่า ยึด คำว่า อุปาทาน จึงเป็นคำสุดท้าย คำจบ ซึ่งคนเข้าใจได้ยาก 

อ่าน พระไตรปิฎก เมื่อรู้แล้วย่อมไม่นึกว่าเป็นเราเป็นของเรา รู้แล้วว่ามันเกิดมาแล้ว ได้รู้ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วว่า อ้อ จริงๆ มันไม่มี แต่มันก็ยังมีอยู่เพราะเรายังไม่ตาย ยังไม่ตายหรือปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็ต้องสัมผัสเราก็รับรู้ว่า สิ่งนั้นมี แต่เราจบแล้ว เราไม่มี เรารู้ยอดแล้วว่า ไม่มีเพราะฉะนั้นคนที่จบที่เรียกว่า อนุปคัมมะ เป็นคนที่รู้ว่ามี 2 เทวะมี 2 สภาพในทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่คน นักรู้ขั้นฟิสิกส์ มี บวกกับลบ แม้เป็นวัตถุก็มีพลังงานกับสสาร แล้วในพลังงานก็มีละเอียดลงไปคือบวกกับลบ ก็คือดูดกับผลักกันอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะ 15 พัฒนาปัญญา 8 ประการ วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 12:49:08 )

เรียนรู้คู่เรียนจากศีลเป็นตัวกำหนด เช่นศีลข้อ 2 ทวนโดยไม่มีสาเปกโข

รายละเอียด

คุณก็เรียนรู้สิ่งที่แตกต่างกันเมื่อกระทบกันทีละคู่ โดยเรียนรู้จากศีลเป็นตัวกำหนด กระทบกับสัตว์ กระทบกับสิ่งของ พืชหรือวัตถุ กระทบกับสัตว์นั้น ก็รู้อย่างหนึ่ง ให้เกิด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ว่าเขาเป็นสัตว์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายกันทั้งนั้น ช่วยกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่

ส่วนข้อ 2 อย่าทุจริต อย่าขี้โกง ขี้โกงอะไร มันเป็นวัตถุกับพืช วัตถุกับพืชไม่ใช่ตัวสัตว์ วัตถุกับพืชคือสิ่งที่สัตว์เป็น สัตว์มี จะต้องการหรือไม่ต้องการ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องการวัตถุ ต้องการพืชในตัวของเขา ตามฐานะของสัตว์เดรัจฉาน คน ก็ต้องการตามฐานะของคน แล้วอย่าทุจริต อย่าโกงกัน เอาแต่ของที่เขาให้ เขาไม่ให้ คุณก็ทำเอาเอง เป็นสิทธิของคุณ มันก็ไม่มีทุจริต ไม่มีการไปละเมิดกันและกัน ส่วนคุณจะให้เขาก็ดี ทำทานก็ดี เป็นการเสียสละก็ดี ยิ่งเสียสละทางกาย เสียสละทางวาจา เสียสละทางจิตเลย เกิดมาเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีแต่ให้ แล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลย ให้ โดยไม่มีสาเปกโข ทาน โดยไม่ต้องมีภพมีชาติ ไม่มีไอ้หวัง ไอ้หวังตายสิ้นหมดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 13:34:05 )

เรียนรู้สภาวะ 2 แล้วแยก 2 ออกเป็น 1 เป็น 0 ให้ได้

รายละเอียด

คือต้องตี 2 ให้ออกแล้วแยก 2 ให้ออก เป็น 2 เป็น 1 เป็น 0 ให้ได้ แล้วมันก็ไม่ทิ้งความเป็น 2 แม้เราจะได้ 0 แล้วเราจะได้อาศัย 1 อยู่ เราก็ยังอยู่ในความเป็น 2 ขยายความไป นี่อาตมาเข้าใจที่เขาเขียนมา เขียนมาขนาดนี้ก็เก่ง 

เอาละ ได้เรียนภาษาได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว อายุ 73 แล้ว ขยันเขียน ขยันเรียนได้ไม่แก่เกินเรียน ยิ่งธรรมะไม่มีแก่เกินเรียนจะแก่เท่าไหร่ก็เรียนได้ อย่าว่าแต่เป็นอรหันต์เลยยังไม่เป็นอรหันต์ต้องเรียนแน่นอน เป็นอรหันต์แล้วต้องเรียนแน่นอนอย่างอาตมาต้องเรียนอยู่ ต้องเอาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้เพราะว่าอรหันต์มีหลายขั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 ตุลาคม 2565 ( 12:01:10 )

