@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ทำตัวเองก่อนแล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง

รายละเอียด

ผู้ที่จะช่วยให้อาตมาแข็งแรงได้  ที่สำคัญมาก  ผู้จะช่วยให้อาตมาแข็งแรงได้ คือ คุณต้องทำสุขภาพของคุณเองให้แข็งแรง  เมื่อคุณสุขภาพแข็งแรง   คุณจะได้มาช่วยอาตมาไง  มันง่ายๆ  ไม่ได้ยากอะไร  หรืออย่างน้อย  คนทำให้ตัวเอง  สุขภาพแข็งแรง  จะได้รู้ว่าทำอย่างไร  ถึงจะแข็งแรง  จะได้มาบอกอาตมาไง  เพราะฉะนั้น  คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า  ทำตัวเองก่อนแล้วจึ่งสอนผู้อื่น  จะไม่มัวหมอง  ไม่มัวหมอง คือ ไม่เสียหาย  ไม่เศร้าหมอง  ไม่เปื้อนเปรอะ เลอะเทอะ  ไม่ผิดเลย  เพราะฉะนั้น  ทำตัวเองให้ดีก่อน  แล้วจึงสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง การทำความผิดนี้  มันแย่กว่าความมัวหมองนะ  อย่าไปว่าถึงผิดเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก  วันอาทิตย์ที่  17 พฤศจิกายน  2562 


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 17:02:08 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:00:17 )

ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นให้มากๆ จนกระทั่งคนอื่นเกรงใจ

รายละเอียด

มาย้ำมาสาธยาย เรื่องสมุนไพรหรือพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ยิ่งขึ้น อาตมาได้ระดมความเห็นได้ระดมความเชื่อ พยายามให้พูด ให้นำเสนอ ให้ย้ำกันว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ มันสำคัญที่สุด เอาไปเปรียบเทียบกับอาวุธ โลกที่ไม่เข้าใจ โลกหรือมนุษย์นั่นแหละ โลกที่ยังมืดๆ มีมนุษย์มืดๆ ยังไม่เข้าใจ ไปเห็นอาวุธสำคัญกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพราะฉะนั้นประเทศไหนไม่สร้างอาวุธ ประเทศนั้นคือประเทศเจริญ ประเทศที่สร้างอาวุธอยู่คือประเทศ อาตมาใช้โศลกว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” 

แรง! แต่เขาจะรู้สึกกันหรือไม่ก็ไม่รู้ แล้วเขาก็ทุกข์ทรมานกัน ฆ่ากันทำร้ายกัน ขายอาวุธกัน เมื่อขายอาวุธแล้วคุณก็ต้องให้เกิดสงคราม ถ้าคุณขายอาวุธแล้วไม่เกิดสงคราม แล้วเขาจะซื้ออาวุธไปทำอะไร เพราะฉะนั้นประเทศที่ไม่ต้องทำสงคราม ไม่ต้องก่อสงคราม อาวุธก็ไม่จำเป็น ทำตัวเองให้ปลอดสงครามให้ได้อย่าไปหาเรื่องทะเลาะกับใคร พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นให้มากๆ จนกระทั่งคนอื่นเกรงใจ ทำประโยชน์ให้คนอื่นมากๆ จนกระทั่งคนอื่นเกรงใจเขาจะไม่ก่อสงครามกับเรา เรารักษาตัวมาเป็นกลาง บอกว่าคุณจะรบก็รบกันไปนะ เราขอเป็นกลาง ไม่มีการรบกับใครนะ เราก็ประกาศความเป็นกลางของเราไป แล้วเราก็ไม่ไปรุกรานใคร มีแต่จะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้เป็นประโยชน์แก่กันและกัน 

เหมือนอาตมาพาพวกคุณสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เต็มไปหมดเลย ริมถนนที่สาธารณะปลูก เพื่อให้คนมีของจริงยืนยัน พาทำกันแล้ว พวกเราอุดมสมบูรณ์ เขาจะมาเอาบ้าง มาขอไปกินบ้าง แล้วเขาก็เกรงใจอีก เราก็เลยเอาไปแจก ทุกวันนี้ก็แจกทุกวันพฤหัส ใช่ไหม..ใช่.. เขาก็มารับกันทุกวันพฤหัสบดี ผู้ที่รู้ เราไม่ได้ทำเล่นนะ เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ไม่ต้องการทำดีทำเด่นทำโชว์ จะทำด้วยความเห็นว่าเราพอกินพอใช้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 49 ตอบไทยรัฐทีวีเรื่องสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเอง วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 กันยายน 2565 ( 14:03:11 )

ทำตามลำดับจะไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะให้ปฏิบัติ

รายละเอียด

อากาสา วิญญานัญจา อากิญจัญญาก็เป็นสามเส้า แต่หากอวิชชาทำไปก็งง อยู่ในเนวสัญญา เนวคือครึ่งๆกลางๆ ไม่บริบูรณ์ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ มันกำหนดรู้ไม่ได้ มันยังมีอยู่นิดหนึ่งหรือมันหมดไป เพราะเราไม่ได้ศึกษาธรรมะมาตามลำดับ เราจะสับสนวนไปวนมา แต่ถ้าศึกษามาเป็นลำดับจริงๆเลย คุณจะไม่สับสน ไม่ขลุกขลัก ไม่วนไปวนมา จะเป็นลำดับ เรียบเรียงไปอย่างน่าอัศจรรย์ 

ใครทำตามอย่างอาตมาพูดได้ นี่ก็มี ใครทำตาม สะสมบ้างก็จะมี ใครไม่ทำตามก็จะสับสนมากเนวสัญญานาสัญญายตนะ คุณต้องทบทวนแล้วทบทวนอีกก็ตามฐานะของแต่ละบุคคล เนวสัญญานาสัญญายตนะก็จะน้อยลง ถ้าทำตามลำดับเรียบเรียงไปเลย คุณก็จะไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ ให้ปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติโดยมีวิญญาณฐิติ ก็ปฏิบัติแค่วิญญาณฐิติ 7 จบอากิญจัญญายตนะ ก็จบหมดเลยไม่ต้องไปทบทวนให้เสียเวลาในเนวสัญญานาสัญญายตนะเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:13:46 )

ทำตามลำดับด้วยความรอบคอบ

รายละเอียด

สำเร็จได้เพราะ.. “ทำตามลำดับด้วยความรอบคอบ” นี่ก็ของในหลวง พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ทำตามเหตุปัจจัย 1 2 3 4 ไป ไม่ใช่เอาอะไรมาผสมเละไปหมด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 13:01:28 )

ทำทาน

รายละเอียด

ทำทานนี่โดยสัจธรรมธรรมชาติธรรมดาเป็นโลกียะ คุณทำทานในโลกคุณเอาวัตถุให้ทำทานแรงงาน หรือทำทานให้ความรู้เป็นทาน มันได้กุศลทั้งนั้นแหละเป็นโลกียะนี่มันได้ 

แม้คุณทำทานด้วยใจอึดอัดไม่ค่อยพอใจไม่ค่อยเต็มใจก็ยังได้เลย คุณทำโดยโลกโดยกุศลมันได้แล้ว แต่มันก็น้อยด้วยสัจจะมันจะน้อยมันจะหักกลบลบหนี้ 

นี้พระพุทธเจ้าท่านก็อธิบายเป็นขั้นๆไว้ ถ้าคุณพยายามจะไม่ให้มีจิตอย่างนั้น คนไม่ปฏิบัติธรรมมันจะไม่ง่าย ทำแล้วตัดจิตเลยไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลยมันไม่ง่าย แต่พวกเราจะทำง่ายขึ้นแล้วเพราะได้ฝึกกันมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 13:33:13 )

ทำทาน 4 ขั้น

รายละเอียด

ทำทานไม่ได้เต็ม 4 ขั้น มันก็จะเป็นขั้นที่ 1 ถ้ายังเก่งอยู่นะถ้าไม่เก่งขั้นที่ 2 ก็จะไม่ได้พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ 4 ขั้น 

ขั้นที่ 2 ก็คือ ปฏิพัทจิตโต มันจะผูกพันในจิตเป็นเราเป็นของเรา มันจะผูกพันว่าได้ให้นะ เราได้ให้ผูกพันไว้ เลวกว่านั้น ขั้นที่ 3 

ขั้นที่ 3 มันจะสั่งสมเลยเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสันนิธิเปกโข ทานัง เทติ คือได้แสดงออกได้ทำทานไปแล้วแล้วจิตคุณได้อย่างไร สั่งสมนึกว่าสั่งสมกุศลแต่เป็นมิจฉาทิฐิเลย ทานแล้วได้กุศล แต่ไปเข้าใจว่าคุณจะได้บุญ นี่คือมิจฉาทิฏฐิ 100% เพราะว่าคุณไม่ได้ละกิเลสเลย คุณสะสมกิเลสต่างหาก ทานแล้วคุณจะได้ เป็นนามธรรม คุณจะมีไว้เป็นของตัวของตน สันนิธิเปกโข

ขั้นที่ 4 นี้ ยิ่งเป็น ปริภุญชิตสามีติ อันนี้ทำทานแล้วคิดว่าเป็นของฉันแน่ ตายแล้วกี่ภพกี่ชาติฉันก็จะมีกินมีใช้ เพื่อให้จิตวิญญาณนี้อาศัย ไม่มีสูญเลย มิจฉาทิฐิเต็มบ้องมิจฉาทิฏฐิ 100% นี่เป็นการทาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 13:36:11 )

ทำทานก็ต้องไม่สร้างภพสร้างชาติต่อ

รายละเอียด

อาตมาสอนทานสูตร ว่าไม่ต้องไปสาเปกโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข หรือไปหวังภพชาติหน้าอีก จะไปมีทำไม เข้าใจให้ได้ว่าทำทานก็ต้องไม่สร้างภพสร้างชาติต่อ ไม่ต้องไปหวังว่ามีสิ่งอะไรต่อไปอีก คุณเข้าใจก็ทำได้ คุณก็จะสั้นเป็นอรหันต์ได้เร็วขึ้นนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 19:31:17 )

ทำทานจริงๆแล้ว ไม่ได้บุญ

รายละเอียด

 นั่นแหละเป็นการได้บุญ ทำทานเป็นการได้บุญ ชื่อว่า บุญกิริยาวัตถุ เขาก็เข้าใจว่า ทำทาน ได้บุญแล้ว ซึ่งบุญเป็นสมบัติไปเสียแล้ว เข้าใจมิจฉาทิฏฐิว่าบุญเป็นสมบัติ ทำทานนี่แหละจะได้บุญ ทำทานจริงๆแล้วคุณได้กุศล ไม่ได้บุญ ถ้าคุณยังไม่สัมมาทิฏฐิ คุณยังทำใจในใจมนสิการไม่เป็น มิจฉาทิฏฐิยังไม่โยนิโส มิจฉาทิฏฐิยังไม่ถ่องแท้ มนสิการยังไม่โยนิโส คุณก็ทำใจในใจไม่ถูกต้องไม่ถ่องแท้ไม่แยบคาย ทำเพี้ยน ทำผิดไป ไปทำใจในใจในการได้ภพได้ชาติ แล้วมันจะจบได้อย่างไร ทานแล้วไปสร้างภพชาติต่อ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 13:03:46 )

ทำทานจะได้อานิสงส์ต้องไม่หวัง

รายละเอียด

เราจัดโรงบุญ ก็แจกอาหารเจ มังสวิรัติ เราทานแล้วก็อย่าไปสร้างจิตให้หวังว่าจะได้อะไร การทานนที่มีอานิสงส์ในสัมมาทิฏฐิ 10 ก็ทำทานให้อย่าไปสาเปกโข ไม่มีความหวัง หากทำไม่ได้คุณก็ไม่ได้อานิสงส์ในการทำทานนี่คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 ทานอย่างไรจึงอัตถิทินนัง ทานแล้วทำอย่างไรจะมีอานิสงส์ของศาสนาคือธรรมทานแล้วจิตใจจะรู้จักกิเลสและทำบุญเป็นระงับกิเลสได้แม้จะระงับไม่สนิทก็ได้เป็นส่วนแห่งบุญ คุณก็รู้ตัวจิตใจระงับแม้จะไม่สงบสุดจบมันก็ยังเป็นส่วนที่ได้สังวรระวัง ได้เรียนรู้ทั้งกดข่มและด้วยปัญญา ไม่ให้เกิดภพชาติ ต่อจากการทาน ผู้ที่ทำอย่างนี้ถึงจะได้บุญในการทำทาน ที่เป็นลักษณะที่สำคัญ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 09:14:49 )

ทำทานที่จะเกิดบุญ

รายละเอียด

ทำทาน ที่จะเกิดบุญ พูดถึงตรงนี้ สัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 1 ทานที่ไม่เป็นผล(นัตถิทินนัง) ข้อใดก็ทำไม่ได้ไม่ถูกไม่เป็นผลของศาสนาพุทธ เขาทำทานไม่ได้ฆ่ากิเลส ทำทาน แล้วมีแต่เพิ่มความโลภ ทำทานแล้วสาธุขอให้ได้บุญ บุญเป็นตัวช้างม้าหรือยังไง เป็นตัวแทนก่อนหรืออย่างไร บุญ คือพลังงานที่มันสลายกิเลส บุญเป็นสิ่งที่คนไม่ควรมีเลย แต่คุณยังมีกิเลสมันต้องใช้ มันเป็นอาวุธ มันไม่ควรมี อาวุธฆ่ากิเลส บุญน่ะ มันไม่ควรมี บุญนี่คือพลังงานที่ต่อเนื่องจาก ฌาน ฌานก็เป็นปัญญา ฌานไม่มีปัญญาไม่ใช่ ฌาน มีปัญญาก็มีฌาน ฌานคือพลังงานที่เผากิเลส พอเผากิเลสหมดก็ชื่อว่าบุญ

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 15:10:21 )

ทำทานที่มีผลมากกว่า

รายละเอียด

ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค มีผลมาก กว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค

ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค

ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค

ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค

ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค  ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บริโภค (หรือที่เรียกว่า“สังฆทาน”)  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค

การที่บุคคลสร้าง “วิหารทาน ถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค ......   การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ  มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้าง “วิหารทาน”  ถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ

การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ   มีผลมากกว่าการที่บุคคล  มีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท 

และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎ เล่ม 23 ข้อ 224

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:16:49 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:05:37 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:15:06 )

ทำทานหรือปฏิบัติศีลอย่างไรให้เข้าขั้นปัญญา

รายละเอียด

ศาสนาพุทธประเด็นนี้ จึงยากมากๆที่จะให้คนไทยหรือชาวพุทธในทุกวันนี้มาปฏิบัติจิตใจให้เป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่เข้าขั้น“ปัญญา” ไม่ว่าจะในการ“ทำทาน” หรือปฏิบัติ“ศีล” ยิ่งเป็น“วิมุติ”นั้นปิดประตูได้เลย 

ทานจะมีผล หรือถือศีล ยิฏฐัง จะมีผลในสัมมาทิฏฐิ 10 นัตถิทินนังหรืออัตถิทินนัง

นัตถิยิฏฐังหรืออัตถิยิฏฐัง ปฏิบัติไปแล้วไม่มีผลหรือมีผล คำว่ามีผลตรงนี้เป็นโลกุตระหรือไม่เป็นโลกุตระ แม้ผลเป็นโลกียะก็ยังไม่ถือว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ

ผู้ที่“ทำทาน”แบบพุทธที่มี“วิชชา”ถูกตรงแท้จริง จะต้อง“ทำใจในใจของตน”ได้อย่างเป็น“วิชชา”ที่เกิด“ปัญญา”ได้ คือ ทำให้ใจในใจของตน”มี“อาการ”ของกิเลสลดลงหรือหมดไปได้สำเร็จจริงๆ ไม่สร้าง“ภพ” ไม่ก่อ“ชาติ”ขึ้นมาในจิตใจตน

มีแต่จะเต็มไปด้วย“สติ”ตั้งใจ“ทำใจในใจของตน”ให้ไม่ก่อ“ภพ” ไม่เกิด“ชาติ”ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะที่เป็น“ภพ-ชาติ”ว่า บริบูรณ์ด้วย“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ถูกต้องชัดเจนถ่องแท้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปัญญาแยกแยะนามรูปได้เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2564 ( 21:23:16 )

ทำทานอย่างมีปัญญา

รายละเอียด

ต้องมีระดับต่างๆกัน ​ผู้ใดทำทานให้กับพระเจ้าได้อานิสงส์สูงสุด แต่ถ้าใครก็ตามคำถามให้กับภิกษุ โดยไม่ได้กำหนดภิกษุใด ที่เป็นภิกษุปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่กำหนดบุคคลและไม่กำหนดของ อันนี้ได้อานิสงส์กว่าทำทานกับพระพุทธเจ้า อันนั้นเรียกว่า สังฆทาน คำว่าสังฆทานคือทำทานกับสงฆ์ โดยไม่ระบุบุคคลข้าวของ คำว่าไม่ระบุคือ เช่น ท่านขาดแคลนเข็มเย็บผ้า เอาทองก้อนเท่าหัวไปให้ท่านท่านไม่เอาหรอก ท่านต้องการเข็มไปเย็บสบงมันโป๊ ของที่ไม่ตรงกับสัจธรรมความจำเป็นไม่มีค่าหรอก ทำทานกับวัดใกล้บ้านก็ดี แต่วัดที่ไม่ดีก็อย่าไปส่งเสริม วัดไหนที่พอจะควรส่งเสริมได้ก็ควรจะทำ วัดไหนที่ไม่น่าส่งเสริมก็ไม่ต้องทำ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:33:48 )

ทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร

รายละเอียด

เขาไม่รู้จักการทำใจในใจตั้งแต่การทำทานในข้อที่ 1 ของสัมมาทิฏฐิก็เป็นมิจฉาทิฎฐิ ก็นัตถิทินนัง ทำทานไม่เป็นผล ไม่มีปฏิกิริยาของบุญ ทำทานแล้วไม่มีผล ไม่มีอานิสงส์ จริงๆ เขาทำทานเป็นผล  มีสมบัติเป็นวิมานมันก็ยิ่งมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่รู้แล้วว่าวิมานก็ไม่สร้างเป็นสมบัติก็ไม่เอา ทานคือการให้ ให้ไปแล้วก็ล้างเลย จิต นอกจากไม่สันนิธิเปกโขแล้ว แม้จะสาเปกโข แม้จะหวังว่าจะได้อะไรมาให้แก่ตน ก็ไม่ทำจิตในจิต มนสิการเป็น ไม่ทำจิตอย่างนี้ ฟังดีๆนะ คุณรู้จักอาการของจิต ก็คุณไปทำจัดการอาการจิตของคุณ เช่นคงจะมีคนมาตอบแทนบุญคุณ เราทานไปแล้ว เขาก็ต้องรู้บุญคุณเราบ้างล่ะ สักวันหนึ่ง เขาคงมาตอบแทนบุญคุณเราบ้างเราให้อะไรเขาไปแล้ว บางทีให้เงินไปตั้งหลายสิบล้าน เป็นร้อยล้าน เขาก็ต้องตอบแทนบุญคุณเราบ้าง บางทีให้เพชรให้ทองไป ให้ขนมแก่เด็กไป เด็กมันก็ต้องมาตอบแทนบุญคุณเราบ้าง เห็นไหมว่าจะเอาแม้กระทั่งจากเด็ก หรืออย่างเก่งก็คือให้ความรู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ 
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การทำบุญทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:10:46 )

ทำทานอย่างแม้นิดแม้น้อยก็ไม่มีเอาคืน นี่คือบุญ

รายละเอียด

คุณยังแยกไม่ออกในกุศลกับบุญ ถ้าทานเป็นกุศล มันก็เป็นกุศล เพราะมันเป็นกุศล ทำทานนี่มันไม่เป็นอกุศลหรอก แม้คุณจะให้ทานด้วยใจไม่เต็มใจ ใจที่ไม่เต็มมันอกุศลอยู่หน่อยๆ แต่มันก็เป็นกุศล ทานนี่เป็นกุศลสำหรับคุณ ที่คุณไม่เต็มใจนี่คือความขี้เหนียว ความโลภ ความตระหนี่ของคุณต่างหาก กิเลสของคุณและคุณก็ไม่ปล่อย ทั้งๆที่คุณให้นะวัตถุ คุณให้ไปแล้วแต่ใจของคุณมันไม่ยอม ยังตระหนี่อยู่ว่า ของกู ของกู อยู่นั่นแหละ 

ยังได้ผลเป็นทานเป็นกุศล ทีนี้บุญก็คือคุณต้องล้างกิเลส ต้องรู้ว่า ทานก็คือการให้ ให้ก็คือให้  ให้ยังมีเราตามการให้ไปอยู่ ให้คุณยังมีกูไปกับให้ อันนี้ไม่มีอานิสงส์ แต่กุศลมันมีแล้ว 

เพราะฉะนั้น บุญคือตัดกิเลส ไม่มี สาเปกโข คือไม่มีอะไรเป็นตัวต่อจากจิต ทำทานแล้วศูนย์ ทำทานให้จิตก็จบศูนย์ 

เข้าใจคุณก็ทำสิ เข้าใจแต่บัญญัติคุณก็ทำใจในใจตรงนี้แล้วจบเลย คุณรู้แต่บัญญัติก็คือคุณทำไม่เป็น คุณรู้บัญญัติแล้วล่ะทำทานอย่ามีสาเปกโข อย่าให้มีตรงนี้แหละบัญญัติมันได้มันรู้แต่คุณทำใจในใจตรงจริงกับความเป็นจริงของความหมายอันนั้นไหมล่ะ ก็มีความสุขไงหมดกิเลสไงกำจัดกิเลสที่จะมีเรามีของเราไอ้นี่ก็ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่มี ทานก็ไม่มี ของเป็นกุศลอะไรก็ไม่มี เราก็ไม่มี แต่คุณยังมีเราเป็นของเราอยู่ 

นั่นแหละอิ่มบุญก็เป็นกิเลส เสริมเป็นอุปกิเลสซ้อน คือมันไม่มีอะไร เข้าใจคำว่า ไม่มี ไหม นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี ความไม่มีนี่แหละจบ ก็คือ 0 นั่นแหละอธิบายขยายความ 0 นิดนึงน้อยหนึ่งไม่มีก็คือ 0 

นั่น เป็นเรื่องของโลก ถ้าคุณเป็นคนทำทาน คุณเกิดมาคุณเป็นคนได้ให้นั่นแหละคือคุณจบเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าคุณเกิดมาแล้วคุณก็จะเป็นผู้ที่ได้เอาหรือยังแลกกลับคืนอยู่ คุณไม่ใช่นักเศรษฐกิจที่สูงสุดหรอก นักเศรษฐกิจสูงสุดก็คือ ยิ่งเพิ่มพูนการเสียสละ นั่นแหละคือนักเศรษฐกิจชั้นหนึ่ง ไม่มีตัวกูของกู 

แล้วคุณจะไม่อยู่ไม่ได้ นั่นล่ะคุณยังตื้นอยู่ คุณหาที่อยู่ หาสังคมอยู่ หาพฤติกรรมของหมู่สังคมที่ไม่ต้องมีของตัวของตน เป็น 0 เลย มีแต่ของส่วนกลาง มาสิ มาศึกษาที่นี่นักเศรษฐศาสตร์ มาศึกษาที่อโศกนี่ จะเห็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดอันนี้ ในโลก ขออภัยพูดดังไป ในโลก ขออภัยที่พูดดังอีกแล้ว นี่แหละ เศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดในโลก พูดเบาๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #49 ชำแหละลากไส้อัตตาของพญาครุฑและพญานาค วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 16:17:35 )

ทำทานอย่างไม่โยนิโส คือการทำใจในใจที่อวิชชา

รายละเอียด

สัมมาทิฏฐิ 10

1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) ทำทานอย่างไม่โยนิโสฯก็จะมี

ทานแล้วเกิด

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

คุณต้องรู้ว่าคุณทำใจในใจผิด มีอาการหวังมีภพชาติต่อ นั่นคือมันยังไม่ตัด นอกจากไม่ตัดแล้วยังผูกพัน กับไอ้หวัง พบกันชาติต่อไปอีก แล้วยังสั่งสมลงใส่คลัง สันนิธิเปกโข สั่งสมความหวัง จนผิดไปอีก ข้ามไปชาติหน้าอีก จะได้ไปเสวยสมบัติในชาติต่อๆไป ยาวไม่จบ นี่คือไม่รู้จักจบภพชาติ ชาติไม่จบภพไม่สิ้น การทำใจในใจที่อวิชชา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:14:14 )

ทำทานอย่างไรในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 จึงเป็นโลกุตระ

