@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

570630

รายละเอียด

570630_ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สันติฯเรื่อง นิโรธแบบพุทธเป็นไฉน? ตอน 1

พ่อครูว่า..วันนี้จะพูดถึงเรื่องลึกซึ้งหลายมุมที่ ภิกษุณีธััมมทินนา จะได้ตอบคำถามให้แก่อดีตสามี คืออุบาสกวิสาขา เป็นมุมที่ลึกมาก ผู้ได้ฟังก็คือผู้ที่เทวดาเลือกแล้ว จูฬเวทัลลสูตร  พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ 12

 

4. จูฬเวทัลลสูตร
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ
           

 

[505] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่กระแต
เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น วิสาขอุบาสกเข้าไปหาธรรมทินนาภิกษุณีถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

 

                       

เรื่องสักกายทิฏฐิ
           

[506] วิสาขอุบาสกครั้นนั่งแล้ว ได้ถามธรรมทินนาภิกษุณีว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระ
ผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ สักกายะ ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ?
     ธรรมทินนาภิกษุณีตอบว่า ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อุปาทานขันธ์ 5 คือรูปูปาทานขันธ์ 1
เวทนูปาทานขันธ์ 1 สัญญูปาทานขันธ์ 1 สังขารูปาทานขันธ์ 1 วิญญาณูปาทานขันธ์ 1 อุปาทาน
ขันธ์ 5 นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ.
    

 

วิสาขอุบาสก ชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของธรรมทินนาภิกษุณีว่า ถูกละพระแม่เจ้า ดังนี้
แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายสมุทัย สักกาย
สมุทัย ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าสักกายสมุทัย?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ตัณหาอันทำให้เกิดในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี
เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหานี้แล พระผู้มีพระ
ภาคตรัสว่า สักกายสมุทัย.
    

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ สักกายนิโรธดังนี้ ธรรมอะไร
ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความดับด้วยความคลายกำหนัดไม่มีเหลือ ความสละ ความสละ
คืน ความปล่อย ความไม่พัวพัน ด้วยตัณหานั้น นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา สักกายนิ
โรธคามินีปฏิปทา ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา?

 

 ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยะมรรคมีองค์ 8 คือ ปัญญาอันเห็นชอบ 1 ความดำริชอบ 1
วาจาชอบ 1 ทำการงานชอบ 1 เลี้ยงชีวิตชอบ 1 ความเพียรชอบ 1 ความระลึกชอบ 1 ความ
ตั้งจิตไว้ชอบ 1 นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นอันเดียวกัน หรืออุปาทาน
เป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง 5?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 หาใช่อันเดียวกันไม่
อุปาทานเป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 ก็หาใช่ไม่ ความกำหนัดพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง 5
เป็นอุปาทาน ในอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 นั้น.
           

 

[507] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สักกายทิฏฐิมีได้อย่างไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะไม่ฉลาด
ในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรม
ของสัปบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็น
ตนว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมตามเห็นเวทนา ... ย่อมตามเห็น
สัญญา ... ย่อมตามเห็นสังขารทั้งหลาย ... ย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็น
ตนว่ามีวิญญาณบ้าง ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง อย่างนี้แล
สักกายทิฏฐิจึงมีได้.
    

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อย่างไรสักกายทิฏฐิจึงจะไม่มีฯ
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นพระอริยะ
ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรม
ของสัปบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็น
ตนว่ามีรูปบ้าง ไม่ตามเห็นรูปในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมไม่ตามเห็นเวทนา ...
ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา ... ย่อมไม่ตามเห็นสังขารทั้งหลาย ... ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความ
เป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนใน
วิญญาณบ้าง อย่างนี้แล สักกายทิฏฐิจึงจะไม่มี.
                           

 

เรื่องมรรค 8 กับขันธ์ 3
           

[508] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ 8 ไฉน?

ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ 1 ความดำริชอบ 1
วาจาชอบ 1 ทำการงานชอบ 1 เลี้ยงชีวิตชอบ 1 ความเพียรชอบ 1 ความระลึกชอบ 1
ความตั้งจิตไว้ชอบ 1.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นสังขตะหรือเป็นอสังขตะ?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นสังขตะ.
    

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ขันธ์ 3 (กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา) พระผู้มีพระภาค
ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 หรือว่าอริยมีองค์ 8 พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วย
ขันธ์ 3.
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ขันธ์ 3 พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ 8
ส่วนอริยมรรคมีองค์ 8 พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ 3 คือ วาจาชอบ 1 ทำการงาน
ชอบ 1 เลี้ยงชีวิตชอบ 1 ทรงสงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์ ความเพียรชอบ 1 ความระลึกชอบ 1
ความตั้งจิตไว้ชอบ 1 ทรงสงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์ ปัญญาอันเห็นชอบ 1 ความดำริชอบ 1
ทรงสงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์.
                             

 

เรื่องสมาธิและสังขาร
    

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอย่างไร เป็นสมาธิ ธรรมเหล่าใด เป็นนิมิตของสมาธิ
ธรรมเหล่าใด เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ การทำให้สมาธิเจริญ เป็นอย่างไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เป็นสมาธิ สติปัฏฐาน 4
เป็นนิมิตของสมาธิ สัมมัปปธาน 4 เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิความเสพคุ้น ความเจริญ ความ
ทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นการทำให้สมาธิเจริญ.
           

 

[509] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สังขาร มีเท่าไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สังขารเหล่านี้ มี 3 ประการคือ กายสังขาร วจีสังขาร
จิตตสังขาร.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็กายสังขาร เป็นอย่างไร วจีสังขารเป็นอย่างไร จิตตสังขารเป็น
อย่างไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า เป็นกายสังขาร วิตกและวิจาร
เป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา เป็นจิตตสังขาร.

 

 วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกาย
เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร บุคคลย่อมตรึก
ย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา
เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร.
                            

 

เรื่องสัญญาเวทยิตนิโรธ
           

[510] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอย่างไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจัก
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ธรรม คือ กายสังขาร วจี
สังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน ย่อมดับไปก่อน?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น
กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง.
 
   

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นอย่างไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่าง
นี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติว่าเรา
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อัน
ท่านให้เกิดแล้วแต่แรก.
    

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ธรรมคือกายสัง
ขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน เกิดขึ้นก่อน.
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด
ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง.
    

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ?  ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ 3 ประการ คือ ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อม
ถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไปใน
ธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.

 

พ่อครูว่า ถ้าคนเรามีชีวิตอยู่ก็ต้องมีจิตตั้งที่จะอยู่ ถ้าไปดับ ก็จะเป็นอสัญญีสัตว์ ถ้ามันยังมีอยู่ก็ต้องมีการตั้งจิตที่จะอยู่ ถ้าคุณไม่ทำให้จิตพักจิตดับเลย คุณนอนคุณก็ทำงาน  จะอยู่ในรูปภพ อรูปภพ นอกจากคุณไปฝึกดับขณะนอนก็เป็นอสัญญีสัตว์ชั่วคราว แต่มันไม่ดับหรอก มันก็ฝันปรุงฟุ้งอยู่ มันมีแรงที่จะวุ่นวาย แล้วทีนี้ความอยากมันเยอะก็เลยปนกันเละ ฝันวุ่นวาย คราวใดที่ฝันมันเกาะตัวดีก็เป็นเรื่องเป็นราว เกิดจากจิตที่มันออกมาทำงาน

 

พ่อครูว่า...ทวนเร่ิมตั้งแต่ถามว่า สักกาย สักกายะคืออะไร? คำว่ากาย ตัวนี้ คืออุปาทานยึดมั่นถือมั่นตั้งแต่อบาย เป็นกามภพต้นๆ ต้องจับตัวให้ได้ก่อน เรียนรู้เพราะมันทุกหนัก ร้ายแรง ต้องเอาตัวร้ายก่อน เขาถามต่อว่าแล้วพวกนี้(สักกายะ) มีอะไรเป็นสมุทัย ท่านก็ตอบ ว่าตัณหาเป็นสมุทัย

 

แล้วทำอย่างไรจะดับตัณหาได้?....ดับไม่เหลือเป็นนิโรธ และวิธีปฏิบัติเป็นอย่างไร? 

 

เรื่องสักกายทิฏฐิ ภิกษุณีตอบว่า....ย่อมตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็น
ตนว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมตามเห็นเวทนา ... ย่อมตามเห็น
สัญญา ... ย่อมตามเห็นสังขารทั้งหลาย ... ย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็น
ตนว่ามีวิญญาณบ้าง ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง อย่างนี้แล
สักกายทิฏฐิจึงมีได้.
    

 

ซึ่ง อย่างเรามองเห็นนี่ก็เห็นเป็นตัวเรา ของเรา เห็นเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรานี่ก็อยู่แต่ภายในตัวเรา ยังไม่ออกไปนอก ถ้าออกไปนอกก็ไปยึดคนอื่น สมบัติข้าวของเป็นของเราอีก ซึ่งแม้แต่เนื้อหนังมังสาก็ไม่ใช่ของเรา ในกองขันธ์ 5 ก็ไม่ใช่ของเรา

 

อย่างเวทนา คุณกระทบรูป ถ้ามีอุปาทานก็จะรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ ก็ยึดเวทนา แล้วยึดว่าเป็นของฉัน อันนี้ดอกไม้ฉัน เหมือนกับดญ.หน้าต่าง เขาบอกว่า FMTV นี่เป็นของหนู สัญญากำหนดว่าเป็นของฉัน เอาสัญญาไปกำหนดยึดว่าเป็นของฉัน แม้เวทนาก็ยึดว่าเป็นเวทนาของฉัน หรือปรุงแต่งสังขารแล้วก็ยึดเป็นของฉัน รวมแม้ประเทศไทยบางคนก็ยึดเป็นของฉัน พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นของฉัน คุณไปสั่งเขาสิ สั่งได้ไหม?

 

สรุปแล้วในรายละเอียดของพระพุทธเจ้ามีมาก จนตามเห็นตนมีรูป เช่นเห็นว่าอารมณ์สุขมันมี แต่อรหันต์เห็นว่าไม่มี แต่คนที่ยึดอยู่ก็เห็นว่ามี เราก็ต้องล้างจนกว่าจะไม่มี แล้วทวนซ้ำทวนย้อน จนไม่เหลือ แต่ไม่ได้หมายความว่าเวทนาไม่เหลือทั้งหมด แต่ว่าอุปาทานในวิญญาณในขันธ์ 5 นั้นต่างหากที่ต้องทำหายไปไม่เหลือ

 

อย่างรสอร่อยของคุณก็ของคุณ ไปเทียบคนอื่นไม่ได้ ยึดถือไม่เหมือนกัน แม้รสอร่อยวันนี้กับวานนี้ก็ไม่เหมือนกัน แม้เขาทำเหมือนเดิม แต่บางวันอารมณ์เสียก็ว่าไม่อร่อย หรือว่าคุณว่าอร่อยเท่าเดิม แต่ว่าวัสดุที่เขาปรุงให้คุณในรายละเอียดแต่ละวันไม่เท่ากันหรอก กายต่างกัน สัญญาต่างกัน

 

แล้วทำอย่างไรจึงจะหมดสักกายทิฏฐิ?...ภิกษุณีก็ตอบว่า ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นพระอริยะ
ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรม
ของสัปบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ...แล้วก็ไม่ได้ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่ยึดว่ามีในเราแล้ว ยกตัวอย่างแต่ก่อนเราเคยมีความรู้สึกชอบชังกับสิ่งใด แต่เมื่อปฏิบัติได้แล้ว ก็ไม่ได้มีอารมณ์เช่นเดิม ไม่ชอบไม่ชัง แต่ก็รู้เห็นเหมือนกันคนทั่วไป ส่วนคนที่ยึด ก็จะรู้สึกชอบหรือชังได้ ต่างกันไปเพราะสัญญากันคนละอย่าง

 

อัสสาทะเป็นตัวใคร่อยาก เป็นกาม ซึ่งเป็นสิ่งที่แต่ละคนกำหนดสัญญา Specification เอง จะขนาด น้ำหนัก สีสรร รูปร่าง แม้แต่อารมณ์เช่นนี้อย่างไรก็ของคุณ คุณอาจพูดเหมือนกัน ว่าอารมณ์ชอบหรือชัง คุณก็เข้าใจว่า ดูดหรือผลัก แล้วอาการมันมาก น้อย แรงแค่ไหนก็ของใครของมัน องค์ประชุมที่เกิด คุณไปกำหนดหมายไว้อย่างไร ของใครของมัน ซึ่งละเอียดมาก ไม่เท่ากันไม่เหมือนกันหรอก อาจจะใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน แต่ถ้ามันไม่เหมือนกับใครเลยคุณก็ไม่ต้องแย่งกับใคร แต่ว่าคุณก็แย่งเพราะว่าคุณก็นึกเอาหยาบๆว่าเหมือนกัน แม้แต่แฝดก็ไม่เหมือนกัน ปรมาณูสองตัว เหมือนกันแทบไม่ต่างกันก็มีจุดต่าง ยิ่งเป็นนามธรรมก็ไม่มีเท่ากันหรอก ในรายละเอียด

 

เขาถามไปถึงอาริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นเรื่องของมนุษย์ที่จะต้องมี ตั้งแต่ คิด พูด ทำ แล้วก็รวมเป็นอาชีพ มีหน้าที่นั้นนี้ตามแต่ละคน เราก็ดูว่าอันไหนเป็นสัมมา ไม่ทำมิจฉา งานใดที่เขาเรียกว่าอาชีพก็ว่าคือการได้เงิน แต่อย่างพวกเรามีงานหลักแต่ไม่ได้เงิน หรือเขาถามว่านักบวชทำอะไรเป็นอาชีพ บางรูป เทศน์เป็นอาชีพ ได้ส่ิงแลกเปลี่ยน บางรูปก็เทศน์แต่ก็ไม่ได้รับค่าตอบแทน ไม่ได้เอาส่ิงแลกเปลี่ยน ทำงานสร้างสรรเสียสละเป็นประโยชน์ หรืออย่างคุณนายมีอาชีพเป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูก แต่แกไม่ทำ แต่แกวันๆเอาแต่เล่นไพ่ แล้วแกมีอาชีพเป็นเล่นไพ่ไหม? สรุปคืออาชีก็คือสิ่งที่ทำเป็นชีวิต ทำเป็นส่วนมากเลย เลี้ยงชีพอยู่ อยู่ในสังคม ถ้าคุณไปเป็นนายกฯ คุณก็ไม่ต้องวุ่นวายสะสม คุณจะกินเขาก็มีคนประเคนให้ จะไปไหนก็มีคนไปรับไปส่ง คุณไม่ต้องกังวลเลยก็ดูแลบริหารประเทศไป มีคนรับช่วงงานหมด แล้วจะไปเอาเงินมาเก็บไว้ทำไม จะจ่ายอะไรก็มีคนจ่ายให้ แล้วถ้าคุณไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องไปซื้อของให้คนรักเป็นต้น

 

ภาคปฏิบัติเป็น สัมมัปปธาน 4เป็นเครื่องอุดหนุน  คือ สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน วิธีปฏิบัติต้องมีผัสสะ ต้องมีสังวรสำรวมอินทรีย์จึงรู้กิเลสสักกายทิฏฐิ พากเพียรสังวร แล้วต้องปหานกิเลสได้ จนเกิดผลเป็นภาวนา(ไม่ใช่ว่าไปนั่งท่องบ่นเป็นภาวนา) อนุรักขณาปธานคือรักษาผล  สัมมัปปธาน 4 เป็นเครื่องอุดหนุน การเสพคุ้นความเจริญทำให้เกิดภาวนา ทำให้มากพหุลีกัมมัง ทั้งเสพคุ้น เป็นการทำให้สมาธิเจริญ เป็นปัญญาข้อที่ 2 ของโสดาบัน

 

สังขารมีเท่าไหร่? ก็ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้เป็นกายสังขาร? ก็เห็นใจคนเข้าใจไม่ได้ ลมหายใจก็เป็นมหาภูตรูป ซึ่งสังคมสมัยนั้นนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาตมาอธิบายว่าลมหายใจเข้าออก คุณต้องมีสติอยู่ทุกเมื่อ เวลาเน้นกายคตาสติสูตร ท่านก็มาเน้นอิริยาบถกาย แต่สติปัฏฐาน 4 ท่านก็เน้นสติปัฏฐาน แล้วก็อานาปานสติสูตรท่านก็เช่นกัน  ซึ่งสามสูตรนี้เหมือนกัน เป็นองค์รวม ท่านเหลือติ่งไว้ประนีประนอมกับคนยุคนั้นต่างหาก ถ้าตัดพรวดเลยเขาก็ขาดส่ิงเชื่อมต่อกับเขา

 

แล้วบอกว่า วิตก วิจาร คือวจีสังขาร ซึ่งอาตมาขยายว่า มีวิตก วิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์ นั้นอยู่ในองค์ 7 ของสังกัปปะ 7 ให้เราพิจารณาตั้งแต่เร่ิมดำริ แล้วมีการปรุงร่วมไหม มีกามวิตก หรือพยาบาทวิตกในนั้นหรือเปล่า ก็ต้องมาวิจัย วิจาร ให้เห็นตัวจริงของกิเลส เวทนาในเวทนา จิตในจิต ซึ่งเป็นองค์รวมคือ กาย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:16:29 )

570701

รายละเอียด

570701_ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สันติฯเรื่อง นิโรธแบบพุทธเป็นไฉน? ตอน 2

วันนี้จะพูดถึงเรื่องนิโรธ และจิตเจตสิกต่างๆ ซึ่งนิโรธของพุทธนั้นย่ิงดับยิ่งสว่างยิ่งรู้แจ้ง ไม่ใช่ดับแล้วไม่รู้อะไรเลย วันนี้มีส.แน่วแน่ สีลวัณโน ก็ท้้วงมาว่า

 

น้อมนมัสการพ่อท่านฯด้วยความเคารพยิ่งครับ

 

เมื่อวันที่ 27 ที่ผ่านมา ได้ฟังพ่อท่านฯเทศน์เปิดโลกเทวดามารพรหม เจนจบ 20 ชั้น ตามชื่อที่ตั้งกันมานั้น

เมื่อพ่อท่านฯกล่าวถึงชื่อเทพที่เป็นใหญ่อย่างผ่านๆ ผมฟังแล้วสะดุด เมื่อได้ฟังทวนก็ได้ยินชื่อเทพที่พ่อท่านฯกล่าวถึงว่า พญายม

คำว่า พญายม ความเข้าใจของคนทั่วไป กล่าวถึง พญายมราช หรือ พระยม คือ ผู้ปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ

ผมพยายามค้นดูว่าความหมายของศัพท์ ยม กับ ยามา เป็นอย่างเดียวกันไหม

ยม

. พระยม ; ผู้ปกครองอาณาจักรแห่งความตาย ; เจ้าแห่งความตาย.

n. Yama ; the ruler of  the kingdom  of  the dead ; death.

ยามา     

. อาณาจักรของพระยม.

n.  realm of Yama gods.

 

จึงเห็นว่า ที่พ่อท่านฯใช้นั้นสอดคล้องกัน

ก่อนค้นคำศัพท์ทั้งสองนั้น ดูจากแหล่งอ้างอิงทั่วไป

กล่าวถึงชื่อเทพที่เป็นใหญ่ชื่อ พระสยามเทวธิราช หรือเรียกว่า

พระสุยามะ หรือ ท้าวสุยามะเทวราช ผู้มีอายุยืนถึง 2,000 ปีทิพย์

เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา

ทำให้คิดไปว่า พ่อท่านฯคงจำผิด ดูจากที่ท่านแสนดินบันทึก ก็ไม่พบการบันทึกชื่อเทพของชั้นต่างๆไว้ ผมจึงยังไม่ชัดเจนว่า พญายม หรือ พระยม กับ พระสุยามะ เป็นเทพเดียวกันได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่

 

พ่อท่านฯถูก แหล่งอ้างอิงทั่วไปผิด หรือ

แหล่งอ้างอิงทั่วไปถูกแล้ว พ่อท่านฯอ้างผิด จำผิด หรือ

ทั้งพ่อท่านฯและแหล่งอ้างอิงทั่วไปถูก ผมสับสนไปงงกับบัญญัติเอง

 

น้อมนมัสการพ่อท่านฯด้วยความเคารพยิ่งครับ ส.แน่วแน่

 

พ่อครูว่า.. ก็ขอตอบว่า จะเรียกว่า ยม หรือยามะ หรือยามา ก็ความหมายใกล้เคียงกัน เป็นเทวดา ที่หมายถึงต้องเสพสมให้ได้ พอได้แล้วก็อยากให้อยู่ยาวนานที่สุด ส่วนดุสิตก็พักยก ถ้าของพระพุทธเจ้าเป็นผู้สงบแล้วจริงก็อาศัย ดุสิตได้ เขาก็ตั้งชื่อว่า ท้าวสันดุสิต เป็นใหญ่

 

ยามา ก็เป็นภาษาสื่อ สั้นหรือยาวหดหรือขยาย เพื่อสื่อสภาพเท่านั้น ภาษาก็เปลี่ยน กร่อนไปบ้าง แท้จริง ก็กำหนดหมายเป็นสมมุตติสัจจะทุกอย่างเป็นเรื่องกำหนดขึ้น พระพุทธเจ้าว่า สัจจะที่คือความจริงไม่มีในโลก ที่ว่าจริงนั้นก็คือถือยึดเอาตามกัน สังคมหนึ่งถืออย่างนี้ แต่ไปอีกสังคมอาจเห็นอีกอย่าง เป็นสมมุติสัจจะ ก็อยู่กันไปสงบเรียบร้อย

 

สัจจะที่ยึดตามสมมุติก็ต้องใช้ ส่วนผู้พ้นแล้วก็ไปตามเขาได้ ส่วนตนก็มุ่งหลุดพ้น บางทีก็อนุโลมตามเขาได้ หรือกลับไปกลับมาได้ เป็นปฏินิสัคคะ เห็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นก้นหอยวนสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนโลกีย์นั้นวนเวียน ถูกๆๆผิดๆ สุขๆทุกข์ๆไปตลอดกาล พพ.ตรัสชัดว่า สัจจะไม่มีหรอก อยู่ที่การยึด แต่ยึดแล้วจะอยู่กับหมู่ได้ไหม จะยึดว่า คุณเองถูก หมู่ผิด จะอยู่กับหมู่ไปก็ได้ ก็เห็นส่วนตัว หรือคุณจะทำตามหมู่ไป ไม่ทำตามจะขวางไว้ ก็อาจโดน แค่นั้น

 

โลกีย์ มีความถูกผิด มีไม่มี แต่โลกสูงสุดแล้วไม่มีอะไร จึงโล่งโปร่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่ยึดสมาทาน ยึดเพื่อทำงานอันเหมาะควร การยึดว่าจริง มีบาลี ว่า  สัญญา ย นิจจานิ โลเก

 

ในโลกนี้ยึดก็เที่ยง ถ้าไม่ยึดก็ไม่เที่ยง นิจจา คือเที่ยง สัญญา ย คือคุณกำหนดหมายยึดเองในโลก คุณยึดของคุณ คุณว่าถูกของคุณก็ถูกอยู่นั่นและ แต่ถ้าหมู่มากเขาไม่เอาด้วย ถ้าคุณจะยืนหยัดยืนยันของคุณคนเดียว ก็เป็นไป แต่ถ้าแม้ว่าคุณรู้ว่าอย่างคุณถูก แต่ว่า หมู่เขายังไม่เห็นด้วย ก็ต้องตามหมู่ไป

 

หรือสังคมกำหนด คุณเผด็จการ คุณจะเอาอย่างคุณ แต่คนอื่นยอมแพ้ แต่ถ้าใจเขาไม่ยอมก็ไม่สงบเรียบร้อย ขัดขวางไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าอย่างนี้แล้วทุกอย่างไม่มีผิด ถูก ดีชั่วสิ ...ถ้าจะว่าจริงๆแล้วก็อย่างที่ท่านพุทธทาสว่าไว้ ยึดชั่วยึดดีก็อัปรีย์ทั้งนั้น สังคมต่างกันก็ยึดถือต่างกัน แต่ก็เลยต้องพยายามหาข้อตกลงกลาง เช่นขณะนี้เมืองไทยเรา มีประชาธิปไตยแบบไทยๆ โลกก็บอกว่าจะต้องทำแบบสากล เหมือนกันทั่วโลก ก็โลกเขามีประชาธิปไตยหลากแบบ อย่างอเมริกาไม่มีมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่อย่างอังกฤษ มีกษัตริย์เป็นประมุข มันก็ต่างกัน

 

ประชาธิปไตยขาเดียวกับสองขาก็ต่างกัน คนเข้าใจไม่ได้ แม้แต่อาตมาพยายามอธิบายประชาธิปไตย คำว่ารัฏฐาฐิปัตย์คำเดียว ทั้งพูดบรรยาย เขียนกวี หนังสือ ก็ยังไม่เข้าใจดีกัน เขาก็เข้าใจว่า รัฏฐาธิปัตย์เป็นอำนาจของรัฐบาล ในหลวงลงพระปรมาภิไธยก็ได้อำนาจเต็ม เหมือนเราไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ออก ถือว่าในหลวงไม่ได้ล้มประปรมาภิไธย ถ้าจะพูดอย่างนี้ก็เหมือนในหลวงไม่ประชาธิปไตย ทั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แพ้หมดรูป ทั้งศาล ทั้งประชาชน

 

แต่ถ้าเข้าใจว่า รัฐบาล มีอำนาจแค่ รัฐบาลาธิปัตย์  ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ ถ้าทำไม่ถูก ประชาชนคนเดียวก็ประท้วงได้ ถ้ายืนยันถึงศาล รัฐบาลผิดจริงก็ต้องรับ ไม่ใช่ว่าอำนาจรัฐเป็นใหญ่ แต่ความผิดถูกต้องเป็นใหญ่ พิจารณาตามนิติธรรม รัฐบาลก็มีสิทธิ์ผิด คนเดียวก็ท้วงได้ ถ้ารัฐบาลแพ้ก็ต้องออกไป ถ้าได้อย่างนี้ รัฐบาลเบ่งอำนาจไม่ได้ ประชาธิปไตยต้องมีสองฝ่าย ฝ่ายใดแพ้ก็ยอมรับ หากไม่ยอมรับก็ใช้คะแนนเสียงส่วนใหญ่

 

สรุปแล้วที่ถามมา จะเป็นพระยม หรือเป็นจตุมหาราชิกา หรือดุสิต ก็เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมา เพื่ออธิบายได้ คำว่า ยามา ก็คือเรื่องกาลเวลา แต่ที่เขาอธิบายเรื่องเทวดามามันเป็นเรื่องโลกีย์ แต่ที่จริงอธิบายเป็นโลกุตระได้

 

ดาวดึงส์ คือ อาการที่ 33 คือได้อย่างใจสมใจทั้ง 32 อาการ รวมเป็นอาการที่ 33

ดุสิต พระโพธิสัตว์จะมาประสูตรเป็นพระพุทธเจ้าก็พักอยู่ดุสิต

นิมานรดี ก็คืออำนาจ อย่างโลกก็เบ่ง เช่นฮ่องเต้ ก็ได้ตามต้องการ เนรมิตได้ สร้างมาก็เอาตามชอบ

ปรนิมิตวสวตี ก็มีผู้อื่นทำให้ หรือคุณเก่งจริงใหญ่จริงคนอื่นก็ยอมทำให้ เช่นว่ายอดนักเลงใหญ่ ถูกคนโน้นเล่นงานลับหลัง นายใหญ่ไม่ต้องสั่งมีคนไปฆ่าจัดการให้ แต่ถ้าเป็นโลกุตระ นิมานรดีคือตนพึ่งตนรอด สร้างตนได้เสวยผลเต็มที่

ปรนิมิตวสวตี อย่างโลกุตระ คือคนอื่นตั้งใจทำให้อย่างยกย่องเลย เขาตั้งใจอุ้มชูโดยไม่ต้องมีอำนาจแบบเบ่งเลย

 

ส่วนพรหม 20 ชั้นก็อธิบายโลกุตระได้

 

พรหม

รูปพรหม 16 ชั้น

  1. พรหมปาริสัชชาภูมิ   คำว่า ปาริสะแปลว่าบริวาร
  2. พรหมปุโรหิตาภูมิ คำว่าปุโรหิต คือผู้รู้ผู้เป็นครูเป็นหัวหน้า
  1. มหาพรหมาภูมิ คำว่ามหาพรหมก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่านายใหญ่อีก
  1. ปริตตาภาภูมิ คำว่าปริแปลว่าน้อย  (เขาแปลว่ามีรัศมีน้อย) คือชั้นบริวาร
  1. อัปปมาณาภาภูมิ คำว่าอัปปมาณาแปลว่ามาก (เขาแปลว่ามีรัศมีมากประมาณไม่ได้)

 

อรูปพรหม

7. ปริตตสุภาภูมิ คำว่า สุภา แปลว่าสว่าง ดีงาม  (เขาแปลว่ามีแสงสว่างเป็นลำรัศมีงามน้อย)

8. อัปปมาณสุภาภูมิ  (เขาแปลว่ามีรัศมีงามอย่างประมาณไม่ได้)

9. สุภกิณหาภูมิ (อันนี้จะอยู่ในสัตตาวาส 9 ที่เป็นได้ทั้ง โลกียะและโลกุตระ)  (เขาแปลว่าผู้มีรัศมีงามกระจ่างจ้า)

10. เวหัปผลาภูมิ คือแบบสว่าง เวหา คือไปหาท้องฟ้า แสงสว่างความใส

11. อสัญญีสัตตาภูมิ คือแบบมืดดำ

 

12. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ ท่านแปลว่าผู้ไม่เสื่อมไปจากสมบัติของตน ผู้อยู่นาน ก็คือผู้ยึดมั่นถือมัน ถ้าเป็นนามธรรม แม้สัมมาทิฏฐิก็ยึดไว้เสียเวลา ถ้าเป็นสายปัญญาแล้วก็ไม่ติด ไม่ต้องไปเสียเวลาอ้อยอิ่ง

13. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ ท่านแปลว่าผู้ไม่ทำความเดือดร้อนใคร ก็เป็นผู้ดีแล้วไม่พยาบาท

14. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ เป็นผู้งดงาม น่าทัสสนา เป็นตัวรูป

15. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ คือผู้มองเห็นดี ทัสนาแจ่มชัด เป็นตัวนาม เป็นผู้รู้ สูงกว่า

16. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ คือผู้ไม่มีความด้อยน้อยกว่าใคร

 

อรูปพรหม 4 ชั้น

1. อากาสานัญจายตนภูมิ

2. วิญญาณัญจายตนภูมิ

3. อากิญจัญญายตนภูมิ

4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน ...เขาก็ว่าได้นิโรธทั้งคู่ ไม่มีทุกข์เหมือนกัน แต่มันลึกซึ้งต่างกันระหว่างผู้สัมมาทิฏฐิ กับมิจฉาทิฏฐิ พวกสัมมาจะได้นิโรธถาวร ตลอด แต่ถ้ามิจฉาก็ได้เฉพาะตอนนั่งหลับตาดับ

 

เรามาทวน จากเมื่อวาน

[509] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สังขาร มีเท่าไร?

     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สังขารเหล่านี้ มี 3 ประการคือ กายสังขาร วจีสังขาร

จิตตสังขาร.

     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็กายสังขาร เป็นอย่างไร วจีสังขารเป็นอย่างไร จิตตสังขารเป็น

อย่างไร?

     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า เป็นกายสังขาร วิตกและวิจาร

เป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา เป็นจิตตสังขาร.

 

 วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร

วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร?

 ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกาย

เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร บุคคลย่อมตรึก

ย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา

เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร.

 

พ่อครูว่า สังขารคือการปรุงแต่ง จะรู้สังขารได้ก็ต้องมีการปรุงแต่ง วิญญาณ6 ​อายตะ6  เวทนา6  ตัณหา 6  ส่วนนามรูปเกิดเมื่อวิญญาณเกิด วิญญาณเกิดเมื่อใดก็มีผัสสะของเหตุปัจจัย หากไม่มีผัสสะก็ไม่ใช่สัมภวะ ไม่ใช่แดนเกิด ไม่มีโยนิโสฯ ตายไปก็รับวิบากอย่างเดียว ปฏิบัติได้ต้องอยู่ในสภาพชมพูทวีป คือสุรภาโว สติมันโต อิทธ พรหมจริยวาโส

 

ผู้ปฏิบัติได้ต้องเป็นมนุษย์อาริยะ คือมนุษย์ชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิทธพรหมจริยวาโส มารวมกันมากกว่าก็เป็นชมพูทวีป

 

อย่างอโศกนี่จะอยู่ไปได้อีกนาน ไม่เหมือนสำนักหลายสำนัก พอเจ้าสำนักอยู่ก็ดี พอเจ้าสำนักไปหรือตายก็ล้มทั้งนั้น เถรสมาคาตายใจว่า ถ้าโพธิรักษ์ตายไปอโศกก็ไม่เหลือ เขาเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าตายแล้วศาสนาพุทธอยู่มาได้ อาตมาก็ใช้หลักพระพุทธเจ้าถ้าอาตมาไม่จริงก็อยู่ไม่นาน แต่ถ้าคุณว่าถูกต้องมันก็จะอยู่นานโดยสัจจะ อาตมาจะทำให้ถูกเท่าที่อาตมาจริงใจ มีความสามารถ ก็จบ ไม่มีซ่อนแฝง

 

และคำว่า สังขาร 3 อย่างนั้น คำว่า กายที่เขาเข้าใจมันเข้าใจเพี้ยน อาตมาว่า องค์ประชุมของกาย ต้องมีนามธรรมเป็นหลัก

 

กายสังขาร จึงรวมทั้งกายวาจาใจ ทั้งนอกและใน ส่วนวจีสังขารคือสภาพ ส่วนมโนสังขารได้แก่มโนสัญเจตนา มีตัวมุ่งหมายปรุงแต่งในนั้น

 

เมื่อเราเข้าใจกาย คำว่านิโรธก็คือองค์ประชุม ตัวมันเองไม่มี แต่มันต้องมีสิ่งที่จะนิโรธ มันต้องมี เช่นพระพุทธเจ้าว่าต้องมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดนิโรธทั้งๆที่รู้ มีกายของผู้นิโรธ เป็นสัญญา เป็นมโนสัญเจตนา สัญญากำหนดรู้ด้วย กายสัญเจตนา ส่วนวจีสังขาร กำหนดรู้ด้วยวจีสัญเจตนา

 

ลมหายใจเข้าออกเป็นกาย ก็ไม่ได้หมายถึง ร่างอย่างอื่น ไม่ใช่กาย ลมหายใจเป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องรวมทั้งดินน้ำไฟลมทั้งหมด

 

วิตกวิจาร เป็นวจีสังขาร ...ถ้าผู้ศึกษารู้มรรคองค์ 8 อย่างสัมมาทิฏฐิ จะอ่านเจตสิกย่อยออก ตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เมื่อทำใจในใจ จัดการทำใจ อภิสังขาร หรือปรุงแต่งก็แล้วแต่ แต่เป็นสังขารของอาริยบุคคล ปรุงแต่จัดการใจ มนสิการ โดยเมื่อจิตเร่ิมดำริ ถ้าอวิชชาก็ไปสังขารเลย อัตโนมัติทันที มีกาม มีพยาบาท มาปรุงร่วม ออกมาเป็นวจีสังขาร ไม่มีอำนาจ อัปปนา พยัปปนามาห้ามกั้นก็ปรุงเป็นวจีสังขาร ก็เป็นผี เพราะมีกามมีพยาบาท เป็นตัว สสังขาริกังชักนำให้ปรุงแต่ง เป็นวจีสังขาร หากคุณยั้งทันก็ไม่ออกมาเป็นกรรมวจีหรือกัมมันตะ อาชีวะ มันก็เกิด มาอวจรในโลก มาดำเนินการในกามาวจรภายนอก ก็เป็นเรื่องกามเป็นตัวการ

 

ถ้ามีมารยาทสังคมกดข่มไว้หรือมีเล่ซ้อนก็ได้ บางคนอยากให้ออกมามาก แต่กิเลสไม่มีแรงก็ได้เท่านั้น หรือไม่อยากให้ออกมาแต่กิเลสแรงก็ออกมามาก ส่วนโลกุตระก็จัดการเลย มีวิตก วิจัย วิจาร วิมุติ ก็จัดการกิเลสได้อย่างรู้มีวิจักขณ์  สามารถสะกัดได้ ถ้าห้ามไม่หมดก็ออกมาบ้าง แต่ถ้าห้ามได้หมด ก็จะออกมาเป็นวจีกรรม ก็ผ่านเป็นวิตักกะ เป็นสังกัปปะเป็นองค์รวมของความนึกคิด เชิงปัญญา ส่วนอัปปนา พยัปปนาเป็นฝ่ายเจโต เป็นต้นกล ทางฝ่ายปัญญาเป็นต้นหน ออกมาเท่าที่ต้นกลมีแรง ส่วนต้นหนจะบอกว่าเอาแรงแต่ว่าต้นกลมีแรงเท่านี้ก็ได้เท่าที่มี

 

เมื่อ กำจัด กาม พยาบาท สังกัปปะได้ สังกัปปะก็สะอาดบริสุทธิ์ มาเป็นวาจา กัมมันตะ อาชีวะก็สะอาดหมด เป็นแต่เพียงจะทำมากหรือน้อยก็อยู่ในดุลพินิจของตนเอง พวกคุณก็ทำได้แต่อาจแจกไม่ได้อย่างอาตมา อาตมาก็แจกตามที่พระพุทธเจ้าว่าไว้

 

มาดู ถามตอบระหว่างภิกษุณีธรรมทินนากันต่อ

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร?
   

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกาย
เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร บุคคลย่อมตรึก
ย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา
เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร.

 

พ่อครูว่า...ถ้าโลกียะก็ปรุงอย่างโลกีย์ออกไป แต่ถ้าเป็นอาริยะรู้วิธีกรองกำจัด ถ้ากำจัดได้เก่ง ตรึกก็คือนึกคิด ตรองก็คือไตร่ตรองเลือกเฟ้นทำให้สะอาดก่อนจึงเปล่งวาจา ดังนั้น วิตก วิจาร จึงเป็นวจีสังขาร ทำให้เป็นวิจาร เป็นวิมุติได้ ก็รู้อย่างวิจักขณ์ ก็สะสมเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

 

  เรื่องสัญญาเวทยิตนิโรธ
 
      

[510] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอย่างไร?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจัก
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก.
    

 

พ่อครูว่า..ก็คือเราตั้งใจแล้วเราจะเรียนทำนิโรธแบบพระพุทธเจ้า ทำโดยกำจัดสมุทัย อย่างลืมตาทำปหาน 5 กิเลสลดมันก็เป็นนิโรธไม่ได้ไปนั่งหลับตาเข้า แล้วก็ออกมาจากความดำภวังค์นั้น ซึ่งโดยรูปลักษณ์แล้วเหมือนเข้าออก แต่ที่จริงไม่ต้องเข้าต้องออก แต่พอกิเลสหมด ก็เลยไป สมติกมะ หรือล่วงพ้นไม่ต้องไปออกหรือเข้าอีกเพราะฐานสูงขึ้นแล้ว มีหลายมิติไม่เหมือนเข้าออกแบบดับฤาษีก็เป็นมิติตื้นๆ ดังนั้นท่านภิกษุณีจึงบอกว่าไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่วิสาขาอุบาสกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจก็ถามอีก

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ธรรม คือ กายสังขาร วจี
สังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน ย่อมดับไปก่อน?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น
กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง.
    

 

พ่อครูว่า...ภิกษุณีก็พูดตามน้ำอุบาสิกาวิสาขาไปว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งวจีสังขารเป็นปากทางถ้าดับกิเลสเสร็จ แต่ถ้าจิตไม่ทำงานก็ไม่เกิดกายสังขาร แต่ถ้าทำงานต่อ ก็เกิดกายสังขาร ซึ่งวจีสังขารเป็นขั้นต้น เมื่อดับกิเลส การดับกิเลสเป็นกระบวนการทั้งกายและจิตสังขาร วจีสังขารก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตสังขาร ไม่ได้เกี่ยวกับกายเลย เมื่อจัดการอภิสังขารจัดการกิเลสแล้ว ถ้าสังขารไม่เกิด วจีสังขารก็ไม่เกิด แต่ถ้าจะเกิดวจีสังขารก็จะเกิด จะดับก่อนก็ได้

 

เมื่อวจีสังขารจะทำงานก็เกิดองค์ประชุม ถ้าวจีสังขารดับก่อน การเข้านี่วจีสังขารดับก่อน แต่ถ้าจะออกนี่จิตสังขารดับเกิดก่อน ก็คือจิตที่จะทำให้กิเลสลดนั้นดับก่อน กิเลสอกุศลจิตดับก่อน จึงก่อเกิดวจีสังขารได้ ถ้าไม่ให้เกิดก็หยุดได้ถ้าพักเลย แม้ดับกิเลสได้ก็พักได้ แต่ถ้าจะออกนั้น อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนาก็คอยกรองอยู่ได้

 

 

 

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นอย่างไร?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่าง
นี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติว่าเรา
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อัน
ท่านให้เกิดแล้วแต่แรก.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ธรรมคือกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน เกิดขึ้นก่อน.
  

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด
ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง.
 

 

พ่อครูว่า...ภิกษุณีก็เลยพูดตามน้ำว่าออกจากนิโรธก็คือเมื่อไม่มีกิเลสแล้วจะออกก็ได้ไม่ออกก็ได้ คือจิตสังขารก็เกิดก่อน ซึ่งการถามนี้เป็นเรื่องยาก ที่เป็นเรื่องจิตอัตโนมัติ แม้คนทำได้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบถูกหรือไม่เลย อย่าเอาไปออกข้อสอบเลยนะ  

  

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ?

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ 3 ประการ คือ ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อม
ถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.
    

 

พ่อครูว่า...สุญญตะคือความว่าง ส่วนนิมิตก็คือเครื่องหมาย อนิมิตก็คือไม่มีเครื่องหมายอะไร ส่วนอัปปณิหิตะท่านแปลว่าไม่มีที่ตั้ง หรือปรารถน อัปปณิหิตะคือไม่ปราถนาอะไร ไม่ตั้งอะไร เขาแปลว่าเหมือนไม่มีอะไร แต่ที่จริงต้องมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ที่จริง วิสาขาฟังก็น้าจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจก็เลยถามต่อ ซึ่งแปลว่าเหมือนกับว่าเสวยความว่างไม่มีจิตตั้งหรือปราถนาอะไรอยู่เฉยๆ

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไปใน
ธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.
               

 

พ่อครูแถมให้ว่า...กระโดดโลดเต้นในวิเวก เพราะเหตุแห่งความวุ่นวายทุกข์นั้นหายไปแล้ว ทำอย่างไรจิตก็วิเวกตลอดเวลา เดาไม่ได้ทางโน้นเขาก็จะไปหาที่สงบ ทั้งวิเวกของจิตก็ไปหาที่สงบหมด ทั้งกายและวจีและจิตวิเวก ไม่พูดอะไร ยิ่งใช้งานไม่ได้ขัดกับของพระพุทธเจ้าที่ใช้งานได้ดี

 

 

เรื่องเวทนา
       

[511] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า เวทนามีเท่าไร?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เวทนานี้มี 3 ประการ คือ สุขเวทนา 1 ทุกขเวทนา 1
อทุกขมสุขเวทนา 1.
     วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นอย่างไร อทุกขมสุขเวทนา
เป็นอย่างไร?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือ
เป็นไปทางจิต นี่เป็นสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ อันเป็นไปทางกาย
หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นทุกขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่
สำราญ (เป็นส่วนกลางมิใช่สุขมิใช่ทุกข์) อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็น
อทุกขมสุขเวทนา.
    

 

พ่อครูว่า...เขาถามเหมือนว่าเขาอยู่ในนิโรธแบบเข้าภวังค์นะ แต่ก็เดาเขาไม่ได้ เขาก็ถามลุยไปสรุปแล้ว ไม่ว่ากายหรือจิต นิโรธแล้วนั้น ก็คือ ถ้าสุขเวทนาก็คือสำราญ ถ้าเป็นทุกข์ก็ไม่สำราญ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ตอบกำปั้นทุบดินเลย

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนา เป็นสุขเพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะอะไร?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ
เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
    

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา อนุสัยอะไร ตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนา อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา?

 

พ่อครูว่า...ก็ตอบกำปั้นทุบดินเลย แต่ที่ไขคืออทุกขมสุข...ท่านแปลว่า สุขเพราะรู้ชอบ(สัญญาณ) ส่วนทุกข์เพราะรู้ผิด(อัญญาณ) ทุกข์เพราะกำหนดอะไรไม่เป็น ไม่ใช่ว่าอสัญญีนะ แต่มีสัญญา ถึงขั้นกำหนดได้ด้วยว่าอะไรชอบ จึงทำการงานอันเหมาะควรได้ แต่ทุกข์เพราะรู้ผิด เป็นตัวไขชัดเลยว่านิโรธพุทธเป็นแบบมีปัญญา มีการงานอันชอบดี แต่นิโรธฤาษีไม่ทำการงานอะไรไม่รู้เรื่อง ถามไปก็ตอบไม่ได้ แต่ท่านธรรมทินนาตอบได้ชัดเจน

 

นิโรธลืมตารู้แจ้งหมด เมื่อไม่มีทุกข์สุขแล้ว ก็อทุกขมสุข เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ขออาริยะทำได้เป็นนิโรธ จิตก็รู้และทำงานอย่างควร ถ้าไปทำอย่างไม่ชอบไม่ควรคุณก็ทุกข์ ถ้าทำอย่างชอบอย่างควรก็ไม่ทุกข์ แต่่ทานแปลตามภูมิว่า ผิดหรือชอบ แต่ที่จริงคืออัญญาณ เป็นตัวมีปัญญา ทำการงานอันชอบเหมาะควร เป็นฐานนิพพาน อุเบกขามี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ปภัสรา

 

 ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา ปฏิฆานุสัย ตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนา อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา.
    

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคานุสัยตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด ปฏิฆานุสัยตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หรือหนอแล?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัย ตามนอนอยู่ใน
อทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้.
  

 

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอะไรจะพึงละได้ในสุขเวทนา ธรรมอะไร จะพึงละได้ใน
ทุกขเวทนา ธรรมอะไรจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละได้ในสุขเวทนา ปฏิฆานุสัย จะพึงละได้ใน
ทุกขเวทนา อวิชชานุสัยจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา.
 

 

พ่อครูว่า...ถ้าทำได้ถึงอทุกขมสุข คืออุเบกขาแล้ว ละอวิชชานุสัยก็ไม่ทุกข์ไม่สุขเลย แต่ถ้ายังสุขอยู่ จะละในสุขก็ต้องละราคะ แต่ถ้าละในทุกข์ก็ละปฏิฆะ ส่วนผู้ทำฌาน 1 หรือ2 ก็ทำให้นิวรณ์ไม่มีได้แต่ก็หนักมีโทมนัสแต่ก็มีปีติซ้อน ยังต้องควบคุม หรือมีอาการเคร่งคุมอยู่ ยังไม่คล่อง ไม่เบา มีมีวสี แต่รู้ว่าไม่ได้ทุกข์อย่างเคหสิตะแล้ว คือทุกข์เพราะไม่เก่ง

 

ในสังกัปปะ มีวิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์ จนดีขึ้นเรื่อย การวิตก วิจารก็ลดลง หรือหายไป มีแต่ปีติ แต่ต่อมาปีติก็ลดมีสุขเป็นฌาน 3 พอฌาน 4 ก็มีอุเบกขาเป็นเอกัคคตา มีสุขไม่ทุกข์แล้ว จะถามว่าจะทำอะไรในอทุกขมนุขก็คือ อวิชชานุสัยนั่นเอง คือทำได้ทั้งหมด ทะลุจบ

   

วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด ปฏิฆานุสัยจะพึง
ละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หรือ
หนอแล?
     ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัยจะพึงละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขม
สุขเวทนาทั้งหมด หามิได้ ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อม
ละราคาด้วยปฐมฌานนั้น ราคานุสัย มิได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไร เราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่
ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้
โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น
ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน
อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็น
เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุตถฌานนั้น
.

 

[512] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคะเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา.
    

วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งทุกขเวทนา?
    

. ปฏิฆะเป็นส่วนแห่งเปรียบแห่งทุกขเวทนา.
    

วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนา?
    

. อวิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนา.
    

วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา?
    

. วิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา.
    

วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา?
    

. วิมุติเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา.
    

วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ?
     

. นิพพานเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ?
    

วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งนิพพาน?
    

. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ท่านล่วงเลยปัญหาเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาส่วนสุดแห่งปัญหา
ได้ ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เพราะพรหมจรรย์หยั่งลงในพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่ถึงใน
เบื้องหน้า มีพระนิพพานเป็นที่สุด ถ้าท่านจำนงอยู่ ก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลถามเนื้อ
ความนี้เถิด พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างใด ท่านพึงจำทรงพระพยากรณ์นั้นไว้
อย่างนั้นเถิด.
             

วิสาขอุบาสกสรรเสริญธรรมทินนาภิกษุณี
      

 

พ่อครูว่า...เหมือนเขาบอกว่าไปที่ตรงนี้จะไปถึงท่าน้ำ แต่ท่านเลยไปแล้ว แล้วถนนไหนไปถึงแม่น้ำ แต่คุณเลยไปก็คือลงน้ำแล้ว นิพพานี่นัตถิอุปนา คือไม่มีอะไรเปรียบแล้ว

 

[513] ลำดับนั้น วิสาขอุบาสก ชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของธรรมทินนาภิกษุณี
แล้ว ลุกจากอาสนะ อภิวาทธรรมทินนาภิกษุณี ทำประทักษิณแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบ
ทูลเรื่องที่ตนสนทนาธรรมกถากับธรรมทินนาภิกษุณีให้ทรงทราบทุกประการ.
 

   

เมื่อวิสาขาอุบาสกกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า ดูกรวิสาขะ ธรรม
ทินนาภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก แม้หาก ท่านพึงสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา แม้เราก็พึงพยากรณ์เนื้อความนั้น เหมือนที่ธรรมทินนาภิกษุณี พยากรณ์แล้ว เนื้อความแห่งพยากรณ์นั้น
เป็นดังนั้นนั่นแล ท่านพึงจำทรงไว้อย่างนั้นเถิด.
    

 

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพจน์นี้แล้ว วิสาขอุบาสก ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนั้นแล.
                  

 

จบ จูฬเวทัทลสูตร ที่ 4

 

พ่อครูว่า...ที่อธิบายเรื่องนี้ก็เพื่อให้พวกเราเข้าใจถึงความลุ่มลึกละเอียด ธรรมะของพระพุทธเจ้าละเอียดสุดยอดที่สุด คนเข้าไม่ถึงก็ยาก ต้องขอบคุณผู้แปลที่พยายามรักษาพยัญชนะบาลี แต่ก็ชวนให้งงในบางจุด ผู้ได้ฟังไปแล้วก็ขอทวนอีกว่า

 

สัญญาเวทยิตนิโรธของนิโรธของพระพุทธเจ้า ที่ท่านธรรมทินนาตอบนั้น นิโรธนั้นไม่ต้องเข้าต้องออกอย่างที่วิสาขาอุบาสิกาเข้าใจ เพราะนิโรธของพระพุทธเจ้าทำได้แล้วก็ออกจากภูมิเก่าไปเรื่อยๆ ไปสู่ภูมิใหม่เพ่ิมขึ้นๆ แต่ผู้มิจฉาทิฏฐิ จะเข้าใจว่านิโรธนี้ต้องเข้าต้องออก ก็จะมึนตื้อ ยิ่งไปเรื่อง กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารก็จะย่ิงมืดใหญ่เลยถ้าไม่มีสภาวะจริง แม้จะเข้าใจเพียงปรยัติก็ดีแล้ว ค่อยเข้าใจไปก่อน

 

คำว่า วจีสังขารดับก่อน แล้ว จิตสังขาร กายสังขารจึงดับ

และเมื่อนิโรธแล้ว จิตสังขารเกิดก่อน กายสังขาร  แล้วจึงเป็น วจีสังขาร

ความเป็นจริงแล้วอะไรก่อนหลัง กระบวนการจะอัตโนมัติ เป็นวิสัยของจิตวิญญาณ

 

สัญญาเวทยิตนิโรธนั้น แม้แต่ว่าได้ผล จะเข้าถึงหรือไม่เข้าถึง ก็คือได้ผลหรือไม่ได้ผลแค่นั้น ได้ผลแล้วก็ไม่ใช่ว่าออกหรือไม่ออก ก็เป็นแต่เพียงทำงานหรือไม่ทำงาน เมื่อนิโรธเสร็จแล้วผ่านไปวุฒิฐาน ไปแล้ว ก็จะทำงานหรือไม่

 

สัจจะจริงๆไม่มีในโลก ไม่ใช่อาตมาพูด แต่พระพุทธเจ้าพูดไว้ เป็นเพียงการกำหนดของแต่ละคน อาตมานำมาอ้างอิงจากไตรปิฎก ในหนังสือถอดรหัส อัตตา นิรัตตา อนัตตา ในอีคิวโลกุตระก็มี แม้คุณจะถูกต้องก็ตาม คุณต้องประมาณในสมมุติสัจจะ คือสัตบุรุษ แต่ถ้าผู้ไม่ใช่สัตบุรุษก็จะดันทุรังไปตามความเห็นของตน แต่สัตบุรุษก็ประมาณให้เกิดผลดี แต่ประมาณไม่ดีไม่ได้ผลก็มี แต่ท่านไม่เสียหน้าก็ประมาณใหม่อีก


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:20:05 )

570703

รายละเอียด

570703_ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สันติฯ เรื่อง สัจจะไม่มีในโลก

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาจะนำจูฬวิยูหสูตรที่ 12 ในพระไตรฯล. 25 ข้อ 419 สูตรนี้อาตมาถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสถึงสุดยอดของสัจธรรมแล้ว แล้วมันสัจจะเป็นสัญญา ย นิจจานิ คำตอบเป็นคำตอบของผู้ที่ถึงความบริสุทธิ์แท้จริง ไม่มีความระแวง ซื่อสัตย์ แต่ว่าคนขี้โกงก็จะเอาไปตีกินว่า สัจจะนั้นไม่มีจริง ก็จะตีกินทำอะไรก็ได้ แต่ที่จริงไม่ได้ สำหรับคนที่ยังไม่บริสุทธิ์ก็จะมีทุกคน จะไปพูดปากเปล่าว่าฉันไม่มีก็ย่ิงซวยหนัก แต่ที่จริงมันไม่มี ทั้งชั่วดีนั้นเป็็นสมมุติทั้งนั้น

 

คนที่เฉโกก็จะว่า ในเมื่ออะไรก็ไม่มีจริง แล้วเราก็ทำอะไรก็ได้สิ นี่พวกตีกิน แต่ชั่วดีนั้น คนที่ยังอวิชชาอยู่ก็มีจริงทั้งนั้น ก็จะยึดถืออยู่ ยิ่งทำก็จะยิ่งชั่ว เกิดจริงซำ้ซ้อน คุณต้องได้ เพราะจะไปตีกินว่า ชั่วดีไม่มีจริงนั้นไม่ได้ ไปเข้าใจเช่นนี้เสร็จเลย เป็นพวกอัตวาทุปาทาน เขามีอัตตา แต่ไปยึดว่าอัตตาไม่มีได้แค่วาทะ เป็นพวกนิรัตตา คุณล้างไม่ได้ก็ยังอยู่กับคุณต่อไป เป็นตัณหา เป็นวิบากกับคุณต่อไป นี่คือส่ิงที่สำคัญมาก ก็ต้องพูดให้เข้าใจเสียก่อน

 

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

           

[419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้ว

ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่าผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลว

ทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้

เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

 

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาล

เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็

หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น

ก็จะไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้น

ล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่

กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง(สิ่งอื่นเปล่า)

 

ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้วก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

 

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อม

            กล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

 

 

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กัน

            จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย

ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่น

กล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะ

มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน

 

อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์

ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไปชนเหล่านั้นผิดพลาดและไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจดเดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตน เดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อ

มั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นใน

            ลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตน

จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่าเดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้

แก่ตนฝ่ายเดียวเดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลก

            ฉะนี้แล ฯ

           

จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

           

 

พ่อครูว่า...สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย ประโยคนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่ากับปฏิเสธสัจจะในโลก เพราะฉะนั้นสัจจะต่างๆ คือ สัญญา ย นิจจานิ คือไปยึดสัญญาว่าเที่ยง ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่น

กล่าวทิฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะ

มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน

 

ในตอนต้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น เป็นสองไม่ได้ แต่ต่อจากนั้นท่านก็ว่า สัจจะไม่มีในโลกเลย นอกจาก สัญญาว่าเที่ยงเสียแล้ว ก็ไม่มีเลยในโลก ก็คือสัจจะไม่มีในโลก มีแต่ สัญญา ย นิจจานิ

 

คำว่าเที่ยงนั้นใครไปกำหนด สัญญา ว่าเที่ยงนั่งแหละคือสัจจะ ของใครก็ตาม พระพุทธเจ้าก็สัญญา ย นิจจานิของท่าน ของคนอื่นก็ยึด กำหนดต่างๆกัน แต่ทั้งมหาจักรวาลนี้  สัจจะมีหนึ่งเดียว ก็คือของผู้นั้นที่ยึดไว้เป็นสัญญา ย นิจจานิ

 

ก็คือ สัญญูปาทานักขันโธ มันหมดอุปาทานในขันธ์นั้นออกไปเสีย ผู้ใดไม่มีการยึดในสัญญานั้นของตนแล้ว ก็ไม่ยึดอะไรว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง เพราะตัวสัญญาเป็นตัวกำหนดว่าเที่ยง ผู้นั้นเขลาต่ำทรามโง่ แต่ทีนี้ผู้นั้นเป็นผู้หมดอุปาทานในสัญญาแล้ว สัญญาเป็นตัวรู้แล้วจบในตัวสัญญา เมื่อสัญญาจบแล้วก็ทำน้ำหนักไปที่ปัญญา ปัญญาก็จะลึกซึ้งเมื่อสัมมาทิฏฐิ ปัญญาก็สั่งสมเป็นอินทรีย์พละตามสัญญา

 

สัญญาจึงสำคัญมากในการปฏิบัติ หากสัญญาผิดก็ไม่ได้ผล แต่ถ้าสัญญาสัมมาทิฏฐิก็ได้ผล ทีนี้สัญญาถ้าไม่มีอุปาทานเป็นคนที่ปราศจากอุปาทานในสัญญาขันธ์แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าสัญญานั้นมืดบอก สัญญานั้นไม่มีอะไร เพราะคุณไปนั่งหลับตาดับเป็นอสัญญีสัตว์ ลัทธิพุทธไม่ได้ให้ไปดับสัญญา แต่ให้ศึกษาสัญญาจนรู้แจ้ง จนได้สัญญาเวทยิตนิโรธ ปฏิบัติจนได้อรูปฌาน 4 แล้วพ้นอรูปฌาน 4

 

รูปฌาน 4 คืออะไร คือการปฏิบัติโดยทำความสะอาดวิญญาณ วิญญาณคือธาตุรวมของเวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก 3 แม้ยึดเวทนา สัญญา สังขาร สัญญาต้องตามกำหนดรู้ เมื่อล้างกิเลสได้สัญญาก็สะอาด กำหนดรู้ของตนที่ทำได้ถูกต้องหรือไม่ สัญญาก็เป็นตัวตรวจสอบ ถ้าทำได้ เวทนา สัญญา สังขารก็สะอาดขึ้นๆ สัญญาจึงเป็นตัวงานที่สำคัญที่สุด จึงจบด้วย สัญญา เวทยิตตัง นิโรธัง โหติ คือเคล้าเคลียเวทนา แต่ไม่ใช่ดับเวทนา ดับสัญญาไม่ให้ทำงาน แต่แท้จริงนั้น

 

พอฌาน 4 กำหนดรู้อุเบกขาแล้ว เป็นปัญญา เป็นอัญญา ได้แล้วก็พัฒนาต่อ การพัฒนาต่อคือตรวจสอบใหม่ในอรูปฌาน ทำฌานค 4 ได้คือกิเลสไม่มี แล้วก็ดับแบบพุทธ ไม่ต้องไปอยู่ในภวังค์ แต่ลืมตาตื่นรับผัสสะ รู้จักการปรุงแต่ง สภาพปรุงเป็นอารมณ์ รวมๆเรียกว่า สังขาร เป็นความปรุงเต็มรูป เป็นองค์รวม Concept เป็นความคิดความปรุงที่เต็ม แล้วในConcept ก็แตกตัวเป็น Content แล้วคุณก็ไปแตกตัวแต่ละ Content (รายบท) ต้องตีกรอบทำไปแต่ละcontext  ไม่ใช่ทำมั่วหมด แล้วเรียนรู้ความสัมพันธ์กันในcontextแล้วอะไรเป็นเหตุ มีทั้งกุศล และอกุศลเหตุ เราจับและกำจัดแต่อกุศลเหตุเท่านั้น ย้ำอีกล้านครั้ง

 

ความว่า ดับ ในเวทนาก็ตามเป็น บริบทหนึ่งในสังขาร ถ้าคุณวิจัยสังขารได้ก็จับตัวกิเลสได้ แต่ถ้าไม่รู้สังขารก็ไปจับในเวทนา ที่เป็นตัวการ ความไม่รู้ต้นทางเลย

 

การปฏิบัติต้องมีการกระทบสัมผัส นอก เช่นกระทบเงินสองล้านๆ ใจเป็นอย่างไร ถ้าวิเคราะห์เหตุ ให้จับแต่อกุศลเหตุนะ ป่วยการกับคนไปนั่งหลับตาดับนั้น วันที่จะลดกิเลสได้ไม่มี ขออภัยอาตมาพูดนี่เหมือนชี้คนอื่นผิดไปหมดของตนเองถูกหมด เหมือนมีอัตตามานะ แต่คุณจะไปรู้กับอาตมาไม่ได้ว่าอาตมามีการยึดทิฏฐิถือมั่นหรือไม่ อาตมาบอกเลยว่าอาตมาไม่มี  แต่บอกแล้วคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง

 

อย่างอาตมาบอกว่า อาตมาถูกด่าขึ้นปกหนังสือพิมพ์เลยว่า เดรัจฉานโพธิรักษ์​ อาตมาไม่ขึ้น แต่ลูกศิษย์ขึ้นหมดเลย ก็อาตมาเข้าใจแล้วว่า อาตมาล้้างตัวเดรัจฉานในตัวเองหมด ไม่ใช่ว่าอาตมาหน้าด้านหน้าทน แต่อาตมารู้ว่าเดรัจฉานคืออะไรแล้วอาตมากำจัดเดรัจฉาได้หมดแล้ว อาตมาก็ไม่ขึ้น พวกเราก็มีบางสิ่งที่นิโรธได้แล้ว บางส่ิงพวกคุณไม่เคยติดเลยในชาตินี้ นั่นแหละคุณนิโรธแล้ว แต่คุณจะไม่รู้ว่าต้องล้างอย่างไร อาการติดเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่คุณเคยติด แต่คุณได้ละล้างมา ตอนนี้ล้างได้หมดแล้ว เมื่อกระทบสัมผัสก็ไม่มีอาการโกรธหรือชอบอย่างไร อย่างเขาด่าอาตมาก็รู้แล้ว อาตมาไม่มีโกรธเคืองอะไร ไม่ถือสาอะไร ก็รู้ได้ว่าเขาว่าเรา ไม่ได้ถือดีด้วย

 

ผู้ใดได้เรียนรู้กระทบสัมผัสเกิดกิเลสแล้วเราล้างกิเลส จนอุเบกขา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา ไม่ใช่เฉยแบบพักยก แม้แต่คุณไปนั่งหลับตาดับแบบฤาษีก็ไม่เหมือนคุณทำแบบมีผัสสะกระทบทวารนอกเลย กายก็ต่างกัน อุเบกขาขอฤาษีกับอุเบกขาของพุทธก็ต่างกัน พระพุทธเจ้าไม่รับรองแม้ได้กายสักขีอาสวะบางอย่างหมดได้แต่ก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะบรรลุธรรม แล้วทำอย่างเห็นๆรู้ๆลืมตา ของพุทธต้องเห็นด้วยทวารครบ

 

เมื่อคุณอ่านอาการกามหรือพยาบาทชัดเจน จนไม่สงสัย แล้วก็ทำต่อทำซ้ำเพื่อให้เกิดอเนญชาภิสังขารหรืออนุรักขณาปธานก็จะเห็นเหตุปัจจัยที่เกิดเนกขัมมสิตะที่เป็นเวทนา18 คุณก็สั่งสมคุณสมบัติของอุเบกขา แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นโลกุตรจิตที่แข็งแรงเหนือผัสสะ คุณก็ย่ิงมีสังขารุเปกขาญาณที่แข็งแรง เฉยอย่างรู้ วิจัยมีเหตุมีผล ไม่ใช่เฉยดื้อๆ รู้นิ่งเฉย ไม่มีตัววิจัยวิจาร ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย อะไรมาก็ไม่รู้แจกแจงไม่ออก หรือแม้ลืมตาทำแต่ไม่ได้รายละเอียดอย่างอาตมาบอกก็ได้แต่สมถะลืมตา อย่างสายสบาย ทำใจให้เบิกบานร่าเริ่ง เขาก็อ่านจิตร่าเริงได้นะ จิตอภิโมทยัง อานาปานสติได้ด้วยทำใจได้ด้วย แต่ไม่ได้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริงอาริยสัจ ไม่ได้ทำทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

 

ฌานฤาษีกับฌานพุทธต่างกัน ฌานพุทธจะเห็นละเอียดขึ้นเรื่อยๆ โดยการทำซ้ำ แล้วการทำอรูปฌานก็ตรวจ อากาสาฯ ว่าว่าง แต่ความว่างนี้เป็นความว่างมาตามลำดับ ท่านก็ให้ตรวจสภาวะ 3 อย่าง สัญญา กำหนด 1.อากาศ 2.วิญญาณ 3.อากิญฯ

 

ทำไมอาตมาไม่พูดเนวสัญญา นาสัญญาฯ เพราะเนวสัญญานาสัญญา คือกำหนดรู้ทุกอย่างทั้งอากาศ อากิญ จะนิดจะน้อยเท่าไหร่เหลือเท่าไหรก็ต้องตรวจใช้ อากาสานัญจายตนสัญญา กำหนดความว่างคืออย่างไร วิญญานัญจายตนะก็กำหนดรู้ธาตุวิญญาณ และอากิญจัญญายนสัญญา คืออะไรนิดหน่อยก็ไม่ให้มี ทั้งเศษกาม เศษโลกธรรม เศษอัตตาก็ไม่ให้มี

 

เช่นอาการที่จิตมันจะเคลื่อนมารู้ อาฬารดาบส สะกดจิตดับปี๋ พอจิตมันเคลื่อนมารู้นิดหนึ่งอาฬารดาบสไม่รู้เลย มีแต่ดับๆๆๆ ส่วนอุทกดาบส รู้ได้ยิ่งกว่านั้นมันน้อยนิดแวบเดียวก็รู้ แล้วกำหนดหมายสัญญาให้มันดับไปอีก มันจะมีอะไรรู้แวบมาไม่ได้ ไม่ใช่สัญญารู้ แต่เป็นสัญญาดับ แต่ของพุทธจะกำหนดรู้ ให้เป็นสัญญาที่มีปัญญา ที่ไปสลายพลังของกิเลส ได้เลย

 

เนวสัญญานาสัญญาคือกำหนดรู้ให้ได้หมด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้ จะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ไม่มี กำหนดรู้ทั้งหมด รู้อะไร? รู้ว่าความดับทั้งหมดมีแล้ว อาสวะก็ดับ ก็ดับมาตั้งแต่โลกอบาย แต่ก่อนสัมผัสกับวงไพ่ กับเหล้า ราคาขวดละห้าแสน ตาเรากระทบข้างนอก กามราคะก็หมดไป รูปราคะก็หมดอีก อรูปราคะก็หมดอีกก็เห็นหมดเลยว่าไม่มี สัญญาก็ต้องกำหนดรู้ จะว่ารู้ก็ไม่ได้จะว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ จะต้องทำให้รู้ให้หมด คือไม่มีไม่รู้(เนวสัญญา) จะมีเหลือเท่าไหร่ก็ไม่มี

 

เมื่อทำให้สัญญาทำงานอย่างสุดยอดรู้หมดจบ ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ทำให้ดับได้หมด พิสูจน์ได้ทุกปัจจุบันแห่ง 36 เวทนา ทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต กิเลสแบบโกลียะก็หมดไม่เหลือ  แบบโกลุตระไม่มีอุปกิเลสเหลือเลย ครบทวาร 6 คุณก็ทำให้มันตกผลึกแน่น ทำซ้ำทำทวน สั่งสมไป จนเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

เราก็เห็นว่าเป็นสุภะๆๆ ไม่ใช่กิณหา โดยไม่ไปติดยึดกับประภัสสราด้วย อันนี้เทีียบกับอากาสาฯ อากิญฯหรือเนวสัญญาฯไม่ได้เพราะไม่มีส่ิงเปรียบแล้ว แล้วอะไรที่จะไม่ให้มีอะไร? คุณก็ไม่มีจนกระทั่ง สั่งสมเป็นส่วนอดีต แล้วอนาคตมันจะถูกหักล้างไหม? ก็ทำให้แน่วแน่ แนบแน่นปักมั่นจนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ

 

คุณผ่านเวทนา 108 ของปัจจุบันก็สูญทุกท่า ทุกโอกาส ทุกอิริยาบถ จนคุณไม่ต้องทำเลยเป็นตถตา ไม่ต้องทำเลย จนมั่นใจจะมารูปไหนก็มั่นใจว่าอนาคตก็สูญ เพราะอดีตกับปัจจุบันยืนยันว่าสูญมามากพอ

 

อวิชชาข้อที่ 5 กับ6 นั้นไม่สูญทั้งกุศลและอกุศล เพราะแม้เป็นอรหันต์นั้นความเป็นอกุศลจะสูญ แต่กุศลไม่สูญ คุณไม่ทำบาปทั้งปวง แต่กุศลก็ยังทำตลอดเวลา ไม่สันโดษในกุศลด้วย ดังนั้นข้อ 5 และ6 ยังมีชีวิตินทรีย์ มีแต่กุศล ส่วนอกุศลนั้นไม่มีแบบเที่ยงเลย

 

สัญญากำหนดชัดว่าอะไรเที่ยงอะไรไม่เที่ยง อะไรมีอะไรไม่มี ก็เลยเหลือแต่ สัญญา ย นิจจานิ ก็กำหนดรู้แต่สมมุติ ถ้าใครยึดมั่นจะรู้ว่ายึดอย่างสมาทานหรืออุปาทาน ถ้าใครยึดอย่างอุปาทาน คือแพ้ใครไม่ได้หรอก ถ้าคุณมั่นใจแล้ว ไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงคุณจะต้องเหนือเขาทั้งหมด แต่คนไม่ยึดมั่นในอุปาทานว่าเราถูกเราดีเราไม่ผิด เราแพ้ก็แพ้ โดยไม่โกรธไม่ผูก

 

ถ้าเราไม่มั่นใจชัดเจนจริงว่าของเราถูกเราก็เผื่อว่าของเขาอาจจะถูกนะ ถ้าคุณไม่ใช่ยอดจริงๆ อย่างคุณฟังอาตมาก็น่าจะยกให้อาตมาว่าพ่อท่านอาจจะถูกกว่านะคุณก็สบายไป แต่ถ้าคุณก็เชื่อว่าคุณน่าจะถูกก็ไม่ยกให้ใครเลย ก็ไม่เป็นไร แล้วคุณเองจะเอาอะไรจากอาตมาไหม? ถ้าคุณไม่เอาแล้วก็มาฟังแต่ว่าจะผิดอะไร ถ้าเห็นไม่ตรงก็ว่าผิดแล้ว อาจไม่แสดงออก แต่คุณสบายใจว่าอาตมาผิด แต่ใครตัดสินคุณล่ะว่าคุณถูก คุณก็ตัดสินของคุณเองเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าว่าไว้

 

สรุปแล้วคุณก็ต้องยึดว่าคุณถูก คนอื่นโง่เขลาคนอื่นผิด ใครรู้แล้วก็ไม่ไปเบลมเขาว่าผิด แต่อย่างอาตมาก็ยืนยันให้เขาฟังแล้ว แต่เขาก็มีเหตุผลเถียงแย้งว่าเขาถูก อาตมากตรวจแล้วว่าอย่างอาตมาว่าถูก ก็แล้วไป แต่ถ้าเราว่าเราผิดก็ได้ หรือถูกก็ได้ แต่มันใช้ประโยชน์ได้ไหม ถ้าเราเองยืนยันว่าถูกว่าดี แต่เขาบอกว่าผิด ไม่ดีไม่ถูก เขาก็จะทำอยู่ก็อิสระของเขา เขาจะทำ แล้วคุณเองคุณจะทำกับเขาไหม? แต่ถ้าคุณเห็นว่าถ้าทำกับเขาก็เท่ากับทำให้เสียหนักเข้าไป แต่ถ้าคุณเองว่าสังคมไม่เสียหายเท่าไหร่ก็ทำ อย่างอาตมาใช้มาตลอดว่าสังคมได้เท่านี้ก็ทำไปก่อน ไม่ได้ทำอย่างฝืนอะไร ถ้าเห็นว่าควรทำก็ทำ ส่ิงเหล่านี้ต้องมีสัปปุริสธรรม ตัดสินตามหาปเทส 4 จะเข้ากับสิ่งควรก็คุณเองตัดสิน ถ้าไม่เข้ากับส่ิงควรก็ไม่ทำ ถ้าเห็นว่าจะเสียผลก็ไม่ทำ เป็นอิสรเสรีภาพ

 

ความจริงใจของผู้ใช้วิจารณญาณอย่างที่กล่าว ผู้นั้นจะไม่ยึดมันถือมั่นเกินไป แล้วจะไม่ไปลงโทษใคร เรากำหนดเองเป็นสัญญา ย นิจจานิ ว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่ใช่ ส่วนผู้ตัดสินจริงๆในมหาจักรวาลนี้ไม่มี อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่าท่านรู้ย่ิงกว่าใครก็ตัดสินได้ แต่อย่างพระเทวฑัตไม่เชื่อท่านก็ไม่ว่าไร สุดท้ายก็ปกาสนียกรรม คือประกาศให้ทั้งหลายรู้ว่า ถ้าสิ่งใดที่เทวฑัตทำก็เป็นสิ่งที่เทวฑัตทำไม่ใช่ของเรา วิบากใครก็วิบากใคร เป็นการตัดสินสุดท้าย ย่ิงกว่าพรหมทัณฑ์ เป็นนานาสังวาสเด็ดขาดแล้ว ท่านก็ประกาศว่านั่นของเทวฑัตไม่ใช่ของพวกเราทำ ก็ไม่ต้องไปเกลียดชังกัน

 

ปฏิโกสนา ก็โจทย์ท้วงได้แต่อย่าให้ถึงต้องให้มีผู้มาตัดสินหรืออธิกรณ์ หรือค้านกันจนคนตีกัน ดีไม่ดีก็ตีหัวคุณเองล่ะ ก็ค้านได้อย่างเต็มกำลังปฏิโกสนาได้ แต่ก็ประมาณเองนะ ถ้ามากไปเขามาทำร้ายคุณเองนะ แรงได้ขนาดไหนก็แรงจนอย่าให้เกิดเรื่อง ถ้ารับได้ก็ทำ แล้วแต่ประมาณ

 

ถ้าอย่างดีก็คัดค้านอย่างทิฏฐาวิกัมม์ คือยังอยู่เป็นหมู่กลุ่มไม่แตกนิกาย ไม่ใช่อสังวาส ยังอยู่ร่วมกันได้ เป็นนานาสังวาส ความเห็นไม่เสมอสมานกันเท่านั้นเอง แต่ถ้าทำให้ถึงแตกกันแล้ว ก็ไม่ใช่กายเดียววันเป็น นิกายแล้ว คือองค์รวมนี้เรียกว่าสังวาส มันแตกไปแล้วทะเลาะกันไป เลยขั้นนานาสังวาสแล้วก็เป็น นิกาย แยกกายกันไป

 

สัจจะมีหนึ่งเดียว หรือเว้นไว้แต่สัญญา ย นิจจานิ แล้วไม่มีเลยในโลก

 

เป็นเรื่องที่ไม่มีรูปแล้ว นอกจากมีธาตุรู้ ถ้ามีสภาวะก็รู้ได้ แต่ถ้าไม่มีสภาวะก็เทียบเอา แต่ถ้าถึงนิโรธ นิพพานนั้นก็ไม่มีอะไรเทียบแล้ว คุณเทียบของคุณเองถ้าคุณมีสภาวะ อย่างตอนนี้ ถ้าคุณมีนิโรธแล้วมีองค์รวมอย่างไร?ก็มีรูป มีเสียง มีองค์ประกอบ มีการกระทบสัมผัส ก็ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา คือกระทบสัมผัส ทำงานอยู่กับทั่วไปปกติ แต่จิตของท่านว่างแล้วไม่มีกิเลส คนด่าขนาดไหนจิตของท่านก็ประภัสสร ดีไม่ดีท่านปรุงร่วมด้วย มีญาณปรุงร่วมไปกับคุณด้วย จิตท่านก็ใส แต่รู้ว่าคุณยึดของคุณ รู้ว่าเขายังรู้ไม่ได้ ถ้าตัดสินว่าจะร่วมงานด้วยก็ทำไป แต่ถ้าตัดสินไม่ทำด้วยก็ไม่ทำด้วย ก็ถูกด่าอีกแบบหนึ่ง คือด่าว่าคนนี้ไม่ทำ ใจดำ ไม่กรุณาปราณี เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นคนตำหนิเพ่งโทสกันนั้น อาสวะเจริญยิ่ง เพราะฉะนั้นใครจะทำร้ายทำลายอย่างไรเราก็ไม่ควรถือสา

 

การยึดถืออย่างรู้ๆ ไม่ได้ทำเพื่อตัวกูของกูเลย ทำประโยชน์ท่าน เราเสียสละด้วยซ้ำเป็นสมาทาน ผู้นี้มีพลังปัญญา พลังการงานอันไม่มีโทษ มีพลังวิริยะ มีพลังสังคหะ งานเราก็ช่วยเขา แต่เราทำอย่างไม่ได้ต้องการอะไรจากเขา ผู้นี้จะไมกลัวเลยในการใช้ชีวิต จะกล้าหาญเข้าบริษัทหมู่กลุ่ม ก็ไปกลัวทำไม เราจะไปรับใช้ ไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขาไม่หวั่นกลัวเลย แล้วท่านกลัวคนจะด่าว่าไหม จะกลัวทำไม เราทำสิ่งถูกทุกอย่าง แต่คนตำหนิเขาก็ไม่รู้ ถ้าเราเห็นว่าเขาไม่รับเราจริงๆบาดใจเขาเราก็ไม่ทำ แต่ถ้าไม่ขนาดนั้นได้ประโยชน์ก็ทำ

 

อย่างเราไปทำงานกับสังคม มีคนชอบใจไม่ชอบใจ เรารู้องค์รวมว่าคนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย เราเห็นว่าจะเกิดประโยชน์ถ้าทำต่อเราก็ทำ หากเสียผลแล้วเราก็เลิก หรืออย่างพล..ปรีชา พาเรากลับจากทำเนียบ คนโกรธมีมากเลย เขาว่าจะได้เปรียบจะเอาให้ชนะ แต่ว่าเราเห็นแล้วว่าอยู่ต่อจะเสียมากกว่าเราก็ถอย ต้องใช้มหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 ถ้าเราทำพลาดก็เพราะไม่ฉลาดพอ แต่ไม่เสียมากดีมากว่าก็ทำต่อ ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง รู้บริษัท โอกาส รู้เวลา รู้เนื้อหา รู้ธรรมะ รู้ตัวเราก็เท่านี้เราจะทำได้แค่ไหน เขารับเราแค่ไหน หากเขาไม่รับเราก็อย่าทำเลย หากเขารับเราพอประมาณจะคุ้มไหมก็ทำ ถ้าไม่คุ้มก็เลิก ใครจะว่าเราขี้แพ้ ขี้กลัวก็ไม่เป็นเรา เรารักษาผลไม่เสียหาย เราเป็นผู้บริหารก็ใช้สัปปริสธรรมและมหาปเทส อย่างไม่ลำเอียงจึงทำงานได้ดี

 

ถ้าอยากทำก็ทำไม่อยากทำก็ไม่ทำก็เสียหายหมด การประมาณหากผู้ไม่มีตัวตน ไม่อยากใหญ่ ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญ จึงถ่อมตนเสมอ ไม่ทำอะไรเกิน ตนแสดงว่าทำได้ 70 หรือ 80 % เสมอ ทั้งที่ทำได้ 100 แต่คนอวดดีทำได้แค่ 50 หรือ 60 หรือ70 แต่ไฟแรงทำเกินตัว 120 ก็ตายหยั่งเขียด คนอวดดีมีเยอะ แต่คนไม่อวดดีก็ไม่เสียหาย อย่างเรามีเงินล้านในกระเป๋า เราสัมผัสกองล้านในกระเป๋า แต่เขาก็ว่าเราไม่มีเงิน เราก็รู้ว่าว่าเราไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเรารู้ว่าเรามีล้านอยู่ในกระเป๋า แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปควักล้านให้เขาดู เราก็รู้ว่าเขาไม่รู้ความจริง เขายึดอย่างนั้น จึงไม่โกรธ คนไหนโกรธก็โง่ทุกคน ทำกิเลสโง่ใส่ตน แล้วตนก็ทุกข์

 

ถ้าเสพบำเรอราคะ คุณยังมีสุขเท็จหลอกไปอยู่ แต่การโกรธนี่คุณก็รู้ว่าทุกข์ กิเลสก็โตทั้งราคะและโทสะ มีอาฆาตพยาบาท กิเลสคุณก็สั่งสมใส่จิต สรุปแล้วสุขหรือทุกข์ก็สั่งสมกิเลสในจิต มีแทบทุกเวลาเลยสำหรับปุถุชน นานๆจะมีพักยก เช่นเสพกินอิ่มก็เฉยๆ สบายพัก คุณก็ไปพักสบาย แล้วก็ไปหาสุขสบายอื่นใส่ตัว เพื่อดิ้นหนีทุกข์ตลอดเวลาเลย แล้วติดเข่งกิเลสของคุณนี่โอ้โห มันล้มเต็มจนคุณขยายเข่งจนไม่หยุดเลย แสวงหาสุขหนีทุกข์ตลอดเวลา

 

อย่างกินอิ่มแล้วกินไม่ไหว ถ้ากินต่อทุกข์ก็ไม่กิน ก็ไปนอนดีกว่า คุณก็เสพนอน แล้วก็เสพอื่นแทน เสพสบาย คนอวิชชาก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น บำเรอโกรธโลภตลอดเวลา เราต้องรู้ตลอด ล้างตัวกามกับพยาบาทนี่แหละ จนทำให้จางคลายหมด แล้วก็เป็นรูปราคะ อรูปราคะต่อไป ส่วนมานะก็เป็นเศษเหลือ เป็นอากิญจัญฯแล้ว

 

อรหันต์นั้นมีความมี มีความว่างความประภัสสร มีกรรมการงานอันมีคุณค่าทำเพื่อผู้อื่นตลอดมีความรู้ความสามารถด้วยนะ แต่ไม่มีธุลีละอองแห่งอกุศลจิตแม้แต่นิดแต่น้อย ฟังเข้าใจไปทำให้มีจริงเกิดจริงให้ได้ 

 

เราไม่ต้องบังคับใจเราไม่ให้รับรู้ แต่รับรู้ได้เลย หลายอย่างเราก็รู้ว่าเขาจัดจ้านขนาดไหน แรงจัดหนัก โลกมีแต่ปรุงแต่งเพิ่มขึ้น ทำให้โลกยิ่งหลากหลาย แต่ไม่เรียนรู้ความติดยึด อวิชชา แม้แต่สิ่งเล็กน้อยอย่างเกมก็ติดกัน เด็กเล่นจนตายคาตู้เกม ไม่กินไม่นอนเลยที่จริงเด็กไม่น่าตายง่ายเพราะแข็งแรง แต่ก็ตายได้ เพราะใช้พลังงานพิเศษมาก จนไปไม่ได้ ชีวิตต้องขาดไป เพราะถูกหลอก ถูกครอบงำความคิด สารพัด นักครีเอทก็มอมเมากันสารพัด

 

อย่าง เขาก็ตรวจว่านักร้อง บียอนเซ่ ก็ว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลแห่งปี เปิดปัญชี เซเลปขาใหญ่ ครองบัลลังก์ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี ทั้งท่าทางน่าเกลียดปรุงแต่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เดี๋ยวนี้นักดีไซด์ ปรุงแต่งหลอกกันมากมายเลย อย่างอาตมาเคยท้วงคนหนึ่งตอนนี้เป็นศาสตราจารย์ ก็เขียนภาพมา แล้วคนสัมภาษณ์ว่าภาพที่เขียนหมายถึงอะไร แต่คนเขียนภาพบอกว่าผมก็ยังไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่ก็ได้เหรียญทอง คือกรรมการรู้ว่าคืออะไร? นี่คือสัญญา ย นิจจานิ

 

คุณจะรังสรรอะไรขึ้นมาต้องรู้ว่าจะให้อะไรเขา แต่พวกแอบสแตรค ก็เสี่ยง คนเขียนยังไม่รู้ว่าทำอะไรเลย คนก็ดันชอบไปใหญ่เลย เขียนส่งๆไปเท่านั้น ขออภัยพูดวิจารณ์พวกนี้ เพราะพวกนี้อัตตาสูง เสพอัตตาเสพความเก่งของตน หยิ่งผยองเป็นเรื่องปรุงแต่ให้แปลกไม่เหมือนใคร เป็นตัวกูของกู เป็นเอกลักษณ์ อัตตลักษณ์ ไม่รู้กี่ล้านคนก็เต็มบ้านเมือง รูปอย่างเดียวก็นับไม่ถ้วน มีเสียง กลิ่น รสอีก อย่างอาหารไทย แม่ครัวพ่อครัวปรุงเก่ง ต่อไปจะไปหลอกคนทั่วโลก อีกหน่อยติดโลกทั้งโลกก็หมด อย่างจีนนี่เอามาก่อน คนก็เอากันทั่วโลก แต่ตอนนี้ Papaya pok pok ส้มตำ หรือ ต้มยำกุ้งก็ไปทั่วโลกแล้ว อาหารนี่แหละคนไ่ทยจะไปหลอกทั่วโลก อาตมาพูดอย่างน่ากลัวนะ ก็ลดลงเถอะ อาตมาก็ช่วยคนที่เข้าใจว่าอาตมาปรารถนาดี พวกที่ปรุงแต่งได้รับโลกธรรม อาตมาไม่ริสยาคุณนะ จะได้รับการยกย่องว่าเก่งไม่มีใครเหมือนก็เชิญ อาตมาไม่แข่งไม่ริสยา เห็นแต่ว่าเป็นเรื่องมอมเมาคนให้คนหลงติดยึด ที่ยึดเก่ายังไม่ล้างก็เพิ่มใหม่อีกมันซวยขนาดไหน?

 

ทุกอย่างไม่มีอะไรจริงแท้ไม่เที่ยง แต่คุณก็ยึดว่าจริง แท้เที่ยง ก็คือสิ่งที่คุณยึดอุปาทาน ฉวยเอาเป็นเราของเรา  จนกว่าจะล้างได้เมื่อล้างได้ การอร่อยหรือได้อัสสาทะ จากได้เงินทอง หรือได้ตามมุ่งหมาย ได้เงินทอง ได้ที่ดิน ได้สิ่งที่เขานิยมในโลก ก็เท่านั้นบำเรออารมณ์เป็นของกู ลมๆแล้งๆ ทั้งสภาพนั้น อาจจะบอกว่าได้ใหญ่ ชนะ สมใจกู เป็นของกู อย่างเขาประมูลสแตมป์ขายกันเท่าไหร่หรือภาพอื่นๆอีก ขายหมด ใครได้

 

อย่างอาตมาพาทำสร้างกันก็พออาศัย ก็ภูมิใจที่สร้างอะไรใหญ่แพงพอสมควรก็ภูมิใจที่ไม่ได้ไปเรี่ยไรใคร มีแต่คนเชื่อว่าอาตมาต้องมีสิ่งที่พอเหมาะไว้อาศัยไม่อาศัยก็ทำงานไม่ได้ อาตมาเชื่อว่าถ้าจะไปแข่งสวยพิสดารอย่างเขาอาตมาสู้ไม่ได้หรอก อาตมาก็เอาสวยแปลกแค่นี้ไม่ได้แข่งเขาหรอก ไม่ไปลอกเลียนตามแบบเขาทีเดียว พอเป็นไป ต้องประมาณให้พอเหมาะ ถ้าไม่ทำเสียเลยก็แคบ ไม่ได้ช่วยคนมากเพราะคนระดับนี้มีบารมีก็เยอะ เช่นองคุลีมาร มีบารมี แต่หลงความรู้ ถูกหลอกให้ไปฆ่าคนสักพันคน เพื่อได้ความรู้ แต่ที่จริงฆ่ามากกว่าพันคน แต่ว่าฆ่าตอนแรกไม่มีหลักฐาน ก็เลยฆ่าคนแล้วเอาหัวแม่โป้งมาร้อยๆห้อยคอไว้ เพราะหลง เมื่อแม่มา ก็ต้องฆ่าแน่ พระพุทธเจ้าเลยต้องมาโปรด องคุลีมารก็มีบารมี อาตมาทำงานก็หาคนมีบารมี อย่าไปตีทิ้งคนชั่วทีเดียว เขามีบารมีอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า

 

สรุปอีกที ฟังวันนี้ไปแล้ว ถ้าเข้าใจดีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าเพิ่งไปมุ่น หรือเอาเป็นเอาตายกับมัน ปล่อยไปก่อนหรืออย่าเอาไปตีกิน ว่าสัจจะไม่มีหรอกในโลกนี้ จริงมันเป็นสมมุติสัจจะ แต่โลกนี้อยู่กับสมมุติสัจจะ อรหันต์ปรมัตถสัจจะสูญแล้วท่านไม่มี แต่ท่านมีสมมุติสัจจะ จะบอกว่าสมุตติสัจจะไม่มีไม่ได้ มันมี คำโกหกเป็นส่ิงมีจริง แต่คำโกหกเป็นคำไม่จริง แล้วคนโกหกมีในโลกมากด้วย คุณก็ต้องอยู่กับคนที่เขามีสิ่งไม่ดีแล้วก็ต้องประมาณเอาตามเหมาะควรนี่แหละ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:21:57 )

570704

รายละเอียด

570704_เอื้อไออุ่นที่ทะเลธรรม งานเอื้อไออุ่นชาวบุญนิยม  โดยพ่อครู

ปีหนึ่งก็มาทีหนึ่ง แม้แต่ภูผาฟ้าน้ำก็ปีหนึ่งไปทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ไปหลายปีแล้ว มันเป็นจริงที่ไม่มีเวลาไป ยังดีที่นี่ยังมาได้ทุกปี เชียงใหม่ก็หลายปีไม่ได้ไป เชียงรายก็เหมือนกัน เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมนุษย์นั้นลึกซึ้งสุดยอดพิเศษจริงๆ ถ้าทำได้ถึงขั้นคุณธรรม อย่างพวกเรานี่ได้จิตวิญญาณขนาดหนึ่ง ที่ต้องยำ้ว่าได้ เพราะได้ยืนยันพิสูจน์เลย 10 ปีแล้ว ถึง 30 ปีแล้ว ถ้าจะนับอาตมาทำงานมาก็ 44 ปีแล้ว จะขึ้น

 

อาตมาเป็นพ่อ แล้วสมณะสิกขมาตุเป็นแม่ เร่ิมต้นก่อครรภ์ที่ปฐมอโศก ตั้งแต่ปี 16 ตอนนี้ปี 57 ก็เป็น 41 ปีแล้ว ที่อาตมาใช้คำว่าแม่หรือพ่อนี้เป็น ปิตา มาตา ตามสัมมาทิฏฐิ 10 ก่อเกิดสัตตาโอปปาติกา ให้กำเนิดโดยมรรคองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ทำให้เกิดโอปปาติกโยนิ

 

อย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโพธิสัตว์มีลูกเป็นจำนวนพันเป็นเอนก ท่านไม่ได้ตรัสเอาดื้อๆ แต่จิตวิญญาณเป็นลูกแล้วมีตัวตนบุคคลเราเขาเป็นจำนวนพันเป็นเอนกจริงๆ ทุกวันนี้อาตมาก็มีลูกเป็นจำนวนพัน โดยทำให้เกิด อาตมาเป็นพ่อ แล้วก็มีผู้ช่วยทั้งนักบวชและฆราวาส ช่วยกันทำให้เกิดจิตวิญญาณ โดยมีกิเลสคืออกุศลจิตตาย เมื่ออกุศลจิตตาย จิตก็เกิดใหม่ จากการตายของอกุศลจิตจริง ของพระพุทธเจ้านี้จับตัวอกุศลเจตสิกได้จริง กำจัดได้จริง อย่างแน่นอนเที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

เมื่อเรารวมตัวกันจนเป็นหมู่กลุ่มชุมชน แล้วได้ทำงานเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างไปช่วยมนุษยชาติ แม้บางคนก็มีกิเลสอยากได้โลกธรรมบ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกไปอะไร แต่อาตมาว่ากิเลสนั้นไม่มีแรงมากพอแล้ว ก็เป็นความได้ ส่วนลาภ สักการะ สรรเสริญ นั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงสุข เพราะสุขมีสองนัย สุขแบบโลกุตระนั้นย่ิงกว่าสุข เราไปทำงานก็มีสุขในที แต่ไม่ได้สุขอย่างได้อามิสหรือโลกธรรมมา แต่เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ซึ่งเป็นเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนาหรือ เนกขัมมสิตโทมนัสเวทนาก็ได้ แต่ไม่ใช่เคหสิตโสมนัสเวทนา ได้สมใจในกาม ในอัตตา ที่ทำให้กิเลสหนาโตอ้วนเป็นปุถุชน  ส่วนทางธรรมพระพุทธเจ้าโลกุตระนั้นสมใจที่ได้ลดกิเลสได้ มันทำให้กิเลสตัวเหตุลดลง แม้จะมีโสมนัสในที แต่ยินดีที่ได้ลดกิเลส ไม่ใช่ยินดีที่ได้สมกิเลส กิเลสหนาอ้วน ไม่ใช่ แต่นี่ลดอยาก ลดตัณหาอุปาทาน มันคนละทิศกัน

 

การออกไปชุมนุมประท้วง  อาตมาไม่อยากพูดเลย ว่าเป็นผลงานของเรา มันเหมือนเราไปฮุบเอา คือเราไปให้เกิดความดีงาม อดทน ประนีประนอม ไม่ก่อเหตุร้าย เป็นไปได้ยืนยาว อดทนไม่รู้กี่ร้อยวัน เป็นคุณธรรมระดับโลกุตระ ซึ่งคุณธรรมระดับโลกียะทำไม่ได้ เพราะไม่มีความอดทนพอ และปัญญาก็ไม่พอ ที่จะทำได้ อย่างวิธีการอย่างนี้ แต่มันทำได้จนได้ผล พิสูจน์ครั้งล่าสุด ที่ความสงบ สยบความรุนแรงได้ เขาจะมาสลายม็อบ(ที่จริงเราไม่ใช่ม็อบ เราเป็น โพรเทสต์หรือ Demonstrate ) แต่เอาเถอะจะเรียกอย่างไรก็ได้

 

มวลเราก็มีไม่มาก แต่ก็มาเพิ่มเรื่อยๆ แต่มีน้ำหนักทางจิตวิญญาณ เป็นธรรมฤทธิ์ ก็พลังแห่งคุณงามความดี ทำให้ตำรวจลากโล่หนัก หนียะย่ายพ่ายจะแจไป ทิ้งซากไว้ เราฉลองทำเป็นนิทรรศการประจานระที่ทิ้งไว้ไม่รู้กี่คัน เครื่องกลหนักเราก็ริบไว้ถอดยางเขา แม้แต่อาวุธเราก็เก็บส่งคืน ถือว่าเราชนะ

 

อาตมาจึงเห็นความจริงว่า พลังจิต ธรรมฤทธิ์ทางจิตที่อาตมาใช้ศัพท์คำว่า สยามเทวาธิราชิทธิ์ พวกเราได้พัฒนาทางจิตวิญญาณ เป็นอาริยบุคคล อย่างศัพท์สมัยเก่าเขาเรียกว่าพวกอาริยกะเป็นพวกเจริญ ส่วนพวกไม่เจริญเขาเรียกว่า มิลักขะ เป็นความเจริญที่เขาก็ต้องการ แต่เขาทำไม่ได้ ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีทฤษฎี สามารถทำให้เกิดอาริยะได้จริง

 

คำว่าอริยะ เขาก็ใช้แล้ว เป็นจิตนิยมไป ส่วนอารยะเขาก็ใช้เป็นเชิงวัตถุนิยม ส่วนจิตนิยมก็ไปเข้าป่าเขาถ้ำช่วยคนไม่ได้ แต่วัตถุนิยมก็ไปฟุ้งเฟื้อฟุ่มเฟือย ผลาญพร่า อาตมาก็เลยต้องมาใช้คำว่า อาริยะ เป็นคำมาจาก ศรีอารย์ เป็นความเจริญ ศรีอาริยะจริงๆ เราไม่ได้ยึดคำนี้แต่มันต้องมาตกที่คำนี้ เหมือนกับนักบวช คำว่า สมณะก็มาตกที่เรา ทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจ คำว่าสมณะแปลว่าอรหันต์นะ เขาให้ใช้คำว่า สมณพราหมณ์ เราว่ายาวไปก็เรียกว่า สมณะ ส่วนพราหมณ์ก็เช่นกันก็เป็นคำเรียกอรหันต์เช่นกัน

 

ที่อาตมาเจตนาพูดคือให้เห็นความเป็นตระกูล เพราะว่าญาติแบบโลกๆ ทางร่างกายมนุษย์ แต่ของเราก็เรียกป้าน้าอา แต่ไม่ได้เป็นทางสายเลือด แต่เป็นกงสีใหญ่ระดับประเทศ ดีไม่ดีก็เป็นระดับโลกเลย รักทุกคนในโลกเป็นลูกเป็นหลาน แต่เราก็ไม่บังอาจขยายขนาดนั้น แม้ในไทยเราก็ขยายได้ขนาดนี้ แต่มันเกิดชุมชน เราก็มีเนื้อทางจิตวิญญาณเช่นนี้ มีเช็งเม้งตามที่ต่างๆ รวมกันได้ เช็งเม้งของทะเลธรรม ของปฐมอโศก ของสันติอโศก ของหินผาฟ้าน้ำ ของภูผาฟ้าน้ำเราก็ไปร่วมญาติ ขนลูกเด็กเล็กแดงคนแก่คนเฒ่าไป เป็นเรื่องจริงของชีวิตมนุษย์เกิดจากจิตเป็นตัวประธาน เป็น DNA เดียวกัน จิตมันเป็นตระกูลเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า จะมีเชื้อแรงหน่อยหรือจางหน่อยก็แล้วแต่

 

บางคนได้โสดาปัตติมรรค ก็มีเชื้อแล้ว ในโลกุตรธรรม 9 เข้มมาเรื่อยๆ ตามลำดับ ถ้าโลกุตรธรรม 9 อย่างได้เป็นรูปร่างตัวจริงของมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณเข้ากระแส เข้าDNA พุทธ แล้วเป็นพุทธสกุล โดยเกิดจากการปฏิบัติ โพธิปักขิยธรรม 37 พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสถึงโลกุตรธรรม 42

 

เร่ิมจากสติปัฏฐาน 4 พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

สัมมัปปธาน 4 มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน

อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5

โพชฌงค์ 7 มรรค 8

แล้วปฏิบัติได้ผลเป็นโลกุตรธรรม 9 รวมทั้งหมดเป็น 42

 

ไอสไตน์คิดทฤษฎีโลกีย์ ก็เป็นดาบสองคม เป็นทั้งคุณและโทษ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่มีพิษ ทฤษฎีพระพุทธเจ้าได้จริงแล้วไม่มีพิษเป็นประโยชน์ถ่ายเดียว ยุคนี้ต้องออกมาทำเพราะเป็นยุคปัญญาล้น เฟ้อแล้ว จึงต้องมาปรับเอาปัญญาที่สำคัญ  พวกเราได้นำเอาDNA พระพุทธเจ้ามาฟื้น แพร่ขยาย โดยช่วยกันทำให้เกิด ขยายพันธุ์ พระพุทธเจ้า

 

อาตมามีโอกาสก็อยากไปทุกแห่งเพราะไปบ้านลูกบ้านหลานจริง ไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจไม่อยากไปหรือแม้ขี้เกียจก็ไม่มี แต่ความกระสันอยากก็ไม่ได้แรงอย่างโลก รู้ว่าควรไปก็ไป อาตมาว่ามาคราวนี้หนาแน่นกว่าทุกคราว จะเพราะว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดคุณจำลองหรือเปล่า วันนี้ครบ 79 ปีเป๊ะเลยของคุณจำลอง ซึ่งอ่อนกว่าอาตมา 1 ปี 1 เดือน เกิดวันที่ 5 เหมือนกัน

 

ภาษาที่ว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นภาษาที่บ่งบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอด ตอนนี้โลกเขาก็ต้องการความเป็นเพื่อนกันทั่วโลก เป็น Globalization คือไม่แบ่งแยก ของพระพุทธเจ้านี่ไม่แบ่งแยก ปลดแอกมาเป็นสาธารณโภคี ซึ่งเป็นพ่อของคอมมิวนิสต์ ของพระพุทธเจ้าเป็นสาธารณโภคีอย่างที่เราทำได้ เป็นการยืนยันว่า ตราบในยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์ เราไปช่วยสังคมไม่ได้ทำเอาอามิส แต่ละคนรู้ดี ส่วนกิเลสส่วนตัวก็ของใครของมัน

 

สรุปพูดคนเดียวนี่ก่อน วันนี้ใครได้ฟังจะรู้ว่าพุทธศาสนาเป็นจริงอย่างไร พิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ จะนานเท่าไหร่อาตมาก็ไม่กลัวว่าคุณธรรมของชาวอโศกจะเสื่อมง่ายเพราะถ้าอาตมาเอาวิชชาของพระพุทธเจ้ามาสอนผิดๆก็ไม่ยาวนานแน่ แต่ถ้าจริงก็จะยาวนาน แล้วคนก็โหยหาด้วย ของพวกเรานี่เป็นประชาธิปไตยแท้ เป็นคุณสมบัติจากใจเป็นประธาน เป็นการละตัวตนไม่ลำเอียงเห็นแก่ส่วนรวมแท้จริงเป็นประชาธิปไตยสุดยอด

 

พวกเราเป็นลูกพ่อเดียวแม่เดียวตระกูลเดียวกัน เมืองไทยมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นโพธิสัตว์ จิตวิญญาณเดียวกัน ท่านมีลูกเป็นพันเป็นเอนก ท่านมีเป็นล้านทั่วเมืองไทย ลูกทางจิตวิญญาณ ส่วนอาตมามีเป็นร้อย ในหลวงเป็นพ่อของประเทศไทยแท้ๆ เป็นสัจจะทางจิตวิญญาณ เมืองไทยมีคุณธรรมอันวิเศษนี้แล้ว ท่านตรัสก็ตรงกับที่เราทำ ตรงกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ใครจะพูดหากไม่มีคุณธรรม แล้วท่านเป็นพระเจ้าอยู่หัว ตรัสแล้วออกไปทั่วโลกด้วยนะ ท่านตรัสวันที่ 4 ธันวาคม 34 กับรมต.เกาหลี ก่อนที่เขามาถามว่าท่านบริหารประเทศแบบไหน ...ในหลวงตรัสว่าบริหารแบบคนจน แล้วท่านก็มาเรียบเรียงอีกนิดหน่อย แล้วเอามาตรัสเป็นทางการสู่ประชาคม เราก็เอาบันทึกมาออกอากาศ

 

ท่านรู้ว่าอันนี้คืออะไร แล้วท่านตรัสออกไปทั่วโลก จิตนั้นมีความลึกซึ้งสุดยอด เป็นการประกาศภูมิธรรมของในหลวง คนเข้าไม่ถึงง่ายๆ แต่เป็นคุณธรรมของในหลวง อาตมาตั้งค่าไว้แต่ก่อนว่าอีก 500 ปีจะถึง แต่ตอนนี้ลดลงไม่กี่ร้อยปี เพราะความกระหายของคนในสังคมตื่นตัวอยากรู้ คือคนละพวกคนละขั้วเลยนะ บุญนิยมกับทุนนิยมนี่นะ แต่ลึกซึ้งซับซ้อน เราเป็นเหมือนปรอทที่จะถ่วงโฟมที่โลกเขาเป็น ปรอทแม้น้อยแต่มีน้ำหนักถ่วงได้ มาถึงยุคนี้เป็นยุคปัญญา คนแสวงหาหมด

 

นักสังคมศาสตร์ ทั่วโลกเขาทำกันอาตมาก็ได้รับรู้บ้าง จะทำอย่างไรให้สังคมพัฒนาได้ดี ก็เดินทางมาสู่จุดนี้แต่ก็ยังไม่ได้ แต่พวกเรานี่ได้ก่อนแล้ว ต่อจากนี้ไปอาตมาค่อยเขยิบให้มีภาษา มีวิชาการให้โลกเขารับได้ ก็ให้พวกเราไปเรียนป.โท ป.เอก ตอนนี้ร่วมรวมกันได้ ของอาตมาเหมือนเศรษฐีบ้านนอก มีอะไรมากมาย แต่ที่จริงเป็นเพชรนิลจินดา ก็ต้องอาศัยพวกเรามาเจียระไน อาตมาก็มีหน้าที่บอก อาตมารู้ของจริง พวกเราก็จะได้ร้อยเรียง อันนี้เป็นมงกุฏอันนี้เป็นสร้อย เป็นประโยชน์ขยายผลสู่สังคมต่อไป พวกเราก็จะต้องมีเรื่องการศึกษากับสื่อ ที่จะพาหะในการนำไปสู่สังคม ส่วนเรื่องเศรษฐกิจนั้นทำมาก่อนแล้ว รวมทั้งการพัฒนาสังคมด้วย แล้วเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจบุญนิยม ส่วนรัฐศาสตร์เราก็กำลังทำ ค่อยๆทำไป ผลีผลามไม่ได้ แต่สื่อสารจะเป็นพาหะ เป็นเครื่องมือในการทำความเจริญแก่สังค ม ทว่า สื่อสารเป็นดาบสองคม กำลังห้ำหั่นสังคมมาก เราจะช่วยให้คืนมาเป็นศาสตร์ แต่ตอนนี้เป็นศาสตรา แม้เด็กก็เล่นเกมจนตาย ตอนนี้ก็มุ่นอยู่กับอะไร จนจะชนกัน รถจะชนกันตาย มันเกินไป แย่ งมงาย ถูกครอบงำความคิด เขาร้อยจมูกไว้หมด รู้ไม่ทันก็เป็นเหยื่อ ก็สารพัดสื่อสาร โซเชียลมีเดีย เร็วมา พูดนี่ก็ออกไปแล้ว ปิดไม่ได้ ซึ่งอาตมาก็ไม่กลัว ไม่ต้องไปปิดบังอะไร

 

สื่อสารต้องเตรียมการ เราก็ถูกปิดอยู่ตอนนี้ ปิดได้ปิดไป เราก็รายงานไปขอเปิดส่งผังไปตามควร ไม่วิ่งเต้นอะไร เขาวิ่งกันจนเปิดได้ เราไม่วิ่งเต้น อยากให้เราออกก็ออก เราไม่ได้ทำเพื่ออามิส ถ้าไม่ออกเราก็ไม่ได้จ่ายเงิน ทางโลกเขามีลูกน้องต้องเลี้ยงชีพ เราไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ เราทำเพื่อเผยแพร่ส่ิงมีประโยชน์ต่อสังคม

 

ปีนี้การปตว.ไม่ได้ใช้แม้รถถังหรือปืนแม้กระบอกเดียวใช้การสื่อสาร ตกลงคุณไม่ยอมออกผมก็ขอยึดอำนาจ สื่อสารออกไป ก็รู้กันทั่วประเทศ รู้กันแล้วว่าหัวหน้าปตว.แล้ว ไม่ต้อง ก็ทำได้ดี นุ่มนวล มีขั้นตอน ดี แต่ก็มีเชิงเอาคนนั้นคนนี้มารับตำแหน่งก็ดูบางทียังไงอยู่ แต่ในการทำปรองดอง นั้นอาตมาเรียนศิลปะมาก็มีหลัก contrast คือ เอาส่ิงที่ตรงข้ามมาอยู่ร่วมกันให้เกิดประโยชน์ ทำให้เกิด Harmony ได้ สมดุลสุดยอด คือ Unity of Diversity ก็ดูว่ามีศิลปะในการบริหารอยู่นะ ก็ให้คะแนน

 

ต่อไปเป็นคำถาม

1. คำว่าจิตว่างจากกิเลส ถ้าจิตว่างจริงก็เกิดญาณใช่ไหม...ตอบ แล้วญาณปัญญาต้องเป็นสัมมาทิฏฐิด้วย ใช่แล้ว จิตว่างคือวิมุติ ต้องเป็นวิมุติญาณทัสสะ เป็นจิตที่รู้จักวิมุติ แล้วมีญาณรู้ความเป็นวิมุติ นิโรธ นิพพาน คำว่าวิมุติ นิโรธ นิพพานมีนัยลึกที่่ต่างกัน วิมุติมีนัยบอกว่าขาดหลุดพ้นจากโลกีย์แล้ว มีแต่ปัญญาใสๆรู้ว่าเราหลุดพ้น แล้ว มีตัวรู้ว่าตนหมดแล้วมีประโยชน์ต่อโลกอย่างไร ส่วนนิโรธ คือตัวกิเลสตาย ดับ ส่วนนิพพานคืออุภโตภาค มีทั้งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ คำว่านิพพานคือสูงสุด ในมูลสูตร จากวิมุติ แล้วมีอมตะ แล้วเป็นนิพพาน วิมุติจิตหลุดพ้นแล้วจิตก็หยั่งลงเป็นอมตะคือความไม่ตาย ซึ่งมีทั้งคุณสมบัติจะเกิดหรือจะตายก็ได้ จะเกิดก็เกิดได้ เช่นพระอวโลกิเตศวรจะช่วยทุกคนให้นิพพานแล้วตนเองค่อยปรินิพพาน นี่คือท่านไม่ตาย เป็นอมตะ ส่วนอมตบุคคลนั้นจะตายหรือจะเกิดก็ได้แล้ว เป็นคุณสมบัติสุดวิเศษ ที่สุดแห่งที่สุดคือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นการตายรอบตายไม่เหลือเลย แยกธาตุเลย  ถ้าอรหันต์ตรงกันเป๊ะเลยไม่ว่าจะอรหันต์ตำ่สุดถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเข้า จิตไม่มีกิเลสเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความรู้ทางโลกเทคนิคต่างกัน เหมือนพระพุทธเจ้าหรืออรหันต์ทุกองค์จิตสูญแล้ว มีสัญญาเวทยิตนิโรธเหมือนกันทุกคน

 

 

2. ธรรมะที่เราจะเร่ิมแบบชาวอโศก เหมือนฝั่งทะเล เรามาอโศกจะเริ่มตรงไหน...ตอบ อโศกเรามีหลักศีล อยู่ 3 ข้อ เป็นรูปธรรม คือ 1.ไม่กินเนื้อสัตว์ คุณจะได้เรียนรู้กิเลส  2.ไม่มีอบายมุข เป็นส่ิงหยาบตื้นของสังคม ตอนนี้ใครติดบอลโลกไม่กินไม่นอนตายได้นะ ตายคาจอ คือฟุตบอลโลก  เป็นอบายมุข เป็นสุขเท็จ สุขมันหลอก ทุกข์มันเป็นส่ิงจริงกว่า  สรุปแล้วคุณก็มาปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของอโศกเบื้องต้น ลดอบายมุข  3.ถือศีล 5 เป็นหลัก ศีล 5 ไม่ต้องลึกซึ้งเท่าไหร่หรอก อย่างหยาบๆ ก็ไม่ฆ่า ไม่ลักทรัยพ์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่เสพสิ่งเสพติดมอมเมา แล้วเรามาอ่านอารมณ์จิต ที่เกิด เมื่อปฏิบัติ แล้วเราก็จะมีศีลครบ ทำให้ได้แล้วจะรู้กิเลสของคุณ นั่นคือฐานของโสดาบัน ศีล 5 ได้ผล คือกิเลสจางคลายได้ อยากฆ่าสัตว์เมื่อกระทบ อยากได้ของเขาเมื่อกระทบทรัพย์สินเขา อยากได้คุณก็ทำเองสร้างเอง แล้วการปฏิบัติจะให้เจริญต้องมาอยู่กับมิตรดี สหายดี มาอยู่กับหมู่นี่ แต่ถ้ามาไม่ได้ต้องมาเยี่ยมเยือนบ่อยคือ ไม่มาวัด หรือมาวัดก็ไม่ฟังธรรม มาเบ่งมาใหญ่ เป็นต้น นี่คือความไม่เสื่อมเบื้องต้น ทุกวันนี้บางคนมาวัดตอนเขาหามมาเป็นศพ หรือมาวัดวันพระ มาวัดเพราะขอหวย มาตามจารีตประเพณี การมาวัดคือต้องมาหาสัตบุรุษอธิบายธรรมะให้เราได้ ก่อนจะมีพระอาทิตย์จะมีแสงอรุณมาก่อน จะปฏิบัติมรรคองค์8 ได้ต้องมาอยู่กับหมู่กลุ่ม เป็นมิตรดีสหายดี การอธิบายภาษาก็ได้ระดับหนึ่ง แต่การมาอยู่จะซึมซับถ่ายเทกันอย่างบอกไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่รูปธรรมเท่านั้น เป็นนามธรรมลึกซึ้ง แสงอรุณในสุริยเปยยาลสูตรข้อแรกเลยคือ มิตรดี จึงไปสู่ข้อที่ 7 ทำโยนิโสมนสิการได้

 

3.ธรรมกายคืออะไรครับ?...ตอบ...ทุกวันนี้ไทยซวยที่ไปแปล กาย ว่าเป็นร่างไม่มีวิญญาณ ถ้าคนตายแล้วไม่เหลือกาย ซึ่งถ้าจิตไม่มีแล้วเรียกกายไม่ได้ อย่างธรรมกาย คือองค์ประชุมรวมของธรรมะ พระพุทธเจ้าเป็นต้นทางต้นธาตุของธรรม สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์แม้นิดก็ไม่ใช่ธรรมกาย ดังนั้นธรรมกายคือพระพุทธเจ้า แต่บางสำนักไปเรียก มีแต่เละเทะ ดราม่าทั้งนั้น เป็นการตบแต่งประดิษฐ์ประดอยเยอะเลย ต้องรู้แจ้งเห็นจริงจึงทำธรรมให้สมบูรณ์ได้ ต้องปฏิบัติแบบลืมตามีผัสสะ ต้องละกามภพ ละโลกอบาย เราละได้ก็อยู่เหนือมัน จะมีโรงเหล้า โรงไพ่ อบายมุขอย่างไร ผู้บรรลุแล้วจิตเป็นโสดาบัน จิตก็อยู่เหนือได้ จะไปประเทศไหนๆที่ไหนๆ มีอบายมุขเช่นนี้ก็อยู่เหนือ เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน นี่คือผู้มีธรรมกายแท้จริงในระดับโสดาบัน

 

4.ประเด็นเรื่องการศึกษาในมุมมองของพ่อท่าน...ตอบ...เราทำไปตามลำดับก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ พยายามดู จะมีอะไรดีๆ อาตมาก็ขอเล่านิดหนึ่งว่าการศึกษาตอนนี้อย่างอ.เอนก นาคะบุตร มาประสานกับเรา โดยที่คุณเอนก มีความอิสระของตนเองมา ใช้ปัญญาตนเอง ตัวคุณเอนกก็แอบเอาของอโศกไปทั้งยวง เมื่อรู้ว่าอันไหนเยี่ยมยอดก็เอาไปทำ อ.เอนกอ้างอิงในหนังสือนี้...ก็เลยเข้าใจอ.เอนกว่าเข้าใจอโศกอย่างไรเขาบอกว่า...ปี 41 ถึง 42 รู้ว่าท่านสูงกว่า มาร์ค(คาร์ลมาคส์) เพราะในใจผมจบที่มาคส์ ที่พ่อท่านทำนี่เป็น innovate เป็นนวัตกรรมสังคม อ.เอนกว่าเขาเอาทฤษฎีอโศกไปทำ ไปขยายผลในสังคมให้ได้ว่างั้นเลย ก็เอา ตอนนี้ก็มีอะไรหลายอย่างหลายใน ที่เชื่อมโยง เพราะเขาเป็นคณบดีอยู่ในสถาบัน อาศรมศีล ทางกรรมการอาศรมศีลก็รับรู้แล้ว ว่าเรากำลังทำ ว.นบ. อ.เอนกว่า เอาแบบอโศกเต็มๆเลย ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เพราะเป็นที่ประจักษ์โดยชาวอโศกมีพฤติกรรมสังคมอยู่แล้วให้เห็น ให้ทำหลักสูตรเองเลย แล้วทำหลักฐานไป ปีสุดท้ายเอาหลักฐานไปก็ให้ปริญญาเลย ทางอาศรมศีลเขาก็กำลังทำเหมือนกัน แต่เขาทำไม่ได้อย่างชาวอโศก (ขออภัยพูดแล้วเหมือนใหญ่โต) อ.เอนกได้ปริญญาเอก แล้วเขาก็ไม่ไปรับใบ จบป.เอกเมืองนอกด้วย แต่เขาก็ทำงานมาตลอดเวลา ตอนนี้ไม่ค่อยสบาย ก็เลยต้องรีบทำงาน สรุปว่าการศึกษาคือการทำให้คนเจริญหมดความเห็นแก่ตัวแล้วมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

 

5.การฆ่ากิเลสคือทำอย่างไร?...ตอบ...การฆ่ากิเลสเป็นการฆ่าที่สูงส่ง ไม่บาดเจ็บเลย ทำอย่างไรก็รู้กิเลสของตน รู้ได้อย่างไรก็ต้องมีโทรจิต ส่งกล้องในจิตใจ มันเกิดกิเลสเมื่อไหร่ก็เห็นจับตัวมันให้ได้เลย ดูสักกายทิฏฐิ ให้จับกาย ของตนที่เป็นองค์ประชุมของกิเลส ต้องรู้ตัวนี้ให้ได้ ถ้าไม่รู้ตัวนี้ก็โมเม เหมือนตำรวจจะจับโจรไม่รู้จักโจรเลย แล้วก็ไปนั่งซดเหล้ากับโจร กอดคอกับโจรเลย ไปสนุกสนานคบหากับโจร ไปอีก นั่นคือคนส่วนใหญ่ หรือคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ตั้งใจจับโจร หรือจะจับโจรฆ่าโจรก็เผาไปทั้งโลกเลย แล้วโจรตายหรือไม่ก็ไม่รู้ โจรหรือกิเลสนั้นเก่งนะ แต่เผาทำลายอย่างอื่นเกลี้ยงเลย โจรไม่ตายหรอก หนีเก่ง นี่คือวิธีปฏิบัติทางโลก ต้องมีโทรทัศน์ทางใจ เมื่อมีผัสสะ ต้องจับกิเลสที่เกิดให้ได้ อย่างน้อยต้องระงับกิเลส แต่เป็นการกดข่มเหมือนหินทับหญ้าไว้ ไม่ตาย ต้องมีปัญญาเห็นความจริงว่ามันไม่เที่ยง มันลดได้ แล้วเราทำให้กิเลสไม่มีในใจด้วยปัญญา อย่างรู้ๆเห็น แล้วทำให้กิเลสหมดไปด้วยไฟฌาน ฌานต้องมีปัญญา ฌานไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน นั่นคือฌานคือไฟปัญญาที่เหนือชั้นกว่าไฟกิเลส พลังความรู้ ญาณ ปัญญาจะทำให้กิเลสลดลง เช่นในวิปัสสนาญาณ 9 อย่างลืมตาเห็นๆ มีจักษุ ญาณ​ปัญญา วิชชา แสงสว่าง สรุปว่าต้องจับกิเลสให้ได้ แล้วฝึกฝนฆ่ากิเลสให้เป็น เป็นโยนิโสมนสิการ

 

6.ความหิวกับความอยากต่างกันอย่างไร?...ตอบ...ความหิวคือความต้องการทั้งประสาทและสรีระต้องการมาให้สรีระอยู่ได้ แต่ความอยากนั้นเป็นกิเลส อยากทางกาม และภพ และยังมีอยากที่ต้องการฆ่ากิเลส เป็นตัณหาดับภพ ต้องฆ่ากิเลส กามภพ รูปภพ อรูปภพ  ต้องเรียนรู้ความหิวเป็นสิ่งธรรมชาติ แล้วเรียนรู้ความต้องการที่เป็นกุศล อย่างพระพุทธเจ้าต้องการสร้างศาสนาจึงจะตาย นี่คือความอยาก จะเรียกว่าหิวก็ได้ หิวคือความต้องการที่เหมาะสม ไม่ใช่เพื่อตัวตนกิเลสแต่อยากนี่หิวอยากเพื่อกิเลส หิวเพื่อมาอาศัยหรืออยากทำประโยชน์เพื่อคนอื่นไม่เพื่อตัวตน แต่ถ้าอยากแล้วเอามาบำเรอกิเลสเรียกว่า กาม

 

7.คำว่ากายคืออะไร?...ตอบ...กายถ้าไปหมายถึงแค่ภายนอกไม่เกี่ยวกับนามธรรมนั้นไม่ถูกแล้ว กายแยกกายกับจิตไม่ใช่ให้แยกขาดจากกัน กายขาดจิตไม่ได้เลย แต่จิตนี่ขาดมหาภูตรูปได้

 

8. คนเกิดมาเพื่ออะไร?...ตอบ คนเกิดมาเพื่อตาย แต่ตอนยังไม่ตายต้องศึกษา ทำส่ิงมีประโยชน์ อย่าทำส่ิงเป็นโทษ แต่สุดท้ายก็ต้องตาย ศึกษาให้ดีว่าอะไรคือโทษอะไรคือประโยชน์แล้วต้องหัดอย่าทำส่ิงเป็นโทษ ทำส่ิงเป็นประโยชน์

 

9.อยากทราบว่า งานภราดรภาพฯหรืองานเอื้อไออุ่นจัดที่ไหนบ้าง.?...ตอบ...เกิดทุกที่ที่ได้จัดขึ้น แล้วเป็นการถามอย่างพ่อๆลูกๆคุยกัน จำไม่ได้ว่าครั้งแรกเมื่อไหร ไม่แตกต่างกันที่อื่น ที่นี่นั้น เขาว่านะถูกผิดก็ว่ากัน เขาว่าคนใต้ไม่ค่อยรวมตัวกัน อิสระไม่รวมตัวกันทำดี เขาว่างั้่นนะ จะบอกว่าแน่นแฟ้นกว่าที่อื่นไหม?ก็ตอบไม่ได้ เพราะดูว่าทุกคนกระตือรือล้นที่จะไปรับพ่อครูที่สนามบินแม้ฝนจะตก ก็ขอบคุณพวกเราที่ขวนขวาย พูดก็พูดเถอะเป็นคนมีปัญญาเลยไปรับอาตมา แต่ถ้าบียอนเซ่มาคนจะไปรับมากกว่าอาตมาแล้วมีปัญญาไหม?

 

10.เวลาหลวงปู่เทศน์ทำอย่างไรไม่ให้ง่วงคะ ตอบ...ก็จำนนเหมือนกัน ก็พยายามอยู่นะ ให้ตลกบ้าง แต่พอถึงวิชาการก็แน่นหนัก ก็พยายามอยู่ รู้ว่าธรรมลึกหนัก ก็เป็นการอธิบายเหมือนเชิญยิ้มบ้าง แต่ตลกมากไม่ดีจะทำไงไม่ง่วงก็ต้องตั้งใจช่วยเหลือตัวเอง วิธีการก็มีทำใจให้ตื่น หยิกตัวเอง ออกไปเดินรับลมบ้าง แต่สนใจธรรมนี่แหละเรื่องหลัก มันมีธรรมรสนะ แต่ถ้าจับสาระยากเพราะธรรมลึกก็ยาก แต่ถ้าจับสาระได้ยิ่งร่าเริงเบิกบานในการฟัง

 

11.พ่อท่านคิดว่าเมืองไทยมีความพร้อมในการปกครองตนเอง คือดูแลตัวเองไม่ต้องพึ่งตำรวจ ต้องปรับตัวเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้ปกครองตนเอง...ตอบ...ผู้ปกครองตนเองได้คือผู้มีธรรมะสูง รู้จักการมีชีวิตอยู่กับสังคม แต่ฤาษีว่าปกครองตนได้แต่ก็หนีสังคม นี่ไม่ถูกพุทธ  การปกครองตนเองจะต้องหลุดพ้นจากอบาย ฆ่ากิเลสติดอบายได้ เราก็รอดพ้นจากสังคมต่ำอบายได้ ต่อมากับสังคมเฟ้อเกินจำเป็นแห่งชีวิตคือกิเลส ก็ลดลง ข้างนอกเขามีกามคุณ เรารู้แล้วไม่จำเป็นเราก็ลดละไป ทำไปทีละลำดับเราก็บริหารปกครองตนเองได้ เพราะเราหลุดจากส่ิงมอมเมาได้ เราหลุดพ้นจากสิ่งที่หลงงมงาย เช่นในมือถือนี่เราก็ต้องรู้มีสิ่งที่ติด เราก็ต้องเลิกมา ในโทรศัพท์มือถือยิ่งคุณภาพสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสิ่งติดในนั้นมาก มีผีมาก พอหลุดพ้นได้ก็ไม่เป็นทาสส่ิงนั้น ในโลกมีส่ิงปรุงแต่งมาก ที่ใช้ภาษาว่า create ครอบงำให้คนเป็นเหยื่อตลอด ผู้จะปกครองตนเองได้ต้องเหนือโลกีย์ ไม่ตกเป็นเหยื่อแล้วจะมีทุนรอน แรงงาน เวลา เหลือไปช่วยสังคมได้ และคนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะปกครองตนเอง สังเกตว่าอาตมาทำงานกับพวกเราไม่ค่อยจู้จี้ให้พวกเรารู้จักหน้าที่กาละเวลา ไม่ได้เอาเงินลาภยศมาบังคับ แต่พวกคุณรู้ดีว่าต้องทำงานตามสำนึก ปัญญาเอง เมืองไทยยังมีไม่พอ จนกว่าจะเกิดพุทธธรรมมากพอที่จะปกครองตนเองได้ สรุปผู้ปกครองตนเองได้คือผู้พึ่งตนเองรอดแล้วช่วยผู้อื่นได้ เมื่อคนมีคุณสมบัติเช่นนี้สังคมจะดีไม่เบียดเบียนกัน ช่วยเหลือกัน ถ้าสังคมสูงแล้วตำรวจไม่ต้องมีมาก อย่างชุมชนอโศกเขาให้มีตำรวบ้าน ไปอบรมเป็นตำรวจบ้าน พอมีตำรวจมาอยู่กับชุมชนอโศก ทำหน้าที่ไล่วัวไล่ควาย ไม่ต้องไปจับคนทะเลาะวิวาทไม่มี มีแต่ช่วยทำงานไป นี่คือเรื่องจริง


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:26:34 )

570705

รายละเอียด

570705_ข้าวแสนตันฝันหรือจริง? (ฝันที่เป็นจริง)

ส.นาไท ดำเนินรายการ มีปฏิบัติกรเป็นชาวอโศกและเครือแห ที่ทำนาอินทรีย์ไร้สารพิษ เช่นคุณนิคม เริ่มรายการด้วยภาพวิดีทัศน์ พ่อครูพาญาติธรรมเดินไปลงแขกทำนากันที่ใกล้ๆปฐมอโศก เมื่อ 42 ปีก่อนพ่อครูช่วยญาติโยมหอบฟางด้วย เป็นภาพที่น่าประทับใจเห็นถึงความมุ่งมั่นในการทำกสิกรรมไร้สารพิษของพ่อครู

 

พ่อครูให้ความเห็นว่า....ข้าวแสนตัน ฝันหรือจริง พ่อครูได้ให้ข้อมูลว่า ถ้าแต่ละเครือแห ไม่ว่าจะด้านสุขภาพ และ กปปส. ประท้วงมาหลายที ไปหาบัดดี้ ปลูกข้าวไร้สารพิษ มาขายให้ อโศกรับซื้อก็จะเป็นไปได้

 

ชาวนารักษาสุขภาพด้วย ทำนาวัฒนธรรม ทำนาไร้สารพิษ ทำนาถอนพิษ(พอกโคลนทั้งตัวเลย) ทำเกษตรเพื่อรักษาสุขภาพ ทำเกษตรเป็นบุญ ทำนาเสียสละ ทำนาข้าวแสนตันเพื่อแบ่งปันกันกิน ทำนาที่จะให้นาเรามีผลผลิตสูงขึ้นต่อไร่ ใส่ปุ๋ยสะอาด ขวัญดิน ขวัญกสิกร งอกงาม ปุ๋ยเราเอาไปวิเคราะห์แล้วมีคุณภาพ มีจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มีจุลินทรีย์ดีๆทั้งนั้น ทำนาแล้วเหลือนา ทำนาแล้วได้นา ไม่ใช่ทำนาแล้วต้องไปเช่านา ทำนาได้ฟางก็ยังดี เพราะฟางมีค่ากว่าทองคำ อย่าทำนาเพื่อเอาเงิน

 

คุณนิคมว่า...ทำยังไงจะได้แสนตัน และไร้สารพิษด้วย เป็นโจทย์ ถ้าส่งในแบรนด์อโศกคนมั่นใจว่าใช่ แต่ว่าคกร.จะคุย ว่าเฉพาะเรื่องข้าวต่อไปจะมาติดแบรนด์อโศกต้องได้รับการตรวจสอบให้น่าเชื่อถือเชื่อมั่น ว่าข้าวเราไร้สารพิษ สุจริตแท้

 

ฝากไว้ว่า ข้าวแสนตันฝันเป็นจริง ต้องบรรลุธรรมจึงมั่นใจ

 

ทำนานอกจากได้ข้าวแล้วต้องได้คนดีได้ธรรมะด้วย...แล้วจะมั่นใจได้ เอาคนดีมีธรรมะมารับรองนั่นแหละ เราต้องขยายเครือข่ายคนดีไปสู่สังคม จะเป็นตราประทับคุณภาพผลผลิตเรา

 

ข้าวแสนตันฝันที่เป็นจริงได้จากคนมีศีลธรรม หาความรู้สู่การเพิ่มผลผลิต ต้องใช้สามอาชีพกู้ชาติ รู้เรื่องจุลินทรีย์น้ำหมักปุ๋ยอินทรีย์ ทำนาให้เหลือนา ทำนารักษาสุขภาพ

 

ส.นาไท ว่ารู้สึกว่าแปลกวันนี้พูดกันด้วยวิญญาณ พวกเราช่วยไปหาเครือข่าย ทำนาคนละไร่หรือสองไร่ ว่างจากชุมนุมทางการเมืองก็ไปชุมนุมในนาก่อน ไปหาคนมาช่วยทำนา ลงแขกกัน ทำนาเพื่อสุขภาพ แต่ก่อนเรามาพอกหน้าได้แค่หน้า แต่ตอนนี้มาพอกกันทั้งตัวในนาเลย เป็นการทำนาถอนพิษ ได้สุขภาพและผลผลิตด้วย

 

อาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่เป็นอาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน ในหลวงและพระราชนี สมเด็จพระเทพฯก็ทำนา ในหลวงว่าเราเป็นคนจน เรากินข้าวกล้อง

 

พ่อครูสรุป...ข้าวจะขาดแคลน อาตมามองว่าชาวอโศกทุกคนต้องเป็นชาวนา ชาวอโศกเราต้องเป็นผู้ดูแลสร้างสรรรับผิดชอบเรื่องข้าวให้เป็นประโยชน์จริงๆ เพราะเห็นว่าข้าวเป็นหลักของโลก แม้ว่าเราจะรู้ว่าข้าวไม่ใช่สินค้าไม่ใช่เรื่องหากำไร ออกฉายทางโทรทัศน์อาตมาพูดว่า ข้าวไม่ใช่สินค้า ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน อย่าเอาข้าวไปหากำไร ข้าวนี่กินกันทุกคนจะกระจอกๆหรือคนรวย ก็ต้องกินข้าว แต่ถ้าข้าวราคาแพงไปเรื่อยๆ ไม่ดีแน่ ต้องแบ่งกันกิน ต้องถึงมือคนจนด้วย แม้ข้าวจะราคาอย่างไรคนก็ต้องซื้อกัน นายทุนทำให้ข้าวราคาแพงได้ คนจนก็ตายสิ รัฐบาลต้องดูแล

 

และรัฐบาลเก่าที่ทำคิดอย่างไรทำให้ข้าวราคาแพง เห็นใจชาวนา หลงเงินทองเอาข้าวไปขายหมดแล้วเอาเงินไปซื้อข้าวกิน หลงเงินกัน เราต้องดูแลกันให้ได้ให้เป็นข้าวไร้สารพิษ ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ แจกจ่ายเจือจานกันได้ เป็นเรื่องสังคมที่ยิ่งใหญ่

 

อโศกมีบุญนิยมอาตมาว่าเป็นไปได้ ที่เราจะเอาจิตวิญญาณพวกเราและความรู้สามารถ มารักษาสมรรถภาพเรื่องข้าวของประเทศ โครงการข้าวแสนตันก็ไม่ได้รีบร้อนให้ได้แสนตันเร็วหรอก แต่เราจะให้รักษาคุณภาพแล้วมีอัตราการก้าวหน้าขึ้น ค่อยๆเพิ่มขึ้น เห็นว่าเรื่องปริมาณเป็นรองเรื่องคุณภาพ เรื่องคุณภาพต้องเป็นหลัก ทั่วไปเขาก็ทำข้าวกัน แต่เราตั้งใจทำให้ดีเป็นข้าวคุณธรรมที่แท้จริง แสดงออกได้จริงๆเลยว่าผู้ทำงานข้าวตั้งแต่ปลูกจนแจกจ่ายต้องมีคุณธรรม

 

อาตมามุ่งมั่นมาดังเห็นภาพเก่าปี 24 แต่ปีนี้ 57 แล้ว อาตมาก็ทำมา ก็ค่อยๆเป็นไปอาตมาก็ไม่เที่ยวไปบังคับ ก็เห็นว่าพวกเราเรื่องกสิกรรมไร้สารพิษ ก็ช่วยกันทำให้เกิดขึ้นดีแล้ว ก็คิดว่าเราเร่งรัดพัฒนาเรื่องข้าวขึ้นมา ก็ขอบคุณทุกคนที่สนใจแล้วพยายามคิดอ่านช่วยกันทำ นี่ก็มีหลายอาชีพลงมาติดดินมาลุยเป็นนิมิตที่ดี จะบอกว่าอาชีพสูงแต่หลงอบายมุข เพลิดเพลินไปก็แล้วไปเถอะ เขาหลงไป แม้แต่คนล่าเงินทองก็อยู่ในโลกอบายมุข เขาไม่เข้าใจว่าอบายมุขคือจิตที่เลวโลภมาก สะสมไม่เผื่อแผ่ ขี้โลภจัดๆ โลภมากก็คนนรกอบายมุข ในด้านความเป็นอยู่สังคมชีวิตเราก็ต้องช่วยกัน ก็ดีแล้ว ผู้ที่ได้ฟังหรือได้ข่าวคราวก็น่าจะมีน้ำใจอุตสาหะขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยนะ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:28:04 )

570705

รายละเอียด

570705_ตอบปัญหาพาคนเข้าวัด 1 งานเอื้อไออุ่นชาวบุญนิยมที่ทะเลธรรม

เวลาไม่เคยหยุดเลย ทางโลกเขาไล่ล่าบางคนก็ไล่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ แต่อาตมานี่ไล่ล่าเวลา ไล่ล่าเวลา ทำอะไรก็ไม่ทัน หมดเวลา อาตมาก็มีปัญหาเก่า ที่จะตอบ เป็นรายการตอบปัญหา พาเข้าวัด

 

ทะเลธรรมนี่ก็ตั้งมากี่ปีแล้วนี่?... 23 ปี เป็นสังฆสถาน สถานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คนดูเหมือนจะลดลง ตายไป 4 เพิ่มมา 1 คน

 

1.หลวงปู่คะถ้าเราเรียนข้างนอกแล้วเอาความรู้กลับมาช่วยข้างใน กับการเรียนภายในที่เป็นทางปฏิบัติมากกว่าแล้วบอกต่อรุ่นสู่รุ่นอย่างไหนดีกว่า เพราะเรากินมังฯอยู่แล้ว?

ตอบ ..พวกเราเรียนข้างในนี่มาสร้างชีวิต สร้างภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่ปฐม มัธยม อาตมาถือว่างานสร้างมนุษย์เป็นงานสำคัญ อาตมาพาทำการศึกษาฝึกในให้คนมีคุณธรรม จำไว้ว่าควรได้ 1.ไม่มีหนี้ 2.พึ่งตนเองรอด 3.ทำกินเหลือใช้เท่าที่ทำได้ 4.นำสิ่งที่เกินที่เหลือเหล่านั้น แจกจ่ายเผื่อแผ่ผู้อื่น ผู้ใดทำตามได้ครบก็ถือว่าได้สิ่งที่ควรได้ สี่หลักนี้เป็นการทำชีวิตให้รอดและไม่เป็นบาป แต่ถ้าไม่ล้างกิเลสก็ไม่รอด บาปคือกิเลส ทางเดียวคือต้องชำระกิเลส ผู้ชำระกิเลสได้เกลี้ยงก็คืออรหันต์ ก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป กิเลสของท่านล้างได้หมดแล้วอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญปาปริกขีโน) พระพุทธเจ้าตรัสเองว่าเราเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ผู้ที่เรียนนี่ การเรียนของชีวิตทั่วไปก็เรียนเพราะถูกบังคับ เพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีพได้ ไม่ทุจริตก็อยู่รอดได้ การศึกษาจึงเพื่อเลี้ยงชีวิต อย่างสื่อสารของเรานี่เป็นสื่อสารไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีพ แต่เป็นสื่อสารที่ทำงานให้สังคม แต่เขามองว่าสื่อสารเราเป็นการโฆษณาตัวเอง

อย่างอาตมาทำไมส่งคนไปเรียนข้างนอกแล้วมาช่วยอโศกข้างในล่ะ แต่พวกเราหลายคนก็ไม่ได้อยากเรียน แต่ที่ให้เรียนเพราะให้มีเครื่องรับรองทำงานติดต่อกับภายนอกได้ จะเรียกว่าได้รับความนับถือ ที่จริงเราก็ไม่ได้ต้องการความนับถืออะไร แต่ถ้าพวกเราได้รับความนับถือก็จะดีไหมล่ะ จะได้ช่วยเหลือสังคมได้เพ่ิมขึ้น สรุปแล้วความคิดที่พูดว่าไปเรียนข้างนอกมาช่วยข้างใน ซึ่งถ้าไปเรียนข้างนอกแต่ไม่มีภูมิธรรมพอ จะกลับมาช่วยก็ยาก ขนาดเรียนข้างในหกปียังไม่ค่อยกลับมาเลย ของเราเป็นระบบสาธารณโภคี เราบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี่เป็นของเธอนะ แต่เขาก็ฟังไม่ขึ้น แม้ผู้ใหญ่ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะว่าเขาเอาไปใช้ส่วนตัวไปซื้อเกมมาเล่นไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น

 

ระบบคอมมิวนิสต์ จิตใจของเขาถูกบังคับให้เอาสิ่งที่ทำได้เป็นของส่วนกลาง แต่ผู้บริหารก็ไม่ซื่อสัตย์ ทำมามากเขาก็มารีดไถไป เป็นเผด็จการหมู่ เขาไม่ได้เต็มใจให้ เขามีรัฐสวัสดิการให้คนที่แม้ไม่ทำงานก็ได้รับรัฐสวัสดิการ คนทำงานมากแต่ก็ถูกขูดรีด คนก็เลยไม่ทำงานเสียเยอะเพราะได้รับสวัสดิการเท่ากัน สรุปงานก็เลยไม่เกิดไม่เดิน

 

ส่วนประชาธิปไตยเขาก็ว่าดีที่สุดไม่มีอะไรดีกว่า แต่ความจริงแล้ว ประชาธิปไตยถ้าจะตั้งชื่อจริงๆก็ไม่ต้องไปแย้ง ดีแล้ว ประชาชนมีอำนาจอธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน ริบไม่ได้เลย เมื่อไหร่ก็อำนาจเต็ม เพราะงั้นประชาชนมีสิทธิประท้วง เหมือนสาธารณโภคี ทุกคนท้วงได้ถ้าผู้บริหารทำผิด ก็ชำระโทษตามที่ผิด อาตมาถึงบอกว่าประชาธิปไตยคือการประท้วง ถ้าประชาชนหมู่ใหญ่ออกมาประท้วง คนเดียวก็ประท้วงได้ ถ้าผู้ถูกท้วงเช่นนายกฯ ถ้านายกฯผิดจริงก็ต้องออกหากความผิดถึงต้องออกนี่คือประชาธิปไตย แต่มันไม่เกิด แล้วคนก็ไม่เชื่อว่าออกไปประท้วงนี่ถูกต้อง เพราะเหมือนเอาหมู่ใหญ่มาข่มรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลนี้ มีอำนาจเรียกว่ารัฐบาลาธิปไตย ถูกฟ้องร้องได้ ไม่ใช่เป็นคนมีสิทธิเต็มที่เหมือนประชาชน เขาให้ไปทำหน้าที่เป็นเพียงรัฐบาลเท่านั้น แต่เขาใช้อำนาจมาเบ่งข่ม ซึ่งพุทธศาสนามีการสร้างอำนาจที่ไม่เบ่งข่ม เป็นธรรมฤทธิ์ เหมือนอย่างในหลวงนี่ใช้ธรรมฤทธิ์

                                     อำนาจ 5 ในสังคมมนุษยโลก

 

                                    (1) อำนาจ"ห้า"แบบไซร้          ในมนุษย์

                                    หนึ่ง..เบ่งบังคับสุด                   สะกดไว้

                                    อำนาจรัฐ,อาวุธ                                   อีก กฎ- หมายแฮ         

                                    ใช้ข่มประชาให้                                   อยู่ใต้การปกครอง

                                    (2) สอง..เงินอำนาจแท้                        ทุนนิยม

                                    เงินฟาดทาสโง่งม                    ย่อมได้

                                    "รัฐบาล"ผสานผสม                  "เงิน"ยิ่ง โลดแล

                                    เสือติดปีกห่อนใกล้                  อำนาจไร้เทียมทาน     

                                    (3) สาม..งาน"สาระ"พร้อม       "วิทยะ"

                                    เพิ่มอำนาจสมรรถนะ                ที่แท้

                                    ทั้งปราชญ ์เก่ง,ทั้งประ-                       โยชน์เปี่ยม เยี่ยมเลย   

                                    ได้อย่างนี้เลิศแล้                                  แน่นเนื้อการเมือง                    

                                    (4) สี่..เฟื่องแถมมากด้วย         มวลคน

                                    เป็นคะแนนเสียงชน                 บ่งชี้

                                    ประชาธิปไตยผล                     ยิ่งชัด แลนา

                                    ระบอบนั้นอย่างนี้                     ที่ต้องการกัน

                                    (5) จักสมฝันโลกได้                ต้องทำ                        

                                    อำนาจ"ห้า"ต่างสำ-                  เหนียกรู้

                                    คืออำนาจแห่งธรรม                 ประเสริฐสุด

                                    อำนาจไหนจักสู้                                   แข่งได้มีฤา                 

                                    (6) คืออำนาจ"ห้า"แน่              ดีสุด

                                    ประเทศใดมีมนุษย์                   สฤษฏ์ได้

                                    ธรรมแม้ไม่โลกุตร์                    ก็เถอะ ทำเทอญ

                                    ขอมนุษย์ชาตินั้นไซร้               มั่นแท้ในธรรม

                                    (7) ยิ่งสัมฤทธ์กว่านั้น              ได้นะ

                                    ธรรมะสู่โลกุตระ                                   วิเศษล้ำ

                                    เข้าถึงแก่นอาริยะ                    ทวยราษฎร์ ถ้วนเฮย

                                    อำนาจนี้แน่ค้ำ                         ชาติให้เจริญเสถียร.

 

                                                                        "สไมย์ จำปาแพง"   3 ก.ค. 2557

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 289 ประจำเดือน สิงหาคม 2557]                                            

                          

เขาคิดว่าออกไปประท้วงไม่ใช่ประชาธิปไตย เขาไม่เข้าใจว่ากปปส.ประท้วงปตว.สำเร็จแล้วสวยงามด้วย มวลก็พอสมควรแล้ว สงบเรียบร้อยไม่ไปทำร้ายทำลายใคร มีบกพร่องบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ได้เกิดจากกปปส. แต่ว่าสังคมไม่เข้าใจ ถ้าศาลตัดสินได้อย่างเข้าใจก็พิจารณาได้ ว่านิวัฒน์ธำรงอยู่ไม่ได้แล้วไม่มีอำนาจอยู่ได้ แล้วมาอ้างว่ารธน.ไม่มีให้ไล่ออกแม้เขาจะผิดก็ไล่ออกไม่ได้ ก็หน้าด้านขนาดนี้ คนอื่นเขาละอายก็ลาออกแล้ว ตปท.เขาลาออกกันแล้ว

 

อำนาจโลกุตระเท่านั้นที่เสถียร แต่ก็มีน้อยคนโลกุตระนั้นมีน้อย แต่ก็ค่อยทำไป เพราะเราไม่บังคับใคร อย่างสมัยพระพุทธเจ้า แม้กษัตริย์ก็ยังยอมเลย ถ้าผู้ใดมาเข้ารีตมาตามธรรมนูญนี้ ก็ปลดแอกทั้งทาส ปลดทั้งวรรณะด้วย แม้เป็นคนของพระเจ้าแผ่นดินก็ยังยกให้เลย เพราะยุคโน้นเขารู้โลกุตรธรรมกัน แต่ยุคนี้เขาไม่เข้าใจทันที แต่ก็ดีเขายังไม่เข้าใจหมด ถ้ายกให้เราทำหมดเลยแย่แน่ เหตุการณ์ที่เกิด ถ้าสุเทพได้เป็นผู้ที่ตั้งเหมือนคสช.คณะนี้ แล้วทำคณะผู้ก่อการเลย ถ้าไม่เกิดคสช.นั้นสุเทพก็ต้องทำหน้าที่ อาตมาว่าสุเทพตายแน่ ทุกขลาภทำไม่ไหวแน่ แต่คสช.นี่เขาทำได้ดี ค่อยๆทำไป ดีมากเลย เขาทำได้เพราะมีอำนาจ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะดีแตกหรือไม่ ก็ขอให้ทำให้ตลอดรอดฝั่ง เราก็ทำไป ในอนาคตเราก็ต้องได้ทำแน่นอน แม้เราเป็นประชาชนนี่เป็นการเมืองภาคประชาชนนี่จริงที่สุดดีที่สุด แม้จะไปเป็นคณะบริหารก็ดี ถ้าเราทำงานได้ดีก็ไม่มีใครปลดเกษียรเลย เขาจะให้ช่วยงานไปตลอดเลยหากทำได้ดี การเมืองคือการทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองเพื่อประเทศชาติ อย่างเรามีโรงเรียนให้การศึกษาพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดีทำฟรีด้วยไม่เก็บเงินเก็บทองเลย แล้วเรากำลังทำในระดับอุดมศึกษาด้วย หน้าที่สร้างคนให้ชาติเป็นหน้าที่นักบริหารประเทศเราก็ทำ แม้สร้างสาธารณูปโภคเราก็ทำให้เขา แม้หมู่บ้านข้างเคียงเครื่องปั๊มน้ำเสียก็มารบกวนเรา ศาลาวัดพื้นปูนไม่ดีก็มารบกวนเราเราก็เทปูนให้ ถนนคอนเวริ์ต ทุนรัฐให้มาไม่พอเราก็ไปช่วยทำ ใช้เงินไปสองล้าน

 

อำนาจที่เขาใช้เป็นอำนาจปลอมแล้วคุณก็ยกให้รัฐบาลแก้ แล้วก็แก้ไม่ได้ เขาว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ก็ล้มเหลวหมด ผมเป็นทหารไม่เกี่ยวไม่ยุ่งการเมือง นี่ก็ไม่ได้ ทุกคนเป็นประชาชนต้องทำหน้าที่ประชาชนไม่ใช่ให้อำนาจกับรัฐบาลทำหมด แล้วทหารสุดท้ายก็ต้องมาไล่รัฐบาลออกอยู่ดี นี่คือความซับซ้อนที่ไม่เข้าใจอำนาจอธิปไตยของประชาชน

 

2.การที่เราฝันเห็นคนที่เราต้องการเจอ แล้วอีกสักสองวันก็เจอ หรือว่าสักสามวันก็เจอ เป็นอย่างนี้หลายครั้ง?

ตอบ...คุณอยากเจอเขา คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าคุณอยากเห็นเขา หรือว่ามันไม่ไกลกันนักก็เจอกันสิ แต่คนเข้าฝันคุณมีคนเดียว เรื่องธรรมะนั้น การฝันนั้นไม่มีเรื่องจริง แต่มีเทพนิมิต ลางสังหรบ้าง คือเป็นได้จริงไง ก็คือกระแสจิตมันมีมันก็เลยเกิดส่งกระแส ทั้งในผู้ที่มีพลังจิตเองจริง กับผู้ที่มันเป็นกระแสจิตบางครั้งก็ไปเห็นไปเจอไปรู้อะไรได้ ก็เป็นจริงมาได้ ซึ่งไปเอานิยายอะไรไม่ได้ เหมือนพลังจิตที่ไปสร้างอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ถือเป็นอำนาจที่ถูกสูตรไม่ได้ เพราะว่าทำได้แล้วบอกคนอื่นให้ทำไม่ได้ เป็นไสยศาสตร์ไม่รู้ ไม่เป็นหลักสูตรที่ดีสมบูรณ์ได้ ไม่ใช่ว่ามันไม่มี แต่พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีสำนักที่สอน เช่นฤาษีคันธารี ฤาษีมัลลิกา ท่านไม่ปฏิเสธ แต่ท่านว่าเราเกลียดเราเบื่อเราชังอำนาจแบบนั้น เอาคำสอนที่ให้ละหน่ายคลายสูงสุดในมนุษยชาติ ความนึกคิดนั้นตกค้างไปปรุงแต่งกับอุปาทานแต่งเป็นเรื่องราวบ้างไม่เป็นเรื่องราวบ้าง ส่วนมากกิเลสตัณหาก็มาผสมให้ปรุงแต่ง ฝันมาก็มีทั้งสมใจและไม่สมใจบ้าง พอสมใจในฝันก็ดีใจ ขอตอบว่าโง่ ดีใจในฝัน ไม่ถูกต้อง

 

3.อยากจะไปถือศีลในตอนเข้าพรรษากับชาวอโศกจะทำตัวอย่างไรบ้าง? พ่อท่านจะกรุณาบอกให้ละเอียดได้ไหม

ตอบ...ได้เลย...ไปสันติก็ได้ ไปต่างจังหวัดก็ได้ถนัดตรงไหนก็ไปตรงนั้น จะมีอะไรไป? ของคปท.เขามีรองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ ของกปปส.มีนกหวีดกับส้นตีน ของอโศกมีตัวกับหัวใจมุ่งมั่นไปเลย นุ่งผ้าไปนะ อย่าไปแต่ตัวล่อนจ้อนกับหัวใจไม่ไหวนะ อย่านุ่งผ้าหวือหวานะ

 

4.กายเป็นอย่างไรคะที่ไม่จำเป็นต้องมีรูป ยกตัวอย่างได้ไหมคะ?

ตอบ...ยกตัวอย่างได้ กาย เป็นอย่างไร?...ฟังดีๆนะ รูปคือส่ิงที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย(องค์รวมทั้งหมด) เอาชัดๆกายแปลว่าองค์รวมหรือองค์ประกอบ ถ้าไม่มีการกระทบสัมผัสไม่มีกาย เช่นตากระทบรูป แล้ววิญญาณเกิดรู้นี่คือกาย กายไม่ขาดจิตวิญญาณ ต้องมีธาตุรู้ เมื่อคุณปรุงแต่เป็นมนายตนะกับธรรมายตนะ ท่านไม่ใช่คำว่าผัสสะ แต่ก็ปรุงแต่กันได้เป็นธรรมารมย์ เป็นเรื่องธรรมะเกิดอารมณ์ เกิดการเชื่อมต่อกันปรุงกันทันทีเลยไม่มีอะไรคั่น มันเป็นจิตก็เรียกว่ากาย ได้เป็นกายละเอียด  ถ้ากามภพก็ถือว่ามีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นกามารมย์ ถ้ากิเลสนอกหมดแล้วก็เหลือรูปาวจร ไม่มีรูปที่เกิดจากกระทบทวารนอก ไม่มีคือไม่มีกิเลส แต่ว่าเหลืออารมณ์ที่เป็นกิเลสในรูปและอรูปราคะ เป็นเรื่อง ละเอียดลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก ตรัสรู้ตามได้ยาก สงบพิเศษ(ไม่ใช่สงบอย่างไม่รู้อะไร แข็งทื่อ คันก็เก่าไ่ม่ได้ ) เขาไปหายให้ร่างสงบ แต่ที่จริงความสงบของพุทธหมายถึงกิเลสสงบ พระอนาคามีกระทบสัมผัสก็ไม่วูบวาบ ในกามารมณ์ ไม่มีความใคร่อยากภายนอก เหลือแต่ภายใน สรุปคือทำไมกายไม่มีรูป ซึ่งรูปแปลว่าสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้คือรูป ส่ิงที่รู้คือนาม

ใครได้ฟังแล้วเกิดอานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ประการ คือได้ฟังส่ิงใหม่ ฟังสิ่งที่เก่าแต่เข้าใจยิ่งขึ้น แก้ความสงสัยได้ ความเห็นถูกตรงขึ้น จิตก็เลื่อมใสขึ้น 

 

5.กินข้าวต้มไข่ผิดศีลไหมคะ ปีกหอยเอามาเป็นสร้อยคอ?...ดญ.แต้มขวัญแก้ว

ตอบ...ไข่นี่เป็นลูกของแม่มันหรือเปล่า ไข่เป็นลูกของสัตว์ ส่วนนมเป็นลูกของสัตว์ เขาก็บอกว่าไข่นี่ฟักไม่ขึ้น เป็นไข่ลม ถามว่าแล้วแม่ไก่มันรู้ไหมว่าไข่ฟักไม่ขึ้น แล้วมันหวงไข่มันไหม? ไก่ไม่ได้เรียนวิชาชีววิทยา ว่าไข่นี่ฟักไม่ขึ้นมันไม่รู้มันก็ต้องบอกว่านี่ลูกมันมันก็ต้องหวง แล้วไปแย่งมันผิดไหม? แต่ถ้านมกินได้ แต่นมทุกวันนี้มีสารพิษเยอะ นมทุกวันนี้โด้บ มันโตเกินธรรมชาติ

ลุงจำลองว่า...ไข่แม้ไม่มีชีวิต แต่เราไปส่งเสริมให้ทรมานสัตว์ ให้ไก่ติดตารางไปตลอดชีวิต ผมติดตารางไม่กี่วันยังทุกข์เลย ส่วนนม ไม่มีวัวตัวไหนเอานมมาให้เราขึ้นโต๊ะ ส่วนวัวนมพันธ์ถ้าเป็นตัวผู้ก็ต้องถูกเชือดก่อน ส่วนผมหย่านมเมื่อตอนอายุ 60 มีนายแพทย์ท่านหนึ่งให้ความรู้ว่านมวัวมีให้ลูกวัวกิน มีสารพิษมากว่า ถ้าอยากได้สารอาหารให้กินอย่างอื่นแทนเช่นงาบด แต่ก่อนผมเป็นตะคริวที่น่องบ่อย แต่พอเลิกกินนมวัวแล้วมากินงาดำแทนไม่กี่วันก็หายตะคริวมาไม่เป็นอีกเลย

พ่อครูว่าทุกวันนี้คนเฉกา หาบาปใส่ตัว เอาไก่ไปใส่คอก บาปสร้างบาป เป็นเรื่องเบียดเบียนโดยตรงเลย สร้างวิธีการเพื่อให้ได้เปรียบสารพัดเลย

 

6.พ่อท่านอายุ 80 ย่าง 80 แล้ว ดูแล้วเหมือนอายุ 60 เสียงก็ใสเหมือนเดิม รักษาสุขภาพอย่างไรจึงแก่อย่างสง่า

ตอบ... อาตมา 80 ปีมาเดือนหนึ่งกับ1วันแล้ว ก็ต้องมีเคล็ดไม่ลับ เคล็ดอยากให้รู้ไปทั่วโลก ไม่หวงแหนปิดปัง มันอาจยาก เป็นเคล็ดยาก เคล็ดวิชชา แต่เคล็ดวิชาของจอมยุทธ์นั้นเขาไม่ปล่อยง่ายๆ แต่เคล็ดลับของอาตมาเปิดเผย คือ 8 อ. ที่จะอธิบายคือ อิทธิบาทกับอารมณ์ เป็นส่ิงสำคัญ (8อ.คืออิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ) คุณจะมีมากได้ก็ด้วยความรู้ความสามารถและขยัน นี่คือทรัพย์ ต้องขยันด้วย แม้รู้สามารถ แต่ไม่ขยัน แต่ถ้ามีขยันแต่ไม่รู้ เขาเรียกว่าขยันแต่โง่ นี่แหละคุณมีเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องสะสม อาจมีพอหมุนเท่านั้น แต่อย่างสมณะพระพุทธเจ้าว่าไม่ต้องสะสมเลย มีแต่พอใช้ ปัจจัย 4 บริขาร 8 เป็นต้น อยู่รอดสบาย เป็นรายละเอียดที่ลึก ที่อโศกประสพผลสำเร็จเพราะอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า แม้ในฆราวาสก็ทำได้ ชาวอโศกไม่ยึดติดใช้กินของส่วนกลาง ในฐานฆราวาสใช้เงินผ่านมือก็เพราะจำเป็นไม่สะสม สังคมอโศกทำได้ มีสิ่งจริงยืนยันได้ แม้แต่ชาวพุทธคนมีดวงตาก็เห็นได้รู้ได้

อิทธิบาทหากไม่มีวิมังสา วิคือสิ่งวิเศษ สิ่งที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้อง ส่ิงจำเป็นก็ต้อง ต้องมีปัญญารู้เนื้อแก่นสิ่งที่ควรยินดี ยกตัวอย่างไปยินดีในงานในตำแหน่งนี้จะรวยแบบนี้ก็หลงโกลธรรมโลกียธรรม  แต่ว่าอีกงานลำบากแต่มีประโยชน์คุณค่าก็ควรไปคนนี้มีสัมมาทิฏฐิ อาตมาภูมิใจที่พวกพวกเราออกจากสิ่งมอมเมาตกต่ำ ทำให้คนตกเป็นเหยื่อ เสียเวลาแรงงานทุนรอน

อารมณ์เป็นใหญ่ที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวจริง ไปถามหมอได้

สัญญเจตนา สัญญาต้องทำงานกำหนดหมาย สัญญะไม่ใช่แค่รู้เฉยๆ สติสัมปชัญญะ คือจากรู้ข้างนอกแล้วรับรู้ต่อเข้าไปเป็นสัมปชาโณ ก็เอาความรู้ที่มีมาพิจารณาต่อ ถามว่าอรหันต์จะตายท่านจะใช้สัญญาหรือไม่ ท่านก็ใช้สัญญากำหนดรู้ว่าเราจะตาย หากไม่ตั้งจิตต่อแล้ว อัปปณิหิตตัง ไม่กำหนดหมาย ไม่มีเจตนาต่อ ปริโยสาน จบอย่างรอบถ้วน จะปรินิพพานสุดท้ายก็ไม่ตั้งจิตต่อ นี่คืออรหันต์ อรหันต์ทุกรูปมีสิทธิ์ที่จะตายสูญหรือจะต่อได้ คนก็มาว่าพระพุทธเจ้าจะตายทำไม ทำไมไม่ตั้งจิตต่อ คุณก็ไม่รู้ว่าท่านทำมามากขนาดไหน เมื่อยเลย จะให้ต่อเป็นพระพุทธเจ้าอีกสมัยหนึ่งท่านไม่ใช่โอบาม่านะ

 

7. พ่อท่านก็ไม่ต้องจ่ายตังค์ค่า FMTV คงถึงสิ้นปีแล้วพ่อท่านคงรวยมากแน่

ตอบ...ก็มีอยู่บ้างที่ต้องจ่าย ก็ยังไม่รู้ว่าเราต้องจ่ายค่าดาวเทีียมไหม?...ก็ตกลงไม่ต้องจ่ายค่าดาวเทีียม แต่ก็มีค่าอื่นๆเช่นค่าน้ำมันรถเป็นต้น ตอนนี้เราออกอากาศทางเน็ตอยู่ คุณไม่รู้ว่าอาตมาตะกร้าก้นรั่ว ให้มาก็หมด แต่ก็ไม่เป็นหนี้ใคร ถ้าไม่มีก็บอกว่าไม่มี แต่อาตมาไม่ได้เก็บก็ไปเก็บไว้ที่คลัง มีไวยาวัจกร จัดการให้

 

8.คำว่าจิตสำนึก จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก ตรงกับขันธ์ 5 อย่างไร?

ตอบ...จิตสำนึกก็จิตตื้น จิตใต้สำนึกก็ระดับกลาง ส่วนระดับลึกก็คือจิตไร้สำนึก คนธรรมดาสามัญก็ใช้จิตสำนึก ส่วนจะดึงมาใช้ได้บ้างคือจิตใต้สำนึกตามความสามารถของคน ส่วนมากก็ใช้จิตสำนึก คนไปนั่งสมาธิบางคนก็จะใช้จิตใต้สำนึกได้ดีขึ้นบ้าง แต่ของพุทธนั้นให้กระทบข้างนอกแล้วดึงจิตใต้สำนึกออกมาฆ่า แต่พวกนั่งสมาธินั้น ใช้นั่งสมาธิเพื่อให้เอาจิตใต้สำนึกมาใช้ แต่ของพุทธนั้นจิตจะใสขึ้นๆจากการฆ่ากิเลส วิธีการพระพุทธเจ้าท่านให้เหตุปัจจัยของจิต เหตุที่เป็นอกุศลก็ดึงออกมาแล้วจับฆ่าล้างไป แต่พวกฤาษีนั้นจะดับมืดดำ เป็นดีสุภะของคุณไปก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร พระพุทธเจ้าไม่รับรองว่าละเอียดสมบูรณ์สะอาดสุด

แล้วตรงกับขันธ์ 5 อย่างไร ขันธ์ 5 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ​คำว่ากายคือองค์ประชุม ขันธ์แปลว่ากอง แต่ละขันธ์มีอย่างเดียว แต่ในแต่ละอย่างมีรายละเอียด เช่นเวทนาในเวทนาก็มีราคะโทสะเป็นองค์ประกอบ ถามว่าตรงกันไหม มันมีคำว่า จิตที่ตรงกัน มันเป็นแง่เชิงรายละเอียดที่คนละมุม แจกแจงต่างกันไป มันบอกองค์ประกอบของขันธ์ ส่วนจิตสามอย่างที่ว่านั้น มันอธิบายลักษณะจิตที่มันเป็นอยู่ตามชั้นของมัน มันคนละลักษณะ

 

9.พ่อท่านคะ การถือศีล 5 มันยากไหมคะ?...และการลดละกิเลสมันยากไหมคะ พ่อท่านสร้างอโศกมากี่ปี สร้าง FMTV มากี่ปีคะ

ตอบ...ใครถามมาก็คือไม่ได้อยู่ในนี้ แต่ถ้าเด็กถามมาครูต้องบอกว่าต้องถือศีล 5 แล้วอธิบายให้ฟัง ถือศีล 5 เรียนดีๆยาก ถ้าเรียนไม่ดีก็ยาก สร้างอโศกมาตั้งแต่ ปี 26 ก็ 41 ปี ส่วน FMTV สร้างมาตั้งแต่ปี 50 ก็เป็นFETV ตอนนี้ก็ 7 ปีแล้ว

 

10.พ่อท่านคะเขาตั้งปิยสวัสดิ์ เป็นปธ.บอร์ดปตท.คิดอย่างไรคะ?

ตอบ..คนเขาก็รู้ว่ามีอะไรไม่ค่อยดี อาตมาก็มองง่ายๆว่าคนอย่างเราก็ยังรู้เลยว่าไม่ดีอย่างไร คุณเองก็ต้องรู้ หรือว่าเขารู้นะ เขารู้ว่าใครควร ถ้าสมมุตินะเขารักเหลือเกินปิยสวัสดิ์อยากให้มาร่วมงานแน่เขาก็ต้องรู้ว่าประชาชนไม่ยินดี แล้วเขาจะให้มาเร็วอย่างนี้หรือ? บางคนย้ายช้า บางคนย้ายเร็ว ก็ดูตามกระแสสังคม เหมือนอาตมาบริหารคนก็ต้องย้ายคนนั้นคนนี้เหมือนกัน เชื่อไหมว่าอาตมาบริหารชาวอโศกยากกว่าบริหารประเทศเพราะเกรงใจมากกว่า ที่นี่จะใช้อำนาจเบ่งไม่ได้เลย เสียเลย ต้องรู้จักสัปปุริสธรรม มหาปเทส ให้ดี สรุปแล้วอาตมาว่า Go on and See out อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน คสช.เขาก็ทำดีอยู่

 

11. ผิดศีล 5 มีวิบากอย่างไร?

ตอบ..เพ่ิมกิเลส ติดตัวไป ศีล 5 นี้หยาบเบื้องต้น

 

12.อยากจะสลัดความขี้เกียจท้ิงทำอย่างไร?

ตอบ..รู้จักอาการขี้เกียจกับขยันต่างกันอย่างไร เมื่อรู้ว่าตนเองขี้เกียจเมื่อไหร่ ก็ทำขยันทันที ต้องรู้ว่าขยันคืออะไร และต้องวิจัยว่าขี้เกียจนี่ดีหรือสร้างนิสัยเราดีขึ้นหรือ แก้อาการขี้เกียจมาเป็นขยันเสีย ทั้งกาย วาจาใจ

 

13.ขอให้พ่อท่านเน้นเรื่องการเงินการบัญชีของอโศกด้วยว่าอย่าละเลย

ตอบ..ทุกวันนี้เงินของชาวอโศกพอมีเพ่ิม คนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ กิเลสลดกันก็ค้ำเราไว้เรื่อยๆ กิจกรรมต่างๆก็พลอยเจริญ​วัตถุมีมากขึ้น เงินก็หมุนมากขึ้น เรื่องเงินนี่เป็นเรื่องยากในโลก ไม่ว่าประเทศไหน เงินเป็นสารพัดนึกและเป็นอสรพิษ ต้องทำให้ถูกหลักเกณฑ์ ตั้งแต่คนทำการเงิน ตัวเราไม่มีบาป คนไม่ระแวง และดีต่อมวลมนุษยชาติทั้งหมด  ต้องจัดคณะทำ ก็กำชับปฐมอโศก สันติอโศก ราชธานีอโศก และที่อื่นๆควรทำ ทำให้ดีให้ละเอียด ปลอดภัยทั้งสี่นัย

 

14.ถ้าเราบรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วจะเวียนกลับหรือไม่ ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่าลาภ สักการะสรรเสริญเป็นอันตรายแม้อรหันต์ขีณาสพ

ตอบ...อรหันต์นั้นไม่ไหวกระเทือนไม่สุขไม่ทุกข์ต่อโลกธรรมแล้ว คนก็ว่าอรหันต์นั้นมีวูปสโมสุขไง ก็คือการสุขอย่างไม่บำเรอกิเลส ละกิเลสได้ทำกิเลสให้ฝ่อหรือตายได้ก็เป็นสุข ไม่ใช่บำเรอกิเลสให้อ้วน ต้องลดอาการกิเลสให้กิเลสตายไม่เหลือซาก เราดีใจที่ได้ดีได้ทำฌาน 1 ได้มีปีติ มีเนกขัมมสติโสมนัสเวทนา เป็นอารมณ์ของผู้ออกจากกามออกจากกิเลสได้ ผลคือได้ลดกิเลส มันคนละเรื่องกับปุถุชนที่ทำกิเลสเพ่ิมแล้วดีใจได้สุขใจ เป็นโลกียทรัยพ์ ส่วนอาริยะนั้นมีโลกุตรทรัพย์ แล้วที่ว่าจะเป็นอันตรายต่ออรหันต์ก็เพราะอรหันต์จะทำงานกับสังคม ได้มากได้น้อยก็แล้วแต่บารมี อย่างอาตมาถ้าเลวกับเงิน เสียหายไหม? คนดีๆเสียหายนี่แสบเผ็ด นอกจากคนหน้าด้าน แต่อรหันต์นั้นไม่หน้าด้าน แม้อรหันต์ก็มีอันตรายอันแสบเผ็ด อรหันต์บางองค์ก็ทำผิด ก็แสบเผ็ด เพราะทำงานไปก็เกิดลาภยศสรรเสริญหากไม่ระวัง ระวังมันจะแว้งทำเรา

ส.เดินดินถามต่อว่า...อย่างในไตรปิฎก กล่าวถึงพระโมคคัลลานะกับพระปินโฑณฯเหาะไปเอาบาตร นี่ก็ประมาณผิดพระพุทธเจ้าก็เลยบริภาษและให้เอาบาตรไปทุบให้ละเอียด

พ่อครูว่า จะต้องมีทรงวินัย แล้วเป็นธรรมกถึก ตั้งแต่เป็นผู้บรรลุศีลแล้วเป็นพหูสูตร คือต้องบรรลุธรรมก่อนแล้วค่อยสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง พระอรหันต์ก็ทำผิดได้เป็นสมมุติตสัจจะ ซึี่งทุกอย่างมันลึกซึ้งเกิน บางอย่างก็ไม่ควรรู้ เดี๋ยวเอาไปตีกินเป็นบาป ไม่ควรรู้ อย่าเพิ่งให้เขาใช้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:29:47 )

570705

รายละเอียด

570705_รายการ พันพรื้อ...? บุญนิยม โดย พ่อครูกับลุงจำลอง

อาตมาครบ 80 ปี ส่วนคุณจำลองขึ้น 80 ปี อาจจะมีอจินไตยอะไร คือคิดไม่ได้ แต่ถ้ามีภูมิธรรมจริงจะเห็น เป็นเรื่องจริง ปรมัตถธรรมอันลึกซึ้ง เช่นทำไมพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแล้ว แผ่นดินต้องไหว หรือทำไมวันประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพานต้องวันเดียวกัน ไม่บังเอิญนะ ว่าไปแล้วพระพุทธเจ้าต้องชื่อสิทธัตถะเป๊ะเลย พระพุทธเจ้าองค์ก่อนที่พยากรณ์พระพุทธเจ้าไว้จนมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าก็พยากรณ์ไว้ไม่ผิดเลย มีอัครสาวกชื่อสารีบุตร

 

พ่อครูว่า..วันนี้เป็นรายการ 80 ปีไม่มีแก่ เราจะได้พูดถึงเรื่องชีวิต ว่าได้ผ่านมาถึง 80 ปีอย่างไร มีสุขภาพอย่างไร และต่อไปสุขภาพจะแข็งแรงหรืออ่อนแออย่างไร โดยพล..จำลอง วันนี้อายุครบ 80 ปีเต็มในวันนี้ ส่วนอาตมานั้น ถ้านับวันนี้ด้วยอาตมาก็ครบ 80 ปีกับหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวัน เราจะได้พูดถึงความเป็นชีวิตและอายุ

 

ชีวิตรวมทั้งการดำเนินชีวิต การศึกษา การได้ดำรงชีวิต อายุถึง 80 โดยไม่ต้องมีใครประคองไม่งกเงิ่นทำอย่างไร มีทั้งบารมี และรู้จักรักษาสุขภาพ และสูตรในการรักษาสุขภาพถูกต้องมีผลจริง ซึ่งเราได้เคยประมวลไว้ในหลัก 8 อ. รายการนี้จะพูดไปบ้างและมีคำถามได้ ทั้งสดและแห้ง

 

พ่อครูว่า..เร่ิมต้นชีวิตคล้ายกัน ขออธิบายนิด คือคุณจำลองนี่นะ ต้องขออนุญาต คือ แม่มีพ่อคนแรก อาตมาก็มีแม่มีพ่อคนแรกเหมือนกัน และได้อาตมามาคนเดียว คุณจำลองแซ่โง้ว และอาตมาก็แซ่โง้ว ด้วย คล้ายกันมาก หลายๆอย่าง แม่ก็สู้ชีวิต แม่อาตมาก็สู้ชีวิตหนักเหมือนกัน นี่ไม่ได้ว่าพ่อนะ แต่แม่เป็นพลังหลักของครอบครัว พ่อก็ไปตามทาง ทะเลาะกันทีไร พ่อก็ขอแยกทางไป หย่ากันแบ่งสมบัติ พ่อเป็นทหารเกณฑ์ ไปรบเชียงตุงกลับมาก็ติดเหล้างอมแงม ได้สิบโท ได้สองบั้งและติดเหล้ามา สุดท้ายหย่ากับแม่ สามครั้ง แต่ละครั้งหย่ากันก็แบ่งสมบัติกันทุกที พ่อเมาแล้วใจดีแจกเงินหมด แล้วจะเหลืออะไร ดีอย่างหนึ่งก็มีแต่เมาเหล้าแจกเงิน ก็ไม่ได้มีเมียใหม่ หมดเงินแล้วก็มาหาแม่อีก ก็ดีกันอีก ต่อมาทะเลาะกันอีก ก็หย่ากันอีก แล้วก็มาดีกันอีก ก็เป็นอย่างนี้ถึง  3 ครั้ง สมบัติก็ไม่เหลือสิ อาตมาช่วงแรกของชีวิตก็มีฐานะดี แต่แม่ถูกโกง และเป็นวัณโรคด้วย ก็กิจการทรุด อยู่ในวารินฯเป็นร้านใหญ่ที่สุดชื่อร้าน รักพงษ์ตราพร เป็นห้างสรรพสินค้า ขายสารพัดอย่าง และเป็นโรงงานรับเหมาตัดเครื่องแบบกรมทหาร แม่ประมูลได้ แม่ทำงานเก่ง ทำธุรกิจหาเงินหาทองเก่ง อาตมาก็ได้นิสัยแม่ หาเงินหาทองเก่ง พัฒนามาค้าขายแต่เด็กเล็ก พอแม่ทรุดแม่เสียแล้ว เรียนม.8 อยู่เลย ก็แม่ป่วยมากเลย นอนรักษาตัวโทรมเลย ลุงเป็นหมอก็ดูแล มีพ่อเฉยคอยดูแลตลอดจนตายเลย ตายก็ไม่บอกอาตมาเลยเผาแล้วค่อยบอกเพราะบอกแล้วก็ต้องเสียค่ารถกลับ กลัวเสียใจเสียตังค์ .

 

….

 

ถ้าทำเป็นหนังซีรีย์ก็เหมือนโอชิน จนมาอยู่หอพักบุตรทบ.ก็สบาย แต่ถ้าคะแนนทั้งปีทำดีมีชื่อเสียง เก็บปากกาได้ของรร.เขมสิริได้เขาออกหนังสือมาชื่นชมก็เลยได้คะแนนประพฤติดี แต่ก่อนอาตมาไว้ผมเป็นฮิปปี้ รุ่นแรกของเมืองไทย พอไปพบพลเอกปิ่น ลุงอาตมาเอาไปมอบตัวจะให้เข้าหอพัก พล..ปิ่นเห็นแล้วก็ตอนแรกจะไม่รับ แต่ว่าลุงก็ให้ช่วยรับก็เลยได้อยู่หอพักบุตรทบ. แต่กลับกลายอาตมาเป็นคนทำชื่อเสียงให้ มีความน่าเชื่อถือได้รับให้ไปติดตาม

 

 

ลุงจำลองว่า...เมื่อวานผมตามพ่อท่านมาจากสนามบินตรัง น้อยครั้งจะมีคนไปรับโดยไม่ต้องเกณฑ์มากขนาดนี้ และเมื่อวานพ่อท่านเทศน์ว่า งานนี้มีคนมามาก ส่งสัยเพราะเป็นวันเกิดลุงจำลองมั้ง เป็นเพราะว่าคนใต้เป็นผู้ที่รักความยุติธรรม เมื่อใดมีการประท้วงความอยุติธรรมของบ้านเมือง คนใต้ก็มันไปกัน มีคนใต้บางคนก็บอกว่าไปงานอโศกรำลึกที่อุบลฯมาด้วย ทั้งที่ไกลมา นี่แสดงว่าคนใช้นิยมชาวอโศก พ่อท่านพูดในวันเกิดผม ผมเพิ่งรู้นะ ว่านับวันเกิดผิดมาตลอด ผมเป็นอดีตครูคณิตศาสตร์รร.นายร้อย จปร.ครับ เวลามีใครถามเรื่องอายุผม ผมก็บอกเป็นปี เดือน วัน ถ้าผมนับอย่างเก่า วันนี้ครบวันเกิดผมพอดี แต่ไม่ใช่ครับ วันเกิดครบ 79 ปีคือวันวานนี้ ส่วนวันนี้ต้องนับขึ้น 80 ปีต่างหาก ผมเลยได้ประโยชน์

 

ผมทำไมนึกถึงวันเดือนปีได้ตลอดเลยเป็นเพราะว่าพระท่านเทศน์ให้ระลึกถึงอภิณหปัจจเวกขณ์ คือตื่นนอนผมจะระลึกถึง เรามีความแก่ความเจ็บความตายเป็นของธรรมดา เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา แล้วก็ระลึกถึง วันเดือนปีเกิด

 

ผมไปอโศกเมื่อ 37 ปีที่แล้ว คุณศิริลักษณ์ช่วยผมไป ว่าท่านโพธิรักษ์บวชแล้วนะ ผมไปถึงก็เลื่อมใสมาก ว่าเป็นพระที่ลดละกิเลสได้ ไม่ได้หวังใหญ่โตสร้างหมู่กลุ่มอะไร ผมเป็นนักพูดธรรมะเพราะท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโรให้ขึ้นพูดตอนไปปักกลด ตั้งแต่นั้นก็เลยได้รับเชิญให้พูดธรรมะ

 

มีตอนหนึ่งในหลวงพระชนมายุ 80 ชันษา ได้เคยพูดถามพวกผมตอนนั้นเป็นผู้ว่าฯกทม. ว่า บุญ คืออะไร? ...พวกเราก็ตอบไม่ได้ ในหลวงก็ตรัสว่า  บุญคือการทำประโยชน์ การได้มาพัฒนาบึงมักสันนี่แหละคือการทำบุญ ที่มักจะเคยได้ยินผมพูดอยู่บ่อยๆว่า เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เราไล่ไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย นี่เป็นคำพูดของชาวใต้ที่เขาไปชุมนุม ตั้งแต่แรกเลย ไม่ใช่คำพูดของผม

 

ผมพูดความจริงที่ไหนก็พูด ว่าผมได้ดีเพราะอโศก ผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก่อนผมเป็นนักสะสมแก้วแหวนเงินทองและทรัพย์สินเงินตรา ผมเรียนเก่ง ม.1 _.6 สอบได้ที่ 1 ทุกปี แล้วเขาคัดคนเป็นหัวหน้าชั้นได้เงินเดือนหลวงแต่ต้องสอบได้ที่ 1 ผมก็ได้ เขาเลือกไปเป็นประธานนักเรียนปกครองนักเรียนและก็ได้เงินเดือนด้วย ตอนนั้น จบนายร้อยมาใหม่ๆก็จะไปสอนพิเศษ เพราะเรียนเก่ง และผมสอบได้ทุนจากกองทัพไทยและกองทัพสหรัฐไปเรียนป.โท ผมได้เงินเดือนละ 700 เหรียญ ยังไม่พอนะครับสอนพิเศษ สอบคัดเลือกไปเรียนเมืองนอกเก็บเงิน และมีไปรบที่ไหนผมก็สมัครไป ได้เงินและได้ยศด้วย ผมไปลาวนี่เกือบตาย มาคิดตอนนี้ไม่คุ้มเลย กลับมาได้เงินสู้รบกลับมาได้ 5 ขั้น เพราะเกือบตายหรือตายก็ได้ 5 ขั้น ส่วนไปเวียดนามก็ไป ได้มา 4 ขั้น ผมก็รวยสิ แต่ว่าไม่ได้เห็นใจคนอื่นเลย ควักเงินบริจาคให้ 20 บาท กับคนที่น่าสงสาร ยังมาคิดทีหลังว่าไม่น่าให้เขาเลย

 

ผมแสวงหาลาภยศสรรเสริญ ออกบัตรเชิญให้คนมากินเลี้ยงที่บ้าน เพื่อชื่อเสียง แต่ว่าพอมาฟังเทศน์ที่สันติอโศก ว่าทำไมซวยซ้ำซ้อน เสียเงินเสียทองแล้วก็ได้อบายมุขอีก ...ต่อมาคบสันติอโศกก็ได้ลดละสิ่งเหล่านี้ ลดมาเรื่อยๆ หากไม่ได้พบสันติอโศกก็จะเป็นคนที่แสวงหาไม่รู้จบ ผมทำตาม คำที่ว่า กินน้อยใช้น้อยทำงานมาก ที่เหลือจุนเจือสังคม

 

หัวผมตัดผมก็ให้เมียตัดมาตลอด ตั้งแต่กลับจากรบที่เวียดนามปี 23 มาถึงปีนี้ 57 ที่ผมให้คุณศิริลักษณ์ตัดผมให้ก็ประหยัดเงินได้เป็นแสนเลย

 

เครื่องแบบหรือเสื้อที่ผมใส่ ผมแต่งตัวเหมือนสัมมาสิกขาเลย แต่กระดุมที่ผมใช้เป็นกระดุมผ้า ผมใส่ตั้งแต่ 22 ก.. ปี 2522​ เนื่องจากตอนนี้ผมชวยป๋าเปรม ที่เป็นรมต.กลาโหม ไปเปิดงานวงเวียนกค. ครบรอบส่งทหารไปไปรบ ป๋าก็ชวนว่าจำลอง เราใส่เสื้อชุดไทยไปงานกัน ผมก็ไปแสวงหาที่ท่านออกแบบไว้

 

เมื่อก่อนคนเข้าใจผิดว่า พออายุ 60 ก็วางมือจากงาน ก็สบายอายุจะยืนนั่นเป็นความผิด ผมตื่นมาทำงานเลยทำงานทั้งวัน ผมนี่ยิ่งให้ย่ิงได้ ใครจะนึกบ้างว่า คนไม่ได้เป็นหมอเป็นพยาบาลจะมีโรงพยาบาลที่มีเครื่องฟอกไตมากที่สุดในเมืองไทย เครื่องฟอกไตญี่ปุ่นให้มา ส่วนตึกชาวบ้านบริจาคมา ตอนแรกผมไปเช่าเครื่องฟอกไต 11 เครื่อง แล้วต่อมาหมอเขาก็บอกให้คืนเครื่องไปแล้วส่งเครื่องฟอกไตมาให้อีกเรื่อยๆ และหมอคนนี้เขาต้องการให้ผมเป็นเจ้าของโรงพยาบาล 1 พันเตียง ซื้อที่ใจกลางกรุง มีเครื่องมือแพทย์มีหมอให้เลย แต่ขอให้เอาจากคนรวยช่วยคนจน หมอคนนี้รวยมาก แต่ทุกรพ.ก็ไปกู้เงินเขามาแล้วมาผ่อนหนี้ ผมเลยปฏิเสธ ตอนหลังเขารู้ว่าเรามีที่ฟอกไตก็เลยส่งเครื่องฟอกไตให้มา

 

เป้าหมายชีวิตผม  ไม่ได้คุยนะ หากผมทำการเมืองแบบเขา ผมมีสิทธิ์เป็นนายกฯได้ และมีมหาวิทยาลัยใหญ่ๆของเกาหลีใต้ จะให้ปริญญา ดุษฎีบัณฑิตกิติมาศักดิ์ เขาว่าที่ให้เพราะเธอหาเสียงบริสุทธิ์ที่สุดในโลก นี่เป็นเพราะเป็นนักบุญนิยม ที่ผมตั้งใจคือ ทำให้เต็มที่ในการช่วยเหลือสังคม ครองสติ มุ่งไปสู่การเกิดน้อยชาติ

 

พ่อครูว่า...ต่อไปจะเข้าสู่หลักบุญนิยมที่เป็นวิชาการ คำว่าบุญนิยม อาตมาตั้งใจว่ามาล้อเลียนคำว่าทุนนิยม

 

ทุนเพิ่มกิเลส ส่วนบุญลดกิเลส ส่วนคำว่ากุศลแปลว่าความดี อกุศลแปลว่าความชั่ว ส่วนการลดกิเลสเป็นกุศล การลดกิเลสเป็นปรมัตถธรรม ส่วนการทำดีก็เป็นกุศลหมด แม้จะลดกิเลสด้วย ก็ใช้กุศลได้ ไม่เหมือนคำว่าบุญที่ต้องลดกิเลสเป็นหลัก ทำความดีโลกีย์ไม่ใช่บุญ

 

ปัญญาและเฉกา ก็แปลว่าความฉลาดเหมือนกัน ถ้าใครปฏิบัติโลกีย์ฉลาดบำเรอกิเลส เหมือนปุถุชนทุกวันนี้ สร้างแล้วชนะก็ได้บำเรอกิเลส โลกธรรม กาม อัตตา  โลกีย์ก็นิยมเช่นนี้ แต่ในทางธรรมนั้น การอยากได้โลกธรรม อย่างสุจริต แต่กิเลสไม่ลดลง ได้มาโดยไม่ผิดหลักของสังคม เขายอมรับ ว่าไม่ผิดกฎหมาย ค่านิยมสังคม เขาไม่ผิด แต่เขาฉลาดที่ทำให้คนหลงคารมยอมตาม แพ้ความฉลาดของเขา เขาก็ชนะได้กุศลเป็นความดี แต่ถ้าใครจะปฏิบัติกุศลถึงชำระกิเลสด้วยและทำความดีให้โลกด้วย นี่คือบุญนิยมระดับโลกุตระหือจะเรียกกุศลระดับโลกุตระก็ได้

 

บุญ คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่าชำระกิเลสในสันดานให้หมดจด

เขาสอนกันทำทานก็ไม่ได้ให้จิตลดกิเลส ทำทานไม่เป็นทำทานแล้วตั้งจิตอยากได้มากกว่าเดิม ทำทานไป 5 ขอไปแสน ทำทานไป 100 ขอไป ล้าน เคยทำมากันทุกคน ทำทานแล้วขอมากกว่าที่ให้ไป

 

แต่ถ้าคุณทำทานไปแสนหนึ่ง แต่ตั้งจิตขอคืนห้าหมื่นก็ได้บุญไปห้าหมื่น แต่ถ้าไม่ขอคืนเลย ทำจิตไม่ขอคืนไม่ต้องการอะไรตอบแทนก็ได้บุญได้ชำระกิเลสเต็มๆ การทำทานคือการละความโลภ

 

คุณจำลองนี่ ลดละเท่าที่ตนทำได้ ทำมานาน จนกิเลสไม่พัฒนา ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้ามีญาณรู้ด้วยว่ากิเลสลด มีปัญญารู้ว่าจิตเราลดกิเลสไม่งมงาย ก็เป็นอุภโตภาค อย่างสายโจโตทำอย่างไม่รู้ลดระงับชั่วคราวหรือลดได้ก็ไม่ชัดเจตว่าลดได้ด้วยวิธีใด แล้วลดได้อย่างมั่นคงแข็งแรงนะ สายเจโตไม่รู้ อย่างคุณจำลองเย็บกระทงได้เหมือนเดิมๆๆ เป็นต้นทำจนชำนาญ

 

อย่างท่านพุทธทาสนี่(ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ อาตมาเคารพนับถือท่าน) ท่านพุทธทาสสอนตถตาระดับโลกีย์ ทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดมามันก็เป็นของมันเองเช่นนั้น อย่าไปยึดถือปล่อยวางก็ได้บรรเทา แต่ไม่ได้วางกิเลส จัดการกิเลส เพราะเป็นธรรมชาติธรรมดา ตถตาตัวแรกจึงไม่เข้าปรมัตถ์ แต่พ้นความลำบากใจได้บ้าง แต่ไม่ได้จัดการกิเลสอย่างมีญาณปัญญา อย่างคุณรู้กิเลสสักกายะ ของตัวเองเห็นเองเลย แล้วเรียนรู้วิธีปหาน 5 ใช้ปัญญา จนเกิดญาณรู้ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของกิเลส เห็นชัดว่ากิเลสไม่เที่ยง ความทุกข์ก็คลาย เห็นด้วย

 

ก็เพราะ 1.มีบารมี 2.ไม่ได้เอาพิษใส่ตัว ซึ่งเดี๋ยวนี้พิษมีมากมาย เราทำ 8 อ. คืออิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ

 

อย่างการออกกำลังกาย นั้น ดาราเขาก็ออกกำลังกาย เขาต้องทำเพื่อประโยชน์เขา แต่พวกเราก็ต้องไม่ขี้เกียจออกกำลังกาย

 

เอนกาย  คือทำให้ร่างกายสมดุล

 

เอาพิษออก มีหลายวิธี เหงื่ออกก็มี กัวซา ดีท็อกซ์​ ล้างพิษตับเป็นต้น

 

อาชีพ ...อาชีพที่ตายไวมีเยอะ  ไปค้ายาบ้า หรือทหารไปรบมากๆ หรือเป็นโจร หรือทำงานกับสารพิษต่างๆ แม้แต่ทำงานเสี่ยงต่อโรคก็มี

 

นี่คือ 8อ.ที่อาตมาว่าครบนะ ถ้าทำได้ ก็ 80 ปีไม่มีแก่แน่นอนมั่นคง ขณะนี้วิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วว่ามนุษย์อายุไม่แค่ 120 นะ แต่ได้ 150 ปีสบายๆ ซึ่งในไตรปิฎกก็มีเขียนไว้ว่ามนุษย์อายุเป็นพันเป็นหมื่นปีได้ แม้แต่เรื่องประชาธิปไตย มีมานานแล้ว ไม่รู้ว่ากี่โลกแตกไปแล้วก็มีเรื่องประชาธิปไตยมานานแล้ว ซึ่งชาวอโศกจะนำพาประชาธิปไตยอาริยะสู่โลก มันต้องทำที่จิตใจ ถ้าจิตใจเราเป็นได้จริงเลย สาธารณโภคีคือแก่นบุญนิยม เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ เหนือกว่าประชาธิปไตยเพราะเสียภาษี 100 %

 

สรุปว่าจะเป็นได้ตามหลักพระพุทธเจ้าไม่ว่ากถาวัตถุ 10 หลักตรวจสอบธรรมวินัย สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ชาวอโศกเป็นได้แล้วไม่บริบูรณ์ก็ตาม แต่เป็นไปได้จริง...

 

แก่นฟ้าถามลุงจำลองว่า...คิดอย่างไรไปคว้าดาวจุฬาฯมาเป็นภรรยา แล้วชาติหน้าจะไปคว้าดาวอีกไหม?..ตอบ..ถ้าเป็นไปได้ชาติต่อไปไม่ขอแต่งงาน


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:31:04 )

570706

รายละเอียด

570706_พ่อครูเทศน์ให้พรก่อนจาก

มีญาติโยมมารอส่งพ่อครูก่อนเวลาเป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า  50 คน พ่อครูจึงให้โอวาทก่อนจาก โดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน

 

พค.ว่า..อาตมาตอนนี้เทศน์ถ้าใครฟังดีๆเอาไปตั้งใจทำ เป็นอรหันต์ได้เลยนะ อะไรเข้าใจได้ก็ทำ ที่เข้าใจไม่ได้ก็ปล่อยไป ถ้าทำแล้วถูกตรงดีแล้ว ก็ทำ แต่อันไหนรู้แต่ยังสูงไปก็เอาไว้ก่อน ก็ทำตามลำดับ อาตมาก็มีหน้าที่เทศน์ ให้สูงขึ้นไปลึกขึ้นไป เพราะว่าเดี๋ยวตายก่อนก็ไม่ได้เอาออกมา ก็ทยอยออกมาเสริมตามลำดับ

 

ครั้งนี้ไม่ได้ย้ำกับพวกเราชาวปักษ์ใต้ว่าน่าจะมารังสรรให้ทะเลธรรมครึกครื้นมากขึ้น พอเสร็จงานก็เงียบเหงาเลย วังเวง มันมีสถานที่มีมิตรดี มีสถานที่ดี อาหารดี ธรรมะดี สัปปายะแล้วก็น่าจะมาพัฒนากัน มันมีเชื้อมีองค์ประกอบที่พอจะพัฒนากันแล้ว ถ้าอยู่กันขนาดที่มานี่ก็อบอุ่น ตอนนี้ที่อยู่ประจำก็มี 11 คน ที่นี่เป็นชุมชนทะเลธรรมนะ แต่มีคนอยู่แค่ 13 คน (นับไปมาประจำด้วย) อย่างน้อยก็อยู่กันสัก 50 คนก็ใช้ได้นะ สมณะก็เงียบเหงา เพราะคนมันน้อย

 

ที่ต่างๆอย่างบ้านราชฯก็ไม่มากเท่าไหร่ ฆราวาสที่บ้านราชฯก็สัก 200 คน นอกนั้นก็นักเรียนและนักบวช ก็สักสามร้อยกว่าคน มันก็เลยดูคึกคัก ทำงานกัน ดูอย่างกับหมู่บ้านใหญ่สักสองพันสามพันคน

 

แซมดินว่าเห็นปลัดจังหวัดมาเยี่ยม มาให้ความสนใจ จริงๆแล้วก็เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีชื่อเสียงแบบทางโลก แต่มีชื่อเสียงแบบเนียนๆ ว่ามีจุดดีแบบเนียนๆ ไม่เหมือนโลก ซึ่งโลกมีจุดดีดังแบบหวือหวา แต่ของเราเป็นหมู่บ้านที่ไม่ลำบากต่อการบริหารปกครอง มีน้ำท่วมทุกปี แต่ไม่เกิดเดือดร้อนอะไร

 

มีคนถามว่า ทุกวันนี้ ยิ่งเรียนมากยิ่งเห็นแก่ตัวมาก...พ่อครูว่าแทนที่จะเรียนได้ธรรมะ แต่ได้อธรรมมามากกว่า

 

ถามว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ เป็นอย่างไร?

ตอบ...โพธิสัตว์นี่พื้นฐานคือใจเห็นแก่ตัวน้อยลง เมื่อไม่เห็นแก่ตัวก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น แต่ฤาษีไม่เห็นแก่ตัวไม่แย่ง แต่ไม่เห็นแก่ใคร โสดาบันคือ โพธิสัตว์ระดับโสดาบัน อันดับต่อก็ไปก็สกิทาคามี และอนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ ตามสัจจะที่เป็นจริง สังคมขาดโพธิสัตว์ไม่ได้ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป ซึ่งในหลวงก็อย่างน้อยต้องเขากระแสโสดาปัตติมรรค พ่อครูว่าก็แน่นอน เพราะสิ่งที่ท่านตรัสออกมา คนธรรมดาไม่มีญาณปัญญาคิดและพูดและทำได้ขนาดนี้หรอก ไม่ว่าขาดทุนคือกำไร หรือแบบคนจนก็ตาม

 


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:33:42 )

570706

รายละเอียด

570706_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และส.เดินดิน เรื่อง จิตว่างอย่างหลายนัย

ส.เดินดินว่า..วันนี้จะนิมนต์ให้พ่อครูอธิบายป้ายธรรมะป้ายหนึ่งที่ทะเลธรรม ที่เป็นที่ถกเถียงกันว่า เขียนผิดหรือไม่นะป้ายนี้ ซึ่งป้ายนี้เขียนเรื่องจิตว่าง ซึ่งท่านพุทธทาสเคยบอกว่า เวลาไปไปชายทะเลก็ลืมตัวตนไปก็เรียกว่าจิตว่าง แต่ของพ่อครูนี่จะให้ชัดเจนว่า ไม่มีตัวกูของกูนี้เป็นอย่างไร ในป้ายนี้เขียนว่า “จิตว่าง คือจิตที่ไม่มีกิเลส” ไม่ใช่ว่าไปอยู่ชายทะเล ก็เลยไม่ได้คิดถึงตัวกูของกู แต่ถามว่ากิเลสมันหายไปไหม ก็ไม่ มันพร้อมจะลุกขึ้นมาบีบคอเราตลอดเวลา แต่ป้ายนี้ อาจทำทำให้งง

 

สมณะมาขอร้องว่า มันจะผิดไหมนี่ จะให้หากระดาษมาปิดไว้ ซึ่งป้ายนี้มีคำความสองท่อน รู้สึกว่าท่อนบนกับท่อนล่างดูเหมือนไม่สัมพันธ์กัน ท่อนบนเขียนว่า จิตว่าง คือจิตที่ไม่มีกิเลส แต่ท่อนล่างเขียนว่า การทำงานคือไม่ใช่จิตว่าง แต่คือจิตที่มีสมาธิ นี่คือความที่เหมือนว่าประโยคข้างบนกับประโยคข้างล่างไม่สอดรับกัน อ่านแล้วรู้สึกว่าจะเพิ่มรอยหยักในสมองของคนใต้ได้ดี

 

พ่อครูว่า...เหตุปัจจัยแค่นี้พูดได้หลายปี คือสองประโยคนี้คล้ายกับเขียนว่า 1+1=3 ใครเห็นก็ว่าเฮ้ย ผิดนะนี่ มีอย่างที่ไหน 1+1=3 แต่พุทธนี่เก่ง เพราะว่าพุทธนี่รู้เกินกว่า E=mc2 + A ซึ่ง A คือ Abstract ใครตามหาค่า A ได้ก็จะได้ E ที่มีพลังงานมากขึ้น ฉันเดียวกันกับ  1+1=3 แต่ถ้าเขียนว่า  1+1=2 คนก็จบ เขียนทำไมเสียกระดาษเปล่าๆ  1+1=2 ขนาดดูแลก็ยังรู้เลย ว่า 1+1=2 ก็ไม่เกิดประโยชน์ที่ให้คนสะดุดใจ วิจัย การวิจัยไปหาความจริง จะรู้ว่าอันนี้แหละความหมายของโลกุตระ

 

จิตว่าง คือจิตที่ไม่มีกิเลส ถูกต้องใช่ไหม? แล้วบรรทัดล่างบอกว่า การทำงาน ไม่ใช่จิตว่าง ก็ดูเหมือนขัดกับข้างบนนะ การทำงานต้องให้จิตว่างสิ แต่ภูมิธรรมเดิมของคนทั่วไป ก็คือจิตว่าง และมีคำที่ว่า แต่จิตเป็นสมาธิ อีก แล้วก็เข้าใจว่า จิตเป็นสมาธิคือต้องไปนั่งหลับตา ก็เลยชักงง ว่าการทำงานนี่ไม่ใช่จิตว่างอีก

 

ถ้าเข้าใจว่า การทำสมาธิคือไปสงบนิ่งนั่งอยู่คือผู้เข้าใจสมาธิว่าคือ  1+1=2 เพราะปรมัตถสัจจะนั้นเหนือชั้นกว่า แต่เพราะว่าเขียนว่า การทำงานไม่ใช่จิตว่าง ก็เลยดูขัด เพราะว่าการทำงานด้วยจิตไม่ว่างคือจิตไม่เป็นสมาธิ แต่ประโยคหลังมีกำกับว่า การทำงานไม่ใช่จิตว่าง แต่จิตเป็นสมาธิ นี่ก็คือย้อนแย้งอีก ก็ต้องคิดละว่าทำไง การทำงานไม่ใช่จิตว่าง แต่จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นประโยคล่างก็ไขความโดยประโยคบน คือจิตว่างคือจิตที่ไม่มีกิเลส

 

แต่ว่าดังนั้นทั้งประโยคบนและล่าง จิตว่าง คือจิตต้องเป็นสมาธิ และไม่ใช่แบบ   1+1=2 ที่สมาธิคือทำไม่กระดุกกระดิกไม่ทำงาน แต่ทำงานด้วยสมาธิ นี่คือ  1+1=3  แล้ว

 

ฟังทันกันไหม? ...เงียบแปลว่าไม่ทัน ก็ทวนอีก

 

เมื่อคุณทำงาน การทำงานจะต้องมีจิตไม่ว่างแน่นอน การทำงานแบบจิตว่างฤาษี ไม่คิด ไม่กระดุกกระดิก แต่กิริยาเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวไป แต่มีสังขารอย่างอสังขาริกัง คือไม่มีกิเลสนำพาไม่มีกิเลสร่วมด้วย ก็คือจิตว่าง ทำงานก็เคลื่อนไหวไปด้วย

 

ประโยคหลังบอกว่า การทำงานไม่ใช่จิตว่าง แต่จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นสมาธิในประโยคนี้คือทำงานได้ ดังนั้นก็ขัดแย้งกับประโยคบนสิ จิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส 

 

คำว่านิ่งหรือว่างของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หยุด กาย วาจา ใจ แต่ว่าหยุดอกุศลหรือกิเลสเท่านั้น ตั้งแต่สักกายะ คือองค์ประชุมของอัตตาตัวตน เมื่อฆ่ากิเลสได้ จิตก็ว่างจากกิเลสก็ทำงานได้ดี ปรุงแต่งได้ดี อย่างอภิสังขาร คือสังขารที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไปอยู่กับมาร ก็คือ อภิสังขารมาร คือจิตที่ปรุงเลวร้ายได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าสามัญ​แต่ถ้าเป็นอภิสังขารของอาริยะก็คือการสังขารอันเป็นกุศลอย่างยิ่งใหญ่

 

อาตมาบอกว่า  1+1=3 แล้วมีตัวนามธรรมหรือ Abstract ที่คนมีภูมิธรรมจะจับตัวนี้มาทำงานได้อย่างสำคัญ คนเป็นโลกุตระบุคคลทำงานแล้วไม่ใช่ 1+1=2 แต่เป็น  1+1=3 เพราะทำงานแบบ  1+1=2 คือทำงานแล้วไม่งอกเงย แต่คนทำงานทางโลก  1+1=2 ให้คนอื่น 1 แล้วกูเอาเสีย1 เท่านั้น เอาไว้ให้แก่ตัวเอง ส่วนโลกุตระ  1+1=2 ใครก็รู้ว่าเป็น2 แต่ของโลกุตระพยายามทำให้เป็น  1+1=3 คือมีเหลือให้คนอื่นเผื่อแผ่คนอื่น หรือโลกีย์ก็สามารถทำ  1+1=3 ได้แต่เอาไว้ให้ตัวเองหมด และแถมเอาไปออกดอกผลไปหากินอีก

 

จิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส ส่วนอันที่สองนี้ทำงานไม่ใช่จิตว่าง คือไม่ใช่จิตว่างอย่างคนทั่วไปเข้าใจ เพราะมีคำกำกับว่า แต่จิตเป็นสมาธิ แต่ถ้ามีภูมิแค่ว่าจิตเป็นสมาธิคือไปนั่งหลับตา แต่ถ้าเข้าใจว่าสมาธิคือทำงานได้ เพราะฉะนั้น การทำงานด้วยจิตว่าง คือเขียนหลอกไว้ว่า  1+1=3 เพราะต้องทำงานแบบจิตพุทธ คือทำงานอย่างอสังขาริกังไม่มีตัวชักนำให้ทำอกุศล แต่ทำงานอย่างมรรคองค์ 8 ไม่มีกิเลสปรุงร่วม ได้ปฏิบัติมรรค 7 องค์พร้อมเกิดสัมมาสมาธิ สรุปคือสมาธิ มี 2 แบบ

 

การทำสมาธิ ทำฌาน พยายามให้จิตไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน พวกนั่งหลับตาสมาธิก็เป็นจิตไม่มีนิวรณ์แต่ได้แต่ในภวังค์ แต่ของพุทธนั้นจัดการนิวรณ์ จัดการกิเลสให้ตายไปสนิท แม้ขณะทำกรรมการงานในชีวิตประจำวัน แล้วอ่านรู้จิตว่ามีกิเลสขณะอยู่กับชีวิตประจำวันแล้วกำจัดกิเลส ได้ด้วยปหาน 5

 

วิขัมภนปหาน ที่เป็นสัญชาติญาณกดข่มกิเลสคนได้ แม้แต่โจรจะไปปล้นคนก็มีมารยาทไว้ก่อนกดข่มไว้ก่อน ได้เวลาเขาถึงเปิด ทุกคนทำเป็นไม่ต้องฝึกแต่ก็ต้องฝึก เมื่อมาปฏิบัติธรรมก็ต้องฝึก ถือว่าจิตว่างชั่วคราว ไม่ให้กิเลสมามีบทบาททำงาน แต่ไม่ได้ลดตัวตน ตัวตนไม่ได้ถูกกำจัด ของพระพุทธเจ้ามีวิปัสสนาวิธี คือเห็นตัวมันแล้วมีมรรคองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 หรือไตรสิกขา ก็คืออันเดียวกัน ปฏิบัติแล้วกิเลสลดได้ด้วยพลังทางจิต คือพลังปัญญา ถ้ารวบรวมพลังปัญญาได้เก่งก็เป็นไฟปัญญา คือทำ ฌาน แปลว่าไฟกองใหญ่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำฌาน แต่คือเพ่งรู้เพ่งเผากิเลสด้วยพลังปัญญา คือฌาน แล้วมีประสิทธิภาพ ทำให้แรงงานของกิเลสถูกกำลังของปัญญา ที่มีฤทธิ์เหนือกว่าพลังกิเลส พลังกิเลสก็สลายไปด้วยพลังปัญญา

 

พลังปัญญาเกิดในขณะมีองค์ 5 คือมีจักขุ(ครบทุกทวาร) ญาณ​ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) ซึ่งอาโลกาคือแสงสว่างภายนอกจากมหาภูตรูป ทั้งหลายเป็นอุตุนิยาม ไม่ใช่แสงสว่างภายใน

 

ปัญญา ญาณ วิชชา ต่างกันอย่างไร

วิชชาคือสูตรใหญ่ของพระพุทธเจ้ามี 8 ประการหลักเช่นวิชชา 8

ปัญญาเป็นคำกว้างๆ คนเอาไปใช้สามัญทั่วไปแล้ว

ส่วน ญาณ คนก็บางทีเอาไปใช้แบบฤาษี แต่พระพุทธเจ้าหมายถึงญาณปัญญาแบบต้องรู้ว่าจิตตนเป็นอย่างไร มีกิเลสให้เหรือเอา เช่นตอนทำทานก็รู้จิตตนว่า เอาคืนหรือให้ ถ้าทำทานแล้วขอคืนมามากกว่า

 

ส.เดินดินว่า...จะคิดอย่างไรถ้าเป็นแบบนี้...เวลาคุยกับพวกเศรษฐีเขาก็ว่าคนนั้นคนนี้ก็มีตำหนิไม่บริบูรณ์สุดท้ายก็ไม่ให้ใครเลย...

 

พ่อครูว่า...เราก็ต้องรู้ว่าจิตเราเลวแล้วไม่ดีแล้ว แต่ถ้ารู้ว่าเขาเถียงเอาชนะเราก็ไม่ต้องไปเถียงกับคนที่แพ้ไม่เป็น ถึงอย่างไรมันก็ต้องเอาชนะให้ได้ แต่ถ้าเราจะเอาชนะด้วยเหตุผลมันก็กลิ้งกลม ดันทุรัง กูไม่ยอม หรือว่า กูก็คือต้องได้กลับมามากกว่าเก่า อย่างนี้ชัดเจน

 

ส.เดินดินว่า..บางทีคนก็ทำทานเพื่อจะได้ยิ่งใหญ่ ได้โลกธรม

พ่อครูว่า..ต้องใช้ปัญญาล้างกิเลส แต่ถ้าใช้เฉโก คือฉลาดแบบโกงมีกิเลส ถ้าขณะทำงานแล้วมีเฉโก มีกิเลสร่วมปรุงก็คือเฉโก แต่ถ้าทำงานแล้วทำให้กิเลสลด ก็คือปัญญา ท่านให้เรียนรู้ขณะมีอายตนะ แล้วเจอตัวโกงก็ต้องกำจัดขจัดมัน เมื่อตัวโกงหมด ก็มีแต่ฉลาดปัญญา ฉลาดซื่อ

 

ญาณ คือตัวเลื่อนฐานะเจริญเป็นฉลาดซื่อตรง ฉลาดลดกิเลส จึงมีญาณสารพัดญาณ เช่น ญาณ 73 เป็นของพระอรหันต์ 6 ญาณ ที่เป็นเสขบุคคล 67 ญาณ มากมาย

 

คุณจะรู้เองว่าคุณถึงขีด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) หรือไม่? แต่พระอรหันต์ทุกองค์จะทำเผื่อ ทำให้ตั้งมั่นไว้ ได้ 100 ก็เต็มแล้ว แต่ท่านจะทำ 150 เพื่อให้ตั้งมั่น ไม่ประมาท แต่ถ้าทำเต็มแล้วหยุดก็ประมาท ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ ทำกุศลเพิ่ม ทำอเนญชาภิสังขารให้แน่นอนควบแน่น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปาน แน่วแน่ แนบแน่น ปักปั่น ได้ 300 เลย คุณเป็นคนไม่ประมาท ไม่เสียหายอะไรเลย ถ้าทำเผื่อไว้จริง ไม่ล้มเหลวแน่ คุณสมบัติไม่ล้มละลาย แล้วท่านแสดงเกิน เสียหาย อะไรๆก็รวมไว้ที่ความไม่ประมาท ต้องเผื่อพอ อย่างอาตมาบอกพวกเรานี่ ถ้าประเมินแล้วเสี่ยงชนะแค่ 60 เสียงเสีย 40 ก็ไม่เอา ต้องใช้สัปปุริสธรรมที่แท้จริง

 

ผู้ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญหรืออามิสแล้วจะเสี่่ยงอย่างไร อย่างมาก หากเขาเดือดร้อนมาก ก็เอา 70 ส่วนก็จำเป็นต้องทำ ที่พูดนี้เป็นเรื่องลักษณะจริงของคน ของตนเองที่ทำมาเอง ก็อธิบายสู่ฟัง สรุปแล้วพระอรหันต์ไม่มีใครประมาท เป็นอุปกิเลสข้อที่ 16

 

ส.เดินดินว่า...ฟังที่พ่อครูอธิบายเห็นว่าพวกเราที่ไม่เข้าใจอย่างพ่อครูคือพวกเราไปติดภาษาไม่ทำความเข้าใจสภาวะ ประโยคบนเข้าใจเหมือนกันว่า จิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส ส่วนประโยคล่าง การทำงานไม่ใช่จิตว่าง ก็คือล้างตัวติดยึดที่เข้าใจว่าจิตว่างคือว่างเฉยๆเด๋อๆ และประโยคหลังสุดที่บอกว่า แต่คือจิตเป็นสมาธิ

 

พ่อครูว่า...การทำงานไม่ใช่จิตว่าง...แต่จิตมีสมาธิ อาตมาก็ย้อนว่าจิตมีสมาธิคือจิตไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นการทำงานไม่ใช่จิตว่าง ก็คือจิตไม่มีกิเลส ตกลงมีพวกอยู่ 3 อย่าง การทำงานไม่ใช่จิตว่าง เป็นเสียงส่วนน้อย เพราะมีจิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส และจิตเป็นสมาธิ และจิตไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นการทำงานด้วยจิตว่างก็มีในคนที่ไม่มีกิเลส ทำได้

 

อาตมาเคยพูดนะ คนที่จิตว่าง คือคนที่ไม่อยู่่ว่าง แต่คนอยู่ว่าง คือคนที่จิตไม่ว่าง

 

ส.เดินดินว่า...คนจิตว่างนี่อายุยืนไหมครับ?

พ่อครูว่า...คนที่จิตว่างอายุยืนกว่าคนจิตว่าง เพราะคนจิตไม่ว่างคิดมาก กินพลังงาน คุณทุกข์เพราะดึงดันให้สมทุกข์ก็กินพลังงาน แต่ถ้าคุณเป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ก็ไม่ต้องกินพลังงานมีพลังงานเหลืออย่างน้อยมาเลี้ยงขันธ์

 

ส.เดินดินว่า เวลาเชียร์บอล แล้วทีมที่ตนเชียร์ชนะได้ก็ดีใจเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมานิดหนึ่ง

 

พ่อครูว่า..ดูคนที่จวนจะตายก็มีพลังขึ้นมาแวบหนึ่ง ก็คือจิตคนกลัวตายดิ้นให้ยินดีพอใจมานิดหนึ่ง แล้วเป็นพลังงานสุดท้ายแล้วมันได้ชั่วนิดหนึ่งเป็นของหลอกเป็นเท็จยิ่ง

 

ส.เดินดินว่า...อย่างพวกเรากองทัพธรรมไปประท้วงก็อยู่ได้นาน

 

พ่อครูว่า...เราอยู่ไปห้าร้อยวันได้เลย แต่คนทั่วไปก็ว่าความอดทนมีขีดจำกัด แต่ของพวกเรานี่ไม่ได้กดข่ม มีปัญญา เราไปแสดงบทบาทความสุจริตไปต่อสู้ฉีกหน้าความโกงให้เขาหยุดแต่เขาก็รุกคืบรุกศอกรุกวา แม้แต่พวกไอ้โมงป็อบคอร์นหรือศาลมาช่วย ประชาชนลุกมาร่วมก็มีให้เห็นเป็นจริงว่ามีการชนะรายทางมีผลได้ พวกเราจึงไม่มีการท้อถอย ไม่มีการล้า หรืออยากเลิกเพราะเห็นผลได้เหมือนคนขุดเพชร ขุดเจอเพชรก็ยิ่งยินดีขุดอีกเรื่อยๆ แต่ถ้าขุดไปไม่เจอเพชรก็ถดถอยท้อแท้ได้ หมดแรงได้

 

ส.เดินดินว่า...เมื่อวานได้พูดคุยกับพวกเราที่ต้องรับภาระดูแลเด็กมีปัญหาเป็นร้อยๆคน แล้วเขาก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายด้วย ข่าวคราวบอกว่าเขาใกล้จะไปแล้ว แต่ว่าเมื่อวานเขามาที่ทะเลธรรม เขาบอกว่าเขายังมีเด็กอีกเป็นร้อยคนเลยที่ต้องช่วยเลยฮึดขึ้นมาอีก

 

พ่อครูว่า..มันมีตัวให้เกิดเอ็นดอร์ฟีน ก็ต่อให้อยู่ได้ บางที่ถ้ามากๆก็หายจากโรคได้เลย เหมือนพวกเราโยมปราณี เป็นมะเร็งปอด หมอบอกว่าอีกหกเดือนตาย โยมปราณีก็ว่าหมดกำหนดอายุแล้ว ก็ไม่รักษาคีโม แกก็มาทำใจแบบเบิกบาน ขยันทำงานตามแรง เมื่อยก็พักไม่เมื่อยก็เพียร แต่ตอนนี้อยู่มา 12 ปีแล้ว แกท้ิงยาหมดเลย มากินอาหารธรรมชาติแล้วแก่ยังเชื่ออยู่ว่าแกหายเพราะดื่มปัสสาวะ

 

ส.เดินดินว่า...เขามีปีติที่ได้มาช่วยชมร. ได้มาช่วยชีวิตสัตว์ ได้มาช่วยโพธิสัตว์

 

พ่อครูว่า...จิตมีแต่เอ็นดอร์ฟีนไม่มีอดรีนาลีนก็จะอยู่ได้ยาว และมีอิทธิบาทด้วยช่วยสร้างสรร แต่ไม่ขยันเกิน แต่อยู่ในภาวะที่เจริญ ต่อเรื่องอารมณ์ ตกลงจิตว่างคือจิตที่ไม่่มีกิเลส มีสมาธิแบบไม่มีกิเลส แล้วทำงานได้ด้วย ไม่ใช่จิตว่างแบบของคุณ แต่ของเราคือจิตมีสมาธิแบบพุทธ ไม่ใช่สมาธินั่งหลับตาหลับดับปี๋ แต่เราทำงานได้ด้วยจิตที่อภิสังขาร ไม่มีกิเลสปรุงร่วมด้วย ป้ายนี้เขียนให้ได้คิด

 

มาสู่ส่ิงที่ยังค้างอยู่คือ เรื่อง อิทธิบาท ข้อสำคัญอยู่ที่วิมังสา คือได้ประโยชน์เนื้อแท้คุณค่า ถ้าเราไม่เข้าใจเป้าหมายเนื้อแท้ แต่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ แต่ไม่เข้าใจเนื้อแท้หรือแก่นก็พังเลย ถ้าไม่เข้าใจเนื้อแท้ตัวหลักก็ทำผิดเพี้ยนบรรลัยมาก ต้องมีสัมมาทิฏฐิให้ตรง วิจัยวิจารให้ตรง  ซึ่งใน 8 อ.จิตก็รวมที่อิทธิบาทและอารมณ์ ส่วนกายก็รวมที่ อาการ อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ ก็เป็นเรื่องนอก ทำให้พอดี

 

เช่นการกิน ทุกวันนี้คนกินมากแล้วปรุงแต่งเอาส่ิงเป็นพิษใส่ตัว อย่างทูตมาเมืองไทยมาแล้วติดกินพริก แต่ไปเมืองนอกแล้วปลูกพริกไม่ได้เมียก็ต้องหาตู้กระจกมาปลูกพริก เพื่อให้ผัวได้กินพริกเพราะติดการกินพริกแล้ว

 

อารมณ์หลอกอารมณ์เท็จ คืออารมณ์อร่อยมันเป็นเท็จ ที่บำเรอบำรุงอัสสาทะ ไม่ว่าจะเพลิดเพลินพอใจ บำเรอกิเลสแล้วก็เบียดเบียนคนอื่น อยากได้หรูหราใหญ่โตอ้วน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มามักน้อยไม่มักมากมักใหญ่โตอ้วน พระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมะใดเป็นไปเพื่อความมักมากมักใหญ่โต ธรรมะนั้นไม่ใช่ธรรมของพุทธ อย่างสำนักธรรมกาย หาวิธีการที่จะดูดเข้ามามากเอาให้มาก เก่งอย่างทุนนิยม เก่งอย่างทำลายศาสนา ทำทานก็ดราม่า เดินธุดงค์ก็ดราม่า บิณฑบาตก็ดราม่า พาคนมาบวชก็ดราม่า ตกแต่งยิ่งกว่าลิเกละคร แต่ตอนเช้าสมณะเราก็เหยียบดอกสร้อยระย้า แต่นี่เป็นธรรมชาติ เป็น Nature ไม่ใช่ Drama แต่ว่าคนที่เขาเอาดอกไม้มาปูบนพรมแล้วให้พระเดินเดินออกนอกพรมก็ไม่ได้ มักมากมักใหญ่มักโต ทำลายศาสนาพุทธได้มากมาย ศาสนาพุทธจะพังก็เพราะเขา อาตมาพูดให้หยุดให้ได้คิดนะ ถ้าทำต่อไปก็ตกนรกใหญ่มากขึ้นอีก แล้วใช้เวลาทุนรอนแรงงานมากมายด้วยใช่เหตุเพื่อโชว์ดราม่า เป็นการแสดงออกตกแต่งอวดอ้างอย่างแท้จริง อาตมาไม่ได้ลงโทษเขาหรอก เขาทำตัวเขาเอง อาตมาพูดนี่เพราะสงสารเมตตาเขาไม่ได้  ริสยาแม้นิดหนึ่งก็ไม่มี 

 

การหลงเพลิดเพลินเสพรสอร่อย เป็นกามราคะ คือได้เสพอารมณ์เสพรส แต่ความโลภคือได้มาเป็นของตน แล้วอารมณ์นี่ได้เสพแวบเดียวมันก็หายไปแต่คุณจำไว้แล้วดึงสัญญามารับรู้เสพอารมณ์ แต่คุณจะเอาอารมณ์ไว้ไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไม่เที่ยง จะเอาไว้นานอย่างไรถ้าเป็นวัตถุก็เอาไว้ได้แค่ตายไป คุณตายจากวัตถุแล้วก็ไม่ได้เอาวัตถุ แต่ว่ากิเลสนั้นคุณเอาไปติดตัวไป อย่างกาแฟนี่เพื่อนชวนให้ดื่ม ทั้งที่คุณไม่ได้ตั้งใจมาดื่มเลย แต่คุณก็ดื่มแล้วจิตก็เสพรสนั้นคิดว่ากำไรอีก แต่ว่าเอาความติดในรสนั้นก็ติดอัตภาพคุณไปนานเท่านาน สุขตอนได้สัมผัสนั้นแวบเดียวแต่ว่าเรื่องกิเลสหรือทุกข์อาริยสัจนั้นติดตัวคุณไปอีกนานเท่านาน ตอนตายไปแล้วก็ไม่มีทวารนอกมาเสพรับรส มีแต่ดินรนในภพ ก็ดิ้นไปกับสัญญาปรุงแต่งตามสมมุติบ้าๆบอๆของคุณ ซึ่งมันไม่เป็นจริงนี่จึงชื่อว่านรกแล้วดิ้นไปกับสิ่งไม่เป็นจริง ตอนตายแล้วไม่รู้ตัวหรอก ดิ้นจริงๆ คุณไม่ได้เสพคุณก็ตกนรกนาน แต่ได้เสพจริงๆอร่อยแล้วเดี๋ยวเดียวคุณก็หยุดแล้ว แต่เมื่อตายแล้วไม่ได้เสพยิ่งนาน ตอนไม่ตายลืมตาอยู่ ดิ้นอยากได้อย่างหนึ่งไม่ได้ก็เปลี่ยนไปเอาอันอื่น อิริยาบทข้างนอกของคุณทั้งหมดกลบเกลื่อนไม่ให้คุณทุกข์ตลอดเวลาเลย อย่างดีคุณก็พักยก อทุกขมสุข ถ้าคุณไม่พักยกคุณจะจ่ายพลังงานมากที่สุดเลยร่างกายคุณเสีย ย่ิงไปเสพสุขดีใจได้ก็สปาร์ค หรือเสียใจมากก็สปาร์คก็เสียพลังงาน สรุปคือเสียพลังงานจากอวิชชาเยอะมาก แต่ถ้าฆ่ากิเลสตายแล้วก็ไม่ดิ้น มีพลังงานเหลือ จัดสรรประโยชน์ คุณไม่โง่ไปดิ้นเอาตามกิเลส ก็มีพลังงานไปช่วยเหลือสังคม ทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ไม่จ่ายพลังงานฟรีๆ

 

พระพุทธเจ้าว่าสิ่งที่ยากคือล้างอุปาทานจากสัญญา สิ่งที่อนาคามีต้องล้างคือ รูปราคะ อรูปราคะ ต้องล้างให้ละเอียดเนียน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรื่องสัญญานี่ล้างนานยาก คือสัญญูปาทานักขันโท ถ้าล้างอุปาทานในสัญญาได้ ทำลายความน่ามีน่าได้น่าเป็นให้หมด ก็ไม่มีอุปาทานในสัญญาให้ออกมาทำงานเป็นความอยากได้อยากมีอยากเป็นจนหมดความน่ามี น่าได้ น่าเป็นทั้งหมด  จิตก็สงบ แต่ไม่ใช่สงบนิ่งไม่กระดุกระดิก ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อเกษม ก็มากไปไม่พอดี กลายเป็นเท่ากับก้อนดินก้อนหิน แต่ดินหินไม่เรียกร้องกินอาหารแต่คนนี่ต้องกิน ไม่หากินเองด้วย ใครไม่มาให้ก็ไม่กินด้วย คนก็ยิ่งคิดว่าท่านหมดความอยาก ก็เลยต้องไปให้ท่าน เป็นคนน่าเคารพขนาดนี้จะให้ตายได้อย่างไร อย่างหลวงพ่อโพธิรักษ์ดูสงบ แต่ว่าหลวงพ่อเกษมดูสงบ คนก็เลยไม่นับถือหลวงพ่อโพธิรักษ์

 

ส.เดินดินว่า..พ่อท่านเหมือนไดนาโม หลวงพ่อเกษมเหมือนตู้เย็น

 

พ่อท่านว่าไ่ม่ใช่ อาตมาเหมือนลูกข่างที่หมุนเร็วแต่นิ่ง เหมือนกับกับไดนาโม หมุนเร็วคล่องตัวอย่างไวเลยไม่มีอะไรสะดุด ไม่มีร้อนด้วย ยิ่งวิ่งไกลวิ่งเร็วยิ่งเย็นยิ่งนิ่ง เราไม่เสียพลังงานไปกับอารมณ์สุขทุกข์ที่บำเรอกิเลส พลังงานเราก็เหลือ และธรรมชาติร่างกายเราซ่อมสร้างร่ายกายได้เก่งกว่าหมอทุกคน สรุปคือรักษาอารมณ์ให้ร่างกายมีพลังงานซ่อมสร้างตัวเองให้เต็มที่จะอายุยืน เชื่อพระพุทธเจ้าทำจิตให้ปราศจากอารมณ์ละอองกิเลสแล้วคุณจะอายุยืนเพราะธรรมชาติซ่อมสร้างตัวเองได้เก่งกว่าหมอทุกคนในมหาจักรวาล

 

อย่างโยมปราณี อยู่กับมิตรชาวอโศกเกิดเอ็นดอร์ฟีน แต่อยู่กับลูกหลานที่บ้านก็ไม่เกิดเอ็นดอร์ฟีน แกก็เลยมาอยู่กับพวกเรา แกทำจิตให้ผ่องใสไม่เศร้าหมอง เหตุดีผลก็คือได้อายุยืน แกเข้าใจแล้วก็ทำได้ด้วยจึงเกิดผล อย่างพวกเรานี่เข้าใจนะ 8อ. แต่ว่าทำไม่ได้ อาหารนี่ไม่ควรกินแต่อร่อยก็เลยหยุดไม่ได้ ออกกำลังกายนี่ดีนะ แต่ไม่ออก เป็นต้น...

 

ก็คงพอเข้าใจคำว่าอารมณ์ได้ดีขึ้นว่าจะต่ออายุได้อย่างไร ช่วยให้ร่างกายอายุยืน อาตมาจึงเป็นตัวหนูตะเพราที่เขาจะช่วยดูแล 8อ.ให้แล้วให้อายุยืนยาว เป็นโครงการขยายอายุขัย

 

เรื่องอาชีพ ตอนนี้อาชีพสื่อสารต้องทำสำคัญ เราไม่ทำก็ช่วยคนไม่ทัน การเมืองนี่เราไม่ทำการเมืองด้วยอามิส เราไม่โกงกิน ไม่มีอคติ ประชาชนก็ได้รับเต็มๆ เมื่อเราทำการเมืองแล้วประชาชนได้รับเต็มๆแปลว่าประชาธิปไตยคือกระจายอำนาจให้ประชาชน อำนาจคือเมื่อประชาชนมีความรู้สามารถช่วยตนเองได้ ช่วยตนเองไม่ได้เราก็เผื่อแผ่พวกเขา เพราะเขาโดนเอาเปรียบ และก็ช่วยปราบพวกโกงพวกเอาเปรียบด้วย ปราบด้วยปัญญาให้เขาสำนึกแก้ตัวเอง เป็นการปราบที่สงบเรียบร้อยสันติอหิงสาสมบูรณ์แบบ ต้องประมาณตนว่าเราจะทำกับเขาได้โอกาสนี้งานนี้ไหวไหม ทำด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ทำให้จริงจะเจริญท่าเดียว ศึกษาความรู้พระพุทธเจ้าให้ได้เป็นอรหันต์เร็วๆจะได้มาช่วยเหลือประเทศชาติ

 

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นความรู้ของท่านรู้หมดทุกศาสตร์ พระพุทธเจ้าจบหมด 18 วิชา แต่ไม่ทำงาน 18 วิชามาเอาวิชชาพุทธศาสตร์วิชชาเดียวครอบคลุมทุกอย่าง

 

ส.เดินดินว่า...เรามีการเอาพิษออกได้หลายทาง อยากจะบอกพวกเราให้หาเครื่องมือเอาอารมณ์ชอบหรือชังดูดหรือผลักออกไปก็จะดี อย่างพวกเราหลายคนอยู่วัดป่วย แต่อยู่ที่ชุมนุมหายป่วย

 

พ่อครูว่า...เป็นสัญญาย นิจจานิ มันกำหนดหมายว่าอันนี้น่าดีน่าได้น่าเป็น ก็เลยหายป่วยเลย จิตวิญญาณมีพลัง อีกอย่างคืองานที่เราไม่ชอบก็เป็น ไซโคซิสPsychosis เป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง

 

ส.เดินดินว่า...สวรรค์นี่แป๊บเดียว แวบเดียวแต่หลังผัสสะนั้นลื่นสไลด์ไปหานรกลึกเรื่อยๆ ยิ่งสัญญากำหนดไว้มากเท่าไหรก็ยิ่งลงนรกลึกเท่านั้น หลายขุมเลย วันนี้คือสวรรค์แป๊บเดียวแต่นรกลึกมากมายและหลายขุมด้วย กลับจากที่นี่ไปเราจะแสวงหาสวรรค์หรือนรกกัน...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:35:17 )

570706

รายละเอียด

570706_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และส.เดินดิน เรื่อง จิตว่างอย่างหลายนัย

ส.เดินดินว่า..วันนี้จะนิมนต์ให้พ่อครูอธิบายป้ายธรรมะป้ายหนึ่งที่ทะเลธรรม ที่เป็นที่ถกเถียงกันว่า เขียนผิดหรือไม่นะป้ายนี้ ซึ่งป้ายนี้เขียนเรื่องจิตว่าง ซึ่งท่านพุทธทาสเคยบอกว่า เวลาไปไปชายทะเลก็ลืมตัวตนไปก็เรียกว่าจิตว่าง แต่ของพ่อครูนี่จะให้ชัดเจนว่า ไม่มีตัวกูของกูนี้เป็นอย่างไร ในป้ายนี้เขียนว่า “จิตว่าง คือจิตที่ไม่มีกิเลส” ไม่ใช่ว่าไปอยู่ชายทะเล ก็เลยไม่ได้คิดถึงตัวกูของกู แต่ถามว่ากิเลสมันหายไปไหม ก็ไม่ มันพร้อมจะลุกขึ้นมาบีบคอเราตลอดเวลา แต่ป้ายนี้ อาจทำทำให้งง

 

สมณะมาขอร้องว่า มันจะผิดไหมนี่ จะให้หากระดาษมาปิดไว้ ซึ่งป้ายนี้มีคำความสองท่อน รู้สึกว่าท่อนบนกับท่อนล่างดูเหมือนไม่สัมพันธ์กัน ท่อนบนเขียนว่า จิตว่าง คือจิตที่ไม่มีกิเลส แต่ท่อนล่างเขียนว่า การทำงานคือไม่ใช่จิตว่าง แต่คือจิตที่มีสมาธิ นี่คือความที่เหมือนว่าประโยคข้างบนกับประโยคข้างล่างไม่สอดรับกัน อ่านแล้วรู้สึกว่าจะเพิ่มรอยหยักในสมองของคนใต้ได้ดี

 

พ่อครูว่า...เหตุปัจจัยแค่นี้พูดได้หลายปี คือสองประโยคนี้คล้ายกับเขียนว่า 1+1=3 ใครเห็นก็ว่าเฮ้ย ผิดนะนี่ มีอย่างที่ไหน 1+1=3 แต่พุทธนี่เก่ง เพราะว่าพุทธนี่รู้เกินกว่า E=mc2 + A ซึ่ง A คือ Abstract ใครตามหาค่า A ได้ก็จะได้ E ที่มีพลังงานมากขึ้น ฉันเดียวกันกับ  1+1=3 แต่ถ้าเขียนว่า  1+1=2 คนก็จบ เขียนทำไมเสียกระดาษเปล่าๆ  1+1=2 ขนาดดูแลก็ยังรู้เลย ว่า 1+1=2 ก็ไม่เกิดประโยชน์ที่ให้คนสะดุดใจ วิจัย การวิจัยไปหาความจริง จะรู้ว่าอันนี้แหละความหมายของโลกุตระ

 

จิตว่าง คือจิตที่ไม่มีกิเลส ถูกต้องใช่ไหม? แล้วบรรทัดล่างบอกว่า การทำงาน ไม่ใช่จิตว่าง ก็ดูเหมือนขัดกับข้างบนนะ การทำงานต้องให้จิตว่างสิ แต่ภูมิธรรมเดิมของคนทั่วไป ก็คือจิตว่าง และมีคำที่ว่า แต่จิตเป็นสมาธิ อีก แล้วก็เข้าใจว่า จิตเป็นสมาธิคือต้องไปนั่งหลับตา ก็เลยชักงง ว่าการทำงานนี่ไม่ใช่จิตว่างอีก

 

ถ้าเข้าใจว่า การทำสมาธิคือไปสงบนิ่งนั่งอยู่คือผู้เข้าใจสมาธิว่าคือ  1+1=2 เพราะปรมัตถสัจจะนั้นเหนือชั้นกว่า แต่เพราะว่าเขียนว่า การทำงานไม่ใช่จิตว่าง ก็เลยดูขัด เพราะว่าการทำงานด้วยจิตไม่ว่างคือจิตไม่เป็นสมาธิ แต่ประโยคหลังมีกำกับว่า การทำงานไม่ใช่จิตว่าง แต่จิตเป็นสมาธิ นี่ก็คือย้อนแย้งอีก ก็ต้องคิดละว่าทำไง การทำงานไม่ใช่จิตว่าง แต่จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นประโยคล่างก็ไขความโดยประโยคบน คือจิตว่างคือจิตที่ไม่มีกิเลส

 

แต่ว่าดังนั้นทั้งประโยคบนและล่าง จิตว่าง คือจิตต้องเป็นสมาธิ และไม่ใช่แบบ   1+1=2 ที่สมาธิคือทำไม่กระดุกกระดิกไม่ทำงาน แต่ทำงานด้วยสมาธิ นี่คือ  1+1=3  แล้ว

 

ฟังทันกันไหม? ...เงียบแปลว่าไม่ทัน ก็ทวนอีก

 

เมื่อคุณทำงาน การทำงานจะต้องมีจิตไม่ว่างแน่นอน การทำงานแบบจิตว่างฤาษี ไม่คิด ไม่กระดุกกระดิก แต่กิริยาเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวไป แต่มีสังขารอย่างอสังขาริกัง คือไม่มีกิเลสนำพาไม่มีกิเลสร่วมด้วย ก็คือจิตว่าง ทำงานก็เคลื่อนไหวไปด้วย

 

ประโยคหลังบอกว่า การทำงานไม่ใช่จิตว่าง แต่จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นสมาธิในประโยคนี้คือทำงานได้ ดังนั้นก็ขัดแย้งกับประโยคบนสิ จิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส 

 

คำว่านิ่งหรือว่างของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หยุด กาย วาจา ใจ แต่ว่าหยุดอกุศลหรือกิเลสเท่านั้น ตั้งแต่สักกายะ คือองค์ประชุมของอัตตาตัวตน เมื่อฆ่ากิเลสได้ จิตก็ว่างจากกิเลสก็ทำงานได้ดี ปรุงแต่งได้ดี อย่างอภิสังขาร คือสังขารที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไปอยู่กับมาร ก็คือ อภิสังขารมาร คือจิตที่ปรุงเลวร้ายได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าสามัญ​แต่ถ้าเป็นอภิสังขารของอาริยะก็คือการสังขารอันเป็นกุศลอย่างยิ่งใหญ่

 

อาตมาบอกว่า  1+1=3 แล้วมีตัวนามธรรมหรือ Abstract ที่คนมีภูมิธรรมจะจับตัวนี้มาทำงานได้อย่างสำคัญ คนเป็นโลกุตระบุคคลทำงานแล้วไม่ใช่ 1+1=2 แต่เป็น  1+1=3 เพราะทำงานแบบ  1+1=2 คือทำงานแล้วไม่งอกเงย แต่คนทำงานทางโลก  1+1=2 ให้คนอื่น 1 แล้วกูเอาเสีย1 เท่านั้น เอาไว้ให้แก่ตัวเอง ส่วนโลกุตระ  1+1=2 ใครก็รู้ว่าเป็น2 แต่ของโลกุตระพยายามทำให้เป็น  1+1=3 คือมีเหลือให้คนอื่นเผื่อแผ่คนอื่น หรือโลกีย์ก็สามารถทำ  1+1=3 ได้แต่เอาไว้ให้ตัวเองหมด และแถมเอาไปออกดอกผลไปหากินอีก

 

จิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส ส่วนอันที่สองนี้ทำงานไม่ใช่จิตว่าง คือไม่ใช่จิตว่างอย่างคนทั่วไปเข้าใจ เพราะมีคำกำกับว่า แต่จิตเป็นสมาธิ แต่ถ้ามีภูมิแค่ว่าจิตเป็นสมาธิคือไปนั่งหลับตา แต่ถ้าเข้าใจว่าสมาธิคือทำงานได้ เพราะฉะนั้น การทำงานด้วยจิตว่าง คือเขียนหลอกไว้ว่า  1+1=3 เพราะต้องทำงานแบบจิตพุทธ คือทำงานอย่างอสังขาริกังไม่มีตัวชักนำให้ทำอกุศล แต่ทำงานอย่างมรรคองค์ 8 ไม่มีกิเลสปรุงร่วม ได้ปฏิบัติมรรค 7 องค์พร้อมเกิดสัมมาสมาธิ สรุปคือสมาธิ มี 2 แบบ

 

การทำสมาธิ ทำฌาน พยายามให้จิตไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน พวกนั่งหลับตาสมาธิก็เป็นจิตไม่มีนิวรณ์แต่ได้แต่ในภวังค์ แต่ของพุทธนั้นจัดการนิวรณ์ จัดการกิเลสให้ตายไปสนิท แม้ขณะทำกรรมการงานในชีวิตประจำวัน แล้วอ่านรู้จิตว่ามีกิเลสขณะอยู่กับชีวิตประจำวันแล้วกำจัดกิเลส ได้ด้วยปหาน 5

 

วิขัมภนปหาน ที่เป็นสัญชาติญาณกดข่มกิเลสคนได้ แม้แต่โจรจะไปปล้นคนก็มีมารยาทไว้ก่อนกดข่มไว้ก่อน ได้เวลาเขาถึงเปิด ทุกคนทำเป็นไม่ต้องฝึกแต่ก็ต้องฝึก เมื่อมาปฏิบัติธรรมก็ต้องฝึก ถือว่าจิตว่างชั่วคราว ไม่ให้กิเลสมามีบทบาททำงาน แต่ไม่ได้ลดตัวตน ตัวตนไม่ได้ถูกกำจัด ของพระพุทธเจ้ามีวิปัสสนาวิธี คือเห็นตัวมันแล้วมีมรรคองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 หรือไตรสิกขา ก็คืออันเดียวกัน ปฏิบัติแล้วกิเลสลดได้ด้วยพลังทางจิต คือพลังปัญญา ถ้ารวบรวมพลังปัญญาได้เก่งก็เป็นไฟปัญญา คือทำ ฌาน แปลว่าไฟกองใหญ่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำฌาน แต่คือเพ่งรู้เพ่งเผากิเลสด้วยพลังปัญญา คือฌาน แล้วมีประสิทธิภาพ ทำให้แรงงานของกิเลสถูกกำลังของปัญญา ที่มีฤทธิ์เหนือกว่าพลังกิเลส พลังกิเลสก็สลายไปด้วยพลังปัญญา

 

พลังปัญญาเกิดในขณะมีองค์ 5 คือมีจักขุ(ครบทุกทวาร) ญาณ​ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) ซึ่งอาโลกาคือแสงสว่างภายนอกจากมหาภูตรูป ทั้งหลายเป็นอุตุนิยาม ไม่ใช่แสงสว่างภายใน

 

ปัญญา ญาณ วิชชา ต่างกันอย่างไร

วิชชาคือสูตรใหญ่ของพระพุทธเจ้ามี 8 ประการหลักเช่นวิชชา 8

ปัญญาเป็นคำกว้างๆ คนเอาไปใช้สามัญทั่วไปแล้ว

ส่วน ญาณ คนก็บางทีเอาไปใช้แบบฤาษี แต่พระพุทธเจ้าหมายถึงญาณปัญญาแบบต้องรู้ว่าจิตตนเป็นอย่างไร มีกิเลสให้เหรือเอา เช่นตอนทำทานก็รู้จิตตนว่า เอาคืนหรือให้ ถ้าทำทานแล้วขอคืนมามากกว่า

 

ส.เดินดินว่า...จะคิดอย่างไรถ้าเป็นแบบนี้...เวลาคุยกับพวกเศรษฐีเขาก็ว่าคนนั้นคนนี้ก็มีตำหนิไม่บริบูรณ์สุดท้ายก็ไม่ให้ใครเลย...

 

พ่อครูว่า...เราก็ต้องรู้ว่าจิตเราเลวแล้วไม่ดีแล้ว แต่ถ้ารู้ว่าเขาเถียงเอาชนะเราก็ไม่ต้องไปเถียงกับคนที่แพ้ไม่เป็น ถึงอย่างไรมันก็ต้องเอาชนะให้ได้ แต่ถ้าเราจะเอาชนะด้วยเหตุผลมันก็กลิ้งกลม ดันทุรัง กูไม่ยอม หรือว่า กูก็คือต้องได้กลับมามากกว่าเก่า อย่างนี้ชัดเจน

 

ส.เดินดินว่า..บางทีคนก็ทำทานเพื่อจะได้ยิ่งใหญ่ ได้โลกธรม

พ่อครูว่า..ต้องใช้ปัญญาล้างกิเลส แต่ถ้าใช้เฉโก คือฉลาดแบบโกงมีกิเลส ถ้าขณะทำงานแล้วมีเฉโก มีกิเลสร่วมปรุงก็คือเฉโก แต่ถ้าทำงานแล้วทำให้กิเลสลด ก็คือปัญญา ท่านให้เรียนรู้ขณะมีอายตนะ แล้วเจอตัวโกงก็ต้องกำจัดขจัดมัน เมื่อตัวโกงหมด ก็มีแต่ฉลาดปัญญา ฉลาดซื่อ

 

ญาณ คือตัวเลื่อนฐานะเจริญเป็นฉลาดซื่อตรง ฉลาดลดกิเลส จึงมีญาณสารพัดญาณ เช่น ญาณ 73 เป็นของพระอรหันต์ 6 ญาณ ที่เป็นเสขบุคคล 67 ญาณ มากมาย

 

คุณจะรู้เองว่าคุณถึงขีด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) หรือไม่? แต่พระอรหันต์ทุกองค์จะทำเผื่อ ทำให้ตั้งมั่นไว้ ได้ 100 ก็เต็มแล้ว แต่ท่านจะทำ 150 เพื่อให้ตั้งมั่น ไม่ประมาท แต่ถ้าทำเต็มแล้วหยุดก็ประมาท ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ ทำกุศลเพิ่ม ทำอเนญชาภิสังขารให้แน่นอนควบแน่น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปาน แน่วแน่ แนบแน่น ปักปั่น ได้ 300 เลย คุณเป็นคนไม่ประมาท ไม่เสียหายอะไรเลย ถ้าทำเผื่อไว้จริง ไม่ล้มเหลวแน่ คุณสมบัติไม่ล้มละลาย แล้วท่านแสดงเกิน เสียหาย อะไรๆก็รวมไว้ที่ความไม่ประมาท ต้องเผื่อพอ อย่างอาตมาบอกพวกเรานี่ ถ้าประเมินแล้วเสี่ยงชนะแค่ 60 เสียงเสีย 40 ก็ไม่เอา ต้องใช้สัปปุริสธรรมที่แท้จริง

 

ผู้ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญหรืออามิสแล้วจะเสี่่ยงอย่างไร อย่างมาก หากเขาเดือดร้อนมาก ก็เอา 70 ส่วนก็จำเป็นต้องทำ ที่พูดนี้เป็นเรื่องลักษณะจริงของคน ของตนเองที่ทำมาเอง ก็อธิบายสู่ฟัง สรุปแล้วพระอรหันต์ไม่มีใครประมาท เป็นอุปกิเลสข้อที่ 16

 

ส.เดินดินว่า...ฟังที่พ่อครูอธิบายเห็นว่าพวกเราที่ไม่เข้าใจอย่างพ่อครูคือพวกเราไปติดภาษาไม่ทำความเข้าใจสภาวะ ประโยคบนเข้าใจเหมือนกันว่า จิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส ส่วนประโยคล่าง การทำงานไม่ใช่จิตว่าง ก็คือล้างตัวติดยึดที่เข้าใจว่าจิตว่างคือว่างเฉยๆเด๋อๆ และประโยคหลังสุดที่บอกว่า แต่คือจิตเป็นสมาธิ

 

พ่อครูว่า...การทำงานไม่ใช่จิตว่าง...แต่จิตมีสมาธิ อาตมาก็ย้อนว่าจิตมีสมาธิคือจิตไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นการทำงานไม่ใช่จิตว่าง ก็คือจิตไม่มีกิเลส ตกลงมีพวกอยู่ 3 อย่าง การทำงานไม่ใช่จิตว่าง เป็นเสียงส่วนน้อย เพราะมีจิตว่างคือจิตไม่มีกิเลส และจิตเป็นสมาธิ และจิตไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นการทำงานด้วยจิตว่างก็มีในคนที่ไม่มีกิเลส ทำได้

 

อาตมาเคยพูดนะ คนที่จิตว่าง คือคนที่ไม่อยู่่ว่าง แต่คนอยู่ว่าง คือคนที่จิตไม่ว่าง

 

ส.เดินดินว่า...คนจิตว่างนี่อายุยืนไหมครับ?

พ่อครูว่า...คนที่จิตว่างอายุยืนกว่าคนจิตว่าง เพราะคนจิตไม่ว่างคิดมาก กินพลังงาน คุณทุกข์เพราะดึงดันให้สมทุกข์ก็กินพลังงาน แต่ถ้าคุณเป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ก็ไม่ต้องกินพลังงานมีพลังงานเหลืออย่างน้อยมาเลี้ยงขันธ์

 

ส.เดินดินว่า เวลาเชียร์บอล แล้วทีมที่ตนเชียร์ชนะได้ก็ดีใจเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมานิดหนึ่ง

 

พ่อครูว่า..ดูคนที่จวนจะตายก็มีพลังขึ้นมาแวบหนึ่ง ก็คือจิตคนกลัวตายดิ้นให้ยินดีพอใจมานิดหนึ่ง แล้วเป็นพลังงานสุดท้ายแล้วมันได้ชั่วนิดหนึ่งเป็นของหลอกเป็นเท็จยิ่ง

 

ส.เดินดินว่า...อย่างพวกเรากองทัพธรรมไปประท้วงก็อยู่ได้นาน

 

พ่อครูว่า...เราอยู่ไปห้าร้อยวันได้เลย แต่คนทั่วไปก็ว่าความอดทนมีขีดจำกัด แต่ของพวกเรานี่ไม่ได้กดข่ม มีปัญญา เราไปแสดงบทบาทความสุจริตไปต่อสู้ฉีกหน้าความโกงให้เขาหยุดแต่เขาก็รุกคืบรุกศอกรุกวา แม้แต่พวกไอ้โมงป็อบคอร์นหรือศาลมาช่วย ประชาชนลุกมาร่วมก็มีให้เห็นเป็นจริงว่ามีการชนะรายทางมีผลได้ พวกเราจึงไม่มีการท้อถอย ไม่มีการล้า หรืออยากเลิกเพราะเห็นผลได้เหมือนคนขุดเพชร ขุดเจอเพชรก็ยิ่งยินดีขุดอีกเรื่อยๆ แต่ถ้าขุดไปไม่เจอเพชรก็ถดถอยท้อแท้ได้ หมดแรงได้

 

ส.เดินดินว่า...เมื่อวานได้พูดคุยกับพวกเราที่ต้องรับภาระดูแลเด็กมีปัญหาเป็นร้อยๆคน แล้วเขาก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายด้วย ข่าวคราวบอกว่าเขาใกล้จะไปแล้ว แต่ว่าเมื่อวานเขามาที่ทะเลธรรม เขาบอกว่าเขายังมีเด็กอีกเป็นร้อยคนเลยที่ต้องช่วยเลยฮึดขึ้นมาอีก

 

พ่อครูว่า..มันมีตัวให้เกิดเอ็นดอร์ฟีน ก็ต่อให้อยู่ได้ บางที่ถ้ามากๆก็หายจากโรคได้เลย เหมือนพวกเราโยมปราณี เป็นมะเร็งปอด หมอบอกว่าอีกหกเดือนตาย โยมปราณีก็ว่าหมดกำหนดอายุแล้ว ก็ไม่รักษาคีโม แกก็มาทำใจแบบเบิกบาน ขยันทำงานตามแรง เมื่อยก็พักไม่เมื่อยก็เพียร แต่ตอนนี้อยู่มา 12 ปีแล้ว แกท้ิงยาหมดเลย มากินอาหารธรรมชาติแล้วแก่ยังเชื่ออยู่ว่าแกหายเพราะดื่มปัสสาวะ

 

ส.เดินดินว่า...เขามีปีติที่ได้มาช่วยชมร. ได้มาช่วยชีวิตสัตว์ ได้มาช่วยโพธิสัตว์

 

พ่อครูว่า...จิตมีแต่เอ็นดอร์ฟีนไม่มีอดรีนาลีนก็จะอยู่ได้ยาว และมีอิทธิบาทด้วยช่วยสร้างสรร แต่ไม่ขยันเกิน แต่อยู่ในภาวะที่เจริญ ต่อเรื่องอารมณ์ ตกลงจิตว่างคือจิตที่ไม่่มีกิเลส มีสมาธิแบบไม่มีกิเลส แล้วทำงานได้ด้วย ไม่ใช่จิตว่างแบบของคุณ แต่ของเราคือจิตมีสมาธิแบบพุทธ ไม่ใช่สมาธินั่งหลับตาหลับดับปี๋ แต่เราทำงานได้ด้วยจิตที่อภิสังขาร ไม่มีกิเลสปรุงร่วมด้วย ป้ายนี้เขียนให้ได้คิด

 

มาสู่ส่ิงที่ยังค้างอยู่คือ เรื่อง อิทธิบาท ข้อสำคัญอยู่ที่วิมังสา คือได้ประโยชน์เนื้อแท้คุณค่า ถ้าเราไม่เข้าใจเป้าหมายเนื้อแท้ แต่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ แต่ไม่เข้าใจเนื้อแท้หรือแก่นก็พังเลย ถ้าไม่เข้าใจเนื้อแท้ตัวหลักก็ทำผิดเพี้ยนบรรลัยมาก ต้องมีสัมมาทิฏฐิให้ตรง วิจัยวิจารให้ตรง  ซึ่งใน 8 อ.จิตก็รวมที่อิทธิบาทและอารมณ์ ส่วนกายก็รวมที่ อาการ อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ ก็เป็นเรื่องนอก ทำให้พอดี

 

เช่นการกิน ทุกวันนี้คนกินมากแล้วปรุงแต่งเอาส่ิงเป็นพิษใส่ตัว อย่างทูตมาเมืองไทยมาแล้วติดกินพริก แต่ไปเมืองนอกแล้วปลูกพริกไม่ได้เมียก็ต้องหาตู้กระจกมาปลูกพริก เพื่อให้ผัวได้กินพริกเพราะติดการกินพริกแล้ว

 

อารมณ์หลอกอารมณ์เท็จ คืออารมณ์อร่อยมันเป็นเท็จ ที่บำเรอบำรุงอัสสาทะ ไม่ว่าจะเพลิดเพลินพอใจ บำเรอกิเลสแล้วก็เบียดเบียนคนอื่น อยากได้หรูหราใหญ่โตอ้วน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มามักน้อยไม่มักมากมักใหญ่โตอ้วน พระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมะใดเป็นไปเพื่อความมักมากมักใหญ่โต ธรรมะนั้นไม่ใช่ธรรมของพุทธ อย่างสำนักธรรมกาย หาวิธีการที่จะดูดเข้ามามากเอาให้มาก เก่งอย่างทุนนิยม เก่งอย่างทำลายศาสนา ทำทานก็ดราม่า เดินธุดงค์ก็ดราม่า บิณฑบาตก็ดราม่า พาคนมาบวชก็ดราม่า ตกแต่งยิ่งกว่าลิเกละคร แต่ตอนเช้าสมณะเราก็เหยียบดอกสร้อยระย้า แต่นี่เป็นธรรมชาติ เป็น Nature ไม่ใช่ Drama แต่ว่าคนที่เขาเอาดอกไม้มาปูบนพรมแล้วให้พระเดินเดินออกนอกพรมก็ไม่ได้ มักมากมักใหญ่มักโต ทำลายศาสนาพุทธได้มากมาย ศาสนาพุทธจะพังก็เพราะเขา อาตมาพูดให้หยุดให้ได้คิดนะ ถ้าทำต่อไปก็ตกนรกใหญ่มากขึ้นอีก แล้วใช้เวลาทุนรอนแรงงานมากมายด้วยใช่เหตุเพื่อโชว์ดราม่า เป็นการแสดงออกตกแต่งอวดอ้างอย่างแท้จริง อาตมาไม่ได้ลงโทษเขาหรอก เขาทำตัวเขาเอง อาตมาพูดนี่เพราะสงสารเมตตาเขาไม่ได้  ริสยาแม้นิดหนึ่งก็ไม่มี 

 

การหลงเพลิดเพลินเสพรสอร่อย เป็นกามราคะ คือได้เสพอารมณ์เสพรส แต่ความโลภคือได้มาเป็นของตน แล้วอารมณ์นี่ได้เสพแวบเดียวมันก็หายไปแต่คุณจำไว้แล้วดึงสัญญามารับรู้เสพอารมณ์ แต่คุณจะเอาอารมณ์ไว้ไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไม่เที่ยง จะเอาไว้นานอย่างไรถ้าเป็นวัตถุก็เอาไว้ได้แค่ตายไป คุณตายจากวัตถุแล้วก็ไม่ได้เอาวัตถุ แต่ว่ากิเลสนั้นคุณเอาไปติดตัวไป อย่างกาแฟนี่เพื่อนชวนให้ดื่ม ทั้งที่คุณไม่ได้ตั้งใจมาดื่มเลย แต่คุณก็ดื่มแล้วจิตก็เสพรสนั้นคิดว่ากำไรอีก แต่ว่าเอาความติดในรสนั้นก็ติดอัตภาพคุณไปนานเท่านาน สุขตอนได้สัมผัสนั้นแวบเดียวแต่ว่าเรื่องกิเลสหรือทุกข์อาริยสัจนั้นติดตัวคุณไปอีกนานเท่านาน ตอนตายไปแล้วก็ไม่มีทวารนอกมาเสพรับรส มีแต่ดินรนในภพ ก็ดิ้นไปกับสัญญาปรุงแต่งตามสมมุติบ้าๆบอๆของคุณ ซึ่งมันไม่เป็นจริงนี่จึงชื่อว่านรกแล้วดิ้นไปกับสิ่งไม่เป็นจริง ตอนตายแล้วไม่รู้ตัวหรอก ดิ้นจริงๆ คุณไม่ได้เสพคุณก็ตกนรกนาน แต่ได้เสพจริงๆอร่อยแล้วเดี๋ยวเดียวคุณก็หยุดแล้ว แต่เมื่อตายแล้วไม่ได้เสพยิ่งนาน ตอนไม่ตายลืมตาอยู่ ดิ้นอยากได้อย่างหนึ่งไม่ได้ก็เปลี่ยนไปเอาอันอื่น อิริยาบทข้างนอกของคุณทั้งหมดกลบเกลื่อนไม่ให้คุณทุกข์ตลอดเวลาเลย อย่างดีคุณก็พักยก อทุกขมสุข ถ้าคุณไม่พักยกคุณจะจ่ายพลังงานมากที่สุดเลยร่างกายคุณเสีย ย่ิงไปเสพสุขดีใจได้ก็สปาร์ค หรือเสียใจมากก็สปาร์คก็เสียพลังงาน สรุปคือเสียพลังงานจากอวิชชาเยอะมาก แต่ถ้าฆ่ากิเลสตายแล้วก็ไม่ดิ้น มีพลังงานเหลือ จัดสรรประโยชน์ คุณไม่โง่ไปดิ้นเอาตามกิเลส ก็มีพลังงานไปช่วยเหลือสังคม ทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ไม่จ่ายพลังงานฟรีๆ

 

พระพุทธเจ้าว่าสิ่งที่ยากคือล้างอุปาทานจากสัญญา สิ่งที่อนาคามีต้องล้างคือ รูปราคะ อรูปราคะ ต้องล้างให้ละเอียดเนียน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรื่องสัญญานี่ล้างนานยาก คือสัญญูปาทานักขันโท ถ้าล้างอุปาทานในสัญญาได้ ทำลายความน่ามีน่าได้น่าเป็นให้หมด ก็ไม่มีอุปาทานในสัญญาให้ออกมาทำงานเป็นความอยากได้อยากมีอยากเป็นจนหมดความน่ามี น่าได้ น่าเป็นทั้งหมด  จิตก็สงบ แต่ไม่ใช่สงบนิ่งไม่กระดุกระดิก ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อเกษม ก็มากไปไม่พอดี กลายเป็นเท่ากับก้อนดินก้อนหิน แต่ดินหินไม่เรียกร้องกินอาหารแต่คนนี่ต้องกิน ไม่หากินเองด้วย ใครไม่มาให้ก็ไม่กินด้วย คนก็ยิ่งคิดว่าท่านหมดความอยาก ก็เลยต้องไปให้ท่าน เป็นคนน่าเคารพขนาดนี้จะให้ตายได้อย่างไร อย่างหลวงพ่อโพธิรักษ์ดูสงบ แต่ว่าหลวงพ่อเกษมดูสงบ คนก็เลยไม่นับถือหลวงพ่อโพธิรักษ์

 

ส.เดินดินว่า..พ่อท่านเหมือนไดนาโม หลวงพ่อเกษมเหมือนตู้เย็น

 

พ่อท่านว่าไ่ม่ใช่ อาตมาเหมือนลูกข่างที่หมุนเร็วแต่นิ่ง เหมือนกับกับไดนาโม หมุนเร็วคล่องตัวอย่างไวเลยไม่มีอะไรสะดุด ไม่มีร้อนด้วย ยิ่งวิ่งไกลวิ่งเร็วยิ่งเย็นยิ่งนิ่ง เราไม่เสียพลังงานไปกับอารมณ์สุขทุกข์ที่บำเรอกิเลส พลังงานเราก็เหลือ และธรรมชาติร่างกายเราซ่อมสร้างร่ายกายได้เก่งกว่าหมอทุกคน สรุปคือรักษาอารมณ์ให้ร่างกายมีพลังงานซ่อมสร้างตัวเองให้เต็มที่จะอายุยืน เชื่อพระพุทธเจ้าทำจิตให้ปราศจากอารมณ์ละอองกิเลสแล้วคุณจะอายุยืนเพราะธรรมชาติซ่อมสร้างตัวเองได้เก่งกว่าหมอทุกคนในมหาจักรวาล

 

อย่างโยมปราณี อยู่กับมิตรชาวอโศกเกิดเอ็นดอร์ฟีน แต่อยู่กับลูกหลานที่บ้านก็ไม่เกิดเอ็นดอร์ฟีน แกก็เลยมาอยู่กับพวกเรา แกทำจิตให้ผ่องใสไม่เศร้าหมอง เหตุดีผลก็คือได้อายุยืน แกเข้าใจแล้วก็ทำได้ด้วยจึงเกิดผล อย่างพวกเรานี่เข้าใจนะ 8อ. แต่ว่าทำไม่ได้ อาหารนี่ไม่ควรกินแต่อร่อยก็เลยหยุดไม่ได้ ออกกำลังกายนี่ดีนะ แต่ไม่ออก เป็นต้น...

 

ก็คงพอเข้าใจคำว่าอารมณ์ได้ดีขึ้นว่าจะต่ออายุได้อย่างไร ช่วยให้ร่างกายอายุยืน อาตมาจึงเป็นตัวหนูตะเพราที่เขาจะช่วยดูแล 8อ.ให้แล้วให้อายุยืนยาว เป็นโครงการขยายอายุขัย

 

เรื่องอาชีพ ตอนนี้อาชีพสื่อสารต้องทำสำคัญ เราไม่ทำก็ช่วยคนไม่ทัน การเมืองนี่เราไม่ทำการเมืองด้วยอามิส เราไม่โกงกิน ไม่มีอคติ ประชาชนก็ได้รับเต็มๆ เมื่อเราทำการเมืองแล้วประชาชนได้รับเต็มๆแปลว่าประชาธิปไตยคือกระจายอำนาจให้ประชาชน อำนาจคือเมื่อประชาชนมีความรู้สามารถช่วยตนเองได้ ช่วยตนเองไม่ได้เราก็เผื่อแผ่พวกเขา เพราะเขาโดนเอาเปรียบ และก็ช่วยปราบพวกโกงพวกเอาเปรียบด้วย ปราบด้วยปัญญาให้เขาสำนึกแก้ตัวเอง เป็นการปราบที่สงบเรียบร้อยสันติอหิงสาสมบูรณ์แบบ ต้องประมาณตนว่าเราจะทำกับเขาได้โอกาสนี้งานนี้ไหวไหม ทำด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ทำให้จริงจะเจริญท่าเดียว ศึกษาความรู้พระพุทธเจ้าให้ได้เป็นอรหันต์เร็วๆจะได้มาช่วยเหลือประเทศชาติ

 

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นความรู้ของท่านรู้หมดทุกศาสตร์ พระพุทธเจ้าจบหมด 18 วิชา แต่ไม่ทำงาน 18 วิชามาเอาวิชชาพุทธศาสตร์วิชชาเดียวครอบคลุมทุกอย่าง

 

ส.เดินดินว่า...เรามีการเอาพิษออกได้หลายทาง อยากจะบอกพวกเราให้หาเครื่องมือเอาอารมณ์ชอบหรือชังดูดหรือผลักออกไปก็จะดี อย่างพวกเราหลายคนอยู่วัดป่วย แต่อยู่ที่ชุมนุมหายป่วย

 

พ่อครูว่า...เป็นสัญญาย นิจจานิ มันกำหนดหมายว่าอันนี้น่าดีน่าได้น่าเป็น ก็เลยหายป่วยเลย จิตวิญญาณมีพลัง อีกอย่างคืองานที่เราไม่ชอบก็เป็น ไซโคซิสPsychosis เป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง

 

ส.เดินดินว่า...สวรรค์นี่แป๊บเดียว แวบเดียวแต่หลังผัสสะนั้นลื่นสไลด์ไปหานรกลึกเรื่อยๆ ยิ่งสัญญากำหนดไว้มากเท่าไหรก็ยิ่งลงนรกลึกเท่านั้น หลายขุมเลย วันนี้คือสวรรค์แป๊บเดียวแต่นรกลึกมากมายและหลายขุมด้วย กลับจากที่นี่ไปเราจะแสวงหาสวรรค์หรือนรกกัน...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:37:21 )

570707

รายละเอียด

570707_ธรรมาธรรมะสงคราม ที่สันติฯ เรื่อง หลักตัดสินมรรคผลของชุมชนพุทธแท้

วันนี้เป็นวันปลายโอกาสที่อาตมาจะได้เทศน์ก่อนเข้าพรรษา พรุ่งนี้ก็จะได้เดินทางไปเข้าพรรษาที่ราชธานีอโศกแล้ว ก็ขอสรุปเรื่องราวที่ใช้คำว่า อยากจะพูดนะ อาตมาทำงานมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่เป็นฆราวาส ทำงานด้านธรรมะ เพราะเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ จนมาถึงวันนี้ยิ่งมั่นใจเห็นจริงว่าสัจจะของพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายที่ถูกประคบประหงมด้วยโลกีย์ อย่างที่ว่าสรรหามาให้ทุกอย่าง เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะ มีลูกชายอยู่คนเดียว แต่ที่จริงก็มีเจ้าชายนันทะด้วย แต่ท่านก็มั่นใจว่าจะให้ลูกชายคนโตนี่ครองราชย์ต่อ ก็มีพราหมณ์มาทำนายไว้สองคติว่าจะเป็นพระเจ้าจอมจักรพรรดิ์หรือเป็นศาสดาเอกของโลกก็ได้ พระเจ้าสุทโธทนะก็เลยหาโลกีย์มาบำเรอไว้ แต่ที่สุดแล้ว ด้วยบารมีของท่านก็ต้องออกมาทางนี้แหละ

 

คนทางโลกจะเข้าใจยาก เพราะไม่ได้เสพเหมือนโลกีย์เขา แล้วจะมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่อย่างไร? พรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ พรั่งพร้อมไปด้วยลาภสักการะสรรเสริญ ปุถุชนก็เป็นเช่นนั้นทั้งนั้น จึงเป็นเรื่องยากจะเห็นสัจจะในปรมังสุขัง สุขส่วนตน แล้วสุขส่วนผู้อื่นก็สุดประเสริฐเพราะไม่ได้แย่งชิงเบียดเบียนใคร มีแต่สิ่งดีงามเป็นคุณต่อคนอื่นด้วย เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

แต่ทุกวันนี้ทำไมคนไม่มีมรรคผล มีแต่พวกเรา สี่สิบปีแล้วก็ได้แค่นี้ ก็แน่นอนแหละมีเหตุปัจจัยของยุคสมัย และกิเลสที่พัฒนาตัว ทั้งคนก็ตกต่ำจริง ความรู้แท้สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าก็เพี้ยนผิดไป เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเช่นนี้ อาตมาจึงมากอบกู้ได้ยากจริงๆ ก็ขออภัยที่ต้องพูดชัดๆ ก่อนที่อาตมาจะมาอุบัติขึ้นและเปิดเผยมีหมู่กลุ่มอโศก มีสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่คุณสมบัติก็ต้องพัฒนากว่านี้อีก แต่ไม่ทรุดเสื่อม มีแต่จะเจริญไป เหมือนเด็กที่จะต้องโตต่อไป จนถึงขีด นี่ก็ยังไม่ถึงขีดสุด

 

ผู้มาแล้วเข้าใจก็มีมรรคผล จะเห็นได้ว่าไม่มีอื่นดีกว่า แม้แค่ปัญญาปฎิภาณรู้ว่าสิ่งนี้ดีสุด แต่บารมียังไม่มีต้องอดทนข่มฝืนลำบาก ถ้าชัดเจนสัมมาทิฏฐิก็ปฏิบัติธรรมด้วยนำ้ตานองหน้า แต่ไม่ถอย บางคนไม่ชัดก็ถอยออกไป เป็นจริงตามแต่ละบุคคลเป็นไปตามจริง แต่องค์รวมของคุณธรรม สัจธรรม สัมมาทิฏฐิ ซึ่งเห็นผลว่ามีความแตกต่างที่ยืนยันได้ว่ามีทิศทางตรงตามพระพุทธเจ้าตรัส มีหลักตรวจสอบธรรมวินัย 8

1.         เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)

2.        เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ)

3.        เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ)

4.        เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

5.        เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

6.         เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ)

7.        เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ)

8.        เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

            นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา 

(โคตมีสูตร พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 143)

 

พวกเราฝึกให้รู้จัก กาย คือองค์ประชุม ที่ประกอบด้วย เทวดาหรือสัตว์นรก เปรต อสุระกาย แล้วจัดการได้อย่างเป็นของจริง เราอยู่ในสังคมนี้อย่างไม่ได้หลอก ไม่ได้ครอบงำความคิด เราซื่อสัตย์ แต่บกพร่องบ้างก็มี แต่เจตนารมย์เราก็ชัดเจน ซื่อสัตย์ พยายามแล้วก็ไม่ได้สมบูรณ์บกพร่องบ้าง ก็ธรรมดา แต่เจตนาไม่มีตัวแฝงนะ ไม่มีใครมาแทรกหลอกลวงปฏิบัติเพื่อให้ที่นี่ล้มเหลวลง ทำทีเป็นชาวอโศกแล้วทำชั่วเพื่อทำลายชาวอโศก ยังไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิด มีแต่ผู้มีเป้าหมาย มโนสัญเจตนามุ่งมั่น ส่วนบกพร่องก็มี ก็ได้เท่านี้

 

แต่คนมีปัญญาจะเห็นว่าสังคมนี้ไม่เหมือนสังคมโลกีย์ เป็นสังคมสุขสงบ มักน้อย หลายคนอยู่ข้างนอก แต่ก็ปฏิบัติตาม อย่างเต็มที่หรือตามสัดส่วน ส่วนพวกมาอยู่เต็มใจปฏิบัติ ทำงานเหน็ดเหนื่อยทำเต็มที่ เอาทั้งตัวตนทุกอย่างองค์ประกอบชีวิต หลายคนมาทั้งชีวิต ทรัพย์สินไม่เอามาเป็นอนาคาริก มาอยู่ระบบสาธารณโภคี อาศัยหมู่ฝูงอยู่ มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา อยู่อย่างสบายใจ เป็นภูมิรู้คุณธรรมของแต่ละคน คนไม่รู้ก็มองไม่ออก ว่าเขาอยู่ได้อย่างไร เพราะภพของเขาคือโลกีย์ต้องบำเรอกามคุณจึงอยู่ได้ แต่อยู่อย่างนี้ไม่ตรงไม่ถึงที่เขายึดถือ เป็นภูมิของเรา เราก็เข้าใจ แต่แต่ละคนบอกตัวเองสิว่ามาลดละอย่างไร สบายอย่างไร หลายคนยังบอกตัวเองได้ว่า เราทำดีได้กว่านี้อีก

 

เอาหลักตรวจสอบ ตามโคตมีสูตร(หลักตัดสินธรรมวินัย 8) ได้ ทำได้เป็นได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่บางคนหลง นึกว่าตนบรรลุ แต่แท้จริงไม่ได้ก็มี จะตรวจสอบตามหลัก กถาวัตถุ 10 ก็ได้

1.         เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .

2.        เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.        เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .

4.        เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) .

5.        เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .

6.         เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.        เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา)

8.        เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.         เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10.      เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

 

หรือตามหลักวรรณะ 9 ก็ชัดมาก

1.         เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.        บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.        มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4.        ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.        ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.         เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.        มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.        ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.         ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

เป็นเรื่องของความเป็นมนุษยชาติที่ได้อบรมฝึกฝนจะได้มรรคผล มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป ทุกวันนี้อาตมาประมาณตนว่าทำงานไม่เหนื่อยเกินกาล ใครสังเกตอาตมาว่าเมื่อก่อนอาตมาทำงาน overload แต่ตอนนั้นมันยังหนุ่มอยู่ แต่ตอนนี้ก็ประมาณให้สมดุลขึ้น ก็ทำได้ดีจัดสรรเวลาโอกาส จัดการได้เนียนดีขึ้นจัดสรรการงานของเราจัดสรรเวลา ก็ทำได้ดีพอสมควร แต่อาตมาก็เห็นว่าตนเองไม่เก่ง ทำได้ช้า แล้วที่ไม่เก่งคือต้องแก้บ่อย แก้ใหม่ก็ดีขึ้นอีกทุกที ทำขนาดนี้ก็ไม่เหนื่อยเกินกาล แต่รู้ว่าทำได้มากว่านี้ก็จะได้ประโยชน์กว่านี้ ก็พยายามจัดสรรให้ทำได้มากขึ้นดีขึ้นกว่านี้อีก แต่ก็ได้ตามเหตุปัจจัยตามสมรรถนะตามบารมี

 

สรุปแล้วยังมุ่งมั่นเต็มใจประสงค์ทำงานให้ได้นานที่สุด ถ้าได้ 151 ปีได้ก็ดีมากเลย พวกเราพยายามอยู่เป็นพยานรับรองอาตมาหน่อย อยู่ได้เป็นปาฏิหาริย์จริงๆ แต่อยู่อย่างหง่อม ทำอะไรไม่ได้ พูดไม่ออก แสดงอะไรไม่ได้ เหมือนหมอโทขุดะที่คุณจำลองว่าเป็นอัมพาต กรอกได้แต่ลูกตา แต่ก็ทำงานได้ทำงานมีใจเป็นกุศล เห็นเป็นคุณค่าต่อมนุษย์ จะให้ลุงจำลองมาทำงาน รพ.พันเตียง จะทำให้ทุกอย่างลุงจำลองไม่ต้องยุ่งยากอะไร แกไว้ใจลุงจำลอง

 

พูดถึงพวกเรา อาตมาว่าพวกเราจริงใจ ไม่ได้มาทำแอ็ค เสแสร้งแกล้งทำ ลำบากลำบนกดข่มใจจะแย่แล้ว ฝืนมา 10 ปีก็แย่ แต่นี่มาตั้ง 40 ปีแล้ว คนอยู่จะรู้ว่าเราเบาสบาย อยู่อย่างตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้า จะมีปฏิภาณรู้เอง ถ้าเผื่อว่าเป็นพรางไม่ชัดรู้ยาก อาตมาไม่นิยมการพรางลวง เพราะถ้าพรางลวง คนมารับมาศึกษาก็เห็นไม่เต็ม พออยู่ไปก็จะเห็นว่าบกพร่องอีก ก็จะว่าทำไมไม่เปิดเผย อาตมาจึงทำอย่างจริง ไม่ลวงพราง จริงเท่าไหร่ตรงเท่าไหร่ก็ทำ จะได้คนที่ไม่ถูกพรางเลย ไม่ต้องมานั่งกลบเกลื่อนอธิบายกันอีก เสร็จไปเลยทีเดียว

 

เท่าที่ได้ขนาดนี้เป็นสัจจะที่น่าภูมิใจ ยืนยันธรรมะทวนกระแสโลกีย์ของพระพุทธเจ้า ยืนยันความจริงท่ามกลางสังคมโลกียะอันหยำฉ่า จัดจ้านซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกตไม่รู้กี่ชั้น แต่พวกคุณก็ออกมาได้อย่างไรนะ เก่ง เพราะเขาหลอกล่อซับซ้อนในนั้นมากเลย อาตมาไม่ชมพวกคุณหรอกว่าเห็นได้อย่างไร ไม่ต้องชมหรอกพวกคุณก็รู้ก็แล้วกัน ว่ามาได้อย่างไร?

 

อย่างฟ้ารักนี่ ทิ้งคู่หมั้นมา นึกว่าจะอยู่ไม่รอด ตอนนี้ไปไหนไม่รอดแล้ว อายุ 60 แล้ว คนอื่นก็มีเยอะแยะ ไม่ได้ฝืนอึดอัดกดข่มเสแสร้ง ชีวิตเป็นของเราเราจะบ้าบอทำไปทำไม จะมาหลอกอาตมาไว้เพื่ออะไร ทำหลอกทำไมร่วมเห็นด้วยแต่ทนเอา

 

และอีกชั้นคือสังคมน่าสงสาร ยิ่งทำให้อาตมาต้องมุ่งมั่น พวกเราก็เหนื่อย อาตมาพาไปเหนื่อย ขนาดนั้นยังไม่ทันความเสื่อมของสังคม แต่ยิ่งไม่ช่วยก็ยิ่งแย่ ที่อาตมาพาพวกเราไปเหน็ดเหนื่อย หลายคนอาจเคยคิดว่าพ่อท่านพามาทำไมเหนื่อยฉิบหายเลย ขออภัย แต่สังคมน่าสงสารจริงๆ และเห็นว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยสังคมโลกีย์ได้

 

ยกตัวอย่างสงบ สยบความเคลื่อนไหวได้ และคุณธรรมพวกเราทำให้คนจะมาทำร้ายทำลายหยุดได้  ซึ่งบางพวกเขาก็ว่า พวกเราต้องชุมนุมอย่างสงบ สันติ อหิงสา ปฏิภาณมันรู้แต่ใจจริงไม่เป็น ก็แอบสะสมอาวุธ แต่เขาก็ทำชั่วไม่เต็มที่ เพราะนี่คือธรรมฤทธิ์ ชั่วที่แสดงออกไม่ได้ แต่ซ้อนที่ชั่วลับหลังหนักกว่าเก่า เป็นภาวะจริง มีจิตแก้แค้นหนักหนาสาหัสขึ้น ก็ยังไม่อ่อนแรงนะที่จะเอาชนะคะคาน ขอบอกล่วงหน้าว่าพวกเราจะต้องมีงานทำต่อไป อย่าเพิ่งคิดหนีออกไปจากอาตมานะ แต่ถึงอย่างไรเราจะทำงานเหน็ดเหนื่อย เราได้ผลดีไหม ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมีเหตุปัจจัยมีโจทย์ ใครไม่เลี่ยงโจทย์เดินหน้าเข้าชน ก็หมู่ใหญ่พาทำนี่ คนเดียวทำไม่ได้หรอก แต่บางคนก็ทำนอกบ้างในบ้างก็มีส่วนเสริม แต่ถ้าเป็นหนึ่งเดียวจะมีพลังรวมสูงสุด เอกีภาวะมีพลังซับซ้อนหลายชั้น มีพลังทด ทางโลกีย์ก็มีพลังทด ทางธรรมก็มีพลังทด เหนือชั้นกว่าโลกีย์ด้วย จึงมีธรรมฤทธิ์เหนือกว่าโลกีย์เหมือนปาฏิหาริย์ แต่มีเหตุเนื่องกันมา

 

ปีนี้มีเหตุปัจจัยให้เราพัฒนามีอัตราการก้าวหน้าที่เป็นปฏิภาคทวี อย่างเห็นได้ชัด ถ้าเผื่อว่าพวกเราเต็มใจตั้งใจทำงานร่วมกับอาตมา เราจะเห็นผลในการพัฒนา ไม่ว่าจะด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง นี่เป็นกลุ่มงานใหญ่ๆของมนุษยชาติ จะแยกย่อยออกไปอีกมากมาย การศึกษา สื่อสาร พาณิชย์ ที่เป็นสุจริตและจำเป็นต่อสังคม 

 

อาตมามีเขียนทฤษฎีงานไว้ 19ข้อ

 

ทุนที่ดีที่เป็นทุนแท้   1.คนที่ดี 2.งานที่ดี 3.ความรู้ความสามารถดี (นี่คือทุนแท้ๆไม่ใช่ธนบัตร)

 

ทุนแถม คือมี 4.เวลาและโอกาส  5.วัตถุอุปกรณ์หรือทรัพย์สิน

 

ทุนเสริม คือ 6.สุขภาพและกำลังที่ดี 7.ขยันอุตสาหะบากบั่น

 

คนทางโลกเขาศึกษากันมีเสริมอีก

8.หลักการระเบียบเป้าหมาย

9.การจัดสรร มีการจัดโครงการ

10 มีการแบ่งงานประสานเนื่องหนุน

ทางโลกเขาก็มีแต่เป็นโลกีย์ออกระเบียบมาเพื่อเอาเปรียบ เขามีอุตสาหะบากบั่นแต่เพื่อตัวเอง แต่เราอุตสาหะเพื่อส่วนรวม ถ้าทำงานคนเดียว ว่าตนเองเก่งคนเดียว คุณดีจริงเก่งจริง แต่ไม่ฟังใคร นี่ตัวร้ายมากเลย ก็อยากจะเตือนพวกเราโดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆ ที่ไม่ฟังคนที่ผ่านประสพการณ์มาเยอะ มันหลงตัวเองดูถูกผู้ใหญ่ทันที ต่อให้เก่งจริงก็ต้องประมาณต้องมีสัปปุริสธรรม 7 ประการในหมู่พวกเราก็มีคนหลงทิศอย่างนี้อยู่ จะพาบรรลัยไม่รู้ตัว จะต้องฟังหมู่กลุ่ม แม้คุณจะเก่ง แต่คนอื่นเขารวมกันคิดเฉลี่ยช่วยกัน ได้ผลลัพธ์ ในโอกาสนี้เหตุปัจจัยได้ดีกว่า แต่คนหลงตัวไม่คิดเช่นนี้ แม้คุณเก่งจริง แต่โอกาสเหตุปัจจัยไม่ลงตัว เป็นองค์รวมองค์ประกอบไม่พร้อม ยิ่งทำงานสาธารณโภคียิ่งต้องระวัง และพวกเราไม่มีอคติด้วย องค์รวมจึงชัด แต่ส่วนคนเดียวนี่อคติจะมากกว่า ต่อให้คุณถูกต้องดีด้วย แต่ไม่ใช่โอกาส ไปได้แต่ไม่ไกลหรือพังก่อนนะ ก็ปรับความเข้าใจกันให้เกิดความสามัคคีเสมอ

11.กระจิตกระใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย

12 มีการปรับความเข้าใจเพื่อให้เกิดความสามัคคีเสมอ

13 .มีการขัดเกลาปฏิบัติละกิเลสเสมอ (โลกีย์ไม่ทำ)

14.มีความยินดีในการได้ประโยชน์

15.มีความเห็นจริงซาบซึ้งเชื่อมั่น

 

คุณวิเศษของคนของจิต (ข้อต่อไปนี้โลกีย์ไม่มี)

 

16.มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา ซึ่งเป็นไปเพื่อกุศล เป็นโลกุตรปัญญา

17.ฌาณ สมาธิ อุเบกขา ซึ่งทางโลกเขาไม่ได้หรือมีก็เป็นมิจฉาฌาน สมาธิ อุเบกขา ไปหาป่าเขาถ้ำ

18.ความเสียสละแท้ ไม่ใช่ความเสียสละหลอก ซึ่งในโลกรู้ว่าเสียสละนี้ดี แต่หลอกไม่แท้

19.มีพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นเอกีภาวะ

 

อย่างพวกเราไปทำงานนี่คนอื่นเขาจะเห็นว่าพวกเราทำงานได้อย่างเป็นองค์รวมที่มีผลมาก ต่างจากกลุ่มอื่น จะเห็นชัดเลย ถ้าใครมีปฏิภาณปัญญาดูออก ความเอาจริงเอาจัง เอาการเอางาน อดทนดีจนไม่ต้องทนเลย พวกเราทำงานเป็นบริษัท แล้วบริษัทนี้ทำอะไร ก็ทำงานช่วยสังคม แล้วช่วยตนเองรอดแล้ว จริงไม่จริงก็พิสูจน์กันไป พูดแล้วน่าอ้วก ใครจะสมัครเป็นสมาชิก เป็นคนงานเป็นพนักงานก็เชิญ ทำงานฟรี จะอยู่จนตายก็ได้ อยู่ให้ได้ก็แล้วกัน ยิ่งถ้าอยู่ได้อย่างสบายไม่ทุกข์ร้อนด้วยก็ดีเลย

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิมุติเป็นเครื่องแสดง พลัง คืออายุ วรรณะ สุข โภคะ พละ แต่ทำไมโบราณาจารย์เขาตัดคำว่า โภคะ ออกไปนะ อาจจะอวดดีตัดออก เหลือแต่ อายุ วรรณ สุข พละ ที่จริงพระพุทธเจ้าตรัสไว้มี 5 อย่าง

 

1. อายุมี อิทธิบาท 4เป็นเครื่องแสดง คนยังไม่ตาย ที่เป็นอาริยบุคคล คือคนที่มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ไปใต้คราวนี้อาตมาขยายตัวแกนของอิทธิบาทคือ วิมังสา คือเนื้อแท้วิเศษเลยที่ต้องรู้ว่าอะไร จะยินดี พากเพียรทำอะไรต้องรู้เนื้อมันไม่ใช่ไปหลงทาง คนไหนที่โลกเขาใช้อิทธิบาทต้องอุตสาหะพากเพียรเอาใจใส่ ถ้าพากเพียรอบายมุข หรือทำลายขบถประเทศเกือบสำเร็จเลย เขามีอิทธิบาทด้วย เขาหลงว่าอันนั้นคือแก่นสาระ แต่ผู้สัมมาทิฏฐิจะรู้แก่นของมนุษยชาติ โดยตัวเราเองไม่เบียดเบียนใคร ไม่เป็นภาระใครจริงๆ มีแต่เหลือเฟือช่วยเหลือผู้อื่น สาระของผู้ไม่ตายมีอายุ คือ อิทธิบาท 4 พวกนี้มีอิทธิบาทในการช่วยสังคม รู้สาระแก่นสังคมว่าจะให้ความสงบสุข ให้เศรษฐกิจ รัฐศาสตร์การเมืองเช่นนี้แล้วเขาทำอยู่เป็นเครื่องแสดงตัวแท้เลยว่าคนนี้มีส่ิงนี้ แล้วมีชีวิตอยู่ แล้วคนเห็นจริงจะรู้แล้วอยากให้คนนี้มีอายุยืนยาวด้วย เพราะเขามีอิทธิบาทอันประเสริฐด้วย ไม่ใช่ว่าผู้มีอายุคือสุขสำราญเสพสุขสบาย รวยมีอำนาจ มีสรรเสริญเยินยอ หรูหราสวยงาม มีบริวารป้อยอ คนไม่รู้ก็หลง เป็นอายุแสดงโลกียะหยำฉ่า กับคนมีอายุที่แสดงแก่นแท้สาระสังคม ยิ่งยุคนี้ต้องการธรรมะอาริยธรรที่โลกต้องการ คนนี้แหละคือผู้สร้างสรรทำงาน มีวิมังสาให้แก่มนุษยชาติ

 

2.วรรณะ คือ ศีล เป็นเครื่องแสดง ไม่ใช่เอารูปร่างหน้าตาผิวเนื้อ มาแสดง

 

3.สุข มี ฌานเป็นเครื่องแสดง คุณลดกิเลสได้เท่าไหร่ ก็ได้สุขเท่านั้น  ต้องรู้ตัวเหตุแห่งทุกข์ก็ได้สุขถาวรไม่ใช่สุขบำเรอกิเลส

 

4.โภคะ นี่มีอัปปมัญญา 4 เป็นโภคทรัพย์คือเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา คุณพิสูจน์ได้เลย ผู้มีโภคะคือมีอาริยสมบัติ ยิ่งเราได้ช่วยคนอื่นยิ่งสุข นี่คือโภคทรัพย์ ที่ได้ให้ได้ช่วยคนอื่น ถ้าเราช่วยคนตกน้ำ เราได้ให้ชีวิต เขาทุกข์ช่วยเขาให้หายทุกข์ให้สิ่งที่ทำให้เขาไม่ทุกข์ หรือให้วัตถุ ให้แรงงาน ให้ความรู้ ให้ธรรมะ มีทรัพย์หลายระดับ แม้ผู้สูงแล้วไม่ได้สะสมวัตถุก็ให้สิ่งวิเศษได้

 

5. พละ มี วิมุติ เป็นเครื่องแสดง ย่ิงลดกิเลสได้ก็จะมีกำลังไปช่วยสังคมได้มากเท่านั้น เป็นพลังทางปรมัตถธรรม ไปช่วยไปรับใช้คุณมีพลัง ความรู้ สมรรถนะมากก็รับใช้ได้มาก เป็นพลังความรู้ความสามารถที่ไม่เป็นภัยกับใคร นี่คือสิ่งที่เป็นวิมุติ มีพลังเป็นเครื่องแสดง สรุปที่ พลัง 4 (ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ)

 

ปัญญาก็รู้โลกวิทู เกิดจากโลกุตรจิต แล้วเป็นพลังช่วยโลก โลกานุกัมปา แม้ชีวิตตนก็ทำงานให้เขา เขาจะเลี้ยงไว้ คนไม่โง่ ทำงานให้เขาเขาก็ดูแลเรา ขอให้เราทำให้จริง ไม่ต้องกลัวหรอก ทำให้จริงใจเถอะ แล้วปัญญาจะสำคัญที่ประมาณถูก รู้จักการงานอันเหมาะควร ตั้งแต่ปฏิบัติเป็นอาริยบุคคล เรียกว่ากัมมนิยะ คือการงานอันเหมาะควร ไม่เสีย ไม่เวอร์ไม่ขาดได้สมดุล มีสัปปุริสธรรม จริง ประมาณเป็น มีมหาปเทส 4 ด้วย จะมีกำลังในการพากเพียรจัดสรรตัวเอง ทำการงานอันไม่มีโทษ เป็นประโยชน์ผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง ถ้านับอรหันต์ขึ้นไปท่านจบกิจส่วนตัวมีแต่ทำเพื่อคนอื่นทั้งสิ้น สมรรถนะท่านมากก็ทำได้มาก สมรรถนะน้อยก็ทำได้น้อย พระพุทธเจ้าเตือนว่าลาภ สักการะสรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้อรหันต์ขีณาสพ แม้ท่านไม่ทุกข์แต่ถ้าผิดพลาดกระทบกระเทือนศาสนา ลองคิดสิว่าอรหันต์องค์นี้ทำผิดบ่อย แม้เป็นอรหันต์เขาก็ไม่เอาด้วย แต่อรหันต์ท่านจะไม่ผิดหนักหนา จะผิดเล็กน้อย คือมีสัปปุริสธรรม แม้อนาคามีก็มีตามควร ไม่อวดดีทำหรอก

 

เมื่อการงานไม่มีโทษจึงเป็นคุณอย่างเดียวทำช่วยโลกไปจนกว่าจะตาย ทำแล้วช่วยคนอื่น ตัวเราก็ให้คนอื่นเลี้ยงไว้ แล้วเราก็กินน้อยใช้น้อยด้วย คุ้มแสนคุ้มที่เราทำ เราไม่ได้ทำเพื่อบำเรอกาม บำเรออัตตา กิเลสลดไปตามลำดับ

 

และคนไม่มีกิเลสนี่จะเป็นประชาธิปไตยสุดยอดด้วย เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องสร้างศาสนาก็ไปเป็นจอมจักพรรดิ์ ที่ไม่ใช่อย่างอเล็กซานเดอร์มหาราชหรือเจ็งกิสข่าน เพราะจอมจักรพรรดิ์จะมีบุญบารมีไม่ใช่เดชาบารมี อาตมาจะพาพวกเราทำเป็นประโยชน์ต่อโลกอย่างโพธิสัตว์ท่านหนึ่งตรัสว่า แบบคนจน จะเป็นประโยชน์ต่อทุกประเทศถ้าทำได้ เพราะเรามีใจอย่างนั้นจริงๆ ช่วยใครไม่ได้ก็ช่วยลาว เขมร พม่าก่อน จริงๆเราก็ไปช่วยประเทศกลุ่มสังคมที่ควรช่วยที่ทุกข์ร้อนควรช่วยก่อน ทำไมต้องช่วยอเมริกา เพราะเขาทุกข์ร้อนมาก ขออภัยจริงๆ เขาอวิชชามาก อาตมาไม่ได้ว่าเขาโง่นะ

 

ทุกวันนี้อเมริกาพรางหลอกโลกซับซ้อน คงไม่นานนักก็จะรู้ เพราะเขาทำของเขาเอง เขาสั่งสมวิธีหลงรวยเท่ ศักดิ์ศรีมีตัวตน ต้องขอบคุณอเมริกาที่ให้ใช้เป็นตัวอย่างไม่ใช่ไปเอาอย่างนะ อบายมุขแย่อยู่อเมริกาหมด เด่นทุกอย่างในอบายมุข ทำตัวใหญ่ ทั้งที่ตัวเอง ขี่รถเบนซ์ อยู่ข้างนอก แต่กลับเข้าบ้าน กินข้าวกับก้างปลาทู นี่คือโวหารที่อาตมาพูด คือลักษณะที่มาก สร้างภาพใหญ่โตหรูหราฟู่ฟ่า มีอำนาจบาทใหญ่ ทำเป็นช่วยโลกเขา มันมองดูดี แต่มันช่วยได้จริงไหม ตนเองพึ่งตนรอดไหม มีหนี้สินไหม จนเขาจะตรวจสอบทองคำอเมริกานะ

 

ประชาธิปไตยขาเดียวเป็นประชาธิปไตยขาดจิตวิญญาณ แนวเดียวกับคอมมิวนิสต์ ที่ได้ฉายาว่า materialism วัตถุนิยม แต่ของพุทธนี่คือประชาธิปไตยแท้ เป็นอรหันต์แท้จะรับใช้สังคมอยู่อย่างประเสริฐ พวกไหน ระบอบไหนก็ต้องการคนเช่นนี้ คสช.จะปฏิวัติรัฐประหารก็เชิญ จะมองว่าเผด็จการแล้วอย่างไร? กาละนี้ต้องใช้เช่นนี้ เศรษฐกิจจะดีแท้ต้องสะพัด แต่พวกนายทุนสะพัดแต่ไปออกดอกหาปันผล แล้วปั่นหุ้นปั่นราคาเอาเปรียบเขาอีก วิธีการนี้เลวสะบัดเลย เมืองไทยนี่แหละเผลอไปรับตลาดหุ้น ถ้าไม่รับเอามานี่ไม่เลวทรุดเร็วขนาดนี้ เพราะตลาดหุ้นคือตลาดพนันเป็นอบายมุข การสะพัดเงินไปให้พวกคนรวยนี่ไม่ใช่สะพัดสู่คนจน อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง ถ้าอาตมาบริหารจะไม่เอาระบบตลาดหุ้นระบบสินเชื่อเข้ามาเลย มีนายทุนคนไหนออกสินเชื่อแล้วจะยอมขาดทุน

 

พยายามอย่าทำงานด้วยความเห็นของตัวคนเดียว อย่างอวดดี พยายามเอาความคิดความเห็นของหมู่กลุ่ม อย่าอวดดี ยิ่งพวกเราเป็นหมู่กลุ่มที่แต่ละคนพยายามลดอคติ แต่ละคนความเห็นค่ารวมของหมู่กลุ่มค่าเฉลี่ยจึงต้องควรเคารพ ค่าเฉลี่ยขององค์รวมเหนือกว่าความเห็นของคุณ หมู่สัตบุรุษหลายคนคิด แต่คุณสัตบุรุษคนเดียวแต่ถ้าเป็นคนสุดยอดของพระพุทธเจ้าอาตมาเอาความเห็นพระพุทธเจ้า แต่มันก็เป็นไปตามสัจจะของแต่ละคน ประเทศไทยความเห็นของพระเจ้าอยู่หัวสุดยอด แต่ผู้รับสนองไม่เห็นหรือเห็นแต่ไม่ทำตาม ใครเคยได้ยินที่ในหลวงอยู่หันพระพักต์ไปที่แม่น้ำเจ้าพระยาแล้วตรัสว่า... เราไปทำอะไรให้เขาหรือ เขาจึงทำกับเราอย่างนี้ ...ใครได้ฟังก็คงจะน้ำตาไหล

 

ไตร่ตรองดีๆช่วยกัน อาตมาก็พยายามอุตสาหะพากเพียร ช่วยพวกเราช่วยมนุษยชาติด้วย ก็ขอให้พวกเราช่วยกันเต็มไม้เต็มมือ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:40:11 )

570708

รายละเอียด

570708_พ่อครูเทศน์ที่วังน้ำเขียว ทำวัตรเย็น เรื่อง การเมืองโลกุตระ

คุณอำนาจ หมายยอดกลาง ผู้รับผิดชอบชุมชนวังน้ำเขียว ได้ฉายวิดีทัศน์ภาพมุมสูงของชุมชนวังน้ำเขียวให้ดูก่อนวังน้ำเขียวมีพื้นที่ประมาณ 200​ไร่ ซึ่งเป็นมีสัดส่วนทั้งที่ส่วนตัว ที่ของสหกรณ์ และที่ที่ยังไม่มีคนจับจอง พื้นที่ของวังน้ำเขียวสามารถปลุกพืชผักได้ดีมาก มีไม้เหลียงที่คุณไม้ร่มได้นำเมล็ดให้มาปลูกที่นี่ 7 ปีออกผล แต่ถ้าปลูกทางภาคใต้ 12 ปีจึงจะออกผล ในภาพโดรนจะเห็นมีป้าคนหนึ่งกำลังเข็นรถเข็นอยู่ คงไม่เคยเห็นโดรน พอเห็นเข้าป้าก็เลยหยุดรถเข็นเลยและนั่งลงมองใหญ่เลย เพราะไม่เคยเห็น

 

พืชผักหลากหลายปลูกจากที่นี่ส่งไปให้ชาวกทม.เสียส่วนใหญ่ มีผักตลาดทั่วไป เช่นสลัด ผักกาด นอกจากนั้นยังมีต้นแก่นตะวันอีก

 

พ่อครูเทศนา....พาไหว้พระให้ครบ 3 กรรม ...

 

พวกเราก็อย่างนี้แหละ จะว่ามีทติ้งก็ไม่ได้มีทติ้ง แต่เป็นการมาโดยไม่ได้นัดหมาย มนุษย์เป็นสัตว์โขลง เมื่อมีจุดร่วมจุดสนใจให้มาทัศนาก็มากัน เขาเรียกว่าไทมุง เขามุงดูอะไรกัน ถามกันก็ต้องมามุงดูด้วย หรือไม่ใช่เช่นนั้นก็ว่าเขามีอะไรตรงไหนก็ไป ของเราก็มีแต่นัยของเราสูงกว่า เพราะเราได้มาพบมารวมตัวเพื่อทำให้เกิดประกายอะไรที่เราจะไปรับ อย่างไมเคิล แจคสันจะมาคนก็ไป อย่างนั้นเราไม่ใช่ เราไม่ไปจ่ายไปเสียเงินให้เขา ยกตัวอย่างง่ายๆ ของเรามีส่วนเหมือน แต่ไม่เหมือนในส่วนแก่นสารสาระ ไอ้โน่นมันมอมเมา ให้คนเป็นเหยื่อ แต่ของเราไม่มอมเมา แต่มีจิตวิญญาณเป็นคุณค่า ไม่ใช่ไปไทมุง ซึ่งปัญญามันต่างกัน สิ่งต้องการนั้นต่างกัน ไอ้โน่นต้องการโลกียารมย์ แต่เราต้องการธรรมะ ธรรมารมย์ เป็นโลกุตรารมย์ เป็นเรื่องวิเศษ มาเอาธรรมะโลกุตระ ธรรมารมย์ก็กลางๆ

 

เขาไปดูไมเคิล แจ็คสันเขาได้อารมณ์แต่เราได้ธรรมารมย์ คนที่รู้จักสาระว่าเป็นสาระคือคนมีสาระ แต่คนที่เห็นส่ิงไร้สาระว่าเป็นสาระคนนั้นไร้สาระ เขาเห็นสาระเป็นอสาระ เห็นอสาระเป็นสาระ อย่างไปดูไมเคิล แจ็คสันได้ดีใจรื่นเริง เลือกเลยเอาเวลาตรงกันเลย ใครจะไปดูไมเคิล แจ็คสัน กับมาหาโพธิรักษ์ เอาคนละที่นะ คนจะไปหาใครมากกว่ากัน ก็ไมเคิล แจ็คสัน ...

 

นี่ขึ้นเขามานะ ไม่ใช่ที่มาสะดวก บางคนก็อยากลองของเดินขึ้นมา ที่จริงได้อากาศดี ไม่ใช่ส่ิงเสียหาย ได้อากาศสดบริสุทธิ์ มีประโยชน์ อาการกทม.ก็มีพิษภัย ถ้าร่างกายสู้ไหวก็สู้ไป แต่ไม่ไหวก็เกิดโรค

 

จะเห็นว่าปัญญาของคนยุคนี้มันโง่ลง ไม่ได้ต้องการสิ่งสาระ เข้าใจสาระเป็นอสาระ เข้าใจอสาระเป็นสาระที่แท้เลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ต้องเป็นผู้มีปัญญาชัดเจน อาตมาไม่จำเป็นต้องแยกว่าอะไรถูก สาระหรืออสาระ

 

สาระคืออะไร คือสิ่งที่ชีวิตเราเกิดมาเราควรได้ควรมีส่ิงนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่าแก่น คือ วิมุติ สาระแท้ของชีวิตคือวิมุติ ในมูลสูตรหรือหลายสูตรระบุไว้ชัด

1.   มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.   มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.   มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.   มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.   มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) โลกเขาก็มีสมาธินะ เวลาคนดูไมเคิล แจ็คสัน ใครมาเรียกมาด่าก็ไม่ยินดี จิตเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาเลย เป็นหนึ่งกับเป้าหมายเลย เขาเรียกว่าConcentration

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ)  กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ)  สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

 

อาตมาว่าเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่สูตรหนึ่ง คนที่มีฉันทะเป็นต้นทาง คุณยินดีในไมเคิล แจ็คสัน เขามาคนก็เฮไป อย่างอาตมามานี่คนก็เฮเหมือนกันนะ ตามมาบ้างก็มีกลับไปบ้างก็มี เฮมาต้อนรับ คุณรู้ว่าสาระคืออะไรมาหาอาตมาได้สาระคืออะไร แล้วก็จะลงไปที่แดนเกิด เป็นสัมภวะ เคยได้ยินสัมภเวสีไหม ไปหาที่เกิด วิญญาณสัมภเวสีมันยินดีในไมเคิล แจ็คสัน มันเข้าใจว่าสาระของชีวิตคืออันนั้น สัมภเวสีก็จะลอยไป จิตเขาก็จะเกิด ปหาสะ คือนรกอย่างหนึ่งเป็นความรื่นเริงบันเทิงใจ เรียกว่านรกในความยินดีร่าเริงสนุกสนานบันเทิง พูดกับคนเขาก็ไม่รู้นะเขาว่าสนุกร่าเริงไม่ใช่นรก แต่ที่จริงทั้งสุขและทุกข์เป็นเท็จ สุขมันเป็นตัวหลอก

 

พอจิตของคุณยินดีแล้วก็แสวงหาแล้วก็ไป พอไปคุณก็จะมีผัสสะ คุณเองเป็นคนทำให้จิตเกิดเรียกว่ามนสิการ คุณทำเองด้วยอวิชชา ก็ได้อกุศล ได้อสาระ ได้นรกปหาสะ แต่คุณหลงว่าสวรรค์ คุณก็ได้จริงๆ พอผัสสะคุณก็ได้อารมณ์เลย เขาก็แสดงเพลงอาตมาก็แสดงธรรม เขาก็ได้คนมานี่ก็ได้อย่างนี้ เป็นที่ประชุมลงเรียกว่า สัมโมสรณา คุณได้ธรรมารมย์ ส่วนเขาก็ได้โลกียารมย์เป็นอธรรมารมย์ ที่อาตมาเทศน์ให้ฟังเรียกว่า โลกุตรารมย์ หรืออาริยารมย์

 

ทำได้บ่อยๆคุณก็เพ่งในอารมย์นี้ แล้วเอาไปติดในความคิดนึก หัดเป็นเองเต้นเองอย่างไมเคิล แจ็คสัน แต่ถ้ามาอย่างอาตมาก็จะติดในธรรมะ มีเต้นอย่างอาตมาก็ไม่เต้นหรอก แต่จะมีกรรม 3 แบบนี้ จิตจะเจริญเห็นมโนเสฏฐา หรือจิตจะเสื่อม ถ้าเสื่อมก็ปหายะ หรือเจริญ ก็จิตเป็นประธาน คุณก็ดำเนินปรุงแต่งสังขารเป็นโลกีย์หรือโลกุตระ

 

เมื่อได้จิตเป็นอย่างไร แล้วก็จะได้หัวหน้าคือ สติเป็นอธิปไตย แล้วมีปัญญาเป็นอุตระ ถ้ามูลสูตรนี้นำพากันถูกต้อง ปัญญาจะเป็นอุตระ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็จะเป็นเฉกา เป็นนิรยะ เป็นปิติวิสยะ เป็นติรัจฉานโยนิ ไปเกิดที่แดนเดรัจฉานหรือเป็นอติวินิบาตเป็นนรก

 

มีสติเป็นอธิปไตยไหม? มี เป็นอำนาจ ไม่ใช่หมายยอดกลางนะ แต่หมายนรกลึกเสียอีก ก็นำพาไปเป็นอำนาจเลย แล้วก็มีไม่ใช่เป็นปัญญา แต่เป็นอัญญาณ เป็นความไม่มีความรู้เป็นอวิชชานะ อย่าคิดว่ากิเลสไม่คิดนึกนะ มันเป็นเฉกามากเลย มีความเฉลียวฉลาดซับซ้อนพาไปตกนรก ไม่ต้องอธิบายไปถึงสาระ อมตะก็หมดทาง นิพพานก็หมดทาง แต่ถ้ามาทางโลกุตระก็จะได้จริงๆ

 

ได้สติเป็นอธิปไตย สติจะเป็นอำนาจรู้นอกรู้ใน จะเรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อม มีสัญญาเป็นตัวกำหนดจิตในจิต สัญญาทำงานเก่งมาก คุณไม่เรียนมันก็ทำงาน เลือกเฟ้นจัดสรรสิ่งที่เรายินดี ที่เราจะผัสสะ มาปรุงแต่งใส่จิตไว้ตลอด

 

หลักสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วอาตมาเอามาบรรยายให้ฟัง ให้พาทำนี่ เอาหลักพระพุทธเจ้ามาเปรียบเทียบอ้างอิงยืนยัน มั่นใจว่าได้สาระส่ิงถูกต้องทั้งนั้น ยืนยัน ถ้าใครเข้าใจคนที่จะไปเอาสาระอย่างไมเคิล แจ็คสันก็เอา คนจะเอาสาระอย่างนักการเมืองไร้สาะก็เอา คบหาสร้างกิจการงานเป็นอสาระที่เขาเห็นว่าเป็นสาระ ถ้าส่ิงที่ทำมันทุจริต นักการเมืองทุกวันนี้คบหากัน ในสภา 500 นี้ จะมีสส.หรือว่านักการเมือง 500 นี้เป็นนักการเมืองอารยะไม่มี มีอย่างดีก็กัลยาณชน ไม่เท่าไหร่ ขอยืนยันว่า 90 หรือ 80 เป็นอนารยะทั้งสิ้น เขาไปทำงานอาชีพ ใช้การเมืองล่าลาภยศสรรเสิรญโลกียสุข แล้วอ้างจะช่วยบ้านเมืองแบบเปลือกๆเท่านั้น ให้คนหลงลม ใครสามารถโกหกได้มาก โกงเก่งมากก็ได้มาก เขาเอางานการเมืองเป็นอาชีพ แต่อาตมานิยามการเมืองว่าไม่ใช่งานอาชีพ แต่เป็นงานรับใช้เสียสละแก่บ้านเมือง

 

ขณะนี้เขาก็จะปรับปรุงบ้านเมืองก็ได้แน่ แต่ได้ขนาดหนึ่ง ได้มากหรือน้อยก็ไม่รู้อาตมารับรองไม่ได้ แต่เท่าที่รู้สึกก็คือประเทศไทยคงจะออกจากโลกมืดได้บ้าง แล้วจะเร่ิมเดินทางสู่แสงสว่างได้ดีขึ้น เพราะชาวอโศกเข้าใจการเมือง รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ได้ดีพอควรแล้ว คนจะเพ่งโทสก็ลดลงเข้าใจเราได้เพิ่มขึ้น

 

เราออกไปทำงานให้สังคมได้ชัดเจนขึ้น มั่นคงขึ้น คนจะเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือ เหตุการณ์ชุมนุมตั้งแต่ปี 49 จนถึงปี 57 มาครั้งสุดท้ายนี้ คุณว่าค่าเฉลี่ยที่เราออกไปทำงานได้ค่าบวกสักกี่เปอร์เซ็นต์ ….ก็ว่าได้สัก 80 %

 

อาตมาที่พูดนี้ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริงเราออกไปทำนี่ได้ประโยชน์ ได้คุณค่า เราไปทำงานการเมืองนี่ให้ประโยชน์แก่ประชาชน ซึ่งเขาเข้าใจอโศกที่ไปช่วยสังคม มีประโยชน์ต่อสังคม อาตมาบอกว่านั่นแหละคือการเมือง ไปช่วยสังคมนี่ไม่ใช่อาชีพ อย่างงานไปประท้วงต่อต้าน หลายครั้ง จนกระทั่งนายกฯ แม้ที่สุดยิ่งลักษณ์ก็ลงไปแล้ว นี่ 4 คนแล้ว ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ สี่คนนี้ก็แล้วกัน

 

อย่างอโศกไปทำงานช่วยเหลือประชาชนเขาจะเรียกว่านี่คือประชาธิปไตยหรือไม่ก็ไม่ว่า อย่างการไปปะท้วงผู้ผิดผู้ไม่ถูกต้องให้เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นอย่างนี้ นี่คือส่ิงที่เราจะช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้นเราก็ทำ ไม่ว่าเขาจะเรียกว่าอะไร?

 

การเมืองภาคประชาชนที่เขาเข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจว่าการเมืองคือต้องมีตำแหน่งเป็นกรรมาธิการอะไรนั้นคือการเมืองถ้านอกนั้นไม่ใช่การเมือง แต่ถ้าประชาชนเข้าใจว่าการเมืองคือทำงานเพื่อส่วนรวมเพื่อประชาชน และไม่ทุจริต และขยันหมั่นเพียร อีกอย่าง คุณเข้าใจแล้วแต่ไม่ทำไม่ขยัน ก็ไม่ได้เกิดผล ยิ่งคนที่เข้าใจว่าขยันช่วยเหลือประชาชนจะเรียกว่าทาน หรือสงเคราะห์ก็แล้วแต่ ก็คือการให้คนอื่นมากกว่าเราเอาไว้ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ยิ่งมีคุณธรรมสูงก็ยิ่งให้มาก เป็นคนกล้าจน มักน้อยอย่างแท้จริง เห็นสาระของชีวิตว่าเราได้มีคุณค่าต่อสังคมแท้จริง ไม่ใช่ว่าเอาแต่เห็นแก่ตัว เกิดมาเอาบาปเอากรรมเวร สร้างแต่โลภ สร้างแต่ความเอา โลภอย่างเดียว ชาติทั้งชาติมีแต่สะสมแล้วก็ตายไป ถ้าเข้าใจเป็นอาริยชนแล้วก็ไม่สะสมไม่โลภให้แก่ตัว ทำให้แก่สังคมอย่างเดียว จนมาเป็นสาธารณโภคีทำงานให้แก่ส่วนกลาง แล้วก็สะพัดสู่สังคม ส่วนตัวเราก็พึ่งพากันพึ่งแก่เจ็บตายไป เราก็ทำงานรับหน้าที่แต่ละด้านของส่วนกลางไป ต่างคนต่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สังคมอย่างนี้แหละ จะเรียกว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการหรืออะไรก็ได้ แล้วแต่คุณจะเรียก ถ้าคุณจะยอมว่าขอให้พ่อท่านสั่งการมาเถอะ หรือว่าพ่อท่านสั่งไม่ได้ก็ได้ อาตมาเสนอความเห็นแล้วไม่เอาอาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งที่บางทีวิธีของอาตมาถูกด้วยดีด้วย พวกเราก็ไม่เอา โหวตกันความเห็นอาตมาก็แพ้ ก็ไม่เสียหน้า เพราะความพอดีพอเหมาะในสัปปุริสธรรม 7 นั้นจริง

 

อาตมาก็ขอสรุปลงว่า ที่อาตมาพาทำนี่คือประชาธิปไตยสุดยอดของโลก ขออภัยกล่าวใหญ่ เป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าประกาศประชาธิปไตยมา 2600 ปีมาแล้วประกาศแล้วก็ทำงานปลดแอก ในยุคทาส ก็มีประชาชนมาเข้าอาณาจักร มาเข้ารีตของพระพุทธเจ้าผู้ที่เข้าแล้วเรียกว่าเข้าไปในอาณาจักรของพระพุทธเจ้า แล้วก็ยกให้หมด ไม่ว่าจะวรรณะไหนเข้ามาก็ 1 คน 1 เสียงเท่ากันหมด ออกเสียงได้เท่ากันหมด ไม่ติดศักดิ์ศรี แต่มีวรรณะทางธรรม เคารพนับถือกันอย่างอิสระ จะไปเคารพพระเทวฑัตมากกว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ จนพระเทวฑัตขบถเกือบสำเร็จนะ แต่สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ก็กบฎไม่สำเร็จก็เลยลงนรกไป คนในประเทศไทยก็จะถูกธรณีสูบได้ เพราะไปแย่งประเทศไทยกับในหลวง...เอ้าตัดตรงนี้ไว้ก่อนเข้าสู่ธรรมะ

 

ถ้าไม่เอาธรรมะเข้าไปสถาปนาไว้ในการเมืองแล้วจะเกิดความเสียหายอย่างมาก การรัฐประหารที่เกิดนี้เป็นการรัฐประหารแบบใหม่ คณะทำงานของคสช.นี่ดีมากตอนนี้ อาตมายกให้ ถ้าอยู่ในระดับนี้องค์รวมขนาดนี้ขอให้ทำไปเลย 10 จะเห็นหน้าเห็นหลังเลย คือมีลักษณะส่งเสริมและปราบอย่างนี้ ไปได้เลย ส่วนปัญญาจะเห็นว่าคนควรปราบ คนควรส่งเสริมคือใครก็น่าจะเห็นได้ อาตมาว่าคงไม่ตาถั่วมาก คงไว้ใจได้ ถ้าทำในพฤติกรรมขณะนี้นะ ได้คุณภาพอย่างนี้ได้เลย 10 ปีจะเห็นว่าไทยพัฒนาแน่ จริง ตอนนี้ก็ คนจะว่าอย่างไรก็ว่า อาตมาก็มองตามภูมิปัญญา อาตมาก็ส่งเสริมสนับสนุน

 

มาพูดถึงพวกเรา ผลงานของพวกเราจนเกิดปฏิวัติ เสร็จแล้วพวกเราจะทำงานการเมืองภาคประชาชน เช่นเรามีหน้าที่จะช่วยประชาชน ส่งเสริมเยาวชนเราก็เปิดโรงเรียน ก็ทำคู่ขนานไปกับรัฐบาล โดยหน้าที่ของเรา เราไม่ได้เก็บเงินนักเรียน เราไม่ได้เอาอะไรจากนักเรียน เราจ่ายให้ด้วย เราให้ทั้งความรู้มาตรฐานสังคม และเราให้ธรรมะด้วย

 

เราช่วยทำสาธารณูปโภค ชาวอโศกก็สร้าง เราไม่ได้เอาเงินรัฐมาทำให้ก็มี เช่นเราทำถนนให้กับทางเข้าบ้านกุดระงุม รัฐให้เงินมาทำ ก็ไปกินกันจนเหลือเงินมาทำไม่ถึงแสน เราก็ทำให้ใช้เงินไปสองแสน ถนนอื่นเราก็ทำเราจ่ายให้ด้วยเงินเราเอง ถนนข้างรร.กุดระงุมเราก็ไปเทคอนกรีตให้ เราได้น้ำบาดาล นำ้แร่ที่ดีมาก มีที่ดินอยู่บ้านคำกลาง เป็นน้ำดื่มดีๆเลย เป็นน้ำซับ(เมืองวารินฯเป็นเมืองแห่งน้ำซับ) เราก็ใช้ดูดน้ำมาใช้ ทีนี้น้ำมีมาก ได้วันละหลายแสนลูกบาศก์ แต่ทั้งบ้านราชฯทั้งหมู่บ้านใช้น้ำไม่ถึงห้าหมื่นลูกบาศก์ เราก็เลยบอกไปกับอบต.คำกลาง เราต่อท่อมาถึงบ้านราชฯ แล้วเราก็บอกว่าเราจะสร้างแท็งค์นำ้ให้ แล้วคุณเสียค่าไฟฟ้าดูดน้ำเอง แล้วจะไปจัดสรรน้ำกันอย่างไรก็เชิญ แต่ว่าอบต.เขาไม่เอา ไม่รับ เราก็งงว่าทำไมไม่รับ ไม่มีเหตุผล เราก็ได้แต่ว่ามันจะมาไม้ไหน เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนทำให้ฟรีด้วย เขาบอกว่าของฟรีไม่มีในโลก อาตมาว่าพวกนี้ดูถูกมนุษย์จริง เราทำงานฟรีเสียสละแก่มนุษยชาติจริง เราไม่คิดเอาอะไรตอบแทนจริง แต่ทั้งโลกไม่เชื่อกันว่าของฟรีมีในโลก

 

งานการเมืองคือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ท่ามกลางสังคมแห่งเผด็จการ แต่ท่านกลับประกาศประชาธิปไตยด้วยสามคำนี้ เป็นภาษาประชาธิปไตย 100% แล้วทำจริงถูกจริงด้วย นี่คือประชาธิปไตยที่พระพุทธเจ้าประกาศมาสองพันหกร้อยปีแล้ว ที่อาตมาพูดนี่คือพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่ใช่ไปให้คนเข้าป่าเขาถ้ำ ถ้าปล่อยไปนานๆจะเป็นเหมือนพวกฑิคัมพร มักน้อยเลยเถิดสุดโต่ง แต่เป็นศาสนาที่รู้ทั้งวัตถุวิสัยและจิตวิสัย แต่รู้แจ้งหมดกิเลส อยู่เหนือโลกธรรม เหนือกาม เหนืออัตตา แล้วเป็นคนมีประโยชน์มีสาระต่อมนุษยชาติ

 

กว่า 2600 ปีแล้วที่เข้าใจผิดว่าพระปฏิบัติต้องออกป่า เราไม่ได้ดูถูกป่า แต่พระพุทธเจ้าต้องอนุโลมพวกเข้าป่าก็เพราะเป็นยุคเทวนิยม คนนิยมเข้าป่า ก็ต้องค่อยๆประนีประนอม เพราะเขาเชื่อกันกับการออกป่า ต้องเทวนิยม ถ้าไม่ออกป่าเลยไม่ว่าศาสนาไหนๆก็ไม่ได้ ศาสนาในเมืองไม่ได้ แม้ยุคนี้ก็เข้าใจว่าต้องเข้าป่า ถ้าพระเมืองนี่ได้แต่ปริยัติ ส่วนพวกปฏิบัติต้องเข้าป่า ไปนั่งสมาธิแข็งทื่ออยู่ ทุกวันนี้ยิ่งอาตมาไขเรื่องสมาธิลืมตา

 

อาตมาว่าจะขยายความเรื่องฌาน แต่วันนี้คงจะไม่ได้ยากไป ต้องไปฟังที่บ้านราชฯ เสียดายไม่สื่อทางทีวี แต่เรื่อง Fmtv ถ้าเขาเห็นว่าเป็นสื่อสารที่ทำให้แก่ประชาชนจริงๆก็จะเห็นว่าเราควรได้ออก แต่เราไม่วิ่งเต้น เขาให้เสนอผังไปก็เสนอไป เราก็นำเสนอในสิ่งที่ควรที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ หากเรื่องประท้วงดีเราก็นำเสนอ และเราไม่เรี่ยไรด้วย แต่ช่องศาสนาที่ออกๆกันนั้น ก็มีแต่เรี่ยไรกันแทบทุกช่อง

 

เราประกาศโลกโลกุตระ เป็นปโรโลโก และไม่ใช่ว่าโลกโลกุตระ ที่เป็นโลกุตระ 9 โลกุตระ 46 ที่นำมาขยาย ไม่ใช่เรื่องแบบที่เขาเข้าใจผิดว่าโลกุตระเป็นเช่นนี้ แต่แบบอโศกนี่โลกุตรบุคคลแบบอโศกนี่เป็นโลกุตระบุคคล เขาไม่เชื่อจริงๆเขาว่าต้องออกป่าเขาถ้ำนั่งสมาธิคืออาริยะ แต่ว่าที่อาตมาพาทำนี่ไปชุมนุม 9 เดือนนี่เราก็อยู่ได้ไม่เกิดเดือดร้อนอะไร แม้อยู่ต่อไปถึง 500วันชาวอโศกทุกคนก็ยกมือไปกัน เหมือนไก่ใส่เข่งจะจิกกันถ้าไม่มีความเป็นโลกุตระ แต่เราไม่เป็น

 

สรุปแล้ว การเมือง กับธรรมะเป็นหนึ่งเดียวกัน การเมืองอาริยะก็เพราะธรรมมีโลกุตระ ไม่ใช่แค่ภาษา แต่เกิดจากคนที่ไปทำ มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา มันลงกันได้ มีขัดแย้งอันพอเหมาะ พลังรวมไม่แตกกระแส อโศกได้กอบแก่นแล้วจะทำงานกับสังคมไปเรื่อยๆ ปีนี้อาตมาเห็นว่าอัตราการก้าวหน้าของอโศกจะขยายผลสู่สังคมประเทศชาติได้ เป็นตัวที่ทำงานกับสังคมได้ระดับหนึ่งทำงานได้ระดับหนึ่ง ต้องอาศัยความอดทนอุตสาหะ ต้องเจียมตัวตนต่อไป จะสะดวก และเห็นด้วย ส่งเสริมช่วยเหลือบ้าง ส่วนจะส่งเสริมเต็มที่นั้นน้อยมาก นอกจากพวกเราก็ส่งเสริมกันเต็มที่ ยุคนี้เราจะทำงานกับสังคมได้เต็มที่ขึ้น

 

ตอนนี้การเมืองมีกัปตัน เดินเครื่องคุมทิศทางไปได้แล้ว เราก็จะมาทำการศึกษา ไม่ออกไปทำการเมืองมาก นี่เป็นนโยบาย ทั้งการศึกษาแบบนิตินัย และการศึกษาภายใน จะเปิดอุดรศึกษาเป็น วิชชารามนาวาบุญนิยม ว.นบ. เปิดปีหนึ่งปีนี้ อาตมาจะลงไปเป็นคุรุเต็มตัว ตอนนี้ได้ 3 วิชชาแล้ว วิชชาสรรค่าสร้างคน ,พุทธชีวศิลป์ และความรัก 10 มิติ (ความรัก 10 มิติจะสอนแต่นิสิตปี 1) สรรค่าสร้างคนจะเป็นเชิงการเมืองและสังคม

 

ส่วนพุทธชีวศิปล์จะเป็นเรื่องการศาสนาเป็นส่วนใหญ่ มีสถาบันอาศรมศิลป์ มาให้ใบปริญญารับรอง ถ้าใครต้องการ ขอให้ปีที่สี่ส่งหลักฐานให้เขา แล้วเขาก็จัดสรร ให้จบได้ใบปริญญา แต่เขาก็ไม่เรียกปริญญา เพราะอ.เอนก เอาแนวอโศกบุญนิยมไปทำ แบบครูพักลักจำ เอาไปทำเต็มที่ เท่าที่ภูมิผมมี ถ้าอโศกจะไปทำเองก็ไม่รังเกียจ ส่วนใครจะเอาปัญญาบัตร ว.นบ​.ก็ได้ ต่อไปเราก็จะตั้งสถาบันของเรา ผู้ใดมีคุณสมบัติมาสอนได้เราก็จะตั้งเป็น ผู้ช่วยศิลปาจารย์ เป็นรองศิลปาจารย์ และเป็นศิลปาจารย์เลย เป็น ผศ.​เป็น รศ. เป็น ศ. เลย ใช้ตัวย่อเดียวกัน ส่วนอาตมาเป็น วิชชาธิบดี เป็นคนเซ็นใบปัญญาบัตรทองคำเลยนะ จะเอาแต่ปัญญาบัตรของเราก็ได้ หรือจะเอาสองอย่างเอาปัญญาบัตรทางอาศรมศีลก็ได้ ของเขามีอธิการธิบดี ของอาตมาเป็น วิชชาธิบดี

 

อธิบายมาเพื่อให้ตรวจสอบเปรียบเทียบว่าอันไหนดีงาม อันใหม่ก็บอก อันเก่าก็ให้ตรวจสอบ ก็มียกตัวเอง คณะหมู่กลุ่มมาเป็นองค์ประกอบบ้าง เพื่อขยายความ วันนี้ก็มีส่ิงใหม่เกิด ว่าในอนาคตจะมีการเมืองแบบอาริยะของพระพุทธเจ้านี่แหละ ที่เขาเพี้ยนไปแล้ว จริงๆแล้วประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีคุณลักษณะดีจริงได้ แต่ไม่มีคนอธิบายได้ ทุกวันนี้บัญญัติภาษาก็พอที่จะทำให้เข้าใจได้ เชื่อว่าผู้มีบัญญัติภาษาจากภายนอกจะพูดกับอาตมได้เข้าใจเพ่ิมขึ้น ที่เปิดวิทยาลัย มีวิชชาสรรค่าสร้างคนจะมีเนื้อของการเมืองและสังคมมากหน่อย แต่พุทธชีวศิลป์จะมีเนื้อศาสนามากหน่อย อาตมาเป็นคนมีบัญญัติภาษาทางโกลน้อย เราก็จะได้บัญญัติภาษาทางโลกมาช่วยกัน

 

พวกเขาอาจเข้าใจบัญญัติภาษามาก รู้ว่าต้องเป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แต่เขาไม่ลึกซึ้งพอและก็ทำไม่ได้ด้วย อย่างคุณวีระที่ทำนี่ก็เป็นสิ่งที่จริง ที่ทำมาเป็นเรื่องของประชาธิปไตยแท้จริง...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:42:28 )

570709

รายละเอียด

570709_เทศน์ก่อนฉันที่ศาลาฉันวังน้ำเขียว โดยพ่อครู เรื่อง เริ่มขยายโลกุตรธรรม 46

นาฬิกาที่ฉากหลังที่พ่อครูจะเริ่มเทศน์ ไม่เดินเข็มนาฬิกา แต่เข็มมันขยับไปมา พ่อครูทักว่าถ่านนาฬิกาคงมีแต่พลังไม่มากพอจะเดินเข็ม ได้แต่ขยับเข็ม ตั้งเพื่อเอาเปรียบ โฆษณาสินค้า แต่ของเราเอาผลผลิตที่เราทำได้มาโชว์ความอุดมสมบูรณ์ มันส่อให้เห็นได้ว่า แค่เป็นที่มาของนาฬิกาไม่เอาถ่าน เพราะว่ามันเดินอยู่บ้างแต่ว่าไม่ค่อยไป ที่อื่นจะประดับสวยงาม ราคาแพง ดีไม่ดีเอา สินค้ามาองค์ประกอบของฉากก็บ่งบอกอะไรได้

 

ปีหนึ่งก็จะได้มาเยี่ยมเยียน พวกเราก็เป็นชุมชนที่มีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ที่มนุษยชาติจะพึงสังวร ว่าอย่างนี้คือกุศล อย่างนี้คืออกุศล ว่าอย่างนี้จะพึงทำอย่างนี้ไม่พึงทำ ผู้มีสำนึกเป็นทิฏฐิ มีสังวรเป็นศีลเป็นหลักเกณฑ์ ส่วนจะหย่อนหรือเคร่งก็แล้วแต่ละคนๆ จริตใครก็ของใคร ผลที่ได้ก็อยู่ที่แต่ละคนมีสติ สัมปชัญญะ เป็นตัวกำหนด แล้วก็ทำตามภูมิของตน ได้ผลดีผลเสียตามแต่ละคน คนเราก็มีการสังวร มีสติสัมปชัญญะตามกรอบแห่งสำนึก

 

ส่วนคนไม่มีสำนึกไม่มีกรอบแห่งศีล ไม่มีกรอบแห่งความสำนึก ปล่อยตนเองไปตามกิเลสไม่มีหนัก คนเช่นนี้มีมาก ไม่มีจุดมุ่งหมายว่าชีวิตจะไปไหน หลงโลกียสุข ลาภ ยศ สรรเสริ​ญ ที่พาสร้างนรก แต่เขาหลงว่าได้สวรรค์ เขาได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญชั่วแวบสุขแล้วก็หายไป เขาไม่เข้าใจว่ายศคืออะไร ยศคือการกำหนดหน้าที่บทบาทให้ทำ แต่เขาหลงว่าเป็นสิ่งน่าได้น่าเป็น ได้มาก็ยินดี ไม่รู้จักสาระของยศ ถ้าคนชั่วก็ใช้ตำแหน่งยศ ทำชั่ว ถ้าได้สรรเสริญทางอบายมุข ทุกวันนี้คนสรรเสริญคนมีอบายมุขเด่น

 

เช่นอบายมุขข้อที่คนไม่ทันรู้ตัวคือ คนที่เก่งทางโกง แล้วใช้ความเก่งทางโกง ฉลาดซ่อนเร้นแล้วโกหกหลอกลวงซ้ำ คนเชื่อ เก่งมากคนเชื่อสนิท แล้วคนเชื่อมาก ปกปิดบังไว้มาก คนเหล่านี้คือสัตว์นรก เป็นนรกอบายมุขขุมใหญ่มาก หลอกคนได้เนียน เพราะมีอิทธิพลเป็นผู้บริหาร ให้พัฒนาคนไปสู่จุดหมาย เช่นใช้คำว่าเป็นใหญ่เป็นโตเป็นเจ้าเป็นนาย คำนี้แหละคือหลุมอบายมุขใหญ่ ประกอบด้วยความหลงผิด แล้วปรุงแต่งนรกให้ร้ายแรงสุดที่จะแจกแจง ชำระไม่ออกแล้ว อีรุงตุงนังซับซ้อนในนั้น ยิ่งกว่ามุ่นไหมที่มันยุ่ง ไม่มีทางแก้ได้เลย ให้หายยุ่ง คลายออกมาเป็นเส้นไหมแต่ละเส้น มันเป็นถึงขนาดนั้น พูดกันไม่รู้เรื่อง อธิบายไม่ได้

 

ก็เหลือคนที่พอพัฒนาได้บ้างก็ช่วยกันไป จึงหาคนที่มาแสวงหาธรรมะได้ยาก คนไปหลงสรรเสริญ อบายมุขเยอะ แม้แต่ด้านบริหารปกครอง บันเทิงเริงรมย์ หรูหร่าฟู่ฟ่าในกามคุณ เฟ้อเกิน ใช้คำว่าศิลปะคำเดียวหลอกกันซับซ้อนจนเป็นนรก แล้วก็หลงตัวตนว่าเป็นผลสำเร็จ ที่เป็นการหลอกด้วยกามคุณแล้วเรียกกันว่าศิลปะ พวกนี้อัตตาเขาโตกว่าพวกนักธุรกิจ

 

นักธุรกิจนี่ง้อคนนะ แต่พวกศิลปินนี่ไม่ง้อคน อัตตาสูง สร้างศักดิ์ฐานะอีกอย่าง ถึงอธิบายพวกนักธุรกิจพอได้บ้าง เข็นครกขึ้นเขา แต่สอนศิลปินนี่เหมือน เข็นเขาขึ้นครก สอนนักธุรกิจเหมือนเป่าปี่ให้ควายฟัง แต่สอนศิลปินนี่เหมือนเป่าควายให้ปี่ฟัง ควายจะดีดเอาและปี่ก็ไม่ฟังด้วย อาตมาก็ต้องพยายามบอก

 

ทุกวันนี้ใกล้กลียุคใกล้สุดท้ายไฟนรกจะไหม้โลก ต้องพูดกันบ้าง ถึงยุคนี้ไม่พูดก็ไม่ได้ ผู้จะกล้าพูดแล้วก็พูดได้ หลบได้ไม่เป็นภัยก็ได้ประโยชน์ อย่างคานธีก็เป็นโพธิสัตว์ทำงาน สุดท้ายก็ไม่พ้นตายด้วยปืน พระโมคคัลลานะสุดท้ายก็ถูกฆ่า เป็นไปตามวิบาก ไปตามธรรม ทำไมคนดีต้องถูกฆ่า เพราะคนชั่วทำร้ายคนได้ แต่คนชั่วไม่่่ค่อยตายด้วยคนดีเพราะคนดีไปทำร้ายเขาไม่ได้ แต่เขาจะตายเพราะเขาเอง เช่นธรณีสูบ มีวิบากทำเขาเอง สรุปแล้วมนุษย์อยู่กับกรรมวิบากทั้งสิ้น

 

ศาสนาพุทธ มีพุทธบริษัท 4 ไม่มีภิกษุณีก็ไม่ได้ เพราะไม่ครบ แต่ถ้าพระนางมหาปชาบดีโฆตมีไม่ท้วงก็ไม่ได้นะ ก็ไม่มี แต่มีแล้วอายุศานาจะลดลงกึ่งหนึ่ง แต่ต่อไปภิกษุณีจะไม่มี แม้ภิกษุก็จะลดลง เพราะคนโหดร้าย จับเส้นหญ้ามาก็เป็นดาบฆ่าฟันกัน จับอะไรก็เป็นอาวุธ อาศัยความเร็วความฉลาดฆ่าแกงกัน

 

คนเราเกิดมามีวิบาก คือผลของกรรม เป็นผลบุญคือการชำระกิเลส หรือผลบาปที่เกิดจากการสะสมกองกิเลส กิเลสกองลงไปเป็นอนุสัยอาสวะ พอล้างหมดก็หมดอนุสัยอาสวะเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป เป็นปุญปาปริกขีโณ เมื่อสิ้นบุญสิ้นบาปก็เป็นคนไม่ต้องทำบุญ แต่บุญนั้นเขาใช้ผิดความหมายเป็นคำว่ากุศลไปหมดแล้ว กุศลเป็นความดีงามทั้งหมด ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ คำว่าบุญไม่ใช้สมมุติสัจจะเลย บุญเป็นความดีงามระดับปรมัตถสัจจะ ชำระกิเลสออกจากสันดานให้หมดจน ถ้าหมดก็หมดความเป็นสัตว์โลก เป็นพระพรหม

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธใช้คำว่าบุญ แม้ศาสนาอื่นก็ใช้คำว่าบุญด้วย ในภาษาไทย ภาษาอื่นไม่มีคำว่าบุญ คำว่าบุญมาจากคำว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ อยู่ในพจนานุกรม ไทย_บาลี_อังกฤษ ซึ่งขยายเรื่องปรมัตถ์นิดเดียวแต่ขยายเรื่องกุศลเสียมากกว่า ท่านธรรมปาละเป็นคนเก็บไว้ ท่านธรรมปาละเป็น อรรถกถาจารย์รูปหนึ่ง

 

คำว่าบุญนั้น ต้องพฤติกรรมชำระกิเลสได้จึงถือว่าเป็นบุญ คนไหนชำระกิเลสได้เป็นคุณงามความดีเลยนะ เป็นดีถึงปรมัตถสัจจะ ถ้าใครทำได้หรือปรุงแต่งจัดการ เป็นมนสิการให้เกิดผล กิเลสถูกชำระ  เรียกว่าอภิสังขารก็ได้ ผู้ศึกษาปฏิบัติเป็นพระโยคาวจรต้องจัดการเพื่อจับองค์ประชุมของจิตที่มีญาณกำหนดรู้ แล้ววิเคราะห์หาเหตุในการปรุงแต่ง มันปรุงแต่งเป็นสัตว์นรกก่อนเลย เป็นเทวดา หลงว่าเป็นสุข แต่แท้จริง สุขเท็จ ทุกข์แท้

 

เป็นนรกแท้ มีตัวเหตุเป็นสัตว์นรกชัดเจน จึงต้องอ่านกายของสัตว์นรกให้ได้เป็นองค์ประชุมของสัตว์นรก เป็นวิญญาณสัตว์นรกเป็นต้น วิญญาณเทวดา วิญญาณมนุษย์

 

วิโมกข์ 8 สามข้อต้นเป็นเรื่องรูปฌาน อีก 4 ข้อเป็นอรูปฌาน แล้วข้อสุดท้ายเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

ในโลกุตรธรรม 9 มาขยายเป็นโลกุตรธรรม 46 ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิมาแต่ต้น ก็ผิดมาตั้งแต่ต้น ก็ผิดไปตลอดเลย ไม่ถึงโลกุตรธรรม 46

โลกุตระที่ 1 รู้จักกายในกาย จะต้องรู้จักกาย กายไม่ทิ้งข้างนอก รู้จักวิญญาณที่เกิดจากการกระทบทางทวาร 6 แล้วเกิดวิญญาณ เป็นองค์ประชุมแล้วก็เจาะวิจัย หา เวทนาในเวทนา จิตในจิต วิจัยหาตัวร้ายเป็นจิตผี เป็นจิตในจิต เป็น สราคะ สโทสะ สโมหะ เมื่อกำจัดผีได้ก็ถูกตัว เมื่อคุณสามารถรู้ตัวกาย เป็นองค์ประชุมตัวแรกคือสักกายะ ที่เกิดจากการผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่สัมผัสเหตุปัจจัยสดๆที่เราหลงยึดว่าเป็นตัวตน เราก็พบตัวจริงแล้ว ต้องพิจารณาว่าเป็นตัวแท้ของสัตว์นรกจริง อย่างพ้นสงส้ย พ้นวิจิกิจฉาเลย แล้วเมื่อรู้แล้วก็อย่าทำอย่างเล่นหัว ลูบๆคลำๆ ใจดีกับมันไม่ฆ่ามัน มันก็เฮฮาสังสรรกับคุณ คุณก็ไม่พ้นศีลพตปรามาส

 

แต่ข้อที่ 1 ได้โลกุตรมรรค แล้วถ้าได้โลกุตรผลก็เป็นโลกุตรธรรมที่ 2 เป็นโสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผล

 

คุณปหานกิเลสได้ชั่วคราวก็เป็นตทังคปหาน และถ้าไม่แน่ใจว่าถูกแล้วก็ทำต่อทำซ้ำทำอย่างเก่าทำเสพทำคุ้นทำอย่างเคยให้ได้ผลภาวนาแล้วทำให้ได้มาก ก็จะชัดเจนของคุณว่าใช่ คุณก็พ้นสังโยชน์ 3 ไล่เรียงแนวลึก แล้วสัมผัสแนวกว้าง หมุนรอบเชิงซ้อน เป็นสัมมปทาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8 รวมเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 แล้วนับโลกุตรธรรม 9 บวกเข้าไป เป็น โลกุตรธรรม 46

 

ให้หนูๆที่มาฟังธรรมสี่บวกเลขสิว่า 37 บวก 9 เป็นเท่าไหร...46

 

คำว่า กาย ตั้งแต่สักกายะหรือรู้กายในกายนี่แหละที่ต้องรู้ก่อน ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย หากไม่รู้กายก็หงิกทำต่อไม่ได้แล้ว เราต้องมากอบกู้ความรู้พระพุทธเจ้าขึ้นมา ยังดีมีหลักฐานในไตรปิฎก รู้ทั่ว

 

คำว่าบุญต้องมีคุณสมบัติถึงการชำระกิเลส แล้วต้องมีญาณตามรู้ตามเห็น ตั้งแต่ความไม่เที่ยง รู้ว่ามันวนอย่างโลกๆ คนก็หลงว่าต้องตั้งให้มันมีอยู่ ให้เอร็ดอร่อยเป็นโลกียรส ได้บำเรอ กาม บำเรออัตตา เป็นกามสุขขัลลิกะ หรืออัตตทัตถสุข เป็นสุขเท็จ แล้วหลงว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น ก็สะสม วนเวียนไม่ได้ทิ้งไม่ได้ทำลายก็เต็มไปในอัตภาพของตน กี่ล้านชาติ บางทีลืมไปแต่ก็หมกหมักอยู่

 

บุญคือการชำระ แต่โลกียะนั้นไม่ได้ล้างกิเลส การเรียนอย่างรู้ว่าไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์แต่เรารู้ว่าให้มันหมุนลดลง ตัดกิเลสได้รอบของมันก็ลดลง ไม่จัดจ้านมากขึ้น เล็กลง ลดลง ตามเห็นความจางคลาย เรียกว่า วิราคานุปัสสะ คุณต้องมีญาณเห็นรู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ดับกิเลสให้ได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณจะมีญาณรู้เมื่อปฏิบัติเอง

 

คุณจะมี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี และปฏินิสสัคคานุปัสสี เป็นการร้อยมาลัยธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัส การตัดกิเลสฆ่ากิเลส เป็นบุญ เป็นส่ิงมีค่าสูงมาก คนก็นิยม ก็เลยเรียกว่าได้บุญ มากกว่าได้กุศล แต่คนได้แต่นิยมภาษา ว่าได้บุญ แต่ว่าเนื้อแท้ไม่ได้ ภาษาคำว่าบุญก็เลยชนะกุศล คำว่ากุศลก็เรียกรวมๆ แต่อยากได้บุญ ไปทำอะไรสารพัดก็เรียกว่าบุญ คำว่าบุญก็เลยเพี้ยนไปไม่เหลือการชำระกิเลสเป็นแต่โลกียะ ไปเหลือโลกียะ บุญก็เลยมีค่าเท่ากับกุศล ตกลงคำว่ากุศลกับบุญก็เลยเหลือแต่โลกียะ ส่วนโลกุตระนั้นสูญ ไม่รู้เรื่องแล้วกันโลกุตระ 9หรือโลกุตระ 46

 

อาตมาถูกจับ ท่านเข้าคุณท่านหนึ่งว่า โพธิรักษ์นี่ไม่มีอะไร แม้แต่สักกายะก็ยังไม่รู้เลย สักกายะแปลว่าไม่มีตัวตน แล้วโพธิรักษ์มาอวดว่าเป็นอาริยะก็ไม่พ้นสักกายะ นี่คือคำพูดของเจ้าคุณท่านหนึ่งที่เป็นเปรียญธรรมป.โท ส่วนโพธิรักษ์ไม่มีสักปริญญา แล้วท่านเป็นเจ้าคุณนะ เปรียญ 6 ปริญญาโท เป็นพี่ชายของจตุพรนะ แล้วท่านก็มองอาตมาก็ยังผิดเลยหาว่าอาตมาอวดตัวตนโสดาบัน แต่ที่จริงแล้วอาตมาอวดโพธิสัตว์ต่างหาก เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเพิ่มกิเลสตัวเองด้วยการเพ่งโทสพระอาริยะ ไม่ได้กล่าวโทษท่านนะ แต่เป็นเรื่องที่จริง

 

คำว่าบุญจึงนิยามว่าเป็นอาการทำใจในใจให้กิเลสลดได้จริงๆ เรียกว่าบุญ ถ้าคุณทำให้กิเลสลดได้ แต่ไม่มีญาณรู้ก็ยังไม่สมบูรณ์ต้องมาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีสัมมัปปัญญา สำเร็จอิริยาบถอยู่ สรุปแล้วต้องผัสสะด้วยกาย รู้ด้วยปัญญา อย่างเห็นแล้ว คือจัสสะทิสวา มีผุสสติ คือเห็นๆอย่างปัจจุบัน

 

สรุป กุศล นั้นโลกียะเป็นหลัก ส่วนบุญนั้น โลกุตระเป็นหลัก และกุศลไปถึงนิพพานได้ ถ้าทำถึง เป็นปรมัตถ์ได้

กุศลมีทั้งกุศลโลกีย์และกุศลโลกุตระ แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่สันโดษในกุศล จนกว่าจะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน พระอรหันต์ที่ทำปรินิพพานได้ก็สูญสิ้นธาตุอัตภาพทั้งหมดไม่วนเวียนในวัฏฏสงสาร สูงกว่าอมตชน

 

คนที่เข้าใจคำว่าบุญอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ก็จะทำบุญเป็น ตั้งแต่โลกุตรธรรม 1 จาก​46 ก็จะรู้ตั้งแต่กาย เป็นองค์รวมของวิญญาณ มีจิต เจตสิก ก็รู้บทบาทของจิตที่ทำงาน การปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติขณะมีจิตกับเจตสิก ส่วนผลที่ได้สะสมเป็นมโนข้างใน ได้ผลมาเป็นมโนวิญญาณ จนกระทั่งถึงมโนวิญญาณของอรูปสัตว์ ซึ่งเหนือมาหมดตั้งแต่กายวิญญาณข้างนอกตั้งแต่กามภูมิมา แล้วก็มารูปภูมิ มาอรูปภูมิ

 

เราล้างความเป็นสัตว์ในวิญญาณตั้งแต่กามภพ ซึ่งอบายก็เป็นกามภพขั้นต่ำ จนล้างกามต่ำอบายได้ก็เป็นสกิทาคามี จนฆ่ามันตายหมดในกามภพ ก็เป็นอนาคามี มีแต่โอปปาติกสัตว์ ซึ่งเป็นคำเรียกอนาคามีว่าเป็นอุปปาติกะคือมีแต่สัตว์ในจิตวิญญาณที่เป็นภพใน แต่อยู่เหนือธรรมชาติภายนอกหมดแล้ว จะกระทบสัมผัสกับกามาจรอย่างไรท่านก็ไม่สุขทุกข์แล้ว เหลือแต่กิเลสในภพใน และก็ยังลืมตาสัมผัสกระทบอยู่ ทั้งที่เหลือแต่กิเลสในรูปภพ อรูปภพเท่านั้น ยังรู้เห็นมีการรับรู้เหมือนคนทั่วไปแต่ท่านไม่มีกิเลสเกิดในระดับกามสัตว์ ตายไม่ฟื้นแล้ว ไม่กลับกำเริบ แต่เป็นคนเหมือนปุถุชนทุกคน คนที่มีกามารมย์ ก็เห็นเหมือนกับคนที่เป็นอนาคามี แต่ท่านไม่กระดี๊กระด๊าเหมือนคนโลกๆ แต่ท่านจะอนุโลมไปร่วมรู้ร่วมทำกับเขาไหม ถ้าช่วยเขาได้ท่านก็ทำ แต่ถ้าไปทำแล้วเขาไม่เข้าใจกิเลสเพ่ิมท่านก็ไม่ทำ

 

ประเด็นคือรูปาวจรไม่ใช่พวกหลับตา แต่เป็นพวกลืมตารู้ทุกอย่างกับโลก แต่ช่วยโลกได้ ตามที่ท่านจะมีสัจจานุโลมิกญาณปรุงร่วมไปกับเขาได้ ท่านจะไม่ประมาท หากทำไม่ไหวท่านก็ไม่ทำต่อ ท่านไม่มีกิเลสติดโลกธรรม ประเด็นรูปาวจรนั้นก็ไม่หลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตาอยู่แล้วปฏิบัติรูปาวจร อรูปาวจร เพราะฉะนั้นบุญของพระอนาคามีนั้นเหลือน้อย เพราะกิเลสท่านเหลือน้อย ยิ่งทำให้กิเลสหมดบาปเกลี้ยงแล้วก็สิ้นบุญสิ้นบาป เป็นอรหันต์จ้อย

 

มีอานิสงส์ของการฟังธรรม ได้ฟังสิ่งใหม่ ฟังสิ่งเก่าซ้ำ ได้เกิดความเข้าใจเพ่ิม ได้คลายความสงสัยและได้ทำความเห็นได้ถูกตรงเพิ่มขึ้น

 

ทุกวันนี้คนไปทำบุญ แต่ได้กุศลและได้บาปด้วย เพราะไปทำบุญตามทั่วไปว่า แต่มีความตะกละเพิ่มเติมต้องการได้มามากกว่าเก่าอีก ยิ่งทำบุญแล้วเข้าใจผิดก็ได้แค่กุศล แต่โดยปรมัตถ์แล้วก็ได้บาปมาก และได้บาปมากกว่าได้กุศลอีกด้วย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:44:34 )

570709

รายละเอียด

570709_พ่อครูเอื้อไออุ่นที่สีมาอโศก

วันนี้เอื้อไออุ่น แต่เอาไปเอามา ก็เป็นเทศน์ทุกที คราวนี้ให้เป็นเอื้อไออุ่นซักทีนะมีอะไรถามไถ่ก็ว่ากันมา    

 

มีญาติธรรมชื่อยายเข็มทอง ซึ่งเป็นผู้บริจาคที่ดินให้สร้างสีมาอโศกเป็นคนแรกบอกว่า.. ดิฉันไม่ได้ไปร่วมงานอโศกรำลึกเพราะหกล้ม กระดูกสันหลังยุบไป 1 ข้อ หมอว่าจะผ่าไหม? ก็ไม่ผ่า ตายก็ตาย มีคนถามว่าอยู่กับใคร ก็อยู่กับศีลค่ะ ไม่คิดกลัวอะไร ตายแล้วก็ไม่กลัว ดิฉันไม่อยากรักษาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ดี ไม่ได้ฟังธรรมพ่อครู อาราธนาพ่อครูอยู่ถึง 151 ปี

 

พ่อครูว่า..ตอนนี้อาตมาอายุ 80 ถ้าจะอยู่ไปถึง 151 จะต้องอยู่ไปอีกกี่ปี...เอ้าเด็กๆบวกลบเลขดูซิ ...ก็อีก 71 ปี ก็ตอนนี้ก็ครึ่งวัย ตอนนี้ก็วัยกลางๆอยู่นะ

 

ยายเข็มทองว่า...ดิฉันว่าพ่อท่านอยู่ถึงแน่นอน พ่อท่านไม่มีกิเลสไม่ฟุ้งซ่าน อยู่ได้ถึงแน่นอน พ่อท่านยังกระฉับกระเฉง

 

พ่อครูว่า..คนเราไม่แน่นอน บางคนแข็งแรงอยู่ดีๆเอ้ารุ่งเช้าไม่หายใจก็ได้ ว่ากันไปตามบารมีคน

 

ยายเข็มทองว่า...ก็ขอเรียนถามว่า...ถ้ามีศีลทุกข้อถึงข้อ 8 และไม่เป็นศีลสังวรด้วย แต่ทำได้เป็นปกติ และรู้สึกว่าอารมณ์ดีดูที่อารมณ์ ดูแต่กิเลสให้ละกิเลส แต่ว่าภาษาดิฉันตก ได้ 0 แน่นอนเรื่องภาษา

 

.เป็นต้น นาประโคน เขียนบทกลอนมาให้พ่อครูอ่าน...พ่อครูอ่านแล้วก็ว่าดี แล้วบอกว่าเข้าใจว่าขอซักชาติได้ไหม?เป็นอย่างไร?...เกิดมามนุษย์ต้องเอาอันนี้ต้องเอาธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมให้ได้ แต่คนทุกวันนี้เอาแต่โลกียะตะพึดเลย คนกลุ่มน้อยที่มาฟังอาตมา จริงๆก็รู้แล้วว่าดี แล้วจะเสียไปชาติหนึ่งทำไม ให้อาตมาสักชาติได้ไหม ก็ไม่ได้ให้มาเป็นทาสอาตมาใช้ให้ไปทำเป็นบาป เป็นอกุศลอาตมาก็ไม่ได้ไปใช้ จริงๆอาตมาเป็นคนไม่ค่อยเป็นคนใช้คน เพราะว่าอาตมาถือว่าการใช้คนเป็นความไม่ประเสริฐของเรา ยิ่งบังคับใช้เลย ก็เป็นคนที่ชั้นต่ำมากเลย แต่ถ้าเผื่อว่าคนเต็มใจที่เราพาทำ เห็นดีเห็นงามบอกว่าอย่างนี้ดี แล้วเขาก็ขมีขมันมาช่วยกันทำ อย่างนี้อาตมาถือว่าอาตมาทำให้เกิดความประเสริฐแก่คน คนที่มาทำก็ประเสริฐ เราก็ประเสริฐ เราก็ไม่ได้ไปชี้ใช้อะไร

 

ตอนนี้ทางบ้านก็น่าสงสาร ไม่ได้ดูทางทีวี แต่คนที่มีอินเทอร์เน็ตก็ได้ดูบ้าง คนที่ชี้ใช้คนก็เขาดูว่ายิ่งใหญ่ แต่อาตมากลับเห็นว่าถ้าไปชี้บังคับใช้เขานั้นลดความดีงามเลย แต่เราเป็นคนที่พาทำความดีงามแต่เขาก็ไม่เข้าใกล้ ไม่มาทำมันก็จะดูไร้ค่าเลย คนทุกวันนี้เข้าใจความยิ่งใหญ่ความประเสริฐแท้อย่างไร? อย่างมีอำนาจยิ่งใหญ่ชี้ใช้ เป็นตัวหัวหน้าใหญ่ที่ใครต้องทำตามต้องลนลานวิ่งตามอย่างนี้? มันมีสองทาง ถ้าเราทำตามคนที่เรานับถือก็ดี แต่ถ้ารีบทำตามเพราะกลัวอันนี้ไม่ดีเลย มันมีสองนัยว่าวิ่งตามอย่างไร? นัยของธรรมะกับโลกีย์อาจคล้าย แต่มีนัยสำคัญที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว

 

แต่ละชาติเราบูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเลิศเยี่ยม ผู้รู้ก็เอามาขยายความตามที่รู้ อาตมาก็เอามาขยายความ เมื่อมุมต่างก็ใช้วิจารณญาณของตน อันไหนเห็นว่าดีก็เอา อันไหนไม่เห็นควรก็ไม่เอา เพราะอาตมาไม่นิยมการบังคับ การบังคับนั้นไม่ยิ่งใหญ่อะไร ต้องใช้ปัญญาตัดสินว่าอะไรประเสิรฐ ถ้าคนยินดีเห็นด้วยตามพระพุทธเจ้าตรัส กับคนเห็นด้วยกับเทวฑัตพูด ก็ตามภูมิปัญญา มีอิสระแท้ ก็เป็นการชี้บอกด้วยว่าใครมีปัญญาแท้ ขอบอกพวกคุณว่าใครฟังอาตมาเข้าใจก็มีปัญญา ใครฟังไม่เข้าใจก็ไม่มีปัญญา

 

อาตมากำลังบอก แล้วเราฟังไม่เข้าใจแสดงว่าเราไม่มีปัญญาตามพ่อท่านได้นะ นี่ไม่ถือดีถือตัว แต่คนถือดีถือตัวก็จะหาว่าด่าเรานะ นี่คือถือตัว แต่อาตมาไม่ได้ด่าใครนะ อาตมาพูดตามสัจธรรม จะเป็นข้อสอบให้คุณด้วยนะ ข้อสอบน่ะโกรธทำไม แล้วคนโกรธฉลาดหรือโง่ คนถือดีก็โกรธ แม้แต่ไม่ใช่อาตมาใครก็ตามพูด พูดผิดหรือถูกก็ตาม เขาว่าเราผิด แล้วเขาไม่ใช่คนที่เรานับถือด้วย เขาว่าเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เราก็โกรธ คุณใหญ่ขนาดไหนมาว่าเราอย่างนี้ แล้วที่เขาว่าเรานี่ถูกไหม จับเนื้อมาตรวจเรา ถ้าเขาว่าเราถูก ก็ต้องขอบคุณเขา สาธุ ว่าเราถูก ไม่ได้จ้างมาด้วย บอกเราถูกต้องขอบคุณ

 

แต่ถ้าเขาว่าเราผิด เขาก็ไม่ฉลาด เขาไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง เราพิจารณาอย่างไม่ลำเอียงเรามีปัญญารู้จริงๆ คุณก็ไม่ต้องไปโกรธเขา เขาไม่ฉลาดรู้มันก็อยู่ที่ตัวเขา คุณไม่ได้ไปเป็นตัวเขา หรือเขาว่าเรา เราก็ไม่ได้ไปว่านะ เขาว่าเป็นกรรมของเขา เขาขายขี้เท่อตัวเอง ถ้าเขาว่าเราเราก็เฉยๆไม่โกรธใจเราก็เย็น ตรวจสอบแล้วเราไม่เป็นอย่างเขาว่า ถ้าจะบอก คนโกรธก็จะตอบไปไม่ดี แต่คนไม่โกรธก็จะตอบดีๆ

 

ถ้าเขาว่าแล้วเราไม่โกรธเลย นั่นคือคุณสูงเจริญ หรือว่าถ้าเราระงับได้แล้วตอบเขาดีๆ ควรทำอย่างนี้แม้จะโกรธเราก็ควรทำอย่างนี้ นี่คือลักษณะเจริญ ใครทำแล้วเจริญ เขาจะว่ามาย้อนแย้งเราก็ทำใจเย็นๆ ค่อยๆพูดคุยเหตุผล อาตมาว่าคนไม่ได้ขี้โกรธไม่ได้ถือดี เขาจะคุยกับเราดีขึ้นนะ ถ้าเรามีของจริงถูกต้องก็จะรู้ เขาจะรู้ว่าไปแสดงขี้เท่อ ก็จะขอโทษ แต่นี่ไม่น่ะส่วนมาก ก็ชกกันก่อนเลย แทนที่จะพูดกันก่อนแต่ชกกันก่อนแล้วจะได้พูดกันไหม ก็ยิ่งชกกันใหญ่เลย โลกเป็นอย่างนี้

 

ใครจะว่าอาตมาหลงใหลธรรมะก็ดีกว่าหลงไมเคิล แจ็คสัน หรือแม้แต่หลงคนดังๆ ที่ทุกวันนี้เขาหลงกัน แล้วเป็นเรื่องไร้สาระที่จะไปหลงอย่างนั้น เสียวัตถุ เสียเวลา เสียเงิน เสียแนวคิด แต่ถ้ามาตอบปัญญาธรรมะโลกุตรธรรมได้มาก ก็ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ เงินจะน้อยจะมากเขาก็ไม่สนใจ ถ้าจะใช้เงินก็มาทำอย่างนี้ดีกว่า ในสังคมอาริยะจะเห็นได้ โลกทุกวันนี้ไม่เข้าใจอาริยชน

 

ขอบคุณพวกเราที่เข้าใจแล้วมาช่วยกัน แต่ขอให้เป็นของจริง ให้บุคคลมีภูมิธรรมจริงเป็นอาริยะมาพาทำเผยแพร่ ตั้งแต่เด็กจนโตจนแก่จนตาย กันไปหลายคนแล้ว นี่ก็มีเมรุใหม่ คงไม่มีใครอยากจะเป็นคนแรกที่จะฉลองเมรุนี้หรอก ให้สวยก็สวยไป ยังไม่อยากใช้บริการ ก็ดี ชีวิตนี้ยังไม่ขึ้นเมรุก็พยายาม ขอสักชาติได้ไหม ไปใกล้เมรุก็ยังไม่อยากตาย แล้วจะเอาเวลาไปทำไม? ก็ขอสักชาติเอาเวลามาศึกษาธรรม ผู้ที่เร่ิมต้นมากับอาตมาตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันนี้โดยอาตมาไม่ได้เอาอามิสล่อ พาไปลำบากก็อดทนไปกับอาตมา อย่างน้อยคนที่ไปร่วมด้วยก็ต้องรู้ค่าว่าไปอย่างนี้มีประโยชน์มากกว่าเอาเวลาทำกับอบายมุขหรือโลกธรรม แล้วไปกับอาตมาก็ลำบาก แถมถูกด่าว่าด้วยก็ยังทำมาร่วมกัน

 

ถึงอย่างไรอาตมาก็ว่าอาริยธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ขอบคุณพวกเราที่ร่วมกันทำ ยืนยันคำเดียวว่าอาตมาไม่ได้เอาอามิส ลาภ ยศ สรรเสริญล่อ คุณเอาตัวเองมาทำเอง ด้วยปัญญาของคุณ ไม่ได้ถูกหลอกมา ใช้ปัญญาตัดสินเอง อาตมาว่าเป็นอาริยธรรม คนที่มาทำนี่ชัดเจนว่าคุณรู้ ไม่เช่นนั้นคุณไม่มาทำหรอก คนโลกๆเขาใช้อามิส ล่อหรืออำนาจบาทใหญ่บังคับทำ มันไม่เหมือนกัน อาตมาทำได้แค่นี้ตายตอนนี้ก็ไม่เสียดาย ถือว่าอาริยธรรมเกิดขึ้นแล้ว ก็ปลาปลื้มใจ ว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเกิดได้เป็นได้ คนก็รับได้ เอาชีวิตของเขามา หลายคนไม่คิดเอาชีวิตไปข้างนอก หลายคนอาตมาไม่สั่งมากก็ทำ ยิ่งเห็นความจำเป็นว่าต้องขมีขมันทำก็เห็นว่าคนนี้มีปัญญาเข้าใจ

 

อาตมาว่าจะสร้างพระใหญ่ๆ จะสร้างสถานที่ ภูเขา แม่น้ำ ขยายอาณาเขต อาตมาก็ไม่ได้คิดจะสร้างเพื่อเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจบาทใหญ่เหมือนคนโลกคิด แต่อาตมาทำเพื่อให้เป็นที่รวมกันเพื่อไปสู่การบรรลุธรรม ไม่ได้ทำเพื่อขยายลาภ ยศ สรรเสริญอย่างโลกียะ แต่มันเห็นควร เช่นขณะนี้นะ อาตมาไปที่วังน้ำเขียว ไปดูสถานที่ว่ายุคนี้ คุณอำนาจบอกอาตมาว่าสามาถพัฒนาได้เป็นสาธารณโภคี ร่วมกันกินกันใช้แม้จะมีส่วนตัวอยู่บ้าง แต่มีที่กลางมีแล้ว อย่างหมวยก็ให้เป็นที่ส่วนกลาง เป็นมูลนิธิเชื่อม ถ้านำมาสานต่อเชื่อมกันแต่ไม่คิดขยายพื้นที่โดยไม่มีบุคคล แต่อาตมาดูแล้วว่าถ้าคนย่านนี้มารวมกันก็ได้ เป็นภูมิทัศน์ที่เป็นสวิสเซอร์แลนด์ประเทศไทย เป็นเสนาสนะสัปปายะ ดูแล้วก็น่าจะเกิดเป็นอีกแหล่ง อาตมาไม่พยายามเพ่ิมชุมชน เพราะคนเราก็ไม่มาก สมณะเราก็ไม่เพ่ิม อาตมาว่ามาถึงวันนี้แล้วเหตุปัจจัยมันได้ เป็นเครื่องกระตุ้นโดยสถานที่ ถ้าเทียบวังน้ำเขียวกับภูผาฟ้าน้ำ ก็ดูว่าใกล้กัน องค์ประกอบอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าภูผาฯ แต่ว่ามีสิ่งที่ดีๆหลายอย่าง ก็ถ้าเป็นไปได้ก็ให้คุณอำนาจเดินเรื่องดู ไม่เอาที่ไปเบียดเบียนใคร ให้มีความเห็นร่วมกับคนอื่นๆ เราก็จะได้สร้างนิคมอาริยธรรม ที่เป็นของส่วนกลาง ถ้ามที่มากก็ต้องช่วยกันดูแล

 

มีคนมอบที่มาให้ 19 ไร่ แต่มีเงื่อนไข อาตมาก็บอกคืนเขาไปเลยถ้ามีเงื่อนไข เขาตั้งชื่อมาด้วยชื่อผัวเมียแล้วก็บอกว่าจะต้องสร้างเป็นพุทธสถานโดยเร็ว มีลักษณะระบุเป็นนายใหญ่ อาตมาก็คงจะรับใช้ไม่ไหว ก็คืนไปเถอะ เขาก็พาซื่อนะ ไม่คิดร้ายอะไร แต่สำหรับอาตมาเขาไม่รู้ว่าทำอะไรกับอาตมา แต่คุณฟังแล้วคุณจะไม่กล้าทำอย่างนี้กับอาตมา ขออภัยว่า เป็นผู้ดีต่างกัน ขออภัยต่อผู้ที่พูดถึง ไม่ได้ลบหลู่นะ รู้ว่าคุณมีกุศลจิต ที่จะบริจาคไปในทางดี ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย แต่แนวคิดการปรุงแต่งสังขารของเขามีแค่นี้ แล้วพวกเราจะเข้าใจว่าอาตมาไม่ได้คิดแนวต่ำ ไม่ได้เอาเขามาย่ำยีดูถูก แต่ถ้าเข้าใจเช่นนั้นก็ขออภัย ยกตัวอย่างมาประกอบว่าให้พอเป็นไป อย่าดันอะไรมาก

 

อาตมาก็ยังบอกท่านสมณะเตชพหุชโน ว่าให้ไปดูแลบ้าง แต่ท่านก็ถนัดที่จะไปตามที่ต่างๆ แล้วจะเกิดการโยงใยหากันเอง จริงๆอาตมาก็ไม่อยากก่อให้เกิดชุมชนเพราะมันเหนื่อย ยิ่งเป็นสังฆสถานอีกก็ต้องแบ่งสมณะไป สมณะก็ไม่เพ่ิม มีตายไปอีก ก็ยิ่งร่อยหรอ แต่ตอนนี้ยังไงก็จะเพ่ิมสิกขมาตุเพ่ิมอีก 1 รูป ถ้าสมณะสึกหรือตายก็เพ่ิมสิกขมาตุไม่ได้อีก แต่อาริยบุคคลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวช ฆราวาสก็เป็นถึงอรหันต์ได้

 

อาตมามีอาริยบุคคล นี่ก็พูดจริง อาตมาก็ไม่ได้อยากชี้ ชี้ไปแล้วก็จะไปเพ่งบุคคล เอาจริตไปวัด มันก็จะเพี้ยน อยากให้อ่านเนื้อหาสัจธรรมเอง แล้วจะรู้ว่าอย่างนี้โสดาฯ สกิทาฯ ตอนนี้อาตมาขยายโลกุตรธรรม 46

 

เร่ิมที่เข้าใจ กายในกาย รู้จักกาย รู้จัก กายสังขาร ที่มันลดละองค์ประชุมที่มีสังขาริกัง แล้วกำจัดลงไปจนเป็นอสังขาริกัง ไม่มีกายของสัตว์อยู่ในนี้ แล้วกายก็เป็นเวทนา จิต ธรรม พิจารณาสติปัฏฐาน 4 ก็จะรู้กาย กายในกาย กายในเวทนา กายในจิต กายในธรรม จะรู้องค์ประชุมที่เป็นเวทนาในเวทนาก็คือ กายในกายของเวทนา แล้วเวลาดับจริงๆก็ดับกายในกาย ที่เป็นอกุศลเหตุ เมื่อดับอกุศลในเวทนาก็จะเหลือแต่กายที่สะอาด กายดับไม่ได้หมายถึงองค์ประชุมรวมของเวทนาทั้งหมดดับ

 

เราต้องเข้าใจบริบทของ กายของเวทนา กายของจิต กายของธรรม แล้วในกายของเวทนายังมีกายที่ต้องกำจัด เมื่อฆ่าได้กายก็บริสุทธิ์เจริญเต็ม อารมณ์ของเราประกอบด้วยเหตุ ด้วยสมุทัย อาริยสัจ 4 ประกอบด้วยสมุทัย โลกทั้งโลกประกอบด้วยสมุทัย เมื่อดับสมุทัยของโลกียะหมด คุณก็เป็นโลกุตระเต็มๆ โลกนิโรธดับเพราะดับโลกสมุทัยที่เป็นเหตุหมด เหลือแต่โลกโลกุตระเต็มๆ

 

.16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ

มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

ไม่มี(โลเกนัตถิตา)ในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก(โลเกอัตถิตา) ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก

ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น

ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด

ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง

เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

พ่อครูว่า...ที่จะให้ไม่มีคือ โลกสมุทัย แล้วสิ่งที่จะให้มีคือโลกนิโรธที่เป็นเนื้อแท้แห่งชีวิตที่ต้องควรมีควรได้ ผู้ที่มีโลกนิโรธแล้วก็คือคนที่ไม่มี 

 

ในสัมมาทิฏฐิ 10 ท่านใช้คำว่า นัตถิ กับอัตถิ เช่นคุณทำทานเสร็จแล้ว นัตถิ ก็คือไม่มีผลเลย เพราะไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่รู้ว่าผลที่จะได้จากทานคืออะไร? คุณทำทานคุณก็เอาเงินไปถวายแสนล้าน อย่างวอเรน บัฟเฟต เลยนะ เงินของเขาใหญ่เป็นล้านๆ ทำทานทีละ 80 % ของที่เขามีอยู่ เขาไปทำทาน 8 แสนล้านบาทเขาเหลืออยู่อีก สองแสนล้านบาทอีก ใจถึงไหม? คุณทำทานคุณให้เงินไปแต่คุณมนสิการไม่เป็น คุณทำใจยังไง คราวนี้เอาทองเท่านี้ไปถวายหลวงตาบัวก็ตั้งใจว่าสาธุขอให้ได้มากกว่าเดิม ทำทานไปเท่าหัวแต่ขอทองมากกว่าหัวไหม? คุณทำใจให้กิเลสโลภมากขึ้น ถวายทองเท่าหนวดกุ้งคุณก็ขอให้ได้มากกว่าหนวดกุ้ง นี่คือทำใจนัตถิโลเก ไม่ได้ดับสมุทัยคือความโลภ นี่คือนัตถิทินนัง ทานที่ทำแล้วทำใจในใจไม่เป็น ตั้งจิตผิดทำใจผิดก็ไม่ได้ผล ในการปฏิบัติมรรคองค์ 8

 

สอนทำทานก็ผิดกันแล้ว แล้ววิธีปฏิบัติที่ไปสู่ทาน คือยิตถัง แต่เขาแปลว่ายัญพิธี แต่จริงๆก็คือปฏิบัติ คือ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งศีลก็คือวิธีการปฏิบัติ หลักปฏิบัติ แต่ปฏิบัติแล้วตามวิธีที่คุณเรียนมาบำเพ็ญมา เงินคุณใส่เก๊ะไป แล้วมาปฏิบัติกับอาจารย์ แต่ไม่ได้ทำให้จิตรู้จักกิเลส ไม่รู้สักกายะ ไม่ได้ลดกิเลส ไม่ได้ทำใจในใจก็ไม่จับสักกายะถูกนิโรธก็ไม่ได้ทำ สมาธิคุณก็ได้แต่นั่งหลับดับตาไป ก็นัตถิยิตถัง ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่ได้มีมรรคผล อาตมาพูดนี่ไม่ได้ยกตัวเองเลย แต่คนจะเห็นว่ายกตัวเอง แต่มันเป็นสัจจะความถูกมันก็ข่มความผิด จิตอาตมาไม่ได้มีจิตข่มคุณ แต่คุณอาจเข้าใจว่าข่ม แต่อาตมาไม่ได้ดิบดีอะไรกับการข่มคุณ อาตมาไม่แข่งคุณหรอกที่คุณสอนผิด จะใหญ่คนนิยมขนาดไหน ไปนิยมของผิด อาตมาไปริสยาทำไม คุณควรริสยาอาตมาต่างหาก แม้คนน้อยแต่สอนถูก แต่คนไปนิยมคนสอนผิดก็น่าสงสารนะ คนทำไมไปหลงตามคนผิดก็ได้แต่น่าสงสาร ก็ได้แต่อยากให้คุณหยุดสอนเถอะ จะไปริสยาทำไม่ให้ทุกข์ ถ้าอาตมาริสยาจะต่ำหรือสูงก็ต่ำ และสำคัญคืออาตมารู้ว่าทำใจริสยาเป็นอย่างไร แล้วอาตมาก็ทำใจไม่ให้ริสยาได้ ไม่มีริสยาในจิตจริงๆ อาตมาก็ถูกแล้ว คุณจะว่าอาตมาริสยาเขา คุณพูดผิดอาตมาไม่ได้ริสยาเลย พระพุทธเจ้าท่านว่าคนผิดไหม?​แล้วท่านว่าคนผิดแล้วท่านก็ไม่ได้ริสยาคนแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าไม่ริสยาคนผิด ทีคุณเชื่อพระพุทธเจ้าแต่อาตมาคุณไม่เชื่อ แต่อาตมาเป็นจริงอย่างนั้นไม่ได้หรือ?

