@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

จะบรรลุต้องเรียนรู้ “ต้น-กลาง-ปลาย” มีลำดับ มีขั้นตอน ไม่มีก้าวกระโดด!

รายละเอียด

การเรียนรู้ของพุทธศาสนามี “ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย” ที่ปฏิบัติจัดการให้บรรลุไปตามลำดับ “ขั้นยอด” คือ ขั้นสูง “ขั้นยอด” จึงไม่ใช่ “ขั้นต้น” ที่จะไปเรียนรู้กันก่อน “ขั้นต้น” ฉันเดียวกัน “ภายนอก” ก็เป็น “ขั้นต้น” จะต้องเรียนรู้ปฏิบัติจัดการให้บรรลุก่อนไปตามลำดับ “กามภพ” เป็น “ภายนอก” ก็ต้อง “มี” และเป็น “ขั้นต้น” ด้วย “รูปภพ-อรูปภพ” เป็น “ภายใน” เข้าไปอีกที ก็ “มี” เป็นธรรมดา  “ฐาน” ก็ต้อง “มี” “ยอด” ก็ต้อง “มี” ก็เป็นธรรมดา    “ภายนอก” ก็ต้อง “มี” และ “ภายใน” ก็ต้อง “มี” ...จริงมั้ย? การมีความรู้ว่า “ยอด” เป็น “ยอด” รู้ว่า “ฐาน” เป็น “ฐาน”  รู้ว่า “ภายนอก” เป็น “ภายนอก” รู้ว่า “ภายใน” เป็น “ภายใน” เรื่องแค่นี้ก็เป็นสัจจะสามัญที่คนพอจะมีความรู้กันถูกต้องได้ ไม่ยาก

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 458 ข้อที่ 635


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2565 ( 13:33:50 )

จะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ต้องผ่านสุริยเปยยาล 7

รายละเอียด

คำว่าอัตตาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ก่อนจะไปเรื่องอัตตา ขอขี่ม้าเลียบค่ายก่อน คำว่าอัตตานี้ ภาษาสันสกฤตคือ อาตมัน ขยายความเป็นความยิ่งใหญ่ก็กลายเป็น ปรมาตมัน คืออัตตาอันยิ่งใหญ่ก็คือพระเจ้า อัตตา คือผู้สร้างใหญ่อำนาจใหญ่จริงๆ 

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้ สุริยเปยยาล 7 เสียก่อน ถ้าคนใดที่จะมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เรียนรู้ว่า หัวใจของศาสนาพุทธคือมรรคมีองค์ 8 ต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ โดยมรรคมีองค์ 8 ได้มั้ย อย่างนี้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ ต้องผ่าน สุริยเปยยาล 7 ต้องได้พบมิตรสหายดี พบสัตตบุรุษ พบครูผู้สัมมาทิฏฐิแท้ๆ เสียก่อน แล้วก็ได้ฟังธรรม จากท่าน ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์ ให้เกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ สัทธรรมบริบูรณ์ ถ้าไม่บริบูรณ์มันก็ไม่ชัดเจนถ่องแท้ ไปไม่ได้

ไปไม่ได้ตรง สุริยเปยยาล ข้อที่ 7 โยนิโสมนสิการ จะทำใจในใจของตนไม่ถ่องแท้ ไม่โยนิโส ไม่ถูกต้องไม่ละเอียดไม่แยบคาย ไม่ลงไปถึงที่เกิดเลย จะเป็น อโยนิโส จะ โยนิโสมนสิการไม่ได้จะไม่เข้าถึงโยนิโสมนสิการ เพราะเหตุใน 6 ข้อ คุณไม่ได้ดำเนินมาเลย สุริยเปยยาล 6 ข้อเบื้องต้นคุณไม่ได้ทำอะไรเลย โยนิโสมนสิการก็เปะปะๆไปมิจฉาทิฏฐิไป จะไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะไปทำใจในใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 12:15:55 )

จะปล่อยใจจากอดีตสามีได้อย่างไร

รายละเอียด

กายเขาก็จากเราไปโดยที่เขาเองเป็นคนทิ้งเราด้วยเป็นคนจากเรา ก็หยิ่งผยองในตัวเองบ้างสิ กายเขาก็ทิ้งเราไปแล้ว แล้วใจเราจะไปผูกพันเขาอยู่ ใจมันเป็นของเรา ของเราแท้ๆ เลย ใจนี้ยิ่งกว่ากาย กายเขาก็ทิ้งเราเห็นๆ เราจะไปดึงเขามา ก็ยังยากอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็จะเสียศักดิ์ศรีเรา เพราะฉะนั้นเรื่องจิตใจ 