รายละเอียด

อธิบายแต่พอสังเขปว่า สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา). 1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . . คุณทำทานแล้วได้ทำใจในใจลดกิเลสหรือไม่ เมื่อคุณให้เงินให้ทองให้เข้าของแกคนอื่น เสร็จแล้วคุณทำใจในใจไม่ได้สัมมาทิฏฐิ สาธุขอให้ได้บ้านเรือนได้ร่ำรวยได้อะไรต่างๆนานา การทำทานแบบนั้นไม่ได้บุญเลย ได้แต่กุศล ได้แต่คุณงามความดี คุณทำทานนั้นดีแล้ว คุณทำทานวัตถุก็ดีมีประโยชน์ต่อคนอื่น กุศลคุณก็ได้ แต่คุณไม่ได้ปรมัตขั้นโลกุตระ อันนี้แหละไม่ได้เข้าใจกันง่ายๆ เป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 สอนกันเต็มบ้านเต็มเมืองไม่มีโลกุตระ เขาทำใจในใจโยนิโสมนสิการ ไม่เป็น ไม่รู้จักอาการของจิตว่าจิตของตัวเองนั้น อาการโลภมาให้แก่ตัวเองอยากได้มาให้แก่ตัวเอง หรืออย่าไปอยากได้ ต้องอยากให้สิ แล้วอย่าไปตั้งจิตเอาอะไรแลกกลับมา ถ้าคุณทำทานไป 1000 แล้วคุณก็ยังมีในใจบอกว่าขอให้ได้คืนมาสัก 900 คุณก็จะได้ทาน100 ใช่ไหม? แต่มีหรือจะคิดอย่างนี้ เพราะมันยังไม่รู้ว่าการให้กับการเอาคืออะไร การเอาคืนมา ทานไป 1,000 ขอให้ได้กลับมา 900 ใจมันต้องการแลกเปลี่ยนกลับคืนมารับคืนให้แก่ตัวเองนั่นแหละคือการตั้งจิตไว้ผิด ทำใจในใจผิดยังมิจฉาทิฏฐิในการทำใจในใจ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 14:40:57 )

ทำทานอย่างไรให้เป็นบุญ

รายละเอียด

ให้ไปแล้วไม่หวัง ไอ้หวังตายสิ้นแล้ว ไม่หวังอะไรจากใคร ไม่หวังภพชาติ ไม่หวังอะไรจากจิต ให้ก็คือให้มีแต่ความตรงทางเดียว ให้ก็คือให้สิ แต่พวกที่มีความคดโค้ง มีความไม่ตรงเป็นคนไม่หนึ่งเดียว ยังเป็นคนมี 2 ไม่เป็นเอกธรรม ไม่เป็นเอกัคคตา เป็น ยังมีความหวัง ให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

ทำแล้วต้องไม่มีจิตผูกพันในการให้ทาน ทานแล้วก็จดจำไม่ได้ ไม่ต้องคิดจดจำด้วย ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ ทีนี้ไม่ใช่แค่ปฏิพัทธ์ผูกพัน แต่เป็นการสะสมออมบุญกุศล ออมความดีงามความประเสริฐ จริงๆเป็นกิเลสทั้งนั้น ไม่มุ่งการสะสมในการทำทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

หรือแม้แต่ ไปใหญ่เลยมีภพชาติชัดเจนเลยให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ จะได้สวรรค์วิมานเหมือนอย่างฤาษีลิงดำ เป็นยามา เป็นดุสิต เป็นนิมมานนรดี เป็นปรินิมิตวัสวัตตี จะได้เทวดาเป็นวิมานสวรรค์ 6 ชั้น จะได้ไปเป็นพระพรหม 20 ชั้น มีภพชาติไปหมดเป็นนิรมาณกาย สร้างภพชาติ ที่จริงแล้วไม่มีกาย นิระ แปลว่าไม่ นิรมาณกาย ที่จะไปสร้างกายในจิตมันไม่มีหรอก ไม่มีกาย แต่เขาก็สร้างภพของเขาว่ามีมันเป็นเพ้อพก มันไม่มีที่เขาทำไป ไปสร้างออกใหม่ซึ่งมันไม่มี อันเก่าก็ไม่มี ไม่ใช่อดีตด้วย เป็นอนาคตหมดเลย ถ้าเรียนอดีต 18 อนาคต 44 มันไม่มีอดีต ฝันเพ้อ มีวิมานสร้างสวรรค์ไว้ตายแล้วจะได้ไปอยู่

ที่มา ที่ไป

 เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2564 ( 08:25:40 )

ทำทานอย่างไรให้เป็นอานิสงส์สูงมีผลสูง

รายละเอียด

ที่จริงคุณเสียสละมากแต่มันไม่ตรงกับประโยชน์ ท่านขาดด้ายขาดเข็มแต่ดันไปเอาธนบัตรให้ท่าน พระท่านซื้อขายไม่ได้ ท่านไปบอกให้ซื้อให้ขายก็ยังไม่ได้ ท่านขาดด้ายขาดเข็ม จะบอกโยม นี่เงินเขาเอามาทำทานให้เอาเงินไปซื้อด้ายซื้อเข็มพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ ด้วยหลักธรรมโดยวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถึงขนาดนั้นเลย 

ต้องสอดส่องว่าท่านขาดอะไร ให้ด้ายเข็มก็ให้ท่านไปเย็บชุนเอง เป็นผู้หญิงไปเย็บให้ท่านก็ไม่ดี อย่างนี้เป็นอานิสงส์สูงมีผลสูง มันตรงกับสิ่งที่ต้องการ  สิ่งที่เป็นประโยชน์สมกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 20:13:30 )

ทำทานเป็นล้านๆไม่ได้บุญเลย เพราะอะไร

รายละเอียด

คำว่าไม่จริงใจนี่สำนวนไทยนะ ไม่จริงใจ เขาไม่รู้ใจตัวเองแล้วก็เรียนมาผิดก็เลยทำใจในใจคือมนสิการ การทำใจในใจของเขา ไม่ถูกต้อง มันผิดกับที่เขาเจตนาว่าเขาจะได้บุญ เขาไม่ได้ แต่เขาให้วัตถุไป เขาได้กุศลนะ เขาได้ให้วัตถุแก่ผู้อื่นเป็นกุศล เป็นวิบากทางกุศลเขาได้ 

แต่วิบากทางโลกุตระขั้นบุญไม่ได้ เขาไม่ได้บุญเลย ทำทานเป็นล้านๆไม่ได้บุญเลย ตะกละ แม้มันไม่เป็นรูปธรรม มันก็เป็นนามธรรมที่เขาตะกละ เขาตะกละว่าเขาจะต้องได้เพิ่มเติมขึ้นอีกเมื่อใดก็แล้วแต่ต้องมากกว่าเก่า มันเป็นความโลภ ไม่ได้เป็นความเสียสละจริงๆเลย นี่คือความซับซ้อนที่ละเอียดลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่อง ล้างอาสวะ จิตที่เป็นอาสวะ จิตที่มันเป็นกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ไปถึงขั้นอาสวะ ละเอียด ขั้น กาม ภวตัณหา วิภวตัณหา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 ที่บวรราชธานีอโศก

วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล 


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2566 ( 12:02:05 )

ทำทานแบบมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

ทำทาน หลอก เป็นภพเป็นชาติ ยิ่งธัมมชโยแล้วเจ้าประคุณเอ๋ย หลอกไม่รู้กี่ซับกี่ซ้อนเพื่อที่จะให้เกิดสวรรค์วิมาน ฤาษีลิงดำก็ตาม ใครต่อใครก็ตามพวกนี้ ทำทานแล้วไม่ได้เป็นผลในการชำระกิเลสไม่ได้เป็น มีแต่สั่งสมกิเลสทั้งนั้น นี่คือมิจฉาทิฏฐิที่เป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นไม่มีอธิบายเป็นเรื่องราวอย่างนี้หรอก ไม่มี วิทยาศาสตร์ทางจิตจะเป็นชีววิทยาที่ยิ่งใหญ่ของพุทธ ที่อธิบายนี่เป็นชีววิทยาอันยิ่งใหญ่ของพุทธ ศาสนาอื่นไม่มีชีววิทยาที่ยิ่งใหญ่อันนี้ไม่มี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 13:39:45 )

ทำทานแล้วจะไปถึงผู้ตายได้ไหม

รายละเอียด

แล้วทำไปจะไปถึงคนตายไหม ไม่ถึง กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทรับมรดกกรรมของตน คุณจะทำกรรมกิริยาทุกกรรมเป็นของตนทั้งนั้น แบ่งให้ใครไม่ได้ กรรมไม่มีการแบ่ง ยกตัวอย่างคุณไปตีหัวคน คนอื่นเขาไม่ได้ตีเลยก็บอกว่าให้แบ่งเอาบาปตีหัวคนนี้ไปด้วย ถ้าคิดเป็นคน 100 หน่วย เอ็งเอาไป 50 แล้วข้าเอาไป 50 ได้ไหม แต่คุณคนเดียวไปตีเขานะคนอื่นไม่ได้ตีด้วย แล้วคุณจะไปยัดเยียดกรรมกิริยานี้ไปให้เขาครึ่งนึงแล้วคุณเอาไว้ครึ่งหนึ่งมันทำได้อย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน มันไม่ได้หรอก ทำเป็นของตนลึกซึ้ง และกรรมที่ทำไปแล้วคุณต้องรับมรดกของคุณ คุณเอาไปทิ้งไม่ได้ไม่หายไม่หกไม่ตกไม่หล่นไม่ระเหิดไม่ระเหย มันออกผลช้าเท่านั้นบางที แต่มันต้องทำถ้าคนไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันยิ่งกว่าหมาล่าเนื้อ มันวิ่งทันคุณเมื่อไหร่มันก็งับน่องคุณเมื่อนั้น สรุปว่าไม่ได้ คุณจะทำทานไปให้ผู้ตายอย่างไรก็ไม่ได้ กรรมเป็นของใครของมัน อย่ามาดัดจริตว่าไปให้ถึงผู้ตาย เป็นการหลอกกินทั้งนั้น เช่นทำหมกปลาช่อนตัวเมียมีไข่ด้วย ทำแล้วเอาไปให้พระฉัน ก็ให้ส่งบุญกุศลนี้ให้ถึงแม่ที่ตายไปแล้วด้วย พระก็หยาดน้ำให้ บอกว่าให้ส่งไปให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วเมื่อจบเสร็จ พระก็บอกว่าส่งไปให้พ่อแม่เรียบร้อยแล้ว ถามว่าไปถึงพ่อแม่ที่ตายไหม อาตมาก็ถามต่อไปอีกว่า แล้วห่อหมกไส้ปลาช่อนนี้ออกจากท้องหลวงพ่อไปไหม? อาหารนี้ก็มีธาตุวิตามินไปเลี้ยงร่างกายหลวงพ่อเหลือเศษเป็นขี้ออกมาเป็นของหลวงพ่อ มันไม่ไปหรอก มันไม่มีอะไรไป ยกตัวอย่างอย่างนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกก็จนด้วยเกล้าแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2563 ( 11:23:03 )

ทำทานแล้วไม่มีผลมเพราะมนสิการไม่เป็น

รายละเอียด

ทำทานแล้วไม่มีผล นัตถิทินนัง ไม่มีผลคือ มนสิการไม่เป็น ทำใจในใจไม่เป็น ทานแล้วก็หยาบถึงขั้น นี่แหละ เป็นสมบัติ ทานไปแล้วจะได้ไปเสวยผลกินผลตอนตายไป ในทานสูตร จะได้กินเป็นผลตอนตายเรียกว่าอะไร? ปริภุญชิสสามีติ ทำทานแล้วเพื่อจะเอาไปใช้ กินอาศัยตอนตาย เป็นวิมานเป็นภพชาติ อย่างฤาษีลิงดำสอนตายไปแล้วจะอยู่ในวิมานเพชรวิมานทองอะไร ออกนอกรีตพระพุทธเจ้าไปหมดเลย 

อีกเจ้าหนึ่งก็บอกว่า สันนิธิเปกโข คือสั่งสมทาน ทานแล้วทำจิต มนสิการ ทำจิตสั่งสมว่าได้นั่นโน่นนี่ นิธิคือคลัง คือตู้เซฟ ที่สะสม คลังหรือแล้วแต่ ใส่กระป๋อง ใส่กะละมังครุถังสะสม ฝังดินไว้ก็มี สั่งสมทานแล้วก็จะได้กุศล ไม่ได้บุญเลยเพราะว่าบุญคือการชำระกิเลส เข้าใจมนสิการ การทำใจที่จะรู้จักกิเลส ต้องมีปัญญาเข้าไปรู้จักกิเลส คือฌาน นี่แหละ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ 
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การทำบุญทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:07:46 )

ทำทานให้กิเลสหมดจากจิตก็เป็นอรหันต์ได้

รายละเอียด

ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์นรก สวรรค์ก็คืออาการของจิตที่เป็นสุข นรกก็คืออาการของจิตที่เป็นทุกข์ ทำทานต้องไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่รู้จักประโยชน์คืออานิสงส์ คนที่มีอานิสงส์สมบูรณ์ มีประโยชน์สมบูรณ์คือทำทานให้กิเลสหมดจากจิต อย่างพระอรหันต์ทำทานจิตท่านก็เฉยๆกลางๆทุกท่านไม่มี รู้แต่สาระอันนี้ควรทาน อันนี้ควรให้ คนนี้ไม่ควรให้ก็ไม่ต้องให้ ให้แล้วเป็นโทษ อันนี้ให้แล้วเป็นคุณ ก็เป็นสาระแท้ๆเลย นี่แหละคือยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ ในโลก อย่าว่าแต่เศรษฐศาสตร์เลย การเมืองด้วย รัฐศาสตร์ด้วย สังคมศาสตร์ด้วยสุดยอดเลย ทำได้ตรงจิตคุณเป็นอุเบกขาทั้งหมดเลยเรื่องการทำทาน แค่การทานเรื่องเดียวคุณก็เป็นอรหันต์ได้ ขอให้เข้าใจและทำจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:23:35 )

ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง

รายละเอียด

ที่ถามประเด็นนี้ลึกซึ้งมาก อาตมาก็อธิบายไปหลายทีแล้ว มันคือการรู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน คนที่รู้จักอาการของจิตอาการของเจตสิก ที่ยังมีสภาพที่จะต้องได้รับผลตอบแทน จิตที่จะต้องได้รับผลตอบแทน มันเป็นพวกทุนนิยม ลงทุนไปแล้วก็จะต้องได้ทุนคืน ดีไม่ดีได้เกินทุนเรียกเกินทุนนั้นว่ากำไร มันเป็นความคิดแบบทุนนิยม 

แต่ความคิดแบบบุญนิยมนั้น เราให้ใครแล้วไม่เอาคืน ไม่ต้องการอะไรคืน ทำใจในใจให้ ให้ไปแล้วศูนย์ เรียกว่า ทาน ใน”ทานสูตร” (พตปฎ. ล.23 ข.49) ไม่มี”สาเปกโข” นี่จึงจะเป็นปัจจัยให้เกิดนิพพาน 

การให้ทานที่มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก 

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้… 

ยังมีความหวังให้ทาน (สาเปกโข ทานัง เทติ)

มีจิตผูกพันในผลให้ทาน (ปฏิพัทธจิตโต ทานัง เทติ)

มุ่งการสั่งสมให้ทาน (สันนิธิเปกโข ทานัง เทติ)

ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ (อิมัง เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานัง เทติ)

เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นต่างๆ (เทวดาคือเพื่อนสอง คือมีตัณหา มีภพให้เกิดชาติอยู่ )

เมื่อสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ (เมื่อสิ้นผลทานแล้ว ก็เป็นผู้กลับมาสู่ความดิ้นรนเร่าร้อนดังเดิมอีก 

นี้คือ แม้ทำทาน ได้ผลกุศลมาก แต่ไม่มีอานิสสงส์มาก 

ถ้าคุณยังมีสาเปกโข คุณก็ยังมีภพชาติต่อเนื่องอยู่ ภพชาติคุณก็มีแล้ว ยิ่งไม่รู้ ยิ่งอวิชชามากขึ้น เป็น”ปฏิพัทธจิตโต” ผูกพันกับจิตเข้าไปอีก ผูกพันเป็นภพชาติเข้าไปอีก 

สาเปกโข เริ่มมีสภาพมีรูปร่างที่หวังว่าจะได้คืนนะ หวังว่าจะมีอะไรได้อีก ก็เป็นภพชาติต่อไป อันนี้เพิ่มละ ความโง่เพิ่มขึ้น จะต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น เป็นภพเป็นชาติเพิ่มเติมขึ้นอีกเป็นระดับที่ 2 

ระดับที่ 3 นี้สะสมเลย เป็นคลัง “สันนิธิเปกโข” เรียกว่า คลัง คลังสะสม เอาที่ยังจะต้องมีความหวัง เอาไอ้หวังใส่ถังไม่รู้จักเต็ม นี้คือ สันนิธิเปกโข ทานังเทติ แปลว่า การปฏิบัติการทาน ที่จะเอาไอ้หวังใส่ถังไม่รู้จักเต็ม นี่แหละ เป็นความคิดที่มิจฉาทิฏฐิหนัก ไม่มีการหมดภพจบชาติได้ 

ถ้าคนมีความคิดระดับ 3 นี้หมดทางที่ไปนิพพาน เพราะว่าเป็นความคิดที่เพิ่มภพ สั่งสมภพ สั่งสมชาติ 

ยิ่งตายไปแล้วจะต้องเอาไปไว้เป็นของฉัน เป็นของให้พ่อให้แม่ให้ใครต่อใครได้อาศัยกินใช้ เหมิดความเว่าเลยอันนี้ ไม่ต้องอธิบายต่อเลย  คนนี้นี่อีกนาน น น น  กว่าจะรู้เหตุปัจจัยในการทำใจในใจที่จะไปนิพพาน 

เพราะฉะนั้นสอนกัน พวกสวรรค์ ที่จะต้องมีแต่สวรรค์ สวรรค์ก็คือที่มีภพมีชาติ แล้วก็สร้าง”นิรมาณกาย” เป็นภพชาติแดนที่แสนสุขสมนั่งชมวิหคไป คือวาดเป็นนิรมาณกายไป วาดไป คุณชอบรูปแบบไหนก็เอาแบบนั้น จะชอบรูปชอบสภาพแบบไหน ขยายความ สร้างภาพสร้างรูปเป็นศิลปิน สร้างรูปเหมือนอย่างธรรมกายนั้น ฮู้ว! สร้างรูปสร้างภาพสร้างอะไรๆ หลอกกันไปหมด มันตั้งอะไรก็ได้ คิดอะไรก็ได้ที่เป็นสวรรค์สดสวยงดงามอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะได้สารพัดความคิดของพวกนี้ จะต้องเป็นสวรรค์ฟรุ้งฟริ้งแบบไหน พิลึกพิลั่นยังไง ซับซ้อนอย่างไร งดงามยิ่งใหญ่มโหฬารพันลึกอย่างไรมันก็ได้ 

เพราะฉะนั้น การทำจิตในจิต ที่ไม่รู้มันก็คิดเป็นบ้าๆบอๆ แบบจิตในจิตที่เป็นอะไรที่เลอะเทอะไปอย่างนั้นได้ตลอดเวลา 

เพราะฉะนั้นการที่จะมาเรียนรู้ธรรมะไปนิพพาน ยุคนี้เป็นยุคเสื่อมมาก โลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงพูดแล้วพูดอีก ขยายความแล้วขยายความอีก กว่าจะล้างความโง่ ความไม่เข้าใจ ความไปติดยึดในภพในชาติ ที่มีซับซ้อนมากมายหลากหลายชนิดและซับซ้อนหนาเปรอะอะไรพวกนี้ ยังยากมาก 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มาศึกษาแล้วสามารถรู้เข้าใจได้ อย่างพวกเรานี่มาได้ นี่ก็เหลือส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ก็จะมีผู้แสวงหา ผู้ที่อคติน้อย ก็ค่อยๆศึกษา ก็ค่อยๆตามมา ตอนนี้ก็เป็นแก่นเป็นแกนไป พวกเราก็เป็นแก่นเป็นแกน ช่วยเป็นหลักให้แก่มนุษยชาติที่จะต้องการนิพพาน  ต้องการธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ค่อยๆมากัน

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ก็จะเห็นได้เต็มไปหมด สอนทานมีแต่ภพชาติ แปลอีกทีก็คือ มีแต่นรก แล้วหลงนรกว่าเป็นสวรรค์ นี่ขยายความนะ คือคนมีภพชาติ นรกสวรรค์คืออันเดียวกัน คุณไปติดยึดว่าจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น เป็นภพเป็นชาติ นั่นแหละ คือการสั่งสมนรก การสั่งสมสิ่งที่ควรจะเลิกล้างไป ไม่มี 

เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธไม่มีภพไม่มีชาติ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีตั้งแต่”จตุมหาราช” ที่ห่ำหั่นกันเหมือนอย่างที่เทวนิยมเขายังฆ่าแกงกันอยู่ อื้อหือ! เขี้ยวยาว หอกดาบ นั่นเป็นอาวุธสมัยโบราณ สมัยนี้มันยิ่งกว่าปรมาณูแล้ว มันฆ่ากันอย่างชนิดที่เรียกว่า มันเหมือนยิ่งกว่าพืช ยิ่งกว่าสัตว์ที่มันฆ่ากันเฉย 

ฆ่ากันในชาติตัวเองไม่พอ รับสมัคร ใครจะสมัครมาเป็นทหารรับจ้าง ก็จ้าง มา แล้วมันก็เอากระดาษเปื้อนหมึก กระดาษชำระ ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายมาจ้างพวกนี้ พวกนี้ก็เอา เห็นแก่กระดาษชำระ ก็มาสมัคร แล้วก็ตายไป อะไรต่างๆ พวกตายไปก็ไม่ต้องจ่าย ไอ้พวกไม่ตายก็ พวกนี้ก็เลยบอกว่าเอ็งไปฆ่ากันเลย เอ็งตายแล้วข้าจะได้ไม่ต้องจ่ายกระดาษชำระ เห็นไหม ซับซ้อนไหม ใจจืดใจดำ จริงๆแล้วใจดำอำมหิต เห็นคนเป็นผักเป็นปลาเป็นสัตว์เป็นพืช จะทำร้าย จะฆ่าแกงอะไรกันก็เฉย 

คือ เขาไม่รู้ประสีประสาในเรื่องของกรรมวิบาก ไม่รู้จักชีวะ โดยเฉพาะชีวะในจิตนิยามที่จองเวรจองกรรมกัน มีกรรม มีวิบากอะไรกันเขาไม่รู้เรื่องเลย เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ยุคเสื่อม  ยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว มันยิ่งเห็นชัดเจน 

เพราะฉะนั้นเมืองไทยจะเป็นเมืองตัวอย่างของโลกุตรธรรมเรื่องจิตวิญญาณนี้  อาตมาว่าอีกสัก 100 ปี ความรู้โลกุตรธรรมนี้จะเฟื่องขึ้นไปถึงขั้นระดับสากลได้เยอะ แต่เดี๋ยวนี้ยังหรอก ยัง จะพูดยังไงๆก็ยังยากที่เขาจะเข้าใจว่ามันเป็นคุณค่าอันสุดยอดแล้ว ในเรื่องของจิตนิยาม หรือในเรื่องความเป็นสัตว์หรือว่าเป็นมนุษย์ เขายังนะ 

เพราะเขายัง ฉะนั้นจะไปบังคับกัน ไม่ได้แน่นอน แม้แต่จะสอนกัน จะแนะนำกัน ก็ยังยากมากเลย ก็ต้องเป็นไปตามสัจจะ 

เพราะฉะนั้นเราก็ทำสิ่งที่ดีแหละเป็นสิ่งที่เป็นแก่นแกน  เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นแก่นแกนที่จะยืนยันพิสูจน์ ให้คนมาพิสูจน์ 

เพราะว่าศาสนาพุทธ เข้าใจเรื่อง ความตาย ความเกิด เรื่องของการวนเวียนของมีชีวะ อยู่ในระดับเป็นโพธิสัตว์ รู้จักอะไรต่ออะไร มันเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมาก ก็ช่วยกันเท่าที่ช่วยกันได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง ควรเพิ่มพลังพากเพียร วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2567 ( 06:30:14 )

ทำทานให้ใช้ปัญญา

รายละเอียด

ถ้าฟังมา 7 ปีติดต่อมาเรื่อยๆ ก็คงเข้าใจสามารถเข้าใจได้บ้าง ที่เรามีหลักการรับบริจาคอย่างนั้น คือให้รู้ว่าอโศกเป็นอย่างไร คุณจะทำทานบริจาคเป็นกุศลด้วยนี่ มันคืออะไร ไม่อยากให้งมงายไปถูกหลอก ให้ทำทานบริจาคกันไป ทิ้งๆขว้างๆ ไปช่วยสนับสนุนบาป เป็นพุทธศาสนาด้วยมันน่าสงสาร ก็อยากให้ใช้ปัญญา ใช้สติสัมปชัญญะปัญญารู้เพื่อที่จะได้ทำให้ถูกต้อง ไม่ได้แอ็คอะไรหรอก แต่ต้องการให้มันเป็นความจริง 

ที่มา ที่ไป

 พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2565 ( 14:14:50 )

ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 0

รายละเอียด

ทำ“เทฺว ธัมมา”ให้เป็น“เอกธัมม”ได้สำเร็จ ที่สุดทำ“เอกธัมม”ให้เป็น“0” จึงจบ ความเป็น“เทฺว”หรือ“เทฺว ธัมมา”คือ “ธรรมะ 2” ถูกรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ด้วย“ปัญญา” สัมบูรณ์แบบ