 

อมตะบุคคลเป็นคนไม่ตาย แต่เขายังอยู่นะมีชีวิตอยู่ แต่กิเลสเขาตายนิรันดรแล้ว เป็นได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เขาหมดกิเลสแล้วจะดับจบไม่ต่อภพภูมิเมื่อไหร่ก็ได้ ผู้จบภพภูมิไม่ได้ก็ไม่เป็นอรหันต์ คุณทำนิพพาน 3 ไม่เป็นก็ไม่เป็นอรหันต์ สุญญตนิพพาน คุณไม่ตายก็ทำเป็นแล้ว อนิมิตนิพพานคุณก็ทำเป็นแล้ว และอัปปนิหิตตนิพพาน สูงสุดคุณทำเป็นจึงได้ชื่อว่าอรหันต์ คุณอาจทำสุญญตนิพพานหรืออนิมิตตนิพพานได้แต่ทำอัปปนิหิตตนิพพานไม่ได้ก็เป็นอรหันต์ไม่ได้ ต่อเมื่อทำอัปปนิหิตตนิพพาน วิมุติ นิโรธได้จึงชื่อว่าอรหันต์

 

การที่ไม่ต่อภพภูมิ เป็นอรหันต์แล้วไม่ต่อภพภูมิก็เป็นสิทธิ์ท่านแต่ท่านจะไม่ดับเวียนมาเกิดอีกก็ได้ แต่จิตที่ดับสนิทแล้วไม่เกิดอีก มันมีลิงลมอมข้าวพอง แต่จิตจริงของท่านไม่เกิด อย่างอาตมาเล่าของตนเองและของพระพุทธเจ้าว่าต้องไปตามวิบาก

 

พระพุทธเจ้าท่านในชาติที่เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ฝึกหัดศาสนาพุทธเลย นั่งระลึกชาติแล้วออกมาพรวดเดียวเลยแต่ก็ไม่หมดต้องคุยกับเทวดาบ้างในแนวลึก ส่วนอาตมาก็ต้องปฏิบัติบ้างเพื่อทวนของเก่า

 

เขาบอกว่าถ้าไม่นั่งสมาธิหลับตาไม่มีทางได้นิพพาน แต่อาตมาว่าถ้าไปนั่งหลับตาดับไม่มีทางได้นิพพานแม้ไม่ปฏิบัตินั่งหลับตาดับเลยก็นิพพานได้ มีหลักฐานในบุคคล 4

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ  แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ     แต่ไม่ได้เจโตสมถะ

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

 

การสอนให้ทำใจได้แค่เทวดาโลกีย์ตั้งจิตว่าจะต้องได้ตอบแทนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าคุณทำแล้วไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ก็จองเวรจองกรรม บอกว่าอาจารย์สอนอย่างไรกันว่าให้ทำบุญใหญ่แล้วจะได้แต่ไม่ได้สมใจอยากได้ ทำทานหมดตัวแต่อาจารย์ว่าจะได้แต่ไม่ได้ สักสองสามทีไม่ได้ก็หนีเลย แต่บางคนได้บ้างไม่ได้บ้างก็พออยู่ แต่คนที่ไม่ได้จนหมดตัวก็ต้องถอนตัวเพราะหมดศรัทธา การไม่รู้จริงพาคนลงนรกหมด คนเราหลงอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แค่สอนว่าทำทานหรือปฏิบัติธรรมจะได้รวย แค่นี้ก็ไม่ใช่ทางนิพพานแล้ว ต้องปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อหมดกิเลสแล้วคุณจะรวย อย่างนี้ไม่ใช่ แล้วพระพุทธเจ้านิพพานไหม?​นิพพานแล้วท่านรวยไหม มีกี่กหาปนะ นี่รวยอะไรกันเล่า แต่เป็นพระพุทธเจ้านะ คือสอนกันย้อนแย้งพระพุทธเจ้าไปหมด อาตมาก็ย้ำขยายความให้ดีขึ้นลึกซึ้งขึ้น

 

มีคำถามเอื้อไออุ่น 1 คำถาม?

ถามปัญหาพาคนหลง?..สมัยก่อนเมื่อ 30 ปีที่ผ่านไปเมื่อนั่งสมาธิจิตสงบจะมีนิมิตเห็นอะไร บางทีเพื่อนบอกว่าอีก 4 วันจะกลับ แต่ผ่านไปสองวัน เรามีนิมิตนั่งสมาธิว่าเพื่อนจะมาก่อน แล้วอีก 5 ชม.เพื่อนก็กลับมาได้...?

 

อีกวันหนึ่งเกิดนิมิตขณะเดินเห็นคล้ายกับโดนผีหลอก เห็นพระสองรูปเดินไปข้างหน้าแล้วแยกเข้าไปในซอย ผมก็ถามคนที่นั่นว่าเห็นพระสององค์มาไหม? เขาก็ว่าไม่เห็น แต่อีกสองชม.พระสององค์นี้ก็มาและบอกว่าจะมาหานานแล้วแต่ก็ไม่ได้มาซักทีวันนี้ก็เลยได้มา

 

การนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วนึกเอาว่ากิเลสจะหมดหรือไม่หมดนั้นไม่จริงเพราะกิเลสขณะนั่งสมาธินั้นเป็นเพียงสัญญา มีแต่ความจำที่นึกคิดเอาแล้วคุณก็ตรวจสอบจากความจำ เหตุการณ์เมื่อนั่นเมื่อนี่ กิเลสเราไม่มีเหตุการณ์นั้นนี้ตอนนั้นเขาด่าเราเราก็ไม่โกรธ ตอนนี้เราเห็นทองคำก็ไม่ได้อยากได้ แต่คุณก็รู้ว่าคุณไม่มีก็เพียงในสัญญา สัญญาไม่ใช่ของจริงสัญญาเป็นเพียงความจำ แต่สัญญาจะจริงก็ต้องกำหนดรู้เดี๋ยวนี้ วิญญาณเกิดเลย ขณะตากระทบรูป เช่นกระทบก้อนทองคำตกอยู่ วิญญาณผีขี้โลภก็เกิด กลัวคนเห็นก็รีบหยิบ แล้วเอาละวะ จะเอาไปให้ตำรวจไหม แน่นอนมันต้องมีเข้าของแน่ แต่ความอยากได้เป็นของกูก็ตัดลัดเลย อยากได้มากกูไม่บอกใคร ยังไม่อยากให้ใครรู้ ถึงแม้จะให้ใครรู้ก็อย่าไปบอกใครนะ ข้อสำคัญคือไม่คิดคืนด้วย บอกเดี๋ยวเขาเอาคืน คุณอ่านจิตของคุณหรือเปล่าว่าคุณโลภ นั้นไม่ใช่ของคุณ คุณอ่านจิตคุณก็จะเห็นความโลภ แต่ถ้าคุณอ่านจิตขณะปัจจุบันเห็นผีขี้โลภ เราไ่ม่ทำตามมัน เราก็ไปประกาศหาเจ้าของ แล้วคุณก็ทำ คุณก็รู้ว่าจิตคุณไม่อยากได้ แล้วเอาไปประกาศหาเจ้าของสำเร็จ หรือแม้คุณจะมีจิตอยากได้เสียดายจัง ไม่อยากคืน แต่คุณก็จำนนไม่อยากให้กิเลสมาก ก็เอาคืน เขาจะหวงแหนไหม​ เขาอยากได้คืนไหม? เขาก็ตามหา เราก็ไม่เอาของเขา ถ้าเขารู้ขึ้นมาคุณเจอแน่ หรือคุณได้ทำบาป ได้เอาของเขาจริง เป็นอจินไตยเป็นกรรมวิบาก ลึกซึ้ง

 

ถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสเราเหลือหรือไ่ม่? ตอบก็ต้องรู้อาการจิต จนคุณสร้างก้อนทองคำเราก็ให้เขาได้ ยิ่งของคนอื่นเราก็เห็นเลยว่าเราไม่ได้อยากได้ หรือเอาแค่ลูกแก้วมังกรของเรา คุณให้เขาได้ไหม คุณจิตหวงแหนไหม ก้อนทองคำอาจให้ได้ พวกนี้เล็กๆน้อยๆคุณให้ได้สบายอันนี้รักมากก็ให้ได้ อันนี้หวงมากก็ให้ได้ สุดท้ายไม่หวงอะไร คุณจะรู้ว่ากิเลสคุณไม่มี ยิ่งเกื้อกูลกันชีวิตนี้มั่นใจว่าอยู่ได้ จะมีโจทย์ให้เราอ่านจิตเราเสมอ อ่านตรวจสอบเรื่อยๆ จะมีสิ่งติดมากติดน้อย ติดมากก็อยากได้มาก ติดน้อยก็อยากได้น้อย เราก็จะลดลงเรื่อยๆ สิ่งสุดท้ายที่เราติดก็จะรู้ อะไรมีค่าแค่เรายังติดก็จะรู้ หรืออะไรไม่มีค่าเลยแต่เราก็ติดยึด อุปาทานไว้ มันพลาดหายไปก็อาลัยอาวร มันไม่มีอาการพวกนี้เลย ต้องอ่านจิตตัวนี้เป็น หยาบ กลาง ละเอียด

 

ที่นี้คุณเองคุณนั่งสมาธิิจิตเบาว่างไม่มีตัวตน สว่างใส เป็นสมาธิฤาษีใช่ไหม?..ตอบ ใช่ เพราะความว่างของสมาธิพุทธนั้นว่างอย่างไม่ใช่แบบอาภัสรา แต่เป็นแบบอาโลกา ปัญญาของพุทธเป็นแสงสว่างโลกๆ ที่มีจักขุ​ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) มีจักขุมาปรินิพพุโพติ มีแสงสว่างกระทบรู้เสมอ คำถามของคุณนี้เป็นแสงสว่างของจิตใสสว่าง ถามว่านั่งสมาธิจิตในสว่างนั้นลืมตาก็มีได้ จิตในสว่าง แต่ว่านั่งสมาธิหลับตานั้นไม่ใช่คำตอบของนิพพานพุทธ สมาธิพุทธ เพราะคุณไปปั้นแสงสว่างในภพได้ ในภวังค์ได้

 

อาภัสราเป็นรูปภพชนิดหนึ่ง เป็นอากาสาฯ เป็นการปั้นนิมิต ของใครของมันเป็นแสงสว่าง แต่ก็อาภัสราเป็นกายอย่างเดียวกัน มันว่างเป็นอากาสาฯไม่มีที่ขั้น โล่งว่างไม่มีนิวรณ์เลย สบาย ซึ่งอุเบกขานั้นว่าแต่ไม่ว่างอย่างอนันโต อากาโสติ คุณเรียนพยัญชนะก็ไปทำอย่างนั้น ปั้นอย่างนั้น ปั้นนิมิตเอา

 

แต่ของพุทธนั้นทำความว่างอย่างเป็นขั้นตอน ศาลานี้ว่างจากช้างก็เอาช้างออก ศาลานี้ว่างจากงูก็เอางูออก ศาลานี้ว่างจากคนก็เอาคนออก เหมือนจิตคุณว่างจากอบายมุขก็เอาอบายมุขออก ตามขั้นตอนไปเป็นลำดับ คนมีความว่างก็จะรู้ว่าว่างจากอะไร คนไม่มีนั้นไม่มีอะไรก็จะต้องรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ ดับไปหมดอย่างไม่รู้ตัวตน ตั้งแต่สักกายะ อัตตา อาสวะ ก็คืออาการของกิเลสระดับต่างๆที่เกิดจากอะไร?ที่เราติดยึด เราก็ต้องอ่านออกว่าเราชอบหรือชังเราก็ต้องล้างออก ตั้งแต่แท่งก้อนวัตถุ ถึงนามธรรม ก็ตรวจสอบได้ ถ้ามีญาณปัญญาเข้าใจสัจจะจริง

 

แล้วที่ถามมาถึงนิมิตไปเจอจริงก็เป็นเรื่องที่คุณเอาไปคิด แล้วเราก็หยิบมาว่าเรามีนิมิตเก่ง อย่างนั้นไร้สาระ ต้องมารู้กิเลสแล้วจัดการกิเลสได้อย่างนี้เก่งกว่า อาจรู้ว่าอ.สมเกียรติจะมาวันนี้แล้วก็มาจริงๆ อย่างนี้ไม่เก่งเลย แต่ควรเก่งในการล้างกิเลสต่างหาก เป็นอรหันต์ได้ เก่งทายนิมิตอย่างนั้นไม่พาเป็นอรหันต์แต่อย่างใด

 

ในสมัยที่พ่อท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า (อาตมาตอบยังไม่ได้เลย) มีคนได้ตำแหน่งพระอานนท์หรือยัง? (ไม่รู้คนถามมานี่ผู้ใหญ่หรือเด็ก)ถึงเป็นผู้ใหญ่ก็ขอตอบว่า ถามมากไปแล้วไอ้หนู เกินไปแล้วไอ้หนู เหมือนท่านธัมมทินนาท่านตอบวิสาขอุบาสิกาว่าท่านล่วงเลยปัญหาไปแล้วถามสิ่งที่เลยปัญหาไปแล้วตอบนิพพานไปแล้วยังถามต่ออีก ถามว่านิพพานมีอะไร? ..อาตมาตอบได้ว่ามีกำปั้น อ้าวจริง ผู้บรรลุนิพพานแล้วกำปั้นก็ยังเหลือ ดีไม่ดีกำปั้นจะทุบหัวคุณอีก แต่ท่านธัมมทินนาคงไม่ตอบตลกอย่างอาตมา ก็นิพพานแล้วก็ยังมีกำปั้น มีภาษา พูดได้ (พ่อท่านไอ ) ก็ว่าเป็นสัญญาณ เทวดาก็เตือน ก็ดี ก็คิดว่าการบรรยายธรรมะครั้งนี้มีอะไรใหม่ๆเยอะเลย แม้ใช้พยัญชนะเก่าแต่มีแง่เชิงใหม่ได้อานิสงส์ 5 ของการฟังธรรม 5 ประการ ผู้ใดฟังธรรมแล้วเกิดอานิสงส์ 5 ประการนี้ทุกที อรหันต์เป็นอันหวังได้ ถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจจะเกิดอิทธิบาท 4 ...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:46:46 )

570710

รายละเอียด

570710_ก่อนฉันที่สีมาฯโดยพ่อครู เรื่อง บุญกับกุศลอย่างพิศดาร

ที่สีมาอโศกเช้าวันที่ 10 ก.ค. 57 พ่อครูพาหมู่สมณะสิกขมาตุ ออกบิณฑบาตภายในชุมชนสีมาอโศก โดยเดินบิณฑบาตเวียนรอบเมรุหลังใหม่ ที่ชาวสีมาอโศกสร้างขึ้น มีญาติโยมบางท่าน นำไม้กวาดทางมะพร้าวถึง 3 อัน ใส่บาตรพ่อครู พ่อครูว่าโอ้โหใส่ไม้กวาดเลยหรือ?...แล้วพ่อครูก็รับไม้เท้ามาถือให้ดู....วันนี้มีญาติธรรมและศรัทธาชนจากภายนอกมาร่วมใส่บาตรเป็นจำนวนมาก ก่อนที่ประมาณ 09.00 น.จะได้ฟังเทศนาธรรมก่อนฉัน โดยพ่อครู

 

พ่อครูว่า...เราก็มาฟังธรรม ชีวิตเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ผู้ใดไปชอบทำความรับรู้ฉลาดแต่เรื่องนอกๆไปเรื่อยๆ ไม่ฟังธรรมที่เป็นโลกุตระหรืออาริยะ ที่สอนให้เข้าหาตัวตน หาเหตุที่พาทำชั่ว ไม่สบาย ไม่สุขสงบ ที่ก่อความวุ่นวาย ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากความเป็นคน กับความเป็นสังคม ความเป็นสังคมนั้นรวมทั้งโลก เป็นการสัมพันธ์ต่อเชื่อมกันทั้งโลก ถ้าจุดไหนของโลกไม่ต่อเชื่อมกับโลก ทุกข์สุขของเขาก็อยู่กับอวิชชาของโลก แต่ถ้ามาเกี่ยวกับโลก ทุกข์สุขของเขาก็เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลก

 

ถ้าจะอยู่กับสังคมต้องเรียนรู้ให้คนเป็นคนดีและอยู่ให้สังคมเป็นสังคมดี ส่วนบางกลุ่มจะอยู่ส่วนตัวไม่คบหากับใครเลย ก็มีเช่นผีตองเหลือง บางทีเขาก็พอรู้ว่ามีโลก แต่เขาไม่คิดต่อเชื่อมโยงกับโลก เขาก็อยู่กันแคบๆไม่ใหญ่โตไม่มาก แม้ขยายขึ้นกว่านั้นก็อยู่กันอย่างมีระบบวิธี มีกลุ่มคณะ ก็เป็นลักษณะของโลก สองแบบ มีมาแต่ไหน

 

แล้วศาสนาพุทธ เป็นแบบผีตองเหลืองอยู่เดียวๆหรือว่าอยู่สัมพันธ์กัน แน่นอนว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาสังคม มีการศึกษาเรียนรู้จิตวิญญาณที่เป็นประธานของส่ิงทั้งปวง พระพุทธเจ้าค้นพบความเป็นวิญญาณหรือมโน เป็นพลังงานจิตนิยาม เป็นเรื่องลึกซึ้ง เมื่อศึกษาสูงสุดก็จะอยู่เดียวก็ได้อยู่เป็นหมู่ก็ได้ พระพุทธเจ้าเห็นว่าเกิดมาได้ร่างมนุษย์แล้วไม่น่าสูญเสีย ท่านศึกษาทำลายเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไม่เหลือเชื้อ ได้ถาวรยั่งยืนไม่เวียนกลับด้วย จะอยู่กับโลกได้อย่างมีคุณสมบัติวิเศษมาก พ้นอวิชชาแล้ว

 

จิตวิญญาณของอรหันต์ไม่เป็นโทษภัยแก่ใครๆเขาเลย มีแต่ให้ประโยชน์คุณค่าต่อสังคม แม้ท่านจะถูกรังแกข่มเบ่ง ท่านก็ไม่มีจิตไปทำร้ายเขาตอบไม่โกรธเคืองไม่คิดไม่ดีต่อเขา อภัยหมด มีแต่สร้างสรรให้โลกไปตราบตายเลย เป็นคุณสมบัติวิเศษที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้แก่โลก เรียกว่าพุทธศาสนาเป็นความรู้วิเศษสุด ใครจะหาว่าอาตมาหลงใหลคลั่งไคล้พระพุทธเจ้าเกินไปก็ตาม อาตมามีปัญญารู้ว่าหลงหรือไม่

 

เมืองไทยยังมีบุญคือยังพากันไปนิพพานได้ บุญคือการชำระเหตุแห่งทุกข์ได้ เมืองไทยยังมีบุญคือยังมีหวังชำระกิเลสได้ ทฤษฎียังมีอยู่ ผู้รู้จะหยิบความรู้เหล่านี้มาศึกษาได้ อาตมก็เป็นผู้หนึ่งที่จะเอาความรู้โลกุตระ อาริยะของพระพุทธเจ้ามาปัดฝุ่นทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

 

หลักใหญ่ที่สุดของพระพุทธเจ้าคือ ปฏิจจสมุปบาท มีนส.หนึ่งขวัญ ใช้ชื่อรองว่า ลูกพ่อโพธิ์ ...เขียนมามีบทหนึ่งที่ว่า...เขาว่า การเดินทางของชีวิต...จุดเร่ิมต้นท่ามกลางบั้นปลาย มีสุขๆทุกข์คละเคล้ากันไป นี่แหละหนอชีวิต อย่ามัวฝันลมๆแล้งๆว่าฉันจะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ ตัวเราล่ะได้ลงมือทำหรือยัง ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน เพราะระหว่างทางที่เดินจะมีมารคอยหลอกล่อตลอด ชีวิตนักปฏิบัติธรรมต้องทวนกระแส น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย สำหรับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับอวิชชา ถ้าเราเพิ่มวิชชา อวิชชาก็ลดลง มันต้องสักชาติหนึ่งสิน่าที่จะเป็นวันของเรา

 

พ่อครูว่า...มันก็จริง อยากได้สิ่งดีก็ต้องลงมือทำ ให้สัมมาทิฏฐิ ตรวจให้ดีศึกษาให้ดี ผู้จะให้หลักเกณฑ์เราหมู่กลุ่มที่จะให้หลักเกณฑ์เรานั้นสัมมาทิฏฐิหรือไม่? ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิก็จะเสียเวลา เป๋ไป ถ้าสัมมาก็เข้ามา ถ้ามิจฉาก็ออกไป จึงต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มีลำดับ จึงเรียกว่าทฤษฎีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายที่มีลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

เหตุของมันคืออวิชชา แต่ไม่ตีถัวว่าโง่ทั้งหมดไม่รู้อะไรทั้งหมดก็ไม่เชิง แต่พอรู้แบบโลกๆ รู้ได้หรือจริงๆจะสามารถฉลาดแบบโลกๆสร้างก่อ สิ่งเป็นประโยชน์ได้อาศัยแต่ไม่ใช่เรื่องลดละกิเลส ก็เป็นความรู้ คำว่าอวิชชาไม่ได้หมายถึงไม่รู้สิ่งโลกๆ ทางธรรมะนั้นให้เรียนรู้ความรู้ทางโลกได้ แต่ต้องเรียนรู้ความรู้ทางธรรมที่จะลดละกิเลสไปตามลำดับ ความรู้เราต้องแยกว่าเป็นความรู้ทำลายหรือสร้างสรร เราก็เลิกความรู้ที่ทำลาย เอาแต่ความรู้ที่สร้างสรร  เราต้องเรียนรู้ภาวะอัตภาพที่ก่อตัวเป็นชีวะ ในอัตตภาวะหรือชีวภาวะ อันนี้ มันเกิดแล้ว ถ้าไม่เรียนรู้ว่าทำอย่างไรจะสลายได้มันก็ไปอีกนาน นานจนอาจจะไม่สามารถสลายได้เลย ไม่มีคำตอบว่าจะมีอะไรมาสลาย แต่พระพุทธเจ้าเรียนรู้วิชชาที่สลายตัวตนได้ มีวิชชาของพระพุทธเจ้า เป็นความรู้หนึ่งเดียวที่สลายอัตตาได้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าจะมีความรู้อื่นใดที่จะมาสลายอัตภาพนี้ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอันไหน เราก็ต้องเรียนรู้ส่ิงที่มีก่อน ไม่เสียเวลา ศึกษาแล้วทำให้ได้

 

ก็ยังเหลือแต่ว่าสูตรของพระพุทธเจ้าที่ทำได้จริง?แล้วใครล่ะที่เข้าใจและทำได้จริง ตัวบุคคลของแต่ละคนต้องเลือกเอง หรือมิตรดีสหายดีแนะนำมาถ้าถูกมันก็ดี แต่สุดท้ายก็ต้องตัวเองเห็นดียืนยัน เป็นมติของตัวเอง จะหาทางพิสูจน์หลักฐานเป็นคำตอบว่าใช่ นี่คือทิฏฐิข้อที่ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่ 

 

คำว่า สัมมา เขาแปลว่า ชอบ ฟังแล้วเหมือนเป็นกิเลส อาตมาก็ว่าน่าจะใช้คำว่า ถูกต้อง ดีแท้ ไปเลย จะตรงกว่านะ น่าจะดีกว่า ทำประโยชน์กับคนได้มากกว่า อาตมาก็ใช้ ไม่ได้แย้งถึงทะเลาะโต้เถียงไม่เอาชนะคะคาน แต่อาตมาก็ว่าของอาตมาไป แล้วอาตมาใช้พยัญชนะอธิบายของอาตมา

 

อาตมาอธิบายความหมายของคำว่า บุญ กับกุศล แล้วมันต่างกันในความหมายของสองคำนี้ แล้วมีนัยสำคัญที่คนไทยเอามาใช้แล้ว แล้วไม่ตรงกับบัญญัติเดิมของพระพุทธเจ้า ก็เลยเข้าใจผิดกันใหญ่เลย

 

มีความเห็นของท่าน อาริยาภรณ์ สิทธิธรรมพิชัย ที่เอาข้อเขียนของท่านพุทธทาส มาลงในหนังสือพิิมพ์ผู้จัดการ...โดยท่านก็บอกว่า บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจ พอใจ ชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานรักษาศีลแล้วก็ฟูใจ อิ่มใจ หรือกรณีที่ทำสิ่งที่ยากหรือเอาหน้า แม้จะไม่เป็นสิ่งที่สู้จะแท้ หรือแม้กรณีที่บุญทำด้วยความพอใจก็ยังอดพอใจดีใจไม่ได้ว่าตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ให้ตนได้เกิดในภพใหม่ได้ ความหมายของคำว่าบุญคือสิ่งที่ทำให้ฟูใจและให้เวียนไปเกิดในภพใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

อ่านถึงตรงนี้ผู้ที่ได้ฟังจากอาตมาก็คงเห็นว่าท่านให้ความหมายคำว่าบุญ ย่อมแตกต่างจากอาตมาอธิบายแน่

 

และก็บอกว่าคำว่ากุศล คือสิ่งที่ทำหน้าที่แผ้วทางกีดขวางร้อยรัด เป็นสิ่งที่กำจัดส่ิงพัวพันไปในกิเลสตัณหา ทำให้เกิดแล้วเกิดอีก แต่บุญคือการโอบรัดเข้าหาตัวทำให้มีมากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือบุญคือเอามาโอบรัดให้มาก ฝ่ายที่ถือกุศลก็ถือว่าเป็นเรื่องโง่มาที่เอาสิ่งที่เหมือนงูเห่ามาโอบรัดไว้ แล้้วฝ่ายกุศลก็ต้องพยายามลดละ และช่วยคนอื่นลดละด้วย และก็ถือว่าฝ่ายบุญนั้นเป็นฝ่ายมืดบอดอยู่ คือเข้าใจการชำระกิเลสนั่นเองในคำว่ากุศล แต่เอาความดีงามกว้างไปใส่ในคำว่าบุญ นี่คือความเห็นของท่านพุทธทาสและท่าน อาริยาภรณ์​ สิทธิธรรมพิชัย

 

ขออภัยอาตมาไม่ได้มาลบหลู่ความเห็นท่าน แต่อธิบายเพื่อความเข้าใจ สองท่านท่านก็เช้าใจสาระเนื้อแท้ ไม่ใช่พยัญชนะนะ สาระนั้นถ้าหมายถึงสิ่งดีถูกต้องต้องชำระกิเลส ท่านเข้าใจถูก แต่ท่านเข้าใจว่าบุญคือการไม่ชำระกิเลส พยัญชนะคำว่าบุญของท่าน อรรถะจึงหมายถึงการไม่ชำระกิเลส แต่คำว่ากุศลของท่านหมายถึงการชำระกิเลส

 

พยัญชนะกับอรรถะของท่านจึงต่างกับอาตมา  อาตมาต่างกับท่าน ที่ท่านตัดคำว่ากุศลกับบุญไปคนละทางเลย บุญนั้นพาเฟ้อ กุศลไม่พาเฟ้อ แต่อาตมานั้นบุญไม่พาเฟ้อ แต่กุศลพาเฟ้อ แต่กุศลของอาตมาพาไปนิพพานได้ กุศลของอาตมาอนุโลมได้ แต่ของท่านทั้งสองไม่มีอนุโลมมีระนาบเดียว เพราะฉะนั้นความรู้ของสองท่านนี้จึงเป็นนิกายเด็ดขาดไม่เหลือนานาสังวาสได้ แต่อาตมานั้นมีนานาสังวาสได้ อาตมาไม่นิยมเป็นนิกาย ไม่นิยมศัตรู ไม่เป็นคนละพวก ขอร่วมด้วย แต่ถ้าท่านจะห้ำหั่นอาตมานั้นอาตมายอมแพ้ การไปข่มคน ไปห้ำหั่นกันมันไม่ดี แต่การตำหนิคัดค้านกันก็ทำได้ อย่างแรงได้ ปฏิโกสนา แต่อย่าให้มีเรื่อง ถ้าเขาจะเอาเรื่องเราก็ยอม แม้พระโมคคัลลานะก็ต้องยอมให้เขาฆ่า สุดวิสัยเขาก็ฆ่าเรา สุดท้ายก็ต้องยอมตาย นี่คือสุดยอดแห่งความยอม

 

ประเด็นที่สำคัญคือ ถ้าเข้าใจอย่างท่านก็ต้องตีทิ้งไปเลยในส่วนที่ไม่ตรงกับท่าน  ท่านก็เลยไม่เปิดกว้าง แต่เราต้องอยู่กับโลก เราก็ต้องทำใจยอมรับ และก็พยายามไม่เป็นนิกาย พยายามอยู่รวมกันให้ได้ ใครทำไม่ดีกับเราเราก็ยอมหรือเลี่ยงได้บ้าง อาจตอแยได้แต่ต้องรับลูกดีดให้เป็น เราเองเรารู้ว่าเราทำ ตอแยเป็นเพียงแหย่ ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตารบ ขอยืนยันว่าอาตมาใช้สภาวะพวกนี้อยู่ โดยอาศัยศัพท์คำว่าตอแย ของสองท่านนี้รอบของการสูงขึ้นนั้นไม่มี ขออภัยที่ต้องบอกเช่นนี้
 

การเชื่อนั้นมีสามระดับ มีเชื่อถือ ก็คือเชื่อแต่ยังไม่ทำ ต่อมาก็มีเชื่อฟัง นี่คือรับฟัง แต่ถ้าถึงเชื่อมั่นละก็พาไปทำอะไรทำหมด ให้จูงไปไหนไปหมด คือ ศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ นั่นเอง ….อ่านแล้วท่านทั้งสองท่านมีระนาบเดียวปิดประตูรับรู้ ส่วนผู้ที่เปิดรับก็เปิดรับจนสุดชั้น แล้วก็จะเปิดประตูรับชั้นต่อไป จะรู้รอบทั้งความวนและความยึดก็จบ ผู้รู้ทั้งจุดวน 390 องศา กับจุดยึด แล้วคราวนี้ยึดถึง 90 องศา ก็ได้แค่ 180 องศา มีแต่ตรงไม่มีโค้งเลย ไม่ได้รอบถึง 360 องศา แม้เขาถึงมาให้โค้งสำหรับคนยึดเขาก็ไม่ยอม อาจโดนดึงจนเป็นศัตรูเลย พวกยึด 180 องศาจึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย ทำให้เกิดเป็นสองพวกเป็นนิกาย คือต่างกันจนร่วมกันไม่ได้ แต่ว่านานาสังวาส นั้นอยู่รวมกันได้ จะมีความต่างกันไปตั้งแต่ ทีละองศา แล้วก็แตกต่างกันมากขึ้น จะอนุโลมประสานกันได้ จนเข้าใจร่วมกันใน 90 องศา เป็นจุดสูงสุดของจุดที่สั้นที่สุดของเส้นตรง จะต้องมีเส้นใดเส้นหนึ่งมาร่วมกัน จุดสูงสุดของสองเส้นนี้ก็คือ 90 องศา และก็วนมา 180 องศาเมื่อหมุนรอบมาอีกที

 

ผู้ยึดติดตรงไหนแล้วจะเกิดรอบใหม่ไม่ได้ ภูมิก็ไม่เพิ่ม ในช่วงที่ท่านพุทธทาสท่านก็รับรู้อาตมา แต่ท่านก็ประเมินอาตมาว่าไม่สูงกว่าท่าน จนท่านจัดหนังสือที่อาตมาวิจาร ว่าอยู่ในพวกด่าเรา ส่วนหนังสือของท่านพุทธทาส มีส่วนที่เห็นด้วย ที่วิจาร และที่ด่า แต่อาตมาว่าอาตมาวิจารท่าน อาตมาเห็นด้วยในส่วนที่เห็นด้วย ส่วนไม่เห็นด้วยก็วิจาร แต่ไม่ได้ก้าวล่วงถึงด่าท่าน ถ้าจะว่าด่า อาตมาก็ไปไหว้ครูก่อนแล้วก็บอกไปยาวเลยว่านี่คือวิชาการ ขอวิจัยวิจารด้วยเคารพแต่ความรู้ที่ต่างขอวิจาร ท่านก็ไม่ยอม จัดเราไปพวกด่า ไม่เข้าวิจาร แต่ส่วนท่ี่รวมกันท่านไม่เห็น ท่านตีทิ้ง อันนี้แหละคืออคติซึ่งท่านไม่รู้ตัว ว่าอคติ แต่ปฏิภาณท่านลึกรู้ว่าโพธิรักษ์มีส่วนดี แต่ท่านก็ว่าดีโลกียะ ไม่ได้ดีอย่างโลกุตระ สิ่งใดวิจารไม่ได้ในโลกเราก็ไม่ไปแตะ แต่ท่านพุทธทาสท่านวิจารได้ ใครติดยึดก็ย่อมไม่ชอบใจอาตมาบ้าง

 

มาสู่วิชชา

 

ที่จะพูดคือ เรื่องอวิชชา  ...สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย หากไม่รู้จักวิญญาณก็จบเลย ก็ไม่รู้จักสังขาร ก็อวิชชาไปตลอด

1.   เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยโง่ๆ จึงก่อสังขารโง่ๆ

2.   เพราะมี สังขาร จึงมี วิญญาณ 

3.   มี วิญญาณ จึงมี นามรูป

4.   มีนามรูป จึงมี อายตนะ6  หรือ ฉฬายตนะ

5.   มีอายตนะ จึงมี ผัสสะ 

6.   มีผัสสะ จึงมี เวทนา

7. มีเวทนา จึงมี ตัณหา

8.   มีตัณหา จึงมี อุปาทาน

9.  มีอุปาทาน จึงมี ภพ (กามภพ, รูปภพ, อรูปภพ) 

10. มีภพ จึงมี ชาติ (กิเลสเกิดบทบาทในมโนกรรม)

11. มีชาติ จึงมี ชรา  มรณะ   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัสสะ  และอุปายาสะ

 

อโศกนี่เป็นพวกหมวด อโศกะ ยังไม่ถึงวิรชะ อโศกคือกลุ่มต้นตอของผู้ไม่หมอง ไม่เศร้าโศก แม้จะมีกิเลสอยู่ก็จะต้องทำสดชื่น ส่วนกิเลสที่จะมีก็มีวิรชะ คือพวกยังเสพความสบายใจยินดีปรีดา นี่อธิบายยาก แม้เหลือนิดน้อยเราก็เอาฐานอาศัยจิตที่ร่าเริง ถ้าผู้อนุโลมไม่ต้องอาศัยร่าเริงก็อยู่ได้ แต่ถ้าอนุโลมไม่ได้อย่าทำจะลงเหวได้ อโศกะคือข้อ 36 ของมงคล 38 ส่วนวิรชะ กับเกษม เป็นข้อต่อมา ฐานของอโศกเป็นฐานอโศกะ ปางหน้าก็จะไปขึ้นวิรชะ กับเกษม

 

เมื่อสังขารไม่เอาใจใส่ศึกษา คำว่าสังขารใดๆ ถ้าปฏิเสธวิญญาณในสังขารแล้วจบ การจะรู้จักวิญญาณต้องมีผัสสะ เช่นตากระทบรูป มีธาตุรู้ มีปสาทรูปละโคจรรูป รู้ร่วมกันในอุปาทายรูป 24 ซึ่งในรูป 28 มีดินน้ำไฟลมอีก 4 เป็นมหาภูตรูปทั้ง 4

 

เมื่อเรามีปสาทรูป เมื่อตากระทบรูป ก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน อาการได้ยินได้เห็นคือวิญญาณ มันเป็นวิสยรูป เป็นวิสัยของสัตว์โลก มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็เกิดรูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ วิญญาณ เกิดเมื่อจิตเรารับรู้ เสียง ภาพ กลิ่น รส สัมผัส ก็ เกิดวิญญาณ รูปคือภาวะที่ถูกรู้โดยวิญญาณ​รูปมีทั้งเป็นรูปธรรมและนามธรรม

 

คำว่า กาย นั้นต้องศึกษารู้ว่า มีทั้งรูปและนาม มีทั้งสัมผัสให้เกิดวิญญาณ ทางทวารนอก ทั้ง 5 จึงเรียนรู้กำจัดกิเลสในกามาวจรได้ แต่การไปนั่งหลับตาดับแล้วเรียนรู้แต่ภายใน เป็นการลัดขั้นตอน ไม่ใช่ของจริง ไปเรียนรู้แบบดำดิ่งไม่รู้ได้ แต่พระพุทธเจ้ามีวิธีดึงเอากิเลส ลึกๆออกมาให้รู้ได้ โดยมีผัสสะเป็นปัจจัยเป็นสมุทัย เรียนรู้ไปตามขั้นตอน เป็นโสดาบัน หลุดพ้นอบายมุขแล้ว จะมีอบายมุขอยู่ไหน คุณไปเจอที่ฮ่องกง เขมร มีบ่อนพนัน มันก็ทำอะไรคุณไม่ได้ คุณมีอิสระเสรีทั่วทั้งโลกเลย คือเอกราชทั่วทั้่งแผ่นดิน ชนะทุกทิศ 11 ทิศเลย ชนะบุเรงนองด้วย เพราะบุเรงนองชนะ 10 ทิศ เราชนะ 11 ทิศ

 

เมื่อชนะอบายได้ก็เรียนรู้สิ่งเหลืออย่างลืมตาเปิด แล้วฆ่ากิเลสรูปภพ ไม่ต้องหลีกเร้นที่ว่าปฏิสัลลีนะ ในพระไตรฯล.17 จิตหลีกเร้นนั้นไม่ใช่เอาร่างกายหลีกเร้น แต่เป็นการทำที่จิต เรื่องการดับเหตุแห่งทุกข์ของศาสนาพุทธเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เข้าใจเขาด้วย แม้เขาจะลบหลู่หรือทำร้ายเราเราก็ไม่ถือสา ไม่ดูถูกคนอวิชชา ไม่ดูดไม่ผลักแต่อาศัยได้ เช่นโยมเข็มทอง บริจาคที่ให้สีมาฯ จะบอกให้อาตมาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้เลย อาตมาให้คืนแล้วจะออกไปเลย  เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าเรามีบาปของเราจะต้องเจ็บปวดก็ต้องยอม

 

คำว่า วจีสังขาร นั้นไม่ใช่วจีกรรม เพราะเขาเข้าใจคำว่า กาย กับคำว่าสังขารไม่ชัด ยิ่งไปฟังภิกษุณีธรรมทินนาอธิบายว่าการเข้านิโรธนั้น  วจีสังขาร กายสังขาร จิตสังขารดับตามมาตามลำดับ ถ้าดูพวกนั่งหลับตาดับก็ถูกตามนี้ลำดับนี้เลย แล้วขาออกจากนิโรธล่ะ  จิตสังขารเกิดก่อน กายสังขารตามมา แล้ววจีสังขารเกิดทีหลัง

 

ถ้าไม่เข้าใจวจีสังขาร นั้นก็จะยาก การไม่พูดออกมาแต่คิดนึกปรุงแต่งเป็นคำพูดในจิตนี่คือวจีสังขาร หมายความว่าอย่างนี้จะพูดอย่างนี้ จะด่าคำว่า เหี้ยม แต่ยังไม่ด่า มีแต่ปรุงแต่งพูดในใจ หากเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ คำว่าวจีสังขารไม่ได้หมายถึงวจีกรรม ก็ไม่สามารถรู้ปรมัตถ์ว่า วจีสังขารเกิดเมื่อใดดับเมื่อใด อาตมาขอบอกว่าที่่ท่านธรรมทินนาหมายถึงวจีสังขารอันนี้ ถ้าเข้านิโรธแบบพุทธนั้น วจีสังขารจะดับก่อน คือชำระกิเลสเป็นอภิสังขารก่อน ท่านรู้แล้วผ่านฐานปัญญาคือตักกะวิตักกะ สังกัปปะมาก่อนแล้วมากรองที่ฐานเจโต คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา  ท่านจะรู้ว่าวจีสังขารนี้จะออกไปไหม? ควรก็ออกไป ไม่ควรก็ไม่ออกไป ท่านได้กรองแล้ว พระอาริยะจึงพูดไม่เป็นภัย แม้จะเป็นคนไม่เป็นอาริยะขั้นอเสขะก็รู้การดับวจีอันควรก่อนเลย นอกจากวจีอันแรงก็พูดออกมาไม่มีการกรองโดยแรงของกิเลสเลย เมื่อกลับกัน เมื่อเวลาเกิดขึ้น จิตเกิดก่อน ต้องดับกิเลสก่อน เมื่อมีนิโรธแล้ว ขบวนการจิตสังขารเกิดก่อนแล้วกายเป็นตัวกลาง  เมื่อจิตสังขารเกิดก่อน วจีสังขารจึงเกิดทีหลัง

 

ผู้ไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณก็ไปนิพพานไม่ได้ การจะเรียนรู้วิญญาณต้องรู้นามรูป มีญาณของคุณไปรู้การกระทบสัมผัส ต้องรู้นามของสิ่งที่ถูกรู้ได้ เวทนา เป็นนาม ธรรมารมย์เป็นนาม แม้จะเป็นสัญญา ปรุงแต่งเป็นธรรมารมย์เป็นเวทนามในภายในคุณก็สามารถรู้ได้ถ้าอ่านเป็น และก็รู้ว่ามันเป็นส่ิงปรุงแต่โดยสรีระของมันไม่มี พระพุทธเจ้าใช้คำว่ามโนไม่มีรูปร่าง เป็นตัวรู้ที่ล่วงรู้หมด ส่วนจิตนั้นเป็นตัวกลางมีทั้งนอกและใน ส่วนคำว่าวิญญาณทั้งทั้งโลกและทั้งในด้วย วิญญาณเป็นกายใหญ่เลย สรุปแล้ว คำว่านามรูป คือการกระทบกับสิ่งที่ถูกรู้ และเมื่อกล่าวว่าเป็นนามก็คือนามธรรมทั้งหมด ส่วนคำว่ากายนั้นไม่ขาดข้างนอก ขาดข้างนอกถือว่าเป็นนามกาย ส่วนนามรูปนั้นอยู่แต่ภายใน

 

เมื่อคุณไม่รู้นามรูป คุณไปเรียนอะไรต่อก็ไม่ไหว ต้องรู้อายตะ 6 ที่มีการกระทบ แม้มีอายตนะแต่ไม่มีผัสสะ คุณปฏิบัติไม่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียงก็เรียนรู้สังขาร วิญญาณไม่ได้ ตามปฏิจจสมุปบาท เรียนรู้ผัสสะ เวทนา ตัณหา

 

ตัณหาคือเหตุหลัก อาการอุปาทาน ภพชาติ มีจริงก็เรียนรู้จากตัณหาที่เป็นภพ ชาติที่เกิดอยู่ แล้วดับตัณหา ภพชาติ ถ้าผัสสะโดยเหตุมันตาย เป็นอสังขาริกัง มันจะสังขารอย่างไรก็ไม่มีเหตุแห่งทุกข์มาสังขารร่วม พระอรหันต์มีอสังขาริกัง แต่สังขารได้ ท่านไม่มีสุขทุกข์แล้ว ท่านผัสสะได้มากกว่าปุถุชน แม้ปุถุชนก็ผัสสะแล้วทนได้ก็ไม่แสดงออก ถ้าอดไม่ไหวแสดงออกมาก็อายเป็นธรรมดาธรรมชาติิอยู่แล้ว ถ้ามาเรียนรู้เสียเลยก็จะหัดฝึกให้ถูกต้อง ต้องเรียนรู้ผัสสะเวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ มันเป็นตัวเดียวกัน กับอุปาทานที่เป็นพลังงานนิ่ง แล้วเมื่อมีผัสสะก็จะออกมาทำงานเป็น เวทนา เป็นภพชาติ ต้องมีผัสสะจึงเกิดอาการกิเลส พระพุทธเจ้าสอนให้เผชิญผัสสะถ้าไม่มีผัสสะก็แค่นึกคิดเอง เป็นของไม่จริง มีผัสสะเป็นสมุทัย ต้องเรียนรู้เวทนา 108 ที่ท่านพุทธทาสทิ้งไปไม่ศึกษาเรียนรู้ก็ตัดไปทำให้ไม่ลึกซึ้งได้กว่านี้

 

เพราะดับตัณหาจนสิ้นเกลี้ยง อย่างอื่นในปฏิจจสมุปบาทก็ดับไปหมด ทั้งภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ อุปายาสะก็ดับไปหมด...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:48:52 )

570711

รายละเอียด

570711-พ่อครูปฐมนิเทศน์นิสิต ว.นบ. ที่เฮือนศูนย์

พ่อครูว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีมากเลยที่ตั้งแต่เช้าแล้วมีการจัดการเรียนการสอนกัน อย่างขมักเขม้น นิสิตก็มากันมาก เกือบร้อยคนทีเดียว

 

พ่อครูว่า...เราจะเริ่มต้นด้วยการไหว้พระกันก่อน ยังไงอาตมาก็ไม่ลืมพระ ...พ่อครูพาสวดมนต์สั้นๆ

 

ปฐมนิเทศน์แปลว่าบอกกล่าวอธิบายนิเทศน์ให้เข้าใจขั้นต้น ในขั้นต้นก็ขอบอกพวกเราอย่างจริงใจ ซึ่งข้างนอกฟังแล้วอาจอยากอาเจียน คือเราเริ่มต้นคัดเลือกเริ่มกลุ่มคน ซึ่งเราก็ได้คัดเลือกมานานแล้ว เพื่อให้ได้มาเอาพุทธธรรม ตั้งท่ามาตั้งแต่ม.วช. ตั้งรูปธรรมหลักเกฎณ์ มาเป็นว.บบบ. แล้วมาเป็น ว.นบ.อาตมาว่าที่ทำมาไม่เสียหลายหรอก แม้แต่ ส.สว. ก็ตามก็ใช้เข็ม ม.วช.นั่นแหละ ทำไมทำมาก็อ่อนแรงลง อาตมาก็เป่าลมใหม่มาเป็น ว.บบบ. แต่อาตมาไม่ได้แยกทำ ให้ทำเป็นเครือแห แต่ก็ทำมาเป็นองค์รวมเป็นกลุ่มก้อน คลายเป็นการรวมขึ้นมา จากนั้นมาก คนเราก็คงจะมีการ ออสโมซิส ที่ยิ่งกว่าการซึมซับ แต่มีเนื้อของสัจธรรม จนเกิดขึ้นมา เป็นสภาวธรรมไม่มีชื่อ แต่เราจะมาเรียนแยกแยะสภาวะและก็เอาชื่อที่มีมาใส่ แต่ถ้าชื่อไม่มีเราก็ตั้งชื่อใหม่ ที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติไว้ อาตมาก็เคยใส่ภาษาใหม่มาตั้งแต่ทางเอกหลายคำ เช่น ชีวานุปาทิ เป็นต้น ชีรานุปาทิ หมายถึงอะไร? ชาวเรียนบาลีไม่รู้หรอก อาตมาเจอในบัญญัติพระพุทธเจ้า ชีราคือการร่วงรวยไป และอุปาทิคือการยึด รวมแล้วคือการยึดสิ่งที่มีการเสื่อมลงไป ในอุปาทายรูป 24 ก็มีพยัญชนะไว้ว่าคือ ชรตา พระอรหันต์จะรู้ว่าอาการนี้จะไม่ให้เกิดคืออาการอะไรอย่างไร จะรู้สภาวธรรมและจัดการได้ ส่วนความเสื่อมหรือชรตา คือชีรานุปาทิ ในลักขณรูปมี อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

 

ชรตาคือตัวเสื่อม อาตมาว่าอาตมารู้จักสภาวะ แต่พยัญชนะชาตินี้อาตมาไม่ได้เรียนมาเลย ยุคโน้นใช้แต่ภาษาบาลี ก่อนยุคบาลีก็มีภาษาทึ่ใช้สื่อแต่ละวัฏกัปป์ แต่ภาษาบาลีที่บันทึกไว้ มีเชื้อให้เราใช้สอยอาตมาก็ไม่ได้เรียน จริงๆแล้วอาตมาได้ผ่านมาชาติก่อนๆ ก็มีหลายภาษามาเกิดชาตินี้ใช้ภาษาไทยกับอีสาน

 

พวกเราหรือใครก็ดีเมื่อผ่านกาละก็จะมีเหตุปัจจัยให้เราได้อาศัยได้ศึกษาให้พัฒนาจิตเราให้เกิดวิมุติ วิมุติก็คือปล่อย สุดยอดแห่งความเป็นสัตว์โลกมนุษยชาติ สัตว์ที่ครองโลกทุกใบก็คือมนุษย์นี่แหละ คือมนุสโส ไม่มีจิตไหนสูงกว่าสัตว์มนุษย์อีกแล้ว เมื่อเราได้จิตที่สูงสุดในบรรดาสัตว์ในมหาจักรวาลแล้วก็ต้องศึกษา เป็นจิตที่จะปรินิพพานได้ แต่ก็ทำลายได้สูงสุดเหมือนกัน ชั่วได้กว่าเดรัจฉาน หรือแบคทีเรีย อีกน่ะมนุษย์นี่

 

การศึกษาคราวนี้จะเป็นการศึกษาที่เชื่อมโยงกับโลกเขา มีนิตินัยด้วย แม้ว่าเราได้เป็นว.นบ.เรายังไม่มีนิตินัย แต่ก็มีมหาวิทยาลัยที่เขาเต็มใจให้เราทำ คือสถาบันอุดมศึกษาของเขาคืออาศรมศีลของเขารับรองให้เรา ขอให้เรียนให้เต็มที่เลย พอถึงปีที่ 4 ก็เอาหลักฐานต่างๆรวบรวมไปส่งเขา เรียนอะไรได้คะแนนเท่าไหร่ได้เกรดเท่าไหร่ที่ได้ทำจริงเอา ทรานสคริปรวบรวมไปให้เขา ก็เป็นหลักฐาน ว่าจะไปต่อที่ไหนก็ต้องเอาอันนี้ไปตรวจสอบ เขาก็จะรับรองจากผู้ที่รับรองมาว่ามีอะไรว่าเข้าเกณฑ์ไหม ตามหลักก็รับ ไม่ถึงก็ต้องเติม เราก็ทำให้เขา พอปี 4 เราก็ไปให้เขารับรอง ทำพิธีตามวิธีการอาจมีการสอบ เขามีหลักวิธี เขาเต็มใจทำ ถ้าไม่เต็มใจไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นทำอย่าให้เสีย อาตมาจะเสียหรือไม่ก็อยู่ที่พวกคุณเอาให้ดี เป็นโอกาส ของเราก็ได้เรียนเต็มที่ และก็ดูพวกเราขมีขมันมีไฟเรียนกัน ก็อย่าให้เป็นไฟไหม้ฟาง

 

ทุกอย่างใน content หรือ รายบท คือการจัดแต่ละรายบท มาทำความกระจ่างชำแหละให้ถึงหมด จนสามารถปฏิบัติการจนจบได้ จนเอาตัว้ตัวเป็นให้ได้ ให้ถึง context หรือบริบทหรือปริเฉท ในธรรมะบาลีเรียกว่าปริเฉท คือจะต้องทำให้ถึงขั้นว่าง อากาสานัญจายตนะ ซึ่งปริเฉทรูปอยู่ในอุปาทายรูป 24 และทำให้ถึงโดย รวมแต่ละรายบทก็ครบconcept แล้วเอาหน่วยใหญ่อื่นมาทำอีก แล้วก็จบสมบูรณ์แบบได้

 

การเรียนคราวนี้จะครบ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เป็นงานคือรู้แม้แต่นี่คือการงานของสังคมอันไหนเป็นตัวเสียตัวทำลายเราก็ไม่เอา เอาแต่สิ่งรังสรร มากหรือน้อยก็แล้วแต่ตามลำดับ แล้วต้องมีคุณธรรม อันไหนเป็นโทษอันไหนเป็นคุณ สุดท้ายอันที่ 3 ที่เราบอกว่าชาญวิชชา ถ้าแบบโลกๆคือความรู้ทางโลก แต่ถ้าเป็นพุทธหมายถึงวิชชา คือรวมความรู้ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ธรรมะหรือจิตเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแต่ทางโลกวัตถุเท่านั้น แต่ความรู้ของพุทธนี้รวมทั้งวัตถุและจิตรวมทั้งโลกและธรรมด้วย

 

ที่ไปตั้งไว้ว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา ตัวสืบสานวิชชาคืออรหันต์นะ เพาะต้องทำคุณอันสมควรก่อนจึงส่องตรวจสอบคนอื่นไม่มัวหมอง ทั้งสามหลักนี้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือสิกขา 3 ที่เป็นการศึกษารวมของมหาจักรวาล การศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งโลก เราจะเชื่อมโลก โดยเรียนธรรมก่อน คนที่เรียนโลกก่อนเรียนธรรมนั้นจะเข้ายาก เพราะมีอัตตาสูง ไปเรียนทางโลก โลกยอมรับ คุณก็มีลาภ ยศ สรรเสริญโลกยอมรับ คุณก็เลยลดไม่ลง ต้องเรียนทางธรรมไปก่อนมีแกนมีฐาน แล้วค่อยเรียนโลก เราเรียนโลกแล้วช่วยโลก อย่างไม่ผยองว่าได้ช่วยโลก แม้แต่เราออกไปชุมนุม เราก็ไปเรียนให้ชำนาญสร้างทักษะ เราไปเรียนแต่เราก็ไปให้ แต่เราไม่บอกว่าเราไปให้ ผู้รู้จะรู้ แม้เราไม่บอก แต่ว่าเราไปศึกษา แต่ไปให้ด้วยถ้าเข้าใจ

 

เราไม่มีวัตถุจะให้มาก แต่เราไปให้พฤติกรรมทางจิตวิญญาณมาก แต่เขาอ่านรู้นะ เรารับใช้เขาเขาเห็น แต่จิตลึกๆเขาไม่รู้ เขาอาจระแวงว่าเรามีอะไรต้องเอาต้องแลกเปลี่ยน แต่เราก็จริงใจซะอย่าง คนไหนมีเศษยังไม่ให้เต็มเราก็เรียนรู้จัดการก็ได้ประโยชน์

 

ตอนนี้เราจะเคี่ยวใน เราจะมาฝึกกัน ใครจะตั้งศีล อย่างน้อยศีล 5 จะ5.1 หรือ 5.9 ก็ตามแต่ หรือใครจะศีล 8 ก็ได้ เรามีคนมาเรียนตั้งแต่ จบป.เอก ไปจนจบป.4 เรามีศีลสามัญตา โสดาฯเสมอโสดาฯ สกิทาฯเสมอสกิทาฯ ...หรือใครจะหลงว่าตนสูงแต่ที่จริงตนต่ำ ผู้ใหญ่เขาก็จะมีวิธีการกำหราบ ให้เสมอสมานให้อยู่อย่างไม่ขัดแย้งแต่ส่งเสริมกัน

 

เรามาร่วมกันฐานะเราจะต่างกันบ้าง แต่เราจะมีแกน พวกข้างนอกจะมาแข็งมาละเมิดไม่ได้เพราะเรามีแกนแก่นที่แข็ง มีพวก รปภ. ที่เขาแข็ง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร พวกนี้จะพกพาอาวุธ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเราก็ปรามได้ ก็มีตามธรรมชาติ อันนี้คือพลังรวม แต่ละคนมีส่วนทั้งนั้น เช่นคนขัดส้วมก็ช่วยได้ เช่นเดียวกับพวกรปภ.ว่าฉันได้ปกป้องชีวิตคุณนะ แต่ก็รู้ว่าคนขัดส้วม ทำกับข้าวให้กิน เขาก็รู้ว่านี่คือน้ำหนักต่อรองกับเขาได้

 

เราไม่มีเจตนาเอาชนะข่มเบ่ง เมื่อเขาดีเราก็คิดว่าจะรับของเขามาบ้าง จะเกิดการเรียนรู้ซึมซับเอง เมื่อเราทำกับคนข้างนอกได้ ภายในเราก็เรียนรู้เช่นเดียวกันนี้ได้ แต่จะละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นมาก เราได้บทเรียนจากการออกไปทำกับภายนอกมาแล้ว แต่จะสุขุม ละเอียดมากขึ้น จะอยู่กับสังคมได้อย่างวิเศษ

 

ตอนนี้อาตมาก็ คิดว่า ผู้เป็นตัวหลักในการทำก็มี เพราะอาตมาไม่เก่งในวงการศึกษา ไม่มีใบรับรองไม่มีประสพการณ์ ต้องอาศัยพวกเราที่ได้เรียนมา ได้มีใบรับรองมีประสพการณ์การทำงานมา

 

อาตมาก็ทำอย่างไม่มีใครรับรอง แต่ทำอย่างตามภูมิ แต่ก็ได้พวกเราติดข่ายมา จนมาทำกันอย่างจริงจังเป็นหมู่กลุ่ม เป็นคุณราศี ดีแบบอาริยะมากพอ ถ้ามากพอก็เป็น คุณนิธิ คือคลังเก็บทรัพย์คือคุณงามความดี เราเรียกของเราว่าคุณวิเศษ อันเป็นอุตริมนุสธรรม คนอาจว่าเราใช้คำใหญ่ เราก็ว่าเราทำคุณงามความดีที่จะทำให้เป็นคุณวิเศษ แล้วสั่งสมเป็นคุณนิธิ เป็นธรรมมัญยารังสี ที่มากพอจนคนสัมผัสได้ เราออกไปแสดงตัวคุณธรรมก็ออกไปแสดงพฤติกรรม จนหลายคนเป็นคนใหม่รับได้ ติดเข้ามาได้

 

พวกเรามีคุณราศีแล้ว ก็มารวมกันทำให้จริงจัง ตกลงลงทะเบียนเท่าไหร่ นายทะเบียนว่า 105 คน เมื่อวานนี้ ตอนนี้ยังเปิดโอกาสให้มาได้อีก แต่ตอนสมัครมี 120 ตอนนี้ ลงทะเบียนแล้วเหลือ 113 ดูสิว่า ครบ 4 ปีจะเหลือ 13 หรือ14 เหมือนพวกนักเรียนมัธยม จบแล้วเหลือไม่เท่าไหร่

 

พวกเราวัยวุฒิไม่ใช่มัธยมแล้ว แต่เป็นผู้ใหญ่ อัตราส่วนการจบก็คงไม่เหลือน้อยเหมือนมัธยมนะ ก็คิดว่าอาตมามองว่าไม่เป็นเช่นนั้นหรอก แต่ไม่แน่ รุ่นใหม่อาจไฟแรง อย่างน้อยก็คิดว่าเรารุ่น 1 นะเอาให้จบ แต่ผู้ใดยิ่งได้เนื้อแท้เรียนไปยิ่งได้คุณวิเศษ เบาว่างง่ายแบบโลกุตระมีพลังสร้างสรร ทักษะดี มีความสร้างสรรเพิ่ม เป็นสุดยอดการศึกษาของพระพุทธเจ้าที่ท่านศึกษาเรื่องคนกับสังคม สร้างคนให้ดีสุดยอดแล้วก็เกิดสังคมที่ดี

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เป็นสุดยอดของมนุษย์ในมหาจักรวาลนี้ อย่าคิดว่าโลกมีลูกเดียว แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ศึกษามาหมดแล้ว เป็นสุดยอดของที่สุดแล้ว ไม่มีใครจะมีความประเสริฐเท่าหรือแม้จะใกล้เคียงท่านก็ไม่มีอีกแล้ว

 

อาตมากล้าเรียกว่าเป็นโรงเรียนโลกุตรธรรม โรงแรก ในยุคที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้ว ประวัติศาสตร์ทางโลกไปหาวัตถุเท่านั้นไม่ใช่ทางจิตที่อาตมามีประวัติศาสตร์ทางจิตมากกว่าเขา พระพุทธเจ้าเป็นความสูงสุดของประวัติศาสตร์ทางจิต อาตมามีหน้าที่สืบทอดศาสนาของพระพุทธเจ้า อาตมาจึงด้วยทางการศึกษาทางโลก แต่อาตมามีความรู้ทางจิตที่เขาขาด คนจะเรียนทางนี้นั้นต้องคนมีบารมีทางจิตเท่านั้นจะมาเรียน แต่คนมีบารมีทางโลกจะไม่ค่อยมา เขาหลงโลกมากกว่าแน่เขาก็ไม่มา เราก็เอาคนที่มีภูมิธรรมมา

 

เริ่มต้นเลย รุ่นแรก ตั้งชื่อว่า รุ่น ฉันทะ มนสิการ ผัสสะ เวทนา สมาธิ เอาชื่อรุ่นตามมูลสูตรเลย มาเรียนสร้างมนสิการให้ได้ การศึกษาครั้งนี้จะมาสร้างมนสิการให้ดี จนได้วิมุติ ก็จะเป็นคนอมตะ จนมารุ่นที่ 2 จะเก่งผัสสะ จะออกไปผัสสะกับคนนอกได้มาก รุ่นนี้จึงผัสสะแต่กับภายใน เอาแค่นี้ก่อน กับพวกกเรามนสิการให้เป็นก่อนอย่าเพิ่งเฟ้อ รุ่นแรกรุ่นฉันทะ มาสร้างมนสิการให้แข็งแรง แล้วค่อยออกไปผัสสะ แต่รุ่น 4 นี่รุ่นเวทนาก็จะกว้างขึ้นอีก พอถึงรุ่น สติ ปัญญา วิมุติ จะเป็นรุ่นสัจจะย้อนสภาพ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏินิสสัคคะ มันสังเคราะห์เหมือนอยู่กับที่ เป็นสภาพที่ขึ้นไปสูงสุดยอด และมีรอบกว้างรอบลึกด้วย

 

ตอนนี้มีผู้ช่วย  อย่างอภิสินธ์จะมีความรู้เรื่องเส้นทาง สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน พวกเรามีสภาวะแล้วก็จะเอาบัญญัติภาษาของเขามาใส่ เอาแค่บาลี สันสกฤติและอังกฤษนิดหน่อยก็ได้แล้ว

 

การศึกษาคราวนี้อาตมาจะสอนเป็นหลัก เอาวันละ 1 ชม. หากสอนไปดูหนุ่มขึ้นก็วันละ 2 ชม.เลย ก็ต้องบอกนักบวช ก็ควรจะมานั่งเรียนด้วย โดยเฉพาะชม.อาตมา แต่ชม.อื่นจะไปร่วมเรียนศึกษากับอาจารย์อื่นได้ก็เชิญ เห็นใจคนมีภาระแต่ก็ควร คนมีโอกาสควรมา ไม่ใช่ว่าอวดดีหลงตัวนะ แม้ชม.คนอื่นสอนบรรยาย ก็มั่นใจว่าเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจอยากสอนเพราะเราไม่ได้จ้างมา เราไม่จ้างไม่ง้อคนมาสอน เราไม่เอาคนบ้ามาสอนหรอกเราต้องเอาอัจฉริยะมาสอน ซึ่งคนบ้ากับอัจฉริยะนั้นใกล้เคียงกัน คนบ้าหลงตนก็อยากสอนก็มี คนบ้ากับโง่นั้นคล้ายกัน

 

สถานที่ก็ไม่ค่อยพร้อมเราก็อาศัยอันนี้ก่อน และก็มีโฮงปัว ให้ใช้ชั้น 3 ไปก่อน และเราก็จะสร้างอาคารใหม่ให้อีก ก็ต้องจัดสรรช่วยกันสร้างช่วยกันทำไป

 

คสช.ถ้าไม่มีคุณธรรมมากพอไม่ชนะหรอก เขาก็เอาป่าล้อมเมือง เอาเงินไปซื้อต่างชาติมาช่วยเขา เราสู้ไม่ได้หรก คสช.ต้องใช้คุณธรรมเท่านั้นจึงจะชนะ เราเชียร์เต็มที่อย่าให้ผิดพลาด เราก็สร้างคุณธรรมปรมัตถ์เสริม

 

เราทำนี่ถือว่าเริ่มคลอดอุดรศึกษา มีทั้งนอกระบบและในระบบ อยู่กึ่งกลางระหว่างนอกและในระบบ เราต้องทำให้ดี ถ้าเราทำไม่ดี อาศรมศีลก็ไม่ให้เราได้นะ ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่พอเหลาไปเป็นบ้องกัญชานะ พวกเราคงไม่ทำให้อาตมาอกหักนะ

 

อาตมาจะสอน 3 วิชชา วิชชาความรัก 10 มิติอาตมาจะสอนปี 1 ปีเดียว แต่วิชชาหลักที่อาตมาจะสอนคือวิชชาพุทธชีวิศิลป์ที่จะสอนพุทธศาสนาแท้ๆ แต่วิชชาสรรค่าสร้างคนจะเหมารวมทั้งหมด เป็นองค์รวมทั้งธรรมะและโลกีย์เท่าที่อาตมาจะมีภูมิส่งเสริมได้อาจลูกทุ่งหน่อย และจะให้มีการเก็บหลักฐานการศึกษา โดยให้มีเลขาช่วยเก็บหลักฐาน

 

เราคงจะต้องจัดกรอบคณะธุรการ ของเราขาดมากเลยกับกองนี้ หลักฐานจะกระจัดกระจายไม่เป็นหลักฐาน ก็ตกหล่นขาดวิ่นหาไม่เจอ ก็ขอให้ทำกองธุรการให้เป็นกิจลักษณะ ไม่ว่าจะกองการเงิน การศึกษาหรือกองอื่นๆก็ถ้ามีธุรการไปช่วยจะดีขึ้น กองวิชชาการก็ทำกันไปตามเหมาะแต่กองธุรการควรมีหลักฐาน

 

อาตมาจึงอนุมัติให้ซื้อที่เก็บหลักฐาน Data base ที่จะช่วยเก็บหลักฐานทุกอย่าง แต่ก็ขอกำชับว่ากองธุรการให้มีการตั้งคนไปทำงานเลย เราจะเป็นสังคมที่จะเกื้อกูลโลกเขาให้พัฒนา

 

มาจากธรรมในเมืองไทยใช้คำว่าสงสาร คำว่าเวทนาเป็นภาษาสื่อสภาวจิตที่สงสาร เวทนา มีความหมายทางปรมัตถ์ โลกเขาน่าสงสาร เราก็ต้องช่วย ไม่เสียหายหากเราช่วยเขาได้อย่างจริงใจและได้คุณภาพเราก็ได้กุศล เราก็ได้ความรู้ความสามารถไปช่วยเขา คนไม่มีความรู้สามารถแต่ไปช่วยเขาคุณก็ไปต้มเขาหลอกเขาหากินเท่านั้น คิดค่าราคาอีก ยิ่งเป็นหนี้บาป คนทั้งโลกเป็น เราศึกษาแล้วต้องแก้กลับ คนทั้งโลกมุ่งสู่นรก เขาไม่รู้ตัว เราต้องช่วย เพราะเขาไม่รู้จักสงสาร ไม่รู้ว่าเขาวิ่งหานรกเป็นสังสารวัฏ เขาไม่รู้เวทนา ไม่รู้ทุกข์ ไปหลงสุขว่าเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่แท้จริงเป็นทุกข์

 

ทุกข์นั้นอาริยสัจ แต่สุขนั้นสุขอัลลิกะ เป็นสุขเท็จ แต่เขาหลอกว่าเป็นของจริง

 

ค่อยทำค่อยฝึกค่อยสร้างเราจึงเป็นคนมีกุศลแล้วได้ช่วยโลก ทำอย่างไม่คิดบัญชี สัจธรรมจดบัญชีเอง เขาทำงานดีทีสุดซื่อสัตย์ที่สุด พนักงานสัจธรรมนี่นะ ทำเสร็จปุ๊ปลงบัญชีเลยว่าชั่วหรือดี ไม่มีผิดเลย ถ้าผิดก็ไม่ใช่สัจจะ คือสิ่งจริงในมหาจักรวาลเป็นวิบากของจิตสั่งสมลง

 

ตอนนี้เอาตมาเริ่มเข้ามาเห็นพวกเรามี Appreciate มีไฟสว่างไสว ตอนนี้เป็นรอบจริงที่ต้องคัด ถ้าเราเองศึกษาแล้วยิ่งท้อ สมมุตินะว่าคุณไม่เป็นตัวจริงแต่คุณอยากเป็นตัวจริงไหม ก็อดเอาทนเอา แต่ถ้าคุณหนีไปจะไม่ได้ ท่องไว้ว่า "แค่ตายๆ"

 

เรามองอย่างนี้ มองเพื่อนเราก็ว่าคนนี้ก็ไม่เท่าไหรหรอก แต่ว่าตอนเราจะไปแล้วเราก็มองสิว่าคนที่เราว่าไม่เท่าไหร่เขายังอยู่เลย เราจะแพ้ได้อย่างไร คนเราก็มีการดูหมิ่นแหละว่าคนอื่นด้อยกว่า อันนี้เป็นเรื่องของมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มันมีความหลากหลาย มุมนี้เราดีกว่าเขาก็จริง แต่ทำไมเขาอยู่ได้

 

ถ้าสัมมาทิฏฐิจะมีอัตราก้าวหน้าสูง ได้สัดส่วนจะมีอัตราก้าวหน้าเป็นตัวคูณหรือยกกำลังเป็นเชิงเรขาคณิต ต้องเข้าใจอาการมีน้ำใจ ถ้างานนี้มีประโยชน์ แม้เราจะว่างานต่ำ แต่หมู่ทำกันเราก็ควรฝืนล้างตัวไม่ยอม เขกหัวมัน แต่ถ้าพิจารณาว่าหมู่นี่ก็เป็นหมู่ที่ดีนะ เขาไม่พาทำไม่ดีหรอก เราเลือกมาอยู่กับหมู่ที่ฉลาดที่สุดดีที่สุดแล้วนะก็ต้องให้เกียรติหมู่นะ ขนาดอาตมาว่าอาตมาถูกนะแต่หมู่ไม่เอา อาตมาก็ต้องเอาตามหมู่ เพราะว่าอาตมาทำคนเดียวได้อย่างไรไม่ได้ ถ้าหมู่ไม่ทำ เราก็ต้องเอาหมู่ เพราะว่าจะตรงกับสมมุติของหมู่ด้วย แรงงานจะร่วมกันได้เร็ว สำเร็จได้เร็ว ต้องใช้หลักเยภุยยสิกาหรือคะแนนเสียงข้างมาก พระพุทธเจ้าก็ใช้หลักประชาธิปไตย มีครบหมดแม้หลักซุกไว้ใต้พรม เรียกติณวัตถารกวินัย ก็ยังมีเลย พระพุทธเจ้าเรียกว่าซุกไว้ใต้หญ้าไม่ต้องตัดสินเอาความผ่านไปเลิกไปเลยก็มี หลักการตัดสินอธิกรณสมถะ 7 ดูจะครบครันกว่าของนิติศาสตร์อีกนะ มีสัมมุขาวินัย อามูฬหวินัย สติวินัย เป็นต้น พระพุทธเจ้าใช้กับคนในลัทธิท่าน แต่คนในยุคสมบูรณายาสิทธิราชใช้ไม่ได้อย่างท่านหรอก เรากำลังทำอะไร เรากำลังเดินมาถึงตอนไหน แล้วก็เหลือแต่ว่าเราจะทำกันอย่างเต็มท่ีเท่าน้น


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:50:17 )

570712

รายละเอียด

570712_พ่อครูสอนวนบ.เป็นคาบแรก ประเดิมวิชชา สรรค่าสร้างคน ที่เฮือนศูนย์ฯ

วันนี้เราเร่ิมด้วยวิชชาสรรค่าสร้างคน ...คนเราในธรรมชาติของการอยู่รวมกันเป็นมนุษย์โขลง แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดอยู่ในสัตว์โขลง ไม่ใช่ปลีกเดี่ยว แต่อยู่กันอย่างสัมพันธ์เป็นหมู่กลุ่มคณะ แล้วอยู่กันอย่างมมีระบบ เป็นระบบสัญชาติญาณ สัตว์อื่นก็อยู่อย่างสัญชาตญาณ นอกจากนั้นมนุษย์ยังมีจิตวิญญาณพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่าสัตว์สารพัดสัตว์ มีอะไรพิเศษแตกต่าง ไม่ต้องพูดก็รู้กัน แต่พูดนำเท่านั้น แต่ก็พูดให้เป็นสิ่งประกอบ สัจจะ

 

และมนุษย์ยังสามารถมีความคิดความรู้ได้สุดยอดในความเป็นสัตว์ที่ได้อุบัติมาเป็นอัตภาพชีวิต ชีวิตมีทั้งแบบพีชนิยามและจิตนิยาม ซึ่งพลังงานที่ก่อเกิดตัว เป็นพีชนิยามและจิตนิยาม เป็นพลังงานที่ก่อตัว จับตัวขึ้นมาทำงานเป็นลักษณะ เช่นพลังงานฟิสิกส์จับตัวกันมีพลังงานแสงเสียงเป็นต้น แล้วก็มีอะไรที่แตกต่างกันเยอะแยะเลยแม้แค่วัตถุ จนมันพัฒนาการมา เช่นโลกลูกนี้ กว่าจะปรับตัวมีองค์ประกอบต่างๆพร้อม

 

พระพุทธเจ้าจำแนกพลังงานเป็น 5 นิยาม ตั้งแต่ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยามและธรรมนิยาม

ธรรมนิยามคือองค์รวมเป็นสภาพที่ทรงไว้เป็นองค์ประกอบที่ลงตัว ถ้าเรียกในสิ่งที่ทรงไว้คือธรรมะเป็นสุดยอดพลังงานในมหาจักรวาล เป็นพลังงานที่ประเสริฐสุด ธรรมะหมายถึงความดีก็เป็นที่รู้กันทั่วโลก สิ่งใดไม่ดีแม้นิดหนึ่งก็ไม่ใช่ธรรมะ แต่คืออธรรม

 

ถ้าเราจะตั้งใจกำหนด ว่าส่ิงนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าเรียกว่าธรรมะ มันต้องดีครบ ถ้ามันมีอธรรม แค่นิดน้อยเท่าไหร่ก็ด่างพร้อย ก็มีอธรรมอยู่เท่านั้นๆ คำว่าธรรมะ จึงหมายถึงความดีครบ จะเรียกว่า ธรรมธาตุ ก็เป็นธาตุที่ลงตัว(ธาตุก็คือองค์ประกอบนั้นลงตัวแล้วมีคุณสมบัติเรียบร้อย)

 

ธรรมธาตุ คือคุณลักษณะความดี มีอยู่ในคน เรียกโดยอนุโลม จะเรียกว่า คุณธรรมในระดับจิตนิยาม ไม่ใช่เป็นธาตุของอุตุหรือพีชะ แต่ต้องเป็นของระดับ จิตนิยาม ที่จะมีคุณสมบัติ คุณลักษณะถึงขั้นธรรมะได้ 

 

แล้วธรรมจะรู้ได้อย่างไร ก็รู้ได้จากการแสดงออกทาง กรรม คือกิริยา อาการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ กายกรรม แสดงออกทางรูปนอก ถ้าแค่วจีก็เป็นกรรม แต่มันก็อยู่ที่จิต พระพุทธเจ้าใช้คำว่ามโน บุพพัง คมาธัมมา(คมะแปลว่ามาหรือเดินไป) ดังนั้นมโนคือ ต้นทาง แล้วก็จะไปเป็นธรรม ก็คือธรรมะจะเกิดได้มีได้

 

มโน หมายถึง ตัวจิตละเอียดที่ปรุงแต่งอยู่ข้างใน เป็นต้นทางต้นธาตุ ส่วนคำว่าจิตก็คือคำเรียกกลางๆ แต่มโนคือตัวแก่นแกนของจิตนิยาม แต่ถ้าคำว่า วิญญาณ ก็คือเป็นธาตุรู้ ในองค์รวมที่ออกมาเป็นบทบาท จนกระทั่งถ้าชื่อว่า มันมีบทบาทที่ดี มันก็เป็นวิญญาณเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมของมันนี่ ถ้ามันไม่ดีมากๆ เราเรียกว่าสัตว์ชั้นต่ำ ขั้นนรก เปรต เดรัจฉาน วินิบาต เป็นต้น

 

วิญญาณก็เป็นพลังงานต้นของสัตว์ทั้งหลาย ก็เอามาใช้สื่อเรียกว่ามีความหมายเช่นนี้ ตัวสัตว์ทั้งหลายจึงมีสิ่งที่ทรงอยู่ในร่าง ถ้าไม่มีอะไรทรงอยู่ก็ไม่เป็นจิตนิยาม

 

ขอย้อนอธิบายนิยาม 5 ให้เป็นฐานความรู้ก่อน

 

อุตุนิยาม คือพลังงานในระดับไม่เป็นชีวะ จะเก่งกาจ มีความสามารถฤทธิ์แรงประสิทธิภาพใดๆสารพัด ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าและอีกสารพัดชื่อก็ตาม

 

พีชนิยาม ก็เป็นพลังงานที่พัฒนาขึ้นมาจากอุตุ มีสัญญา มีสังขาร แต่ยังไม่มีเวทนา มีสัญญาที่เป็นการกำหนดหมาย จะเรียกว่าความจำก็ได้ จำได้ว่าอันนี้เอาอันนี้ไม่เอา อันนี้ใช่ไม่ใช่ เอาไม่เอา ก็เอามาสังเคราะห์สังขาร มาเป็นลักษณะชีวะของมัน ชีวะในระดับนี้จึงยังไม่มีทุกข์สุข ไม่ก่อบาปบุญ  ไม่ก่อกุศลหรืออกุศล มันไม่ได้ทำบาปกรรมให้ใคร ไม่โกรธไม่รักใคร มันไม่พยาบาทจองเวร สืบต่อไปชาติไหนๆก็ไม่มี มันมีแต่เชื้อพันธ์ุทางวัตถุจบไม่มีอะไรซ้อนต่างจากจิตนิยาม พีชนิยามไม่มีกรรมครอง อนุปาทินกสังขาร ไม่มีวิญญาณไม่มีกรรมครอง

 

จิตนิยามนั้นเป็นพลังงานระดับที่มี เวทนา สัญญา สังขาร ครบ ส่วนรูปนั้นก็มีอยู่แล้ว

 

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีพลังงานสูงส่งที่สุด เป็นชีวะที่มีวิญญาณ มีกรรมครอง มีรักพยาบาท มีแค้น มีรัก เกิดนิยายในโลกมามหาศาล ส่วนจิตนิยาม นั้นจะมีความรู้ความสามารถไปสร้างกรรม สร้างธรรม

 

ผู้จะศึกษาต้องเห็นความสำคัญของจิต คนสามัญไม่มีปฏิภาณพอก็จะไม่เห็นความสำคัญไม่ศึกษา และย่อมไม่ให้ความสำคัญต่อ จิต กรรม ธรรมะ จึงไม่ศึกษากรรม เพราะกรรมเป็นตัวเรียนรู้ได้ และจัดแจงได้ เป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นตัวแสดงที่ทำให้เรียนรู้บอกแจ้งยืนยันกันได้ คือคำว่า กรรม จึงจะต้องศึกษาเป็นตัวใช้เรียนรู้ใช้บ่งบอก ได้ ว่าคุณสูงหรือต่ำ ดีหรือชั่ว ประเสริฐหรือไม่? เป็นผู้ที่มีธรรมะหรือจิตที่สูงจริงไหม?ก็อยู่ที่กรรม และกรรมที่จะบ่งชี้ให้ปรับปรุงที่กรรมตั้งแต่กรรมหยาบ ตั้งแต่ กาย

 

กายคือองค์ประชุม กายนั้นออกลีลาเคลื่อนไหว เมื่อเคลื่อนก็จับอ่านรู้อาการของมันได้ การเคลื่อนไหวเป็นภาษาไทย ส่วนภาษาบาลีเรียกว่า วิญญัติ ถ้าเรียกเป็นภาษาอังกฤษเรียกว่า Kinetic energy เป็นพลังงานเคลื่อนไหว

 

ผู้ที่มีปัญญาแล้วรู้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องกรรม นี่แหละเป็นเรื่องที่ต้องทำความสำคัญแล้วมันก็สั่งสมตกผลึกในอัตภาพของตัว เรียกว่าเกิด ผลวิบาก เพราะฉะนั้นเราจะทำกรรม ดีหรือชั่ว บาปหรือบุญ ต่ำหรือสูง ก็แล้วแต่เป็นกรรมที่จะสั่งสมลงเป็นผลวิบาก ศาสนาพุทธจึงเรียนรู้อันนี้แล้วปรับปรุงอันนี้ให้เป็นกุศลกรรม แล้วจะสั่งสมเอาไว้เป็น ธรรมะ ทำกรรมแล้วสั่งสมเป็นธรรมะ

 

ในคนนี่ถ้าไม่รู้ดีหรือชั่ว คำว่าธรรมะจึงมีทั้งดีและชั่วในนั้นเต็มไปหมด คนไม่ได้ศึกษาก็ปนเปกันไป พระพุทธเจ้าตรัสให้ทำความรู้เบื้องต้นให้สัมมาทิฏฐิ เรื่องนี้สำคัญ ในทิฏฐิข้อที่ 4 ว่า สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก จะทำดีหรือชั่วก็เป็นผลวิบาก สั่งสมเป็นธรรมธาตุ หรือเป็นธาตุที่ทรงไว้ ถ้าคนที่มีอธรรมเยอะก็ไม่ชื่อว่าเป็นสัตว์ชั้นดี แต่ถ้าจะเป็นสัตว์ชั้นดี ก็ต้องสั่งสมธรรมะ เราะจไปหาธรรมธาตุที่ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีอะไรเลย มันเป็นธรรมธาตุที่ปรากศจากความบกพร่องใดเลย สูงสุดต้องยกให้พระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งธรรมธาตุ เป็นพลังงานที่เยี่ยมที่สุดจึงเรียกว่าธรรมะ องค์ประชุมที่รวมไว้ก็คือกาย จึงเรียกว่าธรรมกาย ก็คือธาตุที่ดีที่สุดที่สัตว์มนุษย์มีได้ พระพุทธเจ้าว่าเรียกเราว่า ธรรมกาย หรือจะเรียกว่า พรหมกาย คือองค์ประชุมทั้งกาย วจี มโน และตัวต้นทางต้นธาตุคือมโน เป็นองค์ประกอบหรือกาย ที่ท่านได้สร้างสิ่งที่

 

อาตมาตอนยังเด็กได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์กับอาจารย์ที่ดีๆมาก แต่สอบได้คะแนน 10 ส่วน 100

 

เมื่อเรามีพลังงานที่สั่งสมเป็นอัตภาพ จะมีมโนเป็นตัวตั้งต้น ถ้ามันทรงไว้ก็มีพฤติกรรมออกมาในโลก ถ้าไม่ดีก็ทำความไม่ดีให้แก่ส่ิงที่เกี่ยวข้อง ตัวเองก็ได้รับ แต่ถ้ามันดีก็เป็นสิ่งประเสริฐเป็นอาริยะ

 

พระพุทธเจ้าค้นพบ ที่  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก คนต้องดูแลกรรม พัฒนากรรม เป็น มโน เป็นวิญญาณ ที่ขับเคลื่อนความเป็นคน ในมหาจักรวาลนี้ มันเป็นตัวขับเคลื่อน แม้มีต้นทุนไม่ดีก็สามารถระงับไว้ สะกดไว้ได้ ส่ิงไม่ดีเรียกชื่อมันว่า กิเลส

 

ต้องมาเรียนรู้ตัวสมุทัย คือกิเลสให้รู้จักมันจริง แล้วจัดการกับมัน ถ้าจัดการตัวไม่ดี ให้หมดแรงหมดบทบาท ที่เราทำทั้งปัจจุบัน และ อนาคต มันก็ไม่มีตัวไม่ดีเลย กรรมอดีตแก้ไขไม่ได้สั่งสมเป็นวิบาก ออกผลกับเรา แต่ผู้ใดไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีอีกแล้ว ทำแต่สิ่งดี แต่วิบากก็จะให้ผล แต่จะเบาลงๆ เพราะสิ่งที่ดีเราทำไปสั่งสมไปลดอกุศลวิบาก ที่จะทำให้เราทุกข์ร้อนลดลงได้ มันเป็นอจินไตย เราไม่ทำกรรมไม่ดี จนปัจจุบันทุกปัจจุบันเราก็ไม่ทำ เรารู้ไปกับโลกเขาด้วย ว่าอะไรคือกรรมไม่ดี เราอยู่กับโลกเขาก็ต้องรู้ว่าอันไหนถูกไม่ถูก ดีไม่ดี ซึ่งแตกต่างกัน ในแต่ละที่แต่ละถิ่น ทางตะวันตกก็อีกอย่าง ของเราก็อีกอย่าง เราต้องอนุโลมไปกับโลก จิตต้องมีหน้าที่รู้ว่าโลกเขาถือว่านี่ดีนี่ชั่ว แล้วก็ต้องเข้าใจเขาให้ชัด กำหนดรู้ชัด

 

มีปัญญารู้ด้วยเป็นต้นทาง มันก็จะลดการกระทำชั่วหรือไม่ดีลง หรืออย่าทำเลย  แล้วพลังงานไม่ดีก็อ่อนแรงลง ไม่สามารถบังคับเราให้ทำไม่ดีได้ พระอรหันต์นั้น สัพพปาปสอกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงอนาคตไม่ทำอีกแล้ว อีกนานเท่าไหร่ก็ตาม ไม่เกิดจริง แล้วอยู่กับโลกอย่างเข้าใจรู้สมมุติ เราเป็นคนเอเชียไปอยู่ตะวันตกก็ต้องรู้ว่าเขายึดถืออะไร และยังมีแง่มุมต่างๆ ความแรงเบา ที่ยึดถือต่างๆกัน พอพูดเช่นนี้ อ้าวงั้น ความดีความชั่ว ถูกหรือผิดก็ไม่มีในโลกสิ พุทธนั้นล้างความยึดดีชั่วได้หมด แต่คุณก็อยู่กับโลกได้อย่างดี อรหันต์นั้นซื่อสัตย์ทุกคน มันรู้บทบาทพฤติกรรม ที่เป็นอัตภาพรองรับชีวะมา ตั้งแต่พีชะ มาเป็นจิตนิยาม จนสลายตัวเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ตราบใดไม่ปรินิพพานก็ต้องมีพฤติกรรมในโลก ถ้าไม่มีตัวตนกิเลสที่จะต้องเอามาให้แก่ตนเอง บำเรอตนเองได้อย่างแท้แล้วนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะทำอะไรให้ไม่เกิดประโยชน์ต่อโลก อะไรควรอะไรไม่ควรก็ต้องรู้  เราอยู่กับคนไหน แล้วเราควรหรือไม่ควรอย่างไรเราก็ต้องประมาณรู้ว่าอย่างไหนเป็นประโยชน์ต่อเขาได้ จะซื่อสัตย์ต่อการเลือกเฟ้น ไม่มีอำนาจอะไรมาทำให้เปลี่ยนได้

 

อรหันต์จะรู้บริษัทหมู่กลุ่ม แล้วจะร่วมสัมพันธ์กับเขา เราก็จะต้อง สรรค่า สร้างคน

 

สรรค่า สร้างของตนเอง เลือกเฟ้นค่าที่ควรที่สุด เป็นคนอยู่อย่างรู้จักค่าที่ดีที่สุด ทุกกรรมกิริยา มีมหาปเทส 4 สัปปริสธรรม 7 ประกอบกรรมต่างๆ อย่างซื่อสัตย์สุจริต แล้วไม่ทำอะไรไม่ดีเลย สัพพปาปสอกรณังไม่ทำบาปทั้งปวงเพราะกิเลสตัวการให้ทำชั่วไม่มีแล้ว และทำแต่กุศลนั้น โดยสรรค่า สร้างประโยชน์

 

โดยประโยชน์ตนเองคือการจัดสรรกรรม แต่ประโยชน์ตนหมดแล้ว จะอยู่กับสังคมได้อย่างดี ประโยชน์ตนนั้นสำคัญไม่ทำกรรมชั่วได้แล้ว แต่ประโยชน์ตนมีแต่สร้างคุณงามความดี เป็นสรณะเป็นสิ่งยึดถือ นี่ต้องสั่งสมโดยกรรม ทำกรรมกุศล คนรู้หรือไม่รู้ก็ช่างแต่ท่านทำกรรมดีอย่างซื่อสัตย์ จะเลือกว่ากรรมนี้เป็นของเรา ไม่เอากรรมใดเป็นของเราไม่ได้ คุณทำกรรมไปแล้วจะหยาบหรือละเอียดจะลับหรือแจ้งก็ต้องเป็นของคุณ กรรมเป็นอันทำ ไม่ต้องไปลงบัญชีเลย มันเป็นของเราทันที

 

แล้วมันก็มีพลัง เพราะในอัตภาพมีพลังที่จะออกบทบาท ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไป หมดบทบาทตัวต้นทางทำชั่วแล้ว ก็หมดประโยชน์ตนแล้ว ผู้ที่รู้เข้าใจอย่างอาตมากล่าว เมื่อเป็นอรหันต์แล้วหรือเร่ิมเป็นคนเห็นค่า เห็นคุณค่า Value  ของกรรมกิริยาต่างๆ เห็นกรรมกิริยาคนอื่นก็จะรู้ว่าโลกเขาว่าอะไรดี แล้วมีกรรมกิริยาอื่นที่ดีกว่าก็มีอีก กรรมเพื่อตัวเองไม่มีแล้วก็เหลือแต่เลือกเฟ้นสรรค่า ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เช่นอยู่ที่นี่เราก็ทำกรรมของเราอย่างนี้ในเวลานี้สถานที่นี้ แต่ถ้าออกไปกับคนข้างนอก ​ณ กาละนั้น สถานที่บุคคลนั้นเราก็ต้องรู้เนื้อแท้ อรรถะ เราก็รู้ เราเป็นผู้ทรงธรรมที่เป็นธรรมะ ต้นธาตุต้นทางที่เราจะสรรค่า สร้างให้มีผลกับตัวที่มาเกี่ยวข้องเกิดสภาพที่ดีขึ้นไป เป็นเรื่องเจตนาของอรหันต์ทุกองค์ ที่จะอยู่ในสังคมกับเขา

 

พระพุทธเจ้าจึงว่าอรหันต์ทุกองค์จะมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้คน เป็นผู้ที่ไม่มี เพราะมีปัญญารู้ ไม่มีเหตุที่จะให้ทำชั่วแล้ว ทำอย่างไรมันก็ไม่มี ผู้ที่ไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นสุดยอดแห่งสัตว์โลก คำว่าไม่มี คือ นโหติ ท่านจะอยู่ในโลกอย่าง ไม่มี คือไม่มีเหตุคือกิเลสที่ทำให้เกิดทุกข์ จึงชื่อว่าเป็นผู้ที่ ไม่มี ในโลก เรียกว่า โลเก นัตถิตา ตัวนี้แหละคือ น โหติ เพราะท่านมีมโนหรือจิตต้นทางที่ไม่มีแล้ว  แต่เป็นคนที่มี ??

 

โลเก อัตถิตา สา นโหติ อาตมาได้ยินแว่วๆว่า นิสิตเรามีคนพูดว่า เอ๊ ไอ้มี กับไม่มี นี่มันคืออะไรกัน? ทำไมเข้าใจไม่ได้

 

ผู้ปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติที่มีผลธรรม(อัตถิ) จึงมีความไม่มีโลก(โลเก นัตถิตา) หรือมีความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)อันต่างกับ ความมีโลก(โลเก อัตถิตา)อันเป็นโลกของจิตใจที่เวียนวนเกิด-เวียนวนตายอยู่กับความสุข-ความทุกข์ กับโลกธรรมในวัฏสงสาร        

 

ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจนสามารถทำความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)  ซึ่งเป็นสภาพสุดวิเศษที่คนผู้เป็นมนุษย์ในโลกควรบรรลุได้สำเร็จ ก็คือ ผู้มีสภาพอันวิเศษนี้แล้ว

       

ส่วนคนผู้ยังมีโลกสมุทัย คือโลกที่คนผู้นั้นยังมีเหตุแห่งทุกขอริยสัจ(ทุกขสมุทัย)อยู่เป็นสามัญธรรมดาของความเป็นคนทั้งหลายของโลก จึงเป็นคนผู้ไม่มี ตามที่คนผู้เป็นมนุษย์ในโลกควรเข้าถึงสภาพสุดวิเศษ คือ ความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)

 

(ไม่ค่อยได้ยินแล้ว ฝนตกหนัก)

 

บุญคือการชำระสันดานให้หมดจน เมื่อล้างกิเลสในสันดาน ท่านก็ไม่มีบาป ไม่มีเหตุพาชั่วแล้ว แต่ผู้นี้ก็เป็นผู้มี ในโลก คือมีสิ่งประเสริฐเป็นประโยชน์ต่อโลก เพราะท่านเป็นผู้มีคือทำให้แก่โลก แล้วก็ไม่ยึดเป็นเรา แม้ตัวท่านท่านก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ท่านไม่มีคือไม่มีภัยไม่มีโทษ แต่ท่านมีไหม?ก็มี

 

ท่านไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราท่านก็คือคนไม่มี  มีแต่รับใช้โลก โลกานุกัมปา

 

สรุปแล้ว อาศัยสองส่วน คือความมี และความไม่มี ท่านอาศัยความมี แต่แท้จริงท่านเป็นคนไม่มี อยู่กับโลกอาศัยโลก แต่ช่วยโลก โลกานุกัมปา

 

มาต่อว่า...เมื่อเกิดความเป็นมนุษย์ในจิตวิญญาณ มนุษย์นั้นรู้ได้มาก รู้ชั่วก็รู้ รู้ดีก็รู้ รู้ชั่วอย่างโง่ๆอวิชชาแล้วหลงชั่วก็มี เขารู้นะว่าอันนี้ชั่ว บางทีนึกว่ามันดี แต่เขาก็รู้ว่ามันชั่ว แต่เขาติดมัน หลงยึดมัน เมื่อทำชั่วแล้ว ย่ิงหลงโง่ ก็ยิ่งทำพลาดแล้วพลาดเล่า คนที่ชั่วอย่างนี้ก็ชั่วเลวหนักหนาสาหัสตราบใดไม่มีอะไรรู้ชัดเจน ว่า อย่างนี้ดีอย่างนี้ชั่ว คนจะไม่มีการแก้ไข แล้วคนจะแก้ไขได้อย่างไรในที่ตั้งต้นเลย พระพุทธเจ้าว่าไม่มีรู้ที่ตั้งต้น มหาจักรวาลนี้ไม่รู้ตั้งต้นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องไปรู้ แต่ให้เรียนรู้ดับเหตุที่พาชั่วก็พอแล้ว คุณทำอัตภาพให้มีหลักประกันแน่นอนเลย โดยมีหลักประกันว่าไม่ทำชั่วอย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณอยู่ได้เลย ตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์

 

ถ้าโลกนี้พลโลกไม่มีเลย คุณก็ต้องหาให้ได้ ต้องรออัตภาพของผู้ที่เกิดมาเป็นองค์ต้นธาตุต้นธรรมแก่มนุษย์เลยอย่างพระพุทธเจ้าก็ตาม เพราะมันไม่มีแล้ว หาเองสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับเชื้อมาจากต้นธาตุต้นธรรม พระพุทธเจ้าและโพธิสัตว์ผู้ยังไม่ปรินิพพานก็คือต้นทางต้นธรรมธาตุ จะหมดเชื้อลงไปจนเมื่อเหลือพระโสดาบัน และแม้โสดาบันก็ไม่มีในโลก ก็ต้องรอจนกว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก

 

ชีวิตคนตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว มีวิวัฒนาการ อยู่กันอย่างสัตว์โขลง และโดยธรรมชาติก็จะมีผู้นำ ก็จะเกิดผู้มีความรู้ มีความรักพวกพ้องมวลมนุษยชาติ มีความรู้ความสามารถนั้นทำให้โลกดี ทำสิ่งที่ควรที่ถูก ก็ทำอยู่ โดยมีความรู้ความสามารถ สรรค่า สร้างคนมาตลอด และผู้นำเหล่านี้มีภูมิปัญญา ที่รู้ยาก  เป็นผู้นำโขลงเรียกว่าผู้นำหรือหัวหน้า เป็นเจ้าแคว้น เจ้านครก็เรียกไป

 

เป็นสิ่งที่ช่วยโลกช่วยสังคม สรรค่าสร้างคน ทำอย่างมีฤทธิ์มีอำนาจ คนอื่นไม่มีความสามารถมากพอ แต่อธิบายไม่ได้ว่ามาอย่างไร คนมีปฎิภาณรู้ได้ว่าเห็นแก่คนอื่น ช่วยคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดี สร้างสรรเสียสละ เรียกว่า หัวหน้า ,ปุโรหิต ,อาจารย์ ฯลฯ พวกนี้พอบอกได้โดยอาจบอกล่วงหน้า เป็นผู้รู้ แต่เป็นความรู้ที่อธิบายรายละเอียดไม่ได้ มีสภาพ แต่ไม่รู้รายละเอียดที่มา อย่างไร ไม่รู้ Input process out put ImpactและOut come แต่ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ทุกอย่างมาแต่เหตุ จึงรู้ต้นทางที่มโนบุพพัง คมาธัมมา

 

ผู้ที่เห็นหัวหน้า สามารถ ชี้นำได้ แต่บอกที่มาที่ไปไม่ได้ นั้นเรียกว่า ศาสดาพยากรณ์ Prophecy เขาไม่่ค่อยรู้เรื่องว่าเป็นมาอย่างไร แต่เขาก็ทำตามหมด บริวารทำตามหมด เพราะท่านเป็นผู้ที่ทำดี มีความรู้ที่ดี แม้จะยังไม่รู้ที่มาอันนี้เป็นศาสดา ที่ไม่เจริญตามหลักการ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย หลักอิทปัจยตน ที่เป็นลูกโซ่ของเหตุและผล แต่ศาสดาพยากรณ์นั้นไม่ค่อยรู้เหตุ ความรู้อย่างนี้จะทำให้คนทึ่งอยากรู้ว่าความรู้นี้มาจากไหน ก็หาเหตุผลไปแต่พวกที่ศึกษา Philosophy ก็ได้ความรู้ระดับหนึ่ง ใช้ปัญญาความฉลาดก็ได้ระดับหนึ่งที่เข้าไม่ถึงจิต

 

จึงมีผู้รู้อีกชนิดที่ทำได้ทำดีแต่ไม่ค่อยรู้เหตุผล คือสายเจโต กับอีกพวกหนึ่งรู้เหตุรู้ผลหมดแต่ว่าทำไม่ค่อยได้ อันนี้สายปัญญา รู้เหตุผลมาก แต่หยั่งลงไม่ถึงจิต ก็เลยมีนักศึกษามาหาต่อว่ามันเกิดตรงไหน หยั่งลงตรงธาตุไหน ก็ค้นคว้าโดยไม่ไปรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนหมดแล้ว เขาก็หาอีกขวนขวายรู้ทฤษฎีแนวนี้พยายามรู้ลึก ถึงธรรมชาติของสิ่งที่เป็นธรรมธาตุ ก็มาเรียนรู้ธรรมธาตุของตัวตน ก็เกิดความรู้มาก ผู้รู้อย่างนี้ก็มีอยู่ ทั้่งสองสายคือสายเจโตกับปัญญา ก็มีอยู่คู่โลกตลอดมา คนที่จะรู้มากขึ้นในระดับต่อมาก็พยายามเข้าหาอัตภาพ หาความจริงให้มาก ท่านเรียกว่า Epistemology เป็นญาณวิทยา พยายามเรียนรู้ถึงธรรมธาตุของจิตวิญญาณ

 

ส่ิงที่เราจะเรียนรู้นี้เป็นความรู้ของศาสดาที่รู้ต้นทางต้นธาตุของธรรมเป็นผู้ที่มี และไม่มี เป็นอรหัตตา คืออัตตาที่ไม่ลึกลับ ส่วนอัตตาของผู้อื่นท่านต้องประมาณเอา หรือสามารถมีพลังงานเข้าไปตามจับดูในคนอื่นได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่เอาไม่ส่งเสริม แม้พระพุทธเจ้าทำได้ไปรู้คนอื่นได้ พระพุทธเจ้าให้ทำตามที่ท่านบอกแล้วจะมีผลพลอยได้เช่นนั้นเอง ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า Phenomenology หรือปรากฏการณ์วิทยา ภาษาบาลีเรียกว่า ปาตุภาวะ หรือปาตุสัจจะ หรือสัจจภาวะ เป็นปรากฏการณ์ที่จริง

 

.นบ. นี่คือวิชชารามที่สอน Phenomenology ซึ่งเลยขั้น Epistemology ไปอีกขั้นคือเป็นขั้นที่รู้จิตต้นธาตุ ต้นธรรม และสามารถทำให้ต้นธาตุต้นธรรมเป็นธรรมะบริบูรณ์ เป็นมโนบุพพัง คมาธัมมา ออกมาเป็นกรรมที่ประเสริฐที่สุดเท่าที่ท่านมีบารมี จะไม่มีมโนสัญเจตนาใดที่ท่านจะทำให้เกิดชั่วใดๆเลย

 

แม้คุณจะเกิดอีกก็ได้ เพราะคนเป็นอรหันต์เป็นอมตบุคคล จะตายก็ได้เลิกเลยปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แต่ทำแล้วกลับฟื้นไม่ได้ ต้องเลิกไปเลย ถ้ายังไม่เลิกก็ไม่ตายก็เป็นอมตะ ถ้าจะตายก็ตายสุดเด็ดเลย เพราะทำให้ตัวต้นธาตุต้นธรรมหมดไปเลย ท่านรู้สมุทัยแห่งการเกิดโลก คุณจับเหตุได้ทำเหตุให้หมดได้ คุณจะเป็นคนมี โลเกนัตถิตา สา นโหติ เป็นคนที่ยังไม่มีโลกสมุทัย ก็คือผู้มีโลกนิโรธ คุณก็มีส่ิงอาศัยสองอย่าง คือ ความมี และความไม่มี และไม่มีตัวนี้แหละเป็นอรหันต์ สามารถอยู่อย่างนี้นิรันดร์ไม่ตายก็ได้ แต่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานเมื่อไหร่ก็ได้

 

ในมูลสูตร มีฉันทะเป็นมูลอันแรกเลย ต้องมีฉันทะเพราะเรื่องที่เรียนนี้เป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องเรียน...ทนเอา...อันที่สองของมูลสูตร ต้องทำใจในใจให้เป็น แต่ในไตรปิฎกแปลอย่างอื่น แล้วทำใจในใจอย่างไร ก็ทำให้ดี ทำให้ใจพัฒนาดี ที่ว่าทำใจทำใจ นี่คือลำลอง แต่นี่มีการหยั่งสัมผัสจิตวิญญาณของเราแล้วแยกออกว่าอะไรเป็นตัวดีหรือไม่ดี โยนิโสมนสิการคือทำใจในใจให้เป็น คนเราก็ทำใจอยู่แล้ว มนสิคือในใจ การ คือทำ มันก็ทำอยู่แล้วแต่คุณไม่มีญาณไปจัดการหรือสังขารมัน คุณต้องทำการจัดการใจให้อภิสังขาร ทำให้เหตุที่เรารู้ เป็นสักกายะ คือองค์ประชุมของกุศลธาตุ ในจิตธาตุตัวนี้ที่คุณจับตัวมันได้ เป็นสักกายะ ตัวใดที่คุณจับได้เป็นตัวต้นตัวหยาบแล้วคุณทำให้มันลดมันหายไปได้ พิสูจน์ว่ามันหมดไปได้ด้วยความสามารถเรา เมื่อทำตัวนี้ได้ตัวต่อไปก็ทำได้ จนมันหมดอกุศลธาตุ 

 

เมื่อตัวต้นธาตุต้นธรรมดี มีมโนเสฏฐา มโนมยา ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิตมีความจบในจิต โดยเฉพาะมีความจบในการสรรค่าสร้างคนให้เป็นอาริยะอรหันต์  มนุษย์นี่แหละตัวสร้างและตัวเลวร้ายที่สุดได้ เราต้องช่วยมนุษย์ให้สรรค่าสร้างคนไม่ให้เป็นภัยเป็นโทษต่อตนต่อโลก มีแต่ประโยชน์ต่อโลก เป็นสิ่งที่อาตมาเห็นว่า เกิดมา 36 ปีเสียเวลา เสียท่าโลกให้ครอบงำ มีชีวิตชาติชั่วอยู่บ้าง ไปแย่งโลกธรรมทุจริตบ้างนิดๆหน่อยๆ ดีที่อาตมาไม่ทำบาป ทำแต่กุศล ก็ถูกโลกครอบงำให้ทำเป็นวิบากไปบ้าง

 

เมื่อเราเองเราสามารถมีความรู้วิชาการ ก็จัดการกับจิตวิญญาณตนให้ดี พลังงานอัตภาวะของสัตว์โลกตัวใดตัวหนึ่ง ถ้าเป็นอรหันต์แล้วมีหลักประกันชัดเจนเลยว่า อยู่ในโลกทุกใบในมหาจักรวาล คุณไม่รู้ได้ว่ามีโพธิสัตว์ที่รอเป็นพระพุทธเจ้าเหนือกว่าอาตมาก็มี เราไม่รู้ได้ มีโลกไม่รู้กี่ล้านๆลูก 

 

พูดถึงมูลสูตรก็ต่อให้จบ...ถ้าคุณเองปฏิบัติหลักพระพุทธเจ้า คุณมีฉันทะมาแล้ว อาตมาก็ต้องสอนมนสิการต่อ ให้ชำระล้างกิเลส หากคุณทำใจเป็น เท่าที่คุณจะทำได้ อย่างน้อยต้องรู้สักกายะ ส่ิงที่ถูกรู้โดยนามธรรมเรียกว่ารูป ต้องมีญาณอ่านรู้นามรูปได้ หากไม่มีญาณรู้ก็มนสิการไม่ได้ ปัญญามันรู้แล้วจะต้องปฏิบัติ รู้สักกายะ ที่เราจะต้องฆ่า เราเป็นนักฆ่าที่ต้องฆ่าตัวตนในตนเองก่อน มีอาวุธคือมือเปล่าๆ

 

เมื่อทำใจเป็นแล้ว วิธีปฏิบัติเบื้องต้น ต้องมีสมุทัย คือ ผัสสะ ตัวสมุทัยนี้ไ่ม่ใช่เหตุในอาริยสัจ แต่ว่าคือเรารู้สักกายะแล้ว เป็นองค์ประชุมของนามธรรมตัวไหน แล้วทำให้มันลดได้ขนาดไหน หมดแล้วก็ต้องตรวจสอบด้วยอรูปฌาน ต่ออีก ในหลักปฏิบัติพุทธต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย จึงสมบูรณ์แบบ

 

แม้จะทำวิธีอื่นมาลดละได้บ้าง แต่ไม่สามารถรับรองได้ว่าสมบูรณ์แบบ ต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วต้องรู้ทั้งนอกและใน ต้องรู้กาย กายนั้นมีทั้งนอกและในหากขาดนอกก็ไม่สมบูรณ์ด้วย กาย

 

โสดาบันก็ต้องสัมผัสนอก รู้ว่ามีกิเลสไหม แม้เป็นอนาคาฯกิเลสนอกหมดแล้วแต่ก็มีสัมผัสกับโลกอยู่ตลอดไม่ได้หนีโลก แม้อรหันต์ก็อยู่กับโลก

 

พวกเทวนิยมไปหลงสร้างภพในจิต มีแต่ตัวตนหรือฤาษีชีไพรก็มีแต่ตัวตน เขากดข่มหมักไว้เก่งมากพระพุทธเจ้าถือว่าหมักหมมเน่าใน โดยเป็นอาสวะ เป็น Unconscious เหมือนนำ้หมักดอง ที่ดูเหมือนไม่มีพลัง แต่มันมีการแตกตัวตลอด มันเป็นชีวะมีการเคลื่อนไหวตลอด แตกตัวในมนายตนะ ออกลูกหลาน อย่างพวกยีสต์พวกนี้น่ะ ทำงานอยู่แต่คุณไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ มีวิธีกระแทกมันออกมาแล้วเกิดการสว่างได้ แต่ว่าวิธีฤาษีจะรู้เข้าไปดิ่งเข้าไปหาข้างในก็ไม่มีทางรู้ได้ แต่ของพุทธกระแทกออกมาเพื่อทำนิโรธ อย่างมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง นิโรธอย่างมีจักขุมาปรินิพพุโพติ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:51:21 )

570713

รายละเอียด

570713_พ่อครูเทศน์ในงานข้าวคุณธรรม ที่วัดป่าติ้ว เรื่อง ทฤษฎีพ้นทุกข์แบบพุทธ

พ่อครูว่า...เจริญธรรมซูผู้ซูคน ….ปีหนึ่งก็ได้มาครั้งหนึ่ง หลายแห่งก็ไ่ม่ได้ไป ข้อสำคัญคือต้องทำข้าวแนวที่เราทำ คือแบบสะอาดบริสุทธิ์ พวกเรามีปุ๋ยมีส่ิงที่เอื้อ มีฝุ่นดีอยู่ในพวกเรา มีโรงปุ๋ย โดยเฉพาะอำนาจเจริญไปประกวดชนะเลิศข้าวอันดับหนึ่งของโลก เพราะใช้ปุ๋ยงอกงาม พวกเราก็พยายามผลิตให้ดี เป็นศูนย์ข้าวคุณธรรม เราทำของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ

 

เรื่อง เงินเชื่อ เป็นกันทั้งโลกทุนนิยม เป็นหนี้ก็ผูกคอตายฆ่ากันตายก็เพราะเงินเชื่อ ถ้าใครรักษากฎสามสี่ข้อนี้ได้ก็พ้นทุกข์คือ 

1.อย่าเป็นหนี้ ในชีวิตต้องเลิกหนี้ให้ได้ ทำไม่ได้ก็มาหาพระหาเจ้าปรึกษา

2.เลี้ยงตนรอด ทำมาหากินเรา ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ไม่รบกวนใคร

3.ทำให้เหลือกินเหลือใช้

4.แจก ไม่แจกก็ขายถูกๆ ขายเอาบุญได้กุศล

 

ซึ่งคำว่าบุญกับกุศลนี้ต่างกัน ใครทำได้ 4 ข้อนี้พ้นทุกข์ ชีวิตสบายแน่นอน ใครไม่เชื่อก็ลองทำดู ใครไม่พ้นทุกข์ปรับอาตมาได้ การไม่ต้องเป็นหนี้นี้ดี เราไปหลงว่าอันนั้นอันนี้ก็น่าได้น่ามี เหมือนเขา เขาเอาขี้หมาทาสีมาก็หลงซื้อกัน หมายความว่าของมันไม่ได้เรื่อง ของทิ้งของเน่าก็เอามาหลอกทาสีกลบกลิ่นก็ไปหลงซื้อมาห้อยไปทั่ว

 

เขาบอกว่าถ้าอยากรวยนี่ให้หลอกผู้หญิงเรื่องสวยเรื่องงาม หลอกตรงไหนก็เชื่อ เราอย่าให้เขาหลอก คิดเรื่องหลอกนี่ไม่มีวันจบ ปรุงแต่งกันไม่รู้จบ รูป รส กลิ่น เสียง  สัมผัส ทั้งนั้นปรุงเข้าไป สังขารเข้าไปเอามาหลอก หลอกแย่งกันซื้อมากก็ขึ้นราคา โลกทั้งโลกทำเช่นนี้ เป็นของหลอกจริงๆ พยายามเรียนรู้ให้ทันลดละอย่าติดหลง พยายามเข้าหาสาระ

 

เสื้อผ้าก็กันร้อนหนาว กันอุจาด กันแมลงสัตว์กัดต่อย นี่คือสาระ แต่ทุกวันนี้ใส่เสื้อผ้าก็เพื่อสวยงาม เขาหลอกอย่างไรก็ถูกอย่างนั้นไปเชื่อเขา เสียงก็หลอกกันไปต่างๆนานา เชื่อเขาไปหมด จะเป็นกลิ่น สัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็งมันเป็นอุปาทาน ที่ไปหลงว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น ได้สัมผัสเสพ อัสสาทะ ก็ได้แค่นั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่าเรื่องหลอก อัลลิกะ เป็นความสุขที่ไม่มี พระอรหันต์ไม่มีรสแซบ นัว หรือสุขเพราะรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียดสี พระอรหันต์ไม่มีอาการนั้นในจิตเลย สัมผัสเท่าไหร่ก็ไม่เกิด นี่คือผู้หลุดพ้น

 

แต่ถ้ายังแซบ ยังสวย ยังไพเราะ ยังหอมอยู่ อย่างนี้มันหอมมันเหม็นก็เป็นเรื่องของมัน มันก็มีกลิ่น ไปตามธรรมชาติ แต่มันมีของแปลกปลอม ที่เราพอใจไม่พอใจอันนี้แหละของกิเลส มันเค็มมันเผ็ดก็รู้ อาการของจิตมันมีแทรก ต้องอ่านให้ดี ผู้ไหนลดกิเลสได้ก็ตรงอ่านแยกให้ออกว่า รสธรรมชาติ กับรสกิเลสมันต่างกันอย่างไร ต้องแยกอาการออก ถ้าแยกไม่ออก แยกไม่เป็นก็ไม่บรรลุเป็นอรหันต์ แยกได้จึงทำการดับได้ถูกนิโรธได้ถูกทาง

 

พระอรหันต์แต่ไม่รู้รส รูป กลิ่นเสียงที่ติด บอกว่าอันนี้แซบเอามาอีกเด้อ ติดขนม ติดน้ำหวานน้ำเปรี้ยว เท่านี้ก็อ่านไม่ได้ เพราะโสดาบันแท้ก็รู้แล้ว มันติดมากก็ลดมาเลิกได้เป็นโสดาบัน รู้สาเหตุ ว่าการแซบ การนัว รสอัสสาทะ รสอร่อย อิฏฐารมย์ เป็นอย่างไร มันแรง มันเบา อย่างไรก็รู้ ถ้ามันเหลือน้อยก็เบาถ้ามันเหลือแรงก็หนัก เหลือน้อยกับหมดก็ต้องรู้ว่ามันมีอยู่นะ ก็จะยากตรงนี้แหละเหลือน้อยกับหมด ไม่สังเกตก็ไม่รู้ว่ามันมี ไปหลงว่ามันหมด แต่มันก็มี มันไม่ตายง่ายๆนะ เชื้อจุลินทรีย์เชื้อกิเลสมันไม่ตายง่ายๆ อย่าไว้ใจมัน

 

นี่เป็นเรื่องปรมัตถ์ เรื่องโลกก็บอก เรื่องข้าวแสนตันก็เอาจริงกันให้ได้ ตอนนี้ คสช.ก็ตะแคงหูใส่พวกเราอยู่ ทำให้ดีๆ เรื่องข้างอินทรีย์เราพอมีชื่อเสียงพอสมควร ก็พยายาม แม้เขาไม่เอาเราก็ทำของเรา สร้างให้เป็นหลักฐานของมนุษย์ อย่างน้อยที่สุดเรามีเหลือเกิน ขายไม่ออก เราก็แจกกัน ไม่ต้องหลงรวย คนหลงรวยนี่ไม่ดี ถ้ารวยแล้วดี พระพุทธเจ้าไม่ทิ้งสมบัติออกบวชหรอก คนมีน้อยก็ยังไม่สละก็แย่แล้ว

 

อาตมาพาทำสาธารณโภคี เราไม่มีสิทธิ์ดึงเอาของส่วนกลางเป็นของตัว แต่เรามีสิทธิ์ร่วมใช้ จะสุรุ่ยสุร่ายใช้เกินเฟ้อก็มีคนบอก เราก็กินใช้ตามสมควร สาธารณโภคีนี้สูงกว่าคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการแจกจ่ายให้ทั่ว ถ้าคนแจกไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่ตัวก็อยู่กันอย่างสงบ ทั่วถึง โลกต้องการเช่นนี้ ประชาธิปไตยก็ต้องการเช่นนี้ กิเลสมันโลภมาก มันก็เอาเปรียบไป ผู้บริหารถ้าไม่โลภก็แจกจ่าย ซื่อสัตย์สุจริต ผู้ใดเหมาะสมก็แจกจ่าย

 

อาตมามีชีวิตกี่ชาติก็แล้วแต่ก็พาทำเช่นนี้ จะเป็นระบอบไหน จะเป็นสมบูรณายาสิทธิราช มีหัวหน้าใหญ่ก็ถ้าไม่มีกิเลสก็ย่ิงดีมาก มีคุณธรรม สัปปุริสธรรม 7 ประการ ก็จะแจกจ่าย สังคมก็สงบสุข สังคมโลกต้องการคุณธรรมมากที่สุด นอกนั้นเขาทำได้ทุกอย่างเรื่องเทคนิคโลกเก่งมากแล้วมีมากแล้ว ไม่ขาดแคลน แต่คุณธรรมขาดแคลนมาก เราต้องรีบทำ ของขาดแคลน สร้างคุณธรรมใส่ตนเอง เราต้องสร้างให้ทัน ให้พอ ให้เหลือ เพราะคุณธรรมขาดแคลนมากในโลก พลโลกมี เจ็ดพันกว่าล้าน ก็ขาดแคลนคุณธรรมมากที่สุด เราสร้างให้เต็มที่เลย

 

คนรวยคุณธรรม คือคนไม่รวย....รวยคุณธรรมแต่ไม่รวยทรัพย์วัตถุ สมบัติพัสถานไม่รวย รวยคุณธรรมคือคนพอ เสื้อผ้าหน้าแพรก็พอเพียง ไม่หลงสวยงามใหญ่โต เอาพออาศัยไม่เน่าเสีย พอเป็นไปพออยู่เราก็เป็นคนง่ายไม่มักง่าย เป็นสุภระ เลี้ยงง่ายไม่เรื่องมาก ไม่เป็นคนไปยากมากยาก กินยากอยู่ยาก คนเช่นนี้ทุกข์

 

คนเลี้ยงง่ายไม่มักง่าย แต่เป็นคนไม่ติดยึด ทำมากสร้างมากแต่ไม่หวงแหน ทำแล้วแจกจ่ายให้ อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ทำสร้างส่ิงที่สมควร สิ่งไม่ควรไม่สร้าง เช่นสมมุติว่า ในโลกนี้ไม่มีคนกินเหล้าสักคนเลย จะสร้างโรงเหล้ามาทำไม? แจกก็ไม่มีใครเอา อย่าว่าแต่ขายเลย นี่คือหลักสัจธรรม เราไม่ต้องไปล้มโรงเหล้าโรงฝิ่น แต่เราทำสร้างคน ให้มีคุณธรรมว่าอย่าไปอยากได้อยากมีอบายมุขอย่างนั้น แต่ถ้าคนไปติดมีมากกว่าคนไม่ติด คนก็ไปเอาขึ้นหลังคาไปเอาเหล้าเลย มันก็ขายได้ต่อไป

 

ศาสนาพุทธไม่ได้สอนอย่างอื่นมาก แต่ให้รู้ความติด เลิกความติด จนไม่ติดได้ แต่อาศัยได้อาศัยได้แต่ไม่ติดยึด เช่น ไม่ติดข้าวอร่อย แต่เรารู้ว่าข้าวคุณภาพดีอย่างไร มันหอม มันอ่อนแข็งอย่างไร ดีอย่างไรเราก็รู้ ว่ามันเป็นคุณภาพข้าวดี แต่เราไม่ติด ไม่เกิดอาการใจฟู สัมผัสแล้วมันหอม หวาน เราไม่ยึดไว้ มันตรงสเปคเราไปยึดไว้ก็ติดสิ แต่ถ้าเราไม่เกิดอาการฟูใจ เป็นอิฏฐารมย์ เรารู้คุณภาพมันอ่านออก แต่เป็นของดี เป็นเครื่องอาศัยที่ดี แต่ใจเราไม่ฟู ไม่กระเพื่อม ไม่ดูดไม่ดึง นี่คือปรมัตถ์สูงระดับ นิพพาน เป็นอาการ ลิงค นิมิต อุเทส มันไม่มีรูป เสียง กลิ่น แต่มันมีอาการไหว ส่ิงนี้ชอบ ก็มีดูด ส่ิงนี้ชังก็มีอาการผลัก มันไม่มีรูปให้ดู แต่มันมีอาการ อันนี้ชอบมันดูด ไม่ชอบผลัก แต่อันนี้ไม่ดูดไม่ผลักก็กลางๆ แต่รู้คุณภาพว่ามันดีไหม แต่ก่อนเราไปหลงว่ามันมีสาระ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่มีสาระให้เราก็ไม่เอา แม้ส่ิงมีสาระเราก็ใช้ได้แต่ไม่มีอาการกระเพื่อมของใจเลย

 

ศาสนาพุทธนี้ไม่แยกปฏิบัติธรรมว่าต้องไปนั่งหลับตาทำ แต่มรรคองค์8 นี้มีครบหมด ไปนิพพานได้ กระทบก็ให้รู้ กำลังทำอาชีพก็ให้รู้ขณะทำงาน มีคนมีของมาเกี่ยวข้อง ตะหลิวมันหักก็ไม่ต้องไปโกรธมัน ไม่ถือสา คนก็เช่นกัน เขาก็เป็นของเขา เป็นเหตุปัจจัยให้เรารู้กิเลส มีผัสสะแล้วเกิดกิเลสก็จับให้ทัน กำจัดให้ได้ เป็นของจริง ในทุกกัมมันตะ ในอาชีวะ ปฏิบัติเช่นนี้แหละไปนิพพานไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่ทำการงาน ที่มิจฉาทิฏฐิว่าไปอยู่ป่าเขาไม่ทำการงานนี่คือไปนิพพานนี่ผิด แต่เราก็รู้ธรรมวินัยว่าทำกับข้าวขุดดินนี่ผิดวินัยเราก็ไม่ทำ ไม่ต้องปลูกผักก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องอยู่กับการทำกับข้าว ไม่ต้องอยู่กับการปลูกพืชผัก ก็อยู่ได้สอนบอกเขาได้ แต่อย่าให้เกินเป็นกิเลส เช่นทำกับข้าว ก็ไปหลอกเขาให้เกิดกิเลสเพ่ิม เช่นให้แซบหลาย เรารู้ว่าปรุงแซบหลายก็เป็นกิเลส เราก็ลดแซบลงมา แต่ว่าถ้าไม่แซบเลยคนก็ไม่กิน ตายก่อนก็ได้ เราทำช่วยเขาได้ เป็นต้น อย่างอื่นก็เช่นกัน ต้องลดกิเลส อย่าลดคุณภาพธาตุอาหารโภชนาการ แต่ลดรส กลิ่น ที่ติด ไม่ใช่ลดธาตุที่ให้คุณค่าเลี้ยงร่างกาย นี่คือสาระ ไม่ต้องเสียเวลาเปลืองกับมัน เราไ่ม่ได้แยกปฏิบัติ เมื่อตนเองทำได้ก็สอนคนอื่นได้ ถ้ามีหลักวินัยว่าห้ามทำก็ไม่ต้องทำ

 

จะมีข้อกำหนดสูงให้ลดละก็เลิกละ อย่างสมณะมีกำหนดวินัยเช่นนี้ทำไม่ได้ แต่สิกขมาตุให้ทำได้ก็ทำ บอกให้ทำ เช่นบอกให้ตัดต้นไม้ไม่ได้ ฆราวาสมาถามพระท่านก็บอกให้ตัดไม่ได้ แต่สิกขมาตุนี่ตัดต้นไม่ได้ สิกขมาตุตัดสินไม่ได้ก็มาถามสมณะ สมณะก็บอกสิกขมาตุ แต่สิกขมาตุไม่ต้องบอกเอง แต่สิกขมาตุไปบอกให้ฆราวาสไปตัดต้นไม้ได้ไม่ผิดวินัย ก็เป็นโซ่ข้อกลางช่วยกันได้อยู่อย่างสาธารณโภคี

 

เรามาพูดเรื่องข้าวแสนตัน ทุกวันนี้พวกเรารวมกันแล้วเรื่องข้าวคุณธรรม เราได้ปีละเท่าไหร่ ได้เป็นพันตัน ซึ่งพันกับแสนนี้ไกลกันนะ ใครไม่หวังแต่อาตมาหวังไม่ได้ชาตินี้ก็ชาติหน้า มันไม่เสียหรอกถ้าทำได้มาก คนทั้งโลกกินข้าวกันมากที่สุด ดีที่สุด มากันหลายแสนปีแล้ว อาตมาว่าชาวอโศกเป็นตัวตั้งของมังสวิรัติถือว่าได้ ผู้ใดยังไม่กินมังสวิรัติยังไม่เป็นอโศกแท้ ต่อไปเราจะทำข้าวคุณธรรม ถ้าเราสามารถเป็นผู้นำเป็นเจ้าแห่งข้าวคุณธรรม ให้มันมากกว่านั้นก็ได้ ทำงานอื่นด้วยไม่ขาดแคลน ถ้าเรารักษาสถานะนี้ได้

 

เช่น ปีนี้ได้สัก สองพันตัน ถ้าได้สิบพันก็หมื่น สิบหมื่นจึงเป็นแสน ก็ยังไกลกัน เอาอย่างนี้ ให้ได้ ห้าพันตัน ปี 58 นี้เอาสัก ห้าพันตัน เสร็จแล้วตรวจสอบมันได้สี่พันสอบได้ไหม ถ้าเราจะเอาห้าพันแต่ได้สี่พันก็สอบได้ สัก 80 % แต่ถ้าเราได้ต่ำกว่าสองพันก็สอบตกเลยขายหน้าตายเลย ถ้าเคยได้สองพัน ก็มาเป็นสามพันก็มีอัตราก้าวหน้า

 

เราทำนี่แหละทำเป็นอาชีพสร้างข้าว ใครเคยได้ยินอาตมาว่า ข้าวไม่ใช่สินค้า ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน คำว่าแบ่งปันนี่ถ้ามีความจำเป็นต้องขายก็ต้องขายตามจำเป็น แต่ไม่ใช่เป้าหมายอย่างทุนนิยมที่มุ่งขายเอากำไรให้ได้มากที่สุดเป็น Maximize profit นี่คือบาปมากเป็นของตนและ เป็นโทษภัยต่อโลกด้วย

 

นี่เป็นงานการเมืองภาคประชาชน ช่วยคนทำมาหากินให้ถูกต้องสมสัดส่วนตามหลักเกณฑ์สังคม ไม่ต้องไปหลงโลก อาตมาภูมิใจพวกเราชาวอโศกไม่ไปหลงอบายมุข คนทางโลกเขาเอาดารามาหลอก เอานักฟุตบอลมาหลอก เขาของปรุงแต่งมาหลอก แต่ชาวอโศกนี่เหมือนคนบ้านนอกไม่มีใจอยากได้อยากมีอยากเป็นอย่างเขาเลย แม้ว่าเราไม่ได้ก็ไม่ตกตำ่ไม่ขาดกินอยู่ เพราะอย่างนั้นเป็นส่วนเกิน เราไม่มีก็ได้ ไม่มีกลับยิ่งเจริญ ไม่มีการสูญเสีย เวลา ทุนรอน แรงงาน เราได้กลับมาทำสาระไม่สูญเสีย เวลา ทุนรอน แรงงานไปกับสิ่งไร้สาระ นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์

 

เลิกอบายมุขไม่ต้องเสีย เวลา ทุนรอน แรงงานไปกับอบายมุข นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ ตามหลักพระพุทธเจ้า ทำได้แต่รูปธรรมก็เป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าทำได้ถึงใจก็เป็นโสดาปัตติผล กับเรื่องอบายมุข เขาจะทำมาหลอกล่อเราอย่างไรก็รู้ทันไม่หลง เพราะมีทั้งปัญญาและจิตหลุดพ้นแล้ว

 

เร่ิมต้นที่ศีล 5 ที่ว่าเราติดหยาบๆ ไม่ต้องเหมือนใคร แต่เรารู้ว่าเราติด เราทำใจให้เลิกติดยึดได้ เราจะได้มาสร้างมาก่อนทางธรรม เอาแรงมาสร้างปัจจัย 4 มาสร้างบริขาร แม้แต่โทรทัศน์ แว่นตา หรืออย่างอื่นก็เป็นบริขาร ที่เฟ้อเกินเราก็ไม่เอา อย่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมีสิ่งเฟ้อเกินมาก เราก็ใช้พอสมควร แต่ถ้ามันมีความเร็วมาก แต่มันมีสิ่งเฟ้อมาก มันก็แพง แต่ถ้าจิตผู้ใดไม่มีกิเลส ก็จะรู้ว่ามีสิ่งดีสิ่งแฝงไม่ดีอะไร ถ้าจำเป็นแม้แพงเราก็ใช้ แต่ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่ใช้ สิ่งเกินเฟ้อในคอมฯมีสัก 70 ส่วน ส่ิงที่ต้องใช้ได้ก็แค่ 30 ส่วน เครื่องคอมฯอาตมาเขาหาให้ทั้งดีและเร็วแต่อาตมาใช้ในสิ่งที่จำเป็น ทำเท่าที่อาตมาจำเป็นก็หมดเวลาแล้ว

 

เราทำอย่างไม่ให้ตนเองเสื่อม เสื่อมแน่ๆคือกิเลสมากขึ้น ความเจริญคือต้องให้กิเลสตาย ศาสนาพุทธสอน สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ให้อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก แต่พวกโลกันตะนั้นหนีโลก เข้าป่าเขาถ้ำ พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้หนีออกป่า แต่มันมีภาษาป่า เพราะยุคพระพุทธเจ้าตอนออกบวชก็ออกป่า ในศาสนาพุทธไม่มีคำว่าพระป่าพระบ้าน เพ่ิงมาแยกกันในภายหลัง แล้วไปหลงอีกว่าจะบรรลุธรรมต้องเข้าป่า

 

มันเป็นความดำ แต่ไปเข้าใจว่าขาว เข้าใจว่าพระป่าเป็นพระสัมมาทิฏฐิเสียอีก ศาสนาพุทธนั้นสอนให้มีลักษณะตรีลักษณ์ คือโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ คือเหนือโลก รู้โลก ช่วยโลก สามหลักนี้ที่เห็นสัญญลักษณ์มือของพระพุทธาภิธรรมนิมิตนี้

 

ศาสนาพุทธนี้อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก ตั้งแต่ กาม ในกามหยาบมีอบาย หมดอบายก็มาล้างกามต่อ จากโสดาฯมาเป็นสกิทาฯ ทำอย่างลืมตา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาหรือไปเพ่งกสิณ เพ่งพระพุทธรูปให้จิตจดจ่ออยู่กับพระพุทธรูปหรือเพ่งแก้วใส อย่างนี้เป็นลักษณะกดข่ม สมถะ แต่พุทธต้องพิจารณาว่ามันไม่เที่ยงอนิจจัง แล้วมันก็ทำให้เราทุกข์ หากเราลดมันก็ลดลงได้ และในที่สุดมันหายไปได้หมดได้ มีนิโรธ เราก็ทำอีกให้หมดถาวร มันไม่เที่ยงก็เที่ยง กิเลสไม่มีนี่แหละเที่ยง เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  ฟังดีๆ ทำให้มันถูกมันไม่ยากทำได้ ทำไปแล้วเป็นอรหันต์ไม่รู้ตัวเลย เมื่อรู้ตัวก็สำเร็จเสียแล้ว ทำได้อย่างนี้เลย

 

พิสูจน์ได้ว่ามันมี อ่านรูปธรรมนามธรรม จิตเจตสิก อ่านนามรูปได้ มีนามรูปปริเฉทญาณ ให้รู้ตัวกิเลส สักกายะ อัตตา ลดให้มันน้อยลงๆ ตัวอัตตาก็น้อยลงเหลือเพียงอนุสัยอาสะ จนมันหมดไปได้เลย ทำได้แล้วก็อยู่กับโลกเขา แต่ก่อนนี้ไปเป็นลูกมือของห้างขายเหล้ายา แต่ตอนนี้เราก็เลิกแล้ว ทำแต่สิ่งที่ควรทำเอาเวลา แรงงาน ทุนรอนมาทำสิ่งดี เศรษฐกิจก็ดี เราเลิกอบาย ไม่ไปนิยมชมชอบกิเลส มันก็ค่อยเป็นมาๆ อาตมาตั้งไว้ว่า 500 ปีจึงรุ่งเรือง แต่ตอนนี้ทำมาๆ มันดีเกินคาด น่าจะไม่ถึง 500 ปี ขนาดอาตมาคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ มาหาผู้ช่วยเอาข้างหน้า ก็เท่าที่เห็นนี่แหละ เร่ิมแต่หน่วยน้อยที่สุดจนเป็นได้ เขาไม่กล้าล้มอโศก เขารู้แล้วว่านี่ของจริง อาตมาว่านะ ก็ไม่ต้องไปท้าทายเขา

 

เราทำความลดละไปของเรา ตามรู้ตามเห็นความไม่เที่ยงเป็นอนิจจานุปัสสะ ทำให้กิเลสลดลงได้เป็นวิราคานุปัสสะ แต่ก่อนเราเคยติดหลงสิ่งเฟ้อเกิน เรามีอาการดูดดึง แต่ตอนนี้เราทำให้มันลดละจางคลาย ลดความดูดดึงลง เป็นวิราคานุปัสสะ จนทำให้มันไม่มีอาการเลย แม้จะสัมผัสอยู่แรงอย่างไรก็ไม่เกิดดูดเกิดผลัก เป็นกลางได้ ก็เป็นนิโรธานุปัสสะ ทำต่อไปให้แข็งแรง ผัสสะมาท่าไหนลีลาไหน แรงเบาแค่ไหนก็นิ่ง ไม่ดูดไม่ผลัก การนั่งหลับตาแล้วใจนิ่งไม่ยากหรอก มันเป็นของแห้งด้วยไม่ใช่ของจริง ในพระไตรปิฎก ล.16 ให้รู้ผัสสะ 3

 

พระอนาคามี พ้นกาม แต่อยู่ในโลกกามาวจร เขามีอย่างไรก็รู้ เขาเป็นทาสเราก็รู้ว่าเขาเป็นทาส แต่จิตเราพ้นแล้วสบายแล้ว จะช่วยเขาถ้าทำได้ก็ช่วย ช่วยทั้งการโลกๆที่มีประโยชน์และช่วยให้ลดกิเลสทั้งตนและท่านเป็นอภยถะ เป็นประโยชน์สองส่วน ทั้งตนและท่าน เป็นการพัฒนาสังคมที่มีทฤษฎีสูงสุด

 

อาตมาพูดไปเขาก็เคือง เพราะเขาทำมานานแบบผิดๆ ปล่อยให้ผีครองเมือง ไทยเป็นพุทธกว่า 95% แต่มีคอรัปชั่นเต็มเมือง ดีไม่ดีก็ไปเป็นลูกไล่ผีมารเสียอีก สรุปแล้วศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาช่วยโลก อนุเคราะห์โลก โลกานุกัปายะ การหนีจากโลกเป็นเรื่องใจดำ ศาสนาพุทธนั้นหมดไป ต้องกู้กลับ จนที่สุดพระโพธิสัตว์กู้ไม่ได้ ก็ต้องให้พระพุทธเจ้ามาอุบัติเพื่อกู้ศาสนาพุทธ เพราะต่อไปคนจะมาแก้ไขก็ต้องเก่งกว่าอาตมา เพราะผีร้ายจะร้ายมากกว่า ไม่อย่างนั้นตาย ขนาดอาตมาไม่ตายก็บุญแล้ว เก่งพอสมควร รอดมาได้ เพราะเขามีเขี้ยวเล็บนะ ต่อไปจนกว่าไม่มีโพธิสัตว์ใดช่วยได้ก็ต้องปล่อยให้เสื่อมไปเรื่อยๆ ไฟประลัยกัลป์ก็จะไหม้โลก ในช่วงไม่มีศาสนาพุทธ เรียกว่าพุทธันดร ไฟจะไหม้โลก คนบาปจะตายหมด เหลือแต่คนที่มีบารมีเหลือก็ไม่แย่งกันเพราะมีคนน้อย จนกว่าคนจะมีมากขึ้นๆ กิเลสก็พัฒนาขึ้นๆ อีกนานเป็นแสนเป็นล้านปี ก็หยาบๆๆ เช่นตอนพระสมณโคดมนี่ก็ช่วยได้เท่านี้

 

พระพุทธเจ้าถ้าต้องมีกายกรรมวจีกรรมหยาบๆอย่างอาตมาก็เสียพระพุทธเจ้าหมด ไม่เหมาะกับสมณสารูป แต่อย่างอาตมานี่คนพออนุโลมมีคนไม่ถือสา แต่คนถือสาก็มี ก็ว่ากันไป

 

สรุปว่าศาสนาพุทธไม่ได้ออกป่า แต่อาศัยป่า ผู้ที่จำเป็นจะต้องออกป่าเพื่อตรวจสอบ คือ ใจเรามีติดยึดในโลกธรรมกามคุณจิตก็จะฟุ้งออกมาเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ ออกมา ว่ามันยังมีอยู่นะ และอีกอย่างคือไปตรวจสอบว่าจิตเราติดสงบไหม พระพุทธเจ้าเรียกว่า จิตจม กับจิตลอย....พระพุทธเจ้าสอนให้พิสูจน์ว่าจิตอยู่เหนือลาภยศสรรเสริญ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสได้จริง โดยอยู่กับโลกกับผัสสะแล้วก็ช่วยโลกเขาได้ ให้หลุดพ้นได้ ดังนั้นบางคนไม่ต้องออกป่าเลยก็บรรลุได้ เป็นบุคคลได้แต่โลกุตระแต่ไม่ได้เจโตสมถะก็มี แต่พวกฤาษีได้แต่เจโตสมถะไม่ได้โลกุตระไม่ใส่เสื้อผ้าเลยก็มี ไม่ใช้มีดโกนเลย ถอนผมเอาเลือดเต็มเลย มักน้อยสันโดษมากเลย แต่พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับแม้แต่เป็นโสดาบัน อดทนได้มากต้องนับถือ แต่ว่ากดข่มไม่ได้โลกุตระ ไม่มีวิปัสสนาญาณ เรารู้แล้วเราใช้เจโตสมถะได้เป็นการพัก ได้อาศัยอ่านจิตในภวังค์ ได้เตวิชโช ตรวจสอบสิ่งที่ได้ทำมาแล้วว่าเที่่ยงไหม เหมือนค้าขายต้องลงบัญชี

 

เมืองไทยอาตมาเคยพูดไว้ว่าเป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส อาตมาเห็นว่าคนไทยนี้เอาตมาได้เอาธรรมะโลกุตะสถาปนาลงไปจนเป็นหมู่กลุ่มได้อย่างนี้ถ้าจริงก็จะมีลักษณะนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แม้อาตมาจะตายก็ยังคงไปได้

 

คำถาม ปุ๋ยสะอาด ข้าวแสนตันข้าวกู้ประเทศ กับสามอาชีพกู้ชาติเกี่ยวข้องกันอย่างไร?....ปุ๋ยดีก็ทำให้ข้าวดี ข้าวเป็นอาหารหลัก ถ้าทำเกินเหลือก็ไปแจกให้เขาได้ เอาไปให้ต่างชาติไหนก็ได้ อาตมาสำทับแล้วว่าอโศกต้องเป็นเจ้าแห่งข้าวให้ได้เหมือนเป็นเจ้าแห่งมังสวิรัติ

 

ปุ๋ยสะอาด ก็พอเข้าใจ ขยะกู้ชาติเขายังมองไม่เห็น...ขยะนี่เอาง่ายๆมันรก ก็ต้องทำให้สะอาด และมันเป็นพิษเป็นบ่อเกิดเชื้อโรค ถึงเป็นโรคห่าได้เลยก็มี ก็ต้องบำบัด และขยะทางจิตวิญญาณ จะเป็นตัวหลักของการกู้โลกแท้จริง ถ้าทำให้ใจหมดขยะหมดกิเลสได้เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์มีแต่ของดีในจิตได้ แล้วจะไม่กู้โลกกู้ชาติได้อย่างไร ถ้าจิตดีก็จะระมัดระวังขยะไม่ให้เป็นพิษ ในของกิินของใช้เราก็ช่วยโลกตลอดเวลา แม้แต่มันรก เขาก็ว่าบ้านเมืองไม่เจริญ ถ้าสะอาดดีก็คือกอบกู้ชาติได้ จิตวิญญาณดีช่วยตนช่วยโลกได้ก็กอบกู้ชาติ

 

แม้แต่เศษขยะของทิ้ง มันสร้างขึ้นมารกโลกไม่มีวันหมด อาตมาตั้ง สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ ใครมีขยะมาบริจาคก็เอามา เราเอามาแยก 1.คนเอามาทิ้ง แต่เราเอามาใช้ซ้ำได้ Reuse 2.หลายอย่างซ่อมได้เราก็ทำRepair 3.เอามา Recycle 4.ใช้ไม่ได้จริงๆก็Reject  เราเปิดสำนักงานขยะวิทยา คนมีเงินฐานะดี เขามีของรกบ้านเขาให้มาก็ได้กุศล มันเป็นการสร้างเศรษฐกิจ จะหมุนเวียนหรือขายได้อีก ก็เงินสะพัด เกิดหมุนเวียน เป็นการประหยัดมัธยัสถ์ ตอนนี้ขยะจะท่วมโลก วัตถุดิบของโรงงานไม่มีวันหมด มีแต่จะมากขึ้นๆๆๆ เพราะว่าเขาหลอกกันเรื่อยๆ อย่างส่ิงหุ้มห่อสินค้า ขนาดติดเพชรติดทองมันก็คิดกำไรในเพชรในทองนั้นด้วย ก็จะมีเศษเหลือเป็นของทิ้ง แค่ Package ก็มีมากมายไม่หมดแล้ว อาตมาว่าต่อไปมหาวิทยาลัยจะตั้งวิชาขยะวิทยา ทั้งการวิจัย การปรับเปลี่ยน การแยกแยะ ต้องใช้วิทยาศาสตร์อย่างสำคัญเลยในขยะวิทยา การพาณิชย์การจัดการบริหารก็ต้องทำในขยะวิทยา เป็นเรื่องใหญ่นะ

 

ส่ิงที่ไร้ประโยชน์คือขยะ ยิ่งสิ่งที่เป็นโทษยิ่งเป็นมหาขยะ แต่ถ้ารู้ระมัดระวังก็จะใช้ประโยชน์ได้อย่างสำคัญเลย ก็ให้เลือกเอาว่าจะเอาวิธีไหน? อาตมาหาเรื่องที่ให้ทำล้ำหน้าไปไกลเลย แต่ขอยืนยันว่าอาตมารู้มาพอสมควรไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร?

 

วิญญาณตอนตายไปไหน? ก่อนได้ร่างเกิดใหม่เป็นอย่างไร?  นรกในภาพวาดกับสิ่งจริงเป็นอย่างไร?... ตอนตายไปไหน? ตอบ...วิญญาณคือธาตุรู้ของอัตภาพของตน ตายแล้วไปตามวิบาก จะมีผลวิบากเป็นนรกก็ไปนรก แล้วนรกอยู่ไหนก็อยู่ที่ใจ หรือไปสวรรค์ก็แล้วแต่ มีสถานที่ไหมไม่มี มีทิศทางไหม?ไม่มี ก็ไม่มีคำตอบไม่ต้องไปวิ่งหาเพราะไม่มีคำตอบ มันละเอียดกว่าทิศทาง สถานที่ ละเอียดกว่าพลังงานวัตถุ จิตวิญญาณอยู่ที่นี่ตายแล้วไปโลกพระอังคาร พระจันทร์แวบเดียวเร็วกว่าปีแสง แล้วมันก็ไป ตามที่มันต้องการ เช่นเอาง่ายๆ เช่นติดใจดาวหางลูกไหน ตายไปก็ไปหาดาวหาง ถ้าไม่ติดใจก็ไม่ไป มันละเอียดกว่าแสงสีเสียง น้อยกว่าหลายร้อยพันเท่า เวลาตอนเป็นสร้างวิมานหรืออะไรในจิตยึดถือไว้ ตอนตายก็ต้องไปตามวิบาก ไม่ได้อย่างที่สร้างปั้นหรอก มันเป็นของหลอก แต่สิ่งจริงคืออาสวะอนุสัยที่คือความอยากที่ฝังไว้ เป็นของจริง ที่ติดอยู่ในจิต แต่พุทธนั้นล้างอาสวะอนุสัยได้หมดไม่เที่ยงเช่นกัน สรุปตายไป ก็ไปตามวิบากเช่นไปเข้าท้องหมาปุ๊ปเลย

 

นรกในภาพวาดนั้นไม่เคยมีเลยในของจริง เช่น ยกตัวอย่าง นรกคนที่ผิดเรื่องกามจะต้องขึ้นต้นงิ้ว มันไม่มีต้นงิ้วจริงหรอกแต่มันมีต้นงิ้วทางนามธรรม เจ็บกว่าแหลมกว่าทิ่มแทงมากกว่าอีก เพราะที่วาดนี่มันหยาบ แต่จิตมันละเอียดกว่านั้น ที่จะไปแตะกับหนามงิ้วนั้นไม่ร้ายแรงเท่าตอนตายไป ที่ไม่มีทางออก ไม่มีทวารนอกให้ออกเลย มันจะจมไปกับวิบากจริงที่ไม่รู้ตัวเลย ไม่มีทางออก แม้มีทางออกแต่ไม่เคยได้ศึกษาฝึกฝนจิตเลย ได้แต่กดข่มไว้ ตายไปนั้นไม่มีทางออกไม่มีใครช่วยได้เลย ไม่รู้ไม่เห็นกับผู้ใดเลย ตกนรกสวรรค์เป็นของตนๆ ไม่มีใครแนะนำได้ ไม่ได้เหมือนภาพวาดเลย 


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:52:27 )

570713

รายละเอียด

570713_พ่อครูมาร่วมประชุมกับนิสิต วนบ. ที่เฮือนศูนย์ (งานตกคนเป็นเรื่องเจริญ)

คุณหมู....ว่า ตอนนี้เพื้อให้สอดคล้องกับข้างนอกเขา เราจะใช้คำว่า มหาวิชชารามนาวาบุญนิยม แทนคำว่า วิชชารามนาวาบุญนิยม 

 

เรากำหนดเบื้องต้นว่า 1 ปีการศึกษาจะมีอยู่ 2 เทอม แบ่งเป็นเทอมละ 6 เดือน และมีการปิดเทอมครั้งละ 15 วัน ส่วนวันสำหรับปิดเทอมแรกของการศึกษาคือสิ้นปี 31 ธันวาคม 2557 เริ่มภาคการศึกษาแรกวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

 

เทอมนี้เรียน7วิชาคือ

1.วิชาพุทธชีวศิลป์2หน่วยกิต

2.วิชาสรรค่าสร้างคน2หน่วยกิต

3.วิชาความรักสิบมิติ2หน่วยกิต

4.วิชาพุทธบูรณาการศาสตร์2หน่วยกิต

5.วิชาการบริหารจัดการกลุ่ม2หน่วยกิต

6.กิจกรรมลงฐานงาน

7.เรียนการใช้คอมพิวเตอร์2หน่วยกิต

 

การเรียน 05.00-07.00 น.ทุกวันจะเป็นวันเรียนคอมพ์ ในวัน จันทร์_อังคาร _พุธ_พฤ._อาทิตย์  รับได้แค่วันละ 15 คน แล้วเรามาเลือกกันว่าใครจะเรียนวันไหน?

 

วิชชาของพ่อครูมีเรียน 18.00_20.00 น.ทุกวัน  ยกเว้นวันอาทิตย์   ที่พ่อครูมีออกรายการวิถีอาริยธรรม  ...พ่อครูว่า เราจะเรียนกับพ่อครู 1 ชม.ครึ่ง แล้วให้สมณะมาช่วยดำเนินรายการซักถาม โดยพ่อครูก็อยู่ด้วยในการซักถาม  ทุกช่วงของการเรียนรู้คือการบันทึกแต่ละวัน เราต้องสรุปใจความให้ได้ คนไหนสงสัยก็ปรึกษาได้ในอีกชม.ต่อมาเลย จะมีการฝึกหัดบันทึกได้เลย 

 

1 หน่วยกิตก็คือ 1 ชม.ต่อสัปดาห์  ของพ่อครูแต่ละวิชชามี 2 หน่วยกิต ดังนั้น พ่อครู มีสามวิชชา มี วิชชาพุทธชีวศิลป์ วิชชาสรรค่าสร้างคน และวิชชา ความรัก 10 มิติ

 

วิชชาต่อมา เป็นวิชา พุทธบูรณาการศาสตร์ โดยอ.อภิสินธ์ เรียนเสาร์เว้นเสาร์เลขคู่ บินมาสอน  2 หน่วยกิต

 

อ.วิชัยจะมีการเรียน.... เป็นวันเสาร์เลขคี่ บินมาสอน  2 หน่วยกิต

 

วิชา กิจกรรมลงฐานงาน  12 หน่วยกิต เวลาเราลงฐานกิจกรรมจะเป็น 24 ชม.ต่อสัปดาห์

 

ตอนนี้เราแบ่งเป็น 11 กลุ่ม ในแต่ละกลุ่มควรจะมีคนที่ มีความหลากหลายที่จะมีการบันทึก มีวิชาที่ต้องช่วยกันบันทึก ยกเว้นวิชาที่เรียกว่าอัตชีวประวัติ ต้องบันทึกเอง  พ่อครูว่าเราต้องมีวิชาพื้นฐานที่คนทั่วไปเขาเรียนกัน เช่นวิชาภาษา ไทย อังกฤษ   คุณหมูว่าอยู่ในวิชาอัตชีวประวัติ ซึ่งมีการใช้คอมฯด้วย

 

สำรวจ ในแต่ละกลุ่มมีนักวิชาการไหม? พวกใช้การบันทึกเป็น  แล้วจัดสรรบุคลให้แต่ละกลุ่มมีนักวิชาการเข้าไปด้วย

 

คุณหนึ่งฟ้าว่า ให้รายงานการลงในรับทราบปัญหาในฐานงานให้พ่อครูฟังก่อน

 

อาเจี๊ยบ(จริงจัง) รายงานว่า...กสิกรรมเรามีหลายจุดหลายที่  พื้นที่ ประมาณ 200 ไร่ที่ไปดูมา เราไม่สามารถสรุปผลิตผลได้ว่า เพียงพ่อต่อความต้องการไหม แล้วยังไม่ได้สรุปว่าควรจะยุบจะเปลี่ยนการดำเนินงานอย่างไร  ยังไม่ได้สรุปว่าเราควรดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เจ้าของสวนว่ามาอย่างไร ทุกคนควรมาร่วมกันแก้ปัญหา   

 

คุณดีง่ายว่า ...ผมทำผิดพลาดที่ไปเอาสิ่งแวดล้อมดีก่อน ไม่เอามิตรดีก่อน

 

พ่อครูว่า... การศึกษาอย่างที่เราทำนี่ยังไม่มีหรอก ที่จะทำงานจริง เด็กเราเก่งงานจริง  เช่นงานช่างคนจองเลย การจะมีการศึกษา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา จึงเป็นการศึกษาใหม่ ต้องทำการแก้ไขปรับปรุงต่อไป เพราะเป็นการเริ่มต้น เราจะให้คะแนนอย่างไร ซึ่งยังไม่มีหรอกหลักสูตรพวกนี้ ทางโลกเขามีวิชาการมาเป็นที่หนึ่ง แต่ของเราเอาศีลธรรมมาก่อน  เหมือนดีง่ายว่าเอาสิ่งแวดล้อมก่อนมิตรดีก็พัง แต่ของเราเอางานนำวิชาการ  อาตมามั่นใจว่าเป็นคุณค่าแท้ของการศึกษา เรื่องเป็นงาน หากทำเป็นสัมมากัมมันตะ อาชีวะพร้อมแล้ว วิชาการไม่เก่งไม่เป็นไป มันไปรอด วิชาการดร.แต่ขันน็อตสู้ตี๋ไม่ได้ ไม่ว่าจะวิชาไหน วิชาคหกรรมศาสตร์เก่งแต่แกงสักหม้อไม่ได้ แต่พ่อครัวแม่ครัวแกงเก่งทำอาหารเก่งกว่า

 

อย่างเด็กนร.เราไปเรียนม.อุบลฯ 4 ปีนี่ได้เกียรตินิยมทุกปี คุณสังเกตให้ดีว่าเด็กเราเรียนไม่กี่คนแต่ได้เกียรตินิยม ไม่ได้ด้อยกว่าเขาหรอก วิชาการ แม้แต่ครูข้างนอกก็รู้  เราสอนศีลเด่น ก็รู้กัลยาณธรรมด้วย อาจารย์ที่สอนก็รู้ ว่าเด็กเราเป็นอย่างไร ก็เลยให้คะแนน  เรื่องงานหลายคนก็ติดภพเก่า การศึกษาที่ผู้ที่ศึกษามาแล้วต้องทำความเข้าใจให้ดี ให้ทำความเข้าใจใหม่

 

อาตมามาเห็นคุณพูดเรื่องกสิกรรม จะมีผู้มาช่วยทำเป็นโล้เป็นพาย พวกเราเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กนะ ทำงานจะมีผลเป็นกิจลักษณะให้เห็นเลย  แม้แต่เดี๋ยวนี้เราปลูกผักมากแต่คนไม่เห็นค่า แต่พวกเรานี่แหละจะทำให้เป็นคุณค่า ได้ผลผลิตมาก เก็บเกี่ยวมาให้ประโยชน์ได้ ใบมันแก่ก็ทิ้งร่วง แต่ที่จริงเอามากินได้ ถ้าปล่อยก็ผ่านไป เป็นต้น เราจะมีทักษะในสิ่งเหล่านี้ซับซ้อนขึ้น จะเจริญได้อย่างสำคัญ ทางโลกเขาเรียนวิชาการก็ทิ้งงานเลย อย่างมัธยมเขาก็ทิ้งงานเลย แต่เรียนวิชาการอื่นยิ่งทิ้งงานไปใหญ่เลย พวกเราเป็นนักศึกษาจริง มีการร่วมคิดร่วมทำร่วมรังสรร

 

อาสาธิต ...ว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่ด้วย ไปดูที่อุทยานฯเป็นที่แรก เราก็พบว่า สามารถแก้ปัญหาได้เฉพาะหน้า ปัญหาเป็นตามฤดูกาล ช่วงเข้าพรรษาคนก็มาเยอะ ช่วงงานเจคนก็มาใช้บริการมาก ทีมงานที่ทำร่วมมือร่วมใจแข็งแรงดี แต่ขาดกำลังคน ส่วนฐานเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแปรรูปอาหารสมุนไพร โรงปุ๋ย แชมพู และอื่นๆ เราพบว่าปัญหามีปัญหาเดียวเหมือนกันคือ ขาดคน

 

พ่อครูว่า งานตกคนเป็นความเจริญ จะถือว่าเป็นปัญหาก็จริงที่ต้องแก้ แต่ถือเป็นความเจริญ เพราะงานตกคน

 

อาสาธิตว่า...เราก็จัดการแก้ปัญหาได้ อย่างโรงปุ๋ยเราก็กระจายจุดออกไป คนที่จะไปช่วยทำก็มีศักยภาพในการทำ อย่างวัดป่าติ้วที่พ่อท่านไปวันนี้ ส่วนการบันทึกก็มีแต่ละฐานงานทำอยู่ แค่ไม่ได้เชื่อมโยงและเก็บให้ชัดเจน และให้สามารถรองรับคนทีี่

จะไปช่วยทำงานใหม่ๆ ส่วนผมก็บันทึกไม่ได้มากเพราะต้องเดินไปดูไม่ได้อยู่กับโต๊ะบันทึกได้ยาก

 

พ่อครูว่า ปัญหาที่คุณสาธิตว่า คือปัญหาที่ต้องพัฒนาไป แล้วมันจะจบไม่ได้ด้วย คือปัญหางานตกคน เพราะมันเป็นเครื่องบ่งชี้ความเจริญ ที่มันจบไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราทำนี่ ความต้องการของสังคมสูง เราก็ทำให้ไม่ทัน supply ไม่ทันกับ Demand นี่คือความเจริญ แต่ถ้ามันตายมันตันมันเฟ้อแล้วก็ไม่เจริญ ดังนั้นอย่าไปท้อแท้ ให้เข้าใจว่า เป็นความเจริญ

 

อาสาธิตว่า...ศักยภาพในการทำใจของพวกเราทำใจได้ดี

 

พ่อครูว่า..ใช่ เพราะเราทำใจได้ดีก็จะทำให้เกิดการเจริญพัฒนาได้ยิ่งขึ้นและไม่สูญเสียด้วย เพราะDemand ในสังคมมีสูง

 

หนึ่งดาว...เสนอเรื่องขาดคนทำงาน ที่ต้องการมากสำคัญมากคือ ขาดคนเก็บผัก ตอนนี้มีแรงงานคนเดียวจะเก็บส่งทั้งโรงครัวกลาง และอุทยาน ครัวพ่อครู ฐานน้ำสุขภาพอีก คือคุณเรือนแก้ว คุณดีง่ายว่า เขาเก็บจนหลับข้างทาง

 

พ่อครูว่า..ให้ตั้งแผนกเก็บผัก เราตั้งหัวหน้ากองแล้ว ลูกน้องก็มีแล้ว เสร็จแล้วก็ไปไม่รอด พวกเราเป็นนศ.ก็ต้องรู้ว่าเป็นความจำเป็นและความสำคัญ ให้มากขึ้นอีก

 

หนึ่งดาวว่า...วันนี้ไปช่วยพี่เรือนแก้วที่ท้ายบุ่ง ที่มีแพผักบุ้งก็เอาซาเล้งไปที่เฮือนสุดชีวิต ก็ต้องปีนลงฝั่ง ต้องข้ามแพไปถึง 3 แพ ไต่แผ่นไม้เพื่อข้ามไป ...แกอยากเรียนกับเพื่อนแต่ก็ต้องทำงานและต้องมาเรียนให้ทันเพื่อนด้วย พ่อครูว่าแปลกนะไม่ผอมเลย

 

พ่อครูว่า...สรุปว่าต้องช่วยกัน

 

หมอฟ้ารักว่า...เท่าที่อยู่ในกลุ่มนี้ เรือนแก้วนี้ พูดว่า เขาต้องทำงานที่ยากหนักในขณะที่เวลามีนิดเดียว

 

พ่อครูว่าเราต้องเสริมหนุนให้รู้ความจำเป็นในสังคม เป็นเรื่องดี เป็นความถูกต้องเป็นจริงไม่ใช่แค่ในทฤษฎีหลักการฝันๆ

 

หมอฟ้ารักว่า...กลุ่มเราทำการแก้ไขแล้วด่วนมาก 

 

พ่อครูว่า...อนุมัติทำเลย เมื่อเกิดการศึกษา วนบ. แรงงานของราชธานีอโศกต้องมาทำวนบ.มากเลย ต้องเสริมกลับให้เขาชดใช้คืนให้เขา ต้องทำเช่นนี้

 

หนึ่งฟ้า...ว่า การปลูกต้องควรปลูกในพื้นที่ที่เก็บได้ง่ายไม่ไกลนักด้วย

 

จริงๆ ...วันนี้ได้คุยกลุ่มย่อย ได้ข้อสรุปว่า ปัญหาชุมชนตอนนี้มีเยอะ น่าจะเอาปัญหาชุมชนมารวมกัน สรุปว่าอันไหนเร่งด่วนที่สุดเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา แต่ถ้าเราบริหารปัญหาให้ดี กำลังนิสิตนี่มีมาก ได้ข้อสรุปว่า น่าจะเอาปัญหาที่ฮอทที่สุด รูรั่วใหญ่ที่สุด ปัญหาที่ผมทำงานมารูรั่วของอโศกที่ใหญ่คือเรื่องของยานยน ควรแก้ปัญหาให้ลุล่วงก่อนแล้วปัญหาการจัดการเรียนการสอนการบันทึกก็จะลงตัวไปเรื่อยๆ

 

พ่อครูว่า...สิ่งที่เราจัดกับปัญหาชุมชนไม่สอดคล้องกันก็ค่อยๆปรับกันไป อาจมีสิ่งที่สำคัญก่อนหลังมาลำดับ ก็เริ่มต้นเรียกว่าการศึกษาจริงมีการพัฒนาจริงๆ

 

หลักบุญ...ผมเพิ่งสมัครเรียนวันนี้เอง....ผมเป็นฐานงานที่อยากนำเสนอคือผมทำโครงการข้าวแสนตัน มีทีมงานที่มาช่วยทำนาอยู่สองคน วางแผนว่าตอนนี้สมาชิกเกษตรอินทรีย์ที่มาขายข้าวให้บ้านราชฯมี 100�คน ผมต้องลงเยี่ยมทุกคน และทำการบันทึก และพัฒนา ผมอยากมีทีมงานที่ช่วยบันทึกเก็บภาพ ช่วยเขา เราทำหลักฐานชัดเจนก็ทำให้ชาวนาเขามีกำลังใจมีพลัง ผมจะฟอร์มทีมงานออกไปในอีกไม่นาน ผมได้คุยกับธกส.อุบลฯ เขาก็ว่าเขาก็กำลังทำ นโยบายคสช.เน้นให้ลดเคมี ให้ใช้อินทรีย์เพิ่มขึ้น เขาจะมาเชื่อมโยงกับเรา  ที่คิดไว้คือจะทำ 100 คนให้แน่น แล้วขยายสู่เครือญาติ ในปีต่อไปคนต้องเพิ่มขึ้น ให้มีอัตราเพิ่มเชิงบวกเป็นเชิงคูณต่อไป เราออกไปทำงานการเมืองภาคปชช. เราไปให้ประโยชน์แก่ปชช.ไม่ได้มาเอาประโยชน์ต่อปชช. แล้วมีทีมหมอเขียวอาจพ่วงไปด้วย ไปช่วยด้านสุขภาพกับปชช.ด้วย

 

พค.ว่า...มองเห็นแล้วว่าความเจริญคืองานจะตกคนมากขึ้น อันนี้เป็น Phenomenology เป็นการศึกษาที่มีปรากฏการณ์จริง เพราะไม่เคยมีเกิดในโลก ว่าชีวิตจริงไม่ได้แยกกับการศึกษา เราเอาการศึกษามาผนวกเหมือนกับ ศีล สมาธิ ปัญญา เขาแยกกันก็ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด ที่จริง มันเป็นองค์รวมเดียวกัน เหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า

 

ใจดิน...ไม่เข้าใจว่า การเรียนรู้ของเรา  ลงไปหาปัญหา หรือว่าเราเรียนเพื่อความเชี่ยวขาญ

 

พ่อครูว่า...เราไม่ได้ไปหาปัญหาแสวงหาปัญหา เพราะปัญหามีกระบุงโกยอยู่แล้ว แต่เราจะหาทางแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ไปหาปัญหาเพิ่ม นี่ที่เราพูดนี่แก้ปัญหาทั้งนั้น เรื่องมันมีอยู่แล้ว ที่ต้องใช้อาศัย จะบอกว่าการไปทำงานข้าวแสนตันจะเป็นโครงการใหม่ก็จริง แต่เป็นโครงการที่เป็นหน้าที่ และเราทำอยู่แล้ว  ไม่ใช่ว่าไปหาปัญหาใหม่มาอีก

 

นิสิตชื่อ...ยังข้องใจที่ว่า อ.หมู ว่าจะเรียนตั้งแต่  ตีห้า ถึงเจ็ดโมง แล้วแม่ครัวต้องทำอาหารแต่เช้าทำไง

 

พ่อครูว่า..เรากำลังเริ่ม ก็ต้องปรับกันไป อย่าติเรือทั้งโกลน

 

หนึ่งฟ้าว่า...ณ ขณะนี้ชุมชนอโศกมีปัญหา ทุกจุดทุกพุทธสถาน มีการขอแรงไม่หยุด สิ่งที่คุณจริงๆสะท้อนว่า เขาอยู่กับฐานรถยนต์มานานหลายสิบปี เราบอกว่าเราไม่ได้เร่งหารายได้ แต่เรื่องยานยนต์ก็ยังมี มีวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆกัน ใช้รถเก่าซ่อมมากกว่าซื้อรถใหม่ก็มี หรือจะซื้อรถใหม่เลยแต่แพงเลยก็มี  ทั้งหมดนี่น่าจะได้พูดคุยกันปุ๋ย สามหมื่นตัน ได้ข้าวแค่พันตัน

 

พ่อครูว่า..ปีนี้เราได้ข้าวสองพันตัน ปีต่อไปเราก็จะทำให้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่ได้รีบร้อนทำ

 

หนึ่งฟ้าว่า...การศึกษาเข้ามาช่วยปรับกระบวนทัศน์ เช่น การศึกษาจะช่วยพัฒนาฐานงานอย่างไรให้ได้ศักยภาพเพิ่ม ขึ้น ตอนนี้จะเหลือคนที่ต้องอยู่ข้างนอก ประมาณ 40 คน ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และก็จะเหลืออยู่ในพื ้นที่ลงฐานงานได้เท่าไหร่? ถ้าเราเห็นภาพรวมก็จะแก้ปัญหาง่าย เช่นฐานกสิกรรม มีพื้นที่กว่า 200 ไร่ แต่ต่างคนก็ต่างทำ เราจะจัดกระบวนการกลุ่มอย่างไร ให้เกิด SWAT

 

พ่อครูว่า...ที่เราพูดเราทำนี่แหละคือSwat จริง นี่คือตัวปฏิบัติจริง

 

หนึ่งฟ้าว่า ...เราควรมีวิธีทำงานอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพสูง โดยมองภาพรวมเดียวกัน จะได้ช่วยกันได้ถูกจุด ไม่ใช่ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ไม่ได้ผลเท่าที่ควรจะได้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:54:26 )

570714

รายละเอียด

570714_พุทธชีวศิลป์ คาบแรก ที่เฮือนศูนย์ฯ

พ่อครูว่า... วันนี้เป็นการเรียนพุทธชีวศิลป์ครั้งที่ 1 เริ่มต้นด้วยคำว่า พุทธชีวิศิลป์ มันคืออะไร หมายความว่าอย่างไรก่อน ให้เข้าใจ

พุทธ ยังไม่อธิบาย  เอาไว้ก่อน แต่ชีวะ กับ ศิลปะ ก็จะอธิบายก่อน

 

เราก็จะใช้ชีวิตหรือชีวะ ของเราให้อยู่กับพุทธ ให้เป็นพุทธ โดยมีศิลป์ ซึ่งศิลปะนี้อาตมาได้เคยพูดมาก่อนแล้ว ว่ามันต่างจากคำว่าศาสตระ เขาก็พูดคู่กันว่าเป็นศาสตร์และเป็นศิลป์

 

อาตมาก็ใช้ อาตมาเข้าใจว่าศาสตร์และศิลป์นั้นต่างกัน ก็ใช้กับสังคมทั้งคู่ ศาสตร์นั้นหมายถึงความรู้ครอบจักรวาลทั่วไป รู้เพื่อทำมาหากิน เพื่อเอาเปรียบบำเรอความอยากรู้ ส่วนศิลป์ก็มีคนพวกหนึ่งที่เข้าใจความหมายของศิลปะไปตามความรู้ทิฏฐิว่าเป็นศิลปะ ซึ่งก็จำกัดลงมาว่าเป็นสิ่งที่เป็นความรู้ความสามารถ

 

ศิลปะจะมีทั้งความรู้และความสามารถด้วยกัน

 

ศิลปะมี 5 ชนิดใหญ่ ที่เป็น Pure art แต่เดี๋ยวนี้เขาแตกแขนงไปหลอกกัน แต่อาตมาว่าศิลปะนั้นไม่ใช่สิ่งไปหลอกใคร แต่พระพุทธเจ้าให้คำความหมายศิลปะว่าเป็นมงคลอันอุดม ภาษาสันสกฤติใช้คำว่าศิลปะ  แต่บาลีใช้ สิปปะ ซึ่งเป็นมงคลอันดุม หรืออุดร หรืออุตระ แปลว่าเหนือกว่าสามัญ จะต่างกันศาสตร์

 

คำว่าศาสตร์นั้นเป็นความรู้ทางโลก ทั้งหลายแหล่ เอามาใช้เป็นคำว่าพุทธศาสตร์ก็เอามาเรียกแค่นั้น แต่ไม่ชี้บ่งชัดหรอก

 

ศิลปะถ้าความหมายของมันเองเป็นความรู้ ที่จริงเป็นความรู้อาริยะโลกุตระของผู้เจริญแท้จริง ถ้าเป็นระดับมงคลอันอุดมสำหรับศิลปะ  และเขาไม่หมายเฉพาะเป็นความรู้ แต่จะหมายถึงความเป็นด้วย ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอให้ทำให้เป็นมงคลอันอุดม เป็นอาริยบุคคลได้เลยยิ่งแจ๋ว เป็นอาริยชนเลย

 

อาตมาจึงตั้งคุรุเรียกนามฉายาคุรุของพวกเราว่า ถ้าเป็น ผศ.ก็คือผู้ช่วยศิลปาจารย์ ถ้ารศ.ก็เป็นรองศิลปาจารย์  ถ้าเป็นศ.ก็เป็นศิลปาจารย์ ไม่ใช่ศาสตราจารย์

 

ของเราจึงเป็นพุทธชีวศิลป์ไม่ใช่พุทธชีวศาสตร์ จะมีความมีชีวิตอย่างมีศิลปะ และระบุด้วยว่าต้องเป็นแนวพุทธแบบพุทธ หรือเป็นพุทธแท้ๆเลย ความรู้รู้แล้วทำได้แล้วจะเป็นคนอย่างไรก็คือเป็นอาริยชน เป็นโลกุตรธรรม ตั้งแต่

 

โลกุตรธรรมขั้น 1 คือโสดาปัตติมรรค

ขั้น 2 คือโสดาปัตติผล ....ต่อไปเป็นสกิทาคามีมรรค ...สกิทาคามีผล....ไปต่อจนอรหัตตผล และมีนิพพานอีก เป็นโลกุตรธรรม 9 เป็นผู้ที่มีพุทธชีวศิลป์

 

ถ้าทั้งประเทศมีคนที่มีอาริยธรรมเช่นนั้นมาก ก็เป็นอาริยประเทศ ถ้า% ของคนมีอาริยธรรม ตั้งแต่โสดาฯไปจนนิพพานเลย ก็เป็นศิวิไลซ์ แต่อังกฤษเขาไม่เรียก เขาเป็นประเทศคริสต์เป็นเทวนิยม ต่างจากไทยที่มีอาริยธรรม เป็นอเทวนิยม

 

สาระแท้ๆ อาริยธรรมก็ใช้คำว่า ศิวิไลซ์ ก็รู้กันทั่วสากลว่ามนุษย์ควรเป็นอาริยะ หรือศิวิไลซ์ เขามีความรู้จำกัดแค่เทวนิยมเป็นสูงสุด แต่ของพุทธก็ทำได้เหมือนเขา แต่ไม่ต้องข่มเขาเราก็เป็นอเทวนิยม เราก็มีความรู้กัลยาณธรรม เป็นโลกียกุศลเราก็รู้ด้วยเราไม่เป็นทาสสิ่งเหล่านั้น เรารู้ทั้งดีและไม่ดีของโลกียะ เช่นโสดาบัน เขานึกว่าไปเป็นดาราฟุตบอลได้เงินเยอะ ๆก็นึกว่าดี ทั้งที่ไร้สาระ มีแต่รสชาติบำเรออารมณ์ และก็แฝงธุรกิจ เป็นตัวการหมุนเงินอย่างสำคัญ อบายมุขเดี๋ยวนี้เป็นแหล่งหมุนเงินที่เร็วแรงทั้งเปิดและไม่เปิดเผย  เราก็รู้แต่ไม่ไปยุ่งกับเขามาก เพราะเขามีมากมาย มาเอาไม้จิ้มฟันจิ้มเราเราก็ตายแล้วเขามีมากจริงๆ ระดับเจ็ดพันล้านคน แต่ของเราเจ็ดหมื่น

 

พวกเราก็มีปัญญาตัดสินเองสมัครใจเอง ว่าจะไปทางไหน มันต่างกันคนละขั้วมองเผินเหมือนศัตรูกันห้ำหั่นกั้น แต่ว่าจริงๆแล้วเรากลับเป็นคนช่วยเขา เป็นคนสร้างสรรเสียสละ เราไม่ไปแย่งเขา เราละออกทิ้งออก ไม่ไปแข่งกันกับเขา ไม่เป็นตัวต่อสู้กับเขาไม่ได้เป็นเลย

 

ความเป็นอาริยะ ที่เราใช้คำนี้อาตมาเจตนาให้ต่างกับโลกเขาใช้ คำๆนี้เขาไม่ค่อยใช้นะ คำว่าอาริยะนี่ แต่มีอยู่ที่ชื่อพระ คือพระศรีอาริยเมตไตรย คือคุณสมบัติทางพุทธธรรมเลย ถ้ายุคใดมีศรีอาริยเมตไตรยคือยุคเจริญที่สุด ก็เหลืออาริยะมาให้เรา ส่วนคำว่าอารยะหรืออริยะเขาก็เอาไปใช้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปแย่งเขาเลย เราเอาอริยะกับอารยะมารวมกันก็เป็น อาริยะ  ซึ่งเป็นคำที่ตรงกับของพระพุทธเจ้าโดยธรรม ไม่ว่าเป็นคำว่าสมณะหรือเราไม่โกนคิ้วหรือเราไม่ใช่จีวรสีเหลืองก็ตรงกับพระพุทธเจ้าอีก ซึ่งมันจะตรงรูปและนามถ้าเป็นสัจธรรม

 

เนื้อแท้ของพุทธคือโลกุตรธรรม 9 แล้วขยายเป็นโลกุตระ 46 ตอนนี้อาตมาเจอ โลกุตระ 46 นี่สบายเลย จะเอามาเป็นหลักในการทำงานศาสนาได้เลย ล.31 ข.620

 

46 มาจากโพธิปักขิยธรรม 37 บวกกับโลกุตรธรรม 9 ก็คือโลกุตรธรรม 46  ถ้าผู้ใดสัมมาทิฏฐิปฏิบัติตั้งแต่โพธิปักขิยธรรม 37 มา ตั้งแต่พิจารณา กายในกาย ก็จะได้อธิบายกันอย่างสำคัญ  จะเป็นโสดาฯสกิทาฯ ก็ต้องมีโพธิปักขิยธรรม 37 ถ้าเอา 31 หาร 620 ก็จะได้เล่ม 20 พอดีเลย  ผู้ใดมีโลกุตรธรรมสมบูรณ์ 46 ก็เป็นอรหันต์ เป็นคนสมบูรณ์แบบ เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัวสอบได้ เป็นคนหมดความลึกลับแล้ว สูงสุดเรียกว่าอรหันต์ ไม่ลึกลับแล้วในความเป็นคนอยู่กับโลก มีจิตโลกุตรจิต มีโลกวิทู รู้โลก และมีประโยชน์อนุเคราะห์โลกเป็นโลกานุกัมปา สถาบันเราจะเป็นสถาบันสร้างคนไปรับใช้โลกไม่ใช่ไปขูดรีดโลก จะต้องสร้างให้เป็นความเจริญเช่นนี้จริง

 

 

พุทธเป็นปชต.สูงสุดยอดของโลก ที่เขาแสวงหา ซึ่งปชต.เขาแสวงหาอยู่นั้นบกพร่อง แต่ปชต.ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไรเขาก็ไม่รู้้ แต่ที่จริงปชต.ดีที่สุดเขาก็ไม่รู้เขาก็ว่าน่าจะมีระบอบอะไรดีกว่า แต่ที่จริงไม่ต้องหาระบอบอื่นเลย พระพุทธเจ้านี่ทำปชต.ได้สูงสุดยอดที่สุด เป็นระบอบที่มี โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ ไม่ว่าจะระบอบไหนก็สู้ไม่ได้ ทุกวันนี้ปชต.ของโลกหรือว่าระบอบไหนในโลกก็ถือว่าเป็นระบอบด้อยพัฒนา แม้จะเป็นมหาอำนาจเบ่งด้วยอำนาจด้วยเงิน มันไม่ใช่ปชต.แต่คือเผด็จการเชิงอำนาจและเงินตรา แต่ปชต.ที่ดีจริง มีคนกล่าวต่อโลกแล้ว คือKing ภูมิพลอดุลยเดช กล่าวต่อโลกแล้ว ถ้าคนอยู่ในระดับปัญญาชนเขาก็จะรู้  ท่านตรัสว่าประเทศเราไม่เอาแบบคนรวย นี่ก็ชัดเจนยืนยันได้ถึงพระปัญญาธิคุณว่าประมุขของไทยเป็นนักปชต.ระดับไหน ผู้รู้ก็มีพอรู้ สหประชาชาติจึงออกรางวัลรับรอง ว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของประมุขของไทยทั้งนั้น นี่คือความเป็นพุทธ  เป็นพุทธธรรม เป็นความรู้ที่มีศิลป์หรือศาสตร์ ที่เป็นมงคลอันอุดม

 

เราจะต้องเป็นผู้เข้าใจแล้วรู้เลยว่า หลักทฤษฎี วิธีปฏิบัติเหตุปัจจัย อย่างไร ท่านก็ตรัสภาษาไว้หมด โลกุตรธรรม 46 เป็นต้น ยิ่งผู้ใดปฏิบัติได้มีมรรคผลของกายในกาย เวทนาในเวทนา โดยปฏิบัติพากเพียร ด้วย สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน เป็นสัมมัปปธาน 4 แล้วก็มีสติปัฏฐาน 4 มีอิทธิบาท 4 มีอินทรี 5 พละ 5 มีโพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8 ทั้งหมด 37 ไล่ไปได้เลย ไม่ต้องท่อง ถ้าไม่มีหลักก็จำไม่ไหว แต่นี่มีลำดับชัดเจน  เป็นระบบระเบียบโยงใยปฏิสัมพัทธ์กันอย่างหมุนรอบเชิงซ้อน ทำงานร่วมกันอย่าง สุดสวยเก่งวิเศษเลย 

 

ท่านเอาฐาน มรรคองค์ 8 มาทำ แล้วก็บอกว่าศาสนาพุทธเกิด พระพุทธเจ้าอุบัติ ถ้าโพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8เกิดเมื่อไหร่นั่นคือพระพุทธเจ้าอุบัติ พระพุทธเจ้าเกิดคือโพชฌงค์7 เขาก็เข้าใจเพี้ยนว่าคือการก้าวเดิน 7 ก้าว แล้วอาตมาก็เคยถามว่าก้าวที่ 8 เป็นอย่างไรท่านก้าวต่อหรือเดินถอยหลังหรือล้มลง ไม่มีใครตอบอาตมาได้ อันนี้เป็นการไม่รู้แล้วก็ออกนอกภาวะ จากภาวะการก้าว 7 ก้าวของพุทธองค์  แล้วบางคนก็เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าเผยแพร่ไป 7 ทวีป ไปโน่นเลย   

 

โพชฌงค์ 7 ขยายมาเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ก็คือ

1. สติสัมโพชฌงค์ ก็คือ สติปัฏฐาน 4 

2. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็คือ สัมมัปปธาน 4 

3. วิริยสัมโพชฌงค์ ก็คือ อิทธิบาท 4

4. ปีติสัมโพชฌงค์ ก็คือ อินทรีย์ 5 

5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็คือ พละ 5

6. สมาธิสัมโพชฌงค์ . ก็คือ โพชฌงค์ 7

7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็คือ มรรคมีองค์ 8

 

และโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน คือ ศีล ซึ่งธรรมะพระพุทธเจ้าหลักคือ ไตรสิกขา  จรณะ 15 วิชชา 8 และ โพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละ ในมรรค 8 ก็ไม่มีคำว่าศีล แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่ไตรสิกขา จรณะ 15 มีศีล ขึ้นเป็นหัวข้อที่ 1 เลย

 

เริ่มต้นเลย ศีล คืออะไร?

 

ถ้าไม่รู้ว่าศีลคืออะไร ไม่เริ่มต้นด้วยศีลคือบาทฐานก็จบ หรือว่าไปเข้าใจว่าศีลไม่พาบรรลุธรรมก็จบเลยแต่ต้น หรือว่าต้องไปนั่งสมาธิโน่นเลยจึงบรรลุก็จบเลยเหมือนกัน เขาถือศีลกันก็ว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่ที่จริงก็คือไม่เบียดเบียนตนนั่นแหละสำคัญ  เขาว่าศีลปฏิบัติแต่กาย วาจา เท่านั้นก็ผิดแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสในกิมัตถิยสูตร

 

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึง อรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ นะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ

1.อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)  2.ปามุชชะ - ปราโมทย์ ความอิ่มเอมใจ มีความยินดี ระงับจากกิเลส 3.ความรู้ยิ่งในความจริง เบื่อหน่าย  วิราคะ 4.ปีติ  5.สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข ) 6.ปัสสัทธิ(สงบ)  7.สมาธิ( จิตมั่นคง ) 8.ยถาภูตญาณทัสสนะ   9.นิพพิทา (คลายกิเลส) 10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) ( เล่ม24 ข้อ1, 208 )

 

บุญนั้นจำเพาะไปเลยว่าคือการชำระกิเลส ซึ่งการลดกิเลสได้เขาก็ถือว่าเป็นความดีเช่นกันแต่กุศลเป็นคำกว้างๆ กุศลเป็นโลกุตรธรรมก็ได้ ไปถึึงที่สุดก็ได้ บุญมีที่ต้นและมีที่จบ จบแล้ว ไม่ต้องมีบุญอีก ส่วนกุศลนั้นไม่มีที่ต้นและไม่มีที่จบ เกิดตรงไหนก็ได้และให้บุญ ไปแทรกในกุศลได้ แต่ในคำตรัสอีก 4 ข้อก็คือโลกุตระแล้วคือจิตใจเริ่มลดทุกข์อาริยสัจจ์ ความเดือดร้อนใจคือ วิปฏิสาร ไม่ใช่เดือดร้อนกายนะ คำว่าอวิปฎิสาร ก็เป็นอานิสงส์ของศีล ข้อแรก และก็มีปามุชชะ หรือปราโมทย์คือความอิ่มใจที่ละกิเลสได้ และจะเกิดปีติ เกิดสุข เกิดสมาธิ มีคำว่าสมาธิเลยในอานิสงส์ของศีลและก็มี ยถาภูตญาณทัสสนะ นิพพิทา วิมุติญาณทัสสนะ สุดท้ายก็นิพพาน

 

ถ้าไม่เข้าใจว่าศีลนี้ปฏิบัติถูกต้องต้องมีผลที่ใจ ไม่ใช่แค่กายกับวาจา เพราะความเข้าใจผิดเรื่องศีล ไปเข้าใจเอาเองว่าศีลแค่ควบคุมกายกับวาจา เขาก็ไปไม่ออกแล้ว ไปเข้าใจว่าสมาธิต้องไปมีวิธีทำ โดยไม่เข้าใจว่าการเดินยืนนั่งนอนทุกกรรมกิริยา มีอาชีพอยู่เลย นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมมรรคองค์8 ครบไม่ได้ไปดับหยุดทำงานอาชีพกายวาจา เท่านั้น มันคนละเรื่องเลย

 

โลกุตระ 1 ตั้งแต่ กายในกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นองค์รวมไม่ได้แยกกันไว้ค่อยอธิบาย

 

เราอยู่กันเป็นหมู่กลุ่มก็ยิ่งมีคุณนิธิสั่งสม เป็นจิตที่มีโลกุตรจิต โดยที่รู้จักโลก ตั้งแต่โลกอบาย ดับเหตุแห่งโลกอบายก็รู้จักโลกระดับที่ 1 เขาอธิบายว่าโลกวิทูเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าเราต้องดับโลกสมุทัย จึงจะได้มีโลกนิโรธ จึงจะเข้าใจคำว่า มี และ ไม่มี

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกต้องอาศัยความ มี และ ไม่มี โลกวิทูไม่ใช่แต่เรื่องของพระพุทธเจ้าเท่านั้น โลกระดับต่ำคืออบาย เราก็ต้องรู้ว่าเราติดอะไร? อบายมุขของใครก็ของมัน อย่างอาตมาก็มีชาติชั่วของอาตมา บางคนก็ว่าอย่างนี้ชั่วหรือ? ก็แล้วแต่ใครติด ไปติดลาภยศอยู่นี่ก็ชั่ว ไปตุกติกเขา แม้จะไม่โกงเต็มรูปนี่ก็ถือว่าชาติชั่วแล้ว ทำได้สำเร็จด้วย ก็เป็นภาวะซับซ้อนกลับไปกลับมาก็มีบ้าง

 

ต้องสร้างโลกุตรจิตให้เหนือโลก ตั้งแต่โลกอบายก็เป็นโลกวิทูระดับอบาย ไม่ใช่ว่าหนีไปหลีกไป แต่ไม่ได้ดับโลกอบายที่จิต แต่พอทำได้แล้วดับโลกสมุทัยได้ มีโลกนิโรธแล้ว นี่แหละคือผู้มี เป็นอมตบุคคล รู้ทันโลก อยู่กับโลกได้อย่าง มีโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปา

 

ผู้มีคุณสมบัติตรีลักษณ์เช่นนี้ได้จริงคือผู้ครบ ก็อยู่กับโลก เราเป็นโสดาฯก็ช่วยคนเป็นโสดาฯ มีคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ที่อาตมาอธิบาย นี้ แม้แต่คำว่า ตรัสรู้ เขาก็ว่าตรัสรู้ใช้กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 

ตรัสรู้มาจาก ตรัส กับรู้ คือรู้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ตามพระอนุสาสนีย์ตรงเลย มีนิพพานเหมือนกันไม่มีส่วนเหลือ หมดสิ้นสภาพเหลือเชื้อเลย ไม่มี Overlap ซ้อนเต็มเลย ก็จะได้สภาพซ้อนเข้าไปจนเต็ม เนื้อหาของการได้ก็จะรู้โลกุตระ เคหสิตะ หรือเนกขัมมะ มี Intersect อย่างไร จนเต็มครบเลยตรวจสอบว่ามันเต็ม จะเหลือ Overlap อย่างไรก็ต้องตรวจสอบ ใช้คำว่าเหลื่อมซ้อนกัน

 

จะได้ไปตามลำดับ จริงๆแล้วการเกิด Overlap คืออรูปฌาน ตรวจสอบกำจัดสิ่งเหลือให้หมด อากาสาฯ  วิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญาฯ จนสมบูรณ์แบบนิโรธแบบสนิทไม่เหลือเศษเลย นี่คือการปฏิบัติ นั้นไม่มีรูป มีแต่อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เป็นอาการของนามธรรมการจะรู้องค์รวม เรียกว่า กาย คือองค์ประชุม จิตเราก็สังขาร

 

เราต้องเริ่มเรียนสังขาร เพราะเป็นเหตุแห่งอวิชชา ก็มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร 

 

มีประเด็นว่า ควรสังวรเรื่องการใช้ไลน์ มีคนไปขอซื้อโทรศัพท์ในการใช้ไลน์จะเหมาะสมแค่ไหน?

พ่อครูว่า...ผู้ที่คิดเช่นนี้คงไม่เข้าใจโทษภัยของมัน เพราะในนั้นมันจะมีผีมากมายเลย พวกเราไว้ใจตัวเองเกินไปไหม? เป็นสิ่งที่เกินกว่าอาตมาจะอนุมัติ อย่างนร.สัมมาสิกขานี่เราไม่ให้มีมือถือส่วนตัวนะ เดี๋ยวนี้เดินไปไหนก็ก้มหน้าจะชนกันนะ อาตมาถือสิทธิ์ว่าไม่อนุมัติ ผู้ที่มีอยู่แล้วก็ต้องสังวรให้ดี และใช้เงินส่วนตัวในการใช้อุปกรณ์เหล่านี้

 

อย่างสายเจโตปหานอย่างลืมตาไม่เป็นหรอก ปหานของเขาคือสมถะลืมตา รู้น่ิ่งเฉย ถ้าไม่ปฏิบัติตรงตามสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 ที่เป็นต้นกล ส่วนสติเป็นต้นหน แล้วเกิดผลสั่งสมเป็นอินทรี 5 พละ 5 เกิดศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นองค์ 5 ที่เป็นแกนเกิดอย่างสมบูรณ์ ใช้โพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8 เป็นทฤษฎีหลักในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าอุบัติจึงมีโพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8

 

ศาสนาพุทธต้องรับจากผู้รู้มาก่อน รู้เองไม่ได้ รับมาแล้วปฏิบัติให้เป็นปัจจัตตัง มีแล้วของตน ของพุทธมีแล้วมีเลย โสดาบันมีลักษณะ 4 คือเข้ากระแสโสตาปันนะ แล้วไม่ตกต่ำคืออวินิปาตธรรม (แบ่งเป็นช่วงละ 25) ที่คุณได้มาแต่ละส่วนก็เป็นแต่ละQuarter จาก 25 ไปหา 50 ก็จะเพิ่มไปแล้วมีสภาพเป็นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา คุณต้องพยายามไม่ให้ตกต่ำ จนกระทั่งได้ครึ่งหนึ่ง ถ้าเลยกึ่งหนึ่งเป็นQuarter ที่ 3 ก็จะไปเรื่อยๆถึง 75 % คือนิยตะ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เลยอวินิปาตธรรไม่ตกต่ำ แต่ประมาทก็อยู่กับที่นี่แหละจนเป็นสัมโพธิปรายนะ ท่านถึงแบ่งเป็น วัฏฏภิรตโสดาบันคืออยู่อย่างนั้นไปอีกนานแสนนาน ไม่ยอมพัฒนาต่อ

 

ถ้าองศามันเข้าหาโลกุตระไม่เข้าหาโลกีย์มันทวนกระแสปฏิโสตัง  ทวนกระแสกับโลกียะ ต้องตั้งองศาให้ตรง ถ้าไม่ตรงก็เสียเวลา กว่าจะเต็ม 90 องศาก็คือผู้มีปฏิภาณปัญญา ถ้าได้ 90 องศาก็ใกล้ที่สุดถึงที่หมายไวที่สุด ในปัญญาหรือทิฏฐิ 6 สัมมาทิฏฐิ มีปัญญา ปัญญินทรีย ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ และมัคคังคะ เมื่อปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ก็จะใช้ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกำจัด ไตร่ตรองตรวจตรา วิจัยวิจาร แล้วจึงรู้ว่าเราได้จริงเป็นจริงอย่างไร

 

คุณเริ่มเป็นโสดาปัตติมรรคก็ต้องมีปัญญาเข้าใจ องศาสัมมาทิฏฐิเข้ามาเรื่อยๆ ทิฏฐิอุชุงกโรติ เรื่อยๆ ทำให้ตรงเรื่อยๆ มันก็เป็นปัญญินทรีย์ และได้ผลเป็นปัญญาพละ มันเติมพลังงานจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นพละเต็ม เป็นผล สมบูรณ์ก็เกิดจากองค์ 6 นี่แหละ เป็นภาคปฏิบัติคือ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ และมัคคังคะ

 

เรารู้สูตรเช่นนี้มีสภาวะก็ปฏิบัติโพขฌงค์ 8  มีภาวะของ วิตก วิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์

มีวิตกก็รู้ว่ามีกิเลส แล้ววิจัยว่ามันมีอะไรตรงไหนแค่ไหนอย่างไร?มีเหตุคืออะไร? แล้วก็วิจารแยกแยะ ทำให้เกิดวิมุติหลุดพ้น อย่างรู้แจ้งเห็นๆ มีวิจักขณ์

 

ทำไมกุศลไม่มีที่ต้น ไม่มีที่จบ...มันเป็นโลกียะมากมายก่ายกองไม่รู้จบ แต่ว่าโลกุตระมีหลักที่สอนมีเริ่มต้น แต่คำว่ากุศลเป็นความดีงามตามสมมุติ แต่ในคุณงามความดี ถ้าเป็นกุศลแล้วไต่ไปถึงโลกุตระได้ อนุโลมให้ได้ เข้าขีดโลกุตระก็คือความดีงาม ก็เข้าขีดบุญชำระกิเลสได้ คุณจะรู้ทำอกุศลจิตได้หมดก็คือที่จบ จนถึงอรหัตตผลก็จบ ก็เรียกว่าเป็นกุศลได้ แม้ว่ากุศลหรือความดีงาม เป็นอรหันต์ก็ทำกุศลได้ แต่บุญมีที่จบคือหมดกิเลส ส่วนกุศลนั้นแม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษในกุศล

 

คุณหินแสง ถามว่า...เราควรทำศีลให้เกิดอานิสงส์ 10 นี้เป็นของโพธิสัตว์หรือไม่? ตอบ...ก็เป็นลำดับของ การปฏิบัติพวกเราก็ปฏิบัติได้ผลของศีลได้ (โพธิสัตว์ในโสดาบันก็มี...ไปตามลำดับ)

เชื่อมร้อยระหว่าง ความรัก 10 มิติ พุทธชีวศิลป์ และสรรค่าสร้างคนสัมพันธ์กันอย่างไร?...ตอบ..ก็เชื่อมร้อยกันหมด แต่ว่ามีกรอบขององค์รวมต่างกัน เช่นความรักก็มีมิติต่างๆหลากหลาย ความรักทั้งองค์รวมคือ Concept แล้วในนั้นมีรายบทมีContext อยู่ในนั้น

 

ที่ว่าปฏิบัติไปแล้วเป็นอรหันต์เลยโดยไม่รู้ตัวนั้น  คนที่ปฏิบัติแบบรู้ตัวก็ไม่วูบวาบเมื่อได้แล้วแต่ถ้าคนปฏิบัติมาเป็นขั้นตอนจะรู้ตัวไม่วูบวาบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:56:08 )

570715

รายละเอียด

570715_สรรค่าสร้างคน(2)วนบ. ทฤษฎีงาน 19 ข้อ

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นครั้งที่2 ของสรรค่าสร้างคน มันต้องสรรจริงๆ เพราะการสร้างคนของโลกทั้งโลก เขาก็พยายามให้การศึกษาแก่คน สร้างคน สรรหาวิธีสร้างคน พระพุทธเจ้านี่แหละผู้สร้างคน ท่านก็ได้หาวิธีการสร้างคนอย่างสมบูรณ์แบบไว้แล้ว กว่าจะได้สูตร หลักการ ทฤษฎีมาก็ใช้เวลาหลายล้านๆปี ที่พูดนี้ไม่ได้เดา ใครไม่เห็นพระทัยพระองค์ก็แล้วไป ทำอะไรไม่ได้หรอก ที่พูดนี้ไม่ได้เดา เพราะอาตมาก็คือผู้ที่เรียนรู้เพื่อให้รู้ทฤษฎีศาสนาพุทธ ซึ่งเรียนพุทธนี้จะรู้อย่างอื่นหมด ไม่ว่ารัฐกิจ  หรืออย่างอื่นก็รู้ ศาสนาพุทธ มีโลกวิทู รู้จักโลก ไม่ใช่รู้โลกกลมๆ แต่รู้พฤติกรรมของคนในโลก รู้ชัด ว่ามันทำให้มีพฤติกรรมอย่างไร มีการรวมหัวอย่างไร จนมีอำนาจเป็นกลุ่ม อย่างอเมริกาใช้วิธีนี้ก็เป็นเช่นนี้ กลุ่มอินเดียหรือกลุ่มไหนๆก็มีวิธีการของเขา อาตมาไม่ได้เรียนมาเลย แต่อาตมาก็รู้ตามข้อมูลที่อาตมาได้ อาตมาใช้ความรู้พวกนี้เข้าใจ อย่างเศรษฐกิจ รัฐกิจก็ตาม สังคมศาสตร์ก็ตาม โดยค่ารวมเราก็พอประมาณได้ ว่าต่างกันเชิงไหนก็พอรู้เข้าใจได้ แค่เข้าใจศาสนาพุทธได้

 

อย่างเรามาทำกับสังคมอโศก ที่มีเศรษฐกิจ รัฐกิจ เรื่องการเมืองการบริหารปกครอง อย่างไรก็มาจากทฤษฎีพระพุทธเจ้าเอามาทำจริงใช้จริง อาตมาก็หาวิธีให้มันเกิดความรู้ การศึกษา จนกระทั่งได้รับผลของการศึกษา แล้วก็เอาชีวิตมาพิสูจน์ ได้แค่นี้แต่ก็ไม่ได้ล่อหลอก ด้วยอามิส ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่คุณมานี่ไม่ได้ปิดบังด้วยว่ามาหมดเนื้อหมดตัว ไม่เหลือ แล้วที่ไม่เหลือนี้เป็นอย่างไร ดีอย่างไรก็ใช้ปัญญาของแต่ละคนเอง

 

อาตมามีความรู้ที่จะรู้ว่า คุณธรรม คุณภาพ คุณลักษณะ ที่เป็นคุณวิเศษที่รวมทุก "คุณ"  นี้เป็นอย่างไรที่จะเป็นอุตริมนุสธรรมอาตมาก็สรรค่ามา เอามาสร้างคน ตั้งแต่ตนเองตัดสินใจเองมาร่วมกันเองไม่มีอะไรผูกมัน จะไปจะมาก็สมัครใจ อิสรเสรีภาพ เป็นเรื่องสูงส่ง อาตมาภูมิใจ แม้กิเลสมันมีมันจะเห็นแก่กาม โลกธรรม อัตตา จัด แต่ก็เป็นไปได้

 

วันนี้อาตมาจะเอาทฤษฎีงาน 19 ข้อมาสาธยาย

 

อาตมาร่างอันนี้ไว้นานแล้ว 20 _30 ปีแล้วกระมัง

 

1. มีคนที่ดี 

2.มีงานที่ดี   พระพุทธเจ้าว่า พลังมี 4 คือพลังปัญญาที่เป็นโลกุตรปัญญา ตัวนี้เป็นมโนบุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เป็นตัวขับเคลื่อนทุกอย่าง แล้วก็จะรู้ว่างานอะไรดี เป็นพลังวิริยะเป็นเครื่องประกอบ พุทธสอนให้คนไม่ขี้เกียจ  ถ้าเรียนถูกสัมมาทิฏฐิจะไม่มีความขี้เกียจ เป็นความขยัน พลังงานปัญญา กับวิริยะเป็นพลังงานทั้งหมดในโลก เป็นพลังงานต้นหน กับต้นกล ต้นหนคือพลัง  ส่วนต้นกล คือเป็นตา เป็นคนคุมทิศทาง อยู่ใต้ท้องเรือ ช่วยกันแล้วทำงาน มีงานที่ดี

3.ความรู้ความสามารถที่ดี 

นี่คือทุนแท้

 

4.เวลา โอกาส เราต้องดู กาลัญญุตา อันควร ถ้าทำผิดกาละก็พังได้ง่ายๆ

5.ทุนที่เหมาะควร เป็นวัตถุ

เป็นทุนแถม

 

6.สุขภาพร่างกายดี

7.มีอุตสาหบากบั่น

เป็นทุนเสริม

 

8.มีหลักเกณฑ์มีระเบียบมีเป้าหมาย

9.มีการจัดสรรและจัดโครงการ ถ้าใครพิจารณาดีๆ หลัก 19 ข้อนี้รับรองทำงานเจริญไม่มีเสีย มีแต่ได้

10.มีการแบ่งงานและประสานเนื่องหนุน เป็นเรื่องความรู้

 

11. เป็นบทบาทที่ดีในสังคม

11.มีกระจิตกระใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มันสำคัญมาก ถ้ามีอันนี้เท่านั้น สังคมกลุ่มไหนก็เก็บความตกหล่นมาเป็นพฤติกรรมสร้างสรรได้เยอะ

12 .มีการปรับใจกันให้เกิดความเข้าใจกันเสมอ   คนอยู่กันตังแต่ 2 คนต้องมีการปรับใจกันเสมอ

13.มีการปฏิบัติขัดเกลากิเลสเสมอ  ขัดอันนี้ไม่ขัดแย้งขัดแตก เป็นสัลเลข ไม่ใช้เภท  ขัดเกลาลดละกิเลสมานะอัตตาตัวตนเสมอๆ

14.มีความเห็นดี ยินดี จะมีความเข้าใจว่าดีอย่างไร อย่างพวกเราตั้งใจมาเรียนมันเห็นตัวยินดี คนสัมผัสก็รู้ ทำไมยินดีเพราะอะไรก็จะเข้าใจ วิจัย อธิบายได้

15.มีความเห็นจริง ซาบซึ้งเชื่อมั่น จะเรียกว่ายึดถือก็ได้ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มีความซาบซึ้งเชื่อมั่น

 

16.มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา นี่คือคุณวิเศษของคน ลึกซึ้ง

17.มีฌาน สมาธิ อุเบกขา  ฌานเป็นฐานของสมาธิ

 

ผลของฌานจะเกิดสมาธิ คือจิตตกผลึกตั้งมั่น เขาก็แปลกันว่าสมาธิคือจิตตั้งมั่น แต่ไม่รู้นัยละเอียด เขาไปนั่งสมาธิให้จิตสงบ แต่ของพุทธทำฌานคือเผาเพ่งทำลายกิเลส จิตก็จะสงบจากกิเลส ยอดของฌานก็คืออุเบกขา หรือสมาธิ เป็นเอกัคคตา ที่เป็นองค์คุณอุเบกขา เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสรา เป็นความพิเศษบริสุทธิ์ได้อย่างแข็งแรงมั่นคง โดยมีปริโยทาตา เกิดจากผัสสะ จิตก็ยิ่งเพิ่ม อเนญชาภิสังขาร เกิดคุณสมบัติเพ่ิ่มขึ้นๆ ปริโยทาตา คือบริสุทธิ์ เรียนรู้ให้มันสะอาด ไม่ใช่ว่าได้แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่มันมีลีลาหลากหลายมากระทบเราก็ไม่หวั่นไหว ถ้าหวั่นไหวก็เรียนรู้พิจารณาต่อ จึงเกิดความรู้แข็งแรงทั้งเจโตและปัญญา มีบทบาทการกระทำ กรรมการงานที่ดีขึ้นเป็นมุทุกัมมัญญา จะมีการงานอันประเสริฐขึ้น ตบท้ายด้วยประภัสรา จะมีเหตุปัจจัยอย่างไร มีข้าศึกสงครามอย่างไร จิตก็ประภัสสรตลอดเวลา อันเดียวกับปริสุทธา ปริโยทาตา ท่านแปลว่า  ผ่องแผ้วกับผุดผ่อง หรือขาวรอบ คือสำนวนไทยๆ ก็เข้าใจ

 

18.มีความเสียสละแท้ ไม่มีอะไรซ่อนแฝง

19.มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเอกีภาวะที่มีวิมุติเป็นพลัง   โลกไหนทำได้จะแข็งแรงไม่มีอะไรตีแตก อสังหิรังไม่มีอะไรหักล้างได้

 

มาสาธยายโดยละเอียดอีกที

 

1.คน .... อาตมาขึ้นต้นว่า คนมีนามธรรมเป็นองค์ประกอบหลัก พระพุทธเจ้าก็ตรัสชัดว่า มโนบุพพังคมาธัมมา จิตวิญญาณหรือมโน ...ขยายความจิต _วิญญาณ_มโน ว่าต่างกันอย่างไร?....ในนามธรรมขันธ์ 5 มีคำว่าวิญญาณไม่มีคำว่าจิตหรือมโน วิญญาณเป็นตัวที่เป็นธาตุรู้องค์รวมในปัจจุบัน ไม่ใช่ตายไปแล้วจึงศึกษาวิญญาณ ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าจะศึกษาวิญญาณต้องมีผัสสะ ตั้งแต่  กายกระทบรูป หูกระทบเสียง ...จนกระทั่งในใจเอง มันก็ปรุงแต่ง แต่ท่านไม่เรียกกระทบเพราะมันอยู่ด้วยกันภายในมีมนายตนะกับธรรมายตนะ  อยู่ภายใน

 

จิตเป็นพฤติกรรม เป็นเจตสิก อย่างอภิธรรมไปเรียนก็เรียกว่าจิตดวงนั้นดวงนี้ เขาไม่เรียกวิญญาณหรือมโน แล้วลูกหลานของจิตก็คือเจตสิก มีอาการอย่างนั้นอย่างนี้

 

การเรียนรู้วิญญาณต้องมีการกระทบสัมผัส แล้วเกิดวิญญาณธาตุ มีศัพท์สองตัว คือกายวิญญาณและมโนวิญญาณ

 

กายหมายถึงว่าต้องเกี่ยวข้องกับข้างนอกไม่ทิ้งข้างนอก แต่ทิ้งก็ได้ แต่จริงๆแล้วเวลาปฏิบัติจะไม่ทิ้งข้างนอก แม้อนาคามีเหลือแต่กิเลสภายในเป็นนามกาย แต่ข้างนอกท่านก็เปิดรับสัมผัส เหมือนกับไม่มีข้างนอก แต่ท่านผ่านไปแล้วสำเร็จไปแล้วกับข้างนอก ละเอาไว้เลยจะมีหรือไม่มีสัมผัสนอกก็มีวิโมกข์ 8 ด้วยกายแล้ว ท่านเรียนรู้กำจัดกิเลสตายหมดแล้วในกิเลสภายนอก จะสัมผัสหรือไม่ก็เหมือนกัน ส่วนคนที่ยังทำไม่ได้ต้องมีสัมผัส ถ้าคนยังไม่บรรลุอนาคามี

 

กายวิญญาณต้องสัมผัสกับข้างนอก เมื่อมีกายวิญญาณข้างนอก พอไปถึง มโน ก็เป็นตัวใน ยิ่งมนายตนะหรือธรรมายตนะ ก็เป็นอายตนะปลาย ตั้งแต่ รูปายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัส จนกระทั่งถึง รูปายตนะ คือรูปข้างใน อายตนะก็ดี ผัสสะก็ดี  กายก็ดี ต้องมีการกระทบสัมผัสจึงจะเกิด สามอย่างนี้  ไม่มีสองอย่างมาแตะกัน อายตนะก็ไม่เกิด 

 

ในคนถ้าไม่เรียนรู้สิ่งประชุมกัน แล้วเรียนให้ถึงจิตวิญญาณ  ถ้าไม่มาจับให้มั่นคั้นให้ตายก็ไม่ได้หรอก สรุปตรงนี้ก็คือ วิญญาณนี้เป็นตัวจะต้องเรียน ธาตุวิญญาณ หรือจะเรียกว่าจิต นี่จะต้องเรียนรู้พลังงานจิตนิยาม เหมือนคำว่าอัตตาแปลว่าองค์ประชุมที่เป็นตัวตนก็คือคำกลาง ส่วนคำว่า กาย ก็ต้องมีสองสิ่งมากระทบสัมผัส มีนามธรรมมารับรู้ จึงจะเกิด กาย   ดังนั้น ผัสสะ อายตนะ กาย สามคำนี้ไม่เกิดโดยเดี่ยวๆ แม้ที่สุดเหลือแต่จิตก็มีสิ่งที่ทรงไว้ในจิตคือธรรมะ แล้วก็มีอีกอันหนึ่งมาเกี่ยวข้องเป็นมโน เหมือนพลังงานมีแกนบวก แล้วก็มีแกนลบมาเกี่ยวข้อง ธรรมะคือแกนบวก (Potential energy)ส่วนมโนคือแกนลบ (Kinetic energy)

 

ถ้าเรารู้จักสรรค่า เพื่อสร้างตัวมโน ต้องมีโจทย์ให้ทำ ไม่เกิดผลที่ถึงมโน ไม่อย่างนั้นไม่เกิดผลถึงจิต แม้วิญญาณ จิต มโน หากไม่มีญาณอ่านรู้สัมผัสของจริงว่ามันมีอาการอย่างไร? ต้องสัมผัสแล้วรู้อันนี้ คือทำมนสิการ เป็นการกระทำ ทำอะไร? ทำใจ จัดการกับใจ มนสิที่ใจ คนจะมีค่าก็ต้องจัดการให้เกิดตรงนี้จึงเป็นความถาวร ถ้าคนดีแล้วก็จะเป็นตามข้อที่1 ของทฤษฎีงานก็จะพาเจริญ พระพุทธเจ้าว่าคนจะต้องเข้าเขตอาริยะ เริ่มต้นต้องรู้ทิศทางของจิตว่ามันไปทางไหน มันคโต หรือคตะ มันดำเนินไปทางไหน เดินไป  โลกีีียะ หรือโลกุตระ

 

เป็นวิธีการตัวต้นเลยในโลกุตรธรรม 46 ตัวแรกเลย คือ กายในกาย ที่เป็นตัวสติปัฏฐาน 4 ตัวที่ 1 ที่เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ต้องมีตัวรู้แล้วทำเป็นจึงเป็นโลกุตระ แม้จะเป็นมรรคก็ตาม เราเริ่มเป็นโสดาปัตติมรรค ก็เป็นโลกุตรธรรม 9 ก็เริ่มต้นด้วยกายในกาย แล้วจึงเป็นเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ต้องเข้าใจสี่ตัวนี้จึงจะปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 ได้ ถ้าไม่รู้สติปัฏฐานจะไปพากเพียรทำสัมมัปปธานอะไร? ก็ไม่รู้ได้แน่  ถ้าไม่รู้จักสัมผัส 6 แล้วสัมผัสแล้วจะวิเคราะห์วิจัยอะไรก็ถ้าไม่รู้เป็นเบื้องต้นคุณก็ไปไม่ออก

 

ความเข้าใจคำว่า กาย เป็นคำแรกนี่เขาเข้าใจผิด ...ที่จริงนั้นกาย จะเกิดต้องมีสัมผัสระหว่างสองสิ่งเป็นต้นไป มันเกี่ยวข้องกัน เมื่อสัมผัสแล้วอายตะก็เกิดทันทีเป็นตัวต่อเชื่อมแล้วจึงเกิดองค์ประชุม คือ "กาย" เมื่อเกิดองค์ประชุมก็เกิด "สังขาร" เราจะศึกษาต้องรู้เหตุปัจจัยในองค์ประชุมที่ปนเปอยู่ สังขารก็มีทั้งกุศลและอกุศลในนั้นต้องแยกให้ออก สังขารก็แยกเป็นกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

 

เมื่อเราเองเราเรียนรู้คำว่า กาย ไม่ถูก ไปสอน กายว่าไม่เกี่ยวกับนามเลยก็จบเห่ ถ้าเผื่อว่าสอนกายนั้นมีแต่จิตไม่เกี่ยวกับกายก็พอได้ พระพุทธเจ้าจึงถือว่าจะปฏิบัติแต่จิตไม่เกี่ยวกับร่าง นั้นก็พอได้ผล แต่ไม่รับรองความบรรลุ ต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงจะบรรลุอรหันต์ ถ้าตัดเอาแค่โครงร่างข้างนอกก็ไม่มีทางบรรลุเลย คนไทยเข้าใจคำว่ากายกันอย่างไร  ก็คือเข้าใจว่า กายคือร่าง คือมหาภูตรูปเท่านั้น

 

เริ่มต้นโพธิปักขิยธรรม 37 ก็คือ กายในกาย ... แล้วก็มาสัมมัปปธาน 4 มีอิทธิบาท 4 แล้วก็มีอินทรีย์ 5 พละ 5 โดยมีหลักการเดิน มีถนน ถนนก็คือมรรคองค์ 8 ส่วนถนนหรือทางเดินก็คือโพชฌงค์ 8 พระพุทธเจ้าไม่เกิด โพชฌงค์ 7 มรรคองค์8 ก็ไม่เกิด

 

กายนอกกาย  เป็นอย่างไร?...องค์ประชุมข้างนอก ตาเห็นรูป แล้วเราสำคัญมั่นหมายรูปนอกว่าเป็นจริงเป็นจัง เช่นเห็นรูปสวยก็ชอบ หูได้ยินเสียงก็ชอบหรือชัง...ถ้าเราเพ่งข้างนอกสำคัญข้างนอกก็คือกายนอก เรียกว่า พหิทารูปานิ ยังไม่เข้าไปพิจารณาภายใน  ไม่ปั้นรูปภายในเลย ลองทำดูเลย แต่คุณสามารถปั้นรูปข้างใน เช่นหลับตาไปก็ปั้นรูปภายในได้ แต่ถ้าลืมตาก็เพ่งรูปภายนอก แต่ถ้าจะเข้ามาหาภายในโดยตาไม่ต้องปิดหรือละจากรูปนอกเลย เราก็ประมาณได้ว่ารูปที่ปั้นภายในเป็นอย่างไร ก็พอจะประมาณได้ว่าเหมือนนะ แล้วเราก็พิจารณาซ้อนเข้าใจในสัญญา  ในเวทนา กำหนดหมายว่าอารมณ์หรือเวทนานี้เกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเช่นนี้ กำลังเกิดความรู้สึกหรืออารมณ์อย่างไร? แยกแยะอ่านได้ไหม นี่กำลังชอบ หรือไม่ชอบ ก็พิจารณาได้ เราก็เริ่มเป็นเวทนา

 

ว่ากำลังชอบหรือไม่ชอบ ก็เกิดสุขใจทุกข์ใจ มีผลักหรือดูด  เหมือนอย่างตำรวจมีระเบิดลอยมาก็ไม่ชอบใจเตะออกไปแต่ไม่ทันก็เลยระเบิดก่อนเลย อย่างนี้เป็นต้น เราก็ฝึกของเราอย่างนี้เหมือนที่เขาฝึก เดินหนอ ยกหนอก ย่างหนอ ช้าสโลว์ ก็นัยเดียวกันแต่ของเราเข้าถึงปรมัตถ์ ไม่เหมือนเขา แล้วเขาจะต่อไปหา เวทนา จิต ธรรม ก็ไม่เห็นอธิบาย แต่ที่จริงมันต่อเนื่องกัน  กาย เวทนา จิต ธรรม เราก็วิจัยว่า ที่เราชอบหรือชังมันมีเหตุจากอะไร อะไรชอบเราก็ไม่ให้มัน ปฏิ เวรมณี มันจะเห็นอาการดิ้นของกิเลส มันจะเอาให้ได้ ตัวดิ้นตัวนี้เป็น จิต สราค สโทส สโมหะ เป็นลักษณะอย่างไรเราก็เรียนรู้

 

โมหะมีนัยคือ หลงใหล หลงผิด หลงเลอะ คือไม่คมไม่ชัดไม่รู้ชัด เราก็ต้องให้ชัดว่ามันมีอาการชังหรือชอบ ถ้าชอบก็สราค ถ้าชังก็ สโมห ประกอบด้วยผลักหรือดูด ต้องการเอามาหรือทิ้งทำลาย ก็พิจารณาอ่านอาการของจิต ก็รู้ ทำให้มันเป็น วีตราค วีตโทส วีตโมหะ คำว่า วีต คือทำให้มันจางคลายหรือดับให้หายไป เพียรปหาน 5 ให้มันหมดไป นี่คือหลักสูตรของพระพุทธเจ้า เอาไปใช้ให้ได้ ถ้าได้แต่ท่องแต่เอาไปใช้ตอนไหนอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องรู้จัก ตทังคปหาน ก็ได้ชั่วคราวเป็นสมถวิธี แต่ถ้าวิปัสสนา ต้องเรียนรู้ความไม่เที่ยง ว่าผีตัวนี้มันเป็นตัวไม่แท้  มันมาหลอก แต่มันมีอาการในจิตเราจริง เรายึดมันมาแต่เมื่อไหรกี่ล้านปีแล้ว 

 

ธรรมในธรรมก็คือสิ่งทรงไว้ ถ้าเป็นอธรรมก็คือ เราทรงไว้ เรายึดไว้เป็น สราค สโทส สโมหะ เราก็ยึดไว้ไม่ปล่อย อุปาทานข้าใครอย่าแตะ พอมันเคลื่อนออกมาก็เป็น ตัณหาข้าใครอย่าขวาง มันก็เลื่อนเคลื่อนออกมาให้เราปฏิบัติ

 

ต่อไปเป็นการสนทนา ถามปัญหาหรือสรุป..

 

คุณจริงจริง(วิโรจน์)...อยากกราบนิมนต์พ่อครูฉายช้าๆที่เราหลงติดมาหลายล้านชาติเราติดหลงมาอย่างไร?...ตอบ...

 

อยากให้ขยาย "กายวิญญาณ" ... ตอบ...

 

อันเดียวกันนะสองคำถามนี้มันต่อเนื่องกัน...

 

อยากจะฟังเรื่องแกนบวก แกนลบ เปรียบเทียงทางวิทยาศาสตร์ให้อีกที...ตอบ...อันเดียวกันเรื่องวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิต มันมีแกนตั้งแกนหลักกับแกนวิ่ง เป็นพลังงานศักย์กับพลังงานจลน์ คำว่าpotential  energyนั้น  มันไม่นิ่งอย่างเดียวนะแต่มันแตกตัว มันมีอะไรปิดไว้ แต่ไม่นิ่งนะ มันเป็นพลังงานแฝงแตกตัวตลอด พลังงานที่ถามคือองค์ประชุมของ กายวิญญาณ ...วิญญาณคือธาตุรู้ จะศึกษาต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ในมูลสูตร มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด และมีผัสสะเป็นสมุทัย

 

คำว่า กาย เป็นองค์ประชุมนอกหรือใน มีรูปและนาม ก็มีชีวะ  มีตัณหาในชีวะ พอมีสัมผัสก็เกิดการดำเนินตามคติ หรือคโต มันไม่นิ่ง ทีนี้แกนใจคุณเป็นแกนบวก ถ้าเป็นอรหันต์มีแกนบวกที่อเนญชาไม่หวั่นไหว เป็นแกนตั้ง เพื่อให้พลังงานขั้วลบหรือพลังงานจลน์วิ่งซึ่งแยกกันไม่ได้มันต้องอยู่ร่วมกัน ระหว่างสองพลังนี้  มันเคลื่อนไหวอยู่ ถ้าแกนหลักแข็งแรงจะวิ่งเร็วขนาดไหนก็ไม่ล้ม แต่ถ้าแกนไม่แข็งแรงวิ่งเร็วก็ล้ม เป็นลักษณะวิทยาศาสตร์ เถียงไม่ได้ จิตก็เช่นกันมีลักษณะสองแกนนี้

 

ในแกนตั้งคุณก็สะสมความแข็งแรง แต่ก่อนคุณไม่ได้สะสมแกนตั้งที่เป็นความสะอาด แต่คุณสะสมอาสวะอนุสัยก็มีความไม่สะอาดก็ผสมส่วนไปเรื่อย แต่ถ้าเรียนรู้แล้วล้างตัวไม่ดีไปเรื่อยๆ แกนตั้งคุณก็แข็งแรงเรื่อยๆ เวลากระทบสัมผัสจะมีตัวผีข้างนอกมา ปัญญาเรารู้ว่าผี ส่วนแกนตั้งก็รู้ว่าผีอย่างนี้เราสู้ได้มีพลังงานศักย์ที่ไม่เคลื่อนเป็นอเนญชาไม่หวั่นไหว องค์ประชุมพลังงานบวกและลบของคุณมีประสิทธิภาพ

 

อย่างเวทนา 108 ห รืออย่างสังกัปปะ 7 จะมีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นตัววิ่ง แล้วมีตัวแกนตั้งคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แล้วเกิดวจีสังขาร  เมื่อมันสังขารสังเคราะห์กันเป็นกาย แกนตั้งและแกนวิ่งรวมตัวกันก็คือสังขาร ถ้ามีเหตุที่เป็นกิเลสมาชักนำร่วมสังขาร ถ้าฐานตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มันจะเริ่มดำริ จิตแตะปั๊ปเกิดอาการปรุงแล้วเราก็วิเคราะห์วิจัยว่ามีกิเลสกามหรือพยาบาทเข้าไปปรุงร่วมไหม? ถ้าพบเจอก็ปหานมัน มีทั้งตทังคปหานคือกดข่มไว้ชั่วคราวแล้วก็ต้องวิปัสสนาต่อ กำจัดกิเลสได้ก็จะมีวิตักกะ คือดำริอย่างวิเศษ ก็ฆ่ากิเลสได้  เป็นตักกะ ที่เป็นวิตักกะ เป็นสังกัปปะที่ไม่มีกิเลส แล้วผ่านด่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปานา เป็นคุณสมบัติที่ควบแน่นตามลำดับคือ ควบแน่น แน่วแน่ ปักมั่น ให้แกนกลางแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ วิ่งเร็วอย่างไรกิเลสก็ไม่แทรก เป็นมือที่ 3 ไม่ได้ มีตัวแกนตั้งที่จะช่วยกรอง ออกไปทำงานปรุงแต่ง เมื่อทำลายได้ก็ไม่ต้องสะกัด แต่มันต้องช่วยกันทั้งสองอย่าง ถ้ากิเลสมันจะสังขารแล้วมันแรง ต้องใช้แกนตั้งช่วยเป็นพลังเจโต ส่วนแกนวิ่งเป็นปัญญามีพลังรู้ 

 

ถ้าพลังปัญญาก็ช่วยได้ พลังเจโตก็ช่วยได้ก็เป็น วจีสังขารที่บริสุทธิ์ คุณเป็นคนไทยก็เป็นภาษาไทย  เช่น อยากกิน เป็นภาษาไทย ภาษาฝรั่งก็อีกอย่างคนละภาษาแต่อาการเดียวกัน ตัวแกนตั้งก็จะช่วยต้านไว้ก่อนเป็นตัวกรองสุดท้ายก่อนปล่อยออกไป เป็นการกลั่นกรอง จัดการ สังขาร เพื่อเอากิเลสตัวซวยตัวผี อกุศล ตัวไม่ดีออกไปไม่ให้มีบทบาทในจิตเรา

 

ตัวดิฉันเองก็พบว่าตัวเองมี ตัว อรติ มันมีอาการ เหนื่อย  พ่อครูว่า อรติ ปฏิวีรตะ   คำว่า เว้นออก ออกจาก หรือหลุดพ้นนี่ไม่ใช่ว่าเอาออกไปไม่ให้เห็น หนีไปเลย เข้าป่าเข้าถ้ำไปเลยอย่างฤาษี หนีไปเลย  ภาษาบาลีท่านเรียกว่า โลกันต์ คือที่สุดแห่งโลก ท่านแปลเอาความว่า วิ่งไปหานรก คือโลกันต์ เป็นนรกลึกที่เป็นหลุมดำ หายไปไม่มีอะไรเหลือไม่มีใครรู้ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่เอา การละเว้น เว้นขาด หลีกเร้น อย่างสัลลีนะ คือมันไม่มีเพื่อนสอง ให้จิตเราเว้นขาดได้ ทั้งที่อยู่สัมผัสสัมพันธ์กันนี่แหละ คือจิตมันหมดการปรุงแต่ง นี่คือการหลีกเร้นในอาริยวินัย แต่ถ้าจะหลีกเร้นหนีไปป่า ไปพักผ่อนก็ใช้ได้ แต่ในวินัยอาริยะนั้นหมายถึงจิต

 

คุณใบฟ้า...ดิฉันได้ฟังทฤษฎีงาน 19ข้อ มีความรู้สึกว่าเป็นทฤษฎีบุญนิยม พวกเรานิสิต 120 กว่าชีวิตเรากำลังร่วมกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ที่จะสถาปนาองค์ความรู้ที่มีพ่อครูเป็นวิชชาธิบดี พวกเรามีแต่ละกลุ่มๆของนิสิตทั้ง 11 จะเอาแต่ละข้อมาดูว่าในกลุ่มเรามีองค์ความรู้ที่จะทำให้บริบูรณ์ขึ้น และก็จะรวมเป็นองค์รวมไปถึงสังคมได้

 

หลัก 19 ข้อ คือ ชีวิตกับการงาน

 

ดาวเพ็ญ...เห็นด้วยกับคุรุใบฟ้ามาก เพราะไปเรียนในมหาวิทยาลัย เรียนเรื่องทุน นั้นไม่มีความลึกซึ้งเท่าที่พ่อครูสอน อย่างข้อ 1_3 ที่พ่อครูบอก นี่เป็นทุนแท้ เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน มีคนดี มีงานที่ดี มีความสามารถดี  และมีทุนแถมอีก ทุนเสริมอีก  พิจารณาแล้วว่าตนเองเป็นคนมีทุนน้อย จะได้ทำทุนให้เพิ่มเติมอย่างถูกทาง

 

ใจดิน...ดิฉันว่า คนดี เมื่อคนดีมาเจอกันแต่ขั้วต่างกัน พอกระทบกันก็เกิดปฏิกิริยา เช่นคนสองคนอุ้มแตงโมมา คนสองคนนี้ชอบกินแตงโม มองหน้ากันก็รู้ว่าแต่ละคนก็ชอบก็เลยไปกินซะอิ่มแปล้เลยแต่ถ้าคนสองคนไม่ชอบแตงโม ไปเจอแตงโม ก็รู้สึกไม่ชอบใจ อีกคนหนึ่งลงมือฟันหรือเตะแตงโม ก็ไม่เกิดประโยชน์ก็ทิ้งไป จะหาว่าแกนร่วมของสองสิ่งนี้คืออะไร? ดิฉันคิดว่าคือธรรมะ ถ้าคนมีธรรมะไม่เกิดจิตดูดหรือผลัก มาเจอแตงโมสองลูกก็เอามาแบ่งกินร่วมกัน แบ่งกันกินหลายคนก็เกิดประโยชน์ได้มากๆ เรามาเรียน วนบ.มันต้องเจอลักษณะเช่นนี้แน่นอนเลย คนต่างขั่วจะเรียนให้ไปรอดอย่างไร?

ตอบ...เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมาล้างความชอบหรือชัง มาเจอคนหรืออะไรเราก็มาล้างชอบหรือชัง อย่างแตงโม มีประโยชน์อย่างไร ไม่เกี่ยวกับชอบหรือชัง ตัวที่เราจะทำลายก็คือตัวชอบหรือชังนี่แหละ ทั้งสองคนต้องล้าง เมื่อล้างหมดก็เกิดความรู้สึกกลางๆ ก็ทำตามประโยชน์แก่ผู้อื่น ดูว่ามันมีประโยชน์ไหม เมื่อไม่ยึดชอบหรือไม่ชอบ ก็แบ่งให้ ถ้ามีประโยชน์ ก็ต้องเอาแม้ไม่ชอบ คนชอบก็เป็นประโยชน์ก็เอาแต่ว่าล้างตัวชอบ  แต่ถ้าไม่มีประโยชน์เลยก็ต้องทำลายเดี๋ยวคนมาเอาไปเกิดโทษ สรุปแล้ว ทั้งสองคนต้องทำให้สูญ

 

ใจดิน ...คนทำงานถ้าความคิดคล้ายกัน ทำงานด้วยกันดี กับอีกคนหนึ่งทำงานด้วยกัน แต่ทิฏฐิต่างกันก็ผลักออกไป คนที่อยู่ร่วมกันก็ทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่ครบไม่เต็ม ...ตอบ...ความไม่ชอบนี่มันแรง ต้องเอาออกไปก่อน  แต่ชอบหรือชังก็ต้องทำให้หมด แต่จัดการตัวชังก่อน เพราะเป็นตัวทำลาย แต่ตัวชอบยังเกิดการสร้างสรร สุดท้ายให้เป็นสูญทั้งคู่

 

สม.กล้าข้ามฝัน...เปิดใจว่าชอบที่พ่อครูจะสาธยายปรมัตถ์ไปตลอด แต่พอให้ครึ่งเดียวก็รู้สึกว่าอยากจะได้เต็ม แต่มาวันนี้ตั้งใจใหม่จะฟังพวกเราสรุป แล้วก็ดูจิตว่ามีความชอบหรือชังอย่างไร รู้ว่าคนนี้พูดถูกหรือผิดอย่างไรก็ดูจิตใจตนเองไป  เวลาฟังธรรมพ่อครู ตัวง่วงไม่มาให้สู้เลย เพราะมีกระจิตกระใจในการฟังธรรม เรามีกระจิตกระใจต้องทำตัวต้นกลกับต้นหนให้พอดีไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง

 

พระปรีดีย์..ถามว่าในส่วนของรูปนั้นพอรู้ แต่เรื่อง อรูปเป็นอย่างไร?    ซึ่งคือสิ่งที่ถูกรู้ แต่เป็นสิ่งที่ละเอียดเบาบางมาก ไม่มีภาษาจะเรียกแล้ว เป็นอรูปฌานใช้ตรวจสอบแล้วว่ามีอะไรเหลือเศษอีกไหม มี 3 ลักษณะ 1.สภาพว่าง 2.สภาพจิตที่รู้ว่าว่าง 3.สภาพที่ตรวจอีกว่าเหลือเศษอะไรอีกไหม? 4.ตัวตรวจว่าไม่รู้ไม่ได้  ต้องรู้หมด จนพ้นหมดไม่รู้ไม่มี ...ถ้าไม่รู้ตน ไม่รู้กลาง ก็จะไม่รู้ตัวปลายตัวอรูป ไม่มีตัวเทียบเคียงเลย ไม่ได้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 18:58:52 )

570716

รายละเอียด

570716_พ่อครูที่ศีรษะอโศก เรื่อง คนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ

       นร.ที่นี่มีเท่าไหร่?....ทั้งหมดไม่ถึง 50 คน แต่ที่บ้านราชฯม.1 เข้ามาปาเข้าไป 30 กว่าตน ตอนนี้คนข้างนอกเร่ิมเข้าใจสัจธรรมที่พวกเราทำ เราอยู่กันอย่างพฤติกรรมเช่นนี้ เราออกไปชุมนุม 9 เดือนกว่าคนก็ต้องเห็น คนจรมาก็ตามวันแล้ววันเล่าเขาก็จะเห็นว่าพวกนี้ มีนิสัย มี “วิสัย”อย่างนี้ คำว่านิสัยคือกำลังฝึกหัดอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงได้ แต่วิสัยนี่เป็นความแข็งแรงเป็นแบบนี้แล้ว แก้ยากหรือแก้ไม่ได้เลย ถ้านิสัยก็กำลังเปลี่ยนแปลง ก็อาศัยอันนี้ แต่ อาศัยนี้ ตัวเราอยู่อย่างนี้เลย พอดีขึ้นมานิดหนึ่งก็เป็นนิสัย พอเป็นความมั่นคงก็คือเป็น วิสัยเลย

 

พวกเราเองสร้างตัวเอง การสอนนิสิต มหาวิชชารามนาวาบุญนิยม วนบ. เกิดขึ้นปีนี้ คึกคักมาก เราเรียนกันคึกคัก เป็นการเร่ิมต้นที่น่าชื่นใจ ตั้งมาตั้งแต่ ม.วช​ สส.ว ว.บบบ ก็พอเป็นไป แต่ตอนนี้วนบ.ก็เข้าฝักหน่อย อาตมาก็เลยสอน 3 วิชาเลย คือ พุทธชีวศิลป์_สรรค่าสร้างคน_ความรัก 10 มิติ ซึ่งความรัก10 มิติจะสอนเฉพาะนิสิตปี 1

 

ส่วนสรรค่าสร้างคนคือเราเลือกเฟ้นฝึกฝนให้เกิดคุณค่าของชีวิตที่จะสร้างให้คนเป็นคนประเสริฐเจริญขึ้นแก่โลก ส่วนพุทธชีวศิลป์ คือการใช้ชีวิตที่มีพุทธ มีศิลปะแบบพุทธ สรุปแล้วก็เป็นการสร้างคน จนคนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ ซึ่งตอนนี้มันออกผลจนมายืนยันหลักนี้ได้

 

คนมีคุณ คือคนดีและเจริญขึ้น มีคุณค่า คุณประโยชน์ มีคุณภาพหรือคุณภาวะ มากขึ้นเจริญทรงไว้ในคนคือคุณธรรม เกิดคุณธรรมแล้วก็แสดงออกต่างๆ เราเป็นเรามีก็แสดงออกเป็นคุณลักษณะต่างๆสั่งสมเป็นคุณสมบัติ มากเข้าก็เป็นทรัพย์ของเราเลย เป็นกองทรัพย์เรียกว่า คุณนิธิ เมื่อสะสมเป็นกองเป็นคลังทรัพย์ จนมาก็แผ่รังสี แผ่ผลให้คนรับได้แม้เป็นนามธรรม มีคนรับได้ สัมผัสได้ทั้งเป็นรูปธรรม แม้เป็นนามธรรมก็สัมผัสได้ เป็นคุณราศี รวมแล้วที่เราทำนี่เป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทรงไว้ซึ่งธรรมะแบบพุทธ เรียกว่าพุทธธรรม เป็นคุณวิเศษอันเลิศ เป็นอาริยธรรมอันประเสริฐจริงๆ อาตมาไม่เรียกว่าอารยธรรมหรืออริยธรรมอย่างโลกเขา

 

อารยธรรมก็เจริญแบบโลกีย์เป็นวัตถุวิสัย ภาววิสัย objective ส่วนพวกอริยธรรมก็เป็นพวกจิต เป็นจิตวิสัย เป็นอัตวิสัย Subjective

 

แต่ของเรานี่เป็นคุณวิเศษ เราศึกษา กามและอัตตา เร่ิมที่พระพุทธเจ้าสอนธัมมจักกัปปวัตสูตร ลดกามลดอัตตา จะเกิดคุณค่าเป็นประโยชน์ตน ท่านได้แท้จริง จนชำระอวิชชา ชำระกิเลสออกไปได้ จึงเรียกว่าบุญ แปลว่าเครื่องชำระ กรรมกิริยาใดๆไม่ได้ชำระกิเลสไม่เรียกว่าบุญ เช่นอยากได้สิ่งตอบแทนบ้าง อันนี้เป็นนัตถิทินนัง ทานที่ให้ไม่มีผล เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่พวกเราฝึกให้ทำโยนิโสมนสิการให้จัดการถึงแดนเกิดของจิต ให้เปลี่ยนแปลงได้ทำลาอกุศลจิตได้ก็เกิดผล เป็น บุญมีคำ้ บุญเป็นเครื่องมือในการชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสเกลี้ยงก็ไม่ต้องทำบุญไม่ต้องใช้บุญ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญปาปปริกขีโณ) ไม่มีกิเลสให้ชะระบุญก็ไม่ต้องใช้ เป็นอรหันต์แล้ว

 

บุญคือเครื่องชำระกิเลส เป็นเครื่องที่ถ้าประกอบถูกต้องจะชำระกิเลสได้ เช่นรู้ปหาน 5 รู้วิปัสสนาวิธี จนทำได้เป็นสมุทเฉทปหาน จนทำเป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน ทำทวนอีกจนเป็น นิสรณปหาน เป็นอัตโนมัติเลย มันทำของมันเอง เป็นตถตา สมบูรณ์แบบเลยไม่ต้องใช้พลังงานไปจัดการเลย

 

ที่เราทำมาเป็นสัจญาณ เป็นกิจญาณ ถึงขั้นเสร็จกิจ จบกิจเป็น กตญาณ เป็นปัญญาตัวรู้ มันสัมผัสกับเราก็จัดการอย่างอัตโนมัติเลย เป็นกิจกรรมมีผลเจริญ เป็นเรื่องนามธรรม ส่วนทางรูปธรรมเราก็เจริญด้วย ธรรมะพระพุทธเจ้าได้ประโยชน์ได้ผลทั้งสองอย่าง ทั้งวัตถุและใจพร้อมกันเลย ความรู้พุทธอยู่เหนือโลกแต่ไม่หนีโลก

 

โลกเขาปรุงแต่งอย่างนี้ไม่ดีเราก็ไม่ทำ  ถ้าดีเราก็ทำ ดีมากก็ทำมาก ย่ิงโลกขาดแคลนอันไหนเราก็ทำ เราไม่ได้เรียน แต เมื่อเจริญทางจิตวิญญาณ ก็จะเลือกเฟ้นงานที่มีประโยชน์มาก จึงมีผลทั้งมนุษย์มีผลเจริญ  พวกเราทำวัตถุ อย่างอาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่งเราก็รู้ เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ คำว่าข้าวเป็นหนึ่งในโลก ทั้งที่อินเดียเขาเอาไปทำเป็นแป้งนะ แต่เดี๋ยวนี้คนกินข้าวกันมากแล้ว ญี่ปุ่นยังคีบใส่ปาก แต่ญี่ปุ่นพุ้ยใส่ปากเลย ส่วนเกาหลีก็คีบกิน

 

ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่งเราก็เลยมีโครงการข้าวแสนตัน แต่ทุกปีนี้เรารวมกับเครือแหผลิตได้ปีละ สองพันตัน มันยังไกลจากแสนลิบเลย  เราก็ค่อยทำไป กี่ปีก็แล้วแต่ ชาวอโศกต้องประสานกันส่งเสริมปุ๋ยสะอาด ปุ๋ยอินทรีย์ เราก็จะก้าวหน้าทำปุ๋ย นี่ก็ได้ข่าวว่ามีชาวอินเดียนำจุลินทรีย์แบบใหม่มีคุณภาพดีมา มันเป็นวิทยาศาสตร์ในตัว เราจะเก่งBiology ก่อน ทางชีววิทยา เราทำเพื่อกินอยู่

 

คนนึกไม่ออกว่าอาตมาจะเอา 3 อาชีพมากู้ชาติิิอย่างไร? มาถึงวันนี้แล้วเราเกิดปุ๋ยน้ำปุ๋ยเม็ด เราต้องรักษาคุณภาพการผลิต ก็คงไม่ยากที่จะรักษา เพราะเราไม่เห็นแก่อามิส เราจึงทำคุณภาพได้ดี เราจะสร้างการเจริญหลายๆทาง ไม่ว่าวิทยาศาตร์ หนักเข้าอีกหน่อยทางวิศวกรรมก็ได้ แต่ฐานของเมืองไทยต้องเอา การกสิกรรมเป็นหลัก แต่สังคมต่างประเทศเขาก็ต้องทำเช่นนั้น เขาเป็นประเทศโซนหนาวแต่ของเราโซนร้อนทำกสิกรรมได้ดี จะได้เลี้ยงโลก เพราะเทคโนโลยี อุตสาหกรรมนั้นกินไม่ได้  เราได้เปรียบทางตะวันตก ต่อไปในอนาคตเราจึงต้องเป็นคนมีประโยชน์คุณค่ามากกว่าวัตถุ อนาคตเราจะเป็นต้นแบบ ที่มีการสร้างคนแบบนี้ เรามีหลักประกันไม่ทำลายโลก เพราะโทสะเป็นตัวทำเสียหายทำลายโลก และโลภะเป็นการเอามาแก่ตัว เราศึกษาโทสะ โลภะ แล้วล้างออก เมื่อโลกไม่เห็นแก่ตัวแก่ได้มาก เราก็สะพัดเกื้อกูล ยิ่งศึกษาแบบพระพุทธเจ้าก็จะกินใช้ไม่เปลือง กินน้อยใช้น้อยลง เพราะกิเลสกินเปลืองกินจุ กินสิ่งโง่ๆไม่น่ากินก็กิน อธิบายง่ายๆ มันกิน จอบ กินหิน กินดิน สารพัด กินธนบัติเก่งด้วย เปลืองผลาญทำลายมาก นี่คือสัจจะ เราลดกิเลสได้ก็ได้ความสูญเสีย แรงงาน ทุนรอน เวลา ก็ได้คืนมา ยิ่งระบบบุญนิยมไม่หวงแหนด้วย เราไม่มีดอกเบี้ย เรายืนกันได้ซื่อสัตย์สุจริตตามจริง เกิดการคล่องตัวไม่กักไม่หวง ไม่ขี้หวง ไม่เป็นตัวกูของกู

 

เราสามารถละกิเลสได้จริง จะมีคุณสมบัติของคนที่สูง บุญก็มีคำ้ กิจกรรมก็มีผลเจริญ ได้เวลา ทุนรอน แรงงานกลับมา เจริญจนเราเหลือกินเหลือใช้ จิตเราไม่เห็นแก่ได้เอาไปออกดอกผล เราทำได้มากก็เหลือเฟือ ก็เอาไปแจกจ่าย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เลิศยอด เป็นทฤษฎีเอกเลย

 

เขาถือว่าอดัม สมิท เป็นเจ้าแห่งเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม มีหลัก Maximize profit ได้เปรียบเท่าไหร่เขาว่าเจริญ แต่ของเราบุญนิยมนี่ Minimize profit ยิ่งเอามาน้อยเท่าไหร่ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา Our loss is our gain. ชัดเจน ถ้าคนไม่รู้ไม่ชัดพูดอันนี้ไม่ได้ อันนี้คือGain เป็นรายได้เป็นกำไรของเราคือการขาดทุน การได้ให้แก่คนอื่นนี่แหละ เมืองไทยดีอย่างนี้มีคนระดับโพธิสัตว์ อาตมาก็เลยค่อยยั่งชั่ว

 

ปุ๋ยก็ตามกสิกรรม นั้นไม่สงสัย แต่ขยะนี่จะกู้ชาติได้อย่างไร? อันนี้ยังสงสัยกัน...ขยะนี่จะเป็นตัวทำลายมนุษย์ ขยะอาตมาเขียนในหนังสือแสงสูญ ว่ามีขยะที่เป็นทั้งวัตถุและพฤติกรรม มาจากขยะที่จิต ที่หมักหมมเน่าใน เป็นจุลินทรีย์ทางจิต มันก็ยิ่งแย่ใหญ่ เราต้องรู้ทั้งขยะวัตถุ ขยะพฤติกรรม กาย วาจา เป็นวิญญัติ เป็นองค์รวมของการเคลื่อนไหว มีผลต่อมนุษยชาติ เราศึกษาให้เปลี่ยนให้เป็นคุณ อย่าเป็นโทษ

 

จิตใจที่เป็นขยะเป็นกิเลสพวกเราก็ฟังขึ้น ว่าขยะทางจิตนี่ทำลายแน่นอน จากจิตมาเป็นวจี เป็น กายกรรม ก็เป็นขยะที่เกิดจากอกุศลจิตเป็นตัวประธาน และเพราะจิตวิญญาณเป็นตัวประธาน มันรู้ ตั้งแต่ต้นทางถ้าทำให้ไม่เกิดขยะตั้งแต่จิต แล้วออกมาเป็นวจีและกัมมันตะ ก็จะไม่กอบกู้โลกได้อย่างไร เพราะไม่ทำให้เกิดขยะ

 

ตั้งแต่ขยะวัตถุนอก ที่ทำให้เกิดพิษเกิดโรค ไม่ว่าขยะแห้งหรือเปียกก็ตาม ถ้ามีน้ำประชุมด้วยก็เกิดพิษภัยได้เร็ว แต่ขยะแห้งๆก็รก กินที่ เป็นเชื้อเพลิงได้ เป็นพิษภัยได้ โลกจะมีขยะเพ่ิมไม่ว่าขยะวัตถุหรือขยะนามธรรม ไม่ง่าย อาตมาพูดไว้นี่ ตัวขยะจะเป็นพิษภัยต่อมนุษยชาติ

 

เรามาเรียนรู้ลดขยะทางนามธรรม และขยะรูปธรรม เราจะต้องรู้ทั้งวัตถุ ต้องรู้จักเก็บงำรักษาประหยัดมัธยัสต์ เราจะมีภูมิปัญญารู้ ค่อยฝึกนิสัย แม้รู้แต่ไม่ฝึกก็ไม่ได้ผล ถ้าเรามีกระจิตกระใจจะทำก็จะช่วยกันกำจัดขยะ ลดขยะทั้ง พฤติกรรม และในใจ นี่ก็คือจะกู้ชาติได้แน่นอน เรารู้ก่อนเขาเราทำก่อน บ้านเมืองสังคมหมู่บ้านเราจะเกิดก่อน เป็นหมู่บ้านปลอดพิษภัย 

 

3 อาชีพกู้ชาติเป็นงานหลัก ที่รวมทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ ที่จะดูแลขยะทั้งแห้งและเปียก ทั้งวัตถุและจิตวิญญาณที่จะสามารถกำจัดสิ่งเสียหายเป็นพิษภัยได้ เราจะเข้าใจ นี่คือความรู้ที่ทำให้มนุษย์เจริญ อยู่ร่วมกันอย่างไม่มีสิ่งเลวร้าย นี่คือ 3 อาชีพกู้ชาติ

 

เรื่องกสิกรรมเราก็ทำกัน ต่อไปแต่ละหมู่บ้านอโศก ไม่ต้องพึ่งพาอาหารธัญพืชจากภายนอก ผลิตเองในหมู่บ้านได้ เหลือเผื่อแผ่ไปให้แก่ภายนอกด้วย จะต้องอย่างนั้น ส่วนจะเป็นแทงก้อนเป็นวิศวะก็ค่อยขยาย เราทำเรื่องอาหารเป็นปัจจัย 4 ก่อน แล้วค่อยไปสู่อย่างอื่น เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งเครื่องนุ่งห่มในโลกมันเฟ้อแล้ว แม้แต่บ้านช่องเรือนชานเมื่อเป็นสาธารณโภคีก็อยู่ง่ายไปง่ายมาง่ายอยู่ง่าย ภัยไม่มี แม้แต่ข้างนอกขึ้นรถไฟยังไม่ปลอดภัยเลย อย่างคดีน้องแก้ม อายุ 13 ก็ถูกข่มขืนชำเราบนที่นอนในรถไฟ ก็เลยเกิดความรู้ว่าแม้แต่บนรถไฟก็มีการทำร้าย คนไม่กล้าเปิดเผยก็มี ขนาดในรถไฟที่ส่วนสัดยังไม่ปลอดภัยเลย แล้วที่อื่นก็จะมีมาก ถ้าจิตวิญญาณคนไม่มีความร้ายก็ไม่ทำ จิตวิญญาณเป็นประธานของส่ิงทั้งปวง

 

พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากมนุษย์และสังคม ศึกษาตัวหลักคือจัดการสิ่งเป็นโทษภัยในมนุษย์ ก็เกิดจากตัวประธานใหญ่ คือมโนบุพพัง คมาธัมมา พระพุทธเจ้าจึงแก้ปัญหาโลกได้ ชาวอโศกจะเป็นกลุ่มที่แก้ปัญหาโลกสำเร็จก่อนใคร พวกเราก็ทุกข์น้อยลง มีคนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ คนมีคุณต้องพัฒนาถึงอรหันต์ แล้วก็มีความรู้สามารถ เป็นอรหันต์หมดตัวตน ถ้าเจริญเท่าไหร่ก็เป็นคุณต่อโลก ตัวเองจบแล้วแค่นี้ก็พอ เกิดมาอีกเท่าไหร่ก็ทำเพื่อคนอื่นจึงเรียกว่าหมดประโยชน์ตน มีแต่ประโยชน์่ท่านอย่างเดียวจากอรหันต์ไปถึงโพธิสัตว์ไปถึงพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตระเป็นโลกวิทู เป็นโลกานุกัมปา

 

พวกเราจะเข้าใจแล้ว ว่าอรหันต์กิเลสตายสูญ แต่อรหันต์ตายแล้วไม่สูญได้ เกิดมาเมื่อไหร่ก็มีแต่ประโยชน์มีคุณต่อโลก คนได้หลักประกันเช่นนี้จึงไม่เป็นขยะสังคม แต่เป็นตัวรังสรรต่อสังคาได้อย่างแท้จริง พวกเรามาศึกษาศาสตร์เช่นนี้ หรือศาสน์เช่นนี้จะเป็นที่พึ่งของโลก พูดแล้วดูเหมือนใหญ่ เราทำได้น้อยก็ช่วยคนได้เท่านี้เราก็ฝึกไปเพ่ิมขึ้นๆ เมื่อหลักประกันมีคือไม่เอามาให้แก่ตัวแล้ว ก็จะทำแต่เพื่อผู้อื่น ตนเองใช้อาศัยแค่นี้มันจะมีตัวพอ ไม่ต้องสะสม มากกว่านี้เฟ้อแล้ว นี่คือเศรษฐศาสตร์บทสำคัญที่พระพุทธเจ้าค้นพบไม่ใช่ทุนนิยมหรือ Capitalism  แต่เป็นบุญนิยม ไม่มีภาษาอังกฤษ อาตมาใช้ว่าBoonnism เป็นของพระพุทธเจ้าตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ชาวอโศกเรายังมีน้อย เก่งก็ยังไม่เก่ง สมรรถนะไม่สูง ก็จะไปตามสัจธรรม ให้ราบลุ่มเหมือนฝั่งทะเล จะไปได้ดีเป็นประโยชน์ตน ท่านได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

มนุษย์เช่นนี้ ที่เราทำให้เป็นแบบพระพุทธเจ้า จะเป็นคนคำ้จุนโลกมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) คำสามคำนี้พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอรหันต์ 60 องค์แรก ว่าให้ไปทำเพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก ให้มีสุขสงบ วูปสโมสุข ไม่ใช่สุขโลกียะ เป็นสุขประเสริญ วิเศษ มันสุขเพราะไม่ต้องบำเรออะไร จึงไม่ผลาญไม่เปลืองอะไร สุขอย่างไม่สูญเสียแต่โลกนั้นสุขอย่างสปาร์ค บำเรอ สูญเสียพลังงาน แต่อรหันต์ไม่สูญเสียพลังงานเพราะไม่สปาร์ค มันสงบ พลังงานเขาสร้างเท่าไหร่ถ้าไม่สูญเสียไปกับราคะโทสะ ก็จะเหลือพลังงานมาสร้าง ตามลำดับ โสดาฯก็ประหยัดระดับหนึ่งมาเป็นสกิทาฯก็ได้เพ่ิม จนอรหันต์ก็ได้กลับมาทั้งหมด เอาไปทำประโยชน์ได้สูงสุด

 

โลกียะนั้นเอาพลังงานไปสร้างไปสปาร์คเสียไปเท่าไหร่มากมาย อย่างฟุตบอลโลกก็สปาร์คแคลอรี่ไปไม่รู้กี่ยูนิต นับไม่ถ้วนสูญเสียเปล่าในราคะโทสะ ละลายหายไป ไม่มีอะไรเหลือ แล้วยังสั่งสมเป็นอุปาทานอีก ปีนี้ไม่ได้ปีหน้าต้องให้ได้ ให้มากกว่าเดิมอีก บราซิลเขาประท้วงว่าเอาเงินให้การฟุตบอลหมด แต่ประชาชนยากจนไม่มีกิน

 

เช่นเดียวกับคนที่อยากเท่ ต้องรักษาท่าที มีรถเบนซ์ขี่นอกบ้าน แต่กลับบ้านกินข้าวกับก้างปลาทู อย่างประเทศที่เอาเงินมาถมจะต้องยิ่งใหญ่เป็นแชมป์แต่คนจะอดตาย นี่คือเข้าใจอสาระว่าเป็นสาระ เข้าใจสาระว่าเป็นอสาระ อย่างเมืองไทยไม่ต้องไปอยากจัดโอลิมปิก ไม่ต้องไปยึดว่าจัดได้เท่ฉิบหายเลย ไม่ต้องไปเสียผลาญทิ้งไปกับเรื่องไร้สาระ

 

ตอนนี้เรามี กิจกรรมมีผลเจริญนี่มันกำลังออกผลให้เห็นได้ เช่นเราสร้างสวนผลไม้ อย่างสวน 200 ปีมีทุเรียนออก ไม่ต้องใส่ปุ๋ยให้มันเลยไม่ต้องรดน้ำด้วย ถึงเวลาเก็บกินอย่างเดียว ต้นไม้มันช่วยตัวเองได้ มันอายุหลายร้อยปีได้ มันผลิตเองให้เรากิน นี่กิจกรรมมีผลเจริญ แม้แต่ทำโรงงานหากไม่ลงตัวก็ยังสูญเสียแต่ถ้าลงตัวเข้าฝัก ความสูญเสียก็น้อย เรียกว่าลงตัวกิจกรรมมีผลเจริญก็ไม่ต้องสูญเสีญในการซ่อมแซม ฉันเดียวกับต้นไม้ปลูกแล้วได้ผลดีมันก็ช่วยตัวเอง แถมมีเห็ดมีอย่างอื่นที่เกิดผลอีก ฤดูกาลหน่อไม้ถึงฤดูก็ออกให้กิน มันโตไวด้วยนะหน่อไม้

 

เมื่อกิจกรรมมีผลเจริญก็เบา แล้วช่วยเราได้อีก ถ้าลงตัวสมดุล จะมีผลแก่เราอย่างมาก การเปลืองผลาญน้อย มีประสิทธิภาพเร็วดีในการผลิตอีกด้วย พวกเราศึกษาแล้วจะเจริญ แต่อันหนึ่งที่เราอยากให้สำเหนี่ยก คือ ขี้เกียจ ดูดาย ไม่มีน้ำใจ เป็นลักษณะอันหนึ่งของความไม่เจริญ​

 

ขี้เกียจคือไม่อยากทำงาน ไม่อยากออกแรงทั้งที่ทำได้ทำได้ด้วยดีด้วยซ้ำ นี่คือตัวเลว เราก็ศึกษาว่าตัวขี้เกียจนี่มันไม่พาเจริญ แต่ถ้าเราทำก็เกิดประโยชน์คุณค่า ก็เกิดปัญญารู้ว่าขี้เกียจไปทำไมไม่ดีก็จะขยันทำไป แล้วก็จะมีเชิงไม่ดูดาย อันนี้ช่วยจับ ช่วยเก็บ ไม่ดูดาย การสร้างสรรก็เกิดขึ้น ความเจริญก็เกิดขึ้น นอกจากไม่ดูดายก็ยังมีน้ำใจด้วย แล้วแถมขวนขวายหาเรื่องช่วย May I help you? มีน้ำใจ แม้ไม่บอกวานก็เข้าไปช่วย ด้วยไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนไม่เอาบุญคุณด้วย เป็นเรื่องจิตวิญญาณ จะขี้เกียจ ดูดายก็เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ถ้าคนมีปัญญารู้ไม่ต้องขี้เกียจ ไม่ดูดาย ขวนขวายมีน้ำใจก็ยิ่งประเสริฐ  เราต้องมีปฏิภาณรู้ว่าไปช่วยเขาเราได้กุศลแต่เขากลับเลวลง ขี้เกียจเพ่ิม กิเลสเพ่ิม ทำให้เกิดการสูญเสียทำลาย เราก็ต้องรู้จักวิธีทำให้เขาขวนขวาย ล้างกิเลสไม่ดูดาย มีน้ำใจขึ้นมาเพื่อพัฒนาคนเราก็จะเข้าใจ

 

เป็นสิ่งพัฒนามนุษยชาติ สังคม ทิฏฐิพระพุทธเจ้าถ้าปฏิบัติถูกทุกอย่างจะเจริญดีเร็วสูงปริมาณมากได้จริง ตอนนี้ต้นทุนชาวอโศกยังมีน้อยเราก็พัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้นก็ไม่ง่ายนัก อัตราก้าวหน้าไม่มากนัก จนกว่าจะเป็นปฏิภาคทวี หลักบวกมาเป็นตัวคูณ แล้วเป็นระดับยกกำลัง ไปตามจริง อัตราก้าวหน้าจะค่อยเพ่ิมขึ้นต้องพยายามดูให้ดีว่าถึงรอบไหน อย่างไร มันบวกทีละเท่าไหร่ หรือเป็นเชิงคูณ หรือยกกำลังก็จะรู้

 

นี่คือหลักสูตรพระพุทธเจ้าที่ไม่ท้ิงโลก มีโลกวิทู รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย พัฒนาตัวเองตรวจสอบตัวเอง ไม่ให้ผิด ถ้าผิดก็จะไม่เร็วไม่คล่อง ถ้าผิดก็จะสับสน เรามีความรู้ทฤษฎี กำลังเข้ามาร่วมทำงานแล้วประสานสัมพันธ์กับข้างนอก ซึ่งเขาเริ่มเข้าใจไว้ใจยอมรับมากขึ้น ความไว้ใจอย่างแรกคือ ความซื่อสัตย์

 

คนเราถ้าซื่อสัตย์แม้จะไม่เก่งไม่มีประสิทธิภาพเขาก็ยอมรับ แต่บางคนก็หลงความเก่งแม้ไม่ซื่อสัตย์แต่อาตมาว่าซื่อสัตย์แม้ไม่เก่งดีกว่า ซื่อสัตย์เป็นหลักประกัน นี่คือหลักการที่เราจะพัฒนามนุษย์ สรรค่าสร้างคน เราก็จะได้คนที่สัมมาทิฏฐิ มีองค์ประกอบคุณค่าแท้ อาตมาก็ขอย้ำซ้ำว่าวิชาการพระพุทธเจ้าค้นมาจากมนุษย์กับสังคม ซึ่งสังคมนั้นกว้างไปถึงระดับจักรวาล ยุคนี้กิเลสมันหนาก็ทะลวงไม่ทะลุ ไม่เหมือนบางยุคที่คนกิเลสน้อยก็ทะลวงไปได้ง่ายได้กว้าง แต่ยุคนี้จะได้กลุ่มน้อย ไปก็ยาก จะช้าก็ช้า เราก็พากเพียร มันก็เพ่ิมมันก็ไปได้มีเพ่ิมอยู่ ส่วนคุณวิเศษในยุคนี้ ยิ่งใหญ่กว่ายุคโบราณเพราะซับซ้อนมากกว่ากัน ยุคซับซ้อนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงกลไกให้ดีงามก็ยากกว่า แก้ค่ายกลโลกีย์ให้ดีขึ้นน้ันยากกว่า มันมากด้วยแน่นด้วยก็เลยช้า อย่างอาตมารู้ก็เลยบอกพวกคุณ อย่าไปเทียบกับโลกีย์ที่เจริญเร็วลงนรก ไม่ต้องไปริสยาเขาเราก็ทำไปของเรา เราสงสารเขาด้วยว่าเขาไม่รู้ว่าเติมน้ำหนักความชั่วและชั่วเร็วด้วยเป็นปฏิภาคทวีไปเท่าไหร่ก็ยิ่งซวยหนัก  เขาก็สังขารจัดการ create เขานึกว่าสร้างสรร แต่แท้จริงสร้างนรก อย่างฟุตบอลเตะเข้าโลกทีหนึ่งสปาร์คทั้งคนเตะคนดูเท่าไหร่ มีคนตายแล้วด้วย แต่ก่อนไม่ได้ดีใจแรงเท่านี้แต่เดี๋ยวนี้ดีใจแรงมากเสียหายมากหนัก เขาไม่รู้เลยว่าเขาทำบาป เขามันฉิบหายยิ่งใหญ่ฉิบหายแล้วมันได้อะไร เกิดการสร้างสรรอะไร เตะบอลเข้าโกล มีการโกงตุกติกแทคติกเท่าไหร่ หรือแม้แต่ไม่โกงก็ตาม แต่แชมป์ฟุตบอลทำไม้จิ้มฟันทำนาได้ไม่เก่งเท่าเรา แล้วมันได้ประโยชน์อะไร ไร้สาระ มันได้แต่บำเรออารมณ์ สุขเท็จสุขโลกีย์ พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเท็จ อัลลิกะ ไม่ได้อะไรสูญเปล่าเป็นกามสุขขัลลิกะ

 

ถ้ามันลำบากเป็นกิลมถะ แต่มันยังมีส่ิงสร้างสรร อย่างขันธ์ของเรา พราหเว ปัญจ ขันธา คือขันธ์ 5 นี้หนักเป็นภาระแต่มันยังมีอยู่ก็ต้องใช้ ให้ไม่ก่อภัยก่อกิเลส ก่อประโยชน์แม้จะเป็นภาระ ดูแลไม่ให้มีเชื้อโรค ไม่ให้เสียสมดุล ก็เป็นภาระ แต่มันก็มีประโยชน์ ถ้ารูปไม่มีกิเลส เวทนา สัญญา สังขาร ก็ไม่มีกิเลส ก็สร้างสรร มีกรรมกิริยาการกระทำเป็นประโยชน์ช่วยกัน เช็ดปัดกวาดถู ป้อนข้าวป้อนน้ำดูแล เป็นประโยชน์ทั้งนั้นมีของร่วมกินร่วมใช้เกิดจากขันธ์ 5 ที่เราไม่มีกิเลสหวงแหนหรือทำลาย สุดยอดแล้วพระพุทธเจ้าศึกษามนุษย์กับสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

 

พวกเราศึกษาไป บรรลุธรรมไปก็จะเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ จะรู้ว่ามนุษย์อาริยะดีที่สุด พวกเราจึงมีการศึกษาที่ล้างกิเลสเป็นหลัก แม้การศึกษาทางโลกเราก็ไม่ทิ้่งเราเอาด้วย เรามี ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เรามีศีลเด่นเป็นจิตวิญญาณเป็นหลักเพื่อกำกับการงาน เพื่อกำกับความรู้เป็นวิชา ทำให้สมดุลพอเหมาะไม่เป็นโทษ การศึกษาที่ครบกระบวนการ ทำได้ทำจริงทำเป็น กับแม้หลักวิชาการโลกเราก็ไม่ทิ้ง อะไรเกินเราก็ทิ้งไปก่อน อะไรเราเอื้อมไปทำได้เราก็ทำ เทคโยโลยีมีทั้งประโยชน์และโทษภัย

 

ธรรมชาติที่น้อยกว่านี้ ถ้าคนมีปัญญาไม่หลงติดยึดสิ่งปรุงแต่ง คุณสร้างมาก็ไม่มีคนรับ อย่างเขาทำยาบ้ามา คนรู้แล้วก็ไม่เอา หรืออย่างบุหรี่พวกเราก็ไม่สูบ หรือฟุตบอล มันจะเป็นนัดพิเศษอย่างไร คนรู้แล้วว่าไร้สาระ มันจะเอาอารมณ์ไปบำเรอกันเท่านั้น เขาจะปรุงแต่งมาก็เฉย โลกจะมีเท่าไหรเราก็ Let it be ก็ช่างมันประไร มันจะมีก็มีไป คนเข้าใจก็รู้แล้วเขาจะมีก็แล้วไป พูดกับเขาไม่รู้เรื่องก็ต้องปล่อยเขาไป เขานิยมกันทั้งโลก เราก็รู้เท่าทัน ว่าเอ็งปรุงไปเถอะหนักหนาไร้สาระไรก็ปล่อยเขา หรือจะปรุงแต่งกามคุณอย่างไร หรือสมบัติพัสถานเพชรนิลจินดาก็ตาม ถ้าชีวิตของคุณจากนี้ไม่ได้เพชรสักเม็ดเลยคุณจะเป็นคนดีมีคุณค่าต่อสังคมได้ไหมก็ได้ แต่คนติดยึดนี่ไม่ได้นะเขาไม่มีเพชรไม่ได้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ยึดได้ตอนเป็นๆ มันไม่เป็นของตัวเลย ส่วนอารมณ์นั้นไม่พรากเอาติดอัตภาพไปอีก เอานรกติดตัวไปเท่าไหร่ นี่คือวิชชาจริงๆ วัตถุไปกับอัตภาพได้ แต่อารมณ์นี่สุขทุกข์เอาติดอัตภาพไปทำไม?

 

นรกมันนานแล้วเป็นจริง ส่วนสวรรค์นั้นแวบเดียวแล้วไม่นาน จริงๆแล้วนรกสวรรค์หรือทุกข์สุขก็ไม่มีจริง แต่ทุกข์นั้นเกิดจากยึดตกผลึกเป็นอุปาทานเป็นอาสวะอนุสัยอยู่อย่างนั้น การสุขนั้นจะสุขอย่างถึงclimax ในสัญญานั้นยากนะ ไม่มีเหตุปรุงแต่งดินน้ำไฟลมปั้นในมโนมยอัตตา ตายไปก็สุขอย่างนี้ได้ แต่ตายไปนี่ไม่รู้ตัว มันจะมีความย่ิงฮึด ไม่รู้ว่าตนไม่มีทวาร 5 แล้วก็ดิ้นแรงอยากได้อย่างที่ตากระทบรูปแต่ก็ไม่มีตา อวิชชานั้นซ้อนว่าเราไม่ตาย แต่อยากได้อย่างที่เคยสัมผัสเสียดสี ได้กลิ่นได้ยิน ตายไปแล้วไม่มีแต่คุณไม่รู้จะเอาให้ได้ก็เป็นนรกลึก ยิ่งใหญ่ย่ิงลึก จัด โดยที่ไม่มีแต่ก็ปั้นเอง ไม่มีก็ปั้นเอาเองให้มี เหมือนผีไม่มีจริง แต่บางคนก็ปั้นจนเหมือนมีจริง อาตมาเคยรักษาเด็กหญิงอุปาทานว่ามีผัวเป็นพระพรหม ถึงขั้นมีตัวตนสัมผัสกันสมสู่กันได้เลย ตอนนั้นอาตมารักษาเขาหายได้เหมือนกันนะ

 

เป็นอุปาทานหมู่เห็นด้วยกันก็ได้ อย่างเห็นหลวงปู่แหวนอยู่บนเมฆเป็นต้น หรือพวกนักสะกดจิตก็ทำได้ อาตมาเคยเตรียมจะแสดงการหายตัว ใช้วิธีสะกดจิตอุปาทานให้ไม่เห็นร่างกายนี้ คนถูกสะกดจิตครอบงำได้แล้วก็นับหนึ่งสองสามก็หายตัว คนก็ไม่เห็นทั้งที่เรานั่งอยู่นี่คือมโนมยอัตตา ปั้นให้ไม่เห็นได้ด้วย หรืออย่างผีนี่ก็ปั้นเอาว่าเป็นผีตามอุปาทานไว้ ถ้าเดินเข้าไปหามันเลยแล้วก็ท่องไว้ว่า แค่ตายๆ ก็จะเจอความจริงว่าไม่ใช่ผี เป็นสัญญาย นิจจานะ หลอกกันได้ ทั้งที่ไม่มีจริง เป็นเพียงสัญญาที่ไปยึดถือว่าเป็นจริงเที่ยงแท้ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เป็นได้หมด

 

ตอนนี้อาตมากำลังสาธยายโลกแห่งความรู้ เป็นสายเจโตและสายปัญญา

 

สายเจโต มีความลึกลับ ไม่มีเหตุผลอธิบายไม่ค่อยได้ก็เรียกว่า Prophecy สูงสุดเป็น Prophet

สายปัญญามีเหตุผล อธิบายได้แต่ไม่ค่อยลึก เรียก Philosophy สูงสุดเป็น Philosopher

 

ส่วนอีกพวกหนึ่งพยายามศึกษาฝึกฝนให้เข้าถึงความจริงเพ่ิมอธิบายได้แต่ว่าไม่ลึกถึงปรมัตถ์ เป็นEpistemology ส่วนของพุทธนั้นเป็น Phenomenology คือเป็นปรากฎการณ์วิทยา ของเขาจบแล้วเป็น Philosopher แต่ของพุทธจะเป็น Phenomener (ภาษานี้อาตมาก็ไม่แน่ใจว่าใช้อะไร?) จะศึกษาเป็นลำดับตั้งแต่ภายนอกเป็นอบาย แล้วไปจัดการกามภูมิได้อีก ก็จะรู้ทั้งโลกอบายและโลกกาม สังขารจะมาแรงอย่างไรกระแทกอย่างไรก็อเนญชาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวก็ช่วยเขาได้แม้อนาคาฯเหลือรูปภพอรูปภพก็ทำลายได้อีก โดยไม่ต้องหนีโลก อยู่กับโลกเขาอย่างไม่ติดยึด แต่พวกที่บ้าปั้นสร้างมโนมยอัตตา แม้ตายไปก็ปั้นได้ว่ามีสามีเป็นพรหม มีนรกสวรรค์อยู่ แต่สวรรค์นั้นสั้นมาก ได้เสพสมได้ถึงจุดอุปาทานก็คลาย แล้วสั่งสมเป็นอุปาทานไว้ แล้วตายไปไม่มีจริงเลยก็จะมีแต่นรกเป็นหลัก สวรรค์สร้างได้ชั่วแวบสุขในสัญญาได้แวบเดี๋ยวเดียวหาย แต่อนุสัยนี่ตกคลัก หมักหมมเน่าในอาสวะไม่เคยหยุดทำงาน ทุกข์จึงเป็นอาริยสัจส่วนสุขเป็นอัลลิกะ

 

สุขเหมือนเม็ดฝนพยับแดด แวบเดียวแต่ทุกข์นี่นานเป็นอุปทานติดเป็นอนุสัยอาสวะ คนที่ทิ้งสุขอัลลิกะ ก็จะมีปัญญาไม่น่าเสียดายสุขเลยแต่คนหลงก็จะติดหนักลงทุนสูบมา40 ปีแล้วจะล้างได้อย่างไร แต่คนมีปัญญาไม่มีสุขทุกข์กับมันแล้วก็จะรู้ว่าเราไปติดมันทำไม ปล่อยสบายกว่าเยอะ

 

ถามปัญหา...เมื่อวานย่าทางโลกโทรมาว่าคนเป็นมะเร็งหมอรับไว้รักษาที่รพ. พอดีมีป้าเตียงใกล้กัน บอกให้ว่าใช้กระดูกงูจงอางฝนกับมะนาวกินอาการดีขึ้นมาก หาย เขาไม่ได้ฆ่าเองแต่ไปขอกระดูกคนที่เขามี ถามว่าจะเป็นบาปไหม?

ตอบ...พระพุทธเจ้าว่าถ้าจะเป็นยารักษาโรคจะเป็นเนื้อสัตว์ เราไม่ได้ฆ่าเขาเอามาเป็นยารักษาชีวิตท่านก็ไม่ว่าก็ต้องใช้ไม่เป็นไร จะเป็นส่วนไหนของสัตว์ก็ได้ แต่อย่าไปร่วมมือร่วมฆ่า แต่ถ้าไปร่วมฆ่าก็บาป จะบาปก็คือ 1.รู้ 2.ไม่รู้ไม่เห็นแต่ได้ยินข่าวมาก็ยังมีเชื้อ 3.ไม่รู้ไม่เห็นไม่สัมผัสข่าวก็ไม่ได้ยินแต่ยังข้องใจสงสัยว่าเป็นสัตว์ที่ไปฆ่ามาก็ให้ตัดทิ้งเสียอย่ากิน ว่าสัตว์นี้ไ่ม่ใช่เดนสัตว์กินไม่ใช่ปวัตมังสะ แต่เป็นอุทิสมังสะ ถ้าสังสัยก็อย่ากิน อันนี้คุณไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ต้องอาศัยไว้รักษาชีวิตยิ่งเป็นมะเร็งก็อย่าเกี่ยงเลยรักษาชีวิตไว้เถอะ....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:00:35 )

570716

รายละเอียด

570716_พุทธชีวศิลป์(2)วนบ. เรื่อง ศาสตร์และศิลป์ต่างกันอย่างไร และความมีและไม่มี

พุทธชีวศิลป์...เป็นศิลปะในการที่เราจะได้รับประโยชน์ในความเป็นพุทธ หรือจะแปลว่าพุทธนั้นมีศิลปะต่อชีวิตของมนุษย์ ก็ได้

 

คำว่าศิลปะ อาตมาถือว่าสูงกว่าคำว่าศาสตร์ ในความเป็นศิลปะเองมีความเป็นศาสตร์อยู่ในนั้นแล้ว แต่ความเป็นศาสตร์มีความเป็นศิลปะบ้างไม่มีบ้าง และก็มีเยอะที่ไม่มีศิลปะ ชนิดที่คนเข้าใจไม่ได้ว่าศิลปะคืออะไร?

 

ศิลปะก็คือการให้ความรู้ที่นำพาไปสู่มงคลอันอุดม ศิลปะคือการแสดงออกของศิลปินเจ้าของงาน ศาสตร์นั้นก็แสดงออกถึงความรู้ของเจ้าของศาสตร์ ถ้าเจ้าของไม่แสดงเลยก็ไม่เผยแพร่ ทั้งศาสตร์และศิลป์  แต่ถ้าเผยแพร่แล้วศาสตร์นั้นมีศิลป์ไปด้วยไหม หรือมีแต่ศาสตร์มีแต่ความรู้

 

เช่นศิลปะมีความสำคัญความหมายสองอย่างที่อาตมาว่าแม้แต่ศิลปินก็ไม่รู้ว่าเขาใช้สองสภาพนี้คือ 1.สุนทรียศิลป์ 2.สาระศิลป์  สองอย่างนี้ถ้าไม่มีทั้งสองอย่างก็ไม่ชื่อว่าศิลปะ

 

ถ้าอะไรให้แต่สาระ สื่อโดยไม่มีสุนทรีย์อันนั้นไม่ใช่ศิลปะ คำว่าสุนทรีย์คือสิ่งที่น่าชี้ชวนให้คนเกิดสนใจเกิดฉันทะ ชื่นชอบถึงซาบซึ้งเลยได้  ถ้าสื่ออะไรให้คนรับรู้ ถ้าไม่มีสุนทรียะอันนั้นคือ สารคดี เป็นเรื่องสาระแท้ๆ เขาก็บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่ศิลปะ มีแต่สาระแท้ เพราะฉะนั้นในศาสตร์ก็ไม่มีศิลปะได้ ส่วนศิลปะนั้นขาดสาระไม่ได้ สาระนั้นต้องวิเศษด้วยซ้ำให้คนเข้าใจซาบซึ้ง จนถึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย ไปสู่มงคลอันอุดม มีอำนาจถึงอย่างนั้น นำไปสู่ความประเสริฐสุงสุดถึงนิพพานเลย คำว่าอุดม คืออุตระหรือโลกุตระ ใครสื่อสาระที่มีสุนทรียะด้วยก็มีคนรับประโยชน์จากงานได้มากกว่า ส่วนสารคดีอย่างเดียว ไม่มีสิ่งน่าชื่นชมประกอบด้วย เพราะพระพุทธเจ้ารู้ว่ามนุษย์ต้องมีความร่าเริงเบิกบานมีสิ่งอาศัยเป็นสิ่งน่ายินดี พุทธะจึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่แข็งทื่อ ไม่มีรสชาติให้คนอาศัยเลย

 

พระอรหันต์คนเดาว่าท่านไม่สุขไม่ทุกข์ ท่านก็ซื่อบื้อรื่อทือ ไม่ใช่ ท่านก็อาศัยได้ แต่ท่านไม่ติดยึดเอามาบำเรอกิเลส มันอาศัยแล้วจะคล่องกว่าไม่อาศัยแล้วนิ่งๆฝืดๆ เดินอย่างฝืดๆร้อนเหนื่อยลำบากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมีต้องชื่นชมไม่มีไม่ได้อย่างนั้นติดยึดไม่ใช่ แต่อย่าพาซื่อเดาไป  ต้องประมาณแล้วอาศัย อรหันต์ทุกองค์ก็อยู่อย่างประมาณแล้วอาศัย ไม่ใช่เรื่องตีกินแบบขี้โกง แต่คนพิสูจน์ตนจนบริสุทธิ์ จิตขาดอาสวะสิ้นแล้วก็อาศัยโลกอยู่ โดยมีสัจจานุโลมมิกญาณ  อยู่กับโลกที่ปรุงแต่งท่านก็อาศัยให้เกิดผลดีที่เหมาะสม ตามสัปปุริสธรรม 7  มหาปเทส 4

 

สรุปแล้วศิลปะ คนที่นึกว่าตนใช้ศิลปะแล้วอาศัยงาน ที่เรียกว่าศิลปะ แต่เป็นงานอนาจาร มอมเมาหลอกลวง เช่นทำงานออกไปไม่มีสาระแก่นสารเลยในงานนั้นจะงานเขียน ปั้น ดีไม่ดีลามกทำกิเลสเพิ่มด้วย ยกต้วอย่างคนเขียนภาพนู๊ดเปลือย เขียนอย่างไรเป็นศิลปะ ก็ถ้าใครเขียนภาพเปลือยแล้วคนสัมผัสแล้วเกิดละหน่ายคลายจากกิเลสราคะ กิเลสราคะลด อันนี้เป็นศิลปะ แต่ถ้าสัมผัสแล้วกิเลสราคะเกิดอันนี้เป็นอนาจาร เกิดมากเท่าไหร่ก็เป็นลามกเท่านั้นอนาจารเท่านั้น ไม่ใช่ศิลปะ

 

ถ้าใครสัมผัสงานของคนหลงว่าเป็นศิลปิน ถ้าสัมผัสแล้วเกิดราคาะเพิ่มอันนั้นไม่ใช่มงคลอันอุดมแต่เป็นข้าศึกแก่กุศล ไม่ใช่ศิลปะเลย เป็นอนาจารเยอะ ทำให้คนหลงใหล เช่นงานAbstract งานไร้รูปแบบ ให้คนคิดเอา ซึ่งตัวเองคนเขียน บางคนได้รับการยอมรับนับถือในโลก เป็นศิลปินใหญ่ แต่งานเขาทำนี้ไร้สาระ เป็นเทคนิคแสงเสียงให้คนคิด แต่ไม่ได้ลดราคะโทสะ โมหะ เลย แถมเพิ่มโมหะ เดาด้นส่งไป เป็นวิมานเลอะประหลาดก็ได้ไม่เข้าหาแก่นสารสาระเลย เยอะเลยในโลกนี้ ไม่ใช่แค่ในไทย

 

โลกนี้มอมเมาด้วยศิลปะ แต่ไม่มีสาระศิลป์ เอากามมาเหยาะ จนตนไม่เข้าใจ ทำให้คนราคะเยอะขึ้น โทสะขึ้นหรือโมหะเพิ่ม เอาสิ่งที่คนชอบเป็นตัวตั้ง เขาตั้งชื่อภาษาเยอะแยะในสาขาของศิลปะมากมาย Art อะไรต่างๆ ก็เลยไม่เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติ แต่มอมเมาเสียเยอะ เพราะไปเข้าใจว่าศิลปะคือให้คนเกิดรู้สึกแปลก สนใจ งานขายได้คนยอมรับนับถือก็สร้างแปลกพิเศษ มีแต่สุนทรียะไม่มีศิลปะเพราะไร้สาระ มันต้องมีสาระถึงโลกุตระเลยแล้วก็ต้องมีสุนทรีย์ด้วย

 

สาระนั้นก็เอาแต่ความรู้มาให้แข็ง ไม่ชี้ชวนให้คนมาสนใจเลย จึงมีคนที่ทำสารคดีแล้วมีเครื่องชี้ชวนให้สุนทรีย์บ้าง แต่อย่าเอาสุนทรีย์ไปกลบสาระมากเกินจนคนไม่รู้สาระ เช่นเอาน้ำตาลไปเคลือบยามาก เด็กก็อมยา แต่พอถึงเนื้อยาก็คายทิ้งเลย กินแต่น้ำตาล ยาก็มีสาระเนื้อยาที่จะรักษาคน มันกินไม่ได้ก็ใส่กามเข้าไป ให้พอกินได้ แต่เสร็จแล้วคนรู้ทันหรือว่าทำยานั้นคนกินแต่สุนทรียะ ไม่เอาสาระเลย

 

โลกพอไปสัมผัสที่เขาว่าศิลปะ ก็เสพแต่สุนทรีย์ เพราะสุนทรีย์มันมากจนกลบสาระ แ ละอีกอย่างคนทำงานก็ไม่รู้ว่าตนต้องการสื่ออะไร เอาแต่ตนเองอัตตาตนเองผสมเข้าไปสื่อเข้าไปให้คนหลง ไปชมชอบเอกลักษณ์อัตตลักษณ์ของตน ให้คนติดในอัตลักษณ์ของตนก็ขายได้ เช่นมีแต่เส้นก็ขายได้ลายเส้นนี้เขาหลงซื้อกันหลอกลวงมอมเมาค้าขายกันเยอะ

 

ที่ขยายนี้ให้รู้ว่าศาสตร์กับสุนทรียะต่างกันอย่างไร ศิลปินต้องรู้ว่าตนทำงานนี้ให้ความรู้อะไรแก่คน แล้วอย่าไปหลงแต่สุนทรีย์มันเป็นกิเลสเป็นสิ่งประเทือง ให้อาศัยเท่านั้น เพื่อเกิดความคล่องรับได้ แต่ไม่ให้เขาไปติดจนเขาหาสาระไม่เจอ แล้วหลงแต่สุนทรีย์ ไม่ได้สาระ กลายเป็นเรื่องเป็นภัย สาระน้อยจนได้กิเลสมากกว่า อย่างหนังละคนบันเทิงเริงรมย์ แต่สาระไม่ค่อยได้สาระน้อยจนไร้สาระ  อนาจารลามก แล้วหลงว่าเป็นศิลปะ

 

คนทำงานศิลปะทุกวันนี้ไม่ได้เข้าใจนัยะของศิลปะอย่างอาตมาพูดนี้ อาตมาเองอาจอวดดีพูด เรียนศิลปะมาก็ไม่สูงอะไร จบอนุปริญญา ปวส. แต่ก็ไม่คิดเรียนป.ตรีต่อ เอาความรู้เดิมมาใช้ ขยายความ อาตมาทุกวันนี้ใช้ศิลปะในการทำงานมาตลอด  ใช้ทั้งคีตะ นัจจะ วาทิตะ ให้มีทั้งสุนทรียศิลป์และสารศิลป์ สื่อให้คนได้เนื้อแท้สาระแต่ไม่ให้ติดในสุนทรียะ

 

ที่อาตมาทำงาน ศาสตร์และศิลป์ อยู่นี่เพราะเห็นว่าความรู้ โดยเพาะความรู้ที่มีสัจธรรมเป็นสิ่งที่ควรมีควรได้แก่ชีวิต เป็นพุทธธรรม เป็นพุทธชีวศิลป์ อาตมาเห็นว่าของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดเป็นธรรมะสมบูรณ์แบบทุกอย่าง อาตมาก็พยายามสื่อ ถ่ายทอด 40กว่าปีแล้วก็ยังมีที่ต้องอธิบาย ก็มีผู้รู้ตาม แล้วเก็บต่อๆกันมา ไว้สำหรับทำต่อไปเรื่อยๆ อาตมามีหน้าที่เอาออกไปให้มากที่สุด พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เยอะ แม้เถรวาท เป็นลัทธินับเอาเถระผู้ใหญ่เป็นคำสอนที่ใกล้ชิดที่สุดเป็นเถระไม่ใช่อาจารย์ เถระรุ่น1 คือรุ่นที่ได้รับความรู้ตรงจากพระพุทธเจ้า เช่นพระอานนท์ พระสารีบุตร แม้แต่ภิกษุณี ในยุคพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนในยุคพระพุทธเจ้าเลย นั่นคือเถระรุ่น 1 ถ้าจะรองลงมาหลังกว่านั้นก็ถือว่าเป็นอาจาริยวาท เป็นอาจารย์ไม่ใช่เถรวาท

 

อาตมาไม่ค่อยจะเอาเถรวาทหรือของอรรถกถามาใช้นักแต่ก็ใช้บ้าง แต่ก็บางท่านก็มีแนวคิดตรงหลายอันรับได้ หรือองค์นี้แม้ไม่มีอาริยธรรมแต่ท่านเป็นนักศึกษาค้นคว้าเราก็เลือกใช้ท่านเป็นนักศึกษาอาตมาก็ต้องเอา เพราะท่านเป็นผู้คร่ำหวอด คงแก่เรียน  รวบรวมประมวลมา เราไม่มีปัญญา เวลาทำก็ต้องใช้ขอบคุณท่าน บางท่านไม่คงแก่เรียน แต่มีพรสวรรค์มีปัจเจก สยังอภิญญามากน้อยก็แล้วแต่ท่าน ที่เรียกว่าพรสวรรค์มีจริง มีมาตกทอดข้ามชาติ ยิ่งนิจจังทุวังส ัสตัง แน่นอนไม่หายไปไหน

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนก็ไม่ได้เรียบเรียงอะไรก็สอนไป มีพระสารีบุตรมาเรียบเรียงบ้าง แต่ไม่ได้จัดเป็นตะกร้าๆ (ปิฎก) พอมารุ่นหลังๆก็มาจัดเรียงเป็นหมวดหมู่เป็นวินัย สูตร และอภิธรรม มีคนบอกว่าอภิธรรมเป็นของคนรุ่นหลัง ก็ไม่แปลก รุ่นหลังทำทั้งนั้น รุ่นพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำไว้ แล้วหาว่าอภิธรรมเป็นของรุ่นหลังใช้ความคิดเห็นตนเลย อาตมาก็ว่าต้องมีบ้าง แต่ขอบอกเลยว่าน้อย ในอภิธรรม ไม่มีใครสามารถคิดบัญญัติ คำเรียกปรมัตถ์ จิตเจตสิกละเอียดจนถึงสุญญตาไม่มีใครตั้งได้ถ้าไม่ได้เรียนจากพระพุทธเจ้า สาระจากพระพุทธเจ้าไม่มีใครบังอาจมาตั้งได้ พระพุทธเจ้าก็ปรามไว้ว่าอย่าบัญญัติสิ่งที่ไม่ได้บัญญัติ คนจะบัญญัติอภิธรรมก็ต้องรู้ว่าลึกซึ้งแค่ไหน แล้วจะไม่รู้หรือว่าอย่าบัญญัติสิ่งที่ไม่ได้บัญญัติไว้โดยพระพุทธเจ้า เพราะคนจะเรียบเรียงอภิธรรม แม้จะเติมให้ก็ไม่ให้ออกนอกความหมายของพระพุทธเจ้าแน่ เขาไม่กล้าหรอก อาตมาก็มีีที่เพิ่มแต่ว่าไม่ได้ให้ความหมายผิดจากพระพุทธเจ้าแน่ ไม่ได้คำต่อคำ แต่ว่าไม่ให้ขาดสาระของพระพุทธเจ้าแน่

 

ศาสตร์และศิลป์...

 

อาตมาจะพูดเรื่องความมีและไม่มี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ในพระไตรปิฎกเล่ม 16  ข.43 และ 44 ขยายเพิ่มอีกนิดหน่อย...คำถามของกัจจานโคตร ถามพระพุทธเจ้าถามสั้นๆ ว่าคำว่าสัมมาทิฏฐิ ด้วยเหตุเพียงเท่าไหร่หนอจึงชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ....กินความไปถึงวิชชาของพระพุทธเจ้าด้วย คำถามนี้นะ ... พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วนสองอย่าง ฟังดีๆท่านพยายามแปลมาไม่ให้พยัญชนะตกหล่น ขอบคุณมาก...ส่วนสองอยางคือความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย) บุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี ...คำว่า ไม่มี สองคำนี้ พระบาลีท่านแยกใช้สองคำ ความไม่มีในโลกใช้คำว่า โลเก นัตถิตา ส่วนไม่มีคำหลังใช้คำว่า น โหติ .... อีกอันหนึ่งต่อมา เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)  ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมี ในโลก ย่อมไม่มี ท่านใช้บาลีว่า โลเก อัตถิตา ส่วน ไม่มีคำหลัง ใช้คำว่า นโหติ เหมือนกัน

 

นี่คึอภาษาที่หัวตีดินเลย....เพราะภาษาไทยมีเท่านั้น คือ มี และ ไม่มี แต่ภาษาบาลี คำว่ามีและไม่มีสองคำนี้ยังใช้ต่างกัน

 

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วย อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอาริยสาวกย่อมไม่ถือมั่น คือโลกต้องพัวพันด้วยอุบาย อุปาทานและอภินิเวส แต่ท่านไม่พัวพันด้วย อุบายอุปาทาน ไม่ยึดว่าอัตตาของเรา(อัตตา เม ติ) ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์เกิดก็เกิด ทุกข์ดับก็ดับ

 

ผู้รู้ทุกข์ แล้วดับเหตุได้ ทุกข์ก็หาย ก็จะเป็นผู้เห็นทุกข์ดับหรือมันเกิดหรือไม่เกิด แต่ผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ดับมันได้จึงรู้ทุกข์ รู้เหตุ รู้ทางดับทุกข์และรู้ความดับ 

 

อาริยสาวกมีญาณเช่นนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย เพราะความเชื่อนั้นเป็นเชื่อด้วยตัวเอง คือจิตมันไม่มีอาการทุกข์ เป็นญาณสัมมัปปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตัวเอง ของตนเองเกิด ของตนเองดับ พระพุทธเจ้าสอนมาท่านก็ไม่เชื่อท่านสอน อั้นนี้เลยท่านสอนแล้ว แต่เป็นปรากฏการณ์จริงของตนเป็นปาตุภาวะ Phenomenon ของตนเองเห็นเองรู้เองชัดๆ ก็จึงชื่อว่าไม่เชื่อผู้อื่นตามกาลามสูตร เชื่อเพราะเกิดจริงเป็นจริงด้วยตนเอง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้กัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ

 

รู้แต่คำว่า มี และไม่มี แค่นี้แหละ ก็คือชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ

 

ต่อมาอ่านข้อ 44 อีก ....ดูกร กัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ 1 มีว่า  ส่ิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ 2 มีว่า ส่วนสุดทั้งปวงไม่มี ...ตถาคตแสดงธรรมด้วยส่วนกลาง ไม่เข้าใกล้สองส่วน ที่มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจั ย จึงมีสังขาร....ตามปฏิจจาสมุปบาท ไล่ไปจนถึง เพราะมี ชรา มรณะ โสกะ โทมนัส ฯ ชาติจึงเกิดอยู่  ด้วยการสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ต้องมีวิชชา สังขารจึงจะดับได้ สังขารดับด้วยเหตุปัจจัยมันดับ ปัจจัยต่อจากสังขารก็คือวิญญาณ ..นามรูป...อายตนะ..ผัสสะ ..เวทนา ..ตัณหา.อุปาทาน .ภพ..ชาติ ...ชรา มรณะ โสกะ ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส...

 

อวิชชาดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ อวิชชาดับก็เกิดวิชชา ตกลงอวิชชาไม่มีแล้ว แต่มีวิชชา แม้ดับแล้วก็ยังมีสิ่งมี ย้อนไปหาคำว่า มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกแล้ว ความมีในโลกย่อมไม่มี คำว่าไม่มีในโลก คือไม่มีอวิชชา สังขาร...ดับตลอดสายปฏิจจสมุปบาทเลย เพราะฉะนั้นความดับนั้นคือไม่มี  แต่มีความมีอยู่ เพราะฉะนั้นความไม่มีในโลกย่อมไม่มี คำว่าไม่มีในที่นี้คือ  น โหติ

 

อะไรดับ ก็อวิชชาดับ แต่สังขาร นั้นมีอยู่ อันนี้แหละ อันต้นยังไม่เกิดความดับ แต่รู้โลกสมุทัยแล้ว เมื่อรู้ด้วยปัญญาอันชอบตามจริง นี่คือวิชชา แต่ถ้าปัญญาไม่ชอบตามจริงก็คืออวิชชา คำว่าความไม่มีในโลก คือสมุทัยในโลกไม่มี แต่สังขารยังมีอยู่ได้  โลกที่อวิชชาดับก็ยังมีความมีในโลก  ถ้าทำผลไม่มี ไม่เกิดผลคือนัตถิ ถ้าทำเกิดผลเรียกว่า อัตถิ คำว่านัตถิและอัตถิ คือตัวมรรค ส่วนคำว่า โหติ คือผล

 

เช่นนัตถิทินนัง ทานแล้วไม่มีผล  ในโลกนี้ไม่เกิดผล ทำทานไปแต่จิตไม่เกิดผลชำระกิเลสเป็นบุญได้ ทำท่านอย่างทำใจในใจไม่เป็นแต่ทำใจกิเลสเพิ่มหนักกว่าเก่า   แต่แม้จะรู้โลกสมุทัย ด้วยปัญญาอันชอบตามจริง แต่ทำไม่ได้ก็ยังไม่มีผล  ก็ยังเจอแต่โลกสมุทัย แต่ถ้าทำเป็นอัตถิก็จะเห็นโลกนิโรธ  คุณอยู่ในโลกเห็นความวนเวียนแล้วทำเหตุแห่งความวนเวียนให้ดับได้

 

โลกโดยมากยังพัวพันด้วยอุบาย อุปาทาน อภินิเวส คำว่าอภินิเวส แปลอย่างอาตมาก็คือมันลงเสาเข็มปักหลัก อยู่อย่างสร้างเรือนเลย เป็นที่อยู่ถาวรเลย มันสูงกว่าอุปาทานที่แปลว่ายึดมั่นถือมั่น แต่อภินิเวสนี่ลงหลักปักแหล่งเลย

 

แม้มีความฉลาดเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง แต่อาริยสาวก พัวพันด้วยอุบาย อุปาทานและอภินิเวส แต่อาริยสาวกย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่ตั้งมั่นในอุบาย อุปาทาน อภินิเวส   พระพุทธเจ้าท่านไม่ไปเกิดในสุทธาวาส 5 แต่ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ท่านสัมผัสแต่ไม่ไปปักหลักในอภินิเวสไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่ตั้งอยู่ในนั้น

 

คำว่าสัมมาทิฏฐิจึงลึกสุดลึกเลย

 

รสอร่อยคุณติดเข้าไปแล้ว มันก็ยังมี แต่ถ้าลดเหตุแล้ว มันก็ไม่มี อันนี้ยากกว่าติดตุ๊กตา แถมให้ฟังเป็นโจ๊กในสนามฟุตบอล อยู่ๆก็มีเด็กลงไปยื่นฟุตบอลให้นักฟุตบอล ว่าแย่งอะไรกันนักหนา นี่เราเอามาให้อีก 1 ลูก   เด็กนี่ไม่เดียงสานะ แต่ซื่อกว่าคนที่มอมเมาตัวเองสร้างความโง่มอมเมาตนเอง เด็กไม่รู้เรื่องก็เลยเอาไปให้

 

ภาษาคำว่าความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี ตกลงผู้ที่ยังปฏิบัตินี่ยังทำโลกสมุทัยให้ไม่มีไม่ได้ คุณก็คือผู้ที่ยังไม่มี  ฃ

 

คุณแสงแก้ว มาประกาศว่าตนบรรลุอย่างไร นานพอสมควร.....

 

พ่อครูว่ามันเป็นทั้งโจทย์และเป็นสิ่งที่เป็นความรู้มันจะเป็นความOver ของเขา เราก็ฟังเอาเนื้อ

 

ุตุ๊กทะเลธรรม...คนพูดธรรมะไม่เก่งจะบรรลุธรรมได้ไหม?....คนพูดธรรมะไม่เก่งแถมฟันหลอก็บรรลุธรรมได้...เพื่อนให้มาเรียนเพื่อให้ฟังคนอื่น ศิลปะมีทั้งสุนทรีย์และสาระ สุนทรีย์ ตนเองฟังพ่อท่านก็มาก บันทึกก็มากทำไมยังไม่บรรลุธรรม...ตอบ...คำถามนี้คุณไพศาล พืชมงคลก็ถามอาตมาว่ า ผมอ่านมามากเรียนก็มาก แต่ทำไมไม่บรรลุโสดาบัน แต่พระโกณฑัญญะฟังไม่กีกัณฑ์ก็บรรลุแล้ว...อาตมาก็บรรยายอนุบุพพิกถาให้ฟัง...การทำให้เกิดการละจางคลายกิเลสได้จะมาสู่การละสวรรค์เห็นโทษในการบำเรอความใคร่อยากแล้วก็ได้สวรรค์ ถ้าแยกไม่ออกว่าการบำเรอสวรรค์กับการออกจากกามไม่ออกก็ไม่มีทางไปสู่โสดาบัน...ถ้าอ่านจิตไม่ออกเลย อ่านจิตไม่เป็นเลย อ่านอาการไม่ออก ว่านี่อาการกามลดลงหรือดับ ถ้าคุณอ่านไม่ออกก็ไม่มีปัญญาทางโลกุตระไม่มีสัมมัปปัญญา มันไม่มี ไม่เห็นของจริง ถ้าเห็นว่าเราลดได้ก็จะเห็นความเป็นโสดาบัน ว่ากิเลสลดได้แม้จะลดชั่วคราวเป็นวิขัมภนะก็ได้แต่ไม่จริง ต้องทำด้วยปัญญาวิปัสสนา ว่ามันไม่เที่ยงมันลดลงได้ เห็นอาการดูดดึง เอร็ดอร่อยจางลงถึงไม่มี มันกลางเฉยๆ จะรู้ความจริงของสุขทุกข์ ได้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร? มันกลางๆไม่มีรสสุขจากอาการกาม ก็อีกอย่าง แต่อาการอัสสาทะคือความอร่อยก็ลดลงได้ อาการอยากคือกามลดก่อนแล้วความอร่อยหรืออัสสาทะจะลดทีหลังแม้แต่ในสัญญาก็จะจำได้อยู่อันนี้แหละยากมาก เราเหลือแต่ความจำหรือเราหมดแล้วก็ต้องพิสูจน์ไปเรื่อยๆ ท่านถึงให้ทำ ทุก 36 และ 3 กาละ ทำอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง สามารถอ่านตรวจเตวิชโช ได้แล้วตอนนี้เราไม่ระวังตัวมันยังเกิด ถ้าเราระวังก็สู้ได้ แต่สู้ไป ตอนไม่ระวังตัวก็ไม่เกิดแล้ว การทบทวนเหมือนลงบัญชี เตวิชโช จนคุณมั่นใจว่ากี่ร้อย พัน หมื่นแสนครั้งก็ทำได้ตัดสินไม่ผิดพลาด

 

พ่อท่านจบเพาะช่างเพราะจบศิลปะมา ที่รร.เพาะช่างได้สอนศิลปะโลกุตระไหม?...ตอบ..ไม่มีการสอนโลกุตระในเพาะช่างเลยไม่มีอาจารย์คนไหนมีภูมิสอนได้ต่อให้มหาวิทยาลัยไหนในโลกก็ไม่มีการสอนโลกุตระได้เลย แต่ก็พอรู้มีปฏิภาณว่าปรมัตถ์เป็นอย่างนี้อาตมาเคยฟัง ถวัลย์ ดัชนี ที่จบป.เอกจาเนเธอร์แลนด์ ว่า ปริญญาเอกต้องเรียนถึงปรมัตถ์ เลย เขาได้แต่ภาษามา ซึ่งในต่างประเทศก็มีการศักษาถึง Epistemology ออกจากProphecy หรือ Philosophy มาสู่Epistemology แต่ไม่มีสภาวะจริง แม้แต่ความรู้ Philosophyก็ยังไม่เข้าโลกุตระเลย ส่วน Prophecy ก็อาจมีบางคนมีบารมีถึงแต่ก็หายากและพูดอธิบายไม่ได้ด้วย

 

วิธีพวกนี้เรียนนี่ก็ดีนะไม่หลับ อย่างจริต ตุ๊กกับแสงแก้วก็คนละจริตเลย  อย่างแสงแก้วก็คงมีความจริงใจ มันปีติ อุพเพงคาปีติ อยากให้คนรู้เหมือนคุณดีง่ายแต่ก่อนอยากให้คนรู้ แต่ก่อนนี้ห้ามยากยังไม่อยู่มันอยากพูดอยากบอกให้คนอื่นรู้บ้างเป็น อยากให้คนอื่นรู้เป็นสาเถยจิต หมายความว่าจิตอยากอวดเป็นอุปกิเลส อ่านอาการพวกนี้ให้ได้ มันอยากให้คนรู้ แต่อย่างไม่มีอาการอยากอวดอันนี้ไม่ง่าย จะรู้ได้ เพราะกิเลสมันหลอกเก่งนะ เชื่อไหม? มันหลอกคนเต็มโลกว่าตนฉลาด  ต้องเรียนรู้  จนรู้ว่าอันนี้เราอยากอวด มันไม่ดี คนเราเวลาลดกิเลสที่ตนกำลังลด อย่างหนึ่งก็ตัดลดไปเลย อีกอย่างก็สร้างความเห็นความรู้ให้ละลายสิ่งที่ต้องการลด มันต้องรู้ ว่ามันลดได้ไหมอย่างไร อย่าหลอกตัวเองดื้อกับอกุศลจิตของตน ถ้าดื้อกับมันก็ให้อาหารมันไปอีก มันก็อ้วนไปเรื่อยๆ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:02:15 )

570717

รายละเอียด

570717_วิชาความรัก10มิติ(1)วนบ. มิติที่ 1

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ 17 เดือน 7 ปี 2557 วันนี้จะบรรยายถึงวิชาความรัก 10 มิติ จะสอนปี 1 ส่วนนร.ก็ให้เรียนโดยกำหนดม.1 ให้เรียนมิติที่1และ2 ส่วนม.2 ม.3 ก็ต่อเพิ่มมิติไปเรื่อยๆ จนถึง 10 มิติ แต่วนบ.จะให้เรียนปีเดียวคือปี1 โดยเรียนวันพฤหัสบดี นอกนั้นก็เป็นวิชาพุทธชีวศิลป์กับสรรค่าสร้างคนสลับกันไป ส่วนวันอาทิตย์กับวันเสาร์ก็ว่ากันไป

 

เรื่องความรักนี่นะ ทางศาสนาอื่นเขาไม่มีความรักแบบโลกุตระ เขามีความรักแบบถัวๆไปหมด เพราะว่าเขาเห็นว่าเขาพอเข้าใจความรักที่ไม่ดีบ้าง แม้แค่ความรักด้านกามเขาก็พอรู้ เขาก็ว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายไม่ใช่เรื่องต้องมาเลิกเพราะเป็นธรรมชาติของสัตว์โลก เขาแย้งแม้กระทั่งความรักเรื่องเพศกามเพศคู่ ถ้าไม่มีโลกก็สูญพันธ์หมดสิ ซึ่งที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ มีคนมาแย้งอาตมาว่าสอนเรื่องนี้มันผิดธรรมชาติ มาสอนให้เลิกมันเป็นธรรมชาติสัตว์โลก และมันผิดหลักของมนุษย์โลก ถ้าเลิกก็สูญพันธ์ุหมดสิ...อาตมาก็เลยพูดว่า สัตว์มันก็เป็นสัญชาติญาณของมัน แต่ของศาสนาพุทธเข้าใจว่าเป็นโทษภัย เป็นกิเลส หากไม่ล้างลดก็ไม่สิ้นเกลี้ยงเชื้อกิเลส มันไม่ง่ายจะลด แต่ลดได้จริงๆ ลดได้แล้วไม่เกิดภัยเกิดโทษต่อสังคมด้วย ศาสนาพุทธนี่ฝืนธรรมชาติ อย่างอาจารย์ใหญ่ของศาสนาพุทธหลายคนว่าธรรมะคือธรรมชาติ แต่อาตมาว่าธรรมะคือเหนือธรรมชาติ ชาติปิทุกขา การเกิดเป็นทุกข์ รักร้อยทุกร้อย รัก10ทุกข์10 รัก1ทุกข์1 ไม่มีเลยไม่ทุกข์เลย นี่ของพระพุทธเจ้า เขาก็ว่าเป็นไปไม่ได้แต่เป็นได้จริงแม้จะยาก เป็นได้แล้วเป็นคุณต่อตนต่อโลก

 

เขาว่าถ้าเป็นไปได้ แล้วเป็นไปหมดทั้งโลกคนก็สูญพันธ์ุ อาตมาก็เลยบอกว่าไม่ง่าย เอาคุณมาปฏิบัติให้ให้ได้ก่อน แล้วจะรู้ว่าทำได้แล้วจะรู้ว่าไม่สูญพันธ์หรอก ..เขาก็ว่าไม่เอา...นี่ขนาดคุณยังไม่เอาเลย  คนนี่พลโลกจะเกินเจ็ดพันล้านคนแล้ว จีนนี่ห้ามมีลูกเกิน 1 คนด้วย แต่มันก็ห้ามไม่ได้

 

ศาสนาอื่นเรียนรู้ ความรักแบบรวมๆ แต่เขาก็รู้ว่าความรักยิ่งใหญ่คือความรักของพระเจ้า คือรักทุกสิ่ง แต่เขาก็ไม่ชัดเรื่องความรักเรื่องกาม แต่ผู้ที่สูงส่งของเขาก็ถือได้ไม่มีเรื่องเพศ ศาสนาอิสลาม ไม่ละเรื่องกามซึ่งอาตมานับเป็นมิติที่ 1 ด้วยซ้ำไป พระพุทธเจ้ายอมอนุโลมให้ถือศีล5 ได้ เอากิเลสระดับเพศก็ผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น มีส่วนกิเลสที่ต้องให้เหมือนคนติดฝิ่น จะเลิกหักดิบเลยช็อคตายไม่ได้ เป็นต้น ก็เลยต้องอนุโลมให้ศีล 5 มีผัวเดียวเมียเดียว

 

ต่อจากนั้นจึงเลิกเรื่องเพศ จริงๆแล้วกามไม่ใช่เฉพาะเรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องของการเสพทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็อุปาทานว่าต้องได้อย่างนี้ สเปคนี้ เย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ จริงๆแล้วมีนัยะลึกซึ้งหลากหลาย ศาสนาพุทธจึง รวมเรื่องของเมถุน แล้วไล่มาตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ก็เกิดจากสัมผัสทั้งนั้น สัมผัสทางทวาร 5 ก็เกิดกาม ทุกส่วนของร่างกาย โผฏฐัพพะแตะต้องสัมผัสเสียดสีก็เกิดกามได้ทั้งสิ้น

 

อาตมาจะอธิบายรวมๆไปก่อน แล้วค่อยไล่จำที่ละมิติ

 

อาตมาจะเล่าว่าอาตมาเกิดความรู้นี้ตั้งแต่ 2517 ไปที่เชียงใหม่ เขาให้ไปบรรยาย กำลังเดินทางไปก็คิดว่าเราจะบรรยายอะไรดี มันก็ขึ้นมาเป็นความรู้ของเก่าที่ขึ้นมา แต่ก่อนนี้ความจำใช้ได้ ก็เลยว่าความรัก 10มิติก็ท่าจะดี ก็ขึ้นมาพรึ่บ บรรยายแล้วดี วิทยาลัยครูที่เชียงใหม่มาเชิญให้บรรยายอีกก็เลยเทศน์ 2 ครั้ง เขาก็มาถอดเทป เป็นหนังสือความรัก 10มิติ มีตอบคำถามนักศึกษาในนั้นด้วย พิมพ์ครั้งแรก 1หมื่นเล่ม 2518 ...ต่อมาพิมพ์อีกจนถึงหลายครั้ง แต่ตอนหลังก็มาเขียนเป็นเล่มเลยเสร็จพิมพ์ในพศ.2544 เผยแพร่มาจนบัดนี้ก็รวมๆแล้วเป็นแสนเล่มเลย

 

นี่คือความเกิดขึ้นของทฤษฎีความรัก 10 มิติ แล้วความหมายของมัน

1.มิติที่1 เรียกว่า กามนิยมหรือเมถุนนิยม เมถุนแปลว่าคนคู่

2.พันธุนิยม หรือปิตปุตานิยม ความรักแบบพ่อแม่ลูก

3.ญาตินิยมหรือโคตรนิยม

4.ชุมชนนิยมหรือสังคมนิยม คอมมิวนิสต์เป็นระดับนี้

5.ชาตินิยมหรือรัฐนิยม

6.สากลนิยมหรือจักรวาลนิยม

7.เทวนิยมหรือปรมาตมันนิยม

8.อเทวนิยมหรืออาริยนิยม

9.นิพพานนิยมหรืออรหันตนิยม

10.พุทธภูมินิยมหรือโพธิสัตวภูมินิยม

 

นี่คือชื่อ ตอนแรกที่บรรยายที่เชียงใหม่ มีกามนิยมพันธุนิยม ญาตินิยม ชุมชนนิยม...ชื่อแรกไปเรื่อยๆ ตอนหลังอาตมาก็มาเติมชื่อหลังให้เพื่อให้เข้าใจได้เพ่ิมขึ้น

 

ถ้าเข้าใจเนื้อหาก็จะพบว่ามันคือความรักที่เห็นแก่ตัวเต็มไปด้วยกิเลสแล้้วก็ลดละกิเลสลงไป อย่างความรักมิติที่1 คือความรักที่เห็นแก่ตัว (อาตมาไม่เร่ิมที่อัตนิยม คือความรักตัวตนแบบฤาษี เพราะถ้าเอาอันนี้มันจะคลุมทั้งหมด แต่แบบพุทธจะเร่ิมที่มิติที่ 8 เป็นอเทวนิยม) ถ้าเรียนแต่มิติ1_7 ก็คืออัตตานิยม ไม่ต้องไปเรียนอัตตนิยมตัวแรกเลย ก็เรียนอันนี้แหละล้างไปตามลำดับ จนคุณสมบัติของความรักมันเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างจริงเป็นพระเจ้า เป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่หรือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ก็รักจริงๆไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่มนุษยชาติทั้งจักรวาล เขาก็เข้าใจทุกศาสนาปฏิบัติให้เป็นเช่นนี้ โดยตรรกะเหตุผลอาจเข้าใจ แต่โดยสภาวะที่เป็นจริง ขยายความรักตั้งแต่มิติที่ 1 คือเรื่องกามในโลกนี้มีแต่เธอกับฉันเท่านั้นไม่อยากให้ใครเป็นคนที่สามเลย นี่คือความเห็นแก่ตัว เป็นอย่างแรก แล้วมันก็สุดท้ายก็เพื่อสมสู่เพื่อสืบเผ่าต่อพันธ์ ถ้าแค่ต่อเผ่าพันธ์ก็ไม่หนักหนา เหมือนสัตว์เดรัจฉานมันก็มีคู่มีหวงแหนก็มีตามฐานะของสัตว์ก็มีกิเลส แต่คนนี่ยิ่งกว่าสัตว์หวงแหนเห็นแก่ตัวจัดจ้านทำร้ายทำลายหนักยิ่งกว่าสัตว์ก็เป็นนิยายของโลกมามากมาย

 

เมื่อสามารถเรียนรู้แล้ว เราจะได้รู้ว่า รสอร่อยในเพศสัมพันธ์นี่มันไม่จริง รสสุขมันไม่จริง รสอร่อยหรืออัสสาทะมันไม่จริง มันเป็นของเท็จ ถ้าพิสูจน์อย่างสัมมาทิฏฐิมันจะจางคลายได้ แต่ไม่ง่ายเพราะคนสะสมมาตั้งแต่เป็นเดรัจฉาน เรื่องเพศสัมพันธ์นี่ คิดดูสะสมมาขนาดไหนแต่ถึงไม่ง่ายก็ลดละได้ รู้แจ้งเห็นจริงได้ว่าอารมณ์นั้นเป็นเท็จมันไม่มีจริงหรอก เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า

 

มีคนตะแบง ในสายพุทธนี่ อาจารย์คนไหนหาเรื่องก่อบาป มันจะเบื่อหน่ายต้องสมสู่ให้จัด จนมันเบื่อหนาย ซึ่งไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหน มีแต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า 3 ส่ิงที่ไม่มีวันอิ่มเต็มคือ1.เมถุน 2.การนอนหลับ 3.ความเมา สามส่ิงนี้พระพุทธเจ้าว่าไม่มีอิ่มเต็ม เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วที่ตะแบงไปว่าต้องเสพจนเบื่อหน่ายอันนี้อุตริมาก

 

ในวินัยปิฎก ล.1 ข้อ 20 ว่าเรื่องเมถุนหรือคนคู่เป็นเรื่อง

1.    เป็นเรื่องของชาวบ้าน (คามธัมมัง)

2.   เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ (วสลธัมมัง)

3.   ชั่วหยาบ (ทุฏฐุลลัง)

เรื่องกามเป็นเรื่องหนักหนาของคนทั่วไป พระพุทธเจ้าถึงจำนน ก็อนุโลมปฏิบัติข้างต้นมีคู่ได้ แต่อยู่ในกรอบคู่ของเราเท่านั้น อย่านอกใจ ส่วนนอกกายก็ไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนใจต้องพยายามลดละ

 

มาสู่การปฏิบัติ เมื่อเราเป็นคนก็ต้องมีศีล 5 ให้ระวังสังวรจริงๆ ศีล 5 เป็นศีลของมนุษย์ทุกคน พื้นฐานชาวพุทธเลย พระพุทธเจ้าถือว่าพุทธเป็นศาสนาอาริชน แล้วคำว่าอาริยชนเอาตรงไหน?

 

อาริยชนเอาตรง โสดาปัตติมรรค เป็นจุดเร่ิมต้น โสดาปัตติมรรคคืออย่างไร? ก็คือรู้จักจิตเจตสิก อ่าน ต้องพยายามฝึกฝนวิธีปฏิบัติ เมื่อถือศีล 5 แล้ววิธีของพระพุทธเจ้าคือ มีผัสสะเป็นสมุทัย ถ้าไม่มีผัสสะไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อผัสสะแล้วด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งมีใจไปด้วยทั้งนั้น เมื่อกระทบทวารนอก วิญญาณก็เกิด ที่ใจ แล้วจัดการทำมนสิการที่ใจ ต้องรู้ให้ได้ ว่ามันเกิดวิญญาณสัตว์ เป็นโอปปาติสัตว์เพราะเกิดจากสังขารด้วยอวิชชาปรุงแต่งเองอัตโนมัติ เพราะไม่รู้ไม่ได้เรียนไม่ได้ฝึกมา

 

ตัวสังขารจะมีทั้งตัวอยาก ได้แสวงหา ได้สมใจ แล้วสุขทุกข์ หากสัมผัสตรงกับตัณหาอุปาทานตามปฏิจจสมุปบาท มันก็จะเกิดเป็นสุขทุกข์ ตัวที่ปรุงแต่งเป็นสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อาการสังขารที่ปรุงแต่งก็คือ วิญญาณ แต่เมื่อไม่เคยศึกษาปฏิบัติก็ไม่มีเครื่องมือ เครื่องมือคือ “สัญญา” ที่จะกำหนดเองด้วยอวิชชาก็คือกำหนดรู้ตามอุปาทาน ตามประสาสัตว์นรกไม่ฉลาดไม่มีวิชชา เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็เอาแต่เสพ ตอนนี้เราจำกัดเงื่อนไขไปที่กามารมณ์เรื่องเพศ เป็นเพศสัมพันธ์

 

เมื่อจำกัดอันนี้ก็พิจารณาแต่ตรงนี้ก่อน สัมผัสอื่นๆเอาไว้ก่อน เอาตัวเรื่องเมถุน เรื่องเพศสัมพันธ์ก่อนเป็นความเห็นแก่ตัวของคนคู่ เมื่อมันสัมผัสเรื่องเพศ รูป เสียงกลิ่นรส สัมผัส ที่เคยได้สัมผัสมาเป็นสัญชาตญาณตามที่เคยรับรู้หรือมาแต่ชาติไหนๆ มันก็มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน มีอวิชชาอยู่ พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้วิญญาณ โดยมีผัสสะ มีการสัมผัส ตั้งแต่ตากระทบรูป หูกระทบเสียงนี่แหละ จะเกิดก่อน เมื่อเห็นรูปกตรงสเปคว่าสวยหล่อ แต่ว่าบางคนก็ชอบชี้เหร่ แต่ส่วนใหญ่ก็มีค่านิยม ตามๆกัน หน้าตา รูปร่างโหวงเฮ้งว่ากันตามกันไป จนเมื่อยจะพูด เดี๋ยวนี้ศัลกรรมกันได้ ไม่ว่าสเปคไหนก็ไปเปลี่ยนได้เสียเงินเจ็บตัวด้วย นี่กิเลสทั้งนั้น ไม่ถามว่าที่นี่มีไหม? กลัวอาย

 

ขบวนการกิเลส กามารมณ์ เกิดจากอวิชชา ปรุงเป็นสังขาร แล้วเกิดเวทนา คนจะอ่านวิญญาณเป็นต้องมีญาณอ่่านรู้นามรูป   มันต้องรู้ นามรูป ด้วยการอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส โดยต้องได้รับการฟังได้รู้จากผู้รู้สัตบุรุษมาก่อน แล้วก็กำหนดหมายเอาเองว่าอาการอย่างนี้คือกาม อันนี้คือพยาบาท มันเกิดสัมผัสเมื่อไหร่ก็รู้ให้ได้

 

สังขารที่ปรุงแต่งทั้งหมดองค์รวมเรียกว่า กายสังขาร มันเป็นของมันเองทุกคน ที่ไม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้ เป็นกายสังขาร คือองค์ประชุมทั้งรูปนอกและภายใน ขาดนามธรรมไม่ได้  คำว่า กาย แม้มันจะขาดรูปรูป ขาดมหาภูตรูป ขาด ตา หู จมูก ลิ้นกาย  ไม่ได้สัมผัส คุณก็ยังสามารถมี นามกาย โดยเอาสัญญา หรือกำหนดเอง เป็นภาพ เป็นฝัน ต่างๆนานา ฝันถึงคนนี้เคยเห็นเคยรรักเขา วาดวิมานว่าเคยได้พบกับเธอ แล้วเกิดสุขก็ได้มันหลอก ทั้งที่จริงมันสะสมความทุกข์ หากเกิดสุข ติดใจก็ฝันบ่อย ก็เป็นนามกาย ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับมหาภูตรูปก็เป็นกาย เป็นกายสังขาร หรือว่าจะเรียกว่า จิตสังขารก็ได้

 

กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขารต่างกันอย่างไร?
ก็กำหนดความหมายต่างกัน เรากำหนดเครื่องหมายนิมิตอะไรขึ้นมา ชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ปรุงแต่งเป็นความหมายในใจตามภาษาของตนที่รู้มา เป็นภาษาไทย หรืออื่นๆ รู้กี่ภาษาก็ว่ากันไปตามรู้ ก็จะเกิดวจีสังขาร ที่ไม่ใช่วจีกรรมที่ออกมาภายนอก จึงเป็นจิตสังขารชนิดหนึ่ง และเรียกว่า กายสังขาร เป็นองค์ประชุม

 

ต้องแยกแยะรู้เวทนา 108 ที่เป็นเนกขัมมะ กับเคหสิตะ การเนกขัมมะคือการออกจากกาม เป็นตัวต้นตัวง่าย ทุกคนมีมา คือความอยากใคร่ แล้วกำหนด ปริเฉทไปว่าคือเมถุน คือคนคู่  เมื่อตากระทบรูปแล้วชอบ แล้วได้สัมผัสตามอยากสมอยากก็สุข แต่ไม่เมื่อไม่ได้ตามอยากหรือไม่ตรงสเปคก็เกิดทุกข์ ทำอย่างไร? คุณถึงจะลดอารมณ์นี้ลงก็ต้องลดที่เหตุ เหตุที่ทำให้เกิดเวทนา เมื่อจับเหตุได้ก็เรียกว่า สักกาย

 

ที่ฟังไปนี่เป็นทิฏฐิ แล้วไปปฏิบัติจะเห็นกาย พอมันเป็นองค์ประชุม ของฉันเอง ก็คือตัวจิตประชุมกันเป็นอารมณ์อยาก เมื่อได้สัมผัสก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ นี่คืออาริยสัจ 4 ตัวแท้ พระพุทธเจ้าสอนว่าสุขเป็นเท็จ วิธีก็คือ อารติ วิรติ ปฏิวิรติ สัมผัสเมื่อไหร่ก็จับ สักกายให้ได้ เมื่ออ่านสักกายทิฏฐิได้ อ่านอาการ ลิงค นิมิต ที่เป็นเจตสิก ถูกเรารู้ได้ด้วยนามธรรม ตากระทบรูปอยู่ก็เห็นอยู่เดี๋ยวนี้มันเกิดเดี๋ยวนี้ ก็อ่านเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ลืมตาด้วยมรรค 7 องค์ สัมผัสแตะต้องเรื่องราวธรรมดานี่แหละ เราก็กำหนดรู้ว่านี่เรื่องเพศ ผู้หญิงผู้ชายเฉพาะเรื่องนี้ มันสัมผัสแล้วเกิดอาการต้องรู้ทัน แล้วมีวิตก วิจัย วิจารให้ได้ วิจารคือพฤติกรรม วิจัยก็แยกแยะอาการอ่านตัณหาให้ออก วิธีการพระพุทธเจ้าคือให้ อารติ วิรติ ปฏิวิรติ เวรมณี คือเว้นออก อย่าสัมผัส สัมผัสก็ต้องระวัง แล้วแยกแยะให้ได้ว่าตัวนี้คือตัณหา เป็นกาม แต่อุปาทานรู้ยาก เป็นพลังงานศักย์มันเคลื่อนออกมาเป็นลีลากามเป็นตัณหา เมื่อลดตัณหาได้ก็ลดอุปาทานได้ เรารู้ตัวนี้จักการตัวนี้ได้ก็คืออภิสังขาร เป็นปุญญาภิสังขาร เป็นการชำระกิเลส ด้วยปหาน 5

 

ตั้งแต่กดข่มไว้ก่อน ก็ได้ชั่วคราว เป็นอุปการะทุกคนทำเป็นอยู่แล้วไม่ปล่อยเรี่ยราด แต่สัตว์ก็ไม่ระงับกดข่มเหมือนคน เพราะฉะนั้นวิธีกดข่มเป็นวิธีธรรมชาติสัญชาติญาณ แต่วิธีของพระพุทธเจ้านี้ทำลายกิเลสได้สำเร็จ แม้จะเป็นครั้งคราวก่อน มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์มันอนัตตา มันเป็นเท็จไม่มีตัวตน ทำความเห็นจริงให้เห็นว่าไม่เที่ยง เกิดมาแล้วก็หาย เรื่องนี้ไปเรื่องอื่นก็มาแทนซ้อนๆๆ เรื่องนี้ไม่ต่อก็ไม่ทำ หรืออยากจะต่อก็ไปเรื่องนี้ไป เจอคนนี้ก็ต้องเอาให้ได้ ให้สมใจ สุดท้ายไม่ได้ก็ข่มขืน โยนลงรถไฟเลยก็ทำได้ หยาบคายทุเรศทุรังการสารพัดเลวทราม

 

ให้ชัดให้รู้อย่างพ้นวิจิกิจฉา เอาเฉพาะกิเลสตัวนี้แหละให้ชัดๆ ไม่เหมาเข่งสะกดจิตรวมไปหมด จะฆ่าศัตรูที่อยู่ในโลกนี้ก็เผาทั้งโลกเลยไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้าต้องทำลายตัวตนรู้ให้ชัด ว่านี่คือโจรที่จะจัดการจริงก็พ้นวิจิกิจฉา

 

แล้ววิธีปฏิบัติที่เป็นมรรคองค์ 8 เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ต้องเพ่งรู้เพ่งให้เกิดไฟฌาน คำว่า ฌา หรือฌาน แปลว่า เผา คำว่าฌาปนกิจ ก็คืองานการเผา เผามันด้วยไฟปัญญา ไฟฌานต้องมีปัญญา ไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน เป็นไฟวิเศษที่ไปเผาทำลายไฟ ราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นวิปัสสนาญาณ 9 พอถึงวิปัสสนาญาณข้อ 6 ก็สลายไปแล้ว แล้วก็ทำเพ่ิมอีก 3 คือปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึงการปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น เป็นสังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย แล้วเป็น  สัจจานุโลมิกญาณ 

 

เข้าใจเห็นได้จริงๆว่ามันไม่เที่ยงมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดกาล มากเรื่อง อวิชชานี่มันมากเรื่อง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นเอาอันนี้ก่อนให้ครบกระบวนการ จนกระทั่ง มีญาณ เห็นตั้งแต่ เสพสมสุขสมก็พักยก ดีไม่ดีก็ผลักทิ้งไปด้วย พอหมดพักยกก็เกิดอีก มันวนเวียน เป็นเหตุแห่งทุกข์ เสียเวลา ทุนรอนแรงงาน เคยเห็นสัตว์มันติดสัดไหม มันไม่กินไม่นอนใครอย่ามาใกล้นะมันฆ่าเอาด้วย คนยิ่งร้ายกว่าสัตว์ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา

 

ถ้าล้างกิเลสได้จะไม่เป็นโทษภัย ตั้งแต่อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าได้ก็กิเลสอ้วน แล้วจำไว้ด้วยว่าให้อร่อยให้จัดให้พิศดารกว่านี้นะ ก็ยั่วยุมอมเมาของครีเอทีฟที่หลอกกันทุกวัน ต้องให้วิตถารไปเรื่อยๆ เป็นภาระเหน็ดเหนื่อยไม่มีของจริง ต้องพิจารณา ให้เห็นภังคานุปัสสนาญาณ เห็นความเสื่อมสลายแปรปรวนไม่ใช่ตัวตนเลย มันคือลักษณะอนัตตา 5 ไม่เป็นแก่นสารเลย เห็นเป็นภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป เป็น  อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย แต่พวกอวิชชาจะไม่เห็นเป็นโทษภัย แต่ถ้าเห็นโทษภัยก็ไม่เอาแล้วเกิดนิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย จนถึงมุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น

 

จนพัฒนาเจริญขึ้นมีคุณสมบัติของอุเบกขาเจริญขึ้น มีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา แม้จะกระทบกระเทือนกระแทกอย่างไรก็ผุดผ่องบริสุทธิ์ขาวรอบไม่หวั่นไหว อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน แล้วสั่งสมผลเป็นสมาธิ เป็นอภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ให้มันเข้าหา นิจจัง ทุวัง สัสสตัง

 

สังขารมีสองนัย จะอนุโลมปรุงแต่งไปกับโลกเขา ยืดหยุ่นไปกับเขา เหมือนแม่ครัวทำกับข้าวให้คนอื่น ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ติดรส แต่ก็แทรกยาทิพย์เข้ารูขุมขน ไม่ใช่ว่าให้เขาติดมากขึ้น จะอนุโลมได้ตนเองต้องมีญาณ

10.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึงการปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น

11.สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย

12.สัจจานุโลมิกญาณ  หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก  ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย   โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7 ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ

13.โคตรภูญาณ ญาณรู้หัวต่อ ตัดโคตรขึ้นสู่อาริยภูมิ โคตรภูมี 3อย่าง คือโคตรภูบุคคลคือตัดโคตรออกมาแล้ว ทางรูปนอก ปฏิบัติหน้านองน้ำตา แต่พอทำไปก็ตัดโครตจิตได้เจโตทำได้ เป็นโคตรภูจิต แล้วถ้ามีญาณอ่านรู้ ว่าเราหมดเชื้อแล้วไม่เหลือแม้แต่ดีเอ็นเอแล้วก็คือโคตรภูญาณ ตัดได้อย่างไรก็คือรู้ว่าอย่างนี้คือมัคคญาณ อันนี้คือผลญาณ

14.มัคคญาณ ญาณรู้ภาวะของอริยมรรคแต่ละขั้นๆ

15.ผลญาณ ญาณรู้ผลสำเร็จแห่งการเป็นพระอาริยะ

16. ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ทบทวนตรวจสอบ มรรคผล  และบริบทแห่งความสำเร็จทุกอย่าง ทบทวนเห็นของจริงๆ ว่าได้ของจริงหรือยังหมดหรือยัง?...

 

ต่อไปเป็นคำถาม?

จะตัดเรื่องเสียงเพลงอย่างไร?...ตอบ..อาตมานี่ตัดเรื่องเสียงเพลงเป็นอันสุดท้าย เป็นสัมผัส ถ้าไม่ได้ทางกายก็ได้ยินเสียงทางหูก็ยังดี ไม่ได้ฟังก็ปั้นเอาเอง ในเมถุนสังโยคพระพุทธเจ้าเอาตั้งแต่สัมผัสจริงไปจนปั้นเองเอง ตอนตายไปแล้วไม่มีหู ก็ได้แต่นึกว่ามันมีหู มันไม่รู้หรอกว่ามันตาย เหมือนฝัน แต่เละกว่าฝันอีกเพราะมันนานกว่ามาก อยากฟังอยากได้ยินอยากได้เห็น แต่ก่อนอาตมาอยู่พิบูลฯนานๆทีมีลิเกละครมาเล่น ต้องพิจารณาให้บ่อยเสมอทั้งในเวลาจริง และตอนนึกถึง หรือเอาสัญญามาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นเพลงหรืออะไรทั้งนั้นสูตรใหญ่พระพุทธเจ้าว่าพิจารณาว่าไม่เที่ยงเป็นภาระ เสียเวลาทุนรอน ได้ของเท็จ มีลักษรณะอนัตตา 5

1.    ปรโต      (ความเป็นอื่น  แปรปรวนไป)

2.   อนัตโต    (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน)

3.   วิตถโต    (แผ่ผ่านไป, เคลื่อนไปๆ อยู่เสมอ)

4.    ตุจฉโต    (ไม่เป็นแก่น, ไร้ประโยชน์)

5.    สุญญโต(เป็นสูญ, ว่างเปล่า)

 

ต้องพิจารณาให้จริง มันเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องตั้งสติ ว่ามันไม่น่ายึดถือพระพุทธเจ้าสอนทุกนัยเลย

 

ในงานที่เราทำก็มีทั้งชอบและชัง แต่เราเพลินไปกับงาน อ่านไม่เห็นว่าเราชอบหรือชัง...ตอบ..การทำงานเรานั้นไม่ใช่จืดชืด เรามีพลังในจิตอภิปโมทยัง จิตตัง อาศัยจิตเบิกบานร่าเริงอยู่ ไม่ใช่ว่าลักษณะกลางไม่ดูดไม่ผลักจริง แต่เราอาศัยไม่ใช่เพลินในการทำงาน  เราก็ต้องรู้ว่าถ้าไม่มีอาการร่าเริงเบิกบานเราโหยหามันไหม ถ้าไม่โหยหาเราก็ไม่ติดมัน

 

ถ้าเรามีผัสสะแล้วรับไม่ได้ขอหนีก่อน ...ตอบ...พระพุทธเจ้าก็ว่าหนีก่อนก็พ่ายแพ้ พระพุทธเจ้าว่าบางพวกก็ไม่ทันได้ยินเสียงม้าก็หนีแล้ว แต่บางคนก็ได้ยินเสียงกองทัพม้ามาก็หนี แต่บางคนก็สู้ได้ การสู้กับกิเลสพระพุทธเจ้าว่าคือการรบ มนุษย์ทุกคนต้องมีสรณะ คือการรบ จนกว่าอรณะคือไม่รบแล้ว ต้องทวนทำจนบรรลุสุดยอดแล้ว

 

หมอฟ้ารัก...ในความรัก 10 มิติเราก็รู้กันแล้ว แล้วชาวอโศกโดยเฉพาะ วนบ.มาเรียน เรามีความรักใช่ไหม ความรักเราอยู่ในมิติ 8 ใช่ไหม?...ตอบ...ใช่ นี่เพ่ิงสาธยายมิติที่ 1

 

สม.ผาแก้ว...วันนี้ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ทุกศาสนาก็สอนเรื่องความรัก เพื่อให้คนมีสุข แต่ของพุทธเราให้กิเลสหลุดให้หมดทุกข์ ของเรารู้สึกว่าประทับใจตรงนี้ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร?

 

เวลาไมค์ลอยมาก็จะกลัว ให้มันลอยไปที่อื่น มาพิจารณาว่าเรากลัวอะไร? ก็เพราะเรากลัวโลกธรรม มันก็ทุกข์ แต่พอเราเข้าใจ จะพูดดีก็ดีตามที่คิด พอไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ รู้ว่าที่ดีก็เพราะสมอัตตา มันไม่ดี อย่าหนีผัสสะปัจจุบัน

 

.ฟ้าไท...วันนี้พ่อครูเทศน์เรื่องกามนิยม ว่าเป็น เป็นเรื่องของชาวบ้าน พฤติกรรมของคนชั้นต่ำ ฟังแล้วเห็นโทษภัย ก็ต้องมีผัสสะ และฟังธรรมด้วย มีทั้งกดข่มแล้ววิปัสสนา  อาตมาเห็นตัวเองว่าไม่ทำให้มากพิจารณาให้มาก จิตจึงไม่แล่นไปไม่เจริญ

 

พ่อครูว่า..วันนี้เร่ิมต้นมิติที่ 1 เป็นรากฐาน ครั้งหน้าก็จะเป็นมิติที่ 1 แล้วค่อยขยายมาหาลูก ครอบครัว มาหาผู้ที่ใกล้ชิดเป็นเรามากที่สุดเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แม้สัตว์ก็รักลูก จริงๆรักนี่แหละสมบูรณ์ด้วยรักคือทำหน้าที่ อย่างอาตมานี่เลี้ยงน้องมา ไม่ได้รักผูกพันน้องเลย แต่รู้ว่าอาการรักเป็นอย่างไร? อาตมาไม่มีอาการจะต้องกอดต้องหอมอย่างนั้น ตั้งแต่คุณยายหรือพ่อแม่ก็ไม่ทำ แต่อาตมาเห็นว่าสังคมเขากอดหอมก็สัมผัส ก็รัก โอบรัด สร้างค่านิยมผูกพันตรึงตรา ต้องสัมผัส จริงๆแล้ว ความรักระลึกถึงกัน สาราณียะ ปิยกรณะ เป็นหน้าที่พ่อแม่ต้องดูแลลูก เป็นเลือดเนื้อเราจะไม่ดีไม่ได้ อย่างอาตมาก็เลี้ยงน้องส่งให้เรียนทำหน้าที่ด้วยเมตตา ความจริง เป็นปัญญาที่สูง เป็นความรู้ตามหน้าที่ไม่ต้องมีอารมณ์อาการโลกีย์ น้องๆจะบอกว่าอาตมาไม่รักไม่มี พ่อแม่ไม่พาสัมผัสกอดรัดฟัดเหวี่ยง แต่ก็มีสัมผัสบ้างไม่มากเกิน ไม่มีจูบพ่อแม่ก่อนเข้านอน ความรักลึกซึ้งคือความรักที่ทำหน้าที่ตรงตามสามัญ ญาติ คือพึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้ ถ้าทำหน้าที่นี้อย่างเต็มใจเข้าใจ ขวนขวายเอาใจใส่ นี่คือความรักญาติ ความรักลูกหลานก็เช่นกัน


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:06:00 )

570718

รายละเอียด

570718_สรรค่าสร้างคน(3)วนบ. สูตรสู่ความสำเร็จของบุญนิยม

วันนี้เราก็มาเรียนวิชาสรรค่าสร้างคน ที่เป็นวิชาของอาตมาแท้ๆ ทำหลักสูตรเองในใจอาตมา โดยมีหนังสือสรรค่าสร้างคนเป็นหลัก จะอธิบายไปตามลำดับในหนังสือนี้ เร่ิมต้นด้วยทฤษฎีงาน 19ข้อ

 

19 ข้อคือกรรม หรือการกระทำที่เราได้ประพฤติตน จนเกิดมรรคผล เมื่อเราเกิดมรรคผลก็เจริญเป็นอาริยชน เราก็จะมีพฤติกรรม เข้าข่ายตามหลัก 19 ข้อนี้ เกิดคุณค่า คุณธรรม พัฒนาจนเข้าข่ายคุณลักษณะสั่งสมเป็นคุณนิธิ จนเป็นคุณราศี เป็นเรื่องของอาริยชน อาริยสังคม ทั้งสิ้นไม่เหมือนโลกียะ ที่เป็นวิชาการทางโลกเขา เมื่อได้รับการศึกษาและมีมรรคผลจริง ก็เกิดเป็นคนใหม่ ได้รับการสร้างขึ้นมามีคุณค่า เป็นคุณประเสริฐ แบบอาริยะ อย่างแท้จริง

 

พวกเราได้มาศึกษากันใน วนบ.(มหาวิชชารามนาวาบุญนิยม) จากศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ก็มาเป็นศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา ก็เจริญขึ้น อาตมาก็พยายาม พวกเราก็ช่วยศึกษาพากเพียรไปเถอะ เรามีเกณฑ์กันดูว่า 4 ปีตั้งใจศึกษาจะได้แค่ไหน เดี๋ยวนี้ทางโลกเขาใครเก่งก็จบไม่ถึง 4 ปีก็ได้ แต่ของเราต้องอาศัยเวลาจริงๆ ใครจะมาเรียนลัด จะมาเรียนปี 2 จบดร.แล้วจะมาเข้าเลยปี 2 หรือปี 3 ก็ไม่ได้ ไม่มีการ Transfer จากที่อื่น ของเราต้น กลาง ปลายที่นี่ เหมือนมัธยม จะจบจากที่ไหนมา ม.ไหนก็แล้วแต่ มาเข้าที่นี่ต้องเร่ิมต้นใหม่ที่ม.1

 

เราไม่เอาความรู้แค่เห็นเหตุเป็นผล แต่เราต้องเอาคุณธรรมเป็นหลัก มีศีล มีการฝึกฝนให้มีมรรคมีผลที่ใจที่เป็นประธาน ฝึกให้เกิดสัมมาสังกัปปะ เป็นการทำใจในใจที่มีหลัก รู้สติปัฏฐาน 4 รู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในในจิต ธรรมในธรรม ถ้าไม่สามารถรู้องค์รวมของ กาย วาจา ใจ ซึ่งกายไม่ใช่แค่มหาภูตรูป แต่รวมเอาทั้งมหาภูตรูปและอุปาทายรูป มีการสัมผัสรู้ด้วยญาณ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง สำเร็จอิริยาบทอยู่

 

สติปัฏฐาน 4 ในความเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม นี่แหละสำคัญมาก

 

สังคมโลกมอมเมากันมาก ยุคอาตมาตอนเป็นเด็กนั้นผู้หญิงทาปากคือผู้หญิงหากิน แต่เดี๋ยวนี้เน่าเฟะไปทั้งสังคม เอางานมอมเมามาเป็นสาระ ไม่ว่าเตะฟุตบอลเป็นต้น อาตมาตอนเป็นวัยรุ่นก็เตะบอลนะ แต่งเพลงให้ทีมบอลนะ เวลาจะแข่งกันต้องเกณฑ์คนมาดู แต่เดี๋ยวนี้ต้องเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่นเข้าไปดู มันอวิชชาเข้าไปทุกที เห็นสาระเป็นอสาระ เห็นอสาระเป็นสาระเข้าไปทุกที มันจึงยากมากเพราะใกล้กลียุคที่ไฟประลัยกัลป์จะไหม้โลก หยิบหญ้าแห้งมาก็เป็นเครื่องมือฆ่าฟันกันแล้ว เนรมิตได้มีอำนาจได้ขนาดนั้นเปรียบเทีียบให้เห็น จะไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ แต่พวกเราเป็นพวกตื่นรู้ ชาคริยะ ตื่นจากโลกีย์ เข้าใจโลกีย์ มีโลกวิทู

 

รู้ตั้งแต่โลกอบาย หลายคนก็เคยไปผ่านมา ผู้ที่ไม่ไปผ่านถึงขั้นหยำฉ่าเละเทะก็พอรู้ อย่างอาตมาก็ไม่ไปผ่านหยาบต่ำเกิน มันมีฐานะบารมีก็ไม่ต้องไปข้องแวะ ไม่หลงลม แต่ก็มีลิงลมอมข้าวพองบ้าง ไปนั่งแทงบิลเลียดอยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าเรารู้แล้วก็จะไม่ไปหลงกับมัน

 

มาเข้าสู่ทฤษฎีในสรรค่าสร้างคนต่อ...สูตรสู่ความสำเร็จของบุญนิยม

1.ศึกษา 2.เอาจริง 3.ต่อเนื่อง 4.ประสานสัมพันธ์กลุ่ม 5.ขยายงาน 6.เผยแพร่ 7.การตลาด

 

อาตมาจะพูดถึง การตลาดก่อน ของทางโลกเขาใช้เหลี่ยมคู สารพัดองค์ประกอบที่เขาคิดขึ้นมา create ขึ้นมาให้เป็นวิธีการตลาดซับซ้อนลึกซึ้งเล่เหลี่ยมฉลาด แล้วมีนัยะสำคัญว่าการตลาดทุนนิยมกับบุญนิยมนั้นคนละขั้น

 

แบบทุนนิยม ผู้เก็งตลาดจะทำให้คนโง่ แล้วผู้ที่ทำการตลาดจะเป็นคนฉลาด

แบบบุญนิยม ก็มีการตลาดช่วยคน แต่ทำให้คนฉลาด อย่างบริสุทธิ์ไม่ใช่ฉลาดแกมโกง

 

ทางโลกนั้นเอาคนเป็นเหยื่อ เป็นลูกค้า ให้มาขูดรีดได้ ตกอยู่ใต้อำนาจส่วนบุญนิยมคือหาวิธีการเผยแพร่ให้ประชาชนเห็นดีเห็นงาม แล้วอยากมาได้เนื้อแท้ จริงๆ คือได้จิตวิญญาณความประพฤติ ความรู้ความสามารถและได้วัตถุ เหมือนกันแต่ว่าคนละความเห็น คนละเจตนารมย์ คนละแบบ กระทำคนละอย่าง ได้ผลคนละอย่าง ทวนกระแสกัน

 

คนทำการตลาดได้เป็นผู้เผยแพร่ที่จะให้คนได้สินค้าผลผลิต ได้ประโยชน์จากเราด้วยบริสุทธิ์ประเสริฐ ส่วนทุนนิยมหลอกล่อว่าเป็นสิ่งดีงาม แม้กระทั่งความรู้ไปถึงผลผลิต ก็หลอกล่อให้คนหลงติด แค่คำว่า ติดยึด กับปล่อยวาง ทุนนิยมให้ติดยึดทั้งนั้น ส่วนบุญนิยมให้ปล่อยวาง

 

ผู้มีความรู้สามารถมาก มีสินค้า ก็ทำการตลาดเผยแพร่ ขยายงาน เราก็จะต้องศึกษา ตั้งใจเอาจริง มีสองข้อแรกคือ

1.ศึกษา 2.เอาจริง เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ แต่เป็นของประเสริฐมีค่าไม่ทำเล่นๆ แต่ต้องทำจริง แล้วต้องทำความเข้าใจให้เกิดญาณปัญญา มันจะเกิดความยินดี

 

แต่ถ้าใจเราไม่เห็นค่า บังคับมันยาก ให้มันยินดี มีอิทธิบาทยาก เราจะต้องพยายามเห็นคุณค่าให้ได้ว่าดีอย่างไร? จะได้อะไร? ได้ความสูญเปล่า เอาความไม่มี? เอาความหมดตัวหมดตน เขาก็ว่ายิ่งบ้าไปใหญ่ พอฟังภาษาง่ายๆ มันลึกซึ้งนะ แล้วจะดีได้อย่างไร จะมีประโยชน์อย่างไรต่อสังคม? เพราะมันเป็นเรื่องปรมัตถธรรม

 

เป็นเรื่องที่เป็นปรมัตถ์

1.         คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.        ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.        ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.        สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5.        ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.         อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.        นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.        ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)

 

ความสงบอย่างที่เขาเข้าใจกัน เช่นความสงบอย่างลมหายใจสงบ เบา แทบไม่รู้สึกเบาบางสงบ เขาก็เข้าใจเชิงวัตถุ แต่ของพระพุทธเจ้านี้สงบคือสงบจากกิเลส ยิ่งสงบ จิตที่ว่าเบานี่ยิ่งแรง มีพลัง ปัญญา_วิริยะ_อนวัชชะ_สังคหะ ถึงขั้น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

จึงเป็นเรื่องสุขุมละเอียดที่ยากจะเอา เอาตรรกะเหตุผลมาชี้วัดมาบอกไม่ได้ ส่วนนิปปุนา แปลว่ามันเกินกว่าประณีต มันละเอียดระดับนิพพาน ซึ่งไม่มีภาษาไทยจะแปลแล้ว จะเรียกว่าพลังงานเป็นสิ่งที่ถูกรู้ก็ละเอียดเกิน ระดับนิพพานไม่มีส่ิงที่ถูกรู้นอกจากมีเหตุปัจจัย เช่นอรหันต์จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นที่สุดแห่งที่สุด ไม่เหลืออัตภาพอีกแล้ว สลายไปหมดเลย เป็นนิพพานอย่างยิ่งไม่เหลืออะไรเลย แล้วผู้มีนิพพานไม่ตาย ยังมีขันธ์ 5 คือผู้ไม่ยึดเราเป็นของเรา รู้อาศัยได้อย่างอนุโลมปฏิโลมได้ แต่ว่าท่านไม่มี ท่านมีธรรมที่อาศัย มีท่าทีลีลา พูดคุย เช่นพระพุทธเจ้าท่านพูดยกตนข่มผู้อื่น ว่าเรานี่แหละสูงกว่าใคร ไม่มีใครเทียบ แต่ท่านไม่ได้ยกตน ท่านนิพพานแล้วสูญแล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าโลกนี้อาศัย ความมี กับ ความไม่มี

 

พระพุทธเจ้ายกตนข่มท่าน ท่านก็อาศัยสิ่งที่มี แต่ท่านไม่มี ในขณะไม่ปรินิพพานก็อาศัยทั้ง ความมี และไม่มี ก็อย่างท่านพูดข่มอยู่ แต่ในจิตท่านไม่มีอาการจิตข่มนะ อย่างอาตมาพูดนี่ใครจะไปเชื่อ แต่ถ้าคนมีศรัทธาก็เชื่อ ไม่รู้หรอกว่าท่านมีหรือไม่มี

 

มันลึกซึ้ง เดาไม่ได้ พระพุทธเจ้ามีนิพพานอยู่ตลอด แต่ก็มีขันธ์ 5 อาศัย พฤติกรรม การกระทำ แต่ท่านไม่มีกิเลสหรืออกุศลอยู่ตลอด ไม่มีบุญไม่มีบาป แต่ท่านก็ทำ หรืออรหันต์ทุกพระองค์ก็เช่นกัน แต่ความรู้ลึกซึ้งไม่เท่ากัน ความเป็นบัณฑิตของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอย่างแท้จริง

 

โสดาบัน เร่ิมตั้งแต่รู้จักกาย คือ สักกาย คือรู้กายของตนไม่ใช่ของคนอื่น มีญาณปัญญาอ่านกายของตน คือองค์ประชุมของจิตเจตสิก ในระดับหนึ่ง จับตัวกิเลสได้ จะเรียกกายนั้นว่าอัตตา ตัวตนของกิเลส มีญาณเห็นอ่านรู้ได้ ที่เรียกว่า กายในกาย ก็ต้องมีทั้งข้างนอกด้วย อ่านวิญญาณ วิเคราะห์วิจัยวิจาร แตกมาจากสังขาร จนก้าวไปถึงเวทนา 108 จนจับตัวตัณหา ที่เป็นปัจจัยของเวทนา ที่มีตัณหาเป็นปัจจัย นี่เรียกว่า กามตัณหา คุณอ่านออก หรือนี่เรียกว่าพยาบาทวิตก

 

พอบอกว่า กาม มันมี ความเข้าใจเลยว่ามี พยาบาท คู่กันอยู่ ทั้งชอบและชัง ราคะกับโทสะ หรือโลภะกับโทสะก็เป็นของคู่กัน

 

เมื่อไปปฏิบัติเป็นสังกัปปะ 7 ตัวแรกก็แตกเป็นมิจฉาสังกัปปะ 2 คือ กาม กับ พยาบาท ต้องรู้ให้ได้ตัวนี้ เมื่อเริ่มต้น ก็ต้องรู้ว่าอาการ กาม คืออย่างไร? หรืออาการพยาบาท เป็นอย่างไร มันเป็นองค์ประชุมเกิดจากเหตุปัจจัยภายนอก กระทบอยู่ตอนนี้ เกิด กาย แล้วแยกเป็นเวทนา ในเวทนานี้แหละมีตัณหาอยู่ เราก็มีวิธีไม่ให้กิเลสสมใจ จะอยากได้มาก็โลภ หรืออยากได้มาเสพรสก็ราคะ เป็นอาการอย่างไร ต้องรู้ให้ชัดไม่ข้องคาสงสัย พ้นวิจิกิจฉาอย่างสมบูรณ์เลย

 

เริ่มต้นรู้จักสักกายะก็รู้จักกาย แล้วเลื่อนมาสู่เวทนา  สู่จิตสู่ธรรม คือต้องรู้การสังขารเป็นองค์รวมเป็นกิเลสจริง จนพ้นสังโยชน์ข้อที่ 2 แต่ก็แค่รู้ไม่พ้นศีลพตปรามาส ยังไม่ชำระไม่กำจัดจนเกิดบุญ มันยังไม่อ่อนตัวลดละจางคลายไม่ดับ จึงไม่ถือว่าผล

 

ผลคือต้องทำให้กิเลสเปลี่ยนฐานะ มีดีกรี ลดกำลัง น้ำหนัก เนื้อหา ลงมาจริงๆ อ่านออกเลยว่ามันเบาบางลง ด้วยปัญญา วิปัสสนา มีญาณอ่่านออก ถ้าสามารถรู้ กาย รู้อารมณ์ ว่านี่ สราค สโทสะ สโมหะคือตัวเหตุที่มาร่วมปรุงแต่งเป็นตัวผีมาเป็นกาย รวมกลุ่มอยู่นี้ คุณวิจัยลักษณะนี้ออกจริง จับมันได้แล้วก็ทำปหาน 5

 

กายในกาย นั้นทำได้ถึงเข้าไปสู่เวทนาในเวทนา มันก็คือจิตในจิต และเป็นตัวทรงไว้เป็นอธรรม เป็นตัวร่วมก่ออกุศลกรรมอยู่ ยังมีฤทธิ์ติดในตัวเราไม่ลดละไม่ออกไม่ดับ มันยังอยู่ เราเริ่มทำให้มันลดละโดยการปฏิบัติสัมมัปปธาน 4

 

มีสังวรปธานในอินทรีย์ 6 แล้วพยายามปหาน ถ้าไม่ผ่านศีลพตปรามาสก็คือปหานไม่ได้

 

โลกุตระข้อที่1_4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม อาจรู้เวทนาได้ไม่ละเอียดเท่ากาย รู้จิตรู้ธรรมยังไม่ได้มาก แต่ก็ยังปหานไม่เกิดผล ก็ไม่มีภาวนาปธาน อย่างเก่งก็ได้ 6 ในโลกุตระ 46 เพราะฉะนั้นในโลกุตรมรรค คุณได้แค่ 6 ใน โลกุตระ 43

 

ส่วนอิทธิบาทคุณต้องมีแน่ และทำไปก็เกิดอินทรีย์ 5 พละ 6 ผู้ที่รู้ค่าก็จะมีศรัทธา มีวิริยะ มีพลังสติ จะดี สมาธิของคุณยังไม่ได้ทำให้เกิดผลภาวนาก็ยังไม่ได้สมาธิ ได้แค่ ศรัทธา วิริยะ สติ ...แต่ยังไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา แต่ก็มีมากขึ้นตามลำดับ

 

คุณรู้ปริยัติดีแต่ไม่สังวรระวัง ปฏิบัติไม่เอาจริง หรือเอาจริงแล้วแต่ไม่ต่อเนื่อง ไม่ได้ผลไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องมีโจทย์ ธรรมะ พระพุทธเจ้ามีโจทย์จากภายนอก แล้วเราก็ทำภายใน การขยายผลของการปฏิบัติธรรม ที่ทำงานอยู่กับสังคม มันขยายงานทั้งของตนและสังคม จะไปได้อย่างพอเหมาะพอดีเลย เป็นกัมมนิยะ เจริญทั้งอาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ เจริญโดยช่วยเหลือกัน เหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งเพื่อนฝูงและตัวเอง

 

บุญนิยมนี่ต้องเข้าเขตโลกุตระ ตั้งแต่โลกุตระข้อที่  1 กายในกาย แล้วก็ต้องทำให้ผ่านปหานปธาน ต้องผ่านไปถึงขั้นที่ 6 ถ้าได้เป็นขั้นตอน จะมีอิทธิบาทมาเสริม เป็นมรรคผลสาระคุณวิเศษที่เราได้ อินทรีย์ 5 พละ 5 ก็เป็นผลมากสูงขึ้น

 

ถ้าคุณฟังธรรมอาตมาได้ธรรมรส คุณจะไม่ไปไหน สักวันก็ย้ายมาอยู่บ้านราชฯเพราะที่นี่เป็นแหล่งที่เป็นสัปปายะ มีอาริยทรัพย์ให้ ในบุญนิยมที่สมบูรณ์ทั้งหมด ทวนกระแส ต้องเข้าเขตโลกุตระ

 

หลักใหญ่คือ มรรคองค์ 8 คือสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน มีสัมมาวายามะสัมมาสติ เป็นผู้ช่วยประธาน ให้ทำสังกัปปะก็เป็นสัมมา เป็นสัมมาวาจา เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะไปเรื่อยๆจะได้สัดส่วนพอเหมาะ (ปโหติ) สัมมาที่พอเหมาะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่อธิบายเป็นภาษาคนไม่ได้ ต้องอธิบายด้วยภาษาเทพ (คนฟังไม่รู้เรื่อง)

 

อาตมาไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีการตลาด ไม่มีส่ิงล่อ ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่พวกคุณมาเองนะ

 

ลักษณะ 6 ประการของวัฒนธรรมบุญนิยม

1.มีปัญญาที่ดี

2.มีความเพียรบากบั่นที่ดี

3.ความมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบที่ดี

4.ผลที่ได้รับได้อาศัยที่ดี

5.ความพ้นทุกข์ที่ดี (อาริยสัจ)

6.ความยั่งยืนนานอย่างดี

 

ยุทธศาสตร์บุญนิยม

1.คารโว 2.นิวาโต 3.อหิงสา 4.อโหสิ

 

คารโว มีความเคารพกัน ตั้งแต่ฐานะทางญาติ มิตร สมมุติ วัยวุฒิ คุณวุฒิ สมมุติวุฒิ เช่นคนนี้เขาอยู่ชั้นสูงเป็นผู้หมวด แต่เอ็งเป็นสิบตรี เป็นจ่าต้องเคารพฐานะ แต่คนบวชก่อนแม้ไม่บรรลุ แต่คนเป็นอรหันต์มาทีหลังก็ต้องเคารพคนบวชก่อน จะมาหยิ่งผยองไม่ได้ ส่วนการจะเคารพคุณธรรมแท้ก็ว่ากันไป

 

นิวาโต ต้องถ่อมตนเสมอ อย่าอวดเก่งอวดใหญ่ แต่การอวดอย่างที่อาตมาอวด ไม่มีจิตอยากอวด แต่เป็นความจำเป็นต้องพูด ท่านบอกฐานะความจริง แต่อย่าโกหกตัวเอง ต้องอ่านสาเฐยจิต ถ้าคุณไม่รู้ตัวก็แล้วไป ที่จริงอวดมากเลย แต่อ่านจิตตัวอวดตัวอวดตนไม่ออกก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ตัวเองว่าอยากอวด นั้นรู้แล้วก็อย่าอวด เชื่อไหม ว่าไม่อวดนี่ไม่ตาย แต่มนุษย์มันก็อยากอวดจริงๆนะ เช่นซื้อรถใหม่ เสียค่าน้ำมันขับไปอวดเขา เป็นต้นอย่างอาตมาอยากอวดรถติดแอร์ อยากอวดเสื้อมองตากูร์​จากสิงคโปร์ เมื่อก่อนนี้น่ะ

 

อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ อหิงสาไม่เบียนเบียน อโหสิ ให้อภัย นี่คือยุทธศาสตร์ความรู้ในการอยู่กับสังคมเลย

 

กล้าธรรม...ถามว่าสมัยยุคพระพุทธเจ้าเขารู้ภาษาธรรมฟังธรรมกันอย่างไรจึงบรรลุธรรมเลย?