นึกดีๆ เรื่องความติดพันในความเป็นเราเป็นของเรา พระพุทธเจ้าท่านสอนอธิบายพูดว่า มันไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มี ข้างนอกนั้นไม่ใช่ของเราแท้ๆ เลย ดินน้ำไฟลม แท่งก้อน สิ่งนั้นสิ่งนี้ ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม พืชพันธุ์ธัญญาหาร สิ่งที่เป็นอะไรอื่นๆ จนกระทั่งถึงสัตว์มนุษย์ด้วยกัน แม้แต่ลูกเต้าเหล่าหลาน มันก็ไม่ใช่ของเรา 

ถ้าคุณมีลูก ลูกของคุณ คุณคลอดมายังไม่ใช่ของคุณเลย แล้วสามีจะเป็นของคุณหรือ ลูกของคุณ คลอดมาเองยังไม่ใช่ของคุณเลย คิดให้ละเอียด ตรองให้ดีๆ แล้วจริงๆที่สุดแห่งที่สุด แม้แต่ใจเราเองเราก็เอากิเลสไปยึดว่ามีเราเป็นของเรา มันไม่มี สุดท้ายพระพุทธเจ้าพิสูจน์แล้ว แยกความเป็นเราหายไป อัตตาสูญเลย นี่คือสูงสุดของพระพุทธเจ้าได้พิสูจน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ 

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณยังไม่ปล่อยไม่วาง คุณยังยึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็ต้องเป็นทุกข์สิ ขออภัย สมน้ำหน้า โง่ไปยึดอยู่ได้ เป็นเราเป็นของเรา สามีของเรา ทำไงจะเอากลับมา แม้แต่เขาก็ทิ้งเราอย่างเห็นๆ เขาก็ยังไม่เอาเราเลย เราก็หยิ่งของเราบ้างสิ เอ็งไม่เอาเอ็งไป  ใจของเราก็เป็นของเรา แม้จะยังไม่ทิ้ง ใจเราก็เป็นของเรา เรียนธรรมะกับอาตมาให้ดีๆ แล้วคุณจะปล่อยจะวางได้สูงสุด 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2566 ( 19:23:23 )

จะปิดประเทศปิดสังคมชาวอโศกก็ไม่เดือดร้อน

รายละเอียด

ไม่เดือดร้อนเลย จะปิดประเทศปิดสังคม อโศกไม่เดือดร้อน แต่ที่อื่นเขาเดือดร้อนกัน แต่อโศก สบม ทมด ปกต หห จจ มชยลล คือ สัปปายะ ครบสัปปายะ 4 เพราะมีเสนาสนะสัปปายะ มีบุคคลสัปปายะ มีอาหารสัปปายะ และมีธรรมะสัปปายะ

สถานที่ เราก็สบาย เย็นนี้ก็เดินไปเห็นเด็กเราโดดน้ำ ตูมๆ ที่บุ่งเรา สบาย สนุกสนาน เด็กเขาก็มีที่เล่น ขนาดเราไม่เปิดน้ำตก ไม่เปิดน้ำตู้ด (สไลเดอร์ ) ไม่เปิดน้ำตกผาแหงน ไม่เปิดน้ำโตน เขาก็โดดน้ำเล่นสบาย เป็นสถานที่ เด็กก็อยู่สบาย ผู้ใหญ่ก็อยู่สบาย มี อาณาบริเวณที่ไม่ต้องมีรั้ว 

อโศกไม่ต้องเสียสตางค์ค่ารั้ว ไม่ว่ารั้วไม้อ่อน ไม้ไผ่ รั้วไม้แข็ง รั้วไม้แก่น รั้วลวดหนาม รั้วกำแพง หรือรั้วเหล็ก ไม่ต้อง แค่รั้วคิดดูซิ ในหมู่บ้านในสังคมเขาเปลืองเท่าไหร่ ขนาดทำรั้วแล้วยังเอาเศษแก้วที่หักแตกเสียบข้างบน ทำรั้วเหล็กก็ต้องทำเป็นเหล็กแหลมเป็นลูกศรเสียบเข้าไปอีก มันหวงมันแหนมันกลัว เห็นความทุกข์ของคนมั้ย มันขี้กลัว กลัวเขาจะมาแย่งชิง กลัวเขาจะมาเบียดเบียน กลัวเขาจะมาอะไรก็ไม่รู้ ของแพงอโศกเราไม่เดือดร้อน เราเย็นสบายอบอุ่นดีด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 04:57:28 )

จะพบสัตบุรุษได้ต้องมีจิตเช่นไร

รายละเอียด

คำว่า ละอายอย่างแรงกล้า ก็ขยายไปแล้ว เกรงกลัวอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า แรงกล้าท่านใช้คำว่า ติปปัง หรือติพพัง 