พุทธจึงเป็นศาสนาที่มี“นิพพาน”หรือมี“0”คือ“สุญญ” หรือบรรลุ“อนัตตา”ด้วย“ปัญญา”แท้จริงอยู่เพียงศาสนาเดียวในโลก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:05:31 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:02:06 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:23:10 )

ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 อย่างไร

รายละเอียด

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0 

_ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0

1 คืออิตถีลิง vs ปุงลิงค์ สู้กันแล้วพอปุงลิงค์ชนะก็เป็น1พอได้แล้วก็ทำเป็น0 คือ นปุงสกลิงค์

เคหสิตะ vs เนกขัมมะ ก็ไปเป็นเนกขัมมะ แล้วเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา แล้วก็ไปถึงที่สุด เพราะว่าเนกขัมมะมีโสมนัส โทมนัส แล้วอุเบกขา ก็จบที่อุเบกขา

ก็ขอขยายความ เคหสิตะกับเนกขัมมะเป็นตัวชี้บ่ง หากไม่สามารถอ่าน เนกขัมมะกับเคหสิตะออก หากคุณทำให้ความเป็นโลกลดลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ทุกข์สุขหยาบๆ หากทำให้สุข ทุกข์ลดลงได้เรื่อยก็เนกขัมมะ หากเข้าใจจิตตน ว่าเป็นเคหสิตะ เราปฏิบัติธรรม แต่ก่อนจัดจ้านขนาดนี้ ตอนนี้ทำให้ลดลงได้สัมผัสอีกก็ลดลงได้ คุณก็รู้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนเวทนาสอง

หัวใจของศาสนาพุทธคือธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ทำให้เหลือเวทนาหนึ่งแท้ๆ เอกสโมสรณา ตากระทบรูปก็เหมือนกันหมดเป็นเวทนาแท้ ก็เป็นภาษาที่ต่างกันแต่สภาวะแท้เหมือนกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็เช่นกัน ต้องแยกเอาเวทนาปลอมทำให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ๆ หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติคือพวกแฝงศาสนาพุทธ อยู่ไปก็ทำให้ศาสนาเสื่อมออกนอกรีตพระพุทธเจ้า ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานในการปฏิบัติ แม้พระสูตรอื่นๆก็ระบุไว้ น่าสงสารพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติ


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:56:00 )

ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 อย่างไร

รายละเอียด

ไปถึงที่สุด เพราะว่าเนกขัมมะมีโสมนัส โทมนัส แล้วอุเบกขา ก็จบที่อุเบกขา

ก็ขอขยายความ เคหสิตะกับเนกขัมมะเป็นตัวชี้บ่ง หากไม่สามารถอ่าน เนกขัมมะกับเคหสิตะออก หากคุณทำให้ความเป็นโลกลดลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ทุกข์สุขหยาบๆ หากทำให้สุข ทุกข์ลดลงได้เรื่อยก็เนกขัมมะ หากเข้าใจจิตตน ว่าเป็นเคหสิตะ เราปฏิบัติธรรม แต่ก่อนจัดจ้านขนาดนี้ ตอนนี้ทำให้ลดลงได้สัมผัสอีกก็ลดลงได้ คุณก็รู้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนเวทนาสอง

หัวใจของศาสนาพุทธคือธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ทำให้เหลือเวทนาหนึ่งแท้ๆ เอกสโมสรณา ตากระทบรูปก็เหมือนกันหมดเป็นเวทนาแท้ ก็เป็นภาษาที่ต่างกันแต่สภาวะแท้เหมือนกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็เช่นกัน ต้องแยกเอาเวทนาปลอมทำให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0 วันจันทร์ที่

10 ธันวาคม 2561

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:58:27 )

ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 ได้อย่างไร

รายละเอียด

ก็ขอขยายความ เคหสิตะกับเนกขัมมะเป็นตัวชี้บ่ง หากไม่สามารถอ่าน เนกขัมมะกับเคหสิตะออก หากคุณทำให้ความเป็นโลกลดลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ทุกข์สุขหยาบๆ หากทำให้สุข ทุกข์ลดลงได้เรื่อยก็เนกขัมมะ หากเข้าใจจิตตน ว่าเป็นเคหสิตะ เราปฏิบัติธรรม แต่ก่อนจัดจ้านขนาดนี้ ตอนนี้ทำให้ลดลงได้สัมผัสอีกก็ลดลงได้ คุณก็รู้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนเวทนาสอง

หัวใจของศาสนาพุทธคือธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) 

ทำให้เหลือเวทนาหนึ่งแท้ๆ เอกสโมสรณา ตากระทบรูปก็เหมือนกันหมดเป็นเวทนาแท้ ก็เป็นภาษาที่ต่างกันแต่สภาวะแท้เหมือนกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็เช่นกัน ต้องแยกเอาเวทนาปลอมทำให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0 วันจันทร์ที่

10 ธันวาคม 2561

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:52:46 )

ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 ได้อย่างไร

รายละเอียด

ก็ขอขยายความ เคหสิตะกับเนกขัมมะเป็นตัวชี้บ่ง หากไม่สามารถอ่าน เนกขัมมะกับเคหสิตะออก หากคุณทำให้ความเป็นโลกลดลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ทุกข์สุขหยาบๆ หากทำให้สุข ทุกข์ลดลงได้เรื่อยก็เนกขัมมะ หากเข้าใจจิตตน ว่าเป็นเคหสิตะ เราปฏิบัติธรรม แต่ก่อนจัดจ้านขนาดนี้ ตอนนี้ทำให้ลดลงได้สัมผัสอีกก็ลดลงได้ คุณก็รู้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนเวทนาสอง

หัวใจของศาสนาพุทธคือธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) 

ทำให้เหลือเวทนาหนึ่งแท้ๆ เอกสโมสรณา ตากระทบรูปก็เหมือนกันหมดเป็นเวทนาแท้ ก็เป็นภาษาที่ต่างกันแต่สภาวะแท้เหมือนกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็เช่นกัน ต้องแยกเอาเวทนาปลอมทำให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0 

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 22:15:10 )

ทำนาในที่ของตน ไม่ทำนาของคนอื่น

รายละเอียด

หมายความว่าทำของตัวเองไม่ไปแส่เรื่องของคนอื่น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 11:47:02 )

ทำนิพพานสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ต้องเข้าใจเรื่องใด

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถเข้าใจการแยกกายแยกจิตอย่างที่อาตมาอธิบายนี้จริงๆ จึงจะสามารถทำนิพพานสำเร็จเป็นพระอรหันต์สำเร็จ พวกเราฟังพอเข้าใจแต่ลองไปไตร่ตรองให้ละเอียด มันง่ายไหม ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นคนที่ยิ่งไม่ค่อยเข้าใจ ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ จะสับสนเหมือนหญ้ามุงกระต่าย เหมือนกับลิงติดแห เป็นชาละ ติดข่ายเหมือนปลาติดแห เหมือนลิงติดแห ยิ่งดิ้นยิ่งมัดตัวเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว 

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 11:38:35 )

ทำนิพพานให้จิตอย่างไรในการแยกอุตุ พีชะเป็น

รายละเอียด

จะสรุป ตกลงแยกอุตุนิยาม แยกพีชนิยาม 

พีชนิยาม ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีกรรมวิบาก ยังไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อุตุนิยามก็แน่นอนไม่มีด้วย ผู้ที่สามารถทำจิตของตัวเองให้เป็นอุตุได้ ผู้นี้ถึงนิพพาน ผู้นี้ทำนิพพานให้แก่จิตตัวเองเป็น แม้ทำได้แค่เพียงพีชะ ก็อยู่ในฐานะของอนาคามีได้แล้ว ยังมีชีวะ ยังเป็นพีชะ แต่ไม่เจ็บปวด ไม่ทุกข์ร้อนอยู่ในตัวตนของตน เพราะฉะนั้นสัมผัสกับโลกภายนอก สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายไม่มีอาการไม่มีทุกข์ข้างนอกแล้ว แต่ข้างในคุณจะมีมากมีน้อยก็เป็นอนาคามีเท่าที่เป็นไป เป็นชีวะ ในระดับที่เรียกว่าพืช พืชของข้างนอกแต่มันมีจิตข้างใน มันเป็นความทุกข์ความสุขที่เป็นระดับ โสมนัสโทมนัส อยาบหรือว่าละเอียด ตามฐานานุรูป หมดจากโทมนัสโสมนัสก็เป็นพระอรหันต์ เป็นนิพพาน หมดความเป็นพืช เป็นจิตนิยามสมบูรณ์ เป็นจิตนิยามของพระอรหันต์ เป็นจิตสะอาดผ่องแผ้วจากกิเลส กิเลสาสวะแต่ละระดับ

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 11:18:00 )

ทำบาปทุกลมหายใจเข้าออกคืออะไร

รายละเอียด

 อาตมาก็ขอย้ำยืนยันว่า “คนถ้าไม่พยายามคำนึงถึงธรรมะ และไม่รู้จักความเป็นบาป คุณทำบาปอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก” นี่ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้พูดโมเม ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านอะไร บาปคืออะไร บาปคือสิ่งที่มันเติมกิเลส บาปคือสิ่งที่มีกรรม คุณจะเรียกว่าอกุศลกรรมก็ตาม มันก็คือบาป มันเป็นคำใช้แทนกันได้เป็น synonym กัน คุณทำบาป คุณทำสิ่งที่ไม่เป็นกุศล คำว่าไม่เป็นกุศลมันก็ยังดีนะ มันยังเป็นโลกียะ แต่บาปมันเป็นโลกุตระ ที่จริงตัวของบาปนั้นมันเป็นเรื่องอโลกุตระคือมันเป็นเรื่องเลวร้าย มนุษย์ไม่ควรทำ แต่คุณไม่รู้ คุณทำบาปทุกลมหายใจเข้าออก 

ที่ว่าทำบาปทุกลมหายใจเข้าออกคืออะไร คือคุณไม่เข้าใจแม้แต่สภาพที่มี สัญจิจจะ สภาพที่จิตของคุณมีทิศมุ่ง ชีวิตของคุณแต่ละวันแต่ละเวลา มันจะเกี่ยวโยงไปถึงชีวิต โดยเฉพาะชีวิตที่เราถือว่าสูงสุดคือชีวิตของคน มันเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตของคนทั้งนั้น ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าถึงได้ตั้งหลักปฏิบัติของท่านเลย ข้อแรกข้อต้นจริงๆเลยนี่คือ สัตว์ และสัตว์ที่เต็มรูปจริงๆคือคน สัตตะ ถ้าหากอวิชชา สัตตะก็คือความโง่ 7 รอบ ถ้าเป็นวิชชา สัตตะก็เริ่มต้น และถึงขั้นเต็มรอบของสัตตะ หมายความว่าอะไร 

สัตตะที่เป็นอสัตตะ ความไม่มีความรู้เต็มรอบถึง 7 รอบ เช่น สัตตะ 1, ปานะ 2, ภูตะ 3, มหาภูต 4, ภูตคาม 5,เจตภูต 6, ชีวะ 7 ถ้าจะให้ 7 เต็มรูป คือ สัตตะแล้วมีวิญญาณวิญญาณ สัตตะ ปานะ ภูตะ มหาภูต ภูตคาม เจตภูต 7 แล้ว ฟังไป หากไม่เข้าใจก็ฟังเก็บเอาไว้ มี อานิสงส์ ในการฟังธรรม 5 ประการ คุณเกิดมาถ้าไม่ใส่ใจเรื่องธรรมะก็จะสั่งสมแต่บาปทุกลมหายใจเข้าออกเพราะคุณไม่รู้จักความเป็นสัตว์ คุณไม่รู้จักจิตที่มันเริ่มมีทิศมุ่งไปกระทบกระเทือนกับสัตว์ มันก็บาปสิ ฟังชัดขึ้นไหม คุณทำบาปอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเพราะคุณไม่มีความรู้ 

แล้วเกิดมาคนเราสั่งสมแต่บาปโดยที่เขาไม่รู้ ไม่ต้องไปพูดถึงตะวันตกที่เขามีสนามรบ ระเบิดตูมฆ่ากันไป พวกนี้จะอยู่ในนรกอเวจีมหาเดือดร้อนขนาดไหน เอาล่ะตัดทิ้งไม่พูดถึง พูดถึงเรานี่แหละ เพราะฉะนั้นพูดมาถึงตรงนี้อาตมานึกถึงความเป็นสังคมประเทศ ประเทศไทยนี่สุดยอดเลยศาสนาพุทธ แม้จะเสื่อม อาตมายังไม่เกิดมา ยังไม่อุบัติขึ้นมานำโลกุตระมาฟื้นฟู ประเทศไทยก็ยังไม่เลวร้ายเหมือนอย่างต่างประเทศ ยิ่งตอนนี้มีมวลหมู่พุทธศาสนิกชนที่อาตมานำโลกุตรธรรมขึ้นมาเปิดเผยสถาปนาลงไปแล้ว 50 ปี มันยากๆๆๆๆ โลกุตรธรรม ได้แค่นี้ อาตมาก็เอาละชื่นใจ อาตมาเห็นผลอยู่นี้ได้ 

ได้ผลตรงที่มีปรากฏการณ์ยืนยันเป็นรูปธรรม ยืนยันได้เลย เกิดทั้ง สาราณียธรรม 6 เกิดทั้ง สาธารณโภคี เป็นสังคมมีมนุษย์ที่ประพฤติจริง เป็นจริงเกิดจากพุทธพจน์ 7 เพราะจิตเจตสิกของเรามี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  ยืนยันได้อย่างชาวอโศกมี ถือว่าเป็นปึกแผ่นยิ่งกว่าสังคมพุทธกลุ่มไหนๆเลยนะ เพราะมันสัมพันธ์ด้วยสัจธรรมความจริง มีวรรณะ 9 อย่างนี้เป็นต้น คนมาอยู่ในนี้เลี้ยงง่ายไม่ต้องยากอะไร แม้แต่ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีลูกมา 2 3 คนอยู่ในนี้เข้ามาอยู่นี้ก็เลี้ยงไม่ยาก แต่ก่อนอยู่ข้างนอกเลี้ยงยากกว่านี้ อยู่ในนี้มีผู้ช่วยเลี้ยง สบาย วิ่งไปไหนก็ไม่ต้องห่วง เห็นไหมมันเลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย พัฒนาให้เจริญง่าย 

เด็กๆที่นี่ สุโปสะ มันมีสิ่งที่จะ Absorb มีสิ่งที่จะออสโมซิสเข้าไป ไม่มีสิ่งเลอะเทอะเหมือนข้างนอก มันมีแต่ข้างในไหลเวียนอยู่ในตัวของเขาซึมซับไหลเวียน มีแต่ธรรมะมีแต่โลกุตระมีแต่เรื่องที่เป็นศาสนาเป็นธรรมะอย่างนี้เป็นต้น มันเจริญ สุโปสะ และเด็กพวกนี้ บางผู้บางคนก็มัธยัสถ์ประหยัด มักน้อย ที่จะแสดง เด็กเขาก็รู้ตัวว่าสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยแล้วนะ เด็กเขาจะรู้แล้ว มักมากเกินไป แล้วมีศีลมีธรรม มีการขัดเกลา มีศีลมีธรรม มีข้อวัตรปฏิบัติ จนกระทั่งเข้าใจว่ามาเป็นคนจน ไม่สะสม เป็นคนเจริญ เด็กที่นี่เข้าใจแล้ว แต่ข้างนอกจะไม่รู้ว่ามาเป็นคนจนคือคนเจริญ แต่เด็กที่นี่เข้าใจนะรู้ว่ามาเป็นคนจนคือคนเจริญนะ มาเป็นคนขยันนี่เจริญจริงๆแต่เขาไม่กล้า เด็กพวกเราจะเห็นได้ว่าเด็กขี้เกียจหาไม่ค่อยได้อย่างน้อยก็ต้องไปกับหมู่ เด็กจะขี้เกียจเอาแต่หลบเลี่ยงเหมือนกับทางโน้น ไปเล่นอะไรต่ออะไร ไม่มี ที่นี่แม้แต่จะเล่นเกมก็ไม่เหมือนกับเด็กข้างนอก 

พวกเราก็ไม่ได้ไปบังคับ เขาก็ชอบเหมือนกันพวกเกมกดๆ แต่พวกเราก็ค่อนข้างเข้มงวดบ้าง แต่มันก็ใช้ได้ มันก็ไม่ถึงกับเครียดอะไรเด็กๆก็ไม่ถึงกับเครียด เราก็ดูตามกาละเทศะที่จะต้องเข้มงวดขนาดไหน เราก็ดูอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นสรุปด้วยความรวมองค์รวม องค์รวมของความเป็นอยู่ของชีวิต การดำเนินชีวิต อาตมาว่าเราก็ปรับ ในสังคมเราควรจะปรับขนาดไหน อย่างทุกวันนี้อนุโลมไปเยอะ แต่ก่อนนี้เคร่ง แต่ก่อนนี้คนไม่กล้าเข้าใกล้หรอก เดี๋ยวนี้ก็กล้าเข้าใกล้แล้ว ก็เข้ามาก็เข้าใจอะไรต่ออะไร ก็เลยได้ประโยชน์มากขึ้น อาตมาขยายความเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพอสมควรแล้วจะยาวไปแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #33  ถ้าไม่เรียนรู้สุขทุกข์ ก็สั่งสมบาปอยู่ทุกลมหายใจ วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8(2) ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2566 ( 18:24:58 )

ทำบุญของโลกโลกีย์มีแต่ได้กุศลกับอกุศลในการทำทานหรือปฏิบัติศีล

รายละเอียด

คำว่าทำบุญของเขาคือมี 2 อย่าง ทำทานหรือปฏิบัติศีล เสร็จแล้ว ได้แต่กุศลหรือได้อกุศล หรือได้ทั้งกุศลและอกุศล ไม่ได้บุญเลย ทำใจในใจไม่ถูก 

ทำทาน ทำแล้วได้กุศล ทำแล้ว จิตของคุณเป็นเองว่า ดีใจ ที่เราได้ให้ เป็นกุศล ดีใจที่เราได้ให้ เป็นกุศล ทีนี้ การให้ของคุณไม่เป็นกุศล ไม่เป็นความดีงามตรงที่คุณให้แล้ว ให้อย่างมีทุจริตผสม ให้อย่างมีกิเลสมาประกอบมากขึ้นมากขึ้น ให้อันนี้ไปแล้ว ลงทุนไปร้อย เราจะได้เป็นแสนเป็นล้าน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:56:04 )

ทำบุญต้องเป็นลำดับ

รายละเอียด

ไม่ใช่ว่า จะทำ“บุญ”เลอะเทอะ ทำเละเทะทั่วไป ไม่มีข้อกำหนด ไม่มีหลักเกณฑ์ มันก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

แม้คนผู้นี้จะเข้าใจว่า“บุญ”คือ“การชำระกิเลส” แต่กิเลสอะไรก็ไม่รู้ว่า อะไรเป็นกิเลส? ขั้นตอนไหน? เราได้จัดกรอบที่จะปฏิบัติสำหรับตนเป็นลำดับๆหรือไม่?

มันไม่เป็นลำดับ เละเทะไม่เป็นส่ำ

“ศีล”แต่ละข้อที่มีสัมมาทิฏฐิจริงจึงจะทำ“อภิสังขาร”สัมมาปฏิบัติแท้เกิด“ผล” แห่งการกระทำหรือการปฏิบัติ ที่เรียกว่า

“ปุญญาภิสังขาร”ได้สำเร็จ“กิจ”อันสำคัญวิเศษนี้ ความเป็นลำดับจึงสำคัญมาก

ถึงขั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า พุทธเป็นศาสนาพิเศษที่จัดลำดับได้เป็นที่อัศจรรย์ปานนั้นทีเดียว(พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู (สมาธิพุทธ) ตอน บุญคือ อธรรม มิใช่ ธรรมะ


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:57:53 )

ทำบุญทีละประเภทได้ไหม เช่น ทำศีลข้อ 1 ให้บริสุทธิ์จนหมดบุญก่อน

รายละเอียด

ได้ คุณต้องเข้าใจคำว่าบุญให้ดีๆก่อน คำว่า จะทำศีลข้อที่ 1 บริสุทธิ์จนหมดบุญ ต้องมีพื้นฐานจึงใช้คำว่าหมดบุญได้ ถ้าไม่ฉะนั้นจะไม่กล้าพูดคำว่าหมดบุญหรอก เขาจะนึกว่าหมดบุญก็แย่สิจะไม่ได้อะไรต่อ เขานึกว่าบุญคือสมบัติ ไม่ได้นึกว่าบุญคือวิบัติ บุญคืออาวุธฆ่ากิเลส เขาจะไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิอย่างนั้น เขาเข้าใจบุญอย่างมิจฉาทิฏฐิว่าคือสมบัติกุศลเป็นเช่นนั้น คนนี้ก็ถามถูก 

ได้นะ จะทำศีลแต่ละข้อให้หมดบุญแต่ละข้อก็ได้ แล้วทำไมต้องทำทีละข้อ  เอาทีละ 3 ข้อก็ได้พระพุทธเจ้าบอกว่าศีลมี 5 ข้อ ศีลข้อ 4 เป็นพฤติกรรมศีลข้อ 5 เป็นมนุษย์ ก็คือกายวาจาใจใจนั่นแหละ ศึกษาให้ดีๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เป็นคนจนแบบเป็นไท จึงมีประชาธิปไตยดีสุด

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 13:39:53 )

ทำบุญอุทิศให้ใครไม่ได้

รายละเอียด

คุณก็รู้อยู่ในที พูดออกมาตัวเองชักรู้ว่าพูดถูกแล้ว ก็เราเป็นคนทำก็คือกรรม คนอื่นไม่ได้ทำด้วย แล้วมันจะอุทิศไปได้อย่างไร คุณก็ขี้ตู่เอาเท่านั้นเอง

ก็บอกแล้วเขาไม่ได้ร่วมทำกับคุณแล้วจะแบ่งให้เขาได้อย่างไร

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA

วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 21:18:23 )

ทำบุญแต่ได้บาป 5

รายละเอียด

ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก) 
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงเจตนามุ่งหมาย ไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 
4. สัตว์นั้น  เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ เป็นการไม่ควร   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ  วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ    โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง  อปุญฺญํ  ปสวตีติ)    
 

ที่มา ที่ไป

ชีวกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 60, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 13:54:49 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:45 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:24:22 )

ทำบุญได้บาป 5

รายละเอียด

ผู้ใดฆ่าสัตว์อุทิศแก่ภิกษุสงฆ์ ผู้นั้นย่อมได้บาป มิใช่บุญเป็นอันมาก คือ

1. ได้บาป  เพราะผู้นั้นกล่าว "จงไปนำสัตว์นั้นมา"

2. ได้บาป  เมื่อสัตว์นั้นต้องทุกข์โศกเพราะถูกผูกคอลากมา

3. ได้บาป  เพราะผู้นั้นกล่าว "จงฆ่าสัตว์นี้"

4. ได้บาป  เมื่อสัตว์กำลังถูกฆ่าได้รับทุกข์ทรมาน

5. ได้บาป  เพราะทำให้ภิษุสงฆ์ทั้งหลายยินดีฉันเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควร (อกัปปิยะ)  

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 13  "ชีวกสูตร"  ข้อ  60

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2562 ( 13:00:39 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:43 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:29:22 )

ทำประชาธิปไตย ตามฐานะราษฎร

รายละเอียด

อาตมาได้อธิบายมาถึงว่า อาตมาได้ทำงานและยืนยันว่าเป็นนักธรรมะที่ทำประชาธิปไตย และยืนยันตัวเองเป็นนักธรรมะที่ทำประชาธิปไตย ตามฐานะราษฎร ไม่ได้เป็นข้าราชการ ทั้งข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำที่เขาบริหารบ้านเมือง ข้าราชการปกติก็เป็นนักการเมืองตัวจริง เป็นข้าราชการการเมืองประจำ ส่วนนักการเมืองนั้นเป็นข้าราชการจร โดยมีตำแหน่งหน้าที่และมีเงินเดือนด้วย ผู้ได้รับแต่งตั้งได้รับเงินเดือน ผู้ที่เป็นราษฎรเป็นนักประชาธิปไตยราษฎรไม่มีเงินเดือนจากรัฐ ทำด้วยใจรัก อย่างอาตมาทำมาไม่ได้มีเงินดาวเงินเดือนกับเขา ดีไม่ดีถูกด่าด้วย ก็พยายาม โลกเขาเรียกว่าหน้าด้านก็ช่าง แต่อาตมาไม่ได้หน้าด้านหรอก เป็นการรู้อยู่ว่าอาตมาไม่ได้ทำสิ่งชั่วสิ่งเลว ไม่ได้ทำสิ่งผิดด้วย ขอยืนยันว่าไม่ได้ผิดเรื่องของธรรมะพระพุทธเจ้า ออกไปทำตามเหมาะควรของสถานะเราเอง มีสมณสารูปมีพฤติกรรมที่พอเหมาะ แต่คนยังเข้าใจยาก 