ตอบ...ยุคแรกๆยังไม่มีพุทธศาสนา การจะใช้ภาษาพุทธธรรม นั้นเป็นภาษาใหม่เลย แม้ยุคนี้ก็ตาม เราใช้ภาษาธรรมะเขาก็รู้ยาก แม้แต่ผู้เรียนบาลีมาก็ยังยากเลย แต่สมัยก่อนพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธยังไม่เกิด การใช้ภาษาธรรมะก็ไม่มี แต่คนมาเกิดร่วมก็ต้องมีบารมี ที่มาเกิดร่วม มีส่วนที่จะต้องบรรลุ มีเชื้อเดิม พอมาสัมผัสอันนี้ก็จะรับได้ เหมือนกับเรานี่แหละ เขาว่าภาษาอีสานปั๊ป แล้วพวกเรารู้ไวกว่าภาษาอีสานก็ฉันเดียวกัน

 

การวิสาสะที่ประมาณอย่างไร?

ตอบ....อย่างจักรยานอันนี้เรารู้ว่าถือวิสาสะได้เราต้องรู้ว่าของคนนี้ แล้วรู้ว่าใจเขายินดีให้เราใช้ แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่าเขาจะถือสาก็ไม่ควรทำ

 

ถ้าเราเจอผัสสะที่คุมตัวเองไม่ได้ก็พูดโวยวายไป แล้วหลายคนได้ยินก็รู้สึกไม่ดี พฤติกรรมเช่นนี้เข้าโลกุตระไหม?

ตอบ...มันมีลำดับ และย้อนไปย้อนมาด้วย เช่นพระพุทธเจ้าอวดตัวตน คนถือสาก็มี แต่พวกเราไม่รู้สึก เพราะยกให้บูชา เอาแค่อาตมาก็ยกให้แล้ว เราใช้สัปปุริสธรรม แล้วจะย้อนไปย้อนมา แต่ก่อนนี้อาตมาเนี๊ยบเลย แต่ตอนนี้ย้อนจากแต่ก่อนนี้เยอะ

 

เนียนใจ...เห็นประเด็นเรื่องการตัดรอบ สังโยชน์ 3 แต่มาวันนี้ชัดเจนเรื่องศีลพตปรามาส ว่าจุดไหนที่จะพ้น รู้สึกว่าคือการปหานได้นี่เอง

ตอบ....ลดลงก็ถือว่าผ่านบ้าง แต่ควรลดสัก 50 หรือ 75 ถ้าได้100 ก็สมบูรณ์

 

เรื่องสังกัปปะ 7 ตอนแรกรู้สึกตกใจที่การงานมากมากเลย ทำไม่เสร็จไม่ลงตัว วิ่งไปกับเรื่องราว แต่ได้สติที่เรากำลังศึกษาสังกัปปะ 7 ก็เลยมาตั้งหลักดูสิ ว่าเราวิตกเรื่องการงาน เข้ากลุ่มแล้วจะทำอะไร? เป็นต้น แต่พอตั้งหลักได้ก็เข้าใจว่าเรื่องราวที่วิ่งชนเราก็เป็นผัสสะเป็นเหตุปัจจัยก็มาดูว่า ตัว ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มีผัสสะที่วิ่งมากระทบเรา แล้วเรานิ่งได้ไหม มีอัปปนา พ่อครูว่าจิตที่นิ่งได้เพราะจิตสะอาด แต่เราไม่นิ่งวิ่งไปตามเรื่องราว เราก็นิ่งได้ไม่ต้องทำใจให้วิ่งตามเขา แล้วพอได้ยินเสียงใครพูดไม่ดีมา ในใจเราก็จะมีวจีสังขารว่า..เอาซะดีไหม? เราก็ต้องจับให้ทัน แต่พอมาเห็นก็รู้สึกว่านี่พูดไม่ถูกหูแล้ว เรามีพยายาทสังกัปปะ เราก็สอนตัวเองว่า ไม่ดีแล้ว ต้องปรับก็เลยคำพูดก็เลยออกไปนิ่มนวลลง

 

เรานอนฝันไปแล้วมีอารมณ์กามในฝัน แล้วเรารู้ตัวไม่อยากให้มีก็เลยรีบตื่น...นี่คืออรูปไหม?

ตอบ...กามคือตัวหยาบข้างนอก แล้วมาถึงรูป และอรูป ที่อยู่ภายใน รูปคือความเหลือ ความเป็นตัวตนของกิเลส แม้จะทำกิเลสตัวใดก็มีความหยาบแน่นแข็งของตัวมัน มีน้ำหนักเยอะอยู่ เมื่อคุณล้างไปมันก็ลดลง ถ้ากามก็คือมองเห็นเป็นรูปสัมผัสได้ แต่รูปก็อยู่ภายในแต่ชัดกว่ารู้ได้ง่ายกว่าอรูป ส่วนอรูปนั้นมันเล็กมาก ละเอียดมากจะรู้ได้ยากมากกว่า ถ้ากามภพก็เห็นครบหมดเลยชัดเจนรูปร่างทุกอย่าง แต่พอเป็นรูป ก็ไม่ชัดเท่าไหร่ เป็นโครงเป็นเงา โมโนโครม แต่พอเป็นอรูปก็ไม่ชัดเป็นแสงเป็นวิบวับเล็กๆน้อยๆ รู้ได้ยาก

 

 

ต้นธาตุต้นธรรม นั้น อวิชชาคือต้นธาตุของอกุศล แต่พอล้างอกุศลได้หมด เป็นอรหันต์ก็มีต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์แล้ว ถ้าเป็นของพระพุทธเจ้าก็มีสัพพัญญู แต่ของอรหันต์จะมีจิตบริสุทธิ์

 

ถามเรื่องญาณพระโสดาบัน ที่ว่าเหมือนแม่โคเลี้ยงเล็มหญ้าไปพลางแล้วลูกไปพลาง เป็นอย่างไร?

ตอบ....ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องได้ปัญญาสองอย่างพร้อมๆกันคือได้ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านไปพร้อมๆกัน เป็นประโยชน์สองส่วน เหมือนแม่โค จะมีปัญญารู้ว่าเราปฏิบัติธรรมแล้วทำประโยชน์แก่ผู้อื่นตลอดเวลา


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:07:36 )

570719

รายละเอียด

570719_พุทธชีวศิลป์(3) วนบ. เรื่อง ล้างเหตุที่เรียกว่าสัตว์

การยึดถือมีสองอย่าง คืออุปาทาน และสมาทาน ยึดอย่างอุปาทาน คือถือเอาแล้วยึดเอาแล้ว แต่ถ้ายึดอย่างสมาทาน นั้น สม คือยึดอย่างผู้สงบ อย่างผู้มีปัญญาแล้ว อย่างน้อยก็ยึดไว้เพื่อละหน่ายคลาย คือมรรค ส่วนเป็นผลแล้วก็

 

การยึด คำเดียวนี่ยิ่งใหญ่มาก ผู้ใดเกิดมามีขันธ์ 5 แล้วมีอุปาทานในขันธ์ 5 นี้ คนไม่ได้ล้างก็ดูดของมันอย่างนั้น แต่ถ้าผู้เรียนรู้วิธีล้างแล้ว ถ้าไม่ล้างจนหมดจริงๆก็ยังอยู่ เป็นอรหัตตมรรค ก็ยังไม่ได้อรหัตตผล ก็ยังอยู่เท่านั้น แต่ถ้าไม่รู้แล้ว มันก็คงยังอยู่ อยู่ไปนิรันดร สะสมไป เก่งกว่าคอมพิวเตอร์

 

ถ้าเราเรียนรู้ที่จะล้างอุปาทาน ในขันธ์ 5 ได้ ทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราล้างอุปาทานได้ เราก็อาศัย ขันธ์ 5 นี้อยู่ แต่ไม่มีอุปาทาน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น แม้จะพรากจากกันก็ไม่ได้ทุกข์ หรือแม้จะอยู่ด้วยกันก็ไม่สุข ผู้ใดเข้าไปยึดโดยความไม่รู้หรืออวิชชา หรือแม้รู้แต่ไม่ล้างหมดก็ยังเหลือความเป็นสัตว์

 

พระพุทธเจ้าสอนสัตตาวาส 9 ถ้าไปหลงผิดไปดับตัวรู้ การทำเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วไปหลงว่าต้องดับมันก็เป็นอสัญญีตัวหนึ่ง ยิ่งโง่เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส การดับจึงรู้ตัวที่จะดับ ต้องเรียนรู้ความเป็นสัตว์ที่เป็นกาย ของสัตว์เป็นอย่างไร

 

คำว่ากายนี่ยิ่งใหญ่มากเลย ฟังแล้ว จำให้ดีว่าคำว่ากายนี่ขาดนามธรรมไม่ได้เลย คำว่ารูปธรรมนั้น เมื่อไม่มีนามธรรมร่วมมันไม่มีการเกิดกาย จะมีดินน้ำไฟลมอย่างไรก็ไม่เกิดกาย นี่เรียกว่า รูป

 

แต่ นามกาย นั้นไม่เกี่ยวข้องกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

 

คำว่ารูป คือสิ่งที่ถูกรู้ แน่นอน ส่ิงที่จะถูกรู้ต้องมีธาตุรู้ แม้แต่สัญญาก็คือการกำหนดหมาย อย่างพืชก็มีสัญญา ว่าจะดูดจะเอาหรือไม่เอาส่ิงใดมาสังเคราะห์ตัวเอง

 

คำว่า กาย ต้องมีนามธรรมร่วม ไม่มีนามธรรมไม่เรียกว่า กาย แม้จะมีองค์ประชุมมีสรีระอย่างไรก็ไม่เรียกว่า กาย และถ้าไม่มีนามธรรมเข้าไปร่วมกับสิ่งอื่น ก็ไม่มีกาย ถ้าไม่มีส่ิงสองสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง แล้วไปสัมผัสกับอีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ แต่ถ้าไม่เกิดการสัมผัส กายก็ไม่มี  กายมีขึ้นมาได้เมื่อเกิดความสัมพันธ์สองสิ่งสองสิ่ง และนามธรรมประชุมกับนามธรรมก็เรียกกายได้ คือ นามกาย

 

อายตนะเกิดเพราะเหตุปัจจัย มีสิ่งเดียวไม่เกิดอายตนะ แม้แต่สัมผัสก็เป็นนามธรรม [14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหา
ภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านาม
รูป ฯ

 

ในพระไตรปิฎก ล.17 ข.367

2. สัตตสูตร
                     

ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์
     

[367] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
      พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ(ฉันทะ) ความกำหนัด(ราคะ) ความเพลิดเพลิน(นันทิ) ความทะยานอยาก(ตัณหา) ในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้นจึงเรียกว่า สัตว์.

 

เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง
ในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์. ดูกรราธะ เด็กชายหรือเด็กหญิง เล่นอยู่ตามเรือนฝุ่น
ทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก
ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความกระวนกระวาย ไม่ปราศจากความทะยานอยาก
ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นอยู่เพียงใด ย่อมอาลัย ย่อมอยากเล่น ย่อมหวงแหน ย่อมยึดถือเรือนฝุ่น
ทั้งหลายอยู่เพียงนั้น.

 

ดูกรราธะ แต่ว่าในกาลใด เด็กชายหรือเด็กหญิงเป็นผู้ปราศจากความ
กำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความกระวน
กระวาย ปราศจากความทะยานอยากในเรือนฝุ่นเหล่านั้นแล้ว ในกาลนั้นแล เด็กชายหรือ
เด็กหญิงเหล่านั้น ย่อมรื้อ ย่อมยื้อแย่ง ย่อมกำจัด ย่อมทำเรือนฝุ่นเหล่านั้น ให้เล่นไม่ได้
ด้วยมือและเท้า ฉันใด ดูกรราธะ แม้เธอทั้งหลายก็จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำรูปให้
เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำเวทนาให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ
สัญญาให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด
จงทำสังขารให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง
จงกำจัด จงทำวิญญาณให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา ฉันนั้น
นั่นเทียวแล. ดูกรราธะ เพราะว่าความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นนิพพาน.

 

เช่นแต่ก่อนเราเคยยึดถือเรื่อง เพชรพลอย เรื่องปืนหรือเรื่องอื่น ที่เราพอใจเกิดกำหนัด ราคะ นันทิ เพลิดเพลินอยู่ แล้วเราคลาย จางหายได้ ต้องอ่านอาการนามธรรมนี้นี่คือสัตว์นรก มันมีความ นันทิ มีราคะ เพลิดเพลินอยู่ สัตว์นรกไม่มีรูปร่าง เป็นเส้นแสงเงาสีอยู่ เราต้องรู้อาการกิริยานามธรรม ว่าไม่ใช่อาการเฉยๆ มันมีอาการที่ไม่เฉยต่างจากเฉย หรือรู้ความจริงตามความเป็นจริงมันก็ต่างกัน คุณมีอาการเทวดาเก๊ หรือสัตว์นรก ถ้ามันเป็นนันทิ มันเป็นเทวดาเก๊ หรือแม้ยินดีพอใจเป็นอาการเทวดา ถ้ามันเป็นความกำหนัด ตัณหา ราคะก็ยิ่งแรง ทะยานอยากด้วย พวกเราจะรู้จักความเป็นสัตว์ดีขึ้น ให้ศึกษาดีๆว่าอาการ ลิงค นิมิต มันเป็นอย่างไร

 

อาตมาเองขอพูดซ้ำ ว่ายังไม่เคยเห็นใครเอาเรื่อง การรู้รูปนาม ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส มาสอนเลย เท่าที่อาตมาผ่านมา ซึ่งมีในพระไตรฯล.10 ข.60 ถ้าเรารู้อาการแล้วทำเครื่องหมายว่า อย่างนี้คืออาการโกรธ โลภ หงุดหงิด หรืออาการอื่นๆ มันไม่มีรูปร่าง ไม่มีเขา ไม่มีแสงเสียงสี แต่มันรู้ได้ ว่านี่คืออาการสัตว์นรก อาการสัตว์เทวดา นี่คือเปิดโลกเทวดา มาร พรหม จะรู้เข้าใจ อ่านออก

 

พระไตรฯล.16     1 เทศนาสูตร
 
      

 

[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
 สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
เหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธดำรัสนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง ปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่
ใจให้ดีเถิด  เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
      

 

[2] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท  เป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะ
วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป  เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น

 

ปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ  เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา
เป็น   ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย   จึงมี
ชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและ  อุปายาส ความเกิด
ขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เราเรียกว่า    ปฏิจจสมุปบาท ฯ
      

 

พ่อครูว่า...คำว่าปัจจัย หรือเหตุ มันแทนกันได้ คำว่าเหตุ มันเป็นตัวต้นกว่าปัจจัย คำว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย มันมีลำดับอยู่ ต่างกัน พระพุทธเจ้ามีสูตร System Analysis ก่อนนักรู้ทั้งหลาย ที่เขามี Input – process – output – outcome - impact   นี่คือ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ที่ออกมาเป็นผลได้

 

คำว่า อวิชชา มีสังขารเป็นปัจจัย ก็คือ คนอวิชชานั้นไม่รู้ว่า สังขารที่เป็นการปรุงแต่งคือ Process เขาแปลว่ากระบวนทัศน์ หรือ พาราไดม์ เราไม่รู้ว่า มี กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร มันไม่รู้รายละเอียดว่าคืออะไรอย่างไร? แล้ว กายคืออะไร?

 

เขาไปเข้าใจว่า กายคือ ร่างที่มีดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ที่อาตมาเข้าใจคือ ขาดนามธรรมไม่ได้นะคำว่ากายนี่ ถ้าไม่ได้พบสัตบุรุษ ก็ฟังธรรมไม่บริบูรณ์ ก็ฟังธรรม ไม่บริบูรณ์​ แล้วก็ไม่ศรัทธา ไม่มีโยนิโสฯ ที่บูรณ์(เต็มรอบ)สักอย่าง

 

คำว่า จิต เขาไปศึกษาอภิธรรมกัน อาตมากล้าพูดว่าพวกเรานี่อ่านอาการจิตได้ แต่ของเขาก็อ่านพอรู้ แต่ไม่ได้รู้เหมือนที่เราเข้าใจแล้วปฏิบัติได้ คำว่าจิต เจตสิก รูป นิพพาน คำว่ารูปนี้ไม่ใช่รูปนอก แต่คือรูปของนามธรรม ย่ิงเป็นวจีสังขารก็ด้วยแล้ว มันเป็นนามธรรม เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย แต่ไม่รู้ว่าสังขารคืออะไรก็ไปไม่ได้

 

จะต้องแยกแยะตรวจสอบโดยรู้องค์รวม ที่มี เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย คำว่านิทานนี่เป็นเรื่องราวมีตัวพระเอกพระรองผู้ร้ายอย่างไรก็ไม่รู้ ...มาอ่านต่อ

 

[3] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอก(การสำรอกไม่ได้หมายถึงดับปึ๊ปเหมือนปิดสวิตซ์ไฟนะ แต่จะดับเป็นรอบๆไป ใครดับได้ปึ๊บเลยก็ต้องมีบารมี อย่างพระพาหิยะหรือโกณฑัญญะ) โดยไม่เหลือ สังขาร จึงดับ เพราะสังขาร
ดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะ  นามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะ
สฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะ
ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ
ชราและ มรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมี
ด้วยประการอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่า  นั้นมีใจยินดีชื่นชม
ภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
                         

 

จบสูตรที่ 1

 

พ่อครูว่า..คำว่า ดับ ตัวนี้ ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะเผิน ว่าดับโดยไม่เหลือ ก็ดับวิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ ทั้งดุ้นเลย ที่จริงไม่ใช่ต้องค่อยๆสำรอก ต้องเรียนรู้สังขารไปตามลำดับ อาตมาเอาที่ภิกษุณีธัมมทินนาตอบอุบาสกวิสาขที่ถามว่า...นิโรธอะไรดับก่อน ท่านก็ตอบว่า ก็มี วจีสังขาร ดับก่อน แล้วมาเป็นจิตสังขารแล้วกายสังขารดับที่สุด อันนี้ไม่ใช่ดับวูบเลยทันที ต้องมีลำดับๆ

 

มาอ่านต่อ.. 2 วิภังคสูตร
 
      

[4] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจ
สมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาท นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
      

 

[5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป   เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา
เป็นปัจจัย    จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

 

[6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด
 ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ
ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความ
ทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา(คือเปลี่ยนแปลงกิริยาไป จากนั่งมาเป็นยืนมาเป็นเดินเป็นต้น) ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ
ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ
      

 

[7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด(ชาติ) ความบังเกิด(สัญชาติ) ความหยั่งลง(โอกกันติ)  เกิด(นิพพัตติ)  เกิดจำเพาะ(อภินิพพัตติ) ความ
ปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
      

 

พ่อครูว่า ระดับการเกิดโอกกันตินั้นยังทำกิเลสให้ลดไม่ได้ ลดความเป็นสัตว์ไม่ได้ ต้องเป็นระดับนิพพัตติ จึงจะเป็นระดับโลกุตระ จะไม่เข้ากับโลกๆแล้ว ไปสู่นิโรธ นิพพาน ส่วนอภินิพพัตติ คือเข้าเป็นโลกุตระเลยสมบูรณ์

 

[8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ
      

 

พ่อครูว่า...ในกามภพคือภพหยาบ ที่ประกอบด้วยทุกอย่างที่มากระทบทวารนอกกระทบแล้วปรุงแต่งหยาบต่ำ ร้าย สำหรับเรา ของใครของใคร บางอย่างเราหลงมากก็ถือว่าหยาบมาก ที่ไปเกี่ยวข้องกับโลกธรรม กามคุณ สมบัติวัตถุอะไรก็แล้วแต่ สัมผัสแล้วกิเลสขึ้น ก็อ่านอาการของตัวเองออก รู้ว่านี่คืออบายของตัวเรา เราก็ล้างให้เป็น คุณก็จะมีหลักไปล้างเหตุตัวต่อไปได้ ในตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้น รูปภพ อรูปภพก็ดี ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเข้าไปอยู่ในภพ หลับตาสะกดจิต จึงจะอยู่ในรูปภพ มันซับซ้อน อยู่ในภพเช่นอยู่กับกามาวจร กระทบแล้วไม่ปรุงแต่งไม่สุขไม่ทุกข์ไม่เป็นพิษเป็นภัย เห็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเลยก็ไม่เมาไปกับมันไม่ได้หลับตา แต่จับกิเลสขณะลืมตา ทำตั้งแต่อบายก่อน ในโสดาบัน แล้วมาทำในเรื่อง กามคุณ พอกามที่เหลือของสกิทาคามีหมด สัมผัสกามคุณ โลกธรรม ก็ไม่เกิดอาการกิเลสแล้วในโลกกาม ไม่เอามาเสพรสเป็นราคะ หรือเอามาเป็นของตนสมโลภะ แม้แต่ โลกธรรมก็ลด มันเหลืออยู่แต่ภายใน มันมีหิริและถึงขั้นโอตตัปปะ คือเกรงกลัวต่อบาปเลย จะรู้ด้วยตัวเอง ว่าขายขี้หน้า เกินกว่าอาย มันกลัวแล้ว มันรู้ความจริงว่าเรายังเกิดในภพอีก การเกิดนี้เป็นเรื่องสาหัส มันรู้แล้วมันไม่ยอมให้จิตมาปรุงแต่ง แต่มันอยู่ภายในเป็นรูปภพ แม้สัมผัสภายนอกอยู่ด้วย

 

เช่นเราได้มีหน้าที่ใช้อันนี้ เรามีหน้าที่อนุมัติงบนี้ได้ เราทำแล้วเหลือเงิน จะงุบงิบไหม? สารพัด สัมผัสทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ​ที่จะปรุงแต่งยินดีเพลิดเพลิน ทะยานอยากไปกับมัน เราก็ไม่มี

 

ตอนนี้คุณมีปัญญา อินทรีย์ รู้จักน้ำหนัก ความเบาแรงของมันในอาการ มีสัญญากำหนดหมายด้วยอาการ ลิงค นิมิต กำหนดเอง จนกระทั่งขีดสุดท้าย ตัวปลายคืออรูป กำหนดของใครของใคร มันไม่มีบทบาทอะไรมากแล้ว อยู่ในอรูปภพจึงไม่มีโทษภัยต่อภายนอกกับใคร เหลือแต่ภาระตน เบียดเบียนตนเอง พระอนาคามีจึงมีตัวรู้ว่าตนเหลือรูปราคะ อรูปราคะ มันไม่สุขหรอก มันรู้ว่าทุกข์ กิเลสก็นัยเดียวกันเป็นเหตุแห่งทุกข์ บางทีเผลอมีนันทิ ยินดีไปบ้าง แต่ตัณหาทะยานอยากไม่แรงมันเบาแล้ว แต่ก็กระทบสัมผัสรู้อยู่กับโลกเขา มี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง แต่มันเหนือกว่าคนอื่น คนอื่นเขาเป็นทาส เป็นอาการของความเสพแต่เราไม่มี พระอนาคามีไม่มี เห็นว่ามันเป็นทุกข์ เป็นอัตตกิลมถะ เหลือกิเลสลึกๆ เรียกพวกนี้ว่า อุปปาติกะ แปลว่าสัตว์ตัวเองเท่านั้น กับคนอื่นไม่เป็นสัตว์ กับคนอื่นคุณเป็นเทวดา ใจสูงกว่าคนอื่นแต่คุณยังเป็นสัตว์กับตนเองจึงเรียกว่า ผู้อุปปาติกะ นี่คืออนาคามี

 

อนาคามีนั้น ดูข้างนอกแล้วเท่กว่าอรหันต์ คือเต๊ะท่าเหมือนไม่มีอะไรเลย ไม่มีการแสดงออก สะอาดบริสุทธิ์เลย แต่อรหันต์แล้วจะอนุโลมเลย ยิ่งอรหันต์ชั้นสูงจะอนุโลมได้มากดูไม่งามเท่าอนาคามีเลย แต่อนาคามีจะไม่ประมาท ระวังของตนเอง ส่วนอรหันต์ดับสนิทไม่เกิดอย่างนิจจัง ทุวัง มีการปรุงแต่ง อนุโลมได้ จึงดูพระอรหันต์ได้ยาก แต่ถ้าถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็ยิ่งเต๊ะท่ามากเลย เพราะมีคนอื่นช่วยปรุงแต่งไปแล้ว

 

การกดข่มก็ไม่ทำให้มีอาการได้มันก็ดับไปเฉยๆ มันไม่สลายตัว ไม่มีพลังความรู้ ไม่เป็นไฟฌานที่เหนือชั้นกว่า ตัว ราคะ โทสะ โมหะ เราต้องทำจนกระทั่งเกิดความจริงว่ามีพลังจิตที่เหนือกว่า ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟหรือพลังปัญญานี้ไปละลายเหมือนมีความร้อนไปเปลี่ยนแปลงพลังงานกิเลสได้ เหมือนอย่างวิทยาศาสตร์ที่มีพลังไปเปลี่ยนสภาพธาตุต่างๆเช่นเหล็กหลอมเลย พลังปัญญาของหิริก็ขนาดหนึ่ง แต่พลังโอตตัปปะนั้นไม่เอา อย่างไรก็ไม่เอา จะมีพลังนั้นจริงๆ จะต้องเห็นว่ามันเป็นทุกข์มันพาเป็นภาระ เห็นวิปัสสนาญาณ 9 มันไม่เที่ยง มันพาเหลวไหล อุทยัพยานุปัสสนาญาณ​ มีภยตูปัฏฐานญาณ เห็นกิเลสเป็นภัยอย่างย่ิง เป็นอาทีนวาสุปัสสนาญาณ​เป็นโทษภัย มันพาเราชั่วตนต่ำ จนรวมแล้วมีพลังไปละลายไฟกิเลสได้เลย

 

ขอบอกตัวท้าย พูดไปแล้ว อะไรก็ไม่น่ามี ทั้งเพลิดเพลินก็ไม่ได้ จริงๆแล้วธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ทำให้หมดแล้วก่อน แล้วค่อยอนุโลมสร้างขึ้นมาได้อีก ถ้าไม่ทำให้เป็นนิจจัง ทุวัง สัสตัง คำว่าอนุโลมขึ้นมาก พระพุทธเจ้าเรียกว่าทำจิตให้ร่าเริ่ง อภิโมทยัง ไม่ใช่ว่าถูกกิเลสจึงเกิดยินดี แต่ว่าเราสร้างขึ้นมา อภิปโมทยังฯเกิดหลักปัสสภยัง(สงบรำงับ) ความยินดีที่เราสร้างไว้อาศัย มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตามลำดับ เรื่องนี้ต้องค่อยๆอธิบาย เก็บรายละเอียด...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:08:50 )

570720

รายละเอียด

570720_วิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท เรื่อง สุริยเปยยาลสูตร

.ฟ้าไทว่า...วันนี้เป็นวิถีอาริยธรรม 20 ก.ค.​57 แรม 9 คำ่ เดือน 8 ปีมะเมีย

 

พ่อครูว่า..ทุกอย่างที่เคลื่อนที่ต้องมีเศษ ต้องมีทศนิยม ส่ิงใดไร้ทศนิยม คือสิ่งที่ตาย หยุด ไม่งอกเงยแล้ว ดังนั้นส่ิงงอกเงย เคลื่อนไหวได้อยู่คือมีทศนิยมทั้งนั้น เราเองเราหาความลงตัว แล้วเราจะเพ่ิมจะลดทศนิยมนั้นเท่าไหร่ก็ได้ จึงได้ชื่อว่าผู้อยู่เหนือสังขาร

 

.ฟ้าไทว่า..รายการนี้จัดที่บ้านราชฯเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ คำพูดของพ่อครูนี้ ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น พ่อครูจะสร้างเมืองอมตะแน่ ตอนนี้เป็นช่วงเข้าพรรษา พ่อครูก็มาจำพรรษาที่นี่ ญาติโยมก็มา พ่อครูก็เน้นย้ำเรื่องบุญและกุศล

 

เราปฏิบัติธรรมไปตอนแรกก็ไปได้ดี ลดละอะไรก็ง่าย แต่พอถึงขีดก็ไปไม่ค่อยออกแล้ว ต้องมาอยู่ใกล้พ่อครูใกล้หมู่กลุ่ม จึงมีความหวังว่ากิเลสจะแพ้เรา แต่ถ้าเราห่างหมู่กลุ่มห่างพ่อครูก็จะมีหวังแพ้กิเลสได้

 

พ่อครูว่า...มันเป็นสัจจะเป็นสนามแม่เหล็กที่มีพลัง เราเองเหมือนอณูหนึ่งตกในสนามแม่เหล็ก พลังงานเราจะถูกห้อมล้อมด้วยสนามแม่เหล็ก เหล็กอ่อนโยนเข้ามาในสนามแม่เหล็กก็จะกลายเป็นแม่เหล็กทันที เพราะมีองค์รวมห้อมล้อมด้วยกาย วาจา ใจ ที่มีสังขารต่างๆ ในมนุษยชาติ ก็เป็นพลังงานที่เกิดอยู่ ในร่างกายเรามีพลังงานปรุงแต่งของธรรมชาติ เรียกว่า Calorie ส่วนพลังงานของสิ่งแวดล้อมสังคมมนุษย์ ก็มีพลังงาน อาตมาเทียบว่าเป็นพลังงานสนามแม่เหล็ก และเป็นพลังงานของสังคมหมู่กลุ่มที่เรามีสังคมส่ิงแวดล้อมดี มีพลังจูงจำจริง คนอื่นที่ได้บ้างไม่ได้บ้างมาสมทบก็เป็นองค์รวม คนที่มีทิฏฐิ_ศีล สามัญตา ไปในทิศทางเดียวกัน แม้มีส่ิงต้าน แต่ทุกคนก็มุ่งไปมีมโนสัญเจตนา และเราก็มีสัมมาทิฏฐิ มากกว่าที่มิจฉาฯ ก็เป็นพลังงานเสียไม่มาก องค์รวมแล้วเป็นConvergence ไปสู่จุดเดียวกัน เป็นมโนสัญเจตนาเดียวกัน

 

เมื่อเรามาอยู่ในหมู่ก็มีพลังโน้มนำไปสู่ดีได้ง่ายกว่าไปอยู่เดี่ยวๆ มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

 

.ฟ้าไทว่า...ถ้ามีพ่อครูอยู่ด้วยจะมีพลังงานมาก(เป็นแกน)แต่คนรองๆมาก็เป็นแกน แต่เนื้อหาไม่มีพลังงานสูง เหมือนพ่อครูมากิเลสก็หดลง แม้แต่พ่อครูองค์เดียวก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอ วนบ.มาเรียนด้วยก็มีพลังมากเลย

 

พ่อครูว่า..เป็นพลังรวมมีคุณราศี มีแสงออกมาให้เราสัมผัสได้ จิตเราจะโน้มไปทำดีได้มาก พยายามรวมตัวกันให้ดี กิเลสจะพาเป็นไปอยู่ แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดทั้งรูปธรรมและนามธรรม ถ้ามีทั้งรูปและนามจะมีพลังมาก

 

.ฟ้าไทว่า...อย่างว.บบบ.ก็พาทำงานแล้วคนมีพลังมากขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่า ว.บบบ.มานี่คนรวมกันแล้วมีพลังสูง แต่วนบ.นี่ตอนประชุมกับหนึ่งฟ้าก็มองยังไม่เห็นภาพ แต่พอคนมาสมัคร

 

พ่อครูว่า..ว.บบบ.ก็ทิ้งไม่ได้ ไม่เหมือนวนบ.ที่ต้องมาอยู่ในคอก แต่ว.บบบ.นั้นนานทีมาร่วมกัน มีนัยะต่างกันอยู่

 

.ฟ้าไทว่า..ว.บบบ.คือญาติธรรมที่มีภารกิจมีวิบากอยู่ พ่อครูก็มีเมตตาจะช่วยเรา เราต้องพยายาม

 

พ่อครูว่า..ก็ต้องทำไปจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

.ฟ้าไทว่า..วนบ. เห็นคนกระตือรือร้น ฟังธรรมกัน เรียนกัน ก็ทำให้เจริญได้ บรรยากาศตอนเย็นจะผ่อนคลายได้มากกว่าตอนเช้า

 

พ่อครูว่า..ในสุริยเปยยาลสูตร เร่ิมที่มิตรดี

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

 

จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 จะต้องมี 7ข้อของแสงอรุณนี้ก่อน แสงอรุณต้องมีครบ 7 ไม่อย่างนั้นไม่ครบ

มิตรดีนั้นละไว้ว่าคือ มิตรดี(กัลยาณมิตโต) สหายดี(กัลยาณสหาโย) สังคมส่ิงแวดล้อมดี(กัลยาณสัมปวังโก) เมื่อมาอยู่รวมกันแล้ว เป็นสัมปวังโก แล้ว จิตเราจะต้องมี ฉันทะ เพราะถ้าฝืนนั้นยาก ถ้ามาแล้วอย่างไม่มีความรู้ว่าหมู่นี้ดี แต่ถ้ารู้ว่าดีเห็นดียินดีมาก่อน ถ้าใจมันดี โน้มน้อมมา คือเป็นเองนะ ไม่ต้องบังคับ มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีเท่าไหร่โถมโน้มมาเลย มีปัญญารู้ชัดเจน สรุปที่ตัวยินดีพอใจ จะเป็นตัวเสริมหนุนอย่างสำคัญ

 

แล้วแสงอรุณที่เป็นตัวอัตตา ถ้าคุณอวิชชาทุกคนก็มีอัตตาทุกคน มี3 อย่าง โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

 

โอฬาริกอัตตาคือการได้เสพรส ได้มีได้เป็น เกิดมีความสุข เพลิดเพลินสนุกสนาน ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะถ้าเป็นของจริงใครสัมผัสก็จะเหมือนกันหมด เช่นอันนี้มันเปรี้ยว ใครสัมผัสก็เปรี้ยว แต่ว่าตัวอร่อย ตัวชอบนี่สิตัวปลอมเป็นเท็จ เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน อร่อยไม่เหมือนกัน สร้างเองหลงเองนึกว่ามีจริงเป็นจริง อร่อยเพลิดเพลินแซบนี่ให้อยู่กับข้านะ โง่นัก คนอวิชชาหลอกตัวเองสำเร็จทุกคน แต่พอล้างออกได้ก็หายโง่สำเร็จ

 

ส่วนอรูปอัตตา คือส่วนเหลือ จากที่เป็นรูปก็รู้ได้ยากขึ้นเบาบางลง และเบาบางมากจนเป็นอรูปแล้ว ก็ต้องล้างต่อให้หมด เราล้างมาตั้งแต่โอฬาริกอัตตา

 

จากอัตตาแล้ว รู้แล้ว คุณต้องมีหลักการ ความเห็น เรียกทิฏฐิ ต้องหาความเข้าใจหลักการ แม้แต่ลัทธิก็แปลว่าอย่างนั้นได้ เจ้าไหน กลุ่มไหน คณะไหน ได้ทฤษฎีหลักเกณฑ์มาก็ปฏิบัติ อย่าประมาท อย่าเหลาะแหละ ให้เอาใจใส่พากเพียรปฏิบัติเสมอ เราจะรู้ว่าปฏิบัติธรรมนั้นทุกลมหายใจเสมอๆ มีสติให้เป็นสัมมา เป็นสัมโพชฌงค์ ตัวสัมมาคือกำลังปฏิบัติ สัมมาได้ก็เรียกว่าสัมโพชฌงค์ เข้าสู่การตรัสรู้ไปตามลำดับ เมื่อเรามีสติ_ธัมมวิจัยเสมอ

 

มีสติปัฏฐาน 4 นี่แหละคือตัวต้นตัวปฏิบัติเลย ในทำสติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นไม่มีทางบรรลุวิชชาและวิมุติ เพราะสติปัฏฐาน 4​จะเป็นเหตุให้เกิดวิมุติ  ตามอวิชชาสูตร

1.การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ 

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์

 

เมื่อไม่ประมาท ทำโยนิโสมนสิการ จะเกิดไปตาม อาหารสู่โพชฌงค์ในอวิชชาสูตร มันจะต้องชัดเจนทุกอย่าง มันมีบันได ที่ชัดเจนเป็นขั้นๆ มีชื่อชัดเจนด้วย

 

คบสัตบุรุษต้องเข้านั่งใกล้ เงี่ยโสตสดับฟังธรรมท่าน พระพุทธเจ้าว่าต้องเยี่ยมเยียนคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์

 

ต้องมีฉันทะเป็นมูล เป็นต้นเค้า ปีติ ยินดีที่จะต้องเอา ตายเป็นตาย ชีวิตนี้ต้องเอาให้ได้ เพราะได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ จึงรู้ว่าการโยนิโสมนสิการเป็นแบบนี้ คือมีปรโตโฆษะ อาตมาเคยพูดว่า คนที่ปิดประตูไม่รับจากใครเลย ถ้าคุณถูกต้องก็ดีไป แต่ถ้าไม่ถูกต้องแล้วยึดถือของตนอยู่ ก็ซวยไปอีกนานเลย คุณต้องเปรียบเทียบศึกษาอยู่บ้าง

 

เมื่อโยนิโสมนสิการเป็น ก็จะมีเค้าของมนสิการที่ทำได้ เพราะสัมมาทิฏฐิขึ้น จะมนสิการเป็นต้องมีสัมผัสเป็นสมุทัย(เป็นเหตุของมรรค) แต่ถ้าสมุทัยของทุกข์นั้นคือกิเลสตัณหา แต่มรรควิธีต้องมีผัสสะเป็นเหตุ ถ้าไม่มีผัสสะก็ผิดหลักพุทธ เมื่อผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา

 

กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้ง 4 อันนี้อันเดียวกัน...ฟังให้ดี...เมื่อเรามีผัสสะ ตากระทบรูป เกิดวิญญาณ เกิด 3 สภาพเหตุปัจจัยประชุมกัน เราต้องอ่านวิญญาณเป็น วิเคราะห์องค์ประชุมทั้งรูปและนาม เรียกว่า “กาย”

 

ในกายนี่แหละสัมผัสข้างนอก ก็พบว่ามีมโนมยอัตตาอยู่ข้างใน กายในนี้ต่อเนื่องจากกายนอกเข้าไปเป็นนามธรรม คุณก็เข้าไปรู้นามธรรมข้างใน พิจารณากายในกายนี้ก็คือเวทนา ในความรู้สึกนี้มันเป็นจิตเช่นกุศล อกุศลเป็นต้น มันปรุงแต่งกัน เป็นผี เป็นเทวดาหลอก เป็นนิทาน เป็นเรื่องราวอยู่ในนั้น จนจับตัวผู้ร้ายได้ ว่าไปหลงเป็นหลงมีหลงได้ จับมันมาจัดให้ได้ มันหลอกเรา เมื่อกำจัดได้ลดลงได้ ถ้ามันเที่ยงก็คือคุณไปยึดมันเองให้มันเที่ยงไม่ปล่อยไม่วางมันก็กองในอนุสัย ทั้งที่มันไม่เที่ยงเราต้องวางมัน มันเป็นเหตุปัจจัยให้เราทุกข์

 

เมื่อทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจะเกิดผล ว่ามันไม่อยู่กับเราไปตลอดการไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อเราจัดการมันให้หายไปได้ หรือลดลงได้ จนกว่าจะหมดไป คุณก็ตามรู้ความจริงต่อไป เมื่อมีผัสสะจะรวมเป็นเวทนา ตั้งแต่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง แล้วเกิดวิญญาณเป็นเทวดาถ้าได้สมใจก็สุข ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์เป็นสัตว์เปรต ผี นรก เป็นเรื่องความเป็นสัตว์ที่ประกอบด้วย ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา

 

เมื่อคุณเข้าใจด้วยปัญญาญาณ ก็พบว่ามันประชุมกันเป็นเวทนา เพราะมีอวิชชาปรุงแต่งเป็นเทวดาหลอก เป็นผี เราเห็นความหลงความโง่ของตนเองก็ไม่เอาแล้ว เมื่อสามารถรู้จักองค์ประชุมของเวทนาที่ปรุงเป็นผีเป็นเทวดาหลอก ต้องเรียนรู้เวทนา 108 โดยเฉพาะแยกเนกขัมมะและเคหสิตะออก แล้วทำให้เกิดอุเบกขา ซึ่งเป็นการเพ่งเผากิเลสในองค์ฌาน 

 

ฌานเป็นมรรคของสมาธิ เมื่อเพ่งเผาทำลายกิเลสได้ ตกผลึกลงเป็นสมาธิ จะเป็นสมาธิได้ต้องมีหวังเฉาหม่าฮั่นเป็นผู้ช่วยที่ดีมาตลอดคือ สติและวิริยะ

 

สติเป็นอธิปไตย ส่วนปัญญาเป็นอุตตระ(เหนือกว่าสามัญ)เป็นความฉลาดดีงาม เรามีสติได้เพราะมีปัญญานำพาไปตลอด จนจบก็ต้องใช้ปัญญารู้ ต้องรู้ด้วยตนเองไม่ประมาท ต้องทำจนเป็นนิจจังทุวังแน่นอนเที่ยงแท้ ทำจนเป็นวิสัยแล้วมันอยู่กับเราเป็นเหมือนตัวเราแล้ว เป็นการอาศัยอย่างยิ่งเป็นเนื้อแท้เป็นสาระ คนได้สาระนี่คือคนไม่ตาย คือกิเลสไม่เกิดอีกแล้วมันจะเอาที่ไหนมาตาย กิเลสมันตายอย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

กิเลสตายแล้วแต่เรายังมีชีวิติทรีย์ มีพลังงานของชีวิตไม่ได้สูญสลายไป เป็นผู้มีแต่เป็นผู้ไม่มีแล้ว (โลเก อัตถิตา สา น โหติ) ถ้ายังทำไม่ได้ก็เป็นโลเก นัตถิตา สา นโหติ

 

เป็นคนไม่ตายเพราะเราจัดการจิตเราได้เราจะให้จิตเราตายสนิทก็ได้เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นคนตายแล้วหรือเป็นคนไม่เกิด หรือเป็นคนไม่ตายก็ได้ พยัญชนะได้หมด แต่ต้องมีสภาวะ

 

ตอนนี้ผมเป็นนิยตโพธิสัตว์ มีคุณสมบัติคือมีนิจัง ทุวัง สัสตัง ที่จะไม่ตกต่ำไปกว่านี้มันเลยขีด เหมือนโสดาบันที่มีนิยตะก็เลย 75% เป็นต้นไปผมอยู่ในระหว่าง 75 % แล้ว ไม่ตกต่ำแน่นอนแต่ว่าลาออกได้ เราไม่มีความเลวร้ายที่จะมาหักล้างได้ ไม่ทำเลวร้ายแล้ว แต่ตนเองจะเลิกเองได้

 

ผู้เป็นอรหันต์ผ่านวิมุติ นิโรธแล้ว วิมุติคือกิเลสตายสูญ​ดับ แต่ตัวท่านมีอยู่ก็เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเรียกว่า จนถึงขั้นไม่ตกต่ำไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอสังหิรัง อสังกุปปัง เป็นเหตุปัจจัยที่เที่ยงแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่ถึงต้องเผื่อพอไว้ ให้ตั้งมั่น Double หรือ Tripple เผื่อไว้ให้ดี ขออภัยที่พูดนี่คือเอาสภาวะมาอ่าน ไม่ได้เอามาจากตำราด้วย

 

.ฟ้าไทว่า..พ่อครูดูเหมือนคนธรรมดาแตะต้องได้ไม่เหมือนอาจารย์อื่น

 

พ่อครูว่า...คนที่เขารู้เขาก็จะยำเกรง แต่คนไม่เข้าใจก็ลบหลู่ได้เช่นคุณสะอาด จันทร์ดีก็ใส่อาตมาเละเลย

 

ในชีวิตนี้เคยว้ากใส่คนสองคน แต่ทั้งสองคนก็ยังอยู่นะ วันนี้ปลงอาบัติ ส่ิงที่ไม่ควรเปิดเผยพระพุทธเจ้าว่าไม่ควรเปิดเผยจะเกิดความเสียหายได้ 

 

คุณนักรบธรรมบอกว่าผมเคยไปนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วได้สภาวะที่สุขแบบที่หาอะไรเทียบไม่ได้เลย แล้วจากนั้นก็ไม่เคยได้อีกเลย มาอยู่กับพ่อครูมา 25 ปีแล้ว ก็ไม่เคยได้อย่างนั้นเลย...

ตอบ...พระพุทธเจ้าอนุโลมให้ว่าสายเจโต ได้ชั่วคราว อาสวะบางอย่างหมดไปได้ แต่ไม่สมบูรณ์ ถ้าจะให้บริบูรณ์ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วเห็นวิญญาณสัตว์ อย่างหยาบก็จัดการก่อน แล้วอย่างกลาง อย่างละเอียดก็จัดการได้ตรวจสอบด้วยอรูปฌาน 4 ก็หมด จนไม่มีอะไรไม่รู้ รู้ว่ากิเลสคืออะไร ธุลีละอองคืออะไร มันไม่มีก็รู้ ทุกกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ไม่มี อย่างมั่นคงยั่งยืนถาวร ตอบตนเองได้ว่า ไม่มีการกลับกำเริบนั้นคือส่ิงที่คุณตรวจด้วยอรูปฌาน 4 ซึ่งไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเห็นแสงสว่าง แต่ว่าสัมผัสภายนอกภายในเห็นพร้อมกันหมด อ่านให้ครบในวิโมกข์ 8  ครบ

 

ทำดีอยู่แล้วจะโง่ไปทำไม่ดีทำไม? ถ้าทนไม่ไหวก็ว่าไป แต่นี่ทนไหวอยู่ แล้วก็ไม่ต้องทนด้วย จะไปทำไม่ดีทำไม ก็ทำดีต่อไปสิ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:10:16 )

570722

รายละเอียด

570722_สรรค่าสร้างคน(4)วนบ. สูตรสู่ความสำเร็จและวัฒนธรรมบุญนิยม

วันนี้เรามาเรียน สรรค่าสร้างคน วันที่ 22 ก.ค. 57 จะหมดเดือนแล้วไวจริงๆ แล้วแบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนมาแก่ ประเดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทันเลย อาตมาทำอะไรไม่เก่งไม่ทันไม่เร็วไม่คล่อง ก็พยายามไปนะ ดูซิว่าอาตมาอายุ 80 ปีนี่แล้วใครในที่นี้มีอายุ 80 ขึ้นไปบ้าง....มีโยมเบ้า อายุ 80 ปีพอดี อีกคนหนึ่ง มีโยมสะอาด อายุ 82 ปีของอาตมาย่างเข้า 81 ปีมาเกือบสองเดือนแล้ว ก็อายุไล่ๆกัน ลองดูสิว่าใครจะขี้เกียจกว่ากัน อาตมาจะขยันสอนพวกโยมก็ขยันเรียนดูสิว่าใครจะขยันกว่ากัน

 

อยากให้เห็นคุณค่า อาตมาอยากให้ครูทั้งโลกสอนอย่างเห็นคุณค่า ทุกวันนี้ครูจะสอนก็สอนเพราะว่าได้เงิน ได้ยศ ตำแหน่ง สรรเสริญ ได้เอาไปเสพสุขทางกาม ทางอัตตา โลกธรรม ไปว่าเขาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ศึกษา กิเลสมันก็กดหัวเอาไว้ใช้เป็นทาส ก็เห็นใจอยู่ แต่พวกเรารู้แล้ว ทำไมไม่สู้มันบ้าง เราต้องกดหัวมัน อย่าให้มันกดหัวเรา มีหัวไว้ให้กิเลสกดหรืออย่างไร?...ต้องพยายาม
 

วันนี้อาตมาจะเอาสูตรสู่ความสำเร็จบุญนิยมมาขยายความ (ในหน้า 16 ของหนังสือสรรค่าสร้างคน)

 

สรรค่าสร้างคนเป็นเรื่องที่อาตมาร่างเองเขียนเองมีของพระพุทธเจ้าบ้างเล็กน้อย อาตมาคิดได้ก็เขียนไป ท่านซาบซึ้งก็รวบรวมมาเป็นเล่ม ต้องขอบคุณท่าน ตั้งแต่เล่มเล็กมาเป็นเล่มใหญ่ เอามาสอนคนให้เป็นคนบุญนิยม ดูสิว่าถ้าเป็นสังคมบุญนิยมจะเป็นอย่างไร? อาตมาได้แต่คิด ถ้าพวกคุณไม่ช่วยก็ไม่เป็นจริง อาตมาจริงนะแล้ว ไปเอาไม้จิ้มฟันจิ้มตายดีกว่า มันต้องร่วมมือกับอาตมาบ้าง ในสูตรสู่ความสำเร็จบุญนิยมนี่มี

 

ศึกษา เอาจริง ต่อเนื่อง ประสานสัมพันธ์กลุ่ม ขยายงาน เผยแพร่ การตลาด นี่ 7 ข้อ อาตมาว่าครบตั้งแต่คน เป็นกลุ่มบุคคล แล้วเป็นเครือแป มีหลายกลุ่มมาสานเป็นเครือแห มีพลังรวมจะช่วยโลก มีคุณสมบัติที่สั่งสมเป็นคุณนิธิของแต่ละคน มาร่วมเป็นหมู่กลุ่มใหญ่เป็นคุณราศี

 

อาตมาเร่งการศึกษา พวกคุณก็มาช่วยกันหน่อยสิ อาตมาจะได้ไม่โดดเดี่ยว การศึกษานี่มี ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

 

ปริยัติก็เป็นทฤษฎี เป็นทิฏฐิ แล้วเอาไปตั้งหลักเกณฑ์ให้ตน ตามฐานะ ถ้ายังไม่สูงก็เอาศีล 5 โดยเข้าใจว่าศีล 5 มีแค่ไหน ระวังตามขอบเขต ในหลักของชาวอโศกมี ถือศีล 5 ละอบายมุข งดเว้นเนื้อสัตว์ อย่างถือศีล แต่กินเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้สังวรอะไรมากมาย แต่พอมางดเนื้อสัตว์ ก็จะเห็นว่าไม่เบาเลย ถ้าเราลดละได้จะมีเมตตาต่อสัตว์ แต่ก่อนนี้ไม่รู้สึกหรอก สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ทำลายบี้มัน มันทำอะไรเราไม่ได้เราก็บี้ให้ตาย ไม่รู้สึก แต่พอไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อ จะมีความรู้สึกว่าไม่ฆ่า แต่ก่อนมันไม่รู้สึก ยิ่งมันมากวนเราก็เสร็จ ส่วนสัตว์น้อยไม่คิดก็ทำมันตาย แต่สัตว์ใหญ่เราทำอะไรมันไม่ได้ก็วิ่งหนี ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์จะมีเมตตา

 

ที่นี่มีศีล 5 แล้วยังไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วจะเข้าหลัก สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะด้วย จะเกิด สัมปชัญญะ สัมปชลติ สัมปันนะ ไป มีการเพ่งเผากิเลส เข้าสัมปัตตะ สัมปปันนะไปเรื่อยๆ เป็นลักษณะจิตวิญญาณที่เจริญ เป็นความฉลาดที่เป็นจริง ย่ิงเห็นจริงมันยิ่งมีพลังอำนาจสูงขึ้นๆ นี่เป็นคุณสมบัติของพลังปัญญา จนสุดท้ายมันทำลายอะไรได้หมด โดยเฉพาะทำลายกิเลส ที่มันมีพลังเล่นงานคุณมาหลายชาติ เราต้องเอาชนะมันให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะแพ้มันตลอดกาล เรามาศึกษา

 

ต้องเอาจริง อาตมาเคยสอนมาตั้งแต่ต้นๆ ว่าธรรมะนี่ ขาดการเอาจริง ไม่มีทางสำเร็จ ขอยืนยัน คนที่บรรลุธรรม มีปัญญา ผ่านสังโยชน์ 1 และ2 จับตัวสักกายะได้ชัดเจน ไม่ทำอย่างลูบคลำเล่นหัวกับมันแล้ว ไม่เอาจริงไม่พยายามปหานมันด้วยปหาน 5 มันก็ไม่มีวันที่จะตายได้ ไม่มีผลเป็นแค่มรรค ได้แค่สักกายะ กับวิจิกิจฉา แต่ไม่พ้นศีลพตปรามาส มันไม่ทำการปหานจริง ต้องเอาจริง แม้แต่ทางโลกีย์เราจะทำงานถ้าเราไม่เอาจริงก็ไม่มีทางสำเร็จ นี่ก็รู้ๆกันโดยปริยาย คำว่า เอาจริง นี่จึงสำคัญมาก การศึกษาจะผ่านความสำเร็จได้ต้องเอาจริง เมื่อเอาจริงแล้วก็ต้องศึกษา

 

ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเราก็ปฏิบัติให้ถึงจิต ปฏิบัติกาย วาจา ให้ถึงจิต พอจิตเกิดผลได้จึงสำเร็จ หากจิตไม่เกิดผลก็ไม่ถือว่าสำเร็จในทางศาสนาพุทธ จิตมันอยู่ข้างในแล้วจะทรงไว้ข้างใน ธรรมะจึงอยู่ที่ตัวจิต คนที่มีจิตนิยามแล้ว ศึกษาจนรู้กุศล อกุศล แล้วรู้กุศล อกุศล ขั้นโลกียะหรือโลกุตระ จึงทำกรรมที่เป็นธรรมะทรงไว้ให้แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีความรู้แล้วปฏิบัติจริงจึงได้ผล แน่นเข้าเป็นแก่นแกน

 

ผลที่จะได้ไม่มีอะไรเลย นั้นคือ กำจัดกิเลส ส่วนผลทางเทคนิค ได้ผลผลิตอะไรก็ต่างคนต่างช่วยกัน แต่ผลชัดเจนที่เป็นประโยชน์แท้คือกิเลส ทำให้กิเลสดับลงเราก็มีนิโรธหลุดพ้นจากวังวนนั้น ภพนั้น จากการศึกษา 3 จึงเกิดวิมุติ ทำได้ก็มีญาณรู้วิมุติ เป็นวิมุติญาณทัสสนะ แต่ตัวปฏิบัติคือศีล สมาธิ ปัญญา ผลที่เป็นก็เป็นวิมุติ อธิวิมุติ ไป

 

เมื่อเอาจริงได้ผลเกิด เราก็สืบสานต่อเนื่องกันไป มีคนรับช่วงขยายผล อย่างพระพุทธเจ้าได้ผลคนหนึ่งก็เอามาขยายผลต่อเนื่อง มันจึงเกิดประสานเป็นกลุ่ม เครือข่ายเครือแห จึงมีพลังรวมไปช่วยกลุ่มนอกๆอีก ขยายผล ขยายงานต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเผยแพร่ ทั้งเผยแผ่ ออกไปเรื่อยๆๆ จนกระทั่งใช้ชื่อรวมของทางโลกว่า การตลาด

 

ตลาดเป็นที่ซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้กัน ต้องมีวัตถุ ไปแจก ไปแลกกัน ถ้าไม่เป็นวัตถุก็แลกแรงงาน หรือเป็นความรู้ ไปแลกกัน ก็คือเกื้อกูลกัน มนุษย์ทำเก่ง สัตว์สู้คนไม่ได้ คนนั้นการตลาดเก่งมาก แล้วหากลเม็ดแทคติกให้ได้เปรียบ แต่การตลาดบุญนิยมจะไม่เหมือนการตลาดโลกีย์ การตลาดบุญนิยมคือเอาไปเผื่อแผ่ เผยแพร่แก่คนอื่นไม่ใช่ไปเอาเปรียบเอารัดคนอื่น มันคนละแนวคิด การตลาดโลกีย์เป็นประโยชน์ต่อ กู อย่างการตลาดที่เก่งมากเลยเดี๋ยวนี้คือ Google มันเหมือนให้ฟรีเลย แต่มันรวยเละเลย อาตมาไม่เก่งนะแบบนั้น เขาซื้อคนเก่งๆซื้อกิจการแหลกเลย ทั้งเทคโนโลยี มันเนียนจริงๆนึกไม่ออกว่าได้อะไรเลย ได้โฆษณาหรือ? เราเองเราก็ไม่ได้ไปวงจรโฆษณาของเขา หรือจำนวนมากในการเข้าดู ก็จะเป็นรายได้ตรงไหน?

 

โลกทุกวันนี้ การตลาดมันย่ิงใหญ่ครอบคลุม กินหมดโลกเลย คนหลุดพ้นจากพลังดูดของแม่เหล็กโลกนี่ยอดเยี่ยมเลย อย่างอาตมานี่หลุดพ้น อย่างใช้คอมพิวเตอร์นี่ก็ไม่ได้เสียเงินให้มันเลย ใช้ฟรีเลย เนียนตรงนี้แหละที่คนรู้สึกว่าฟรี

 

แต่ของเราการตลาดนี่เป็นกุศลเป็นบุญ เท่าที่เราจะเอื้อเอื้อเกื้อกว้างตามที่เราจะไปช่วยเขาได้ จิตอย่างนี้ในพวกเรานี่เป็นจริง ใจมันจริงๆๆก็จะเป็นอย่างนั้น คนที่มีใจอย่างนี้ก็มีการตลาดแบบนี้ เผยแพร่ ขยายงานแบบนี้ เกิดประสานกลุ่มได้ ช่วยเขาได้ส่วนเขาจะช่วยเราต่อ ก็แล้วแต่ เราไม่ได้บังคับหรือมีเกณฑ์หรือมีสัญญา อย่างเก่งเราก็สอนก็แนะเขาอย่างจริงใจ ให้มีเกื้อกูลกตเวทีต่อกัน ไม่เอาเปรียบจะเป็นหนี้ทางธรรม

 

มาต่อกันที่วัฒนธรรมบุญนิยม (วัฒนธรรมที่ดี) มี 6 ประการ

 

1.ปัญญาที่ดี เพราะจริงๆปัญญานั้นดีอยู่แล้วแต่คนเอาไปใช้ผิดๆ ปัญญาคือเฉลียวฉลาดที่กิเลสลดลงจนหมด แต่กิเลสมากขึ้นคือเฉกา  เรื่องฉลาดนี้ ในภาษาไทยกร่อนมาจากคำว่า ฉฬายตนะ คนเราจะปฏิบัติอะไรหากไม่มีหลักอายตนะก็ไม่สำเร็จ มันต้องรอบรู้ทั้งทวาร 6 ให้รู้ทั้งสมมุติ และปรมัตถสัจจะ อันไหนดีหรือไม่ดี ถ้ากิเลสก็ไม่ดี ถ้าลดกิเลสได้ก็ดี นี่คือดีชั่วของปรมัตถ์ ส่วนอันอื่นไม่เที่ยง แล้วแต่สมมุติ ลดกิเลสได้ดี กิเลสเพ่ิมก็ชั่วหรือบาปหรือเลวก็แล้วแต่ ถ้ากิเลสลดได้ก็เรียกว่าบุญ ปัญญาที่สามารถรู้คือฉลาดทั้ง 6 ทวาร เมื่อมีผัสสะเราก็อ่านนามรูปออก มันจะขี้โกงหรือซื่อสัตย์ก็อยู่ที่ธาตุวิญญาณ มันจะเอาเปรียบหรือโกงอย่างไรก็อยู่ที่ตัวนี้ จะต้องเมื่อมีทวาร 5 ทำให้ชำนาญก่อนเป็นสิ่งหยาบ แต่ก็ต้องมีตัวใจร่วมเสมอ เราทำกิเลสหมดเรียนรู้ทางทวาร 5 สัมผัสแล้ว ก็รู้ถึงใจ

 

ผู้ใดไม่ฉลาดแบบรู้ตาหูจมูกลิ้นกาย และลดกิเลสไม่ได้ก็ไม่ใช่ฉลาดแบบปัญญา แต่เป็นเฉโก มันก็ฉลาดแบบปุถุชน จึงสร้างปัญญาของจริงได้ยาก จึงต้องสร้างปัญญาทางทวาร 6 ว่านี่คือลดกิเลสได้ นี่คือการรู้อย่างฉฬายตนะ รู้อย่างมีมรรคผลจริง นี่คือปัญญาที่ดี

 

ในปฏิจจสมุปบาท มันต้องผ่านอายตนะ ผัสสะจึงเกิด รวมเป็นองค์ประชุมเรียกว่า กาย เป็นสภาวะที่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีผัสสะ คำว่ากายนี่ต้องมีนามธรรมเข้าไปร่วมด้วยเสมอ ฉฬายตนะเกิดจากทวาร 5 ไปเกี่ยวข้องกับภายนอก แล้วเกิด กาย แล้วเราก็พยายามรู้ตัวที่เป็นนามธรรมเป็นกิเลสที่ไปปรุงร่วมด้วย

 

ถ้าเราแยกออกแล้ว ฉลาดแบบเฉกา กับฉลาดแบบปัญญา นั้นต่างกัน แบบปัญญานั้นรู้จักกิเลส ลดกิเลส กำจัดกิเลสได้ นี่คือฉฬายตะที่เป็นความรอบรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนใคร เป็นจิตประเสริฐแท้จริง

 

แต่ก่อนอโศกตั้งมูลนิธิธรรมสันติ มีเงิน 1,500​บาท ก็เริ่มต้นไม่ได้ซักที เพราะว่าจะต้องมีเงิน แสนบาท จึงตั้งได้ ก็เลยยังตั้งไม่ได้เพราะเงินไม่มี จนไปพบหมอกุศล เขากินมังฯแต่ไม่มีเพื่อนกินมังฯด้วย ก็คบหากันมานาน ต่อมาแกขายที่ได้ก็เลยมาบริจาคเงินแสน ก็เลยได้ตั้งมูลนิธิ ไปจดทะเบียนแสน แต่พอไม่ช้าไม่นานก็เหลือหลักร้อย เพราะต้องควักจ่ายไป ที่จริงมูลนิธิต้องคงเงินไว้ไม่ให้ลด แต่ของเรานี่ใช้ไป บางทีเหลือเงิน 400 บาท ตอนแรกเราก็พูดเงินหลักร้อยหลักพัน จะเป็นเงินหมื่นก็นาน แล้วกว่าจะมาเป็นแสนก็ยาก แต่เดี๋ยวนี้พูดถึง 10 ล้าน 20 ล้านพูดเฉยเลย แล้วมันเป็นไปได้พอเป็นพอไป กล้าทำได้ขนาดนี้ อย่าทำเป็นเล่นไปอย่าประมาท ไม่หาไม่ได้เราต้องหาใช้คืนด้วย

 

อย่างปฐมอโศกนี่แสนสบาย มีรายได้แจกพี่ๆน้องๆไป ลอยตัวแล้ว ซึ่งปฐมอโศกตอนแรกก็เหมือนที่นี่แหละอาตมาต้องให้ช่วยเขา แต่ศีรษะอโศกอาตมาไม่ค่อยได้ช่วยเขา มีแต่เขามาช่วยอาตมา ก็เป็นไปได้ นี่คือลักษณะสาธารณโภคีบุญนิยม มีการสังเคราะห์ช่วยเหลือ อุดหนุน มีของจริง พิสูจน์ได้ ถ้าเราแข็งแรงเพ่ิมขึ้น จิตใจเข้มแข็งก็เกื้อกูลได้มากขึ้น และเป็นสัจจะที่มีแต่ดีไม่มีเลวเลย ถ้าเราไม่ไปโลภโมโทสัน เขาก็ให้มาอย่างบริสุทธิ์ใจ

 

พระพุทธเจ้าว่าพรหมจรรย์นี้ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง)

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ   

มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป 

มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น    ก็หามิได้

ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

 

 

เราก็ทำไปทำไม่ได้หยุดแค่นั้น ไม่ได้ขยันอะไร มันอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้แกล้งจริงๆ อาตมานี่โอ้โห ไม่ได้หยุดเลย เรานี่ประชดไหม? เราก็เห็นว่าทำก็ดี ก็ไม่ได้เมื่อยอะไรนะ เราไม่ทรมานสังขาร

 

2.ความพากเพียรบากบั่นที่ดี...สรุปแล้ว เมื่อมีปัญญาดี มีความพากเพียรดี จะขาดเพียรไม่ได้ จนมันเป็นเอง ก็ไม่เห็นว่าขยันอะไรแต่ทำไม่ได้หยุดเท่านั้นเอง เขาว่าทำมากไปแล้วก็ไม่เห็นว่ามากอะไร?

 

3.มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบที่ดี อย่างไม่ต้องเรียกร้อง ยิ่งอยู่ในสังคมคนมีปัญญาเขารู้ว่าเราทำเขาก็จะช่วย แต่ถ้าไม่มีบารมีก็ต้องขอแรง แต่ถ้ามีบารมีนั้นก็ต้องคัดด้วยซ้ำ ว่าพอแล้ว

 

4.ผลที่ได้รับได้อาศัยที่ดี ผลที่ได้รับได้อาศัยก็เกิดผลเกิดร่วมกันทำ ช่วยกันวิเคราะห์วิจัยเลือกเฟ้นตามปัญญา ก็เกิดส่ิงที่ได้อาศัย มีกระจิตกระใจ ดูแลรักษาซ่อมแซมช่วยเหลือสร้างขึ้นก็เกิดการพ้นทุกข์(อาริยสัจ)

 

5.ความพ้นทุกข์ที่ดี(อาริยสัจ)เช่นอยากตบหน้าคน แล้วเราก็ทุกข์ พอเราได้ตบหน้าคนก็พ้นทุกข์ อันนี้ไม่ใช่การพ้นทุกข์ที่ดี

 

6.ความยั่งยืนนานที่ดี ยืนนานจนถึงเที่ยงแท้ คำว่านิโรธนี้ยืนนานได้เพราะมีปัญญารู้ว่ามีผลนิโรธอย่างไร ว่างง่ายไม่เป็นภาระ มีปัญญารู้ไม่เดือดร้อน นอกจากไม่เดือดร้อนแล้วมีประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย ดีงามด้วย ช่วยในส่ิงที่ดีมีภูมิปัญญา สิ่งไม่ดีก็ไม่ทำ เป็นสุดยอดแห่งประโยชน์ ทำได้เป็นพลังงานสะสมก็จริง ปัญญาก็รู้ด้วย จึงเป็นความยั่งยืนถาวร คำว่านิโรธนี้ยั่งยืนถาวร มีคำอธิบายได้ เข้าใจได้ เป็นเช่นนั้นจริง การนิโรธอย่างมีปัญญาจึงยั่งยืน แต่ของฤาษีก็กดข่มไว้ไม่เที่ยงแท้ ไม่สามารถเกิดเหตุปัจจัยทั้งปัญญาและเจโตสลายได้จริง ผลที่ได้ก็ดี เป็นความยั่งยืน

 

คนที่มีลักษณะผลทั้ง 6 นี้ได้และมีสูตรสู่ความสำเร็จ 7 นี่ช่วยกันก็จะเจริญดี พวกเรามาเรียนรู้วิธีพวกนี้ อาตมาไม่รู้ว่าวิชาการข้างนอกเขาสอนกันแค่ไหน แต่ของเราสอนปรมัตถ์ แล้วออกมาเป็น กัมมันตะ อาชีวะ โดยเน้นทำที่จิตเป็นหลักมาก่อน แล้วจิตเป็นประธาน มโสเสฏฐา มโนมยา เป็นประโยชน์แท้และยืนนาน

 

ที่อาตมาขยายหลักนี้มาจากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วถ้าบอกว่าไม่ให้บัญญัติส่ิงที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เราก็ไม่ได้บัญญัติ เพราะหลักมันขยายออกไป แต่เรารู้ว่าก็มาจากของพระพุทธเจ้าที่ตราไว้ ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ถ้าขัดแย้งจะเสียหายไม่ถูกต้องเป็นบาป เราไม่กล้าทำและจะไม่ทำ

 

อาตมาก็ยังมั่นใจว่าการทำงานกับพวกเราเราเร่ิมต้นปี 2557 ไปถึงปี 2667 จะเห็นหน้ากันหมดไหมนี่?...จะมีอะไรเจริญขึ้นไหม?...มีแน่นอน

 

พ่อครูว่า...เราไม่ต้องสร้างอุเบกขาขึ้นมา แต่การปฏิบัติของพุทธคือการทำลายเหตุปัจจัยได้จึงเกิดอุเบกขา ดับตัณหาได้ เกิดความว่างกลางอุเบกขา เกิดจากการทำลายเหตุแห่งทุกข์ แต่การไปนั่งสมาธิ คือการไปสร้างอุเบกขาขึ้นเอง หลอกให้จิตอยู่น่ิงไม่คิดไม่รู้สึก แต่พุทธนี้เห็นความจริงความรู้สึก เห็นกิเลสแล้วมีไฟฌานทำลายกิเลสให้สลายหายไปจึงเกิดความว่าง

 

คำถาม ต้นหน กับต้นกล คืออะไร?... ต้นหนก็คือคนดูทิศทางเป็นกัปตัน คุมทิศทาง ส่วนต้นกลคือแรงงานอยู่ใต้ท้องเรือ คือเจโต ส่วนต้นหนคือปัญญา  การรู้สองอย่างนี้คือ รู้

 

ต่อไปเป็นอุปาทายรูป 24

 

อุปาทยรูป เกิดจาก ปสาทรูป 5(ทวาร 5) โคจรรูป 5 (รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส) เมื่อมันสัมผัสกันก็เกิดการปรุงแต่งระหว่างรูปกับนาม รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่ไปรู้ เราจะรู้ได้ด้วย อาการ แล้วแยกเพศมันได้เป็นลิงค มีลักษณะสองภาวะคืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ มีตั้งแต่หยาบถึงละเอียด ถ้าเป็นพลังงานก็เรียก บวกกับลบ ทำงานเป็นสิ่งสร้างสรรในโลก ศาสนาพุทธไม่ใช่ไปดับบวกลบแล้วให้มันเฉยๆ แต่ของพุทธนี้ฆ่ากิเลส แล้วให้บวกลบทำงานอย่างซื่อสัตย์วิเศษเลย แล้วขยายถึงภาวรูป เป็นหทยรูป ชีวิตรูป อาหารูป

 

หทยรูป คือสิ่งที่เป็นสภาวจิต อยู่ตรงไหนจับได้ตรงไหนคือภาวรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่ใช่อยู่ที่อวัยวะคือหัวใจ ที่เขาอธิบายว่ามีน้ำสีน้ำเงินอยู่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คือคุณรู้สึกตรงไหน? เช่นเจ็บใจมันเจ็บตรงไหน? ตรงปลายจมูก หรือยอดหัวใจ หรือหัวเข่า มันไม่มีที่อยู่ มันเกิดที่ไหนก็กำหนดรู้ตรงนั้น เป็นหทยรูป

 

จากนั้นก็เป็นชีวิตรูป คือธาตุรู้ที่ครบจิตนิยาม เรียกว่าชีวิต แรงหรือเบา เป็นชีวิตินทรีย์ เช่นทำให้กิเลสมีชีวิตบางเบาจนมันตายหรือดับไป ก็หมดชีวิตเป็นต้น แต่ชีวิตินทรีย์ของธาตุจิตวิญญาณจะดีขึ้น

 

อาหารูปคือเครื่องอาศัย ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ก็เรียนรู้มัน ให้เป็นอาหารที่หมดกิเลสมาบังคับ เราก็ได้อาศัยอาหารที่ดีประเสริฐไม่เกิดทุกข์

 

ปริเฉทรูป คือองค์รวมของการปรุงแต่งให้จิตว่าง ไปถึงขั้นอากาศ ทำให้ว่าง ไม่ใช่ไปสร้างให้มันว่าง มันทำงานสังเคราะห์สังขารในปริเฉทรูปคือบริบทเท่าไหร่ มันมีเหตุปัจจัยกิเลสตรงไหนก็ล้างให้หมดจนจิตว่างเป็นฐานนิพพานเป็นอุเบกขา จากนั้นก็เป็นอากาสาฯ มีวิญญานัญจาฯ แล้วไปอากิญจัญฯ ไปเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน รู้ให้ครบไม่รู้ไม่ได้เศษตกหล่นไม่ได้ต้องพ้นเนวสัญญาฯ เป็นการพ้นอวิชชาสวะ อวิชชาสังโยชน์ จากนั้น

 

(วิการรูป)มีวิญญัติรูป 2 คืออาการที่จิตเคลื่อนไหวที่เรารู้ได้จาก กายวิญญัติ วจีวิญญัติ

กายวิญญัติ กายคำนี้ไม่ได้หมายถึงโครงร่างเท่านั้นต้องมีธาตุวิญญาณเกีี่ยวข้องด้วยเสมอ เช่นตากระทบ เสียงกระทบก็คือองค์ประชุมที่เราเกี่ยวข้องตลอดเวลา ทำความเข้าใจเลยว่าเกิดกิเลสไม่เกิดกิเลสทำอย่างไร? ไม่ใช่ว่า กายสังขารคือดินน้ำไฟลมปรุงแต่งเป็นร่างนี่ไม่ครบแล้ว

 

วจีวิญญัติ คืออาการเคลื่อนไหวของวจีกรรม ที่ออกมาสื่อส่ออะไรก็รู้ได้ ทั้งหมดมาจากใจ ใจนี่แหละทำให้เกิดกายวิญญัติ วจีวิญญัติ คุณก็รู้ว่าอะไรทำให้เกิดการเคลื่อนไหว คุณก็มาแก้ไข มากำกับที่มโน บางทีมันไม่รู้ว่าเราเองออกหน้าตาแรงไป น้ำเสียงไม่ดีไป ก็รู้จากข้างนอกแล้วก็มีปฏิภาณรู้ว่ามาจากต้นเหตุคือใจ

 

มีลหุตา เราจะสัมผัสก็ต้องรู้สภาวะ ในลหุตาก็เบา เพราะปริเฉทรูปเราทำให้ว่างเป็นอากาศ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่เฉยไม่ทำอะไร เราก็ปรุงได้ทำได้ แต่ลหุตาเป็นความเบา ถ้าเรากำหนดเบาได้ การทำแรงมากไม่ดีหรอก แต่เรากำหนดให้เบาได้ก็จะดี ว่าจิตเราอย่าแรง แต่ถ้าเราฝึกให้แรงมันก็ฝึกได้ แต่ทำให้เบานี่ยากกว่าแรง แล้วคนในโลกไปสร้างจิตให้แรงไม่ใช่สร้างจิตให้เบา

มุทุตา คือทำให้เร็วไว้ ทั้งเจโตก็เปลี่ยนได้ไว เป็นจิตหัวอ่อนปรับง่าย ปัญญาก็รู้เร็วไว ปรับได้ก็มี

กัมมัญญตา ถ้าคุณทำให้เบาได้ก็ทำแรงได้ เพราะคนส่วนมาเคยกับการทำให้แรง ถ้าเราทำกิเลสให้หายไปโดยไม่ต้องห่วงว่าจะมาอีก ก็เร็วไว มีชวนจิต

 

ลักขณรูป 4

อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

อุปจยะคือการเกิด ชรตาคือการเสื่อม ถ้าเราคุมได้ก็ทำให้เกิดได้ไม่เสื่อมได้ มีความต่อเนื่องเป็นสันตติ ถ้าคุมได้มากก็เที่ยงแท้ เอาไปทำประโยชน์ได้ ควบคุมอนิจจตาได้ ให้เกิดหรือให้เสื่อมได้ ตลอดเวลา มันสันตติต่อเนื่องเลย แต่ระหว่างที่ไม่ตายก็มีเกิดมีเสื่อมตลอด คือมีบวกกับลบ กัน

 

วัฒนธรรม คำว่า วัฒน แปลว่าความเจริญ ท่านพุทธทาสท่านแปลกลับว่า วัฒน คือความเสื่อม อย่างคำว่าบุญนี่ท่านแปลว่าเป็นเรื่องไม่ดีเป็นของเสียไปเลย เพราะโลกเอาคำว่าบุญมาใช้เสียๆท่านพุทธทาสก็เลยว่าบุญคือตัวร้ายท่านแปล บุญ ว่าคืออาการฟูใจ ก็คล้ายกับคำว่าวัฒนธรรม คำว่าวัฒนแปลว่าความเจริญ แต่ท่านพุทธทาสว่าทุกวันนี้มีแต่หายนธรรม แต่ที่จริงวัฒนธรรมคือความเจริญจริง คือต้องมาลดละกิเลส ส่ิงที่ทำกันอย่างคนทน มีอยู่ในตัวเราในสังคมเป็นพฤติกรรมสังคมที่เจริญเรียกว่าวัฒนธรรม ของเรานี่เอาตัวกิเลสลดลงเป็นหลัก อย่างสังคมอโศกนี่คนมีกิเลสลดมาเป็นแกน จึงเกิดพลังงานรวมเป็นวัฒนธรรมได้ % ของกิเลสน้อย มีพฤติกรรม โลกวิทูรู้โลก ไม่เบียดเบียนทำลายโลก ก็เป็นพฤติกรรมสังคมกลุ่มนี้คงทนยาวนานได้เป็นวัฒนธรรมสังคม แต่ละหมู่กลุ่มก็รวมกันเป็นของประเทศเป็นองค์รวม

 

ส.ถนอมคูณว่า....คนเป็นหนี้ทางสัจธรรม ถ้าเจ้าหนี้ไม่ติดใจจะเป็นหนี้ไหม?...

ตอบ...ถ้าเขาอภัยมันจะเป็นไหม?ไม่เป็น จิตของเขาจริงๆอภัยวางได้จริง อย่างอรหันต์ไม่เหลือการจองเวรกับใครท่านก็ไม่รู้ว่าใครเป็นหนี้กับท่าน ถ้าคุณรู้จักจิตจริง ถอนอาสวะเป็นก็ไม่เป็นหนี้กัน แต่สามารถเริ่มได้ไปตามลำดับ พูดเป็นภาษาว่าไม่จองเวรจองกรรมกัน เปลี่ยนกายกับวาจาได้ แต่ใจอยู่ที่คุณหยั่งลงถึง subconscious หรือUnconscious ได้ก็วางได้จริงอย่างอรหันต์


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:12:13 )

570723

รายละเอียด

570723_พุทธชีวศิลป์(4)วนบ. เรื่องภพและอุปาทาน

วันนี้วันที่ 23 ก.ค. 57...ถ้าพวกเราจะได้เรียนกันอย่างนี้แหละ ศีล การงาน วิชาการ ก็จะได้พัฒนาการ ทำทั้ง 3 อย่างนะ ทำอย่างเดียวไม่สมบูรณ์หรอก เมื่อตะกี้นี้สู่แดนธรรมก็ค้นสูตรอีกสูตรหนึ่ง... ก็ยืนยันเรื่องกายสักขี อย่างหลวงตาบัวนี่ท่านก็ยืนยันว่าได้กายสักขี แต่ว่าอาตมาก็มีหลักฐานว่า จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายจึงบรรลุ ซึ่งสูตรนี้ท่านก็ขยายกายสักขีบุคคล ว่าจะต้องอยู่กับวิโมกข์ และสัมผัสสัมพันธ์กับสังคม มีกัลยาณมิตร คลุกคลีมิตรสหายดีจึงจะบรรลุธรรมได้ อยู่ในสัปปายะ มีบุคคล_อาหาร_เสนาสนะ_ธรรมะ สัปปายะ

 

ตอนนี้อาตมาเขียนหนังสือ ค้าบุญคือบาป นี่จะเป็นเหมือนหนังสือ คนคืออะไร?เล่มที่สอง พวกเรามีพื้นฐานอ่านแล้วจะมัน พวกเราศึกษาอยู่อย่างนี้สักปีดูสิ

 

มาต่อที่ปฏิจจสมุปบาทในพระไตรฯล.16 ต่อ...[5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป   เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา
เป็นปัจจัย    จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

 

จุดมุ่งหมายคือเข้าหาปรมัตถธรรม ถ้าสามารถแยกเจตสิกได้ โดยเฉพาะเวทนา 108 แยกเนกขัมมะและเคหสิตะเวทนาออก แล้วทำเหตุให้มันลดละจางคลายได้ เหตุคือตัณหา เราทำได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่รู้เบื้องต้นตั้งแต่โลกุตระ 46 ที่เร่ิมด้วย กายในกาย ไปจนถึงนิพพาน

 

เรารู้ปฏิจจสมุปบาท จึงรู้เหตุแห่งทุกข์ จนทำให้ส่วนอดีต ปัจจุบันเป็น 0 ได้ จนมั่นใจว่า อนาคตก็ 0 อย่างเที่ยงแท้แน่นอนไม่กลับกำเริบได้จริงๆ

 

[8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ  นี้เรียกว่าภพ ฯ

 

จิตของเราไปวนเวียนสุขทุกข์ ในสิ่งที่แรง เป็นราคะ โทสะ ที่แรง อย่างในทีวีตอนนี้ก็มีดุกัน งอนกัน ระหว่างโค้ชเช กับน้องก้อย เป็นเรื่องระหว่างประเทศ แล้วที่เขาจะปลดออกจากนางงามก็มีข่าวกัน ขนาดไม่ค่อยดูยังรู้เรื่องเลย เป็นเรื่องไร้สาระ  หรืองมงายอย่างทักษิณ นายกฯก็เป็นแล้วสองสมัย อะไรก็มีแล้ว คนศรัทธาก็มากมาย แต่ก็ก่อความวุ่นวายไม่หยุด แกไม่รู้ เอาน้องสาวมาก็ทำเละเทะ ทำเสียไปห้าแสนล้าน ทิ้งจอมพลสฤษฎิ์ไม่เห็นฝุ่นเลยในเรื่องทำลาย นี่คือหยาบอบาย ผลาญพล่ากันหนัก เขาก็ไม่รู้ ปรุงแต่งสารพัดกีฬาการพนัน เขายกกีฬาเป็นการพนันไปหมดแล้ว เด็กก็เล่นเกมจนตายคาจอ เขาไม่เข้าใจว่าอบายมุขคืออะไร?

 

พวกเราแม้ไม่หยาบขนาดนั้นก็ตาม แต่นี่คืออบายภพ เราเปิดตารับวิถีในกามาวจร แล้วมีเครื่องปรุงแต่งในอบาย แม้โลภจัด โกรธแรง โมหะแรงก็อบาย เป็นของใครของมัน ตั้งใจละล้างของตนจึงดับอบาย เรามีปัญญารู้สักกายะ เราก็ฆ่ากำจัดมัน ให้ลดละจางคลายดับ มีผลจริงๆ มีสัมผัสเป็นปัจจัย แล้วเราก็ทำให้มันดับละลายไปได้ เราก็ดับภพได้

 

การดับภพ ไม่ใช่ไปนั่งสร้างภพ แต่นี่เราล้างเหตุไป กิเลสก็ไม่เกิด เราดับตัณหา อุปาทานก็ดับไปได้ เราได้อุเบกขาทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เราชัดเจนในของนอกว่าหยาบอย่างนี้เราไม่มีจริง ไม่ได้อยากจะไปอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ทั้งที่เห็นอยู่รู้อยู่ มันยั่วยวนด้วยซ้ำ ตาก็กระทบ หูก็ได้ยิน แต่มันมีปัญญาชัดเจน เจโตก็แข็งแรง กิเลสอาจมีแวบรูปราคะ อรูปราคะ ในฐานอนาคาฯก็ไม่เกิดอาการทางกามภพแล้ว มันยังไงก็ไม่เอาเสียเวลาเสียแรงงานทุนรอน มันเป็นภาระ จะเห็นว่ารสอร่อยไม่มีจริง มันก็อย่างนั้น เราก็จำได้เคยผ่าน แต่ชัดเจนแล้วมันก็ไม่เอา คุณก็บอกตัวเองได้ หมดกามาวจร มีแต่รูปภพ อรูปภพ แต่ไม่ใช่ในภวังค์ แต่เราชัดเจนเห็นอยู่หลัดๆ เมื่อเป็นอนาคามีก็สัมผัสข้างนอกอยู่ ตัวรูปราคะก็เบาบางลงอีก เราลดได้ก็มีแต่อรูปราคะ มันไม่มีสภาพชี้บ่งแต่เรารู้ได้ ว่ามันเหลือแค่นี้เราก็รู้ตัวเองได้ จากนั้นก็ทำอรูปราคะเบาบางลงอีก จนความถือดีถือตัวเล็กๆน้อยก็ลดลงได้อีก เป็นมานะ อติมานะ

 

อย่างหยาบใหญ่เราทำให้ลดมาได้ตั้งแต่

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

 

อนาคามีก็จะมีอาการแวบได้ มันยังหลอกหลอนอยู่นั่นเอง มีอยากอวดโชว์แวบมาภายใน อยากอวดความดีในตน ก็ทำไปเรื่อยๆ ลดลงๆ ฐานอนาคามีจะเหลือ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เล็กๆน้อยๆ

 

เราต้องสมาทาน ที่เป็นขั้นตอนในการปฏิบัติ มีทั้งสมาทานอย่างมรรค คือทำการปฏิบัติให้ถึงผล และมีการสมาทานอย่างผลคือยึดถือเพื่ออาศัยใช้งาน ทำประโยชน์​ท่าน

 

สูตรแรกที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ เรื่องของกามกับอัตตา เราล้างกามหมดก็เหลือแต่อัตตา กิเลสภายในเป็นอนาคามี เราก็ล้างกิเลสของอนาคามีต่อ ข้างนอกไม่มีสุขทุกข์แล้ว เฉยแล้ว มีแต่สัตว์ภายใน หรืออุปปาติกะ หรือโอปปาติกะ ภายใน มีมกามุปาทานหมดแล้ว ก็เหลือ ภวราคานุสัย

 

ในทิฏฐิ 10 มี

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) ก็คือ ศีล

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) ก็คือภาวนา

 

ทิฏฐิ 3 ข้อนี้คือ ทาน ศีล ภาวนา

ในเรื่องศีลพตุปาทานนั้น  ถ้าสัมมาทิฏฐิแต่ไม่ได้ผลก็จะเป็นแค่ศีลพตปรามาส แต่ถ้าทำอย่างไร้สัมมาทิฏฐิก็จะเป็นศีลพตุปาทาน ไม่เกิดมรรคผล แต่ศีลพตปรามาสนั้น เกิดมรรคแล้ว แต่ไม่เกิดผล  เมื่อพ้นศีลพตปรามาสได้ก็เป็นโสดาบัน

 

อัตวาทุปาทาน ตัวนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ยุคของท่าน ศาสนาเทวนิยม มีอัตตา เรียกว่า เป็นปรมาตมัน ท่านต้องประนีประนอมอย่างสำคัญเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ยึดได้แค่อัตวาทุปาทานคือผู้ที่ยึดอัตตาได้แค่คำพูด เขาไม่ได้รู้สภาวะของอัตตาที่เป็นปรมาตมันจริงหรอก ท่านก็ต้องประนีประนอม อธิบายมากไม่ได้เป็นโอษฐภัย ลัทธิที่เป็นอัตวาทุปาทานคือสอนได้แต่คำพูดไม่มีสภาวะจริง

 

แต่อัตวาทุปาทานในลัทธิพุทธ ก็ยากที่จะเข้าใจกว่าอันเมื่อกี้นี้อีก เพราะจะยากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย พุทธเหมือนกัน มีความเข้าใจเรื่องอนัตตา เป็น นิรัตตา พระพุทธเจ้าระบุว่า ผู้ใดมีค้นพบความไม่มีอัตตาได้จนปฏิบัติถึงอนัตตาได้ถึงความไม่มีที่สัมมาก็คือ อนัตตา แต่ชาวพุทธมีแต่ปากพูดว่าอนัตตา แต่ไม่รู้แม้แต่อัตตา ก็ไม่รู้วิธีทำให้อัตตาหมดไปได้ ซ้ำมีพวกที่ยึดถือแต่ภาษาคำพูด ว่าอนัตตาคือคำว่าไม่ใช่ตัวตน แล้วเขาเข้าใจว่าถ้าใครพูดหรือเข้าใจว่าอัตตามี เขาว่าคนนั้นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ถ้าใครพูดว่าไม่มีอัตตา คนนั้นแหละ นิรัตตา แต่ที่จริงตนเองนั้นแหละเป็นพวกนิรัตตา

 

ในอัตตวาทุปาทานนั้นเขาก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอน แต่ท่านก็แปลว่ายึดคำพูดนั่นแหละเป็นอัตตา แต่ก็ไม่รู้สภาวะ ก็ได้แต่พูด ไม่รู้แม้แต่สภาวะอัตตาคืออย่างไร ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ซึ่งอาตมาพาพวกเราปฏิบัติมา ให้เข้าไปเป็นลำดับๆ ส่วนมโนมยอัตตานั้นเป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต ลืมตาก็สัมผัสได้ หลับตาก็สัมผัสได้ แต่คุณทำให้มันหายไปได้ คุณปฏิบัติสำเร็จจริงก็คือทำอัตตาให้ลดได้ ก็เป็นมโนมยอัตตา และมันหลอกเราเองได้ก็เป็นมโนมยอัตตา

 

การเนรมิตรูปให้เห็นในภพ เราก็ทำได้ รู้เห็นได้ สายนั่งหลับตาเขาจะรู้ได้ว่าตาทิพย์เห็นเทวดาได้ ลืมตาเห็นคนเป็นกระดูกเดินโย่งๆ นี่คือมโนมยอัตตา จิตมันปั้นสำเร็จได้จริง ได้เลย จะลืมตาก็เห็นได้เห็นของหลอก ได้ยินเสียงหลอก ได้รับรส คุณนั้นสัมผัสรสจริง แต่ก็มีรสหลอกคือรสอร่อย มันคืออัตตา ของหลอก ถ้าลดละได้ก็ลดอัตตา พอสัมผัสก็จะรู้สัมผัสของจริงได้ ไม่มีอัตตา เห็นแต่ความจริงตามความเป็นจริงด้วยปัญญา สุดท้ายปลายสุดก็อยู่กับอรูปอัตตา แต่อย่างพระโมคคัลลานะก็อยู่กับมโนมยอัตตา ท่านก็เห็นแต่ท่านก็อาศัยเท่านั้นท่านไม่ได้ติดยึดกับมัน

 

ผู้สูงสุดก็ไม่มีอัตตาเหลือสักอย่าง ทั้งอัตตา 3 การยึดอัตตาจึงยาก เดี๋ยวนี้ก็ยังยากเลย การแปลอัตวาทุปาทานคือยึดอัตตาแค่คำพูดปากเปล่า แต่ที่จริงเขาไม่มีสภาวะ รู้แต่ปากเปล่า มันซับซ้อนลึกซึ้งนะ

 

นี่คืออุปาทาน 4

 

วันนี้ก็ได้ศึกษากันไปพอสมควร อาตมาไม่มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ ว่าการที่ทู่ซี้ไปทนๆไป เรียนไปมันก็เข้าท่านะ จิตใจก็รื่นเริงในธรรมพอสมควรก็ทำให้ชื่นใจบ้างมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ไม่ใช่ว่านั่งเรียนก็ทนไป ไม่รู้เรื่อง อาตมาไม่มีอาเทสนารู้นะ แต่ดูสีหน้าสีตาก็จะมาหลอกอาตมาหรือเปล่า ก็ดูยิ้มแย้ม เบิกบานเปิดเผย เอาตมาเอาแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ได้ตีสีหน้าดราม่าให้อาตมา หลอกกันนะ อาตมาว่าไม่เสียหลาย รู้สึกนะว่าอาตมาสดชื่นขมีขมันนะ ไม่ได้ท้อแท้เบื่อหน่าย พอรู้กันนะว่าได้อะไร พวกเราทนทำหาเงินปีสองปีก็จะได้อะไรกันเทียวแต่มาเรียนนี่ปีสองปีจะได้อะไรมากกว่านะ....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:14:23 )

570724

รายละเอียด

570724_ความรัก 10 มิติ(2)วนบ. มิติที่ 1

พ่อครูว่า...เร่ิมบรรยายตั้งแต่ปี 2527 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ...พ่อครูอ่านหนังสือความรัก 10 มิติ (ฉบับเก่า) คำว่าความรักหมายความว่า “ความทุกข์” คนที่ศึกษาทางธรรมก็พอเข้าใจเพราะเคยได้ยินคำสอนพระพุทธเจ้ามา แต่คนทั่วไปก็จะบอกว่า มีความรักที่ไหนทุกข์ มันสุขจะตาย คนเขาแสวงหากันทั้งนั้น แต่อาตมาไม่ได้กล่าวเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ อาตมาไม่ได้แกล้งกล่าว อาตมาเข้าใจจริงๆว่าความรักเป็นทุกข์ เพราะความรักเป็นความเกิดชนิดหนึ่ง

 

ถ้าความรักเกิดในหัวใจผู้ใด คือผู้นั้นกำลังมีทุกข์อยู่ “ชาติ ปิ ทุกขา”

 

ทำไมถึงทุกข์ เพราะว่าความรักเป็นของปลอม เป็นของไม่มีจริง เป็นความหลง ความโง่ หรืออวิชชา ของผู้ที่หลงว่ามี จึงต้องทุกข์กับสิ่งไม่มีจริง

 

ถ้าผู้ใดจะยอมทนทุกข์เพราะความรัก ก็ต้องให้รู้ว่า เมื่อมันทุกข์แล้วเรายอมให้ความรักอยู่ในใจ ก็ควรจะมีความรัก ความทุกข์ที่เป็นประโยชน์ ก็ยังดี แต่ถ้าทุกข์แล้วไร้ค่าไร้ประโยชน์ด้วย ก็จงเลิกมันเสีย หยุดเสีย อย่ามีเลย ไปทนทุกข์เพราะมันไปทำไม ความรักที่เลวที่สุดค่าต่ำที่สุด ก็คือ ความรักที่พอกพูนสั่งสมไปด้วยความเห็นแก่ตัวให้มากยิ่งขึ้นๆ

 

ส่วนความรักที่แผ่ขยายแวดวงให้กว้างขวางมากเท่าใดก็ยิ่งมีค่าสูงเท่านั้น จนกระทั่งพ้นจากความรัก บรรลุอิสรภาพอันไพบูลย์ โดยทำลายพันธนาการแห่งรักได้สมบูรณ์ โดยอาตมาได้แบ่งความรักเป็นลำดับอย่างนี้

 

ที่บอกว่าความรักเป็นของหลอก ของปลอมนั้นยากที่จะเข้าใจในคนมีกิเลสจริง เขาก็เห็นคนมีความรักกันทั้งนั้น ตอนไม่มีก็ไม่มี แต่ตอนมีมันมีจริงๆ จริงๆแล้วมันเห็นง่ายว่ามันมี พอบอกว่ามันไม่มีไม่จริงก็เห็นยาก อาตมาเคยเทียบส่ิงที่ไม่มีจริง แต่มันมีจริง กับ คำโกหก มันมีจริงไหม?..มีจริง คนเคยโกหกทั้งนั้น แต่มันไม่จริง คำโกหกมันไม่ใช่ของจริง มันเหมือนกับความรัก มันมีจริงในคนโง่ คนหลง แต่ว่า มันไม่จริง มันไม่อยู่ในอารมณ์จิตถาวรเที่ยงแท้ ต่อให้กามนิต 100 กามนิต จะได้ไปเกิดในสวรรค์ มันก็ไม่จริง 

 

คือที่พูดไปนี่ก็พูดให้ความรู้สะกิดใจ ให้ปลง แม้แต่เด็กๆสาวๆหนุ่มๆก็เกิด เป็นสังขารที่เกิด แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ แล้วมาสอนว่าอย่าให้มีให้เห็น แม้มันมีก็ให้ล้างออกอย่าให้ค้างคา ไม่เกิดมีอีก มันก็ไม่ทุกข์ไม่โง่ไม่หลงอีก

 

มิติที่ 1 เพศสัมพันธ์หรือความรักระหว่างเพศ

 

ไม่ว่าจะหมายถึงเพศตรงกันข้ามหรือว่าวิตถาร เป็นเพศเดียวกัน อันมีจุดหมายไปทางกามารมณ์เป็นหลักใหญ่ เป็นความรักขั้นเลวที่สุด ระดับที่ 1 ที่บอกว่ามันเลวหรือไร้ค่าที่สุด เพราะว่ามันขาดทุนที่สุด ใครมีความรักแบบนี้ขาดทุนที่สุด จึงไร้ค่าที่สุด ยังไม่พอยังนึกว่าตนเองได้กำไรเสียด้วย นั่นคือความขาดทุนแบบหมุนรอบเชิงซ้อน ขาดทุนสองเด้งหรือขาดทุนยกกำลัง เขานึกว่าตนเองได้สิ่งหนึ่ง ส่ิงนั้นคือที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าอัลลิกะ แปลว่าความเท็จ ตอแหล เหลาะแหละ อัลลิกะคำนี้มาต่อคำว่าสุข เป็นสุขขัลลิกะ แปลว่าความรักที่สุดท้ายจะลงเอยด้วยกามารมณ์ คือกามสุขขัลลิกะ แปลว่าความรักที่เขานึกว่าความใคร่คือสุขแต่แท้จริงคือของหลอก แล้วก็หลงใหลมันว่าเป็นสุข ดี ชอบใจ เพ้อพกกับมัน ที่ไปทำก็เพราะอวิชชา ยังไม่เข้าใจแก่นแท้ไม่เกิดอภิปัญญา ไปหลงว่าเป็นของมีค่า แท้จริงขาดทุนมาก

 

ถ้าใครเกิดความรักในเรื่องกามารมณ์หรือเมถุนธรรม นั้นขาดทุน? ทำไมขาดทุน

 

เพราะว่า กว่าจะรักกันได้นั้นต้องจับจ่ายทั้งวัตถุทรัพย์สินเงินทอง แรงสมอง เวลาที่ต้องเสียไป ทั้งผู้หญิงหรือชายก็ตาม ผู้หญิงก็ต้องซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว จะต้องพิเลิศพิไลประดับประดาตกแต่งให้เพริศพริ้งที่สุด เป็นสัญชาติญาณเดรัจฉาน อย่างนกหลายประเภทเวลาติดสัดก็จะแสดงอาการ มีสีสันมากมาย ตัวผู้จะมีสีออกสวยเต็มเลย อย่างนกพิช ที่อาตมาเคยเลี้ยง แต่พอหมดเวลาก็สีสรรหายไป หรือนกหลายชนิด หากจะแสดงเกี้ยวพาราสีก็มีสีสันทันทีเช่นตัวผู้หลายชนิด มีสีมีขนพองขึ้น แต่เวลาจบไปมันก็ลดไปหมดไป

 

นกก็ไม่รู้จะแต่งเหมือนคน แต่คนนี่แต่งจังเลย ทำเหมือนสัตว์เดรัจฉานแต่งตัว ลงทุนจ่ายพลัง จะต้องรู้ให้ได้ว่าพ่อเจ้าประคุณชอบน้ำหอมแบบไหน พยายามทำให้ต้องตา ต้องใจต้องกายต้องกลิ่น ลงทุนมากมาย จับจ่ายทั้งทุนทรัพย์ หาข้าวของมาประดับตกแต่งหลอกล่อกัน พยายามทุกวิถีทางให้สำเร็จผล ให้รักกันให้ได้

 

ฝ่ายพ่อเจ้าประคุณก็เช่นกัน พยายามหาส่ิงของไปประเคน ต้องซื้อหามาต่างๆนานา ย่ิงเจ้าบุญทุ่มยิ่งแล้ว ต้องแสดงให้เห็นว่าเธอพึ่งพาได้ ให้รู้ว่ามาอยู่กับพี่แล้วรับรองน้องจะไม่อดตาย ไม่รวยก็ต้องแสดงว่ารวย ไม่ใหญ่ก็ต้องแสดงว่าใหญ่ แม้จนก็แสดงความสามารถว่าจะปกป้องเธอได้ อยู่รอด ไม่เก่งก็ต้องทำตนให้เก่ง ต้องแสดงให้เธอเห็นว่า ถ้ามาตกร่องปล่องชิ้นกับพี่แล้วจะคุ้มค่า เป็นนักแสดงตัวเอกเลย

 

ผู้ชายเดี๋ยวนี้เขาแต่งตัวไม่รู้ว่าผู้หญิงหรือชาย ถ้าเห็นข้างหลังแล้วต้องหลบทุกที ไม่รู้ว่าหญิงหรือชาย บางครั้งออกไปในสถานที่ชุมชน ไปในรถเมล์ถ้าเห็นข้างหลังก็ไม่รู้ว่าหญิงหรือชาย ใส่กางเกงเหมือนกันไปหมด ทรงผมก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะผู้ชายหมดสปิริตไปแล้ว การไม่ไว้ผมก็เป็นสปิริตที่ผู้ชายต่อให้ผู้หญิง ผู้หญิงนั้นไม่สวยโดยธรรมชาติ เพราะสัตว์เพศผู้จะส่วยกว่าสัตว์เพศเมียตามธรรมชาติ ผู้ชายก็เลยต่อว่าตัดผมสั้นต่อให้ผู้หญิง มีมาแต่ดั้งเดิม ผู้หญิงก็แก้ปมด้อยด้วยการไว้ผมยาว แล้วประดับตกแต่งไปมากมาย เพราะว่าเพศผู้ในสัตว์ชนิดต่างๆจะสวยงาม กล้ามเนื้อมาก มีสีสรรหลากสี มีเขางาม ผู้หญิงก็แก้ปมด้วยด้วยการเขียนทาพอกเยอะแยะ ผู้ชายแต่ดั้งเดิมต่อให้แล้ว หนวดเคราก็โกน ผมก็ตัด ต่อให้ผู้หญิง แต่เดี๋ยวนี้หมดสปิริต ไว้ผมยาวแข่งหญิง แล้วเอาการแต่งตัวแข่งด้วย

 

อาตมาก็ว่าขายหน้าแทนจริงๆ ในความเป็นชาย ลดสปิริตเสียแล้ว

 

ความรักชนิดเมถุนหรือกามนั้นไร้ค่า เพราะจ่ายไปมากเหลือเกิน แทนที่จะคิดทำการงานก็ไปคิดแต่ว่าทำไงจะให้เขารัก ทั้งวัตถุ แรงกาย ก็เทียวไปหาเธอ เธอมาหาฉัน มีการให้สัมภาษณ์ระหว่างดาราก็ชอบแต่พูดเรื่องคู่ จ่ายพลังกาย วัตถุ เวลา ผลาญเวลาทิ้ง ให้ได้มาซึ่งความรักให้เขารักเรามากที่สุดจะเป็นรูปร่างอย่างไรไม่รู้แต่รักอย่างที่ว่าให้ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ เรียกว่า รักกันจนตามืดบอดเลย มีนิยายเรื่องรักนี้มากนาน ไม่จบหรอก ตราบใดอวิชชาไม่หมดไปจากมหาจักรวาลนี้ เราดูหนังละครก็มีแต่เรื่องเช่นนี้

 

หนังละครเวลาเขาสร้างก็เจตนาให้สาระแต่ก็ต้องมีพระเอกนางเอกมาใส่ เพื่อให้สื่อสาระ นักเขียนทุกคน แต่นักเขียนบางคนไม่เข้าใจสาระก็เลยแต่งให้มีแต่เรื่องหยำฉ่า เรื่องรักเรื่องแค้นไปหมดเลย นักเขียนหลายคนดัง เขียนแล้วมัน อร่อยเป็นกิเลสเต็มๆ เขาเข้าใจว่าเป็นครูศิลปะด้วย ซึ่งไม่ใช่เลย

 

อาตมาจะยกตัวอย่าง..เขาเข้าใจว่าเป็นวรรณกรรม แต่ไม่ใช่เลย มีแต่เรื่องรักเรื่องชัง เรื่องแย่งชิง คนที่จะสร้างศิลปะ ไม่ว่าจะเขียนหรือจะสื่ออะไรก็ต้องคำนึงเนื้อหาสาระแต่ทุกวันนี้กลายเป็นมอมเมาติดยึด อะไรไม่รู้ไร้สาระติดยึดรูปแบบ ติดยึดเทคนิค ติดยึดการแสดงอารมณ์ออกมาในงาน เขียนปั้นวรรณกรรมฯ ถือว่าแสดงอารมณ์เป็นศิลปะ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ลงนรกเลย เพราะศิลปะไม่ใช่แสดงอารมณ์แต่เอาอารมณ์มาเป็นกระสาย เท่านั้น แต่คนสร้างสานศิลป์ไม่รู้เลย กลับคิดว่าถ้าคนได้เสพรสชาติ โลภ โกรธ หลงเท่าไหร่ นั้นคือตนเองมีฝีมือสร้างงานศิลป์ แต่ที่จริงคือสิ่งลามก

อาตมาแบ่งศิลปะออกเป็นระดับ คือ

1.ลามก 2.ราคะ 3.สาระ 4.ธรรมะ 5.โลกุตระ นี่คือ 5 อย่างที่อาตมาแบ่งงานศิลปะเป็นระดับขั้น

 

ถ้าเอาโลภ โกรธ หลงมาใส่เต็มๆก็็เป็นลามก และระดับราคะนี่ก็เบามาหน่อย แต่ก็เยอะในตลาดตอนนี้ เขาขายได้เพราะคนไม่รู้ทัน คิดว่าเป็นศิลปะ

 

สาระ นั้นต้องมีสุนทรียศิลป์และสารศิลป์ ถ้ามีแต่สาระไม่มีสุนทรีย์เลยก็เรียกว่า สารคดี ถ้าผู้ใดสามารถประกอบงานศิลป์แต่ให้คนได้สาระไม่ใช่ให้คนหลงแต่สุนทรีย์ ไม่ได้สาระเลย จะต้องใช้ทั้งสาระศิลป์และสุนทรียศิลป์

 

ทุกวันนี้เขาไปติดเอกลักษณ์อัตลักษณ์ของผู้ทำงานศิลป์ เขาก็ขายสิ่งนั้นคนหลงทั้งโลก หนักเข้าติดตัวตน ไม่ว่างานอะไรของคนนี้ก็นิยมหมดขี้หมูราขี้หมาแห้งก็เอาหมด

 

อย่างชอบเพลงก็ต้องฟังมันขาดไม่ได้ ชอบกีฬาก็ต้องดูขาดไม่ได้ นี่คืออบายมุขที่เขาไม่รู้ ด้วยอวิชชา ปรุงแต่งจัดจ้านเต็มโลก ทุกวันนี้มีแต่โลกจมไปด้วยอบาย นรก เขาไม่รู้ว่าซับซ้อนขนาดไหน? เปลืองผลาญมากมาย พูดแล้วเหมือนคนขวางโลก

 

ส่ิงที่มันเกี่ยวกับโลภ โกรธ หลง แล้วเอามาผสม ไม่ว่ารูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเขาเอามาผสมทั้งนั้นแหละ จนเป็นงานออกไปหยำฉ่าเป็นอบายมุขที่ยิ่งใหญ่มาก

 

เรื่องความรักโดยเฉพาะเมถุน จึงเป็นความรักที่ถูกครอบงำ คนถูกครอบงำจะโง่มาก เพราะขนาดไม้ยังเห็นเป็นนก คือตาบอด มีตาแต่ตาไม่มี ตาเห็นเป็นนก แต่เขาบอกว่าไม้ก็ไม้ เรียกว่าสิ้นสภาพ สิ้นปัญญาไม่รู้ความจริง แม้ความชั่วเลวอย่างไรก็ทำได้ ยิ่งความรักปักดิ่งก็ยิ่งโง่ดิ่งลึกหนัก การลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อจะได้เท่านี้เอง ทุ่มทุนแลกสิ่งจอมปลอมที่เป็นอัลลิกะ เป็นสุขตอแหล อร่อยนักมันนัก สารพัด ไหนเอามาใส่ปี๊ปให้อาตมาดูสิ ไม่มีปี๊ปก็ใส่กระป๋องหรือขวดให้อาตมาดูหน่อยสิ ….

 

ถ้าใครเจอกับตัวเองจะรู้ว่าลงทุนเท่าไหร่หนักเท่าไหร่เพื่อสุขขัลลิกะ เป็นสุขลอยลมไม่รู้ว่าอะไร แต่ไม่ได้ประโยชน์แก่โลกเลย คุณเอาไปเสพสมเท่าไหร่โลกก็ไม่ได้ประโยชน์จากคุณเลย ก็สุขสมกับสองคนแค่นั้น คนอื่นไม่เกี่ยวเลย แต่ลงทุนหนักเลย ก็เท่านั้น มันจึงเป็นความเห็นแก่ตัวที่โอ้โห เลวที่สุดในโลก เพราะความเลวในโลกคือความเห็นแก่ตัว ส่วนความดีคือความเสียสละ ความรักของเมถุนคนคู่ไม่มีประโยชน์แก่ใครเลย ก็เพื่อเพศสัมพันธ์เสพสัมผัสแค่นั้นเอง

 

แล้วก็มาบอกว่าคู่กันแล้วจะได้ช่วยกันสร้างสรร นั่นมันเรื่องนอกเหนือจากความรัก มันเป็นเรื่องชีวิตเรื่องจำเป็น แต่ถ้าคุณเกิดความรักแล้วหมดรักก็หย่ากัน ทั้งที่ทำมาหากินดี ก็แบ่งสมบัติกันไป นี่คือเรื่องเพศสัมพันธ์เท่านั้น เขานึกว่าจะมาช่วยทำมาหากิน ถ้าไม่มีลูกนะ พวกนี้ก็แบ่งกันคนละกระเป๋า แล้วรักจางเมื่อไหร่ก็เลิกรากันไป คนไม่มีลูกนี้จะชัดเจน

 

แต่มันมีแนวลึก ความรักของคนสองคน แม้ไม่มีลูก แต่มีคุณธรรม เรื่องนี้ก็มีบ้าง แต่ถ้าคนมีคุณธรรมก็ไม่อยากมี ก็สร้างคุณธรรมเพื่อผู้อื่น ก็ปนกันถ้าคนไม่มีลูกก็อีกอย่างหนึ่ง

 

เรื่องความรักเมถุน เป็นเบื้องต้นแห่งความเห็นแก่ตัวที่สุดในโลกมีเราสองคน เพื่อเราสองคน เสพกันแต่เราสองคน ถ้าคนเราไม่มีเรื่องนี้ก็มาช่วยกันทำมาหากินได้ไหม ก็ได้ คนสองคนมาช่วยกันสองแรง จะชายหรือหญิงก็แล้วแต่ จะสร้างสรรแม้จะเห็นแก่ตัวก็ยังมีประโยชน์ แต่ความรักเมถุนเพศสัมพันธ์ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร แต่มีข้างเคียงว่ามาสร้างฐานะสร้างครอบครัว แต่อาตมาหมายอธิบายเรื่องความรัก ไม่ได้หมายเรื่องปลีกย่อยเป็นอยู่

 

ลึกๆจะเห็นได้ว่ามันเห็นแก่ตัวจัดจ้าน ไม่มีค่าที่สุด เสพรสเสพอารมณ์เท่านั้น ไร้สาระ

 

ผู้มีความรักแบบนี้ มาศึกษาจะรู้ว่าไร้สาระจริงๆ เป็นความหลงสุดๆ ความรักมิติที่ 1 แย่ที่สุดต่ำที่สุดแล้ว ความรักมิติสูงกว่านี้ก็มีคุณค่าบ้าง

 

คนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่นคือคนมีประโยชน์ แต่คนที่เห็นแก่ตัวเอาแต่เสพสมเสพสุข นั้นไม่มีประโยชน์เลย คือคนที่ลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้รักเป็นของตน ได้เสพสมอารมณ์สุขแค่นั้นไม่มีค่าเลย พวกคุณอาจไม่เชื่อ ยิ่งคนมีความรักอยู่ก็จะคิดว่าอย่ามาพูดเสียให้ยากเลย ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ

 

มันเห็นแก่ตัวที่สุด ได้สมใจแค่สองคน จะปั้นอารมณ์ให้สุขก็แค่สองคน พยายามให้ได้มา ไม่ให้ใครแย่ง แต่แท้จริงไม่มีใครแย่งไปหรอก มันเสพอารมณ์แล้วก็หมดไป ถ้าใครหึงจัดใครมาแตะก็ฆ่าแกงกัน เห็นแก่ตัวจัดที่สุด

 

ขอยืนยันสูตรสำหรับยืนยันวัดค่าของมนุษย์คือ มนุษย์สุดประเสริฐนั้นวัดกันที่ความไม่เห็นแก่ตัว ผู้ใดละความเห็นแก่ตัวได้หมดตัวหมดตนเท่าใดผู้นั้นประเสริฐเท่านั้น ผู้ใดเสียสละได้มากเท่าใดก็สูงขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ยากเลย ที่บอกไป เรารู้ว่าเสียสละอย่างไรก็ทำทั้งกาย วาจา และใจ

 

พวกเราชาวอโศกได้รับความรู้แล้วศึกษาฝึกฝน จนเราลด ราคะ(เสพรส) หรือโลภะ(เอามาเป็นของตน) ความรักเรื่องเพศจึงแคบที่สุดเป็นกามนิยม หรือ ทารกกิริยานิยม คือต้องการอารมณ์ร่วมเพียงอย่างเดียว ที่เรียกว่าสุขขัลลิกะไม่มีใครได้รับประโยชน์จากสองคนนี้เลย เห็นแก่ตัวที่สุด คนจะได้รับกามนิยม ไปกำหนดกาม เพื่อกำหนัด ว่าน่าได้น่าเป็น น่าริสยา อาตมายกตัวอย่าง ที่เขาแสดงอาการว่าน่าอร่อย น่าดีใจ ตื่นเต้น ในการดูกีฬา การแสดง บันเทิงต่างๆ มันครอบงำรูปร่างลักษณะว่าคนนี้ดีใจขนาดนี้ทำไมเราไม่มีเท่าเขานะมันยั่วยุ ย่ิงแสดงจัดจ้านเข้มข้น บ้าๆบอๆหนัก ทั่วโลกอวิชชาเรื่องนี้แล้วเขาคิดว่าเยี่ยมด้วย คนยิ่งยกให้เท่าไหร คนแสดงก็ภาคภูมิใจมากที่ข้าทำให้คนติดยึดตามมากๆ คนที่ตามเขาได้ก็นิยมไปแสดงออกอีกทีเพื่อให้คนชมชื่นซ้อนๆๆเข้าไปอีก แทนที่จะอายกลับยิ่งจะโชว์ ว่าทำได้พอกับเขา เก่งกว่าเขาก็ยิ่งโชว์ โลกจึงเต็มไปด้วยความหลง เป็นอวิชชา มากซับซ้อนไปอีก

 

พวกเราหลุดออกมาได้ไม่ต้องเปลืองผลาญ แรงงานทุนรอนได้กลับมาเอามาเสียสละ แม้เรามีไม่มากก็เลี้ยงตนรอด แต่คนมีมากกลับยิ่งไม่รอดเพราะช่วยกันผลาญให้หนักเข้าไปอีกนี่คือความฉิบหายของโลก เสพรสโลกีย์อัสสาทะเท่านี้

 

ความรัก กามนิยม เป็นเรื่องไร้ค่าที่สุด ต่ำสุด เลวสุด ...ถ้าคุณเคยยึดถือว่าพระไม่น่าพูดอย่างนี้ก็ขอให้อย่ายึดถืออันนี้ ซึ่งเป็นธรรมะที่จะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้...เอาไปละหน่ายคลาย เลิกส่ิงควรเลิก ทำสิ่งควรทำ ...เมื่อรักสมใจได้แต่งงานก็ยังจ่ายพลังงานไปบานเลย สปาร์คทีหนึ่งจ่ายพลังงานไปกี่แคลอรี่ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย พอถึงไคลแมกซ์ทีหนึ่งจ่ายพลังงานไปเท่าไหร่ อุตส่าซื้อวิตามินโปรตีนบำรุงเท่าไหร่แต่ก็จ่ายไปไม่คุ้มเลย ก็ได้แต่อารมณ์บำเรอสุข เป็นกิเลส อันเป็นความโง่ของคนที่ไปหลง ที่จริงไม่มีอะไร มันเป็นความสัมผัสเสียดสีที่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปถึงจุดที่ต้องจ่ายไป สัมผัสกระบวนการสุดท้าย หรือว่าในจิตเป็นการแสดงตัวของมันเอง เป็นการชอบ ทางทวาร 5 ก็สั่งสมชอบหรือชังเป็นอุปาทาน ตลอดเลย คนทุกคนเคยผ่านมาทั้งนั้น น้อยหรือมากก็แล้วแต่ เป็นอวิชชา

 

จริงๆแล้วคนเราไม่จำเป็นต้องมีส่ิงนี้ก็ได้ อย่างพระพุทธเจ้าพาทำนี่ไม่ต้องมี หรือแม้คนไม่เคยผ่านสิ่งนี้เลยก็ไม่เห็นตายไม่เดือดร้อน จงเอาพลังงานเวลามาทำประโยชน์เสียเถอะ เพราะเป็นการขาดทุนถูกหลอกมานานแสนนานต้องมีอภิปัญญาเกิดบ้างจึงเป็นมนุษย์อาริยะ อย่าไปหลงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตที่ต้องแสวงหา ขาดทุนไปมาก หนักกว่านี้สุดท้ายก็มีลูกก็จะต้องมีเรื่องจับจ่าย ส่งเสีย เลี้ยงดู เขาว่ามีลูก 1 คน จนไปอีก 22 ปี เป็นสถิติที่เขาว่า

 

เดี๋ยวนี้มีโฆษณาว่ามีลูกมากจะยากจน มีลูกถี่ยิ่งหนี้หลาย คนที่เป็นทาสของเมถุน และกาม จะยากจนยิ่งกว่า ถ้าเป็นทาสส่ิงเหล่านี้ จนยิ่งกว่ามีลูกอีก ก็ไม่เห็นสิว่ามันจ่ายไป ดีไม่ดียอมเอาชีวิตเสี่ยง อย่างพวกปล้ำข่มขืนฆ่า ก็กาม ก่อนมันจะข่มขืนมันรู้แล้ว ว่าข่มขืนนี่ชั่วไม่ดี แต่มันทำ ข่มขืนแล้วกลัวเขาจับได้ก็เลยฆ่าเสีย เห็นไหมว่าซวย เป็นเรื่องอย่าไปเพิ่มเลย จงลดละ จนไม่มีจะดีกว่า

 

แต่ทางโลกเขาว่าไม่มีกาม หมดกามนี่เขาว่าตายๆๆ จะอยู่ไปทำไม ..ตลก ไม่ยอมนะ ไม่ให้หมดอารมณ์กาม นี่เขาทวนกระแสกับความเห็นความเข้าใจของพระพุทธเจ้า ต่างประเทศ ว่าพระพุทธเจ้าสอนเลิกกามทำไม​? มนุษย์จะหมดโลกนะ ..เขาไม่เข้าใจจริงๆ แม้ศาสนาคริสต์อิสลาม เขาก็ว่าเลิกได้ก็ดี แต่หลายศาสนาก็ไม่ เขาไม่ชัดเหมือนพุทธ ไม่อธิบายมาก แต่เขารู้ลึกๆ อย่างนักบุญของเขาก็ไม่มีเรื่องนี้ให้ได้

 

คุณใบฟ้าว่า ถ้ามีเรื่องนี้แล้วพลาดพลังไปตอนอายุเท่านี้นี่เสียจริงๆ....พ่อครูว่า...อย่างคุณใบฟ้าพูดนี่เข้าเป้าเลย แม้ว่าอโศกอนุโลมให้ถือศีล 5 ได้แต่ก็รู้กันว่าไม่ส่งเสริม มันเป็นเรื่องสุดวิสัย จะมีก็มี พระพุทธเจ้าให้ไว้ว่าที่สุดให้ผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปผิดจากนี้ แต่ถ้าไม่มีเลยได้ก็จะดีกว่า เป็นปฏิภาณว่าสังคมอโศกเป็นอย่างนี้ เด็กก็ยังรู้เลยว่าเราไม่ส่งเสริม ถ้าไม่มีเรื่องนี้ได้สังคมจะดีขึ้น เพราะมันไร้สาระจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เลยว่าไม่เอา ชัดเจนมากท่านสอนไว้มาก บอกไว้มาก หยาบคายนะ วิจัยวิจารว่าไว้เยอะแยะ ใครเข้าใจหลุดพ้นมาได้ก็ดี พวกเราใครพยายามสังวรสำรวมได้มาก จึงเป็นพลังรวมมีคุณค่า มีพลังงานจริง ถ้ามันเป็นเรื่องสังคมวัฒนธรรมเป็นสมมุติสัจจะ แต่จริงๆมีปรมัตถสัจจะ ที่สอดคล้องกัน ปรมัตถสัจจะสูง สมมุติก็เห็นสอดคล้องกัน มันไปรอด แต่ถ้าปรมัตถสัจจะสูง แต่โลกีย์นั้นไม่เอาเลยเห็นกลับเลยก็จะไม่เอาด้วยตีทิ้งเลย แต่ถ้าสอดคล้องกันก็จะดี สังคมเราจึงทำให้ดีขึ้น เราไม่ถึงกับเคร่งเครียดเอาเป็นเอาตายรุนแรงเกินก็อนุโลมพอเป็นไป เท่าที่เป็นอยู่ก็เป็นไป มีผิดพลาดก็ลงโทษ มีอนุโลมก็มี ต้องประเมินมีสัปปุริสธรรม มหาปเทส

 

พระพุทธเจ้าท่านว่าแรงมากเลยนะ ว่ากามเลวร้ายอย่างไร ท่านไม่พูดหยาบ แต่ท่านพูดแรงมากเลย ผู้เห็นว่ากามนี้เป็น

1.เหมือนต้นไม้มีผลดก ก็ย่อมถูกล้มย่อมเว้นขาดคือการกดข่มไว้

2.เห็นกามเหมือนหอกหลาวทิ่มแรง ย่อนเว้นขาดโดยการข่มไว้

3.เป็นหัวงูของน่าสะพึงกลัง

4.ดังไฟกองใหญ่น่ากลัว

เป็นต้น

 

น้องโมกข์ถามคำถามว่า โพธิสัตว์คืออะไร?

ตอบ...พระโพธิสัตว์คืออะไร ในเถรวาทไม่รู้จักโพธิสัตว์เลย แต่มหายานก็รู้จักแบบไม่จริงบานออกเลยเถิดมากไป

 

พระโพธิสัตว์คือสัตว์ที่มีโพธิ์ คำว่าโพธิ์คือความตรัสรู้ ตรัสรู้คือพากเพียรปฏิบัติให้เกิดตรัสรู้ตามคำตรัสอันถูกตรงของพระพุทธเจ้า ผู้ใดได้ผลตามจริง ซึ่งคำสอนพระพุทธเจ้ามีสองประเด็นหลัก คือ เห็นแก่ตัวกับเห็นแก่ผู้อื่น

 

ผู้เป็นอรหันต์คือผู้ล้างความเห็นแก่ตัวเกลี้ยง อรหันต์เถรวาท ไม่เข้าใจว่าผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะได้ประโยชน์สองอย่างคือหมดความเห็นแก่ตัวแล้วจะได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น

 

สายมหายานได้แต่ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นจนละเลยประโยชน์ตน ส่วนเถรวาทไม่รู้จักช่วยผู้อื่น เอาแต่ประโยชน์ตน ส่วนโพธิสัตว์คือผู้ได้ทั้งสองอย่าง คือผู้หมดความเห็นแก่ตัวและทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง

 

วันนี้เราเรียนเรื่องความรัก 10 มิติ ได้เนื้อๆนะคงสะดุ้งกันไปหลายคน รู้สึกว่ามันถึงๆดี คงได้ผลบ้างน่า การศึกษาวันนี้เรื่องความรัก 10 มิติ ถึงแม้ว่าผู้ใดยังไม่อะไรอยู่ก็อย่าไปคิดว่าเราด่าว่าซ้ำเติมนะ เพราะเป็นเรื่องจริงสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว แต่คนเราอวิชชาจริงๆ มันฝังรากมาไม่น้อย จริงๆเรื่องสมสู่เรื่องเพศนี้เป็นเรื่องเดรัจฉานมาตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนมาเป็นคน ย่ิงมีองค์ประกอบปรุงแต่งมากหนัก ใส่เข้าไปในเมถุน เพื่อชูให้ว่ามันมีค่า อีกเยอะเลย ปรุงแต่งมากเลย แต่ถ้าคั้นออกมาจริงๆอย่างที่อาตมาว่า ถ้าเป็นมิติที่สูงขึ้นๆ ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าใครออกได้แล้วมันมีประโยชน์คุณค่าต่อตนต่อสังคมจริง ถ้าไม่ได้เป็นเรื่องของคนคู่ เรื่องญาติ แค่หมู่กลุ่ม หรือแค่ประเทศของเรา แต่มันเผื่อแผ่ต่อมวลมนุษยชาติ จะยิ่งใหญ่ เป็นแก่ทุกคนเลย

 

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ต้องทำคุณอันนี้ได้จึงรู้สึกดี อาตมาเขียนความรัก 10 มิติไม่ได้พล็อตเรื่องเลย เดินไปก็คิดออกเลย มันจำได้ เทศน์เสร็จก็รวบรวมมาเป็นเล่มเลย เป็นส่ิงสุดยอดอารมณ์สัตว์โลก มนุษย์ที่เป็นอย่างนี้แย่กว่าเดรัจฉานด้วย ต้องมาพิสูจน์ ให้มีความรักที่กว้างขึ้นดีขึ้น พอพ้นมิติที่ 7 ไปมิติที่ 8ก็เป็นของพุทธ ก็ละล้าง จนเป็นอรหันต์ มาเป็นมิติที่ 9 ก็ได้นิพพานนิยม อรหันต์นิยม ส่วนมิติที่ 10 เป็นพุทธภูมินิยมหรือโพธิสัตวภูมินิยม ก็ยกไว้


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:15:48 )

570725

รายละเอียด

570725_สรรค่าสร้างคน(5)วนบ. เรื่อง ทฤษฎีงาน 19 ข้อ ตอน 2

ผู้ที่เข้าใจเอาใจใส่ จะมีความยินดีพอใจ ขวนขวายพากเพียร มีฉันทะ วิริยะ ส่วนจิตตะอาตมาเคยแปลว่า มีใจเท่าไหร่โถมทุ่มเข้าไป มันเห็นจริงว่าสิ่งนี้น่าเอาใจใส่ อย่าเฉื่อยเนือยชักช้า พูดไปเหมือนคนหลงตัวว่ามีดีนักหนา ก็เข้าใจรู้สึกเลย คนหมั่นไส้จะอ้วก

 

อาตมาว่าอาตมาได้พาพิสูจน์มาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ เพราะยุคนี้ใกล้กลียุค แต่ได้คนจริงมาเท่านี้นี่สุดยอดแล้ว อาตมาว่า ใครจะว่าไม่สุดยอดก็เถอะ ได้อย่างอาตมาก็เอา แต่ถ้าใครทำได้ยอดกว่าอาตมา ก็จะได้ร่วมด้วย ส่งเสริมท่าน จะขอเป็นตัวเสริมหนุน กลุ่มไหนกองไหนล่ะ สังคมไหน?

 

พูดใจจริงเลยว่าคนจะต้องมีลักษณะอย่างนี้จึงสุดยอด คนปฏิบัติได้มรรคผลแล้วอยู่ที่กรรม เป็น พระเจ้า หรือ God ท่านพุทธทาสว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ต้องตามกฏธรรมชาติ แต่ว่าอาตมาว่าธรรมะคือเหนือธรรมชาติ อาตมาไม่เป็นทาสของพุทธ ไม่เป็นนายของพุทธ แต่เสมอกัน เป็นอิสรเสรีภาพ ก็ขออภัยที่ดูเหมือนข่มใหญ่

 

ผู้ใดหมดกิเลส ก็อยู่กับGod กับการกระทำการงาน รู้พักรู้เพียร เวลาใดควรพักก็พัก เวลาใดควรเพียรก็เพียร อาตมาถึงมารวมทฤษฎีสรรค่าสร้างคนมา แล้วท่านซาบซึ้งก็รู้ใจนะว่าบทแรกเป็นอย่างไร ก็ถูกแล้ว ที่พูดไปตลอดก็เพื่อสร้างคน ทำให้คนเป็นเช่นนี้

 

ทฤษฎีงาน 19ข้อ

1. มีคนที่ดี 

2.มีงานที่ดี

เป็นคนดี ทำพฤติกรรมดี มีความรู้สามารถ แล้วรู้จักเวลาโอกาส จึงเกิดทุนที่เหมาะควร เกิดจากกรรม เกิดจากสิ่งที่เรามีทุนที่เหมาะควร แล้วมีทุนเสริม มีสุขภาพดี อุตสาหะบากบั่นดี มี คุณดาวเพ็ญบอกว่า ได้ยินมามากว่าทุนนิยม หรือทุน ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างที่พ่อท่านบอก มีทุนแท้ ทุนแถม ทุนเสริมด้วย 

3.ความรู้ความสามารถที่ดี 

นี่คือทุนแท้

ที่พูดนี้เป็นทุนทางสังคม หมายถึงสรุปไปที่คุณงามความดี เรียกว่าทุนทางสังคม ผู้มีคุณงามความดีก็เรียกว่ามีทุนทางสังคม ไม่ได้หมายถึงลาภยศชื่อเสียงเงินทองวัตถุแต่อย่างใด ทีนี้ทำอย่างไร?จะได้ และถาวรยั่งยืน แล้วได้อย่างเหนือสามัญ ทำอย่างไร? พระพุทธเจ้าสอนเรียกว่าโลกุตระ หรืออาริยะ (เขาเรียกว่าอารยะหรืออริยะก็ว่าไป) แต่จุดหมายเนื้อแท้สาระ คือ จิตวิญญาณเป็นประธาน เป็นต้นทุนใหญ่เลย ทั้งพลังทั้งตัวเลือกเฟ้น ฉลาดซื่อสัตย์สุจริต ไม่เบี้ยวไม่หลบ ตรงแม่น เป็นต้น

 

จิตวิญญาณเป็นตัวสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องวิญญาณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์​ อาตมาตามพระพุทธเจ้าก็ได้ขนาดหนึ่ง เอามาให้พวกเราศึกษาเล่าเรียนได้มรรคผล ความจริงมาเรื่อยๆ ก็เกิดคนดี มาทำงานดี ใช้ความรู้สามารถที่เรามี โดยไม่ขึ้นต่ออำนาจโลกธรรม ใครจะมีเศษในใจมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ในความเป็นวัฒนธรรม ลัทธิ สังคมเรา ก็ไม่ได้เอาลาถ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเป็นเครื่องจูงนำหรือล่อ เราพยายามทำจริง ใครมีก็ต้องกำจัดตัวเหตุที่ไปหลงโลกธรรมของตนเอง มันมีอยู่ในโลก สุขมันก็มี

 

ไขความสุข ที่ว่านี้ คุณหนึ่งฟ้าก็มาเปิดเผยกับอาตมาว่า เขาเพิ่งได้ยินที่อาตมาบอก อาตมาก็ไม่ค่อยมีปฏิภาณ ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนารู้ตื่นเบิกบานร่าเริง แต่ว่าทำจิตมันไม่มีอิตถารมย์อนิฏฐารมย์ มันก็เลยพาซื่่อทำแข็งทื่อ แต่เขาได้ยินคำว่า อภิปโมทยัง จิตตัง ซึ่งอาตมาก็บอกว่าเมื่อทำใจให้สงบรำงับได้แล้วในอานาปานสติ 16  ก็ทำจิตให้ร่าเริงเบิกบานอยู่ เป็นอภิปโมทยัง ก็คือเบิกบานร่าเริง ก็อาศัยได้ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น

 

ก็อาศัย ทำอาศัย จิตเบิกบานร่าเริง อย่างเราอาศัยร่างกายเราก็ไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่เราก็ต้องดูแลให้ดี ให้ทำประโยชน์คุณค่า แต่ถึงขั้นควรจบควรเลิกควรตาย ร่างกายเราก็ทิ้ง จิตเราก็วาง

 

พวกเราศึกษาประพฤติก็ได้ตามบารมี คุณหนึ่งฟ้าเขาว่าเป็นคนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง เป็นคนมีวาสนาอย่างนั้น ใครก็รับยาก แต่ทำงานแหลก ชนไปหมด ไม่ค่อยประมาณ ตอนหลังๆก็เห็นว่าเขาค่อยๆประมาณ ประนีประนอม เก่งขึ้นเยอะ ขนาดประนีประนอมเราก็ว่าหนึ่งฟ้าเป็นไปได้ฉะนี้ อย่างเรื่องซื้อของแพงเขาก็ว่า ไม่น่าซื้อ แต่อาตมาก็ให้ทำไปเพื่อสร้างคน ให้เรียนรู้ฝึกฝน

 

เขาก็มีบารมียังไงก็ไม่ทิ้ง ถูกโขกสับ อยู่ที่นี่เป็นผู้ใหญ่บ้านก็อยู่ไม่ได้ เข้ามาไม่ได้หลายปี ก็ยาก จนกระทั่งก็เข้ามาได้ ก็ค่อยเป็นไป อาตมาเห็นความเจริญพัฒนาการของแต่ละคน แต่ที่ติดตัวมาคือวาสนา ขนาดพระสารีบุตรก็ยังมีวาสนาไม่เรียบร้อย แต่สิ่งจริงมันไม่ได้เป็นอย่างวาสนามันติด เราอย่าเพิ่งไปเพ่งในส่ิงตื้นๆ มันยังมีอะไรลึกซึ้งซับซ้อน เอาตัวเองให้ดี พากเพียรปฏิบัติ

 

แม้แต่พวกเราเองก็ควบแน่นเป็นแก่นแกน จะเป็นรูปร่างอย่างไร? (พ่อครูทำมือให้เข้าออก แกว่งไปมา) เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ไม่ใช่ระนาบเดียว มีความเจริญสูงขึ้นได้ เราดูบางทีอโศกเหมือนมีน้อยลง แต่ก็มีข้างนอกงอกเพ่ิมไป

 

ผู้ใดรู้ตัว ที่สุดแห่งที่สุดแล้วจะไปไหน? รู้ไหมทุกคนจะไปไหน? ไปตาย...แล้วตายได้สนิทหรือยัง ..ก็ยัง ...แล้วจะรีบตายไปไหน?...แล้วต้องเป็นอยู่ แล้วจะไปเป็นอยู่ที่ไหน?....

 

ตอนนี้เราเรียนบ้านราชฯจะไปเป็นอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าว่า มิตรดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

 

มิตรดีคือ จิต สหายดีคือ ประโยชน์ (ทั้งรูปและนาม) ส่วนสัมปวังโกก็รวมทั้งหมดเลย ทุกอย่าง มีหมู่เล็กหมู่น้อย รวมกันเป็นเครือแห มาถึงวันนี้กลุ่มหมู่พวกเราเป็นแกนแก่น แข็งแรง มั่นใจว่าพวกเรามีของจริง แม้อาตมาจะตายวันนี้ก็ไม่เหมือนที่อื่น ที่อื่นถ้าอาจารย์ใหญ่หรือหัวหน้าตายไปก็อยู่ไม่นาน ก็หมดสิ้น ซึ่งเรานี่ ของอโศก คนก็เห็นก็เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาไม่เชื่อว่าของเราจะยั่งยืนถาวรตลอด ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ไม่มีนิรันดร ศาสนาพุทธตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีนิรันดร

 

ทำให้นานที่สุดได้ อย่างพระอวโลกิเตศวร ก็นาน แต่คนก็ตามไม่ได้ก็เลยว่านิรันดร ได้หน้าก็ลืมหลังทั้งนั้นแหละ มันระลึกได้ไม่รู้หมดหรอก ในทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าว่า เอามายืนยันว่าจริงของตนได้เท่านี้ๆ ระลึกได้เท่าใดก็นึกว่าตนรู้เท่านั้น อดีต อนาคตที่ตนเองรู้ แต่จะรู้ได้เพ่ิมขึ้นก็ต้องเข้าใจทำได้สัมบูรณ์ครบ สัมมาทิฏฐิ เราก็ต้องพากเพียรไป

 

อาตมาเป็นผู้ที่เกรง แต่ไม่กลัว เกรงว่า คนจะเชื่อง่าย ถ้าคนไหน?มาศึกษาดีๆแล้วไม่เป็นคนเชื่อง่ายตั้งใจศึกษาดีๆแล้วเชื่อตนเองโดยไม่ต้องอาศัยเชื่อใคร เชื่อเพราะเราพิสูจน์ยืนยันด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ว่าเราไม่เคารพใคร แต่เราก็เคารพ แต่เราได้พิสูจน์เอง สว่างใจเอง อิสระเสรี ไม่มีใครล่อบังคับ ไม่ได้เพื่อโลกธรรม ใครจะมาก็มา จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไป

 

ทุกวันนี้อาตมาว่าไปรอด เพราะน้ำใจหัวใจมันจริงพอ เช่นไม่เห็นแก่ตัวไม่แคบ ไม่ขี้เกียจ รู้ว่าอะไรควรทำ เป็นอนวัชชะ งานไหนไม่ควรทำ ก็มีปัญญาพอ มันรู้แล้วทำได้ด้วย พิสูจน์เป็นระบบบุญนิยมที่ไม่สะสม กอบโกย ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้โกง ทุจริต เราไม่เอา ไม่กอบโกย แม้สุจริตที่จะกอบโกยแล้วเราไม่ให้ใครขี้เหนียว เราก็ไม่เอาไม่กอบไว้ เราสะพัดแจกจ่ายเจือจาน สร้างสรร ตนเองแต่ละคน พลังงานความรู้ สามารถที่สุจริตกรรม ต่างคนต่างทำ คนนั้นคนนี้ก็ช่วยกัน รวมแล้วมันเหลือ เผื่อพอไว้ได้ มีเกินได้ เพราะสัจธรรม เราจึงลดการกินใช้สิ่งไม่ควร แต่ละคนมีค่ามากกว่าที่ตนใช้สอย มีคุณประโยชน์มากกว่าที่ใช้สอย

 

ใครที่ยังไม่มีประโยชน์คุ้มค่ากับที่เราทำนี่ เป็นหนี้โดยสัจธรรม เบียดเบียนคนอื่น คุณจะตีกิน มีเล่ไม่ให้ใครรู้ก็ทำได้ รู้ทั้งรู้คนนี้เห็นแก่ตัว แต่มันก็พออยู่ได้ ไม่มีใครเอาออกจากหมู่ ก็ขัดเกลากันไป ถ้ายังทนได้ยืนยันส่ิงดีก็ว่ากันไป กรรมใครกรรมมัน ก็ต้องไปใช้หนี้วิบากวนเวียน เป็นสิ่งจริงที่เถียงไม่ได้

 

สังคมกลุ่มที่พวกเราทำมา อาตมาเคยบอกแต่ต้นๆ ว่าศึกษาตามมา จะรู้ว่าอาตมาคือใคร?

 

คนเราก็ต้องค่อยๆเรียนรู้ไป อย่างอาตมาก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน อาตมาแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 แต่พระพุทธเจ้านี้สุดยอดแล้ว อาตมาก็ต้องค่อยๆรู้มาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้านั้นรู้หมด ก็รู้โดยคุยกับเทวดาเติมมาเรื่อยๆ อาตมาก็คุยกับเทวดามาเรื่อยๆ บางคืนคุยกันจนเมื่อย

 

อาตมามั่่นใจว่าพวกคุณมาด้วยปัญญาของคุณเอง อาตมาไม่รับผิดชอบหรอก คุณจะได้ดีตกยากก็ช่างหัวคุณ แต่อาตมาไม่เป็นคนดูดายตีทิ้งไล่หนีสาดเสียเทเสีย ก็ดูกันไปช่วยกันไปประคับประคองกันไป อาตมาว่าอาตมาปรองดองประนีประนอมยิ่งกว่าคุณตู่นะ ทำตามพระพุทธเจ้า

 

กว่าจะได้คนที่ดี กว่าจะได้มีงานที่ดี มีความรู้ความสามารถ ต้องพากเพียร จนเกิดความรู้ บางอย่างอาตมาก็ต้องส่งไปเรียน อาตมาก็ไม่ได้สอนวิชาการเทคนิค แม้เรื่องศิลปะ อาตมามีความรู้เรียนมาโดยตรงทางโลกก็ไม่ได้เคยสอน อาตมาทำงานอาชีพโทรทัศน์ก็ไม่ได้สอนโทรทัศน์กับพวกเราเลย คิดว่าจะสอนก็ได้สอนครั้งเดียวที่ปฐมอโศก แต่พวกคุณก็ทำกันได้ อาตมาแนะนำเพียงเล็กน้อย

 

มันก่อเกิดขนาดนี้เพราะทุกคนรู้สึก สำนึก เอาภาระ มีน้ำใจ ไม่ขึ้นกับอามิส ไม่ได้ขึ้นกับโลกธรรม แม้เราจะเหลือกิเลสอยู่บ้างเราก็ระมัดระวัง ของใครก็ของมัน ซุกซ่อนไปตามเรื่อง แล้วล้างของตนเอง เราก็ต้องรู้ว่าส่ิงที่ยังรกยังลับนี่ก็ไม่ดี ก็ค่อยๆเป็นไป ค่อยๆเปลี่ยนแก้ตบแต่งกันไป มีแก่นแกนอยู่ก็เดินไปเรื่อยๆ

 

องค์ประกอบวัตถุภายนอก จนจิตภายในก็มีจิตเป็นแกนเป็นตัวตั้ง ก็ประชุมทำความเข้าใจกันจริงๆ ปรึกษาหารือ มีประชุมมีมติกันออกมา ก็คือมีคนดี งานดี มีความรู้สามารถ แล้วมีเวลาวาระ แล้วได้วัตถุมาประกอบเป็นของหยาบ เป็นสมบัติโลกก็อาศัยไป เราก็ใช้ทำประโยชน์ เรียกว่าทุน มีทุนแท้ ทุนแถม

 

4.เวลา โอกาส เราต้องดู กาลัญญุตา อันควร ถ้าทำผิดกาละก็พังได้ง่ายๆ

5.ทุนที่เหมาะควร เป็นวัตถุ

เป็นทุนแถม

 

อโศกมีทรัพย์สินอุปกรณ์จนคนเห็นแล้วก็ว่าอย่างนี้จนได้อย่างไร เขาอยู่กันหมู่บ้านเขาอยู่มาเป็นร้อยปีก็ไม่เห็นมีมากอย่างพวกนี้ที่เริ่มต้นมาปี 37 มาปีนี้ 57 แล้วก็ 20 ปีพอดี

 

อาตมาเห็นอีกอย่างว่ากองขยะ จะเป็นสิ่งที่อโศกจะต้องทำให้ดี อย่างคุณสมไทย ที่ตอนนี้เขามีสาขาโรงงานขยะของเขามากมายหลายร้อยที่ เป็นมหาเศรษฐี เราเองไม่ได้อยากเป็นมหาเศรษฐี แต่เราทำสิ่งที่ควรทำ ขยะนั้นไม่มีวันหมดโลก มีแต่จะมีเพ่ิมขึ้น ขยะวัตถุก็มากขึ้น ขยะพฤติกรรมก็มากขึ้น คือพฤติิกรรมที่เป็นทุจริตเป็นที่น่ารังเกียจ ก็มีแล้วมากขึ้นด้วย

 

ขยะทางจิตวิญญาณ .. คือกิเลส แล้วชาวโลกเขาไม่ได้มานั่งกำจัดกิเลว แต่เรามาทำลายกำจัดกิเลส แล้วมีวันหมดกิเลสด้วย ทางจิตวิญญาณมีวันหมดขยะ แต่ทางพฤติกรรมนี่ยาก ส่วนทางวัตถุนั้น อย่าไปพูดเลย เราช่วยเก็บช่วยจัดการ มันจะต้องมีโรงงานอย่างดี ยิ่งกว่าโรงงานปุ๋ย

 

ใน 3 อาชีพกู้ชาติ ที่มี กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา

 

กสิกรรมธรรมชาติจะทำรายได้น้อยสุด ปุ๋ยจะทำรายได้มากกว่า แต่ขยะนี่ต่อไปจะทำรายได้ยิ่งกว่าสองอันแรก แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ อย่างสัดสวนแก้วของพระพยอมก็อยู่ได้เพราะขยะ ถ้าเราจะเรียนรู้หรือทำความเข้าใจเพ่ิมขึ้นก็จะดี สันติอโศกก็ได้มาระดับหนึ่ง ปฐมอโศกก็ได้ระดับหนึ่ง แต่ที่อื่นยังไม่เป็นโล้เป็นพาย

 

เมื่อเราเองมีทุนรอนมีวัตถุ คนอื่นจะเข้าใจยากเพราะเราเป็นสาธารณโภคี คนเขานึกว่าเรารำ่รวย ก็รวยแต่เรารวมกัน แต่ถ้าหากันแล้วเอามาแบ่งกันหารกัน ก็คงจะได้ไปคนละหน่อย อย่างเรือนี่หั่นกันคงจะได้คนละส่วนเสี้ยว ได้คนละครึ่ง หากเราแยกแบ่งกันก็ไม่เท่าไหร่

 

แต่ถ้าเราอยู่รวมกัน แต่ละคนก็แยกกันไปหากิน มีทุนรอน แล้วเสียภาษี คุณจะเสียภาษีมากกว่าที่เรารวมกัน แต่ซ้อนอีก เราเสียภาษีมากนะ เพราะเราเป็นเงินก้อนเดียว แต่เราไม่ซับซ้อนที่เราไม่หลอกเลี่ยงเหมือนพวกนายทุน ขนาดของเรานี่บอกหมดนะ เราก็เสียภาษีให้รัฐมากเพราะเราไม่โกง เขาดูว่าเสียมากแต่แท้จริงเขาโกงมาก แต่เรานี่ที่จริงไม่ควรเสียภาษีมาก อย่างพวกเรานี่ไม่ควรเสียภาษีเลย เราจะไม่เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเพราะรายได้ไม่เกินกำหนดขีดเสียภาษี เราแยกกันทำบัญชีรายได้ของแต่ละคนได้เราก็ไม่เสียภาษีเลย แต่เราไม่ทำโกงอย่างนั้นหรอก

 

เมื่อเราเองเรามีทุน แล้ว คนโลกข้างนอกเขาไม่รู้ แต่พวกเราพอรู้ แล้วมีนัยะละเอียดด้วยที่เราอาศัยใช้สอยกันไปจนกว่าจะตาย

 

6.สุขภาพร่างกายดี

7.มีอุตสาหบากบั่น

เป็นทุนเสริม

 

แล้วสุขภาพดี มีความอุตสาหบากบั่น แต่ละคนมีสุขภาพร่างกายก็ต้องดูแล แล้วต้องมีสิ่งหนุนเนื่อง อุตสาหบากบั่น หรือแม้แต่ใครพวกเราที่สุขภาพไม่ดีก็อย่าฝืนมาก แต่คนเราก็มักออเซาะตัวเอง แต่ใจบางคนก็เกิน มันควรพักก็ไม่พัก ก็มี ส่วนความขยันอุตสาหะบากบั่นก็ตัวใครตัวมัน เป็นสำนึกของแต่ละบุคคล แล้วพวกเราไม่ค่อยว่ากันด้วย นอกจากใครที่เป็นตำรวจบ้านก็ว่าแรงหน่อย

 

8.มีหลักเกณฑ์มีระเบียบมีเป้าหมาย

9.มีการจัดสรรและจัดโครงการ ถ้าใครพิจารณาดีๆ หลัก 19 ข้อนี้รับรองทำงานเจริญไม่มีเสีย มีแต่ได้

10.มีการแบ่งงานและประสานเนื่องหนุน เป็นเรื่องความรู้

 

มีโครงสร้างระเบียบเป้าหมายของงาน ที่ต้องอาศัย ถ้าไม่มีไม่ได้ ขาดเป้าหมายก็เละเลย ต้องมีการจัดสรร มีโครงการ จัดหมวดหมู่ มีการแจกแบ่งงานประสานเนื่องหนุน เป็นความรู้ที่เราจะต้องใช้อยู่ในสังคมต้องเรียนรู้

 

11.มีกระจิตกระใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มันสำคัญมาก ถ้ามีอันนี้เท่านั้น สังคมกลุ่มไหนก็เก็บความตกหล่นมาเป็นพฤติกรรมสร้างสรรได้เยอะ

12 .มีการปรับใจกันให้เกิดความเข้าใจกันเสมอ   คนอยู่กันตังแต่ 2 คนต้องมีการปรับใจกันเสมอ

13.มีการปฏิบัติขัดเกลากิเลสเสมอ  ขัดอันนี้ไม่ขัดแย้งขัดแตก เป็นสัลเลข ไม่ใช้เภท  ขัดเกลาลดละกิเลสมานะอัตตาตัวตนเสมอๆ

14.มีความเห็นดี ยินดี จะมีความเข้าใจว่าดีอย่างไร อย่างพวกเราตั้งใจมาเรียนมันเห็นตัวยินดี คนสัมผัสก็รู้ ทำไมยินดีเพราะอะไรก็จะเข้าใจ วิจัย อธิบายได้

15.มีความเห็นจริง ซาบซึ้งเชื่อมั่น จะเรียกว่ายึดถือก็ได้ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มีความซาบซึ้งเชื่อมั่น

16.มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา นี่คือคุณวิเศษของคน ลึกซึ้ง

17.มีฌาน สมาธิ อุเบกขา  ฌานเป็นฐานของสมาธิ จะมีพลังงานที่เร็วที่ไวและมั่นคง ทั้งพลังงานศักย์ (Static energy)และพลังงานจลน์(Dynamic energy)

18.มีความเสียสละแท้ ไม่มีอะไรซ่อนแฝง

19.มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเอกีภาวะที่มีวิมุติเป็นพลัง   โลกไหนทำได้จะแข็งแรงไม่มีอะไรตีแตก อสังหิรังไม่มีอะไรหักล้างได้

 

อาตมาจะบรรยายทฤษฎีงาน 19 ข้อเพื่อให้เกิดจริงในมนุษยชาติที่ได้แล้วจะเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ ท่่าน

 

เรื่องข้าว...เราต้องพากเพียรเอาใจใส่ ถ้าอโศกเป็นผู้นำเรื่องข้าวเช่นเรื่องมังสวิรัติได้จะดี แม้ว่าจะเอาเป็นเรื่องหารายได้ไม่ได้ เรื่องขยะนี้ต่างจากข้าวมาก ขยะเป็นเรื่องทิ้งเป็นเงิน แต่ข้าวนี้ทิ้งไม่ได้นะ อาตมาเคยบอกว่าข้าวไม่ใช่สินค้าแต่ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน เราจะไปเอารายได้จากเรื่องข้าวไม่ได้

 

เรื่องข้าวเราซ้อมมือก่อน เราว่าข้าวเราจะเหลือ เราก็สีมาแล้วเอาไปขายถูกหรือทำตลาดอาริยะไหม เราเป็นเจ้าแห่งข้าว แต่เราไม่เอารายได้จากข้าวมาเอาเปรียบ เราไม่แสร้งหาเสียง แต่ทำจริงเป็นจริงให้ได้

 

ที่อาตมาพูดว่า อย่าเชื่ออาตมาง่ายนั้นไม่ใช่แค่เพียงจิตวิทยา แต่ต้องมาพิสูจน์ให้ได้ผลด้วยตัวเอง

 

ป้าฝั่งตะวันว่า...ปฏิบัติธรรมนี่เหนื่อย...พ่อครูว่า แย่งลาภแย่งยศก็เหนื่อย

 

บุญนิยมขั้นที่ 4 นี้เราแจก เราขายขยะนี่บุญนิยมระดับ 3 ก็ยังไม่เท่า แจกอันนี้ อาตมามองเห็น ว่าเวลาไปเยี่ยมใครเขาก็จะเอากระเช้าผลไม้หรือเอาพืชผักที่เขามีไปเยี่ยมไปแจกกัน เดี๋ยวนี้แม้แต่ทางการก็จะเป็นผลไม้ เครื่องกระป๋องก็คือผลผลิตของผลไม้นั่นแหละ มันจะเน่าก็เลยถนอมอาหาร ไม่เช่นนั้นก็ทำให้ดูสวยสด มีสีสันไป เป็นเรื่องการผูกน้ำใจ แสดงความรักกันอยากให้คุณกินคุณอยู่ดี นี่ถ้าเราเอาข้าวของผลไม้นี่ไปแจกนี่มันลึกกว่ากันมาก แจกได้ตั้งแต่ชั้นสูงสุดไปถึงชั้นล่างสุด แต่คุณหอบเงินไปแจกนายกฯจะถูกมองตาเขียวนะ เราต้องเป็นนักกสิกร กสิกรรมนี่เป็นหลัก คนเขาจะทำปศุสัตว์ก็แล้วไปเราไม่แย่ง เราทำกสิกรรมของเราไป ชัดเจนในนิยามชีวิต 5 ว่าจะมีวิบากกรรมอย่างไร?

 

เราเรียนอย่างนี้ใครรู้สึกไหมว่าเราได้อะไรในความรู้สึกของแต่ละคนก็น่าจะได้อะไร? ส่วนใครจะรู้สึกว่าวิเศษเลยนะก็น่าจะมี หรือบางคนก็ว่าน่าจะดีกว่าอยู่เปล่าๆ หรือใครเห็นว่าเสียเวลา ตีท้ิงเลย ก็ว่าไปบอกไปพูดไป ขอจบเพียงเท่านี้....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:17:43 )

570727

รายละเอียด

570727_วิถีอาริยธรรม ที่สันติฯ เรื่อง ปฏิบัติธรรมอย่างไรให้ได้บุญ

งานคืนความสุขคนแน่นแสนแน่น เรานี่คืนความสุขจริงไม่เอา แต่ไปเอาสุขัลลิกะ

 

.เพาะพุทธว่า...วันนี้วิถีอาริยธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์หรือมีคำเรียกว่า วิชชาธิบดีแห่งมหาวิชชารามนาวาบุญนิยม (วนบ.) เป็นการศึกษาโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 

ขอนำเรื่องด้วยการสรุปประเด็นที่พ่อครูได้อธิบายธรรมะในการสอนวิชาให้กับนิสิตวนบ.(พ่อครูสอน 3 วิชาคือ พุทธชีวศิลป์ สรรค่าสร้างคน ความรัก 10มิติ

 

พ่อครูสอนวิชาพุทธชีวศิลป์อธิบายความแตกต่างระหว่างศาสตร์และศาสน์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร? และพ่อครูได้สาธยายโลกุตระ 46 , บุญกับกุศลต่างกันอย่างไร?, วิตก วิจัย วิจาร วิมุติ วิจักขณ์ ,  และสรุปเป็นบทกวีในรักธรรมะ

 

ก็ภูมิใจน่าภูมิใจที่ว่า มีคนฟังธรรมะลึกซึ้งเข้าใจได้ดีขึ้น คนได้ยินได้ฟังก็เข้าใจได้ เพราะอาตมาว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย... ยิ่งเห็นผลทำให้อาตมาว่า อาตมาจะพยายามอยู่ต่อ ไปบ้านราชฯคราวนี้ก็มีอาการอยู่บ้าง เคยปวดที่หน้าอก ซึ่งเคยเป็นครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีก่อน ก็ลงความเห็นว่าอาตมาใช้ชีวิตผิด โหลดไป คนข้างเคียงก็เตือนบ่อย อาตมาก็ดื้อ ก็คิดว่าอาตมาไม่เป็นอะไรมาก แต่มันก็สั่งสมจนเป็นขึ้นมา ตอนนี้อาตมาเขียนหนังสือ “ค้าบุญคือบาป”

 

บุญเป็นคำที่เสีย เพราะเอามาใช้ผิดๆ คำว่าบุญนี่เป็นคำที่มีคำแปลว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ มีอยู่ในพจนานุกรม ไทย_อังกฤษ_บาลี ขยายความไว้ละเอียด ถ้าไม่มีประโยคนี้หายไปแล้ว ประโยคนี้ท่านธรรมปาละเป็นผู้เก็บไว้

 

คำว่า ปุญญ คำแปลของมันคือ ท่านใช้ภาษาบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ

 

สันตานังก็คือสันดาน ปุนาติ คือการชำระ ส่วนวิโสเทติ คือความหมดจน คือบุญนี่คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด คำว่าบุญจึงลึกซึ้งในภาษาธรรมะ แต่ไปแปลผิดก็เลยไม่ได้ผลในการเอาไปปฏิบัติ

 

คำว่าบุญมีอยู่ในคำว่า ปุญญาภิสังขาร คำว่าสังขารคือการจัดการ จัดแจง แล้วถ้าสังขารเป็นขั้นอภิ ก็มีทั้งปัญญา ทฤษฎีคุณธรรมให้เกิดอภิสังขาร ถึงขั้นปุญญะ  ถ้าทำให้กิเลสลดได้ก็เป็น ปุญญาภิสังขาร ในสังขาร 3 มีคำว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เพราะแปลคำว่าบุญผิด ก็เลยเข้าใจอภิสังขาร 3 นี้ไม่ได้

 

ที่จริงอภิสังขาร 3 นี้เป็นระดับโลกุตระ ก็คือโลกุตระ 46 เร่ิมตั้งแต่ กายในกาย ผู้มีภูมิธรรมก็จะจัดแจงสังขาร ตกแต่ง ปรับปรุง ทำจิตให้เจริญขึ้น เมื่อไม่เข้าใจในระดับโลกุตระ ก็ปฏิบัติไม่ถูก อาตมาเคยเจอ โลกุตรธรรม 46 ในหนังสือท่านพรหมคุณาภรณ์ อาตมาต้องขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ท่านได้เก็บไว้ ถ้าไม่ได้อาตมาก็จะยาก เพราะได้เจอบัญญัติภาษาก็ตรงกับสภาวะขึ้นมาได้เลย

 

เมื่อไม่เข้าใจบุญ ก็เข้าใจโลกุตระไม่ได้ ตั้งแต่ กายในกาย

 

เพราะคำว่ากาย ก็ไม่รู้ว่ากายคืออะไร คำว่า กาย หรือกาโย เป็นภาษาบาลี แต่พอมาเป็นภาษาไทยก็ไปเข้าใจผิดว่า กาย นี้หมายถึงร่าง หมายถึง สรีระเท่านั้น ซึ่งผิดอย่างลึกซึ้งมากเลย เพราะคำว่ากายนี้หมายถึงนามธรรมด้วย ไม่ได้หมายถึงเฉพาะรูปธรรม แม้แต่ท่านพรหมคุณาภรณ์ก็แปล กาย ว่าคือ Body ก็เลยไปไม่รอด เพราะปฏิบัติ กายในกาย ก็เอาแต่โครงร่าง

 

กายในกายหรือกายนอกกาย ก็เกี่ยวกับจิต ถ้าไม่มีจิตก็ไม่เรียกว่ากาย ถ้ามีแต่ร​ูปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม มีรูปรูป เท่านั้นไม่เรียกว่ากาย เมื่อเข้าใจกายในกายตัวแรกไม่ถูกแล้ว และเวลาพิจารณาโลกุตระต้องพิจารณาเจตสิก แต่เมื่อเริ่มต้นผิดแล้วก็ไปต่อแบบผิดๆ

 

อาตมาไปที่บ้านราชฯเขียนหนังสือได้มากเลย หนังสือ ค้าบุญคือบาป นี่จะต้องอ้างอิงที่อาจารย์ใหญ่ทางศาสนาหลายท่านมาวิจารณ์ ยกตัวอย่างท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านพุทธทาส ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก แต่อาตมานี่เขาเรียกเปรตในศาสนาพุทธด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องทำ ใครจะเพ่งโทส เข้าใจผิดก็แล้วแต่ แต่อาตมาก็ต้องบอกสิ่งที่อาตมาเข้าใจ ยืนยันว่าสิ่งนี้ถูก อาตมามั่นใจ ถ้าอาตมาไม่แน่ใจก็ยืนยันไม่ได้ ถ้าอาตมามั่นใจว่าอย่างนี้ถูกก็ต้องยืนยัน ก็ต้องยอมเสียรังวัด แต่ก็ต้องบอกที่อาตมาเข้าใจสิ่งที่ท่านเข้าใจผิดพลาด เช่นเรื่องบุญ เป็นต้น ท่านเข้าใจผิดอย่างไรอาตมาก็ต้องอธิบาย ท่านเป็นเช่นนี้จึงเข้าใจเช่นนี้เป็นต้น

 

คำว่า บุญ พวกเราได้ยินมาใน บุญกิริยาวัตถุ 10 อาตมาก็ไม่แน่ชัดว่าใครขยายความต่อจากพจ. (ส.เพาะพุทธว่าอรรถกถาขยายความอีก 7 ข้อ) ซึ่งก็ดี แต่จะดีเกินพระพุทธเจ้าไม่ได้ อรรถกถาขยายความก็ไม่เกินที่พระพุทธเจ้าสอน

 

1.ทาน เรื่องนี้อาตมาสาธยายไว้มาก เป็นสัมมาทิฏฐิข้อแรกเลย ต้องทำทานให้ได้ผลลดกิเลส 

2.ยัญพิธี(ยิตถัง) มีผลไหม?

3.สังเวยที่บวงสรวงมีผลไหม?(หุตัง)สังเวยได้ผลไหม? คือจิตได้รับผลไหม ? เช่นเอาข้าวไปให้พระภูมิเจ้าที่ แล้วเจ้าที่ได้ผลไหม? อย่างเจ้าของที่ดินเป็นพระภูมิ เราเอาข้าวไปให้เจ้าของที่ดิน เขากำลังหิวพอดี ได้กินก็ดีใจได้ผล เขาก็ตอบแทนเรา เรามีใจเมตตาให้เขา ก็เกิดผล แต่ถ้าให้ข้าวเขาแล้วเขาก็ไม่เกิดผลดีทางจิต เหมือนไปให้หมากิน หมาก็กัดเราอีก ก็เป็นได้ไม่เกิดประโยชน์แต่เป็นโทษด้วย ไม่ใช่ว่าต้องการผลตอบแทน แต่ว่าโลกก็มีสมมุติ หมายังตอบแทนคุณคนเลย แต่คนแท้ๆนี่ อย่างพระสารีบุตร บวชให้ราทะพราหมณ์ที่ไม่มีใครบวชให้ เพาะจำได้ว่าราทะพราหมณ์เคยใส่บาตรทัพพีหนึ่งแก่พระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ขอตอบแทนด้วยการเอาภาระให้บวช ก็เป็นได้

 

มาเข้าสู่คำว่าบุญ คือการชำระกิเลส ถ้าปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่ หากจิตไม่เกิดการชำระกิเลสเลย เกิดแต่คุณงามความดี มีวิธีการเคร่งอย่างไรก็ตาม แต่สำคัญคือต้องอ่านจิตเป็น อ่านจิตออก จับกิเลสถูก ซึ่งวิธีทำให้กิเลสลด มีปหาน 5 (วิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สทุทเฉทปหาน นิสรนปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน)

 

เมื่อสัมผัสรูปเป็นกายนอกกาย เลื่อนเข้ามาเป็นกายในกาย แล้วเราอ่านไปถึงเวทนา จากการสัมผัสองค์ประชุมเนื่องกันมา เกิดความรู้สึกหรือเวทนา เป็นสุข ทุกข์ อุเบกขา เราก็ต้องอ่านรู้ เราสัมผัสแล้วชอบ แล้วชอบขนาดไหน อยากได้มาก ก็ฉวยเอา โดยวิสาสะ หรือรู้ว่ามีเจ้าของแล้วเราจะลัก ก็รู้ใจที่มันละเมิด จะรู้จิตที่เป็นวิสาสะหรือจิตลักขโมย ก็รู้ในจิต เป็น สราคะ สโทสะ หรือสโมหะ ก็เมื่อชอบแล้วเกิดอยากได้เป็นโลภะจัด คุณก็จับตัวเหตุได้ว่านี่คือตัวการคุณก็กำจัดตัวการนี้

 

ถ้ากดข่มไว้มันก็ไม่เกิดปัญญา แต่ถ้าใช้ปัญญาก็เกิดหิริโอตตัปปะ เกิดธรรมะที่ล้างกิเลสได้ เป็นฐานที่จะไปปฏิบัติกับผัสสะอื่น ไปเจอเหตุปัจจัยอื่นๆอีก เรามีปัญญาแล้วก็จะไม่เอา แล้วถ้าเหตุปัจจัยมีน้ำหนักที่มากกว่าเก่าอีกเราจะได้ฝึกฝนเพิ่มเติมอีก แต่ถ้ากิเลสคุณเพ่ิมเติมอีก แม้เหตุปัจจัยไม่หนักเท่าเก่าก็เอา เช่นเงินมานี่ถ้าน้อยไม่เอา แต่ถ้าเจอมากกว่าเก่าแล้วไม่ได้ลดกิเลสก็จะเอา แต่ถ้าลดกิเลสได้น้อยไม่เอาเราก็ลดกิเลสได้เงินมามากกว่าเก่าเราก็จะมีเหตุปัจจัยให้ทำใจในใจไม่เอาได้

 

การพิจารณาในสังกัปปะ 7 ต้องมนสิการให้โยนิโสฯ ที่เกิดก็คือจิต ตรงไหนสัมผัสให้ได้ คุณได้รู้อาการจิตของคุณเอง พิจารณาให้แน่ชัดในกาย ที่เป็นองค์ประชุมของกิเลส ทำให้มันลดละหรือตายได้ เรียกว่าผ่านศีลพตุปาทาน ผ่านศีลพตปรามาส

 

ทำสติปัฏฐาน 4 กาย คุณพ้นศีลพตปรามาสแล้ว เวทนาคุณก็ชัดแล้ว ทำจิตให้ลดละจางคลายกิเลส ก็ทรงไว้ซึ่งธรรมะได้ มันจะเกิดปัญญา เกิดหิริโอตตัปปะ จิตแข็งแรงมั่นคง จะรู้เลยว่าเราไม่เอา มันไม่ใช่ของเราไม่ต้องเอาเพราะเป็นบาป เป็นกิเลส ทำกิเลสให้ได้อาหารแล้วเราจะลดละจางคลายได้อย่างไร? เมื่อไหร่จะได้ละกิเลส เมื่อไหร่น้ำหนักของปัญญามันมากพอก็จะเอาชนะกิเลสได้ จิตคุณจะเที่ยงแท้ แต่ก่อนจิตเหลาะแหละวูบวาบ ได้บางไม่ได้บ้าง ได้ 3 ทีก็เหลาะแหละ ได้ 5 ทีก็เหลาะแหละ แต่ต่อมาได้อย่างเที่ยงแท้มั่นคง ทำให้กิเลสลดด้วยปัญญา ด้วยวิปัสสนาญาณ แต่ละครั้งที่ปฏิบัติก็เกิดปัญญา ผ่านอนิจจัง ผ่านวิราคา ดับได้เด็ดขาดๆ สมุทเฉทปหาน ก็มีความสงบรำงับ ปัสสัทธิ ก็ปฏิบัติได้ เจอเงินกองเท่าไหร่ก็ทำได้ ทำได้ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั่ง จนทำทุกปัจจุบันได้สูญตลอดเที่ยงแท้แน่นอน ทำทวนทำซำ้ เกิดส่วนอดีต อนาคตที่สูญ​ผ่านทุกปัจจุบันก็สูญ จนพลังแห่งความมั่่นใจก็เกิดมุทุภูตธาตุ ปัญญาก็รู้เร็วไว มีความสามารถจัดแจงจิตเราได้เร็วไว แข็งแรง มีปัญญารู้เร็วรู้ไว สุดท้ายนิสสรณปหาน จิตเราเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง หรือมีคำว่านิ กับคำว่า สรณะ คำว่าสรณะแปลว่าสงคราม แต่นิสรณะคือผู้ไม่ทำสงครามแล้วไม่ต้องรบแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส หมดสงคราม อรณะนี่จะเป็นที่พึ่ง จากจิตสรณะมาเป็นอรณะหรือนิสรณะแล้ว

 

การรู้อย่างนี้เป็นอตักกาวจรา ถึงขั้นนิสรณะหรืออรณะนั้นเดาไม่ได้ ผู้มีอรหะ คือผู้ไม่ลึกลับ เป็นอรหัง รู้แจ้งปรมัตถ์หมดแล้ว สมบูรณ์จบกิจแล้ว มีอรหัตตา มีอัตตาอย่างที่ไม่ติดยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา มีอัตตาเอาไว้อาศัยทำประโยชน์ต่อโลก

 

ฟังด้วยใจที่เป็นชาพร่องถ้วยไม่เป็นชาล้นถ้วยจะเข้าใจได้

 

การให้ อาการให้คุณทำแค่ภายนอก แต่ใจคุณตั้งไว้ว่าจะเอา แล้วเรียกว่าเป็นบุญด้วย ตั้งใจเอาเลย ไม่ใช่ตั้งใจออก เป็นกรรมของใจเป็นมโนกรรมด้วย ทุกคนเคยทำมาทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคยผ่านมา อาตมาก็เคยทำมา แต่ถ้าเรารู้ชัดเจนว่าทานนี่ไม่ได้ตั้งจิตจะเอา คุณทำทาน 5000 ถ้าตั้งจิตว่า ได้คืืนมาสัก 3000 ก็ยังดีน้อ นี่ก็ยังดีให้เขา 2000 แต่ส่วนใหญ่คนมันโลภ ทำใจไม่เป็น ให้5000 ก็ขอสัก 5 ล้าน 10 ล้าน นี่คือไม่ไม่รู้อาการใจ หรือแม้ให้ด้วยใจเฉยๆ แล้วคุณรู้ใจที่ว่างของคุณไหม หรือให้แล้วก็ยังเสียดายว่าไม่น่าให้เลย อาลัย อาวรณ์ เป็นปริเทวนาการ บางทีเหมือนลืมแต่อยู่ไปก็นึกมาอีกว่าของกูๆ คุณได้ฝึกได้เรียนรู้ภาวะของ จิตเจตสิกรูปนิพพาน จริงหรือไม่

 

ถ้าทำได้ จิตลดกิเลสก็เป็นบุญที่เกิดจากการทำทาน แล้วมีวัดไหนสอนอย่างนี้ไหม ให้ทำใจอย่างนี้ไหม มีแต่ทำบุญแล้วให้ได้กลับมามากๆเท่านั้นแหละ

 

สรุปแล้วคุณต้องทำใจในใจให้เป็น ว่าใจนี่โลภไหม โกรธไหม  ต้องอ่านทุกกรรมกิริยา ทุกการสัมผัสสัมพันธ์กับภายนอก หรือภายในใจเองก็แล้วแต่ ใจส่วนมากมันไม่เฉยๆหรอก มันมักมีโลภ โกรธ ด้วยเสมอ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มากหรอก แต่ว่าสิ่งที่ไปติดยึดมีมาก เราก็ทำให้ลดละให้จางคลาย จนดับไม่เกิดได้ ทำทุกปัจจุบันจนมั่นใจว่าทุกปัจจุบันทำได้ตลอดเวลา มั่นใจ อดีตทุกอดีตเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เราเข้าใจรอบเลยว่า อย่างไรกิเลสก็ไม่เกิดไม่ฟูเล็กๆน้อยๆเลย แล้วตรวจสอบด้วยอรูปฌาน 4 อีก จนพ้น เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ นิโรธอย่างลืมตา จักขุมาปรินิพพุโพติ เป็นนิพพานด้วยมี จักขุ​ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง 

 

จะปฏิบัติยัญพิธี จะแบบโบราณมีบูชายัญฆ่าสัตว์ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่สอนศาสนาพุทธไม่สอน  เราจะทำทานหรือจะทำพิธี ไหว้เจ้าอยู่ แล้วไปฆ่าสัตว์ก็เป็นการไหว้เจ้าที่ไม่ดี ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ เป็นเจ้าชั้นต่ำ หรือมีจัดงานทำพิธีกงเต็ก ก็ตาม ที่จริง คุณจะเคารพบูชาเจ้าไหนๆก็ต้องรู้ว่าเจ้าท่านดีตรงไหน ถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ก็ไม่เอา หรือบอกให้ฆ่าสัตว์เอาไปบูชา แล้วครบองค์ 5 ปานาติบาตแล้ว พระพุทธเจ้าว่า ถ้าสัตว์ที่คุณเห็น  คุณรู้ หรือได้ข่าวว่าเขาฆ่ามากให้เรากิน เราก็ไม่กิน นี่คือให้บริสุทธิ์ด้วยองค์ 3 สัตว์มันไม่ได้เป็นเดนสัตว์กิน หรือมันไม่ได้ตายเอง บางทีเลี้ยงมันด้วยซ้ำ  พอมันโตก็เอามันไปฆ่าขาย นี่อำมหิตไหม?

 

ถ้าเป็นเดนสัตว์กิน หรือมันตายเอง เป็นปวัตตมังสะ ก็กินได้ นอกนั้นเป็นอุทิสมังสะทั้งนั้น คนเจตนาฆ่าทั้งนั้น แล้วคุณจะไปเอาที่ไม่ได้เจตนาฆ่าได้ตัวไหน ถึงจะได้กิน แล้วคนไหนจะบอกว่าไม่ได้เจตนา แล้วเขาจะบอกคุณไหม? เขาจะรอให้สัตว์ตายเองเมื่อไหร่จะได้กิิน

 

องค์ 5 ของปานาติบาต มี รู้ว่า สัตว์มีชีวิต สัตว์มีชีวิต เราเจตนาฆ่า ลงมือฆ่า แล้วมันก็ตายสำเร็จ

พระพุทธเจ้าว่าการทำทานด้วยเนื้อสัตว์ทำอาหารด้วยเนื้อสัตว์ให้พระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้าให้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์นี่เป็นบาปอย่างมาก พระพุทธเจ้าให้ตัดวงจรที่เนื่องด้วยการไปฆ่าสัตว์ออกไป ไม่เป็นเหตุในการทำให้สัตว์ตาย แม้เอาเนื้อสัตว์ไปทำอาหารให้พระฉันแล้วติดใจในรสเนื้อสัตว์ก็บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย

 

พระพุทธเจ้าว่า ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้ข่าว ไม่สงสัยเลยว่า ถูกฆ่ามา

 

.เพาะพุทธว่า...ฆ่าสัตว์ทำบุญแล้วได้บาป (ชีวกสูตร) พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม 2 ภาค 1 - หน้าที่ 103

 

ฆ่าสัตว์ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ  5  ประการ

           [60]   ดูก่อนชีวก   ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต   หรือสาวกตถาคต    ผู้

นั้นย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก   ด้วยเหตุ  5  ประการ   คือ

 

ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา  ดังนี้ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่

บุญเป็นอันมาก  ด้วยเหตุประการที่  1   นี้.

 

สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์โทมนัส  ชื่อว่า  ย่อมประสบบาปมิใช่บุญ

เป็นอันมาก   ด้วยเหตุประการที่  2 นี้.

 

ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่ 3  นี้.

 

สัตว์นั้นเมื่อกำลังเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส    ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่  4 นี้.

 

ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต    ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ   ชื่อว่าย่อมประสบ

บาปมิใช่บุญเป็นอันมาก    ด้วยเหตุประการที่  5 นี้.

 

ดูก่อนชีวก   ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคต   ผู้นั้นย่อมประสบ

บาปมิใช่บุญเป็นอันมากด้วยเหตุ 5 ประการนี้.

 

ถ้าเข้าใจเจตนารมย์ของพระพุทธเจ้าท่านไม่บังคับ อนุโลมมากเป็นลำดับ ถ้าเข้าใจแล้วจะไปกินทำไมเนื้อสัตว์ แล้วที่ท่านให้กินคือ เนื้อสัตว์ที่มันตายเอง หรือเดนสัตว์กิน แล้วถ้าพระพุทธเจ้าท่านไม่อนุโลมจะตรัสเรื่องนี้ทำไม? คือสัตว์มันตายเองก็ไม่มีวิบากกับเราแล้ว หรือสัตว์มันฆ่ากันเองตาย มันมีวิบากต่อกันเอง เราไปห้ามกั้นไม่ได้  แล้วมันก็ไม่กิน คนไปเจอก็ดูว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของก็นำมากินได้ หรือเสือมันกินเหลือก็นำมากินได้ มีไหมที่สัตว์ตัวไหนเราไปฆ่ามันแล้วมันก็คิดรู้สึกว่า ขอบคุณท่านที่ท่านฆ่าเรา เอาเราไปกิน ก็ไม่มีหรอก

 

เรื่องอุทิสมังสะ(เจาะจง) ทำไมพระพุทธเจ้าห้าม เป็นเรื่องซับซ้อน ยกตัวอย่าง ไปเจอเพื่อนที่จากกันไปนานก็ดีใจ จึงฆ่าสัตว์เจาะจงให้เพื่อนกิน ด้วยใจเป็นกุศลนะ มีไก่โต้งนี้เหลือตัวเดียวเลย ใจมันเป็นกุศลนะ แต่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ทำทำไม? ท่านจะไปตราทำไมว่า สัตว์ใดที่ระบุว่าฆ่าให้เรากินนั้นกินไม่ได้ ไม่ใช่ว่าท่านห้ามทำกุศล แต่ที่จริงเรื่องที่ทำมันไม่ดีต่างหาก ที่ท่านห้าม แม้ฉันไม่ได้ทำเอง แต่คุณเจตนาทำเพื่อฉัน มันบาปด้วยกันนะ ไม่ขาดกัน พระพุทธเจ้าก็เลยห้ามไว้น่ะ

 

เป็นเรื่องของปัญญาญาณรู้ เมื่อเราทำใจรักษาศีล ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วทำใจได้แค่ไหน? ทำใจไม่เกี่ยวข้องตัดขาดได้ก็ตัดวงจร อย่าให้มาต่อได้อีก จะอ้างว่าเพื่ออยู่รอด ต้องกินเนื้อสัตว์ไม่กินจะตายก็กินเถอะ แต่เราได้พิสูจน์แล้วว่าไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ตาย แถมเจริญด้วย เขาคำณวนไว้แล้วว่าการต้องได้เนื้อสัตว์มานั้นต้องใช้เวลาทุนรอนแรงงานมากกว่าเอาจากพืชมาถึง 9 ต้อ

 

กว่าจะได้เนื้อมา 1 กก.ต้องใช้พืชถึง 10 กก.ในการผลิต เป็นเหตุผลด้านความมั่นคงทางอาหารของโลกด้วย

 

เราพิสูจน์ว่ากินผักพืชนี่ดีกว่ากินเนื้อสัตว์มากมาย ทั้งง่ายในการผลิตกว่าไปฆ่าสัตว์ พืชมันหนีไม่ได้ เนื้อสัตว์นั้นฆ่ายากหากยาก เปื้อนเหม็นคาวเลือดกว่ามากมาย

 

ถ้ารู้ด้วยปัญญาจริงๆเขาไม่กินหรอก อย่าทำบาปเพราะเห็นแก่กิน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ถ้าคุณสามารถรู้สังขารด้วยวิชชา ด้วยการรู้ สังกัปปะ 7 ตั้งแต่ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จนคุณมีกระบวนการทางปัญญา รู้ว่ามีกิเลสมาร่วมดำริ เราจัดการกิเลสได้เป็นวิตักกะ เราอ่านจิตออกว่าเป็นกิเลสเข้ามาร่วมปรุงด้วยก็ฆ่ากิเลสก่อน ให้จิตเหลือแต่กุศล เป็นจิตที่วิตักกะ องค์ความรู้คุณสังกัปปะก็เป็นวิตักกะ มีตัวกรองซ้อนเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มีแรงต้านไม่ให้กิเลสออกไป วจีสังขารที่จะออกไปก็บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น

 

ถ้าจัดการกิเลสได้ ก็จะมีสังขารอย่างอภิสังขาร ปล่อยออกไปเป็นสัมมสังกัปปะ เป็น สัมมาวาจา เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ไม่ใช่กดข่ม แต่รู้ด้วยปัญญา นี่คือผู้รู้สังขาร คือผู้รู้กรรม

 

ถ้ารู้ กรรม กับสังขารไม่ทัน ก็ปฏิบัติธรรมแค่กรรม เช่นปฏิบัติศีลก็ปฏิบัติแค่ กาย กับวาจา แต่ใจไม่ได้ลดกิเลสก็ไม่เป็นบุญ เพราะไม่ได้รู้ กาย ชำระกิเลสไม่ได้ก็ไม่มีบุญ ได้แค่กายกับวาจาไม่ได้บุญ ปฏิบัติไปก็ได้แต่ศีลพตุปาทาน ปฏิบัติตามๆกันมา ทำตามผู้ไม่ได้ทำคุณอันสมควรก่อนก็มัวหมอง

 

ปฏิบัติศีล ด้วยศรัทธา จนได้ผล มากพอเป็นพหูสูตรแล้ว ได้ผล แล้วค่อยไปสอน เป็นธรรมกถึก ก็จะไม่มัวหมอง ศาสนาจะไม่เสื่อม แต่ทุกวันนี้รู้มากท่องจำได้มาก แต่ไม่ได้มรรคผลไปสอนก็เลยทำให้เพี้ยนไปได้ อาตมาเคยมีท่านพรหมคุณาภรณ์ว่าอาตมาไม่เข้าใจแม้คำว่า พหูสูตร อาตมาว่าความรู้มากแต่ไ่ม่เป็นสัจจะก็ไม่ใช่พหูสูตร ไม่มีของจริงไม่ใช่สัจจะความจริง

 

.เพาะพุทธว่า...ขอยกยอดการสรุปไว้ในคราวต่อไป..การฟังพ่อครูอรรถาธิบายเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์เพิ่มเติมในสารอโศก หรือเข้าgoogle แล้วพิมพ์คำว่าพระพุทธเจ้ากับมังสวิรัติ

 

บุญคือการชำระกิเลส การรักษาศีลแค่กายกับวาจาก็ไม่เป็นบุญ เพราะศีลนำสุขมาให้ ศีลนำไปสู่นิพพานได้ แต่ถ้าได้แค่กายกับวาจาก็ดีแต่ไม่ได้ดีถึงปรมัตถ์ คนในโลกนี้ดีในระดับนิสัยเป็นดีแค่กายกับวาจา แต่การดีกว่าคือการได้ล้างอนุสัย


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:19:40 )

570727

รายละเอียด

570727_โอวาทพ่อครูประชุม 8 องค์กรพาณิชย์บุญนิยม

อาตมายังนึกเห็นใจ คสช.เขาเลยนะ ที่บ้านราชฯตอนนี้เขาก็กำลังไปช่วยกู้เรือที่จมอยู่ ใช้เวลากู้ถึง 2 วัน วันแรกกู้ไม่สำเร็จ นำ้มันไหลเชี่ยว แรง แม่น้ำมูนกำลังขึ้น แล้วเรือเครื่องเขาซื้อมาจากกรมศุลกากร เรือตรวจการ ยาวถึง 10 ม. ซื้อมาแล้วเขาก็ใช้ ซื้อมาใหม่ก็ยังไม่ค่อยเป็น เอาไปจอดที่ท่าสองยาง เอาโซ่ล่ามไว้ แต่พอฝนตก น้ำขังเรือเต็มหนัก เรือก็ล่ม เรือก็ดึงคานที่ผูกไว้หัก เรือก็จมหายไปเลย เขาก็งมกัน ไปจ้างนักประดาน้ำมาหา ก็หาจนเจอ เจอแล้วไม่มีปัญญาเอาขึ้น เขาไม่เคยทำ น้ำมันเชี่ยวด้วย ดีว่าเหล็กที่มันหักก็ไปปักอยู่เหมือนสมอก็ไม่ถูกพัดไป พวกนักดำน้ำ คณะอรหันต์จี้กง ก็ไปหาจนเจอ มางมหาจนเจอ แต่เอาขึ้นไม่เป็น ไม่มีวิธีเอาขึ้น ใครไม่รู้ไปบอกว่าพวกเรากู้เรือเก่ง เขาก็มาหาท่านพอแล้ว และคุณเย็นยิ่ง ที่เป็นนักดำน้ำขุดแร่ที่ตะกั่วป่ามาก่อน อยู่พอดีเขาก็ไปช่วยกัน ก่อนจะมาอาตมาก็แวะไปดู ท่านพอแล้วขับเรือแงกเบิ่งแน มาเองเลย พวกเราก็ไปช่วยกันหลายคน พวกอรหันต์จี้กงเขาก็มาช่วย พอเจอแล้วแต่น้ำมันขุ่น ดำน้ำก็ไม่ค่อยเห็นอะไร หน้าน้ำขึ้น น้ำขุ่นเหลือง

 

จะช่วยโดยเอาถังลงไปก่อน แล้วสูบลมเข้าถัง แล้วถังมันจะพาเรือลอย เรามีความชำนาญในการกู้เรือเอี้ยมจุ๊นมาก่อน แต่มันยากจนน้ำเชี่ยว แต่เขาก็ทำกันจนสำเร็จ ปรากฏว่าวันแรกเครื่องปั๊มลมก็เสีย เครื่องเป็นของแพขายอาหารที่อยู่ใกล้ๆ วันนี้ก็เอาอุปกรณ์เรามาช่วยกันทำจนเสร็จเรียบร้อย ส่งข่าวมาให้อาตมา

 

ที่เราไปช่วยเขานี่แหละ อาตมาว่ามันดูเหมือนเล็กน้อย ทุกวันนี้อาตมามองประสาอาตมาว่าพวกเราไม่มีอามิส คำว่าไม่มีอามิสคำเดียวนี่แหละสุดยอด สังคมใดไม่แคร์อามิส ไม่เห็นแก่อามิส กิเลสมันลดละจริงๆ ไม่ติดยึด ก็ไม่ต้องห่วงเลย พวกเรามีผลจริงทำได้ขนาดนี้เหมือนเล็กๆไม่มีอะไรมาก แต่เราก็รับอะไรเขาให้มาช่วยเราก็ช่วยทำ

 

ทุกวันนี้เราไม่ได้เดือดร้อนอะไร พึ่งตนเองรอด พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้จริงๆ พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าได้จริงๆทั้งรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สุดยอด พวกเราทำพาณิชย์บุญนิยม ก็ถูกไถกันทำมาได้ แต่พวกเราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการประชุม อาตมาก็ย้ำ ว่าพรั่งพร้อมกันเลิก พรั่งพร้อมกันเลิก มีหลัก 7 ประการ อปริหาริยธรรม นี้ไม่มีใครตีแตก ไม่มีใครทำลายได้เลย พวกเราคิดสิว่าใครจะทำลายอโศกได้ ตีอโศกแตกได้ เขาจะทำได้ก็คือฆ่าอโศกให้หมดทุกคน ถ้าฆ่าไม่หมดมันก็มาร่วมกันใหม่ ว่ากันไปทำกันไปใหม่ เพราะเป็นเอกีภาวะแท้จริง นอกจากตีไม่แตก มันก็ยังทำอยู่ทำกิน พึ่งตนรอด เราไม่กินมากเปลืองมาก ไม่ทำเรื่องไร้สาระ เราไม่ก่อศัตรู เราไม่ไปแย่งใคร ไประรานใคร เรามีแต่ให้เขา แม้เล็กแม้น้อยเราก็เกื้อกูล

 

ดูว่าเรื่องไม่ใหญ่นะ แต่ก็ไม่นิด เขาทำไม่ได้ หนูช่วยราชสีห์ได้นะ ราชสีห์ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ตัวเล็กๆทำได้ เหมาะสม หรือแม้จะตัวใหญ่ เหมือนเศรษฐีขาดไฟ ทั้งที่ไม่น่าจะขาดอะไร มันทำได้  นี่การไฟฟ้า หรือราชการอื่นๆก็มายืมเรือเราที่บ้านราชฯ ทำไมราชการเขาไม่มีหรือ? ปีไหนน้ำท่วมก็มีราชการมายืมเรือเราใส่เครื่องชูชีพไปช่วยหมู่บ้านต่างๆ มันดูเรื่องเล็กเรื่องน้อย แต่เราไม่เบียดเบียนใคร แต่ของเขาขาด เราก็ช่วยได้ เรามี เรามีสาระแก่นสาร เขาไม่เห็นเป็นสาระแก่นสาร คนอื่นเขาเก็บเพชรพลอย แต่เราเก็บดินเก็บทราย เก็บขยะ เขามีเงินทองทรัพย์สิน แต่ส่ิงเหล่านี้ขาดแล้วไม่ตาย แต่ขาดสิ่งสาระที่ดูเหมือนเล็กน้อยนี่ตายได้นะ

 

ตอนนี้กำชับว่าอโศกเรื่องข้าวต้องทำให้ได้ ตั้งโครงการว่าข้าวแสนตัน ตอนนี้อโศกจะทำให้ได้ปีละ ห้าพันตัน ก็ยังห่างจากข้างแสนตัวอีกลิบ แต่เราก็มีจุดมุ่งหมาย ก็ตั้งใจไปเถอะ ของเราจะต้องของดีราคาถูก ข้าวไม่ใช่สินค้า ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน ถ้าเอาข้าวมาโก่งราคา ใช้เป็นอำนาจเอาเปรียบกันก็บรรลัย อยู่ไม่รอดตายเลย คนไม่มีน้ำใจก็เอาข้าวไปทำลาย เททิ้ง เหมือนพวกนักธุรกิจ น้ำตาลราคาตก มันไม่เอาไปให้ใคร มันเอาน้ำตาลไปทิ้งทะเล จะบ้าหรือ คนขาดแคลน แต่มันกลัวน้ำตาลราคาตก มันก็เอาไปทิ้งให้น้ำตาลราคาขึ้นมันจะได้ขายได้ราคาสูง

 

การกู้ประเทศอาตมาจะว่าหลงก็เป็น ว่าชาวอโศกจะกู้ประเทศได้ เพราะเราเห็นแก่ประโยชน์สุขต่อสังคมประเทศชาติ เราไม่ได้มาเบียดเบียนต่อสังคมประเทศชาติ พวกเรานี่แหละทำให้เห็น กลุ่มพวกเราไม่ได้เป็นง่ายๆหรอก เถรสามาคมมีนักรู้ตั้งเท่าไหร่ ทางโลกเขายอมรับ ท่านพุทธทาส ท่านประยุทธฯ(พรหมคุณาภรณ์) เขาก็ยอมรับ ระดับโลก ท่านก็ช่วยได้แต่ไม่เป็นกลุ่มก้อน ไม่เกิดสงฆ์ ไม่เกิดหมู่คณะก็ได้แต่รู้กันทั่วไป หมู่คณะนี่ไม่ได้หมายถึงนิดเดียว แต่หมายถึงจิตที่มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 6 ของเขาไม่เป็น แต่ของอโศกเป็นได้ จึงพิสูจน์เนื้อแท้ธรรมะพระพุทธเจ้า นี่คือเอหิปัสสิโก เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ได้ ยืนยันได้ ยุคพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในหมู่สงฆ์ แต่ยุคนี้ทำได้ถึงในหมู่ฆราวาส ยุคโน้นยาก เหมือนอินเดียเขาเปลี่ยนจิตไม่ได้ ทุกวันนี้อินเดียไม่มีวรรณะแล้ว แต่คนอินเดียเองไม่ยอมเปลี่ยนวรรณะเอง เป็นจิตของเขาเอง มันยืนยันได้ ของเรายุคนี้ประชาธิปไตยจ๋าเลย มันทำได้ อิสรเสรีแต่ละคน ตัวใครๆ สมัครใจไม่มีใครบังคับ ไม่ใช่สมบูรณายาสิทธิราช เป็นประชาธิปไตยจ๋า จึงทำได้ถึงขั้นฆราวาส เป็นรูปธรรมของประชาธิปไตยสวยงามเลย เหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์ มันเสียภาษี 100% เลย สาธารณโภคี คอมมิวนิสต์จะสู้ได้อย่างไร ทีนี้ระบอบเผด็จการมีในสังคมอย่างนี้ไหม? ในยุคพระพุทธเจ้าท่านออกกฎหมายเอง แต่อย่างคสช.นี่ประยุทธ์ออกกฎหมายเองก็ยังไม่ได้ เขาไม่ยกให้ แต่ของพระพุทธเจ้าท่านออกวินัยเองเลย ถ้าอยู่ป่านนี้ วินัยจะมีมากกว่านี้อีก เพราะคนมันหยาบขึ้นก็ต้องออกวินัยมากันไว้ แต่สำหรับผู้จิตบรรลุแล้วจะออกวินัยมาเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา แต่คนจำเป็นก็ต้องใช้กฎหมาย

 

ที่พูดนี้ให้รู้ตัวว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นจริง และสภาพที่เป็นได้มีได้นี้ รู้ตัวนะว่าเราต้องรับงาน จะต้องทำงาน รับผิดชอบจะต้องช่วยงานเขา เพราะว่ามันต้องช่วยกัน ช่วยสังคมประเทศชาติสังคม เราไม่ต้องไปวิ่งเต้นหาหรอก แบบที่มีมา เขาจะมาหาเรา มดก็ช่วยราชสีห์ไปเถอะ

 

ก็ขอบคุณทุกคนที่พยายาม แต่ละคนเห็นความสำคัญก็พยามยาม ยำ้อีกว่า พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันเลิก ไม่มีใครตีแตกได้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสกับพวกลิจฉวีว่า อยู่ในอปริหานิยธรรม 7 ประการนี่ไม่มีใครตีแตกได้...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:20:52 )

570728

รายละเอียด

570728_ทบทวนเรียนอิสระ(ตามสำนึก)โดยพ่อครูและอ.กฤษฎา เรื่อง ปล่อยวางอย่างวิปัสสนา

.กฤษฏาว่า...วันนี้เป็นวันดีที่ 28 ก.ค. 57 พ่อครูได้มาประชุมชุมชนปฐมอโศก ผมเลยได้มีโอกาสมาฟื้นบรรยากาศเรียนอิสระ(ตามสำนึก) มีประเด็นที่จะอยากจะได้รับการอรรถาธิบายจากพ่อครู วันนี้ดูเหมือนว่าคนก็ต้องรอดูทางอินเทอร์เน็ต เพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทำให้เราติดตามไม่ได้เต็มที่ก็เลยเกิดขุ่นมัวขึ้น

 

พ่อครูว่า..มันมีการติดขัดไม่ต่อเนื่อง จิตใจก็ขลุกขลัก อันนี้เป็นประเด็นจิตใจที่ยึดถือจริงๆ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นว่าเราได้เคยดูโทรทัศน์รายการอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้ดูก็เลยขัดข้องใจ หรือว่าเราทำงานติดต่อกันไป แล้วมันต้องวรรคเว้น แล้วก็ทำงานอีกใหม่ก็เกิดขาดตอนไม่ราบรื่น แม้แต่คนทำงานเองก็เกิดสะดุดใจ ล้วนเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ศาสนาพุทธรวมไว้หมดที่คำเดียว คือความยึดมั่นถือมั่น

 

แล้วมันมีความลึกซึ้งในความเข้าใจต่างๆกันไป พูดเพียงภาษาว่าไม่ยึด ให้วางให้ปล่อย เราแบกอยู่มันหนัก เราวางมันก็เบา ไปติดยึดทำไม หรือติดบุหรี่ก็อ้าปากมันก็หลุดแล้ว หรือเข้าใจในนามธรรมว่าจิตเรายึด เราก็ควรวางเสีย แต่เราจะทำให้จิตเราวางนั้น เรารู้ไหมว่าจิตเรายึดหรือไม่ อย่างไร?

 

ยึดเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่รู้สภาวะจริงว่าอาการยึดเป็นอย่างไรจะไปวางเป็นได้อย่างไร ให้เข้าใจความหมายอย่างไรก็ตาม บางคนรู้ความหมาย เขาก็ว่าเขาวาง เขารู้สึกว่าเขาวาง เขาเลิกเรื่องนี้เลย สิ่งนี้เรื่องนี้ของนี้เขาตัดวาง ปฏิบัติ ณ บัด นั้นเลย เขาก็สบายว่างโล่ง การทำได้เช่นนี้ก็เป็นเหตุปัจจัยให้จิตได้ฝึก แต่มันก็ฝึกโดยกำหนดหมายง่ายๆ เป็นสามัญสำนึกพื้นๆง่ายๆ ไม่ครบองค์ของการเกิดญาณปัญญา ไม่ครบตามสังโยชน์ 3

 

คนที่เขาทำเขาสอนกันให้ฝึกวาง มีสติปัญญา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น หลายสำนักวางได้เก่ง แต่ตัวยึดนี่จะวางอย่างไร?ทำอย่างไร?

 

ถ้าเข้าใจความนี้ไม่ครบก็จะได้แต่ตรรกะ สามัญสำนึกไม่หยั่งเข้าไปถึง จิตเจตสิกรูปนิพพาน ที่อาตมาอธิบายนี้ให้มีตัวรู้หยั่งเข้าไปถึงจิต โดยรู้ กาย

 

คำแรกของกาย ที่จะต้องรู้ คือ สักกาย คนเรียนมาก็ต้องรู้ว่าเราจะต้องละสังโยชน์ข้อที่ 1 ,2​,3 สำเร็จถึงสังโยชน์ 3 จึงเป็นโสดาปัตติผล กายนั้นมีองค์ประชุม เช่นตากระทบรูป ถ้ามีอวิชชาอยู่มันก็ปรุงปุ๊บ เป็นองค์ประชุมองค์ประกอบก็คือกาย ของสภาวธรรมองค์รวม ที่เรียกอีกช่ือว่า “สังขาร” ที่เป็นปัจจัยมาจากอวิชชา ในปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้จักสังขาร

 

สังขารตัวแรกก็ไม่สามารถทำให้เกิด ปุญญาภิสังขาร จัดการองค์ประกอบของตากระทบรูป เกิดจิตธาตุรู้ปรุงแต่ง ด้วยอวิชชา จึงต้องพากเพียรจับอาการของวิญญาณตัวนี้ พอรู้เราก็จะรู้จักสังขาร ในภาวะครบครันที่มีการกระทบสัมผัสสฬายตนะ เกิดวิญญาณ 6 เลย การอ่านจิตเจตสิกก็คืออภิธรรม

 

คนที่เรียนรู้อภิสังขาร ก็ต้องทำปุญญาภิสังขาร คือสังขารให้เกิดบุญ คำว่า สังขารแปลว่าการจัดการ ปรุงแต่ตกแต่ง ที่พูดนี้ไม่ได้เอาความรู้จากตำราไหนมาอธิบายหรอก ใครมีสภาวะอย่างอาตมาก็อธิบายได้ หรือถ้าอาตมาไม่มีสถาวะก็อธิบายไม่ได้ อาตมาเข้าใจเห็นจริงว่า สังขารนี่มีวิญญาณเป็นปัจจัย

 

สังขารคือตัวเดียวกับวิญญาณ หากไม่รู้สังขารก็ไม่รู้จักวิญญาณ นามรูป สฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศก.... ไม่รู้ไปตามสายเลย

 

ท่านให้เราฟังสัตบุรุษ แล้วเข้าใจธรรมะของสัตบุรุษ แต่เขาไม่เข้าใจ เขาว่าให้ทำการวางปล่อย แต่เขาไม่มีญาณปัญญาหยั่งรู้จิต ที่อยู่ในองค์ประชุม กาย ที่เกิดการกระทบสัมผัส แล้วอ่านอาการให้ได้ในปัจจุบันนี้ ในสังขารนี่ ไม่ใช่แค่สังขารนอก แต่มันเนื่องกันอยู่ในองค์ประชุมนอก มหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม แล้วเกิดวิญญาณ เรามีปสาทรูป มีตาหูจมูกลิ้นกาย เมื่อมีแล้วกระทบก็เกิดจริง เมื่อกระทบแล้วมีสังขาร เกิดกาย เป็นองค์ประชุมปรุงแต่งกันเป็นกาย

 

กายอันนี้คือ “กายในกาย”ที่คุณจะต้องสติปัฏฐาน 4

 

.กฤษฏาว่า...สิ่งที่จับประสพการณ์ การปรุงนี้ต้องเกิดรสชาติ มันไปติดรสชาติก่อนที่จะเกิดสติปัฏฐาน 4 นี่แตงไทย มันมีกลิ่นหอม รูปสวย ถ้าได้เอากลับบ้านกับน้ำกะทิแตงไทย มันก็ปรุงไปไกลเลย

 

พ่อครูว่า..เรารู้กาย ตอนนั้นเป็น กายผี ตัวหยาบ เกิดอาการชอบแล้ว ดิ้นรนอยากได้ เป็นผี เป็นวิญญาณ เป็นอาการของผี มันก็อยู่กับสังขาร ปรุงแต่ง เราต้องอ่านผีให้ได้แล้ววิเคราะห์วิจัย อ่านวิญญาณผีเรียกว่า อ่าน นามรูป ไม่ใช่ว่าไปสอนว่าผีมีร่างกาย เป็นเปรตตัวสูงท้องโตปากจู๋ลิ้นยาว นั่นมันสรีระไม่ใช่วิญญาณ เรามีปัญญาอ่านนามรูป รู้ อาการ ลิงค นิมิต ทุเทส

 

การสอนให้เห็นผีหรือเทวดาในการนั่งสมาธิ นั้นไม่ใช่ กายที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนให้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายให้ได้ ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้แยกกัน เมื่อปรุงแล้วเป็นผี ที่เรารู้แล้วจะต้องกำจัด มันเป็นนามรูป ที่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส หมายเอาว่าอาการผีคืออย่างนี้ที่เราจะกำจัด

 

ขณะนี้มีอายตนะผัสสะ อยู่นะ ผีมันเกิดหลัดๆ อ่านนามรูปได้ ในขณะอ่านนามรูป นั่นแหละคือเวทนาผี มันชอบ อยากได้ มันก็จะต้องให้สมชอบ มันไม่สมชอบก็ดิ้นรน อาการดิ้นอยากได้ เป็นเวทนาอยากได้ เหตุแห่งความชอบเพราะเราอยากได้มา ยึดมันมาเสพรส ถ้าเป็นกามก็อยากเสพ เป็นกามตัณหา นี่แตงไทอยากเสพ คุณวิจัยมันได้ว่านี่ผี เพราะมันชอบ แล้วทีนี้ไม่ได้มันก็ยังไม่พอใจ มันก็ยังไม่สมอารมณ์ก็ดิ้น แล้วไม่สมอารมณ์เพราะไม่สมอยาก สมผีมันเสพสิ่งต้องการ ได้ตัวเสพสิ่งต้องการนี่ตัวนี้เอง มันเป็น

 

เวทนาในเวทนาแล้ว แม้กระทั่งเห็นตัวผีมันอยากนี่ก็ตัณหาแล้ว วิญญาณผีนี่มันเป็นตัวอยากได้ คุณอ่านนามรูปมันได้ แต่ถ้าคุณไปเห็นผีแต่มีรูปร่าง เส้นสายแสงสีรูปร่างของเปรต ผีนรกสารพัดที่สมมุติกันก็ไม่มีวันอ่าน อาการ ของนามธรรม ของจิต เจตสิกได้หรอก เพราะรูปคือส่ิงที่ถูกรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต เกิดจากการสัมผัสแล้วเห็นจริง แล้วอ่านอาการเข้าไปข้างใน ถึงนามธรรม (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก ) เห็นมันอยู่นี่ของเราของตนคนเดียวขณะนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่นของใครของมัน แล้วคุณก็วิจัยวิจารอ่านมันออก

 

ถ้าเข้าใจกายไม่พอ ถ้าคุณเอาแต่โครงร่างไม่เอานามมาเกี่ยวก็ไม่ใช่กาย  กายนั้นต้องครบพร้อมทั้งรูปและนามมีการผัสสะเกิด มีเวทนา อารมณ์มันอยาก มีชอบใจก็เป็นเชิงหนึ่งในเวทนา แต่ไม่ได้สมใจทีเดียว มันชอบก็ต้องเอามาให้ครบองค์ประชุม ตาเห็นแล้วต้องเอามาสัมผัสได้กลิ่น แล้วต้องเอามาลิ้มรสลิ้น คุณอ่านตัณหาที่จะเอามาเสพรสนี่แหละกำจัดตัวนี้ได้รู้ตัวนี้จริง รู้แล้วเอาไปปฏิบัติถูกต้องก็พ้นวิจิกิจฉา ถ้าคุณจับอาการมันได้ชัดเจน ในตัวผีเป็นสมุทัยอาริยสัจ ไม่สงสัยลังเลย ว่าอันนี้ของจริงเลย เห็นตัณหา รู้จักตัณหา คุณต้องจัดการมันด้วย

 

ปหานปธาน คุณจัดการให้มันลดมันหายไปด้วยปัญญา จากสราคะ คุณก็รู้จิตในจิตแล้วปหานอกุศลจิต ถ้าประหารไม่สำเร็จก็ไม่ผ่านศีลพตปรามาส คุณเจอตัวมันแล้ว ลูบคลำมันแล้วแต่ไม่สามารถให้มันวิราคะหรือดับ วาง ปล่อย มันไม่เอาแล้วตามเหตุผล หลักฐาน หลักการของพระพุทธเจ้าแล้า ว่าไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็หายไป เราอ่านรู้มีวิปัสสนาญาณ 9  จนเห็นภัยเห็นโทษ ไม่เที่ยง ถ้าเราติดยึดมันก็ไม่ดี จิตมันต้องมีการปล่อย เพราะเห็นโทษภัย มันเบื่อ จิตมันวางได้จริงไม่ใช่ทำอย่างทิ้งปล่อย วางแบบสมถะ นี่ไม่เข้าถึงปุญญาภิสังขาร แม้ลดได้น้อยก็เป็นผลตัวแรกก็ได้ทำให้มันจางคลาย วิราคานุปัสสี จนทำให้มันหายไปเป็นนิโรธานุปัสสี

 

ตอนมันมีแต่แรกมีอาการผี แต่พอพิจารณาจริงๆว่าอย่ามาหลอก เราเกิดวิปัสสนาญาณ 9 ที่มีไฟฌาน ที่จะละลาย ตัณหา ราคะ กิเลส คุณทำให้มันลดได้ก็พ้นศีลพตปรามาส ถ้าทำได้ก็พ้นสังโยชน์ 3 สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

.กฤษฏาว่า..มองให้ออกว่าเป็นสุขเท็จ ไม่แท้แต่ทุกข์นี่สิอยู่จริงเราต้องทำลายมันให้ได้เรื่อยๆ ทำอย่างมีสภาวะรองรับ อธิบายได้ถึงว่าเวลามันดับ เกิดนิโรธนี่ท่านบอกว่า วจีสังขารมันดับก่อน แล้วกายสังขารดับตาม แล้วจิตสังขารมันถึงดับไปทีหลัง

 

สังขารไม่ใช่กรรม คนเขาอ่านเผินๆ เมื่อเกิดสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วอะไรดับก่อน?...การดับนี้ไม่ใช่ดับเพราะไปนั่งหลับตาแล้วจิตไม่รู้เรื่อง แต่เป็นการดับอย่างมีความรู้แจ้ง

 

อย่างภิกษุณีธัมมทินนา บอกกับวิสาขอุบาสก เรื่องเวลาดับ เกิดนิโรธนั้น เกิดวจีสังขารดับก่อน แล้วเป็นกายสังขาร แล้วเป็นจิตสังขาร

 

การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าต้องรู้ สังกัปปะ 7 (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร) เป็นกระบวนการของมนสิการ คนที่ทำมนสิการเป็นจัดการกระบวนการของจิตเป็น ก็ต้องอ่านพิจารณา มันเริ่มดำริ พอสัมผัส จิตดำริ ชอบ คุณก็ไล่เรียงองค์ประชุมเลย แม้คุณยังพูดอยู่เลย แตงไทย น่ากิน หอม คุณพูดเลย แต่วจีสังขารคุณต้องอ่านออก ว่าผีมันมีมาร่วมอยู่ คุณต้องอ่านเลยว่าเริ่มเกิด มีกามวิตกไหม? มีตัวผีไหม อ่านให้ออกแล้วจัดการให้ได้เรียกว่าอภิสังขาร ตอนนี้เป็นกรรมการกระทำของจิตเป็นมนสิการหรือมนสิกโรติ กำลังจัดการกับอกุศลจิต คือตัวผีนี้

 

ปหานมันด้วยปหาน 5 ที่จะปหานคือกามวิตกที่มาปรุงร่วมด้วย เมื่อจัดการกามวิตกที่เป็นเหตุนี้ได้ ก็ทำให้กิเลสนิโรธ ไม่มี ไม่มาปรุงแต่งกับจิต ก็เป็นองค์รวมของ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เมื่อทำกิเลสหมดได้ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ แล้วทำได้อย่างแข็งแรงตั้งมั่นสะสม

 

ฌานคือการเพ่งเผาให้มันละลายดับไป แล้วก็มีสะสมเป็นอัปปนา พยัปปนา วจีสังขาร ดังนั้นวจีสังขารก็ออกมาอย่างวจีสังขารที่กิเลสดับไม่มีกิเลสร่วม  ก็คือ วจีสังขารดับก่อน ถ้าดับได้ตั้งแต่ตักกะ วิตักกะ แล้วก็ต้องกรองที่ อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนาด้วย ถ้ากิเลสดับทั้งสองสายทั้งปัญญาและเจโต ก็เกิดวจีสังขารหากไม่ส่งออกมานอกจิตก็ไม่เกิดaction ถ้ามันออกมามันก็ทำให้เกิดวจีที่สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เพราะตัววจีสังขารมันทำได้สำเร็จ

 

ถ้าวจีสังขารดับก่อน เมื่อดับแล้ว กายค่อยดับ คือวจีสังขารดับแล้วทั้งปัญญาและเจโต จึงเกิดองค์รวมคือกาย เพราะวจีสังขาร แล้วมาเป็นกายสังขารเป็นองค์รวมเลยดับ และก็คือจิตสังขารเกิดทีหลัง

แล้วการออกจากนิโรธ คนไปนั่งสมาธิ ออกจากนิโรธ เขาก็รู้ตัว แล้วคืนสติ ก็มาทำกรรมกิริยาปัจจุบัน ถ้าเขายึดแต่คำว่ากรรม ถ้าเขาคลายออกมานี่ก็คือจิตมันออกจากตัวมืดดำมารับรู้

 

การผ่านนิโรธแล้ว จะออกจากนิโรธ นั้น จิตสังขารเกิดก่อน แน่แล้วแต่ว่าการนั่งสมาธิหลับตานั้น คุณจะขยับกายก่อนก็ได้ แต่บางคนพูดก่อนก็ได้ ไม่แน่นะ การนั่งสมาธิหลับตาปี๋พอออกจากนิโรธนั้น เป็นกายหรือวจีสังขารเกิดก่อนก็ได้

 

ในผู้เข้าใจนิโรธแบบโลกีย์ ก็เอากรรม กายหรือวจีกรรม แต่ที่จริงท่านไม่ได้ว่ามโนกรรมหรือกายกรรม แต่ท่านว่าคือจิตสังขาร หรือวจีสังขาร หรือกายสังขาร ไม่ใช่วจีกรรม แต่ว่าการลืมตาปฏิบัตินิโรธหลัดๆ แม้ลืมตากระทบรูป หูกระทบเสียงเราได้นิโรธแล้ว จบนิโรธแล้ว วุฒฐานะแล้ว หรือจะเรียกว่าออกจากนิโรธก็ได้ นี่ภาษามันสื่ออย่างนี้พอพ้นจากนิโรธ การล่วงพ้นอย่างนี้ วุฒฐานะ อะไรเกิดก่อน ของแบบสัมมาทิฏฐินั้น สัมผัสตาก็สัมผัส แต่มีนิโรธ แล้วอะไรเกิดก่อน ก็คือจิต ก็จะรู้องค์รวมของจิตว่าเสร็จแล้ว คือ จิตสังขาร ทีนี้ก็จะรู้ออกมานอกเลย เป็น กายสังขาร ทั้งตาหูจมูกลิ้นกาย เราก็จะรู้ว่านิโรธ กายเกิดก่อน องค์รวมเกิดก่อน แต่เราไม่พูดออกไปไม่เป็นวจีสังขารก่อน ยิ่งจะเกิดวจีกรรมก็ต้องผ่านวจีสังขารก่อน ถึงจะออกมาเป็นวจีกรรม  แต่ทางโน้นเขาไม่เข้าใจสังขาร จะเข้าใจเป็นวจีกรรมเสียทีเดียวเลย

 

ที่เข้าใจกันไม่ได้เลยก็คือว่า...นิโรธแบบนั่งสมาธิหลับตานั้นต้องเข้าๆออกๆไม่ได้ตามเห็นกิเลส ไม่เกิดอนุปัสสี 4 คุณไม่ได้ทำเลย ก็ทำแบบนิโรธดับปี๋เลย ต้องเข้าๆออกๆ แต่ของพุทธที่สัมมานิโรธไม่ต้องเข้าๆออกๆเช่นนั้น แต่พอได้สภาวะดับหรือลดจนเป็นนิโรธ พอพ้นจากนิโรธจะเรียกว่าออกหรือวุฒฐานะ พอพ้นจากนิโรธ ลืมตาอยู่ อะไรเกิดก็รู้ ความดับก็รู้แล้วว่าเกิด แต่ไม่ได้ดับปี๋ไม่รู้ไม่มีอะไร แต่ว่าเกิดอย่างสว่างรู้ อะไรเกิดก่อนหลังก็รู้หมดเลย

 

.กฤษฏาว่า..เขาให้นั่งไปมันชา ที่ขา แล้วต่อมา ขาที่ชามันก็หายชาไป นี่คือการศึกษา ผมก็บอกว่ามันชาก็ขยับมันก็หายแล้ว จะไปนั่งทำไม?

 

พ่อครูว่า..การปฏิบัติต้องมีครบพร้อมทั้งอายตนะ 6 ผัสสะ 6 วิญญาณ​6 แต่การไปนั่งหลับตามีแต่มโน มีเวทนาทางจิตอย่างเดียว แต่ทวารอ่ื่นไม่ได้ปฏิบัติ การปฏิบัติต้องมีองค์ประชุมของทวาร 6 ครบ เมื่อตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นปสาทรูป แต่ผัสสะนั้นเขานับว่าเป็น 4 เพราะตาก็ผัสสะ หู จมูก ลิ้น ก็เป็นกายทั้งนั้น ท่านก็ว่ามี 4 ก็ได้ บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมอุปาทายรูปทำไมมี 24

 

สภาพปฏิบัติเต็มรูป วิโมกข์ 8 ที่เป็นของพุทธไม่ใช่ของฤาษี วิโมกข์ 8 ถ้าพ้นแล้วก็คือพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ไม่ใช่ไปดับสัญญา แต่กลับรู้ยิ่งรู้จริง

 

สัญญาคือการกำหนดรู้ หมายรู้ มีหน้าที่สำคัญ แต่ไปดับมันเข้าก็ไม่มีทางบรรลุ ต้องใช้เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา คือเนวคือตัวปฏิเสธ ย้อนแย้ง คำว่าสัญญาที่ไช่หรือไม่ใช่ต้องตรวจให้หมด ทุกสัญญาทุกการกำหนดรู้ อะไรไม่ชัดเจนก็ต้องรู้ให้หมด เป็นภาวะที่ดับหมดสิ้น ตรวจให้หมด การตรวจสอบของพระพุทธเจ้า ด้วยอรูปฌานคือการตรวจสอบของผู้ภูมิสูง อย่างน้อยต้องอนาคามี หรือว่าเป็นโสดาบันที่ละเอียดมีภูมิมากก็ตรวจสอบด้วยอรูปฌานได้ แม้อรูปฌานก็มีอายตนะครบ 6 ถ้าไปสัญญาผ่านความว่าง คือความว่างเพียวๆ แต่วิญญาณคือลักษณะนามรูป ส่วนอากาศคือภาวะรูปแท้ๆ สภาวะว่าง ส่วนวิญญาณคือจิตสะอาด ปราศจากกิเลส มันมีกรรมกิริยา รู้อยู่ ตรวจสอบว่าจิตไม่มีกิเลสเลย ท่านไม่ให้ประมาท ให้ตรวสอบว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี ให้ตรวจสอบไม่ให้มีธุลีแห่งธุลีขนาดไหนต้องไม่มีส่วนอากิญจัญญะคือส่ิงที่จะให้ไม่มี วิญญานัญจาฯคือตรวจสอบด้วยตัวรู้ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้นตรวจสอบไม่ให้มีส่ิงไม่รู้เลย อัตตาของสัญญา อัตตาของตัวที่จะต้องถูกรู้ทั้ง โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา จนพ้นจากการไม่รู้ทั้งหมด นาสัญญาตรวจสอบแล้ว หมดอาสวะแห่งความไม่รู้ ผ่านอวิชชาสวะ เป็นสัญญาที่มีนิโรธ เวทยิตคือการเคล้าเคลียอารมณ์ เป็นเวทนา 108 ที่เป็นเนกขัมมสิตเวทนา ผ่านทุกปัจจุบัน 36 จนเป็นอดีต เป็นอนาคตที่สูญ​ทำให้มากพอจนมั่นใจในส่วนอดีต อนาคต ในอวิชชา 8 จนรู้ว่า อวิชชาตัวที่ 7 ส่วนอดีต อนาคตนั้นสูญเหมือนกัน ไม่ต้องพยากรณ์เลยว่า อดีตอนาคตสูญ เพราะทุกปัจจุบันทำได้เป็นกิจญาณ เป็นกตญาณแล้ว เที่ยงแท้ ก็บอกได้ว่ายังไงเห็นปัจจัยใดๆก็ผ่านแล้วนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นกตญาณสำเร็จแล้วเลย ไม่ต้องหลับตาไปอยู่ในที่มือต้องออกต้องเข้าเลย

 

อย่างท่านวิสาขถามท่านธัมมทินนานั้น ว่าการเข้าการออกนิโรธนั้นไม่ใช่เลย การทำนิโรธคือทำให้กิเลสดับ ดับแล้วดับเลย ไม่ต้องเข้าต้องออกท่านอธิบายก่อนเลย แต่คนไม่เข้าใจก็ว่าทำไมท่านต้องพูดก่อนว่าไม่เข้าไม่ออก แต่ท่านก็อนุโลมตามภาษาของเขาไป ในการอธิบาย

 

.กฤษฏาว่า..มันต้องเข้าใจพื้นฐานต้องเข้าใจนามรูปก่อน ถ้ามองออกเรื่องรูป นาม จะแยกแยะได้

 

พ่อครูว่า..มันต้องแยกส่วนย่อยละเอียดออกได้ จะต้องชัดเจนในจิตเจตสิก รูปนิพพาน อาตมาเป็นช่างปรุงยาที่ปรุงยาเป็นใส่อะไรก่อนหลังรู้ แต่เรียกชื่อไม่เป็นไม่รู้ภาษา ก็ต้องค่อยๆจำพยัญชนะทีหลัง

 

.กฤษฏาว่า...เมื่อกี้นี้ผมนึกถึงหนังสือพุทธธรรมของท่านธรรมปิฎก ก็ต้องรู้ภาษาก่อน แต่พุทธองค์ท่านเกิดสภาวะก่อนแล้วค่อยบัญญัติภาษา ใส่ทีหลัง

 

ในกระบวนการสังกัปปะ 7 องค์ประชุมท้งหมดเมื่อเราพิจารณาข้างนเรียกว่าจิตสังขาร เราทำมนสิการให้จิตมันดับกิเลสก่อน แล้วก็ทำให้ผ่านเครื่องกรองก่อนแล้วมาสำเร็จที่วจีสังขาร ดังนั้นต้องรู้ว่าวจีสังขารดับแล้วนิโรธสำเร็จ คือดับก่อน แล้วค่อยมาตรวจละเอียด กายนี่คือองค์รวมที่ต้องตรวจเสมอ เมื่อดับแล้วอะไรจะเกิดก็กายอยู่ตรงกลางทั้งนั้น ก็ถือว่าองค์ประชุมของจิตสังขารจัดการได้สมบูรณ์แล้ว ค่อยมาพิจารณารอบว่าจะก่อกรรมอะไร ก็มีวจีสังขารมาเป็นตัวปรุงตัวสำเร็จแล้ว

 

.กฤษฏาว่า...สัตบุรุษคือผู้ที่มีวจีกรรมที่เป็นสัมมาที่แท้จริงเพราะ มีวจีสังขารที่บริบูรณ์แล้ว เราจึงควรฟังธรรมจากสัตบุรุษไว้เสมอ อย่างพ่อครูนี่ก็มันบอกเสมอว่าขออภัยก่อนที่จะพูดบางอย่าง

 

พ่อครูว่า...อย่างอาตมานี่เป็นขั้นอนุโลม ก็เหมือนเราเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกๆ ดูกรรมกิิริยาเหมือนเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่เป็นการช่วยเหลือเด็กให้เรียนรู้สูงขึ้นอีกได้

 

ปะฝนฟ้า ...การจะล้างตัวยึด ต้องรู้ให้ทันวจีสังขาร แล้วทำวจีสังขารให้สะอาด การวางอย่างเผินไม่รู้จิตเจตสิก มันเป็นเหตุผลตรรกะไม่เข้าถึงปรมัตถ์จริง เมื่อเรารู้แล้ว การจัดการวจีสังขารได้เร็วต้องอยู่ที่การฝึกฝนทำบ่อย จะชัดละเอียดขึ้น

 

พ่อครูว่า...ที่ท่่านๆทั้งหลายแปล อภิสังขาร(ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร) ท่านก็เอาพยัญชนะมาแปล ท่านก็บอกว่าปุญญาภิสังขารคือสังขารเป็นบุญ ส่วนอปุญญาภิสังขารท่านก็แปลว่าสังขารไม่เป็นบุญก็คือบาป ท่านที่แปลอย่างนี่้คือไม่มีสภาวะแท้ เพราะอภิสังขารคือการสังขารอย่างยิ่ง

 

ปุญญาภิสังขาร เป็นการปฏิบัติของเสขบุคคล

 

อปุญญาภิสังขาร คือหมดบุญหมดบาป ไม่มีบาปให้ทำ หลุดพ้นทั้งบุญและบาป เป็นปุญญาปาปริกขีโณ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป เป็นภาวะของอเสขบุคคลคืออรหันต์

 

เมื่อหมดบุญหมดบาปแล้วก็ทำสั่งสมสร้างความตั้งมั่นไม่หวั่นไหวของจิต เป็นอเนญชาภิสังขาร

 

ในสัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐีติ 7 ไม่มีคำว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ คุณต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะได้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

สม.เป็นหญิงถามว่า...การนั่งพักเหมือนกับนิโรธไหม?...ตอบว่า..ไม่เหมือน การนั่งพักเป็นสมถะให้จิตพักเท่านั้น แต่ว่านิโรธต้องมีกระบวนการที่ลดละกำจัดกิเลสเป็นขั้นเป็นตอน แต่ถ้านั่งแล้วไปพิจารณาอ่านจิตอ่านอารมณ์ แล้วถ้าทำได้ตามลำดับคุณจะไม่ถามอาตมาอย่างเมื่อกี้นี้มันจะรู้ไปตามลำดับ รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาการตัณหา ราคะ ต่างๆมันไม่มี เช่นตัณหาภายนอก เช่นอยากคว้ามาเอาเป็นของตัว มาเสพรสเราไม่ทำ มันไม่ดิ้นแรงอะไรไม่ต้องควบคุม เหลือแต่ข้างในมันยังมีอาการอยู่นะ คุณก็จะรู้ว่ามันเหลือส่วนนั้นจนกระทั่งมันมีหรือไม่มี ก็เป็นอรูปแล้วมันมีหรือไม่มีก็เป็นอรูปแล้ว ปฏิบัติไปจะรู้ ต้องพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ว่าไม่มีกิเลสไปร่วมสังขาร ตั้งแต่สภาพนอกไปถึงสภาพใน

 

สมณะดาวดิน...สงสัยเรื่องง่ายๆ บุญกิริยาวัตถุ ที่ท่านพูดถึง ทาน ศีล ภาวนา ...ตอบ...คำว่าภาวนาคือการเกิดผล ภาวนาเป็นตัวผล แต่ทุกวันนี้เพี้ยนแปลว่าภาวนาแปลว่าปฏิบัติ สามอันนี้ ทานศีลภาวนา นั้น ภาวนาคือผลของการปฏิบัติทาน และศีล หรือว่า ทินนัง ยิตถังคือการปฏิบัติ ส่วนหุตังคือผลที่เกิด

 

สมณะ...ผมสนใจเรื่องการยึดถือและการปล่อยวางเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องทุกข์ที่แก้ยากอย่างที่เราคุยๆกัน พูดจบแล้วมันทุกข์หายเลยมันก็ดีสินะ ผมสงสัยว่า วิธีการแก้ทุกข์จากการยึดถือที่มันไม่ได้ดังใจแล้วมันทุกข์ทันที ทีนี้เราจะให้มันคลายจากทุกข์ ผมยังไม่เห็นพ่อท่านพูดถึงวิธีการว่า อย่างเช่น พอไปยึดมัน แล้วทำไมไม่หาวิธีแก้ อย่างเช่นเรื่องรสอาหาร ทำไมไม่เห็นเป็นอสุภะหรือเห็นความจริงตามความเป็นจริง เรามายึดติดอะไรมันก็มีแค่รสเปรี้ยวหวานมันเค็ม ก็เป็นเรื่องของธรรมดา อะไรต่างๆเหล่านี้ วิธีเหล่านี้จะทำให้มันลดละหน่ายคลายไปอย่างหนึ่งใช่ไหมครับ?

 

พ่อครูว่า...มันทำให้เกิดญาณปัญญาอย่างหนึ่งว่าสิ่งจริงกับสิ่งแฝงที่เราจะต้องล้างมันนั้นต่างกันอย่างไร ของจริงล้างไม่ได้หรอกของจริงเหมือนกัน  คนปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติธรรมก็เห็น นี่ก็ขาว นี่ก็สีเขียวเหมือนกันหมดนั่นแหละ นั่นคือของจริง แต่ไอ้ของไม่จริงคือตัวอุปาทาน กิเลส อัสสาทะ ที่เราต้องล้างมัน

 

สมณะ... อ้าวแล้ววิธีการดูความจริงตามความเป็นจริง อันนี้เป็นตัวช่วยให้ล้างไหม?

 

พ่อครูว่า...เห็นความจริงตามความเป็นจริง นั้น คุณจะต้องเห็นทั้งสิ่งที่เป็นธรรมชาติจริง ส่ิงที่เป็นกิเลสก็เป็นกิเลสจริง สิ่งที่กิเลสมันละจริง ต้องเห็นความจริงของมันจางคลาย เห็นความจริงของมันว่านิโรธจริง เห็นทั้งโลกุตระและโลกียะ รู้มโนปวิจาร 18(ตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอะไรก็รู้หมด) รู้เหมือนกันหมด ของใครๆทั้งโลกก็รู้เหมือนกัน แต่ที่เราจะรู้อีกส่วนคือส่วนที่เนกขัมมะ ว่ามันเป็นกิเลสแล้วเราก็ทำกิเลสออกหมดได้ก็รู้ รู้ของธรรมชาติที่เป็นไปตามโลกเขาก็รู้ได้กับเขา

 

สมณะถามต่อ...จะรู้ว่าเราลดละหน่ายคลาย รู้อย่างไร?รู้ตรงไหน?

 

พ่อครูว่า...ก็รู้ตรงเราอ่านกิเลสออก แยกกิเลสออกได้ ถ้าแยกกิเลสไม่ออกเลย สักกายะตัวแรกก็ไม่รู้

 

สมณะว่า..เช่น อย่างการกินอาหารบางอย่าง อันนี้เรารู้ว่าถ้าเราไม่ได้กินใจมันจะรู้สึกโหยๆ เราก็จะไปหาต้องการ แต่พอเรารู้และเข้าใจแล้วว่าแต่ก่อนเราเห็นไม่ได้อดไม่ได้เลย ต้องกิน แต่พอเรารู้สึก เข้าใจมันปุ๊ป มันก็เพียรพยายามหลายๆครั้งเข้า ตอนนี้เห็นก็กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ไม่เป็นไร อย่างนี้ถือว่าเราลดละหน่ายคลายไหมครับ?...

 

พ่อครูตอบ...มันเป็นการได้ที่ไม่ชัดเจนในกาย อย่างต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย พระพุทธเจ้าจึงรับรองว่าเป็นอรหันต์ ต่อให้คุณเหมืือนเป็นอรหันต์เลยนะ มีพยานหลักฐานเห็นได้สัมผัสได้ ถ้าไม่มีองค์ประชุมที่สัมผัสได้ไม่เรียกกายสักอย่าง  ใครสัมผัสได้ข้างนอกก็รอบหนึ่ง แต่ใครสัมผัสได้เป็นนามกาย คุณต้องรู้นามกายของคุณเอง  ดังนั้น กายสักขี รู้ได้จากตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก แต่เราต้องรู้กายในเป็นนามกายด้วย เป็นกายวิญญาณ ต้องรู้องค์ประชุมของวิญญาณ ต้องแยกแยะวิญญาณในขณะผัสสะ 3 กระทบรูปแล้วเกิดวิญญาณ นี่เป็นวิญญาณที่จะต้องรู้เป็นปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ไปเรียนรู้วิญญาณล่องลอยไปนอกร่าง พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติไว้

 

สมณะ...เรื่องยากกว่านี้อีกคือเรื่องของความยึดถือหรืออารมณ์ ถ้าเราถูกขัดใจ หรือไม่ได้อย่างใจ หรือเราทำอะไรอย่างหนึ่ง  แล้วถูกเกิดการเปลี่ยนแปลง จนเรารู้สึกมีความไม่ชอบใจ ถ้าเราจะล้างสิ่งเหล่านี้  ด้วยการพิจารณาว่าอันนี้มันเป็นวิกฤตินะ เราต้องทำให้เป็นโอกาส

 

พ่อครูแทรกว่า...นี่แหละเป็นเหตุการณ์จริงที่คุณจะต้องรู้ใจตนเอง

 

สมณะว่า...หนึ่งมันจะได้เกิดกำลังใจว่าเราเจอโจทย์แล้วนะ เจอโจทย์ก็เจอทุกข์นะ แล้ววิธีแก้ทุกข์จะทำอย่างไร?  แล้วเราจะแก้ทุกข์ได้ เราก็ต้องมาหาเหตุผลว่าเออ มันทุกข์อย่างไร?

 

พ่อครูแทรกว่า...ไม่ใช่ให้หาเหตุผล ให้อ่านความจริง

 

สมณะ ...คืออ่านความจริงน่ะแหละครับ แต่มันก็ต้องรู้ว่า มันทุกข์ คนเราพอทุกปุ๊ป ก็ต้องหาวิธีแก้ทุกข์ถูกไหมฮะ แล้ววิธีแก้ทุกข์เราก็ต้องมามองความจริงว่า หนึ่งเราโง่ สองเราไม่มองให้เป็นบวก เรามองแต่ลบ หรือไม่ก็ต้องมาคิดอีกทีว่าสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องดีนะ สมมุติเราเคยทำงานนี้อยู่ มีคนอื่นมาทำแทนหรือมาเอาส่ิงที่เราทำนี่เอาไปทำ ผมก็เลยคิดว่า เออ อย่างนี้ดีแฮะ  เราก็จะได้เบา ไม่เป็นภาระ คือถ้าพอคิดได้อย่างนี้ปุ๊ป  จิตที่มันยึดถือนี่มันก็โล่งไม่ถือสา  มันก็ปล่อยวาง อันนี้เมื่อกี้นี้พ่อท่านบอกว่ามันเป็นแค่ตรรกะ อันนี้ไม่ใช่ปัญญาหรือฮะ?

 

 

พ่อครูตอบ..ไม่ใช่ นี่คือสมถะ เอาเหตุผลมาบรรเทา  คุณต้องเห็นจิตเจตสิก! แล้วก็เข้าใจเจตสิก หลักใหญ่คือมันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นอาการ เป็นอารมณ์  ต้องเกิดญาณปัญญาจริงๆว่าอ๋อ ว่าเรามันยึดเองอย่างนี้ มันยึดว่า อาการอย่างนี้ต้องได้อย่างนี้ ไอ้ตัวที่จะยึดอยู่นี่เป็นอุปาทาน ต้องได้อย่างนี้ทำไม? คนมันมาแย้งเรา ต้องมาขัดแย้งเราอะไรต่างๆ คุณต้องอ่านจิตของคุณจนกว่าจิตที่มันยึด มันคลายไม่ใช่อธิบายเหตุผล รอบเลยว่าเขามาช่วยเรามันก็เบานะ เหตุผลนั้นมันทำให้คลายเฉยๆ แต่มันไม่ได้ทำให้เห็นจิตในจิต  ชัดเจนไหม? ว่าตรงที่ไม่เห็นจิตในจิต ไม่ได้พิจารณาตามอาริยสัจ 4 เลย ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเลย

 

สมณะว่า.. แต่ก่อนนี้เราเห็นหน้าคนนี้แล้วก็ไม่อยากเจอเลย จนกระทั่งเราทำจนมีความรู้สึกว่า ที่จริงนะเขาช่วยเรานะ อย่างนี้ยังคือเหตุผลอยู่หรือ? 

 

พ่อครูว่าตอบ...ใช่ เป็นเหตุผลช่วย เป็นวิกขัมภนปหาน 

 

สมณะว่า..แต่มันก็ช่วยให้คลายทุกข์ได้

 

พ่อครูว่า..คลายได้แต่มันไม่ถาวร ถ้าจะให้ถาวรก็ต้องเห็นจิตคลาย ว่าจิตคลายเพราะ ที่จริงไม่ใช่ว่าเป็นเหตุผลว่าเขามาช่วยเรา มันไม่เกี่ยว จิตของคุณต้องเห็นด้วยปัญญาญาณว่า ตัวเราเองเรายึดมั่นถือมั่น เรายึดอะไร เรายึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราทำได้เป็นของเรา ทำไมมาขัดขวางเรา ทำไมเรามีตัวตนของเราอย่างนี้ๆ ต้องรู้ตัวตนของจิตของเราที่มันยึด ยึดอย่างไร?

 

สมณะว่า..ตรงนี้ก็รู้อยู่ฮะ อย่างน้อยมันช่วยให้ความยึดมันได้คลายลงไป

 

พ่อครูว่า... ต้องรู้ว่าจิตที่ยึดถือนั้นมันคลายลงเพราะญาณปัญญา ไม่ใช่เพราะเหตุผลตรรกะ แต่มันต้องคลายเพราะยอมจำนนด้วยปัญญา ในหลักของไตรลักษณ์ ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ถ้ามันยึดอยู่อย่างนี้มันทุกข์  แล้วมันก็เห็นตัวอัตตาที่มันละลาย จางคลายลงจริงๆ อันนี้คือเห็นความจริงตามความเป็นจริง

 

สมณะว่า..แต่จะเห็นความจริงตามความเป็นจริงอันนี้มันก็ต้องมีเหตุผลมาช่วยให้จิตมันคลายจนกระทั่งเห็นว่า จิตที่เรายึดถืออยู่นี่มันคลาย  เราก็เห็นความเป็นอนิจจัง

 

่พ่อครูว่า...เป็นเหตุผลห้อมล้อมได้ เป็นความเฉลียวฉลาดประกอบช่วยสนับสนุนได้ เป็นอุปการะ คือสมถะนี่เป็นอุปการะ  แต่จริงๆแล้วคุณต้องเห็นความจริงลึกไปเลยว่าความฉลาดของคุณจะต้องมีญาณขนาดหนัก เห็นจริงๆเลยว่า ถ้าเข้าใจวิปัสสนาญาณ 9 นี่ไม่รู้จักอาการของอุทัพยานุปัสสนาญาณ จนกระทั่ง ภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ นิพพิทาญาณ ไปจนมุลจิตุกัมมยตาญาณ ญาณที่มันวางมันปล่อยจริงๆเลย เห็นอาการวางปล่อย เห็นจิตเจตสิกมันคลายด้วยญาณปัญญาจริง ถ้าไม่เห็นอย่างนั้นไม่ถึงของจริงไม่เป็นวิปัสสนา  เป็นเพียงสมถะ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 19:21:56 )

570801

รายละเอียด

570801-รายงานผลการเรียนการสอน วนบ. รุ่น "ฉันทะ" ในเดือนแรก

รายงานผลของการดำเนินการเรียน วนบ. 1  เดือนที่ผ่านมา

 

วน.รุ่นนี้ชื่อรุ่น "ฉันทะ"  มีการรายงานเรื่อง

 

1.ผลการปฏิบัติธรรมจากที่ได้ฟังธรรมจากพ่อครู

 

2.ผลการแก้ปัญหาชุมชนจากวนบ. ยกตัวอย่างกสิกรรม รายงานโดย คุณทั่วธรรม ... การกสิกรรมยังขาดคนทำงาน เป็นปัญหาหลัก ... ผลการปรึกษาวนบ. มีการจุดประกายการแก้ปัญหาทางด้านกสิกรรมมากขึ้น

 

3.การพัฒนาของนิสิต วนบ. ..รายงานโดย หลักบุญ เต็มใจจน ... วนบ.ได้ทำ SWOT ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาโรงสี  ก็พบปัญหาที่แท้จริง จากนั้นได้มาพูดคุยแก้ไขปัญหากัน เป็นปัญหาบุคลากร ที่จะมีใครมาช่วยแก้ปัญหาโรงสี ก็พบว่ามีหลายคนมีความสามารถ ก็เลยตั้งคณะทำงานมาช่วยเหลือพ่อแรงเพชร มีคณะกรรมการมาช่วยดูแล มีสมณะ สิกขมาตุ มีผญบ. ผช.ผญบ.มีผู้เชี่ยวชาญ มีที่ปรึกษา มีการตลาด พ่อแรงเพชรหนักใจว่าข้าวเรายังมีเหลืออีก 500 ตัน ยังไม่ได้ระบาย และปัญหาน้ำจะท่วมโรงสี ก็มีการวางแผนจะแก้ปัญหา ต่อไป อย่างมีความหวัง

 

พ่อครูว่า... ความจริงแล้ว เปิดสรรค่าสร้างคนทฤษฎีงานดู เราทำไป 7 ข้อแรกแล้ว เรามีศีลเด่น เป็นงาน เราทำจริงไม่ได้เป็นห้องแล็บ มันเกิดขึ้นได้เพราะทฤษฎีนี้เป็นของพพจ. เป็นเรื่องมหัศจรรย์ มันถูกแล้วเข้าข่ายข้อ 8, 9, 10 ของสรรค่าสร้างคน เรื่องทฤษฎีงาน

9.มีการจัดสรร และจัดโครงการ

10.มีการแบ่งงาน และประสานเนื่องหนุน

11.มีกะจิตกะใจ มีความใส่ใจ ขวนขวายไม่ดูดาย

ไม่ใช่เรื่องในตำรา แต่ทำได้จริง เมื่อมันถูกต้องไม่ออกนอกแนวก็จะเป็นเช่นนั้น จนกว่าจะเกิดผลเป็นบทบาทพฤติกรรมกลุ่มสังคม ทำให้เกิดความสามัคคีเสมอ มีความขัดเกลา มีความซาบซึ้งเชื่อมั่น เป็นสัจธรรม พูดไปเห็นแสงอรุณ เห็นพระอาทิตย์หรือยัง?...เห็นแล้ว

 

เป็นเรื่องจริง มีองค์ประกอบครบ มีวงจรสังคมที่พร้อมให้เราทำ ซึ่งมหาวิทยาลัยแบบนี้เลียนแบบยาก เพราะเป็นมหาวิทยาลัยจริง ที่ถามว่า วนบ.จะเป็นมหาวิทยาลัยของทั้งสังคม องค์กร หมู่บ้าน และในอนาคต จะมีพลเมืองของมหาวิทยาลัย มีการลงมือทำจริง จะมีผลอย่างชัดเจน นี่เริ่มต้นแล้ว ตั้งใจดีๆเถอะ อาตมาเห็นแล้ว ฟังแล้วก็ว่า มันก็เข้าหลักเกณฑ์เลย เป็นไปจริง ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆเลย ในสรรค่าสร้างคน นั้นจะมีการเอาจริง ต่อเนื่อง ประสานสัมพันธ์กลุ่ม มีการเผยแพร่ มีการตลาด

 

ที่ถามนี้มันจะเกิดความแตกแยกไหม?...ไม่ใช่ มันจะเกิดความสามัคคีเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น ขยายผล เป็นผลรวมขึ้นมาจะเกิดจริงเลย ขณะนี้ยังเป็นการศึกษา ยังไม่ถึงขั้นขยายงาน ก็ทำต่อเถอะ จะเกิดพฤติกรรมวัฒนธรรมบุญนิยมขึ้นมาก คือ

 

วัฒนธรรมบุญนิยม (วัฒนธรรมที่ดี) มี 6 ประการ

1.ปัญญาที่ดี

2.ความพากเพียรบากบั่นที่ดี

3.มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบที่ดี

4.ผลที่ได้รับได้อาศัยที่ดี

5.ความพ้นทุกข์ที่ดี(อาริยสัจ)​

6.ความยั่งยืนนานที่ดี ยืนนานจนถึงเที่ยงแท้

 

มีปัญญาที่ดี มีความพากเพียรบากบั่นที่ดี มีผลได้อาศัยที่ดี ต่อเนื่องยาวนาน เป็นวัฒนธรรมบุญนิยมดี ไม่ต้องไปถล่มทุนนิยมสามานย์แต่จะไปแก้ไขปัญหาทุนนิยมสามานย์ได้ 

 

ในภาคปฏิบัติ มีศีลเด่น เป็นงาน การเป็นงานก็ทำกันแล้วไง ค่อยๆเป็นไป เรื่องวิชาการเราค่อยเรียบเรียงบันทึก จะเขียนวิชาการเป็น จะค่อยจัดหมวดหมู่ขึ้นมา ทั้งที่อาตมาไม่ได้เรื่องเลยในวิชาการ แต่พวกเราก็ทำ มีผู้รู้ผู้ชำนาญมาช่วยอีก อาตมาก็รู้รวมๆ

 

ก็เหมือนว่าจะเป็นตำราก็ไม่เป็น จะเป็นวิชาการก็ไม่เป็น อย่างหนังสือสรรค่าสร้างคนนี่ ก็เรียบเรียงจากของจริง ออกมาได้ มาให้พวกเราเรียน ก็ช่วยกันขยายผลการปฏิบัติ อาตมาว่าจะเป็นแหล่งแรกของโลกที่จะเกิดการศึกษาแบบใหม่ เป็นนวัตกรรมของโลกเลย อาตมาเห็นเช่นนั้นจริง จะว่าหลงก็แล้วแต่

 

ก็ขอย้ำ สรุปคร่าวๆว่าถูกต้อง จะไปจัดการกับทุนนิยมสามานย์ได้แน่ แต่เราไม่ต้องคาดเดา ไม่ไปทำลายเขา แต่มันจะเกิดเป็นไปตามสัจจะเอง มันกำลังสังเคราะห์สังขาร มีกระบวนการที่ศึกษาเอาจริง เพราะได้ถูกปล่อยปละละเลยไว้มาก เราก็มาทำจริง ให้ต่อเนื่องให้ได้ ถ้าเอาจริงก็ได้ผล แต่ถ้าเอาจริงแต่ไม่ต่อเนื่องก็ไม่ได้ผลมากขึ้นไม่ยั่งยืน

 

ยิ่งเห็นว่าพวกเราเข้าใจขึ้น และมีงานจริง ทำจริง ทดลองอย่างทำจริง หลายอันเขาทำจริงแล้วอย่างฐานงานต่างๆ ไม่ว่าฐานไหนๆ จะค่อยๆชัดเจนขึ้น จะมีการพัฒนาทั้งความรูและความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจบดร.แต่ไม่ได้ทำได้จริงเลย แต่เราทำจริงเรียนจริง เริ่มแรกก็ได้ขนาดนี้ ต่อไปเราจะมีทักษะเพิ่มอีกเยอะ เข้าเรื่องเข้าราวกว่านี้อีก จะลงตัว เข้าฝักกว่านี้


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:43:42 )

570805

รายละเอียด

570805_สรรค่าสร้างคน(6)วนบ. เรื่อง สรรค่าสร้างคนด้วยอำนาจธรรม

พ่อครูว่า...เราจะต้องมาเป็นคนที่ถูกสร้าง ด้วยค่าที่อาตมาว่าได้เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาคัดสรร สร้างคนให้เป็นคนแบบพระพุทธเจ้า เรียกว่าคนอาริยะหรือประเสริฐ เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ไม่มีโทษภัย เป็นคนมีคุณงามความดีขั้นอาริยะ ที่สูงกว่าความดีระดับปุถุชนที่ไม่เที่ยง ขึ้นๆลงๆ วนเวียนกลับไปมาได้

 

แต่คุณธรรมของพระพุทธเจ้าระดับอาริยะได้แล้วถึงขีดเที่ยง อย่างระดับโสดาบัน เมื่อได้ถึงขีด นิยตะ คือเที่ยงแล้วแน่นอนล้ว ก็ข้ามชาติไปได้เลย เมื่อไหร่ๆก็ได้แล้ว เป็นเฉพาะของตน มีเมื่อไหร่ชาติไหนๆก็ได้แล้ว ตั้งแต่สัตตขัตตุปรมโสดาบัน ซึ่งโสดาบัน ต้องทำสังโยชน์ 3 พ้นได้ ตั้งแต่จิตเข้ากระแส คือสามารถลดกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ รู้ตัวตนของมัน จับสักกายะได้ จนไม่สงสัยลังเลย แล้วกำจัดมันได้พ้นศีลพตปรามาส แล้วรักษาผล สัมมัปปธาน 4 ได้ สั่งสมตกผลึกเป็นอเนญชาภิสังขาร (ผ่านปุญญาภิสังขารเป็นอปุญญาภิสังขาร) มีอุเบกขาที่สูงขึ้นมีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา

 

พระพุทธเจ้าแบ่งโสดาบันเป็น 8 ลักษณะ

1.รู้ทุกข์

2.รู้สมุทัย

3.รู้นิโรธ

4.รู้มรรค

 

เมื่อได้แล้วผลจะเที่ยงแท้ ข้ามชาติ ชาติไหนๆก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่อาจมีลิงลมอมข้าวพอง

 

5. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) เทียบได้กับทำได้ 25%

2. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา) เทียบได้เท่ากับทำได้ 50% ครึ่งหนึ่งของผล ก็ต้องเพ่ิมสูงขึ้นอีก

3. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น) ประมาณได้เท่ากับ )75%

4. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า)

 

สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ที่ว่าเป็นโสดาบัน 7 ชาติ จะเป็นอรหันต์นั้นคือ เราพ้นสังโยชน์ 3 แล้ว เหลืออีก 7 สังโยชน์ที่จะต้องล้างอีก ล้างหมดก็เป็นอรหันต์

 

ได้แล้วได้เลยเที่ยงแท้ไม่กลับกำเริบ แต่อาจมีลิงลมอมข้าวพอง เช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น

อาตมานี่ถือว่านิยตะแล้ว เที่ยงแล้ว ตอนนี้มาอยู่ 36 ปีที่ 3 แล้ว ถ้าขึ้น 36 ปีที่ 4 ก็อีก 29 ปี

ที่เราทำนี่ไม่เรียกวิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิชชาศาสตร์ ของมหาวิชชาราม เป็นเคล็ดวิชชา ไม่ใช่วิทยา คือมีนัยสำคัญที่แตกต่างจากวิทยาความรู้ทั่วไป ก็ได้มา แม้จะถูกโลกครอบงำไปบ้างเป็นลิงลมอมข้าวพอง แต่ก็ไปกับโลกเขาไม่ได้เท่าไหร่ แล้วแต่วิบากด้วย อย่างองคุลิมาล ก็มีวิบากแรงต้องฆ่าคนเกือบพันคน เป็นอจินไตยที่เล่ายาก อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แล้วก็อย่าไปคิดว่าเราก็มีวิบากก็ทำเลวตามใจกิเลส อย่าทำนะ ตีกิน

 

คุณสมบัติของศาสนาพุทธนี่สร้างคนให้มารับใช้โลก อย่างถูกต้องเป็นจริง พูดถึงเรื่องการเมือง สังคม จะพูดถึง อำนาจ 5 อย่าง

                        อำนาจ 5 ในสังคมมนุษยโลก

 

                     (1) อำนาจ"ห้า"แบบไซร้              ในมนุษย์

                     หนึ่ง..เบ่งบังคับสุด                สะกดไว้

                     อำนาจรัฐ,อาวุธ                    อีก กฎ- หมายแฮ   

                     ใช้ข่มประชาให้                   อยู่ใต้การปกครอง

                     (2) สอง..เงินอำนาจแท้         ทุนนิยม

                     เงินฟาดทาสโง่งม                 ย่อมได้

                     "รัฐบาล"ผสานผสม               "เงิน"ยิ่ง โลดแล

                     เสือติดปีกห่อนใกล้                อำนาจไร้เทียมทาน

                     (3) สาม..งาน"สาระ"พร้อม    "วิทยะ"

                     เพิ่มอำนาจสมรรถนะ                    ที่แท้

                     ทั้งปราชญ ์เก่ง,ทั้งประ-          โยชน์เปี่ยม เยี่ยมเลย     

                     ได้อย่างนี้เลิศแล้                   แน่นเนื้อการเมือง         

                     (4) สี่..เฟื่องแถมมากด้วย       มวลคน

                     เป็นคะแนนเสียงชน              บ่งชี้

                     ประชาธิปไตยผล                  ยิ่งชัด แลนา

                     ระบอบนั้นอย่างนี้                 ที่ต้องการกัน

                     (5) จักสมฝันโลกได้              ต้องทำ                 

                     อำนาจ"ห้า"ต่างสำ-               เหนียกรู้

                     คืออำนาจแห่งธรรม              ประเสริฐสุด

                     อำนาจไหนจักสู้                   แข่งได้มีฤา           

                     (6) คืออำนาจ"ห้า"แน่           ดีสุด

                     ประเทศใดมีมนุษย์                สฤษฏ์ได้

                     ธรรมแม้ไม่โลกุตร์                 ก็เถอะ ทำเทอญ

                     ขอมนุษย์ชาตินั้นไซร้                   มั่นแท้ในธรรม

                     (7) ยิ่งสัมฤทธ์กว่านั้น           ได้นะ

                     ธรรมะสู่โลกุตระ                   วิเศษล้ำ

                     เข้าถึงแก่นอาริยะ                 ทวยราษฎร์ ถ้วนเฮย

                     อำนาจนี้แน่ค้ำ                     ชาติให้เจริญเสถียร.

       

 

                                         "สไมย์ จำปาแพง"               

                                                3 ก.ค. 2557

              [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 289 ประจำเดือน สิงหาคม 2557]                          

                  

       

ถ้ามีอำนาจธรรม อำนาจอื่นก็ไม่ต้องใช้ อำนาจเงินก็ไม่ต้องใช้ แต่ประโยชน์สาระคุณค่าต่างๆ ความสามารถสมรรถนะ ความเฉลียวฉลาดต่างๆก็นำมาใช้ให้เจริญพัฒนาได้ มีเงินก็เยอะ แต่ก็ไม่ใช้เพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อผู้อื่นประเทศไหนมีคุณสมบัติเช่นนี้ แบบคนจน ที่ในหลวงตรัส แบบขาดทุนคือกำไรหรือเศรษฐกิจพอเพียง ประเทศเราจะมีฐานะดี อยู่เย็นเป็นสุข ช่วยเหลือประเทศอื่น

 

แม้ทั้งประเทศจะเป็นสาธารณโภคีได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็จะมีระดับ ที่สานกับเป็นเครือแห แม้แต่ในอโศกเราก็มีสานกันเป็นเครือแห เสริมกันไปได้เรื่อยๆ คนเอามาทำทาน บริจาคให้เราเราก็ไม่โฆษณาให้ไม่สรรเสริญยกยอ ไม่ต้องพูดถึงส่ิงแลกเปลี่ยนอามิสใดๆ ไม่ให้ลาภยศสรรเสริญสักการะ คนมีคุณธรรมถูกสรรค่าสร้างคนให้เป็นอาริยะเช่นนี้ประเสริฐจริงๆ อาตมาจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อให้ประเทศไทยได้สมหวัง

 

นามธรรมต่างๆพวกนี้ลึกซึ้ง โลกุตรธรรมเป็นนามธรรมที่ซับซ้อนลึกซึ้ง เป็นอาริยะ ที่คนเขาตะกุยตะกายหาในโลก แต่เขาไม่รู้ อาตมาว่านี่คืออาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เมืองไทยเป็นพุทธ 95% มีคนเรียนมากกว่าอาตมา เขาก็ยังตีอาตมาทิ้งเลย มันไม่ง่าย แต่อาตมาไม่มีคำว่าท้อ ใครจะช่วยอาตมาบ้าง

 

ถ้าอาตมาอายุเกินรอบที่ 4 เลย 108 ปีค่อยว่าแก่ นี่เพ่ิงจะเลยครึ่งคนมาน้อยเดียว

 

คุณค่าของคนอาริยะที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันซับซ้อนลึกซึ้ง แล้วใจจริงเราฝืนหรือไม่ก็รู้ ซาบซึ้งใจ อย่างไรจะเป็นจริงเลยในมนุษยชาติ แล้วมันเป็นได้ มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ต้องรู้ตัวเอง

 

มหาอำนาจของโลกปัจจุบันไม่ใช่มหาอำนาจแท้ แต่มหาอำนาจทางธรรมไม่ต้องใหญ่ อย่างอังกฤษไม่ใช่ประเทศใหญ่ แต่ก็ล่าอาณานิคม แต่อังกฤษก็มีคุณธรรมมากกว่าอเมริกา พวกเราพอมองกันออกว่า ใครดีเนียนกว่า แล้วประชาธิปไตยสองขา เหนือชั้นกว่าประชาธิปไตยขาเดียว

 

ยกตัวอย่างอเมริกา เป็นประชาธิปไตยขาเดียว เขาคิดว่าต้องเสมอภาค ไม่มีศักดินา เขาก็ได้ของเขา อาตมาว่าประชาธิปไตยสองขาที่มีทั้งวัตถุและจิต เขาไม่มี เขาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นmaterialism วัตถุนิยม ไม่ลงลึกถึงจิตวิญญาณ แต่พวกเราจะศึกษารู้ทั้งวัตถุและจิต ไม่หลงเป็นทาสทั้งวัตถุและจิต จะมีปัญญารู้คุณธรรมวิเศษ

 

ชื่อบทของกวีเราคิดอะไร? คือ “อำนาจที่โลกใช้-อำนาจที่ธรรมใช้”

 

                             อำนาจที่โลกใช้ อำนาจที่ธรรมใช้

 

                     (1) อำนาจที่โลกใช้              ในมนุษย์

                     เบ่งสุดบังคับสุด                    ยิ่งไว้

                     ด้วยอำนาจทุกยุทธ               แห่งเผด็จ- การแฮ  

                     มุนุษย์บ่ชอบยิ่งใช้                อำนาจนี้ปกครอง

 

                     (2) หากลองใครได้อำนาจ            นี้มา

                     เชื่อเถิดยากหนักหนา                   จักทิ้ง

                     มีแต่คิดค้นหา                      เชิงหลอก ประชาแล

                     ให้เชื่อในอำนาจนิ้ง(พริ้ง)             ไป่แม้นเผด็จการ    

 

                     (3) งานแห่งกิเลสนั้น            สุดฉลาด

                     ลวงมนุษย์เพิ่มอำนาจ                   ซับซ้อน

                     โดยใช้โลกธรรมฟาด                   หัวมนุษย์ แลนา     

                     มนุษย์สยบกลับมาอ้อน          คลั่งไคล้เผด็จการ

               

                     (4) บ่นานเลยชาตินี้                     ไทยเห็น

                     มีเผด็จการเป็น                     เยี่ยงพร้อง

                     ไทยลำบากยากเข็ญ                     เพิ่งผ่าน มาเฮย

                     เข็ดหลาบซาบซึ้งต้อง                   ช่วยแก้กันเทอญ

 

                     (5) เชิญชวนถ้วนทุกผู้           คนไทย                

                     ร่วมฝึกอำนาจใน                  จิตแท้           

                     สร้างโลกุตระไข                   รหัสโลก ดูรา        

                     อำนาจไหนจักแก้                 กิเลสได้มีฤา   

       

                     (6) คือกิเลสนั่นแหละแท้        ในคน

                     เหี้ยมโหดเลือดเย็นจน                  ยากรู้

                     มันซุกซ่อนแม้ตน                  ยังหลอก ตนเลย

                     อวิชชาพาทุกผู้                           พ่ายแพ้กิเลสมัน

 

                     (7) ใฝ่ธรรม์กันเถิดถ้วน         ทุกคน

                     ฝึกหยั่งรู้กิเลสจน                  กำจัดได้

                     ความเห็นแก่ตัวตน                ลดแน่

                     อำนาจนี้หากใช้                   ช่วยแท้เจริญเสถียร.

       

 

                                         "สไมย์ จำปาแพง"               

                                                4 ส.ค. 2557

              [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 290 ประจำเดือน กันยายน 2557]                          

 

ย่ิงมีธรรมะสูง ก็ไม่ต้องใช้อำนาจโลก คนจะเทิดทูนยกให้ เพราะสุดยอดแล้ว ยกให้ เชื่อเพราะเป็นภูมิปัญญา เชื่อเพราะจริงใจ เชื่อเพราะทำให้จริงยั่งยืนถาวรสถิตเสถียร พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร? ท่านศึกษาความเป็นมนุษย์กับสังคม ท่านทำได้แล้วเอาความรู้มาให้มนุษย์ฝึกตาม แต่ 2500 กว่าปีแล้ว มันเสื่อมไปมาก อาตมาต้องเอามาประกาศมาว่าใหม่ จนปัจจุบันคนยังไม่เชื่อเลย ก็มีแต่พวกคุณนี่แหละ เขาหาว่ามาให้โพธิรักษ์หลอกอยู่ได้ อนันต์ เสนาขันธ์ บอกว่าพวกนี้ให้กล้วยหวีเดียว ใช้ทำงานทั้งวัน หลอกใช้กัน

 

อาตมาว่าไม่ได้หลอกล่อ อาตมามาเปิดเผยสัจธรรม พวกคุณมาเอาได้เลย เป็นอิสรเสรีภาพ เป็นคนเช่นนี้ รวมกันเป็นมวลแบบนี้ สังคมอโศกไม่รวย อย่างในหลวงตรัส เราจน แต่มีอยู่มีกิน แต่ช่วยผู้อื่นตลอด เพราะช่วยคนอื่นตลอดเราจึงจน เราไม่สะสม เรามีทรัพย์คือความรู้ความสามารถและความขยัน เราทำกินทำใช้เหลือ ยิ่งเรามักน้อยลดละสันโดษเราไม่เปลือง จะเป็นเศรษฐศาสตร์บทยิ่งใหญ่

 

โลกุตระนี่ล้างอนุสัยของจิตได้ แต่ทางโลกเขาเข้าไม่ถึงปรมัตถ์ เป็นเพียงความรู้พิเศษที่เป็นพรสวรรค์ติดตัวมาบ้าง แต่ก็เปลี่ยนแปลง ลืมไปบ้าง แต่โลกุตระนั้นไม่เปลี่ยน เพราะถอนรากถอนโคนอนุสัย เข้าไปแทนที่อนุสัยเลย และส่ิงที่แทนที่นี่เป็นสิ่งประเสริฐ คนเราหากมีส่ิงไม่ดีในตัวก็อยากเอาออกทั้งนั้น ส่วนสิ่งดีก็จะเอาไว้ ยิ่งสิ่งประเสริฐขนาดนี้เป็นอาริยธรรมก็ต้องเอาไว้ แม้อรหันตผลก็ไม่ยึดมั่น เป็นความซับซ้อนที่วิเศษของศาสนาพุทธ

 

วันนี้อธิบายการสรรค่าสร้างคน เป็นทฤษฎีพระพุทธเจ้าจะได้คนวิเศษ เป็นอาริยะที่โลกโหยหาไขว่คว้าอยากได้ เราก็ต้องพยายามสร้างตนเอง เป็นมิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีให้ได้เรื่อยๆ
 

คำถาม

 

ช่วงแรกของการประกาศธรรมะพระพุทธเจ้า ทำไมยังไม่เกิดปัญจวัคคีย์ ...ตอบ..ตามฐานะ ฐานะอาตมาไปเทียบรุ่นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ก็ได้ตามฐานานุฐานะ เทียบรุ่นไม่ได้

 

ระหว่างอยู่วัดแล้วฝืนใจ กับอยู่บ้านแล้วได้ตามใจแต่ผิดศีล 5 ...เคยถามหลวงปู่ ...หลวงปู่ตอบว่า ถ้ารู้ว่าอยู่วัดแล้วดีก็อยู่ต่อไป ตอนนี้อยู่มาได้ 5 ปีแล้ว  และถ้ารู้ว่าดีแล้วไม่ทำก็คือยังโง่อยู่

 

ถามว่า คนที่พูดได้แต่ทำไม่ได้ กับคนที่ทำได้แต่พูดไม่เป็น คนไหนเป็นเจโต คนไหนเป็นปัญญา  ตอบ...คนที่มีปัญญาจะทำได้ทั้งนอกและใน ตามวิโมกข์ 8 ซึ่งหลักธรรมนี้ไม่มีในศาสนาอื่น ...คุณสมบัติของฌาน อย่างข้อ 1 ฌานต้องรู้รูป นาม อย่างสัมผัสจริง ที่เกีียวกับมหาภูตรูปด้วย เห็นข้างนอกเป็นปกติ จึงเรียกปัญญาเต็ม การทำนั่งหลับตาสมาธิ ต่อให้ปฏิบัติจนอาสวะบางอย่างสิ้นไปได้ เพราะเห็นด้วยปัญญาด้วยนะ

 

สายเจโต จึงเป็นลักษณะของสายศรัทธานุสารี ส่วนสายปัญญานั้นมาตั้งแต่ธัมมานุสารี

 

ธัมมานุสารี พอบรรลุโสดาบันเป็นทิฏฐิปัฏฏะ เข้าถึงสัมมาทิฏฐิ จึงไม่จำเป็นต้องถูกบังคับว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์8 เพราะมีวิโมข์อยู่แล้ว ทำทั้งนอกและในอยู่แล้ว พอล่วงไปถึง ปัญญาวิมุติ จึงเป็นผู้ที่อาสวะทุกอย่างสิ้นแล้ว เห็นด้วยปัญญา เหมือนกัน อย่างอุภโตภาควิมุติ ที่หลุดพ้นด้วยปัญญาและเจโตวิมุติ

 

ปัญญาคือต้องรู้ความจริงของความเป็นคน ไม่ใช่อยู่ในภพ เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ แต่คนนี่มีองค์ประกอบสัมผัสข้างนอกหมดรู้ เมื่อเห็นครบก็เป็นปัญญา สายปัญญาจะเข้าใจมีสัมมาทิฏฐิ  แต่สายเจโตจะถนัดนั่งหลับตา จะมีวิโมกข์ 8 ก็ไม่สมบูรณ์  จะต้องมารู้จักกายวิญญาณ รู้จัก 3 สังขาร คือจิตสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร ให้ครบ

 

คนรู้ลมหายใจเข้าออกได้ตลอดนี่สุดยอดไหม?....ตอบ...ไม่สุดยอด ก็เพราะคุณฝึกให้อยู่กับกสิณตลอดก็ได้แค่นั้น แต่ของพุทธนี่ รู้ทั้งภายในและภายนอก คนชำนาญแต่ดูลมหายใจนี่ตายง่ายเลยนะ โดนรถชนตายเลยได้

 

ลักษณะไม่ได้รู้ตัวอะไรเท่าไหร่แต่พอกระทบอะไรก็สามารถปรับได้เร็ว เหมือนเหยียดแขนออกรู้แขนเข้า ลักษณะนี้ถือว่าพอถึงสุดยอดได้ไหมครับ...ตอบ...ได้ เทียบ แต่ถ้าสมบูรณ์แล้วได้ทันทีไม่ต้องเหยียดแขนเข้าหรือออก ของพุทธไม่เข้าไม่ออกได้แล้วได้เลย

 

บุญและกุศลต้องไปด้วยกันไหม?...ตอบ...แต่ถ้าคุณอยู่คนเดียว ทำกิจส่วนตัว ไม่ได้ทำเผื่อใครเลย ไม่ว่าจะทำอะไรแต่ก็ทำบุญของตนก็ได้เฉพาะบุญไม่ได้กุศลอะไรเลย  อรหันต์ของพุทธจะทำประโยชน์ตน_ท่านแต่ต้นเลย ก็แน่นอนเป็นหรหันต์แล้ว ย่อมมีประโยชน์ตน_ท่านได้แน่

ก็ดีแล้วที่


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:47:40 )

570806

รายละเอียด

570806_พุทธชีวศิลป์(6) วนบ. เรื่อง ดับอะไรในปฏิจจสมุปบาท

มาพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาทกันต่อ

 

มันมีอวิชชา เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย ต้นหมากรากไม้ไม่รู้เรื่องอวิชชา ส่วนเดรัจฉานนั้นก็พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก อวิชชา

 

สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย สังขารนั้นมีวิญญาณอยู่ในนั้น คำว่า วิญญาณ, จิต, มโน มีความหมายอย่างไร? จะได้เรียนรู้ภาวะสัจจะเหล่านี้ ถ้าผู้ที่มีสังขารอยู่ แล้วไม่เข้าใจเรื่องวิญญาณว่าอยู่ในสังขารมันปรุ่งแต่งในกายสังขาร ถ้ามันปรุงแต่งท่านเรียกจิตสังขารไม่เรียกมโนสังขารหรือวิญญาณสังขาร

 

คนอวิชชาก็ไม่รู้เรื่องสังขารไม่ว่าจะกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร คำว่า จิตสังขารต่างจากมโนกรรมอย่างไร? คำว่ากายสังขารต่างจากกายกรรมอย่างไร? คำว่าวจีสังขารต่างจากวจีกรรมอย่างไร?

 

กายวิญญาณคือธาตุวิญญาณที่อยู่ในกายสังขาร ซึ่งกายสังขารขาดวิญญาณไม่ได้ แต่กายวิญญาณนั้นมีแนวโน้มเข้าหาภายใน ผู้ใดพิจารณาแต่จิตสังขาร ก็โน้มมาทางกายวิญญาณ แม้แต่วจีสังขาร ก็โน้มมาหาจิต คนไม่รู้กาย ไม่รู้สังขาร ก็แยกกรรมไม่ออก

 

กรรมคือองค์รวมที่สำเร็จแล้วที่มาตามหลังสังขาร ...สังขารเกิดก่อนกรรม อย่างวจีสังขารกับวจีกรรม เป็นต้น

 

วจีสังขารเป็นธาตุนามธรรมที่ยังไม่ออกมาเป็นกรรม คนจะรู้สังขารตัวแรกที่มีอวิชชาเป็นปัจจัย คนจะรู้จักสังขารชัดเจนไหม? ก็พยายามหาทางพูดเรื่องวจีกรรมกับวจีสังขาร เขาจะพูดไม่ค่อยตรงกับสภาวะ ว่าที่ยังไม่ออกมาเป็นวจีกรรมนี่เขาไม่ชัด จะตอบยาก

 

ที่อาตมาเอาที่ภิกษุณีธัมมทินนาอธิบายให้อุบาสกวิสาขะนั้นเรื่องการเข้าหรือออกนิโรธ

 

นิโรธของพุทธนั้น มันเกิดดับทันที เกิดนิโรธอวิชชาก็ดับทันทีไม่มีอะไรคั่นไว้ สัญญาเวทยิตนิโรธกำหนดรู้ทันที จะต่างกับนิโรธฤาษีอสัญญีที่ดับหมด เขาจมในความดับสะกดจิตไม่ให้รับรู้ แต่ไม่ดับอกุศลจิต สิ่งที่เป็นสังขารปรุงแต่งเป็นตัวผีร้ายซ้อนในนั้น จึงเรียกว่าสสังขาริกัง มีตัวชักนำ ก็คือกิเลส พอเราดับได้ก็เป็น อสังขาริกังไม่มีตัวนำเกิด

 

ผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วรู้ทันวจีสังขาร แม้ไม่รู้ทั้งหมด เราไม่รู้กระบวนการตั้งแต่ตักกะ มาวิตักกะ...เรื่อยมา จนเป็นวจีสังขารแล้ว  แม้เราจะไล่ละเอียดเป็นหนังช้าขนาดไหนไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราพอจะประมาณได้สำหรับผู้มีสัมมาทิฏฐิที่อ่านจิตเจตสิกตน ว่าตอนนี้เรารู้ทันว่าจะพูดแต่ไม่พูด เราดักทัน แต่คนไม่เคยปฏิบัติธรรมก็เคยทำมาทั้งนั้น ที่ไม่ได้พูดเป็นวจีกรรม แต่พูดในใจนี่แหละคือวจีสังขารแล้ว คนไทยก็เป็นภาษาไทย

 

ไล่ปฏิจจสมุปบาทมาจากข้อ 16 ล.16

[16] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร 3 เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียก

ว่าสังขาร ฯ

[17] ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้

ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์นี้เรียกว่าอวิชชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

       

[18] ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึง ดับ เพราะสังขาร

ดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

                          จบสูตรที่ 2

 

ผู้ผ่านภูมิเนวสัญญานาสัญญายตน(ฌาน,ภพ,ภูมิ,สัตว์) เป็นผู้ใกล้จบกิจแล้ว เป็นอวิชชาสุดท้ายที่ติดเป็นติ่งอยู่ ถ้าพ้นเนวสัญญาฯ ก็คือไม่มีไม่รู้อะไรอีกแล้ว ในเรื่องกิเลส ไม่มีเศษส่วนเหลืออีกเลย ดับได้หมด จึงเห็นนิโรธโดยสัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ (สัญญาเวทยิต)

 

ตรวจสองเวทนา 108 ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เราก็สูญ มั่นใจว่าเที่ยงแท้แน่นอนสมบูรณ์แบบจริงๆ ก็พ้นอวิชชาสวะ หมดสิ้นอาสวะทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็คือพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ(หรือฌาน,ภพ,ภูมิ,สัญญา) ก็ได้

 

จิตเราคือสัญญาของเรานี่แหละทำการตรวจอ่านตรวจแล้วตรวจอีก ในปัจจุบันขณะที่มีกายสังขารเต็ม แล้วปฏิบัติปุญญาภิสังขารให้เต็มบริบูรณ์ ก็จะเป็นอปุญญาภิสังขาร คือไม่ต้องชำระอีกแล้ว มีแต่ต้องตรวจสอบๆ จะบอกว่าชำระก็ชำระธุลีสุดท้ายจนไม่มีอะไรเกิดอีก สั่งสมรักษาผล ให้เป็นอดีตๆๆ ให้ตกผลึกความเป็นจริงสมบูรณ์บริบูรณ์ จนมั่นใจว่าเอ็งเป็นของแท้ เป็นDNA ตัวแท้ต้นตระกูลอาริยะที่ไม่กับกำเริบแล้ว นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

เราจะเข้าใจ ว่าพ้นอวิชชาก็จะรู้จริง มันเป็นเช่นนี้ เรียกว่า ตถตา  เป็นอัตโนมัติ สำเร็จตัวของมันเองอยู่อย่างนี้ถาวร ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ สำเร็จอิริยาบถอยู่

 

[40] บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่  ทั้งอาสวะของผู้นั้น  ก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า  “อุภโตภาค-วิมุต”

กตโม  จ  ปุคฺคโล   อุภโตภาควิมุตฺโต  อิเธกจฺโจ   ปุคฺคโล อฏฺฐ  วิโมกฺเข  กาเยน  ผุสิตฺวา  วิหรติ  ปญญาย  จสฺส  ทิสฺวา อาสวาปริกฺขีณา โหนฺติ อย วุจฺจติ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุตฺโต ฯ

 

เห็นสำคัญคืออาสวะมันดับสิ้นไปแล้วอยู่ มันดับอยู่ในปัจจุบัน (โหนติแปลว่ามี)นี่แหละคือความมีของพระโยคาวจร มีสภาวะความดับ มีสภาวะความไม่มี (มีความไม่มี) เป็นเศรษฐีเงินถังแต่ว่าสตังค์ไม่มี

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ

มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ

มีในโลก ย่อมไม่มี

 

ผู้มีสภาวะจริงจะอ่านนาม รูป ออก ,รูปคือสิ่งที่ถูกนามรู้ นามคือตัวที่ไปรู้รูป ไม่เหมือนพวกนั่งสมาธิหลับตาที่ไปเห็นสัตว์นรก เทวดาเป็นตัวตนรูปร่าง เขาไม่ได้พิจารณาเห็นอาการ อารมณ์ เห็นจิต เจตสิก แยกออกเป็นกุศลหรืออกุศล

 

นาม_รูป เห็นได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส  คำว่านิมิต คือกำหนดรู้ ทำเครื่องหมายไว้ว่าอย่างนี้คืออาการของผี จะเป็นผีเปรต ผีเขี้ยโง้ง มันไม่มีรูปร่าง แต่อาการเหล่านั้นคุณก็กำหนดหมาย นิมิตเอง จะเองรู้เอง เป็นของตน เรียกว่า เอโก 

 

ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 มีว่า อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ คือสัมผัสรู้เห็นของตนเอง ทั้งภายในและภายนอกต่อเนื่องกันตลอดเวลา  เขาอธิบายไม่เหมือนอาตมาก็ไม่ต้องเถีียงกัน เราพิสูจน์ว่าอันไหนพาเจริญพาบรรลุ อาตมาว่าอย่างนี้พาบรรลุ อย่างเขาอาตมาว่าไม่พาบรรลุ อาตมารู้

 

เราจะเห็นความดับ ซึ่งสังขารที่ดับนั้นไม่ได้ดับหมดเหมือนอวิชชา ที่เราจะต้องดับไปหมด สิ้นอวิชชาสวะ แต่ว่าสังขารนี้จะดับแต่ตัวเหตุที่มาปรุงแต่งกับเรา เราฆ่าตัวนี้ เราไม่ได้ฆ่าหรือดับสังขาร พระอาริยะที่ผ่านแล้ว หมดกิเลสในตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มาตรวจสอบในอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นวจีสังขารที่สะอาด

 

พระพุทธเจ้าว่า เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ ,สังขารดับวิญญาณก็ดับ...ไปเรื่อยในในปฏิจจสมุปบาท คนไม่เข้าใจก็ไปดับสังขาร เป็นอสัญญีเลย อาตมาก็ว่าอย่างนั้นก็ไปถามเขา ถ้าคุณดับหมด อวิชชาดับ สังขาร วิญญาณก็ดับไปหมด แล้ววิญญาณมันตายหรืออยู่กับคุณ ...มันก็อยู่กับคุณ ไหนว่าดับไง?...เขาก็งง แต่แบบพุทธจะไม่งงเลย เรามีสังขารสะอาดอยู่ วิญญาณก็สะอาด ทำงานอยู่เลย มีอุเบกขาในเวทนา นามรูปก็มีสะอาด สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ก็สะอาดบริสุทธิ์ อุเบกขา ตัณหาก็เป็นวิภวตัณหา อุปาทานก็เป็นสมาทาน ภพก็เป็นวิภวภพ ชาติก็เป็นอภินิพพัตติ

 

ลักษณะธรรมะพิเศษ ระดับปรมัตถ์จริงแท้

1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.   สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5.   ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.   อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7. นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)

 

แต่ก่อนเราสัมผัสอันนี้เราก็มีเทวดาหลอก หรือผีหลอก มันน้อยหรือมากก็ยังมีอยู่เราก็เห็น จนมันไม่มีเราก็รู้ว่านี่คือนิโรธ ดับเช่นนี้ แม้เราสังขารปรุงแต่งอยู่ก็สักแต่ว่าปรุงแต่งอยู่ เราก็รู้ตามสมมุติว่าหอมเหม็น หนักเบา ปรุงตามเขาเข้าใจตามเขาได้เขาว่าอย่างไรเราก็เข้าใจได้ อีสานได้กลิ่นปลาแดกก็หอมอย่างนี้ ทางภาคกลางได้กลิ่นก็ว่าเหม็นอย่างนี้ ก็ดมปลาแดกชิ้นเดียวกัน หรือให้ฝรั่งดมทุเรียนก็ว่าเหม็น แต่คนไทยบอกว่าคนนี้โง่ เหมือนเทวดาบอกว่าหนอนโง่นอนอยู่กับกองขี้โง่ชะมัด แต่หนอนบอกว่าไม่รู้อะไรซะแล้วนี่คือกองทองนะ เราก็รู้เรารู้เขายิ่งกว่าซุนวู ,ซุนวูว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...

 

เมื่อ อวิชชาดับ เราก็จะรู้ว่าสังขารอะไรที่ดับ วิญญาณอะไรที่ดับ ไม่ใช่ดับไปหมดเลย แล้วภพชาติ นั้นถ้าคุณไม่มีขันธ์ 5 ก็ยังมีอยู่ แม้แต่ชรา มรณะ ก็ยังอยู่ แต่โศกะปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ นั้นดับไปหมด

 

ตัณหาก็ยังไม่หมด เป็นวิภวตัณหา คนที่ไม่รู้เรื่องก็ว่าต้องดับตัณหาให้หมด เราไปพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าว่าไม่เถียงหรอก ความเห็นของเราก็เป็นของเรา ความเห็นของเธอก็เป็นของเธอ ระวังคนที่มีอัตตามากๆ ก็อย่าเอาอันนี้ไปใช้นะ พอไปเจอสัตบุรุษก็เลยไม่รับฟัง เอาของพระพุทธเจ้าอันนี้ไปใช้เลย ไม่โกรธเขาเลย แต่อัตตามันหลอกเรา

 

เวทนาก็ไม่ดับ ตัณหาก็ไม่ดับ แต่อุปาทานนี้หมดไป แต่ก็ยังยึด แต่อุปาทานในขันธ์ 5 นั้นหมด แต่อาศัยขันธ์5 อาศัยเรียกว่า “สมาทาน” แปลว่า ยึดอย่างผู้สงบ คือผู้มี สมะ แล้ว ส่วนผู้อุปาทานอยู่คือผู้ไม่สมบูรณ์ สมาทานคือยังอาศัยทำงานที่เป็นประโยชน์คุณค่า นี่คือสุดท้าย

 

ส่วนภพก็มีอยู่ อาศัยชาติอยู่ก็ยังเกิด แต่การเกิดนี้รู้ชาติแล้ว ทางเถรวาทนั้นบอกว่าอรหันต์ตายแล้วสูญเลย แต่อาตมาพูดนี่เขาก็ไม่แย้งนะ ว่าอรหันต์ตายเกิดใหม่ได้อีก

 

การตายที่แท้จริงคือกิเลสตายไม่เกิด ชาติไหนๆก็ไม่เกิดกิเลสอีก มันชัดเจน แต่สิ่งที่อาศัยอยู่ ท่านเรียกว่า อาลยวิญญาณ วิญญาณที่อาศัยอยู่ยังมี จะเกิดอีกกี่ชาติๆ แบบพระอวโลกิเตศวรก็ได้

 

ปฏิจจสมุปบาทนั้นเมื่อบรรลุแล้ว  มีแต่หัว คืออวิชชา และหางคือ โศกะ ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ตายหมด ส่วนกลางนั้นยังอยู่หมดเลย

 

พอได้นิโรธแล้ว (อาจบอกว่าออกจากนิโรธ) นั้นจิตสังขารเกิดก่อน (คือองค์รวมของจิตในจิตเกิดก่อน) รวมทั้งหมดในจิตแล้วจึงมาข้างนอก เป็น กายสังขาร เป็นองค์รวมใหญ่ อยู่ตรงกลางตลอดเวลา แล้วค่อยมาเป็นวจีสังขาร

 

สม.ผาแก้ว...เวลาไปบิณฑบาต เจอหมา มันก็เกิดกลัว หันรีหันขวาง เตรียมฝาบาตรไว้เลยคอยเคาะหัวหมา ใจก็คิดว่าจะทำอย่างไรดีเป็นวจีสังขารมา...อันนี้วางยาก กลัวเจ็บ สุดท้ายมันก็แค่เจ็บ ถ้าเลยเจ็บก็เป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้วก็ตาย พอใจมันยอมเจ็บยอมตายก็วางได้

 

รวยเป็นสุญญตา คือเรารวยจนไม่ต้องรวย ไ่ม่มีจนไม่มีรวย เรารวยตนเต็มแล้วก็คือสูญ ถ้าขึ้นอีกมันก็ไม่เต็ม ถ้าเต็ม 10 แล้วก็คือสูญ ถ้าจะต่อก็เป็น 11 จนไปถึง 20 ก็เป็นสองศูนย์แล้ว รวยนี่คือมี สุญญตาคือไม่มี เรามีในความไม่มี เราไม่มีนี่แหละคือสูงสุดที่เรามี

 

หนึ่งดาวถาม...ในเรื่องการกิน สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายเป็นอย่างไร? ตอบ.....สิ่งที่เราชอบที่เราจะกินอย่างก๋วยเตี๋ยวร้อนๆตรงสเปค เป็นมหาภูตรูป เราก็สัมผัสด้วยกาย พิจารณาจนเราลดกิเลสได้ มันเป็นภาระ เราไม่ได้ก็ฮึดฮัดฟัดเหวี่ยง แต่ว่าเราได้ก็สมกิเลส เรากินอย่างอื่นก็ได้สารอาหารเท่ากัน ดีไม่ดีมากกว่าด้วยนะ แต่ว่าก๋วยเตี๋ยวเส้นข้าวกล้องอาจไม่ตรงสเปคแต่ก็สารอาหารดีกว่า ก็พิจารณาในขณะสัมผัสอยู่ มีจิตที่ปรุงแต่งเป็นองค์ประชุมคือกาย วิโมกข์ 8 คือสัมผัสทั้งภายนอกอยู่ก็กำหนดรู้ ทั้งภายในเราก็กำหนดรู้ เห็นจิตเรา เราลดลง สัมผัสภายนอกเราก็ไม่เกิดอาการ ไม่ทุกข์ไม่สุขกับข้างนอกแล้ว แต่ภายในยังมีอยู่ ไม่ได้ฝืนมาก เราก็เจริญ แม้ขณะที่พูดข้างนอกเราก็สัมผัสกายอยู่ แต่ถ้าไม่ได้พิจารณาจิตก็ไม่รู้เรื่อง ต้องให้สัมผัสอาการกิเลสจริงๆ แม้แต่ว่าแม่ครัวปรุงมาวันนี้ไม่ตรงสเปคเลยก็อ่านเป็นโจทย์ได้


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:48:33 )

570807

รายละเอียด

570807_ความรัก 10 มิติ(3) วนบ. มิติที่ 1(ท้าย)

ให้มันชัดเจนในมิติที่ 1 ให้ผ่านได้ก็จะเข้าใจมิติอื่น ๆ มิติที่ 1 นี่มันกินใจและก็แรง ส่วนมิติต่อไปก็มีคุณธรรมเพ่ิมขึ้นตามลำดับ ง่ายขึ้นสะดวกมีคุณค่าเพ่ิมขึ้น เราก็ต้องมาพูดถึงตัวร้าย มิติที่ 1 กามนิยม

 

มิติที่ 8 เป็นโลกุตระ แต่มิติที่ 1 ถึง 7 ก็เป็นโลกียะ แต่มีคุณธรรมเพิ่มขึ้นๆ แต่โลกียะนั้นไม่ได้เรียนเป็นขั้นตอนมีที่จบชัดเจนเหมือนพุทธ คุณธรรมของเขาจึงซ้อนกันไปมา วนไปวนมาอยู่ ไม่ชัดเจน

 

ส่วนของพุทธชัดเจนในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าศึกษานานมาก และเป็นปรมัตถธรรม คือลักษณะที่มีญาณปัญญาอ่านรู้จิตตนเองได้ อ่านจิตตนเองเป็น นี่คือประเด็นหลักของปรมัตถธรรม คือสภาพของจิตเจตสิก ที่ทรงไว้เป็นขั้นสูง เลยโลกียะ เป็นคำบอกลักษณะที่เต็มกว่าโลกียะ ส่วนปรมัตถธรรมนั้นระบุไปเลยว่า เป็นปรมัตถ์ อยู่ที่ จิต เจตสิก ธรรมะอยู่ที่อื่นไม่ได้ไปอยู่ที่ดิน น้ำ ไฟ ลมไม่ได้ และธรรมะจะบงการแสดงออกทาง กาย วาจาทั้งหมด

 

และในปรมัตถ์ คือเป็นปรมะ(บรม) เป็นความยิ่งใหญ่ เลิศยอดสุดๆ มีอัตถะ คือมีเนื้อหา แก่น สาระ สำคัญ คนควรได้ควรมีควรเป็น เพราะเป็นประโยชน์ยิ่ง มนุษย์ถ้าได้ส่ิงนี้คือกำไร หากไปหลงโลกีย์คือขาดทุน จะแปลอัตถะว่ากำไรก็ควรเป็นโลกุตระ

 

คำว่า สัจจะ แปลว่า ความจริง ซึ่งกว้างกว่าธรรมะ มีทั้งปรมัตถะและสมมุติสัจจะ แล้วแต่จะยึดถือกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัจจะนั้นไม่มีอะไรเอาแน่นอนหรอก แต่สมมุติสัจจะต้องมีส่ิงที่ถูกต้องอันเดียว ต้องตัดสิน แม้แต่ปรมัตถสัจจะก็ต้องตัดสินเอาอันใดอันหนึ่งเป็นที่สุด แต่ถ้าเอาตัวมันเองก็ไม่มี มันคือการกำหนดหมายเอา 1 คนก็ของ 1คน , 2 คนก็เอาของ 2 คน , 3 คนก็ต้องเอาของ 3 คน หากขัดแย้งก็ตีกัน หรือเอามวลที่มากกว่าชนะ จะทะเลาะกัน ตีกัน ว่าของฉันชนะ ของฉันถูก ก็อยู่ที่การกำหนด สัญญาย นิจจา นิ

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นปรมัตถธรรมที่สูงส่ง เถียงไม่ได้ ท่านกลั่นเอามาที่ดีที่สุด แม้โลกียะเขาเข้าไม่ถึงหรอก ไม่รู้ความจริงอันสุดยอดของนามธรรมที่เขาเข้าไม่ถึงก็ตาม มันละเอียดขนาดนั้น ชาวโลกไม่ละเอียดขนาดนั้นก็เถียงตามที่เขายึดถือ แต่พระพุทธเจ้าหรือผู้รู้จะไปเถียงทำไม เพราะเขาไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เหมือนเอาแหวนเพชรพลอยเถียงกับไก่ว่าอันนี้ดีกว่าข้าเปลือก เถียงอย่างไรไก่มันก็ไม่รู้เรื่อง ว่าเพชรนี่อะไร มันจะดีกว่าข้าวเปลือกได้อย่างไหร ไก่มันไม่รู้เรื่อง เราอย่าไปเถียงกับคนไม่รู้เลย รู้ว่าเขาไม่รู้ก็ช่วยเขาอนุโลมเขา หากอนุโลมไม่ได้ก็อย่าไปยุ่ง เราเข้าใจก็จะอยู่กับโลกเขาได้สบาไม่ทะเลาะกัน

 

มาสู่ความรัก 10 มิติ เล่มเดิม หน้า 11 แล้ว

 

ความรักเป็นการขาดทุน สุดท้ายก็ต้องมีลูก มีเรื่องจับจ่ายเพื่อลูกเท่าไหร่ กว่าจะส่งเสียให้โต ให้เรียนจนจบมีงายทำพึ่งตัวเองได้ต้องใช้ทุนเท่าไหร่? เดี๋ยวนี้เขาโฆษณากันว่าลูกมาก ยากจน มีลูกถี่หนี้ย่ิงหลาย ก็จริงทำไมเขาเพ่ิงมารู้ก็ไม่รู้

 

จริงยิ่งกว่านี้คือผู้เป็นเพียงทาสเมถุนนิยม จนโงหัวไม่ขึ้น จะยากจนยิ่งกว่า ยิ่งกว่ามีลูกอีก เพราะรักลูกยังมีคุณธรรม สูงกว่ารักเมถุน ถ้ารักเมถุนมาก ยิ่งดำกฤษณา มืดดำ

 

กามราคะคือการเสพรสสัมผัสเสียดสีตามที่ได้อุปาทานยึดไว้ ว่าจะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ผนวกอัตตาเข้าไปด้วย ตนเองต้องเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอีก หนักเข้าไปอีก

 

ในสัตว์บางชนิด ตัวผู้ต้องจัดการตัวเมียเสียหนักก่อนสืบพันธ์ แต่บางชนิดตัวเมียมันก็กินตัวผู้ในขณะมันสืบพันธ์ แต่คนนี่แหละร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์มันมีสรีระฮอร์โมนกระตุ้นทางสรีระ เป็นธรรมชาติตามเวลา เพื่อต่อเผ่าสืบพันธ์ ในคนก็มี แต่ถ้าคนมีอำนาจทางจิต ตัดได้ก็มีจิตเหนือธรรมชาติ เป็นโลกุตรจิต ถ้าเป็นอรหันต์ทั้งหญิงและชาย ถ้าเป็นอรหันต์ก็ยังมีไข่ ยังมีประจำเดือน หรือในชายก็ยังมีสเปิร์มมีน้ำเชื้อยังมี แต่จิตมันเหนือ มีพลังพิเศษไม่ตกอยู่ใต้พลังธรรมชาตินั้นๆ เรื่องธรรมชาติก็ยังมีเป็นอรหันต์ก็ไม่หมด แต่ท่านมีอำนาจจิตเหนือไม่ต้องเดือนร้อนกับเรื่องนี้แล้ว อำนาจที่ชัดเจนเหล่านี้จึงเหนือได้

 

เรื่องกามเมถุนนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีต้องเป็นเลย มีคนบอกว่าถ้าสอนให้ไม่มีเมถุนคนก็สูญพันธ์สิ อาตมาเคยเจอคนหนึ่งก็เลยหาวิธีแก้ ว่า เอาคุณก่อนมาปฏิบัติก่อน จนกว่าคุณจะบรรลุว่าจะง่ายไหม? ก่อนคุณคิดว่าคนหมดโลกจะบรรลุจะสูญพันธ์ มันไม่ง่ายนะ คนได้ต้องบูชาเคารพ เอาคุณก่อนก็แล้วกัน

 

ทุกวันนี้คนจะล้นโลกแล้ว ขนาดคนจีนต้องจำกัด หรือทุกวันนี้มีวิธีคุมกำเนิดเยอะแยะ ขนาดนั้นก็คุมไม่อยู่เสียมากเลย เกิดอาชญากรรมฆ่าลูกเต้า ไปกันใหญ่

 

เรื่องเสพรสเฉยๆนี่ไปถึงกระเทยนี่ชัดเจน พวกกระเทยไม่สืบเผ่าพันธ์เลย มันสัมผัสเสียดสีรส มันวิตถารนอกเหนือธรรมชาติสัตว์โลก เป็นเรื่องอุปาทานแท้ๆ เป็นเรื่องกิเลสที่เสพติดรสชาติกามราคะแท้ๆเต็มๆ จัดที่สุดกระเทยมันจะกลัวมีลูกหรือไม่กลัวมีลูก ไปจ้างอุ้มบุญอยากได้ลูกมันก็ไม่เกี่ยวกับการได้ลูกหรือไม่ แต่มันติดรสสัมผัสเสียดสีเท่านั้นเอง จะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วแต่สมมุติบ้าบอได้หมด ทั้งนั้น ก็เลยเละเฟะไปหมด ผิดธรรมชาติ

 

พระพุทธเจ้าเลยถือว่ากระเทยนี่มีกิเลสเลวร้ายที่สุดในเรื่องเพศ เมถุน มันต่ำสุดเกินแก้ แต่ละชาติหากมีกิเลสเป็นกระเทยอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตัดทางเลย ปิดทางเป็นอรหันต์ แต่กระเทยก็ปฏิบัติได้แต่ก็ต้องพากเพียรหนักหนา จะมีผลบ้าง แต่พระพุทธเจ้าว่าเสียเวลา นอกจากไม่มีผลได้ถ้าเอาเข้ามายิ่งเป็นผลเสียหนักอีก ก็เลยไม่ให้บวช ถ้ารู้ทีหลังก็ให้สึก ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป

 

เป็นเรื่องร้ายแรงว่าเราไม่รู้จักมีเมตตาไม่เข้าใจ ถ้าจะว่าพวกเราก็ไปว่าพระพุทธเจ้าก่อนสิ พระพุทธเจ้าท่านรู้ทุกอย่างลึกซึ้งละเอียดแล้ว เขาในโลกคุมกำเนิดกัน แต่ของพระพุทธเจ้าทำมาก่อนแล้วคุมกำเนิดนานแล้วเพราะรู้ว่ามันก่อทุกข์ แต่ให้สมัครใจ เช่นมาถือศีล 8 ก็ให้เลิกแล้ว ไม่มีเรื่องนี้แล้ว จากศีล 5 ยกฐานะเป็นศีล 8

 

พระพุทธเจ้ารู้ว่าการเกิดก่อทุกข์ และยิ่งการเกิดคนนี่แหละก่อทุกข์ถ่วงที่สุดเพราะคนแต่ละคนเกิดมามีวิบาก อธิบายตรงนี้ให้ฟังว่า ถ้าคนได้เกิดมาเป็นร่างคน คนนั้นมีวิบากมาก ก็มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้าว่ามีบุญก็บุญกว่าสัตว์เดรัจฉาน

 

สัตว์มันได้ประมาณหนึ่ง ถ้าคนมีวิบากบาปมากเกิดเป็นคนจะเลวได้ยิ่งกว่าเดรัจฉาน ได้ร่างคนทำเลวได้มากกว่าจัดกว่าเดรัจฉาน ถ้ามาได้ร่างคนแล้วไม่พยายามศึกษาธรรมะ ชั่วบาปก็ทำได้จัดจ้านมากกว่า เหตุปัจจัยการปรุงแต่งมากซับซ้อนกว่า จึงเป็นสัตว์ที่อยู่ลำบากมากกว่า อย่างเดรัจฉานไม่ทุกข์มาก ไม่ฉลาดโกงได้มากมายเท่าไหร่ แต่เดรัจฉานมันก็อยู่ของมันไปเท่าที่มีแวดวงให้ทำได้ มันใช้วิบากของมันเยอะ

 

อย่าไปร่วมวิบากกับเขา เอาเขามาเลีี้ยงเป็นต้น ไปทำลายเขาไม่ให้เขาได้ใช้หนี้วิบาก เป็นตัวกันเขา ให้เขาเสียเวลา แล้วคุณก็มาแบ่งส่วน ร่วมกับกรรมวิบากไปด้วย เพราะเขาจะต้องพบกับวิบากเขาต้องแก้ไขเองต่อสู้เอง แต่คุณเองไปตัดไม่ให้เขาไปเกิดสภาพที่ต้องเป็นไปตามวิถีทางของเขา ก็เลยมีส่วนร่วม การเอาสัตว์มาเลี้ยงไม่ได้กำไรสักอย่าง คุณไปรักหรือชังสัตว์ก็เป็นเวรภัย คุณไปรักสัตว์ก็เป็นเวรภัยวิบาก ใช้หนี้วิบากไม่หวาดไหวอยู่แล้วจะไปสร้างเพ่ิมทำไม แต่ทุกวันนี้พระแท้ๆ ตามวัดเลี้ยงสัตว์ไปทั่ว ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสในศีลชัดเจนว่าไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ท่านไม่ได้ใส่ชื่อหมดแต่เอาเป็นตัวอย่าง เขาก็ว่าไม่มีชื่อห้ามเลี้ยง นั่นพาซื่อจนไม่เข้าใจอะไร ศานาเลยไปไม่ได้ แย่

 

ใครไม่มีลูกคนนั้นประเสริฐ ใครไม่แต่งงานเลยประเสริฐยิ่งกว่า

 

พระพุทธเจ้าว่า ...ผู้ที่ไม่มีบุตรนั้นเป็นผู้มีบุญ เพราะฉะนั้นจะกล่าวไปไย ถึงผู้เป็นโสด ...การขาดทุนในการมีความรักมิติที่ 1 นี้มากเท่าไหร่ ผู้ไม่มีอภิปัญญาก็จะได้สุขอันเดียวนั่นแหละคือ สุขตอแหล เป็นสุขเท็จ ก่อทุกข์หนักหนา ทั้งก่อน และตอนได้ และหลังการได้  ทั้งหมด แต่คนไม่รู้ คนไปยึดว่าเป็นสุข เพราะมันหลอก

 

อาตมาเห็นใจพลโลกทุกวันนี้จะล้นโลกแล้ว ทุกประเทศหาวิธีคุมกำเนิดกัน บางประเทศเลวถึงยอมให้ทำแท้งก็คือฆ่าคนนั่นเอง เพราะอะไร ก็เพราะพลโลกจะล้นโลกจริงๆ เขาถึงต้องสะกัดกั้น ที่เถียงกันว่าทำแท้งไม่บาปนี่พูดกันไม่่รู้เรื่อง

 

ผู้ใดไม่มีความรักระหว่าเพศไม่แต่งงานไม่สมสู่แล้ว เป็นคนช่วยโลกอย่างแท้จริง เป็นความประเสริฐเลย ดังนั้นควรรู้สัจจะเลยว่าถ้าจะแต่งงานหรือมีความรัก มีความใคร่นั้นเป็นความหลอก เป็นอวิชชา ถ้าจะมีความรักความใคร่ ก็ต้องรู้ว่าเป็นอวิชชา พระพุทธเจ้าท่านมีสูตรคุมกำเนิดโดยการคุมกำหนัด

 

ไม่ต้องมีเครื่องมืออะไร จะบังคับก็ไม่ถาวร ต้องใช้ปัญญาคุมกำหนัด ให้เกิดปัญญาเป็นไฟฌาน ที่ไปสลายไฟราคะได้ ถ้ามันเกิดพลังงานธรรมะ เป็นฌาน แปลว่าไฟกองใหญ่ ไฟวิเศษมีฤทธิ์สลายไฟราคะได้ ต้องสร้างฌานขึ้นมาจริงๆให้ได้ แล้วจะไปจัดการสิ่งที่เราจะจัดการ อันนี้เป็นเครื่องมือย่ิงใหญ่ ให้คุมกำเนิดด้วยการคุมกำหนัด

 

ท่านคุมถึงรากเหล้า คือการสร้างอภิปัญญาฝึกหัดลดละตัด ได้แล้วเป็นประโยชน์ไม่มีการเสีย เพราะท่านคุมกำเนิดโดยการคุมกำหนัดได้จริง อย่าไปหลงว่ารูปสวยงาม รสอร่อย กลิ่นหอมน่าได้ ต้องฝึกฝนตามฐานะไม่ใช่ว่าทำขาดหมดเลย

 

ยกตัวอย่างเราเรียนรู้มาว่ากามคุณ 5 เสร็จแล้วก็เลยปฏิบัติจะให้ได้ก็เลยละกาม เสร็จแล้วแม้แต่รสทางลิ้น อาหารก็จะให้หมดไปเลยทันที ก็อย่าเพิ่งเลย ตายก่อนแน่ไม่ได้หรอก ต้องค่อยเป็นไป เราติดจัดจ้านก็ค่อยเรียนรู้ลดไปเป็นอย่างๆ ใครติดอันนั้นอันนี้ไม่เหมือนหรือซ้อนกันได้ ติดปาท่องโก๋เหมือนกัน แต่เราติดทุเรียนมากกว่าขนุน แต่ถ้าบางคนบอกว่าทุเรียนเหม็น เอาขนุนดีกว่า ก็ต่างหรือเหมือนกันได้ พยายามตรวจสอบจริง

 

จะทำได้ ระงับจิตได้ สิ่งนี้คืออะไรต้องเข้าใจในของหลอก ที่แฝงมากับสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้รส ได้สัมผัส เป็นต้น ต้องค่อยๆทำไป ต้องเข้าใจในสิ่งที่จะเร่งเร้าให้เราเกิดอารมณ์ที่เป็นของปลอม สุขขัลลิกะ เป็นของตอแหล ไม่จริง

 

รสอร่อยของกามเราไปบอกว่าของเท็จนี่ยากจริงๆเพราะเขาติดแล้ว จนกว่าจะมาล้างออกได้หมด ในจิตเราไม่มีอารมณ์นี้ แม้สัมผัสอย่างเก่า ก็ไม่มีรสสุขทุกข์ เราเฉยจริงๆ อย่างอาตมานี่ทิ้งรสเสียงดนตรีเพลงหลังสุด มันยังมีรสอะไรอยู่บ้าง แต่อันอื่นก็หมดเลย แต่หลังๆมาหลุดหมดก็เป็นอย่างนี้

 

จนมาบวชนี่ยังนึกว่าเราไม่เอาแล้วเรื่องเพลง ทิ้งเลยนึกว่าตนเองจะแต่งเพลงอีกไม่ได้ จนกระทั่งมาเห็นคุณค่าประโยชน์สงสารโลกที่มีแต่เพลงมอมเมา นึกถึงตอนเรายังหลงแต่งเพลงรัก แต่ไม่ลามกอะไรนะ แม้แต่เพลงผกาดั่งนารี แต่งตอนอายุ 17 ก็สอนผู้หญิง

 

ขอเตือนว่าอย่าไปเล่นกับมัน อะไรอื่นๆเหมือนเราได้ทดสอบ แต่เรื่องเมถุนนี่ท่านไม่ให้ไปลอง ท่านไม่ให้ลอง เรื่องเมถุน เรื่องน้ำเมา เรื่องนอน อย่าไปลองมีแต่ท่านให้เนสัชชิ ที่ว่าจะให้นอนๆๆๆมันจะได้เบื่อ นั้นอย่าไปทำ สามอย่างนี้ไม่มีวันอิ่มเต็ม (เมถุน การนอน การเมา) ให้ละเว้นขาดไปเลยสามอย่างนี้

 

ให้ฝึกฝนมีสติ แม้แต่การนอนก็ให้ฝึก เราฝึก สัมผัสด้วยตา ด้วยหู นี่ก็ชัด แต่เรื่องลิ้นนี่ก็ชัด โภชเนมัตตัญญุตา ให้แบ่งทำเอาตามฐานะของเรา เรื่องอปันกปฏิปทานี่ปฏิบัติได้ไปถึงอรหันต์ อย่างอาหารนี่ให้ฝึกได้เลย จะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ให้ฝึก ทวารที่ตา หู นี่ฝึกง่าย มีรูปแบบชัด พยายามลดละแล้วคุณจะได้ช่วยโลก เป็นผู้คุมกำหนัด หลุดพ้นแล้วจะเป็นผู้อิสระจริงๆ

 

เช่นคุณติดอาหาร อาหารจะมีอะไรมาก็ไม่ต้องห่วง อะไรมาเราก็กินธาตุอาหารสาระของมัน เราไม่ติดไม่ว่าเรื่องไหนเราก็ไม่กังวนกับมัน เราเอาเนื้อหาสาระ ไม่เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันหลุดพ้นอิสระสบาย ไม่ว่าจะเรื่อง ข้าว ผ้า ยา บ้าน ไม่กังวน สุดยอดจริงๆ ให้พยายามดู

 

จะทำประโยชน์แก่โลกได้มากมาย ถ้าพ้นมิติที่ 1 อันเลวร้ายที่สุด ผู้ใดที่จะยินดีทุกข์ ก็ขอร้องว่าให้เลิกเสียเถอะ ถ้าจะทุกข์ไปกวาดขยะไปเช็ดส้วมก็ยังดีกว่าทำไปเถอะ แต่ทุกข์อย่างนี้ก็ขอร้องเถอะอย่าไปยินดีกับมัน ศาสนาพุทธสอนให้เลิกเมถุนอย่างตรงเลยไม่อ้อม ในเมถุนนิยมหรือกามนิยมนี่ให้เลิกเลย

 

หมดมิติที่ 1 พอดี

 

ขึ้นหัวมิติที่ 2 นิดหนึ่ง มิติที่2 คือขยายวงมาหน่อย แทนที่จะเห็นแก่ตัวในอารมณ์ร่วมระหว่างสองคน โลกนี้มีแต่สองเรา ก็แผ่มาสู่บุคคลที่ 3 คือลูก เป็นความรักสายโลหิต พ่อ แม่ ลูก เป็นความรักที่ดีขึ้นมา เติบโตขึ้น แต่ก็ยังคับแคบ อยู่ แม้แต่ญาติก็ไม่ไปถึง

 

ตอนที่มี 2 คนก็เพื่อสองคนนี้ แต่พอมี สามคน สี่คน มีลูกนี่มันจะต้องตะกละขึ้นในเชิงกิเลส แต่ในเชิงความรักนี่ลดลงจะแผ่ไปหาลูก ต้องให้ลูกมากขึ้น แต่มันกลายเป็นว่าต้องยิ่งเห็นแก่วัตถุ โลภวัตถุเพื่อลูกมากขึ้นอีก มันซ้อนอยู่ อย่างหนึ่งรู้สึกว่าเห็นแก่ตัวแรงขึ้นกอบโกยโลภเห็นแก่ได้มากขึ้น หรือแม้แต่เรื่องโทสะ หวงแหน พอมีลูกเพ่ิมมาก็ว่าใครอย่าแตะลูกข้า แต่ถ้ามีลูกสองคนก็กระจายความรักเพ่ิมอีก มีลูกมากขึ้นก็เผื่อแผ่สู่ลูกมากขึ้น

 

เรื่องความรู้สึกของคนที่เป็นสัตว์โลกเป็นธรรมชาติที่ต้องต่อเผ่าพันธ์แม้แต่พีชะก็มี ก็เป็นไปตามพลังงานแม่เหล็ก แต่คนนี่เป็นสัตว์โลกที่ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าผู้ได้ฝึก มีความรู้สึกว่าการเป็นคนคู่นี่เป็นเรื่องต่ำ ใครก็ตามมีความรู้สึกเช่นนั้น จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ รู้สึกเช่นนี้ถือว่าเป็นอาริยภูมิ เพราะสัตว์โลกก็มีถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดน่าอาย สัตว์บางชนิดไม่สมสู่ประเจิดประเจ้อ คนก็มีความรู้มากกว่านั้นก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ดี ต้องปิดบังไม่เปิดเผย แต่ก็คงมีคนอวดดีว่าไปปิดทำไม จะทำที่ไหนก็ทำ มันบ้าจนสมสู่กันกลางห้างสรรพสินค้า พวกนี้เป็นความคิดวิตถาร แก้ขวยตนเอง ไม่มีภูมิธรรมของสัตว์โลก แม้เดรัจฉานก็มีได้ แต่ถ้าใครรู้สึกเลยว่าเป็นเรื่องต่ำนี่เป็นอาริยภูมิแท้จริง มันเกิดจริงในใจคน พระพุทธเจ้าว่าเป็นคามธัมมัง ทุฏฐุลลัง สวลธัมมัง มันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นเรื่องหยาบต่ำ

 

กว่าจิตใจจะมีปัญญาเกิดอาการเช่นนี้จริง เหมือนวิปัสสนาญาณ 9 อุทัพยานุปัสสนาญาณจะเกิดจริงเช่นนั้นสูงขึ้นไป เป็นคุณลักษณะเห็นโทษภัย เบื่อหน่าย จนปล่อยวาง เป็นคุณสมบัติจริงของธาตุจิต เป็นพลังงานปัญญามีอำนาจ ละเอียดลึกซึ้งมีอำนาจ สามารถสลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นนามธรรมเกิดจริงได้เป็นวิชชาศาตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์

 

ดช.เพชรแสงธรรมถาม..ถ้าเราพ้นกามได้จะมีความสุขอย่างไร?...ตอบ..อย่างเราง่วงนอน เราก็หายง่วงนอน เราก็หยุดขาดเลยการง่วงนอนไม่มีเลย แล้วเวลาง่วงนอนมันทุกข์ไหม?อยากสลัดออก แล้วเวลาเราโปร่งๆเห็นอะไรก็สนุก เป็นต้น เวลาเรามีกามก็ทุกข์เช่นนั้น ถ้าเราหมดกามก็สุขอย่างนั้น

 

ดช.เพชรแสงธรรมถาม...การแต่งงานแล้วไม่มีลูกเป็นบุญอย่างไร?..ตอบ..ก็ไม่มีส่ิงต่อโยงผู้พัน เป็นความรักความโกรธ ลูกบางคนมาทวงหนี้ไม่เป็นสุขหรอก การมีลูกไม่สุขก็ทุกข์ จะกลางๆนั้นยาก มีแล้วจะปล่อยเฉยๆนั้นยาก มันจะเกิดไม่พยาบาทก็ผู้พัน ใครเรียนรู้แล้วมาล้าง เหมือนคนใจดำไม่ห่วงลูกเต้าเฉยๆ เขาก็ว่าพ่อแม่นี่ใจดำ การมีลูกจึงลำบากมาก แต่ถ้าเผื่อว่า มีลูก แต่ทำใจกลางๆไม่รักไม่ชังเขาก็จะว่าเอา โดยเฉพาะโลกข้างนอก แต่ในอโศกไม่เป็นไร

 

ดช.เพชรแสงธรรมถาม..การรักเพื่อนพ้องนี่เป็นอย่างไร?..ตอบ..ก็สูงขึ้นไป เผื่อแผ่ไป ความรักคือความช่วยเหลือเผื่อแผ่ เป็นความรักที่ถูกต้องแบบพุทธ

 

ในน้ำคำ...ความรักมิติที่ 1 ก็เป็นเราสองคน ,ความรักถ้ามีลูกก็เป็นเราสามคน ,เป็นเราสี่คน,ห้าคน ไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนเค้กได้ไหม? ที่จะถูกแบ่งไปเรื่อยๆ จนถึงมิติที่ 8 ก็หมดเค้กเลย ไม่มีเค้กเลย ...ได้ไหม?....

พ่อครูตอบ...ก็เป็นได้ ให้ได้ตลอดไป มันเจริญได้แต่ในมุมที่ไม่ชัด คือเรามีพลังรักแค่เค้ก พอแบ่งไปก็ได้น้อยลงๆไปเรื่อยๆ เป็นมุมต่ำก็ได้ แต่มองในมุมเจริญก็ได้ จริงๆความรักคือความเผื่อแผ่ออก ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:49:48 )

570808

รายละเอียด

570808_สรรค่าสร้างคน(7)วนบ. เรื่อง ลักษณะบุญนิยม 11​ ประการ ตอน 1

วันนี้สนช.ก็ได้เลือกประธานได้แล้ว เป็นเอกฉันท์ เรียบร้อยดีมาก เป็นนิมิตที่ดีมาก เมื่อกี้นี้ฟัง ประธานคสช. ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดได้ดี พูดจริงใจ เราก็มาเอาดีๆของเราเหมือนกัน ขอให้ดีเถิดพ่อเจ้าประคุณ เหนื่อยจริงๆ

 

วันนี้สรรค่าสร้างคน เราจะเร่ิมต้นสาธยาย บุญนิยมที่สมบูรณ์จะเป็นอย่างไร?

อาตมาแจกไว้ถึง 11 ข้อ ในหน้า 17

 

ลักษณะของบุญนิยมที่สมบูรณ์ 11 ประการ

1.ทวนกระแส(คนละทิศกันกับของทุนนิยม)

2.ต้องเข้าเขตโลกุตระ

3.ทำได้ยาก(ยกเว้นผู้มีบารมีจริง) แม้ยากก็ต้องทำ

4.เป็นไปได้(ไม่ใช่ฝันเฟื่อง)

5.เป็นสัจธรรม(ของจริงของแท้สำหรับมนุษย์และสังคม)

6. “กำไร” ของชาวบุญนิยม หรือจะเรียก รายได้ หรือ ผลประโยชน์ สำหรับตนก็คือ ส่ิงที่ได้ให้ออกไป คุณค่าที่ได้สละจริง เพื่อผู้อื่น เพื่อมวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย จึงเรียกว่า บุญ คือการชำระสละออก

7.สร้างคนให้ประสพผลสำเร็จเป็นหลัก

8.ต้องศึกษาฝึกฝนจนจิตเกิดจิตเป็นเรียกว่าบรรลุธรรมตามลำดับ จึงชื่อว่า “เป็นผลสำเร็จจริง”

9.ความรำ่รวยอุดมสมบูรณ์ไม่อยู่ที่ส่วนบุคคล  แต่อยู่ที่ส่วนรวมหรือส่วนกลาง

10.เชิญชวนให้มาดูหรือพิสูจน์ได้ดุจเดียวกับพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

11.จุดสัมบูรณ์คือ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

 

มาอธิบายรายละเอียดไปทีละข้อ

1.ทวนกระแส(คนละทิศกันกับของทุนนิยม)  บุญนิยมเป็นของใหม่สำหรับโลกยุคปัจจุบัน เขาเรียกโก้ๆว่าเป็นนวัตกรรม ตรงกันข้ามกับทุนนิยม ไม่กอบโกยแก่งแย่งกับเขา แต่ขยันหมั่นเพียรทำให้มาก ไม่กักตุน ให้เขาด้วย แต่ทุนนิยมทุกวันนี้เคี่ยวเข้ม ดุเดือนเลือดพล่าน หนักหนาสาหัส มันคิดหาวิธีการ จิตวิทยาซับซ้อน กลเม็ด มากมาย หลอกคนให้ตายใจ หลงนิยมชมชื่นเชื่อถือยอมสยบ ปฏิบัติตามเขาได้สำเร็จ แล้วคนก็เพ่ิมให้จัดจ้านซับซ้อน เป็นค่ายกลที่ยากจะแก้ไขได้  น่าสังเวชสำหรับมนุษยชาติ

 

เราจะต้องมาศึกษาฝึกฝนทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธศาสตร์ เรียกว่า บุญนิยม ล้อเลียนกับ ทุนนิยม เพื่อให้เข้าใจง่าย มีลักษณะทวนกระแส พวกเราชาวอโศกอาตมาว่าทำได้ผลแล้ว ได้ส่ิงจริงนั้นพอสมควร แล้วเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม...ได้.. เป็นความหวังที่มีหวังได้ดีอยู่

 

ทั้งโลกรู้ว่าไม่เอาเปรียบดี เสียสละดี รู้หมด แต่ก็ทำท่าทีซับซ้อนหลอกให้ตายใจ ให้หลง มันก็ทำเสแสร้งกลับกัน ที่จริงเขาคดแต่พยายามทำเป็นตรง เขาทำได้สำเร็จ ต้องชมว่าเก่งจริงๆ จนใครไม่รู้ก็เป็นเหยื่อ ร้ายแรงจนไม่ไหวแล้ว มองไปถึงสังคมโลกเลย คุณเชื่อไหมว่าแต่ละประเทศที่เขาว่าใหญ่ไปช่วยเหลือประเทศเล็ก เขามีใจสะอาดจริงใจจริงๆเลยไหม? คุณเชื่อไหม? ...ไม่เชื่อ

 

หลักประกันแท้ที่ว่าจะจริงใจไหม มันอยู่ที่โลกุตรจิต จิตคนอีกโลกหนึ่ง จิตอาริยบุคคลแท้จริง เราเองศึกษาโลกุตระ อาริยบุคคล ของพระพุทธเจ้าเราจะรู้ ว่ามันไม่ง่าย มันหลอกเราเล่นกลกับเราซับซ้อนเราจะรู้ดี เราถึงพูดไปไม่ได้เดา แต่มีความจริงจากใจที่เรามีปัญญา เห็นจริง มันถึงตอบได้ประสานเสียงกันพร้อม

 

ในเรื่องของ โลกุตระ หรืออาริยะธรรมพระพุทธเจ้า จะเป็นตัวแก้ปัญหาของโลก เพราะไม่ว่าประเทศไหนก็ไม่จริงใจ ถ้าเราสร้างคนให้จริงใจ เสียสละได้เท่าที่เราทำได้ ไม่ต้องอวดเก่ง อย่างชาวอโเศรษฐกิจเราทำได้ เราก็ทำไม่น่าเกลียด ที่ผ่านมา เราก็อ่อนน้อมถ่อมตนใช้ได้ ไม่ได้น่าเกลียดว่าช่วยเขาแล้วเราไปเบ่ง แต่ก็มีerror บ้าง ถือว่าเป็นทศนิยมความไม่บริบูรณ์ของสังคม อาตมาว่าทศนิยมแค่นี้ใช้ได้เลย ไม่ถึง .5 % ดูดี

 

เราก็ทำไปตามประสาที่จริงใจเสียสละสร้างสรร เอื้อเฟื้อเจือจาน ไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนในโลกรู้ดีว่าไม่เห็นแก่ตัวนี้ดี เด็กๆเราก็รู้แล้ว เพราะงั้นอาตมาว่าเราเริ่ม ชาวอโศกนั้น เศรษฐกิจเราทำมาถึงบัดนี้มีของจริงมากพอ เชื่อเช่นนั้น แม้ตนเองจะไม่ชัดเจน แต่ก็พอเชื่อว่าเราก็พอเป็นไป งั้นเอาให้จริงให้ชัดเลยเราเอาให้เต็มที่เลย

 

สัจธรรมพระพุทธเจ้านี้ซ้อน จะล้างกิเลสสองด้าน คือด้านโลกีย์ธรรมดาเรียกกิเลสตรงๆ ก็ทำได้ทุกคน แล้วจะมีกิเลสซ้อนไม่ใช่ด้านนอก เป็นด้านใน เป็นมานะ อัตตา ซ้อน คือมันทำดี ทำความดี แล้วกิเลสซ้อนคือเอาดีไปข่มเขา ไปเบ่ง อย่างน้อยก็เอาไปอวดอ้าง ทวงบุญคุณ โชว์ พวกนี้เป็นอุปกิเลสซ้อน แล้วคุณก็อวดสิ่งดีด้วย

 

โลกเขานิยมอวดรวย อวดกาม อวดเก่ง ซับซ้อน มันรู้ว่าไม่ดีแต่มันก็ทำแล้วก็ยอมกัน อย่างโลกีย์เขาเอาเหมือนคนตลบแตลง รู้ว่าไม่ดีแต่ก็จะเอาอย่างไม่ดี แต่ของโลกุตระซ้อน เราต้องเรียนรู้ว่าเมื่อได้ดีทางโลกีย์แล้วได้ดีไม่ต้องไปอวดดี ทำดีต่อไป อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ สูตรสำเร็จนี้แหละ เข้าใจความหมายแล้วทำให้ดี จะไปรอดไปได้ดี มันทวนกระแสโลก ชัดๆเลย อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้นี่ พยายามศึกษาฝึกฝน ลักษณะทวนกระแสนี่คงไม่มีใครสงสัยลังเล

 

2.ต้องเข้าเขตโลกุตระ เข้าเขตอย่างไร? ..

โลกียะ คืออะไร ? โลกุตระ ตรงกันข้ามกัน เรียกว่าทวนกระแส

โลกียะ คือล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข 

สุขเป็นคำกลาง ไม่ว่าโลกียะ หรือโลกุตระ ก็เรียกสุข แต่คนละขั้วเลยในสภาวะ โลกียะคือสุขใจพอใจที่ได้มาเสพบำเรออัตตา ได้ของนี้มาเป็นของกู ได้อำนาจได้อารมณ์ได้สัมผัสมาเสพสมราคะ แม้แต่โทสะก็สมใจ ได้เปรี้ยงได้ฆ่าเขาสมใจก็สุขละ มันบำเรอกิเลสตน

 

แต่โลกุตระไม่บำเรอกิเลส หยุดบำเรอล้างเหตุนี้ออกๆๆทวนกันเลย ทางโลกียะว่าอย่างนี้ ทางโลกุตระไปคนละทางเลย แต่โลกุตระ โลกียะ มันคนละขั้ว ดำกับขาวจริง แต่โลกุตระ ไม่เป็นศัตรูกับโลกียะ เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายจะเข้าใจ

 

ผู้ขี้เหนียวโลกียะมากๆ เขาก็จะเห็นว่าเป็นศัตรูแต่เราไม่เลยไม่ได้เป็นศัตรูเลย แต่ทำให้สบายทั้งสองเลย คนหนึ่งเอาอีกคนไม่เอา ก็จบสิ แต่ที่เดือดร้อนทุกวันนี้เพราะกูก็จะเอามึงก็จะเอา มันตระกูลเอาเหมือนกันก็เลยฆ่ากัน แต่เราตระกูลให้นะ มันช่วยคุณได้ คุณจะเอาขอก็ให้ก็เลยสงบ อยู่กันอย่างดีเรียบร้อย เป็นสิ่งวิเศษลึกซึ้งโลกุตระ สัจธรรมจริง โลกุตระขั้นต้นที่เห็นง่ายๆนะ

 

โลกียะ มีเหตุปัจจัยคือต้องได้สมใจ โลภ โกรธ หลง

โลกียะ มีแต่กิเลสหนาโตอ้วนพองใหญ่จัดจ้านขึ้นโดยไม่รู้ เขาก็ย่ิงทำเพราะเขาว่าเป็นสุข เป็นอวิชชาเป็นความหลงผิดสุขเท็จ ลมๆแล้งๆ แต่คนก็ติดมันมานานแสนนานไม่รู้กี่ชาติแล้ว ค้นหาต้นตอนับชาติไม่ได้เลย ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆชาติ ไม่ง่าย แต่ก็ต้องทำ เมื่อเข้าใจว่าสิ่งนี้คือสุดยอดของมนุษย์ประเสริฐ

 

พระพุทธเจ้าได้ค้นพบโลกุตระว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่หัวใจศาสนาพุทธคืออาริยสัจ 4

 

อาริยสัจ4 นี้อาตมาว่า หลักไหนก็ไม่สมบูรณ์เท่าหลัก โพธิปักขิยธรรม 37

 

ส่วนโลกุตระมี 9 นั้น ก็คือสร้างธรรมะใส่จิตใจ ท่านรวมไว้รู้กันกว้างว่าคือโลกุตระ 9

คือโสดาฯมรรค, โสดาฯผล...ไปจนอรหัตตมรรค, อรหัตผล รวมเอานิพพานเป็น 9 แต่ถ้ารวมกับโพธิปักขิยธรรม 37 ก็เป็นโลกุตระ 46

 

การเรียนปริยัตินั้น ก็ไม่ถือว่าเข้าโลกุตระมรรค แม้จะเรียนปริยัติถึงผลเลย แต่ก็ไม่ได้มีในตน ต้องไปปฏิบัติให้ถึงขีดขั้น ต้องทำตามลำดับไป ลัดไม่ได้ แม้จะรู้ให้ละเอียดดีอย่างไรก็ไม่ได้ ต้องทำตามฐานะ โลกุตระ 9นี่เป็นผล จากการปฏิบัติ แล้วเกิด เกิดอะไร มนสิการเป็น หรือโยนิโสมนสิการ เกิดผล ผลน้อยๆ จนเป็นผลเต็มเมื่อถึงรอบๆไป

 

ปฏิบัติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบ แล้วอ่านจิตวิญญาณเป็น แล้วมรรคอยู่ตรงไหนก็อยู่ที่โพธิปักฯ 37 แล้วได้มรรค อีก 9

 

เร่ิมปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปทาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และมรรคองค์ 9

 

และมีหลักที่เรียกว่าจรณะ 15 ก็เป็นหลักใหญ่กว้าง แต่ไม่สมบูรณ์เต็มเท่าโพธิปักขิยธรรม 39 ส่วนไตรสิกขาก็กว้างกว่า แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็อันเดียวกัน ขยายเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

จรณะข้อแรกๆ อปัณกปฏิปทาก็คือศีล แล้วเกิดผลตามมา เป็นสมาธิ เป็นปัญญา โดยมีปัญญาร่วมตลอด มีปัญญากับศีลทั้งสองอย่าง เหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า มีศีลเป็นพ่อ ปัญญาเป็นแม่ แล้วมีจิตที่เกิดเป็นลูก เป็นอธิจิต

 

เร่ิมต้นมรรค คือโพธิปักขิยธรรม ข้อที่ 1 คือ กายในกาย ของสติปัฏฐาน 4

ทุกวันนี้ คำสอนของพระพุทธเจ้าเพี้ยนไปมาก

 

ท่านตรัสไว้ว่า [672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ...

 

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา

 

แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

 

[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน

 

เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ

 

พ่ครูต่อ...ที่บอกว่าสาวกมาร้อยกรองเป็นภาษาอันวิจิตร แต่เป็นของภายนอก นั้นเดี๋ยวนี้เขาก็พูกกันเก่งๆ แต่คำพูดนี่เป็นโลกียะ มันวิจิตรมาก โลกียะมีทั้งกุศลและอกุศล เขาก็เอากุศลมาปรุงแต่งกันให้วิจิตร โลกียะคือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็มีเงื่อนไขว่าพยายามไม่ให้โกงให้ผิด แต่ไม่ลึกไปว่า มันเพ่ิมลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขไหม คำสอนเขาก็มีแต่ขอให้สุจริต แต่มันผิดแต่ต้น ผิดที่จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มากกว่าเขา ได้เสพสุข เพราะกาม อัตตา มากกว่าเขา ปรารถนามากใหญ่เยอะแบบปุถุชน พยายามอย่าให้ทุจริต อย่าให้โกง ให้ซื่อสัตย์ตรง แต่ชาวโลกีย์ด้วยกันเข้าใจกัน ไม่ขัดแย้งในใจว่า ถ้าใครมีวิธีการคว้าลาภมาได้มากกว่าตามหลักเกณฑ์โลก ที่จะตั้งหลักเกณฑ์ซับซ้อนได้เปรียบมากขนาดไหนไม่แคร์ อย่างที่เห็นในโลกทุกวันนี้ตั้งอัตราไว้แค่นี้ๆ แม้จะซับซ้อนจะรู้ทันอยู่ มันก็ยังยอมให้ทำ

 

เช่นเอาการพนันมาซ้อนในเศรษฐกิจ เป็นพนันล่อหลอก ได้ผลไปที่คนทุนหนา เพราะเข้าใจใช้จิตวิทยาที่จะเอาโดยใช้เครื่องล่อ ดึงเอามาเป็นพวกแบ่งกัน แล้วหลอกว่าเขาก็ได้นะ แบ่งส่วนนะ ถ้าไม่มีเขาเราไม่ได้นะ ซับซ้อนสร้างหลักเกณฑ์เอามาใส่ยอมรับกันทั่วโลก สรุปโลกียะบำเรอ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข บำเรอกาม บำเรออัตตา  ไม่เข้าเขตโลกุตระ แต่เขารู้ว่าอย่าแสดงความโลภ แต่ทำให้คนเมาหลงรู้ไม่ทันเลย มึนเมา คนรู้ไม่ทัน

 

กัลยาณธรรมโลกียะ คือหลอกได้หลอกดี ให้คนรู้ไม่ทัน แล้วจำนน คนจำนนแล้ว แม้รู้ทัน เขาก็จะเป็นอย่างที่เขาหลอกให้เป็น ก็พัฒนาไปเป็นคนถูกหลอก เพราะสมกิเลส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข และสังคมยอมรับด้วย

 

โลกุตระมาประกาศ เขาไม่ยอมรับ แต่โลกียะด้วยกันมันยอมรับ ทั้งที่บอกว่าตระกูลเดียวกันแย่งกันแต่มันยอมรับกัน แต่ดูเหมือนโลกุตระมันคนละตระกูลไม่ได้ทำร้ายโลกียะด้วย ทำให้เขาเบาง่ายดีขึ้นด้วยกลับไม่ยอมรับ นี่คือความโง่ซ้ำซ้อน โง่โลกียะยังไม่พอ แต่แล้วยังโง่ที่ไม่เอาของดีคือโลกุตระเอามาให้ยังไม่เอาอีก

 

เป็นสงครามสังคมในนี้ ทั้งที่โลกุตระไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันเขาทำร้ายเขาด้วย แต่เขากลับเห็นว่าไม่ดี ไม่ให้ช่วย เราก็เอาอิสรเสรีภาพ ผู้ใดเต็มใจจะเอาก็มาเอา

 

โพธิปักขิยธรรม 37 จะเป็นเครื่องตัดสิน เร่ิมแรกข้อ 1 เลยในโลกุตระ 46 ถ้าเข้าใจก็จะเข้าใจครบเลยตั้งใจฟัง

 

1.รู้จัก “กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือรู้จัก “กายในกาย” เป็นเบื้องต้น

กายคืออะไร กายคือองค์ประชุมของรูป_นาม

รูปมีอะไรบ้าง ตั้งแต่รูปธรรมคือรูปรูป คือดินน้ำไฟลม  เป็นของที่ไม่มีวิญญาณในนั้น เรียกว่ามหาภูตรูป เป็นรูปใหญ่ เสร็จแล้ว คนมีจิตวิญญาณ แล้วมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะอยู่รวมกับดินน้ำไฟลม จะเป็นสังขารรูป ปรุงแต่งเป็นอุตุ พีชะ แม้แต่เป็นสัตว์มีจิต ก็อยู่ในโลกที่เราต้องเกี่ยวข้องแล้วจะเกิดกิเลส

 

องค์รวมคือกาย เป็นรูปรูป แล้วเรามีจิตวิญญาณพร้อมร่างของเรา

 

เมื่อตากระทบรูป ก็มีปสาทรูป ทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ไปสัมผัสก็จะเกิด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วสัมผัสแล้วท่านไม่เรียกทั้งหมด 5 ท่านเรียกสัมผัสแล้ว ตาก็สัมผัส จมูกก็สัมผัส ลิ้น กายก็สัมผัส รวมทั้งหมดคือสัมผัส จึงถือว่ามีแค่ 5 กายนี้ก็คือสัมผัสแล้วเกิดรู้ กายนี้รวมกับสัมผัสแล้วมีมโนรู้ รู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ก็เหลือ 4 คือ ตา หู  จมูก ลิ้น เหลือแค่ 4 เป็นปสาทรูป โคจรรูป รวมกันเหลือแค่ 9 ไม่นับกาย ….

 

ถ้าอีก 4 สัมผัสนี้ไม่ร่วมประชุม คุณปิด ตา หู จมูก ลิ้น แล้ว กายคุณก็ดับ ร่างผิวคุณก็ดับ คุณจะไปดับมันได้อย่างไร สัมผัสทางผิว มันทำไม่ได้ แต่คุณดับ ตา หู จมูก ลิ้นคุณดับมันได้ คำว่า กายนี้ลึกซึ้งมาก

 

คำว่า กาย ถ้าไม่มีการสัมผัส กายก็ไม่เกิด กายและอายตนะ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยครบมันไม่เกิด ตา ก็อยู่มันอย่างนั้นไม่ได้สัมผัส หูก็ปิดสนิทเลยไม่ให้สัมผัสเสียง มันก็ไม่เกิดอายตนะ ไม่เกิด กาย

 

ประสาทหลักเราอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้่นเมื่อปสาทรูป โคจรรูปทำงาน สัมผัสกับ รูป รส กลิ่น เสียง ท่านเรียกว่าโผฏฐัพพะ ก็เป็นคำไวยพจน์กับคำว่า สัมผัส เพราะฉะนั้นสัมผัสไม่เกิด กายไม่เกิด อายตนะก็ไม่เกิด ก็คือมันดับนั่นเอง

 

เมื่อสัมผัสเสร็จ เกิดวิญญาณก็เรียนอ่านวิญญาณ  ซึ่งวิญญาณมีองค์ประชุมเรียกเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร พระพุทธเจ้าท่านมาไข เวทนา สัญญา สังขาร ไขออกเป็น 5 เรียกว่า นาม จะได้รู้ นามและรูปที่ท่านขยายออกไปอีก ในข้อ 14 พระไตรฯล.16 ขยายว่า

 

นามมี เวทนา สัญญา

 

แล้วขยายสังขารออกเป็น เจตนา  ผัสสะ มนสิการ

 

มันปรุงแต่งด้วยอวิชชา แล้วมีเจตนาที่เป็นความมุ่งหมาย แล้วมีผัสสะ เช่นหูคุณก็มีเสียงมากระทบ แต่คุณไปเจตนาจับที่ตา มองอะไรอยู่ คุณก็ไม่ได้ยินอะไร ไม่มีผัสสะ คุณไม่เปิดการรับรู้ เมื่อไม่มีเจตนา ผัสสะก็ไม่เกิด เมื่ออวิชชา แล้วมีเจตนามีผัสสะเกิด เกิดปรุงแต่งมีการสังขาร

 

แล้วมนสิการคือการทำใจเกิดการงานในใจ เป็นการปรุงแต่งตามอวิชชาพาเป็นตามสัญชาติญาณสัตว์โลก โดยถ้าคุณไม่มีเจตนามันไม่เกิดผัสสะหรอก มันดับหมด มนสิการก็ไม่ทำงาน สังขารก็ไม่ปรุงแต่ง แต่ถ้ามีอวิชชาก็ปรุงแต่งเลย เจตนาก็เป็น ภวตัณหา กามตัณหา คุณไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ วิภวตัณหาเลย

 

เขาไม่เข้าใจว่า การไม่ให้มีภพทำอย่างไร แล้วมโนสัญเจตนหารที่เป็นวิภวภพที่จะต้องการล้างกามล้างภพเป็นอย่างไร? ถ้าเจตนาเป็นโลกุตระ รู้มโนสัญเจตนาเป็นวิภวตัณหาเป็นเช่นนี้ ต้องการล้างภพไม่ให้มีภพ ทำอย่างไร

 

พระพุทธเจ้าให้ตรวจตนเองว่าอะไรเป็นเรื่องที่ทุกข์ที่เราตั้งใจจะจัดการ ล้างกิเลสที่ทำให้เราสร้างภพชาติ เราก็ตั้งศีล แล้วปฏิบัติโดยสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย  มีสัมผัสเป็นปัจจัย นี่คือของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย  ตัดประสาทรับรู้ แล้วก็เข้าใจว่านั้่นคือการปฏิบัติสร้างสมาธิ นั่นไม่เข้ามรรคเข้าทางเลย ไม่ได้มีโพธิปักขิยธรรม 37เลย

 

โพธิปักขิยธรรม 37 ตัวปฏิบัติหลักคือ สติปัฏฐาน 4 แล้วมีตัวกำกับคือ สัมมัปปธาน 4 แล้วตัวแรงส่งคืออิทธิบาท 4 ถ้าปฏิบัติอยู่แค่ข้างนอกก็ได้แค่ เอ็งสวยงามน่ามีน่าได้น่าเป็นก็ไม่ได้อ่านภายใน แต่อ่านภายในไม่ต้องไปหลับตา แต่รับรู้ กายในกาย ที่เกิดขณะรับรู้ กายนอกกาย นี่แหละ เห็นรูปนอก พหิทารูปานิ แล้วก็อ่านรูปข้างใน เป็นองค์ประชุมภายใน มันเป็นรูปก็เป็นรูป แต่มันมีนามด้วย มีทั้งเจตนา มีทั้งมนสิการ ปรุงแต่ง จัดแจง แต่ก่อนกิเลสจัดแจง แต่ตอนนี้รู้แล้ว เราจะจับเอ็งนี่แหละตัวร้าย

 

เร่ิมต้นตั้งหลักเกณฑ์ของที่ง่ายก่อน เป็นอบายภูมิ เป็นภพแรกของกามภพ มันเกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย  เป็นตัวต่ำสุดที่คุณต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายก่อน ทุกสติ ในขณะที่คุณยังไม่ตาย อานาอาปานะ ยังมีชีวิตอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ไปนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ การนั่งนั้นเป็นแต่เตวิชโช เป็นการเรียนรู้จากสัญญา แต่นี่เราทำเกิดจากสัมผัส เกิดอายตนะ มีความรู้รอบทันที

 

ในรอบของ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มรรคังคะ สัมมาทิฏฐิ นี่ต้องกำหนดรู้ตลอด แล้ววิจาร วิจัยต่อ เห็นเข้าไปในจิตว่ามันดำริ (ตักกะ) มันตริ ท่านแปลวิตกว่าตริ ส่วนวิจารท่านแปลว่า ตรึก ที่จริงตริเกิดก่อนตรึก ตริก็คือนึก เริ่มดำริคือเร่ิมรู้ เป็นตักกะ แล้วพยายามแยกแยะเรียกธัมมวิจัย ในขณะปฏิบัติมรรคองค์ 8 คือปฏิบัติมรรค 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ

 

ทำทุกกรรมกิริยา เอามาประกอบกรรมการงานเพื่อเลี้ยงชีพ คืออาชีวะ พระพุทธเจ้าท่านรวมไว้หมดเลยในความเป็นมนุษย์ให้อ่านจากผัสสะ ในขณะทำงานเลี้ยงชีพเลย เรียกว่า ไม่ใช่ว่านั่งน่ิงๆปิดทวาร แต่มรรคังคะคือทำงานทั้งหมด แล้วธัมวิจัยให้ถึงสัมโพชฌงค์วิจัยให้เข้าหลัก ทำให้เกิดการตรัสรู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า. รู้กิเลส รู้ตัดกิเลส แล้วตัดกิเลสได้จริง ก็จะเป็นโพชฌงค์ ก็จะรู้สักกายะ ทำแล้วผ่านศีลพตปรามาสได้ เพราะเกิดปัญญาเห็นว่ามันไม่เที่ยง มีกำลังปัญญา พลังไฟฌานทำให้กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ลดเป็นไปตามตลอดสายเลย มีสติสัมปชัญญะรู้นอกรู้ใน เป็นสัมปชาโน สัมปชติ สัมปชลติ(โหมไฟ) มีไฟแรงจนทำลายไฟกิเลสได้ กิเลสก็ลดลงๆ จึงเรียกว่า สัมปัตตะ คือบรรลุ เข้าไป เข้าถึงมีผลได้ผล เรื่อยๆจนเป็นสัมปันนะ สมบูรณ์แล้ว

 

สติสัมปชัญญะ สัมปชาโน สัมปัชติ สัมปชลติ สัมปัตตะ สัมปันนะ ต่อเนื่องกันไป เอาละเอียดแค่นี้ก่อนจะเอาละเอียดกว่านี้ก็ได้

 

เราเองโหมไฟปัญญานั้น เรียกว่าเกิดฌาน เป็นการเผา เผาได้ เสร็จแล้วก็โหมไฟไหม้ ปัชลติ มันก็เกิดผลตามลำดับ เป็นสัมปัตตะ สัมปันนะ เป็นสัมปฏิเวธ ตามลำดับ

 

องค์ประชุมทั้งหมดมีทั้งภายนอกและภายในอยู่ในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 1

 

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 มีรูปี รูปานิ ปัสสติ คุณต้องสัมผัสรูปทั้งหลายตั้งแต่รูปภายนอกคือรูปรูป มันไม่รู้ตัวมันหรอก จนถึงรูปภายในเรียกว่านามรูป ก็อ่านต่อเนื่องไม่ได้ขาดกัน คุณต้องอ่านรูปออก ต้องมีผัสสะ

 

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 แล้วคุณต้องรู้นอกแล้วเนื่องเข้าไปรู้ใน อัชฌัชตัง แล้วรู้ตั้งแต่รูป ไปจนถึงอรูป อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ  แล้วให้รู้ของตนไม่ใช่ให้รู้ของคนอื่น เป็น เอโก โดยตน ส่วนตน ของตน ต้องสำคัญมั่นหมายเรียนรู้ให้ชัด ไม่ใช่ไปทำแบบฤาษีคือไม่ใส่ใจไม่รู้

 

ท่านก็จะเห็นทั้งนอกและใน ทั้งรูป และอรูป อันนี้คือกาโย เป็นข้อที่ 2 แต่ไม่ทิ้งมหาภูตรูป ไม่ทิ้งรูปรูป นามรูปก็ไม่ทิ้ง เมื่อทำได้สองข้อ ก็จะไปสู่ข้อที่ 3

 

วิโมกข์ 8 ข้อที่ 3 คือสุภันเตว อธิมุติโต โหติ คือจิตน้อมไปทางเจริญ บรรลุ ทางละกิเลสได้ ไปอธิมุติ เราจะเห็นจิตของเราไปสู่ทิศทางเจริญ เรียกว่า สุภะ  แต่สุภันเตวะ คือส่ิงที่คุณศึกษา มันไปสู่ความเจริญ ข้อที่ 3 นี้ให้รู้ความเจริญลดละกิเลสได้ ว่าส่ิงที่ได้น่ามีน่าเป็นน่าได้ คือสุภะ คือการลดกิเลส ว่าเจริญไปเรื่อยๆ จนลดละได้ ดับได้ ตัดกิเลสได้ ท่านก็ทิ้่งไว้แค่นี้เป็นการปฏิบัติรูปฌาน 3 ข้อในวิโมกข์ 8

 

ท่านที่ไม่รู้ก็แปลไปแบบงงๆว่าทำไมรูปฌาน มีแค่ 3 ข้อ ท่านไม่รู้สภาวะของ วิโมกข์ 8 ไม่เข้าใจสภาวะของรูปนาม แล้วไปมนสิการอย่างไร มันสังขารอภิสังขารอย่างไรท่านมนสิการไม่เป็น ไม่ลงถึงที่เกิด ก็คือที่ที่จะให้ให้บรรลุผล ให้ฆ่ากิเลสตายนั่นแหละ

 

นิสิตว่า..ตอนเราแต่งงาน พ่อแม่เราอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝา...แต่พ่อครูว่า อยากให้เราติดฝา เพราะเขาเลี้ยงด้วยลำแข้ง..นิสิตว่า...ต่อมาเราก็หลงไปกับเรื่องกาม แต่มาเรารู้ว่าต้องฝึก ต้องตัดกาม ก็ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา ต่อมาก็ลดละสบายได้เรื่อยๆ ต่อมามันก็ไม่กระดุกกระดิกแล้วไม่มีภพกับมันแล้ว เห็นเหมือนบุหรี่ เหล้า เห็นแล้วก็เฉยๆ

 

กิเลสที่เราไม่ได้ล้าง แต่มันลืมไปตามวัย นั้นมันจะติดตัวเราไปไหม?...ตอบ...ก็ติดตัวไปแน่ สังเกตว่าเด็กบางคนเกิดมาก็ไม่เล่นเหมือนเด็กทั่วไป อย่างอาตมาตอนเด็กก็ทำงานไม่เล่นเหมือนเด็กทั่วไป อาตมาไม่ได้ติดเหล้าติดพนัน แม้ไปฝึกตามเขาไปก็ไม่ติดเหมือนเขา จีบผู้หญิงก็ไม่เป็น


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:51:07 )

570811

รายละเอียด

570811_พ่อครูเทศน์ในวันแม่ที่ศีรษะอโศก เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีโอปปาติกโยนิ

วันนี้เราถือว่าเป็นวันแม่ของที่นี่ วันพรุ่งนี้วันที่ 12 ก็เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินี แต่เราก็ถือว่าทั้งเดือนเราก็ฉลอง คนนั้นมีวิธีการให้คนมาร่วมกัน แบ่งกินแบ่งใช้ อาศัยกัน ต่างกับสัตว์เดรัจฉาน แต่บางสัตว์ก็มีการแบ่งกัน ตามหน้าที่ เช่นแม่หาเลี้ยงลูก เป็นต้น นอกนั้นก็ไม่ได้แบ่งอะไร ถ้าลูกนี้มันถือเป็นส่วนหนึ่งเป็นอัตนียา หรือเป็นเครือญาติก็แบ่งบ้าง จิตวิญญาณของสัตว์เดรัจฉานก็มีการรับรู้ต่างจากคน คนนั้นมีการรับรู้มากกว่า และมีการตั้งเองว่าคนนี้เป็นพวกเรา คนนี้ห่างจากเรา คนนี้เป็นศัตรูเรา จิตวิญญาณของคนขยายไปได้มาก แล้วจะขยายอย่างไรเรียกว่าดี อย่างไรเรียกว่าเลวก็ต้องมาเรียนรู้กัน

 

บางเรื่อง กลับกัน เราคิดว่าดี แต่กลับเลว ก็ต้องศึกษาให้ชัดเจนและทำให้ได้ผล หรือเราจะเข้าใจแต่ก็ยังยึดถืออยู่ เลยต้องมาศึกษาดีๆ ยกตัวอย่างที่เห็นผิดเป็นถูก มนุษย์เข้าใจแล้วว่า ดีคืออย่างนี้ คนเราไม่เห็นแก่ตัว เห็นว่าการเอาเปรียบไม่ดี การเสียสละดี ลึกๆก็รู้อยู่ แต่เสร็จแล้ว กิเลสครอบงำ มันจะเอาเปรียบ มันจะแย่งชิงผู้อื่น มันกลับไปกลับมา หรือแม้ทุกวันนี้เข้าใจยากว่า การยึดมั่นกอบโกย การมีตัวตน มันเลว แต่ถ้าให้คนอื่นได้ดี ไม่ต้องมีของตัวของตนดี จนนั้นดี รวยไม่ดี

 

คนบัดนี้คิดไม่ออกหรอกว่า คนจนมันมี คนรวยไม่ดี เขาก็คิดแต่ว่ารวยนี้ดี แล้วจนมันจะเอาอะไรกินใช้ ซึ่งมันคิดไม่ออก พระพุทธเจ้าสอนให้คนหัดจน แล้วขยันสร้างสรรทำสัมมอาชีวะ มีสิ่งดีๆเกิด แล้วอาศัยใช้สอย กินแบ่งกันใช้ ไม่ต้องกอบโกยมาเป็นของตน แบบนี้อยู่ได้สงบสุข ถ้าคนเข้าใจและทำได้เช่นนี้สังคมนั้นสุขสบายมาก เหมือนอโศกทำมาแล้วจนใจของเราเป็นจริง พยายามฝึกจนไม่หวงแหนไม่ติดใจเป็นของเรา เอามาเป็นของส่วนกลาง เราเสียสละได้นี่ดี มันก็เกิดเป็นอยู่สุข ช่วยเหลือกัน ไม่เดือดร้อนลำบาก ใครอยู่ในฐานะต้องช่วยก็ทำช่วย เช่นคนแก่ เด็ก มันก็อยู่กันอย่างทั่วถึง ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย

 

แต่สังคมทุกวันนี้มีแต่ตัวกูของกู ลูกกู บ้านกู บ้านอื่นไม่ใช่ ล้ำเส้นไม่ได้ มันขนาดนี้เลยมนุษยชาติ คนที่เข้าใจได้ก่อน ปฏิบัติได้ก่อน พระพุทธเจ้าก็ต้องมาสอนเรื่องนี้เพราะคนเห็นแก่ตัวมาก ก็เลยต้องมาฟื้นใหม่ เป็นต้นแบบให้คนอื่น

 

อย่างพวกเราไม่ได้คุยตัว แต่พวกเราก็ค่อยๆเป็นมา นานถึง 30 กว่าปีแล้ว ยังไม่ค่อยเห็นกัน ว่าการเสียสละนี่มันดีกว่าการเอาเปรียบ พวกเราก็ชัดเจน จึงมา ขนาดนั้นคนข้างนอกก็ไม่ค่อยรู้ หรือรู้ว่าดีแต่ก็มาไม่ได้ ผีมันดึง แต่ที่รู้ว่าดีนั้นมีเยอะ เขาว่าดีก็ไปเถอะ แต่ใจจริงไม่ได้คิดว่าดีเลย ไม่ส่งเสริม ดีไม่ดีเห็นว่าบ้าเสียอีก สังคมมันเลวร้ายขนาด

 

พอได้แล้ว เราเป็นที่ใจ เราไม่มีเราก็สุข เราจนเราก็สุข ทางโน้นเขาก็ว่าฉันต้องได้ต้องมีต้องเป็นถึงสุข ถ้าไม่มีก็เสื่อมก็ทุกข์ มันน้อยลงก็ทุกข์ แต่พวกเราไม่มีเลยก็สุข มีมาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน มีมาก็ใช้เป็น เราเหลือเราก็แจกคนอื่นต่อได้ ไม่ประหลาดอะไร แต่อีกพวกเขาไม่แจกไม่ให้ใครหอบกอบโกง กองเข้าไปมีมากเท่าไหร่ก็กักตุนเป็นของกูเต็มไปหมด พฤติกรรมนิสัยแบบนั้นทำให้ต้องมีหลักเศรษฐศาสตร์อะไรสารพัด แนะนำสอนกัน แต่ไม่ได้ศึกษาจัดการผีร้ายในจิต ที่เป็นต้นตอของเหตุ

 

ไปศึกษาแต่วิชาการเศรษฐศาสตร์พูดไปว่า ต้องแบ่งแจก สะพัดกัน เกื้อกูล เจือจาน มีหลักเกณฑ์หมด แต่รู้แล้วทำไม่ได้ ดีไม่ดีสอนเป็นอาจารย์ด้วยนะ แต่ตนเองก็หอบกอบโกงเอาเปรียบเอารัด แล้วเขาไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัวก็ทำเฉย ก็ฉันมีฉันได้ตามฐานะของฉัน ฉันมีความสามารถ

 

สรุปแล้วคนเราไม่รู้เหตุว่าตนเห็นแก่ตัว พระพุทธเจ้ารู้ว่าเหล่านี้คือผีร้าย ท่านก็รู้ทฤษฎีสำคัญ อ่านรู้จิต แล้วให้ลดละสละออก ตั้งแต่ทาน ศีล ทำให้เกิดผลคือภาวนา ทางกายก็ทาน ใจก็จะต้องให้ทานด้วย นั่นเรียกว่าศีลขัดเกลา เว้นออก เอาให้คนอื่น ให้จิตเราให้จริงๆ เหมือนเราให้ของข้างนอก ต้องศึกษาจิต ว่ามันให้ที่จิตเหมือนให้ข้างนอก ถ้าทำได้ก็เป็นภาวนามัย เกิดผล ทานศีลภาวนานี่เป็นหลักเดียวกัน เสร็จแล้ว เมื่อเช้าอาตมาก็ฟังอาจารย์ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ขึ้นมาเป็นชั้นพรหมแล้ว อายุยังไม่ถึง 70 เลย สอนอยู่เมื่อเช้านี้ สอน ศีลก็อย่างหนึ่ง สมาธิก็อย่างหนึ่ง ภาวนาก็อย่างหนึ่ง ศีลก็ทำที่กายกับวาจา สมาธิก็ไปนั่งสมาธิเอา นี่คือการศึกษาศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นถึงอธิการบดี อาตมาเอามาวิจารณ์นี่ไม่ได้ลบหลู่ ท่านก็ขยันศึกษาเอาใจใส่ เป็นถึงดร.ศาสตราจารย์ เป็นอธิการบดี เป็นคนเก่งมาก แต่ความเข้าใจก็เข้าใจอย่างนี้ ทำให้เนื้อแท้ศาสนาพุทธสูญ

 

เนื้อแท้ของพุทธคือปรมัตถธรรม ส่วนสมมุติสัจจะเป็นของโลกีย์ จะชั้นดีอย่างไรก็เป็นจริยธรรม จะดีอย่างไรก็เสียสละแค่สะกดใจเอาไว้ แต่ไม่ได้ละล้างจิตถึงขั้นลดละกิเลส สมาธิที่เขาศึกษาคือสะกดจิตให้จิตนิ่ง เป็นเจโตสมถะ

100 % เลย เขาเอาบาลีมาแปลอย่างน่าเชื่อถือเลย รู้มาก รู้เยอะ แต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์เลย อาตมาเสียดาย ถือว่าไม่สำเร็จผล ไม่มีโลกุตรธรรม

 

โลกุตรธรรมคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโลกียะคือเหนือโลกียะหรือเหนือโลก เหนืออย่างไร คืออยู่อย่างโลก แต่ว่าไม่ได้เป็นผู้ที่เป็นไปตามโลกไม่ได้แย่งชิงอยากได้อย่างโลก เข้าใจโลกอย่างดี แล้วต้องรู้จักจิตใจของเราว่าไม่เป็นไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เหมือนโลกๆเขา ได้ล้างความไม่ดีทุจริตอกุศล ขจัดไปจากจิตเลย

 

การเปลี่ยนแปลงจิตไม่ได้เท่าไม่เรียกโลกุตระ จะเปลี่ยนกายกับวาจาดีงามอย่างไร แต่จิตจริงไม่ได้ลดละอย่างถึงจิต เมื่อจิตไม่มีโลกุตระ แม้แต่ขั้นที่ 1 ซึ่งโลกุตระท่านแจกเป็น 46 ขั้น

 

โลกุตระ 46 ท่านแจกเป็นโลกุตระ 9 และรวมกับโพธิปักขิยธรรม 37 ก็เป็น46

 

ถ้าไม่ถึงปรมัตถ์ก็ไม่ใช่โลกุตระ ต้องเร่ิมตั้งแต่รู้ตัวกิเลส ก็เป็นโลกุตรมรรค มีญาณอ่านรู้จริงๆ เรียกว่าพ้นสังโยชน์ ข้อ 1และ2 อย่างไม่สงสัยเลย แต่ถ้าไม่ได้ลดละด้วยวิธีให้มันจางคลายได้ ลดลงนิดหนึ่งก็ไม่ถือว่าได้ผล แต่ถ้าได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าได้ผลแล้ว แต่ถ้าได้ถึง 75% ก็ถือว่าเที่ยงแท้แล้ว แต่ถ้าได้เต็มร้อยเลยก็คือได้ผลเต็ม จะต้องอ่านชัดว่ามันลดละลง แต่ก่อนกิเลสเราเต็มร้อยตอนนี้ได้เท่าไหร่ ก็ต้องอ่านรู้น้ำหนัก อินทรีย์ มันมีดีกรีเข้มข้นอย่างไร เห็นเลยว่ามันเปลี่ยนแปลงเบาบางลง ต้องมีญาณอ่านเห็นจริง หลักพระพุทธเจ้านี้ชัด

 

ผู้เข้าโลกุตรมรรค ถ้าได้สามในสี่ถือว่าเป็นผลแล้วแต่ถ้าได้เต็มร้อยก็ถือว่าได้ผลเต็ม หลักการโพธิปักขิยธรรม 37 ถือว่าเป็นโลกุตระ ตั้งแต่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคองค์8

 

อินทรีย์พละนั้นเราก็ต้องประมาณ อ่านรู้ว่าเราได้กี่ส่วนกี่เปอร์เซ็นต์

 

โพชฌงค์เหมือนขาเดินก้าว แต่มรรคคือทางเดิน ก้าว7 ก้าว ไปตามทาง ทางนี้ท่านก็ต้องควบคุม สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ถ้าใครควบคุมจิตได้ก็เป็นปรมัตถ์ ถ้าไม่ได้สังกัปปะที่ควบคุมได้ได้แต่วาจา กาย อาชีพก็ไม่ถึงโลกุตระ

 

เขาสอนกันว่า ศีลก็แค่นั้น จิตก็ไปนั่งสมาธิเอา ก็เลยปฏิบัติคนละเวลาคนละเรื่อง ศีลก็ไม่เอื้อการปฏิบัติสมาธิ ปัญญาก็ยิ่งตัดเอาไปศึกษาเอา จบเปรียญ 9 จบดร. เยอะแยะท่านก็เข้าใจว่าปัญญาคือเรียนรู้เหตุผลข้างนอกก็ไม่เป็นองค์รวมของศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เป็นองค์รวม

 

ในกิมัตถิสูตร ในพระไตร.ล.24 ข.308 เรื่องอานิสงส์ของศีล

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

 

 

เขาก็ทำดีกันไป แต่ไม่ได้ลดลกกำจัดเหตุที่เลวในจิต แต่ทำดีอย่างนี้เป็นการบังคับสะกดใจ ไม่ได้ล้างเหตุที่ไปยึดถือ ถ้าเข้าใจไม่ถึงจริงก็ไม่เปลี่ยนแปลง จะสอนกันทำกันได้แค่นี้ แล้วสู้กิเลสไม่ได้ เพราะได้แค่ควบคุมกาย วาจา เอาพลังไปกดข่มไม่ให้ทำชั่วโดยจิตจริงสั่งสมกิเลสตกในอนุสัย อยากได้แต่ไม่ได้ก็ฝังใจเป็นอนุสัย หรือได้สมใจในกามในอัตตา ในโลกธรรม กิเลสก็โตขึ้น คนเราจะสมใจหรือไม่สมใจก็มีกิเลสจองกรรมกันอยู่ กิเลสเจริญตลอดเวลายิ่งกดข่มกิเลสยิ่งหมักหมมเน่าใน ไม่ได้้ล้างเลย เมื่อมันมีน้ำหนักมากก็ระเบิด กดข่มไว้ไม่ได้นาน

 

ต้องมาเรียนรู้โลกุตระศาสนาพุทธจึงมีวิมุติเป็นแก่น เมื่อเช้านี้ท่านสอนสาราณียธรรมด้วยนะ อธิบายดี แต่ก็แค่เปลือกนอกโลกีย์ไม่ได้เข้าถึงจิตเลย

 

ไม่ผิดหรอก แต่ไม่เข้าถึงศาสนาพุทธ ตอนพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ท่านก็พยากรณ์ไว้ ว่ามีตะโพนอานกะ..ท่านตรัสไว้ว่า [672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ...