ความละอาย ความเกรงกลัว หิโรตัปปัง ความรักใช้ เปมัง เคารพใช้ คารโว 

คนที่พบสัตบุรุษ อาตมาก็เคยอธิบายมาแล้ว มันพบ ด้วยจิตที่เปิด จิตมันหมดตัว หมดอคติ หมดตัวตน หมดการยึด หมดมานะอัตตา หมด อ๋อ.. ปัญญามันเปิดเต็ม ท่านผู้นี้ เป็นสัตบุรุษจริง ท่านผู้นี้เป็นผู้รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะจะมาสืบทอด จะมาช่วยศาสนาพระพุทธเจ้า ต่อเชื้อเอาไว้อย่างแท้จริง ปัญญารู้ ความเข้าใจ ความฉลาดมันเห็นจริงๆ เลย แล้วยิ่งมานึกถึงตัวเอง ผู้ใดก็ตาม ที่นึกถึงตัวเอง แต่ก่อนเราเคยดูถูกดูแคลนคนนี้ เราดูถูกประมาทเขา ย่ำยีด้วย ได้ลงมือย่ำยีด้วย ว่าเป็นผู้ผิด แต่แท้ๆ บัดนี้ ท่านถูก เราผิดต่างหาก ท่านเป็นพระราชา เราเป็นโจร มันจะสำนึกเลย มันตรงกันข้ามกันคนละขั้วคนละอย่าง พอสุดท้ายแล้วมันก็หักลำคนละอย่าง มันมี 2 เท่านั้น ใครผิดใครถูก อ๋อ.. สรุปแล้วเราผิด ท่านถูก ผู้ที่รู้ตัวสำนึกจริงๆ นี้จะละอายจริงๆ เลย ละอายจริงๆ เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 10:20:48 )

จะพัฒนาการได้เร็วต้องได้รับคำสอนจากผู้รู้

รายละเอียด

ยิ่งได้รับคำสอนจากผู้รู้ก็จะพัฒนาการก้าวหน้าได้เร็ว เพราะมีวิธีการ มีทฤษฎี มีแบบอย่างที่สอนให้มีระเบียบ ที่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ อันนี้แหละลึกซึ้ง ลัดไปลัดมาๆ นี่ช้า เป็นระเบียบอย่างละเอียดลึกซึ้งเป็นลำดับไปอย่างเรียงแถว อันนี้มันจบในตัวๆ ไม่ต้องวกวนทำซ้ำเก็บละเอียด มันทำทีเดียวจบเลย ถ้าวกวนไปมามันจะช้าเสียเวลา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:29:09 )

จะพ้นมิจฉาทิฏฐิได้ต้องรู้จักกายเป็นข้อแรก

รายละเอียด

ผู้ที่ยังไม่เป็นโพธิสัตว์คือก้าวออกมาไม่ได้ ออกจากโลกโลกียะมาเป็นโลกโลกุตระไม่ได้ ยังวนอยู่ในโลกโลกียะดีชั่วอยู่ ออกมารู้จักสุขทุกข์ออกมารู้จักกิเลสออกมารู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ โสดาบันรู้จักจิตเจตสิก พ้น สักกายทิฏฐิ อันดับแรก ยังอีกไกล 

กว่าจะเข้าใจกาย กายคำแรกของ สังโยชน์ข้อที่ 1 เขายังมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ทั้งนั้นในชาวพุทธ อาตมาก็มาแยกแยะกาย และไม่ได้แยกแยะตั้งแต่ต้นด้วย ตั้งแต่ต้นก็ไม่ได้แตกฉานคำว่ากายแต่ต้น มาอธิบายคำว่า กาย แตกฉานมา ในระยะ 10 ปีมานี้ ไม่กี่ปีมานี้ มันไม่ใช่เรื่องตื้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และที่อาตมาอธิบายก็ไม่ได้เอาของใครมา เป็นของอาตมาของเก่า ที่รู้มาจากพระพุทธเจ้าเดิม กว่ามันจะขึ้นมาตั้งนาน หลาย 10 ปีมาสอนธรรมะอยู่แท้ๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 11:15:38 )