ขอยืนยันว่าอาตมาจะไม่ไปเป็นนักการเมืองทางระบบนักการเมืองที่เป็นข้าราชการประจำ  ไม่เข้าไปเป็นทั้งนักการเมืองที่เป็นข้าราชการจร อย่างที่เป็นกันอยู่นั้นที่พูดสั้นๆผ่านไปแล้ว ไม่เป็นอย่างนั้น แต่เป็นนักการเมืองราษฎร ในความเป็นตัวของอาตมาที่มีผู้ที่เห็นด้วยเห็นตามกับอาตมาอยู่กลุ่มหนึ่ง เรียกว่าชาวอโศกนี้เป็นแกนกลาง ส่วนที่ไม่ใช่ชาวอโศกได้ศึกษาตาม ดูซิว่ามนุษย์คนนี้ โพธิรักษ์มันจะเป็นอะไรแน่วะ จะเป็นนักการเมืองหรือจะเป็นนักบวช หรือว่าจะเป็นอะไรเขาก็จะศึกษาไป แล้วจะค่อยๆรู้ว่า อาตมาไม่ได้มีบัญญัติว่าเป็นนักการเมืองนักธรรมะ แต่อาตมาเป็นมนุษยชาติเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้ทั้งการเมืองและมีความรู้ทางธรรมะ และเอาธรรมะและการเมืองมารวมกัน 2 เป็น 1 

2 เป็น 1 แล้วเอาเนื้อแท้คุณภาพ คุณสมบัติคุณลักษณะ ชัดๆของ 2 เป็น 1 ลงไปให้กับมนุษย์และสังคม ตามที่ได้กระทำมาแล้วเปิดตัวตั้งแต่ 2549 อาตมายังจำภาพที่อาตมานำสมณะเรียงแถวตอนเรียง 3 จากถนนราชดำเนินแล้วเดินนำไปสู่สนามหลวง โดยมีสมณะ และมีฆราวาสชาวอโศกเดินขบวนไปจากวันนั้นเปิดตัวมาจนถึงวันนี้ ไม่อธิบายต่อ 

แล้วอาตมาก็ทำงานการเมือง ขออภัยที่ต้องพูดตรงนี้ ว่าอาตมาก็เป็นผู้นำของคณะอโศกทั้งหมด จะมีมวลอโศกกี่คน มีพฤติกรรมอย่างไร มีผู้เห็นได้มารวบรวม ใช้เวลาใช้แรงงาน ใช้ทุนรอน ใช้องค์ประกอบต่างๆ เท่าที่มีได้ ไม่เสียดมเสียดาย อะไรเลย สละให้แก่งานการเมือง ทำงานตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ไม่ได้ประมวลว่ามีราคามีค่าเท่าไหร่ ตั้งแต่ราคาของวัตถุจนถึงราคาของแรงงาน และที่สุดราคาของธรรมะ ไม่มี ไม่ได้ไปตีราคาหาค่าบ่มิได้ แต่เกิดผลสำเร็จ 

อาตมาใช้คำว่าเกิดผลสำเร็จ ไล่ตัวบุคคลและคณะแต่ละครั้งแต่ละคราว 

เริ่มต้นตั้งแต่ ตัวทักษิณ ไม่ได้มีคณะเราไปร่วมทีเดียว มีพลเอกสนธิเป็นผู้ทำปฏิวัติ เอาทักษิณออกไป จากนั้นมาทักษิณก็มีฤทธิ์แรง ไปตั้งนอมินีเอาสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาแทน ตอนนี้แหละเราออกไปเต็มที่ ยังไม่เต็มทั้งหมดหรอกมันก็เท่าที่เรามีเริ่มต้นออกไป โดยอาตมาพาเป็นไป 

จนกระทั่งสมัคร หลุดออกไป ไม่ได้หลุดออกไปเพราะว่าแรงประท้วงทีเดียวแต่มันมีองค์ประกอบช่วย มีตุลาการภิวัฒน์ตัดสินให้สมัคร ตกเก้าอี้ออกจากนายกรัฐมนตรี ก็แค่แกไปทำผิดกฎหมาย กฎหมายก็เป็นตุลาการภิวัฒน์ช่วยเป็นสัจธรรมที่ประกอบกัน ช่วยหยุด ทักษิณก็แสดงฤทธิ์เอาน้องเขยเข้ามาต่อ มาเป็นนายกอีก พวกเราตอนนี้เข้าไปทำงานเต็มที่ ยึดทำเนียบเลยจน สมชาย เข้าทำเนียบไม่ได้ เป็นนายกที่ไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาลเลย เป็นตัวอย่างอันปรากฏในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย เป็นนายกที่ตะลอนตะลอนไม่ได้เข้าทำเนียบเลย จนกระทั่งพวกเราไปปลูกข้าวทำนาในทำเนียบ 

นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์เล็กๆน้อยๆ แต่มันแสดงความจริงอะไรให้ว่านี่คือประชาชน เป็นพลังงานของประชาธิปไตยแท้ๆสดๆใสๆบริสุทธิ์สะอาดจริงใจ ไม่ได้มีอาวุธ ไม่ได้มีความรุนแรงอะไรต่างๆนานา ถ้าจับรายละเอียดตั้งแต่พวกเรามาร่วมกัน เอาสมณะมาล้อมรอบผู้ที่เราจะต้องรักษา นักการเมืองที่ปากโป้งพวกทักษิณเขาจะเอาตายเราก็ล้อมรอบรักษาไว้ มีสมณะล้อมรอบแล้วก็มีประชาชนล้อมไปอีก เป็นภาพประวัติศาสตร์รวมเอาไว้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 13:12:32 )

ทำปัจจุบันให้เป็นศูนย์สั่งสมเป็นอดีตอย่างตั้งมั่น

รายละเอียด

ด้วยการปฏิบัติ เวทนา 36 ในปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต 36 อนาคตจะมาอีก 36 มันมีทั้งหมด 36 นั่นแหละ มันจะมาอีกกี่ 36 มาถึงปัจจุบันก็เด็ดขาด เป็นวสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จัดการให้ จิตเป็น 0 เพราะฉะนั้นปัจจุบันเป็น 0 สามารถทำให้เป็น 0 สั่งสมเป็นอดีต อดีตจะไม่ 0 ก็ช่าง แต่จากปัจจุบันที่เก่งแล้วสำเร็จและเป็นจิตที่มี วสวัตตีแล้ว ทำเวทนาให้เป็น 0 เพราะฉะนั้นมีแต่ศูนย์สะสมตกผลึกลง ไปในอดีตตลอดกาลยิ่งตั้งมั่นๆๆ ด้วย 0 อนาคตจะมากี่อนาคตก็มาเลย สามารถเด็ดขาดมีฝีมือทำให้ 0 ได้ทั้งนั้น นี่คือจบ อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 ของเวทนา 108 

ทำอย่างนี้ อาตมาทำมาอย่างนี้ก็เอามาพูดสู่ฟัง อ่านดีๆ เรียนดีๆแล้วจะชัดเจนรู้ชัดเจนได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 14:23:14 )

ทำปัจจุบันได้อย่างไร ตายไปแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น

รายละเอียด

พวกเรานั้นรู้นรก รู้สวรรค์ ก็ตอนเป็นๆอยู่นี่แหละ ปัจจุบันนี้แหละ ไม่ใช่เป็นภพเป็นชาติที่จะต้องไปสิงสู่ ต้องไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ตามอุปาทานแล้วคุณก็จะไปเป็นจริงอย่างนั้น คุณก็เลิกแล้วภพชาติแบบนั้น ไม่ติดภพติดชาติแบบนั้น สำหรับอาตมาพูดนี้ ใครเป็นได้ที่อาตมาพูดไปแล้วคุณเป็นได้ตรง เราหลุดพ้นจากภพชาติ หรือว่าคุณยังติดอยู่ อย่างที่พ่อท่านพูดเรายังไม่หลุดเลย เรายังติดในนรกในสวรรค์อยู่ 

นรก สวรรค์ ที่มันเป็นภพเป็นชาติที่ตายไปแล้ว คุณชัดเจนแล้วมันไม่ต้องไปพูดอะไรอย่างนั้น มันเป็นจริงได้ แต่มันก็ไม่จริงถ้าเราไม่จำเป็นจะต้องให้มันเป็นไปอย่างนั้น ทำเสียเดี๋ยวนี้ เช่น เราจะต้องไปสวรรค์จตุมหาราช เป็นเทวดาสวรรค์จตุมหาราช คือเทวดาที่เขี้ยวยาว มีเขี้ยวโง้ง ตาโปน ดุเดือด เป็นเจ้ามหาอำนาจ เหมือนอย่างอเมริกา รัสเซีย จะต้องยิ่งใหญ่ พวกเราไม่เป็นแล้ว เขาหลงว่าเป็นสวรรค์ บอกแล้วสวรรค์กับนรกมันอันเดียวกัน มันเป็นแดนหลอก เราไม่เป็นแล้วจตุมหาราชอย่างนั้นก็ไม่เป็น 

หรือแม้แต่ดาวดึงส์ ตาวติงสา อาการที่ 33 ซึ่งเป็นอาการที่หลอก เป็นอาการหลอกลวง คือเสพสุขในแดนสุขของดาวดึงส์ มันเป็นแดนที่ไม่มีอาการจริง คนนั้นมันมีอาการ 32 เท่านั้นเพราะฉะนั้นอาการที่ 33 เป็นของเก๊ คุณก็ไม่ต้องหลงแล้ว แม้จะเหลือก็เหลือนิดๆหน่อยๆ ถ้าคุณเข้าใจด้านตายไปแล้วก็มี หรือยังมีในปัจจุบัน คุณสามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่า ตายไปเราไม่รู้เรื่องหรอก มันจะเป็นหรือไม่เป็นเราเอาปัจจุบันนี้เถอะ เออ.. คนนี้ชัดเจน ถ้าคุณทำปัจจุบันได้อย่างไร ตายไปแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น คุณทำปัจจุบันนี้เท่านั้นแหละ จะไปกังวลทำไม ในข้างหน้า เพราะว่าจิตมันจะเป็นตัวเดินทางเอง เพราะฉะนั้นทำจิตในปัจจุบันนี้  อย่าไปเสียเวลาคำนึง มันจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ต้องส่งอันนั้นให้เจ้านั้นเจ้านี้ แล้วก็จะไปพึ่งจิตวิญญาณตอนตายแล้ว ทำเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ไม่ต้องเสียแคลอรี่ ไม่ต้องเสียแรงงาน เวลา กับสิ่งอย่างโน้นเลยนี่ทำปัจจุบันนี้ 

ปัจจุบันจริงๆคือความจริง ปัจจุบันแท้ๆนี่แหละคือความจริง นอกนั้นแฝง ปลอม อดีตหรืออนาคต เป็นเรื่องมันไม่ใช่กาละที่แท้ ไม่ใช่ ทิฏฐธรรมหรือทิฏฐกาละ ไม่ใช่ปัจจุบันชาติ เช่น พวกที่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่มีปัจจุบัน พวกนี้เพ้ออยู่ในสิ่งที่เป็นอดีตหรือไม่ก็เพ้อฝันไปในอนาคตบ้าๆบอๆ มันไม่มีความจริงเลย มันน่าสงสารจริงๆพวกหลับตาปฏิบัติ มันมีแต่อดีต 18 อนาคต 44 ที่พระพุทธเจ้าท่านสรุปไปแล้ว ไม่นอกไปกว่านี้เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2566 ( 19:55:09 )

ทำปัญญาให้แจ้ง ปัญญาเป็นนามธรรม เป็นความรู้มีฤทธิ์ มีธรรม

รายละเอียด

ทำปัญญาให้แจ้งคือทำความรู้ความฉลาดให้รู้ว่า เฮ้ย เอ็งนี่ เป็นผีหลอกอย่ามาทำเป็นแหลม ข้ารู้เอ็ง ผีมันก็อาย ผีมันก็กลัวไปเลย พูดภาษาไทยได้แค่นี้ แต่ฤทธ์อำนาจที่ผีเห็น ปัญญา หรือตัวธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ วันนี้เลย อธิบายได้แค่นี้แหละ เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นนามธรรม เป็นความรู้ที่มีฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งกิเลสนี้มันกลัวสุดกลัวเลยไม่กล้าเข้าใกล้ อย่าว่าแต่มาถึงสัมผัสเลย อาตมาว่าถ้ายังไม่แข็งแรงนะ ปัญญายังไม่แข็งแรงมันสัมผัสได้ แต่มีปัญญาแล้วนี่เหมือนปลิง 

อาตมาเคยอธิบาย คุณมีฤทธิ์เนื้อตัวของคุณ คุณเอายาหม่องไปทาแข้งขาไว้ ปลิงมาแตะยาหม่อง มันแพ้หลุดไปเลย แต่มันไม่กล้าเข้าใกล้ ปลิงมันจะไม่กล้าเข้าใกล้ กิเลสไม่กล้าเข้าใกล้เลย นี่เป็นการอธิบายพลังงานของปัญญา มีธรรมฤทธิ์จนถึงขนาดนี้ อาตมาเอาสภาวธรรมนะ เพราะฉะนั้น ทำไม พระพุทธเจ้านี่ไม่มีใครไปทำร้ายร่างกายท่านได้เลย มีคนเลวสูงสุดเทวทัตไปทำให้พระบาทห้อเลือด เป็นอนันตริยกรรมสูงสุด ใครไปทำร้ายไม่ได้ 

อย่างอาตมาใครก็มาทำร้ายไม่ได้ แต่คนที่ทำให้อาตมาแสบตาด้วยแก๊สน้ำตา ขออภัย จะเป็นกรรมไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วมาทำให้อาตมานี่ต้องแสบจริงๆแสบตาขนาด ขออภัยต้องพูดความจริง ก็เป็นบาปของเขา อาตมาไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปลงโทษเขานะ มันเป็นกรรมกิริยาของเขาที่ทำ เขาก็ไม่ได้เจตนาจะทำอาตมาหรอก แต่อาตมาอยู่ในนั้น อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นวิบากของอาตมาด้วยที่อาตมาจะต้องไปเจอ ต้องไปเผชิญอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม  วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2566 ( 19:30:41 )

ทำผิดต่อคนอื่นโดยไม่มีความละอาย

รายละเอียด

โลกุตระกันจริงๆแล้วทิฏฐิจะเข้าใจองค์ประกอบของการที่จะไม่กล้าทำเพราะอะไร มีอะไรบ้าง 

เพราะกรรม เพราะการกระทำ เพราะความประพฤติ ประพฤติทางกายประพฤติทางวาจา มันก็มีจิตที่สัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิเป็นตัวสั่งการออกมากระทำออกมาประพฤติทางกายวาจา 

คุณได้ประพฤติทางกาย ทางวาจา ระลึกได้ ทบทวนแล้ว เราเคยทำเช่นนี้ เช่น เคยไปฆ่าสัตว์ก็ละอาย เคยไปทำรุนแรงอย่างนั้นอย่างนี้กับเพื่อนมนุษย์ เคยไปว่า เคยไปกล่าว ถ้าไปทำถึงขั้นกายกรรม เคยไปตบไปตีไปทำร้าย จนถึงเลือดออกจนถึงตาย ถ้าไปทำพระพุทธเจ้าให้แค่ห้อเลือดพระบาท เป็นอนันตริยกรรมหนักหนา แล้วรู้สึกว่าตัวเองได้เคยทำบาปก็ละอาย 

หรือแค่วาจาละลาบละล้วงตำหนิพระอาริยะ หรือซัดเลยโดยไม่รู้ตัวเองไม่รู้ว่าเป็นพระอริยะ ตัวเองไม่รู้ว่า ยิ่งผู้ที่เคยจาบจ้วงอาตมา อาตมาไม่ใช่อาริยะธรรมดา โพธิสัตว์ระดับ ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ยกตัวยกตน แต่พูดสัจจะอธิบายธรรมะเขาก็ไม่รู้ตัวจริงๆ 

เมื่อเขารู้แล้วจะรู้สึกว่า ตายๆๆ นี่มันเป็นกรรมกิริยาที่สำเร็จไปแล้วทำไปแล้วนะเขาจะละอาย ผู้ที่ละอายผู้นั้นแหละจะได้คล้ายๆปลงอาบัติ ความผิดก็จะลดลงเกิดภูมิปัญญาเกิดสำนึก ตัวสำนึกตัวนี้สูงส่งมาก โอ้ ตายๆๆ ละอาย ถึงขั้นแรงก็กลัวเลยโอตตัปปะ ต้องหาทางแก้กลับต้องหาทางไปปลงอาบัติ ต้องหาทางไปสารภาพต้องหาทางไปขออโหสิอะไรพวกนี้ใช่ไหม ถ้าเขาเข้าใจ ภาษาไทยก็คงจะเข้าใจ มันเป็นสัจจะที่จริง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สำนึกผู้ที่มีหิริโอตตัปปะนี่แหละ อยู่ในจรณะ 15 เลย สัทธรรม 7 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 13:43:55 )

ทำผิดลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายไม่ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในสัญญาก็ตาม หากดับกิเลสในปัจจุบันนี้ได้ กิเลสดับในปัจจุบันได้ภายนอก ในสัญญาก็จะดับได้ด้วย แต่ไปทำในสัญญาแล้วไปสัมผัสภายนอกไม่เก่งไม่เป็น ไปทำผิดลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไปทำภายในแล้วออกมาทำภายนอกจะยาก คุณทำมีดโกน แล้วมาสู้กับมีดโต้ สู้กับทวนกวนอู 80 ชั่ง ทวนกวนอูๆก็ซัดของคุณแหลก มีดโกนนึกว่าคมดี หากเจอทวนหนัก 80 ชั่ง ของกวนอูเข้าไปก็ไม่เหลือ ไม่ทันการณ์อะไร มีดโกน ด้ามมันสั้นนิดเดียว มีดโกนด้ามยาวด้ามหนัก 80 ชั่งมันมีไหม มันไม่มีหรอก ของภายนอกหรือภพภายนอกนั้น มันต้องทำก่อน หากไปหลงผิดทิศทางทำไม่ตามลำดับมันก็วกไปวนมา ต้องทำไปตามลำดับตั้งแต่กามภพ ที่อบายภพก่อน จนหมดเกลี้ยงไม่เกิดอีกอยู่เหนือมันแล้วก็ทำ กามคุณ ต่ออีก อยู่เหนือได้ก็ เป็นอนาคามี โลกอบาย โลกกามก็ยังอยู่ แต่จิตเราอยู่เหนือมัน มันทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนผู้ใหญ่จับหัวเด็กไว้เราแข็งแรงจับหัวเด็กไว้ เด็กมันก็จะมาชกเราทำร้ายเราอย่างไร มันก็ทำอะไรเราไม่ได้เราอยู่เหนือ มันก็ไม่ได้หนีด้วยนะ ไม่ใช่ไม่เห็นกิเลสนะ กิเลสในโลกมีอยู่ตลอดเวลาไปห้ามมันได้ที่ไหน มันเป็นคนอื่นไม่ใช่ตัวเรา แล้วตัวเรา มันกระทบเราอยู่มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ไม่มีสะดุ้งสะเทือน ไม่มีหวั่นไหว ไม่มีเคลื่อนเลย แข็งแรง

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:07:27 )

ทำผิดโดยไม่รู้ต้องใช้วิบากกรรมไหม

รายละเอียด

ต้องใช้ แต่มันแล้วไปแล้วก็หยุดอย่าไปคิดถึงมัน เพียงว่าเราเอาไว้เป็นตัวอย่างถ้าเป็นอย่างนี้เราจะไม่ทำเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีก เจอองค์ประกอบของชีวิตอย่างนั้นอีกจะไม่ทำผิดอีก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 12:16:09 )

ทำพลังงานจิตของตนให้เป็นพืชถึงขั้นเป็นอุตุได้เลยก็สำเร็จได้จริง

รายละเอียด

ผู้ทำสำเร็จได้ขั้นนี้ได้ ก็พ้นทุกข์พ้นสุขแล้วจริง เป็นวิทยาศาสตร์ที่ปฏิบัติพิสูจน์ได้จริง 

ผู้มี “ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ชีวะ”ที่เป็น “พืช”เป็น “จิต” รู้จริงๆเลยพลังงานที่มันผสมกันเป็นพืช อ้อ..ขนาดนี้ ผสมกันเป็นพลังงานทางจิต ขนาดนี้ แล้วจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความมี “ชีวะ” หรือขั้น “อุตุ” ไม่มี “ชีวะ” จะแยกได้เลยว่าพลังงานปรุงแต่งกันอยู่นะ 

เรารู้พลังงานอุตุใช่ไหม พลังงานธรรมชาติที่เป็นสสาร พลังงานที่ไม่เป็นชีวะ พลังงานเป็นพืชเราก็พอเข้าใจแล้ว  อาตมาแยกให้ฟัง พลังงานพืชมันก็ดูดเอามาเฉพาะตัวมันเองไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับใคร 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญา รู้จักรู้แจ้งรู้จริงชีวะที่เป็นพืชเป็นจิตได้จริง รู้จักความจริง ในความไม่มีชีวะคืออุตุได้ดี และสามารถทำ “จิตในจิต”(มนสิการ) ของตนให้เป็น “พืช”และเป็น “อุตุ” สำเร็จได้จริง เข้าใจพืชก็ได้ เข้าใจอุตุก็ได้ ก็ทำพลังงานจิตของตนให้เป็นพืช ถึงขั้นเป็นอุตุได้เลยก็สำเร็จได้จริง สำเร็จจนเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตกันจริงๆ 

ที่พูดมาถึงขนาดนี้ พวกเราแต่ละคน นึกออกไหมว่า ตัวเราเองนั้นได้เคยทำ นึกออกมั้ย อาตมาพาศึกษานี้ก็จะได้ทำ แต่จะฟังภาษาที่ขยายความแล้วจะชัดไหมเท่านั้นเอง วันนี้ชัดขึ้นไหม และได้ทำ อันนี้มันเป็นพืชแล้วอันนี้มันเป็นอุตุแล้ว แต่ก่อนเราเคยไปเอร็ดอร่อย เคยเทียวไล้เทียวขื่อกับอันนี้อยู่ เดี๋ยวนี้มันไม่ต้องเลย ไม่ต้องไปนึกถึง ไม่อร่อยเลย มันไม่สุขไม่ทุกข์อะไรมันก็มีอยู่ในโลก มันไม่ได้หายไม่ได้สูญไปไหน เขาก็ปรุงแต่งกันยั่วยุกันอยู่ แรงจัดจ้านขึ้นด้วย แต่เราก็เฉยๆ นั่นแหละเรานึกถึงที่อาตมาพาปฏิบัตินี้ บรรลุธรรมคืออะไร จะเห็นจริงเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 21:12:18 )

ทำพลังงานทางจิตวิญญาณให้หมดชีวะได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ

รายละเอียด

ศึกษาให้ดีๆ อาตมาเป็นผู้มีภูมิเก่า อาตมาเลิกพลังงานทางวัตถุไม่ได้เอามาใช้ เอามาทำ เอามาอธิบายเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ซึ่งมันละเอียดมากมาย แล้วเป็นบทบาทของมนุษยชาติของสัตว์โลก ยิ่งกว่า เพราะว่าเกิดความยึดถือ เกิดความรู้สึก เกิดสุขทุกข์ เกิดความยึดถือและวนเวียน อาตมาก็ทำให้ชัดเจนหมดจนเลิกวนเวียนจนหมดสุขหมดทุกข์ จนสลาย สลายโดยไม่กลับคืนมาอีก ทำให้จิตนิยามหรือวิญญาณหมดชีวะ เป็นดินน้ำไฟลม ไปได้เลย ฟังที่อาตมาอธิบายจะเชื่อหรือไม่เชื่อ คุณก็ติดตามมาพิสูจน์เอาได้ ซึ่งจะเชื่อตั้งแต่เป็นๆนี้ได้ เมื่อได้ศึกษาตั้งแต่โลกที่วนเวียน ตั้งแต่โลกอบายมุขต่ำหยาบ ตั้งแต่ตอนเป็นๆนี่แหละคุณก็จะพิสูจน์ได้เลยว่า โอ้โห! โลกนั้นมันวนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วเราก็อยู่กับมันเฉยเลยมันไม่มีฤทธิ์เดชอะไรกับเราจริงๆ มันมีร้ายแรงยิ่งกว่าเราเคยเจอกันด้วย ในชีวิตเรา อบายมุขอย่างนั้น เราไม่เคยไปหยาบหนักจัดถึงขนาดนั้น แต่มันจัดอย่างนั้นมากระแทกกระทุ้งอยู่กับเราทุกวันมันแสดงมาเต็มที่เลย ถ้าไม่มีกฎหมาย ไม่มีเซ็นเซอร์ เจ้าประคุณเอ๋ย! ขนาดนั้นมันก็ยังแลบๆ รอดออกมาเยอะไป บางคนก็แอบสัมผัสอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องแอบสัมผัสหรอก ในขณะที่มันเป็นๆ ในขณะที่คุณสัมผัสกันอยู่ โดยสามัญปกติก็เหลือกินแล้ว แรงพอแล้ว จัดจ้านพอแล้ว ตัดสินได้แล้วว่าเราพ้น อย่างนี้เป็นต้น มาศึกษาให้ดีๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู

วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 17:52:26 )

ทำพลี 5อย่าง

รายละเอียด

1. ญาติพลี ( บำรุงญาติ)

2. อติถิพลี (ต้อนรับแขก)