เรียนรู้แยกเคหสิตะ เป็นเนกขัมมะ ผลเป็นอุเบกขา

รายละเอียด

คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า หากไม่สามารถแยกแยะเวทนาตนเอง อ้อ อันนี้เป็น เคหสิตะ เป็นโลกียะ ถ้าเราสามารถจับกิเลสได้ แล้วเอากิเลสออกได้ มันก็เริ่มเป็นเนกขัมมะ ก็ 18 นี่แหละ เวทนาทำให้เป็นเนกขัมมะ สำเร็จผลเป็นอุเบกขาสุดท้ายก็กิเลสหมด เป็นสัมมาทิฏฐิ อุเบกขาของเคหสิตะ มันเป็นมิจฉาทิฐิ 

อุเบกขาแปลว่า บริสุทธิ์ มีจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีองค์ธรรม 5 บริสุทธิ์จากกิเลส เหนือชั้นกว่าไม่มีสุขไม่มีทุกข์ บาลีไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็คือ อทุกขมสุข หรือยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ทำกดข่ม ทำลืมๆ สมถะลืมตาบ้าง อยู่กับจิตว่างบ้าง อยู่กับความไม่ยึดมั่นถือมั่นบ้าง มันก็พอได้ อทุกขมสุข พอได้ ทำเก่งๆ ก็ได้ แต่มันทำได้ยากกว่า เป็นนักสะกดจิต สะกดจิตมันง่าย ไปนั่งหลับตาก็สะกดจิตได้ง่าย แต่ถ้าออกมา มันสู้พวกลืมตาไม่ได้ พวกลืมตาก็ทำได้เก่งกว่าในขณะลืมตา แต่ไปนั่งหลับตาถ้าไม่ฝึก สู้พวกนั่งหลับตาไม่ได้หรอก ถนัดกันคนละอย่าง

แต่ของพระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวกับหลับตาลืมตา เกี่ยวกับให้เรียนรู้ที่สัมมาทิฏฐิ รู้จักเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วมาจับตัวเวทนาเป็นตัวหลัก พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังคมของคนที่ตายจากกิเลสจนเป็นพระอาริยะ วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2565 ( 11:50:46 )

เรียนรู้ให้ละเอียดถึงขั้นอย่าสังขาร สุดยอดรูป 5 ลักขณรูป

รายละเอียด

ตอนนี้กำลังอธิบายสิ่ง 2 ที่แยกสิ่ง 2 ให้ฟังว่า มันเกือบจะไม่มีอะไรแล้ว มันบางเบา มันเล็ก มันละเอียดเรียกว่า ลหุตา แล้วมันก็รวมตัวกันอยู่เป็น มุทุ เสร็จแล้วก็ออกบทบาทเป็นกรรม ที่ควบคุมด้วยอัญญา เรียกว่า กัมมัญญา เท่านั้น มันก็อยู่ด้วย ลหุตา มุทุตากัมมัญญา จนปรุงแต่งออกมา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ อีกที นี่คือ รูป 5  ลักขณรูป กาละคือ บทบาทการทำงาน วิ คือความละเอียดสุดยอดแล้ว ไม่มีก็ได้ หรือมีอย่างสุดยอด ความหมาย 2 อย่าง สูงสุด รู้สุดกับโง่สุด ดีสุดกับแย่สุด วิ 

เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องให้รู้สุด ดีที่สุดให้ได้ ไม่ดีอย่าให้มีเป็นอันขาด อย่างนี้เป็นต้น คุณรู้จักสังขารที่เรียกว่าอภิสังขาร ก็เริ่มรู้ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปคือ ตัวจริงกับตัวกิเลสปรุงแต่งกันอยู่ รูปมันเป็นเช่นนี้ รู้จักความจริงตามความเป็นจริงจบ แต่คุณก็จะบอกว่าอย่างนี้ชอบอย่างนี้ไม่ชอบ อ้าว ๆๆ มันมี 2 แล้ว ก็รู้ตัว 2 ให้ได้ทำให้เป็น 1 ให้ได้ เอกสโมสรณาให้ได้ เอาความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น 