จะมาเป็นชาวอโศก

รายละเอียด

ตอนนี้เทคโนโลยีมันเจริญมันน่าจะช่วงมนุษยชาติได้อีกมาก พวกคุณจะตกลงกับอาตมาไหมมาช่วยกัน พวกคุณอยู่แล้วก็พูดเป็นคำสุดท้ายว่า โควิด คลี่คลายแล้วใครที่มีศีลที่จะมาเป็นชาวอโศกได้ก็มา คนที่ยังไม่มีศีลยังไม่เป็นชาวอโศกได้ ก็ยังไม่ควรมา ไม่ใช่ไปรังเกียจ แต่ควรทำตนเองฝึกฝนศึกษาให้เป็นคนมีศีลไม่มีอบายมุขไม่กินเนื้อสัตว์นี่คือ 3 ข้อเป็นเงื่อนไขหลัก ให้ได้เสียก่อน ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข แล้วก็มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ ถ้าได้ 3 ข้อนี้แล้ว ที่นี่ต้องการคนมาอีกไม่จำกัดจำนวน จะได้ 777 คนปี 2563 จะได้ถึงไหมเอ่ย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2563 ( 12:18:55 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:44:58 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:38:23 )

จะมีดวงตาเห็นธรรมจนดับอวิชชาได้ด้วยวิธีใด-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง (ตอนที่ 8)

รายละเอียด

150000 จะมีดวงตาเห็นธรรมจนดับอวิชชาได้ด้วยวิธีใด-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

พ่อท่านเทศนาที่วัดธาตุทอง ปี 2515 ไม่ทราบวันที่และเวลาเทศน์ 

พ่อครูว่า... เราก็มาพูดกัน จะดับอวิชชาด้วยวิธีใด ฟังแล้วก็คือเราจะเป็นพระอรหันต์กันได้อย่างไร? ด้วยวิธีใด เราจะเป็นพระอรหันต์กันได้อย่างไร ถ้าเราไม่เอาความหมายอย่างนี้ เราก็จะรู้ว่า ที่เราจะพูดกันด้วยธรรมะ ที่อาตมาพูดอย่างนั้นก็หมายความว่า คำว่า “อวิชชา”นั้น โดยความหมายของมันอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ ต้องหมายความว่า เราจะมีนิพพานที่จะได้นิพพาน หรือเป็นพระอรหันต์ จึงเรียกว่า อวิชชา 

แต่ถ้าเราจะเอาคำว่าอวิชชามาพูดธรรมดาๆ แล้วล่ะก็ วิชชาทั่วๆ ไปในโลกนี้ แปลว่า ความรู้ เพราะฉะนั้นความรู้อะไรก็แล้วแต่ที่เราเองไม่รู้ ก็เรียกมันว่า อวิชชา ได้เหมือนกัน ที่พูดกันอย่างโลกๆ ทั่วไป ใครที่ไม่รู้อะไรก็ เรียนเอา เรียนเอา เรียนเอา ไอ้คนนั้นก็ได้หรือพ้นอวิชชาแบบโลกๆ ไปได้ทั้งหมด ทุกอันทุกสิ่ง นับไม่ถ้วน เหมือนใบไม้ เหมือนต้นไม้ เหมือนๆ ใบไม้ทั้งหมดน่ะ ที่หล่นอยู่ใต้ต้นไม้ และหมดต้นไม้ทั้งหมด นั่นเรียกว่าเป็นวิชชาทั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเรา รู้หมดแล้ว รู้ทั้งใบไม้บนต้น รู้ทั้งใบไม้ที่หล่นอยู่ นี่พระพุทธเจ้ารู้นะ แต่พระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านเค้นเอามาหรือคั้นเอามา หรือคัดเอามา ว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่จะเป็นวิชชาที่ควรเรียนนั้น คั้นออกมาแล้วเหลือกำมือเดียว ท่านเอาใบไม้กำมือเดียวเท่านั้น 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดทำใบไม้กำมือเดียวนี้ให้ได้รู้แจ้งแทงทะลุแล้ว รู้เท่านี้ พ้นอวิชชาเท่านี้ หรือได้วิชชาเท่านี้ จำกัดความลงไปเหลือแค่ใบไม้กำมือเดียวนี้ ท่านบอกว่าเท่านี้แหละจำเป็นที่สุดในชีวิตของสัตว์โลกที่เรียกว่า มนุษย์ นอกจากนั้น ท่านไม่วุ่น ท่านไม่วุ่นแล้ว

เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาทำคำจำกัดความ หรือมารอบรัดกันซะก่อนว่า ไอ้แค่ใบไม้กำมือเดียวกันนี้ล่ะ  ใบไม้กำมือเดียวของที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบให้ฟังที่ป่าศีรษะเนี่ย ศีรษะป่าเนี่ย ที่ท่านเรียก ท่านถามภิกษุเนี่ย เรามารอบรัดกันซะก่อนว่า มันกินความแค่ไหน มันกินความแค่ไหน

มันก็กินความอยู่แค่ว่า เราจะต้องมีความรู้ ที่เรารู้กันมาทั้งหมดแล้วง่ายๆ พื้นๆ ทุกคนก็ได้ฟังกันมาจนหูจะแฉะแล้ว คือ รู้อริยสัจ 4 