3. ปุพเปตพลี (บำรุงญาติผู้ตายไปแล้ว คือทำบุญอุทิศกุศลให้) 

4. ราชพลี (บำรุงราชการ คือบริจาคทรัพย์ช่วยชาติ)

5. เทวตาพลี (บำรุงเทวดา คือทำบุญอุทิศให้เทวดา) 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎกเล่ม 22 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 14ข้อ 1อาทิยสูตร


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:56:08 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:16:31 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:32:36 )

ทำมาหากินอย่างสาธาณโภคี

รายละเอียด

คือผู้เป็นที่มีสัมมาอาชีพสูงสุด สัมมาอาชีพพ้นมิจฉา 5 มิจฉาชีพ 5 ข้อ ที่เป็นมิจฉาฯ ผู้ที่ยังมีอาชีพถ้าอย่างนี้ไม่พ้นมิจฉาชีพ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษก วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:00:35 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:19:54 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:33:34 )

ทำยังไงจะให้นักการเมืองลดความเป็นโลกีย์

รายละเอียด

อาตมาก็ว่า ตัวอย่างอย่างทักษิณเขาทำ เขาใช้เงิน เป็นนักการเมืองที่ใช้เงินเป็นหลักเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นตระกูลเดียวกันตระกูลที่ยังเห็นเงินเป็นเรื่องของสัจธรรม โดยเฉพาะที่จะทำงานกับสังคม เพราะฉะนั้นคนทำงานกับสังคมไม่ต้องไปคำนึงเรื่องเงิน ทำงานกับสังคมคำนึงเรื่องงานแล้วก็จะหยุดโง่ ถ้าไปทำงานกับสังคมคำนึงแต่เรื่องเงินก็ยังโง่ เช่น เศรษฐกิจก็ไปวุ่นแต่ตัว GDP ตัวรายได้เป็นหลัก นี้มันยังโง่ เศรษฐกิจของมนุษยชาตินั้นเอาที่งานไม่ใช่ไปเอาที่เงิน ผลของงาน1,  คนทำงาน1, ปัญญาความเฉลียวฉลาดของคนอีก1 เอาอันนี้ คนไหนมีคณะไหนมีแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่ต้องไปคำนึงถึงเงิน 

ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ชาวอโศก ไม่ได้เอาเงินเป็นหลักเลย เอาเรื่องงาน เอาเรื่องคน แล้วเอาเรื่องความรู้ความสามารถของคน นี่คือสาระแก่นแท้ของการกอบกู้เศรษฐกิจก็ตาม กอบกู้การเมืองก็ตาม งมงายอยู่กับการเมืองก็เรื่องคะแนนเสียง เศรษฐกิจก็เรื่อง GDP รายได้ เวรจริงๆเลย คุณแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คุณแก้ปัญหาการเมืองไม่จบกิจอะไรหรอก ไม่เป็น กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ แน่นอน มันผิดเป้ามันไปแก้ที่ผล ไม่ได้แก้ที่เหตุ เหตุมันอยู่ที่คน ไม่ได้ไปอยู่ที่เงิน ไม่ได้ไปอยู่ที่คะแนนเสียง ไม่ใช่ มันมาอยู่ที่คน 

ฟังนะนักการเมืองก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ก็ตาม ฟังอาตมาพูด แล้วจงอย่าไปหลงเทวนิยม นั่นยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า เทวนิยมหรือทางยุโรปหรือทางศาสนาพระเจ้า ความรู้เศรษฐศาสตร์จากเทวนิยมรัฐศาสตร์จากเทวนิยมนั้น มาเรียนเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเถิด เอาละเถรสมาคมก็ยังเข้าใจยาก เถรสมาคมไม่ได้เข้าใจรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์อย่างที่อาตมาพูดหรอก มันก็น่าสงสารเหมือนกัน อาตมาเกิดมาในยุคนี้ถึงมาเปิดเผยเอาความจริงสาระสัจจะพระพุทธเจ้ามายืนยัน คนก็ยังไม่เชื่อง่ายๆหรอก เพราะอาตมาถูกข่มถูกดิสเครดิต ถูกทางโน้นประกาศแล้วก็ไปเชื่อเถรสมาคมนั่นแหละ คุณก็เชื่อกันอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่พยายามที่จะมาฟัง ไม่มี ปรโตโฆษะ ไม่ฟัง ผู้ที่นำสิ่งที่แปลกดี 

จนกระทั่งอาตมาทำงานมา 50 กว่าปี มีมนุษยชาติ มีพฤติกรรมสังคม มีวัฒนธรรมสังคม มีรูปธรรมสังคมสมบูรณ์แบบหมดแล้ว ให้เห็นได้ กระจายอยู่ทั่วประเทศในชุมชนชาวอโศก เป็นสาราณียธรรม 6 ถึงขั้นสาธารณโภคี ซึ่งเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจแบบสาธารณโภคีประชาธิปไตยก็อยากได้ คอมมิวนิสต์ก็อยากได้ คือสาธารณโภคีนี้ประชากรสมาชิกของสังคมเสียภาษี 100% ประชาธิปไตยที่สมาชิกของประเทศเสียภาษี 100% คุณไม่เอาหรือ คอมมิวนิสต์ มีสมาชิกประชากรเสียภาษี 100% จะเอาไหม มันจบแล้ว

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 12:22:05 )

ทำยังไงถึงจะได้สันติภาพ 

รายละเอียด

อาตมาก็สรุปว่า ประเทศที่ไม่ต้องมีอาวุธ ประเทศที่ไม่ต้องทำสงครามกับชาติไหนๆเลย เป็นชาติที่เจริญที่สุด เป็นชาติที่สงบที่สุด เป็นชาติที่มีสันติ หรือเป็นชาติที่สันติภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ต้องรบกับใคร ใครจะรบกับเราก็หน้าไม่อายก็มารบเถอะ เราไม่รบด้วยหรอก เขาจะมาตบเราก็ตบไปเถอะเราไม่ตบด้วย เขาจะฆ่าเราก็ฆ่าไปเถอะเราไม่ฆ่าคุณด้วย คนสงบเพราะมีปัญญารู้ว่า มีกรรมมีวิบาก มีจิตรุกรานหรือจิตช่วยเหลือเสียสละ จิตรุกรานกับเสียสละช่วยเหลือ มันเป็นจิตจริงที่คนมี 

เพราะฉะนั้นเมื่อมีพลเมืองของชาติใดสังคมใดที่เป็นจิตแบบนี้ มันก็แสดงออกถึงความจริงที่เป็นแบบนี้ จะอยู่ในโลกนี้แหละ อยู่ในสังคมโลก ก็บรรเทาโลกให้สู่สันติภาพ ที่เรามีเพลงสันติภาพ ใครอยากได้สันติภาพ แล้วสันติภาพเป็นยังไงเขายังไม่รู้เรื่องเลย แล้วทำยังไงถึงจะได้สันติภาพ 

พวกเรานี้ได้สันติภาพไหม (โยมทั้งหลายตอบ ได้) รู้จักวิธีทำให้ได้สันติภาพอย่างนี้แล้ว และบรรลุผลสำเร็จของความเป็นสันติภาพ จะมีสังคมไหนที่มีสันติภาพได้ดีกว่ายิ่งชาวอโศกนี้ พูดแล้วก็เหมือนยกตัวยกตนเหมือนหลงตัวหลงตน 

ที่อโศกเราได้สันติภาพแบบนี้ เพราะเรามี สาราณียธรรม 6 เรามีใจกลาง คือ ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วมาเอาเข้าส่วนกลาง สาธารณโภคี แล้วก็กินใช้กันอย่างเป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนพออยู่พอกิน สบาย มีกินมีใช้เท่านี้ก็สบาย เลี้ยงง่าย พัฒนาให้เจริญ 

พวกคุณเป็นอาริยะ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้เข้าใจสัจธรรมในโลก ไม่ต้องไปเรียนวิชา(มากมายในโลก) เดี๋ยวนี้มันตั้งเท่าไหร่ สมัยพระพุทธเจ้ามีตั้ง 18 วิชา สมัยนี้มีร้อยแปดร้อยพันวิชา ไม่ต้องไปอย่างนั้นเลย เอาวิชาพระพุทธเจ้าวิชาเดียวนี้ แล้วจะเข้าใจเลยว่าวิชาเหล่านั้นเป็นวิชาที่เพื่อแย่งกันเท่านั้น เป็นวิชาอวดดีหลงตัวเท่านั้น วิชาของพระพุทธเจ้านี่มันครบหมดทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องรัฐกิจ รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ 

ซึ่งเขาก็พอรู้นะเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์  สังคมศาสตร์ 3 ศาสตร์นี้เป็นวิชาการรวม ที่มนุษยชาติจัดสรรให้ลงตัวได้แล้ว ก็อยู่กันอย่างถือว่าเป็นมนุษย์สันติภาพ เป็นมนุษย์อิสระ เป็นมนุษย์สันติภาพนะ เป็นอิสรภาพ สันติภาพ บูรณภาพ สมรรถภาพ สมบูรณ์แบบแล้ว 

ครบ 5 ภาพ อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ ครบหมดแล้ว เป็นบรมภาวะสุดประเสริฐทั้ง 5 ภาพ 5 ภาวะนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตที่จบกิจในระบบสาธารณโภคี นี่เป็นตัวตัดสินอรหันต์ วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2567 ( 19:26:07 )

ทำร้ายหรือเอาเปรียบคนที่ไม่มีตัวตนยิ่งบาปมากที่สุด

รายละเอียด

ที่นี้ผู้ที่จะรอดจากพวกโหดเหี้ยมพวกนี้ก็ตรงที่ว่า เราไม่ไปเอาชนะเขาเลยให้เขาชนะเราเลย คุณจะทำร้ายเราเมื่อไหร่ก็ทำได้ อันนี้แหละยิ่งใหญ่ ยอมท่าเดียว แพ้ท่าเดียว ไม่มีตัวตนเลย คุณทำดับ ทำ 0 ได้ แต่มันซ้อน คนฆ่าพระอรหันต์เป็นอนันตริยกรรม ไปทำร้ายคนที่ไม่มีตัวตนยิ่งบาปมากที่สุด เหมือนกับที่อาตมาเคยเตือนพวกเรา อย่ามาโกงอยู่ในชาวอโศก บาปมันแพง อย่ามาเอาเปรียบอยู่ในชาวอโศก บาปมันราคาแพง ถ้าจะไปเอาเปรียบก็ไปเอาเปรียบข้างนอกเขา บาปไม่แพงเท่ามาเอาเปรียบในชาวอโศก มันเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้พวกมีกิเลสมากเขาก็ยังละเมิดแต่ก็ยังไม่รุนแรงมากหรอก ในชาวอโศกก็เป็นขนาดนี้ บางคนก็แรง เราก็เห็นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ขว้างงูไม่พ้นคอก็ปล่อยไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 20:56:27 )

ทำลายทั้งความพอใจหรือไม่พอใจ

รายละเอียด

รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส..กระทบตา หู จหมูก ลิ้น กาย..แล้วใจเป็นตัวประมวลผล..ความพอใจหรือไม่พอใจ..ผู้มีปัญญาย่อมรู้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดในจิตนั้น..แล้วทำลายความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจนั้นเสีย..

นี่เป็นความเข้าใจของคุณ โกศล สุขเล็ก.. ถูกต้อง ทำลายทั้งความพอใจหรือไม่พอใจ สรุปได้ดี ชัดเจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 04:37:17 )

ทำลายศาสนา

รายละเอียด

การสวดมนต์ผิดๆเป็นการทำลายศาสนาให้บรรลัยจักรอย่างมหาศาล ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีการสวดเป็นหมู่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปต่อหน้าฆราวาส จะสวดกันเป็นหมู่เฉพาะสังคีติในเฉพาะหมู่สงฆ์เท่านั้น หรือสังคายนาสวดเดี่ยวและไม่สวดด้วยทำนองหรือลากด้วยเสียงอันยาวอย่างสมัยนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้พาทำเลย แต่ยุคนี้ได้ผิดเพี้ยนไปไกล ที่พูดตรงนี้เขาอาจจะงง เพราะครูบาอาจารย์ก็ไม่เคยสอนบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เนื่องจากครูบาอาจารย์เขาไม่ประสีประสาในเรื่องนี้เลย การเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสวดลากด้วยเสียงอันยาวและใส่ทำนอง มันเหมือนลัทธิศาสนาอื่นที่เขามี ศาสนาเทวนิยมต้องอาศัยอันนี้ เขาไม่รู้โทษภัย แต่ศาสนาพุทธรู้โทษภัยอันนี้ และรู้อย่างละเอียด โดยสัจจะแล้ว การเอาบทสวดมนต์คำสอนของพระพุทธเจ้ามาสวดก็เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าทำถูกต้องตรงกับพระวินัย เพราะการสวดนั้นมีประโยชน์ในตัวเองคือรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ไว้ด้วยการสวดสังคีติและสวดสังคายนา แต่ทุกวันนี้ความสำคัญของการสวดในประโยชน์ข้อสวดท่องจำไว้เพื่อรักษาคำสอนนี้ ลดลงไปเยอะเพราะมีการบันทึก มีหนังสือ เครื่องมือเทคโนโลยีมากมาย

หนังสืออ้างอิง

การสวดมนต์ของพระพุทธศาสนา หน้า 51-53


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2562 ( 17:53:42 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:26 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:34:46 )

ทำลายศาสนาทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ทานไม่มีผลไม่ได้อานิสงส์ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ยิฏฐังก็ไม่มีผลปฏิบัติ ปฏิบัติไตรสิกขาก็ไม่ได้ผลตาม ศีล สมาธิ ปัญญา มันไม่ได้เข้าเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าเลย คุณจะปฏิบัติศีลก็ต้องเข้าไปอ่านถึงจิต ไม่ใช่ปฏิบัติอย่างที่สอนกันแค่ว่าคือการสำรวมกายวาจาส่วนสมาธินั้นก็ไปนั่งหลับตา นี่แหละไปฉีกธรรมะพระพุทธเจ้า ฉีกสัจธรรมของพระพุทธเจ้าหมด ทำลายศาสนาทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าหมดเลย ซึ่งมันไม่ถูก ศีล สมาธิ ปัญญานั้นแยกกันไม่ได้ เพราะว่าปฏิบัติศีลแล้วก็ต้องมีการอ่านจิตอย่างเช่นศีลข้อที่ 1 คุณจะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับคน ก็มีเมตตาเกื้อกูลไม่ทำร้ายทำลายหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่จริงไหม เกื้อกูลกันจริงไหมหรือว่าคุณเองก็ต้องฆ่าต้องเบียดเบียน ดีไม่ดีไปกินเนื้อมันอีกเขาบอกว่าอร่อยดี ดูโทรทัศน์ เห็นคนที่เขาไม่ประสีประสาเขาก็ไปจับปูจับปลาเอามากิน กินกันสดๆพวกที่อยู่ในทะเลจับปลาอะไรมากิน วันนี้ก็ดูจับปลาหมึกเป็นๆมากิน  หรือว่าจับปลามาแล่เนื้อกินสดๆ ไม่ได้รู้เขารู้เรา เขาก็มีชีวิตไอ้เราก็มีชีวิตก็ไม่รู้ จึงเป็นเรื่องที่ยากซึ่งคนในชาวพุทธก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 10:03:50 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:27:42 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:36:04 )

ทำลายศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ก็ต้องมาเรียนรู้ กาม คือ ภพแรกภพกาม หากคุณฉันทะในกาม ก็คือผู้ที่กินเนื้อบุตร ยกตัวอย่างเหมือนมหาบัว ไม่ได้เรียนรู้เรื่องอาหารเลย หลงกินเนื้อบุตร เคี้ยวหมากกินเนื้อบุตรปากเปียกปากแฉะ นั่นคือกามฉันทะของมหาบัว ติดไม่ขาดปากเลย แล้วก็ไปหลงผิดกันว่าเป็นพระอรหันต์ ขออภัยท่านผู้ที่ไปนับถือมหาบัวเป็นครูอาจารย์ แล้วไปหลงผิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ขอจริงๆ ขออภัย อาตมาไม่ได้ละลาบละล้วงไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไร อาตมาสงสารมหาบัวเพราะหลงตัวเองว่าตายชาตินี้จะไม่เกิดอีกแล้วซึ่งไม่ใช่ มหาบัวจากตายจากชาตินี้แล้วจะไปจมอยู่ในนรกจนมหาบัวไม่รู้ตัว แล้วต้องมาเกิดอีก อีกนานมากเพราะว่าจมดิ่งเข้าไปในความหลงสนิท ตัวเองมาสร้างนรก มาหลอกคนมาทำลายศาสนาพุทธให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจผิดไปไกลแสนไกลจากวิเวก แล้วทำให้คนหลงเชื่อ เชื่อว่ามหาบัวเป็นผู้สอนนั้นถูก แล้วมันซวยไหม ขนาดนี้ซวยขนาดที่แก้ไม่ตกด้วย อาตมาพูดสภาวะที่สุดลึกซึ้งไม่ได้ไปด่าเขาไม่ได้ไปว่าเขา แต่อธิบายสัจธรรมให้เห็น มันผิดปานนี้ อาตมาพูดไม่เต็มด้วยซ้ำไปจริงๆมันต้องยิ่งกว่า 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:33:59 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:23:53 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:38:00 )

ทำลายเรื่องทาส

รายละเอียด

อาตมาเอาสาธารณโภคีมาทำได้ เพราะเขาทำลายเรื่องทาสกันได้แล้วมีสิทธิ์เสรีภาพที่จะเข้าใจและเป็นไปได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:10:43 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:27:09 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:39:01 )

ทำสงฆ์ให้แตกนิกายเป็นอนันตริยกรรม

รายละเอียด

ประเด็นสำคัญของคุณอาภรณ์ก็คือ ประเด็นขอบคุณกับหมู่มิตรดี ที่คอยชี้ผิดก็มี ชี้ถูกก็มี ได้ประโยชน์ทั้งนั้นสำหรับผู้ที่เข้าใจแล้ว แล้วเรื่องหมู่มิตรที่ดี  มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ คำนี้ยิ่งใหญ่มากที่พระพุทธเจ้าสอนเราไว้  

ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น พตปฎ. เล่ม 19  ข้อ 5,  

สุริยเปยยยาล 7  พตปฎ. เล่ม 19 ข้อ 129-132

สุริยเปยยยาล 7 แสงอรุณ 7 

เมื่อดวงอาทิตย์จะขึ้น (มรรคองค์ 8) สิ่งที่เกิดขึ้นก่อน เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) มีมาก่อน 

คือ แสงอรุณ (แสงเงินแสงทองฉาบทาริมขอบฟ้า) 

1. ความเป็นผู้มีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา) 

2. ความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา) 

3. ความถึงพร้อมด้วยความยินดี (ฉันทสัมปทา) 

4. ความถึงพร้อมด้วยอัตตา (อัตตสัมปทา) 

5. ความถึงพร้อมด้วยความเห็น (ทิฏฐิสัมปทา) 

6. ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท (อัปปมาทสัมปทา) 

7. ความถึงพร้อมด้วยการทําในใจโดยแยบคาย พิจารณาลงไปถึงที่เกิด (โยนิโสมนสิการสัมปทา)

(พระไตรปิฎกเล่ม 19 “สุริยเปยยาล” ข้อ 129-132)

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหมู่กลุ่ม แต่ถ้าแปลกปลีกแยกออกไปจากหมู่กลุ่ม ผู้ที่ทำให้หมู่กลุ่มแตกหรือหมู่กลุ่มแยก แม้แต่ตัวเราเองแยกไป ถ้าเราแยกไปเป็นอีก”นิกาย” อันนั้น “อนันตริยกรรม”  แต่ถ้าเราแยกเป็น”นานาสังวาส” อันนี้ลึกซึ้งมาก 

แต่การแยกกับการแตกแยก แตกแยกนั้นคือนิกาย ทำให้ไม่ร่วมกัน แต่นานาสังวาสนี่ร่วมกัน เข้าใจกัน เชื่อมโยงกัน มีอะไรที่จะค่อยแก้ไขกัน แต่แหม.. มันลึกซึ้งมาก นัยยะนี้เป็นที่สุดแห่งที่สุดของความเห็นแตกต่างกัน เมื่อความเห็นสองฝ่ายแตกต่างกันเราก็อยู่กันอย่างนานาสังวาส 

ทีนี้การจะแยกเป็นนานาสังวาส บอกแล้วว่า “สังวาส”คือการร่วมกัน สังวาสกันคือ สงฆ์ สงฆ์คือหมู่คณะ 

ศาสนาพุทธไม่มีเดี่ยว ปลีกเดี่ยวไม่มี เหมือนอย่างพวก “เชน” นี้ไปตัวคนเดียวไปอยู่แต่ผู้เดียว ประเดี๋ยวก็จะบรรลุอรหันต์นั้นไม่มี อยู่แต่ผู้เดียว เดี่ยวๆ เดี๋ยวก็ได้บรรลุอรหันต์ ไม่มี ต้องอยู่กับหมู่ มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็ได้คิดได้เห็นเหตุปัจจัย กาย-เวทนา-จิต-ธรรม หรือว่าพร้อมหมดแหละองค์ประกอบที่จะเกิด แม้แต่ที่สุดจะเกิดองค์ธรรมของ”สัทธรรม 7” 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้จบกิจ 4 ประการเป็นผู้อยู่เหนือกาละได้ วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 03:32:40 )

ทำสภาวะ 2 ให้เป็น 1 เป็น 0 ของสภาวะต่างๆ

รายละเอียด

สภาวะ 2 คุณต้องรู้อยู่ตลอดเวลาเลย มันมี 2 แต่มันเป็น 0 หรือเป็น 1 

2 ก็เป็นทุกข์กับสุข หรือ ยังเป็นโลกีย์ ก็มีดีกับชั่ว คุณก็ทำให้เป็น 1 มีแต่ดีอย่าไปทำชั่ว เพราะอันนึงมันต้องมี ส่วนความสุขความทุกข์นั้นไม่ต้องมี เป็น 0 ไปเลย ความสุขความทุกข์ก็เป็น 0 แต่ดีกับชั่วก็มี 1 ชีวิตอาศัยแค่นี้ก็ดีแล้ว ทำได้อย่างนี้แล้วจริงๆเลย จบ ชีวิตมี 0 กับ 1 นี้ จบแล้ว ทำ 2 ให้เป็น 1 ทำ 2 ให้เป็น 0 ได้ เป็นโลกีย์แล้วก็ต้องเป็น 1  แต่โลกุตระก็เป็น 0 หมดสุขหมดทุกข์  ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ส่วนโลกีย์ ยังมีอยู่ ก็มีดี ชั่วไม่มี สังคมนี้ถือว่าคนไปรวยนี้ชั่ว ถือว่าคนมาจนนี้ดี อย่างนี้เป็นต้น 

สังคมนี้ถือว่าคนได้เปรียบชั่ว คนเสียสละดี อย่างนี้เป็นต้น ไม่ฟั่นเฝือ ไม่งง ไม่สงสัย ไม่สับสน ไม่ใช่พูดอย่างหนึ่งทำอีกอย่างหนึ่งด้วย แต่พูดอย่างนี้ ก็ทำอย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี ทำตรงตามที่พูด พูดตรงตามที่ทำ อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้เป็นสัจจะ เพราะฉะนั้น สัจจะเหล่านี้แหละ เราเรียนรู้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้หมด อาตมาก็เก็บมา อธิบายยืนยันอ้างอิง ทำตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาเอามายืนยันตรงไม่เชื่อก็ตรวจดูในพระไตรปิฎก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 14:29:33 )

ทำสมาธิ(ฌาน)แบบทั่ว ๆ ไป (meditation)

รายละเอียด

การนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปหยุดคิด  หยุดไม่ให้มีนิวรณ์ หรือหยุดนิ่งอยู่ในภวังค์

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 39 , 76


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:43:16 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:18:29 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:40:56 )

ทำสมาธิอย่างไรจึงมีผล

รายละเอียด

ต้องปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิ เพราะเราเชื่อว่าเรามีสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้าจึงเกิดผล เมื่อเขาสัมผัสแรกจึงรู้สึกว่าสงบทั้งๆที่เราไม่ได้มานั่งสงบMeditation

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสนทนากับท่าน Lopen Gembo Dorji แห่งภูฏาน

เรื่อง การพัฒนาโรงเรียนและการวางรากฐานพุทธศาสนาในระดับมัธยมศึกษา วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561 ที่ลานหินนั่งหน้าน้ำตกบวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 20:55:41 )

ทำสักการะก่อนในเขตบุญภายนอกศาสนาพุทธ

รายละเอียด

คนที่มีความเสื่อมจนตกต่ำถึงขั้นสิ้นความเคารพในศาสนาพุทธแล้ว จึงไม่เคารพสักการะพุทธก่อน เช่นถ้าเจอสิ่งที่เป็นพุทธพร้อมกับเจอสิ่งที่คนผู้นี้ได้หันไปศรัทธาเลื่อมใสใหม่นั้นเข้า เขาก็จะสักการะสิ่งที่เขาได้ศรัทธาเลื่อมใสใหม่นั้นก่อนที่จะเคารพสิ่งที่เป็นพุทธ หรืออาจจะไม่เคารพสักการะสิ่งที่เป็นพุทธนั้นเลยก็ได้