 

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา

 

แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

 

[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน

 

เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ

 

ท่านตรัสไว้ถึง มูลสูตร นั้น

1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) 

3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) 

4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) 

5.มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ)  สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

ท่านไม่ได้สอนมนสิการคือการทำใจเลย อาจสอนให้ทำใจแต่ไม่ได้สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้ตามมรรคองค์ 8 เลย แล้วก็ไปนั่งสมาธิ ซึ่งการนั่งสมาธิ นั้นมีอุปการะ ทำเตวิชโชได้ ระลึกทบทวนกรรมของเรา เราเห็นจิตเกิดจิตตาย จนหมดอาสวะ ก็เป็นเตวิชโช ก็ได้เป็นอุปการะ ต้องทำด้วย ไม่อย่างนั้นเราไม่ได้ตรวจสอบตัวเอง แต่เขาไปนั่งหลับตาสมาธินั้น เขาไปสะกดจิต จดจ่อกับกสิณ แล้วเขาก็ว่าได้ผล ไม่ได้เกิดการสัมผัสเป็นปัจจัยเลย ไม่ได้จัดการกิเลสในขณะสัมผัสแล้วเกิดเวทนาเลยหลัดๆ มันก็ไม่ได้สั่งสมผลไม่ประชุมลง สมาธิก็เลยไม่เกิด ไม่เป็นสัมมาสมาธิ ก็ไม่ต้องหวังเลยว่า สติ จะสัมมา ไม่มีทางได้วิมุติเลย ที่พูดนี่ไม่ได้ข่มเบ่ง อวดดีเขานะ ท่านนะเป็นพระพรหม แต่อาตมาเป็นแค่พระโพธิ์ ก็ไม่ได้ข่มเบ่งแต่เอามาให้รู้ความจริง ว่าผู้มีอิทธิพลทางศาสนาที่จะแพร่ความรู้แต่แพร่ไม่ถูก ศาสนาไม่เสื่อมคราวนี้จะไปเสื่อมตอนไหน

 

ขอตำหนิหน่อยในวันแม่แล้ว ให้เป็นประโยชน์บ้าง ไม่ใช่เรื่องลอยลม เมืองไทยลำบากมาก เพราะผู้นำพาเป็นผู้แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ เพราะไม่เข้าหาปรมัตถ์ไม่เข้าหาแก่น ซึ่งลัทธิอื่นศาสนาอื่นเขาก็สอน แต่ไม่เป็นปรมัตถ์ ไม่ได้ศาสนาที่เข้าถึงจิตเจตสิก ไม่เข้าถึงต้นทางที่เป็นสมุทัยอาริยสัจ เมื่อไม่แก้ตรงนี้ผลถาวรไม่เกิด อาจเกิดผลดีไม่นาน แล้วก็ไปวนเวียนเหมือนเดิมอีก ศาสนาพุทธเสื่อมมาตลอดสายที่ผ่านมา

 

อาตมาพูดได้เลยว่าศาสนาพุทธโลกุตระเสื่อมจากศาสนาแล้ว มีแต่พวกที่เขาคัดออกจากนอกวงการอย่างพวกเรานี่แหละเป็นพุทธแท้ จริงๆเราขอลาออกมาจากเขา เพราะอยู่ต่อไปเสื่อมแน่ แต่เขาก็ว่าเขาขับเราออก แต่เราทำการแยกตัวออกมีหลักฐานถูกต้องตามธรรมวินัยทุกประการ เขายอมรับด้วยว่าให้เราอยู่นอกปกครองสงฆ์ วันร้ายคืนร้ายดึงเราไปจัดการอีก มาปรับผิดเราอธิกรณ์เรา ตั้งข้อหาพิจารณาคดีเราซึ่งตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วไม่สามารถมาพิจารณาเราได้ แต่เราก็ยอมเพราะเราเล็ก เราก็ยอมทุกอย่าง จนแพ้สารพัด ดีแต่ว่าแพ้ก็แพ้ชะตาทรามดวงใจทรงความมั่นคง จนกระทั่งบัดนี้เรามีอิสระเต็มที่ แต่เขาก็ว่าอย่ามาใช้ชื่อพุทธ อาตมาก็ว่าเขาไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เราก็ว่าเขาอย่ามาตีกิน คุณมีสิทธิ์อะไร จะไปฟ้องศาลโลกก็ได้

 

พวกเราชาวอโศกได้ออกมาปฏิบัติตามที่เราเห็นว่าสัมมาทิฏฐิ นำพาปฏิบัติจนเกิดมรรคผล เกิดโลกุตระ ถึงปรมัตถธรรม มีการลดละกิเลสได้จริง พวกเราจะรู้ว่าเวทนาต่างๆเป็นอย่างไร ในขณะเกิดราคะ โทสะ ปฏิบัติจนเหตุที่ทำให้สุขทุกข์นั้นลดลงได้ อาการใจเรามันลดลง เห็นจริงเข้าใจได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย ตัวเราเองตรวจสอบรู้เองเห็นเอง มีสิ่งยืนยัน นอกจากเราทำได้แล้ว จะนำพาให้กายกับวาจา จนการเลี้ยงชีพ เราก็ลดละถูกต้องตามธรรมพระพุทธเจ้า เป็นคนไม่แย่งยื้อ มามักน้อยสันโดษ ตรวจสอบตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า กถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 หลักตรวจสอบธรรมวินัย 8 เป็นต้น

 

กถาวัตถุ 10

1.    เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) คือไม่มักมาก กล้าจนคนมาจน ไม่ใช่มารวย

2.   เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)  เขาไปแปลเพี้ยนเบี้ยวบาลีว่า พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็ไปถามบิลเกตสิว่าเขาพอใจไหม ถามทักษิณสิว่าเขามีมากขนาดนั้น เขาก็ว่าเขาพอ แล้วเขาสันโดษไหม? อย่างนี้เป็นต้น เขาไม่เข้าใจสัจธรรม ถือว่าเบี้ยวบาลี แต่เขาไม่ฟังเขาถือตามอาจารย์กันมา เขาถือว่าเรานอกพุทธ ไม่ฟังเรา เขาไปเชื่อกระแสหลัก ก็เป็นการวัดว่า คนจะมาเชื่อโศก คนกลุ่มเล็กนี่ต้องมีปัญญา เพราะหมู่เล็กไม่หลอกไม่โฆษณาไม่หาเสียงหยิ่งเสียด้วย ไม่ล่อหลอก คนก็ต้องมีญาณปัญญาเห็นเองมาพบเองรู้จักเอง แล้วใช้ปัญญาพิจารณาเองว่าอันนี้ใช่ เราจะลองทำตามดู อย่างโน้นก็ลองมาแล้วก็ยิ่งดีเป็นการเปรียบเทียบ

3.   เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) เขาก็อาจรู้ภาษาว่าสงบจากกิเลส แต่ทำไม่ได้ หรือไม่ก็ไปนั่งหลับตาดับปี๋ ไม่รู้จักอุปธิวิเวก แม้แต่สักกายะที่เป็นตัวตนหยาบตัวแรกก็ไม่รู้จัก ขออภัยพูดไปเหมือนเบ่งข่มเขา มาถึงวันนี้อาตมาก็อายุย่างเข้า 81 ปีแล้ว จะถึง 151 หรือไม่ก็ไม่รู้ ถ้าเป็นคนทางโลกก็เขียนพินัยกรรมแล้ว แต่อาตมาไม่มีพินัยกรรม

4.    เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

5.    เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา)

6.    เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.   เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา)

8.   เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.   เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10.  เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

 

ขอยืนยันว่าพวกเรามีมรรคผล มีปรมัตถ์ คนฟังแล้ว ถูกกิเลสแล้ว เอาตัวตนมารับ แต่ว่าตัวข้าใครอย่าแตะ ใครอย่ามาว่าอย่าแตะ พอแตะก็โกรธเลย ใครฟังอาตมาแล้วอย่าเอาตัวตนมารับ ค่อยๆฟังอย่างไม่มีตัวตน ไม่เอากิเลสมารับ

 

ศีลกับปัญญาเป็นพ่อและแม่ ทำให้จิตเราเปลี่ยนแปลง เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณแท้จริง ผู้ใดมาฟังธรรมแล้ว เอาศีลไปปฏิบัติให้ลดละกิเลสได้ ทำจิตให้เกิดเป็นโอปปาติกโยนินี่ก็คือความเจริญ

แต่ถ้าฟังแล้วเอาไปทำจริง จะพ้นจากความเสื่อม 7 ประการของชาวพุทธ คือ

1.    ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ)

2.   ละเลยการฟังธรรม  (สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ)

3.   ไม่ศึกษาในอธิศีล  (อธิสีเล  น  สิกขติ)

4.    ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ  ผู้ใหม่และปานกลาง 

5.    เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี)

6.    แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ)

7.   ทำสักการะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ) เช่นนับถือศาสนาเงิน นับถือเดรัจฉานวิชา มีเต็มไปหมดสังคมโลก ขอพูดตรงๆใครไม่เคารพโพธิรักษ์ ไม่สักการะก่อนในโพธิรักษ์ แต่ไปสักการะพระที่อธิบายผิดๆ นี่คือความเสื่อมข้อที่ 7 นั่นไม่ใช่พุทธ แต่เป็นเพี้ยน เป็นผิดไปแล้ว เป็นศาสนาผิดไม่ใช่พุทธ

 

ต่อให้คุณมาวัดอโศก จะฟังธรรมอโศก จะเจริญในอธิศีลแบบอโศก จ้างเขาก็ไม่มาหรอก จึงเสื่อมครบ 7 ประการ พวกเราฟังแล้วก็อย่าเกลียดชังกัน เขาน่าสงสาร เราเข้าใจแล้วก็ช่วยกัน ถ้าสามารถทำได้ อาตมานั้นเขาชังน้ำหน้าหนัก เขาถือว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 จะทำอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อฟัง เขาถือว่าไปล้มล้างเขา แต่ขอยืนยันว่าเราไม่ไประรานล้มล้างใคร แต่คุณจะแก้ไขก็อยู่ที่คุณเอง อาตมาไม่ไปแก้แทนคุณหรอก ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ อย่างเก่งก็แฟนคุณจะช่วยคุณ แต่อาตมาไม่ใช่แฟนคุณเลย

 

จึงอยากจะเน้นเข้าเป้า พวกเราเลย ...ว่าเราได้ดีแล้วจะดีอย่างไรต่อไป...

 

พวกเราได้มรรคผล มีรูปธรรมชัด จะเอาหลักมาจับก็ชัด ตรวจสอบตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า กถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 หลักตรวจสอบธรรมวินัย 8 เป็นต้น หลักใหญ่คือมักน้อยสันโดษ เรามาจนกันถึงเปลี่ยนนามสกุลมา แยกแขนงไปจนหลายแบบ ขนาดดร.แซมเดือนเขายังไปตั้งนามสกุลใหม่เลยว่า... ตั้งใจจนแล้ว

 

เราจนมหัศจรรย์สร้างสรรขยันเพียร เรากินใช้ของเราที่สร้าง แล้วสร้างสรรเหลือ เอาไปแจกจ่ายให้คนอื่น เรามีพฤติกรรมเช่นนี้ไหม?อาตมาว่าพวกเรามี เห็นได้ ไม่ได้ทำเพื่อมารยาทสังคม เอาโก้อวด แต่ทำจากใจจริง ว่ามีคุณค่า อย่างน้อยก็ขัดเกลากิเลสหวงแหน ย่ิงใครหมดกิเลสแล้วก็จะได้จริง เท่านี้ก็พอ ชาวอโศกมีระบบสาธารณโภคี มีก็แบ่งกันกินใช้ คนไหนทำได้มากก็เผื่อคนทำได้น้อยก็เพียงพอ มักน้อยเป็นคนจริง ใจพอเป็นคนจริง วิเวก กายสงบคือไม่มีกิเลสเข้ามาจัดการเราทั้งองค์ประชุมนอกและใน เรียกว่า “กาย” ถ้าใจก็ทำได้แต่ใจไม่ออกมาหากาย พวกปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตาแบบสัทธานุสารีย์พระพุทธเจ้าว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อัชฌัตตังพหิทารูปานิปัสสติ ทั้งนอกและใน ข้างในข้างนอกไม่มีกิเลสเรียกว่า “กาย” ไม่ได้ตัดขาดกัน

 

กายวิเวกไม่ใช่ไปนั่งแข็งทื่อสงบ จิตวิเวกก็ให้จิตไม่คิดไม่รู้เรื่อง เป็นดับสนิทนี่ไม่ใช่แบบพุทธ แบบพุทธนั้นกิเลสไม่เกิด อุปธิวิเวก ก็ทำให้กิเลสตาย กายจึงวิเวก จิตก็วิเวก มีสัมมาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะเต็มรูปเลย เพราะไม่มีจิตเข้ามาทำให้กายไม่สงบ ไม่มีวิปฏิสาร ไม่เดือดร้อนทั้งตนและท่าน เพราะทำแต่ดีถ่ายเดียว ไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะทำใจให้กิเลสหมดแล้ว

 

อสังสัคคะ ท่านแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่กลุ่ม ก็เลยหนีเข้าป่านี่คือความเสื่อมสี่ประการของพุทธ ท่านพยากรณ์ในอัมพัฏฐสูตร 4 ข้อ แต่อสังสัคคะคือไม่มีแล้วสวรรค์ไม่ทำสวรรค์ไม่ปรุงสวรรค์ ก็ไม่มีนรก แต่ถ้ามีสวรรค์ลวงก็ยังมีนรกจริงอยู่ มันเป็นโทษไม่ใช่เป็นคุณ มันเป็นกามาทีนวะ ไม่ใช่กามคุณ 5 ทุกวันนี้เขาก็เรียกและทำแต่กามคุณ แต่ที่จริงมันเป็นโทษ เพราะเรียนอนุบุพพิกถาไม่ถึงกามาทีนวะ หรือกามโทษ แล้วเนกขัมมะคือการออกจากกาม แต่ก็ไปบำรุงกามกันทุกวัน ก็เสร็จสิ กามาทีนวะคือสุขที่เป็นโทษ ก็เป็นกามสุขขัลลิกะสุขไม่จริง แต่ไปเสพสวรรค์เท็จ ไม่รู้ก็ไม่ออกจากสวรรค์ กลับไปแปลอสังสัคคะคือการไ่ม่คลุกคลีด้วยหมู่กลุ่ม หรือแม้รู้ความเรียนเปรียญบาลีมาเข้าใจก็ไม่พูดเพราะจะเข้าเนื้อตัวเอง อสังสัคคะก็เลยอธิบายเพี้ยน ไปส่งเสริมให้ออกป่าเขาถ้ำ เป็นศาสนาไม่เข้าสังคมขาดมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีก็แย่สิ

 

มิตรดีสังคมส่ิงแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ เห็นเราว่าเป็นบาปมิตร ไม่ใช่กัลยาณมิตร ซึ่งเราเป็นมิตรที่พาไปถึงบุญ

 

ต้องชำระกิเลสได้ถึงเป็นบุญ ต้องเข้าใจคำว่า กาย และ บุญ สองคำนี้แหละที่ต้องเข้าใจถึงบรรลุธรรมได้ กายนี้เน้นข้างนอกเข้ามาถึงใน แต่บุญนี่เน้นภายในจิตเลย อย่างใบไม้ใบนี้ ตาเห็นใบไม้ ใบไม้เป็นรูปที่ถูกรู้ด้วยตา

 

อสังสัคคะก็แปลไปผิดทางพาเข้าป่าไม่มีมิตรดีที่เป็นข้อแรกของสุริยเปยยาล 7 ข้อ

แสงเงินแสงทองต้องมาก่อนจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ถูกต้อง

สุริยเปยยาลสูตร (เล่ม 19  ข.129 - 136)

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  ไม่เจอมิตรดี จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ให้ตาย คุณก็ตายชักเสียก่อน

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค จับตัวสักกายะคืออัตตาตัวแรก คุณก็จับโจรได้ที่เป็นสมุทัย คุณก็กำจัดตัวนี้ด้วยสัมมาทิฏฐิ

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ต้องสัมมาทิฏฐิ

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ต้องอย่าประมาท หากแม้ได้แล้วแต่ประมาท หรือปฏิบัติไม่เอาจริงเป็นศีลพตปรามาส ปรองดองกับกิเลส ไม่บีบคอลดมันคุณก็ยังประมาทอยู่

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ต้องแน่ชัดว่าคุณทำจิตเป็น ถ้าทำไม่เป็นต่อให้ไม่ประมาทก็ทำผิด แต่ถ้าถูกมาตลอดเลย คุณทำใจเป็นด้วย รับรองคุณได้เจอพระอาทิตย์ คือมรรคองค์ 8 แน่นอน

 

ต้องทำให้ชัดเจน จนเกิดนิโรธแบบลืมตา เป็นจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เป็นสัจฉิเลยทำได้แล้ว ไม่ใช่ว่าไปเข้าใจว่า นั่งหลับตาดับแล้วได้ผลนิโรธ แถมยังถือว่าได้เป็นโชคอีกที่ได้ความดับดำมืดแบบนั้น อาตมาพูดให้ตายเขาก็เฉย

 

แม้แต่สุริยเปยยาลสูตรจะต้องพบแสงอรุณ 7 จึงปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ผล มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ข้อแรกเลยคือ มิตรดี ต้องพบสัตบุรุษ มีในหลายสูตรเลยต้องเร่ิมตรงนี้แหละต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ก่อนเลย ในอวิชชาสูตร

1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.   การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.   ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4.    การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

 

ตัวไม่ประมาทนี่คือคุณมีแสงอรุณ แต่ถ้าประมาทคุณก็ไม่พบแสงอรุณ ปฏิบัติจนบรรลุแก่น คือวิมุติ ผู้ได้แก่นแล้วคือผู้เป็นอมตะ คือจะทำเกิดหรือตายก็ได้ จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หรือจะต่อภพภูมิต่อไปก็ได้

 

มาวัดแล้วมาฟังธรรมแล้วต่อจากนี้ต้องเอาศีล เอาอธิศีลไปทำให้เจริญ ได้ปริยัติแล้วเอาไปโยนิโสฯให้เป็นอธิศีล เมือคุณเจริญในอธิศีล คุณก็จะยิ่งศรัทธาในสมณะภิกษุ ทั้งใหม่ กลาง เก่า ก็ยิ่งตั้งใจฟังธรรมไม่เพ่งโทส ไม่มีทางออกนอกขอบเขตพุทธ ไม่แสดงบุญนอกขอบเขตพุทธไม่สักการะลัทธิอื่นก่อน ไม่ใช่ว่าเราไม่สักการะลัทธิอื่น แต่เราก็ต้องศรัทธาสักการะลัทธิเราก่อน ไม่ใช่สอนให้ยึดอัตตาตัวตนไม่เอาคนอื่น แต่เราก็ต้องรู้ความจริง

 

ตนต้องทำตนเป็นแม่ในวันแม่คือศีลเป็นแม่ แล้วไปหาปัญญาเป็นพ่อ แล้วทำให้จิตเราเกิดเป็นโอปปาติกโยนิ การหาคนเป็นพ่อแม่ทางร่างวัตถุนั้น เดรัจฉานก็ทำเป็นไม่ต้องไปแย่งเขาหรอก เราต้องทำศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ(ไม่ใช่ไปหาผู้ชายชื่อปัญญานะ) ให้เกิดโอปปาติกโยนิให้ได้จริง ขออวยพรให้ทุกคนฟังธรรมแล้วเอาไปทำ เข้าใจแค่ไหนก็ทำแค่นั้นก่อน อย่าประมาท...ใครจะไม่ตายยกมือขึ้น...คนที่จะไม่ตายมีคนเดียวคืออรหันต์ แต่กิเลสท่านตายหมดแล้ว อย่างพระอวโลกิเตศวร ท่านไม่ยอมเป็นพระพุทธเจ้าด้วยนะ เพราะจะต้องปรินิพพาน ต้องช่วยคนไปจนกว่าคนจะเป็นอรหันต์หมดโลกก่อน จึงปรินิพพาน เขาบอกว่ากวนอิมก็คือปางหนึ่งของอวโลกิเตศวร ก็ฟังเขาว่าเราไม่ได้หลงใหลงมงายอะไร ขอให้ทุกคนได้ธรรมสมควรแก่ธรรมแก่ตัวเองทุกคน....


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:56:12 )

570812

รายละเอียด

570812_สรรค่าสร้างคน(8)วนบ. เรื่อง สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำคัญอย่างไร?

พ่อครูว่า...พ่อครูว่า ใครว่าเรื่องกิเลสยาก เรื่องกิเลสง่ายจะตาย คิดให้มันยากก็ยาก คิดให้มันง่ายก็ง่าย

 

วันอังคาร ที่ 12 สิงหาคม 2557 แรม 2 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเมีย

วิชาสรรค่าสร้างคน (8) วนบ.ลักษณะบุญนิยม 11​ ประการ (ต่อ)

 

โลกียะมีแต่จะเอา แต่โลกุตระมีแต่จะเอาออก แต่เอาออกก็ไม่ได้ขี้เกียจ แต่ขยันสร้างสรรด้วย ให้เขาช่วยเขาอีก เราก็เข้าใจ แต่ใจมันจะเต็มใจทำไหม? เรื่องเหตุผลความหมายตรรกะใครฟังก็ดีแน่ แต่จะเป็นไปได้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เขาก็คิด หรือเขาคิดว่าบางคนเป็นได้แต่คนส่วนใหญ่เขาเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ มันท้าทายดีนะ เราจะรับคำท้าไหมนี่ มันก็เป็นไปได้ เราค่อยๆเป็นมาได้เรื่อยๆ เขยิบขยับมา เราก็ลดความเห็นแก่ตัว โลกเขาต้องการทั้งนั้น แต่เขาไม่มีทฤษฎีที่จะทำให้ถึงอย่างที่เราพูด เขาไม่มี แต่ของพระพุทธเจ้ามีทิศที่จะทำให้เกิดผลเช่นนี้

 

ของโลกียะนั้น แต่ก่อนดูบอลไม่ได้จัดจ้านดูดดึงขนาดนี้นะทั่วโลก จะแข่งโอลิมปิกหรือระดับไหนก็ไม่ แต่จิตวิญญาณมันปลุกเร้าจนกิเลสหนาขึ้นๆ อันอื่นก็เหมือนกันหมด ไปต้องการส่ิงที่จะให้จัดจ้านให้หนักมีรสชาติรุนแรง มันสร้างได้ทั้งนั้น จิตโง่สร้าง แล้วล้างออกยาก แค่จะมาล้างนี่ต้องใช้ปัญญามาล้าง โอ้โห แสนเข็นยากเย็นหนักหนาสาหัส

 

เราก็จำเป็นที่จะต้องมาหาทางเรียนรู้เราก็มีบุญที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบสูตรสำเร็จเอาไว้แล้ว ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก แต่เขาเพี้ยนไป จนไม่มีผลเลย แล้วเขาก็หลงว่าเป็นผลซับซ้อนหลายชั้น สายปัญญาหรือเจโตก็ซับซ้อนกันคนละทาง แม้แต่ปัญญาก็ไปขัดกันเองเพราะปรุงแต่งกันมามีหลากหลายมากมายก็ไม่ค่อยลงรอย สายเจโตก็ค่อยยังชั่ว ขัดแย้งไม่มากขึ้น เจโตไปหาจุดหยุดนิ่งดับจิตไม่ต้องคิดอะไรวางทิ้งเฉยก็เลยไม่ปรุงแต่งมากตามสถานะของมันแต่มันก็มีวิธีไปหาจุดสุดนั้นหลายวิธีเหมือนกัน ดีแต่มันไม่ปรุงเป็นโลกธรรม บานปลายมากขึ้น มันเข้าหาน้อย ก็ต่างกันแต่อาจารย์แค่ละคนหาวิธีต่างกัน ก็ไม่มากเหมือนสายปัญญาฉลาด ที่ปรุงแต่งมากมายจัดหนา ยากมาก

 

เรารู้สองทิศทางของมัน ชัดๆ แล้วเราก็จะเข้าใจเห็นลักษณะสองอย่าง เป็นความสุดโต่งสองอย่าง บานปลายไปหายอบายภูมิหากาม และไปหาอัตตา นั่นเป็นเรื่องของสองกระแสสองทิศทาง

 

โลกียะหลงสุขไม่รู้ความยึด เป็นสุขขัลลิกะ อาตมาก็พยายามใช้พยัญชนะที่เขามี ว่าสุขขัลลิกะ สุขกับอัลลิกะ ยิ่งเห็นว่าศาสนาพุทธมันเพี้ยนเห็นกลับจนจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว

 

ส่วนอัตตาเขาก็ไม่เข้าใจอัตตา สุขเขาก็ไม่ยอมรับว่าสุขเท็จ ส่วนอัตตาเขาก็ไม่รับหรือได้แต่อัตตวาทุปาทาน จับแก่นแท้ไม่ได้ อยู่ในอากาศ อัตตาเขาก็มองออกนอกตัว ไม่เข้าหาจิตเจตสิกรูปนิพพาน ว่าการยึดอัตตาเป็นอย่างไร หลักฐานก็มีคำแปลเป็นตัวกูของกู  แล้วไม่รู้ว่าการยึดเป็นอย่างไร อาการยึดเป็นอย่างไร เป็นตัวเราเป็นของเรา ของเรานี่มีสองอย่าง ยึดว่าเป็นของเรา กับยึดว่าเป็นเรา

 

การยึดว่าเป็นเรานี่เนียนเลย ลึกเลยถึงนามธรรม ก็เลยยิ่งยากก็ต้องหัดพรากส่ิงที่เป็นของเราออกก่อน ก็คือมันยึดเป็นเรานี่แหละ จนกว่าจะมาเข้าใจอาการจิตที่มันยึดเป็นของเรา จากวัตถุมาเป็นพฤติกรรม จากสัมผัสทางข้าวของวัตถุ จนส่ิงที่มากระทบ ท่าทางอิริยาบถ พฤติกรรมของคนสัตว์ ที่ไหวเข้ามา เราก็ไปตีราคาความเป็นเราของเราผิดทั้งนั้น ส่ิงที่สัมผัสไหวได้นี่เรียกว่า กายวิญญัติ

 

โลกุตระคือมารู้จักจิต รู้จัก กามกับอัตตา

 

จะลดมาตามลำดับ จนกว่าจะหมดสิ่งที่เข้าไปยึดที่เป็นปลายที่เรียกว่าอันตา จนกระทั่งไม่มีปลาย ไม่ไปไหน แต่ไม่ได้ปิดหูตา เพราะจิตมันไม่ไปไม่มา สงบน่ิงไม่ไหวเลย การเคลื่อนไหวของจิตสุดยอดไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยเรียกว่าตัวจบตัวหยุด ตัวสูญตัวว่าง

 

ที่เราต้องใช้คือสัญญา โลกียะเขาก็ใช้สัญญา แต่ไม่ได้ควบคุมกิเลสได้

 

สัญญา และเจตนา เราก็ต้องจัดการให้เป็นไปตามกิเลส ปรุงแต่งทุกอย่างจนเกิดเรื่องราว ปรุงแต่งได้สมใจเป็นเวทนา ได้สมใจก็เป็นเวทนา ไม่ได้สมใจก็ทุกข์

 

จิตทำงานคือ เป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แค่นี้แหละ เราก็เรียนตั้งแต่มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24 เมื่อไม่กำหนดเรียนรู้ใช้สัญญาให้ถูกต้อง ที่จะกำหนดหมาย ถ้าไม่เรียนลดกิเลส กิเลสมันก็บงการให้กำหนดหมายอย่างนี้ๆ ตามแต่อุปาทาน ให้ได้ ถ้าได้ก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์อยู่กับสุขทุกข์นี่แหละชั่วกาลนาน อื่นๆใดๆเป็นองค์ประกอบทั้งนั้น ทั้งวัตถุและพฤติกรรม มันก็ไปยึดบันทึก กำหนดหมายไว้ เป็นความจำว่า อย่างนี้อยากได้อย่างนี้ไม่อยากได้แล้วก็บ้าไปตามมัน

 

อยากได้มากก็แสวงหามาก เป็นวรรคเป็นเวร สัญญาจึงเป็นตัวกำหนดหมายให้ชัดเจน อาการจิตที่กำหนดหมายหรือกำหนดรู้ ได้มาก็โง่จำไว้ ไม่ได้มาก็โง่จำไว้ สัญญาทำตามอวิชชา ทั้งนั้น เป็นเรื่องราวนี้ก็เพราะเราไม่กำหนดรู้สังขาร

 

เมื่อไม่รู้จักสัญญา แล้วก็ฝึกมันใช้มันเรียน วิธีการคือเราตั้งกฎเกณฑ์ว่างดเว้น ถ้าไม่ได้จะมีอาการอย่างไร แล้วเราจะลดละล้างความยึดติดเป็นอย่างไร จนเราลดละได้ล้างได้เป็นตัวอย่างเป็นของจริงตามลำดับ ทำได้จนเป็นตถตา เป็นเช่นนี้เอง ความจริง เอาตนมาปฏิบัติ เป็นตถตาไปเรื่อยๆ จนตถตาเต็มที่ก็เป็นตถาคโต เวลาปฏิบัติธรรมจึงต้องมีสัญญาเป็นตัวสำคัญ ในการปฏิบัติตลอดเวลา

 

ใครพอรู้ว่าเราใช้สัญญาเป็นบ้าง...ยกมือเกือบทั้งห้องเลยก็ใช้ได้

 

ใช้สัญญารู้กิเลส จำได้ เรียนมาแล้วเอาไปประกอบ ว่าปหาน 5 เป็นอย่างไร วิปัสสนาเป็นอย่างไร มีสัมมัปปธาน 4 ก็ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ตลอด ทั้งรู้กิเลส ปฏิบัติลดกิเลส อ่านรู้ว่ามันลดหรือจางคลายอย่างไร ลดได้เพราะเห็นอนิจจัง เห็นวิปัสสนาญาณ เห็นไตรลักษณ์​มีความฉลาดเพ่ิม มีวสี เพิ่มขึ้น ก็เห็นก็รู้ ด้วยการปฏิบัติด้วยตน สันทิฏฐิโก เราทำได้จริงเห็นจริง สัญญาเป็นตัวสำคัญมาก

 

สัญญากำหนดหมาย ถ้าเผื่อว่า เรากำหนดวิโมกข์ 8 ต้องเข้าใจความหมายให้ดี ถ้าเข้าใจไม่ดีก็กำหนดรู้ไม่ชัด ก็จะไปกำหนดหมายได้อย่างไร?

 

1.รูปีรูปานิปัสสติ เราจะกำหนดรู้รูป ทั้งหลาย ถ้าเราไม่มีธาตุรู้เราจะเห็นได้ไหม? ก็ไม่เห็นได้ มันต้องมีธาตุรู้อยู่ในนั้นไปสัมผัส แล้วจะเห็น ก็หมายเอาตัวคนปฏิบัติคือคนมีวิญญาณฐีติ มีธาตุรู้ ทำงานเต็มที่ คำว่าปัสสติ หมายถึงเห็นคำนี้ กินความคือสัตว์โลกคือ “คน” สัตว์มันเรียนวิโมกข์ 8ไม่ได้หรอก แล้วการเห็นจะต้องมีผัสสะ ไปหลบในภวังค์จะเห็นได้อย่างไร

 

รูปี รูปานิ ปัสสติ  ผู้ปฏิบัติต้องเปิดทวารแล้วอ่านรู้รูปนั้นได้

 

2.ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน(อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ ) ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก เขาแปลแล้วเขาจะรู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ บางฉบับแปลว่าผู้ไม่สำคัญในภายในย่อมเห็นรูปภายนอก แต่อาตมามาแปลนี่ ว่า มีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอกจนถึงภายใน แม้อรูปก็ต้องใส่ใจรู้ด้วย

 

ข้อสองนี้แหละเป็นความสำคัญอย่างมาก เห็นรูป อาตมาแปลชัดชัดเลย ปัสสติ แปลว่าเห็นรูปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปภายนอกหรือภายใน พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้รูปทั้งหลายให้หมด ที่เป็นภายนอกของตน คำว่าของตน นี่คือ คำว่า เอโก

 

อาตมาแปลขยายความว่า..เห็นรูปทั้งหลายภายนอกของตน แล้วกำหนดรู้ภายในถึงขั้นอรูป ต้องกำหนดรู้ รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ แม้รูปข้างนอกหรือนามธรรมภายในก็ตามก็ต้องตามรู้ หมายความว่าภายนอกก็เห็นแล้วกำหนดรู้ถึงภายใน แม้กระทั่งอรูป ตัวสุดท้ายเลย สัญญีคือผู้กำหนดรู้ ก็เป็นผู้กำหนดรู้ได้ทั้งหมด ทั้งภายในและภายนอก

 

ถ้าเราไม่เข้าใจคำว่า รูป คำว่า นาม ไม่ชัดก็ไปไม่ออก พังเลย แล้วมันก็มีคำว่า รูป และคำว่า นาม พอไปอยู่ด้วยกันก็เป็น รูป_นาม และ นาม_รูป พอไปประชุมกันก็จะเป็น “รูปกาย” เป็น “นามกาย” หรือ “นามรูป”

 

รูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้ กายคือองค์ประชุมหรือองค์รวม ส่ิงที่มันมารวมกันเรียกว่า กาย รวมทั้งหมด นอกจากเราจะกำหนดว่าเอาแค่นี้ แต่ถ้าไม่กำหนดก็รวมทั้งหมดไว้ก่อน แต่ถ้าหมายเอาแค่นามกายก็เอาแค่นาม เน้นนามธรรม แต่ถ้าเอารูปกายก็เน้นไปหามหาภูตรูปด้วย แต่รูปกาย หรือ นามกาย นั้นไม่ทิ้งการรู้ ไม่ทิ้งธาตุรู้ จะเน้นไปหารูปก็ไม่ทิ้งการรู้ จะเน้นหานามก็ไม่ทิ้งธาตุรู้ ถ้าทิ้งนามก็ไม่สามารถไปรู้ได้ มีแต่ดิน น้ำไฟลมแท่งก้อนไม่มีธาตุรู้

 

คำว่า กาย ไม่ใช่ร่างไม่ใช่โครงร่าง ไม่ใช่แต่มหาภูตรูป คำว่า กายไม่ใช่แต่มหาภูตรูป แต่เกี่ยวก็ได้ไม่เกี่ยวก็ได้ จะหมายเข้าไปทางนาม มากกว่า รูป แต่เมืองไทยมันซวย ไปตัดนามทิ้งไป คำว่ากายนี่หมายถึงแต่รูป ศาสนาเจ๊งเพราะตรงนี้ เจ๊งสนิทเลย คำว่ากาย สารพัด นี่จึงจบเห่เลย รู้ผิดก็ปฏิบัติผิด ไปตัดเจตสิกรูปนิพพานไปหมดแล้ว

 

นามรูป คำว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ของความเป็นนาม สิ่งที่จะต้องรู้ให้ได้ คือ เวทนา ,สัญญา, มันเป็นขันธ์อยู่แล้วก็ต้องรู้ มันเป็นนามธรรมต้องอ่านรู้ ส่วนรูปธรรมก็รู้ได้ไม่ยาก แต่นามไม่มีรูปร่างก็เลยยาก ก็เลยต้องรู้ให้ชัด แล้วเข้าใจก่อน แล้วไปปฏิบัติ ใช้สัญญากำหนดว่า อาการเช่นนี้เรียก เวทนา เป็นสุข ทุกข์ อย่างไร

 

คำว่า กายิกทุกข์ ในเวทนา 108 คำว่า กาย คำนี้ไม่ใช่หมายถึงร่างกาย แต่กายิกทุกข์คือทุกข์อาริยสัจ 4 หมายความว่า จิตมันทุกข์ คือจิตมันทุกข์ไม่ใช่ร่างกายเจ็บที่เป็น ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้

 

กายิกทุกข์ คือองค์รวมของทุกข์ มันเกิดอาการชอบใจก็สุข มันไม่ชอบใจก็ทุกข์ อาการเช่นนี้แหละคือกายิกทุกข์

 

ส่วนเจตสิกทุกข์ คือเจาะเลยเข้าไปหานามกาย ไม่ใช่หมายเอาทางรูปกาย ซึ่งรูปกายคือรวมทั้งมหาภูตรูป แต่นามกายก็เน้นหาใน แต่เจตสิกทุกข์คือเจาะลึกอาการจิตจนถึงนิพพาน เป็นองค์ประชุมของสูญ ตาก็ยังอยู่ หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่ครบ แต่เน้นถึงนามถึงจิต ว่าจิตไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ดูดไม่ผลัก มันว่าง กลาง เฉย เรียกว่านามกายถึงขึ้นถึงความว่าง เข้าไปเป็นนามกายลึก แล้วรวมทั้งข้างนอกด้วย ยังมีทวาร 5 กระทบสัมผัสอยู่ มองข้างนอกก็ยังอยู่ แต่มองเข้าไปภายในถึงนิโรธก็ยังอยู่จึงสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ เห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง องค์ประกอบทุกข์อย่างก็ครบ สูญก็อยู่ให้เห็นทนโท่เลย

 

องค์ประกอบทุกอย่างครบ แล้วสูญก็มี นี่เป็นปริยัติ แล้วใครมีสภาวะบ้างแล้ว เช่นมีสูญในอบายมุขแต่ละคนมีไหม? คุณรู้เองเห็นเองโดยไม่ต้องเชื่อใคร อย่างอื่นคุณก็ต้องทำให้ได้ด้วยเข้าใจแล้วอย่างอื่นทำให้ได้ด้วย ไม่อยากรีบเป็นอรหันต์หรือไง

 

คำว่า กาย ที่่ท่านเน้นในบุคคล 7

 

[41] บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่  แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว  เพราะเห็นด้วยปัญญา   บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”

(กตโม   จ   ปุคฺคโล   ปญญาวิมุตฺโต  อิเธกจฺโจ  ปุคฺคโล  น  เหว โข  อฏฺฐ  วิโมกฺเข  กาเยน  ผุสิตฺวา  วิหรติ  ปญญาย  จสฺส  ทิสฺวา  อาสวา  ปริกฺขีณา  โหนฺติ   อย  วุจฺจติ  ปุคฺคโล   ปญญาวิมุตฺโต ฯ)

 

คำว่า กายสักขี ท่านว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาก็มักเข้าใจว่า สายสัทธานี่ก็นั่งหลับตาอยู่แล้ว จะต้องให้ไปนั่งอีกทำไม เขาเข้าใจว่าวิโมกข์ 8 นี่ก็ต้องไปนั่งหลับตา เขาว่าสายปัญญาสิจะต้องไปสัมผัสวิโมกข์ 8 คือไปนั่งหลับตา

 

คำว่าปัญญาวิมุตินี่ต้องแปลว่า ไม่ต้องไปกล่าวว่าท่านจะต้องไปสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีกแล้ว เพราะท่านสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ ธัมมานุสารี ซึ่งในวิโมกข์ 8 นั้นมีรูปฌาน อรูปฌานครบหมด

 

ต้องเข้าใจคำว่า กาย ให้สัมมาทิฏฐิด้วยถึงจะปฏิบัติได้สมบูรณ์ ก็เห็นใจเขาว่าไม่ใช่เรื่องสามัญเป็นเรื่องยาก คุณปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ แม้แต่ข้อที่ 9 ของสัมมาทิฏฐิ สัตตาโอปปาติกา เขาก็เห็นเป็นมโนมยอัตตา เป็นรูปภายใน หรือบางคนเห็นเป็นข้างนอกเสียด้วย 

 

สรุปแล้วโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจึงต้องเรียนให้สัมมาทิฏฐิ รู้ว่าโลกโลกียะคืออะไร โลกโลกุตระคืออะไร มันจะรู้รายละเอียดทั้งหมดได้

 

คำว่า กายนี่ถ้าไม่มีนาม นั้น ก็ไม่เรียก กาย ถ้าไม่มีวิญญาณเข้าไปสัมผัสเกี่ยวข้องก็ไม่เรียก กาย อาตมาพูดวนไปวนมาก็เพราะจะบอกให้ครบทุกอณู​เพราะมันยอกย้อนไปมา

 

เมื่อผู้ใดแยกชัดในคำว่า กาย มีเครื่องมือในการปฏิบัติ ในวิโมกข์ ในสัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7

 

ฤาษีเขาไปนั่งดับหมด ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา แต่ไม่ได้ฆ่าจริง สะกดมันไว้ ให้มันไม่รับรู้ เป็นสัตว์ที่ไม่รับรู้อะไร คุณจะจมอยู่กับความไม่รับรู้อะไร ได้สภาวะเช่นนั้นติดอัตภาพไปนานเท่านาน จบเห่เลย พระพุทธเจ้าถึงอุทานว่า อาฬารดาบส และอุทกดาบส ไปหลงดับ เขาไปสร้างภพชาติ จนเป็นอากิญจัญญายตนสัตว์ ก็ไม่สูงเท่า อุทกดาบส ที่ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์​ เพราะอาฬารดาบสนั้นดับตาพึดก็เลยไม่รู้สักอย่าง แต่อุทกดาสบสนั้นมีปัญญารู้ว่ามันยังมีอะไรขึ้นมา แล้วแกก็ดับไปอีก

 

แล้วถ้าดับเป็น ก็ดับตั้งแต่รูปฌานได้เลย ไม่ต้องไปตรวจอากาส ตรวจวิญญาณอะไรหรอก ดับได้เลย ดับเป็นแล้วไม่ต้องไปรอ นี่คือหมด เป็นอสัญญีสัตว์ถาวรไม่มีทางแก้ พระพุทธเจ้าพอรู้ว่าสองคนนี้ตายก็บอกว่าฉิบหายแล้วหนอใครจะไปช่วยได้ แก้ได้ภพนี้ไป เป็นสัตว์ แล้วเสพติดว่าเป็นของวิเศษ แล้วเสพสุขในภพอันนี้ใครเคยนั่งหลับตาแล้วได้ก็ไม่อยากออกเลย แต่ก็ต้องออกเพราะมีขันธ์อยู่ คนหลงก็ทำให้นานที่สุดก็ได้ติดความหลงถนัดเลย ในโลกวิญญาณไม่มีอะไรมาดึงคุณออกมาได้เลย มันเดาไม่ออกหรอก จมอยู่อย่างนั้นเลย ก็วิบากของเขา

 

สรุปแล้ว สัตตาวาส 9 หากไม่รู้แล้วไปนั่งดับจมอยู่ก็เสร็จเลย นึกสงสารเขา ไปจมอยู่นานขนาดไหน สายหลับตานี่หลงน่าสงสารไม่ได้อะไร เสียเวลาด้วย แล้วเวลาสัตว์ทางจิตวิญญาณนั้นยาวนานไม่รู้กี่ต่อๆ ไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจึงต้องปฏิบัติในขณะมีธาตุรู้ทำงาน แล้วอ่านองค์รวมของจิตเวลาสัมผัสแตะต้องในขณะมีสัมผัสครบองค์ประชุม

 

จึงเน้นว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ตั้งแต่สักกาย ต้องเรียนรู้ตั้งแต่โลกุตระ ข้อแรกเลย

คือ กายในกาย  จะปฏิบัติกายในกาย ก็ต้องมีสัมมัปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8 ต้องมาเร่ิมที่ กายในกาย

 

จะเห็นได้ว่า เร่ิมต้นที่ปฏิบัติธรรมก็คือ สักกาย พอเริ่มต้นปฏิบัติก็ต้อง กายในกาย แล้วพอจะจบก็ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

สติ สัมปชัญญะ คือรู้แล้วต่อเนื่องเข้าไปถึงภายในต่อ แต่ถ้ารู้นิ่งเฉยแล้วหยุดดับก็คือเจโตสมถะ ไม่ได้ศึกษาไม่ได้บรรลุธรรมแน่ ต่อจากสัมปชัญญะคือ สัมปชานะ

สัมปชัญญะ     =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ       =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ

สัมปัชชลติ      =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง หรืออีกภาษาเรียกว่าฌาน เป็นกองไฟโหมให้กิเลสละลายไป

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล 

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

ใจเจ็บใจเศร้าใจหายใจเป็นอย่างไรนั้นมันไม่มีหรอก คุณไปบ้าทำเองทั้งนั้น เพราะคุณอวิชชาไปทำมันให้เป็นเอง เหมือนคำโกหกมันมีจริง แต่มันเป็นคำไม่จริง ใครจะโกหกอย่างไรในโลกก็เป็นของเขา เราไม่โกหกแล้วเราก็ว่าคำโกหกจริง

 

ฤาษีนี่ความจริงว่าดับก็กับได้เลยปุ๊ปเลย แต่เป็นภพใช่ไหม?...ก็เป็นภพเป็นชาติ แต่ก็มีลีลาต่างกันว่าจะดับอย่างไร จะว่างขนาดไหน?ก็แล้วแต่ ไปอ่านจุลสุญญตสูตร ดู


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:57:36 )

570813

รายละเอียด

570813_พุทธชีวศิลป์(8)วนบ. เรื่อง กายนี้สำคัญอย่างไร?

พ่อครูว่า...วิชานี้เราจะพูดเรื่องธรรมะให้มาก อาตมาเจตนาต่อภพภูมิการศึกษาให้ไปจนที่สุดบรรลุธรรมกันถึงอรหันต์เลย เจตนาเช่นนั้น ต้องตั้งใจ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นศาสนามีเนื้อแท้คุณธรรม สามารถศึกษาให้สัมมาทิฏฐิได้  แต่ศาสนาพุทธได้กร่อนลงไป เสื่อมลงไปตาม อาณิสูตร

 

 

ซึ่ง ชาวอโศกเราได้ฟื้นความรู้ความจริงแท้ของพุทธขึ้นมาได้ ระดับหนึ่ง  ทั้งที่พวกเรายังไม่ได้ดีมากนักหนาเท่าไหร่ แต่ก็มีรูปธรรมยืนยันได้เพราะมีหลักฐานธรรมะพระพุทธเจ้า มีพระไตรฯ เราก็เอามาตรวจสอบมันก็ตรงนะ อาตมาว่า ก็ไม่ได้เพี้ยนอะไร อย่างนี้จึงทำให้เราเข้าใจมีปัญญาตรวจสอบตาม และมีหลักฐานที่กระแสหลักเขาก็ถือพระไตรฯฉบับเดียวกันไม่เพี้ยนอะไร พอมาดูแล้วก็ว่าดี ตรวจสอบแล้วเยี่ยมเลย เราก็ไม่เห็นปัญหาอะไร

 

เรามาเรียนต่อกันที่ ปฏิจจสมุปบาท ให้อ่านนาม_รูป ซึ่งนามที่จะปฏิบัติท่านให้ศึกษาอาการของ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

มนสิการเป็นการจัดการทำใจ เพื่อปรับปรุงตกแต่งทำให้ขึ้นสู่ดี ส่ิงไม่ดีก็ดับออกกำจัดออก

 

ส่วนผัสสะคือจะต้องปฏิบัติในลักษณะที่มี ท่านจึงจัดให้อยู่ในหมวดนาม ถ้าไม่มีผัสสะ ก็ไม่เกิดวิญญาณ ผัสสะมีสิ่งสองคือนามและรูป

 

พอเราเข้าใจผัสสะ แล้วตัวสำคัญอีกตัวคือ เจตนา ก็คือตัณหานั่นเอง ...ท่านให้ปฏิบัติรู้จักตัณหาที่เกิดจากทวาร 6 แต่ในตัวตัณหาหรือเจตนานี่มี 3 คือ กาม_ภว_วิภวตัณหา เป็นตัวเหตุใหญ่สมุทัยที่จะต้องกำจัด จะเกิดจริงเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง มีเวทนา 6 ตัณหา 6 คือรับครบทุกทวาร มีผัสสะอยู่ในปัจจุบัน เกิดองค์รวมเรียกว่าวิญญาณ แล้วแตกออกเป็น เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม หรือแม้แต่ กายในกาย ก็คือจิต

 

คนไทยว่ากายไม่ใช่จิต เขาว่าชีวิตคนก็มีกายกับจิต ก็เลยแยกส่วน คำว่า กายจึงมีนัยลึกที่ไม่ทิ้งนามธรรม ต้องมีนามธรรมร่วมตลอด กายจริงๆแล้วหมายเอานามธรรมธาตุรู้ที่ร่วมอยู่ แต่ภาษาไทยเอาคำว่า กายไปใช้ผิด จนกายนั้นเป็นแค่รูปร่างนามธรรม ไม่มีนามเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยซ้ำ มันเลยผิดไปคนละขั้ว

 

การปฏิบัติในเรื่องของกายนั้นสำคัญที่สุด จะพยายามทวนคำว่ากายนี้ให้มาก เพราะมันสำคัญ

 

คำว่า กายนี้เป็นองค์ประกอบของรูปนาม ในโลกุตระ 46 มี(คือโพธิปักขิยธรรม 37 บวกกับ โลกุตระ 9) ล.31 ข.620

 

เร่ิมต้นตั้งแต่ กายในกาย

 

ต้องเข้าใจ กายสังขาร คือองค์ประชุมของรูปและนามทั้งนอกและใน มีครบ ส่วนวจีสังขาร มีแต่ภายใน โดยเฉพาะในภายในของวจีสังขาร อาจไม่เกี่ยวกับมหาภูตรูปเลย เพราะวจีสังขารเกิดจากการปรุงแต่งของนามธรรม เป็นมโนวิญญัติยังไม่เป็น กายหรือวจีวิญญัติ ยังอยู่ในมโนกรรม เป็นมโน

 

กายสังขารคือองค์รวม ส่วนวจีสังขารคือส่วนที่อยู่ในจิต ที่มีมโนเป็นประธาน เป็นพฤติกรรมของมโนกรรม เมื่อปรุงแต่งออกมา ส่วนจิตสังขารคือหมายเอาองค์รวมของจิต จะไม่เอาภายนอกเลยก็ได้ ไม่เอากายก็ได้ วจีสังขารยิ่งละเอียดกว่าจิตสังขาร เพราะเป็นผลของการปฏิบัติอภิสังขาร คือได้ชำระกิเลสแล้วหรือชำระไม่ได้ ถ้าชำระไม่ได้ก็เป็นวจีสังขารที่เป็นผีอยู่ ก็ทำงานตามที่มันเป็น เช่นเป็นผี หรือเทวดาก็แล้วแต่

 

เมื่อปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติตั้งแต่ กายในกาย ตั้งแต่กายนอก มาประชุมร่วมกัน แล้วเนื่องเข้ามาภายใน เป็นองค์ประชุม

 

ถ้าเรากำจัดเหตุแห่งอวิชชา ตั้งแต่มีสัมผัส เราต้องอ่านกายตัวแรกคือสักกายะ อย่างเห็นๆหลัดๆ มีญาณหยั่งรู้ มีปัญญาเห็นของจริงแล้ว ไม่ใช่ได้แค่นึกคิดเอา มีวิปัสสนาญาณเห็นอยู่รู้อยู่ เห็นแล้วก็วิตกวิจารวิเคราะห์วิจัยลงไป อาการเหล่านี้คืออาการจิต

 

ถ้าอวิชชามันปรุงปุ๊บเลย เป็นองค์รวมเลย พอปรุงแล้วเรียกว่ามันเป็นเทวดาหรือเป็นผี มันสุขก็เป็นเทวดา มันทุกข์ก็เป็นผีเลย เราก็อ่านวิจัยลงไป แล้วมีวิธีด้วย ว่ากระทบรูปแล้วอยากได้ถ้าได้มาก็สุขแต่ถ้าถือศีลแล้ว ฉันจะเว้นขาดไม่เอา เพราะไปตกเป็นทาสมันก็ต้องเว้นออกขาดออก ก็จะเห็นมันดิ้น เห็นตัวตนของผีชัดๆเลย เห็นเวทนาชัด ก็วิจัยเวทนาในเวทนา องค์ประชุมกายเดียวกัน แต่เรียกคนละสถานะ เรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา แล้วเราก็ปฏิบัติตามที่เรียนรู้มา ตามศีลพรต ปฏิบัติให้มันสำเร็จ อย่าให้แค่เห็นมันแตะต้องลูบคลำ แต่กำจัดมันไม่ได้ ถ้ากำจัดมันไม่ได้ก็ไม่พ้นศีลพตปรามาส แม้มีญาณอ่านรู้เห็น เจตสิกแล้ว

 

เราก็ปฏิบัติลดละโดยสัมมัปปธาน พอกิเลสหมดไปก็ไม่เห็นเสื่อมเลย มันเป็นอบายไม่เห็นต้องมีเลย เราจะเห็นเลยว่าเราบ้าไปปรุงมันทำไม การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่คือปฏิบัติตามวิโมกข์ 8 ข้อที่ 3 จนเรามีสัญญา และกาย อย่างพุทธ แต่พวกฤาษีจะกำหนดนิโรธ อย่างมืดดำดับ มันต่างกันอย่างมีนัยซับซ้อน

 

ต้องใช้สัญญาในการกำหนดรู้จึงจะรู้ว่าคือสัตว์ เทวดา สัตว์นรก สัตว์พรหม มีอาการ ลิงค นิมิตอย่างไร ต้องกำหนดหมายรู้จริง รู้กาย ทั้งรูปและนามทั้งนอกและใน เมื่อทำให้กิเลสลดได้ จนถึงอุเบกขา วางเฉย ซึ่งของพุทธ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา แต่ของโลกีย์เป็นเคหสิตอุเบกขา วางเฉยของโลกียะไม่ได้ดับกิเลส เป็นธรรมชาติ เป็นการกดข่มไว้ บางครั้งมันก็เฉย ไม่ผลักไม่ดูด กลางๆ บางครั้งคราว อาตมาเรียกอุเบกขาพักยก แต่ของศาสนาพุทธนั้นมันดับเหตุให้ถาวรเลย พักถาวรตายสนิทไม่เกิดเลย เป็นการวางเฉยที่ มืดดำดับ แต่ของพุทธเป็น แบบรู้สว่าง มีจักษุ ญาณ​ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

 

เขาอาจรู้เดาๆได้เป็นตรรกะ แต่ไม่เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ องค์ประชุมของนิโรธก็คือยังมีกายอยู่ ต่างกันกับองค์ประชุมของฤาษีที่ไม่มีกาย ไม่มีจิต ไม่มีรูป ไม่มีนามเลย มีแต่ความดำมืด กิณหะ

 

แต่ของพระพุทธเจ้ามีองค์ประชุมคือ กาย มีความว่าง มีนิโรธรู้ว่ากิเลสคืออะไร มีองค์ประกอบของเหตุปัจจัย จึงมีกายอยู่ ไม่ได้ดับกาย ยิ่งจิตยิ่งไม่ดับใหญ่ ยิ่งเห็นแจ้งสว่างมีอาโลกา ชัดๆเลย มีดวงตาสัมผัสอยู่ แต่ไม่ใช่ตาเนื้อ เป็นธรรมจักษุ เอาคำสอนพระพุทธเจ้าตรวจสอบก็ตรงกันทุกอย่างเลย

 

กายของพระพุทธเจ้าที่ให้ปฏิบัติ ตั้งแต่เร่ิมจนวิโมกข์เลย เมื่อได้ความว่างแล้วก็ให้ตรวจตั้งแต่ ความว่างเป็นอากาศ ตรวจขณะมีทวาร 6 รับวิถี ก็ว่างสว่างโดยมีจิตวิญญาณธาตุรู้  แล้วก็ตรวจอีก ตรวจว่าแม้เล็กแม้น้อยก็ไม่ให้มี แล้วก็ตรวจว่าไม่มีสิ่งใดไม่รู้ นานาสัญญา ก็ตรวจสอบขณะมีของจริงผัสสะ ตรวจสอบแล้วๆเล่าๆ ทั้งปัจจุบัน อดีต พยากรณ์อนาคตได้เลยว่าเที่ยแท้ถาวร ไม่มีอดีต อนาคต เพราะทุกปัจจุบันกระทบสัมผัสก็กิเลสเป็นสูญ มันเด็ดขาดสมบูรณ์แบบแล้ว นี่คือลักษณะธรรมะของพระพุทธเจ้า

 

สรุปแล้ว คำว่า กาย จึงเป็นตัวชี้บ่งสถาวธรรมที่ต้องเรียนรู้ให้ชัดให้ดีแล้วนำไปปฏิบัติ ตั้งแต่เร่ิมจนสำเร็จสูงสุด ต้องมีสัมผัสจึงปฏิบัติได้ จึงเรียกว่ามีกายได้ ถ้าไม่มีสัมผัสก็ไม่เกิด กาย

 

ถ้ารูป กับรูป สัมผัสกันก็ไม่เกิด กาย ไม่เกิดอายตนะไม่เกิดผัสสะ เพราะไม่มีเหตุปัจจัย

 

มาไล่ละเอียด ของนามธรรม เร่ิมจากเวทนา ในเวทนา ก็คือเจตสิกปรุงร่วมเป็นสุข เป็นทุกข์ เราก็เรียนรู้ว่าในเวทนามีตัวอะไรมาปรุงแต่ง รู้เจโตปริยญาณ 16 ว่ามีตัวอะไรมาปรุง จนเราชำระได้ก็เป็นปุญญาภิสังขาร เมื่อชำระได้หมดก็อปุญญาภิสังขาร สั่งสมให้ตกผลึกเป็นอเนญชาภิสังขาร

 

ผู้หมดกิเลส ก็ปรุงแต่งสังขารได้ แต่ไม่มีกิเลสร่วมปรุง เรียกว่า อสังขาริกัง ไม่มีตัวตนมาเกี่ยวข้อง แต่ปรุงเพื่องานเพื่อผู้อื่นไม่ได้เพื่อตัวเอง จะเพื่อตัวเองเช่นได้เสื้อผ้ามาก็ไม่ได้เอามาเสพอย่างโลกเขา อาหารก็กินเอาธาตุที่พักอาศัยก็หลบแดดฝน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องเลอะฟุ้งซ่านไป จะเป็นปัจจัย 4 บริขารเครื่องใช้ก็ไม่ได้เสพส่องอะไร ให้รู้ชัด

 

ย้อนไปถึงอายตนะ 6 เมื่อทำโยนิโสฯ จัดการกิเลสหมด เป็นวิภวตัณหา สัญญาก็สะอาด เป็นสังขารที่สะอาด เราไปทำงานการเมืองก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเรา ไม่ใช่พูดโก้ๆ แต่เป็นสภาวะจริง

 

เวทนาก็เป็นอุเบกขาเวทนา เป็นที่อาศัยในอรหันต์ แม้แต่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็ปรินิพพานในฌาน 4 ที่อุเบกขานี้ พระอนุรุทธะก็ตรวจตาม พระพุทธเจ้าท่านก็ไปอรูปฌาน แล้วก็กลับมาที่อุเบกขา อาตมาอธิบายได้เพราะว่าฐานนิพพานอยู่ที่อุเบกขา

 

ตัณหาก็มี 6 ทำให้กามตัณหา ภวตัณหาสิ้นไป แล้วมีแต่วิภวตัณหา

 

อุปาทานก็หมดไปหายไปไม่ยึดแล้ว

 

ภพก็หมด ชาติก็หมด ชรามรณะก็หมดไป ของกิเลสที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความทุกข์หรือความสุขเท็จก็ดับไป ชรามรณะอันนี้ไม่ใช่ของร่างกาย แต่อรหันต์หมดกิเลสแล้ว ร่างกายก็ยังอยู่เลย โดยเฉพาะโศกะปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ หายไปไม่เจอหน้าเลย แม้มีบททดสอบมาตลอดเวลา ทั้งวัตถุบุคคลเหตุการณ์ ก็ไม่เกิดทุกข์อะไร อาการพวกที่ว่าคุณก็ต้องรู้จักอาการเหล่านั้นจริง อาการเหล่านั้นต้องถูกรู้โดยญาณของคุณ คุณต้องรู้แม้ที่สุด

 

ชีวิตของกิเลสก็หายไป ชีวิตินทรีย์กิเลสหายไป เหลือแต่ชีวิตของพรหม เราอาศัยอาหารต่างๆกิเลสก็ไม่เกิด ผัสสะ 6 ก็บริสุทธิ์สะอาดตลอด ผัสสะต่างๆที่เกิดก็ไม่มีอะไร ในปุตตมังสสูตร เรื่องอาหาร

 

ในขณะมีกวฬิงการาหารก็ไม่เกิดกิเลส อ่านในขณะมีผัสสะก็ไม่เกิดเวทนาที่เป็นเคหสิตะ แล้วมันอุเบกขาแบบไหน เป็นเนกขัมมะหรือเคหสิตะ แล้วมันจะมีโทมนัสไหม แต่มีโสมนัสได้ไหม ก็ได้ เป็นแบบโลกุตระทำจิตอภิปโมทยังจิตตังได้เป็นเครื่องอาศัย คุณต้องปฏิบัติรู้แม้นิดแม้น้อยก็ต้องทำมาแล้วทำอดีตปัจจุบัน ให้สูญ แต่คุณจะอนุโลมอาศัยไปกับโลกด้วยเบิกบานแจ่มใส เพราะฉะนั้นเมื่อคุณผ่านอาหารรูปแล้ว คุณสามารถทำให้กิเลสว่างถึงอากาสธาตุได้ จิตมันว่าง คุณก็อนุโลมกับเขาได้ไม่มีโศกะปริเทวะ มีแต่เบิกบานแจ่มใส อภิปโมทยังในอานาปานสติสูตร

 

คุณก็จะอ่านรู้อาการของมัน มาถึง ปริเฉทรูป เป็นอากาสธาตุ แล้วคุณก็จะรู้อาการเคลื่อนไหวที่ออกมาเป็นวิญญัติ

 

คุณก็รู้ว่าจะปรุงออกมาให้เร็ว เป็นเสียงอย่างหนักเร็วแรงเหมือนอาตมาก็ต้องอาศัยการปรุงไปด้วยบ้าง คุณจะรู้จัก กายวิญญัติ วจีวิญญัติ คุณมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ก็ต้องประมาณรู้ว่าจะออกไปอย่างไร กำหนดรู้เป็นวิการรูป 5 เป็น ลหุตา เป็นมุทุตา เป็น กัมมัญญตา ประมาณให้ดี จิตคุณจะต้องมีลหุ ต้องมุทุ ต้องเป็นจิตที่เบาไม่หนัก แต่คุณจะปรุงหนักนั้นเจตนาของคุณไม่ใช่บำเรอใจของตนที่ปรุงหนักเพราะบำเรอใจ จิตต้องมุทุ แววไวทั้งเจโตทั้งปัญญา เปลี่ยนแปลงได้เร็วไวไม่ติดขัด แต่ไม่ดัดไปทางชั่วเลย คำว่า วิแปลว่า วิเศษ การแปลว่างาน วิการรูปคืองานอย่างวิเศษของใจ เราเอาส่ิงชั่วออกไปแล้วก็มีแต่ส่ิงวิเศษในจิต เพราะทำลหุตา มุทุตาได้ ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ แปลมุทุตาว่า ความเบาบาง จิตคุณบางเบาแต่จะปรุงให้หนักก็ได้

 

มุทุตา ท่านแปลว่าความอ่อนไว ยืดหยุ่นเร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญาและเจโต elasticity

 

กัมมัญญตา การกระทำด้วยปัญญา อันประเสริฐยิ่ง

 

ในกวฬิงการาหารก็สามารถดูแลเวทนา 108 ได้เป็นอุเบกขาเวทนาไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนตัณหาก็มีแต่วิภวตัณหา เป็นจิตพรหมที่มีทั้ง เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา

 

จิตนี่เร็วยิ่งกว่าแสง ไอสไตน์ค้นพบเร็วเท่าแสง แต่ของพระพุทธเจ้านี่ค้นพบเร็วกว่าแสงอีก ที่เราใช้อยู่นี่ก็เร็วกว่าแสงแล้ว ถ้าทำได้ดีกว่านั้นอีกก็ย้อนไปดูอดีตได้อีก อย่างไอสไตน์ว่าถ้าคุณทำความเร็วได้ยิ่งกว่าแสงก็จะย้อนอดีตได้ก็ตรงกันเลย

 

พูดถึงเรื่องไม่มีอารมณ์ อาตมาแต่ก่อนดูหนังไม่สนุกเลย คุณยายดูหนังไม่เป็น บ้านอยู่หน้าโรงหนัง เจ้าของโรงหนังก็บอกยายให้ไปดูหนัง ยายก็ว่า ไปดูอีหญั๋ง ...มารู้ทีหลังว่า ยายนี่เป็นโพธิสัตว์ ไปช่วยลูกหลาน ไม่มีอารมณ์โลกีย์อะไร ท่านก็ทำตามบารมี ก็รู้จักเขาดูหนังได้ฟรี เจ้าของโรงหนังบอกให้ไปดูท่านก็ไม่เคยไป อาตมานี่เข้าไปดูฟรี บางเรื่องดูหลายรอบ แต่ก่อนมีรสแต่ก่อน แต่ตอนนี้ปฏิบัติธรรมแล้วหมดรส อาตมาก็เป็นลิงลมอมข้างพอง ไปกับเขาบ้าง พอเราตื่นมาก็ง่ายสลัดได้ง่าย ที่มันหลอกเราก็หมด ให้พิสูจน์เถอะ

 

ถ้ากิเลสพักยก ตัวอย่างทิดกล้าทำปิดเป่ายาง เมื่อวัยเราผ่านไป มันพักยก แล้ววิธีกระทุ้งให้กิเลสออกมา จะทำอย่างไร?...ตอบ..อันนั้นเป็นเรื่องของโลก ผ่านวัยไปแล้วก็ไม่ทำแล้วมันก็ลิงลมอมข้าวพองตามวัย พอคุณล้างกิเลสอื่นได้ดี กิเลสตัวนี้มันตัวจ้อยก็เป็นสมมุติโลกแค่นั้นเอง แต่ถ้าคนมีกิเลสจริง นี่ก็เป็นกิเลสแบบเด็กตามวัย ถ้าจิตมันมีกิเลสอยู่มันก็พักยก ชาติหน้าก็มี เพราะผ่านวัยไปแล้ว ว่าโตแล้วไม่ทำ ไปเป็นผู้ใหญ่เต๊ะท่าเหมือนผู้ใหญ่ไม่ทำตามโลกเขา

 

แม้เราไม่ได้ล้างมันก็เป็นกิเลสตัวน้อยที่เราทำกิเลสตัวใหญ่ก็ไปคลุมมันเราไปไล่ทำทุกอย่างไม่ได้หรอก มันมีเป็นหลายล้านตัว

 

ในขณะตัวเองมีกิเลสก็อย่าไปทำอนุโลม หากเราไม่ได้ถึงมุลจิตตุกัมยตาญาณ ต้องให้ตายก่อนกิเลสตายก่อน ค่อยอนุโลม หากมันตายแล้วเคาะโลงเท่าไหร่มันก็ไม่ออกมากินแต่หากมันไม่ตายก็เสร็จมันสิให้กิเลสโต ต้องผ่านญาณต่างๆมา ให้อุเบกขามันแข็งแรงค่อยอนุโลม ต้องทำให้เด็ดขาดสิ

 

คุณงามความดีมาก สบายมาก บอกพ่อครูว่า ผมเป็นคนมีปัญญา ไม่มีปัญหา ตั้งแต่อยู่กับพ่อท่านมา 30 กว่าปีแล้วยังไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ….พ่อครูว่า คนไม่มีปัญหา มีสองอย่างคือ คนมีปัญญากับคนโง่ ไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร?

 

.ด่วนดีถามว่า...พ่อครูอธิบายว่า เราจะเรียนรู้วิญญาณขณะมีผัสสะ เรียนรู้วิญญาณผี เทวดาเก๊ ขณะมีผัสสะทางทวาร 6 แล้วเตวิชโช จะเป็นอย่างไร?...ตอบ...ในขณะเตวิชโช เราระลึกถึงอดีตชาติ ในชาตินี้แหละ ไม่ต้องข้ามชาติหรอก ว่ามันมีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยอย่างไรที่เราเกิดกิเลส เราเกิดอารมณ์อย่างไร เราได้ปฏิบัติจริงขณะเกิดอาการไหม? เช่นคนนี้พูดไม่ถูกหู กิเลสมันเกิดปั๊ปเลย หรือว่ากิเลสไม่เกิดหรือเราจัดการกิเลสอย่างไรก็ไม่รู้ มันไม่ใช่การปฏิบัติลดละล้างกิเลส เพราะมันเป็นแค่สัญญา ก็แค่สมมุติเอา คุณต้องเจออีกหลายที แล้วทำจริง ว่ามันได้หรือไม่ได้ แล้วตรวจสอบลงบัญชีว่าได้หรือไม่ได้

 

มันเป็นเรื่องเกิดจริงเป็นจริง มันเกิดรอบใหม่ของชาวอโศก รอบใหม่นี้มันเกิดสำหรับอาตมาทำงานมาสี่ทศวรรษ กำลังขึ้นทศวรรษที่ 5 ก็เริ่มเข้าหา 6 ถ้าหกหรือ 7 นี่ยิ่งสนุก รอให้อาตมาอายุประมาณ 95 ปีก 15 ปีประมาณนั้น อาตมายังเดานะ เอ๊อาตมาอายุ 100 นี่คนจะมาฉลองนะ อายุ 100จะไม่ธรรมดา คนจะมาฉลองอาตมาเดานะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:58:24 )

570814

รายละเอียด

570814_ความรัก 10 มิติ(4)วนบ. มิติที่ 2 ปิตุปุตานิยม(พันธุนิยม)

ขึ้นชื่อว่าความรัก ในภาษาไทยนั้นมีความหลากหลาย ทั้งสมมุติและปรมัตถสัจจะ ใช้กันฝั้นเฝือ แยกไม่ออก ไม่รู้ว่า เนื้อหา พฤติกรรมจิตวิญญาณที่จะมีอาการอย่างรัก มีนัยความหมายคมชัดลึกอย่างไรก็ต้องศึกษากัน เพราะว่าโลกสังคมมนุษย์จะต้องมีความรัก บาลีมีสองคำ

1.เปมะ  2.ปิยะ ก็แปลว่าความรักทั้งสองคำ พระพุทธเจ้าสอนให้มีความรักแบบ ปิยะ ท่านไม่ได้สอนให้สะสมความรักแบบเปมะ

 

เปมะเป็นเชิงโลกีย์เป็นเชิงกาม ส่วนความรักที่เป็นไปเพื่อความประเสริฐเพื่อความเจริญงอกงามของมนุษยชาติแท้ๆคือ ปิยะ

 

พระพุทธเจ้าเน้นในหลายบท แม้แต่ในสาราณียธรรม ก็มีเรื่องความรัก พระพุทธเจ้าสอนให้ยึดถือแบบสมาทาน แล้วเราก็ใช้อาศัยเท่านั้น เหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนว่า เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา ก็คือเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเลย แต่เราก็อาศัย เราสมาทานยึดอยู่อาศัยอยู่เพื่อเป็นประโยชน์คุณค่า แม้จะตายแล้วเราก็ยึดสมาทานต่อพุทธภูมิได้อีก อาการจิตจะเป็นอาการอย่างไหน  เรียนรู้ให้ดีว่าส่ิงที่มีแต่ไม่ควรมีเลยในใจเราก็ล้างให้มันออกไปเลย แล้วคนต่างๆที่แสดงออกในโลกก็มีจริง เมื่อก่อนเราก็เคยมี แต่ตอนนี้เรากำจัดมันได้ถาวรจริง ไม่ให้มันเข้ามายุ่งยากได้เลย เป็นทั้งพลังปัญญาและเจโต

 

เราต้องเรียนรู้ล้าง ตั้งแต่มิติที่ 1 คนที่อายุมากเข้าก็นึกว่าตนเองหมดแล้ว  หรือเสพมานานก็ชินชา แต่สั่งสมในจิต ชาติหน้ามาได้บ้ากว่าเก่าอีก มันร้ายจริงๆกิเลส ถ้าไม่รู้ทันไม่เข้าใจ มันเล่นงานคนให้วนเวียนในวัฏสงสารนี้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่...

 

ถ้าเรามาเรียนรู้ทิศทางศาสนาพุทธ เป็นความพ้นทุกข์ มีประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติต่อโลก ถ้าล้างได้ ยกตัวอย่างแค่มิติที่ 1 นะ

 

ต่อมามิติที่ 2 เป็นความรักที่ขยายแวดวงมานิดหนึ่ง คือปิตุปุตานิยม หรือเราเรียกง่ายๆว่า พันธุนิยม เราลองมาฟังดู เป็นความรักที่ขยายวงออกมานิดหนึ่ง คือแทนที่จะเห็นแก่แค่คนสองคน เรื่องเมถุน ก็แผ่ขยายออกมานิดนึง ให้แค่บุคคลที่ 3 แต่ก็แคบเล็กจิ๋วเหลือเกิน ออกมาให้ลูก เป็นความรักระหว่างสายโลหิต พ่อแม่ลูก ก็ดีขึ้นนิดหนึ่ง เติบโตขึ้นได้บ้าง

 

พ่อ แม่ ใครก็จะหาข้าวของหาเงินทองหาความรู้สามารถ ความสุขรูปสมบัติ นามสมบัติก็จะเอามาให้ลูกให้พ่อแม่อยู่แค่นี้ ลูกจะกี่คนก็ถือว่าเป็นลูก แคบสั้น

 

แต่ความรักพ่อแม่นี้มีมุมดีอยู่ เป็นเชิงซ้อน คือความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนี่ เป็นความดีเรียกว่า ปิตโร คือ ความรักที่รักอย่างพรหม เป็นความรักอย่างพระเจ้า คำว่า พรหมนี่ท่านแปลออกเป็น สี่ หรือ ห้าพรหม คำว่าพรหมคือจิตบริสุทธิ์ เป็นวิสุทธิเทพ ในแง่ดีคือรักลูกให้ลูก มีเชิงบริสุทธิ์ สำหรับพ่อแม่ที่บริสุทธิ์จริง เลี้ยงลูกไป ไม่หวังตอบแทนอะไร

 

ผู้ใดมีก็ให้เข้าใจว่า เป็นอาการดี สายเทวนิยมเขาก็สอนเรื่องนี้แหละ คือเสียสละโดยไม่หวังส่ิงตอบแทนแลกเปลี่ยน แต่มีแนวลึกที่เทวนิยมเขาไม่รู้จักอัตตา เขาสอนให้ยึดอันนี้ใช้อันนี้ เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่เขาไม่ได้สอนว่าแม้จะใช้ดีสุดต่อสังคมอย่างพรหม แม้แต่จิตวิญญาณดียิ่งใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา แต่ของเทวนิยมเขาถือเป็นอาตมันเลย เป็นจิตดีวิเศษสุด ไม่ขัดแย้งกับพุทธแต่พุทธนั้นทำจิตอย่างนี้ให้ได้ แต่เข้าใจเลยว่าไม่ใช่ตัวเราเป็นของเรา ไม่ใช่แค่ตรรกะ จิตสูงสุดจึงมีนิพพาน หรือสูงสุดจะปรินิพพานก็ได้ ไม่ต้องอยู่ไปนิรันดร วางปล่อยไม่ตั้งจิตต่อเลย อปรนิหิตตะ สุญญตะ ไม่สร้างนิมิตใดอีกเลย เป็นการปรินิพพานตายอย่างสูญ พุทธทำได้ อันนี้แหละเป็นความรู้ของสายอทวนิยม

 

ในเรื่องความรักที่พ่อแม่มี เสียสละต่อลูกโดยไม่หวังส่ิงตอบแทน แต่ถ้าหวังสิ่งตอบแทนแก่ลูก พ่อแม่นั้นก็ยังเลวอยู่ ก็ยังไม่ใช่ปิตโรหรือพรหม ที่พูดว่าพ่อแม่คือพรหมของบุตร อันนั้นเป็นปิตมหะหรือปิตโร จะต้องให้อย่างไม่หวังสิ่งตอบแทน มี เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา

เป็นพรหมวิหาร 4

1.    เมตตา     (ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข)

2.   กรุณา     (ลงมือสร้าง-ช่วยให้เขาพ้นทุกข์)

3.   มุทิตา      (ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี-พ้นทุกข์)

4.    อุเบกขา (เป็นฐานอาศัย วางใจเป็นกลาง    ไม่ติดยึดว่าเป็นความดีของเรา  หรือผลสำเร็จนั้นเกิดจากเรา)    (พตปฎ. เล่ม 35   ข้อ 741)

 

ขอแวะวิจารณ์นิดหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้เขาสอนพรหมวิหาร 4 ไม่เข้าโลกุตระเลย เป็นแต่เมตตาก็คืออยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาก็คืออยากให้เขาเป็นสุข มุฑิตาก็คือยินดีเมื่อเขาพ้นทุกข์หรือมีสุข อุเบกขาคือวางเฉย

 

ถ้าพ่อแม่ผู้ใดจ่ายความรักให้ลูกอย่างพรหมวิหาร 4 ก็ยังมีคุณค่าอยู่บ้าง แต่ก็ยังแคบ ทำแต่อยู่กับลูก ก็เห็นแก่แวดวงที่เล็กจิ๋ว ทีนี้ผู้อยู่ในฐานะลูก เมื่อพ่อแม่เขารักอย่างนั้น เห็นแก่เราอย่างนั้น ลูกจงระวังเถอะ เขารักเราอย่างนั้นต้องตอบแทน ยิ่งต้องตอบแทน จึงจะถูกต้อง ย่ิงพ่อแม่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ลูกก็ยิ่งต้องตอบแทน ถ้าลูกไม่ตอบแทนก็ต้องเลวแน่ เพราะการได้เกิดมาเนื่องด้วยพ่อแม่ มีอวิชชาไม่เข้าใจไม่รู้ไม่เจตนาก็ตาม การได้เกิดมาจึงยาก

 

ถ้าคนเราเกิดมามีวิชชาให้มากๆ แต่จะให้หมดคงไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามทำให้ได้มากที่สุด อาตมาเห็นแล้วว่าพอทำได้ แต่พ่อแม่ก็อุตส่าเสียสละ เลี้ยงลูก เหน็ดเหนื่อย ทุกข์ ดีไม่ดีต้องต่อสู้แย่งชิงที่เราไปเห็นแก่ลูก ดีไม่ดีรบราแย่งชิง เพื่อเอามาให้ลูก ซึ่งแย่จริงๆ ในความซับซ้อนของอวิชชามีมากชั้น

 

ท่านช่วยเราอย่างที่ว่านี่เป็นทุกข์ ทำให้เราเกิดมาแล้วก็ต้องช่วยให้โต เราจึงจำเป็นต้องเป็นคนหาโอกาส กตัญญูกตเวที

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนเรา เกิดมาได้ร่างของคนนี่มันยาก ไม่ง่าย แล้วก็เกิดมาได้ร่างเป็นคนนี่และจะสูงสุดได้ แม้จะมาเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเกิดมาเป็นคนมีขันธ์ 5 ที่อื่นเกิดมาสูงสุดไม่ได้ ต้องอาศัยร่างคนนี่แหละ ตั้งแต่เร่ิมต้นจนจบ

 

แม้คนได้ร่างของคนมาแล้ว แต่มาใช้ร่างของคนที่มีมันสมององค์ประกอบเช่นนี้ แต่เขาได้อาศัยร่างมนุษย์แต่จิตของเขาเป็นผีร้ายทำเลวร้ายซับซ้อนมากมาย คุณใช้จิตวิญญาณอวิชชาไปสร้างบาปเวรแก่ตัวเองอีก นานเท่านาน แล้วไปเกิดได้ร่างเดรัจฉานอีกนานแสนนานจนกว่าจะได้เกิดได้ร่างเป็นคนอีกจึงได้ปฏิบัติธรรมอีก

 

ผู้ใดมีจิตวิญญาณไม่เลวร้ายมากนัก แต่ก็มีผีร้ายอยู่ด้วย จงใช้ร่างนี้ทำการจัดการผีร้าย (อิทพรหมจริยวาโส) โลกกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจนี่แหละจะทำการตรัสรู้ได้ ที่อื่นไม่มี จะไปตรัสรู้ในช้าง ในปลาวาฬ จะตัวใหญ่ย่ิงใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มี ต้องมีในร่างมนุษย์นี่แหละ

 

ถ้าได้ร่างคนมาแล้วจะทำร้ายทำเลวก็ทำได้อย่างหนักหนาสาหัส จะเป็นเสือสิงห์สัตว์ร้ายขนาดไหนก็สร้่างบาปไม่ได้เท่าคน คนนี่แหละจะโง่ก็โง่อย่างร้ายกาจ จะฉลาดก็ฉลาดได้สุดยอด

 

เมื่อได้ร่างคนมาแล้วนี่เป็นโอกาสนะ แม้ชาตินี้เป็นคน แต่จะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกทีไม่รู้เมื่อไหร่ มีวิบากเหมือนหมาล่าเนื้อคอยติดตามอีกเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นโสดาบันก็ลดวิบากได้มาก หมาล่าเนื้อก็ตายไปเยอะเพราะเราลดกิเลสได้ โสดาบันก็ได้ระดับหนึ่ง สกิทาฯอนาคา อรหันต์ก็ได้เยอะ

 

พระพุทธเจ้าว่าจะเกิดเป็นคนได้นี่จะต้องมีคุณธรรมอย่างต่ำเป็นโสดาบันนะ แต่เป็นโสดาบันแล้วชาติต่อไปจะเกิดเป็นคนก็ไม่ใช่นะต้องไปตามวิบาก แล้วก็จะเวียนกลับมาเป็นคนแล้ว เมื่อได้ร่างเป็นคนแล้วแม้เป็นโสดาบันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำชั่วเสียเลย ยังมีข้อบกพร่องเป็นอกุศลเป็นทุจริตอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ลดนั้นเป็นสิ่งที่นิยตะ คุณไม่ต่ำกว่านั้น จะทำชั่วอีกก็ตาม ก็ไม่มีชั่วไปกว่าที่เคยได้ผลนั้นแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าโสดาบันไม่ทำช่ัวแล้ว

 

แต่มันตัดเกณฑ์ว่าชั่วกว่านี้ไม่ทำแล้ว แต่ถ้าโสดาบันแต่ไม่เพิ่มภูมิ ก็ไม่เจริญไปกว่านั้น แม้จะไม่ทุกข์ไม่ชั่วร้ายแรงกว่านั้น แต่จะมีความยาวนาตามกิเลสที่มันทำวิบากเพ่ิม แม้จะไม่ตกต่ำกว่านั้น แต่จะมีความยาวนานเพราะผลัดผ่อนไปสร้างวิบากเพ่ิม เตือนไว้นะ ใครผลัดวันประกันพรุ่ง มาหาทางเพ่ิมภูมิ กับมิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีก็ระวัง

 

ความยากของเหลี่ยมนี้ต้องรู้ให้ดี แม้แต่ตอบแทนกับพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณก็ต้องทำ ยิ่งพ่อแม่ให้เรามากเราก็ต้องชัดเจนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้

 

มิติที่สองก็เอาไว้แค่นี้ก่อน ก็จะขยายมิติต่อไปอีกเยอะ

 

เราเองเป็นชาวพุทธปฏิบัติิมิติที่ 8 เลย ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ก็จะรู้ทั้งมิติอื่นๆได้ ปฏิบัติไปตามลำดับได้เหมือนกัน ซ้อนๆกันไป โสดาฯมรรค ซ้อนกับโสดาผล กับสกิทาฯมรรค ซ้อนๆกันไปเรื่อยๆ เป็นมิติอื่นๆซ้อนกันไป พอจบมิติที่ 7 ก็จบมิติที่ 9 ด้วย ถ้าเรามีมิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี มีครูบาอาจารย์ ไม่ช้าหรอก พระพุทธเจ้าว่า 7 ปียกไว้

 

ตัว 7 นี่เป็นเลขที่แรง จาก 7 แล้วตัวเต็มก็จะเข้าไปหาสูญ​ เพราะ 8​,9 ก็ไปเข้าหาสูญ ถ้าจะเกิดอีกก็ต้องไปหา 11 แล้ว แต่ถ้าสูญที่ 10 ก็สูญ​ เช่นเราจะสูญโสดาบัน กิเลสอบายเราจะให้หมดเลย ก็สูญไป อันอื่นก็ต่อ ก็ซ้อนกันไป หรือแม้แต่อบายมุขเรื่องไหนก็ละเอียดซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นสภาวะที่ใช้ภาษาแทนได้เท่านี้

 

มิติที่ 3 ก็เป็นความทุกข์อยู่ เพราะเมื่อมีความรักย่อมมีทุกข์ แม้แต่ความรักระดับปิยะก็เป็นทุกข์ ยิ่งรักแบบเปมะยิ่งทุกข์หนัก

 

ถ้าเรามีความรักแต่มีประโยชน์ต่อปวงชน ได้เสียสละ มีการให้ผู้อื่นได้มากก็มีค่า ความรักมิติที่

3 ก็มีค่ามากขึ้น เผื่อแผ่จาก พ่อ แม่ ลูก แล้วไปหาญาติ ทำมาหากินได้มีลาภยศ มีตัวตน ข้าวของ ความสุข ก็เกื้อกูลช่วยเหลือกันด้วยแรงกายแรงปัญญา ก็กว้างขึ้น มีราคาเพ่ิมขึ้น อย่างนี้เรียก ญาตินิยม หรือเรียกอีกชื่อหนึ่ง ว่า โคตรนิยม

 

ค่าที่ต่ำที่สุด หรือเลวที่สุดก็คือผู้ที่มีดีน้อยที่สุด ถ้ามีการเสียสละเผื่อแผ่แก่คนอื่นได้มากขึ้นก็มีค่ามากขึ้น การเสียสละเผื่อแผ่เป็นความดี ไม่ว่าจะเป็นโลกียะหรือโลกุตระ แต่โลกุตระไม่ได้เสียสละเฉพาะวัตถุแต่เสียสละกิเลสออกไปด้วย ได้ปรมัตถธรรม แต่โลกีย์ไม่รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ดีไม่ดีไม่ได้ก็พยาบาทไว้จะเอาคืน ต้องชัดเจนว่า ความดีคือสละออกไปตั้งแต่วัตถุถึงจิตวิญญาณ

 

การเสียสละคือไม่เห็นแก่ตัวเผื่อแผ่ออกไปมากขึ้นมีประโยชน์มากขึ้น แต่การเสียสละออกไปนี่ถ้าไม่เข้าใจสัจธรรมจะทุกข์เพ่ิมขึ้น ถ้ารักกันคนสองคนก็เผื่อแผ่กันก็มีกันระหว่างคนสองคนก็ไม่เปลืองอะไร แต่ถ้ามากคนขึ้นก็เปลืองขึ้น  คุณต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องลงทุนลงแรง ให้ได้วัตถุมา เพื่อแจกจ่าววัตถุแก่ญาติ ก็แสดงว่าเรามีความรักเกื้อกูล อย่างไม่เอาสิ่งตอบแทนก็เป็นส่ิงสูงเหมือนกันซ้อนอยู่ ส่ิงที่สะอาดขึ้นจึงเป็นความรักที่มีเนื้อหาวิเศษดีงาม ซ้อนอยู่ หรือว่าแม้แต่ญาติหรือลูกกยังต้องการสิ่งตอบแทนเราก็เลยพยาบาท นึกว่าเราเป็นเจ้าหนี้ แล้วถ้าลูกหนี้ไม่มาใช้หนี้เราก็ทุกข์ ดีไม่ดีลูกหนี้ไม่รู้บุญคุณไม่มาทดแทนอีกก็ทุกข์ เห็นความโง่ซับซ้อนเช่นนี้ไหม

 

แล้วจิตที่เสียสละ แล้วยังไม่คิดจะได้สิ่งตอบแทนก็ดี แต่ดีกว่านั้นคือไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้แต่จะได้สิ่งตอบแทนก็ยึดถือ ก็ต้องศึกษาว่าเราวางจริงหรือเปล่า หรือเรายังยึดอยู่ เห็นหน้าก็ว่าเรามีบุญคุณต่อเขา รหรือไม่เห็นหน้าก็นึกถึงว่าทำไมเขาไม่มาบ้างหนอไม่มาตอบแทนคืนก็เป็นได้ นี่คือรายละเอียดของจิต

 

จิตใจของคนมันซับซ้อน แล้วมีลีลาอย่างนี้มากมาย ต้องเรียนรู้ เพราะของพระพุทธเจ้านี้วิเศษจริง ผู้ใดมีจิตพรหมจริง ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่พรหมนี่ยังกรึ่มในตนว่าเป็นเจ้าให้คนอื่นหมดไม่เอากับใคร แต่ก็ยังยึดอยู่ว่า ฉันเป็นผู้ให้ มันยึดอัตตาตัวนั้นอยู่ ไม่เอาส่ิงตอบแทนแต่ก็ใครก็ต้องมาถึงข้า ฟังให้ดีนะ นี่เราใหญ่ หรือแม้จะมีอำนาจทำได้จริง ให้ได้หมดก็ตาม มันก็เป็นอาตมันอยู่นิรัดร เพราะจิตมันยึดมีอาการเช่นนั้นไม่ได้เสียหายเลวร้ายนะ ไม่ได้ทวงของใครนะ แต่หลงว่าข้าใหญ่มีอำนาจ ข้านี่แหละหนึ่งสูงสุด เหมือนอย่างโรหิตตัสสูตร...

 

พรหมคือคุณงามความดีวิเศษจริง ต้องอาศัย โลกจะขาดพรหมไม่ได้ เขาก็ฝึกฝนทำกัน แต่ไม่มีปัญญาลดละล้างอัตตาได้ ซึ่งไม่ง่าย ขนาดพุทธแท้มีทฤษฎีหมดแต่เสร็จแล้วทำไม่ได้ทำผิดเพี้ยนไม่ง่าย

 

มิติที่ 3 ก็กว้างขึ้น  แต่ก็ยังแคบอยู่ที่ในแวดวงญาติ ต้องไปมิติที่ 4 จึงกว้างขึ้น

 

ต่อไปให้เด็กๆถาม

 

1.ความรักคือความทุกข์ แล้วความสุขคืออะไร?...

ตอบ..ความสุขคือความเท็จความหลอก ความสุขไม่เป็นจริง เป็นเพียงอารมณ์อุปาทานที่เราสร้างเอง มันเป็นรสเหมือนเป็นจริง แต่ไม่เที่ยงไม่อยู่กับเราเสมอเช่นเรากินอาหารก็สุข แต่พอให้ไปขนปุ๋ยก็ไม่ชอบก็ทุกข์ ไอ้รสสุขที่กินอาหารไปก็หายไปแล้ว ดีไม่ดีก็ลืมไปเลย เราเคยอร่อยก่อนไปเข็นปุ๋ย ไปเจอทุกข์ก็ไม่ได้คิดถึงสุขเลย แต่มันสุขได้แค่บทบาทให้เราแวบเดียว ถ้าเราไม่ไปจำ...

 

คนใดเคยได้สุข เป็นอารมณ์สุข ถ้าจิตใจเห็นว่าอารมณ์สุขเกิดในจิตปั๊ป แล้วเราก็ลืมไปเลยไม่ติดใจเลยไม่สั่งสมในอนุสัยอาสวะเลย จะสุขมากหรือน้อยก็แล้วแต่ สุขนั้นก็คือสุขเท็จ มันหายไปแล้วไม่สั่งสมในอาสวะ แต่ส่วนมากแล้วมันจะตราตรึงใจ มันก็เสร็จสิ แต่ถ้ามันไม่สะสมผ่านไปมันไม่มีเลยมันเท็จ มันเหมือนพยับแดด แวบเดียวหาย แต่ถ้าไปอุปาทาน ยึดมันไว้ ประทับใจมันก็จะขึ้นมากวน มาบังคับเราให้มาเอามันอีก นี่คือความเป็นจริงในมนุษยชาติ

 

มันหายไปนั้น มีสองอย่างคือ 1.ลืม 2.ล้าง ถ้าลืมมันก็ยังไม่หมด มันก็เวียนกลับ ถ้าล้างจนสนิทก็ไม่เวียนกลับหรือไม่รับเลยสัมผัสแล้วก็ไม่เอา ใจคนที่จะสัมผัสแล้วไม่เอาต้องมีวิชชา รู้ว่าสิ่งเสพรสมันเป็นสุขเท็จ ถ้าสุขที่ไม่เบียดเบียนใคร สุขสงบ เบียดเบียนตนเท่านั้นที่ยึดถือ ไม่ไปเกี่ยวข้องเบียนเบียนคนอื่น มีแต่ตนปั้นเองปรุงเองทำเองไม่เกี่ยวข้องกับใคร โดยเฉพาะสัตว์โลก อาจเกี่ยวกับดินน้ำไฟลม ไม่เกี่ยวกับคนหรือสัตว์เลย มีแต่กับพืช จนถึง ดิน น้ำ ไฟ ลมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกี่ยวกับคนหรือสัตว์ก็เกี่ยวกับวิบากแล้ว มันลึกซึ้งมากเลยที่จะต้องเกี่ยวกับคน มันจะยืดยาดยืนยาว เป็นเรื่องเวรภัย เบียดเบียนตน ท่าน

 

สุข คือ ความเท็จ สุขขัลลิกะ สรุปแล้ว ความรักเป็นทุกข์

 

2.ถ้าไม่มีความรักมิติที่ 1 แล้วจะมีความรักมิติอื่นๆได้อย่างไร?

ตอบ... เราจะมีความรักมิติอื่นได้ ผู้ที่ไม่มีความรักมิติที่ 1 ได้จริงๆคือผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นอนาคามี ก็ไม่มีความรักเรื่องคู่แล้ว ถามเช่นนั้นก็มีความรักมิติที่ 1 จะมีได้อย่างไรก็มีโดยไม่ต้องถาม มันมีมาแต่โลกแตก ตั้งแต่เดรัจฉานมาก็มีแล้ว ไปถามช้างม้า วัวควายก็มีความรักมิติที่ 1 แน่ เป็นอวิชชา คำถามที่ถ้าไม่มีความรักมิติที่  1 นั้นเป็นคำถามที่ไม่เป็นคำถาม ไม่ควรถาม เพราะเป็นไปไม่ได้ คนจะไม่มีความรักมิติที่ 1 ไม่มีหรอก  มันมีมาตั้งแต่เป็นสัตว์ ต้องมาละล้างออก จนถึงอนาคามีบริบูรณ์ก็หมด สัตว์โลกต้องมีมิติที่ 1 นี้ทุกคนทุกตัว

 

3.วันแม่ตอนกราบแม่ไม่รู้สึกซาบซึ้งอะไรเลย พอแม่กลับก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา เป็นเพราะอะไร ?

ตอบ...ทำไมกราบพ่อแม่แล้วเฉยๆ โอ้โหเด็กๆนี่ถามลึกมาก มันมีสองอย่างที่กราบพ่อแม่แล้วไม่ซึ้งคือ 1.ไม่ศรัทธาพ่อแม่แต่อันนี้คงไม่ใช่เพราะพอพ่อแม่กลับก็ซึ้ง 2.มันมีอัตตา คือแอ็ค เพราะเราเรียนธรรมะมาว่าให้จิตวางเฉย ตอนนี้ก็ทำจิตวางเฉย เท่นะ จิตวางเฉยก็ไม่ซาบซึ้ง 3.จริงๆก็ไม่มีอาการซาบซึ้ง ถ้าเป็นอาริยะขั้นสูงแล้ว เข้าใจบุญคุณพ่อแม่แล้ว กราบตามมารยาทสังคมก็ไม่ปฏิเสธ แต่จิตวางเฉยได้ ผู้จิตสะอาดจริงก็วางเฉยได้  แต่นัย 3 อย่างนี้ เบญอาจมีถึงอันที่ 3 ได้แต่มันยังซ้อนอยู่ที่มีอัตตาไปทำเต๊ะแบบที่สอง ทำกดข่มวางท่า แต่พอแม่กลับแล้วกลับซาบซึ้ง อันนั้นเรียกว่าเราปล่อยวางกดข่ม แสดงอัตตา ดราม่า แต่เราก็ยังซาบซึ้งพ่อแม่อยู่ก็ดีแล้ว

 

คนเราจะซาบซึ้งหรือไม่ซาบซึ้งเราก็นับถือจริง ตามสมมุติสัจจะ ไม่เดือดร้อนหนักหนาเลย ทำกาย ทำใจ อย่างโลกเขาได้อย่างไม่เดือดร้อนใจ ทำถูกตามสมมุติโลกเลย ยกตัวอย่างตัวเอง อาตมาเลี้ยงน้องมานี่เป็นหน้าที่ อาตมาจะพูดโดยภาษาหยาบๆได้ว่าอาตมาไม่รักน้องเลย แต่น้องทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าอาตมาไม่รักน้อง โดยสมมุติสัจจะ แต่ใจอาตมากลางๆ อาตมาเลี้ยงน้อง พอเรียนจบเลย ตั้งแต่เงินเดือน 150 นอกนั้นก็ใช้เงินพิเศษเลี้่ยงน้อง ก็เลี้ยงมาทุกอย่างไม่ให้ขาดแคลนเหมือนลูกทุกอย่าง อันนี้พูดความจริงสู่ฟัง มีดาราโทรทัศน์คนหนึ่ง เขาก็รู้ว่าอาตมากำพร้า เลี้ยงน้อง เขาบอกอาตมาว่าถ้าเขาไม่หมั้นผู้ชายไว้ เขาจะขอแต่งงานกับอาตมานะ เขาศรัทธาคุณค่าในความรับผิดชอบ  อาตมาเองเคยพูดเคยบอกว่าอาตมาทำจิตเฉยๆกลางๆ ไม่มีจิตอย่างที่เขาตู่ว่า มีจิตอยากอวดอยากดังอยากใหญ่ อาตมาก็ว่าจิตอาตมาไม่มี จิตเสเฐยยะก็ไม่มี แต่ท่าทางคำพูดนี่อวดใหญ่ยกตน เช่นพระพุทธเจ้านี่ท่านอวดยกตัวตนขนาดไหน เรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง สรุปว่าโลกนี้มีแต่จริงในสมมุติสัจจะ แต่ในปรมัตถ์แล้วไม่มีส่ิงจริงเลย  นี่คือสัญญาย นิจจานิ อย่าเอาไปตีกิน

 

4.ความรักพ่อแม่ลูกนี่จะลำเอียงอย่างไร..

ตอบ..ก็เห็นแก่ลูกมากว่าคนอื่น คือลูกเราช่่วยให้พอดีแล้วก็พอ อย่าไปช่วยจนเสียนิสัยเฟ้อเกิน ให้ลูกช่วยตัวเองบ้าง อย่างพระเจ้าจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของจีน คนอื่นช่วยหมดเลยทำอะไรไม่เป็น จนถูกปลดจากจักรพรรดิ์แล้วก็ผูกเชือกรองเท้ายังไม่เป็นเลย

 

5.เวลาเราเติบโตขึ้น แล้วมีภาระต้องดูแลครอบครัว เมื่อเราทำหน้าที่ มันมักมีทุกข์เกิดขึ้นมา แทนที่เราช่วยคนอื่น แทนที่จะได้กำลังใจหรือความสุข แต่เรากลับได้รับสิ่งไม่ดีตอบแทน เราจะทำใจอย่างไร?

ตอบ..ถามมาซ้อน การช่วยคนอื่นนี่ดีไหม? แต่ทีนี้ไปช่วยคนอื่นแล้วฝืนก็คือเราขี้เกียจ หรือไม่มีปัญญาว่าการช่วยคนอื่นนี่ดี แม้ไม่มีโอกาสก็หาโอกาส ย่ิงมีขี้เกียจมากอีกก็เลยทุกข์ ไม่เข้าใจว่าการช่วยคนอื่นนี้สุดยอดแล้ว ยิ่งช่วยคนอื่นไม่มีจำกัดเลย ไม่จำกัดว่าแค่ลูก แค่ญาติ หรือแค่คนไทย แต่กว้างไปทั่วจักรวาลเลย การช่วยผู้อื่นนี่ดี นอกจากไปช่วยมากเกิน ก็ไม่ดี แต่การช่วยคนอื่นนั้นดีทั้งนั้น เมื่อเราไม่มีปัญญาเข้าใจก็เลยไม่ทำ หรือมีกิเลสเห็นแก่ตัวขี้เกียจ หรือทำแล้วก็ยากหนักก็ฝืนทำ ต้องล้างกิเลสขี้เกียจ แล้วการทำงานก็ต้องหนัก ยาก ร้อน ก็ต้องฝึก ต้องรู้ว่าควรทำเป็นประโยชน์คุณค่า หรือจำเป็นต้องทำ ใจมันก็ไม่ทุกข์มาก ยิ่งรู้ว่าเป็นส่ิงประเสริฐ คนไหนได้ทำเพื่อคนอื่นนี่จะเจริญเป็นคนประเสริฐก็ควรทำ

 

6.โลกธรรม ปกติแล้วโลกธรรมลบ เรื่องนินทาก็ทุกข์ชัดเจน เอามันออกได้ แต่เรื่องสรรเสริญ ตรงนี้บางคนอาจไม่เห็นโทษภัย ทำอย่างไรจะเห็นโทษภัย เพราะมันชอบใจก็ไม่เห็นทุกข์

ตอบ...อันนี้ลึกซึ้ง การได้สรรเสริญเพราะเราทำดีจริง คนมาชมเราก็ฟูใจเป็นอุปกิเลส สิ่งเป็นโทษภัยเราก็เอาออกได้แล้ว แต่นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันหนึ่ง ยากมาก เช่นคนลดกิเลสได้แล้วเกิดปีติ เป็นฌาน 1 หรือฌาน 2 ทำกิเลสนิวรณ์ลดได้ ก็เกิดปีติ พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ปีตินี่ไม่ใช่ไปทำลายมัน แต่เข้าใจมัน ให้ปีตินี้แผ่ซ่าน เหมือนจุนสีที่มันละลายน้ำไปแทรกซึมทุกที่เลย ซึ่งยากมากเลย ท่านไม่ได้ให้ทิ้งส่ิงที่เป็นพลังเกื้อหนุนให้คนมีกำลัง คนจะมีกำลังได้ต้องมีจิตยินดี แม้แต่ปฏิบัติธรรมหากไม่มีฉันทะก็ไม่มีแสงอรุณไม่สำเร็จ แม้แต่ทำจิตอภิปโมทยัง คือปราโมทย์ ยินดีก็ต้องทำให้แก่จิต ไม่ให้ทิ้ง คุณจะถามว่าให้ทิ้งได้อย่างไร? ถ้าคุณทิ้่งจะเป็นคนไม่เบิกบาน น่ากลัว คนมีจิตเช่นนี้อย่าไปอยู่เฮือนเอิ้นขานนะ เราก็อย่าให้มันแรง อธิบายปีติว่าเป็นส่ิงกุศลที่ดี เมื่อยินดีในสิ่งดีได้ ก็อย่าไปยึดติดว่าจะต้องมีจิตตัวนี้ ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ อย่าไปคิดเช่นนั้น เราใช้อาศัย อย่าให้มันเป็นก้อน ถ้าเป็นก้อนจะเป็นอุพเพงคาปีติ กลายเป็นกระตุก น้ำตาไหล ดีใจมากจนช็อกได้ ขาดใจตายเลยได้ นั่นคืออุพเพงคาปีติ อย่าไปเพ่ิมให้อาการมันเบาลงๆ เป็นลหุตา แล้วเป็นพลังงานมีจริง จะรู้ว่าแม้ลหุตาเราก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราใช้อาศัย ลหุตา ในชีวิตเราจะอาศัย “กายลหุตา” เราไม่ยึดรูปเป็นเรา นามเป็นเรา เราอาศัยใช้สอยเท่านั้น กายลหุตา จะทำงานเป็นองค์ประชุมก็มีจิตแบบนี้ ต้องให้มันเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ มันต่างจากสังขาร คุณอาศัยกายลหุตาหรือกายมุทุตา

 

7.เวลาทำงาน คนที่ทำนี่เกี่ยงงานคนแก่ และอู้งาน แล้วเขาว่าเขาว่าเขาหลุดพ้นแล้ว

ตอบ...ถ้าจริงอย่างที่ว่า ก็คือปากเขาพ่นว่าหลุดพ้นแล้วเท่านั้น แต่ใจไม่จริง

 

8.พ่อครูอ่าน หลังปก “เราคิดอะไร?ฉบับล่าสุด” ….

 

9.เราทำดีแล้วได้รับผลตอบแทนกลับมาที่ไม่ดี ซึ่งโดยสามัญเราก็รู้กันว่าไม่ดี โดยสมมุติเขาก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว และโดยปรมัตถ์แล้วใครได้กรรมดีล่ะ อีกอย่างคือเราอยากได้การตอบแทนดีด้วย แต่การที่เขาจะตอบแทนดีหรือไม่ก็คือกรรมของเขา เราทำดีแล้วให้เขาก็จบในตัวแล้วนี่

 

.ด่วนดีถามต่อ ว่าเราไม่ได้ผลตามที่เราทำดีก็เลยทุกข์เช่นอยากให้น้องดี สอนน้องแต่น้องก็เป็นเหมือนเดิมเป็นต้น

ตอบ.... ก็เป็นอัตตาของตัว อยากให้เขาดีก็เป็นปรารถนาของเรา เราทำดีก็ดีแล้วจะไปอยากได้ให้สมใจอัตตาของตัวอีกทำไม?


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:59:23 )

570815

รายละเอียด

570815_วิชาสรรค่าสร้างคน(9)วนบ. เรื่อง กายอันหลากหลายลึกซึ้ง

เราก็จะอธิบายความมีค่าของคน โดยอาตมายกเอาลักษณะบุญนิยม ตั้งแต่

ข้อที่ 1 ทวนกระแสก็พูดไปแล้ว ทีนี้มาถึงเข้าเขตโลกุตระ นี่จะต้องอธิบายกันอีกนาน

 

บุญนิยม จะต้องมีความเป็นโลกุตระ ซึ่งก็คือลักษณะที่ต่างจากโลกียะ โลกียะคือลักษณะธรรมดาทั่วไป ยืนยันได้ว่านอกจากศาสนาพุทธ ไม่มีศาสนาอื่นเป็นโลกุตระ ศาสนาอื่นก็พยายามศึกษาแก้ไขจิต แต่ไม่มีญาณปัญญาแจ้งจริง เท่าพระพุทธเจ้าที่สามารถรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน แจกละเอียด และมีญาณหยั่งรู้ หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงอรูป ลึกๆ

 

ลักษณะของบุญนิยมที่สมบูรณ์ 11 ประการ

1.ทวนกระแส(คนละทิศกันกับของทุนนิยม)

2.ต้องเข้าเขตโลกุตระ

3.ทำได้ยาก(ยกเว้นผู้มีบารมีจริง) แม้ยากก็ต้องทำ

4.เป็นไปได้(ไม่ใช่ฝันเฟื่อง) อาตมาก็พยายามอธิบาย มันลงตัวกับพระวจนะ

5.เป็นสัจธรรม(ของจริงของแท้สำหรับมนุษย์และสังคม) ซึ่งสัจจะมีทั้งสมมุติและปรมัตถสัจจะ เราไม่ยึดมั่นในความจริงของโลก แต่อาศัยใช้ได้ เรียกว่ารู้สัจจะทั้งหมด

6. “กำไร” ของชาวบุญนิยม หรือจะเรียก รายได้ หรือ ผลประโยชน์ สำหรับตนก็คือ ส่ิงที่ได้ให้ออกไป คุณค่าที่ได้สละจริง เพื่อผู้อื่น เพื่อมวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย จึงเรียกว่า บุญ คือการชำระสละออก เอาออกจนหมดตัวหมดตน หมดความเป็นสัตว์ ให้ชีวิตินทรีย์ อย่างหยาบ กลาง ละเอียด ในสัตตาวาสให้หมดไปได้ ต้องเรียนรู้สัตตาโอปปาติกา ถ้าเร่ิมต้นรู้สักกายะตัวแรกแล้วทำให้ลดได้เป็นผลพ้นศีลพตปรามาส วิชาพระพุทธเจ้าชัดเจนว่า สัตว์ทั้งหลายต้องออกไป

7.สร้างคนให้ประสพผลสำเร็จเป็นหลัก วิชาการของพระพุทธเจ้าคือวิชาการสร้างคนให้บรรลุความจริง ล้างกิเลสเป็นหลัก แล้วท่านล้างกิเลสสำเร็จแล้วก็รู้โลกด้วย อยู่กับโลกด้วย เพราะมีหลักที่ไม่หนีจากโลก มีมรรคองค์ 8 ดำเนินชีวิตไปกับสังคม ก็ดีขึ้นๆ ไม่เป็นภัยแต่มีประโยชน์ต่อสังคมด้วย

8.ต้องศึกษาฝึกฝนจนจิตเกิดจิตเป็นเรียกว่าบรรลุธรรมตามลำดับ จึงชื่อว่า “เป็นผลสำเร็จจริง” ต้องจับกิเลสที่เกิดได้ แล้วทำให้มันดับ จนมันไม่เกิดอีกต่อไป พวกอภิธรรมก็ว่าจิตเกิดดับตลอดเวลา แต่พระพุทธเจ้าท่านหมายให้จิตที่เราต้องกำจัดคือจิตอกุศล ต้องจับกิเลสที่เป็นเหตุ แล้วปฏิบัติจนกิเลสถูกฆ่า ตายสนิท สัมผัสอีกเมื่อไหร่ มันก็ไม่เกิด นี่แหละคนเห็นความเกิดความดับของจิต พวกที่เรียนกันง่ายๆว่าจิตเกิดดับตลอดเวลา  ไปเห็นความจริงให้ได้ว่ามันเกิดดับตลอดเวลา แล้วความจริงคุณรู้จิตเกิดดับได้จริงไหม แล้วตัวไหนจะไม่ให้เกิดอีกได้ นี่คือคนรู้ความเกิดดับของจิตแท้ๆ

9.ความรำ่รวยอุดมสมบูรณ์ไม่อยู่ที่ส่วนบุคคล  แต่อยู่ที่ส่วนรวมหรือส่วนกลาง

10.เชิญชวนให้มาดูหรือพิสูจน์ได้ดุจเดียวกับพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเรียนนี้เป็นวิชชาศาสตร์ มี วิชชา 9 จริงกว่าวิทยาศาสตร์

11.จุดสัมบูรณ์คือ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

 

พึ่งแก่ เจ็บ ตายกันได้ ความเป็นญาติพี่น้อง คือพึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ นี่คือญาติแท้ๆ แม้คลอดตามกันมา พ่อแม่เดียวกัน แต่พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันไม่ได้ มันไม่ใช่ญาติหรอก มิตร สหายพึ่งกันได้ยังเป็นญาติกันมากกว่า ถ้าคำว่าญาตินั้นหมายถึงแค่สายโลหิตก็ไม่ได้ความหรอก แม้แต่สัตว์ก็สืบสายโลหิต แต่ความเป็นพี่น้องภราดรภาพนี้ลึกซึ้งกว่าสายโลหิต

 

สันติภาพ ก็ไม่ได้หมายถึงสงบอย่างทื่อๆ แต่สงบที่กาย คือองค์รวมไม่มีกิเลส กายวิเวก แม้จิตก็ไม่มีกิเลสเป็นจิตวิเวก หรือเอาตัวกิเลสเลยก็ไม่มี เป็นอุปธิวิเวก คำว่าวิเวก ที่สงบแบบโลกุตระคืออย่างไรก็คือกิเลสหมดนั้นเอง สงบจากกิเลส จึงอยู่กับสังคมได้อย่างไม่เป็นพิษภัย มีแต่อบอุ่นสบาย

 

สมรรถภาพ คือความรู้ความสามารถ ของพุทธนั้นไม่ลด มีแต่เพ่ิม คนมีปัญญารู้ว่าสมรรถภาพเราก็ควรเพิ่ม ถ้ามีเวลาโอกาสเราก็ทำ ส่ิงเป็นประโยชน์ หากไม่มีประโยชน์ก็ไม่ทำ ทำอย่างอื่น เช่นคุณจำลองมีความสามารถในการเย็บกระทง ก็ไม่เห็นต้องทำทุกวัน ให้คนอื่นทำได้ เราก็ทำสิ่งที่เหมาะควร ไม่บกพร่อง มันจึงเจริญ

 

บูรณภาพ คือสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา แม้จบกิจก็พัฒนาได้ เช่นอาตมาก็พัฒนานิรุติปฏิภาณ ดีขึ้นเรื่อยๆ มีภาษาคำพูดที่รู้มากอธิบายได้มากขึ้น เป็นนิรุติ ปฏิภาณ ทำประโยชน์ได้ยิ่งขึ้น

 

อรรถะ ธรรมะ นิรุติ ปฏิภาณ เรารู้เนื้อแท้แล้วทรงส่ิงดีเป็นธรรมะไว้ในเรา สิ่งที่เป็นอธรรมไม่ทรงไว้ในเรา เรารู้เนื้อแท้เป้าหมายสาระ

 

กลับมาอธิบายโลกุตระ ว่าหมายเอาอะไร ก็มีโลกุตระ 9 หรือโลกุตระ 46 จะรู้ได้เป็นได้อย่างไรก็ต้องรู้ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ...อรหัตตผล แล้วนิพพานเป็นโลกุตระ 9 เกิดได้ต้องสั่งสมตั้งแต่โลกุตระ 1 ในโพธิปักขิยธรรม 37 เร่ิมแต่ กายในกาย

 

กายนั้นเน้นที่นามธรรมเป็นหลัก ถ้ากายนี้ไม่มีนามธรรมร่วมด้วย เอาแต่หมายถึงข้างนอก เป็นร่างเป็นรูปเท่านั้นก็จบเห่เลย คำว่า กายนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในไตรปิฎกมากมาย อาตมาคัดมาพอสมควร จากพจนานุกรม

 

กายกัมมัญญตา คือ ความคล่องของกาย ความเป็นของควรแก่การงานของกองเวทนา สัญญา สังขาร

 

แล้วเวทนา สัญญา สังขาร นี้คือนาม ก็หมายถึงเอานามเป็นหลักเลย ทุกอย่างมันควร เพราะได้รับการเลือกเฟ้น จัดแจงจัดการให้เป็นวจีที่ดี กัมมันตะที่ดี อาชีวะที่ดี แต่ท่านไม่ได้บอกถึงข้างนอกเลย ท่านตรัสว่าควรแก่การงานแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งเป็นนามธรรม หากไม่ชัดเจนในสภาวะจริงแล้วคุณก็พูดเลอะ อธิบายก็เลอะ สำคัญมั่นหมายก็เลอะ ก็จะไปปฏิบัติการงานว่าอันนี้ดีว่าไม่ผิดกฎหมาย หรืองานนี้เจริญเพราะเป็นผลดี เอาที่ตัววัตถุข้างนอกโน่น พอมาแปลในนี้ท่านเขียนไว้ดี

 

กายกลิ ท่านแปลว่า กายโทษ หรือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย คือองค์ประชุมของส่ิงเป็นโทษในจิต หรือแม้จะเกี่ยวกับภายนอกด้วย แล้วมีตัวสำคัญคือ กลิ หรือกลี เป็นตัวเป็นโทษ อย่างชื่อคุณนี่มีตัวกลี ก็คือตัวเลวไม่ได้หมายถึงรูปเลย มันหมายถึงกิเลสชัดๆ อันนี้ในพจนานุกรมไม่มีเค้าแห่งนามธรรมเหลือเลย

 

กายยังคะ คือองค์ของกาย (ท่านแปลว่าอวัยวะแห่งกาย) ท่านแปลอย่างนี้ไม่มีนามธรรมร่วมเลย คำว่า อาการ 32 ก็หมายถึงอวัยวะทุกอย่าง แม้แต่อิริยาบถที่รวมกันเป็น 32 ท่านให้รู้อาการ ว่ากายคืออาการเคลื่อนไหวของขา อาการของตับไตไส้พุง ไปหมายถึงวัตถุ ไม่ใช่ แต่หมายถึงจิตใจเราไปยึดเอาเป็นตัวเราของเรา มันจะเจ็บตรงไหนก็มันยึดเป็นเราของเรา ถ้าไม่ยึดก็ไม่เจ็บมาก กิเลสเข้าไปยุุ่งเกี่ยวทุกอย่าง

 

กายคตะ คือสิ่งที่ไปในกาย สิ่งที่อยู่ในกาย เขาก็เลยเข้าใจไปว่า คือเลือด กระดูก อวัยวะภายใน ก็พาซื่อ ที่จริงคตะคือการดำเนินไป

 

กายคตาสติ ก็ให้มีสติเรียนรู้กาย เขาไม่เข้าใจก็ไปดูแต่ก้าวหนอ ย่างหนอ เนื้อมันสลายไปไม่ใช่เราของเรา แต่ที่จริง คือ ให้ดูที่จิต ให้มันแยกตัวจากความยึดมั่นถือมั่น ที่มันดำเนินไปในชีวิตเรานี่แหละ

 

กายถาม คือกำลังแห่งกาย ที่จริงไม่ใช่เอากำลังร่างแบบนักมวยนั่น แต่ที่จริงหมายถึงกำลังแห่งใจที่ออกมาเป็นองค์รวมของกาย วาจาใจ   รวมออกมาเป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ ทั้งกาย วาจาใจ

 

กายทรถ ท่านไปแปลในพจนานุกรม ว่า ความกระวนกระวายแห่งร่างกาย , ความทุกข์ของกาย มันก็ไปกันใหญ่เลย ที่จริง ทรถะ นั้นเป็นความลำบากเดือดร้อนใจกระวนกระวายใจที่น้อยกว่า อัตกิลมถะ แม้พระอรหันต์ก็มีความลำบากแห่งองค์ประชุมนี้บ้าง เช่นทำงานนั้นติดขัดอยู่บ้างก็ลำบากบ้าง คนเข้าใจคำว่ากายไม่ชัดเจนถูกสภาวะก็ปฏิบัติไม่หานิพพาน

 

กายทุกข์  ไม่ได้หมายถึงทุกข์แต่ร่าง

 

กายทุจริต การทุจริตที่ไม่ได้หมายแต่ร่างภายนอก แต่หมายถึงนามธรรมที่เป็นมโนบุพพังฯ เราต้องตามไปแก้ที่จิต กำจัดเหตุ แต่เขาตัดส่วนแยกส่วนไปเลย เขาระงับกดข่ม กาย วาจา ใจไว้เฉยๆ ไม่ได้ละล้างเลย อ่านใจไม่เจอ ไม่ได้พิจารณาถึงจิตเลย ไม่เข้าถึงตัวบงการเหมือนจางซูเหลียง ในเรื่องเล็บครุฑ ที่บงการให้ชีพ ชูชัย ตัวพระเอกต้องทำตามตลอด เราต้องจัดการตัวร้ายให้ได้ แล้วข้างนอกจะดับไปด้วย คือไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะจึงจะสิ้นไปเกลี้ยง

 

กายทุฏฐุลลัง คือประพฤติชั่วหยาบ สถุล ในองค์ประชุมของกาย

 

กายธาตุ  ท่านแปลว่า ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของร่างกาย คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ความจริงแล้วลึกซึ้งแล้วไม่ผิด ความจริง กายนั้นรวมถึงดินน้ำไฟลม ไม่ขาดข้างนอกเลย เป็นองค์รวม แต่ต้องมีนามธรรมอยู่เสมอ นี่คือกายธาตุ ถ้ามีแต่ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่กายธาตุ เป็นแต่รูปธาตุ

 

กายปัสสัทธิ ความสงบระงับแห่งนามธรรม หรือเจตสิก ความสงบรำงับแห่ง กองเวทนา สัญญา สังขาร เขาแปลถูกนะ แต่เวลาปฏิบัติก็เอาแต่ให้ร่างมันสงบ ถ้าแยกเอาแต่จิตสงบก็ยังถูกนะ แต่ไม่ได้หมายความว่า ร่างกายนิ่งแข็ง แต่หมายถึงองค์ประชุม ตั้งแต่ดินน้ำไฟลมที่เราสัมผัสอยู่ แล้วเราทำให้กิเลสไม่มาทำงานร่วม จะชั่วคราวหรือถาวรก็แล้วแต่เรียกว่า กายสงบไปเรื่อยๆ

 

กายปาคุญญตา คือความคล่องแคล่วแห่ง กองเวทนา สัญญา สังขาร

 

กายมุทุตา (ท่านแปลว่า ความอ่อนของร่างกาย ความอ่อนแห่งนามธรรมคือเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร )ก็ถูกต้องในคำแปลอันหลัง คือจิตมันอ่อนไว ปรับได้ง่ายแววไว ไม่ได้หมายถึงร่างเลย หมายถึงจิตอย่างสำคัญเลย จะไปเรียน อุปาทายรูปไม่ได้เลย ในวิการรูป ก็มืดหน้าเลย

 

กายลหุตา ท่านแปลว่าความเบาแห่งร่างกาย หรือความเบาแห่งเจตสิก 3 เวทนา สัญญา สังขาร คำแปลอันหลังนี้ถูก

 

กายวิการ ท่านแปลว่าความพิการทางร่างกาย

 

คำว่า กายในพระไตรฯนั้นหมายถึงองค์รวมของกายและจิตทั้งนั้น แต่ ท่านแปลไปในส่วนใหญ่ของหนังสือเลยคือหมายเอาแค่ร่าง ทำให้การปฏิบัติโลกุตรธรรมไม่ได้ผล เพี้ยนไป มากเลย ชัดเจนว่า ท่านไม่ได้เข้าใจคำว่า กายนี้อย่างสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์เลย

 

กายวิเวก เขาก็เอาร่างหนีไปเลย หนีจากสังคมหมู่กลุ่มไปเลย

 

คำว่า สัลลีนะ แปลว่าหลีกเร้น ไม่ได้หมายถึงเอาร่างหนีไป แต่หมายถึง ไม่มีกิเลสเป็นเพื่อนสอง

 

กายสัญเจตนา ,กายสักขี ,กายยิกทุกข์

 

คำว่ากายยิกทุกข์ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างนี้ปวดเจ็บแต่หมายถึงองค์รวมจากภายนอกมาทำให้จิตเป็นทุกข์ เน้นนอก ถ้าเป็นเจตสิกทุกข์เน้นใน

 

กายินทริยะ ท่านแปลว่า คือสิ่งที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ถ้าเป็นนักมวยก็ต้องเอาศอกเข่าใส่คู่ต่อสู้ตามหน้าที่ถ้าแปลอย่างนี้ แต่ที่จริงคือหน้าที่ของจิตที่เกิดอยู่ในองค์ประชุม มีกำลังอย่างไร? ก็ทำงานตามองค์รวม ตามหน้าที่ของเจตสิกต่างๆ

 

ปฏิบัติธรรมนั้นขาดคำว่า กาย ไม่ได้ ตั้งแต่เร่ิมต้น จะต้องรู้จักคำว่า กาย ตั้งแต่ สักกายะ เร่ิมปฏิบัติเราก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4  ตัวแรก คือ กายในกาย

 

เมื่อเริ่มต้นมีญาณอ่่านรู้กาย จับจิตเจตสิกได้ ประชุมกันเป็นสังขาร แน่นอนว่าอวิชชาตัวแรกของเราจะปรุงแต่งแบบปุถุชน โดยไม่เราไม่ได้คิดห้ามกันเลย มันมีกิเลสเป็นตัวการใหญ่ในกายินทรีย์ จนเราเรียนรู้ดูกายในกาย มันมี เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจ้าเรือนในนั้น แยกออกมีอุบายโกศล วิธีของพระพุทธเจ้าคือไม่ให้มัน มันอยากต้องการอะไรก็ไม่ให้มัน มันจะดิ้น ว่าเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าจับได้ไม่ผลักก็ดูดนี่แหละ เมื่อจับอาการมันได้ก็รู้สมุทัย รู้กายในกายแล้วดับเหตุแห่งองค์ประชุมที่เป็นตัวการใหญ่ แล้วกำจัดตัวเหตุนี้มันก็ทรงไว้ด้วยธรรมในจิตเรา ถ้ากำจัดไม่ได้มันก็ทรงไว้เป็นอธรรมในจิตเรา ยิ่งปุถุชนยิ่งไม่ได้กำจัดเลย น่ากลัว คนทางโลกไม่ศึกษาธรรมะ แต่ละเวลาวินาทีได้แต่กิเลสทั้งนั้น ทั้งขึ้นทั้งล่องได้สมชอบก็กิเลสไม่ได้สมชอบก็กิเลส ได้สมชังก็กิเลสไม่ได้สมชังก็กิเลส

 

พระพุทธเจ้าว่าคนเราเกิดมาแล้วตกนรกมีมากกว่าที่ไปสวรรค์ ที่ไปสวรรค์เท่ากับดินที่ติดนิ้วมา แต่ที่เหลือดินที่เหลือตกนรกหมด

 

เราก็ทำการปหาน ตามสัมมัปปธาน ทำได้แล้วรักษาผล ทำให้มากให้บ่อย ทำซ้ำทำทวนตรวจสอบให้ได้ตลอดให้มากๆ

 

ต่อไปเป็นการถามหรือการสรุปประเด็น

 

พ่อครูว่า...ต้องเห็นว่า ใจเรามันเบาหรือนัก หรือมันเกิด มันก็หายไปไว เราก็รู้ว่ามุทุ หรือว่ามันยากมันไม่ค่อยหาย ได้ลองหน่อยก็ดีนะ เป็นต้น เราจะอ่านน้ำหนักของมันได้ ว่ามากหรือน้อย มุทุที่เร็วไว แต่ลหุนี่บางเบา มันยังต่องแต่งอยู่ มันยังหนายังมากก็รู้ หรือยืดยาดก็รู้ แต่ถ้ามันเบามันเร็วขึ้นเราก็รู้ จนกระทบแล้วจิตเราก็เบา เบานี่พระอรหันต์ทั้งหลายก็อาศัยความเบา พระอรหันต์อาศัยลหุตา มุทุตา อาศัยกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ลักณะอุปจยะ สันตติ ชรตา มันจะเกิดเราก็อาศัยใช้มัน แล้วมันก็พัก เราจะต่อหรือไม่ต่อเราก็ตัดหรือต่อได้เป็นสันตติ อันนี้ไม่ต่อเลยก็ได้ อันที่จะเสื่อมทำให้มันหมดไปก็ทำได้ ถ้าไม่พยายามปรุงมันมันก็ไปหาชรตา และเรายังทำไม่เที่ยงยังไม่เด็ดขาด ถ้าจะให้ดับก็ดับได้ ถ้าจะให้ต่อก็ต่อได้ ถ้าเด็ดขาดเป็นนิจจังได้หรือไม่ หรือยังไม่เด็ดขาด มันจะอ่านรู้นามธรรมเหล่านี้ได้เลย

 

เรื่องสัตว์อย่าไปต่อเชื้อต่อพันธ์ุกับมัน สัตว์มันไม่รู้มีจิตของมันจะอาฆาตหรือผูกพันก็ไ่ม่รู้ เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ

 

 

อัตตาทำให้เรากลัว กลัวทำไม่ดี กลัวเสียท่า น่าอาย กลัวสารพัด

 

สุขคือการสมเสพ อยากจะได้ตามที่เราอยาก อยากจะผลักออกตัดออก อยากทำร้าย มันก็สมกิเลส ถ้าเราไม่มีอาการเหล่านั้นก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ลองดูว่ากิเลสตัวไหนที่เรากำจัดมันได้ ถ้าได้สัมผัสก็ยังสุขอยู่ไหม แต่ทั้งที่จริงไม่ได้มาก็ไม่เป็นอะไร แต่เมื่อได้มาเมื่อไหร่ก็สุข แต่ถ้ายังโหยหาอาวรณ์อยู่ก็ยังต้องห่าง แต่ถ้าไม่โหยหา เมื่อได้สัมผัสทางทวาร 5 มันก็เกิดตามจริงของมันเป็นเช่นนั้น แต่ความเคยชินนี่ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ ความจริงแล้ว มันจำนี่มันจะนาน ต้องชัดว่าเราไม่โหยหามันแล้ว


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:00:38 )

570817

รายละเอียด

570817_วิถีอาริยธรรมบ้านราชฯ พ่อครูและส.ฟ้าไท เรื่อง กายกับสัญญาวิปัสสนาให้เป็นพุทธ

 

.ฟ้าไท ว่า..ทุกวันนี้ สังคมชุมชนแยกออกจากวัด โรงเรียนก็แยกจากวัด สังคมเกิดการแตกแยกมากมาย สังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่รวม บ้าน(ชุมชน) วัด โรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก

 

การศึกษาธรรมะฟังธรรมเดี๋ยวนี้มีเก้าอี้ให้นั่งด้วย พ่อครูว่า ยังเหลือแต่ที่นอนยังไม่มี คือถ้ามีผู้ที่เป็นอัมพาตอัมพฤกติ ต้องนอนฟังอยากฟังธรรมก็มานอนฟังได้นะ

 

พ่อครูมีสมบัติที่จะให้เราอีกมากเป็นอาริยสมบัติ

 

พ่อครูว่า..บ้าน วัด โรงเรียนนี่แหละ มีมรรคองค์ 8 พร้อม ทุกสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ มีอยู่ในนี้หมดเลย เน้นหน้าที่การศึกษา บริหารชุมชนสังคม เน้นเรื่องศาสนา ธรรมะ แต่ทั้งสามนี้ บ ว ร นี้ ใช้พยัญชนะย่อ ไม่ได้แยกขาดจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ร่วมกันมากหรือน้อยตามโอกาสความจริง ใครแยกขาดก็ผิดพลาดอย่างมากไปไกลแล้ว

 

มาถึงวันนี้จำเป็นต้องนำกลับมา ยืนยัน พิสูจน์ให้เห็นจริงด้วย

 

.ฟ้าไท ว่า...อยากให้พ่อครูอธิบายความว่า มรรคองค์ 8 กับ บ้าน วัด โรงเรียน จะไปด้วยกันอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...ถามอันนี้ดีมากเลย ..ที่อาตมาพยายามอธิบายคำว่า กาย คือองค์รวม อย่างบ้าน วัด โรงเรียน คือกาย คือองค์ประชุมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ เป็น กายสังขาร แล้วท่านก็ย่นย่อสู่องค์ประชุมของจิต คือสังกัปปะ 7

 

ต้องศึกษา สังกัปปะ คือมรรคองค์หนึ่งในมรรค 8 ท่านตรัสเลยว่าจะต้องศึกษาอันนี้ มีแกนสมถะและแกนวิปัสสนา หรือ static และ dynamic สองแกน หรือ potential และ kinetic หรือ ศรัทธากับปัญญา หากสองแกนนี้ไม่มาร่วมกันก็ไม่เกิดสิ่งดี เราต้องเอามาบวกลบกันสังขารให้ดี

 

ก่อนจะเกิดสังขาร ที่สำเร็จเป็นธรรมะที่ปรุงแต่งเสร็จ เรียก สังขตธรรม เมื่อปรุงแต่งเสร็จคุณก็ต้องรู้รายละเอียดของ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา มีสองแกน คือ

1.แกนปัญญา dynamic หรือkineticคือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ

2.แกนศรัทธาหรือเจโต หรือสมถะ หรือ static หรือ potentialคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

 

ต้องทำจิตในจิตนี้ให้เกิดผลสำเร็จ ถ้าทำสำเร็จก็จะได้วจีสังขารที่ดี ต้องจัดการที่นี่ นิโรธจะดับอะไรก่อน ก็ดับกิเลสก่อน ก็คือดับที่วจีสังขารนี่ก่อนเลย สังกัปปะ 7 นี่เป็นเรื่องของมโนกรรมทั้งหมด

 

เมื่อเสร็จออกมาเป็นวจีกรรม วจีกรรมจึงเกิดจากเหตุคือ มโน คือมโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา มีวจีกรรม แล้วมีกัมมันตะต่อมาก อาตมาย้ำว่ากัมมันตะนี่ไม่ใช่แค่กาย แต่รวมทั้งกาย วาจา ใจเลย

 

หรือแท้ๆคือคุณธรรมจากวัด กำลังออกมาสู่บ้าน แม้ที่สุดเราทำอาชีพพึ่งตนไม่เบียนดเบียนใคร จนสามารถทำผลผลิตออกมาเผื่อแผ่ผู้อื่น อะไรเป็นกุศลอันนี้ทำ ทุกอย่างตั้งแต่งานคิด งานทางความรู้ งานทางอิริยาบถ แรงงานต่างๆ จนกระทั่ง เป็นผลผลิตวัตถุแท่งก้อน เป็นส่วนที่เราลงมือกระทำทั้งสิ้น นั่นคือผลของการทำงาน รวมอาชีพด้วย

ทั้งหมดต้องศึกษา เพราะไปจับยัดให้กันไม่ได้ มันต้องสนใจศึกษามีความยินดี สนใจศึกษาจากผู้รู้ผู้มีของจริง จึงเกิดการรู้และถ่ายทอด บ้าน วัด โรงเรียน  บ้านคือสังคม โรงเรียนคือการศึกษาและ วัดคือธรรมะ  ขาดกันไม่ได้ มันต้องสังขารออกมาข้างนอกจนเป็นองค์รวมคือ กายสังขารเลย

 

นี่เป็นสูตรที่ครบบริบูรณ์สมบูรณ์ที่สุด จะต้องมีทิฏฐิ ความรู้ความเข้าใจก่อนแล้วพัฒนาให้ตรงให้ถูก ต้องมีความพากเพียรพยายาม ให้มีความรู้ตัวนำตลอดทั้งนอกและใน สติสัมปชัญญะ สัมปชาโน สัมปชลติ ฯ จนสามารถกำจัดพลังงานที่ไม่ดีออกจากจิตให้ได้จริงเลย ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่เยี่ยมยอดเลย ทำได้จริง อาตมาไม่ได้มีอะไรมากมายเลย แต่พวกคุณก็เอาชีวิตมาทิ้งกับสิ่งนี้ ทำไมไม่หนีไป

 

.ฟ้าไทว่าไม่คิดจะหนีไปไหนเพราะว่าได้สิ่งดี

 

พ่อครูว่า...ข้อต้นของสุริยเปยยาลเลย พระพุทธเจ้าว่าเราเป็นมิตรดีของเธอภิกษุทั้งหลาย แล้วทำไมโง่จริงไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นมิตรดี ทำไม่ไม่เงี่ยโสตสดับเลย พระพุทธเจ้ารวมเป็นสูตรสำเร็จยิ่งใหญ่เลย รวมทั้งความเป็นโลกสังคมมนุษย์ในนี้หมดเลย

 

.ฟ้าไทว่า..ธรรมะพระพุทธเจ้านี่รวมทุกอย่างหมดโลกเลย

 

พ่อครูว่า...ท่านตั้งทฤษฎีใหญ่ๆแล้วมีรองลงมา ขยายจากสังกัปปะ 7 มาเป็นวจีกรรม กายกรรมข้างนอก ครบโพธิปักขิยธรรม 37 ออกมา มันมีลักษณะเชิงสองอย่างคือ kinetic และ potential energy

 

มรรคองค์ 8 เป็นแกนเป็นทางแผนที่ใหญ่เราก็เดินด้วยโพชฌงค์ 7 คือมีสติ มีธัมวิจัย ทำตามกรอบขอบเขตกำหนดไม่ใช่วิจัยไปเรื่อยเละเทะหมด เมื่อเราได้ลงมือเดินโพชฌงค์ มีสติ ธัมมวิจัย มีวิริยะ

 

ต้องมีความรู้ในสติปัฏฐาน 4 คือความรู้กาย คำว่ากายนี้ถ้ารู้ผิดไม่ครบก็ปฏิบัติไม่ถูก สายกายสักขี นั้นอาสวะบางอย่างหมดได้แต่ไม่ครบ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องเกิดปัญญาญาณาณรู้ว่าอะไรหมดแล้วอย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่

 

สายปัญญาวิมุตินั้นไม่ต้องบอกว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายเลย เพราะท่านทำมาตั้งแต่ต้นสัมมาทิฏฐิแต่ต้น เมื่อรู้องค์รวมหรือคำว่ากายก็ปฏิบัติ เมื่อตากระทบรูปเกิดวิญญาณ แตกตัวเป็น เวทนา สัญญา สังขาร จากสภาพนี้ก็อ่านต้องเข้าไปหาจุดสำคัญใช้สติปัฏฐาน 4 ดิ่งเข้าไปหาสังกัปปะ 7ให้ได้

 

ตักกะ นี่ต้องวิจัยเลยว่าดำรินี่มีอะไรมาเป็นพวกนะ พก กามมาด้วยนะนี่ จะต้องจับให้ได้ ว่ามันแฝงมาอย่างไร จนรู้ได้แล้วว่ามันมีกามสังกัปปะหรีือกามวิตก เราก็จัดการกำจัดด้วยปัญญา ทำให้จริง จากองค์ประชุมกาย มาเป็นเวทนา เป็นอารมณ์ มีเทวดา ชื่นชอบ พระพุทธเจ้าว่าเป็นของเท็จไม่ใช่ของจริง จนกระทั่งจับตัวผีหลอกได้ เห็นความจริงเป็นไฟฌานที่มีพลังงานเหนือกว่าพลังงานกิเลส โลภะ โทสะ โมหะให้หายไปได้จริง

 

เราต้องจับตัวผีได้คืออกุศลจิต คือ สราค สโทส สโมหะ จึงเลื่อนมาเป็น จิต จัดการให้เสร็จก็เป็นสภาพที่ทรงอยู่ เกิดจากการกำจัดได้ผล ก็เกิดทรงธรรม

 

กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นกระบวนการต่อเนื่องกันมา ถ้าสำเร็จจริงแล้วก็เป็นวจีสังขาร คำนี้เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่พูดเล่น ไม่รู้ได้ง่าย ต้องมีนิโรธจะเห็นวจีสังขารได้จริง

 

นิโรธ จะดับได้นิโรธนั้นต้องดับที่วจีสังขารก่อน ไม่ใช่วจีกรรม แต่มันเป็นภาษาคำพูดในใจเราไม่ได้ออกมาให้ใครได้ยินได้รู้เป็นคำพูดแต่อย่างใดนี่คือ วจีสังขาร ผู้จะรู้ได้จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ กระบวนการสติปัฏฐานจะต้องเป็นกระบวนการของจิตทั้งหมด ไม่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม

 

สัมมัปปธาน 4​ จะเป็นการออกมาข้างนอกแล้ว ต้องเข้าใจสติปัฏฐาน 4 ก่อนแล้วมาสังวรอินทรีย์ทั้ง 6 คือตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายได้สัมผัส ใจมีโผฏฐัพพารมย์ คุณต้องตามรู้ว่ามันมีผีเกิดในสังขารจิตหรือไม่ เมื่อเกิดกระทบสัมผัส

 

แล้วก็มาปหานปธาน ก็ต้องใช้ทฤษฎี ใช้โพชฌงค์ 7 กำจัดกิเลสจนทำได้จริง มากขึ้นๆ ก็เป็น ภาวนาปธาน คือรู้ว่านี่แหละคือผลทำให้กิเลสลดได้ เป็นนิโรธ มีญาณปัญญารู้พ้นวิจิกิจฉา มันสำเร็จนี่ เป็นนิโรธคืออย่างนี้ อาการกิเลสดับเป็นเช่นนี้ อาจดับขั้นต้นได้แต่มีเศษก็ต้องตรวจสอบดับต่อไปในอรูปฌาน 4 ทำให้เกิดญาณ​ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หรือเรียกว่าสั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขาร ทำอาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้เกิดผลเช่นนี้แหละทำให้มากก็จะตั้งมั่น

 

.ฟ้าไทว่า..ตัวที่ยากคือทำให้มาก พอทำได้แล้วมันก็เผินไปปล่อยไป พอปล่อยกิเลสก็เข้าอีก เหมือนคนชนะกีฬาก็ได้สรรเสริญก็เลยอ่อนข้อ กิเลสก็กลับมาอีก

 

พ่อครูว่า...นี่แหละคือประมาท พระพุทธเจ้าว่าอย่าประมาท จนมันไม่ดิ้นไม่เกิดอีกเลยนั่นแหละ ท่านให้ทำสั่งสมผล เช่นในเวทนาสั่งสมผลทุกปัจจุบันๆ อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ตกผลึกเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น ไม่ประมาท

 

.ฟ้าไทว่า...เราต้องโน้มใจไปให้ถึง แต่ว่าที่เราไปช้าเพราะเราประมาทว่ามันไม่มีแรงแล้วมั้ง แต่มันก็มาโจมตีเราได้อีกเราก็วนเวียน เราคิดว่าเราแน่แล้วมันก็ประมาท กว่าจะจับได้มันก็กระหน่ำเราได้อีก ทำไมเราไม่ทะลุถึงสะที่ เพราะเราสบายแล้วเราก็ปล่อย เป็นจุดตายที่ประมาท

 

พ่อครูว่า...ดีไม่ดีไปอนุโลมอีกก็ตายสิ ต้องให้แน่จริงก่อน...ต้องสั่งสมอนุรักขณาปธาน สั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 มีความรู้ความเชื่อศรัทธาจริงเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ มันก็ยิ่งทำให้เราเห็นตัวที่มีจิตรู้ว่านี่ของดีแน่เลย เป็นอาริยทรัพย์สุดยอดของทรัพย์เราก็จะขยันทำ ย่ิงโถมทำเสริมเข้าไปอีก มีแรงเท่าไหรโถมเข้าไป คือจิตตะ

 

แล้วมีวิมังสา คือมีลักษณะสองอย่าง อันหนึ่งไม่ดีก็เอาออกๆ อันไหนดีก็เฟ้นเอาๆๆ เลือแต่เนื้อหาสาระ

 

มีสติ คือความตื่นรู้ตื่นเต็มทั้งในและนอก จะมีจิตที่เร็วไว ไหวรู้ เกิดสัมมาสติ ให้ได้ เกิดจากภาคปฏิบัติในสติปัฏฐาน 4 เมื่อได้ก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ เกิดผลมากขึ้นเป็นปัญญินทรีย์ มีรสชาติของผลเป็นธรรมรสสุดวิเศษเลย จะรู้เองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ จนกำลังมันเต็มก็เป็น พละ 5 จะเรียกว่า กำลัง 4 ก็ได้ (ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ)

 

.ฟ้าไทว่า พ่อครูเขียนไว้ว่าปฏิบัติธรรมต้องรู้วิญญาณฐีติ 7 แล้ววิญญาณฐีติกับสัตตาวาส 9 ต่างกันอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...ถ้ามันไม่เข้าใจบัญญัติภาษาที่พระพุทธเจ้ากำหนดนี้ มันเป็นนามธรรมไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา มันเป็นเรื่องปรมัตถ์ ความเป็นสัตว์นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 9 ชนิด ข้อ 1_7 นั้นตรงกับวิญญาณฐีติ 7

 

พวกฤาษีปฏิบัติอย่างไรก็ได้แค่ 8 คือรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 เท่านั้น เป็นอสัญญีสัตว์ ดับธาตุรู้ไม่ให้มันทำหน้าที่ ผู้ใดไม่เข้าใจแล้วไปหลง ฌานฤาษีเหล่านี้ ก็จมอยู่กับสิ่งที่ดับไม่รู้ เข้าใจผิดว่าให้ไปดับ เวทนา สัญญา สังขาร ดับได้ตรงไหนก็เป็นฌานเหมือนอย่างหมอวิสัญญี ก็ทำการดับการทำงานของประสาท หรือแม้แต่คุณไปทำจิต ปิดกั้นหรือสะกดจิตไม่ให้มันทำหน้าที่ มันก็ไม่รู้ ที่จริงจิตเป็นฌาตุรู้ แต่ไปทำให้มันไม่รู้ คุณทำให้สำเร็จก็เป็นอสัญญีสัตว์ หลงว่าเป็นนิโรธด้วย ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้หลงแบบนี้มากเลย จมอยู่กับอันนี้แล้วปฏิบัติอะไรต่อไม่ได้

 

.ฟ้าไทว่า....ผมเคยกินอาหารแล้วก็ไม่รับรู้รสเลย

 

พ่อครูว่า..คุณก็รู้ว่าคุณไม่รับรส แต่พวกอสัญญีสัตว์มันไม่รู้เลยว่าไม่รู้รส แต่ที่คุณไม่รับรส เพราะคุณแยกมันไม่ได้ มันเป็นรสตามธรรมชาติหรือว่าเป็นรสของกิเลส แยกไม่ออกก็เลยปรุงกับเละ ก็เป็นรสไม่รู้เรื่อง รสมั่วๆ คุณก็เลยว่าไม่รู้รส นี่คือกิณหะคือมืดตื้อไม่รู้อะไรเลย

 

พระพุทธเจ้าจึงตัดเลยว่า แบบอสัญญีไม่ให้ทำ พระพุทธเจ้าให้มีธาตุรู้ มีวิญญาณฐีติ ต้องรู้ครบตื่นอยู่ ตั้งแต่ ทวารนอก รู้ วิจัยวิญญาณ จิตเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร ในขณะมีวิญญาณมีองค์ประชุมครบอยู่ หรือแตกเป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คุณต้องรู้จักเจตนา ว่ามันมีเจตนามีกิเลสเข้าไปร่วม หรือไม่มีกิเลสร่วมเป็นวิภวตัณหา

 

ถ้าแยกเวทนาที่เป็นเคหสิตะกับเนกขัมมะไม่ออกก็เจ๊งเลย

 

ในสัตตาวาส 9 กับวิญญาณฐีติ 7 นั้นเหมือนกันเลย แต่ถ้าไปวิโมกข์ 8 จึงมีสัญญาเวทยิตนิโรธ และวิโมกข์ 3 ข้อแรกนี่แหละทำให้รู้กาย เป็นรูปีรูปานิปัสสติ ต้องสัมผัสเห็นมีผัสสะแล้วเห็นปัสสติ แล้วรู้ของจริงทั้งนอกและใน ไปถึงอรูปเลย เป็น อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ

 

1. กายต่างกัน สัญญาต่างกัน....ผู้มิจฉาทิฏฐิจะเห็นสารพัดกายต่างกันไปเลย เช่นสัตว์นรก ก็ต่างกันอาจบอกบัญญัติเหมือนกัน แต่ที่จริงเห็นต่างกัน มากหรือน้อยเล็กหรือใหญ่ เบาหรือหนักต่างกัน ของใครของมัน ดีไม่ดีตรงกันข้ามเลยก็มี กายต่างกันแน่ และยิ่งสัญญาก็ยิ่งต่างกัน อันหนึ่งว่าดับมือ อันหนึ่งบอกว่าดับสว่าง หรือบางคนสัมผัสรส ดมกลิ่นอันเดียวกันเลย มันก็ต่างกัน สารพัดจะต่างกัน กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ต้องมาเรียบเรียงว่าเราเห็นเป็นอย่างไร แล้วก็ที่สุดมันไม่มีสักอย่าง แม้แต่สุขก็ไม่มี มีแต่ผัสสะมีเหตุปัจจัย ตากระทบรูปก็เห็นสีเหมือนกัน ทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด อันนั้นเป็นสัจจะถ้าประสาทไม่พิการ เหมือนกันหมด แต่ทุกส่ิงก็ต้องเปลี่ยนแปลง แล้วเราไม่ยึดได้ เราจะล้างอาการอารมณ์ที่แต่ละคนต่างยึดเป็นตัวกูของกูไป

 

.ฟ้าไทว่า...คนเรามักยึดตัวเราเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าเราเข้าใจกายต่างกัน สัญญาต่างกันก็จะลดความยึดถือ

 

พ่อครูว่า...แม้แต่เข้าใจสัมมาทิฏฐิเป็นพุทธเหมือนกันแล้วก็ยังต่างกัน ผีคนละตัว เทวดาคนละองค์ต่างคนต่างมีของใครของมัน อาจจะเหมือนกันแทบทุกอย่างก็คนละองค์ของใครของมัน แม้ที่สุดคุณได้ของไม่ดีเราไม่เอาแล้วด้วยซ้ำ แต่คุณจะเอาอยู่ก็แล้วแต่เขา เป็นของใครของมัน ปัจจัตตัง เราต้องอ่านแยกให้ออกว่าอะไรประชุมอยู่ กำหนดรู้แล้วยืนยันพิสูจน์สัมผัสจริงจะแยกออก

 

เขาก็ปั้นสมมุตินึกคิดเอาเองจินตนาการเองโมเมไป เขาก็ว่าเขาเยี่ยมมาก เราก็ว่าเราเยี่ยมมาก หรือหลงตนว่าเราหมดแล้ว คนอื่นก็ว่าของข้านี่แหละหมด ของเอ็งไม่หมด ก็ของใครของมัน ในข้อนี้กายต่างกันสัญญาต่างกันมันมากมาย ขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแก

 

2. กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน.....ข้อนี้มีพยัญชนะกำกับว่าไม่มีนิวรณ์เหมือนกันนะ เห็นจริงเลยว่า จิตเราว่างจากนิวรณ์ สายนั่งหลับตาเขาก็ทำให้เขาว่างจากนิวรณ์ 5 เขาทำได้ ทำได้ง่ายกว่าสัมผัสทางทวารนอกด้วย เขาสอนกันมามากมายวิธีนั่งหลับตา คุณก็กำหนดหมายสัญญาว่าไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันแต่องค์ประชุมหรือกายของพวกนั่งหลับตาก็แคบอยู่แค่นั่ง แต่กายของแบบพุทธที่ลืมตาทำนั้นเป็นองค์ประชุมทั้งโลกเลย แต่จิตไม่มีนิวรณ์เหมือนกันและของพุทธนั้นเขาจะมายั่วยวนมาแหย่อย่างไรเราก็ไม่มีพยาบาท ไม่โกธะไม่อุปนาหะเลย นี่คือกายต่างกันเลย การลืมตาปฏิบัติจะมีประสิทธิภาพมากเลย เมื่อผู้ปฏิบัติลืมตาได้จะไปนั่งหลับตาก็ไม่มีปัญหา ง่ายกว่ากันเยอะเลย แต่คนนั่งหลับตาแล้วไปทำแบบลืมตาก็จะยากมากเลย

 

กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกันก็คือ พุทธแบบมิจฉากับสัมมาทิฏฐิ

 

3.กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน

กายอย่างเดียวกันคือได้โล่งโปร่งในสว่างว่างเหมือนกัน เช่นอภัสรา แต่การกำหนดหมายต่างกัน จิตคุณกำหนดว่าว่างของใครก็ของมัน ว่างของใครก็ของมัน เช่นบางสำนักสอนกันว่า ใสแค่นี้โสดาบัน ใสอย่างนี้สกิทาฯ ...แต่ไม่มีใครตัดสินได้ว่าใสขนาดไหน ก็กำหนดเอาเองของใครของมัน จึงเป็นสัญญาที่ต่างกัน แต่คุณว่างคุณใสอันเดียวกันนะ มีแต่ใสๆๆๆ เหมือนอาฬารดาบสกับอุทกดาบสก็ได้มืดดำเหมือนกัน เขาก็ว่าเขาแน่  เอามาเทียบได้ ว่าใสอย่างลืมตา กับใสอย่างหลับตา อย่างพุทธลืมตาใครก็เห็นว่า สว่างอย่างเดียวกัน เป็นกายที่เหมือนกัน แต่สัญญาที่ว่าใสต่างกันนี่ตคือสัญญาต่างกัน ก็กำหนดของใครของมัน สัญญาย นิจจานิ คุณไปยึดสัญญาของคุณเองต่างคนต่างใส เขาสว่างว่างใสแม้หลับตาเขาก็สว่างใสของเขา แต่ต่างกัน รู้ของใครของมัน แต่ลืมตานี่จะเห็นเลย เราว่างจากกิเลสใสจากกิเลส คือจิตตอนนี้คุณทำใสของคุณ แต่กิเลสนี่ต้องกระทบอันนี้นะ กระทบแล้วจิตคุณไม่ปรุงแต่งกิเลสร่วมเลย แต่มันยังยืนยันได้ว่าเพราะเหตุปัจจัยเดียวกัน อารมณ์ก็กำหนดได้แต่ว่ามันจะเหลือมากหรือน้อยต่างกันไปเท่านั้นเอง

 

.ฟ้าไทว่า...การอ่านอารมณ์นี่เราต้องไม่ตัดสินเร็วนัก แต่ว่าเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจเลย ว่างไหม รู้ว่าว่างไหม แล้ว ไม่มีอะไรนิดน้อยเลย แล้วมีไม่รู้อีกไหม ทุกๆสัญญาเลยนะ

 

พ่อครูว่า...ต้องกระทบเหตุปัจจัยมีผัสสะ ต้องไม่ประมาท ในอรูปฌาน  4 ทำให้เราไม่ประมาท เราหมดแล้วจริงไหม ทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่ไม่ดีดไม่ดิ้นไม่ดิ้งแล้วมันดับ เมื่อดับได้แล้วคุณสบายไหม ไม่ใช่หลับตาดับ แต่ลืมตาดับอย่างมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

 

.ฟ้าไทว่า...ญาณกับปัญญา วิชชาต่างกันอย่างไร วิชชาคือความรู้ของพระพุทธเจ้า ญาณคือตัวเกิดตัวรู้ ปัญญาคือความรู้กว้างไปทั้งหมด ปัญญาเร่ิมต้นรู้ละกิเลสก็เป็นปัญญา ทำเพ่ิมเสริมเป็นปัญญินทรีย์ ให้เกิดญาณปัญญา เป็นวิชชา 8 ….

 

สัตตาวาส ข้อ 3 อยู่ในเรื่องความสว่างกำหนดความสว่าง อาภัสรา ว่าใสๆๆๆ ของฤาษีสอนให้เพ่งใส ได้องค์ประชุมที่ใส ปั้นเข้าไป เป็นมโนมยอัตตา จิตปั้นแล้วสำเร็จด้วยตนเอง แล้วยึดติดว่าเป็นจริง

 

ส่วนลืมตานั้นไม่ได้ไปตั้งภพ ไม่งมงาย แต่ทำอย่างมีเหตุปัจจัย

 

4. กายอย่างเดียวกัน สัญญา อย่างเดียวกัน..อันนี้อธิบายยาก

 

กายอย่างเดียวกัน คือนิโรธ คือดับ ดับอะไร ก็ดับวิญญาณ เวทนา สัญญา ความรับรู้ให้ดับหมด คือดับจิต ทางสายหลับตาสมาธิก็ดับจิต แต่ดับจิตนั้นก็คือจิตไม่ทำงาน จิตหยุดไม่มีบทบาทเลย เขาก็เรียกว่านิโรธ อย่างเดียวกัน แต่การไม่มีหน้าที่บทบาทของจิตนั้นดับปี๋เลยเรียกว่า กณหะ เขาทำได้ก็ว่าเป็นสิ่งที่เป็นโชค น่าได้พึงได้ เป็น สุภกิณหะ งามแบบดับดำมืด ไม่ให้คิดไม่ให้ทำหน้าที่อะไรเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิ

 

แต่ของพระพุทธเจ้าเปิดเผยทำนอกภวังค์ ก็ได้นิโรธ แต่ไม่ได้ดับจิตทั้งยวง แต่ดับแต่อกุศลจิต ในขณะที่ผัสสะกับอะไร เช่นสัมผัสฟักข้าว ส้มโอนี่ ไปชอบอะไรนักหนา ก็อันนั้นแหละอกุศลจิตที่ไปหลงชอบก็ดับมันจริงๆ แล้วดับอย่างแจ้ง มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง มีทวาร 6 ครบเลย ใจมันเกิดกิเลส เราก็ทำให้กิเลสดับไปได้ นิโรธเหมือนกันแต่เป็นนิโรธสว่าง จนทดสอบอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง มาแรงมามากเผลอก็มาอย่างไรก็ดับตลอด ดับอย่างมีรูปมีนาม แต่ดับฤาษีก็ดับเหมือนกัน กายก็ดับเหมือนกันแต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ดับทั้งจิต แต่ดับเฉพาะอกุศลจิตตั้วนั้น แล้วจะมีปัญญาญาณรู้ตัวอื่นๆเพ่ิมขึ้น จนถึงขีดก็รู้ได้อย่างเร็วได้กว้างพิศดารก็ดับได้หมดเลยดับอย่างลืมตา

 

กายเป็นนิโรธอย่างเดียวกัน สัญญาว่านิโรธก็อย่างเดียวกัน แต่ทิฏฐิต่างกัน ใครจะเอาแบบไหนก็เอา  เขามีสำนักสอนแบบหลับตาต่างๆมากมาย แต่ลืมตานี่ของพระพุทธเจ้าสูตรเดียวกัน โพธิปักขิยธรรม 37

 

พวกฤาษีเขาก็ดับ ดับจนเอาไปฝังดินได้ยี่สิบกว่าวันเลยนะ แต่ก็ต้องตื่นมารับรู้โลกอยู่ดี

 

ของพุทธไ่ม่ต้องเข้าหรือออกจากนิโรธเพราะหลุดพ้นจากสภาพเก่าแล้ว กิเลสหมดแล้วหมดเลย จบเสร็จไม่มีมาเวียนกลับมาอีก อสังหิรัง อสังกุปปังแต่ของฤาษีก็ไม่มีจบเข้าๆออกๆอยู่นั่นแหละ แม้จะดับได้นานอย่างไรก็ต้องออกมาอีก

 

.ฟ้าไทว่า...สูตรของพุทธนั้นจะพัฒนาไปได้เรื่อยๆไม่ซ้ำ แต่ของฤาษีนั้นจะว้ำวนกลับไปมา

 

พ่อครูว่า...ส่วนอีก 3 คือการตรวจสอบ คือ อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ อกิญจัญญาฯ

 

ถ้าเข้าใจวิโมกข์ ว่ามีรายละเอียดของฌาน อรูปฌาน

 

 

พระพุทธเจ้าจัดแบ่ง นิกาย  กับ นานาสังวาสนั้นต่างกัน

 

คำว่า นิกาย นี่คือไม่ใช่กายของพุทธ มันคนละองค์ประชุมเลย ก็ต่างคนต่างมีกายก็แล้วกันต่างคนต่างแยกกันขาด ต่างจากนานาสังวาสที่มีความร่วมกันอยู่ พุทธเหมือนกันแต่ว่า กรรมต่างกัน อุเทสต่างกัน ศีลไม่เสมอสมานกัน มีหลัก 3 อย่างที่เป็นนานาสังวาส

 

แต่ของพวกเรานี่มีสังคมองค์รวมที่ต่างจากเขา แต่ก็ร่วมกันได้ เช่นร่วมกันในหลักธรรมวินัย เช่นปาราชิก 4 ,สังฆาทิเสส 13 เป็นต้นก็ยังร่วมปาติโมกข์กันอยู่ แต่พวกนิกายนี่ต่างกันเลย เช่นบางพวกมีผัวมีเมียได้ คนละวินัยเลย ขนาดหลักที่แย่ที่สุดคุณยังบอกว่าได้เลย นี่คือคนละนิกายเลย แต่ถ้าร่วมวินัยกันอยู่ก็ร่วมกันเป็นนานาสังวาส

 

ปาราชิก 4 ของเรากับของธรรมยุติหรือมหานิกายก็อันเดียวกัน ก็เป็นนานาสังวาสกัน ยิ่งของเขาเองนี่มีผัวมีเมียได้ หรือเป็นเจ้าของธนาคารได้นี่คนละนิกายแน่หรือสะสมเงินจนถ้าถอนเงินออกหมดธนาคารล้มเลย นี่เป็นต้น

 

หรือว่าเขาว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี่รวยได้ แล้วคุณรู้ว่ารวยเท่าไหร่ถึงพอ ถ้ากำหนดรวยได้ คุณก็รวยเท่าที่สามารถไม่มีวันลดได้ง่ายๆหรอก ถ้าคนพิสูจน์ว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้วก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเวียนไปมีอีก ก็สบาย มีสาธารณโภคี ก็ สบมทมดปกตหหจจ.

 

ถ้าเรามักน้อย จนที่สุด เราขาดธาตุอาหาร ไปขอซื้อเขาก็ไม่ให้ เราก็ตายไป คนดีก็ปล่อยให้ตายไป แล้วใครเสียประโยชน์ แต่เขาไม่ปล่อยให้คนดีตายไปหรอก 

 

เป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่มีใครดูแล และตัวของตัวเองก็ไม่กลัวด้วย ตนเองมีสมรรถนะทำกินใช้เลี้ยงตัวเองได้ ขนาดสัตว์มันยังเลี้ยงตัวรอดได้ แม้ใครไม่เลี้ยงก็ไม่เป็นไร หรือที่สุดเป็นอัมพาตเลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็ตายไป ถ้าไม่เป็นอรหันต์หรือเป็นอรหันต์ที่ตั้งจิตต่อก็มาเกิดใหม่ เกิดมาใหม่จะดีกว่าเก่ามีเหตุปัจจัยยืนยันรับรองด้วย

 

.ฟ้าไทว่า...ผู้ลดกิเลสหมด เป็นโพธิสัตว์พึ่งตนได้เป็นที่พึ่งคนอื่นไม่กลัวตายหรอก จะเรียกร้องให้คนอื่นมาช่วยเป็นไปไม่ได้หรอก

 

พ่อครูว่า...เหมือนอย่างผมเลี้ยงน้องมาเป็นต้น

 

.ฟ้าไทว่า...ความสามารถ ความรู้ของพระโพธิสัตว์นั้นมีมากอยู่แล้ว

 

พ่อครูว่า...แม้ผมชาตินี้ไม่ถนัดเรื่องวิศวกร แต่จะให้ศึกษาก็ได้แน่ ทำมาหากินได้แน่ ถ้าให้ทำก็ไม่คิดว่าจะทำไม่ได้ ยังไงก็ทำได้แน่ เชื่อมั่น

 

คุณธรรมทำ นักรบธรรมว่า...ที่พ่อครูอธิบายความดับมากมายหลากหลายนั้นผมไม่จำ จะใช้ความสงบอย่างเดียวได้หรือไม่?....ตอบ....ความสงบนี่คุณรู้หยาบ กลาง ละเอียดไหมล่ะ ที่เขาละเอียดละเลียดนี่ให้รู้เป็นขั้นตอนไป  ทำทั้งนอกและใน

 

.ฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูอธิบายลึกซึ้งเรื่อง บวร และมรรคองค์ 7 พ่อครูพูดเรื่องสังกัปปะ 7 ที่เราจะเพิ่มเติมการศึกษาอย่างไร ประเด็นของสำคัญคือ จิตตะ คือทุ่มโถมใส่มีแรงเท่าไหรก็ทุ่มโถมให้หมดตัว คือการลดกิเลสของเราที่ไม่เจริญเพราะเราไม่โถมสุดตัว และเรื่องวิญญาณฐีตินั้นทำให้กระจ่างชัดขึ้นมาก ดับแบบพุทธกับแบบฤาษีนั้นต่างกันอย่างไร?..ทำให้อาตมามีความหวังว่าจะลดละกิเลสได้อย่างต่อเนื่องแน่นอน ไม่ประมาท


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:01:26 )

570819

รายละเอียด

570819_พุทธชีวศิลป์(9)วนบ. เรื่อง สังขาร 3 อะไรเกิดดับก่อนหลัง

ปฏิจจสมุปบาท

1.    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยโง่ๆ จึงก่อสังขารโง่ๆ

2.   เพราะมี สังขาร จึงมี วิญญาณ 

3.   มี วิญญาณ จึงมี นามรูป

4.    มีนามรูป จึงมี อายตนะ6  หรือ ฉฬายตนะ

5.    มีอายตนะ จึงมี ผัสสะ 

6.    มีผัสสะ จึงมี เวทนา

7.   มีเวทนา จึงมี ตัณหา  

8.   มีตัณหา จึงมี อุปาทาน .

9.   มีอุปาทาน จึงมี ภพ (กามภพ, รูปภพ, อรูปภพ) 

10.  มีภพ จึงมี ชาติ (กิเลสเกิดบทบาทในมโนกรรม)

11.  มีชาติ จึงมี ชรา  มรณะ   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัสสะ  และอุปายาสะ

(พตปฎ. เล่ม 16  ข้อ 2)

สรุปคือ ถ้าเรามีวิชชา จะรู้จักสังขาร จะรู้จัก กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร คืออะไร? อาตมาก็พูดวนซ้ำตรงนี้เยอะ เพราะไม่ง่ายจะเข้าใจ ถ้าเข้าใจจะโล่งเลย

 

คนมีวิชชาจะรู้ว่าสังขารนี่แหละพาเป็นทุกข์ และมันทุกข์เพราะสังขาร เพราะอวิชชาจึงไม่รู้จักสังขาร

 

สังขารคือปรุงแต่ง ล่อเละเลย เป็นแกงโฮะเลย อะไรก็เทใส่ มันไม่รู้อะไรเป็นอะไร เจตนาคนปรุงก็มีกิเลสเป็นตัวหลัก ชอบเค็มก็ใส่เค็มเยอะ ชอบรสไหนก็ใส่รสนั้นมาก ปนกันไปหมด ที่ประชุมกันทั้งหมดนี่เรียกว่า กาย

 

เน้นเข้าหาจิต ก็เรียก จิต เป็นจิตสังขาร ถ้าเอาทั้งหมดก็มีความหยาบข้างนอกเป็นหลัก แต่ข้างในก็เป็นรอง ยิ่งจิตอ่อนแอกว่ากิเลสยิ่งเป็นรอง ถูกกิเลสควบคุม

 

วจีสังขาร มันเป็นตัวที่ยากที่จะรู้ ถ้าอาตมาไม่เอามาพูดนี่ความรู้นี้จะหายไปเลย ยังดีมีอยู่ที่สังกัปปะ 7 ที่มีวจีสังขาร เกิดได้อย่างไร ใครรู้จักวจีสังขาร และทำให้วจีสังขารดับในส่วนที่ควรดับได้ก็เป็นอาริยะ ภิกษุณีธัมมทินนา ตอบที่อุบาสกวิสาขาว่า เมื่อเข้านิโรธอะไรดับก่อน ...ท่านตอบว่า วจีสังขารดับก่อน

 

แล้วถามต่อว่าเมื่อออกจากนิโรธ (เอาศัพท์ทางด้านเทวนิยมเขามาใช้) อะไรเกิดก่อน ท่านก็บอกว่าจิตสังขารเกิดก่อนแล้วเป็นกายสังขารและ วจีสังขารเกิดหลังสุด

 

ดังนั้นตัวดับก่อนคือวจีสังขาร ส่วนตัวเกิดก็เกิดทีหลังเขา ถ้าไม่รู้จักสังกัปปะ 7 แล้วอะไรดับ ดับอย่างไร?

 

วจีสังขารดับ..ก่อนจะออกมาเป็นสังขาร ที่เป็นตัวบวกลบคูณหารกันแล้ว ถ้าตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มีกามหรือพยาบาท แล้วมาส่งเสริมโดย อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา บวกลบคูณหารชงอยู่ในครัวเป็นวจีสังขารอยู่ในสำรับกับข้าวเสร็จ

 

ทางด้านฤาษีเขาก็ว่าดับ เขาเข้าใจว่า วจีกรรมดับก่อน แน่นอนก็นั่งนิ่งไม่พูดนี่

 

แล้วการดับของพุทธนี่ ดับตั้งแต่ ตักกะ วิตักกะ มาแล้วดับกามหรือพยาบาท เมื่อปรุงสำเร็จเป็นสำรับกับข้าวที่สะอาดดี เพราะดับวจีสังขารตั้งแต่ต้นแล้ว (ดับกิเลส) แล้วเมื่อ วจีสังขารดับ กายสังขารก็ดับ จิตสังขารก็ดับทีหลังเพื่อน

 

พอดับเสร็จแล้วก็พร้อมเปิดออกไปสู่ข้างนอก ไปสู่ ทวาร 5 ไปเป็นวจีกรรมและกายกรรม แล้วค่อยรวมออกเป็นกัมมันตะ อาชีวะ

 

เมื่อจะออกจากนิโรธก็คือยกสำรับกับข้าวออกไปสู่ข้างนอก ก็รวมแรงจิตทั้งหมดเป็นมโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ตอนนี้สำเร็จแล้ว จิตเป็นเหตุ วจีจึงเกิด กัมมันตะจึงเกิด อาชีวะจึงเกิด เป็นตัวการทุกอย่างเลยก็คือ จิต  ตัววจีสังขารเป็นตัวกรองสุดท้าย เช่นบางทีเราว่าจะพูดอย่างนี้แต่ว่าเอาเข้าจริงก็พูดแค่นี้ สำรับกับข้าวจะเสิร์ฟก็ยักไว้หน่อยเอาให้แค่นี้นะ เหตุปัจจัยภายนอกจะเป็นตัวกำหนดอีกที

 

ฟังดีๆจะเห็นชัดว่า สังขาร 3 อย่างนี้แหละ แล้วสังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ อายตนะดับ ...เร่ิมแต่ต้นเพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ คนพาซื่อก็ว่าสังขารดับ นั้นก็คือคนตายนะ แต่ที่จริงไม่ใช่ อวิชชาดับ ก็จะมีวิชชาเกิดทันที ที่ดับคือที่มีกิเลสร่วมสังขารต่างหาก เพราะในองค์ประกอบการสังขารนั้นมีทั้งผีทั้งเทวดา ก็ดับแต่ผีนั้นแหละ อย่างอื่นที่ดีไม่ไปดับ ในวงจรปฏิจจสมุปบาทจึงสะอาด

 

บอกว่าอวิชชาดับก็คือเกิดวิชชา แล้วสังขารที่จะดับก็ดับไปพร้อมกับอวิชชา วิญญาณก็ใสสะอาด นามรูปก็เป็นนามรูปที่สะอาด ภพก็เป็นวิภวภพ อุปาทานก็ดับเป็นสมาทาน ชาตก็ไม่เกิดในส่วนโศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

 

เพราะอวิชชาดับ สังขารก็ดับ วิญญาณก็ดับในส่วนวิญญาณผี แต่เขาไม่เข้าใจก็บอกว่าไปนิพพานก็ไม่ต้องมีตัณหา ดังนั้นวิภวตัณหามีไม่ได้ ตัณหาอะไรก็มีไม่ได้ สังขารก็ไม่ให้มี สัญญาก็ดับ วิญญาณก็ดับ นามรูปก็ดับหมด นี่คือความไม่รู้ในองค์ประชุม ในองค์ประชุมี 100 หน่วยเราก็ดับไปทีละหน่วยๆ แต่เขาไม่รู้จักเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไม่รู้จักผีแท้จริงก็ฆ่าไปดะหมดเลย ผีก็ไม่ตาย จับไม่แม่น ตีงูให้หลังหัก มันก็กลับมาแวงกัดอีก เลยเจอศัตรูเป็นงูหลังหักไม่รู้กี่ตัว สักวันหนึ่งเถอะ...

 

สรุป การรู้จักสังขารก็คือ ต้องรู้จักสังขาร 3 นี่แหละ ให้ถูกตัว แล้วลดสังขารให้มันจริง ลดการปรุงแต่งโดยตัวอกุศล เป็นสสังขาริกับ เป็นตัวนำให้เป็นอสังขาริกัง

 

สัมมาทิฏฐิ จึงสำคัญมากที่จะค่อยเจริญขึ้น

1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .

2.   ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.   ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . มีพลังงาน static แฝง

4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) . .

5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .

6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258)

 

เหมือนอานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ประการ

1.    ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.   ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.   ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.    ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) 

5.    จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

 

เพราะเกิดผลเกิดปัญญา ทิฏฐิเกิดจาการปฏิบัติมรรคองค์ 8 เจริญขึ้นเพราะมีธัมวิจัยช่วยตลอดเวลา  ปัญญาก็เกิด แล้วเติมเป็นปัญญินทรีย์เพ่ิมขึ้นเรื่อย ก็จะพัฒนาสัมมาทิฏฐิสูงขึ้นอีก ก็เกิดควบแน่นทำให้การปฏิบัติมัคคังคะเจริญ คมแม่นสูงขึ้นอีก เป็นปฏิสัมพัทธ์ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนไม่รู้กี่ชั้น

 

ในตักกะ วิตักกะ สังกัปปะนี่เป็นกระบวนการของการปฏิบัติทำใจในใจ นี่แหละคือการทำสมาธิ ทำฌาน จะมีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นส่วนของปัญญา แล้วเสริมเป็นเจโตตกผลึกเข้าไปควบแน่นอีก ก็ปฏิบัติมรรค 7 องค์ไปนี่แหละ ...

 

….

 ยิ่งปฏิบัติก็เป็นผลของ อธิศีล อธิิจิต อธิปัญญาสิกขา

 

เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก 3 ที่เจริญขึ้น องค์ประกอบของการเจริญก็คือ

 

กายกัมมัญญตา คือ ความคล่องของกาย ความเป็นของควรแก่การงานของ เวทนา สัญญา สังขาร

 

สัญญานี่มีตัวกำหนดรู้ และกำหนดหมาย ถ้าสัญญาสะอาดขึ้น ตัวมันเองก็ทำงานได้ดีขึ้น ล้างอุปาทานในสัญญา ซึ่งนามนั้นมี 5 อย่าง คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

เมื่อทำวจีสังขารได้สำเร็จ แม้จะออกมาเป็นวจีกรรมก็ต้องควบคุมวจีสังขารขั้นสุดท้ายอยู่ดี

 

สัญญาที่สะอาดก็จะควบคุม เวทนา กับสังขารได้ อธิบาย ขณะนี้คุณปรุงแต่ง ว่าเจออันนี้ก็จะด่าให้หนัก เสร็จแล้วพอเจอตัวจริงก็เหตุปัจจัยทำให้ไม่ด่าไว้อย่างที่เตรียมไว้ หรือตั้งใจว่า จะไม่ด่าเขาหรอก เตรียมไว้เชียว แต่ว่าพอสัมผัสแล้วด่าหนักกว่าที่เตรียมไว้อีก

 

เหตุก็เพราะว่าคุณผัสสะ แล้วทำใจในใจ มนสิการไม่เป็น ก็นี่คือกระบวนการของมนสิการ ทั้งสังกัปปะ 7  ถ้าคุณเองได้ฝึกฝน มีกำลังของเจโตและปัญญาจริง ที่เป็นวสีของการทำสมาธิทำฌาน ก็จะควบคุมได้เก่ง ประมาณได้ดี ควบคุมทั้งเจตนา สัญญา สังขาร เวทนา ก็ออกไปอย่างเหมาะควรแก่การงาน จะเป็นงานภายนอกก็เกิดจากการจัดการที่ดี

 

กายปาคุญญตา คือความคล่องแคล่วแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร คือจิตเร็วไว ดัดได้ไวเร็ว ปรังปรุงได้ไวทำได้ดี จึงเรียกว่า การงานอันเหมาะควร เหมาะควรเพราะว่าได้ปฏิบัติจัดการกับเหตุอย่างได้ผลจริงๆ นี่คือสภาพจริง แล้วมันเป็นเรื่องของจิตทั้งนั้น องค์ประชุมของจิตทั้งนั้น

 

ถ้าคุณไม่รู้กาย ก็มัวไปดูที่กรรมการงานภายนอกอันเหมาะควร ก็ทำกาย วจีกรรมภายนอก ที่เป็นปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุสมุทัยมาเลย นี่คือความผิดเพี้ยนที่รู้บัญญัติความหมายของปรมัตถ์ผิด ปฏิบัติแล้วนอกจากไม่ขัดเกลาต้นทาง ปลายทางก็เพี้ยนไปด้วย

 

ในภาคผลก็ตาม ในภาคของการปฏิบัติให้เกิดการบรรลุ มันล้มเหลวทั้งหมดเลย นี่คือความเข้าใจผิด เข้าใจภาวะสัมมาทิฏฐิไม่ถูกต้อง

 

มาพูดถึงชาติ ได้แก่

ความเกิด (ชาติ)   ความบังเกิด (สัญชาติ)  เกิด (โอกันติ)  สามอันนี้เป็นการเกิดแบบโลกียะ 

ถ้าไม่สามารถปฏิบัติธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ จัดการลดกิเลสได้จริง ลดกาม ลดพยายาทได้จริง ก็จะเกิดเป็น ความหยั่งลงเกิด (นิพพัตติ)  เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ)

 

โอกกันติ คือตัวกลางระหว่าง ชาติ กับสัญชาติเดิม พอมันเปลี่ยนได้ก็เข้าหาสัญชาติใหม่ เป็นชาวอโศก จะได้เชื้อของชาวอโศก เป็นนิพพัตติ เป็นการเกิดเข้าหานิพพาน ส่วนอภินิพัตติ ก็เป็นตัวปลาย เหมือนตัวอินทรีย์กับพละ  เกิดบรรลุเป็นผลเลย โสดาฯก็เป็นโสดาปัตติผลเลย เป็นต้น นี่คือลักษระคุณสมบัติของจิตที่มีเหตุปัจจัยให้เกิด

 

เห็นใจที่เขาแปลกัน ว่าเกิด เกิดจำเพาะ แล้วมีฟุตโน้ตว่า สังเสทชะโยนิคือนิพพัตติ ส่วนชาติ สัญชาติคือ อัณฑชโยนิ หรือชราพุชโยนิ ไปโน่นเลย เป็นการเกิดทางรูปธรรม พอไปที่อภินิพพัตติก็ถึงจะเป็นโอปปาติกโยนิ

 

แล้วเขาก็เข้าใจโอปปาติกโยนิว่าเป็นการเกิดที่มีรูปร่างตัวตนด้วย เขาก็ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่โอปปาติกะ นี่คือไม่เข้าหาปรมัตถ์เลย

 

แล้วเขามาว่าเราตรรกะ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ รู้จักพวกนกเค้าท้วงตาแม่ ไหม? นกเค้าแมวมันทักตาแม่ว่าแม่ทำไมแม่ตาโตจังเลย (ตัวเองก็โต) สามนิ้วชี้ตัวเอง อีกหนึ่งนิ้วชี้คนอื่น เขาก็ว่าพวกเราเป็นพวกตรรกะ ไม่มีตาทิพย์จริงอย่างที่พวกเขาเห็น

 

ความไม่เกิดนี้คือความไม่เกิดในสัตว์นรก สัตว์สวรรค์ หรือแม้แต่เป็นพรหมก็ไม่ยึด แม้นิพพานได้แล้วก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา หรือคุณจะยึดไว้ เป็นพรหมก็เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เป็นนิพพานแล้วก็มีแต่ประโยชน์ท่านถ่ายเดียว ให้จิตสะอาดหมดจดจริงก็แล้วกัน

 

มาขึ้นบทวิภังค์ ของล. 16 ข.[20] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาปฏิปทา เป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ความเกิด
ขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ  อย่างนี้ นี้เรียกว่ามิจฉาปฏิปทา ฯ
     

 

[21] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาปฏิปทาเป็นไฉน เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการ
สำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณ จึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์
ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เรียกว่า  สัมมาปฏิปทา ฯ
จบสูตรที่ 3

 

 

เพราะหมดอวิชชาก็จะมีสังขารอย่างไม่ไม่สังขาร เป็นสังขารที่สะอาด

 

พพจ.ทุกพระองค์ทำใจในใจเป็นทั้งนั้น แต่เขาทุกวันนี้ทำกันไม่เป็น แปลโยนิโสมนสิการว่าการทำใจในใจให้ถ่องแท้แยบคาย แต่กลับสอนและทำให้ตรรกะ นึกคิดเอา แต่ไม่ได้ทำลงไปถึงจิตลดกิเลส บางสายก็สะกดใจได้ด้วยสมถะ แต่สายปัญญาก็ทำสมถะลืมตา ให้จิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถหรือกสิณต่างๆ ก็ได้แต่สมถะ แล้ววิปัสสนาก็คือมีสติๆ แต่ไม่ได้เข้าหาสมุทัย เหตุคือกิเลส เขาก็ไปตัดทิ้งหรือจดจ่อลืมไป พูดนี่ก็เหมือนข่มเขา ดูถูกเขา เก่งมาจากไหนนะ สำนักก็ไม่มี ครูบาอาจารย์ก็ไม่มี ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกอาตมาตายนานแล้ว และครูอาจารย์เขาไม่ได้แปลอย่างอาตมาด้วยนะ

 

ต่อไปเป็นภาคถามตอบสรุปของนิสิต

 

_นิสิตถามเรื่อง ข้าวนางเล็ด เห็นแล้วก็อยาก แต่ไม่ได้...ตอบ...1.ไม่เที่ยง 2.ไม่มีจริงหรอก มีแต่ทุกข์ มันไม่มีหรอก แต่คุณหลงบ้าอยู่กับเหตุแห่งทุกข์มันเลยจริงที่ทุกข์ เลยเรียกอาริยสัจ ผู้มีอาริยะจะรู้สัจจะว่ามันไม่มีจริง จริงๆ ทีหลังข้าวนางเล็ดมาก็ไม่มีตัวตนกิเลส คุณไม่อยากแล้ว เห็นแล้วไม่กินก็ได้ ไม่ติดใจอะไรแล้ว คุณจะทุกข์ไหมก็ไม่ทุกข์แล้ว เหตุผลฟังรู้แล้วก็ไปทำจริงเป็นญาณปัญญาจริงก็จบ เคยทำได้ไหม ว่าตอนนี้มันไม่แรงเท่าเก่ามันเบาลงหรือบางครั้งมันก็ไม่มีเลย ก็คือมันไม่เที่ยง แล้วผู้ใดเห็นว่ามันไม่เกิดเลยตลอดก็คือได้สุญญตาหรืออนัตตา

 

_ก่อนจะอาศัยเราต้องล้างกิเลสที่ทั้งดูดทั้งผลัก ท่านจึงมีในโสฬสญาณ ว่าต้องให้มีญาณปล่อยวางเห็นจืดจางคลายไปแล้ว ถึงจะไปอนุโลมช่วยเขา ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ผู้อื่นแต่กดข่มของตนเอง มันต้องเห็นจริงว่าจิตเราลด จะกดข่มเพื่อปฏิบัติแล้วลดละล้างจางคลาย ก่อนจะอนุโลม ต้องชัดเจนว่าจะทำอะไรก่อนหลังชัด มันจะไม่ได้เร็ว มันจะกลับไปกลับมา


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:03:03 )

570820

รายละเอียด

570820_วิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท  เรื่อง มาตา-ปิตา พาบรรลุธรรม

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้วันพระ ขึ้น 15 คำ่ เดือน 9 ตรงกับวันสารทจีนด้วย ใกล้วันแม่ด้วย ตอนนี้มีคนไปจองดอกมะลิไปบูชาแม่ จากมะลิราคา กก.ละ100 บ. ตอนนี้ขึ้นไปเป็น กก.ละ 500 บาท เพราะว่ามันขาดแคลน

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่ามหาบพิตร ว่าในกาลอนาคต ชนจะละทิ้งการยำเกรงผู้ใหญ่ละทิ้งพ่อแม่ ลูกหลายหากินเองได้ เมื่อจะให้ของพ่อแม่ก็แล้วแต่ว่าอยากจะให้หรือไม่ พ่อแม่จะอยู่ยาก

 

ตอนนี้ข่าวเขามีแม่อุ้มบุญ รับจ้างท้องลูก (พ่อครูว่าทีหลังคงรับจ้างขี้) หรือรับจ้างใช้เงิน ผมว่าคนรวยๆเขาไม่มีเวลาใช้เงินให้นะ ใครจะรับจ้างบ้าง ตอนนี้พ่อครูเขียนในสรรค่าสร้างคนเกี่ยวกับเด็กไว้ว่าเด็กจะเจริญหรือไม่มีปัจจัยคือ

1.กรรมเก่าของเด็กคนนั้น 2.ตนเอง 3.ส่ิงแวดล้อม. 4.ผู้เลี้ยงดูอบรม

 

ทุกวันนี้พ่อแม่จ้างคนเลี้ยงลูก ส่งไปเรียนแล้วก็ไม่สนใจ แม้ส่งลูกมาเรียนสัมมาสิกขาแต่พ่อแม่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ลูกกลับไปก็พาผิดศีลอีก ก็ยังไม่เข้าใจ ก็จะได้นิมนต์พ่อครูให้ความเข้าใจ

 

อาตมาบอกเด็กว่าชีวิตตนจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ 4 ประเด็นนี้ พ่อครูท่านรู้ว่าจะอบรมจิตใจคนให้เกิดความเจริญได้

อย่างไร? ท่านผ่านการเรียนรู้มานานมาก

 

พ่อครูว่า....วันนี้พูดถึงแม่ก่อน เพราะแม่เกิดก่อนลูก ลูกเกิดก่อนแม่ไม่มีในมหาจักรวาล

 

ความเป็นแม่เป็นส่ิงยิ่งใหญ่ ความลึกซึ้งของคำว่าธรรมะนี้ลึกซึ้งจริง พ่อก็ยิ่งใหญ่ แม่ก็ยิ่งใหญ่ แต่ยิ่งใหญ่คนละเชิง อาตมาพยายามเน้นในคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าแม่ กับพ่อสำคัญ

 

มาตา คือแม่ ปิตาคือพ่อ ยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาลนี้ แล้วก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดได้ ถ้าไม่มีแม่กับพ่อก็ไม่มีการเกิด และการเกิดก็มี ชราพุชโยนิ คือการเกิดทางน้ำคร่ำ มีครรภ์ มีน้ำหล่อเลี้ยง แล้วลูกก็ค่อยโตในนั้นแล้วก็คลอดในนั้น

 

ส่วนอัณฑชโยนิ เกิดจากไข่

 

สังเสทชโยนิ เกิดจากการแตกตัว แบ่งตัว สังเคราะห์ ที่ไม่ใช่ชราพุชและอัณฑชะ พระพุทธเจ้า.ท่านแยกแยะท่านรู้หมด เพราะท่านศึกษาคนกับสังคมมาหมด อาตมาก็เห็นความสำคัญเช่นนั้นไม่มีอะไรสำคัญเท่ามนุษย์ ดีก็แรง เลวก็แรง เมื่อมันแรงก็มีทั้งทำลายและสร้าง เรื่องอะไรเราจะปล่อยให้ทำลาย เราก็มาช่วยสร้าง

 

คำว่า แม่ พ่อ นี่ลึกซึ้งทั้งสัตว์ วัตถุ จิตวิญญาณ การกำเนิดที่ 4 คือ โอปปาติกโยนิ คือการเกิดทางจิตวิญญาณ อันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่โลกไหนๆก็ตาม การเป็นตระกูลโลกุตระของพระพุทธเจ้าต้องมาเรียนรู้อันนี้ รู้แล้วมาประกาศแก่โลก

 

อาตมาเคยพูดว่า ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ แล้วศีลกับปัญญาช่วยกันสร้างให้จิตเป็นอธิจิต เจริญขึ้น ศีลกับปัญญาจึงเป็นพ่อแม่ทางจิตวิญญาณเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า เป็นนามธรรมที่เป็นของจริง ไม่ง่ายเลยเพราะละเอียดบางเบา มันจับไม่ติดง่ายๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาบัญญัติเป็นภาษาไว้

 

ในตัวก็มีทั้งแบบพ่อและแม่ ซ้อนกันอยู่ มีลีลาเคลื่อนไหว เป็นภาวะ

 

ภาวะอย่างแม่ เรียกอิตถีภาวะ ภาวะแบบพ่อเรียกปุริสภาวะ

 

อาการทางปุริสภาวะ และอิตถีภาวะ จะมีแรงทำให้เกิดการเป็น ทั้งสองอย่างนี้ทิ้งไม่ได้ ต้องมีความเข้าใจ ให้สามารถรู้ อาการ กิริยา องค์ประกอบว่าแบบนี้คือเพศแม่ หรือเพศพ่อ ประเทศอื่นเขาก็มีการแบ่ง เป็นสากล แต่ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง แม้ในสังคมไทยก็มีลักษณะสองอย่างทำให้เกิด

 

ทุกวันนี้อิตถีภาวะมันมีมาก อิตถีภาวะคือสภาวะไม่แข็งแรง แต่ปุริสภาวะมีสภาพแข็งแรง

 

คุณธรรมที่ไม่แข็งแรงคืออิตถีภาวะ ประเทศไทยมีมาก  ทำให้โคตรโกง โกงทั้งโคตร เขาไม่ได้สร้างเฉพาะโคตรพ่อโคตรแม่เขาเท่านั้น มันไปเอาคนอื่น นักวิชาการ นักธุรกิจ มาเป็นโคตรโกงร่วมกันด้วย มันเลวสะบัดช่อเลย

 

เราต้องมาทำโคตรอีกแบบ เป็นโคตรของสมณโคดม มีแล้ว อาตมาก็มาร่วมสืบสานต่อ ในชาวอโศกที่พาทำมา สี่สิบกว่าปี มีคุณสมบัติทั้งแม่และพ่อ อันที่นำ เราเรียกว่าพ่อ อันที่ช่วยกันเจี๊ยวจ้าว ฮือฮา นี่ลักษณะอิตถีภาวะ แต่ลักษณะนิ่งๆแก่นๆ คำเดียวพั๊วเลย นี่คือลักษณะพ่อ ในอโศกมีทั้งลักษณะพ่อและแม่ช่วยทำให้เกิดจิตวิญญาณ

 

มากหรือน้อยไม่เกี่ยงขอให้เกิด เราก็พยายามให้มารวมพลังกัน เรียกร้อง โฆษณาก็แล้ว ไม่เอา ไปอยู่กับผีหมด ไปติดใจผีกันจัง ก็ตัวใครปัญญาใครชีวิตใคร อัตภาพใครก็แล้วแต่

 

เมื่อเกิดแล้วเราก็มาช่วยกันเลี้ยงลูก การสร้างทางวัตถุนี่จะได้แค่ไหน สร้างลูกทางสรีระนี่จะได้กี่คนเชียว ในชีวิตหนึ่งๆ แต่การสร้างทางนามธรรม ทางจิตวิญญาณ ลึกซึ้งและได้มากกว่าเป็นจริงยั่งยืนกว่าด้วย

 

การสร้างคนทางวัตถุนั้นพอได้แล้ว คนจะล้นโลกแล้ว สร้างมาแล้วมาบีบคอเราขายหน้าอีก พลโลกจะเจ็ดพันล้านคนแล้ว ไม่ต้องไปยุให้มีเพ่ิม เราต้องมาคุมกำหนัด ให้ได้ เราจะสร้างคนทางจิตวิญญาณนี่ไม่เป็นพิษภัยกับใคร สร้างคนให้เป็นคนตระกูลดี อาตมาจึงสมัครเป็นพ่อพันธ์ชนิดนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็นพ่อ พระสารีบุตรพระโมคคัลลนะเป็นแม่ หรือภิกษุ ภิกษุณีเป็นแม่ ช่วยกันสร้างลูกทางจิตวิญญาณ ชาวอโศกเป็นลูกพระพุทธเจ้ามาช่วยกัน ส่วนทางโน้นให้พอได้แล้ว

 

เมื่อเรามีของจริง เป็นเชื้อพุทธะเชื้ออาริยะโลกุตระแท้จริง จึงไม่ตกต่ำ เรื่องศีลเป็นสัมมาทิฏฐิ มีแรงพลังเพียงพอร่วมกับปัญญาที่ตรงที่ดีถูกต้องเป็นแรงช่วยกันสร้าง ประกอบให้เกิด มันก็เกิดขึ้นได้ เราก็อยากให้เร็ว จะอยากอย่างเดียวไม่ได้เราต้องทำ มีมโนสัญเจตนาได้ อยากสร้างคนให้เป็นอริยบุคคลเป็นลูกพระพุทธเจ้า. เอาเป้านี้ตั้งไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ลืมเป้าได้เลย เหลือแต่ทำองค์ประกอบ

 

เราช่วยกันจนเกิดโรงเรียน เป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นนวัตกรรม เป็นของใหม่จริงๆ เป็น Phenomenology เป็นทั้งร่างกายและจิต มีทั้งวิชาการและภาคปฏิบัติ เป็นจริงทั้งภาคความรู้และเป็นจริงได้ เป็นมหาวิชชาราม ไม่ใช่แค่วิทยาลัย

 

มาตา ปิตา ในสัมมาทิฏฐิ 10 ถ้าใครไม่เข้าใจก็ไม่มีทางได้บรรลุ ต้องเข้าใจและมีสภาวะจริง บุคคลที่มีลิงคที่มีปุริสภาวะ บุคคลที่มีลิงคที่มีอิตถีถาวะเป็นอย่างไร เราก็จะต้องศึกษาเรียนรู้ ที่อยู่ในอุปาทายรูป

 

มันเป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม ต้องรู้จริงถ่องแท้จึงนำไปใช้ถูกต้อง ต้องตั้งใจศึกษา ต้องอาศัยแม่ อาศัยพ่อช่วยกัน ในโลกนี้มีสองอย่าง มีบวกมีลบ ส่ิงที่จะเกิดได้ต้องมีสองส่ิงทำให้เกิดใหม่ ถ้าไม่มีสองส่ิงก็จะมีส่ิงเดียวแล้วเข้าหาสูญ

 

ถ้าเป็นสองที่เป็นอุปจยะคือการเกิด ก็เป็น สอง สี่ แปด สิบหกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นชรตาก็ลดเสื่อมลง ลักษณะอุปจยะคือการเกิดขึ้น โดยมีจุดเชื่อมคือสันตติ มันลงไปหาปลายข้างอุปจยะะหรือชรตา เราจะเห็นความไม่เที่ยงของอุปจยะหรือชรตา เล็กละเอียดขนาดไหนก็ต้องตามรู้ว่าส่อไปทางไหน? ต้องรู้ความไม่เที่ยงที่จะเดินไปทางไหน เราต้องมีน้ำหนักมั่นใจว่าอย่าให้เกิด หรือจะให้ตาย ต้องกำหนดได้ คุณก็เป็นพระเจ้าเองเลย

 

อะไรที่จะเป็นอนิจจตาอยู่ ส่ิงที่มันถึงขึ้น นิจจตา คือความเที่ยงได้ คนนั้นต้องเป็นอมตบุคคล จะยังความเที่ยงไว้ ไม่ให้อยู่อย่างเก่า ให้ก่อเกิดได้ เป็นคนชี้เกิดชี้ดับได้หรือเกิดตายได้ นี่คือส่ิงยิ่งใหญ่ที่บุคคลเยี่ยมยอดที่ได้ของวิเศษนี้ เหมือนยักษ์นนทุกข์มีน้ิวเพชรชี้เป็นหรือตายได้ สูงสุดเป็นอรหันต์ก็ชี้ให้ตัวเองเป็นหรือตายได้ จะต่อหรือจะจบ ก็ได้หมด

 

เราเรียนรู้ ให้เขาสลายไปเอง เราไม่ต้องไปทำลายเขา เรามาสร้างส่ิงประเสริฐอย่างเดียวก็เวลาไม่พอแล้ว ทำลายกิเลสตนก็ลำบากแล้ว ไม่ต้องไปทำลายคนอื่น ประเทศไทยมีรูปธรรมแล้วมารวมตัวกันผลิตอาริยบุคล อาริยธรรม อาริยสังคม อาริยประเทศขึ้น ไม่ถามไม่ชวนใครจะเอาก็แล้วแต่ ใครจะมา มาเองนะ

 

พ่ออย่างน้อยมีอาตมาอยู่แล้ว ตอนนี้ 80 แล้ว จะต่อไปอีก 70 กว่าปีจนกว่าจะถึง 151 ตายเมื่อไหร่ก็ตาย เขาให้เท่าไหรก็ได้ อาตมาว่างานใดก็ไม่ดีเท่างานนี้ งานนี้ดีมาก ทำแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้ ทำแล้วเต็มที่ก็ปล่อย คนจะเอาไปทำบัญชีต่อก็แล้วแต่

 

ตอนนี้เรื่องบัญชี จะดูแลกันในอโศก เอาที่บ้านราชฯนี่ก่อนเลย มันเป็นหลักฐาน เป็นมาตรวัด ชี้บ่ง เป็นส่ิงแสดงความบริสุทธิ์ของคน กันคนโกง รักษาคนบริสุทธิ์ เป็นเรื่องดีที่สุดที่ต้องทำ อะไรแล้วมาก็ยกให้ เป็นอาทิกัมมิกะ อาตมาว่าบ้านราชฯนี่หยุด อย่าไปจับผิดกัน ให้นิรโทษกรรม เอาก่อน คสช.เลย เพื่อปฏิรูป กันให้เจ๋งเลย ใครจะอย่างไรก็แล้วไป ตั้งต้นใหม่ มีเท่าไหร่เอามาบอกกันรวมกันลงบัญชีใหม่แล้วตั้งบุคคลมาดำเนินการ เพื่อตรวจสอบได้ว่าระบบบุญนิยมมันเจ๋งอย่างไร? มันจะเป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของโลก ตะโกนให้ก้องปฐพี มันเกิดจากคน เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมก็เกิดจากคน เขาสามารถเอาเม็ดเงินมาทำให้เกิดอำนาจได้ เศรษฐศาสตร์บุญนิยมก็ต้องทำได้ แต่เป็นพลังงานเงินที่เอาไปเห็นแก่ตัวกับเอามาเห็นแก่ส่วนรวมมันจะต่างกันตรงนี้

 

ขณะนี้เมืองไทยมีลักษณะนี้เกิดในไทยแล้ว เป็นจุดเล็กๆในฟ้ากว้าง คืออโศกเรา คอมมิวนิสต์ก็ต้องการระบบนี้ให้เอาทรัพย์มารวมกันแล้วมีคณะบริหารส่วนกลาง มันเกิดไม่บริสุทธิ์เพราะเขาสร้างคนไม่บริสุทธิ์เต็มที่ ทำมา70 กว่าปีก็ระเบิด เพราะต้นทางเขาไม่ได้สร้างคนให้บริสุทธิ์แต่แรก อาตมาเข้าใจ แล้วเราทำได้ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์

 

ปชต.ก็ต้องการแบบนี้แต่พยายามไม่บังคับ อโศกเราก็มีลักษณะที่บังคับและไม่บังคับในนั้น แต่เราจะต้องพัฒนาไปสู่การไม่บังคับให้เขาเปลี่ยนแปลงเอง นั้นเจ๋งกว่า แต่ถ้ามันจะเสียผลก็ต้องบังคับ ในพุทธก็มี ในอโศกเราจะไม่สะอาดจนไม่ต้องมีข้อบังคับหลักเกณฑ์ นี่พูดเลยเถิด มันก็ต้องเอาแค่นี้อย่างนี้ก่อน สรุปแล้ว อโศกเรานี่มีองค์ประกอบได้ขนาดนี้แล้ว มาร่วมรังสรรให้สมบูรณ์ ถ้าทำได้จะมีแต่ endorphin ไม่มี adrenaline ชีวิตป่วยก็จะหายได้ เรามีพลังงานทั้งสสารและจิตวิญญาณครบ ในสังคมไม่มีงานไหนน่าทำเท่านี้หรอก เชื่อไหมว่าอาตมาเลือกงานที่ดีที่สุด ใครจะไปเลือกงานที่โง่กว่านี้ก็เชิญเลย

 

 

เรามาสร้างลูกทางจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ เรามีโรงเรียน อนุบาล ประถม มัธยม ตอนนี้เราก็จะทำอุดมศึกษาต่อไป แต่ดวงของอาตมาชาตินี้เป็นหมากลางตลาด ใครเห็นก็ทำร้ายเอา ไม่เป็นขี้เรื้อนก็บุญแล้ว หลบไม้หน้าสาม หลบน้ำร้อนให้ดี ปางนี้อาตมาเป็นเช่นนี้จริง ไม่สงสัยหรอกว่าทำไมถูกลบหลู่ อาตมาวิริยอุตสาหะไปท่าเดียว อาตมาไม่เอาปัญหา อาตมามีแต่ปัญญา แล้วก็พยายามทำ

 

ตอนนี้เรามีเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบ อาตมาเป็นพ่อ พวกเราก็มาร่วมเป็นแม่ พระพุทธเจ้า.ตรัสเป็นธรรมะสอนอภิธรรม เกิดสาระ ผู้ที่ได้สาระก็คือสารีบุตร เพราะคนอื่นไม่ใช่สารีบุตร บุตรที่เอาสาระไม่เป็นก็เอาไม่ได้ มีแต่ลูกมาร เป็นเทวบุตมารด้วยนะ ไม่ใช่สารีบุตร เรามาเป็นตระกูลสารีบุตรต้องเอาส่ิงเหล่านี้ อาตมาไม่สงสัยหรือว่าสารีบุตรคือใคร คือนามธรรมอย่างหนึ่ง ขอให้เอาเนื้อแท้ได้นั่นคือสารี แล้วมาช่วยกันสร้างลูกนะแม่ทั้งหลาย ที่นั่งอยู่นี่ทั้งชายและหญิงเป็นแม่ทางธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่กระเทย

 

เรามีการศึกษาที่ครบพร้อม 3​ประการ 1.ความรู้ 2.ความประพฤติ 3.จิตวิญญาณ​ที่ละเอียดลึกซึ้ง

 

วิชาความรู้และประพฤติจริงมีวิญญาณเห็นหลัก เป็นโรงเรียนตรีลักษณ์​มี 3ลักษณะ ในSocial lab เพื่อกำเนิดอาริยบุคคล เมืองไทยเป็นเมืองที่ครบชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริวาโส เรามาสร้างความเป็นสติสัมปชัญญะให้เป็นสติปัฏฐาน ให้เป็นสติสัมโพชฌงค์

 

แม้เรามีน้อยก็ไม่ว่า แต่ขอให้จริง แต่จะเหนื่อย เพราะเป็นหัวเจาะ ที่ไชปั่นฟอสซิล เป็นหัวเพชร เจาะเข้าไป เกิดความร้อน แรง ต้องใช้พลังงานหนัก ต้องเข้าใจความจริง อาตมาไม่มีปัญหามีแต่ปัญญาท่าเดียว

 

เรามีสุรภาโว แล้ว สุระคือแข็ง ก้อน เป็นส่ิงนำ แล้วก็มาสร้าง สติมันโต ให้เป็น สติสัมปชัญญะ ไปจนสัมปันนะ เลย..เมื่อสติเจริญเป็น สติมันโต คือมาก คำว่ามันติ คืออันตะ คือสติที่เป็นอันตะ เจริญไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็จะร่วมกันทำสติปัฏฐาน 4 สติสัมโพชฌงค์ให้เจริญพัฒนา เราปฏิบัติธรรมต้องใช้สติ จริงๆ ถ้าไม่มีสติเป็นตัวตั้งก็เลอะไปหมด คุณมีสติสัปชัญญะก็พาเจริญได้แต่ต้องมีปัญญาด้วย ไม่ทำตามสัญชาติญาณ แต่ถ้ามีปัญญาเข้าไปวินิจฉัยเลือกเฟ้น แล้วยิ่งเป็นความรู้ระดับโลกุตระด้วยก็ยิิ่งเยี่่ยม เราก็จะสามารถสร้างโลกลูกนี้ให้เป็นพรหมจรรย์ อิทพรหมจริยวาโส เป็นโลกของพระพรหม มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาจริง นี่พูดอย่างมีหลักวิชานะ อย่างนี้จะได้เป็นอิทพรหมจริยวาโส จะเป็นโลกสะอาดบริสุทธิ์ เราสร้างในไทยได้แล้ว แม้จะเล็กๆ ได้โลกของมนุษย์ชมพูทวีป ที่จะช่วยมนุษยโลกต่อไป เราไม่ได้อยากยิ่งใหญ่

 

ประเทศไทยขณะนี้ คนจะไปบริหารก็ตาม ทำไมต้องไปตกเป็นทาสโลกีย์กันนักหนา เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ 95% เป็นพุทธมามากะ

 

พุทธศาสนิกชน เป็นคนมียี่ห้อพุทธ เท่านั้น แต่พุทธมามากะคือผู้สนใจมีศีลมีธรรมาบ้าง แต่พุทธบริษัท นั้นเป็นผู้มีโลกุตรธรรมแล้ว ตั้งแต่โลกตรธรรมแรกๆมา เราเร่ิมาเรียนรู้ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีสัมมัปปธาน 4 ด้วยอิทธิบาท 4 คือคนโลกุตระที่มีมรรคผล สั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ5 ด้วยพ่อแม่คือโพชฌงค์ 7 และมรรคองค์ 8 เป็นพ่อและแม่

 

โพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ คือความฉลาดระดับตรัสรู้ คือเป็นความจริงสัจจะตรงตามของพระพุทธเจ้าตรัส โดยการทำตามมรรคองค์ 8 ให้ทำสัมมามรรค

 

ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ท่านตรัสเรื่องแบบคนจน ตรัสไม่ได้ตรัสเล่น แต่ตรัสจริงสู่มหาประชาชน ตรัสครั้งแรกกับรมต.เกาหลี ต่อมาตรัสกับมหาประชาชน เปิดเผย เป็นพระเจตนาที่ต้องการประกาศทฤษฎีแบบคนจน คนที่จะพูดว่าปกครองแบบคนจน ต้องเข้าใจว่าคนจนจะปกครองประเทศอย่างไร?...คนจนมหัศจรรย์นี่แหละจะปกครองโลกได้ บริหารประเทศได้ อีกหน่อยจะมีคนจนที่จบป.เอกในสังคมอโศก แล้วไม่ไปรับใช้นายทุนด้วย มาทำงานรับใชสังคมด้วย

 

อาตมาเกิดมาชาตินี้ว่าอาตมาแม่นว่าจะทำอย่างไร อาตมาไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อไม่ได้บังคับนะ สัจธรรมมันเกิดในประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ประเทศอื่นอาตมาไม่รู้ อาตมาความรู้น้อยเรื่องโลก แต่เรื่องโลกุตระอาตมารู้

 

เรานำพากันไปได้ อาตมาว่าก็ไม่ได้เข็นกันฝืดมากนักหนานะ ก็พอได้ได้ การกินอยู่ใช้สอยก็ไม่เห็นฝืด การเรียนก็ไปได้ การสร้างสรรก็ไปได้ แต่มันก็ไม่ง่าย(ส.ฟ้าไทว่า) พ่อครูว่า..คนที่เอาง่ายมามักนี่เขาเรียกว่า...คนมักง่าย

 

[40] อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24

ก. ปสาทรูป 5 (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์)

1. จักขุ (ตา)

2. โสต (หู)

3. ฆาน (จมูก)

4. ชิวหา (ลิ้น)

5. กาย (กาย)

 

ข. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป 5 (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ )

6. รูปะ (รูป)

7. สัททะ (เสียง )

8. คันธะ (กลิ่น)

9. รสะ (รส)

0. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย ) ข้อนี้ไม่นับเพราะเป็นอันเดียวกับมหาภูต 3 คือ ปฐวี เตโช และ วาโย ที่กล่าวแล้วในมหาภูต

 

ค. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ )

10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง)

11. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย )

ทุกอย่างก็มีเพศผู้เพศเมีย หลักการก็มีเพศผู้เพศเมีย ทุกอย่างมีสองลักษณะ

 

ง. หทยรูป 1 (รูปคือหทัย ) (แปลตามทั่วไปตามพจนานุกรมประมวลศัพท์ฯ)

12. หทัยวัตถุ* (ที่ตั้งแห่งใจ)ไม่มีที่ตั้งไม่มีเวลา เราจับจิตเราได้ก็แสดงว่าเรารู้หทยรูป อยู่ตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ จะบอกว่าอยู่ตรงไหน มันไม่มี

 

จ. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต )

13. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต )

เป็นนามธรรม ไม่ใช่สัตว์ตัวตนบุคคลเราเขาแล้ว เป็นอาการของสัตว์นรก เดรัจฉาน หรือกามสัตว์ ต้องเรียนรู้แล้วล้างมันให้หมด

 

ฉ. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร )

14. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน )

ดินน้ำไฟลมคือเครื่องอาศัยทั้งนั้น ยิ่งชีวะคือต้องอาศัยคำข้าว แม้วิชาการก็เป็นเครื่องอาศัยที่เราใช้เป็นองค์ประกอบศิลป์นำพาไปสู่นิพพาน ไปสู่อากาสธาตุ

 

ช. ปริจเฉทรูป 1 (รูปที่กำหนดเทศะ )

15. อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง ) เป็นอากาสานัญจายตนะ มันโปร่งโล่งว่างบางเบา ไม่หนักไม่ฝืดไม่ลำยาก อาศัยอยู่มีอยู่ (นโหติ) ยังอยู่(วิหารติ) เราอาศัยสิ่งที่ดีที่สุดคือ อากาส สะดวกได้คล่องมากดีมากเร็วมาก ไม่มีปฏิกิริยาร้อนมีแต่เย็นสบาย ไม่เย็นมากไม่ร้อนมาก ได้พอดีเลย นี่คือลักษณะที่เราต้องการอาศัย ถ้าไม่มีอาหารรูป ก็ไม่ต้องมีอาศัยต่อก็เลิกเลยเป็นปรินิพพาน ถ้าไม่สลายก็อาศัย ส่ิงที่ดีทีี่สุดคืออากาสธาตุ

 

หรือปริเฉทรูปคือองค์รวมที่เราต้องรู้ แล้วจัดการสิ่งที่พาไม่เจริญ เอาตัวร้ายให้กลายเป็นสิ่งดี ให้เป็นแรงทด อย่าให้เป็นแรงต้าน นี่คือศิลปะที่ยิ่งใหญ่ คนที่เอาสีที่เป็นตรงกันข้ามมารวมกันทำให้เด่นไม่ขัดเขินกลมกลืนไปได้ เหมือนกาคาบพริกแดงสด เป็น Highlight เป็นส่ิงชูเตะตาให้น่าชม นี่คือ การจัดสรรองค์ประกอบ composition ให้ เกิดความกลมกลืนHarmony นำไปสู่ จุดสนใจinterest point นี่คือศิลปะ ในการจัดองค์ประกอบเป็น Projection ที่มีความโน้มเอียงConvergence นำไปสู่ interest ถ้าไม่ convergence มันจะกลายเป็น ขัดกันconvert มันจะซัดกันเอง แต่ถ้าใครเก่งนำพาไปสู่จุดมุ่งหมายได้นี่คือconvergence ต้องพยายามทำ คุณประยุทธ์ก็พยายามทำ อนุโมทนาสาธุให้กำลังใจ

 

พวกเรามาเรียนรู้ในสถาบันสำคัญอันจะสรรค่าสร้างคนให้เป็นคนมีคุณค่าต่อโลกต่อสังคม ไม่ถ่วงสังคม คนที่ไม่ฉลาดจริงเขาก็ทำเลวอยู่ เราไม่สามารถไปช่วยแก้ไขเขาได้ แต่ใครช่วยได้เราก็ช่วยกัน พากเพียรสร้างกันทำไปสู่ส่ิงเจริญ

 

ขอบคุณทุกคนที่ช่วยคนละไม้ละมือ ตั้งแต่คนเช็ดถูไปจนทุกคน มาช่วยกันทำราชธานีอโศกที่นำ้ท่วมทุกปีนี่แหละ เราอยู่กันให้ได้ ไม่หนี อยู่มันตรงนี้แหละ ขนาดจะอยู่ที่ไม่ค่อยเข้าท่าแท้ๆ ซื้อที่ดินเงินสดกับศาลแท้ๆยังจะมาแย่งอีก ที่น้ำท่วมก็แย่ง ทำไมไม่ไปแย่งที่น้ำไม่ท่วม มันเป็นวิบากหน่อย

 

เมื่อเกิดมามีวิบาก ทุกคนต้องมีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่เลยอรหันต์ไปแล้วไม่ต้องไปห่วงท่าน ท่านรู้ทั้งสมมุติโลก ทั้งรู้โลกียะด้วย ท่านไม่ทำบาปแล้ว ท่านทำแต่ดี ทำกุศล ทำแต่ปรมัตถธรรม คนที่ยังไม่ใช่อรหันต์ก็แก้ที่ปัจจุบัน อดีตแก้ไขไม่ได้แล้ว อนาคตก็มาไม่ถึง ตนเองจึงขึ้นอยู่กับปัจจุบันแต่เด็กถูกครอบงำ เราก็ต้องดูแลช่วยกัน ส่ิงที่บังคับคือส่ิงแวดล้อมทั้งหมด ทั้งวัตถุและพฤติกรรม โดยเฉพาะจิตวิญญาณต้องพานำไป ส่วนเหตุปัจจัยที่เป็นวัตถุ แม้หลักบังคับก็ต้องมี เป็นส่ิงแวดล้อม.

 

ตัวเด็กเองมีกรรมเก่า แต่เราต้องเอาพฤติกรรมใหม่มาแก้ไข สั่งสมกรรมปัจจุบันใหม่ ด้วยส่ิงแวดล้อมประกอบ นำพาเราไป เรามาช่วยกันทุกอย่าง ทั้งพฤติกรรม น้ำใจ วัตถุ เช่นเราไม่ให้ไปแตะต้องวัตถุมีพิษ เหมือนเราสอนเด็กอย่าเพ่ิงไปจับมีด มันเป็นพิษภัยต่อตน เป็นต้น ฉันใด เครื่องมือเทคโนโลยีทางโลก เงินทองเป็นต้น เราไม่ให้เด็กเรามีการใช้เงินทอง

 

สมัยเด็กอาตมาเก็บเงินได้ 10 ตังค์ดีใจเอาไปบอกพ่อ พ่อริบไป 10 ตังค์ ให้มาแค่ 2 ตังค์ พ่อไม่ให้ถือเงินมาก ทั้งที่เรามีสิทธิ์ใช้ได้นะ ริบเลย ทำไมให้เท่านี้เราก็ไม่ว่า เราไม่ดื้อด้าน เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวเด็กใช้เงินไม่เป็น มีแต่เด็กจะเสีย

เราต้องสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เด็ก เราพาเด็กทำงานก็หาว่าเราใช้แรงงานเด็ก แล้วให้เด็กนอนอย่างเดียวมันจะทำอะไรเป็น เด็กทำงานเหนื่อยเราก็ให้พัก ไม่ได้บังคับให้ทำเกินเหมาะควรเสียเมื่อไหร่ เด็กที่่จบจากเราทำงานได้มากกว่าเด็กข้างนอกมากมาย เขาไม่กล้าทำอย่างเรา เขากลัวของเสียหาย บางทีทำกล้องหายไปตัวละสามแสนเราก็ไม่ว่าอะไรเป็นต้น ขับรถชนก็เสียหาย เราก็ต้องบังคับกันบ้าง เฆี่ยนตีบ้าง ให้หลาบจำ เราก็ต้องรู้วิธีทำสิ่งแวดล้อมให้เจริญ

 

ผู้เลี้ยงดูก็สำคัญ ต้องประมาณเป็น ผู้เลี้ยงดูต้องเป็นสัตบุรุษ พ่อแม่เป็นคนเลี้ยงลูก ถ้าความรู้ก็ไม่มี จิตวิทยาก็ไม่มี เอาแต่ความรัก แล้วจะให้มาเลี้ยงลูกแทนเรา ก็ไปจ้างมา เห็นแก่เงินมากกว่าเห็นแก่ลูก หาเงินมาจ้างคนเลี้ยงลูก ทางตะวันตกเขาเข้าใจ หากมีลูกก็ให้ลาจากงานมาเลี้ยงลูก แต่ว่าเมืองไทยเราล้าหลังดันให้ออกไปทำงานอีก แล้วไปจ้างคนใช้มาดูแลลูกดูแลบ้าน ก็สมน้ำหน้า ขออภัยไม่ได้ดูถูกคนใช้ บางคนดีกว่าพ่อแม่อีก แต่แม่ก็ต้องเลี้ยงกับมือสิ ดีไม่ดีไปเจอคนใช้ทำร้ายลูก

 

สรุปคือเด็กจะเจริญไม่ตกต่ำ ตัวเขาเองต้องเข้าใจให้ดี ต้องฟังผู้ใหญ่ผู้รู้ที่นำพาเราเจริญได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ แต่พ่อแม่ที่ปรารถนารายก็ไม่ค่อยมีหรอก โดยสามัญ​ก็ต้องช่วยพ่อช่วยแม่ สร้างสิ่งแวดล้อมองค์ประกอบเป็นพลังงานแม่เหล็กที่จะหล่อหลอมโมเลกุลต่างๆที่เข้ามาให้เป็นไปในทิศทางดี

 

ตัวบุคคลที่เลี้ยงดูก็สำคัญ ผู้ใดไม่เหมาะสมก็ไม่ให้เลี้ยงดู คนใดพอเลี้ยงดูดูแลเด็กได้ก็เอา มันก็มีความถนัดความสามารถต่างกัน เราทำซ้อนอยู่ในสังคม เราทำสถานการศึกษาหล่อหลอมมนุษยชาติให้ดี เราทำงานการเมืองภาคประชาชนหล่อหลอมตั้งแต่เยาวชนจนถึงผู้ใหญ่ ให้มีหน้าที่ของการเมืองของประเทศ แม้จะเป็นภาคประชาชนเราก็เจตนาดีสร้างอนุชนให้แก่ชาติ ใครจะมาช่วยกันก็มา

 

ตอนนี้นักการศึกษาที่จะมีปัญญารู้ ว่าเราทำเพื่ออะไรเขาก็จะรู้ต่อไปเขาจะมาช่วยเราจ้างเขาไม่ได้ บังคับไม่ได้ เขาจะมาช่วยเราอย่างเต็มใจ คุ้มค่าที่เขาจะมาช่วย เราก็ทำไปให้ดีๆ ตอนนี้มีดร.มาบ้าง แต่ก็ยังยากอยู่ ก็ค่อยเป็นไป จะไม่เป็นดร.ก็มาช่วยกันได้ ต่อไปในอนาคต คนจะได้เข้าสัมมาสิกขานั้นยาก ต้องคัดกันจริง เพราะจะกรูเกรียวกันมา เราไม่รับแป๊ะเจี๊ยะด้วย ตอนนี้เด็กๆเข้ามา ให้รู้ตัวทนอยู่ให้จบ แล้วต่อไปจนถึงป.เอกให้ได้ในอนาคตจะมี

 

ส.ฟ้าไทว่า...ในอนาคตเด็กจะแย่งเข้าเรียนสัมมาสิกขาจะเป็นอย่างไร?...เราก็ต้องลำบากใจหากมีพวกชนชั้นสูงทางสังคมมาก็จะต้องคิดหนักหน่อย

 

วันนี้พ่อครูพูดถึงเรื่องความเป็นพ่อและแม่ และพูดถึงปุริสภาวะและอิตถีภาวะ เน้นย้ำว่ามาสร้างจิตวิญญาณที่ดี เป็นไปได้มาก แต่ยาก แต่ว่าก็ต้องทำไม่เอามักง่าย พ่อครูว่าท่านเป็นพ่อ พวกเราก็มาเป็นแม่ ช่วยกันสร้างลูกทางจิตวิญญาณให้เป็นอารยะ

 

สารีบุตรคือผู้นั่งใกล้แล้วเข้าใจสาระ ท่านเทศน์ที่ไหนๆ พระสารีบุตรก็เก็บสาระได้หมด เหมือนนั่งใกล้ๆ

 

พ่อครูว่าเอาส่ิงที่ตรงกันข้ามมาร่วมกันทำให้เกิดความโดดเด่นเป็นประโยชน์ได้...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:54:27 )

570821

รายละเอียด

570821_ความรัก 10​มิติ(5) วนบ. เรื่อง ความรักมิติที่1 อ่านแบบเรียบเรียงแล้ว

พ่อครูว่า...อาตมาได้สาธยายมาสามบทแล้ว จากหนังสือความรัก 10 มิติที่มีถึงสองเวอร์ชั่น แต่ว่าอ่านจริงๆอ่านไปเล่มเดียวไม่ได้อ่านไปทั้งสองเล่ม อาตมาก็ว่าน่าจะอ่านของที่เขียนเรียบเรียง ไม่ใช่ที่ถอดเทปจากการบรรยาย ซึ่งก็ไม่เหมือนกัน

 

อ่านฉบับใหม่ดูบ้าง

 

ความรักมิติที่ 1 กามนิยม

 

มิติที่ 1 คือ ความรักที่เป็นเรื่องของความใคร่ เรื่องของกาม  เรื่องของการสมสู่ของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของคน 2 คน หากจะเห็นแก่กันและกันก็แค่อยู่ในวงวนของ “คนคู่” หรือคน 2 คน ซึ่งเป็นความรักที่เผื่อแผ่แก่กันอยู่แค่คนสองคน ความรักมิตินี้ ถ้ายิ่งรักมากติดใจในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งแคบมากเข้าๆเท่านั้นๆ มันเป็นวงแคบที่เห็นแก่แค่คู่รักคู่ใคร่ของคนเท่านั้น ถ้าแม้นติดมากยึดมาก ดูดดึงมาก กก็ยิ่งหวงแหนมาก ผูกมัดรัดรึงตรึงใจเป็นอุปาทานแน่นขึ้นๆ และหากยิ่งมีแต่ความใคร่มากขึ้นๆ ก็ยิ่งจะมืดดำฤษณา เป็นความหลงใหลคลั่งไคล้และหึงจัดรัดรอบรุนแรง ไม่มีคนอื่นแทรกเข้าได้เลย มีอะไรก็ทุ่มโถมให้แต่แก่เธอแก่ความรักที่หลงติดผูกแน่นนี้เท่านั้น หนักเข้าๆ จะเห็นแต่แก่ตัว โดยอาศัยคู่ที่ตนรักสุดนั่นแหละเป็นเครื่งอมือ หรือเป็นองค์ประกอบในการเสพสมสุขสมให้แก่ตน ยิ่งหลงในรสสุขนั้นมากเท่าใดก็ยิ่งยึดเป็นตัวของตนสนิทเนียนเข้าเป็นตน กระทั่งถึงขั้นใครมองใครแตะต้องไมได้ จะหึงแรงจนถึงขั้นทำร้ายคนที่มากล้ำกรายได้ ถึงขั้นเอาตายกันทีเดียว

 

อารมณ์ชนิดนี้ คือความเห็นแก่ตัวแท้ๆ คือ ความโลภเพื่อตัวเพื่อตนเต็มๆ คือ กามราคะสมบูรณ์แบบ หากจะเรียกว่า “ความรัก” ก็เป็นความรักที่ต้องการมาบำเรอตนนั่นแหละ

การบำเรอนี่มีอยู่ในอัมพัฏฐสูตร ว่าด้วยความเสื่อมของชาวพุทธ

 

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ยังมีวินัย ไม่พรากพืชไม่ขุดดินอาจไม่กินเนื้อสัตว์ได้ เหมือนสมัยนี้ คนนับถือพระป่า

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

ถ้าบำเรอนตน ไม่ใช่ความรัก แม้แต่บำเรอตนเองก็ไม่ใช่ความรัก การบำเรอมันเกินพอดี มันมากกว่าบำรุง การได้มาสมใคร่สมอยากแก่ตน เป็น “ความเห็นแก่ตัว”

 

ใครถ้าแม้นถึงขั้นปฏิบัติต่อคู่ของตนเยี่ยงทาส หรือเยี่ยงวัตถุบำบัดความใคร่ ไม่มีใจเผื่อแผ่เกื้อกูลปรารถนาดีต่อคู่ของตน แม้ด้านกายภาพจะจ่ายวัตถุ ข้าวของเงินทองทรัพย์ฤศงคารให้ด้วยอากัปกิริยาที่ดูเหมือนมีน้ำใจเอื้อเอ็นดูเสียสละปานใดๆก้ตาม ก็เห็นเพียงค่าจ้าง ทุกอย่างเพื่อ “ตัวเอง”แท้ๆ คนผู้นี้ยัง ไม่ชื่อว่า “มีความรัก” เป็นแค่ผู้ “ให้” หรือผู้ “จ่าย” ค่าจ้าง เพื่อบำเรอความใคร่ของตน

 

จนกว่าคนผู้นี้ จะมี “การเผื้อแผ่การเสียสละ” ให้แก่ “คู่” ของตน อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ว่าจะ “ให้” วัตถุธรรมให้รูปธรรม หรือให้นามธรรม ถ้าให้มาก ใจสะอาดมากก็  “รัก” มาก ให้น้อยใจสะอาดน้อย ก็ “รัก” น้อย  เพราะการ “ให้” หรือ “สละ” ที่ออกไปจาก ความรัก เกิดจากความรรักนั้น จะมิใช่เพื่อแลกอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นอันขาด

 

การให้นี่ 1 ให้เขาแล้วเป็นประโยชน์ 2.ให้แล้วเราไม่ต้องการอะไรที่จะแลกเปลี่ยนมาตอบแทน ถ้ามีปัญญาก็เพราะเห็นสมควรว่าจะให้ ถ้าไม่สมควรก็ไม่ต้องให้ ที่ที่จะให้หรือผู้ที่สมควรให้มีอีกเยอะในโลกนี้

 

“ความรัก” ไม่ใช่ “ความโลภ” หรือ “ความแลก” มาให้ตน

 

หากยังมีความโลภใดๆที่เหลือเป็นเศษเป็นส่วนอันต้องการ แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตน “ให้” หรือตน “สละ” อยู่เท่าใดๆ ก็ลด “ค่า” ของความรัก ลงตามจริงเท่านั้นๆ ยิ่งเป็นการ “ให้” หรือ “สละ” เพื่อแลกเอามา “เป็นของตนคนเดียว” หรือ “เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ ต่อตน ที่ตนจะด้ทาสนั้นไว้บำเรอประโยชน์แก่ตนแต่เพียงผู้เดียวก็ยิ่งมิใช่ การให้ การสละ เลย แต่เป็น การซื้อ แท้ๆตรงๆ ป่วยการกล่าวถึงคำว่า ความรัก

 

ยิ่งชอบมาก ติดใจมากในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มาก ที่เห็นคู่เสพของตนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ตนยิ่งสุขสะใจ(sadist) นั่นยิ่งไม่ใช่ ความรัก แต่นั่นคือ การสุขสมอารมณ์ที่ตนชอบความรุนแรงโหดร้าย ซึ่งฝังอยู่ส่วนลึกในก้นบึ้งของจิตตนเอง เป็น สัญชาติญาณหรืออนุสัย(Unconscious) ที่เจ้าตัวไม่สามารถหยั่งลงไปล่วงรู้ความจริง ของ “จิตวิปริต” เหล่านี้ได้ เพราะมันเป็น “จิตไร้สำนึก” (Unconscious) ที่เกิดจากตนเคย ยินดีในความรุนแรง และได้สะสมความรุนแรงใส่จิตตนมานาน

 

เช่น ชอบดูการแข่งขันที่เอาชนะคะคาน กันอย่างถึงพริกถึงขิง หรือชอบดูการต่อสู้ที่ฟาดฟันหำ้หั่นกัน ดูการทำร้ายเข่นฆ่ายิ่งต่อสู้กันรุนแรงโหดเหี้ยมเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ กระทั่งรุนแรงสูงขึ้นหยาบขึ้นๆ เป็นคนชอบความโหดร้าย จึงกลายเป็น “คนชอบในความรุนแรงทุกข์ทรมานเหี้ยมโหดฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก (sadist) เมืองไทยเป็นเมืองพุทธน่าจะหยุด กีฬาชนไก่ ชนวัว หมาก็เอาไปกัดกัน บางทีตายคาสนามเลย ไก่ชนก็มีที่ตีกันตายคาสนาม คนก็ชอบดูนี่สั่งสมจิตอำมหิต ในหนังบู๊ทั้งหลายก็คือเชื้อของความชอบซาดิสม์เมื่อไม่รู้ตัวก็ไปสั่งสม

 

จิตที่ได้สั่งสม “ความชอบหรือรักรสชาติของความอำมหิต” เช่นนี้ เมื่อมาแสดงออกับใครย่อมมิใช่ ความรัก แม้จะมีการให้ การสละวัตถุธรรมนามธรรม กับคู่รักของตนมากเท่าใดๆ ก็ยังมิใช่ ความรัก แต่เป็นเพียง ส่ิงแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้มาซึ่ง ความอำมหิต หรือความวิปริต ที่ฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก ของตนโดยแท้

 

ถ้าจิตวิปริต ในคามอำมหิตได้สั่งสมใส่จิตร้ายหนัก ยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ ก็ก้าวถึงขั้น ตนสุขสะใจ เมื่อตนได้เจ็บเสียเอง ปวดเสียเอง ทุกข์ทรมานเอง (masochist) ไม่ว่าตนทำตนเอง หรือใครจะเป็นผู้กระทำให้ ก็สุขสะใจได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คนผู้อำมหิตถึงขั้น “ตนเองทำตนเอง” จึงจะสุขสะใจ นั่้นแหละคือ ผู้มีจิตรุนแรงยิ่งกว่า ผู้ที่ให้ “คนอื่น” ทำให้ตนเจ็บแล้วก็สุขสะใจ

 

พวกซาดิสม์นี่หนักเข้าก็จะเป็นมาซูคิสต์ คือทำให้ตนเองเจ็บแล้วเป็นสุข หนักใหญ่เลย และถ้าพวกวิตถารด้วยกัน คนหนึ่งเป็นมาโซคิสต์อีก คนหนึ่งเป็นซาดิสม์ก็อยู่ด้วยกันได้นานเลย สองคนเหมือนหูกับขี้ทูตเลย ไปด้วยกัน

 

ความรักมิติที่ 1 นี้เป็นความรักแบบเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าเพศตรงกันข้ามหรือวิตถาร เพศเดียวกัน เป็นความรักที่เห็นแก่กันและกันอยู่แค่เธอกับฉันเท่านั้น หรือเห็นแก่ผู้อื่นก็แผ่ออกไปแค่คนๆเดียว วงรักจึงแคบอยู่แค่คนสองคน คือให้แก่กันและกันก็แค่สองคน ซึ่งถ้าจัดจ้านก็มีอารมณ์หึงหวง แก่งแย่ง รุนแรงถึงขั้นฆ่ากัน ฆ่าตนเองสังเวยชีวิต เช่นบูชารัก ก็เป็นได้

 

ขึ้นชื่อว่า กาม มีแต่ความขาดทุน เพราะได้เสพอารมณ์กามสุขนิดหน่อย แต่ทุกข์ยากมากหลาย ทำลายก็หนักหนาเปลืองชีวิต เปลืองใจ เปลืองเวลา เปลืองแรงกาย เปลืองแรงสมอง เปลืองทุนรอนวัตถุทรัพย์สิน เป็นความผลาญพร่าเสียหายที่สุดในโลก ความรักมิติที่ 1 นี้ จึงต่ำต้อยด้อยค่าที่สุด นับว่าไร้คุณประโยชน์ยิ่งกว่าความรักชนิดใดๆ

 

อารมณ์ กามสุข ก็เป็นแค่ รสอร่อยที่หลงติด (อัสสาทะ) ซึ่งเป็นเพียง อารมณ์หลอกๆไม่จริง (อลิกะ) เพราะแท้ๆมันเป็นความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ที่คนสามารถจะเลิก จะศึกษาปฏิบัติ ละล้างจนหมดเกลี้ยงไปจากจิตของผู้หลงติดหลงยึด ให้สำเร็จเด็ดขาดสัมบูรณ์(absolute) ได้จริง อันเป็นเรื่อง เหนือธรรมชาติ-เหนือความวนเวียน (โลกุตระ)  หรือเป็นเรื่อง ล้างสัญชาติญาณการสืบพันธ์แห่งสัตว์โลก (โลกุตระ) กันทีเดียว เรื่องนี้ก็คงยากที่จะเชื่อกัน แต่ขอยืนยันว่า เป็นไปได้ (Possible) หรือ สามารถทำได้ (practicable) จริงแน่แท้ ศาสนาพุทธขอท้าทายให้มาพิสูจน์(เอหิปัสสิโก)

 

 

 

สรุปแล้ว ความรัก มิติที่ 1 นี้ หากใครจะหมายเอาว่าเป็น ความเห็นแก่ตัว ก็ช่างเห็นแท้ดูจริงมากยิ่งเหลือเกิน เพราะกิเลสพาให้เกิดสภาพเช่นนั้นจริง จนทำให้คนมากหลายเข้าใจผิด ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นได้ แต่ถ้าหากหมายเอาว่าเป็น ความเผื่อแผ่-เสียสละ ก็เป็นแค่ให้ เพื่อแลกกับที่ตนจะได้เสพ รสอร่อยที่ใคร่อยาก(อัสสาทะ) เป็นการเกื้อกูลวนแคบอยู่กับคนๆเดียว หรือเกื้อกูลแก่กันและกันอยู่แค่ คน 2 คน

ในการสืบพันธ์เป็นการต่อเผ่าสืบพันธ์ สัตว์หลายชนิดมันทุกข์ มันวิ่งหนีด้วย ถูกตัวผู้บังคับด้วย สัตว์หลายชนิด สัตว์บางชนิดจำนน ถูกตัวผู้บังคับได้ มันฆ่าตัวผู้เลย อย่างตั๊กแตนตำข้าวเป็นต้น

 

ความรักมิติที่ 1 นี้จึงเรียกว่า “กามนิยม” หรือ “เมถุนนิยม”

 

ขอเตือนไว้ เรื่องนี้เกิดได้คนมีวิบากก็มีได้ ถ้าคุณไปตกในฐานะนี้บ้างก็คิดดูแล้วกัน คนไหนเป็นทาสกาม ทาสความใคร่ แล้วยังหลงว่าตนได้เงิน ได้ข้าวของ อันอื่นมันก็ไม่เป็นไร มันก็คือลูกทาส กับนายทาส ก็ปล่อยเขาไป แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นทาส ก็จะทรมานขนาดไหน แล้วหวยจะออกที่ใครก็อยู่ที่วิบากใครวิบากมัน ถ้าเราตัดวงจรก็ไม่ต้องไปวนเวียนกับนิยายเช่นนี้

 

มันเป็นเรื่องที่ยากของโลก สัตว์โลกมันก็ต้องมีฤดูสืบพันธ์ มีฤดูกาลที่ไข่จะสุก แต่คนนี่ก็มีฤดูกาล แต่ไปสร้างกิเลสมันก็เลยไม่เอาฤดูกาลแล้ว เอาแต่เสพรสสำเรออารมณ์ไม่มีเวลาวาระเลย จริงๆแล้วคนที่มันไม่ปรุงยั่วยุมอมเมา ทุกวันนี้เละไปหมดแล้ว จริงๆแล้ว คนเขาบอกว่าแต่งงานกัน แล้วยังไม่มีลูกหรอก เพราะว่าเรายังมีงานมีภาระ คุณเปิดเผยอะไร น่าอายมาก แล้วบอกว่าไม่มีลูก แต่งงานกัน มันเป็นการเปิดเผยส่ิงที่น่าอาย ไปเสพอารมณ์ใคร่อารมณ์กามเท่านั้น มีความซับซ้อนเยอะ แต่ถ้าคุณไม่มีก็จะสำส่อนมากก็มีคู่เสียก็จะได้มีที่ปลดปล่อย มองในแง่ดี แต่จริงๆก็คือว่า

 

เราจะไปสมสู่ แล้วก็ทำพิธีการกลบเกลื่อน ว่าฉันจะแต่งงานแล้วนะ มีพิธีใหญ่โต เวรจริงๆมันไม่อายเลย จะมาประกาศกันทำไม? ข้าจะทำพิธีเสพรส ภาษาไทยก็เรียกกันอยู่นะว่า “สมรส” แล้วเอาคำว่ามงคลไปใส่ เป็น “มงคลสมรส” เอ็งจะแต่งงานก็แต่งไป อย่าเอาคำว่ามงคลไปเลอะ คนเอาคำว่ามงคลไปบดบังให้สมรสเป็นของดี

 

เช่นเดียวกับการแข่งม้า ก็ไปขอถ้วยพระราชามา แล้วเรียกว่าการแข่งขันของพระราชา นี่คือเอาคำดีมาแปะไว้ส่ิงชั่ว นี่คือเล่ของมนุษย์ อาตมาพูดเช่นนี้เขาจะชังน้ำหน้าเอาสิ แต่ก็เป็นวิธีการที่อาตมาจะเตือนว่าส่ิงเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะรักษา แต่เราต้องมาลดละ นานๆทีอาตมาก็พูด ตามกาละเทศะ อธิบายแรงหนัก ให้ดูว่ามันต่ำอย่างไร ผู้ใดยังมีคู่อยู่ก็อย่ามว่าอาตมาว่าเอานะ นี่เป็นความรู้การศึกษาอธิบาย เป็นการชี้ให้ชัดเจน ไม่ได้เจตนาว่าร้ายด่าทอ เป็นแต่เพียงบอกว่าสิ่งนี้น่าจะเลิกละ

 

หากใครยังกำจัดกิเลสของตนให้ลด ความเห็นแก่ตัว ที่เผื้อแผ่แก่กันและกันอยู่แค่คน 2 คนนี้ ไม่ได้ เมื่อได้ก่อกรรมผูกเวรขึ้นมีคู่จนเป็นภาระแท้จริงเสียแล้ว ก็ควรจะต้องเมตตาหรือปรารถนาดีแก่คู่ของคนบ้าง ควรจะต้องพากเพียรแบ่งใจของตน ควรจะต้องรับผิดชอบตามหน้าที่อันสมควร มิเช่นนั้นก็จะได้ชื่อว่า ยิ่งต่ำเพราะเลวซ้ำเลวซ้อน

 

แต่นั่นแหละ อย่างไรมันก็เป็นความแคบ ความรักอื่นที่ประเสริฐกว่านี้ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรักที่เป็นคุณค่าประโยชน์กว่านี้ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรักที่เป็นคุณค่าประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อื่น พลังงานและเวลาแมแต่ทุนรอนทรัพย์วัตถุ โดยเฉพาะจิตใจ ซึ่งคนอื่นๆอีกมากหลายในโลกที่ควรได้ประโยชน์

 

อาตมาเคยมีความรู้สึกว่า ผู้ชายไปจ่ายเงินเพื่อเสพสมอย่างนี้ แล้วเอามาคุยว่าเสียเงินไปเท่านั้นเท่านี้ อาตมาก็ว่าเขากล้าอย่างไร ต้องไปลงทุนทำไมกัน บางคนก็ไปสมสู่กับผู้หญิงหากิน แล้วเสียเงินไป อาตมาตอนนั้นก็ยังแปลกใจว่า เราเสียดายเงิน ไปแลกกับสิ่งนี้ทำไม เพื่อเสพสมสุขสมแค่นี้ อาตมาในชีวิตไม่เคยไปจ่ายเงินเรื่องอย่างนี้ คิดไม่ออก

 

อาตมานี่เคยเล่าแล้วนะ ว่าไปไนท์คลับ เพื่อนก็เรียกผู้หญิงมาให้เรา เราก็ว่าผู้หญิงแบบนี้นะ มันก็จะมาคลอเคลีย อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร มันรังเกียจทีหลังก็ไม่เอาละ อาตมาไปไนท์คลับก็จะไปหาหลังเวทีพวกนักดนตรี ตอนหลังเพื่อนจะเลี้ยงแบบนี้อาตมาไม่เอาอีกเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แม้แต่เต้นรำอาตมาก็ไม่เอา แต่ก่อนเขาต้องจับคู่กันนะ ทุกจังหวะเต้นรำเลย อาตมาก็ว่าไม่เอานะ จับเหวี่ยงไปมา มีงานเต้นรำนี่ไม่เอา ในชีวิตนี้ไม่เต้นรำ แต่รำวงนี้เอา ต่างคนต่างรำ ไม่เคยหัดเต้นรำ แต่ไหนแต่ไร เป็นนักดนตรีรู้จักจังหวะ คนเต้นก็มาถามเรา แต่เราไม่เต้น แต่ที่เต้นไม่รู้จักจังหวะ สิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตวิญญาณเราสั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ เป็นเรื่องสัจจะมาแต่เดิม พอเกิดมาชาตินี้ก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง

 

อย่างพระพุทธเจ้านี่เกิดมาก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าทันที ต้องเป็นลิงลมอมข้าวพองอีกนาน กว่าจะถึงวาระที่จะอุบัติเป็น พุทธุปาทกาละ ก็ตรัสรู้ได้ แต่พระพุทธเจ้ามีผู้บอกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่อย่างอาตมาไม่มีใครมาเคยบอกว่าเลยว่าเป็นโพธิสัตว์ จนมาปฏิบัติเองถึงรู้

 

“ความรัก” ไม่ใช่เรื่องแค่ คน 2 คน เท่านั้นแน่ๆ ที่เราจะเกื้อกูลแบ่งใจแบ่งชีวิตแบ่งพลังงาน แบ่งทุนรอนเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่หรือเสียสละให้ เพราะผู้อื้นมีอีกมากมายในโลกที่เราจะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างออกไปจากตัวจากตนที่เป็นวงแคบเพียง 2 คน หากได้ศึกษาพุทธธรรมถึงขั้นโลกุตระ ประพฤติตนให้บรรลุมรรคผลดีขึ้นสูงขึ้น ลดกามลดกิเลส ที่ทำให้เห็นแก่ตัวอยู่ออกไปได้อีก ความรัก ก็จะเป็น ความเกื้อกูลเสียสละที่เจริญงอกงามไปสู่ความประเสริฐยิ่งๆขึ้นเท่านั้นๆ

 

หากใครสามารถลดความสูญเสียพลังงาน ทั้งพลังกาย พลังใจ  ลดความสูญเสียเวลา ลดความสูญเสียทุนรอน เพื่อความรักมิติที่ 1 นี้ลงได้มากเท่าใดๆ หรือที่สุดไม่ต้องสูญเสียอะไรเพื่อความรักมิตินี้เลย ก็นั่นแหละคือ ความหลุดพ้นจาก ความรัก มิติที่ 1นี้ได้สำเร็จ

 

ต่อไปเป็นการถามตอบและสรุปประเด็น

 

_ส่ิงที่ไม่ต้องไปลองมี 3 อย่าง คือ 1.ความเมา 2.ความหลับ 3.เมถุน พระพุทธเจ้าว่าให้ละเสียเลย

 

_ถามว่า...พ่อแม่ที่ยังหวังผลตอบแทนจากลูก กับลูกที่ไม่ตอบแทนพ่อแม่อกตัญญู ใครแย่กว่ากัน...

ตอบ...ลูกนั้นแย่กว่าพ่อแม่ แม้หวังผล แต่ก็ได้ช่วยลูกแล้ว แต่ลูกกตัญญูก็ไม่ได้ช่วยพ่อแม่เลย จะไปดีกว่าได้อย่างไรจริงๆแล้วพ่อแม่มีบุญคุณต่อลูก เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้เลี้ยงดูลูกอีก ลูกนี่ไม่กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่นี่แย่มาก พระพุทธเจ้าว่าต่อให้เอาพ่อแม่มาเลี้ยงดูบนบ่า ให้ขี้เยี่ยวบนบ่าเลย ยังน้อยไปที่จะแทนคุณ ถ้าจะตอบแทนให้ดีต้องให้ได้อาริยธรรม

 

_คนคู่หากมีแล้วไม่หึงหวงหวงแหน ยึดเป็นเราเป็นของเรา ได้นี่ถึงจะข้ามพ้น ถ้าไม่โกรธแล้วก็ดี แต่ถ้าไม่หวงแหนได้ไม่ยึดถือได้ก็พ้น

 

รสราคะ บางคนจางคลายลงแล้วไม่ผลัก แต่ส่วนใหญ่เมื่อลดราคะแล้ว ต่อมาจะต้องผลักก่อน เพราะบางทีการผลักเป็นการช่วยให้คลายลง เราก็ค่อยๆทำกลับไปกลับมา เราคลายแล้วก็ไปล้างใจที่ถือสา พยาบาท หรือมีจิตไม่ค่อยชอบ มาลดความรังเกียจมันง่ายกว่า รักนี่ตัดยากกว่า ต้องตัดรักก่อน แล้วค่อยมาล้างชัง จะให้ดีก็ไม่ต้องมีรักหรือชัง จะลดความดูดดึง แล้วจะลดรสชาติของกามราคะก็จะลดลงๆด้วย ก็อ่านสภาวะตรงนี้

 

_พ่อแม่หวังแค่ให้ลูกเป็นคนดี ถือว่าเป็นการหวังผลตอบแทนไหม?.

ตอบ...ต้องการให้ผู้อื่นได้ดีเป็นสุข เป็นเมตตา แล้วลงมือช่วยคนอื่นก็เป็นกรุณา เป็นจิตพรหม ไม่ใช่ได้ตอบแทน ถ้าหมายว่า ต้องการให้เจริญแล้วจะได้มาช่วยเรา ก็คือโค้วมาอีกที

 

_ทั้งที่รู้ว่าความรักคือความทุกข์ แล้วทำไมมนุษย์จึงแสวงหา

ตอบ ...เพราะมันโง่ อวิชชา มันรู้แค่สำนึกนอก ถ้ามันรู้ไปถึงจิตใต้สำนึก มันจะเกรง มันจะระวัง จิตสำนึกคือ conscious ส่วนจิตใต้สำนึก คือ Unconscious ที่หลวงปู่ตอบไปนี่คือมันโง่ดักดานคือ Unconscious มันไม่เข้าใจ ไม่ได้ตอบยาก ถ้าเข้าใจธรรมรู้ว่ารักคือทุกข์ แต่ทำไมวิ่งหาทุกข์อยู่ ก็คือมันโง่ หรืออวิชชา หลายอย่างพวกเรารู้แต่มันก็ยังยอมอยู่ จิตสำนึกพอรู้ระวังแล้ว จะอดเอาทนเอาแล้ว หิรินี่แค่ละอาย ถ้าโอตตัปปะ ก็คือกลัวไม่เอา รู้แล้ว ถ้าลงไปถึงจิตไร้สำนึกก็จะรู้แล้วรีบลดเลย

 

_การที่เราแอบรัก ชอบเพศตรงข้าม แล้วเขาไม่รู้ แล้วเราไม่คิดว่าจะไปใช้ชีวิตคู่ เป็นความรักมิติที่ 1 หรือไม่?

ตอบ...เป็นความรักมิติที่ 1 เป็นเรื่องคู่เรื่องเพศ รักเงาด้วยซ้ำไป ไม่อยากให้ใครรู้ อย่าเผลอนะพังได้

 

_ถ้าเรามีความรักที่ผูกเป็นคู่แล้วทำอย่างไรไม่ให้มันเลวไปกว่านี้

ตอบ..ต้องพรากต้องตัดเลย ไม่ละเว้น ต้องตัด พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์ว่า ต้องชักสะพานเสีย ท่านใช้ศัพท์ที่ว่าชักสะพานเสีย มันมีสายที่จะต่อกันได้ ตัดขาดจริงๆ อดทน ถ้ามันขาดใจตาย แล้วก่อนตายมาบอกหลวงปู่ หลวงปู่จะให้แผ่นทองคำเลย ว่าขาดใจตายเพราะสู้กับกิเลสจนตายเลย

 

_ถ้าคนเรามีความรักมิติที่ 1 ที่เห็นแก่ตัว และเรามีความรักมิติอื่นไปพร้อมกัน จะเห็นแก่ตัวไหม?

ตอบ..เห็นแก่ตัวอยู่ แต่ก็เห็นแก่ผู้อื่นด้วย มันน้อยคนที่จะเห็นแก่แค่คู่ตนเอง มันหน้ามืดตาบอดเลวจัดแท้ เป็นธรรมชาติที่จะเผื่อแผ่ไปบ้าง

 

_ความรักไม่ใช่ความโลภหรือความแลกมาให้ตนแล้วความรักคืออะไร?

ตอบ...คือมันเป็นความเผื่อแผ่ ความใจกว้าง เห็นแก่คนอื่น ไม่ใช่โลภมาแก่ตน ความรักนี่นะ อีกศัพท์เรียกว่าเมตตาคือปรารถนาดีต่อคนอื่น

 

_มีญาติธรรม ไม่แน่ใจเรื่องการออกจากบ้านมาอยู่วัด ? จะพึ่งพาได้อย่างไร?...

ตอบ....ที่นี่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ เป็นมิตรดีสหายดีสังคมส่ิงแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ชีวิตฝากผีฝากไข้ได้ มันยิ่งกว่าฝากไว้ในครอบครัว เพราะบางทีพึ่งใครไม่ได้ พี่น้องก็ไปมีครอบครัว แต่ที่นี่มีเป็นร้อยเป็นพันก็ต้องพึ่งกันได้ และมีส่วนกลางอีกด้วย ชัดเจน เป็นสังคมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เป็นองค์ประกอบประเสริฐสุดยอด 

 

_แล้วมาอยู่วัดนี่มันยากเกินกว่าจะทำได้ ต้องถือพรหมจรรย์ ไม่ได้แน่นอน?

ตอบ...ไม่ได้แน่นอนก็เป็นคำตอบในตัว พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา ก็ยังดีกว่า ยังไม่มีนรกเท่า ยังไงๆ คุณอยู่ข้างในแม้ฝืนก็ไม่ได้สร้างจิตต่อกับโลกีย์ ที่ผูกพันพยาบาทเยอะ

 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:05:24 )

570822

รายละเอียด

570822_พุทธชีวศิลป์(10)วนบ. ปฏิจจสมุปบาท วิปัสสีสูตร

พวกเราก็ฟังธรรมสูงๆรู้เรื่อง อาตมาก็เลยมันเขี้ยวไล่ไปเรื่อยๆ แล้วจะปฏิบัติตามทันไหมนะ?

 

ที่จริงก็ต้องอธิบายเช่นนี้แหละ เป็นแผ่นที่เป็นแนวทาง เป็นปริยัติ แล้วเราก็จะปฏิบัติตาม พวกเราต้องรู้ตัวเอง มัตตัญญุตา รู้ก็รู้ไป แต่ทำต้องให้พอเหมาะกับตัวเอง เราจะอยู่ขนาดไหนนะ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล...หรือเป็นปุถุชน ปฏิบัติเป็นสัทธานุสารี หรือธัมมานุสารี แล้วปฏิบัติศีลเป็นที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ เอาตามภูมิ ไม่ต้องไปอย่ากใหญ่อยากได้เร็ว แล้วจะเอาคุณธรรมสูง เราก็ต้องตรวจตนจริง ว่ามีจริงไหม ถ้ายังไม่เข้าเกณฑ์ก็รู้ตัว แล้วปฏิบัติแค่นี้นะ ก็ต้องเป็นเช่นนั้น

 

เรากำลังนำธรรมะมาเป็นแก่นแกนการศึกษาปฏิบัติธรรม แล้วเราก็เอามาใช้รวมกัน กับการศึกษาทางโลก ร่วมกับทางโลก ทางนิตินัย ทางพฤตินัยที่พอได้ พอได้ด้วยกันได้ ซึ่งการศึกษาทางโลกก็มีดี แต่ถ้าเอามาเด่นกว่าทางพุทธ แล้วทำให้ทางพุทธไม่สามารถทำอะไรได้ก็บกพร่องแน่

 

ยุคไหนๆพุทธก็เอหิปัสสิโก โอปนยิโก สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ให้มาพิสูจน์ได้ เราทำมาได้จนเป็นหมู่กลุ่ม เมื่อพวกเราได้สิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็มาดูหมู่กลุ่มข้างใน ที่เรานำพากันไป อาตมากำลังพาประสานระหว่างความรู้ข้างนอก กับความรู้ที่เรามีแก่นแกนแล้ว แม้ไม่มีใบรับรอง แต่พวกเรารู้กันเองได้ แล้วเรากำลังจะพยายามเชื่อมต่อ เราก็พยายามเอาหลักการหลักฐานข้างนอกเชื่อมเข้ามา

 

อาตมาก็ยังดีใจ(พูดเป็นโวหาร) ไม่ได้ฟูใจอะไร ว่ามันดี ที่สามารถเชื่อมไปเป็นหลักฐาน วิชาการ ก็คือทำให้เกิด หลักฐานที่เป็นบทวิจัย ที่รับรองกันในระดับปริญญาเอก เป็นแขนงโดยตรง เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เมื่อได้แล้วก็คึกคัก กระตือรือร้นกันต่อ อย่างที่เห็นกันพวกเราได้ป.เอกป.โทก็มากัน เช่น อภิสินธ์ กับหนึ่งฟ้า แล้วก็มีคนอื่นๆอีก

 

หนึ่งฟ้านี่ที่จริงคนใน แต่ก็เหมือนคนนอก เพราะจริตไม่ค่อยตรงกับพวกเรา จริตไม่ค่อยเชื่อม ไม่ค่อยสมังคีเท่าไหร่ก็เป็นไป แต่ตอนนี้อาตมาก็ว่าจะต้องเข้ามาช่วยกัน เขาก็เต็มใจ มาทำกันเต็มที่ พวกเราก็เห็นอยู่เข้าใจอยู่ ก็ต้องดูบุคคล ปุคคลปโรปรัญญุตา อย่างอภิสินธ์ก็เป็นญาติธรรมมาเก่าแก่ แต่เขาไม่ได้มาคลุก เขาก็มีธุรกิจของเรา เขาไม่ได้เหินห่างอะไร มาร่วมอยู่

 

ให้เห็นว่าพวกเราควรเข้าใจว่าทำอยู่นี่คืออะไร ไม่ใช่ว่าจะตั้งข้อคัดค้าน ก็ควรดูจริตจริงว่ามันขาดมันเกินอยู่ ก็ต้องเข้าใจว่า บางอย่างเป็นวาสนา เป็นจริต มันจะแก้กันยาก แต่เจตนา จิตใจมุ่งหมาย อาตมาว่า ก็มากันเต็มร้อยก็ดีแล้ว จะบอกพวกเราว่า ยังไง ก็ค่อยทำความเข้าใจกันดีๆ

 

เช่นว่าเราจะเอาระบบของข้างนอกมา มันเหมือนจะมาทำให้เป็นการศึกษาที่รวมกันเป็นหมู่เป็นกล่อง ที่จริงแล้วธรรมชาติ คนไม่ได้อยู่เป็นกล่องกองอะไร มันก็อยู่กระจายกันไป แล้วอย่างพวกเราทำนี่ก็เหมือนมีรูปอะไรซ้อนอยู่ในนี้ บางทีบางคนไม่เข้าใจ อย่างที่เขาเข้ามา คนชุมชนก็โดนดึงเข้ามาเป็นวนบ. แทนที่จะเป็นไปโดยธรรมชาติ ใครเห็นดีอะไรก็ทำ แต่ทีนี้มันไม่เป็นเช่นนี้โดยธรรมชาติ

 

ก็ให้เห็นว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างคนชุมชน ที่ก็ไม่ค่อยมาสังเกตการณ์ ก็ค่อยพูดไป ไว้โอกาสก็ค่อยรวมกันมาแล้วพูด ตอนนี้ก็พูดให้นิสิตก่อน ก็ค่อยทำความผสมผสาน อะไรขาดหรือเกินก็ให้เป็นไป

 

ใหม่ๆแรกๆก็ต้องออกรูปนี้แหละ แม้แต่ชาวชุมชนไม่เข้าใจ ชาวเราก็ติดมา การศึกษาข้างนอกเป็นเช่นนั้นจริงๆ การเรียนก็คือการเรียน การศึกษาก็คือการศึกษา ยิ่งครอบครัวไหนฐานะดีก็ให้เรียนอย่างเดียว ไม่ต้องทำงาน ซึ่งมันขาด ก็เลยโน้มเอนไปหาทางโน้น นี่คือความล้มเหลวระเนระนาดของการศึกษา เป็นอย่างนี้จนถึงทุกวันนี้ ก็ชัดแล้ว

 

เด็กพอเกิดมาโต เข้าอนุบาล ก็ไม่รู้จักสังคม ไปเป็นนักเรียนเลย ไม่เคยมีชีวิตกับสังคม สมัยก่อนชาวบ้าน ต่างจังหวัด บางบ้าน มีลูกหลายคน ฐานะไม่ค่อยดี ต้องช่วยกันเลี้ยง พี่ต้องเลี้ยงน้อง บางคนอุ้มน้องไปเรียนด้วย หรือเวลาพักก็แวบมาช่วยทางบ้าน เขาไม่ได้ขาดทางบ้าน แม้แต่ทางโรงเรียนก็เข้าใจ เขาก็หยวน ให้ทำได้ ติดดำนา ติดเกี่ยวข้าว เขาไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย แต่นี่ไม่ได้ ต้องให้ไปเรียน เป็นคนเรียนในเมือง เป็นหอคอยงาช้าง ก็เลยร้างทางบ้าน แล้วจะมาพัฒนาประเทศกระจายอำนาจ เผื่อแผ่ จะไปทำได้อย่างไร พฤติกรรมสังคมก็แปรไป ถูกครอบงำไป จนมายึดถือนิยมว่า สังคมอย่างนั้นเจริญ สังคมบ้านนอก ที่คนเห็นใจเผื่อแผ่มีน้ำใจนี่ไม่เจริญ ถ้าจะเจริญต้องแก่งแย่งแข่งขันกัน ต้องก้าวหน้า

 

แล้วพวกเรามีชีวิตอย่างนี้ แค่มาเห็นพวกเรานี่เขาก็ว่าแปลก ไม่ใส่เกือก มีด้วยหรือคนในโลกนี้ อยู่เป็นหมู่ไม่ใส่เกือก มีแต่คนป่าที่ไม่ใส่รองเท้า เขาก็ว่าอย่างนี้เจริญหรือ อาตมาก็ว่า พระพุทธเจ้าใส่รองเท้าทองคำ แต่ก็มาแบร์ฟุต ตั้งแต่บวช จนถึงปรินิพพานเลย นี่แหละคือแบบอาริยะ มากินน้อยมื้อเดียวนี่แหละ มาใส่เสื้อผ้าไม่ต้องฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยนี่แหละ เป็นแบบอรหันต์ แบบอาริยะจะเจริญ

 

ถ้าเรารู้ว่าศิลปะ คือมงคลอันอุดม คือส่ิงที่พาไปสู่ความเจริญสูงสุด มันทวนกระแสโลกีย์ ทิศทางเขาจะเจริญโลกๆนั้นเป็นแบบนั้น เราก็เห็นทิศทางว่าเราทวนสิ่งนั้น ยุคพระพุทธเจ้าก็ทวนแล้ว แล้วยุคนี้มันบานไปหาโลกีย์มากว่าเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทวนกระแส

 

อาตมาว่าคนชนบท มาเห็นเราไม่ตื่นเต้น เขาบอกว่า เขายังดีกว่าเราอีก แต่มันย้อนแย้งว่า ดูบางทีแต่งเนื้อแต่งตัวนี่พวกเรานี่ดีกว่า แต่มันย้อนแย้งว่า แต่ทำไมมันมีอะไรทีดูเหนือชั้นกว่าพวกเรา แม้ที่สุด ดูองค์รวมแล้ว มันมาแกล้งจนหรือพวกนี้ เขาไม่เข้าใจรายละเอียด

 

เนื้อแท้คือจิตวิญญาณ จิตใจที่ลด โลภ โกรธ หลง จิตใจไม่เป็นทาสโลกียะ จิตใจเป็นโลกุตระ และรูปลักษณ์ยิ่งขัดแย้งกับทางโลกเขา แม้ชื่อว่าสถาบันศาสนาพุทธก็ไม่ได้พามาเช่นนี้แล้ว แต่ส่งเสริมเจริญอย่างโลกีย์ ไม่เหลือโกลุตระเลย พูดได้เต็มปาก ศาสนาก็ไปหลงเดรัจฉานวิชชา ไม่เข้าใจตนเองตกเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นในวงการศาสนาก็เป็นเช่นนั้นมันเลยไม่สามารถช่วยสังคมประเทศชาติได้

 

เรามาทำอย่างมีศิลปะ พวกศิลปินนี่เขาดูถูกพวกช่างฝีมือนะ ความจริงแล้วศิลปะหมายความว่า

สุนทรีย์ศิลป์คือมีความแปลก ความใหม่ ชวนใจ  จนกลายเป็น Abstract ก็คือสร้างให้ชวยดูเท่านั้นหนักเข้าก็ไม่รู้เนื้อหาแล้ว แล้วเขาก็หลงฝีมือีก คือฝีมือที่สร้างเอกลักษณ์​ เช่นคนนี้มีแนวทางไปสร้างทางศาสนาเขาถือว่าชั้นสูง หรือแบบเพ้อเจ้อ มีเยอะ เขาเรียก Abstract เขาก็ว่าถ้ายิ่งภาพใครจินตนาการได้เยอะก็ว่าเยี่ยม ก็เลยเป็นศิลปะฟุ้งซ่านไม่เป็นเรื่อง ไม่เข้าทางเลย อาตมาเองรู้ว่าศิลปินนี่อัตตาสูง

 

อาตมาใช้ศิลปะ มีหลักในการทำงานสร้างศิลปะ เรียนมาก็มีหลัก

 

ต้องมีจุดสำคัญ มีเป้าหมาย Interest point แต่พอทำไปก็ไม่รู้เป้าหมาย ซึ่งถ้าเกิดแรงบันดาลใจทางศิลปะได้นี่คือศิลปะ คือเกิดเปลี่ยนจิตใจได้ ถ้าเป็นทางธรรมะก็พาให้มักน้อนสันโดษได้ นี่คือโลกุตระ เปลี่ยนแปลงจิตใจได้

 

แม้แต่ทำให้เกิดความเห็นใจ เกื้อกูลสังคม มีน้ำใจก็ได้ แต่ที่มีอยู่ก็ไม่มี มีแต่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร เท่านั้นเอง คำว่าศิลปะทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องทำลายความคิดนึก แทนที่จะนำพาไปสู่จิตวิญญาณสำคัญ กลายเป็นทำลายจิตวิญญาณ กลายเป็นการค้าเสียอีก เอาเด่นเอาดัง ต้องเป็นคนที่คนนิยมชมชอบ กลายเป็นอย่างนั้น

 

ศิลปะโลกุตระ คนเข้าถึงยาก ซึ่งเขาว่า นามธรรมมันสูงคนเข้าใจยาก  ถูกของเขา แต่ที่ไม่รู้เรื่องเพราะเป็นโลกุตระพาล้างกิเลส ศิลปะที่ทำให้เขาได้แรงบันดาลใจไปล้างกิเลสได้ อาตมาทำสำเร็จ พวกคุณก็เข้าใจ อาตมามีผลสำเร็จทางศิลปะ อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นศิลปิน นี่คือพุทธชีวศิลป์ที่แท้จริง

 

การเปลี่ยนชีวิตด้วยพุทธนี่คือพุทธชีวศิลป์ เราก็จำทำให้ย่ิงขึ้น เป็นจริงในตัวเราทั้งกายและใจ ครบเครื่อง แล้วเราจะนำไปสร้างคนอื่นๆต่อไปอีก

 

งานด้านโลกุตระหรืออาริยะ เป็นเนื้อหาเนื้อแท้สารัตถะของพุทธ ของศาสนาหรือธรรมะ มันเป็นโลกุตระที่คิดเอาเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นศิลปินเอก มีทฤษฎีของตนเองไม่ได้ ต้องของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆสืบทอดกันมา แบบเดียวกัน ไม่มีอะไรแปลกจากของพระพุทธเจ้า เป็นแต่ของพระพุทธเจ้ามันเลือนไป หายไป เราก็ดึงกลับคืนมา ซึ่งไม่ใช่ของโลกีย์ที่หาได้ทั่วไป คุณต้องมาศึกษา ได้ใหม่ไปเรื่อยๆไม่ได้ใหม่จากอะไรก็เป็นของเดิมของพระพุทธเจ้านี่แหละ อาตมาก็ค่อยๆดึงออกมา ไม่ได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่หมดหรอก ยืนยันว่าไม่ใช่ของอาตมา

 

มาต่อที่ไตรปิฎก ล.16 ต่อวิปัสสีสูตร

 4 วิปัสสีสูตร        

[22] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าวิปัสสี ก่อน แต่ตรัสรู้ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ได้ ปริวิตกว่า โลกนี้ถึงความยาก   แล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้  ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่าความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะ นี้ จักปรากฏ ฯ   

 

[23] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะ อะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย(อาตมาอยากให้ใช้ คำว่า “กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย”) จึงได้รู้ด้วยปัญญา ว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอ มีอยู่ ชาติจึงมีชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพเป็น ปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็น ปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่   อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี   ตัณหาย่อมมีเพราะ เวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะ มีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะ  ผัสสะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะ ย่อมมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็น ปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงจะมี สฬายตนะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนาม รูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูป เป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูป จึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะ วิญญาณเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อ สังขารมีอยู่  วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี   สังขารย่อมมีเพราะ อะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดย แยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชา มีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ในธรรม   ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้าง เกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ

 

[24] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชรา และมรณะจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ  กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติ ไม่มี ชราและมรณะ  จึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึง ไม่มี  เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ...  เมื่ออะไร หนอไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ เมื่ออุปาทานไม่มี   ภพจึงไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ... เมื่อไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มีเพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะ อะไรดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอ ไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่อผัสสะไม่มีเวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึง ไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่อสฬายตนะ ไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูป จึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูป จึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ  เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ  ไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะ อะไรดับ สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล   พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับ  แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ      ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมที่ไม่ เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้ ฯ                         จบสูตรที่ 4

 

อวิชชาดับ ไม่ได้หมายความว่ามืดดำดับไปหมด แต่ว่ามีจักษุ ญาณ​ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

 

                     5 สิขีสูตร- 9 กัสสปสูตร       

 

[25] พระปริวิตกของพระพุทธเจ้าแม้ทั้ง 7 พระองค์ ก็พึงให้พิศดาร   เหมือนอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่าสีขี ... ทรงพระนามว่า เวสสภู ... ทรงพระนามว่ากกุสันธะ ... ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ ... ทรงพระนามว่ากัสสป ...  ฯ                     10 มหาศักยมุนีโคตมสูตร     

 

[26] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้    ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มี ความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่   ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อ เป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ ดูกร   ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ มีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชรา และมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี    ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็น ปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพ    เป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ...  เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอ   มีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทาน จึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหา  ย่อมมีเพราะ อะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะ   เวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอ มีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...  เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อ สฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไร   หนอ มีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีย่อมเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณ จึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณ จึงมีวิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า  เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชา  เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนา มาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรม ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้าง เกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ ส่วนฝ่ายดับก็เป็นเช่นเดียวกัน

 

พ่อครูว่า...ตรัสรู้ ก็ใช้กับคนธรรมดาได้  คือเมื่อคุณมีภูมิที่ตรงกับพระพุทธเจ้าตรัส คือเกิดความรู้ ถึงที่พระพุทธเจ้าตรัส โดยเฉพาะถึงนิพพาน ก็มีความรู้เช่นเดียวกับของพระพุทธเจ้า คือขั้นโพธิ คือความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พาให้พ้นกิเลส คนไหนทำได้ก็ตรัสรู้ได้ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงเราเป็นสาวกภูมิ

 

ท่านที่นำมาบันทึกไว้ก็คือว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้ส่ิงนี้ คือดับอวิชชาให้ได้

 

                      อาหารวรรคที่ 2                      

1. อาหารสูตร     

 

[28] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถปิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 เหล่านี้ ย่อมเป็น ไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว   หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร 4 เป็นไฉน คือ (1) กวฬีการาหารหยาบ หรือละเอียด (2) ผัสสาหาร (3) มโนสัญเจตนาหาร (4) วิญญาณาหาร อาหาร 4 เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิด  มาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

 

[29] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาหาร 4 เหล่านี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไร เป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไร เป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด อาหาร 4 เหล่านี้ มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหา เป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด ก็ตัณหานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็น กำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นที่ตั้งขึ้น มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด ก็เวทนานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด   มีอะไร เป็นแดนเกิด เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นที่ตั้งขึ้น มีผัสสะเป็น  กำเนิด มีผัสสะเป็น แดนเกิด ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ผัสสะมีสฬายตนะเป็นเหตุ มีสฬายตนะ  เป็นที่ตั้งขึ้น มีสฬายตนะเป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็น แดนเกิด ก็สฬายตนะนี้  มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดน เกิดสฬายตนะมีนามรูปเป็นเหตุ มีนามรูปเป็นที่ตั้งขึ้น มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูป  เป็น แดนเกิด ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด     มีอะไรเป็นแดนเกิด นามรูปมีวิญญาณเป็นเหตุ มีวิญญาณเป็นที่ตั้งขึ้น มีวิญญาณ   เป็นกำเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิด ก็วิญญาณนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดวิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ มี สังขารเป็นที่ตั้งขึ้น มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด ก็สังขาร เหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด  สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นที่ตั้งขึ้น มีอวิชชาเป็นกำเนิด มี    อวิชชาเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนา มาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกอง ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ      

 

[30] ก็เพราะอวิชชานั้นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขาร   จึงดับ เพราะ สังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ                       จบสูตรที่ 1                        

 

อาหารคือเครื่องอาศัย 4 อย่างนี้แหละที่คุณต้องรู้ให้ดีเลย มันเป็นนิทาน เป็นเหตุพาให้เราเล่นละคร บางเรื่องเป็นหนังรัก บางเรื่องเป็นหนังบู๊​ บางเรื่องโมหะ แต่ที่จริงมันทั้ง 3 รสนั่นแหละ เป็นแต่เพียงตอนไหนเกิดบทไหน ผสมกันไป เป็นเหตุที่ท่านใช้คำว่า นิทาน อาศัยอันนี้เป็นเหตุ อวิชชาจึงเกิด นิทานทุกเรื่องของแต่ละคนก็หลงสุข แต่ทุกข์นั้นเยอะกว่าไม่จำ จำเอาแต่สุข หาสุข ไม่ได้ก็หาอย่างอื่นแทน เป็นนิทานแตกไปเรื่อยๆ

 

ต่อไปเป็นการถามตอบ และสรุปประเด็น

 

เมื่อเขาว่าเราโง่ … หรือเตือนเรา

ให้ตรวจดูว่าเราโง่ตามที่เขาพูดไหม เราก็ฉลาด ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า เราก็จะได้รู้ว่าเขาผิด ข้อสำคัญอย่าลำเอียงว่าเราถูกเสมอ แต่ก็อย่าไปว่าเขาว่าโง่นะ … ถ้าเขาบอกว่าเราโง่ เราก็บอกว่า เราโง่อะไรพอเขาบอก เราก็ตรวจตามจริง ถ้าเราโง่จริง เราก็ขอบคุณเขา เราเป็นเช่นนั้นจริงๆ 

 

ปฏิบัติธรรมจำเป็นไหมต้องมีศิลปะ ตอบ...จำเป็น ศิลปะคือมงคลอันอุดม พาไปสูงพาไปเจริญ ถ้าไม่เป็นศิลปะก็คือพาไปต่ำเสื่อม

 

การหนีไม่สู้กิเลส กับการดับ เท่ากันทั้งคู่ คือขี้แพ้ทั้งคู่ คุณหนีปัญหา หนีส่ิงที่จะต้องเรียนรู้ คุณดับก็คือคุณหนีเหมือนกัน...ก็คือคนขี้แพ้ทั้งคู่

 

การกดข่ม นานเข้าไปจะวิปัสสนาได้ไหม?...ตอบ ไม่ได้ เพราะมันคนละตระกูลกัน สมถะกับวิปัสสนา พระพุทธเจ้าเลยแบ่งบุคคลเป็น 2 บุคคลที่มีเจโตสมถะ กับบุคคลมีโลกุตระ ถ้ากดข่มเป็นสัญชาติญาณก็มีอยู่แล้วในคน  เขาก็กดข่มไว้ จนมีคนว่าให้แสดงออกได้เป็นธรรมชาติ ก็มีคนหาทางเช่นนั้น การกดข่มจึงมีประโยชน์อยู่ แต่ไม่ใช่ทางละหน่ายคลาย ไม่ได้กำจัดด้วยไฟปัญญา  กดข่มมันทำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เราต้องทำวิปัสสนา ต้องฝึกรู้ว่าอย่างนี้กดข่ม อย่างนี้ใช้ปัญญา เราต้องเรียนรู้ตามเหตุปัจจัยทุกเรื่องราว

 

.ด่วนดีถามว่า การไปรับใช้ฆราวาส มีความหมายว่าอย่างไร?
ตอบ...การรับใช้หมายความว่า 1.ไปทำงานเพื่อจะได้ลาภยศสรรเสริญตอบแทน ใครไปเทศน์ตรงนั้นตรงนี้แล้วเพื่อได้เงินก็คือลูกน้องหากินในสังคม แต่ว่าไปทำหน้าที่ช่วยเหลือทำประโยชน์ให้สังคม อย่างนี้เป็นหน้าที่ของพระ 100 % ไอ้ที่แปลว่า ไปรับใช้ฆราวาส นี่คือศักดินา ว่าฉันชั้นสูงไม่ได้รับใช้คนชั้นต่ำ นี่คือศักดินา มันมีอย่างนี้ อย่างอาตมาเหมือนเป็นคนมีฐานะทางสังคม เป็นนักบวชก็ตาม แล้วอาตมาจะไปทำงานให้คนนั้นคนนี้เหมือนไปรับใช้ เขาก็ไม่ได้อยากให้ทำ อันนี้เป็นสัจธรรมซ้อน นี่ก็ต้องปล่อยให้เขาทำ เช่นที่นอน อาตมาก็ไม่ได้พับ ปล่อยให้คนอื่นเขาทำ เป็นต้น

 

มีคนว่า สมณะสิกขมาตุ ควรเป็นแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น?..

ตอบ..อาตมาก็ทำ เป็นที่ปรึกษา แล้วก็ทำงานด้วย แต่ก่อนอาตมาก็ช่วยสร้างปฐมอโศก กับคุณงามดีมาก เขาขับแมคโคร อาตมาก็ไปช่วยทำ แต่ก่อนอาตมาทำ แต่เดี๋ยวนี้อาตมาก็ไปทำสิ่งที่ควร ทำตำราเป็นต้น แต่ก่อนก็ทำหลายอย่าง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:06:26 )

570824

รายละเอียด

570824-วิถีอาริธรรม ส.เพาะพุทธ พ่อครู เรื่อง ปฏิวัติ-ปฏิรูป-ปาฏิหาริย์ด้วยธรรมาวุธ

.เพาะพุทธว่า...วันนี้นร.สัมมาสิกขา และนร.ราชวินิต บางเขน มาร่วมฟังธรรมด้วย ทุกปี คุณครูจะส่งนร.ราชวินิตมาสัมภาษณ์ส.เพาะพุทธ วันนี้เลยได้นัดมาฟังธรรมพ่อครูด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาพ่อครูได้สอนนิสิต วนบ. มี 3 วิชา คือพุทธชีวศิลป์ สรรค่าสร้างคน และความรัก 10 มิติ เฉพาะความรัก 10 มิติ พ่อครูได้เขียนไว้ถึง สอง แบบ

ความรัก 10 มิติ นี่มีลำดับตั้งแต่ต่ำสุด ที่คนนิยมมีความรักแบบนี้มากที่สุด วันนี้มีนร.ราชวินิตมาฟังก็จะขอทบทวน ความรัก 10มิติครับ

1.กามนิยม พ่อครูอธิบายว่าเป็นเรื่องของความใคร่ เป็นความแคบ การสมสู่ของหญิงขาย เป็นเรื่องของธรรมชาติสัตว์โลก เป็นเรื่องของคนสองคน เห็นแก่กันและกันเพียงเท่านั้น เป็นอารมณ์เสพ ยิ่งมีมากยิ่งคับแคบ แตกต่างจากความรักที่สูงขึ้น ความรักแบบนี้เป็นอกุศลจิต ยิ่งมีมากยิ่งคับแคบ จึงสรุปว่า ความใคร่ คือ ความแคบ ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เรารักกันซู่ซ่าๆ พระพุทธเจ้าว่าเป็นทางมาแห่งธุลี 

ราคะ มีดำฤษณาอยู่ในนั้นด้วย เป็นเรื่องของอารมณ์ที่รัดรอบ รุนแรง เวลามีรักแล้วก็จะมีรัด ด้วย

มีคำว่า อัตตา กับอัตนียา คำว่าอัตตา(เป็นตน) เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสกว่า อัตตนียา(เป็นของตน)

พ่อครูว่า....เราต้องย้ำมิติที่ 1 เพราะเลวร้ายที่สุด ความจริงแล้ว ความเห็นแก่ตัวที่สุด คือรักตัวเอง ก็คือ อัตตนิยม แต่ที่ตั้งกามนิยมเป็นลำดับ 1 ก็คือ มันจะเอาทั้งหมด ตั้งแต่กามหรือทั้งหมดก็ให้มาเป็นตนเป็นของตน ก็ไม่ต้องกล่าวถึงอัตตนิยม ก็รู้ตั้งแต่เห็นแก่ตัวมิติที่ 1 ไปจนถึง 9

มิติที่ 1-7 เป็นเทวนิยม มิติที่ 8 คือเป็นเสขบุคคล ศึกษาโลกุตระแล้ว ผู้จะเรียนรู้ลดละเห็นแก่ตัวลง ก็เรียนรู้ตั้งแต่มิติที่ 1

กามหรือราคะ เป็นคำความหมายเดียวกัน กาม ใช้เรียกทั่วไป  แต่ราคะเป็นตัวตระกูลใหญ่ เหมือนคำว่า จิต กับเจตสิก คำว่า กามก็เหมือนอาการต่างๆของราคะ ตั้งแต่ต้องการมาให้แก่ตนเอง ต่ำหยาบสุดคือ อบายภูมิ หรืออบายภพ มันไม่รู้ตัวเอง อย่างของเหม็นๆเน่าๆเสียๆ เช่นขี้เราก็ไม่เอามาใส่ตัว ก็ง่ายๆสามัญสำนึก ที่แย่ๆแต่เรารู้ง่ายๆ แต่เขาก็ติดหลงยึด สิ่งหยาบสุดมาเป็นสิ่งที่จะต้องเสพรส

คำว่าโลภะก็เป็นอีกตระกูล ก็มีลักษณะดึงมาให้แก่ตัวทั้งคู่ แต่ขยายว่า คำว่าโลภ นี่คือเอามาให้แก่ตัวเองทุกอย่าง ทั้งข้าวของวัตถุ ผู้คน สัตว์สิ่งของ จนยึดอารมณ์ กิริยาท่าทาง มาเป็นตัวกูของกูทั้งหมด เรียกว่าโลภ

ส่วนราคะ ไม่ได้ยึดมาเป็นตน แต่ยึดมาเสพรสกามหรือราคะ มันเป็นนามธรรม ส่วนคำว่าโลภ มันเอาหมดทั้งวัตถุ และนามธรรม พฤติกรรม มันเหมาหมด

ผู้ไม่รู้เมื่อได้สัมผัสรส ก็ยึดเป็นเราเป็นของเรา เช่น เราชอบลำไย ที่เห็นนี่ลูกใหญ่ขนาดนี้ สมมุติว่าคนชอบลำไย ซึ่งเป็นสิ่งของอันหนึ่ง พอเราเห็นลำไย พอสัมผัส มโนมันขึ้นเลยว่า รสสีความฉ่ำของมันคงขนาดนั้นๆ เสร็จแล้วพอเราสัมผัสปุ๊ปก็เสพอารมณ์สัมผัสแรกแล้ว ตามอุปาทาน ไอ้ตัวเสพนั้นจบไปแล้วเรียกว่า ราคะ เสร็จแล้วก็เอามาๆ เอาลำไยมาเป็นของตน นี่แหละโลภะ ยิ่งเอามาเสพก็เป็นราคะ อีก เข้าไปในกระเพาะส่วนที่ดีก็เป็นประโยชน์ ส่วนไม่ดีก็ไปทำลายเรา

ราคะแค่อารมณ์เสพสัมผัส มี 1.สัมผัสแค่ตา 2.สัมผัสโดยสัญญา ว่านี่ลูกนี้ใหญ่เนื้อคงเต็ม นี่ลำไยกะโหลกไหมนะ เสร็จแล้วพอได้มาเป็นของเรา ที่โลภมาได้ มีสิทธิ์เต็มที่ ได้วัตถุมาเป็นของเราก็สมโลภ เสร็จแล้วก็แกะมาเสพรสทางลิ้นอีก สมอุปาทานว่า รสอย่างนี้แหละ

หรือตอนแรกมโนไว้ว่าเป็นอย่างนี้ แต่แกะมาแล้วมีแต่เม็ด ไม่มีเนื้อก็ไม่ชอบใจเลยไม่สมราคะอีก

ยกตัวอย่างนี่คงขยายให้เข้าใจโลภะหรือราคะนะ ถ้าผู้ที่เสพสมสุขสมอยู่อย่างนี้แหละ

วันนี้จะไม่กล่าวถึงเรื่องเพศคู่เท่านั้น แต่ก็จะพูดไปกว้างให้สมกับยุค ตอนนี้เราได้นายกฯคนที่ 29 ของไทย ประยุทธ์นี่แปลว่า การรบ อาตมาก็ยังนึกว่า ประยุทธ์คนนี้ต่างกับลีลาของประยุทธ์อีกคน คนหนึ่งเป็นนักรบธรรม ท่านก็ร่ายยุทธมาเป็นลีลาของท่าน สวยมาก ต่างกับลีลาโพธิรักษ์มากเลย ของอาตมาเขาให้ฉายาว่า ขวานจักตอก (จักตอกเขาใช้มีดเล็กๆเท่านั้น)

ประยุทธ์คนนี้ที่เรียกว่า บิ๊กตู่ นี่นะ เราก็ยังฝากความหวังไว้กับบิ๊กตู่ว่าจะร่ายทวน อยากให้มีคำว่าธรรมาวุธ เป็นทวนธรรมาวุธ แต่ลีลาต่างกัน ลีลาของพระประยุทธ์กับพล.อ.ประยุทธ์ คนละลีลา แต่อาตมาก็มั่นใจว่าจะใช้ธรรมกันทั้งคู่ ก็ฝากแถมไว้

เรื่องอบายภูมิ อบายภพ คนไม่รู้ก็ไปเอาอบายมาเสพ อบายคือความเสื่อมต่ำ อะไรมันเน่าเหม็นเละเทะ ร้ายแรง เราก็ไม่เอาล่ะ ตั้งแต่อะไรหยาบๆคนก็รู้กันทั่วว่าจะละเว้น แต่มันมีซ้อนที่โลกไปหลงสิ่งที่เรียกว่าหยาบ แต่คนก็นึกว่ามันสูง เช่น คนนึกว่าเพชรเป็นของสูงแต่ที่จริงมันต่ำ มันละเอียดมากนะเพชร มันเป็นธาตุที่ควบแน่นกันแข็งละเอียดมาก แข้งกว่าวัตถุใดๆเลย แต่เป็นเรื่องหยาบมาก ที่มนุษย์ไม่ต้องมี ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะคนถือกันว่าหายาก แล้วมอมเมาคนให้หลงติดเพชร จึงกลายเป็นวัตถุราคาแพงที่สุดในโลก

เพชรนี่มีประโยชน์สู้เม็ดข้าวสารไม่ได้ ไม่เชื่อโยนเพชรกับข้าวสารให้ไก่สิมันจะกินอะไร ตลอดชีวิตเราไม่ต้องมีเพชรเราทำประโยชน์มีชีวิตได้ แต่คนหลงเพชร ก็เลยโง่ซับซ้อน โง่ไม่เสร็จ ถ้าผู้ใดหลุดพ้นจากเพชร ไม่ต้องอยากได้อยากมีเพชร คนนั้นพ้นอบาย

ถ้าอยากได้เพชร แล้วแกงมันไม่เค็มเอาไปใส่ในแกงมันก็ไม่เค็มขึ้น แล้วก็ไม่มีประโยชน์ ต้องเก็บรักษาอีก กลัวคนมาขโมยอีก พูดนี่ก็เมื่อยแล้ว ไม่ต้องลองเอง พูดสิ่งที่เขาถือว่ามีค่าสูงสุดแล้วนะ ถ้าคุณยังหลงเพชร ชี้ให้ฟังว่า ถ้าจะใช้ประโยชน์ก็เป็นหัวเจาะแข็งแรง นอกนั้นก็เอามาโชว์กัน มาตีราคากันให้มาก เพราะมันหายากในโลก

ให้เข้าใจว่าอะไรคืออบาย ประโยชน์มันน้อยสุด แต่ไปตีค่าสูงสุด เพชรไม่เหมือนขี้นะ แต่ขี้มีประโยชน์กว่าขี้อีกนะ เพชรเป็นแค่เครื่องประดับโชว์ ขี้มีประโยชน์กว่าเพชร  ไม่ใช่แค่ปุ๋ยอย่างเดียว เป็นยาก็ได้  ตกลงเรามีขี้ดีกว่ามีเพชร เรื่องอบายนี่ต้องอธิบาย คนยังหลงติดเพชรนี่ก็โง่แสนโง่ โง่ดักดานด้วย ไม่มีประโยชน์นอกจากเอาไปแลกเปลี่ยนเหมือนธนบัตร เป็นเครื่องแทนสิ่งมีค่าของโลก ก็กำหนดค่าของมัน ใบนี้ปั๊มเป็น 1 บาทก็เป็น 1บาท ปั๊มเป็นหนึ่งพันก็เป็นหนึ่งพัน

ประเด็นว่ามันเป็นของหายาก แต่ประเด็นที่มีประโยชน์นั้นสู้ขี้ก็ไม่ได้

แล้วจากวัตถุมาสู่กิริยา ยึดถือกิริยา เช่นกิริยาอย่างนี้หยาบ หรือสุภาพ หรือน่าชมเชย อันนี้ฟังให้ดี กิริยาของทั้งสองประยุทธ์ต่างกัน คนมองไปแง่ว่าอย่างพระประยุทธ์นี้ดี แต่ถ้าคุณประยุทธ์จะใช้ลีลาอย่างพระประยุทธ์ทำงานก็คือ เอาสำลีไปจัดการเช็ดหนามทุเรียนให้สิ้นไป เอาเลยใครจะสามารถทำได้ก็เอาเลย พระพุทธเจ้าท่านยกตัวอย่างว่า มีนางฟ้า เอาผ้าใยบัวมา กับป์หนึ่งก็เอามาราดภูเขาหินทีเดียวให้มันเตียนลง

.เพาะพุทธว่า หนึ่งน้อยปีเอาผ้าใยบัวมาลาดทีหนึ่ง จนกว่าภูเขาหินจะราบเรียบก็คือ หนึ่งกัป

พ่อครูว่า...มันไม่ใช่องค์ประกอบในยุคนี้ แต่ก่อนอาตมานิ่ม แต่ได้คนมามาก แต่อ่อนแอ มาถึงวันนี้เห็นแล้วว่าต้องใช้ท่าทีลีลาสำเนียงสุ้มเสียงอย่างนี้ จึงได้ผลดี อาตมาก็จะทำ ใครจะว่าไม่ดีก็ไม่เป็นไร อาตมาจะทำ อาตมาไม่ได้ตำหนิ พระประยุทธ์นะ ทำดีแล้วแต่คุณประยุทธ์นี่ก็ทำดีแบบนั้นก็ดีแล้ว ส่วนอาตมาเอาประโยชน์แลกกับตำหนิ อาตมาเลิกเท่แล้ว อาตมาเอาประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ฉันเดียวกันอาตมาก็อยากจะให้เข้าใจว่าพล.อ.ตู่นี่ใช้ลีลาแบบนี้ดีแล้ว มีนายกฯคนไหน ที่พอได้รับเลือกจากสภา 191 เสียง ไม่ออกเสียง 3 คน(ประธานและรอง) ถือว่าเอกฉันอย่างงามเลย แล้วยังไม่ได้นำทูลเกล้าเลย พอเย็นก็แถลงเลย แล้วท่าทีลีลาคือมีน้ำหนัก มีความมั่นใจ อาตมาเชียร์นะ

 

คนจะใช้ธรรมวุธได้จะต้องเข้าใจกาย คือองค์รวมของประเทศ ของมหาจักรวาล แล้วเอามาทำงานให้ได้สัดส่วนพอเหมาะ จะได้ประโยชน์สูงสุด กาละนี้มีเหตุปัจจัยเหมาะสม อาตมาไม่ใช่นอสตราดรามุส ทำนายไม่ได้ แต่เข้าใจได้  ก็ยังหวังว่าประยุทธ์คนที่สองจะทำงานต่อไปดีขึ้น อย่าไปเพิ่งคิดถึงข้อด้อย คนเรามีข้อดีข้อด้อยเป็นธรรมดา ยกไว้ที่พระพุทธเจ้าไม่มีข้อด้อยเลย พระพุทธเจ้าสายปัญญาให้พระสารีบุตรเป็นรองพระพุทธเจ้า ส่วนสายเจโตก็ยกให้พระมหากัสสปะ แต่ทั้งสองคนก็มีข้อด้อย

 

แต่ตอนนี้ต้องยกให้ว่าเหมาะสมกับกาละเวลายุค ไม่มีนายกฯคนไหนมีลีลาอย่างนี้ ไม่รออย่างนี้ คุณว่าขณะนี้ควรปฏิรูป ช้าหรือเร็ว เพราะฉะนั้นลักษณะที่เร็วมันถูกสัจจะแล้วนี่ อาตมาว่ายังช้าไปด้วย เพราะความรีบด่วนของสังคมที่จะบรรลัยมันเร็วมาก

 

พล.อ.ประยุทธ์มีธรรมะน้อยกว่าท่านประยุทธ์แต่ก็ต้องใช้ธรรมะที่มี เพราะสิ่งขาดแคลนในสังคมทุกวันนี้ไม่ใช่วัตถุ แต่ขาดธรรมะมากที่สุด ขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้ธรรมะเท่าที่มี ก็ขอร้องว่า ถ้าอยากจะเห็นว่า ท่านประยุทธ์จะใช้ธรรมงามถึงพระประยุทธ์ นั้นเป็นไปไม่ได้ อย่าไปเห็นจัดเกินองค์ประกอบที่พอเหมาะ

ขณะนี้อาตมาเชียร์ให้ท่านทำเลย แต่ขอให้ท่านคำนึงถึงธรรมะให้มาก เพราะดีมานของธรรมะมีมากที่สุด แล้วมีองค์ประกอบของวัตถุก็ต้องใช้ประกอบเป็น องค์ประกอบให้ดีต้องดูให้ดีทั้งรูปและนาม ทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ ทั้งความดีความชั่ว เป็นของคู่ที่ต้องใช้ให้เป็น มั่นใจว่าประเทศไทยกำลังดำเนินไป ไม่ใช่พยากรณ์

อาตมาว่า ถ้าท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำงานได้ดีสมสัดส่วน โดยเอาธรรมะเป็นแกน แล้วเอาความรู้ที่จะใช้กับโลก มาจัดสัดส่วน ประมาณตามสัปปุริสธรรม  7 เมื่อได้สัดส่วนพอเหมาะ(ปโหติ) ถ้าทำได้ดี ประเทศชาติบ้านเมืองจะดีแน่นอน แล้วจะได้เป็นนายกฯต่อไปอีก คนจะให้เป็นอีกให้ทำต่อๆ เหมือนพระพุทธเจ้าที่คนอยากให้อยู่ต่อ แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไม่ได้พยากรณ์ เราต้องการความจริงของคนจริงที่จะทำดีจริง อาตมาว่า อย่าเพิ่งว่า ประยุทธ์จะกลายเป็นมากอส อาจจะนาน แต่ถ้าทำดีทำไปเถอะ นี่เป็นความเห็นอาตมานะ

ทีนี้มาว่าเรื่องอบาย ไม่ได้ว่าคุณประยุทธ์นะ แต่ถ้าเขาไหลงอำนาจใช้ความเห็นแก่ตัวหลงโลกธรรททำงานก็ไม่เป็นอย่างที่อาตมาพูดตอนต้นแน่ ถ้ำทำอย่างว่าก็เป็นอบาย เหมือนกันทุกประเทศ นี่คือผีร้ายของประเทศ แล้วร้ายซ้อนนะ ไม่ได้ร้ายหยาบนะ เป็นเฉกา เป็นฉลาดที่มีกิเลส ฉลาดมากแต่ขาดวิชชา มีแต่อวิชชาเต็มกระบอก แล้วกลบเกลื่อนว่าโลกเอาดีก็เลยเอาดีมาโชว์ แต่ดี 1 เอามาโชว์แต่ซ่อนร้ายไว้อีก  5 คุณเคยทำกันไหม? นึกดีๆ เคยทำมาทุกคน ซ่อนลึกไว้ในใจ มากกว่าดีที่แสดงออก คนเราต้องลวงคนอื่น เป็นความฉลาดของมนุษย์ นอกจากความจริงใจ

.เพาะพุทธว่า...ดุสิตโพล์รับได้ คนไทยรับได้ประยุทธ์นั่งนายกฯ แต่ปธน.อเมริการับไม่ได้

พ่อครูว่า..ขออภัยที่ต้องว่าอเมริกา บ่ มีไก๊ ข้างนอกดีแต่ข้างในกลวง ทั้งวัตถุและคุณธรรม อาตมาเตือนด้วยจริงใจ ไม่ได้โกรธเกลียดนะ ในความผิดพลาด ถ้าเผื่อ

ว่าไม่ใช้โอกาสที่จะทำดีที่สุด แต่ไปทำผิดพลาดจะกลายเป็นเรื่องอบายร้ายแรง มากว่าคนตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก แต่นี่แหละทำนิดเดียวก็มีผลกระเทือนมาก เป็นจอมโจรบัณฑิต นี่คืออบาย ที่เป็นยอดมุข คือหัวหน้าใหญ่ของอบายที่คนไม่รู้เรื่อง แล้วเดือดร้อนไปทั่วโลก เขาเข้าใจไม่ได้ว่า มันเสื่อมเพราะไปหลงโลกธรรม แล้วรวมเป็นอำนาจใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นมากอส อีดี้อามิน หรือคนอื่นๆ ตั้งแต่ฮิตเลอร์ ก็สวยโก้ หรือนโปเลี่ยน มุสโสลินีหรือใครก็ตามซับซ้อนก็ต้องแสดงออกดี 1 แต่ร้ายข้างในมากกว่า 1 เป็น 3 เป็น 5 เป็น10 นี่คือคนอวิชชาเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณทำกรรมก็เป็นของคุณไม่ใช่ของใคร ถ้าทำก็เป็นความเดือดร้อนของคนทั่วไป โดยเฉพาะตัวคุณต้องรับกรรมไปเต็มๆ

.เพาะพุทธว่า ทำดีก็เป็นทรัพย์ ทำชั่วก็เป็นทรัพย์ ทำในที่แจ้งหรือในที่ลับก็เป็นทรัพย์ของคุณ

พ่อครูว่า..ก็ฝากลมฝากฟ้าไปว่า อย่าไปหลงในโลกีย์อำนาจบาตรใหญ่ ให้ทำดีไปจะเป็นสิ่งประเสริฐของตนและประเทศ ให้ใช้ธรรมาวุธเถอะ อำนาจอื่นคุณมีอยู่แล้ว เห็นว่าจะควบ 3 ตำแหน่งเลย ก็ไม่ว่า คนยุคนี้ต้องถือไม้หน้าสามคนถึงกลัว อำนาจเหมือนไม้หน้าสาม ต้องใช้ให้เป็นคุณต่อชาติ อาตมาคิดไกลว่าประเทศไทยนี่ เป็นการปฏิวัติที่สวยงามเรียบร้อยที่สุด

ถ้าพล.อ.ประยุท ปฏิวัติก็สวยงามที่สุด ปฏิรูปก็สวยงามที่สุด เป็นปฏิหาริย์ด้วย หลายคนมองว่าเพราะประชาชนทำมาก่อนประท้วงอย่างสวยงาม แล้วพล.อ.ประยุทธ์ก็มาทำต่อ ภาวนาว่าให้เรียบร้อยไปตลอดเถิด การเมืองไทยจะไม่เหมือนประเทศไหน ถ้าท่านฟังแล้วทำได้ก็จะได้เป็นรัฐบุรุษ ไม่ใช่แค่ของไทยเท่านั้นจะเป็นรัฐบุรุษของโลกเลย เป็นโอกาสเหมาะแล้ว เหลือแต่จะทำอย่างไร อาตมาไม่ใช่หมอดู

 

โลกต้องการคุณธรรมหรือธรรมะทุกหย่อมหญ้าเลย เอาคุณธรรมมาแก้ไขได้เหมาะที่สุด ทุกวันนี้เทคโนโลยีมีมากแล้ว  มีหูทิพย์ตาทิพย์ดำน้ำลอยได้ ครบหมด มีแต่จะเก่งขึ้นอย่าไปใช้ทางเลวต้องใช้ทางดีอย่าไปห่างเรื่องเทคโนโลยี สมบูรณ์แบบแล้วเหลือแต่ธรรมะที่เป็นดีมานสูงสุดที่เราต้องให้มีเพิ่มอีก

เขาจะเปิดอาเซี่ยน AEC ก็ไม่ว่า ต่างศาสนาก็ได้ ของพุทธเป็นอเทวนิยมเข้าใจเทวนิยมได้อยูแล้ว เข้าใจจริงๆว่าเขาต้องทำเช่นนั้น ถ้าเรื่องสังคมกว้าง พุทธสู้คริสต์ไม่ได้ และคริสต์ก็สู้อิสลามไม่ได้ ในเรื่องที่เขาเคร่งจริงจังกับศาสนา

ศาสนาใหญ่ในโลกมี พุทธ คริสต์ อิลลาม ,ศาสนาที่มีมากที่สุดคือคริสต์มากอย่างหลวมๆ แต่ศาสนาอิสลามก็มีมากอย่างแน่น สงครามในโลกยุคนี้เป็นสงครามระหว่างคริสต์กับอิสลาม เป็นเรื่องยุคกาล อเมริกานี่เป็นอิสลามนะ แน่นอนว่าอเมริกาไม่ให้ขึ้นง่ายๆหรอกไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิวก็ตามแต่ก็ขึ้นมาได้ อย่าไปดูถูกใครจะคิดว่าผิวดำจะขึ้นเป็นปธน.ของอเมริกา โลกถึงยุคเปลี่ยน อะไรจะเป็นตัวไปเปลี่ยน บอกเป็นนัยสำคัญ คือยุคสมัยต่อไปนี้ สิ่งเล็กสิ่งน้อยจะเป็นตัวนำสังคม สิ่งใหญ่สิ่งฟ่ามจะหลวงทำลายกันเอง สิ่งที่เล็กแน่น ถ้าเล็กหลวงก็ทำไม่ได้ เล็กต้องแน่นและต้องจริง คำว่าจริงนี้อธิบายไม่ได้ ลึกมาก มีทั้งตายและไม่ตาย สุดยอดแล้ว

ในยุคนี้กาละนี้ก็ขอไขความว่าโลกส่วนน้อยจะเป็นตัวพัฒนาสังคม ส่วนใหญ่เขาจะทำลายสังคมต่อไป นี่คือคำพูดของโพธิรักษ์ แล้วให้สังเกตไปเรื่อยๆ แล้วส่วนน้อยจะรวมตัวไปแก้ไขส่วนใหญ่ทั้งหมด จนถ่วงดุลอยู่ได้ไปตลอด

ในองค์รวมที่เป็นเหมือนบทสรุปว่า..สิ่งที่กล่าวไปนี้เป็นเรื่องจริงของวัตถุกับพลังงาน ของกายกับจิต อาตมาไม่รู้จริงๆเลยว่า คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนึกสะดุดกับตัวเองว่า อะไรกันทำไมมันง่ายดายอย่างนี้วะ หรือเปล่า? ส่วนมากกว่านั้นอาตมาไม่พูดเพราะไม่รู้ เท่าที่เห็นใครจะเข้าใจว่าวางแผนก็ได้ไม่วางแผนก็ได้

ลึกๆแล้วอาตมาว่าจะปฏิวัติก็ตาม เรียกมาหมด จะวางแผนหรือไม่ก็ตาม ก็บอกว่าขอคุมอำนาจแล้ว ก็ทำได้เลย คนคัดค้านก็แรงน้อยถอย เป็นสะดวกดายสบายดี เป็นอจินไตยที่อาตมามองทางธรรมว่า เหตุปัจจัยมันพอดี มันเป็นความหมักหมดกอบก่อเมืองไทยไม่ได้หยุดทำดี ถึงวันนี้แล้ว ความดีกำลังออกผล ขยายผล แต่ก่อนมีแต่ความชั่ว กดความดีไว้ เหตุปัจจัยเกิดในทุกเศษเสี้ยววินาที เป็นพลังงานศักย์ที่คนอ่านไม่ได้ง่ายๆ ลึกซึ้งซับซ้อน เหมือนยีสต์แตกตัวตลอด เพราะเมืองไทยมีคนช่วยทำตลอด อย่างไปประท้วงนี้ก็สวยงามเราจริงใจทำดีไม่ได้ไปทำร้ายนะ สิ่งร้ายแรงเพราะคนอื่นทำ

สรุปแล้วเมืองไทยไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ถ้าไม่ทำนี่ชั่วชนะแล้ว ถ้าไม่มีคนไทยทำมานี่ไม่เกิดหรอก ท่านประยุทธ์จะสะดุดใจตัวเองไหมว่าทำไมง่ายดายอย่างนี้

ในยุคกาละนี้ของไทยมีอะไรเกิดแล้ว ขอเตือนว่าอย่าเพิ่งตั้งข้อสังเกตเลวร้ายเกินไป เมืองไทยมีความดีพอ ผู้บริหารเมืองไทยก็ยังมีจิตดีพอ ในวันที่ 28 ก.พ.ที่เขาจะสลายผ่านฟ้าฯ ตำรวจถ้าจะทำก็ทำได้ แต่เพราะคุณธรรมของตำรวจที่เขากระทบสัมผัสต่อคุณธรรมแล้วทนไม่ได้ จิตมันถึงขีดแล้วก็ต้องถอยนะ เชื่อเลยว่าตำรวจไม่ได้ตั้งใจมาถอย แต่ตั้งใจมาลุย ไม่ใช่ด้นเดาเอาแต่มีองค์ประกอบที่เป็นไปได้

เมื่อพ่ายแพ้ไปตั้งแต่วันนั้นก็ต้องเบาแล้ว จนท่านประยุทธ์มาทำอะไรต่อได้บริดวกเลย (บริดวกนี่ครบกว่าสะดวกนะ) เป็นเหตุปัจจัยต่างคนต่างช่วย แต่พูดนี่ไม่ใช่ทวงบุญคุณว่าเราไปช่วย อาตมาถือเป็นสิ่งที่ควรทำ

ก็ขอให้สัญญาณแก่ คนไทยในประเทศไทยว่า ตอนนี้มันเป็นนิมิตดี เป็นสัญญาณดีที่เกิดแล้วมีผู้ตั้งใจมาปฏิรูป บูรณะประเทศไทย  ฟังพล.อ.ประยุทธ์แทบทุกวันก็คิดว่าเป็นความจริงใจที่จะช่วยพลิกประเทศไทยให้เจริญ ผู้ที่คอยจับผิดก็ทำไป แต่องค์รวมอย่าเพิ่งตั้งแง่ร้ายเลย ขอให้เขาทำงานให้เต็มที่เลย จะตั้งใครทำงานก็มีขีดจำกัด จะให้ถูกใจคนทั้งหมดก็ไม่พอ ไม่ว่าประเทศไทย เมื่อผสมส่วนแล้ว อาตมานึกเองว่าผู้ทำงานในระดับหัวที่ถูกขจัดออกไปแล้ว ก็มีพวกใหม่มา หน้าเก่าก็มี ก็ให้เขาผสมส่วนไปเถอะ อาตมาก็เห็นว่าส่วนดีคงมากกว่าส่วนแย่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรด

ถ้าคุณทำไม่ดีนะ ประเทศไทยมีคนที่เขาดูคุณอยู่ เขาเอาคุณแน่ ไม่ได้ขู่นะ ทหารนี่ขู่ไม่ได้ อาตมาก็ลูกทหาร แม้จะแค่นายสิบนะ

แต่ถ้าท่านทำดีก็ขอบอกว่าท่านจะได้เป็นรัฐบุรุษของโลก แล้วจะมีสูตรใหม่ของโลก สูตรที่จะทำนี่แหละ การบริหารปกครองด้วย  อาตมาไม่บังอาจบอก ท่านมีผู้รู้ช่วยคิดช่วยทำมากมาย อาตมาก็ช่วยเชียร์ช่วยเก็บกวาด จนกว่าจะตาย ไม่ตายก็ทำ ตั้งใจอยู่ 151 ปีด้วย สังเกตไหมว่าอาตมาหนุ่มขึ้น สังเกตต่อไป อาตมาน้ำหนักขึ้นมาแล้ว

เชื่อไหมว่า ถ้าเราเป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคมเขาจะไม่ปล่อยให้ตายหรอก แม้จะทำอะไรไม่ได้เขาก็จะขอให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เราพึ่งสังคมได้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ขอให้ทำประโยชน์เพื่อมนุษย์จริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง อ่านอาการจิตเราให้ดีว่าไม่ได้ทำเพื่ออัตตาหรืออัตตนียา ต้องอ่านถึง รูป 28 ให้ละเอียดถึงลักษณะเบาบาง เป็นลหุตา แต่เบานี่แรงมานะ และมีแรงเป็นมุทุตาด้วย มีกัมมัญญตา เป็นการงานที่ประสมส่วนได้เบาเร็ว ผสมได้สัดส่วน เบาคือสุภาพ ให้พอดี

 

.เพาะพุทธว่า...พ่อครูได้สำเสนอ ปฏิวัติ ปฏิรูป ปาฏิหาริย์ โดยเน้นประยุทธ์ ที่น่าจะส่งผลดีในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ อุปสงค์ในธรรมะ ถ้าประยุทธ์จะทำให้เกิด ปฏิวัติ ปฏิรูป มีปาฏิหาริย์นั้นจะต้องใช้ธรรมวุธ  และยุคสมัยต่อไปนี้สิ่งเล็กน้อยแต่แน่นและจริงจะช่วยสังคมให้เจริญได้เหนือกว่าสิ่งใหญ่สิ่งฟ่าม

พ่อครูเชียร์ประยุทธ์ทั้งที่เขาปิดทีวีสันติอโศก พ่อครูก็ว่า ถ้าเขาให้ออกก็ขอบคุณ ถ้าไม่ได้ออกก็จะรอคุณ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:07:33 )

570826

รายละเอียด

570826_พ่อครูเทศน์เปิดงานอบรมเชิงปฏิบัติการผลิตรายการโทรทัศน์ บุญนิยมทีวี

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์...วันนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกจริงๆที่เราพยายามจะแอ็คท่าให้มันเป็นพิธีการ ซึ่งจริงๆชีวิตของพวกเราไม่ได้ใช้ชีวิต หรือถนัดในเรื่องของพิธีการ ดีไม่ดีก็ไม่ค่อยยอมรับพิธีการเขาเท่าไหร่ แต่โลกทีั้งโลกหากไม่มีพิธีการก็จะเละไปไม่ออก ไปตามใจชอบ คิดดูสิแต่ละคนมีกิเลสเท่าไหร่ตามใจตนเท่าไหร่ เราก็เข้าใจเรื่งอของสังคมมนุษยชาติ

 

เราได้เปิดโทรทัศน์มาตั้ง 7 ปีแล้ว ขึ้นปีที่ 7 หรือ 8 เราก็จะต้องตั้งตัว คือเด็กที่อายุขนาดนี้คือหมดจากความไร้เดียงสา เป็นโทรทัศน์เด็กๆก่อน แต่เด็กก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถทำส่ิงดีงาม ไม่มีอะไรขีดว่าทำไม่ได้ เราทำได้และต้องทำให้ได้

 

ความสำคัญของสื่อโทรทัศน์ในยุคนี้ เป็นตัวเอก นอกนั้นก็เป็นsocial media ก็เป็นตัวช่วยในเรื่องความเร็ว โทรทัศน์มีความจำกัดระดับหนึ่งแต่ก็ครบเครื่องเต็มสภาพของคำว่า กาย เต็มรูปครบองค์ประกอบทั้งนอกและใน

 

กายนี้มีความหมายลึก มีจิตวิญญาณประกอบด้วย ภาษาไทยคำว่ากายนี้มาจากบาลี มาใช้ผิด ว่ากายนี้เป็นแค่วัตถุธรรมไม่มีจิตวิญญาณเข้าร่วม อันนี้เข้าใจผิด ศาสนาพุทธจึงหมดมรรคผล การหมดมรรคผลของศาสนาพุทธเพราะเข้าใจคำว่ากายเป็นแค่รูปธรรมทั้งหมด ถ้าคำว่ากายขาดนามธรรมแล้วจบ

 

ศาสนาพุทธนั้นเน้นจิตวิญญาณ ชาวอโศกเน้นจิตวิญญาณ โทรทัศน์ของชาวอโศกก็ต้องเน้นจิตวิญญาณเป็นหลัก รูปธรรมเราไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ แต่ก็มีรูปธรรมไปตามควร เราก็ไม่เป็นคนดื้อดึงดื้อด้าน แต่เราไม่มีทุนพอ เพราะรูปธรรมนี้ราคาแพง นามธรรมนี้ราคาถูก แต่คุณค่าสูงย่ิง นามธรรมราคาถูกแต่คุณค่าสูงยิ่ง นามธรรมราคาถูกไม่ต้องซื้อต้องขายหาค่า บ่มิได้ แต่คุณค่านั้นก็ราคาหาค่าบ่มิได้  อันนี้ต้องทำความสำคัญให้มาก ว่าพวกเราทำงานเน้นจิตวิญญาณแต่ไม่ได้ทิ้งวัตถุ มีองค์ประกอบทั้งรูปและนาม กายนี้เป็นองค์รวมเสมอ และในคำว่าองค์รวมนี้ขาดนามธรรมไม่ได้ ขาดเมื่อใดผิดปรมัตถ์

 

ความสำคัญของโทรทัศน์ยุคนี้ หรือการสื่อสารยุคนี้ เป็นองค์ประกอบครบพร้อม ไปเป็นตัวเป็นตน ทุกบ้านสัมผัสได้ทั่วกัน เป็นสื่อสารสากลช่วยกัน ทำกันทั่วโลก จะมีพัฒนาการไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้ว่าจะมีวัตถุแบบใหม่ที่จะมาแทนโทรทัศน์ แต่คงยากเพราะมันกระทัดรัดพอเหมาะ มีแต่มันจะเหมาะสมไปเรื่อยๆ ปรับให้เหมาะกับทุกกาละเทศะไปเรื่อยๆ

 

ที่อาตมาว่าสำคัญเพราะมันจะเป็นการสื่อสารที่สัมพันธ์ทั่วโลก ตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยไปจนคนแก่ขยับร่างกายไม่ได้ กระดิกนิ้วไม่ได้ ทำให้เห็นรับซับซาบไปได้ ต่อไปอาจจะมีกลิ่นได้ มันปลอมใส่ได้ทางวิทยาศานาตร์ ใครนั่งออกอากาศนี่เผลอตดออกมาให้ผู้ชมดมได้ ต้องระวังนะ

 

ต่อไปนี้ในอนาคต ส่ิงพวกนี้สื่อสารทั้งความสำคัญทางสังคม การเมือง การศึกษา ธุรกิจ เศรษฐกิจทั้งหมด แม้เราจะเป็นคนจน เป็นคนไม่มีเงินทองไม่ได้ร่ำรวยสะสมเงินแบบฉบับของพวกเรา แต่เราก็ต้องกระทบไหล่ดาราอยู่เรื่อย เราต้องรู้ตัวว่าเราจะดำเนินชีวิตกับสังคม เราจะอยู่กับกลุ่มก้าวหน้า ไม่ใช่แข่งรวยหรือหรูหรามีอำนาจ จะว่าแข่งก็ไม่แข่ง แต่เรารักการก้าวหน้า เราไม่ได้แข่ง การก้าวหน้าในความหมายของภาษาไทยเป็นความเจริญของชีวิต เป็นความเจริญทางลึกทางสูง

 

เช่นว่าปรมัตถ์มาเป็นคนจนไม่ต้องเบียดบังสังคมแม้แต่บาทเดียว ทำงานเต็มที่เป็นตัวจักรสำคัญแม้ไม่มีเงินทองทรัพย์สมบัติอะไร แต่มีความรู้สามารถจิตวิญญาณดี ทำงานรับใช้มนุษยชาติ นี่คือสุดยอดคนประเสริฐ ไม่ได้ขึ้นกับเงินทอง เราได้พิสูจน์มาแล้วว่าแต่ละคนไม่ถือเรื่องเงินทองเป็นหลัก เราเอาปัญญา รู้สาระว่าอะไรคือสาระของมนุษยโลก

 

คนไม่เข้าใจโลกุตระก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ในปฏิภาณก็รู้ ว่าใช่ แต่คนเป็นไปได้ยาก เป็นคนไม่มีเงินทองทรัพย์สินแล้วทำงานในวงการที่ใช้เงินมากอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะมันคิดแพง มันคิดใหม่ๆก็คิดแพงเอาเปรียบ มันคิดได้ดีวิเศษแล้วจะมาขายถูกมันไม่ทำหรอก จะมีก็แต่ชาวอโศกละมั้งว่าคิดได้ดีๆก็ขายถูกๆหรือไล่แจกให้เลย

 

สรุปแล้วเราอยู่ในสังคมไม่ใช่พูดโอ่อวด แต่เราก็อยู่ในแนวหน้าเหมือนกัน เราจะไปอยู่อย่างคนป่าคนรูก็ไม่สมควร เราจะอยู่แนวหน้าจะช่วยสังคมได้มาก สอดคล้องกับ พหุชนะหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เราจะต้องสร้างความสุขแก่คนส่วนมาก รับใช้โลกเลย

 

จะผ่านมากี่ล้านปีก็จุดเดียวกัน คือรับใช้มนุษยชาติ หากเราไม่รู้จักมนุษยชาติ แต่เราทำมาหากินอยู่ในหมู่ตนเอง เป็นเหมือนชนเผ่า อยู่ไปไม่ขวนขวาย อยู่กินไปมีชีวิตตายกันไปเป็นรุ่นๆ มีวัฒนธรรมแคบๆ ก็จะไม่รู้สังคม ไม่รู้วัฏฏะสงสาร ที่มีแนวคิดบ้าๆบอๆมากมาย สัตว์โลกก็ไม่มีแนวคิดแบบคน จะบ้าบอก็ได้มาก หรือจะคิดออกให้เยี่ยมยอดอย่างไรก็คิดได้ สัตว์โลกตัวใหญ่ขนาดไหนเป็นปลาวาฬก็คิดไม่ได้เหมือนคน คนนี่แหละเป็นสัตว์โลกที่ Practical ที่สุดในโลกแล้ว

 

เราทำสื่อในทฤษฎีคนจนช่วยคนรวย คนต่ำ ช่วยคนสูง จริงๆก็คือเหมือนกับโลกเขามองว่าเราด้อยเราต่ำ เป็นลักษณะมองกันตื้นๆ เป็นหนูช่วยราชสีห์ ก็เป็นอย่างนั้น ถึงอย่างไรเราก็ไม่เบ่งอำนาจ ไม่ใหญ่ไม่รวย แต่เป็นคนเล็ก ไม่เบ่งเป็นคนเก่ง แม้เราจะเก่งในตัวเราก็ไม่เบ่ง เก่งมันห้ามไม่ได้เราจะเก่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเบ่ง ใครจะเข้าใจหรือไม่ก็แล้วแต่ เราก็ทำอย่างจริงใจ ใครจะประชดประชันเราก็ไม่ถือสา

 

สรุปคือสื่อนี้เราทำเพื่อมวลมนุษยชาติ แม้เราจะเปลี่ยนชื่อสถานี เราไม่ได้เปลี่ยนชื่อบริษัท ยังใช้บ.เดินหน้าฝ่ามหาสมุทรเหมือนเดิมแต่ชื่อสถานีเราเปลีี่ยนตามผู้มีอำนาจต้องการ ก็คงเพื่อมวลมนุษยชาติเหมือนเดิม เปลี่ยนแต่โลโก้ ยิ่งแนวคิดยิ่งไม่เปลี่ยนเลย อยู่ในองศาเดิม

 

ทิศทางของ บุญนิยมทีวี ไม่รู้จะย่ออย่างไร ก็เอาชื่อ บุญทีวี ก็แล้วกัน คำว่าบุญก็อยู่ในกระแสที่อาตมากำลังจะอธิบาย คำว่าบุญได้เพี้ยนไปแล้วทำความเสื่อมให้มนุษยชาติไปแล้ว

 

ทิศทางของทีวีของเรา ตอนนี้สื่อสารเขาไปถึง HD เราก็ต้องไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไปตามประสาบุญนิยม เราไม่ได้สู้ด้วยเทคนิต แต่เราจะสู้ด้วยจิตวิญญาณและมุ่งประโยชน์สูงสุด ทางปรมัตถ์ เป็นความจริงสูงสุด ปรมัตถ์คือ บรมอัตถะ บรมคือยิ่งใหญ่ อัตถะคือประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ของมนุษย์แต่ไม่ได้คิดแบบโลกีย์ทีไปเอาเปรียบเขา แต่เราทำสูงส่งกว่านั้น

 

ทิศทางเราไม่เปลี่ยนแม้เศษเสี้ยวแห่งองศา เพื่อมนุษยชาติไม่เพื่อบำเรอตนเอง ทำประโยชน์สุขเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่คนก็ต้องอาศัยตามฐานะ ใช้อาศัยกาม ,รูป,อรูป

กามคือองค์ประกอบที่ต้องสัมผัสทางทวาร 5 แต่ถ้ากามรสที่จัดจ้านตำ่เราไม่เอานั้นขั้นอบาย

และกามในระดับที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จัดจ้านเกิดไป ไม่ควรมีก็ไม่เอา เราประมาณเราถือเป็นอบายมุขเช่นเดียวกัน

ในระดับอบายมุขไม่ควรมี

และเรื่องกามอื่นๆเราก็ควรลดลงๆเข้าไปหารูปให้มาก ถ้าเกิน 50 % ได้ก็ดี ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่ดี

 

เราไม่แข่งในทางกาม ในทางใหญ่โต หรือเก่ง แข่งใดๆเราก็ไม่แข่ง แต่เราจะเข้าหาสาระสัจจะเนื้อหาแท้ๆที่จะประมาณจัดสัดส่วน เป็นมัตตัญญุตา เอามาจัดองค์ประกอบ ทุกอย่างให้ได้สัดส่วน ร่างกายมนุษย์จัดสัดส่วนให้ดีก็จะแข็งแรงยืนนาน แคล่วคล่อง คนจะได้องค์ประกอบร่างกายตามวิบาก เช่นพพจ.จะได้มหาปุริสลักษระครบก็ได้ตามวิบากกุศลของท่าน เป็นสัจจะ คนทุกคนก็ได้สัจจะ อย่างอาตมาอายุ 80 แล้วทำไมยังหนุ่มอย่างนี้ก็เป็นกุศลของอาตมา อย่าบังอาจแข่ง พูดให้ดูสนุกนิดนึง

 

บุญนิยมทีวี เราเป็นสื่อที่มีทิศทางไม่แข่งหรูหราเก่งอะไรแต่เราทำเพื่อมนุษยชาติ

 

แล้วสื่อบุญนิยมนี้เน้นความสำคัญเรื่องวิญญาณเป็นสำคัญ

 

ตั้งแต่ตั้งมาจนถึงวันนี้ สถานีโทรทัศน์เพื่อแผ่นดินก็แล้วเพื่อมนุษยชาติก็ถูกปิดไป จนมาถึงบุญนิยมทีวีตั้งใจจะทำให้เป็นสถานีที่นำด้านจิตวิญญาณ แต่ไม่มีAppreciate เลยไม่มีความเบิกบานร่าเริงกระตือรืนร้นเลย เป็นสถานีซังกระตาย ช่างภาพนี้บอกเข้าเวร จะเคลื่อนก็แล้วแต่ความพอใจของช่างกล้องช่างอื่นก็เหมือนกัน เพราะเราเป็นทาสของลาภ ยศ สรรเสริญ ชมก็ไม่ชม มีแต่ติเป็นหลัก ไม่ค่อยชม ยิ่งลาภ ยศ ไม่ต้องพูดเลย กระเบียดกระเสียนเต็มที ก็เลยเป็นสถานีซังกระตาย ไม่เป็นสถานีกระตือรือร้นเอาใจใส่ พอเข้าเวรก็มีจิตกระตือรือร้นเป็นความสุขในการทำงาน ทำสนุก ไม่มี

 

ขอย้ำให้พวกเรามีใจหน่อย อย่าไปตกเป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่มีให้ก็เลยไม่มีใจทำงาน เราอยู่ในฐานะของนักปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจเองว่าจะต้องเป็นคนมีน้ำใจเอง มีอิทธิบาท มีวิริยะ มีจิตใจเต็มที่ มีใจทุ่มโถม เบิกบาน ให้งานเจริญไ่ม่น่าเบื่อ เราต้องนึกถึงงานที่เราทำให้คนบริโภค เรารู้ว่าโลกมีอย่างนั้น ส่วนมันจะเกินเราก็คุมกันอยู่ แต่ตอนนี้มีน้อยไป เป็นโลกีย์น้อยไปเป็นโลกุตระจัด ก็เลยแข็ง แม้ผู้ทำก็ไม่รู้ตัว ก็บอกให้รู้ตัว ว่าธรรมะของพพจ.นี้เหมือน Pretender เหมือนไม่จริงใจ เพราะเรารู้ว่าจะทำท่าทีอย่างใด เป็นผู้กำกับตัวเราเอง ต้องรู้จักกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ใจเป็นประธาน ออกมาเป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ องค์ประชุมทั้งหมดเรียกว่า กาโย เราก็จัดองค์ประกอบ มีความรู้ทางศิลปะให้พอดีให้คนรับ ที่ต้องรู้ว่าแรงไปเบาไปอย่างไร เราต้องรู้จักองค์ประกอบพวกนี้ให้ได้สัดส่วน แต่ใจเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเรา แต่เพื่อผู้อื่น และที่ยากคือให้ลดละหน่ายคลายจางกิเลส ไม่ใช่ว่ามอมเมาให้หนักให้จัด ให้เป็นสุนทรียศิลป์ แต่ไม่ใช่ดึงดูดมาเป็นเราเป็นของเรา แต่ให้เขาได้สนใจมารับบริการสินค้าของเรา อย่างพอเหมาะพอควร เป็นศิลปะจัดสัดส่วนให้พอเหมาะพอดีได้ยากมาก ผู้เป็นศิลปินจะจัดองค์ประกอบโลกุตระจึงยากมาก ยิ่งโลกีย์เขาเรียกร้องเราก็จัดอย่างไม่มักมาก หากมักมากจะพาเสื่อม แต่ถ้าไม่มักมากจะพาดึงไปเจริญได้

 

เราจะมีทั้งวิญญาณในการจัดสัดส่วน วิญญาณในการรู้จักสุนทรียศิลป์ ที่ไม่ใช่น่าเบื่อแต่น่าชื่นชม แต่ในศิลปะนั้นทิ้งสาระศิลป์ไม่ได้ มีสองแก่นแกนนี้ ในศิลปะ ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ทางศิลปะคนไหนสอนเรื่องนี้นะ แต่เขาเอาแต่สุนทรียะทิ้งแก่นหมดเลย กลายเป็นศิลเปรอะ เป็นเครื่องมอมเมาในกาม ไปเป็นเรื่องแปลก abstract หาเงินโดยให้ต้องความนิยมของยุค ไม่ใช่เป็นศิลปินแต่เป็นศิลเปรอะ ก็เสียหายไม่สร้างสรร มอมเมามนุษยชาติ

 

อาตมาทำงานศิลปะมาตลอด เป็นศิลปะสร้างคนไม่ใช่ศิลปะฆ่าคน อาตมาเคยแบ่งศิลปะออกเป็น 5 แบบ

1.ลามก ทุกวันนี้เยอะแต่ก็ซุกซ่อนไว้มาก

2.ราคะ แบบนี้แหละมากในโลก

3.สาระ

4.ธรรมะ

5.โลกุตระ

โลกุตระกับลามกนั้นต่างกันสุดขั้ว ทุกวันนี้เขาแฝงลามกไว้ในศิลปะ คนเหล่านี้ตกเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ตราบโลกแตก โลกนี้หากไม่เข้าใจศิลปะดังกล่าว และไม่ประพฤติ ก็ไม่ได้ แต่เรารู้และเราจะประพฤติ ถ้าจะมีการอบรมเช่นนี้อีก อาตมาก็ยินดีที่จะมาเป็นวิทยากร

 

ในเรื่องของจิตวิญญาณสำคัญ ให้รู้ว่าเราทำงานต้องควบคุมให้ดี ช่างกล้องต้องมีจิตวิญญาณที่ดี คนคุมกำกับข้างในเป็นDirecter คนสวิชชิ่งกับ ไดเรคเตอร์จะเป็นคนเดียวกันก็ได้ ในขณะออกอากาศไดเรคเตอร์สำคัญสุด และในพื้นที่จะมี Floor manager ที่จะสั่งการประสานกันร่วมกันแต่ละคนต้องมีความใส่ใจทำงาน ยินดีทำงาน ไม่ใช่ว่าทำแบบซังกะตาย

 

ถ้ารู้หน้าที่จะดูมีชีวิตชีวามากกว่านี้ นี่มันดูเหมือนสถานีที่มีวิญญาณคนตายเป็นวิญญาณผีดิบ ที่อาตมาไม่มีเวลาขยายความว่า ที่เขาทำจะต้องให้ประสานสอดคล้อง ภาพและเสียง ลีลา ที่ออกมา พวกนี้ต้องศึกษาฝึกฝน จึงออกมาเป็นสภาพที่ดีได้ ก็ให้ส่งไปเรียน มีเวลาอาตมาก็จะมาช่วยอธิบายได้เท่าที่มีภูมิ อาจไม่เหมือนที่เขาทำ แต่ก็คิดว่าแนวเดียวกัน

 

ก็ขอเน้นว่าทุกอย่างขอให้คิดถึงว่าเราจะทำด้วยจิตวิญญาณ มีอิทธิบาท งานโทรทัศน์ไม่ใช่งานศาสตร์อย่างเดียว แต่เป็นศิลปะ เรารายงานความจริงใช่แต่ต้องมีศิลปะ ถ้ารายงานแข็งน่าเบื่อ ไม่มีอะไรชูใจมันกลืนไม่ลง เหมือนคนหิวน้ำมาจัดๆ มาก็มีคนจัดน้ำให้แล้วบอกว่า แดกซะ คนหิวน้ำมาหายหิวเลยดื่มไม่ลง

 

งานนี้จริงๆแล้วมันมีคุณค่าประโยชน์ต่อมนุษยชาติ แต่มันก็มีอันตราย สื่อสารคำว่าโทรทัศน์นี่่ ทุกวันนี้อาตมาเห็นอัตรายของโทรทัศน์มาก มันมอมเมากันทั้งนั้นเลย ถ้าจะว่ากันแล้วสถานีที่เน้นสื่อสาระแท้จริงและมีศิลปะในการสื่อด้วย อาตมาว่ามีสถานีนี้สถานีเดียว สถานีของศาสนาเขาก็ว่าเขาสื่อสาระให้แก่สังคม อาตมาว่าสู้สถานี่บุญนิยมทีวีนี้ไม่ได้หรอก งานนี้เป็นงานศิลปะไม่ใช่สื่อสารอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีแต่สารคดีดุ้นๆก็ปล่อยเขาไป แต่นี่สู่สังคม ไม่ได้ทำในวัด ของเราก็ออกสู่สังคม เราต้องเข้าใจองค์ประกอบว่ารวมหรือกว้างขนาดไหน

 

อาตมาเทศน์สื่อบรรยายก็ไม่ได้เทศน์แบบแข็งสารคดีเต็มที่ มันมีประโยชน์เหมือนกัน แบบจริงจังแข็งๆ อาตมานึกถึงท่านหลวงท่านหนึ่งท่านเดินมานี่อย่ากระดิกอย่าไอนะ ท่านสอนภาษาไทย อาตมาก็ได้ประโยชน์ เป๊ะเลยเคร่ง ทำเล่นไม่ได้เลย จริงจังตลอดชั่วโมงที่เรียนกับท่าน ลงโทษให้คาบไม้บรรทัด

 

ไม่ใช่สารคดีโดยตรงแต่เป็นการสื่อสารที่มีสุนทรียะประกอบด้วย แต่ไม่มอมเมาเขา ทุกวันนี้มันมอมเมาด้วยโลกธรรม ด้วยกามารมย์หรืออบายมุข การละเล่นบันเทิงนี่เป็นอบายมุข การสื่อสารโทรทัศน์นี่มันเกิดมาเพื่อค้าการกีฬาการละเล่นกับบันเทิง นอกนั้นก็มีสารคดีบ้างแต่น้อย คิดดูสิว่าตอนนี้มีโทรทัศน์ดาวเทียมสี่หรือห้าร้อยช่อง มอมเมาคนหาเงินกันเยอะ จำเป็นที่เราต้องถ่วงดุล และจะไปเข้มเคร่งสูงมากเราก็ได้แต่สูงแต่ไม่ได้มวล คนไม่ไหว การอนุโลมต้องใช้สัดส่วนโลกีย์ผสมบ้างอันนี้ทำให้เลยเถิด เขาก็เลยเอากาม เอาราคะเพลิดเพลินสนุกสนานบันเทิง แม้อำมหิตรุนแรงก็เอามาใส่ แต่มันรู้ได้เร็วได้ทันก็เอามาได้ยาก แต่อันนี้หลงรสบันเทิงสนุกสนานมันรู้ได้ยากเป็นผีปลอมตัว เป็นเทวบุตมาร เป็นมารนะ มันเป็น The Great pretender เป็นนักเสแสร้งหลอกลวงตอแหลผู้ยิ่งใหญ่

 

แล้วมันมอมเมาซ้อนเข้ามาในทุกอย่างไม่ว่าจะวิชาการหรือบันเทิง สรุปแล้วโทรทัศน์จึงเป็นอันตรายต่อโลกมาก เราจึงต้องจัดการสัดส่วนให้เป็นมงคลอันอุดม ไม่ใช่ข้าศึกแก่กุศล ไม่ได้ใส่ความ ขอยืนยัน เพราะฉะนั้นให้มาช่วยกัน ทำให้เป็นสถานที่ที่เราสร้างคุณค่าไม่ใช่มอมเมาทำความเสื่อมต่ำแก่จิตวิญญาณ วัตถุเราก็ช่วยสร้างด้วย แม้แต่พฤติกรรม กาย วาจา ใจ เราก็ต้องช่วยสร้าง

 

เราเป็นสื่อสารคนจน ต้องอาศัยเรี่ยวแรงพวกคุณที่มาช่วยกัน เราทำมา 7 ปีโดยไม่ได้จ้างก็กินใช้อยู่กันโดยไม่ได้จ้าง เลี้ยงดูกันไปมีน้ำใจ เป็นสิ่งที่อาตมาเห็นความจริงของโลกว่ามีมนุษย์ที่เสียสละแรงงานเวลา ชีวิตมาทำโดยไม่พึงโลกโลกีย์ แล้วเราก็ทำมาได้ แนวหน้าหรือไม่เราก็เป็น 1 ใน 12 นะคิดเอาละกันขนาด คสช.ก็นับเราไปด้วย

 

เราต้องรู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร ถ้าใครเห็นว่าเป็นงานที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติก็มาช่วยกันทำ ซึ่งจะต้องค่อยๆศึกษาเรียนรู้ว่าเราจะสื่อออกไปอย่างไร ไม่ง่ายหรอกระดับโลกุตระ มันเป็นเรื่องสำคัญต่อไปมันจะใช้เป็นอาวุธในการทำงานกับสังคม เป็นอำนาจใหญ่ เราไปตกหล่นกับเขาก็ไม่ได้ แม้จะต้องกระเสือกกระสนใช้เงินทองซื้อ แม้เราจะไม่ต้องจ่ายค่าบุคคล ได้มาขนาดนี้ก็พอสมควร เราไม่มีสิทธิ์จะไปประมูลคน ตอนนี้สถานี่ดิจิตอลก็ประมูลคนไปทำงานกัน พวกเราไม่มีสิทธิ์คิดทำแบบเขาเลย เราก็ทำแบบเรา ก็ยังดีมีคนชนิดนี้อยู่ ก็เป็นกุศลของโลก

 

เราก็พัฒนาให้มีวิญญาณ มีฝีมือ ความรู้ในการทำงานจริง ใครถนัดอย่างไรก็มาช่วยกันทำตามประสา Put the man in the right Job เป็นเรื่องยากเพราะเราไม่ได้ใช้อามิสล่อ ทุกคนต้องมีปัญญามีความสมัครใจ เต็มใจ เข้าใจ การอบรมครั้งนี้ก็ได้บอกแจ้งสิ่งที่เราจะทำอะไรแก่กันและกัน ถ้าเผื่อว่าพรักพร้อมกันเช่นนี้ มีทั้งประจำและจร 

 

จริงๆแล้วคนที่เป็นหลักของสถานีนี้ถ้าได้สัก 30 คนก็ดีแล้ว นอกนั้นก็ช่วยอยู่ข้างนอกสัก 100 หรือ200 คน อาตมาก็ได้แต่พูดแต่บังคับใครไม่ได้ ใช้ความจริงใจบอกกัน

 

ก็ขอย้ำยืนยันตั้งแต่ต้นมาว่าโทรทัศน์นี้เป็นเรื่องสำคัญของยุคกาล ขาดไม่ได้ แล้วจะแปรรูปไปก็มาจากรากฐานอันนี้ มันต้องใช้อย่างสำคัญในชีวิต เราจะไม่เปลี่ยนทิศทาง จะทำเพื่อมนุษยชาติอย่างไม่มอมเมา ช่วยรื้อขนสัตว์ให้พัฒนา ต้องมีวิญญาณมีชีวิตชีวากระจิตกระใจทำงานกัน ขวนขวายตื่นตัวเต็มใจกระปรีกระเปร่ารู้สิ่งที่ควรทำ เอาใจใส่ เราก็บอกกันได้อธิบายกันได้ส่วนจะเป็นจริงจะเกิดได้อย่างไรก็อยู่ที่พวกคุณแต่ละคนที่ช่วยกันทำ อย่าให้เกิดอันตรายเกิดผลเสียต่อสังคมมนุษยชาติ

 

พวกคุณก็พัฒนาไปเรามีให้แค่ให้คนเป็นคนที่มีคุณธรรม ความสามารถ เรามีให้แค่นี้ ส่วนวัตถุเราไม่มีให้มากหรอก ก็ขอบคุณที่ได้รับความร่วมมือจากพวกเราที่ได้มาร่วมกัน

 

ขอให้บุญนิยมทีวีจงเจริญๆเถิด...สาธุ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:08:43 )

570828

รายละเอียด

570828_ปัจฉิมโอวาทพ่อครู ปิดงานอบรม บุญนิยมทีวี

ดินนา...รายงานสรุปการอบรม...