รู้ทุกข์ กำหนดรู้มันให้ได้ ปริญเญยยะ หรือเรียกว่า ปริญญายติ ปริญเญยยะเนี่ย รู้ ทุกข์เนี่ยกำหนดรู้ ไม่ใช่วิชชาที่จะไปตามรู้เรื่องอื่น เป็นความรู้ที่จะต้องรู้ทุกข์ ทำปริญญายติ ปริญเญยยะ ให้รู้ตัวนี้ กำหนดรู้มัน 

เมื่อรู้ทุกข์แล้วทำยังไง เมื่อรู้ทุกข์แล้วท่านก็บอกว่า ให้รู้พ่อแม่ของทุกข์ด้วย รู้ทุกข์แล้วให้รู้พ่อแม่ของมันด้วย คือรู้ตัวที่มันทำให้มันเกิดอยู่ ตัวที่มันทำให้เกิดนั้น เราเรียกว่า สมุทัย หรือต้นเหตุ หรือต้นทาง หรือพ่อแม่ หรืออะไรก็ตามแต่ 

ไอ้ตัวสมุทัยนี่ นอกจากจะรู้ทุกข์แล้ว เราจะต้องทำความรู้ต่อไปอีก จนกระทั่งไปรู้ถึงสมุทัย แล้วไม่รู้เปล่าด้วยนะสมุทัยเนี่ย ต้องทำการละทุกข์ด้วย แม้รู้สมุทัย เข้าใจสมุทัยแล้ว ต้องละด้วย เรียกว่า ปหานกิจ หรือ ปหานปธาน ต้องประหารมัน ต้องฆ่ามัน ต้องละมัน ต้องเลิกมัน สมุทัยนี่ 

ต้องฟังให้ดีนะ รู้ทุกข์ ไอ้ตัวทุกข์นี่ไม่ได้ดับเลย อย่าเข้าใจเพี้ยน เราสิ้นทุกข์โดยที่เราไม่ต้องดับทุกข์ เราไม่ต้องฆ่าทุกข์  แต่เราไปฆ่าสมุทัย ฟังให้ดี  พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ละเอียดลออ ท่านสอนเอาไว้ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร 

ทุกข์นั้นต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ ต้องทำการละ 

ทีนี้ทำการละแล้วเป็นยังไง ละแล้ว เราก็จะถึงซึ่งนิโรธ จะถึงซึ่งความดับ จะถึงซึ่งความหมด จะถึงซึ่งความหยุด มันจะเป็นอย่างนี้ พอเราละสมุทัยแล้วมันจะถึงซึ่งความดับ ความหยุด ความหมด ความจบ ท่านเรียกว่ามันจะถึงซึ่ง ปฏิกโรติ ต้องมีปฏิกโรติ คือ ทำตัวนี้ให้มันแจ้งให้มันเข้าใจ ให้มันรู้พร้อม ให้มันแจ้งให้มันเข้าใจ ปฏิกโรติ ทำให้แจ้ง ทำให้รู้พร้อม ถ้าเข้าใจแล้ว อ๋อ อย่างนี้เองเหรอนิโรธ ต้องให้รู้อย่างนี้ อ๋อ..สภาพนิโรธเป็นอย่างนี้เองหรือ 

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดรู้ทุกข์แน่นอน อ๋อ.. อย่างนี้เองที่เรียกว่า ทุกข์ แล้วก็รู้ด้วยว่าเหตุที่มันเกิดทุกข์นี้ ก็เพราะอย่างนี้เอง อ๋อ.. อันนี้คือสมุทัยอย่างนี้ เอาละ ไอ้สมุทัยอันนี้ฆ่าให้ได้ ดับให้ได้ เลิกให้ได้ ละให้ได้ ทำลายให้ได้ ประหารมันลงไปให้ได้ พอละเแล้วเสร็จ ผลก็เกิดขึ้นแล้วอ่อ ละสมุทัย หรือฆ่าสมุทัย ดับสมุทัยแล้ว ผลที่มันเกิดมาเป็นอย่างนี้เอง ภาษาโลกเรียกมันว่า นิโรธ หรือ วิมุติ 