หนังสืออ้างอิง

จากคนจะมีธรรมะได้อย่างไร / เราคิดอะไร ฉบับ 286 หน้า 49


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:44:06 )

เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 15:19:08 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:45:41 )

ทำสังกัปปะ 7 อย่างไรให้ถึงสมาหิโต

รายละเอียด

สังกัปปะ 7 มีอะไร.. ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา คำว่า ตักกะ คือ เมื่อสัมผัสแล้ว มันก็จะเกิดภาวะที่จิตขึ้นมาทันที พอจิตเกิดขึ้นมาก็เป็นเหตุปัจจัยเป็นเหตุเป็นผล เหตุและปัจจัยสองสภาพเป็นสภาพโดยรวมขึ้นมาปรุงแต่งขึ้นมา เราเรียกว่าจิตนี้มันเริ่มเกิด เริ่มดำริ ขึ้นมาเป็นสังขารและทำปรุงแต่งขึ้นมา คุณก็จับตัวอาการของจิตนั้นที่เกิดและดำริมา เริ่มคิดเริ่มโผล่เป็นตัวตนขึ้นมา แล้วก็มาจับมันแยกให้ได้ จิตที่มาเป็นก้อนนี้ มันมีกามวิตก หรือมีพยาบาทวิตก มีตัวเหตุปัจจัย ของกามหรือของพยาบาท ปรุงแต่งมันมาไหม? มันมีไหมกามวิตกหรือพยาบาทวิตก ที่เป็นความคิดหรือเป็นอาการของจิตที่ร่วมเป็น เรียกว่า สสังขาริกัง ปรุงแต่งร่วมด้วย มันมีไหม แยกมันให้ออกจากจิต จากเจตสิก มันต้องแยกให้ออก  เช่น แยกเวทนา เมื่อสัมผัสก็รับรู้ขึ้นมา เสร็จแล้วก็อ่านความรับรู้ที่มันมีการปรุงแต่งกันอยู่ มันเป็นเทวะเป็น 2 คุณก็ต้องแยกให้ออก ถ้าคุณยังมีกิเลสอยู่  ตัวนี้คุณก็ต้องแยกได้ แยกได้เป็น กามวิตกหรือพยาบาทวิตก จัดการไป อ่านตัวนี้แหละ ชี้หน้ามันเลย เอ็ง!ผีนะ อย่ามาหลอกข้า เอ็งเป็นของไม่จริง เอ็งเป็นของไม่เที่ยง เอ็งเป็นเหตุแห่งทุกข์ อย่ามาทำมามีตัวตนกับข้านะ อย่ามามีตัวตนกับข้านะ รู้หรือเปล่าว่าข้าคือใคร ต้องสาธยายและสนทนากับมันดีๆ ถ้าคุณเองมีปัญญา มีปฏิภาณเพียงพอ มีบารมีพอ กิเลสมันจะหายวับไปเลย แต่ถ้ากิเลสมันไม่หายวับ บารมียังไม่พอ พลังงานของปัญญา พลังงานของความรู้ความสามารถยังสู้กิเลสไม่ได้ จะไปเถียงจะไปแย้งอย่างโน้นอย่างนี้มันจะบอกอย่างนั้นอย่างนี้ คุณจะโง่กว่ามันก็แล้วแต่ คุณจะฉลาด ถ้าคุณยังมั่นคงแข็งแรงดีกว่าจับได้ว่ามันเป็นผี สรุปแล้วจนกระทั่งมันเห็นความจางคลายเห็นความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงนี้มี 2 นัยยะ 

1 ความไม่เที่ยงเพราะกิเลสโตขึ้นโตขึ้น 

2 ความไม่เที่ยงเพราะกิเลสมันลดลง ลดลง เรียกว่าเป็น อนิจจานุปัสสี 

เรามีปัญญามีความฉลาด อยู่เหนือมันกิเลสมันแพ้กิเลสมันยอมอ่อนลง เรียกว่าเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี กระทั่งมันดับไป ก็ตามเห็นอนุปัสสี นิโรธานุปัสสี แยกฉายหนังช้าให้ดู ขยาย  32 เฟรมต่อวินาทีเลย 74 เฟรมก็ได้นะ กิเลสมันก็ลด พอมันสู้ปัญญาเราไม่ได้ สู้ความรู้ความจริงของเราไม่ได้กิเลสมันก็จะจางคลายไปเป็นลำดับ คุณเองก็จะรู้ว่าปฏิบัติได้อย่างนี้ ชนะด้วยปัญญาอย่างนี้ ไม่ได้ไปข่มขู่ ไม่ได้ไปทำร้ายมัน กิเลสมันถอยเพราะความจริง เป็นความฉลาดจริงๆยังมีปัญญาอันยิ่ง มันแพ้เรา คุณก็ทำอย่างนี้แหละ ทำอย่างที่มันดับอย่างนี้แหละพิจารณาเห็นความจริงจาก อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี  นิโรธานุปัสสี ทำซ้ำทำทวน ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำซ้ำทำทวน อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง สั่งสมอเนญชาเป็นอนุรักขนาปธาน เพียรซ้ำมันก็จะได้ผล จิตสะอาดบริสุทธิ์ตกผลึกเป็นสมาธิ สมาธิเกิดตรงนี้ สั่งสมจิตที่สะอาดเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอุเบกขา ที่สั่งสมตกผลึก เพราะฉะนั้นสมาธิจึงไม่ใช่ว่าได้กันมาง่ายๆนะจ๊ะ นั่งหลับตาแล้วเป็นสมาธิเลย มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันเป็นแบบโลกียะเดียรถีย์เขาทำกัน อาตมาก็ทำมาเยอะแยะแล้วหลงผิด สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่อง อจินไตย ฌานเป็นเรื่อง อจินไตย ไฟปัญญาเป็นพลังงาน อุณหธาตุ มันเผากิเลส พลังงานไฟฌานปัญญา ฌานอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใดฌานอยู่ที่นั่น ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่มี นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก  ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน ฌานคือพลังงานอุณหธาตุเผากิเลส เผาเสร็จเรียกว่าบุญ ปุญญะ คือพลังงานสุดท้ายของฌาน ฌานเผาเสร็จก็กิเลสหมดดับ ก็เรียกว่าตัวเสร็จ ตัวเผด็จศึก พอเสร็จแล้วก็จบ ปุญญะก็ไม่มี ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน แล้วฌานนี้เป็นของพระพุทธเจ้านะ ฌาน กับปัญญาเป็นของคู่กัน  ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน ปัญญาจึงไม่ใช่ของธรรมดา ปัญญาไม่ใช่ของที่จะมานั่งขบคิดด้วย เฉโก เป็นอัจฉริยะแบบโลกีย์ธรรมดา เยอะแยะผกผันความรู้มากมายมหาศาล ไม่ใช่อย่างนั้น ปัญญาคือความรู้โลกุตระปัญญาคือความรู้ที่ตัดกิเลสรู้จักปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ให้กิเอลสหมดมันหน่ายคลายมาตามลำดับ จนกระทั่งกิเลสมันหมด พอจะอธิบายสังกัปปะยังไม่จบ ตักกะ พอเริ่มมาแล้วเราก็แยกกิเลสได้ กามวิตกหรือพยาบาทวิตก แล้ว พิจารณา ด้วยไตรลักษณ์ จนกิเลสดับ มันดับได้ก็สั่งสมเป็นสัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดที่สำเร็จรูปด้วยการทำให้กิเลสออกได้ เสร็จ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นหมวดหมู่ของการทำงานแบบไดนามิก เมื่อได้แล้วก็เอาไปสั่งสมไว้เป็น หมู่ อัปปนา เป็นความตั้งมั่น เป็นแกนตั้งกับแกนเคลื่อนที่ได้จิตใจที่ชำระกิเลสสะอาดสะสมไว้ใส่เซฟ เป็นอัปปนา พยัปปนาก็ทำได้มากขึ้นอีกสูงขึ้นไป สูงขึ้นเป็นอันที่ 3 เจตโสอภินิโรปนา ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ (อัปปนา)  ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ (พยัปปนา) ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ (เจตโส  อภินิโรปนา) 

 

จะสั่งสมทับทวีเป็นสมาหิโต เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอนุตรจิต อยู่ในหมวดท้ายของเจโตปริยญาณ 16 อนุตรจิตคือตรวจสอบว่าจะเป็นสมาหิโตหรืออสมาหิโต ตั้งมั่นหรือหลุดพ้นจริงไม่มีตกหล่นเด็ดขาด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

แล้วไปสั่งสมพักไว้ที่วจีสังขารเป็นการอภิสังขารสำเร็จเรียบร้อยแล้วพร้อม ถ้ามีคำเรียกอยู่ในนี้ก็เป็นวจีสังขาร ยังไม่ไปเป็นวจีกรรม ปรุงแต่งเป็นตัว อธิวจนสัมผัสโส แต่ถ้ายังไม่มีชื่อก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโส เฉยๆ แต่ถ้ามีชื่อคำเรียกแล้วก็จ่อไว้ที่ว่าจิตสังขารพร้อมที่จะออกไปเป็นวจีกรรมหรือกายกรรมภายนอกแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 10:49:39 )

ทำส่วนอดีตและอนาคต ให้เป็น 0 ได้อย่างไร

รายละเอียด

ถ้าไม่รู้ทั้งหมดอธิบายไม่ได้  อาตมารู้ทั้งหมดมีสภาวะไม่มีอวิชชา 8 นี้แล้วไม่ได้โม้ไม่ได้คุยตัว อาตมาหมดอวิชชา 8 นี้ได้แล้ว 

4 ตัวแรกอวิชชาคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรรค 

อีก 4 ตัวหลังทั้งอดีตทั้งอนาคต ไม่ง่าย พวกเราสะสมพยัญชนะไปก่อนแล้วค่อยทำสภาวะ อันที่ 7 เป็น 0 ส่วนอดีตกับอนาคต ให้ 0 ถ้าอรหันต์ขึ้นไปไม่มีอกุศลแต่มีกุศล ตราบที่มีชีวิต ส่วนอดีตก็เพิ่ม เพราะอดีตต้องมาผ่านปัจจุบัน ปัจจุบันทำให้ 0 หมด อดีตก็เป็น 0 ไม่รู้กี่ล้าน 0 เป็นแกนเป็นฐานตั้งให้ปัจจุบัน จนกระทั่งมีฤทธิ์มีอำนาจ อนาคตเข้ามาไม่ถึง มาถึงปัจจุบันอย่างไรก็ทำให้เป็น 0 ได้หมด ทั้งส่วนอดีตและส่วนอนาคตก็ 0 แต่ส่วนอดีตนั้นไม่เที่ยง ส่วนที่มีอยู่ก็ทำให้ไม่มีไม่มีไม่มี ส่วนที่มีก็ทำให้มีเพิ่มมีเพิ่มมีเพิ่ม อนาคตก็ไม่มี อนาคตก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคุณมีวัตถุได้ล้านนึงแล้วอนาคตจะหามาอีก 2 ล้าน อนาคตไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบอนาคตไม่รู้จักพอ ไปถามธนินทร์ดูก็ได้ ถามทักษิณดูก็ได้ ขออภัยที่ยกมา เป็นตัวอย่างคนจริงๆ หรืออย่างนาย โดนัลด์ ทรัมป์ คิมจองอึน หรือเศรษฐีตะวันออกกลางเยอะแยะ ไม่ออกชื่อ ไม่อยากสร้างศัตรูไปตอแยไม่ดี อันนั้นพูดกันยากยกไว้  พอพูดไว้แค่นี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานี


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:27:37 )

ทำหน้าที่อย่างไรไม่เป็นโพธิสัตว์กระจอก

รายละเอียด

ถ้าหากชาติหน้าเราเป็นโพธิสัตว์ต่อไป คุณก็จะเป็นโพธิสัตว์ที่ไม่ใช่โพธิสัตว์กระจอก แต่เป็นโพธิสัตว์ที่ร่ำรวยมีทรัพย์ศฤงคารรองรับก็เป็นกรรมของคุณทำเอาไว้ทั้งนั้น คุณขยันนั่นมันเสียหายที่ไหน สร้างสรรเสียสละสิ่งที่ดีสิ่งที่สมควรเป็นปัจจัยของมนุษย์ในแต่ละยุค แล้วคุณก็สร้างไปสิ ไม่ว่าจะเป็นงานที่เป็นนามธรรม งานที่เป็นอรูป หรืองานที่เป็นรูปธรรมเลย เช่น การปลูกพืชผักเป็นรูปธรรม งานสื่อสารเป็นงานอรูป งานเป็นครูบาอาจารย์เป็นงานนามธรรม อย่างอาตมาเป็นงานนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพที่ ซ้อนลึกสูงส่ง ละเอียดลออสมบูรณ์แบบ ผู้ถึงขีดขั้นก็เป็นอย่างนี้ ผู้ยังไม่ถึงขั้นก็แสดงรูปก่อน ผู้สูงขึ้นก็แสดงอรูป ผู้สูงสุดก็เป็นงานนามธรรม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:53:26 )

ทำอปันกปฏิปทา 3 ให้ครบไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก อาตมาถึงบอกว่าคุณไม่ต้องไปหลับตาเลย ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมหลับตาปฏิบัติ ทำ อปันกปฏิปทา 3 ให้ครบ แล้วอ่านให้ชัดเจน ให้รู้ตัวตนของอาการที่มันเรียกว่ากิเลสกาม กิเลสปฏิฆะ กิเลสโกรธ เมื่อกระทบแล้ว เกิดจิตตักกะ วิตักกะ 

ตักกะ การดำริ เริ่มอาการของจิต กระทบสัมผัสแล้วเกิดสภาวะขึ้นมา ถ้าไม่กระทบสัมผัสกัน สภาวะของจิตคุณก็เอาของเก่ามาคิด 

หนึ่ง มันไม่จริง ของมันเลิกไปแล้วพักไปแล้วไม่มีปัจจุบัน กับอดีต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 04:39:48 )

ทำอย่างธรรมกาย

รายละเอียด

เกณฑ์คนมาทำเล่นเหมือนละครลิเก แต่งเนื้อแต่งตัว เล่นลิเกไป มันจะได้เรื่องอะไร เสียเวลา เสียเงินทอง เสียทุนรอนอะไรเปล่าๆผลาญพร่าอวดอ้างใหญ่โตอะไร อย่างธัมมชโยหรือธรรมกายเขาทำ อันนี้เป็นตัวอย่างก็ขอบคุณธรรมกายเป็นตัวอย่างอันไม่น่าจะทำกันขึ้นมาให้อาตามาได้ใช้ประกอบการอธิบาย ซึ่งคนมันก็ทำอย่างนั้นฉิบหายผลาญพร่า มันจะเอาความใหญ่โตหรูหราฟรุ้งฟริ้งอวดอ้างกันทั่วโลก แล้วโลกทั้งโลกก็เป็นเทวนิยม เป็นโลกียะ มันก็สนับสนุนสิ ได้ถ้วยรางวัลเต็มไปหมด ทำใหญ่ ทำยิ่งอะไร ทำไมมันจะไม่ได้ 

ลองมาทำอย่างนี้สิ ลองดู ไม่มีใครเขาจะให้หรอกรางวัล มันทวนกระแสเขา เขาไม่มีภูมิจะให้หรอก ขออภัยต้องพูดความจริงคนในโลกที่เป็นเทวนิยมเขาไม่รู้หรอก อย่างนี้ที่อาตมาพาทำโลกุตระ เขาไม่รู้ 

เพราะฉะนั้น มันก็เป็นสัจจะ ที่อาตมาทำไปนี้อาตมาก็ทำไปตามสัจจะ อาตมามีความรู้ความสามารถที่สุดก็เท่าที่อาตมามีแล้วก็อาตมาก็ทำมาตลอดนี่ เก่งกว่าอาตมานี้ จะเก่งไปกว่านี้อาตมาก็ไม่รู้ อาตมาก็ว่า อาตมาทำเก่งสุดฝีมือแล้วนะก็ทำไปเท่าที่ได้ เก่งกว่านี้ก็ทำไม่ได้ มันก็ทำเก่งได้เท่านี้ พยายามที่สุดแล้วนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2567 ( 18:02:57 )

ทำอย่างไรจะช่วยพวกมุดๆเป็นพญานาคที่หลงว่าวิมุติให้ชาคริยาได้

รายละเอียด

ทำอย่างไรจะช่วยพวกสัตว์พญานาคชาคริยานี้ให้ชาคริยา 

พระพุทธเจ้าท่านสอนชาคริยานุโยคะจากสำรวมอินทรีย์ ก็ไม่รู้เรื่อง แปลว่าฉันจะเป็นพุทธ แล้วคุณพูดอะไร ชาคริยานุโยคะคืออะไร สำรวมอินทรีย์คืออะไร โภชเนมัตตัญญุตาคืออะไร ฉันเป็นพุทธนะ ไม่รู้จะพูดอย่างไร 

คุณต้องรู้กระทบกับสัตว์กระทบกับของ กระทบกับพืช แล้วต้องเปิดตาเปิดหูเปิดจมูกลิ้นกาย ไปดับเสีย หลับหูหลับตาหมดแล้วมันจะเหลือศาสนาพุทธได้หรือ เขาก็บอกว่า กูเป็นพุทธ

จะพูดอยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่ กูเป็นพุทธ เอ็งเป็นใคร ..เราก็ว่านี่แหละตัวเราเป็นพุทธแท้ คุณนั้นเป็นพวก มุดๆๆ แล้วหลงว่าวิมุติ แต่มุดเป็นพญานาค นอนหลับไม่รู้ ตื่นมาฟังบ้าง ตื่นมาศึกษารับรู้บ้าง แล้วก็จะเข้าใจธรรมะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:58:28 )

ทำอย่างไรจะลดกิเลสได้

รายละเอียด

ถ้าคนกิเลสลด แน่นอน สังคมประเทศชาติ โลก เป็นอยู่สุขสบายแน่นอน แต่ทีนี้ทำอย่างไรจะลดกิเลสได้ มันก็เหมือนคุยตัว ก็ต้องมาเรียนทฤษฎีของพระพุทธเจ้า การศึกษาของพระพุทธเจ้ามีศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ ทุกวันนี้อาตมาก็ยังรู้สึกว่า ตัวเองยังอธิบายคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ยังไม่รอบถ้วน คำว่าวิมุตินี้ยกไว้ก่อน เพราะมันมีหลายชั้นมากเลย ชาตินี้ต้องอธิบาย ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อน อธิศีล อธิจิต อธิปัญญานั่นเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ปัจฉิมกถาปิดงาน มหกรรมคืนชีวิตให้แผ่นดินครั้งที่ 12
ที่มาบเอื้อง จ.ชลบุรี วันที่ 18 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:30:31 )

ทำอย่างไรจะลดความขี้เกียจได้

รายละเอียด

 

พ่อครูว่า…ดี..แสดงว่ารู้ว่าอาการขี้เกียจมันเป็นอย่างไร ก็ลดอย่าให้มันเป็นอาการอย่างนั้นสิ มันขยันเป็นอย่างไรก็นึกถึงอาการขี้เกียจเป็นอย่างนี้ก็แก้ให้เป็นขยัน นี่พูดอย่างดื้อๆ ซึ่งได้จริงๆคนเราเข้าใจอาการขี้เกียจ ก็แก้กลับให้เป็นขยัน ขี้เกียจก็คืออยู่เฉยๆหรือเอาเวลาไปทำอะไรไร้สาระที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นโทษภัยด้วยซ้ำอย่างนั้นเป็นตัวจริงของความขี้เกียจและเลวด้วย อยู่ดีๆไม่ทำงานที่ควรทำแล้วกลับไปทำสิ่งที่ไม่ควร ทำให้เสียหายไม่เข้าทาง มันก็ยิ่งแย่ใหญ่ รู้แล้วก็แก้กลับ จะไปขี้เกียจทำขยันแล้วเลิกสิ่งที่ไม่ดี นี่คือสาระของเราแท้ๆ

ใช่ ดีแล้ว ถ้าเอาโศลกปีนี้มาขยาย “คน! ถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญคือคนที่เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 20:02:33 )

ทำอย่างไรจะลดความอ้วนได้

รายละเอียด

ที่มันลดความอ้วนไม่ได้นี่นะ มีหลายเหตุปัจจัยอยู่เหมือนกัน บางทีไม่ง่ายนัก สรีระของบางคนกินน้อยมันก็อ้วน เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก อยู่ที่ว่าเราพยายาม เอาละอย่าไปกินมากมันก็ดีแล้ว เมื่อไม่กินมากมันก็ยังอ้วนก็ทำงาน ทำงานแล้วมันก็จะทำให้สลายไขมัน สลายเนื้อหนังส่วนเกิน เมื่อกินน้อยแล้วก็ดีแล้ว ก็พยายามขยันให้มากขึ้น อะไรที่จะทำงานให้ออกกำลังกายและเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น มันจะลดลงเอง ที่สำคัญก็คือ อย่าว่าแต่ออกกำลังกายทางกายเลย ออกกำลังสมอง ออกกำลังทางปรุงแต่งความรู้อย่างหลวงปู่ มันก็กินอาหารไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ กินอาหารทางนี้เยอะ ร่างกายเลยไม่ค่อยอ้วนเท่าไหร่เลย เขาก็เลยพยายามให้กินอาหารให้มากพยายามอยู่ ซึ่งกระเพาะอาหารหรือความเคยชินมันไม่กินมาก ก็ต้องพยายามเพิ่มขึ้น สักวันหนึ่งกระเพาะคงจะโตขึ้น กินจะได้มากขึ้นคงจะอ้วนขึ้นได้เหมือนกัน พากเพียรพยายามอยู่ สรุปแล้วทำอย่างไรจะลดความอ้วนได้เราก็ต้องทำงานให้มากขึ้น กินให้มันน้อยลงนะดีแล้ว แต่ก็อย่ากินให้น้อยจนกระทั่งร่างกายหิวโหยไม่มีแรง อย่างนั้นไม่ดี ให้มันแข็งแรงอยู่แล้วก็ทำงานได้มากขึ้น มันก็เป็นกำไร ขวนขวายงานให้มากขึ้น อย่าเอาแต่นอนแต่พัก ไม่ค่อยออกกำลังกายไม่ค่อยสลายพลังงาน ก็แน่นอนมันจะต้องอ้วน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 20:20:01 )

ทำอย่างไรจะล้างกิเลสได้เก่งขึ้น

รายละเอียด

มี 3 ประเด็น 1. กิเลสแต่ละตัวมันล้างยากจัง ก็ถูก ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีกิเลสตัวนี้เราจะทำยังไงดี ให้เราล้างกิเลสได้เก่งขึ้น ..ก็ต้องมาเรียนรู้สนใจ หลวงปู่ขอยืนยันนะว่า หลวงปู่นี้ เรียนรู้จากพระพุทธเจ้ามาจริง มาได้จริง ทำให้กิเลสลดได้จริง และขอยืนยันว่า สำนักอโศกนี่แหละ ทำให้กิเลสลดได้จริง 

เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือ ต้องมาที่อโศกนี้แหละ จึงจะรู้วิธีล้างกิเลสได้จริง นี่คือคำตอบ จะทำยังไง ถ้าไม่ใส่ใจ ไม่มา มันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ตลอดเวลาคุณยังรู้สึกว่าคุณยังไม่เป็นอรหันต์ ควรมา ถ้าคุณรู้สึกว่าตนเองเป็นอรหันต์แล้วก็แล้วไป หรือว่าไม่เอาแล้ว ก็แน่นอน มันไม่เอา 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักตัวเองอย่างนี้นั้นดีแล้ว และประเด็นที่ 3 ก็คือ อยู่ในความหมายของอันนั้น คนที่ถามมาอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ ประเด็นที่ 3 นี่คือเป็นสำนึกดีแล้ว เป็นสำนึกดี 

เพราะฉะนั้น คนที่มีสำนึกดีแล้ว ควรทำสำนึกดีให้เป็นจริงสิ นี่คือคำตอบ ถ้าสำนึกดีแล้วคุณไม่ทำดีตามที่สำนึกนั้น แน่นอนคุณก็ไม่สำเร็จ คุณก็ไม่ได้ผล คนที่รู้สำนึกดีว่าอย่างนี้ถูกต้องแล้ว แต่คุณไม่มาปฏิบัตินี่แหละ  โง่น้อย หรือโง่มาก .. โง่มาก.. ตอบถูกจังเลย คนที่ไม่สำนึกเขาไม่รู้เรื่องเลยเขาไม่มาเขาก็โง่เท่าที่เขาโง่เนาะ แต่คนที่รู้ดีเลยนะ สำนึกด้วยนะ แต่ไม่มานี่สิ คุณรู้ทำไมคุณสำนึกทำไม หา! 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ 

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 05:47:16 )

ทำอย่างไรจะหายกลัวอดีตที่ฝังใจ

รายละเอียด

ฟังดีๆ อดีต มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อดีตที่ผ่านไปแล้วนี้มันตายตัวแล้ว ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงมันได้ อดีตเคยทำไว้อย่างไรมีอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น Fixed (ตายตัว) เป็นอดีต ส่วนอนาคตยังไม่แน่นอน ปัจจุบันเป็นตัวกระทำจริง ปัจจุบันเป็นตัวกำกับไม่ว่าจะทำความถูกหรือผิด ทำความสุขหรือทุกข์ ทำปัญญาให้แจ้งสุขทุกข์ แล้วไม่ติดสุขทุกข์ได้ อยู่ที่คุณได้เรียนรู้แล้วทำให้แจ้งไปตามลำดับ