เรื่องเทคนิคการผลิตรายการโทรทัศน์ บุญนิยมทีวี ครั้งที่ 1/2557

บรรยากาศทั่วไปเป็นบรรยากาศอบอุ่น ได้ยินเสียงหัวเราะตลอดเวลา รายการที่ได้รับความพึงพอใจที่สุดคือ พ่อครูเทศน์เปิดการอบรม กิจกรรมที่ได้รับความพึงพอใจมากที่สุดคือ อาหารและเครื่องดื่ม เนื้อหาการอบรมมาที่ 2

 

จากนั้นเป็นพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณการเข้าอบรม ...สรุปผู้เข้าอบรมสื่อบุญนิยม26-28สค.57สมณะ15 สิกขมาตุ8 ฆราวาส 136 รวม 159 คน ผู้รับวุฒิบัตร เป็นผู้ให้การอบรม 8 ผู้ช่วยการอบรม 10 ผู้รับการอบรม 86 รวมผู้รับวุฒิบัตร 104 คน

 

พ่อครูว่า...จะเห็นได้ว่าพวกเราถ้าใครเคยผ่านที่เขาอบรมสัมมนากัน ถึงขั้นมีวุฒิบัตรแจกเป็นหลักฐาน จะไม่มีบรรยากาศเหมือนอย่างที่พวกเราเป็น ของพวกเรามีบรรยากาศธรรมชาติเป็นกันเอง เป็นนิมิตดีที่ไม่ได้เจตนาตั้งใจวางแผนวางเรื่องอย่างสำคัญ แต่ก็เป็นไปตามธรรมชาติ สุดท้ายก็ออกมาใช้ได้ ทำแล้วก็พึงพอใจรื่นเริงกันดี

 

อาตมาได้พูดกันตั้งแต่เริ่มเปิดงานแล้วว่า มันต้องทำ สังคมจะนับแต่วินาทีนี้ก็ได้ว่าสื่อสารจะเป็นเรื่องสำคัญ สื่อสารจะเป็นตัวงาน ทางเทคนิคที่วิเศษยิ่งกว่าตาทิพย์ หูทิพย์ มันก็เป็นเครื่องมือ จะเป็นได้ต้องมีคนเป็นตัวจัดการ จะตั้งเวลาไว้อย่างไรก็คือคนจัดการทั้งนั้น สั่งการทั้งหมด ไม่ได้หมายถึงสิ่งอื่นเลย จะเกิดบทบาทการสื่อสาร รบกันก็ด้วยสื่อสาร ปฏิวัติก็ด้วยสื่อสาร หลอกกันก็ใช้สื่อสาร เรื่องนี้คนเขารู้ก็ทำกันอย่างสำคัญ จะมีทั้งประสิทธิภาพ คุณภาพที่จะลึกซึ้งมากมาย จะเก่งกาจเรื่อยๆ เราก็ต้องเรียน ทำความรู้ตามเขาไป จะไปงุ่มง่ามก็ไม่ได้

 

พูดถึงชาวเราเป็นพวกคนจน เราไม่เปลี่ยนแปลง และเราก็ไม่ได้เสแสร้ง เราทำจริง เราเป็นกลุ่มสังคมส่วนรวมสาธารณโภคีที่ไม่ได้เป็นนักสะสม ก็ไม่มีกอบก้อนมากมาย แต่มีคงคลังไว้ใช้หมุน ซึ่งก็ไม่เหมือนพวกทุนนิยมที่เขาไว้เผื่อ นานาสารพัด แม้มันเกินแล้วก็งุบงิบไว้ คือตนเองมีอำนาจทางเศรษฐกิจสูงถ้าได้มีคงคลังสูง แต่ของเรานี่มีมากก็ต้องสะพัดออก เราซื่อสัตย์ต่อเศรษฐศาสตร์แท้ที่ต้องสะพัด

 

ของเขาทั่วไปตั้งมูลนิธิ นั้นเงินตั้งเงินสะสมนะไม่ใช้ไปทำงาน แต่เอาแค่ดอกเบี้ยไปทำงาน เขาจะไม่ใช้ทุนที่ตั้งเป็นมูลนิธิไม่ได้ แต่ชาวอโศกเราตั้งแต่มูลนิธิแรก คือมูลนิธิธรรมสันติ ตอนแรกมีทุนแสน ต่อมาเหลือ 400 เราก็ยังอยู่ได้ คือ

 

หนึ่งเราไม่ทุจริตเอาเปรียบกอบโกย สะสม  เรามีกติกาว่าถ้าไม่มาคบคุ้นกับพวกเราตั้วแต่ 7 ครั้งเป็นต้นไป รู้นอกในของเรา ว่าเราจริงใจเป็นจริงแค่ไหน ถ้าเขาไม่รู้จักเราจริงเราก็ไม่อยากได้เงินเขาเลย ใช้กติกานี้แต่ต้น เพราะฉะนั้นเงินหมุนเรามาจากพวกเราแท้ ที่เข้าใจมีทิฏฐิสามัญตา เราใช้แต่ของพวกเรา คนข้างนอกเราไม่รับ อย่างสถานีเราไม่เอาเงินข้างนอกมาใช้ ไม่เหมือนสถานีศาสนาอื่นๆเขาเรี่ยไรทั้งนั้น จะเป็นเงินทุจริตหรือสุจริตเอาทั้งนั้นขอให้เป็นเงินมา ของเราไม่ แม้เรี่ยไรเราก็ไม่ทำ ตอนแรกเปิดสถานี่เราไม่มีรายได้ก็โฆษณาว่าจะไหวไหม? อาตมาก็ดูแล้วไม่ไหว ไปไม่รอด ไม่ได้เราก็ไม่ต้องเอาเลย อาตมาก็ตั้งหลักใหม่ว่าไม่ได้โฆษณาเราก็หาเอง โดยตั้งเรื่องขยะนี้มาเป็นหลัก อาตมามั่นใจสามอาชีพกู้ชาติ

 

ก็ต้องขอบคุณพวกเราที่เข้าใจช่วยกันจริงจนเกิด สขจ. เป็นหลักเป็นฐานทุกวันนี้ก็ใช้ได้ ถ้าที่สันติอโศกนี่ถือว่าไปรอดแล้วกิจการ สขจ.สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ อาตมาก็ไปเร่ง ทางปฐมอโศกก็ตั้งตัวได้พอสมควร แต่ราชธานีอโศกก็ยังไม่ได้เรื่อง อาตมาก็ไปสูบลม เร่งเครื่อง ก็ตั้งท่าไว้เลย ก็คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ก็ใช้เงินขยะ เรียกว่า ดินอุ้มดาว

 

อันหนึ่งมันดาว อีกอันหนึ่งมันดิน มันใช้ได้ เท่ซะไม่มี ดินอุ้มดาว พอเป็นไป จริงๆยังไม่พอทั้งหมดนะ ยังขาดๆอยู่ไม่เต็มที่ต้องควักหน้าหลังมาสมทบ ยิ่งตอนนี้เรานี่ทำใหญ่เล่นทั้ง C-band และ Ku-band ก็แพงกว่าด้วย ยิ่งต่อไปดิจิตอลก็ดูไป Go on and See out จะเป็นได้แค่ไหน

 

เราเองเราเป็นศาสนาพุทธที่ไม่เหมือนโลกเขา ตอนนี้อาตมาก็เขียนหนังสือ สื่อสารด้วยธรรมพุทธ ตั้งชื่อเรื่อง “ค้าบุญคือบาป” ก็ขยายธรรมะที่ไม่เคยเปิดเผยลึกซึ้งซับซ้อนอีกเยอะ อาตมามั่นใจว่าพุทธศาสนาในเมืองไทยจะต้องดำเนินต่อไปอีก อาตมาจะสืบสานศาสนาต่อไปจนหมดเชื้อศาสนา ซึ่งมันใหญ่เกินที่อาตมาจะพูด ก็ดูกันไป ที่อาตมามั่นใจเพราะ 1.อาตมารู้ดีว่าไม่ได้มาหลอกใคร และ 2.เอามาทำแล้วยิ่งเห็นผลจริงว่าไม่ผิดที่พระพุทธเจ้าพูดไว้ และ 3. ศาสนาพุทธยังเหลืออยู่จริง มีหลักฐานพระไตรปิฎกยังไม่เพี้ยนบกพร่องไป ทำให้อาตมายิ่งมั่นใจ ซึ่งอาตมาไม่ได้ทำมาเองพระไตรฯยังเป็นหลักฐานสืบสานพุทธ

 

ทำให้เห็นว่าความจริงนี้คือความจริง อาตมาไม่อยากใช้คำพูดนี้นะ ว่าใครเห็นความจริงก็มาช่วยกันหน่อย เพราะว่ากลุ่มเราน้อยจริงๆ อัตราการก้าวหน้าโลกุตระนี้น้อย เทียบกับอัตราการก้าวหน้าของกิเลส อาตมาคั้นปรอท แต่ทางโลกสร้างโฟม

 

มันสร้างวันหนึ่งมหาศาล อาตมาคั้นปรอทจะให้มันได้ความควบแน่น ทั้งรูปร่างทั้งปริมาณและคุณภาพทั้งสองด้าน ทั้งเนื้อในเนื้อแน่นคุณภาพ และปริมาณได้ช้า เทียบกับโลกเขายากมาก อัตราก้าวหน้าของสองทิศ โลกียะกับโลกุตระนั้นห่างกันแต่ว่า ปรอทนั้นมีน้ำหนักถ่วงได้ เราต้องก้าวหน้าให้ทันให้พอเพียงไม่อย่างนั้นก็สู้ไม่ได้

 

แต่อาตมาว่านับวันพวกเรา ที่เข้ามาเห็นจริงก็ไหลมาผสม มีคนเก่าถอยไปตายไปบ้างคนใหม่ก็เพ่ิมมาอยู่ รุ่นใหม่ขึ้นมา อาตมายังคิดอยู่นะ เด็กที่เราติดชิปไปแล้วเป็นพัน เรียนผ่านเราไป เดี๋ยวนี้มีประถม มัธยม ออกไปเป็นพัน แต่ก็ไปไกลลิบไม่ค่อยกลับมา ก็ต้องขอบคุณพวกเราที่ไม่ไปไหน แต่อาตมาไม่ค่อยเป็นคนชมเชยประเล้าประโลม อาตมาติเป็นหลัก ชมเป็นรองมาก เป็นเรื่องยุคสมัย ที่ต้องติอย่างมีฝีมือให้เขารับได้ เปยยาวัชชะ ซึ่งเขาแปลกันว่า ปิยะวาจา เป็นวาจาที่น่ารัก แต่แท้จริงเปยยวัชชะ นั้นแปลว่าโขกได้โขกเอา แต่โขกให้เขาดื่มได้ ให้เขารับได้ เปยยะแปลว่าของควรดื่ม แต่วัชชะแปลว่าการตำหนิติเตียน แต่เขาแปลว่าปิยะวาจา อาตมาก็พยายามตำหนิให้น่ารัก ก็ไม่ค่อยมีใครรัก อุตส่าห์ตั้งชื่อว่ารักก็ไม่ค่อยมีใครรัก อาตมารักทั้งพงษ์เลยเขาก็ไม่ค่อยเชื่อ

 

งานการของเราที่ทำกันมาไม่ว่าแขนงไหน แม้นักการเมือง เขานับเราเป็นนักการเมือง อย่างน้อยเขาจัดเราอยู่ใน 12ช่อง อยู่ในระดับต้นๆด้วยนะ เป็นดัชนีชี้ค่าว่า สังคมรับรู้ว่าพวกเรามีน้ำหนัก มันซ้อนว่าเรามีน้ำหนักทางการเมือง แต่ไม่เหมือนเขา เขาก็ต้องทำกับเราอย่างนี้ มันมีรายละเอียด อันอื่นมีน้ำหนัก แต่ทางร้าย แต่ของเรามีน้ำหนักทางดี เขาก็อาจดูไม่ออก แต่ผู้มีปัญญาจะพอรู้

 

ก็คิดว่า เสร็จงานนี้แล้ว พวกเราก็คงเอาความรู้เหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ผู้ใดจะมาช่วยทำประโยชน์กับที่นี่ก็มาทำ ยินดีต้อนรับ ทั้งมาอยู่ที่นี่เลย หรือติดต่อเชื่อมโยง ก็จะกลายเป็นเหมือนหลายสถานี ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่นักข่าวอยู่กันหลายที่ เขาร้อยกันด้วยเงินเดือน แต่เราร้อยกันไว้ด้วยใจ ถ้าสมัครใจก็ช่วยกันไป อาตมาว่าเป็นไปได้ ทุกวันนี้ขึ้นมาได้ขนาดนี้ก็พอเป็นไปได้ เพราะเราทำจริง ไม่ได้ทำค้าขาย

 

ยิ่งหลายปีคนเขาก็จะรู้จะเข้าใจ เราไม่ต้องอยากดีอยากเด่น ทำความจริงให้จริงเท่านั้นแหละ ยิ่งถ้าเผื่อว่าเราเองไม่ทิ้งธรรม พัฒนาทุกสังกัปปะวาจากัมมันตะอาชีวะ เราทำอาชีพแต่ไม่ได้มีรายได้ คนทำอาชีพจริงจังหลายอย่าง เช่นคุณนายของผู้มีตำแหน่งเขามีอาชีพแม่บ้านแต่วันๆเขาเล่นไปเสียมากเลย เวลาเขากรอกในใบอะไรเขาก็ว่าเขามีอาชีพแม่บ้าน แต่วันๆเขาเล่นไพ่ อยู่บ่อนไพ่มีเยอะไป โดยสัจจะเขามีอาชีพเล่นไพ่ไม่ได้มีอาชีพแม่บ้าน เขาเล่นไพ่เขาเสียด้วยนะ เอาไปให้เขาไม่ได้เลี้ยงชีพตนเองด้วยนะ

 

ชีวิตการงานที่อยู่ในชีวิตประจำวันเราทำอะไรเป็นสาระเป็นหลักนั้นคืออาชีพเรา อาชีพเราก็คือทำงานช่วยเหลือมนุษยชาติ อาชีพอะไรพวกเรากรอกในใบต่างๆ ว่า อาชีพนักปฏิบัติธรรม แล้วมันมีด้วยหรือ? มีด้วยหรือ? เขาก็ว่า แต่เดี๋ยวนี้หลายหน่วยงานก็พอเข้าใจแล้วว่ามีอาชีพนักปฏิบัติธรรมด้วย เป็นเรื่องใหม่ของโลก นวัตกรรม อย่างนี้มุ่งมาจน ทำจนๆ อะไรนะนี่

 

อาตมาก็มันเขี้ยวที่จะไข ว่าความจนจะรับใช้โลกช่วยเหลือโลก ซึ่งลัทธิไปรวยนั้นช่วยโลกไม่ได้หรอก มีแต่จะทำลายโลก คนจะรวยต้อง 1.โลภ 2.ขี้เหนีียว 3.เก่งเอาเปรียบ เก่งทางโกง ก็จะรวยได้ แต่ถ้าไม่โลภไม่ขี้เหนียวก็ยากจะมีทรัพย์ศฤงคาร เมื่อตั้งหน้าตั้งตารวยอย่างบิลเกตต์ มีตั้งเท่าไหร่ แทนที่จะเอามากระจาย อย่างวอเรนบัฟเฟตก็ยังดี ไม่มีใครกล้าทำทานอย่างเขา เขาทำทานถึง 80% เขารวยรองจากบิลเกตต์นะ แต่ 20% ของเขาก็ฟื้นมารวยจนเดี๋ยวนี้ก็เกือบทันเท่าเก่า เป็นค่ายกลทุนนิยม

 

เราทำงานไม่มีสิทธิ์ไปทำลายกลไกทุนนิยม แต่เรามีสิทธิ์ช่วยคนให้หลุดจากการเป็นเหยื่อทุนนิยม ซึ่งจะได้จำนวนหนึ่ง อาตมาทำงานไม่ได้คิดแข่งทุนนิยม บางคนก็คิดว่าเราทำงานทำไมไม่รุ่งเรืองฟู่ฟ่าหรูหราอย่างเขา มันไม่เหมือนกันหรอก อาตมาไม่เคยท้อแท้ถอถอยเพราะรู้ว่าเป็นเช่นนี้ เราดูอัตราก้าวหน้า แม้บวกไม่มากระดับ คูณ หรือยกกำลัง อัตราการก้าวหน้าอย่างนี้อาตมาพอใจแล้ว มันเกิดจากสัจจะ

 

อาตมาถึงเหนื่อยก็สู้ ไม่เคยล้าไม่เคยหน่ายแหน่งที่จะอุตสาหวิริยะ เพราะเห็นอัตราก้าวหน้าของผู้คนที่แสวงหา เขามีภูมิอยู่ ซึ่งมันมียุคที่คนสอนไม่ได้แล้ว ยุคที่โพธิสัตว์เกิดมาจะรู้เลยว่าเป็นยุคที่ไม่ควรเปิดเผยพุทธศาสนา เป็นยุคที่พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ ไม่ใช่พุทธุปบาท อย่าว่าแต่โพธิสัตว์จะแสดงตัวเลย แม้พระพุทธเจ้าก็ประกาศศาสนาไม่ได้แต่พระพุทธเจ้าไม่เกิดในยุคนั้นหรอก

 

พระพุทธเจ้าก่อนจะเกิดก็ต้องตรวจยุคสมัย เหมือนองค์สมณโคดมก็ตรวจแล้ว ว่ากิเลสคนหนา จะไหวไหม แต่สหัมบดีพรหมก็มาอาราธนาว่าผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังคงมีอยู่ ถ้าท่านประกาศแล้วไม่มีคนรับได้ก็เสียศาสนาหมด เสียของหมด ท่านก็ไม่ประกาศ ไม่งั้นท่านทำไปก็เหมือนสนธิ บุญรัตนกลินทร์ เสียของหมด นี่ก็ยังเอาใจช่วยอยู่เลยขออย่าให้เป็นเหมือนสนธิเลย แต่ก็เห็นท่าทีว่าคงดีอยู่ เพราะลีลาท่าทีต่างกันเยอะที่แสดงออก เราไม่ได้มานั่งประจบประแจง พูดเรื่องจริง

 

ก็คิดว่าพวกเราก็คงเข้าใจ มีประสพการณ์ตามจริงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าใช่แต่เหตุผลตรรกะ อย่างมหาวิทยาลัยทั้งหลายแหล่ศึกษากัน พวกเราจะเป็นแม้อุดมศึกษาก็เป็นการศึกษาแบบ Phenomenology เป็นปรากฎการณ์วิทยา ไม่ใช่แค่ Philosophy หรือว่าทางสาย Prophecy เก่งที่สุดก็เป็น Prophet ของเรานั้นสูงกว่านั้น แต่ทุกวันนี้เขาก็พยายามเรียนญาณวิทยาคือ Epistemology พยายามเข้าหาความจริงที่สุด เป็นธรรมชาติ เขาเรียกภาษาว่า Phenomenology เหมือนกัน อาตมาไม่ได้ตั้งเอง แต่เขาก็แค่ Epistemology ไม่ถึง Phenomenology ไม่ถึงทำจริงอย่างเป็นหมู่กลุ่ม และปฏิบัติจริง ทุกวันนี้เรียนรู้ไม่ต้องมากหรอก ตำราความรู้มีมากเกินไม่ต้องทำใหม่หรอก ไม่ต้องเอาอะไรหรอก แค่ที่ป.ตรี โท เอกที่ทำมาคิดค้นเป็นวิทยานิพนธ์มากมายทำไม่ได้จริงก็เยอะ เห็นว่าคิดดีสูง แต่ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นความคิดพอ เหลือแต่นำความคิดเหล่านั้นมาทำให้จริง เราไม่ต้องเดินหน้าทางความคิด แต่เก็บความคิดเขามาทำให้จริงและช่วยเขา....ก็ต้องขอบคุณจริงๆด้วยใจจริงพวกเราทุกคนที่เอาใจใส่ ถ้าใครมาที่นี่แล้วงานมันเต็มก็ไปโรงขยะ หน่วยงานเดียวกันนะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:09:28 )

570830

รายละเอียด

570830_ธรรมาธรรมะสงคราม โดยพ่อครู เปิดสถานี “บุญนิยมทีวี”

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 30 ส.ค. 56 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเมีย เป็นวันที่เราถือว่าเป็นวันพิเศษ เป็นวันเปิดสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่ เป็นการเปิดสถานีช่อง บุญนิยมทีวี ก็มีคนทักว่าทำไมเป็นภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ยึดติด ใครจะว่าเสียภาษาไทยก็ยึดไปแล้วกัน อาตมาก็ไม่ได้ถือว่าเสียภาษาไทย เราใช้ผสมกันไปก็เป็นการเจริญ ตอนนี้โทรทัศน์ส่งไปทั่วโลก ไม่ได้ยึดมั่นมาเป็นเราเป็นของเรา ในส่วนที่เรายึดที่จะไม่ให้ไปผสมให้เลอะเราก็รักษา ต้องรักษาให้เป็นของแท้ เช่นโลกุตรธรรมต้องรักษาไว้ตลอดกาลเราก็ทำ คือเราจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

 

แต่อันที่ว่าเป็นภาษาผสมกันก็ควรทำด้วยซ้ำ หากเราจะรักษาภาษาไทยก็ควร และหากจะพัฒนาภาษาก็คิดได้ แล้วแต่จะเห็นอย่างไรก็ไม่บอกว่าใครถูกหรือผิด บอกได้หลายนัย

 

วันนี้เป็นวันเปิดสถานี เมื่อวานนี้เราก็ทดลองออกอากาศ เราจะออกหลังจากคสช.ออกก่อน เราจัดการเรืองเทคนิคให้ดีขึ้น

 

ก็มาพูดถึงเรื่อง กว่าจะมาเป็นบุญนิยมทีวีว่า...ชาวอโศก เป็นกลุ่มชุมชนชาวพุทธในประเทศไทย ที่รับรู้กันทั่วไปว่า เป็นชุมชนของคนจนมหัศจรรย์ ที่เดินเท้าเปล่า มีชีวิตติดดิน กินมังสวิรัติ มักน้อย สันโดษ เป็นนักปฏิบัติธรรม อยู่อย่างสาธาณโภคี

 

ชาวอโศกถือว่าเป็นเศรษฐกิจแนวใหม่มากในโลก เรียกว่าบุญนิยม ซึ่งมีหลายระดับ ชาวอโศกทำได้ถึงระดับสาธารณโภคี และที่ยังไม่เป็นถึงสาธารณโภคีก็รองลงมาเชื่อมโยงกันอยู่ ที่ยังมีส่วนตัวอยู่แทรกอยู่ก็มีบ้าง แต่พฤติกรรมส่วนกลางก็ดูได้ว่า เราทำงานให้แก่ส่วนกลางฟรี เป็นต้น ทุกวันนี้เป็นระบบแล้ว ซึ่งโลกจะต้องมาศึกษาว่าเป็นได้จริง เกิดจากจิตวิญญาณที่ได้ขัดเกลาตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าแท้จริง

 

อาตมามั่นใจมาก สาธารณโภคีเป็นคำของพระพุทธเจ้าที่มีลาภธัมมิกา เอาลาภมาเฉลี่ยรวมกัน ไม่ยึดมั่นถือมั่น ผู้ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราก็ไม่ยึดจริงอาศัยกับส่วนกลาง ส่วนผู้ที่ยังไม่หมดก็พากเพียรไป นี่คือทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ทำได้ยืนยันว่าได้จริงของพวกเรา เราไม่ได้ทำเพื่ออวดอ้างเด่นดังแต่อย่างใด เราทำเพื่อความเป็นจริงของมนุษยชาติ

 

หมู่กลุ่มของพวกเราจะมี มีบ้าน วัด โรงเรียนครบพร้อม เป็นลักษณะตรีมูรติ คือสามรวมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะตรีมูรติ มีมากมายหลายอย่างที่เขานับกัน เช่น 1.มีลักษณะผู้สร้าง 2.ผู้ปราบ 3.ผู้เป็นกลาง ปรองดองประนีประนอม คุณลักษณะสามอย่างนี้มีหลายอย่างหลายนัย ลักษณะของ 1 ,2,3 เป็นสามเส้าที่สำคัญมาก ในเชิงธรรมะ เป็นความจริงของพลังงาน ที่คนสามารถเข้าใจได้

 

ถ้า 1 ก็เดี่ยวไม่เป็นสังคม เป็นตัวตนของมันไปตามธรรมชาติ กลายเป็นเหยื่อก็พัฒนาตนเองไปตามเรื่อง แต่ความเป็นสัตว์ของคนแล้วมีจิตนิยามที่ลึกซึ้ง คุณธรรมสูงมาก

 

อย่างในฮินดูก็มี พระศิวะ พระนาราย์ พระพรหม เป็นตรีมูรติ

 

เรามีโทรทัศน์จริงและไม่ใช่ของเล่น ทำจริง ลงทุนถึงมีดาวเทียมสองดวง ลงทุนจ่ายค่าเช่าแพง เพื่อเผยแพร่ไกลกว้างให้ทั่วถึง

 

เร่ิมแรกจริงๆ กว่าจะมาเป็นบุญนิยมทีวี ก็คงมีคนงงๆ สงสัยว่า คนจนๆตีนเปล่า แต่งตัวแบบนี้ เขามองว่าเป็นคนระดับต่ำ ไม่พัฒนาไม่เจริญเหมือนชาวโลกเขา ตามกระแสโลก แล้วจะมาทำโทรทัศน์ได้อย่างไร?

 

แต่เราก็ทำได้ อาตมาก็รู้ตัวว่าไม่ได้คิดอ่านว่าจะทำโทรทัศน์ได้หรอก เพราะเป็นเรื่องของคนที่มีระดับพิเศษที่จะต้องหาเงินมาได้มาก เพราะเครื่องไม้เครื่องมือก็แพง ค่าจ้างคนทำงานก็แพง แต่พอเวลามันมีเหตุปัจจัยถึงครั้งคราวแล้ว เราก็สามารถมีโทรทัศน์กับเขาได้เหมือนกัน

 

คือเร่ิมจากเราไปชุมนุมกับเขา เราก็เห็นเขามีโทรทัศน์ออกอากาศ เราก็ออกบ้าง ไปช่วยทำกับเขาบ้าง เราก็คิดว่า ถ้าเราจะมีสื่อสารกับเขาบ้างก็คงดี ก็เปรยปรายไว้ ...แล้วก็มีคนไปเดินเรื่อง ...แล้วใครก็ว่า คนจนอย่างเราตั้งสถานีโทรทัศน์ไม่ได้หรอก สถานีโทรทัศน์ของเราจะมีนัยะที่ต่างจากเขามาก

 

เช่นสถานีหลายสถานีเขาไม่มีรายได้ทางการค้า มีนายทุนอุดหนุน เขาก็ใช้วิธีเรี่ยราย แม้ไม่เรี่ยรายก็ใช้จิตวิทยาให้สังคมมาบริจาคเงินให้แก่สถานี เขาทำกัน เขาไม่มีโฆษณาเหมือนเรา เราก็ไม่มีโฆษณา แต่เขาใช้วิธีเรี่ยไรดื้อๆ เช่นสถานีธรรมะหลายสถานี บางสถานีก็ใช้จิตวิทยาให้คนมาอุดหนุนเขาทำได้ แต่ของบุญนิยมทีวีขอยืนยันว่าไม่มีนัยะอย่างนั้น

 

จะไปเรี่ยรายไม่ทำ แม้จะทำการตลาดหรือจิตวิทยาเราก็ไม่ทำ เราใช้นำ้พักน้ำแรงของเราจริงๆ มีคนบริจาคร่วมแต่คนที่จะบริจาคต้องได้ชื่อว่าสมาชิกชาวอโศก เรามีกติกาในการรับบริจาค เราจะรับเงินบริจาคของคนในเท่านั้น

 

เราไปร่วมชุมนุมกับพธม. เขามี Astv ถ่ายทอดอยู่แล้ว เราก็มีความรู้ผสมผเสไปบ้าง คุยกับเขาก็รู้ว่าเขามีช่องทางดาวเทียมที่พอจะแบ่งให้ได้ แต่ราคาหลายล้าน เราก็ว่าไม่ไหว แต่เขาก็ลดราคาให้ เราก็คิดว่าอยากทำเผยแพร่ จนเขาลดราคามาระดับที่เราสู้ไหว เราก็ลงมือทำ

 

ทดลองออกอากาศ เขาให้เราออกได้ฟรี 1 เดือนนะ ถ้าไปไม่รอดก็ไม่ทำต่อ พอเราทำไปก็ดีเหมือนกัน ครั้งแรกเราตกลงทำ กัดฟันสู้ เราตั้งชื่อโทรทัศน์ช่องแรกว่า FETV หรือFor the earth Television ตอนแรกๆ มาเปิดเมื่อ มิ.ย. 2550 ตอนแรกก็สัมพันธ์กับ Astv ส่งแผ่นไปออกที่เขา เครื่องไม้เครื่องมือก็ต้องอาศัยเขา ก็ขอบคุณ Astv มากเลย ต่อมาก็ใช้เช่าวงจรอินเทอร์เน็ต Internet Leased Line คือการส่งสัญญาณทางอินเตอร์เน็ตระหว่างสันติอโศกกับ ASTV แต่พอเข้าเดือนที่สี่เรามีปัญหาว่าเงินไม่พอ

 

อาตมาเคยทำงานแบบนี้มาตั้งแต่เป็นฆราวาส เรียนจบมาก็ทำโทรทัศน์มาเป็น 10 ปีก็เป็นที่เดียวที่บรรจุเป็นพนักงาน ตอนแรกเราก็ให้มีโฆษณาได้ สินค้าที่ควรส่งเสริมเราก็ให้ อันใดไม่ควรส่งเสริมก็ไม่โฆษณาให้ มันก็ค้้านแย้ง เราก็ไม่มีโฆษณาเข้า เราก็ว่าไม่ไหว ก็เลยตัดโฆษณาทิ้งเลย อาตมาก็ต้องหาช่องทางใหม่

 

ก็คิดว่า 3 อาชีพกู้ชาติ กสิกรรมกับปุ๋ยก็พอไปได้ แต่ว่าขยะนี่ยังไม่เกิด ก็เลยคิดว่าจะปลุกขยะนี่แหละทำให้เกิดเพื่อหารายได้ส่งเลี้ยงโทรทัศน์ พวกเราก็ตั้งใจทำกันดี หลายชุมชนช่วยกัน ระดมเงินช่วยกันทำให้ทีวีไปรอด เราก็ทำไปได้ จนกระทั่ง เราก็เห็นว่าไม่ไหวแล้วจะหยุดแล้ว ไม่ไหวจริงๆ เราหาเงินส่งค่าเช่าสถานีไม่ไหว เพราะเราหยิ่งไม่รับเงินบริจาค ไม่เรี่ยไรเลย

 

พอดีท่านถักบุญมีเพื่อนที่ทำกิจการทางนี้อยู่เขาจะช่วย ก็เลยต่ออายุมาได้ เราเคยบอกเลิกจาก Astv แล้วมาต่อทางนี้ กับเพื่อนท่านถักบุญ ก็ได้ดำเนินการต่อไป ลดได้หลายตังค์ เรากัดฟันสู้จนกระทั่งได้ เลยไปรอด เป็นไปรอดคงทั้งสองทาง ทางโน้นลดราคา ทางเราก็ทำขยะวิทยาด้วยหัวใจช่วย

 

ต่อมา ได้ทําการหยุดออกอากาศช่อง FETV เนื่องจากชื่อช่อง เพื่อแผ่นดิน ตรงกับ ชื่อพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เพราะยังไงเขาก็ไม่เปลี่ยนชื่อพรรค เราก็เลยต้องมาเปลี่ยนชื่อ มาเป็น FMTV ก็มาเปลี่ยนโลโก้ หัวเรื่อง อะไรต่างๆ เราจำเป็นก็ต้องเปลี่ยน จนกระทั่ง พอเปลี่ยนมาแล้ว เราทำขึ้นๆก็ดูดี รายได้อุดหนุนก็ดูดี

 

ผู้อำนวยการคนแรกของสถานี FMTV คือคุณเทียนพุทธ พุทธิพงษ์อโศก ต่อมาได้หมดวาระลง และได้คุณหนึ่งพุทธ วิมุตินันท์ เป็นผู้อำนวยการคนล่าสุด การบริหารของเราทางโลกคงทำแบบเราลำบาก เพราะ เราทำแบบคนจนมหัศจรรย์ พนักงานทุกคนไม่ต้องจ้าง มาทำฟรี ซึ่งแม้แต่โทรทัศน์การกุศลหลายช่อง แม้มีอาสาสมัคร ก็คงต้องจ่ายเงินให้ค่าจ้าง แต่เราทำฟรีกันตั้งแต่ผู้อำนวยการยันภารโรง และเครื่องไม้เครื่องมือก็ต้องทันสมัยเขาด้วย แต่เราทำได้อย่างปาฏิหาริย์ ต้องขอบคุณพวกเรามาก

 

เราตั้งสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ เรียกย่อว่า สขจ. ก็มีกิจการที่ทำได้ดีขึ้นมาก และเรามีมหาวิชชารามนาวาบุญนิยมจะต้องเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวอโศก ต่อไปก็จะมีคณะขยะวิทยาต่อไป

 

 “โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ ทุกบรรยากาศ คือการรายงานความจริง” ในเมื่อความจริงของชาวอโศกคือนักปฏิบัติธรรม ดังนั้น เนื้อหาส่วนใหญ่ของทางสถานี จะเน้นหนักไปที่สื่อสารธรรมะอันเป็นโลกุตระเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการรายงานกิจกรรมกิจการของชาวอโศก หรือรายการใดๆ ก็จะมีธรรมะเป็นเครื่องประกอบด้วยทั้งสิ้น เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ขาดแคลนและจำเป็นที่สุดในสังคมที่เป็นยุคใกล้กลียุค เป็นการทวนกระแสสังคมที่กำลังตกต่ำจากอบายมุขที่มอมเมาผ่านการสื่อสารในยุคนี้

 

สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม FMTV  ถูกระงับการออกอากาศด้วยคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 15 ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เนื่องจาก คสช.ทำการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงต้องการควบคุมบรรยากาศทางการเมืองให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้ FMTV ได้หยุดออกอากาศตามคำสั่ง คสช. เป็นผลดีที่ทำให้ บุคลากรของ FMTV ได้พักผ่อนจากการตรากตรำทำงานหนักมาตลอดหลายปี และยังมีเวลาได้ปรับปรุงองค์กร รวมทั้งพัฒนาบุคลากรด้วย รวมเวลาออกอากาศ FMTVทั้งหมดนานถึง 6 ปี 6 เดือน กับอีก 15 วัน

 

7 ส.ค. 57 กสทช.ได้เชิญตัวแทนของโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่ถูกปิดให้ร่วมประชุมกันเพื่อหาทางออก โดยมีตัวแทน คสช.เข้าร่วมประชุมด้วย  ทางกสทช. ยืนข้อเสนอให้ทุกช่องเปลี่ยนชื่อช่องใหม่ และให้ทำผังรายการใหม่ ที่ไม่มีรายการที่ไม่มีเนื้อหาทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ขัดกับประกาศ คสช. ซึ่งทุกช่องดาวเทียมก็ยอมรับเงื่อนไขได้และตกลง  ทางFMTV จึงได้ทำผังรายการใหม่ เพื่อยื่นต่อ กสทช.ในวันที่ 8 ส.ค. 57 ได้ชื่อช่องโทรทัศน์ของชาวอโศกช่องใหม่ว่า “บุญนิยมทีวี” โดยยังคงทิศทางการทำงานเพื่อมนุษยชาติต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

 

หลายคนบอกว่า เราเรียกว่า BNTV แต่อาตมาก็ว่าเราเรียกว่า บุญนิยมทีวีเลย

 

คำว่าบุญนี่หมายถึงสิ่งยิ่งใหญ่ เป็นคุณค่าสูงสุด บุญคือการชำระจิตสันดานให้หมดจด นี่คือความหมายแท้ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้ว อาตมาเห็นในพจนานุกรมอังกฤษ ไทย บาลี อยู่ฉบับภูมิพโลภิกขุ ท่านธัมปาละได้เก็บใส่ไว้ได้ โชคดีที่ได้หลักฐานอ้างอิง อาตมารู้อยู่ แต่ว่าถ้าไม่มีหลักฐานก็ถูกยำเละเลย ว่าอันนี้คือความหมายของคำว่า บุญที่แท้จริง ความหมายของคำว่าบุญเกือบจะหายไปหมดโลกแล้ว เขาเอาบุญไปยำเละ กลายเป็นโลกีย์หมด ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะบุญคือการชำระกิเลส ยิ่งดีมากหาทำได้ บุญเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด สมัยก่อนเขารู้ก็เลยใช้คำว่าบุญนำหน้า

 

สมัยนี้ก็เอาบุญมาบังหน้า เพราะเป็นสิ่งมีค่าจากโบราณมาแต่เอาไปใช้โลกีย์ จะได้รวยลาภ ยศ ทำให้คำว่าบุญลดค่าลง แต่ที่จริงบุญคือการชำระกิเลส เป็นความยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ บุญเลยกลายเป็นเรื่องเละเหมือนคำว่ากุศลไปเลย

 

คำว่ากุศลนี้มีรวมทั้งโลกุตระและโลกียะด้วยกัน แต่บุญนี่มีแต่โลกุตระอย่างเดียว ถ้าเป็นอรหันต์แล้วเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปริกขีโณ) มีหลักฐานในพระไตรฯ แต่พอคำว่าบุญเพี้ยน คำว่าบาปก็เลยเพี้ยนคนเลยไม่กลัวบาป บาปคือตัวร้ายที่สุด คนมีหน้าที่จัดการบาป คนไม่กำจัดบาปคือโมฆบุรุษที่มีเต็มโลก

 

เมื่อเราได้พยายาม กระเสือกกระสน อุตสาหะ เพราะเป็นงานหนักของเรา จนสามารถเปลี่ยนเป็นช่องใหม่คือช่อง บุญนิยม และลัทธิบุญนิยมคือ Boonnism

 

จนกระทั่งวันที่ 24 ส.ค. 57 ทาง คสช. ส่งหนังสือแจ้งสำนักงาน กสทช. ให้โทรทัศน์ดาวเทียมที่ถูกระงับการออกอากาศทั้ง 12 สถานี ทั้งเอเอสทีวี-บลูสกาย-เอฟเอ็มทีวี-ช่องแดง ให้ออกอากาศได้แล้ว และเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ด กสท. ในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม เพื่อพิจารณา

 

25 ส.ค. 57  กสทช. เรียก 12 ช่องทีวีดาวเทียมเซ็นเอ็มโอยู (MOU)วันอังคารที่ 26 ส.ค. 57 เวลา 10.00น.ที่ชั้น 22 อาคารเอ็กซิมแบงก์ ก่อนนำเข้าบอร์ดกสท.วาระพิเศษในวันพุธที่ 27 ส.ค. เพื่อให้ออกอากาศได้ โดยไม่ต้องรอถึงสัปดาห์หน้า

 

27 ส.ค.57 บอร์ด กสท. มีการพิจารณาวาระพิเศษเรื่องช่องโทรทัศน์ดาวเทียมที่ถูกระงับการออกอากาศโดยประกาศของ คสช.ฉบับที่ 15/2557 ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557

 

“การขออนุญาตถือเป็นการขออนุญาตใหม่ โดยที่ คสช. อนุมัติให้นิติบุคคลรายเดิมมาขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ ทำให้ใบอนุญาตเดิม หรือช่องรายการเดิมถูกยุติเป็นการถาวร เพราะไม่มีการยกเลิกประกาศฉบับที่ 15 แต่ประการใด ทำให้ต้องเป็นช่องรายการใหม่ และรับเงื่อนไขพิเศษที่กำหนดขึ้น เป็นข้อตกลงในการกำกับดูแลเป็นพิเศษ” โดยบอร์ด กสท.ได้มีการพิจารณาอนุญาตให้ออกอากาศได้ 7ช่อง

 

จาก FETV มาเป็น FMTV และก้าวไปสู่ “บุญนิยมทีวี”

 

29 ส.ค. 57 สถานีโทรทัศน์"บุญนิยมทีวี" ทดลองออกกาศเป็นครั้งแรก เวลา17.19.น.

 

พออาตมาพูดจบตรงนี้ก็เป็นเวลา 19.09นาที เป็นการเปิดโทรทัศน์บุญนิยม

 

ของเราก็กระทบไหล่ดาราเขาได้ ของเรายืนยันว่าเราไม่ได้จ้างใครมาทำ ทุกคนมาทำด้วยใจ ไม่ได้จ้าง เป็นอาชีพประหลาดไม่ได้เงินเดือนไม่มีรายได้ มีแต่เบี้ยยังชีพเท่านั้น กินอยู่กัน เป็นพี่น้องครอบครัว เป็นเรื่องที่อาตมาภาคภูมิใจว่าสอนให้คนหมดอามิส คือหมดยึดถือว่าจะต้องทำงานเพื่อแลกโลกธรรม แลกลาภ เหน็ดเหนื่อยเราก็ทำ เราจะทำให้จิตใจร่าเริงเบิกบานก็ทำได้ เราปฏิบัติธรรม ไม่ใช่จิตเซ็งไม่กระตือรืนร้น ไม่มีพลัง มันมีพลังปัญญา พลังแห่งความพากเพียร พลังรู้งานเข้าใจงานทำงาน พลังรู้ว่าเราจะทำเพื่อสงเคราะห์โลก นี่คือพลัง 4 ของผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้า

 

อาตมาว่าอาตมาประสพผลสำเร็จในการเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้คนศึกษา จนมีพลัง 4 ทำงานโดยไม่ต้องเอาอามิส เป็นผลสำเร็จที่อาตมาภาคภูมิใจ แม้ไม่เลอเลิศเต็มร้อยแต่ก็สำเร็จ ถือว่าพ้นมิจฉาชีพ ระดับ 5 ระดับคือ

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

แม้แต่อบายมุข เดี๋ยวนี้ทางบันเทิงเริงรมย์ หลอกให้คนติดสุข เป็นนรก ปหาสะ อย่างดารานี่ค่าตัวไม่รู้กี่ล้านๆ นักกีฬาก็ตาม อบายมุขทั้งนั้น ราคาค่าตัวแพง ไม่รู้กี่ล้าน เป็นความผิดระดับกุหนา บำเรอกาม กับอัตตา ซึ่งเป็นสุขเท็จ เขาปรุงแต่งกันมาทั้งโลกเลย ศาสนาอื่นไม่มี แม้แต่ในพุทธก็เหลวเลอะไปแล้ว อาตมาพยายามนำสิ่งนี้มาฟื้นสัจจะ ซึ่งก็แสนยาก ยากก็ต้องทำ เพราะเป็นสัจจะ

 

อาชีพระดับกุหนาทุกวันนี้โลกเขาพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว สรุปคือคนหลงโลกธรรม กาม อัตตา มากๆในโลก คือจอมอบายจอมนรก คือสัตว์นรกทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้ตัว พูดไปเขาก็อาจไม่ชอบใจ เขามีอำนาจด้วย เขาอาจมาปิดปากอาตมา แต่ถ้าปิดปากอาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าเขาทำร้ายอาตมานี่บาปมาก ใครมายับยั้งอาตมานี่บาปมาก เร่ิมตั้งแต่ใครมายับยั้งอาตมาหลายคนก็ได้รับวิบากมาหลายคนแล้วในชาตินี้ เป็นสัจจะไม่ได้ขู่นะ แต่พูดไปก็รู้สึกว่าไม่น่าพูดขออภัยที่พูดไปแล้ว

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง อันนี้ก็เลวร้ายมากเลย

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้

เนมิตกะ แปลว่า คุณกำลังพากเพียรเพื่อเลิกโลก ต้องพากเพียร การลดกิเลสนี่เป็นเรื่องท้าทายมาก จึงเป็นเรื่องเสี่ยง

 

เร่ิมตั้งแต่โสดาบัน ศีล 5 ละอบายมุข คนที่เขาครอบครองประเทศเป็นคนอบายมุข เกือบทั้งโลก เขาใช้อำนาจอบายมุขมาครอบครอง เป็นอำนาจเลวร้ายทางเงินทอง ทางสังคม เป็นอาวุธสะกัดคนอื่น ร้ายแรงมาก แค่ศีล 5 เร่ิมต้นไม่มีอบายมุขก็เสี่ยงมาก นี่คือเนมิตกตา

 

จนกระทั่งสูงขึ้นๆตามลำดับ บรรลุแล้วมีต้นทุน เป็นสกิทาฯก็ทำต่อสูงขึ้น

 

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

สมมุติว่าสูงสุดในการอยู่กับโลกเขา สมมุติว่าเราเป็นอนาคามี แต่ก็ยังทำงานกับเขา เป็นบาปเป็นภัยที่ช่วยเขาทำงานไม่ดี เป็นไม้เป็นมือให้เขา ถ้าผู้ใดที่ไม่ต้องทำไปกับเขาแล้วก็ต้องมาทำส่วนตัว ถ้าไม่มีมิตรดีสังคมดี สิ่งแวดล้อมดียากที่จะทำได้ ถ้าเป็นลูกไม้ลูกมือเขาไม่มีทางบริสุทธิ์หรอก เราก็ต้องมาทำส่วนตัวหรือมาอยู่กับหมู่กลุ่มสาธารณโภคี อาจมีรายได้แต่ไม่โกงไม่ทุจริต ใช้แรงงานเราให้มากคุ้มเกิน เราไม่เอาเปรียบ เราเสียสละ แรงงานเรามีค่าร้อย เราเอาแค่สามสิบเป็นต้น

 

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา) อันนี้ไม่รับส่วนตัวเลย อย่าว่าแต่วัตถุแลกวัตถุเลย เราทำงานฟรีเลยนี่คือเศรษฐศาสตร์บุญนิยมสุดยอด แม้โทรทัศน์ที่เราทำก็พิสูจน์เศรษฐศาสตร์บทใหม่ของโลก เป็นสูตรใหม่ที่คนทั้งโลกแสวงหา เกิดจากจิตวิญญาณเป็นหลัก

ในทางวัตถุนั้นสิ้นท่าแล้วที่จะตั้งกฎเกณฑ์เศรษฐศาสตร์มาแก้ปัญหาก็ได้ชั่วคราว ไม่ถาวรยั่งยืน หมุนเวียนเป็นสมบัติผลัดกันชม แต่อันนี้ถาวรยั่งยืน เพราะทำอย่างจริงใจสร้างสรร เราพึ่งตนรอด

 

อาตมาตั้งใจนำเสนอส่ิงนี้ เสนอบุญนิยม ในทุกๆด้าน เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง การศึกษา การกสิกรรม การเงิน การสื่อสาร ก็บุญนิยมได้ทั้งนั้น เป็นสูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นลัทธิชำระกิเลส เป็นทฤษฎีที่ทำงานละกิเลส

 

เมื่อละกิเลสได้จริง คนก็เป็นคนจริง แล้วละกิเลสแบบพุทธ เป็นความเจริญ ศิวิไลซ์ที่โลกแสวงหาแต่เขายังไม่รู้ เขาว่าเป็นไปได้ยาก เพราะโลกทุกวันนี้มันประเล้าประโลมกันหนักหนาสาหัส

 

ขออภัยที่อาตมาพูดอย่างผ่าๆ แข็งๆ แต่อาตมาว่ามันดีรู้ชัดรู้ง่าย หากใครไม่มีอัตตาจะรู้ ทุกวันนี้ต้องเอาเศรษฐศาสตร์บุญนิยมมาแก้ไขได้ทุกศาสตร์ มันคลุมหมด

 

ต้องชำระกิเลส และของพระพุทธเจ้าชำระกิเลสแล้วก็ไม่ได้อยู่แต่กับตัวเอง เหมือนลัทธิฤาษีที่ทำกันมาหรือศาสดาหลายศาสดา บางศาสนาหนีเลยไม่เอาโลกธรรม เขาก็ทำสำเร็จ บางศาสนาก็อยู่กับสังคม ก็ทำได้มักน้อยสันโดษพอสมควร เช่นศาสนาคริสต์ก็ทำได้ กดข่มได้ เรียนรู้ความดีงาม ไม่เอาเปรียบดี แต่ต่างกับพุทธที่ยังไม่สามารถเข้าถึงปรมัตถ์ คือเข้าไปสัมผัสจิต อ่านจิตได้ พระพุทธเจ้ามีเรียกชื่อจิตเยอะ

 

มีหลักสูตรมากเลย เช่นรูป 28 จิต 78หรือเจตสิกตั้งร้อยกว่า เป็นต้น แล้วจะรู้ลักษณะของจริงของจิต เราอาศัยวัตถุแต่ไม่ได้ติดยึด เราก็อยู่กับวัตถุกับจิต เราเรียนรู้ว่าจิตเป็นหลัก เราก็อยู่กับโลกเขา เขาจะเลวร้ายอย่างไรเราก็รู้ แล้วจิตเราไม่ไปร้ายกับเขาเลย แม้เขาจะร้ายกับเรา เราดีกับทุกคน เราก็ฉลาดทำให้เขาลดความร้ายลงเท่าที่ทำได้ รู้ว่าอย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ หรืออย่างเอาไม้สั้นไปแหย่เสือ ซึ่งมีคนแสวงหาอยู่ ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะไม่มีลูกค้า

 

พิสูจน์มาแล้ว มีลูกค้าแต่หายาก และก็งวดเข้ามาเรื่อยๆ คนมีเชื้อมีภูมิปัญญาในไทยชักเหลือน้อย ก็มีต่างประเทศไหม แต่เราก็ไม่ดิ้นรนไปเผยแพร่ต่างชาติ แม้ภาษาเดี๋ยวนี้ก็มีแปลได้มีเครื่องแปล เราก็เผยแพร่ภาษาไทยนี่แหละ

 

ใครไม่รู้ไปหลงสื่อสาร ที่มีผีอยู่ในนั้นเยอะ คนมีสำนึกก็ไม่ปล่อยให้ผีออกมาแต่ก็รับผีและสิ่งเลวร้ายในนั้นตลอดเวลา ดีก็ดีได้ใหญ่ ร้ายก็ร้ายได้ใหญ่เช่นกัน เราต้องมีภูมิคุ้มกันอยู่กับพวกนี้ก็อย่าให้มันเอาเราเป็นเหยื่อ ประเด็นหลักคือเราต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ไม่มีกิเลสมาเป็นเชื้อร้ายในตัวเรา กิเลสมีมากขึ้นแน่ แต่ของพระพุทธเจ้าทนต่อการกระแทกกระเทือนไม่แปรเปลี่ยนไม่หวั่นไหวไปกับโลก เป็นอุตริมนุษธรม ธรรมพระพุทธเจ้าจึงรู้โลก อยู่กับโลก ทำประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ สร้างความสุขสงบอบอุ่นให้แก่มนุษยชาติ หรือว่า โลกานุกัมปา คือช่วยโลกทั้งโลก เราก็ไม่บังอาจขนาดไปช่วยทั้งโลก เราช่วยในไทยกลุ่มใหญ่ยังไม่ออกเลย แต่เราก็ต้องทำเพราะเป็นงานที่ดีที่สุดแล้ว เท่าที่มนุษยชาติควรทำ

 

งานโทรทัศน์งานสื่อสารจึงจำเป็น เราต้องมีภูมิคุ้มกันให้ตนเอง แล้วก็ใช้มันเป็นประโยชน์ได้โดยไม่เป็นทาสไม่อย่างนั้นเราก็ช่วยคนไม่ได้ ถ้าอาตมาจะไม่มีน้ำใจ ทำอยู่กับหมู่เล็กๆไปได้ สบายมาก แต่มันก็ทำใจดำไปไม่ได้ มันก็เห็นว่าเราก็พอทำได้ ก็พากันทำ

 

หนึ่งเราไม่ใช่คนใจดำ เราทำได้นี่ และสองเราเห็นทั้งเห็นว่าเขาทุกข์ ลำบาก เช่นเราเห็นรถชนคนล้มชักอยู่ก็ผ่านไปเฉย มันเป็นไปได้ยังไง ควรต้องไปช่วยเขาหน่อย เผื่อรอด แต่นี่หนีเลย เห็นไหม ใจดำ เราทำไม่ได้ ย่ิงคนถูกรถชนเลย หรือคนเลวร้ายก็ต้องช่วย เพราะเขาเลวร้ายเขาก็ไม่ดีและเป็นภัยต่อสังคมอย่างน้อยก็ต้องบอกให้คนระวังรู้ไว้ ถ้าช่วยเขาได้ก็ยิ่งดี

 

สิ่งประเสริฐอันนี้ทำไมพระพุทธเจ้า ถึงเอาชีวิตทั้งชีวิตมาทำอันนี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เอามาประกาศอันนี้อันเดียว ขอยืนยันว่าโลกจะกี่ยุคก็ตามก็อันนี้ประเสริฐสูงสุดในความเป็นมนุษยชาติกับสังคม ผู้ใดได้อรหันต์ก็คือ เป็นคนโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 

ไม่ใช่ว่าอวดอ้าง ว่าจะรับใช้สังคม แต่พอไปมีตำแหน่งก็ไม่ทำ อาจเพราะองค์ประกอบสังคมไม่ให้ ก็เลยยาก แต่ยากอย่างไรเราก็ทำ ทุกวันนี้เราทำงานรับใช้มวลชนคืองานการเมือง แต่นักการเมืองว่าขอให้เลือกเขาเขาจะไปรับใช้สังคม ก็รู้กันทั่วโลกไม่ว่าจะระบอบไหน แม้แต่เผด็จการเขาก็หลอกคนว่าเขามาช่วยปชช.ข้อสำคัญคือ ใครจริงใจกว่ากัน จะจริงใจได้ก็ต้องลดกิเลส ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้อง พรรคพวก ครอบครัวที่เป็นกรอบแคบๆ ต้องเห็นแก่ส่วนรวมกว้างขึ้นเรื่อยๆ

 

จะเป็นจริงได้ต้องรู้ถึงจิต แล้วทำให้จิตเป็นไปได้ จิตจะต้องมีมุทุภูตธาตุ จิตมุทุเป็นจิตที่ คล่องตัวสมบูรณ์แบบแววไว ไวทั้งภูมิปัญญาปฏิภาณและไวในการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นและรู้จัก สัปปุริสธรรม 7 ประการ

1.         ธัมมัญญูตา      (รู้จักทุกองค์ประกอบ) 

2.        อัตถัญญูตา      (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)

3.        อัตตัญญูตา      (รู้จักตนเอง)

4.        มัตตัญญูตา      (รู้จักประมาณสัดส่วน)

5.        กาลัญญูตา       (รู้จักกาลสมัย)

6.         ปริสัญญูตา      (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น)

7.        ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)

(พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 65)

 

และรู้จักใช้มหาปเทส 4 และสัปปุริสธรรม 7

 

ความถูกต้องคือต้องตัดสินเข้าข้างคนดี ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี ไม่ใช่ว่าเป็นกลางห้ามเข้าข้างใคร ไม่ใช่ อย่างอาตมาออกไปแสดงตัวส่งเสริมคนที่อาตมาเข้าใจว่าเป็นคนดีคนถูกอาตมาก็ทำ ใครจะเข้าใจว่าเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใครนี่คือความคิดมิจฉาทิฏฐิ แล้วก็ปล่อยให้คนไม่ดีทำร้ายคนดี และคนดีทำร้ายใครไม่ได้ ถ้าไม่ช่วยคนดีคนชั่วจะกลัวหรือ ถ้าคนดีมีหมู่กลุ่มมากนั้น ก็จะทำให้คนชั่วกลัวได้ แต่เป็นสัจจะที่ลึกๆแล้วคนชั่วจะเกรงคนดี ถ้าเขารู้ว่าใครดี นอกจากเขาไม่รู้ว่าใครดี อันนั้นเป็นความหน้ามมืด อวิชชาไม่รู้ว่าใครดี แต่ถ้าเขารู้ว่าใครดี ก็จะเข้าใจ

 

ทุกวันนี้อโศกอยู่ได้เพราะคนมีปัญญารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ถ้าเขาไม่รู้นั้นอโศกอยู่ไม่ได้หรอก ลึกๆแล้วเขารู้ว่าอโศกดี ไม่เช่นนั้นเขาปราบไปนานแล้ว ปราบไม่ยากด้วยชาวอโศกนี่ เอาไม้จิ้มฟันมาปราบก็ได้

 

งานโทรทัศน์เราต้องการผู้คน แต่เราก็ไม่กล้าไปขอร้อง และบังคับใครก็ไม่ได้ แล้วทำไมเราไม่จ้างมันมีนัยลึก คือหลายอย่างอาตมาไม่ให้จ้าง เช่นการเงินอาตมาไม่ให้จ้าง ใครสมัครใจทำการเงินก็มาทำ เรายอมรับว่าคุณซื่อสัตย์ก็ให้ทำ

 

สองการสื่อสารนี่แหละเราไม่จ้าง อาตมาอธิบายไม่ไหวเหมือนกันว่าทำไมต้องเคร่ง เพราะมันสำคัญ เกี่ยวกับจิตวิญญาณลึกๆ หลายอย่างเราไม่จ้างได้แต่ยกตัวอย่างสองอันนี้เป็นเค้า การไม่จ้างนี่แหละคือการพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ถึงความสำเร็จของการเห็นแก่ตัวหรือส่วนรวม เป็นแก่ความดีงาม ถ้ามนุษย์รู้ว่าอะไรมีความดีงามถูกต้อง คือเขามีภูมิปัญญา เขาก็มา หากเขาไม่มีภูมิปัญญาเขาก็ไม่มา คนเห็นแก่ตัวนั้นไกลเรามาก เพราะมันคนละดีเอ็นเอ คนละเชื้อ คนละพันธ์ น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน

 

ที่เราทำโทรทัศน์มาก็พยายาม นักเรียนเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่มีโอกาสทำ มีกุศลสูงด้วยนะ ขออภัยที่เหมือนเป็นเครื่องล่อ แต่มันเป็นของดีมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ หายากด้วย เป็นความต้องการของสังคมที่สูง เขาหาได้ยาก เพราะเราไม่จ้างก็ยิ่งยาก จึงเป็นสิ่งที่ต้องการสูงในคณะชาวอโศก

 

ก็บอกกล่าวว่าถ้าผู้ใดเห็นความสำคัญเข้าใจก็มาช่วยกัน เราส่งเสริมให้ก้าวหน้าให้ทำงานได้ดีก็เป็นกุศลนอกนั้นคือพาปฏิบัติธรรมลดกิเลสเป็นรายได้เนื้อหลัก นอกนั้นก็เป็นเครื่องเคียงเป็นกุศล

 

อัตภาพนั้นมีพลังงานเรียกว่าจิตนิยาม เมื่อมันเกาะตัวเป็นธาตุจิต เมื่อไหร่ ที่สูงกว่า อุตุ พีชะ ซึ่งจิตนั้นมีวิญญาณครอง และพลังงานระดับนี้เมื่อก่อตัวจับตัวกันแล้วก็จับตัวกันด้วยอวิชชา แล้วพัฒนาไปตามโลก ตอนต้นทำชั่วได้ไม่มาก แต่พอนานไปก็ทำชั่วได้มาก

 

หากใครรู้แล้วก็มาลดอวิชชากัน เพราะแต่ก่อนที่จะรู้นั้นอวิชชาไปตลอด จนกว่าจะพ้นอวิชชา ทำให้อัตภาพเราหมดกิเลส หมดตัวโง่ รู้ว่าจิตวิญญาณเรามีรูปและนามเป็นเหตุปัจจัย หากเราจะล้างกิเลสไม่ให้มันมีอีกก็จะรู้โทษภัยว่ามันเป็นทุกข์ เป็นภูมิปัญญาเป็นฉลาดจิรงว่า กิเลสไม่ควรมีในจิต และมีพลังเจโตไม่ให้กิเลสเข้ามาได้อย่างเด็ดขาดประสิทธิภาพ กิเลสไม่มีทางเข้าในจิตได้อีกเลย เรียกว่าอรหันต์ เป็นจิตวิญญาณที่ปลอดภัยไม่มีโทษแก่โลก มีแต่ประโยชน์แก่โลก เมื่อจิตวิญญาณนี้นิจจัง ทุวัง สัสตังแล้ว จึงเป็นจิตวิญญาณมีแต่จะช่วยโลก นี่คือวิชชาของพระพุทธเจ้าที่สร้างคนให้แก่โลก เมื่อใดๆก็สร้างคนชนิดนี้แก่โลก

 

ตัวผู้ได้รับการสร้างแบบนี้นอกจากไม่เป็นพิษภัยแล้วยังมีประโยชน์ต่อโลก จะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ก็ได้รู้ว่าอัตภาพคือพลังงานรวมตัวของรูปและนาม มันอาศัยกันอยู่เท่านั้น และเข้าใจสภาพของอุปาทายติ คืออาการยึด ผู้เป็นอรหันต์จะเข้าใจพลังงานยึด เมื่อไม่ยึดเมื่อใด ทุกอย่างก็เป็นสูญ ไม่ใช่แค่ปากพูดแต่เป็นความจริงของอรหันต์ทุกพระองค์

 

จะอาทานยึดไว้ฉวยไว้ ถ้าไม่เอาก็ ทาน คือให้ไปเลย คำว่าอาทาน คือให้ก็ได้ เอาก็ได้ เป็นภาวะซับซ้อน ทานก็คือให้ไปหมด ในธาตุตัวนี้ของเราเราเป็นเจ้าของธาตุจิตสูงสุด เป็นธรรมสามี คือเป็นเจ้าของจิตวิญญาณหรืออัตภาพนี้คือยึดไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อโลก และจิตวิญญาณอรหันต์ไม่มีกบฎต่อโลก ยิ่งทำยิ่งชำนาญทำงานแก่โลกได้ดีขึ้นชำนาญขึ้น ช่วยคนได้เยอะ

 

วิชชาของพระพุทธเจ้าจึงต้องมาช่วยกันเผยแพร่สื่อสาร โทรทัศน์ช่องนี้เป็นช่องที่สื่อสารเรื่องบุญ เป็น BOONNIYOM  ซึ่งภาษาอังกฤษนั้นคำว่า บุญไม่มี บุญมาจากคำว่า ปุญญะ ที่แปลว่าชำระกิเลส สื่อสารนี้จึงลงตัวที่สุด ตั้งแต่เป็นเพื่อแผ่นดิน เพื่อมนุษยชาติ ตอนนี้เป็นสถานีที่จะขูดกิเลส ใครประสงค์จะให้ขูดกิเลสก็มา ใครไม่ประสงค์จะให้ขูดกิเลสก็แน่นอนเขาไม่มา

 

เป็นงานใหญ่งานหลักตลอดนิรันดร์กาล เพราะเมื่อจิตของสัตว์โลกที่ได้จิตนิยามก็ก่อสะสมบาปมาเรื่อยๆวนเวียนไม่รู้เท่าไหร่ๆ เป็นอจินไตยในการหมุนเวียนรับใช้วิบาก ซึ่งจริงๆแล้วเดรัจฉานนั้นไปรับใช้หนี้วิบาก น้อยกว่าคน มากเลย คนนี่แหละได้ไปรับใช้หนี้วิบากมากกว่าคน เดรัจฉานนั้นทำชั่วไม่ได้มากเท่าคนหรอก นรกของคนจึงเยอะ แต่เดรัจฉานมันก็ตามประสามัน และมีคนที่ต้องไปตามวิบากไปใช้หนี้เป็นเดรัจฉานก็มี


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:10:36 )

570831

รายละเอียด

570831_วิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.เดินดิน เรื่อง โลกุตระได้หยั่งลงแล้วในประเทศไทย

.เดินดินว่า...เมื่อวานนี้ไปดูกิจการของศิษย์เก่า ซึ่งเขาไปเปิดร้านขายของ ซึ่งก็น่าทึ่งว่าเขาไม่กลัวห้างดังๆเลย ห้างอยู่ไหนเขาไปประกบเลย และที่หน้าร้านขายแบบบุญนิยม คือขายถูก ซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่ฉวยโอกาส เขาทุนไม่หนาหรอก แต่ก็ดูว่า การที่เขาแม้สินค้าจะขึ้นราคา แต่เขาก็ไม่ขึ้นราคาตาม อาศัยความซื่อสัตย์

 

พ่อครูว่า...พวกเราทุนไม่หนาหรอก แล้วเราจะสู้ได้อย่างไร เราก็ไม่ต้องไปรวยไปมีสายป่านยาวหรอก เขาคิดว่าเขาแน่ เราสู้เขาไม่ได้ เขามีสายป่านยาย เขาพร้อมจะลดราคาแข่งกับเรา ต่ำจนใครจะหมดก่อนกัน ...ขอไขความว่า พวกเราไม่ต้องกลัวว่าเขาจะสายป่ายยาวแล้วจะลดราคาแข่งเรา ของเขาจะหมดก่อน เพราะว่าเราไม่มีอะไรจะหมด เราขายต่ำกว่าเขาแล้ว คนก็ก็มาซื้อของราคาต่ำแน่นอน แล้วเขาก็จะต้องดั๊มพ์ราคาต่อไปอีกให้คนมาซื้อของเขา เขาก็จะขาดทุน แต่ของเราขาดทุนพออยู่ได้ แต่เขาก็จะขาดทุนจนสักวันหนึ่งก็หมด

 

เราขายแค่นี้เราก็มีกินมีอยู่ เราพึ่งตนรอดพอกินพอใช้ แล้วเราก็เสียสละให้สังคม แต่ของเขา ขายขาดทุนไปมา ก็ขาดทุนจริงๆ สายพานจะยาวรอบโลกก็หมดได้ เราขายขาดทุนอย่างเก่านี่แหละ เขาหมดทุนเขาก็ไปไม่รอด จะขายต่อไปได้อย่างไร ในระยะยาวเขาไม่มีทางสู้เรา

 

สายป่านยาวของเขานี่ จิตวิญญาณเรายาวกว่า เราไม่ต้องอึดเลย แต่เรายาวกว่าเขาได้สบายๆ เขาไม่มีทางชนะหรอกอย่ามานั่งแอ็คเลย เราไม่ดั๊มพ์ราคาแข่งกับเขาหรอก เราก็ขายแบบของเรา เราขาดทุนอยู่ได้ แต่ของเขาขาดทุนอยู่ไม่ได้

 

เราขาดทุนตามราคาตลาด แต่โดยจริงเราไม่ได้อดอยากทรมาน กินเนื้อกินตัวตัวเอง ไม่ใช่ เราไม่กินตัวเลย รายละเอียดอันนี้เขาคิดไม่ออกหรอก สู้ไม่ได้

 

.เดินดิน ...สมณะไปเยี่ยมพวกศิษย์ และสมณะเราก็พยายามตั้งคำถามแก่ศิษย์เก่าว่า

ควรคิดถึงเรื่องอะไรก่อน 1.บุญ 2.ครอบครัว 3.เงิน แต่เท่าที่ดูทิศทาง แม้แต่ศิษย์เก่าเราก็จะคิดถึงเรื่องเงินมาก่อน เพราะในสังคมนี้ถ้าไม่มีเงินจะอยู่ไม่ได้ แล้วทำไมเราต้องคิดถึงเรื่อง บุญก่อน

 

พ่อครูว่า...เราลดละกิเลสก็ไม่ใช่ว่าลดพรวดเลยหมด แต่ว่าเราลดตามขั้นตอน มักน้อยแค่นี้ก็พอ แล้วค่อยลดลงอีก ไปเรื่อยๆ และแม้ไม่ต้องมีเลยก็พอ อันนี้จบแล้ว ไม่มีตัวไม่มีตน นอกจากว่าไม่มีตัวมีตนแล้ว เรายังมีระบบสัมพันธ์ คนอื่นเขามีตัวตนอยู่บ้าง เขาก็จะมักมากจะมีแรงทำ แต่คนไม่มักมากหมดกิเลสก็ไม่ใช่ว่าไม่มีแรงทำงาน หรือขี้เกียจแต่อย่างใด มันจะไม่ใช่เลย ปัญญามันจะรู้ว่าต้องขยันอย่างเป็นปกติ แล้วมีความรู้สามารถทำ มีแต่เหลือแต่เกินด้วยซ้ำ

 

แล้วประเด็นที่ว่าคนที่ลดละแล้วหมดได้จริง ก็เพราะเข้าถึงปรมัตถ์จริงอ่านจิตแล้วล้างกิเลสได้จริง สังคมเราพึ่งพากันและกัน แม้ที่สุดเราหมดเนื้อหมดตัวเราก็ขยันอยู่ และเราก็มักน้อยสันโดษ เราไม่ไปติดกามารมย์ หรืออบายเลยเราจะไม่เปลืองผลาญ สมรรถนะในคนแต่ละคนจะสามารถผลิตสร้างสรรในตน ตีราคาแล้วจะพอกินพอใช้ เหลือกินเหลือใช้ คนเรากินไม่เกินกำลังเราเองหรอก ถ้าเราไม่ขี้เกียจเกิน คนก็ทำพอกินแน่ เพราะสัตว์ยังหากินรอดเลย

 

สรุปแล้วคนเราพอลดกิเลสจะมีสมรรถนะทำงานเหลือกินเหลือใช้แน่ แต่ก็ถ้ามีภาวะป่วยทำงานไม่ได้ อันนั้นจึงต้องพึ่งพาสังคม ถ้าเราไม่สะสมเลยนะต้องพึ่งสังคม ถ้าเราอยู่คนเดียวก็ต้องสะสมไว้ แต่ถ้าเราอยู่กับสาธารณโภคี เราก็มีกองกลางสะสมไว้บ้าง ต่างตนต่างผลัดกันป่วย คนไม่ป่วยพร้อมกันหมดหรอก ถ้าไม่ใช่ห่าลงนานๆที

 

คนป่วยก็มีไม่กี่คน แต่คนทำงานเยอะ ยิ่งอยู่อย่างเป็นปึกแผ่นก็ไม่บกพร่อง จะเหลือกินเหลือใช้ สร้างแล้วมีแต่สะพัดให้คนอื่นเต็มที่เลย เมื่อผู้ใดมีความขยันกับสมรรถนะเพียงพอคนนี้เหลือกินเหลือใช้ ก็ไม่ต้องกลัวจะขาดแคลน และอยู่กับหมู่กลุ่มที่ขยันสมรรถนะอีก โดยแต่ละคนไม่สะสม เอาเข้ากองกลางหมด กองกลางก็ยิ่งมีมากขึ้นๆ

 

เขาบอกว่าหมู่บ้านอโศกนี่ว่าจน แต่ทำไมมันดูใหญ่นักล่ะ ดีไม่ดีไปช่วยเขาอีก เขาก็อาจระแวงว่าเรามาไม้ไหน จะมาล้วงตับกินไส้เขาหรือไง? เราเองเราทำงานช่วยเขา แต่เขาก็ไม่ค่อยเชื่อระแวงเรา เราก็ไม่เป็นไร เราก็ทำช่วยไป

 

เพราะว่าที่นี่เอาที่สำนึกของคน ใครมีสำนึกดีก็สร้างสรรดี เอาไปแบ่งกินแบ่งใช้กัน ขอให้เรามีพลังสร้างสรรเป็นอาริยทรัพย์ เราก็เป็นเจ้าหนี้ เจ้าบุญเจ้าคุณ เราไม่จำเป็นต้องไปทวงอะไรเลย ใครจะเป็นหนี้เราเราไม่ต้องไปจำเลย ใครอยากใช้ไม่อยากใช้ เราก็ทำเหลือทำเกินอยู่แล้ว พอปฏิบัติไประดับหนึ่งเราก็จะรู้ว่ามันเหลือเกินใช้แล้ว คนอื่นมาแบ่งเราอีกเราก็ยิ่งมีมากเกินอีก

 

.เดินดินว่า...

 

พ่อครูว่า...คนที่ไม่มาอยู่ไม่รู้หรอก ดูอย่างนกใบทิพย์สิ สุดท้ายก็ไปอย่างสงบเรียบร้อย คนไปเยี่ยมมากเกินไปช่วยมากมาย จนจะเกินไปซะอีก ญาติทางสายจิตวิญญาณนี่มีมากกว่าญาติทางสายโลหิตแน่ อาตมาจะอยู่พิสูจน์ไป คนไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นไปได้ก็ไม่เป็นไร

 

.เดินดินว่า..ได้คุยกับญาติธรรมรอบนอก ลูกเขาก็เป็นคนดี ผมถามเขาว่า ระหว่าเงินกับลูก อะไรจะดูแลวาระสุดท้ายของชีวิตเขาได้มากกว่ากัน เขาตอบว่าเงิน...มั่นใจเงินมากกว่ามั่นใจลูก

 

พ่อครูว่า...เป็นได้ถ้าลูกแสดงจิตใจเป็นโลกีย์ เขาก็ไม่มั่นใจเพราะเงินช่วยได้มากกว่า แต่ว่าหมู่กลุ่มที่ดีนั้นพึ่งพากันได้มากกว่า อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกมีเนื้อแท้ในการเห็นแห่มิตรญาติ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มั่นใจว่าว่าพึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้จริง

 

? ก็เอาตัวอย่างของพวกเรา มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า...บ้านราชฯทุกวันนี้กำลังพัฒนาทางที่อยู่อาศัย วัตถุ แบบก้าวกระโดดไปหรือเปล่า บางคนก็บอกว่าเรามาอยู่กับระบบทุนนิยมหรือบุญนิยม บุญนิยมที่บ้านราชฯดูเหมือนจะถูกทุนนิยมกลืนกินไปทีละน้อย เรามีแรงงานที่ต้องว่าจ้างมากมาย อุปกรณ์เครื่องยนต์กลไกก็ต้องจ้างเขาส่วนมาก ทั้งๆที่คนของเราก็พอมี เครื่องยนต์กลไกอุปกรณ์เราก็พอมี หรือว่ามีเพื่อเอามาโชว์เฉยๆ บางอย่างก็จ้างก็ต้องทำถ้าจำเป็น พ่อครูสมณะก็ยังอยู่ ..อยู่ในสายตา ข้าน้อยก็อาจมองผิดไป อยากให้บ้านราชฯเป็นบุญนิยมมากกว่านี้....กราบนมัสการ

 

พ่อครู..ตอบ ผู้เขียนมาก็มีความเข้าใจ อาตมาก็เห็นอยู่ และช่วยจัดสรรอยู่ ให้พอเหมาะพอดีไม่อย่างนั้นพัง แต่อาตมาก็เห็นว่ามันเป็นไปได้ มันมีความซ้อนที่ว่า คำว่าทุนนิยมคือเอามาให้แก่ตนเองมาก มีประโยชน์แก่ผู้อื่นน้อย ส่วนบุญนิยมเอามาให้แก่ตัวเองน้อยเอาให้แก่คนอื่นมาก จนไม่เอาให้ตนเองเลยมีแต่ให้คนอื่น

 

ทีนี้ ที่บ้านราชฯ ขณะนี้คนมาอยู่ ก็อาจรู้สึกว่า มันเข้าเขตทุนนิยมแล้ว มันให้แก่ตนมาก ให้แก่คนอื่นน้อย หรือว่าให้แก่คนอื่นมากแล้วให้ตนเองน้อย...ขณะนี้บ้านราชฯเป็นแบบไหน?....เรากำลังทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น เราทำกว้างขึ้น เช่นเราให้คนมาทำงานที่นี่มากขึ้น คือเราให้คนอื่น เขามาทำงานในนี้ ของเราก็ไม่ใช่ว่าขี้เกียจ เป็นนายทุนใช้แต่เงิน ไม่ใช่ มันซ้อน ชาวชุมชนเราก็ทำอยู่ ขยัน สร้างสรร

 

เราไปขยาย ฮับ ที่เผยแพร่ต่อ เราจะลดราคาลงไปอีกด้วยซ้ำ ที่เราทำนี่ ...ต้องดูกรรมกิริยาว่าเราให้เขาหรือเราเอามา? ...เราให้เขามากขึ้นต่างหาก …

 

แล้วเราให้เขามากขึ้นแล้วเราเตี้ยอุ้มค่อมหรือไม่?...จริงขณะนี้เราเหมือนเป็นหนี้ แต่เราเรียกว่าเงินเกื้อ (เทียบกับคำว่ากู้) มองให้ชัดดูให้ดีว่า อโศกกำลังเจริญขึ้น อย่างเงินเกื้อเรานี่ก็ไม่ได้เอามาฟุ้งเฟ้อเกินไป แต่เราก็เอามาใช้ประโยชน์จริง แม้จะดูว่าเรามีประดับตกแต่ง ศิลปะ ...อาตมาเรียนศิลปะมาก็คือเราทำเพื่อให้เขาเห็น สวย แต่ไม่สวยอย่างปรุงแต่ง มิสทิฟฟานี่ บ้าๆอย่างนั้นเราไม่ทำ แต่ของเราสวยอย่างธรรมชาติ รูปรสกลิ่นเสียงเป็นธรรมชาติเสียส่วนใหญ่จะประดับตกแต่งก็ไม่เกินไป อาตมาเป็นศิลปินมองในองค์ประกอบที่จะจัดสรรให้ลงตัว เป็นมงคลอันอุดมไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล อาตมาชัดเจนในสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ จะไม่ขบถ เรื่องอะไรจะทำสิ่งเสื่อม

 

เราไม่ทำอย่างเกินไปเราไปทำทำไมมันจะเสื่อมหรือแม้ไม่ทำมันก็ไม่เสียหายอะไรเราจะไปทำทำไม แต่ที่เราทำนี่มันทั้งไม่เสียหายและเป็นประโยชน์เราจึงทำ ในรายละเอียด การระแวงระวังระมัดระวังไว้ เป็นเรื่องดีนะ ช่วยกันมอง อาตมากำลังอธิบายคล้ายกับที่ คุณประยุทธ์ทำนะตอนนี้ มีอะไรถามมากตอบไป เขาก็เร็วไวในการตอบนะ อาตมาก็ไม่ทำแรงอย่างเขา ของเขาทำตามฐานะ

 

สรุปเราไม่บานปลายหาทุนนิยมแน่ และดูประโยชน์ท่านมากไปจะเราสูญเสียหรือไม่?ก็ไม่เสียนะ คือเราได้สัมพันธ์ขัดเกลาฝึกปรือสร้างสรร แรงงาน ทั้งใจก็ได้ฝึกพยายามปรับให้สบายให้อยู่ได้ มันซับซ้อนลึกซึ้งมาก ทฤษฎีพระพุทธเจ้านั้นสุดยอด ดีแล้วที่ถามมา ขณะนี้อาตมาก็ขอตอบสรุปอีกที ว่า

 

บ้านราชฯยังเข้มอยู่...แต่เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้มากขึ้น

 

.เดินดินว่า...เขาจะท้วงว่า ก็ใช้พวกเราสิคนนั้นคนนี้

 

พ่อครูว่า...มันขัดแย้งที่คนที่ใช้คนอยู่นี่ไม่มีความสามารถ แต่ความสามารถสุดยอดคือเขาอยากมารับใช้ วิ่งมารับใช้ให้เลย คนที่ใช้คนคือคนเบ่งอำนาจ การไม่ใช้ใครนี่คือคนสุดยอด ใครที่ใช้คนมากนั้นไม่เก่งเลย แต่คนที่มีคนเขามารับใช้มาทำให้โดยไม่ต้องสั่งอย่างเต็มใจนี่คือสุดยอด หากจะให้เราชี้ใช้นั้นมันขัดแย้งกับลีลาโลกุตระ แต่เราทำให้เขาสำนึก มีภูมิปฏิภาณเองว่าเขาควรทำ ยิ่งจำเป็นยิ่งควรทำ นั่นคือความตื่นรู้ที่มีปฏิภาณปัญญาว่าอะไรควรหรือไม่ควร อะไรควรเขาก็จะทำเป็นการสร้างคนให้มีปัญญารู้ว่าอะไรควรทำ

 

.เดินดินว่า...มีคนบอกว่าจุดอ่อนบ้านราชฯ  ทั้งที่คนมามาก มีทั้งวนบ.ด้วย แต่คนเก็บผักก็เหลือคนเดียวอีกแล้ว

 

พ่อครูว่า...ก็ต้องรู้แล้วช่วยกันเสริมหนุน เรื่องเก็บผักนี่หากคนเดียวเก็บพอก็ดีไป แต่นี่คนเดียวไม่พอ พวกเราก็ช่วยกันมองเรื่องนี้สำคัญนะ ผลผลิตเรามี ผู้ทำก็ขยันทำ แต่ไม่ขยันเก็บ สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยรู้ค่อยฉลาด

 

.เดินดินว่า..และคนเก็บผักเขาคิดว่าเหมือนไม่ได้แสดงสมรรถนะอย่างไร ไม่เหมือนคนปลูกผัก พวกเราอาจคิดว่าไม่ท้าทายความสามารถอะไร? เป็นบุญแรงแห้งรางวัล

 

พ่อครูว่า...เป็นการปิดทองลำไส้พระ ...พวกเราก็ยังมีติดในโลกธรรม แต่ว่าบุญแรง  แห้งรางวัลนั้นจะขันชะเนาะจิตใจเราให้สร้างสรรได้อย่างดีเลยนะ

 

.เดินดินว่า..เมื่อกี้นี้พ่อครูพูดถึงนายกฯคนที่ 29 มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่คนได้อำนาจจะติดยึดหลงใหลในอำนาจและผิดพลาดในที่สุด

 

พ่อครูว่า...การติดยึดอำนาจแล้ว หนึ่งใช้อำนาจเป็น หรือ สองใช้อำนาจนั้นเพื่อคนอื่นจริงๆ ใช้คนเป็น กระจายงานเป็น และเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ถ้าคนจะยึดอำนาจ หลงอำนาจนั้นอยู่บ้าง แต่เขาใช้คนเป็นและไม่ได้เห็นแก่ผลได้ส่วนตัว แต่ทำเพื่อส่วนรวมประเทศจริงๆ และความรู้สามารถเขาทำได้ และไม่เห็นแก่ตัวด้วยก็ให้ยึดอำนาจไปจนตายเลยนะ ฟังดูเงื่อนไขอาตมาดู คนที่ว่าไม่เป็นปชต.นั้น ถ้าเอ็งไม่เก่งเท่าเขาก็อย่าสะเออะ ให้เขาทำเถอะ

 

สำนวนคำว่า หลงอำนาจ ยึดอำนาจ ต้องมีเหตุปัจจัยว่า เพื่ออะไร ? แต่ถ้าหลงอำนาจแล้วเอาเข้าตัวเอง โกงกินทุจริต หรือบริหารไม่เป็นก็รีบไล่ออกไปเลย

 

ถ้าเผื่อว่าเราจริงใจและพอไปได้ ขณะนี้ดูคุณประยุทธ ออกมาบรรยายแต่ละประเด็นก็จะรู้ว่าเขารับผิดชอบไหม อาตมาดูท่าทีคุณประยุทธแล้วน่าเลื่อมใสนะ อาตมาไม่ได้พูดป้อยอนะ และส่วนที่อาตมาเข้าใจยังไม่ได้ คือเขาจะเห็นแก่ตัวมีเล่เหลี่ยมไหม ..ก็เอาเถอะ จะมีบ้างก็เล็กน้อย อาตมาว่าไม่น่าห่วงนะ ให้ทำดู ถึงอย่างไร พฤติกรรมเขาขณะนี้ก็ไม่โกงกินมากกว่าเขาทำงานนะ ยังจับไม่ได้ แต่ถ้าโกงกินมากกว่าการงานก็ค่อยว่ากันอีกที อาตมาดูว่ายังไม่เห็นใครขยันเอาจริงมุ่งมั่นขนาดนี้ มันมีสิ่งที่ยังไม่เข้าใจคือใจเขาจะมักน้อยสันโดษขนาดไหน ถ้ามักน้อยได้อีกก็อยู่ไปอีก นานๆเลย

 

.เดินดินว่า..ตอนนี้รัฐบาลพยายามปรองดองก็เหมือนหินทับหญ้าไว้

 

พ่อครูว่า..ก็ยังต้องดูไป จะไปติเรือทั้งโกลนได้ไง ดูค่าเฉลี่ยแล้ว พฤติกรรมบริหาร ให้คะแนนถึง 90 % นะ ส่วนบกพร่องนั้นมีบ้าง เช่นใช้คนบางคน ที่เราเห็นว่าไม่น่าไว้ใจ แล้วกี่คน เชียว มันยังไม่ถึง 10% นะมากไปแล้ว

 

.เดินดินว่า..โพล ของปชช.ก็ให้คะแนน 90% ขึ้นไปเหมือนพ่อครูนะ

 

พ่อครูว่า...ใครจะให้ได้เต็มร้อยก็ไปที่โลกพระอังคาร ซึ่งอาตมาว่าดาวอังคารยังไม่มีคนหรอก มีแต่น้ำ

เท่าที่อาตมาอายุ 80 กว่าแล้ว อาตมาเกิดมาปชต.ก็เกิดแล้ว ปชต.เกิด 2475 อาตมาเกิด 2477 อาตมาเห็นปชต.ตั้งแต่เร่ิมๆเลย พอรู้ความตอน จอมพล.ป. ที่เป็นตัวปฏิกิริยาหลัก อาตมาก็ทัน นายกฯสองคนแรกคือพระยามโนปกรณ์ และ พระยาพหลฯ ก็ยังไม่ตั้งหลักเท่าไหร่ อาตมาทันหลวงพิบูลย์สงคราม ก็เห็นปชต.แบบใดๆมา ซึ่งตอนแรกก็ยังไม่มีรูปเรื่องเยอะ แต่พอจอมพล.แปลกนี่แหละมีรูปเรื่องของปชต.เยอะ

 

จอมพล.ป.คือมี ตัวเองโลภ และให้พรรคพวกโกงด้วย สองอันนี้ เหมือนทักษิณที่มีครบสองอันนี้เลยให้คนอื่นโกงด้วยแล้วตัวเองก็ดูดเอาได้ด้วย เป็นประเด็นหลักที่ชัดเจน ถ้าไม่เอาแก่ตัวเองมากและไม่ให้พรรคพวกโกง

 

จนมาถึง จอมพล.ถนอม และจอมพล.สฤษดิ์  ก็บริหารใช้ได้ แต่ก็ยังโกงอยู่นะ มากเหมือนกัน สรุปแล้ว นายกฯที่เป็นมาอาตมาให้คะแนนคนนี้ แม้จะเป็น 1st impression คนอื่นๆอาตมาก็ได้เห็นมาแล้ว อาตมาจึงให้ราคาพล.อ.ประยุทธ์ นอกนั้นก็ไม่ได้เนื้อหาเลย ได้นายกฯมา 20 กว่าคนแล้ว แม้แต่คึกฤทธิ์ก็เถอะ

 

พล.อ.เปรมนั้น ก็ไม่ปล่อยให้พรรคพวกช่วยกันโกง ตัวเองก็ไม่ซุกซ่อนโกงกินอะไร ซึ่งก็ได้ตำแหน่งจอมพลเหมือนกัน จึงได้เป็นรัฐบุรุษคนเดียวในประเทศไทย ที่ในหลวงท่านมองออก แม้แต่ท่านปรีดีย์ พยมยงค์ ก็ได้เป็นนายกฯ เป็นรัฐบุรุษของปชช.แต่ก็ไม่ได้มีโอกาส พอมีโอกาสก็ไม่มีความรู้ทำ แต่ตอนมีความรู้ก็ไม่มีอำนาจโอกาสทำ

 

ในประเทศไทยมีรัฐบุรุษสองคน คือ พล.อ.เปรม กับ ปรีดีย์ พนมยงค์ และถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ทำได้ แม้จะมีกิเลส แต่ก็ต้องรู้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตที่จะทำหน้าที่ อาตมาเห็นว่ามีความรู้ สามารถพอ แต่เหลือแต่ซื่อสัตย์ ขนาดปูยังบริหารได้เป็นปีๆเลย แล้วประยุทธ์จะบริหารไม่ได้อย่างไร นี่ไม่ได้ดูถูกปูนะ แต่เขาให้ทักษิณชักใย ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์และพท.ทำ

 

เหลืออย่างเดียว แม้กิเลสมีก็ให้กดข่มไว้ จะตายไหม พยายามเสียสละอย่าโลภ ลูกก็มีแฝดเดียว เมียก็มีคนเดียวมั้ง ญาติโกโยติกาก็มีไม่เท่าไหร่ เป็นโอกาสที่ดีมากเลย ที่จะทำงานเสียสละสร้างสรร ถ้าได้จริงใจทำเต็มที่เลย แล้วซื่อสัตย์อย่าขี้โลภ เป็นภัยหนัก ส่วนความรู้สามารถเห็นแล้วอาตมาขอยอมรับ  คุณประยุทธ์จะได้เป็นรัฐบุรุษที่เด่นเลย แม้มีกิเลสก็กดข่มไว้ ขอสักชาติเพื่อประเทศไทย

 

และไม่ใช่แค่ไทย ตอนนี้เขาจะรวมอาเซี่ยน เป็นเรื่องธรรมดา และไทยจะเป็นตัวอย่างเป็นหลักให้แก่เอเซียเลย ทั้งเศรษฐกิจสังคมด้วย

 

.เดินดินว่า...พ่อครูมองการเปิดอาเซี่ยนว่าอย่างไร เพราะเขามองว่านายทุนจะได้ประโยชน์

 

พ่อครูว่า...มันอยู่ที่ปชช. ถ้ายังเห็นแก่ตัว จะไปล้วงตับกินไส้สังคมส่วนกลางก็ไปไม่รอดแต่ถ้าแต่ละคนไม่เห็นแก่ตัว กิเลสน้อยในค่าเฉลี่ย ในเอเชียอาตมาเชื่อว่ากิเลสน้อยกว่า เพราะอะไร?

 

ภาคยุโรป กับเอเชีย พลเมืองเอเชียมากกว่า...แล้ว ศาสดาทางยุโรปกับทางเอเชียอันไหนมากกว่าและลึกกว่ากัน ก็เอเชีย เพราะเอเชียมีโลกุตระ ยุโรปไม่มีโลกุตระ ขอยืนยันว่าไม่มี แม้ตะวันออกกลางก็ไม่มีโลกุตระ อาตมาจึงไม่เกรงไม่หวั่นเลย และยิ่งไทยตอนนี้ คนไทยนั้นมีเชื้อโลกุตระกำลังก่อหวอด แม้จะไม่แตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ยังไม่ค่อยเดียงสา แต่ก็โอคทาแล้ว เชื้อได้หยั่งลงแล้ว ไทยจะเป็นชมพูทวีป นำโลกไปสู่ความสงบสุข

 

.เดินดินว่า...อะไรเป็นสัญญาณว่าโลกุตระกำลังก่อหวอด

 

พ่อครูว่า...ก็พวกเราตาดำๆนี่แหละ นี่เป็นเครื่องวัดค่า เป็นดัชนีบอกให้เห็น ว่าพวกคุณแกล้งมาจนหรือ? คุณแกล้งสุขหรือเปล่า?.. อาตมาว่าพวกคุณไม่ได้แกล้งมาสุข สุขอย่างมักน้อยสันโดษนะไม่ใช่แบบฤาษีนะ มีรูปธรรมเห็นๆเลย ตามสวากขาตธรรม เอาตนมาพิสูจน์ เชิญให้มาดูได้ จะรู้ว่าเข้าร่องรอยแบบอาริยะของพระพุทธเจ้าไหม? เป็นดัชนีชี้ค่าของอาตมา

 

ศาสนาคริสต์เร่ิมต้นด้วยสาวก 12 คนเอง แล้วพระเยซูใช้เวลาบรรยายแค่ 3 ปี น้อยที่สุด แล้วของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระใช้เวลาตั้ง 45 ปีหลักฐานก็มี แม้จะเสื่อมไปบ้าง แต่ถ้ามองให้ออกว่าเกิดขึ้นแล้วในไทย

 

ปชช.ตื่นตัวกันเยอะ แต่เขายังไม่แน่ใจมั่นใจ และเขายังเข้าใจได้ไม่จริง ถูกมอมเมา อาตมาว่ากระแสหลักเป็นโลกียะไปหมดแล้ว แต่คนมีปัญญาจะเข้าใจมองออก แต่เราเข้าใจแล้วก็ทำไปสั่งสมไป จะเห็นได้ง่ายต้องมีรูปโต กว้างขวางมีคุณราศี มีคุณนิธิมากพอ เป็นต้นทุนที่เป็นกอบเป็นกำ เป็น Potential energy ส่วน คุณราศีเป็น Kinetic energy ถ้าสองอย่างนี้มากพอก็จะแสดงออกในสังคมให้เห็นเอง

 

พูดไปเหมือนเข้าหาตัวเองและกระทบคนอื่น แต่ถ้าพูดไม่กระทบใครก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย พูดไปทำไมกัน ให้เสียอาวุธด้ามยาว แต่ถ้าอาตมาพูดผิด กรรมก็ตกเป็นของอาตมาเอง เหมือนแขกมา แล้วเราก็เอาอาหารให้แขก แต่แขกเขาไม่เอา อาหารก็ตกเป็นของเรานั้นแหละ เราพูดไปนี่ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่พูดให้ปรังปรุงแก้ไข แม้คนชั่วก็ให้แก้ไข แม้คุณเองจะแก้ไขสิ่งชั่วได้ก็ไม่ต้องมาตอบแทนอะไรอาตมา สังคมก็ได้สิ่งดีแล้ว

 

.เดินดินว่า...พ่อครูคิดว่าทิศทางของบุญนิยมทีวีกับ โลกุตระจะไปด้วยกันอย่างไร?

พ่อครูว่า...อาตมากำลังเขียนหนังสือ ค้าบุญคือบาป  ขยายโลกุตระมากเลย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน  7. อาณิสูตร

[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพน

ชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้

ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉัน

ใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้ง

จิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตร

อันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวก

ภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ

ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก

 เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุ

ดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก

มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสต

ลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ

จบสูตรที่ 7

 

สรุปแล้วยุคนี้โลกุตระเสื่อมจนคนไม่เข้าใจ และดีไม่ดีดูถูกด้วย แต่เราก็พากเพียร อาตมายังอุ่นใจ ว่าเอามาสำเสนอแล้วมีคนมารับได้และทำได้ จนเกิดผลไม่ใช่แค่คนเดียวหรือร้อยคน แต่นี่เป็นพันเป็นหมื่น ไม่อยากพูดว่าเป็นแสน แต่มวลหมื่นนี่อาตมาคิดว่าไม่ผิด จะกี่หมื่นก็แล้วแต่

 

ทุกวันนี้มีจำนวนมีหมู่กลุ่ม ถึงขั้นวัฒนธรรม มีเรื่องราว รูปแบบ มีนิทาน แบบบุญนิยมนะ คนที่มีภูมิปัญญาพอ ก็จะรู้ความสำคัญ รู้ว่านี่คืออาริยะ เขามาศึกษาแล้วก็เอาไปทำได้ เอาแค่คุณนี่แหละ ถ้าอาตมาตายคุณจะสืบต่อไหม?

 

.เดินดินว่า...ก็ไม่มีทางอื่นนะครับ แต่ผมคนเดียวคงทำไม่ได้ต้องมีหมู่กลุ่มด้วย

 

พ่อครูว่า..อาตมาดูทั้งองค์ประกอบพฤติกรรม มาลดละอย่างเห็นเป็นองค์รวม ประเมินแล้วได้ค่าที่อาตมามั่นใจว่า ใช่ พอ นะ ไม่สูญสลายง่าย และก็ไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งหน้าเดินต่อแน่ มั่นใจว่าตั้งแต่บัดนี้ไป อาตมาทำงานมา 40 กว่าปี กำลังขึ้นหน่วยที่ 5 แล้ว

 

1,2,3,4 ตอนนี้ 5 เมื่อครบ 5 ก็เข้า 6 เป็นอีกเส้าหนึ่ง เป็นการนับสถิติเป็นการวัดค่าอย่างหนึ่ง 1กับ2 จะเป็นแรงงานไม่ครบวงจร แต่พอเริ่มต้นมีองศา นิดนึงก็จะมีมุมขึ้นมา แต่พอมุมองศามันมากขึ้นจะมีสิ่งขยายมากขึ้น หมุนเป็นวงรี ก็เพ่ิมมาเรื่อยๆ ต่อมาจนเป็นวงกลมได้ดิ๊กเลย จะไม่เกิดการเสียดสี จะเกิดความเย็น คล่อง สมบูรณ์ เมื่อเกิดสภาพเต็มรูปหมุนรอบเต็ม เมื่อครบเส้า อย่างรูปธรรม อาตมาทำงานมาทศวรรษที่ 5 แล้ว อีก 6 ปีจะครบ 50 ขึ้นเลข 6 นับต่อไปอีก อีก 10 ปีขึ้นเลข 7 ก็ครบสองเส้าของสองวง

 

ขึ้นเลข 7 นี่เป็นเลขเกิด สัตตขัตตุปรมโสดาฯ หลัก 7 สัตตะ เป็นหลักของมนุษยชาติหรือสัตว์โลก หากสัตว์เดรัจฉานจะไม่ครบสัตตะง่ายๆ ส่วนมนุษย์จะเข้าสัตตะได้ต้องถึงระดับโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์

 

โสดาบันนี่เขานับ 1 ที่เข้ากระแส 2. 3.นิยตะ 4.สัมโพธิปรายนะ เขานับเอาแค่ สามในสี่เป็นนิยตะ คือผู้ใดได้สามในสี่เลยไปแล้วเรียกนิตยะ เป็นความแน่นอนมั่นคงของเร่ิมต้น แล้วสูงขึ้นไปอีก

 

โสดาบันขั้นต้นก็เอาแค่หลัก 4 และสูงขึ้นไปเป็นอนาคามีจะเอาหลัก 7 พอเต็ม 9 ก็เป็นวงเต็มแล้วจะซ้อนไปเรื่อยๆเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏิสิสสัคคะ เป็นการทวนรอบสร้างสวรรค์ แล้วก็อยู่เหนือสวรรค์ไปเรื่อยๆเป็นรอบๆ พอครบ 9 ก็นับหนึ่งใหม่เป็น 10 เป็น 11 ไปเป็นหน่วยหนึ่งใหม่อีก การอธิบายแบบนี้เป็นของเก่าของอาตมาที่นำมาใช้ มันมีคุณสมบัติแท้ของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นพลังงานฟิสิกส์หรือคุณธรรมก็ใช้หน่วยนี้ แม้นามธรรมก็ใช้หน่วยนี้

 

ผู้ใดเข้าใจทางฟิสิกส์ได้ก็เอามาใช้กับนามธรรมได้อาตมาก็เลยพยายามใช้อิทธิบาทอยู่ต่อไป เพื่อให้ประเทศไทยได้โลกุตรธรรมยั่งยืน อาตมาเห็นแล้วว่า มีดีเอ็นเอพุทธ โอคทาแล้ว แล้วเป็นชมพูทวีป ที่ย้ายจากอินเดียมาแล้ว

 

อินเดียเป็นประเทศใหญ่แต่ยุคนี้ใหญ่ไม่ได้แล้ว ประเทศอังกฤษเป็นประเทศเล็กแต่สร้างอาณานิคมได้เยอะ โดยมีนามธรรมเป็นหลัก ส่วนประเทศใหญ่คือจีนกับอินเดีย อินเดียอยู่อย่างเจโต ส่วนจีนอยู่อย่างปัญญา และปัญญาพังเร็ว เจโตพังช้าไม่ได้พยากรณ์นะ แต่ดูไปเถอะ พลเมืองเขาพอๆกัน แต่มีนามธรรม จิตวิญญาณต่างกัน เป็นสัจจะที่อาตมาพูดไปคงมีทั้งคนเข้าใจและก็ไม่

 

พ่อครูว่า....ปางนี้ของในหลวงเป็นมหาชนก กับเตมีย์ใบ้ ทำมาถึงอายุป่านนี้แล้วท่านทำได้ผลดีมากเลย เป็นผู้ไม่พูดไม่ว่า ไม่หลุดกระทบใครเลย รักษาได้เป็นเตมีย์ใบ้ได้ และพากเพียรเป็นมหาชนก ว่ายในมหาสมุทรที่ไม่รู้ทิศ ขอให้ได้พากเพียรให้สุดที่ก็มีผลต่อโลก เพราะโลกขานรับแล้ว แต่ยังไม่ได้กว้าง เพราะคนอวิชชา ผู้ขานรับไม่พูดเท่าไหร่แต่กษัตริย์ภูฏานก็ขานรับ สหประชาชาติก็ขานรับแล้ว

 

สสารกับพลังงาน คือ กายกับจิต มีสองอย่างในโลก และกายกับจิตนั้นลึกว่ารูปกับนาม

 

สรุปรวมแล้ว อาตมาเห็นตามที่พูดว่า เมืองไทยก้าวหน้าแล้ว กำลังเดินไปดี ขอให้ตั้งใจทำเพื่อมนุษชาติ เอาไทยนี่กู้กันให้ได้ก่อน ไม่ว่าเศรษฐกิจสังคมการเมือง พยายามอย่าเห็นแก่ตัวเลย ขอให้ทำเพื่อชาติสักชาติเถอะ ทำดี ถ้าทำดี คุณก็ได้มาเกิดในเมืองไทยที่ดี อีก สองพันกว่าปีจะเจริญไปเรื่อยๆ อีก 50​0 ปีเมืองไทยจะเจริญสูงสุด ตามมากเกิดให้ทันนะ ถ้าใครจะอยู่นานก็ได้ถ้าอยู่ได้ อีก 500 ปีไทยจะแข็งแรงที่สุด นำพาโลกเจริญไป แล้วเต็มที่ 500 ปีพีคสุด จากนั้นก็เสื่อมลงเข้าหากลียุคแท้ๆไม่มีอะไรมาแก้กลับ ในพัทธกัปป์นี้

 

ขอให้ทำดี แม้มีกิเลสก็กดข่มไว้ แล้วจะได้ผลด้วย มีพลังงานศักย์ ได้สั่งสมไว้ ผู้ถนัดทางเคลื่อนไหว ทางปัญญาก็ทำไป พัฒนาไป รวมกัน จะเจริญไปได้

 

.เดินดินว่า... ถ้าดูทิศทางที่พ่อครูพูด นึกถึงตอนเร่ิมต้น 2516 เราจะไปเผยแพร่มังสวิรัติให้ใคร เหมือนจะไปเดินทะลุภูเขาได้อย่างไร? มืดแปดด้านที่จะขยาย แต่ว่าหลังจากนั้นมาหลายสิบปี แต่ก่อนยังต้องมาโต้กันว่าเนื้อสัตว์กับมังฯอะไรดีกว่ากันแต่ทุกวันนี้เหมือนผ่าทะลุภูเขาไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดกันแล้วว่าอะไรดีกว่ากัน เหมือนความจน นี่ทุกวันนี้ชาวอโศกแข่งกันจนแล้ว มีหลายนามสกุลจนเลย ก็ดูว่าส่ิงที่พอขึ้นทศวรรษที่ 6 ที่พ่อครูบอก แต่เดิมเราจะทำงานฟรีก็ยาก แต่เดี๋ยวนี้มองญาติธรรมที่มาทำงานกันนั้น พัฒนาขึ้น เราไปลงภาคสนามก็ไม่ต้องเถีียงกันมาก จะจัดตลาดอาริยะแค่เตรียมกันวันเดียวก็ได้แล้ว ใจของเราพร้อมจะสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน จนการทำงานของเราแบบไม่เอาลาภแลกลาภ เป็นปกติของพวกเรา เราไปทำงานร่วมกันมวลมหาประชาชนก็ได้ไปแพร่หลาย ลำดับทิศทางโลกุตระนับวันก็จะชัดเจนขึ้น คนมาร่วมได้มากขึ้น ถ้าดูเจ้าสำนักใหญ่ๆ ประวัติก็คือท่านฉันมังฯได้องค์เดียว ลูกศิษย์ไม่มีใครฉันได้ด้วย แต่ของพ่อครูนี้กว้างไกลไปได้ แม้มวลมหาประชาชนก็ออกมาทำเพื่อชาติโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นี่คือสัญญาณที่เกิด โอคทา ทางบุญนิยมทีวีก็จะค่อยๆฉายภาพเหล่านี้ให้เห็นได้ บุญนิยมจะไปได้ถึง 500​ปีก็อยู่ที่พวกเราจะได้แข็งแรงเท่าไหร่จนมีแรงเหวี่ยงไปถึงได้


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:12:56 )

570831

รายละเอียด

570831_พ่อครูเทศน์ก่อนเผาศพยายเฮี้ยะ

มรณัสสติ ด่วน  ยายเฮี๊ยะ แซ่ตั้ง ชาวบ้านราชฯ เสียชีวิตด้วยโรคชรา 22.00 น. วันที่ 30 ส.ค. 57 เผา 31 ส.ค. 57 สิริอายุรวม 81 ปี พ่อครูว่าเป็นงานศพที่เรียบง่ายที่สุด เร็วที่สุด ไม่ยึดติดที่สุด เท่าที่เราเคยไปมา เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง

 

พ่อครูเทศน์ก่อนเผาศพว่า....ทุกคนต้องมาถึงความจริงอันนี้ไม่มีใครพ้นได้ เป็นความจริงอันนิรันดร ใครเกิดแล้วก็ต้องตาย ได้ฟังลูกๆของยายเฮี๋ยะเล่าถึงแม่ แล้วก็คิดว่า ธรรมนี่มีผลจริง ทำให้คนเข้าใจ ผู้มีปัญญามีใจก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของสังคม ยึดมากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย ก็เป็นไปตามหน้าที่ เราเป็นลูกก็ทำหน้าที่ลูกไป ญาติมิตรสหายก็ทำหน้าที่ไป พวกเราเข้าใจ ไม่ละเลยหน้าที่ เราทำหน้าที่เต็มที่อยู่กับหมู่ฝูงก็ช่วยกันเต็มที่ ไม่ใช่เห็นแก่กับตัว

 

อาตมาเคยสรุปว่า ชีวิตคน ถ้าเรามีแรงงานและความรู้ แล้วเราใช้ความรู้แรงงานสร้างสรรให้แก่มวลมนุษยชาติ นั่นคือสุดประเสริฐแล้วมนุษย์ นอกนั้นก็เรื่องจิตวิญญาณ มนุษย์ไม่ทิ้งกันหรอก เราอยู่กับหมู่ก็พิสูจน์เลย ว่าเรารับใช้หมู่ทั้งหมด ไม่ต้องกลัวเลย หมู่จะเลี้ยงเราไว้

 

แต่ถ้าเราอยู่แต่กับตัวเอง เราไม่เห็นแก่หมู่ไม่ช่วยหมู่ทำอะไรเลย ถึงแม้หมู่จะไม่เป็นคนปากมาก เขาก็ไม่พูด แต่ใจเขาก็เห็นแล้วว่าคนนี้เห็นแต่กับตัว ไม่มีกรรมกิริยาหน้าที่ทำเพื่อหมู่ หรือช่วยเหลือหมู่เลย อย่างนี้มันก็มนุษย์นี่เป็นผู้รู้ ไม่เหมือนกับเดรัจฉานที่ีหากินไปวันๆ

 

การที่เราอยู่ใกล้ธรรมะ ศึกษาปฏิบัติธรรมะ  ก็จะทำให้คนกลายเป็นสัตว์ที่มีจิตนิยามเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสัตว์ทั้งหลาย แก่สิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุดแต่ก็ทำลายได้เร็วเลวที่สุด เราต้องระวังให้มาเป็นดีที่สุดให้ได้

 

อย่างที่เราเห็นผู้ที่ตาย ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร? เป็นคนมีน้ำใจ แม้ตนเองทำอะไรไม่ได้แล้วก็มีน้ำใจแสดงออก พวกเราก็รู้กันดีเป็นคุณธรรมอันประเสริฐของมนุษย์ เรายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจและปฏิบัติให้ได้

 

เป็นงานศพที่เรียบง่ายที่สุด เร็วที่สุด ไม่ยึดติดที่สุด เท่าที่เราเคยไปมา เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:12:11 )

570901

รายละเอียด

570901_ธรรมาธรรมะสงคราม โดยพ่อครู เรื่อง แดนเกิดโลกุตระอยู่ที่ใจ

พ่อครูว่า...เราก็ค่อยๆพัฒนาการไป การพัฒนาการ เราก็ตั้งใจในทุกกรรมกิริยา เราต้องมีสติ รู้ตัวเอง และมีสัมปชัญญะ คือรู้เชื่อมต่อไปกับสิ่งอื่นที่จะพาเจริญ รู้ทั้งข้างนอก ที่เราเกี่ยวข้องด้วย ระยะใกล้ว หรือไกล จะมีปฏิภาณค่อยๆรู้ แล้วเราจะจัดการอย่างไร ให้เป็นสัมมา_อาชีวะ_กัมมันตะ_วาจา_สังกัปปะ

 

โดยเฉพาะสังกัปปะนี่แหละเป็นแหล่งสำคัญของแดนเกิด เป็น มโนเสฏฐามโนมยา จะรวมอยู่ที่ตรงนี้ เป็นแหล่งของจิตวิญญาณ ที่เป็นประธาน หากผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติตนให้มีสติรู้ เกี่ยวข้องทั้งนอกและใน ตั้งแต่ การงานอาชีพเลี้ยงชีวิต ให้มันสัมมา ตั้งแต่ ไม่ให้เป็น กุหนา ลปนา แล้วทำให้มีเนมิตกตา ตั้งศีล 5 หรือตามฐานเรา เราก็ปฏิบัติตามฐานะไม่ใช่ว่าเราจะทำอรหัตตมรรคเลยก็ไม่ใช่ เราก็พากเพียรในกรอบศีลเรา เราไม่ฆ่าสัตว์เราไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่เมาในอบาย เราก็อ่านในอาชีพเรา อาชีพระดับอบายเราก็ไม่เอาเป็นมิจฉา เราก็พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ตามลำดับ

 

ส่วน สัมมากัมมันตะ 3

1.    งดเว้นจากปาณาติบาต (ปาณาติปาตา เวรมณี)

2.   งดเว้นจากอทินนาทาน (อทินนาทานา เวรมณี)

3.   งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร (กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 272)

 

เว้นงดกามคุณ 5 ที่จัดจ้าน เราก็ต้องรู้สภาพที่เป็นส่ิงที่เราตั้งใจจะระงับ จะเลิก เพราะมันจัดจ้านขนาดนี้ เราก็ทำจริงๆ

 

สัมมาวาจา เว้นขาดจากมิจฉาวาจา 4 คือไม่พูดเท็จ ไม่พูดหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ต้องระมัดระวังควบคุมจริงๆ

 

จะครบได้ต้องทำที่ใจ เป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่ง มีส่วนในจิตสังขาร

 

ต้องรู้ใน ​วิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พค.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต  โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พค.แปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

 

ต้องรู้ กาย ที่ มีทั้งนอกและใน สัมพันธ์กันอยู่ และจะเป็นโลกุตระนั้นต้องอยู่ที่่สังกัปปะ ส่วนวาจา กัมมันตะ อาชีวะ จะควบคุมอย่างไรก็ได้แค่เจโตสมถะไว้ เพราะมันไม่รู้เจตสิกที่จะต้องอ่านรู้ด้วยญาณเรา จิตเจตสิกที่ถูกรู้เราเรียกว่ารูป ส่วนตัวรู้คือนามธรรม

 

สัมมาสังกัปปะ 7 อาตมาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นการปรับปรุง จัดแต่งทำจิตให้มันดี ดีคืออะไร ต้องพยายามแยกแยะวิจัยออก จิตดำริมาเรียกว่าวิตก จิตเป็นกิเลสเป็นอกุศล ตัวนี้แหละที่เราจะจัดการกำจัดไม่ใช่ว่าไปจัดการจิตให้ไม่รับรู้ ให้ดับไปไม่ใช่ อันนี้เป็นแบบฤาษี

 

แต่เราอ่านใจเราทุกอิริยาบถ กระทบทางทวาร 5 แล้วเนื่องเข้าไปสู่ใจ ต้องวิจัย แยกจิตของเราให้ออก ทำจิตให้รู้ตัวเหตุ คือสมุทัยให้ชัด เมื่อกระทบอันนี้แล้วเกิดตัณหาขึ้น อยากทำร้าย ขี้โลภอยากเอามาหรืออยากเสพรสเป็นราคะ

 

ต้องอ่านด้วย

1.    รู้ด้วยอาการ (สภาวะขณะนั้นของจิต-กุศล-อกุศล)

2.   ลิงคะ (ความต่างกันของนัยยะต่างๆ ในสภาวะจิต)

3.   นิมิต (เครื่องหมายชี้บอกสภาวะจิต)

4.    อุทเทส (การยกหัวข้ออธิบายขยายความหมาย)

(พตปฎ. เล่ม 10   ข้อ 60)

 

ปฏิบัติจริงก็สาย โลภะหรือสายโทสะ เมื่อรู้องค์รวมหรือกายแล้ว คือเรามีทวาร 5 สัมผัสกับภายนอก แล้วมีเนื่องสู่ภายใน เรียกว่า สักกายะ ประสาทสัมผัสทำงานอยู่ จิตก็อ่านรู้ ทุกขณะทุกเวลาให้ฝึก ไม่ง่าย แต่ทำเป็นแล้วง่าย ทำไม่เป็นแล้วยาก

 

เมื่ออ่านรู้กิเลสแล้วก็จัดการด้วยอภิสังขาร คือสังขารอย่างยิ่งเลย ทำให้กิเลสลด ฆ่ากิเลสได้ สมมุติว่าเรากำจัดกิเลสได้แล้ว แล้วมันได้ด้วยวิธีของพุทธ เป็นวิปัสสนาวิธี เป็นวิปัสสนาญาณ ลดได้ด้วยวิปัสสนาญาณ 9 ทำให้เกิดไฟทางปัญญา เป็นไฟฌาน ทำให้กิเลสลดไปได้

 

ตามเห็นความจางคลาย เพราะเราเห็นอนิจจานุปัสสี เราเห็นจิตมันไม่เที่ยง มัันจะตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ได้เสพมันก็อาจลด แต่ไม่ได้เสพมันอาจจะแรงขึ้นได้แต่ว่าถ้าเราสู้มันต่อไปมันก็ลดได้ และเราไม่ตายหรอก กิเลสจะตายก่อน เรารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค(ความต่าง)

แล้วทำ

1.    อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)

2.   วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

3.   นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

4.    ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

ซึ่งท่านอธิบายในอานาปานสติสูตร และอยู่ในมหาสติปัฏฐาน เร่ิมตั้งแต่ สติปัฏฐาน 4 ให้มีสติควบคุมดูแลพร้อมว่า เราทำอาชีวะ กัมมันตะ วาจา ก็สัมมา โดยเฉพาะสัมมาสังกัปปะก็ให้สัมมา ถ้าเราทำสังกัปปะให้สัมมาได้คือเราจัดการกับกิเลสได้ มันมาร่วมดำริเราก็จัดการกำจัดมันออกด้วยวิปัสสนาวิธี ทำได้เป็น

 

เมื่อสังกัปปะสัมมาแล้ว เราก็ควบคุมทำให้จิตเกิดได้ เป็นองค์ประกอบปรุงแต่ง เรียกว่า จิตสังขาร ทำเสร็จก็ได้องค์รวมคือ กายสังขาร แล้วจะให้ออกมาเป็นบทบาทคือ วจีสังขารต่อไป นี่คือกระบวนการสังกัปปะ 7

 

ต้องรู้จักองค์รวมคือ กายสังขาร กายกลิอย่าให้มี กำจัดมันได้เราก็ทำการงานได้ดีขึ้น เรียกว่า กายกัมมัญญตา หรือกายปาคุญญตา

 

ผู้ใดทำสัมมาสังกัปปะได้เสอม ก็เป็นอรหันต์ได้แน่นอน จะรู้เวทนาในเวทนา รู้จักกายนอก มาเป็นกายในกาย คือองค์ประชุม ที่ทวารนอกเห็นอยู่ แต่กิเลสเกิดก็เห็นอยู่โทนโท่ ในขณะมีองค์แห่งการปฏิบัติธรรมครบ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน มีสัมมาสังกัปปะ และก็ให้ วาจา กัมมันตะ อาชีวะให้สัมมา โดยมีสัมมาสติ สัมมาวายามะเป็นผู้ช่วยประธาน

 

ทำได้สมบูรณ์ก็เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผลัง ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะ สัมมาทิฏฐิจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ความเห็นจะตรงขึ้นเรื่อยๆ ปัญญินทรีย์จะมีพลังสูงขึ้น ถ้าครบก็เป็นปัญญาผลัง

 

อาตมานี่จะบอกให้ฟังว่า พอนอนไป ใกล้รุ่งสาง เทวดาก็มาคุย แต่ว่าอาตมาก็ต้องพัก มันจะพักไม่พอ อาตมามันเพลินก็บอกว่าหยุด พยายามหลับ มันสนุกเพลิดเพลินลึกซึ้ง คุยกับเทวดานี่มันลึกซึ้ง คุยกันตัวต่อตัว เทวดากับเราเท่านั้น ยิ่งยอดเยี่ยม สัจจะมันเป็นเช่นนั้น

 

อาตมาได้พูดถึงปรมัตถ์ลึกและหนักมาแล้ว อธิบายกระบวนการปรมัตถ์แล้ว ซึ่งเราได้ปฏิบัติธรรมกันมา ผู้เข้าใจทำได้ก็เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน อุภยถะ ไม่ใช่ว่ามีแต่ประโยชน์ตน กุศลก็น้อย เหตุปัจจัยก็น้อย กว่าจะครบสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

ถ้าเราไม่ได้พบตัวตนของคู่วิบากนั้น จะยาก เพราะคู่วิบากนี่เป็นตัวยั่วกิเลสให้เกิดดีนัก ทั้งคู่บู๊และบุ๋น ใครไม่รู้ตัว ว่าทำไมสัมผัสกับคนนี้และไม่เข้ากันเลย แต่สัมผัสคนนี้แล้วก็อะไรก็ดีมาก

 

คนนี่แหละเป็นเหตุปัจจัย จะคุ้ยกิเลสให้ออกมาล้างได้ดีนัก มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพุทธธรรมเลยนะ

 

เราต้องแบ่งให้ดีว่า อันนี้อยู่นอก Context นอกบริบทที่เราจะปฏิบัติ เช่นเราศีล 5 หรือเราศีล 8 เราก็ทำในกรอบเรานี่แหละ เกินกว่านั้นเรายกไว้ก่อน เราจัดการตัวนี้ได้เราจะมีทุนรอนไปสู้กับตัวต่อไป มันก็ไม่ร้ายแรงเท่าตัวแรกด้วย คือสักกายะตัวตนตัวแรกเลย คุณอาจไม่รู้ละเอียดอย่างอาตมา แต่คุณมีบารมี หรือเข้าใจโดยปริยายแล้วทำได้บ้างตามลำดับ ยังไม่เป็นภาษาร้อยเรียงได้เลยที่เดียวแต่ทำได้ จึงมารวมกันได้อย่างนี้ไง อยู่ไปแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร

 

ให้ตั้งใจปฏิบัติดีๆ ทุกวันนี้อโศกเราได้ตั้งหลักมาแล้วเกิด จนกระทั่ง หลายคนเห็นว่าจะไปกันใหญ่หรือเปล่า จะมากไป การงานมากไป เปิดกว้างมากไป เหตุปัจจัยมากไป เกี่ยวข้องมากไป หลายคนก็เกรง คุณเกรงนะ อาตมาว่ายังน้อยกว่าอาตมาเกรงนะ อาตมาน่าจะรู้ก่อนคุณยิ่งกว่าคุณนะ ว่าเราทำมาด้วยมือแล้วมันจะล้ม อาตมาไม่เกรงกว่าคุณหรือ? อาตมาก็ดูอยู่ ประมาณอยู่ อาตมาใช้สัปปุริสธรรม มหาปเทส อยู่ อะไรลอดหูลอดตาก็แน่นอนต้องหยุดกันห้ามกัน อะไรไม่ควรทำอะไรควรทำก็ว่ากันไป

 

อะไรควรเบรกก็เบรก อะไรปล่อยได้ก็ไม่รู้ไม่ชี้ได้ อะไรควรหยุดก็ต้องหยุดต้องห้ามกัน แม้เรื่องเล็กเรื่องน้อย หรือเรื่องใหญ่ก็ตามที อาตมาบอกในที ใครมีปัญญาทำก็ขอบคุณ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นอาตมาเดินไปดูต้นยางที่เห็นปลูกกันก็ไม่ค่อยตาย อาตมายังพูดกับปัจฉาฯเลยว่า ถ้าอีกสัก 10 ปีต้นยางโตก็จะดูดีนะ แต่ตอนนี้มันจะไปไม่รอด เพราะมีเถาวัลย์พันไว้เยอะเลย มันไม่รอดแน่ ถึงรอดก็ไปช้า เพราะมันจะถูกอันนี้หงำนะ ใครมีปฏิภาณก็ช่วยกันดูหน่อย

 

และส่ิงไม่ควรทำอย่างหนึ่งคือ อาตมาไปเห็น ตัดต้นจาน สองต้น ฝีมือเด็กสายทำไฟฟ้า โอโห ตัดลงไปได้อย่างไร ไม่บอกไม่กล่าวเลย ผู้ใหญ่คนไหนอนุญาตให้ตัด ต้นไม่เล็กนะ ตัดไปเลย ได้ข่าวว่าเขาจะเดินสายไฟ มันขวางทางก็ตัดเลย และจะหาทางเลี่ยงอย่างไรก็ตัดเลย อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรงอย่างหนึ่งในสังคมเรา ต้นไม้แต่ละต้นเรากว่าจะปลูกโตมาได้ ทำงานก็ดีแต่ก็ต้องดูว่าอะไรควรไม่ควร อาตมาเพิ่งเห็นวันนี้แหละต้องระมัดระวัง อะไรควรรักษาดูแล อย่างต้นที่คลุมต้นยางก็ต้องเอาลง หรือจะให้มันไปที่อื่นก็ได้ หรืองานอะไรอื่นๆก็เป็นงานที่เราร่วมกันทำ เป็นสาธารณโภคี

 

ใครจะหาว่าอาตมาหลงก็ช่าง คือ อาตมาภาคภูมิใจในพฤติกรรมของหมู่เรานะ มีผิดพลาดบ้างก็ช่วยกันบอก ก็ก้าวหน้ามาเรื่อย กว่าจะเป็นระบบบุญนิยมสาธารณโภคี ท่ามกลางสังคมยุคนี้ที่เลวร้ายรุนแรง เห็นแก่ตัวจัด แล้วเรามารวมตัวกันอยู่ไม่ให้อามิสเป็นเหยื่อเลยไม่มีโลกธรรม ลาภยศให้ มันเป็นเรื่องอภินิหารมหัศจรรย์ที่อยู่รวมกันได้อย่างดี ในยุคนี้ยิ่งเป็นได้ยิ่งมหัศจรรย์ เพราะเป็นเรื่องยากแน่ ยุคนี้ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต้มกันสุกเลย สารพัดปรุงแต่งมาหลอกกันทุกวินาที ยิ่งกว่าวินาทีอีก

 

พวกเราที่เห็นกันอยู่นี่ คนที่ขวนขวายเอาใจใส่ เป็นปัญญาข้อที่ 5 ของพระโสดาบัน คือ 5. อาริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ . ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร   ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา  อธิจิตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขา ของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่   เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย  ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉันนั้น

 

คนที่ไม่ขวนขวายลอยไปลอยมาก็ศึกษาให้ดีให้ได้ประโยชน์ตน_ท่านให้ดี ไม่อย่างนั้นก็มิจฉาอยู่ตลอด ของเรามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ยกตัวอย่างได้ พวกเราไม่ขี้จู้จี้จุกจิก แต่ก็เตือนกันด้วยเรียบร้อยให้ได้สำนึกเอง ขวนขวายพากเพียรเอง ลองอธิบายธรรม บุญกิริยาวัตถุ 10 ดู ซึ่ง  3ข้อแรกเป็นของพระพุทธเจ้าบัญญัติ แต่ที่เหลืออีก 7 ข้อ อรรถกถาจารย์เป็นคนเอามาใส่

บุญคือการชำระกิเลส

1.    ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ - การสละออก)

ผู้ใดทานไม่เป็นผล ก็เพราะไม่ได้ฟังหรือไม่เข้าใจธรรมของสัตบุรุษ หรือคบคุ้นฟังอย่างไม่บริบูรณ์ ก็เชื่อไม่บริบูรณ์ก็ไม่ได้ปฏิบัติจนได้ผลบริบูรณ์ แต่ถ้าทำได้บริบูรณ์ก็จะได้ผลจริง การทานต้องให้สัมมาทิฏฐิ ทำใจในใจไม่เป็น ทำทานก็ไม่ให้ใจลดละกิเลสก็ไม่เป็นบุญ ก็เรียกว่าทำทานได้แต่กุศล ได้คุณงามความดีของสังคมศาสตร์ แต่ไม่ได้ปรมัตถ์ คือวิชชาศาสตร์ที่ไปลดอวิชชา แต่ได้แค่กุศลโลกีย์ โลกก็ดีขึ้นด้วย แต่คุณทำเองสร้างสรรให้ตนกินใช้พอแล้วที่เหลือก็แจกคนอื่น โลกไม่เสื่อมหรอก แต่ถ้างอมืองอเท้า เบียดเบียนคนอื่นด้วยก็เสื่อม

 

การให้หรือทานนี่มีทั้งโลกีย์และโลกุตระ การให้ทางรูปนอกก็ดีเป็นกุศลก็ได้ จะบอกว่าเป็นผลวิบากก็เป็นกุศลโลกีย์ อย่างคุณให้มากๆก็เหมือนคุณฝากธนาคาร แล้วดอกเบี้ยทางธรรมนี่ผลสูงนะย่ิงฝากทางโลกุตระด้วย คือฝากแล้วลืมเลยยิ่งได้ดอกสูง ยกตัวอย่างเหมือนทางโลกเลย

 

ถ้าใจของคุณทำใจเป็นไม่ต้องการอะไรตอบแทน ถึงขั้นไม่ต้องการลาภอะไรแลกเปลี่ยน จิตไม่คิดไม่ตั้งไม่มี ไม่ต้องการอะไรแลกเปลี่ยน มีผลสูง

 

2.   ศีลมัย (บุญสำเร็จด้วยการชำระล้างกิเลสออก)

ก็คือยิตถัง ก็อันเดียวกับยัญพิธีที่บูชาแล้วมีผลหรือไม่มีผล  ทานมัยคืออามิสบูชา จะให้วัตถุหรือให้ความรู้ก็ได้ แต่ศีลมัยหรือยิตถัง คือวิธีการปฏิบัติ ทำแล้วมีผลลดกิเลสได้ไหม? ถ้าเข้าใจแล้ว ไหว้เจ้าก็ได้ชำระกิเลส

 

การไหว้เจ้า โดยที่เรารู้ว่าเจ้าควรไหว้ ที่เป็นพระคุณเจ้าที่เป็นสัตบุรุษที่ควรสงเคราะห์ท่าน ด้านวัตถุ แรงงานก็แล้วแต่ นั้นแหละคือไหว้เจ้า คำว่า เจ้า คือส่ิงที่น่าเคารพ

 

การปฏิบัติยิตถัง คือวิธีการ ถ้าไม่ลดกิเลสก็คือไม่มีผล จะทำอะไรก็แล้ว แต่ได้ทำสิ่งดีที่ได้สำรอกกิเลส ได้ผลหรือไม่? หรือจะได้สังคมศาสตร์ก็ได้

 

3.   ภาวนามัย (บุญสำเร็จด้วยการทำผลเจริญให้จิต) ก็คือ หุตัง นั่นเอง

คือผลของการปฏิบัติ เป็นผลของข้อที่ 1 และ 2 ท่านจึงแปลว่า สังเวยที่บูชาแล้วก็คือทำแล้วจิตเราได้เสวยผล ได้ลดกิเลสไหม? เป็นผลอาริยธรรม บุญนี่คือเอากิเลสออก แล้วได้การเจริญ​ คำว่าภวนาคือความเจริญ​เป็นภาวติ เป็นการพัฒนาการทางจิต จิตที่เจริญคือเอากิเลสออกได้ เป็นการเกิดผล เป็นบุญ นี่คือหลัก 3 หลักใหญ่ๆ

 

4.    อัปปัจจายนมัย (บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อม)

อันนี้ลึกซึ้ง คือไม่แข็งกระด้าง ไม่หยิ่งผยอง คือคนรับใช้ ไม่ถือดีไม่ถือตัว เป็นคนสบาย เหมือนคนรับใช้ แต่ก็มีความรู้ความสามารถ จนเขาไม่กล้าลบหลู่ว่าเป็นคนรับใช้ นอกจากคนบ้าๆก็จะรู้สึกว่าเราใหญ่ที่มีคนมารับใช้  ไม่ใช่ว่าอ่อนน้อมถ่อมตนก็มีแต่ไหว้แค่นั้น ก็ต้องรับใช้มีน้ำใจด้วย เป็นเวยยาวัจจมัยก็ขวนขวายเข้า ถ้ามันไม่เป็นก็ต้องทำเข้า

 

5.    เวยยาวัจจมัย  (บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวาย เอาภาระการงาน)

ใครบังคับเราไม่ได้ มันไม่ชำนาญไม่อยากทำมันก็ต้องฝึก ไม่อย่างนั้นอีกกี่ชาติก็ไม่เป็นหรอก เป็นคนมีกัมมัญญตา เป็นคนที่ทำงานได้ดี คล่องแคล่ว กัมมนิยะ เป็นองค์ธรรมของสมาธิ ส่วนกัมมัญญาเป็นสมาธิตัวปลายตัวผล เป็นองค์ธรรมอุเบกขา มันคล่องแคล่ว ถ้าพร้อมทั้งนอกและในเรียกว่ากายกัมมัญญตา โดยจิตร่วมกันทำมีการปรุงแต่ง มีเจตสิก 3 ทำงานร่วมกันเป็นอภิสังขาร แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว ขวนขวายอ่อนน้อมถ่อมตนก็ดี ก็เจริญขึ้น

 

6.    ปัตติทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ที่เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ยิ่งขึ้นๆ) ท่านผู้รู้แปลว่า “บุญสำเร็จด้วยการแบ่งส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น” ก็คือเข้าถึงทาน การเจริญจริงของทานมัย ต้องรู้แจ้งรู้จริงว่าเราบรรลุธรรม เราอ่านกิเลสออก ทำได้แล้วเห็นผลของการสละออก

7.   ปัตตานุโมทนามัย  (บุญสำเร็จด้วยการยินดี ที่ได้ชำระกิเลส หรือได้บุญแล้ว  แม้ผู้อื่นกระทำ)  ทำได้แล้วก็จะดีใจชื่นใจพอใจ เป็นปัตตานุโมทนามัย คืออนุโมทนานี่แหละ มันตามเห็น แปลว่า ความยินดีอิ่มเอมใจที่เราได้ดี ทำสำเร็จแล้วยิ่งเป็นปรมัตถ์ยิ่งเยี่ยมยอด

8.   ธัมมัสสวนมัย (บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม) แล้วจะชอบใจขวนขวายฟังธรรม ยิ่งเห็นสัตบุรุษแล้วก็ต้องยิ่งไปฟัง เป็นซุปเปอร์สตาร์ นี่อธิบายแบบโลกๆให้ฟัง คนนี้มาแล้วต้องหาทางไปฟัง มันจะร่าเริงยินดีในธรรม

9.   ธัมมเทสนามัย (บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม)

เราเองก็เป็นผู้บรรลุพหูสูตรแล้ว ในองค์ธรรมของศรัทธาสูตร ก็เป็นธรรมทาน ธรรมทานนั้นลึกซึ้ง จริงๆแล้ว ถ้าให้โลกียธรรมก็ได้กุศลขนาดหนึ่ง แต่ถ้าให้โลกุตรธรรม ผู้บรรลุธรรมแล้ว ถึง ปัตตานุโมทนามัยแล้วก็มาเป็นผู้แสดงธรรมเป็นโลกุตรธรรมก็เยี่ยมเลยเป็นกุศลมหาศาล มันเลยบุญไปแล้ว เพราะตนเองก็เป็นผู้รื้อขนสัตว์แล้ว ยิ่งผู้ปฏิบัติได้ผลอีกยิ่งอานิสงส์เยี่ยมเลย

10.  ทิฏฐุชุกัมม์ (การทำความเห็นให้ถูกตรง) อันนีก็จะได้ผลเป็นต่อเนื่องมาแน่

 

ถ้ามีบุญกิริยาวัตถุ ก็เจริญแน่ มีคนโค้ดมาว่าข้างนอกเขาแปล ปัตติทานมัยว่า บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ คือเขาเข้าใจว่า ได้บุญมาแล้วก็ให้คนอื่นได้ แต่ที่จริงบุญคือการชำระกิเลส ได้เป็นส่วนแห่งบุญได้ผลแก่ขันธ์ หรือแปล ปัตตานุโมทนามัย ก็แปลว่า บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา คือยินดีในความดี ของคนอื่นก็เป็นความดีโลกีย์ แต่ไม่ได้เป็นโลกุตระ ที่อาตมาอธิบายไป

 

เรื่องในหมู่เรา ที่ปฏิบัติกัน ก็ไม่ร่าเริงในธรรมหรือฟังไม่รู้เรื่องหรือยังไงกัน?...นี่ก็ถ่ายทอดโทรทัศน์อยู่

 

พวกเราเป็นคนจนที่กระทบไหล่ดารา เขาระดับดาวเราระดับดินก็ไปเทียบเคียงเขา แต่เราเห็นว่าเป็นคุณประโยชน์เราก็ทำ ที่จริงโทรทัศน์เราที่ออกอากาศคนเขาหมั่นไส้เราที่เราคุยตัว เราเอาตัวเองเสนอมาก เขาก็เลยเข้าใจโดยปริยายว่า มันตั้งสถานีเพื่อโฆษณาตัวเอง

 

อาตมาก็ขอพูดอย่างจริงใจว่า คำว่าโฆษณามีความหมายว่าประกาศให้กว้างไกล ทำให้รู้ให้ได้ยินไปไกลเรียกว่า โฆษะ แล้วสิ่งนี้ควรจะโฆษะ ทำให้ได้ยินไกลไหม?...ก็ควร แต่คุณไม่มีปรโตโฆษะไม่เห็นค่า ก็เลยลบหลูู่ดูแคลน ก็เป็นธรรมดา คนมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ไม่ฟังไม่รับก็ไม่มีวันจะสัมมาทิฏฐิได้ จะทำใจในใจไม่ได้หรอก ทำไม่เป็น เพราะเขาไม่รับฟัง นอกจากปฏิเสธแล้วยังเพ่งโทสอีก ว่าไม่เข้าเรื่อง ก็จริง ไม่เข้าเรื่องโลกียะกับพวกเขา หรือไม่เข้ากับธรรมะที่เขายึดแล้ว ก็ไม่มีปรโตโฆษะ

 

ของเราอาตมายืนยันว่าแปลก และไม่ง่าย มัน

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

คำว่า สันติ คือ ส กับ อัตตะ คำว่า ส คือสย หรือตัวเราเอง ส่วนอันตะ คือแปลว่า สุดยอดแล้ว คือสันตะก็คือเป็นตัวเองสุดยอดแล้ว แล้วไปแปลว่าสงบ ก็คือ สมณะก็สงบ คือนิ่งสงบสุดยอดแล้ว สันตะคือสงบพิเศษ ระงับสงบพิเศษ ของผู้ที่เข้าถึง

 

หรือจะมาจากคำว่า สันติ บวกกับ อันติมะ ก็ยิ่งสงบสุดยอดเลย นี่คือสัจจะ  ซึ่งคำบาลีมีรากของภาษาลึกซึ้งอาตมายังฟื้นได้ไม่หมดนะนี่

 

ปณีตา นั้นละเอียด เล็กกว่าปรมาณูเสียอีก

 

 

พวกเราได้พยายามพากเพียรกันมา อาตมาก็ขัดเกลากันไป แม้ผู้เป็นอรหันต์แล้วก็ยังทำให้เจริญได้อีก เป็นวาสนาที่มันติดตัวมา เป็นกรรมกิริยา พระอรหันต์ที่กิริยาหยาบมีเยอะ แต่จิตท่านสะอาดแล้ว ก็ต้องพัฒนาตัวเองไปอีก การมารวมกันแต่ละคนต่างจริตต่างวาสนา ยิ่งไม่เป็นอรหันต์ก็ยิ่งหยาบ เราก็พยายามรู้ความจริงว่า เขาก็คือเขา เราก็คือเรา

 

พวกเรามาอยู่รวมกันได้ขนาดนี้ไม่ธรรมดานะ คนธรรมดาสามัญมาอยู่กับเราได้ไม่นานหรอก กดข่มได้ไม่นาน ส่วนเราอยู่ได้แล้วรู้ว่าเราได้ลดกิเลสอะไร แล้วได้ความชำนาญ พฤติกรรม เจริญ​ ศาสนาพุทธไม่ได้ทำให้คนตกต่ำทุกทาง ทั้งโลกุตระและโลกียะ พวกเราพากเพียรพัฒนาไป จะได้เป็นผู้รับใช้โลกที่ดี อยากเป็นไหม?

 

ส่ิงนี้ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นเพ้อเจ้อ เอาโก้ เป็นจริงไม่ได้ อาตมานี่ตั้งใจจริงว่าจะอยู่ให้นาน ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้กี่ปี ก็ตั้งเป้าไว้เยอะ ยังเหลืออีกตั้ง 70 ปี นะ ไม่ได้เพื่ออะไรหรอก แต่เพื่อนำสิ่งประเสริฐอันนี้ของพระพุทธเจ้า สืบทอดให้ช่วยสังคม เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาของสังคมพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

อาตมาพยายามคืนความสุขให้แก่ประชาชน ทำมานานกว่าคุณประยุทธ์อีก ทำมา 40 กว่าปีแล้ว ทำมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็เป็นเรื่องสบายใจ เป็นความสุขที่สูง เป็นปรมังสุขัง หรือวูปสโมสุข เป็นสุขที่สงบเย็น สบาย ไม่ใช่สุขโลกีย์บำเรอด้วยอามิสโลกๆ ที่เป็นความสุขหลอกหรือความสุขเท็จ

 

ก็พากเพียรกันดู อาตมาบอกมานานแล้วว่าพวกเราจะเป็นคนอายุยืน หากทำจิตให้สะอาดแล้วจะทำให้อายุยืน ที่พระพุทธเจ้าว่าเอาโพชฌงค์ 7 ไปท่องให้คนแล้วจะอายุยืน ก็จริง หากคุณปฏิบัติได้นะ แล้วยิ่งเป็นโลกุตระธรรม 46 อีกก็ยิ่งชัด


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:13:35 )

570902

รายละเอียด

570902_สรรค่าสร้างคน(11) วนบ. เรื่อง ลักษณะของอเทวนิยม

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นการเรียนสรรค่าสร้างคนครั้งที่ 11 เราก็มาพูดต่อ อาตมาได้เอาบุญนิยมที่สมบูรณ์ที่มีถึง 11 ประการมาแจกแจง

ลักษณะของบุญนิยมที่สมบูรณ์ 11 ประการ

1.ทวนกระแส(คนละทิศกันกับของทุนนิยม)

2.ต้องเข้าเขตโลกุตระ

3.ทำได้ยาก(ยกเว้นผู้มีบารมีจริง) แม้ยากก็ต้องทำ ซึ่งถ้าผู้มีมาแล้ว เป็นปัจเจก หรือสยังอภิญญา ก็จะทำได้เร็ว หรืออย่างในไตรปิฎกก็มีเขียนไว้ เช่นพระพาหิยะ หรือพระยสะ หรือพระองคุลีมาล หรือแม้พระพุทธเจ้าเมื่อยังไม่ถึงเวลาวาระ ก็เป็นลิงลมอมข้าวพอ ตกในการครอบงำของโลกีย์ตามวิบาก อาตมาก็มีวิบากเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่ถึง 36 ปี เรื่องบารมีนี้เป็นอจินไตย ไม่ใช่จะเข้าใจกันง่ายๆ

 

อย่างสมัยพระพุทธเจ้า สมัยนั้น ถ้ากล่าวถึงพระพุทธเจ้าแล้วล่ะก็ พราหมณ์ทุกรูปทุกสำนัก ถ้าบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงมาอุบัติแล้วเขาจะยอมรับนับถือ ไม่ว่าจะสำนักไหนๆ จะเห็นได้ว่าในตำราไตรปิฎก เจ้าสำนักใหญ่ๆไหนก็ยอมทั้งนั้น

 

ที่จริงพราหมณ์กับพุทธนั้นอันเดียวกัน แต่เวลานานๆไปพุทธก็กลายเป็นพราหมณ์อย่างเก่า แม้ยุคที่พระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนา พราหมณ์ ก็เสื่อมหนัก แม้พุทธเดี๋ยวนี้ก็เสื่อมหนัก อย่างในญี่ปุ่น พระเป็นเจ้าสำนัก มีลูกมีเมียได้ ลูกก็สืบทอดต่อนิกายไป รวยได้มหาศาล แต่ก็ชื่อว่าพุทธมหายานนั่นแหละ ก็เหมือนกับพราหมณ์มหาศาล

 

เวลาที่ยาวนานมาก ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้ เล่าเพื่อให้รู้ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นนัก ขณะนี้ก็ถือว่ายากที่จะทำ แต่ก็เป็นไปได้นะ ถ้าเป็นผู้มีบารมีก็ง่ายอีก อย่างพวกเราหลายคน เรื่องอบายมุขก็ง่าย เรื่องเนื้อสัตว์ก็ง่าย แต่หลายคนไม่มีบารมีก็ต้องปฏิบัติเพ่ิม พากเพียรก็จะได้

 

สรุป บุญนิยมหรือโลกุตระทำได้ยาก แต่ยากอย่างไรก็ต้องทำ และ

 

4.เป็นไปได้(ไม่ใช่ฝั่นเฟื่อง)  สมัยที่พระพุทธเจ้าอุบัติ และตรัสรู้ แต่ก็มีปริวิตกว่า จะไม่สั่งสอนธรรมะ แต่มีสหัมบดีพรหมมาอาราธนา ก็ตรวจดูว่ายังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ท่านก็ตรวจดู ก็ยังมีอยู่ ท่านก็ตรวจว่าจะประกาศศาสนาไหม จะเสียของไหม ท่านตรวจแล้วก็ว่าได้ เป็นพุทธุปาทกาละ

 

และยุคนี้แหละ พุทธยังเป็นไปได้ไหม เสื่อมไปมากแล้วจะกู้กลับได้ไหม อาตมาเป็นโพธิสัตว์ จะฟื้นโลกุตรธรรมจะเป็นไปได้ไหม? แต่ยังไงก็ต้องมีคนได้บ้าง

 

ในบางยุค พุทธอุบัติไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่ได้ ไม่มีคนจะรับได้ มันเสื่อมแย่ คนไม่มีบารมีพอ เพราะฉะนั้น โพธิสัตว์บางองค์ อุบัติขึ้นก็ไม่พูดถึงพุทธเลย จะศึกษาแล้วใช้วิบากเท่านั้น เพราะไม่ใช่พุทธุปาทกาละ ไม่ใช่ยุคสมัยที่ศาสนาพุทธจะหยั่งลงได้

 

หลักตรวจสอบ ยืนยันพุทธ คือ โลกุตระ กับ อเทวนิยม เพราะพุทธไม่ใช่ โลกียะ และไม่ใช่เทวนิยม ไม่เหมือนกัน โลกุตระคือเหนือโลก ไม่เป็นทาสของโลกธรรม เราก็รู้ว่าลาภ ยศ สรรเสริญกาม คืออะไร เขาก็ใช้กันในโลก และลึกเข้าไปถึงอัตตา จะลึกถึงเทวะกับอเทวะ

 

กามนั้น ฤาษี หรือเทวนิยมเขาก็ว่าเขาลด แต่ลึกเข้าไปสุดซึ่งโลกียะเขาก็พอมองออกว่าคนติดยึดกับไม่ติดยึดต่างกันอย่างไร แต่ลึกที่ว่าเทวนิยมเขาก็ทิ้งโลกธรรมได้แต่เขาไม่รู้จักอัตตา เขาไม่รู้จักอนัตตา เขามีอาตมัน ลึกเข้าไปเป็นโลกุตระต้องปฏิบัติจนรู้อัตตาและปฏิบัติจนอนัตตาได้

 

โลกุตระนั้นรู้จักอัตตา ตั้งแต่ที่ไปติดอบายเป็นโอฬาริกอัตตา เราก็ล้างได้ จากโลกียะมาเป็นโลกุตรบุคคล ที่ 1 คือโสดาปัตติมรรค  อยู่ในโลกุตระ 9 ก็มี สุดยอดก็เป็นนิพพาน

 

จะเป็นโลกุตระได้ต้องมีจิตเจตสิกเข้าถึงปรมัตถ์ เร่ิมปฏิบัติเป็นสัมมาอาริยมรรค เร่ิมแต่โลกุตระแรกเลย เรียกว่า โลกุตระ 37 ในพระไตรฯ ล.31 ข.620

[620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4สามัญผล 4 และนิพพาน
ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ

 

เร่ิมเป็นอเทวนิยมคือต้องรู้จักเทวะ การเป็นอเทวนิยมไม่ใช่ว่าไม่รู้จักเทวะ แต่กลับรู้จักเทวะดีด้วยซ้ำ รู้จัก สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ด้วย รู้จัก เทวดา มาร พรหม อย่างรู้ปรมัตถ์ของจิต

 

โลกุตระต้องเข้าถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วก็จัดการเทวะที่หลงผิด สุดท้าย เป็นวิสุทธิเทพ แต่ไม่ยึดว่าเทพนั้นเป็นตัวเราเป็นของเรา ซึ่งสอนในเมถุนสังโยค 7 แต่ถ้าจิตยังมีเพื่อนสองคือเรายังเป็นเทวะ ข้อที่  7. ประพฤติพรหมจรรย์โดยตั้งปรารถนาเพื่อเป็นเทพเจ้า   หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งไว้  แล้วปลื้ม-สุขใจ

 

จะวิเศษอย่างไรก็จะไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราแต่รู้จักหมดถ้วนครบ แล้วเป็นเทวดาได้ถ้วนแต่ไม่เป็นเทวดาเลย บรรลุความเป็นเทวะแต่ไม่ติดยึดในความเป็นเทวะ จะอยู่ต่อหรือไม่ก็ได้ เป็นสิทธิสูงสุด เป็นอมตบุคคล จะตายหรือสูญก็ได้ จะตั้งจิตเป็นอวโลกิเตศวรก็ได้

 

ลักษณะของอเทวนิยมคือ 

 

1. พลังอำนาจของ อเทวนิยม คือกรรม

 

กรรมคือการกระทำหรือการงาน คำว่ากรรมนี้ยิ่งใหญ่ ศาสนาเทวนิยมเขานับถือคำว่า God หรือพระเจ้าเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างใด พุทธก็ถือคำว่า กรรมเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เหมือนดังพระเจ้า มีอำนาจบันดาลทุกอย่างได้ และคำว่ากรรมต่างกัน God ตรงที่ว่า

ของเทวนิยมเขาไม่รู้จัก God เขาสัมผัสGod ไม่ได้ เขาจำนนต่ออำนาจพิเศษน้น แต่ของพุทธไม่จำนนต่อคำว่ากรรม แล้วรู้จักคำว่ากรรม กรรมเกิดจาก จิต จิตเป็นตัวตั้ง มโนบุพพัง คมาธัมมา เป็นอะไรที่มาก่อน เหมือน God ที่มาก่อนและสร้างทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็ว่ากรรมนี้มาก่อนและสร้างทุกอย่าง พระเจ้าเป็นวิญญาณ กรรมก็เป็นวิญญาณ

 

ผู้ที่เป็นจิตนิยามก็จะศึกษาเข้าหาจิต เพราะในจิตมีกรรมเป็นพระเจ้าอยู่ ถ้ากรรมนี้กระทำโดยพระเจ้าปลอม เรียกว่าผีหรือซาตานหรือมาร เรียกเป็นภาษวิชาการว่าอวิชชา ถ้ากรรมเป็นตัวบันดาล ก็เป็นโลกียะ แล้วโลกียะเสียๆก็เป็นผีเป็นมาร เพราะพลังงานที่สร้างทำให้เกิดเลวเกิดชั่ว เสียหาย พระพุทธเจ้าถึงจับความสำคัญของสิ่งที่เป็นจุดสุดยอดของการเกิดในโลกได้

 

เมื่อดับเหตุทุกอย่างก็ดับ ทุกอย่างมาแต่เหตุ แม้เหตุร้ายเราก็ดับให้หมด แต่เหตุดีก็มี ถ้าเราดับทั้งหมดก็หมดสูญหมด แต่ถ้าดับแต่ไม่ดีก็เหลือแต่ดี หมดบาปหมดบุญก็เหลือแต่ดี มีแต่กุศล อยู่ต่อไปก็ได้ แต่พุทธก็ไม่ยึดดี สูญได้เลิกดีได้อีก นี่คือสุดยอด ถึงสุดดีก็คือพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าคือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ศาสนาไหนก็เรียนรู้

 

เพราะจิตเป็นเจ้าเรือน มีวิบากกรรมเป็นเจ้าเรือน หลักของศาสนาพุทธจึงให้เรียนรู้กรรม

 

ท่านตรัสว่า กรรมเป็นของๆตน ตนนี่แหละคือจิตวิญญาณ คืออาตมัน ตนนี่แหละคืออัตตา แล้วยึดตนแล้วให้ตนทำกรรม แม้อรหันต์ไม่ยึดอัตตาทำลายความยึดได้ก็มีอัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว ก็ใช้อัตตาทำงานได้

 

กัมมสโกมหิ กรรมเป็นของๆตน อำนาจของอเทวนิยมคือกรรม กรรมคือตัวอัตตา เมื่อทำกรรมใดก็คือของๆตน กรรมจึงคืออัตตา เป็นอาตมัน

 

​อเทวนิยมนี้เข้าใจธรรมะ เทวะหรือGod ก็คือจิตวิญญาณ ศาสนาไหนก็เรียกว่าพระจิตวิญญาณ เป็นอำนาจมีฤทธิ์แรงมีคุณธรรมสูงสุด แต่เทวนิยมไม่รู้จักความจริงของจิตวิญญาณชัด ศาสนาพุทธอเทวนิยมจะต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน

 

ต้องรู้จักจิต รู้จักรูป นาม จิตนิยามจะเกิดได้ในธาตุของสัตว์โลกที่มีบารมีธรรมพอเป็นเวไนยสัตว์ที่เรียนรู้จิตได้ ว่าต่างจากพีชะ ต่างจากอุตุ อย่างไร ศาสนาอเทวนิยมไม่กระจ่างใน จิต ในกรรม และในGod ศาสนาเทวนิยมก็เรียนแต่ไม่ข้ามไปสู่กรรมนิยาม เขารู้ว่ามีกรรมแต่ไม่กระจ่างในกรรม รู้ว่ามี Godแต่ไม่กระจ่างในGod รู้ไม่ละเอียดไม่รู้จักกรรมนิยาม

 

ธรรมะนั้น คือสิ่งทรงไว้  ที่สุดยอดคือทรงไว้ซึ่งปรมัตถธรรม ให้จิตวิญญาณเรา ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า หรือไปอยู่กับพระเจ้าดีที่สุด ต้องทำตัวให้ดีที่สุดตามคำสอนของพระเจ้า จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า แต่เขาไม่เรียนรู้ว่าความไม่ดีคืออะไร เขาเรียนแต่ความดี ศาสนาความไม่ดีนั้นเมิน ทิ้งความไม่ดี แต่ศาสนาอเทวนิยมนั้น จับหน้าตัวไม่ดีแล้วเอาหัวใจตัวไม่ดีมาเฉือนให้ดับให้หมด เอาจริงเอาจังตรงนี้ ศาสนาพุทธจะดูไม่มีเสน่ห์ เพราะพูดถึงความไม่ดี แล้วสิ่งไม่ดีอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ยอดรักของแต่ละคน ไปรักอะไรไม่รักไปรักยอดหัวใจสิ่งไม่ดีคือกิเลสที่พาทุกข์ร้อนนี่แหละ รักจัง ศาสนาพุทธเอาความจริงมาตีแผ่ ฉีกหน้าสัตว์โลก

 

เราสามารถเรียนรู้กรรมได้ ก็ต้องปฏิบัติ แล้วได้โลกุตรธรรมสูงสุดทรงไว้เป็นธรรม หมดอธรรม ไม่มีสิ่งทรงไว้ที่ไม่ดี มีแต่ส่ิงดีทรงไว้

 

สรุปว่าพลังอำนาจของอเทวนิยมคือกรรม พลังอำนาจของเทวนิยมคือ God

 

2. อเทวนิยม เชื่อ อนิจจังอนัตตา

ไม่ใช่ว่าเห็นแต่ตรรกะตื้นๆ แต่ต้องเข้าถึงความไม่เที่ยงทางปรมัตถ์ ความไม่เที่ยงข้างนอก ภายนอกนั้นเห็นง่าย ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ไม่เที่ยง ไม่ยากในมหาภูตรูป ก็มาเรียนรู้เพ่ิมขึ้นอีก ในจิตวิญญาณ คือเหตุตัวการคือผีคือซาตานที่พาเราวนเวียนทำชั่ว ทุกข์ร้อนเลวร้าย ก็อ่านเหตุ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ส่ิงที่เป็นเหตุให้ชัดเจน จึงมีวิธีให้ศึกษาว่า เมื่อมีจิตก็ทำจิตให้เกิดกรรมกิริยา เกิดหน้าที่การงานของจิต คือทำงาน จะทำงานก็ต้องให้มันเคลื่อนไหว ถ้ามันไม่เคลื่อนมันนิ่งก็อ่านมันยากรู้มันไม่ได้ แต่มันก็ทำงานอยู่ลึกใต้ก้นบึ้ง วิธีการของพระพุทธเจ้านั้นไม่ดิ่งลึกเข้าไปโดยไม่มีฐาน แต่วิธีการของพระพุทธเจ้าให้คุ้ยออกมากระทบให้มันออกมาแล้วตามฆ่ามัน ต้องให้มันมีบทบาทแสดงออกมา อวจรออกมาจะแสดงได้ต้องกระทบ เมื่อกระทบแล้วก็ค่อยๆทำไปฆ่าไป ตั้งแต่อบาย จะฆ่าได้ต้องเห็นมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เราไปหลงติดมันทำไม ในโลกธรรม ในกาม ก็คืออัตตาตัวตนทั้งนั้นก็ไล่เข้ามา

 

วิธีปฏิบัติต้องรู้รูป มีโคจรรูป ปสาทรูป แล้วกระทบสัมผัสก็จะเกิด โคจรรูป เป็นอิตถีภาวะและปุริสภาวะ อิตถีคือไม่นิ่งไม่เป็นเอก แต่ปุริสภาวะคือมีหนึ่งเป็นเอก

 

เพื่อจะเรียนรู้ให้จิตเป็นหนึ่งได้ ต้องกระทบสัมผัสรู้ พระพุทธเจ้าจึงตราวิโมกข์ 8 ขึ้นมา ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 รู้ทั้งนอกและในเป็นองค์ประชุม อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ ต้องทำความรู้สึกหรือสัญญา กำหนดหมาย ตนเองสัญญาเอง ให้จิตทำงาน แล้วจะได้รู้อันอื่นอีก มีทั้งความจำ ความกำหนดหมายก็ใช้สัญญาทั้งนั้น ก็ใช้สัญญากำหนดหมายทั้งภายนอกและภายใน ฆ่าตัวตนตั้งแต่หยาบมา จะกลางละเอียด ให้มาร ผี ซาตานหมดในจิต การสะอาดจากผี นั้นไม่ต้องหนีจากโลกที่มีผี เพราะผีทำอะไรเราไม่ได้เข้าเราไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องหลับตาหรือหนี ในโลกมีอบายของโลกธรรมของกาม โลกมันมีลาภชั่วๆ ยศชั่วๆ สรรเสริญชั่วๆ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชั่วๆ มันเป็นผีหลอกเราให้ไปเสพรสสัมผัส หรือเอามาเป็นตัวกูของกู

 

สรุปแล้วล้างตั้งแต่อบายก็ไม่ต้องหนีไปไหน ฆ่าอบายแล้วก็ฆ่า กาม ฆ่า โลกะรรม ให้ผีหมดไป ก็ลืมตาอยู่ แม้เป็นอนาคามีก็ลืมตาสัมผัสอยู่ไม่หนีไปไหน คนฆ่ากิเลสได้ของพระพุทธเจ้าไม่หนีไปไหน อยู่เหนือมันจริงๆไม่ต้องหนี จึงต้องมี องค์ประชุม ทวาร 6 สัมผัสอยู่ทุกอย่าง จนสัญญากำหนดรู้หมด แม้เนวสัญญาจะไม่รู้ก็ไม่ได้ แม้นานัตสัญญา อัตตาต่างๆก็กำหนดรู้ให้หมดจะมีเศษที่ไม่รู้ไม่ได้

 

คนไม่เข้าใจพยัญชนะเพราะไม่รู้สภาวะ ก็ว่าจะรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ แต่ที่จริงคือต้องกำหนดรู้ให้หมด ไม่มีสิ่งที่ไม่รู้จึงหมดอวิชชาสวะ หรืออนุสัย

 

พ้นรูปปูปาทานักขันโธ คือรูปทั้งหลายรู้หมด ไม่ว่าจะอาหารรูป เพราะทำชีวิตรูป ความเป็นชีวิตของรูป สัตว์ ถึงขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ สัตว์ตัวสุดท้ายของสัตตาวาส 9 เลย กำจัดสัตว์ตัวที่ 1_9 ตายเกลี้ยงเลย ไม่ถูกผูกไว้ด้วยความเป็นสัตว์ พ้นสังโยชน์

 

จึงเป็นผู้หมดตัวตนหรือปรมาตมัน อเวทวนิยมนั้นไม่เชื่ออะไรง่ายๆแม้พระพุทธเจ้าแต่ต้องบรรลุเองเป็นของตนชัดเจน และที่ต้องเชื่อเพราะมันตรงกับที่ท่านเป็น อรหันต์ของเรากับของพระพุทธเจ้าเหมือนกันเลย จึงเชื่อในอนิจจัง อนัตตา

 

ตัวลักขณรูป ที่เป็นอุปาทายรูป คืออนิจจตา ทุกอย่างไม่เที่ยงไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ต้องจัดการให้บรรลุอเทวนิยมถึงอนัตตาให้ได้

 

3.อเทวนิยม สามารถดับภาพชาติได้อย่างสนิทบริบูรณ์

4. อเทวนิยม เชื่อว่ากรรมวิบากไม่เที่ยงแท้ตายตัว

 

มีคุณพิมพ์เพชรรุ้งเขียนรายงานมาว่า

 

  ดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่าน และทีมงานสื่อโทรทัศน์บุญนิยมทีวี ที่ทำให้ดิฉันได้ติดตามการสอนของพ่อครูฯ ทางสื่ออินเตอร์เน็ต และที่ท่านได้ส่งมาทางอีเมล์

ขณะนี้ดิฉันกำลังเตรียมงานพัฒนาความรู้ในค่ายสุขภาพล้างพิษตับ  ที่กลับมาทำตามความรับผิดชอบเดิม    ได้เกิดกำลังใจอย่างยิ่งในการเรียนรู้และพัฒนาการบรรยายความรู้ ให้ดีขึ้นและเกิดประโยชน์มากขึ้น  จากการได้เรียนได้ฟังการสอนวิชาพุทธชีวศิลป์ของพ่อครูฯ  จึงขอถวายรายงานสภาวะที่เกิดขึ้น เพื่อขอคำแนะนำจากพ่อครูฯ   ตามที่เขียนรายงานส่งมานะคะ

    ส่วน เรื่องที่กำลังจะนำมาเสริมการบรรยาย ในค่ายสุขภาพคือ เรื่องอาหาร 4 ( กวฬิงการาหาร, ผัสสาหาร,มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร) กับสุขภาพองค์รวม

ตามที่ได้เรียนรู้ ศึกษา ฟังธรรมจากพ่อครู และ ค้นคว้าเพิ่มเติมมา  และถ้าพ่อครูจะเมตตาแสดงธรรมในเรื่องอาหาร 4 นี้ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกก็จะ เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ดิฉันจะได้น้อมนำมาเพิ่มองค์ความรู้เพื่อนำไปใช้ประโยชนและเผยแพร่ต่อไปค่ะ

 

กราบขอบพระคุณยิ่งค่ะ,

 

         พิมพ์เพชรรุ้ง

 

กรรมวิบากใดเราทำสำเร็จแล้ว เราจะเปลี่ยนแปลงให้มันหมดไปได้ ก็ด้วย คือเราไม่ทำมันอีก คนเรานี่ เร็วยิ่งกว่าวินาที นี้ คุณเติมกิเลสอยู่ทุกวันแหละ ขนาดปฏิบัติธรรมเราเติมกิเลสไหม แต่เรารู้บันยะบันยัง จะลดละเลิกมาตามลำดับ แต่เติมอยู่ แต่คนที่อวิชชานั้น อยู่กับทุกเศษเสี้ยววินาทีของการเติมกิเลสทั้งนั้นเลย อยากได้ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส อยากไปทุกอย่างเลย มันน่าเศร้า อวิชชานี่

 

กรรมใดทำแล้วแก้ไม่ได้ แต่มันจะออกฤทธิ์ให้คุณใช้วิบาก และวิบากเก่ามันก็ออกผลช้าขึ้นถ้านานไปมันก็ออกผลช้า เพราะจะมีวิบากใหม่มาคั่น ถ้าวิบากใหม่เป็นวิบากไม่ดีมันก็รวมหัวกันผสมโรงกันแต่ถ้าเป็นวิบากคนละตระกูลมันก็จะคั่น วิบากจะมาหาเรายากขึ้นแต่ไม่หมด ฤทธิ์มันน้อยลงๆ

 

1.ทำให้วิบากเก่าช้าลง คนที่ปรินิพพานนั้นไม่ได้ดับวิบาก วิบากตามมาอยู่ แม้เป็นพระพุทธเจ้าวิบากก็ตามทันแต่เราปรินิพพานได้ก่อนวิบากจะตามทัน อรหันต์ถ้าปรินิพพานก็หนีวิบาก ดับ อัตภาพสูญ วิบากก็หาไม่เจอ แม้วิ่งมาทันก็หาไม่เจอ ยอดเยี่ยมไหม? หาวิบากดีมาคั่น โดยเราทำกุศลๆๆๆ

2.ชำระกิเลสใหม่ที่จะเกิด เพราะกิเลสเก่าที่ทำไปแล้วก็ทำอะไรมันไม่ได้แต่ทำปัจจุบันทุกปัจจุบัน กิเลสเกิดก็ฆ่ามันทุกขณะ ของพระพุทธเจ้าจึงลึกซึ้งมาก รู้จักกิเลส ฆ่ากิเลสให้หมดทุกตัว มีอำนาจจิต กิเลสเข้าไม่ได้อีกก็จบ เหลือแต่วิบากเก่าตามมาแต่เราสร้างกุศลคั่นไว้ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็มีวิบากเหลือน้อย

 

ทุกวินาทีต้องฆ่ากิเลส บาปก็ไม่เข้าอีกแล้ว มีแต่วิบากบาปเก่า ถ้าเราสร้างวิบากดีคั่นมันก็ตามไม่ทัน หากอรหันต์แล้ว หลายองค์ท่านก็ไม่ต่อ เพราะวิบากท่านเยอะ

 

5.สุขของอเทวนิยมเป็นสุขแบบโลกุตระ ..สุขโลกีย์นั้นสุขหลอกเป็นโลกียะ แต่สุขโลกุตระนั้นทั้งไม่ทุกข์ไม่สุขแบบโลกีย์ แม้อยู่กับ โลกธรรม กับกาม กับอัตตาใดๆ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันสุขอย่างสงบ สันตา ละเอียด ประณีต นิปปุนา

 

สงบของโลกีย์เขาต้องหยุดนิ่งเฉย แต่ว่าโลกุตรสุขนั้นไม่น่ิง แต่ทำงานอยู่ สัมผัสอยู่เราก็ไม่เกิดกิเลส จึงสุขสงบแท้จริง

 

6.โลกของอเทวนิยม รู้รอบถึงขั้น ดับวัฏฏสงสาร...ความวนของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เมื่อกิเลสหมดก็ไม่ต้องวน หรือจะวนก็ได้ ถ้าดับวัฏฏสงสารที่ทำให้ชั่วให้ทุกข์ จิตวิญญาณเราสะอาดตลอดไปไม่วนไปทุกข์สุขหรือชั่วแล้ว

 

แต่ที่พระพุทธเจ้าต้องมามีเมียมีลูกก็เป็นแค่ลิงลมอมข้าวพอง เป็นวัฏฏสงสารปลอมๆ

 

7.มีลักษณะเข้าถึงอาริยะ คำว่า อาริยะ คำนี้อาตมาพยายามบัญญัติภาษามาใช้แทนที่เพี้ยนไปแล้ว คือคำว่า อารยะ Civilize แต่มันเพี้ยนไปหมดแล้ว และทางเถรวาทยืนยันคำว่า อริยะ ก็เพี้ยนไปแล้ว อาตมาเลยไม่อยากจะใช้ของเขา ก็เลยใช้คำว่า อาริยะ แทน เป็นสภาวะความเจริญประเสริฐ อย่างชาวอโศกเจริญเพราะมีอาริยธรรม อย่างโลกเขาต้องการอย่างเรานี่แหละ คุณสมบูรณ์แล้วในเรื่องโลกธรรม ในเรื่องกาม อัตตา คุณสมบูรณ์หมดแล้ว ของคุณเต็มแล้ว คืออะไรรู้หรือเปล่า คื

 

สรุปแล้วที่เอามาอธิบายคือเกิดจากธาตุรู้ ผู้มีภูมิคุ้มกันอยู่เหนือโลกธรรม คุณมีความรู้ความสามารถก็ทำ แล้วคุณก็ไม่แยแส เอาไว้ใช้สอยเท่านั้น ก็ไม่ยึดติด คนเจริญโลกุตระ เช่นเรารวยแต่เราไม่สะสม มีเท่าไหร่ก็สะพัด แล้วไม่สะสมทุนอย่างทุนนิยม คือเขาใช้ทุนของเขาได้แค่ 5 แล้วเขาก็ใช้ 10 แล้วเขาก็ไม่พอ เขาก็เอา 10 ไปออกดอกออกผลเพ่ิมอีก แต่ของโลกุตระ สร้าง ​5 สร้าง 10 สร้างร้อยสร้างพันแต่ไม่เอาสะสมไว้ ไม่สะสมทบทวีไป บุญนิยมไม่ทำ นอกจากไม่ทำแล้ว แม้จะได้เพิ่มขึ้น สมรรถนะเราทำได้ 5 นานเข้าเราก็ทำได้เพ่ิมขึ้น เราไม่ได้หนีโลก เราทำงานกับโลก เราจะคล่องตัว แต่โลกเขาทำไม่เป็นกัมมัญญตาเหมือนโลกุตระ เพราะโลกุตระนั้นทำงาน คล่องตัว ไม่ต้องเสียเวลาแคลอรี่ไปคิดว่าจะได้กำไรหรือคุ้มทุนอย่างไรเลย โลกุตระนั้นทำงานได้เหนือโลกียะมากยิ่งทำงานย่ิงมีค่าสูงกว่าโลกียะมาก แต่เราทำงานได้มากเราก็ไม่เอาไว้เลยสะพัดออกเหลือแค่พออาศัย เป็นผู้ประมาณได้ดี

 

คนอาริยะหรือโลกุตระนั้น 1 คนมีค่าสูงกว่าคนโลกียะมากกว่ามากเลย แล้วเราไม่เอาทุนไปหาประโยชน์ เราสะพัดไม่เหลือทุนเลย จึงเป็นคนมีค่าสูงกว่าโลกไม่รู้กี่ชั้น แต่เราทำงาน เราไม่ต้องเสียเวลา แครอรี่ หรือทุนรอนที่จะไปเปลืองไปเสพกับโลก จึงมีเวลาทำงานได้มากว่าทางโลก คนอาริยะจึงมีค่าสูงกว่าคนโลกๆมากเลย

 

อาตมาไม่อยากพยากรณ์ หรือพูดล่วงหน้า ...แต่พูดดีกว่า พูดให้พวกเรารู้....พวกเรานี่นะเป็นอาริยบุคคล จะทำงานช่วยโลก โลกานุกัมปา ในอนาคตเราจะช่วยโลก ทางเศรษฐกิจนั้นชัดเจน เราไม่เอา เราไม่สะสมแต่เราสร้างได้มากแล้วสะพัดแก่โลก

 

สังคมศาสตร์เราก็ช่วย เพราะเราไม่เป็นตัวกวนตัววุ่น มีแต่รับใช้ให้เรียบร้อย สังคมก็อบอุ่นเรียบร้อย เราไปทำงานกับสังคม แม้จะเรียกว่าทำงานการเมือง เราก็ไปทำงานสังคม ไปช่วยเหลือ รับใช้ เราไปให้แก่สังคมทั้งนั้น เหนือกว่าเศรษฐศาสตร์

 

เราจะมีสมรรถนะ ความรู้สามารถทั้งการเมือง เศรษฐศาสตร์ เราไม่มีติดยึดสะสม ไม่ได้จดบัญชีว่า ฉันซี5 ซี 8 ซี10 เป็นรัฐมนตรีไม่ได้คิดไม่ได้ตราตั้งแต่ทำหน้าที่ไป อาจดีกว่าเขาด้วยแม้ไม่มีตำแหน่ง ผู้รู้จะรู้ ผู้เห็นจะเห็น ต่อไปพวกเราในอนาคตนี่พวกเราจะเป็นคนทำ เราไม่อยากได้ลาภยศ เขาจะให้เราทำ เราไม่อยากได้ลาภ เราจะได้ลาภ แต่เราจะไม่เอาไว้เราจะสะพัดให้สังคมอีก สังคมก็จะได้ย้อนกลับคืนหมดเลย เราก็ไม่เอาไว้อีก แล้วค่าตัวก็สูงขึ้นแน่นอน

 

ทางตะวันตกนี่ค่าสปีช ค่าเลคเชอร์นี่แพงนะ คนเก่งๆ ดูแต่เมืองไทยไปจ้างคนมาแต่ละคนทีหนึ่งกี่สิบล้านบาท แล้วเขาก็หอบเงินไปจริงๆแต่คนโลกุตระนั้นไม่เอา คอยดูนะคนไทยโลกุตระ ต่อไปเมืองนอกจะเชิญไปพูดให้ไปเอาเงินมัน

 

ขณะนี้มีคนในไทยไปเชิญอดีตนายกฯอังกฤษมาพูด แล้วก็พูดเรื่องราคาค่าพูด แต่เขาก็ไม่เอาแล้วเขาก็กลับไปไม่เอา เขาก็มาพูดให้ ไม่เอาเงินแล้วเขาก็กลับ เท่ไหม? สอนเลยนี่มันอย่างนี้จริงๆ นี่คือคนอาริยะ ในอนาคต พวกเราจะเป็นคนเช่นนี้

 

8.ศาสดาของอเทวนิยมเป็นคนปกติสามัญ

ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่มีคุณธรรมเหมือนคนทั่วไป แต่เป็นคนติดดินเหมือนคนทั่วไป แต่ก็รู้ค่าของสิ่งที่โลกเขาสมมุติ แต่ท่านอยู่กับโลกเขาอย่างที่เขาสมมุติ คุณว่าในหลวงเราติดดินไหม แต่ท่านก็ต้องมีสมมุติที่ไม่ให้เสียเลย แต่ท่านก็ติดดิน ไม่เหมือนพวกเป็นใหญ่ทั้งหลายแหล่ ซึ่งต้องดูเป็นดูออก ไม่ใช่ว่าอาตมามายกยอปอปั้นนะ

 

ศาสดานั้นเป็นคนเหมือนสามัญ​ พระพุทธเจ้าท่านก็เหมือนสงฆ์ทั้งหลาย พระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพไปหาพระพุทธเจ้าก็ว่าไม่เห็นมีพระพุทธเจ้ามีสงฆ์อยู่มากมาย แต่ไม่เห็น พระพุทธเจ้าก็นั่งปนกับสงฆ์ทั้งหลาย พระเจ้าอชาติศัตรูก็ว่าถูกหลอกแล้วไม่เห็นมีพระพุทธเจ้า เพราะConcept ว่าพระพุทธเจ้านั้นต้องเด่นเหนือคนอื่น พระเจ้าอชาติศัตรูก็ไม่เห็น เป็นคนปกติสามัญ

 

9.คุณวิเศษของอเทวนิยมคืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

อันนี้ไม่อธิบายแล้ว..ขอผ่าน

10.ที่พึ่งของอเทวนิยม คือกรรมหรือพระรัตนตรัย

ก็คืออธิบายไปแล้ว ข้างบน


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:14:49 )

570903

รายละเอียด

570903_พุทธชีวศิลป์(11)วนบ. เรื่อง อาหารอย่างพิศดาร

เราได้เอาพระไตรฯ ล.16 มาไล่เรียง อธิบายไปได้หลายบทแล้ว ธรรมะพระพุทธเจ้าปฏิสัมพัทธ์ร้อยเรียงถึงกันหมด สำหรับผู้ที่เข้าใจ ถึงสภาวะที่เกี่ยวเนื่องกัน รู้จักตัวเชื่อมต่อก็เชื่อมได้ทั้งหมด วันนี้มีผู้อยากให้อาตมาอธิบายถึงเรื่อง อาหาร 4 คุณพิมพ์เพชรรุ้งอยาจะให้อธิบายเรื่องอาหารสูตรที่จะเกี่ยวกับสุขภาพทั้งจิตและกาย

 

ในวิปัสสีสูตรท่านยกมาหรือสูตรต่อๆมา ก็จะเน้นที่โยนิโสมนสิการ เกิดในจิต และรวมตัวสังเคราะห์ มนสิการเสร็จแล้วก็จะออกมาเป็นจิตสังขาร ถ้าผู้ใดปฏิบัติดี ถูกต้อง จัดการกับจิตได้ มนสิการเป็น ถูกต้อง ผู้นั้นแหละคือผู้ปฏิบัติธรรมที่สามารถกำจัดกิเลสได้หมด

 

เมื่อผู้ใดมนสิการเป็น ลงท้ายจะเป็นวจีสังขาร เราได้เรียนสังกัปปะ 7 มาแล้ว จะเรียกว่าทำฌาน ทำสมาธิ ใช่ทั้งนั้น การทำฌาน ทำสมาธิ คือทำสังกัปปะ 7 นี่แหละ ระบุชัดว่า วจีสังขาร เป็นบัญญัติที่ไม่เป็นภาษาคำพูดก็ได้ แต่คือองค์รวมของการสำเร็จในการทำใจ จัดการใจเรา

 

ถ้าผู้อวิชชา ก็จัดการกันเองสังขารปรุงแต่ปุ๊ปๆเลย วจีสังขารที่คุณต้องการมันไม่เป็นหรอก แต่ก็เป็นวจีสังขารที่อยู่นอกการจัดการ กิเลสมันจัดการ แล้วคุณไม่รู้หรอก ว่ากิเลสมันจัดการหมด แล้วออกมาโดยคุณก็มีสามัญสำนึกบ้าง อะไรน่าอาย ก็บังคับกั้นๆไว้บ้าง หรือห้ามไม่ไหวก็ออกมา หรือไม่อยากห้ามเลย อยากให้ออกมาเป็น วาจา และกายกรรมเลย ก็มาจากจิตเป็นประธาน

 

พระพุทธเจ้าสรุปว่า เครื่องอาศัยคืออาหารเกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้ศึกษามา ต้นตอท่านเรียกว่า วิญญาณ อยู่ในข้อที่ 4 ของอาหาร 4

 

อาหารคือคำข้าวเป็นแค่ข้อ 1 ของอาหาร 4 นอกนั้นก็เป็น ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เราต้องเรียนรู้และจัดการ มนสิการเป็น เรามีหลักวิธี ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

 

กวฬิงการาหาร พระพุทธเจ้าตรัสว่า      

1.    กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม)

2.   ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)

3.   มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา)

4.    วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244)

 

สำคัญมากเราต้องเรียนรู้อาหารทั้ง 4 นี่แหละ ท่านขึ้นต้นด้วยกามตัณหา เพราะสมกามสมใคร่ก็เป็นกามตัณหา ไม่สมอยากก็เป็นทุกเวทนา หรืออิ่มเซ็งแล้วก็กลางๆ

 

เราต้องใช้วิภวตัณหา ที่เขาเข้าใจกันผิดมานานแล้วเรื่องวิภวตัณหา เขาว่าจะไปอยากอะไรไม่ได้เลย มันเป็นกิเลสหมด เรียนลัดให้จิตว่างๆเปล่าๆไป ไม่ได้จัดการเหตุแห่งทุกข์ ไม่เป็นอาริสัจ 4 เป็นสมาธิหลับตา เจโตสมถะ หลายสำนักก็ฝึกให้ใช้สติ ฝึกไป รู้เลาๆคร่าวๆว่าอาการอย่างนี้คือโกรธ คือโลภ ก็สังวรระวังอย่างแสดงออก ซึ่งโทสะนั้นรู้ง่าย ในกายวิญญัติ แต่ที่จริงราคะหรือโลภะก็รู้ง่าย แต่คนเผินไม่อยากเอาใจใส่ เพราะจิตลึกๆชอบด้วยกันก็เลยไม่เอาใจใส่ แต่ถ้าโกรธนั้นไม่ชอบก็เลยสะดุดง่าย

 

ในวิญญาณาหารท่านกำหนดตัวปลายคล้ายอาริยสัจ 4 ให้รู้จัก นาม_รูป ของจิต ผู้เรียนรู้จัดการเรื่องอาหาร ให้สมบูรณ์แบ คุณจะรู้อาหารที่เป็นสาระ แม้อาหารที่เข้าไปเลี้ยงกายขันธ์ ก็จะกินที่มีสาระ คนที่กินด้วยถูกหลอกด้วยกาม ในกวลิงการาหารท่านให้เรียนรู้กามคุณ 5 เช่นรูปอย่างนี้ตรงกับที่เรายึดติด รสอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ แต่เสียงนั้นในอาหารไม่ชัด บางคนก็ว่ามีเสียงกรอบไง

 

เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคสารพัดโรคจากอาหารนี่เยอะ วิธีของพระพุทธเจ้าต้องสัมผัส อาศัยผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า พวกที่นั่งหลับตาสมาธิก็ปฏิบัติแต่นอกพุทธ แต่เป็นอุปการะได้ ในการทำเจโตสมถะ คือ ได้พักจิต ได้เรียนรู้ภายในจิต ได้เตวิชโช และทำฤทธิ์ได้ (อันนี้ไม่ส่งเสริม)

 

เราต้องรู้ชัดว่า การนั่งหลับตาไม่ใช่วิธีของพุทธ แต่พุทธรู้และใช้ประโยชน์ได้ แต่วิธีปฏิบัติจริงๆเป็นแกนหลักคือ มีผัสสะ ถ้าปราศจากผัสสะแล้วไม่มีวิญญาณให้เรียนรู้

 

เวลาเราปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติเช่นนี้เราจึงจะเรียนรู้ตั้งแต่ กวลิงการาหาร ต้องกำหนดรู้ในเบญจกามคุณ แล้วมาเรียนรู้ ผัสสะหาร ต้องกำหนดรู้ในเวทนา อ่านตัณหา 3 และวิญญาณ จะรู้วิญญาณได้ต้องอ่านนาม_รูปเป็น

 

วิญญาณเกิดทางทวาร 6 ที่มีผัสสะกระทบสัมผัส แล้วเกิดเวทนา ตัณหา ต้องกำหนดรู้วิญญาณ โดยอาการ ลิงค นิมิต ตั้งแต่ ตากระทบรูปอยู่ จิตเรารู้อยู่ ไม่ได้ขาดกาย ตานี่มันมีข้างนอกเรียกว่าปสาทรูป กระทบสิ่งข้างนอก นี่คือรูปทางตา ถ้าเสียงกระทบ เสียงก็เป็นรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ทางหู รวมทวารทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น รวมเป็น กายสัมผัส รวมหมดท่านไม่นับเต็ม ปสาทรูปมี 5 แต่ว่า โคจรรูป 5 แต่หักออก 1 เหลือ 9 เพราะถือว่า ตา หู จมูก ลิ้น เป็นสัมผัสรวมคือกาย

 

แต่ทุกวันนี้คำว่า กายนั้นเพี้ยนไปหมดแล้ว เขาหมายเขาข้างนอกเป็นผิว ไม่ต่อเนื่องกับประสาทสัมผัส ไม่เนื่องไปถึงจิตเลย

 

ถ้าเราเรียนรู้ผัสสะ และเรียนรู้เจตนา คือมโนสัญเจตนา เราเรียนรู้ กายสังขาร ทั้งประกอบด้วยร่างมหาภูตรูป และเนื่องสู่อุปาทายรูปด้วย เราจะรักษาสุขภาพร่างได้ดีก็เพราะเราไม่หลงเวทนา สุข ทุกข์ ที่เกิดจากอวิชชาปรุงแต่ง มันผัสสะ แล้วรวมเป็นเวทนาเลย ประชุมรวมกันเลยก็คือสังขาร ออกมาเป็นเทวดา เป็นผี ถ้าชอบใจก็เป็นเทวดาเลย เทวดาเก๊ เช่นเมียปรุงอาหารมาให้ผัว พอกินก็ว่าเอาอะไรมาให้กิน ผีเข้าเลย จานร่อนเลย ไม่ถูกปาก ก็โกรธ เกิดปรุงแต่งปุ๊ปๆ เป็นผี แต่พอชอบใจก็เป็นเทวดา ไม่ชอบใจก็เป็นผีโขมดไป คนเอ๋ยคน มันปรุงปุ๊ปเลย

 

อาตมาวิเคราะห์จากบัญญัติที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่รู้กี่เที่ยวแล้วนะ จากผัสสะเราก็รู้ว่าเรามีเวทนาอย่างไร มีตัณหาอุปาทานเข้าไปร่วมด้วยไหม? ต้องตามเข้าไปรู้ว่ามันเจตนามุ่งหมายต้องการอย่างที่ยึดไว้ มันจึงเป็นเทวดา เป็นเทวดาเท็จเก๊ เป็นสุขขัลลิกะ จิตที่บำรุงบำเรอด้วยอาหารที่ชอบใจ โดยไม่รู้ว่าเป็นพิษหรือไม่ เป็นพิษทางธาตุอาหาร และเป็นพิษทางจิตวิญญาณคือรสอย่างนี้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอย่างนี้ เป็นเรื่องราวสารพัด ก็ฟุ้งเฟ้อมากเกินต้องไปหาเงินไปแย่งชิงสารพัด นั่นแหละสุขภาพจิตต่ำลงเสียลง เลวร้ายลง จากอวิชชา โง่ที่ไม่เอาสาระแท้ๆ

 

รสธรรมชาติบางอย่างไม่ต้องกับสรีระบ้างแต่มีประโยชน์เราก็ต้องเอา รสไหนไม่ต้านกับประสาทเราและมีประโยชน์ก็ควรเอา ต้องหยุดอารมณ์ให้หมดเลย แต่เอาที่ประสาทสัมผัส บางอย่าง กลิ่นเหม็น รสเผ็ด รสขื่น มันแข็ง มันเหนียวแต่มันเป็นประโยชน์เราก็หาวิธีรับเข้าไปในร่างกาย เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ถ้าเรารู้ว่ามีประโยชน์เราก็รับได้ง่าย แต่ถ้ามันไม่รับทางจิตก็สปาร์คก็เสียพลังงาน เช่นรู้ว่ารสขม ประสาทเราไม่ต้องกันนัก มันไม่มีอารมณ์มาร่วมด้วย เป็นเรื่องประสาทเท่านั้นก็ทำให้พลังจิตของเรามาแก้ไขตรงนี้ก็ได้ พลังจิตเรารับรู้นานๆก็ทำให้ร่างกายชินไป

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ใครเคยกินน้ำเยี่ยว กินใหม่ๆมันมีจิตต้านจัดเลย แต่พอกินๆไปก็ไม่มีจิตต้านจิตสปาร์ค มันก็รสชาติตามที่เรากินอาหาร หรือหมักไว้นานหน่อยก็กลิ่นมีมาก ก็เป็นธรรมดา เราไม่มีจิตต้านก็ดื่มได้ง่าย

 

เกิดจากจิตที่เรียนรู้วิญญาณ รู้นาม_รูปทั้งนั้นเลย เรื่องอื่นๆก็นัยนี้ ถ้าปฏิบัติเรื่องอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา มัตตัญญุตา จ ภัตสมิง ถ้าเราเรียนรู้เรื่องอาหารให้ดี อ่านกามคุณจากอาหาร เมื่อผัสสะเมื่อใด ยังไม่กินเมื่อตายังไม่เห็นรูป ได้กลิ่นมาแต่ไกลได้ยินเสียงแล้ว จะเป็นอาหารที่เป็นกวลิงการาหาร พระพุทธเจ้าว่าอ่านให้มันชัด ละกิเลสให้ได้จากอาหารรับรองเป็นอรหันต์ ตัวเดียวนี่ก็ได้เป็นเรื่องสำคัญ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยปฏิบัติเลย ไปกินมื้อเดียวกินน้อยประหยัดไปโน่น แทนที่จะเรียนรู้อาหาร 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

 

แล้วอาหารในอวิชชาสูตร ท่านว่า อวิชชาไม่ใช่ไม่มีอาหาร อวิชชานี่คือโคตรพ่อโคตรแม่ของคน แล้วมันต้องหาอาหาคือ นิวรณ์ 5 เสมอๆ อยู่ในตัณหาสูตร

1.การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2.การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ นิวรณ์ 5

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ อวิชชา

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62)

 

ขอแวะอาการกรรมของจิตที่ละเอียดหน่อย คือพฤติกรรมของจิตมันมีบทบาทมาตั้งแต่

1.    อารัพภธาตุ (ดำริ) ความเพียรเป็นเหตุปรารภ (ริเริ่ม)

2.   อารัมภธาตุ (ปรารภดำริ)

3.   นิกกมธาตุ (พยายามดำริ) เพียรเป็นเครื่องก้าวไป

4.    ปรักกมธาตุ (บากบั่นดำริ) ความเพียรก้าวไปข้างหน้า เร่ิมมีตัวนอกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ออกจากจิต และอันนี้แหละ คือเร่ิมจะชื่อว่ากรรมแล้ว เป็นบทบาทของกรรมแล้ว (สามอันแรกยังไม่เป็นกรรม)

5.    ถามธาตุ (ดำริมีกำลัง) ความเพียรเป็นกำลัง  จะออกไปอาละวาดสร้างกรรมแล้ว

6.    ธิติธาตุ (ดำริตั้งมั่น) ความเพียรเป็นเครื่องทรงไว้

7.   อุปักกมธาตุ (ดำริสำเร็จเต็มรูป เหมือนลูกศรจะออกจากแล่ง พยายามที่จะกระทำให้เกิดกรรมออกมา) .

(จาก อัตตการีสูตร ล.22  ข.309)

 

นี่คือรายละเอียดของพระพุทธเจ้าที่เกินจะคาดเดาได้

 

ทุจริต 3 ก็ออกมาจากมโน เกิดจากจิตที่อวิชชาก่อน แล้วไปสู่ กายกรรม วจีกรรม ถ้าเป็นการชำระกิเลสได้แล้วก็ออกมาเป็นกุศลเป็นสิ่งดีออกมาทำกรรม แต่มันเกิดทุจริต 3 เพราะมีอาหาร คือการไม่สังวรอินทรีย์ 6 ไม่ได้ระมัดระวังสังวรเลยว่าเป็นอย่างไร

 

เมื่อสัมผัสกันทาง ปสาทรูป โคจรรูป ก็เกิดเป็น ภาวรูป 2 คือเราต้องทำให้เป็นปุริสุตตมะคือ เป็นปุริสภาวะสูงสุด เป็นภาวะที่ดีสุดสูงสุดแล้ว เราต้องทำให้เป็นปุริสัตตะ เป็นปุริสินทรีย์มาเพ่ิมเรื่อยๆ

 

สำรวมอินทรีย์ต้องมีสติสัมปชัญญะ กระทบสัมผัสแล้วก็ต้องรู้ตัว หากสัมผัสแล้วก็ปรุงปั๊ปเลย สติที่จะรู้ตัวตั้งหลักไม่ปหานกิเลสแต่กิเลสปหานคุณเลย ไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่พอรู้ตัวได้เราก็จะมีสติสัมปชัญญะ ไปถึงสัมปัตตะ สัมปันนะ คือให้มีบทบาทการงานของจิต ทำใจให้ได้ตามที่เราเรียนรู้มา ตามสังกัปปะ 7

 

มันดำริมีกามร่วมมา ก็จัดการกามให้ได้ไม่ใช่ไปดับความรู้สึกนึกคิด แต่ไปจัดการตัวแทรกมาคือกามกับพยาบาท เมื่อกำจัดได้สำเร็จ ก็สติสัมปชัญญะของคุณก็เรียบร้อย คือโยนิโนมนสิการ เพราะสติสัมปชัญญะมีโยนิโนมนสิการเป็นอาหาร

 

แต่คนไม่รู้เพราะกระทบสัมผัสแล้วไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีแต่ให้กิเลสไปทำใจในใจของคุณเองหมด เป็นตัวการจัดการหมดเลย อาหารที่ได้คืออาหารที่กิเลสจัดการหมดเลย แล้วจากโยนิโสมนสิการมีศรัทธาความรู้ความเชื่อเป็นอาหาร

 

คุณรู้ตามโลกเชื่อตามโลกเขาหลอกว่าอันนี้สนุก อันนี้สุข อันนี้น่ามีน่าได้น่าเป็น ดีที่พวกคุณยังมาเชื่ออาตมาบ้าง แต่ก็เชื่อยังไม่สนิททีเดียว รู้ยังไม่สมบูรณ์ นำหนักความรู้ไม่พอ ก็ต้องเพ่ิมเติมความเชื่อให้มีสัมมาทิฏฐิ ให้เชื่อจริงว่า ไม่ต้องไปอยากได้อยากมีอยากเป็นกับโลกเขาหรอก เราทำได้หาได้ก็เอาเข้าสาธารณโภคี เราก็กินใช้กับส่วนกลางนี่แหละ ช่วยกันทำงาน กินใช้ร่วมกันก็ย่ิงเจริญงอกงาม ยิ่งกว่าปุ๋ยชาวอโศก

 

เมื่อเป็นความเชื่อความรู้ความศรัทธา แต่ต้องเป็นความถูกต้องด้วยนะในศรัทธานั้นๆ คุณจะเกิดความเชื่อตั้งแต่ยังไม่เชื่อก่อน สุดท้ายคุณทำได้เองก็คือเชื่อสิ่งที่เกิดกับคุณเอง เป็นผลปัจจัตลักษณ์ เกิดบรรลุด้วยตน ก็ไม่ใช่ว่าเชื่อพระพุทธเจ้า คุณเห็นกิเลสดับ เห็นอาการจิตที่มันไม่ทุกข์ไม่สุข แต่ไม่ใช่แข็งทื่อมะรื่อ จื ดชืด คุณก็จะรู้ด้วยตัวเอง

 

จะเกิดอาหารที่เป็นศรัทธา เมื่อคุณเชื่อและปฏิบัติหรือจะปฏิบัติถูกเพราะเชื่อว่าถูก เพราะได้ฟังธรรมที่ดี ได้ยินได้รู้ได้อ่านได้รับมา เป็นสัทธรรม เป็นสัมมาทิฏฐิได้มาจากสัตบุรุษ

 

ในสูตรที่เป็นการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าคือ สติปัฏฐาน 4

ในอวิชชาสูตร

1.การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ .สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

 

โพชฌงค์ 7 สติปัฏฐาน 4 ไม่มีในอวิชชาบุคคล เพราะอวิชชา เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของกิเลสเลย มันหาอาหารคือนิวรณ์อยู่ตลอดเวลา ตาพึดเลย สติสัมปชัญญะก็กลายเป็นลูกน้องของกิเลสเต็มที่เลย ไม่มีกระบวนการโยนิโนแน่ไม่มีทางบรรลุอะไรกับเขาแน่ นี่คืออาหารในอวิชชาสูตรที่ชัดเจนมากเลย ถ้าอาหารที่ทำได้อย่างนี้ละก็สุขภาพจิตเยี่ยม และสุขภาพกายก็เยี่ยมแน่ อาตมาว่าพวกเรานี่แหละจะอายุยืน หากพากเพียรไปได้ อย่างน้องดูคุณเทียนพุทธนี่เป็นมะเร็งขั้นที่ 4 มา 14 ปีมาแล้ว ให้ปฏิบัติธรรมไปเถอะ อย่างโยมปราณี ก็เป็นมะเร็งที่ปอด หมอก็บอกว่า 6 เดือน ตายแน่ ก็เป็นโชคดีของโยมปราณีมาเจอพวกเรา ก็กินอาหารธรรมชาติ แต่แกบอกว่าแกหายเพราะดื่มปัสสาวะนะ อายุมากกว่าอาตมา 1 ปี เป็นมะเร็งตั้งแต่อายุ 60 ปี แต่ตอนนี้อยู่มา 20 ปีแล้ว ไปให้หมอตรวจหมอบอกว่าไม่รู้ว่าก้อนหายไปไหนแล้ว

 

อายุจะยืนเพราะสุขภาพจิตของเราเป็นหลัก ข้อสำคัญไม่โกรธ กินอาหารธรรมชาติ ทำงานไป เป็นการปฏิบัติเข้าหลักพพจ. คนมาถามว่ารักษาอย่างไรก็ว่ารักษาด้วยพุทธโอสถ แน่นอนพวกเราจะอายุยืน เพราะจิตมาก่อน แม้แต่หมอทางสากล การรักษาโรคเขาก็บอกว่าถ้าจิตดีแล้ว 60% จะหาย เพราะโรคอาศัยจิต 60% อาศัยกายแค่ 40%

 

พวกเราจะอายุยืนแบบแข็งแรงด้วยนะ ไม่ใช่ว่าอายุยืนเพราะมีเงินจ้างเครื่องไว้หมดใส่สายไว้นอนกับเตียง 10 ปีแล้วเป็นต้น ดูอย่างอาจารย์ชาก็ใส่เครื่องไว้ 7ปี ไม่เอาแบบนั้น นอกจากวิบากใครก็อาจมี ตอบไม่ได้เรื่องอจินไตย

 

ถามตอบ...

 

จิตที่ปฏิบัติธรรมไม่ลงตัวก็ป่วย พอให้เปรตพลีไปมันก็หาย ถามว่าเราจะสู้ให้ตายไปเลยหรือว่าจะถอยลงมา ทำอย่างไรคือปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม?

 

ตอบ..พวกเราหลายคน มาบวชเป็นสมณะก็ป่วยบ่อย แต่พอสึกไปก็หายเลยไม่ได้รักษาอะไร เป็นโรคทางจิต สรุปแล้วคือโรคของอุปาทาน ยึดติด และเป็นลักษณะต่อรอง พอได้อาหารกิเลสมันก็หาย ไม่ให้มันก็ต่อรอง ต้องเข้าใจตรงนี้ว่าจิตเรามีอัตตาตัวต่อรองอันร้ายกาจ ให้รู้ซะ ถ้ามันเกินไปจริงๆก็ให้รู้เอง ไปกระเถิบไปลดละอันอื่น เรื่องเยอะแยะให้เรียนรู้ให้ลดไป เรื่องโลกธรรม อัตตา กาม เราเรียนรู้เรื่องอื่นอีกก็ได้ ตัวไหนที่เรามีจริงๆก็ต้องรู้ ตัวไหนเรายังทำไม่ได้ก็เอาไว้ก่อน ตัวไหนทำได้ก็ทำไป แต่อย่าไปยอมให้มันวนเวียนซ้ำซากแพ้มันตลอด ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคือ มันไม่ได้ก็ทำตัวอื่นก่อน แต่ต้องฝืน ไม่บำเรอความอยาก เรื่องกาม เรื่องโลกธรรม ต่างๆนานา

 

ถาม...อาหาร 4 สัมพันธ์กับ วรรณะ 9 อย่างไร?

ตอบ...อาหาร 4เป็นรากฐานของการปฏิบัติ ต้องรู้จักนาม_รูป ในการผัสสะ แล้วอ่านตัณหาให้ได้ เป็นตัวเหตุ เวลาปฏิบัติแล้วลดได้ตามลำดับก็จะไล่ไปตามวรรณะ 9 ด้วยคุณสมบัติ เช่นคุณละกิเลสเรื่องอาหาร คุณหยุดแล้ว คุณติดก๋วยเตี๋ยว คุณก็ละจนกินก็ได้ไม่กินก็ได้ ก็เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย พัฒนาง่าย ไม่เรื่องมาก คุณก็น้อยลงเรียกว่าอัปปิจฉะ แล้วก็ใจพอ สันตุฏฐิ ใช้รับมาที่จำเป็นตามสมควร พอเหมาะ แต่ก็ยังยืนยันว่าเราไม่ต้องสะสม จะมักน้อยลงกล้าจนลง แล้วก็พอไปเรื่อยๆ ทำได้ตามลำดับจะรู้จักสัลเลขะ ธูตะ มีศีลเคร่ง กินน้อยใช้น้อย ศีลข้อที่ยากขึ้นก็สบายๆ ก็ไม่สะสม อปจยะ เพราะอยู่กับสาธารณโภคี เป็นคนขยันเสมอ วันคืนล่วงไป กายกรรม วจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราก็จะรู้ว่าเราควรสร้างสรรอะไรต่อ ทำกันคนละไม้คนละมือ ทุกอย่างก็จะเจริญทุกด้าน ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา เพราะเราปฏิบัติลดละอาหาร 4 ได้ ก็ได้วรรณะ 9

 

วันนี้ไปกินอาหารแมคโครไบโอติก ถึงรู้ว่าเราติดเรื่องอาหาร เพราะกินอาหารจืดแล้วมันก็กินไม่อร่อย กินยาก กินไปหลับไป? เรานึกว่าเราไม่ไปติดอาหารนัก กินอะไรก็ได้ตามเรื่องราวได้...

ตอบ...ก็หัดลดละไป แต่ว่าก็เลี้ยงง่ายมาระดับหนึ่งแล้ว อะไรมาก็กินได้ไม่ยาก แต่ว่าลึกซึ้่งกว่านั้นคือเราก็ติดอยู่ ไปแมคโครไบโอติกชักจะไม่ไหวแล้ว เป็นต้น ก็ให้พิจารณาว่า รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัสก็ให้รู้ว่าอาหารมันก็กินไปเลี้ยงขันธ์เท่านั้น มันก็จางคลายได้ไม่เที่ยง การลดละรสชาติเรื่องอาหาร แม้ลดได้แล้วไม่ติดนักแล้ว อะไรมาเราก็กินได้ ที่จริงมันก็ปรุงแต่งตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราไม่ปรุงแต่งขนาดนี้เลยอย่างแมคโครฯมันก็ไม่ไหวนะ แต่ถ้ารสชาติอาหารที่หมุนเวียนไปมาก็ได้อยู่แล้วไม่ใช่ไม่ปรุงแต่งอย่างแมคโคร

 

ถ้าคุณเองลดได้แล้ว ทีนี้คุณก็มาเจอปรุงแต่ง ว่ามันก็อร่อยอยู่นะ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่โหยหา กินแมคโครก็กินได้ แต่มันยังมีติดในความจำ แล้วก็จะซึมซับในความจำบ้าง ก็ดีเหมือนกันเนาะ นานๆมาที ระวังหนักว่าจะซึม เอ๊มาบ่อยก็ดีกว่านานๆทีนะระวังมันจะก้าวหน้าคืบหน้า แต่ถ้าความจำเฉยๆนะ พพจ.ตรัสกับอานนท์ว่าล้างความจำนี่ยาก สิ่งที่ติดในความจำที่มีอยู่นี่ล้างยาก อันนี้แหละช้า ยาก ก็ต้องค่อยศึกษาไป


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:16:37 )

570904

รายละเอียด

570904_ความรัก 10 มิติ(6)วนบ. เรื่อง มิติที่ 2-3

พ่อครูว่า...หลายคนบอกว่าเป็นพระเป็นเจ้ามาพูดเรื่องความรักมันก็ยังไงๆอยู่นะ แต่ในศาสนาเทวนิยมเขาใช้ความรักนำเลยนะ ความรักนั้น ความหมายก็ต่างๆกันไป ซึ่งกำหนดโดย สัญญา เป็นการตั้งกรอบความรู้ความหมายความเข้าใจต่างกัน ตรงกันบ้าง มีน้ำหนักต่างๆกันไปบ้าง แต่ก็พอรู้เข้าใจกันได้ว่า ความรัก มีความหมายอย่างไร? ก็เยอะแยะจึงได้เกิดความรัก 10 มิติ

 

มิติที่ 1 เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวกันในวงแคบๆ ที่จริงมันมีกิเลสเข้ามาปลอมปนทำให้ความหมายของความรักเสียไปเลย เป็นความชอบใจความผูกพัน ก็เลยเป็นเรื่องเสียไปหมด เมื่อเสียไปแล้วก็ยิ่งร้ายแรงไปทุกที จึงต้องมาแก้ความเห็นความเข้าใจผิด ให้เปลี่ยนความยึดถือ เป็นกามนิยมหรือเมถุนนิยม

 

เกี่ยวกับความรักเรื่องเพศ คนคู่ ติดยึดหวงแหนกันและกันอยู่สองคน

 

มิติที่ 2 คือความรักระหว่างสายโลหิตหรือระหว่างพ่อแม่ลูก ก็ขยายขอบเขตความรักกว้างมาอีกนิด แต่ก็แคบมาก อยู่แค่แวดวงสายเลือดชั้นแรก ยังวนอยู่ในวงแคบไม่กว้างไปสักเท่าไหร่ แล้วถ้ารักอย่างหลงเฉพาะแวดวงพ่อแม่ลูกนั้นยิ่งหนัก จะเผื่อแผ่แก่วงนอกนั้นยาก จะเผื่อแผ่ออกนอกก็ต้องฝืนใจแม้ในหมู่ญาติ ก็แล้วแต่จะกิเลสมากหรือน้อย จิตใจยังยาก ไม่ปราศจากธุลีแห่งความโลภ แต่ทำอะไรกับใครก็ยากจะเผื่อแผ่เขา มีแต่จะต้องหาประโยชน์จากผู้อื่น เขาไม่รู้ตัว สำหรับคนมีความเป็นเช่นนี้ จริงๆ เราจะดูยาก แต่จริงๆแล้ว ถ้าผู้สามารถตรวจไม่ลำเอียง จะเห็นว่าเรานี่แคบจริงๆ เหนียวจริงๆ อะไรนิดอะไรหน่อยนอกจากพ่อแม่ลูกก็จะเกื้อกูลน้อย เผื่อแผ่มีน้ำใจน้อย คนเราก็สัมพันธ์กันหมด แต่ในตัวเองเรื่องเผื่อแผ่นั้นแคบ เรื่องทรัพย์สินเงินทองนั้นเห็นง่าย แม้จะออกแรงช่วยคนอื่นก็จะยาก พฤติกรรมแบบนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะมิติไหนก็ตาม จิตใจของเขาก็สะอาดหมดจดยาก แต่ในระหว่างพ่อแม่ลูกก็ยังมีความตระหนี่แทรกอยู่บ้างในบางครั้งคราว

 

สมัยนี้จะดูยากขึ้น เพราะดูเหมือนเห็นแก่คนอื่น เผื่อแผ่คนอืน เกื้อกูลคนอื่น แต่แท้จริงแล้วมีเล่เหลี่ยมหลอกใช้คนอื่น ดูดีมีน้ำใจก่อน แต่ประชานิยม เอาคืนทีหลัง ยกตัวอย่าง ครอบครัวทักษิณ

 

เพราะอวิชชามันหลอก หลงว่าตนเองทำดีด้วยซ้ำทั้งที่ตนเองทำชั่ว เชื่อว่าตนเองมีคุณงามความดีแต่ในการเสียสละไปนั้นคิดไว้หมดแล้วว่าจะได้คืนมาอย่างไร ได้มากกว่าเดิมเท่าไหร่ จะบริสุทธิ์จริงนั้นก็น้อยครั้งน้อยราย ไม่มีพอที่จะทำให้ตนเองเลื่อนชั้นขึ้นไป เพราะเขาจะไม่ได้ศึกษาเพ่ิมขึ้น เพราะเขาคิดว่าถูกแล้วนี่ จะรักแค่ในครอบครัว จะรักมากแค่ไหนก็ไม่ผิดนี่ มันลวงเจ้าตัว ลวงเจ้าของ ฟังดีๆแล้วจะได้คิดว่า เรายังมีความรักแคบๆ โดยเฉพาะคนมีลูกแล้ว ถ้าไม่พัฒนาเพิ่มก็จะแคบอยู่แค่นั้น เราเป็นนศ.ธรรมะก็เอาไปอ่านตน อ่านความจริงของตนเอง

 

มิติที่ 3 นอกจากจะเห็นแก่ลูกก็เห็นแก่ญาติ ต่อไป

มิติที่ 4 เพื่อเพื่อนมิตรสหายแวดวงที่กว้างกว่าญาติ

 

ถ้าเราสามารถเห็นแก่ข้างนอกมากขึ้น และข้างในตัวเรา มีความเข้าใจยากอยู่เป็นเรื่องของการติดตัวเอง อย่างพวกฤาษีเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับสังคม กับญาติ เขาออกป่าแสวงหา เขาก็ดูเหมือนสละหมด เห็นแก่ผู้คนไม่หวงแหน แต่ที่ไหนไหนได้เห็นแก่ตัวเต็มเหนี่ยวเลย คือชีวิตนี้ไม่ได้มีน้ำใจพฤติกรรม เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างแก่ใครได้เลย สังคมก็ไม่ติดใจศึกษามุมนี้ แต่ศาสนาพุทธเป็น ศาสนาที่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) พระพุทธเจ้าสำทับกับภิกษุอรหันต์ 60 รูปแรกเลย แต่ของฤาษีก็ตายไปในป่าเลย

 

สรุปแล้วศานาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ โดยละตัวละตนละภพละชาติ แม้จะอยู่เป็นฤาษีไปอยู่ป่าก็ไม่ได้เผื่อแผ่ใคร ตนเองก็ไม่มีทรัพย์ศฤงคาร แม้อยู่ในหมู่ก็อยู่ในภพ กินแรงหมู่ กินอยู่กับหมู่ไป นี่คือนัยที่เราต้องศึกษาให้ดี ถ้าไม่แก้ก็เป็นอัตตาอยู่อย่างนั้น

 

อย่างลัทธิฤาษี พวกเชน ก็กินน้อยใช้น้อย แต่ไม่ได้มีประโยชน์แก่ใคร สมรรถนะที่มีก็ลืมทิ้งหมดไม่ได้ใช้ประโยชน์กับใคร แต่ของพุทธไม่เบียดเบียนเห็นแก่ตัว ซ้ำยังมีสมรรถนะทำการงานอันปราศจากโทษ ปราชญ์ไม่ตำหนิ เป็นพลังสังคหะ คิดเป็นเงินเป็นผลผลิตถ้าคิดในหลักเศรษฐศาสตร์ก็มีเหมือนทางโลก แต่เราก็พ้นลาภแลกลาภแล้วไม่เอาอะไรกลับมาคืนเลย

 

แต่เหมือนเราไม่มีอะไรให้ใครเลย ไม่เหมือนมหาเศรษฐีที่บริจาคที่มากมายเป็นแสนล้าน ดูเขื่อง แต่พวกบุญนิยมที่ทำแล้วสะพัดไปเสมอๆ แต่พวกมหาเศรษฐีก็ใช้เครื่องมือวิธีการทุนนิยมในการแสวงหามาให้ได้มากๆ ขณะที่บุญนิยมไม่ได้ใช้วิธีการกลไกเช่นนั้นเลย เราทำอันที่ซื่อสัตย์ของเรา ได้เท่าไหร่เราสะพัดๆ เหมือนเราเองเราไม่มีมาก แล้วก็ไม่มีมากให้เห็น แต่เราไม่ได้ใช้วิธีซับซ้อนเหมือนโลกเราก็เลยไม่มีมาก แต่ถ้าคิดในหลักเศรษฐศาสตร์นี่คือเราไม่เสียผลในการสะพัดเลย เราสะพัดได้เร็วได้มากทันๆๆ คิดเป็นราคาในโลกสูงมากเลย เป็นความซับซ้อนเช่น

 

ธนาคาร ขอให้เงินหมุนในธนาคารมากๆ รวมแล้วเขาจะได้กำไรมหาศาลเลย เพราะคนจำนวนมากเงินทิ้งไว้ที่ธนาคาร โดยที่ธนาคารไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวแต่เอาเงินที่คนไปฝากไปหมุนได้เงินเพ่ิมมาอีกเลย ใช้ค่ายกลพวกนี้แหละ แต่ถ้าเขาเลิกกิจการเขาเป็นหนี้ทันทีเลย

 

มิติที่ 3 ญาตินิยม... คือความรักที่แผ่ออกมาถึงญาติ นอกจากพ่อแม่ลูกก็เผื่อไปวงศาคณาญาติ ยิ่งมาชั้น เพราะญาติมีหลายชั้น เป็นการยึดติดหลงใหลในเชื้อสายเผ่าตระกูล หรือคนเป็นพรรคพวก นับเนื่องเป็นคนในด้วย ในความเป็นคนก็น่าจะมีคุณค่าสำคัญที่ควรเห็นแก่ความเป็นคนอื่นกว้างมากกว่ายึดติดแค่วงศาคณาญาติ ซึ่งในหน้าที่ก็ต้องเผื่อแผ่ญาติก่อนก็ถูกแล้ว ญาติกานัญ จ สังคโห เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าในมงคลสูตร การเกื้อกูลสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอันอุดมก็ต้องควรทำอยู่แล้ว แต่ในสังคมมีตัวแทรกมาก บางที่ก็ควรเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าญาติ เพราะมีความจำเป็นประ

โยชน์ มีผลดีได้มากกว่า เฉพาะในญาติมิตร

 

มิติที่ 4 คือความรักที่เร่ิมขยายออกสู่หมู่ที่กว้างกว่าญาติ เท่านั้น อาจจะแผ่ออกไปเพื่อนฝูงหมู่คณะก็ยังไม่มากพอที่จะเพื่อชาติ สังคมแต่ก็ได้มากว่าแค่วงแคบญาติสายโลหิต เป็นการแผ่นความรักสู่มวลชน ชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด ...อย่างเราออกไปทำงานการเมือง ก็เหมือนข้ามขั้นสู่ระดับประเทศ หรือเราทำตลาดอาริยะก็เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน แต่แก่นเนื้อเราประมาณตนอยู่ เราทำระดับชุมชน ตำบลอยู่ ไม่กว้างไปสู่ระดับอำเภอจังหวัด

 

แต่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าได้เลยนะว่า...ต่อไปจะทำให้มากขึ้นกว้างขึ้น ต้องนับว่ามีคุณค่าสูงขึ้น ต้องลดตัวเราของเรา ขยายกว้างสู่มวลมนุษยชาติ ใครก็ตามเห็นแก่ความสุขของคนอื่นกว้างขึ้น ก็นับว่าเป็นความรักที่เจริญ มีค่าสูงขึ้น จะแผ่ขยายออกได้เป็นจริงก็ค่าสูงจริงได้มากขึ้นเท่านั้น

 

พวกเรานี่มีรูปธรรมนามธรรมในความรักระดับที่ 4 ได้เต็มที่แล้ว และพ้นมิติที่ 4 ไปแล้วอย่างสวยงาม ส่วนมิติอื่นสูงขึ้นเราก็ทำไปควบคู่แล้ว จนถึงมิติที่ 7 แล้วเป็นเรื่องความรู้ความจริงที่เป็นปรากฏการณ์วิทยา ไม่ใช่ศึกษาแบบ Prophecy หรือ philosophy ที่เป็นสายศรัทธา กับสายปัญญาฟุ้งซ่าน

 

ทุกวันนี้พอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์บ้าง เพราะผู้มีอำนาจในสังคมพอเห็นบ้าง อาตมามั่นใจในความดีที่จริง เขาจะมาเอาหรือไม่ก็แล้วแต่ ไม่มาก็ไม่เป็นไร มาก็ดี ถ้าเราทำดีให้มากพอ คนก็จะเห็นดีได้มากก็จะมาเอาเอง เราก็เห็นอยู่ว่าเขาไม่ค่อยมาเอา เหลือแต่ว่าเราต้องทำดีให้มากกว่านี้อีก

 

ถามตอบประเด็น

 

พญานาคเป็นอย่างไรมีจริงไหม?

 

สัตว์เลื้อยคลานพวกงูใหญ่เป็นเจ้าป่าเลย ก็มีนักประดับประดาตกแต่งให้มีฤทธิ์รูปร่างมีหงอนงาม มีอะไรต่ออะไรเพ่ิมขึ้นพิศดาร ศิลปินก็คิดปรุงแต่งมา เป็นพญานาค ก็งูนั่นแหละ  แล้วเห็นกันไหม? ก็เห็นโดยมโนมยอัตตา เห็นอยู่ใต้บาดาล ก็หมายความว่าโง่ดักดาน พวกงูนี่มุดคุดคู้อยู่ใต้บาดาล ในภาษาบุคคลาธิษฐานเขียนบรรยายไว้ว่าโง่จนจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจะทำให้เขารู้สึกตัวได้จากการหลับ พระพุทธเจ้าลอยถาดทองตกใต้บาดาล แล้วก็ตกกระทบถาดทองอันเก่าๆที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆที่เคยลอยไว้ กระทบกันมีเสียงกริ๊ง ก็ทำให้พญานาครู้สึกตัวขึ้นมานิดนึงว่าพระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์หรือนี่ แล้วก็นอนต่ออีก คือเขาแดกดันพญานาค คือคนที่หลบลี้หนีไปไม่เอาถ่านเลย

 

ในนิทานว่า นาคมาปลอมตัวบวช คือพวกขี้เกียจ เอาแต่นอน มาปลอมบวช แต่พออยู่ไปคนก็ไปเจอหางว่าเป็นนาค จับได้ก็จับสึกเลย เป็นทานเล่ากันไป ก็คือพวกนอนคุดคู้ไม่เอาถ่าน เป็นความรักมิติที่ 1 ที่อาตมาไม่เขียนคือพวกเห็นแก่ตัวเต็มรูปเลย อย่างพระธุดงค์ ไปออกป่านี่แหละ

 

แต่แท้จริงคือนาคคือผู้เจริญ นาคะแปลว่าผู้เจริญที่จะมาพัฒนามาบวชเรียนรู้เพื่อบรรลุนิพพาน คำว่านาคในความหมายที่ดีคืออาริยบุคคล แต่เอาไปใช้จนเสีย หรือเจตนาใช้ประชดเลย

 

แล้วมีไหม ก็มีอย่างเป็นมโนมยอัตตา เหมือนคำโกหกมีจริงแต่คำโกหกไม่จริง เช่นเดียวกับคนเห็นผี เขาเห็นของเขาจริงๆแต่เป็นเรื่องปั้นเรื่องหลอกโดยตัวเขาเอง เหมือนฝันหรือจินตนาการปั้นรูป แต่ไม่จริง มันเป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต จะสร้างใหม่หรือเอาความจำมาก็ตาม บางที่ก็จำไม่ได้ นึกไม่ออก นึกก็ไม่เหมือนเก่า หรือจะเหมือนเก่าอย่างไรก็คือรูปที่คุณสร้างไม่ใช่ของจริงเลย

 

สรุป นาคที่เป็นตัวตนจริงๆไม่มี มีแต่ของลวง แต่ถ้าเอาความหมายทางคุณธรรมก็ไม่ค่อยได้แล้ว คำว่านาคเสียไปแล้ว ก็ตอบได้เลยว่าพญานาคไม่มีจริง

 

ถามว่า..เราทำความดีเพื่อคนอื่นนั้นได้อะไร?
ตอบ...เราทำความดีแล้วความดีนั้นอยู่ที่ใคร...ก็อยู่ที่เรา ทั้ง กาย วาจา ใจ เราทำดีติดจิตวิญญาณเราไป แล้วเราได้อะไร? เราก็ได้ความดี เราได้ก่อนเลย ...คือเวลาเราพูดนี่ เราบอกว่า ทำอันนี้ให้แม่หน่อยสิ ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัว เราก็เห็นว่าทำให้แม่นี่ดีกว่า ทำให้ตนเอง

 

ความรักมิติที่ 1 คือความจริงใจของคนสองคน แล้วถ้าไม่จริงใจก็เรียกว่าความรักไหม?

ตอบ...การเห็นแคบแค่คนสองคนอย่างจริงใจนี้ก็คือชั่วมากเลย แคบมากเลย แต่คำถามนี่ก็คือว่า คงจริงใจกับคนอื่นเหมือนมีกิ๊กอย่างนี้แหละ ยิ่งไม่จริงใจก็ยิงเลวซ้อนเข้าไปอีก

 

การรักที่ถูกต้องต้องเร่ิมจากมิติไหน?

ตอบ..ก็เร่ิมทุกมิตินั่นแหละ ทุกวันนี้มันเพี้ยนไปแล้ว ก็เร่ิมต้นทำเพื่อคนอื่นเสมอให้จริงใจ

 

ทำไมหลวงปู่ถึงบวช...ตอบ...ก็เพราะว่าหลวงปู่ต้องทำงานศาสนา มาบวชแล้วคนก็รับได้ เผยแพร่ศาสนาได้ หลวงปู่เคยเผยแพร่ศาสนาตั้งแต่ฆราวาส แต่คนไม่ยอมรับเพราะไม่มีสมมุติ หลวงปู่นั้นไม่ติดยึดตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว

 

การบอกความผิดคนอื่นให้ผู้ใหญ่ให้เข้าใจ เพื่อให้ความผิดได้เปลี่ยนแปลงแก้ไข การไปบอกความผิดของผู้นี้ๆให้แก่ผู้ที่จัดการได้ เราบอกด้วยเมตตา ไม่ใช่ใส่ความ ด้วยใจลบหลู่แต่อย่างใด แต่เราปรารถนาดีให้เขาได้แก้ไข นี่คือเรียกว่าให้ข้อมูล แต่ถ้าเราไปบอกโดยไปใส่ความ เพื่อให้ผู้ใหญ่เข้าใจผิด ใส่ไข่ ขยายความไม่จริงผสมผเสไป ให้ข้อมูลผิดๆแก่ผู้ใหญ่เรียกว่าฟ้อง และมีใจไม่ดีต้องการประจาน ต้องการให้ผู้ใหญ่ด่าหรือไปจัดการเขา ทำให้คนนี้ได้รับผลถูกด่า ว่า อะไรก็แล้วแต่ ถ้าจิตอย่างนี้จิตไม่ดีเรียกว่าฟ้อง ถ้าให้ไปบอกเรื่องไม่ดีแก่ผู้ใหญ่ไม่ไปมีจิตไม่ดี และไม่ใส่ความเรียกว่าให้ข้อมูล

 

ถ้าเราโกหกเพื่อช่วยเหลือคนบาปไหม?

ตอบ..บาป เราต้องฉลาดที่จะพูดเพื่อช่วยเขาโดยไม่โกหก เพราะโกหกก็คือไม่ตรง ถ้าเขาได้รับการช่วยเหลือด้วยการโกหก เขาก็จะเชื่อคำโกหกเราใช่ไหม? เขาก็เลยเชื่อส่ิงผิด คนก็รับความไม่จริงก็ไม่ดี เราเอาขี้โคลนไปล้างความเปื้อนมันก็เปื้อนซ้ำเข้าไปอีก สี่สีเหลืองเลอะเราก็เลยเอาสีดำไปล้างสีเหลืองอีก ก็ไม่หาย ไม่เอาความผิดไปแก้ความผิด เราต้องเอาความถูกไปแก้ความผิด

 

การดูแลลูกทำอย่างไรไม่ให้เป็นมิติที 2

ตอบ.. จริงในโลกไม่มีหรอกความรักความผูกพัน สัตว์เดรัจฉานมีลูกก็เลี้ยงลูกตามสัญชาติญาณ จริงๆมันเป็นหน้าที่ ทุกอย่างไม่มีรักมีชังไม่มีเรื่องผูกพันติดยึด มันเป็นเรื่องหน้าที่ ใครรู้จักหน้าที่ก็ทำให้ดีทั้งกาย วาจา ใจ แต่ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ผูกพัน ไม่ต้องมีความรัก แต่มีความรู้มีความรับผิดชอบ สัตว์เดรัจฉานมันดีกว่า คนที่เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย มันเลี้ยงลูกโตแล้วมันก็ตัด ไม่เกี่ยวข้องต่อไป แต่มันทำหน้าที่เต็มที่ สละชีวิตเพื่อลูกด้วย เพราะเราทำให้เขาเกิดมา ทำอย่างไรจะไม่ให้ผูกพัน ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตรงที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ เท่าที่จำความได้ พ่อแม่ไม่มีมากอดจูบอะไรอาตมานะ

 

ใครเข้าใจอันนี้ได้นะ ถ้าต้องเสียสละลูกเพื่อบ้านเมืองจะทำไหม?..หน้าที่ทำเพื่อบ้านเมืองสูงกว่าทำเพื่อลูกนะ แต่ในฐานะที่ลูกต้องช่วยก่อน เพราะบ้านเมืองมีคนช่วยเยอะแต่ถ้าลูกโตแล้วช่วยตนเองได้ ก็ต้องช่วยบ้านเมืองก่อน หรือลูกชั่วก็ปล่อยไปเลย นี่คือสัจจะ

 

 

ถามว่า คนรักปลาทั้งแม่น้ำนี่ดีไหม?

ตอบ...สัตว์ต่างๆเราไม่ต้องไปเลี้ยงมันหรอก ให้มันรับวิบากของมันไป สัตว์บางตัวก็ต้องไปเกิดในดินแดนที่หากินยากมาก หรือคนนี่มีวิบากต้องไปเกิดประเทศที่หากินยากมาก สัตว์มันก็ต้องรับวิบากมัน หรือถ้าจะช่วยก็เป็นครั้งคราวก็แล้วไป จะบอกว่าเมตตา แต่ไปจับสัตว์มาเลี้ยงให้มันเสียนิสัย เสียสัญชาติ จนมันหากินเองไม่เป็น ตาย เป็นบาปของคนที่ไปทำลายสัญชาติญาณสัตว์ เป็นบาปซ้อน ไปเปลี่ยนแปลงส่ิงที่ควรของเขา อาตมาก็พูดหลายทีแล้ว ไม่ต้องไปเลี้ยงสัตว์ แต่มันมีวิบากที่คนเคยเลี้ยงสัตว์มาแต่ชาติก่อนๆ มาชาตินี้ก็เลี้ยงอีก หากไม่ตัดวิบากเราก็ต้องมีอีกต่อไป สัตว์มันไม่รู้หรอกมีแต่เรานี่แหละไปทำเอง สรุปแล้วจะไปรักอะไรนักหนา ก็ดูแลมันบ้างถ้าจำเป็น แม้แต่คนเราก็ต้องปล่อยวาง แล้วยังเอาไปผูกพันกับสัตว์อีกเวรหนอเวร

 

ถามเรื่องเจ้ากรรมนายเวร?

ตอบ...ก็คือวิบากของเราเอง เราต้องเจอกับอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเราไม่ได้ไปแส่หาเอาเอง แส่หาภาระ ยกตัวอย่างชัดๆคนนี่โลกเขาครอบงำทางความคิด ให้มีลูก ถ้าไม่มีก็แก่เฒ่าไม่มีใครเลี้ยงก็ต้องมี แต่บางคนก็อยากจะมี เพราะรักอยากจะมี และก็มีที่คุณต้องมีลูกจากวิบาก ลูกนี่คือเจ้ากรรมนายเวร และเราแส่หามาเอง เราอาจรู้ยาก ว่าเราแส่หามาเองหรือวิบาก แต่ถ้าเราศึกษาเราก็อย่าไปหาทางมีลูก อย่าไปสร้างสิ คุณก็แก้เจ้ากรรมนายเวรของคุณได้ ตัดทางเสีย เลิกให้ได้ ละกิเลสที่จะต้องพาไปมีลูกนี่ ชัดๆ เรื่องอื่นใดก็เหมือนกัน มันก็มีสองแง่ คือแส่หาเองกับวิบากมาทวง เราก็พอรู้ได้ แม้จะมีวิบาก แต่เราก็ควรรู้ว่าเราควรตัด แม้วิบากมาทวง เจ้ากรรมนายเวรมา จะไปเอาเรื่องลาภ ยศ เรื่องคู่ เป็นวิบากนะ ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วลดได้ไหม เลิกได้ไหม ปลดปล่อยละหน่ายคลาย แต่ยิ่งชัดเจนว่าเราไปแส่หาเองก็โขกหัวตัวเองอย่างเดียว

 

แบบเทวนิยม เรายอมไปทางชั่ว จำนน ว่าชั่วก็ชั่ว ยกตัวอย่าง เช่นคู่คนนี้ต้องแต่งงานเป็นบุพเพสันนิวาส เราเรียนธรรมะแล้วว่าบอกว่าไม่ต้องแต่งดีกว่า ต่อให้วิบากตามมาทวง เราก็ฝืนหาทางตัด เราก็อย่าไปแต่งสิ เราเรียนรู้แล้วว่าไม่ดี แต่ถ้าจำนนว่าต้องแต่งก็ไปทางเทวนิยม แต่เทวนิยม เขาก็ไม่ห้ามแต่งงาน ดีไม่ดีเขาก็ช่วยแต่งให้เสร็จเลย นักบวชทำพิธีให้ทำ แต่พระพุทธเจ้าให้อาบัติสังฆาทิเสสนะ รองจากปาราชิกเลยนะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:17:29 )

570906

รายละเอียด

570906_สรรค่าสร้างคน(12)วนบ. เรื่องนิยามของความจริงหรือสัจธรรม 10 ข้อ

พ่อครูว่า...เราอธิบายบุญนิยมกันต่อ...เบื่อไหม?....อาตมาว่า ถ้ามันมีญาณปัญญา มีความเข้าใจจริงๆ ปัญญามีความลึก ปัญญาจะเพิ่มความปักมั่น เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น ที่อาตมาพูดนี่คือความหมายของ ศรัทธา คือเชื่อถือ ,ศรัทธินทรีย์คือ เชื่อฟัง และถ้าพากเพียรจนมีปัญญาเห็นจริงซึ่งปัญญาก็มีหลายชั้น เป็น ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จะเห็นจริง อย่างอาตมาเห็นจริงในเรื่องบุญนิยม เรื่องการทำกิเลสออกได้ ตามแบบพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ เป็นเงื่อนไขกำกับไว้

 

เพราะใครก็เข้าใจได้ว่า ก็ศรัทธ ก็มีปัญญา แต่ว่าของเขานั้น มันตรวจสอบไม่ได้เป็นอัตโนมัติ ดีไม่ดีก็คิดเอง ปักมั่นยึดถือเอง แต่ของเราไม่หลงตน เราใช้หลักฐานของพระพุทธเจ้า เช่นหลักตรวจสอบธรรมวินัย 8 วรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นต้น

 

พฤติกรรมต่างๆ ความจริงของเราตรวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไหม อาตมาไล่กันมาไม่รู้กี่สูตรๆ มันก็ตรงๆๆ และที่สำคัญคือมันตรงแล้วลงกันได้ แล้วแต่ละสูตร อาตมาเห็นนะ แต่คนอื่นจะเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ มันลงกันได้ทั้งนั้นเลย จะเอามาขยายมาต่อกันก็ได้เลย เช่นศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ก็ตรงกัน

 

เช่นเราถือศีล 5 ทำไปแล้ว เกิดญาณ ปัญญา วิมุติ จิตละเว้นขาดได้ ก็เกิดสมาธิไปได้เรื่อยๆ จนเป็นปกติ จิตเราไม่ฝืนอีก ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่ปด ไม่เอาแล้วอบายมุข มันอุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุข อ่านอารมณ์อาการของเราได้ ก็เป็นปัญญาสอดคล้องว่านี่คือศีล สมาธิ คือวิมุติหลุดพ้นได้แล้ว มันไม่ขาดกัน แต่มันเชื่อมโยงอธิบายกันได้ ลงกันได้ แม้จะมากขึ้นเป็นโพชฌงค์ มรรคองค์ 8 มันก็ลงกันได้ ไม่ขัดกัน เห็นแจ้งจริงจนปักใจมั่น อย่างอื่นเราก็รู้ไม่ใช่ว่ารู้แต่ของเรา เห็นข้อเสียข้อดี ที่เราตรวจพบสัมผัส ก็ยิ่งเห็นจริงว่าเราไม่ผิด เช่นเราเลือกเป็นคนจน มามีวัฒนธรรมเป็นอยู่อย่างนี้ นับวันก็เห็นว่ายิ่งดี ไม่ผิด ชัดเจน หมู่ก็เจริญ ตัวเราก็ยิ่งเจริญ 

 

ชีวิตเกิดมาเพื่อศึกษา พัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นอาริยะ

 

เราอธิบายลักษณะบุญนิยมที่สมบูรณ์ 11 ประการมาถึงข้อที่ 5 แล้ว

5. เป็นสัจธรรมความจริงของแท้ของมนุษย์และสังคม

 

ซึ่ง ความจริงหรือสัจธรรมมีอะไรบ้าง?

นิยามของความจริงหรือสัจธรรม 10 ข้อ

1.ต้องเป็นความดี...ถ้าชื่อว่าของจริงความจริงต้องเป็นความดี จะดีสมมุติหรือดีปรมัตถ์ก็ตาม เช่นเราเห็นว่ามาจนดี แต่โลกไม่เห็นว่าดี เราก็เข้าใจเขา เราจะเข้าใจว่ามาจนนี่ไม่ใช่ทรมานตนเลย แต่การไปมีมากเกิน สร้างอัตตา เป็นการทรมานตน เป็นอัตกิลมถะ ส่วนการสร้างกามเป็นกามสุขขัลลิกะ แต่สร้างอัตตาเป็นความบำบาก ตั้งแต่ของมีค่ามีก็ต้องกลัวหายกลัวโดนขโมย กลัวมันเสื่อมค่า กลัวมันจะไม่เป็นของตนอย่างเก่า สารพัด จะมีใหญ่หรือน้อยก็ตามฐานะ แต่เรามีน้อยก็ไม่เสียใจไม่ริษยาเขาเลย เป็นอยู่มานานหลายสิบปีก็สงบสบายดี ไม่ต้องเป็นภาระ ไม่ต้องแย่งชิงกับใคร มันสบายจริงๆ ในเชิงปัญญาจะเห็นจริงๆ

2.เป็นความถูกต้อง

3.เป็นคุณค่าประโยชน์

4.เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์(อาริยสัจ)

5.เป็นไปได้

 

6.รู้ได้แม้ขั้นนามธรรมระดับสูงที่สุดถึงอนัตตา สุญญตา

7.เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นไปได้ตามความรู้น้นๆอย่างเต็มใจ แม้จะยังไม่สมบูรณ์ ถ้ายิ่งสิ้นกิเลสาสาวะก็ยิ่งจริง

8.เป็นเรื่องที่ผู้ฉลาดหรือปราชญ์จำนนต่อเหตุผล ต่อความจริงที่เป็นที่มีอยู่นั้น

9.ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว เป็นอยู่อย่างนั้น มั่นคง ยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นแล้วเป็นเลย

10.เป็นสภาพที่สามารถท้าทายให้มาพิสูจน์

 

ยิ่งให้คนอื่น ยิ่งเสียสละ ยิ่งไม่มี ยิ่งวิมุติ ก็ยิ่งมีพลัง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร...แล้วอะไรคือกำลังเมื่อเราให้เขาไปแล้ว จิตมนุษย์นี่นะ มันรู้กว่าเดรัจฉาน จะเป็นคนจนหรือโง่หรือพิการก็ตาม มันจะรู้ว่าคนที่ได้ให้เป็นคนที่มีค่า ถ้ามองในมุมง่ายๆตื้นๆนี่ คนจะเห็นว่าคนที่ได้ให้แก่เรานี่เป็นคนมีประโยชน์ เช่นมีอะไรเขาก็ให้เรา เขาจะขยันสร้างสรรเขาก็ให้เราๆ เขามีประโยชน์ต่อเรามากเลย

 

จิตของคนจะเห็นว่าคนที่ให้เป็นคนมีประโยชน์ เขาให้ด้วยเกื้อกูลช่วยเหลือด้วยน้ำใจสุดยอด อันนี้แหละเป็นพลังคุณธรรม เป็นพลังธรรมะ พลังความดีงาม มีประโยชน์ เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจ เราจะมีกำลังของปัญญา_วิริยะ_อนวัชชะ_สังคหะ ซึ่งเป็น ความจริงตามสัจธรรม 4

1. สัจธรรม 2.สัลเลขธรรม(การขัดเกลา)

การขัดเกลาถ้าทะเลาะจนแตกก็ไม่ใช่ แต่ถ้าขัดเกลากันแล้วได้ผลดี ลดอัตตาได้ ก็เจริญไม่มีจบ แล้วสังคมไม่มีการขัดเกลาไม่ได้ ย่ิงขัดเกลายิ่งสงบ

 

ยิ่งขัดเกลากิเลสจะหมดก็ยิ่งจริงแท้ ถ้าเราเป็นได้เราจะย่ิงซาบซึ้ง จะยิ่งผนึกยิ่งเต็มใจ จนจบกิเลสาสาวะ จบแล้วนิ่งเลย เป็นเช่นนั้นสิ้นสงสัย สิ้นกังวล จะมั่นใจอย่างนั้นตลอดกาลนานเลย

 

และที่อาตมายังทำงานได้ทุกวันนี้เพราะในไทยยังมีปราชญ์ผู้รู้อยู่ ยิ่งนับวันอาตมายิ่งปากมาก ว่าเขามาก ว่าแรงขึ้นหนักขึ้น ยกตนข่มท่านหนักเข้า แต่อยู่ได้เพราะเขารู้ว่าเป็นเรื่องถูก ค้านไม่ได้ แม้จะตีแสกหน้าเขา แต่เขารู้ว่าถูกก็ต้องจำนน เป็นเรื่องที่ทำให้เราอยู่ได้ นานปีก็อยู่ได้ไปเรื่อยๆ ปราชญ์ผู้รู้จะเป็นผู้ตัดสิน ปราบสิ่งไม่ดี

 

มันเป็นเรื่องที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตายแล้วตายเลยไม่มีกลับฟื้น ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ หรือเชื้อเชิญให้มาดูได้

 

รายได้ผลประโยชน์ของเราคือได้ให้หรือเสียสละอัตตาออกไปให้หมดเกลี้ยงนี่แหละคือกำไรหรือผลได้ผลประโยชน์ เป็นทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ต้องชัดเจนว่าอันนี้คือประโยชน์ตน เราให้เขาเราก็ได้ เขาก็ได้ มันเป็นเรื่องเหมือนพูดเล่นเป็นนิยาย ผู้ใดทำได้เป็นอุตมถะ เป็นประโยชน์สุดสูงเลย 

 

โลกต้องมีคนอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่ความเห็นแก่ตัวแย่งชิง ต้องมีคนอย่างนี้มาคานไว้ ไม่อย่างนั้นตายหมด เราจึงเป็นปรอทที่ถ่วงโฟม ทุกวันนี้เขาสร้างโฟมเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นโลกียะ ฟ่าม

 

แล้วสร้างคนให้เป็นผลสำเร็จเป็นหลัก สร้างให้เป็นอาริยบุคคลตามลำดับ ซึ่งวิชาที่เราเรียนคือ สรรค่าสร้างคน เราสร้างคน ให้เป็นคนโลกุตระ อย่างโลกุตระ 46

ต้องทำโพธิปักขิยธรรม 37 เร่ิมตั้งแต่ สติปัฏฐาน

กายในกาย ที่เราจะต้องศึกษาและสร้างตัวเรา เราทำได้เป็นผลจริง แล้วช่วยคนอื่นต่อ เราทำคุณอันสมควรก่อนแล้วค่อยสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง เร่ิมต้นเราต้องรู้ว่า กายในกาย คืออะไร? เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรในธรรม

ทั้งกาย เวทนา จิต ธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่แยกให้รู้สภาวะ และกายนี่เป็นองค์รวม ไม่ได้แปลว่าร่าง รูป วัตถุมหาภูตรูป แต่อย่างใด

 

กายเต็มๆมีทั้งวัตถุนอก มาประชุม โดยเรามีจิต เช่นฟักข้าวที่บนโต๊ะ มันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นกาย  มันไม่รู้ตัวเองหรอกว่า ทำไมข้ามีหนามเยอะ มันไม่รู้หรอก เรียกว่า กายไม่ได้ มันเป็นรูปรูปเท่านั้น ไม่มีนามธรรม แต่คำว่ากายต้องมีนามธรรม มีทั้งจิตและรูปนอกด้วยรวมครบหมด

 

ต้องเร่ิมรู้ความหมายของ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม รู้แล้วทำก็ปหานด้วยสัมมัปปธาน 4 ทำได้ผลจริงก็ทำด้วยอภิสังขาร มีอิทธิบาทเป็นยาดำ กองเชียร์

 

ต่อไปเป็นการถามตอบ

 

_การเห็นวัวควายเขาเลี้ยงแล้วต่อไปจะถูกนำไปฆ่า เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร เป็นการเห็นอาริยสัจหรือไม่?

ตอบ...การมีความรู้สึกเช่นนั้น ก็ดูว่าเป็นกุศล เราก็เข้าใจ แต่ถ้าเราสงสารมันมาก ก็จะลำบากใจเรา เราก็ต้องรู้ให้ชัด  ถ้าเราสมควรจะช่วยได้เราก็ช่วย ควรช่วย แต่ถ้าไม่ควรช่วยดีไม่ดีเห็นวัวควายมาก็ต้องไล่ไป เพราะมันรุกรานเบียดเบียน

 

_การทำงานด้วยจิตที่ดี แต่ทำงานไปเกินจนป่วยเรียกว่าไม่รู้จักกายได้ไหม?
ตอบ...ผม ขน เล็บ ฟันหนัง มันเป็นรูปไม่ใช่นาม มันอยู่กับเรานะ แต่มันไม่ได้มีความรู้สึก ไม่มีปสาทรูป ตัดทิ้งได้หมด ตัดมันก็เฉยไม่ได้รู้สึกอะไร อย่าไปถูกเส้นประสาทมันล่ะ แต่ที่มันรู้สึกเพราะว่ามันติดกับประสาทเนื้อใน ผิวหนังถ้ามันหนามาหน่อยขัดมันออกก็ไม่รู้สึก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:18:45 )

570907

รายละเอียด

570907_วิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท เรื่อง อำนาจ 5

พ่อครูว่า...ตอนนี้เราก็เพลากิิจกรรมทางการเมือง ปล่อยให้ คสช.เขาดำเนินการ เพราะปล่อยให้คนชั่วเหลิงมานานแล้ว เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่บงการ ถ้าเราฝึกจิตแบบไม่ให้รู้อย่างชาวฤาษี พระป่า ออกนอกหมู่กลุ่มมนุษยชาติ เขาก็จะไปรู้อะไรลึกลับ เป็นพลังพิเศษ ถูกบ้างผิดบ้าง จัดในพวกไม่รู้จริง เป็นการคาดคะเน ทำนาย เดาเอา เป็น Prophecy ส่วนพวกที่ศึกษาสังคมก็จะมีหลักฐานชัดเจน มีเหตุมีผล เรียก Philosophy แต่ก็ไม่ลึกถึง unconscious จิตไร้สำนึกแต่ของพระพุทธเจ้านี่จะศึกษาจิตอย่างรู้เข้าไปถึงจิตไร้สำนึก คือทำให้จิตมันออกมารับรู้ กระทบสัมผัส แล้วมันจะเลื่อนออกมาเอง จากจิตไร้สำนึกunconscious มาเป็นจิตใต้สำนึก subconscious แล้วออกมาเป็นจิตสำนึก conscious

 

เมื่อกระทบสัมผัสมาเป็นองค์รวม เป็นกาย เป็นสังขาร จึงเรียนรู้สังขาร มาเป็นกายสังขาร เราก็เรียนเข้าไปจิตสังขาร กายในกายเข้ามา ก็กระทบสัมผัสก็รู้อยู่ มีกิเลสเกิดก็รู้อยู่ มันมีอะไรมาร่วมปรุงแต่ง เป็นกาม เป็นพยาบาท เมื่อเรียนแล้ว เราก็ไปทำ โดยการอ่านอาการ ที่มันมีความแตกต่าง เรียกว่า ลิงค เช่นลักษระมันต่างกัน ลีลาบทบาท หรือน้ำหนักมันต่างกัน จับตัวตนสักกายะได้ ที่เป็นองค์ประชุมคือกาย ก็เล็กลงๆ เราก็ตามกำจัดต่อ ไม่ได้กดข่ม แต่ว่าเราเห็นจริงว่ามันไม่เที่ยง มันยอมแพ้ต่อพลังปัญญา อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี มันจางลง เพราะความฉลาดเห็นว่าอันนี้ไม่น่ารักไม่น่ามี มันเป็นอศุภะ จะเกิดญาณปัญญาที่เป็นความจริง มันมีฤทธิ์ที่จะสลายพลังของราคะโทสะ มันสลายได้จริง เป็นปัญญาที่มีพลังสูง มีธรรมฤทธิ์ ทำให้กิเลสจางคลาย เพราะความฉลาดเหนือกว่า ไม่ได้ไปกดข่มนะ ไม่ใช่วิกขัมภนปหานนะ

 

จิตมีเจโตที่สะอาดขึ้น วิตักกะ คือผู้มีคุณวิเศษกำจัดกิเลสได้ นี่คือผู้รู้ แต่คนไม่รู้ก็เป็นวินาศ กิเลสก็ปรุงแต่งจัดการทำร้ายคุณไป แต่ผู้รู้ก็ทำคุณวิเศษ เป็นวิตักกะ ทำลายกิเลสได้หมด จิตก็สามารถปรุงแต่งเป็นสังกัปปะ

 

การดับนั้น วจีสังขารดับก่อน ส่วนการเกิดนั้น วจีสังขารเกิดทีหลังสุด ในกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร คนธรรมดาก็มีอัตโนมัติของจิตสังขาร ด้วยการกดข่ม หรือออกมาตามกิเลสบงการ

 

ประเทศไทยวันนี้คงเบื่อเต็มทีกับเรื่องความเลวนะ แปลกที่เมืองไทยความเลวร้ายไม่ได้หยาบ แต่เลวร้ายอย่างซับซ้อน ไม่เป็นเรื่องซาดิสม์แต่เป็นRomanticism มันน่าชวนดูดดึง ใช้ความเลวแต่คนรัก ชอบดูดดึง ล้วงตับกินไส้ให้คนเป็นบริวาร โดยคุณไม่รู้สึก แต่คุณนึกว่าเป็นส่ิงดีประเสริฐด้วย นี่คือวิชาอาชญวิทยา คนรู้ไม่ทันก็เป็นเหยื่อ

 

ข้อมูลที่อาตมาได้มาก็คือ(จะถูกผิดก็ว่ากัน) ทักษิณยังไม่หยุด มีสายภายในบอกมา จึงเห็นได้ว่า จิตอำมหิต พยาบาทอาฆาต ไม่ยอมปล่อยวางอำนาจ ทั้งที่ล้มเหลวเสียหายเท่าไหร่เขาคิดไม่ออก หรือเขาดื้อด้านจะเอาชนะไม่พักไม่หยุดไม่พอ นี่พูดสัจจะนะ ไม่ได้เกลียดชังเขานะ

 

เขาสร้างเป็นอำนาจที่คนไ่ม่รู้ทัน จนมาบัดนี้ก็ยังไม่จบ เขาไม่รู้บาปบุญอะไร? เพราะเขาไม่หยุดนะ เพราะการจะแก้ไข ต้องหยุดบาป และทำกุศลมาคั่นไว้ แล้วล้างกิเลสหมด ทำแต่กุศลมากขึ้นๆ สุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าเลย

 

                         อำนาจ 5 ในสังคมมนุษยโลก

 

                     (1) อำนาจ"ห้า"แบบไซร้        ในมนุษย์

                     หนึ่ง..เบ่งบังคับสุด         สะกดไว้

                     อำนาจรัฐ,อาวุธ                    อีก กฎ- หมายแฮ   

                     ใช้ข่มประชาให้                   อยู่ใต้การปกครอง

                     (2) สอง..เงินอำนาจแท้         ทุนนิยม

                     เงินฟาดทาสโง่งม           ย่อมได้

                     "รัฐบาล"ผสานผสม        "เงิน"ยิ่ง โลดแล

                     เสือติดปีกห่อนใกล้         อำนาจไร้เทียมทาน

                     (3) สาม..งาน"สาระ"พร้อม    "วิทยะ"

                     เพิ่มอำนาจสมรรถนะ             ที่แท้

                     ทั้งปราชญ ์เก่ง,ทั้งประ-          โยชน์เปี่ยม เยี่ยมเลย     

                     ได้อย่างนี้เลิศแล้                   แน่นเนื้อการเมือง         

                     (4) สี่..เฟื่องแถมมากด้วย มวลคน

                     เป็นคะแนนเสียงชน       บ่งชี้

                     ประชาธิปไตยผล           ยิ่งชัด แลนา

                     ระบอบนั้นอย่างนี้           ที่ต้องการกัน

                     (5) จักสมฝันโลกได้       ต้องทำ                 

                     อำนาจ"ห้า"ต่างสำ-        เหนียกรู้

                     คืออำนาจแห่งธรรม       ประเสริฐสุด

                     อำนาจไหนจักสู้                   แข่งได้มีฤา           

                     (6) คืออำนาจ"ห้า"แน่           ดีสุด

                     ประเทศใดมีมนุษย์         สฤษฏ์ได้

                     ธรรมแม้ไม่โลกุตร์          ก็เถอะ ทำเทอญ

                     ขอมนุษย์ชาตินั้นไซร้            มั่นแท้ในธรรม

                     (7) ยิ่งสัมฤทธ์กว่านั้น           ได้นะ

                     ธรรมะสู่โลกุตระ                   วิเศษล้ำ

                     เข้าถึงแก่นอาริยะ          ทวยราษฎร์ ถ้วนเฮย

                     อำนาจนี้แน่ค้ำ              ชาติให้เจริญเสถียร.

       

 

                                         "สไมย์ จำปาแพง"               

                                                3 ก.ค. 2557

              [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 289 ประจำเดือน สิงหาคม 2557]                          

 

โลกุตระนั้นแม้ไม่มากก็ถ่วงโลกได้ เพราะมีน้ำหนัก แต่จะให้ทั้งโลกเป็นโลกุตระเป็นไปไม่ได้ แต่จะมีกลุ่มหนึ่งเป็นได้เท่านั้น                

       

 

นัยปกอีกฉบับหนึ่ง

                                     อำนาจที่โลกใช้ อำนาจที่ธรรมใช้

 

                                    (1) อำนาจที่โลกใช้                     ในมนุษย์

                                    เบ่งสุดบังคับสุด              ยิ่งไว้

                                    ด้วยอำนาจทุกยุทธ                       แห่งเผด็จ- การแฮ           

                                    มุนุษย์บ่ชอบยิ่งใช้                       อำนาจนี้ปกครอง

                                    (2) หากลองใครได้อำนาจ            นี้มา

                                    เชื่อเถิดยากหนักหนา                   จักทิ้ง

                                    มีแต่คิดค้นหา                             เชิงหลอก ประชาแล

                                    ให้เชื่อในอำนาจนิ้ง(พริ้ง) ไป่แม้นเผด็จการ

                                    (3) งานแห่งกิเลสนั้น      สุดฉลาด

                                    ลวงมนุษย์เพิ่มอำนาจ                   ซับซ้อน

                                    โดยใช้โลกธรรมฟาด                   หัวมนุษย์ แลนา 

                                    มนุษย์สยบกลับมาอ้อน     คลั่งไคล้เผด็จการ            

                                    (4) บ่นานเลยชาตินี้                    ไทยเห็น

                                    มีเผด็จการเป็น                เยี่ยงพร้อง

                                    ไทยลำบากยากเข็ญ                      เพิ่งผ่าน มาเฮย

                                    เข็ดหลาบซาบซึ้งต้อง                   ช่วยแก้กันเทอญ

                                    (5) เชิญชวนถ้วนทุกผู้     คนไทย                         

                                    ร่วมฝึกอำนาจใน             จิตแท้               

                                    สร้างโลกุตระไข              รหัสโลก ดูรา                 

                                    อำนาจไหนจักแก้            กิเลสได้มีฤา                  

                                    (6) คือกิเลสนั่นแหละแท้ ในคน

                                    เหี้ยมโหดเลือดเย็นจน                  ยากรู้

                                    มันซุกซ่อนแม้ตน                        ยังหลอก ตนเลย

                                    อวิชชาพาทุกผู้                            พ่ายแพ้กิเลสมัน

                                    (7) ใฝ่ธรรม์กันเถิดถ้วน   ทุกคน

                                    ฝึกหยั่งรู้กิเลสจน                         กำจัดได้

                                    ความเห็นแก่ตัวตน                       ลดแน่

                                    อำนาจนี้หากใช้               ช่วยแท้เจริญเสถียร.

           

 

                                                                        "สไมย์ จำปาแพง"                                 

                                                                                    4 ส.ค. 2557

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 290 ประจำเดือน กันยายน 2557]                                                                                           

 

ต้องรู้จักตัวผีที่เป็นพลังงานซ้อน มีบทบาทมีแรงมีฤทธิ์ ไม่ใช่พลังงานทางฟิสิกส์แต่เป็นพลังงานจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นการเรียนรู้อย่างวิทยาศาสตร์สุดยอด เมืองไทยนี่ เป็นเมืองพุทธ หากให้เรียนพุทธเหมือนอย่างที่อิสลามเขาสอนศาสนาของเขาได้ จะเจริญได้มากเลย ไทยเราก็มีหลายศาสนา ก็ขออภัยแต่ของพุทธนี่เมืองไทยเป็นพุทธตั้งแต่ต้นตระกูลไทยเลย มีเนื้อแท้ของพุทธมากกว่า อาตมาเคยบอกว่าเมืองไทยจะเป็นชมพูทวีป สีชมพูเป็นสีแห่งชีวิต ชมพูทวีป ก็คือขณะปัจจุบันที่มีชีวิต อาตมามีอจินไตยที่บริษัทที่อาตมาทำมาตอนเป็นฆราวาสชื่อบริษัทหัวใจสีชมพู ชมพูทวีปคือดินแดนที่เกิดชมพู คือคนมีเลือดสีชมพู

 

ของพวกเราอยู่กันจนเป็นสังคมที่มีมิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี เช่นมีนักเขียนนามปากกาฟ้าสาง คือฟ้าใกล้รุ่ง หรือยิ่งๆ เขียนในเราคิดอะไร? เรื่อง …

 

 

อาตมาได้ฝังชิบแห่งคุณธรรมโลกุตระไว้ในเด็กๆที่มาเรียน ตอนนี้เราจะเปิดฮับปุ๋ยงอกงาม ก็มีพวกศิษย์เก่าที่มาร่วมทำฮับปุ๋ยนี่ทั้งนั้นเลย

 

การก้าวหน้าของเรานั้นอยู่ในระดับบวก ในอัตราต่ำอยู่นะ ไม่ได้บวกในระดับคูณหรือยกกำลัง แต่จะอยากให้ได้มากๆทำไมมันเมื่อย สู้ทำไปพากเพียรขยันไป ขยันหางานให้ตัวเอง เป็นคนเจริญ คนที่ขยันหนีงานนี่เป็นคนเสื่อม ไม่ใช่ว่าไปขยันทำเสียอย่างนี้เขาก็ว่าให้ไปที่ชอบ ไปที่ไหนเขาไล่ออกมาก็หนีเถอะ แต่ถ้าเข้าไปแล้วเขาเอาด้วยก็ทำเถอะ แต่หลายคนมีคุณภาพ แต่คนมองไม่ออก บางคนก็มีคุณภาพ แต่ถ้าลูกน้องไม่เอาแต่ปราชญ์เอาก็ทำเถอะ แม้แต่ปราชญ์ไม่เอาแต่ลูกน้องเอามากก็อยู่ได้ ถ้าปราชญ์เอาแล้วก็อยู่เถอะ สัจจะที่ซับซ้อนเรากำลังสร้าง เอาศัพท์ที่พระพุทธเจ้าว่านี่แหละ มาสร้างดินแดนชมพูทวีป และเมืองไทยนี่จะเป็นชมพูทวีปต่อไป

 

ถ้าใครปฏิบัติธรรมดีๆแล้วจะอายุยืน สุขภาพจะดีขึ้น ถ้าเป็นจริงถูกต้อง อาตมาก็ประกาศไป ไม่ใช่เพื่อโลกธรรม ไม่ใช่เพื่อให้คนมานับถือ ไม่ใช่เพื่อให้รู้ว่าตนเก่งฉลาด แต่เราประกาศสัจธรรมไปตามจริง ถ้าใครเห็นว่าดีก็มา แต่ถ้าเห็นไม่ดีก็อย่ามา คุณเห็นว่าดีก็มาเอา ไม่ได้ปิดบัง พูดตรงพูดชัดไม่กระมิดกระเมี้ยน อโศกนี่แดนปอกลอก ให้หมดตัวหมดตนเลย ไม่เหลือ อโศกนี่สุดยอดแห่งนักปอกลอก มันเป็นการคัดเลือกคัดเฟ้นไปในตัวด้วย ฟังแล้วน่ากลัว แต่ถ้ามองออกแล้วเป็นภาษาธรรมะ ผู้มีปัญญาก็ฟังได้ แต่ผู้ไม่มีปัญญาก็กลัวสิ

 

.ฟ้าไทว่า...คนที่จะปอกลอกนี่จะพูดไม่ให้รู้ตัวแต่อย่างพ่อครูนี่ไม่ปอกลอก

 

พ่อครูว่า...เป็นความบริสุทธิ์จริงใจที่มีตัวคัดเลือกคัดเฟ้นในตัว ผู้ใดฟังได้รู้เรื่องว่าดีก็มา ก็เป็นตัวจริงได้ แต่ขนาดเป็นตัวจริงยังเข็นยากขนาดนี้ หากได้ตัวปลอมมาจะได้อย่างไร อาวุธด้ามยาวอาตมาก็ไม่มี ใช้ก็ไม่เป็น หาไม่ได้อาวุธด้ามยาวไม่มี

 

มาบอกให้ลดละมาจน ไม่ได้ปิดบังอะไร ให้ขยันสร้างสรร รับใช้คนนะ อย่างบริสุทธิ์ใจ เหนื่อยนะ ไม่ได้อะไรตอบแทนด้วย ดีไม่ดีเขาด่าด้วย ใครจะกล้าก็มาเถอะ ใครไม่กล้าก็อย่ามา คัดเลือก

 

แล้วอาตมาก็ได้คนที่ใจสู้ แล้วสนามแม่เหล็กโลกีย์มันแรงขนาดไหน พวกคุณคือหนึ่งโมเลกุลที่ตกในสนามแม่เหล็กโกลุตระแล้ว ถ้าคุณช่วยตัวเองก็พอปรับได้

 

เราจะสร้างโลกโลกุตระ สร้างชมพูทวีปตามสูตรของพระพุทธเจ้า อาตมาฟื้นสูตรของพระพุทธเจ้ามาใช้​ซึ่งไม่เก่า อาตมาก็พยายามเก็บให้ครบ กลัวไม่ครบแล้วจะสื่อออกไป

 

สารภาพว่าอาตมาคงจะทำหนังสือเล่มที่จะออกเดือนกันยายนนี้ไม่ทันแน่ ไปเลื่อนออกเดือนพฤศจิกายนเถอะ มีเส้นขีดไว้กลางเดือนกันยายน นี่อาตมายังทำไม่ถึงครึ่งเล่มเลย ก็ขออภัยเลื่อนไปเถอะ ปีที่แล้วก็เลื่อนมาทีหนึ่ง รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ ซึ่งเดือนนี้ก็จะครบ 20 ปีเราคิดอะไรแล้ว ก็ขอไปออกขึ้นอายุ 21 ในเดือนพฤศจิกายน

 

ขอสารภาพอีกอย่างคือ อาริยทรัพย์มันขึ้นมา เทวดามาให้เยอะ ก็เลยยากที่จะเรียบเรียง เห็นอะไรก็ดีไปหมด มากมายในปรมัตถะธรรม แล้วอันไหนคนจะรับได้อีกก็แก้ไปมาอีก

 

ก็ขอแจ้งว่าหนังสือค้าบุญคือบาป เลื่อนออกไปเดือนพฤศจิกายน 2557 นะ ของเราไม่เหมือนทางโลก

 

ชมพูทวีปคือ สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส

 

ภาวะคือการอุบัติ เกิดขึ้นมา แล้วก็เร่ิมมีกำลัง(สุระ) มนุษย์ก็มีอาการ 32 มีพฤติกรรมเกิด ยิ่งมีปรมัตถสัจจะ มันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งพฤติกรรม กาย วาจา ใจ เกิดหมู่กลุ่มเครืือแห แล้วคนชมพูทวีปจะมีสติมันโต เป็นสติที่ใช้ทำงานปฏิบัติธรรม ตั้งแต่สติที่อยู่กับตัวเรียกอานาปานสติ ทุกลมหายใจเข้าออกมีสติ สังวรสำรวมให้มีสติ เรียกกายคตาสติ ทั้งข้างนอกและใน ต้องกำหนดรู้ตามไป อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ รู้ให้หมด สัมผัสสติสัมปชัญญะ เป็นสัมปชานะ สัมปชลติ สัมปัตตะ สัมปันนะ อีกมากมาย เป็นภาวะของพฤติกรรมของจิต เป็นเจตสิกต่อเนื่องกันมา

 

สติสัมปชัญญะเป็นลูกโซ่ไล่มา จนเป็นสัมปันนะบรรลุ และสัมปฏิเวธคือแทงทะลุรอบถ้วน

สัมปชัญญะ     =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ       =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ

สัมปัชชลติ      =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล 

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

 

ไม่ใช่ว่า สตินั้นก็แค่รู้ตัว แต่มันมีลูกโซ่ต่อเนื่องได้ยาว และมีบทบาทลีลาทำงานจนบรรลุสมบูรณ์ สัมปูรณะสูงสุดได้เลย

 

ในการปฏบัติธรรมหากคุณไม่เข้าใจตั้งแต่อานาปานสติ แล้วปฏิบัติสติปัฏฐาน ทั้งกาย ทั้งอานาปานะ ทุกลมหายใจเข้ออก แม้จะนั่งสงบ ให้รู้แต่ลมหายใจ หนักเข้าแม้ลมกระทบผิวก็ไม่รู้ มีสติแต่รับรู้ลมหายใจที่ปลายจมูก เท่านั้น อย่างนั้นก็ยังถือว่าคุณไม่ขาดกาย คำว่ากายต้องรู้นอกและใน อย่างอื่นรู้ยาก เช่น รู้อุณหธาตุนั้นก็รู้ได้ยาก แต่ดินกับน้ำก็ตัดได้ง่าย ไฟนั้นจับยาก แต่ว่าลมนี่แหละให้เราเรียนรู้ได้ ดังนั้นแม้คุณอยู่ในภวังค์ก็ต้องรู้นอกด้วยอย่างน้อยก็ลมหายใจ ก็เป็นกายได้ แต่ถ้ารู้กายที่กว้างออกมาก็รู้ทุกอย่างทวาร 6 มีขอบเขตที่จะรับรู้เท่าไหร่จัดได้

 

ทำสติให้เป็นสัมมา ในอาริยมรรคมีองค์ 8 ตัดกิเลสในการทำอาชีพ ในการทำการงานทุกการงาน ในขณะพูด ในขณะคิด ต้องทำให้เป็นสัมมาหมด ถ้าทิฏฐิเป็นสัมมา ความพยายามและสติก็จะสัมมา ช่วยสัมมาทิฏฐิทำงาน เหมือนหวังเฉาหมาฮั่นทำงานช่วยท่านเปา

 

ให้เกิดการละหน่ายคลายจากกิเลส ในขณะอยู่กับชีวิตประจำวันก็ปฏิบัติสัมมาอาริยมรรค ปฏิบัติที่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี่แหละ พร้อมสัญญาและใจ นี่คืออิทโลก มีกิริยา กาย วาจา ใจ ให้เป็นพรหมให้หมด อยู่ในโลกนี้แหละ จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเกิดในโลกนี้แหละ ไปประกาศที่อื่นไม่ได้ต้องมีกายครบ 32 นี่แหละ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:19:41 )

570908

รายละเอียด

570908_พุทธชีวศิลป์(12)วนบ. เรื่อง โยนิโสมนสิการโดยพิสดาร

พ่อครูว่า...คนเราก็แป๊บๆเดียวก็อายุมากแล้วนะ วันนีี้จะมาเรียนพุทธชีวศิลป์ เรามาต่อ อาตมาพยายามจะทวน ข้อ 26 พระไตรฯล.16 มหาศากยมุนีโคตมสูตรมาให้ศึกษา ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อันเดียวกัน ทุกพระองค์ เป็นความรู้ที่สุดยอดแล้ว ปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นความรู้ที่สุดยอดเลย

 

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ มรรคองค์ 8 โพชฌงค์ 7 ไม่อุบัติเลย สองอันนี้เป็นทางเอกของพระพุทธเจ้า

 

10 มหาศักยมุนีโคตมสูตร
     

 

[26] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้    ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มี
ความปริวิตกดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่   ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อ
เป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์
คือชราและมรณะนี้จักปรากฏ

 

ดูกร   ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ
มีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น
เพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชรา
และมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี    ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็น
ปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะภพ    เป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี
ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ...  เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอ   มีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทาน
จึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหา  ย่อมมีเพราะ
อะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะ   เวทนาเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอ
มีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...  เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ...
เมื่อ สฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไร   หนอ
มีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีย่อมเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี
สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ...
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณ จึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณ
จึงมีวิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้น
เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า  เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมี
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชา  เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ...
ดังพรรณนา มาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรม ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้าง
เกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ
      

 

[27] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไร หนอไม่มี ชราและ
มรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ ดูกรภิกษุ    ทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้
ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติ ไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชรา
และมรณะจึงดับ ... เมื่ออะไร หนอไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ ... เมื่อภพไม่มี
ชาติจึงไม่มี   เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ... เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ...  เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทาน
จึงไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่ออะไร  หนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ
ตัณหาจึงดับ เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหา  จึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี
เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มีเพราะผัสสะดับ  เวทนา
จึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ...    เมื่อสฬายตนะไม่มี
ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่ออะไร  หนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะ
อะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่อนามรูป    ไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะ
จึงดับ ... เมื่ออะไรหนอ   ไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่อวิญญาณไม่มี
นามรูป  จึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี  เพราะอะไร
ดับ วิญญาณจึงดับ ... เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอะไรดับ
สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ...
ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า
ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้ ฯ
                        

จบสูตรที่ 10

 

พ่อครูว่า....สรุปแล้ว เห็นความเกิดความดับ ด้วย จักษุ​ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ที่เห็นได้เพราะ ท่านบอกว่ากระทำไว้ในใจโดยแยบคาย อาตมาไม่อยากจะแปลว่ากระทำไว้ในใจ แต่จะแปล ทำใจในใจ เลย อะไรจะให้ดับ เราก็ทวนไล่ไป เป็นพยัญชนะ แต่ละคำแต่ละตัวสื่อถึงสภาวะ ถ้ารู้จริงดับสิ่งเหล่านี้ได้จริงก็จบ ไม่ใช่พาซื่อดับไปหมดทุกอย่าง แต่ให้ดับส่ิงที่ควรดับ คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา

 

และกำกับเลยว่าจะต้องเป็น จักขุมา ปรินิพพุโพติ และมีวิชชา เป็นความรู้ที่จำเพาะเลย ว่าเอาไปเรียกอื่นไม่ได้ ต้องเรียกปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว

 

จะมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบที่มีรูปและนาม จึงเกิดวิญญาณ เป็นสิ่งทรงไว้ ส่วนคำว่าจิตก็ เรียกหน้าที่ของธาตุรู้ที่รวมกันหมด เช่นเดียวกับคำว่า อัตตา อาสวะ และสักกายะ นั้นก็นัยเดียวกัน อัตตาเป็นคำรวมๆ ถ้าจำเพาะลงมาก็เป็นสักกายะส่วน อาสวะนั้นเป็นตัวละเอียด เช่นคำว่า จิต ก็เป็นคำกลางๆ วิญญาณก็จำเพาะลงมา ส่วนในสุดเล็กสุดเรียกว่า มโน

 

และคำว่า ญาณ ปัญญา วิชชา นั้น เข้มที่สุดเรียกว่าวิชชา กว้างๆก็คือปัญญา ส่วนกลางๆก็คือ ญาณ นี่คือความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่แทนกันได้ในผู้ไม่ละเอียด ส่วนผู้ละเอียดก็จะรู้ได้มากขึ้น

 

คำว่าโยนิโสมสนิการ คือกระบวนการของอวิชชาไปจนถึง ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวฯ คือกระบวนการของจิตทั้งนั้นเลย เราต้องชัดเจนว่า ปฏิบัติ ปฏิจจสมุปบาท นั้นเกี่ยวข้องทั้งมหาภูตรูปข้างนอก แต่เป็นองค์ประกอบเท่านั้น แต่เราต้องทำใจในใจเท่านั้น ส่วนองค์ประกอบก็เป็นไปตามที่เราจะกระทบ แต่เรารู้ไม่ทันมัน มันก็เป็นโทษได้ แต่ถ้ารู้อาศัยได้ก็เป็นคุณ เรารู้คุณ รู้โทษ เราจัดการจิตที่ไปหลงติดเป็นโทษ เราต้องทำความดับแต่ส่วนมีคุณเราก็อาศัยมันไป จนไล่ไปเรื่อยๆ

 

จิตใดเป็นอกุศลจิต เป็นโทษ เราต้องจัดการดับมันด้วย ญาณ ปัญญา วิชชา เรียนรู้รูป 24 ด้วยประสิทธิภาพวิชชาของพระพุทธเจ้า ทำให้กิเลสตายแล้วอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

แต่มันไม่ได้หมายความว่าไม่เคยเกิด แต่มันเป็นวิบากในจิต ซึ่งแม้ในปัจจุบันเราจะไม่เสริมกิเลสเพ่ิม เราไม่เพิ่มอาหารให้มัน มันก็อยู่ในส่วนลึก อยู่ไปตราบนานเท่านาน แต่เราไม่มีตัวเพิ่มกิเลสใหม่อีกเลย เป็นอรหันต์แล้ว กิเลสไม่เกิดอีกเลย แล้วเราทำแต่กุศล กุศลก็เป็น Buffer เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ที่หนามากเรื่อยๆ มันแข็งด้วย จึงกั้นด้วยกุศลไกลขึ้น มีแต่ยังกุศลให้ถึงพร้อม ไม่ทำชั่วทำบาปเลย ตัวนั้นก็ถูกดองไม่ได้อาหารเลย ตัวกุศลก็ไกลไปเรื่อยๆ จนหมดอัตภาพ ปรินิพพาน พวกวิบากก็งงๆเลย หมดแล้วอัตตา เป็นสุดอจินไตย

 

มันไม่ได้ขัดกับที่ว่า ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ไม่มีอะไรไม่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเลย

 

มาไล่ดูความเกิดของโยนิโสมนสิการ

 

มันจะเกิดอะไรจะเกิดมันต้องรู้ความเกิด อวิชชาเกิด เราจะไปรู้อวิชชาไม่ได้หรอก เพราะตัวเราเองอวิชชาอยู่ คุณไม่มีวิชชาจะไปรู้อวิชชาได้อย่างไร เราต้องสร้างวิชชาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะรู้อวิชชาได้ เราต้องให้อวิชชาค่อยๆร่อยหรอ ให้วิชชาเกิดมากขึ้นๆ เราต้องทำความดับที่ควรดับ  เราจะไปดับชรา มรณะ มันก็เป็นตัวปลาย เราต้องไปดับที่ตัวเร่ิม เริ่ม ที่อุปาทาน คือความยึด

 

ตั้งแต่หยาบๆ คือที่ดินกู ทรัพย์สินกู ที่ดินกู ตุ๊กตากู อาการยึดเป็นอย่างไรก็คืออุปาทาน มียึดเป็นของตน ในโอฬาริกอัตตา เกี่ยวเนื่องกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม  ยึดกิริยาท่าทางเคลื่อนไหวในตัว ยึดตามค่านิยม ถ้าเรายังชมชอบให้คนมายกยอปอปั้น ก็ยึดโลกธรรม แต่ไปยึดนามธรรมก็ได้ อาการยึดเราต้องรู้ได้ด้วย ญาณ ปัญญา วิชชา เห็นอาการยึด ว่ามันมีเหตุปัจจัยอะไร ถ้ามีวัตถุก็เป็นวัตถุ หรืออาการลีลา ท่าทาง ที่เรากระทบแล้วเราชอบหรือไม่ชอบ หรืออาการเราเองก็ตาม อะไรเป็นโทษเป็นคุณเราต้องประมาณ นัจจะ คีตะ วาทิตะ เราก็ประมาณให้เกิดประโยชน์ตน_ท่าน จนเป็นความรู้ปรมัตถ์

 

หรือความรู้ทางโลก ใครแตะไม่ได้ หรือความรู้ทางธรรมที่ใครก็มาแตะไม่เห็นด้วยไม่ได้ ก็ยึดถือโกรธ อัตตาขึ้น ถ้าไม่ยึดก็ไม่โกรธ แต่ที่สุดความรู้ปรมัตถ์เราก็ไม่ยึด แม้ใครบอกว่าไม่ใช่ไม่ดี แล้วของที่ว่าดีกว่าใช่กว่าเป็นอย่างไร ถ้าดีกว่าเราก็จะเอา แต่ถ้าไม่ดีกว่า เราก็ไม่เอา ของใครก็ของใคร เราก็ว่าของเรา

 

ในส่ิงอุปาทานที่ยึด จนเราไม่ยึดวัตถุ  ท่าทางลีลา จนโลกุตระเราก็ไม่ยึด จะรู้ว่าเรายึดก็ต้องมีการกระทบสัมผัส ติดเพชรพลอย ติดเต้นรำ ฟ้อนรำ เตะบอล ท่าทาง สุ้มเสียงสำเนียง ลีลา หรือแม้แต่ที่สุดติดน้ำใจ ติดลีลาท่าทาง น้ำใจอย่างนี้ ใจแบบนี้แหละ

 

ยึดตั้งแต่วัตถุหยาบ จนถึงใจลึกๆ เช่นใจที่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นโลกียะ แต่ก็เป็นโลกุตระคือเป็นส่ิงที่วิเศษสุด แต่เราก็ต้องไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่เราต้องเป็นให้ได้ก่อนเราจึงวางได้ แต่ถ้าเป็นไม่ได้แล้วจะไปบอกว่าวาง คุณจะวางอะไร? พวกเซน ฉลาดลัด น่าสงสาร ไม่เข้าใจว่าคนที่ฟังแล้วบรรลุนั้นเขามีบารมีมาหมดแล้วจึงได้ น้ำเต็มขันแล้วแต่ถ้าคนไม่ปฏิบัติ น้ำยังพร่องขันเลย แล้วจะบรรลุได้อย่างไร?

 

ทุกอย่างต้องสะสมเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ทำใจในใจ ที่ใจเป็นแดนเกิด เป็นโยนิ เป็นที่เกิด ตรงนั้นแหละเป็นที่ให้เกิด โยนิ ก็เรียกเป็นรูปธรรมของเพศหญิงว่าให้มีการเกิด แต่นามธรรมคือ โอปปาติกโนยิ คือที่เกิด แดนเกิด คุณต้องทำตรงนี้ ต้องมนสิ แล้วกระทำหรือกโรติ ตรงนั้นแหละ คือหทยรูป ต้องถูกรู้ด้วยตัวเอง จะเกิดต่อเมื่อผัสสะ แล้วปรุงเป็นสังขาร ในสังขารเป็นวิญญาณ เป็นเวทนา วิญญาณคือธาตุรู้องค์รวม ส่วนเวทนา กับสังขารเป็นเจตสิกของวิญญาณ คุณต้องใช้สัญญาที่เป็นเจตสิกของวิญญาณเอง

 

เราต้องตามรู้รูป_นามที่เป็นเหตุปัจจัย ให้รู้อย่างมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จักขุคือตัวแทนของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คำว่ากายเป็นตัวกลาง ส่วนตา หู จมูก ลิ้น มีประสาทชี้ชัด แต่คำว่ากายไม่มีประสาทชี้ชัด แต่กายคือองค์ประชุมทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องภายนอก แต่มีธาตุรู้คือปสาทรูป คือตัวรวมของอวัยวะนอกทั้งหมด กายนอก คือผิวที่หุ้มอยู่เรียกว่า กายนอก รวม ตา หู จมูก ลิ้นด้วย แม้อวัยวะภายในก็มีผิวหุ้มหมด ส่ิงที่หุ้มอยู่ทั้งหมดเราเรียกว่า หนัง รอบนอก รอบหุ้ม องค์ประกอบของส่ิงหุ้ม

 

ที่เรารู้ได้ชัดเกี่ยวเนื่องกับผิวนอก แต่ไม่มีปสาทรูป เช่น ผม ขน ฟัน เล็บ มันไม่ใช่ปสาทรูป มันไม่รู้สึก กระทบสัมผัสอย่างไรมันก็ไม่รู้สึก ถ้ามันไปชิดกับหนัง หนังมันก็รู้สึก แต่ถ้ามันหนาออกมาพอสมควรอย่างหนัง ก็เฉือนออกได้ ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ถ้าชิดเข้าไปหนังบางมาก แทบจะเป็นข้างในเลย ในปสาทรูปและโคจรรูป จึงรวมกันได้ 9 เพราะรวมเอากายเป็นอันเดียว

 

โคจรรูปกับปสาทรูปต้องร่วมกันเสมอ มีการกระทบสัมผัส จึงเกิดการรับรู้ แต่เล็บ ฟัน ผม ขน จริงๆมันไม่มีความรู้สึกได้ แม้หนัง ตอนหลับลึกๆก็ไม่รู้สึกได้เพราะจิตดิ่งไปข้างใน แต่ถ้าผู้ปฏิบัติให้จิตมันไม่รับรู้ดิ่งเข้าไปมันก็ไม่รู้สึกได้

 

อุปาทานเป็นตัวเสถียร ตั้งอยู่เฉยๆ ผลวิบากนั้นไปรวมกองกันที่อุปาทาน ถ้าคุณทำเหตุไม่ให้มันออกมาทำงานกดข่มก็กดได้ แต่ไม่ถาวร สายที่กดไว้นาน ก็ได้นานจนหลงว่าบรรลุ แต่เหตุปัจจัยไม่ครบก็บรรลุไม่ได้หรอก แต่ไม่ได้ทำกุศลให้คั่นไปเรื่อยๆ

 

เราจะทำให้จิตมันบรรลุได้ต้องมีเหตุปัจจัยให้อุปาทานออกมา แสดงออกเป็นตัณหา แล้วเราก็จัดการตัณหาที่ออกมาให้รับรู้ได้ เราทำความดับให้สำเร็จ แต่ก่อนมันเกิดคุณก็เห็นว่ามันเกิด ไม่ได้เก่า ว่าจิตมันเกิดดับๆ แต่จิตไหน?คุณต้องรู้สักกายะ อัตตา มันมีมาก จนทำให้มันลดลงเป็นกลางๆแล้วทำให้ดับให้สูญไปตลอดกาล ไม่เกิดอีกเด็ดขาด คุณจะตัดสินเมื่อไหร่ก็ของคุณ

 

ถ้าคุณสามารถทำใจในใจได้อย่างที่ว่า ก็ตัณหานี่แหละเป็นอริยสัจ เวลาปฏิบัติต้องทำที่ตัณหา 6 แล้วมันก็คือตัณหา 3 แล้วดูเวทนา 108 ให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้ เราเรียนรู้อย่างมีญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดและเราทำให้มันดับได้ เห็นความดับได้ชัดๆ คุณทำตัณหาดับก็เท่ากับทำอุปาทานดับ แล้วภพที่ติดยึดกับอุปาทาน เกิดเป็นชาติ เราดับตัณหาได้แล้ว ผัสสะก็มี แม้ผัสสะ เขาก็เรียกหลวมๆว่า ผัสสะดับ

 

จริงๆมันไม่ได้ดับ เพราะเป็นเครื่องอาศัยอยู่ แต่อุปาทาน ตัณหา ดับ ชาติ ชรามรณะโสกฯ ดับหมด เราอยู่เหนือมันได้ แม้เวทนาก็มี เพราะผัสสะอยู่ อายตนะก็ยังมีอยู่ ตาหูจมูกลิ้นกายก็ทำงานเต็มที่ เราก็รู้อยู่ทุกกระทบสัมผัส แต่เวทนาที่เกิดไม่ได้มีเวทนาที่เป็นเคหสิตะที่ประกอบจากตัณหาที่ก่อสุขก่อทุกข์ ทำได้เป็นอุเบกขาเนกขัมมะแล้ว เรานิพพานแล้ว เป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ เห็นอยู่ผัสสะอยู่แต่เราก็อุเบกขาอยู่ตลอด เราเป็นผู้รู้ไม่เหลือเศษส่วนโลกียะเลย เป็นโลกุตรธรรมล้วนๆ

 

ผัสสะ อายตะก็มีไม่ได้หูหนวกตาบอดหรือหนีไปไหน รู้นาม รูปอยู่ วิญญาณก็บริสุทธิ์อยู่ สังขารก็มีอยู่ สามารถอนุโลมได้เป็นสัจจานุโลมิกญาณ จะอนุโลมขนาดไหนก็มี สังขารุเปกขาญาณ ของใครของมัน เรียกว่าเอโก ส่วนตนทำที่ตน ตนนี่ได้ ของเราคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ส่ิงที่ลดละได้ก็คือ อวิชชาดับ มีวิชชา จักษุ ญาณ ปัญญา เกิด เป็นวิชชาที่แข็งแรงเป็นโลกุตระไม่มีส่ิงสงสัยอะไรเลย ชัดเจนจริง เห็นวิชชาเกิด เห็นสังขารเกิด เป็นอภิสังขาร ยิ่งทำก็เป็นอเนญชาภิสังขาร

 

เพราะอเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งเพราะมีวิชชา มีสัปปุริสธรรมมีมหาปเทสไม่มีบาป หรืออกุศลเลย มีแต่กุศลไปตลอด เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กไปเรื่อย กุศลกลายเป็นตัวคั่น ไม่ใช่ไปกดข่ม แต่กุศลตกผลึกเป็นตัวกั้นที่หนา เพราะเราทำกุศลให้ถึงพร้อมตลอดเวลา ไม่กดข่มแต่ถือว่ากำจัด เราไม่ได้ทำให้สัตว์ตายแม้กิเลส แต่เรามีวิธีอันสุดยอดที่พระพุทธเจ้าท่านประทานมา

 

และต้องมีฉันทะ ในมูลสูตร หรือสุริยเปยยาล ก่อนจะทำมรรคองค์ 8 ต้องมี มิตรดี ศีล ฉันทะ อัตตะ ทิฏฐิ โยนิโสฯ ไม่ประมาท และผู้มีอิทธิบาทเต็มก็ไม่รู้หรอกว่าขยันเป็นอย่างไร คุณไม่ตายก็มีอิทธิบาทเป็นเครื่องแสดง จะเห็นว่าอรหันต์ขึ้นไปจะเห็นว่าท่านมีอิทธิบาท ท่านทำได้อย่างไม่เบื่อ ไม่หงุดหงิด ฉันทะเป็นตัวนำให้เกิด ถ้าไม่มีก็ยาก พระพุทธเจ้าว่าต้องมีฉันทะเป็นมูลกา แล้วก็ต้องมีมนสิการต่อ ต้องรู้ที่เกิด ที่หทยรูปนี่แหละในรูป 24 ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยให้รู้วิญญาณที่มีขันธ์ 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร ที่แยกเป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ซึ่งสังขารก็คือ กระบวนการของ เจตนา ผัสสะ มนสิการ นั่นเองที่แยกย่อยได้อีก เมื่อกระทบสัมผัสก็รวมสัมโมสรณาที่เวทนา แยกเป็นเวทนา 108 และตัวอุเบกขาเป็นฐานนิพพานก็คือสั่งสมตัวนี้แหละ ในมูลสูตร

1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

 

_เป็นอมตบุคคลเพราะทำเกิดทำตาย รู้เกิดรู้ตายได้ เป็นของตนเองเลยทำได้แล้ว เป็นเอกัคคตาของตนชัดๆจริงๆ

 

เวลาปฏิบัติแล้วคุณต้องมีส่ิงที่ถูกรู้ทั้งหมด แล้วจัดการ ส่ิงที่ถูกรู้คือ จิตเจตสิกรูปนิพพาน ตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด

 

ในรูป 24

. ปสาทรูป 5 (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์

 

       1. จักขุ (ตา - the eye)

  1. โสต (หู - the ear)
  2. ฆาน (จมูก - the nose)
  1. ชิวหา (ลิ้น - the tongue)
  1. กาย (กาย - the body)

. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป 5 (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ )

       6. รูปะ (รูป - form)

       7. สัททะ (เสียง - sound)

       8. คันธะ (กลิ่น - smell)

       9. รสะ (รส - taste)

  1. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย - ) ข้อนี้ไม่นับ

 

. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ )

       10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง)

       11. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย)

 

. หทยรูป 1

       12. รูปที่เป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ 

 

. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต )

       13.ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต ) คือมันยังมีชีวิตของสัตว์ทางจิตวิญญาณต้องให้มันดับ ในส่ิงที่ควรดับ และให้เกิดในสิ่งที่ควรเกิด

 

. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร ) ตังที่เกิดนี่แหละคือตัวอาศัย

       14.กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน)รวมถึง อาหาร 4 (กวฬิงการาหาร_กำหนดรู้กามคุณ 5,ผัสสาหาร_กำหนดรู้ในเวทนา 3,มโนสัญเจตนาหาร_กำหนดรู้ในตัณหา 3,วิญญาณหาร_กำหนดรู้ในนาม-รูป)

 

. ปริจเฉทรูป 1 คือ การตัดแบ่งกิเลสเป็นส่วนทำให้หมดทีละส่วนๆ จนที่สุดแล้ว เบาบางถึงขั้นอากาสธาตุ ว่างปราศจากกิเลส

       15.อากาสธาตุ

 

. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย)

       16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย)

  1. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา )

 

. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลก ให้พิเศษได้ ) คือ (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ Kinetic energy)

       18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบาบาง) ต้องประมาณไม่ให้กระทบตนกระทบท่าน

       19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนไว ยืดหยุ่น elasticity, เร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญา และเจโต)

  1. (รูปัสส) กัมมัญญตา (การกระทำ การงาน ที่กำกับด้วยปัญญาอันประเสริฐยิ่ง )

 

. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการ  เป็นเครื่องกำหนด) (คืออัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา potential energy)

       21.(รูปัสส) อุปจย (ความเคลื่อน เจริญขึ้น)

       22.(รูปัสส) สันตติ (ความเชื่อมอยู่ )

       23.(รูปัสส) ชรตา (ความพาเคลื่อนไป)

       24.(รูปัสส) อนิจจตา (ความเคลื่อนไปเสื่อมก็ได้    เจริญก็ได้)


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:21:01 )

570910

รายละเอียด

570910-ขอบุญโฮมศีรษะอโศก เรื่อง โลกุตรธรรม 46 อย่างพิสดาร

วันนี้เป็นโอกาสดีได้มาพบพวกเราที่ศีรษะอโศก เรามาอยู่ที่ป่าช้าก่อน แล้วตอนนี้เขาก็ไล่เราออกจากป่าช้าแล้ว มันเป็นสัจธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แต่ตอนนี้เราก็ตั้งหลักอยู่ได้ไม่ยุบ เราก็จะทำไปให้เป็นกลุ่มชุมชนมนุษยชาติ มีชีวิตสังคมกลุ่มที่เราเรียกได้ว่า สงฆ์ แปลว่าหมู่กลุ่ม แล้วไม่ใช่สงฆ์ธรรมดา แต่เป็นอาริยะด้วย เป็นกลุ่มคนประเสริฐ

พูดไปแล้วเหมือนคุยตัวมีพุทธบริษัท 4 คือผู้มีศีลมีธรรม ซึ่งต่างจาก พุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ โดยพุทธสาสนิกชนคือผู้นับถือศาสนาพุทธทั่วไป ปฏิบัติก็ไม่ชัดเจนทำตามเขหาไป พูดว่าตนเป็นพุทธมามากะ แต่ก็พูดตามจารีต เป็นศีลพตุปาทาน แต่ไม่ได้เอาจริงปฏิบัติให้ได้บรรลุจริง

ส่วนพุทธบริษัท ก็เป็นผู้มีมรรคผล เป็นบุคคล 4 บุคคล 8 มีการบรรลุธรรม เข้าถึงจริง เกิดผลตั้งแต่ต้นทาง มรรค ต้นทางแห่งมรรคคืออะไร คือโลกุตระ

โลกุตระมี 46 ถ้ารวมเป็นฐานะก็มี 9 ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค ไปถึงอรหันต์ และถ้าใช้หลักปฏิบัติเป็นตัวยืนยัน ก็คือ หลักโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่เริ่มเลยคือ กายในกาย

ผู้จะเข้าโลกุตรมรรคหรือยัง ก็ต้องเข้าถึงคำว่า กาย คำว่ากายคือองค์ประชุมทั้งรูปและนาม ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้ พลังงานและสสาร แต่ของพุทธเรียกว่าวิชชาศาสตร์

กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 จะเรียนรู้ก็รู้ก็ต้องเริ่มที่ปรมัตถ์ ให้มีความรู้ ความเห็นทิฏฐิ เมื่อรู้แล้วก็ไปปฏิบัติ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ 10 คือ ทาน ยัญพิธี สังเวยที่มีผล กับไม่มีผลต่างกันอย่างไร การทานคือการให้ เอาออก และศีลก็คือการเอาออกเหมือนกัน รวมหมดเลย ตั้งแต่รูปกับนาม ไม่ติดแม้ในนาม เวทนา สัญญา สังขาร หรือรูปก็ไม่ติด ไม่ยึดไว้ ไม่อาทานไว้ คนไม่รู้ก็อุปาทาน แต่เราไม่ยึดแล้วก็สมทานไว้

เราไม่ฆ่าสัตว์แล้ว เราไม่เอาของเขาในฐานแห่งการขโมยแล้ว เขาไม่ได้ให้เรา เราก็ไม่ไปเอา หรือราคะ กามทางเพศหรือกามคุณ 5 ก็ไม่เอาแล้ว พูดปดไม่เอา การเมาในโลกีย์เป็นอบายเราไม่เอา เราจะรู้ว่าถ้าจิตไม่ติดยึดแล้ว หรือยังติดยึดอยู่ ยังสัมผัสแล้วปรุงเป็น รสสุขทุกข์แก่ตนเอง เป็นสังขารธรรม เป็นตัวตนสัตว์นรก เทวดา สัตว์อบาย หรือสมมุติเทพ เป็นเทวดาสุขขัลลิกะ ถ้าอวิชชากันก็เป็นกันอยู่ทุกคน

เทวดานั้นเกิดเมื่อกระทบสัมผัส ทางทวาร มีโคจรรูป มีปสาทรูป มีการดำเนินเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลก มีพฤติกรรมองค์รวม ถ้าเหตุปัจจัย รูปนามกระทบกัน ตั้งแต่วัตถุรูปดินน้ำไฟลม  แล้วมีภาวรูป ปรากฏที่เรา มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ผู้ใดกำหนดรู้องค์ประชุมรูป นาม เรียกว่า กาย

คำว่า กายนี้เป็นภาษาไทยแล้วเพี้ยนไปจากปรมัตถธรรม ไปแปลว่าเป็นดินน้ำไฟลม ร่าง ไม่เกี่ยวกับธาตุรู้ของจิตวิญญาณ ก็เลยทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม อาตมาต้องมาฟื้น

ผู้จะรู้โลกุตรธรรมต้องรู้ “กาย” ซึ่งแม้เราจะมองเห็น แต่เราไม่ใส่ใจ ไม่เอาจิตไปสนใจ ก็ไม่เป็นกาย แต่ถ้าเรารับรู้เกี่ยวข้องก็เป็นกาย แล้ว กายนี่คือจิต ไม่ได้แยกกัน มันอันเดียวกัน กายนั้นไม่มีจิตไม่ได้ แต่ร่าง หรือ รูป ไม่มีจิตก็ได้ ถ้ารูปกายต้องมีจิต แต่ถ้ารูปรูปไม่ต้องมีจิต

อย่างแสงมากระทบวัตถุแล้วสะท้อนมาที่เรติน่าเรา ที่จริง แสงนั้นเดินทางเป็นเส้นโค้ง อาตมาเคยคิดได้ตอนเป็นฆราวาส  ก็คิดว่าตนรู้คนแรก ก็ไปบอกน้องเขย แต่น้องบอกว่า ไอสไตน์ค้นพบมาก่อนแล้ว ตอนนั้นอาตมายังไม่รู้จักไอสไตน์ ...ถ้าแสงเดินทางตรง คนก็รับไม่ได้  มันจะมาหาเราก็แสงในแนวระนาบเท่านั้น ในโลกนี้มีแต่ความโค้งเป็นหลัก เพราะฉะนั้นคนจะทำความตรงได้อย่างแท้จริงก็คืออรหันต์ แม้อนาคามีก็มีส่วนโค้งอยู่

ผู้ใดรู้จักองค์ประชุมของรูปและนาม  เมื่อสัมผัสแล้วก็รู้เข้าไปข้างใน ซึ่งไม่ได้ละสายตาไปจากสิ่งที่เรากระทบสัมผัส เมื่อสัมผัสก็รับรู้เอาไปวิเคราะห์วิจัย ให้รู้ว่าองค์ประชุมคือสังขาร มีกายสังขาร จิตสังขาร และวจีสังขาร

เมื่อสังขารเกิด เราก็ต้องวิเคราะห์ว่า มีเหตุปัจจัยอะไรทำให้เราทุกข์หรือสุข มันปรุงแต่งกันมาเป็นรูปที่มีกิเลสร่วมด้วย มีกามหรือพยาบาท เห็นแล้วแก้วมังกรนี้สวยจัง กายเรามีแล้ว อยากได้อยากมีอยากกินอยากเอา เราก็หัดมีสติรู้มีธัมวิจัย ตาม เพื่อค้นหาว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น ตัวนี้คือกิเลสกาม เราก็อย่าไปให้มีกิเลสอยาก กำจัดเลย ถ้ากำจัดได้ก็เป็นวิตักกะ เป็นจิตสะอาด กายที่เหลือก็เป็นสังขาร เป็นกายสังขาร ที่เราได้จัดการกิเลสแล้ว ซึ่งเป็นจิตสังขารด้วย พอล้างกิเลสได้ ก็จะออกมาเป็นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ไม่มีกามแล้ว และก็มาผ่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นกองตรวจสอบ เหมือนเป็นตรวจคนเข้าเมือง เป็นตม. เข้าก็ตรวจ ออกก็ตรวจ ถ้า ตม.แข็งแรงก็ตรวจสอบได้ดี ก็เป็นวจีสังขารที่ดี แต่ถ้าตม.คอรัปชั่นก็เสร็จเลย วจีสังขารจะออกไปเป็น กายกรรม วจีกรรมต่อไป

เราเริ่มจับที่สักกายะ เรารู้ด้วยตัวเราเอง สัมผัสแล้วรู้องค์รวม ชัดเจนว่าตัวนี้คือปรมัตถ์ จิตเจตสิก มีมโนปวิจาร

รู้เคหสิตะ รู้เนกขัมมะ แยกออกได้ ว่าลักษณะอาการต่างกัน พ้นสังโยชน์ 1 และ 2 คือไม่สงสัยแล้ว ถ้าลดดกิเลสได้จริงก็พ้นสังโยชน์ 3 เป็นโสดาปัตติผล หากลดไม่ได้ก็เป็นโสดาปัตติมรรค รู้ผีได้แต่ผียังมีอยู่เต็มเลย ยังไม่ถึงโสดาปัตติผล       เรารู้ความไม่เที่ยงที่พาทุกข์  แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทำให้กิเลสลดได้เลย แม้จะกดข่มมันได้ มันจะลดบทบาทลงได้ ไม่แสดงออกเต็มที่ กดข่มไว้ได้ แม้ไม่ให้มันเกิดได้ชั่วคราว คุณก็รู้ว่ามันได้ลดแต่มันเป็นวิธีชั่วคราว แต่ถ้าคุณสามารถรู้วิปัสสนาวิธี

ว่ามันไม่เที่ยง มันพาเราทุกข์ เป็นสุขหลอกๆ ถ้าเรารู้ชัดมีปัญญา ว่ายึดมันก็ทุกข์ เรามีปัญญาชัดว่าไม้ต้องไปทุกข์ไปสุข มีสัมมัปปัญญามากพอ เป็นไฟฌานไปสลายตัวนี้ได้  ไม่ได้กดข่ม มันก็ลดได้ หรือค่อยๆลดจนมันดับ เห็นอาการดับได้ รู้สภาวะว่าไม่มีอาการของสภาวะกิเลสนั้น เรารู้ว่ากิเลสสัตว์นรกหรือสัตว์เทวดามันมีชีวิตหรือตายไปอย่างไร มันไม่มีอย่างไร มันก็เป็นจิตสะอาด ไม่ใช่จิตเทวดาที่ปรุงแต่งมาอีก เป็นเทวดาอร่อยสมใจ ตามสมมุติเทพ แต่ทำให้เป็นวิสุทธิเทพได้

รู้เวทนาในเวทนา รู้เวทนา 108 รู้จิตในจิต ที่รู้โทสะ ราคะ โมหะ แล้วลดได้ เป็นสังขิตจิต วิกขิตตจิต มหรรคตะ อมหรรคตะ ...ทำจนครบ วิมุต อวิมุตติ ส่วนเวทนาก็เป็นเวทนา 108 ที่เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีตที่สูญไป จนทำนายอนาคตได้เลยว่าสูญ จิตก็ผ่องแผ้วไปตลอดเลย ก็จะมีกายใหม่ เขาเรียกว่า สัมโภคกาย นิรมานกาย อาทิสมานกาย

สัมโภคกาย ก็คือมีชีวิตกินใช้ร่วมกับคนอื่น แต่ไม่มีกิเลส

นิรมานกาย คือกายที่เราได้สร้างทำขึ้นมาเป็นกายแบบนี้

หรืออาทิสมานกายคือกายที่ไม่มีใครมองเห็น เป็นองค์ประชุมของธาตุ รูป นาม ซึ่งแม้สัมผัส ภายนอกกับเหตุปัจจัยหก็ไม่มีความเป็นสัตว์เลย ทั้งหยาบหรือละเอียดอย่างใดก็หมดไป

แม้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ซึ่งในวิญญาณฐีติ 7 ไม่มีตัวนี้ เพราะวิญญาณฐีติจะตั้งอยู่ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ แต่เนวสัญญาฯนั้นเป็นผู้มีอรหัตตมรรคแล้ว ไม่ต้องการกระทบสัมผัสกับภายนอกเลย มีแต่จิตที่เหลือแม้ไม่มีร่างเหลือก็ต้องรู้สัตว์ตัวนี้ให้ได้ ให้พ้นอวิชชานุสัย ถ้ารู้ได้ก็พ้นสัตตาวาส 9 ได้สัญญาเวทยิตนิโรธได้ 

จากกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมคุณก็มีโลกุตระที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ต่อมาถ้าขยายความซ้อนไปเป็นสัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 คุณก็ต้องรู้สภาวะพวกนี้ทำได้จริง และเดินในร่องรอยของ โพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8 ไหม? เป็นผลสำเร็จด้วย คุณก็เป็นโลกุตระไปทุกหน่วยของโลกุตระ 37 เกิด Impact คือผลสำเร็จเป็นโลกุตรธรรม 9

ในปุถุชนไม่มีไตรสิกขา แต่ของอาริยบุคคลมีไตรสิกขา รู้สักกายะ เราเป็นผู้มีดวงตา มีญาณปัญญา อ่านรู้ทั้งสิ่งที่เกิดทั้งหมด รวมแล้วเป็นความนึกคิดทั้งนั้นเลย มีสัจจะภาวะปรากฎทั้งนอกและใน มีทั้งวัตถุและจิตสังเคราะห์สังขาร เป็นสังกัปปะ สมบูรณ์ หรือตักกะสมบูรณ์ก็ได้ หรือทิฏฐิ ทฤษฎี หลักปฏิบัติที่สมบูรณ์ก็ได้

แล้วเราจะปรุ่งแต่งเพื่อช่วยโลกเขาได้ อย่างอาตมาทุกวันนี้ปรุงแต่งแทรกโอสถทิพย์ไปเรื่อยๆ เป็นนักวางยามือหนึ่ง นักวิสัญญีมือหนึ่ง แล้วพวกคุณก็ถูกผ่าตัด พยายามทำความประเสริฐสะอาดบริสุทธิ์ดีๆให้ การจะอนุโลมต้องรู้เรา อย่างอาตมาใครจะบอกว่าไม่เหมาะแต่อาตมาก็ว่าต้องทำขนาดนี้คนถึงกินหรือรับได้ ต้องกาแฟยกล้อถึงกินกัน ขนาดหมา บางตัวก๋วยเตี๋ยวไม่ปรุงรสไม่กิน ขนมปังไม่ทานมเนยมันไม่กินด้วย ขนาดหมานะก็ติด แต่คนนี่ติดยึดมากกว่าเดรัจฉานก็แย่ยิ่งกว่าเดรัจฉานนะ

อาตสรุปว่าเป็นกลุ่มของความคิดที่ก็คือ กายสังขาร จิตสังขาร แต่ถ้ากายนี้มีเงื่อนไขว่าเกี่ยวกับข้างนอก แต่ก็ต้องมีข้างในด้วยไม่ทิ้งข้างใน แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับข้างนอกไม่เรียกกาย นี่คือกลุ่มของความคิด ที่อาตมาจะเชื่อมโยงถึง ว่า เราคิดอะไร?

ตอนนี้เรามีสื่อสารที่ชื่อว่า เราคิดอะไร ทำมาครบ 20 ปีแล้ว ...กลอนเราคิดอะไร?

พวกเราทำงานจนถึงขั้น ไตรตรา นิก ซึ่งเป็นนามปากกาอาตมา เขียนหนังสือเล่มเดียวคือ ศิลปะหรืออนาจาร ตอนนั้นหนังไตตานิกมันมาก็เลยเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา เพราะไตนานิกนี่หนังกามมามอมเมาเลย เราพยายามช่วยสังคมด้วยการ ไตร่ตรองตรวจตรา (นิก คือเนกขัมมะ)

วันนี้ใครไม่รู้กายในกาย ก็ให้ไปทบทวนให้เข้าใจ แล้วยิ่งทำเวทนาในเวทนา จิตในจิตก็เป็นโลกุตระที่สูงขึ้น ทำให้เป็นสัมมัปปธาน 4 ทำให้เป็นทุกปัจจุบัน ด้วยอิทธิบาท 4 เสริมเข้าไปอีก เป็นโลกุตระเสริมเข้าไปอีก สติปัฏฐาน 4 สัมมปัปธาน 4 อิทธิบาท 4 เป็นโลกุตระ 12 ทำให้มีอินทรีย์ 5 พละ5 มีโพชฌงค์ 7 มรรค 8 ได้ครบ 36 แล้วมีผลเป็นโลกุตระ 9 ครบ โลกุตระ 46 เป็นอรหันต์จ้อย

ชีวิตใครมีชีวิตเป็นประโยชน์กับคนอื่นก็สุดยอดแล้ว ใครไม่เข้าใจไปมีกิเลสทำร้ายทำเลวสูญเสียอีกมันไม่ดีเลย อาตมาเองนำธรรมะพระพุทธเจ้ามารือฟื้นได้ขนาดนี้ก็สบายใจขึ้นเยอะ ถ้าอยากให้อาตมาสบายใจกว่านี้ทำไง?.....ก็ปฏิบัติธรรมให้บรรลุไง

ตราบในมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์... ตอนนี้ได้อรหันต์ 1 รูปแล้ว แทนที่จะเป็นผู้ชายก็เป็นผู้หญิงเสียอีกแล้วประกาศตอนตายไปแล้วเสียอีกนะ เอาซัก 9 รูปจะไปรอด จะเจริญไง ไม่มีก็ถูไถไปเท่าที่มี

เขากลัวว่าอโศกจะสูญหายหากอาตมาตายเหมือนสำนักอื่นๆที่เจ้าสำนักตายไปไม่นานก็หมดเชื้อ จริงถ้าไม่เป็นโลกุตระจะไม่ถาวร แต่ถ้าโลกุตระจะไปได้นานได้จริง อาตมาก็ต้องพิสูจน์สัจจะนี้ด้วย ถ้าเป็นสัจจะจะคงทนต่อการพิสูจน์ อาตมาไม่ใช่ตัวตัดสินสัจจะเป็นตัวตัดสิน และคุณแต่ละคนต้องตัดสินตัวเอง

อาตมาก็มองว่าพวกคุณได้เนื้อแท้ไม่ได้มาแกล้ง แล้วคุณจะแกล้งทำจนตายหรือ? จะแกล้งก็ทำไปจนตายทำให้ได้เลย และผู้ตรวจสอบของอโศกนี่มีเยอะนะ พวกคุณต้องรู้ประมาณ

ตอนนี้อาตมาขยายโลกุตรธรรม ขยายคำว่า กาย และคำว่าบุญ ซึ่งคำเหล่านี้เพี้ยนไปมากแล้ว ไม่รู้โลกุตระหรือโลกียะ ไม่รู้บาปบุญ ก็จะไม่เหลือนะศาสนาพุทธ ต้องรีบมาช่วยกอบกู้ศาสนา

ทางหมู่ใหญ่ก็ขมีขมัน อาตมาดูพลังงานทางคสช.ที่ทำงานก็ดูขมีขมันดีนะ อาตมาไม่เห็นนายกฯคนไหนที่ทำงานได้ขนาดนี้ สิ่งใดควรแก้องค์รวมเขาก็มีปฏิภาณปัญญาอยู่ ดี อาตมาเคยตั้งข้อสังเกตว่า ประยุทธ์คือการรบ อาตมาก็พาพวกเราทำธรรมาธรรมะสงคราม ทำให้พวกเรามีกรณะ ถ้าทำได้ก็เป็นอรณะ แต่อยู่ในสนามรบ แต่ถ้าตายในสนามรบก็เป็นมรณะ ตายฟรีในสนามรบไม่ได้ผล แต่ถ้าได้ผลก็เป็นอรณะ หมดบุญหมดบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ เป็นอรหันต์ก็สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว

ของเรานี่คือญาติธรรม คือพึ่งเกิด-แก่-เจ็บ-ตายกันได้ แม้ทางสายโลหิตแต่พึ่งไม่ได้ก็ไม่ใช่ญาติ แต่ถ้าแม้คนละสายโลหิตคนละเชื้อชาติแต่พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ก็คือญาติ เราช่วยกันอย่างไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เป็นส่วนรวมทำได้แต่ใครจะมีกิเลสก็จัดการของตนเอง

องค์รวมของชาวอโศกอยู่ในฐานของอนาคามี แต่ที่สันติฯมีตัวแซมอยู่เยอะ ที่อื่นๆยังเข้ม แค่น ข้น เป็นฐานอนาคามีส่วนใหญ่ เป็นเรื่องแท้

ดูกายสังขารของชาวอโศก ไม่ต้องมองถึงจิตสังขาร เพราะยังมีกิเลสเหลืออยู่บ้างแต่ควบคุมรูปกาย ถือศีล 10 ทำงานฟรี เสียภาษี 100 % อบายมุขไม่มี จะมีตกหล่นก็เรียกว่าน้อยมาก ให้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งคูณหนึ่ง จะคูณอย่างไรก็ได้แค่หนึ่ง

เรามีรูปธรรมของอาริยสงฆ์ จะเอาหลักธรรมวินัย 8 กถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มาตรวจก็ได้ พิสูจน์ได้ แม้เศรษฐกิจเราก็สาธารณโภคี ซึ่งสุดยอด แม้คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ ส่วนประชาธิปไตยนั้นสู้ไม่ได้แน่เพราะเป็นระบอบคนโกง แต่คอมมิวนิสต์ก็โกงกันเฉพาะหมู่ แต่ประชาธิปไตยนี้ช่วยกันโกงไปหมดเลย นี่ยุคนี้แม้ไม่เห็นการโกงอย่างหยาบก็โกงอย่างซับซ้อนซ่อนเชิง

รู้ไหมว่าอเมริกานี่โกงโลก ก็ดีที่มีจีนมาเป็นตัวต้านทานของโลก รัสเซียก็ถอยไปแล้ว ดีว่าจีนก็ขึ้นมา ส่วนญี่ปุ่นก็เป็นโลกียะไปไม่รอด แต่จีนขึ้นมา ในอนาคต จีนจะมีเชื้อศาสนาพุทธ เราสร้างเอาไว้เถอะ อีกหน่อยจีนจะเอาทรัพย์สินเงินทองวัตถุมาแลกโลกุตรธรรม

ตอนนี้ศีรษะอโศกก็มีเกาหลีที่มีเชื้อจีนมาแล้ว สรุปแล้วชาวอโศกเป็นตัวอย่างของอารยธรรม เป็นสังคมศิวิไลซ์ แท้จริงที่ทางโลกเขาก็ต้องการแต่เขาไม่รู้ว่าคืออย่างนี้ เราจะแพร่วิชชาศาสตร์ เราไม่เรียกวิทยาศาสตร์อย่างเขาแล้ว วิทยาศาสตร์แก้ปัญหาโลกไม่ได้ต้องใช้วิชชาศาสตร์

อุดรศึกษาของเราจะเป็น มหาวิชชารามนาวาบุญนิยม ไม่เรียกมหาวิทยาลัยเหมือนเขานะ ที่บ้านราชฯตอนนี้จิตวิญญาณจะเกิดอย่างหนึ่งสำคัญคือ ปลูกแต่ไม่เก็บ จนทรมานคนเก็บ เก็บคนเดียวก็ไม่ไหว ก็หัดขับรถไปเก็บผักได้ ใช้รถเข็นไม่ทันไม่ไหว ต้องใช้รถยนต์   เขาไปเจอว่าที่ครัวไปซื้อพริกที่ตลาดมาใช้ แต่เขาไปเห็นพริกที่สวนสีแดงมีอยู่แต่ไม่มีคนเก็บ ก็สะท้อนใจ จนพูดออกมา แสดงออกมา ตอนนี้ก็เลยเร่งรัดพัฒนาว่าจะมีคนช่วยเก็บผักเพิ่มขึ้น ในงานเจเราก็จะพยายามทำผัก แต่ก็ไม่ทันแล้วตอนนี้ วนบ.ก็พยายามเร่งรัดพัฒนากัน นี่คือการเรียนรู้อุดมศึกษา แม้แต่ส่วนของคุณจรัสเขาก็ยกให้เราดูแล (คุณจรัส น้องชายคุณพิชิต พ่อของชิดตะวัน) ชื่อสวนโดมใหญ่ ก็ขมีขมันกัน ผู้มีศีลก็ขอให้มาพัฒนาอธิศีล ให้เป็นประโยชน์ตน-ท่านให้สมบูรณ์พร้อม


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:23:08 )

570911

รายละเอียด

570911-ความรัก 10มิติ(7)วนบ.เรื่อง มิติที่ 4 สังคมนิยม

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 11 แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเมีย ...ความรักมิติที่ 1-7 เป็นแบบเทวนิยม ที่ดีขึ้นๆเจริญขึ้นๆ ถึงมิติที่ 7 แต่เป็นความรักแบบโลกียะ เป็นเทวนิยม

เป็นพุทธเริ่มที่มิติที่ 8 เราก็จะได้เอามาขยายความให้สมบูรณ์ เราก็เรียนรู้มาตั้งแต่ 1-7 สมบูรณ์ แต่ไม่ใช่โลกีย์ เป็นโลกุตระตั้งแต่ 1 มาเลย เมื่อเราได้ศึกษาโลกุตระก็จะได้ลดละหน่ายคลายลงไป

โลกียะไม่ได้ละล้างเหตุ เขาก็รู้ว่าต้องไล่ลดละไป เป็นความเข้าใจองค์รวม กัลป์ยาณธรรม แต่ที่ต่างคือพุทธนี่เป็นอาริยะโลกุตระ ต้องรู้จักวิธี เป็นศีล สมาธิ ปัญญา  ซึ่งต่างจาก ศีล สมาธิ ปัญญาของศาสนาอื่น เพราะของพุทธเรียนรู้ปรมัตถ์ตั้งแต่เริ่มต้น

ตั้งแต่โลกุตระ 37 เรารู้ได้ว่าทำให้เกิดอาริยะต้องรู้จักจิต ตั้งแต่ศีล 5 เป็นเบื้องต้นเลย พระพุทธเจ้าระบุไว้ชัด ในสติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 มาเลย

ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ก็เข้าถึงจิต ไม่ใช่ว่าปฏิบัติศีลแต่ไม่เข้าถึงจิต ตามที่สอนกันในวงการศาสนาพุทธทั่วไป

ศีล 5 มีความหมายตั้งแต่เบื้องต้น ไม่ใช่ว่าพรวดพราดไปไม่มีเรื่องกามเลย แต่ให้ปฏิบัติไปตามลำดับ เรามาไล่เรียงอ่านไปตามลำดับในความรัก 10 มิติ...ครั้งที่แล้วเราอ่านมาถึงมิติที่ 5 แต่เล่มเก่ามาถึงมิติที่ 4 อาตมาก็จะอ่านของเก่าก่อน

 

มิติที่ 4 ...ตอนนี้ก็ตัดขอบเขตแล้วตั้งแต่เชื้อๆแห่งวงศาคณาญาติ เป็นเชื้อแห่งคนตระกูลไหน ก็ถือว่าญาติ ทีนี้มิติที่ 4 ตัดรอบมาอีกรอบ ไม่ใช่จ่ายความรักแค่ในผัวเมีย ลูก ญาติ เท่านั้น แต่กว้างไปอีก ไปสู่ผู้ไม่ใช่ญาติ แต่ก็ยังมีกรอบขอบเขต เป็นเพื่อนบ้าน เป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ สูงสุดในมิติที่ 4 ก็ประมาณ จังหวัด ก็ต้องลงทุนมากขึ้น มีสมรรถนะมากขึ้น จึงสามารถหาวัตถุสมบัติได้มาก จะได้เอาไปจ่ายแจกได้มากขึ้น ไปช่วยเหลือข้างนอกได้กว้างขึ้น ไม่ใช่หมายถึงว่าข้างในไม่ช่วยนะแต่ช่วยในไปหานอก เรียกว่าเป็นสังคมนิยม หรือชุมชนนิยม เราก็ถ้าเรี่ยวแรงเราไม่มีก็ไม่ต้อง แต่ทุกข์หนักกว่าเก่า เพราะต้องใช้เรี่ยวแรงทุนรอนอุตสาหะมากขึ้น มีความรักใหญ่ขึ้นแผ่กระจายมากขึ้น ก็ก้อนโตขึ้น ความทุกข์ก็โตขึ้นด้วย ที่ว่าความทุกข์คือความหนัก แต่ไม่ใช่หนักใจ แต่หนักกาย เราจะต้องรู้ภาคของใจ กับภาคของกาย

คนที่ยอมทุกข์แต่เผื่อแผ่แรงกายแรงปัญญาทรัพย์ให้แก่คนอื่นได้เราก็มีค่าประโยชน์ต่อโลก จะยิ่งคุณค่ากว้างขึ้นอีก มากกว่ามิติที่ต่ำกว่า จิตวิญญาณเรามีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ไม่ได้ทำเพื่อให้ได้อะไรกลับคืนมา ถ้าเรายังช่วยตนเองไม่ได้ก็ช่วยตนเองช่วยหมู่กลุ่มตนเองให้ได้ก่อน

พวกเราอโศกนี่เป็นญาติธรรม คำว่าสังคมนิยมเรารวมเอาความเป็นญาติไว้แล้ว อาตมานิยามไว้แล้ว ญาติหมายความว่า...เราพึ่งพาอาศัยกันได้ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ ไม่ใช่ว่าญาติหมายถึงสายเลือดสายโลหิตที่ต่อโยงมา ซึ่งสายเลือดอย่างนั้นก็ใช่อยู่แต่ไม่ต้องไปคิดมันก็เป็นอยู่แล้วไม่ต้องไปเรียนมันก็เป็นของมัน แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มีสำนึก

ถ้าพ่อแม่คลอดลูกออกมา เขาก็ไม่มีการช่วยเลี้ยงดู ลูกก็ต้องพึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายจากพ่อแม่แต่พ่อแม่ไม่ได้ให้พึ่งพาเลย ให้โตขึ้นก็ไม่ได้ทำหน้าที่ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ญาติ เป็นแต่เพียงคลอดออกมาเท่านั้น แบบนี้สู้เดรัจฉานไม่ได้เลย มันอาจไม่สมบูรณ์เท่าคนแต่คนนี่เป็นได้ แล้วควรจะรู้จักด้วยปัญญาว่านี่คือความหมายของคำว่า ญาติ

เรารู้ว่าญาติคืออะไรแล้ว เมื่อเราจะเผื่อแผ่ให้กว้างกว่าญาติ ก็ทำได้ แต่ของอโศกนั้นเหนือกว่านั้น เพราะเป็นสังคมนิยมแบบแก่น แน่นแล้วก็แผ่เกื้อกว้างจากญาติ เพราะแก่นแกนเราพึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้แล้วเป็นปึกแผ่นสร้างสรร มีวัฒนธรรรม ถึงสาธารณโภคี

มีองค์รวมที่ดูได้ ชุมชนอโศกมีเงินเท่าไหร มีวัตถุเท่าไหร่ พออาศัยใช้สอยประจำ ตั้งแต่วัตถุที่กินใช้แต่ละวัน ทั้งอุปโภค บริโภค เราพร้อมไหม ครบไหม เราพึ่งพากันได้ พวกสัตว์มันก็ไม่อาศัยสะสม อย่างดีมันก็มีรังอยู่ มันไม่เกี่ยวกับ เครื่องนุ่งห่ม ไม่เกี่ยวกับยารักษาโรค ไม่เกี่ยวกับบริขาร ทุกวันนี้บริขารมันบานปลาย เป็นปัจจัยที่ 5 ,6,7 ,8 ไปแล้ว

ถ้าไม่มีก็ไม่สร้างสรรค์ ต้องใช้เครื่องมือ เป็นโลกที่บานปลายขยายไปแล้ว แต่ของชาวอโศก มันเป็นความเจริญมาเป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่เกิดแล้วมีแล้วชัด

ความรักมิติที่ 4 นี้ก็ยังไม่กว้างไประดับชาติ แต่ก็กระจายออกจากวงหมู่ญาติพี่น้องแล้ว แผ่ความรักสู่มวลชน ระดับตำบล อำเภอ หรือจังหวัดแล้ว เป็นความรักที่มีภาระมากขึ้น มีคุณค่าสูงขึ้น เพราะต้องลดความเห็นแก่ตัวของเรา เพื่อขยายกว้างสู่มวลมนุษยชาติ

ใครก็ตามเห็นแก่ความสุขผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นที่นอกไปจากญาติ ก็นับว่าเป็นความรักดีงามกว้างขึ้นสูงขึ้น จะแผ่ขยายออกไปได้จริงเท่าไหรก็ยิ่งเป็นความรักที่มีคุณประโยชน์สูงค่ามากขึ้นเท่านั้น นี่คือ ชุมชนนิยม หรือสังคมนิยม

อย่างพวกเราเกื้อกว้างรอบข้างมีความซ้อน คือข้างนอกเขาเข้ามาให้เราช่วยเหลือ เช่นเขามารับจ้างเรา ในสิ่งที่เราไม่ทำหรือทำไม่ได้ก็ให้เขาทำ เป็นการอาศัยเขาก็อาศัยเลี้ยงชีพ คือการเผื่อแผ่กว้างขึ้น หรือจากอำเภอตำบลมาขอ โดยเราไม่ได้ออกไป แต่เขาเข้ามาเอง โดยเราไม่ได้อาศัยเพื่อแลกอามิส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันนี้สำคัญ

ถ้าเรามีแนวคิดว่าทำงานเชื่อมคนอื่น แล้วเราจะได้ไปดูดเอาผลประโยชน์จากเขา บางทีไม่เป็นรูปธรรม แต่เป็นนามธรรมซ้อนๆ เห็นให้ชัดว่าเรามีน้ำใจแผ่ไป ก็ไม่ได้หมายความตื้นๆว่า เราจะได้มีลูกค้ามาหาเยอะๆ ดีไม่ดีก็ได้ข่าวคราวหลวงปู่พิม เขาก็จับผิดว่าเป็นวิธีการหาเล่หาทางให้คนมาเป็นลูกค้าหรือไม่ อย่างนั้นมันไม่ใช่ ไม่ใช่เราเกื้อกูลเผื่อแผ่เขานะ

คนนึกว่าเขาจะมาได้อะไรจากหลวงปู่พิม ได้ความศรัทธาเลื่อมใส่ เราเชื่อถือนับถือ หรือเราจะได้อะไรจากผู้ที่เราให้ คนพวกนี้ก็ยากที่เขาจะคิดออก เขาก็ได้แต่เรื่องวิมาน ปั้นเอาในจิต หรือว่าถ้าไปช่วยวัดนี้แล้วจะได้อะไรกลับมา

ที่เราไปช่วยหมู่บ้านอื่น เพราะเรามีน้ำใจ มีความรู้ แต่ให้ความรู้ยังยาก เราก็ให้วัตถุก่อน เช่นเขาทำงานกับเราในนี้ก็ได้รายได้ แม้บางคนบอกว่าได้รายได้น้อย แต่เขาได้รู้ได้เห็นได้ศึกษาฝึกฝนอบรม เขาก็ได้สัมผัส วิธีการ ได้วัฒนธรรม เขาได้ฝึกฝนนะ ตอนนี้เข้ามาชักเยอะขึ้นนะ ก็พยายามมีศิลปะในการเตือนในการแก้ไข ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่ได้ให้เขา เพราะอัตราเงินเดือนเราก็ให้ตามกฏหมายกำหนด แต่ว่าถ้าไม่ได้ให้ธรรมะ เขาก็จะไม่ได้อะไรจากเรา แม้ได้วัตถุ แต่ไม่ใช่ของหลัก หลักของเราคือให้เขาได้ศึกษาฝึกฝนเพิ่มขึ้น สังเกตได้ว่าเขาจะสำรวมมากกว่าอยู่บ้านเขา เพราะสนามแม่เหล็กที่นี่มีผล เขาไม่กล้าทำเละเทะเต็มที่ การที่เขามาอยู่ที่นี่ก็เจริญขึ้น ถ้าเราปล่อยปละละเลยก็ไม่ได้ให้เขานะ ไม่ได้ทำให้เขาเจริญ

ต้องเข้าใจว่าเราทำงานอยู่ในสังคม โลกเขาถือว่าวัตถุเป็นใหญ่ ทางจิตวิญญาณไม่คำนึงถึง มีบ้างแต่ไม่ลึกซึ้ง เราควรต้องรู้ว่าเรามีทั้งสองด้าน และเราเน้นความเจริญทางจิตใจมากกว่าวัตถุ

คนที่เขามาทำที่นี่ หรือเราไปทำงานข้างนอก เราก็ต้องเป็นคนให้คุณค่าประโยชน์ไม่ใช่ว่าให้เขาเสียประโยชน์ที่ควรได้ ไม่ใช่ว่าทางวัตถุแต่เป็นเรื่องจิตใจ

ความรักนี่น่าจะตีความเป็นน้ำใจ ...เป็นเมตตาก็น่าจะดีกว่า เพราะความรักนี้ที่หมายถึงทางเพศทางราคะ มันเป็นความรักที่ผิด แต่ความรักคือมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือด้วยน้ำใจบริสุทธิ์ ให้เขาเจริญ

มาอีกมิติหนึ่ง มิติที่ 5 ....ความรักเพื่อชาติ

กว้างกว่าสังคมมิตรสหาย ไม่ใช่แค่ระดับจังหวัด แต่กว้างกว่านั้น แต่ตอนนี้เราก็ช่วยชาติอยู่ และเราก็ทำช่วยในระดับที่อยู่ใกล้ๆก่อน ซึ่งแม้เราไม่มีวัตถุ เราก็ให้ความรู้ความสามารถ เท่าที่ได้ แต่ก็ไม่ได้มากหรอก เพราะแม้สถานศึกษาของเรา เราก็เน้นความรู้เทคนิคเพื่อรับใช้ผู้อื่น เราเองยังไม่เก่ง

เรามีนำเรียนระดับแค่มัธยม แต่ถ้าถึงอุดมศึกษาจะไปช่วยเขาเป็นเรื่องราวมากขึ้น ก็มีวนบ.นี่แหละก็ยังต้องรวมกันให้ดีก่อน ตอนนี้ บวรก็ยังไม่เนียนแน่น ให้ครบดีๆ จะเป็นสถาบันการศึกษาที่สมบูรณ์ เป็นอุดมศึกษา เป็นเรื่องจริงยิ่งกว่า ขนาดนร.มัธยมเราก็ทำจริง แต่พวกเรานี่วนบ.ก็ต้องเหมือนผู้ใหญ่ทำแล้ว ไม่ใช่เด็ก เรื่องจริงไม่ใช่ห้องทดลองศึกษาเล็กๆน้อยๆ แต่เราทำจริง ฐานงานเราก็มี

เช่นงานของเราในนี้ ขาดคนเก็บผัก พวกเราวนบ.ก็ทำให้เต็มที่ คนขาดที่โรงปุ๋ยหรือที่อื่นก็ต้องรู้ว่าในสังคมเราทำให้ควบแน่น ทำให้สร้างสรรค์ ให้เป็นตัวจักร กล ที่แข็งแรงก็จะเกิดผลประโยชน์สิ่งสร้างสรร

ความรู้ปริยัติ เราก็มีอยู่ แต่เราเน้น เป็นงาน มากและเราเน้นศีลธรรม 40-35-25 ต้องเข้าใจหลักให้ชัด

ความรักมิติที่ 5 คือความรักอุดมการณ์เพื่อชาติเพื่อประเทศ หากผู้ใดมีความรู้สึกนึกคิดอุดมการณ์ต้องการช่วยเหลือให้กว้างกว่ามิติที่ 4 ให้ไปสู่ผู้คนในชาติ  คิดเห็นแก่คนทั้งชาติทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่อุดมการณ์ หรือไม่ใช่แค่ความโก้เก๋ หาเสียงให้แก่ตน แต่ต้องเป็นความจริงของจิตที่รู้สึกรักและปรารถนาแท้ มีน้ำหนักของน้ำใจให้มากขึ้น เพื่อชาติ เป็นชาตินิยมหรือรัฐนิยม

ชาตินิยมก็ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ชาติเพื่อตัวกูของกู แต่เผื่อแผ่เพื่อคนทั้งชาติ คำว่า ชาตินิยม ที่เป็นความเห็นแก่ตัว เช่นจะต้องได้รายได้เข้าสู่ประเทศ ให้รวย ประเทศอื่นไม่เห็นใจเลย โกงชาติอื่นมาให้แก่ชาติตน หรือเห็นแต่แก่ตนเองไม่คิดถึงคนอื่น จะบอกว่าอุดหนุนจุนเจือพวกข้างในก่อน เพราะข้างในเรายังไม่แข็ง

ของเราช่วยตนให้รอดก่อนแล้วไปช่วยคนอื่นเป็นลำดับอยู่แล้ว เผื่อแผ่ให้เต็มชาติ เต็มรัฐ และขึ้นอยู่กับสมรรถนะความเป็นไปได้ที่จะทำ ไม่ใช่แค่ความคิดฝันเท่านั้น เพราะคนมีสิทธิ์คิดได้แต่ทำได้จริงตามที่คิดไหม ความรักมิตินี้ต้องเป็นความจริงด้วย

ที่เราเรียกว่าความรักก็คืออารมณ์ภาวะในจิตของคนนั้นจริง แล้วสามารถทำได้จริงเลย Practicable ไม่ใช่ว่าแค่คิดฝัน เช่นความจริงของนายก.มีแค่ความรักมิติที่ 2 หรือ 3 แต่ไปคิดว่าตนมีความรักระดับชาตินิยมหรือรัฐนิยม ก็หาเสียงให้แก่ตนว่าตนจะทำเพื่อชาติเพื่อประเทศ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ คนแบบนี้มีเต็มไปหมดเลย ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ 

คนที่มีหน้าที่ เป็นข้าราชการหรือนักการเมืองต้องทำงานเพื่อชาติ มิติที่ 5 นี้เป็นความรักเพื่อนักการเมืองแท้ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาทำไม่ได้ไม่ใช่เลย อย่างนี้ไม่ได้เข่าข่ายผู้มีความรักมิติที่ 5 เพราะภาวะความจริงไม่ถึงขีดคั่น

ไม่เว้นแม่แต่เอกชน นักธุรกิจ ไม่ได้รับราชการหรือไม่ได้เป็นนักการเมืองก็ตาม คนเหล่านี้ก็ควรจะทำเพื่อสังคม เพื่อชาติ เพื่อมวลมนุษยชาติ นั่นคือคุณค่าของมนุษยชาติ แต่ไม่ค่อยย้ำไม่ค่อยศึกษาไม่ได้เตือนตน แต่ถ้าได้ศึกษามีสำนึกฝึกตนจริง นึกดูว่าสังคมมนุษยชาติจะเลวลงได้อย่างไร ซึ่งถ้าจับเข่าคุยกันเขาก็เข้าใจ ลึกๆเขารู้ว่าอะไรดีไม่ดี แต่ว่ากิเลสมันเก่งทำให้เขาไม่รู้ได้ หรือหลงได้

มันไม่เกิดสภาพที่ทำได้ตามที่มีปัญญา แต่ชาวอโศกนี่ทำได้ แม้อัตราก้าวหน้าจะไม่ชัดพรวดพราด แต่พัฒนา การศึกษาพวกเราจะพาให้เจริญได้ ใครสามารถรู้สัจจะของความรักที่จริงได้ ที่เป็นคุณค่าประโยชน์ ตน (อัตตัตถะ) ประโยชน์ผู้อื่น (ปรัตถะ) ที่เป็นทั้งสองอย่างคือ อุภยถะ หรือเป็นประโยชน์เพื่อโลกนี้สู่โลกหน้า(ทิฏฐธัมมิกัคตถะ สู่สัมปรายิกัตถะ)

 

ต่อไปเป็นการถามตอบประเด็นปัญหา?

  • เวลาน้องทำผิด แล้วเราดุว่าน้อง ถือว่าได้ให้ไหม?

ตอบ...ถือว่าให้ แต่ต้องมีศิลปะ เพราะเราจะว่ากิเลสเขา เขาก็จะเกิดความอาย เราก็ต้องให้เขามีความรู้สึกเข้าใจว่าเราปรารถนาดี ให้เขาควรเข้าใจว่า สิ่งนี้ไม่ดีควรปรับปรุง เป็นสิ่งดี

  • อย่างเรื่องคู่นี่นะ พอคนนี้มีคู่คนนี้ เกิดทุกข์น้ำผึ้งขมเราก็เข็ด แต่ว่าใจเราก็ไปคิดอีกว่า คนไหนหนอที่จะทำให้เราสุขกว่าเก่า นี่คือความคิดที่ผิด ถ้าไปเจออีกก็เสพหนักตกนรกลึกกว่าเดิมอีก คนทางโลกเขาเป็นเช่นนี้ ว่าคนไหนจะดีกว่านี้อีก นี่คือความอวิชชา คือความโง่ของคนทั่วไป แทนที่จะเข็ดหลาบว่าเรื่องคู่มันไม่ดีมันทุกข์แทนที่จะเห็นทุกข์ภัย แต่กลับเห็นว่าคู่ใหม่จะให้รสให้กามให้โลกธรรมมากกว่าเก่า ก็เลยอวิชชาไปตลอดกาลนาน คนเราไม่ศึกษาสัจธรรมจะไม่รู้พิษภัยสิ่งเหล่านี้เลย
  • คุณเรือนแก้วว่ารู้สึกอบอุ่นที่มีคนมาช่วยเก็บผัก ...พ่อครูว่านี่คือ ปรากฏการณ์วิทยา กรณีนี้เป็นความรักมิติที่ 4 ชัดๆ อย่างเรือนแก้วมาคลอดลูกคือมะขาม ที่บ้านราชฯ
    โดยพรตะวันทำคลอดให้ และมะขามก็เป็นเด็กดี และเรือนแก้วก็ได้รับผลดีจริง ก็เป็นปรากฏการณ์วิทยา ถ้าเรื่องเก็บผักเจริญขึ้น มีน้ำใจมีระบบ ไม่ขาดแคลนเป็นวงจรที่สำเร็จ งานคล่องตัว ดี ง่าย มีประสิทธิภาพสูง จะเป็นสิ่งจริงยืนยันผลการศึกษา
  • เรือนแก้วว่า...ช่วงที่เพื่อนไปเรียนและไปทำนา เพื่อนก็บอกว่าให้ไปเก็บผักเหมือนเดิมก็ได้ เรียนเสร็จ แต่ก็มีผู้บอกว่าให้หาคนช่วย แต่ก็ได้ฟ้าฝากดี น้องดั่งเดือน เป็นต้น ไม่เดียวดาย ใช้กุสโลบายว่าไปหาเพื่อนเอาข้างหน้า
  • ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เพราะเป็นพฤติกรรมจริงทางจิตและเป็นรูปธรรม มี Practicable
  • ของทางญาติสายโลหิตเขาต้องช่วยเหลือกันตามหน้าที่ แต่ของเรารวมเข้ามาเป็นญาติธรรม มีสมาชิกมาก ก็พยายายามให้ทั่วถึง ก็อาจมีบกพร่องบ้าง แต่เป็นการทำด้วยจิตวิญญาณ...มันมีจริงในเรื่องวิบาก มีทั้งวิบากปัจจุบันและอดีต ส่วนอดีตไม่ต้องพูดถึง แต่ผู้ที่ได้รับวิบากดีได้รับการช่วยเหลือดีก็เป็นกุศล แต่ว่าถ้าเราเข้ามาแล้วเราไม่เอาถ่านไม่ได้ทำให้คนอื่นในชุมชนเห็นว่าน่าช่วยเหลือก็เป็นเพราะคุณแน่ แต่ถ้าคุณมีน้ำใจช่วยเหลือทำงานได้ดี แต่ก็ไม่มีคนช่วยเหลือก็โยนให้เป็นวิบากเก่าเราแน่ๆ แต่ถ้าไม่มีวิบากเก่าจริง แต่เราทำใหม่ให้ดี ให้พิสูจน์เลยว่า ถ้ามาอยู่แล้วเป็นหมาหัวเน่า คนไม่ดูแลจะเห็นเลยต้องศึกษาดีๆ กรรมทุกกรรมสั่งสมเป็นคะแนนของเราไม่มีเสียเลย
  •  


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:25:19 )

570912

รายละเอียด

570912-สรรค่าสร้างคน(13)วนบ.บุญนิยมที่สมบูรณ์ 11 ประการ ตอน 2

พ่อครูว่า วันนี้เราจะเรียนสรรค่าสร้างคน เรามาสรรค่าให้รู้คุณ รู้โทษภัย เราได้สาธยายเรื่องลักษณะบุญนิยมที่สมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะคือ เป็นความจริงแท้

ลักษณะของบุญนิยมที่สมบูรณ์ 11 ประการ

1.ทวนกระแส(คนละทิศกันกับของทุนนิยม)

2.ต้องเข้าเขตโลกุตระ

3.ทำได้ยาก(ยกเว้นผู้มีบารมีจริง) แม้ยากก็ต้องทำ

4.เป็นไปได้(ไม่ใช่ฝันเฟื่อง)

5.เป็นสัจธรรม(ของจริงของแท้สำหรับมนุษย์และสังคม)

สมมุติก็เป็นความจริง ปรมัตถ์ก็เป็นความจริง แต่สมมุติก็เป็นระดับกัลป์ยาณชน ซึ่งเราก็ต้องมีกัลยาณชน แต่มันจะยากนิดหนึ่งที่เราจะทำสอดคล้องกับเขา เพราะว่า เขาบอกว่าไปรวยได้ดี แต่ของเราไม่แย่งไม่ไปรวยกับเขา แต่ว่าถ้า เราให้เขา เขาก็เอา ก็สอดคล้อง อยู่กันได้ มันไปด้วยกันมาด้วยกันอย่างดี สอดคล้อง สมคล้อย เราจะรู้แล้วเราก็จะเป็นกัลยาณชนกับเขาได้เช่นกัน

ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นของจริงเนื้อแท้ที่สูงส่งกว่า ซึ่งแม้เทวดาสมมุติเทพก็เป็นของหลอก ซึ่งสำนักไหนๆเขาก็ไม่บอกหรอกว่า สุขเป็นของหลอกของเท็จ อาตมาแปลว่าคือสุขขัลลิกะ ว่าคือสุขหลอก เขาก็ว่าไปแปลแยกอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนคำว่า season จะแปลแยกไม่ได้ หรือคำว่า ตัณหา ถ้าแปลแบบคำๆ       ก็แปลว่า ตัน คือไม่มีทางไป กับหา ก็ไปหาว่าเป็นการแปลของอาตมา ที่จริงคนอื่นที่วัดมหาธาตุเขาแปลไว้

แต่พวกเราได้ฟังก็รู้ว่าจริงในสภาวะ อะไรเราล้างได้เป็นนิจจัง ทุวัง สัสตัง มันก็ไม่มีสุขเท็จในใจเราแล้ว เป็นของหลอก เป็นปรมัตถสัจจะที่ไม่ใช่รู้ได้ง่าย แม้แค่จางคลายเราก็จะรู้ว่ามันจาง แต่กอ่นมันสุขจี๋จ๋าจัดจ้าน แต่ตอนนี้มันก็ไม่แรง หรือมันนานๆทีโผล่ ก็รู้ จนมันสูญสิ้นไปเลย สิ้นอาการเคลื่อนไหว ไม่มีแล้วอาการไหว อ่านออก ทางข้างนอกมีไหม? กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เราอ่านออกถึงมโนวิญญัติ เป็นอาการไหวในใจ ว่าแรงหรือเบา จนลหุตาก็รู้ว่าเบา จนมันไม่มี ที่สุดมันว่าง เป็นอากาสธาตุ หรือเราจะอาศัยหลุตา มันมีเบาๆนิดๆ ก็อาศัยได้

เช่นคนบรรลุอรหันต์แล้วไม่มีแล้ว เราก็อนุโลมได้ใช้อาศัย แล้วจะอาศัยได้ขนาดไหน ถ้ามากไปมันจะลามเราก็รู้ อย่างอาตมาจะปรุงมากขนาดไหน ถ้าปรุงเลยเถิดก็ไม่ไหว ดึงไม่กลับจะยุ่งไปใหญ่ อาตมาเคยสมมุติ เหมือนช่วยคนตกบ่อ ต้องมีอัตตัญญุตาว่าตนจะช่วยนี่แรงดึง ฐาน ทุน เราพอไหมจะไปช่วยเขา น้ำหนักเขาดึงเราหัวทิ่มบ่อไหมจะรู้ประมาณ สัปปุริสธรรม

เราเรียนสัจธรรมจะรู้ว่า ผู้เป็นอรหันต์อยู่เหนือโลกจะรู้ความจริงสมมุติกับเขาอย่างกัลยาณชน และรู้อย่างโลกุตระด้วย รู้จิตที่เป็นเทวดาสูงขึ้น จนไม่มีสุขหรือทุกข์ เป็นวิสุทธิเทพ สั่งสมอภิสังขารเต็มที่ก็ไม่หวั่นไหวต่อผัสสะที่มากระทบ

สมมุตินี่เป็นธรรมชาติ หากคล่องไม่มีอะไรสะดุดมันก็สบาย อยู่ในสมดุล เราก็เข้าใจ เราก็พยายามรักษาสมดุล ให้มันหมุนวนอยู่ แต่หมุนอย่างไม่มีอะไรสะดุด มันจึงดี เราก็รักษาความดีแก่โลก ยิ่งเป็นปรมัตถสัจจะยิ่งสูง ไม่หมุนอีกแล้ว ไม่มีอะไรเปรียบได้ คนนั้นจะรู้ของจริงด้วยตนเอง คนอื่นรู้แทนไม่ได้

 

6. “กำไรของชาวบุญนิยม หรือจะเรียก รายได้ หรือ ผลประโยชน์ สำหรับตนก็คือ สิ่งที่ได้ให้ออกไป คุณค่าที่ได้สละจริง เพื่อผู้อื่น เพื่อมวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย จึงเรียกว่า บุญ คือการชำระสละออก  จนไม่มีตัวตน ต้องเข้าใจสภาวะของตนเอง ว่าไม่มีตัวตนคืออย่างไร? ท่านพุทธทาสว่า อย่าเอาตัวตนเข้าไปรับสิ แล้วตัวตนเป็นอย่างไร? ก็แสดงว่าเรามีตัวตนแต่เราไม่เอาไปรับ เราขยักไว้ แต่ไม่ใช่ เราไม่มีตัวตนหรอกไม่มีรับหรือไม่รับมันก็ว่างผ่านไปเฉย นี่แสดงโวหารภาษาสื่อแต่ความจริงของใครแต่ละคนก็แล้วแต่บุคคล

มีแต่ให้คนอื่น ตนเองอยู่อย่าง ปรปฏิพัทธาเม ชีวิกา มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น แต่ว่ามันซ้อนกลับที่พพจ.ว่าให้พึ่งตนเอง ...แต่ความจริงแล้วเราพึ่งได้ เพราะผู้ที่จะพึ่งเขาก็รู้ว่าเราเป็นนาบุญ เป็นบุคคลที่ควรบูชา ควรได้รับของทาน ควรได้รับการให้ แล้วเราจะรู้ว่าคนนี้แหละควรให้ สิ่งที่ท่านจะเอาเป็นปัจจัยสำหรับท่านท่านก็เอาเป็นเหตุปัจจัยงอกไปให้มวลมนุษยชาติ

ตอนนี้ที่ศีรษะอโศกกำลังทำจุลินทรีย์ชั้นยอด 1 แคปซูล ต่อ 1 ไร่ ถ้าทำเสร็จแล้วโลกแตกเลย เขามั่นใจนะ ตอนนี้กำลังพิสูจน์ยืนยันอยู่ ถ้าได้อย่างนี้จริง คุณภาพทั้งเบาทั้งสะดวดวิเศษเลย นา 1 ไร่ต่อ 1 แคปซูล

 

เรื่องการได้หรือไม่ได้และเรื่องตัวตนนี่แหละเป็นเรื่องสุดยอด แล้วเราเป็นไปได้จริง คนเราถ้าได้ถ้ามีบ้างมันก็จะเชื่อ ยืนยันกับตนเองได้ ไม่ได้เชื่อตามกามลามสูตร ไม่ได้เชื่อใคร

การจะเป็นคนมีคุณธรรม คุณวิเศษนี้จึงเป็นคนเหนือโลก เป็นเรื่องสุดวิเศษแท้ เราพิสูจน์กันเข้าไป และพยายามพัฒนาตนเอง ปรับปรุงตัวพวกเรา ตอนนี้มีบทพิสูจน์บทใหญ่ งานเจ

ตอนนี้ก็พยายามทำ หลายคนก็ไม่อยากกว้าง แต่หลายคนก็จะให้กว้าง หลายคนก็ว่าเราเองยังไม่พร้อม เป็นธรรมชาติของการถ่วงกัน อาตมารู้ว่าพวกเราจริงใจ แต่ทิฏฐิจริตก็คนละข้าง ขัดเกลากัน สมมุติว่าพวกเราร้อยคนก็โหวตกันมา น้ำหนักไหนมากกว่าก็ทำ จะไม่ให้ขัดกันไม่ได้หรอก พพจ.ท่านก็จัดแกนศรัทธา กับแกนปัญญา สองแกน เปลี่ยนไม่ได้หรอก ต้องรู้ว่าเราอยู่แกนไหน หากเราแกนศรัทธาก็ต้องศึกษาปัญญาแต่สายปัญญาก็ต้องถ่วงมาทางศรัทธาต้องทั้งถ่วงและแถมด้วย ทั้งเกื้อกูลและขัดเกลากันด้วย

ต่างคนต่างทำก็ไม่ได้ลาภยศสรรเสริญทั้งคู่ เป็นธรรมาธรรมะสงคราม สงครามของอัตตา สนุกกว่าหนังจีนเยอะ  จีนสายปัญญานะ ไปไกลลิบเลย เก่งเกินกว่าที่เราจะคิด

เดี๋ยววันที่ 14-16 เราจะมีการมา Swot กันระหว่าง ชาวชุมชนกับ วนบ. หาข้อดีข้อด้อยกัน ให้มันดู เอามาผสมผสานกัน ไม่งั้นก็เข้ากันไม่ได้ ไม่เกิดประโยชน์ ต้องให้ให้เกิดศิลปะ 

ในศิลปะระดับป.เอก อย่างถวัลย์ ดัชนี เขาก็ว่าระดับป.เอกนั้นถึงขั้นอภิธรรม คำว่าอภิธรรมนี่ถึงขึ้นอรูป ลึกซึ้ง ที่จริงเราเรียนอยู่นี่แหละ เราเรียนศิลปะมากกว่าเขา ถึงระดับป.เอกเลยนะ แต่คุณถวัลย์เขาก็ไม่คุยตัวเลยว่าตนจบป.เอก พูดได้ 4 ภาษาเลยนะ

คำว่าบุญ นี่เป็นเครื่องมืออาวุธชนิดหนึ่งสำหรับฟาดฟันกิเลส พอหมดกิเลสแล้วบุญก็ตายไปด้วย บาปตัวไหนจบ บุญก็จบ หมดงานแล้ว มันเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลย แต่คนไม่รู้เอามาใช้ เพราะบุญเป็นสิ่งมีค่ามากกว่ากุศลก็เลยเอาบุญมาล่อกันมาค้ากัน ทำให้ภาษาเสื่อมไป สุดยอดแห่งทุนของชาวบุญนิยมคือสูญ และไม่มีออกดอก ไม่มีปันผล มีรายได้เป็นสูญ กำไรก็เป็นศูนย์ รายได้คือได้เสียสละให้แก่มวลมนุษย์ ผู้มีบุญเต็มคือผู้มีแต่ให้

 

7.สร้างคนให้ประสพผลสำเร็จเป็นหลัก

ข้อนี้ยาก ....ยิ่งกว่าเข็นเขาขึ้นครก ยิ่งกว่าเป่าควายให้ปี่ฟัง แต่ยากอย่างไรเราก็ต้องทำ แล้วเราทำเป็นผลด้วย ก็ทำให้อาตมามีกำลังใจทำต่อ ก็จะต่ออายุไปอีก ถ้าไม่ได้ผลจะต่ออายุไปทำไม แต่ถ้าต่อไปแล้วมีผลก็ต่อแน่ ไม่ได้ผลมากก็ได้น้อยก็เอา เป็นรูปเป็นร่างได้

โลกเขาก็สร้าง แต่สร้างกัลยาณชน ซึ่งไม่เที่ยง หรือกดข่มไว้ มีแบบหนีเข้าป่าไป ก็เลยยาก เขาบังคับเยอะใช้อาณา อาชญา แต่ศาสนาพุทธไม่ใช้อาชญา ไม่บังคับ แต่ให้ปัญญา เห็นด้วยมาเอาไม่เห็นด้วยไม่ต้องมาเอาไม่ว่ากัน อิสรเสรีภาพ

 

8.ต้องศึกษาฝึกฝนกันจนจิตเกิดจิตเป็นบรรลุธรรมตามลำดับจึงถือว่าประสพผลสำเร็จ ต้องดูที่จิต ว่าจิตตาย จิตเกิด อย่างไร 

วิญญาณนั้นเน้นที่มีผัสสะกับภายนอก แต่ถ้าเข้าไปแต่ภายในก็เป็นจิต แต่ถ้าไปลึกๆก็เป็นมโน เขามีคำว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ไม่มีคำว่า จิตกรรม จิตเป็นเพียงคำกล่าวกลางๆ แต่ว่ามีคำว่า จิตสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร เป็นได้

อาศัยต่างจากอาลัย คำว่าอาลัยคือยังมีเยื่ออยู่ไม่ขาด แต่อาศัยนั้นไม่ได้ติดยึดอยู่ ถ้ามีอาลัยมากๆก็จะบรรลัยหรือวิลัย แปลว่าฉิบหายเหมือนกัน

จะบรรลุธรรมต้องรู้จิตเกิด จิตเป็น จิตตาย เราต้องรู้ว่าทำอย่างไรให้จิตเป็นกุศล ซึ่งกุศลไม่มีเขตจบไม่มีสูญด้วย กุศลนี่แม้เราปรินิพพานมันก็อยู่แต่ไม่มีตัวตนของเราแล้ว มันก็ยังอยู่กุศล ไม่หมด ไม่สิ้น ทำไปไม่สันโดษในกุศล ทำมากก็ได้อาศัยมาก

 

9.ความร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ไม่อยู่ที่ส่วนบุคคลแต่อยู่ที่ส่วนกลาง

อันนี้พิสูจน์ได้ ว่าส่วนกลางจะอุดมสมบูรณ์ เพราะลัทธิพุทธจะขยันสร้างสรรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะสมรรถนะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นคนไม่เอา ทำไมไม่รวย สร้างขึ้นมาๆมันก็กองรวมไว้ เราไม่ทำลายไม่ผลาญด้วย แม้เราจะใช้สอยก็ให้คนไม่ผลาญ ให้คนทำประโยชน์ มีภูมิปัญญารู้สร้าง แต่ตนกินน้อยใช้น้อย ก็ยิ่งเหลือมารวมกับส่วนกลาง ตนเองก็ทำได้มากขึ้นๆ รวมไว้ส่วนกลาง ส่วนกลางจะไม่มากได้อย่างไร?

ข้อสำคัญจะเป็นไปได้ขนาดไหน พวกเราก็เป็นไปได้แต่เสียที่เราสุรุ่ยสุร่ายไม่เก็บรักษา เพราะถือสูตรว่าไม่ใช่ตัวเราของเรา แต่การสร้างนี้พวกเราะเก่ง ปลูกทิ้งเลยไม่มีคนเก็บ เราดูแลรักษาเหมือนเราหวงของแต่ไม่ใช่ ให้ลึกๆว่าเราไม่ได้หวงของ แต่เราดูให้ส่วนรวม ให้มันได้ประโยชน์สุดเป็นนิสัยดี แต่พวกเราบางคนก็นิสัยไม่ดีสุรุ่ยสุร่ายไม่ดูแลรักษา และถ้ามันจำเป็นต้องทิ้งก็ทิ้งอย่างไม่ติดยึด มันเป็นสัจจะย้อนสภาพ เราต้องดูแลของส่วนกลาง เป็นจุดอ่อนของชาวอโศกเรื่องนี้ ถ้าเราแก้ได้จะอุดมสมบูรณ์

10.เชิญชวนให้มาพิสูจน์ได้ เป็นของจริงของวิเศษ ของสูงที่ควรได้ เราก็ได้แล้ว ไม่ใช่ของเป็นไม่ได้ แต่เป็นสิ่งควรแก่มนุษยชาติ เราเองไม่อยากอวดอยากโชว์ เรามีทั้งโทรทัศน์ เขาก็รู้ทันว่าเราอวดตัวอวดตนนะ แต่จริงๆเราไม่อวดตัวตน แต่เราเผยแพร่ แล้วเอาอะไรมาเผย ก็เอาตัวตนนี่แหละมาแสดง แต่อยู่ที่ใจเราไม่มีสาเฐยยจิตไหม อยากอวดแล้วมีรสบำเรออัตตาไหม? เราอยากอวด แล้วอวดแล้วเราชื่นใจไหม?

เราไม่ได้ชื่นใจ ดีไม่ดีเขาด่าอีกด้วย เราก็ไม่เป็นไร หรือเขาชมเราก็ไม่ชื่นใจเราก็เฉยๆ เราก็รู้ว่าคนนี้เขารับได้ เขาเห็นดี ภาวะจิตเราจะเกิดจริง แล้วมันมีระดับความแรงหรือเบาอย่างไร?ก็อ่านให้ออก ว่ามันไม่มีแล้วลักษณะนั้นในจิต

11.อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถนภาพ บูรณภาพ

 

ต่อไปเป็นการถามตอบประเด็น

-พพจ.ว่าต้องตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง แต่ตั้งตนบนความสบายอกุศลธรรมเจริญยิ่ง ต้องประมาณให้ถูกต้อง ของใครของมัน แต่ต้องจริงใจ เราต้องตั้งตนบนความลำบาก ต้องฝืนต้องอดทน ถ้ามากไปก็ตายกลางทางแต่ถ้าอ่อนไปก็อกุศลธรรมเจริญอีก

          เมื่อเราอยู่ตามสบาย  (ยถาสุขัง  โข   เม  วิหรโต)   อกุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง  กุศลธรรมย่อมเสื่อม  แต่เมื่อเราเริ่มตั้งตนเพื่อความลำบาก  (ทุกขายะ  ปนะ   เม  อัตตานัง   ปทหโต) อกุศลธรรมย่อมเสื่อม  กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง  (เทวทหะสูตร  พตปฎ.เล่ม 14   ข้อ 15)


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:26:58 )

570917

รายละเอียด

570917- พุทธชีวศิลป์(13)วนบ. อาหารสูตร

พ่อครูว่า...เรามาเรียนพุทธชีวศิลป์ พระไตรฯ ล.16 ถึงข้อ 128 อาหารสูตร ครั้งก่อนเราย้ำถึงว่า พระพุทธเจ้าว่า เพราะเรานั้นกระทำในใจไว้แยบคายก็ทำให้ดับทุกข์ได้ ดับอวิชชาได้ (ในสายปฏิจจสมุปบาท) เพราะโยนิโสมนสิการ(คือการทำใจในใจอย่างถ่องแท้) เราสามารถจัดการ ปรุงแต่งสังเคราะห์ จัดการใจในใจ ทำจนเกิดผลสำเร็จถึงนิโรธ ถึงอวิชชาดับหมด สุดยอดเลย อวิชชาดับเกลี้ยงไม่เหลือเลย ด้วยมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในขณะเห็นๆ สำเร็จอิริยาบถอยู่ มีองค์ประชุม(กาย) ครบพร้อมทั้งนอกและใน

 

เป็นเรื่องที่ยากมากในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้ เพราะเขาเข้าใจว่านิโรธแบบมืดดับไม่รู้กัน แม้มีหลักฐานในพระไตรฯมากมาย อาตมาก็หยิบหลักฐานมาเยอะขึ้น อาตมาโง่มาซะนาน ที่ไม่ได้อ่านพระไตรฯอย่างทุกวันนี้ แม้แต่เล่ม 26 พูดถึงเปรตทั้งหลายที่เป็นปุคคลาธิษฐาน จะขอเล่าก่อน

 

ยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นยุคใหม่ของศาสนาพุทธ ที่เป็นอเทวนิยม แต่พระพุทธเจ้าต้องเปิดเผยศาสนา ซึ่งต้องไปฝืนจะไปหักโค่นเทวนิยมเขา ท่านต้องอนุโลมมากเลย น่าเห็นพระทัยพระพุทธเจ้าอย่างหนักเลย ท่านต้องตรัสอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เพื่อให้ชัดเจน ท่านต้องประกาศศาสนาให้ได้ แต่มาตอนนี้อาตมามีศาสนาพุทธอยู่แล้ว มีหลักฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาก็เลยไม่ต้องประนีประนอมอย่างพระพุทธเจ้า เช่นเรื่องเปรต

 

ที่เขาบอกว่าต้องอุทิศส่วนกุศลจึงส่งไปให้เปรตได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเพื่ออนุโลม ก็เลยมีภาษาเหมือนมีมโนมยอัตตา เพราะยุคนั้นเป็นยุคของพวกนับถือตัวตนอัตตา ปรมาตมัน จะไปพูดว่ามีตัวตนโครมๆก็ไม่ได้ แต่ถ้าพูดกับภิกษุที่มาเข้ารีตก็ตรัสเต็มที่ แต่ถ้าพูดกับพระเจ้าแผ่นดิน กับคนทั่วไปก็ต้องตรัสเช่นนั้น น่าเห็นพระทัย ซึ่งยุคที่ท่านตรัสอนุโลม ทำให้ชาวพุทธแม้ในไทยเราเห็นเป็นตัวตนอัตตาไปหมด เห็นผีเปรต เป็นเรื่องราววัตถุ แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องของอัตตา เป็นมโนมยอัตตา

 

อาตมาอธิบายว่า เราสัมผัสเองก็รู้ว่า มีรูป มีเสียงมีกลิ่น มีรสนั้นจริงๆ เป็นรสผี เสียงผี กลิ่นผี สัมผัสเสียดสีเป็นตัวผี ผีนี้คือของปลอม คือสิ่งปรุงแต่งไม่เป็นตามความเป็นจริง ผีมันคือการปรุงแต่งปุ๊ปเลย อารมณ์ผีมันไว เป็นอารมณ์ชื่นชม ได้สัมผัสทางตาก็ปรุงเลย เป็นสุข เป็นทุกข์ แท้จริง เทวดาเท็จก็คือผี  พวกเราก็ไม่งง เราก็เคยหลงบูชาเทวดาเหล่านี้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่หลงแล้ว ไม่เอาแล้ว ผู้ใดตัดออกไปได้ก็ชัดเจน จิตเราก็ว่างจากผีจากเทวดาไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นฐานนิพพาน อุเบกขา จิตเราละวางออกได้ เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

 

ความเป็นสภาวะผี หรือ เทวดาก็คืออัตตา ยิ่งเทวนิยมเขาไปหลงว่าเป็นรูปร่าง ขนาดพุทธเราที่เข้าใจผิดยังไปนั่งสมาธิเห็นเลย ยิ่งพวกเทวนิยมก็ยิ่งเห็นมากกว่าอีก แต่อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ในปัจจุบันที่มีกระทบสัมผัส แล้วมีการปรุงแต่งอย่างไร เขาไม่ได้ศึกษามาอย่างนี้ที่มีเหตุปัจจัยเนื่องกันมา ตามปฏิจจสมุปบาท เขาไม่รู้ความเนี่องต่อ ปัจจยการ

 

แม้เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธก็ไม่ได้เข้าใจไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ พวกเราก็ต้องพยายามเข้าใจแล้วปฏิบัติช่วยกันสืบสานพุทธศาสนาต่อไป เพราะทุกวันนี้เขาเอาศาสนาพุทธมาเป็นเครื่องมหากินไป เสพกาม เสพอัตตาไป

 

อาหารวรรคที่ 2

                              1. อาหารสูตร

 _      [28] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถปิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 เหล่านี้ ย่อมเป็น

ไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว   หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร 4 เป็นไฉน คือ (1) กวฬีการาหารหยาบ หรือละเอียด (2) ผัสสาหาร (3) มโนสัญเจตนาหาร(4) วิญญาณาหาร อาหาร 4 เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิด  มาแล้วหรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

          [29] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาหาร 4 เหล่านี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไร เป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไร

เป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด อาหาร 4 เหล่านี้ มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหา เป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด ก็ตัณหานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นที่ตั้งขึ้น มีเวทนาเป็นกำเนิด

มีเวทนาเป็นแดนเกิด ก็เวทนานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด   มีอะไร

เป็นแดนเกิด เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นที่ตั้งขึ้น มีผัสสะเป็น  กำเนิด มีผัสสะเป็น

แดนเกิด ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด

ผัสสะมีสฬายตนะเป็นเหตุ มีสฬายตนะ  เป็นที่ตั้งขึ้น มีสฬายตนะเป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็น

แดนเกิด ก็สฬายตนะนี้  มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดน

เกิดสฬายตนะมีนามรูปเป็นเหตุ มีนามรูปเป็นที่ตั้งขึ้น มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูป  เป็น

แดนเกิด ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด     มีอะไรเป็นแดนเกิด

นามรูปมีวิญญาณเป็นเหตุ มีวิญญาณเป็นที่ตั้งขึ้น มีวิญญาณ   เป็นกำเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิดก็วิญญาณนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดวิญญาณมีสังขารเป็นเหตุ มี สังขารเป็นที่ตั้งขึ้น มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด ก็สังขารเหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้งขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด  สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นที่ตั้งขึ้น มีอวิชชาเป็นกำเนิด มี    อวิชชาเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกอง ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

          [30] ก็เพราะอวิชชานั้นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขาร   จึงดับ เพราะ

สังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

                               จบสูตรที่ 1

 

ผัสสาหาร ต้องกำหนดรู้ด้วย เวทนา ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ก็เรียนรู้อาหารไม่ได้  เรียนรู้สังขารไม่ได้ เพราะสังขาร ก็มี กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร และจิตสังขารก็คือวิญญาณนั่นแหละ อาการสังขาร  กับวิญญาณต่างกัน แต่ก็เป็นองค์รวมทั้งหมด  วิญญาณนี่คือ จิตสังขาร คือความปรุงแต่งของจิต แล้วถ้าปรุงแต่งด้วยอวิชชาก็ครบเครื่องเลย เกิดรูป 28 พอปรุงด้วยอวิชชา จากผัสสะมีอายตะ เรียบร้อยแล้ว แล้วภาวรูปนั้นเป็นอะไร? ก็เพราะมีตัณหาเป็นเหตุ ก็ยังมีอวิชชาอยู่ เป็นตัวปรุงแต่งมีอยู่ในนี้แน่นอน

 

เมื่อเรารับรู้ได้นี่แหละคือ สักกาย มันเป็นอาการของวิญญาณ หรือเป็นสังขาร พอปรุงแต่งปุ๊ปเป็นเวทนา แล้วเวทนานี่คือเทวบุตมาร คือความเป็นผีเป็นเทวดา เช่นพอกระทบสัมผัสอันนี้อยากได้ตาเห็น แต่มันยังไม่ได้ มันก็ดิ้น เป็นตัวผีไปก่อน พพอได้มาใหม่อีกก็สมใจเป็นเทวดาเลย  

 

พอเรารู้สักกายก็ใช้วิธีปหาน 5 ตามที่เรียนมา เราต้องเห็นเป็นอศุภะ มันไม่เที่ยง ไม่น่าชมชอบจริงๆ จนปัญญาของเราขั้นมาว่า เราไปหลงกับมันทำไม? มีปัญญารู้ทันว่าเป็นผีหรือเทวดา เราก็จัดการมันไม่ให้มีอาการผีหรือเทวดา แล้วมันมีรายละเอียดของสิ่งที่เรารู้หรือรูป อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านแจกละเอียดถึง อุปาทยรูป 24

จะเกิด สัมมัตะ 10 ซึ่ง ข้อที่ 1-8.ข้อต้นนั้น ตรงกับมรรคมีองค์ 8  ข้อ คือ สัมมาทิฏฐิ   สัมมาสังกัปปะ   สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ   สัมมาอาชีวะ   สัมมาวายามะ สัมมาสติ   สัมมาสมาธิ    และเพิ่ม 2  ข้อ คือ..  9. สัมมาญาณ       10. สัมมาวิมุติ ตะ 10

ทำได้ชำนาญแล้วก็เหมือนกับขี่รถจยย. พอขี่ได้เก่งแล้วก็ชำนาญแคล่วคล่อง เป็นมุทุตา กัมมัญญตา

 

 [40] อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24

. ปสาทรูป 5 (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์)

1. จักขุ (ตา)

2. โสต (หู)

3. ฆาน (จมูก)

4. ชิวหา (ลิ้น)

5. กาย (กาย)

 

. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป 5 (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ )

6. รูปะ (รูป)

7. สัททะ (เสียง )

8. คันธะ (กลิ่น)

9. รสะ (รส)

0. โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย ) ข้อนี้ไม่นับเพราะเป็นอันเดียวกับมหาภูต 3 คือ ปฐวี เตโช และ วาโย ที่กล่าวแล้วในมหาภูต

 

. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ )

10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง)

11. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย )

 

. หทยรูป 1 (รูปคือหทัย ) (แปลตามทั่วไปตามพจนานุกรมประมวลศัพท์ฯ)

12. หทัยวัตถุ* (ที่ตั้งแห่งใจ)

 

. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต )

13. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต )

 

. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร )

14. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน )

 

. ปริจเฉทรูป 1 (รูปที่กำหนดเทศะ )

15. อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง )

 

. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย)

16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย และวาจา)

17. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา )

 

. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้ )

18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา )

19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย)

20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ )

0. วิญญัติรูป 2 ไม่นับเพราะซ้ำในข้อ ญ

 

. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด )

21. (รูปัสส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น )

22. (รูปัสส) สันตติ (ความสืบต่อ) เป็นตัวต่อเนื่อง

23. (รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม)

24. (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย)

 

ที่พวกเรากำลังต่อสู้กันอยู่นี่ก็คือ ระหว่างความเสื่อมและการเจริญ เป็นสงคราม แต่อาตมาก็ตั้งใจให้มาอย่างนี้แหละ แต่ก็ต้องให้รู้เหมาะควร

การทำงานร่วมกัน พวกเรามาอย่างปรารถนาดี มีทิฏฐิสามัญตา จุดหมายปลายทางร่วมกัน เพื่อลดละหน่ายคลายหมดอัตตาตัวตน แต่กลับยกอัตตามาตีกัน ก็ต้องให้เหมาะควร เอาง่ายๆเราต้องยกให้หมู่ เรามาเพื่อหมดตัวตน ถึงนิพพาน คนมาปฏิบัติสำนักนี้ฉลาดนะ ไม่ได้เอาอะไรล่อหลอกคุณมาเหมือนหลายสำนักที่ไปหลอกให้หยุดนิ่งหรือถูกล้วงตับกินไส้ แต่เราให้มาลดอัตตา แต่เรากลับทะเลาะกันด้วยอัตตา

 

อาตมาว่า วิชชาศาสตร์ งานใหญ่ งานเจครั้งนี้ ดูสิ ว่า ธรรมาธรรมะสงคราม จะสนุกขนาดไหน บาดเจ็บกี่คน ตายกี่คน แผลเหวอะหวะกันแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลยว่านี่ตกลงจะกางเต็นท์กันไหม? ...แต่ถ้าพวกกางเต็นท์ชนะ ก็จะกางก็กาง อาตมาก็ไม่กลัวนะ พวกคุณก็ต้องรับผลไป แต่ว่าจะบอกข่าว่าวันนี้แหละ

 

570916 ข่าวที่ดินบ้านราช

 

อุบลราชธานี : เมื่อ 17 ..57

ระหว่างเวลา 1030-1230 กลุ่มราษฎร บ.กุดระงุม  ม.3,.คำกลาง ม.6 .บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานีจำนวนประมาณ 40 คน นำโดยนายเมธชัย คำแผ่น ประธานกลุ่มประชาชนรักษ์ธรรมชาติสายน้ำบุ่งไหม เข้ายื่นข้อเรียกร้องผ่านศูนย์ดำรงธรรม อาคารศาลากลาง ถ.แจ้งสนิท ต.แจระแมอ.เมือง  จ.อุบลราชธานี  เกี่ยวกับข้อขัดแย้งในปัญหาที่ดินทำกินของกลุ่มราษฎรกับกองทัพธรรมมูลนิธิ มีรายละเอียดดังนี้

1.ขอให้มีการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ฯบนที่สาธารณะ

2.ขอให้ตรวจสอบการเกิดขึ้นของหมู่บ้าน ม.10

3.ขอให้มีการตรวจสอบการขุดดินจากพื้นที่สาธารณะเข้าไปถมที่เพื่อปรับระดับพื้นดินในชุมชน  ม.10

4.ขอให้มีการตรวจสอบการตั้งโรงงานต่างๆ ในเขต  ม.10สำหรับปัญหาเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินฯ นายกฤษฏิพงษ์ อร่ามรุ่งทรัพย์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ

เจ้าพนักงานที่ดินฯ สาขาวารินชำราบ ได้ยืนยันว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการสืบค้นข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนการลงรายการในเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินของ พล..วิมล วงศ์วานิช ที่ลงที่อยู่ไม่ถูกต้องนั้น เป็นการลงรายละเอียดด้วยลายมือสามารถผิด พลาดได้ ไม่ถือเป็นสาระสำคัญทางกฎหมายจนท.ศูนย์ดำรงธรรมฯ ได้รับเอกสารข้อเรียกร้องดังกล่าวไว้

ยืนยันว่าจะนำเรียน  ผวจ.ทราบ เพื่อพิจารณาสั่งการให้ สนง.ที่ ดิน,ฝ่ายปกครอง,จนท.ตร.และ อัยการ ทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กลุ่มราษฎรพึงพอใจระดับหนึ่ง

จึงแยกย้ายเดินทางกลับภูมิลำเนา/เหตุการณ์ปกติ อุบลราชธานี/ยโสธร : เมื่อ 170945 .. 57 " กลุ่มประชาชนรักษ์ธรรมชาติสายน้ำบุ่งไหม " จำนวน 15 คน นำโดยนายเมธชัย คำแผ่น ประธาน กลุ่ม ประชาชนรักษ์ธรรมชาติสายน้ำบุ่งไหม 087-3378997,87-9957277 ที่อยู่ 164 .คำกลางใหม่ ม.6 .บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จว... ,นายทองอินทร์ บานแสง ที่อยู่ 119 .3 .กุดระงุม ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จว... และนางอรสา บัวใหญ่ ที่อยู่ 59 .6 .คำกลางใหม่ ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จว... เดินทางมาที่ มมบ.22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จว... เพื่อยื่นหนังสือเรื่อง กลุ่มอิทธิพลนายทุนร่วมมือกับ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่ดินอำเภอ ออกเอกสารสิทธิทับที่สาธารณะประโยนช์ ผ่าน ผบ.มทบ.22 ถึง พล..ประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยมี พ..เดชศักดิ์ ฝ่ายชาวนา นายทหารฝ่ายการสืบสวนสอบสวน มทบ.22 เป็นตัวแทนรับเรื่องเพื่อนำเรื่องเรียนตามขั้นตอนต่อไป

เวลา 10.45 .กลุ่มได้ออกเดินทางต่อไปที่ ศูนย์ดำรงธรรมเพื่อยื่นหนังสือฉบับเดียวกันฝ่าน

 

นี่คือข่าวคราวที่เข้ามา

เพราะตอนนี้พวกที่จะไปให้ก้าวหน้า กว้างใหญ่ ดัง ก็จะให้ทำ แต่พวกที่ถ่วงไว้ก็มี พวกเราก็มีที่มีปฏิภาณถ่วงๆไว้ ว่าจะเหมาะควรอย่างไร? ก็อย่าดันกันไปให้มากนัก จนก็ยังไม่ลงตัว มีอาจารย์ที่มาช่วยทำ เป็นโค้ช ก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ อัตตาเยอะเหลือเกินบ้านราชฯ

เราต้องเรียนรู้อัตตาของเราจริงๆ พวกเราไม่มีสงครามของกามเท่าไหร่ จะไปแย่ง กามกันไม่เอา ไม่ใช่สงครามหยาบ ก็น่าดีใจ แต่พวกเรานี่ทำสงครามขั้นเทพ แต่เทพเขี้ยวยาว เป็นจาตุมหาราชิกา ต่างคนต่างก็มีเงามีหอกมีดาบ เห็นไหมเล่า ท้าวสี่ทิศ ที่เฝ้าอยู่ที่วัดหลายวัด 

 

ดาวดิงส์คือเสพรสได้สุข และยามาก็คือเวลาจะเอาให้นานๆ เสร็จแล้วก็ดุสิต มันอิ่มแล้วก็พักยก ส่วนขั้นที่ 5 คือกูจะต้องเอาให้ได้ เนรมิตสร้างให้ได้ดังกูหมาย ถ้าได้จึงจะเป็นสุข นิมมานรดี คำว่า รตี คือจิตที่เสพสุข ต้องเอาให้ได้ เอาเป็นตัวมารใหญ่ แย่งให้ได้สร้างให้ได้ทำให้ได้ ส่วนปรนิมิตวสวตีคือใหญ่แล้ว คนอื่นทำให้หมด นี่คือเทวดา สัตว์เทวดา 6 ชั้น เป็นตัวร้ายทั้งนั้น เรียกเทวดา น่ากลัวมาก คนหลงเข้าใจผิดทั้งที่เป็นเทวดาหลอกทั้งนั้น

 

ของเทวดาไม่เป็นทั้งผีทั้งเทวดาทั้งนั้น พวกเรากำลังปฏิบัติธรรมอย่างดี อย่าหนีโจทย์อย่าหนีสงคราม คำว่า สรณะ แปลว่าที่พึ่ง(โดยอรรถ) หรือถ้าโดยเนื้อหาแปลว่าสงคราม เราต้องทำที่พึ่งให้เกษม ให้อรณะ อย่าให้มรณะก่อน ต้องทำกรณะ คือทำกิจนี้ให้จบกิจให้ได้ รู้จักสัจจญาณ กิจญาณ ให้มันได้ผล เกิดการเจริญ จนกระทั่งสมบูรณ์แบบ จบ เป็น กตญาณ  บรรลุธรรมหมดทุกอย่าง จนมั่นใจแน่ใจ  อย่าหนีทัพก่อนล่ะ เป็นสนามรบ มหาวิชชารามที่ประเสริฐแล้ว เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งๆแล้วไม่ต้องกระดิกก็เสร็จเลย ทำโดยไม่ต้องทำ ฟันโดยไม่ต้องฟัน เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง

 

นี่คือการศึกษาบ้าน วัด โรงเรียน รวมบ้านคือสังคมทั้งหมด บ้านคือศีลธรรมวัฒนธรรม ส่วนโรงเรียนคือองค์รวมการศึกษา อยู่ให้ครบ 4 ปี จะไม่อยากได้แผ่นทองคำ เพราะคุณได้สิ่งที่ดีกว่าแผ่นทองคำ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:30:28 )

570919

รายละเอียด

570919-สรรค่าสร้างคน(14)วนบ. เรื่อง ธรรมาธรรมะสงครามของอาริยชน

ที่เราได้พูดได้บรรยายเรื่องบุญนิยมที่สมบูรณ์ ซึ่งถ้าปฏิบัติได้เต็มครบสมบูรณ์จริงๆ เราก็ไล่เรียงมาถึงข้อที่ 10 แล้ว เหลือข้อ 11 ข้อสุดท้าย

 

ซึ่งข้อที่ 10 คือเชิญชวนให้มาพิสูจน์ได้ ดุจเดียวกับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อยากอวดอ้าง แต่อยากให้มาดูมาเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามน่าได้พบเจอเป็นของดี พวกเราที่ได้ทำแล้ว พูดไปจะหาว่าเราอวดอ้าง แต่เราก็ไม่ได้อวดอ้าง แต่เราเป็นปกติของเราที่ถึงเวลาวาระ ทำงานก็ประกาศ เช่นงานนี้ที่เราจะมาผนึกรวมกัน แต่ก่อนเราก็ทำกันแต่คราวนี้ให้เป็นการศึกษาปรากฏการณ์วิทยาของมหาวิชชารามนาวาบุญนิยม

 

เราต้องทำให้จริงเรื่องปฏิบัติธรรรม จะต้องมี โพธิปักขิยธรรม 37 แล้วจะได้ผลเป็นโลกุตรธรรม 9 เราต้องรู้เท่าทันสิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป มีทวาร 5 เป็นปสาทรูป เราต้องมีสติปัฏฐาน ต้องดูองค์รวมเรียกว่า กาย ทุกโอกาส ทุกบรรยากาศ โดยเฉพาะเรื่องนามธรรม จิตใจ เป็นสำคัญ เราเป็นนักปฏิบัติธรรมระดับโลกุตระต้องอ่านจิตเป็น ฝึกให้จิตมีสัญญากำหนดรู้อย่างแท้จริง แล้ววิจัยมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์  ได้ตัดกิเลสจริงนี่แหละสำคัญ

 

ผู้ใดกิเลสเกิดก็ไม่รู้ตัว 16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่น มันก็จะมีรักมีชังอยู่ตลอด และก่อนจะมีขัดแย้ง ข้อสำคัญคือมีดูด ดูดมาใส่อัตตาตัวเองมากขึ้น โชว์ความเห็น แล้วยึดความเห็นตนเป็นอัตตาจะเอาชนะคะคานเป็นความเห็นของข้า ยึดความเห็นเป็นทิฏฐุปาทาน

 

พวกเราเป็นธรรมาธรรมะสงคราม ส่วนเรื่องศีลพรตก็ไม่เท่าไหร่แต่เรื่องความเห็นนี่สู้กันหนัก แต่เวลาปฏิบัติก็ลากกันไปลากกันมา ดีไม่ดีก็ประชดหนัก คนบางคนอาการหนักก็เลี่ยงหนีไปเลย ไม่ถึงกับทำร้ายทำลายกัน  คนไหนปฏิบัติธรรมได้ก็ลดละได้ นี่คือผลได้ รายได้ของเรา มันหาค่าไม่ได้ มันคือผลพลอยตาม ผลของรายได้ทางโลกก็มี แต่ข้อสำคัญที่เราทำคือปฏิบัติธรรมให้เกิดจิตวิญญาณพัฒนา จะเป็นมหาวิชชาราม(โลกเขาเรียกอุดมศึกษา) ของเราจะเป็นแห่งแรกเลย ที่ทำแบบนี้ ให้รักษากันให้ดี นิสิตอย่าให้ตกหล่น พอถึงปี 4 ก็ให้รับปัญญาบัตรกันซัก 100 คนนะ อาตมาก็ชักเสียวจะไปหาทองคำที่ไหนมาทำแผ่นทองคำให้นะ เกือบสองล้านนะ ขอให้จบจริงอาตมาก็สู้

 

มาถึงเหตการณ์สำคัญเรื่องงานเจ แค่เรื่อง จะปิดถนนหรือไม่ปิดถนน นี่ เราจะเรียกร้องให้เขามราดูเราทะเลาะกันหรือไม่? เชิญมาดู เราจะทะเลาะกันให้ดู มันยังไง? มันก็เป็นความเห็น จริงๆแล้วก็มีมติไปแล้ว แต่ความเข้าใจไม่ชัด ความเข้าใจว่าปิด แล้วปิดกันแค่ไหน? ก็โหวตกันว่าปิด แล้วปิดก็ปิดกันแค่ไหน ปิด 1 ช่องก็ได้ แต่บางคนไปวิจัยว่าจะปิดทั้งถนน ซึ่งเราได้วิเคราะห์วิจัยกันแล้วว่า เขาไม่ได้เห็นอโศกเป็นสิ่งน่าชื่นชม เราก็ต้องระวัง แม้จราจรก็ไม่เต็มที่ เขาก็ไม่ได้พูดเลยว่า จะอาสาเต็มที่ แต่เราเองทั้งนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง น้อยไว้ดี ขอเตือนว่าอะไรที่มักมากมักใหญ่ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสย้ำนักหนาว่า ไม่ใช่ของเรา ของเรามันมักน้อย น้อยไว้ อันนี้แหละอยากจะเตือน มันก้าวหน้าน่ะดี มันกว้างขวางขึ้นเพิ่มขึ้นเจริญขึ้นมันดีแต่ไอ้ที่ซ้อนว่าเรามักใหญ่เกินเหตุปัจจัย เกินเหมาะควร มันต้องตรวจสอบโดยสัปปุริสธรรม 7 ต้องดูเนื้อหาเป้าหมายต่างๆ สำคัญคือดูตัวเรา ตัวเราก็เท่านี้ ใหญ่นักเหรอ? อโศก ได้รับความยอมรับอย่างพร้อมเพรียงเหรอ? มันไม่มีอิทธิพลมาเล่นงานหรือ เราจะต้องระมัดระวัง ต้องตรวจสอบใจให้ลึกๆ มันไม่ใหญ่ไม่กว้างไม่เป็นไป ไม่ต้องรีบร้อนที่จะใหญ่จะกว้าง อันนี้อาตมาพยายามตรึงไว้ เรื่องก้าวหน้าใครก็เห็นว่าดี แต่มันต้องระมัดระวังต้องมัตตัญญุตา อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งรีบใหญ่รีบโต

 

ยกตัวอย่างการไปชุมนุมประท้วง เขาไม่ไปเต็มถนนทันทีหรอก เขาก็กั้นถนนเล็กๆ แล้วพอคนมาเต็ม คนก็ว่าไม่ได้ แม้ตำรวจก็ว่าไม่ได้ เพราะคนมาเต็ม แต่นี่เราจะไปกะเกณฑ์ปิดถนนเลย เราจะไปทำอย่างโลกๆเขาก็ยังไม่ทำเลย ต้องระมัดระวัง

 

ถ้าเราปิดไปแค่นั้น ถ้าคนมามากจริงๆมันก็ปิดไปเองตำรวจก็จะเป็น ว่าคนแน่นคนมาก ซึ่งเป็นงานที่ดีไม่ใช่งานไม่ดี หากคนมามากมันก็เป็นไปเอง เราอย่าไปใหญ่เลย เราเล็กไว้น้อยไว้เถอะ นี่ก็ไม่ใช่น้อย ธรรมดาเราไม่ไปยึดถนน ฟุตบาทเราก็ไม่ไปยุ่งกับเขาแต่นี่ไปถึงถนนเลย ตอนนี้ก็กางเต็นท์แล้ว ก็ปรามๆบอกๆให้ประมาณกัน อาตมาก็มีหน้าที่จะดูอะไรมากไปก็ดึงไว้ อะไรไม่พอก็ส่งเสริม

 

องค์รวมเราก็คิดว่าพวกเราก็ตั้งใจดี แต่กิเลสตัวมักมาก อัตตาตัวตน จะเอาชนะคะคาน ใช้วิธีโหวตแต่มีการหาเสียงแทคติคนะ เหลือเกินนี่คน ไม่มีอะไรเก่งเกินคนหรอก กลเม็ดเด็ดพรายยอดเยี่ยมเลยคน พยายามอย่าให้มีเล่ห์แล้วดูตัวเองว่า กิเลสมันโลดแล่นนำหน้า หรือไม่?
 