ภาษาเค้าเรียกว่า นิโรธ หรือ วิมุติ ทำนิโรธหรือวิมุติ นี้ให้เห็นขึ้นมาที่ในนี้เป็นปัจจัตตัง ขึ้นมาในนี้ ไม่รู้จะที่ไหนก็ตามแต่ อาตมาจิ้มไม่ถูก ให้มันเกิดที่ไหนก็ช่างเถอะ  ให้มันเกิดในขันธ์ 5 นี่แหละ ให้มันเกิดนิโรธขึ้นมา จนกระทั่งรู้ว่า อ๋อ..อย่างนี้นะหรือนิโรธ จึงเรียกว่า ทำให้แจ้ง นิโรธต้องทำให้แจ้ง ปฏิกโรติ ต้องทำให้แจ้ง ทำให้แจ้ง เหตุที่มันแจ้งด้วยนิโรธ เพราะว่าเราดับเหตุตัวสมุทัย ดับเหตุตัวสมุทัยแล้วก็แจ้ง รู้ว่านิโรธเป็นอย่างนี้เอง 

ทุกวันนี้เราเข้าใจนิโรธกันไม่ถูก เราเข้าใจนิโรธกันไปเยอะแยะเป็นนิโรธแบบไหนก็ได้ นิโรธมีต่างๆ นานา อภิสัญญานิโรธก็มี สัญญาเวทยิตนิโรธก็มี ซึ่งล้วนแล้วแต่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ ทั้งนั้น อภิสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็เรียกว่านิโรธสมาบัติ สัญญาเวทยิตนิโรธ เขาเรียกว่า นิโรธสมาบัติ แต่มันยังไม่เป็นนิโรธที่แท้จริง ที่เรียกว่านิโรธอริยสัจ ของพระพุทธเจ้า เราเรียกว่า นิโรธอริยสัจ คือเป็นนิโรธที่แท้จริงของผู้ฉลาด นิโรธอริยะ แปลว่า ฉลาด สัจจะ แปลว่า แท้จริง เป็นนิโรธที่แท้จริงของผู้ฉลาด 

เพราะฉะนั้น ต้องเอาคำจำกัดความอันนี้ มาเรียกให้ได้ว่า นิโรธของผู้ที่ฉลาดอย่างแท้จริง มันเป็นรูปร่างลักษณะอย่างไร รูปร่างลักษณะของนิโรธอริยสัจนั้นก็คือ มันดับ ดับอย่างสว่างๆ แหม! ฟังแล้วเมา เมาแน่ๆ ดับยังไง ดับอย่างสว่างๆ ฟังให้ดีนะ มันดับอย่างสว่างๆ มันไม่ดับอย่างมืดๆ ตามธรรมดาแล้วเราดับอะไรก็ตาม เราดับแล้วมันจะมืด แต่ของพระพุทธเจ้าของเราดับแล้วสว่างๆ  แหม! มันยาก มันต้องแจ้งตรงนี้แหละ ถึงบอกว่ามันถึงยากตรงนี้ จึงต้องแจ้งตรงนี้ 

เพราะมันดับอย่างสว่างๆ ไม่ใช่ดับอย่างมืดๆ มืดตึบตื๋อ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่ใช่ แต่ที่นี้อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟังอีกนิดนึง ก่อนจะยกตัวอย่าง จะขออธิบายอริยสัจ 4 ให้ครบ 4 ตัวก่อนประเดี๋ยวจะขาดไป

ผู้ใดทำความรู้แจ้งให้ได้ว่า รู้ทุกข์แล้ว แล้วก็รู้ตัวสมุทัยต่อลงไป  นอกจากรู้สมุทัยแล้ว ไม่รู้เปล่า ดับลึก ต้องประหารหรือฆ่าด้วย ต้องทำการปหานกิจ ปหานปธานให้ได้ พอปหานกิจนี้หมดแล้ว เป็น ปหานปธาน จบแล้วเราก็จะเกิดนิโรธ เป็น ปฏิกโรติ เป็นการแจ้งสว่างในนิโรธ มาเข้าใจนิโรธ รู้แจ้งถึงนิโรธบรรลุล่วงในนิโรธ นิโรธอันนี้มันบรรลุเป็นนิโรธเกิดอยู่ในนี้ เป็นสันทิฏฐิโกมีแล้วที่ตัวเรา หรือเป็นปัจจัตตัง หรือได้เองคนอื่นไม่เกี่ยว ถ้าคนไหนมีปัจจัตตังด้วยกัน คนนี้ก็มีปัจจัตตังตัวนี้ นิโรธตัวเดียวกันนะที่พูด ยังไม่ต้องคุยกันเลยแม้แต่สายตาก็จะรู้ว่ามีนิโรธเหมือนกัน แต่ถ้าคนมีนิโรธไม่เหมือนกันอย่าว่าแต่สายสายตาเลย พูดกันแล้วบอกกันแล้ว กรอกหูกันแล้ว อธิบายกันแล้ว บีบให้ดูแล้วชักให้ดูแล้ว ทุกวิถีทางก็จะไม่เห็น ไม่เห็นไม่เข้าใจไม่ลงตัวกัน แต่ถ้าคนที่มีสิ่งเดียวกัน ปั๊บ ลงตัวกันเป๊ะเลยไม่ต้องพูดกันหลายคำ 