ฆ่าสัตว์เป็นทุกข์ ไม่ต้องถึงฆ่าคนหรอก คนก็คือสัตว์แต่เป็นสัตว์ประเสริฐ คนเศรษฐีใหญ่อยากกินเนื้อเสือดำไปฆ่าเสือดำติดคุกเลย แต่ฐานะดีก็เลยกระร่องกระแร่งอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ฐานะดีก็ติดคุกไปแล้ว ก็เป็นทุกข์ทรมานทรกรรมไปโดยไม่รู้ว่าทุกข์นี้มันยืดยาด ถ้าติดคุกแล้วก็จบ แล้วเราจะดำเนินตั้งตนเป็นคนดีก็ทำสิ 

เหมือนอย่างทักษิณ เข้ามาติดคุกแล้วก็จบ แต่ทักษิณมีคดีเยอะติดคุกแล้วจะต้องมีคดีอื่นอีก สงสัยจะต้องตายในคุกเขาก็เลยไม่มา เพราะเขารู้ดี เขารู้กฎหมายดี อะไรพวกนี้ โดยเฉพาะอาชญากรรมที่เขาจบด็อกเตอร์ทางอาชญาวิทยา 

เรื่องอดีตนี้ มันแก้ไขอะไรไม่ได้ คุณไม่เคยทวง มันแก้ไขอะไรไม่ได้ คุณไม่ใช่ตัวมันหรอก ถ้ามันจะเป็นวิบากเรา อดีตมันจะวนเวียนมาเป็นวิบากให้เราอาศัยหรือมาเล่นงานเรา ถ้าอดีตมันดีมันก็ได้อาศัยสบาย ถ้าอดีตมันไม่ดีมันก็วนเวียนมาเล่นงานเราอยู่ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องทำปัจจุบันให้เป็นอดีต ๆๆ จนกระทั่งอดีตมันยาวไกลมันก็วิ่งหาเราไม่ถึงได้ง่ายๆเหมือนกับหมาล่าเนื้อ ท่านเปรียบไว้เหมือนหมาเลยเนื้อมันก็วิ่ง ถ้าเรามีกุศลหรือมีสิ่งที่เจริญมีอัตราความเร็วของกุศลเราเร็วกว่าหมาล่าเนื้อ หมาไล่เนื้อก็วิ่งไม่ทัน แต่ถ้าเรายืดยาด วิ่งไปในปัจจุบันนี้ไปไม่เร็วเท่าหมาไล่เนื้อ หมาไล่เนื้อก็งาบไปกิน เป็นสัจจะอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคุณก็ทำปัจจุบันให้ดีเถอะ แล้วมันจะเป็นตัวกั้น จะมีอดีตไม่ดีมา คุณก็ทำปัจจุบันที่ดีเป็นแผงกั้นเป็นกำแพงกั้น กำแพงจะยาวไกลไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทำกุศล ทำแต่กุศล ทำแต่กุศล นี่คือโลกียะ ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นโลกุตระยิ่งต้องทำด้วย 

เพราะ คนที่เป็นโลกุตระบุคคลแล้วจะทำโลกุตรธรรม  มีโลกียธรรมมีดีชั่ว โดยไม่ทำชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เป็นโลกุตระสมบูรณ์แล้วกรรมใดก็มีแต่ดีไม่มีชั่วเลย แต่จิตสะอาดบริสุทธิ์ พ้นสุขทุกข์แล้ว 

สรุปแล้วคุณสว่างแสง พอแล้วไม่ต้องกลัวอดีต คุณไม่ต้องเสียพลังงานไปกลัว กลัวกินพลังงานสปาร์ค ความกลัวจ่ายพลังงานไม่ได้เรื่อง เข้าใจสัมมาทิฏฐิให้ได้ว่าทุกการกระทำคือการงาน เราปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจเข้าออก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 49 ตอบไทยรัฐทีวีเรื่องสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเอง

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 กันยายน 2565 ( 15:09:40 )

ทำอย่างไรจะหายกลัวอดีตที่ฝังใจ 

รายละเอียด

ทำอย่างไรจะหายกลัวอดีตที่ฝังใจ ฟังดีๆ อดีต มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อดีตที่ผ่านไปแล้วนี้มันตายตัวแล้ว ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงมันได้ อดีตเคยทำไว้อย่างไรมีอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น Fixed (ตายตัว) เป็นอดีต ส่วนอนาคตยังไม่แน่นอน ปัจจุบันเป็นตัวกระทำจริง 

ปัจจุบันเป็นตัวกำกับไม่ว่าจะทำความถูกหรือผิด ทำความสุขหรือทุกข์ ทำปัญญาให้แจ้งสุขทุกข์ แล้วไม่ติดสุขทุกข์ได้ อยู่ที่คุณได้เรียนรู้แล้วทำให้แจ้งไปตามลำดับ ฆ่าสัตว์เป็นทุกข์ ไม่ต้องถึงฆ่าคนหรอก คนก็คือสัตว์แต่เป็นสัตว์ประเสริฐ คนเศรษฐีใหญ่อยากกินเนื้อเสือดำไปฆ่าเสือดำติดคุกเลย แต่ฐานะดีก็เลยกระร่องกระแร่งอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ฐานะดีก็ติดคุกไปแล้ว ก็เป็นทุกข์ทรมานทรกรรมไปโดยไม่รู้ว่าทุกข์นี้มันยืดยาด ถ้าติดคุกแล้วก็จบ แล้วเราจะดำเนินตั้งตนเป็นคนดีก็ทำสิ 

เหมือนอย่างทักษิณ เข้ามาติดคุกแล้วก็จบ แต่ทักษิณมีคดีเยอะติดคุกแล้วจะต้องมีคดีอื่นอีก สงสัยจะต้องตายในคุกเขาก็เลยไม่มา เพราะเขารู้ดี เขารู้กฎหมายดี อะไรพวกนี้ โดยเฉพาะอาชญากรรมที่เขาจบด็อกเตอร์ทางอาชญาวิทยา เรื่องอดีตนี้ มันแก้ไขอะไรไม่ได้ คุณไม่เคยทวง มันแก้ไขอะไรไม่ได้ คุณไม่ใช่ตัวมันหรอก ถ้ามันจะเป็นวิบากเรา อดีตมันจะวนเวียนมาเป็นวิบากให้เราอาศัยหรือมาเล่นงานเรา ถ้าอดีตมันดีมันก็ได้อาศัยสบาย ถ้าอดีตมันไม่ดีมันก็วนเวียนมาเล่นงานเราอยู่ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องทำปัจจุบันให้เป็นอดีต ๆๆ จนกระทั่งอดีตมันยาวไกลมันก็วิ่งหาเราไม่ถึงได้ง่ายๆเหมือนกับหมาล่าเนื้อ ท่านเปรียบไว้เหมือนหมาเลยเนื้อมันก็วิ่ง ถ้าเรามีกุศลหรือมีสิ่งที่เจริญมีอัตราความเร็วของกุศลเราเร็วกว่าหมาล่าเนื้อ หมาไล่เนื้อก็วิ่งไม่ทัน แต่ถ้าเรายืดยาด วิ่งไปในปัจจุบันนี้ไปไม่เร็วเท่าหมาไล่เนื้อ หมาไล่เนื้อก็งาบไปกิน เป็นสัจจะอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคุณก็ทำปัจจุบันให้ดีเถอะ แล้วมันจะเป็นตัวกั้น จะมีอดีตไม่ดีมา คุณก็ทำปัจจุบันที่ดีเป็นแผงกั้นเป็นกำแพงกั้น กำแพงจะยาวไกลไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทำกุศล ทำแต่กุศล ทำแต่กุศล นี่คือโลกียะ ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นโลกุตระยิ่งต้องทำด้วย เพราะ คนที่เป็นโลกุตระชบุคคลแล้วจะทำโลกุตรธรรม  มีโลกียธรรมมีดีชั่ว โดยไม่ทำชั่วเลย สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เป็นโลกุตระสมบูรณ์แล้วกรรมใดก็มีแต่ดีไม่มีชั่วเลย แต่จิตสะอาดบริสุทธิ์ พ้นสุขทุกข์แล้ว 

สรุปแล้วคุณสว่างแสง พอแล้วไม่ต้องกลัวอดีต คุณไม่ต้องเสียพลังงานไปกลัว กลัวกินพลังงานสปาร์ค ความกลัวจ่ายพลังงานไม่ได้เรื่อง เข้าใจสัมมาทิฏฐิให้ได้ว่าทุกการกระทำคือการงาน เราปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจเข้าออก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 49 ตอบไทยรัฐทีวีเรื่องสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเอง 

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 กันยายน 2565 ( 13:38:48 )

ทำอย่างไรจะหายโมโห

รายละเอียด

คำว่าโมโหคำนี้เป็นภาษาบาลี มาจากคำว่าโมหะ แล้วเข้าใจเพี้ยนว่าโมหะคือโทสะ โมโหหรือโมหะ คือ ปนกันแยกกันไม่ออกเท่าไหร่ โมหะนี่ ยังวุ่นวาย จับแพะชนแกะสับสนวุ่นวาย ยังแยกอะไรไม่ออก หากแยกออกจะแยกได้สองอย่างคือโลภะกับโทสะ หรือทาง กามกับทางอัตตา สองอย่าง เป็นคู่เทวะใหญ่ๆ เรียนรู้ให้ลดลงจนสูญ คุณก็จะหมด เมื่อรู้สิ่งที่ถูกต้องว่าอันนี้คือเทวะ แยกเป็นกามกับอัตตาได้ เรียกว่าโลภะกับโทสะ เมื่อแยกเป็นสองตระกูลได้ก็พ้นโมหะ แล้วทำให้โลภะโทสะ หรือกามกับอัตตาหมดมันก็จะสูญ โมหะคือ ยังแยกอะไรไม่ชัด แยกได้ชัดก็จะเจอสอง ตั้งแต่กาม กับปฏิฆะ หรือกามกับโทสะ หรือแยกสอง โลภะกับโทสะ ชอบกับชัง ผลักกับดูด หากดูดก็คือโลภะ กาม ส่วนผลักคือโทสะ ชัง ลักษณะคู่นี้แหละ เรียนรู้ให้ละเอียด จับคู่ที่หยาบก่อน ทำแล้ว ก็จะละเอียดขึ้นด้วยแล้วก็จะครบ อย่าไปเรียนทีละเยอะๆ เรียนทีละคู่ๆ แล้วก็จะเจริญไปสู่ภาวะทั้งหมด 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 22:00:44 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:41:45 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:48:30 )

ทำอย่างไรจะเกิดปัญญาที่จะทำอุเบกขาเรื่องทักษิณกับไทย

รายละเอียด

ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญาที่จะทำอุเบกขาเรื่องทักษิณ กลับไทย เขาก็เป็นคนไทย ให้เขากลับมาเถอะ มันเป็นสภาพที่เราจะมีตัวอย่าง ตัวอย่างของพฤติกรรม ตัวอย่างของพฤติการณ์ พฤติกรรมของทักษิณ ก็ดูไปสิ มันยังไม่จบ ก็ดูไป เห็นแล้วว่ามันมีความลำเอียง มันมีความอคติ มันมีอะไรต่ออะไร เห็นไหม นั่นแหละ เราก็ได้ดูเป็นตัวอย่างพวกนี้ เป็นการแสดงความจริงให้พวกเราเห็น ไม่ใช่ว่าเราไม่มีตัวอย่างเลย นี่เป็นตัวอย่างที่แท้จริง เราก็ได้ดูตัวอย่างพวกนี้ ก็ใช้ศึกษา เขาเป็นตัวแสดงเป็นตัวละคร ที่เอาตัวเองเป็นตัวแสดง เป็นพระเอกหรือเป็นผู้ร้าย? (เสียงตอบ…เป็นผู้ร้าย) ให้เราดู ก็ดูไป 

ตอบไปแล้วเมื่อกี้นี้ อาตมาก็ไม่ได้ไปมีส่วนร่วม มันเป็นสัจจะของสังคมไทยที่จะจัดการกันไปเอง ก็ทำกันไป แต่ไทยมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ มันมีจิตเมตตา กรุณา เป็นพรหมวิหาร ไทยมีเรื่องนี้สูง มีพรหมวิหารสูง ฉะนั้นสุดท้ายมันก็ไม่ร้าย ไม่โหดร้ายอะไรต่อกันและกันหรอก มันก็จะอนุโลม ปฏิโลมกันไป ก็คงจะเป็นเช่นนั้น มันเป็นวาระเวลาของมัน แม้แต่ลุงตู่ก็มีวาระเวลา  ที่จริงก็ไม่ได้หยุด ลุงตู่ก็ยังไม่ได้วางมือ ยังไม่ได้แก่มาก ตำแหน่งราชการก็ยังเหลือ แม้จะเปลี่ยนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้คนอื่นเขา ไปทำบ้าง ที่จริงคุณเศรษฐาก็ยกให้ลุงตู่เป็นที่ปรึกษา เป็นพี่ผู้ที่จะคอยให้คำปรึกษาหารือช่วยกันอยู่แล้ว ก็มีรูปธรรม มันเป็นนิมิตหมายที่ดีกันทั้งนั้น นี่เห็นได้ว่านี่คือ ประชาธิปไตยเมืองไทย ตกลงก็มาจบที่ดูไปกันต่อ

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2566 ( 17:08:41 )

ทำอย่างไรจะเป็นคนใจเย็น

รายละเอียด

มันก็คือความจบ เป็นผู้ที่ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ คือเป็นคนที่สามารถรู้พลังงานจิตและจัดการมีปัญญามีอำนาจอธิปไตย สามารถสร้างพลังงานจิตให้เหมาะสมให้ออกไปทำงานใช้งานได้ เป็นกัมมัญญา เป็นการงานทุกงานได้เหมาะสมเหมาะควรได้ดี เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดได้ทุกที ถ้าเป็นคนมีอำนาจทางจิต วสวัตตี ผู้มีอำนาจจิตนี้เรียกว่า วสวัตตีโกจะทำอย่างไรก็ใจเย็นถ้าคุณมีอัตตาจะใจไม่เย็น คุณก็จะเอาให้ได้ดั่งใจตนให้ได้ แล้วยิ่งเป็นจริตใจร้อนรน จะช้า  ยิ่งมีจริตเอาแต่ใจเรา แต่คนที่ถามมาก็จะรู้ตัวเองว่าเป็นคนใจร้อน ก็ไม่มีอย่างอื่นที่จะทำได้นอกจากฝึก เรียนรู้สิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ก็ทำสิ่งที่มันตรงกันข้ามกันที่ทวนกระแสใจกัน ไม่มีทางอื่นจะต้องฝึก ไปซื้อตามร้านขายยาไม่ได้ Supermarket ก็ไม่ได้ ศูนย์การค้าก็ไม่ได้ ให้ปฏิบัติไปตามลำดับ  ข้อสำคัญคือการปฏิบัติตามลำดับ ให้รู้ตัวเองว่าควรปฏิบัติอะไร อย่าไปเอาเยอะมากก่อน เดี๋ยวมันจะเข็ด แล้วไม่ได้เรื่องเลย อย่าให้เข็ดเชียวนะ ตัวเองเข็ดมันแย่ ไม่มีกำลัง ให้ได้ทีละน้อยก็ไม่เป็นไรไม่ได้มากก็ไม่เป็นไร ดีแล้วที่คุณรู้ว่าการลดกิเลสไม่ดีให้เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิและปฏิบัติให้ได้เหมาะสมกับตัวเองอย่าตะกละตะกรามเกินไป ค่อยๆได้เป็นทีละข้อ เขาจะบอกว่าปฏิบัติเหมือนกับเด็กๆ ก็ไม่เป็นไร ปฏิบัติตามลำดับ 1 2 3 4 5 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 13:31:44 )

ทำอย่างไรจะให้ชาวพุทธงมงายน้อยลง

รายละเอียด

ทำอย่างอาตมา อาตมาก็ทำอย่างไม่ได้ออมมือแล้วที่จะทำให้ชาวพุทธงมงายน้อยลงเหมือนกัน แต่แหม มันงมงายกันหนักมากเพราะศาสนาพุทธชาวพุทธได้เสื่อมไปมากในยุคนี้ อาตมาพูดย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ทีว่ามันเสื่อมจริงๆงมงายกันไปหนักเลย เห็นแล้วออกข่าวคราวกันเจ้านั้นเจ้านี้อย่างโน้นอย่างนี้ เกี่ยวกับจิตวิญญาณเกี่ยวกับอะไรต่ออะไรก็โอ้โหเป็นผีเป็นสางเป็นนรกเป็นสวรรค์อะไรต่ออะไรงมงายกันหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ อาตมาทำสุดเก่งแล้วนะ ไม่ได้ออมมือเลย ก็พยายามทำอย่างนี้แหละทำอย่างที่อาตมาทำพยายาม ใครจะเห็นว่าอาตมาทำนี่ดีก็มาช่วยกันทำอย่างนี้แหละช่วยกัน อย่างใครคิดว่าถูกต้องถือว่าอาตมาถูกต้องก็พาทำได้เต็มที่ประมาณนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ  ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 18:21:49 )

ทำอย่างไรจะให้รุ่นน้องเคารพรุ่นพี่

รายละเอียด

ทำให้ตนเองเป็นรุ่นพี่ที่ดีแล้วน้องๆจะเคารพเอง หากเราทำดีแล้วน้องยังไม่เคารพก็เพราะว่าเรายังทำดียังไม่มากพอ ก็จงทำดีต่อไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมไม่อยากให้ลูกมีแฟน


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:29:53 )

ทำอย่างไรจะได้เกิดเป็นผู้ชาย

รายละเอียด

อย่าไปอยากเป็นผู้ชายเลย ถ้าอยากมากๆแล้ว ร่างกายบารมีทางกายภาพมันไม่พอ มันจะกลายเป็นกะเทย อย่าไปอยากเป็นผู้ชาย แต่ให้สร้างคุณธรรมที่เป็น ปุริสภาวะ สร้างสภาพของเราให้แข็งแรง สร้างกายกรรมให้แข็งแรง สร้างวจีกรรมให้แข็งแรง สร้างมโนกรรม นี่แหละเป็นตัวทำจิตใจให้เข้มแข็งจิตใจที่แข็งแรงต่อสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ดีงาม สั่งจิตให้ถูกต้องบำรุงให้เก่งให้แข็งแรง อันนี้แหละจะนำให้เราไปสู่ปุริสภาวะ ที่จะเป็นชาย ถ้าเหตุปัจจัยทางสรีระเพียงพอ หนูก็จะเกิดมาเป็นผู้ชายได้ เหตุปัจจัยจิตวิญญาณนี่แหละเป็นประธานสิ่งทั้งปวง 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 10:06:40 )

ทำอย่างไรจะไม่กลัวตาย 

รายละเอียด

อันนี้ลึกซึ้งอันนี้สำคัญ ก็ต้องพยายามศึกษาสิ่งที่หลวงปู่อธิบายไป พี่น้องปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอาใครที่รู้หรือแม้แต่สมณะสิกขมาตุ อาศัยซักไซ้ไล่เรียงถาม จะเข้าใจไปเรื่อยๆเพราะแต่ละท่านแต่ละองค์จะมีคำอธิบายเป็นคนละเชิง ให้เราเข้าใจ มันอาจยากลึกซึ้ง มันจะต้องตายทุกคน แต่เด็กที่ระลึกถึงความตายแสดงว่าคนนี้มีความรู้สึกพิเศษ  หรือผู้ใหญ่ก็ตามจะรู้สึกเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ อาตมาก็เคยรู้สึกกลัวความตาย กลัวจะเป็นมะเร็งตาย ต่อมาเห็นศพเขาแห่ผ่านไปหน้าบ้านก็รู้สึกว่ากลัวจะต้องตายเหมือนอย่างนี้ แต่วิธีแก้ของอาตมาก็คือรีบไปนอนหลับไม่คิดอะไร ตื่นขึ้นมาก็หาย มันยังไม่เป็นปัญญาไม่เป็นปฏิภาณ

ไม่ต้องกลัวพิจารณาให้ดี คนเราเกิดก็ต้องตาย อะไรเกิดก็ต้องตาย หลวงปู่ก็ต้องตาย ผู้รู้ทั้งหลายผู้รู้จะต้องตาย เกิดมาแล้วต้องตาย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว มันเกิดมาแล้วนี่ เรายังไม่มีปรินิพพานยังไม่ได้ทำปรินิพพาน(ไม่เกิดอีกแล้ว)ก็เกิดมาเวียนวนอีกนาน เราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้วเกิดมาแล้วก็ต้องตาย เกิดมาตายแล้วก็ตาย เคยตายมาไม่รู้กี่ร้อยล้านชาติแล้ว แต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง เราไม่ต้องกลัวมันเพราะเราเคยตายมาแล้ว มันก็ไม่เห็นเป็นไรก็ต้องเกิดอีกนั่นแหละ แต่คนก็ต้องตายอีก ที่นี้เมื่อเราศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างหลวงปู่จะรู้ว่าเกิดตายเป็นเรื่องธรรมดา ที่นี้เราก็จะไม่กลัวตายนี่คือคำตอบ ถ้ารู้ตัวเองว่าว่าอ๋อเกิดแล้วต้องตาย คนที่รู้อย่างนั้นแล้วก็จะไม่กลัวตาย นี่คือคำตอบศึกษาธรรมะกับหลวงปู่นี่แหละ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ที่
บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 17:58:49 )

ทำอย่างไรจะไม่คิดฟุ้งซ่าน

รายละเอียด

คิดฟุ้งซ่านคือคิดเกินเลยไปกว่าที่ควรจะพิจารณาใคร่ครวญ การคิดอยู่บ่อยๆไม่ใช่ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าคิดอะไรไปไม่เข้าเป้าไม่มีเรื่องอะไรเป็นสาระ มีอะไรผสมผสานไปมากมาย มีเรื่องโลกเรื่องกิเลสเข้ามาปรุงผสมผเส นี่คือฟุ้งซ่านแล้ว แต่ถ้าคิดพิจารณาไปได้อรรถรสได้ธรรมะ คิดมากตลอดเวลาอย่างนี้ดี ดีแต่ให้รู้จักพักผ่อนบ้าง แต่มันจะติดมันจะชิน คิดแล้วก็จะชินหยุดอยู่ไม่ได้นี่แหละต้องระวัง เพราะฉะนั้นจะต้องหัดรู้จักพักรู้จักเพียร รู้จักหยุดให้ได้ ว่าควรหยุดก็ให้หยุด ต้องหยุดมันให้ได้ รู้จักหยุดให้ได้ต่อให้ได้..ฝึก แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ปฏิบัติธรรมให้หมดนิวรณ์ 5 จริงๆมันจะทำได้ยาก มันเอาแรงเข้าว่า แรงตัดไม่ให้มันต่อ อยากให้หยุดก็ต้องพยายามบังคับ ก็ยากหน่อย แต่ถ้าปฏิบัติธรรมตามลำดับแล้วมันจะไม่เกิดมันจะหยุดก็หยุด เราจะหยุดไม่ต้องคิดอะไรเลยนั่งเฉยๆ นั่งไป 4 นาที 5 นาที 1 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงมันอาจจะยาว อาตมาทำได้ แต่ไปทำถึงชั่วโมงไม่ทำหรอก จะอยู่ไปทำไมเฉยๆ แม้แต่นานเป็น 10 นาทีก็ไม่เคยทำ ก็สามารถที่จะสังขารปรุงแต่งให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้านั่งคิดเฉยๆนะ แต่ไม่ได้อยู่เฉยๆอย่างนั้นบ่อยหรอก อาตมาถ้าไม่นอนก็ต้องทำงานอันนั้นอันนี้ ไม่ได้อยู่ว่างๆเฉยๆ 5 นาที 10 นาทีได้ ถ้าเกิน 10 นาที ไม่ได้มีอะไรเป็นสาระเท่าไหร่ว่างๆ ไปกับอันโน้นอันนี้ทำได้ เราก็รู้ เราจะรู้ว่าจิตของเราตอนนี้มีจิตว่าง

เรียนรู้จิตที่มันคิดเกินนึกว่าฟุ้งซ่าน เอาง่ายๆ อย่างนี้ก่อน แล้วก็พักมัน ลดมันลง ให้รู้ความจริงอันนี้เข้าเป้าเข้าสัจจะเลย พัก แม้แต่เด็กก็หัดได้ รู้อาการของจิตนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญคือคนที่เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 19:23:59 )