ก้าวหน้ามันดีแต่อยากใหญ่มันไม่ดี ประเด็นแคนี้อ่านให้ชัดมันง่ายๆแต่มันไม่ง่ายที่จะอ่านกิเลสตน มันจะก้าวหน้าพอเหมาะหรือจะเอาใหญ่เกินตัวเกินจริงเกินปัจจัย จริงๆดูไม่ยาก แต่กิเลสตัวเองมี และมีเหตุปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะจิตวิญญาณคนด้วย องค์รวมกระแสสังคม เป็นธรรมะที่รวมไว้ทั้งหมดเป็นองค์รวม ภาษาพระเรียกว่า กาโย เราต้องประมาณคำณวนใช้ ขาดหกตกหล่นแคบๆว่าฉันจะเอา มองเห็นแต่ปลายจมูก ว่าตนมุ่งจะทำดี แต่อันอื่นไม่รู้ไม่หยิบมาจัดสัดส่วนให้พอดีไม่รู้เลยทำไปไม่รอดหรอก ทำไปก็พังเร็ว ดีไม่ดีถูกเขาฆ่าตายเลย เราจะทำอะไรได้ดีต้องใช้สัปปุริสธรรมและมหาปเทศ ต้องพยายามเข้าใจ ไม่ใช่แค่ในตำราพระพุทธเจ้าสอนเท่านั้น แต่7 ข้อนี้มันเยอะมากเลยนะรวมทุกอย่างไว้เลย

รู้ตนเองรู้เนื้อหารู้จักจัดสัดส่วน ดูกาละเวลา ดูองค์รวมอื่นๆอีก ทั้งสิ่งที่มาร่วมรวมทั้งรูปและนาม ทั้งตัวตนบุคคลสถานที่ โดยเฉพาะตัวบุคคลที่มีจิตวิญญาณนี่แหละสำคัญ ที่จริงเราไม่ได้จะเอาคนที่มาร่วมงานด้วยเท่านั้นแต่เราต้องเอาคนที่ไปมาสัญจรเกี่ยวกับถนนหนทาง

 

เราจะปิดถนน ก็เกิดผลกระทบสิ คนไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย อันนั้นก็ส่วนหนึ่งแต่เกี่ยวจริงๆไม่ใช่แค่นั้น คนเขาจะวิ่งรถไปมาก็มีผลกระทบกระเทือน ไม่ใช่แค่รถวิ่ง คนมันมีใจไม่ชอบหน้าเรา ไม่มางานเราหรอก แต่เขามีผลมาก เป็นตัวร้ายตัวจอมหาเรื่องเลย ต้องระมัดระวัง เรารู้ว่ามีนะ หรือใครว่าไม่มี?

 

ขนาดพระพุทธเจ้าทั้งองค์ยังมีผู้หวังร้าย แล้วคุณคือใคร?... เพราะงั้นเราก็จะต้องเรียนรู้จริง ของเราปรากฏการณ์วิทยา มันดีจริงๆ วิเคราะห์วิจัยแล้วก็ไปปฏิบัติให้เข้าใจ

 

ข้อที่ 11.จุดสัมบูรณ์คือ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

ตัวที่เป็นปัญหามากคือ ตัวบูรณภาพIntegrity คำว่าบูรณภาพหรือบูรณาการ คือมีสองนัย บูรณาการคือกระทำอยู่แต่บูรณภาพคือความสำเร็จ คือการทำให้เต็มให้สมบูรณ์ มันพร่องไม่เต็มไม่สมบูรณ์เมื่อไหร่เราต้องเติมให้เต็มให้ครบไม่ให้ขาดให้พร่อง มันพร่องต้องรู้ให้เร็ว มันควรเจริญก้าวหน้าขึ้นในสิ่งที่ไม่ควรจะพร่อง นี่คือตัวสำคัญ เราทำตลอดเวลาตรวจสอบตลอดเวลา

 

จริงๆแล้วความเต็มจริงๆมันไม่มีหรอก แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีความเต็มคือ อรหันต์ คือเต็มจบเลิกเลย เพราะกิเลสเกลี้ยงจริงๆ ของพระพุทธเจ้านี่ละเอียดแบบ นปุณา ละเอียดถึงขั้นนิพพาน

 

การปรุงแต่งทำให้เจริญให้ดีคือ บุญ มี ปุญญาภิสังขาร คือทำให้เกิดบุญให้เจริญ ที่จะเป็นอรหันต์คือต้องเจริญบุญ จนบุญจบ ซึ่งบุญคือการชำระกิเลส คำว่าบุญนี่เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่มันเพี้ยนไปมากแล้วในศาสนา และมีคำว่า กาย อีกคำที่เพี้ยนไปแล้ว เป็นจุดสำคัญในการปฏิบัติด้วย

 

การเริ่มปฏิบัติต้องรู้กาย ซึ่งมันมีเวทนา จิต ธรรมด้วย ไม่ใช่แค่ร่าง และที่ได้บุญไม่ได้ให้โลกียสมบัติ แต่มันเป็นคุณธรรมระดับโลกุตระ คำว่าบุญนี่ทำเสร็จก็จบไม่ต้องทำอีก คนหมดบุญหมดบาป สิ้นบุญสิ้นบาป แต่เอาไปเรียกคนหมดบุญคือคนใกล้ตาย แต่ที่จริงคือคนเป็นอรหันต์คือคนไม่ตายอีกแล้วในกิเลส ไม่มีเศษเหลือเลย ดับสนิทเป็น นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปริณาธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

 

แล้วเอาคำว่าบุญไปเรียกกุศลโลกีย์ การได้มา แต่ที่จริงต้องสละออกให้หมดตัวตน หมดบุญก็จบ ไม่ต้องทำอีก ปุญญปาปปริกขีโณ ไม่ต้องทำบุญชำระบาปกันอีกแล้ว

 

เราบูรณาการนี่เป็นประโยชน์สองอย่างเลย เราเอากิเลสโกรธออกก็ไม่มีพลังงานไปทำร้ายโลกเลย เราเอาโลภออก เราก็ไม่ไปดึงของโลกเขามา ความรักความโลภ นั้นถ้าไม่ได้มาสมรักสมโลภ ก็มีลูกต่อคือความรุนแรงอาฆาต ผูกพยาบาท ซึ่งไม่ง่ายที่จะรู้ตัวรู้ทัน ผู้สามารถทำสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลาคือคนเป็นอรหันต์ คือบูรณะ ทำให้เต็ม สมบูรณ์ คือคุณค่าอันประเสริฐที่จะทำให้เต็ม Integrity ทั้งกุศลภายนอกเราก็จะทำให้เต็ม ยิ่งกิเลสคือเราจะทำให้เต็มคือทำให้กิเลสสูญ เป็นอรหันต์นี่เต็มแล้วแต่มีสูญ มันย้อนแย้งในตัว แล้วได้อะไร ได้ความไม่ได้ แล้วมีบุญคืออะไรคือได้ความไม่มี เอากิเลสออกได้นี่แหละคือบุญ

 

แต่เข้าใจเพี้ยนไปสร้างวิมานอะไรเป็นของหลอก ปั้นเอาอย่างใจ เขาก็หลอกมา อย่างศิลปินจะสร้างจินตนาการสร้างอะไรมาหลอกกันได้ทั่วเลย ถึงบอกว่าดูแล้วคนมันไม่รู้ทันเลย ถูกต้มกลางสังคม กระจายกันทั่วโลก แล้วมันก็สอดคล้องกับกิเลสคนมักใหญ่โตมักหรูหรา เขาก็หลอกเอาสิ ตกเป็นทาสรับใช้เพราะหวังจะได้น่ะสิ

สมรรถภาพคือความรู้ความสามารถมีประสิทธิภาพของเรา ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งสิ่งเหล่านี้ เป็นแต่เพียงเราหยุดทุจริต และหยุดเสพสิ่งที่ไม่ควรเสพ เราก็หยุด ทำได้ เราไม่ได้ทิ้งความสามารถแต่เรากลับได้สิ่งที่เสียไปคืนมา นี่คือเศรษฐศาสตร์บทใหญ่ของพระพุทธเจ้า ได้มาเราก็เอามาใช้เป็นประโยชน์คุณค่าดีงาม มันก็เกิดประโยชน์มากมาย เจริญขึ้นอีกงานก็เบาลงเพราะงานบ้าบอลดลง เรามีเวลาทำสาระมากขึ้น

 

มีคำที่เขาเข้าใจผิดคือยินดีกับการงาน ว่าคือกัมมารามตา แต่ที่จริงคือยินดีในอารมณ์ที่ไปหลงติด หลงเป็นกิเลสเสริม หลงติดความยินดีในการงาน แต่ไปตีความว่า ถ้าผู้ใดไปยินดีพอใจจะทำการงาน นั่นคือเสื่อม อันนี้แหละตีลังกาเลย แต่ที่จิรงคือไปยินดีในอารมณ์ฟูใจในการงาน มีภัสสารามตา คือยินดีในการพูดคุย อาตมาก็มีคนกันไว้ อาตมาไม่ได้มีรสชาติในการพูดคุยนะ แต่ว่าพูดมากยินดีในการพูดสิ่งที่ดีมาก

 

ถ้าขืนไม่ยินดีในการงานจะไปทำได้ผลได้อย่างไร ถ้าเป็นกัมมารามตา ก็เสื่อมจริง คือไปมีกิเลสเสริม ส่วนการงานต้องทำให้ดีให้มากก็ยิ่งดีสิ่งที่เป็นสุจริตกรรมก็ไม่เสียหาย แต่ใจเราไปหลงยินดีในการฟูใจการติดอารมณ์ในการทำงานต่างหาก แต่ทิฏฐิผิดสัญญาผิดว่าอย่าไปยินดีในการงาน

 

สรุปแล้วของพุทธสุดยอดแห่งการขยันการงานไม่เสื่อมไม่พร่องมีแต่จะชำนาญมากขึ้นแต่เราน้อยลงๆ ยิ่งใหญ่จริงเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า เราอยู่ได้สบายไม่ต้องเอาทุนไปต่อทุนด้วย ระบบบุญนิยมนี่ไม่เหมือนโลกเลย ในเรื่องวัตถุระบบบุญนิยมนี่แห้งเหี่ยวหรี่ลงน้อยลง แต่มันซ้อนว่าองค์รวมส่วนกลางมีมากขึ้น เพราะเราไม่ได้ขาดสมรรถนะ เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้ สมควรพักก็พักนอกนั้นก็อยู่กับเพียร ไม่ขาดแคลนบกพร่อง ยิ่งหมดทั้งขี้เกียจหมดความเห็นแก่ตัวมีสมรรถภาพอีก ก็ไม่ต้องห่วง

 

ทรัพย์ที่เจริญยืนนานที่สุดใครก็แย้งไม่ได้คื้อสมรรถนะกับความขยัน นั่นคือทรัพย์ของตนๆ จะแถมความขวนขวายเข้าไปอีกก็ยิ่งดี ดูว่าเราก็มีเวลาแรงงานสามารถก็ทำสร้างสรรค์ไป ไม่ต้องคิดหางานก็ได้ เพราะพวกเรามีงานให้ช่วยเยอะแยะ

 

พวกเราไม่เกิดความสงบที่การทำงานนี่แหละ เราไม่ได้แย่งลาภยศ แต่เราแย่งอวิชชากัน แย่งขี้กะเทอ (เสลด) แย่งอะไรไม่เข้าเรื่องเลย แย่งทิฏฐิ ความเห็นอัตตา ส่วนลาภ ยศ สรรเสริญก็ไม่กระไร โดยเฉพาะลาภเราก็ไม่เอาแล้ว ส่วนยศก็ซ้อนเหมือนกันมีตำแหน่งหน้าที่ก็มีสิทธิ์ก็มีบ้าง สรรเสริญก็ไม่ได้แย่งอยากเด่นดังอยากเอาหน้าก็ไม่เท่าไหร่? จริงๆจะว่าไปแล้วชาวอโศกนี่เรื่องกามไม่จี๋จ๋า รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็มีพร่องบ้าง ถ้ารักษาอย่างนี้ได้สักสองร้อยปี จะดีมากเลย พวกที่ได้แล้วก็ลดกิเลสลงอีกพวกมาใหม่ก็ไล่ลดไปก็จะดี

 

พวกเราจะสงบในเรื่องแย่งกาม แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ แต่จะแย่งอัตตามานะ เจ้าประคุณจะแย่งกันไปถึงไหน? ของความสงบหน่อยได้ไหม จากการแย่งอัตตา

 

แย่งอะไรก็ไม่สงบ เขาไม่รู้ก็แย่งกัน พวกเราเป็นนักศึกษาต้องรู้ และพวกเราไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆไม่เกี่ยวข้องกัน หรือต่างคนนั่งแข็งทื่อเป็นพรหมลูกฟักอีก ก็โกยใส่ส้วมเลย

 

ความสงบไม่ใช่แค่ความเงียบหรืออยู่นิ่งแต่จริงแล้วอยู่ในตัวมีเอะอะวุ่นวายก็มีแต่ว่าที่จริงต้องดูที่ใจ คือแม้จะมีภายนอกดูวุ่นวายแต่ใจนี่ไม่ต่อสู้กัน สงบใจ ไม่แย่งอัตตามานะไม่มีเรื่องทำร้ายทำลายกัน มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เสียงดังเราก็เสียงสร้างสรรไม่ให้เป็นพิษภัยต่อร่างหรืออวัยวะ แม้เสียงดังก็สงบ มีแบ่งแจกเกื้อกูลกัน

 

เขาเข้าใจคำว่าสงบหรือสันตะ คืออยู่เฉยๆไม่เคลื่อนไหวทุกอย่างนิ่งสงบ เสียงกลิ่นรสไม่มี ดับทื่อๆ คือนิโรธมันไม่ใช่

 

สงบคือความอยู่เย็นเป็นสุขความพรักพร้อมในการสร้างสรรค์ เป็นอภิสังขารที่ยิ่งใหญ่ปรุงแต่งสร้างสรรค์  กิเลสตัวสำคัญไม่มี ก็จะทำสิ่งดีที่ขาดแคลนให้มาก สังคมสงบเจริญแท้

 

ภราดรภาพ....หรือความเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติ ชาวอโศกเราทำได้ดี ญาติคือความพึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ เป็นญาติพีน้องดูและเอื้ออาทรกัน ช่วยเหลือกัน เป็นสุดยอด ได้ประมาณอย่างนี้อาตมาก็พอใจ แต่ดีกว่านี้ก็จะพอใจกว่านี้อีก ไม่ได้มักมากนะ แค่นี้ก็พอ

 

อาตมาอายุ 80 กว่าแล้ว ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไรตั้งใจทำงานเพราะเห็นผลที่ได้ ได้ผลเท่านี้ก็พอใจ แต่ขยายได้เราก็ทำตามควร ที่เราทำนี่แหละที่เห็นเหมาะควร ใช้สัปปุริสธรรมจริงๆ ก็ไม่ต้องย้ำกันมากเรื่องความเป็นญาติทางธรรมจริงๆ พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้จริงมีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 รวมกันเป็นปึกแผ่น พยายามรักษาให้เจริญงอกงามอย่างชื่อปุ๋ยงอกงามนี่แหละ

 

ส่วนความเป็นอิสรเสรีภาพ สำหรับคนโง่แล้วนั้น ความอิสรเสรภาพกับความเห็นแก่ตัวนี่ตัวเดียวกันเลยสำหรับคนโง่ ต้องไปอ่านพิจารณาเพลงอิสรเสรีภาพให้ดี

 

อิสรเสรีภาพคือความไม่ติดยึด ปลดปล่อยความติดยึดได้คืออิสรเสรีภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ไปเกี่ยวข้อง (เขาแปลอสังคณิกะหรืออสังสัคคะว่าไม่เกี่ยวข้องกับหมู่) แต่ไม่ใช่ การไม่เกี่ยวคือเราไม่ไปมีกิเลสติดยึด แม้เราอยู่กับข้าวของเราไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเราที่จิตเราไม่ยึดเกี่ยว แต่ว่าพฤติกรรมเราสร้างทำมาเป็นของเราร่วมกัน แต่อย่าไปเกี่ยวเอาของคนอื่นนะ ที่เราทำสร้างสรรอยู่ในกรรมการงานนี่แหละ แต่เราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราหากยึดเมื่อไหร่อิสระไม่มีเมื่อนั้น  ยึดเมื่อไหร่อิสระหมดเมื่อนั้น

 

สมาทาน คือยึดอย่างสงบ (สม) ยึดอย่างกิเลสสงบ ยึดอย่างมีปัญญารู้จักยึด ยึดอย่างสงบสัมพันธ์เจริญงอกงามแต่ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ส่วนอุปาทานคือยึดไปหมด จะเอาของเขามาเป็นของเราด้วย อะไรก็เป็นของกูไปหมด

 

อิสรเสรีภาพทางวัตถ ถามว่า นี่เป็นของเราหรือเปล่า?ตอบว่าไม่ใช่นี่คือผิดแล้ว ต้องมาช่วยกันดูแลรักษาสร้างสรร ไม่งั้นก็ไม่เหลืออะไร ไม่เกิดอะไร คือมันผิดอย่างหนักด้วย อิสรเสรีภาพคือไม่มีความยึดเป็นเราเป็นของเรา ตั้งแต่ลาภ เรามีลาภ เพราะเราขยันทำงาน เรามีลาภเป็นของส่นวนกลาง

ยศคือกำหนดหน้าที่ให้ทำงาน ให้อำนาจ เรามีความสามารถคือใช้แรงงาน(อำนาจ)กับอันนั้น ถ้าเราไม่มีอำนาจก็ใช้ไม่ได้ แต่เราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา อาตมาเคยไข ผู้ปฏิบัติธรรม หรือเป็นนักบวชแล้วอาศัยคนอื่นเขากินอยู่กับเขา ก็ว่าอย่ารับใช้คฤหัสถ์ ที่เราอาศัยกินใช้ แล้วก็คือไม่ช่วยอะไรเขาเลยเดี๋ยวจะเป็นการรับใช้ ไม่ได้ ศาสนาถึงเจ๊ง เป็นศักดินนา ดูดกินเป็นปลิงทำร้ายสังคม

 

ถ้าคุณทำเพื่อแลกลาภยศสรรเสริญ ,กามและอัตตา นี่คือคุณรับใช้เขาแล้วแต่ถ้าคุณทำให้เขาอย่างไม่ได้เอาสิ่งแลกเปลี่ยนนี่คือไม่ได้รับใช้ แม้เขาจะกตัญญูให้อะไรตอบแทนแต่ใจเราไม่ได้อยากได้คืนมาเลย นี่คือไม่ได้รับใช้

 

แต่ทุกวันนี้เขาก็ทำอย่างเอาอามิส ทำให้เขาไม่คุ้มกับที่เอาจากเขา จึงเป็นชีวิตที่เป็นหนี้มาก เราทำงานแต่ละวันไม่คุ้มกินคุ้มใช้ เราไม่ได้ทำประโยชน์แก่โลก แต่เรานั่งรับเอา ดีไม่ดีก็ผลาญพร่าอีก เป็นหนี้ทบไม่รู้กี่ชั้น ชีวิตมันต้องเผื่อพอว่าต้องทำงานให้มาก เพื่อผู้อื่น เราต้องรับใช้ให้มาก (คือเราไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยน)ทำงานให้เขา แต่ถ้าเราทำงานแล้วเราอยากได้อยู่ในใจให้เขามาตอบแทนให้เขาเคารพนับถือ สิ่งเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ในสัจจะแท้ของนามธรรม เราไม่เอาวัตถุแล้วแต่เราก็จะเอาอะไร? อยากให้เขาว่าเราดี ให้ได้อวดว่าเราทำดี หรือได้อย่างอื่นใด

 

สรุป อิสรเสรีภาพคือไม่ยึดเป็นตัวกูของกู ถ้ายังยึดเป็นตัวกูของกูคนนั้นไม่มีอิสรเสรีภาพ ถ้าคนนี้ผูกไว้หอบไว้แสนล้านเลย ถูกผูกไว้หมด มัดตราสังข์ บุตรผูกคอ(บุตโตคีเว) ทรัพย์สมบัติผูกขาไว้(ธนังปาเท) ภริยาผูกมือ(ภริยาหัตเถ) พวกนี้พวกไม่อิสระ แต่พวกเราหลายคนอาจไม่มี ไม่มีลูกไม่มีผัว แต่สมบัติวัตถุก็ไม่มี  แต่ทีนี้ติดสมบัติอะไรที่ยึดไว้หอบไว้ ก็ สมบัติบ้า ...

 

ยึดจังนะ ยึดว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ คุณออกความเห็น แสดงความควรอะไรก็แสดงแต่อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา เขาไม่เอาตามกู กูก็โกรธ คุณก็โง่ต่อไป มันลึกซึ้ง ใครอยากได้อิสระก็เรียนดีๆ ใครผูก...ตนเองผูกเอง อวิชชาคือโง่

 

ต่อไปเป็นการถามตอบ..

 

-ถ้าเราลดอัตตาของเรา เขาก็ควรลดอัตตาของเขา แต่ว่าถ้าเขาไม่รู้อัตตา ก็เพิ่มอัตตา เช่นเราขายของตลาดอาริยะ เขาก็ควรลดโลภแต่ว่าเขาไม่ลดเขายิ่งเพิ่ม แล้วอย่างนี้เราก็ไม่ต้องให้หรือไง? เราต้องพยายามทำให้เขารู้ตัว

-แล้วถ้าเราต้องชนอัตตากัน แต่เราจะลดอย่างไร ถ้าเรายอมเราได้ลดกิเลสแต่จะทำอย่างไรเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน?....พระพุทธเจ้าว่าอย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ถ้าเราทำให้เขาลดได้เราก็ควรทำ แต่เราต้องได้ประโยชน์ตนก่อน

-ถ้าเราทำการงานด้วยความไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าไม่ได้ทำงานนี้เราทุกข์ ก็คือเรายึด พวกเรานี้ยากเพราะเราทำงานอย่างไม่ได้เอาอะไรตอบแทนเป็นวัตถุ แต่ข้างนอกได้วัตถุก็ดูง่ายแต่เราไปหลงผูกใจยินดีติดยึดในการงานใครมาแตะมาขวางก็จะเอาเรื่อง มันก็เสียหาย มันต้องยึดอย่างสมาทานคือสร้างสรรทำการงาน ถ้าไม่ให้ยึดการงานเลย ปฏิบัติธรรมคือทำกรรมการงานทั้งนั้น อาชีพก็คือการงาน กัมมันตะก็คือการงาน รวม กาย วาจาใจ ถ้าไม่ให้ยินดีในการงานก็ไม่ต้องคิดไม่ต้องพูดไม่ต้องทำ ก็ขัดแย้งมรรคองค์ 8 สิ

 

-คนรวนก็คือคนที่ยึดว่าจะต้องปิดทั้ง 4 เลนส์ เพราะมติที่ประชุมมีแค่ ปิดกับไม่ปิด การปิดนั้นปิด 1 เลสน์ก็ใช้ได้แล้ว การยกมือ ผู้ชนะคือ 40 คนคือปิด แล้วผู้ไม่ปิดก็มี 16 เสียง แล้วผู้ไม่เห็นด้วยในการปิดก็ส่วนหนึ่ง ปิดเลนส์เดียวก็ไม่เอา ปิดกี่สวนก็ไม่เอา นี่ก็มาหน่อย นี่ก็รวน รวมกับพวกปิดสี่เลนส์ก็รวน ก็เลยออกอัตตามามาหน่อย

 

-ใครยอมก่อนคนนั้นชนะ...อันนี้ให้มานานแล้ว แต่ไม่เชื่อกลัวอะไรไม่รู้ อยากทุกข์ก็เอาไว้เลยนิรันดร ฟังง่ายๆเข้าใจง่ายๆแต่กิเลสขึ้นไม่มีใครยอม....ข้อสำคัญคือพวกเราเป็นคนดีที่คัดกันมาแล้ว ก็ให้เกียรติกันหน่อยน่า เมื่อให้เกียรติหมู่แล้วมันไม่ผิดหรอก แต่ควาวนี้มันผิด 40 คะแนนนี่ปิด 14 คะแนนปิด  ...พวกที่ผิดคือให้ปิดเลนส์เดียวก็ไม่ได้ พวกที่ยึดว่าไม่ปิดเลยนี่รวน

- กิเลส มันเป็นตัวปัจจุบัน มีเหตุปัจจัยสัมผัสก็เกิด แต่ถ้าไม่สัมผัสมันไม่เกิดบทบาทเขาเรียกว่าอนุสัยแต่ถ้ามันไม่มีบทบาทไปนิรันดรก็คือมันไม่มี แต่ถ้ามันออกมาทำงานก็คือมันยังมีอยู่ มีบทบาทเมื่อกระทบจากภายนอก และอีกอย่างคือไม่มีกระทบแต่คุณปรุงมันขึ้นมาเองตนเองฟูมฟักมันขึ้นมาจนแรงก็ได้ เมื่อฆ่ามันได้จนเป็นวิปัสสนาญาณจริง ถ้ากดข่มก็หมักไว้เป็นอกุศลวิบากอย่างเก่า เราต้องล้างด้วยวิปัสสนาให้หมดไป  เหลือแต่วิบากเก่า ซี่งเป็นส่วนที่เรารู้ทัน แต่เรามีปัญญา มันกระเพื่อมเมื่อไหร่ คุณไม่ให้มันออกบทบาทเลย ภายนอก นี่คืออนาคามี ภายนอกไม่ให้มีออกมาเลย เป็นเหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาในใจเรา ถ้าคุณไม่ให้มันออกมามันก็หมกในอนุสัย เราต้องรู้ให้ทันว่าเอ็งอย่าแหยม ขึ้นมาเมื่อไหร่ชี้หน้ามันเลยให้มันสลายไป เหลือแต่เป็นเศษสวะในตัวหากหมักหมมต่อไปก็เน่าใน 

 

-ยกตัวอย่างอาตมาถูกมหาเถรสมาคมเล่นงานจวกเอาๆ แต่อาตมาก็ยอมให้เขาทำ วิบากก็เบาลง ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เห็นด้วยแต่วิบากลดลงเบาลงนะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:32:11 )

570921

รายละเอียด

570921- วิถีอาริยธรรม เรื่อง ทำไมพระพุทธเจ้าให้เลิกกินเนื้อสัตว์

คนเราจะยิ่งใหญ่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าเป็นคนชั่วร้ายขนาดไหนก็ต้องกินอาหาร อยู่ได้เพราะอาหาร ถ้าคนไม่ศึกษาเรื่องอาหารก็จะถูกมอมเมา เพราะอาหารของคนมีทั้งทุกทิศทาง ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ก็ตาม

 

พ่อครูว่า อาหารคือเครื่องอาศัย อาหารทางใจนี่สำคัญ อาหารเป็นหนึ่งในโลก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะว่าเป็นความสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งที่ต้องอาศัย คนไม่รู้ว่าอาหารหรือเครื่องอาศัยนี่พาเราลงนรก เขากินจอบเสียม รถรา ที่ดิน ตึกราม กินได้กินดี กินจริงๆ ภาษาอีสานว่า “ซิแตก” มันยิ่งกว่าคำว่า “แดก” อีก ซิแตกแดกห่า จิตใจคนเลวร้ายได้ขนาด

 

เราต้องเลิกอาหารสัตว์นรกมาได้ก็เป็นคนประเสริฐขึ้น ทุกคนต้องรู้ว่าอะไรคืออาหาร ท่านตรัสไว้ว่า อวิชชาก็มีอาหารนะ อาหารของอวิชชาคือนิวรณ์ 5 แต่อาตมาว่า สังขารนี่แหละคือปัจจัยของอวิชชา การไม่รู้กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร มันก็ปรุงอาหารเน่าๆให้ตนเองไปตลอด เป็นอาหารที่ทำให้เราเป็นสัตว์นรกตลอดเวลา

 

อวิชชามีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร เราต้องรู้ว่าจิตวิญญาณที่เป็นนิวรณ์มีอาการทางจิตอย่างไร ต้องรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ต้องรู้สภาวะให้ได้ มันเป็นนามธรรม เป็นอรูป มันแสดงอาการเคลื่อนไหวของมโนได้ ทางวิญญัติ เราต้องอ่านกาม พยาบาท ได้ แล้วปหานได้

 

แล้วนิวรณ์ 5 ก็มีทุจริต 3 เป็นอาหาร เป็น ดีเอ็นเอของผี เราต้องกำจัด ผู้จะกำจัดทุจริต 3 ได้ต้องรู้อาหารทุจริต 3 คือการไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ซึ่งก็เกิดจากการไม่มีสติสัมปชัญญะปล่อยใจไป แล้วสติมีหลายระดับชั้น เป็น สัมปชัญญะ สัมปชานะ ...จนไปสัมปันนะ ถึงบรรลุธรรมได้เลย

ซึ่งสติสัมปชัญญะมี โยนิโสมนสิการเป็นอาหาร หากใครมนสิการไม่เป็นก็ปฏิบัติธรรมไปไม่รอด ไม่ถึงที่เกิดถ่องแท้แยบคายคมแม่นลึก ผู้ใดยึดไว้ถูกก็อนุโมทนาแต่ผู้ยึดสิ่งไม่ถูก ต้องมีปรโตโฆษะจึงจะมีสัมมาทิฏฐิ และโยนิโสมนสิการมีศรัทธาเป็นอาหาร และศรัทธาก็มีการฟังธรรมเป็นอาหารและการฟังธรรมมีการคบสัตบุรุษเป็นอาหาร

ในอาหาร 4 มี กวริงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ซึ่งมีอาหารที่ไม่ใช่แค่รูปธรรม แต่อยู่ในอาหารคำข้าวที่เรากินนี่แหละ เราปฏฺบัติก็รู้โดยสัจจะ ว่าอันนี้มีประโยชน์มากกว่าเราไปติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

เราจะรู้จักวิญญาณได้ก็ต้องรู้จักกำหนดนามรูปผู้สามารถกำหนดรู้นามรูปก็จัดการวิญญาณได้  ต้องรู้วิญญาณขณะผัสสะ ไม่ใช่อย่างภิกษุสาติที่พระพุทธเจ้าบริภาษ และไม่ใช่ไปเห็นวิญญาณแบบล่องลอยไป หรือไปนั่งสมาธิหลับตาเห็นไปโน่น

ภิกษุสาติ  มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”

ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น  จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า  ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย  ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี.  (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12  ข.440)

 

เมื่อมีผัสสะอ่านวิญญาณได้ ก็รู้เจตนา แล้วทำใจในใจให้เป็น ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยและมีมนสิการเป็นแดนเกิด อยู่ในมูลสูตร

 

ในอาหาร 4 ต้องรู้  กามในกวริงการาหารก่อนเป็นขั้นต้น แล้วกำจัดกิเลสตัวนี้ได้หมด ก็เหลือกิเลสภายใน โดยไม่ต้องไปนั่งหลับตา ตากระทบรูปก็อยู่เหนือมัน อยู่กับกามาวจรแต่เหนือมัน เหลือเศษที่เป็นหรือรูปาวจรหรืออรูปาวจรก็ลดไปเรื่อยๆ ให้หมดเกลี้ยงโดยไม่ต้องนั่งหลับตา แต่พระพุทธเจ้าก็ให้นั่งให้ตรวจเตวิชโช

 

ตั้งแต่กวริงการาหาร เมื่อตากระทบรูป ตัวกามตัณหามันวิ่งวอน จับไม่ทันเลย หรือถีบส่งเหยียบคันเร่งกามมันด้วยคือคนโง่ เมื่อเราสามารถรู้ชัดในกวริงการาหาร

 

[241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือน

อย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร

เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดาร

อยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขา

ทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของ

เราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดาร

นี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ

คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร

จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากัน

พินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจ

นั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้าม

ทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า

ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย

ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อ

ความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม

 

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทาน

เนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า

ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้น

เหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่ง

เกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์

อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

 

คนเราไม่มีอะไรหรอกต้องมาศึกษาอันนี้แหละ เมื่อลดกิเลสได้ บาปก็ลดลง บุญก็ลดลง กุศลยิ่งเพิ่มขึ้น บุญเป็นสิ่งที่หมดได้ บุญจึงแบ่งกันไม่ได้ บุญบาปเป็นของตนเอง แบ่งใครไม่ได้    สุกฏทุกฏานังผลัง วิปาโก คุณจะทำสุกฎคือกุศล ส่วนทุกฏคือบาป คือกิเลส ก็เป็นวิบากของคุณเอง ซึ่งทุกฏ คือสิ่งที่เลวอยู่กับเรา

 

ผู้สร้างวิมานมาหลอกคน คือคนค้าบุญ ขายบาป หยาบช้า หนาจัด สาหัสสากรรณ์

 

คนที่กินเนื้อสัตว์ ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คือคนที่เมา ฆ่าลูกที่น่ารักของเราเองกิน มันลืมหมด เพราะเมาจัด ทำไปโดยหลง มือสิบหกด้าน หรือมืดสิบแปดด้านเลย ไม่รู้จักมโนปวิจาร 18 ที่ติดหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางหกทวาร เวลาสัมผัสปรุงแล้วแยกแยะไม่ออก ว่าเป็นเวทนาเคหสิตะหรือเนกขัมมะ เราต้องอ่านให้ออกแล้วกำจัดผีแท้ โดยทำการปหาน 5 ให้เป็นสมุทเฉทปหาน ทำให้ขาดได้ตลอดเวลา ให้สมบูรณ์  มันแตะปั๊ปก็หลุดไปเอง เหมือนเอายาหม่องไปทาขาแล้วลงน้ำ พวกปลิงมาแตะปั๊ปมันก็ม่อยลงไปเลย ไม่กล้าดูด นี่คือนิสรณปหาน โลกโลกีย์แตะมันก็หลุดไปเอง ทุกอย่างแพ้หมดไม่ต้องไปทำอะไรเลย

 

คำว่ากินเนื้อสัตว์คือต้องมีการฆ่าสัตว์ และสัตว์ที่ว่า เป็นการฆ่าคนด้วย ที่เป็นลูกตัวเองด้วย แล้วยังดันกินเข้าไป กินแล้วยังหลงอีกว่าไม่รู้ว่าเรากินอะไร? ไม่ได้พิจารณาเลย กินเข้าไป ชีวิตอยู่ได้แท้ๆเพราะอันนี้ ก็ไม่รู้ แล้วบอกว่าลูกเราไปไหน นิทานพระพุทธเจ้านี่สุดซับซ้อนลึกล้ำสาหัสสากรรณ์เลย เป็นคัมภีรา ทุทสา ทุรณุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา บัญฑิตเวทนียา

 

คนหลงขนาดนี้ ถ้าติดมาก ก็ยังมีพยาบาทอาฆาตต่อเนื่องเป็นอจินไตยไม่จบ และที่พูดกันในอาชีวกสูตร คือ สัญญ  เขาเบี้ยวบาลีว่า ไปฆ่ามาให้เจาะจงเฉพาะบุคคล คือคำว่าสัญจิจปานังชีวิตาโมโรเปตุง คือฆ่าสัตว์มีชีวิต สัตว์นี้ตายด้วยความมุ่งหมายของคุณ สัตว์ใดที่ตายด้วยองค์ประกอบของปานาติบาท 5(สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า ฆ่าได้สำเร็จ) สัญจิจปานังชีวิตาโมโรเปตุงฃ คือเจตนาฆ่ามันให้ตาย แล้วสัตว์ที่ตายนี่แหละเรียกว่า อุทิสมังสะ คนฆ่านะไม่ใช่สัตว์อื่นฆ่ากันเอง พระพุทธเจ้าตัดกรอบแค่คนว่าเวรจองกันแค่นี้

 

พระพุทธเจ้าจึงตัดกรอบ ว่าอย่าไปกินสัตว์ที่คนฆ่ามา มันจะไปอีกกี่ชาติไม่รู้ ท่านก็ให้ตัดสะพานเสีย ไม่ให้กินเนื้อสัตว์ และคนเป็นสัตว์กินพืช มีเล็บเหมือนสัตว์กินพืช เขี้ยวก็เป็นแบบสัตว์กินพืช มีอีกมากมายที่ยืนยันว่าคนคือสัตว์กินพืช สัตว์ไม่ใช่อาหารของคน ทั้งเป็นบาป ทั้งเป็นพิษภัย แม้หมอก็รู้ว่าให้คนไข้หยุดกินเนื้อสัตว์แต่หมอยังกินเนื้อสัตว์อยู่เลย

 

ถ้าสัตว์นั้นคนไม่ได้ทำให้มันตายโดยเจตนา แต่เป็นสัตว์ที่ถูกสัตว์ฆ่า เรียกว่า ปวัตตมังสะ แต่ว่าแม้รู้แต่กินสัตว์อยู่ เพราะว่ามันติด หรือว่าเพราะชังน้ำหน้าโพธิรักษ์ ก็เลยกิน

 

เมื่อเราไม่กินเนื้อสัตว์ที่คนฆ่า เขาไปเบี้ยวว่า ต้องเจาะจงฆ่าให้คนชื่อนี้ๆ อันนี้เบี้ยวบาลี แต่ว่าเจาะจงนี่หมายถึงว่าครบองค์ 5  ซึ่งมีอีกสูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าว่า ถวายเนื้อสัตว์ให้ภิกษุกินนี่เป็นบาปนะ เป็นการทำบุญแต่ได้บาป

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาป  มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

สรุปว่า เรื่องสัตว์นี่ เบี้ยวบาลีมาไกล ใครจะกินก็ห้ามไม่ได้หรอก แต่อาตมาก็ต้องพูด ผู้ใดเลิกได้ก็ดีในทุกประการ ลดบาป สุขภาพดี ไม่เสียเศรษฐกิจ มีอีกเยอะเรื่องราว ไม่ขอพูดตรงนี้

 

และพระมักอ้างว่า เขาไม่เจาะจงถวาย ท่านก็ไม่รังเกียจ...คุณก็เจาะช่องว่าเขาไม่เจาะจง เช่นเขาถวายให้สงฆ์ ไม่ได้บอกว่าให้คุณเจาะจง นี่คือคุณก็อธิบายเข้าตัวเองหาเรื่องจะกินให้ได้ แทนที่คุณจะหาทางเลิกให้ได้ นี่คือคนเฉกา เบี้ยวบาลีสำเร็จ คนก็หลง อาตมาก็ว่าเขาเบี้ยวบาลี แต่เขาก็ว่าอาตมาเบี้ยวบาลีเช่นกัน ก็เอาเถอะ เป็นนานาสังวาส ว่ากันได้แต่อย่าให้ถึงฟ้องร้องกัน คนละความเข้าใจ คุณจะอ้างเพื่อยังกินอยู่ก็ไม่เถียงแต่จะไม่กินก็มาฟังอาตมา

 

ถ้าอาตมาจะกินเนื้อสัตว์แต่อาตมาไม่ได้มัวเมาไม่มีกิเลสก็กินได้ แต่จะกินทำไม? ถ้าจะกินเพื่อเป็นยา พระพุทธเจ้าท่านก็ให้กินได้ มีภิกษุในอดีตจองเวรคนนี้ต้องกินเลือดคนนี้จึงหายป่วยก็ต้องให้กินในที่สุด สุดวิสัย

 

การกินเนื้อสัตว์กับการกินเนื้อบุตรอยู่ก็คืออันเดียวกัน มันไม่ขาดกันเรื่องจิตวิญญาณ

 

พลังงานพีชะยังไม่มีกรรมครอง ไม่มีเวทนา ไม่รู้สุขทุกข์ แต่สัตว์มีเวทนารู้สุขทุกข์ มีอุปาทาน จึงจองเวรจองกรรมได้ แต่พืชมันไปตามสภาพของมัน มีสัญญาสังขาร ตามกำหนด          

 

ผู้ใดเจตนาเอากิเลสออก ไม่ให้มากขึ้น พืชมันมีแต่สัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนา เป็นอนุปาทินกสังขาร เป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง แต่สัตว์มันมีวิญญาณครอง ผู้ฆ่าสัตว์ตายแม้ไม่มีเจตนา พระพุทธเจ้าว่าไม่มีบาปแต่ว่าไม่รับรองว่ามันจะจองเวรคุณไหม? เช่นเหยียบหัวงู งูมันก็จองเวรคุณ คุณจะขอโทษอย่างไรมันก็พยาบาท สัตว์มันถ้าไม่จองเวร คุณจะไปทำใจสัตว์อย่างไร?

อาตมายืนยันว่าอาตมากินเนื้อสัตว์ได้ไม่มีบาป เพราะไม่มีกิเลสแต่คุณจะกินแล้วแน่ใจอย่างไรว่าคุณหมดกิเลสแล้ว อย่าเล่นกับกิเลสจะเล่นกับอะไรก็เล่นไปแต่อย่าเล่นกับกิเลส พระพุทธเจ้าว่าโทษภัยอันมีประมาณน้อยอย่าทำเสียเลย

 

งานเจเราก็อย่าให้กินเนื้อสัตว์ ก็เป็นกุศล กินกันไม่กี่วันก็เลิกได้ไม่กี่วัน เป็นกุศล ทำมากก็ได้มาก จะมีเวรภัยที่ลดลงๆ ในกวริงการาหารมีกาม เลิกละได้ก็ไม่มีภัยเพราะไม่มีกาม แม้ที่สุดมีรูปราคะ อรูปราคะ คำว่ารูปราคะคือความจำ ภายนอกไม่เอาเลย มันแค่พริ้วพรายว่ามันยังมีรสอยู่นะ คุณก็ล้าง เมื่อมันหวนขึ้นมาก็จัดการมันอีก มันเป็นทรถะ เป็นอรูปแล้วไม่มีรูปชัด แวบวับ บางทีดูไม่ออก ต้องตามซ้ำในอรูปฌาน คุณก็ตรวจสอบไปอีก พยายามมีอาเสวนาภวนาพหุลีกัมมัง รักษาผลไป ทุกกาละปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต ทั้งส่วนอดีต บุพพันเต ทั้งส่วนอนาคต อปรันเต ในอวิชชา เราทำทุกปัจจุบันให้มั่นคงแข็งแรงแน่ชัด จนคุณแน่ใจ ยืนยัน มีพลังทุนรอนของออีตที่แน่นอน อดีตกับปัจจุบันจะเป็นเครื่องยืนยันว่าอนาคตก็สูญ

 

ใครจะกินก็กินซะ ใครไม่กินเห็นดีจริงจังก็เลิกซะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:34:11 )

570928

รายละเอียด

570928_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก เรื่อง  ทิฏฐิ 62

.เพาะพุทธว่า...วันนี้พ่่อครูจะนำเสนอ โลกุตระ 46 ในพระไตรฯล.31 ข้อ 620 ต่อเนื่องจากครั้งก่อนๆ  มีประเด็นที่จะเล่าก่อนเรื่อง ความก้าวหน้า กับความมักใหญ่ ซึ่งมีกรณีศึกษาเรื่องงานเทศกาลกินเจ ที่อุทยานบุญนิยม จริงๆการทำงานเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าเป็นเรื่องดี แต่ความอยากใหญ่เป็นเรื่องไม่ดี  และมีคำที่พ่อครูพูดชัดก็คือ แต่พวกเราหลายคนอาจไม่มี ไม่มีลูกไม่มีผัว แต่สมบัติวัตถุก็ไม่มี  แต่ทีนี้ติดสมบัติอะไรที่ยึดไว้หอบไว้ ก็ สมบัติบ้า ...

 

ยึดจังนะ ยึดว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ คุณออกความเห็น แสดงความควรอะไรก็แสดงแต่อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา เขาไม่เอาตามกู กูก็โกรธ คุณก็โง่ต่อไป มันลึกซึ้ง ใครอยากได้อิสระก็เรียนดีๆ ใครผูก...ตนเองผูกเอง อวิชชาคือโง่

 

และพ่อครูยังอธิบายเรื่องบุญกับกุศลไว้ว่า การได้บุญคือได้ความไม่ได้ มีบุญคือมีความไม่มี เป็นวรรคทองประจำชีวิตเลย

 

มีคำว่า กรรมารามตา นั้น ไม่ได้แปลว่าไม่ให้ยินดีในการทำงาน แต่ให้แปลว่า อย่าไปหลงติดเสพอารมณ์สุขในการทำงาน

 

ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการรับใช้คฤหัสถ์ พ่อครูว่า ผู้ปฏิบัติธรรม หรือเป็นนักบวชแล้วอาศัยคนอื่นเขากินอยู่กับเขา ก็ว่าอย่ารับใช้คฤหัสถ์ ที่เราอาศัยกินใช้ แล้วก็คือไม่ช่วยอะไรเขาเลยเดี๋ยวจะเป็นการรับใช้ ไม่ได้ ศาสนาถึงเจ๊ง เป็นศักดินนา ดูดกินเป็นปลิงทำร้ายสังคม

 

ถ้าคุณทำเพื่อแลกลาภยศสรรเสริญ ,กามและอัตตา นี่คือคุณรับใช้เขาแล้วแต่ถ้าคุณทำให้เขาอย่างไม่ได้เอาสิ่งแลกเปลี่ยนนี่คือไม่ได้รับใช้ แม้เขาจะกตัญญูให้อะไรตอบแทนแต่ใจเราไม่ได้อยากได้คืนมาเลย นี่คือไม่ได้รับใช้

 

พ่อครูว่า...การที่ท่านทำเพื่อลาภยศสรรเสริญนี่คือการทำงานรับใช้ฆราวาส แต่ถ้าทำอย่างไม่เอาลาถ ยศ สรรเสริญ นี่คือไม่ได้ทำเพื่อรับใช้ฆราวาส

 

คำว่ากาย....ที่บอกว่าตายแล้ว วิญญาณหรือจิตหรือมโนหรือธาตุรู้ของมนุษย์มันก็ออกจากร่าง ร่างกับจิตวิญญาณ ร่างกับมโน หรือร่างกับธาตุรู้ มันไม่ร่วมกันแล้ว คำว่า กายก็หายไป เพราะกายเป็นองค์ประชุมของสิ่งสองสิ่งขึ้นไป

 

คำว่า อัญญา ต้องมี พระพุทธเจ้าเร่ิมพูดกับปัญจวัคคีย์ มีแค่องค์เดียวคือโกณทัญญะ องค์เดียวที่เกิดอัญญา เกิดธาตุรู้นี้ รู้วิชชาของพระพุทธเจ้า นี่เป็นคนแรก คำว่าอัญญาคือความรู้ชนิดของพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายแหล่ก็อนัญญา หรือไม่มีปัญญาอันนั้นขึ้นมาได้

 

คำว่า เอกัคคตา คือฉันจะทำจิตให้มีบทบาทความเป็นเลิศยอดในเฉพาะส่วนตัวของเรา พระพุทธเจ้าว่าให้ปฏิบัติอย่างนี้ คือปฏิบัติมรรค 7 องค์ ไม่ใช่ว่าให้ไปปฏิบัตินั่งสมาธิหลับตา ในพระไตรปิฎก 45 เล่มไม่มีว่าให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ มีแต่ว่าปฏิบัติมรรค 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ

 

.เพาะพุทธว่า...คำพูดนี้สอดคล้องกับ ดร.ท่านหนึ่งไปพูดในงานเกี่ยวกับพุทธศาสนาโลกว่า...ในพระไตรฯเถรวาทไม่มีคำว่านั่งหลับตาทำสมาธิ

 

พ่อครูว่า... จิตเอกัตตา คือจิตไม่มีนิวรณ์ 5 แต่การไปนั่งหลับตาก็ไม่มีนิวรณ์ได้ โล่งว่างก็ทำได้ เป็นสัญญากำหนดว่าไม่มีกิเลส ซึ่งเป็นข้อ 2 ในสัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7 แต่ว่าลืมตาจะทำสมาธิได้อย่างไรก็ทำ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ไง อาตมามีสมาธิ มีนิโรธ ในขณะพูดด้วยนะขณะนี้ อาตมาอ่านจิตอาตมาว่าไม่มีกิเลสด้วยนะ ในขณะกระทำทุกอย่าง ทุกกรรม กรรมต่างๆทำไปก็ไม่มีกิเลส แม้ขณะทำงานอาชีพ ทุกอาชีพที่ทำงานเลี้ยงชีพอยู่ คุณก็ไม่มีกิเลส แต่ไม่ใช่บอกว่าฉันกำลังจะโกงนี่ฉันไ่ม่มีกิเลสนะ ไอ้การโกงนี่ก็เป็นกิเลสแล้ว นี่คือกายกลิ คือองค์ประชุมที่เลวร้าย มีตัวเลวร้ายมาร่วมประชุมกับจิต

 

สรุปแล้วคำว่า กาย ท่านเริ่มต้นตั้งแต่ข้อแรกของโพธิปักขิยธรรม 37 คือให้พิจารณา กายในกาย แต่รู้กายนอก กายนอกคุณอย่าทิ้ง ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ทิ้ง คุณหลับตาทำอานาปานสติ คุณอย่าทิ้งกายแม้เหลือลมอีกนิดก็อย่าทิ้ง ถ้าขาดความเป็นกายก็ไม่มีวิโมกข์ วิโมกข์ต้องสัมผัสด้วยกาย แม้ลมหายใจเข้าออกก็ต้องเรียนรู้

 

คำว่า กายปัสสัทธิไม่ใช่ว่าร่างไม่กระดิก แต่ว่าที่จริงคือกิเลสไม่มากระดิกในกายนี้เลย กายสังขารก็สงบ กิเลสมันไม่มีบทบาท มาในจิตเลย กายคล่องแคล่ว ว่องไว ทำงาน ขยัน สมรรถนะสูง ทำงานเต็มที่ มีมหาปเทส 4 ทำงานอยู่ ไ่ม่ใช่นั่งหลับตาตัวนิ่งไม่ใช่ร่างปัสสัทธิ สรีระปัสสัทธินะ

 

คำว่า กายต้องมีนามและรูป ถ้ากายแตกตาย คือเหลือแต่ร่างกับธาตุรู้ จะเรียกว่ามโนหรือวิบากจิตก็ได้...ขอแวะลงไปในพวกนักหลง เช่นเขาหลงว่า คนนี้มีบารมีสูง ตายแล้วเล็บผมยังงอกอยู่ ที่จริงเขาตกนรกหนัก เขายึดแค่พลังงานพีชะ เป็นมนุษย์พืช เขาก็ยังยึดว่าเขาไ่ม่ตายๆ ก็ยังมีสิ่งที่งอกอยู่ มีผมมีเล็บงอกอยู่ หนังก็ไม่สลายไปง่ายๆ คนก็ยังหลงว่ามันยังอยู่ พวกนี้นรกกินหัวหนัก ยึดมั่นถือมั่นในพลังงานที่ควรจะสลาย ก็ยังยึดอยู่ทำให้ผมทำให้เล็บยังงอกอยู่ เป็นนักยึด นักยึดนี่แหละสัตว์นรก ขออภัย ไอ้อีคนไหนเป็นนักยึด ไอ้อีคนนั้นคือสัตว์นรก นี่คือสำนวนโพธิรักษ์ โดนใครบ้าง?

 

 

คนที่ไปเข้าใจว่า คนตายแล้วไม่เน่า เล็บ ผม ยังงอก เป็นสิ่งที่พีชะยังทำงาน มันไ่ม่ใช่กาย เป็นแค่องค์ประชุมของพีชะ เพราะเล็บนี่มันไม่เจ็บนะ หรือขนก็ไม่เจ็บ หนังชั้นนอกก็ไม่เจ็บ อย่าไปถูกเส้นประสาทนะ ผมขน เล็บ ฟัน หนังไม่มีประสาท แต่มันต่อเนื่องหาประสาทหาเนื้อ แต่ตัด เจาะมันไม่เจ็บหรอก หนังถ้าหนาๆก็ไม่เจ็บ ผมขนเล็บฟันหนังเป็นวัตถุที่เชื่อมต่อกับประสาทกับกาย แต่ถ้าไปยึดอยู่หนังก็ไม่ให้เน่าอยู่ นี่ใครยึดก็เป็นสัตว์นรกอยู่ แล้วไปนิยมชมชอบอีกก็หลงผิดไปยึดบูชาสัตว์นรก ชัดเจนไหม? งมงายขนาดหนัก มันเป็นแค่พีชะ เป็นอุปาทินกสังขาร สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง ไปหลงผิดยึดสิ่งผิดเป็นส่ิงวิเศษ ใครยังไปกราบเคารพศพที่เล็บผมยังงอกอยู่ คนนั้นเคารพสัตว์นรก พูดให้แรงเพื่อไม่ให้ทำผิดต่อไป

 

ร่างที่ไม่มีวิญญาณ มันแยกกันแล้วระหว่างกายกับจิต ที่จริงคือร่างกับจิต ถ้าร่างกับจิตยึดกันแล้วก็เป็นกาย คนตายไปไม่มีกาย มีแต่ร่างกับจิต จิตคือวิบากในอนุสัยอาสวะคุณ นั่นแหละของคุณปฏิเสธไม่ได้ และมันไม่ตายง่ายๆด้วยนะ หลายศาสนาถือว่าอมตะนิรันดรเลยนะ เขาไม่สามารถล้างอัตภาพได้ ล้างกิเลสไม่ได้ 

 

คุณมีสิทธิ์ล้างกิเลสตอนมีผัสสะได้ แต่หลังจากนั้นมันสะสมเป็นวิบาก แต่การทำกุศลไม่ได้ไปล้างวิบากนะ แต่เป็นเพียงตัวกั้นให้วิบากบาปมาถึงช้าลง แต่บุญเป็นตัวปัญญ ส่วนกุศลไม่ใช่ปัญญา กุศลเป็นแค่เฉโก ตัว ฉ คือ 6  แต่ตัว ก นี่เป็นตัวกลาง ส่วนตัว ล และ ฬ เป็นตัวเลอะ

 

กรรม มี 3 กรรม คืออดีต ปัจจุบัน อนาคต ใครยึดอย่างไหนก็เอามาใช้ ใครเข้าใจกรรมปัจจุบันก็เอากรรมปัจจุบัน มาใช้ แตกเป็นทิฏฐิ 62

 

อดีต มี 18  อนาคต44  รวมเป็น ทิฏฐิ 62 ส่วนปัจจุบันที่พาพ้นทุกข์ คือนิพพาน 5

 

อนาคตนี่สร้างได้มากมาย สร้างวิมานมากมาย อย่างธรรม กายนี่สร้างไว้มากมายเลย เถรสมาคมก็ส่งเสริมอีกก็พากันลงนรก เป็นวิมานลอยลม เป็นสวรรค์โลกีย์นับไม่ถ้วน

 

ปัจจุบันมี 5 แต่ก็มีขั้นตอนในการพาพ้นทุกข์ แต่ละขั้นตอนก็ยังมีตัวหลงติดอยู่ คนหลงใหลจุดสุดท้ายของชีวิตเหมือนกันหมด คือ สุข ใครๆก็อยากได้สุข หากคุณได้ สุก สมบูรณ์ แต่ถ้าคุณได้สุข ยังมีความว่าง อย่างน้อยก็ยึดความว่าง แต่สุก คือหมดทุกอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นเลย คือ ไก่ กับไข่ ใครเกิดก่อนกันพูดกันยาก ผู้ใดรู้จักไก่กับไข่นะ ไข่จะเกิดไม่ได้หากไม่มีไก่ ความเป็นแม่เกิดก่อน  มีในสัมมาทิฏฐิ 10 อัตถิมาตา อัตถิปิตา

 

. คือความว่าง คืออากาสธาตุ คนที่ยังยึดอากาสธาตุคือคนมีตัวตน ใครทำความว่างก็อาศัยความว่างเป็นปริเฉทรูปสุดท้าย ในจูฬสุญญตาสูตรว่า ศาลาว่างจากช้าง ม้า คน แต่ศาลานี้ไม่ว่างจากเสา จนกระทั่งไม่มีอะไรเลย ก็ยังมีช่องว่าง ความว่าง แต่ยังมีองค์ประกอบขันธ์ 5 แต่ใครทำความว่างก็อย่าไปยึดความว่าง แต่คนหลงติดความว่างนั่นแหละคือสุข

 

ธรรมกายให้ยึดความ ว่าง ใส คือสายอาภัสสรา ส่วนสายมืดคือสายอ.มั่น สายพระป่า ยึดกิณหะ ยึดมืด แทนที่จะยึดใสว่างโล่ง แต่ไปยึดความดำมืดไม่มีที่ไปที่มา คือมืดหมด เป็นกิณหะ ฝ่ายนี้ยึดอยู่กับที่ ดีที่ไม่ไปอาละวาด ไม่ไปสร้างวิมานหลอกใคร แต่สร้างวิมานมือดำไม่ขยายผลต่อ ก็อาละวาดน้อย เผยแพร่น้อย แต่พวกอาภัสรา แสงสว่างก็อาละวาดไปทั่วโลกจะออกนอกโลกไป

 

คุณยึดแม้ความว่าง ยึดความไม่มี ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ว่างไม่มีที่สิ้นสุดนะ แต่มืดนี่มีที่สุดนะ ไม่มีมืดแบบไม่มีที่สิ้นสุด มันไร้ความกำหนดรู้ ไร้สัญญา เวทนาแล้วก็จบสุดไม่มีที่ไปก็มืดแค่นั้นแต่พวกใสนี่ใสไปบ้าๆบอๆอะไรไปมากมายนะ เป็นลัทธิสร้างวิมาน ทั้งรูปทั้งวิมานคิดไปไม่รู้จบ ปรุงแต่งบานไปมากมายเลย ลัทธิเขาต้องเป็นลัทธิจานบินแน่นอนเขาต้องออกไปนอกโลก ทำไมเจดีย์ของธรรมกายต้องเป็นจานบิน เขาไม่ได้เจตนานะแต่เขาต้องเป็นเช่นนี้ อาตมาต้องจี้ลงไปให้เขาหยุดลงนรกนะ อาตมาห้ามด้วยเมตตา ไม่ได้ด้วยโกรธเกลียดริสยาเลย

 

คำว่า สุข คำว่า สุ แปลว่าดี คำว่า ข คือว่าง คำว่า สุก เป็นตัวต้นตัวแรกของดีเลยนะ แม้คุณจะเห็นว่า ก คือดีคือกรณะ คือบทบาท คุณก็อาศัยอันนี้ทำอยู่ในโลกเป็นกรณะเท่านั้นใช้ สัปปุริสธรรม มหาปเทสเท่านั้น แต่ต้องระวัง ก ที่เป็น กลิ คือสิ่งเลวร้ายเท่านั้น

 

กายกลิ คุณต้องรู้จัก ถ้ามี ก มานำหน้าเป็นตัวที่จะขยายข้างหน้าทั้งหมดเลย เป็นตัวที่จะเกิด ไปอยู่กับใครมันเกิดทั้งนั้นแต่ถ้าเกิดด้วยปัญญา ก็ดี คือสุก แต่ถ้าใครเขียนผาสุก คือยังมีตัวต้นตัวอาศัย แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเรา แต่ถ้าสุข คือถูกต้มจนสุกเลย แม้แต่ ก เป็นตัวต้นที่สุดก็อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา

 

ทิฏฐิ 62  อดีต มี 18  อนาคต44 และที่จะพาไปนิพพานมี 5 อย่าง คืออยู่กับปัจจุบันขณะ

 

ทิฏฐิ พวกยึดในปัจจุบัน มี 5 อย่างคือ

1.กาม

2.ฌาน1

3.ฌาน 2

4.ฌาน 3

5.ฌาน 4

 

เขายึดห้้าอย่างนี้ว่าเป็นสุข ได้กามนี่เป็นสุข

 

ฌาน 1 ได้ วิตก วิจารเป็นสุข ก็ยังยึดนึกว่าจิตตัวเองยังเบาว่างนะ แม้ปัจจุบันเขาได้ฌาน  ในปัจจุบันนี้ก็ตาม กายของปฐมฌาน องค์ประชุม เป็นนิพพานของคนที่ยึด  เป็น สุข

 

ต่อจากฌาน 1 เป็นฌาน 2 ก็พ้นวิตกวิจาร ภูมิสูงขึ้นแล้ว ยึดว่าดีหมด ดีดะไปหมด แต่ไม่ชำระต่อก็เน่าในหมักหมมอยู่

 

ฌาน 3 ก็เบาว่างกว่า แม้ปีติก็ไม่มี มีแต่กลางๆอุเบกขาไม่ทุกข์ไม่สุข สงบ ก็เอาแต่สุขสงบ แต่ก็มีอาการรสของความสุขอยู่นะ มีอุเบกขาเป็นที่สุด สิ้นทุกข์สิ้นสุข อทุกขมสุข ตัวนี้แหละคือตัว กรรม กัมมัญญา ผู้ใดมีปัญญาก็ทำการงานอยู่แต่จิตไม่เอียงไปทางไหน เป็นกลาง นำ้เชื้อที่จะก่อความเกิดของสัตว์โลก เป็นสุกะ เป็นวัตถุ ไม่มีความเป็นชีวะของจิตนิยามแล้ว แต่อาจยังมีพีชะนิยามอยู่

 

พอเรารู้จักตัวอาศัยแล้ว  สุดท้ายขอสรุปว่า คุณยังมีขันธ์อยู่แต่ก็สะอาดหมดจดทุกขันธ์ ก็ยังเป็นปัญญจขันธาภารหเว เป็นขันธ์ 5 ที่ยังเป็นภาระ ต้องดูแลขันธ์ แม้ขันธ์ 5 สะอาดแล้วนะ ก็ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ต้องมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้

 

ทุกข์ 10

. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (กายิกทุกข์ อันเกิดจากกาย)

1.    สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย

2.   นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ

3.   อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .

4.    พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ

5.    วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้

6.    ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5  อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่

 

. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับได้แท้)

7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกข  โทมนัส  อุปายาส  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือสิ่งอันเป็น ที่รัก เป็นต้น)

8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา)

9. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก  เช่น  ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)

10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า)

 

คนก็หลงอยู่สองอย่างคือความดำ กับความสว่าง คุณต้องตัดภพนอกหมด ไปนั่งหลับตาอยู่ในภพ มีสองภพคือดับดำ กับพวกสว่างโล่งว่าง ซึ่งก็มีว่างไล่ระดับไปเรื่อยๆไม่มีสิ้นสุด ปั้นไปได้เรื่อยๆ เป็นพวกอัตวาทุปาทาน ยึดมั่นสร้างวิมานในภพ  เป็นพวกอาภัสรา ส่วนพวกดับเป็นกิณหะ

 

ส่วนพวกสายเรียนบัญญัติความรู้ จบดร.มาอีก เปรียญอีก อาตมาเถียงสู้ไม่ได้หรอก ตอนนี้มีมากในโลก มากกว่าสายนั่งปฏิบัติหลับตาที่หลงอาภัสราหรือสุภกิณหะ แต่พวกสายปัญญามีมากกว่า ได้แต่สร้างปัญญาเป็นบัญญัติ ปั้นวิมานเป็นตัวหลอกเต็มไปหมด ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองว่าถูก คุณไปสร้างวิมานพยัญชนะเป็นอะไรหลอกไว้มากมาย เพราะคุณปั้นไว้เยอะ อาตมารู้ไม่เท่าคุณหรอก ไม่เคยตัดสันตติของมันเลยทั้ง space and time ทุกอย่างคุณมีแต่ continuum ไม่มีการตัดเลย ในทุกปัจจุบัน แล้วก็ไม่เคยหมดอะไรที่จะเชื่อมต่อ อากาสานัญจายตนะ คุณยังเอาเลย ไม่มีอะไรนิดหนึ่งน้อยหนึ่งยังเอามาเป็นตัวกูของกูเลย

 

พอยึดปุ๊ปก็เป็นตัวตนเลย หากคุณยึดเอาอดีตเป็นอัตตา อดีตคุณคุณก็จำได้ ถ้าจำไม่ได้ก็ยึดไม่ได้ แต่ถ้าจำได้ฝังไว้ มันก็อยู่ในสัญญาของคุณ  ถ้าคุณทำอีกมันก็เป็นอดีตใหม่ อดีตมีอยู่ 18 ทิฏฐิ แต่อนาคตมี 44​ทิฏฐิ ซึ่งอธิบายได้ยาก เพราะเขาปรุงกันไปได้มากมาย

 

เช่นยึดเอาสุขเป็นจริง ทั้งที่สุขมันเป็นเท็จเป็นของหลอก มันเกิดยามสัมผัส หากขาดจากสัมผัสแล้วไม่มี เป็นเพียงสัญญา ความจำ ไม่ใช่ของสดไม่ใช่ของจริง

 

พวกพีชะไม่มีความฟุ้ง แต่จิตนิยามนี่ฟุ้งได้เร็วไวไกล เร็วกว่าแสงอีก ได้ไกลมากกว่าแสงอีก ถ้าคิดออกนอกเอกภพนี้ได้มันออกไปนะ แต่นอกเอกภพมันไม่มีให้คิดหรอกมันยังไ่ม่มีอะไร แต่แค่ในเอกภพก็ปรุงสร้างได้มากมาย เป็นทิฏฐิ 44 ในอนาคต ถ้าไปยึดสิ่งใดก็เป็นที่พอใจเป็นสุข เท่าที่คุณมีความรู้

 

ความรู้ที่่รู้กันหมด  สุด ก็คือสุตะ ภาษาไทยก็มาจากบาลีว่าสุตะ แปลว่ารู้ ถ้าหมดรู้แล้วไปไหน มันก็ไม่มี สุตะแปลว่ารู้  สุดแล้วมันไม่มี อะไรจะมีหรือไม่มีก็อยู่ที่วิญญาณ หากไม่มีวิญญาณก็เป็นพีชะ

 

แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน  ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว แม้แต่มนุษย์ที่จบดร.มา 5 ใบก็ฟังอาตมาไม่ออก ทำใจในใจไม่เป็น เป็นอเวไนยสัตว์ มีความรู้ท่วมหัวเลย ใครก็ยกย่องเป็นผู้รู้ปราชญ์เอกของโลกเลยแต่ทำใจในใจไม่เป็น มนสิการไม่เป็นก็ยังอวิชชาทั้งนั้นเลย  พวกหลงความรู้นี่น่าสงสารกว่าพวกหลงดำหลงสว่าง เพราะพวกความรู้นี่ไปได้มากมายกว้างใหญ่ ในหลวงเราว่าอย่าไปหลงความรู้ตำราให้มากเลยให้ทำแบบพออยู่พอกินนี่แหละ สุดยอดแล้ว

 

พวกที่ยังยึดอดีตอนาคตว่าเป็นเราเป็นของเราก็ยังไม่ดีทั้งนั้น มีแต่นิพพานในปัจจุบัน 5 เท่านั้นที่พ้นทุกข์ได้

 

พระพุทธเจ้าสรุปลงที่ความมีและไม่มี ในพระไตร.ล.16 ข.43 สิ่งใดที่ไม่ควรให้มีให้เอาออกได้ ก็เป็นอัตถิ แต่ถ้าทำออกไม่ได้ก็เป็นนัตถิ

 

คนเราหากยังยึดมั่นถือมั่นในอดีต18  อนาคต44 ยังเป็นเราเป็นของเรา คุณต้องมาล้างสิ่งไม่ดีออกในทุกปัจจุบัน ให้สั่งสมเป็นอดีตที่ดีไปเรื่อยๆ ให้เป็นผู้หมดบุญหมดบาป ในทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่มากพอจนพยากรณ์ได้ทุกปัจจุบันเลยว่าไม่มีกิเลสอีกแล้ว ทำกุศลกั้นให้วิบากมันมาได้ช้าลงๆ ต้องไม่เข้าใจผิดในนิพพาน 5 ไม่มีสุขในกามในฌานทั้ง 4 จะอาศัยได้ไม่มีนิวรณ์ 5 ไม่หลงใหลสุขไม่ยึดมั่นสุข ก็ได้ อาศัยแต่อุเบกขา เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสราเท่านั้นเอง  อยู่กับนิพพาน 5 โดยไม่เสพไม่ติด ไม่ซึมไม่ซับไม่ดูด อยู่กับกามกับฌานแต่ใช้ฌานเป็นนะไม่ติดกามด้วย มีปีติสุข ที่เป็นสุขสงบปีติ เป็นผรณาปีติ ไม่มีอุเพพงคาปีติ มีโอกกันติกาบ้าง มีขุททกาปีติในขณะนี้ไม่จับเป็นก้อนโอกกัตติกา แค่สุขกับอุเบกขาพอแล้ว อาตมาแสดงธรรมอย่างเป็นสุข

 

 

.เพาะพุทธว่า..คนที่แบกอดีตนี่จะแบก 18 กก. คนที่แบกอนาคตนี่แบก 44 กก. แต่พวกที่อยู่กับปัจจุบันนี่แบกแค่ 5 กก.คนอยู่กับปัจจุบันจะเบาที่ีสุด


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:35:06 )

570929

รายละเอียด

570929_ธรรมาธรรมะสงคราม เรื่อง ล้างอัตตาอย่างโลกุตรธรรม

พ่อครูว่า...วันนี้มาพร้อมกับไอ คำว่า ไอ แปลว่าฉัน เขาล้อว่าเป็นตัวตน แต่ที่จริงอาตมาไปเพราะสรีระมันไม่สมดุล แต่ที่พูดว่าไอนี่เป็นตัวตน นี่คือความลึกซึ้ง ยึดถือในสิ่งที่เป็นคุณธรรมความรู้ที่ลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบตัวตน

 

ตัวตนเป็นตัวสำคัญ ตัวร้ายของชีวิตคน ชีวิตสัตว์มันสอนไม่ได้ไม่รู้เรื่อง ส่วนคนยังมีที่เรียนรู้โลกุตรธรรมได้ แต่ถ้าไม่เรียนรู้ขั้นโลกุตรธรรม ก็ไม่มีสิทธิ์รู้จักความเป็นตัวตน หรืออัตตา  ความรู้เรื่องตัวตนจึงเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากที่สุด ศาสนาอื่นมากมายก็ศึกษา เขาก็มาถามพระพุทธเจ้าว่า อัตตามีหรือไม่ต่างๆนานาสารพัด แต่ศาสนาพุทธมั่นใจสมบูรณ์แบบในการรู้จักอัตตา

 

เกิดจากนามธรรมเราไปยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะไปยึดในอัตตาที่เป็นอกุศล ทำจิตให้ยึดมั่นถือมั่นในอกุศลต่างๆ พระพุทธเจ้าก็เลยเอาเรื่องนี้มาสอน ท่านค้นพบเรื่องนี้แหละเป็นโลกุตรธรรม คำว่าโลกุตระ เป็นเรื่องย่ิงใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ ท่านเรียกว่าความเป็นโลกคือโลกียะ ได้แก่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จริงๆความสุขนั้นคืออัตตา ได้ลาภ มาก็สุข ได้ยศมาก็สุข ได้สรรเสริญก็สุข เมื่อเสื่อมก็ทุกข์ และก็ยังมี กาม กับอัตตาอีก

 

ได้เสพกามสมใจก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์

ได้บำเรออัตตาก็สุข จริงๆแล้วอัตตาเป็นสิ่งอาศัยในชีวิต อัตตทัตถสุข ก็เป็นสุขของอัตตา ซึ่งสุขทั้งในกามและอัตตาก็เป็นเท็จ ท่านตรัสว่า อัตตกิลมถะ

 

ความเป็นอัตตาที่มีสุขอยู่ก็ต้องมีทุกข์เสมอไป มันเป็นของคู่กัน หากหมดสุขหมดทุกข์แล้วก็ไม่มีโลกียะ คำว่าสุขทุกข์เป็นโลกียะ หมดสุขทุกข์ก็หมดโลกียะธรรม บรรลุเป็นโลกุตรธรรม แม้จะเป็นผู้มีอัตตาบริสุทธิ์แล้ว เป็นอัตตาที่ไม่ต้องล้างกิเลส เหตุแห่งทุกข์สุขแล้ว อัตตานั้นก็ยังมีอยู่ รูปขันธ์ นามขันธ์ที่สะอาดหมดแล้ว สิ้นอาสวะอวิชชาอนุสัยหมด สะอาดทั้งหมด ในขันธ์ 5 แล้ว ก็ยังมีตัวตนที่สะอาด แม้มีตัวตนสะอาดแล้วก็ยังเป็นกิลมถะ มันเป็นภาระที่ยังทำความลำบาก

 

มันเจ็บป่วยก็ลำบาก มันไม่สมดุล เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องหาอาหารให้มัน แม้แต่มันมีวิบากตามมาทันก็ทุกข์ มีทุกขันธ์ พยาธิทุกข์ อาหารปริเยติทุกข์ นิพัทธ์ทุกข์ วิปากทุกข์ แม้มีขันธ์ก็ทุกข์ เป็นกิลมถะ

 

ผู้จะรู้ว่าขัันธ์ 5 นี้เป็นภาระ เป็นความลำบาก ถ้าอยู่ในฐานอนาคามีจะชัด เพราะอยู่ในฐานในจิต ส่วนโลกภายนอกนั้น อนาคามีหมดทุกข์สุขกับข้างนอกหมดแล้ว ในกามภพ จะมีบ้างมีสุขทุกข์ที่เหลือ แต่ผู้ที่ขันธ์ 5 สะอาดก็ยังเป็นกิลมถะ หรือยังมี ทรถะ มีความยังเป็นกังวลที่จะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันยังไม่เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน คือเลิกสูญไปเลยจริงๆ

 

วันนี้จะขยายความว่า เราจะล้างอัตตา ล้างกิเลสให้หมด อย่างโลกุตรธรรม จะเป็นอย่างไร?

 

วันนี้ ไม่ได้สอนนิสิต วนบ. ที่บ้านราชฯ ตอนนี้อยู่ปฐมอโศก เป็นรายการพิเศษ ให้ทางบ้านส่งประเด็นมาถามไถ่หรือเสนอความเห็นได้ 085-1790229

 

ศานาพุทธ ไม่เหมือนศาสนาอื่นสำคัญๆที่สองประเด็นคือ 1.เป็นอเทวนิยม และเป็น 2.โลกุตระ

 

ในพระไตรฯล. 31 ข.620 ท่านตรัวไว้ชัดเรื่องโลกุตรธรรม ว่ามีเท่าไหร่ [620] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4

อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4สามัญผล 4 และนิพพาน

ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ

 

ผู้จะเข้าเขตโลกุตระขั้นแรกสุดต้องรู้จัก กาย ผู้มีญาณปัญญารู้จัก สักกายะ ในสังโยชน์ 10 ข้อที่ 1 เมื่อรู้กายก็ให้พิจารณา กายในกาย คือปฏิบัติอ่านรู้ความเป็นจริงขององค์ประชุม กาย คือประกอบไปด้วยรูป และนาม คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ท่านย่อไว้ 4 คำ อ่านรูป คำว่า รูปนี้คือนามรูป ส่วนรูปตัวแรกหมายถึงดิน น้ำ ไฟ ลม ข้างนอก แล้วชีวิตก็เกี่ยวข้องกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อเกี่ยวข้องก็มีวิญญาณมาเกี่ยวข้อง เกิดรูปต่างๆอีก พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้รูปเหล่านั้น ปฏิบัติล้างกิเลสในรูปเหล่านั้น เป็น มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24 เกิดกิเลสในนาม รูปเหล่านี้

 

กายในกายประชุมกันเป็น เวทนา เป็น จิต เป็นธรรม ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 มีกาย ที่เชื่อมโยงไปเวทนา มันมีจิตในองค์ประชุมนั้น เวทนาที่ซ้อนกันอยู่ สังขารกันอยู่ เป็นจิต

 

ในพระไตรฯ  มีทิฏฐิ 62 ในโลกที่ผิด เป็นคนที่อาศัยขันธ์ในอดีต กับอาศัยขันธ์ในอนาคต

 

คนที่ระลึกตามขันธ์ในอดีตมี 18 จำพวก

 

ส่วนคนที่ฟุ้งไปในอนาคต มี 44​ จำพวก

 

รวมแล้ว เป็นทิฏฐิ 62 ซึ่งทั้งอดีตกับอนาคต ไม่เที่ยง และสิ่งที่เที่ยงก็มี สิ่งที่ไม่เที่ยงก็มี อะไรก็อนิจจังไม่คงที่ พระพุทธเจ้าสอนลัทธิที่สอนทิฏฐิ ปัจจุบัน 5 เรียกว่ทิฏฐธรรม แต่ในปัจจุบัน 5 คนที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ก็จะหลงไปและยึดได้ความสมใจในทิฏฐิ 5 เป็นสุดยอดของความต้องการคือ

1.กาม     2.ฌาน 1       3. ฌาน 2      4.ฌาน 3       5.ฌาน 4

 

ทั้งหมดรวมเป็น ทิฏฐิ 67 ซึ่งมีทิฏฐิที่ผิดอยู่ 62 และมีทิฏฐิที่ถูกแต่ก็มีผิดอยู่ด้วย อีก 5

 

ธรรมะพระพุทธเจ้ามี ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ทุกวันนี้การสอนศีล ที่เขาสอนกัน สอนว่าศีลมีอานิสงส์แค่ กาย กับวาจา แบบนี้สอนผิด เพราะอย่างในกิมัตถิยสูตร ในพระไตร.ล.24 ท่านบอกชัดว่า ศีลมีอานิสงส์ 10 อย่าง ธรรมดาจิตปุถุชนจะมีความเดือดเนื้อร้อนใจ วิปฏิสารอยู่ตลอดเวลา เช่น เรานั่งตรงนี้ เราก็มีความสบายโปร่ง คุณอาจมีทุกข์เพราะเป็นหนี้หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้ก็มาหาทางสบายโดยมานั่งตรงนี้ หรือว่ากลบเกลื่อนโดยการไปกินเหล้าหรือไปนั่งหลับซะ ลืมส่ิงที่เป็นวิปฏิสารไปชั่วคราว จริงๆแล้วคุณมีวิปฏิสารตลอดเวลา แล้วมีหลักอะไรปฏิบัติแล้วลดความวิปฏิสาร ก็คือ หลัก ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ใจนั้นต่างหากที่เดือดร้อน ไม่ใช่อยู่ที่ร่าง แต่ว่ากายนั้นจะมีนามร่วมด้วย กายที่ไม่มีนามมารู้ด้วยก็เป็น กายที่อวิชชา ปุถุชนที่ไม่ได้เรียนรู้กาย ก็อวิชชาทั้งนั้น

 

เร่ิมต้นปฏิบัติศีล พระพุทธเจ้าว่าจะมีอานิสงส์ เป็น

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

 

 

แต่ไปสอนว่า ศีล ปฏิบัติได้แต่ กายกับวาจา ก็ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าสอน ส่วนการจะได้สมาธิเขาก็ไปนั่งหลับตา ซึ่งผิดทางพุทธ พระพุทธเจ้าก็เคยทำผิดตอนออกบวชใหม่ๆ ส่วนพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ก็สอนเรื่อง โพธิปักขิยธรรม 37 ท่านกำกับสมาธิของท่านเลยว่า เป็นสัมมาสมาธิ แล้วจะเกิดได้ต้องปฏิบัติหลัก อาริยมรรค 7 ข้อ ตรัสในมหาจัตตารีสกสูตร ล.14 ข.252

 

 

อาตมารู้ว่าจะต้องใช้องค์ประกอบศิลป์อย่างไรให้คนใส่ใจฟังธรรม อาตมาเลือกใช้สิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างให้ได้สัดส่วน เป็นศิลปะระดับอภิธรรม ระดับปรมัตถ์ เป็นเรื่องยาก เป็น Abstract รู้ได้ยาก

 

ที่สอนกันมาเขาสอน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไม่ตรงไม่สัมมาทิฏฐิ อย่างการนั่งสมาธิหลับตานั้นไม่ใช่ของพุทธ แต่เป็นสมาธิแบบเก่าโบราณ ส่วนสมาธิพุทธต้องปฏิบัติมรรค มี คิด พูด ทำ อาชีพ และท่านเรียกองค์รวมของ การคิด พูด ทำ ว่าเป็นกัมมันตะ และกรรมที่เป็นกรรมเลี้ยงตน คือ อาชีพ นี่คือการปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติในกรรมทั้งหมด  เกิดวิบากเป็นทุกฏ หรือสุกฏ ก็เกิดที่กรรม การล้างเหตุแห่งสุขทุกข์ ที่เป็นตัวร้ายเป็นตัวเลวของจิต เมื่อชำระไปได้เรื่อยๆจนหมด ก็เลิกไม่ต้องชำระ การชำระท่านเรียกว่า บุญ ส่วนส่ิงที่ดีกลางๆเรียกว่ากุศล จิตดีก็เรียกกุศล จิตไม่ดีก็เรียกอกุศล ส่วนการชำระกิเลสก็เรียกว่าบุญ เป็นการชำระจิตสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์​( สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ)

 

การชำระจิตนั้นในขณะที่เคร่งคุมอยู่เต็มที่เรียกว่า ฌาน 1 มีวิตกวิจาร แล้วอ่านผลว่าตนทำได้มีปีติ มีสุข สุขเพราะทำกิเลสลดได้ ไม่ใช่สุขอย่างโลกๆ สุขอย่างทำให้เกิดผลกิเลสลดได้ ลดทุกข์ได้ ลดทุจริต ก็เกิดสุจริตขึ้น (สุกฏ ทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก)

 

ในโพธิปักขิยธรรม 37  เริ่มที่ กายในกาย ต้องรู้สักกายะ แล้วปฏิบัติธรรมมีบุญ คือลดกิเลสได้ เร่ิมมีผล ก็พ้นสักกายทิฏฐิ ทำได้อย่างไม่สงสัยเลย ทำให้กิเลสลดได้

 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา?

_ผมมีลูกสาวเป็นลูกเลี้ยง ผมอายุ 61 ลูกอายุ 41 ปี ลูกทะเลาะกับผม ผมตบหน้าลูก 1 ครั้ง ลูกข่วนหน้าผม เขาเป็นลูกทรพี เขาจะตกนรกขุมไหน?

 

ตอบ..เมื่อมีเหตุให้ต้องลงโทษ อาตมาไม่มีความรู้ว่านรกมีกี่ขุม? อาตมาไม่เก่งแบบเขา ส่วนอาตมาที่รู้อาตมาก็บอก เขาก็หาว่าอาตมาอวดดีอวดเก่ง แต่อันใดอาตมาไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้?....

อย่างนี้พ่อก็อาจเป็นทรพาก็ได้ ตบลูกด้วยจิตโกรธ อาตมาสอนคุรุว่า ถ้าจะตีเด็ก ไม่ให้คุรุที่เป็นคู่กรณีตีเด็ก ต้องให้เข้าคณะกรรมการตัดสินว่าให้ใครตี โดยไ่ม่ใช่คู่กรณี เขาก็จะตีด้วยการลงโทษ ไม่ได้ตีด้วยโกรธ คุณตีด้วยโกรธ คุณก็มีนรก คุณก็เป็นทรพา ลูกก็เป็นทรพี ส่วนการทะเลาะกันใครเร่ิมก่อก่อนก็ไม่รู้ แล้วยังมีใครเหมาะควรกว่ากัน จะถูกตบหรือไม่? แต่การตบด้วยโกรธมันผิดแล้ว แต่ถ้าจะตบแล้วก็ต้องบอกว่าจะตบหน้านะ ลูกผิดแล้ว ต้องไม่มีจิตโกรธนะ แต่จะตบลงโทษด้วยเมตตาก็มี อาตมาไม่ห้ามลงโทษนะ แต่ตีต้องไม่มีนรก ตีให้เกิดการรู้ตัว ให้สำนึก  คุณต้องดูตัวเองด้วย จะตีลูก แต่เพราะถือดีถือตัวว่าเลี้่ยงเขามา ก็เลยถือเป็นเจ้าของเขา จะตบตีก็ทำตามใจ โดยไม่บอกให้รู้ตัว อาตมากล้าท้าเลย ถ้าจะตบลูกโดยบอกเป็นกิจลักษณะว่า จะลงโทษลูกนะ ว่าลูกผิดจริง และบอกก่อนว่าจะตบ แล้วลูกจะไม่โกรธหรือโกรธน้อยกว่าไม่บอกแน่

 

และอาตมาไม่รู้ขุมนรก ส่วนขุมนรกนั้นคนไปสร้างเอา แต่ที่จริงมันไม่มีหรอก มันมีที่เป็นการตกต่ำจริงในแต่ละคน แต่ว่าไปปั้นนรกเอานี่ก็มิจฉาทิฏฐิแล้ว เป็นมโนมยอัตตา ไม่จริง หลอกกัน ไม่มีจริง ถ้าคุณรู้อย่างอาตมา อาตมาเคยเล่นนั่งหลับตาไสยศาสตร์ทำผิดมาก่อน มันมีเป็นอุปาทาน แต่ตอนนี้อาตมาเลิกแล้วแต่มันมีนามธรรมที่เป็นนรกจริงๆ เป็นสัจจะจริงยิ่งกว่าที่คุณพูดอีก มันตกนรกทุกข์ร้อนมากกว่าอีก

 

_คนเราตายแล้วจะไปไหน วิญญาณจะเร่ร่อนอย่างไร?

 

ตอบ...นี่คือการเอาอดีตมาฟุ้งไป เมื่อเคยได้ยินได้ฟังมาก็ฟุ้งไปในอนาคต อาตมาก็จะตอบคุณว่า...คนเราตายแล้ว ร่างเขาก็เอาไปเผาไปฝัง นี่ไม่ใช่กายนะ เพราะจิตไม่มีแล้ว เขาก็เอาร่างไปจัดการ ส่วนวิญญาณนั้นมันมีแต่แค่ตอนคุณสัมผัสด้วยทวารทั้ง 6 ในปัจจุบัน พอพ้นปัจจุบันไปมันก็เป็นอดีต เป็นสัญญาไปแล้ว ตอนตายไปก็เหมือนกัน คุณก็มีแต่สัญญา ซึ่งมีอุปาทาน คุณไม่มีสวรรค์หลอกไม่ทันได้ปั้นสวรรค์หรอก เพราะตอนที่คุณมีชีวิตอยู่ คุณทุกข์สุขก็บันทึกไว้ในจิตเป็นกิเลสอนุสัยอาสวะทั้งนั้น คุณเติมนรกให้ตัวเองทั้งนั้น แต่ตอนตายไปคุณก็อยู่กับอนุสัยอาสวะนั้น ส่วนสวรรค์นั้นน้อยหาได้ยาก ตายแล้วจึงตกนรกเป็นหลัก ส่วนสวรรค์เพ้อนั้นก็ได้ยาก คนฝึกสะกดจิตหลับตาทำสมาธิก็จะมีพลังทำสวรรค์เพ้อในภพได้บ้างแต่ก็ไม่ได้จริง เพราะมันชำนาญในการสร้างสรรค์ทางทวารนอกมากกว่า คุณก็ไปตกนรกหนักเพราะไม่มีทวารนอกให้เสพติดเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ ในโลกนี้คนตายไปก็ไปตกนรก

 

คนอรหันต์ขึ้นไป ตายไปก็อยู่ที่ชั้นดุสิต เป็นฐานพักได้ แต่อนาคามีนั้นก็ยากอธิบาย แต่ผู้ใดว่าจิตวิญญาณตายไปจะเร่รอนออกไป ผู้นั้นขุดศาสนาพุทธ เหมือนภิกษุสาติ

 

_จะชำระกิเลสวิธีไหนที่จะได้ผลเร็ว

 

ตอบ...ก็ต้องดูให้ดีระวังสังวร เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ ล้างตัวเหตุสำคัญ หากคุณสังวร กิเลสก็ไม่เข้า และต้องลดกิเลสตามบทปฏิบัติ ก็จะลดได้แต่หากไม่รู้จักสังวรและไม่รู้วิธีปฏิบัติ กิเลสคุณก็จะเข้าตัวคุณทุกลมหายใจเข้าออกแม้แต่นอนหลับอาตมาไม่ได้พูดเกินจริงนะ ถามจริงๆนอนหลับทุกข์มีไหม นอนหลับสุขมีไหม?นั้นแหละ

 

การรู้สึกว่ากิเลสมากขึ้นนี่ดี เป็นคนปฏิบัติธรรมรู้จักกิเลส

 

_อยากทราบมหาจัตตารีสกสูตรไม่ทราบมีขายที่ไหน?

 

ตอบ..อยู่ในพระไตรปิฎก หรือคัดลอกมาจากพระไตรปิฎก ล.14 ข.252_281

 

_หนูสวดมนต์ แผ่ส่วนกุศลให้เขาที่ยังเป็นๆ เขาจะได้รับหรือไม่?

ตอบ...การสวดมนต์คือการท่องบทมนต์ ถ้าบทมนต์ของพระพุทธเจ้า ถ้าจะเอามาสวดท่อง ต้องท่อง ถ้าต่อหน้าคนต้องพูดคนเดียวอย่าไปท่องตั้งแต่สองคนพร้อมกันให้ฆราวาสฟัง จะอาบัติ ปาจิตตีย์ อันนี้ไม่รู้กันทำกันทั่วไป แต่ถ้าเอาประณามคาถาคือคำที่แต่งขึ้นสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า เช่นบทพาหุง เป็นต้นก็ทำได้  ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้สวดพร้อมกัน ก็เพราะจะเป็นการร้องให้คนอื่นฟังเท่านั้น แต่ถ้าสวดคนเดียวก็เป็นการอธิบาย การสวดนั้นทำให้คนติดบทมนต์ และศาสนาที่เอาบทมนต์ไปสวดหากินเป็นการทำลายศาสนา ได้บาปกันทั้งสิ้น สวดอย่างนี้ท่องพร้อมกันนี้ สวดได้แต่ท่องเพื่อจดจำมาสวดพร้อมกันแต่ไม่ใช่ว่าไปสวดให้ฆราวาสฟัง ให้หลงติดบทมนต์ไปทำมาหากิน ไม่ได้ทำเป็นพิธีการ พระพุทธเจ้าท่านกันไว้ไม่ให้เอาไปสวดทำมาหากิน ซึ่งถ้าจะไปสวดที่ไหนก็สวดประณามคาถาเท่านั้น อย่างเก่งก็มีทำนองนิดหน่อยเป็นสรภัณยะเท่านั้น ไม่ได้เจตนาว่าใครนะ แต่เขาทำบาปทำลายศาสนา ก็ต้องพูด 

 

การสวดมีสองแบบ สังคีติ กับสังคายนา คือการสวดเพื่อทบทวน บทไหนผิดก็แก้ให้ถูก

 

การสวดมนต์แผ่ส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน เพราะส่วนกุศล หรือบุญ มันแบ่งกันไม่ได้ สุกฎทุกฏานัง กัมมานังผลังวิปาโก ใครทำก็ของคนนั้น ติดตัวตนเป็นเอกะเลย แบ่งกันไม่ได้ ถ้าส่วนกุศลหรือบุญแบ่งได้ พระพุทธเจ้าก็แบ่งแจกอรหันต์เลย แต่นี่ทำไม่ได้

 

_นายกฯท่านนี้พ่อท่านเห็นว่าเป็นคนดีหรือไม่?

ตอบ...เป็นคนดีตอนนี้อาตมาเห็นว่าท่านทำดี แต่ข้อบกพร่องมีแน่อรหันต์ก็มีข้อบกพร่อง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่อรหันต์แน่ ก็ต้องมีบกพร่อง แต่ตอนนี้เขาทำดีต้องสนับสนุนใครไม่สนับสนุน โง่


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:36:48 )

570930

รายละเอียด

570930_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก เรื่อง ดับภพชาติอย่างไรให้ถูกเป้า

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันที่อาตมายังไม่ได้เข้าระบบการสอนมหาวิชชารามนาวาบุญนิยม โดยใช้รายการธรรมาธรรมะสงคราม เทศน์อยู่ที่สันติอโศก วันนี้อังคารที่ 30 ก.ย. 57 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 11

 

อาตมาบรรยายไปเมื่อวาน ให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมส่งประเด็นเข้ามาได้ สองหมายเลขโทรศัพท์ 085-9492980 , 082-4430271 หรือส่งทางไลน์ได้

 

วันนี้จะบรรยายเรื่อง ภพ ชาติ ซึ่งคนไม่ค่อยเข้าใจกันดี แล้วไปสร้างภพ สร้างชาติกัน พอพูดถึงภพ คนก็ไปนึกถึงโลกหน้า ภพหน้า โลกนี้ ภพนี้  ซึ่งเขาหมายถึงภพหน้าที่คนตายไปแล้วไปภพหน้า อย่างนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติสิ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ มันต้องมาสนใจปัจจุบันที่จะปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นก็จะล้างภพจบชาติไม่ได้

 

ถ้าไม่มีการเกิด ชาติ แล้ว ภพก็จะไม่มี ภพก็ดับ จริงๆ ภพไม่ต้องไปดับหรอก แต่ให้ดับชาตินี่แหละ เมื่อชาติดับภพก็ดับ ทีนี้ถ้าไปเข้าใจว่า ภพชาติ นั้นเป็นเรื่องเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ตายไปก็เกิดชาติใหม่ ก็ไม่ได้ศึกษา เราจะดับภพก็ไม่ให้เกิดชาติหน้า เราดับชาติ ภพก็ไม่มี ตายจากชาตินี้ ภพก็ไม่มี

 

ทีนี้อะไรคือชาติ ….คือตัณหา (ยิงเปรี้ยงเข้าเป้าเลย) อาตมาไป เอเชี่ยนเกมส์ ก็ยิงตรงเป้าเป๋งเลยไม่ออกนอกเป้าเลย การดับชาติคือดับตัณหา (สมุทัยของอาริยสัจ) พอดับตัณหาได้ก็ไม่มีภพ

 

ตัณหาที่มีภพ คือ กามตัณหา รูปภพ อรูปภพ

 

กามตัณหา คือต้องการภพที่เป็นกาม หรือกามภพ แล้วข้างในเรียกว่าภวภพหรือภวตัณหา ตัณหาที่ต้องการภพ(ภว คือภพ) เรียกว่ารูปภพ อรูปภพ

 

ถ้ากามก็ดับได้ ชาติของกามก็ดับได้ ภพก็ดับ รูปเราดับได้ ทางตาหูจมูกลิ้่นกาย เมื่อสัมผัส ถ้ามีตัณหาก็มีอาการเกิดทางจิต แม้ไม่สัมผัสก็เกิด ยิ่งสัมผัสก็เกิด สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้่น เกิดสัมผัส ต้องอ่านตรงนี้ตอนนี้แหละ เราก็พยายามดับกิเลสตัวนี้ ดับได้มันก็ตายไปจบไป เป็นต้น

 

ปฏิบัติตัวแรกต้องปฏิบัติ กามก่อน ก่อนจะปฏิบัติต้อง มีความต้องการดับชาติ ก็คือตัณหานั่นแหละ แต่คนไปติดใจว่าถ้ามีตัณหาก็บรรลุไม่ได้ ก็เลยขัดข้อง ก็เราอยากดับกามภพ รูปภพ อรูปภพ อยากดับ แต่มันเกิดอยากแล้วก็ไม่ต้องคิดให้อยาก ไม่อยากมันก็ไม่เกิดอะไร ก็เป็นเช่นนั้น เพราะไปติดบัญญัติภาษา

 

พุทธไม่สอนให้ดับ เวทนา ดับสัญญา ไม่จำเป็นต้องไปดับทั้งหมด เวทนาในเวทน สัญญาในสัญญา  ต้องอ่านเข้าไปถึงตัวปรุงแต่งในสังขาร ต้องรู้รายละเอียดแล้วก็ดับ การจะดับภพ ชาติ นั้นต้องมีการดับภพชาติ คำว่า ภว ก็คือภพ วิภว คือความต้องการไม่มีภพ เป็นตัณหาไปล้างภพ ไปล้างกามตัณหา ภวตัณหา เมื่อล้างได้ก็จบ ไม่มีภพ ก็ต้องตามหาชาติที่ทำให้เกิดภพ

 

ทีนี้ถ้าไปเข้าใจว่าการเกิดชาติ คือการเกิดในท้องพ่อท้องแม่เป็นชาติ

 

และในพระไตรฯ ล.16 ข้อ 7 ว่า ชาติคืออย่างไร ท่านก็ว่ามี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

 

ชาติ ในพระไตรฯท่านแปลว่า การเกิด

 

สัญชาติ คือความบังเกิด

 

โอกกันติ คือความหยั่งลง

 

นิพพัตติ คือการเกิด และ อภินิพพัตติคือการเกิดจำเพาะ แล้วจะจำเพาะอย่างไรจะสาธยายให้ฟัง นี่คือการปรากฏแห่งขันธ์ทั้ง 5 การเกิดเหล่านี้ท่านไม่ให้ดับขันธ์ทั้งหมด แต่ก็พูดกันสั้นๆลัดๆว่า ดับเวทนา ดับสัญญา ว่่าคือนิโรธ เช่่นแปลสัญญาเวทยิตนิโรธว่าคือการดับสัญญา ดับเวทนา แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ให้ดับสัญญา ภาษาบาลีเรียกว่า “อสัญญี” อันนี้พระพุทธเจ้าไม่เอาแบบนี้ ก็ค้านแย้งว่าดับสัญญา แต่ที่จริงใช้ สัญญาดับ แต่ตัวสัญญานี้เป็นตัวกำหนดรู้แจ้งว่า นี่คือความดับ สัญญาที่รู้แจ้งว่าดับชาติได้สิ้น สัญญาก็กำหนดรู้ก่อนจะเกิดปัญญา

 

มันเรียนรู้ก่อน เมื่อเจอความดับ คือจิตดับกิเลสได้ ก็หมดหน้าที่สัญญา คือส่งเป็นปัญญา นั่นคือสัญญาดับ ที่จริงไม่ได้ดับแต่หมดหน้าที่ เพราะเห็นแล้วรู้แล้วว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ดับเฉยๆ แต่รู้หมดและรายงานเป็นปัญญา รายงานจบก็จบสัญญา การจบสัญญาคือเรียกว่าสัญญาดับ โดยโวหาร แต่ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้ แต่รู้ยิ่งเลยว่าดับอยู่ๆ วิหารติ

 

แล้วรู้ลึกว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องดับ ตัณหาคือสิ่งที่ต้องดับ ตัณหาคืออุปาทาน

 

อุปาทานคือความกบดานนิ่งๆ เป็นอนุสัย อาสวะ กลบใต้ก้นบึ้งของจิต พอมันเคลื่อนไหวออกมาแสดงบทบาทจากตัวสั่งสมเป็นอุปาทาน พอมันอยากก็เกิดเป็นตัณหาขึ้นมา จะรู้ง่ายเมื่อมันเคลื่อนไหว แต่ถ้าใครมีญาณหยั่งลึกรู้อุปาทานว่าเรายึดอยู่ ก็ยิ่งเยี่ยมยอด ดับตัวไหนก็ดับได้เหมือนกัน ดับตัณหา อุปาทานได้ ภพก็ดับชาติก็ดับ นี่คือการดับภพชาติ ดับที่สมุทัยหรือตัณหา อุปาทาน

 

 

จะดับตัณหาอุปาทาน จะไปนั่งหลับตาสมาธิแล้วยกจิตขึ้นวิปัสสนา คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ก็เป็นเรื่องของวิมานในจิต เป็นภพชาติ เป็นการดึงเอาสัญญามาคิด ไม่ใช่การสัมผัสหลัดๆ มีกายสังขาร ครบทั้งนอกและใน

 

คำว่ากายสังขารมีทั้งสองอย่าง คำว่ากายไม่ได้หมายถึงร่างภายนอก แต่ตัวสำคัญคือนาม คือจิตเจตสิก กายคือจิต ในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะดับกาย ให้เกิดกายสงบ เรียกว่า กายปัสสัมภยัง หรือกายปัสสัทธิ

 

กายปัสสัทธิ แม้ในพจนานุกรมไทยก็แปลว่า ความสงบรำงับของกอง เวทนา สัญญา สังขาร ไม่ใช่หมายถึงร่างภายนอกเลย

 

กายสังขารที่สงบรำงับเป็นไฉน ท่านก็บอกว่าความเป็นฌาน การทำฌานคือการทำใจ ให้สงบรำงับ คือให้กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ให้มันรำงับ นี่คือเป้าหมายแท้ของฌาน คือทำที่จิตไม่ได้หมายถึงว่า ร่างไม่กระดุกกระดิกเลย แต่ดับตัวกวนในจิต คือกิเลสตัณหาอุปาทาน คือการดับชาติ ชาติดับ ภพก็ดับ

 

การดับ ตัณหาอุปาทาน ได้แล้วคือผู้มีวิภวตัณหา ไม่มีภพแล้ว ดับภพชาติแล้ว

 

 

ส่วนอานาปานสติ ผู้ใดจะทำแบบนั่งตั้งกายตรงดำรงสติ ในที่ใดก็ตาม ที่แจ้งลอมฟาง (ไม่ใช่ในป่า แต่ในเมืองในชนบทที่มีกองฟาง) ท่านพูดเผื่อให้คนที่ปฏิบัติ ที่จริงอานาปานสติปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก และปฏิบัติสติปัฏฐานไปด้วย ถ้าทำสติปัฏฐานไม่เป็น แล้วแยกอานาปานสติ ออก โดยไม่เข้าใจว่า คือการปฏิบัติในทุกอริยาบท ทุกลมหายใจเข้าออก แต่ถ้าจะไปปฏิบัติในป่าในเขาในถ้ำหรือที่แจ้งลอมฟางก็ดี ท่านเผื่อไว้ให้คนที่ปฏิบัติแบบนี้ที่มีมากอยู่ แต่ ท่านก็ให้ปฏิบัติโดยให้เชื่อมต่อกับภายนอก แม้เล็กน้อยเหลือแต่ลมหายใจที่เป็นสิ่งภายนอกที่เบาบางที่สุดก็อย่าให้ทิ้ง อย่าขาดข้างนอก (พหิทารูปานิ ปัสสติ) ให้อ่านข้างนอกด้วยข้างในด้วย เรียกว่า กายสังขารหากขาดลมเข้าไปแต่ข้างใน ไม่มีกายสังขาร จะหมายถึงแค่จิตสังขาร

 

ในขณะที่มีกองลมต้องสัมผัสลมภายนอก ไม่ใช่แค่ลม ยังมีดิน น้ำ ไฟ ด้วย ที่กระทบสัมผัส ทุกทวาร ก็ต้องกำหนดรู้ อ่านวิญญาณที่เกิด วิญญาณคือเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร ท่านแยกให้เรียนรู้ชัดมากเลย ในปฏิจจสมุปบาท

 

ท่านแยกให้เรียนรู้นาม_รูป คือมหาภูตรูป(รูป) และอุปาทายรูป(นาม) และนาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องมีผัสสะทางทวารทั้ง 6 ไม่ใช่ว่าไม่มีผัสสะอยู่แต่ภายใน สุดท้ายถึงขั้นผัสสะดับ ขออธิบายลัด ไม่ใช่ว่าผัสสะดับหมายถึงดับ ทวารนอกไม่กระทบเลย แต่สัญญาก็ไม่ดับเลย สัญญาทำงานรู้จนตัวเหตุปัจจัยสมุทัยดับ ก็หมดหน้าที่สัญญา เช่นเดียวกับผัสสะดับคือผัสสะหมดหน้าที่แล้ว เพราะมันดับเหตุที่ทำให้วุ่นวายแล้ว ดับโดยมีผัสสะ ข้างนอกด้วย และในนาม เป็นปฏิจจสมุปบาท ข.14 ว่า นาม_รูปเป็นไฉน?...นามได้แต่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ และรูปคือ รูปคือมหาภูตรูป 4 กับ รูปที่อาศัยมหาภูตรูปอีก 24 คืออุปาทายรูป

 

วิญญาณ คือ เจตสิก 3 (เวทนา สัญญา สังขาร) และสังขารไปแจกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ ดังนั้นวิญญาณก็คือ นาม 5 อย่างในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง

 

เจตนาคือ ตัณหา นั่นเอง เมื่อมีตัณหา จากผัสสะ ก็เกิดการปรุงแต่ง ก็อ่านการปรุงแต่ง คือมนสิการ ก็จัดการจิตปรุงแต่ง ชำระมัน ปรับปรุง ทำให้ดี เอาตัวร้ายออก เอาตัวดีไว้ ทำอย่างแยบคายเรียกโยนิโนฯ ทำอย่างลงไปถึงที่เกิด (ชาติ) ที่เกิดคือสัมภวะ ให้มนสิการอย่างมีสัมภวะ คือทำให้ถึงแดนเกิดที่เกิด

 

การเกิด คือถ้าตัวผีเกิด คือ ชาติ สัญชาติ ส่วนโอกกันติ คือตัวกลาง คือความหยั่งลง อะไรหยั่งลง? ถ้าทำให้กิเลสดับ ก็เกิดความหยั่งลงใหม่ คืออุบัติเทพหยั่งลง เป็นเทวดาโลกุตระ แต่ก่อนเป็นเทวดาสมมุติ สัมผัสปรุงแต่งให้กิเลสจัดการหมด แต่ตอนนี้เราจัดการกิเลส มนสิการคือการจัดการเอามันออก กำจัดมันให้ได้ ตัวเหตุนี่ จะเกิดขณะมีผัสสะ และต้องมีเจตนามุ่งหมาย

 

ในโลกีย​ะปุถุชนมีเจตนาในการเสพกาม เสพอัตตา เป็นสุขในการเสพอัตตา เสพกาม คือโลกธรรมด้วย เกิดเป็นคนโลกๆ กิเลสเจริญงอกงาม เมื่อเราไม่เอาแบบนี้ก็ต้องเรียนรู้กำจัดกิเลส เมื่อกำจัดได้ ก็เกิดใหม่เป็นอุบัติเทพจนกิเลสจางคลายถึงดับได้ เมื่อดับจนกิเลสไม่เกิด คือ นิโรธ หมายความถึงความดับ มันมีญาณเห็น มีการกำหนดรู้ อย่างเห็นแจ้งๆ สัจฉิ อย่างรู้ของจริงตามความเป็นจริงของปรมัตถ์เลย อะไรดับก็ตัณหาคือผีดับ และอะไรเกิดก็คือเทวดาอุบัติเทพดับ ถ้าดับได้เกลี้ยงก็เป็นวิสุทธิเทพ

 

ตัวกลาง โอกกันติ คือการทำความหยั่งลงสู่ความสำเร็จ หรือหยั่งลงไม่สำเร็จ แต่ถ้าไม่มีความรู้ ทำอย่างอวิชชาก็เกิดกิเลสหนาขึ้นตลอดกาลนาน เพราะอวิชชา ทุกคนมีเจตนาอย่างไร ก็เจตนาเกิดสุขเท็จ อลิกะ ทั้งกามสุข และอัตตทัตถสุข 

 

การเกิดจำเพาะนั้น ไม่ใช่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เป็นการเกิดของโอปปาติกะ คือจิตวิญญาณเกิด เมื่อดับชาติได้ จนกระทั่งเป็นการเกิด แบบ นิพพัตติ ,อภินิพพัตติ ก็คือตัวเกี่ยวข้องกับนิพพาน นี่คือการเกิดของนิพพาน เป็นการเกิดของส่ิงที่บริสุทธิ์จากกิเลส คนมันก็จะงง สับสนว่า มาหา นิพพานคือมาหาการตาย แล้วจะทำไมต้องมีการเกิด นั่นคือเกิดอย่างเฉพาะเลย ถ้าไปยึดภาษาก็เป็นภพชนิดหนึ่ง ยึดติดแค่ภาษา เรียกว่าอัตวาทุปาทาน ไม่รู้สัจจะสภาวะ คุณยึดภาษาก็งงภาษา ทำไมนิพพานคือดับแล้วมาพูดเรื่องเกิด คืออภินิพัตติ (เขาแปลว่าเกิดจำเพาะ)  ดังนั้น การเกิดคือการดับ การดับคือการเกิด

 

จะรู้จัก ภพ ชาติ มากขึ้น การดับภพ คือปฏิบัติอย่างนี้ และการไม่ได้ดับภพ แล้วไปหลงผิดกันเต็มบ้านเมืองพุทธ คือการไปสร้างภพ การสร้างวิมาน(คือภพ) เช่นเขาสร้างวิมาน บุญ จะได้บุญ ก็ไปสร้างวิมานไปว่าทำทานเยอะๆ เรียกว่า บุญใหญ่ บุญมโหฬาร เป็นภพชาติ เป็นยึดขันธ์อนาคตมิจฉาทิฏฐิ ปั้นมาหลอกกันไป เพ้อพกไปตามวิมาน ผู้ใดหลงพวกนี้อยู่กับการถูกหลอกด้วยภพทั้งสิ้น และหลอกกันทั่วไปหมดในวงการศาสนาพุทธ แทบจะหาไม่ได้ที่ไม่หลอก

 

เขาสร้างวิมานในฝัน ฝันว่าจะได้ลาภ พวกโรงเรียนมหาวิทยาลัยที่ฝันว่าจะได้ลาภ ได้วิมาน เป็นการสร้างภพที่จะต้องได้ในอนาคตทั้งสิ้น มีการทำปฏิกิริยาลูกโซ่หาคนทำทาน เป็นDirect sale มอมเมากันด้วยนิพพานที่เป็นภพ เขาก็จะคบคนรวย แล้วคนรวยนี่อยากรวย มีโลภจัดก็เลยสนใจ ก็เลยได้คนรวยเท่านั้น นี่คืออุบายอโกศล ของที่เขาทำกัน มีวิบากบาปมหาศาล หลอกให้คนหลงตกนรก มหานรกอเวจี กิเลสนี่เป็นตัวนรก กิเลสจะต้องได้มากใหญ่โตไม่จบสิ้น นี่คือฝ่ายลืมตาสร้างภพ พวกไม่รู้จัก ทินนัง เป็นพวกนัตถิ ทินนัง ในสัมมาทิฏฐิ 10

 

ส่วนพวกศีลพรต เขามีทาน ศีล ภาวนา ให้เกิดผลนรก เขาไม่รู้จัก ยิตถัง(ยัญพิธี) คือมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่มิจฉาตั้งแต่ข้อแรกคือทาน ไม่รู้ว่าต้องทำใจอย่างไรในการทานว่าให้มีผลอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ลดละหน่ายคลายกิเลสแต่มันกลับทำให้เกิดกิเลสหนาขึ้น เต็มไปด้วยโลกีย์ อาตมาก็ขออภัยด้วย แล้วก็ขอโขกสับด้วยไม่ยั้งมือ เพราะมันนานมาแล้ว อาตมาก็อายุปูนนี้แล้ว ทำงานศาสนามา 55 ปีมาแล้วก็ไม่ขอยั้งมือแล้ว ขอพูดสัจจะให้ชัด ขอยิงเข้าเป้าเลย แม้พันเมตร เข้ากลางเป้าเลย แล้วเป้าเท่าเส้นผมเท่านั้น ถูกเป๊ะเลยไม่มีพลาดเป้า ขอยืนยัน

 

ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้ตามล่าอะไร อาตมาตามล่าเวลาอย่างเดียว อย่างอื่นไม่กลัวหรอกกลัวแต่เวลาเท่านั้นทุกวันนี้ทำงานไม่ทันเวลาเลย เดี๋ยววันๆ จะแก่ได้อย่างไร?

 

เรื่องของศีลพรต เรียกว่า ยิตถัง หรือยัญพิธี เขาแปลกันอย่างนี้ แต่เนื้อแท้ก็คือการปฏิบัติศีลพรตนั่นเอง ให้เกิดผล เป็นภาวนา การเกิดผล คืออัตถิ ไม่เกิดผลก็คือนัตถิ แต่การไปแปล ภาวนาว่าปฏิบัติก็ผิดแล้ว ภาวนาคือการเกิดผล คำว่า หุตัง ก็คือ ผล

 

วิธีปฏิบัติศีลพรตก็มีแบบถูกต้อง สามารถทำให้เกิด นิพพัตติ อภินิพพัตติ ได้ไหม? เป็นอัตถิยัติถัง แต่ไปปฏิบัติไม่เกิดผล เช่นทำฌาน ทำสมาธิก็ไปนั่งหลับตา เช่นพระพุทธเจ้าทำผิดไปทำแบบฤาษีอยู่ 6 ปี ตอนภูมิธรรมท่านยังไม่ขึ้น เป็นช่วงระยะลิงลมอมข้าวพอง

 

การไปสร้างวิมานก็เป็นรูปภพ อรูปภพ แม้เขาอยากเป็นวิภวภพ แต่ก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไปนั่งหลับตา ซึ่งมีวิธีสารพัด อาตมาก็เคยนั่งมา ทำแบบผิดๆมา ก็รู้บ้าง ก็คือการไปสร้างภพชาติ เพราะไม่เข้าใจว่าภพชาติคืออะไร แค่กามภพ รูปภพ อรูปภพก็อ่านไม่ออก ก็ต้องมาเรียนรู้ตั้งแต่ กามภพ ต่อมาก็เรียนรูปภพ อรูภพ ก็เรียนอย่างลืมตามีผัสสะ

 

มีองค์ประชุม คือกาย สัมผัสแตะต้องข้างนอกมีข้างในรับรู้ มีองค์ประกอบเป็น กายสังขาร จนทำให้เกิด กายปัสสัทธิ กายสงบ จนเกิดเป็นกายปาคุญญตา หรือ กายกัมมัญญตา คือกายนี้ดับกิเลสได้ ก็เลยมีองค์ประชุมที่มีกรรมการงาน มีอัญญา คือญาณปัญญาวิเศษ เกิดการงานที่มีญาณกำกับ คือการงานที่ปราศจากกิเลส เป็นการงานอันดีเยี่ยม คือเหมาะควรแก่การงานอันไม่มีโทษ  ท่านก็แปลมาเช่นนี้ก็ไม่ผิด 

 

กายปัสสัทธิ เขาแปลว่า ไปนั่งสมาธิ ร่างนิ่งๆ นั่นไม่ใช่ กายปาคุญญตา

 

ซึ่ง กายมุทุตาคือองค์ประชุมที่เกิดจากการทำให้เกิดความคล่องแคล่วของกองสังขาร กองเวทนา กองสัญญา คือคล่องทั้งปัญญา ทั้งเจโต อาตมาแปลมุทุว่า หัวก่อน ทั้่งรู้เร็วไว จะปรับก็ได้เร็วไว เรามีวสี ปรับได้ง่ายเรียกว่า กายมุทุตา ไม่ใช่หมายถึง ว่ากายสงบ คือกายไม่ทำอะไร แต่กายกลับแคล่วคล่อง ทั้งเวทนาก็คล่องแคล่ว ไม่มีตัวต่อต้านแล้ว ไม่มีกิเลสตัณหา ก็ทำการงานได้ดีเหมาะควร ได้เยี่ยมยอด

 

นัตถิ ยิตถัง คือวิธีปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลบรรลุธรรม จะปฏิบัติหลับตาสร้างภพ ต้องได้มากได้ใหญ่ แต่มีสติ รู้จักสติ ว่าให้จิตว่างเฉย หยุดไม่ทำอะไร นี่ก็คือภพ เป็นอรูปภพ เป็นอากาศ เป็นความว่าง สร้างภพว่างๆ เป็นอรูปภพ ไม่ได้รู้ว่ากิเลสคืออะไร แล้วได้กำจัดกิเลส แต่มันเป็นวิกขัมภนปหานทำลืมไปไม่เกี่ยวข้องก็ทำให้ใจว่างชั่วคราว ก็ได้เสพความว่าง ติดภพว่าง ใครจะมาพูดอย่างไรฉันไม่ฟัง ให้มีสติอย่างเดียว ไม่รู้จักสัมปชัญญา สัมปชานะ ต่อไปเลย จนถึงสัมมัปปัญญาไม่เกิดเลยที่จะรู้ความจริงปรมัตถธรรม

 

พวกมีสติลืมตา แล้วบอกว่าพอสัมผัสก็รู้เท่าที่รู้ ไม่ปรุงไม่สังขารอะไร หวานรู้หวานเปรี้ยวรู้เปรี้ยว รู้สักแต่ว่ารู้ แต่ไม่ได้หมดภพชาติ ไปติดความเบาว่างอีก นี่คือสมถะแบบลืมตา ซึ่งมีอีกหลายนัยที่ละเอียดกว่านี้ นี่ยกตัวอย่างนิดหน่อย ทีนี้พวกหลับตา ก็ตัดภพเข้าไปดับปี๋ ส่วนมากก็สอนกสิณ ให้จิตไปเกาะกับกสิณ บอกว่าอย่าส่งจิตออกนอกตัว คุณก็อยู่กับการสร้างภพภายใน เรียกว่ากักขังจิต ล่ามโซ่ ตีผนังกั้นอย่าให้จิตออกไปจากห้องกรงนี้นะ ก็คือภพ แท้ๆ ขออภัยอาตมายิงเป้านักแม่นปืนจากระยะพันเมตรถูกเป้าที่เล็กเท่าเส้นขน อาตมาได้เหรียญทองก่อนเอเชี่ยนเกมส์นะ

 

การสร้างภาพชาติจึงมีนานาสารพัดทั้งวิมานลืมตาและหลับตา นี่คือการสร้างภพชาติที่มิจฉาทิฏฐิ สอนกันผิดๆ

 

สภาพที่ดับแบบพุทธ จะได้เทียบเคียง พระพุทธเจ้าสอนภพ 3 ภพ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ ท่านก็ให้เรียนรู้ผัสสะทางทวาร 6 แล้วเกิดวิญญาณก็อ่านวิญญาณ อ่าน เวทนา สัญญา สังขาร สัญญาก็กำหนดหมายรู้ว่า กระทบแล้วเกิดอะไร เกิดกิเลสแล้วก็ทำกิเลสให้ลด ลดได้ไหมก็รู้ ต้องทำตั้งแต่ตัวต้น คือกาย คือองค์ประชุม ตั้งแต่ภายนอกสัมผัสแล้วเข้าหาข้างใน จะเรียนรู้ต้องเรียนรู้ข้างใน แต่อย่าทิ้งกาย แม้นั่งดูลมหายใจก็อย่าทิ้งลมหายใจ วิโมกข์ 8 ชัดต้องสัมผัสด้วยกาย วิโมกข์ 8 มีแต่ในศาสนาพุทธมีถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

เมื่อเรารู้องค์ประชุมคือ กาย ตัวแรกคือสักกาย ก็ต้องทำตอนลืมตา แม้หลับตาก็รู้สักกายแล้วพิจารณากายในกาย แต่ก็ต้องรู้ว่าต้องเชื่อมโยงกับกายนอกกาย ต้องมีสัมผัส นาม มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เมื่อสัมผัสด้วยกาย ก็เป็นรสชาติ เรียกว่าเวทนา หรืออารมณ์ความรู้สึก ก็มาอ่านเวทนาในเวทนา สติปัฏฐาน 4 ก็ดูว่าอะไรเป็นเหตุ เป็นสราค สโทส สโมหะ มันเกี่ยวเนื่องทั้งกาย เวทนา จิต ธรรม

 

เมื่อเราจับกิเลสได้ ชำระกิเลสได้ผล ก็คือได้บุญ ได้น้อยก็ตามก็ถือว่าได้ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาค เป็นส่วนของการชำระกิเลส คนไหนทำคนนั้นได้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นแบ่งให้ได้ ออกนอกลัทธิพุทธพวกแบ่งบุญนี่อย่างกับปล้นทองคำแล้วมาแบ่งกันแต่บุญนี่แบ่งกันไม่ได้

 

พวกที่ยึดกันว่า อาจารย์ท่านนี้เก่ง ขนาดตายแล้วยังไม่เน่าเลย ผมก็งอกเล็บก็งอก เขาก็บูชากัน อาตมาก็ว่านรกแท้ๆ ไปบูชาอาจารย์ที่มิจฉาทิฏฐิ เพราะอาจารย์แบบนั้นยึดมาก เพราะพลังงานจิตดับ เหลือแต่พีชนิยาม แต่ก็ให้อาหาร เล็บก็ยังงอก ผมก็งอก เขาไม่เข้าใจ ว่าเหลือแต่พีชนิยาม เพราะจิตวิญญาณขาดก็ควรเลิก แต่ก็ยังไม่ปล่อย ก็อยู่กับร่างไม่ยอมปล่อย ยังยึดกับภพที่ตนติดคือร่างของตน ตัวเองยึดเองเป็นเอง ผู้ไม่รู้ก็ว่าเป็นบุญบารมี แต่หารู้ไม่ว่ายึดเข้าไปไม่รู้จักตาย อภิมหาบาปเลย นี่คือตายแล้วไม่ปล่อยวาง มีภพมีชาติ

 

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_จากระยอง ปริวัติ 3 คืออะไร ?

ตอบ...ปริวัติคือความหมุนรอบ 3 (มาจากอาการ 32) มันมี สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ กับ อาริยสัจ 4 โดยรู้จัก 1.ทุกข์ 2.สมุทัย 3.นิโรธ 4.มรรค ทุกข์ก็รู้ว่าเป็นสัจจะเช่นนี้ แล้วก็สามารถรู้ทุกข์แล้วปฏิบัติเรียกว่า กิจญาณเพื่อให้ทุกข์หาย ก็ปฏิบัติลดเหตุแห่งทุกข์โดยทำมรรค ปฏิบัติมรรค แล้วก็รู้สัจจะ รู้เหตุของทุกข์ แล้วก็พยายามดับ จนเห็นสัจจะว่าดับก็รู้ เกิดทั้ง 4 นี้ปฏิสัมพัทธ์ จนดับได้เสร็จก็จบเสร็จ เรียกว่าปริวัติ​ 3 โดยอาการ 32 ท่านเรียกว่า ปริวัติ 3 อาการ 32

 

_ปฏิบัติสมาธิแบบลืมตาเร่ิมต้นทำอย่างไร?

ตอบ... ก็ดีคุณตั้งไม่กินเนื้อสัตว์เป็นศีล เป็นกรรมฐาน เมื่อสัมผัสกับเนื้อสัตว์เมื่อไหร่อย่างลืมตา ถามว่าสมาธิลืมตาทำอย่างไรก็ลืมตา สัมผัส สัมผัสแล้วอ่านจิต บางคนตั้งแต่เห็นเนื้อดิบเลยอยากกินอยากได้เนื้อดิบเอาไปทำแกงต้มกิน เกิดกิเลสเลย บางคนก็ไม่เกิดกิเลสกับเนื้อดิบแต่เกิดกิเลสกับเนื้อสุก หรือว่าเอาเข้าปากเลย ได้กลิ่นเลยก็เกิดกิเลส ได้สัมผัสก็อร่อยเลย จัดเลย คุณก็ต้องรู้กิเลสที่อยากสัมผัส อยากเสพรส ทางทวาร ทั้ง 5 คุณก็เกิดกิเลส อ่านอย่างนี้ตั้งแต่มันอยากก็อย่าให้มัน มีปฏิ วิรติ เวรมณี คืองดเว้น เว้นขาดอย่าให้มัน ให้พิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันไม่แท้ มันพาทุกข์ ความอยากนี่ทำให้เราต้องหามาบำเรอมีเท่าไหร่ก็ควักให้มันแลกเอามา เป็นภาระเพราะเราติดอยู่ จริงๆมันเป็นกิเลส คุณไม่ต้องได้มันมาก็เอาอย่างอื่นแทนได้ เนื้อสัตว์ไม่ต้อง เอาอย่างอื่นแทนได้ก็ให้ศึกษาจนเห็นว่ามันไม่แท้ ไม่เที่ยง เรากินอย่างอื่นก็ได้ กิเลสไม่เกิดอีกในจิตก็คืออนัตตา

 

_คำถาม พ่อครูว่า... วิภวตัณหา ที่นักปฏิบัติธรรมต้องทำ จะรู้ได้ และจะปฏิบัติ อย่างไรว่าเป็นวิภวตัณหาแท้จริง ไม่ใช่เป็นแค่ภวตัณหา หรือเป็น วิภวตัณหาเก๊ๆ....

ตอบ...คุณต้องรู้สักกายะ เช่นมันอยากกินเนื้อสัตว์ คุณก็ต้องพยายาม เมื่อรู้จักตัวตน ของเหตุ ตัวสมุทัย ต้องวิขัมภนปหาน คือกดข่ม แต่ถ้าใช้ปัญญา เพ่งเผาเป็นไฟฌาน ปฏิบัติแล้วจะเกิดผลเป็นสัมปชลติ ไฟฌานเผาไฟราคะ โทสะ โมหะ พลังฌานมันมีพลังสูงกว่ากิเลส คุณก็ไม่ต้องติดยึดไม่เป็นทาส คุณก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้ก็รู้ของจริงว่ากิเลสนี้ไม่มี ภพ ชาติไม่เกิด ที่เคยเกิดกิเลสมันไม่เกิด คุณก็รู้ได้ว่านี่คือวิภวตัณหา จะหมดกามคุณก็รู้ว่าไม่เกิดเมื่อสัมผัส แล้วก็ไปล้าง ภวภพต่อไปอีก ล้างรูปภพ อรูปภพ ก็ดับเป็นวิภวภพ

 

_จากคุณสุขได้ เมื่อใจพอ....ตอนนี้ลูกตัดการเที่ยวโดยไม่อยากไป

ตอบ...คนยังเที่ยวอยู่คือคนเที่ยว เป็นภาษาน่าเกลียด อันนี้เรื่องจริง อาตมาเป็นคนไม่เที่ยวแต่ไหนแต่ไรแล้ว คำว่าเที่ยว ภาษาไทยคือยังหารสชาติ นามธรรมคุณยังอวจร หาที่เกิด เกิดนรก แล้วก็หลงว่าคือสวรรค์ เกิดสวรรค์หลอกคือนรกแท้ๆ เมื่อหยุดอวจร ก็คือหมดเที่ยง

 

_บุพเพนิวาสาสุสติญาณต่างจากเตวิชโชอย่างไร?

ตอบ... การเตวิชโชทบทวนคือเหมือนการลงบัญชี ว่าเราได้ผัสสะแล้วเกิดกิเลสอย่างไร เราได้ทำปหาน 5 อย่างไร จนสัมผัสอีกก็ไม่เกิดจริงๆ หมื่นครั้งแสนครั้งก็ไม่เกิดอีก เกิดญาณตัดสินได้ว่า จบกิจแล้ว กตญาณแล้ว

 

_เกิดมาชาตินี้เรามีพละกำลังเยอะ เลยถูกเขาใช้แรงงานเยอะ ชาติก่อนเราไปใช้งานเขาเยอะหรือไม่นะ

ตอบ..อาจใช่ แต่มันมีเรื่องซับซ้อนกว่านั้น เช่น ชาติก่อนเราไปฆ่าเขา ชาติต่อไปเราก็ถูกฆ่าอีก สลับไปมาไม่รู้จบ ถ้าชาติหน้าเราอยากเป็นวัวก็ไปฆ่าวัว ก็เลยพาซื่อว่าชาติหน้าเราอยากเป็นอรหันต์ ชาตินี้เราก็เลยไปฆ่าอรหันต์สิ ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว

 

_ถ้าต้องการดับชาติต้องดับที่ปัจจุบันธรรม การคิดเป็นแค่มโนมยอัตตา แต่ถ้าเราดับปัจจุบันไม่ทัน แล้วเราพิจารณาตาม แล้วกำหนดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เราจะทำให้มันอ่อนลง ดับได้ง่ายขึ้น เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณได้ไหม แล้วบุพเพนิวาสานุสติญาณต่างกับมโนมยอัตตาอย่างไร
ตอบ...คือระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่เขาไปแปลกันว่าระลึกถึงชาติก่อนก็ต้องไปนั่งหลับตาสมาธิว่าเกิดชาติก่อนเป็นใคร อย่างนั้นอย่าไปนึกถึงมันเลย แต่บุพเพฯ คือการเกิดของรูป_นาม ของกิเลส เราตรวจสอบว่าได้ดับเหตุของอกุศลหรือไม่? หากเรานั่งหลับตาตรวจหรือไม่หลับตาก็ตรวจได้ จิตได้ทบทวนก็ถือว่าได้ตรวจสอบเป็นประโยชน์ เหมือนลงบัญชีเป็นอุปการะมาก แต่ไม่ใช่ทางเอกในการปฏิบัติ

 

_การที่เราจะทราบว่าเราหยั่งลงถึงที่เกิดหรือยัง? คือเราต้องจับนิวรณ์ 5 ได้หรือไม่ บางครั้งเราหยั่งลงคือจับกิเลสได้แต่ปหานไม่ได้คือเราหยั่งลงหรือไม่?

ตอบ...คุณกำหนดรู้กายในกายแล้วเจาะลงถึงอารมณ์ได้ แยกแยะอารมณ์ได้ว่ามีจิตเป็นเหตุ คือสราค สโทส สโมหะ ว่าอาการกาม หรือพยาบาทคืออย่างไร คือตัวที่คุณอ่านได้ คือคุณหยั่งถึงที่เกิดแล้ว แต่คุณว่ายังละกิเลสไม่ได้คือหยั่่งลงแต่ปหานไม่ได้ คือไม่พ้นศีลพตปรามาส ถ้าคุณทำได้แม้วิกขัมภนปหาน ก็ได้แต่ไม่ถาวร จนกว่าจะมีไฟฌาน ที่ชัดคมแหลม มีวสีอำนาจให้กิเลสยอมแพ้ต่อหลักฐานความจริง ว่าอันนี้ดีกว่า จริงกว่าประเสริฐกว่าจริงๆ ก็หยั่งลงสู่นิพพานเลย

 

_โครงการพันๆคนบ้านราชฯถึงจำนวนเท่าไหร่แล้วครับ

ตอบ...หลายปีแล้วยังไม่ถึงพัน จำนวนเท่าไหร่ยังไม่เที่ยง ถ้าตอนงานก็เกินพัน แต่ปกติก็ไม่ถึงพัน เหลือ 500​ หรือ 400 ถ้าออกมาทำงานข้างนอกก็เหลือ 200 พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่ยากมี 3อย่าง คือ 1.ได้เกิดมาเป็นคน นี่ก็ยาก  2.การเกิดของพระพุทธเจ้า  3.การประกาศพุทธศาสนา เผยแพร่ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าให้รุ่งเรือง(ถูกต้องด้วย) แต่เดี๋ยวนี้ธรรมะพระพุทธเจ้าที่ผิดๆ มิจฉาทิฏฐิรุ่งเรืองแต่สัมมาทิฏฐิแย่ลง ขออภัยที่พูดตรงพูดความจริง ไม่ได้เจตนาร้าย

 

เกิดมาเป็นคนอย่าเสียชาติเกิด ชิงหมาเกิด ให้หมาตัวใดตัวหนึ่งมาเกิดดีกว่า

 

_ทิฏฐิ 62 คือ อดีต 18 อนาคต 44 ไม่รวมปัจจุบันอีก 5 ใช่ไหม?

ตอบ..ใช่ ทิฏฐิ 62 ก็คือ อดีต 18 บวกกับ อนาคต 44 ซึ่งอดีตกับอนาคตหากใครยึดก็คือมิจฉาทิฏฐิ อดีตแก้ไม่ได้แล้วแต่อนาคตมาไม่ถึงจะไปยุ่งทำไม ควรอยู่กับปัจจุบัน 5 เป็นทิฏฐธรรมนิพพาน คือทำนิพพานในปัจจุบันให้ได้ต่างหาก ถ้าคุณเข้าใจนิพพานผิด 5 ประการ คนหนึ่งยึดเอากามเป็นนิพพาน โดยไม่รู้หรือโดยเจตนา(พวกลัทธิเสพกามเต็มเหนี่ยวให้ไปนิพพาน) หรือหลงว่าสุขคือนิพพาน ซึ่งทิฏฐิ 62 คือมิจฉาทิฏฐิ แต่อีก 5 คือท่านจัดไว้แยก เพราะพาไปนิพพานได้ ถ้าทำได้ถูก คุณก็ได้ฌาน ถ้าสมบูรณ์ก็อยู่กับกามกับฌาน เป็นตัวปฏิบัติแท้ ส่วนใครติดกับอดีตปัจจุบันคือติดภพทั้งสิ้น

 

_ดีใจ ได้ฟังธรรม เทศกาลกินเจ ผู้น้อยกินเจ แต่ก็ต้องกังวลว่าต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ให้พ่อท่าน จะพ้นวัฏฏะได้อย่างไร?

ตอบ....เราไม่มีเจตนาว่าเป็นของเรา แต่เรามีภาระจริงๆว่าต้องทำให้พ่อ เราก็ต้องทำตัวอย่างให้เห็นว่า กินมังฯดีอย่างไรไม่กินเนื้อสัตว์ดีอย่างไร ก็มีหลายครอบครัวที่ทำได้ ทำไปเถอะมันเป็นวิบากของแต่ละคนไม่ต้องบังคับกัน เราก็ทำไปก่อน จะพ้นวัฏฏะได้อย่างไร เราก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ทำใจในใจให้ถูก ว่าเกิดอาการ กามพยาบาทอย่างไร อย่างละเอียดเลย คุณทำให้จิตว่างจากกิเลส พระอรหันต์สัมผัสเหตุที่ทำให้เกิดกิเลสแต่จิตท่านว่างอย่างอรหันต์จี้กงท่านกินเหล้าท่านก็ไม่ได้เสพเหล้า ท่านอนุโลมพอสมควรเท่านั้น แต่หนังเอาไปทำเกินเหตุ

 

_824039xxx   ความสุขของตนที่หาได้มิยากคืออยู่ในโลกของความเงียบ!ถอดเครื่องช่วยฟังฯออก!ทำงานท่ามกลางความเงียบ  บ่ยินเสียงใดเหมือนกลับไปอยู่ในโลกวิญญาณอันไร้อายตนะ6ไร้สังขารตัวตน!ได้ความสงบของใจจริงๆ!

ตอบ...ก็ไปหลงติดสงบเท่านั้นเอง ก็ตั้งใจฟังให้เรียนรู้ เปิดเครื่องช่วยฟังด้วยไม่อย่างนั้นไม่ได้ยิน

 

_0824039xxx ช่วงกินเจอธิษฐานอยู่เรื่อยว่าขอเป็นลูกคนกินเนื้อสัตว์เป็นชาติสุดท้าย!ถ้ามีวิบากกรรมต้องมาเกิดใหม่ขอมาเกิดเป็นลูกคนกินมังสวิรัติได้มาบำเพ็ญธรรมต่อในชาติต่อไปจะเป็นไปได้ไหม?

ตอบ...เป็นได้หากทำเหตุปัจจัยครบ การอฐิษฐานคือตั้งใจทำ ถ้าครบองค์ประกอบก็ได้ตามที่อธิษฐาน แต่ถ้าเอาแต่อธิษฐานแต่ไม่ได้ทำเหตุปัจจัยครบก็ไม่ได้ แต่แม้ไม่อธิษฐานหากทำเหตุปัจจัยครบก็จะได้


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:37:41 )

570930

รายละเอียด

570930_สัมมาสิกขา รู้ไหม? พวกเธอเป็นเด็กมีบุญ

รู้ไหมพวกเราเป็นเด็กที่มีบุญ ที่ได้รับการศึกษาได้รับการอบรม ได้รับการฝึกชีวิต แทนที่จะเหมือนกับนร.ข้างนอกหรือคนที่เรียนอยู่ที่อื่น ไม่มีหรอกที่จะมีอย่างนี้ โรงเรียนอื่นๆไหนๆ เขาก็เรียนหนังสือก็เข้าห้องเรียน ที่จะมาฟังธรรมฟังเทศน์หรืออบรมศีลเด่น เป็นงาน อย่างที่พวกเราทำนี่ อย่างสัมมาสิกขาทั้งหลาย หรือว่าชาวอโศกเรามีการศึกษาของเรา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา อบรมให้มีศีลธรรมประจำชีวิตเลย จนกว่าจะจบออกไปจากที่นี่ แล้วอยากจะสมัครเข้ามาเองอีก ก็ไมว่ากัน มาเป็นชาวชุมชนก็ก็จะได้รับการอบรมตลอดทั้งปีทั้งชาติอย่างนี้ ให้ความรู้ทางธรรมให้ปรับปรุงพัฒนาชีวิตกันจริงๆ มันไม่ได้มาก มันก็ได้น้อย ใช่ไหม? ทำไปเถอะ ไม่ได้มากมันก็ได้น้อย แน่นอน!

 

แล้วเราก็ทำไปเถอะ อื่นๆเขาทำกันชาวโลก ถนัดอันไหนเขาก็ฝึกก็ทำอันนั้น ทำของเขาฝึกของเขา นักมวยเขาก็ตื่นแต่เช้าหรือเวลาไหนๆ เขาก็ซ้อม ชก นักวิ่งก็ซ้อมวิ่งๆๆ ตลอดเวลาที่เขาเป็นนักวิ่ง ดาราเขาก็ฝึกของเขา แต่ของเรานี่ฝึกศีลธรรม ฝึกชีวิต ฝึกเป็นงาน งานที่เป็นงานสุจริตด้วย เราก็ทำไป แต่ละวันๆ นี่เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องวิเศษ เป็นเรื่องเจริญที่แท้จริง

 

เพราะงั้นตั้งใจเอา พยายามฝึกฝน ที่อื่นไม่มีหรอก ออกไปจากที่นี่แล้ว ยาก ที่อื่นไม่มีส่ิงที่สามารถทำให้เราเจริญพัฒนาอย่างนี้ ต้องทำความเข้าใจให้ดี ไม่ใช่ว่าโอ้โห แหม บังคับจังให้เรามาฟังธรรม ให้เรามาทำงาน ให้เรามาทำอะไร? ...แล้วที่ให้มาทำงานนี่พาไปทำชั่วที่ไหน?

 

ก็ทำงานก็ฝึกฝนส่ิงที่เป็นคุณค่าดีๆทั้งนั้น ไม่ใช่พาไปทำชั่วทำเลวที่ไหน ฝึกทำงานอบรมฝึกฝนสิ่งที่เป็นคุณธรรมศีลธรรม เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะที่นี่สอนถึงโลกุตระ ถึงขั้นได้ประโยชน์ใส่จิตวิญญาณใกล้นิพพาน หรือถึงนิพพานเลย ตั้งใจเอาจริงๆก็จะได้ ที่นี่สอนไม่ได้ปิดบังสอนหมด ถึงนิพพาน สอนวิธีปฏิบัติถึงนิพพานจริงๆ ก็ตั้งใจพากเพียรศึกษาเอา

 

ทำความเข้าใจดีๆอย่าไปแหน่งหน่าย อย่าไปขี้เกียจระอาเบื่อ จิตใจคนนี่ถ้าเกิดว่าเบื่อหรือชังแล้ว มาก็สูญเปล่า มานั่งก็นั่ง ไปเฉยไม่ได้อะไรหรอก เบื่อไป ไม่รับ มันเสียประโยชน์เสียเวลา สูญเปล่ามันไม่ดี ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็มานั่งแล้ว เราก็ต้องมา ก็ต้องตั้งใจมีฉันทะ พพจ.ท่านว่าต้องมีฉันทะ คำว่าฉันทะนี่เป็นคำแรกเลยของทุกอย่างที่เจริญ ในอิทธิบาทก็ตาม ในมูลสูตรก็ตาม ในสิ่งที่จะพาเจริญเรียกว่า แสงเงินแสงทองก่อนพบพระอาทิตย์ เป็นแสงอรุณก่อนพบพระอาทิตย์

 

เพราะฉะนั้นหลักการที่เป็นแสงอรุณ มีข้อหนึ่งว่าต้องมีฉันทะ ต้องมีความยินดี ต้องสนใจเอา โดยเฉพาะอิทธิบาทนี่ขึ้นต้นเลย มูลสูตรก็เร่ิมต้นเลย มีฉันทะเป็นมูล ความพอใจยินดีเป็นตัวสำคัญของการเร่ิมทำงาน เร่ิมจะประกอบการอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีใจยินดี ไม่มีฉันทะนี่ก็ล้มเหลวไปครึ่งหรือแทบจะหมดเลย ไม่ได้  ถ้ามีฉันทะก็จะได้ ยิ่งมีวิริยะ จิตตะ วิมังสา เสริมเข้าไปอีก ก็ได้เต็มที่เลย อย่างนี้เป็นต้น

 

เป็นโอกาสที่ดีแล้ว ถึงบอกว่าพวกเรานี่มีบุญ ที่ได้มีชีวิตมาตกอยู่ที่นี่ ก็เรียนกันไป มันเป็นการสร้างสรรชีวิตจริงๆ คนทนได้ก็ได้ประโยชน์ไป ทนไม่ได้ก็ไม่ได้ ส่วนมากทนไม่ได้ เพราะกิเลสมันพาหนี เรียนไปๆๆไม่ไหวแล้วก็ออกไปออกไปสู่ที่ต่ำ

 

ก็แปลกนะ พยายามสอนให้ฟรีๆด้วยนะ ไม่เอา ไปเรียนที่อื่นไปจ่ายตังค์ ที่นี่อาจยากกว่าที่อื่น 3 เท่า คนกลัวความยาก แต่ยากแล้วทนไหวไหม? ทนไม่ไหวเขาก็ออกไปกันก็ไม่ได้ ทนไหวก็ได้ประโยชน์ ไม่ได้เสียตังค์อะไร ก็เลี้ยงดูอย่างลูกหลานอยู่กันไป มีอะไรก็ช่วยกันสร้างสรรพัฒนาชีวิตจริงๆ

 

ถ้าเข้ากับเพื่อนไม่ได้...แล้วจะไปเข้ากับลิงที่ไหน เพื่อนที่นี่เพื่อนเลวหรือ? หา... คือเราต้องทำใจของเรา ว่าที่นี่เป็นเพื่อนดีมิตรดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คนที่นี่ ไม่ใช่คนที่จะมาสร้างเรื่องเลวร้าย เรื่องอบาย เรื่องชั่วๆ ไม่ใช่ ที่นี่พยายามพากเพียรจะเป็นเพื่อนที่ดี ใครไม่ดีก็รู้สึกตัวปรับตัวกันทั้งนั้น สังวรสำรวมกันทุกคนรู้ทั้งนั้น แล้วเราก็เข้ากับเพื่อนที่นี่ไม่ได้ ก็ไปอยู่กับฝูง...อาตมาไม่อยากจะบอกว่าฝูงหมานะ ก็ไปอยู่กับฝูงหมาก็แล้วกัน นี่พูดอย่างไม่อยากบอกนะ เดี๋ยวจะหาว่าชี้โพรงให้กระรอก

 

อยู่กับหมู่เทวดา อยู่กับคนชั้นสูง ก็ไม่อยู่ เข้ากันไม่ได้ ก็ไปหาฝูงหมาฝูงลิงอยู่เท่านั้น นี่พูดจริงๆ พูดชัดๆนะ พูดให้ฟัง คิดให้ดีๆแล้วทำต้นให้ดี ว่าเอ๊ะ ทำไมเราถึงได้โง่อย่างนี้ ทำไมเราเข้ากับเพื่อนดีมิตรดีเหล่านี้ไม่ได้ เข้ากับมิตรดีไม่ได้ ก็เป็นมิตรเลวสิ เป็นคนแปลกแยก ไม่ใช่คนกลุ่มนี้ เราเป็น แกะดำ คุณก็ต้องออกจากฝูงแกะขาวไป ภาษิตฝรั่งเขาว่าเป็น Black sheep เป็นแกะดำ ก็ต้องออกจากหมู่ไป เท่านั้นเอง ที่นี่ไม่มีปัญหาหรอกอยากออกก็ออกได้  อยากมาก็มาได้ ที่นี่ไม่ได้บังคับใคร ใครใฝ่ดีก็มา ไม่ใฝ่ดีก็ไม่ต้องเอา

 

ต้องทำความเข้าใจให้ดี ว่าเรามาอยู่ที่นี่เราเป็นอย่างไร เราจะมาเอาอะไร เราจะมีชีวิตเจริญอย่างไร? ในวันๆ ที่นี่พาทำอะไร คิดให้ดี เราจะได้ไม่มีอะไรขัดขวางจิต ฝึกฝนไปได้อย่างดี อย่างน้อยก็เข้ากับหมู่ไป ที่นี่พาทำทั้งผู้ใหญ่ ทั้งหมูฝูง เพื่อนฝูงเรา พากันไปดีทั้งนั้น คิดให้ดีเข้าใจให้ดีๆ ถ้าเราเกิดกิเลส ก็คือความโง่ มากั้นไม่อยากให้เราอยู่ ทำให้เรามารวนเร เป็น Black sheep เป็นตัวทำเลวร้ายในนี้ไม่อยากเข้าหมู่ นั่นแหละกิเลสตัวเลวตัวโง่  ตัวอวิชชา ตัวคิดผิด  เอ้าตัั้งใจทำตั้งใจฝึกฝนเอา....


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:38:37 )

571003

รายละเอียด

571003-พุทธชีวศิลป์(14)วนบ. เรื่อง เรียนรู้อัตตาในรายละเอียดถึงรูป 24

วันนี้วันศุกร์ที่ 3 ต.ค. 57 ข.10 ค่ำ ด.11 อีก 5 วันก็ออกพรรษาแล้ว มันไวจริงๆ เดี๋ยววันๆ วันนี้เรียนพุทธชีวศิลป์ อาตมาก็จะเน้นพุทธชีวะนี่แหละ อย่าว่าแต่บรรยายธรรมดาสามัญเลย แม้พูดกันในชีวิตประจำวันอาตมาก็เหยาะธรรมะเข้าไปเสมอ เรียกว่ากัดไม่ปล่อย อาตมาไม่เห็นเลยว่าจะมีอะไรดีกว่าได้รู้โลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่ให้คุณค่าแก่ชีวิตจริงๆ ให้เป็นคนเหนือโลก

 

คนโลกๆ ก็มาแสวงหาลาภ ยศสรรเสริญ สุข ซึ่ง พระพุทธเจ้าสอนธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่า ไปหลงว่า กาม ว่า อัตตาเป็นสุข

 

อัตตาคือการยึดตัวยึดตน จะหยาบขั้นอบายก็เป็นอัตตา จะขั้นกามก็เป็นอัตตา ยึดเสพรส เป็นเราเป็นของเรา พระพุทธเจ้าตรัสถึงอัตตา 3 มีโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

 

คนส่วนใหญ่อยู่ในโอฬาริกอัตตา มีลาภยศสรรเสริญอยู่เต็มกระบุงแล้วก็สุขทุกข์ สลับไป ลงนรก ขึ้นสวรรค์เท็จ ส่วนอัตตาก็เป็นความลำบาก คนก็ไม่เข้าใจระดับปรมัตถ์ ว่าสุขขัลลิกะหมายถึงอย่างไร ท่านก็ขยายว่า คืออัลลิกะ ส่วนอัตตา ท่านก็ขยายว่า กิลมถะ แปลว่ามันลำบาก เหน็ดเหนื่อย ไปหลงใหลบำเรออัตตา ก็ไปเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อย่างซวยด้วย ที่ไปหลงบำเรออัตตา และที่ไปแปลว่า อัตตกิลมถะคือการทรมานตน นั้น เพราะว่ามันโง่ ไปหาเรื่องมาปฏิบัติให้ทรมานตนอีก เรียกว่าหาทุกข์ทับถมตน หรือง่ายๆว่ามีกิเลสอยู่แล้วก็ไปหากิเลสมาอีกเพิ่มอีก เราไม่เรียนรู้และกำจัดมัน เพราะเราอวิชชา ให้กิเลสเก่ามันอ้วนขึ้น ไม่พอก็หากิเลสใหม่มาใส่อีก อันนั้นอันนี้เขาว่าดีก็เอามา นี่คือทรมานตน

 

คำว่าทรมานนี่ โง่ กว่าความลำบากอีกนะ คำว่ากามสุขขัลลิกะ ก็ต้องเรียนรู้ว่ามันหลอก มันเท็จ มันอัลลิกะอย่างไร คนที่ปฏิเสธความหมายนี้ที่อาตมาแปล เขาก็ไม่เชื่อไม่เห็นว่าเป็นของหลอก เพราะเขาไม่ศึกษาที่อาตมาพูด เขาหาว่าอาตมาพูดเอาเอง มาแยกศัพท์ อย่างคำว่า SEASON         ถ้าแปลแยกก็เป็น ลูก กับคำว่า ทะเล มันก็ไม่ได้สิ นั่นก็ส่วนหนึ่งที่เขาไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร เขาก็เห็นว่าอาตมาเข้าใจไม่ถูก ว่าอาตมาผิด ก็จะเห็นว่าแปลว่าสุขเท็จนี้แปลไม่ถูก เขาก็ต้องเชื่อคนที่เขานับถือแน่นอน อาตมาไม่ได้เสียใจอะไรหรอก ก็รู้ว่าเขาฟัง และอาตมาว่าอาตมาแปลไม่ผิดสักคำ อาตมาแปลตามเนื้อหาสภาวะ ที่อาตมาแปลได้ เพราะอาศัยขันธ์ส่วนอดีต แล้วเอามาระลึก อาตมามั่นใจว่า ขันธ์ส่วนอดีตที่อาตมาระลึกเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ส่วนที่ท่านแย้งก็เพราะระลึกไม่ได้

 

การระลึกขันธ์อดีตหากระลึกถูกต้องก็จริง อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ก็อาศัยขันธ์ส่วนอดีตทั้งนั้น แล้วเป็นทิฏฐิที่ถูกด้วย อย่างทิฏฐิ 62 ที่ท่านว่าถ้าไปยึดก็คือมิจฉาทิฏฐิ บางคนอาศัยส่วนอดีตได้แค่ระดับหนึ่งแล้วก็ยึดไว้ ไม่เอาใหม่อีกเลย และอดีตนั้นมีทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดด้วย แม้ว่าผิดเขาก็ยึดต่อไปไม่ปล่อย เช่นคนเรียนมาว่า ทำสมาธิต้องนั่งหลับตาทำ เขาก็ยึดทำมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่เป็นเด็กก็ทำมา แล้วเขาก็ว่าเขาได้ความสงบ หรือได้อะไรต่างนานา มีฤทธิ์เดชด้วยซ้ำ แต่เขาอธิบายสมาธิที่มาจากปัจจัยการปฏิบิติศีลไม่ได้ แต่เขาจะอธิบายเป็นฤทธิ์เดช หรือปัญญาแบบตรรกะฉลาดคิดไป แต่เป็นการได้ที่มีกายต่างกันกับของพระพุทธเจ้า มีองค์ประชุมทั้งภายนอกภายในต่างกับสมาธิของพระพุทธเจ้า

 

สมาธิของพระพุทธเจ้าจะรู้รอบ ทั้งภายนอกเข้ามาเนื่องหาภายใน เป็นการไหว ของวิญญัติรูป เมื่อมีการกระทบสัมผัส ขณะมีการเคลื่อนไหว ถ้าคุณรู้แต่รูปไหวอยู่ เคลื่อนอยู่ แต่คุณไม่รู้ถึงภายในใจ คือปฏิบัติจากภาวรูป ก็มาสู่วิญญัติรูป(รูปฌาน) นี่คือการศึกษาของเสขบุคคล อยู่ในกายสังขาร ถ้าผู้ศึกษาได้ครบก็จะ เข้าสู่ วิการรูป ลักขณรูป(ต้องปฏิบัติในอรูปฌาน) อยู่ในจิตสังขาร จึงจะรู้จักลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เมื่อจบเสร็จก็จะสามารถยืนอยู่ระหว่าง ลหุตา กับมุทุตาได้

ลหุตาคือบางเบา มุทุตาคืออ่อนเร็วไว ทั้งปัญญาก็รู้ได้เร็วไว เจโตก็ปรับตามปัญญาได้อย่างไม่ดื้อดึงเลย หรือท่านแปลมุทุตาโดยอรรถว่าแคล่วคล่อง ของกองเวทนา สัญญา สังขาร  ส่วนกัมมัญญา คือมีปัญญากำกับกรรม  ทำได้อย่างจัดสัดส่วนพอเหมาะ สัปปุริสธรรม 7 คือเหมาะควรแก่การงาน

 

ส่วนวิญญัติ สอง คือกายวิญญัติ กับวจีวิญญัติ เมื่อกระทบสัมผัสข้างนอก เป็นอาการไหว คือวิญญัติ คือลักษณะของจิต เป็นมโนวิญญัติ ส่วน กายวิญญัติ คือ ทวาร 5 เราสัมผัสกับภายนอก เราก็อ่านจิต ในขณะสัมผัส กายต้องไหว ทั้งกระทบสัมผัสอยู่ ก็รับรู้ไม่ได้นิ่งหยุด มันทำงานอยู่ เกิดสัมผัสฌาเวทนา มันรู้จักสัมผัสตลอดเวลา และรู้อย่างเคลื่อนไหว ไม่ได้รู้อยู่เฉยๆนะ แต่ถ้าเอาแต่อาการไหวของรูปร่าง คุณก็ไม่ได้ล้างกิเลส แต่คุณต้องรู้การไหวของมโน ซึ่งตรวจอรูปฌาน ก็คือตรวจว่ากิเลสยังไหวอยู่ไหม ตั้งแต่ อากาศ มันว่างจากกิเลสหรือยัง? มันว่างจากช้าง แต่มันว่างจากแมลงหวี่อยู่ไหม? แบคทีเรียล่ะมีไหม? เล็กละเอียดอย่างไรก็ให้ตามรู้ ว่ามันมีชีวิตอยู่ไหม อาการกิเลสมันไหวนิดๆอยู่ไหม?

 

อากาสาฯ เราก็หาความไม่มี ในความว่างไม่มีเศษส่วนกิเลสอยู่ก็ตรวจอาการไหว  ส่วนอากิญจัญฯนั้นตรวจอาการมีหรือไม่มี ในปริเฉทรูปจะอาศัยความว่างคือกากาศ คนที่อุเบกขาแล้วจะอาศัยความว่าง แล้วปรุงได้มีคุณสมบัติของอุเบกขา 5 แล้วก็ต้องตรวจสอบตลอดว่ายังว่างจากกิเลสอยู่ไหม? แม้ขณะทำงาน พูด กระทำ กระทบสัมผัสก็ตรวจสอบตลอด ว่าจิตว่างอยู่ไหม? ตรวจว่ามีเศษกิเลสไหวให้คุณรู้อยู่ไหม อากาสาฯนั้นตรวจว่าว่างหรือไม่ว่าง ส่วนอากิญจัญฯนั้นตรวจว่ามีหรือไม่มี?

 

ตรวจสอบว่าจิตยังอเนญชา ไม่หวั่นไหวอยู่หรือไม่ จิตไรกิเลสเข้าไปทำงานร่วมเลย มีองค์คุณอุเบกขา 5 มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสรา อย่างที่อาตมาพูดอยู่ขณะนี้ จิตอาตมาก็มีคุณสมบัติอุเบกขา 5 ตลอดเวลา

 

คนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ จะเรียกท่านว่า สัตว์นรก จะเรียกท่านว่าผู้มาทำลายศาสนาก็เรียกไป แต่ท่านก็รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร อย่างเขามาว่าอาตมานักหนา บางคนก็เข้าคุก บางคนก็ตายไปหลายคน ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้สาบแช่งนะ อาตมายกตัวอย่างอ้างอิงเฉยๆ ซึ่งถ้าคุณคิดนิดนึงว่า อธิบายสภาวะเช่นนี้มีความหมายอย่างไร แล้วมันมีผลดีไหม? เช่นคุณสมบัติของอุเบกขา 5 อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ดีไหม? ซึ่ง คุณสมบัติเช่นนี้  เป็นจิตของผู้ที่ไม่ปรุงสวรรค์ อยู่อนุโลมกับคนสามัญโลกๆเขาได้บางทีดูเหมือนเป็นคนมีอารมณ์แสดงออกมา ซึ่งอาตมาปรุงแต่งอย่างสัจจานุโลมมิกญาณ เป็นศิลปะในการสื่อ ไม่ได้มีกิเลสเข้าไปเกี่ยวข้องคลุกคลีเลย

 

รูปรูป คือ ตัวมันไม่รู้แต่ตัวมันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ตัวมันเองไม่มีธาตุรู้ แม้มันเป็นธาตรู้มันก็อยู่ในสถานะที่ไม่ใช่ตัวรู้ แต่ถ้าเราไปรู้มันแล้ว มีธาตุรู้ไปรู้มัน ก็เรียกมันว่ารูปกาย อย่างผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะนี้เขาเรียกว่าองุ่นป่า มันดูรูปสวยเหมือนองุ่น แต่ว่ามันกินแล้วจะคันปาก ไม่ควรกิน ให้ระวังให้ดีกับรูปสวยๆนี่ร้ายนัก

 

เช่นสัตว์ตัวใดที่เราไปสัมผัสมัน แต่มันก็ไม่รู้กับเรา มันก็เฉย เช่น คุณไปเห็นเสือ เสือมันก็ไม่รับรู้ มันก็เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารูป แต่เราเองถ้าเราเฉยเราก็สักแต่ว่ารูป แต่ว่าถ้าเรากลัวก็เกิดนาม หรือว่าเสือตัวนี้เห็นแล้วว่าสวย มันก็ไม่เฉยแล้ว เรียกว่านามธรรม มีความไหว ด้วยกิเลสที่ไม่ปกติ  แต่ถ้ารู้ว่านี่เป็นเสือ หรือจะรู้ต่อว่าเสือนี่เป็นอย่างไร ไม่ควรเข้าใกล้แต่ใจเราก็ไม่ไหวหวั่นอะไร

 

รูปรูป คือที่สัมผัสแล้วไม่เกี่ยวไม่เกาะไม่ข้อง รู้รูปสักแต่ว่ารูป เช่น เราสัมผัสกับเสือกับคน ที่มีโลภ โกรธ หลง สัมผัสกับคน คนมีอาการไหว ก็เป็นเรื่องของร่างไหว หรือไหวทางวจี แต่ตัวมันเองจะมีอาการไหวของจิต มีโลภ โกรธ หลง หรือคนก็ตาม ถ้าไม่เฉย มีความเกี่ยวข้องขึ้นมา เช่น อยากฆ่า อยากทำร้าย หรืออยากรัก มันก็ซวยทั้งรักทั้งชังเลย มันก็ไม่เป็นรูปรูปแล้ว

 

แต่ถ้าเราสัมผัสแล้วก็รู้ว่าคนนี้น่านับถือ น่าสัมพันธ์ น่าเกี่ยวข้อง ก็ว่าไปอีกอย่าง ไม่เกิดอารมณ์ชอบหรือชังก็ไม่เป็นรูปรูปแล้ว การตัดรูปตัดนาม คือไม่มีกายวิญญัติ มันยังไม่อเนญชา หรือไม่นกัมปติ มันยังมีกัมปติ มีอาการไหวอยู่ เป็นความละเอียดของเจตสิก เราต้องเรียนรู้การไหว ของคนอื่นก็รู้ประมาณหนึ่งแต่ของเราต้องให้ชัดแจ้ง รู้ถึงมโนวิญญัติ อย่างกายไหวอยู่ จิตเราก็มีการควบคุมการไหว แล้วเมื่อผัสสะแล้ว จิตคุณไหวอย่างไร ถ้ายังไหวก็มีตัววิญญัติ อยู่ในจิต ต้องตรวจให้ชัด ถึงอรูปฌาน ถึงเนวสัญญาฯ คือต้องรู้ให้ครบ ไม่รู้ไม่ได้ ให้พ้นเนวสัญญาฯ เป็นสัญญเวทยิตนิโรธ

 

ในรูป 28 คือสิ่งที่ถูกรู้ เป็นอุปาทายรูป ต้องรู้ตั้งแต่วิญญัติรูป ไปเรื่อยๆ ละเอียดมากขึ้นจนจิตเราเป็น ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตาได้ อนุโลมปฏิโลมตามอินทรีย์พละ ความสามารถของเรา ที่จะเป็นบุรุษผู้เหนือสัตว์ สามารถปลอมตัวเป็นสัตว์กับคนอื่นก็ได้ ร่วมกับเขาได้ ทำงานได้เพื่อจะช่วย ไม่ได้ทำเพื่อไปทำร้ายคุณ จึงเป็นสัตว์ชั้นสูง (มนุสโส) เป็นเอกบุรุษ จึงรู้จักการกำหนด ลักขณรูป 4 ว่าอะไรจะให้มีต่อ มากหรือน้อยก็คือ อุปจยะ แล้วก็รู้ว่าอะไรจะให้ต่อไป สันตติ ก็รู้ เหมือนพระพุทธเจ้าสนทนากับบางคน ก็สุดท้ายพระพุทธเจ้าว่า ความเห็นของเธอกับเราต่างกัน นี่คือพระพุทธเจ้าตัดรอบแล้ว ช่วยไม่ได้แล้ว คือตัดสันตติ ไม่ต่อ หรือเหมือนอย่างกับ วิสาขอุบาสก คุยกับภิกษุณีธรรมทินนา ท่านก็ว่า ท่านได้ล่วงเลยปัญญาไปเสียแล้ว คือหมดที่จะถามแล้วแต่ก็วนเอาอันเก่ามาถามอีก ภิกษุณีท่านก็ว่าท่านล่วงเลยปัญญาไปเสียแล้ว เราจะรู้ตัวต่อตัวตัด รู้อุปจยะ จะให้ตัวไหนเจริญหรือจะให้ตัวไหนเสื่อมลง เป็นชรตา ได้หมด จากตัวกลางคือสันตติ ก็จะรู้ตัวจบหรือตัวต่อไปได้ อย่างพระพุทธเจ้ารู้ว่าถ้าพูดต่อไปก็มีแต่จะชรตา ท่านก็จบ แล้วทุกอย่างอยู่ที่อนิจจตา ไม่เที่ยงแท้ เว้นไว้แต่นิพพานเท่านั้นที่จะนิจจตาได้ ในมหาจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเที่ยงนอกจากจิตผู้ที่ได้นิพพานแล้วเท่านั้น จะเป็นธาตุดินน้ำไฟลมหรือจิตที่ไม่ใช่อรหันต์ ก็ไม่มีนิจจตา มีแต่อนิจจตาทั้งสิ้นเลย

 

ผู้รู้จักอนิจจังก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ใครจะมาเที่ยงกับอาตมาก็เถอะ ไม่มีใครเที่ยงกับอาตมาหรอก มีแต่จิตอรหันต์ก็จะรู้กัน ท่านก็ไม่ตอแยกกัน คนอื่นก็ตอแยท่านไม่ได้

ผู้จบแล้วก็อาศัยอาหารรูป เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่หยาบ อาศัยกวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ท่านสอนในอวิชชาสูตรอีก ว่าอวิชชาก็มีอาหาร คือมีนิวรณ์ 5 ใคระเอานิวรณ์ 5 เป็นอาหารก็คือสัตว์ในสัตตาวาส 9 อยู่

อวิชชา มีโง่ตั้งแต่สัตตาวาส ระดับ 1 คือสัตว์นรกโง่แท้ๆ ส่วนสัตตาวาสระดับสองก็คือคนมีฌาน ก็แยกเป็นแบบฤาษีแบบเก่า กับแบบพุทธแท้ ที่ปฏิบัติฌานลืมตา  ปฏิบัติให้มีวิโมกข์สูงขึ้นไปตามลำดับๆ

 

ในอาหาร 4 มีวิญญาณาหาร นั้น วิญญาณของคนอวิชชาก็มีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร เราต้องเรียนรู้ใน สังกัปปะ 7 มันมีกาม หรือพยาบาท เขาไปปรุงแต่งในตักกะ วิตักกะ อยู่ อยู่ในกามภพ คุณก็เรียนรู้สังกัปปะ 7 แล้วเรียนรู้กำจัด กาม พยาบาทไป เริ่มต้น ไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิก็ไม่ได้เรียนรู้ กาม หรือพยาบาทสิ คุณก็อยู่ในกามาวรนี่แหละ แต่ไม่เกิดกิเลสกาม พยาบาทกับภายนอกแล้วแต่ภายในยังมีรูปาวจร อรูปาวจรอยู่ ไม่ต้องไปหลีกหนีผัสสะหรือไปนั่งหลับตาสมาธิแต่ว่าเรียนรู้ขณะมีผัสสะอย่างลืมตาเห็นๆ แม้เป็นผู้หมดกามหมดพยาบาทภายนอกแล้วก็ยังเหลือภายในให้กำจัดอีก เป็นมโนมยอัตตา อรูปอัตตา พวกนี้สำเร็จความใคร่ในจิตโดยข้างนอกไม่เกี่ยวข้อง จิตเราบรรลุความสุขในจิตโดยตัวเองแม้สัมผัสกับสิ่งภายนอกก็ไม่มีกิเลส อยู่คนเดียวก็ปรุงแต่งบ้าบอคอแตกไป นี่คือความไม่รู้เป็นมโนมยอัตตา สำเร็จความใคร่สมใจเราในจิต สำเร็จความสุขไปหมดเลย สุขถึงขนาดใครมากวนก็โกรธเลย ไม่เกี่ยวกับใครนะ แม้สัมผัสกับคนอื่นอยู่ คุณก็ปรุงของคุณไปไม่เกี่ยวกับคนที่สัมผัสเลย

 

ยกตัวอย่างคุณสัมผัสรูป โอ้โห บางคนสัมผัสแล้ว สปาสซั่มเลย หรือสัมผัสแต่เสียงก็สำเร็จสมใจอยาก สมใจกาม ถึงขึ้นสปาสซั่ม ไคลแมกซ์ได้ พวกที่เล่นกีฬาอยู่ทุกวันนี้ คุณดูเถอะ เตะบอล มันเริ่มเตะเข้าโกล ครั้งแรก สุดยอดไคลแมกซ์ ยิ่งยิงนัดสำคัญได้ ก็สำเร็จความใคร่สุดยอดเลย ดีไม่ดีช็อคตายเลย กองเชียร์ก็มีที่ตายเลย พวกนี้มีตายคาอก สำเร็จความใคร่สูงสุดแล้วก็ตายไปก็มี วันนี้อธิบายลึกและหยาบให้ฟัง

 

เราสามารถรู้มโนมยอัตตา เราสัมผัสภายนอกก็ไม่มีรสเช่นนั้น เหลือแต่ในใจก็ไม่เสพรสถึงช็อคแน่นอนไม่แรงไม่หยาบ จะสำเร็จด้วยใจก็อยู่กับตัว จะปั้นสำเร็จขนาดไหนก็ทำเองไม่เกี่ยวกับใคร แม้ตากระทบรูป ข้างในของคุณก็ไม่เกี่ยวกับเขา เช่นเห็นแล้วเขาสวยน่ารักน่าปล้ำก็แล้วแต่ แต่คุณก็ไม่ได้ไปปล้ำเขา แต่คุณปล้ำเขาอยู่ในใจ มันหยาบนะ ในรูปตัณหา ประเภทรูปราคะนี่ แต่ถ้าเป็นอรูปราคะนั้นแทบจะไม่รู้ตัว หากเป็นอรูปที่ลึกมันก็แค่ชื่นใจน้อยมากวอบแวบแทบไมรู้ตัว คุณก็ไปกำหนดเอง จนกว่าจะไม่เหลือปฏิกิริยาในจิตเลย

 

มโนมยอัตตา ผู้ใดสำเร็จ บรรลุธรรม กำจัดกิเลสเสร็จอยู่ในอรูปอัตตา ก็จะลงมาอยู่ที่มโนมยอัตตา อนุโลมปรุงแต่งไปกับเขาโดยตัวเองไม่เสพไม่ติดแล้ว พระพุทธเจ้าว่าคือสัตบุรุษ ประมาณอยู่กับโลกเพื่อให้ประโยชน์แก่เขา เช่นคุณทำกับข้าวให้เขา คุณก็ลดการปรุงแต่งให้เขาไป คุณจะปรุงก็ได้แต่ก็ลดลงมาพอให้เขาอยู่ได้ จนเขาลดลงๆๆ ก็คือได้ช่วยเขาแต่ถ้าคุณปรุงให้เขาจัดจ้านเพิ่มนี่คือคุณกำลังฆ่าเขาแต่ถ้าปรุงให้เขาลดลงมาก็คือช่วยเขา คือสัจจานุโลมมิญาณ คือแทรกยาทิพย์เข้าขุมขน ไม่ให้เขารู้ตัวแต่ใส่ยาให้เขาลดกิเลส นี่คือฝีมือของพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยเขา

พอคุณสามารถเหนือได้ก็ให้เขาอนุโลมเลย คือเช็คเขาว่ามีอยู่ไหม แล้วถ้าทำได้ก็พาเขาอนุโลมช่วยคนอื่นด้วย เช่นพาไปออกสนามรบ ถือว่าเป็นสนามรบที่เหมาะ ได้ประโยชน์ แต่ไม่พาเข้า Rca หรือ PARAGON ไม่ไป ไปสนามการเมือง

คนที่จะสามารถรับยาทิพย์ก็ต้องมีภูมิระดับหนึ่ง คนทั่วไปไม่สามารถรับได้ อาตมาก็สามารถช่วยคนได้จำนวนหนึ่ง อย่างต่างชาติอาตมาก็สื่อกับเขาไม่รู้เรื่อง มันคนละภาษา แม้ขนาดนั้นอาตมาก็ต้องใช้ภาษาโลกๆร่วมไปกับเขา หลายคนเห็นว่าอาตมาตกต่ำ เพราะว่าพูดภาษาโลกๆ ใช่ อาตมาเจตนาใช้โดยประมาณเป็น ก็ได้มาขนาดนี้ ถ้าอาตมาไม่อนุโลมเลย อาตมาจะเคร่ง อาตมาจะได้คนที่ขลังๆ ชอบพระเคร่ง คนจะมาเยอะด้วย แต่อย่างอาตมาทำนี่ซับซ้อน มีปัญญาที่ลึกซึ้ง ทั้งสายเจโตและปัญญาที่มานี่ ถ้าสายเจโตจัดเขาก็ไม่มา ถ้าสายปัญญาเฟ้อฟุ้งเขาก็ไม่มา อาตมาก็ได้คนมีเจโตและปัญญาระดับหนึ่ง พวกสายปัญญาจัดอาตมาไม่ไหว ไม่ทันเขา เขาฉลาดจริงๆ ยิ่งกว่าปลาไหลใส่เสก็ตอัดจารบีวิ่งบนลานน้ำแข็ง เก่งกว่าเซี่ยงเมี่ยง เก่งกว่าศรีธนญชัย เขาไม่รู้ว่าเขาวนอยู่ที่ไหน เขาพูดกว้างไกลมาก พูดไปก็ลืมหมด และที่อาตมาทำนี่ก็เป็นการคัดเลือกคนทั้งเจโตและปัญญาประมาณหนึ่ง ต้องมีอุภโตภาควิมุติ

นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของอวิชชา พวกถีนมิทธะเป็นพวก Prophecy ส่วนพวกอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นพวก Philosophy มีสองสาย ต้องจับให้ทั้งสองสายมาเรียนแบบพุทธ มาหาความสว่าง ไม่ฟุ้งเกิน หรือแบบเบลอๆก็ไม่ดี เราเอามาเข้าหาสิ่งที่สัมผัสได้ เป็น Phenomenology มีปรากฏการณ์จริงอธิบายได้ไปตามลำดับ มีโลกุตระ 9 โดยมีภาคปฏิบัติอย่างโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่เรียนรู้ กาย องค์ประชุมของนอกและใน เรียกว่า สักกายะ คือสัมผัสภายนอกแล้วอ่านจิตได้ สามารถวิเคราะห์หาเหตุได้ เข้าไปกายในกายก็เป็นเวทนา มีสราค สโทส สโมห ซ้อนในจิต ค้นเข้าไปเจอเหตุ ของจริง ถ้าไม่ได้ติดตัวนี้ไม่มีกิเลสแล้ว เช่นกิเลสตัวที่คุณอยากไปนอกอวกาศ คุณก็ไม่มี ไม่มีสักกายะตัวนี้ คุณก็ต้องดูสิ่งที่คุณมี เป็นสักกายะ เป็นตัวตนใหญ่ เป็นกิเลสใหญ่  กำจัดมันให้ได้ คือสมุทัยในอาริยสัจ 4 มันเป็นนามธรรม เกิดจากการผัสสะหลัดๆเป็นปัจจุบัน ตัวจริงไม่ใช่นึกเอาแบบไม่มีผัสสะ   หลงผิดกันทั้งโลกเลยนะ ดีที่มีมหาจัตตารีสกสูตร

ตัวสังกัปปะนี่แหละเป็นตัวที่จะเรียนรู้สังขารได้ เรียนรู้ สังขาร 3 คือ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร อันไหนเกิดก่อนหลัง ตอนนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ส่วน ตอนได้นิโรธแล้ว จะปรุงแต่ง ก็เริ่มที่จิตสังขารก่อน

 

ศาสนาพุทธเป็นลัทธิประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ลดกิเลสตนแล้วก็ให้ประโยชน์ผู้อื่นไปด้วยในตัว เป็นอุภยัตถะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:39:56 )

571005

รายละเอียด

571005-วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่อง เจริญกายคตาสติอย่างไรให้เป็นพุทธ

ส.ฟ้าไท เมื่อก่อนในน้ำมีปลาในนามีข้าว แต่ตอนนี้ในน้ำมีแต่สารพิษ สังคมไม่น่าอยู่แล้ว สู้มาอยู่ที่บ้านราชฯดีกว่า น่าอยู่ที่สุด เท่าที่รู้สึก อยู่กับคนดีมีความผาสุก ปลอดภัยในชีวิต นอนบ้านก็สบาย ไม่ต้องมีรั้ว ขนาดวัว ควาย ยังมากินผักหญ้าบ้านเรา ขนาดเขาปลูกข้าวงามๆยังไม่กินเลย ที่อื่นใส่สารพิษ วัว ควายมีเซนส์เลือกที่กิน มันมากลางคืนด้วยนะ มันไม่ไปกินข้าวงามๆของเขาด้วยนะ มากินข้าวเราที่ไม่งามที่ปลูกตามข้างทาง มีหญ้าก็ไม่น่ากินแต่มันก็มา

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้ข้าวเราก็เต็มไปหมด ขึ้นไปทั่วเลย ออกรวงไปเยอะเลย เตรียมเคียวไปเกี่ยว ตอนนี้ทำข้าวเม่าอ่อนได้นะ รอบบ้านราชฯขึ้นเองก็มี นี่คือความอุดมสมบูรณ์ วัวควายกินก็กินใบ มันก็แตกใบ ออกเมล็ดอีก

 

ส.ฟ้าไทว่า...การปฏิบัติธรรมของพุทธส่งผลถึงคนและสัตว์ ขนาดควายโง่ยังรู้ว่าที่นี่ดีเลย แล้วเราจะโง่กว่าความไม่รู้ว่าที่นี่ดีได้อย่างไร? วันนี้พ่อครูจะอธิบายเรื่อง กายคตาสติ อานาปานสติ ซึ่งแต่ก่อนเป็นนศ.อาจารย์ก็พาเรียนอภิธรรม เรียนก็งงๆ นึกว่าเป็นเรื่องยากมาก

 

พ่อครูว่า..อาตมายังไม่กล้าพูดเรื่องจิตละเอียดมากๆเลย แต่จะสอนรูปก่อน ซึ่งเรียนรู้รูป ก็มีนามอยู่ ซึ่งถ้ารูปยังไม่รู้เลยจะไปเรียนนามที่ลึกซึ้งเป็นไปได้ยาก คนก็ยากที่จะเข้าใจ ปางนี้อาตมาต้องอดทนต่อสู้ พิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ อาตมาก็ว่าตนสู้ได้ดีอยู่ แต่สงสารคน ซึ่งเขาเถียงไมได้ เพราะอาตมาเอาพระไตรฯมายันตลอด ถ้าไม่มีหลักฐานเขาก็จะแย้ง แต่เขาก็จะรับก็ไม่รับ เพราะมันผิดจากที่เขาเข้าใจทั้งยวงแต่เขาก็ไม่น่าจะถ่วง เพราะรู้ว่าอะไรถูกกว่า เขาไม่น่าปิดกั้น เพราะจะบาปมาก พูดเหมือนยกตนข่มเขา แต่จิตใจอาตมาไม่มีสิ่งเหล่านี้ มีแต่ใจที่เห็นใจสงสารเวทนา ตอนนี้อาตมาก็อายุ 80 แล้ว

 

ส.ฟ้าไทว่า...เรื่องโลกุตรธรรมที่พ่อครูจะเอามาอธิบายนั้นยาก แต่ว่าเราก็คุ้มที่จะมาศึกษาปฏิบัติตาม ซึ่งก็ได้ผลมีคนทำได้ วันนี้เราฟังเรื่อง กายคตาสติ อานาปานสติ ก็ต้องตั้งใจฟัง เป็นเรื่องพาลดละกิเลสได้

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้ช่วงหลัง 5-10 ปีอาตมาเน้นปรมัตถธรรม ที่เน้น จิต เจตสิก ก็ยาก แต่จำเป็น ทุกวันนี้ออกนอกทางพุทธไปหมด ไม่เข้าถึงจิตเจตสิก หรือเข้าอย่างไปนั่งสมาธิ หรือพวกศึกษาอภิธรรม ก็ศึกษาจิต เจตสิก ด้วย แต่ไม่เข้าถึงจิตจริง เขาท่องแต่พยัญชนะเป็นอัตวาทุปาทาน ส่วนทางปฏิบัติก็เข้าใจทฤษฎีผิด ก็เข้าถึงจิต แต่เป็นแนวดิ่ง ไม่เป็น กาย ที่มีหยาบ กลาง ละเอียด มันก็ดิ่งแน่วตรงซื่อๆ ทางนั่งดับก็ดับดิ่งเข้าหาดับมือดำเลย ส่วนพวกเรียนจิตเจตสิกรูปนิพพานมีเหตุผลมากมาย ท่องได้เก่งร้อยเรียงเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยพยัญชนะ ได้แต่วาทะ เป็นอัตวาทุปาทาน เขาไม่ได้รู้ถึงสภาวะก้อนกิเลส เขาจับไม่ติด ไม่เข้าถึงสภาวะพวกนี้ เขารู้เพียงผิวเผินรู้แต่สบายกับไม่สบาย อย่างสำนักติชนัทฮัน ก็ติดแต่สบายสามัญโลกีย์ ให้งามให้ดูเรียบร้อยคนก็นิยม แต่ไม่ได้ละกิเลสไปตามลำดับไม่ถึงนิพพาน มันอาศัยแต่ฐานสงบ ไม่เป็นฌานของพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ไม่รู้วิตกวิจารเลย ไม่รู้จัก กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ไม่แปลกที่เขาจะแปล ปุญญาภิสังขารว่าสังขารเป็นบุญแต่แปลอปุญญาภิสังขารว่า สังขารเป็นบาป

 

เพราะไม่รู้จักาย ที่เข้าถึงปรมัตถ์ ไม่เนื่องต่อไปที่เวทนา จิต ธรรม เขาปฏิบัติหั่นขาดตอนกันหมด ก็เลยไม่มีการบรรลุ มันมีเหวหุบ หลุมบ่อกั้นหมดไม่ทะลุ แล้วหลงวนตรงนั้นคิดว่าตนบรรลุแล้ว พูดไปก็เหมือนยกตนเองว่าตนยิ่งใหญ่แต่ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์แต่เถรวาทไม่เข้าใจโพธิสัตว์ว่าคืออะไร แล้วเขาไม่นับถือโพธิสัตว์ด้วย เขานับถือแต่อรหันต์ เป็นอุจเฉททิฏฐิ แล้ว ส่วนมหายานก็เป็นสัสตทิฏฐิ คือไม่มีการจบสิ้น ส่วนเถรวาท เป็นอุจเฉท เพราะว่าตายแล้วสูญ เป็นอรหันต์ตายแล้วสูญหมด เป็นต้น

 

วันนี้ตั้งใจขยายความกายคตาสติสูตร

[293]  ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น

เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลานั้น  ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง  ณ  อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้  แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอ  นั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน  และพวกเธอสนทนาเรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง  ฯ

            ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ณ  โอกาสนี้  พวกข้าพระองค์กลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาอาหารแล้ว  นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลาเกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า

 

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  น่าอัศจรรย์จริงไม่น่าเป็นไปได้เลย  เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น

ผู้ทรงรู้  ทรงเห็น  เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ  ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว  ทำให้มากแล้วว่ามีผลมาก  มีอานิสงส์มากนี้  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้อสนทนากันในระหว่างของพวกข้าพระองค์ได้ค้างอยู่เพียงเท่านี้  พอดีพระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง  ฯ

 

 [294]  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้ว

อย่างไร  ทำให้มากแล้วอย่างไร  จึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุใน

ธรรมวินัยนี้  อยู่ในป่าก็ดี  อยู่ที่โคนไม้ก็ดี  อยู่ในเรือนว่างก็ดี  นั่งคู้บัลลังก์  ตั้งกายตรงดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า  เธอย่อมมีสติหายใจออกมีสติหายใจเข้า  เมื่อหายใจออกยาว  ก็รู้ชัดว่า

หายใจออกยาว  หรือเมื่อหายใจ  เข้ายาว  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้ายาว  เมื่อหายใจออกสั้น  ก็รู้ชัดว่า

หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่า  หายใจเข้าสั้น  สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักเป็นผู้

กำหนดรู้กองลมทั้งปวง(บาลีคือคำว่า กาย)  หายใจออก  ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง  หายใจเข้า

สำเหนียกอยู่  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจออก  ว่าเราจักระงับกายสังขาร  หายใจเข้า

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่  อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

พ่อครูว่า...ความจริงของสุขทุกข์อยู่ที่สัมผัสกายอยู่ทางทวารทั้ง 6 เท่านั้น นอกนั้นเป็นแต่อุปาทาน เป็นตัวยึดไว้เท่านั้น ถ้าหมดตัวยึด ก็คือนิพพาน เมื่อเกิดสุขทุกข์ เกิดกิเลสก็จับตัวนี้แล้วล้างกิเลสให้หมด ซึ่งคนจะมาเข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติจนตายไปด้วยกันนี่มีสัก 1000 คนได้ แต่จะถึง 2000 คนไหมก็ไม่น่าจะถึง ก็ทำมาตั้ง 30-40 ปีแล้วนะพุทธาภิเษก ปลุกเสกฯ ทำมา 39 ปีแล้ว มันไม่ง่ายเลย

 

ที่มันยากเพราะกระแสสังคมเขาไปนับถือกระแสหลัก นับถือกลุ่มหลัก กลุ่มที่นำพาศาสนาไป แล้วก็ขออภัยที่ต้องพูดว่าเขาผิด ก็เลยนับถือสิ่งผิด ก็เลยซวยถึงลูกศิษย์ลูกหาที่มาบริหารบ้านเมืองก็เลยมีแต่เห็นแก่ตัว ดีไม่ดีทุจริตเห็นแก่ตัว ไม่มีหิริโอตตัปปะ แล้วเป็นพุทธอย่างนี้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์นะ แล้วพุทธนี่เป็นอิสระไม่บังคับ กิเลสก็เลยเป็นเจ้านาย แล้วย่ำแย่กว่าศาสนาอื่นด้วยก็น่าสงสารประเทศไทย

 

อาตมามาสืบทอดนำความถูกต้องความจริงของพระพุทธเจ้ามายืนยันสืบทอดศาสนา มั่นใจว่า 40 กว่าปีนี้มีผู้สืบทอด มีผู้มีความรู้ด้านศาสนา มีแล้วกลุ่มหนึ่งจำนวนอาจถึงสองพันก็ไม่รู้ นอกนั้นก็หลวมๆ เป็นผู้ที่เชื่อ มีเชื่อถือ (ศรัทธา) เชื่อฟัง(ศรัทธินทรีย์) เชื่อมั่น(ศรัทธาพละ) เมืองไทยเป็นพุทธตั้งแต่เกิดในบัตรประชาชนก็เป็นพุทธ ก็ถือพุทธตามๆกันมาถ่ายทอดกันมา แต่เนื้อหาพุทธเสื่อมไปแล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณีสูตร เป็นกลองอานกะที่เวลาผ่านไปก็ไม่มีเนื้อเดิมแล้ว เป็นสิ่งที่เอามาปะไว้หมด เหมือนศาสนาพุทธที่ไม่มีเนื้อแท้แล้วมีแต่สิ่งที่เอามาปะ เมืองไทยคนพอรู้ที่อาตมาพูด เชื่อถือนะ ว่าจริงถูกแต่ไม่เชื่อฟัง เพราะคนที่เชื่อฟังจะปฏิบัติตาม พอปฏิบัติได้ผลก็จะมีศรัทธาพละ เป็นเชื่อมั่น

 

แต่ทุกวันนี้อาตมาได้รับความเชื่อถือเท่านั้น ส่วนเชื่อฟังมีน้อยแล้วเชื่อมั่นก็ยิ่งมีน้อย ที่พูดนี่ไม่เกินจริง ทีนี้น้ำหนักของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้า ในคน 67 ล้านคนในไทย มีคนแค่นี้ 777 คนก็ได้ที่ได้ ยังมีรูปร่างของพุทธได้ ท่ามกลางไฟนรกโลกีย์อันจัดจ้านของเมืองไทย ไทยนี่บ้ายิ่งกว่าอินเดีย บ้าไปตามโลกโลกีย์ เขาเห่ออะไรก็ไวไปไวกว่าอินเดีย เขาเจโตจัด เปลี่ยนแปลงยาก พลเมืองเขาจะอยู่เป็นพันล้านต่อไป เขาไม่ปิดกั้น เขาอยู่ได้ ส่วนจีนพยายามเบ่งอำนาจ ยึดเอาประเทศอื่นเรื่อยๆ คนก็ชอบใหญ่อำนาจ เป็นธรรมดาของโลกีย์ กว่าเขาจะเข้าใจว่า ไปเอามาอีกทำไม แต่ขันธ์ 5 ตนเองนี่ก็กิลมถะจะตายไป

 

ความไม่รู้เป็นเรื่องน่าสงสาร ทั้งที่ไทยเป็นเมืองพุทธมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี ตำราไตรฯก็ถือฉบับสยามรัฐมานาน แค่คำว่า กาย และคำว่าบุญ สองคำนี้เป็นคำสำคัญ หากเข้าใจคำว่า กายผิดก็ปฏิบัติธรรมไปไม่รอด ยิ่งคำว่าบุญหากเข้าใจผิดก็ยิ่งแย่

 

บุญคือการชำระกิเลส เมื่อชำระได้ กิเลสลด บาปก็ลด ไปเรื่อยๆ นี่คือความดีงาม แต่ไม่ใช่ดีงามแบบโลกีย์ที่ได้ฟูใจ อร่อยกับ กามกับโลกธรรม จึงไร้ประโยชน์สาระ เพราะคำว่าบุญคืออาญาสิทธิ์ อาวุธที่จะตัดกิเลส พอคำว่าบุญเข้าใจผิดก็ไม่มีอาวุธตัดกิเลส

 

บุญ ต้องรู้กาย ต้องรู้องค์ประชุมทั้งนอกและใน อยู่ในวิโมกข์8 ข้อที่ 2 ยืนยันชัดเจนว่า พหิทารูปานิ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี รู้ข้องนอกเข้าไปถึงข้างในถึงอรูป และรู้ขณะมีปัสสติ มีสัมผัส ทั้งทุกทวาร 6 มีสัมผัส contact อยู่ทั้งหมดไม่ได้ขาด แต่เขาก็ไปปฏิบัติจิตแบบตัดขาดผัสสะ ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าเลยล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัวเลย

 

และพระไตรฯปิฎกฉบับนี้พระกัสสปะที่เป็นคนร้อยเรียง มากกว่า 50 ในร้อย ก็เลยเป็นเจโตเข้มข้น ปัญญาน้อย ก็น่าสงสาร แต่ดีที่เป็นเชื้อแท้ เถรวาทเป็นเชื้อแท้ไม่ผสม ส่วนมหายานเป็นพันธุ์ทาง คนไม่ค่อยเชื่อ แต่เถรวาท เป็นเจโต ตีธรรมะไม่แตก ก็เลยยากจริงๆ แต่ที่พูดนี่ไม่มีท้อ เพราะอาตมาเห็นว่าถ้ายังเกิดเป็นมนุษย์อยู่ไม่มีอะไรที่สำคัญเท่าอันนี้ อันนี้คือประโยชน์แท้ของมนุษย์

 

คำว่า “ก็ดี” ในยุคพพ่อครูมีแต่คนปฏิบัติแบบฤาษีป่าเสียมากมาย ที่จริงท่านก็หมายถึงว่า ก็เถอะ แต่เธอมาปฏิบัติไม่แยกกันระหว่าง กายคตาสติกับอานาปานสติ ซึ่ง กายคตาสติเขาแยกไปเดินจงกรมปฏิบัติ และอานาปานสติก็ไปนั่งสมาธิ แต่ความจริงแล้ว กายคตาสติกับอานาปานสติ ก็ไม่ได้แยกกัน ต้องปฏิบิติไปด้วยกัน หากแยกกันก็วิลัย บรรลัย ฉิบหายแล้ว

 

พระพุทธเจ้าว่า ก็เอาเถอะหากแม้คุณต้องไปนั่งสมาธิ ก็ต้องสัมพันธ์รู้กาย รู้จิตสังเคราะห์สังขารกันตลอดเวลา

 

การออก มีปฏิกิริยาของมันอย่างออก ส่วนการเข้า การสั้น การยาว ของลมหายใจก็ต้องรู้ว่าต่างกันนะ ส่วนบรรดาอาจารย์อื่นก็ว่าไปขยายเกินพระพุทธเจ้า ว่าร้อนก็ต่าง เย็นก็ต่าง ลมข้างนอกข้างใจก็ต่างกันนะ แต่พระพุทธเจ้าว่าไม่ให้ทิ้งลมหายใจนะ ถ้าขาดก็ไปรู้แต่ภายใน ไปปั้นอยู่ภายในเป็นมโนมยอัตตา ว่าลมไปอยู่ภายในเห็นลมเลื่อนไปตามร่าง ก็ปั้นคิดเอาไปตามมโนมยอัตตา คือมันปั้นเป็นความรู้สึกได้ คนก็ไม่เข้าใจไม่รู้

 

ที่ขยายนี่เพราะพระพุทธเจ้าสอนมาสองพันห้าร้อยกว่าปีความหมายก็เพี้ยนไป ซึ่งท่านก็สมัยโน้น ป่ามันเยอะ มันใกล้กว่าวังที่พระเจ้าแผ่นดินอยู่นะ และวังก็ไม่ไกลนัก

 

การสมมุติเอาสิ่งเหล่านี้อธิบายจึงยาก สรุปว่า ท่านให้สำเหนียกในความระงับของกายสังขาร แม้ลมท่านก็ให้รู้ว่ามันมีหลากลักษณะ ให้สำเหนียกว่ามันมีองค์ประชุมร่วมกัน แต่ท่านเน้นที่ระงับกายสังขาร แล้วระงับอะไร เขาก็พาซื่อเข้าใจว่า กาย คือร่าง พอให้ระงับกายสังขารก็เลยหยุดนิ่งแข็ง ก็เลยจบ ทำให้คนเป็นท่อนไม้ เป็นก้อนหิน ศาสนาพุทธไม่ได้ให้คนทำเป็นท่อนไม้หิน แต่ว่าให้มีกายปาคุญญตา มีความคล่องแคล่ว มีความเบา มีวิชาตัวเบา ว่างง่ายไวเร็ว ไม่ได้หมายถึงมานั่งแข็ง นิ่งออยู่กับภพตนเองนะ ของพุทธมีสาราณียธรรม มีพุทธพจน์ 7 ไม่ได้เป็นคนใจดำติดภพ แต่เป็นคนใจกว้างเมตตาเกื้อกูลและประมาณตนได้ ด้วยการช่วยเหลือ ไม่วิวาทกับใคร อบอุ่นเป็นเอกีภาวะ อาตมาชื่นใจที่อโศกมีสิ่งเหล่านี้ แม้ไม่สมบูรณ์แต่มีสภาวะแล้ว

 

กายสังขาร นั้นไม่ใช่แค่ ร่าง แต่หมายถึงทั้งกายและจิต สัมพันธ์กัน ตลอด ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ สังขารนี่คือจิตปรุงแต่งเป็นหลัก ได้หมายถึงแค่ ร่าง ตัวฟิสิกส์เป็นหลัก กายคือองค์ประชุมของ เวทนา สัญญา สังขาร คือองค์ประชุมของธาตุรู้ทั้งหมดคือ กายวิญญาณ และแจกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร สามกอง

 

การทำสมาธิคือทำกายสังขารให้สงบรำงับ แต่เขาก็ไปแปลและปฏิบัติเป็นนั่งสมาธิหลับตาให้ร่างนี้แข็งทื่อ ยิ่งแข็งทื่อได้มากได้นานเท่าไหร่ก็จะถือว่าเป็นสมาธิมากเท่านั้นทั้งที่สมาธิของพระพุทธเจ้าเกิดในองค์รวมของกายและจิตทุกขณะทุกอิริยาบถทุกขณะ มีกรรมกิริยาอยู่แคล่งคล่องว่องไว แม้มีผัสสะ อะไรมากระทบจะร้อนแรงเท่าไหร่ก็มีกายที่สงบคือปราศจากกิเลส สงบรำงับจากกิเลสต่างหาก

 

มีธรรมะที่เข้าไปทำลายตัวผีออกจากเรือนใจก็เป็นความสงบรำงับ เพราะลดความดำริพล่านในจิต จิตก็สงบรำงับ แต่จิตเป็นตัวเคลื่อนไหวไม่ใช่แข็งทื่อแต่มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ไม่ใช่แข็งนิ่งแต่จะเป็นจิตแข็งแรงมั่นคงยั่งยืนอิสระ ปรับได้ง่าย มีปัญญา เป็น หนึ่งเดียว เป็นความตั้งมั่น อย่างนี้ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ซึ่งไม่ทิ้งภายนอก แต่ทำที่จิต ระงับกายสังขาร  ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้นแต่ทุกอิริยาบถ เดินอยู่ก็รู้ชัด ยืนอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ หรือทรงกายโดยอาการใดๆก็รู้ชัด

 

และที่จะให้สงบรำงับ ต้องรู้ชัดว่า คือกิเลสตัณหานะ ไม่ใช่ว่าให้จิตหรือร่างนิ่งแข็งทื่อ แน่นิ่งดิ่งดับไม่รับรู้อะไร ถ้าทำอย่างนี้แย่แน่ มันตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้า ก็จะเข้าใจกายกัมมัญญา กายปาคุญญตา เขาจะเข้าใจไม่ได้เลย ไม่เข้าใจความเบาของกองเวทนา สัญญา สังขาร

 

            [295]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเดินอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน

หรือยืนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน  หรือนั่งอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง  หรือนอนอยู่  ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน

หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ  อยู่  ก็รู้ชัดว่า  กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ  เมื่อภิกษุนั้น

ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปใน  ธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

 

พ่อครูว่า..คำว่าแน่นิ่ง นี่คนก็แปลไปตามภูมิ คือทำตัวเหมือนคนตายอย่างนี้ปฏิบัติไม่ถูก ที่จริงหมายถึงกิเลสให้ตายสนิทเลย นิ่งสนิทเลย

 

คำว่า กายสเภทา ปรัมมรณา คือ หลังจากกายนี้แตกแล้ว จะกระจายเหมือนแสงสว่างที่กระจายไปทั่ว เท่าที่มันมีฤทธิ์ วิญญาณหรือธาตุรู้ของจิตก็เหมือนกันแต่มันไปไกลกว่าแสง บางเบากว่าแสงไม่มีที่กั้นได้ง่าย แต่แสงนี่ก็กั้นได้ง่ายแต่วิญญาณทะลุหมด กั้นไม่ได้ ถ้าขาดเหตุปัจจัยคือตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะอยู่ในภพของมัน

 

 

คนที่ไปเข้าใจว่าตายไปก็จะเป็นวิญญาณล่องลอยไป เข้าครรภ์มารดา เป็นนิยายไป คือเขาไม่รู้ ที่จริงจิตวิญญาณตายไปมีแต่นรกสวรรค์ของภพของตนเท่านั้น ส่วนวิบากมันก็พาเกิด เป็นกรรมโยนิ ตามที่มันมีจริง สังเคราะห์ระหว่าง กุศล อกุศล ไม่เที่ยง เปลี่ยนตลอดทุกวินาที แล้วแต่วิบากจะไปถึงตรงไหน?

 

กรรมใดที่คุณทำแล้วไม่มีลบล้าง สะสมทุกกรรม ถ้าเป็นอกุศลวิบากมันจะวิ่งไล่กวด แต่กุศลวิบากมันไม่วิ่งไล่เหมือนหมาไล่เนื้อหรอก

 

ส.ฟ้าไทว่าคงเหมือนทำดีจะมีแรงเฉื่อย แต่ความชั่วจะเร่งให้ทำมากเลย

 

พ่อครูว่า ทำไมคนถึงโง่ดักดานเลย ความดีจะเฉื่อยช้าที่จะทำ แต่ความชั่วนี่เร่งมากรีบมากจะไปทำ ทำไมโง่อย่างนี้  เช่นคนที่ทำความดีในศาลา คนก็ไม่ค่อยมาดู แต่ว่าคนทำชั่วที่ไหนบอกนะ คนก็รับไปดูเลย หนังสือพิมพ์จะลงแต่เรื่องชั่วร้ายแต่เรื่องดีก็ไม่ค่อยลง ยิ่งดีระดับโลกุตระคนยิ่งไม่ค่อยเอานะ

 

ส.ฟ้าไทว่าถ้าเราพัฒนาตน ทำความดีมากความดีจะเร็วกว่าชั่วไหม?

 

พ่อครูว่า ...ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้มันคานกันทุกอย่าง ถ้าความชั่วเร็วแรงไว แต่ความดีมาช้า จะทันกันอย่างไร? มันไม่ทันความชั่วหรอก มันอยู่ที่ตัวของแต่ละคนหากเห็นว่าดีก็ขวนขวายเร่งเอาไปอาศัยคนอื่นไม่ได้หรอก ต้องเรา เราต้องบังคับตัวเรา คนอื่นไม่เอาก็ช่างหัว พระพุทธเจ้าว่าอัตตหิ อัตตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยาย พระพุทธเจ้ายังช่วยไม่ได้เลย ต้องให้เจ้าตัวพึ่งตนเอง คำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไม่ได้หมายถึงให้เห็นแก่ตัวแต่ให้ล้างกิเลสลดตัวตนได้ แล้วเมื่อลดกิเลสตัวตนได้ก็จะเห็นแก่ผู้อื่นไม่เหมือนลัทธิฤาษี ที่ว่าตนไม่เห็นแก่ตัวแต่ไม่ช่วยคนอื่น คือไม่เห็นแก่คนอื่นแต่เห็นแก่ตัวเต็มบ้องเลย แต่ของพระพุทธเจ้าให้รู้จักความเห็นแก่ตัวแล้วฆ่าความเห็นแก่ตัว ยิ่งหมดความเห็นแก่ตัวยิ่งมีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากขึ้น หมดความเห็นแก่ตัวก็มีแต่ความเห็นแก่ผู้อื่นเต็มบ้องเลย

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องสุดยอด เมื่อจะรู้การทรงกายอิริยาบถก็ต้องรู้ละกิเลสในเรือนใจตลอดเวลา อยู่นิ่งก็ปฏิบัติ เคลื่อนไหวก็ปฏิบัติ แล้วเราอ่านใจเราให้เร็วให้ทัน มีจิตหัวอ่อน มุทุภูตธาตุ

 

ที่อาตมาบรรยายขยายความ ในกายคตาสติ ข.295 แล้วยังมีอิริยาบถอื่นอีก

 

            [296]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ  รู้สึกตัวในเวลา

ก้าวไปและถอยกลับ  ในเวลาแลดู  และเหลียวดู  ในเวลางอแขนและเหยียดแขน  ในเวลา

ทรงผ้าสังฆาฏิ  บาตร  และจีวร  ในเวลา  ฉัน  ดื่ม  เคี้ยว  และลิ้ม  ในเวลาถ่ายอุจจาระและ

ปัสสาวะ  ในเวลา  เดิน  ยืน  นั่งนอนหลับ  ตื่น  พูด  และนิ่ง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท

มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะ

ละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น

ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

           

พ่อครูว่า....รวมแล้วทุกอิริยาบถ คือกายคตาสติ องค์ประชุมทุกอิริยาบถ คุณต้องรู้และทำให้จิตลดกิเลสให้ได้ ต้องมาละความดำริพล่าน  ไม่ใช่ถูกหลอกให้ไปนั่งสมาธิแข็งทื่อไม่รับรู้ใครเอาไฟมาเผาก็ยังไม่รู้อีก แต่มันต้องมีสัมผัสทางทวารนอกด้วย และอยู่ในหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ศาสนาพุทธไม่ใช่แค่บ้านราชฯนะ แต่ทั้งโลก แต่เรายังไม่ไปทั้งโลกนะ เพราะเรายังเล็กอยู่ ต้องระวัง

 

ต้องมาละความดำริพล่าน ไปใน กามในพยาบาท ให้มันออกไปลดไปจางไป ตักกะวิตักกะสังกัปปะจึงเป็นกลไกทำลายกิเลสอันสมบูรณ์แบบได้ผลเป็นคุณนิธิ เป็นคลังพลังงานเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นคุณนิธิ แล้วตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นตัวคุณราศี เป็น พลังงานจลน์ ทำการสังขาร ทั้งกาย จิต วจีสังขาร รวมเสร็จแล้วก็ส่งออกเป็น วาจา กัมมันตะ อาชีวะต่อไป

 [297]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา  มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ

 ตับ  พังผืด  ไต  ปอดไส้ใหญ่  ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง

เลือด  เหงื่อมันข้น  น้ำตา  เปลวมัน  น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พ่อครูว่า..ผมขนเล็บฟันหนัง มันเป็นส่วนนอก ไม่มีปลายประสาท ไม่มีปสาทรูปเกี่ยวแล้วไม่มีนามธรรมไปเกี่ยวก็ไม่เรียกว่ากายแต่เรียกกายลำลองเพราะมันติดกับร่างอื่นๆอีก

 

พ่อครูว่า...กายถ้าไม่เกี่ยวกับนามธรรมก็ไม่สามารถจัดการมันได้ จะจัดการได้ต้องมีประสาทไปถึง

 

เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง  2  ข้าง  เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ  ชนิด  คือ  ข้าวสาลี   ข้าวเปลือก

ถั่วเขียว  ถั่วทอง  งา  และข้าวสาร  บุรุษผู้มีตาดี  แก้ไถ้นั้นออกแล้วพึงเห็นได้ว่า  นี้ข้าวสาลี

นี้ข้าวเปลือก  นี้ถั่วเขียว  นี้ถั่วทอง  นี้งา  นี้ข้าวสารฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้น

เหมือนกันแล  ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แลข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป  ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา

มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  เต็มด้วยของไม่สะอาด  มีประการต่างๆ  ว่ามีอยู่ในกายนี้  ผม  ขน  เล็บ

 ฟัน  หนังเนื้อ  เอ็น  กระดูก  เยื่อในกระดูก  ม้าม  หัวใจ  ตับ  พังผืด  ไต  ปอด  ไส้ใหญ่

ไส้น้อย  อาหารใหม่  อาหารเก่า  ดี  เสลด  น้ำเหลือง  เลือด  เหงื่อ  มันข้นน้ำตา  เปลวมัน

น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  มูตร  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความ  เพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้

 ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายใน

เท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า

เจริญ  กายคตาสติ  ฯ (คนแปลไปว่า แน่นิ่ง นี่คนแปลคงไม่ได้เข้าใจสภาวะ)

            [298]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้  แล  ตามที่ตั้งอยู่ตามที่ดำรงอยู่  โดยธาตุว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำธาตุไฟ  ธาตุลม  ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนคนฆ่าโค  หรือลูกมือของคนฆ่าโค  ผู้ฉลาด  ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ  ใกล้ทางใหญ่  4  แยก  ฉันใดดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แลตามที่ตั้งอยู่  ตามที่ดำรงอยู่  โดยธาตุว่า  มีอยู่ในกายนี้  ธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุไฟ  ธาตุลม

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง

 เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

            [299]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  อันตายได้

วันหนึ่ง  หรือสองวัน  หรือสามวัน  ที่ขึ้นพอง  เขียวช้ำ  มี  น้ำเหลืองเยิ้ม  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

[300]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน ป่าช้า  อันฝูงกา

จิกกินอยู่บ้าง  ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง  ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง  หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง

หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง  สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ  ชนิดฟอนกินอยู่บ้าง  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบ

กายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้  เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้

เมื่อภิกษุนั้นไม่  ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่

อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่  แน่นิ่ง

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

            [301]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุม

เป็นรูปร่างอยู่ด้วยกระดูก  มีทั้งเนื้อและเลือด  เส้นเอ็นผูกรัดไว้...

            เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก  ไม่มีเนื้อ  มีแต่เลือดเปรอะเปื้อนอยู่เส้นเอ็นยังผูกรัดไว้...

            เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก  ปราศจากเนื้อ  และเลือดแล้ว

แต่เส้นเอ็นยังผูกรัดอยู่...

            เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นท่อนกระดูก  ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูก  รัดแล้ว  กระจัด

กระจายไปทั่วทิศต่างๆ  คือ  กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง  กระดูกเท้าอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่งกระดูกหน้าขาอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกสะเอวอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกซี่โครงอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกหน้าอกอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง

กระดูกคออยู่ทางหนึ่ง  กระดูกคางอยู่ทางหนึ่ง  กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง  กะโหลกศีรษะอยู่ทางหนึ่งจึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า  แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้  จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่า

เจริญกายคตาสติ  ฯ

            [302]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นแต่

กระดูก  สีขาวเปรียบดังสีสังข์...

            เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นท่อนกระดูก  เรี่ยราดเป็นกองๆ  มีอายุเกินปีหนึ่ง...เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า  เป็นแต่กระดูก  ผุเป็นจุณ  จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า

แม้กายนี้แล  ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา  มีความเป็นอย่างนี้  ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้  เมื่อภิกษุนั้น

ไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้  ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้เพราะละความดำริพล่านนั้นได้จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

            [303]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุสงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม

เข้าปฐมฌาน  มีวิตก  มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่  เธอยังกายนี้แล  ให้คลุก  เคล้า

บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติ

และสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน  หรือ

ลูกมือของพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด  โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว  เคล้า

ด้วยน้ำให้เป็นก้อนๆ  ก้อนจุณสำหรับสรงสนานนั้น  มียางซึม  เคลือบ  จึงจับกันทั้งข้างใน  ข้างนอกและกลายเป็นผลึกด้วยยาง  ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  ภิกษุย่อมยังกายนี้แลให้คลุก  เคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง  เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท  มีความเพียร  ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้  เพราะละความดำริพล่านนั้นได้

จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น  ย่อมคงที่  แน่นิ่ง  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  ตั้งมั่น  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

แม้อย่างนี้  ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ  ฯ

            [304]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ประการอื่นยังมีอีก  ภิกษุเข้าทุติยฌาน  มีความผ่องใสแห่งใจ

ภายใน  มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  เพราะสงบวิตกและวิจารไม่มีวิตก  ไม่มีวิจาร  มีปีติ

และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่  เธอยังกายนี้แล  ให้คลุกเคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิด

แต่สมาธิ  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง  ดูกร

ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ  ไม่มีทางระบายน้ำทั้งในทิศตะวันออก  ทั้งในทิศตะวันตก

ทั้งในทิศเหนือ  ทั้งในทิศใต้เลย  และฝนก็ยังไม่หลั่งสายน้ำโดยชอบตามฤดูกาล  ขณะนั้นแล

ธารน้ำเย็นจะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น  แล้วทำห้วงน้ำนั้นเอง  ให้คลุกเคล้า  บริบูรณ์  ซาบซ่านด้วย

น้ำเย็น  ไม่มีเอกเทศไรๆ  แห่งห้วงน้ำทุกส่วนนั้นที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง  ฉันใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สรุปว่า จะอยู่ในอิริยบถไหน องค์ประกอบอย่างไรก็ให้ละกิเลส และให้มีปีติแผ่ซ่านไป ไม่มีเอกเทศไหนๆที่ปีติไม่แผ่ซ่านไปไม่ถึง นั่นไม่ได้หมายถึงไม่ให้มีปีติ มี กายวิเวก จิตวิเวก เพราะมีอุปธิวิเวก คือกิเลสหมดไปนั่นเอง

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่า ออกป่านั้นทำความวิเวกได้ยาก ซึ่งคนก็เข้าใจยากมักเข้าใจกันว่าไปอยู่ป่าก็ต้องวิเวกกว่าสิแต่ไม่ใช่ วิเวกคือความปราศจากกิเลส ไม่มีเพื่อนสอง แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนเลย แต่เพื่อนเยอะแต่ไม่มีกิเลสเป็นเพื่อนสอง ต้องเข้าใจให้ถูก

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้เราได้เรียนวิชาตัวเบา ทำให้กองเวทนา สัญญา สังขาร เบาว่างจากกิเลส รู้ว่า การทำกายคตาสติ และอานาปานสติ คือปฏิบัติอยู่กับปัจจุบันทุกอิริยาบถ แต่ปฏิบัติให้จิตไม่มีความดำริพล่านไปในกามในพยาบาท และกายคตาสติกับอานาปานสติต้องไม่ขาดจากกัน หากขาดจากกันเมื่อไหร่ก็บรรลัยเมื่อนั้น เราต้องปฏิบัติให้เกิดถึงความเชื่อมั่น ทำได้จริง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:42:12 )

571007

รายละเอียด

571007-สรรค่าสร้างคน(15) เรื่อง ลักษณะชุมชนเข้มแข็ง 14​ประการ ตอน1

พ่อครูว่า....วันนี้วันที่ 7 ต.ค. 57 ข.14 ค่ำ ด.11 ปีมะเมีย พรุ่งนี้ก็เป็นวันบั้งไฟพญานาค เขาก็ว่ากันไปที่หนองคายก็จองที่ดู จนป่านนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าทำไมพญานาคถึงมีบั้งไฟอย่างนี้แล้วมีทุกปี ก็ว่ากันไป จะเป็นจริงอย่างไร แม้จะมีตัวพญานาค ตัวเหมือนงูหัวมีหงอนใต้น้ำ ที่จริงพญานาคน่าจะไปอยู่ ที่แม่น้ำใหญ่กว่านี้นะ ทำไมมาอยู่แค่น้ำโขง เอาเถอะก็เป็นเรื่องความเชื่อถือ จริงๆความเชื่อถือนี่มีความสำคัญ

 

หากเราเชื่อถือผิด เราก็อยู่ไม่เป็นสุข ชีวิตก็ไม่ดี แต่ถ้าเชื่อถือสิ่งดีมีคุณค่าประโยชน์ เป็นจริงได้ อันนี้สำคัญที่จริงและมีคุณค่าประโยชน์แท้จริง โดยเฉพาะมีประโยชน์ ที่ลึกซึ้งมาก เช่นเรียกว่าประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น อัตตัตถะ (ประโยชน์ตน) และ ปรัตถะ (ประโยชน์ผู้อื่น)

 

ผู้ค้นพบประโยชน์ตนที่ถูกต้องวิเศษ เหนือชั้นกว่าคนคิด ซึ่งคนเราคิดประโยชน์ตนคือได้อำนาจ ยศ สรรเสริญ หรือบำบัดบำเรอ กาม และอัตตา เขาก็ถือว่าประโยชน์ตน อย่างดีเขาก็บอกว่าให้สุจริตจะได้อะไรมาก็ควรสุจริต ยิ่งอัตตาแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่พุทธนั้น พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก และประโยชน์ตนที่เข้าใจกันจึงเป็นเรื่องผิด ทวนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่าประโยชน์ตนแบบนั้นเป็นโทษ มันแย่งชิง ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม การจะได้เสพสมกิเลสมากๆ ในกาม ในอัตตา ในโลกธรรมยิ่งได้มาก ยิ่งเบียดเบียนผู้อื่น ยิ่งขูดรีด ยิ่งทำร้ายคนอื่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ชัด ว่าประโยชน์ตนเช่นนั้นมันเลวร้ายที่สุดถ้าไม่ต้องไปเอาแบบนั้นได้เลยไม่ต้องเอากาม เอาอัตตาได้เลย ก็สุดยอดเป็นประโยชน์ตน

 

ท่านก็ให้ละล้าง ความยึดติดเป็นลำดับๆ ไม่ต้องมาบำเรอตน สุดยอดเลย ความคิดเช่นนี้ ที่จริงไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่คิดได้ ศาสนาอื่นก็คิดได้ เขาก็ไม่เอา เขาทิ้งเอาดื้อๆเลย หาทางให้จิตมันไม่เอา หนีทิ้ง เป็นศาสนาที่เข้าใจได้ว่า คนเราหากยึดติดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นบาป จึงหนีทิ้งเลย ก็เป็นศาสนาที่เข้าใจได้ทำกัน มีหลากวิธี หลากศาสดา ทุกวันนี้ก็มีคนนิยม

 

พระพุทธเจ้าท่านลึกซึ้งกว่านั้นท่านว่าจะยึดหรือวางจะเอาหรือไม่ก็อยู่ที่จิต แล้วเรารู้ความจำเป็นของสังคม การเป็นอยู่กับสังคมนั้นเป็นอย่างไร การที่เราก็มีสังคมเรา เป็นสังคมที่ไม่เอา สังคมการให้ แต่เราก็ต้องมีอยู่บ้าง มีทั้งที่เราใช้อาศัยในชีวิต มีทั้งที่เหลือมากเกิน แล้วแจกจ่าย ก็มีอย่างสุจริต ทำเองสร้างเอง เรียกว่าสุจริตที่สุด แล้วเราก็มามี ถ้าเราเองไม่รู้จักจิตที่มีแล้วสะสมเป็นเราเป็นของเรา เราไม่ไปแย่งใคร เรารู้จักขีดความพอ  หรือเกื้อกูลในสังคมเราเพียงพอ เหลือส่วนเกิน ก็เผื่อแผ่ผู้อื่นให้คนอื่น

แล้วก็รู้ความจริงอีกอันว่า คนอื่นนี่แหละเขามีกิเลส คนที่ไม่เรียนรู้จะละกิเลสนั้นมีมาก เขาเพิ่มกิเลสให้ตนทุกๆวัน เป็นสัจจะ  ถ้าเราไม่รู้ เราไปแย่งกับเขา เราก็มีศัตรู อยู่ก็ยากทำอะไรก็ยาก เป็นความซับซ้อนหลายชั้น และศาสนาพุทธก็ไม่ใช่แบบที่หนีไปไม่รู้ไม่เอาภาระสังคม ก็ไม่ใช่

 

อาตมาก็พาทำทวนกระแสกับเขา พุทธไม่หนีออกป่าเขาถ้ำ มีหลักฐานมากมาย และก็มีผู้สนใจ เข้าใจ มาปฏิบัติ อาตมาก็อธิบายหลักสูตรของพระพุทธเจ้า ให้พิสูจน์กัน จนทำได้มีผล เห็นจริง กลายเป็นกลุ่มชาวอโศก เป็นการพยายามอธิบายสรุปว่า เป็นการสรรค่าสร้างคน ก็คือแจ้งหรือธิบายแล้วเอาหลักธรรมพระพุทธเจ้ามาขยายความยืนยันว่าแนวคิดของศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้ อาริยะ โลกุตระ บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันเลือนเลอะไปมากแล้ว อาตมาก็มาดึงกลับอธิบาย แย้งกับกระแสหลัก ที่เขาเรียนเผยแพร่ กันไปตามคัมถีร์

 

ซึ่งก็มีคัมภีร์จริงอยู่คือไตรปิฎก อาตมก็เอามาอธิบายพอเป็นไปได้ จนเป็นสังคม ที่อาตมาว่าเข้มแข็ง แต่เข้มแข็งเล็กๆน้อย เป็นต้นอโศกน้อยๆ แต่เข้มแข็ง มีนัยเช่นนั้น

 

แข็งเพราะเป็นสัจธรรมพระพุทธเจ้า เพราะมี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุงวัง(แน่นอน) สัสตัง(ต่อเนื่อง)  อวิปริณามธัมมัง(ไม่เปลี่ยนแปลง) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้าได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ดูที่ไหน ก็ดูที่อาตมาก่อน  อาตมาก็ผ่านอาการต่างๆมา ว่าเราเคยหลงเคยติด พอเราบรรลุธรรม จิตใจเราไม่มีอาการนั้นเหมือนเก่า มันไม่เอาแล้ว ก็ไม่เดือดร้อนอะไร ยิ่งมาเป็นสังคมกลุ่ม ยิ่งพึ่งพากันได้ ช่วยเหลือกัน คนละแง่มุม กลายเป็นสังคมที่มีงาน เป็นสังคมที่พึ่งตนเองได้ อยู่กับสังคมอื่นอย่างไม่น้อยหน้าไม่เป็นคนป่าเถื่อนเลย เป็นสังคมทันสมัย ไม่ตกยุค แล้วรู้ความพอเหมาะพอดีของตนอย่างมีนัยสำคัญ ตามหลักพระพุทธเจ้าคือ มักน้อย ไม่ต้องมักมากอยากใหญ่ เข้าหลักพระพุทธเจ้า ใจพอ คือจิตที่พอ ผู้มีภูมิปัญญาตรงจิตพอ มีสภาวะเป็นสันตุฏฐีธรรม จะรู้เองว่าจิตเราพอไม่ดีดดิ้นอะไร มีอะไรมายั่วยุก็ไม่แล้ว เพราะอ่านจิตใจพวกนี้ มีปรมัตถธรรม คือธรรมะที่เยี่ยมยอด

 

อ่านรู้ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ นี่คือห้าอย่างเป็นภาษาหลักของพระพุทธเจ้า

 

อัปปิจฉะ จิตมันน้อยไม่มักมากจริงๆ แล้วมีนัยสำคัญที่มักน้อยแต่ขยันสร้างสรรค์มาก แต่ไม่ได้สะสมเป็นของตนมาก มีของตนน้อย และรู้ว่าจะสร้างให้มากให้ดีก็ไม่เสียหายอะไร ก็เกิดสิ่งที่สร้างที่ผลิต เรารู้ว่าควรสร้างอะไรที่ดีไม่มอมเมามีประโยชน์เหมาะแก่ยุค คือมีภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดรู้ แล้วเราก็สร้าง บางอย่างเราไม่ถนัดเราไม่มีความรู้สามารถแม้ดีเราก็ไม่ทำ แต่สิ่งดีเราทำได้ก็ทำ ยิ่งปัจจัยการดำเนินชิวิตเราก็ยิ่งทำ อย่างปัจจัย 4 เป็นต้น หรือว่าการสื่อสาร อย่างอุปกรณ์การสื่อสารเราก็ยังสร้างไม่ได้ แต่ถ้าเราทำอุปกรณ์การสื่อสารได้จะแจ๋วเลย เราก็เอาทางกสิกรรมก่อน ต่อไปก็อุตสาหกรรมก็จะทำได้ตามมา แต่กสิกรรมนี่เยี่ยมยอดแล้ว สำหรับชีวิต อยู่รอดแล้ว กินอยู่ใช้สอยได้ ไม่ว่าจะคนชาติไหนมุมไหนของโลกก็ต้องกินพืชผัก ต่อให้อยู่ขั้วโลกเหนือก็อยู่ได้กินแต่พืชไม่มีเนื้อสัตว์ก็อยู่ได้

 

อาตมาจึงย้ำว่าชาวอโศกควรเป็นนักกสิกรรม เอาให้เก่ง ทั้งคุณภาพ ปริมาณ ให้แจกจ่ายไปทั่วโลกเลย เป็นชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งมีลักษณะ 14 ประการ

1.เป็นสังคมที่เห็นได้ชัดว่าเป็นสังคมคนมีศีล มีคุณธรรม มีอาริยธรรม

2.เป็นสังคมพึ่งตนเองได้ไม่เป็นภาระผู้อื่น

3.มีงานสัมมาอาชีพ กิจการที่เป็นสาระมั่นคง

4.ขยันสร้างสสรรขวนขวาย กระตือรือร้น

5.อยู่กันอย่างผาสุก สุขภาพแข็งแรงจิตใจเบิกบานร่าเริง

6.ไม่ฟุ้งเฟ้อแต่รุ่งเรืองฟุ้งเพื่องไม่ผลาญพร่าสุรุ่ยสุร่าย

สิ่งที่สุลุ่ยสุร่าย เราก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้อีก แต่ว่ารุ่งเรือง ฟุ้งเฟื่อง ก็มีให้เห็น เทียบกับหมู่บ้านอื่นๆได้เลย เขาเกิดหมู่บ้านมาก่อนเราเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่รุ่งเรืองเท่าหมู่บ้านเรา มีคนในหมู่บ้านอื่นมาหากินในหมู้บ้านเราก็มี ที่อื่นเขามองภาพของราชธานีอโศกแล้ว เราบอกว่าหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านจน เขาก็ไม่ค่อยเชื่อ เขาก็ไม่ค่อยเกรงใจเรา เป็นความซับซ้อน เราไม่ใส่รองเท้า แต่งตัวมอซอกว่าเขาด้วย เขาก็ยังว่าพวกเรารวยฐานะดีกว่าเขาไป

7.มีประณีตประหยัดแต่เอื้อเฟื้อแจกจ่าย

8.ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีอบายมุขไม่มีทุจริต หมู่บ้านเราก็ถือได้ว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ หรือจะมีที่ยังไม่สมบูรณ์มีซ่อนอยู่บ้างเป็นบาปก็แก้ไขกันไป มันมีไม่มากหรอก พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ยังหาความสะอาดร้อยเต็มก็ไม่ได้ เราก็ได้ระดับของเรา

9.มีความพร้อมเพรียงสามัคคีอบอุ่นเป็นเอกภาพ 

เราออกไปยืนยันพิสูจน์กับข้างนอกมาแล้ว แต่ข้างในเราก็เป็นครอบครัวมีกระทบกันบ้างก็ธรรมดา แต่เรามีความเป็นภราดรภาพ พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ ไม่ว่าอยู่ภาคไหนๆ

10. สัมผัสได้ในควาสเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ของความเป็นกลุ่มก้อนภราดรภาพ

11.มีความแข็งแรงมั่นคง ยืนหยัด ยั่งยืน

ไทยเรามีประชากร 67 ล้านคน เรามีแค่ 6,700  คน ก็เป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ เราปฏิบัติก็ได้นะ แต่เราไม่ทำอย่างทางโลก เราปฏิวัติด้วยธรรมะ

12.เป็นสังคมสร้างทุนทาง สังคมเป็นประโยชน์ผู้อื่นและเป็นไปในรอบกว้าง

เกิดจากเราล้างกิเลส ก็เลยไปช่วยสังคมได้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ไปแย่งสังคม อย่างเราลาออกจากงาน ก็เลิกแย่งกับสังคมแล้ว ลาออกจากราชการก็ไม่เอาตำแหน่งแล้ว ก็ให้เขาไปได้เลย  เราเป็นทุนทางสังคม (ที่จริงน่าจะเรียกว่า บุญทางสังคม) เราหมายถึงลึกถึงเนื้อถึงวิญญาณ ของเขาก็พยายามทำทุนทางสังคม แต่เขาทำอย่างกัลยาณธรรม แต่ของเราทำอย่างจริงใจ อย่างอริยชน ของเขาถ้ามีโลกธรรมสูงขึ้นก็ตีกลับ แต่ของเราจะไม่ตีกลับ มันเข้าถึงแก่นใจ แก่นวิญญาณ สอดคล้องกับเขาด้วยที่เรากล้าจน กล้าไม่รับตำแหน่งหน้าที่ ไม่แย่งตำแหน่งหน้าที่ด้วย ทางโน้นเขาก็รู้เหมือนกันว่าไม่แย่ง แต่ได้ก็เอา แต่ของเราไม่แย่งไม่เอาจริงๆเลย ของเราสร้างทุนทางสังคมจากบุญ อันเป็นตัวเหตุหลักเลยที่พ้นโลกธรรม เป็นการถาวร เป็นการสร้างทุนทางสังคมได้ซับซ้อนลึกซึ้งกว่าทุนนิยม

13.อุดมสมบูรณ์แต่ไม่สะสมกักตุน ไม่กอบโกย

เขาสารพัดจะโฆษณากันประโคมกัน อันไหนเราเห็นว่าดีก็เอามาใช้บ้าง แต่เราไม่เห็นจะเห่อเหมือนเขา แต่เราเองเราก็ทำได้ เราไม่ขี้เกียจอะไร เรามีพอ ในส่วนที่สำคัญของสังคมที่เราอยู่นั้นอุดมสมบูรณ์มีเหลือมากเกิน เราก็เอาส่วนเกินไปช่วยสังคม เช่นไปแจก ไปขายราคาถูก มีความซับซ้อนเยอะ ที่เราทำกัน เป็นระบบวิธีการ วัฒนธรรม มีหลายชั้นซ้อน เช่น อย่างเราทำปุ๋ย เราก็ขายในราคาที่พออยู่ได้ แล้วเราก็แจกบ้างลดราคาบ้าง เราไม่ทำแบบที่เห็นว่าขายดีติดตลาดก็จะขึ้นราคา เราไม่ได้ทำแบบเขาแต่เราก็แจกจ่าย เกื้อกูลเขาไป หรือยกตัวอย่างอีกอย่างที่โลกเขามองไม่ออก อย่างโทรทัศน์ มันมีความซ้อนที่โทรทัศน์เราให้ความรู้ เป็นหลัก แต่ความรู้ของเราอาจไม่เป็นความรู้ทางโลก ที่บอกว่าได้ความรู้แล้วเอาไปล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั้นไม่ใช่ความรู้อย่างนั้น เขาก็บอกว่าเราไม่ได้ให้ความรู้อะไร มาแพร่ลัทธิของมัน แล้วก็จริงด้วยสิ ลัทธินี้ของมันก็คือของใครรู้ไหม? ...ก็ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ เขามองอย่างนั้นเลย ความจริงไม่ใช่ เราต้องการให้มนุษย์เห็น เราไม่ได้อาศัยสถานีนี้หาเงิน เราไม่ได้อยากดีอยากเด่นแต่ละวันๆเราเชยแหลกเลย ไม่ได้อยากให้คนมานับถือ พยายามก็สุดวิสัยมีบกพร่องอยู่ ขาดๆเกินๆ พร้องอยู่อย่างนั้นทุกวัน แต่ไม่พร่องสัจธรรม เราไม่ได้อวดดีอยากโชว์เอาชนะคะคานเขาเราไม่มี เราพอไม่ตกรุ่นไม่ดูซกมกเกินไปเท่านั้นแหละก็ทำกับเขาไปได้ แต่สิ่งที่ให้เนื้อแท้นั้นคืออย่างนี้ เป็นโลกุตระเสียมาก แต่เขาไม่ได้อยากได้เลยเขาทำไม่เป็นแต่เราก็ต้องทำ เพราะเป็นความจำเป็น แต่เราเผยแพร่โลกุตรธรรม เขาก็ว่าเผยแพร่ลัทธิของมัน ....ระวังเถอะนี่คือลัทธิของพระพุทธเจ้านะ เขาไม่รู้ตัวเขาเข้าใจว่าศาสนาพุทธไม่ใช่แบบนี้ ของพระพุทธเจ้าต้องแบบเถรสมาคม อาตมาไม่พูดต่อนะ ว่ามันผิดไปหมดแล้วไม่เหลือ

 

แม้แต่สื่อสารโทรทัศน์เราก็หาอะไรมาจ่ายค่าออกอากาศเดือนละหลายล้านทั้งที่เราก็หาได้ยาก ปีนี้งานเจ ขายได้วันละสามถึงสี่แสน สรรพากรฟังแล้วหูผึ่งเลยแต่บวกลบคูณหารแล้วเหลือนิดเดียว ก็เพราะขายจานละ 10 บาท 15 บาทเป็นหลัก มี 20 บาทก็อย่างสูง ดีไม่ดีเขาก็เอาใส่กระเป๋าไปเฉย พวกเราไม่มีคนเฝ้าพอ สรุปแล้วสรุปตัวเลข รายรับ-จ่ายแล้ว มันเป็นความซับซ้อนที่จะอ่าน ว่า ความนิยมในการพาณิชย์อันนี้เพิ่มขึ้นมาก เราขายจานละ 10-15 บาทได้วันละขนาดนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เราได้ให้แก่สังคมจริงๆ ถือว่าเป็นความเจริญของพวกเรา พวกทุนนิยมเขามาเห็นก็ว่าไม่เอาหรอก เอาคนมาขนาดนี้มาทำแบบนี้ กินกันไปไม่จำกัดเลย ไม่มีนายทุนคนไหนกล้าทำหรอก แต่เราก็ทำให้สังคม

 

ไม่ว่าจะพาณิชย์หรือสื่อสารเราก็ให้กับสังคม ยิ่งการสื่อสารแล้วเขาก็เข้าใจได้ยาก เขาก็ว่ามาเผยแพร่ลัทธิของมัน เขาเข้าใจศาสนาพุทธเป็นอีกอย่าง ทั้งที่พุทธเป็นกลองอานกะแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นของแท้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราเผยแพร่สื่อสารทำไมเขาไม่นิยม เพราะเขายึดแล้ว เราต้องทำดีจนคนตาบอดเห็นได้ เป็นโวหารนะ เราทำเช่นนั้นจริงๆ เอาไหม?...เอา เป็นอภินิหารนะ ทำให้คนตาบอดเห็นได้ ต้องทำขั้นนั้นจริงๆ

 

แม้อาตมาทำไปอีก 70 ปีจนอาตมาอายุ 151 ปี มันก็ได้แค่นี้ เอ้าพวกคุณอาจมีหลายคนตายไป มีคนใหม่มาได้เติมเท่านี้อาตมาก็ไม่เสียใจไม่น้อยใจ ถือว่าประสพผลสำเร็จด้วยซ้ำ ถ้าอาตมาทำงานไปแล้วมันลดน้อยลง ก็ถือว่ามันมีคนเท่านี้จริงๆหนอ แต่ถ้ามันทรงสภาพอย่างนี้ไปก็ไม่ประหลาด แต่ในใจอาตมาคิดว่าคงจะได้มากกว่านี้ข้อสำคัญคือพวกเราอย่าอนุโลมเอาข้างนอกมาผสมมาก มันจะเป็นกลองอานกะ เราต้องเป็นพ่อค้าขายข้าวต้มปลากะพง คือถ้าหาปลากะพงไม่ได้ปิดร้านไม่ขาย อดตายก็ไม่ขาย ไม่มีปลากะพงก็ไม่เอาปลาอื่นมาปนขาย นี่คือาอาแปะที่ซื่อสัตย์มากให้เนื้อดีๆพวกเราอยู่ให้รักษาไป

อาตมาจะดูว่าธรรมะพระพุทธเจ้านี่จะให้รุ่งเรืองบอกได้ยาก เหมือนที่จะให้พระพุทธเจ้าอุบัตินั้นยากแสนยาก และการจะเผยแพร่ ธรรมะพระพุทธเจ้าให้รุ่งเรืองก็ยากแสนยาก และอีกอย่างที่ยากคือคนตายจากชาตินี้แล้วจะได้เกิดมาเป็นคนอีกก็ยากแสนยาก ส่วนมากตกนรก คนก็ไม่ซาบซึ้งเท่าไหร่ เพราะเป็นคนแล้วก็ไม่เห็นยากก็ไม่ค่อยระวังไม่สังวร ว่าที่จริงกว่าจะได้มาเกิดเป็นคนก็กี่แสนกี่ล้านปีนะ แต่ว่าอย่างพระพุทธเจ้าจะอุบัติสักพระองค์ก็ยากแสนยาก อันนี้พอเข้าใจ  แต่หมดยุคนี้แล้วก็จะไปเป็นยุคพุทธันดร เหมือนสวนไฟไหม้หมดป่า ก็กว่าจะงอกเป็นป่าอีกก็ใช้เวลาอีกนาน แต่นี่ใช้เวลาอีกหลายล้านปีทีไฟประลัยกัลป์ล้างโลกแล้วจะมีโลกใหม่อีก ที่บอกว่ากว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะมาเกิดก็อีกนาน เพราะโลกต้องตั้งหลักเหมือนไฟไหม้ป่าก็ต้องใช้เวลาตั้งหลักกว่าจะเกิดป่าใหม่อีก โลกก็ยีงนานกว่า จะมีโลกใหม่ แล้วต่อไปๆ โลกก็จะเริ่มเลวร้ายอีก เป็นต้นกลียุค เป็นต้นภัทรกัป ไม่ใช่แบบยุคนี้นะเพราะยุคนี้เป็นปลายภัทรกัปป์ กว่าจะมีพระศรีอาริย์ ก็สองนาน นานยิ่งกว่าความเลวร้ายจะตั้งหลักและความดีจะตั้งต้นขึ้นมาแล้วเลวร้ายอีกรอบ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ อาตมาอาศัยขันธ์ในอดีตมาพูดนะนี่

14. มีน้ำใจไม่เอาเปรียบ เสียสละอย่างเป็นสุข และเห็นเป็นคุณค่าของคนตามสัจธรรม

 

อาตมามาทำงานระดับหนึ่ง แต่อย่างพระพุทธเจ้าท่านมาสร้างศาสนา ซึ่งจะมีอายุ ห้าพันปี ท่านก็ทำไป ส่วนอาตมาก็มีทุนในการทำก็ทำไป ก็ได้พัฒนาขึ้น มันก็ไม่ได้เกินกว่าที่ควรเป็น พวกเราก็เก่งเท่าที่เรามีความสามารถและมีต้นทุน คนที่ทำได้เกินกว่าทุนและความสามารถได้ก็ต้องขี้โกง เป็นคนซวย อันนี้ทำให้แต่ละคนรู้  สัตบุรุษจะรู้ว่าดันได้เท่าไหร่ดันไม่ได้ก็ไม่ดันต่อ เพราะว่าถ้าดันต่อ ถ้าเป็นบุญของเราเราก็กินบุญเก่าเรา หรือถ้าไม่ใช้บุญของเราก็ไปเอาของคนอื่น ก็ยิ่งไม่น่าจะทำใหญ่ ฟังให้ดี ผู้ที่เข้าใจแล้วไม่ดันทุรัง แต่ความต้องการจะได้มากได้ใหญ่มันจะดันใช่ไหมเพราะกิเลสมนุษย์ การจะเร่งให้เร็วให้ใหญ่นั้นดีแต่ต้องไม่เกินความสามารถและทุน

 

คนเราไม่มีพลังจะเดินหน้าก็ไม่ได้ แต่คนเราไม่รู้ทุนที่แท้จริงของตนเอง พวกเราไม่สะสมวัตถุ แต่พวกเรามีแต่บารมี คนทางโลกเขาใช้วัตถุหลอก ใช้วิธีซับซ้อนเอาเปรียบทับต้น แล้วเขาได้มาก็ถือว่าเป็นทุนของเขาแต่ของพวกเราเป็นบารมีเป็นนามธรรมก็ประมาณยากหย่าไปหลงว่าเรามีต้นทุนมาก จะพลาดง่าย เราต้องพากเพียรให้เต็มที่ กับถ้ามุ่งไปตามที่ต้องการอยากให้ได้ควรจะได้ ก็คิดเอาเท่าไหร่ก็คิดได้ ตั้งเป้าไว้อย่างพวกทุนนิยมว่าปีหน้าจะต้องได้เท่านั้นเท่านี้ก็บังคับเอาเปรียบกันให้เข้าเป้า ตุกติกกันไป เป็นแบบยอดของการบูรณาการความโกง เป็นปฏิภาคทวีซับซ้อน เราก็เป็นบุญนิยมพยายามลดลงๆ เป็นการถ่วงสังคม ให้เป็นความเย็นถ่วงพวกที่ร้อนในสังคม ไม่อยากพูดนะว่าพวกเรานี่มาถ่วงสังคม เขาก็ว่าเรา แล้วก็ถูกด้วย พวกเราเป็นพวกถ่วงสังคมก็ถูก เพราะพวกนั้นมันบ้าดีเดือดเราก็ถ่วงไว้ ทำไมคุณรู้ว่าเราถ่วงไว้ ว่าเขาจะเก่งการกีฬา ก็หาว่าเป็นอบายมุข เขาจะหรูหราก็หาว่าอบายมุขพวกถ่วงสังคม ก็ไม่เป็นไรจะว่าเราเราก็ขอถ่วงไว้ จะรีบไปไหน นรกน่ะรอพวกคุณอยู่แล้ว จะรีบร้อนไปไหน เราก็ว่าช้าหน่อยเพราะเราไม่ไปหานรก ก็ไปกับพวกเราดีกว่า จะรีบไปหานรกทำไม?

 

พูดไปอย่างนี้ เหมือนด่า เพราะพูดเหมือนด่านี่เขาก็มักจะฟัง แต่ถ้าพูดไปอย่างผู้ดีว่าไปอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง แต่ถ้าด่าให้เข้าเส้นเขา ใช้สำนวนเดียวกับเขานี่เขารู้ แต่ถ้าใช้สำนวนผู้ดีแล้วเขาผู้ดีทีไหนก็ว่าไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลีลาของพล.อ.ประยุทธ์ถึงอย่างนี้ได้รับความนิยมเพราะสมสมัย

 

ที่พูดไปนี่สรรค่าสร้างคนนะ พูดให้สมยุคสมัย เอาภาษาที่สมสมัยก็เข้าใจดีได้เร็วง่าย จริงๆแล้วโลกโลกียะกับธรรมะก็อันเดียวกันแต่ใช้ภาษาต่างกันเท่านั้นนะ เป็นแต่เพียงใช้ภาษาให้เขารู้ได้ ผู้ใช้ภาษาอาจดูเหมือนแรงหรือสุภาพ แต่ถ้าผู้มีปัญญาได้ฟังก็รู้ว่าใช้ เนื้อมันใช่ก็จบ ส่วนผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องสุภาพ สิแต่ไม่เข้าใจ ก็ติดยึดอยู่ว่าอย่างนี้สวยงามทั้งที่ทุกอย่างไม่เที่ยง การปรุงแต่งสำนวนลีลาก็ไม่เที่ยง ทุกวันนี้สำนวนลีลาของหนุ่มสาวอาตมาก็ไม่รู้เรื่องกับเขาเลย แต่อาตมาก็ว่าใช้อย่างยุคส่วนรวมของทุกๆรุ่น ก็ไม่ทิ้งเขาทีเดียว เขานิยมอย่างไรก็เอามาใช้บ้าง ก็ไม่โลดแล่นกับเขามาก เพราะอาตมาค่อนข้างเอียงไปทางเก่าไม่เอียงไปทางใหม่ เพราะใหม่เป็นสิ่งปรุงแต่งไม่มีที่สิ้นสุดนับไม่ถ้วน แต่สิ่งเก่านี่มันเป็นแก่นแกน คนจะอาศัยสิ่งดีได้นานกว่าสิ่งไม่ดีแต่เมื่อมันบานไปไกลสิ่งดีมันน้อยลงสิ่งไม่ดีมันมาก เราก็ต้องย้อนหาสิ่งดี อย่างอินเดียจะอยู่นาน ส่วนจีนจะไปไว พูดอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก จีนก็เป็นจีน อินเดียก็เป็นอินเดีย ส่วนไทยเป็นกลางๆ ถ้าอาตมาไม่มาถ่วงไว้ไทยจะไปกับจีน ไปไกลเลย อาตมามาถ่วงไว้นะ ถ้าใครบอกว่าพวกเราเป็นตัวถ่วงก็ถูกแล้วล่ะ เพราะสังคมมันเลวร้ายไปไกลแล้ว

พวกเรามาถ่วงสังคมไว้ ประเทศไทยคือ ชมพูทวีป คือ กลาง ๆ  ส่วนอินเดีย ยังอยู่อีกนาน จีนน่ะไปไว   แต่ "เจโตวิมุติ" ไม่จริงไม่แท้ จะจริงแท้ต้องมี "ปัญญาวิมุติ” ซึ่งเที่ยงแท้แน่นอน

สรุปว่า ไว้ค่อยขยายความความเข้มแข็ง 14 ประการต่อไป

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น?

-พ่อครูว่า....งานเจรอบสองนี่ คือทางด้านการศึกษาอยากจะใช้วิธีการ SWOT ที่เป็นความรู้ที่ดี ที่ให้รู้ความด้อยความแข็งของเรา ถ้าอันนี้จะทำนี่ พวกเราก็ช่วยกันคิด จริงๆมันดีนะ แต่ว่าอาตมาว่าจะขัดข้องตรงนี้ ที่วนบ.เอาอะไรเข้ามาแล้วทำได้ยาก เพราะคนพื้นที่ยังไม่ใช่นักศึกษา เป็นแบบลุกทุ่งเชยๆ แต่ทางโน้นก็เอาเข้ามาเร็วหน่อย แต่สิ่งที่เร็วแล้วได้อาตมาก็ว่าดีแต่ถ้ามันไม่ได้เพราะเกิดจากความไม่พร้อม ก็เลยจะใช้วิธีการโหวตกันไป ถ้าอย่างไรก็ขอบอกว่าจะเสนออะไรก็เสนอ แต่อย่าครอบงำทางความคิด อย่าล็อบบี้จะเอาชนะ โดยไม่ดูความจริงของคน ถ้าอย่างนี้ไปไม่ออก อย่างนี้มันปลอม ไปก็จะเสีย ได้ก็ไม่นาน วิธีของคนใจร้อน 1.เป็นคนมีอัตตาอยากได้อย่างที่เราต้องการ และ 2.เป็นอัตตา ก็คือฉันจะต้องชนะ มันมีแข่งในทีนะ เป็นอัตตาด้วยเป็นกิเลสอยากได้และอยากเอาชนะซึ่งมันทำให้เสีย เป็นแนวลึกว่าต้องเอาความจริงจากความพร้อม พระพุทธเจ้ามีสิ่งที่สำคัญมากคือ ยินดี คือใจคนมันพร้อมเห็นด้วย ยินดีไม่ใช่ว่าฟูใจนะ แต่ความยินดีคือพร้อม นี่คือความสำคัญ ฉันทะ คือความพร้อมของคนหากไม่เกิดตัวนี้นะอะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าแสงอรุณก็ต้องมีฉันทะ อิทธิบาทก็ต้องมีฉันทะ ยินดีคือ จิตเปิด แล้วทุกอย่างจะไปได้ดี

คุณพูดน่ะถูก อาตมาเข้าใจ แต่มันเยอะ คนเลยฟังยาก อาตมาว่ามีหลายอย่าง ที่เราทำงานได้ช้า เพราะอาตมาก็ให้มันเป็นอยู่บ้าง เพราะอาตมาก็ถ่วง จริงๆอาตมาน่าจะส่งเสริมกว่านี้แต่อาตมาต้องการถ่วง เพราะต้องขัด ถ้าไม่ถ่วงจะไปเร็ว แต่ที่อาตมาประมวลนี่ประมวลอยู่หลายชั้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่แล้วนี้คนไปช่วยงานเจมากกว่าเก่าใช่ไหม? เรื่องแขกอาตมาว่าไม่มีปัญหา แต่เอาเรื่องพวกเรานี่ คนมากกว่า ลงตัวมากกว่า และการขัดแย้งสูญเสียก็ไม่ได้มากขึ้น อาตมาดูข้อมูลแค่นี้อาตมาว่าเป็นการพัฒนาแล้ว ทั้งจำนวนและคุณภาพ ก็ไม่ด้อยกว่าเก่า นี่คือดัชนี่ชี้ค่าว่าก้าวหน้า มันขัดแย้งที่ว่าพวกเรามีการยึดการค้านอยู่ในทีก็เลยช้าก็เป็นธรรมชาติธรรดา

 

แต่อาตมาก็อยากไขความว่า พวกเรามันพร้อม ถ้าไม่มีตัวยึดที่ว่าไม่ให้เต็มที่ ถ้าคุณปล่อยตัวนี้นะงานจะรุ่งกว่านี้เยอะเลย จิตเท่านั้นนะ นอกนั้นพวกเราพร้อม เพราะมันไม่มีอะไรใหม่หรือยากหรือเกินความสามารถพวกเรา หากคุณปลดจิตตัวนี้ได้งานจะรุ่ง  จะเหนื่อยน้อยกว่านี้ ความเหนื่อยมันเกิดจากการต้านจากจิตตนเอง หากจิตคุณไม่ต้านก็ไม่มีเหนื่อยแล้วแรงจะเยอะและพุ่งด้วย

 

ตัวต้าน คือตัวอัตตา ก็ถืออยู่กับตัวเองก็ถือดีของตน ถ้าปลดตัวนี้ได้ก็รุ่งเลย ทุกวันนี้อาตมาขัดเกลาพวกเราก็เจริญขึ้น อาตมาไม่ได้บังคับให้พวกคุณทำเต็มที่นะ อยู่ที่แต่ละคนจะทำ พูดมาแล้วทั้งหมด ประเด็นที่มิ่งหมายพูดขึ้นมา ความเห็นของอาตมาว่าควรทำ SWOT นั้นควรทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นหลักการของพระพุทธเจ้าด้วย โลกนั้นตามหลังพระพุทธเจ้าด้วย มันต้องใช้นะ พวกเรามาถึงวันนี้วาระนี้วินาทีนี้แล้ว มันมีผู้ที่เข้าใจจะช่วยสาน โอกาสมีให้ทำอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่ใช้ O นี้แล้วคุณจะใช้ O ไหน? ถ้าทำ O ได้ T ก็จะเจริญได้ทันที เป็นโอกาสแล้ว

 

จริงๆแล้ว งานเจคราวนี้ คนไม่เหลือหลอหรอกบ้านราชฯ กายก็ไปหมดแล้วให้เต็มใจก็จบ เหลือที่บ้านราชฯไม่เท่าไหร่หรอก เหลือใจนิดเดียวถ้าเต็มใจก็จบแล้วไม่มีอะไรเล็กนิดเดียว ไม่ต้องไปโหวตไม่ต้องไปคิดหรอก ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น มันต้องทำ มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากนะ

SWOT ก็คือ สัปปุริสธรรม 7 นั่นเอง ต้องรู้ทั้ง อรรถะ ธรรมะ รู้ตน รู้ประมาณ รู้การสังขารปรุงแต่งนั่นเอง รู้กาละ รู้กลุ่มบุคคลที่จะทำ รู้งานด้วย ของพระพุทธเจ้ารู้ตนเองคือ อัตตัญญุตา เก่งกว่า SWOT เสียอีกนะ มันครบยิ่งกว่าอีก บริบูรณ์กว่าอีก

เราต้องก้าวหน้า คนเราเกิดมาต้องศึกษา ใครไม่ศึกษาก็ดักดาน ถูกกระแสหมุนวนในโลกีย์ และให้กาละมันเตะถีบ ใช้กาละไม่เป็น ใช้โอกาสในการเกิดมาเป็นคนไม่เป็น เกิดมาให้กาละมันเตะถีบไปยิ่งกว่าลูกฟุตบอล


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:44:41 )

571008

รายละเอียด

571008-ขอบุญโฮมศีรษะอโศก เรื่อง บุญคืออาวุธ ของสายเจโตและสายปัญญา

พ่อครูว่า....วันนี้วันออกพรรษาแล้ว ซึ่งคนเขาก็ไปดูบั้งไฟพญานาค ที่พ่นไฟเป็นลูกๆ น่าจะเรียกลูกไฟนะ  เขาก็พิสูจน์กันยังไม่ได้ว่าคืออะไร พอวันออกพรรษาก็จะมีขึ้นมา ที่จริงก็ไม่ได้มีวันนี้วันเดียว ก็คงมีคนพิสูจน์แต่ว่าก็คงไม่อยากเปิดเผย ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ก็หากินไม่ได้เหมือนที่บอกว่าเป็นพญานาค คนเราถ้าเผื่อว่าไม่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ จังๆ จนสามารถเรียนรู้สภาวะกิเลสที่เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตนให้เห็น แต่มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส

 

มีอาการให้เรารู้ได้ มีอาการไหว เป็นวิญญัติ เหมือนลมไหว เราสัมผัสทางสัมผัสไม่ได้สัมผัสทางตา แต่สัมผัสทางจิตจะต้องใช้ความรู้สึกสัมผัส เช่นเรารู้อาการของความโกรธ มันก็ไหว อาการโลภ มันก็ไหว ลักษณะนั้นเราก็ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ ว่าสภาพที่ไหวให้รู้ เราเรียกอีกอย่างว่า สัญญาณ แล้วเราก็มีสัญญาสัมผัสรู้ ว่าอาการนั้นเกิดก็รู้ทันที ว่านี่โกรธ นี่โลภ ใครสัมผัสรู้ได้ ก็นั้นและคุณมีญาณปัญญา อันนี้แหละสำคัญ อาตมาพูดมานาน ให้คนรู้อาการอย่างนี้ ว่าอย่างนี้คือโกรธเป็นสักกายะ

 

อาการเป็นองค์ประชุมของนามธรรม ที่เรามีรูปขันธ์มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เราก็มีจิตวิญญาณในแท่งก้อนนี้ แล้วมันก็มีการยึดถือ ปรุงแต่ง เป็นองค์ประชุมของตน เป็นสักกายะ มันเป็นนามธรรมอยู่ในเรานี่แหละ สัมผัสให้รู้ ใครรู้ได้ก็รู้สักกายะของตน เรารู้ว่ามันมีอาการอย่างไร มีลิงคต่างกัน คือว่าอาการโกรธ กับราคะก็ต่างกัน หรืออาการมันแรงหรือเบาหรือน้อยหรือมากต่างกัน ก็คือลิงค

 

พระพุทธเจ้าสอนในอานาปานสติ หรือกายคตาสติ เราเห็นลมเข้าก็อย่างหนึ่งนะ ลมออกก็อย่างหนึ่งนะ ลมก็ไม่มีรูปร่างให้เห็น แต่เราสัมผัสรู้ว่ามันต่างกัน มันเข้ายาว ออกยาว ก็ต่างกันนะ นี่คือท่านให้กำหนดกองลมคือกาย แล้วดูว่ามันสั้นหรือยาว ออกหรือเข้า ว่ามันต่างกันอย่างไร จิตก็เช่นกันว่ามีโลภ มีโกรธ ต่างกัน มากหรือน้อยต่างกัน มันเร็วหรือช้า มันมีอยู่หรือไม่มี เป็นต้น อ่านสภาพว่ามันมีน้อยลง หรือหายไปหรือวับกลับมา เราสัมผัสอ่านรู้ได้ด้วยญาณ ผู้ใดฝึกฝน กำหนดหมายเอาของเราเอง ทำเครื่องหมายเอาเอง ว่าอย่างนี้โลภโกรธหลง อย่างนี้แรงหรือเบา ทำให้เราทุกข์ร้อนที่ใจ หรืออย่างนี้ใจเย็นใจสบาย ใจเศร้า หรืออย่างนี้ใจเหี่ยว ใจโหยหา มันมีลิงค คือความแตกต่าง เพราะเราไปยึด มันมีอาการแห้งเหี่ยวหรือสดชื่นอย่างไร จริงๆมันไม่มีหรอกแต่เราไปยึดถือมันก็เลยจริงเลยมีที่ใจเว้าใจแหว่งใจแห้งเหี่ยว ที่จริงใจมันไม่ได้เป็นอะไร ใจเศร้าใจเว้าแหย่งแห้งเหี่ยว หรือใจโลภมันไม่มีหรอก เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง ใครจะให้เรามาตามสุจริตจริงใจสมควรรับก็รับไม่สมควรรับก็ไม่รับ ถ้าเข้าใจแล้วใจเราจะไม่ยึดถือ มีอยากได้เป็นวรรคเป็นเวร เราก็มีชีวิตกับหมู่กลุ่มไปสบาย อะไรควรทำก็ช่วยกันทำ อาศัยกินใช้บริโภคไป มีมากก็แบ่งแจกเจือจานให้คนอื่นไป

 

นี่คือสภาพที่คนไม่เข้าใจแล้วไปยึดถือกันไป แม้แต่วัตถุ หรืออารมณ์ที่จะต้องได้ต้องมีถ้าไม่มีอารมณ์นี้ไม่ได้ก็แห้งเหี่ยว เพราะเรายึดถือไว้ในใจ ถ้าไม่มีก็ชีวิตแห้งเหี่ยว ถ้าเข้าใจเราก็ปล่อยได้แล้วไม่ต้องยึดถือ มันไม่มีได้เป็นอนัตตา อะไรเราสามารถปล่อยได้วางได้เป็นสิ่งที่แม้จะมีกระทบเราอีก แต่ก่อนเราเกิดอาการชอบหรือไม่ชอบ พอเดี๋ยวนี้สัมผัสแล้วเฉยๆ ไม่มีผลักไม่มีดูด แต่ก่อนเราเคยติดยึดถือ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี เราก็สัมผัสรู้ตามความเป็นจริง รู้สักแต่ว่ารู้ ไม่ต้องวูบวาบ จิตรู้เฉยๆ ใครทำได้อย่างนี้เป็นอรหันต์เลย ไม่ทุกข์ร้อนไม่เศร้าสร้อยไม่ดูดไม่ผลักเลย จนรู้ว่ายังมีอาการเศร้าอยู่บ้างเป็นชีวะของผีอยู่ ถ้าเหลือน้อยชีวิตของผีของกิเลสก็มีน้อย มีมากก็รู้ว่ามาก จนมันน้อยลงมากบางเบาเป็นลหุตา ความละเอียดเหลือน้อยกับความไม่มีนั้นแยกกันยากมาก เรียกภาษาว่า อากิญจัญญะ เหลือนิดนึงน้อยหนึ่งกับมี นั้นอ่านยากมาก สำหรับคนมีสภาวะถึงขั้นนี้แล้ว ว่ามันยังแวบกับไม่มี ต้องตรวจสอบว่ามีหรือไม่มี เรารู้เราอ่านความมีหรือไม่มีคือเนวสัญญานาสัญญายตนะ มันมีหรือไม่? สัมผัสเหตุปัจจัยที่เคยเกิดกิเลส กิเลสหยาบก็ไม่มีแล้ว มันเฉยอุเบกขา แล้วมันมีพริ้วๆเป็นอากิญจัญญะไหม ต้องสัญญาเคล้าเคลียร์อารมณ์ว่าสะอาดเป็นอากาสาฯหรือยัง แล้วมีวิญญารเหลือเชื้อชีวิตินทรีย์ เชื้อพลังงานนิดนึงน้อยนึงอากิญจัญฯมีไหม ถ้าเราตรวจสอบอากาสาฯ วิญญานัญจาฯ อากิญจัญฯ ว่ามันเหลือไหม แล้วเรากำหนดรู้ทุกสัญญา เป็นสัญญาเวทยิตังนิโรธังโหติ ผู้ใดกำหนดรู้ได้ก็เป็นสัญญเวทยิตนิโรธ

 

การจะรู้ว่าเรานิโรธ นิพพานได้ต้องมีผัสสะ อ่านตรวจสอบตลอด สติ สัมปชัญญะ สัมปชลติ สัมปันโน จนสำเร็จเป็นสัปปันนะ จิตคนเราอาจไม่มีกิเลสตอนนี้ แต่มันมีอนุสัยอาสวะอยู่ พอมีสัมผัสกระทบกระแทกออกมาเราก็ต้องอ่านรู้ใช้สติ สัมปชัญญะ ...ไปตามลำดับ เราก็อย่าไปบ้างกับมัน เราก็อาศัยสิ่งควรอาศัย สิ่งไม่ควรเราก็เลิกละ อะไรควรทำก็ทำ อะไรไม่ควรทำก็หยุด ก็หมุนเวียนชีวิตไป

 

สมมุติโลก เขาเรียกอันนี้ว่าสวยอันนี้เขายึดถือกันก็ให้เขาอาศัย แล้วก็จูงนำมา เช่นเราปั้นรูปสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา สร้างเป็นสิ่งจูงนำ มีความหมายว่าท่านจะมาปราบอวิชชา ที่อวิชชามีเต็มท่วมโลก อวิชชา ก็มีที่รู้ความรู้วิชาการเทคนิคมากมายแต่เอาไปทำเพื่อสมใจกิเลสโลภ โกรธ หลง มีแต่สะสมความเห็นแก่ตัวแก่ได้แก่ตัวเอง ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าเราทำร้าย นี่มันเก่งอย่างนี้ทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังทำให้คนอื่นหลงว่าเราเป็นคนดีช่วยเขา ที่แท้ทำร้ายเขา ใช้เขาเป็นเครื่องมือไปทำร้ายคนอื่นเขาอีก นี่คือความชั่วช้าสามานย์ของมนุษย์ยุคนี้ ทำร้ายเขาให้เขาไปทำร้ายคนอื่นต่อด้วย ลาภ ก็ตาม ด้วยสรรเสริญ ยกยอ สำหรับคนขี้ยอ ให้เหรียญตรา ให้ใบรับรอง แล้วก็ยกว่าคนนี้เก่งให้คนมายกย่องใหญ่โต หลากหลายวิธีการสารพัด เพื่อให้คนเป็นเครื่องมือให้แก่เรา นี่คือวิธีการของโลก ใช้เงิน ยศ อำนาจ สรรเสริญ ใช้สุขทางกาม ว่าคุณจะได้สัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันนี้ถ้าทำอันนี้ก่อน เหมือนหลอกสัตว์ให้ทำอะไรให้แล้วจะให้รางวัล ใช้อามิสเป็นเครื่องล่อ แม้ที่สุดเสริมอัตตา

 

ไม่ว่าจะเป็นกาม แม้ที่สุดเสริมอัตตา อัตตานี่โง่ที่สุดเลยเรื่องอัตตา มันสะสมความยึดติดเรียกว่าอัตตา เพราะไม่รู้ว่ามันยึดทำไม? แล้วมันก็หลงยึดจริงๆ การที่หลงยึดจริงๆแล้ว แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตนเองทำไมต้องหลงยึด  ต้องยึด นั่นแหละมันโง่ ตัวโง่ที่สุดก็คือว่า ยึดไปทำไม? ตอบไม่ได้ บางที ถ้าตอบได้ก็ยังพอค่อยยังชั่วหน่อย ตอบได้ว่ายึดว่ามันดีอย่างนี้ ก็ต้องยึดอย่างนี้ ก็ค่อยยังชั่วหน่อย มีเหตุผล แต่บางอย่างไปยึดทำไม? ...ไม่รู้ คุณเคยเศร้าไหม? เป็นอาการอย่างหนึ่งที่คนโง่ยึดไว้ แต่ทุกวันนี้ยังเคยเศร้าอยู่เหรือเปล่า? ...ดีมาก...ไม่ต้องเศร้าอีกแล้ว ยังไงๆก็ไม่เศ้าอีกแล้ว ก็ ไม่ยึด แต่ถ้ายังยึดอยู่ ยึดทำไม?คุณยังยึด โมโหอยู่ เคยเป็นไหม?  มีไหม? แล้วยึดทำไม ถ้าคุณไม่โมโหแล้วคุณเย็นสบายกว่าไหม? แล้วทำไมไม่เย็นสบาย ไปโมโหทำไม?

 

นั่นล่ะ อวิชชา นั่นละคือไม่รู้  รู้ซะแล้วเราก็เฮ้ย ยึดทำไมวะ โง่ตายชัก แล้วคุณก็หยุด 

 

 

อัตตาเป็นเรื่องโง่มาก ที่ไปสะสม ไม่รู้ว่าไปยึดทำไม แล้วหลงอีก ไม่รู้ว่าตนยึดไปทำไม ตอบไม่ได้ ถ้าตอบได้ก็ค่อยยังชั่วมีเหตุผล แต่บางอย่างยึดทำไม ไม่รู้ คุณเคยเศร้าไหม? เป็นอาการอย่างหนึ่งที่คนยึดไว้

 

ทุกวันนี้ไม่เศร้าก็เพราะไม่ยึด แต่ถ้ายังเศร้าอยู่ ก็ไปยึดทำไม คุณเคยยึดโมโหอยู่ไหม? แล้วมันไม่ดีก็ยึดทำไม แล้วเย็นสบายกว่ามันดีกว่าไหม? แล้วทำไมไม่ทำแบบเย็นสบาย ก็ให้รู้ซะว่าโง่ทำไม จะโมโหทำไม ที่จริงเป็นศัพท์คำว่าโมหะ นะ แต่ในภาษาไทยโมโห คือโกรธ เลยสับสนว่าโมหะหรือโกรธะกันแน่ ภาษาไทยเอามาจากบาลีแปลเพี้ยนไป

 

แล้วเราทำอยู่ทำไม จริงๆอาการโมโหหรือโกรธะนี่วางได้ง่ายกว่าเพราะมันทุกข์ไม่ได้อร่อยอะไร แต่อาการราคะ โลภะนี่ยากกว่า ราคะคือสัมผัสเสียดสี หรือทางทวารไหนได้สมใจก็สุข ราคะนี่สัมผัสรส แต่โลภะคือให้ได้มาสมโลภ แล้วถ้าเรารู้ความจริงแล้วจะสัมผัสก็ไม่ต้องให้มีอาการฟูหรือแฟบใจ ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสกระแทกอย่างไรก็ให้รู้ตามจริง กระแทกแรงๆมีอาการเจ็บไม่สมดุลก็ให้รู้ ถ้าเรารู้ความจริง แล้วแยกออกว่านี่คือกิเลส คืออัสสาทะ เป็นราคะหรือโลภะ ว่าอันนี้เป็นธนบัตรมาให้ใบละพัน ก็รู้ว่าเขามาให้ รู้ว่าคือสิ่งที่ชำระใช้ตามกฎหมาย ควรใช้ก็ใช้ ยังไม่ควรใช้ก็เอาไว้ก่อน เขากำหนดค่าของพันบาท หรือห้าร้อยบาท ก็เอาไวใช้ อันนี้ชามใส่อะไร อันนี้โต๊ะ ใช้ทำหน้าที่ไหนๆ ก็สบายๆ ชีวิตเรารู้ทุกอย่างว่าใช้อาศัยอะไร 

 

เราก็อ่านจิตว่ายังอยากได้หรือไม่อย่างไร ได้มาก็กองหอบไว้เป็นโลภะ เป็นของกู ของข้าใครอย่าแตะ หอบไว้บางทีก็เสียก็เน่า ก็หายไป แต่หวงไว้เป็นของกู แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นเงิน เอาไปฝาก งอกดอกให้ไม่หยุดหย่อน แต่คนไม่มีก็ถูดดูดไปๆ คนมีก็ดูดเอาๆ

 

พ่อครูไอ....ญาติธรรมบอกให้พ่อครูจิบน้ำ....พ่อครูว่า....ทำไมไอต้องหาน้ำด้วย หาไอน้ำ  อาตมาไม่ได้ถูกเผา ไม่ได้เดือด

 

ฟังปรมัตถธรรม แล้วทำได้จะเป็นอรหันต์ อรหันต์แล้วสบาย ถ้าเข้าใจแล้วมันทำง่ายยิ่งกว่าแบกหิน จะไม่ให้ผัสสะได้อย่างไร คุณเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ก้อนหิน ให้มีผัสสะแต่จิตเราไม่วูบวาบ มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีสติรู้การสัมผัส จะต้องดูด ผลัก ต้องโกรธหรือรัก ต้องอยากได้หรือไม่อยากได้ก็แค่นี้ ก็ขวนขายตามที่ควร ตอนนี้ท้องพร่องก็แสวงหาอาหารใส่ท้องให้พอดีแต่อาหารที่คนไปติด ไทยก็ติดรสนี้ ฝรั่งก็ติดรสอีกอย่างแต่เดี๋ยวนี้ไทยก็ไปหลอกฝรั่ง ให้ติดรสร้อนแรง แต่ก่อนอาหารฝรั่งเขาก็จะให้กินซุบก่อน อาตมาก็นึกว่าคงอร่อยแต่ว่าไปกินแล้ว น้ำล้างจานยังอร่อยกว่าเลย เพราะมันจืดมาก ซุบฝรั่งสู้แกงไทยไม่ได้รสจัดกว่าเยอะ เดี๋ยวนี้ฝรั่งก็ถูกหลอกมากแล้ว อีกหน่อย อาหารไทยจะอาละวาดไปทั่วเลย เอาอะไรปรุงแต่งเสียมากเลย ต่อไปอาหารไทยจะครอบงำไปทั่วโลกเลย  พวกเราอย่าไปทำอย่าไปหลอกเขาให้ติดกิเลส เป็นบาป คนที่เขาหลอกกันก็เต็มไปหมด เขาหลอกกันเพื่อได้เงิน เราก็อย่าไปทำไปแย่งกับเขา เขาไม่รู้ว่าสร้างให้คนติดยึดกิเลสมันบาป อย่างผู้หญิงไปแต่งยั่วยวนแต่เซ็กซี่ก็ไปสร้างให้คนเกิดกิเลสเป็นบาป จำไว้นะผู้หญิงไปล่อให้เขาเกิดกิเลสมันบาปนะ กรรมที่คุณทำมันเป็นของคุณนะ เราไปยั่วให้เขาเกิดกิเลสก็บาป จะยั่วด้วยอะไรก็ตาม ถ้ายั่วให้คนป่วยกินยารักษาก็เป็นประโยชน์ซับซ้อน เป็นความเหมาะควรก็ให้เขาอยากเพื่อให้เขาพัฒนาดีเจริญสบายขึ้นอย่างนี้เป็นกุศลไม่บาป แต่ถ้ายั่วให้เขาติดเป็นอาสวะอนุสัยเป็นบาปมาก

 

แม้แต่ให้เขาอยากรวยก็เป็นบาป แต่ถ้าให้เขาขยันขึ้นก็เพื่อให้รวยๆๆนี่บาป แต่ถ้าแก้ให้เขาขยันแล้วมันจะรวยเองอย่างนี้ไม่บาป อาการโกรธไม่ว่าหยาบกลางละเอียดเท่าธุลีละอองอย่างไรก็ไม่ควรให้มีในจิต แต่โลภหรือสิ่งที่ดูดที่ต้องการนี่ยังมีสิ่งที่ต้องอาศัย

 

กิเลสคือสิ่งที่เกินความจำเป็นที่พอดี อะไรอยู่พอดีๆ สัมพันธ์อาศัยกันพอดีเป็นกิเลส สิ่งที่เกินมานิดนึงก็เป็นกิเลส ความสมดุลเป็นนิพพาน สิ่งที่เกินจากสมดุล ทศนิยมเกินจาก 0 มาก็คือไม่นิพพานแล้ว ความมีก็ต้องอาศัย ต้องอาศัยความสมบูรณ์แล้ว ไม่มีอะไรติดขัดไม่มีแรงเสียดทาน คล่องแคล่ว อย่าให้เกิดอุปายาสะ ให้เรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม สันติ ภาษาทางอีสานเรียกว่า หม่อน สิ่งมีก็ให้มีอย่างสันติ แต่ทุกอย่างเขามียึดถือมากน้อยต่างกันก็คือไม่ราบรื่นก็ต้องช่วยกันบำบัด อย่างดิน น้ำ ไฟ ลม มันไม่ไปมันขัดข้องเราก็จัดแจงช่วยกัน ลมในร่างกายเราอุณหภูมิในร่างกายเรา ดินในร่างกายเรา เราก็จัดให้มันหมุนเวียนเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงามให้สมบูรณ์ไม่ว่าเป็นอะไร

 

คนเราเกิดมามีหน้าที่ทำให้เกิดความเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม สันติ เท่านี้แหละ แต่แน่นอนว่ามันไม่เที่ยง เราก็อย่าไปฮึดฮัด เราก็แก้ไขไปตามสภาพ ตั้งแต่สิ่งใกล้ตัวจนถึงสิ่งไกลตัว สิ่งที่จะให้ช่วยมีมาก ในโลกก็มีมากมายอย่าไปสร้างสนามรบนอกโลกไปอีก ฟุ้งซ่านไปใหญ่ คนโง่ดูหนังสตาร์วอร์สารพัดคิดจะปรุงหลอก รบแค่ในโลกก็มากมายทำไม่ไหวแล้ว ก็ช่วยกันไปเกื้อกูล สังคหะไป พวกเราสามารถอยู่กันอย่างมิตรสหาย สังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี ช่วยกันแก้ไขสิ่งที่บกพร่องไม่ราบรื่น อะไรไม่ขัดข้องก็วิ่งได้ไปเร็วแต่ถ้าขัดข้องก็ไปช้า ยิ่งไม่มีอะไรต้านทานก็ยิ่งหมุนก็ยิ่งเร็ว แต่ถ้ามีสิ่งเสียดทานขัดสียิ่งหมุนก็ยิ่งร้อน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือจิตวิญญาณก็เหมือนกันหมด ทำที่ตัวเราก่อน ไม่ต้องใจร้อน ขมีขมันขวนขายอย่าเฉื่อยช้า ผู้ทำได้ก่อนสบายก่อนก็มาช่วยเขาไป

 

ทุกวันนี้อาตมาดูน่าหมั่นไว้ อวดอุตริมนุสธรรมมาก คนที่เขายึดถือหลักธรรมพระพุทธเจ้าว่าคนมีดีไม่ควรอวดดี แต่อาตมาว่าคนมีดีไม่ให้อวดดีแต่ปล่อยให้คนชั่วเขาอวด ห้ามชั่วไม่ได้มันจะเอาตาย จำนนต่อการอวดชั่ว แต่ดีนี่ห้ามง่าย คนชั่วห้ามยาก โลกก็เลยเต็มไปด้วยชั่ว เดือดร้อน อย่าไปห้ามคนดีนักเลย ให้คนดีอวดดีบ้างเถอะ
 

เช่นอาตมาว่ามาจนนี่ดี คนไม่เชื่อก็ไม่มาแต่คนเชื่อก็มาทำ แต่จนอย่างขยันขันแข็ง คนจนมหัศจรรย์นะ คนที่เห็นดีก็มาทำ เราก็ดำเนินสายนี้ สายมาจน ประเทศไทยเราดีที่มีพระเจ้าแผ่นดินเห็นดีอย่างนี้ท่านตรัสแต่ไม่ค่อยมีใครทำ แต่อโศกเราก็เอามาทำจริงนะ ว่าเอาแบบคนจน ไม่เอาก้าวหน้าแบบรวยที่เป็นการถอยหลัง

 

คนไม่เห็นอย่างนี้ก็จะต้องไปแย่งชิงเบียดเบียนกอบโกยสะสมไป แต่เราไม่ทำสะสมแบบเขา เราทำได้มากเราก็เสียสละออกไป เรากินน้อยใช้น้อยเลิกละสิ่งที่ติดยึด เราก็มีเหลือ มีแรงงาน มีเวลา มีสมองมีทุนสร้างสิ่งที่ดี เราก็ทำไป สร้างสิ่งจำเป็น แต่ก่อนเราเอาเวลา ทุนรอน แรงงานไปสร้างสิ่งที่เลอะเทอะ เราก็เคยทำแต่เราก็เลิกมาแล้วก็เลยเห็นว่าเขาก็ยังติดยึดน่าสงสารอยู่นะ

 

เราก็ฝึกลดละกินใช้น้อยลงอีก ตามที่เราทำได้ แต่เราก็สบายมากอยู่ไม่เดือดร้อนอะไร ใครมาเห็นก่อนทำได้ก่อนก็ว่างก่อนเบาก่อนสบายก่อน ก็ สบมทมดปกตหหจจ มชยรล คนที่ได้แล้วอย่าริสยานะ แต่ไปริสยาคนบ้าบอแบกหามหอบหวงนี่ไปริสยาทำไม? แต่เดี๋ยวนี้คนเขาหลอกให้เอาเงินไปฝาก ได้ดอกด้วยนะ แต่หารู้ไม่ว่าเขาเอาเงินไปรวมกันไปอาละวาดหลอกคน ให้นายทุนกู้ไปอาละวาดหลอกคน นายทุนไปกู้แบงค์ ไปมอมเมาต่อไปอีก นี่คืออิทปจยตา ปฏิกิริยาลูกโซ่ของเหตุปัจจัยที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดสร้างทุกข์ อาตมาพาชาวโศกเลิกเป็นหนี้ธนาคาร จะเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งหรืออะไร คนอยู่ในวงจรธุรกิจก็พังเลยแต่พวกเราไม่เป็นอะไร พวกเราอย่าไปเป็นหนี้ธนาคารใครนอกคอกก็ไม่ใช่อโศกตัวใครตัวมัน

 

ทุกวันนี้ที่เราต้องจำนนเอาเงินไปฝากธนาคาร เพราะมันรักษาเงินได้ดี พวกเรารักษาได้ไม่ดี เพราะเป็นแหล่งเก็บเงินของสังคม มีตำรวจรักษาให้ด้วย พวกเราก็จำนนต่อการต้องเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วก็ให้ดอกเบี้ยเราอีก เราจะไม่เอา เขาก็ต้องเอาเงินไปอาละวาดอีก เราก็เลยต้องรับไว้ เป็นภาวะซับซ้อนย้อนแย้ง แต่ถ้าโลกมีแต่ความดีงามไม่โลภเลยก็ไม่ต้องมีธนาคาร หรือใช้ของแลกของเลย ไม่ต้องตีราคาของ ใครมีอะไรก็มาแลกกัน ใครขาดอะไรก็เอาไปแลก แต่ทุกวันนี้เขาสร้างอะไรได้ก็ต้องโก่งราคาให้สูงไว้จะเอากำไรให้มาก เขาไม่รู้ว่าบาป

 

ใครรู้ทางโล่งโปร่งอย่างนี้ก็มาทำ ไม่ต้องยึดติด อุปาทาน ตัณหา ให้สัญญาลงตัวเป็นปัญญา สังขารก็ปรุงตามควร เป็นอภิสังขาร ปรุงอย่างไม่โง่ไม่บาป

 

เช่นชาวอโศกเราไปเอาที่เขาทิ้งแล้ว อย่างที่น้ำท่วมที่บ้านราชฯ แล้วก็บูรณะสร้างสรรค์ ดินก็ดีขึ้น แต่คนที่ทิ้งแล้วก็ดันกลับมาเอาอีก ว่าเป็นถิ่นที่เคยอยู่เคยกิน หาว่าเราไปเบียดเบียนเขา แต่เราก็ไปซื้อมาทั้งนั้น ที่สาธารณะเราก็ไม่ได้ไปเอานะ เขาหาว่าเรายึดที่สาธารณะ ก็ใช้ทั้งโลกเป็นที่สาธารณะทั้งนั้นมาก่อน ก็จะมายึดที่เรา ทั้งที่เราซื้อที่มาจากกองบังคับคดีคือกองของศาลนะ ถ้าอย่างนั้นให้เขาไปยึดที่บ้านเขาก่อนเลย เพราะเป็นที่สาธารณะมาก่อนสิ เขาก็หาว่าเราซื้อของมาไม่ถูกต้อง แล้วศาลเอาของที่ไม่ถูกกฎหมายมาขายให้เราได้อย่างไร แล้วศาลไม่รับผิดชอบจะให้เรารับผิดชอบอีก ตอนนี้อยู่ศาลฎีกา ตอนศาลชั้นต้นเราก็แพ้แต่ศาลอุทธรณ์เราชนะ หากเราแพ้เราก็จะฟ้องศาล เราคิดค่าเสียหายด้วยนะ เสียความรู้สึกนี่แพงนะ คิดสักหมื่นล้านได้ไหม? ศาลเอาอำนาจบาตรใหญ่ เราซื้อมาจากคุณด้วยซ้ำ เสียความรู้สึก คิดแพงๆ จริงๆ ถ้าฎีกาแพ้เราจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย  อย่างนี้เท่ากับคุณขมายมา คือเอาของคนที่เขาขโมยมาขายอีกที  ทางโน้นเขาไปขอให้สภาทนายความมาช่วยเขา นี่ก็พูดออกอากาศนะ โลกนี้ทำไมรังแกกันอย่างนี้

 

จริงๆแล้วชาวอโศกก็มาบูรณะที่ที่เขาทิ้งแล้วให้สมบูรณ์ พอดีแล้วคนก็มาจะมาเอา แต่เขาจะมาหากินเราก็ไม่ว่า และที่เราปลูกสร้างเราก็ไม่หวงแหน เราเอื้อเฟื้อเจือจานอยู่ แต่ไม่รวยจนไล่แจกเขาได้ เราสร้างวัฒนธรรม พฤติกรรมสังคม ที่อยู่กันอย่างพึ่งพาอาศัยกัน ลัทธิเราไม่ใช่สะสมกอบโกยอย่างลัทธิอื่น ของเรามีแต่สะพัด เราไม่สะสม แล้วเอาไปอาละวาดออกดอกผลอย่างเขา

 

ของเราสะพัดให้เขา ส่วนกลางเราอาจดูใหญ่ แต่ใหญ่ก็เพื่อช่วยเขา เราทำพึ่งตนเองได้ให้เพียงพอสันโดษ หลักการเรามี 4 อย่างคือ

1.เราอย่าเป็นหนี้

2.พึ่งตนเองรอด

3.สร้างให้เกินให้มีเหลือมากเกิน เผื่อไว้

4.เหลือก็แจกจ่าย สะพัดออก

 

เราทำสำเร็จแล้ว เราถึงไม่เป็นหนี้ไม่เบียดเบียนใคร คนมีประโยชน์เพื่อผู้อื่น เฮงหรือซวย ก็เฮง แต่คนมีชีวิตดูดเอาแต่ของคนอื่นนี่เฮงหรือซวย ก็ซวยแต่เขาว่าเขาเฮงนะ เขาดูดได้ของคนอื่นเขาว่าเขาเฮง เราก็เลยเรียกว่าพวก เฮงซวย แต่เราไม่เป็นทั้งเฮงและซวยนะ นี่คือในหลวงว่าเราก็อยู่อย่างพอมีพอกินของเรา ไม่ไปร่ำรวยกับเขา นี่คือคำพูดของพระโพธิสัตว์ แต่ผู้บริหารตีไม่แตกไม่เอาไปทำจนมีผลได้ เพราะกิเลสเขายังมี ก็เลยไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็เลยว่า คนดีรวยก็ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าการเอาเปรียบ การมีมากมีเกินกินเกินใช้เกินพอสะสมก็คือทุจริตทั้งนั้น

 

กลไกทุนนิยมที่ให้อำนาจผู้บริหารหรือคนระดับสูงในสังคม ก็ให้เขาทุจริตได้อย่างถูกกฎหมาย ก็แก้ยาก หากคสช.เอาจริง แก้ได้ เอาเลย เช่นภาษีมรดก เป็นต้น แต่ถ้าให้คนรวยยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งเอาไปโกงคนจนได้มากขึ้นอีก ต้องอาศัยผู้กล้าหาญรู้ปมที่จะแก้ ก็จัดการเสีย เพื่อความเป็นอยู่สุขของสังคม สังคามทุกวันนึ้คลี่คลายไปได้ดี นายทุนเขาก็พยายามรักษาผลประโยชน์เขา แต่ถ้าคนเห็นดีว่ามาลดกิเลสนี่แหละดี โดยเฉพาะผู้บริหาร ทำดีไปลดละกิเลสคนจะเลี้ยงเอาไว้ คุณมีสมรรถนะเวลาที่จะช่วยคนก็ทำเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะอยู่ไม่ได้ คนจะเลี้ยงไว้ให้ทำงานให้ต่อไปเอง

 

ให้มีความรู้ความสามารถและความขยัน เป็นทรัพย์แท้ ช่วยโลกได้ทั่วทุกแดนทุกทวีปเลย ทั่วทีปทั่วแดน ช่วยด้วยปรารถนาดีด้วย เกื้อกูลเมตตาช่วยเหลือ ให้เขาลดบาป คือกิเลส กุศลคือความดีงาม บุญคืออาวุธอันประหัตประหารกิเลสอันคือบาป  เมื่อกิเลสหมดก็ไม่ต้องใช้เครื่องมือปราบกิเลส บุญคือเครื่องมือปราบกิเลสในตน ไปปราบกิเลสคนอื่นไม่ได้ ให้คนอื่นได้แต่กุศล บุญเป็นของส่วนตัว คนอื่นของใครของมัน บุญคือบารมีส่วนตัว ใครสามารถใช้เครื่องมือนี้ปราบกิเลสได้ก็คือมีบุญ จนกว่าจะหมดกิเลสก็มีแต่บารมี พอปราบกิเลสหมดก็สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นอรหันต์ ไม่ต้องทำบุญทำแต่กุศล

 

คนเขาบ้า เอาปืนมาเป็นขนมปัง แล้วหลอกว่า นี่คือขนมปังก้อนใหญ่ คนก็เลยสะสมของฆ่าคนกันใหญ่ เต็มไปด้วยปืน เพราะมันไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเพี้ยนไป ผู้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้สัมมาทิฏฐิ ก็เริ่มปฏิบัติได้ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ขันธ์สะอาดขึ้นหมดอุปาทานในขันธ์ไปเรื่อยๆ ขันธ์5 ก็อุปธิเวปักกา จนสิ้นอาสวะ ก็หมดบุญหมดบาป ส่วนแห่งบุญคือส่วนแห่งการกำจัดกิเลส แบ่งใครไม่ได้ แต่เพราะบัญญัติและเข้าใจพยัญชนะผิดก็แบ่งบุญแย่งบาปกัน เพราะเข้าใจว่าบุญคือขนมปัง แบ่งกันได้ เพราะไม่เข้าใจคำว่าบุญ จึงพิจารณาบุญไม่ได้ ทำบุญไม่เป็น พิจารณาบุญคือพิจารณาให้เป็นอาวุธ เป็นไฟฌาน คือไฟกองใหญ่ ไฟที่มีฤทธิ์แรงยิ่งกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ คือ ไฟฌาน

 

ฌานแปลว่ากองไฟ แต่เขาเพี้ยนไปว่าฌานคือการเพ่งยึดกสิณ ให้จิตแข็งตัวจิตยึดติด ยึดเข้าไปในอนุสัยอาสวะของจิต เป็นอนุสัย ปล่อยคลายจิตไม่เป็นจนกระทั่งตายแล้วก็ยังยึด เป็นพลังงานพีชะ แม้จิตนิยามทิ้งร่างแล้วแต่ร่างยึดด้วยพลังจิตวิญญาณ พอหมดเราไม่เอาแล้ว แต่พลังงานจิตมันยึด เพราะสั่งสมอวิชชา ทางฤาษีไม่รู้ว่าอะไรควรปล่อย จิตไม่ปล่อย แม้ร่างตายแล้วหายใจไม่ได้ หัวใจไม่ทำงาน มันก็ยังไม่ยอมให้หยุดตายแล้วก็ให้เคลื่อนชีวะอยู่ ทั้งที่พลังงานเหลือเพียงชีวะ ก็ยังส่งพลังงานมาเลี้ยงร่างอีก ก็เลยตายแล้วไม่เน่า นี่คือคนติดยึดมาก และก็หาว่าเป็นอภินิหารอีก การไปกราบเคารพศพที่ไม่เน่านี่คือคนโง่

 

ไม่รู้จักกาย แม้เป็นพลังพีชะ คนที่สามัญสำนึกสามัญ ถ้าตายแล้วก็ปล่อยร่างแต่พวกยึดนี่ไม่ปล่อย ยังยึดอยู่ แม้ไม่มีวิญญาณครองไม่มีเวทนาแล้ว พลังงานหมดความเป็นจิตนิยาม พลังงานไม่พอจะรับรู้ประสาทตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนังนี่ไม่ใช่กายมนุษย์  มีหนังที่หนามาหน่อยก็ไม่มีความรู้สึกแล้ว

 

ผมขนเล็บฟันหนังนี่ไม่ใช่กาย แต่ถ้ามีความรู้สึกอยู่ก็เป็นกาย ถ้านามธรรมปล่อยแล้วไม่ใช่กาย อย่างลํบหรือผมที่งอกออกมาแล้วร้าความรู้สึกก็ไม่ใช้กายแล้ว หนังเท่านันเป็นกึ่งกลาง หนังจึงมีคำว่า ผิดหนัง เป็นแผ่นที่ต่อเนื่องอยู่ ถ้าหนาออกมาหน่อยไม่ใช่ผิวแล้ว เป็นหนังหนา มันหนาหนัง ไม่ใช่ผิวหนัง

 

กายคตาสติ ให้พิจารณารู้กาย เวทนา จิต รู้นอกรู้ใน ไม่ใช่ให้ไปพิจารณาแต่นอก ให้เรียนนามในรูป ไม่ใช่ไปเรียนรูปในนาม ถ้าไปเรียนรูปในนามก็เช่นนั่งสมาธิแล้วเห็นผีอยู่ภายในจิต อย่างนี้เห็นผิด เห็นแต่รูปร่างผีแต่รู้อาการจิต นอกศาสนาพุทธจนตาทิพย์กลายเป็นตาถั่วไปหมดแล้ว ก็เลยกลายเป็นเห็นเทวดาลอยฟ่องไปมา เทวดารวมต่างชาติไหนๆก็มาเป็นตัวเป็นตนใหญ่เลย นี่อาจารย์ใหญ่ของพระวิปัสสนากรรมฐานพูดนะนี่ บอกว่าเข้าฌานแล้วพบเทวดา เยอรมัน ฝรั่ง ก็เทวดาที่ไหนก็มาอย่างที่ศีรษะอโศกนี่ ก็มีเทวดามามากกว่าอีกนะ

 

เมื่อกำหนดสภาวะรูป นามผิด ก็ไม่บรรลุธรรม เข้าใจกายคตาสติผิด ก็กำหนดกายผิด กายกลิคือองค์ประชุมของกิเลส คือกายเป็นโทษ เป็นนามธรรม องค์ประชุมของผีโขมด เป็นอาการโกรธ โลภ เมื่อกำหนดไม่ถูกก็ไปกำหนดกายเป็นผีเป็นรูปร่างเทวดาราคะเซ็กซี่ นางตัณหาราคะ มารำเชิบๆ ก็ไปดูที่เขารำเชิบๆ มาสิ มันล้วงตับกินไส้ตนเองยังไม่รู้อีก เมื่อกำหนดผิดก็ไม่มีวันจะได้พบเจอเทวดาหรือผีที่แท้จริงคือสภาวจิต

 

อาตมาได้แค่บอก พวกคุณต้องไปทำไปช่วยให้ตนเองพ้นทุกข์ ขนาดบอกว่าโกรธไม่ดีนะ ให้เอาออก ก็ยังยากเลย ถ้าอาตมางัดออกได้ งัดเอาความโกรธออกได้ จะทำให้ได้ที่ไหน และประเด็นที่ว่ายากคือคุณต้องเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันมาหลอกเราชั่วแวบ แต่คุณดึงให้มันอยู่นานเอง รสสุขไม่อยู่นาน อนุสัยอาสวะไม่อยู่นาน แต่คุณก็รักษามันไว้ซะนาน รักษาไว้อย่างไรมันก็ไม่อยู่กับคุณ ความสุขนี่มีเวลาจำกัด แต่ความทุกข์นี่คุณดึงมันไว้อยู่นาน ถ้าเชื่ออาตมาคุณเทกระบะ อาสวะอนุสัยออกได้ก็เป็นอรหันต์เลยทันที

 

สื่อสภาวะเพื่อให้เลิกยึดถือ ถ้าความรู้ความฉลาดทางโลกุตระมากพอก็จะไปสลาย กิเลสอาสวะอนุสัยให้หมดให้ใส่สว่างสะอาดหมดจด พระพุทธเจ้าให้ทำไปตั้งแต่เริ่มต้นเป็นลำดับ พอเป็นอนาคามีก็เลยไม่มีปัญหามาก เพราะทำโครงสร้างไว้ดี อาศัยสังขารอย่างไม่ติดสังขาร อนาคามีสามารถล้างรูปราคะ อรูปราคะ แม้จิตดีก็อย่าไปยึดดี ถือดีไปทวงบุญคุณไม่ต้อง เมื่อไม่มีมานะเหลือเศษอุทธัจจะ ก็ล้างเศษต่อ ให้หมดธุลีหมอง(สายโทสะ) ธุลีเริง(สายราคะ) ก็ล้างให้หมด แล้วอยู่อย่างลหุตา บางเบา อยู่เก่ยวข้องกับโลกอย่างประมาณกับเขาไป ไม่ต้องมีตัวตน มไต้องมีของตัวของตน จะมั่นใจว่าชีวิตมี่แต่คุณงามความดีไม่ต้องสะสม มีคุณงามความดีที่พึ่งได้ยิงกว่าเพชรนิลจินดา ที่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ดีกว่าเพชรกว่าทอง

 

เรามีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์7 ไม่ใช่คนดูดายใจดำ แบบอย่าเอาจิตออกนอกตัว ที่เขาใช้พลังงานสะกดไว้ ถ้ามันมากจะทำก็เอาเถอะแต่ถ้าใช้พลังปัญญาในการลดละปฏิบัติให้ไปตามลำดับ

 

บุญเป็นอาวุธอย่าเอาไปเล่น แล้วไม่ใช่แจกแบ่งใครได้ บุญเอาไว้ใช้ประหัตประหารกิเลสในตนเอง บุญเป็นของเฉพาะตัว เป็นอาวุธประหารกิเลสเฉพาะตัว และเป็นการประหารอย่างปัญญาด้วย

 

ปฏิบัติธรรมคุณต้องมีกาย แต่ไม่ได้ติดยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่เราจัดสัดส่วนให้พอเหมาะในการสัมพันธ์กับทุกสิ่ง พระอรหันต์สายเจโตเรียนให้จิตสงบ ไม่มีจิตฟุ้ง พอไปนอนหลับหรืออยู่ในภพก็ไม่ฟุ้ง ดึงออกมาก็ยาก ดับปี๋ เขาชำนาญถนัดทางนั้น ส่วนสายปัญญาฟุ้งซ่านจะให้หยุดก็ไม่ได้ดึงไม่อยู่ ก็สองทาง สายปัญญานั้นนอนแล้วฝันฟุ้ง สายเจโตนอนก็ดับปี๋เลย ไฟไหม้ก็หลับต่อ เอาน้ำสาดก็นอนเฉย สายปัญญาอะไรนิดก็ตื่นแล้วนอนไม่หลับ ระวังเป็นประสาท ต้องเรียนรู้ว่าตนสายไหน ต้องแก้ไข สายปัญญาไปนั่งสมาธิก็ดี สายเจโตก็ต้องมาเจอกับผัสสะ ออกมาฟุ้งจะดี แต่สายปัญญาต้องพยายามหาทางดับ แต่เขาทำตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเรามีแต่จมกับลอย สองสาย ก็เรียนรู้แก้ไข

 

สายเจโตนอนหลับไม่ฝันแต่อรหันต์สายปัญญาก็จะฝัน เป็นภาวะตกค้างได้ เขาก็เถียงกันว่า เป็นอรหันต์นอนไม่ฝัน เขาว่าไม่ฟุ้ง อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เป็นสายปัญญา ยังเปรยกับพระพระอานนท์ที่เป็นสายปัญญาเลยว่า สิ่งที่ยากคือสัญญา เวลานอนหลับสัญญาขึ้นมาทำงานแต่เป็นอรหันต์แล้วฟุ้งไม่ไปปรุงกับกิเลส จึงเรียกว่านอนไม่ฝันร้าย มันมีนิมิต มีรูปร่างเรื่องราว พระอรหันต์สายเจโตไม่ฝัน แต่อรหันต์สายปัญญาจะฝัน อย่างพระกัสสปะ สายเจโตแท้ๆ ที่เป็นผู้นำสังคายนาพระไตรฯเล่มที่เราใช้กันในไทยนี่แหละ แต่สายปัญญาจะมีนิมิต เป็นภาพที่เหลือ ปรุงภาพได้

 

อย่างพระโมคคัลลานะ เป็นสายเจโตก็ไปฝึกปรุงภาพ พอปรุงจนติดไป แม้เป็นอรหันต์ก็ยังมีนิมิตที่ใช้แทนสภาวะ ท่านก็ต้องเห็นภาพนั้นอยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระโมคคัลลานะเห็นงูใหญ่มีไฟพวยพุ่งจากหลัง พระโมคคัลลานะทัก แต่ภิกษุรูปอื่นที่ไม่ได้เห็นอย่างพระโมคคัลลานะก็ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ว่าเห็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าท่านจะโน้มจิตไปปรุงกับเขาอย่างไรก็ได้ไม่มีปัญหา แม้อาตมาจะเนรมิตไม่เก่งอย่างพระโมคคัลลานะ แม้พระพุทธเจ้าสายปัญญาก็ยังเปรยว่าจะบ้างสัญญาความจำนี่มันยาก จะมีนิมิตเหลือลอยอยู่ ถ้าสร้างแล้วจะดับยาก ปัญญาฟุ้งง่ายดับยาก เจโตจะดับง่ายฟุ้งยาก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:45:42 )

571009

รายละเอียด

571009_ความรัก10มิติ(8) มิติที่ 6 สากลนิยม และสวดมนต์โดยบท

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 9 ต.ค. 57 แรม 1 ค่ำ ด.11 ปีมะเมีย วันนี้วันพฤหัสบดี เราก็จะมาเรียนความรัก 10 มิติกัน ตอนนี้เราเรียนถึงมิติที่ 5 แล้ว ต่อไปจะเป็นสากลนิยม หรือจักรวาลนิยม เป็นมิติที่6

 

เรื่องความรัก 10 มิติ อาตมานำมาสอน เป็นความรู้ในขันธ์ ส่วนอดีต เรื่องความรักเป็นเรื่องจิตผูกพันธ์หรือสัมพันธ์ ในมิติต่ำๆมีผูกพันธ์ เกี่ยวข้องดูดดึง สัมพันธ์จัด ถึงขั้นผูกพัน ความรักมิติที่ 1 ,2 เป็นความผูกพัน แน่น เป็นความยึดถือ เป็นอาการของกิเลส ถ้าจัดจ้านเป็นกิเลสโดยตรง แต่ถ้าเราเอาพลังงานสัมพันธ์ ผูกพันธ์มาใช้ประโยชน์ เป็นความรำลึกถึง (สาราณียะ) ศานาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ตัดความสัมพันธ์จากมวลมนุษยชาติ ตามที่เข้าใจผิดกันมา ว่าต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำ

 

คุณธรรมที่สมบูรณ์แล้ว สูงสุด พระพุทธเจ้ายำ้ว่าเธอจงไป เข้านิคม ทั้งที่สังคมยุคนั้นเขานิยมเข้าป่าเขาถ้ำ แต่ท่านไม่ได้บอกเช่นนั้นท่านว่าให้เข้านิคม แม้เราก็จะไปอุรุเวราเสนานิคม ยุคนี้ก็เข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องหนีเข้าที่สงบ หลบเลี่ยงไป ไม่มีลำดับ โสดา สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ว่าจะตั้งศีลตั้งแต่ศีล 5 เรียนรู้กิเลสในกรอบศีล 5 กำจัดกิเลส แล้วค่อยไปศีล 8 ต่อไปศีล 10 ตามลำดับ สมัยพระพุทธเจ้าก็มีคนมาฟังธรรมแล้วบรรลุได้เร็ว เป็นบารมีของพระพุทธเจ้าที่ต้องมีผู้มีบารมีร่วม ท่านต้องมีพรักพร้อม มีสาวกที่สมบูรณ์พร้อมบรรลุธรรม ท่านก็ไม่ใช่ว่าจะต้องพากเพียรมากนัก เพราะท่านทำมาพร้อมแล้ว ท่านตรัสกับอรหันต์ 60 รูปแรกว่า ศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

คนที่ยังไม่เป็นอาริยบุคคลตั้งแต่โสดาบัน ก็มีแต่จะเอาเปรียบสังคมอยู่ทั้งนั้น ไม่ได้ให้เลย มีแต่จะเอา ไม่ได้มีคุณค่าประโยชน์อะไร เมื่อคนไม่ตีกรอบแห่งความพอก็จะเอาเกินพอ ไม่ว่าจะคนไร้สามารถเป็นขอทาน หรือว่าคนสามารถสูง ก็จะเอาจากสังคม มีพลังงานเห็นแก่ตัว ที่ว่ารักหรือสัมพันธ์ก็เพื่อจะเห็นแก่ตนเท่านั้น การสัมพันธ์กับพลังงานจิตคือความรัก สัมพันธ์ ผูกพันธ์ เป็นพลังงานจิตที่ต้องพัฒนา ให้ลดละกันจริงๆ

 

คนปุถุชนที่ไม่มีแรงไปแย่งกับสังคมมาก เขาก็จำนน เท่านั้นแหละ ถ้าไม่จำนนแล้วก็จะไปแย่งกันเพิ่มอีก ตีกันฆ่ากันอุตลุต ผู้ใดมีแรงสามารถก็จะไปเอาจากสังคม โดยอ้างว่าทำเพื่อสังคมทั้งนั้นแหละ จิตลึกๆคนก็เป็นจิตอวิชชาทั้งนั้น ผู้ใดศึกษารู้ก็พยายามลดละปลดปล่อยไม่แย่งชิง ก็เกิดคุณค่าต่อสังคม

 

ถ้าไม่เกิดสัมมาทิฏฐิก็ไม่เกิดคุณค่าสังคม แต่ว่าลดการแย่งกับสังคมบ้าง เช่นหนีออกป่าเขาถ้ำ ก็ลดการแย่งจากสังคม แต่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามลำดับ เป็นผู้ลดการแย่ง และเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย ซึ่งเป็นปรัชญาศาสนาพุทธที่ชัดเจนสมบูรณ์ มีคุณค่ากว่า

 

เนื้อแท้ความสัมพันธ์กับสังคมคือความรัก ไขไว้ที่ สาราณียธรรม 6 แล้วบอกคุณลักษณะจิตชัดๆคือ พุทธพจน์ 7

1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.   ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)

3.   ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)

5.    อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)

6.    สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)

7.   เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

มิติที่ 6 สากลนิยม เป็นความรักที่แผ่ไปอย่างไม่เกี่ยงเชื้อชาติ อย่างไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เหมือนอย่างเขากำลังเปิดอาเซียน แต่นี่เขาเปิดซีกเดียว โลกเขาก็เข้าใจว่ามันต้องเกี่ยวเนื่องกัน ต้องช่วยเหลือกัน เป็น Common sense เป็นเรื่องธรรมดาที่คนรู้ แต่จะมีวิธีการทฤษฎีที่จะทำให้เกิดจริงได้ไหม? อยู่ตรงนี้ต่างหาก

 

เป็นความรักที่ลึกซึ้งกว้างไกลแผ่ขยายยิ่งขึ้น ทำได้ยากขึ้น เพราะรักมวลชนทุกเชื้อชาติ ไม่จำกัดว่าผิวสีอะไร ก็จะช่วยหมด ถ้าตกทุกข์ได้ยาก ช่วยให้มากที่สุด ดีไม่ดีตนเองตายเลยก็มีหากประมาณไม่ได้สัดส่วน หากผู้ใดสร้างฐานะจนร่ำรวย ก็จัดตั้งสถาบันที่ช่วยเหลือคนทั้งโลกเลย ไม่ว่าจะสถาบันหรือองค์กรต่างๆ เป็นคุณงามความดีของคน เช่น ร็อคกี้เฟลเลอร์ เป็นต้น แต่หากจุดมุ่งหมายมีการแอบแฝง หวังผลประโยชน์ทางการเมือง คุณค่าของส่ิงที่ทำก็จะแค่เป็นมิติที่ 4 เท่านั้น แต่ถ้าช่วยด้วยใจไม่หวังผลตอบแทนก็เป็นความรักมิติที่สูงส่ง ซึ่งคนแบบนี้มีน้อย

 

อย่างในประเทศอินเดีย มีเศรษฐีใหญ่เยอะ แต่ก็ไม่ยอมทำ ทั้งที่ประชาชนตนก็ขาดแคลน แต่คนรวยมากก็มี สร้างประสาทบนยอดเขาก็มี แต่ไม่มีใครสามารถแกะความขี้เหนียวจากเขาได้

 

นอกจากช่วยด้วยกำลังทรัพย์ วัตถุแล้ว ยังมีกำลังกาย และสมองก็เผื่อแผ่กันได้ ไม่ต้องเกี่ยวเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ เสียสละไปเช่น เช เกวาร่า เป็นต้น ไปช่วยประเทศต่างๆ ช่วยให้คนอยู่เย็นเป็นสุข ก็เป็นความรักมิติที่ 6 เช่นเดียวกัน เป็นประโยชน์ต่อโลก ขอบเขตความรักเช่นนี้แผ่ไปมาก ทำให้สัดส่วนของความทุกข์ที่ต้องแบกภาระก็มากหนักตามไปด้วย แต่เอาเถอะ หากคุณจะมีความรักเช่นนี้ ทำได้ก็ทำเถอะ เป็นประโยชน์ มีค่ามาก ทำได้ยากขึ้น

 

มีปริวัฏฏ์ สองรอบด้วยกันคือ

1. ยังจำกัดขอบเขตอยู่กับตระกูล คือมิติที่ 1, 2,3 เป็นปริวัฏฏ์ที่ 1

2. ปริวัฏฏ์ที่ 2 คือมิติที่ 4 ,5,6 ก็เกื้อกว้างออกไป แต่ก็ยังมีการแบ่งแยกเป็นคนที่น่าสงสาร กับคนที่ไม่ต้องช่วย เป็นคนขาดแคลนกับคนเหลือเฟือ ยังมีฝักฝ่ายอยู่ ทำให้เกิดสงครามได้

 

ความรักระดับที่ 6 เป็นความรักที่แผ่กว้างเกื้อกูลแก่มนุษยชาติ ทั้งโลก เป็นโลกาภิบาล รักปรารถนาแก่ทุกคนเป็นอุดมการณ์สูงส่งที่มนุษย์จะแสดงออกทางรูปธรรม และทำได้จริงได้ด้วยไม่ใช่แต่หลักการหรือว่าแค่ทฤษฎีหรือคำพูดเท่านั้น แต่เกิดจากจิตวิญญาณที่มีน้ำใจสูงส่ง จริงใจ และทำได้เกิดผลตามอุดมการณ์ ที่สุดจะจริงสมบูรณ์ทีเดียว ก็ต้องไม่มีการแฝงเอาลาภ ยศ สรรเสริญแก่ตน

 

ของพุทธคือสะอาดบริสุทธิ์จริง และรู้จักสัดส่วนการประมาณที่พอเหมาะ ผู้ที่บรรลุธรรมของพุทธจะมีการประมาณองค์ประกอบสัดส่วน จะไม่ตัดสินอะไรกลางๆ แต่จะมีรายละเอียดที่เข้าข้างส่ิงที่ถูกส่ิงที่ดีกว่า ไม่มีอะไรเท่ากันหมดหรอก เพราะปรมาณูสองตัวเร่ิมมีสองเมื่อไหร่ก็ไม่เท่ากันแล้ว

 

ศาสนาคริสต์ทำไมสร้างอีฟ กับ อดัมส์ ไม่เท่ากัน เป็นเรื่องสัจจะที่แย้งไม่ได้ในโลก ต้องมีอย่างหนึ่งเหนือกว่าอีกอย่างหนึ่งแน่นอน เขาแย้งกันว่าศาสนาพุทธข่มผู้หญิง ไม่ให้สิทธิเสมอภาค อาตมาก็ว่าไปจัดการพระเจ้าของคุณก็แล้วกันสร้างมาไม่เท่ากันนี่

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น?

 

_บุญกับกุศลต่างกันอย่างไร?

ตอบ...บุญเป็นโลกุตระ ส่วนกุศลเป็นโลกียะ , บุญเป็นความหมายของคุณค่าที่กำจัดกิเลส เป็นความดีงามระดับปรมัตถ์ บุญมีคำแปลว่า สันตานังปุณาติ วิโสเทติ  บุญคือการชำระจิตสันดานให้หมดจด เมื่อชำระได้ก็จะเกิดส่วนแห่งบุญ (ปุญญาภาคิยา) เรียกกันทั่วไปว่า ส่วนบุญ ซึ่งเรียกกันแบบโลกีย์ แท้จริงแล้วแบ่งกันไม่ได้   บุญไม่ใช่ขนมปัง บุญคือปืน แบ่งกันได้อย่างไร บุญคือการชำระ การฆ่า การกำจัด ไม่ใช่ขนมปัง คือปืน ผู้ใดกำจัดกิเลสได้ก็เกิดส่วนแห่งบุญ ผู้ใดทำบุญได้โดยการจัดการจิต คือ มนสิการ หรือปุญญาภิสังขาร สังขารอย่างยิ่งอย่างเลิศเลย ให้เกิดการกำจัดกิเลสไป เรียกโยนิโสมนสิการ การทำใจในใจของตนให้เกิดผล ก็ทำอภิสังขารไปจนไม่ต้องทำบุญ จบการทำบุญ เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร

 

_ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเป็นเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลายจะรู้กิเลสจริง พอล้างกิเลสได้ จิตเราจะลดพลังงานแฝง มันถูกต้องถูกตัว อย่างไม่ถูกกดข่มไว้ แม้แต่ทำไปตามลำดับมันก็เป็นจริง แต่คนไม่ได้ล้างจริง มันก็ไม่รู้หรอกว่ามีการแอบแฝง ไม่รู้เรื่องเลย เพราะไม่ชัดเจนก็ไม่จริง แต่ของพุทธนี้หมดจริง ยิ่งอนาคามีก็ย่ิงจริง

 

_ขออภัยที่ต้องบอกเปิดเผยบางส่ิง....อย่างสวดมนต์ทุกวันนี้นี่อาบัติ ตั้งแต่ สองคนขึ้นไป เอาธรรมบทไปสวดในสาธารณะให้คฤหัสถ์ฟังนั้นอาบัติ อยู่ในปาติโมกข์ที่สวดกันทุกปักษ์นี่ก็มี แต่ไม่เข้าใจกัน เอาธรรมบทไปสวดท่องให้คนฟังตั้งแต่สองคนขึ้นไป พระพุทธเจ้ากันไว้ เพราะยุคโน้นก็มีศาสนาอื่นๆสวดมนต์หากินให้เป็นฤทธิ์เดชในศาสนา เป็นเรื่องลึกลับซึ่งไม่ใช่พุทธ เป็นความเข้าใจเองที่หลงไป ลักษณะการสวดสองคนขึ้นไปเท่ากับเอาธรรมะพระพุทธเจ้าไปทำมาหากิน พระพุทธเจ้าก็ออกวินัยไว้ห้ามไว้ ไม่ต้องพูดถึงสวดทำนองยืดเยื้อ เป็นนักร้องหมู่นะ

 

การสวดท่องพระพุทธเจ้าให้สวดท่องเป็นสังคีติ คือสวดเป็นหมู่เพื่อท่องจำไว้ แต่อย่าไปสวดเป็นหมู่ให้คฤหัสถ์ ถ้าจะสวดก็ให้สวดคนเดียว คือบรรยายไปให้คนเข้าใจ ไม่ได้เอาไปสวดหากิน เป็นการบรรยายธรรมะ ผู้บรรยายก็เป็นธัมกถึก คือบรรยายธรรมให้คนรู้เรื่อง แต่ถ้าสวดกันตั้งแต่สองคนก็สวดมนต์คนอื่นก็ฟังนั้นไม่ใช่บรรยายธรรมแล้ว แต่ถ้าจะพร้อมกันสวด จะเอาประณามคาถาคือคำที่คนแต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นทำได้ แต่ทุกวันนี้คำว่าประณามเป็นคำเสีย คำสรรเสริญคือคำด่า  เป็นพิษเป็นภัยไปแล้ว คำด่านี่แหละ ถ้าใครสามารถด่าให้คนรับได้ให้คนดื่มได้เรียกว่า เปยยวัชชะ คือคำตำหนิหรือคำด่าที่เป็นของควรดื่ม ใครด่าให้คนดื่มได้เป็นปิยวาจา ในสังคหวัตถุ

 

คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นเชิงตำหนิิเชิงด่าทั้งนั้น อย่าไปสรรเสริญซึ่งกลายเป็นพิษไปแล้ว คำด่าเป็นยา ส่วนคำสรรเสริญเป็นยาพิษ

 

ที่ว่าสวดแล้วจะมีพลังลึกลับอะไรนี่เป็นเรื่องทำลายศาสนาทั้งนั้น และยังหาว่าอาตมาพูดนี่มาทำลายศาสนาอีก  อาตมาจะพูดว่า ถ้าไม่มีสวดมนต์แล้วล่ะก็เขาอยู่ไม่ได้ ศาสนาพุทธเขาอยู่ไม่รอดเลย พระมีประโยชน์เพราะสวดมนต์เป็นเท่านั้นเอง ขออภัยที่ต้องพูด ดูจัดจ้านนะ แต่เพื่อการศึกษา ถ้าที่พูดนี้เป็นการใส่ใคร้และไม่จริง บาปก็เป็นของอาตมา แต่อาตมารู้ว่าส่ิงที่ทำเป็นสัจจะ

 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ถ้าไม่มีการสวดมนต์ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีน้ำยาแล้ว ยังดีเทศน์เป็น จะเทศน์สองคนแบบสากัจฉาธรรมก็ได้ แต่จะสวดพร้อมกันสองรูปขึ้นไปเอาธรรมบทมาสวดให้คฤหัสถ์ฟังไม่ได้อาบัติ แต่สวดประณามคาถาได้

 

สิกขาบทวิภังค์

       [285] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...

       บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ, ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรง

ประสงค์ในอรรถนี้.

       ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน.

       [286] ที่ชื่อว่า โดยบท ได้แก่ บท อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.

       ที่ชื่อว่า บท คือ ขึ้นต้นพร้อมกัน ให้จบลงพร้อมกัน.

       ที่ชื่อว่า อนุบท คือ ขึ้นต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน.

       ที่ชื่อว่า อนุอักขระ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบันกล่าวพร้อมกันว่า รู

ดังนี้ แล้วหยุด.

       ที่ชื่อว่า อนุพยัญชนะ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบันเปล่งเสียงรับว่า

เวทนา อนิจฺจา.

       บท ก็ดี อนุบท ก็ดี อนุอักขระ ก็ดี อนุพยัญชนะ ก็ดี ทั้งหมดนั้น ชื่อว่าธรรม

โดยบท.

       ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษิต ซึ่ง

ประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.

 

อาตมาไม่ได้เจตนาพูดหาเรื่องนะ แต่เป็นสัจธรรม เป็นการศึกษาแนวลึก ผู้ใดตั้งใจศึกษาก็ฟังกัน แต่บอกเลยจะไปแก้ไขเขาก็ยากแล้ว ผู้ใดรู้ก็แก้ไขของตนเองก็ดีแล้ว ที่อาตมาไม่ร่วมเพราะเช่นนี้ อาตมาไม่เคยไปร่วมสวดมนต์กับหมู่สงฆ์ตั้งแต่บวชมา สักครั้งเดียว เพราะสวดไม่เป็น ไม่สวดด้วย เพราะอาตมารู้แล้วว่ามันผิด สวดยาวเยิ่นเย้อนั้นน่ะ ไม่ว่าจะสวดลงโบสถ์อาตมาก็ไปสวดด้วย เพราะไม่ได้สวดให้อนุปสัมบันฟัง แต่ไม่เคยไปรับนิมนต์แล้วไปสวดอย่างที่เขาทำกัน อาตมาไม่ใช่นักสวดอย่างที่เขาเป็นกัน เขาแย่งไปได้ค่าสวดด้วย ในชีวิตอาตมาไม่เคยไป ขออภัยอย่างมาก อะไรที่พูดไปแล้วบาดเสียด เจตนาพูดเพื่อการศึกษาไม่มีจิตเกลียดชัง มีแต่จิตเทิดทูนศาสนา อาตมามีสิทธิพูดความจริง คนก็มีสิทธิ์เชื่อหรืือไม่ก็ได้ อาตมาพูดไม่จริงก็ได้บาปเอง แต่อาตมาเชื่อว่าที่พูดนี้เป็นความจริง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:46:48 )

571010

รายละเอียด

571010_พุทธชีวศิลป์(15) เรื่อง ทำจิตในจิตสู่สมาธิพุทธ

วันนี้เราก็มาเรียนพุทธชีวศิลป์ วันศุกร์ที่ 10 ต.ค.​57 แรม 2 ค่ำ ด.11 ปีมะเมีย

 

วันเวลาผ่านไปๆ ถ้าเผื่อว่าเวลาก็ผ่านไปๆ ในตัวเรานี่นะ แม้ร่างกายมันจะถดถอยลงตามอายุขัย ตอนนี้ย่าง 81 แล้ว คือ 80 ปี 4 เดือน 5 วัน ถ้าเด็กอยู่ก็เจริญขึ้น ๆแล้วทรงอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็เสื่อมแต่ว่าจิตใจเราไม่เสื่อมตาม จิตใจเรามีแต่เจริญพัฒนาขึ้นๆ และเราก็รู้ดีว่าจิตเจริญถูกต้องเป็นอย่างไร? คนทางโลกเขาว่าจิตเจริญคือได้ลาภ ยศ เป็นสุขมากขึ้นมีอำนาจมากขึ้นก็ว่าเจริญ ได้สรรเสริญได้เสพกามมากขึ้นก็ว่าเจริญ ได้เสพกามเต็มที่พรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณก็ว่าเจริญ​ มีอัตตาศักดิ์ศรีต่างๆเพ่ิมต้องการอะไรเบ่งใหญ่ เป็นยอดแห่ง นิมานรดี ปรนิมิตวสวตี

 

นิมานรดี นั้น นรดี ก็คือรื่นเริงเบิกบานใจสมใจในกิเลส นิมมานก็คือสร้าง สร้างภพชาติ เป็นเทวดามีอำนาจมาก มีฤทธิ์มาก มีอำนาจมากอยากได้อะไรก็ได้หมด ไม่ขัดข้อง

 

ปรนิมิตวสวตี เป็นอำนาจที่ไม่ต้องทำให้ตนเองเลย คนอื่นทำให้หมด ไม่ต้องทำเองเนรมิตเอง คนอื่นรู้จะทำให้หมด บริบูรณ์ด้วยโลกธรรม นี่คือเทวดาชั้นที่ 5 และ 6 จิตเป็นเช่นน้ัน

 

ความเป็นเทวาดา สมมุติเทพ 6 ชั้น คนทางโลกเขาก็คิดว่าเขาจะเจริญอย่างไร พยายามยิ่งใหญ่สร้างตนเอง ให้ชนะคนทั้งโลก 4 ทิศเลย เรียกว่า จาตุมหาราชิกา เป็นอำนาจเรียกว่ารบทั่วทิศ จะต้องชนะ ก็เพื่อแย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้นแหละ เมื่อได้สมใจก็เป็นสมมุติเทพ

 

เขาก็เสพสุข เป็นอาการของจิตเรียกว่า ดาวดึงส์ ด้วยสวรรค์ชั้นที่ตนต้องการ เรียกว่าเสวยสวรรค์ ที่สร้างขึ้นสมมุติขึ้นตามอุปาทาน เป็นสุขขัลลิกะ ตาวติงส์แปลว่า 33 คนเราอยู่กับที่เรามีอยู่ให้สบายก็ยังไม่พอ ยังสร้างเพ่ิมอีกเกินอาการ 32 เป็นอาการที่ 33 แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ให้บำเรอกาม บำเรออัตตา เป็นกามสุขขัลลิกะ และอัตตทัตถสุข

 

จะได้มากหรือน้อยก็เป็น เทวดาชั้นยามา พยายามให้นานที่สุด แต่มันก็จะอยู่กับเราระยะหนึ่ง เรียกว่า ยามา แล้วก็จะอยากได้สุขอันนั้นอันนี้ คนเราเห็นได้ว่ามีแต่จะพยายามบำเรออารมณ์ จะต้องนั่งอย่างนี้จึงสุข พอนั่งไปไม่สุขแล้วก็ไปเดิน เดินเบื่อก็ไปนอน ไปเต้น เคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ ก็บำเรอกิเลสให้เกิดสุข อย่างนั้นคืออิริยาบถสามัญ แต่ที่จริงก็กระทำการแย่งชิงลาภยศสรรเสริญ กาม แสวงหากามคุณ 5 หรือไปเบ่งแสวงหาอัตตา เพื่อจะได้สมใจได้เสพสุขบำเรออัตตา

 

อัตตามีสองอย่าง อัตตาที่ซ้อนอยู่กับกามอย่างหนึี่งและอัตตาที่เป็นของตนเลยอีกอย่างหนึ่ง

 

อัตตาที่มากับกาม ก็คือได้อะไรมาก็สมใจสมโลภ ได้ตามใจก็สมอัตตา ได้มาทางทวาร 5 ก็เป็นรสชาติ อัสสาทะ เป็นกามราคะ ส่วนอัตตานี่นอกว่า 5 อย่างนี้ ที่ซ้อนอยู่ แม้ได้เสพสมใจทวาร 5 แล้วก็ได้สุข เป็นกามรส แล้วก็สั่งสมซ้อนเป็นอัตตา เป็นตัวตนอัตภาพ เป็นทิฏฐิด้วย ไม่ใช่มันจะหายไป เป็นอนุสัย นั่นแหละคือตัวตน พอใจสมใจก็คือสะสมแล้วไม่ได้ปล่อยวาง ประทับใจลงไปด้วย มากหรือน้อยก็แล้วแต่ เคยประทับใจมาทั้งนั้น แล้วตกผลึกเป็นอนุสัย นั่นคือกามสุข หรืออัตตทัตถสุข เป็นสองอย่าง สุขทั้งกามสุขทั้่งอัตตา

 

และอีกอัน อัตตาที่เป็นตัวทุกข์ อนาคามีขึ้นไปมีอารมณ์เห็นจริงว่าเราบำเรอจิตตนนี่เป็นความเท็จ อนาคามีจะรู้ ล้างได้จริงก็เหลือขันธ์ 5 ก็เกิดอยู่ กว่าจะรู้สึกว่าอันนี้ยังเป็นภาระ เป็นความพร่อง เป็นสัตว์ที่เราจะต้องล้างออก จะรู้สึกไม่สบายใจเดือดร้อนใจอยู่ เรียกว่ากิลมถะ

 

อัตตาในสุขนั้นเป็นของปุถุชนทั่วไป พอละล้างได้ จิตเป็นอนาคามีก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องลำบาก เป็นกิลมถะ ที่เหลือ อนาคามีไม่มีกามเหลือแล้วไม่หลงในกามสุขขัลลิกะ และอัตตาที่หยาบ ก็เหลือแต่รูปาวจร และอรูปาวจร จนพ้นอนาคามีเป็นอรหันต์ก็ยังมีขันธ์ 5 เหลืออยู่จะเรียกว่าอัตตาก็เป็นอรหัตตตา

 

เรายังอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ยังเป็นภาระ เป็นทรถะ เป็นเรื่องที่ต้องข้องอยู่ กระวนกระวายได้บ้าง ไม่ใช่่เรื่องลึกลับ ที่จริงก็ไม่ถึงกับกระวนกระวาย แต่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องโลกๆ เป็นอาหารปริเยติทุกข์ เป็นนิพัทธ์ทุกข์ จะต้องปวดข้ีปวดเยี่ยว เป็นต้น ก็ต้องมีอยู่ จะต้องมีทุกข์ที่เนื่องกับขันธ์อยู่ เป็นวิปากทุกข์ พยาธิทุกข์ สรุปแล้วยังเหลือทุกขันธ์

 

หมดสุขหมดทุกข์จริงๆ ก็ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสานเลย ผู้ยังไม่ปรินิพพานก็เป็นผู้อมตะอยู่ช่วยโลกต่อไป ในมูลสูตร

 

เวทนา เป็นที่ประชุมลง เราต้องอ่านเวทนา 108 คืออ่่านเวทนาในเวทนา เราอาจจำภาษาไม่ได้ แต่มีสภาวะอยู่แล้ว ก็คือสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็มีแค่นั้น แล้วจะมีมากหรือน้อยเป็นดีกรีอย่างไรอีก และแยกเป็น เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 ก็คือเกิดทางทวาร 6 สัมผัสแล้วเกิดอารมณ์ในทวารใจ ที่ร่วมไปทุกทวาร หรือไม่ก็ใจว่ากันไปเองก็ได้ ทุกคนเคยเป็นเคยมีมา

 

เรามีกระทบสัมผัสแล้วก็รู้วิจาร คือแยกกิริยาของภายนอกภายใน กิริยาของนามธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน หรืออาการของรูป 24 คืออาการจิตที่ถูกรู้ ถ้าเกี่ยวเนื่องกับสิ่งนอกเรียกว่า กาย ถ้าไม่เกี่ยวกับสิ่งนอกเรียกว่าส่วนใจหรือจิตไปเลย

 

เราแยก มโนปวิจาร 18 ให้ออก เมื่อเรากระทบสัมผัส เกิดอาการจิต ไม่อยู่สุข ก็จะพยายามหาสุข ตามที่ต้องการที่โง่ดักโง่ดาน มาทั้งนั้น ตามอวิชชา ผู้เรียนรู้และลดละมาก็ระลึกได้ แต่อย่างพระพุทธเจ้าท่านทำมาแล้วผ่านมาแล้ว พอมานั่งหลับตาระลึกท่านก็ระลึกได้เลย

 

ถ้ามีคนมาถามพระพุทธเจ้าว่า ชาติก่อนหน้านี้ผมเป็นอย่างไร? ถ้าพระพุทธเจ้ากับนาย ก. นี้ไม่เคยสัมพันธ์กันมาก่อนเลย พระพุทธเจ้าก็ระลึกค้นหาไม่ได้ ถ้าเคยสัมผัสสัมพันธ์กันมา ก็มีสัญญา ระลึกได้ แต่คนสมัยนี้เขาว่าเขาเก่งนะ ระลึกชาติได้หมด อาตมาน่ะกลัวจริงๆคนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า

 

เมื่อเราสามารถแยกเวทนาได้ แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ แล้วรู้ตัวตนอัตภาพ ที่เป็นตามเหตุ ได้สมใจก็สุข ไม่สมใจก็ทุกข์ หรือเฉยๆ แบบพักยก พอแล้ว หรือเฉยๆแบบเซ็ง ก็เป็นไม่สุขไม่ทุกข์แบบเซ็ง กับไม่สุขไม่ทุกข์แบบพักยก

 

ตัววางเฉยหรืออุเบกขาเป็นอารมณ์นิพพาน แต่ถ้าไม่รู้ไปหลงอารมณ์นี้ เช่นเขาไปนั่งสมาธิ เห็นจิตตนว่างเฉยโล่งเบา แล้วหลงว่านี่แหละคือฐานนิพพาน ที่จริงไม่ใช่ นั้นเป็นเพียงภพๆหนึ่ง ของมิจฉาฌาน 4 ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เขาหลงกันอย่างนี้เยอะ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาไม่ใส่ใจไม่เชื่ออาตมาหรอก ก็ต้องปล่อยไป พวกนี้เขามีอัตตาของเขา ยึดทิฏฐิมานะอัตตา เป็นศีลพตุปาทาน

 

ส่วนเนกขัมมะของพุทธนั้นรู้เหตุแห่งทุกข์ อย่างเนกขัมมสิตะโสมนัส ก็คือมันทำได้ เราทำให้จิตเราจางคลาย ทำให้จิตเราลดลงได้ตามเห็น วิราคานุปัสสี จนถึงนิโรธานุปัสสี ทำให้กิเลสเราลดได้ ด้วยไฟฌาน ไฟปัญญาลดกิเลสจางคลาย แม้ชั่วคราวก็ดีใจ ซึ่งไม่ใช่ดีใจพอใจแบบเคหสติเวทนา ซึ่งแบบเคหสิตะจะดีใจที่ได้สมใจกิเลสแต่ว่าถ้าดีใจสมใจจากการได้ลดกิเลส ก็ไม่ใช่ดีใจปีติแบบธรรมดาสามัญ หากมันแรงก็เรียกว่าปีติ มันเบาลงก็เรียกว่าสุข

 

ส่วนเนกขัมมนิตโทมนัส ก็คือมันยังเป็นฌาน 1 มีวิตกวิจาร ลำบากอยู่ เหมือนหัดขี่จักรยาน ตอนเริ่มต้น ขี่ได้แล้วไม่ชำนาญต้องเคร่งคุม ไม่มีวสี ทำได้ไม่เก่ง ก็เลยบางทีก็ล่มลงไปก็มี มันซ้อนกับปีติ กับโทมนัสเวทนา จนวิตกวิจารเบาขึ้น คุณทำกระบวนการสังกัปปะ 7 ยังไม่เจริญสมบูรณ์ จนกว่าจะทำได้อย่างสมบูรณ์แคล่วคล่องก็จะไม่ลำบาก ก็ยังมีโทมนัสเวทนาอยู่ จนกว่าจะทำสังกัปปะ 7 ได้ดีได้เจริญ จนขี่จักรยานปล่อยมือได้ ตีลังกาบนจักรยานได้ คะนองด้วยนะ

 

เมื่อผ่านปีติ ผ่านสุข เป็นอุเบกขาฐาน สบายวางเฉยก็เป็นอุเบกขาฌาน 4 จากนั้นก็ตรวสอบอรูปฌาน 4 ทำอภิสังขาร 3 ต่อไปมันทำอยู่แล้วผู้ที่มีภูมิรู้ ก็จะเจ้าใจว่าให้เจริญขึ้น เป็นอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ภาคส่วนอดีตและอนาคตเป็นสูญหมด

 

มันไม่ใช่ภาษาปากเปล่าแต่มีสภาวะด้วย หากมีสภาวะก็จะจำภาษาได้ง่ายดาย เพราะมีวงจรอยู่แล้วโครงสร้างอยู่แล้ว มันจะเข้าใจโดยปริยาย

 

ทำให้จิตเจริญขึ้น ลดราคะโทสะโมหะ ได้ก็เป็นสังขิตจิต วิกขิตตจิต แล้วทำให้เป็นจิตที่เจริญขึ้นได้ไหม แล้วจากนั้นก็ทำให้จิตเจริญกว่านี้ดีกว่านี้ยังมีอีกไหม? มันจะมีปฏิภาณรู้ว่ายังไม่จบๆ ทำให้ทุกปัจจุบันเป็น สูญ สั่งสมเป็นอดีตที่กิเลสสูญ ให้มั่นใจว่าอนาคตก็สูญหมด เด็ดขาดเลย ตัวปัจจุบันเป็นตัวพิสูจน์ความจริง

 

คนที่มีเพชรที่ใสสะอาด ไม่มีอะไรปนมาเลย เขาจะอยากให้เพชรหมองลงมีอะไรมาปนไหม?...ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเข้าใจดีก็ไปปฏิบัติ เพื่อให้จิตเจริญให้รู้ความจริง ในการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนการสร้างสมาธิ ด้วยหลักมรรคองค์ 8 โดยปฏิบัติมรรค 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ เป็นเอกัคคตา ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิให้จิตเป็นเอกัคคตา อย่างนั้นเป็นการแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ

 

การแสวงขอบเขตบุญในศาสนาพุทธ ต้องปฏิบัติตามมหาจัตตารีสกสูตร มีอยู่ในพระไตรฯ มานานแล้วฉบับสยามรัฐนี่ แต่คนผ่านตาแล้วไม่เห็นนำมาปฏิบัติให้ได้ผลเลย เขาไม่มีภูมิ เป็นลิงได้แก้ว มือด้วนได้แหวน หัวล้านได้หวี ตาบอดได้แว่น ขออภัยที่พูดเหมือนข่มเบ่ง แต่เพื่อการศึกษา เพราะคนรู้จักจะเห็นค่าของส่ิงนี้ ย่ิงคุณอยู่ในวงการศาสนา แต่เอาเวลา ทุนรอน แรงงานไปเผยแพร่มิจฉาสมาธิกันทั่วโลก ฝรั่งมังค่าไม่รู้ก็เรียนหัวปักหัวปำ

 

อีกอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านพูดแล้วเหมือนให้อาตมามาไข ท่านตรัสทิ้งไว้เยอะแยะเลย ถ้าผู้ใดผ่านมหาจัตตารีสกสูตร แล้วไม่สะดุด ไม่ทำความเข้าใจแล้วศึกษาให้ดีว่าเขาปฏิบัติสมาธิของพุทธกันอย่างนี้หรือ? จะต้องปฏิบัติลืมตาอยู่กับกรรมทุกอย่าง คิด พูด ทำ อาชีพ ทำอย่างนี้หรือจะเกิดสัมมาสมาธิ ซึ่งคนเขาเข้าใจไปกันอีกแบบหนึ่งเลย แล้วเมื่อยึดวิธีการข้อปฏิบัติแบบนี้แล้ว อาตมาจะมาพูดตรงข้าม เขาก็หาว่าเรียนมาจากไหนใครสอน ก็น่าเห็นใจเขา แล้วก็ดันมาบอกว่าตนรู้เองไม่มีครูบาอาจารย์อีก เขาก็ยิ่งไม่เชื่ออีก

 

แต่ก่อนอาตมาก็ไม่ได้ยำ้ยืนยันว่า สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 นั้นคืออาตมา แล้วใครรับรองว่าอาตมาจะตายวันตายพรุ่ง ถ้าไม่อวดแล้วเมื่อไหร่จะได้อวด อย่าเห็นว่าอาตมาจะอยู่ 151 ปีก็เชื่อสนิทเลยหรือ? มันยากนะ ก็มีหลักฐานเหตุผลดันไปสิว่าจะอยู่ได้ไหม?

 

ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นคนไม่เข้าใจก็เลยไม่ได้เอามาอธิบาย แล้วก็มีของใหม่มาแทน อาตมามาปางนี้จะต้องมาทำงานพิสูจน์สัจธรรม จะเห็นได้ว่าอาตมารูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย วิชาความรู้ สถาบัน ครูบาอาจารย์ไม่มีช่วยเลย เอาสัจธรรมอย่างเดียวเลย โดดเดี่ยวขนาดไหน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประกอบช่วยเลย ไม่มีหวังเฉาหม่าฮั่นเลย ลุยเดี่ยวเลย เพื่อพิสูจน์สัจธรรมว่าแน่จริงไม่ต้องอิงอาศัยอะไรเลย คนเขาพูดว่าอาตมาอาศัยอิทธิพลการเมือง อาศัยโลกธรรมอะไรก็แล้วแต่ อาตมาก็ว่าไม่รู้จักอาตมาเลย จะบอกว่าอาตมาหยิ่งก็ได้ จะไปอาศัยให้เสียศักดิ์ศรีทำไม ก็ใช้ธรรมะนี่แหละ ไม่ต้องอย่างอื่นประกอบ

 

อาตมาซาบซึ้งที่พระพุทธเจ้าว่าพรหมจรรย์นี้ไม่ใช่เพื่อคนมานับถือ ไม่ใช่เพื่อหาบริวาร คุณมาเอง แต่พรหมจรรย์นี้เพื่อให้ได้ลาภยศย่ิงห่างไกล ให้คนมานับถือว่าเราเป็นผู้วิเศษยิ่งใหญ่เก่งกล้ายิ่งไม่ใช่ หรือว่าทำเพื่อล้มล้างลัทธิอื่น ล้มเถรสมาคม จะไปเป็นสังฆราช ไม่ใช่เลย โพธิรักษ์นี่ไม่ใช่มีหน้าที่อะไรรับผิดชอบนะ แล้วอาตมาอยากได้นักหรือ? ทั้งที่ตอนนี้อาตมาก็สบายนะ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร อาตมาไม่รับผิดชอบหรอก ใครจะขวนขวายทำก็ทำไป อาตมาก็ทำงานตามหน้าที่อาตมา ก็ทำดูแลไปตามหน้าที่ เพราะง้ันในสัจจะที่ลึกที่สุดย้อนแย้ง ว่ามีหรือไม่มี รักหรือไม่รัก ก็ยาก มันไม่มีภาษาจะพูดแล้วมันไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นภาษา ยึดไหม?ยึด แต่ไม่มั่น ยึดเป็นสมาทานไม่ได้อุปาทาน เป็นภาษาสุดยอดแห่ง Dialectic วิภาษณ์วิธี เป็นภาษาที่ย้อนแย้งในตัว แต่จะใช้ต้องมีของจริงและเข้าใจ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ความมีกับความไม่มีนั้น โลกเราอาศัยสองอย่างนี้แหละ

 

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ
มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ
ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ) ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ
มีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก
ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น
ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด
ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง
เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

เซ็นเป็นเรื่องของผู้มีบารมี เขาก็เข้าใจอะไรง่าย บรรลุฉับพลัน แต่พวกเซ็น เขาก็นึกว่าตนมีบารมี เอาแต่แสวงหาโกอาน แล้วจะให้ซาโตริ บรรลุธรรม แล้วเป็นอรหันต์เลยทันที ซึ่งจริงในผู้มีบารมีจริง อย่างพระยสะหรือพระพาหิยะทารุจริยะ หรือพระโกณฑัญญะ ท่านมีบารมีจริง

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น?...

 

_ผู้ที่ทำการเงินแล้วเคยทำผิดพลาดมา ไม่สุจริต ก็ขอให้หยุดเสีย แล้วก็มาทำให้ดีให้เป็นระบบระเบียบ จะดีมากเลย เราจะได้รู้จุดอ่อน จุดบกพร่อง จุดแข็ง อย่างใน SWOT อาตมาอยากจะเติมอีกตัวคือตัว S คือ Self คือให้รู้ตัวเองอีกตัวหนึ่งเป็น SWOTS เอาไปเสนอ อ.เอนกนะ เร่ิมทำกันแล้ว แล้วใครจะผิดพลาดบกพร่องก็ขอให้หยุด ทำผิดแล้วจะไปทำต่อทำไม อันที่แล้วไปแล้วเราไม่ถือสาไม่เอาความต่อไปอีก ให้ทำเลย

 

_ถามว่า พ่อครูพอใจไหมในผลการอบรมสั่งสอนลูกๆ

ตอบ...อาตมาไม่ได้เป็นคนตะกละอะไร ถามว่าพอใจไหม?ที่ได้แค่นี้...ก็พอใจถ้าไม่พอใจอาตมาท้อถอยไปแล้วแต่นี่ยังฟิตปั๋งเลย เพราะว่ามันน่าจะมีผลนะ มันมีภาวะมีผลอยู่เรื่อยๆ มันอาจดูรูปธรรมน้อยลง เช่นสมณะมาบวชน้อยลง ตายไปบ้างสึกไปบ้าง ที่ไม่มากขึ้นเพราะว่า ตัวผู้ที่ไปเป็นนักบวชมาแสดงตัวไม่เหมือนมีธรรมฤทธิ์แบบอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ไม่แสดงอาเทสนาปาฏิหาริย์ให้คนประทับใจอยากมาบวชบ้างแต่ก็มีที่มีผลอยู่ คนทั่วไปเขามองว่าสมณะเจริญคืออะไร เขาเข้าใจแค่โลกีย์ว่าเจริญคือมีคนนับถือมากขึ้น และส่วนมากคนจะมานับถือมากก็ต้องนิยมอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช แต่สมณะเราไม่มีอย่างนั้นเลย แต่สมณะเรามีธรรมฤทธิ์แต่เขาไม่นิยม จึงมาบวชน้อยและช้า คนที่จะเข้ามาก็เป็นฆราวาส ก็ไม่่ค่อยเป็นนักบวชเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าศีลมันเยอะ สู้ปฏิบัติแบบฆราวาสดีกว่าอิสระกว่า อาตมาเข้าใจ ค่าเฉลี่ยแล้วอาตมาว่าอโศกเราเจริญอยู่ มวลก็เจริญ แต่ไม่มีอัตตราเร็วเท่าไหร่ แต่พูดธรรมะนี่คนรับได้มากกว่าเก่า ไม่ต้องห่วง อาตมาว่าธรรมะของเรามันติดลมแล้ว เป็นว่าวติดลมบนแล้วพากเพียรไปเถอะ ขอให้ติดลมบนจนลอยเป็นนิจจัง ธุวัง สัสตัง ไปให้เรื่อยๆเถอะ

 

_เรื่องไอของอาตมานี่ หมอพจน์พาไปรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่นาน เขาก็สรุปผลว่า ไม่รู้เหตุ รักษาไม่ได้ สรุปว่าเป็น Aging ตามวัย เสร็จแล้ว พวกเราก็พาไปรักษาที่อื่นๆอีกก็หาเหตุไม่ได้ จะโทษอะไรต่างๆนานา แต่อาตมารู้อย่างหนึ่งของอาตมาว่า...ไม่ใช่ว่าไม่เอาภาระ ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม ก็ช่วยดูแลเท่าที่เป็นไปได้...โรคของอาตมาเป็นโรควิบาก เหมือนพพจ.ท่านก็มีวิบากของท่าน ไม่มีใครรักษาท่านได้หรอก ท่านจะตายของท่าน หรือถึงวาระเวลาก็หายได้ มีเหตุปัจจัยครบพร้อม เขาหายามาหลายขนาน แต่อันที่ถูกก็คืออันสุดท้าย ก็ขอบคุณที่ส่งมากันน่ะยา แต่ขอตอบความจริงว่า ฉันบ้างไม่ฉันบ้างแต่ฉันบ้างนี่น้อยนะ เพราะอาตมารู้อยู่ ที่ส่งมานี่ส่วนใหญ่ซ้ำกับที่นี่มีแล้ว ก็ขวนขวายช่วยกันไปตามควร อย่าประมาท ก็ตอบได้แค่นี้นะ มันก็เป็นไปตามสัจธรรม อายุมากขึ้นก็เป็นไปตามธรรมชาติของความเสื่อม อาตมาจะพยายามสร้างอภินิหารว่าจะหนุ่มขึ้นได้ไหม? ซึ่งไม่ง่ายเลยไม่รู้จะทำได้ไหม? I will try?