นิโรธมันมีตัวของมัน มันเหมือนมันมีอะไรก็ไม่รู้มันบอกไม่ถูกมันเป็นวิญญาณอันนึงก็ได้ ใครทำนิโรธนี้ให้แจ้งแล้วเรียบร้อย ผู้นั้นทำได้จนกระทั่งมากพอ จนถ้วนทั่ว รอบถ้วนหมด ในทุกเหลี่ยมทุกมุมแล้ว ทำรอบถ้วนเป็นทุกเหลี่ยมทุกมุมพร้อมแล้ว คนนั้นก็จบอวิชชา ทำแค่นี้ให้จบ ทำทุกข์รู้ทุกข์ให้ได้ รู้สมุทัยของทุกข์ให้ได้ แล้วก็ทำให้มันเกิดนิโรธให้ได้ ทำให้ดับไม่เกิดนิโรธให้ได้ทำอย่างนี้แหละ ให้จบ พอจบปั๊บคนนั้นก็รู้มรรคถ้วนทั่ว คนนั้นก็รู้มรรคถ้วนทั่ว 

ทำไมถึงว่ารู้มรรค ก็เพราะเหตุว่าคนนั้นมีมรรคถ้วนทั่ว ทำไมถึงเรียกว่ามีมรรค ก็เพราะเหตุว่า คนใดก็ตามแต่ ถ้ารู้ทุกข์ และรู้สมุทัยของทุกข์ และฆ่าสมุทัยนี้ ดับสมุทัยนี้ได้จนเกิดการดับการหยุดการจบการตาย การดับสิ้นหมดรอบหมดแล้ว เป็นนิโรธได้ คนนั้นก็จะรู้วิธีทำและรู้นิโรธที่แท้จริง 

วิธีนั้นทำยังไงจึงจะดับสมุทัยได้ รู้วิธีที่อย่างแท้เที่ยง รู้หนทางที่จะดับนั่นเอง ถ้าดับได้อันนึง รู้วิธีหนึ่ง ดับได้สอง อันก็รู้สองอัน ดับได้สามอัน ก็รู้สามอัน ดับได้สี่ ดับได้สิบ ดับได้ร้อย ดับได้พันอัน ก็รู้ ดับได้ร้อย ได้หมื่น ได้แสน ดับได้ทุกอันทุกอัน ก็เรียกว่าได้มรรคทุกอัน ทุกอัน ทุกอัน จนกระทั่งรู้หมดแล้ว ดับได้รอบแล้วกิเลสหมดนี้ก็รู้ กามตัณหา ภวตัณหาก็รู้ รู้ไปจนกระทั่งถึงชั้นลึกสุด เป็น

อาสวะ อ๋อ..หมดเป็นกามาสวะ ภวาสวะเกลี้ยงเลย อวิชชา ก็ถึงซึ่งอวิชชาสวะได้จริงๆ ด้วย อวิชาก็ถึง อวิชชาสวะ ด้วย 

จึงเรียกว่าเป็นผู้ค้นอวิชชา จนถึงขั้นลึกสุดในอาสวะได้แล้ว คนนั้นก็มีมรรคเต็ม เพราะฉะนั้นมรรคนี้จึงเรียกว่าต้องมี มรรคต้องมี ต้องเป็นภาวนาจิต คือสำเร็จกำหนดบรรลุประสบผล ภาวนาหมายความว่าเกิดประสบผล เกิดการประสบผลเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าภาวนา หรือ ภเวติ มรรคต้องเป็นภเวติหรือมรรคต้องเป็นภาวนาจิต มรรคต้องมีนั่นเอง ผู้ใดบรรลุล่วงเสร็จเรียบร้อยจบแล้ว ก็ต้องอยู่กับมรรคเท่านั้นเอง พระอรหันต์ทุกองค์มีมรรค บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นองค์ 8 อยู่พร้อมตั้งแต่ 

สัมมาทิฏฐิถึงสัมมาสมาธิ ต้องเต็มพร้อมอยู่แล้วในองค์มรรค ทุกอย่างเป็นไปในอัตโนมัติ แล้วมีมรรคเป็นองค์ 8 พร้อมแล้วกันอยู่สบายเลย พระอรหันต์เป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้นต้องมีมรรค เป็นมรรคที่มีในตนพร้อมเลย อาตมาจะขอเขียนย่อๆ สำหรับอริยสัจ 4 นะ 

มันสั้นๆ ต้องตั้งที่ว่า 

“ทุกข์ควรรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรแจ้ง มรรคควรมี”