ถ้าคุณยังเอาออกไม่ได้ มันก็มีกิเลสปรุงแต่งต่อไปอีกก็แย่ไปเลย เพราะฉะนั้นต้องเลือกไอ้ตัวไม่จริง ตั้งแต่หยาบ อภิสังขารขั้นต้นเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร เพชฌฆาตที่จะฆ่ากิเลสตั้งแต่เป็นฌานมาบุญตัวสุดท้าย เป็นมือดาบสุดท้าย จะเรียกว่ามือที่ 4 หรือมือที่ 5 ก็ได้ ฌาน 1 2 3 4 เป็นมือดาบเพชรฆาต ฟันมาเรื่อยๆ มาถึงมือบุญเมื่อไหร่ ตายแน่ๆ กิเลสไม่เหลือ ตายเด็ดขาด เผด็จศึกจริงๆ ไม่มีรอด ดีไม่ดีตายตั้งแต่ ฌาน 4 บุญซัดมาอีกที ฟันศพเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 14:36:49 )

เรียนวิเวกอย่างมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

เรียนวิเวกอย่างมิจฉาทิฏฐิ  คือ เอาร่างกายไปออกป่า เข้าถ้ำ  บอกว่าสงบแล้ว เป็นจิตที่สงัด ก็ไปนั่งสมาธิหลับตา ก็ได้จิตที่สงัด  เป็นจิตวิเวก ซึ่งมันไม่ใช่จิตแบบปัสสัทธิจะเป็นปัสสัทธิได้จะต้องรู้ อุปธิ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2562 ( 08:29:17 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 07:44:43 )

เรียนสิ่งที่ใกล้ตัวก่อนคืออาหารไปจนถึงนาม 5

รายละเอียด

เมื่อมาเรียนก็มาเรียนสิ่งที่ใกล้ตัวก่อน อาหารที่กินทุกวัน ทางภาคเหนือเป็นพระภิกษุก็ล่อ 3 มื้อเลย ภาคกลาง ภาคอีสานนี่เขาก็กินมื้อเดียว พระมื้อเดียวภาคอีสานมีเยอะ ส่วนทางภาคเหนือ พระล่อ 3 มื้อมีเยอะใช่ไหม ขออภัยที่พูดแรง 

อาหาร โภชเนมัตตัญญุตา คำข้าว กวฬิงการาหาร มาเรียนรู้ให้ครบอาหาร 4 มีผัสสะกับอาหาร แล้วก็พยายามมีผัสสะแล้วอ่านจิตเจตสิกตัวเอง มันมีอาหารมีเครื่องอาศัย อ่านแยกแยะให้ออกว่า อันนี้ชอบอยู่นะ อันนี้ไม่ชอบนะ ก็ดู มันจะมีปฏิกิริยาพวกนี้ของเรานี่แหละ มันส่ออาการภายนอกภายในให้ชัดเจน มาเรียนรู้ตรงนี้แล้วหยั่งเข้าไปดูอาการของเจตนา 

เพราะฉะนั้น นาม 5 สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ แยกเวทนามา รู้เจตนาในเวทนา เจตนานี่แหละ เป็นตัวตัณหา ตั้งแต่ภายนอกเรียกว่า กามตัณหา เจตนามีกามตัณหา ดับ กาม อาการข้างนอก มันเป็นโทษมันเป็น กามทีนสวะ อย่าไปหลงว่าเป็นกามคุณ มันเป็นโทษนะ มันเป็นภัย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 05:23:42 )

เรียนอภิธรรมต้องมีสภาวะธรรมรองรับ

รายละเอียด

อาตมาอธิบายธรรมะมานี่มันไกล มันลึกมาก เราเรียนอภิธรรม เป็นอภิธรรมที่ไกลและลึก แต่พวกเราเข้าใจ แล้วมีสภาวะรองรับจึงรับฟังได้ ฟังแล้วก็แหม ฟังแล้วมันสนุก มีธรรมรส ฟังแล้วเข้าใจ คนไม่รู้เรื่องฟังไม่เข้าใจ ไม่มีธรรมรสหรอก จะหาว่าพูดอะไรบ้าบอ เอาภาษาบาลีอะไรมาพูด เขาจะหาว่าเรียนจบบาลีมากี่ชั้น กี่เปรียญ เขาก็ว่าไป อาตมาไม่ได้เรียนบาลีมาตามไวยากรณ์ บาลีของอาตมาเป็นบาลีที่ได้คงค้างมาเป็นตัวของอาตมา ก็มาฟื้นพยัญชนะเหล่านี้มาใช้กับสภาวะ จริงไม่จริงก็ฟังเอาก็แล้วกัน อาตมาก็พูดไปตามสภาวะของตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 17:30:02 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์