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:47:57 )

571012

รายละเอียด

571012_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พ่อครู ส.ฟ้าไท เรื่อง ตำหนิสิ่งผิด ส่งเสริมสิ่งถูก

.ฟ้าไทว่า....สังคมปัจจุบันก็มีปัญหามาก ผู้ปกครองประเทศก็น่าหนักใจน่าปวดหัว ที่ลำบากมากเพราะว่า ความสามารถเรา คนที่ทำงานร่วมกับเรา จะมีความสามารถแค่ไหน? มีปัญหาให้แก้มากมายไม่จบสิ้น กราบนิมนต์พ่อครูสาธยายหาทางออกครับ

 

พ่อครูว่า...เราก็พูดกันแล้วพูดกันอีก เรามีหน้าที่พูด การพูดกันก็เป็นสิ่งที่ดี คนได้ฟังก็สดุดใจ ได้คิด เห็นสิ่งดีงาม หรือว่าเห็นส่ิงไม่ดีไม่งามที่ตนมมีอยู่ แล้วก็แก้ไข คนเราก็ให้สติกัน สกิดกันเตือนกันให้เห็น กระตุกต่อสำนึก สำนวนสมัยใหม่ อาตมาก็เห็นว่ามันไม่มีงานที่ทำได้ดีกว่านี้อีกแล้ว เพราะงานที่พูดไปนี่แหละเป็นงานที่ดีที่สุดแล้ว เรามีเจตนาปรารถนาดี แม้เราจะว่าจะด่า บางที่ก็ใช้คำแรง กระทบคน ที่เราเห็นว่าเป็นภัยพิษต่อสังคม เราก็ต้องว่า ต้องเน้น การตำหนิคนนั้นเราก็ไม่ได้รับความนิยมชมชอบหรอก เขาก็โกรธเอา เหมือนสร้างศัตรู เราก็ไม่ใช่อยากทำ แต่เลี่ยงไม่ได้ ใครจะมาเป็นศัตรูเราก็ไม่รู้จะทำไง เราก็รับเอา หลบเอาตามสามารถ

 

ตั้งแต่รู้ว่าตนเองต้องมาทำงานนี้ ได้สำนึกที่หลงโลกอยู่ 36 ปี ทั้งที่ทำงานสุจริต ไม่น้อยหน้าใครนะอาตมามีเพื่อนมาก การเกื้อกูลกัน เป็นความประเสริฐของมนุษย์ การเบียดเบียนข่มเบ่งทำร้ายกันเป็นความไม่ดีเป็นความโง่ รู้กันอยู่ แต่ทำไมทำ คนเราสู้กิเลสไม่ได้ ถามก็รู้ว่าไม่ดีแต่ก็ทำ เพราะสู้แรงกิเลสไม่ได้ นี่แหละตัวสำคัญ คนเราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อกำหราบกิเลสปราบกิเลสในตัวเราให้ได้ วิธีปราบกิเลส ศาสดาหลายศาสนาก็หาวิธี ด้วยวิธีกดข่ม ไม่รู้ตัวกิเลสชัด เพราะกิเลสเป็นนามธรรม เขาอ่านไม่ชัด ก็ทำรวมๆกดข่มไป หลากวิธี หลากอาจารย์ เป็นสำนัก ลัทธิ พระพุทธเจ้าก็หาทางเหมือนกัน และพระพุทธเจ้าก็พบสูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จนจับจิต เจตสิกได้ว่าเป็นนามธรรม เป็นอรูป ไม่มีรูปร่าง มันมีอาการเคลื่อนไหว เราก็จับอ่านและทำเครื่องหมายว่าอาการอย่างนี้กิเลส โลภ โกรธ หลง อ่านอาการมันออกชัดๆเลย เข้าใจชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน ว่าจิตเรามีพลังงานดี ชั่ว กิเลสมีคุณประโยชน์มีอยู่จริง เราไม่ได้ฆ่ามั่วส่งไปอย่างนั้น เหมือนพวกฆ่าวิสามัญฆาตกรรม

 

เราจะต้องให้ชัดเจน เลือกเฟ้นตัวโจรให้ชัด อย่าไปเอาที่ไม่ใช่โจรมาจัดการ ทำให้เขาเสียสภาพไปด้วยอันนี้เป็นความรอบคอบวิเศษของพระพุทธเจ้า ต้องอ่านอาการจิต ท่านสอนไว้หมด รู้อาการของสิ่งที่ถูกรู้ นามธรรมของเราที่ถูกรู้เรียกว่า รูป อ่านด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ท่านใช้คำสอนให้เรารู้อาการของมัน ผู้ทำได้ก็ถ่ายทอดวิธีกันมา ไม่ใช่รู้เอง ไม่ได้ดูถูกคนนะ แต่พระพุทธเจ้าว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งเกินคนรู้เองได้ ต้องฟังต้องตกทอดวิธีการมาก มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส

 

อาการ เมื่อมาเป็นภาษาไทยเราก็คือว่าเป็นนามธรรม เราฝึกอ่านว่านี่อาการเศร้า ดีใจ สุข ทุกข์ โกรธ ราคะ โทสะ โมหะ ก็ต้องฝึกอ่านอาการเหล่านี้ แล้วฝึกรู้ให้จริงว่ามันเป็นอย่างไร นี่คือการเรียนรู้ธรรมะพจพ. ผู้สามารถเรียนรู้ได้ มีวิธีการชำระหรือกำจัด อกุศลพวกนี้ให้มันดับ พระพุทธเจ้าก็ละเอียดมากเลย วิธีการส่วนใหญ่เขาก็ทำสมถะ กดข่ม ลืมๆทิ้ิงไป ชำนาญ วิธีกดข่มทุกคนก็ทำเป็น ไม่มีใครปล่อยให้กิเลสออกมาเพ่นพ่านหรอก เขาไม่กล้าแสดงหรอกมันอาย ไม่ได้เรียนธรรมะก็ทำเป็นอยู่แล้ว

 

แต่วิธีวิปัสสนานี่สิ แต่ละสำนักเขาก็อธิบายไปคนละอย่าง วิ คือยิ่ง ปัสสะ คือเห็น วิปัสสนา คือเห็นๆกันได้อย่างแจ้งๆ ยิ่งๆเลย แล้วก็เมื่อเห็นแล้วก็ทำทั้งที่เห็น จนมันลดได้อย่างเห็นๆ อย่างกดข่มเราก็รู้ๆเห็นว่าสะกดมัน หรือวิธีวิปัสสนาก็คือให้มันแพ้ตามจริง ให้มันสลายหายไป ถูกกำจัดถูกฆ่าตายไปเลยด้วยปัญญา ไม่ใช่ไปกดข่ม เห็นด้วยปัญญาที่เป็นความจริง ถูกต้องชนะอย่าง Absolute ultimate เลย สุดยอด มันอย่างนั้นเลย พลังของปัญญาจึงมีฤทธิ์แรง

 

ไปสลายพลัง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นไฟ แต่ไฟปัญญาสามารถเอาชนะไฟราคะ โทสะ โมหะได้ แล้วไฟปัญญา ภาษาบาลีมีเฉพาะเลยเรียกว่า ฌาน คืออุณหธาตุ ที่มีพลังเหนือชั้นกว่า ไฟราคะโทสะโมหะ

 

เมื่อมีสติสัมปชัญญะ มีสัมปชานะ ต่อเนื่องรู้เข้าไปอีก แล้วปฏิบัติสัมปาเทติ เข้าทำงานทำการเลย เป็นสัมปัชชติ เข้าไปจัดการเสร็จ ก็เป็น สัมปาเปติ จัดการสังเคราะห์สังขาร สัมปฏิกังขา แล้วทำจนได้ผลลดละ ก็ทำไปเรื่อยๆจนมันแรงเป็นสัมปัชชลติ เป็นกองไฟใหญ่โหมไหม้เป็นแสงสว่างเรืองรอง แต่ก่อนเรามีแต่ความหมองหม่นถูกกิเลสครอบงำ เราก็เปลี่ยนเป็นจิตเป็นใสสว่าง เราก็บรรลุแล้ว สัมปันนะ แล้วทำให้รอบหมดเลย สัมปฏิเวธ

สัมปชัญญะ     =  ความรู้ต่อจากการมีสติรู้สึกตัว

สัมปชานะ       =  ความรู้สึกตัวในการปฏิบัติอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ 

สัมปัชชลติ      =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล

สัมปฏิเวธ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

 

เป็นระดับปฏินิสัคคะ คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่มีชั้นพัฒนาขึ้นๆ ทั่วไปท่านเข้าใจคำว่าบุญยังไม่ชัด ไม่แน่นอน ท่านก็เอาไปแปลบุญในอภิสังขาร การทำบุญคือชำระบาป ชำระกิเลส แต่ท่านแปลว่า อปุญญาภิสังขาร เป็นสังขารที่เป็นบาป เพราะท่านไม่มีความเข้าใจ ฐานปฏินิสสัคคะที่สูงขึ้นๆ ท่านก็แปลวนในระนาบเดียว ท่านทำอย่างเก่าจนเป็นสถาบันไปแล้ว ถ้าไม่มีส่ิงที่ถูกมากพอมีฤทธิ์พอก็แก้ไขสังคมไม่ได้

 

อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีก็เหนื่อยมาก แม้เขาโต้เถียงเหตุผลไม่ได้ หลักฐานในพระไตรฯก็มี นอกจากมีเหตุผลแล้วก็ให้คนมาพิสูจน์ยืนยันอยู่ ขนาดนั้นเขาก็ไม่ยอมแก้ไข แต่ดีขึ้นที่เขาไม่กล้าท้วงไม่กล้าตอแย แต่ไม่เปลี่ยนแปลง อาตมาว่าขืนยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ผู้มีหน้าที่ที่จะนำพาเปลี่ยนแปลงก็เป็นบาปของท่านแหละ ท่านเป็นคนมีฤทธิ์อำนาจเปลี่ยนแปลงแต่ท่านไม่ทำ ท่านไม่ช่วยให้คนเข้าใจ แม้ท่านจำนนท่านเข้าใจแล้ว เพราะอาตมาได้ยืนยันด้วยหลักฐานเหตุผลในไตรปิฎก ทั้งพิสูจน์ด้วยตนเองพาคนมาพิสูจน์ ทำจนเป็นสังคมอโศก มาเป็นคนลดละไม่สะสมไม่กอบโกย อปจยะ สละออกไม่ได้ยึดถือสะสมก็มีมา แต่แม้มีน้อยแล้วเขายินดีพอใจ ทำงานสร้างสรรช่วยสังคมได้มากกว่าคนรวยอีกนะ คนจนนี่แหละทำงานให้สังคมได้ดีกว่าคนรวย คนรวยออกมาน้อยกว่า เพราะภาระมากกว่า แต่คนจนภาระน้อยกว่า เวลามากกว่า

 

 

อาตมาว่าเขารู้แต่กิเลสมี มีความยึดติด อาตมาก็มีหน้าที่กระแทกระทุ้งต่อไป ไม่มีหยุด นอกจากไม่หยุดแล้วตั้งใจจะอยู่ให้นานด้วย จะรักษาแรงไม่ให้ลดหย่อน จะกระแทกแรงกว่าเก่าอีก เอาให้ตายๆ น่ากลัวนะ แต่ขนาดนั้นยังไม่กลัวเลย ด้านทนจริงๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ก็พากเพียรไปไม่ท้อถอย

 

อาตมาไม่เคยท้อ ไม่ถอยแม้แต่ 1 ก้าว และเปิดเผย ไม่พาถอยแม้แต่หนึ่งก้าว ไม่พาลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา แต่ก็รู้ระยะ มาถึงวันนี้แล้วพูดได้ ว่า ยังโชคดีที่คนไทยยังมีปัญญา พระพุทธเจ้าก็สอนภิกษุผู้บรรลุว่าให้จาริกไปแต่ละแห่ง ไปคนละแห่ง ไม่ต้องไปด้วยกัน ไปคนเดียวทางเดียวเลย ลุย จนแสดงธรรมให้งามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ให้งดงามบริสุทธิ์ สัตว์ผู้มีธุลีในดวงตาเหลือน้อยมีอยู่ เขาได้ฟังจักเกิดบรรลุ แต่ผู้มีภูเขาในดวงตานี่แสดงเท่าไหรก็ไม่กระดิก แต่ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย มีกิเลสไม่มาก ถ้าได้ฟังธรรมก็จะเจริญไม่ได้ฟังธรรมก็จะเสื่อม  เพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

อาตมาก็ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตั้งใจทำ อย่างจริงใจตามภูมิ ก็ได้ผลไปตามลำดับ ทำตามพระพุทธเจ้าเราเองเราได้สิ่งที่ได้จากพระพุทธเจ้า แม้สมัยพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว และเมื่อกำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ โลหิตร้อนพุ่งออกจากปากของภิกษุ 60 รูป (พวกต้น)ภิกษุ 60 รูป (พวกกลาง) ลาสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์ ด้วยกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทำได้ยาก ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทำได้แสนยาก อีก 60 รูป จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ฯ

 

แม้อาตมาก็ต้องมีคนแย้ง คนสวนกลับ บ้างเป็นธรรมดา และเมืองไทยนี่ไม่ค่อยส่งเสริมคนดี แต่ไปส่งเสริมคนชั่ว ไปส่งเสริมอบายมุข ใครเด่นในอบายมุขก็เอามาเป็นpresenter แทนที่จะเอาคนดีมีธรรมะมาส่งเสริม น่าเศร้าเลย จะว่าไปแล้ว อาตมาไม่ได้ลงโทษคนไทย คนไทยนี่ อาตมาว่าจิตริสยาเยอะ ไม่อยากให้ใครได้ดี

 

อาตมาว่าตอนนี้มันน่าจะส่งเสริม ดูพล.อ.ประยุทธ์ตั้งแต่ปฏิวัติมา ก็ว่าทำดีนะ อย่างมีคอลัมน์ของคุณสุธิน วรรณบวร เขียนไว้เมื่อวันที่ 9 ที่ผ่านมาว่า...09 ต.ค. 2557

 

วิภาคสื่อเทศ วิเทศสื่อไทย : พลเอกประยุทธ์‘ไม่ใช่นักปฏิวัติธรรมดา’

 

“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ผู้เผด็จการปฏิวัติธรรมดา เหมือนผู้เผด็จการปฏิวัติในประเทศไทยที่ผ่านมาหลายครั้ง การเหมารวมว่า พลเอกประยุทธ์ คือ เผด็จการทหารเหมือนคนก่อนๆ ตามความเข้าใจ ที่เคยชินของตะวันตก และการใช้วิธีทูตปากโป้งโวยวาย (Megaphone Diplomacy) กดดันลงโทษประเทศไทย ถือเป็นการกระทำที่ผิดพลาดและตัดสินใจเร็วเกินไป”

 

นั่นเป็นการเกริ่นนำ บทความที่ ดอกเตอร์ จอห์น แบล็กแลนด์ นักวิชาการสถาบันป้องกันและยุทธศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เขียนสั่งสอนรัฐบาลออสเตรเลีย และประเทศมหาอำนาจตะวันตก

 

บทความชื่อ “ประยุทธ์ ไม่ใช่นักปฏิวัติธรรมดา” ได้รับการเผยแพร่กว้างขวางในออสเตรเลีย รวมทั้งหนังสือพิมพ์นิว แมนดาลา ซึ่งเคยเขียนบทความโจมตีคณะรักษาความสงบแห่งชาติหลายครั้ง ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกในแถบเอเชียที่มีท่าทีก้าวร้าว โดยประกาศห้ามไม่ให้สมาชิกทุกคนของ คสช.เดินทางเข้าประเทศ

 

การที่นักวิชาการทางด้านป้องกันประเทศและยุทธศาสตร์ศึกษา เขียนบทความสั่งสอนรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า ท่าทีของออสเตรเลียต่อรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ เริ่มโอนอ่อนผ่อนปรนลงบ้างแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุดประชาชนชาวออสเตรเลียเริ่มหูตาสว่างขึ้นบ้างแล้ว

 

ดร.จอห์น เริ่มต้นบทความว่า ใช่ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปฏิวัติรัฐประหารมากที่สุดในโลก เพราะทำการปฏิวัติหรือเตรียมการปฏิวัติกันมาแล้วถึง 18 ครั้งตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 แต่การปฏิวัติทุกครั้งล้วนมีเหตุและเงื่อนไขให้ปฏิวัติ และการปฏิวัติรัฐประหารในอดีตคือ การล้มล้าง หรือไม่ก็เลือดตกยางออก แต่การยึดอำนาจของพลเอกประยุทธ์ ไม่มีเลือดตกแม้แต่หยดเดียว

ดร.จอห์น ให้เหตุผลว่า การยึดอำนาจของพลเอกประยุทธ์จำเป็นต้องทำและเหตุที่ต้องทำการยึดอำนาจแตกต่างไปจากคณะปฏิวัติชุดก่อนๆ ที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

 

ประวัติการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทยที่ผ่านมา ทหารหรือแม้แต่คณะราษฎร์ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ยังปฏิบัติหน้าที่โดยสมบูรณ์ แต่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจบริหารประเทศมาจากรัฐบาลที่ล้มเหลว รัฐบาลที่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมา ถูกศาลตัดสินให้พ้นตำแหน่งไปแล้ว ส่วนเรื่องรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ได้ตั้งคนรักษาการแทนตำแหน่งนายกฯนั้น เป็นคำกล่าวอ้างนอกเหนือรัฐธรรมนูญ

 

ดร.จอห์นอธิบายว่า ความจริงทหารเฝ้ามองและเอาใจช่วยทางการเมืองจนนาทีสุดท้าย เห็นได้จากการที่สมาชิก
วุฒิสภาที่ยังเหลืออยู่พยายามสรรหานายกฯมาแทน

 

.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงมากขึ้น ผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลถูกฆ่าตายไปกว่า 30 คน พลเอกประยุทธ์จึงจัดให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองมาเจรจาหาข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่เมื่อความขัดแย้งไม่อาจปรองดองกันได้ และดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง พลเอกประยุทธ์ ถึงตัดสินใจยึดอำนาจ เพื่อหยุดยั้งการนองเลือด

 

พลเอกประยุทธ์ต่างกับผู้ปฏิวัติคนก่อนๆ ที่ไม่เคยแถลงชัดเจนว่า จะคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านหีบเลือกตั้งเมื่อไหร่...ใช่ ผู้ปฏิวัติยึดอำนาจในปี 2549 (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) เคยประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 1 ปีหลังยึดอำนาจ แต่ครั้งนั้นผู้ปฏิวัติไม่ได้วางรากฐานเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง หลังเลือกตั้งผู้สูญเสียอำนาจจึงชนะเลือกตั้งกลับมาใหม่และวิกฤติการเมืองเลวร้ายไปกว่าก่อนปฏิวัติ

แต่พลเอกประยุทธ์ได้วางแนวทางแก้ไขปัญหาขัดแย้งทางการเมืองไว้อย่างรอบคอบ ตามแผนบันไดสามขั้น ชั้นแรก
คือ จัดตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แก้ปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน การประกาศใช้กฎอัยการศึกสามารถกวาดล้างกลุ่มคนที่ก่อเหตุร้ายในประเทศได้มาก ทำให้ประเทศที่วุ่นวายมากว่าครึ่งปี กลับเข้าสู่ภาวะสงบเป็นปกติได้

 

พลเอกประยุทธ์มุ่งมั่นในการปฏิรูปประเทศหลายด้านภารกิจนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่สามเดือนแรกของการคุมอำนาจบริหารประเทศ คือ จัดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และตามมาด้วยจัดให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สปช.คือกุญแจสำคัญของการปฏิรูป เพราะสปช.จะสรรหาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ได้สัญญาไว้ว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งเสรีตามระบอบประชาธิปไตย หลังมีรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประเทศคาดว่าจะประกาศใช้ประมาณเดือนตุลาคม 2558

 

นักวิจารณ์ตะวันตกหลายคน แสดงอาการวิตกว่า รัฐธรรมนูญที่ทหารเขียนขึ้นมาใหม่ต้องมีเป้าหมายขจัดตระกูลชินวัตรให้พ้นจากถนนการเมือง เช่น เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้มีสองสภา ในสภาผู้แทนฯ ให้มีการเลือกทั้งหมด ส่วนวุฒิสภาให้สัดส่วนมาจากการแต่งตั้งมากกว่าจากการเลือกตั้ง

 

ในประเด็นนี้ ทำไมนักวิจารณ์เหล่านั้นไม่มองในแง่ดีของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง อย่างเช่นในประเทศอังกฤษและแคนาดาบ้าง ทั้งสองประเทศได้ชื่อว่า เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ เพราะวุฒิสมาชิกทั้งหมดมาจากการแต่งตั้ง

 

ส่วนประเด็นที่วิจารณ์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ทหารสั่งให้เขียนเพื่อขจัดระบอบทักษิณนั้น การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองประเทศไทยโดยขาดความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวัฒนธรรม ความเชื่อและพลังผลักดันทางการเมืองของคนไทย ทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้ง่าย ก่อนอื่นตะวันตกต้องรู้ว่า คนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นตะวันตก และสำคัญที่สุดคนไทยส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท ที่ยังมีความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความเชื่อเคารพศรัทธาต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ และความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด

 

มองอย่างผิวเผิน คนไทยหัวนอกเห่อฝรั่ง เห่อวัฒนธรรมประเพณีตะวันตก แต่ในความเชื่อลึกๆ คนไทยยังเชื่อบาปบุญคุณโทษ ยังเชื่อกรรมที่กระทำจะตามไปสนองทั้งชาตินี้ชาติหน้า ทักษิณ ชินวัตร มีพฤติกรรมที่ทำให้
คนไทย คลางแคลงใจเรื่องสถาบันสูงสุด นอกจากนั้นทักษิณ เป็นผู้รับผิดชอบต่อการตายของประชาชนหลายพันคน จากการวิสามัญฆาตกรรมตามนโยบายปราบปรามยาเสพติด

 

พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้เคารพเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างสูง เข้ามารับภารกิจอันหนักหน่วงในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาวิกฤติชาติได้เหมือนในอดีต ภารกิจภายหน้าของพลเอกประยุทธ์ จึงผิดพลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว

 

“ถ้าเรา (ตะวันตก) พิจารณาถึงวิธีที่พลเอกประยุทธ์ และรัฐบาลของเขากำลังปฏิรูปประเทศ สร้างแนวทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่ต้องต่อสู้กับคลื่นใต้น้ำของอำนาจเก่า ถ้ามีประเทศออสเตรเลีย สอดมือเข้าขัดขวางอีกแรง ภาระปฏิรูปประเทศก็ยุ่งยากมากขึ้น

 

ประเทศที่ความคิดลึกซึ้งซับซ้อนอย่างประเทศไทย การโวยวายทางการทูต อาจเกิดผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม แทนที่จะประณาม หรือลงโทษ เราควรเคารพในการตัดสินใจของคนไทย และส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิรูปประเทศตามคำสัญญา เพราะว่าความเข้าใจในวัฒนธรรม และพลังความคิดทางการเมืองที่เราไม่สามารถมองอย่างมีประสิทธิภาพผ่านสายตาตะวันตกเพียงเท่านั้น”

 

บทความยาวเหยียดของดอกเตอร์ จอห์น แบล็กแลนด์ แสดงให้เห็นถึงท่าทีเปลี่ยนแปลงที่โลกตะวันตกมีต่อคสช. เหมือนกับเราได้เห็นภาพนายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา เดินเข้ามาจับมือพลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร หลังกล่าวสุนทรพจน์ในยูเอ็นว่า “ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว” อเมริกาเคยแสดงอาการรังเกียจ คสช. แต่เมื่อ คสช.ยึดมั่นในหลักการปฏิรูป ประเทศตะวันตกต้องเปลี่ยนท่าทีไปเอง

 

นาทีนี้พลเอกประยุทธ์ กำลังเป็นหนุ่มเนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากคบค้าด้วย รัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้าพบพร้อมกับบัตรเชิญให้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ วันนี้พลเอกประยุทธ์ นำคณะออกเดินทางเยือนพม่า ถือเป็นประเทศแรกของการเยือนแนะนำตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีต่อมิตรประเทศในกลุ่มอาเซียน เยือนพม่าในคราวนี้ถึงแม้ว่า จะทำตามประเพณี แต่มีความสำคัญมากในการแสดงท่าทีต่อสังคมโลกได้เห็น เพราะปีนี้พม่าเป็นประธานหมุนเวียนของอาเซียน การเยือนพม่า แสดงให้เห็นว่าอาเซียนยังคงเหนียวแน่นในการส่งเสริมเศรษฐกิจและความมั่นคงร่วมกัน และอาเซียนยังยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน

 

กลับจากพม่าวันที่ 16-17 พลเอกประยุทธ์ จะนำคณะออกเดินทางไปร่วมประชุมเอเชีย-ยุโรป ในกรุงมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งมีผู้นำจาก 51 ประเทศเข้าร่วมประชุม นับเป็นโอกาสที่พลเอกประยุทธ์ ได้ชี้แจงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยให้ต่างประเทศเข้าใจ

 

เพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “ไม่ใช่นักปฏิวัติธรรมดา”

 

พ่อครูว่า...อ่านบทความนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์การมองโลกของ ดร.จอห์น นั้นลึกซึ้งสามารถเก็บรายละเอียดและมองได้ลึกซึ้งซับซ้อน อาตมานำบทความนี้มายืนยัน ให้คนไทยเลิกระแวง หยุดที่จะมารวน มาวุ่นวาย ทำให้น้ำขุ่นน้ำเสียลงบ้าง แทนที่จะมากวนก็ส่งเสริมดีกว่า ถ้าไม่ส่งเสริมก็อยู่เฉยๆดีกว่า ไทยเรามันหมักหมมเลวสุดที่แล้ว อาตมายังไม่เห็นว่าเมืองไทยมีริสยากันขนาดนี้ สุมหัวกันมาขนาดนี้ จบดร.กันทั้งนั้น แล้วทำลายชาติ เมืองไทยไปช้าเพราะอย่างนี้ พัฒนายาก

 

ด้านสังคม มีคนเฟสบุุ๊คมาว่า...คำถามจากเฟสบุ๊ค

1.กำลังดู"เดอะเฟส,ช่อง3".. นึกถึง"พ่อครู"ว่า.. "พ่อครู"เคยอยู่"วงการบันเทิง"มาก่อน.. คิดอยู่ว่า"พ่อครู"ต้องระวังตัวอยู่มาก.. แต่ใจก็อยากฟังพ่อครูวิจารณ์รายการทำนองนี้.. ส่วนตัวไม่ได้สนใจผู้เข้าแข่งขันเท่าใดนัก.. แต่สนใจ"แนวคิด,ท่าที,การแสดงออก?"ของ"พิธีกรทั้ง3"มากกว่า..

 

จริงๆ"แนวคิดแบบพุทธ?"ก็คือที่บอกว่า"คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า..คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน..".. แต่"บางรายการ"มาเน้น"ให้ความสำคัญ,ให้ค่า"กับเรื่อง"หน้าตา,รูปลักษณ์?"เช่นนี้จะเป็นการทำให้"สังคม?"โดยเฉพาะ"สังคมพุทธ?"(โดยเฉพาะ"วัยรุ่น?,เยาวชน?")ยิ่งจะพากัน"หลงทาง?,หลงชีวิต?,หลงรูปธรรม?"(ของ"สังขารรูป?")กันไปใหญ่กันหรือไม่..?..(ถ้าเป็นไปได้อยากให้พ่อครูได้มีโอกาสพูดถึงรายการ"ทำนองเหล่านี้"บ้าง..?..)

 

 

พ่อครูว่า...ต้องขออนุญาตก่อน อาตมามาจากธุรกิจบันเทิง เคยหลงงมงาย จะเอาเด่นดังหรูหรา เอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสให้ได้มากที่สุด อาตมาเป็นตัวจักรในนั้น อาตมาก็ไม่ระวังอยู่แต่ไม่มาก อาตมาก็เสียบอยู่ ลึกๆบ้างแรงบ้าง

 

สังคมที่ล้มเหลว สังคมที่มองดัชนีชี้ค่าง่ายๆ ว่า ถ้าราคาของพวก อบายมุขนี่เป็นราคาสูงขึ้น ค่าตัวของนักแสดงมอมเมา มอมเมาด้วยเรื่องรส ของการละเล่นก็ตาม ของการบันเทิงก็ตาม  ราคาค่าตัวสูงขึ้น นั่นล่ะ คือความเสื่อมของสังคม  จง รู้ไว้เลย

 

ถ้าราคาค่าตัวของนักแสดงบันเทิงและการละเล่น ที่เป็นอบายมุข พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลยบันเทิงเริงรมย์และการละเล่นฟ้อนรำ แต้นแร้งเต้นกามันเป็นเรื่องของอบายมุข ถ้าราคามันสูงขึ้นๆ โดยนอกจากราคาแล้ว ความนิยมเห่อ  ความเห่อความนิยมของประชาชนก็เพ่ิมขึ้นด้วย  นั่นแสดงถึงสังคมเสื่อมไม่เบา อย่าไปเข้าใจว่า ราคาของนักแสดง ไม่ว่าจะแสดงกีฬาหรือแสดงการบันเทิง  ราคาขึ้นนี่คือการเจริญของประเทศ  ฟังให้ชัดๆ วันนี้ของเสียบลึกๆหน่อย อาจจะแรงมาก

 

มันเป็นความบรรลัยจักร ความล้มเหลว ความโง่ของสังคมคนในประเทศ มันไม่ใช่ความเจริญ มันเป็นอบายมุข แล้วไปส่งเสริมอบายมุข ส่งเสริมให้นิยมมากแล้วก็ราคาขึ้น ยกย่อง เอามาเป็นpresenter เอามาใช้ให้เป็นตัวอย่างเยาวชนอะไรต่ออะไรอีก โอโห มันส่อแสดงถึงความ ง่าว  นี่ภาษาเหนือเขา ขอยืมใช้หน่อย มันแสดงถึงอย่างนั้นจริงๆ อาตมาขออภัยต้องพูดความจริง นานๆก็เสียบหนักๆ เสียบแรงๆ เสียบเป๋งๆ เสียที

 

 

ราคาค่าตัวสูงขึ้น นั่นแหละคือความเสื่อมของสังคม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า บันเทิงการละเล่ นเป็นอบายมุข ถ้าราคามันสูงขึ้น และความเห่อความนิยมของปชช.สูงขึ้น แสดงว่า สังคมเสื่อมไม่เบาอย่าไปเข้าใจว่า ราคาของนักแสดง ไม่ว่าจะกีฬาการแสดงราคาสูงขึ้นเป็นความเจริญ นั้นไม่ใช่ แต่เป็นความบรรลัยจักรเป็นความโง่ของประเทศ มันเป็นอบายมุข แล้วไปส่งเสริมยกย่องเอาไปเป็น ตัวอย่างให้เยาวชนอีก มันส่อแสดงความง่าว .....อย่างนั้นจริงๆ

 

ตอนนี้มันเสื่อมถึงขั้น ราคาของอบายมุขสูงลิ่ว ความเห่อนิยมสูงมาก แต่ราคาของผู้ทำโลกุตรธรรมไม่กระเตื้องเลย ขออภัยไม่ได้ริสยาน้อยใจ แต่พูดสัจธรรม ว่าตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเหลืองดำรงมันเหลือง ไม่ใช่ ต้องเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย อย่ามัวหลับมัวหลง เราก็คงละลาย จำไว้เถิดสหาย ตื่นเถิดชาวไทย นี่คือเพลงเตือนใจของหลวงวิจิตร วาทการณ์ เป็นคนเอาภาระเอาใจใส่ มุ่งหมายพัฒนาประเทศจริงๆ

 

ประเทศไทยน่าจะถึงจุดแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เลิกหลงงมงายส่งเสริม กล้าออกตัวเปิดเผยกล้าทำส่ิงถูกต้อง คนไทยไม่โง่ทีเดียว แต่กิเลสมี เพราะฉะนั้นแก้เถอะ เปลี่ยนเถอะ ผู้ถืออัตตาถือว่าฉันรู้ดี แล้วจะเตือนคุณติงคุณ หลายคนมีอิทธิพลนะ ถ้าคนเหล่านี้มาส่งเสริม แม้รู้ว่าบกพร่องแต่ก็เอาไว้ก่อน มาส่งเสริมเถิด เพราะผู้ค้านก็ยังไม่รามือเลย มาส่งเสริมก่อน แล้วต่อไปถ้าไม่มีใครกล้าถ่วงติง อาตมาเองคนหนึ่งจะช่วยถ่วง ช่วยติง อันนี้คือมหาปเทสที่ต้องประมาณว่าจะส่งเสริมด้านไหน?

 

อาตมาเห็นใจพล.อ.ประยุทธ์ แล้วชมเชยนะ เวลาพูดแต่ละประโยค สำนวน ...เปิดเผยชัด เปรี้ยงเลย อาตมาส่งเสริมพล.อ.ประยุทธ์ แต่ต้านทานอบายมุข หรือยังต้านทานกระแสหลักของศาสนาที่หลงเลอะ ไม่โงหัวมาเปลี่ยนแปลงเลย ยังให้อาตมาส่งเสริมไม่ได้ เพราะท่าทีไม่เข้าท่าเลย ตอนนี้ทางด้านการเมืองพล.อ.ประยุทธ์นี้ถูกกาละเทศะ ถูกขนาดสัดส่วนแล้ว ตัดสินค่าเฉลี่ยแล้ว แต่ก็น่าจะดีกว่าโดยเฉพาะสื่อสารมวลชนบางเจ้า เห็นแก่ตัวจัดเลย มันน่าจะเปลี่ยนได้นะ เจ้าที่มีอิทธิพลถ้าเปลี่ยนจะช่วยสังคมได้มาก ได้รับการเชื่อถือเยอะ

 

ต่างประเทศก็ช่วยมองช่วยสะท้อนอย่างที่เห็นนี้แหละ

 

..{อ้อ!.. ถ้าเป็นไปได้อยากขอเสนอให้พ่อครูเปิด"เฟสบุ๊คเฉพาะของพ่อครู"บ้าง..

หนึ่งเพื่อเป็นการ"เช็คเรตติ้ง?"ตาม"วิธีการ"ของ"คนยุคนี้"ซึ่งสามารถใช้เป็น"ข้อมูล?"หรือเป็น"กระจก?"เพื่อ"ส่องบางสิงบางอย่าง"ได้..

 

สองเพื่อบางคนอาจจะ"ส่งคำถาม,ความคิด?"ที่"น่าสนใจ?"(บางประการ)ได้ด้วย..?..}...

 

2."พ่อครู"เห็นสังคมแบบ"รายการทีวี"(บางรายการ)แล้วรู้สึกเป็นเช่นไร..?.. ที่มีแต่การ"ประชันขันแข่ง?,ชิงดีชิงเด่น?,เร่าร้อน?,ปีนเหยียบผู้อื่นขึ้นไป?"เพื่อพยายามให้"ตัวเอง"ได้อยู่ใน"จุดสูงสุด?"ซึ่งมัน"จำเป็นมั้ย?"สำหรับ"ความเป็นสังคม?".. ซึ่ง"สวนทาง?"กับ"สังคม"แบบ"ชาวอโศก?"ซึ่ง"ถ้อยทีถ้อยอาศัย,เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่,ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน,เป็นเหมือนญาติ,เป็นภราดรภาพต่อกัน".. เช่นนี้..น่าจะเป็น"สังคมที่ดีกว่า"มั้ย..?.. แต่ทำไม"สังคมทางโลก?"เขาไม่ต้องการ..?.. เขาจึงมุ่งแต่การ"แข่งขัน,อวดประชัน,ชิงดีชิงเด่น"ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ..?.. ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ..

 

วินิจ บันเทิง

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้อัตลักษณ์วัฒนธรรมไทยจะสูญแล้วแย่แล้ว จะเอาไปหาอย่างอื่นมาอีกหรือ? ให้มันเหลือเชื้อไทยบ้างเถิด แค่นุ่งผ้าถุง พม่า ลาว ญวณ มีชุดของเขา แต่พี่ไทยไม่มีไม่เหลือแล้วยังเหลือบ้านนอก กับชาวอโศกนี่แหละ นุ่งผ้าถึงแบบไทยๆ หรือชุดไทยที่มีหลายอย่างก็ทำมาสิ ทางอีสานเรียกชุดไทยโก้ๆว่า ชุดเอาบุญ เอาไว้ออกงาน แต่เดี๋ยวนี้ชุดเขาแย่จริงๆ มันเกินไป ให้หยุดกันบ้าง ไม่ต้องไปปลุกเร้ากาม ปลุกเร้าความรุนแรงเพ่ิม เพราะจัดจ้านมากแล้ว

 

ทุกวันนี้รายการโทรทัศน์เป็นรายการมอมเมา ที่เป็นฟรีทีวี มีแต่แข่งขันเอาชนะคะคานพนันขันต่อ เพื่อแย่งกาม แย่งโลกธรรม เมื่อไหร่จะรู้สึกตัวจะบรรเทาเบาบางนะ ทุกวันนี้ปลุกเร้าจนจะระเบิดตายกันแล้ว ขออภัยที่พูดหนักนะ แต่อาตมารู้ว่าเขาไม่ค่อยดูกันหรอกช่องนี้ แต่คนดูช่องนี้คือคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย แต่คนมีภูเขาในดวงตาเขาไม่ดูหรอก ก็รีบปฏิบัติแล้วมาช่วยกัน เป็นผู้ทวนกระแสลดละกิเลส แต่ผู้ไปสุขทางบำเรอกาม อัตตา นั้นมากมายแล้ว

 

เห็นแก่ตนเองว่าควรเลิกละ ช่วยกัน ผู้รู้ศาสดาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ประกาศและพาทำอย่างนี้ เป็นเรื่องศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปป่าเขาถ้ำ ฆ่าแกงกัน หนีไปปลีกเดี่ยว อย่างนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องอยู่กับสังคม รู้จักการประมาณท้วงติงติเตียนสังคม ชมก็รู้แต่ไม่ต้องชมกันมากหรอก จะเหลิง ลดการชมมาระดมการติให้ได้ มาช่วยๆกัน คนไม่ชอบหรอกการติคน แต่ก็ต้องประมาณ ใช้ปิยะวาจา ติคนให้ดื่มคำตำหนิได้ คำว่าปิยะวาจาไม่ใช่คำประเล้าประโลมให้ชื่มชอบในโลกธรรม ไม่ใช่  แต่เป็นสัลเลขะ เป็นการขัดเกลา พูดส่ิงทวนกระแส ให้คนดื่มได้ ต้องมีฝีมือในการปรุงคำตำหนิให้คนดื่มได้ เป็นศิลปะ เป็นเปยยวัชชะ อาตมาก็ทำอยู่ พยายามให้ได้สัดส่วนดีที่สุด ก็ได้ผลบ้าง เบาไปแรงไปก็มี ก็พยายามพากเพียรให้เก่ง

 

อาตมาก็ทำตามที่คุณ วินิจ บันเทิง เฟสมา และรายการทีวี แม้ดาวเทียมก็มอมเมากันเละหมดเลย ขอฝากความไปถึง คสช. จัดการล้างบาง เปิดสถานีเพื่อมอมเมากันเยอะมาก จำกัดกรอบขอบเขตหน่อย ไม่อย่างนั้นประเทศไทยไปไม่รอด ถ้าไม่จัดการกันบ้าง มันไม่จำเป็นเลย ควรล้างออกด้วยซ้ำ

 

วันนี้เราได้ใช้เวลาวิพากษ์วิภาษณ์ กันพอสมควร ผู้ใดฟังธรรมด้วยดีก็ฟัง อะไรควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขช่วยกันก็เชิญ จะได้ช่วยกัน โลกีย์นั้นจัดจ้านมาก ลำพังทำแต่อาตมานี่ไปไม่รอดต้องขอให้ผู้มีอำนาจในสังคมมาช่วยกันทำ ให้ลดละอบายมุขอันเป็นทางนรกทางแห่งความเสื่อมนรกไม่ได้ลึกลับ แต่ลึกซึ้งมาช่วยกำจัดจิตวิญญาณผีนรกให้ได้

 

อาตมาเข้าใจนามธรรมเหล่านี้ พูดอิงไตรปิฎกด้วย ให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ไป ตอนนี้ยังไม่ถึงเป็นโดมิโน่ ตอนนี้ยังสูงยังแข็งไม่ลดราวาศอก อาตมาก็ไม่ท้อ ทำต่อจนกว่าจะล้มตัวต้นของโดมิโน่ได้ก็วิเศษเลย

 

.ฟ้าไทว่า...คนที่ถูกตำหนิเขาคงไม่ชอบแต่พ่อครูก็มีหน้าที่ล้างบาปให้หมดบางของประเทศไทยให้ได้ แต่ในสังคมต้องเข้าใจว่า เขารู้ว่าดี แต่ก็ยังทำอยู่ เพราะเราทนต่อความแรงของกิเลสเราไม่ได้ พอกิเลสขึ้นมาแล้ว สติ สัมปชัญญะ...ก็ไม่รู้เรื่องเลย มันหายไปหมดเลย เหลือแต่ความหน้ามืด แสดงออกมาเต็มที่ พอสำเร็จกิเลสแล้วก็มานึกได้ว่าขายขี้หน้าเลย แล้วก็ไม่เข็ด เพราะเราไม่ได้ลดละกิเลสจริงๆ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:48:41 )

571014

รายละเอียด

571014_พุทธชีวศิลป์(16) วนบ. เรื่อง อุปาทายรูป 24 คือนาม เป็นอย่างไ?

พ่อครูว่า...เราเปิด วนบ. มา 3 เดือนกับ 3 วัน ยังดีพวกเรายังหายไปไม่ถึงครึ่ง ดีที่พวกเราใส่ใจธรรมะ เป็นเรื่องยาก เช่นเดียวกับที่จะได้เกิดมากเป็นคนก็ยาก และที่จะเกิดพระพุทธเจ้าสักพระองค์ในแต่ละกาละก็ยาก และจะมีศาสนารุ่งเรืองสืบทอดมาก็ยาก คนเราตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนได้ยาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังบอกว่าท่านเผยแพร่ให้รุ่งเรืองก็ยาก แม้มีท่านอยู่ทั้งพระองค์ แล้วอาตมาเองแค่นี้ยากขนาดไหน? อาตมายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วย แล้วยุคนี้ด้วย ยุคที่พระพุทธเจ้ายังไม่กล้าเกิดเลย เพราะเกิดมาก็เสียของ เสียพระพุทธเจ้าเลย ไม่ได้ ก็ต้องให้บรรดาอย่างอาตมาโพธิสัตว์ทำไปสืบสานไป ก็ยังได้ขนาดนี้ถึงดี

 

ในรุ่นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้มีพระอรหันต์มาในวันมาฆบูชาแค่ 1250 รูป และมีมาฆบูชาแค่ครั้งเดียว แต่พระพุทธเจ้าองค์อื่น พระอรหันต์เป็นล้านรูป มาฆบูชาก็หลายครั้ง แต่อย่างอาตมานี่ เทศน์ทีไรมีคนฟังแค่ 25 คนก็ดีแล้ว ชุมชนเราเหลือซัก 125 คนก็ดีแล้ว อาตมาเข็นให้ถึงพันยังไม่ถึงเลย แต่เราเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแค่น เน้นจริงให้ย่ิงกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง เราเน้นคุณภาพ แต่เป็นของแท้ของจริงไม่แปรเปลี่ยน อาตมานำลักษณะชุมชนเข้มแข็ง 14 ประการมาเผยแพร่ให้เข้าใจ

1.เป็นสังคมที่เห็นได้ชัดว่าเป็นสังคมคนมีศีล มีคุณธรรม มีอาริยธรรม

 

เรื่องของศีล ก็ไม่ใช่แค่ว่าพระให้ศีลแล้วก็จบ ไม่ใช่ เวลาเขาสวดก็ใส่ทำนองด้วย ก็ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามไว้ด้วย แล้วเขาก็ได้พยัญชนะว่ามีศีล 5 นะเว้นขาดจากข้อต่างๆ ก็ยึดถือกันแค่ภาษา แล้วปฏิบัติบ้าง คุมกาย คุมวาจา เขาก็สอนกันแค่นั้น อาตมาเอากิมัตถยสูตรมาอธิบาย ท่านก็ตรัสไว้ชัดว่า ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังอรหัตตผลให้สมบูรณ์ไปตามลำดับ อรหันตตผลไม่ใช่แค่กายกับวาจา ทำแค่กายกับวาจาไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะจะบรรลุธรรมต้องบรรลุที่ใจ ศีลต้องขัดเกลาใจ เป็นคนมีศีล มีแต่กายกับวาจาก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ใช่การบรรลุศีล หรือมีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไม่เข้าใจว่าบรรลุคืออย่างไร กิเลสลดคืออย่างไร มันต้องอ่านใจเป็น มนสิการเป็น จึงเป็นธรรมะที่เป็นคุณธรรม เป็นผล แต่ก็เข้าใจศีลอยู่แค่นั้น แล้วก็ยังไม่ชัด

 

แล้วศีล สมาธิ ปัญญา ล่ะ สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ก็เลยหั่นไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าเป็นชิ้นๆ ชิ้นหนึ่งไปขั้วโลกเหนือ อีกชิ้นไปขั้วโลกใต้เลย ไม่ได้ส่งเสริมกันเลย กายกับวาจา ก็ลืมตา ส่วนใจ ก็ไปหลับตา เอาสิ มันก็เลยไปกันใหญ่ แล้วเมื่อไหร่มันจะไปด้วยกันล่ะ ส่วนปัญญาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว จะบอกว่าวิปัสสนาญาณ เขาก็ได้แต่นั่งเห็นระลึกไปสะกดจิตไป แล้วปัญญาจะปึ๊งไปเอง ไม่ไล่เรียงว่าสัมผัสตั้งแต่ภายนอกมาสู่ภายในไม่รู้

 

ปฏิบัติศีล ก็ไม่ได้คุณธรรม อาจจะบอกว่าได้ก็ได้แค่สมมุติสัจจะภายนอก เป็นคุณธรรมโลกีย์ไม่เป็นโลกุตรธรรม อาริยะของพระพุทธเจ้านั้นจิตต้องละหน่ายจางคลาย ถ้ามันลดแล้วก็ไม่รู้ว่าลดอย่างไร เห็นอาการจิตอย่างไรก็บอกไม่ได้ อ่านไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตคืออาการอย่างไรก็ไล่ไปตามพยัญชนะ จิตก็แยกไป รูปก็แยกไป แยกอุปาทายรูป 24 และดินน้ำไฟลมอีก 4 ก็แยกเรียนไป แต่ก็ไม่รู้จักรูป ไม่มีญาณรู้ความจริงนั้น ก็เลยไม่เข้าในหัวข้ออาริยธรรม

 

ตัวมันเองก็เป็นรูปรูป ถ้ามีจิตเข้าไปร่วมรับรู้ก็เป็นรูปกาย ถ้าเลื่อนเข้าไปแต่เฉพาะข้างในก็เป็นนามกาย อ่านแต่เฉพาะข้างใน องค์ประชุมของนาม คำว่า กาย ขาดนามหรือจิตไม่ได้ แต่ขาดรูปได้ ในระดับลึกซึ้งสุดแล้วเหลือนามธรรมขั้นอรูป ถือว่าขาดจากรูปได้เลย แต่ถ้าขั้นรูปภพ เป็นรูปาวจร ก็ยังกึ่งๆ ส่วนอรูป ถือว่าขาดจากมหาภูตรูปได้เลย มันเหลือระริกระรี้พริ้วพราย จะมีรูปหรือไม่มีก็เกิดขึ้นมาได้เอง

 

ส่วนอนาคามีหากกระทบรูปข้างนอกแล้วก็ไม่ผิด มีหิริโอตตัปปะ หยาบข้างนอกไม่เอาด้วย แต่ใจมันปรุงเป็นอภิสังขารข้างใน ยับยั้งได้ ไม่ละเมิดบาปภายนอก แต่ข้างในมันยังมีอาการ พอสัมผัสข้างนอกมันก็มีอาการได้ หรือไม่สัมผัสข้างนอกก็มีแรงของมันเกิดเองเป็นรูปาวจรได้ มันก็แรงกว่าอรูปาวจร ขาดรูปรูปได้ แต่ขาดนามไม่ได้เลย คำว่า กาย

 

ทีนี้มาเป็นภาษาไทย คำว่า กาย ไม่มีนามเลย นี่คือความผิดพลาดของศาสนาพุทธอย่างสำคัญ พิจารณากายในกาย ยิ่งวิโมกข์ 8 ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ไม่รู้เลยมืดหน้า ในบาลีเขาก็แปล กาย ว่าส่วนที่มีองค์ประชุมของรูปและนาม เขาก็แปลถูก แต่ความเข้าใจโลกุตรธรรมมันหมดไปแล้ว กระแสหลักไม่เข้าใจตัวนี้ แล้วก็ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติตามพยัญชนะที่ท่านบอกว่า กาย ต่างๆนานาสารพัด ก็ไม่รู้ ไม่รู้สภาวะจริง ก็เลยไปไม่ได้ แม้คำว่า กายสังขารก็ไม่รู้เรื่อง เข้าใจแต่ว่าดินน้ำไฟลมสังขารแค่นั้น แล้วจะพิจารณา วจีสังขาร จิตสังขารได้อย่างไร ไม่เต็มเต็ง

 

จะมาสัมผัสวิโมกข์ พหิทารูปานิ ปัสสติ อย่างไรก็ไม่เข้าใจเลย เพราะไม่เข้าใจ แล้วเขาเข้าใจว่า วิโมกข์คือการเกิดสมาธิ แต่สมาธิต้องนั่งหลับตา วิโมกข์ก็ต้องนั่งหลับตา ฟังแล้วน่าสงสาร ก็เลยไปไม่ได้

 

อาตมาก็วิจัยบอกว่าตำหนิ ไม่ได้โกรธเกลียด แต่สงสาร ที่เขาก็อยากได้จริงๆ อาตมาก็เห็นใจนะแต่เขาไปติดตัวเองที่ยึดมั่นถือมั่น อาตมาก็ไม่มีเครดิตด้วย

 

กายปัสสัทธิมีในสมัยนั้นเป็นไฉน

 

กายคือองค์ประชุมของรูป และนาม ถ้าเข้าใจว่า กายคือร่างสงบก็ต้องหยุดทุกอย่าง เพราะเข้าใจว่า กายปัสสัทธิคือร่างสงบ ไม่กระดิกเลย ว่าปัสสัทธิ สงบแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เลย ก็เลยกลายเป็นนิพพาน คนสงบ

 

พระไตร. .34 ข.55

 [55] กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?

     การสงบ การสงบระงับ กิริยาที่สงบระงับ ความสงบระงับแห่งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์

สังขารขันธ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า กายปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น.

 

 

[56] จิตตปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?

     การสงบ การสงบระงับ กิริยาที่สงบ กิริยาที่สงบระงับ ความสงบระงับแห่ง

วิญญาณขันธ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า จิตตปัสสัทธิ มีในสมัยนั้น.

 

พค.ว่า...ชัดที่สุด ใน กายปัสสัทธิ หมายเอาที่ เวทนา สัญญา  สังขาร แต่จิตปัสสัทธิ หมายเอาที่วิญญาณขันธ์ สงบรำงับ

ซึ่ง ในกาย มันจึงมีองค์รวมที่เป็น เวทนา สัญญา สังขาร ให้พิจารณาตรงนี้ ให้อ่านตรงนี้ ซึ่งสามตัวนี้เป็นเจตสิก ส่วนวิญญาณนี้เรียกว่า จิต เป็นไวยพจน์กับกับจิต

 

จิตหรือวิญญาณ ...วิญญาณเป็นอาการของ จิตเจตสิกต่างๆ รวมในขณะที่ปรากฏ เรียกว่า เป็นวิสามัญนาม proper noun เป็นจำเพาะ ต้องจับตัววิญญาณให้ได้ เพราะเป็นวิสามัญนาม แต่คำว่า จิต เป็น common noun เป็นคำเรียกรวมไม่จำเพาะ

 

ฉันเดียวกับที่ อัตตาเป็น คำรวม common noun แต่คำว่า สักกายะเป็น proper nouns เป็นเฉพาะของคุณเองนะ สักกายะก็คือหยาบ ส่วนอาสวะก็คือละเอียด ส่วนอัตตาก็คือเรียกรวม

 

จิต กับวิญญาณ​และมโน นั้น มโนก็เหมือนกับอาสวะ เรียกตัวอาการของจิตในภายใน ส่วนจิตนี้เรียกรวม และวิญญาณ นี่จำเพาะเลย เวลาเรียน เวลาปฏิบัติศึกษาจึงต้องปฏิบัติให้เห็น วิญญาณ​และวิญญาณก็เกิดในปัจจุบันนี้ จะเกิดเมื่อมีการกระทบด้วยเหตุและปัจจัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบก็เกิดวิญญาณ แล้ววิญญาณมีเจตสิก 3 คือแยกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร ที่เป็นเจตสิกของวิญญาณ

 

ก็คงพอขยายความได้ความแล้วว่าในรายละเอียดของจิต เจตสิก รูป นิพพานเป็นเช่นนี้

 

ถ้าแยก กายกับ จิต โดยเข้าใจว่า กายไม่มีจิตเข้าไปร่วมด้วยเลย ตัดขาด กายกับจิตเลย ก็เรียนไม่ได้ กายในกายก็ไปแยก พิจารณา กายคตาสติ ภาษาบาลีมีกายหลายอย่างที่อาตมาเอามาให้ฟัง กายกลิ กายปาคุญญตา กายสังขาร มีมากมาย จะไปรู้กันอย่างไร เพราะกายเหล่านั้นมันคือองค์ประชุม องค์รวม คำว่าส่ิงที่ถูกรู้ คือ รูป

 

เมื่อรูปแยกเป็นรูป 28 ดินน้ำไฟลม 4 มหาภูตรูป เป็นวัตถุรูปภายนอกจริงๆ เมื่อคุณกระทบสัมผัสโดยอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยที่จะเกิดกาย พอไปมหาภูตรูป คุณก็ตัดกายออก เมื่อมหาภูตรูปเป็นส่ิงที่จะเนื่องนำมาสู่ อุปาทายรูป 24 เมื่อตากระทบรูป(ดิน น้ำ ไฟ ลม)ภายนอก เป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ภายนอก 5 อย่าง เมื่อมาเป็นภาวรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ท่านหักออกเสียหนึ่ง  ในปสาทรูป เกิดดำเนินเป็นโคจรรูป สองอย่างนี้รวมเป็น 9 คือไม่นับ ซึ่ง ตา หู จมูก ลิ้นหากไม่มีจิตเข้าร่วมก็ไม่มีกาย แต่กายนี่คือจิต แม้ไม่มีตา หู จมูก ลิ้่นรวม มันก็มีกาย ตายแล้วมันยังไปด้วยเลย กายน่ะ องค์ประชุมของ เวทนา สัญญา สังขาร แต่ ดินน้ำไฟลมมันไม่ไปด้วย

 

เมื่อไม่เข้าใจว่า กายคือความสัมพันธ์ของรูป และนาม

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แต่คุณตัด จิตทิ้งไป เพราะเข้าใจว่า มหาภูตรูปคือสิ่งที่ไม่มีนาม และอุปาทายรูป ก็ไม่มีนามอีก เพราะอุปาทายรูป คือองค์ประชุม ทั้งมหาภูตรูปและมหาภูตรูป ต้องมีนามเข้าไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ จึงมีรูปได้ แม้กระทบภายนอก มาอ่านภายใน จากกายนอกมาสู่กายใน เป็นกองขันธ์ของ เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณก็คือองค์ประชุม

 

พอตา กระทบรูป หูกระทบเสียง ปสาทรูป โคจรรูป มีปฏิกิริยาก็เกิดวิญญาณ คุณก็วิจัยวิญญาณมีเจตสิก 3 เป็นหลัก พระพุทธเจ้าว่าให้ใช้สัญญา เป็นตัวทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ เป็นคลังเก็บอัตภาพ และเป็นตัวรู้ คุ้ยให้ไปรู้ ตามเข้าไปรู้ ดึงเข้าไปรู้ หรือวิ่งเข้าไปก็ได้ต้องรู้มันให้ได้ เมื่อได้กระทบสัมผัสรู้ เป็นนามธรรม ย่ิงกำลังเกี่ยวกับสิ่งสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย บริบูรณ์เต็มๆเลย นี่กระทบแล้วเกิดวิญญาณ ดิ้นพลาดๆ เป็นสัตว์นรกสัตว์เปรต ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแล้ว แย่งชิงปล้นฆ่า หน้ามืด ไม่ฟังเสียงแล้ว ทำร้ายทำเลวจะเอามาให้เป็นของกู หรือให้ได้สัมผัสเสียดสีให้ได้ ก็เป็นสัตว์นรก

 

หรืออาจอยากได้แต่ไม่ร้ายแรงเท่าก็เป็นสัตว์เปรต หากมันร้ายแรงก็เป็นสัตว์นรก หากมันลดลงมาก็เป็นเปรต ถ้ามันเบาลงไปอีก มันไม่ค่อยแข็งแรงไม่ค่อยกล้าก็คือ อสุรกาย มันไม่กล้าเท่าเปรต ไม่กล้าเท่าสัตว์นรก คำว่า สุระ คือแรง คือกายของ อสุระ คือไม่แรงเท่าเปรต สัตว์นรก หากมันไม่รู้เรื่องเลยคือสัตว์เดรัจฉาน มันโง่เลย แต่ถ้าคุณรู้ เปรต สัตว์นรก อสุรกายก็ตามรู้ไป

 

แล้วบัญญัติมันว่าเป็นสัตว์ เกิดเมื่อกระทบสัมผัส เห็นจริงๆ เป็นสัตว์ อวินิปาตะ คือมันต่ำกว่าสัตว์นรกทุกอย่าง สัตว์อบายทุกอย่าง ไม่มีภาษาเรียกแล้วมันตกต่ำจนอวินิ ทั้ง อ , วิ ,นิ ก็แปลว่าไม่แล้ว ไม่มีอะไรจะเรียกอีกแล้วว่าเป็นสัตว์ตกต่ำ ก็คืออาการของจิตใจเราเป็นพวกนี้

 

ถ้าไปเข้าใจองค์ประชุมของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ตอนมันมีการสัมผัสแล้วเห็นอย่างโต้งๆชัดๆเลย เกิดปัจจุบันเลย ถ้าไม่กระทบแล้วก็ไปดิ้นในใจ อย่างคนติดยาเสพติด มันเสี้ยนแรงๆก็ดิ้นอยู่ในภพของมัน ก็ไม่มีการกระทบสัมผัส ก็ดิ้นภายใน เป็นทาสร่ำร้องแรงกว่าหยาบแล้ว หน้ามืดฆ่าคนได้ฆ่าพ่อแม่ได้ ทำร้ายเพื่อต้องการได้มาเสพให้สมใจตนเอง หรือหน้ามือตามัวจะเอาลาภ ยศ สรรเสริญ จะเอาบ้านเอาเมืองก็ทำ ไม่รู้ แล้วก็ทำ เพราะไม่รู้จักกำลังของสัตว์ร้ายเหล่านี้ไ่ม่เคยยับยั้ง

 

พวกคุณนี่อาตมาไม่รู้ว่าพวกคุณเคยผ่านเรื่องเลวร้ายขนาดไหน แต่ถ้ามีเลวร้ายอยู่ก็คงไม่ได้มาท่ีนี่ มาที่นี่ได้ก็เพราะมีดวงตาที่รู้ และทางโน้นไม่มีพลังดึงไว้มาก มันไม่กล้ามา มันก็มีแรงส่งไม่มาก เราก็ยังพยายามมาก็แสดงว่ามีพลังต้องการมาก จนมาเอาได้

 

อุปาทายรูปเมื่อไม่เข้าใจว่าต้องกระทบสัมผัสจึงอ่านได้ชัด เกิดปสาทรูป โคจรูปทำงานจึงเกิดอ่านรู้นามรูปได้ เมื่อไม่ให้มันเสพก็เป็นสัตว์นรก สัตว์เปรตอยู่ เมื่อคุณรู้อาการจริงก็เร่ิมต้นกำจัดสมุทัยได้ ครั้งแรก ครั้งที่ 1 รู้ว่ามันดิ้นน้อยลง เป็นสังขิตตังขิตตัง หรือวิกขิตตังจิตตัง ก็ลดได้เป็นสมถะกดข่ม หรือวิปัสสนาได้คุณก็อ่านให้ออก อาการดิ้นอยู่ไม่เป็นหนึ่งไม่เป็นเอกบุรุษก็คืออิตถีภาวะทั้งนั้น

 

โสดาบันก็เอากรอบที่มันดิ้นก่อนให้เป็นเอกบุรุษเฉพาะในส่วนที่ตนทำ ส่วนอื่นก็เป็นอิตถีภาวะไปก่อน ขอสะสมกำลังก่อน ส่วนอิตถีภาวะอื่นอาจแรงแต่ยังไม่ทำ ขอทำส่วนนี้ก่อน แล้วค่อยไปสู้ หรือใครแน่จริงเอาแชมเปี้ยนมาก่อนเลย ท้าแชมป์มาล้มก่อนเลย ใครแน่จริงก็ทำสิ แต่พระพุทธเจ้าว่าให้ทำเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไป ถ้าไม่แน่จริงไปชกแชมป์ก่อนก็น็อคก่อนเลยแต่ถ้าแน่จริงแป๊บเดียวก็ชนะไปตามลำดับ ล้มแชมป์ได้เอง

 

นี่คือภาวรูป 2 ส่วนอินทรีย์คือดีกรี น้ำหนักความแรงของมัน แล้วมา  หทยรูป

 

หทยรูปคือตัวที่อยู่ของจิต ของวิญญาณ​ของมโน ของอาการนี้แหละธาตุรู้ตัวนี้แหละไม่มีที่อยู่ไม่มีหลักแหล่ง สัมผัสเมื่อไหร่ก็เกิดที่นี่แหละ ถ้ามันแรงก็เกิดไวเลย กระทบแล้วมันเกิดอย่างไรเมื่อไหร่มันไม่มีสถานที่ตัวตน แต่ต้องใช้ญาณรู้ว่ามันเกิดแล้วมีตัวตนแล้ว แต่เขาไปเรียนกันว่าอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 ไปนั่นแหละ

 

หทยรูปคือตังที่คุณต้องจับให้ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน มันอยู่ในคูหาสยังนี่แหละ นี่คุณต้องไม่ให้จิตออกนอกนี่แหละ เมื่อจับได้ก็ดูชีวิตรูป

 

มันมีชีวิตมันยังไม่ตายสนิท มีอินทรีย์มีกำลังอยู่ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็รู้เหลืออาสวะก็รู้ว่ามันเหลือน้อยเบาแล้ว ต้องรู้ว่าเกิดตัวไหน? รู้ให้ได้ชีวิตินทรีย์ของมันแล้วดับความเป็นชีวิตของเปรต นรก อสุรกายให้เกลี้ยง โดยเฉพาะสัตตาวาส 9 ถ้ารูปก็คือแค่นี้ในกาม แล้วก็เป็นในจิต เป็นรูปจิต อรูปจิต กำจัดไปตามลำดับ จึงรู้จักชีวิตินทรีย์ ถ้าดิ้นมากก็เป็นอิตถินทรีย์แต่ถ้าคุณมีอำนาจเหนือมันมันไม่ดิ้นแล้วก็เป็นเอกบุรุษ เป็นปุริสินทรีย์

 

อาหารรูป ท่านสรุปว่า กวลิงการาหารนั้นคุณปฏิบัติได้หมดมีกิเลสทุกอย่างในนั้นเลย เมื่อคุณสามารถรู้เครื่องอาศัย เป็นอาหาร 4 เมื่อมันอยากคุณก็ไม่ให้มันได้กิน อาศัยผัสสะ มันจะอยาก แล้วความอยากก็แบ่งเป็น อยากในกามก็เป็นรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส และภพก็เป็นภายใน แต่ถ้าอยากฆ่ากามอยากฆ่าภพ ก็เป็นวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์อยากไปฆ่าสัตว์ในภพ เป็น กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นวิภวตัณหาก็ต้องใช้ต้องมี แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็มีวิภวตัณหาที่จะสร้างศาสนาเลย หากแปลวิภวตัณหาผิดแล้วก็ว่าอยากอะไรไม่ได้เลยก็ผิดแล้ว ใช้ไม่เป็น เพราะแยกรายละเอียดของกามกับภพไม่ออก ไม่เรียนไปตามลำดับ ว่าทำที่กามก่อน ดับกามก่อนแล้วจะรู้เลยว่า จะดับรูปภพ อรูปภพอย่างไร เพราะรู้ว่ากามคืออย่างไร พอรูปภพ อรูภพก็ต้องมีผัสสะอยู่ เรื่องกามหากล้างแล้วก็ไม่ได้ว่าปิดทวาร 5 เพราะได้ฆ่าตัวกิเลสในจิต แม้กระทบสัมผัสเหตุปัจจัย แต่กิเลสตายสนิทต่างหาก

 

เราอาศัยอาหาร 4 มีผัสสะ มีเจตนาเป็นเครื่องปฏิบัติ แล้วก็รู้นามรูป ของวิญญาณ ต้องมีผัสสะ รู้เจตนา ต้องมีปัญญาอ่านนามรูป เป็น ถ้าอ่านนามรูปไม่เป็นคุณก็ไม่รู้จักวิญญาณ เพราะนามรูปคืออาการของจิตที่ถูกรู้ แต่ถ้าไปนั่งสมาธิอ่านก็ยิ่งลึกลับไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย เขาหลงกันเป็นฤาษีกดข่มกันไป พระพุทธเจ้าเลยอุทานว่า อุทกดาบส อาฬารดาบส ที่ตายไปกับสมาธิฤาษี ว่าฉิบหายแล้ว

 

สรุปแล้วอาหาร 4​นี่คุณต้องรู้กามในกาลิงการาหาร รู้เวทนาในผัสสะ   รู้เจตนา 3 ในมโนสัญเจตนาหาร และต้องรู้นามรูป ในวิญญาณาหาร   กามเกิดเมื่อไหร่เมื่อกระทบทวาร 5 ก็ต้องรู้ก่อนเลย แต่ไปเรียนนั่งหลับตาเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน มันขาดแหว่ง อาหาร 4 ก็ไม่รู้เรื่อง ไปนั่งอยู่ในภพ ก็ไม่มีกามราคะอะไร ไม่ได้เรียนกามเลย ตัดลัดไปสู่ราคะข้างใน เป็นรูปราคะ อรูปราคะเลย นอกจากคนมีบารมีจะได้ คนมีบารมีก็ไม่สามารถรู้ครบ แม้จะทำให้อาสวะบางอย่างดับได้ กระนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ยอมรับเป็นอรหันต์ต้องมีกายสักขี มายืนยัน สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ทั้งนอกทั้งใน ต้องมีพหิทารูปานิ ปัสสติ คือสัมผัสภายนอกเข้าไปถึงภายใน เขาไม่รู้วิโมกข์ นี่คือความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธไปไกลมาก

 

ถ้าคุณเรียนรู้ตั้งแต่กายนอกไป แม้ไม่รู้ในก็ยังได้เป็นอนาคามีเลย แต่ถ้าเรียนแต่ใน ก็ไ่ม่ได้อะไรเลย โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ไม่ได้เลย อย่างที่อาตมาพาพวกเราทำรู้บ้างไม่รู้บ้างก็ยังได้เลย อย่าขี้เกียจก็แล้วกัน มันก็มีปฏิภาณบ้างน่ะ

 

มาสู่ปริเฉทรูป เป็นองค์ปฏิบัติให้ไปสู่อากาส คือความว่าง ต้องรู้ภาวรูป รู้ชีวิตรูป รู้อาหารรูป ที่เป็นสภวะกิเลสแต่ละขั้น แล้วก็ทำให้ว่างไปตามลำดับ เช่น ศาลานี้ว่างจากช้างก็เป็นอากาสของช้าง เทหวัตถุแท่งทึบนี้ไม่มีช้าง บริเวณนี้ไม่มีช้าง Space นี้ไม่มีช้าง บริเวณนี้ไม่มีกาม ก็เหลือแต่รูป กับอรูป ก็รู้ว่ามันว่างจากอะไร

 

จนหมดกามหมดรูป จนถึงอรูป หมดอรูปก็เหลืออากาศ แล้วดูว่ามันว่าง แล้วจากนั้นก็ดูอาการจิตที่สะอาด โดยเฉพาะจิตสงบที่กระทบอยู่ แม้ตา หู กระทบผัสสะ แต่คุณก็รู้ว่าจิตคุณใสสะอาด มีอาการวาง อาการใสสะอาดของวิญญาณ​และต่อมา ที่จะมี กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ตรวจให้ได้ว่ามีน้อยนิดก็ไม่ได้ ต้องไม่ให้มี และก็ตรวจให้ครบ แบบไม่รู้ไม่ได้ เนวสัญญาฯไม่ได้ ต้องตรวจสอบให้หมด แต่ถ้าไปนั่งหลับตาตรวจก็ได้ แต่ว่าพอลืมตาสัมผัสแล้วว่างอีกไหม ต้องสัมผัสวิโมขก์ 8 ด้วยกาย ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่ให้ผ่านนะ

 

ปริเฉทรูปคือตรวจความว่างละเอียดไปให้หมดส่วนที่เหลือ เป็นฐานว่าง เมื่อจบปริเฉทรูป ก็เป็นการดูองค์รวมในวิญญัติรูป

 

รวมทั้งนัจจะ คีตะ วาทิตะ แล้วมีอาการจิตที่เกิดในวิญญัติ มีกาย แล้วเกิดรูปธรรม นามธรรม คุณอาจทำรูปธรรมแรงแต่นามธรรมคุณเบา หรือคุณจะทำอนุโลมปรุงไปเป็นอภิสังขาร เพราะคุณเก่งอเนญขาภิสังขาร เพราะคุณได้ฝึกสัจจานุโลมมิกญาณจริง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ต้องเรียนรู้ฝึกฝน ย่ิงกว่าอรหันต์จี้กง ไปคลุกคลีสัตว์นรก แต่ไม่เปื้อน เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา อยู่เลย เราจะปรุงเองก็ไม่เปื้อน จะถูกเขามอมเมาเราก็ไม่ติด มันก็บริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ คุณจะรู้ว่าคุณจะอนุโลมอย่างไร ถ้าเป็นโพธิสัตว์จะรู้ว่าอนุโลมได้เท่าไหร่ ไม่อวดดี หากมากกว่านี้เราตายก็ไม่เอาจะเผื่อไว้เสมอ ท่านไม่ได้ทำเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ​ท่านทำเพื่อ ปโหติ คือความพอเหมาะพอดี ให้ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด ไม่ได้ทำเพื่ออามิสอะไร ท่านเองรู้อยู่ใครจะใส่ความท่านก็ว่าไปท่านก็ไม่มีอยู่ดี

 

อนุโลมในกายวิญญัติ วจีวิญญัติ จะปรุงแต่ง นัจจะ คีตะ วาทิตะอย่างไรก็อนุโลมได้ ว่าแรงเบาอย่างไรหยาบละเอียดอย่างไรก็อนุโลมได้ ใช้มโนหรือจิต ลหุแค่ไหนครุแค่ไหน แรงเบาอย่างไร อนุโลมอย่างไร ต้องยืนในฐาน ลหุตา

 

วิการรูป ไม่ได้หมายถึงรูปวิกลวิการนะ อย่างที่เขาแปลในพจนานุกรม แต่แปลว่าการะอย่างยิ่ง อันนี้เป็นโลกุตระไม่ใช่ของเสีย

 

จะให้มันหนักเบา ให้เกิด

       18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบาบาง)

       19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนไว ยืดหยุ่น elasticity, เร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญา          และเจโต)

       20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (การกระทำที่กำกับด้วยปัญญาอันประเสริฐยิ่ง )การผสมส่วนให้พอเหมาะควรด้วยปัญญาอันย่ิง

สุดท้าย ลักขณรูปอีก 4​คือสิ่งที่พระอาริยะอาศัยแท้ๆเลย ส่วน วิการรูปคือที่ต้องประมาณ แต่ลักขณรูปคือสิ่งอาศัย

            21. (รูปัสส) อุปจย (ความเคลื่อน เจริญขึ้น)

            22. (รูปัสส) สันตติ (ความเชื่อมอยู่ )

            23. (รูปัสส) ชรตา (ความพาเคลื่อนไป)

  1. (รูปัสส) อนิจจตา (ความเคลื่อนไปเสื่อมก็ได้ เจริญก็ได้) เพราะมันไม่ได้มีอะไรเที่ยงแท้ขนาดพวกคุณลดละกิเลสกันพอสมควรแล้วยังต้อง SWOTS กันอีกหลายรอบ ให้เอา Self เข้าไปด้วยนะมันคือตัวร้าย

ทั้งรูป 24 คือนามทั้งนั้นเลย อาตมาว่ารูปคือนาม เขาก็จะหาว่าบ้านะ แต่ว่ามันคือนามหมดเลยนะ มีแต่มหาภูตรูปคือรูป และสุดท้ายคือความไม่เที่ยง จะไปยึดมั่นถือมั่นความไม่เที่ยงได้อย่างไร ความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร...เป็นทุกข์ นี่คือความยาก ความเป็นรูปเป็นนามจึงยาก

 

เราต้องพยายามศึกษา นาม 5 และรูป 28 ให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปเรียนรู้จิตเจตสิกที่มากมายหลากหลายกว่านี้อีกมาก เอาแค่ รูป 28 นี่ถ้าชัดเจนเป็นอรหันต์ได้ เพราะรูปกับนามมีอยู่ในนี้หมดแล้ว

 

_พ่อครูเคยเล่าให้ฟังว่าได้บรรลุอรหันต์ตอนปัสสาวะ อยากทราบว่าสภาวะเป็นอย่างไร?

ตอบ...บอกอย่างไรก็ไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอก อย่างพระอานนท์ท่านบรรลุในอิริยาบถกึ่งนอนกึ่งนั่ง พระสารีบุตรก็บรรลุขนาดพัดวีให้ และฟังธรรมพระพุทธเจ้าไปด้วย...อาการของอาตมาก็เช่นนั้นแหละ

 

_เมื่อบรรลุแล้วพ่อครูได้เสวยวิมุติไหม?

ตอบ...ก็ได้สิ แต่คนที่เข้าไคลของศาสนาแล้วก็จะอยู่กับธรรมะตลอด เห็นอะไรก็เป็นธรรมะไปหมด คุณไม่ต้องว่าเสวยวิมุติเลย มันเสวยธรรมะ คุณถามใหญ่เลย คุณไปเป็นเอาเองและอย่าไปเทียงเคียงพระพุทธเจ้าเลย คำว่าเสวยวิมุตินั้นหลายคนก็คิดว่าท่านไปอยู่นิ่งๆ แต่ว่าวิมุติคือความหลุดพ้น แต่ไม่ได้หมายถึงความสงบหยุดนิ่งนะ หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว ไม่ได้หยุดนิ่ง วิมุติไม่น่ิงนะ ไม่ได้เป็นแค่สมถะ จมนิ่งดิ่ง ท่านอยู่ 3 วันแต่ตรวจสอบความหลุดพ้น ก็อยู่กับปชช.นี่แหละ แต่คุณเอาว่าก็คงอยู่ที่สงบๆเงียบๆ เดินจงกรมไปมาอยู่คนเดียวไปเลยเข้าป่าเลย ไปหาถ้ำอยู่แล้วปิดถ้ำเลย เขาก็เดาว่าพระพุทธเจ้าเสวยวิมุติเป็นเช่นนั้น หลายคนก็คงเข้าใจผิดเช่นนั้น แต่ที่จริงวิมุติคือตรวจดูความหลุดพ้น ตรวจโลก ของพระพุทธเจ้านี่ท่านย่ิงกว่าอาตมายิ่งกว่าอรหันต์จี้กงนะ

 

_ดาวเพ็ญบอกว่า มีไฟในการจะจัดการกิเลสเพ่ิมขึ้น

 

_สัญญาที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร?

 

ตอบ...สัญญาคือ ความจำ กับ ความหมายรู้ แล้วสัญญาที่บริสุทธิ์ ก็คือสัญญาของพระอรหันต์ ถ้าคุณตั้งจิตภพภูมิ ก็เป็นสัญญาเช่นนั้นไม่ยอมจบไม่ยอมสูญ​แต่สัญญาสะอาด อรหันต์จะรู้ว่าตายแล้ว ตายก็คือไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณก็จะรู้ว่าคุณอยู่ในภพที่มีแต่ภายใน ไม่มีภายนอก ท่านก็มีสัญญากำหนดรู้ว่ามันไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ท่านไม่มีความอยากไปเสพอะไร ท่านก็ไปตามวิบาก ท่านก็มีความสงบ เป็นสวรรค์ชั้นดุสิต พระโพธิสัตว์พักที่ชั้นดุสิต จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยมีวิบากก็ไปตามนั้น แต่ปุถุชนตายแล้วยิ่งดิ้นอยากได้สวรรค์ในทวาร 5 แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาย ก็ยิ่งดิ้น ไม่มีทวาร 5 เลย เพราะอยากสุขในทวาร 5 ก็ไม่ได้ก็ยิ่งดิ้น

 

ส่วนพวกนั่งสมาธิสงบ ไม่มีอะไรกวนเลย คุณจะนับเวลาให้เขาเท่าไหร่? อีกกี่ล้านๆปีแสง คนที่นั่งสงบ พอมันไม่ได้สงบ แล้วมันก็ไม่อยากออก ใช่ไหม?มันอยู่ในภพ แล้วมันก็ไม่ได้ ตายแล้วมันก็ไม่ได้ คุณลองคิดสิว่ามันจะมีอายุกี่ล้านปีแสง จนกว่าวิบากจริงจะคุ้ยให้เขาออกมา แต่โดยเจตนาเขาชอบ จมกับความสงบนั้น น่ากลัว เสียเวลาเท่าไหร่ เพื่อนลงมามีลูกกี่คนแล้ว กลับไปเพื่อนยังเก็บดอกไม้อยู่เลย แล้วพวกติดสงบยิ่งนานกว่านั้น ไม่รู้กี่ล้านปีแสงเลยนะ

 

_สู่แดนธรรมว่า...ที่พ่อท่านบอกว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปอยู่ภพสงบ ดุสิต แล้วถ้าเป็นผู้ตายจากได้อรูปฌานฤาษี  เขาก็ไม่ดิ้นรน ถือเป็นดุสิตไหม?

ตอบ...ก็ได้ดุสิต แต่เป็นดุสิตโลกีย์ แต่มีวิบาก จมไปนานไม่รู้เท่าไหร่

 

_พ่อครูสรุปว่า...วันนี้อาตมาก็ว่าได้ไขอะไรขึ้นมาอีก กระจ่างขึ้นมาก มีโอกาสไขไปเรื่อยๆ วันนี้เรียนสรรค่าสร้างคนก็ผ่าไปพุทธชีวศิลป์ ดิ่งไม่ออกมาหาสังคมเลย ไว้พรุ่งนี้ค่อยสรรค่าสร้างคนนะ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:49:20 )

571014

รายละเอียด

571014_สงครามอัตตาหน้าเจ          

  บทนำ

 

เพราะเวลาในอดีตได้ผ่านไปแล้ว ส่วนเวลาในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง เวลาในปัจจุบันจึงเป็นของเราอย่างแท้จริง ด้วยการดำรงสติคงมั่นกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ แก้ไขละลดล้างความเคยชินเก่าในอดีตที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเสีย โดยการรู้เท่าทันกิเลสที่เกิด จับตัวได้ทัน อดทน ข่มฝืน ไม่ทำตามที่มันบงการกิเลสเป็นเจ้านายเรามานานแล้ว

 

ทุกปัจจุบันที่เราแก้ไขมิจฉาทิฏฐิ เราก็เพิ่มสัมมาทิฏฐิมากขึ้นสั่งสมให้แก่ตนเอง จึงไม่ต้องสงสัยในอนาคต ปัจจุบันขณะจึงเป็นตัวแปรที่สำคัญสุด ยิ่งถ้าเรามีความรู้ในสัมมาทิฏฐิชัดตรงทางที่ได้จากการคบหาสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม เกิดศรัทธาเชื่อมั่น หันมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชีวิต มาเป็นคนดีที่ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่รู้อะไรเลย เราก็เดินทางชีวิตไปตามครรลองเก่าๆของกิเลสทั้งในอดีต และเดินไปข้างหน้าตามอนาคตเป็นตัวชี้นำ พาชีวิตวกวนไปมาในวัฏฏสงสารอันยาวนานไม่รูจบ

 

จากบทสัมภาษณ์ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ อธิบายทิฏฐิ 62 ซึ่งพวกเราคงต้องค่อยๆทำความเข้าใจ เพราะเป็นบทเรียนใหม่ที่น่าใส่ใจศึกษา เป็นอีกหนทางตัดกิเลสที่ควรติดตามและเตือนเราว่าควรอยู่กับปัจจุบัน ส่งเสริมให้กำลังใจการทำงานของคสช.อย่าแบกอนาคตไว้ด้วยการคาดเดาไปต่างๆนานาและข้อท้ายสุด ย้ำเน้นการยังกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารอยู่ตราบใดก็ยังทำบาปอยู่ตราบนั้น เพราะนี่คือ การเดินตามอดีต ทำบาปในปัจจุบัน อันจะส่งผลบาปต่อไปในอนาคต

 

ถาม: พ่อท่านอธิบายทิฏฐิ 62 เป็นอย่างไร

พ่อท่าน: ทิฏฐิ 62 เป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนอีก 5 ที่เป็นปัจจุบัน เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ สัมมาทิฏฐิก็ได้ ถ้าพูดว่าผู้มีทิฏฐิ ส่วนมากจะหมายความว่ามิจฉาทั้งนั้น มิจฉาก็คืออดีต 18 บวกอนาคต 44 เป็นทิฏฐิ 62 ถ้าเราเรียนรู้ทิฏฐิทั้ง 5 ในปัจจุบันนี้แล้วทำให้เป็นนิพพานได้ เราก็อยู่กับกามกับฌาน 4 ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากก็อาศัย ฌานทั้ง 4 อยู่ อาศัยกามอยู่แต่เราไม่มีกิเลส เป็นนิพพาน  เราไม่ได้ติดไม่ได้ยึด เราไม่มีกิเลสแล้วทั้งอัตตาและกาม ฌานทั้ง 4 คืออัตตา เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เรียนรู้เรื่องอัตตาไปนั่งสมาธิหลับตาก็ได้ฌาน 4 แต่ไม่รู้จักอัตตา คนที่เรียนสมาธิลืมตาแบบพระพุทธเจ้าจะรู้จักอัตตา โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ก็มีฌานลืมตาอาศัยอยู่ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ปรับไปปรับมาได้ในฌานทั้ง 4 จะใช้ฌานทั้ง 4 ทำอะไรก็ได้ ก็มีทั้งกามมีทั้งฌานแต่ไม่มีกิเลส เรียกว่านิพพานในปัจจุบัน....

 

ถาม:  คนที่แบกอนาคต หมายความอย่างไร

พ่อท่าน: เมื่อเช้านี้มีสิกขมาตุมาเล่าว่า ไปข้างนอกเจอพระไม่เป็นพระ มีแต่รดน้ำมนต์ ใช้ดอกไม้ธูปเทียน ไม่ได้เรื่องเลย นั่นแหละคุณยึดภพอนาคต ก็เขาเป็นอย่างนั้นเพราะเขายังไม่มีปัญญา เขายังทำความถูกต้องไม่ได้ มันก็ต้องเป็นไปในอนาคตอย่างนั้น เพราะขณะนี้เขาเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว จะว่าไปมันก็คืออดีตของเขา แต่คุณไปมองอนาคต คุณอยากให้เขาเป็นอย่างที่คุณคิด คุณก็ไปเอาขันธ์อนาคตนั้นมายึด คุณก็ทุกข์สิ คุณก็อึดอัดๆจะไปเอาเรื่องเขา ไปวุ่นวายไปยุ่งเรื่องของเขา ต้องรู้ว่าเขาคือเขา เราคือเรา ไปแยกเราแยกเขาไม่ออก ไปเอาเขามาเป็นเรา เราก็ไปห่วงแทนเขา ไปโกรธไปเสียใจไปกลุ้มใจอึดอัดขัดเคืองแทนเขา ก็เกิดกิลิมถะ เกิดอัตตา เกิดเดือดร้อนใจ เกิดวิปปฏิสารอยู่อย่างนั้นแหละ

 

ถาม:  ตอนแรกเราต้องรู้ความถูกต้องก่อน เมื่อรู้แล้วเราก็ไม่ทำอย่างนั้น และต่อมาเราก็ต้องมาวางใจกับคนไม่รู้ให้ได้ ใช่ไหม

พ่อท่าน: ใช่ ต้องรู้ นั่นมันของเขา ไม่อย่างนั้นคุณก็เครียดก็ลำบากใจ ...ทำไมมันไม่เป็นอย่างนี้วะ.. เช่น คนที่ยึดศาสนาพอมีคนมาว่าศาสนาพุทธก็ทุกข์ร้อน ลำบากลำบนใจ แหม...ทำไมทำอย่างนี้ เราต้องเข้าใจ ศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างนี้ แม้ไม่ถูกต้องก็ตาม ถ้าคุณยึด คุณก็ยังทุกข์อยู่ ถ้าไม่ยึดคุณก็ทำไปซิ จะพูดจะสอนจะบอกจะแนะนำอะไรเขาก็ทำไป ได้แค่ไหนก็แค่นั้น คุณเก่งแค่ไหนล่ะ

 

ถาม: เราศึกษาศาสนาก็มาเรียนเรื่องตัววางใจสำคัญที่สุดใช่ไหม

พ่อท่าน: ใช่ แต่วางประเภทที่ไม่รู้จักอะไรเลย วางตะพึด พวกนี้ก็อุจเฉททิฏฐิ ขาดสูญ อัตตาก็ไม่ได้ล้าง หมักอัตตาไว้อย่างเดิม อะไรมาก็วางๆๆ วางตะพึด ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างก็วาง เป็นคนใจดำ แล้วตัวเองก็ไม่รู้อัตตาตัวเองที่หมักไว้อยู่ พวกนี้เป็นอุจเฉททิฏฐิ

 

ถาม: เขาวางได้ เขาสบายกว่า แต่พวกเรายังวางไม่ได้เราเครียด ใครแย่กว่า

พ่อท่าน: ไอ้ที่วางซิ แย่กว่า เพราะที่วางมันยังไม่รู้จักทุกข์หรอก เรารู้ทุกข์กว่า แล้วก็ฝึกวางด้วยความเข้าใจใช้ปัญญา ทุกข์เราก็ลดลง พวกที่วางตะพึด เขา ถูกลวงให้วาง แต่ไม่รู้จักอัตตาไม่รู้ไอ้ที่หมักหมมไว้ เป็นอนุสัยอาสวะ ไม่ รู้เรื่อง ไม่ได้ขุดคุ้ยขึ้นมา มันเกิดแล้วก็อ่านซิคุณไปยึดทำไม เราก็วาง ผู้ที่ยึด โดยที่ตนเองเห็นแล้ว บรรลุแล้ว ตนเองไม่ได้ติดยึดแล้ว แต่ไปเอาคนอื่นคนโน้นคนนี้มายึด มันเป็นเรื่องอนาคตที่เขายังไม่มี เรียกว่าอาศัยขันธ์อนาคต

 

ถาม:  ทิฏฐิ 62  ทำไมเราไม่บวกปัจจุบัน 5 เพราะอะไร

พ่อท่าน: ทิฏฐิ 62 นี้ ปัจจุบัน 5 ท่านไม่บวก เพราะ ปัจจุบัน 5 มันเป็นตัวที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง แปรเปลี่ยนได้ พร้อมจะปรับปรุงหรือไม่ปรับปรุงหรือมันก็เพิ่มให้กิเลสหนาขึ้นได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ศึกษาปัจจุบัน อดีตมันก็เป็นแล้ว แก้ไขไม่ได้แล้ว ถ้ามิจฉาทิฏฐิมันก็เป็นแล้ว อนาคตยังไม่เป็น จะเมื่อไหร่ก็ยังไม่เป็น เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง  สมมติว่าอนาคตจะมิจฉาก็ต้องมิจฉานั่นแหละถ้ามันจะเป็น เพราะฉะนั้นตัวแปรอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น อดีต 18 กับอนาคต 44 รวมแล้วเป็น 62 ถ้าเราไปวุ่นวายด้วยก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ โง่อย่างเดียว ไปวุ่นวายทำไมกับอดีตอนาคต เพราะ หนึ่ง มันเป็นแล้ว สอง มันยังไม่มี ยังมาไม่ถึงเลย ถ้ามันมิจฉาแล้วก็มิจฉาไป มันสัมมาก็สัมมาไป เราจะไปแก้อดีตอนาคตไม่ได้ แก้ได้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้น ท่านจึงเรียกเป็นทิฎฐิ 62 เป็นทิฎฐิผิด ส่วนทิฏฐิ 5 เป็นทิฏฐธรรมเป็นปัจจุบัน ทิฏฐิ 5นี้จะเป็นมิจฉาก็ได้สัมมาก็ได้ แล้วแก้ไขได้ ทิฏฐิ 5 จะไปรวมกับมิจฉาทิฏฐิ หรือ ทิฏฐิที่ยึด ถ้าคุณไปยึดปัจจุบันด้วย ไม่ทำด้วย ทิฏฐิปัจจุบันเป็นอย่างนี้ฉันไม่แก้ไข อ้าว...ก็แล้วไปสิ คุณไม่แก้ไข ถ้าคุณสัมมาก็แล้วไปเถอะ แต่คนที่ไม่แก้ไขแล้วอวดดีอยู่ก็มิจฉาทั้งนั้นแหละ

คนที่เข้าใจแล้วเขาไม่แย้งไม่เถียงหรอกว่าให้แก้ไขเถอะ เขาแก้ไขแล้ว สมบูรณ์แล้วเป็นอรหันต์แล้วเขาก็นั่งยิ้มเฉยสิ ใครจะไปให้เขาแก้ เอ้า...เขาแก้แล้วนี่ เขาบรรลุแล้ว เป็นอรหันต์จะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไม่ใช่อรหันต์ ยังฮึดฮัดๆอยู่นี่ นั่นแหละในทิฏฐิ 5 แม้คุณจะรู้แล้วอดีตอนาคต62 คุณไม่เกี่ยวแล้วไม่ต้องฮึดฮัดแล้ว เข้าใจแล้วมันมีก็มีไป จริงๆแล้วอดีตกับอนาคตเป็นของไม่เที่ยง แต่ปัจจุบัน  5  ถ้าคุณทำได้สำเร็จ มันเที่ยง แม้ปัจจุบันบรรลุอรหันต์แล้วเที่ยงแล้ว อดีตกับอนาคตก็ไม่เที่ยงอยู่ดี เพราะฉะนั้นในอวิชชา 8  ข้อ 5 ไม่รู้ในส่วนที่เป็นอดีต ข้อ 6 ไม่รู้ในส่วนที่เป็นอนาคตนี่แหละมีความหมายตรงนี้ ส่วนข้อ 7 ไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและอนาคต เพราะฉะนั้นส่วนอดีตอนาคตท่านจึงเอามารวมไว้ด้วยกันเพราะว่าข้อนี้มันเที่ยง อดีตเหมือนอนาคต  อนาคตก็เหมือนอดีตเพราะมันสูญหมดเลย เมื่อไรๆ อดีตก็สูญ สูญจากกิเลส อนาคตก็สูญจากกิเลส เพราะเราทำปัจจุบันของเราแข็งแรงหมดแล้ว เป็นสมาธิลืมตาเป็นจักขุมาปรินิพโพติ เป็นนิพพานลืมตาเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปแก้ไขอะไรอีก

 

ถาม: เพราะฉะนั้นตัวแปรอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

พ่อท่าน: ใช่ และต้องฝึกให้สมบูรณ์ ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่มีผัสสะในปัจจุบัน อย่างที่ พระพุทธเจ้าตำหนิภิกษุสาติที่กล่าวว่า ตายแล้ววิญญานล่องลอย  พระพุทธเจ้าถามใครสอนเธอว่าวิญญาณล่องลอย วิญญาณเกิดปัจจุบันมีเหตุมีปัจจัย ตากระทบรูปหูกระทบเสียง ฯลฯ แล้วจึงเกิดวิญญาณ ต้องศึกษาตัวนี้ แล้วก็อ่านตัวไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาต้องทำให้ถึงอนัตตาตัวนี้ขณะนี้ อย่างนี้เป็นต้น

 

ถาม: คนในโลก ไม่รู้ตรงนี้ เขาก็อยู่กับอดีต อนาคตจึงวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์

พ่อท่าน: ผู้ไม่ศึกษาทิฏฐิ 62 ก็อยู่กับ ทิฏฐิ 62 และทิฏฐิ 5 ปัจจุบันจะเป็นตัวแปรที่จะเติมอดีตก็ตามอนาคตก็ตามมันเป็นกิเลสทั้งนั้น คนที่ไม่ศึกษา ทิฏฐิ 5ไม่ศึกษาปัจจุบัน ไม่ศึกษากามไม่ศึกษาอัตตา กามกับ ฌาน ฌาน 4 คืออัตตา จิตที่เป็นอัตตาสะสมอัตตา เพราะฉะนั้นอัตตาของท่านจึงเรียนทั้งลืมตา มี พหิทธารูปานิ ปัสสติ ทั้งกระทบข้างนอกจึงต้องเรียนรู้รูปทั้งหมดอุปาทายรูป 24 กระทบจากข้างนอก ตาหูจมูกลิ้นกาย ปสาทรูป5 กระทบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 5 กระทบแล้วเกิดผลเป็นวิญญาณ คุณก็เรียนวิญญาณไป ตั้งแต่เป็นภาวรูป 2 เป็นเอกบุรุษหรือยังเป็นอิตถีภาวะอยู่ก็ต้องรู้ ถ้ายังเป็นอิตถีภาวะยังไม่เป็นเอกบุรุษ ไม่เป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกบุรุษที่ไม่มีกิเลสแล้ว เป็นพวกอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหาเป็นสหายสองเลย คุณก็จบ แต่ถ้าคุณยังไม่เป็นเอกบุรุษ คุณก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่หทัยรูปไปจนกระทั่งลักขณรูป 4 โน่นแหละ คุณจึงต้องเรียนรู้นามรูป รู้กายรู้จิตรู้องค์ประกอบ จิตที่มีการปรุงแต่งสังขารอยู่อย่างไรๆ เรียกว่าปรับทั้งยังมีกายสังขารและจิตสังขารต่างๆ แล้วล้างกิเลสให้หมด ชำระให้เกลี้ยงเกลาสมบูรณ์

 

ถาม: ติดตามข่าวการเมืองแล้วไม่สบายใจ กลัวว่าทหารจะไม่เอาจริง จะทำให้การปฏิวัติครั้งนี้เสียของ

พ่อท่าน:  การไปยึดว่าเขาจะเอาจริงไม่เอาจริง นั่นเป็นอนาคต เขาก็ยังไม่รู้ โดยเฉพาะเราเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะทำจริงไม่จริง ต่างก็ไม่รู้กันทั้งนั้นแหละว่ามันจะเป็นอย่างไร เขาไม่รู้เราก็ไม่รู้ อนาคตไม่มีใครรู้ แม้เขาจะเป็นอยู่จริงมีจริง เขาไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ตามแต่ ถ้าเขารู้ว่าที่ทำนี่กิเลส เขาก็หลอกลวงคนอื่นไป หรือเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาหลอกลวงประชาชน เขาทำอย่างจริงใจ เขาจริงใจจริงๆ เขาก็คิดว่าจริงใจ อาตมาก็ว่าเขาคงจะจริงใจ

 

สรุปแล้ว ยังเป็นเรื่องที่จะต้องเป็นไปอีกในอนาคต คุณจะมีความทุจริต หรือ มีความสุจริต ก็แล้วแต่กรรมกิริยาที่ทำอยู่ขณะนี้แหละ อนาคตยังไม่ได้เกิด แล้วเราก็ไปห่วงกังวลว่า เขาจะไม่เอาจริง ทั้งที่เราไม่รู้ว่าเขาจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ก็แสดงว่าเราไปเอาขันธ์ในอนาคตมาแบกมาห่วง  อย่างที่อาตมาพูดว่าเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำเพื่อชาติจริงหรือไม่จริง แล้วมันจะได้ผลจริงไหม อนาคตก็ยังไม่เกิดเลย อะไรต่างๆนานาพวกนี้ ล้วนแล้วแต่อนาคตที่ยังไม่เกิด จะเดามั่งไม่เดามั่งว่ามีหรือไม่มียังไม่รู้เลย นี่แหละสิ่งเหล่านี้ที่เรารวมแล้วเป็นอนาคตทั้งนั้นเลย ก็ไปเอาส่วนอนาคตมากังวลมาทุกข์มาร้อน ก็ทุกข์ร้อนกับอนาคต เอาอนาคตเข้ามา ถ้าเรายังไม่รู้หรือรู้ก็ตาม อนาคตก็เป็นเรื่องเขาทำ เราจึงต้องปล่อยวางหรือเราต้องวางใจว่า จะดีหรือไม่ดี มันก็เกิดจากเหตุปัจจัยกับการกระทำกรรมนั้นว่าดีหรือไม่ จริงๆมันก็จะเกิดให้ดูได้ในอนาคต ถ้าเหตุปัจจัยที่เขาทำในวันนี้ได้สัดส่วนของจริงมันดีทั้งหมด ก็จะได้ผลตามเหตุปัจจัยที่ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเดาไม่ออก หมอดูก็ดูยาก แต่ถึงจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามใจเถอะ มันก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจะไปยึดอะไรกันนักหนาแม้อนาคตอย่างนี้ก็ตาม

 

ถาม:  เราจะทำความเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร จึงจะวางใจได้

พ่อท่าน: ก็ศึกษาไปซิ อย่างอาตมาว่า อ้อ...เราไปยึด ใช่ไหมเราจึงทุกข์ เราคิดอย่างนี้แล้วก็อยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องอยากให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก ทุกอย่างเป็นตามเหตุปัจจัยของมัน อันที่พอเหมาะได้สัดส่วนดีเป็นมัตตัญุตาของเขาเป็นกัมมัญุตาของเขา เขาจะทำได้ขนาดไหนล่ะ ได้สัดส่วนเป็นกายกัมมัญญตา องค์ประชุมที่ได้สัดส่วนพอดีพอเหมาะ ก็เป็นงานอันพอเหมาะพอควรที่ท่านแปลว่า กัมมัญญุตา งานที่ได้สัดส่วนพอเหมาะพอดีตามปัญญาหรือตามเหตุปัจจัยที่มันเป็นจริง ไม่อย่างนั้นเราก็จะเดือดร้อนใจไปด้วย

 

เราเองก็ช่วยในด้านที่เห็นว่าเราจะช่วยได้ อันไหนเขาให้ช่วยเราก็ช่วย อยากช่วยแต่เขาไม่ให้ช่วยเราก็ช่วยไมได้อยู่ดี เราก็ว่าไปตามเพลง เขาเปิดช่องให้ช่วยก็ช่วย อย่างเขาให้สมัคร สนช. คุณก็ไปสมัครสิถ้าคุณเห็นเหมาะควร หรือเห็นใครเหมาะควรก็เสนอเขาไป ก็ช่วยกันทำ ที่เขาทำอยู่นี้ก็ดีแล้วทั้งนั้น อาตมาว่าดี

 

แม้เรายังไม่รู้ผล เราก็ส่งเสริม ให้กำลังใจ เพราะเรายังไม่รู้ผลไม่รู้เหตุปัจจัยในรายละเอียดสมบูรณ์เกี่ยวกับรูปกับนาม เกี่ยวกับคนเกี่ยวกับใจเขา ก็ไม่รู้ เดาไม่ออก ขืนเดาก็มืดหน้าเปล่าๆ

 

ถาม: หน้าเจปีนี้จะมี 2 ครั้ง คือ วันที่  24 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม และ 24 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน  ซึ่ง 132 ปี จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เหมือนมีนัยที่จะบอกให้คนกินเจมากขึ้น งดการทำบาป ให้ทำบุญมากขึ้น ก่อนหน้าเจพ่อท่านเทศน์ว่า คนกินเนื้อสัตว์บาปมาก กราบนิมนต์พ่อท่านเทศน์เน้นย้ำ

พ่อท่าน: พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบาป เรากินเนื้อสัตว์แม้เราไม่ได้ฆ่า แต่ก็เกี่ยวเนื่องให้ผู้อื่นเขาฆ่า เราก็มีส่วนตรงนี้แหละ จะเรียกว่าเราพัวพันด้วยเจตนา อุทิสสะ แปลว่าเจตนา อุทิสสมังสะ คือเนื้อที่มีเจตนา คือคนเจตนาฆ่า หมายเอาคนเจตนาฆ่า ซึ่งบาลีว่าสัญจิต จ ชีวิตังโมโรเปตุง สัญจิต จ คืออุทิสสะแปลว่าเจตนา เจาะจง มุ่งหมายประสงค์ คนมีเจตนามุ่งหมาย คือ สัญจิต จ มันมุ่งหมายอะไร ปาณาชีวิตัง คือชีวิตของสัตว์ โมโรเปตุงคือการฆ่า  ใครมีจิตเจตนามุ่งหมายฆ่าชีวิตสัตว์ให้ตาย เพราะฉะนั้นถ้าสัตว์ตายเพราะคนมุ่งหมายฆ่ามีสัญจิต จ หรืออุทิสสะแปลว่าฆ่าด้วยเจตนา ตั้งใจฆ่า ทำให้องค์ประกอบของปาณาติบาตครบ 

 

การทำให้ชีวิตสัตว์ตกล่วงมีองค์ประกอบอยู่ 5 ข้อคือ 1. สัตว์มันมีชีวิต 2. รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต 3. มีจิตคิดฆ่า 4. มีความพยายามฆ่า 5. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น องค์ประกอบของการฆ่าถ้าครบบริบูรณ์อย่างนี้ คุณจะบอกว่าคุณไม่เจตนาฆ่าไม่ได้  แต่ถ้าคุณฆ่าสัตว์ที่ไม่มีชีวิต ฆ่ากี่ครั้งก็ไม่บาป แม้คุณไม่รู้ว่ามีชีวิต แต่ถ้าสัตว์นั้นตายแล้วถึงคุณมีเจตนาฆ่าก็ไม่บาป เพราะคุณฆ่าร่างเปล่าๆ

 

แต่หากคุณดีใจว่าได้ฆ่ามันเพราะคุณไม่รู้ว่ามันไม่มีชีวิตแล้ว คุณก็ไม่บาปหรอก แต่คุณบาปตรงที่มีเจตนาอกุศล ทำไมถึงได้อยากฆ่าล่ะ นี่เป็นเจตนาที่เป็นบาปส่วนตัว แต่คุณไม่มีบาปเกี่ยวข้องกับสัตว์ตัวนี้เพราะมันไม่มีวิญญาณที่จะพยาบาทคุณแล้ว มันไม่รู้เรื่องมันตายไปแล้ว เหลือแต่ร่างเท่านั้น มันก็ไม่พยาบาทคุณ แต่ถ้าคุณฆ่ากายมัน มันพยาบาทนะ...นี่ทำร้ายกู ทำให้กูตาย เอาร่างกูไปกินมันก็พยาบาท

ถ้ามันตายแล้ววิญญาณตัดขาดไปแล้ว มันกายัสสเภทา ปรัมมรณา ไปแล้ว คือกายแตกแล้ว มันไม่มีองค์ประชุมแล้ว กายัสส แปลว่าซึ่งเป็นองค์ประชุมของรูปนามตอนนี้มีแต่รูปไม่มีนามแล้ว จิตวิญญาณไม่มีแล้ว มีแต่รูป ไม่มีกาย ไม่มีองค์ประชุม ไม่มีกายัสสะ มันแตกมันแยกกันแล้ว กายัสสเภทา

 

ถาม: คนมุ่งหมายกินกับคนมุ่งหมายฆ่าถือว่าอันเดียวกันใช่ไหม

พ่อท่าน: ใช่ คนมุ่งหมายกินกับคนมุ่งหมายฆ่าจึงเป็นอันเดียวกัน ดีไม่ดี คนมุ่งหมายกินจะบาปกว่าคนมุ่งหมายฆ่า เพราะคนที่บอกว่า เอาสัตว์นั้นมาฆ่า ไปลากมันมาฆ่าแล้วเอามากิน คนที่รับคำสั่งแล้วไปฆ่า เขาอาจจะไม่กิน เขาแค่ทำตามคำสั่งที่ให้เอาสัตว์นั้นมาฆ่า แต่คนสั่งแน่นอนคุณต้องกิน เพราะคุณจะกิน คุณก็บาปมากกว่าเขาแน่ ส่วนคนที่ฆ่าไม่มีเจตนาไม่ได้อยากฆ่า แต่เขาทำกรรมนั้นตามสั่งเท่านั้น เหมือนกฎหมายเอาคนสั่งติดคุกมากว่าคนทำ ก็ฉันเดียวกัน คนกินนี่แหละจึงคือผู้ออกคำสั่งฆ่า คนกินจึงบาปหนักกว่าคนฆ่า แต่ถ้าจะว่าไปแล้วมีอีกมุมมองหนึ่ง ถ้าคนฆ่าก็อยากกินด้วยอยากเอาไปขายเอาเงินด้วย ทำลายชีวิตมันด้วย ก็ยิ่งบาปหนักกว่าอีกอย่างซับซ้อน ยิ่งนำไปเป็นอาชีพยิ่งหนักร้ายกาจ เพราะขี้โลภเงินทองลาภยศที่จะเอาจากการฆ่าการขายชีวิตสัตว์ โอ้โฮ...มันบาปหนักซับซ้อนเลยคนฆ่าสัตว์ เพราะฉะนั้นถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่เขาก็ทำบาปต่อไป เราก็ห้ามไม่ได้หรอกจะบอกว่าเขาบาปยิ่งขึ้นไหม มันก็บาป ทุกกรรมที่เขากินนั่นแหละ

 

ถาม: วันก่อนมีเรื่องหมูในประเทศจีนกระโดดลงจากรถบรรทุกที่นำมันไปฆ่า แต่ไม่ตาย มีผู้นำไปสถานีตำรวจ ทางตำรวจก็เลี้ยงเอาไว้เลย

พ่อท่าน: วิบากมันดีรอดพ้นได้ เป็นวิบากส่วนตัว บางตัวโดดลงมาตายก็มี นี่มันไม่ตาย ทั้งที่ตัวมันอ้วนมากด้วย มันมีบารมี มีกุศลที่ไม่ตาย เป็นอภินิหารอย่างหนึ่ง เป็นเหตุปัจจัยของมันหรือคนที่รถชนกันแล้วไม่ตาย รอดได้ทั้งที่โอกาสรอดมีนิดเดียว ไม่ใช่เรื่องฟลุค มันมีเหตุปัจจัย ต้องมีพลังงานละเอียดลออ ต้องมีการจัดสัดส่วนอย่างนั้นอย่างนี้ให้คนนี้รอดพ้นได้ ก็เป็นปาฏิหาริย์ที่คนนึกไม่ถึง

 

ถาม:  แสดงว่าหมูฉลาด มันจึงรู้จักหนีตาย

พ่อท่าน: มันต้องมีความคิด ตัวอื่นทำไมไม่คิดอย่างนี้บ้าง ก็ดูซีหมูมีตั้งหลายสิบตัว  ทำไมหมูตัวนี้คิดหนี บางตัวอาจคิดแต่อั้นตู้ไม่รู้จะหนียังไง จะออกไปยังไงวะ  แต่ตัวนี้มันคิดได้ว่าต้องทำอย่างนี้ๆแล้วกระโดดลงมาเลย มันคิดได้แสดงว่ามันฉลาดนะ

 

ถาม:  เคยมีนักข่าวเล่าว่า เขาขับรถตามหลังรถบรรทุกหมูไปโรงฆ่าสัตว์ หมูตัวหนึ่งคล้ายตัวนี้ มันกระโดดจากรถและวิ่งหนีตายสุดชีวิต ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นหมูวิ่งเร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่มันอ้วนมาก เขาเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา เห็นแล้วสงสารว่า โอ..มันหนีเอาชีวิตรอดขนาดนั้น

พ่อท่าน: แน่นอน สัตว์ทุกตัวก็ต้องหนีเอาชีวิตรอดทั้งนั้นแหละ แต่มันหมดทาง มันต้องจำนน

 

ถาม: สงครามอัตตาบ้านราชที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเจ พวกเราได้เรียนรู้อะไร

พ่อท่าน: สงครามอัตตา ก็ต้องเรียนรู้อัตตาของตนเอง มุมไหนล่ะที่เราไปยึดจนไม่รู้จักประนีประนอม ไม่รู้จักผ่อนปรนก็เรียนรู้ลดละจนกระทั่งเราไม่มีอัตตา หมายความว่าเราก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ขนาดนี้เราก็วาง มันก็จะจบ เป็นไปตามธรรม แต่ที่มันไม่จบไม่ยุติ ก็เพราะเราจะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ อีกคนก็บอกว่าไม่ให้ๆๆ ก็ดึงดันกันอยู่นั่นแหละ ถ้าคนไหนหย่อนซะยอมซะ ก็จบ เป็นไปตามธรรมเป็นไปได้เลย แต่ถ้าไม่มีใครยอมมันก็ยึดอยู่ย่างนั้น มันก็เป็นอัตตาอยู่เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นใครยอมก่อน คนนั้นชนะ นี่คือสัจธรรมนะ

 

ในทางตรงข้ามโลกโลกีย์ ใครยอมคนนั้นแพ้ มันต้องไม่ยอมถึงจะชนะ แต่ในโลกุตระคนยอมก่อนเท่านั้นจึงชนะ มันเข้าใจยากนะ มันชนะตรงไหนวะ...ก็มันยอมไปแล้ว...มันก็แพ้ซี

 

ถาม: บางคนบอกว่าทำให้เกิดภาพ ลูกๆไม่เชื่อฟังพ่อท่าน

พ่อท่าน: ไม่ใช่ไม่เชื่อฟัง  แต่เขามีอิสระในความคิด ส่วนหนึ่งเขาเชื่อ ส่วนหนึ่งเขาไม่เชื่อ เพราะเขาคิดว่ายังเป็นไปได้ อาตมาก็เปิดโอกาสให้เขาคิด เปิดโอกาสให้เขาวิจัย ให้เขาใช้ปัญญา ใช้ความเหมาะควร ใช้สัปปุริสธรรม 7 ว่าเหตุการณ์นี้ สังคมกลุ่มนี้ขนาดนี้ สังคมเขาสังคมเรา สังคมส่วนใหญ่ยอมรับเราเท่าไหร่ กาละนี้สมควรหรือยัง เหตุปัจจัยต่างๆมากน้อยก็เป็นองค์ประกอบทั้งนั้น  เขาก็หาความจริง มีหลักฐานมีข้อมูลมายืนยันชัดเจน อะไรดีเราก็เอา  อาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น อาตมาไม่ได้เผด็จการจนไปข่มว่า ....อย่ามาเถียงฉันนะ ฉันว่าอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ....อาตมาไม่มีจิตยึดเป็นอัตตาเป็นตัวตนของกู เป็นอำนาจบาตรใหญ่ เป็น CEO ใหญ่

 

     บทสรุป

สงครามอัตตาที่บ้านราช

ชี้ภาพผู้นำที่หมดอัตตา

จึงมีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

เราทุกคนจึงมีสิทธิ์มีเสียง

ไม่ได้ถูกครอบงำทางความคิด

ยอมรับกติกาของเสียงข้างมาก

ใครคิดถูกคิดผิดต้องประเมินและรับผิดชอบ

สงครามอัตตาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

แต่คือความจริงของทุกคน

ได้รู้จักตัวเองได้เกิดปัญญามีวิสัยทัศน์

ได้สัมผัสความเครียดจากการยึดถือ

เราจึงได้เรียนรู้อัตตาเพื่อปล่อยวาง

สงครามอัตตาที่บ้านราช

จบลงแล้วอย่างงดงาม


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:50:36 )

571015

รายละเอียด

571015_สรรค่าสร้างคน(16) วนบ​. เรื่อง ลักษณะชุมชนเข้มแข็ง ตอน 2

พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบ 32 ปีชมร. ที่สันติอโศกก็จะจัดงานกัน ชมร.เปิดตอนปี 2525 ตั้งแต่เปิดโรงบุญ เสร็จแล้วก็เปิดร้านค้า ไปอาศัยวังสราญรมย์เปิด ไม่มีเลยในโลกที่จัดงานใหญ่ ตื่นเต้นกันมากเลย ย่ิงใหญ่ โรงบุญฯ ตอนนั้นเราเรียกโรงทานครั้งที่ 1

 

การใช้อาหารเป็นสื่อกับสังคม จนมาถึงทุกวันนี้ มังสวิรัติก็ดูดี ขึ้นหน้าขึ้นตา แม้แต่ในอีสานที่ไม่เอาถ่านก็ตื่นตัวมาได้ ก็น่าดีใจภาคภูมิใจ เป็นเรื่องที่เราอยู่กับสังคมก็ทำกับสังคม จนเกิดหมู่กลุ่มสังคมอโศก เป็นชุมชนเข้มแข็ง ที่เข้มแข็งเพราะมีระบบบุญนิยม อาตมาก็เคยอธิบายไปแล้ว

 

ชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งมีลักษณะ 14 ประการ

1.เป็นสังคมที่เห็นได้ชัดว่าเป็นสังคมคนมีศีล มีคุณธรรม มีอาริยธรรม

 

ชาวอโศกยืนยันว่าสังคมต้องมีศีลเป็นหลัก เราไม่ได้ทำเล่น แต่เราชัดเจน เราใช้ศีลเป็นหลักของสังคมเลย หากใครมาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เราก็เอาเรื่องจริงๆ หรือแม้แต่ศีลข้อ 3 หากใครทำไม่ถูก เราก็ชำระไม่ปล่อยปละละเลย ถ้าชุมชนเราเป็นเช่นนี้ไปตลอด เราทำมา 30 กว่าปีแล้ว เราเห็นผลเห็นคุณค่า เป็นสังคมอาริยะ(มีศีลเป็นอาริยะ มีการสำรวมอินทรีย์เป็นอาริยะ มีสติเป็นอาริยะ มีความสันโดษเป็นอาริยะ)

 

จะเป็นอาริยะจริงๆต้องถึงจิต จิตต้องบรรลุ จะบรรลุได้ต้องศึกษา แล้วอ่านจิตเราว่าได้บรรลุไหม?​จะกดข่มเฉยๆก็ได้ ได้นานเหมือนกัน แต่ก็ต้องมีอธิปัญญา เป็นส่ิงรู้ได้ยาก แต่ก็ต้องยืนยันกันด้วยพฤติกรรมจริง อาศัยกาลเวลา และก็ความจริงของตนเอง ยืนยัน อยู่ด้วยกันก็พอรู้กัน บอกกันได้

 

ในความหมายของพระพุทธเจ้าที่ตรัสถึง ศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษ อันเป็นอาริยะ คือประพฤติอย่างวิชชาจรณะ เป็นการศึกษาของพุทธ

 

มีสำรวมศีล สังวรอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นจรณะที่ปฏิบัติแล้วจะเกิดฌานเกิดสมาธิ

 

การปฏิบัติที่ทำกันทั่วไปไม่เป็นอาริยะเพราะไม่รู้จักสักกายะ และไม่ได้ปฏิบัติให้พ้นศีลพตปรามาส ลดละกิเลสไม่ได้ผล ก็ไม่เป็นอาริยะ แต่คนที่ปฏิบัติถูกธรรมพระพุทธเจ้า อยู่ในสังคมส่ิงแวดล้อมด้วยกันก็จะพอบอกกันได้ และเรียนรู้กันว่า ปฏิบัติจรณะอย่างไร? ซึ่งสังคมอโศกเราทำได้

 

อาริยะ หรือที่เขาใช้กันทั่วไปว่า อารยะ หรือ civilization นั้นความมุ่งหมายเดียวกันคือต้องการความเจริญ เหมือนกันทั้งโลก แต่ความเป็นจริงแล้ว คนเจริญ คนประเสริฐแท้จริงเป็นคนเช่นไร เราก็นิยมว่าคนมีศีลมีคุณธรรม คนเป็นอาริยะนี่แหละคือคนเจริญแท้จริง แล้วตรงกันข้ามกับที่โลกเขามุ่งมั่นด้วย เขาว่าจะต้องเจริญทางรวย ทางวัตถุ หรูหราฟู่ฟ่า เป็นเจ้าเป็นนายเป็นใหญ่เป็นโต ก็เลยไปกันใหญ่

 

โดยแนวลึกของสังคมมนุษยชาติ นั้น การจะมุ่งไปแข่งรวย โดยแย่งจากคนอื่นมาให้เราได้มากๆ แล้วมันสงบสุขไหม?​แล้วอย่างนี้เรียกว่าสังคมเจริญได้อย่างไร เป็นสังคมแย่งชิง แต่การเจริญจริงต้องเป็นสังคมไม่แย่งชิง ช่วยเหลือเฟือฟาย เขาก็เข้าใจกันเช่นนี้ มหาอำนาจโลกก็เลยดูเหมือนทำเช่นนั้น แต่ก็เต็มไปด้วยอำนาจบาทใหญ่ ช่วยก็ช่วยไม่จริง ไม่บริสุทธิ์ ช่วยเพื่อให้ตนได้ประโยชน์ถ้าไม่ได้ก็ไม่ช่วย มีนัยซับซ้อนเยอะแยะมาก

 

และที่อาตมามั่นใจคือ เขาแย่งกันไปรวย แล้วมันจะสงบได้อย่างไร คนที่ไม่แย่งกันรวย แต่แย่งกันมาจน เอาชัดๆเลย เป็นคนไม่ต้องสะสม ไม่รวยแบบมีทรัพย์สินมาก แต่อยู่ได้อย่างดีราบรื่นด้วย อย่างอโศกพิสูจน์มาแล้ว ประเทศไทยมีบุญที่มีในหลวงที่มีพระปัญญาธิคุณยอดเยี่ยม ที่บอกว่าเราต้องบริหารแบบคนจน เป็น The great word เป็นคำตรัสที่ย่ิงใหญ่มาก แต่คนไม่ค่อยเข้าถึงไม่เข้าใจ ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร เป็นคนจนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร เขาคิดไม่ออก ไม่น่าเป็นไปได้ แล้วชาวอโศกเราเป็นไปได้ไหม? พวกเราอยู่กันรู้เลยว่าเราไม่ได้ไปรวย แต่คนเข้าใจก็รู้ แต่บางคนก็จนไม่ค่อยลงเท่านั้น แต่ผู้เข้าใจถึงฐาน ก็มีจริง ไม่ติดใจไม่ต้องสะสมเงินทอง ผ่านมือไปเหมือนวัตถุที่ต้องใช้ตามกาละ ผู้ที่รู้จริงเห็นจริง เรามีอาการเช่นนี้ ไม่หวงแหน ก็ให้ใช้ตามฐานะใช้สอย ตามหน้าที่ อาจมีท่าทีห่วงบ้างแต่ก็ไม่ได้อยากได้เป็นเราเป็นของเรา แต่ก่อน ก็อยากได้เป็นของเรา นี่คือยืนยันได้ว่าเป็นคนเจริญ สังคมที่เป็นเช่นนี้ เขาเข้าใจยากว่าเป็นสังคมเข้มแข็ง เขาก็คิดว่าสังคมเข้มแข็งต้องมีทุนใหญ่มาก แล้วให้คนกู้ยืม เป็นอำนาจ การมีเงินก้อนแล้วได้เป็นเจ้าหนี้เป็นอำนาจบาทใหญ่นะ เป็นเจ้าบุญคุณ มีฤทธิ์เดชนะ ใช้กดหัวลูกหนี้ได้ โลกียะเป็นอำนาจเช่นนี้ แต่พวกเราไม่ได้ใช้วิธีนี้เลย แม้เราจะหาได้มาก มีรายได้มากสะพัดออกไปแจกจ่าย เราไม่เคยใช้เงินเป็นอำนาจเลย แล้วเราชุมชนเข้มแข็ง ส่วนชุมชนที่ไม่แข็งแรงก็ต้องใช้เงิน ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่คำ้จุนนี่คือชุมชนอ่อนแอ แต่ถ้าคนแข็งแรง สังคมแข็งแรงไม่ต้องสร้างอำนาจนี้ให้แก่ตนเองเลย เรื่องสัจจะเป็นเช่นนี้

 

แล้วชาวอโศกปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะได้คุณธรรมอาริยธรรมเช่นนี้ นี่คือลักษณะชุมชนเข้มแข็ง ข้อที่ 1 เป็นเช่นนี้

 

คนที่อ่อนแอ ก็ใช้เงินเบ่งข่มเป็นเจ้าหนี้ แม้แต่แฝงว่าฉันเป็นคนให้นะ เป็นคนบริจาคนะ เป็นการสร้างอำนาจชนิดหนึ่ง แต่พวกเราอย่าไปสร้างจิตเช่นนี้ เราก็เป็นเพื่อนร่วมโลกในการเกื้อกูลกันไม่ได้คิดบุญคุณ ทวงบุญคุณว่าเราได้ช่วยเขาแต่อย่างใด ต้องฟังให้ดีแล้วทำใจในใจให้ถูกตรง

 

ที่ต้องใช้ชาวอโศกยืนยันก็เพราะทำได้แล้ว มาดูได้

2.เป็นสังคมที่พึ่งพาตนเองได้ไม่เป็นภาระผู้อื่น

 

อันนี้เรายืนยันได้ แม้ไม่รวย แต่พึ่งตนเองรอด ไม่เป็นหนี้ ไม่เบียดเบียนใคร มีแต่ให้คนอื่นพึ่งพาได้ ยกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วม เราก็ทำได้ พึ่งตนรอด จะพึ่งตนรอดก็ต้องมีความรู้ความสามารถ และขยัน ไม่งอมืองอเท้า หลบลี้ขี้เกียจ แล้วก็ไม่สนใจพัฒนาสมรรถนะสามารถ ทำอาชีพ ทำงานต่างๆ ศาสนาไม่ได้สอนให้คนหยุดอาชีพ ไม่ใช่สอนให้หยุดทำงาน ไปปฏิบัติธรรมไปนั่งสมาธิ ไปถือศีล แล้วเขาบอกว่านี่คือปฏิบัติธรรม ไม่ได้ทำงานทำการเลย ประเด็นนี้อาตมาว่ามันเป็นเรื่องนอกรีตของพระพุทธเจ้าไกลลิบเลย พอปฏิบัติธรรมแล้ว เขาไม่ให้ทำงานเลย ให้สงบ แม้แต่คิดก็ไม่ให้คิดนะ มันตรงกันข้ามกับทางเอกของพระพุทธเจ้าเลย ในมรรคองค์ 8 คนปฏิบัติเช่นนั้น ไม่มีทางพึ่งตนเองได้ ต้องอาศัยพึ่งคนอื่นตลอดเวลา

 

พระบาลีที่สำคัญ คือ ปรทัตตูชีวกเปรต คือเปรตที่ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ แตกต่างกันคำว่า ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ซึ่งท่านแปลว่า ชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เป็นการเกื้อกูลกันอย่างแท้จริง ผู้มีคุณค่าประโยชน์มากกว่าก็จะได้รับการเคารพนับถือแท้จริง แต่ปรทัตตูชีวิกเปรตนั้นอาศัยผู้อื่นกินอยู่ เกาะเขากิน นั่นเอง ต่างกัน

 

ผู้ทำให้จิตวิญญาณเจริญเป็นอาริยะ จนมี มากหรือน้อยก็แล้วแต่มีจริง ผู้อื่นจึงอนุเคราะห์เลี้ยงไว้ เราพึ่งตนได้จริง เหลือก็เผื่อแผ่คนอื่น ต่างกับปรทัตตู ป ชีวี ที่เอาแต่เกาะคนอื่นกิน

 

สังคมไม่เข้าใจก็แปลว่า เป็นเปรตที่มีสิทธิ์ได้รับส่วนบุญ ที่ผู้อื่นอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ ปรทัตตู ชีวกเปรตนี่แหละจะเป็นผู้รับได้ ต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ แต่คนละมุมกับปรปฏิพัทธาเมชีวิกา อันนี้เป็นผู้ที่ต้องเคารพยกย่องเชิดชูเป็นผู้มีคุณค่าแท้จริง ส่วนปรทัตตูชีวกเปรตเป็นเปรตแท้

 

ที่พูดนี่ไม่ได้ไปว่าไปลงโทษนะ แต่สาธยายวิชาการธรรมะให้ฟัง ผู้ใดฟังแล้วว่าเราเป็นผู้เกาะสังคมกิน หรือว่าเรามีคุณค่าแก่สังคมเพียงพอ ให้เขาทำทานกับเรา

 

สังคมทุกวันนี้ต้องการคนกิเลสน้อย เห็นแก่ตัวน้อย และคนที่มักน้อยสันโดษอย่างฤาษีที่เขาออกป่าเข้าถ้ำ เขาก็บอกว่าไม่เห็นแก่ตัว เขาไม่แย่งชิงสังคม แต่เขาเห็นแก่ตัวจัดที่เอาแต่อยู่กับตัวเอง เอาแต่กิน นอน เยี่ยว รอเวลาตาย ที่อินเดียมีเยอะเลย แล้วเรียกตนว่าพระกรรมฐาน พระธุดงค์ หนีความเป็นสังคม หนีการงาน หนีสมรรถนะความสามารถ อาศัยเขากินอยู่เท่านั้น ที่อาตมาพูดนี้เป็นสัจธรรมวิชาการทางศาสนา ด้วยความจริงใจ พูดความจริงใครได้สำนึกบ้างก็ดี แต่ไม่ก็แล้วไป อาตมาก็ต้องพูดความจริงนี้

 

คนพึ่งตนเองได้ คือคนมีสมรรถนะความสามารถ แล้วตีค่าของงาน คือการกระทำ สูงค่าเกินตนกินใช้มาก ทางโลกีย์เขาก็ตีราคากันสูง เกินความเป็นจริง เอาความนิยมทางสังคมมาตีค่า แม้แต่อบายมุข แต่เด่นดังก็เลยให้ค่าให้ราคากันมาก ต้องไปคิดคุณค่าซ้อนในอุปสงค์อุปทานคือความต้องการจำเป็นของสังคม คนชนิดนี้ทำงานอย่างนี้แหละ

 

ยกตัวอย่างเช่น สังคมต้องการคนมาจน ใครมาจนได้แต่มีสมรรถนะ สามารถมาก แต่ตนเองจนๆๆ อย่างปธน.อุรุกวัย เป็นปธน.จนที่สุดในโลก ใครก็ต้องการ จนนี่ยิ่งใหญ่นะ ปฏิภาณคนก็เข้าใจว่าต้องการคนเช่นนี้ ในสังคมโลก ถ้าทำได้จริง สังคมก็สุขเย็น อยู่รอด คนมีความรู้สามารถแต่ทำงานให้สังคม ตนเองไม่เอา เอาคุณค่าสะพัดแก่สังคม ตนไม่เอา แต่เขาจะให้ เพราะโดยกรรมกิริยาตนทำก็ต้องรับผลนั้น จะเป็นวัตถุเป็นเครื่องยืนยันประกอบก็ไม่ต้องเลย

 

ประเทศไทยมีบารมีมากที่ในหลวงทรงตรัสวิธีการบริหารปกครอง แบบคนจน นี่ย่ิงใหญ่มาก เมื่อไหร่จะเอาไปเป็นวิธีการบริหารประเทศได้ มีสุดยอดอัจฉริยะมาบอกให้แล้ว แต่นักรู้ ปราชญ์ทั้งหลายในประเทศไม่กระดิกหูเลย มันน่าสงสารประเทศไทย ถ้าเป็นประเทศอื่น จะมีผู้ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศ จะเป็นปธน.​หรือพระเจ้าอยู่หัวก็ตาม แล้วกล่าวนำอย่างนี้ขึ้นบ้าง ว่า เราเอาสูตรนี้ทฤษฎีนี้ มันจะเหมือนประเทศไทยไหม ที่พระเจ้าอยู่หัวตรัส เขาก็เฉย ไม่มีอะไรในสายลม ถ้าเป็นประเทศอื่นคนยิ่งใหญ่ในประเทศพูดเช่นนี้เขาจะเอาไปดำเนินการไหม? น่าจะนะ แต่ทำไมประเทศไทยถึงได้บื้ออย่างนี้ อาตมาสงสารประเทศไทยจริง ๆ ไม่มีใครทำเราก็ทำก็แล้วกัน ได้น้อยได้มากเราก็ทำ เป็นส่ิงยอดที่สุดในโลกแล้ว ถ้าเข้าใจแล้ว มาเป็นคนจนที่พึ่งตนเองได้ ในหลวงตรัส เราก็ไม่รวย แต่เราก็มีพอสมควร เราพออยู่ได้ ไม่ได้ถล่มและไม่ยกตนด้วย เราพออยู่ได้ เสียดายนะว่าในหลวงปางนี้ท่านเป็นปางเตมีย์ กับปางพระมหาชนก สองลักษณะนี้

 

ผู้ที่เข้าใจว่า ผู้พึ่งตนเองต้องทำงานมีสมรรถนะ ความรู้สามารถ แล้วเป็นคุณค่าสัจจะที่ทำได้ตามเศรษฐศาสตร์แห่งสัจจะแท้ของมนุษยชาติ เป็นความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง โลกต้องการคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนที่พึ่งตนและช่วยคนอื่นด้วย 

 

3.มีงานสัมมาอาชีพ กิจการที่เป็นสาระมั่นคง ...อาชีพของชาวอโศกเป็นอาชีพกระจอก คนอื่นเขาดูแคลน ชาวอโศกทำงาน เร่ิมต้นทำอะไร ทำน้ำยาซักผ้า ทำแชมพู ทำน้ำหมัก ทำอะไรกระจอกแต่เลี้ยงตนได้ ทำกสิกรรม ที่เขาเอาตัวเองไม่รอดแล้วชาวไร่ชาวนาเขาจนกันทั้งนั้นไปไม่ออก แล้วเราก็พากันทำกสิกรรม ทำไร่ทำนา เพื่อยืนยันว่าเรามีกิจการที่เป็นสาระ มีสัมมาอาชีพมั่นคง เพราะเรามองเห็นสาระว่าเราทำกสิกรรม ปลูกพืชผัก ปลูกข้าว เราก็ไม่ค่อยได้ขายหรอก เราแจกกันเสียส่วนมาก อาตมาบอกว่า ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่คือของที่ต้องแบ่งปันกันกินนะ จะขายอะไรก็ขายถูกๆนะ ถ้าเราทำข้าวได้มากได้ดี เราจะรวยเพราะข้าวก็เปล่า แต่เป็นอาชีพสาระที่เราจะยังชีพอยู่ในสังคม

 

ทุกวันนี้อาชีพที่เขาเห็นว่าพารวยพามั่นคง เขาก็แย่งกัน เราก็กลับมาหาอาชีพที่เป็นสาระ คือสามอาชีพกู้ชาติ คือ กสิกรรมธรรมชาติ ขยะวิทยา ปุ๋ยสะอาด แล้วจะกู้ชาติได้อย่างไร เขาก็ไม่ให้ใช้กู้ชาติ มันแรงไป เราก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น สามอาชีพเพื่อมนุษยชาติ แล้วอาชีพขยะมันจะกู้ชาติอย่างไร

 

พูดถึงกสิกรรมธรรมชาติก็พอเป็นไปนะ มีแนวลึก อาตมาก็ไม่ส่งเสริมว่าทำกสิกรรมแล้วจะพารวยก็ไม่ใช่นะ ขอให้อุดมสมบูรณ์ให้มีปริมาณและคุณภาพที่ดี ไม่ต้องห่วงเลย เราสะพัดได้แน่ไ่ม่ปล่อยให้เน่าคาโกดังหรอก

 

ปุ๋ยก็ดูมีภาวะดีขึ้นทำไมปุ๋ยจะเป็นอาชีพได้ เพราะบ้านเมืองเรามีอาชีพกสิกรรมแล้วอาหารของกสิกรรมคือปุ๋ย ก็เป็นเรื่องง่ายๆ พวกเราก็ทำกันขึ้นมาได้ ทำให้ดี มีคุณภาพดีแล้วก็แจกจ่ายเจือจาน จะค้าขายก็ทำบ้าง แต่เพื่อมนุษยชาติ ทำให้เกิดทรัพยากรของชาติ ธรรมชาติ มนุษย์ ที่ต้องอาศัยใช้กิน

 

ส่วนขยะก็ค่อยๆทำกันไป อาตมามองเห็นว่าขยะไม่มีวันจะหมดวัตถุดิบไม่มีวันจะหมดต้นทุน ถ้าขวนขวายไม่มีทางหมดเลย และมันจะช่วยสังคมอย่างลึกซึ้งนะ อาตมาก็เขียนในหนังสือแสงสูญ ว่ามีขยะตั้งแต่วัตถุจนถึงขยะในจิต ขยะทางกรรมกิริยาก็เป็น ขยะสังคม ย่ิ่งจิตวิญญาณที่เป็นขยะหากจัดการได้ก็ยิ่งวิเศษ เราเข้าใจทำสาระให้มั่นคงเป็นอาชีพ คือสิ่งที่เราทำจริงจังเป็นอันมาก ที่จะยังชีพเราและสังคมให้แข็งแรงมั่นคง ทำไปได้นาน ปลูกข้าว ปลูกธัญญาหารทำไปได้นาน กี่ล้านชาติก็ทำไป ยิ่งเราทำได้มากก็ไม่ต้องห่วงเลย อาหารเป็นหนึ่งในโลก

 

นอกนั้นจะเป็นอาชีพที่เป็นความสำคัญของสังคม ทุกวันนี้อาชีพการสื่อสาร โทรทัศน์ สำคัญแล้วในสังคม เราก็ทำให้แข็งแรง เป็นอาชีพที่จะช่วยสังคม เราก็ทำไปอย่างหนักหนา เพราะมันแพง มันต้องเช่าดาวเทียม เราไม่มีปัญญาเช่าดาวเทียมเองหรอก หรือเครื่องมือเราก็สร้างเองไม่เป็น เราก็ต้องซื้อเขา ยิ่งใหม่ๆยิ่งแพง เราก็ไม่ไปแข่งเขาหรอก แต่เราทำไปให้ได้ดีก็พอ ที่สำคัญของเราไม่ได้หารายได้ ที่สำคัญคนมาช่วยงานไม่ได้จ้างใครด้วย ต้องมาช่วยฟรี ทำด้วยน้ำใจ อาตมาว่า คณะไหนที่ไหนๆก็แล้วแต่ แม้แต่ในสถานีการกุศลก็ยังยากนะที่จะได้คนไม่ต้องจ้างมาทำงานฟรีให้ ก็ยาก มันต้องอาศัยความเข้าใจ ปัญญา พวกเราก็มีบารมี มีคนมาช่วยอยู่ มีคนรู้เข้าใจมาช่วยกันเพ่ิมขึ้น อาตมาก็เชื่อว่าในอนาคตจะมีคนเข้าใจเข้ามา โดยเฉพาะพวกรุ่นต่อๆไปของชาวอโศกที่มีพื้นฐานแล้ว เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยสังคมได้มาก โดยเฉพาะโทรทัศน์นี่ มันออกไปทางอินเทอร์เน็ต มันรวมอยู่ในตัว ต่อไปในอนาคตจะมี เทคโนโลยีมากขึ้นกระจายได้มากในอนาคต จะขยายตัวไป อาตมาว่าเป็นความจำเป็นที่เราจะทำ ไม่ทำเราก็ไปไม่ออก อยู่ยาก จำเป็น ในเงื่อนไขที่ว่าเราไม่ได้หาเงินเลย มีแต่ใช้เงิน ถ้าต้องจ้างคนแล้วอยู่ไม่ได้หรอก ต้องอาศัยคนเข้าใจ มีปัญญาความจริง มีแก่นพอได้ พวกศิษย์เก่าก็พอเข้าใจจะมาผนึกช่วยกัน ก็เป็นนิมิตดี เราไม่ได้บังคับ ใครมีปัญญาเข้าใจช่วยกันก็มา เราไปบังคับใครไม่ได้ จะต้องมีฉันทะ เข้าใจ เขาเป็นได้ในตัวเขาเองว่ามาแล้ว เขาจะอยู่รอดไหม? ก็พอเป็นไป

 

นี่คือสัมมาอาชีพ แม้แต่การศึกษาเป็นทิ้งไม่ได้ จะไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาไม่ได้เลย ย่ิงอาตมาเห็นว่าการศึกษาของโลกล้มเหลว ศึกษาไปเห็นแก่ตัว ไปทำร้ายกัน ไม่ได้เป็นการศึกษาที่มีศาสน์ ไม่มีคุณธรรม เป็นความรู้ที่ไม่ได้รับใช้สังคม แต่เป็นความรู้ปล้นเอาเปรียบสังคม ถ้าคนไม่ได้เกิดจิตใจที่ยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งเสียสละช่วยสังคมจริง แต่กลับเอาความรู้ไปเป็นอาวุธ เอาเปรียบสร้างความร่ำรวยสร้างอำนาจให้ตน ศาสตร์นี้ก็ยิ่งซวยสิ เป็นค่ารวมของโลกนะไม่ได้ว่าใครเฉพาะ

 

การศึกษาของโลกหากทำให้มีความรู้ที่เสียสละ สังคมโลกจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่ไม่ใช่เช่นนั้น กลายเป็นไปอีกทาง จะต้องมีอำนาจ รวย ยิ่งใหญ่กว่าทุกประเทศ พูดไปแล้วยิ่งนึกถึงพระราชดำรัสในหลวง ที่ว่าอย่าไปเอาตามตำราเขาเลย อย่าหลงตำรา ปิดตำราเสีย คนไปหลงตำราที่เรียนกัน คำว่าตำราคือส่ิงที่เรียนกันทั่วโลก วิชาการ ท่านตรัสไว้คมคายลึก คนที่ทำงานวิชาการจะต้องพึ่งตำรา เสียบเข้าไปลึก

 

“...คนที่ทํางานตามวิชาการจะต้องพึ่งตํารา

เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น

เขาบอก “อนาคตยังมี”  แต่ไม่บอกว่าให้ทําอย่างไร

ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา  ปดตําราแลวไมรูจะทําอะไร   

ลงทายก็ตองเปดหนาแรกใหม่  เปดหนาแรกก็..

เริ่มตนใหม ถอยหลังเขาคลอง 

แตถ้าเราใช้ตํารา“แบบคนจน” ใช้ความอะลุมอลวยกัน

ตํารานั้นไมจบ..  เราจะกาวหนา “เรื่อยๆ”

(พระราชดํารัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534)

 

แบบมักน้อย คือแบบคนจน ปรารถนาน้อย ต้องการมีน้อยไม่ต้องการความมีมาก อาชีพที่มั่นคง เลี้ยง  ชีวิต คืออุดมการณ์ชีวิตว่าจะต้องมาอยู่แบบคนจน ชาวอโศกยึดหัวหาดนี้ได้ แล้วมีความรู้ไปกับโลกเขาได้สร้างสรร ขยันเพียร คุ้มกินคุ้มใช้พึ่งตนรอด เหลือก็เผื่อคนอื่น เลี้ยงคนอื่นได้ คนจนนี่ดีกว่าคนรวยที่ไม่เลี้ยงใคร ถ้าสังคมมีแนวคิดว่าอย่าสะสม มาเกื้อกูลกัน จะอุดมสมบูรณ์กันทั่วโลก จะอยู่ไปถึงรุ่นลูกหลานเหลนโหลนไม่พร่องไปมากเลย แต่นี่ต่างคนต่างหาต่างคนต่างโลภ กอบโกยให้โลกนี้หมดทรัพยาการไปทั้งโลก ขนาดทุกวันนี้โลกแย่มาก ทำลายทรัพยากรโลกกันมาก เขาก็ยังไม่รู้ไม่เปลี่ยนอุดมคติ ที่จะมาจนทำให้โลกรอดได้

 

อาตมาสรรค่า สร้างคน คนที่เข้าใจแนวคิดนี้ก็มาร่วมกันทำ ช่วยเกื้อกูลกันไป ไม่มีแนวทางไหนเห็นว่าดีกว่านี้อีกแล้ว

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็นหรือสรุป...

_หนูเคยอ่านประวัติของพระอรหันต์ที่ท่านอาพาธ แล้วท่านฆ่าตัวตายท่านจะบาปไหม?

ตอบ...ตอบตรงๆว่าบาป แต่ก็เป็นวิบากของท่าน เรื่องวิบากคือมีผลหลายอย่าง คนทำวิบากปาป แต่ปางก่อนมาถึงชาตินี้ต้องรับโทษภัย ก็ถึงคราวเลี่ยงไม่ได้สุดทางแก้ก็เลยต้องถูกวิบากทวงเอา

 

_อาชีพที่สำคัญอีกอย่างที่ขอเพ่ิมเติม คืออาชีพการเมือง ซึ่งอาชีพ การศึกษา สื่อสารก็ไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน และการเมืองนี่ก็ด้วยไม่ใช่อาชีพที่จะไปหาเงิน เราทำนี่เขาไม่ถือเป็นการเมือง เขาหาว่าทำกระจอกๆ แต่การเมืองที่เขาว่าคือต้องมีตำแหน่งแต่งตั้ง แต่ของเราคือการเมืองภาคประชาชน

 

การศึกษาคือการสร้างคน ที่อาตมาทำนี่คือการศึกษาทั้งนั้น แล้วเกิดเป็นสังคมหมู่กลุ่ม จนเป็นโรงเรียนเป็นวิทยาลัยก็มี แต่ที่ทำมาทั้งหมดคือการศึกษา แล้วการศึกษาพัฒนาคนให้เป็นคนเจริญ​ เป็นอาริยะ ประเสริฐหมดความเห็นแก่ตัว ทำงานรับใช้สังคม นี่คือการศึกษา จะทำอย่างไร อาตมาไม่มีสูตรสำเร็จหรอก ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจ แล้วผู้ใหญ่ก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย แต่ไม่ได้ผลเร็วเพราะสนามแม่เหล็กโลกีย์มันแรงมาก พวกเราเป็นสนามแม่เหล็กโกลุตระ ของพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้หนีโลกีย์ มันก็อยู่ในแรงของโลกีย์ เราก็ต้องอยู่ให้ได้ ทำตนให้นิวทรอน ให้สังคมดูดเราไม่ได้ เรามีอำนาจมีแรงที่จะดึงหน่วยโลกีย์มาเป็นประชากรสังคมโลกุตระนี้ให้ได้ การศึกษาของพวกเรานี่ไปได้ แต่ของเขาล้มเหลวแล้ว อาตมาไม่มีสูตรสำเร็จหรอก อย่าใจร้อนใจเร็วอยากได้มากๆตะกละก็แล้วกัน  

 

_พ่อครูพูดถึงชุมชนเข้มแข็ง ว่าต้องมุ่งมาจน และส่งเสริมให้ทำนาปลูกข้าวแต่ก็มีพวกเราก็ไปหาที่นาทำกัน จะเป็นเรื่องโอฬาริกอัตตามาหรือไม่นะ..

ตอบ...มันมีอัตตาว่าจะทำให้ได้ดั่งใจเรา หากจะไปทำเพื่อตัวเราอาจไม่ได้หมายเช่นนี้เต็มที่ คงเป็นเรื่องอัตตามนะว่าจะทำได้ดั่งใจมากกว่าเพื่อไปรวยส่วนตัวน่าจะเป็นเช่นนี้นะ เพราะมันดึงดันกันไปมาเช่นนี้  อย่างที่สม.กล้าข้ามฝันพูด เรากำลังปรับหลายที่เลย จะให้ทำกสิกรรมทั้งนั้นเลย


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:51:55 )

571016

รายละเอียด

571016_ความรัก10มิติ(9) เรื่อง มิติที่ 7 เทวนิยม

พ่อครูว่า...เราได้เรียนกันถึงมิติที่ 6 แล้ว ความรักในความหมายของคนทั่วไปนั้นกว้าง ศาสนาอื่นเขาใช้ความรักรวมไปหมดจนถึงความรักของพระเจ้า แต่ศาสนาพุทธแบ่งความรักเป็นความรักแบบกาม กับความรักที่ออกจากกาม มีการแยกแยะรู้เหตุในจิต ถึงเวทนาในเวทนาที่เป็นอารมณ์สุขทุกข์ชัดเจน มีธัมวิจัยสามารถแยกได้ รู้จักความสุขด้วยกาม รู้จักความสุขที่ลดกาม เรียกว่าสุขที่สงบจากกิเลส กิเลสลดลง กามลดลง เนกขัมมะได้ ใจก็สุขสงบ

 

ซึ่งคนละชนิดกัน แยกเป็นสุขโลกุตระที่ลดกิเลส สุขสงบ ว่างๆอทุกขมสุข อุเบกขาเฉยๆ เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้ ทุกวันนี้ศาสนาเสื่อมมากที่ไม่สามารถรู้สุขแบบเนกขัมมะเป็นอย่างไร ได้แค่รู้ว่าให้หยุดปรุงแต่ง หยุดคิด สมมุติมาว่าจิตเราอยู่เฉยๆ สะกดจิตไว้ เฉยๆอย่างมืด กับเฉยๆอย่างสว่าง สายมืดก็สายอ.มั่น สายสว่างก็ธรรมกายซึ่งออกนอกพุทธหมด

 

ทุกวันนี้อาตมาบังอาจมาว่าเขาผิดไปหมด อาตมาก็อายุย่างทศวรรษที่ 9 แล้วควรพูดได้แล้ว ก็ไม่บรรยะบรรยังเท่าไหร่ไม่ไว้หน้า อาตมาก็ได้พยายามพูดกันแล้วแต่ไม่เห็นกระเตื้องกันเลย ไม่แก้ไข เพราะมันมิจฉาไม่พานิพพาน ไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่สามารถรู้ความรักที่เจือไปด้วยกาม ด้วยกิเลส กิเลสมีทั้งกามทั้งภพ

 

อย่างนั่งสมาธิเป็นภพ เป็นความรักอย่างภพ เป็นรูปราคะอรูปราคะ สร้างภพในภวังค์ เป็นอาภัสราหรือไม่ก็สุภกิณหาก็เลยไม่รู้จักความเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีภพไม่มีชาติ ต้องรู้จักจิตวิญญาณรู้กิเลส จับกิเลสเป็น แยกแยะวิจัยวิจารโดยเฉพาะเวทนา 108 แยกมโนปวิจารได้ รู้เคหสิตเวทนา รู้การออกจากโลก เป็นเนกขัมมสิตเวทนา

 

ถ้าแยกเวทนาเป็นสองสายนี้ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่รู้อินทรีย์กิเลส มิติที่ 1 เป็นความรักทางกามชัดๆ เห็นแก่ตัวจัดมาก เห็นแก่ความรักที่ตนหึงหวงผูกพันเป็นตัวกูของกู แค่สองคน ไม่สามารถรู้ความจริงว่า ถ้าเป็นมิติที่ 2 ก็กว้างเผื่อมาถึงลูก นอกนั้นก็ไม่เผื่อให้ใคร อยู่แคบแค่มิติที่ 2 ลูกตนเอง ปุตปิตานิยม เป็นเรื่องของแค่พ่อ แม่ลูก หรือกว้างสูงเป็นมิติที่ 3 เห็นแก่ญาติบ้าง เป็นญาตินิยม เป็นโคตรนิยม ก็แค่นั้น มิติที่ 4 ก็ไปสู่มิตรสหาย สังคม แต่ก็ไม่รอบกว้างนัก ยังรอบแคบ ก็กว้างขึ้น จิตมีเผื่อแผ่มากขึ้น เป็นความรักหรือคุณธรรมช่วยเหลือเกื้อกูลกันเรียกว่าจิตสังคหะ ไม่ได้เห็นแก่ตัวกรอบแคบๆ เราก็กำหนดสภาวะจริง มาสู่มิติที่ 5 ชาตินิยม หรือรัฐนิยม ก็รักคนทั้งประเทศทั้งรัฐ มีจิตใจเผื่อแผ่มุ่งมั่นเห็นแก่ตัวน้อย ตนเองก็พึ่งตนรอด และก็ช่วยคนอื่น เป็นความจริงของจิตวิญญาณคน จนมิติที่ 6 สากลนิยม กว้างไปหมด ก็เอาเหตุปัจจัยวัตถุเป็นเครื่องชี้บ่างว่า จิตใจเราเป็นเช่นนั้นไหม? ถ้าเรารู้ว่าจิตเรากว่างไปได้ เป็นรัศมีของเหตุทางวัตถุมากกำหนดว่าเราอยู่ในกรอบขนาดไหน? เราก็จะรู้ว่าภูมิธรรมของตนสูงหรือต่ำ เราก็ไม่ทำแบบเตี้ยอุ้มค่อมด้วย รู้ประมาณตน เราจะสามารถจัดสัดส่วนประมาณได้ ว่าเราจะช่วยได้ขนาดไหน? มีสัปปุริสธรรม 7 ไปตามภูมิเรา

 

ทุกวันนี้ศิลปะกลายเป็นศิลเปรอะ หลอกลวงกัน แต่ศิลปะที่แท้จริงจะไม่เห็นแก่ลาภยศอามิส คือผู้ที่เป็นอาริยะที่แท้จริง แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง วรรณกรรม มอมเมากันเละเทะไปหมด มันอาจมีบางส่ิงที่พอจะเป็นไปได้ ที่เป็นสาระคุณค่าประโยชน์ ก็น้อย นอกนั้นเละที่เต้นกินรำกิน การละเล่น กีฬา มันมอมเมากันทั่วโลกเลย ทุกวันนี้ตกเป็นทาสกีฬา การละเล่นบันเทิงเริงรมย์ไม่ว่าจะเต้นแร้งเต้นการ่ำร้อง เป็นกิเลสแต่คนไม่รู้เท่าทันไปใหญ่ โอลิมปิกเอเชี่ยนเกมก็ตามทุกวันนี้เตะลูกเข้าโกลที่หนึ่งก็จะช็อคตาย เพราะมันปรุงแต่งจิตไปมาก เพราะมันนับค่าราคาไว้สูงมาก นี่คือความหลงไม่รู้เรื่องจริงๆ

 

เรื่องหลอกกันนี่มี 5 ชนิด

จิตรกรรม ปฏิมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม นาฏกรรมและดนตรีการ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ศิลปะ 5 อย่าง ไปมีศิลปะแบบต่างๆมากมาย ไม่เป็น pure art แล้ว มันออกนอกรีตไม่มีสาระหลงใหลแต่สุนทรียะ ไม่มีสาระศิลป์ ศิลปะจึงเป็นเรื่องมอมเมากันทั้งโลก คนก็เลยใช้ความรักชอบ จากผู้คนแวดวงมิตรสหาย ตัวมิตรสหายเป็นเหตุปัจจัยประกอบกัน เป็นความหลงความชอบ ความรักอร่อยส่ิงที่ติด หนักเข้าก็หลงอารมณ์ปรุงแต่งที่เรียกว่าศิลเปรอะนี่ คนก็เลยติดยึดอันนี้ย่ิงกว่ามิตรสหาย พวกพ้อง ประชากร ญาติ ย่ิงกว่าลูกหลาน หลงดารายิ่งกว่าลูกหลาน หลงอบายมุขยิ่งกว่าลูกหลาน เอาเงินทองไปถม ลูกหลานจะตายแล้ว นี่คือความล้มเหลวของสังคมที่ไม่รู้จักสาระอันสำคัญของสังคม ก็เลยพัฒนาไม่ได้ มีแต่จมไป มันมีซับซ้อนแม้แต่วิชาการ นักบริหารที่มีท่าทีองค์ประกอบปรุงแต่ง ท่าทีลีลา สุ้มเสียง สำเนียงภาษา ทุกวันนี้ ใช้ภาษาแสดงความรู้ สร้างค่ากัน ประพฤติไม่ติดดิน อยู่บนหอคอยงาช้างกัน ไม่ทำจริง เหมือนอย่างคานธีประพฤติจริง อยู่กับคนนี่แหละ

 

และในหลวงเรานี่ทำจริง แต่คนไม่เข้าใจ ท่านลดตัวมาปฏิบัติก็คำนึงถึงสารูปของพระเจ้าแผ่นดินท่านทำได้สมส่วนดีที่สุดแล้วท่านไม่ถือเนื้อถือตัว ปฏิบัติมาตลอดเวลาไม่ได้หยุดหย่อน แล้วคนก็เข้าใจไม่ได้ แถมไม่กล้าจัดการสิ่งไม่ดีอีกก็เลยพะอืดพะอมกัน

 

มีจิตที่เห็นแก่ตัว เพราะรักลาภ ยศ สรรเสริญ อยากได้สุขมาเสพกาม บำเรออัตตา เท่านั้นเอง สมใจพอใจก็สุข ไม่ได้สมใจก็ทุกข์ ดีไม่ดีอาฆาต เคียดแค้นทำลาย ปราบให้เรียบ เห็นอยู่คนเช่นนี้ เอาชนะให้ได้สมใจตนตลอด ซึ่งเมืองไทยนี้เป็นเมืองพุทธย่อมแสดงถึงความล้มเหลวของศาสนา ถ้าอาตมาคิดว่าอาตมามีชีวิตถึง 500​ปีอาตมาจะพยายามอยู่ เพื่อเผยแพร่ศาสนาพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้พูดถึงกระแสหลักอย่างไม่ไว้หน้าเพราะไม่ค่อยกระเตื้องกัน น้อยเกินไป ไม่เข้าท่าอะไร แล้วมาเผยแพร่สิ่งที่ควรหยุดได้แล้ว ที่อาตมาต้องพูดถึงขนาดนี้เพราะมันเมื่อยก็ต้องขอว่าหนักๆบ้าง

 

ความรักมิติที่ 1 ถึง 6 มีวัตถุเป็นเครื่องชี้บ่ง พอมาถึงมิติที่ 7 ก็จะเป็นเรื่องนามธรรมแล้ว

คือความรักที่แผ่กว้างสุดมหาเอกภพ เป็นนามธรรมยิ่งใหญ่รักทุกสรรพสิ่ง เป็นความรักระดับพระเจ้า ไม่มีขีดคั่น รักแม้ศัตรูไม่มีแบ่งมิตรศัตรู ถึงขนาดใครจะตบแก้มซ้ายก็ยื่นแก้มขวาให้เขาตบอีกด้วย มุ่งหมายคุณงามความดีโดยยึดถือพระเจ้าเป็นหลัก หากใครทำความดีไม่ทำความชั่วแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า หรือทำความชั่วน้อยเท่าไหร่ก็จะได้เข้าใกล้พระเจ้ามากที่สุด ทุกคนพยายามทำคนให้มีความรักดุจเดียวกับพระเจ้า เป็นการฝึกตนให้ทำความดี โดยทิ้งความไม่ดีทั้งมวล หยุดความไม่ดี พยายามไม่โลภ ไม่โกรธไม่เห็นแก่ตัว มีเมตตามหาศาล แผ่ไปทุกทิศ เสียสละแก่คนทั้งโลก มีความเข้าใจแบบนี่ว่าแล้วเขาก็พยายามทำจิตให้เป็นเช่นนั้น

 

 

เช่นชาวพุทธให้ทำจิตเราแผ่เมตตา ก็บอกไม่ได้ว่าแผ่อย่างไร เขาก็ว่าเขาแผ่เมตตา ทางศาสนาเทวนิยมก็สอนเช่นนี้ว่าต้องเผื่อแผ่กว้างไปไม่เห็นแก่ตัวเอง แต่ไม่ได้สร้างญาณเข้าไปอ่านจิตเจตสิกรูปนิพพาน เขาไม่ได้อ่านว่าจิตนี้มีอาการ ไม่ได้จับองค์ประชุมของจิตที่เรียกว่า กาย หรือสักกายะ จับรู้องค์ประชุมของตน จะต้องเข้าโสดาปัตติมรรคเป็นต้นไปจะรู้อาการจิต จับตัวได้เลยว่าอาการจิตมันเคลื่อนไหว เป็นสุขหรือทุกข์ก็ตาม จนเห็นเหตุที่พาสุขทุกข์

 

ตัวพาทุกข์ก็คือตัวพาสุข ไปบำเรอมันให้มันมันก็เลยมีอาการสุข เป็นสุขขัลลิกะสุขเท็จ พวกเราได้ฟังก็พอเข้าใจว่ามันไม่มีสุขจริงหรอก เป็นสุขขัลลิกะ แต่ความจริงคือทุกข์ เป็นทุกขสัจจ์ ผู้เป็นอาริยะถึงรู้จักทุกข์ดับเหตุแห่งทุกข์ สุขก็หมด ทุกข์ก็หมด จิตก็อทุกขมสุข เป็นจิตอุเบกขาไม่ใช่แบบพักยกด้วยนะ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ใครอ่านจิตตนได้ทำได้ก็มีสิทธิ์เข้าถึงนิพพาน ถึงอรหันต์ได้ ทำมาตั้งแต่หยาบ

 

คนเราเห็นแก่ตัวเห็นแก่พวกก็เพราะมีกิเลส หากล้างกิเลสได้ก็จะเสียสละแก่ผู้อื่น มิติที่ 7 ก็รู้ว่าไม่เห็นแก่ตัวดี เสียสละให้มากดี ไม่ติดใจไม่โกรธใคร ไม่อาฆาตพยาบาทเลยดี แต่ไม่ได้อ่านจิต รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทสนั้นๆเลยไม่ได้รู้เครื่องหมายเลย เพราะมันอสรีรังไม่มีรูปร่าง รู้ไม่ง่าย ทุกวันนี้น่าสงสารที่เขาศึกษากัน ดีที่ยังมีพระไตรฯอยู่ สมบูรณ์ถึงนิพพานแท้ๆ แต่ไม่เข้าใจไม่มีสภาวะก็เลยศึกษาไม่ได้

 

และเทวนิยมก็เข้าใจว่าต้องเอาความเห็นแก่ตัวออก แต่เขาไม่มีปรมัตถ์ไม่ได้มีญาณ ไม่ได้สร้างอธิจิตสิกขา ไม่มีหลักสูตรแบบพระพุทธเจ้า สูตรที่สั้นย่อคือ อาริยสัจ 4 หรือไตรสิกขา ท่านก็ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 สมบูรณ์แบบ ถ้าเข้าใจโพธิปักฯ ก็สามารถเข้าสู่โลกุตร 9 ได้ ถึงนิพพานได้

 

ผู้ที่พากเพียรทางเทวนิยม แม้ไม่รู้ทฤษฎีแต่ท่านก็พากเพียรทำ แต่ไม่สมบูรณ์รู้รูปนามได้ แต่มีวิธีการสร้างกุศลแล้วกดข่มอกุศลไป ทั้งหลับตาลืมตา เป็นสายเทวนิยมเขาก็ทำได้เก่งมีผลได้ เป็นกาละที่นาน แต่มันไม่ Absolute ไม่ถึงที่สุด ไม่ Ultimate ไม่สัมบูรณ์ แล้วกลับฟื้น จึงไม่มีคุณธรรมที่เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ความยากของศาสนาพุทธให้เรียนรู้ความไม่เที่ยง แล้วทำความไม่เที่ยงให้หายไป จนมันเที่ยง เหมือนกับผู้มีจึงเป็นผู้ไม่มี แล้วผู้ไม่มีจึงเป็นผู้มี เหมือนกัน ผู้เห็นความไม่เที่ยง แล้วทำความไม่เที่ยงให้หายไปได้จนมั่นเที่ยง เหมือนกับผู้สามารถทำความมีจนเป็นคนไม่มี ผู้นั้นแหละคือผู้ที่มี

 

ต้องอ่านตั้งแต่สักกายะ อ่านกาย เวทนา จิต ธรรม มีสติปัฏฐาน เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นหลักสูตรชัด เป็นสายพุทธ ไม่ใช่สายพุทธไม่มีทฤษฎีอย่างนี้ชัด และต้องฟังมาก่อนจึงรู้ได้ เร่ิมตั้งแต่เป็นสาวกภูมิ ไม่เหมือนสายเทวนิยมที่ต้องเชื่อศาสดาไม่เชื่อไม่สำเร็จ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อแม้แต่เป็นครูของเรา ไม่ให้เชื่อใครทั้งนั้น เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วจริงในตนที่เป็นรูปเป็นนามบรรลุแล้ว เชื่อแล้วไม่ปักมั่นถือมั่นอย่างเทวนิยม

 

ใครที่สามารถเข้าใจเห็นจริงแล้ว มีหมู่ฝูงที่ดี_รีบพลีชีพลุย ทุกวันนี้เกิดหมู่ฝูงที่สัมมาทิฏฐิแล้ว

 

การฝึกตนให้เป็นคนดีงามก็ต้องเลิก ทิ้งความไม่ดีมาให้หมด อย่างจิตขี้เกียจ พระพุทธเจ้าท่านรู้ชัดและบัญญัตภาษาแจกละเอียดเลย โกรธมาก น้อย หยาบ กลาง ละเอียดอย่างไรก็รู้หมด แต่สายเทวนิยมก็จะไม่ชัดตรงนี้ เพราะไม่มีทฤษฎีสมบูรณ์ แต่เขาก็ทำได้อย่างกดข่ม ก็ต้องเคารพบูชากัน เพราะมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ แต่ของพุทธนั้นยาก แต่ก็ทำได้กันอยู่ก็เลยไม่เสื่อม แต่เทวนิยมจะมีตลอดกาล แต่พุทธมีเป็นกาละ มีหมดยุคพุทธ มียุคพุทธันดร ยุคที่ว่างจากศาสนาพุทธ ซึ่งมีอยู่ในสองช่วงในมหาจักรวาลคือ ยุคที่คนไม่มีกิเลส คนดีมาก คนก็มีไม่มาก ก็อยู่กันอย่างอบอุ่นเหลือเฟือไม่แย่งชิงกัน จนเกิดกิเลส ทรัพยากรร่อยหรอลง ทรัพยากรน้อยกว่ากิเลส คานธีว่าโลกนี้มีทรัพยากรเพียงพอต่อทุกคนแต่ไม่เพียงพอกับคนๆเดียวที่ขี้โลภ แม้ทุกวันนี้ก็ตามทรัพยากรก็ยังพอแต่ไม่พอกับความขี้โลภของคน จนเป็นยุคกลียุคมากร้ายแรงมากที่ไม่มีศาสนาพุทธ ก็เป็นอีกยุคที่เป็นพุทธันดร

 

ใครตกไปอยู่ในวงจรของทุนนิยมเสร็จ อาตมาจึงให้พวกเราตัดออกจากวงจรทุนนิยมคือเราไม่เป็นหนี้เลย แต่มีการเกื้อหนุนภายในกันได้ เราไม่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ยได้ หลุดพ้นจากโลกทุนนิยมได้เปราะหนึ่งแล้ว สร้างให้เกินกินใช้ เผื่อแผ่แก่คนอื่นสะพัดออก ไม่กักตุน ถ้ากักตุนก็คือเห็นแก่ตัว เพราะสังคมมีความต้องการแต่เราเอาไปกักไว้ เศรษฐกิจก็ไม่คล่อง การสะพัดคือเศรษฐกิจที่ดีที่สุด อย่างในหลวงตรัสเราเอาแบบคนจน เราไม่เอารวย แต่เรามีพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง คำแต่ละคำของในหลวงที่ตรัสเป็น The Great word แต่ละคำนี่

 

เป็นการมุ่งฝึกฝนตนให้ดีเป็นที่ตั้ง ทำดีมันอย่างเดียว ละชั่วประพฤติดีอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทำจิตให้บริสุทธิ์เหมือนศาสนาพุทธ เขาทำการทิ้งการทำไม่ดี แบบไม่ใส่ใจ ไม่ไปยุ่งกับเขาไม่โกรธเกลียดเขาด้วย ปล่อยคนชั่วลอยนวล พวกศาสนาเทวนิยม เอาแต่ดีให้ตนแล้วปล่อยคนชั่วลอยนวล ไม่เอาภาระ ไม่หาวิธีการช่วยเขา แต่อย่างพระพุทธเจ้าท่านให้โอสถทิพย์แทรกเข้ารูขุมขนไม่ให้เขารู้ตัว แต่ถ้าให้เขาดื่มคำตำหนิได้ คือเปยยวัชชะคือให้เขาดื่มคำด่าคำว่าได้ ผู้สามารถทำศิลปะจนด่าเขาแล้วเขาชอบได้ คือปิยวาจา แต่ชมคนให้คนดื่มได้คนชอบนี่ ใครก็ทำได้ ตั้งแต่แบเบาะ เอาใจแม่มาแต่แบเบาะ เอาใจคนให้คนชอบนี่ทำกันได้แต่ด่าคนให้คนชอบนี่ เขาทำไม่ได้ คำว่าวัชชะคือคำตำหนิ เปยยะคือของควรดื่ม ทุกวันนี้อาตมาตำหนิ เขาก็ไม่ดื่มนะ แต่ก็มีคนรับได้บ้าง อาตมาด่าเอาบุญ เป็นสำนวนนะ เป็นปิยวาจา

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น?

 

ศาสดาที่ทำคุณงามความดีมากๆ เป็นอรหันต์แบบใดแบบหนึ่งได้ไหม?

ตอบ...พระพุทธเจ้าท่านไม่รับรอง อย่างอินเดียนี่เป็นแบบเทวนิยมอยู่ได้นาน มีพลเมืองพันกว่าล้าน แต่จีนอยู่ได้นานเพราะมีคุณธรรมพุทธอยู่ แต่จีนก็หลวมกว่าอินเดีย อินเดียเขาถือกันแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่าย ปธน.โมดี ที่จะจัดให้มีส้วมในอินเดียให้ทั่ว ไม่ให้ขี้ทั่วไป อาตมาว่าไม่สำเร็จในชีวิตของเขาหรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนไม่ได้แต่ก็เร่ิมดีแล้ว มีลึกเรื่องจิตวิญญาณนี่นะ เทวนิยมมีลักษณะกดข่มอย่างเดียว แต่ละลัทธิเขาหลายๆล้านๆปีนะ คนแต่ละคนตายไป อายุ 100 ปีถือว่ามากแล้ว แต่ยุคนี้นี่เฉลี่ย 7​0 ปีเท่านั้น แค่นี้ตาย แต่วัฏฏะสงสารนี่มันนานมากกว่ามาก พวกยึดความสงบจะตึดยึดหลงในภพนานมาก แต่พวกที่ทุกข์ร้อนอยู่เป็นสภาวะนรกนั้นมากมาย ทั้งคนที่เกิดมาน่าทุเรศทุรังการ ทั้งคนที่ได้อาการ 32 ครบแต่บางคนต้องมาทรมานเพราะสวย บางคนต้องมาทรมานเพราะฉลาด บางคนก็จะได้มาทุกข์ทรมานเพราะรวย มีเยอะ และซับซ้อนด้วย ที่มารวยแล้วไม่รู้ตัว ทำชั่วหนักเข้าอีก ถ้าไม่ได้รับภูมิธรรมเข้าไปเพ่ิมก็หลงอีกนานเยอะ เป็นอจินไตย เกินกว่าคิดได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนที่ตายไปจะได้เกิดมาเป็นคนนี้เท่ากับดินที่ติดมาในเล็บ แผ่นดินในปฐพีที่เหลือคือคนที่ตกนรก เทียบกันไม่ได้เลย

 

บางคนสะสมความดีโลกีย์มาก็กดข่มกิเลสได้นานก็มี เพราะคนรู้ว่าเสียสละดีไม่เห็นแก่ตัวดี

 

_นร.ฟังเพลง ชอบติดเพลงแบบโลกีย์ จะมีผลเสียอย่างไร?

ตอบ...มันก็ทำให้จิตวิญญาณติดยึดน่ะสิ ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะฟังเพลงไม่เป็น เหมือนอย่างที่พานร.ทำไม่ให้ใช้เงิน ใช้ตามจำเป็นที่ผู้ใหญ่ให้ใช้ ไม่ให้ใช้ตามใจตามชอบ พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ์เอาไปฝากให้ลูกใช้ แต่จบม.6 ก็ไม่เห็นมีใครที่ใช้เงินไม่เป็น ก็ใช้เงินเป็นกันทั้งนั้น คนพอมีภูมิธรรมได้รับไปก็ไม่หลงเงินทองอะไรกันมากนัก แต่คนที่เฟ้อเกินก็มี เราก็พยายามให้ความรู้ที่มีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะอยู่กับโลกเขายาก จะฟังเพลงนั้นเขามอมเมากันจัด หลวงปู่เป็นนักแต่งเพลง แต่ทำไมมาห้าม เพราะเพลงมีคุณสมบัติหลายอย่าง จะร้องก็ร้องเพลงหลวงปู่สิ เป็นเพลงโลกุตระ เพลงธรรมะ เพลงมี 5แบบ คือ ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ

 

ศิลปินต้องมีความรู้นี้ แล้วจะใช้อย่างไรเป็นศิลปะ ต้องเร่ิมแต่สาระ แต่ถ้าไม่มีสุนทรียศิลป์ร่วมด้วยอย่างพอเหมาะก็ไม่เป็นศิลปะ เพลงหลวงปู่มีเพลงโลกุตระเยอะแยะ เพลงธรรมะก็มีตั้งมาก ไปร้องแต่เพลงโลกๆ ต้องหัดเลิกละ อย่ามอมเมาทำร้ายตน ฃ

 

เราไปเห็นกิเลสคนอื่นนั่นคือกิเลสตนเองใหญ่ มันไม่มองตนเอง คนที่รู้ตนเองมองตนเอง คุณเห็นกิเลสคนอื่นมันได้แต่ประมาณเดาเอาตามอาการ อาจพอถูก แต่ไม่จริงทีเดียวแต่อ่านกิเลสตนเองจริงๆนี่แหละจะเก่ง การอ่านกิเลสคนอื่นพระพุทธเจ้าว่านาตนเองไม่ทำผ่าไปทำนาคนอื่น

 

_โลกข้างนอกอโศกตอนนี้มีการมอมเมาตน โดยเฉพาะเสริมจมูก ทำศัลยกรรม

ตอบ...มันมอมเมากันมาก เรื่องการหลงรูปหลงสวยงาม คือผู้หญิงติดยึดเช่นนี้ คนเกิดมาเป็นหญิงก็ติดเรื่องนี้เป็นธรรมดา จนมอมเมาผู้ชายไปด้วย ตอนเด็กอาตมาก็นึกว่าคนนุ่งกางเกงสีนั่นสีนี่ ก็นึกว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนหน้าด้านนุ่งกางเกงสีแดง แต่เดี๋ยวนี้มีแล้ว และต่อไปในอนาคต เขาคงตัดตรงก้นกางเกงแล้วทาสีก้นสีแดงๆ ก็คงมีแล้วนะ มันเหลือเกินจริงๆ อันนี้เป็นเรื่องอจินไตย พวกอเวไนยสัตว์พูดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ คนนี่แหละเป็นอเวไนยสัตว์ สอนไม่ได้ กับอีกผู้หนึ่งที่สอนแล้วไม่เปลี่ยนแปลงคือกระเทย เพราะจิตมันฝัง คนที่ข้ามธรรมชาติ คนเป็นประเทยคือจิตเกินธรรมชาติ ติดยึดสัมผัสเสียดสี รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านเกินขนาด ธรรมชาตินั้นผู้ชายกับหญิงก็ชอบกันแต่นี่เกินไป ผู้ชายก็ไปชอบสัมผัสเสียดสีผู้ชาย ผู้หญิงก็ไปชอบสัมผัสผู้หญิง จนบางคนก็ทั้งหญิงทั้งชาย คนที่เป็นอย่างนี้มาบวชก็ต้องให้สึก แล้วเขาก็ว่าเป็นประเทยก็ทำไมต้องมากีดกัน เราก็ต้องกั้นขนาดขีดคั่น ไม่ได้รังเกียจ เห็นใจ แต่เราต้องป้องกันตนเองเราสงสาร แต่เป็นวิบากกรรม เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว อาตมาไม่อยากไปแตะต้อง ศิลปะ กับอบายมุขเหล่านี้ แต่เรื่องบริหาร เศรษฐกิจ การศึกษา อาตมาต้องแตะต้องทำ

 

_โอลิมปิก อาจเป็นเชื้อให้ก่อสงครามโลกก็ได้ แข่งบอลโลกเขาแข่งกันทั้งโลกแล้ว หาเงินกัน

 

เป็นการสร้างจิตให้เคยชิน แล้วให้จิตโน้มไปทางไหนก็ตามได้ แต่ไม่ได้มีการปฏิบัติเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายให้กิเลสลดเป็นขั้นตอนไป ศาสนาเทวนิยมมีเป็นธรรมดาสามัญคู่โลก ทุกยุคทุกสมัย เพราะกุศลหรือคุณงามความดีคนรู้หมด แม้กระทั่งว่ามุ่งมาจนดีกว่ามุ่งไปรวยคนก็รู้ ว่าดี ไม่สะสมสะพัดนี้ดี นอกจากคนติดมากก็จะว่าจนจะอยู่ได้อย่างไรก็คงมีบ้าง ในหลวงตรัสว่า แบบคนจน ไม่ต้องไปรวยถึงยากมาก เหมือนเป่าปี่ แต่วิธีกดข่มทำแต่ดี แล้วทางโน้นเขาไม่เอาใจใส่เรื่องความชั่ว เขามองข้ามความชั่ว เขาทำแต่ดีๆๆ แม้ไม่ร่ำรวยไม่สะสมก็เข้าใจ ไม่มีกามมากก็รู้ กดข่มจน พวกฑิคัมภพ ศาสนาเชน ไม่นุ่งเสื้อผ้าก็ได้ กดข่มกันได้ เดินโชว์เปลือยกันเฉย ผู้หญิงสาวๆก็ไปกราบเคารพ เขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือนก็ทำได้ เป็นวิธีการสามัญ กดข่ม มนุษย์มีสัญชาติญาณกดข่มกันทุกคนแหละ ไม่แสดงอาการกิเลสกันในสาธารณะหรอก ไม่ว่าจะฟรีเซกซ์ชนาดไหนก็ไม่ทำหรอก เขากดข่มได้ เขาทิ้งความไม่ดี ปล่อยความชั่วให้ลอยนวล ไม่มีฝีมือราวีคนชั่ว ไม่มีสรณะ คือไม่เป็นศาสนาที่ประกอบด้วยสงคราม ศาสนาพุทธมาทำสงครามธรรมาธรรมะสงคราม เป็นศาสนาเดียวที่ทำธรรมาธรรมะสงคราม แต่ศาสนาที่ปล่อยคนชั่วลอยนวลเป็นศาสนาที่ไม่มีสรณะ แต่ศาสนาพุทธทำสงครามอย่างฉลาดจริงใจไม่ปล่อยคนชั่วลอยนวลอย่างจริงใจ

 

_คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วเห็นความชั่วคนอื่นก็ไม่กล้าตัดสินว่าผิดหรือถูก?ก็ไม่ใช่แบบพุทธ?

ตอบ..ใช่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่หนักมาก แต่มันส์มาก พระโมคคัลลานะก็ตายในสนามรบ ก็ต้องตาย เพราะสงคราม

 

_ฟังพ่อครูแล้วรู้สึกว่าอายุคนเรานี่สั้นมาก แต่เราก็ยังแพ้อำนาจกิเลส ทำอย่างไรจะเอาชนะใจตนเองได้ เหมือนญาณ 4 โสดาบัน เป็นเด็กอ่อนหดมือเมื่อโดนไฟ

ตอบ...ต้องเป็นขั้นตอน สะสมไปตามลำดับ จะมีหิริโอตัปปะ หิริคือไม่ทำต่อหน้าแต่ลับหลังทำ ส่วนโอตตัปปะต่อหน้าหรือลับหลังก็ไม่ทำ กลัวบาปนะ ต้องตั้งตนบนความลำบาก กุศลกรรมเจริญยิ่ง ที่ว่าทางสายกลาง อย่าเคร่งเกินอย่าตึงเกิน ก็เลยว่าไม่ลำบาก แต่อยู่ที่นี่ก็มีลำบากไม่เกินไป ได้อดทนพากเพียรไป อยู่ที่วิธีการที่เราเข้าใจและจัดสรร แต่ละคนล้วนเป็นตำรวจตรวจให้ตนและคนอื่น


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:52:50 )

571016

รายละเอียด

571016-พ่อครูเทศนางาน 32 ปีชมร.

อาตมาได้พยายามนำเหตุปัจจัยที่เนื่องเกี่ยวกับชีวิต มีดินน้ำไฟลม มีกาย มีจิตวิญญาณ เอามาปฏิบัติค่อยสอนไป โดยการเรียนแบบปฏิบัติจริง อาตมาก็ไม่ได้แจกละเอียด เพราะปฏิภาณอาตมาก็ยังไม่ออกมา บารมีได้แค่นั้น ก็มาค่อยฟื้นตอนนี้ก็ปฏิภาณก็ค่อยๆขึ้นมา ก็ค่อยตามฟัง แต่คนรุ่นก่อนแม้บรรยายไม่ละเอียด แต่คนมีปฎิภาณก็รับได้ มาปฏิบัติ เป็นชาวอโศก ซึ่งเกิดจากเรื่องอาหารมังสวิรัติเป็นงานการหลักแรกของชาวอโศกเลย แต่ต่อมามีการงานเพิ่มขื้น กสิกรรม ศึกษา สื่อสาร การเมืองเป็นต้น แต่ตอนแรกมีแค่งานอาหารมังสวิรัติ

 

งานอาหารมังสวิรัติจึงเป็นงานปู่ทวดของชาวอโศกนะ ผู้ฟังเข้าใจจะรู้ว่ามันสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน จึงเกิดสภาวะรู้ความเป็นจริงได้ เป็นรายละเอียดของสภาวธรรมที่เยอะแยะ ก็ต้องติดตามฟังที่บรรยายไป คนที่มีพื้นฐานแล้วจะรู้สึกสนุก ชัดเจน มันก็ถึงรอบ คงจะมีผู้ที่บรรลุธรรม ถึงอนาคามี อรหันต์ถึงภพในภายใน ส่วนภพนอกมีอยู่เยอะแล้ว โสดาฯ สกิทาฯ เรามีเกลือนเยอะ อ่านจิตตนอย่าหลงผิด ศึกษาทั้งบัญญัติและความจรืง การปฏิบัติธรรมคือสังกัปปะ วาจากัมมันตะ อาชีวะ มีกายวาจาใจ มีการกระทบผัสสะเกิดธาตุรู้ เป็นวิญญาณ เมื่อตากระทบรูป ก็เกิดวิญญาณ แต่ทุกวันนี้ไม่เข้าใจวิญญาณ คิดว่าวิญญาณคือตอนตายแล้ว ที่จริงตายแล้วไม่มีวิญญาณ ประสาทไม่ทำงานแล้ว ภาวะของจิตนิยามมันลดลงไปแล้ว อย่างพลังงานชีวะก็เป็นพลังงานระดับต่ำ มีแต่สัญญากับสังขาร

 

สัญญามีหน้าที่กำหนดรู้ สัญญาไม่มีกาย ถ้าจะอนุโลมเรียกก็เรียกว่านามกาย สัญญาไม่กำหนดรู้รูปกาย หากจะกำหนดรู้รูปกายก็กำหนดรู้โดยวิญญาณ อาจมีมโนวิญญาณที่กำหนดรู้ทวารใจได้

 

การจะกำหนดรู้สิ่งต่างๆ วิญญาณหรือสัญญา พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อาหาร ตั้งแต่อาหารคือคำข้าว ผัสสะ มโนสัญเจตนา วิญญาณ คือเครื่องอาศัย ที่จะทำงาน และเรียนรู้ สามารถแยกแยะกำหนดรู้กิเลสได้แม่นชัด จึงทำได้สมบูรณ์ ผู้ใดกำหนดรู้ไม่แม่นชัดก็ทำไม่ได้ผล

 

อาหารคือคำข้าวเป็นเรื่องสำคัญเลย ในโอวาทปาติโมกข์ มัตตัญญา จ ภัตตสมิง(ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค) หรือว่า โภชเนมัตตัญญุตา การจัดการสัดส่วนให้ดี มีกิเลสมาร่วมเมื่อไหร่ก็กำจัดมัน แต่ไม่ใช่กำจัดทั้งวิญญาณ ทั้งจิตเลย แต่ต้องกำจัดแต่กิเลส ผู้ศึกษาจริง รู้ว่าปฏิบัติธรรมที่ใช้อาหารเป็นหลักนี่เป็นความสำคัญ ศาสนาพุทธที่เพี้ยนไปไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำการจัดสรรเรื่องอาหารและฆ่ากิเลสในการกินอาหาร เขาไม่รู้จักจริงๆ  อย่างพล.ต.ต.อนันท์ เสนาขันธ์ ว่าอาตมาว่าปฏิบัติธรรมกันอย่างไร พูดกันแต่เรื่องกิน ต่อมามหาเถรสมาคมก็ผสมโรงเล่นงานอาตมาด้วย อาตมาไม่ได้โกรธแกนะ ขอยืนยันว่าอาตมาไม่เคยโกรธผู้ที่ทำร้ายอาตมา ทั้งฆราวาสและภิกษุ อาตมาไม่มีความโกรธแล้ว หลังจากเลิกลิงลมอมข้าวพอง ตอนเป็นลิงลมอมข้าวพองก็รู้ว่าโกรธเป็นอย่างไร ก็เป็นไปตามโลกครอบงำ เป็นไปตามบารมี พอเลิกก็ทำได้เลย

 

กวลิงการาหาร อาหารคือคำข้าว เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 อาตมาทำมาจากฐานมังฯ เป็นกลุ่มแรกที่มาปฏิบัติ หลายคนก็ตายไป หลายคนก็มาบวช ในฐานมังสวิรัตินี้แหละ ก็ช่วยกันมา จนมีงานครบรอบ 32 ปี

เรื่องมังสวิรัติ คนไทยเพี้ยนไปไกลจนไม่เชื่อแล้วว่า พระพุทธเจ้าฉันมังสวิรัติ ในบัญญัติของเถรวาท มีมิจฉาวณิชชา 5 พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้ค้าขาย อาวุธ ไม่ค้าสัตว์เป็น ไม่ค้าเนื้อสัตว์ ไม่ค้าขายพิษ ไม่ค้าขายของมึนเมา เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามขาย ขนาดเมาเป็นวัตถุยาเมาเขาขายกันเกลื่อนเลย เมืองไทยเรากำหนดขอบเขตการขายสารพิษต่ำมาก มันต้องเคร่งกว่านี้มันก็เลอะ ไปไม่รอด

 

เรื่องของอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา เป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ผิดเรื่องการประมาณอาหารนี่พวกเราปฏิบัติได้ผลดีเพราะเรื่องนี้ การปฏิบัติในงานอื่นมันก็ยากกว่า ไม่ครบได้เท่ากับเรื่องปฏิบัติอาหาร เราต้องกินทุกวัน เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องฉันอาหาร ส่วนงานอื่นๆนี่เลิกไม่ทำก็ได้ แต่อาหารนี่ต้องกินแม้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ก็กิน และเป็นทางมาแห่งธุลี กิเลสครบ จะไม่ชัดก็แค่เสียง ที่ต้องอาศัยหู ส่วนอื่นรูป รส กลิ่น สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เกี่ยวข้องหมด ภาวะเสียงเท่านั้น ก็มีคนพูดเสียงกินกรอบๆ หรือเคี้ยวดังจั๊บๆ หรือซดดังโฮกๆ เขาก็ถือเช่นนั้น แต่คนไทยถือว่าไม่สุภาพ อย่าทำ คนจีนเขาว่าดี

 

อย่างตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นั้นครบในเรื่องอาหาร เราสัมผัสรู้ความจริงตามความเป็นจริงก็เป็นปัญญา แต่หากปรุงแต่งเลยปัญญาไปก็เป็นอวิชชา ชอบตามที่ยึดถืออุปาทาน เย็นร้อนอ่อนแข็ง ถ้าได้ตามสเปค ตามกำหนดหมายว่าต้องได้อย่างนี้ๆ ของใครของมัน บางคนไม่เหมือนใครเลย ละเลียดมาก คนอย่างนี้ยึดมาก ยากมาก คนอื่นก็ว่าได้แต่คนนี้ต้องเอาอย่างนี้ เป็นคนเลี้ยงยาก ทุภระ แล้วใครจะไปรู้กับเอ็ง ให้พอใจเขาก็ยากคนอย่างนี้ พวกติดไม่มาก เป็นคนศุภระ เลี้ยงง่าย แต่ไม่ใช่ว่ากินดะ ก็รู้อะไรควร

 

อาตมาเอาอาหารมาเป็นปัจจัยในการปฏิบัติธรรรมก็บรรลุผล ใช้อาหารในการบรรยายเผยแพร่ธรรมะ จนได้มรรคได้ผล ก็ขอพูดถึงเรื่องนี้ เน้นยำชัดๆ อาตมานำอาหารมาปฏิบัติเพื่อให้ลดละกิเลส ก็ลดละได้จริง ทำกันได้ มีมรรคผล ปฏิบัติอาหารอย่างเดียวนี่บรรลุอรหันต์ได้ มันจะพลอยรู้อย่างอื่นไปด้วย จะรู้สัมผัสอย่างอื่นไปด้วย อาหารเป็นหนึ่งในโลก

 

ในอาหารคือคำข้าว กวลิงการาหาร มันมีทั้งกาม ทั้งผัสสะ ที่จะเกิดเวทนา สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีทั้งตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา และวิภวตัณหานี่แหละคือตัณหาอุดมการณ์ที่จะใช้ล้างกามล้างภพ เป็นสิ่งที่เขารู้เพี้ยนไปนานแล้วก็เลยปฏิบัติไม่ได้ ก็เลยมีแรงไม่ชัด ไม่แรงมุ่งหมายไม่ชัด จะเรียนรู้กาม ภพ โดยใช้พลังวิภวตัณหาก็เลยอ่อนเบาไม่มีแรง ปฏิบัติธรรมที่ไม่รู้พร้อมถูกต้องโดยเฉพาะไม่รู้มโนสัญเจตนาหาร การปฏิบัติธรรมจึงบกพร่อง

 

ต้องเรียนรู้เวทนา 108 ที่อาตมาเอามาจากพระไตรปิฎกมาแจกแจง ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้รายละเอียดดีนัก แต่มันปฏิสัมพัทธ์กันอย่างไรก็ไม่รู้กันแล้ว เพราะไม่เห็นมีใครกล่าว มีแต่อาตมาที่นำมาแจกแจงได้ พูดเหมือนอวดดีนะแต่เป็นเช่นนั้นเอง

 

มาถึงวันนี้อาตมายืนยันชัดว่าตนเป็นโพธิสัตว์ แต่ก่อนพูดไม่ชัดไม่มากเท่านี้แต่ว่าเดี๋ยวนี้ได้พาปฏิบัติจนได้ผลเกิดหมู่กลุ่มกันได้อย่างยั่งยืนก็พิสูจน์มาแล้ว ก็ให้วิจัยพิจารณาตัดสิน ว่าอย่างไหนถูก คนที่ไม่มีอัตตามานะมากก็จะรับได้ ที่อาตมาทำงานไปได้เพราะมีคนที่รับได้มีปัญญารู้ความจริงที่อาตมานำเสนอ แม้ค้านแย้งกับท่าน  ท่านก็รับได้ อาตมาก็เลยอยู่ได้แต่ถ้าไม่มีผู้มีปัญญา อาตมาตายไปนานแล้ว หรืออยู่ก็ทำงานไปไม่ออก แต่ที่ทำงานได้เพราะมีผู้มีปัญญารู้ได้อยู่ มันก็เป็นบุญของศาสนา และก็ต้องเป็นความจริงที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่จะมาสืบทอดศาสนาพุทธ

 

เมื่ออาตมาทำงานถึงวันนี้แล้ว ทบทวนดูจะเห็นผลจริง ถึงวันนี้แล้ว เชื่อว่าคนที่ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา คือความรู้ความจริงตามความเป็นจริงที่ถูกต้อง นี่คือปัญญา แต่หากมีกิเลสผสมก็ไม่ใช่ปัญญา และเมื่อมีผู้ปฏิบัติลดกิเลสได้ก็เลยมีผลเช่นนี้ อาตมากล้ารับรองว่ามีผู้ลดกิเลสได้ เพราะอาตมามีคนที่ปฏิบัติให้มาสอบทานได้ อาตมามีการสอนบัญญัติให้ด้วย อย่างคนไม่มีสภาวะก็จะดึงบัญญัติมาสื่อให้คนอื่นรู้ได้หรอก เพราะเป็นนามธรรมที่ลึก นามธรรมออกมาจากท่าทางไม่ได้ ภาษานี่สื่อได้มากกว่า ยิ่งสามารถรู้อาการไหวของมโนก็รู้ได้เยอะ

 

ตั้งแต่วันนี้ ครบ 32 ปีชมร. ก็ย้ำว่า ความสำคัญของกวฬิงการาหาร คนที่ทำได้ดีจะเอาใจใส่ งานเจรอบสอง น่าจะครึกครื่นจะมีคนมีกระจิตกระใจเพิ่มขึ้น มาช่วยกันมากขึ้น ตามธรรมชาติ คนที่กินเจผ่านไป 9 วันก็จะลดลง เมื่อยแล้ว เซ็งแล้ว ก็จะไม่ค่อยขมีขมันเท่าตอนแรก แต่พวกเรานี่เมื่อฟังแล้ว จะรู้สึกว่ามีไฟ มีใจ เพิ่มขึ้น มังสวิรัติของชาวอโศก งวดสองนี่อาตมาว่าจะดีขึ้นเทียบได้กับคนข้างนอก คนข้างนอกรอบสองจะเซ็งลดลง แต่ว่าพวกเราจะทำได้ดีกว่าอีกมาก พวกเราต้องตื่นมารับ แม้แต่คนกินเองก็เซ็ง ทนมาตั้ง 10  วันแน่ะ

 

เมื่อเป็นการงานที่พาบรรลุธรรมได้ จงรู้ความสำคัญในความสำคัญนั้น ก็ช่วยกัน จะได้ช่วยคนได้มาก แม้ตนเองให้รู้ค่าในการปฏิบัติธรรม โภชเนมัตตัญญุตา ไม่เช่นนั้นคุณจะพลาดโอกาส ยิ่งคุณกินจุบจิบก็แย่ สุขภาพเสียหมด ต้องรู้จักจัดเวลา จัดสัดส่วนอาหาร ควรกินอะไร เราติดอะไรมากควรเว้นขาด งด จะได้ลดละกิเลส ได้บรรลุธรรม

 

อาตมาได้พูดและอาจพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า อย่างน้อยเจงวดสองก็น่าจะดีขึ้น ให้การปฏิบัติธรรมเราได้ผล และได้ประโยชน์ต่อสังคม


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:54:16 )

571017

รายละเอียด

571017_พุทธชีวศิลป์(17) เรื่อง ผัคคุณสูตร

พ่อครูว่า....คนที่หาเงินแล้วก็ใช้ๆ ยังไม่ทันไร ถึงสิ้นเดือนอีกแล้ว ชีวิตก็ไม่มีอะไรหรอก ถ้าเราไปหลงโลกว่าจะต้องมีต้องเป็นอย่างเขา ข่มเบ่งหลอกกันมอมเมากัน ตกเป็นทาส แต่สำหรับพวกเราได้ปฏิบัติเลิกละลดมาก็จะง่าย แต่คนข้างนอกพูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องเขาจะเห็นว่ามันต้องมี แล้วไม่มีจะอยู่อย่างไร? ยกตัวอย่าง คนไม่มีเงินจะอยู่อย่างไร ยิ่งคนติดยึดมากๆ ไม่มีเสื้อผ้าจะอยู่กับสังคมได้อย่างไร เป็นต้น ติดยึดกันไปหมด คำว่า อาหาร เครื่องอาศัย ของชีวิตต้องเรียนรู้ พระพุทธเจ้าตรัส อาหาร 4 ต้องเรียนรู้ อาตมาก็ต้องอธิบายอีกแล้วอีก จนให้เข้าใจทะลุ มีพลังปัญญา ตัดได้ ตัดอนุสัยอาสวะได้เลย แต่ไม่ง่าย

 

ลองมาดูพระไตรฯ ล.16 ผัคคุณสูตร

2. ผัคคุนสูตร
      

[31] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย   อาหาร 4 เหล่านี้ ย่อมเป็นไป
เพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว หรือเพื่อ   อนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด อาหาร 4
 เป็นไฉน คือ (1) กวฬีการาหารหยาบหรือละเอียด (2) ผัสสาหาร (3) มโนสัญเจตนาหาร
(4) วิญญาณาหาร    อาหาร 4 เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว
หรือ เพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ
      

 

พค.ว่า ชีวิตต้องอาศัยอาหาร ถ้าไม่เรียนรู้แล้วเราจะทุกข์เพราะอาหาร เพราะเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแสวงหาอาหารให้แก่ชีวิตอยู่

 

[32] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระโมลิยผัคคุนะได้   กราบทูลพระผู้มี
พระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมกลืนกินวิญญาณาหาร    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ตั้งปัญหา
ยังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า กลืนกิน [วิญญาณาหาร] ถ้าเรากล่าวว่ากลืนกิน [วิญญาณาหาร] ควร
ตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า  พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมกลืนกิน [วิญญาณาหาร] แต่เรามิได้กล่าว
อย่างนั้นผู้ใดพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า วิญญาณาหาร  ย่อมมีเพื่อ
อะไรหนอ อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่าวิญญาณาหารย่อมมีเพื่อความ
บังเกิดในภพใหม่ต่อไป เมื่อวิญญาณาหารนั้นเกิด  มีแล้ว จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯ

 

[33] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่าย่อมถูกต้อง ถ้าเรากล่าวว่าย่อมถูกต้อง ควรตั้ง
ปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง แต่ เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดพึง
ถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีผัสสะ อันนี้
ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ฯ
      

 

[34] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมเสวยอารมณ์ ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมเสวยอารมณ์ ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมเสวย
อารมณ์ ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมเสวยอารมณ์ แต่เรามิได้
กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น  อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัย
หนอ จึงมีเวทนา อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะผัสสะเป็น
ปัจจัย จึงมีเวทนาเพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ฯ
      

 

[35] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมทะเยอทะยาน ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมทะเยอ
ทะยาน ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน แต่เรามิได้
กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น    อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัย
หนอ จึงมีตัณหา อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะเวทนาเป็น
ปัจจัย จึงมีตัณหาเพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯ
      

 

[36] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถือมั่น ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมถือมั่น ถ้าเราพึงกล่าวว่าย่อมถือมั่น ควรตั้ง
ปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถือมั่น   แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดถามเรา
ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีอุปาทาน อันนี้
ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะ
อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
      

 

[37] ดูกรผัคคุนะ ก็เพราะบ่อเกิดแห่งผัสสะทั้ง 6 ดับด้วยการสำรอก โดยไม่เหลือ
ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ  ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ

 

[33] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่าย่อมถูกต้อง ถ้าเรากล่าวว่าย่อมถูกต้อง ควรตั้ง
ปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง แต่ เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดพึง
ถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีผัสสะ อันนี้
ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ฯ
      

 

[34] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมเสวยอารมณ์ ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมเสวยอารมณ์ ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมเสวย
อารมณ์ ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมเสวยอารมณ์ แต่เรามิได้
กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น  อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัย
หนอ จึงมีเวทนา อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะผัสสะเป็น
ปัจจัย จึงมีเวทนาเพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ฯ
      

 

[35] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมทะเยอทะยาน ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมทะเยอ
ทะยาน ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน แต่เรามิได้
กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น    อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัย
หนอ จึงมีตัณหา อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะเวทนาเป็น
ปัจจัย จึงมีตัณหาเพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯ
      

 

[36] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถือมั่น ฯ
     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมถือมั่น ถ้าเราพึงกล่าวว่าย่อมถือมั่น ควรตั้ง
ปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถือมั่น   แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดถามเรา
ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีอุปาทาน อันนี้
ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะ
อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
      

 

[37] ดูกรผัคคุนะ ก็เพราะบ่อเกิดแห่งผัสสะทั้ง 6 ดับด้วยการสำรอก โดยไม่เหลือ
ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ  ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ

 

พค.ว่า เห็นใจคนที่ไม่เข้าใจไม่ซาบซึ้ง ไม่มีบารมี อ่านแล้วก็ไม่รู้เรื่อง อ่านเที่ยวเดียวแล้วจะไม่อ่านอีกเลย เป็นครั้งที่สอง เข็ดเลย แต่คนมีบารมีฟังเข้าใจจะซาบซึ้ง มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ซึ่งไม่ง่ายเลยก็เห็นใจ

 

ถ้าเราไม่รู้อาการที่จะสำรอกไม่ให้เหลือ อเสส วีราคะ นิโรธา ดับด้วยการจางคลายไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ดับปุ๊ปปั๊บหรือกดข่ม เห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี ปฏิบัติเห็นเกิดญาณ​วิราคานุปัสสี เห็นความไม่เที่ยง มันไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ผ่านมาก็ผ่านไป

 

คำว่าอาหาร คือเครื่องอาศัย แต่คนทั่วไปก็ว่าอาหารคือของกินได้ ตาพึดเลย แต่อาหารก็มีของกลืนกิน เป็นคำข้าวเลี้ยงขันธ์ และเราก็อาศัย ไม่ใช่แค่คำข้าวเท่านั้น เราต้องอาศัย ผัสสหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

 

แล้วการจะไปดับเวทนา ดับวิญญาณ ที่พระพุทธเจ้าแจกแจงไว้ ว่าแล้วอะไรจะดับไม่ให้เหลือ ท่านตรัสในปุตตมังสสูตร ข.240 ล.16 ว่า..[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวก
เจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้
ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมี
พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มใน
เวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็น
เวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้น
เป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแส
รับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน
ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษ
คนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมี
พระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่ม
ในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุ
ทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอก
ร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น
มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวย
ความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหาร
อยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน
 เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมา
กำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
จบสูตรที่ 3

 

พค.ว่า....เขาก็ต้องได้รับทุกข์ตลอดเวลาเลย เพราะไม่รู้วิญญาณาหาร ที่ต้องกำหนดรู้ใน นาม_รูป ก็น่าเห็นใจในชีวิตที่อวิชชา  โจรนั้นอยู่ในวิญญาณหาหาร แต่เราไม่ได้จัดการโจรที่มีอยู่ในชีวิตเราตลอดเวลาเลย ทีนี้มีหมอมาบอกว่าในร่างกายนี้มีโจร เป็นเชื้อโรคใหญ่ คุณก็ต้องบอกว่าให้หมอฉีดยาฆ่ามันเลย ให้ประหารด้วยหอกร้อยเล่ม แต่มันดื้อ แต่ดื้ออย่างไรคุณต้องจัดการให้มันตายให้ได้ แต่การรู้วิญญาณาหารต้องกำหนดรู้ด้วย นาม_รูป

 

รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ ถูกรู้ด้วยนามธรรม คุณต้องรู้ด้วยญาณ แต่รูปนอกคุณก็รู้ด้วยทวาร 5 แต่รูปที่เป็นนามธรรมคุณต้องใช้นามธรรมอ่านรูปนั้น แล้วจัดการฆ่ากัน เป็นเครื่องอาศัยอีก 3 คือ

กามในกวลิงการาหาร คือเวทนาในผัสสะ คือตัณหาในมโนสัญเจตนา มีปฏิสัมพันธ์กันในอาหารอีก 3 คุณรู้โจรแล้ว คือกำหนดรู้นาม_รูปได้

 

ก็จะสามารถรู้ กาม เวทนา เจตนา ของจิตได้ ในกาม ก็เป็นนามธรรม ในเวทนา ในผัสสะก็เป็นนามธรรม คือนาม 5 มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

คุณก็ต้องรู้นามรูป ที่เป็นเวทนาคืออย่างไร สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการคืออย่างไร รู้แล้วต้องจัดการให้มันดับ ต้องสำรอกไม่ให้มันเหลือ จนให้เกิดนิโรธ

 

กามคุณ 5 คำว่า กาม แปลว่า ความต้องการ ความอยาก กามที่ต้องกำจัดคือ กามคุณ 5 ท่านใช้ว่า ต้องกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณ คือสัมผัสทางทวาร 5 เมื่อสัมผัสแล้วเกิดความยินดีคืออาการอัสสาทะคุณต้องกำจัดตัวนี้ คือความพอใจยินดีในรสกาม ต้องกำจัดรสยินดีในกาม ไม่ใช่กำจัดกามไปหมด ในศาสนามีคำว่า ธรรมกาโม คือความปรารถนาในธรรม 

 

กาโมคือความใคร่อยาก คุณอยากได้ธรรมะก็ต้องฆ่าความยินดีในกามคุณ 5 มันมีตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรากฏรู้ได้ ต้องอาศัยมันด้วย ตาก็ต้องเห็นรูป หูก็ต้องได้ยิน จมูกก็ต้องได้กลิ่น บางอย่างก็แสบตา บางอย่างก็นวลตาดี จมูกก็มีกลิ่น ฉุนหรือหอม แต่อาการยินดียินร้ายที่แฝงมาต่างหากที่เราต้องกำจัด แต่เราไปกำจัด เสียง แสง กลิ่น ที่มันมีฉุน มีเหม็น มีหอม เรากำจัดมันไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติ

 

ส่วนมากคนไปหลงชอบก็ไม่รู้ตัว ส่ิงไม่ชอบก็อยากทำร้ายจัดการกับมัน แต่คุณไม่จัดการตัวไม่ยินดี ตัวยินดี แต่ดีไม่ดีคุณไปโกรธจัดการทำร้ายทำลายมัน มันเป็นธรรมชาติมันจะเกิดก็เกิดของมัน มันเป็นพิษหากทนได้ก็พออยู่ อย่างอยู่โรงปุ๋ย อยู่ไปจนกลิ่นปุ๋ยหอม อาตมาเคยไปฟาร์มไก่ เขาก็อยู่ได้ดมขี้ไก่ตลอดก็เฉย แต่เราไปก็ฉุน แต่ก่อนไปปฐมอโศกกลิ่นขี้หมูจัดมาก แต่เดี๋ยวนี้ลดลงแล้ว มันมีกลิ่น รูป รส เสียง ตามที่มันมี แต่เราต้องแม่นประเด็นที่เราจะกำจัด หากไม่แม่น มันเลอะเทอะ แล้วไม่สมบูรณ์แบบ ชีวิตคุณก็ใช้เวลาไปกำจัดส่ิงไม่ได้เรื่อง เช่นชาวหนีออกป่าเขาก็จัดการไปหมด หรือคนปฏิบัติไม่คมแม่น ก็ไม่ชัด คุณต้องชัดแม่นในสักกายะ ตัวตนของกิเลส ตัณหาอุปาทานชัดๆ คุณต้องเรียนรู้ว่ามันเกิดเวทนา อย่างไร สุข ทุกข์ ไม่สุขทุกข์เป็นอย่างไร มันก็มีเหตุเดียวกันแหละในสุขหรือทุกข์ ฐานที่เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเป็นฐานนิพพานที่ต้องทำให้เกิด อภินิพพัตติให้ได้

 

จะเกิดได้เพราะกิเลสดับตายไป ตัวนี้ก็เกิดคืออุเบกขาเนกขัมมะ จิตประเสริฐก็เกิดทันทีโดยไม่มีอะไรคั่น เป็นอาการเกิดจิตวิญญาณแบบโอปปตาติกะไม่เหลือซาก เหตุปัจจัยครบ จิตหมดความสกปรกปุ๊ป เป็นจิตสะอาดปั๊ป เป็นวิทยาศาสตร์ที่อธิบายกันชัด เราเรียกส่ิงที่เกิดดับทางจิตวิญญาณเราเรียกว่าโอปปาติกโยนิ เป็นสัตว์ ท่านก็ให้ตรวจโดยวิโมกข์8 หรือวิญญาณฐีติแล้วทำให้หมดตามหลักวิโมกข์ 8 ด้วยองค์ประชุมต่างๆแม้อรูปก็ทำได้ บริบูรณ์

 

เมื่อเรารู้เวทนา เรารู้ตัณหา ซึ่งตัณหา 3 มีตัณหาที่เป็นเครื่องอาศัย ที่ไปปราบตัณหาที่เป็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ เมื่อดับเหตุแห่งทุกข์ดับได้อย่างสัมมาทิฏฐิ ตัณหาก็ลดละจางคลาย นิโรธได้

 

อาหาร 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เราก็ใช้สัญญากำหนดรู้แล้วจดจำ เมื่อเราสามารถสัมผัส แล้วมันก็เกิดนาม_รูป ถ้าปราศจากเหตุปัจจัยวิญญาณไม่เกิด วิญญาณจะเกิดต้องมีผัสสะ ต้องมีสัมผัส 6 แล้วจะเกิดตัณหา 6 มีเวทนา 6 ให้เราเห็น ซึ่งแจกเป็นมโนปวิจาร 18 ต้องวิจัยเหตุแห่งทุกข์สุข แล้วกำจัดได้ เนกขัมมะได้ ตัววิภวตัณหาเป็นตัวนำพาให้เรากำจัดกามตัณหา ภวตัณหาตามลำดับ หมดกามก็กำจัดรูป และอรูปต่อ ให้สิ้นเกลี้ยง เมื่ออาสวะอนุสัยหมด จิตวิญญาณก็อาศัยวิญญาณสะอาดอาศัย ตอนนี้ไปบอกพระเจ้าแผ่นดินได้ว่า วิญญาณโจรตายแล้วพระเจ้าข้า ฆ่าด้วยหอก 37 เล่ม

 

ตั้งแต่โลกุตระที่ 1 คือกายในกาย คือทำใจในใจให้เกิดอภิสังขาร 3 เป็นปุญญาภิสังขาร กำจัดกิิเลสในอาหารให้ได้ คนไม่รู้วิญญาณาหารอ่านนาม_รูปไม่เป็น คุณจะไปฆ่ามันด้วยหอกมักก็ไม่ตาย ถ้าไม่รู้ชัดว่าวิญญาณมีผัสสะเป็นปัจจัยต้องมีผัสสะ จากปสาทรูป แล้วมีโคจรรูป อ่านนามรูปของวิญญาณได้วิจัยเวทนา สังขาร ได้ ถ้ากิเลสมันสังขาร เราก็อภิสังขารชำระกิเลส มันปรุงแต่เป็นสัตว์นรก อบาย ผี เราก็ปรุงแต่งพลังปัญญาของเราเหมือนกัน ไปล้างกิเลส จนมีพลังไฟฌานปัญญาไปสลายพลังไฟราคะโทสะโมหะได้ จางคลายจนนิโรธา เห็นความจริงหลัดๆไม่ได้ทำอย่างงมงาย เห็นมันวิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ทำซ้ำทำทวนให้เกิดอาเนญชาภิสังขารทำอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำซ้ำๆ มันมาเมื่อไหร่ก็ทำ มันไม่เกิดเราก็ไม่ได้ทำ มันเกิดเราก็ทำให้มาก จนกระทั่วเวทนา 108 ทุกปัจจุบันใส่ลงไปเป็นอดีตที่สูญ แล้วอดีตจะถาวรเป็นสูญ ปัจจุบันก็สูญ อนาคตก็ต้องสูญ

 

 

พอผัสสะปุ๊ปมันก็สวาปามเป็นกิเลสทันทีเลย มันมนสิการเช่นนี้ทั้งนั้น เราก็มนสิการเป็นให้เป็นอภิสังขาร ด้วยวิธีการปหาน อย่างไร พิจารณาอย่างไรมีไฟปัญญาอย่างไร จะเห็นด้วยความจริงตลอด เราสังวรระวังตลอด มันไม่ได้ปุปปับง่ายดาย แต่มันจะง่ายดายต้องมีวสี มีพลังแรงเก่งขึ้น สัมผัสแล้วลดได้เร็วไว เด็ดขาดสมุทเฉทปหานได้ทันที จนแตะได้ไม่เกิดกิเลสเลย  ปฏิปัสสัทธิปหาน เหมือนปลิงเจอน้ำมันมันไม่เกาะได้เลย แตะปุ๊ปก็หลุดไปเลย เป็นนิสรณปหานเลย เป็นตถตา เช่นนั้นเอง ไม่ต้องปฏิบัติแล้ว เดินไปกิเลสวิ่งหนีไปหมดมันไม่กล้ามาแตะเราหรอก อยู่เหนือกิเลสมีอำนาจเหนือกิเลส เป็นสัจจะที่พิสูจน์ยืนได้จริง พวกเราต้องพิสูจน์อย่างแท้จริง

 

ผัสสาหารหากไม่รู้ว่าเหมือนวัวถลกหนังแดงๆ ลมพัดไปต้อง มีแมลงมาตอม สารพัดเลยที่จะทุกข์ทรมาน

 

มโนสัญเจตนาหาร ให้กำหนดรู้ ตัณหา 3  เรารู้ว่าหลุมนี้เต็มไปด้วยถ่านเพลิงไม่มีเปลวควัน และลึกมากกว่าชั่วบุรุษ แล้วมีบุรุษที่ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ มีบุรุษสองคนมีกำลังฉุดแขนเขาให้ลงไปหลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจอยากไปไกลจากหลุมถ่านเพลิงเพราะเขารู้ว่าถ้าตกหลุมจะตายหรือทุกข์มาก เหมือนมโนสัญเจตนาหาร ที่ต้องการมาบำเรอ หรือต้องอาศัยเพื่ออาศัยหรือคุณมีอะไรแฝงเป็นกามตัณหา ภวตัณหา เราต้องใช้วิภวตัณหาในการลดกาม แล้วจะมีโมเดลในการลดละไปตามลำดับ ถ้าผู้ใดไม่ได้เรียนรู้ตัณหาจากสัญเจตนาของตน เรามีชีวิตมา แต่ก่อนเราไม่ได้ศึกษาเราก็เหมือนบุรุษรักสุข เกลียดทุกข์ แต่พอเราได้ศึกษารู้ว่ามันพาให้เราวนเวียน ฆ่าเช้า กลางวัน เย็น เราก็ยังหลงว่าต้องอาศัยต้องได้เสียง รูป รส กลิ่น ต้องได้ชื่อเสียง ต้องได้อัตตาเช่นนี้ มันมีอาการแฝงด้วยความยินดี ตามความผูกติดยึดในกาม ในรูปหรืออรูป ก็ตาม ถ้าไม่เรียนรู้อย่างจริงและทำให้สะอาดจริง แล้วคุณคิดดูสิว่ามันก็พอลดละเรื่องหยาบๆสามัญได้ กดข่มไป หากไม่เรียนรู้ตัวตนไม่อ่านสภาวะนามรูป มีวิปัสสนาญาณ มีวิชชาจริงเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตจริง ความจริงแล้วเป็นวิชชาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ แต่เป็นศาสตร์ที่เกิดความรู้ระดับวิชชา ไม่ใช่แค่วิทยา

ตลาดวิทยาศาสตร์ทั่วไปไม่มีขาย มีแต่เฉพาะของพระพุทธเจ้าใครเห็นหรือรู้ได้ก็เข้ามาอุดหนุนตลาดวิชชานี้ คนรู้ค่าก็มา อีกหน่อยต่อไปราชธานีจะมีคนมาอุดหนุนสินค้าวิชชา ก็ดูสิสันติอโศก มีคนมาจนรถติด ตำรวจมาว่าเราเลย

 

แต่ก่อนเราก็ถูกแรงฉุดดึงไปทางโลกแต่ก็ไม่รู้ทางออก มันก็ลงหลุมไฟอยู่ตลอดเวลา รักสุข เกลียดทุกข์ เราต้องมาดับเหตุที่หลงสุข เกลีียดทุกข์นี่แหละ หลุมไฟของเราก็หายไป แต่หลุมไฟในโลกก็มีอยู่ เราโดดไปในหลุมไฟเราก็ไม่เป็นไร neutron ทำอะไรเราไม่ได้


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:55:35 )

571019

รายละเอียด

571019_พ่อครูให้โอวาทประชุมทีมงานบุญนิยมทีวี

นานๆทีพวกเราก็จะได้มาสำทับกันเสียที ว่า มันเป็นอะไรที่บกพร่องก็ต้องมาขันชะเนาะ ฟั่นเกลียวเข้าไปอีก ให้มันมั่นคงให้มั่นแน่น ให้มันดีขึ้นมาเรื่อยๆ

 

ผู้ใดที่ตั้งใจหรือว่า มีปฏิภาณปัญญา รู้ตัวเองดี เตือนตนเสมอ มีโพชฌงค์ประจำตัวเสมอ หลักโพชฌงค์เป็นหลักใหญ่ประจำชีวิต คนไหนไม่มี ก็ล้มเหลว มีสติรู้นอกรู้ใน ไม่ใช่แค่สติหลับตา ดูลมหายใจแล้วเข้าไปอยู่ข้างใน อานาปานสติ ต้องมีสติทุกลมหายใจเข้าออก ต้องตื่นรู้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาตื่นไม่ใช้ศาสนาหลับ ตื่นรู้องค์ประกอบนอกใน ทั้งอานาปานสติ กายคตาสติ และสติปัฏฐาน สามอันนี้ขาดกันไม่ได้ 

 

กายคตาสติ คือสิ่งที่ดำเนินไปทั้งตัวคน ทั้งสายกล้อง ไมค์ องค์ประกอบรอบตัว คือกาย และก็ต้องมีใจด้วย กายมีใจจึงเป็นกาย ไม่มีใจก็เป็นกายไม่ได้

 

ยุคพระพุทธเจ้าเขาก็สอนสมาธิแบบหลับตากัน ซึ่งพระพุทธเจ้ามาสอนสิ่งใหม่เป็นสมาธิแบบตื่นลืมตาเปิด แต่ขาดลมหายใจไม่ได้ แต่คนยุคพระพุทธเจ้าก็ไปนั่งหลับตาอยู่ป่า ไม่มีความรู้พุทธแล้ว เป็นศาสนาเสื่อม คำสอนจึงพระพุทธเจ้าจึงเป็นอนุโลม ให้นั่งแล้วออกมา แต่ตอนนี้อาตมาก็พาพวกเราออกมา แต่พวกเราก็เลยเถิด ไม่มีอานาปานสติ ทุกลมหายใจเข้าออก อานา คือโพชฌงค์ กายคตาสติ คือสติปัฏฐาน ดูทั้ง มรรคองค์ 8 ทุกกรรม คิด พูด ทำ อาชีพ อยู่ในหลักนี้หมด แล้วเราต้องมีสติ มีอานาปานสติ ควบคุม อาชีพ การกระทำ วาจา การคิด

 

สรุปแล้ว คนศีล 5 ก็กำหนดศีล 5 เป็นกรอบ คืออุบาสก อุบาสิกา ศีล 8 คือผู้จะเป็นอาริยะไปเรื่อยๆ ศีล 5 คือฐานโสดาบัน คือผู้ที่ต้องดูแลข้าวของทรัพย์สิน ต้องทำงานกรรมกรเต็มที่ พอเป็นศีล 8 ก็เป็นนักบริหาร พอเป็นศีล 10 ก็เป็นนักบวช ศีล 10 รู้ทุกอย่างแต่ไม่ยึดวัตถุเป็นตน ศีล 8 ก็ดูวัตถุ แต่ไม่ยึดเป็นของเรา แต่ศีล 5 ต้องดูแลวัตถุเป็นของเรา ยึดอยู่ ดูแลหนัก หอบหมดเลย

 

ศีล 5 ต้องดูแลสมบัติต่างๆนานๆ แต่มีลึกที่ศีล 5 ของพระพุทธเจ้าไม่ได้หวงแหนติดยึด แต่มีทรัพย์สมบัติมาก ต้องดูแลรักษา เป็นกองหนักเลย ส่วนศีล 8 ก็ดูแลแต่ไม่สะสม และศีล 5 ดูเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจริง แต่พวกเราตีนห่างมือห่าง สุรุ่ยสุร่ายไปหน่อย และพวกเราก็เป็นสาธารณโภคี ก็เลยใช้ไปอะไรเสียหายก็หาใหม่ ทำให้เราต้องระมัดระวัง

 

เรื่องแรกคือเรื่องคน เราต้องรู้ว่าเราต้องทำงานสื่อสาร รับผิดชอบสื่อสาร และต้องรู้ว่าพวกเราเป็นสื่อสารจะทำประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใช่สื่อสารหาเงิน และบอกส่ิงที่ดีที่เราเป็นเรามี เราก็สื่อ และก็สัมพันธ์กับข้างนอก อะไรดีเราก็ชมเชย อะไรไม่ดีเราก็ติท้วง เราอยู่ในระบบบุญนิยม สาธารณโภคี สมบัติทุกอย่างเป็นของเรา ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของเรา เราต้องดูแลรักษาเอาใจใส่ ไม่ทิ้งขว้าง ไม่เช่นนั้นจะพัง ไม่เอาใจใส่ ทิ้งขว้าง

 

ต้องคมชัดว่าไม่ใช่ของเราคืออะไร แล้วของเราคืออะไร เป็นdialectic เป็นวิภากษ์วิภาษณ์ ของเราคือดูแลรักษาใช้งาน และไม่เป็นของเราคือไม่หวงแหน แบ่งกันใช้ได้ จะบอกว่าเราเองเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราแต่ปล่อยปละละเลยทิ้งขว้างก็ไม่ดี

 

สื่อจะเป็นบทบาทสำคัญของสังคม อาตมาเร่งรัดอยู่ 3 อย่างคือ การศึกษา สื่อ และการเมือง

 

ขึ้นเครื่องบินมาใครก็ถาม อโศกนี่ดี แต่ไม่ดีที่มันไปเล่นการเมือง ขึ้นเครื่องบินมาก็เจอ ผอ.รร.เขมาฯ ก็ถามว่าทำไมสันติอโศกต้องไปชุมนุมกับเขาทุกที …....ก็ไปทุกทีที่ไหน? แต่อโศกไปทีไรมันชุมนุมใหญ่เท่านั้นเอง ทุกวันนี้เขาก็มีประท้วงอยู่ แต่อโศกไปทีไรมันใหญ่ทุกที มันเป็นเรื่องเป็นกิจการงาน เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องลึกซึ้งหรอก ทำไมต้องไปแล้วมันเกิดใหญ่ เพราะเราเป็นแกน ตอนนี้เราก็พักเรื่องการเมืองไปก่อน

 

เราก็ทำการศึกษากับสื่อ ตอนนี้ก็จะสร้างอาคารใหญ่ ยาว 53 ม. กว้าง 32 ม. ถมที่แล้ว ใครไปบ้านราชฯคราวนี้อย่าเดินหลงทางนะ มีรั้วด้วย

 

ของเราบ้านวัดโรงเรียนอยู่รวมกันหมด ชั้น 1 อนุบาลกับคนแก่อยู่ ชั้นสองมัธยม ชั้นสามชั้นสี่ก็อุดมศึกษาอยู่

 

อยากจะให้นักบวชมาอยู่ดูแลเป็นหลักหน่อย พวกนี้เขานุ่งกางเกงเขาก็เดินไปไหนได้ แต่พวกนักบวชนี่นุ่งผ้าถุงก็อยู่ประจำหน่อย อยู่สลับกันไป ช่วยกัน ให้มีอยู่ตลอด 24 ชม.

 

สื่อจะเป็นหลักสำคัญจริงๆ ชีวิตเราปฏิบัติเจริญก็อยู่ที่นี่ไม่ไปไหน คนไหนเข้าใจแล้วก็อยู่ คนไหนไม่เข้าใจก็ไปทดลอง โบราณว่าคางคกเลือดไม่ออกหัวก็ไม่สำนึก พวกเราก็มาช่วยกันก็ดีแล้วขอบคุณทุกคน แต่ต้องปฏิบัติธรรม อย่าเอาอัตตาเป็นใหญ่ อัตตาคือเอาแต่ใจ ไม่ได้ดังใจก็รวนแกล้ง มีอัตตา เราดีกว่าใคร ซึ่งเราอาจถูกต้อง แต่อยู่กับหมู่แล้วเราจะต้องเอาให้ได้ดั่งใจเรา มันก็ไม่ได้เป็นองค์รวม จิตไม่พร้อม

 

สมมุติว่าอาตมาเผด็จการเอาตามใจอาตมาได้แต่พวกเราก็ไม่เต็มใจ ก็จะทำให้เสียได้ ต้องประมาณให้ได้สัดส่วนเขาบ้างเราบ้าง เอาแต่ใจเราเป็นเอกไม่ได้ แต่พวกเรามีปัญญา ถูกจะมากกว่าผิด เมื่อเราเอาส่วนใหญ่เป็นคะแนนเสียงไม่ผิดพลาดหรอก เพราะนั้นคือสัดส่วนอันพอเหมาะ ต้องถอนตัว ตัดอัตตา ได้มติหมู่แล้วเราก็จบ วิจัยวิจารในหมู่แล้ว ตัดสินในหมู่แล้ว มติอะไรออกมาก็ทำตาม ทุกอย่างเลิกหมด เข้มแข็ง แล้วจะไปเต็มประสิทธิภาพ

 

พวกเราทุกคนมุ่งหมายมาดีทั้งนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อตนจะได้มาก เป็นส่วนกลางอยู่แล้ว ทุกคนก็เห็นแก่สิ่งที่ดีที่สุด เมื่อมติตัดสินแล้วก็ต้องให้เกียรติทุกคน จัดสัดส่วนได้ค่าเฉลี่ยที่ได้สัดส่วนก็ทำไปเลย

 

เราต้องรู้ว่าเราถนัดอะไร จะรับหน้าที่อะไร แต่ถ้างานส่วนกลางขาด เราก็ต้องช่วยกัน จะพาซื่อว่าไม่ใช่งานเราก็ไม่ได้ พวกเรายิ่งคนน้อย ก็ต้องช่วยกัน เราจะต้องทำทุกอย่างทั้งงาน ทั้งที่จะต้องเข้าใจคน ทั้งดูแลวัตถุก็ต้องเข้าใจ ขณะนี้เด็กๆเขายังไม่ประสีประสา เขายังไม่รับรู้เรื่องสาธารณโภคี ว่านี่ไม่ใช่ของใครนะ พวกผู้ใหญ่ตายไปของพวกนี้ก็อยู่ไป พวกเด็กๆก็ต้องมาเป็นเจ้าของดูแลกันต่อไปนะ ของมันก็เป็นให้เราใช้แค่เรามีชีวิต แล้วเราก็ตายจากมันไป เราอาศัยสิ่งที่อาศัยนี้เท่าที่เรามีชีวิต ตายไปแล้วไม่มีของใคร แล้วคนอยู่ก็ใช้ต่อ แต่เด็กก็ไม่รับรู้ เขาก็จะไปหาของที่เป็นของตัวเองภายนอก แต่ของในอโศกที่มีอยู่นี่เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นของเขา เขามีสิทธิ์มาใช้ แต่ว่างานเราไม่เป็นอบายมุข หากต้องการอบายมุข เขาก็ต้องออกไปหา

 

อีกหน่อยอโศกจะเป็นชื่อที่คนนิยมคนต้องการ อย่างเจ้าพริก เอเอสทีวี ยังไปเอาชื่อ บ้านพืชผัก ไปทำร้านเลยที่อุบลฯ แอบไปทำ พวกเราก็จะเข้าใจชีวิต อโศกเรามีแก่นแกนสาธารณโภคี เป็นแบบอย่างที่พึ่งเกิดในยุคนี้ พวกคุณจะรู้ว่าอาตมาคือใคร อาตมามาปลูกฝังสร้างมาแล้วจะเป็นแก่นแก่มนุษย์

 

ในโลกไม่ว่าจะเป็นโทมัส มอร์ เขียนยูโทเปีย มา คือแบบทิสต์ เป็นผู้มาประกาศก่อน ว่าสังคมดีเป็นแบบนี้แต่อาตมาเป็นผู้พาทำจริง สื่อของเราก็เกิดมาได้ 7 ปี

 

พวกเรายังมีส่ิงสูญเสีย ทางเครื่องมือสมัยใหม่ ยังมีตัวผีหลอกเข้ามา เราก็ติดเล่นเกม เล่นแชต ไลน์ ทำให้เสียเวลา เสียงานทำอะไรต่ออะไรพวกนี้ต้องรู้ตัว อาตมาว่าพวกเราก็พอเข้าใจ มันเสพเป็นอบายมุข คุณไม่ออกไปข้างนอกก็จริงแต่เดี๋ยวนี้มันเก่ง ส่งอบายมุขมาได้เลยใส่กล่องมาเลย เดี๋ยวนี้ขึ้นเครื่องบินก็ยังกดๆๆ มีทุกอย่างเลยอบายมุขในเครื่องนั้น การบันเทิง การพนันมีในนั้นหมด ต้องรู้ว่าโรงผีใหญ่อยู่ในนั้น เราก็ต้องพยายามละล้าง หากจิตเราอยู่เหนือมันได้เราก็เอามาใช้ประโยชน์ได

 

ระบบสื่อสารพวกเราอยากให้เป็นแหล่งใช้ได้หมดเลยไม่ว่าเป็น สันติฯ ปฐมฯ ศีรษะฯ บ้านราชฯ ถ้าอันหนึ่งเสียก็ให้ที่อื่นรับต่อได้ แต่สันติก็เป็นหลักก่อน ต้องลงทุนต้องเสริมไม่ใช่ว่าเป็นของใคร แต่ว่าเป็นของส่วนกลาง ของทุกคน ก็ค่อยๆทำไป ใครจะอยู่ที่ไหนก็ได้แต่ว่าต้องไม่เป็นเราเป็นของเรา ก็ช่วยกันไปได้หมด

 

เราก็มีเครื่องไม้เครื่องมือ ที่ก็พอได้ฝึกซ้อม ก็ฝึกกันไป พวกเราไม่ได้เห็นแก่ตัวกัน ก็สอนกันฝึกกันถ่ายทอดให้เบางานให้มีตัวตายตัวแทนกันได้ ถึงเวลาตายก็ตายไป คนอื่นก็มาต่อ ก็เป็นธรรมดาสังคมมนุษยชาติ พวกเราทำมาป่านนี้แล้วก็ต้องเข้าใจสาธารณโภคี ความเป็นตัวกูของกูมันมีมานาน พวกเราก็เข้าใจก่อนเขามาปฏิบัติได้

 

อาตมาเอาของจริงแต่ละคนตัดสินใจมาเองอิสระไม่เอาก็ออกไปก็ไม่ได้ว่า ไม่ได้โกรธเกลียดอะไร อยู่ก็อยู่ไม่อยู่ก็ไป หลายคนมีอัปปิจฉะดี มักน้อย ใจพอดีก็ไม่เรื่องมาก ส่วนคนยังไม่พอไม่มักน้อยก็มีเรื่องมากเป็นธรรมชาติ แต่เป็นไปได้อย่างที่เป็นไป มันซ้อนอยู่พวกเราไม่มีตัวกูของกูแต่ก็ต้องดูแลเป็นตัวกูของกูอยู่

 

ถ้าเราช่วยกันดูแลของ ช่วยกันใช้แล้วอย่ายึดมั่นเป็นเราเป็นของเรา หากว่าเราเก่งอันนี้ใครจะมายุ่งไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ดี ต้องล้างความหวงแหนเป็นของตัวเรา ต้องช่วยกันถ่ายทอดให้ร่วมกันใช้ หรือว่าของตนแต่ให้ส่วนกลางแล้วก็ต้องรู้ ไม่หวงแหน แต่อันไหนไม่ได้ให้เป็นส่วนกลางก็รู้ว่าไม่ใช่ เป็นของส่วนตัว  แต่ของเราแม้มีน้อยแต่เราก็ทำได้ประสิทธิภาพมาก ของไม่ดีก็ยังได้ประโยชน์เยอะ ยิ่งของดีก็ยิ่งทำได้ดีมากขึ้นไม่หวงแหน พวกเราจะได้ทั้งของที่อายุยืนยาว คนก็ช่วยกันเพ่ิม เก่งขึ้นๆ

 

คนทำงานทางโลกทำงานเพราะอยากได้ค่าตัวแพงขึ้นก็เลยเป็นตัวเร่งให้คนต้องเก่ง แต่พวกเราไม่ได้ค่าตัวแพงขึ้นก็เลยไม่อยากเก่งขี้นอย่าไปคิดเช่นนั้น เราก็ต้องขวยขวายให้เก่งขึน คนที่เป็นอย่างพวกเราก็เลยไม่เก่งเท่าทุนนิยม เพราะเขามีเครื่องล่อ พวกเราไม่มีก็ต้องสำนึกว่า อย่างไม่มีส่ิงล่อก็เก่งขึ้นได้ ขวนขวาย  แล้วคนเก่งอย่างพวกเราก็ไม่หวงแหน บอกสอนกันฟรีๆ แต่ทางโลกเขาเก็บค่าเรียนค่าสอนนะ มีอัตตาค่าตัวแต่พวกเราไม่หวงแหน ไม่มีค่าตัว ไม่มีอัตตา แล้วพวกเราจะเก่งได้มากกว่าทุนนิยม อาตมาส่งเสริมนะ

 

สรุปว่าไม่ใช่ของๆเราแต่ก็เป็นของๆเรา จะใช้งานก็ดูแลให้ดี ถ้าไม่เหมาะสมก็จะพังง่าย แต่ก็ไม่หวงแหน ให้เขาได้จับได้ซ้อมมือ คนทางโลกเขาหวงแหน ขนาดเป็นรร.รัฐบาลก็หวงไม่ค่อยให้เด็กใช้ของ แต่ของเราไม่หวงแหนดูแลกัน บงคนเด็กพวกเราคะนองก็อย่าเพิ่งให้ใช้ แต่คนไหนควรก็ให้ใช้ บางคนเด็กพวกเราเป็นอัจฉริยะเลยนะ

 

แม้แต่ข้าวของที่นี่ เราอยู่เรื่องสื่อ แล้วจะบอกว่า ของข้างนอกไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ เราก็อยู่ในระบบสาธารณโภคีนี่แหละ เราก็กินใช้อยู่รวมกันในสาธารณโภคีนี่แหละ

 

อาตมาบอกเลยนะว่าเมืองไทย ในอนาคต คนที่จะได้โนเบิลไพรซ์คือคนอโศก เมื่อใดโลกเข้าใจ แต่ตอนนี้เขามองไม่ออก ไม่รู้ว่าส่ิงที่ต้องการอยู่ที่ไหน อย่างในหลวงที่ท่านตรัสนี่โลกเขาต้องการนะ เราก็ต้องช่วยกันสร้างอย่างของในหลวงตรัสไว้นี่แหละ เป็นเรื่องของสังคมทั้งหมด บริหารแบบคนจน พอเพียง ก็ต้องค่อยทำกันไป ทั้งเรื่องคน งาน วัตถุ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:56:33 )

571019

รายละเอียด

571019_วิถีอาริยธรรม สันติฯ พ่อครูและท่านจันทร์ เรื่อง รู้กายให้จบอุเบกขาในโลกุตระ 46

.เพาะพุทธว่า...วันนี้มีผู้ปฏิบัติธรรมศีล 8 ถึง 40 ชีวิตมาร่วมฟังด้วย ความต่างระหว่างอุโบสถศีล กับ ศีล 8 คืออุโบสถศีลนั้นไปพักค้างที่วัดด้วย

 

เรื่องที่พ่อครูได้อธิบายในรายการก่อนๆหน้านี้ พ่อครูได้เน้นย้ำเจตนาถึงคำว่า บุญ คำว่าบุญคือการชำระกิเลสบุญไม่ใช่ขนมปังที่ตัดแบ่งใครไม่ได้ บุญเป็นอาวุธ (พ่อครูว่าบุญเป็นปืนไม่ใช่ขนมปัง อย่าไปกินเข้า) แต่เด็กส่วนมากชอบเขาขนมปังมาทำเป็นปืนเล่นกัน สมัยก่อนผมเป็นเด็กก็ใช้ขนมปังเล่นเป็นปืน

 

แล้วคำว่ากุศล เป็นสิ่งที่จะต้องทำ ถ้าบุญจะเป็นอาวุธ ส่วนกุศลก็น่าจะเป็นอาภรณ์ เป็นเครื่องแสดง ดังนั้นบุญเป็นส่ิงที่จะต้องทำสำหรับคนไม่หมดกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสหมด บุญก็ไม่ต้องทำอีกต่อไป และบาปก็หมดไปพร้อมกับบุญ

 

พ่อครูว่า..มีหลักฐานยืนยันบาลีว่า ปุญญาปาปาปริกขีโณ คือสิ้นบุญส้ินบาปแล้ว เป็นอรหันต์นั่นเอง

 

.เพาะพุทธว่า...วิธีพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นบาป คือต้องประกอบด้วยกิเลสไปร่วมก็คือกิเลส บาปคือกิเลส กิเลสคือบาป แล้ววันนี้พ่อครูจะได้อธิบายต่อ ส่วนคำว่า นามกาย ผมนำไปเขียนใน นสพ.ว่า นามกายนี่แหละคือจิต

 

ในรายการท่ีผ่านมา พ่อครูได้อธิบาย ผัคคุณสูตร อาตมาได้ติดตามเนื้อหา มีนัยน่าสนใจหลายอย่างเช่น  [33] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง ฯ

     ภ. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่าย่อมถูกต้อง ถ้าเรากล่าวว่าย่อมถูกต้อง ควรตั้ง

ปัญหาในข้อนั้นได้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง แต่ เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดพึง

ถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีผัสสะ อันนี้

ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ฯ

       ผมคิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ให้เราสนใจว่าใคร แต่ให้สนใจว่า อะไรที่ทำให้เกิดขึ้นมา (พ่อครูว่าถ้าพูดถึงใครก็เป็นตัวตนเป็นเราเป็นของเราแต่ถ้าพูดว่าอะไร นี่ก็คือไม่เป็นตัวตนเป็นเราเป็นของเรา) ...เราทั้งหลายน่าจะนำผัคคุณสูตรไปเป็นแนวทางปฏิบัติ เราควรสนใจอะไรมากกว่าใคร เราจะดับอะไรมากกว่า จะได้ประโยชน์ พระพุทธเจ้าว่าถ้าถามว่าใครๆๆ?นี่ถามผิด แต่ให้ถามว่าอะไร??

 

ถ้ามีใครฝากมาว่าเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราควรถามว่าเราผิดอะไร มากว่าถามว่าใครมาว่าฉัน อย่างนี้จึงได้ประโยชน์มากกว่า (พ่อครูว่าไม่เกิดศัตรู) แล้วอะไรจะทำให้เราหันมามองตน

 

กามนี่เราอย่าไปจัดการกามให้หมดนะ เพราะว่ากามมีหลายประเด็น คำว่าธรรมกาโม ก็คือความยินดีในธรรม พ่อครูว่าต้องกำจัดรสแห่งความยินดีในกาม จึงถูกต้อง ไม่ใช่จัดการกามทั้งหมด เพราะความยินดีในเรื่องดีเป็นประโยชน์ต้องรักษาไว้ เช่นเดียวกับเรื่อง ตัณหา แม้แต่เจ้าคุณประยุทธ์ เคยได้พบท่านเมื่อหลายปีก่อน สอบถามท่านว่า ท่านมีอะไรจะฝากให้ผมไหมครับ...ท่านก็ฝากกุศลธรรมฉันทะ คือให้มีความยินดีรักใคร่ในกุศล

 

ในผัคคุณสูตรมีเรื่ืองของอาหาร 4 ให้เราศึกษา เรื่องผัสสาหารเหมือนวัวถูกถลกหนัง ในมโนสัญเจตนาหารเปรียบกับหลุมถ่านเพลิงไม่มีเปลวควัน ทำให้เราเห็นทุกข์ในส่ิงเหล่านั้น

 

พ่อครูว่า...

 

รูป ถ้าเป็นตัวของมันก็เป็นส่ิงหนึ่ง แต่ถ้ามีธาตุรู้คือวิญญาณคนเข้าไปเกี่ยวข้องคือคำว่า กาย  ธาตุรู้เป็นตัวการใหญ่ ทำให้เกิดเป็นสัตว์ เป็นสัตว์ทางวิญญาณไม่ใช่สัตว์ทางร่างกาย แม้อเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่ไม่มีภูมิจะศึกษาโลกุตระได้ ต่อให้มีความเฉลียวฉลาดโลกีย์อย่างไรก็รู้ไม่ได้ รู้ได้แค่บัญญัติภาษา ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ มันเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีตัวเชื่อมต่อมาเป็นเวไนยสัตว์ได้เลย มันเป็นญาณปัญญาที่จะต้องเสริมเพ่ิมถึงขีด

 

พระพุทธเจ้าแบ่งโลกีย์กับโลกุตระ ซึ่งโลกุตระก็มี 9 คือบุคคล 8 และนิพพานอีก 1 และมีโลกุตระอีก 46

 

เร่ิมตั้งแต่กาย แล้วไปจบสูงสุดที่อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน เราสร้างอุเบกขาให้เป็นอเนญชาภิสังขารได้ก็สมบูรณ์ให้แน่นให้ถาวร ทำด้วยอภิสังขารทำอีกทำแล้ว อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง จนอนาคตกับอดีตเป็นสูญ  แต่กุศลไม่มีหยุดเจริญได้ไม่มีวันจบ ความเป็นสัตว์โลก พระพุทธเจ้าท่านรู้ครบหมด ศึกษามานานนับชาติ ไม่รู้ที่ต้น จนสืบทอดมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งเกือบสูญไปหมดแล้ว อาตมาต้องเอามาสืบทอดคืน ที่บอกว่าสูญแล้ว เพราะไม่ได้เห็นคำสอนปัจจุบันที่จะมีโลกุตระ และอาตมามีส่ิงที่เขาไม่มี อาตมาก็เอามาเปิดเผย เป็นสินค้าใหม่ เป็นนวัตกรรม

 

พระพุทธเจ้าท่านเริ่มต้นตั้งแต่โลกุตระข้อแรกคือ กายในกาย

 

กายคือองค์ประชุมตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป และมีประเด็นหลักอีก ว่า กายคือ ธาตุรู้ หากขาดธาตุรู้ก็ไม่ใช่กาย พระพุทธเจ้าสอนกายคตาสติ กับอานาปานสติ

 

อานาปานสติ ก็ต้องมีกาย ขาดกายไม่ได้ แม้คนหลงผิดไปนั่งหลับตาสมาธิในป่าเขาถ้ำ อะไรข้างนอกไม่รับรู้ พระพุทธเจ้าก็ต้องอนุโลมว่า อย่าทิ้งกายนะ แม้หลับตานั่งสมาธิก็อย่าทิ้งลมหายใจคือกายนอกนะ และแม้กระทบทางทวาร 5ใดๆก็ต้องรับรู้ด้วยนะ ต้องรู้ กายสังขาร รู้ปฏิสังเวที รู้ให้ครบกายทั้งนอกและในไม่ให้ขาด แล้วทำให้มันระงับ ปัสสัมภยัง ทำให้องค์ประชุมทั้งหมดระงับ และต้องรู้ต่อไป

 

พอเรารู้กาย เป็นต้นว่าอ่านถึงนามธรรม ลืมตา ทวารนอกกระทบอยู่ เราก็เอาสัญญาไปกำหนด เห็นหน้าอาตมาก็กำหนดรู้ แต่ถ้าไม่ได้กลิ่นก็ไม่ได้กำหนด แต่ถ้ากลิ่นโชยมาก็กำหนดรู้ได้ มันจะเร็วมาก จะกำหนดรู้ทีละอย่างแต่ทำให้เร็วได้

 

จะจับจิตอ่านจิตตนให้รู้นั่นแหละคือ สักกายะ คำว่า สักกะคือของตน องค์ประชุมนี้คือ กาย อาตมาบอกว่า กายคือจิต (พวกเปรียญ 9 ฟังแล้วคงคันหูนะ) ฟังให้ดี กายถ้าขาดจิตก็ไม่ได้เลย ถ้ารู้สักกายะ ท่านก็ให้พิจารณากาย

 

พิจารณากายนอกกายมีเหตุจากอะไร ได้ยินเสียง ได้เห็นภาพ แล้วกายในกายนี่คือจิตเจตสิก เราก็ต้องรู้ว่าเร่ิมต้นมีปีติ ก็ต้องรู้ปีติในใจ ถ้าแค่รู้สักกายได้เราก็จะมีปีติ แต่ก่อนเราไม่เคยอ่านอาการจิตได้ รู้จิตโดย อาการ ลิงค นิมิต เราอ่านได้สภาวะนี้เราอ่านได้ว่ามันปรุงแต่ง ชอบหรือไม่ชอบเราก็อ่าน ว่ามันชอบหรือไม่ สูงไปกว่านั้น ไม่ใช่รู้แค่ชอบหรือไม่ เรารู้ว่าทุกข์หรือสุข หรือว่าอทุกขมสุข เป็นเวทนา

 

แล้วในเวทนา มันมีเหตุอะไรให้เกิดสุข กับทุกข์ มันอยู่ที่อุปาทาน เคลื่อนตัวมาเป็นตัณหา ต้องได้สเปคอย่างนี้ ถ้าได้ตามสเปคก็ชอบ พอได้กระทบก็เกิดการเคลื่อนดำเนินไป กายคต คือองค์ประชุมเคลื่อนไปเป็น Kinetic energy แทนที่จะนิ่งไม่รู้ไม่ชี้อะไร ก็เคลื่อนมา แล้วยิ่งมีเหตุปัจจัยกระทบสัมผัสเข้า ก็เกิดชอบชัง หรือกระสัน อยาก แย่งชิง ทำร้ายทำลายกัน จนแย่งได้ก็สงบ

 

เวทนาก็มีเจตสิก เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนา จะสุขทุกข์ก็เพราะในจิตมี สราค สโทส สโมหะ ในจิตเรา ถ้าในจิตเราไม่มีตัวเหตุนี้ที่จะต้องได้ตามอุปาทาน มันก็ไม่เกิดสุข ทุกข์ มันก็ไม่มีอะไรทรงอยู่ ธรรมะ ก็ไม่มี เมื่อธรรมะไม่มีจิตก็ไม่มี มาเป็นเวทนาก็ไม่มีเหตุให้สุข ทุกข์ หรือพักยก แต่ถ้าฆ่าเหตุได้ก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา แต่ถ้าทำเมินก็ไม่ได้จัดการเหตุ ก็อยู่ไปอย่างนั้น อย่าว่าอยู่แค่ล้านปีอย่างไวรัสนี่นะ แต่กิเลสมันอยู่ได้นานกว่านั้นอีก

 

เมื่อพระพุทธเจ้าว่า เราต้องหาปัจจุบันเลย มีกระทบผัสสะ ซึ่งต้องมีนามด้วย พระพุทธเจ้าว่านาม มี เวทนา  สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นตัวปฏิบัติ

 

ต้องมีเจตนาเป็นวิภวตัณหา แล้วปฏิบัติเป็นมนสิการ ใจเราต้องจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย ว่าเดี๋ยวนี้มีไหม กระทบแล้วจับโจรได้เลย ว่าอยากหรือไม่อยาก เราก็จะจัดการทำลายมันได้เลยทันที ย่ิงกว่าตำรวจใหญ่จับโจรนะ วิธีการพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะ แล้วอ่านวิญญาณหรือจิต ว่าอาการมันเกิด วิญญาณเป็นการเกิดที่ปัจจุบัน เป็น proper noun คือเป็นสักกายะเป็นเฉพาะ เกิดหลัดๆเป็นวิญญาณผี เป็นองค์ประชุมของ กายกลิ ตัวนี้ของเราไม่ใช่เห็นของคนอื่น เราก็จัดการจิตเรา เรียกว่า กายในกาย ซึ่งเนื่องมาเป็น เวทนา เป็นจิต เราก็เจาะอ่านอาการสำคัญคือ ราคะ กับโทสะ มันมีชีวิต

 

จะจัดการมันไปได้ก็ต้องรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นตัวปลอม เราไปโง่นึกว่ามันมีตัวตนหรอก เราโง่เอง พิสูจน์ให้ได้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่อยู่กับเราตลอดหรอก แล้วเราก็ไม่ให้มันมี โดยไม่ได้กดข่ม เราให้มันขึ้นมาด้วยกระแทกให้ออกมาด้วย แล้วเราก็ต้องรู้ด้วยปัญญาว่ามันทรมานเรานานนับชาติ จนกว่าเราจะเกิดญาณปัญญา รู้ว่ามันไม่เที่ยง เราทำให้มันหายไปได้ จับอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ให้ได้

 

ในพระไตรฯล.16 ข.43 ว่าด้วยเรื่อง ความมี และ ความไม่มี

 

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ
มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ
ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ
มีในโลก ย่อมไม่มี

 

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก
ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็น
ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด
ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง
เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

พ่อครูว่า ก็เมื่อสมุทัยมันไม่มีแล้ว ก็นี่แหละคือความไม่มี  ไม่มีอะไรก็คือไม่มีสมุทัย ไม่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปแล้วนั่นเอง

 

เมื่อเราอธิบายถึงความไม่มีในสังคม คนที่เขาติดยึดมากก็ฟังไม่รู้ แต่คนไม่ติดยึดมากก็น่าจะพอรู้ แต่เราเองหมดความติดยึดหรือติดยึดน้อยลงก็จะเข้าใจดี อย่างผู้ชายไม่ติดลิปสติก หรือผู้หญิงเขาไม่กินเหล้าไม่ติดเหล้า ที่จริงเหล้านี่มันฝาด เฝื่อน ร้อน บาดนะ แต่คนมันชอบ ก็ว่าเฝื่อนนั่นแหละเขาชอบ คนติดหนัก ก็คนอื่นเขาไม่ชอบกันเขาก็ติดก็ชอบ

 

กายในกาย ในโพธิปักขิยธรรม ในโลกุตตระ 36 ขึ้นต้นด้วยกายในกายและจบด้วยอุเบกขา มีมรรคองค์ 8 อยู่กับกรรม อยู่กับกาย ที่สัมผัสรูปนามทั้งนอกและใน อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ ทำจนกิเลสเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา เป็นสัมมสมาธิ หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในสมาธิของมรรค 8 กับฌาน 4 ก็ตัวนี้

 

แล้วอุเบกขาแล้วก็ต้องตรวจสอบด้วยอรูฌาน 4 ก็อุเบกขายิ่งแข็งแรงขึ้น เราทำอรูปฌาน เพื่อตรวจสอบ ไม่มีเศษเหลือ อเสสะ จึงสมบูรณ์แบบ ช่วงกลางระหว่างโพชฌงค์ 7 ให้เรียนรู้ กายคตาสติ กับอานาปานสติ ถ้าแยกกัน ก็หมดทางไปนิพพาน ระหว่างกายคตาสติกับ อานาปานสติ

 

คนทั่วไป กายคตาสติ ก็ไปทำอิริยาบถหยาบ ยืนหนอ ย่างหนอ ก้าวหนอ ไม่เข้าหาจิตก็จบเกม ไปไม่ออก การไปทำอานาปานสติก็ไปนั่งหลับตาทำ คนละส่วนเลย

 

แล้วต้องรู้ อุปาทายรูปอีก 24 ทางปสาทรูปโคจรรูป แล้วให้รู้ให้เป็นกายอันเอกเป็นปุริสภาวะหรือปุริสสินทรีย์ จากอิตถินทรีย์ให้เป็นปุริสสินทรีย์ ซึ่งถ้าไปยึดถือภายนอกว่า ผู้ชายผู้หญิงให้เสมอภาคกัน พระพุทธเจ้าก็ให้เสมอภาคได้ในส่วนที่ควรเสมอ เช่นพระอานนท์ว่าหญิงบรรลุอรหันต์ได้ไหม? พระพุทธเจ้าก็จำนนต่อสัจจะ แต่ก็ต้องให้มีคุรุธรรมอีกนะ เพราะอิตถีภาวะเป็นภาวะที่ยังเคลื่อนอยู่นะ ไม่จบ แต่ผู้บรรลุวิมุิตถึงแก่นเป็นอมตะแล้ว ท่านจะอยู่เป็นบุรุษไปตลอดกาลนานไม่ขยับเขยื้อนก็ได้

 

จะเท่ากันโดยสภาวธรรมไม่ได้แต่โดยตัวร่างสัตว์โลก ตัวรูปกาย ไม่เท่ากันแต่นามกายนั้นเท่ากันได้ องค์ประชุมกายนอกเท่ากันไม่ได้แต่นามกายทำให้เท่ากันได้ ดังในอานาปานสติ คือทำใจโดยตรง เป็นโพชฌงค์ 7 ส่วนกายคตาสติคือมรรค องค์ 8

 

กาย ขาดนามธรรมไม่ได้ ขาดจิตไม่ได้ แม้แต่จิตกับจิตก็เป็นนามกายได้ โดยสัญญากำหนด แม้ไม่มีทวารนอก ตายไปหรือสลบอยู่ ก็มีนามกายที่ประชุมละเลงกันอยู่ข้างในได้

 

ตั้งแต่ต้น กายในกายไปจนจบอุเบกขา ก็ต้องเป็นองค์ประชุม คุณเป็นคนต้องมีกรรม เกี่ยวข้องกับโลก คุณก็ทำจิตคุณได้จัดสัดส่วนให้เกิดหรือดับอย่างไรได้ มีมุทุ เร็วไว คล่องแคล่ว เป็นกัมมัญญตา คุมการกระทำการงานได้ทุกอัน การงานที่ถูกคุมด้วยอัญญา ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ก็จะออกมาดีงามเหมาะควรที่สุดในโลก ไม่มีอคติ ไม่รวนเลย เป็นอัญญา ผสมส่วนจัดงานได้เหมาะ สุดยอด ทำงานอย่างไร กระทบกระแทกอย่างไรเลอะอย่างไร จิตก็คงเดิมเป็นปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

รายทาง เมื่อสามารถรู้กายในกาย ว่าถ้าจิตคุณทรงไว้แต่กุศล ถ้ามีอกุศลนิดนึงก็ไม่บริสุทธิ์ไม่เป็น ธรรมแท้ มีกาย เวทนา จิต ธรรม

 

เราก็ปฏิบัติ โดยมีสัมมาสติ เป็นตัวประธานใหญ่ สติสัมโพชฌงค์ แม้กระทำอยู่ก็ต้องมีสติ กำลังทำก็มีสติ ตามที่เราเข้าใจเป็นทิฏฐิ ทำช่วยกัน สังเคราะห์สังขาร ชำระกิเลสให้ได้ ปหานกิเลส

 

สังวรสำรวมอินทรีย์ 6 แล้วกระทบสัมผัสเกิดเวทนา เราก็หาเหตุ แล้วปหาน ทำด้วยพลังไฟฌาน พิเศษ ละลายกิเลสได้ ทำได้เด็ดขาดเป็นสมุทเฉทปหาน ทำด้วยปัญญาจนไม่ต้องกดข่มช่วยเลย ใช้ไฟฌาน ปัญญานี้ละลายกิเลสได้เลย ไฟฌานมันสูงเป็นกองไฟใหญ่ กองไฟวิเศษทำลายกิเลสได้ ฌานไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตา แต่ลืมตานี่มีทั้งรูปภพ อรูปภพสมบูรณ์หมดเลย มีกองไฟกันเต็มไปหมด ให้มีประสิทธิภาพ มีความสุกใสรุ่งเรืองเป็นสัมปชลติ

 

สามารถสังวรปธาน ปหานปธาน มีภาวนาปธาน แล้วรักษาผล ทำให้มากทำให้บ่อยเป็นอาเสวนาภาวนพหุลีกัมมัง ให้สามกาละเป็นอันเดียวกันคือสูญหมด ทำสัมมัปปธาน ด้วยกองเชียร์ใหญ่คืออิทธิบาท 4 เป็นแรงเชียร์ขาดไม่ได้ แล้วคือวิริยสัมโพชฌงค์ ทำแล้วเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 เต็ม ด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็ชัดเจน มากขึ้นๆ

 

คุณยิ่งเห็นว่าได้อาริยทรัพย์ย่ิงกว่าได้เพชรนิลจินดา คุณจะยิ่งทำไม่กินไม่นอนเลย สติย่ิงตื่นไม่หลับไม่นอนเลย ดีไม่ดีช็อคตายก่อน สติก็ต้องเต็ม สะสมเป็นศรัทธา วิริยะ สมาธิ ปัญญา เกิดธาตุรู้คือปัญญา ซึ่งตรงข้ามกับปัญหา ผู้มีปัญญามาก ปัญญาจะไม่มี

 

สติเต็มในฐานโพชฌงค์คืออานาปานสติ อยู่ในฐานมรรค 8 คือ กายคตาสติ

 

ทุกอิริยาบถ กายนี่รวมหมดทั้งนอกและใน คุณต้องมาเรียนตามหลักอานาปานสติ 16 รู้องค์ประชุมทั้งนอกและใน เช่นศีล 5 มีผัวเดียวเมียเดียวไม่เอาจัดจ้านกว่านั้น แม้แต่พูดก็ไม่ทำผิด ไม่ปด ไม่ลักทรัพย์ไม่ฆ่าสัตว์ เอารูป รส กลิ่น เสียง  สัมผัสแค่นี้ คุณต้องรู้ว่ามันจัดไปแล้วก็ต้องตีกรอบของคุณเอง ในสุรามันเมาหยาบ เมรยะก็เมากลาง มัชชะก็เมาละเอียด ในศีล 5 ก็เอาแค่เมาหยาบๆก็ละให้ได้ก่อน

 

เร่ิมทำอานาปานสติ ให้รู้องค์ประชุมทั้งนอกและในชัด แล้วทำให้มันระงับ ระงับกิเลสไม่ใช่ระงับกรรมกิริยา แต่ให้กิเลสลด เป็นนามธรรม หากแยกองค์ประชุมกายในกายที่เป็นกิเลสที่มันซ่อนในองค์ประชุมทั้งหมดนี่แหละ จับตัวมันให้ได้ วิธีจัดการมันก็มี

 

กดข่ม เป็นแบบไม่ถาวร แต่แบบถาวรคือใช้ปัญญา รู้ว่ามันไม่เที่ยง เป็นภาระ ไม่ต้องปรุงเกินเหตุ เรามีปัญญาเห็นชัดปล่อยวางได้ มีมุลจิตตุกัมมยตาญาณ แม้สัมผัสอยู่ก็รู้สักแต่ว่ารู้ เช่นดอกหน้าวัว สมมุติโลกมันก็ว่าสวย แล้วอยากได้ไหม ก็ไม่อยาก ถ้าเราไม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่ต้องไปเอามา

 

อาการดีใจที่เราทำกิเลสลดได้ กับอาการดีใจที่เราได้สมใจกิเลสก็ต่างกัน แต่อาการดีใจที่กิเลสลดก็คืออุปกิเลสเป็นปีติ หากปีติลดก็เป็นสุข มันดีใจแต่ไม่แรงเท่าปีติ ซึ่งปีติแบ่ง 5 อย่าง พระพุทธเจ้าให้เหลือแต่ผรณาปีติ จิตในอานาปานสติ สุดท้ายให้เหลือ อภิปโมทยังจิตตัง เบิกบานร่าเริงนะ แต่ไม่ให้ติด แต่ถ้าเหลือแค่นี้ก็ไม่ทำชั่วอะไรแล้ว ขอแค่นี้ไว้อาศัย ก็อยู่กับโลกไปทำประโยชน์เป็นอวโลกิเตศวรไปนานเท่านานก็ได้เลย

 

ปีติก็อาศัยได้ จนปีติบางเบาเป็นสุข พอสุขหมดไปเหลือแต่ขันธ์ 5 ก็เป็นภาระ แม้ขันธ์5 จะสะอาดก็ตาม แม้แต่จิตในจิตเป็นจิตสังขาร ก็ไม่เกี่ยวกับนอก แต่ถ้ากายสังขารก็เนื่องกับภายนอก แต่เฉพาะจิตปรุงแต่งกันอยู่ แม้ภายนอกสงบ แต่ภายในยังมีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ทำให้สงบรำงับอีก สุดท้ายเหลือแต่ อภิปโมทยังจิตตัง ทำให้จิตเบิกบาน ไม่ใช่ร่าซ่านะ ร่าซ่ามันซ่านแต่เบิกบานมันน้อยกว่า เนียนกว่า ไม่จืดแต่ไม่เค็ม มีหวานนิดๆ ไม่หวานจัดจ้าน

 

กาย เวทนา จิต ธรรม ไปสู่สัมมปธาน 4 ก็เป็นโลกุตระมากขึ้น มาสรุปที่โพชฌงค์ 7 เป็นองค์ธรรมตรัสรู้  สติก็เต็ม แต่ไม่ได้พาซื่อว่าสติต้องรู้หมด ตกใจหน่อยไม่ได้ แต่ขาดตกได้ อาจไม่ขาดตอนได้สำหรับพระพุทธเจ้าก็ยกไว้ เพราะท่านมีพลังควบคุมได้สูงสุด จิตเร็วไว จนคุณจับความไวไม่ทันท่านก็เลยจับความไวของท่านไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าท่านตกใจคุณไปเจอก็ท่านหายตกใจแล้ว

 

สติรู้อันนี้ว่าอะไรคือกุศลหรืออกุศล อะไรคือบาป ซึ่งบุญ บาป เป็นปรมัตถสัจจะ แต่กุศลกับอกุศลเป็นสมมุติสัจจะ บาปนี่ต้องไม่ให้มีเลย ทุกปัจจุบันทำได้แล้วก็สะสมไปเป็นวิบากดีแต่วิบากเก่าเราลบไม่ได้ แต่วิบากบุญนี่มีจบ เพราะบุญชำระหมดก็จบ แต่วิบากบาปนั้นสะสมนะ เมื่อเราทำบุญได้ครบเป็นอรหันต์ก็มีแต่จิตสะอาด แต่วิบากบาปที่ทำไว้มันก็จะตามมาไม่มีวันจบ แม้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ท่านสามารถจบได้ ปรินิพพานไปสูญหมด วิบากก็ตามไปไม่ได้แล้ว

 

กายคตาสติคือองค์ประชุมของอาชีพ ของกระทำ ของวาจาของความคิดจะจัดการองค์ประชุมก็ต้องรู้มันให้จริง จะจัดการอะไรกำจัดอะไรก็ให้รู้ชัดว่าจะจัดการฆ่าผีนะ ไม่ใช่ไปฆ่าแพะ ทำให้ระงับ ปัสสัมภยัง คือทำให้ผีหมดกำลังหมดแรง หมดอินทรีย์ เมื่อหมดพลังจิตก็ไม่ต้องดิ้นตามกิเลส แม้ทำได้ ก็ยังมีกิเลสซ้อนเป็นอุปกิเลสอีก ก็ต้องรู้ จนมันลดเป็นสุข และสุดท้ายอีกก็เป็นแค่อภิปโมทยังจิตตัง นี่คืออานาปานสติ

 

อาตมาว่าคนไหนเป็นอรหันต์แล้วเขาว่านะ ก็ให้มากางพระไตรฯ อธิบายแข่งกันไหมนะ? อาตมาโชคดีที่ยังมีพระไตรฯฉบับสยามรัฐนี่อยู่ ที่เขาเรียนกันคือ อานาปานสติก็ให้ไปนั่งดูลมหายใจ แล้วก็ดับดิ่งเข้าไปภายใน ไม่รับรู้ภายนอก แล้วไปปั้นลมหายใจเป็นมโนมยอัตตาภายในอีก แล้วให้ไปนั่งออกป่าเขาถ้ำ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปสอนเช่นนั้น ท่านว่าอยู่ป่าก็ดี คำว่าก็ดีเป็นเพียงคำสร้อย คือมันหลงป่าแล้วก็ทำอยู่ป่าแต่ให้ทำเป็นลำดับอย่างนี้นะ

 

สรุปแล้ว ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้เข้าใจคำว่า กาย ไม่ได้ เข้าใจไม่ถูก ตัดจิต เอาแค่ร่าง หรือเอาแต่จิตตัดภายนอก อันนี้ทำให้ปฏิบัติไม่ครบไม่ถูกพุทธ

 

อย่างพล.อ.ประยุทธ์ อาตมาว่ามีปุริสภาวะมากนะ แต่ทำได้อย่างเรียบร้อยเนียนมาก มีเหตุปัจจัยหลายอย่างช่วยหนุนด้วย การปฏิวัติครั้งนี้เป็น Best record ที่ไม่มีใครเอาอย่างได้เลย ใครก็อยากได้ปฏิวัติแบบนี้ ตอนนี้คุณประยุทธ์ก็ออกไปกับต่างประเทศเขาก็ยอมรับกันได้ดีมาก ขอให้พูดความจริงเท่านั้นเอง

 

.เพาะพุทธว่า...พ่อครูอธิบายอิตถีภาวะกับปุริสภาวะชัดเจนเลยนะ

 

พ่อครูว่า เมื่อมี ปสาทรูป และโคจรรูป จึงเกิดภาวรูป เกิดอิตถีกับปุริสภาวะให้ทำปุริสภาวะให้เต็ม

 

.เพาะพุทธว่า...พระพุทธเจ้าว่าการบรรลุธรรมสามารถทำได้เท่าเทียมกันได้ แต่ภิกษุณีให้มีคุุรุธรรม 8 ประการ ที่เป็นรูปธรรม คือ

[516] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดี โคตมี ยอมรับ

ครุธรรม 8 ประการ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ:

1. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว 100 ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม

แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิด

ตลอดชีวิต

2. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ

นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

3. ภิกษุณีต้องหวังธรรม 2 ประการ คือ ถามวันอุโบสถ 1 เข้าไปฟัง คำสั่งสอน 1 จาก

ภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต4. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง 3 คือ โดยได้

เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิด

ตลอดชีวิต

5. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ 2 ฝ่าย ธรรมแม้นี้

ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

6. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ 2 ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา อันศึกษาแล้ว

ในธรรม 6 ประการครบ 2 ปีแล้ว ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิด

ตลอดชีวิต

7. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรม แม้นี้ ภิกษุณีต้อง

สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

8. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทาง ให้ภิกษุทั้งหลาย

สอนภิกษุณี ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม 8 ประการนี้ ข้อนั้นแหละ

จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ

 

พ่อครูว่า...ขอส่งกระแสให้รู้ว่า ที่เมืองไทยกำลังดิ้นรนให้เกิดภิกษุณีให้ได้ แต่คุรุธรรม 8 ประการนี้ ทุกวันนี้ ภิกษุณีไม่ได้อยู่ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ แต่เขาเป็นเจ้าอาวาสเอง ก็ขอให้ทำให้ครบ

 

.เพาะพุทธว่า...อิตถีภาวะจะเรียกร้องให้สร้างสถานะมากกว่าสร้างสภาวะ แต่ปุริสภาวะจะสร้างสภาวะมากกว่าสร้างสถานะ

 

เรื่องปีติ กับ สุข มีความแตกต่างกันเล็กน้อย สุขจะปราณีตกว่าปีติ แม้แต่ผู้บรรลุธรรมก็ต้องมีปีติเป็นเครื่องอาศัย แต่เป็นผรณาปีติ

 

เรื่องบุญ บาป เป็นปรมัตถสัจจะ ส่วนกุศลกับอกุศลเป็นสมมุติสัจจะ พ่อครูบอกว่า ความเลวกับความชั่วมีความต่างกัน ความเลวเป็นเรื่องภายในเป็นเรื่องภายใน ความชั่วเป็นเรื่องภายนอก เป็นเรื่องส่วนรวม เป็นสมมุติภายนอก 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:57:24 )

571019

รายละเอียด

571019_สัมภาษณ์พ่อครูเรื่องปฏิรูปการศึกษา โดยอาหญิง อำภา สันติมทนีดล

อำพา ว่า...อโศกจัดการศึกษามาได้ กี่ปีแล้ว

 

พ่อครู... 20 กว่าปีแล้ว

 

อำพา ..เราเน้นการศึกษาที่เชื่อมกับชีวิตจริงต่างจากข้างนอกไหม? มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ?

 

พ่อครูว่า...ที่มีแรงบันดาลใจจัดากรศึกษาเช่นนี้ เพราะห็นด้วยความรู้ของอาตมาว่าการศึกษาทุกวันนี้ทำให้คนแตกแยกออกไปจากชีวิตจริงของสังคม คนแต่ก่อนนี้ เขาอยู่ร่วมกับสังคม เขาก็ไม่แบ่งแยก ใครเก่งมากก็ช่วยคนเก่งน้อย ใครแข็งแรงมากก็ช่วยคนอ่อนแอ เป็นสังคมอบอุ่น แต่ทุกวันนี้การศึกษาแยกบุคคลออกจากสังคม ออกจากมิตรหาย กลายเป็นศักดินา เป็นเรื่องเหลื่อมล้ำ ได้เปรียบ เสียเปรียบ เป็นกิเลสเห็นแก่ตัว ไปกดข่มคนที่ด้อยกว่าเสมอๆ สังคมก็ไม่อยู่สุขแน่ เป็นทุกข์ร้อน เหตุคือมันแยกออกจากสังคม จากญาติโกโยติกา เพราะเหตุคือความรู้เป็นตัวสำคัญ และตัวที่สำคัญยิ่งคืออวิชชา ความรู้คือความรู้โลกๆ เทคนิควิชาการ แต่ตัวไม่รู้คืออวิชชาก็เลยใช้ความฉลาดที่เกินกว่าเขา ผสมกิเลสก็เอาเปรียบข่มเหง ทำร้ายทำลาย สังคมก็เลยเลวร้าย

 

ประเด็นที่แทรกซ้อนคือ คนฉลาด เอาเปรียบด้วยวิธีการกินแรง ทั้งๆที่ตนมีความรู้สามารถกว่าแต่กินแรงเขาให้เขาทำ ให้เขาเหนื่อย ลำบากยากเข็ญ ตนเองเที่ยงกินเล่นนอนอยู่เฉยๆ แต่เราเป็นคนกอบโกยผลประโยชน์ รายได้ ก็เลยย่ิงกลายเป็นความเสื่อม

 

เหตุใหญ่มาจากความไม่มีธรรมะ อาตมาก็เลยเห็นว่า

1.วิธีการการศึกษาเอาคนไปเรียนนั้น จนเดี๋ยวนี้เป็นรูปธรรมสำเร็จรูปแล้วคือ เด็กออกจากบ้านไปเรียน อยู่โรงเรียนทั้งวัน ตกเย็นก็กลับบ้านนอน ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม แม้แต่อุดมศึกษา ตกลงเด็กอยู่ในกล่องการเรียน อาตมาเรียกว่าการศึกษาในกล่อง เด็กไม่รู้จักสงคมจริง ไม่รู้จักวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม เขาไม่รู้ ยิ่งคนมีสตังค์ ส่งเด็กไปเรียนเมืองนอกยิ่งไกลบ้านเกิดเมืองนอน ไกลจากสังคมตน จบมาเป็นเจ้านาย เอาองค์ประกอบที่ไม่ใช่่ของประเทศไทยมาครอบงำเปลี่ยนแปลง ก็เลยเป็นเช่นนี้ เลือดเนื้อแท้ สิ่งที่เขาเป็นอยู่มาร้อยพันปีก็เลยหายไป นี่แหละเขาเรียกว่า ตัวถูกกลืนไป ไม่รู้จักชาติ ประวัติศาสตร์รากเหง้าตนเอง คือการเรียนเข้ากล่องเด็กก็ไ่่ม่รู้จักทำงานไม่รู้จักการใช้ชีวิต

 

เด็กอยู่บ้านนอก ก็อยู่กับพ่อแม่พี่น้อง กับพระกับเจ้า แม้ไปรร.ก็กลับบ้านมาก็ช่วยเลี้ยงน้อง ตำข้าว ก็ทำงานเป็น ไม่ได้ขาดการงาน รู้จักการงานไม่ได้ถูกยัดเยียดเข้ากล่อง โดยทิ้งไปเลย ไม่รู้ว่าเด็กต่อไปเขาต้องทำงานเป็นสัมพันธ์กับสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นมิตรสหาย  แต่นี่ไม่เลย อาตมาว่ามันขาดกัน ก็เลยเห็นว่ามันจะทำอย่างไรต่อไป

 

1.ขาดศีลธรรม 2.ขาดความเป็นงาน สัมพันธ์กับสังคม และ 3.วิชาการ อาตมาก็เลยเอาปรัชญามาจากสามอย่างนี้ ศีลเด่น - เป็นงาน - ชาญวิชา ขยับขึ้นไปก็เป็น ศีลเคร่ง - เก่งงาน - ชำนาญวิชา และอุดมศึกษาก็เป็น ศีลเต็ม - เข้มงาน - สืบสานวิชชา ตามลำดับ

 

ศีลไม่ได้มีอานิสงส์แค่กายกับวาจา แต่ศีลพัฒนาไปสู่ใจด่้่วยไม่ได้ขาดตอน ศีล 8 ศีล 5 ก็ปฏิบัติให้เกิดจิตวิญญาณ เป็นศีล 5 บริบูรณ์จิตมีปัญญา มีวิมุติ แล้วเลื่อนเป็นศีล 8 เป็นศีล 10 อนาคามี ก็เป็นกรอบเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายไป สูงกว่านั้นก็เป็นศีลปาติโมกข์ ศีลโพธิสัตว์ มีกรอบการศึกษาโครงสร้างหมดแล้ว

 

อำพา ว่า...ท่านคิดโครงสร้างเหล่านี้มาจากไหน?

 

พ่อครูว่า...อาตมาต้องพูดว่าเป็นความรู้จากชาติปางก่อน เพราะอาตมาก็ไม่ได้เห็นตำราไหนคิดและเขียนอย่างนี้ และอาตมาก็ไม่ได้มีการศึกษาในชาตินี้ แต่อาตมาก็ทำขึ้นมาได้ อาจจะเชื่อยาก แต่ก็ต้องพิสูจน์ดู​ เพราะทุกอย่างมันสั่งสมในสัญญา จิตนี่ย่ิงกว่าฮาร์ดดิสก์ ไม่มีเสื่อมไปเลย เป็นความรู้แต่ชาติปางก่อนเลย แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเกิดมาก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธเลย เพราะว่าศาสนาพุทธยังไม่เกิด ท่านก็ปฏิบัติไปแบบผิดๆออกป่าเขาถ้ำไป 6 ปี ทรมานตนเอง เหมือนเป็นลิงลมอมข้าวพอง ลืมไปชั่วคราว แต่พระพุทธเจ้าก็ระลึกได้ในคืนเดียว ระลึกได้หมด ว่าความรู้พุทธเป็นเช่นนี้ ที่เขาทำนายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า คือเรามีสั่งสมมาแต่ชาติก่อนๆแล้ว ก็ระลึกได้ ยืนยันว่าเป็นผลวิบากที่สั่งสมมา

 

พระพุทธเจ้าท่านเป็นได้ เราก็มีแนวเดียวกัน แม้ไม่ได้มากเท่าท่านแต่เราก็มีของเรา แต่เดี๋ยวนี้คนไม่เชื่อชาตินี้ชาติหน้าแล้วไม่เชื่อกรรมวิบาก เขาก็เลยทำหยาบไปเลอะ ไม่กลัว ตายแล้วมันสูญนี่ ก็เลยทำบาปได้ตามกิเลส ทั้งที่เรื่องจริงมีวิบาก มีชาตินี้ชาติหน้า ไม่ได้บังคับให้เชื่อแต่เป็นความจริง

 

อาตมาได้คำตอบว่า คนเกิดมาเพื่อการศึกษา และไม่ใช่แต่ศึกษาความรู้ทางโลก แต่ความรู้ทางโลกแต่ขาดธรรมะก็ใช้เป็นอาวุธฆ่าคน เป็นศาตรา ไม่ใช่ศาสตร์ เราต้องเรียนให้เป็นความรู้ไม่ใช่ไปหำ้หั่นคนอื่นแต่เป็นความรู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว

 

คนไม่ศึกษาก็เหมือนเดรัจฉาน เดรัจฉานมันไม่มีการศึกษา มันทำมาหากินของมันอย่างเดียวนอกจากคนไปจับมาศึกษา แต่คนนี่ต้องทำการศึกษา

 

การศึกษาสามอย่างคือ

 

1.การศึกษาปุถุชน  ปุถุชนศึกษาความรู้เพื่อได้เปรียบ ห้ำหั่นกัน จนเลวร้ายร้อนแรงทุกวันนี้

2.กัลยาณชน มีสำนึกดี ต้องเรียนให้ดี ทำกรรมดี แต่เขาไม่มีทฤษฎีของจิตที่สมบูรณ์แบบจึงได้แค่กัลยาณชน ก็ละชั่วทำดี จะมีวิธีกดข่มกิเลส แต่ไม่รู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน

3.อาริยชน

 

แต่โลกทุกวันนี้มีแค่การศึกษากัลยาณชนกับการศึกษาปุถุชน การศึกษาปุถุชนทำให้คนเดือดร้อน  หำ้หั่นกัน ขนาดเพื่อนร่วมห้องเรียนมาด้วยกัน พอทำงานก็แย่งตำแหน่งกันอีก เอาดีเอาเด่น ถึงฆ่ากันได้เลย จิตไม่เจริญ​แต่มากัลยาณชนก็ดีขึ้น มีละชั่วทำดี แต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ จิตเจตสิก

 

แต่พระพุทธเจ้าค้นพบ อาริยชน อาตมาเดินสายนี้เข้าใจปรมัตถ์ จิตเจตสิก แหล่งศึกษาใดที่เอาใจใส่ โดยเฉพาะสำนักศาสนา เขาจะมีธรรมะประกอบตามศาสดาแต่ละแห่ง อิสลามก็ทำไป คริสต์ก็ทำไป แต่ละศาสนาก็ทำ แต่ของพุทธนี่สุดท้ายไม่ทำเลย ขนาดเอาวิชาศีลธรรมเอาออกอีก วิชาศีลธรรมอาตมาจำได้ ว่าคณิตศาสตร์คะแนนเต็มร้อย แต่ศีลธรรม สิบคะแนน หนักเข้าเอาออกเลยก็เลยหมดท่า อาตมาก็เลยมาตั้งใจทำ โดยทำให้สังคม ก็ไม่ได้สร้างเพื่อการค้าหรอก ไม่ได้หาเงิน แต่ทำเพื่อสังคมประเทศชาติ อาตมาเรียกว่าการเมืองภาคประชาชน การสร้างอนุชนให้ชาติเป็นหน้าที่ของการบริหาร แต่อาตมาเป็นประชาชนก็ช่วยสร้าง ที่จบไปจากที่นี่ก็มีไปเรียน ป.ตรี โท เอกก็มีแล้ว

 

หลักสูตรเราแบ่ง ศีลเด่น  45% เป็นงาน 35% และวิชาการ 25% คนไม่เข้าใจก็ว่าสอนของกระทรวงเขาแค่ 25 % ได้อย่างไร แต่ไม่ใช่ เราสอนความรู้เนื้อหาตามหลักสูตรของคุณให้ครบก็แล้วกัน ในเวลาแค่ 25 % นี่แหละ แต่รร.ของคุณเองสอนก็ไม่เต็มหลักสูตรหรอก เป็นแต่ให้มากที่สุดเท่านั้น

 

รร.เราพยายามให้เป็น บวร มีบ้านมีสังคม มีวัดอยู่ที่นี่เลย มีแหล่งศีลธรรม ประชากรสมาชิกพี่ป้าน้าอาก็ช่วยกัน คบหากัน เป็นพี่เป็นน้อง จำเป็นต้องกินนอนร่วมกัน การมีชีวิตร่วมด้วยมันซึมซับ osmosis ลึกซึ้งกว่าคำพูดเป็นไหนๆ มากกว่ากันเยอะ เราไม่เอาแบบไปกลับ นร.เราต้องอยู่ประจำไม่ว่าชั้นไหนๆ

อนุบาลก็ให้อยู่กับพ่อแม่ได้ แต่ประถมศึกษาให้พ่อแม่มาอยู่ด้วยในหมู่บ้าน ถ้าคุณมาไม่ได้เอาแต่เด็กมาเราไม่ยอม แต่มัธยมก็มาอยู่ประจำที่รร.เลย

 

อำพา ว่าสถานที่พอไหม?

 

พ่อครูว่าที่กทม.ไม่พอหรอกสำหรับอุดมศึกษา แต่ตอนนี้เราเอาที่บ้านราชฯเป็นที่แรกของระดับอุดมศึกษา วิทยาลัยเราก็มีรร.อาชีวะแล้ว ตอนหลังเขาก็เลยบอกว่าอาชีวะเขายกฐานะเป็นวิทยาลัย ยกระดับเป็นปวส.ได้ ชื่อวิทยาลัยอาชีวศึกษาสัมมาสิกขาวิชชาราม

 

อำพา ว่า..ท่านคิดว่าการปฏิรูปการศึกษาควรเร่ิมที่ไหน?

 

พ่อครูว่า...ศีลธรรมมาก่อนเลยเป็นดีมานด์(Demand) สูงสุดทั้งโลกเลยคือศีลธรรม และศีลธรรมที่ต้องมีประสิทธิภาพล้างความเห็นแก่ตัว ต้นเหตุการติดยึดในโลกธรรมได้

 

อำพา ว่า..ข้างนอกเขาไม่คิด?

 

พ่อครูว่า....ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไหม? แต่เขาสอนอย่างไงให้เป็นความจริงเขาไม่รู้ว่าจะสอนอย่างไร

 

อำพา ว่า พระก็ไม่รู้?

 

พ่อครูว่า... ข้อสำคัญคือพระก็ไม่รู้ ความจริงก็คือ ศานามันเพี้ยน ธรรมะแท้ๆมันเพี้ยน คือโลกุตระหรืออาริยธรรมมันเพี้ยน มันได้แค่กัลยาณธรรม ละชั่วทำดี แต่ไม่ถึงสจิตตปริโยทปนัง ไม่รู้หลักคำสอนพระพุทธเจ้าฝึกจะเกิดญาณปัญญา ถึงเห็นอ่านนามธรรม จิตเจตสิกได้ จิตเจตสิกไม่ใช่รูปร่าง ทุกวันนี้สอนกันผิดว่าเทวดา ผีเป็นรูปร่าง ก็เข้าใจอย่างนั้นก็จะไปแก้ไม่ได้ คุณจะไปเอาอะไรจากผีวิญญาณพวกนั้น เพราะไม่ใช่ตัวจริงของจิตวิญญาณ​มันต้องเห็นจิตวิญญาณผีแล้วให้มันละจากผีเก๊มาเป็นจิตวิญญาณจริงที่มีโลกุตรธรรม อาริยธรรมแท้จริิง

 

อำพา ว่า..มันควรจะเร่ิมจากไหน?

 

พ่อครูว่า...ก็เร่ิมจากครูบาอาจารย์ ถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์ ไปแพร่หลายต่อในสังคมนั้น รร.ควรเอาวิชาการพวกนี้ไปไว้ในโรงเรียนให้ได้ขาดไม่ได้ตั้งแต่อนุบาลถึงอุดมศึกษา

 

อำพา ว่า....พ่อท่านจะแนะนำการสอนศีลธรรมอย่างไรให้มีผลทั่วประเทศ

 

พ่อครูว่า...ใครก็คงคิดอยากให้ได้มากได้เร็ว หรือตะกละอยากได้มากทันที แต่มันไม่ง่ายดังคิด โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณคน คือไม่เห็นด้วย หรือเห็นลบเป็นศัตรูด้วย ถ้าเป็นศัตรูก็ยากต้องระวัง กว่าจะผ่านขั้นตอนที่ให้ไม่ต้องมารบเรานะ จนเห็นด้วย จนเห็นดี จนมาเอาด้วย ก็หลายขั้นก็ยากและยาวนาน อาตมาก็เลยต้องพยายามมีชีวิตให้ยาวนานสัก 151​ปี รู้ว่าไ่ม่ง่ายแต่ก็ไม่มีทางอื่น ชาตินี้ได้ปูทางไว้แล้ว ก็ต่อไปก่อน ไม่อยากให้ทิ้งช่วง

 

อำพา ว่า เรื่องค่านิยม 12 ประการ?

 

พ่อครูว่า..คสช.ก็มีค่านิยม 12 ประการ อาตมาก็เห็นว่าถูกทางอาตมาก็พยายามเชื่อมได้เมื่อไหรก็เมื่อนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็ว่าสุดทางแล้ว เขาก็ทำมาแล้ว ปฏิวัติแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำอย่างนี้ ทางด้านพล.อ.ประยุทธ์ก็ให้โอกาส บอกนายกฯปูตลอดแต่เขาไม่เชื่อ จนสุดท้ายก็ต้องไปในรูปนั้น ซึ่งนักการเมืองถ้าไม่มีคุณธรรมก็ไม่ควรมาบริหารประเทศเลย

 

เราต้องให้การศึกษาแก่ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนอาตมาได้ติดชิปไปแล้ว ได้มากหรือน้อยก็ได้จริง ชิปเหล่านี้ไม่สูญในอนาคตเขาจะได้ข้อมูล และข้อมูลโลกีย์ที่เขาได้จะค่อยเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ติดชิปไปเขาก็จะรู้ได้ มีวุฒิภาวะมาเพ่ิมขึ้นก็จะได้รู้ขึ้นมา

 

อำพา  ว่า...เรื่องศีลธรรมเป็นเรื่องใหญ่แล้ววิชาการล่ะ?

 

พ่อครูว่า....วิชาการนั้นมากพอแล้วอาตมาเคยแต่งเพลงแล้ว เมื่อไหร่จะรู้สักทีนะว่ามีความรู้อะไร ที่มากเกินความรู้วิชาการ แต่ขาดอะไร คือขาดศีลธรรม

 

อย่างพระที่เวียดนามสามารถเผาตัวตาย  เขาก็ว่าแน่มากเลย เผาแล้วหัวใจไม่ไหม้ ที่อื่นไหม้หมด อย่างนั้นตายไปเลยก็ไม่ทรมานเท่าป้าสำเนียงที่เผาตัวตายแต่ไม่ตาย ต้องทรมานอีก 

 

อำพา ว่า...เรื่องนี้ให้แง่คิดอะไรกับเรา

 

พ่อครูว่า...อาตมาว่าสะท้อนถึงคนในสังคมว่ามีพฤติกรรมจิตใจอย่างไร แล้วมีวิธีการที่ทำให้คนถึงฆ่าตัวตายได้ ฆ่าตัวตายอย่างสิ้นทาง แม้แต่ขอร้องต่อองค์กรรัฐก็ช่วยไม่ได้ก็สิ้นทาง คนสิ้นทางก็เกิดเหตุเช่นนี้ ต้องแก้ไขด่วนเลย อาตมาจำได้คุณประยุทธ์พูดเองว่าถ้าผมทำไม่สำเร็จผมก็ต้องตาย อาตมาก็ต้องช่วยเต็มที่ ใครจะไปอยากให้คนตาย ก็เห็นใจว่าเขาตั้งใจ คำพูดมันส่อให้เห็นถึงจิต

 

เขาว่าถ้าผมแก้ไขไม่ได้ผมก็ตาย มันสื่อถึงว่า เขาทำเต็มที่ขนาดนี้ถ้าไม่สำเร็จก็เชื่อว่า เขามีเท่าไหร่เขาโถมไปจริงจังขนาดนี้ จะมีใครทำจริงเท่าเราไหม? อาตมาถือว่าแม้เป็นความถือดีถือตัวก็เป็นความตั้งใจจริง แม้จะไม่สำเร็จก็อยู่ที่เหตุปัจจัย ก็ลุยไปเลยอาตมาส่งเสริม อันไหนที่เป็นนโยบายโครงการที่เราเห็นว่าดี เขาก็บอกว่าแนะนำมาสิ ถ้าเราแนะนำไปแล้วเขาไม่เอาก็แนะนำไปอีก เพราะเราก็ปรารถนาดี สุดท้ายเขาไม่เอาก็จบเราไม่ได้มีหน้าที่เขามีหน้าที่

 

อาตมาว่าตอนนี้เราก็คัดสิว่าใครดันทุรังก็คัดออกเลย พวกนี้ตีกรอบไว้ก่อน ให้พักก่อน เอาคนที่พอพูดกันได้มาทำ แต่คนดันทุรังก็อย่าเพ่ิง ทำมานานแล้ว 80 ปีแล้ว ก็พัฒนาวิธีเหลวแหลกยิ่งขึ้นก็ให้หยุดก่อน พอที ให้หันมาทำอย่างนี้ ต้องลบล้างอันเก่าก่อน แต่เขาก็ทำได้ประมาณนี้ คือคนจะพูดอย่างไรก็พูดได้แต่ความแรงของคนในสังคมมีอยู่จริง มีกิเลสจริง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:58:41 )

571020

รายละเอียด

571020_ธรรมาธรรมะฯ ปฐมอโศก พ่อครูและอ.กฤษฎา วรยุทธสุดประเสริฐของพุทธคือปวารณา

.กฤษฏาว่า...วันนี้เรามาจัดรายการสดกันที่ปฐมอโศก วันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ปฐมอโศกมีการปรับปรุงหลายอย่าง วันนี้มีคำถามเกี่ยวกับการยกสภาวะจิต โดยเมื่อสองปีก่อน ได้มีโอกาสสังเกตการจัดงานมหาปวารณา ได้พูดคุยกับอาวุโสท่านหนึ่ง ท่านว่า ได้ไปมหาปวารณามาหลายที่แต่มีที่อโศกนี่แหละที่ปวารณามีความชัดเจนจริงจังที่สุด

 

การเข้าสู่ระบบปวารณา นั้นชาวอโศกอยู่ในระบบสาธารณโภคี และกลไกปวารณานั้นมีแต่ในนักบวช แต่ในฆราวาสไม่มี และโดยธรรมชาติคนก็ชอบการชม คนไม่ชอบการติ แต่พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ ให้นักบวชมีโอกาสบอกกล่าวติเตียนกันได้ ผมคิดว่าไม่ง่ายในการทำใจเลย แล้วยิ่งเป็นฆราวาส จะเรียนรู้ได้อย่างไร เราไม่มีเครื่องวัดว่าผู้มาบอกเรามีพรหมวิหาร 4 หรือไม่ ทำอย่างไรจะยกระดับจิตให้มองกันอย่างบริสุทธ์ยิ่งขึ้น ฆราวาสควรนำมาใช้ได้อย่างไร?

 

พ้นจากวันมหาปวารณาไปแล้ว บางทีมีเรื่องราวต่อเนื่องจากงานมหาปวารณา แต่ละคนมีฐานจิตไม่เท่ากัน บางคนอาจมีไปนินทาว่าร้าย แล้วกระบวนการที่เกิดเราควรทำใจอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...การให้ปวารณา เอาความหมายอันนี้ก่อน ปวารณาคือการบอกจริงใจของตนเองตนเองต้องบอกอย่างจริงใจว่า ต้องการให้ผู้อื่นว่ากล่าวติติงเตียนตนเองได้ เป็นประเด็นหลักที่ต้องสำนึก ต้องรู้ว่าตนเองมีอัตตา ใครว่าใครกล่าวติไม่ได้ พระพุทธเจ้าเห็นว่าเป็นอัตตามานะที่แรงร้ายมาก หากใครมีตัวนี้อยู่ ยึดติดจริงก็ไม่ยอมให้ใครมาว่ากล่าวตำหนิได้เลย คนๆนั้นก็จมในความยึดถือของตน รับของคนอื่นได้ยาก ก็จมอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน

 

ศาสนาพุทธรู้จักอัตตาตัวตน มานะ ถือดีถือตัว ชัดเจนว่ามันเลวร้ายมาก ท่านก็เอาบทเรียนนี้มาใช้ในศาสนาพุทธ ถามว่ามีในศาสนาเดียวก็น่าจะจริง ที่เห็นความสำคัญจุดนี้ ยิ่งใหญ่ จนเป็นวินัย วิธีการ ให้นักบวชของท่านสำเหนียกสังวร แล้วให้จิตจริงด้วย

 

อาตมากล้าพูดได้ว่า ตัวเราเองต้องสำนึก แล้วจึงจะไปสำเหนียก สำนึกว่าจุดนี้สำคัญนะ คนนั้นก็จะสำเหนียก จะสังวรตน เตรียมตัวเสมอ ถ้ารู้แล้วว่าการปวารณาคือต้องรู้ตนเองและยอมให้ใครตำหนิว่ากล่าวได้ แล้วเราก็เอาประโยชน์จากการตำหนิมาปรับปรุงตน เรียนรู้ว่าเราเป็นอย่างเขาติไหม ถ้าเป็น เราก็จะได้รู้และเป็นผู้เจริญได้จากการแก้ไข ไม่จมอยู่อย่างนั้น หากใครถือดีถือตัวคนตำหนิไม่ได้ก็ไม่มีสิทธิ์รู้ตัวได้ง่าย เพราะคนมีอัตตาถือดีถือตัวเป็นกิเลสหลักของคนอยู่แล้ว

 

แม้คนไม่มีภูมิปัญญาก็เห็นได้มากบ้างน้อยบ้าง เขาจะเห็นผิดหรือถูกเราก็ได้ประโยชน์จากการตำหนิติเตียนเสมอ รู้ตัวตน อ่านตัวตน ปรับปรุงตัวตน กำจัดตัวตนด้วย

เป็นหลักใหญ่เลย ถ้าไม่เรียนรู้กำจัดตัวตน ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายของมนุษย์เลย ถือดีถือตัว ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนโง่ ยิ่งฉลาดย่ิงเก่งยิ่งผยอง ยิ่งอวดไม่ยอมใครเลย แก้ไขไม่ได้ ต้องหยุดอัตตาถือดีถือตัวเองนี่แหละจึงเป็นเรื่องสำคัญที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นมา ถ้าถามว่าเป็นศาสนาเดียวหรือไม่? อาตมาเห็นว่าน่าจะจริงที่ว่าศาสนาพุทธเห็นความสำคัญอันนี้อย่างมาก เอามาใช้ในหลักของพุทธเลย จะต้องเป็นหลักเกณฑ์เลยว่าอย่างน้อยปีหนึ่งเจอกันในพรรษา จะออกพรรษาก็ต้องสำทับกัน ต้องพยายามยอมตน สำนึกสำเหนียกว่าให้ใครตำหนิติเตียนได้ เราได้ประโยชน์ทั้งผิดหรือถูกก็ตาม

 

เรื่องนี้หากไม่ทำก็ไปไม่รอดเลย หากไม่ทำจริง ก็แก้ไขอัตตาไม่ได้ ศาสนาที่ไม่มีอันนี้จึงล้างยาก ไม่รู้อัตตา

 

.กฤษฏาว่าเป็นหลักประชาธิปไตยในความเสมอภาคใช่ไหม?

 

พ่อครูว่าการลดตัวตนไม่ถือดีถือตัวนี่แหละเป็นยอดแห่งนักประชาธิปไตยที่แท้จริง การจะเกิดสัมมาทิฏฐิได้ต้องมีปรโตโฆษะและโยนิโสมนสิการ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ศาสนาพุทธไม่ค่อยเอาถ่าน และให้ความหมายเพี้ยนผิดไป

 

ไปให้ความหมายว่า ปรโตโฆษะ คือไม่ฟังคนอื่น ที่จริงหมายถึงต้องรับคำของคนอื่นมาพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่ว่าฟังไปแค่นั้นแหละ ฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก คือฟังผ่านหูแต่ไม่เข้าใจเลย ไม่รับไปคิดพิจารณาอย่างใจเป็นกลางไม่อคติ แต่ฟังอย่างอคติ หรือฟังจับผิดด้วยซ้ำ ไม่เพ่งในทางถูกทางดีเลย ตัวเองรู้เท่าไหรก็เอาตามที่เรารู้ ผิดจากที่ตนเองรู้ก็ซัด ไม่ได้ถอดตัวตนเลย

 

การฟังผู้อื่น ปรโตโฆษะ มีนัยลึกซึ้งที่ต้องฟังด้วยใจเป็นกลางถอดตัวตนแล้วเอามาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จึงได้ประโยชน์

 

ยิ่งโยนิโสมนสิการย่ิงไปกันใหญ่เลย ท่านแปลกันถ่ายทอดกันว่าให้พิจารณาเท่าน้ัน แต่ที่จริง ท่านโยนทิ้งคำว่ามนสิการ คำว่ามนสิการ แปลว่าทำใจในใจ ต้องปฏิบัติใจในใจ และปฏิบัติใจในใจอย่างโยนิโสฯ โยนิโสฯแปลว่าถ่องแท้ แยบคาย หรือรากศัพท์แปลว่าต้องหยั่งรู้ลงไปถึงที่เกิด

 

ถ้าไม่ทำใจในใจของตน จับตรงอาการใจ มนสิการคือแดนเกิด_ตาย ของพฤติกรรมจิต ต้องมนสิ ที่ใจ อ่านอาการใจให้ถูก เมื่อใด มีอาการใจก็จับให้ได้ มีการเคลื่อนไหวให้รู้ แต่ถ้าใจนิ่งก็รู้ยาก ใจสงบ ทำให้มันน่ิงก็รู้ง่ายเมื่อมันกระทบสัมผัส แต่ถ้ารู้ว่านิ่งก็รู้ได้ยาก เขาเลยไปนั่งน่ิงให้รู้จิตสงบก็รู้ได้ง่ายสิ มันไม่ไหว แต่ถ้ารู้อาการว่าง ไม่มีอะไรมาผสมสังขาร นี่เป็นของยาก แต่ก็เป็นของจริงชัดที่สุด เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งมาก

 

ถ้าคุณทำใจในใจไม่เป็น ทำคืออย่างไร ก็ใจมันปรุงแต่งสังขารตีกันในใจ ก็ต้องจัดการกับมันว่าหยุดก่อน ต้องวิจัยก่อน แล้วให้พิจารณา ไม่ใช่แค่ความคิด ส่วนมากเขาพิจารณาแค่ความคิด ตื้นๆ มันไม่ลงไปหยั่งถึงอาการใจ แล้วเปลี่ยนแปลงอาการใจที่แดนเกิด คือเนื้อแท้ของใจ แล้วไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขใจเลย

 

เป็นปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่ ผัสสะ ปุ๊ปปรุงปั๊ปเลยเป็นวิญญาณ​ วิญญาณคืออาการสังขาร สังขารเป็นปัจจัยเกิดวิญญาณ สังขารคือวิญญาณ​ และวิญญาณ คือสังขาร ต้องรู้ว่า กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

 

และต้องจริงใจสำนึกสำเหนียกว่าเราถือดีถือตัวไม่ได้ เราต้องยอมให้คนตำหนิติเตียน คนไม่ชอบหรอกที่มีใครมาว่าส่ิงไม่ดีของเรา แต่เราไม่ให้เป็นสามัญ เราวิสามัญให้คนว่าได้ และเราก็รับคำด่าคำติมาปรับปรุง คนนี้เป็นคนฉลาดที่สุดที่จะเกิดเจริญพัฒนาแท้จริง

 

สมมุติว่ามีคนมาตำหนิเรา แล้วเราก็ตรวจสอบจริงๆเลย ว่าเราก็ไม่ผิดอย่างเขาว่า เราไม่ผิดไม่เป็นไม่ชั่วอย่างเขาว่า แม้กระนั้นก็ตาม เขาด่าเราผิด เราก็ไม่ได้ชั่วอะไร เขาด่าเราผิด ความผิดอยู่ที่เขา เขาโง่ เขารู้ไม่พอก็เลยมาว่าผิดๆ เราไม่ได้เสียเลย เราตรวจสอบแล้วว่าเราไม่ได้ผิดตามที่เขาว่า เราก็จบ เราไม่ควรไปโกรธเขา คนไปโกรธคนโง่ คนบ้า คนเมา พวกนี้อาการหนักกว่าคนโง่ คนบ้า คนเมา ก็คนเหล่านี้ไม่เต็มนะ เราก็ไปว่าเขา เราเต็มหรือเปล่า เราไม่เต็มย่ิงกว่าคนไม่เต็ม เพราะทำไมโง่ไปว่าเขาโกรธเขา เขาเป็นคนไม่เต็ม คุณฉลาดกว่าเขาควรสงสารเขาสิ เขาไม่เต็ม

 

.กฤษฏาว่า...คนทั่วไป มักมีคำพูดว่า ระหว่างเหตุผลกับข้อแก้ตัว คนมักพูดเหตุผลเข้าข้างตน แก้ตัวให้ตน อะไรเป็นเครื่องเตือนสติ ว่าอย่าเอาเหตุผลไปแก้ตัว

พ่อครูว่า..ให้เอาประโยชน์ไว้ก่อน อันนี้ต้องตอบว่า คุณต้องหมดกิเลสตัวตน ถ้ามีตัวตน มันมีตัวตนมันก็เอาตัวตนไปแก้ตัว หากหมดตัวตนก็ไม่ต้องมีตัวตนไปแก้ตัว หากไม่หมดเราก็ต้องสังวรสำรวม แต่หากคุณไม่มีตัวตนได้จริงก็ไม่ตอบโต้เขา หรือตอบโต้อย่างมีสติรู้เหมาะควร ถ้าไม่ควรก็ไม่ตอบโต้ แต่หากเห็นประโยชน์จะตอบโต้ก็จะทำ

 

เรื่องการไม่ยอมให้ตำหนิเป็นผลร้ายของการศึกษาพัฒนาชีวิต เป็นผลร้ายของความไม่เจริญทั้งปวงสำคัญมาก อาตมาเห็นผลจากการได้ละลด เข้าใจเรื่องตัวตนได้ละตัวตน เป็นตนเองขนาดนี้จึงเห็นคุณค่าของส่ิงเหล่านี้มาก จนเข้าใจพระพุทธเจ้า มั่นใจเลยว่าไม่มีศาสนาอื่นหรอกมาเอาใจใส่เรื่องนี้ พุทธเอาใจใส่ให้สงฆ์ปวารณา อาตมาเห็นสำคัญก็เลยทำ

 

ไม่ใช่แค่ปีหนึ่งครั้งเดียว อาตมาก็เลยจัดมหาปวารณา เพราะเป็นความสำคัญย่ิง ให้สมณะเราได้เรียนรู้พิสูจน์ว่ากล่าวติเตียนกันเลย เห็นหลักฐานข้อมูลก็ว่ากล่าวกันได้ เราก็ทำมาจนทุกปีเราก็ทำ ทำกันอย่างเป็นกิจลักษณะพร้อมหน้าเลย ไม่ใช่ว่ามาสวดภาษาบาลีไม่กี่คำก็หมด ไม่ใช่ แต่เราว่ากล่าวกันจริงทั้งบาลี ภาษาไทยเราก็ติกันเลย โกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ ได้ประโยชน์ก็ให้รู้ว่าได้เลย

 

และฆราวาสไม่มีหลักอันนี้จะได้หรือ? ก็ได้ เมื่อสมณะรู้จักอันนี้และทำอันนี้ ก็จะแสดงพฤติกรรม แม้ไม่มีข้อปฏิบัติสำหรับฆราวาส ก็ทำกันได้ ก็บอกให้มีการยอมให้ถูกว่า บรรยาย บอกกล่าวตักเตือนให้สังวรระวัง

 

.กฤษฏาว่า...ความเป็นอยู่อย่างนี้ วันนี้มีอ.คนหนึ่งมาซักถามประเด็นสาธารณโภคีเพื่อสร้างสังคมอุมคติ ถ้ามีปวารณาจึงเกิดสังคมอุดมคติได้

 

พ่อครูว่า...การรับคำติเตียนกันได้ก็จะเกิดสังคมสงบสุข นิคคัณเห นิคคาหารหัง ต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ เราเอาคำติมาขึ้นต้นไม่ใช่เอาปัคคัณเหฯ หรือคำชมขึ้นต้น อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่าเราจะกระหนาบเธอแล้วกระหนาบเธออีก ติแล้วติอีกเหมือนช่างปั้นหม้อ กับพระอานนท์

 

การตำหนิ หรือเปยยวัชชะ แม้คนก็ฟังยาก แต่คนใดตำหนิให้คนรับได้ ตนนั้นเป็นคนที่มีภาษาเป็นคำที่น่ารัก คนที่พูดคำตำหนิแล้วคนรับได้ดื่มได้อันนี้แหละสุดยอดแห่งปิยวาจา คนจะเข้าใจความหมายว่าปิยวาจาคือคำสุภาพอ่อนหวานชมเชยไม่กระทบใคร อันนี้ผิดหมด เพราะท่านบอกว่าแล้วว่าเปยยวัชชะคือปิยวาจา เป็นของควรดื่ม แต่เขาขยายความอันลึกซึ้งนี้ไม่ได้ก็แปลปิยวาจาว่าคำพูดที่น่ารัก แล้วก็เอาสำนึกว่าภาษาคำพูดที่น่ารักก็แค่ไม่กระทบใครไม่ให้ใครรู้สึกไม่ชอบใจก็เลยไปพูดคำหวานยกยอชมเชย ก็ใช้แค่ปิยวาจา เพราะฉะนั้นสังหวัตถุข้อนี้ก็เลยไม่เกิดประโยชน์

 

สังคมใดมีการตำหนิติเตียนบอกกล่าว ลงโทษกันได้ตามเหมาะสังคมนั้นเจริญ อาตมายืนยันว่าอาตมาจะเป็นผู้ตำหนิ ยืนยันว่าพุทธคือศาสนาตำหนิ ไม่ประเล้าประโลม และเป็นเรื่องยากที่จะตำหนิให้คนเกิดประโยชน์แม้ยากก็ต้องทำ เพราะเป็นสัจจะสุดยอดประเสริฐ

 

การได้อบรมฝึกฝนจนมีวรยุทธนี้ได้ ก็คือจอมยุทธของพระพุทธเจ้า

 

.กฤษฏาว่า...วันนี้ผมได้เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตตน ทั่วไปเขาก็บอกกันว่า มีอะไรว่าเราได้นะ แต่เขาบอกมาก็ของขึ้นเลย คือถ้าบอกดีก็กิเลสขึ้นอีก บอกว่าเราทำดีชมก็เลยมีฟูใจ อหังการณ์ แต่ถ้าติก็โทสะขึ้นอีก ก็วนเวียนไม่โทสะก็โลภะ

 

พ่อครูว่า..ตัวอัตตามานะนี่แหละสุดร้าย สุดไม่เจริญจริงๆเลย ถ้าผู้ใดพัฒนาตนรู้จักอัตตาตัวนี้แล้วแก้ไขได้จะสบาย คนเราถ้าเขาตำหนิได้แล้วทนความตำหนิได้ มีสองอย่าง การทนคำตำหนิได้โดยศึกษาอดทน โดยกดข่มกิเลสที่ถือดี เขาก็ทำกดข่มได้แต่การกดข่มนี้จะไม่เกิดธัมวิจัย ไม่เกิดการพิจารณาแก้ไข ไม่รับมาวิเคราะห์ตนไม่รับมาอย่างนั้นจริง มันจะว่าเราไม่ขึ้นไม่โกรธน่ิงได้เบาใจสบายใจว่างอยู่ ไม่ร้อนใจ เฉยๆ แต่คุณจะไม่กล้าติดต่อ ไม่กล้าวิจัยคำติของเขามา ว่ามันแรงมันเบาอย่างไร มันเป็นจริงอย่างไรก็ไม่กล้าคิด แทนที่จะรับมาแล้ววิจัยศึกษาว่าอันนี้หยาบหรือเบาจริงหรือไม่? หากมีตัวตนก็ทำให้บอดมืด แต่หากไม่มีตัวตนก็เข้าใจว่ามันดีหรือไม่ดี กระจ่างรู้เหตุผล และจะรู้ความจริงว่าทำไม เขามาติว่าเราจะเข้าใจซ้อนว่า เพราะเขาไม่รู้ไม่รู้ว่าเราผิดหรือถูกดีหรือไม่เขาก็เลยว่าหรือติ หรือสอง เขาเองไม่มีภูมิ เขาก็ต้องติเรา หรือสาม เขามีภูมิรู้อย่างที่เขารู้แต่เขาเจตนาดีมีเมตตาก็เลยติให้เรารู้ตัวจะได้ แก้ไขปรับปรุง

 

คนติเรามา คือติด้วยโกรธไม่ชอบใจ หรือติด้วยไม่รู้ความจริง หรือติด้วยเมตตาเลย เราพยายามมองคนเขาติให้เห็นว่าเขาติเราด้วยเมตตา เราจะไม่โกรธ แล้วจะได้รับคำติได้มาทำประโยชน์ได้ เขาจะติอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ว่าเขาติด้วยเมตตา จะได้ประโยชน์โดยถ่ายเดียว

 

.กฤษฏาว่า...เมื่อเวลาวิพากษ์กัน เขาส่งสารมา เราก็ไม่รู้ว่าเขาส่งสารมาอย่างไร? แต่เรารับสารแล้วเราควรมองสารนั้นด้วยจิตบริสุทธิ์ใจ เพื่อเอามาพิจารณาตนเอง

 

พ่อครูว่า...เรารู้ความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ เราก็วิจัยเนื้อหาสาระ ว่าเราผิดหรือถูกก็จะได้ประโยชน์สูงขึ้นอีก

 

.กฤษฏาว่า..พ่อครูมักพูดว่าให้เราตรวจสอบตนเอง แล้วบทบาทฆราวาสก็ต้องทำเช่นกัน

 

พ่อครูว่า...ต้องทำไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าได้ตั้งแต่เด็กก็ย่ิงดี

 

.กฤษฏาว่า...นักบวชที่นี่จะน่ิงมาก ฝึกมานานจะน่ิง ทำให้ผมได้คำตอบกับตนว่าทำไมผมไม่น่ิง วันนี้ผมเริ่มได้คำตอบว่าการรับสาร เราต้องไม่เอากิเลสเราไปรับสารนั้น เราเอากิเลสไปรับก็จิตไม่น่ิงไม่เกิดมรรคองค์ 8

 

พ่อครูว่า...วิธีเรียนของพระพุทธเจ้าต้องอ่านใจตนเป็น ว่าชอบหรือไม่ชอบ นอกนั้นก็จะมีแรงมีเบามีเหตุปัจจัยต่างๆ ส่วนมากใครติก็เกิดไม่ชอบใจ การไม่ชอบใจจะเกิดกิเลสอะไรใน 16 ตัวนั้น คืออุปกิเลส

ตัวแรกเลย คืออภิฌาวิสมโลภะ ท่านตีไว้รวมเลยคือสายโลภคือเพ่งแรงกล้าไปในความโลภ และจากนั้นมาอีก 15 ข้อ เป็นสายของโทสะคือตัวที่ถูกตำหนิไม่ได้ทั้งนั้นเลย จะเกิดหยาบกลางละเอียดไปจนถึง มัวเมามทะ เป็นสายโทสะมูลหมดเลย มีแต่ข้อแรกในอุปกิเลส 16 เท่าน้ันที่เป็นสายโลภะ

 

ตั้งแต่ อภิฌาวิสมโลภะ พยาบาท (รองจากโทสะ) ลีลาของโทสะจะลีลาเดียวกับโกรธะ(รองจากโทสะ )จากนั้นยึดความโกรธคือพยาบาท (แรงกว่าอุปนาหะ) โทสะก็ไปเป็นโกรธ พยาบาทก็ไปเป็นอุปนาหะ

 

จากนั้นก็กระดุ๊กกระดิ๊กไปเป็น มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ ถัมถะ สารัมภะ มานะ อติมานะ  มทะ ปมาทะ

อุปกิเลส 16

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.   มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10.  สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

.กฤษฏาว่า...เมื่อมีคนที่ 1 และ 2 ต่อมาก็มีบุคคลที่ 3 มีการนินทา ไปบอกต่อ ไปนินทาต่อ จะวางตัววางใจอย่าไร?

 

พ่อครูว่า...นินทาคือว่าร้ายกล่าวร้ายลับหลัง ถ้าเราไม่ได้ยินก็ไม่ว่าไร แต่ถ้าเราได้ยินก็รู้สึกว่าเราโดนว่าลับหลัง แต่โดนว่าแล้วเราถือตัวถือดีก็เข้าเรื่องเดิม เพราะนินทาคือว่าลับหลัง จะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็ใครจะว่าร้ายเราอย่างไร ถ้าไม่มีตัวตนไม่ติดใจถือสาโดยปัญญา มันจะเป็นสุขไม่เกิดวู่วาม ไม่เกิดจิตที่อุปายาสะ ทุกข์ หรือโศกะ ปริทวะจะไม่มีเลยสักอย่าง

 

ขออนุญาตอธิบาย โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส

ทุกข์ คำต้นคือโศกะ คือเห็นได้เลยว่าคนนี้หน้าตาท่าทางเศร้าโศกเห็นก็รู้เลย เป็นอาการทุกข์ที่หนักจนควบคุมกิริยาภายนอกไม่ได้ ร้องห่มร้องไห้ค่ำครวญเลยบางคน จมอยู่กับตนเองเป็นต้นรากความทุกข์ เป็นขณิกะ เป็นขณะ

 

ปริเทวะแปลว่าพิรี้พิไร ความทุกข์ของตนก็ไม่รู้จักจบต่อเนื่องไปนานเท่าไรก็เป็นปริเทวนาการไปเรื่อย มีสภาพน้อยหรือมาก แล้วมันยังยาวนานหรือสั้น (ขุททกะ) ส่วนขณิกะคือเป็นขณะ เราโง่แล้วก็ยังไม่พอยังต่อยาวไปอีก เป็นอาการทุกข์ตัวนอกสองตัวคือ

 

ส่วนคำว่าทุกข คือ เบาลง หรือเบาจนมีแต่ภายในเป็นโทมนัส ส่วนอุปายสะคือเหลือเศษเล็กน้อยจัดการยังไม่หมด คือ กระบวนการความทุกข์ 5 อย่างที่เราต้องรู้อาการทั้ง 5 อย่างรู้จักขนาด ระยะเวลา แล้วเราจะรู้ได้ว่าเราอยู่ในระดับไหนขั้นไหน?

 

มาประเด็นมหาปวารณาการยอมน้อมตนเห็นว่าตนถูกตำหนิติเตียนได้เป็นประโยชน์แล้วเราก็หมดอุปกิเลส 1​6 คนนั้นไม่ทุกข์เลยสบาย แล้วการไม่โต้ตอบ คือมีสองอย่างคือ หนึ่งสะกดจิตไว้ให้ว่างแต่ไม่มีปัญญาพิจารณา หรือไม่พิจารณาให้ครบ เพราะจิตไม่มีอำนาจปัญญาที่เปิดครบแต่ถ้าจิตเปิดรับเต็มจะว่างเบาจะรู้ครบเลย จะเห็นคุณค่าจิตที่ไม่มีตัวตนว่ารู้ได้ครบ ว่างเบามีการวิจัยวิจารได้ ที่อาตมาพูดนี้คือเหตุการณ์จริงที่เกิดกับตัวอาตมาเอง

 

เร่ิมต้นตั้งแต่พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ เขียนหนังสือว่าอาตมาสาดเสียเทเสียมาตั้งหลายเล่ม อาตมาก็อ่านของเขานะ อาตมาไม่เคยมีจิตไปโกรธเกลียดชังเลย เห็นใจเขาด้วย เราจะมีปัญญาเปิดรับเต็มไม่ดื้อ ความสบายโปร่งว่างก็มี การวิจัยก็ครบไม่ตัดทิ้งรับมาเต็มได้ว่างสบายเบา หลักฐานที่อาตมาหยิบมายืนยันไม่อวดตัวตนแต่ยืนยันว่ามนุษย์เป็นจริงเช่นนั้นได้

 

อย่างอนันต์ที่ตีอาตมา ที่จริงมีเจ้าคุณคนหนึ่ง อาตมาจาริกไปโคราชฯแล้วมีเจ้าคุณคนหนึ่ง เล่นงานอาตมา สอบสวนอะไรต่ออะไร อาตมาก็ไม่เคยถือโกรธเขาเลย พอมาถึงอนันต์ก็เช่นกัน แม้ที่สุดเขาเข้าคุก อาตมาก็ยังให้พวกเราไปส่งข้าวส่งน้ำ ให้โยมหนู (อำไพ หุ่นตระกูล) อาตมาตั้งชื่อว่าคร่ำคร่า เขาก็ชอบใจ เขานั้นแหละเป็นผู้ที่ไปพบกับอนันต์ เสนาขันธ์ เอาข้าวน้ำไปส่งในคุก จนสุดท้าย ให้บอกครูหนูว่าไปเรียนท่านโพธิรักษ์ว่า “ข้าวท่านมียาง” นี่คือคำพูดของอนันต์ เขาพูด เขามีสำนวนอย่างนั้น เป็นโวหารก็รู้เขา

 

เช่นเจ้าคุณโสภณคุณาภรณ์ เล่นงานอาตมา อาตมาก็ไม่เคยโกรธท่านเลย อาตมาก็เข้าใจท่าน แม้ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์เขียนหนังสือว่าอาตมา แล้วกระแสหลักก็รับไปจัดการอาตมาเลย ท่านเขียนว่าอาตมา 3 เล่น อาตมาก็อ่านแล้วก็เข้าใจ  ท่าน อาตมาอยากจะอวดว่า อาตมาไม่มีใจโกรธตอบเลยเป็นการเปิดเผยความจริง อาตมาไม่มีจิตอยากอวดโอ่เลย หรือไม่มีเสเฐยยจิต แม้ขณะที่พูดอยู่นี้ก็ไม่มีเลย ใครจะเพ่งโทสก็แล้วแต่

 

อาตมาอ่านเสร็จก็เขียนจดหมายขอบคุณท่านไป ท่านบวชก่อนอาตมา แม้ท่านจะอายุน้อยกว่าอาตมา เรียก ท่านว่าภันเต อาตมาก็เคารพนับถือ ท่านก็ไม่ตอบอาตมาเลยอาตมาจดหมายไปขอบคุณท่าน แต่อาตมาก็คอมเม้นท์ท่าน ว่าท่านมีอิทธิพลทางศาสนาท่านน่าจะตำหนิแรงกว่านี้หน่อย ในเนื้อหาจดหมายอาตมาจำได้แต่สาระจำคำต่อคำไม่ได้ อาตมาว่าท่านมีผู้เคารพนับถือมาก ถ้าท่านติมากกว่านี้หน่อย เพราะอาตมาเห็นค่าของคำติ ติในวงการท่านเองด้วย จะได้ประโยชน์มากเลย แต่ท่านไปติพวกนอกอย่างอาตมาไม่มีอะไรมากหรอก เท่านั้นแหละท่านก็เขียนว่าอาตมาไปสองเล่มเลย อาตมาก็เลยไม่ตอบท่านไปอีก และเล่มที่สามท่านก็ว่ายังมีอีกเรื่องที่จะเขียนว่าอาตมานะ แต่ก็จบแค่นั้น

 

ตอนหลังท่านไม่สบายหนัก อาตมาก็เขียนจดหมายไปแสดงมุฑิตาจิตกับท่าน หลายเดือนผ่านมา ปรากฏว่าท่านตอบ ท่านไม่ได้ตอบจดหมายหรอก แต่ท่านตอบมาว่า ท่านกำลังพิมพ์ อยู่ยังไม่เสร็จ แล้วจะส่งมาให้ อาตมายังใช้อยู่เลยสองเล่มนั้น อาตมาก็ขอบคุณ อาตมาก็ได้อาศัยหนังสือท่าน  อาตมานับถือท่านที่เป็น learned man ท่านซื่อสัตย์ให้ตรงที่สุดเท่าที่ท่านรู้ ส่ิงที่อาตมาเห็นไม่ตรงไม่ถูกต้องก็ต้องท้วง หลายอย่างอาตมาก็ได้จากท่าน 

 

จนทุกวันนี้อาตมาก็เคารพท่านอยู่ ท่านมีคุณาณุคุณต่อศาสนาอย่างมาก อาตมาดูใจอาตมามาตลอด จนถึงบัดนี้ว่า ตั้งแต่บรรลุธรรมอาตมาไม่มีการโกรธ แล้วมันสบายจริงๆที่ไม่ต้องมีโกรธแม้นิดแม้น้อย

 

.กฤษฏาว่า...ทำไมฆราวาสไม่ควรเข้ามารับรู้ในพิธีที่ปวารณากัน

พ่อครูว่า..การเปิดเผยความจริงแล้วอะไรที่ไม่ควรให้คนรับรู้ทั้งหมด มีแต่เกิดโทษ มากว่าประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนรับรู้ พระพุทธเจ้าว่าถ้าเป็นอาบัติหยาบแรง คุรุกาบัติ ก็ให้รับรู้แต่ในสงฆ์ ไม่ใช่ว่าไปมีอัตตา แต่เป็นสัจจะอันหนึ่งในการไม่เปิดเผย ท่านก็ต้องป้องกันไว้ ไม่ให้คนที่ไม่อยู่ในฐานะที่ไม่ควรได้ยินมารับรู้ เป็นทุกข์ของเขาหรือเสียประโยชน์ แทนที่จะศรัทธาเลื่อมใส่ก็ไปรับรู้ข้อไม่ดี ก็ไม่ดีอีก ท่านก็จะช่วยแก้ไขกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ถึงไล่ออก ปาราชิกก็แก้ไขกันได้ ฆราวาสก็ไม่จำเป็นไม่ควรรับรู้

 

_น้ำมนต์ที่มาพ่นใส่เราจะทำให้คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุได้หรือไม่?

ตอบ...ขอตอบอย่างสับธงว่า...ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร และนัยที่สองคือเกิดประโยชน์ไม่ใช่เรื่องของน้ำมนต์แต่เกิดจากจิตของคนนั้นเอง จิตที่ยอมรับจะมีพลัง เมื่อจิตมีพลัง จิตยึดนี่มีพลังนะ แต่การยึดเป็นทุกข์ แต่การยึดแล้วเอาไปใช้งานเป็นพลังได้ ช่วยให้ส่ิงบกพร่องดีขึ้นได้ เป็นโรคก็หาย เป็นอัมพาตก็ลุกเดินได้ เป็นโรคจิต psychosis ซึ่งโรคจิตกับโรคประสาท นั้นโรคประสาทนี่แก้ไม่ได้ แต่โรคจิตนี่แก้ได้หายไว แต่มันกลับกันอยู่ในโลก

 

ประเด็นน้ำมนต์ ขอยืนยันว่าเลิกเถอะ เป็นเรื่องไร้สาระเป็นจิตอุปาทาน แก้ได้แต่จิตอุปาทานของคุณเอง หรือเกินวิสัยก็ยังได้เลย เป็นฤทธิ์เดช หนังเหนียวก็เกิดจากพลังจิตอุปาทาน หรือพวกแทงปากที่ภูเก็ต เดินบนไฟ อภินิหารก็เป็นอุปาทานจิต เป็นมโนมยอัตตา ศานาพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการให้ทำ ไม่เกิดการลดกิเลสมันเกิดเก่งในบางคน ไม่ยั่งยืนด้วย ในมัชฌิมศีลท่านตรัสห้ามไว้เลย ในมหาศีลก็ชัดไม่ให้มีรดน้ำมนต์พ่นน้ำมนต์ พระทั้งหลายที่รดนำ้มนต์นี่ไม่มีศีลแล้ว พระทั้งหลายตอนนี้ไม่มีศีลแล้วมีแต่วินัย แต่พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาพุทธด้วยจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือสภาพของศาสนาพุทธ แต่เดี๋ยวนี้พุทธละเมิดหมดก็เลยไม่มีศาสนาเลยมีแต่วินัยไม่มีศีล

 

กลับมาที่น้ำมนต์ ทำให้ศาสนาเสื่อม แล้วเอาไปทำมาหากิน วัดบางวัดหากไม่รดน้ำมนต์ไปไม่รอด พุทธศาสนิกชนนึกว่าได้ประโยชน์ ถ้านำ้มนต์ดีจริง ทุกบ้านที่ไปรดก็ต้องเจริญ อย่าแก้ตัวว่าวิบาก น้ำมนต์ดีก็ต้องดีหมดสิ ถ้ามหานิยม มีจริง ก็ไม่ต้องไปทำเศรษฐกิจสิ คุณก็แจกเครื่องรางของขลังสิ ให้คนละสององค์เลย ทุกคนในไทย ก็จะเจริญกันสิ

 

เอาเรื่องอยู่ยงคงกระพันสิ ไม่ต้องไปสร้างอาวุธ เลย แจกทหารคนละสององค์เลย ไม่ต้องมีอาวุธ เดินเข้าไปจิ้มตาศัตรูเลย ก็ชนะหมดสิ อาตมาเล่นมาแล้ว อาตมานี่หนังเหนียวนะ ตอนนั้นอาตมาเล่นหนังเหนียว อาตมาไม่กลัวหรอก อาตมาโดนรถชน รถพังยับเลย แต่อาตมาไม่เป็นไรมีแต่ที่ขามันระบม บวมเลย อาตมามาบ้านก็มารักษาตัวอีกหลายเดือน เป่าเองด้วย รักษาด้วยมนต์ตัวเอง แต่ไม่มีรอยแตกเลย

 

อาตมาเสก กระดูกมันปูดออกมา อาตมาใช้พลังเสกมันยุบลงไปทันตาเลยนะ อาตมาเลยรู้ว่าพลังมันมีจริง อาตมาไม่ส่งเสริมนะ ถ้าไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าว่าเป็นศีลของเธอประการหนึ่งนะภิกษุ ท่านก็ย้ำดีๆ แต่ท่านเจ้าคุณพรหมฯว่าเป็นอาริยศีล อาริยวินัย ก็ถูกสิ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอาริยะแล้วแต่ไปตีทิ้งได้อย่างไร อาตมาว่าเลิกเถอะ แต่ท่านเลิกไม่ได้หรอก คนเข้าใจก็ให้เลิกเถอะ ค่อยทำไป ไปยกออกทันทีท่านก็ต้องหมดสิ ตายเลย ก็ค่อยๆทำไป

 

_พล.เรือตรีมินทร์ กลกิจกำจร กระผมเชื่อว่าธรรมะของพ่อครูน่าจะทำให้ชาวอโศกขึ้นสวรรค์มากกว่าลงนรก

ตอบ....จุดมุ่งหมายของชาวอโศกคือหมดสวรรค์หมดนรก และสวรรค์หมายถึงความสบายใจ ชอบใจ และความสบายใจของโลกีย์คือความสมใจบำเรอกิเลส ขึ้นสวรรค์เป็นสมมุติเทพ ทุกคนทุกวันนี้ชาวโลกียะก็มีสวรรค์แบบนี้อย่างเดียว เป็นสวรรค์ที่ต้องบำเรอกิเลส สวรรค์เสพกาม บำเรออัตตา  ผู้ใดไม่เข้าใจเรื่องสวรรค์ตามที่สอนในอนุปุพพิกถา ถ้าเข้าใจสวรรค์ไม่ได้ก็เนกขัมมะไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าต้องลดสวรรค์เสพกาม ถ้าลดกิเลสได้จะเป็นสุขอย่างวูปสโมสุข การลดกิเลสกามก็มีสองอย่างคือแบบสมถะคือฤาษีกดข่มอย่างนี้ไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้าต้องกำจัดกิเลสให้จางคลาย ลดไปเรื่อยก็เบาสงบลงเรื่อยจนล้างกิเลสหมด กิเลสหมดก็หมดสุขหมดทุกข์ เพราะเหตุแห่งสุขขัลลิกะ เมื่อดับเหตุแห่งสุขเท็จ หรือทุกข์ก็สิ้นทุกข์สิ้นสุข ใครทำได้เป็นอุบัติเทพ พอดับได้หมดเกลี้ยงก็เป็นวิสุทธิเทพหรือพรหม ก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นความสุขที่ไม่มีภาษาเรียกท่านว่าเป็นปรมังสุขัง ท่านไปแปลว่าสุขอย่างย่ิง ไม่ใช่อาตมาแปลว่ายิ่งกว่าสุข ไม่เหมือนโลกีย์หาที่เปรียบไม่ได้ นัตถิิอุปมา อโศกคือพวกไม่เอาสวรรค์ไม่เอานรกเลยไปตามลำดับ

 

_คนเราตายปุ๊ปไปเกิดทันทีหรือล่องลอยไป

ตอบ...พระพุทธเจ้าไม่พยากรณ์คนตายไปก็ไปตามวิบาก แต่อาตมาก็พอรู้ไม่ได้เจตนาอวดดี พูดเป็นความรู้ คนที่ตายไปแล้ว ตายปุ๊ปเกิดปั๊ปไม่มีอะไรคั่น มีคนที่ตายปุ๊ปไม่เกิดปั๊ปก็คืออรหันต์ที่ไม่ต่อภพภูมิ ไม่มีสันตติ หรือแม้อรหันต์ที่ต่อภพภูมิ ก็ตายปุ๊ปเกิดปั๊ป ไปอยู่ดุสิต

 

แล้วตายแล้วล่องลอยหรือเปล่า?คำว่าล่องลอยคือจินตนาการไปเอง จิตไม่มีสถานที่ไม่มีรูปร่างมันละเอียดเกินกว่าอธิบายได้ เช่นตอนนี้เสียงอยู่ในอากาศมีที่อยู่ไหม? ถ้าเสียงเรามีพลังที่คนดึงเอาไปได้ก็ไปอเมริกาได้ไม่มีอะไรคั่นหรอก แค่เสียงเป็นพลังงานทางวัตถุฟิสิกส์ยังละเอียดขนาดนั้น แต่วิญญาณละเอียดกว่านั้นอีกไม่มีที่อยู่ ใครอย่าไปคิดว่าตายแล้วไปไหน ล่องลอยอย่างไร ไม่ควรถาม ไม่มีคำตอบหรอก คนตอบก็อวดดี มันก็อยู่ของมัน ไปตามวิบาก เหมือนตอนเราหลับวิญญาณของเราฟุ้งซ่านไป ทุรังคมัง ไปไหนก็ได้ ออกนอกโลกก็ยังได้เลย สมมุติว่าคุณเองไม่เคยออกนอกโลก ก็สมมุติให้ออกไปได้ หรือเคยออกไปจริงก็นึกได้ สรุปแล้วจิตวิญญาณไม่มีที่อยู่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างสรีระ ตายแล้วไปตามวิบาก คนมีนรกก็ไปนรก คนมีสวรรค์ก็ไปสวรรค์แต่สวรรค์มีน้อยเกิดยาก เพราะว่าสวรรค์เกิดตอนมีสัมผัสจริง แต่ตายไปแล้วคุณนึกว่ามีสวรรค์ ก็สร้างเองเป็นมโนมยอัตตาเหมือนคุณนั่งปั้นสร้างวิมานเอาเอง มันเป็นของไม่จริง เป็นมโนมยอัตตา หากใครชอบอย่างนี้ก็ไปอยู่กับสวรรค์บ้าๆ แต่วิบากมีจริงมันตกในอนุสัย จิตที่เป็นสัตว์นรกมันจำมันยึด ตกในอนุสัยท่านจึงเรียกว่าของจริงเป็นทุกสัจจ์ ฝังในอนุสัย แต่สุขมันชั่วแวบแล้วหายไป มีแต่อุปาทานยึดไว้ แต่ตายไปคุณจะไปปรุงก็ได้แค่นิดหน่อย สวรรค์คือสร้างปรุงมาแวบๆ แต่จริงๆสวรรค์คือต้องมีกระทบสัมผัสจริง มันจะครบ แต่ไปนึกเอาหรือฝันเอาจะไม่เหมือนจริงเลย ย่ิงตายไปยิ่งไม่มีอวัยวะเลย ยิ่งกลับกัน ตายไปจิตวิญญาณจะตกนรกยิ่งกว่าเป็นๆ เพราะอุปาทานอนุสัยที่ยึดไว้ด้วยความโง่จึงยึดหนักแต่สวรรค์ยึดไม่ได้ คุณจะได้เบาบางแต่ทุกข์นี่หนักกว่า ตายไปจะอยู่กับนรกกับทุกข์มากว่าสวรรค์ ตายไปเป็นนรกมากล้วนๆ และส่วนมากนรกคือบาปคือกิเลส คนไม่ได้ล้างกิเลสก็เต็มไปด้วยกิเลสแล้วจะไปหาสวรรค์ตรงไหนจากกิเลส ตายไปจะจมอยู่กับกิเลสใช้วิบาก ตายไปนานมากกว่าจะไปเกิดได้ สรุปแล้วตายไปอย่าไปคิดเลย อัตตาอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั้น แล้วก็ไม่มีวันไปเจอกับใครเลย ที่เล่ากันว่าไปเจอใครก็คืออุปาทานทั้งนั้นหลอกกันทั้งนั่้น

 

พออาตมาพูดอย่างนี้ เขาก็หาว่าอาตมาไม่มีนรกสวรรค์เสียอีกแต่ที่จริงนรกที่อาตมาว่านี่จริงกว่าเขาอีก

 

สรุปคือจิตวิญญาณตายไปตามวิบาก และวิบากส่วนมาคือนรก ส่วนมากไปนรกต้องมาศึกษาดีๆแล้วค่อยเพลานรกได้ มาเป็นสวรรค์แท้เป็นดุสิต นอกนั้นสวรรค์ลวงแว่บๆ

 

_ผมอยากให้มหาเถรสมาคมมาดูงานที่สันติอโศก

ตอบ...คุณมีสิทธิ์ที่จะเสนอความคิดได้ แต่ถ้าเป็นบุญบารมีก็เป็นได้ ไม่มีก็เป็นไม่ได้แต่อาตมาได้มีความอยากอย่างนั้น อาตมาได้อยากได้อะไร อาตมาเพียรทำอย่างเดียว ส่ิงนี้น่าได้ควรได้ เรามีความรู้ว่าอันนี้ควรได้ก็สร้างแต่ไม่เอาไกล เราเอาใกล้ๆ ถ้าอันนี้ควรเป็นควรได้ไม่ได้อยากนะ เหตุปัจจัยอันใดมันจะเป็นก็ทำให้มันได้ไม่ต้องอยากได้อยากได้เสียแคลอรี่แล้วไม่เอาขาดทุน มีอุดมคติได้ คือจุดหมายที่จิตมุ่ง แต่ให้ทำอุดมการณ์​จงปฏิบัติอุดมการณ์ไปตามลำดับไปถึงอุดมคติได้ในสักวัน  เราทำกรรมไป ชีวิตมนุษย์มีกรรมคือพระเจ้าหรือกรรมคือซาตาน แล้วเป็นของจริง ในจิตวิญญาณของมนุษย์มีทั้งซาตานและพระเจ้าแต่ศาสนาเทวนิยมไปปฏิบัติแต่ดีไม่เอาใจใส่ไม่คิดชั่วไม่แก้ไขชั่ว อย่าไปวุ่นเรื่องชั่วเราทำแต่ดี ก็ไม่ได้แก้เหตุเลย ศาสนาเทวนิยมเอาแต่ดีไม่แก้ไขชั่วแต่ศาสนาพุทธไม่ให้เหลิงดีแต่กลับมาดูแก้ไขชั่วไปตามลำดับ แก้ชั่วหมดก็จบ มันดีในตัวเลย เพราะศาสนาพุทธไม่ได้หนีโลก มีผัสสะครบ แล้วเรียนรู้อะไรดีชั่ว แล้วล้างเหตุคือกิเลสหมดก็ครบ รู้อะไรดีก็ทำ มีจิตรู้ส่ิงควรทำตามลำดับเป็นกัมมนิยะ สูงสุดเป็นกัมมัญญา ในขณะทำฌานเป็นกัมมนิยะ

 

_เรื่องของการยกระดับจิตวิญญาณตน คือถ้าเข้าใจหลักพุทธต้องศึกษาภาคของทุกข์โดยไม่ต้องคำนึงสุข

 

ตอบ..สุขมันเป็นเท็จ ความหมดสุขหมดทุกข์ต่างหากคือสุขแท้จริง พระพุทธเจ้าสอนความเป็นมัชฌิมา ท่านสอนให้รู้ความโต่งสองฝั่ง ในกามก็มีอัตตา ในอัตตาก็มีกาม คุณลดกามได้ก็รู้อัตตาระดับหนึ่ง คุณได้การลดกิเลสเป็นอัตตา แต่ได้เนกขัมสิตเวทนา ดีใจสมใจ เป็นอัตตทัตถสุข ที่ได้ลดกิเลสเป็นองค์ฌาน ก็ล้างมันทั้งสองอย่างล้างทั้งกามทั้งอัตตา อาศัยอัตตาดีก่อน แล้วค่อยลดอัตตา แล้วก็ล้างกามอีกสลับไปมา จนกามหมดเหลือแต่อัตตา อัตตาคือเรื่องลำบาก ส่วนกามคือหลงสุข พระอนาคามีจึงเห็นว่าเรื่องกามเราก็หมดแล้ว เหลือแต่อัตตาซ้อนอยู่แม้เป็นอุปกิเลสมันเหลืออัตตาก็ยังทุกข์ อนาคามีทุกข์มากว่าอรหันต์ แต่อรหันต์ท่านก็มีทรถะ มันมีวิปฏิสาร กิลมถะ และทรถะ แปลว่าความลำบากหมด

แต่วิปฏิสารคือเดือดร้อนใจรวมๆ ต้องมาลด เหมือนวิญญาณ​ส่วนกิลมถะเหมือนจิต ส่วนทรถะนั้นเป็นแค่ภาระแม้มีขันธ์สะอาดแล้ว ทั้ง 5 แต่ขันธ์ 5 ที่ปราศจากอุปาทานแล้ว ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ปวดขี้เยี่ยวเป็นต้น ต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกทุกอย่างวางสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสในพรหมชาลสูตรว่า เราชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจากไปแล้วจะไม่มีใครเห็นเราได้ทั้งรูปและนาม เหมือนพวงมะม่วงหลุดลงมาแตกกระจายฉันนั้น คือปรินิพพานเป็นปริโยสาน อรหันต์ โพธิสัตย์ พระพุทธเจ้ามีสิทธิ์จะปรินิพพานได้

 

ผู้ที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ไม่ทิ่้งขันธ์ 5 ก็นึกถึงบุญคุณท่านเถอะเพราะท่านมีสิทธิ์พอได้แต่ท่านก็ทนทุกข์ทรมานกับภาระในขันธ์ 5 เพื่อช่วยเหลือคน


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:59:45 )

571022

รายละเอียด

571022_ธรรมาธรรมะสงคราม พ่อครู ส.ฟ้าไทฟ้าไท ที่ศรีโคตรบูรณ์อโศก เรื่อง สามอาชีพเพื่อมนุษยชาติ

ส.ฟ้าไทว่า วันนี้เรามาถ่ายทอดสดที่ ชุมชนศรีโคตรบูรณ์อโศก ผู้มาฟังวันนี้เป็นเกษตรกร ใช้เกษตรอินทรีย์บ้างไม่ใช้บ้าง เป็นโอกาสดีที่พ่อครูจะได้มาพูดเรื่องสามอาชีพเพื่อมนุษยชาติ

1.กสิกรรมไร้สารพิษ 2.ปุ๋ยสะอาด 3.ขยะวิทยา

 

ถ้าพูดเรื่องขยะ ในรายการดินอุ้มดาว เขาเอาประเทศสวีเดน เขาใช้ขยะผลิตไฟฟ้า จนขยะในประเทศไม่พอ ต้องไปรับซื้อขยะจากต่างประเทศ เป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ว่าสามารถทำได้ขนาดนี้ ชาวอโศกจะทำได้หรือไม่นะ แต่ตอนนี้บุญนิยมทีวีก็ไปได้เพราะขยะ ตอนนี้ที่สันติอโศกก็เป็นหลัก ที่ราชธานีอโศกก็เร่ิมทำแล้ว

 

เรื่องปุ๋ยสะอาด เราก็ทำมาได้ ทำขายทำแจก แต่ส่ิงที่ชาวอโศกพยายามทำก็คือ กสิกรรมไร้สารพิษ ก็ยังไม่ถือว่าประสพผลสำเร็จ ที่ร้านขายอาหาร ชมร. ช่วงงานเจยังมีใช้ผักตลาดอยู่ไม่ได้ไร้สารพิษทั้งหมด อย่างน้อยพริกก็ยังไม่ได้ ถั่วก็ยังไม่ได้

 

มีอีกส่ิงหนึ่งที่พ่อครูพยายามให้ทำคือ ผลิตข้าวแสนตัน พ่อครูจะมาพูดให้พัง ตอนนี้เกษตรกรตื่นตัวมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แต่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรม ถ้าเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้งไม่เอาคุณธรรมเป็นที่ตั้งก็ไปไม่รอด เพราะเกษตรกรก็มีกิเลส เราจะทำอย่างไรให้เกษตรกรทำสามอาชีพแล้วมีคุณธรรม พ่อครูเป็นต้นคิดเรื่องสามอาชีพกู้ชาติ จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนี้กำลังจะเห็นรูปรอยว่าจะเป็นไปได้

 

แต่เห็นรูปรอยอย่างหนึ่งว่าที่หน้าสันติอโศกคนนิยมเรื่องผักไร้สารพิษมาก แต่ที่งานเจที่อุทยานฯ มีคนบอกอาตมาว่าที่นี่ขายนี่ไร้สารพิษใช่ไหม? ไม่มีพิษใช่ไหม? อาตมาก็พูดไม่ออก ทำอย่างไร ตอนนี้คนเชื่อมากเรื่องไร้สารพิษแต่ทำอย่างไรให้เกษตรกรผลิตไร้สารพิษจริงๆได้ ผมเป็นห่วงประเด็นเรื่องคุณธรรม ทำอย่างไรเขาจะคำนึงถึงคุณธรรมมากว่าเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง  ​ผมเจอพวก เอ็นจีโอเขาว่าทำไปไม่รอด เพราะไม่มีงบฯมาให้ ต้องหันมาพึ่งกสิกรรมธรรมชาติแล้ว

 

พ่อครูว่า...นานทีปีหนได้มา ก็ดูคึกคักกันดี ก็ไม่ต้องถามไถ่กันมาก อาตมาเชื่อว่าชาวอโศก หากผู้ใดไม่พลาดจากหมู่กลุ่ม ยังมีคุณธรรมเลี้ยงชีวิต ก็จะเจริญด้วยธรรม ท่านฟ้าไทได้ฝากไว้ให้สำทับหรือว่าขยายความก็จริงๆแล้ว มันจะพึ่งอะไรจริงๆ พระพุทธเจ้าก็สอนแล้วชัดเจน ที่พูดผ่านไปว่า ​เอ็นจีโอ ไปไม่รอด เพราะไม่พึ่งตนเอง ไปพึ่งอาศัยเงินจากผู้อื่นจึงทำงานได้ พอไม่ได้เงินจากผู้อื่นก็ต้องปิดงาน เพราะตนเองไม่มีน้ำยาไม่ได้ทำอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านให้พึ่งตนเองรอด จนช่วยคนอื่นได้

 

ผู้ที่พึ่งตนเองได้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสคือ

1.ไม่มีหนี้ 2.พึ่งตนเองรอด 3.ทำให้เหลือสร้างสรรให้มาก 4.ใช้ส่วนเกินเผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจาน สังคหะ เกื้อกูลผู้อื่น เป็นผลสำเร็จอันย่ิงใหญ่ของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง นี่คือคำตอบ คือ 4​ความหมายนี่แหละ

คือไม่เป็นหนี้ แล้วพึ่งตน ทำให้เหลือเฟือ และเกื้อกูลแจกจ่ายผู้อื่น ถ้าอยู่ในหลัก 4 นี้ได้ตลอดกาลก็อยู่ได้รอด แล้วจะมีมิตรทั่วโลก เราช่วยคนอื่น คนอื่นก็นับเราเป็นมิตร พวกเอ็นจีโอที่พึ่งตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งคนอื่นจึงทำงานได้หรือว่าตนจะอยู่ได้ เขาจะแก้ตัวว่าทำงานกับสังคม ไม่มีเวลาไปทำอาหาร ปลูกข้าว แต่อาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารคือทั้งอุปโภคและบริโภค และมีบริขารด้วย แต่เดิมบริขารมี 8 ส่ิงที่เกินความจำเป็นต่อยุคสมัย เราก็ต้องไม่ซื่อบื้อว่าบริขารมีแค่ 8 เกินกว่านั้นไม่ถือว่าเป็นบริขาร คุณก็อยู่ในกลุ่มแคบๆเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเราเข้าใจใช้ได้ก็ได้ทำงานช่วยคนได้

 

เราทำสามอาชีพกู้ชาติมา 30 กว่าปีแล้ว อาตมาเข้าใจที่พระพุทธเจ้าว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก ทั้งอาหารบริโภค และอุปโภค ตอนนี้เราก็ทำพัฒนามาในระดับอินทรีย์ ไร้สารพิษได้ ไม่ต้องมีสารเคมี ไม่มียาพิษเอามาประกอบให้เป็นกสิกรรมธรรมชาติเลยได้แล้ว เสร็จแล้วก็มีเครื่องเสริมหนุนคือปุ๋ย เป็นปุ๋ยเคมีที่มาจากธาตุธรรมชาติไม่เคี่ยวข้นเหมือนสารเคมีที่ทำให้เป็นพิษได้ ปุ๋ยอินทรีย์ธรรมชาติก็สังเคราะห์ได้ไม่เป็นพิษภัย เรื่องกสิกรรมธรรมชาติกับปุ๋ยเคมีก็พิสูจน์ตนมาพอมีเค้าว่าจะกู้ชาติหรือเพื่อมนุษยชาติ แต่ก่อนเราใช้คำว่า 3 อาชีพกู้ชาติ เขาก็บอกว่ามันแรงไปคำว่ากู้ชาติเหมือนการจะไปชุมนุม เราก็เลยเปลี่ยนเป็น 3 อาชีพเพื่อมนุษยชาติ ที่จริงคำว่ากู้ชาติมันชัดเจนนะ เพราะอะไร? ก็เพราะว่าชาติจะล่มจมอยู่แล้วนี่ไง จึงต้องควรมาช่วยกันกอบกู้ แต่เราก็ไม่เป็นไรใช้คำว่าเพื่อมนุษยชาติก็ได้

 

ขยะวิทยา ตอนแรกเรียกขยะเอ๋ย แล้วขยะจะมากู้ชาติได้อย่างไร?คนก็งงๆ อาตมาก็มาตั้งเป็นขยะวิทยาหากตั้งมหาวิทยาลัยก็จะตั้งคณะขยะวิทยา ขยะไม่ได้หมายถึงแค่เศษกระดาษหรือเศษอะไรที่ไ่ม่ค่อยมีคุณค่า แต่หมายถึงของที่เกินใช้ด้วย คนรวยๆนี่มีของเกินใช้เยอะเลย เราตั้งสถาบันขยะวิทยานี่มีคนที่รู้สึกว่าบ้านเขารกแล้ว ก็ให้เราไปรับของมา หลายอย่างของเขาเป็นขยะแต่เราเอามาดูยังไม่ได้แกะกล่องแกะห่อก็ยังมีเยอะเลย เป็นของเฟ้อเกินของคนมีเงิน นี่คือขยะสูญเปล่าของคนที่ทำลาย เพราะเอาไปกักตุนไว้ คนเขาไม่มีใช้ คนอื่นเขาจำเป็นแต่ไม่มีใช้ ขยะเหล่านี้เรามาทำให้เกิดการสะพัด คนที่ฟังอาตมาถ้ามีของเกินก็โทรไปบอกที่สขจ.เลย

 

ตอนนี้เรามีสขจ.ที่สันติฯ ที่ปฐมฯ และจะทำที่บ้านราชฯด้วย 

 

ขยะที่เป็นของใหม่ที่เกินจำเป็น ก็เป็นขยะ เราก็เอาของเหล่านี้มาใช้ซ้ำ ยังไม่ถึงขั้นซ่อมแซม เป็นขั้นที่เอามาใช้ได้เลย ระดับ Reduce Reuse อาตมายังรอเลยว่าจะมีรถเหลือใช้มาให้สขจ.ไหม? ก็พอมี แต่ไม่มีขั้นดีๆมา แต่ก็ต้องซ่อมแซมอยู่ ที่เราต้องการมากคือแบงค์มือสอง เรารับเละเลย ใบเก่าๆก็ไม่ว่า

 

จาก ระดับ Reduce Reuse ก็เอามาซ่อม Repair จากนั้นก็ของที่ซ่อมไม่ไหวก็ต้องเป็น Recycle เอาไปทำใหม่ หมุนเวียนกลับมาใช้อีก เปลี่ยนแปลงมากว่าซ่อม ถึงขั้นแปรตัวเปลี่ยนรูป มีโรงงานเอามาหลอมเป็นเหล็ก เป็นกระดาษ และอื่นๆเลย อย่างนี้ต้องอาศัยความรู้ของวิทยาศาสตร์วิศวกรรม อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยคณะนี้ต้องเรียนทั้ง พาณิชย์ บริหาร วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ก็สำคัญ เพราะฉะนั้นจบขยะวิทยามาก็จำทำได้หลายอย่าง และขยะเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีวันหมดไปจากโลก อาหารการกินก็เป็นเศษเหลือก็มี เป็นขยะสด พวกนี้ก็เอามาทำประโยชน์ได้ มาหมักได้

 

ส.ฟ้าไทว่า มีคนหนึ่งอยู่อเมริกา เขาไปหาขยะไปเลี้ยงคนขาดแคลนได้เลยครับ

 

พ่อครูว่า...จะเกิดการหมุนเวียน สะพัด กระจายผลประโยชน์ รายได้ ไปให้ทั่วถึง ต้องจัดสรร ใครเข้าใจได้ก็จะทำการหมุนเวียน จนเกิดส่วนเสียน้อยที่สุดในส่ิงที่จะทิ้งเลยคือ Reject มันใช้ไม่ได้จริงๆ หรือเป็นพิษก็ต้องหาวิธีทิ้งเช่น กัมมันตภาพรังสี เขาเอาพลังงานไปใช้แล้วมีกากเศษที่ลำบากไม่รู้วิธีจัดการให้สูญสลาย เป็นพิษมาก ก็ยังจัดการทำลายไม่ได้เลย เป็นธรรมดา อันหนึ่งได้คุณค่าสูงอีกอันก็เป็นพิษภัยแรง หากไม่ร้ายขนาดนั้นเราก็หมุนเวียนเอามาใช้ได้ ถ้ามีความรู้พอก็เอามาใช้ได้ต่อไป หรือการแพทย์ Homeopathy ก็เอาพิษมารักษาได้ เป็นต้น

 

สรุปแล้วเรื่องขยะจะกอบกู้มนุษยชาติได้จริงๆ เพราะเป็นเครื่องอาศัย เป็นสิ่งเฟ้อเกิน เป็นสิ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์แท้ๆ สามอย่างที่ว่า ชาวอโศกทำให้สมบูรณ์ในสามอย่างนี้ เราไม่เก่งอาวุธ อาวุธอโศกอย่างสร้างเลย คำว่าอาวุธนี้เอาไปตกแต่งหรือไง อาวุธนี่เจตนารมย์มันสร้างมาเพื่อฆ่าคน ที่เอาไปฆ่าสัตว์เป็นเรื่องรอง ที่ว่าอาวุธขายแพงๆคือฆ่าคน ลูกปืนเอาไว้ฆ่าคนเป็นหลัก คนที่คิดอาวุธมาฆ่าคนเป็นคนบาปมหาศาล ใครทำเป็นต้นตอคิด นั้นบาปป่านนี้ยังไม่ขึ้นจากนรก

 

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่าค้าขายอาวุธ ข้อ 1ในมิจฉาวณิชชา ท่านไม่ห้ามว่าไม่ให้สร้าง แต่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธกว่า 95 เปอร์เซ็นต์แต่ก็ให้มีอาวุธ อาตมาทำงานมาถ้าไทยเราเป็นเมืองบุญนิยม บุญคือการชำระกิเลสไม่ใช่กุศลนะ จะเป็นประเทศที่มีบุญ คือตัดกิเลสตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ถ้าทำได้จิตจะล้างกิเลส และอยู่กับสังคม จะรู้ทุกอย่างในสังคม ตั้งแต่อาชีพ กัมมันติ วาจา คิด จะรู้ว่าสังคมทำอย่างไร เราก็จะร่วมกับสังคมได้ รู้ว่าอะไรเป็นดีมานต์ซัพพลาย อะไรเป็นของควรช่วยสร้างอะไรควรระงับ และไม่เห็นแก่ตัวด้วยแต่มีความรู้ขยันมีน้ำใจมีเมตตาก็ทำส่ิงควร ช่วยคนอื่น ยิ่งเราพึ่งตนรอดมีส่วนเกินให้คนอื่นก็ไม่เดือดร้อน มีความเป็นมิตรตลอดไป

 

ถ้าประเทศไทยทำได้ การค้าอย่างที่ในหลวงตรัส การค้าของไทยจะทำแบบ Our loss in Our gain คือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราขาดทุนแต่เราอยู่รอด เราทำแบบต่ำกว่าราคาตลาด ไม่ใช่ว่าเอาวัตถุดิบของเราออกไปจนหมดอย่างนั้นโง่อยู่ไม่ได้แต่เราทำขาดทุนแก่สังคมได้

 

เราค้าขายกับต่างประเทศเราขาดทุนให้ต่างประเทศ เราไม่ไปเอาเปรียบ เราจะได้มิตรจากต่างประเทศ แล้วไทยก็ไม่ต้องมีกองทหารไม่มีอาวุธ ขออภัยไม่ได้คิดจะมาล้มล้างกองทหาร เป็นเรื่องไกล แต่เป็นได้ อาตมายังคิดเลยว่าไทยจะเป็นชมพูทวีป อนาคต ศาสนาพุทธจะรุ่งเรือง และคนเดี๋ยวนี้หาทางออก พระพุทธเจ้ามีสูตรสำเร็จที่ไม่มีสูตรอื่นที่เป็นสูตรของความเป็นมนุษย์และสังคมที่ดีกว่าสูตรนี้อีกแล้ว

 

คือทุกอย่างที่เดือดร้อนก็คือทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านจัดการได้เกลี้ยง ศาสนาพุทธได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำได้ และยุคนี้มันสุดทางแล้ว แต่ละที่หาทฤษฎีวิเศษที่จะไปจัดการกับสังคม แต่อยู่ที่นี่คือของพระพุทธเจ้าประกาศไว้ ณ โคตรบูรณ์ เป็น The Great word ไม่ใช่ Big word ที่เป็นคำโกหกนะ แต่ในหลวงตรัสเป็นคำที่ย่ิงใหญ่ของมนุษย์โลก

 

เราภูมิใจที่เราอยู่แบบคนจนไม่ต้องกอบโกยสะสม ต้องทำตัวเสียสละสามารถขาดทุนให้สังคมได้แม้จะมีส่วนเหลือเกินให้สังคมมาก ก็อย่าไปลงใหลสะสม เพราะเสียเศษรฐกิจ คุณจะสุจริตอย่างไรแต่สะสมก็เสียเศรษฐกิจ เราควรฉลาดในการสะพัด อย่าไปให้คนที่มีกิเลสมาก เช่นติดเหล้าก็เอาเงินให้คนติดเหล้าก็แย่สิ เรารู้จักสะพัดทำทานอย่างมีปัญญาให้อย่างมีปัญญา สังคมก็เฉลียวฉลาด เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าอาตมาไม่ได้ตราเอง แต่ได้มากจากศึกษาจากพระพุทธเจ้า

 

อาตมาไม่ได้ลงลึกถึงขยะทางจิตวิญญาณที่เป็นขยะร้ายแรงมากเป็นตัวร้ายของสังคม ขยะคือกิเลส คืออวิชชา เป็นสุดยอดความรู้ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ค้นพบ เพราะมโนบุพพัง คมาธัมมา จิตเป็นตัวต้นของทุกอย่าง มโนเสฏฐา คือจะพาเจริญ มโนมยา ก็แปลว่าความเจริญประเสริฐทั้งนั้น จะเจริญได้ก็ต้องมีมโนเป็นตัวตั้ง ต้องเรียนให้ถึงจิตแล้วกำจัดขยะจิตออก

 

เราเรียนรู้กำจัดขยะคืออกุศลจิตให้ถูกตัว ง่ายๆคืออบายมุข

 

ต่อไปจะอ่านที่เขียนบนเครื่องบินก่อนมาถึงที่นี่

 

เราลดอบายมุขมาได้ โดยใจเราไม่มี ตั้งแต่อาการ อุปายาสะ โทมนัส ทุกข์ ปริเทว โศก ขาดตอนได้สนิท นี่เป็นกิเลสขั้นอบายมุข เราละมาได้อ่านรู้อาการจิตที่เคยเป็นได้ ตัวเศร้าโศกนี่หยาบสุดแล้วออกมาหมดตั้งแต่หน้าตา คนหน้าเศร้านั้นสุดทุกข์แล้วมันอยู่นานด้วย แสดงอาการออกมาภายนอก แล้วไม่ขาดตอนมีปริเทวะ พวกเรากลุ่มอโศกไม่โศกเศร้า อาการภายนอกดีแต่อาการภายในต้องศึกษาให้ดีทำให้ออกไปให้ได้

 

อบายมุขคือความเสื่อมหยาบต่ำข้างต้น ทำให้พ้นอย่างไม่ใช่กดข่มหรือทำลืมไป พวกกดข่มคือลัทธิครองโลก และสองทำลืมๆไป มีสติรู้แล้วทิ้งวางไม่เกี่ยว อาศัยแต่ความสบาย อะไรไม่ดีไม่สบายเอาออก จะเสพสุขเบียดเบียนเขาก็ไม่พิจารณาก่อน แล้วเขาก็ว่าเป็นลัทธิสติ ว่ารู้ตัว อะไรไม่ดีเลิก เอาแต่สิ่งดี แต่ดีนี่คือบำเรอใจแล้ว เช่นได้องค์ประกอบอลังการได้ขนาดนี้ก็ว่าดี ไม่ได้ขนาดนี้ไม่ดีก็ไปแย่งชิงดึงเอาให้ได้

 

ของพุทธไม่กดข่ม และไม่ลืมทิ้งแบบไม่ใส่ใจ แต่ของพุทธต้องใส่ใจ มีการสัมผัสโดยธรรมชาติตามโอกาส ตามขณะ อย่างพวกไฮโซก็สัมผัสเพชรระดับพันล้านหมื่นล้าน พวกเราจะได้สัมผัสกับเขาก็ไม่ใช่ แต่มีตามธรรมชาติ และต้องปฏิบัติอานาปานสติ และกายคตาสติ ตลอด ซึ่งไม่ได้ตัดขาดจากกัน แต่เขาสอนให้ทำแยกกัน ทั้งที่อานาปานสติคือจิต กายคตาสติคือกาย ต้องไม่ขาดกัน ต้องมีสติปัฏฐานเป็นเนื้อหาแห่งการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทุกสัมผัส เจริญอธิปัญญา เกิดอธิจิต สั่งสมเป็นส่วนแห่งบุญ คือปุญญาภาคิยา คือจิตเราชำระส่วนแห่งกิเลสได้ คือได้ชำระกิเลสมีมรรคผลอุบัติไปตามลำดับ ด้วยฌาน คือการเพ่งเผากิเลส ตกผลึกเกิดสมาธิ เกิดวิชชา เกิดวิมุติไปตามลำดับของสัมมาสมาธิ  ตลอดเวลาที่ปฏิบัติมรรค 7 องค์ ไม่ต้องไปปฏิบัตินอกมรรค 7 องค์ หากปฏิบัติวิธีอื่นไม่ได้เรียนรู้ขณะมีมรรค 7 องค์ก็นอกพุทธทั้งสิ้น คือปฏิบัติขณะคิด พูด ทำ อาชีพอยู่นั้นเอง ผู้ใดปฏิบัตินอกมรรค 7 องค์ก็ไม่ได้บุญ นอกขอบเขตบุญนอกขอบเขตพุทธ

 

ดูความจริงในประเทศไทย ผู้ปฏิบัติแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธมีเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะไม่เป็นบุญตามขอบเขตของพุทธเลยไปแล้ว ก็คือนอกมรรค 8 นอกโพธิปักขิยธรรม ไ่ม่เป็นโลกุตระเลย

 

ส.ฟ้าไทว่า..มีญาติธรรมเรา ว่าปฏิบัติตามแนวที่พ่อครูสอนแต่ว่าพอไปฟังพระที่อื่นพูดไตรปิฎกแล้วลีลาต่างจากพ่อครู หากว่าจับแกะเป็นอรหันต์ ว่าใครไม่เป็นอรหันต์ หากเอาพ่อครูไปจับแกะกับพระเย็นๆ คนเขาก็จะจับแกะพ่อครูแน่เลยคือ แม้เป็นญาติธรรมแต่ก็ไปนิยมพระที่พูดเย็นๆ แต่พูดแบบที่พ่อครูพูดนี่เขาไม่นิยม

 

พ่อครูว่า...คนชอบการบริหารประเทศแบบพล.อ.เปรม เขาชอบมานาน และเดี๋ยวนี้ก็ยึดเช่นนี้ว่าพูดน้อยๆทำมากๆ จริงก็มีคนชอบแต่ไม่สมเหมาะกับกาละ แต่คนจะมาบริหารอย่างพล.อ.ประยุทธ์นั้นคนละลีลากัน แต่คนไม่ค่อยชอบแต่คนก็มีปัญญารู้แต่ก็ไม่ค่อยชอบแต่อาตมาถึงขั้นชอบเพราะพล.อ.ประยุทธ์ทำได้เหมาะกับกาละ

 

พฤติกรรมของพล.อ.ประยุทธ์ อาตมามั่นใจว่าจริงใจ อาตมาสนับสนุนให้ทำไปเลย ต้องทำค่ายกลการเมืองปชต.ให้แข็งแรง โดยเฉพาะเลือกตั้งให้สุจริตหากทำไม่ได้อย่าทำเลย ให้นักการเมืองชุดนี้ตายไปก่อนค่อยทำ เชื้อโรคนี้ตัวร้ายเลย เมืองไทยนี่แย่ ปชต. 80กว่าปีเลวร้ายมาก มาถึงทุกวันนี้ประเทศไหนก็โกงไม่ได้เท่า โกงทีละห้าแสนล้านมีอย่างที่ไหน?