ทำอย่างไรจะไม่คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน

รายละเอียด

ปฏิภาณที่ถามมาก็รู้ว่าไม่ดีที่คิดเช่นนี้ ก็เอาง่ายๆว่า คิดอย่างนี้ไม่ดีแล้วคิดทำไม เราทำไมโง่นัก บอกตัวเองนะ อย่าไปว่าคนอื่นเขา เราโง่ไปทำเช่นนี้ทำไม สิ่งไม่ดีไม่ควรให้เกิดในจิต แม้เราโง่ สิ่งนี้ไม่ดี เราจะไม่ได้ แล้วเราทำไม่ดีไม่เป็นด้วย เราโง่อย่างนี้ควรโง่ไปเลยแบบนี้ มันไม่มีในจิต ในกาย ในวาจาเราเลย ความไม่ดีแบบนี้ ให้กลายเป็นแบบนั้นเลย เราจะมีพลังสมาธิที่ตั้งมั่น แข็งแรง พลังสมาธิสามารถที่จะแข็งแรงไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอาการเกิดในใจเราได้ อาการในใจเราก็จะไม่เกิดสิ่งที่ไม่ดีเลยแล้วเราก็รู้ดี เราก็มีพลังงานใจ ใจเรามีความสำคัญแข็งแรงไม่ให้เกิด ทำอย่างไรมันก็ไม่เกิด เราจะช่วยทำมันยังไม่เกิดเลย เราจะช่วยทำให้เกิดอาการไม่ดี ทำอย่างไรก็ไม่เข้าท่าทำไม่ได้ดี ไม่ได้เรื่องได้ราว ยกตัวอย่างหลวงปู่ชาตินี้ ไปดัดจริตไปสูบบุหรี่ไปกินเหล้ากับเขา คนที่เขามองก็เห็นว่าเลิกเถอะอย่าทำเป็นกินเลยไม่เข้าท่า ทำเป็นจุดบุหรี่ คีบบุหรี่ถ่ายภาพ คนเห็นก็บอกว่าไม่เข้าท่าเลย ไม่เหมือน อุตส่าห์ไปจ้างร้านถ่ายรูป ถ่ายรูปเลยนะ เพื่อนมาเห็นก็บอกว่า ท่าที่สูบบุหรี่นี้มันบอกเลยว่า เป็นคนสูบบุหรี่ไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:23:20 )

ทำอย่างไรจึงจะออกจากทุกข์ได้

รายละเอียด

เป็นคำถาม หัวใจของศาสนาพุทธเลย สมณะโพธิรักษ์อธิบายด้วยใจด้วยภาษาสั้นๆง่ายๆอย่างนี้ไม่ไหว ก็ขยายความไปที่อธิบายอยู่ทุกวันนี้คือกำลังบอกวิธีออกจากทุกข์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 17:28:48 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:45:06 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:50:33 )

ทำอย่างไรจึงจะเบิกบานคล่องแคล่วว่องไวเป็นอัตโนมัติแบบพ่อครูได้

รายละเอียด

ก่อนจะมาเป็นอัตโนมัติก็ต้องปฏิบัติไปตามลำดับ ตั้งแต่ศีลข้อ 1 ปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ศีลข้อ 2 ก็ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 หรือศีลสมาธิปัญญา ก็ปฏิบัติมาอย่างที่อธิบายไปอย่างนี้ มีสูตรนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่ามีสูตรนี้สูตรเดียว ไม่มีทางอื่น ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เอเสวมัคโค นัตถัญโญ ทางนี้ทางเดียว ไม่มีทางอื่นหรอก ที่อาตมาบรรยายพูดอยู่ต่างๆนานามีทางนี้ทางเดียวไม่เป็นอื่น อย่างอื่นมากมายหลากหลายเป็นเรื่องนอกรีตมีเยอะ แต่ของพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจอันนี้อันเดียว ตรงกันให้ได้ นี่ก็สรุปแค่นี้ก่อน หรือจะขยายเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 มีฌาน มีปัญญาศีล ก็ต้องปฏิบัติอย่าให้ผิดไปจาก  อปัณกปฏิปทา 3 ข้อนี้จะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ในเครื่องกินเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องในชีวิต ก่อให้เกิดกิเลสทั้งนั้น ต้องเรียนรู้แล้วก็วิจัยวิจารณ์ และต้องเป็นผู้ตื่น ชาคริยานุโยคะ ถ้า 3 ข้อนี้ไม่มีก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า คนไปหลับตาปฏิบัติจึงโมฆะหมด ผิดหมด จะต้องตื่นมารู้จักเครื่องกินเครื่องใช้ แล้วก็สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสกับอะไร ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นกระทบรส การสัมผัสโพฐัพพะ ใจ สัมผัสร่วมไปเลยทั้ง 6 ทวาร ก็ต้องศึกษาอย่างนั้น ไปหลับตาหลบเลี่ยงไม่ได้ ชาคริยานุโยคะต้องตื่นเต็ม เป็นสภาพครบพร้อมทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต้องมีความตื่นมีสติตื่นเต็มหมดเลย มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์เป็นหลัก 3 ที่จะปฏิบัติให้สำเร็จ ก็ขอสรุปง่ายๆว่าโพชฌงค์ 3 ก็ขยายความไปอีกหลายวันก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระธรรม ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:45:17 )

ทำอย่างไรจึงจะไม่กลัวตาย

รายละเอียด

เรื่องนี้ต้องพูดกันดีๆหน่อยเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากคนกลัวตายเห็นความตายเป็นเทวทูต พระพุทธเจ้าเจอเทวทูต 4 แก่ เจ็บ ตายและสมณะ ไม่มีเกิด เพราะว่าตอนนั้นไม่เห็นความเกิด เห็นแต่คนแก่คนเจ็บคนตายแล้วก็สมณะ ทีนี้ คนที่รู้สึกว่ากลัวความตายมันเป็นเทวทูตชนิดหนึ่ง หลวงปู่ก็เคยรู้สึกเช่นนี้ กลัวความตาย พระพุทธเจ้าก็เห็นเทวทูต 4 เห็นความตายกลัวความตาย เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเป็นเช่นนี้ด้วยหรือเราก็จะต้องตายด้วยหรือ พระพุทธเจ้าจึงมาค้นหาว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย ได้คำตอบให้แก่น้องบัวแล้ว ก็ต้องเรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี ฟังธรรมะจากหลวงปู่จากพี่จากน้องจากพ่อจากแม่ให้ดี แล้วก็จะเข้าใจความตายว่าคืออะไร

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 11:00:47 )

ทำอย่างไรจึงจะไม่วนอยู่ที่สุขทุกข์

รายละเอียด

สรุปอีกเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าไม่ได้ศึกษาโลกุตระธรรมจนบรรลุอรหันต์ คุณก็จะเวียนวน ไม่ได้รู้แม้แต่เป็นโสดาบัน ก็จะเวียนวนเป็นเทวนิยม ดีชั่ว ชั่วดี ไล่แย่งความสุข เกลียดความทุกข์ ถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข เป็นสุขนิยม เที่ยงแท้  อยากได้สุขก็ต้องคบกับพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ เขาไม่ได้สุขหรอก เขาก็ได้ทุกข์นั่นแหละ เพราะสุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน

เขาจะวนอยู่ที่สุขทุกข์เพราะเขาไม่รู้จักสุขทุกข์ด้วย มีความวิปลาสอยู่อย่างนั้น ก็เห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงว่าเป็นความจริง เห็นความไม่ใช่อัตตาว่าเป็นอัตตายังวิปลาสอยู่อย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 48 อยากหมดอวิชชาต้องเริ่มคบพ่อครูผู้สัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 20:08:57 )

ทำอย่างไรจึงปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ 

รายละเอียด

เหมือนกับพลังงานอุตุนิยามไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ คนเท่านั้นที่จะเอามาประกอบพลังงานดอกนี้เอามาประกอบพลังงานพืช พลังงานกล พลังงานจิตนิยาม เอามาประกอบ สุดท้ายสามารถแยกจิตนิยามให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยามได้ เพราะจากการประกอบขึ้นและการสลายไปก็ทำได้ 

ส่วนคนที่ไม่เรียนรู้จริงว่าพลังงานความรู้สึกจิตนิยามเป็นอย่างไรและทำให้เป็นพีชะได้อย่างไร โดยไม่ขึ้นเป็นจิตนิยามอีก จนสามารถทำให้จิตนิยามกลายเป็นพลังงานได้โดยที่ไม่ขึ้นมาเป็นจิตได้อีก ผู้สามารถทำอย่างนี้ได้จึงปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ 

ทำจิตวิญญาณตนเองจิตนิยามแยกธาตุสลายเป็นอุตุเลย ก็ไม่ต้องจับตัวเป็นพลังงานอะไรอีกหายไปเลยเหมือนแยกธาตุ H2O แยกไฮโดรเจนกับออกซิเจนออกจากกันอย่างถาวร ก็กลายเป็นแก๊สไฮโดรเจนกับออกซิเจนไปเลย ธาตุน้ำก็หายไป เหมือนกับจิตนิยามก็สลายหายไปกลายเป็นดินน้ำไฟลม ศึกษาให้ดีความตรัสรู้อันนี้เป็นสุดยอดเรื่องธรรมนิยาม 5 ที่เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็คือโง่กว่าพืช วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 20:17:21 )

ทำอย่างไรชาติหน้าจะไม่เป็นผู้หญิง ไม่เป็นกะเทย

รายละเอียด

อย่าทำทุจริตอย่าทำผิด โดยเฉพาะเรื่องเพศ ทำให้ดีๆๆ ทุจริตผิดอะไรก็แล้วแต่ทำให้ตรงโดยเฉพาะเรื่องเพศ เพราะว่าเรื่องเพศคือเรื่องกลับไปกลับมา ไม่เป็นผู้หญิงก็อย่าไปทำผิดพลาดสำส่อน ไปผิดเพศเป็นกระเทยนี้อีกนาน ไม่ได้ไปว่ากะเทยแต่กะเทยเขาทำตัวเองแล้วมันจะเสียเวลา อย่าเป็นอันขาด อย่าไปยินดี อย่าไปพยายามเลย คุณเป็นผู้หญิงอยากเป็นผู้ชายในชาติหน้าคุณก็ต้องพยายามศึกษา คุณลักษณะ ไม่ใช่เอาจริตร่างกายท่าทีให้เหมือนผู้ชายนะ ทำให้เป็นผู้หญิงจะทำจิตวิญญาณให้เด็ดเดี่ยว ทำจิตวิญญาณให้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวในเรื่องเพศเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ถ้ามีคู่ก็มีคู่ไปตามฐานะ ผู้หญิงไม่มีคู่ได้ก็ต้องเป็นผู้หญิงนี่แหละไม่ต้องอยากทำท่าทีให้เหมือนผู้ชาย ยิ่งจะกลายเป็นเหมือนกะเทยไป ไม่ต้อง ทำเป็นผู้หญิงนี่แหละแล้วศึกษาสัจจะทำให้ถูกต้องแล้วจะได้เป็นผู้ชายเมื่อมีภูมิธรรมถึงจะได้เกิดเป็นผู้ชาย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:50:53 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:11 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:52:02 )

ทำอย่างไรชาวพุทธถึงจะตื่นขึ้นมาเป็นผู้ที่รับโลกุตรธรรมได้สู่ที่สุดที่สูงได้

รายละเอียด

ผู้ที่ฟังอาตมาพูด ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังลภเตปัญญํ จะได้เกิด อัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ตัวใหม่ ไม่ใช่จมอยู่ใน เฉโก ที่เป็นธาตุรู้แบบเดิมที่ไม่ออกมาจากของเก่า ต้องสะสม อัญญธาตุ จนเกิน 50 หน่วย ถึง 60 หน่วย 70 หน่วย คุณถึงจะตื่นขึ้นมาเป็นผู้ที่รับโลกุตรธรรมได้ สู่ที่สุดที่สูงได้ เคยได้ยินได้ฟังผู้ที่อธิบายอย่างนี้บ้างไหมล่ะ ไม่มีใครอธิบายหรอก โดยเฉพาะในยุคนี้  ไม่มี ในช่วงใกล้ 2,500 ปีมานี้ โลกุตรธรรมมันเสื่อมหมดแล้ว อาตมาถึงได้ยืนยันว่า อาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่จะสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า เอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในศาสนาพุทธที่มันไม่มีแล้ว ไม่ได้พูดเล่น แต่พูดความจริง และขอยืนยันว่าถูกต้องด้วย หันมาใส่ใจธรรมะที่อาตมาพูดกันบ้าง 

ที่อาตมาพูดย้ำหนักหนาเพราะเขาไปหลงผิดอย่างนู้นกันมากมาย เกือบจะหมดประเทศ เกือบหมดวงการศาสนาพุทธแล้ว อาตมาก็ต้องดึงกลับ ย้ำแล้วย้ำอีก แล้วย้ำกับใคร ก็ย้ำกับผู้ที่หลงติดยึดนั่นแหละ จะให้ไปพูดอย่างไร ก็ต้องว่าต้องข่ม กด ไปยึดผิดอยู่ทำไม ตื่นมาเสียที จะได้หลุดออกมาจากภพ ที่มันเป็นภพชาติผิดๆ

อาตมาอธิบายด้วยวิชชา ด้วยความรู้ อธิบายสังขาร อธิบายวิญญาณ อธิบายนามรูป อธิบายอายตนะ อธิบายผัสสะ อธิบายเวทนา อธิบายตัณหา อธิบายอุปาทาน และอธิบายภพชาติ ที่เป็นปฏิจจสมุปบาท อาตมาอธิบายได้ เพราะอาตมามีความรู้  มีความหลุดพ้นจากสิ่งที่ได้ไปหลง หลงสังขาร หลงวิญญาณ นามรูป อายตะ ผัสสะ เวทนา ภพ ชาติ อาตมาหลุดพ้นออกมาแล้วด้วยความเป็นจริง จึงรู้ได้จริงแล้วเอามาพูดถูกต้องหมด อาตมาอธิบายวิชาการนะ ไม่ได้มาอวดตัวอวดตนว่ารู้มากมายอะไรหรอก แต่มาพูดวิชาการ พูดความรู้ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2565 ( 14:32:15 )

ทำอย่างไรถึงอาจหาญแกล้วกล้าได้

รายละเอียด

ที่อาจหาญแกล้วกล้าเพราะอาตมามีสภาวะจริงของจิตที่ฝึกฝนมา เป็นบารมีแล้ว เรื่องความกลัวตายมันน้อยหรือมันไม่มี มันไม่มีความกลัวตาย มันไม่เหมือนคนทั่วไป ตายก็ตาย เกิดก็เกิด เพราะเข้าใจความตายความเกิด ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน  อาตมาก็พูดความจริง ซึ่งไม่มีใครอธิบายหรอก ถึงเรื่องปรินิพพานเป็นปริโยสาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู

วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 16:52:53 )

ทำอย่างไรถึงไม่เศร้าเมื่อระลึกถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้ว

รายละเอียด

อันนี้มันก็ลึกซึ้งอยู่ต้องค่อยๆเรียนไป สรุปแล้วของคุณ ปล่อยเถอะ พ่อแม่ตายแล้วท่านก็ไปตามวิบากของท่าน ดีไม่ดีวิบากของท่านอาจจะดีกว่าคุณก็ได้ กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม คุณก็เลยได้แต่เกาะติดไปช่วยท่าน ที่จริงแล้วท่านควรจะช่วยคุณด้วยซ้ำไป คุณก็ไม่รู้ตัวมันหลงตัวเองได้ หรือความรักมันมากตามันก็บอด ไม่รู้จักทางปฏิบัติที่ถูกต้อง อาตมาก็แนะนำให้ 

มาอาศัยกันเป็นพ่อแม่ในชั่วระยะเวลาหนึ่งในชีวิตเป็นเรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันเลยในโลกนี้ที่เคยเกิดมา ถึงขนาดนั้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คุณอย่าเอาเหตุผลที่เคยเป็นพ่อแม่ลูกกันมา แล้วไม่รู้จักตัด ญาติปริวัตตัง ตัดเถอะ ถึงเวลาวาระ คุณจะมาทางนี้ เอาทางนี้ให้ได้ ได้แล้วคุณจะไปช่วยพ่อช่วยแม่ ตอนนี้คุณบรรลุอรหันต์แล้วเป็นต้น คุณจะช่วยพ่อแม่ ก็ควร อย่างพระสารีบุตร อย่างพระพุทธเจ้า ก็ต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องมีอะไรอีกหลายอย่างกว่าจะไปช่วยพ่อแม่ แต่พระสารีบุตรก็ระลึกเหมือนกันแต่ว่าช่วยพ่อแม่ก่อนก็เลยไป แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่มีปัญหา ท่านก็มีลีลาของท่านเยอะแต่สุดท้ายท่านก็ต้องไปช่วยพ่อแม่เหมือนกัน มันช่วยเขาได้แล้วนี่ เพราะตัวเองพ้นน้ำแล้ว ไม่อย่างนั้นก็กอดคอตายกันในน้ำเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาคุยกับเทวดาเอากิเลสล้างกิเลส

วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2564 ( 16:12:13 )

ทำอย่างไรที่จะมีอารมณ์ปัจจุบันตลอดเวลาแบบพ่อครู

รายละเอียด

คงหมายถึงมีสติอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์มันก็มีอยู่กับเราตลอดเวลา แต่ที่ถามนี้คงอยากจะถามว่าทำอย่างไรถึงจะมีสติอยู่กับอารมณ์ของเรา

พ่อครูนี่ มีสติ ควบคุมอารมณ์ จนกระทั่งไม่ต้องควบคุมอารมณ์ เอาสติมาอยู่กับพยัญชนะอยู่กับสภาวะธรรม มาคัดเลือก ว่าจะบรรยายจะอธิบายอย่างไร จนกระทั่งลืมตัวเอง บางทีลืมแม้กระทั่งคำพูด จะพูดอย่างนี้ แต่ก็ไปพูดอีกอย่าง เพราะไปมัวแต่สรรหาสิ่งที่จะแสดงออกให้แก่พวกเราตลอดเวลามาก มันก็เลย พลาด วิปลาสไปบ้าง อย่างที่เป็นๆ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าจริงๆแล้ว อาตมาไม่ได้มีการควบคุมอารมณ์เป็นปัจจุบัน อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน จริงๆแล้วอาตมาเป็นอย่างนี้ อาตมา มีอารมณ์เบิกบานร่าเริงไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีอารมณ์สมบูรณ์แล้ว อารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขถาวร จนกระทั่งไม่ต้องไปคิดถึงมันเลย มันเป็นฐานอาศัย จึงอยู่กับงานอยู่กับสิ่งที่ควรเป็น สติปัญญาเอามาไว้กับสิ่งที่ ปรุง เอามาใช้ประโยชน์

สิ่งเหล่านั้นมันไม่ต้องทำแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำอย่างไรที่จะมีอารมณ์ปัจจุบันตลอดเวลา


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:06:10 )

ทำอย่างไรเมื่อมีจุดขัดแย้งกัน

รายละเอียด

ถ้ามีจุดไหนขัดแย้งกันให้สันนิษฐานว่าเราผิดก่อนเลย เราอย่าเพิ่งไปนึกว่าฉันถูกก่อนมันจะจบ ถ้าเราผิด แต่เราไปนึกว่าเราถูก สูงกว่าเขา ก็ซวย ซึ่งมันไม่ดี แต่ถ้าว่าเราผิดก็จะดีกว่า ถ้าไม่ใช่ก็แก้ไข แล้วเราก็ไปคบกับผู้ที่สูงกว่าเรา คบสัตบุรุษ จนมีความเชื่อมั่น ชัดเจนเลย แล้วมากระทำที่ใจของเรา เมื่อเราได้อะไรเพิ่มเติมมา สร้างแกนจิตนิยาม สร้างใจเราให้มันเจริญ ​ภาษาศัพท์เท่ๆว่า โยนิโสมนสิการ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:22:49 )

ทำอย่างไรเมื่อเกิดความรักระหว่างเพศเดียวกัน

รายละเอียด

จะว่าอย่างไร ก็ว่า หยุดโง่ คนที่เกิดมา มีความรู้สึกความรักระหว่างเพศเดียวกันนั้นมันเป็นความวิปริต มันเป็นความเป็นจิตไม่ปกติ จงรู้ตัวเอง ว่าคนที่มีความรักเพศเดียวกันมันเป็นความวิปริตของจิต มันไม่ใช่คนสามัญปกติ พูดให้ชัดเจนก็คือ มีความคิด บ้าๆหยุด เลิก ตัวเองต้องรู้ตัวเอง ใครมีอาการอย่างนี้ อย่าไปหลงบอกว่าก็มันเกิดมาเป็นอย่างนี้มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ใครอยากเกิด อย่าพูดอย่างนี้ ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นสิ่งที่คุณสั่งสมมาเองแล้วมาเป็นอย่างนี้ การเกิดรักระหว่างเพศ การเป็นความวิปริตระหว่างเพศ สัตว์เดรัจฉานมันยังไม่เป็นเลย มันมีคนนี่แหละโง่กว่าเดรัจฉาน ต้องดูให้จริงว่าเกิดมาเรามีอาการอย่างนี้มันเป็นความวิปริตมันโง่กว่าเดรัจฉาน ต้องสำรวมสังวรตัวเอง เกิดมาในชาตินี้มาพบสัจธรรมที่หลวงปู่อธิบายให้ฟังนี้ รู้เข้าใจให้ได้ มันถือว่าเป็นความซวยที่ชาติก่อนๆเราไปสั่งสมมาผิดอะไรก็แล้วแต่ แต่มาได้ชาตินี้มันถือว่าเป็นกุศลแล้วได้ฟังสัมมาทิฏฐิ ได้ฟังสัทธรรมให้รู้ตัวเองว่าเราซวยมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อมาในชาตินี้ก็หยุดเลิก เราต้องพยายามล้าง ให้มันกลับมาเป็นธรรมชาติเพศหญิงก็ต้องเรื่องที่จะคบหาเป็นเรื่องผู้หญิงผู้ชาย เป็นธรรมชาติสามัญ อย่าไปวิตถาร วิตถาร คือ ความว่าอย่าให้ตกเป็นเหยื่อ ความว่าอย่าไปหลงบอกว่าเกิดมาอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้นั่นแหละมันซวยมาตั้งแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ เพราะ ฉะนั้นชาตินี้มาเจอคนที่รู้ดีบอกให้สำรวมตัวเองเลิกเถอะอย่าให้มันต่อ จะทำอย่างไรก็ทำอย่างที่ว่านี้เท่านั้นแหละ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไงถ้ามีมาก็ช่วยกัน

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:49:59 )

ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการน้อยใจ

รายละเอียด

หลวงปู่เคยมีโศลก น้อยใจเป็นหมาน้อย ถ้าใครน้อยใจทำตัวเป็นหมา อย่าไปทำใจให้น้อยใจ ใจเราให้มันเต็มบริบูรณ์ไม่ต้องน้อย ต้องมาก จะให้เต็มๆพอดีๆไม่ต้องน้อยต้องมาก เราทำใจอย่างนี้ให้ได้ ไปน้อยทำไม น้อยใจมันก็เสีย ใจเราทำใจให้เต็มทำอะไรได้ดี อย่าไปน้อย น้อยมันเสียผลของชีวิต

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 19:10:59 )

ทำอย่างไรเราจะไม่ติดสุข

รายละเอียด

เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาคำว่าติดสุขนี้เป็นปัญหาใหญ่รอบโลกเลย ใหญ่มาก เทวนิยมนี่คือสุขนิยม คือติดสุขเที่ยงเลย แกะไม่ออก ไม่รู้จักสุขทุกข์ ไม่รู้จักคู่หูคือทุกข์ 

เพราะฉะนั้นตอบง่ายๆว่า เข้าใจให้ได้ว่าสุขนั้นมันตัวเดียวกับทุกข์ แยกไม่ออก เพราะฉะนั้นแยกให้ออกไปว่า ถ้าเราจะมาพยายามให้เราได้สุขอย่างนี้ มันก็ยังทุกข์อยู่นั่นแหละ พยายามหาเหตุปัจจัยให้มันรวมกันแล้วได้สัมผัส ได้เป็นได้มีอย่างนี้ๆ สัมผัสลวงตามที่เราต้องการ ตามที่เรากำหนดไว้ แล้วเราก็พอใจสุขเพราะมันได้ตามต้องการ ไม่พอใจก็ทุกข์ ยิ่งไม่ตรงกับที่เราต้องการ ตรงกันข้ามเลยก็ยิ่งทุกข์มาก นี่ขยายความให้ฟังแล้ว

เพราะฉะนั้น สุขทุกข์มันจะแยกกันไม่ออกเลย มันหลอก มันเอาหน้าความสุขมาอวดมาโชว์ให้คนหลงติด แต่ถ้าแท้ๆ ตัวบงการหนักก็คือตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อความสุข มันมาหลอกเป็นอันขาด ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว สุขมันไม่น่าดูเลย ดูหน้ามันเลย พระพุทธเจ้าถึงไม่สอนเรื่องสุข ท่านสอนเรื่องทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป หาเหตุแห่งทุกข์ ดับความทุกข์หมด เจ้าสุขมันก็ดับไปด้วย พูดวนเวียนย้ำอย่างนี้มานานแล้วฟังให้ดีๆ 

จะทำอย่างไร เรียนรู้เหตุจัดการเหตุ จริงๆมันไม่ใช่ตัวสุข มันเป็นตัวทุกข์ ต้องเลิกมันให้ได้ หาเหตุที่มันพาให้ติดตรงนี้ให้ได้แล้วเลิก เลิกได้สุขก็หายไป ไม่มีทางอื่น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:50:44 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์