 

ส.ฟ้าไทว่า..นักวิชาการมักพูดถึงแค่เผด็จการแต่ไม่พูดเรื่องคอรัปชั่นหรือเผด็จการรัฐสภาเลย

 

พ่อครูว่า...บ้านเมืองฉิบหายคือเพราะเผด็จการรัฐสภา นักวิชาการก็นักวิชาโกงไปด้วยกันแบ่งกันกิน ยุคนี้เป็นยุคที่ว่าเมืองไทยจะดีขึ้น อาตมาขอพยากรณ์นะ ให้ทำไปอย่างจริงใจ ขอให้อดทน ขออีกอย่างคือ ซื่อสัตย์ จริงใจ ต้องอดทนจริงๆ อาตมานี่คนไม่รู้ว่าต้องอดทนขนาดไหน ขอให้พล.อ.ประยุทธ์มีใจอดทน อย่างอาตมาทนมา 40 กว่าปีแล้ว

 

ถ้าปฏิบัติมรรค 7 องค์จะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาวิมุติที่ต่างจากมิจฉาสมาธิ มิจฉาวิมุตติ เพราะแบบพระพุทธเจ้าทำได้แล้วไม่กลับกำเริบไม่เปลี่ยนแปลง ทำได้สุดที่ก็จบกิจ ทำตั้งแต่อบายให้หมด ต่อจากอบายใหญ่ก็มาอบายที่เหลือในโลกกาม ที่เกิดจากเหตุสัมผัส 6 และโลกกามที่เกิดจากลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็บ้าไปเป็นอัตตา การสะสมโลกธรรมกามคุณก็คืออัตตา ใครลดละปล่อยวางจริงก็จะอ่านใจเราได้ตามอุเทสที่สัตบุรุษจะสาธยายสู่ฟัง ก็จะรู้เรื่องอาการ ลิงค นิมิต เราจะเห็นว่าเราปล่อยเปลื้องอกุศลได้จริง เป็นมุลจิตตุกัมมยตาญาณ ไม่กดข่มแต่มีพลังปัญญาทำให้กิเลสไม่อยู่ใกล้ กลัวเลย จะมีพลังแรงเผากิเลสได้เป็นไฟปัญญา หรือไฟฌาน จะเผากิเลสเลย คือฌาปนกิจ คือมีกิจการเผา สลายไปเลย ส่วนการไปละลายคือปัญญาจะมีญาณ โสฬสญาณหรือวิปัสสนาญาณ 9 หรืือญาณ 86 ก็จะเกิดการเผาหรือสลาย ทำให้กิเลสยุ่ยปล่อย มุลจิตตุกัมมยตาญาณ จากองค์ประกอบ สลายออกจากองค์ประกอบของกาย

 

จากองค์ประกอบของส่ิงที่สัมผัสจริง เป็นการยืนยันสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่คือเกณฑ์ตัดสินว่าเป็นอรหันต์ ว่าอาสวะสิ้นในขณะที่มีกาย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เมื่อเราได้ผลบรรลุส่วนหยาบภายนอกแล้ว จึงเป็นองค์ประกอบหรือ กาย ขั้นต่อไป เป็นอบายของโลกกาม และเป็นกามเป็นโลกธรรม จากกามภพก็เหลือองค์ประกอบภายในขั้นต่อมา ก็ล้างกิเลสในกามภพ จนหมดกามภพก็เหลือรูปภาพ ซึ่งเราก็สัมผัสกับภายนอกตามปกติไม่ต้องหนีไป

 

หมดกิเลสดับรูปภพ ไปได้อีก จึงเหลือกิเลสระดับ อรูปภพ ซึ่งความเป็นปกติชีวิต ก็คงมี องค์ประกอบ “กาย” ของชีวิต สัมผัสสัมพันธ์ อยู่เหมือนสามัญ คนทั่วไป แต่จิตใจของเรา ปลอดหรือว่างจากกิเลส อุบัติในใจ ได้อย่างแข็งแรง ตั้งมั่น(สมาธิ) ถึงขั้น สมาหิตะ แล้วแน่นอนยั่งยืน(นิจจัง_ธุวัง) ตลอดไป (สัสตัง)

 

คุณธรรมแบบพุทธจึงมีลักษณะพิเศษ สัมบูรณ์อย่างนี้ เพราะปฏิบัติ ด้วยโพชฌงค์ 7 มรรค 8 โดยมีสติปัฏฐาน เป็นกรรมฐานปฏิบัติอยู่ในทุกอิริยาบถ ครบกายคตาสติ และอานาปานสติ จึงทำให้ความนึกคิด(สังกัปปะ) คำพูด(วาจา) การกระทำทุกอย่าง(กัมมันตะ) และอาชีพ(อาชีวะ) เหมาะควรทุกประการ เป็นกัมมัญญุตา อยู่ตลอดเวลา เพราะบริบูรณ์ด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อย่างแท้จริง

 

เพราะปฏิบัติแบบพุทธ สติสัมปชัญญะ จึงเจริญเป็น สัมปชานะ สัมปาเทติ สัมปัชชติ สัมปัชชลติ สัมปัตตะ สัมปันนะ ที่เป็นคนตื่นรู้ เบิกบาน พร้อม กาย ใจ เป็นพุทธะ

 

 

ใครปฏิบัติได้ไปนิพพานได้ เมืองไทยยังดีที่มีของดี อย่าให้เหมือนลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอย หัวล้านได้หวี ตาบอดได้แว่น มือด้วนได้แหวน  เราต้องเป็นเริ่มจากระดับต้นให้ได้ คือโพธิปักขิยธรรม 37

 

เร่ิมแต่กายในกาย กายขาดใจไม่ได้ กายต้องมีองค์ประกอบสัมผัสทั้งนอกและใน รู้้ข้างนอกแล้วใจเราอยู่เหนือได้ ไม่ต้องหลับตา เหลือรูปภพ อรูปภพภายนอกก็ล้างต่อไป ไม่ต้องหนีไปไหน ของพระพุทธเจ้าต้องมีองค์ประกอบครบ อัชฌัตตังอรูปสัญญี อ่านทั้งนอกถึงในถึงอรูปเลย ของตนเองนะคือเอโก แล้วมีข้างนอกด้วย ทำจากนอกไปหาใน แต่ทุกวันนี้เรียนแต่ใน อย่าส่งจิตออกนอกกาย สวนทางกับคำสอนพระพุทธเจ้าที่ให้เรียนจากนอกเข้าหาใน แต่ทุกวันนี้สอนในเลยเร่ิมในเลย ผิดจากพระพุทธเจ้าสอนแล้ว

 

คนที่ต้องยังอยู่ทางโลก ฝากศิษย์เก่าทั้งหลาย แต่ผมก็ว่าผมมี ปุตโตคีเว(บุตรรัดคอ) ธนังปาเท(ทรัพย์สมบัติรัดขา) ภริยาหัตเถ(ภรรยารัดมือ) ก็ว่ากันไป พยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน เลี้ยงดูกันไป คนที่โสดนั้นดีที่สุด แต่แต่งงานแล้วไม่มีบุตรนั้นก็ไม่ถือเป็นบุญแต่เป็นกุศล

 

ต้องพยายามเรียนรู้โลกุตรธรรมข้อแรกคือกายในกาย

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แม้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ถูกรู้โดยเราก็คือรูป เรารู้ด้วยญาณ ด้วยนามธรรม สัมผัสกายแล้วอ่านเข้าหาใจ เร่ิมต้นวิเคราะห์วิจัย กายในกาย ก็คือเข้าหานามธรรมแล้ว  ที่ตรงไหนที่เรารู้สึกได้  ในคูหาสยังนี่แหละ ในร่างที่ประกอบกันครบอาการ 32 นี่แหละ สัมผัสแล้วอ่านเข้าถึงเวทนา ซึ่งมีชอบหรือชัง ส่วนเฉยๆนั้นอ่านรู้ยาก มันเป็นตระกูลไหน? พิจารณาถึงจิตในจิต เป็นสราค สโทส สโมห แล้วรู้ว่าจิตคุณทรงไว้ซึ่งอาการไหนก็คือธรรมในธรรม

 

เร่ิมตั้งแต่สักกายะคือองค์ประชุมตัวการที่เป็นตัวตนใหญ่ของเราตัวที่คุณเรียนรู้ตัวตัวแรกเลย คือสักกายะ ในกายคตนั้นคือจิตด้วย และต้องมีอานาปานสติด้วย ไม่แยกกัน  อย่าขาดจากลมหายใจนะ แม้ขณะนี้ ต้องรู้กองลมนี้อยู่ไม่ให้ขาดจากกายนอกเลย แม้จะเหลือแต่รู้ลมหายใจก็ตามที

 

เมื่อรู้กิเลส ล้างกิเลส ทำให้กิเลสดับได้จริง ตั้งแต่อบายมุข คุณไปโดยเฉพาะพวกศิษย์เก่าของอโศกนี่แหละตอนนี้เป็นเจ้าสัวกันเรียกเมื่อไหร่ให้มา ก็ว่าติด ติดอะไรติดของอร่อยติดงาน ติดอบาย ก็ให้ตัดใจเสียบ้างมาหาบ้างไม่มาก็เรียนรู้ลดละอบายมุข โลกธรรมด้วย ยศ ลาภก็ลดละ โดยเฉพาะการพนันก็ให้เลิกให้ได้ ถ้าชาวอโศกเลิกอบายมุขได้หมด อาตมาก็พอใจแล้ว กามจัดๆก็อบายมุข โลภจัดๆก็อบายมุข ขี้โกงมากก็อบายมุข ต้องลดลง เอาเท่านี้ให้ได้ก่อน ส่วนจะดีกว่านั้นก็สาธุ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:01:13 )

571022

รายละเอียด

571022_เอื้อไออุ่นศรีโคตรบูรณ์อโศก โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

พ่อครูว่า...ตอนนี้อาตมานั่งอยู่ในศาลาชุมชนศรีโคตรบูรณ์อโศก เป็นรายการเอื้อไออุ่น (พ่อครูเทศน์เป็นภาษาอีสาน) มาร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา ใครจะมาเปิดใจ ถามไถ่ก็มา

 

ที่นี่เป็นชุมชนชาวอโศกมาตั้งแต่พศ.2540 มาถึงปีนี้ก็เป็นเวลา 17 ปี มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ มีด้านหนึ่งของชุมชนเป็นอ่างเก็บน้ำ ยาวตั้ง 6 กม. กว้างไม่ถึงกม. เป็นบึงกักเก็บน้ำเป็นฝายน้ำล้น น้ำที่นี่มีตลอดปีตลอดชาติ ก็เลยโชคดี อาณาบริเวณสระน้ำที่กว้างตั้ง 6 กม.นี่ไม่ต้องกลัวเน่า สระกว้างถูกแดดเปรี้ยงๆ พอตกเย็น น้ำจะร้อนจากผิวหน้าไปประมาณ 1​ศอก ตกดึกถึงเย็น มีปลาตัวใหญ่อยู่ในนี้ มีปลาที่เขาสงวนเช่นปลาบึก มีปลาจีนตัวใหญ่ ใหญ่จนคนไปพายเรือไม่กล้าพายเพราะปลาใหญ่มาหนุนเรือ เขาบอกว่ามีเจ้าที่เจ้าน้ำ บางทีเขาไม่รู้ความจริง ปลามันตัวใหญ่จริงๆ บางตัวหนัก 200 กก. เป็นปลาบึก ก็เป็นปลาอนุรักษ์ ทางการเขาไม่ให้จับ

 

สระน้ำนี้เกิดแต่ปี 2520​ทางการจัดทำฝายน้ำล้น ก็มีน้ำมาตั้งแต่บัดนั้น ก็มีน้ำมาทำไร่ทำสวนอุดมสมบูรณ์ที่นี่เลี้ยงตนเองได้ ทำเห็ดไร้สารพิษขาย ที่นี่ไม่ใช่มีแต่เห็ดที่เราสร้างเองนะ เห็ดแท้ๆที่ขึ้นในป่าของที่นี่เอง คนที่นี่พอหน้าเห็ดออกก็ไม่กินเห็ดของตนเองสร้าง แต่กินเห็ดในธรรมชาติดีกว่า มันจะมีเห็ดระโงก เราสร้างเห็ดระโงกยังไม่ได้ เห็ดปลวกหรือเห็ดโคนก็ยังสร้างไม่ได้ เห็ดเผาะยังไม่มี มีเห็ดหน้าแดง มันมีอยู่มีกินอุดมสมบูรณ์อยู่กับธรรมชาติ

 

ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่บอกว่า เอาไว้ทำไมป่านี่มันไม่มีประโยชน์ อาตมาก็ว่าเจ้าหน้าที่พูดอย่างนี้ทำไม เขาอนุรักษ์ป่ากันนะ ที่นี่ก็เลยบอกว่าเราอบรมคน ให้รู้ว่าป่าเป็นอย่างไร มีเชื้อราเราเอามาทำประโยชน์ นอกนั้นก็มีบ้านเรือน มีโรงปุ๋ย มีโรงทำน้ำดื่ม เราทำเลี้ยงชุมชนได้

 

หลักการของชุมชนชาวอโศกคือ

1.ไม่เป็นหนี้

2.พึ่งตนเองรอด จะสร้างสรรผลิตสิ่งที่กินได้หรืออุปโภคบริโภค ส่ิงมอมเมาส่ิงเฟ้อสิ่งเกินเราไม่ทำ ส่ิงประเทืองสิ่งฉาบฉวยเราไม่ทำ เราทำน้ำขาย เห็ดขาย ข้าวทำกินเอง นอกนั้นก็ปลูกผักพืชสาธิตให้ดูว่าเราทำแบบไร้สารพิษได้ งอกงามได้ ทำไมจะไม่งอกงาม ก็เรามีปุ๋ยงอกงามอยู่แล้ว มีสัมมาอาชีพเลี้ยงชีพรอด ยังไงเราก็มีกิน ไม่มีเงินสักบาทข้าวมีกินดินมีเดินพี่น้องมีเสร็จเห็ดมีเก็บป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างสร้างเอาเอง

3.ทำให้เหลือกินเหลือใช้

4.แจกจ่าย หรือขายขาดทุน เราทำแบบในหลวงขาดทุนคือกำไร ซึ่งคนเขาคิดตื้นๆว่าขายขาดทุนจะหมดตัวอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ เพราะเราขายต่ำกว่าราคาตลาด เราลดค่าแรงงานของเรา เพราะการคิดต้นทุนเขาคิดค่าแรงงานตามอัตราขั้นต่ำ เราก็คิดค่าแรงเหมือนสังคม พอหักค่าแรงงานออก ค่าแรงงาน สามร้อยเราเอาแค่สองร้อยหรือร้อยเดียว แล้วเราทำลหลายคนก็ลดได้เยอะ แล้วเรากินใช้แต่ส่ิงจำเป็นไม่ฟุ้งเฟ้อก็เลยมีเหลือ

 

เราไม่ได้ขูดรีดหากำไรจากภายนอก แม้ขาดทุนให้สังคมก็ยังมีส่วนเกินที่เหลืออีก เพราะมีค่าแรงที่เราเอามาหมุนเวียนใช้ในสังคมอยู่อีก เราไม่มุ่งหมายเอากำไรขูดรีด อย่างทุนนิยม ที่เขาได้ฉายาว่า ทุนนิยมสามานย์ เกิดจากกิเลสขี้โลภ และคอรัปชั่น และคสช.ก็จะปราบคอรัปชั่น ขอพูดเลยว่า ไม่สำเร็จ ถ้าไม่มีการศึกษาที่ลดกิเลส ไม่มีทฤษฎีหลักการของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแล้วลดกิเลสได้ ก็ไม่สำเร็จ แม้จะมีกฎหมายวิธีการอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

 

เพราะคนมีฉลาดขี้โกง หาช่องคอรัปชั่นได้ทุกทีไป จะได้ระยะหนึ่งช่วงต้นที่สู้พอได้แต่ต่อไปความฉลาดของคนกับกิเลสมันร่วมมือกัน จนเราปราบไม่สำเร็จ ตราบใดที่ไม่ศึกษาลดกิเลสจริงไม่สำเร็จ เชื่อเถอะสูตรที่ลดกิเลสดีที่สุด ของพระพุทธเจ้าดีที่สุด ในฐานะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธส่วนใหญ่ก็ต้องพูดอันนี้

 

ขออภัยที่ต้องอ้างอิงถึงชาวอโศก เพราะเราทำมาจนมั่นใจ เราพิสูจน์ตนเองยืนยันว่าพวกเรามาลดละมักน้อยสันโดษยืนยันว่ามาขาดทุนให้แก่สังคมได้จริง หรือที่ในหลวงว่า แบบคนจน ทำให้เราเข้าใจพระปัญญาธิคุณของในหลวง ว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาเป็นอาริยบุคคล มาบริหารบ้านเมือง แต่คนที่รับสนองพระราชดำรัสเอาออกมาทำไม่ได้ มาทำให้เกิดสังคมแบบคนจนไม่ได้ มาทำให้คนไทยมาขาดทุนให้แก่สังคมโลกไม่ได้

 

ถ้าเมืองไทยทำสำเร็จตามในหลวงว่า “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่..ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก

เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหล่านั้นที่่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า       จ ะ มี แ ต่ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า“แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

 

พ่อครูว่า...ที่เอาออกมาให้ดูคืออยากให้คนมาศึกษาค้นคว้า ว่าไม่ใช่เรื่องพูดลอยๆ ทำไม่ได้ พูดเอาโก้ แต่ทำได้อย่างยืนนาน ยั่งยืนด้วย อย่างชาวอโศกเราทำได้เป็นรูปธรรม แต่ละคนลดละมาได้ อยู่ในชุมชน แต่ละคนก็พยายามปฏิบัติลดละ เป็นสาธารณโภคี อโศกเราทำได้ คือแต่ละชุมชน หรือโศกทั้งหมด เป็นสาธารณโภคีทั้งหมด อยู่อย่างเครือแห อย่างที่ดินก็เป็นของส่วนกลาง แค่ละคนมีสิทธิ์มาอยู่ได้จนตาย ช่วยกันทำมาหากิน  รายได้เข้าส่วนกลางไม่เอาเข้าส่วนตัว ถ้าจะทำส่วนตัวก็ทำที่อื่นแต่ในนี้คนเสียภาษี ร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้คอมมิวนิสต์เขาจะบังคับก็ทำให้คนเสียภาษีเต็มร้อยไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี่ทำได้ เป็นคอมมูนเหนือคอมมูน เหนือกว่าคอมมิวนิสต์หรือคิปบุช แล้วคนที่มาที่นี่เสียภาษีเต็มอย่างยินดีด้วย ถ้าไม่เต็มใจไม่ยินดีก็ไปทำข้างนอก แต่ถ้ามาอยู่ที่นี่ก็ทำเสียภาษีเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นประสิทธิภาพของทฤษฎีพระพุทธเจ้า

 

คนเข้าใจหลักเกณฑ์ของสังคม มาอยู่ที่นี่ก็เป็นคนเช่นนี้ปฏิบัติเช่นนี้ ทุกคนมาช่วยงาน รายได้เอาเข้าส่วนกลางหมด จะว่าเป็นลัทธิใหม่ก็ไม่ใช่ แต่พระพุทธเจ้าทำมาก่อน แต่ยุคพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำในประชาชน เพราะประชาชนเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสมบูรณายาสิทธิราช พระพุทธเจ้าท่านก็ตั้งกรอบธรรมนูญของท่าน มาบวชกับท่าน แล้วถือหลัก ศีลธรรมนูญ​เป็นจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นธรรมนูญ ไปไหนๆท่านก็ประกาศอันนี้ ท่านเป็นรัฐอิสระ ใครมาเข้ารีตหรือใช้ธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะพระเจ้าแผ่นดินแคว้นไหนๆ ใหญ่หรือเล็กก็ตามที แต่พระพุทธเจ้าท่านประกาศที่ไหนใครมาเข้ารีต พระเจ้าแผ่นดินที่ไหนๆก็ยกให้หมด ท่านไม่ได้รบกวนใคร คนเชื่อมั่น เหมือนนักบวชชาวอโศกที่ถือศีลธรรมนูญ

 

ฆราวาสชาวอโศกถือศีลอย่างต่ำคือศีล 5 และสังคมก็ยอมรับว่าไม่เป็นพิษภัย ก็เลยอยู่ได้อย่างอิสระในสังคมนี้ มีแต่ประโยชน์ต่อสังคม เขาเจ้าใจกันแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์มาเอาได้ ไม่ใช่ยุคโบราณ เป็นยุคประชาธิปไตยแล้ว เปิดกว้าง จึงเกิดหมู่กลุ่มสังคมชาวอโศก มีหลักเศรษฐศาสตร์ การเมือง การเมืองเราไม่ฆ่าสัตว์ก็ไม่ฆ่าคนแน่นอน อยู่มา 44 ปีแล้วที่ทำงานมายังไม่เห็นว่าชาวอโศกจะไปฆ่าคน ไม่มีความรุนแรงในศีลข้อที่ 1 จนฆ่า หรือแม้คดีความก็ตาม ก็ยังไม่เกิด ว่าชาวอโศกไปติดคุกเพราะไปทำร้ายคน หรือไปลักขโมยจนต้องติดคุก หรือแม้เมื่อเช้านี้มีข่าว ว่านักบวชพุทธ ไปฆ่าเด็กหญิงอายุ 15 เนื่องจากกรณีชู้สาว ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมลงมาก

 

และชาวอโศกก็ไม่โกหก ใครโกหกจับได้ก็ลงทัณฑ์ หรือจนต้องให้ออกก็มี และส่ิงมอมเมาเราก็ไม่มี แค่มอมเมาในกามคุณจัดจ้าน ทำให้คนเลวร้าย ตกต่ำ ที่นี่เราไม่มี เรียกว่าไร้อบายมุขระดับหยาบต่ำ

 

มาอธิบายแต่ละคำของพระราชดำรัสในหลวง “แบบคนจน”

 

ชาวอโศกจะไม่เป็นพวกที่รำ่รวย แต่ก็ทำใหญ่กว้างได้ตามความเป็นจริง ศาลาเราใหญ่ก็เพราะมีคนมาใช้มาก เรือนรับรองเราทำใหญ่เพราะมีคนมามาก ตามความจำเป็น หรือเราจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เพราะเรามีความเคารพนับถือที่มากมาย แต่เราจะทำพระพุทธรูป เราจะไม่เร่ียรายรบกวนใครนะ เราทำเงียบๆ หากใครเห็นดีก็มาช่วยกันบริจาค แต่เราก็ไม่รับง่ายนะ เรามีกติกาในการรับบริจาค หากไม่อ่านหนังสือครบ 7 เล่ม ไม่มาวัดคุ้นกันถึง 7 ครั้งเราก็ไม่รับ แม้สร้างไม่เสร็จอาตมาตายก่อนก็มีคนมาสร้างต่อเอง

 

เราไม่รวยแต่อุดมสมบูรณ์ เราจะมีไว้พอหมุนเวียนไม่ขาดแคลน แต่ไม่กักตุนมากเกินไป ในหลวงว่าเราจะไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก แต่ทุกวันนี้มีแต่จะข้ามหน้ากัน มีแต่ตนจะใหญ่จะหรูจะมากกว่าคนอื่นให้ได้ แต่เราจะไม่ทำไปแข่งใคร ถ้าเราจะทำเพื่อให้ก้าวหน้ากว่าเดิมของเราเราทำ แต่ถ้าจะทำเพื่อให้ดูดเอามาบานตะโก้ไม่มีจบอย่างนี้แบบทุนนิยมเราไม่ทำ แต่เราบุญนิยมเรามักน้อยไว้ ให้พอดีไม่เบียดเบียนตนไม่รบกวนคนอื่นนี่คือหลักของพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้เขามีแต่ลัทธิโลกีย์ต้องกอบโกยเอาชนะไม่มีมามักร้อยไม่มีความพอ

 

ในหลวงเราไม่อยากเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก....ไม่อยากเป็นประเทศก้าวหน้ามาก เพราะจะมีแต่ถอยหลัง...คือก้าวหน้าอย่างเขานี่จะตีกันแข่งกันฆ่ากันเบ่งทับกันขูดรีดกัน นั่นล่ะสังคมถอยหลังสังคมเดือดร้อน เป็นทุกข์ นี่คือก้าวหน้าแบบถอยหลัง มาทำความเข้าใจให้ดี

 

แล้วประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมก้าวหน้าอย่างมาก แต่ประเทศเราเป็นประเทศกสิกรรม เรามีดิน น้ำ ที่ดีกว่าเขา แต่เขาก้าวหน้ากันด้วยอุตสาหกรรม ร่ำรวย แต่เขาจะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว น่ากลัวกว่าเสือ กว่างูเห่า มันเกิดจากคนขี้โกงขี้โลภ คนเหล่านี้น่ากลัวกว่าเสือกว่างู น่ากลัวกว่าสัตว์ร้ายน่ากลัวกว่าโรคระบาด ลัทธิทุนนิยมสามานย์นี่น่ากลัว

 

แต่ถ้ามาบริหารแบบคนจน แบบไม่ติดตำรา ทุกวันนี้เขาติดตำรา นักวิชาการมีหน้ามีตา แต่พวกกรรมกร เป็นผู้สร้างแท้ๆถูกกดขี่ เป็นคนชั้นต่ำของสังคม เขาเอาคนมีปริญญาไปบริหารประเทศยกย่องแต่คนมีปริญญา รู้ภาษาของโลกมาพูดกันแต่คนทำเป็นแต่พูดไม่เป็นก็สู้เขาไม่ได้ เขาก็เลยเห็นว่าตำราเป็นส่ิงน่าเชิดชู เอานักวิชาการเป็นพ่อทูนหัว ทุกวันนี้ อาตมาพูดความจริงสัจธรรมไม่ได้เกลียดโกรธใคร ไม่ได้เป็นหมาเห็นองุ่นเปรี่้ยว อาตมาไม่มีจิตริสยาเลยแม้แต่น้อย

 

ในหลวงว่า ให้เราทำอย่างสามัคคี มีความเมตตากัน และคนทำวิชาการก็พึ่งแต่ตำราหลักการ แต่หลักการมันทำไม่ได้ เขาว่าจะต้องปราบคอรัปชั่น เอาหลักการมาพูด ใครฟังก็ดูดี สบายหู ว่าต้องปราบคอรัปชั่น แล้วทำอย่างไร ก็ออกกฎเกณฑ์มาบังคับ แต่บังคับได้ก็ชั่วคราว อีกหน่อยก็กันไม่ได้ คนมันฉลาดแกมโกง หนักเข้ามันซื้อหมด คนไปบริหารที่มีหน้าที่เขาซื้อไว้หมด แล้วช่วยกันโกงไปหมด พวกที่ทำงานนี่เป็นนักวิชาการแต่ไม่ได้ล้างกิเลสจากจิต ไม่ได้เรียนการลดกิเลส การศึกษาใดไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่พาลดกิเลสได้เลย ไม่สัมมาทิฏฐิ วิชาการศาสนาพุทธเขาก็พึ่งตำรา แต่เบี้ยวตำรา อ่านตำราไม่ทะลุสัจธรรมของพระพุทธเจ้ายกตัวอย่างคำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้า ยุคพระพุทธเจ้านั้นมีแต่คนนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าออกบวชตอนแรกก็ไปเรียนแบบนั่งหลับตาตามเขา ก็ทำได้เก่งกว่าเขาทั้งหมดเลย แต่ในมหาจัตตารีสกสูตรในพระไตรฯว่าไว้ครบเลย ปฏิบัติมรรค 7 องค์จะเกิดสัมมาสมาธิ เป็นสูตรที่สมบูรณ์ นอกนั้นสูตรอื่นพระพุทธเจ้าก็ประนีประนอมกับลัทธินอกพุทธเพราะสมัยนั้นเขานั่งหลับตากันหนักเลย แต่ยุคนี้มีศาสนาพุทธมานานแล้ว อาตมาไม่ประนีประนอม

 

ปฏิบัติสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าก็ทำแบบลืมตา มีคิด พูด ทำ ทำอาชีพไปตลอด สะสมการลดกิเลสไปตามลำดับ ได้ส่วนแห่งบุญไปตามลำดับ

 

ในหลวงตรัสสัจธรรมอันนี้จากพระปัญญาของท่านเองไม่ใช่ของธรรมดานะ คนที่มีความจริงออกมา จากขันธ์ส่วนอดีตของท่านเองไม่ได้เอามาจากผู้ใด อย่างพระพุทธเจ้าก็เอาของเก่ามา จากขันธ์ส่วนอดีต

 

และในหลวงยังตรัสอีกว่า “...คนที่ทํางานตามวิชาการจะต้องพึ่งตํารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี”  แต่ไม่บอกว่าให้ทําอย่างไร ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา  ปดตําราแลวไมรูจะทําอะไร   

ลงทายก็ตองเปดหนาแรกใหม่  เปดหนาแรกก็..เริ่มตนใหม ถอยหลังเขาคลอง  แตถ้าเราใช้ตํารา“แบบคนจน” ใช้ความอะลุมอลวยกันตํารานั้นไมจบ..  เราจะกาวหนา “เรื่อยๆ” (พระราชดํารัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534)

 

ในหลวงไม่ได้ตรัสเล่นนะ ท่านพูดกับรัฐมนตรีเกาหลี และพูดกับสาธารณะเลยนะ

 

_ที่ศรีโคตรบูรณ์ มีร้านค้าขายสินค้าราคาถูก เป็น 20 สาขาเลย แล้วขายดี คนก็นิยม พอขายได้มากก็รวย แล้วจะขยายสาขาได้อีกไหม?

ตอบ...ขยายได้แต่อย่ารวยมากนักไม่รู้จบ คนข้างนอกเขาลงทุนกู้ยืมแล้วทำไม่ได้ก็ฆ่าตัวตายไปมากแล้ว เราถ้าไม่ปฏิบัติลดกิเลสให้ได้ก็จะมักหลายมักมากไปข้างหน้า ก็ไม่เข้าหาชุมชนหรอก จะบานปลายมีลูกก็สอนให้รวยไปกว่าเก่า ไปข้างหน้าเรื่อยๆ เรื่องสันโดษรู้จักพอนี่สำคัญ เราเอาแค่นี้ก็พอน่า ทำมากมันเมื่อย แล้วเสี่ยงด้วย อย่าคิดเอาจากคนอื่นมาก เขาก็แย่งกันนะ จิตคนหากไม่รู้จักพอ คนเคยรวยมีเงินสิบล้าน ก็มากมายแล้ว ห้าล้านก็มากมายแล้ว แต่เขาว่ากันเป็นห้าแสนล้าน ห้าหมื่นล้าน เราก็ไม่ต้องไปเอาตามเขา แบบนั้นแบบก้าวหน้าอย่างในหลวงว่า ถ้าไทยเราไม่มีเศรษฐีติดอันดับโลก ไม่ติดทำเนียบ หนึ่งในสิบของโลก เขาก็อวดอ้างแต่พวกนี้ทำลายเศรฐกิจโลก เลิกเลย มาแข่งกันจน ใครหมดตัวหมดตนหมดเนื้อหมดตัวก่อนคนนั้นชนะ เป็นลูกพระพุทธเจ้า ลูกในหลวงอันเดียวกัน ในหลวงท่านตรัสอย่างที่แรงๆไม่ได้อย่างอาตมา ท่านประมาณท่านดีแล้ว

 

แม้ไม่ได้ขนาดนั้นก็ต้องตั้งหลักว่าแค่นี้พอ ไม่ต้องอยากไปแข่งกับโลกเลย ผู้รู้จักพอนี่ เป็นผู้ฉลาด พอแล้วเท่านี้จากนั้นก็ลดน้อยลงอีก ให้จนหมดเนื้อหมดตัว เป็นคนไม่มี ทุกวันนี้ไม่ต้องกลัวตาย ขอให้เราปฏิบัติธรรมจิตเข้าขั้นสกิทาคามี จะมักน้อยสันโดษไปตามลำดับ หากเข้าอนาคามีก็ต้องมา อนาคามีคือผู้ไม่มีบ้านเรือน ไม่สะสมเงินเป็นภาระ ไม่มีบ้านไม่มีเงิน ก็ต้องมาหาที่อยู่ ทุกวันนี้มีชุมชน ไม่ต้องมีบ้านของตนก็มาอยู่กับชุมชนอยู่ได้ปลอดภัย มีกลด มีเต็นท์ ก็อยู่ได้แล้ว

 

ถ้าอยากได้ก็ต้องรู้จักพอสันโดษ คำว่าสันโดษไม่ใช่แปลว่าพึงพอใจในส่ิงที่ตนมีอยู่ ถามว่าคุณเจริญเจ้าของเบียร์เหล้านี่ ค้าเหล้าจนรวย แล้วเขาพอใจกับเงินของเขาไหม?เขาก็พอ แต่ไม่ได้ลดละมอมเมาคนต่อไป ทำออกมาขาย ขายได้มากยิ่งดี ก็มอมเมาคนไม่รู้จักบาปบุญ ทำให้คนตกนรก แต่ถ้าเรารู้เราต้องหยุดทำ ถ้ารู้แล้วเราลดลงมา เงินทองวัตถุ สรรเสริญ สุขโลกีย์ ไม่ใช่สมบัติ แต่มันเป็นวิบัติ ถ้าไปหลงมัน ถ้าเรามียศ ยศคือการให้ขอบเขตของอำนาจ ตามยศ รับผิดชอบทำงานตามขอบเขต ทำงานไม่ใช่เอาเงินเป็นตัวตั้งแต่ที่จริงยศสูงย่ิงต้องรับใช้สูงขึ้น แต่กลับกัน ยศสูงกับเบ่งมากขึ้น เอาเปรียบมากขึ้น แทนที่จะลดตัวลดตน พล.อ.ประยุทธ์ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งต้องลดตัวลดตน สาธุท่านพูดถูกพูดดีแล้วขอให้ทำจริง ย่ิงสูงยิ่งต้องลดตัวลดตนรับใช้ ไม่ใช่เบ่ง ใครจะมาด่าเรา หากด่าถูกก็ต้องขอบคุณ เขาด่าผิดก็เป็นความไม่ดีของเขา เขาไม่รู้ ทำอย่างไร คนไปโกรธให้คนโง่ คนบ้า เด็กน้อย คนเมา ไปโกรธเขาทำไม เขาโง่ ไม่ได้ด่าคนโง่นะ แต่เขารู้เท่าที่เขารู้ คนเมาจะไปโกรธทำไม เด็กน้อยก็ไม่รู้ความ ตีก็ตายเปล่าจะไปโกรธทำไม?

 

เราก็ฟังเขาบางทีคนเมาก็ด่าถูกก็ได้ประโยชน์ เราโง่กว่าคนโง่ สมน้ำหน้าโง่กว่าคนโง่อีก

 

_ในอดีตนางวิสาขาก็เป็นอุปัฏฐาก แต่ในยุคปัจจุบันจะทำอย่างไร?

ตอบ...นางวิสาขานี่เป็นคนทำทานเก่ง มีกุศลมาก รวยขนาดว่าคนใช้ของปู่นางวิสาขา ก็ยังรวยเป็นอันดับ 6 ของคนยุคนั้นเลย พวกเราให้รู้จักพอและมักน้อย ให้รู้ตัวเองให้รู้จักพอ ชีวิตรวยแค่นี้ก็พอแล้ว รวยได้ สิบล้านก็หาได้มากแล้วพอ เข้าวัดลดมาให้ได้ ถ้าไปอยากได้มากกว่านั้น อาตมาพยากรณ์นะว่า จะพลาดท่าเสียทีตายได้ คนทุกวันนี้ร้ายนะอย่าไปเล่นกับมัน มันฆ่าเอานะ เราสามารถที่จะใช้วิธีของอโศกคือของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ ถ้าไปมีเงินเชื่อไปกู้เงินมีดอกก็จะไปเข้าเกณฑ์ทุนนิยมอย่าไปเล่นมันพลาดท่าเสียทีได้

 

ถ้าเราจะทำค้าขายอย่างไรมันก็รวย หยุดอย่าพิสูจน์เลย เรามีของดีราคาถูก จะไปสู้ทุนนิยมได้อย่างไร แมคโค โลตัส บิ๊กซี มันเอาตัวขายถูกมาเป็นตัวนำ ซื้อล็อตใหญ่มาขายถูกตัดหน้าพวกค้าปลีกตายไปเยอะแล้ว แต่อโศกก็ขายตัดหน้าเขา ขายถูก มีน้ำใจ ด้วยก็รวยแน่ แต่ถ้าจะเอาแต่รวย เจ้าก็รวยแต่บอกเลยว่าแม้จะรวยอย่างซื่อสัตย์อย่างระบบโลกก็ยังเอาเปรียบอยู่ เอาเปรียบน้อยก็บาปน้อย เอาเปรียบมากก็บาปมาก ทุนนิยมเอาเปรียบจึงบาปหนาหนักไม่รู้จบ

 

ให้มาเสียสละจึงได้บุญ เถียงไหม?...บุญนี่ต้องเสียสละ ไปเอาเปรียบมันเป็นบุญไม่ได้

 

หลายคนคิดว่าไปหาเงินมากๆแล้วเอามาทำบุญจะได้บุญมากๆ?

ตอบ...เหมือนกับที่ว่าไปฆ่าปลาแล้วเอามาถวายพระจึงจะได้บุญ พวกคิดแบบนี้คือพวกโง่ไม่จบ  มันเป็นภาษาวิบัติ ความจริงเป็นไปไม่ได้ การไปค้าขายให้ได้เงินมากๆแล้วมาทำทาน ไม่ใช่บุญ การจะได้บุญมากต้องลดกิเลส การไปค้าขายได้มากก็ต้องเอาเปรียบเขามาก กรรมเอาเปรียบเป็นกรรมที่ทำแล้ว แล้วถ้าไปหาเงินลงทุน 100 แล้วจะได้มาเป็นส่วนเกินเอาเปรียบเขามาอีก 20 แล้วจะเอา 20มาทำบุญไหม? อย่างเก่งก็เอามาทำบุญแค่ 10 ซึ่งก็ยังเอาเปรียบไปอีก 10 หรือแม้เอามาทำบุญทั้ง 20 ก็ได้บุญแต่จะมีไหม? ...อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย ไม่มีหรอก ไปเอาเปรียบเขามาก็จะยักส่วนเปรียบไว้แหละ

 

อย่างเรามี ร้อย ก็ใช้สอยไม่หมด ก็เอาไปทำทาน แล้วปฏิบัติให้มักน้อยลงอีก จนแรงงานเรามีเกินที่ทำมาหากินได้ นี่คิดราคาแรงงานแล้วมื้อละ สามร้อยบาท แต่เราใช้แค่สองร้อย เราก็เสียสละได้หนึ่งร้อย ถ้าไม่ลดอีกก็อยู่อย่างนี้ไป ทำต่อเนื่องไป หาได้สามร้อยก็ใช้สองร้อย สละไปหนึ่งร้อย แค่ถ้ามารวมกัน ลดลงไปได้อีก กินแค่ร้อยเดียว สองร้อยเสียสละก็ได้บุญเพิ่มอีก แต่อยู่ในหมู่กลุ่ม เราทำได้สามร้อย เรากินหนึ่งร้อย เราเอาสองร้อยนี้ไปรวมกันอีก แล้วเราก็ทำเพ่ิมอีกได้เป็นสี่ร้อย ห้าร้อย แต่เรากินแค่หนึ่งร้อยก็ยิ่งดีให้ขยันมากขึ้นอีกให้มีส่วนเหลือสะพัดไปอีก สัจจะที่เราทำก็เป็นกุศลของเรามากเลย เป็นสัจจะ ได้สิ่งที่ว่าขาดทุน คือกำไรของเราอย่างในหลวงว่า

 

อาตมาแบ่งคนเป็นสี่แบบ ผู้ผลิต ผู้แจกจ่าย ผู้บริหาร นักบุญ เป็นคนสี่ระดับ

 

ผู้ผลิตก็ทำให้มากไม่มีเวลาไปแจก เป็นโสดาบัน แล้วมีนักบริการนำไปแจกจ่าย เป็นสกิทาฯ แล้วมีนักบริหารเป็นอนาคามี ส่วนนักบวชก็เป็นอรหันต์ อนาคามีก็เป็นผู้ไม่ติดยึดวัตถุมีความรู้สังคม รู้บริหาร ก็เป็นนายกฯหากเป็นอนาคามีหรืออรหันต์ได้ยิ่งดี ในยุคพระพุทธเจ้าอรหันต์ในฆราวาสมีมากว่าอรหันต์นักบวชอีกนะ แม้ในยุคพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้อาตมาอยากให้พิสูจน์กัน แม้เป็นฆราวาสก็เป็นอาริยบุคคลได้ ถึงอรหันต์ก็ได้

 

อยู่ในวัดในชุมชนเราเสียภาษีเต็มร้อยเลย เอาไปจำแนกแจกจ่ายตามระบบบุญนิยม มาให้ส่วนกลาง เหลือก็เอาไปช่วยชาวบ้าน เป็นการเมืองภาคประชาชน การเมืองคือช่วยประชาชน รับใช้ประชาชน ชาวอโศกก็รับใช้ประชาชน ที่บ้านราชฯเราทำถนนให้เขา เราทำสะพานให้เขา


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:01:54 )

571023

รายละเอียด

571023_พ่อครูและหมอเขียว ที่สวนป่านาบุญ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร พุทธธรรมกับสุขภาวะ

หมอเขียว วันนี้เป็นโอกาสดีที่พ่อครูได้มาที่นี่ วันนี้เป็นโอกาสดีที่พ่อครูจะได้มาแสดงธรรม และวันนี้จะ

เนื้อหาหลักคือพุทธธรรมกับสุขภาวะ ขอเรียนถามพ่อครูว่าตอนนี้อายุเท่าไหร่


พ่อครูว่า..80 ปี 4 เดือน สุขภาพดีด้วย อาตมาไม่รู้สึกว่าตนเองแก่ ก็งงงงว่าตัวเลย 80 มีมาอย่างไร อาตมาไม่เปลี้ยโหยโรยแรง ที่ทำให้รู้สึกว่าอายุ 80 ตั้งแต่เด็กอาตมาก็รู้สึกว่าคนอายุ 70 ถึง 80 คือคนแก่ เพราะคุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่าก็หนังเหี่ยวงกเงิ่น แต่ท่าทีเราไม่เป็นเช่นนั้นก็งงงงว่า 80 ได้อย่างไร ก็เลยประมาณเอาเองว่า 18 ก็ได้มีการตรวจสุขภาพทางวิทยาศาสตร์ บันทึกไว้เสมอ

 

หมอตรวจทางหัวใจก็บอกว่าหัวใจเหมือนคนอายุ 30 ส่วนสมองก็ว่าเหมือนคนอายุ 40 ส่วนปอดก็ว่าเหมือนคนอายุ 45 นะ ไปสแกนสมอง หัวใจ ก็ได้ผลออกมา ตรวจปอดต้องมาเป่า ตรวจหัวใจก็มาเดินสายพาน ก็อายุไม่ถึง 50 กำลังหนุ่มแน่นเลยนะ กำลังวังชาเต็มที่เลย

 

หมอเขียว....พ่อครูมีเทคนิคอย่างไรในการดูแลสุขภาพ และใช้พุทธธรรมในการดูแลสุขภาพอย่างไร

 

พ่อครูว่า..... ก็ใช้ 8อ. มีอิทธิบาท คือต้องมีฉันทะ คนทั้งหลายก็ต้องการให้มีอายุยืนยาว แต่วิริยะนี่ขยันไหม? แล้วก็เอาจริง จิตตะ อาตมาว่า มีจิตเท่าไหร่ก็ทุ่มลงไปเลย แค่แปลว่ามีจิตเอาใจใส่จะไม่มีแรงอะไร แต่ว่าถ้า...ถีบใส่เข้าไปเลย มีจิตเท่าไหร่โถมใส่เข้าไปเต็มที่ แล้วเราจะได้คัดเอาเนื้อยิ่งๆเป็นวิมังสา ปฏิบัติจริงก็เกิดผล ก็เลือกเฟ้นเอง

 

มีอิทธิบาทนั้นก็สำคัญ และมาสรุปที่อารมณ์ เป็นการรักษาอารมณ์ เอาไว้พูดตอนหลัง เพราะอารมณ์หรือเวทนา ถึงขั้นอุเบกขาสุดยอดเป็นฐานนิพพานก็ต้องรู้เวทนา 108 ต้องทำให้ดีเสมอ

 

อาหาร ก็ต้องเข้าใจอาหารธรรมชาติ อาหารเป็นประโยชน์ตามโภชนาการ แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน จะไปเอาสูตรตายตัวทุกคนเหมือนกันหมดไม่ได้หรอก แต่ละคนก็ต้องต่างกันไปบ้าง คนนี้ร้อนมาก คนนี้เย็นมาก ตามธาตุของคน ต้องให้เหมาะสม

 

อากาศ จะต้องมีส่ิงแวดล้อม จะมีต้นไม้เป็น แอร์ธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา ลำธาร แม่น้ำ จะให้อากาศที่ได้สัดส่วน ก็ต้องมีความเย็นความร้อนในสถานที่ได้สัดส่วนเหมาะ แต่ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจ กลายเป็นป่าคอนกรีต ป่าเหล็กไปหมดแล้ว จนลมพัดเข้ามาก็หลงทาง น้ำตกเข้ามาไม่รู้จะไหลไปทางไหน ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหลมาในป่าคอนกรีตก็หลงทางหมดแล้ว อาตมาได้พาทำสร้างธรรมชาติตั้งแต่ปฐมอโศก จนตอนนี้ที่ราชธานีก็พยายามทำ แต่ไม่ใช่ป่าดงดิบ เพราะแบคทีเรียของป่าดงดิบคนอยู่ด้วยไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้สัดส่วน สรุปคือมีอากาศทั้งกันเชื้อโรค ทั้งสัดส่วนที่ดี

 

ออกกำลังกาย คนมันขี้เกียจจริงๆ บางคนไฟแรงจัดออกกำลังกายเกิน มีคนได้ข่าวว่านายยักษ์ตัวโต ออกกำลังกายเกิน อัมพฤกต์กินแล้ว ส่วนมากจะทำขาด ไม่ค่อยทำทนสักหน่อยการออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายให้พอเหมาะ

 

เอนกาย คือต้องให้พักผ่อนรู้พักรู้เพียร พักไม่มากหรอก แต่เพียรให้มากน่ะชีวิตคน แต่สมควรพักก็พัก มันเกินก็ทรุดเสื่อม แต่ที่มากก็คือต้องเข้าใจเองและเข็นตัวเองในเรื่องออกกำลังกาย

 

อาตมาออกกำลังกายสามอย่างวนเวียนกันไป 1.เดินเร็ว ใช้เวลา 1ชหมอเขียว เดินเร็ว 45นาที แล้วCool down 15นาที  2.ปั่นจักรยาน(เครื่องออกกำลังกาย) 3.โยคะ และมีแถมที่มาคือคนมานวด คนไหนนวดดีก็ต่อเนื่อง คนไหนนวดไม่ได้ความก็ทีเดียวพอ ตามโอกาสวาระเวลา

 

เอาพิษออก  พวกคุณรู้ดีกว่าอาตมาเยอะทำอะไรบ้างมากมาย ทำให้เหงื่อออกก็ออกกำลังกายแล้ว ดีท็อกซ์ ดูดเลือดออกมาสารพัดก็ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน

 

อาชีพ  ตัวนี้สำคัญ เรื่องอาชีพเป็นพฤติกรรมเป็นงานของมนุษย์ที่ไม่ค่อยคิดว่าเป็นโทษหรือประโยชน์ อาชีพเดี๋ยวนี้เป็นโทษเยอะ อาชีพนักธุรกิจนี่เป็นโทษเยอะ ไม่ต้องพูดถึงค้ายาบ้า ค้าพิษ ค้าอาวุธ ก็เป็นมิจฉาวณิชชา เป็นอาชีพร้ายแรง ทำให้ตนและคนอื่นอายุสั้น แม้แต่อาชีพที่ล่อแหลม ที่ตายไว ก็มีมาก ต้องรู้ว่าอาชีพที่จะให้เรามีอายุยาวยืนคืออย่างไร? แม้มันจะอายุยาวยืนอย่างไร ทำให้ยาเคมีต้นไม้งาม แต่ตนเองได้รับพิษ ตนเองก็ตายก่อน ลูกเต้าก็กำพร้าสิ ไปหลงว่าต้องได้เงินทองมาก และอาชีพที่เป็นอบายมุขทำร้ายทำลายคนอื่น เช่นเศรษฐีทำน้ำเหล้า ตัวเขาเองไม่ดื่มเหล้านะ อันนี้อำมหิต รู้อยู่ว่าเหล้าไม่ดีตนเองไม่ดื่มแต่ก็ทำมาขายมอมเมาคนอื่นเป็นพิษภัย คนแบบนี้คบไม่ได้ คนหน้าเนื้อใจเสือ คนเองรู้ว่าไม่ดีตนเองยังไม่ดื่มแต่ฆ่าคนอื่นทำร้ายคนอื่น เขาก็ร่ำรวยอย่างบาป

 

อย่าไปทำอาชีพแบบนี้เด็ดขาด ชาตินี้คุณอาจมีเงินรักษาชีวิตไปได้ เป็นมนุษย์พืช ก็ได้เลย มีเทคโนโลยี มีอวัยวะเทียม มีเงินทองก็ไม่ตายง่าย แต่ชาติต่อไปคุณไม่ได้หอบหัวใจเทียมไปด้วย ก็ได้หัวใจอ่อนแอ จะหนีวิบากตามฤทธิ์เดชวัตถุ ชาตินี้อาจทำได้แต่ชาติหน้าทำไม่ได้แน่

 

เราอย่าทำอาชีพล่อแหลมต่ออุปัทวเหตุ ตายโหง อาชีพที่เป็นภัยต่อตนและผู้อื่นก็ต้องเรียนรู้สัมมาอาชีพให้ดี ไม่ทำบาปทำวิบากใส่ตัว รู้จักวิธีทำบุญกุศลให้แก่ตนเอง

 

ก็ทำ 8 อ.มาทำให้รู้สึกว่า 80​คือ 18 พูดตีเข้าเป้าเลย แต่เข้าโกลแล้วอาตมาจะไม่ดีใจ เหมือนพวกนักบอลที่เตะเข้าโกล ดีใจตีลังกาคอหักตายเลย อีกหน่อยก็คงมีดีใจช็อคตายเลย

 

หมอเขียว....พุทธธรรมหรือธรรมะจะช่วยเสริมให้มีสุขภาพดีนะ

 

พ่อครูว่า...อาตมาตอบได้เลยว่าธรรมะนี่แหละเป็นสิ่งที่จะทำให้อายุยืน เป็นโอสถทิพย์ที่สุดยอดยิ่งกว่ายาอะไรเลย เพราะธรรมะนั้นมีทั้งอารมณ์ดีเป็นจิตวิญญาณโดยตรง และมีปัญญารู้สัปปุริสธรรม รู้จักอะไรเป็นพิษหรือคุณ อันไหนจะเสริมหรือถ่วง จะเข้าใจมีปัญญารู้ จะเลือกเฟ้นให้ร่างกายอย่างได้สัดส่วนพอเหมาะ ธรรมะจึงมีทั้งปัญญาและเจโต ทำให้ชีวิตยืนยาวได้จริงๆ

 

ที่เขาพูดกันว่าถ้าใครท่องโพชฌงค์ 7​ได้จะอายุยืนหายป่วย แต่ถ้าเอาแต่ท่องไม่ปฏิบัติท่องเท่าไรก็ไม่หายป่วย

 

เมื่อมีสติแล้ว มีสติสัมโพชฌงค์ ต้องเรียนรู้ขณะมีผัสสะ ให้มีสติ เป็นพลังงานที่ชื่อว่าสติ (สต แปลว่าร้อย)ครบเหตุปัจจัย เมื่อมีสติแล้วก็ใช้ธาตุรู้ ให้รู้ทั้งนอกและใน อ่านให้รวมหมดเรียกว่า กาย รู้สัมผัสแตะต้อง เมื่อมีสัมผัสก็เกิดองค์รวมเป็นธรรมชาติ เรียกว่าสังขาร คือการปรุงแต่ง ปรุงแล้วเกิดสังขาร เป็นเวทนา ถ้าไม่ได้ศึกษาก็ไม่ได้ตามรู้เวทนา องค์รวมก็เป็นสังขารผี มีกิเลสเป็นหัวหน้าใหญ่ เราจึงต้องทำสติให้เข้าไปรู้เข้าไปจากนอกเข้าหาใจ ตามรู้ว่ามีอะไรเป็นเหตุ คือ สราค สโทส สโมห อ่านให้ออกว่าอะไรคือเหตุ องค์รวมนี่เรียกว่า กาย

 

มีสติรู้ควบคุมกายได้ทุกอิริยาบถ ก็เป็นกายคตาสติ แล้วรู้เข้าไปจากนอกเข้าหาใน ทั้งรูปและอรูปเข้าไปถึงภายในเลย อยู่ในวิโมกข์ 8 รู้อานาปานสติ คือสติมีตลอดเท่าที่คุณมีลมหายใจเข้าออก ต้องมีสติกำกับตลอด อย่าแยกกายคตาสติกับอานาปานสติออกจากกัน ต้องทำงานร่วมกันเสมอ ต้องอ่านจากนอกเข้าหาใจ

 

ให้รู้มุมเหลี่ยมทุกแง่ทุกเชิง ของลมหายใจ ที่คือกายนั้นเอง คุณทิ้งกองลมไม่ได้คือทิ้งภายนอกไม่ได้นะ เขาเข้าใจไม่ได้ก็เลยไปมโนมยอัตตา ไปปรุงแต่งสร้างลมต่างๆ เคลื่อนไปมา ออกนอกรีตพระพุทธเจ้าเลย แล้วนิยมชมชื่นกันว่าเก่ง พวกเก่งทางวาโย เก่งทางกองลม มันเป็นพลังจิตที่ใช้นอกรีต เป็นอิทธิวิธี

 

เราสามารถทำตามพระพุทธเจ้าสอน รู้องค์ประกอบทั้งนอกและใน กายปฏิสังเวที แล้วทำให้ระงับ ปัสสัมภยัง ระงับอะไร ไม่ใช่ว่ากายคือร่าง ไม่ให้กระดุกกระดิก แม้หนักเข้าลมหายใจก็ให้หยุด ก็ตายสิจ๊ะ กายไม่ได้หมายถึงวัตถุ แต่กายนี่หมายถึงจิต เขาก็งงสิ แต่กายนี่แหละคือองค์ประกอบของรูป นามที่รับรู้มา แล้วกายนี่ต้องใช้จิตรับรู้ กายนี่แหละคือจิต คือองค์รวมของเวทนา สัญญา สังขาร หรือตัววิญญาณนั่นแหละคือกาย

 

ต้องรู้เข้าไปในเวทนา คือ สราค สโทส สโมห ที่เป็นสมุทัย กำจัดได้ก็ระงับกาย หมายเอาองค์รวมทั้งนอกและใน เมื่อทำได้ก็รู้จักจิตสังขาร คือเอาเฉพาะตัวจิตนะ เน้นเข้าในจิต เน้นรูป อรูป แต่ไม่ทิ้งข้างนอก เน้นสัญญากำหนดรู้ อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา จิตแยกเป็น เจตสิกต่างๆ มากมาย ที่เขาแยกกัน

 

เมื่อเราสามารถสงบระงับกิเลสได้ในจิต ก็มาระงับ ในรูป และอรูป สุดท้ายทำจิตให้อภิปโมทยัง มีสมาทหัง ,สมาทหังคือสดชื่นแข็งแรงแกล้วกล้าอาจหาญแข็งแรง นี่คืออานาปานสติ 16 ขั้น แล้วเหลืออีก 4 คือต้องรู้อนิจจานุปัสสี ไม่ใช่รู้แค่ตอนหลับตาว่ามันไม่เที่ยง แม้วัตถุก็ไม่เที่ยง อารมณ์เราก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนานนับชาติ เห็นอนิจจานุปัสสี แล้วเราสามารถทำกิเลสสงบรำงับได้ก็รู้ว่าทำได้  คุณก็รู้ว่าสามารถ สำรอกกิเลส ตามเห็นได้ว่ากิิเลสถูกชำระก็อ่านออกว่าทำจิตวิมุติ นิโรธ ก็ทำทวนทำซ้ำต่อไป ให้แข็งแรง

 

เป็นสุขอย่างวูปสโมสุขเป็นเนกขัมมสิต ไม่ใช่สุขได้บำเรอกิเลสเป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา แล้ก็รักษาผล เป็นอนุรักขณาปธาน แล้วทำซ้ำทำบ่อยให้มากๆๆๆ จนมันล้นเกินก็ไม่เป็นไร ส่วนมากจะขาด ตัดสินตนเป็นอรหันต์เร็วไป

 

เนื้อแท้ของจิตพุทธจะมีมุทุภูตธาตุ มีชวนจิต มีมุทุ ปรับได้เร็วไว มีกัมมัญญา เหมาะควรแก่การงาน ถ้ามีเหตุปัจจัยเข้ามากระทบเราก็ขาวสะอาดได้เช่นเดิม จิตก็ดีขึ้น ทั้งขันธ์ 5 ก็สะอาดขึ้น เป็นกายปัสสัทธิ เป็นกายปาคุญญตา แล้วก็เอาประกอบการงาน โดยมีญาณปัญญาเลือกเฟ้น ก็จะไปควบคุมกรรม เป็นกัมมัญญตา เหมาะสมเหมาะควร ก็จะรู้สัปปุริสธรรมได้เหมาะควรได้ลงตัวได้สัดส่วน

 

ทุกเวลาที่ตัดกิเลสได้คือบุญ คนไทยเอาคำว่าบุญไปเพี้ยนกลายเป็นกุศล บุญกลายเป็นคุณงามความดีแบบโลกีย์ แค่ขัดส้วมก็เป็นคุณงามความดี แต่บุญไม่ใช่แค่กายกรรมวจีกรรม แต่บุญคือการชำระจิตสันดานให้หมดจน ภาษาบาลีกำกับว่า บุญ คือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือต้องชำระกิเลสในจิตสันดานหมดจด

 

โพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่ กายในกาย ไปจนถึง อุเบกขา เราจะเกิดสัมมาสมาธิ สัมมาวิมุติ ทุกวันนี้ไ่ม่เข้าหลักเกณฑ์แล้วแม้แต่คำว่ากาย ก็ไม่เข้าใจ ไปคิดว่าคือ ร่าง เท่านั้น  แต่ที่จริงกายก็คือจิต กายคือองค์ประชุมของ เวทนา สัญญา สังขาร เราต้องอ่านรู้กาย โดยเฉพาะ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

 

อ่านรู้ถึงธาตุของความเพียร ทั้ง7 อารัภธาตุ อารัมภธาตุ ปรักกัมมธาตุ ถามธาตุ ฐีติธาตุ อุปักกัมมธาตุ จะเกิดพลังงานแบบนี้จากภายในออกมาข้างนอก เร่ิมแต่ตักกะ ก็ต้องจัดการเหตุคือ กาม กับพยาบาท กำจัดโดยมีวิตักกะ วิจัยวิจารให้เกิดกิเลสลด กำจัดมันได้ วิ คือการทำอะไรที่ไม่ควรมีให้ออกไปได้ ก็วิเศษ วิ มีความหมายทั้งเจริญและกำจัดออก ปหานกิเลสออก เป็นสังกัปปะ

 

แล้วมาที่อัปปนา เป็นองค์ธรรมใหม่ที่จัดสรร ก็มาคุยกับอัปปนา ถ้ากิเลสมากก็คุยกันมากหน่อยกับพยัปปนา ถ้ากิเลสน้อยก็คุยกันน้อยหน่อย จนกิเลสหมด แล้วผ่านมาเป็นวจีสังขาร ได้เป็นผลลัพธ์ ที่ไม่มีกิเลสเข้าร่วมแล้ว ก็รอแต่ว่าจะสั่งออกมาเป็น กายกรรม วจีกรรม หรือกัมมันตะหรือเป็นอาชีวะเลย ก็อนุโลมปฏิโลมได้ โดยตนเองบริสุทธิ์อยู่นะ แต่อนุโลมเขาเป็นกายกรรมวจีกรรมที่ให้แก่เขา ทำงานกับสังคมได้อย่างจัดสรรได้ คุณต้องมีพลังที่จะจัดสรรได้ ถ้าข้างนอกอ่อนแอมาก แล้วคุณก็อ่อนแอต่อโลกธรรม คุณก็แย่สิ แต่ถ้าคุณไม่หวั่นไหว ต่อนางตัณหาราคะอรตีได้คุณก็ทำงานได้ อนุโลมได้ เรามีสติสัมปชัญญะ จึงเจริญเป็น สัมปชานะ สัมปาเทติ สัมปัชชติ สัมปัชชลติ สัมปัตตะ สัมปันนะ

 

สามารถเรียนรู้ถึงกามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ละล้างไปตามลำดับ งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลไม่ต้องวกวนเก็บตามหลัง ทำให้ละเอียดไปตามลำดับ ตั้งแต่โลกอบาย รู้จักวิธีการทำ ทำให้มันลดได้อย่างนี้ กิเลสตัวไหนก็แล้วแต่ อันนี้เป็นอบายมุข หรือกิเลสกามเรามันแรง เราก็ทำอันนี้ หรือโทสะเรามันแรงอันนี้ ยิ่งมีคู่อาฆาต เลยเราก็ต้องปฏิบัติให้สำคัญ นายคนนี้มีวิบากกันมาหลายชาติ เจอหน้ากันก็ทุกที เราก็ต้องจัดการที่จิตเรา เจอหน้าก็ต้องอ่านให้ทันอย่างน้อยวิกขัมภนปหานกดข่มมันก่อน จะให้ดีก็มีวิปัสสนาญาณมันไม่เที่ยง ต้องอ่านอาการจิตว่าอภัยเป็นเช่นนี้ เลิกอย่าจองเวรถือสา อย่าไปต่ออีก สร้างเวรกรรมอีก เอาให้ว่างวางปล่อยให้ได้ลดละไป หรือไปปฏิพัทธ์ส้มสูกลูกไม้ อ่านจิตเรา ทั้งกระทบ วัตถุ บุคคล ดินน้ำไฟลมก็ตามใครเคยโกรธตะหลิวไหม เคาะมันจนหัก หาใหม่ก็ค่อยยังชั่ว หรือแย่กว่าเก่าก็จองเวรอันใหม่อีก จะเอาให้ได้ดังใจกู ตะหลิวมันรู้เรื่องกับเราที่ไหน นี่คือส่ิงต่างๆที่กระทบสัมผัสแล้วเกิดราคะโทสะ

 

จากอบายก็มาสู่สกิทาคามี โสดาบันทำกิเลสลดได้แล้วก็มาสกิทาคามี อบายมุขเราหมด ก็ทำไปตามสูตรโครงสร้างที่เราทำเป็นแล้ว ทำตั้งแต่กามภพ สมมุติว่าลดได้แล้วเป็นอนาคามีก็ไม่ได้ไปนั่งหลับตา แต่ว่ากระทบสัมผัสแล้ว ข้างนอกเราไม่แล้ว จิตเรารู้ดีหิริเต็มโอตตัปปะเต็ม เหลือแต่ระริกระรี้ในจิต มีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ที่เหลืออยู่ก็ไปตามลำดับ ทำให้ชัดเจน ให้พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะก็พ้นสังโยชน์สุดท้ายอวิชชาสังโยชน์จึงบริบูรณ์ไปตามลำดับ จากองค์ประชุมภายนอกสู่รูปจิตและอรูปจิตตามลำดับ คุณก็ทำให้กิเลสลดได้หมดได้แต่ก็ยังเหลือกายอยู่ กิเลสหมดก็เป็นพระอรหันต์

 

โพธิปักขิยธรรมจึงยืนบนฐาน โพชฌงค์ 7​ (ปุริสภาวะ) และมรรคองค์ 8(อิตถีภาวะ) มรรค เป็นตัวสร้างเรื่องเป็นอิตถีภาวะ ทั้ง อาชีพ การงาน วาจา ความคิด ก็สร้างเรื่องเป็นอิตถีภาวะ เราก็ทำไปตามลำดับไม่ใช่ว่าไปดับอิตถีภาวะหมด ก็ทำไปให้วิจัยรู้เหตุดับเหตุ โพชฌงค์ 7 เป็นตัวจัดการ ทำดีได้มีปีติเราก็ลดปีติ จิตก็ปัสสัทธิ​มีสมาธิตั้งมั่น อุเบกขาเป็นสุดท้ายเป็นฐานนิพพานคุณก็รักษาผลไป ก็สามารถทำได้ถูกต้องตามลำดับโดยไม่ทิ้งกาย มีประสิทธิภาพของสติปัฏฐาน 4 ที่จะไปจัดการในกายคตาสติและ อานาปานสติ ก็จะบรรลุธรรม สัมผัสวิโมขก์ 8 ด้วยกาย ได้ฌาน 4

 

สภาพว่างคือรูปเป็นอากาสานัญจายตนะ  และสภาพวิญญานัญจายตนะคือ นาม เป็นการตรวจสอบนามธรรมว่าสะอาดไหม จากกิเลสตัณหา แล้วก็ตรวจเศษเหลือไม่ให้มีนะ อากิญจัญญายตนะ ก็เอาเศษเหลือออกให้ได้ แม้มีสัมผัสแตะต้องมีฐานรูปฌานแล้วนะ เก็บรายละเอียดให้หมด อากาศก็ว่าง วิญญาณก็ใส ไม่มีเศษเหลือเลย แล้วต้องรู้ทุกสัญญา ทุกอัตตา เป็นเนวสัญญานาสัญญายตน ทำซ้ำทำซากทำอีกทุกกาละทำปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีต มีจิตอยู่เหนือโลก ทั้งที่อยู่กับโลก แต่เรามีอำนาจมีวสีอยู่เหนือมัน ทำซ้ำ ตรวจสอบซ้ำ ให้เกิดสะสมตั้งมั่น อเนญชาภิสังขาร ทุกลีลาบทบาท ทั้งทีเผลอและไม่เผลอ ก็ทำทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีต จนพยากรณ์ได้เลยว่าอนาคตก็สูญ ทั้งเวทนาในส่วน อดีต ส่วนอนาคต และส่วนอดีตและอนาคต ก็สูญ (ในอวิชชาสูตร) 

 

เมื่อสามารถทำให้อดีตสูญ โดยทำทุกปัจจุบัน เรามีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ปภัสสรา เก่งเป็นจอมยุทธ พอศัตรูมายิ้มเท่านั้นศัตรูก็ตาย เก่งอีก แค่มองศัตรูก็ตาม หรือศัตรูมาสัมผัสเราก็ตายหรือยอมสยบทันที คือสุดยอดแห่งวรยุทธ นี่สุดยอด ผู้ใดสามารถทำได้ใครว่าไม่เป็นอรหันต์ก็ช่างมัน จบ

 

หมอเขียว...พ่อครูมีเทคนิคธรรมะยุทธศาสตร์ในการสร้างคนให้มีจิตอาสา

พ่อครูตอบว่า...อาตมาไม่ต้องออกแบบ อาตมาทำตามพระพุทธเจ้า ดูตำราที่มีของพระพุทธเจ้าก็เอามาจัดการ อาตมาเรียบเรียงไม่ได้มันมากมายเยอะแยะ ก็ดูตามองค์ประกอบเหมาะสม จัดการให้ได้สัดส่วน พยายามใช้สัปปุริสธรรมรู้จักนิรุติปฏิภาณ ตรวจสอบจากพระไตรฯ อาตมาไม่อ่านอรรถกถาจารย์ แต่ดีๆก็มี อะไรใช้ได้ก็เอามาทำ ใช้ภูมิตนเป็นเครื่องตัดสินทำมา 44 ปีแล้ว ทำมาแต่เป็นฆราวาสแต่คนไม่ยอมรับ ถามว่ามีเหตุปัจจัยอย่างไรก็ตอบไม่หมด แต่โครงสร้างอะไรเป็นศีลสมาธิปัญญาก็ให้จัดการไปตามเหมาะ

 

ก็มีศีลข้อ 1 จัดการโทสะมูล ศีลข้อ 2​จัดการโลภะมูล ศีลข้อ 3​จัดการราคะมูล ศีลข้อ 5 กำจัดโมหะ

 

โลภะต้องการมาให้ตน ราคะเอาให้ได้มาเสพรส มีนัยต่างกันแค่นี้ ส่วนโทสะคือความไม่ปรารถนาดีทำร้าย ฆ่าแกงโกรธเคืองกัน ไม่สบายใจ ก็อ่านใจรู้ใจ คนนี้เหมาะสมกับศีล 5 ก็จัดการ ฉันจะลดโทสะ ราคะของฉันอย่างนี้ก็กำหนดเอา ส่วนศีลข้อ 4​คุณต้องไม่โกหกก่อนแล้วค่อยละละเอียดเพ่ิมขึ้น ก็ใช้โครงสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา และมีจรณะ 15 อีก

 

คุณต้องมีศีลเป็นตัวหลัก และตัวปฏิบัติคือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ต้องสำรวมให้ดี เพราะคุณเสพนิวรณ์เป็นอาหารตลอดเวลาหากไม่ได้สังวรสำรวม ไม่ให้กิเลสเข้าไปบงการเราทำกรรมเลว จะควบคุมไม่ให้มีทุจริต 3 ได้ก็ต้องมีสำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญา ทำใจในใจโยนิโสมนสิการเป็น ทำใจให้ลดกิเลสเป็น ใครทำใจเป็นก็ได้

 

ใครทำใจในใจเป็นคนนั้นมีโอกาสได้นิพพานแน่นอน ใครทำใจเป็นก็มีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งมีองค์ประกอบคือ ปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ

 

 

หมอเขียวว่า...เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นจะทำอย่างไร?

ตอบ...1. เอายาเม็ดแรกเลย ทุกคนพอเกิดการขัดแย้งขึ้นมาทุกคน หยุด แล้วยอม นี่คือยาเม็ดแรก มันไม่ได้ก็ต้องกดข่มมันไปแล้ว 2.เอามาวิจัยวิจารตกลงกัน สัมมนากัน สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ก็ต้องโหวต เยภุยสิกา เมื่อคะแนนเสียงชัดเจนก็เอาตัวนั้น อย่ามีตัวตน เอาตัวตนเป็นหลัก ต้องเคารพหมู่ให้เกียรติทุกคน เพราะเราเลือกแล้วว่าหมู่นี้ดี ไม่ใช่ว่าคุณไปโหวตที่อื่น คนมาจากทุกทิศจากนรกขุมไหนแล้วมาโหวตร่วมกันอย่างนั้นอาตมาไม่เอา มันต้องคัดเลือกคนเข้ามาเป็นสภา ที่รวมกัน ที่ใดไม่มีบัณฑิตที่นั่นไม่ใช่สภา ใครจะเข้ามาเราต้องคัดเฟ้นกัน

 

ถ้าสรุปมติได้เป็นเอกฉันท์ก็ไม่ต้องโหวต หรือว่าสุดท้ายต้องโหวตก็ทำ ประธานต้องอย่าอคติ ไม่บังคับใคร ถ้าบังคับก็เผด็จการตลอดเวลาไม่ได้เรื่อง ต้องพยายาม ต้องหมั่นพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก เมื่อประชุมกันเอาออกมาเทกันให้หมด แล้วมีมติ จะต้องโหวตก็โหวตไม่ต้องโหวตตกลงกันได้ก็จบ ออกจากห้องประชุมแล้วทำตามมติ เก็บความคิดของตนไป ไม่เอาตามความคิดตน เอาตามหมู่ แล้วสังคมทุกสังคมต้องมีความขัดแย้ง สังคมใดไม่มีการขัดแย้งเลยอันนั้นเป็นสังคมควาย มันต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ แม้จะเป็นทิศทางเดียวกันอินทรีย์ไม่เท่ากันจึงมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ เอาตามมติหมู่

 

หมอเขียว...เกี่ยวกับน้ำปัสสาวะบำบัด พ่อครูมีความเห็นอย่างไร?

พ่อครูว่า..น้ำปัสสาวะเป็นน้ำที่สังเคราะห์ออกมาจากตัวคน ในทางแพทย์สมัยใหม่บอกว่าเป็นส่ิงสกปรก แต่พระพุทธเจ้าว่าเป็นสิ่งที่เป็นยา เราเชื่อหมอพระพุทธเจ้า อาตมาก็ทดสอบมานานปีแล้ว อาตมาก็ดื่มน้ำปัสสาวะ แต่อาตมาไม่มีโรค ก็เลยไม่ได้พิสูจน์อะไร ว่ามันช่วยโรคอะไรบ้าง แต่ตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่มีใครเลยดื่มแล้วบอกว่าน้ำปัสสาวะเป็นเหตุให้เกิดโรคอะไร มีแต่อ้วกเพราะมีอุปาทาน

 

ทุกวันนีก็เลยไม่ค่อยได้ดื่ม แต่สปาร์ ปัสสาวะใส่ขวดไว้ แล้วก็เอาไปสปาร์ คือใช้อาบ สปาร์หลายที ต่อวัน แล้วจะออกนอกสถาที่พบแขกก็หยุด อาบน้ำเสร็จก็หยุดสปาร์ในวันนั้น แล้วก็ทำอีกในวันต่อไป ถ้าทิ้งค้างไว้หมักไว้ก็มีกลิ่น มันก็กลิ่นของเราแบคทีเรียมาร่วมก็เรื่องของมัน สปาร์มาแล้วก็ดูดี บางคนก็สังเกตว่ากระหายไป

 

 

เรื่องไอนี่ อาตมาก็ไปพบมาหลายหมอแล้วหลายปีเข้า หมอพจน์ก็บอกว่า เป็นAging อาตมาก็ต้องยอมรับว่าเป็นวิบาก เพราะไปพบแพทย์เฉพาะทางมาที่ยอดที่สุดแล้วก็ไม่รู้ หาเหตุไม่ได้ ก็เลยรักษามาตามเรื่อง รักษาตามอาการมาเรื่อย ก็ไม่รู้เหตุ ก็คาราคาซังมาเรื่อย อาตมาก็ไอเป็นกิจประจำของอาตมาเอง คันคอมาจากอะไรก็ไม่รู้ ไปโทษอาหารเครื่องดื่มก็ไม่น่าใช่สรุปแล้ว let it be

 

หมอเขียวว่า...คนเราส่วนใหญ่ก็มีโรคภัยไข้เจ็บ บางคนเป็นหนัก พอเป็นหนักแล้วใจเสีย

พ่อครูว่า..จิตใจไม่ดีก็จะทรุด ยกตัวอย่างโยมปราณีหมอบอกเป็นมะเร็งปอด อีก 6 เดือนจะตาย แต่โยมเขาคบหาชาวอโศกก็ทำ ให้ใจเบิกบาน อารมณ์ดี กินน้ำฉี่ กินอาหารธรรมชาติ ทำไปได้ตลอด จนเดี๋ยวนี้หมอบอกว่าจะตายแต่แกก็ยังอยู่ ตั้งแต่หมอบอกตอนอายุ 60 จนอายุ72 ก็ไม่ตาย ไปตรวจก็ไม่เจอเนื้องอก แกก็ปักใจว่าหายเพราะปัสสาวะ แต่อาตมาว่าเพราะหลายประการ มีจิตใจดี อาหารดี ออกกำลังกายดี ผีมะเร็งก็หายไป

 

 

หมอเขียวว่าหลายครั้งพ่อครูโปรดคนใกล้ตาย บอกว่าให้ปล่อยวางๆ คืออย่างไร?

พ่อครูตอบ...คำว่าปล่อยวางก็คือรักษาพลังงาน การมีจิตต้านก็เสียพลังงาน ให้เอาพลังงานที่เสียคืนมา ปล่อยให้จิตปรุงแต่งโดยไม่มีอะไรทำให้เสียพลังงาน กายก็ปรุงตามธรรมชาติ ตัวคนนี่เป็นพลังงานที่รักษาตัวเองเก่งที่สุด มันมีหน้าที่ทำให้สมดุลอย่างดีที่สุด ถ้าไม่มีอะไรกวนมันทำงานไปตามยถากรรม

หมอเขียวว่าจิตดีนี่จะมีฤทธิ์เร็วที่สุด

 

พระพุทธเจ้าว่ามโนบุพพัง คมาธัมมา ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน หมอปัจจุบันก็ยอมรับว่า ถ้าใจดี กว่า 60 % ก็หายได้แล้ว ใจนี่เหนือกว่าอวัยวะ 32 ใจเป็นใหญ่ หากทำใจได้และทำองค์ประชุมดิน น้ำไฟ ลมด้วย คุณพยายามเรียนรู้แล้วช่วยมันอีกก็หายดีได้ เรียนทั้งนอกและในทั้งใจและกาย

 

ทางโลกเขาเรียนรู้ร่าง ได้เล็กละเอียด แต่ใจไม่ค่อยรู้ ทั้งที่ยอมรับว่าใจเป็นเหตุกว่า 60 % เราก็ยอมรับหมอทางกายด้วย แต่ใจเราก็จะทำได้เก่งกว่าด้วย จะช่วยได้ดีมาก หมอที่เขาใช้พลังเช่นโยเร พลังจักรวาล ก็ทำที่ใจเป็นตัวหลัก คนที่ยอมรับให้รักษาก็คือใจเขายอมรับให้รักษาแล้ว แต่บางทีภาวะที่ต้านบางทีก็ทำงานได้เร็วอีกนะ อาตมาเคยทำสะกดจิต บางคนต้านแต่ก็สะกดได้ง่ายมาก มันโผล่มาเลย ถ้าแรงไม่มาก หากแรงมากก็ยาก แต่ถ้าไม่ต้านเลยบางทีหาไม่เจอมันไม่มีแรงให้สัมผัสเลย

 

การรักษาทางสายพลังงานก็มี ก็ค่อยสะสมความรู้ไป อาตมาไม่เก่งพอจะอธิบายได้ ก็ค่อยเรียนรู้ไป ชาตินี้อาตมามาแสดงมาเป็นตัวละครของโลกคือตัวละครแสดงความรู้ธรรมะ ไม่ได้แสดงความรู้ทางโลก ความรู้ทางโลกอาตมาจะน้อย แต่เพื่อพิสูจน์ความรู้ทางธรรม ก็พยายามรวบรวมเท่าที่สื่อได้ คุณเรียนมาทางนี้ดีแล้วให้ได้ป.โท ป.เอก ก็จะได้ใช้ประโยชน์ ข้อสำคัญละกิเลสให้ได้ ละกิเลสได้ก็จะทำประโยชน์แก่โลกได้มหาศาล

 

พ่อครูว่า...พวกเรารวมตัวกันก็ดี อย่างหมอเขียวทำมีรูปธรรมมากกว่าที่อาตมาทำ โดยตั้งตัวแกนเป็นโรคภัยไข้เจ็บเป็นฐานนำพา ก็เลยมากันมากเพราะทุกคนกลัวโรคกัน ก็เลยเป็นแพทย์ที่สังเคราะห์ร่วมกันทั้งกายและจิต เขาหาว่าศาสนาพุทธไม่เป็นศาสนาเพราะไม่เอาวิญญาณ แต่ที่จริงศาสนาพุทธนั้นเรียนรู้จิตเจตสิกมากที่สุด ศาสนาไหนจะจำแนกจิตเจตสิกได้ละเอียดเท่าศาสนาพุทธ มีถึงแยกเป็น 121 จะบอกว่าศาสนาพุทธไม่มีเรื่องจิตวิญญาณนั้นผิดแล้ว แต่ศาสนาเขามีแต่จิตที่ไม่รู้จักจิต แต่ของพุทธรู้ว่าจะเอาจิตวิญญาณมาใช้เมื่อไหร่ก็เมื่อกระทบสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ก็เกิดวิญญาณ แล้วทำวิญญาณให้เป็นปรมาตมัน คือจิตสะอาดที่สุด มีปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ วิสุทธิคุณ คือตรีมูรติ 3 มีปัญญารู้รอบถ้วน รู้กำจัดอกุศล จนหมดแท้ เป็นกุศลจิตล้วนๆ กุศลจิตที่ศึกษาอย่างไม่หนีสังคมไม่หนีกรรมกิริยา รู้จักองค์ประกอบ จัดการได้ ทุกกรรมเป็นอภิสังขาร กำจัดกิเลสหมดจากจิต ก็เป็นผู้รู้แจ้งจิตวิญญาณจริง ทำจิตเป็นจิตพระเจ้าได้ มีตรีมูรติ ได้ในตัวเราเลย จะบอกว่าตัวเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าคือเรา เราคือพระเจ้า ศาสนาพุทธทำได้แต่ศาสนาอื่นเขาว่าไม่ได้ ตัวเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่เขาก็ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง

 

ศาสนาพุทธคนไหนไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร คนไหนเชื่อก็มา เชื่อแล้วก็ทำให้ได้ มีประโยชน์ตน_ท่าน เป็นอุภยถะ คือมีทั้ง ปรัตถะและอัตตัตถะ พอจบแล้วมีแต่ปรมัตถะ

 

หมอเขียวว่า...วันนี้เป็นวันมหามงคล ที่สวนป่านาบุญได้รับธรรมะจากพ่อครูทั้งกายและใจ ทำควบคู่กับสังคมส่ิงแวดล้อม เป็นความครบสมบูรณ์แบบให้ชีวิตตนมีค่าทั้งตนและสังคม ทางเครือข่ายแพทย์วิถีธรรมก็จะพยายามพากเพียรทำให้ได้มากที่สุด


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:02:47 )

571026

รายละเอียด

571026_วิถีอาริยธรรม สันติฯ พ่อครูและส.เพาะพุทธ เรื่อง วัดค่าคุณธรรมสังคมไทย

.เพาะพุทธบุญคือการชำระจิตสันดานให้หมดจดจากกิเลส

 

เบื้องต้นผมขอนำเสนอ บทกลอน นัยปกเราคิดอะไรฉบับ 291

เราคิดอะไรทำอะไรมา 20 ปี                     

(1) ยี่สิบปีผ่านพ้น         ใช่ฝัน                  

เราคิดอะไร            ทัน โลกบ้าง                 

รู้โลกใช่แค่ผัน              ตามโลก                                          

แต่ช่วยโลกอีกข้าง         ต่างชั้นในสังคม                  

(2) คนข่มคนอื่นด้วย     โลกธรรม                    

ฉลาดบาปก่อเล่ห์อำ-             นาจซ้อน                    

สังคมล่มจมจำ-       นนชั่ว เขาเลย                                   

โลกสุดทุกข์สุดร้อน        เพราะร้ายคนเลว                        

(3) เปลวปมแห่งเหตุนั้น  คือใด                   

เราคิดฯเน้นช่วยใน        จุดนี้                    

ทุกอย่างโลกเป็นไป        ตามเหตุ               

ดับเหตุดับร้ายชี้             ช่องแท้พุทธธรรม                

(4) สำหรับเราฯ      มุ่งเป้า     เพียรทำ               

ปรมัตถธรรมสำ-            ทับซ้ำ                  

สัจจะกฎแห่งกรรม          สำคัญยิ่ง              

ในโลกสัจจะค้ำ              จึ่งได้อยู่ดี                          

(5) เพราะมีสัจจะทั้ง       ธรรมสอง                           

ปรมัตถ์ชัดครรลอง         ช่วยแท้                

สมมุติก็ต้องครอง           คู่โลก                          

ต้องสัจจะจึ่งแก้       ทุกข์ได้ธรรมดา                                

(6) แสวงหาแต่กิเลสไซร้ คืออสัจจ์               

สมมุติก็ไม่ชัด                อสัจจ์ล้วน                    

ยิ่งขั้นปรมัตถ์                ยิ่งยาก ยิ่งแฮ               

ซึ่งสัจจะต้องถ้วน           ถ่องแท้คุณธรรม                  

(7) ยี่สิบฉนำทำหน้าที่   สื่อมา                          

เราคิดฯมุ่งนำพา            จุดนี้                    

เสนอสองสัจจะหา          ประเด็นสื่อ เสมอเฮย                   

สมมุติปรมัตถ์ชี้       สัจจะให้ครบธรรม.                                          สไมย์ จำปาแพง                                                                 

7 ก.ย. 2557              [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 291 ประจำเดือน ตุลาคม 2557]

 

เมื่อสักครูได้อ่านคอลัมน์ของแรงรวมชาวหินฟ้า ในนสพ.เราคิดอะไร?....

 

เมื่อคืนได้ออกรายการกับภ.เดินดิน บอกว่า ชาวอีสานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการกินสัตว์ แต่ที่อุทยานบุญนิยม จ.อุบลฯ กลับมีการกินเจที่คึกคัก แม้งานเจรอบสองก็ยังมีคนกินเจพอสมควร ภ.เดินดินบอกว่า เมืองไทยมีDNA ของพุทธโลกุตรธรรมอยู่พอสมควร โดยสังเกตจากการกินอาหารเจกันมากขึ้น และอีกประเด็นคือบุญเป็นส่ิงที่ถูกแปรความหมายผิดไปมาก เอาไปใช้ผิด ก็เป็นการทำลายศาสนาพุทธ บุญมีนัยต่างจากกุศลด้วย บุญไม่ใช่วิมานสวรรค์โลกียะ แต่บุญคือเครื่องมือหั่นกิเลสแท้ๆของศาสนาพุทธ บุญในความหมายโลกีย์คือให้บันดลบันดาลอะไรให้เราได้สมใจ หรือความสบายใจ แทนที่จะเป็นการชำระอาการใจที่เป็นกิเลสออกจากใจ?

 

คุณธรรมของพุทธจึงไม่มีแก่นสาระ เมื่อชาวพุทธเอาบุญไปใช้ผิด ก็เป็นนามธรรมที่เป็นโลกธรรม คือแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมีของแถมคือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เมื่อบุญเป็นนามธรรมคือความอยากได้ ทั้งที่บุญคือนามธรรมที่ชำระความอยากได้ การแสวงบุญแบบโลกียะ ก็แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปแล้ว

 

ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ และเป็นอเทวนิยม คือหลักการสองข้อที่บ่งว่าพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น แม้เป็นคุณงามความดีมากมายแต่เป็นโลกียะก็ไม่ใช่บุญ บุญต้องมีการชำระกิเลสได้จึงนับว่าเป็นบุญ แต่หากได้แค่คุณงามความดีก็เป็นแค่กุศลไม่ใช่บุญ

 

บุญของพุทธมีเขตชี้ชัดว่าเป็นพุทธอยู่หรือไม่ คือบุญต้องเป็นโลกุตระ ไม่ใช่โลกียะ เป็นปุญญเขตตะ คือขอบเขตของบุญในศาสนาพุทธ ถ้าออกนอกนี้ก็ไม่เป็นโลกุตรธรรม หากไม่กอบกู้แก้ไขเจ๊งแน่ๆ เพราะบุญเป็นอาริยผล เป็นโลกุตระ

 

หากบุญไม่ได้ชำระกิเลส ก็ไม่ใช่พุทธแล้ว มีแต่ไปพึ่งเทวนิยม เดรัจฉานวิชชา ค้าขายเครื่องรางของขลัง ค้าขายพระเครื่องเป็นต้น

 

นี่คือแรงรวมชาวหินฟ้าได้นำเสนออีกว่า...เจ้าอาวาสวัดใหญ่บางแห่ง พฤติกรรมอุกอาจถึงขนาดดัดแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่านิพพานเป็นอนัตตา แต่เขาแปลว่านิพพานเป็นอัตตา ไปถวายข้าวให้พระพุทธเจ้าได้ เป็นวิมาน เป็นอัตตา ให้คนสั่งสมอัตตา บริจาคมากได้มาก บริจาคน้อยได้น้อย มีการตลอดทำให้คนหลงติด ทำบุญเพื่อหวังจะได้นิพพานทีเป็นอัตตา หวังว่าจะช่วยให้ขึ้นสวรรค์ ชำระบาปให้แก่ตน

 

ชาวพุทธมีสามระดับ คือพุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ และพุทธบริษัท สามระดับ ตามลำดับ พุทธศาสนิกชนน่าจะเป็นพุทธระดับปุถุชน ส่วนพุทธมามกะ คือพุทธระดับกัลยาณชน และพุทธบริษัทคือพุทธระดับอาริยชนหรือโลกุตรชน

 

 

พ่อครูว่า...อย่างที่คุณว่ามา พุทธศาสนิกชนคือระดับปุถุชนถูกแล้ว ส่วนพุทธมามกะ ก็คือผู้แสวงหาความดี เป็นกัลยาณชน ได้ความดีขึ้นมาแล้วด้วย แต่ว่าไม่เป็นโลกุตระเป็นโลกียะอยู่ แต่ก็เป็นผู้แสวงหาไม่ได้ปล่อยตัวไปตามโลก ไปร่ำรวย ทำร้ายสังคม ซึ่งยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุค ทั่วโลก ข่าวคราวจะเห็นได้ว่าน่ากลัว พุทธมามกะคือขอตั้งใจเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ตั้งใจว่าจะทำดี แม้ศาสนาอื่นๆใดๆที่แสวงหาสิ่งดีงาม เขาเข้าใจความดีงามระดับกุศล เขาเข้าใจได้ทั้งนั้น ว่าความดีงามคือความเกื้อกูล เสียสละ สร้างสรร แม้แต่การลดกาม โกรธ โมหะ ก็เข้าใจได้ทั่วไป ศาสดาศาสนาใดก็เข้าใจ แต่วิธีที่จะทำให้ลดกิเลส ที่เป็นตัวเหตุ กิเลสเป็นตัวเหตุในจิตอันนี้แหละเป็นประเด็นที่จะเข้าข่ายของอาริยะเป็นพุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิก

 

แบ่งเป็นฐานนักบวช กับฐานฆราวาส

 

นักบวชที่เป็นพุทธบริษัทที่สัมมาทิฏฐิก็ทำหน้าที่สืบทอดพุทธศาสนาแต่ฆราวาส นั้นแม้ไม่มีสัญญาประชาคม แต่ก็เป็นผู้แสวงหาความหลุดพ้นได้ และก็ฆราวาสนั่นแหละจะเป็นผู้ที่บรรลุธรรมเป็นจำนวนมากกว่า ก็ทำงานอยู่กับโลก แต่เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ได้ คือซับซ้อน เป็นผู้มี แต่จิตใจไม่มี

 

เราจะไม่รู้จักหรอกว่าใครเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นในฆราวาส แต่ในผู้มีปฏิภาณหรือคบกันนานก็ดูออกได้ แม้มีผัวเมียก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง

 

สรุปคือประเด็นโลกียะกับโลกุตระที่แยกกันนี่คือศาสนาใดๆก็ไม่มีโลกุตระ มีศาสนาที่ใกล้เคียงกับศาสนาพุทธคือศาสนาเชน ของพระมหาวีระ ก็อยู่ในยุคพระพุทธเจ้าซ้อนกันอยู่ เกิดก่อนพระพุทธเจ้า แต่ว่าเขามีความคิดอเทวนิยม แต่ไม่เป็นโลกุตระ แต่พุทธแท้จะเป็นอเทวนิยมและเป็นโลกุตระ

 

เชน เป็นศาสนาอเทวนิยม แต่ไม่เป็นโลกุตระ  แต่พุทธเป็นอเทวนิยมที่เป็นโลกุตระ หรือมีอีกแบบคืออเทวนิยม แบบอุทเฉททิฏฐิ คือไม่มีอะไรทั้งนั้นไม่นับถืออะไรทั้งนั้น เอาแต่ปัจจุบัน น่ากลัวพวกนี้ นับถือแต่ตนเอง แต่ศาสนาเชนไม่ใช่ พระมหาวีระ ถือกรรมวิบากอย่างแท้จริง

 

มีสามความยึดถือที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคือ

1.บุพเพกตเหตุวาทะ คือนับถือกรรมเก่าว่าเที่ยง สุขทุกข์ทั้งปวงคือกรรมเก่า

2.อิสรนิมานเหตุวาทะ คือพวกพระเจ้าสร้างทุกอย่าง การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงคือการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่

3.อเหตุอปจยวาทะ คือพวกไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเลยพวกฮิปปี้ ถือปัจจุบันไม่ถืออดีตกับอนาคต การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัยลอยๆ

 

อย่างลัทธเชนอยู่ในบุพเพกตเหตุวาทะ คือไม่นับถือเทวะ เป็นลัทธิใกล้เคียงกับศาสนาพุทธมาก เป็นอเทวนิยม แต่ไม่เข้าใจโลกุตระ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่เข้าใจโลกุตระ อันนี้ต้องรู้จากศาสนาพุทธเองสืบทอดมาเท่านั้น จะรู้จากศาสนาอื่นไม่ได้ ตั้งแต่กำเนิดพุทธศาสนา เกิดพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 จะย้อนหาต้นตอ พระพุทธเจ้าสมณโคดมว่า เราย้อนไปไม่ได้

 

เพราะว่าในสัญญาของคนก็เป็นของแต่ละอัตภาพ ของพระพุทธเจ้าท่านก็มีอัตภาพของท่าน จากอเวไนยสัตว์จนเป็นเวไนยสัตว์จนพัฒนาเป็นอาริยชน แต่ก็ไม่มีวาระใดที่พระพุทธเจ้าท่านได้พบกับพระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นองค์แรกองค์ต้นเลย แต่เท่าที่ท่านระลึกได้ก็คือพบพระพุทธเจ้ามาห้าแสนว่าพระองค์ในวัฏฏะของท่าน แต่เลยย้อนไปกว่าห้าแสนกว่าพระองค์ก็มีพระพุทธเจ้าอีก แต่ท่านระลึกไม่ได้ เพราะคนจะระลึกได้คนต้องเคยเกิดร่วมด้วย หากไม่มีจุดร่วมด้วยก็ระลึกไม่ได้ เป็นอจินไตย

 

คนอวดเก่งกว่ารู้หมดเลย รู้ว่าคนเกิดเป็นอะไรชาติก่อน ตอบได้หมด คนนี้อาตมาว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ อาตมากลัวคนแบบนี้  เพราะมันเกินไป

 

มาเข้าเรื่อง เทวดามาบอกให้ทำดัชนีชี้วัดคุณธรรมจริยธรรมของสังคม ซึ่งจะแบ่งเป็นสองเกณฑ์ใหญ่คือ

 

1.เกณฑ์โลกียะ ใช้มงคล 38 เป็นตัวชี้วัด ก็ขอเอาไว้เล่าตอนท้าย

2.เกณฑ์โลกุตระ ใช้กถาวัตถุ 10 หรือวรรณะ 9 เป็นเครื่องชี้วัด หากจะชัดก็ใช้โพธิปักขิยธรรม 37 ชี้วัดตั้งแต่กายในกายไป...ให้สัมมาทิฏฐิ

 

คำว่าบุญ เดี๋ยวนี้เพี้ยนกลายเป็นก้อนนรก คนไม่รู้ก็ซื้อเอาก้อนนรกไป เป็นบาปกรรมหนักหนา เป็นกรรมของแต่ละคน อาตมาไปลงโทษเขาไม่ได้ เขาทำมากหรือน้อยก็ได้ตามกรรม ที่สำคัญคือประเด็นจะแยกโลกียะกับโลกุตระอยู่ที่ไหน

 

อยู่ที่วิญญาณ ในวิชชา 9 ที่มีวิปัสสนาญาณ เป็นข้อแรกเลย ปัสสะ แปลว่าเห็น คุณต้องเห็นแท้จริง เห็นความเป็นจริงไม่ใช่ไปนั่งหลับตาอยู่ในภพ แต่ให้ครบทุกข์องค์รวม สัมผัสแตะต้อง ข้างในก็ตาม ข้างนอกก็ตาม องคาพยพ เราสัมผัสแตะต้องแล้ว อันนั้นมีประสาทรับเชื่อมให้รู้สึกได้ ประสาทรับนี่สำคัญมากเลย ประสาทที่ผิวหนังมีประสาทส่วนหนึ่ง แล้วติดชิดมากเลย เลยผิวหนังไปขนาดหนึ่งไม่นับว่ากาย เพราะไม่มีประสาทไปร่วมรับรู้ อย่างหนังหนาๆ คุณเอามีดเฉือนทิ้งได้เลย ไม่มีประสาทรับรู้ได้ ผิวหนังส่วนนั้นก็ไม่ใช่กาย

 

หรือเล็บ ผม ขน ฟัน หนัง ห้าอย่างนี้ไม่ใช่กาย มีแต่ผิวหนังเท่านั้นที่มี จึงเรียกว่าผิว เราไม่เรียกผิวขน หรือผิวเล็บ แต่ผิวหนังนี่ไม่ใช่กาย คือหนังหนาออกมาข้างนอก ส่ิงที่ไม่มีจิตเข้าไปร่วมด้วยไม่เรียก “กาย” กายจึงคือจิต

 

 

เร่ิมต้นที่สักกาย ถ้าไม่รู้องค์ประชุมสัมผัสรู้ได้ว่านี่คือกาย เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เบื้องต้น ตั้งแต่ข้างนอกแล้วโยงใยให้เรารู้ได้ ทุกองคาพยพ สัมผัสอะไรมีธาตุรู้มารับรู้ก็คือ กาย ตรงผิวหนังข้างนอกไม่รับรู้ แต่หนังข้างในนี่รับรู้ได้ คำว่าหนัง เป็นกายได้ แต่คำว่าผิวหนังไม่ใช่กาย

 

ส่วนจิตวิญญาณเป็นนามกายแน่ เป็นองค์ประชุมของภายใน อย่างเวทนาเป็นองค์ประชุมของนามแท้ๆ จิตก็เป็นนามธรรมแท้ รวมเรียกว่า กายวิญญาณ เป็นธาตุรู้องค์รวม

 

ต้องมีจิตวิญญาณเข้าไปรับรู้องค์ประชุมของกายได้ คืออ่านจิตตนได้ เริ่มต้นตรงนี้คือสังโยชน์ข้อ 1 แต่ถ้ารู้ผิดๆ เช่นรู้ว่าสักกายะคือตัวตนของตน แล้วไปคิดว่าผู้พ้นสักกายะคือผู้หมดตัวตน ก็ไม่ได้เรียนรู้อัตตา 3 พระพุทธเจ้าแยกเรียนรู้ไว้ในอัมพัฏฐสูตร ตรัสถึง โอฬาริกอัตตปฏิลาโภ อัตตาปฏิลาโภคือเราได้อัตตา ถ้าอวิชชาก็ไม่รู้ว่าเราได้เรายึด แต่ถ้ามีวิชชาก็รู้ได้ว่าเรายึดอะไร มีอัตตาอะไร

 

ถ้าไม่ได้ฟังจากสัตบุรุษรู้เองไม่ได้ ในโลกุตรธรรมนอกจากได้ฟังได้เห็นจากสัตบุรุษแล้วปฏิบัติจนเป็นปัจจัตตัง สยังอภิญญา เป็นสยัมภู แต่ทุกวันนี้มันเพี้ยนไปไกลแล้วมันหาคนที่เป็นอาริยะไม่ได้แล้ว ขออภัยที่ต้องพูดเหมือนตนรู้อยู้คนเดียว อาจหมั่นไส้อาตมาได้

 

มาต่อที่มงคล 38
1.ไม่คบคนพาล

คนมีปัญญาจะรู้ว่าคนไหนพาลคนไหนบัณฑิต และในคนพาล เช่นเด็ก คนโง่ คนเลวร้าย มีไม่ดีอ่อนๆจนถึงไม่ดีเลวร้ายสุดๆก็คือคนพาล การไม่คบคนพาล คบบัณฑิตคือคนนี้ต้องรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ยิ่งถ้ารู้ว่าคนนี้เป็นอาริยบุคคล เหนือกว่ากัลยาณชนได้อีก คบบัณฑิตที่เป็นอาริยบุคคลก็ยิ่งดี

 

แล้วคนฉลาดที่อวิชชานี่รู้ยาก คนพาลในระดับคนฉลาดนี่แหละหลอกเก่งซับซ้อนจนคุณรู้ไม่ทัน คือจอมโจรบัณฑิตที่มีอยู่ในสังคม เรารู้ยาก ก็อาละวาดในสังคม ขนาดฉลาดมากเลย แต่ก็ยังซูฮกจอมโจรบัณฑิตนี้อีก ก็ยากมากเลยในสังคม

 

2.คบบัณฑิต ก็เลือกเอากันว่าจะคบคนไหน?

3.ควรบูชาบุคคลที่ควรบูชา

4.อยู่ในที่ๆสมควรอยู่...สถานที่สวรรค์โลกียะ เขาพูดกันเป็นภาษาคนว่าเป็นแดนนรก ส่วนแดนสวรรค์ที่คนชั่วบาปมาใกล้ไม่ได้มันร้อน ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไรเขา เขาเข้ามาในแดนโลกุตระเขาก็อยู่ไม่ได้ อาตมาอธิบายไม่ได้ มันจะรู้สึกร้อนจริงๆเลย เหมือนนิทานทศกัณฑ์ ที่จับตัวนางสีดา(แปลว่าเย็น) นางสีดานี่เย็นทางโลกุตระ ทศกัณฑ์เข้าใกล้ไม่ได้เลยร้อน  ในสถานที่โลกุตระนั้นไม่ต้องกลัวหรอก คนชั่วเข้ามาไม่ได้หรอก ต้องคนมีบุญพอสมควรจึงเข้ามาได้ ส่วนคนที่เข้ามาได้แต่ไม่เข้าคือคนโง่หรือฉลาด..โง่ แล้วจะโง่ไปอีกนานไหม?

5.มีคุณความดีที่สะสมไว้ก่อน(บุพเพกตปุญญตา) คุณความดีโลกียะก็มี แต่คุณจะมีโลกียกุศล เช่นทำทานจึงได้รวยแต่เอาไปใช้ทางโทสะ ราคะ แล้วแต่กุศลที่ได้มา คนที่มีกุศลแต่รวยมีอำนาจ ยิ่งทำชั่วซับซ้อนจากสิ่งโลกียะที่ตนมี อย่าประมาทอยากได้โลกียกุศล แต่หากวิชชาก็ทำร้ายได้มากทำบาปได้มาก สร้างวิบากทั้งโทสะ และราคะ เป็นศัตรูทั้งคู่เลย ดูในสังคมไทยก็ทำกันอยู่ เห็นๆ พระพุทธเจ้าสอนว่าความชั่วแม้น้อยอย่าทำเสียเลย

6.ตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง (อัตตสัมมาปณิธิ) ถ้าไม่ตั้งใจพากเพียรก็ถูกโลกดึงไป เพราะสนามแม่เหล็กแห่งความชั่วมันสูง แรงมาก เราจึงต้องตั้งตนไว้ให้ดีให้ชอบ ตั้งใจสู้ให้ได้ จึงต้องฝืนอุตสาหะ

7.รับฟังใส่ใจศึกษามาก(พหูสุตร) เขาแปลพหูสูตรแบบโลกีย์ว่าเป็นผู้เรียนมากเรียนเก่ง มีแต่โลกียะ แต่ควรจะมาโลกุตระ เพราะโลกียะหากไม่มีโลกุตระก็จะดึงเราทำบาปได้มาก

8.มีศิลปะ (สิปปัญญจะ) มีฝีมือสามารถมากทางไหนก็ตาม กสิกรรม วิศวกรรม วาดเขียน แต่ถ้ารู้ศิลปะทางฝีมือควรมีโลกุตรธรรมด้วย หากมีแต่ฝีมือแต่ไร้โลกุตระก็แย่เอาไปหลอกคน เข้าหานรกได้เลยตนหลอกตนและตนหลอกคนอื่น หลอกกันไปกันมา อย่างแวนโก๊ะ ที่จริงคือคนบ้า แต่คนไปติดเทคนิคของแกที่เป็นอัตลักษณ์ของแก คนก็ไปติดทีแบบนี้ พอแกตาย ก็ถือว่าแกเป็นเจ้าของเทคนิคแบบนี้ ที่จริงไม่มีสาระอะไรเลย เขียนภาพเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง เขียนดอกทานตะวัน เท่านั้นเอง แล้วแกประสาทไม่ดีเชือดหูตัวเอง แต่คนไปสัมผัสแล้วก็ว่าดีจัง อุปาทานเข้าไป ทั้งที่ไม่มีสาระศิลป์เลย มีแต่เทคนิค คนเดี๋ยวนี้หลงแต่เทคนิควิธีการแต่ไร้สาระ

9.มีนัยศึกษาที่ดีแล้ว (วินิโยจสุสิขิโต) มีวินัย ระเบียบแบบแผนการศึกษาที่ดี

10.กล่าวแต่ถ้อยคำที่ดี(สุภาษิตา จ ยาวาจา) ถ้าถึงโลกุตระเช่นคำว่าเปยยาวัชชะ คือตำหนิให้คนดื่มได้ หรือดื่มคำตำหนิ ผู้ทำคำตำหนิให้คนดื่มได้ ด่าให้คนชอบได้นี่คือปิยวาจา

11.บำรุงบิดามารดา ถือว่าต้องทำอย่างยิ่ง แต่คำสอนพระพุทธเจ้าว่าแม้เราเอาพ่อแม่มาเลี้ยงบนบ่าซ้ายขวา คือเลี้ยงดูอย่างดีเลย ก็ยังไม่ถือว่าตอบแทนบุญคุณเลยในโลกุตระ แต่อย่าเอาคำโลกุตระนี้ไปตัดสินโลกียะนะ ต้องฟังให้เป็น แต่จะถือว่าตอบแทนแบบโลกุตระคือให้พ่อแม่มีความเข้าใจใน ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ จาคะ ปัญญา คืออาริยทรัพย์ 7 อย่างมีศีลก็ต้องจับอาการจิตได้ ว่ามีโทสะ ราคะ โมหะอย่างไร แล้วจัดการได้ อย่างจาคะนี่ให้ทานแล้วจิตเกิดผล อ่านใจเป็นหรือไม่ว่าใจเป็นเนกขัมมะหรือเคหสิตะ คือลดกิเลสหรือเพ่ิมกิเลส จิตไม่มีตัวตนสรีระรูปร่างแต่มันมีอาการเอาออกหรือเอาเข้า ต้องอ่านอาการจิตให้ออกจริง ทำเนกขัมมะเป็นคือคนโลกุตระ ถ้าทำไม่เป็นก็ไม่เป็นโลกุตระ ทำให้เป็นโลกุตระได้ก็เป็นสุภาษิต

12.เลี้ยงดูบุตร....ต่อไปจะไล่จากปลายมาหาต้น ในมงคล 38

 

เราก็ดูความหมาย ว่าเขาหาโลกุตระอย่างไร อย่าง

38.เกษม จิตเกษมคือจิตบริบูรณ์แล้ว อย่างโลกีย์คือสมใจเมื่อได้สมกิเลสก็ชื่นใจ สมใจ แต่ถ้าโกลุตระ จิตเกษมคือไม่มีสุขทุกข์อย่างสมบูรณ์ คือทำมาตั้งแต่ แรกมาถึงจิตธุลี (ข้อ 37) จะเล็กจะน้อยอย่างไรก็เป็นธุลี เป็นธุลีหมอง ธุลีเริง คือต้องวิรชะ ให้ไม่มีเศษแห่งจิตสุขทุกข์เลย

37.วิรชะอาตมาแปลว่าธุลีเริง

ส่วนข้อ 36อโศกะ อาตมาแปลว่าธุลีหมอง อโศกอยู่ในระดับนี้ แต่ไม่ได้โศกอย่างหยาบนะ แต่มันขั้นละเอียดแล้งต้องตรวจด้วยอรูปฌาน ให้พ้น อโศกะ วิรชะได้จึงเป็นผู้เกษม เขมัง

 

ตั้งแต่ข.35 ก็เป็นผู้ที่สัมผัสโลกธรรมทั้งหลาย ที่เป็นโลกียสุข เป็นอัตตทัตถสุข และกามสุขขัลลิกะ การบำเรออัตตา บำเรอกามก็เป็นสุข เราต้องจัดการล้าง เราต้องรู้ว่าโลกธรรมมีอะไร จิตเราสัมผัสโลกธรรมเราก็ไม่หวั่นไหว เราต้องมีความรู้ทางวิโมกข์ สัมผัสโลกธรรมด้วยวิโมกข์ ด้วยองค์ประชุมด้วยกาย ทำให้ถึงขั้น จิตไม่หวั่นไหว เป็นขั้นอรูปแล้ว

 

.34 เป็นโลกุตระขั้นปลาย ทำให้แจ้งด้วยนิพพาน คือสั่งสมนิพพาน ผู้มีอภิสังขาร 3 อเนญชาภิสังขารก็คือข้อที่ 35 เป็นผู้รักษาผลให้ยั่งยืนมั่นคง ผู้ทำให้รู้แจ้งแล้วคือผู้มีอปุญญาภิสังขาร สัจฉิกรณะแล้วรู้แจ้งชัดว่าทำให้กิเลสดับเป็นอย่างนี้ ทุกกาละที่กระทบสัมผัสก็ทำให้ปัจจุบันกิเลสเป็นสูญ แล้วสั่งสมเป็นอดีตที่สูญ จนพยากรณ์อนาคตเลยว่ากิเลสสูญ

 

.33.เห็นอาริยสัจ ข.32 ประพฤติพรหมจรรย์ ข.31บำเพ็ญตบะคือเพียรเผากิเลสด้วยอดทน

คนที่ประพฤติพรหมจรรย์มาตั้งตบะบำเพ็ญเพียรอย่างศาสนาเชนเขาอดทนมากเลยนะ ขนาดผมก็ไม่โกนเลยนะเขาถอนเอา หรือบางคนนั่งกลางหิมะสร้างจิตให้มีเตโชกสิณไม่หนาวได้เลย ใครจะศึกษาอย่างเชนก็ไปทำแต่ไม่ง่ายนะ อาตมาว่าเสียเวลาเปล่า

.30สนทนาธรรมสมำ่เสมอ มีปรโตโฆษะ ในท่านผู้อธิบายโกลุตระได้

.29พบปะเยี่ยมเยียนสมณะ โดยเฉพาะสมณะที่เป็นโลกุตระเป็นสัตบุรุษ

.28ว่าง่ายสอนง่าย ข.27 เป็นคนอดทน (ไม่เหมือนตโปนะ) ข.26ฟังธรรมตามกาล  ข.25มีความกตัญญู (จากข.25 ขึ้นไปเป็นโลกียะเสียเยอะ) คนทั้งโลกียะและโลกุตระต้องมีกตัญญู คนไม่มีกตัญญูก็ไม่มีคนที่เลวกว่านี้อีกแล้ว

.24 มีความสันโดษ มักน้อยน้อยก็พอ ข.23 มีความถ่อมตน ข.22 มีความเคารพ

 

การถ่อมตนนี่แหละเป็นขีดเขตแห่งอัตตา หากตนไม่น้อมเลยเมื่อไหร่จะลดอัตตาได้ คนถ่อมตนได้จึงเป็นคนเร่ิมเข้าหาโลกุตระได้

.21ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย  ข.20กำหนดตนให้ละจากความมอมเมา(มัชชปาณาจสัญญตา) ตั้งแต่ออกจากอบายมุข การโกง อย่างทุกวันนี้มันอภิมหาอบายมุขในคนระดับนักการเมือง ได้ทั้งอำนาจและร่ำรวยได้ นี่แหละจอมมหายอดสัตว์นรก ขออภัยที่พูดแรง ไม่ได้โกรธเขาแต่อยากให้เขารู้สึกตัว แต่คุณทำบาปก็สะสมนรกให้คุณเอง อย่ามาโกรธอาตมาไม่ได้เรื่องหรอก

.19งดเว้นจากบาป  อย่างเราทำพรรคการเมือง เราก็ขอทำงานการเมืองภาคประชาชน เพราะการเมืองระดับประเทศเขามีกลอุบายมากทำให้เกิดโทษภัย    ข.18ทำงานไม่มีโทษ อย่างการเลี้ยงไก่บางแห่งก็ทรมานไก่มาก ไม่ให้มันไปไหน เกิดมาก็ให้อยู่กับที่ให้กินอาหาร 45วันก็เอาไปเชือดได้ ไก่ให้มันไข่อย่างนี้แล้วพอหมดหน้าที่ก็ฆ่าเสีย อย่างนี้เขาทำได้หมดแล้วใส่แต่สารเคมีทั้งนั้น หลอกไก่ให้มันไข่วันละ 2 ใบ ติดไฟทั้งวันทั้่งคืน

.17สงเคราะห์ญาติ  ข.16ประพฤติธรรม ข.15บำเพ็ญทาน ข.14 ทำการงานไม่คั่งค้าง ข.13สงเคราะห์ภรรยา(สามี) ข.12เลี้ยงดูบุตร

 

นี่เป็นตัวชี้วัดคุณธรรมระดับโลกียะ แต่จิตที่ทำไปมีวิบากนะ คุณสละแต่วัตถุแต่จิตคุณโลภ ขอให้ได้มากกว่าเก่า คือเข้าใจวิธีการปฏิบัติใจไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ

 

พวกที่ทำยัญพิธีเป็นยิตถังที่ไม่รู้ว่าลดกิเลสได้หรือไม่อย่างไรก็ไม่รู้ ทำใจในใจไม่เป็น เป็นอัตถิยิตถัง

 

แต่ถ้าปฏิบัติทานแล้วหรือยัญพิธีหรือศีลแล้ว จิตใจเราได้ผลลดกิเลสหรือไม่ก็เป็น หุตตัง เป็นอัตถิหุตตังหรือว่านัตถิหัตตัง ถ้าทำได้ผลก็เป็นโกลุตระแต่เมื่อไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าตนมีโลกุตระไหม? แล้วสังคมจะมีโกลุตระหรือไม่?

 

ขออภัยที่ต้องบอกว่าสังคมทุกวันนี้หาคนโลกุตระไม่ได้ ที่เขานับถือเป็นปราชญ์ก็ไม่ได้เป็นโลกุตระ ส่วนใหญ่เป็นกัลยาณชน ซึ่งอาตมาก็เคารพนับถือท่านอาตมาได้ประโยชน์จากท่านมาก

 

ขอสรุปว่าโลกุตรธรรมจะกอบกู้สังคมได้ เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านจนถึงมีแต่ประโยชน์ท่านได้จริง แต่ตอนนี้สังคมเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้ตั้งแต่ต้นทางเลย ก็ปฏิบัติไม่ได้ ก็ไม่มี ทุกวันนี้ตามภูมิอาตมานะ เช่นเราจะวัดค่าของมนุษย์ในสังคม

 

หากวัดด้วยกถาวัตถุ 10 ก็ต้องวัดด้วย

 

ก็ดูว่าคนในสังคมมีศีลไหม?

ศีลทุกวันนี้ในเมืองไทย ศีลของพระพุทธเจ้าในเมืองไทยอาตมาให้ค่า -1 เลยนะแค่ 0 ก็ไม่ได้ เพราะปฏิบัติศีลไม่ถูก ไม่ได้ลดกิเลส แต่เอาศีลไปเป็นเครื่องมือของบุญ แต่เอาไปหลอกคน ไปถือศีลเป็นวิมาน ไปรับศีล มยังภันเตก็แค่กดข่ม ไม่ได้วิราคะ ไม่ได้เห็นแม้กิเลสไม่เที่ยงไม่ต้องพูดถึง สมาธิเลย

 

สมาธิ อาตมาให้คะแนน -5 เลยในสมาธิ เพราะพุทธมีสัมมาสมาธิแต่ไปนับถือสมาธิผี 

 

ปัญญาก็ให้คะแนน -5 เลย เพราะปัญญาไปหลงร่ำรวยกันทั้งนั้น พระเจ้าถ้าให้แจ้งทรัพย์สินก็คงดี ขอความกรุณาขอพูดเถอะไม่ได้โกรธเกลียดใครนะใครชังผมก็บาปของท่านนะ ผมชื่อรักนะไม่ได้ชื่อชัง

 

วิมุติให้ -2 เพราะเป็นมิจฉาวิมุติ

 

วิมุติญาณทัสสะ ให้ _3 เพราะเอาความฉลาดไปทำเรื่องโง่

 

เอากถาวัตถุอีก 5 มาให้คะแนนอีก

คนไทยทุกวันนี้นักการศาสนานี่

1.มักน้อยไหม?...ให้คะแนน 3 สู้เชนไม่ได้เรื่องมักน้อย

2.สันโดษ ก็พอแต่ไม่ถึงปัญญาก็ให้แคแนนแค่ 2
3.ปวิเวก ให้คะแนน -2 เพราะวิเวกไม่เป็น พระพุทธเจ้าว่าอุบาลีการออกป่าหาวิเวกได้ยาก เขาไม่รู้ว่าวิเวกคืออะไร?

4.อสังสัคคะ ให้คะแนน -3 เขาไปแปลอสังสัคคะว่าหนีไม่เกี่ยวข้องเลย ไม่รู้จักเทวดาสวรรค์ที่แท้จริง ไม่รู้สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ เขาเอาสวรรค์เก๊ไปหลอกคนอีก

วิริยารัมภะให้คะแนน 6 เขาเพียรเก่งเยอะ บางคนเพียรเก่งกว่าอาตมาอีกนะ อย่างท่านมุทุกันโตก็เป็น พระพุทธเจ้าท่านว่า มีสาวกที่เก่งกว่าท่าน น้อยกว่าท่านก็มีเยอะ

 

สรุปแล้วเอากถาวัตถุ 10 รวมยอดแล้ว ได้แค่....แต่ก็ตกนะ

 

1.สุภระให้  -1

2.สุโปสะให้ -2

3.อัปปิจฉะให้ 3

4.สันตุฏฐิ 2

5.สัลเลขะให้ -3 ไม่ขัดเกลากิเลสในพระเมือง สายพระป่าก็มีขัดเกลาบ้าง สายพระเมืองเสวยบัลลังก์จนอู้ฟู่หมดแล้ว

6.ธูตะ คือศีลเคร่ง ให้คะแนน 1

7.ปาสาธิกะ คืออาการที่น่าเลื่อมใส แม้ใจดีแต่อาการกายวาจาไม่น่าเคารพก็มี

8.อปจยะ ให้คะแนน 0

9.วิริยารัมภะ ให้คะแนน 6

 

นี่คือการให้คะแนนทางโลกุตระหากเข้าใจเนื้อหาก็จะให้คะแนนสังคมได้ อาตมากำหนดเป็นตัวเลข ที่ต้องตรวจสอบ ถ้าทำเป็นการตรวจสอบวิจัยเป็นสถิติก็ได้ เอาลายมืออาตมาเขียนไป อินเสิร์ทออกไปเลยได้

 

.เพาะพุทธว่า..สรุปคือสอบตก จากมาตรฐานคุณธรรมสังคมไทยในเชิงโลกุตระก็สอบตก แต่ไม่ได้ให้คะแนนคุณธรรมโลกียะ

ในแง่สมาธิได้ -5 หรือหลายข้อก็ได้ติดลบ พ่อครูให้คะแนนสังคมไทย เราเองก็เป็นหนึ่งในสังคมไทย เราเองก็ควรรับผิดชอบด้วยกับสังคม จะทำอย่างไรก็ให้เพ่ิมคุณธรรม

 

พ่อครูว่า..อย่างข้อที่ว่า วิริยารัมภะได้ 6 คะแนนอย่าเพิ่งดีใจ แต่อาจเป็นความขยันของคนโง่ก็ได้  อาตมาไม่ได้ใส่ความนะ ดูที่ไทยเราทุกข์มากว่าสุข แล้วใครรับผิดชอบก็ศาสนาใช่ไหม?

 

.เพาะพุทธว่า...เราไปไม่ถึงวิมุติเพราะเราหยุดอยู่แค่วิมาน หวังว่าพี่น้องของเราจะสะสมวิมุติเป็นผู้มีคุณธรรมไม่ติดลบ สอบผ่านได้คะแนนมากกว่า 5

 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:03:49 )

571028

รายละเอียด

571028_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง เครื่องวัดค่าคุณธรรมสังคมไทย ตอน 2

พ่อครูว่า...วันนี้อังคาร 28 ต.ค.​57 ฝนก็ยังตกอยู่ ทุกอย่างแปรปรวนหมด ธรรมชาติแปรปรวน เพราะฉะนั้นคนก็แปรปรวนไป มีนิสิต วนบ.นั่งอยู่หน้าจะหรือไม่? ดูอาตมานั่งหน้าน้ำตก มีคนกลัวว่าอาตมาจะเปียก แต่ที่จริงเขาใช้เทคนิค เดี๋ยวนี้เขาใช้เทคนิคหลอกกัน ทุกวันนี้ยังมีคนสงสัยว่าที่ว่าไปเหยียบดวงจันทร์นั้นจริงหรือไม่? ก็สงสัยกันไป แต่อาตมาไม่เสียแคลอรี่ไปสงสัย แต่จะใช้พลังงานมาช่วยคนดีกว่า

 

ทุกวันนี้กิเลสเข้า ทำให้คน สังคม เดือดร้อน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักกิเลสเลย แต่วันนี้ก็จะเปิดให้ผู้ชมทางบ้านส่งประเด็นหรือถามได้

 

วันนี้ก็คงจะพูดต่อจากวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ตรวจสอบคุณธรรมของประชาชน สังคม ชาวพุทธ จะตรวจสอบได้อย่างไร ก็ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ซึ่งในนักบวชท่านใช้หลักการตรวจสอบพระธรรมวินัย และโคตมีสูตร มีวรรณะ 9 หรือกถาวัตถุ 10 ก็ใช้ในการตรวจสอบสังคมพุทธได้

 

ตรวจสอบความจริงว่าพุทธธรรมในชาวพุทธทุกวันนี้ มีเนื้อหาสาระของพุทธกันบ้างไหม? ก็ตรวจจากหลักธรรมดังว่านี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ล.12 ข.355

       [355] ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ. เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น. เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น. เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ [หรือมีคนรู้จักน้อย] มี ศักดาน้อย. อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จ ประโยชน์แก่เขา ฉันใด. ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

 

พ่อครูว่า...แก่นของศาสนาพุทธคือเจโตวิมุติอันไม่กลับกำเริบ และกระพี้ของไม้คือปัญญา  เปลือกไม้เรียกว่าสมาธิ     สะเก็ดไม้ว่าเป็นศีล  และท่านเทียบอีกอันคือกิ่งไม้ใบไม้ผลไม้ที่ชวนชมชวนดู ท่านเทียบว่าคือลาภสักการะสรรเสริญ  มันยั่วยวนนัก นี่เป็นตัวที่แย่ที่สุด ยิ่งกว่าสะเก็ดไม้ที่เปรียบกับศีล

 

ทุกวันนี้เขาไม่ได้ศีลแท้ๆ ไม่เข้าถึงศีลที่พาให้เกิดจิตเป็นสมาธิและปัญญา ก็เป็นศีลที่เหมือนสะเก็ดไม้ที่เป็นโรคด้วย แถมยังแยกศีล สมาธิ ปัญญา อีกด้วย

 

ฆราวาสที่มาปฏิญาณตนต่อประชาคมว่า ตนเป็นผู้จะศึกษาศาสนา รักษาศาสนา แม้เป็นฆราวาส ก็จมไปด้วยลาภ สักการะ สรรเสริญ​ ก็ได้แย่งแค่นั้น ก็ไปวัดด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ได้เข้าหาแก่น ได้แค่สะเก็ด ไปขอศีลก็ถือตามจารีตประเพณี ไม่ได้เป็นศีลที่เข้าถึงจิต

 

ไม่รู้ว่า ศีล 5 ที่ว่านี้ เวลาปฏิบัติจะต้องอ่านองค์ประชุม กาย วาจา ใจ อย่างไร อ่านจิตใจอย่างไร เราเกิดจิตโทสะมูลอยากทำร้ายไหม? ไม่ได้เกิดจิตแผ่เมตตา แต่แค่พูดเอา ไม่ได้ทำใจในใจ หรือมนสิกโรติ ทำใจเวลาสัมผัส ว่าจิตเราเกิดจิตคิดร้ายจะทำร้ายสัตว์ แล้วเราก็รู้สึกตัวได้แก้ไขปรับปรุงจิต อย่างนี้คือเมตตาแท้ อย่าไปทำร้ายเขา ให้เขาเป็นสุข ไม่ได้เกิดความรู้ความจริงอย่างนี้เลย

 

ศีลทำให้เกิดจิตที่มีเมตตาอย่างไร ได้มีกรุณาอย่างไร จิตไม่เกิดอาการอย่างนี้ ศีลไม่ได้พาให้เกิดมรรคผล มีแต่ไปแผ่เมตตา สัพเพสัตตา อเวราโหนตุ ….ได้แต่ท่องไป ก็ได้แต่พูดกัน แล้วก็ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ก็ได้เริ่มต้นเท่านั้น แล้วเมตตาต้องทำอย่างไร เจอสัตว์ก็เอาลงหม้อแกง ไม่ได้มีเมตตาเลย สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์ แต่เอาเขามาเข้าปาก เป็นต้น

 

ทุกวันนี้ไม่เข้าใจกัน แม้แต่ผู้จะให้ความรู้ก็ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ดังกล่าว ไม่มีเนื้อ แต่นี่เราพูดกันแค่สะเก็ด แต่ลาภ สักการะ สรรเสริญ แย่งกันก็ตามสัญชาติญาณสัตว์โลก เป็นปุถุชน เท่านั้น ทุกคนก็อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แม้แต่เรื่องศีลที่เป็นสะเก็ด ก็ยังไม่กระเตื้องเลย นี่คือการวัดค่าสังคมพุทธ

 

ศีลของพุทธต้องทำให้เกิดจิตเปลี่ยนแปลง ตั้งมั่นได้เป็นฌาน เป็นสมาธิ ศีลเราไม่ทำร้ายสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อ 2 เราก็ไม่โลภ ไม่ทุจริต ไม่เอาของเขาเด็ดขาด เราต้องอ่านใจเราแล้ว ว่าเราจะโกงเขา จะทุจริตแล้วนะ ไม่ต้องไปพิจารณาถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ยังได้ฝึกเลย แต่ถ้าทำได้ก็ยิ่งเป็นวิปัสสนา

 

ว่ามันเป็นเหตุให้เราทำบาป ทุจริต เลวร้าย จนเราเห็นอนิจจัง เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันจะต้องเกิดญาณปัญญา เมื่อได้สัมผัส ศาสนาพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัส อ่านจิตออกขณะนั้น ได้แก้ไขจิตขณะนั้นเป็นปัจจุบันธรรม เป็นผลแท้ๆ เกิดการลดละจางคลาย เป็นฌาน เป็นสมาธิ ก็เป็นของจริง มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

 

ยิ่งลึกถึงเปลือกไม้เรียกว่าสมาธิ ขั้นนี้ลึกเข้าไปเกินสะเก็ด แต่ก็แค่เปลือกนะ ทุกวันนี้ก็ไปได้เปลือกไม่ได้เปลือกต้นพุทธ ไปได้เปลือกต้นตำแย ต้นพิษ ไม่ใช่ต้นพุทธ ไม่ใช่สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า

 

อาตมาเข้าใจสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตร ชัดมาก ท่านตรัสว่าสัมมาสมาธิของท่าน ปฏิบัติด้วยมรรค 7 องค์ เป็นเหตุให้ปฏิบัติ เป็นเครื่องประกอบองค์ประกอบแท้ของการปฏิบัติเพื่อไปสู่สัมมาสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา การไปนั่งสมาธิหลับตาเป็นการเข้าในภวังค์สร้างรูปภพ อรูปภพในภวังค์ แล้วไปสร้างมโนมยอัตตา

 

อาตมามีเจตนาดีที่จะรักษาธรรมะพระพุทธเจ้าเพื่อสืบสานศาสนาไม่ได้มีเจตนาร้าย เพราะฉะนั้นแค่เปลือกก็มิจฉาแล้ว เป็นมิจฉาสมาธิ ซึ่งสมาธิของพระพุทธเจ้า นั้นปฏิบัติทุกกรรมการงาน อาชีพ เป็นสัมมาอาชีวะ การกระทำทุกอย่างก็ให้เป็นสัมมากัมมันตะ การพูดก็ให้เป็นสัมมาวาจา ให้เกิดผล จะสัมมาได้ก็คือกิเลสลด หากกิเลสไม่ลดก็เป็นมิจฉา และลืมตามีชีวิตปกติ มีศีลเป็นกรอบ ให้เกิดฌาน วิมุติในศีล ตั้งแต่ศีล 5 ให้พ้นศีลพตปรามาส พ้นวิจิกิจฉา จะเห็นกิเลสลด เห็นความจางคลาย มีอนุปัสสะ รู้ว่าสักกายะจางคลาย รู้อินทรีย์กิเลสว่าจางคลาย มีนิโรธานุปัสสี  แล้วรักษาผลเป็นทำทวนทำซ้ำ ปฏินิสสัคคานุปัสสะ ก็ไม่ได้ไปนั่งหลับตา แต่มีชีวิตปกติ แล้วอ่านจิตขณะสัมผัส มีองค์ประชุมภายนอกและใน พหิทารูปานิปัสสติ อ่านถึงภายใน เป็น อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ

 

สมาธิที่เขาทำไม่ได้มีอย่างนี้ก็เลยเป็นมิจฉาสมาธิ ทำกันเต็มไปหมด ก็ขออภัย ครูบาอาจารย์เขาถ่ายทอดมิจฉาสมาธิกันมานานแล้ว อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ในชาตินี้ แล้วอาตมาก็สอนไม่เหมือนใคร คนก็หาว่าอาตมาจะมาล้มล้างศาสนาพุทธ ก็ได้ข้อหานี้ แต่อาตมาจริงใจ การนั่งอย่างนั้นตอนเป็นฆราวาสก็ทำมา ก็หลงทำ อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ออกป่านั่งสมาธิตามที่เขานิยมทำกัน ท่านก็นั่งได้หมด แต่ท่านบอกว่าไม่ใช่ ท่านก็แสวงหา แล้วไปหลงอัตตกิลมถะ ทรมานตนอีก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า 6 ปีที่ปฏิบัตินี้่ไม่ใช่ทางพุทธ แต่เดี๋ยวนี้เขาหลงพระป่า แต่ออกมาก็ไปปลุกเสกพระ เป่า พรมน้ำมนต์ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ โฆษณาขายพระเครื่องกันเต็มเลย แล้วยกกันว่าเป็นอรหันต์ แล้วมีอรหันต์ แต่อรหันต์เก๊

 

แม้สมาธิที่แค่เปลือกก็เพี้ยน แล้วเข้าหาปัญญา ก็เลอะเลย ปัญญาเป็นกระพี้ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ในขณะท่านมีชีวิต เผยแพร่ศาสนากำลังเจริญ ท่านก็พยากรณ์ไว้ในอาณีสูตร์ ล.16 ข.672 ท่านพยากรณ์ไว้ว่า...7. อาณิสูตร [672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพน ชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉัน ใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้ง จิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตร อันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวก ภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

 

[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุ ดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสต ลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ จบสูตรที่ 7

 

พ่อครูว่า...ตะโพนอานกะก็เปรียบเหมือนศาสนาที่ชื่อว่าพุทธ เมื่อนานเข้าความเสื่อมของพุทธก็มี คือภิกษุไม่เอาเนื้อแท้ของพุทธแล้ว จะพากันสร้างส่ิงใหม่เป็นเนื้อหาใหม่ไม่ใช่เนื้อแท้ แต่ก็เรียกว่าพุทธ พุทธเดี๋ยวนี้เป็นศาสนาใหม่ในเนื้อแท้ มีตำราบางเล่มเขานับถือว่าเป็นตำราวิเศษ ก็อิงคำสอนพระพุทธเจ้าบ้างแต่เป็นคำสอนใหม่หมด ยิ่งกว่าอรรถกถาอีก มาถึงยุคนี้ผู้ที่เข้าใจสนใจแต่เรื่องอย่างนั้นก็เลยยืนยันชัดเจนว่า มันเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าว่า เขายินดีในคำสอนใหม่ เป็นสาวกภาษิต เป็นปรัชญาสุดเท่ ที่สวยหรู แต่ไม่ใช่พุทธ ที่น่าสังเวชคือหลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งไม่ใช่พุทธเป็นพุทธเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะก็น่าสงสาร

 

 

พระพุทธเจ้าท่านย้ำไว้ชัดว่า สาระของพุทธคือวิมุติ แก่นของพุทธคือวิมุติ ที่ไม่มีในศาสนาใด แม้ศาสนาเชนของศาสดามหาวีระเป็นอเทวนิยมก็ไม่มีวิมุติ ไม่นับถือพระเจ้า พูดแล้วเหมือนดูถูกพระเจ้า แต่พุทธนับถือพระเจ้า รู้จักจิตวิญญาณพระเจ้า และตัวแท้ของพุทธนี่แหละรู้จักจิตวิญญาณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จับมั่นคั้นตายเลย ทำให้จิตวิญญาณเป็นจิตวิญญาณสุดยอดคือจิตวิญญาณพระเจ้า

 

พระเจ้าคืออัตตา อาตมัน ปรมาตมัน ศาสนาพุทธนี่เข้าถึงปรมัตถ์ หรือบรมอัตตา ทำจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า นี่ของพุทธ ซึ่งเขาไม่ค่อยเข้าใจไม่ใส่ใจไม่นับถือไม่ยอมรับกัน เพี้ยนไปแล้ว ไม่ใช่ไม่มีเนื้อแท้ แม้คำสอนง่ายๆ เช่นคำว่า บุญ  คำว่าบุญเป็นโลกุตระแท้ การทำจิตให้ชำระกิเลสได้ก็เป็นบุญ แต่ทุกวันนี้เอาบุญไปค้าไปขาย

 

 

ไม่ต้องพูดถึงแก่นคือวิมุติ แต่แค่สมาธิ ปัญญา อันเป็นกระพี้ก็ไม่ใช่พุทธ ไม่เข้าหาปรมัตถ์ เช่นคำว่าสมาธิไม่เข้าปรมัตถ์เลย ปฏิบัติศีลก็ไม่เข้าถึงจิต ทั้งที่กิมัตถิยสูตรก็บอกว่าศีล ทำให้จิตเป็นอวิปฏิสาร...เป็นสมาธิ เป็นญาณทัสสนะไปตามลำดับ เป็นเรื่องของจิตเลย จนถึงนิพพิทาวิราคาะ ถึงวิมุติเลย ปฏิบัติศีลต้องถึงวิมุติเลย แต่ทุกวันนี้สอนศีลแต่ กาย กับวาจา ยังดีที่มีพระไตรฯยืนยัน ตรวจสอบได้

 

ปัญญาทุกวันนี้ก็ไม่เข้าเกณฑ์ ปัญญาเข้าใจในศีลสมาธิก็แค่นี้ มีแต่จารีตประเพณี เพื่อได้ลาภ สักการะ สรรเสริญ แค่นี้ นักบวชก็เป็นอย่างนี้ ตกลงศาสนาพุทธ มีพฤติกรรมแค่จารีตประเพณี สวดมนต์รดน้ำมนต์แค่นั้น ผู้ปฏิบัติก็ทำศีลเคร่งไปแต่ไม่เข้าใจว่าศีลจะเกี่ยวกับจิตอย่างไร อ่านสติปัฏฐาน 4 อย่างไร กาย เวทนา  จิต ธรรม ทำอย่างไร จะมนสิการอย่างไร ก็ไม่ได้ทำ เขาแปลมนสิการว่าแค่พิจารณา ก็ได้แค่ตรรกะ ทั้งที่โยนิโสมนสิการต้องทำใจในใจให้ถ่องแท้ให้ถึงที่เกิด ให้เปลี่ยนจิตได้

 

ก็ต้องพูดว่ามันเพี้ยนเสื่อมไป ยิ่งเอากถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 ยืนยัน

เช่นวรรณะ 9 ต้องเป็นไปเพื่อ

1.สุภโร(เลี้ยงง่าย) แล้วเขาว่าเรามากินมังฯนี่เลี้ยงง่าย แต่เขากินดะนี่ถือว่าเลี้ยงง่าย นั้นไม่ใช่ เลี้ยงง่ายนั้นไม่ติดยึด

2.สุโปสะ (บำรุงง่าย)ทำให้พัฒนาสู่โลกุตระ ทำให้เจริญง่าย

3.อัปปิจฉะ คือมักน้อย อาตมาแปลว่า กล้าจน

4.สันตุฏฐิ ใจพอ คือมากกว่านี้ไม่เอา เราน้อยแค่นี้ก็พอ จนไม่เหลือตัวตนนั่นแหละ พวกเราก็ได้มรรคผล แต่ทางโน้นไม่เป็นอย่างที่ว่า

5.สัลเลขะ ขัดเกลากัน มีสติปัฏฐาน มีมรรค ทั้ง 7 ทุกคิด พูด ทำ อาชีพ ก็เป็นไปเพื่อลดกิเลส สังกัปปะเป็นตัวหลัก

6.ธูตะ ศีลเคร่ง คือศีลที่ทำได้แล้วก็เป็นศีลเคร่ง คือผู้ที่ทำไม่ได้ก็บอกว่ายาก แต่คนทำได้แล้วปกติก็ไม่เคร่ง แต่คนอื่นเห็นแล้วว่าเคร่ง เช่นฉันมื้อเดียวไม่ใช้เงินทอง ก็คือศีลเคร่ง ก็ทำได้ สบาย ขัดเกลาแล้วก็ปกติ

7.ปาสาธิกะ คืออาการน่าเลื่อมใสที่สอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้า คือเห็นเลยว่า ศีลเคร่งขัดเกลาคืออย่างไร มีปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ทุกอิริยาบทอย่างไร มีกายคตาสติ อานาปานสติ ซึ่งเขาพิจารณากายในกายไม่เป็น เขาไปพิจารณาร่างมันเปื่อยเน่า เป็นความไม่เที่ยงแค่รูปธรรม ไม่เข้าหาปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงว่าจิตเป็นเหตุแห่งทุกข์ เลื่อนเข้าหาจาก กาย เวทนา จิต ธรรม มันต่อเนื่องกันอันเดียวกัน เป็นวงวน ก้นหอยที่สูงขึ้นๆ ตามลำดับ กายแล้วเข้าหาเวทนา จิต ธรรม เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เป็นสติปัฏฐานที่สูงขึ้นเป็นอีกระดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

อาการก็ดูออกจากกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่แสดงว่าเข้าถึงธรรมถึงวิมุติ อาตมาพูดส่ิงถูก คนผิดก็เลยถูกข่มโดยอัตโนมัติ เขาก็เลยว่าไปว่าเขาทำไม อาตมาก็เลยถูกว่าไปว่าเขาทำไม?

8.อปจยะ คือไม่สะสม กองกิเลส ก็เนกขัมมะออกหมด ทรัพศฤงคารก็ไม่สะสม อนาคามีก็ไม่สะสม หรือแม้ผู้ที่ไม่บรรลุแต่ปฏิบัติหน้านองน้ำตา ออกบวช โภคขันธาปหายะ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองข้าวของ แต่ทุกวันนี้เขาสะสมกันบางคนพอตายแล้วเปิดทรัพย์สมบัติแล้วมีมากมาย หลายล้าน บางรูปก็บริจาค กี่ล้านๆ แล้วบอกว่าเท่ซะไม่มี ขออภัยที่พูดแล้วเหมือนว่าคนอื่น ว่าอาตมาปากจัด แต่ที่จริงอาตมาปากชัด

 

9.วิริยรัมภะ คือขยันเสมอ

 

นี่คือวรรณะ 9 คือชั้น ไม่ใช่ว่าเหลื่อมล้ำวรรณะ แต่เป็นสัจจะ

 

ยิ่งเอากถาวัตถุ 10 มาวัดคุณธรรมสังคมประเทศ ทั้งผู้ดูแลศาสนาและประชาชน

ข้อ 1 ถึง 5 ก็มี อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ก็ซ้ำกับวรรณะ 8

 

6.ปวิเวกะ เขานึกว่าเอาร่างไปปลีกออกจากสังคมวุ่นวาย อย่างนี้ไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้าเอาจิตเป็นหลัก ไม่มีเพื่อนสอง แต่เขาเข้าใจไม่ได้ เข้าใจกายไม่ได้ ก็เข้าใจแค่กายคือร่าง ก็เลยไปนั่งให้กายวิเวก สงบ อย่างนั้นไม่ใช่ กายของพุทธนั้นมีทั้งรูปและนาม ตัวที่ทำให้กายไม่สงบคือกิเลส ในองค์ประชุมทางภายนอกเราไม่ละเมิดทุจริตตามศีลแล้ว นี่คือกายสงบภายนอก จิตข้างในเราก็มีรูปภพ อรูปภพ ก็ทำให้สงบอีก อัชฌัชตังอรูปสัญญีก็ทำเข้าไป

 

เมื่อกายสงบ ก็ทำให้จิตสังขารสงบ เมื่อดับกิเลสได้หมดก็เป็นอุปธิวิเวก ...พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่า ป่าทำความวิเวกได้ยาก แต่เขาไปนั่งสมาธิในป่าก็ขัดกับที่พระพุทธเจ้าสอน บอกว่าในเมืองทำสมาธิไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาบรรยายคือทำสมาธิในเมืองก่อนแล้วค่อยไปออกป่าก็ได้

 

 

7.อสังสัคคะ สวรรค์นั้นของลวง สวรรค์จริงมีตั้งแต่อุบัติเทพ ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิหลับตาสร้างสวรรค์ แต่ว่าต้องดับกิเลส ดับอกุศลจิต ให้เป็นอุบัติเทพ เป็นสมมุติเทพ คือหมดกิเลสเลย การไปนั่งหลับตาได้เจโตสมถะ ในบุคคล 4 ก็มีพวกที่ได้แค่เจโตสมถะไม่ได้โลกุตระ แต่ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้ามีที่ไม่ได้เจโตสมถะ แต่มีโลกุตระ ได้เพราะสัมมาทิฏฐิ มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มาตลอดสาย แต่พวกนั่งหลับตาไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาหลงได้เจโตสมถะ นึกว่าเป็นอรหันต์เสียเยอะ แต่ของพุทธมีปัญญาวิมุติได้ ไม่ต้องมีเจโตสมถะก็ได้ ไม่นั่งหลับตาได้สมถะแต่ก็เป็นอรหันต์ก็มี

 

เขาไม่รู้เนกขัมมะ ในอนุปุพพิกถา มีทาน ศีล สัคคะ เนกขัมมะ กามาทีนวะ อ่านสวรรค์ที่เป็นเนกขัมมะไม่ออก ไม่สัมมาทิฏฐิ เรียนกันแต่นั่งสมาธิหรือยกหนอย่างหนอเท่านั้น

 

เมื่ออสังสัคคะก็ไม่รู้เรื่อง อัปปิจฉะก็ไม่เป็น สันตุฏฐิก็ไม่ได้ ปวิเวกะก็ไม่ใช่ อสังสัคคะก็ไม่รู้จักสวรรค์นรกที่จิตเป็น แล้วแยกสมมุติเทพ อุบัติเทพ สมมุติเทพก็ไม่ออก แล้วแยก มโนปวิจารไม่ออก ทำเหตุแห่งทุกข์ออกไม่ได้ก็ล้มเหลว ก็ตอบได้ว่าศาสนาพุทธไม่มีแก่น ไม่มีกระพี้ ไม่มีเปลือก แม้แต่สะเก็ดก็ไม่มี มีแต่กิ่งใบดอกผลที่เป็นลาภสักการะสรรเสริญ เป็นจริงหรือไม่ก็ฟังไปแล้วเอาไปตรวจสอบดู ว่าศาสนาพุทธน่าสงสารไหม? แม้สะเก็ดก็ไม่เข้า มีแต่กิ่งใบดอกผล

 

มาตอบประเด็น

 

_แก่นแท้ของศาสนาพุทธ ผมฟังไม่ทัน ท่านบอกว่าคือเจโตสมถะใช่ไหม?

ตอบ..ถ้าเรียกว่าเจโตสมาธิก็พอฟัง คือทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่น แต่ที่ท่านเรียกว่าเจโตสมถะคือจิตสงบได้แต่ไม่สัมมาทิฏฐิ (ดูในบุคคล 4 ) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังเป็นผู้ได้แค่จิตสงบคือนั่งสมาธิหลับตา ไม่ได้เรียนรู้สติปัฏฐาน 4 แต่ท่านใช้ศัพท์ว่าผู้ได้เจโตสมถะนั้นไม่ได้แก่นแท้  ที่จริงแก่นแท้ของพุทธ คือ เจโตวิมุติอันไม่กลับกำเริบ

 

_อโศกเป็นธรรมยุติหรือไม่?

อโศกไม่ได้อยู่ในธรรมยุติ แต่ไม่ได้รังเกียจธรรมยุติ อโศกก็เป็นทั้งธรรมยุติและมหานิกาย

 

_ผมเคยทำงานได้เงินได้มาก็ใช้ไป พอดูรายการของท่านท่านว่าไม่ต้องใช้เงินเงินเป็นเพียงสมมุติ ก็เลยไม่อยากหาเงิน ทิฏฐิิอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ?

ตอบ...คำว่าไม่อยากหาเงินมันเข้าท่าแต่ถ้าเป็นฆราวาส ก็ยังต้องเลี้ยงชีวิต หากมีปัจจัยเลี้ยงชีวิตอย่างคนบ้านนอก ก็ไม่ต้องหาเงินก็อยู่ได้ มาอยู่ในชาวอโศก มีวัฒนธรรมสาธารณโภคีก็ไม่ต้องหาเงิน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ คนมาอยู่ในอโศกเหมือนอนาคามี แม้ใจไม่ถึงก็อยู่ได้กดข่มกิเลสไป ค่อยลดละไป รูปนอกเหมือนอนาคามี ปาสาธิกะ แต่แน่นอนโสดาฯสกิทาฯไม่ยากนักแต่คนเข้าใจผิดนึกว่าสมัยนี้ไม่มีโสดาบัน ก็ให้มาศึกษาโสดาฯไม่ยาก ยิ่งโสดาปัตติมรรคก็เข้าใจแล้วหากฆ่ากิเลสตัวสักกายะได้เกินครึ่งก็เป็นผลของโสดาบันแล้ว สรุปแล้วไม่หาเงินไม่ใช้เงินได้ แม้ในยุคนี้ อย่างนักบวช อโศกก็ไม่ใช้เงินตลอดชีวิต แก่ตายไปก็มี แต่พระสมัยนี้บอกว่าไม่ใช้เงินไปไม่รอด แต่เราก็อยู่ยุคเดียวกันสมณะไม่ใช้เงินอยู่ได้ มีเงินผ่านมือได้ แต่เข้าสาธารณโภคี แม้สิกขมาตุเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช้เงินได้

 

_นโยบายพ่อครูหากจะเปลี่ยนแปลงภายในแวดวงอโศก หากกระทำโดยขึ้นตรงต่อพ่อท่านเท่านั้นสมณะสิกขมาตุถูกมองข้าม ถ้าต่างจากผู้นำ เพราะเห็นว่าต่างจริตผู้นำ แต่ฆราวาสใดเห็นด้วยก็ถือว่าเป็นญาณโพธิสัตว์ ฆราวาสใดไม่เห็นด้วยก็ว่าไม่ถูก อย่างนี้ใช่คนมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ บรรลุธรรม เป็นสายปัญญา หรือไม่?

ตอบ...นโยบายของอาตมา เขาบอกว่าไม่ใส่ใจนักบวช  ก็กลายเป็นโพธิรักษ์อิซึ่มเกินไป อาตมาก็ไม่ได้ทำขนาดนั้น ที่ว่าใครค้านอาตมาไม่ได้ อย่างใดก็ต้องอย่างนั้นเลย อย่างนี้ถือว่าตู่อาตมา หลายทีคนไม่เห็นด้วยก็ไม่เอาตามอาตมาก็มี หลายที จนคนเห็นว่าอาตมาไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่เปลี่ยนก็ว่า เปลี่ยนก็ว่า คนเอาไปอ้างไม่ถือว่าบรรลุธรรม ไม่สัมมาทิฏฐิ ใครเอาอาตมาไปอ้างก็อย่าเพ่ิงเชื่อทีเดียวมาถามอาตมาก่อน เพราะมันมีผล เขายอมรับ เพราะเขาศรัทธาอาตมา เขายกให้ส่วนหนึ่ง แต่อาตมาก็ว่าไม่ต้องเป็นประกาศิต เผด็จการตามอาตมา แต่คนอื่นเขาเกรงใจเขาเชื่อถือยกให้ หลายคนมีปัญญาเห็นด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ที่มามีปัญญา พออาตมาเสนอส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย พอโหวตก็ชนะ หลายทีไม่ต้องโหวตก็เห็นด้วย น้ำหนักมันสูง อาตมาไม่ได้มานั่งหว่านล้อมล็อบบี้ อาตมาว่าน่าอาย ให้เขามีปัญญาเลือกเอง

 

_ที่ว่าธรรมะทั้งหลายไม่มีตัวตน เป็นอย่างไร?

ตอบ...คำว่าตัวตน เป็นภาษาไทย ในบาลีมีคำสามคำหลัก 1.สักกายะ 2.อัตตา 3.อาสวะ นี่คือหมายถึงตัวตน แล้วคำว่าตัวตนคืออะไร? ตัวตนคือองค์ประกอบของรูป_นามแล้วมันสังขารเป็นสัตว์ สัตว์ที่ว่าคือสัตว์ทางจิตวิญญาณเรียกว่า โอปปาติกสัตว์ ผู้จะเรียนรู้ตัวตนต้องรู้ตั้งแต่สักกายะ

 

อัตตาคือสามัญนาม ส่วนสักกายะคือวิสามัญญนาม อัตตาเป็นคำกลางๆเรียกตัวตนทั่วไป ส่วนสักกายะ เป็นคำจำเพราะว่าเราต้องมีญาณหยั่งรู้ตัวตนของเราต้องรู้กายในกาย มีตั้งแต่กายนอกกาย ตากระทบรูปแล้ว จิตรับรู้ เป็นกายวิญญาณ​อ่านเข้าไปกายในกาย เป็นองค์รวม แล้วกายในกายนี่ก็อ่านต่อเห็นเวทนาในกาย เห็นจิตในกาย แล้วอ่านเห็นตัวอกุศลจิตภายใน เช่นเวทนาเป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขหรือทุกข์ เป็นสามอย่างใหญ่หรือแยกเป็น 108 ก็ได้ แล้วมีเหตุแห่งเวทนาอีก อาการจิตที่เป็นสมุทัย มันสุขเพราะเหตุนี้เรายึดถือชอบตรงอุปาทาน หรือสเปคก็ได้สมใจก็สุข ก็อ่านเหตุอุปาทานได้ เมื่อมันออกมาทำงานเป็นโคจรรูป วิสัยรูป แล้วมีรายละเอียด วิเคราะห์ได้วิจัยได้จนอ่านเหตุได้ ถ้าคุณแค่อ่านจิตรู้อ่านสภาวะได้ รู้สมุทัย แต่คุณยังกำจัดเหตุให้ลดละไม่ได้ก็ยังไม่ผ่านสังโยชน์ข้อ 3 ศีลพตปรามาส แต่คุณผ่านสังโยชน์สองข้อแรกได้ คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาแล้ว

 

เมื่ออ่านสักกายะได้จนพ้นความสงสัยว่าอันนี้คือตัวตนกิเลส คือสมุทัยที่ต้องชำระออกให้ได้แต่ศีลพรตของคุณยังไม่ผ่านปรามาส ได้แต่แตะต้องลูบคลำ เล่นหัวกับโจรไม่เอาจริงหรือไม่มีวิธีทำให้มันตายได้ หรือสัมมาทิฏฐิแล้ว รู้ปหาน 5 แล้ว มีฌาน มีปัญญาที่ละลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ ตรงที่สามารถสร้างให้เกิดพลังแห่งอุณหธาตุ เผากิเลสได้ ฌานแปลว่าไฟ เป็นไฟเหนือไฟ ถ้าถึงขีดแล้วสามารถสลายไฟราคะ ไฟโทสะไฟโมหะได้

 

ถ้าสักกายะลดลง ก็ตามอัตตาลงไปอีก  มันลดลงก็เป็นอัตตา เป็นตัวที่จางลงๆ จนถึงตัวปลายเป็นอาสวะ เมื่อทำให้อาสวะสิ้นเกลี้ยงก็คือไม่มีตัวตน ไม่ได้หมายถึงอะไรก็ไม่ใช่ตัวตนเลอะเทอะ ไม่มีจุดปฏิบัติ มันเป็นปรมัตถ์ ต้องอ่านรู้สักกายะ อ่านได้เป็นนามกาย เป็นนามรูป แล้วกำจัดมัน ด้วยปหาน 5 ทำได้ก็ทำไปซ้ำไปจนนิสรณปหาน ตั้งมั่นเป็นสมาหิตัง เป็นกาละที่ 3 เสร็จแล้วจบแล้ว

 

กิเลสตัวในตัวหนึ่งก็ตามเป็นตัวตน ถ้าทำให้หมดกิเลสได้ก็หมดตัวตน ธรรมะคือส่ิงที่ทรงไว้ในจิต อกุศลจิตก็ทรงไว้ที่จิตหากล้างอกุศลจิตออก จิตก็สะอาดขึ้นๆ ทรงไว้ซึ่งจิตสะอาดขึ้นเรื่อยๆ จะรู้ว่าสิ่งที่ทรงไว้ที่่จิตมีทั้งกุศลและอกุศล แม้จะรู้ว่าจิตเกิดจากเหตุปัจจัย วิญญาณเกิดจากเหตุปัจจัยไม่ใช่ตัวตนเที่ยงแท้ จะเข้าใจเลยว่าอกุศลจิตหมดไปแล้ว แม้กุศลจิต ก็จะเห็นว่าไม่เที่ยง สมมุติว่าคุณเป็นอนาคามมีเป็นต้นไป จะรู้เลยว่าอกุศลในกามภพหมดไปแล้ว ก็เลยมีแต่จิตกุศลที่อยู่กับกามภพเขา คุณมีแต่จิตปรารถนาดีต่อเขา คุณจะอนุโลมเขาก็ทำให้กุศลเกิดได้ ถ้าไม่ทำก็ไม่คงที่ได้ แม้กุศลก็ไม่เที่ยง อวิชชาข้อที่ ​5 และ6 ความเป็นอดีตกับอนาคตก็ไม่เที่ยง แม้กุศลก็ไม่อยู่กับตัวเองตลอด จิตก็เกิดจากเหตุปัจจัย อนาคามีจะรู้ว่าจิตคือส่ิงที่เกิดจากเหตุปัจจัย ถ้าคุณจะอาศัยกุศลจิตเพื่ออาศัย เมื่อละตัวตนแล้วจะเห็นแก่ผู้อื่น จะเต็มด้วยความเป็นพรหม ไม่ใช่หนีจากสังคมแบบฤาษี มีอัชฌาศัยที่ทนไม่ได้ด้วยความกรุณา เห็นเขาทุกข์ ก็ต้องการช่วย อย่างอาตมาทำงานนี่เหน็ดเหนื่อย แต่เห็นว่ามนุษย์น่าสงสาร อาตมาสร้างเลือดโพธิสัตว์มาหลายชาติ ขออภัยที่คนก็ตามพิสูจน์อาตมาไม่ได้ แต่เอาสิ่งจริงมาพูด

 

ตัวตนที่เป็นกุศลจะหมดได้ไหม? ตัวตนที่เป็นกุศลไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะผู้นี้เชื่อกรรม แม้คิดดำริก็เป็นกรรม แม้ดำริท่านก็ไม่คิดทำบาป ยิ่งวาจา กัมมันตะย่ิงไม่ทำ แม้แต่กุศลจิตก็เป็น อาสยะ เป็นเครื่องอาศัย อาศัยไปถ้าจะอยู่หากเป็นอรหันต์แล้วไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ทำแต่กุศล ทำจิตให้สะอาดขาวรอบแล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่รับใช้โลก เป็นนักการเมืองเบอร์ 1 ของโลก อรหันต์ทุกรูป ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม ทำด้วยใจบริสุทธิ์ เพราะท่านรู้ว่าทำเพื่อผู้อื่นคือคุณประโยชน์ก็เต็มใจทำ

 

ความไม่มีตัวตน เมื่ออาริยะระดับอรหันต์ทำกุศล ก่อนตายไม่ตั้งจิตไม่ต่อสันตติ เป็นอปณิหิตตะ ก็สลาย จิตก็ไม่ใช่ตัวตนก็หายไป เลิกทุกอย่าง จิตแตกตัวเหมือนไฮโดรเจนกับออกซิเจน แยกจากธาตุน้ำ น้ำสลายแล้วไม่มีธาตุน้ำอีก มีแต่ธาตุไฮโดรเจน ออกซิเจน เหมือนในพรหมชาลสูตร ว่าพระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานแล้วจะไม่มีใครได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วทั้งรูปและนาม เหมือนมะม่วงหลุดจากขั้วแล้ว

 

พระอรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ความเข้าใจในพระอรหันต์ในเถรวาทบอกว่าตายแล้วสูญก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วไปเข้าใจว่าเป็นโสดาบันแล้ว อีก 7 ชาติจะเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์ก็ตายแล้วสูญ การจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องไม่เป็นแม้โสดาบันก่อนเลย


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:04:54 )

571029

รายละเอียด

571029_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง แก่นแท้ของพุทธวัดกันอย่างไร?

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 29 ต.ค. 57 แล้วฝนก็ยังไม่หยุด ยังตกอยู่ เราก็มาอยู่กับธรรมาธรรมะสงคราม จะพูดไปอย่างไรก็หนีเรื่องโลกุตระไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องจำเป็น อาตมามั่นใจว่าโลกุตระเป็นเรื่องของศาสนาพุทธโดยตรง พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ในอาณีสูตรว่าจะต้องเสื่อม ศาสนาพุทธอยู่แต่ชื่อ แต่เนื้อหาไม่ใช่พุทธ แล้วเอาชื่อพุทธไปหลอกคนทั่วโลก มันเสียหาย

 

วันนี้ก็จะมาพูดเรื่องเนื้อหาของพุทธว่าทุกวันนี้ยังมีอยู่หรือไม่? เหมือนกลองที่เขาเอาไม้มาเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว ของเก่าไม่เหลือ เช่นเดียวกับพุทธ ก็มีแต่ของใหม่ไม่เหลือเนื้อหาเก่าแล้ว

 

ในต้นไม้มีทั้งแก่น กระพี้ เปลือก สะเก็ด และกิ่งไม้ใบไม้ ผลดอกใบ

 

กิ่งไม้ใบ ผล ดอก ท่านเปรียบคือ ลาภ สักการะสรรเสริญ

สะเก็ดคือศีล​ ซึ่งศีลเขาก็ยังไม่ได้ พูดเหมือนดูถูก แต่เป็นเช่นนั้นจริง ศีลจะต้องมีอานิสงส์คืออวิปฏิสารเป็นต้น ซึ่งเขาทำศีลได้แค่ภาษา อาจจะทำได้ แต่สอนกันว่าศีลทำได้แค่กายกับวาจา ทั้งที่ในพระไตรฯ บอกว่าศีลอันเป็นกุศล จะยังความเป็นอรหัตตผลให้บริบูรณ์ได้ไปโดยลำดับ

 

ได้อานิสงส์ 10 ของศีล .

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

1.         อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.        ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.        ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

ศาสนาพุทธนั้นมีโลกุตระ 46 คือ โลกุตระ 9 และโพธิปักขิยธรรม 37 ซึ่งมีการปฏิบัติเข้าหาแก่นไปตามลำดับ และเป็นโลกุตระ ถ้าไม่ใช่ไม่เข้าเขตพุทธ เขตของพุทธต้องเป็นบุญ(ปุญญเขตตัง) แต่บุญเดี๋ยวนี้ไม่ใช่โลกุตระ แท้จริงบุญคือเครื่องชำระกิเลส

 

บุญเปรียบเหมือนปืน ไม่ใช่ขนมปัง บุญไม่ใช่เรื่องได้มา ว่าปฏิบัติบุญได้ คือได้เอาออก ไม่ใช่ได้ แต่เอาบุญไปใช้เป็นกุศล ซึ่งคำว่า บุญวิบาก ไม่มี มีแต่กุศลวิบาก บุญนี่เป็นผลแล้วสูญไปเลย ไม่มีบุญวิบากให้คนได้อาศัยใช้บุญ จะบอกว่าอาศัย ก็เป็นสูญ ไม่มีอะไรจะไปอาศัยอะไร แต่ทุกวันนี้ใช้คำว่า ได้บุญเป็นเครื่องล่อ ว่าจะได้อะไร ทั้งที่บุญ แปลว่าการชำระจิตสันดานให้หมดจด ทำบุญได้จนกิเลสหมดก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ เป็นพระอรหันต์

 

คำว่า แก่น ของศาสนาพุทธ ที่เขาว่าเขาได้เสวยผลกัน ได้แต่ใบแต่กิ่งไม้ คือลาภสักการะ ไม่ใช่แก่น จะเอาแก่นไม่ได้ แม้แต่ศีลที่เป็นสะเก็ดก็ยังไม่ได้ ยิ่งสมาธิ ที่เหมือนเปลือกไม้ก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธินอกเขตบุญ มันก็ไม่ชำระกิเลส ก็ไม่เป็น สันตานังปุนาติ วิโสเทติ (ชำระจิตสันดานให้หมดจด)นี่คือหน้าที่ของบุญ

 

ผู้ปฏิบัติบุญเป็น ชำระกิเลสได้ เร่ิมตั้งแต่ กายในกาย รู้จัก กายคตาสติ รู้อานาปานสติ ตามเห็นความไม่เที่ยง เห็นกิเลสจางคลาย กิเลสดับ ทำได้ก็ทำซ้ำ ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำอาเสวนาภาวนพหุลีกัมมัง ให้เป็นอาเนญชาภิสังขาร ปฏิบัติซ้ำให้เกิดส่วนอดีต ปัจจุบัน อนาคต ด้วยการปฏิบัติปัจจุบัน 36 ที่เป็นมโนปวิจาร 18 ทำทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่สูญ จนมั่นใจว่าอนาคตก็สูญ เป็นตถตา อัตโนมัติแล้ว

 

แม้สะเก็ดหรือเปลือกก็เพี้ยนไป ไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิ ตามมหาจัตตารีสกสูตร ที่พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ให้เกิดสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปให้นั่งหลับตาทำสมาธิ ที่ท่านบอกว่าให้นั่งหลับตาแล้วเข้าไปปฏิบัติในภวังค์ มีที่ไหนในพระไตรฯ​ มีแต่ให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ ด้วยสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วหาเหตุ ในจิต เป็นเจโตปริยญาณ​16 ที่เป็นสราค สโทส สโมห เป็นเหตุที่เราต้องกำจัด ทางปฏิบัติท่านตรัสไว้ในมูลสูตร

 

ในมูลสูตร มีคำว่า เหตุและสมุทัย มีทั้งคำว่าแก่นคือวิมุติ

มูลสูตร

1.         มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.        มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) มนสิการไม่ได้แปลว่าแค่พิจารณา ซึ่งต้องพิจารณาด้วย และต้องทำจิตด้วยพิจารณาตั้งแต่กายในกาย กาย นี่แหละคือจิต กายนี่มีจิตด้วย แต่เขาไปแยกกายออกจากจิต บอกว่ากายแค่เป็นการปรุงแต่งดินน้ำไฟลม แต่กายนี่คือการปรุงแต่งของรูปและนาม ให้พิจารณาในรูป 24 อีก

 

ให้เห็นจิตเกิดและดับ ต้องรู้ว่าจิตตัวในจะให้เกิด จิตตัวใดจะให้ดับ ที่จะให้ดับก็คืออกุศลจิต ที่มีตัวเหตุ ที่เราอ่านได้รู้ได้ เป็นสักกายะ ที่เราเกี่ยวข้องสัมผัส ขณะมีชีวิตปกติ มีการงานอาชีพอยู่ สัมผัสแล้วก็อ่านกายวิญญาณ (ท่านไปแปลกายวิญญาณว่า วิญญาณที่เนื่องมาจากกาย แทนที่จะแปลว่าองค์ประชุมของธาตุรู้) เพราะท่านคิดว่ากายคือร่าง เนื่องจากร่าง มันก็เกี่ยวข้องกับโครงร่างแล้วเนื่องมาหาข้างในเป็นองค์ประชุมวิญญาณ ก็เข้าใจได้หากมีสภาวะ แต่ถ้าไม่มีสภาวะก็อาจเข้าใจผิด ตัดวิญญาณออกจากกายเลย

 

การปฏิบัติพระพุทธเจ้าให้เห็นการเกิดการตายทางจิตวิญญาณ เรียกว่าโอปปาติกโยนิ จิตตายแล้วเกิด ไม่มีอะไรคั่นเลย จิตที่เป็นอกุศลจิตตายไป ก็เกิดจิตที่เป็นกุศลทันที ต้องกำหนดรู้อย่างชัดเจนตอนลืมตามีผัสสะนี่แหละ มีนิโรธเกิดอย่างเห็นๆ กิเลสตายไปจิตเราก็มีนิโรธ เกิดที่ใจ เห็นความเกิดความดับ ตรงที่ใจนี่แหละ อย่างที่เขาว่าเห็นจิตเกิดดับตลอดเวลานี่เป็นแบบตรรกะ เดาเอาทั้งนั้นเลย ก็จิตตัวไหนเกิดตัวไหนดับ ซึ่งต้องชัดเจนว่าสมุทัยนี่แหละดับ ไม่มีซากการตายเลย ในจิต จิตไม่มีดินน้ำไฟลม ไม่มีสรีระ ก็เห็นความดับของกิเลสอย่างนี้

 

ถ้ามนสิการไม่เป็นอย่างสัมมาทิฏฐิ การจะสัมมาทิฏฐิต้องพบสัตตบุรุษบริบุรณ์ จึงฟังธรรมบริบูรณ์ จึงเกิดการโยนิโสมนสิการโดยบริบูรณ์ ยืนยันได้

3.        มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) 

4.        มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)  ตัวนี้ต้องอ่านต้องธัมวิจัย ตัวสุขทุกข์ แล้วแยกเป็นเวทนา 108 อ่านกายในกาย เพื่อจะอ่านเวทนา แล้วเจาะลงในจิตในจิต พอสัมผัสปุ๊ปคนอวิชชาก็สังขารปรุงแต่ทันที แยกไม่ออก ทำปุญญาภิสังขารไม่เป็น การสังขารแปลว่าการจัดการ การตกแต่ง ทำให้เจริญได้ ถ้าไม่สามารถทำเจริญ กิเลสก็มาจัดการเราแทน แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะมีอำนาจพอ ก็ไม่ปล่อยให้กิเลสมาสังขาร เราต้องมีความรู้สามารถรู้สังขาร แยกเวทนาออก ที่เกิดจากทวาร 6 กระทบ แล้วเราสามารถรู้แยกแยะเวทนา 108 ได้

 

อย่างตากระทบมะละกอ แล้วจิตเกิดชอบ ว่าน่ากิน น่าซื้อหา มันก็ปรุง เกิดอาการสุข ไม่ชอบก็ทุกข์ หรือเฉยๆ แต่เป็นเคสิตเวทนา คือแบบไม่รู้ เราต้องอ่านรู้เหตุให้ได้แล้วกำจัดเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ จิตก็สะอาดขึ้น เป็นการชำระกิเลสไปเป็นส่วนๆ ก็เป็นส่วนแห่งบุญไปตามลำดับ ปุญญภาคิยา ก็ปฏิบัติในเวทนา 108 นี่แหละ ทำเนกขัมมะไปได้เรื่อยๆ เกิดฌานล้างกิเลสเพ่งเผา เพ่งรู้ใจ แล้วมีพลังไฟกองใหญ่ไฟวิเศษที่เผาไฟราคะโทสะโมหะ สั่งสมลงเป็นสมาธิ เป็นประมุข

5.        มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) ตกผลึกสั่งสมผล ไปเป็นสมาธิตั้งมั่นแข็งแรงไปเรื่อยๆ

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันยิ่ง

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ)  นี่คือแก่นของศาสนาพุทธ

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) กิเลสไม่ตายแล้วเพราะกิเลสไม่มีให้ตาย ตายแล้วตายเลย ไม่มีฟื้น จิตอรหันต์ที่ไม่ปรินิพพาน ก็มีความทรงไว้ซึ่งความไม่เกิดไม่ตายมีจิตที่เป็นอมตะ ความไม่เกิดไม่ตายหยั่งลงในจิตที่สะอาดอันนี้ จิตสะอาดนี้เป็นของอรหันต์ ยังไม่ตาย แต่มีนิพพานบริบูรณ์ แต่ท่านไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ดับสิ้น เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าท่านจะปรินิพพาน แล้วจะไม่มีใครได้เห็นท่านอีก ทั้งรูปและนาม เหมือนพวงมะม่วงหล่นจากขั้วแล้ว

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

 

นี่คือสาระแก่นสารของศาสนาพุทธ รวมแล้ว เหลือแต่กิ่งใบ มีดอกผล ที่ยั่วยวน เป็นเรื่องโลกีย์เต็ม ศีลไม่เข้าหาใจ สมาธิก็เพี้ยนไป ปัญญาก็เป็นตรรกะ ไม่ใช่อธิปัญญาสิกขา ที่มีผัสสะเป็นของจริง อาตมาแปลว่า รู้จัก (สัมผัส)รู้แจ้ง(มีองค์ประกอบชัด) รู้จริง (คือได้สภาวะจริง) พูดให้ท่านตรวจสอบกัน ไม่ได้ยกตนข่มท่านหรอก เพื่อให้เห็นว่า น่ากลัว น่าเสียดาย ต้องช่วยกันกอบกู้เหมือนคสช.กอบกู้ประเทศไทย เราก็มากอบกู้ศาสนากัน

 

บุญนิยมทีวีได้เปลี่ยนคลื่นความถี่ใหม่ การจูนให้ ทำดังนี้   กดเมนู เพ่ิมดาวเทียม ความถี่ 3480 ไปที่แนวตั้ง vertical แล้ว symbol rate 30000 แล้วค้นหาทั้งหมด สุดท้ายก็ ok แล้ว exit

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_เศรษฐกิจทำไมถึงเดี๋ยวตกเดี๋ยวดี

 

ตอบ...ก็คือความไม่เที่ยงมันตกก็เพราะมันไม่ดี มันไม่ดีก็เพราะมันตก แต่มันดีก็คือความรู้สึก แต่ที่จริงมีแต่เศรษฐกิจเสื่อมลงเรื่อยๆ คือสัจจะของสังคมไทย คือไม่ทำที่ต้นเหตุ ผู้ทำงานบริหารบ้านเมือง จนถึงทำธุรกิจไม่ลดกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส ก็จะไปทำให้ดีได้อย่างไร สรุป เพราะศาสนาการศึกษาไม่มีผลทำให้ดีขึ้นเลย การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

 

_อยากถามพ่อครูว่า ถ้าอยากถามคำถามพ่อครูแบบนี้ถือว่าเป็นกิเลสไหม?

ตอบ...แล้วเมื่อไหร่คุณจะได้ถาม แบบเดียวกับที่เข้าใจว่าถ้าขืนมีตัณหาก็ไม่หมดตัณหา จะอยากอะไรไม่ได้เลย ต้องเฉย เด๋อ อาตมาก็ว่า พระพุทธเจ้าก็ยังมีวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่ยึดภพ ไม่ยึดกาม ต้องล้างกาม ล้างรูปภพ อรูปภพ คุณก็ไม่มีภพ แล้วแต่คุณยังมีมโนสัญเจตนา ที่มุ่งหมาย เป็นกุศลได้

 

_เวลาคนหลับสนิทไม่ฝัน จิตไปไหนอย่างไร?

ตอบ...ถ้านอนแล้วจิตไม่สงบก็ไม่ฝัน ถ้านอนไม่ฝัน มีอยู่ที่จิตมันเหนื่อยจนไม่ฝัน หรือไปฝึกเจโตสมถะก็ดับได้ดี ส่วนสายปัญญา ปฏิบัติธรรแบบพระพุทธเจ้า มีมรรคองค์ 8 จะปรุงได้ดี ถ้าถึงอนาคามี จิตไม่มีเรื่องโลกีย์ จะมีแต่เรื่องโลกุตระ เป็นธรรมะไปปรุงเป็นเรื่องราว แม้บัญญัติพยัญชนะก็ร้อยเรียงเป็นสภาวะ เรียกว่าคุยกับเทวดา

 

_หมดคำถามแล้ว...เพราะจะยาก เป็นปรมัตถ์เสียเยอะ

 

อาตมาไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญเท่าธรรมะ ถ้าจิตมีอธรรมอยู่แม้น้อยนิด ก็คือไม่เป็นธรรมะแท้ ผู้เป็นอรหันต์ก็ทำกิเลสหมดแล้ว ก็เป็นผู้มีธรรมะ ท่านก็ทำแต่กุศล ไม่มีบาปแล้ว แต่วิบากก็ยังมีอยู่ ไม่หายไป วิบากชั่วเหมือนหมาล่าเนื้อที่ไล่ตาม แต่กุศลวิบากของท่านมีมากจนมาคั่น ยิ่งท่านทำดีมากเท่าไหร่ มันก็ย่ิงกั้นวิบากชั่วในอดีตที่ตามมาได้ยาวนาน ได้มากเท่านั้น แต่ไม่มีหายไปนะวิบาก ทั้งกุศลและอกุศล พระพุทธเจ้าท่านไม่รู้ที่ต้นหรอก ว่ามีวิบากอะไรมา เป็นเรื่องเกินคิด เกินจะเดาอย่าไปเดา พิสูจน์ปัจจุบัน ล้างกิเลสให้หมดแล้วจะรู้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ถ้าถึงขีดจะรู้ได้ไม่รู้ไม่ได้ ทำสิ่งที่ละกิเลสไปจะรู้ตามลำดับ แล้วส่ิงที่มีเรียกว่าธรรมะ ก็ทรงไว้ซึ่งกุศล

 

ถ้าทรงไว้ซึ่งบาปเพ่ิม กิเลสเกิดปัจจุบัน จบไปแล้วไม่ใช่กิเลส จะเรียกว่ากิเลสก็เป็นตัวยึด แล้วออกบทบาทเป็นปัจจุบัน กิเลสกับตัณหาเกิดที่ปัจจุบันส่วนที่มันยึดเป็นอุปาทาน มาเป็นตัณหาออกมาปฏิบัติ

บุญคือภาวะการทำงานปัจจุบัน เมื่อทำบุญหมด สิ่งที่เป็นวิบากก็จะออกฤทธิ์ได้ยากขึ้นเพราะทำแต่กุศลมาคั่น ตราบจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีอรหัตตา คืออัตตาที่ไม่ลึกลับ แล้วแต่มีอัตตาลำลองไว้อาศัยรูปนามขันธ์ 5 จนกว่าจะปรินิพพาน พระอรหันต์ไม่มีธรรมชาติ มีแต่ธรรมะไว้อาศัย พระอรหันต์ไม่มีชาติแล้ว ดับภพชาติแล้ว แต่คนไปนิยามธรรมะว่าคือธรรมชาติ ก็ไม่แม่นไม่คม


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:06:28 )

571030

รายละเอียด

571030_ธรรมาธรรมะฯ สันติฯ เรื่อง สัมมาสมาธิของพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้ 30 ต.ค.​57 เป็นวันพระ 8 ค่ำ วันเวลาก็เดินไป ผ่านไปๆ ชีวิตของคนก็ ล่วงเลยไป และก็แก่ตายเปล่าไปเยอะ มันน่าเสียดายชีวิตนะ ที่ว่าน่าเสียดายเพราะอะไนในทัศนะของอาตมา น่าเสียดายเพราะเอาชีวิตไปหลงใหลกับโลกธรรม ซึ่งคนก็หลงใหลอย่างนั้นไม่รู้กี่ชาติ หลงสุข ทุกข์ กับมัน ถ้าเราไม่ได้มารู้ทางนี้เราก็ไปหลงวนเวียนไปกับเขาอีกนาน น่าเสียดาย ใครได้ฟังจะสะดุดใจหรือเปล่า ว่าชีวิตก็ดิ้นรนแย่งชิงหลงเสพ สุขเท็จ สุขขัลลิกะ

 

ที่ท่านบอกว่าเหมือนหมาเคี้ยวกระดูก เหมือนกินน้ำลายตนเอง มันก็เห่ากัดเคี้ยวกรอบแกรบไป แต่มันไม่ได้กินอะไรจากกระดูก เหมือนกลืนน้ำลายตนเอง ในพระไตรฯว่าไว้ ว่าแทะกระดูกที่เขาเอาเนื้อออกหมดแล้ว ซึ่งมันชัดเจนว่าคนเราหลง น่าเสียดายชีวิต อาตมาพูดไปนี่ก็น่าจะฟังแล้วสะดุดอะไรบ้าง แต่ก็ยากเพราะคนเรามันจมอยู่ในห้วงโลกีย์ ฟังไม่ขึ้น ฟังแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ

 

หลายคนมีปฏิภาณปัญญาฟังเข้าใจ แต่ก็ว่าไม่เห็นมีอะไร คนก็เป็นอย่างนี้ อันนี้แหละที่เป็นเรื่องโลกุตระที่พระพุทธเจ้าค้นพบว่าคนเราวนเวียนในวัฏฏสงสารนานนับชาติ มีโลกีย์ทำให้เราหลง ว่าเราได้โลกธรรม มันไม่ยากนัก ก็เลยอยู่อย่างนั้น ก็พากเพียนปฏิบัติตนเป็นคนดี แล้วผลของกุศลวิบาก ทำให้ตนมีโลกธรรม มีวิบากน้อย ส่วนคนทำไม่ดีก็วิบากมากทุกข์ทรมาน แต่คนที่หลงว่าตนได้ดีวิเศษอย่านึกว่าตนไม่มีวิบากบาป

 

คนที่หลงเสวยผลโลกียกุศล เขาอยู่ในทุกสังคม เสวยผลโลกียกุศล มันเป็นอัตราของสังคมที่ตั้งมาเพื่อเอาเปรียบ โดยสัจธรรม ของคนชั้นบนที่เอาเปรียบ เป็นนักการค้าที่เขาไม่มีวันตั้งกติกาให้ตนเสียเปรียบ ก็เอาให้ตนได้เปรียบ นักธุรกิจระดับบน หรือข้าราชการก็เช่นกัน ก็ตั้งกติกาให้ตนได้เปรียบทั้งนั้น เป็นอกุศลที่ซ้อนอยู่ทั้งนั้น ในชาติที่คุณได้เกิดมาเสวยกุศลวิบาก

 

เมื่อคุณได้เสวยกุศล บัลลังก์กุศล คุณจะไม่ได้บาป ไม่ใช่ คุณจะได้ ถ้าคนใดทำกุศลท่วมท้น แล้วได้เสวยผล จะเรียกว่า กินกุศลเก่า (ไม่ใช่กินบุญเก่า) ให้ผล ได้เสวยบัลลังก์สุขโลกีย์ นานเข้าก็กินกุศลเก่า กุศลก็หมด แล้วก็สะสมอกุศล ก็หมุนมาวนเวียนคุณก็ลงนรกใหม่อีก คนก็วนขึ้นสวรรค์และลงนรก สลับกันไป ไม่มีใครขึ้นสวรรค์ไปตลอดหรอก คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดทุกชาติจะได้แต่กุศล มันมีอกุศลเก่าคุณอีกที่ตามมา

 

เพราะคุณเอาเปรียบโดยการอ้างอัตราให้แก่ตน ผู้อยู่บนเอาเปรียบคนฐานราก มีเยอะ มันไม่เที่ยง จะสุข ทุกข์ก็ไม่เที่ยง สุขก็ได้ชั่วคราว ดีไม่ดีไปทำบาปได้นรกได้ทุกข์หนัก หมุนเวียนไป สรุปแล้วมันน่าเบื่อ เพราะสุขหลอก มาเรียนรู้จะรู้ว่าสุขขัลลิกะ อาตมาได้พยัญชนะนี้มายืนยัน อาตมาพยายามแยกว่า สุข กับ อัลลิกะ

 

อัลลิกะ คือความเท็จ ความหลอก ความไม่จริง ท่านก็ไปศึกษากันอย่างไรไม่รู้ที่ท่านเรียนกัน ท่านก็ว่าอาตมาแยกผิด อาตมาพูดไม่ถูก แต่อาตมาว่าอาตมาพูดไม่ผิด มันมีหลักฐานอื่นอีกเยอะ แค่คำว่า กามสุขขัลลิกะ กับ อัตตกิลมถะ

 

แม้แต่อัตตทัตถสุข เป็นสุขที่เป็นอัตตาซ้อนในกามสุขขัลลิกะ มันน่าเบื่อในชีวิตก็เตือนสติผู้ที่เสวยสุขด้วยโลกธรรมก็ตาม ให้ศึกษาธรรมะเถอะเป็นที่พึ่งสุดยอด ส่ิงอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนหรอก คนเราเกิดมาอีกนานนับชาติ เป็นล้านๆชาติ คนก็เข้าใจยาก ไม่รู้หรอก แต่ศึกษาดีๆจะเข้าใจว่าชาติหนึ่งๆไม่ได้ยาวเลย แค่ร้อยปี ก็นิดเดียว แต่วัฏฏะสงสารมันนานนับล้านๆๆๆปี

 

มาเข้าสู่เรื่องที่อาตมาจะอธิบายเรื่อง สัมมาสมาธิ

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสโดยตรง เพราะคำว่าสมาธิเป็นคำกลางๆ มีทุกยุคสมัย มีทั้งแบบสมาธิถาวร นั่งหลับตาสมาธิ มีอยู่ตลอดกาลนาน ไม่มีที่สิ้นสุด แม้พระพุทธเจ้าออกบวชตอนแรกก็ไปนิยมเช่นเขา พบอาฬารดาบส อุทกดาบสก็ได้ฌาน 4 ฌาน 8 ท่านก็ทำได้ แต่ท่านว่าไม่ถูกทาง ทั้งที่พระพุทธเจ้าตอนเกิดมาก็มีพราหมณ์ อสิตดาบส มาทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีบารมีจริง พอวันเพ็ญเดือนหกก็ได้ย้อนระลึกชาติได้ เป็นวันที่ธรรมะของพุทธขึ้นมาเต็มที่ ก็รู้ว่าตนเป็นพระพุทธเจ้า มีพุทธการกธรรม

 

อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ กว่าอาตมาจะรู้ตัวก็อายุตั้ง 36 ขออภัยไม่ได้เทียบกับพระพุทธเจ้านะ แต่อาตมาก็เป็นลิงลมอมข้าวพองเหมือนคนโลกธรรมดา

 

การปฏิบัติสัมมาสมาธิ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในหลายสูตร แต่ในมหาจัตตารีสกสูตร สูตรนี้แหละอาตมาว่าสมบูรณ์ บริบูรณ์ที่สุด การปฏิบัติมรรคองค์ 8 นั้นทำอย่างไร

 

ปฏิบัติตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันติ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ 

 

ต้องมีประธาน เป็นความเห็นความรู้เข้าใจ เป็นทิฏฐิ หรือ ทฤษฎี หลักการ สูตร จะต้องเป็นสัมมา เบื้องต้น แล้วภาคปฏิบัติก็ปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ การคิด การพูด การกระทำ ก็ทำสัมมาสมาธิ การทำอาชีพเลี้ยงชีวิตก็ไม่ต้องหนีไปไหน สมาธิพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปหาที่สงบเสพ นั่งสมาธิ เพ่งกสิณ แต่เพ่งอ่านจิตในจิต

 

จิตในจิตตัวแรกที่อ่านเรียกว่า “กาย” หรือ “กายในกาย”

 

กรรม 4 อย่าง คือสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ 

 

กัมมันตะไม่ใช่แค่สรีระร่าง แต่รวมวาจาและความคิดด้วย

 

สัมมาอาชีวะคืออาชีพ คือท่านแยกมิจฉาอาชีวะไว้ 5

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง เป็นชั่วหยาบทางอบาย แต่อบายมุขลึกคือพวกเอาเปรียบสังคม กิเลสโลภจัด ในทางโลภ หรือใช้อำนาจบาทใหญ่ใช้อำนาจทำร้ายคนอื่นอย่างเลือดเย็น เช่นผู้บริหารระดับสูงทำร้ายผู้อื่นได้ชนิดไม่ทำเองแต่เป็นเหตุให้คนอื่นลำบาก โดยไม่มีใครรู้ หรือโกงเจ็ดแสนล้านก็อภิมหาอบายมุข ใครจะร่วมด้วยก็ได้บาปไปด้วย เอาไปมากบาปมาก ตามนั้น ด้วยสัจจะ

 

หรือนักธุรกิจ อย่างธุรกิจมอมเมาคน ค้ายาพิษ ค้าน้ำเมา ในมิจฉาวณิชชา 5

  1. การค้าขายอาวุธ       (สัตถวณิชชา)
  2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) คือขายเอาไปใช้งาน
  3. การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) ค้าขายสัตว์เป็นยังบาปน้อยกว่าค้าเนื้อสัตว์
  4. การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)
  5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

 

ชาวพุทธจะไม่ค้าพวกนี้ เป็นบาป อาชีพเช่นอาชีพนักกีฬา ดารา นักร้องที่ทำให้คนหลงติดอบายมุข ซับซ้อน หลงว่าเป็นศิลปะ สรุปแล้วกุหนาต้องเลิกก่อนเลย

 

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง คือคำพูด

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้ เนมิตตกะ แปลว่าการทำนายเสี่ยงโชค คือคุณต้องปฏิบัติตามหลักพระพุทธเจ้า จะบรรลุหรือไม่แต่ก็มีทางเจริญ ไม่ใช่ว่าไปเสี่ยงทายอย่างอื่น เป็นเรื่องปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องนึกว่าตนมีบารมี ก็เร่ิมที่ศีล 5 ถ้ามีบารมีก็จะพาสชั้นไปเลย ถ้าไม่มีฉันทะก็ไม่มีทางหรอก จะปฏิบัติตามน้ำ ไปตามวาระ กาละ ก็ไม่มีทางบรรลุหรอก มูลสูตรต้องมีฉันทะเป็นมูล แล้วเอาไปมนสิการ ทำใจให้เปลี่ยนแปลงให้กิเลสลด หากทำไม่ได้ก็ไม่มีทางบรรลุอรหันต์

 

เมื่อปฏิบัติได้ผลก็อยู่ในสังคม แต่อย่าไปมอบตนในทางผิด

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) คือเป็นเครื่องมือให้เขาทำผิด อย่างถ้าคุณยังติดว่าจะได้เงินเดือนมาก คุณก็ต้องอยู่ช่วยเขาทำบาปต่อไป แต่ถ้าแข็งแรงได้ก็ออกมา พ้นนิปเปสิกตาแต่ก็ยังเอาลาภแลกลาภอยู่

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา) เป็นสัมมาอาชีพขั้นสุดท้าย ข้อนี้ เข้าใจแล้วจะทำได้หรือไม่? คือทำงานไม่ใช้ลาภแลกลาภ สรุปคือทำงานฟรี ไม่ใช่เอาของแลกของ ไม่เอาเงินซื้อมา ไม่เอาแรงงานแลก ไม่เอาความรู้แลก ทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจทำงานฟรี อาจมีด่างพร้อยบ้างตอนต้น แต่ทำไปจะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ ทำเพื่อสละเพื่อให้แท้จริง นี่คืออาชีพที่สูงสุดประเสริฐสุด

 

อาตมาพาพวกเราชาวอโศกทำงานฟรีได้ ใครจะมีกิเลสส่วนตัวอยากได้คืนบ้างก็ตัวใครตัวมันตามกรรมวิบาก ใครทำใจได้ว่าเราทำเพื่อเสียสละให้ส่วนกลาง แต่ถ้าเขาไม่ให้เราก็เท่าที่ได้ บอกว่าจะใช้งบฯเท่านี้แล้วเขาไม่ให้หรือให้น้อยก็ทำไป เราก็ทำเพื่อส่วนกลางนี่ แต่ถ้ายึดก็เป็นตัวตนว่าจะต้องทำได้อย่างเราคิด

 

ขออภัยที่ต้องยกอโศก เพราะเป็นจริงได้แม้ยุคนี้ พวกเรามาทำงานฟรีได้ แม้ใจไม่เป็นอนาคามี ไม่ต้องการลาภสักการะสรรเสริญ​ไม่ติดทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่อง แต่หลายคนก็ปฏิบัติหน้านองน้ำตาอยู่ มาอยู่ในส่วนกลางก็ทำงานฟรี มีสิทธิ์รับสวัสดิการส่วนกลาง หลายคนภูมิไม่ถึงก็เข้าๆออกๆหลายเที่ยว บางคนทำได้ก็อยู่ได้ หรือบางคนก็กดข่ม แต่ก็รู้ว่าไม่เที่ยง ก็ปฏิบัติเพิ่มไป อนาคามีไม่มีกิเลสภายนอกแล้วมีแต่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

 

การปฏิบัติสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ต้องหนีไปทำที่อื่น แต่อยู่ในสังคมปกตินี่แหละ ทำมรรค 7 องค์ไป มีสัมมาสติ สัมมาวายามะ เป็นผู้ช่วย ของสัมมาทิฏฐิที่เป็นประธาน มีสัมมากัมมันตะเป็นตัวจัดการ โดยเน้นคำว่า กาย

 

ในเมืองไทย คำว่า กาย มาเป็นภาษาไทย นั้นเป็นเพียงหมายถึง มหาภูตรูป ก็ไม่ได้คะแนนเลย ปฏิบัติไม่ได้ หรือได้คะแนนติดลบเลย กิเลสนี่คือร่างหรือจิต....กิเลสคือจิต แต่ภาษาบาลี กิเลสแปลว่า กายกลิ คือองค์ประชุมของความชั่ว คือกิเลส ส่ิงเป็นโทษ กายกลิคือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย คือจิต อกุศลจิต แต่มันมีความหมายว่าเป็นองค์ประชุมที่ต้องเกี่ยวข้อง มี มหาภูตรูป ปสาทรูป โคจรรูป

 

คนมีแท่งก้อน ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับส่ิงอื่น แล้วจิตเราจะต้องทำงาน รู้พร้อม หลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าสำคัญ คือ กายคตาสติ อานาปานสติ

 

แม้อานาปานสติก็ต้องเหลือลมหายใจ เป็นกายนะ เช่นในวิโมกข์ 8 ก็ต้องมีภายนอก สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ ต้องทำการกำหนดหมายเรียนรู้ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งรูป ถึงอรูปเลย ต้องสัญญา หรือกำหนดหมายให้ได้ตลอด

 

การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องมีสัมผัสรู้ อย่างมีสติ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะภายในสิ้นก็ต้องรู้แจ้ง ขาดคำว่า กายไม่ได้ หรือเข้าใจกายเพี้ยนไม่ได้ กายนั้นหมายถึงจิต

 

ในโพธิปักขิยธรรม 37 ข้อแรกคือ กายในกาย

กายสังขาร คือสังขารของจิตที่เกี่ยวกับภายนอกด้วย ถ้าบอกจิตสังขารก็เฉพาะจิต ท่านอธิบายในอานาปานสติ ให้เรียนรู้ กายสังขารัง ปฏิสังเวที คือเรียนรู้กาย แล้วทำให้ ปัสสัทธิ​ ทำให้จิตปัสสัมภยังระงับ สำเร็จ อยู่ในจิตอภิปโมทยัง ทำจิตร่าเริงเบิกบาน ไม่ใช่จิตแข็งทื่อ เป็นจิตอาศัยให้แข็งแรง เมื่อเรารู้จัดอนุโลมปฏิโลม มีวิปัสสนาญาณ 9 มีอนุโลมได้

 

ทำฌาน เป็นศีลอาริยะ สำรวมอินทรีย์อาริยะ เกิดสติอันเป็นอาริยะ เกิดสมาธิอันเป็นอาริยะ ไม่ใช่ว่าเอาแค่ลมหายใจเข้าออก หรือว่าเข้าไปในภวังค์ ที่อธิบายกันเป็นเพียงอุปการะ เป็นการอนุโลม เพราะในสมัยนั้นมีแต่ไปนั่งหลับตาสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เลยต้องปรองดอง ท่านทำงานหนัก แม้พระโมคคัลลานะก็ตาย แม้มีฤทธิ์มากตายถูกเขาฆ่านะ ท่านทำงานศาสนานะ

 

การปฏิบัติเมื่อสามารถรู้จักสักกายะ คุณก็ปฏิบัติโดยสติปัฏฐาน 4 พิจารณาตั้งแต่ กายในกาย แล้วเนื่องไป เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้แยกกันนะ

 

เมื่อตากระทบรูปภายนอก ก็ไปรู้ภายใน เกิดกายวิญญาณ เป็นองค์รวม เวทนา สัญญา สังขาร หรือแตกสังขาร เป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

ต้องรู้อ่านองค์ประชุมตั้งแต่ กายในกาย แล้วองค์ประชุมเวลาสัมผัสข้างนอกมันก็เป็นเวทนาเลย มันสังขารทันทีด้วยอวิชชา คุณก็ต้องพิจารณา เมื่อทำสติปัฏฐาน 4 เป็น ก็ปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 โดยสำรวม ทวาร 6 ไม่ได้หลับตา แล้วปหาน มันมีตั้งแต่ สังวรปธาน ปหานปธาน คุณต้องอ่านกิเลสคือสมุทัยให้ได้ คือสราค สโทส สโมห ได้ผลก็รักษาผลเป็นอนุรักขณาปธาน ด้วยอิทธิบาท 4 เป็นแรงช่วย เพื่อจะปฏิบัติให้ได้ผล ได้ผลสั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 อินทรีย์คือได้ผลไปตามลำดับ แล้วจบที่พละ 5 บนฐานปฏิบัติคือโพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8

 

แท้โพธิปักขิยธรรมก็คือ โพชฌงค์ 7 นั่นแหละ อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน หรือแม้แต่สัมมาสมาธิ ก็มีเอกกัคคตาเป็นฐานในองค์ฌาน 4 สูงสุด

 

ในชีวิตเมื่อกระทบสัมผัสอะไรก็ต้องใช้สติปัฏฐาน ตั้งแต่กายนอก เข้าหากายใน กายคตาสติก็อันเดียวกันกับอานาปานสติ ต้องพิจารณากายสังขาร กายสังขารังปฏิสังเวที จะเดินไป เอี้ยวแขน ไกวขาก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นเหตุแห่งทุกข์ มีอาริยสัจ 4 ทุกองค์ประชุม เมื่อปฏิบัติกายคตะ องค์ประชุมชีวิตดำเนินไปสัมผัสดิน น้ำ ไฟ ลม อาหาร บริโภค อุปโภคที่เนื่องกับชีวิต ต้องพิจารณาถึงเหตุ

 

เมื่อคุณจะปฏิบัติกับใครก็ต้องจับกิเลสได้ให้มันมาสังขาร เป็นกายสังขารอย่างไร ที่ปรุงแต่งกันภายนอก และภายในต้องอ่านภายในเป็นหลัก กิเลสมันเกิดในจิต จะไปโทษภายนอกไม่ได้ คุณไปโง่กับมันเอง คุณเจอมะละกอ (อยู่ข้างหน้านี้) อยากได้ ชอบ ก็จะเอา จะหาซื้อ เขาจะให้ก็เอา หรือว่าจะลดกิเลสก็ไม่เอา เอาอันอื่นที่มีโภชนาการแทน คุณปฏิบัติธรรมก็ล้างกิเลส เกี่ยวกับมะละกอเมื่อไรก็ปฏิบัติได้ทุกเวลา มีปสาทรูป มีโคจรรูป ทำปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธานให้ได้

 

กายคตาสติ อานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 เป็นองค์ธรรมสามเส้าที่ต้องปฏิบัติตลอดเวลา ถ้าเข้าใจกายคตาสติไม่ได้ ต้องปฏิบัติภายนอกเชื่อมหาภายใน เชื่อมกับอานาปานสติ ทำให้กิเลสระงับได้ เป็นกิเลสระงับ ทำจิตให้สมาทหัง แข็งแรงสดชื่นตลอด แล้วก็ให้มีสติรู้ อนิจจานุปัสสี นิโรธานุปัสสี วิราคานุปัสสะ ปฏินิสัคคานุปัสสี ตลอดเวลา จับให้ได้มีกิเลสเกิดที่หทยรูป มันมีชีวิตมันยังไม่ตาย เป็นชีวิตินทรีย์ ของโอปปาติกสัตว์ ต้องรู้ว่ามันมีองค์ประชุมอย่างไรในสัตตาวาส 9ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ อัชฌัตตังอรูปสัญญี จะเห็นความแตกต่างของกายกับสัญญา ต้องมีธาตุรู้ตลอด ต้องมีกายวิญญาณ​ต้องสัมผัสเกี่ยวข้องแล้วอ่านวิญญาณ คำว่า กายต่างกัน สัญญาต่างกัน คือการบอกสื่อของการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า

 

ถ้าเข้าใจกายไม่ได้ ปฏิบัติสัตตาวาส ความเป็นสังโยชน์คุณจะพ้นไม่ได้ แม้สักกายคุณก็ไม่รู้ ก็สุญโย ถ้าเข้าใจสักกายทิฏฐิ มีกายคตาสติ มีสติปัฏฐาน จะอ่านรู้ สัตตาวาส 1 กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ความเป็นสัตว์จะเป็นสัตว์นรก เทวดา มนุษย์ คุณจะรู้ว่าเมื่อไม่มีหลักกำหนดจะกำหนดสัญญาไม่เป็น

 

กำหนดกาย เวทนา จิต ธรรม จะกำหนดได้อย่างไรถูก คนทั่วไปไม่เรียนหรือเรียนผิดก็กำหนดกายผิด ก็เข้าป่า ลงทะเลยะเยือกเย็น ก็ไม่ได้

 

ในข้อ 1 สัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7

1.    สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า

2.   สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น 

3.   สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม  (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) 

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

 

การทำฌาน คือลดนิวรณ์ 5 ไม่ให้มีนิวรณ์ 5 แบบโลกีย์ฤาษีก็นั่งสมาธิ ก็ทำได้สำเร็จได้ไม่มีนิวรณ์ได้ แต่กิเลสไม่ลด แต่องค์ประชุมของจิตต่างกัน กายต่างกันกับของพุทธที่ลืมตาทำ

 

ด้วยสงสัยในระบบบุญนิยม จากผู้สงสัย

1. ชีวิตในสังคมบุญนิยม มีหลายฐานะ ทั้งคนโสด ที่พยายามส่งเสริม ทั้งคนมีครอบครัว หรือ ที่อนาคต อาจจะขอมีครอบครัว  เบิกเงินใช้จ่าย อย่างไร ?

ตอบ...พูดรายละเอียดไม่ไหว...เตรียมมาเบิกไม่ได้ไว้ก่อนเลย เสร็จแล้วมาศึกษาเรียนรู้ว่าจะมีสิทธิ์อย่างไรมีขั้นตอนอย่างไร? ถ้าเป็นสมาชิกจริง ในแท้ๆจะพึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ แม้จะใช้เงินรักษาเป็นแสนเป็นล้านก็ได้ แต่เรื่องใช้จ่ายส่วนตัวเตรียมผิดหวังเลย แต่เรื่องเจ็บป่วยช่วยได้นอกจากคุณจะแย่จริงๆ หรือว่าคุณแย่ แต่ก็อยู่เขาก็ไม่ชอบคุณ แม้ไม่ผิดกฎแต่อยู่ได้อย่างแย่ๆ เขาก็ไม่ค่อยจ่ายสวัสดิการให้  นอกจากจะตะกละเสพจัด ก็อยู่ไม่ได้ หรือบางคนก็มามุบมิบ มีรายได้ข้างนอก แต่ก็อยู่ในนี้ ก็แล้วแต่บุคคล ไม่ได้บังคับกัน ก็ค่อยมาศึกษา

 

อย่างเด็กๆนี่อาตมาบอกว่านี่สมบัติของพวกเราทั้งนั้นเลย เป็นสาธารณโภคี ของลูกๆหลานๆ ก็รู้ว่าเราอยู่ในนี้ได้ ทำงานฟรี แล้วก็ไม่มีว่า ทำงานมานาน เวลาจะออกไปจะแบ่งส่วนออกไป ขอแบ่ง ไม่ได้นะไม่มีใครหักออกไปได้เลย ของที่นี่ คุณจะออกไปก็เรื่องของคุณ เพราะฉะนั้นตัดสินใจดีๆ ตัดสินใจไม่ดีจะอกหัก มหัศจรรย์ที่คนกล้าออกมาอยู่ พวกเรานี่แปลกถึงขั้น ก่อนตาย ตอนตาย ยิ้ม พอตอนตายหมดลมแล้วหน้ายังยิ้มเลย อย่าโยมเหมือนคำ พูดกับอาตมาว่า ดิฉันจะตายยิ้ม พ่อท่านบอก ก่อนจะตายแกก็ยิ้มจริงๆ ยิ้มค้างแล้วค่อยตาย เป็นไปได้ มันสงบถึงขนาดนั้น ตายรู้ตัวกำหนดยิ้มได้ สังคมเราพึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้ มีมา 40 กว่าปีแล้ว สังคมอโศกก่อเมื่อ 2516 ที่แดนอโศก แต่มาเป็นชุมชนจริง ปี 2557 ที่ปฐมอโศกเป็นแห่งแรก จะจัดงานตั้งแต่ 6-9 พ.ย. 57 นี้

 

1.1 ทุกคนที่มีสัมมาอาชีพในชุมชน... โดยเฉพาะในหน่วยงานที่ก่อเกิดมีรายได้ของระบบบัญนิยมที่มีหลายหน่วยงาน  เช่น ร้านค้า ผลิตปุ๋ย ทำสมุนไพร ทำขยะ ฯลฯ เมื่อเกิดรายได้ ผู้ทำงาน...จะสามารถนำเงินไปใช้ในกิจบางอย่าง ได้เองเลย หรือ ต้องนำรายได้ทั้งหมดเข้าการเงินกองกลางก่อน แล้วเมื่อจะใช้ ก็ค่อยมาเบิกจากกองกลาง

ตอบ...เป็นรายละเอียดตอบไม่ไหวตอนนี้ สรุปว่าเมื่อมาทำงานภายใน จะมีฐานอยู่กับกองกลาง เช่นบ.พลังบุญ บ.ฟ้าอภัย ในบริษัทเราอนุโลมให้มีเงินเดือน เดือนละ 2000 บาท ทำมา 20 ปีแล้ว บ.ฟ้าอภัยแต่ก่อนเงินเดือนสามพันบาท แต่เขาเจริญขึ้นก็ลดเหลือเดือนละ 2500 สูงสุด บางคนลดเหลือ สองพัน หรือบางคนไม่เอาเลยก็มี บ.พลังบุญสูงสุด 3000 บาท

 

ส่วนข้างเคียงร้านนั้นร้านนี้ไม่ใช่ร้านส่วนกลาง แต่เป็นของส่วนตัว เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็พยายามใช้บุญนิยม แต่ถึงขนาดนั้นก็มีคน..ที่มาอาศัยหากิน แล้วไม่ค่อยซื่อตรง อย่างอย.นี่ก็ไปปลอม นี่อย.จะมาตรวจสิ ก็พังไปทั้งแถบสิ ปลาตัวเดียว เน่าทั้งข้อง ก็ขอว่าหน่อยเถอะ ขอด่าหน่อยเถอะ อยู่ที่นี่หากินก็ทำไป แต่อย่าทุจริต อย่าซ้อนทำสิ่งผิด อาตมาถือว่าผิด คุณจะไปตั้งราคามากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ทำผิดนี่อย่าทำ ซุกซ่อนบังแฝงนี่อย่าทำ มันบาปกว่าอยู่ข้างนอกนะ คนทำบาปในกองคนบุญมันบาปแพงกว่านะ คนทำบาปในกองคนบาป บาปไม่แพงหรอก เหมือนฆ่าอรหันต์ก็บาปกว่าฆ่าอนาคาฯ ฆ่าอนาคาฯก็บาปกว่าฆ่าสกิทาฯ ราคาบาปบุญมีจริง

 

_1.2คนที่มีครอบครัวเข้ามา หรือ มามีครอบครัวใหม่ ด้วยตนเองทำงานให้ส่วนกลาง หากเกิดลูกเต้าอาจจะอยากกินขนม หรือ พักผ่อนนอกหมู่กลุ่มแบบส่วนตัว จะเบิก จ่ายยังไง หรือว่า มาปฏกิบัติธรรมแล้ว ต้องหมดกิเลสพสกนั้นแล้ว หรือ ต้องฝืนใจตนเอง

ขอบคุณครับ

ตอบ...คุณมาอยู่ที่นี่ ทำตนให้ดี คนเขาจะช่วยเหลือ มีลูกน่ะคนเอ็นดู เขาไม่มอมเมาด้วย เขาจะขัดเกลา เมตตาเลี้ยงดู เด็กที่นี่เหมือนเด็กสาธารณะ เลี้ยงดูเป็นครอบครัวใหญ่ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นภราดรภาพแท้จริง เป็นพี่น้องกันพึ่งพากันได้จริง อย่างปฐมอโศกนี่คุณน้ำดินดูแลอยู่ก็หนัก อาตมาจะตั้งชราภิบาลก็องค์ประกอบไม่พอ คนแก่เราก็ไม่ค่อยจะอยากมาอยู่ แต่ก็ยังอบอุ่น ถ้าคุณสนใจก็มาลองพักดู

 

_ในวันออกพรรษาที่ว่าพระพุทธเจ้าหลังเสด็จโปรดพระมารดาแล้วลงมาเห็นโลก 3 ทั้งมนุษย์ เทวดา นรก

ตอบ...คุณเข้าใจแบบเทวนิยม พระมารดาสิ้นพระชนม์แล้วก็เข้าใจเป็นเทวนิยม เป็นสวรรค์ที่เป็นตัวตนปั้นเอาเอง แต่แท้จริงเป็นเรื่องของจิตทั้งสิ้น มารดาเป็นผู้ไม่บรรลุจึงอยู่ดาวดึงส์ แต่ดุสิตจะเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุ  มารดาคือผู้มีอิตถีภาวะ คือภิกษุทุกรูป พระพุทธเจ้าคือพ่อ พระสารีบุตรคือแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะคือแม่นม

 

เกิดเห็นโลก 3 คือผู้มีญาณปัญญาก็จะเห็นรู้สัตว์โอปปาติกะ ท่านเปิดโลกอันนี้ภิกษุที่อยู่กับท่านก็เกิดญาณปัญญา เห็นสัตว์ในจิตวิญญาณได้

 

_ทำไมคนเราชอบทำบุญวันเข้าพรรษา มากกว่าวันออกพรรษา ทำไม?

ตอบ...ไม่รู้นะ เหตุปัจจัยทำไม? ก็ขอแวะให้ปัญญาว่า พระพุทธเจ้าว่าความเสื่อมชาวพุทธข้อแรกคือไม่ไปพบภิกษุ ก็เลือกวัดหน่อยนะ เดี๋ยวไปบางวัดถูกล้วงเงินเสียหาย ต้องศึกษาว่าชีวิตนี่ต้องเข้าหาธรรมะอย่างอื่นไม่มีอะไรดีกว่าธรรมะหรอก

 

_โคจรรูปคือ

ตอบ...คือสิ่งที่คุณต้องรู้ เมื่อคุณประพฤติดำเนินการไปตามประสา หรือท่านเรียกว่าวิสัยรูป ตามวิสัย นิสัยที่คุณทำ โคจรรูป คู่กับ ปสาทรูป เมื่อดำเนินชีวิตก็มีกระทบสัมผัสทวาร 6 เช่นตากระทบรูป แต่คุณเอาประสาทไปใช้ที่อื่น หรือเสียงมันมา แต่คุณเอาประสาทไปรับเสียงอื่น คนตะโกนเรียกเท่าไหร่ไม่ได้ยิน แต่ได้ยินเสียงอื่น โคจรรูปคือสองอย่างสัมผัสดำเนินไปจะเกิดวิญญาณ

 

_แพทย์พยาบาลให้ยาด้วยปรารถนาดี แต่ยานี้ให้ผลร้ายหรือเป็นเครื่องสำอางค์ด้วยเป็นมิจฉาอาชีวะไหม?

ตอบ...ตอบไม่ไหวนะ ติดตามฟังพิจารณาให้ดีก็แล้วกัน ทุกวันนี้มอมเมากัน จนเลอะเทอะ

 

_คนไม่รู้ว่าตนเองตาย เขาคิดว่าลูกเมียเขายังอยู่ไหม?

ตอบ...คนตายไปสัญญายังมีอยู่ ยังยึดอยู่ ตายไปตอนแรกต้องห่วงหาอาวรณ์นึกถึง แต่คนละภพกันแล้ว คุณไม่มี ทวารนอกแล้ว คุณจะไม่รู้หรอกว่าตอนแรกคุณตาย ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็ตกนรกคือนึกว่ามี ทวาร 5 เหมือนมีชีวิตก็จะดิ้นรนเหมือนฝัน แล้วจะเมาไปหมด ว่าเอ๊ทำไมนึกถึงเมียก็ปั้นรูปเมีย แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่จริง ขาดวิ่นเละสับสนวุ่นวาย นรกเลอะเทอะ ย่ิงห่วงหาก็ยิ่งดิ้น นรกก็เยอะ ทุกข์ก็เยอะ เขาไม่รู้หรอกว่าลูกเมียยังอยู่ ยึดมากก็นรกมา

 

_การปลุกเสกพระที่เขาทำมิจฉาทิฏฐิไหม?

ตอบ...สับธงว่ามิจฉาทิฏฐิ เสียหายมาก การปลุกเสกฯพระอาตมาก็เอามาทำใช้ภาษาว่าปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ไม่ได้ปลุกเสกพระอิฐหินดินปูนอย่างเขาทำ อย่างนั้นนอกเรื่อง ทำให้ศาสนาเสื่อม อาตมาพูดด้วยตำหนิ นิคคัณเห ไม่ได้พูดด้วยโกรธนะ  มันเป็นบาปนะไม่ใช่เรื่องบุญ หยุดเสียเถอะ หากหยุดไม่ได้ก็ให้เบาลง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:07:16 )

571101

รายละเอียด

571101_เทศน์ก่อนฉันที่นาแรงรักฯ โดยพ่อครู เรื่อง นักกสิกรรมและนักเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ

พ่อครูเดินทางจากปฐมอโศกมาที่นาแรงรักแรงฝัน อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

 

พ่อครูเกริ่นก่อนออกอากาศสด....มีนร.อยู่ที่นี่ 38 คน หลวงปู่ไปเดินดู จำไม่ไหวเขาว่านร.ดูแลๆ จำไม่ไหวเลย เก่งเหมือนกันนะพวกเรา หลวงปู่ว่าเด็กอโศกทุกคนต้องได้ลงนา ทำนาทุกคน รู้จักการปลูกการเกี่ยวข้าว  ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าข้าวมาจากไหน? มาจากจานจากหม้อ ไม่ไหวนะ ...ข้าวเมล็ดเล็กนิดเดียว กว่าจะได้กิน มันหกหล่นแต่ละเมล็ดๆเล็กๆ เม็ดหนึ่งต้องใช้ความเพียรอุตสาหะจะได้ดันชีวิตเราไปได้ ที่นาแรงรักที่นี่มีร้อยกว่าไร่ ทำให้เป็นนาตัวอย่าง

 

สามสิบ สี่สิบปีมาแล้ว หลวงปู่มาทางนี้เห็นความสำคัญในขีวิต พระพุทธเจ้าว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราจะต้องดูแลอาหาร นี่เดินไปตลอดคันนา ยังไงก็ไม่มีอดตาย เก็บข้างทางกินก็อยู่รอดเราเก็บมามันก็ออกใหม่งอกใหม่ บูรณะไปอย่าให้มันตายกลางทาง

 

ดูแต่ว่านาข้างๆยังไม่ยอมเปลี่ยน ยังใช้ปุ๋ยเคมีอยู่ นึกไม่ออกสิว่าเขาเห็นเทียบเคียงกัน นาเรานี่ต้นสูงท่วมหัว แต่ข้าวเขาแคระ เขาใช้ปุ๋ยราคาแพงกว่าเราด้วย ของเราถูกกว่า งามกว่า ปลอดภัยกว่า นี่สำคัญ แต่ไม่ยักเปลี่ยนแปลงหัวคิด มีเหตุปัจจัยอะไร มันน่าจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ทำร่วมกันไป เราทำพิสูจน์มาหลายปีเห็นผล ดูต้นข้าวสูงท่วมหัว รวงยาวยังไม่โค้งเลย ยังพุ่งตรงอยู่เลย

 

อาตมาก็จะรอดูผล ที่ศีรษะเกษ มีชาวอินเดียมาวิจัยจุลินทรีย์​ เก็บในที่ประหยัดสุด เห็นผลสูงสุด เขาว่า ไร่หนึ่งใช้หนึ่งแคปซูลเดียว ผลออกมาจริง แต่จะได้เสถียร แล้วผลที่ได้จะได้จริงไหม? ถ้าได้จะประหยัดน่าดูเลย 1 แคปซูลต่อไร่

 

แม้กระทั่งดินที่จะเอามาให้มันอยู่ ใส่ในแคปซูลก็เลือกสรร วิจัย ก็ได้มาขนาดหนึ่ง  (ส.เดินดินว่า...ได้ข้อสรุปว่า ส.ตรงมั่นว่าได้ข้อสรุปว่า 1 แคปซูลคือจุลินทรีย์ดึงฟอสฟอรัสมา แต่ก็ต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์เหมือนเก่า มันเป็นเพียงตัวช่วย ก็ยังต้องใช้ปุ๋ยงอกงามเหมือนเดิม )

 

พ่อครู...นึกว่ามันจะแทนปุ๋ยเลย ถ้ามันได้จะข่มปุ๋ยไปเลยก็ดี  เราไม่ว่านะจะได้ความทุ่นแรงเบาง่ายลง ขนส่งสะดวก

 

ออกอากาศสด....

 

พ่อครูว่า...นาแรงรักแรงฝัน มันเป็นความฝันของหมอฟากฟ้าหนึ่ง บอกว่าชาติหน้าเกิดมาจะไม่ขอเรียนสูงเลย ชาตินี้เผลอตัวไปเรียนหมอมาแล้วก็ช่างมัน จบหมอแล้วก็มาทำนา ก็ยังตั้งใจว่าชาติหน้าไม่ขอไปเรียนหมอ เกิดมาให้มาเป็นชาวนาเลย แล้วก็มาซื้อที่นาที่นี่ อาตมาก็ส่งเสริมหมอก็ทำหน้าที่สุดท้ายก็ไปตามวิบาก อายุได้ 54 ปีเท่านั้นเองก็เสีย 31 ธ.ค. 50 เราจัดงานปีใหม่อยู่บ้านราชฯข่าวทางนี้ก็ว่าเสียชีวิตเลย ไม่ได้รอเวลาอะไร มันเป็นเรื่องของความรู้สึกความเข้าใจของหมอฟากฟ้าหนึ่ง ว่าชีวิตนี้อะไรสำคัญ อะไรที่มนุษย์ควรรู้จัก

 

หลวงปู่นี่บอกมาตั้งแต่ต้นว่าชาวอโศกต้องเป็นชาวนา ต้องทำของกินใช้เป็นเรื่องของชีวิต ในประดาปัจจัย 4 เครื่องใช้อาศัยของชีวิต มีอะไรบ้างเด็กๆบอกมา....เด็กๆตัวยาวดีแล้ว อย่าให้ออกทางกว้างมาก ทำงานจะได้ผอมๆ

 

อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย ยารักษาโรค นี่อาหารเป็นที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ท่านไม่ได้บอกว่าทองคำเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง หรือธนบัตรเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง สมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีธนบัตร ก็นี่แหละเป็นสิ่งมีค่าที่สุด สำหรับที่พักไม่มีก็อยู่ได้ ไม่มีเครื่องนุ่งห่มก็อยู่รอด แต่อาหารนี่ยังไงก็ต้องกิน ไม่กินก็ตาย สัตว์โลกต้องอาศัยกวลิงการาหาร ทุกสัตว์โลก ทุกชนิด ต้องกินทั้งนั้น

 

คนเรารู้ความสำคัญเช่นนี้แล้วจะต้องดูแล และอาหารหรือข้าว พืชพันธุ์ธัญญาหาร นั้นต้องไม่แพง อย่าขายแพง ต้องแบ่งปันกันกิน อย่าเอาไปเป็นเครื่องต่อรองชีวิต คนต้องกินก็เลยเอาไปค้ากำไรมาก บาปกินหัว คนทำเรื่องนี้จะไม่รวย ใครเอาเรื่องนี้ไปรวยนี่บาป

 

บาปหนักๆมีสองอย่าง หนึ่งคนทำงานเรื่องอาหารแล้วเอาไปขูดรีดมนุษย์ เขารวยได้เพราะคนจำเป็นต้องกิน แล้วใช้กลวิธีหากิน รวยติดอันดับโลกเลย

 

สองคือหมอ พวกนี้บาปมากถ้าเอาความกลัวตายของคนมาทำมาหากิน ก็ขู่เอาๆเพราะคนกลัวตายกลัวเจ็บ อาหารกับความเป็นหมอ ก่อบาปร้ายแรงบาปสูงโดยไม่รู้ตัว

 

สองอย่างนี้มันเป็นกุศลก็สูง ราคากุศลสูง ราคาบาปก็แรง ทำให้คนทุกข์ทรมานมากก็บาปมาก ส่วนคนเสียสละ หมอจะรักษาคนก็เสียสละใครจะให้อยู่ให้ค่าใช้จ่ายก็อยู่ไปก็เป็นกุศลสูง แต่เรื่องอาหารการกิน รัฐบาลดูแล ของมันก็เลยต้องถูก มันก็เฉลี่ยของกินก็เลยไม่แพงเท่าไหร่ ใครทำสวนทำไร่ทำอาหารไม่ต้องรู้หนังสือก็ทำได้ แต่การเป็นหมอไม่เรียนก็ทำไม่ได้ หมอก็เลยขู่มาก ราคาแพงมาก แต่ทำอาหารนี่ทำกันทั่ว ราคาก็เลยแพงไม่ค่อยได้ แต่ก็มีคนคิดหาวิธีเพื่อให้ได้เปรียบมากๆ แล้วใช้สารเคมีทำหมด ไม่ฟังเสียงว่าจะเป็นพิษภัยกับใคร เขาเลี้ยงไก่นี่ มันโหดมาก เขาคัดมาเลี้ยงก็โยนๆๆลูกไก่ แล้วก็เอามาอยู่ในช่องให้กินอาหารแล้วหลอกมันด้วยไฟทั้งวันทั้งคืน ให้มันไข่ วันละสองฟอง เอาไปขาย แล้วชีวิตมันก็สั้น มาก แค่ 39 วันหรือ 45 วันก็ปลดเกษียรขายเป็นเนื้อแล้วเอารุ่นใหม่มาเลี้ยง คนเอาเปรียบทั้งสัตว์และคน พวกนี้ตกนรกหมกไหม้ อาตมาไม่ได้ลงโทษ แต่เป็นสัจธรรม

 

เห็นแก่เงินรายได้ แต่ตนเองก็ทำบาป ทั้งคนคิดคนทำ ได้บาปไปเลย ติดตัวเป็นอกุศลวิบาก เป็นทรัพย์แท้จริง วิบากบาป บุญ​เป็นสิ่งที่จะทำให้เราสั่งสมใส่จิตวิญญาณ จะเรียกว่าอัตภาพก็เรียกได้

 

คนเราเกิดมาก็มีอัตภาพหนึ่ง มันพัฒนามาตั้งแต่พลังงานอุตุนิยาม (พลังงานทั่วไปในโลก) แล้วพัฒนามาเป็นพลังงานที่มีชีวะก็เรียกว่าพีชะ จนพัฒนามาอีกรอบเรียกว่า จิต นิยาม

 

พีชะก็เป็นพลังงานระดับที่ต่ำ พืชไม่มีวิญญาณไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิบาก ไม่มีรัก ชัง โกรธ โลภ ไม่มีบาปบุญ ตัวมันเองก็มีสัญญา สังขาร แต่ไม่มีเวทนา ไม่รู้สึกสุขทุกข์ มันมีสัญญากำหนดรู้ว่าอันนี้ได้ไม่ได้ ควรไม่ควร มันก็สังเคราะห์ตนเองไป จนมันมีจิตนิยาม ก็มีรัก ชัง สุข ทุกข​์ เรียกว่ามีกรรมครอง

 

เกิดมาเป็นคน เป็นสัตว์ที่เจริญมาถึงเป็นคน คนในระดับต้นก็ไม่รู้ว่ากรรมคืออะไร กรรมนี่แหละเป็นของๆตน เป็นตัวพาเกิดพาเป็น ตนเป็นทายาทของกรรม กรรมนี่เป็นสุกฏทุกฏานัง ทำกรรมลงไปก็พาเราสุขเราทุกข์ เป็นผลวิบาก กัมมานัง ผลัง วิปาโก เป็นผลวิบาก พลังงานจิตนิยามของแต่ละคน มีพฤติกรรมบาปสั่งสมใส่จิตเรา จะเรียกว่าจิตนิยามก็ตาม แต่ละคนก็มีอัตภาพของแต่ละคน มีพลังงานเรียกว่าผลวิบาก จะดีชั่วจะสุขทุกข์ก็เราสั่งสม ทำในที่ลับหรือที่แจ้งคนรู้หรือไม่ ถ้าเป็นชั่วก็ของเรา ถ้าดีก็ของเรา ทำแล้วไม่เอาไม่ได้ เราไม่เอาไม่ได้ เอาออกไม่ได้ด้วย ทำน้อยก็ได้น้อย ทำมากก็ได้มาก เป็นของเราทั้งนั้น เป็นสัจจะเลี่ยงไม่ได้

 

หลวงปู่เชื่อ และอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะบุญกับกุศล ศานาพุทธเข้าใจคำว่าบุญผิดไป เข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศลไป บุญเป็นภาษาโลกุตรธรรม แต่กุศลคือความดีงามโลกีย์โลกๆ

 

การทำไร่นานี่เป็นกุศลใหญ่ ทำเพื่อเผื่อแผ่คนในโลก แล้วเราก็ล้างกิเลสไปด้วยขณะทำนาไร่สวน ทำอาหารนี่เป็นอาชีพชั้นหนึ่งในโลกแล้ว แม้อุตสาหกรรมนั้นพารวย เขาคิดเก่ง เทคโนโลยีชั้นสูง ออกฤทธิ์เดชมากเลย พูดคุยกันติดต่อกันง่ายดาย เหลือแต่กลิ่นยังส่งไม่ได้ ส่งออกนอกโลกได้ เขาเก่งก้าวหน้า ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์บอกว่าการก้าวหน้าอย่างมากคือการถอยหลังเข้าคลอง ทุกวันนี้เขาก็รวยก็เก่งมาก แต่เขาก็ได้พึ่งทางเราที่ทำเรื่องอาหารนี่แหละ เขาก็สร้างอาวุธ เทคโนโลยีมาขาย เขารวยโลกีย์ แต่จนหรือเป็นหนี้ทางโลกุตระ เขาไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก จิตวิญญาณ​ในหลวงเราตรัสเตือนแต่เขาก็ไปหลงโลกกัน ในหลวงเราตรัสชัดลึกสั้น ที่ท่านตรัสท่านเป็นโพธิสัตว์ เป็นคำอาริยะ คำลึก คนธรรมดาพูดไม่ได้

 

บอกว่าความก้าวหน้าอย่างเขานี่น่ากลัว เป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว เขาก็ฟังกันไม่รู้เรื่องหรอก เขารู้ก็ทำไม่ได้ แต่ต่อไปพวกเรานี่ หลวงปู่กำชับพวกเราให้ศึกษาธรรมะ พวกเราก็ไม่ด้อยเรื่องความรู้เทคนิคหรอก นร.สัมมาสิกขาจบไปก็ไปเรียนกับเขาได้ ได้เกียรตินิยม ได้ป.โทป.เอากัน ไม่ต้องกังวลว่า รร.นี้จะด้อยความรู้ทางโลก ไม่ด้อยกว่าเขาแน่ สู้เขาได้ แต่กำไรกว่าทางโลกสามต่อ ทางโน้นเรียนอย่างเดียว แต่ของเราเรียนคุณธรรมและทำงานด้วย เรียนด้วย สามเท่า ก็หนักหน่อย แต่ไม่เห็นมีนร.เรียนจนตาย หรือทรุดโทรม มีแต่บวมขึ้นน้ำหนักขึ้นสมบูรณ์แข็งแรงทั้งนั้น

 

ให้เห็นความสำคัญ ไม่ว่าจะศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา อย่าท้อถอย แม้ถูกดูถูกว่าเอามารับใช้ ใช้แรงงาน แต่แท้จริง เราเลี้ยงดูอย่างกับลูกหลาน เป็นการเลี้ยงอย่างลูกจริงๆ ให้กันอย่างจริงใจด้วย เป็นงานของสังคมมนุษย์โลก

 

ทางด้านการเมือง อโศกก็ทำช่วยชาติ หน้าที่สร้างพลเมือง เยาวชน ให้รอบรู้เฉลียวฉลาด ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ เพื่อเป็นพลเมืองดี เป็นหน้าที่ของนักบริหาร ของรัฐบาลเราก็ทำ ถือว่าเป็นงานการเมือง และเราทำงานการเมืองอย่างยิ่ง อย่างจริง เพราะไม่ได้เอานร.มาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน แต่รร.รัฐบาลก็มีที่อาศัยโรงเรียนทำมาหากิน อาศัยนร.ทำมาหากิน มากหรือน้อยเขาก็มีจริง หรือรร.เอกชนตั้งมาเพื่อทำมาหากินแท้ๆ แต่ของเราไม่ได้ทำเช่นนั้นเราตั้งรร.มาเพื่อช่วยสร้างคนจริงๆ ไม่เก็บค่าเรียนเลย อโศกเป็นพรรคการเมืองโดยธรรมชาติไม่ได้ขึ้นกับกรอบกฎหมาย แต่เป็นพรรคการเมืองที่อิสรเสรีที่สุด ข้อบังคับทางการเมืองไม่เกี่ยว เกี่ยวกับกฎหมายเท่านั้น เราก็ทำไม่ได้แข่งดีเด่นไม่เอาอำนาจบาทใหญ่ ไม่เอางบฯรัฐบาลมาหากิน เราทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองโดยตรง

 

แม้พรรคการเมืองเราทำงานการเมืองภาคประชาชน เป็นการงานช่วยเลี้ยงโลก ทำกสิกรรม พวกกระทรวงเกษตรก็พัฒนาการเกษตร สร้างปุ๋ยกัน ถ้าจะว่ากันแล้วการเกิดเกษตรอินทรีย์นี่ อโศกเป็นตัวเริ่มต้นแล้วทำจนประสพผลสำเร็จ เขามีคิดกันก่อนแต่ทำไม่สำเร็จ

 

หลวงปู่นี่ให้ไปติดต่อตั้งแต่ EM. พยายามติดต่อไปถึงญี่ปุ่น จนได้เอา ดร.โช มาบรรยายที่บ้านราชฯ (เขามาจากเกาหลี) ก็ได้น้ำพ่อน้ำแม่ ก็พัฒนาเป็นรูปร่าง ก็ไม่ได้มาทวงบุญคุณ ก็ทำมาจนกระเตื้องกันได้ขนาดนี้ เราก็พยายามต่อภพภูมิ อีกอย่างขอย้ำกับลูกหลานว่า นาแรงรักนี่ของใคร...ของเราทุกคนนะ ไม่ได้พูดเล่นนะ ของจริง จะอยู่ดูแลนานี่ไปจนตายก็ได้เลย สร้างให้ได้ผลผลิตดี ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเลย ได้ร้อยกว่าไร่เลย ก็ทำให้เจริญงอกงาม อย่าว่าแต่ท้องนาเลย ที่ดินชาวอโศกในทุกที่ก็เป็นของกองกลาง สมบัติเหล่านี้ทุกคนไม่มีสิทธิ์ผลาญทำลาย แต่มีสิทธิ์บูรณะให้ดีทำกินใช้ไปได้ตลอดจนตาย ไปถึงลูกหลานเลย แต่เอาทำเพื่อให้แจกจ่าย ไม่ใช่ทำเพื่อกอบโกยเอากำไร เราทำขาดทุนให้แก่โลก แม้เราขาดทุนเราก็มีกิน ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ เจ็บป่วยมีคนรักษา...

 

เป็นระบบของพระพุทธเจ้า ระบบสาธารณโภคี บุญนิยม เป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่ย่ิงใหญ่ มั่นใจว่าถูกที่สุดแต่คนเข้าไม่ถึง พวกเราก็ยืนยันพิสูจน์ให้โลกเห็น ยุคนี่จะเจริญได้ เพราะยุคพระพุทธเจ้าเป็นยุคทาส เป็นนายทุนจริง ยุคนี้นายทุนหลอก ทุกวันนี้รวยต้องปกปิด ลึกๆเขามีปัญญารู้ว่ารวยนี่เอาเปรียบเขามา คนมีปัญญารวยแล้วไม่อยากอวด กลัวคนมาแย่งเอาไป มันรู้หมดแล้วว่ารวยไม่ดี รวยไม่ควรอวด

 

คนทุกวันนี้เข้าใจได้มากทฤษฎีพระพุทธเจ้าจึงเอามาใช้ในยุคนี้ได้ เรื่องความรู้ฉลาดของสังคม พระพุทธเจ้ารู้บริบูรณ์หมด สูงสุดได้ เอามาใช้กับสังคม ยุคนี้คนมีปัญญารู้ได้ ก็เหลือแต่ความจริง พระพุทธเจ้าประกาศศาสนามาสองพันกว่าปี ก็เสื่อมลง กิเลสมันชนะทฤษฏี หลวงปู่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามารื้อฟื้นกอบกู้เพื่อให้พุทธศาสนายืนนานไปถึงห้าพันปี

 

ก็เห็นรูปรอยว่าจะกอบกู้ชาติได้ต้องลดกิเลส ทุกวันนี้มีอำนาจใหญ่สองอย่างคือนายทุนกับอำนาจศักดินา นั้นจับมือกันแล้ว เขากอดคอกันโกงเลย ประเทศก็เสียหาย ที่จริงคนที่มีความรู้สามารถมาก จริงๆนั้นต้องช่วยคนความรู้น้อย สามารถน้อย ในสังคมมีคนที่จะต้องช่วย คือ เด็ก คนป่วย คนแก่ คนพิการ คนไร้สรรถภาพ สมองไม่ดี มีห้าลักษณะที่เราจำนนต้องช่วย แต่มีคนที่ชั่วมากอีกสองคน คือคนขี้เกียจกับคนขี้โกง คนพวกนี้ฉลาดมากเลยนะ ทั้งขี้เกียจและขี้โกงเขารวยได้มีอำนาจมากได้ แล้วไม่ปราณีคนด้วย ไม่มีจิตดีด้วย ยุคนี้เขาเข้าใจกันได้ เราไม่ต้องอธิบายมาก เป็นแต่เพียงมาช่วยกันสร้างคนให้เป็นคนพัฒนาตามที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นคนอาริยะ civilize

 

ศิวิไลซ์ของตะวันตกเป็นแบบกัลยาณชน กดข่มจิต แล้วทำช่วยสังคม เขากดความชั่วทำแต่ดี แต่ของพระพุทธเจ้าเรียนรู้จิตแล้วกำจัดความชั่วออกไป จนจิตสะอาด แต่ของกัลยาณชนเขาละชั่ว ทำแต่ดีกดข่มกิเลสลืมกิเลสไป ไม่รู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ สัตว์ทางจิตวิญญาณนี่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานนะ ทำร้ายสัตว์อื่น ทำร้ายคนด้วยกันด้วย พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา หลวงปู่เป็นลูกศิษย์ก็ศึกษามาหลายชาติ แล้วเอามาสืบสาน ฟื้นสิ่งที่ดีมาทำจนกว่าจะหมดศาสนา ซึ่งช่วยไม่ได้สักวันก็ต้องหมดอายุลงไป

 

ชาวอโศกถ้ามีชีวิตเป็นกสิกร แล้วรับผิดชอบชาติเลย เราจะผลิตอาหารให้โลก โดยที่เราจะค้าขายอย่างถูก แจกแบบบุญนิยม เราจะไม่รวย เราเอาแบบคนจนที่ในหลวงว่า เราไม่สะสมกักตุน เรามีมากได้แต่เราไม่เอาเราเต็มใจเสียสละ ทรัพย์แท้ของคนอยู่ที่ไหน? คือทองคำ หรือธนบัตร? ...คือความรู้ความสามารถและความขยันหมั่นเพียร โจรก็ปล้นไม่ได้ แต่แบ่งให้คนอื่นสอนให้คนอื่นได้ แต่ต้องเอาไปทำเองนะ ไม่ใช่ว่าแบ่งแบบแบ่งข้าวของ แบบนั้นไม่ได้ แล้วให้ฟังว่าขยัน เก่งอย่างไรก็เอาไปทำ ขนาดรู้ๆบางคนยังทำไม่ได้ก็มี จบวิศวกรมาขันน็อตตัวหนึ่งยังทำไม่เป็นเลยก็มี สอนเขาได้แจ้วๆ แต่ทำไม่เป็น บางอย่างไม่มีในตำราหรอก ทำไม่ได้ต้องอาศัยความรู้ ชำนาญ​ เช่นเดียวกับกสิกรรม รู้อย่างเดียวไม่ได้

 

สรุปแล้วเราต้องยึดพื้นที่ทำกสิกรรม เราไม่เอาเกษตร เพราะมันรวมทั้งปศุสัตว์ด้วย สัตว์ทุกตัวมีวิบากของเขา เราไปช่วยหรือไปทำร้ายก็ไปเกี่ยวกับเขา เราอย่าไปมีวิบากร่วมกับเขาเลย พวกคนนี่แหละไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเยอะ ชาตินี้เกิดมาเป็นคน ชาติต่อไปเป็นสัตว์ก็เวียนวนไป เราอย่าไปเชื่อมวงจนวัฏฏะสงสารกับสัตว์ เราจะเกื้อกูลเขาบ้างก็ทำ แต่อย่าให้เขาติดเรา ให้มันดูดดึง กัน หรือพยาบาท หลวงปู่ก็เตือนกัน ว่าให้ตัดใจ เราทำกุศลกับเขาก็ดี แต่อย่าไปรักหรือชอบมันเป็นวิบาก รักมากก็เป็นภัย เป็นของฉัน อย่างหมูหมานี่รักเจ้าของมากใครใกล้ไม่ได้นะ ไม่เอาทั้งรักและชัง เป็นภัยทั้่งคู่

 

ถ้าเห็นว่าที่หลวงปู่พูดนี้ดีให้ทำ หลวงปู่ไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเรามานับถือหรือมาเป็นบริวาร แต่บอกความจริงให้ไปปฏิบัติเอง อย่างนาที่ทำนี่ก็ทำไปให้ดี ที่อื่นก็มี ที่บ้านราชฯก็มี มีคนชอบทำนา จะให้หลวงปู่ไปบอกให้หาซื้อที่นาราคาหลายล้าน หลวงปู่ว่าไม่มีมีแต่หัวล้าน

 

ขอสรุป...ที่นาแรงรักแรงฝันนี่หลวงปู่เป็นคนตั้งชื่อ แล้วมีเนินพอกินอีกด้วย รวมแล้วสองร้อยกว่าไร่ ก็เป็นของพวกเราทุกคน ที่จะทำสิ่งดีงามเป็นอาหารไปช่วยโลก หากทำให้ทั้งนาและเนินทำเป็นผลผลิตช่วยประเทศชาติได้ด้วย 1.ของดี 2.ราคาถูก 3.ซื่อสัตย์ 4.มีน้ำใจ 5.ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวงปวดท้อง

 

ไม่เอาสินเชื่อ เป็นเรื่องทำลายสังคม เป็นกลเม็ดของสังคม เรื่องสินเชื่อ เราไม่มี มีแต่เงินเกื้อกูลกัน มีแต่สมบัติพัสถานเกื้อกูลกัน เราให้ยืมกันได้แต่ไม่คิดดอก อโศกไม่มีเงินกู้ แต่มีเงินเกื้อ เกื้อกันได้แต่อย่ากู้ กู้นี่มีดอกเบี้ยไม่เอา แล้วมีเงินหนุน คือให้กันได้ ไม่มีหนี้

 

พืชพันธ์ุธัญญาหารนั้นไม่มีวิบากกรรมอะไร คนกินได้แต่พืช คนกินดินไม่ได้ คนเป็นสัตว์ไม่ใช่สัตว์กินดิน และคนก็ไม่ใช่สัตว์กินสัตว์ พืชกินดิน สัตว์กินพืช แล้วก็ตายเป็นดินหมุนเวียน แต่คนดันผ่าไปกินสัตว์ นี่ผิด

 

แม้แต่เศรษฐกิจ ที่จะรุ่งเรืองต่อไปคือเศรษฐกิจบุญนิยม ที่คู่เคียงกับเศรษฐกิจทุนนิยม หลวงปู่เป็นนร.เศรษฐศาสตร์นะ เคยเรียน ม.ธรรมศาสตร์ หมายเลขนักศึกษาคือ 2172/ศ 

 

คำว่าเศรษฐะ มาจากภาษาอังกฤษว่า Economic เขาแปลว่าประหยัด (ไม่ใช่ความตระหนี่) คือรู้จักมักน้อยสันโดษ ที่ในหลวงตรัสเศรษฐกิจพอเพียงนี่แหละ คำว่าเศรษฐะแปลว่าความเจริญ เป็นภาษาสันสกฤษ และคำว่าเศรษฐี  ฉันเป็นเศรษฐีเงินถัง แต่ว่าสตังค์ไม่มี ในคำลิเกเขา แต่เป็นเศรษฐีที่แจกจ่ายเจือจานคนอื่นเพราะรู้จักหลักเกณฑ์ชีวิต ที่พระพุทธเจ้าสอน ไตรสิกขา

 

ไตรสิกขานี่คือเศรษฐศาสตร์อย่างหนึ่ง ขยายไตรสิกขาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นจรณะ 15 จากข้อ ศีล( ศีล อปัณกปฏิปทา ) สมาธิ(สัทธรรม 7  ) ปัญญา( ฌานอีก 4 ) ทำให้เกิดวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะได้ ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม  เป็นโลกุตรธรรม 37 เร่ิมด้วยกายในกาย แล้วจบที่อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน พวกเด็กๆ ฟังเข้าหูไปก่อน ใส่ฮาร์ดดิสก์ไว้ หรือใครจะเข้าใจ หรือเข้าถึงได้ก็ย่ิงดี

 

ในโลกุตระ 37 เป็นหลักสูตรในศาสนาพุทธศาสนาเดียว พอปฏิบัติแล้วจะหลุดพ้นเป็นโลกุตรบุคคล 9 (บุคคล 8 และนิพพาน1) แต่ก็อยู่กับสังคม ผู้บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าจะมีลักษณะ โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ เพื่อ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือคุณสมบัติอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าจริงก็ใช่ ไม่จริงก็ไม่ใช่

 

หลวงปู่พารับใช้มวลมนุษยชาติ จะอยู่ไป 151 ปี อย่าตายก่อนหลวงปู่นะ เราจะอยู่เกื้อกูลทั้งคนและสัตว์ แผ่เมตตาจริง เป็นคนช่วยสังคมโลก ไม่ได้เอาโลกเป็นเครื่องมือหรือเป็นปัจจัยหากิน อยู่กับโลกใช้ปัจจัยช่วยโลก เป็นโลกานุกัมปายะ ผู้มีความรู้ความจริงเป็นเสฏโฐ ประเสริฐ ทำสำเร็จตามความสามารถก็ช่วยสังคมได้ยิ่งมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นสงฆ์ (แปลว่าหมู่กลุ่ม) ไม่ใช่ลัทธิปลีกเดีี่ยวหรือเผด็จการ แต่เป็นลัทธิประชาธิปไตยมีอำนาจที่ไม่เห็นแก่ตัว ฟังไว้ท่านผู้บริหารประเทศทั้งหลาย อำนาจที่เห็นแก่ประชาชนเห็นแก่คนอื่น พระพุทธเจ้าว่าถ้าเราทำเพื่อผู้อื่นทำเพื่อประชาชนไม่ต้องห่วงชีวิตเลย เป็น ปรปฏิภัททา เม ชีวิตกา แปลว่า ชีวิตนี้เนื่องไปด้วยผู้อื่น อย่างหลวงปู่นี่ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องกินเลย เราต้องเลือกกินส่ิงที่มีคุณค่าประโยชน์ไม่ได้กินตามกิเลส หรือว่าเราจะลดละจากกิเลสอันไหนติดเราก็งดกินได้ หัดไป

 

สรุปแล้วเมื่อผู้ใดมีความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วช่วยสังคม ก็ไม่ต้องห่วงตัวเองเลย จะกินอยู่ ไปมา จะใช้อะไรเขาก็จะช่วยเรา ขอให้เราทำจริง ช่วยประชาชนจริง จนเขาเชื่อมั่น คนมีปัญญาก็ช่วย คนโง่ไม่ช่วยก็ช่างหัวเขา เศรษฐศาสตร์จะเกิดคือช่วยให้คนเฉลี่ยความสุขอย่างทั่วถึง แม้จะมีคนขี้เกียจ ขี้โกงก็ปราบให้เขาหายโกงหายเกียจ แต่คนพิการ คนชรา เด็ก คนป่วย คนไร้สรรถภาพ ก็ต้องช่วยเขา แต่บางทีคนพิการก็ไม่ต้องให้คนช่วยเขาช่วยตนเองได้ บางคนเก่งด้วย

 

เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์เหมือนการเมือง แต่คืองานแท้ๆ ตั้งแต่ประชาชนคนหนึ่งจนถึงผู้บริหารประเทศ คือการมีอยู่มีกิน เกื้อกูลช่วยเหลือกันทั่วถึง นี่คือความหมายชัดๆของเศรษฐศาสตร์ ใครเข้าใจก็ช่วยกันทำงาน เพื่อช่วยคนอื่น

 

ชาวอโศกมาทำงานฟรีกันส่วนใหญ่ มีแฝงเอาส่วนตัวบ้างนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่ทำฟรี ก็เลยมีเหลือไปช่วยคนอื่น แล้วไม่กักตุน ชาวอโศกจะจนไปตลอด แต่มีหมุนไปได้ เงินทองข้าวของต้องใช้ก็มี เช่นการสื่อสารก็ต้องใช้ เดี๋ยวนี้เขารบกันด้วยการสื่อสาร และที่ต้องบอกสื่อสารข่าวคราว ก็เลยสำคัญ อโศกเราก็เลยจำเป็นต้องมีสื่อสาร เราสู้เรื่องเครื่องมือเขาไม่ได้ แต่เราเอาความอดทน ความขยันสู้ ตอนนี้เขามีไม่รู้กี่ช่องเอาไว้หาเงินมอมเมาคนแต่อโศกเราไม่ทำบาป มีช่องเดียวก็พอแล้ว ไม่ได้ทำเอาเงินทอง เราทำสื่อสาร

 

เศรษฐกิจ ก็ทำ ทำงานอาชีพ ไม่เป็นภาระสังคม มีเหลือ ก็แจกแบ่งคนอื่น เราทำการงานอันไม่มีโทษ ที่ปราชญ์ไม่ตำหนิ ทั้งกสิกรรม ช่าง วิศวะ ของเราเด็กบางคนจบ เขาก็มาจองไปทำงานไปให้เรียนต่อเป็นวิศวกรเลย ให้กินอยู่หลับนอนด้วยเลย แล้วพวกเราก็ไม่เคยไปขอขึ้นเงินเดือน อย่างพวกเราบางคนไปทำงานการสื่อสารกับเขา แล้วก็ทนกับภาวะของโลกกดดันไม่ได้ ก็เลยจะขอลาออก เจ้านายก็ว่าจะขึ้นเงินเดือนให้นะให้อยู่ต่อ แต่เขาก็ว่าไม่ได้ต้องการเงินเดือนมาก แต่เพราะทุกข์ว่าไปทำงานเอาเปรียบได้เงินได้อะไรมาก ก็ไม่อยากอยู่ เป็นภาวะจิตที่สำนึกดีก็เลยจะออกมา มาทำงานในหมู่คนดีดีกว่า

 

อย่างหลวงปู่นี่ให้มาทำงานฟรีไม่มีเงินเดือน รายได้คือการถูกฝึกหัดขัดเกลานะหนักนะ ไม่ได้เงินแถมถูกตำหนินะ แต่ก็เป็นไปได้มีคนมาทำงานด้วย การทำงานโทรทัศน์นี่ราคาแพงนะหลวงปู่ตอนเป็นฆราวาสทำงานเรื่องนี้โดยตรง แต่ออกบวชมาแล้วก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้ไปสอนเขาด้วย

 

เศรษฐศาสตร์คืองานที่ไม่เป็นโทษต่อสังคม แล้วเอามาแบ่งปันผลผลิตกัน เป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่จะต้องมีความรู้เศรษฐศาสตร์ด้วย เพราะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ประชาชนต้องมีอยู่มีกิน แต่อย่างอื่นเป็นเรื่องรอง เรื่องความมั่นคง สุขภาพก็เป็นเรื่องรอง หลวงปู่จึงพาทำ ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก จึงสำคัญ​ทางตะวันตกเขาเก่งเรื่องลูกปืนเขากินลูกปืนได้ไหม? เขากินคอมพิวเตอร์ได้ไหม แต่เรามีอาหารเราอยู่รอด แต่เราไม่ได้ดูถูกเครื่องมือ เราใช้อะไรได้ก็ใช้ แต่เราต้องรู้อะไรสำคัญกว่า เราอยู่ในประเทศโซนอบอุ่นต้องรู้ว่าเราทำเรื่องอาหารนี่สำคัญทำได้ดี ทำอย่างในหลวง ทำอย่างขาดทุนคือกำไร

 

ไม่ใช่ว่าขาดทุนจนตัวหมดไม่มีกินก็โง่ แต่ขาดทุนให้อยู่ได้ มีปัญญาทำได้ มันเป็นภาษาไม่ลึกลับ แต่ลึกซึ้ง คำว่าสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์อย่างหนึ่ง พวกคอมมิวนิสต์ก็พยายามทำ เพื่อให้แบ่งเฉลี่ยผลผลิตกัน แต่เป็นการบังคับโดยกฎหมาย ตั้งระเบียบ ภาษี ใครขยันมากทำมากเก็บมากขอให้ประเทศมากๆ ซึ่งที่จริงก็ได้กุศลแล้วได้ช่วยคน แต่เขาไม่เข้าใจสัจธรรม ถ้าคณะบริหารของคอมมิวนิสต์ซื่อสัตย์ตนเองก็พออยู่พอกินไม่เอาเปรียบ คอมมิวนิสต์ก็รุ่งเรือง

 

แม้แต่เผด็จการ หรือประชาธิปไตยขาเดียวอย่างอเมริกาหรือปธน.แต่ละประเทศ เขามีแฝงหรือว่าเป็นประชาธิปไตยเป็นอำนาจใหญ่ แต่ตนเองทำเพื่อประชาชนจริง อย่างปธน.อุรุกวัย เขาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ทำงานรับใช้สังคม แต่ตนเองจน รถของรัฐไม่ใช่ ใช้รถจนๆเก่าๆของตน ไม่รับเงินมาก มีบ้านของตนเล็กๆ เป็นจอมจักรพรรดิ์แท้จริง ไม่ใช่แบบอเล็กซานเดอร์มหาราชที่ฆ่าฟันแย่งอาณานิคม แม้เผด็จการแต่ตนเองไม่เอาให้ตนแต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ นี่แหละคือประชาธิปไตย ทำเพื่อประชาชนจริงๆ อย่างคานธีตายแล้วมีสมบัติไม่กี่ชิ้นเลย ไม่รับตำแหน่งการเมืองด้วย แต่ช่วยชาติได้มาก หรือผู้อื่นที่มีอำนาจ แต่บรรลุธรรมไม่เห็นแก่ตัว ตัวเราก็มีชีวิตให้สังคมเลี้ยงไว้ แล้วตนก็ทำเพื่อประเทศชาติประชาชนแท้จริงนี่ีคือนักเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์แท้จริง

 

เศรษฐศาสตร์ขั้นแรกคืออาหารการกิน ต่อไปประเทศตะวันตก ยุโรป จะเดือดร้อน แม้อเมริกาก็เดือดร้อน เพราะเขาทำอาหารไม่ได้เท่ากับเอเชีย และอาหารนี่มีแบบมอมเมาด้วย หลวงปู่กลัวว่าต่อไปอาหารไทยจะแพร่ระบาดทั่วโลก เพราะอาหารไทยมอมเมาคนเก่ง  รสอร่อยนี่แหละมอมเมาคน ปรุ่งแต่งไปเห็นแก่ได้ ใส่สารเคมี อะไรมากเกินก็เป็นโทษ หวานมาก เค็มมาก ก็ใส่เข้าไปทำให้สุขภาพเสื่อม

 

เศรษฐศาสตร์ คือเฉลี่ยให้ทั่วถึง มีน้ำใจสงเคราะห์กัน ไม่ใช่ว่าฉวยโอกาสเอาเปรียบเขา คนมีความได้เปรียบในสังคมแล้วเอาเปรียบคนอื่นเลว แต่คนที่ช่วยคนอื่นรับใช้สังคม นี่แหละยิ่งสามารถช่วยได้มากก็ยิ่งดีเป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคมการเมืองแท้จริงเลย เอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าตรวจเลย

 

หลักตรวจสอบธรรมวินัย 8

1.    เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)

2.   เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ)

3.   เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ)

4.    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

5.    เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

6.    เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ)

7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ)

8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

 

เราจะเป็นคนมักน้อยสันโดษต้องเป็นคนลดกิเลส ลดโลภ ความโลภคือต้องการเอามาเป็นของคนหมด หวงแหน ส่วนราคะหรือกามคือได้มาเสพรสทางทวาร 6 ได้เสพก็สุข อร่อย คือกามราคะ ส่วนโลภคือเอามาเป็นของตน ส่วนโทสะคือต้องการทำร้ายทำลาย ผู้ใดลดกิเลสได้ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แล้วก็อยู่กับสังคมไปแต่ก่อนเราชอบของสวยงาม อะไรเขาหลอกว่าน่าได้ก็สะสมหมด เราก็เข้าใจแล้วเราก็ไม่ไปสะสม รู้ว่าอะไรเป็นสาระต้องอาศัย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง

 

ของพระพุทธเจ้านี่ไม่สะสม แต่ขยันมีความรู้ความสามารถ ศึกษากับสังคมไม่หนีสังคม ก็มีความรู้ความสามารถแต่ไม่เอาไปใช้เอาเปรียบเขาแต่เอาความรู้สามารถไปช่วยสังคม นี่คือวิชชาศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ วิชชาคือตัวล้างอวิชชา ล้างอวิชชาด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แต่มีแบบฤาษีที่เขากดข่ม ทิ้งสังคมไปไม่ช่วยเหลือสังคม มีลัทธิหนึ่งพวกเชน ไม่นุ่งห่มเสื้อผ้า มักน้อยมาก ผมเขาก็ไม่โกน เขาถอนผมเลย มักน้อยไม่เบียดเบียนโลกสังคมเลย แต่ไม่รู้จักทฤษฏีล้างกิเลส เจ้าลัทธิคือพระมหาวีระ เกิดสมัยพระพุทธเจ้า เขาเชื่อกรรมเก่า เป็นอเทวนิยมเหมือนกัน เขาเชื่อธรรมชาติว่ามันเป็นไปของมัน มีชีวิติอยู่ได้ บิณฑบาต อาศัยผู้อื่นเลี้ยงไว้ แต่ไม่ทำร้ายอะไรเลย แม้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ก็ไม่ทำ แต่เขาไม่รู้จักปรมัตถ์ เขาไม่รู้จักสักกายะ ไม่รู้วิธีล้างอาสวะ ทฤษฎีพระพุทธเจ้าล้างเหตุได้ แล้วอยู่กับสังคม ทำงานกับสังคมช่วยสังคม รู้ว่างานไหนเป็นโทษ ทำบาป ก็ไม่ทำ รู้มิจฉาวิณิชชา (อาวุธ สัตว์เป็น เนื้อสัตว์ ส่ิงเป็นพิษ ส่ิง มอมเมา) ทั้งห้าอย่างนี้เราไม่ทำ แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ทำหมด ค้าแล้วรวยด้วย

 

นักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าจะมีความรู้และความจริง รู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน แล้วก็รู้ความรู้เทคนิคของสังคมด้วย หลายคนหลวงปู่ส่งเรียนถึงดร.เลยนะ เราเอามาทำงานให้ช่วยสังคมไม่ได้มาเอาเปรียบสังคมนะ อีกหน่อยเรามีมหาวิทยาลัยเองเลย ตั้งหลักปรัชญาของการเรียนป.เอกไว้ว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา (อุดมศึกษา)

 

นักประชาธิปไตยที่ย่ิงใหญ่ที่สุดในโลกไม่ว่าจะอีกนานเท่าไหร่คือพุทธศาสนา จะเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ก็ของพระพุทธเจ้านี่สุดยอดที่สุด จะออกกฎหมายก็ไม่ต้องตั้งสนช.เลย ตั้งเองหมด ทุกวันนี้ยังไม่มีใครกล้าเปลี่ยนนะ เป็นจอมเผด็จการเลยนะ ไม่ว่าจะระบอบไหนก็ทำเพื่อประชาชนเพราะสิ้นอัตตาตัวตนแล้วเป็นสัจจะเป็นจริง ไทยยังมีอาริยธรรมนี้อยู่ พวกเราเรียนให้ดีแล้วสืบทอดเอาให้ได้ เป็นประโยชน์ต่อโลกโลกทั้งโลกก็ต้องการสิ่งนี้ ศาสนาพุทธไม่ขาดศาสตร์ไหนๆเลย มีความรู้เหล่านี้หมด ที่โลกเขามี หากเป็นการงานอันไม่เป็นโทษ แต่การงานเป็นโทษเช่น ชงเหล้า บาร์เทนเดอร์ เต้นแร้งเต้นกา

 

พระพุทธเจ้าเป็นนักวิชาการชั้นหนึ่งของโลก ไม่ได้โมเมเอานะ พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องมนุษย์กับสังคมมนุษย์ กว่าจะสั่งสมจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ศึกษาเรื่องนี้ ไม่ออกไปจากสังคมมนุษย์ อยู่กับสังคม ศึกษา ไม่ทำร้าย ทำเพื่อมวลประชาชน โดยกำจัดตัวเห็นแก่ตัว กำจัดได้จริง จึงเป็นวิชาการที่ทำเพื่อคนอื่นจริง เพราะกำจัดกิเลสได้ตายแล้วตายเลยไม่ฟื้น โลกก็ต้องการทฤษฎีหลักการถาวรยั่งยืนก็ของพระพุทธเจ้านี่แหละ ช่วอโศกเป็นตัวอย่าง และจะเป็นอย่างนี้อีกนาน ไม่ได้หลอกว่าจะให้มาเอาเสพสุข ได้โลกธรรม แต่ให้มาลดกิเลสให้เป็นสูญ เป็นการสร้างคนให้เป็นอาริยะ หรืออริยะก็ได้ ศิวิไลซ์ก็ได้ แต่ของหลวงปู่ให้เป็นอาริยะที่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างแท้จริง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:08:07 )

571103

รายละเอียด

571103_เอื้อไออุ่นก่อนมหาปวารณา ปฐมอโศก

อาตมาเข้าสู่พิธีบวชมาเป็นพระ ตั้งแต่พศ.2513​ วันที่ 7 พ.ย. เป็นวันบวช พอถึงวันที่ 7 เราก็เลยเอาเป็นหลักในการจัดงานมหาปวารณา ไม่ใช่งานวันบวชอาตมาหรือถืออาตมาเป็นหลักแต่วันออกพรรษาประมาณปลายตค.มีเวลานิดหน่อยก็นัดกันมา ใช้เวลาประมาณ​2 วันสำหรับสมณะทำพิธีมหาปวารณา แล้วก็ผนวกเอาวันเกิดปฐมอโศก

 

เมื่อมหาปวารณา เรามีตักบาตรเทโวออกพรรษา  แล้วปีนี้วันเกิดปฐมอโศกก็เป็นวันอาทิตย์เราก็เลยยึดเอาวันที่ 7 กับวันอาทิตย์เป็นหลัก มหาปวารณา 2​วัน ตักบาตรเทโว 1​วัน และวันเกิดปฐมอโศก ก็วันอาทิตย์ ก็เป็น 4 วันก็เลยต้องใช้วันพฤหัส_อาทิตย์ ทุกปีไป เอาให้มีวันที่ 7 กับวันอาทิตย์เป็นหลัก อาตมาใช้หลักอันนี้ ในการจัดวันงาน

 

วันนี้ใกล้วันงานแล้ว อีกสองวันก็จะจัดงานแล้ว วันนี้ฝนตกและมีฟ้าผ่าใหญ่ด้วย เสียงดัง มีทิวธงหลากสี เต็มไปหมด คล้ายงานวัด ก็เลยจัดวันนี้เป็นวันเอื้อไออุ่น ตามประสาพ่อลูก ปู่ๆหลานๆ มีอะไรก็พูดคุยโอภาปราศรัย

 

เมื่อกี้นี้มีสมณะแนะนำหนังสือ “ค้าบุญคือบาป” หนา 320 หน้า เห็นหนังสือหนาอย่าตกใจ อาตมาว่าพยายามพากเพียรอ่านหน่อยก็ดี คนที่มีอัตตาแล้วก็จะอยากให้คนอื่นอ่านแล้วมีอาการดีใจ แต่อาตมานี่ไม่ได้มีความอยากเช่นนั้น แต่เป็นวิภวตัณหา ถ้ายังมีความอยากให้อ่านของเราแล้วเราชื่นใจ ยิ่งเขาชอบของเราก็ยิ่งชื่นใจดีใจ ที่เขาอ่านของเรา เราอยากให้อ่านด้วย นั่นคืออยากอย่างมีกิเลส แต่ถ้าอยากอย่างไม่มีกิเลสเรียกว่าวิภวตัณหา อยากให้อ่านแล้วผู้อ่านจะได้ประโยชน์ สำหรับผู้เขียนเองก็ตาม ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันไม่ได้อยากให้เขาอ่านแล้วดีใจ ไม่มีอาการโลกียรส (ต้องแยกอุเบกขา กับการมีโลกียรสออกจากกัน) มันมีความรู้ว่าเป็นคุณ_โทษ บางคนเขาอ่านหนังสือเราอ่านแล้วเป็นโทษมีเหมือนกันนะ คือคนที่อ่านหนังสือเราบางคนนี่ เราจะอยากให้อ่านหรือไม่ก็ตาม แต่เขาอ่านแล้วเป็นโทษคือ

เขาอ่านแล้วไปเข้าใจผิด หรือเขาอ่านแล้วเกิดกิเลสมาก ยิ่งอ่านแล้วยิ่งโกรธแค้นอย่างนี้ก็ไม่อยากให้อ่าน แต่ถ้าเขาไปอ่านแล้วเขาโกรธ เราก็ช่วยเขายากนะ สุดวิสัย ก็ไม่อยากให้อ่าน แต่ถ้าอ่านแล้วมันเป็นคุณ

 

มาฟังคำนำของหนังสือ ค้าบุญคือบาป กันดู

 

ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจนัยสำคัญของคำว่าบุญ ….....หาอ่านได้ในหนังสือ “ค้าบุญคือบาป”

 

 

_คำถาม

_มีเด็กคนหนึ่งถามว่า ทำอย่างไรจะให้เรียนจบม.6ไปรอด

ตอบ...นี่เป็นคำถามของรร.สัมมาสิกขา รร.นี้ตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว มีปรัชญาให้การศึกษาแก่อนุชน แก่ประเทศด้วยการศึกษา เราจัดทำเกิดโรงเรียน เป็นนิตินัยของก.ศึกษาฯ ทำการผลิตคน ช่วยประเทศชาติ เราได้ทำหน้าที่อยู่ในสังคม เป็นการเมืองภาคประชาชน ด้วยไม่หวังผลตอบแทน การศึกษาที่เราทำสัมมาสิกขาโดยเจตนาตั้งใจสร้างอนุชนให้แก่ชาติจริงๆ ไม่ได้ทำแบบเดาสุ่ม อาตมาพาทำนี่เพื่อกอบกู้การศึกษาจากความเสื่อม มันเสื่อมตรงที่ว่า คุณธรรมของเยาวชนไม่ได้ การศึกษาของประเทศ และทั้งโลกเลย อาตมาเสียดายประเทศไทยเป็นเมืองพุทธแต่ไม่เอาพุทธมาเป็นการศึกษา ไม่มีไตรสิกขาเลย ไม่เอามาเป็นหลักเลย ในวงการการศึกษาของประเทศไม่เอาใจใส่เรื่องนี้ทิ้งเลย ไม่รู้ว่ามีผลเสียอะไรเกิด ศาสนาหรือธรรมะก็ยิ่งสูญ กลายเป็นเยาวชนไม่มีการศึกษาธรรมะออกมาโตมาเป็นผู้ใหญ่ของประเทศ ประเทศก็เลยไม่มีธรรมะ เพราะการศึกษาไทยไม่มีธรรมะมาก่อน พอมาเป็นผู้ใหญ่ก็เลยไม่มีธรรมะ จะตั้งสตินำธรรมะมาสู่การศึกษาได้ไหม?

 

สมัยอาตมาเรียนมีวิชาธรรมะ วิชาศีลธรรมมีคะแนนแค่ 10 % วิชาหน้าที่พลเมือง คะแนนเต็มแค่ 10 แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วแม้แค่ 10 คะแนน แล้วก็บอกว่าทำไมโกงคอรัปชั่นทั่วบ้านทั่วเมือง ก็เพราะว่าไม่มีธรรมะ ก็โกงได้โกงดี ดังรายการของคุณวีระทางบุญนิยมทีวี ตอนนี้ประเทศไทยฉิบหายวายป่วงไปมาก ผู้ที่มีหน้าที่จะลงดาบหรือไม่ หรือเงื้อง่าราคาแพงเท่านั้น

 

สรุปการศึกษาไม่มีคุณธรรมไม่มีธรรมะ อาตมาก็มุ่งมั่นทำการศึกษาตั้งปรัชญาเลยว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา สัดส่่วนศีล 45 เป็นงาน 35 ชาญวิชา 25 แม้วิชาการเราก็ให้การศึกษาเท่ากับที่กระทรวงศึกษาฯให้ด้วย เราให้การศึกษากันเหมือนลูกหลาน สอนกันเมื่อไหรก็สอนเลย ในเวลาไม่กำหนดว่าต้องเวลาไหนๆ เราอยู่ร่วมกันเหมือนบ้าน เราไม่ทำการศึกษาในกล่อง เราทำการศึกษาแบบ บ้าน วัด​ โรงเรียน

 

ไม่ใช่ว่าทำการศึกษาแบบทำไก่ตอน ทำเป็นฟรากรัว์ ด้วยการกรอกน้ำมันให้มันหรือเลี้ยงไก่ในกล่อง เช้าก็ให้เข้ากล่องแล้วกรอกความรู้ที่ไม่จำเป็นเลย เวลาไหนๆก็กรอกความรู้ กลับมาก็ทำการบ้าน นอนแล้วก็ตื่นมาเรียนอีก เราไม่ทำเช่นนั้น แบบเด็กที่เรียนมากฉลาดรู้มาก ก้าวหน้าความรู้แต่ไม่เป็นงาน ขาดคุณธรรม อาตมาก็เลยทำการศึกษาแบบ บวร บ้าน_วัด_โรงเรียน

 

บ้านคือสังคม วัดคือการเมือง โรงเรียนคือแหล่งให้การศึกษา คนมาอโศกมีเขาถามว่า วัดอยู่ตรงไหน? ก็รวมทั้งหมดคือ บ้าน วัด โรงเรียน รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราทำได้ นร.ก็อยู่ในบ้าน ในวัด ในโรงเรียน อยู่ในนี้แหละ ที่เด็กอยู่ แล้วที่ถามว่าทำอย่างไรจะเรียนจบม.6 ที่เด็กถามเพราะว่าตั้งแต่เข้าม.1 มีการคัดเลือกเข้ามาเรียน ปีนี้เช่นมี 30 คน พอถึงม.6 อาจเหลือ 10 คนก็เก่ง นอกนั้นก็ออก มีออกสองอย่างคือ ออกเองเรียนไม่ไหว หรือให้ออกไป เพราะว่าคุณสมบัติ สอนไม่ไหว พาลพาให้เสียหมู่ เสียระดับการศึกษาสัมมาสิกขาเราก็จำเป็นต้องให้ออกไป บอกได้เลยว่า เด็กที่ให้ออกจากเรา หลายคนไปดีที่อื่น ขนาดออกจากที่นี่ไปก็ไปดีไปเด่นในที่อื่นๆ ไม่ได้คุยตัวหรือคุยเด่นดังแต่เป็นเช่นนั้น

 

เด็กที่นี่จึงเรียนมากกว่าข้างนอก สามต่อ จะเห็นได้ว่าบรรยายธรรมะก็มีนร.มานั่งฟังธรรม เวลาอื่นเขาก็เรียนก็ปฏิบัติอยู่ในตัว สรุปคือเรียนหนัก สามต่อ เราให้การศึกษาเช่นนี้จริงๆ เมื่อจบออกไปก็ไม่เห็นว่าเด็กเราเก๊แต่อย่างไร ดีกว่าหลายโรงเรียนด้วย อาตมาเคยตั้งข้อสังเกต ว่าเด็กเราจบม.6 อาตมาก็ไปทำที่ม.อุบลฯ ร่วมกันทำการศึกษาอุดมศึกษา ทางม.อุบลฯก็ตั้งเศรษฐกิจพอเพียง แล้วใช้เด็กอโศกเป็นหลักในการเอาไปเรียนภาควิชานี้ เป็นชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง แล้วเด็กนศ.ก็ไปเป็นนร.ประจำอยู่กับเรา ก็เป็นบ้าน วัด โรงเรียนเหมือนกัน แล้วก็เรียนม.อุบลฯ ปรากฎกว่า เด็กเราไปเรียนแต่ละปีๆ ปีแรก 20 กว่าคน ปีต่อมาก็น้อยลงๆ จนกระทั่งตอนนี้เขาปิดไปแล้ว ได้สี่รุ่นพอดี จะด้วยอะไรไม่ขอพูดถึง เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ 4​รุ่นที่ไป เด็กสัมมาสิกขาจบไปไปเรียน และเด็กอื่นก็เข้ามาเรียนคณะนี้ด้วย ก็เรียนร่วมกัน พอจบปริญญาตั้งแต่รุ่น 1 เด็กของเราได้ เกียรตินิยม 4​คน เด็กอื่นไม่ได้ พอรุ่น 2 รุ่น 3 รุ่น 4 ก็ได้เกียรตินิยม เด็กเราไม่มากกว่าข้างนอกด้วย พวกเราไม่ได้ให้คะแนนนะ ก็อาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั่นแหละให้คะแนน เพราะคุณธรรมของเด็กอโศกเข้าไปเรียนก็ได้เกียรตินิยมทั้ง 4 ปี

 

สรุปแล้ว ความรู้ทางวิชาการก็ตาม เราก็มี เด็กเราจบป.ตรี โท เอก ก็มีเยอะ ก็ทำงานการในสังคม แต่เราเพิ่งตั้งมาแค่ 20 กว่าปี ก็เลยไม่มีมากนัก และคำตอบว่าทำอย่างไรจะเรียนให้จบ ก็บอกว่าต้องอดทนหน่อย พากเพียรหน่อย แต่หลวงปู่บอกเลยว่าได้ดีแน่ๆ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ ได้ดีอดทนเอาพากเพียรเอา ต้องทำความเข้าใจให้ได้ทุกคน เหลนๆหลานๆนี่

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันต้องยากแน่นอน จึงคำตอบจึงมีว่าต้องอดทน พากเพียร และต้องทำปัญญาให้แจ้งว่าเป็นสิ่งที่ดี คนที่ไม่จบหลายคน กลับมาร้องได้ ที่ออกไปกลางครัน โดยตนเองตัดสินใจออกเองเป็นหลัก คนที่ออกเองก็กลับมาร้องไห้ว่าหนูไม่น่าออกไป ผมไม่น่าออกไปเลย นึกถึงที่นี่ บอกหลานๆทั้งหลาย อดทนเอา พากเพียรหน่อย ทำความเข้าใจว่าที่นี่สร้างลูกหลานให้เป็นอนุชน เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต อย่างจริงใจ รับรองว่าไม่ด้อยกว่าทางโลกแน่ มันขาดทุนอะไรที่เราจะมีคุณธรรม เราจะเป็นงาน เราไม่ได้ขาดทุนเลย อย่าขี้เกียจ อย่าอ่อนแอ อดทนเข้าไว้ ทำความเข้าใจว่าที่นี่จะหล่อหลอมให้เราเป็นคนดีในอนาคต

 

_เมื่อก่อนเราทำงานมีเงินเดือน แต่เรารู้ว่ามีสมบัติที่เราได้จะข้ามภพชาติได้ ก็เลยลาออกมาปฏิบัติธรรม และตัวกรรมนี่แหละจะข้ามชาติได้ และเคยอ่านหนังสือว่า ตัวสัญญาจะเก็บแค่ความรู้สึก แต่ไม่เก็บความคิด แล้วสงคมเราเป็นสังคมใช้ความคิดค่อนข้างมาก ทำอย่างไรเราจะคิดอย่างไม่สิ้นเปลือง

 

ตอบ...ตีความว่า สัญญานั้นสะสมแต่ความรู้สึก ไม่สะสมความคิด ...ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ความคิด กับความรู้สึก นั้นบันทึกใส่สัญญากันอย่างไร...อาตมาก็ขอพูดตามความรู้สึกว่า ความคิดก็บันทึกข้ามชาติไม่ได้แค่ความรู้สึก ...ที่ไปอ่านนี้คงอ่านหนังสือของคนอื่น...อาตมาไม่ได้เข้าใจความคิดเหมือนที่เขาตีความแน่ แต่อาตมาตีความว่า เขาคงคิดว่าความคิดเป็นความฟุ้งซ่าน ขอบอกเลยว่า แม้แต่ความฟุ้งซ่านก็บันทึก สิ่งที่บันทึกในสัญญาก็นั้นบันทึกยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์นะ เจตนา หัง ภิกขเวกัมมัง วทามิ แปลว่า เจตนาจึงเป็นกรรม ถ้าไม่เจตนาไม่เป็นกรรม ก็คงจะเป็นอันนี้ที่ทำให้เขาไปตีความว่า ความคิดไม่มีเจตนา ความรู้สึกมีเจตนา อาตมาว่าสับสนนะ เพราะกรรมนี่ คุณจะเจตนาหรือไม่เจตนา ก็คือกรรม คือการกระทำ เป็นกรรม 3 การกระทำในจิตไม่ออกมาเป็นกาย เป็นวจี มันบันทึกหมด เจตนาหรือไม่ก็บันทึกหมด กรรมบันทึกหมด แต่คำที่ว่า  เจตนา หัง ภิกขเวกัมมัง วทามิ เป็นเรื่องของวินัย ผู้ที่ทำกรรมที่ออกมา พิจารณาได้ว่าไม่มีเจตนา เขาไม่ถือว่าเอาผิด  แม้แต่หลงผิด เขาก็ไม่เอาผิด ต้องสืบไปถึงเจตนา แต่ถ้าสืบได้ถึงเจตนาก็เอาผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นกรรมนะ เป็นกรรมหมด แต่เป็นมโนกรรม เช่นคุณคิดว่าอยากตีหัวคน คุณยังไม่ได้ตีไม่ได้พูดด้วย ก็บันทึกเป็นวิบากแล้ว เป็นอกุศลวิบากแล้ว

 

_ถ้าเราตามทันว่าให้มันเลิกคิดๆ....อย่างนี้เป็นกรรมไหม?

ตอบ...ถ้าเลิกคิดได้ก็ไม่มีกรรมสิ มันไม่มีอะไรบันทึก ถ้าคุณคิดแล้วมันก็บันทึกไม่ใช่บันทึกแค่ความรู้สึก ยิ่งเป็นความรู้สึกยิ่งบันทึก เช่นคุณโกรธ โลภ บันทึกแน่ แต่แม้มันไม่เป็นสุขหรือทุกข์มันก็บันทึกยิ่งเป็น กายหรือวจีก็บันทึกแน่ เพราะแค่มโนกรรมก็บันทึก

 

_เด็กไม่เหมือนกัน บางคนขยันมากบางคนขยันน้อย ก็เลยเกิดการเปรียบเทียบ บางคนเราก็เลยเกิดความรู้สึกไม่อยากใส่ใจ แล้วทำไมเราเลี้ยงเขาไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะเราบางทีก็ไม่ให้ความรักเมตตาเขาไม่ได้ตลอด ทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดความลำเอียงต่อเด็กแต่ละคน

ตอบ...ก็คงเหมือนกับทำอย่างไรให้เด็กเรียนจบ มันก็เป็นเจตนาดี แล้วก็คงจะเข้าใจตนเองและพยายามทำอยู่ แต่บางทีก็รู้สึกว่าตนลำเอียง ต้องมีปัญญารู้ว่าตนลำเอียง แล้วก็คิดกลับ คนชั่วนี่น่าช่วยเหลือแต่คนดีไม่ต้องไปช่วยเขามากก็ได้เพราะเขาเป็นคนดี แต่คนชั่วนี่ควรช่วยเขาให้ดีขึ้นเพราะมันเสียตัวเขาและเสียสังคม แต่คนดีนี่ก็ไม่เสียเขาเสียสังคมเท่าไหร่ แต่ควรส่งเสริมให้ดีมากขึ้นก็ดี แต่คิดให้ดีคนชั่วนั้นน่าช่วยเหลือกว่า อาตมาไม่ค่อยเห็นใจคนดีมากนักหรอก เพราะเขาดีอยู่แล้ว แต่คนชั่วเห็นอยู่หลัดๆก็น่าช่วย  แต่คนชั่วที่ช่วยยากและเสียเวลาเราจัง พระพุทธเจ้าจึงตัดรอบว่าเราประมาณตนเอง ถ้าเราจะช่วยคนนี้ คือ เขาศรัทธาเราเพียงพอไหม? ถ้าเขาตีเราทิ้งแน่ก็อย่าเสียเวลา และแม้เขาไม่ศรัทธาเรา ถ้าคุณแทรกโอสถเข้าในขุมขน แม้เขาไม่ศรัทธาเราเราก็ควรมีใจเมตตา แล้วแทรกโอสถเข้าขุมขน เพราะเขาน่าสงสาร หรือช่วยเขาไม่ได้เขาไม่ฟัง ไม่อยู่ในฐานะที่จะสอนเขาได้ อย่างอาตมานี่ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปสอนธรรมะให้ใครได้เขาไม่ฟัง ตีทิ้งด้วย อาตมาก็เลยพากเพียรทำงานกับคนมีบารมีฟังอาตมาได้ และคนที่แสวงหามีปรโตโฆษะ แม้เขาไม่มีบารมีพอแต่เขารับได้ ส่วนคนไม่มีปรโตโฆษะและไม่มีบารมีก็แน่นอนรับของอาตมาไม่ได้แน่ ต้องเป็นคนมีบารมีหรือเป็นคนไม่ปิดกั้นตนเอง แม้อาตมาจะถูกปิดกั้นก็ตาม เขาก็ยังปรโตโฆษะ มีโยนิโสมนสิการ คำนี้เป็นคำหลักของศาสนาเลย มีผัคคุณสูตร ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนเรื่องโยนิโสมนสิการ ถ้าใครทำไม่เป็นไม่ถูกต้อง เช่นเข้าใจโยนิโสมนสิการว่าแค่พิจารณาหรือคิด ก็ผิด ไม่ได้มีการกระทำใจ ศาสนาพุทธจึงสุญโญไม่เกิดมรรคผล เขาไปยึดการทำใจในใจแค่ไปนั่งสมาธิ ทั้งอาตมาก็ยืนยันว่ามหาจัตตารีสกสูตร ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ หรือบางคนไปเข้าใจว่าอัตตาไม่มี ใครเข้าใจว่าอัตตามีก็มิจฉาทิฏฐิ เขาเข้าใจแบบนี้ก็ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน เช่นในสุริยเปยยาลสูตร มีบอกว่าต้องรู้อัตตาก่อน จึงไปทำมรรคองค์ 8 ได้ แล้วไปหลงว่าไปนั่งสมาธิคือการปฏิบัติ

 

จริงๆแล้วคนชั่วนี่น่าสงสาร อย่าลำเอียงให้เห็นใจกัน ต้องฝึกทำใจ

 

_หมอเกรียงศักดิ์...บุญกับกุศลนั้นต่างกัน บุญเป็นโลกุตระ กุศลเป็นโลกียะ อยากให้พ่อท่านยกตัวอย่างให้ฟังอย่างชัด

ตอบ...บุญเป็นภาษาธรรมะ ล็อคไว้เลยว่า แปลว่าการชำระกิเลส หน้าที่ของบุญคือหน้าที่ของคนที่จะชำระกิเลสหากชำระเป็นทำได้ก็ได้บุญ แต่กุศลคือคุณงามความดี แบบที่ไม่ละกิเลสเป็นความดีสารพัดก็เป็นกุศล แต่ถ้าไม่มีการละกิเลส ไม่ทำกิเลสลด แม้เป็นความดี แต่ไม่รู้ตัวกิเลส ทำกิเลสลดไม่ได้ ต้องมีปัญญารู้ว่ามีกิเลส มีปหานกิเลส เช่นปหาน 5 (วิกขัมภนปปาน กดข่มขาดปัญญาได้ชั่วคราว เป็นต้น) สรุปคือคำว่ากุศลคือความดีงามที่เข้าใจได้ทั้งโลก แต่บุญนี่เป็นของเฉพาะศาสนาพุทธ ที่จะรู้องค์ประชุมที่สัมพันธ์กับภายนอกแล้วอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานแยกออก จับตัวตนได้ก่อนเรียกว่าสักกายะ เป็นนามธรรม และสูงไปกว่านั้น อ่านสักกายะแล้ววิเคราะห์จับกิเลสได้ จนแน่ใจ พ้นวิจิกิจฉา รู้ว่านี่คือตัวที่จะปหาน พ้นสังโยชน์ข้อสอง แล้วทำการปหานตามวิธีที่ถูกต้อง ทำได้ลดกิเลสปหานกิิเลสได้ก็พ้นสังโยชน์ข้อ 3 เป็นโสดาบัน แล้วก็พัฒนาการลดกิเลสเป็น สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้ ก็คือคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญาปาปปริกขีโณ

 

คนยิ่งมีบุญยิ่งเจริญเป็นอาริยบุคคล มีความหมายชำระกิเลสถ่ายเดียว แต่คนไทยเอาไปเป็นกุศล แล้วหลอกคนว่าจะได้บุญ เอาบุญไปค้าขาย โฆษณาว่าได้บุญใหญ่มโหฬาร แล้วปรุงแต่เป็นวิมานมหาศาล คนเลยหลงว่ามีบุญมากคือมีความดีงามมาก แต่ทิ้่งโลกุตรธรรม ทำบุญไม่เป็น พุทธทุกวันนี้มีแต่กุศล ไม่มีบุญ

 

แล้วเด็กที่นี่ได้บุญหรือได้กุศล ...เด็กที่นี่ได้บุญโดยปริยาย บางคนเป็นโสดาฯ สกิทาฯ เลย แต่เขายังไม่ชัดเจนปริยัติ เขาจบออกไปก็เป็นคนดีในสังคม ทุกวันนี้สัมมาสิกขา เด็กเราจบไปก็ไม่ไปก่อคดีความ ไม่ไปตีรันฟันแทง เด็กดีได้รับการยกย่องก็มีมาก แต่สรุปคือบุญนั้นเพี้ยนไปมาก เขาแปลปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารก็แปลผิด พุทธที่นับถือกันในไทยก็ไม่มีแก่นแล้วไม่มีบุญ และพุทธนี่เป็นศาสนาอิสระ ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่เคร่งครัดในศีลในพิธีกรรมเขา แต่พุทธไม่บังคับให้เชื่อ พุทธจึงหลวมและเสื่อมมาก ไม่มีแก่น ไม่ถูกบังคับ ก็เลยบำเรอกิเลสตามใจชอบ ความเสื่อมของชาวพุทธจึงเยอะหาแก่นสารไม่ได้ คริสต์เขายังไปโบสถ์บ่อย แต่พุทธนี่เอาแต่หาลาภ ยศ สรรเสริญ​อย่างกฐินนี่อาตมาเรียกกระทะทองแดง พอออกพรรษาทีก็ต้มกระทะทองแดง เห็นแล้วน่าสังเวช ประเล้าประโลมให้คนหลง ว่าได้บุญใหญ่ ยิ่งเงินมากยิ่งได้บุญใหญ่ คนตะกละก็อยากได้มาก ก็กิเลสโต นี่คือกระทะทองแดง เพราะเอาบุญไปใช้ผิด เอาไปหลอกล่อ เอาไปต้มกระทะทองแดงกัน มันเป็นกุศลหลอกเท่านั้น แล้วถ้ามีสัมมาทิฏฐิ ทำกุศลนั้นจะได้บุญได้ถ้าละกิเลสไปแล้วทำความดีด้วย แต่ในกุศลนั้นไม่มีบุญมีเยอะมีแต่คุณงามความดีแต่ละกิเลสไม่เป็น

 

_พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับสัมมาสิกขาในยุคนี้

ตอบ...เด็กยุคนี้ เคร่งครัดน้อยกว่าเด็กยุคก่อน ศรัทธาปสาทะย่อมเยาว์กว่าเด็กยุคก่อน อาตมาก็ไม่ได้วิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัย แต่เห็นถามมาก็ตอบไป ที่นี่เลี้ยงอย่างลูกหลาน แล้วอดทนให้จบให้ได้ เป็นนร.ที่นี่ก็อย่าเสียโอกาส ไม่ผิดมาก แต่เราหนีเอง เราไม่อดทน ไม่เห็นดีงามก็เท่านั้น หลวงปู่ก็เห็นว่าเสื่อมลงบ้าง จึงอยากสำทับกันว่าช่วยกันหน่อย พี่ป้าน้าอาในบ้านในวัดก็ช่วยกัน เพราะของเรายากที่เราไม่ได้บังคับว่าใครจะมาเป็นครู อยากออกเมื่อไหร่ก็ได้ อยากมาสอนเมื่อไหร่ก็ได้ ต้องขอบคุณผู้ที่มาเสียสละ ก็ได้เท่านี้ ของเราไม่ได้สอนเฉพาะในห้องเรียนในห้อง แต่ทุกคนก็เป็นครูโดยปริยาย โดยธรรมชาติ จะมีวุฒิสอนได้หรือไม่มีวุฒิก็สอนได้

 

_ธรรมะกับธรรมชาติต่างกันอย่างไร?

ตอบ...คำว่าธรรมะ ไม่มีคำว่าชาติ กับธรรมชาตินั้นต่างกัน ธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ และจริงๆต้องเป็นความดี หากไม่ดีนิดนึงก็เป็นอธรรมนิดนึง ยิ่งไม่ดีมากก็เป็นอธรรมมาก ส่วนคำว่าชาติ แปลว่าความเกิด ธรรมชาติก็คือสิ่งที่ทรงอยู่ ทั้งกายและใจ ร่าง ดินน้ำไฟลม  แต่ที่ต้องเรียนรู้นั้นไม่เอากว้าง แต่เอาเฉพาะจิตวิญญาณมนุษย์ก็เป็นธรรมชาติ และหมายถึงความเกิด หากมีความเกิดของจิตวิญญาณที่เป็นอกุศลจิตก็คือธรรมชาติ แต่ถ้าทรงไว้ซึ่งธรรมะ ไม่มีอกุศลจิตเกิดอีกเลย สิ้นอาสวะตลอดไป ก็คือนิพพาน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คือธรรมะที่ไม่ได้หมายถึงธรรมชาติ

 

พระอรหันต์ทุกคนหมดกิเลสแล้วก็ยังเกี่ยวข้องกับภายนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ท่านไม่ทำบาปทำชั่วแล้ว สรุปแล้ว ธรรมะยอดสุดคืออรหันต์ยอดสุดคือนิพพาน ส่วนธรรมชาติคือธรรมะที่ยังไม่ถึงนิพพาน แต่คนเขาสรุปว่า ธรรมะคือธรรมชาติ คนพูดเช่นนี้อาตมาชี้หน้าได้เลยว่าไม่ใช่อรหันต์ เพราะไม่รู้จักชาติ ว่ามี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อยู่ในปฏิจจสมุปบาท ให้เรียนรู้ สรุป ธรรมะคืออรหันต์ ธรรรมชาติคือยังไม่เป็นอรหันต์

 

_เคล็ดลับในการรักษาสุขภาพ

ตอบ...อาตมามีแค่เคล็ดสว่าง คือ 8 อ.

 

_การปวารณาของอโศกต่างจากที่อื่นอย่างไร?

ตอบ...ตอบอย่างเกรงใจนะ...ที่ของเราปวารณา กันโดยเฉพาะสมณะอโศกคือเรามีปวารณาตามพิธีในวันออกพรรษาด้วยคือท่องบาลี ทำสังฆกรรมตามหลักวินัย และมีอีกที่เราทำมหาปวารณากันจริงๆมีอะไรจะติงเตือนกัน ชำระกันก็ว่ากัน สองวัน แต่ก่อนทำกันข้ามคืนก็มี ให้รู้ว่าการติเตียนกันเป็นประโยชน์ให้ลดมานะอัตตากันจริงๆ เราไม่ทำแต่พิธีกรรม ส่วนที่สอนกันให้ติเตียนกันอย่าถือดีถือตัวก็ทำโดยปริยาย แล้วแต่สำนักครูอาจารย์ ส่วนตัวเราก็ทำด้วย

 

_ศานาใดไม่มีหลักมรรคองค์ 8 ศาสนานั้นไม่มีอรหันต์ ไม่มีนักบุญ​ นักบุญที่แท้คือผู้ที่สามารถลดละกิเลสได้

 

_ทำไมต้องมีเรื่องอจินไตยด้วย

ตอบ... ที่มีอจินไตยคือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภูมิธรรม ของสัตว์โลก ท่านแบ่งเวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ ,อเวไนยสัตว์คือเขามีกรอบความรู้ได้เท่านี้ เช่นคนอีเดียด สมองเขารับได้เท่านี้ คนโมหล่อน ก็ได้เท่านี้ มีทั้งอวัยวะ ที่ไม่ได้ปกติ ทางจิตวิญญาณก็มีกรอบความเจริญที่ต่างกัน เกินรู้ได้ บอกไปเขาก็รู้ไม่ได้จึงเรียกว่าอจินไตย แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิ เข้าใจได้ ก็บอกได้ อจินไตยหลายกาละอาตมาก็พูดอยู่ เป็นความรู้ที่คนอีกระดับหนึ่งรับไม่ได้ แต่คนอีกระดับหนึ่งรับได้

 

_การทำบุญควรทำด้วยจิตยินดี แต่ถ้าทำเพราะหลงคำชม ได้บุญหรือบาป

ตอบ...ได้กุศลไม่ได้บุญ แล้วหลงคำชมทำแต่ความดีนี่ส่วนมากได้บาป บาปคือกิเลส กิเลสคือความอยากได้ ถ้าอยากได้จัดแรงก็ทุกข์ จะเรียกว่ากิเลสไหม? ถ้าทุกข์ก็กิเลสแล้ว แต่ถ้าไม่อยากมากไม่ถึงทุกข์ก็ไม่เรียกกิเลสก็ได้ กุศลนี่ล่อแหลมต่อกิเลส พวกความดีนี่ล่อแหลมต่อกิเลสหากอยากได้ความดีจัดนี่มันแรงทำร้ายทำลายกันได้ นี่มันซับซ้อน

 

_ถ้าเราต้องการให้กำลังใจตนทำอย่างไร

ตอบ...ใช้ปัญญาดีที่สุด หากบังคับก็ยาก ไม่เต็มกำลัง แต่ถ้าใช้ปัญญามีความเข้าใจได้ กำลังจะมา คนเข้าใจได้เรื่องอิทธิบาท 4​ มีความยินดี คนมีความเข้าใจว่าอันนี้ดี ก็มีวิริยะตามมา แม้บางอย่างยาก แต่ใจเห็นว่าดีก็ทำ เพราะมีปัญญา แม้จะยาก แม้จะขี้เกียจ แม้ไม่ค่อยชอบแต่มันดี เมื่อมีปัญญาจะเกิดกำลังใจ วิริยะ จิตตะ จะตามมา ต้องตรวจสอบว่าดีแน่ๆ ก็จะเกิดความเพียร และใจมีเท่าไหร่ก็โถมให้เต็ม แล้วก็เน้นเนื้อๆ ตรวจสอบไตร่ตรองเอาสิ่งดีที่เราโถมใส่ไป ว่ามันผิดไหม?

 

 

_อ่อนแอกับอ่อนโยนต่างกันอย่างไร?

ตอบ...อ่อนแอคืออกุศลไม่มีกำลัง แต่อ่อนโยนคือทำให้เกิดสัดส่วนที่ดี ให้ดูนิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง

 

_อามะภันเต แปลว่า

ตอบ..แปลว่าขอรับ ครับผม

 

_ถ้าจิตเราไม่คิดร้ายกับใคร แต่คนอื่นคิดร้ายกับเรา จะถือว่าจองเวรจองกรรมหรือไม่ เราจะวางตัวอย่างไร

ตอบ..เราก็ไม่คิดแล้วเขาคิดอยู่ก็จองเวร

 

_ความสุขที่แท้จริงแล้วมันไม่มี อรหันต์แล้วไม่สุขทุกข์ แต่รู้ว่าอะไรควรยินดี ความสุขคือความเท็จความลวง เป็นสุขขัลลิกะ แต่วูปสโมสุขคือสุขที่ได้จากการลดกิเลสไปตามลำดับ จนจิตว่างกลางๆดีที่สุด ความสุขจริงคือจิตอุเบกขา

 

_การเป็นผู้นำที่ดีคือทำคุณอันสมควรก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น ทำตัวเป็นตัวอย่างเขา จะไม่มัวหมอง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:10:56 )

571104

รายละเอียด

571104_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมฯ พ่อครู+อ.กฤษฎา เรื่อง สลายอัตตา 3 อย่างพุทธ

.กฤษฎา...สังคมโลก วันนี้หากใครเรียนเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ถ้าเทียบแล้ว การพัฒนามนุษย์ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำเรื่องนี้มานานแล้ว เพราะหลายท่านในวงการนี้คงจะได้รับรู้เรื่องการประเมิน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ประเมิน มีทั้งรายบุคคล รายกลุ่ม องค์กรก็มี การประเมินย่อมมีทั้งผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน แล้วคนประเมินบริสุทธิ์ขนาดไหน? มนุษย์ย่อมมีกิเลสอยู่ถ้าไม่เป็นอรหันต์ ก็ย่อมมีอคติ แล้วสังคมเราใช้การประเมินอยู่ แล้วการปวารณาในหมู่สมณะ ได้มารวมกันแล้วพัฒนาปรับปรุงกันถึงจิต พระพุทธเจ้าก็ทำกระบวนการนี้มานาน แม้คนบวชก่อนบวชนานก็ให้อาวุโสประเมินได้ แม้แต่ว่าในมหาวิทยาลัย อ.หรือลูกศิษย์ล้วนถูกประเมิน ในโลกก็มี แต่ในพุทธศาสนามีมานานแล้ว

 

บทบาทของผู้ประเมินควรจะต้องปฏิบัติอย่างไร และคนที่ถูกประเมินควรปฏิบัติอย่างไร? เพื่อยกระดับจิต

 

พ่อครูว่า...เรื่องการปวารณานี้แปลว่า (ตามสำนวนโพธิรักษ์) เปิดเผยไปเลยบอกไปเลยว่าใครๆก็ด่าเราได้ นี่แปลตามสำนวนอาตมานะ ให้เขาว่าเราได้ตำหนิเราได้จะว่าแรงๆ ก็ว่าดุๆ หรือว่าหยาบๆ ก็เรียกว่าด่า ตำหนิแรงๆ หนักๆ ดุๆ ก็เรียกว่าด่า ในภาษาไทยนะ

 

การตำหนิได้ เป็นความเจริญ ผู้ที่เป็นคนที่รับคำตำหนิได้ไม่ขัดข้องที่คนจะตำหนิได้ผู้นั้นเป็นผู้เจริญ ใครจะตำหนิได้ก็ฟังได้จริงๆไม่ใช่ว่าเป็นโรคจิตที่ต้องการคนตำหนิ แต่เป็นปัญญาฉลาดรู้ว่าคนจะตำหนิเราก็มีได้หลายอย่าง ตำหนิเพราะโกรธ ก็มี หรือจะด่าเราก็คือโกรธ ด้วยอาการโกรธ ในใจโกรธ ถูกหรือผิดไม่รู้แต่ที่ด่าว่าเขาไปก็ไม่มีเหตุผลไม่มีสาระ ด่าสาดเสียเทเสียสะใจบำเรอใจตนก็เลยด่า

 

และมีตำหนิแบบโดยสัญชาติญาณ ชอบตำหนิ เป็นคนมีอัตตา ถือดีถือตัว รู้ว่าตนเก่ง ตนเข้าใจก็เลยตำหนิไป ตำหนิเพื่อแสดงออกว่าตนรู้ตนเก่ง เหนือเขาก็เป็นอัตตา ทีนี้ตำหนิที่ดี พระพุทธเจ้าสรรเสริญตำหนิ แล้วขอแทรกไว้ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยกย่องตำหนิมากกว่าชมเชย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่ตำหนิ เราจะตำหนิเธอเหมือนช่างปั้นหม้อ ตำหนิแล้วตำหนิอีกไม่มียั้ง ผู้ใดคบคนตำหนิที่มีปัญญามีเมตตาที่จะตำหนิ เรา คบคนเช่นนั้นมีแต่ดีถ่ายเดียว คือคำตรัสของพระพุทธเจ้าเลย

 

การตำหนินั้นผู้ที่ถูกตำหนิก็ไม่ชอบ จึงมีวิธีของพระพุทธเจ้า มันเป็นกิเลสสามัญของคน เป็นสัญชาติของคน แม้ตนเองจะผิดจริงก็ยิ่งไม่อยากให้ตำหนิ ถ้าไม่ผิดแล้วก็ไม่อยากให้ตำหนิ ก็ทั้งขึ้นทั้งล่องก็ไม่อยากให้ใครตำหนิ ตัวอัตตาไม่อยากให้ใครตำหนิ พระพุทธเจ้าถึงมีพิธีกรรมให้พระภิกษุมาพร้อมกันตอนออกพรรษาที่่ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่ไหนๆ ก็ให้มาพร้อมกันแล้วปวารณากันซะ ปวารณาก็คือบอกให้ตำหนิได้ เปิดเผยตัว แล้วก็ผู้ที่บอกให้เขาตำหนิได้ก็ต้องตั้งใจจริง ไม่ใช่ทำแต่พิธีกรรม ของเราทำทั้งพิธีกรรม กล่าวพระบาลี อย่างที่เขาทำ เป็นจารีต ที่เขาทำสักแต่ว่าทำเป็นศีลพตุปาทานไม่ค่อยได้อะไร นอกจากใครที่มีสำนึกที่จะทำใจเปิดใจให้คนตำหนิได้ คนมีปัญญาก็จะทำ แต่ก็ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทำ ได้แค่พูดบาลีแล้วก็จบ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร บางทีอาจารย์หรือผู้เป็นภันเตก็ไม่ขยายความให้ ทำแต่เป็นพิธี แต่ของเราเรียนกัน ทำความเข้าใจ แล้วยังมีงานมหาปวารณา จัดงาน ทำกันเป็นกิจลักษณะให้เข้าใจเลยว่า การตำหนินั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของมนุษยชาติ การให้คนอื่นตำหนินี่คือการลดตัวลดตน ลดอัตตา ที่มันไม่อยากให้ตำหนิไม่ว่าผิดหรือถูกนั่นแหละ มันถือดีถือตัวก็เป็นกิเลส มันขายหน้าหรือถูกดูถูก ถูกลดเกียรติ ศักดิ์ศรีอะไรก็แล้วแต่

 

.กฤษฎาว่า...สังคมโซเชียลมีเดีย เดี๋ยวนี้มี การกดไลค์ ใครเอาเรื่องไปลงในเฟสบุค คนเอาไปลงก็เลยอยากให้คนกดไลค์เยอะๆหรือให้คนมาชม

พ่อครูว่า...มันชอบยกยอปอปั้น ชอบที่จะให้มีคนชื่มชม แม้เราทำเรื่องเล็กน้อย แล้วคนชอบ เป็นกิเลสแท้ๆ จริงๆการชมเชยกันนี่มันพาเสียมากกว่าพาดีด้วยซ้ำ แต่การตำหนิด้วยปัญญา ด้วยปรารถนาดี มันเป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคม ให้เราสังวรกันว่าให้ติงเตือนกันอยู่เสมอ ให้สัญญาณกันเสมอ ว่ามันได้แก้ไขปรับปรุงเสมอ ในความไม่ดีงาม จะเรื่องเล็กน้อยก็แล้วแต่หรือเรื่องใหญ่ก็ควรติงเตือนกันอย่างยิ่ง แต่คนทำสิ่งดีก็ควรชมเชย แต่คนที่ทำดีแล้วไม่ชมเชยก็ไม่เสียอะไรนี่ ทำดีสังคมก็ดี ตนเองก็ดีอยู่แล้วไม่เสียหาย ไม่ชมก็ไม่มีอะไรเสีย แต่ถ้าชมเชยก็กลับยิ่งเหลิง หรือหยุดไม่เหลิงแต่เขาชมเราแล้วเราก็เลยไม่ดีต่อ เขาชมเราแล้วก็แค่นี้

 

สรุปแล้วในศาสนาพุทธ การได้รับคำตำหนิ และผู้ที่รู้ว่าเขาตำหนิ ทำให้เราได้ลดอัตตา การได้ลดอัตตานี่แหละคือตัวหลักการศาสนาใหญ่ของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเหนือกว่าศาสนาใดๆ (ขออภัยที่ยกตัวยกตน แต่พูดวิชาการไม่ได้เจตนาข่มใครนะ) ที่มีการลดอัตตาทำลายอัตตา จนหมดความเป็นอัตตา นี่คือสัจจะ

 

อาตมาปรามคนที่เป็นพุทธ แล้วเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าสอนอนัตตา แปลว่าความไม่ใช่ ไม่มี ตัวตน ก็แปลได้ เช่นไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตนก็แปลได้ทั้งนั้น คนก็เข้าใจและมีปัญญาว่าอัตตาไม่ใช่อัตตา ตัวตนไม่ใช่ตัวตน ใครเข้าใจว่ามันใช่ คนนั้นแหละมีตัวตนมีอัตตา เขาเข้าใจเช่นนั้นเมื่อเขาเข้าใจว่าไม่ใช่อัตตา เขาเข้าใจแล้วก็ว่าเขาหยุดแค่นี้แหละ คนที่ไม่เข้าใจแล้วยังนึกว่ามีอัตตา ส่วนคำว่าไม่มีอัตตา ก็หมายถึงว่าอัตตามันมีได้ แล้วก็ทำให้หมดไปจนมันไม่มี แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่มีสิ แต่ถ้าไม่มีอัตตานี่แปลว่ามันมีได้

 

ศาสนาพุทธรู้อัตตา คนเกิดมาไม่ใช่อรหันต์หรอก เพราะฉะนั้นก็ต้องมีอัตตา ยกเว้นพระอรหันต์ขึ้นไปเวียนมาเกิดเพื่อบำเพ็ญพุทธภูมิต่อไปท่านไม่มีอัตตาแล้ว ท่านก็ไม่มีอัตตามาก่อนจะมาฟื้นความไม่มีอัตตาของท่าน เช่นพระพุทธเจ้าท่านสั่งสมบารมี เป็นอรหันต์แล้วเกิดมาอีกไม่รู้กี่ชาติ เป็นความเข้าใจที่ต่างจากเถรวาทที่เข้าใจว่าอรหันต์ตายแล้วสูญไม่เกิดอีก ถ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็พรวดไปเป็นอรหันตสัมมาสัมมาพุทธเจ้าเลย

 

คนเกิดมาทุกคนก็มาพร้อมกับอวิชชา ไม่รู้ว่าอัตตาคืออะไร ก็คือมีอัตตามาทั้งนั้น เมื่อมีก็ต้องเรียนรู้แล้วล้างอัตตา ปุถุชนก็ต้องเรียนรู้อัตตา พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอัตตานี้ไว้ในสุริยเปยยาลสูตร แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน

สุริยเปยยาลสูตร (เล่ม 19  ข.129 - 136)

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

 

ถ้าไม่มี แสงเงินแสงทองนี้ 7 ข้อนี้ก่อน ก็ไม่มีทางปฏิบัติได้บรรลุ

 

มิตรดีต้องเป็นของจริงด้วย

แม้เป็นมิตรดีก็ต้องมีนิยามด้วยว่า ต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้บรรลุธรรม มีคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง อย่างน้อยโสดาบันเป็นต้นไป พระพุทธเจ้าก็ว่าท่านเป็นมิตรดีของเธอทั้งหลายนะ

 

ศีล ต้องมี และฉันทะเราก็ต้องมีในตน

 

อัตตา เราต้องมีความรู้เข้าใจในอัตตา ว่าอัตตาคืออะไร? มีคนเข้าใจผิดว่า..ก็เราเข้าใจแล้วนี่ว่าอัตตาไม่ใช่อัตตา แล้วจะไปมีมันทำไม คนพวกนี้น่าสงสาร เป็นภาษาตรรกะแล้วนึกว่าตนเองจบเหมือนพวกเซ็น ใช้แค่ความเข้าใจ ในสูตรนี้คุณต้องมีของจริงในอัตตา จะบอกว่าอัตตาไม่ใช่อัตตาก็ตีความใน 7 ข้อนี้ไม่ได้แล้ว

 

ในอัมพัฏฐสูตร ตรัสเรื่องอัตตา 3 คือ 1.โอฬาริกอัตตปฏิลาโภ 2.มโนมยอัตตปฏิลาโภ 3.อรูปอัตตปฏิลาโภ

 

โอฬาริกอัตตา คืออัตตาตัวหยาบใหญ่คือจิตใจเราถือดีถือตัวยึดเป็นเราเป็นของเรา แล้วไปยึดอะไรเป็นของเรา ไปยึดเอาสมบัติข้างนอก บุคคลเราเขา ดินน้ำไฟลม บ้านเมือง ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นของเรา ที่ดินของเรา เงินทองของเรา ข้าวของๆเรา อะไรๆก็ของเรา คนนี่ก็ของเรา ผัวเราเมียเรา พ่อเราแม่เรา ของเราใครอย่าแตะ แล้วก็ไม่ต้องการให้ของเราพรากเป็นของคนอื่น นี่คือความยึดติด คือกิเลสแท้ แล้วแย่งชิงกัน ทุกวันนี้แย่งกัน ยึดเป็นเรา กอบโกยเท่าไหร่มีมากเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ แล้วก็มีลัทธิ์สิทธิของเรา ให้ทั่วโลกเลย นอกจากยุคทาสก็ไม่มีสิทธิ์ แต่สมัยนี้สร้างแล้วก็เป็นของนายทุนอีก

 

สรุปแล้วใจเรายึดเป็นเราเป็นของเราเป็นความโลภที่เกินพอแล้วก็ไม่ให้ใคร ใครอย่าแตะก็เลยเกิดการพร่องขาดแคลน เพราะเอามากักตุน บางทีถึงตายเลย ไม่ได้รับการแบ่งให้ สรุปคือความขี้เหนียวเห็นแก่ตัว แม้ข้าวของแค่นี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชาญฉลาดรู้อัตตาที่สูงกว่านั้น รู้ว่าเราควรแบ่งแจกกันอย่าโลภมาก ต้องเฉลี่ยกันเหมือนคานธีบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีพอสำหรับทุกคนแต่ไม่มากพอสำหรับคนขี้โลภคนเดียว

 

พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องนี้ รู้ว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจิตวิญญาณคนไม่รู้ว่าอัตตา(เป็นเรา) อัตตนียา(เป็นของเรา) ท่านก็ให้เรียนรู้จิตที่มีลักษณะเช่นนี้คืออย่างไร ก็มีมโนมยอัตตา ผู้มีอัตตาสำเร็จด้วยใจ รูปที่สำเร็จด้วยใจ ก็ใจมันยึดอัตตามาเป็นตนเป็นของตนสำเร็จ ยึดใจตน อัตตาคือไปยึดอะไรเป็นเราเป็นของเรา ท่านก็เลยให้เรียนรู้แล้วตีแตก ลดอัตตา

 

ผู้ใดเก่งมีฤทธิ์สามารถทำลายอัตตาตัวนี้ได้ ที่เป็นมโนมยะตัวนี้ก็เป็นผู้มีวิชชาข้อที่ 2 เรียกว่ามโนมยิทธิ ที่รู้ว่าตัวยึดอัตตาคืออย่างไร แล้วมีอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ สามารถลดอัตตาได้

 

.กฤษฎาว่า..ข่าวทุกวันนี้มีสามีฆ่าภรรยา ภรรยาฆ่าสามี ทอมฆ่าดี้ ดี้ฆ่าทอม เป็นเช่นนี้

 

พ่อครูว่า..นั้นคือถ้าข้าไม่ได้ใครก็ต้องไม่ได้ คนนี้แหละเหมือนนักการเมืองว่าถ้าข้าไม่ได้ใครก็อย่าได้ นี่คือความเห็นแก่ตัวที่ต่ำชั่วมาก  พอไม่ได้สมใจตนก็ว่าอย่าให้ใครได้เลย ก็เลยทำลาย

 

ศาสนาพุทธค้นพบอัตตา 3 การกำจัดอัตตาได้ ผู้ใดเรียนรู้อัตตาได้ จับรูป จับอัตตาสำเร็จ อัตตาขยายออกเป็นตัวตนของเรา ผู้ใดสามารถเกิดญาณปัญญา เช่นให้ปวารณา คือการละอัตตาตัวตนเป็นหลัก เมื่อปวารณาให้คนอื่นเขาว่าเขาเตือนเราให้รู้ตัว อย่ายึดติด อรหันต์ทุกองค์ท่านให้ติได้ว่าได้ท่านไม่โกรธแน่ ติผิดหรือถูกก็แล้วแต่ ท่านก็สบายด้วย ท่านรับฟังเขา เขาตำหนิถูกก็ดี ขอบคุณเขาแล้วแก้ไขตน ส่วนคนติเราผิด ก็ความผิดอยู่ที่เขา เขาไม่รู้ข้อมูลก็เลยติผิด ก็เราจะไปสะดุ้งสะเทือนทำไม

 

คนที่สะสมไว้มากมาย แล้วพอตายไป ก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะโลภไว้ทำไม ผู้ใดเข้าใจว่าเอาออกไป แบ่งแจกกันก็จะได้ไม่ทุกข์กันมาก ไทยเราโชคดีมากที่มีพระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสแบบคนจน แต่คนก็ไม่รับเอาไปทำ ท่านก็ตรัสอีกว่า ให้เอาแบบ ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา คนก็ฟังแล้วรับไม่ได้อีก เมืองไทยมีพระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าอยู่หัวที่มีภูมิธรรม แต่ก็ไม่รับไปทำ

 

ผู้ยึดอบาย คือสิ่งเสื่อมต่ำหยาบหนัก เราไปยึดสิ่งเป็นโทษภัยหนัก สิ่งมอมเมา การพนัน กีฬาการละเล่นจัดจ้านต่างๆ ที่เขาส่งเสริมทั่วโลก จนเป็นราคาค่าตัวแพงมาก เป็นความเสื่อมของโลก ประเทศ สังคมไหนหลงใหลส่ิงเหล่านี้สังคมนั้นเสื่อม ขอชมสังคมอินเดียที่ไม่ไปหลงใหลสิ่งเหล่านี้ ต่อไปอินเดียจะมีพลเมืองมากกว่าจีน คนมากแต่ไม่หลงใหลอบายมุขมาก ไม่หลงดารา กีฬา เหมือนกับเขา

 

ทุจริตที่จัดจ้าน คืออบายมุขด้วย และกิเลสกาม หรือพยาบาท โทสะ ราคะที่จัดจ้าน ชอบรูป รส กลิ่น เสียง จัดจ้าน ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญที่จัดจ้าน จะต้องให้ได้มาก ต้องเป็นมหาเศรษฐี หมื่นแสนล้าน จะบ้าหรือ? คนเหล่านี้ทำลายโลก เป็นลัทธิสามานย์แห่งสามานย์ เพราะเอาไปกักตุนกับตน แทนที่คนอื่นจะเอาไปใช้ และยิ่งสามานย์เพราะอาหมื่นแสนล้านไปออกดอกผลอีก คุณหยุดได้แล้วมีมากแล้ว ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด แต่ก็ไม่พอ คือลัทธิพอไม่เป็น เป็นสัตว์นรกของโลก ในหลวงเลยตรัสเรื่องพอเพียง เป็น The Great Word

 

มโนมยอัตตา ตั้งแต่หยาบ ก็ให้ล้างออกไปจนหมดไปตามลำดับในข้างนอกที่เรียกว่ากามภพ เป็นวัตถุ จนมีภูมิสูงขึ้นเป็นสกิทาคามีก็ลดลง จนไม่ต้องยึดสมบัติ บ้านช่องเป็นเราเป็นของเรา เป็นคนทำงานรับใช้โลกฟรีๆ คืออนาคามี มีแต่กิเลสรูปราคะ อรูปราคะ เป็นพิษต่อตนเองอย่างเดียว

 

.กฤษฎาว่า...สิ่งสำคัญ เช่นเราต้องไปถูกสัมภาษณ์หรือพูดคุยกับผู้ใหญ่ ตอนรอเวลามันมีการหวาดกลัว แต่ถ้าตนจะพูดกับเด็กก็รู้สึกตนเองตัวโตเป็นผู้ใหญ่ หรือมีคนมากดๆไลค์ให้เราเราก็รู้สึกพอง แล้วอารมณ์อาการเหล่านี้คืออัตตาหรือไม่?

ตอบ...คำว่า อาการ นี่แหละเป็นลักษณะของจิตที่เป็นอาการ อันนี้คือนามธรรม นามธรรมนั้นไม่มีสี กลิ่น รูป ไม่สามารถสัมผัสด้วยทวาร ทั้ง 5 ภายนอก แล้วมันเคลื่อนไหวเชิงนั้นเชิงนี้ต้องอ่านให้ออก ว่าอาการที่มาสัมพันธ์เกี่ยว กับภายนอกด้วย ท่านเรียกว่า กาย  มีภายนอกเป็นรูปร่างสีสัน ถ้าสัมผัสด้วยตา แล้วมีประสาทสัมผัส ที่ยังใช้การได้คุณก็จะเห็น ว่ามันหนา บาง ใหญ่ เล็ก ก็เรียกไปแต่ลักษณะอย่างนี้ทุกคนก็รู้เช่นเดียวกัน คืออาการรู้ความจริงตามความเป็นจริงของส่ิงนี้ เกิดจากตากระทบรูปแล้ว รู้ ก็ยังไม่พอ ยังโง่ ชอบหรือชัง อยากเอามาหรือทำลายอีก

 

การรู้ว่าสิ่งนี้คือรูปร่าง สีสัน ตามสมมุติว่าสวยงามอย่างไร แต่เราก็ไม่ได้อยากได้ หรือมันขี้เหร่ เราก็ไม่ได้อยากทำลายหรือชังแต่อย่างใด ความมีความรู้อาการของจิตที่อยากได้หรืออยากทำลายหรือชอบหรือชัง นั่นคืออัตตา ให้ทำลายตัวนี้ไม่ใช่ว่าทำลายตัวรู้ที่มันรับรู้สีสัน รูปร่างหรือสวยหรือไม่สวยตามสมมุติ แต่ให้รู้ตัวอัตตา มีปัญญารู้ว่านี่คืออะไรแล้วจบ แต่ให้เรียนรู้อาการกิเลสที่มาพร้อมกับการกระทบสัมผัส ทางทวาร 6 แล้วให้เรียนรู้ล้างกิเลสไป

 

เมื่อล้างกิเลสหมด คุณก็สักแต่ว่าเห็นหรือรู้ตามที่คนอื่นก็เห็น แต่ไม่มีกิเลสชอบหรือชัง

 

แล้วอาการจิตที่ไม่ปกติ มีทุกข์ ไม่สบาย ไม่ยืนยันความเฉยต่อการรับรู้ทางทวาร 6 พุทธไม่ทำสมาธิแบบหลับตา หรือหนีผัสสะหนีโลก แต่พุทธให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ เปิดรับทุกทวาร แล้วล้างกิเลส จิตก็สั่งสมเป็นสมาธิ ลืมตาปฏิบัติกับนั่งหลับตาสมาธินี่ต่างกันมากเลย แต่คนทำไมไม่สะกิดใจแล้วเข้าใจได้ยาก สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา จิตเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา คือไม่มีกิเลส แล้วไม่มีกิเลสชนิดถาวรเลยนะ จะลืมตากระทบอย่างไรก็ไม่มีกิเลส แต่ถ้าหลับตาแล้วรับรองได้ไหมว่าไม่มีกิเลส แต่ถ้าลืมตาทำงานอยู่ เช่นทำงานกับเงินแสนล้าน แต่คุณมีโอกาสที่จะโกงได้เต็มที่เลย เป็นงบลับที่ไม่มีใครรู้เลย จะโกงได้โดยไม่มีใครรู้แล้วจิตคุณจะทนได้ไหมที่ไม่โกง อย่างนี้ คุณไม่หวั่นไหวเลย นี่คือเครื่องยืนยันอรหันต์ของพระพุทธเจ้าหรือแม้ไม่มีเงินสักบาทเลย แต่บริหารเงินแสนล้านให้บริหารงบลับนี้เลยแล้วคุณก็ไม่เอาจริงๆเลย คุณแน่ไหน? ถ้าแน่อรหันต์ของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนี้

 

.กฤษฎาว่า..ผมเห็นนร.เช็ดพื้น มีพี่ดินนาบอกว่า ที่นี่สอนเด็กให้มีสมาธิในการทำงาน แต่เด็กอีกแบบหนึ่งไปนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิมันต่างกัน

 

พ่อครูว่า..สมาธิของพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุแล้วได้งานไม่บกพร่องไม่เสียเวลา มันทำงานไปด้วยได้ทำสมาธิด้วย สมาธิคืออะไร? สมาธิคือจิตไม่มีกิเลส อย่าเถียง ใครเถีียงมาอาตมาก็ไม่เถียงด้วยเพราะมันถูกต้องที่สุดแล้ว และไม่มีกิเลสชนิดแข็งแรงด้วยนะ มีงบลับมาอย่างไรก็บริหารไปเลย ไม่ต้องมีบัญชีด้วยก็ได้ แล้วคุณไม่ละเมิดเลยไม่เอาแม้สัก 1 บาทจากแสนล้านนี้มาเป็นของตนเลย แล้วคุณแน่ไหน แน่นี่แหละคือไม่หวั่นไหวแม้โลกธรรมมาแตะต้องสัมผัสกระแทกอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว นี่คืออรหันต์ของพระพุทธเจ้า หรืออนาคามีก็ไม่หวั่นไหวแล้วในกิเลสภายนอก เหลือแต่เศษภายในเป็นมานะ ไม่ใช่เรื่องโลกีย์ข้างนอก จิตท่านสำเร็จแล้ว มโนเสฏฐา มโนมยา คือรู้อัตตา ทำลายอัตตาได้หมดแล้ว ก็เรียกว่าอนัตตา จิตที่เป็นอัตตามันตายแล้วไม่ฟื้น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ถ้าคนเป็นเช่นนี้แล้วบ้านเมืองจะไม่สงบสุขได้อย่างไร แล้วเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ 95% แล้วให้ทำความเข้าใจมหาจัตตารีสกสูตร ไปอ่านให้แต่ ศึกษาให้ครบจะเป็นอรหันต์ได้แบบพุทธ ไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิให้จิตไม่ออกนอกตัว แต่ของพุทธสมาธินั้นต้องจิตออกนอกตัว คือต้องรู้จักองค์ประกอบที่เป็นการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จะนั่งสมาธิบ้าง ทำอานาปานสติ แต่ก็ไม่ทิ้งกาย คือลมหายใจก็เป็นส่วนของกายด้วย

 

.กฤษฎาว่า...เป็นกระแสสังคมที่เขานิยมการนั่งสมาธิหลับตานะ ต่างจากเด็กที่ทำงานไปด้วยแล้วทำสมาธิด้วย

 

พ่อครูว่า...ขอใช้ภาษาอังกฤษว่า สมาธิพระพุทธเจ้าเป็นConcentration ไม่่ใช่ Meditation การทำสมาธิแบบลืมตา concentration ก็ทำอะไรเช่นทำ ขัดพื้นหรือทำอะไรก็แล้วแต่นะ ยังไม่พูดถึงกิเลสมีหรือไม่ แต่ยิ่งในขณะปฏิบัติไม่มีกิเลสนะ แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ก็ทำอย่างสบายใจ เป็น concentration ของพระพุทธเจ้าต้องใช้ concentration จะใช้ meditation ไม่ได้ ผิด ไม่ต้องไปศึกษา meditation​ก็ได้ เป็นอรหันต์ได้ที่ไม่ต้องมีเจโตสมถะเลย แต่ถ้าทำแต่ meditation ทำได้เก่งขนาดเดินน้ำดำดินเหาะเหินได้ แต่ไม่ได้ลดกิเลส หรือกดข่มได้ ตายไปก็กดข่มได้แต่ไม่ได้ล้างเกิดชาติหน้าก็ยังกิเลสมีเหมือนเดิม ศาสนาพุทธสอน conscious แล้วทำกิเลสในระดับสำนึกหมดไป หมดก็เป็นอนาคามี ต่อจากนั้น subconscious ก็จะออกมาทำงาน เราก็อ่านกิเลสต่อในขณะมีเหตุปัจจัยทำงานอยู่นี่แหละ แล้วก็ล้างกิเลสระดับ subconscious พอหมด กิเลส ระดับ unconscious ก็จะขึ้นมาทำงานเป็นอรูปอัตตาก็ล้างต่อจนหมดสิ้นอาสวะอนุสัยคือ unconscious หมดก็เป็นอรหันต์

 

.กฤษฎาว่าเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ ส่ิงที่อยู่ลึกมีมากกว่าที่เห็นอีก เป็นอาสวะอนุสัย

 

พ่อครูว่า...แล้ววิธีที่เขาจะล้างกิเลสเขาไม่ล้างกิเลสเหนือน้ำด้วยนะ แต่ของพุทธนั้นก็ให้เรียนรู้อยู่เหนือกิเลส มีชีวิตอยู่่กับสังคม กับเหตุปัจจัยที่เราเคยเกิดกิเลสแต่เราไม่เกิดกิเลสแล้วกับเหตุปัจจัยเดิมนั้นๆ การจินตนาการแบบภูเขาน้ำแข็งนั้นก็แทนไม่ได้หมดแต่วิธีการของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้หนีโลกธรรม นะ ความสามารถสร้างโลกธรรมก็มีเหมือนเขา หรืออาจมากกว่าด้วย เพราะไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับกิเลส เขาจะรู้จักส่ิงที่ควรสร้างควรทำได้เต็มที่เลยไม่เสียพลังงาน

 

แล้วของพุทธจะรู้สติปัฏฐาน 4 ตั้งแต่ กายในกาย (กายคือจิต) ต้องรู้องค์ประชุมทั้งนอกและใน อ่านกายวิญญาณให้ออก คือความรับรู้ที่เกิดจากการกระทบสัมผัสทั้งนอกและใน อ่านตัวเวทนา ที่มันเกิด สุข ทุกข์  การไม่ได้สมใจใดๆตามอุปาทานก็เป็นทุกข์ การได้มาตามอุปาทานก็เป็นสุข ในโลกธรรม มีทั้งได้ลาภ ยศ สรรเสริญ​ สุข ได้ก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ ต้องหาเหตุที่ทำให้สุขทุกข์ ก็อยู่ในเวทนา เกิดเมื่อมีการกระทบทางทวาร 6 แล้วอ่านด้วยธัมวิจัยสัมโพชฌงค์วิจัยวิจารให้ออกว่า มันคือกามที่ดำริ หรือพยาบาทดำริ พระพุทธเจ้าแจกเวทนาเป็น 108 และที่ต้องแยกได้คือ เวทนาแบบเคหสิตะ กับแบบเนกขัมมสิตะ

 

แบบเคหสิตะคือได้สมใจหรือไม่สมใจกิเลส แบบโลกๆ เราก็ต้องอ่านรู้โดยตั้งศีลตั้งกรอบ ให้รู้กิเลส แล้วล้างกิเลสได้ จากเวทนาในเวทนานี่แหละ ถ้าทำออกได้ลดกิเลสได้ก็เป็น เนกขัมสิตเวทนา มีทางทวาร 6 ก็เป็น เนกขัมมสิตเวทนา3 ทางทวาร 6 ก็เป็น เนกขัมสิตเวทนาอีก 18 (ตรงกันข้ามก็เป็นเคหสิตเวทนาอีก 18) อย่างไม่ต้องไปหลับตาทำ คือโลกเห็นอย่างไรเราก็เห็น แต่เราเห็นกิเลสด้วยแล้วล้างกิเลสของเราไป ในขณะสัมผัสเราเห็นกิเลสจริงหลัดๆ ไม่ใช่ว่าให้ไปนั่งแล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา นั่นเป็นเพียงในสัญญา ไม่ได้เกิดจากการกระทบสัมผัสจริง ในมหาจัตตารีสกสูตรว่าไว้ว่าทำมรรค ทั้ง 6 ด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็มีองค์ 6 ของสัมมาทิฏฐิ เจริญจากสาสวะเป็นอนาสวะได้

 

เราต้องเห็นของจริงหลัดๆ เห็นกิเลสมันแล้วลดได้ก็เห็นเลย ทุกอานาปานสติ ซึ่งจะไปนั่งหลับตาก็ได้ แต่ต้องสัมมาทิฏฐิ (พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนแบบอนุโลมกับคนที่ติดอยู่ป่า) ก็เรียนรู้แม้ในอานาปานสติ ก็ต้องเรียนรู้กายสังขารัง ปฏิสังเวที คือการกระทบ ทวารทั้ง 6แล้วจิตรับรู้ได้จึง เกิดกาย  เป็นกายสังขาร แต่พวกมิจฉาทิฏฐิก็ให้ไปนั่งหลับตาแข็งินิ่งแล้วบอกว่าคือการระงับกายสังขารให้ลืมลมหายใจไปเลย เอาแต่จิต ก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปเลย

 

.กฤษฎาว่า...เกิดผมได้กลิ่นที่สดชื่นถูกใจ พอได้กลิ่น เราจะมีอาการรู้กลิ่น แล้วเราก็มีอาการจิต สดชื่น ชอบหรือไม่ชอบตามมา นี่คือ เราต้องรู้กาย ทันทีที่เกิดวิญญาณ​เป็นองค์ประชุมของรูปและนามทันที ก็เป็นกาย

 

พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าถึงว่าของพระพุทธเจ้านั้นมี ลักษณะธรรมะพิเศษ

ระดับปรมัตถ์จริงแท้

 1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ที่เขาสอนกันว่านั่งสมาธิแล้วเห็นผี เป็นรูปร่างเป็นผีกระสือ ผีอื่นๆก็แล้วแต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อาการมันเป็นรูป ไม่ใช่ตาทิพย์แต่เป็นตาปลอม ส่ิงที่จะเห็นผีนั้นคืออาการกิเลส ถ้านั่งสมาธิก็อ่านจิตที่ระริกระรี้ภายใน คุณจะอ่านได้ต้องผ่านการเรียนรู้กิเลสหยาบก่อน คุณจะอ่านอาการผี เทวาดหลอก เทวดาเก๊ อ่านให้ออกแล้วจะอ่านสังโยชน์ของอนาคามีได้ แม้กระทบสัมผัสก็อ่านได้ หลับตาก็อ่านได้และจะหลับตาแล้วอ่านได้ถูก เพราะรู้ว่าเป็นอัตตาแท้ไม่ใช่รูป การไปเห็นผีที่เป็นพวงใส้ลอยนั่นคือผีหลอกไม่มีจริง ผีจริงคืออาการกิเลส

 

 

แล้วไปสอนกันว่าไปดับทำให้จิตนิ่งเฉยไม่คิดนึก ก็ไปเข้าใจว่าจิตเฉยนี่คืออุเบกขา ฌาน 4​ หรือเข้าใจว่านิโรธคือดับหมด ก็เลยนั่งหลับดับปี๋ เป็นสุภกิณหะ ไปเรียกโลกพรหมมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นสิ่งดี ไม่ใช่แบบพุทธที่เห็นอยู่รู้อยู่ว่ากิเลสเกิดหรือดับ เป็นอกุศล แล้วจิตอกุศลดับ จิตที่เหลือก็เกิดทันทีไม่มีอะไรคั่น จิตสกปรกหมดไป จิตสะอาดก็เกิดทันที ไม่มีแม้แต่ความหมองแม้เล็กน้อยก็ไม่มี จิตก็เกิดสว่างสะอาดทันที เห็นความเกิดดับ ที่ดับคือกิเลสตั้งแต่หยาบกลางละเอียด นี่คือเห็นจิตเกิดจิตดับ แต่เขาไปสอนว่าจะเห็นจิตเกิดดับอย่างเร็ว บางอาจารย์สอนว่าไม่มีใครตามทันหรอกว่าจิตเกิดดับ วินาทีละเป็นล้านครั้งไม่มีใครรู้ได้หรอก นี่คือคิดแบบตรรกะ แต่ของพระพุทธเจ้านี่รู้การเกิดดับ

 

ส่ิงที่ดับคือชาติดับ ชาติท่านแยกเป็นชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ เราต้องอ่านรู้สภาวะจริง การเกิดทั้ง 5 อย่างนี้ต้องมีนัยต่างกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ติดอ่างจะพูดเหมือนกันทำไม 5 คำนี้

 

ชาติคือการเกิด ทั่วไป และสัญชาติก็คือ การเกิดตามสัญชาตญาณ เราก็ต้องอ่านจับตัวนี้ว่าตัวกิเลสไหนสั่งให้เป็นไปตามสัญชาติญาณ หากแยกกิิเลสได้ หยั่งลงได้เป็น โอกกันติ แต่ถ้าแยกกิเลสได้แต่ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ก็ต้องเรียนรู้สักกายะ สัมผัสแล้วอ่านวิจัยหาเหตุ จนเจอเหตุก็ยิ่งรู้ตัวตนเป็นสักกายะ คือจิตในจิต เป็นสราค สโทส สโมห เป็นเจโตปริยญาณ 16 ต้องกำจัดกิเลส ถ้ากำจัดได้ จะเร่ิมเกิดเป็นโอปปาติกโยนิ เป็นนิพพัตติ เป็นการหยั่งลงด้วยวิชาความรู้ของพุทธแล้ว แม้สังโยชน์ 1 และ 2 ผ่านได้ รู้กิเลสสักกายะและไม่สงสัยเลยว่ากิเลสแน่ แล้วก็ต้องมีวิธีทำให้กิเลสลดเป็นสัมมาทิฏฐิในมรรคองค์ 8 คุณมีแล้ว และปฏิบัติ แต่ได้แต่ลูบๆคลำๆไม่กำจัดทำลายมันเสียทีหรือทำอย่างอ่อนแอกิเลสไม่ลดลงเลย แม้ลดได้นิดหน่อย คุณก็เร่ิมได้มรรคผลแล้ว คุณกำลังเร่ิมผ่านสังโยชน์ 3 แล้ว ยิ่งทำให้เป็นสมุจเฉทปหาน ทำในอานาปานสติ ตามเห็นจิตไม่เที่ยง แล้วไปยึดมันทำไม ก็ทำลายมันเสีย เมื่อทำให้ดับได้นิดหน่อย วิราคานุปัสสี แล้วถ้าดับได้เลยก็เป็นนิโรธานุปัสสี ทำกิเลสดับได้ก็ผ่านสังโยชน์ 3 เลย

 

เป็นอภินิพัตติ ถ้าจะเรียกอรหัตตผลก็ของโสดาบันขั้นที่ 1 ตัวเดียวตัวแรกของกิเลสที่ลดได้เลย เมื่อทำกิเลสตัวนี้ดับได้ก็เป็นโครงสร้างเราไปทำกับกิเลสตัวอื่นต่อ เป็นโสดาบันแล้วก็เลื่อนต่อเป็นสกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ไปตามลำดับ สักวันก็เป็นได้ในที่สุด

 

ของพระพุทธเจ้าเห็นจิตเกิดดับ คือดับกิเลสแล้วจิตก็เกิดใหม่เป็นจิตกุศล ทันทีต่อเนื่องไม่ได้ขาดตอน พระอรหันต์ทำกิเลสดับได้หมด จิตก็สะอาด จะเป็นผู้อมตะจะเกิดหรือตายก็ได้ จะตั้งจิตต่อหรือไม่ตั้งจิตต่อก็ได้  จิตก็ต้องเกิดจากจิต ถ้าจิตไม่ให้เกิดก็ไม่เกิด ในอรหันต์จะรู้ และจิตจะสั่งให้เกิดหรือตายได้ตามสั่ง จะปรินิพพานก็ได้ หรือจะตั้งจิตต่อภพภูมิก็ได้ อรหันต์จะรู้เอง อย่างไม่ใช่ด้นเดาคะเนเอาเลย


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:11:39 )

571104

รายละเอียด

571104_พ่อครูให้โอวาทปิดสัมมาการศึกษา ที่ปฐมอโศก

การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน ในศตวรรษที่ 21 และ การเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณค่าความเป็นมนุษย์  ณ ปฐมอโศก

 

.บบบ.ก็จะเริ่มปลายเดือน ธ.. ไปถึงต้นเดือน ม.. 58 ห้าวันตายตัว เราก็ต้องประกาศออกไป เราได้ไปช่วยประชาชน เอาเวลาส่วนตัวเราสละไปช่วยส่วนกลางประเทศ ปีหนึ่งผ่านไป เข็มที่อาตมาทำไว้รุ่น 3 ก็ยังตกมาถึงปีนี้อีกปีก็ยังไม่หม่นหมอง เพราะเป็นทองคำแท้

 

ขอเน้นเรื่องการศึกษา ถ้าเราสามารถหยั่งรู้ลึกถึงว่า คนเจริญได้ด้วยการศึกษา จะศึกษามีพยัญชนะหรือไม่ก็ศึกษากันมา เจริญได้ด้วย ศาสตร์และศิลป์ มาถึงทุกวันนี้ อาตมาขอบอกว่า ศาสตร์ตกกระป๋องไปแล้ว มันเป็นศิลป์ไปหมดแล้ว และซ้อนไปอีก ทุกวันนี้ศิลปะก็กลายเป็นศิลเปรอะ ไปหมดแล้ว ศาสตร์ก็ไม่เหลือ ศิลป์ก็ไม่มี เราก็ต้องมาฟื้น เพราะคนเราได้สะสมความรู้ได้มากเกินไป ไม่ต้องไปเรียนเพ่ิมอะไร แค่เรียนถ่ายทอดกันไปก็อยู่ในสัญชาติญาณ จารีตประเพณี วัฒนธรรม ยกตัวอย่าง การทำอาหารการกิน มันไม่ใช่อาหารแบบสมัยเก่า มันเป็นอาหารการกินที่มีความรู้

 

ความรู้นี่คือความคิดปรุงแต่งเพ่ิมเติมขึ้น สิ่งที่ปรุงแต่งเพิ่มเติมโดยสัจจะคือของหลอก หรู รวย อร่อยมากขึ้นก็คือความหลอก แต่คนก็ต้องอาศัยพวกนี้เขาไม่รู้ เขาถือว่าพวกนี้คือความก้าวหน้า สรุปแล้วคือสิ่งเฟ้อเกินไร้สาระ เสียเวลาแรงงานทุนรอน ไม่เสียเปล่าคือสูญเสียไป และไม่ได้อะไร ได้อารมณ์กลวงๆว่าหรูใหญ่ อร่อยเพลิดเพลินพอใจเท่านั้น แต่วัตถุ แรงงานมันผลาญจริง เวลาก็เสียไปจริง

 

ผู้รู้แล้วว่าเป็นความสูญเปล่า เช่นพระพุทธเจ้าก็เลิกมา จนรู้ความเพอเหมาะที่จะดึงลงมาน้อยเท่าไหร่ก็เป็นความสุญเสียน้อยที่สุด เหนื่อยน้อยที่สุด ก็คือตรงนี้ ผู้ใดเป็นอรหันต์ฺก็ศูนย์ได้ก็จบ และจากนั้นก็มีระดับชั้นไปตามจริง

 

ความรู้ที่เฟ้อเกิน กับที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าความพอเหมาะพอดี มีศัพท์วิชาการศาสนาเยอะ เช่น คำว่า สัมมา ใช้ได้ทั้งวัตถุและจิตใจให้สมดุล ซึ่งไม่เที่ยง เปลี่ยนได้เรื่อยในคน หาจุดเที่ยงไม่ได้ คนต้องตื่นรู้สภาวะแท้ที่มีอยู่จริง แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเหตุปัจจัยแห่งความจริงประเมินความพอเหมาะพอดี

 

อีกภาษาคือคำว่า ปโหติ เป็นความพอเหมาะพอสม เรียกว่าพอเหมาะได้ ผู้ที่เรียนรู้หลักธรรมพระพุทธเจ้าหัวใจศาสนาพุทธคืออาริยสัจ 4 รู้ต้นเหตุทั้งวัตถุและนามธรรม รู้ต้นเหตุที่พาเสื่อมก็ละเลิกออกได้ตามลำดับเป็นขั้นๆ ตั้งแต่เริ่มดำริ เอาออกมาเป็นวาจา มาเป็นกัมมันตะ เอามาเป็นอาชีวะเลี้ยงชีพสังคม ก็พอเหมาะพอดีไปเรื่อยๆ

 

ความพยายามคือแรงกล และสติคือตัวรู้พร้อมรู้ทั่ว มันมีความไม่เที่ยงตลอด ความรู้รอบต้องรู้ตลอดเวลา แล้วเอามาปรับให้เหมาะสมตลอด ผู้ใดมีจิตปฏิบัติ มรรค 7 องค์นี้ได้ เมื่อสัมมาทิฏฐิพอเหมาะได้ แล้วปฏิบัติต่อไปถึงสัมมาสังกัปปะ เมื่อทำสัมมาสังกัปปะพอเหมาะได้ก็เป็นสัมมาวาจาพอเหมาะได้ก็ไล่จนครบมรรค 8 แล้วต่อมาเป็นผลสอง คือสัมมาญาณ สัมมาวิมุิต ก็พอเหมาะได้ เป็นสัมมัตตะ 10 (มรรค 8 ผล 2 )

 

ทั้งวัตถุและจิตวิญญาณอาศัยกัน แต่จิตเป็นประธาน วัตถุเป็นประธานไม่ได้ แต่ทุกวันนี้คนหาวัตถุกันใหญ่ จิตวิญญาณเป็นทาสวัตถุนิยม แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ดูถูกวัตถุ ได้อาศัยวัตถุให้พอเหมาะ พวกเราศึกษาจนถึงวันนี้ก็ได้ตามลำดับ อาตมาก็พาทำใช้ศึกษา เป็นบูรณาการ Integrity เป็นของพัฒนามาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าทำมาหมด แต่สมัยนี้เอาตามแต่ก็ไม่รู้ เป็นพฤติกรรมเดียวกัน แต่สังคมนั้นเสื่อม เขาก็แสวงหา มีทฤษฏีใหม่ แต่ก็แก้ไม่ได้เพราะจิตวิญญาณมีกิเลสแต่แก้ไม่ได้ นักรู้เขารู้ทั้งนั้นแต่ทำไม่ได้ ทฤษฎีแนวนี้ทุกคนรู้ว่าเป็นทฤษฎีของสังคม รู้ตั้งแต่พศ.ไหน โทมัส มอร์ เขียนเรื่องยูโทเปียเกือบสองพันปีมาแล้ว เขารู้แต่เขาทำไม่ได้

 

แค่ยูโทเปียจริงๆก็ไม่งามเท่าของพุทธ มันก็เป็นได้แต่มันมาเสื่อม ศาสนาพุทธเสื่อมจนทุกวันนี้เขาทวนไปไม่ได้ เขาเข้าใจไม่ได้ แม้ยุคตอนต้นสมัยพระพุทธเจ้าก็เป็นไม่ได้เหมือนตอนนี้เพราะเป็นยุคทาสสมบูรณ์แบบ ทาสเหมือนสัตว์ นายทาสเหมือนเจ้าของสัตว์ ใช้เหมือนสัตว์ ไม่ใช้จะฆ่าทิ้งก็ได้ ตีทิ้งได้ ขายได้เหมือนสัตว์เลย พวกเรายุคนี้เลิกทาสมาแล้ว หรือเป็นทาสก็ไม่เหมือนทาสยุคโน้นที่ทาสไม่มีสิทธิ์คิดอะไร เหมือนสัตว์เดรัจฉาน พระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของทั้งหมด เป็นแต่พระเจ้าแผ่นดินจะอนุโลมนายทาสให้มีได้เท่าไหร่แต่ท่านจะริบคืนเมื่อไหร่ก็ได้

 

สมัยพระพุทธเจ้าเกิดแล้วประชาธิปไตย แต่เป็นธรรมาธิปไตย หากปชต.สมบูรณ์แบบก็คือธรรมาธิปไตย พระพุทธเจ้าแยกเป็น โลกธิปไตย(วัตถุ) อัตตาธิปไตย(จิต) ธรรมาธิปไตย

 

ตัดมาถึงปัจจุบัน เรามีผลจริง พวกเราเป็นนศ.ที่ได้รับผลถ่ายทอดเป็นตัวจริง ได้ผลจริง เราไม่เอาโลกธรรมาเป็นเหตุปัจจัยต่อรอง จะเอาลาภมาต่อรองก็ไม่มี ของเราทำแบบสาธารณโภคีซึ่งยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ เพราะเป็นยุคทาส ที่ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน แต่ยุคนี้ถือสิทธิมนุษยชนของแต่ละคนเต็มที่เลย ยุคพระพุทธเจ้ามีขีดจำกัดว่าเปลี่ยนระบบสมบูรณายาสิทธิราชไม่ได้ แต่ละคนก็ไม่รู้จักสิทธิตนเอง ทั้งความเป็นคน ความเป็นเจ้าของ สิทธิ์แสดงออกทางกาย วาจา ใจอย่างไร สิทธิ์ในการแสดงความเห็นก็ไม่มี แต่ทุกวันนี้ไม่ให้คิดนิดหน่อยก็โวยเลย ถ้าไม่ละเมิดกฎหมายก็เอาเลยขนาดมีกฎหมายังหาทางเลี่ยงเลย

 

สรุปแล้วคนรู้มากแล้วสมัยนี้เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้ได้เลย สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงสงฆ์ หรือในแวดวงพุทธบริษัท 4

 

การศึกษาของพระพุทธเจ้านี่รวมการศึกษา คือการศึกษา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา จบหมดทุกศาสตร์เลย สมาธิคือจิตที่เกิดวิมุติ เกิดฌาน ถ้าปฏิบัติไตรสิกขาได้จบก็จะรู้หมด และไม่ทิ้งสังคม ไม่หนีออกไปไหน งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อาตมาพยายามทำอย่างประนีประนอมมา ไม่ถึงเจ็บถึงตาย เหมือนในสมัยยุคพระพุทธเจ้า แม้พระโมคคัลลานะก็ต้องตาย เพราะข้าศึกทางศาสนาฆ่า ของเราอาตมาพาทำมาก็ไม่ได้ตายเพราะศาสนา แม้ที่สุด จะถือว่าติดคุก ก็ไม่ได้ เขารอลงอาญา เขาตัดสินว่าเราแพ้ ก็ผ่านมาแล้ว

 

อาตมาพาพวกเราทำระบบพระพุทธเจ้าผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ยุคพระพุทธเจ้า ที่มีคนตาย คนเสียสละให้แก่ศาสนาเยอะ แต่อาตมาพาทำมานี่พวกเราเสียแต่วัตถุและแรงงานกับโลกซึ่งไ่ม่เป็นการเสีย แต่Our loss is Our Gain เป็นการได้ในความเสียสละ ก็ที่เราเสียไปนั่นแหละ คือเราได้ เราอยู่ได้มาแล้ว เราจะเจริญได้กว่านี้ไหม? ก็ได้ ทุกคนก็รู้ความบกพร่องของตนด้วย พวกเรายังไม่เพียรเอาจริงกันหมดเลย แต่ละคนนี่อาตมาว่าไม่ได้พูดเล่นนะ เรายังเพียรอุตสาหะได้มากกว่านี้ ถ้าอยู่ทางโลกคุณจะถูกบีบคั้นต้องดิ้นรนมากกว่านี้ แต่อยู่ทีนี่ไม่มีการบีบคั้นก็สลายๆ

 

อยู่ที่ตนจะสำนึกและขวนขวาย ด้วยการปฏิบัติมรรคของพระพุทธเจ้าไม่ได้แต่ปริยัติ ปฏิบัติ แต่ให้ได้ผลสั่งสมเป็นกุศลวิบาก มีแต่เจริญกับเจริญ ถ้าเราแต่ละคนเจริญ องค์รวมก็เจริญ ลัทธิของพระพุทธเจ้าเป็นลัทธิที่เจริญ คนหนึ่งคนเจริญ​แต่ละคนๆ ก็คืององค์กรทั้งองค์กร เป็นเอโกธัมโม ทั้งแรงงาน ความคิด วัตถุ

 

คุณคิดว่าที่ดิน วัตถุของอโศกเป็นของใคร...ก็พูดได้ว่าของผม....เด็กๆก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก่อนคุณมีบ้านมีครอบครัว มีที่ดินก็คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของตน แต่มาอยู่อโศกคุณจะไม่กล้าคิดว่าสมบัติอโศกเป็นของตนเท่ากับที่ของครอบครัว คุณนึกว่าของครอบครัวเป็นของคุณ แต่ผู้ที่เป็นพี่น้องของคุณแบ่งเอาไปจริงๆได้มากกว่า แต่ที่นี่อโศก ไม่มีใครแบ่งไปเลย นี่คือเป็นของคุณได้มากกว่า  ไม่มีรูให้แบ่งออกไปได้เลย ต่างกับของครอบครัวที่ พี่น้อง ลูกเต้าเอาไปแบ่งไปได้ อันนี้มันยังไม่ชัดเจน ไม่รู้แท้ มันลึกซึ้่งยิ่งกว่าที่เรารู้แบบโลกๆ อันนี้ไม่ใช่ของคุณแต่เป็นของคุณยิ่งกว่า เป็นภาษาสัจจะความจริง ยิ่งกว่าวิพากษ์วิภาษณ์(Dialactic)  ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้่อนกว่าอีก

 

ในการศึกษา อาตมาก็ยำ้ว่าตลอดชีวิตพระพุทธเจ้า ไม่รู้กี่ล้านชาติ ท่านไม่ได้ศึกษาอะไร นอกจาก ศึกษาเรื่องคนกับสังคมเท่านั้น ไม่ใช่อาตมาพูดเล่นนะ คนไม่เข้าใจก็ไม่รู้ค่า  เป็นการเจริญของคน และเจริญสุดเป็นพระพุทธเจ้า และอรหันต์ท่านก็คือคนธรรมดา ที่ท่านอยู่แบบท่าน คนมีภูมิจะดูอรหันต์เป็นคนน่าบูชาน่าเอาอ่าง แต่คนไม่มีภูมิเลวก็จะดูไม่ออก อาตมาไม่ได้โทษใคร ที่เขาเข้าใจไม่ได้ก็มีมา แต่อาตมาทำหยาบระดับหนึ่งก็ดีไม่มีปัญหาอะไรแต่อาตมาเป็นหัว ต้องเจตนาจะทำ

 

ยกตัวอย่างง่ายที่สุด นายกฯพล...ประยุทธ์ หยาบเท่าที่มีนายกฯมีมาในประเทศไทย แต่สมุคสมัยอย่างนี้จะปราบพวกแดงได้

 

คำถามจากคุรุ

_การรับเด็กประถม เรามีกติกาว่าผู้ปกครองต้องอยู่ได้ แต่ในการสัมมนาครั้งนี้ รร.สัตยาศัย ได้เอาเด็กมาเป็นนร.ประจำตั้งแต่ประถม ป.1 เลย อ.องอาจ บอกว่าง่ายกว่าเด็กโตมากเลย อยากถามมุมมองพ่อท่าน

ตอบ...อาตมาเห็นว่า หลายอย่างที่สัตยาศัยกับเราไม่เหมือนกันหลายอย่าง ที่สัตยาศัย มีโลกีย์หลายอย่างแต่ของเราเป็นโลกุตระ มีเหมือนกันคือกินมังฯ ของเราพยายามตัดอิทธิพลพ่อแม่กับเด็กเยอะ สำหรับของเรา เด็กประถม เราให้พ่อแม่มาอยู่ด้วย แต่อิทธิพลของพ่อแม่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากกว่ารร. และของเขาไม่มีชุมชน องค์ประกอบของเขาจะไม่เท่าเรา ของเราเป็นวิถีชีวิต จากเช้าจรดนอน ของเราเป็นพฤติกรรมสังคมจริง แต่ของเขาเป็นรร.กินนอนก็เป็นสังคมบ้าน จะมีวัดก็ไม่เต็มหรอก เหตุปัจจัยต่างกัน เรามองดูได้ตั้งข้อสังเกตได้ ศึกษาได้ ขนาดนี้ที่เราทำได้ ของเราอยู่ยากกว่าของเขา คนเราน้อย จะทำอย่างเขาไม่ดี ของเราน้อยทั้งผู้สอนอบรม หากเรารับคนมากกว่านี้คนดูแลจะไม่พอ ผู้ดูแลต้องทำหน้าที่ทั้งครูและทำงานบ้านด้วย ก็ไม่เหมือนกัน อาตมาไม่รู้ลึกของสัตยาศัยอีกอย่างว่า เขามีลึกๆ ผู้ปกครองจ่ายเงินให้เด็กหรือไม่ เขาเรียนฟรี แต่เขาจะรู้กันว่าผู้ปกครองจะบริจาคกัน แต่ของอโศกนี่หาผู้ปกครองบริจาคยากนะ เราไม่ได้เก็บค่าอะไรทั้งนั้น มันคนละเรื่องกัน เรามีภาระเยอะจึงต่างกันกับเขาเยอะ เขาใช้เงินมาบริหารซ้อนอีกมากเลย ต่างกัน เราก็ศึกษาไว้อย่าเพิ่งตัดสิน

 

_เด็กสมัยนี้หรือต่อๆไปน่าจะเป็นเด็กที่กิเลสเพิ่มมากขึ้น กว่าจะมาถึงเรา ก็หนักขึ้นๆ ดิฉันก็รู้สึกเสียดาย ว่าถ้าถึงม.6 ก็จะไปจากเรา

ตอบ...เรายังเปลี่ยนไม่ได้หรอก แต่ว่าผู้ที่มีลูกก็ให้ลูกอยู่ให้ได้เถอะ คนจะอยู่ก็คือคนในอโศก พ่อแม่ก็อยู่ให้ได้ อาตมาว่าลูกจะอยู่ได้ พ่อแม่ต้องไม่มีสมบัติส่วนตัวมาก เพราะลูกจะรู้ว่าพ่อแม่ไม่มีเงินส่งมาก ก็ต้องอยู่ต่อ

 

_ถ้าเราให้ลูกเรียนต่อมากขึ้นในหมู่พวกเราเอง เด็กๆก็จะอยู่กับพวกเราได้ดีขึ้น

ตอบ...อาตมาก็พยายามอยู่นะ เด็กเราหลายคนก็จะรู้ ไม่ต้องบังคับ หากสนามแม่เหล็กแห่งธรรมะ วัฒนธรรมอโศกมีแรงมากพอ ก็จะได้ไม่ต้องบังคับ บังคับนั้นไม่ได้จริง เด็กคนไหนมีภูมิก็จะอยู่เอง คนไหนจะไปก็ให้ไป เพราะอยู่กับเราก็หนักเรา เขาจะเลือกเอง แม้เด็กที่จบม.6 ที่อยู่กับเรา อาตมาว่าให้ดูต่อไป อีกหน่อยเด็กที่จบไปจะทยอยเข้ามาเอง เพราะสัจจะข้างนอกนั้นมันร้อน จิตวิญญาณคนก็รู้ คนข้างนอกเขาสัมผัสพวกเราก็รู้ว่าเย็นกว่า เด็กเราอยู่กับเรากี่ปีเขารู้ทั้งนั้น อย่าไปกังวลมาก

 

_สรรค่าสร้างคน พ่อครูนำมาสอนใหม่อีก ผมตั้งข้อสังเกตว่าพื้นฐานชีวิตพวกเราด้อยลงไหม?

ตอบ...ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะในสรรค่าสร้างคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ อย่าลงโทษตนเอง อโศกทุกวันนี้อาตมาดูค่ารวมว่าไม่ได้เสื่อม อโศกเป็นสังคมนะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือในกรอบแคบๆ เช่นลัทธิฤาษีหรือเถรวาทที่เข้าใจว่าผู้บรรลุธรรมหรือไปบวชต้องไปอยู่ป่าช้าคนเดียว อย่างหลวงพ่อเกษม นั่งสมาธิ เดินจงกรม นั่นละเขาว่าสุดยอด แต่แท้จริงทำให้คนเป็นตอไม้ แม้จะรวมกลุ่มมีลูกศิษย์มีคนสอน แต่ก็ทำให้คนเป็นแบบเดียวกัน คนมองว่าความเจริญของศาสนาคือเช่นนั้น แต่คนมองแบบนี้ว่า อริยะคือนักบวชหนีโลกไปอยู่ป่า แต่อารยะ ซิวิไลซ์ คือเจริญแบบโลกๆ เขาแบ่งเป็นสองอย่างนี้ก็เลยหลงผิดไป แต่ของพระพุทธเจ้านั้นสูงกว่า อริยะ สูงกว่า อารยะ เอามารวมกัน จึงเข้าใจไม่ง่าย เพราะจิตอริยะคือจิตโลกุตระที่อยู่เหนือโลกธรรม แต่เข้าใจว่างานเช่นนี้จะสร้างโลกธรรม ที่ต้องอาศัย แต่กามกับอัตตานั้นตีทิ้งอยู่แล้ว ก็ประมาณโลกธรรมที่ต้องอาศัยจัดสรรให้พอเหมาะพอดี อาริยะของพระพุทธเจ้าจึงเหนือชั้นกว่าอริยะและอารยะ อโศกเรามีอาริยะไปตามลำดับแต่ไม่มากชัดจนคุณเห็นได้หมด

 

_ตอนนี้ลูกอยู่ม.6 แล้ว เขาบอกว่า เด็กหลายคนอยากอยู่เรียนในอโศกต่อ แต่ไม่มีคณะที่เขาต้องการเรียนในนี้ เช่นเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น

ตอบ...มันเป็นรสนิยม เทสต์ของเขาส่วนตัว เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาอยากได้มันดีจริงหรือไม่ เช่นเศรษฐศาสตร์เขาอยากเรียน แต่ที่จริงอโศกคือเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดแล้ว เศรษฐศาสตร์สุดยอด อโศกมีแล้ว แต่ไม่ได้ตราว่านี่คือยอดเศรษฐศาสตร์ของโลก คุณอยู่ที่นี่คุณได้เรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ตกต่ำแน่นอน อยู่ในสังคมนี้ หรือว่าภาษา เช่นภาษาอังกฤษไม่เก่ง มันเป็นรสนิยม มันเท่ ทันสมัย ระดับอินเตอร์พูดภาษาสากลได้ นั่นเป็นรสนิยมของเขา อาตมาพยายามปิดกั้นไม่ค่อยเชื่อมโยงกับต่างประเทศมันตรงกันข้ามกับที่เด็กเข้าใจ พูดภาษาต่างประเทศไม่เป็นมันไม่ได้เสียหายไม่ตกต่ำแต่อย่างใด อาตมาต้องใช้ภาษาอังกฤษปนบ้างก็เพื่อความเข้าใจ  แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของเนื้อหาชีวิตที่ดีแล้วเขาก็จะมาศึกษาภาษาเพื่อเอาเนื้อแท้นั้นต่างหาก ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปศึกษาภาษาคุณเพื่ออธิบายให้คุณเข้าใจ เขาต่างหากต้องพากเพียรมาเอา พูดนี่ไม่ได้หยิ่งผยอง เพราะที่พูดนี่เป็นเรื่องยาก เราไม่มีเวลา แรงงานพอที่จะไปเรียนภาษาของคุณ เช่นในไทย อาตมาจะไปใช้ภาษาอังกฤษ แล้วให้คนน้อยจำนวนรู้ แต่คนส่วนใหญ่ในไทยไม่รู้ อาตมาก็ไม่เสียเวลานะ เราทำตามเหมาะสม แล้วมันจะดำเนินไปตามลำดับ สะดวกง่ายมีผลสูง แต่มันช้าเพราะยาก อาตมาทำงานศาสนามายากกว่าพระพุทธเจ้ามาก

 

เราไม่ต้องประชาสัมพันธ์ว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ของเราก็มีนะ เราไม่สร้างข้อสอบให้เขาเอนทรานซ์เข้ามา ให้เขาเอาตัวเข้ามาเองเลย ถ้าเขารู้ เราก็อาจแนะนำได้บ้างในนร.เรา ควรแนะบอกเขาให้รู้ ไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาแนะแนวข้างนอก ถึงอย่างไรเราก็บอกไปโดยปริยายแล้ว เขาก็จะรู้คัดเลือกมาเอง เราได้ช้างเผือกแท้ไม่ใช่ช้างเรซิ่น ไม่ใช่ช้างเผือกปลอม

 

_หัวข้อในการสัมมนาการศึกษาวันนี้มีสองหัวข้อ เป็นสิ่งที่เราน่าจะได้มาตกผลึกเนื้อหา คัดกรองว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็นการเพ่ิมโลกวิทู แต่ที่เราได้รับจากวิทยากรเหล่านี้พวกเราก็ยินดีพอใจที่ได้รับความรู้มาก แต่คุรุหลายท่านก็บอกว่าท่านที่มาก็เป็นกัลยาณชน แล้วของเราจะไปโลกุตระ เราควรย่อยเนื้อหาที่จะเอามาไหม?

ตอบ...อาตมาว่ามันย่อยไปโดยอัตโนมัติไม่ต้องไปตีกรอบหรอก เป็นปฎิภาณปัญญาของแต่ละคน ของพวกเราแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่แล้ว พวกเราอยู่ในสังคมเดียวกัน บ้าน วัด​ โรงเรียน มันซึมซับกันมากว่า Absorb มัน osmosis มันเจือกันไปหมด ไม่ว่านักบวช ฆราวาส เด็กจนถึงคนแก่ ก็เห็นหน้ากันหมดไม่ว่างานไหนๆ นอกจากว่างานบางงาน เช่นบันเทิง นักบวชก็ไม่ไปเท่าไหร่ก็เข้าใจแล้ว นอกนั้นก็ เจือสมกันอยู่อย่างไหลซึมเข้าหากัน อันนี้คือเนื้อแน่นของสังคม มีพฤติกรรม จิตวิญญาณ วัตถุ ทั้งกินอาศัย ใช้ อยู่ พัก ทุกอย่างเลย พวกเรานี่ ข้อสังเกตง่ายๆ พวกเรานี่แม้จบไปแล้วม.6 เขาก็ยังใส่เสื้อนร.สัมมาสิกขาอยู่เลย เขาชอบใส่ เขารู้สึกว่า มันอันเดียวกัน เราก็เหมือนกับเด็กนร.ในนี้หรือง่ายๆ คนที่อยู่ในนี้แล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกก็ใส่เสื้อข้างนอก แต่เข้ามาข้างในก็มาหาเสื้อแบบพวกเราใส่ แล้วก็หาเสื้อสัมมาสิกขาใส่ นี่คือจิตวิญญาณมันเจือสม จนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว แต่มีภาวะจำเป็นต้องออกไป พอกลับมาก็กลับมาใส่เช่นเดิม มันปักมั่น

 

_พ่อครูคิดว่าคุรุเรามี 3 โล(โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ) มากหรือน้อยกว่าเขา

ตอบ...มีมากกว่าข้างนอกแน่ มีมากกว่าหลายโลฯ ที่คุณพูดนี่อยากให้ได้ดีมากๆใช่ไหม อาตมาก็พยายามทำให้ได้มากอยู่ แต่บังคับไม่ได้ โลกียะจะให้ดีอย่างไรก็ไม่หมดอัตตา แต่โลกุตระถึงจะเลวจะต่ำอย่างไรก็รู้จักอัตตาแล้ว แม้จะก.ไก่เริ่มต้นอย่างไรก็รู้อัตตาแล้ว แต่โลกียะจะเก่งอย่างไรก็ไม่รู้จักอัตตา

 

_วันก่อนได้ยินพ่อครูพูดว่า เด็กสัมมาสิกขาเดี๋ยวนี้ไม่เข้มวินัยมากกว่าแต่ก่อน หรือว่าวัฒนธรรมอโศก เมื่อก่อนนี้เน้นส่วนรวม แต่ตอนนี้อโศกจะทำเป็นส่วนตัวมากขึ้นๆ รู้สึกเป็นห่วงว่าพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆจะเป็นส่วนที่ทำให้วัฒนธรรมสาธารณโภคีลดลงไป

ตอบ...เห็นด้วย เรื่องนี้ ควรจะต้องขันชะเนาะ เรื่องที่ว่า เราปล่อยปละละเลยจุดที่ว่านี้ เราเคยแข็งขัน แต่ทุกวันนี้ลดลงมาก เหมือน นร.นายร้อยก็มีแบบฝึกหัดที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องมีแกน ที่เราต้องฝึกฝนให้แข็งแรงก่อน แล้วเราค่อยอนุโลม แต่ถ้าไม่มีก่อน หลวมไปก่อน แล้วจะให้มามักน้อยสันโดษก็จะทำไม่ได้ จะอ่อนแอไปเรื่อยๆก็ขอให้สติไว้ จุดนี้

 

_ถ้าจะเป็นคุรุก็กังวลไปเสียหมดว่าจะต้องดูแลนร. มองตรงไหนก็เป็นปัญหาไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องลงรายละเอียดกับเด็ก เช่นการนอนที่ตึกโรงครัว ก็พัดลมเปิดทุกอันที่มีพัดลม แล้วก็คลุมโปง แต่วันไหนที่เราไปไหน ไปที่พุทธสถานไหนก็รู้สึกว่าเป็นบ้านเราหมด ก็ต้องดูแล ต้องเหนื่อยมาก เด็กๆที่อยู่กับดิฉันก็บ่นว่าเหนื่อยมาก ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม? ดิฉันก็ไม่รู้จะยกตัวอย่างใครดี ก็ยกตัวอย่างพ่อครูว่าพ่อครูมีวันพักไหม? แต่ถามเขาว่าอโศกดีไหม? ก็ดี แต่เขาขอไปโลดโผนไปข้างนอกก่อน

ตอบ...ความซับซ้อนมันเป็นความซับซ้อนที่ยาก อย่างของคอมมิวนิสต์ที่เขาเข้าใจ ในระดับdialectic ในคอมมิวนิสต์เขาก็มีในระดับของเขา แต่ของพระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส 4​และสัปปุริสธรรม 7 แล้วมีการประมาณว่าอะไรควรหรือไม่ควร เพราะสังคมที่เราอยู่มีความไม่เที่ยง จะใช้หลักตายตัวไม่ได้ โลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวันๆต่างไป โลกเมื่อวานก็ไม่เหมือนวันนี้ เปลี่ยนทุกวัน ทุกวินาที หากเรายึดมั่นถือมั่นแล้วเราจะยึดไม่ได้เลย คำว่ามหาปเทส 4 ของพระพุทธเจ้าจึงมีคำอนุญาต และคำห้าม ถ้าไม่มีในบัญญัติ ว่าห้ามหรืออนุญาต ก็ดูว่าอะไรควรหรือไม่ควร เหตุปัจจัยไม่แน่นอนเลย

 

เช่นหมู่กลุ่มอโศกแต่ละคนก็มีภูมิระดับหนึ่ง พวกคุณก็มีวัยนี้ภูมิเช่นนี้ แต่พอออกไปกับคนหมู่อื่นก็ต้องใช้หมู่อื่นมาคำนวณตัดสินแล้วผลออกมาก็จะไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรเที่ยงเลย ตายตัวไม่ได้เลย นี่คือนัยที่อ่านยากว่าเจริญหรือไม่เจริญ อาตมาตอบได้แต่ว่า พวกครูก็ได้แต่บอกว่าเจริญๆ แต่พลอยไพรรู้สึกว่าเสื่อมบางเรื่องนะ นั่นแหละบางเรื่องดูเหมือนเสื่อมลง เช่นเด็กที่เราอยากให้ขันชะเนาะมากขึ้น บางอย่างเสื่อมก็ถูก แต่ค่าเฉลี่ยเสื่อมลง การน้อยลงไม่ได้หมายความว่าเสื่อม ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในปริมาณ และลักษณะเช่นนั้นก็ต้องเกิด ทุกอย่างจะต้องเป็นเช่นนี้ (พ่อครูทำมือเข้าๆออกๆ สูงๆ ต่ำๆ เล็กๆ ใหญ่ๆ) มีหลายระนาบด้วย วนไปมาซับซ้อนอีกหลายมิติ เราจะดูตื้นๆเขินๆไม่ได้

 

ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าใครมองว่าอโศกแย่ลง แล้วอโศกทำงานได้มากขึ้นหรือไม่? คนที่มีความมั่นคงไม่ผันแปรแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีความสบายใจในชีวิตมากขึ้นไปตลอดหรือไม่? ก็มากขึ้น แต่ถ้าทุกวันคุณก็รู้สึกว่ามั่นคงถาวร มากขึ้น ก็คือเจริญขึ้น มวลจะน้อยลงแต่ได้อรหันตฺ์ขึุ้นไปมากขึ้น มีโสดาฯลดลงแต่ได้สกิทาฯเพ่ิมขึ้น แล้วคุณว่าคุณเสื่อมลงหรือ? ก็ไม่ แต่ต่อไปโสดาบัน เพ่ิม แต่สกิทาฯลดลง เหมือนลดลง มันก็ไม่ได้เสื่อมลงนี่ มันก็ไม่ได้ เช่นพระพุทธเจ้าเทศน์สอนคน 180 คนพอเทศน์เสร็จ ก็สึกหนีไปเลย 60​คน อีก 60 คนอาเจียรเป็นโลหิตร้อนพุ่งจากปากตาย แต่อีก 60​ก็เป็นอรหันต์ เสียไปตั้ง 120 แน่ะ แต่ได้อรหันต์ 60 ก็ไม่ได้เสื่อม ก็เป็นภาวะที่เข้าใจได้ยาก แต่ถ้าคุณจะกลัวว่าเสื่อม อาตมาว่าอาตมาน่าจะกลัวมากกว่าคุณ อาตมาก็น่าจะเห็นเหมือนกัน เพราะอาตมาก็ฉลาดไม่เท่าคุณน้อยกว่าคุณบ้าง แต่ถ้ามันเสื่อม แล้วอาตมาพูดว่าเจริญ อาตมาก็โง่สิ อาตมาแกล้งโง่ว่าเจริญทุกคนก็ปล่อยสิ ก็ตายเลย อาตมาก็ยังบอกเลยว่าอันไหนต้องเตือนว่าเสื่อมก็บอก แต่ค่ารวมอาตมาเห็นว่าเจริญได้

 

การเจริญก็เจริญทั้งโลกุตระและโลกียะ ถ้าไม่เจริญโลกียะก็เหมือนฤาษีหรือเชน ก็ได้แต่ตัวเองไม่มีเจริญก็ได้แค่นั้น พวกสุดโต่งในโลกก็มีไม่กี่คนพวกนี้จะน้อยลงๆ ไม่มีเพ่ิม เราก็เอาแบบสมดุล อยู่ในโลก สุดท้ายก็จะมีการล้างโลก เราก็จะเหลืออยู่ ก็อยู่ไปทำให้ดีต่อไป สิ่งสำคัญคืออัตภาพวิบากของแต่ละคนเมื่อมีจิตนิยามก็มีอัตภาพสั่งสมเป็นวิบากจนกว่าจะปรินิพพานไป แต่จะอยู่ต่อมีวิบากตราบโลกแตกก็ต้องไปตามวิบาก ไปอยู่โลกที่จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่วิบาก อาจแย่กว่าโลกนี้อีกก็ได้ สรุปสำคัญคืออัตภาพของแต่ละคนเกิดมาแล้วให้ศึกษาตามที่พระพุทธเจ้าพาทำเถอะ ตราบใดยังไม่เป็นอรหันต์ก็ต้องมีตกต่ำขึ้นสูงอยู่ แต่ถ้าเป็นโสดาบันก็มีทางไปสู่ความเจริญ แต่ถ้าประมาทก็อยู่เป็นโสดาบันเป็นล้านๆชาติได้ สรุปคือเป็นอรหันต์ให้ได้แล้วจะรู้ว่าตนจะต่อภพภูมิต่อหรือไม่? อรหันต์แล้วเป็นหลักประกันว่าคนๆนี้จะไปเกิดโลกไหนๆ ก็แล้วแต่ อย่างอาตมาไม่ได้เกิดในโลกนี้โลกเดียวนะ แต่ถ้าเป็นอรหันต์แล้วจะเกิดหต่อหรือปรินิพพานก็ได้ เพราะส่ิงที่ยอดที่สุดก็คือคน คนเป็นอรหันต์นั้น ตอนไม่เป็นก็ว่าจะเป็นอรหันต์เท่านั้น แต่พอเป็นแล้วก็มีกตัญญูกตเวที ก็จะช่วยทดแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า ท่านทำไปแล้วก็ไม่ทุกข์ มีน้อยที่ไม่ต่อ แม้อรหันต์ที่แย่ก็ตาม ท่านก็ทำได้ ท่านอาจยาก แต่โพธิสัตว์ใหญ่จะยากกว่าอรหันต์ตอนต้นๆ โพธิสัตว์ใหญ่ต้องรับภาระมากหนัก ไม่อยากพูดเลยว่า ระดับ 7 นี่มันเหนื่อยหนักนะ ยิ่งระดับ8 ยิ่งมากกว่าอีกนะ ...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 16:12:45 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์