จำง่ายๆ ไม่ต้องไปจำเอาบาลีมันเลอะ บาลีเอาไว้พูดขู่คนเท่านั้นแหละ อาตมาก็รู้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน รู้ไว้ขู่คน รู้ไว้ขู่คนเก่ง เอาจริงๆ เนื้อๆ แท้ๆ  ไม่ต้องไปท่องบาลีอะไรหรอก จะท่องก็เอาถ้าใครอยากจะท่องไว้ขู่คนบ้างก็เอา แต่รู้ไว้บ้างก็ดี ไม่ได้ประหลาดอะไรหรอก รู้มันก็กำไรถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้มีเนื้อๆ ก็แล้วกันเข้าใจให้ได้ ถ้าเข้าใจไม่ได้แล้วมันปนกันนะ มันเฝือเหมือนกันนะ ควรรู้ควรละ ควรแจ้ง ควรมี 

ที่อาตมาพูด อธิบายมาเมื่อกี้นี้แล้ว ค่อยๆ ไล่ระดับๆ มาให้ฟัง อย่าไปจำผิดว่า ทุกข์นั้นเราจะไปดับมัน เราพูดกันเรียกว่า พูดเร็วๆ พูดหวัดๆ พูดกันรวบเลยว่าดับทุกข์ดับทุกข์ แต่คุณเอ๋ย คุณยังไม่ตายดับดิ้น  คุณจะดับทุกข์ไม่ได้ ไม่ได้เพราะ สัพเพ สังขารา ทุกขา แม้แต่ใจมันปรุงขึ้นมานิดนึงเป็นอุทธัจจะ ก็ทุกข์แล้วคุณทุกข์แล้ว ใครจะรู้ได้ละเอียดล่ะ 

คนผู้รู้เท่านั้นถึงรู้ว่าแม้แต่ใจมันคิดขึ้นมานิดนึงมันก็ทุกข์ คนไม่รู้มันก็ไม่รู้ มันก็บอกว่าสบายสิ ทนได้นี่นา เหงื่อตกซอกๆ ก็บอกว่าสบาย มันส์ อร่อย มันไม่ได้ทุกข์เลย ขนาดเหงื่อตกซอกๆ มันก็ยังบอก  มันอร่อย เพราะอะไร เพราะเขาไม่รู้ว่าทุกข์เป็นยังไง ทุกข์มีลักษณะยังไง เขาไม่รู้เขาถึงบอกว่ามันอร่อย ไม่มีอะไรในโลกเลย สัพเพสังขาราทุกขา ไม่มีอะไรเลยที่ไม่เป็นสังขารที่มันจะไม่ทุกข์เลยไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างยังเกิดอยู่ ย่อมเป็นการปรุงแต่ง ย่อมเป็นสังขารทั้งนั้นเลย แม้แต่จิตเริ่มเกิดเป็นตัวตนขึ้นมานิดนึง มันก็เป็นสังขารแล้ว 

พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ผู้ที่จะรู้ทุกข์ได้นั้น เป็นการยากยิ่ง จะมีบุรุษหนึ่ง ยิงลูกศรจากที่ไกล ให้ไปเสียบที่รูกุญแจ ให้ไปเสียบอยู่ที่รูกุญแจซ้อน ๆ กันเข้าไปร้อยดอก ที่รูกุญแจรูเดียวนั้น ยากยิ่งเหลือเกินแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยากเท่า ผู้ที่จักเส้นผมเส้นหนึ่ง ให้ออกเป็นร้อยแฉก แล้วเส้นผมแต่ละแฉกที่จักนั้นต้องเท่ากันด้วยนะ อันนี้ยิ่งยากกว่าผู้ที่ยิงลูกศรไปให้เสียบที่รูกุญแจรูเดียว ณ ที่ไกล จักเส้นผมให้เป็นร้อยแฉกนี้ยากกว่า 

ถึงกระนั้นก็ตาม ยังไม่ยากเท่า ที่จะรู้จักทุกข์ได้หมดสิ้น คุณคิดเอา ถึงขนาดนั้นยังไม่ยากเท่าที่จะรู้จักทุกข์ให้ได้หมดสิ้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้อย่างนี้ คิดดูซิ มันยากแค่ไหนที่จะรู้ทุกข์ถ้วนทั่ว ใครไม่เข้าใจนี่อาตมาลงไว้ในหนังสืออโศกนานแล้วประโยคนี้ เอาลงไว้ในหนังสือเล่ม 1 เลยทีเดียว จริงๆ อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่ามัน โอ้โห! ถ้าใครไม่รู้ทุกข์แบบนี้นะ คุณเอ๋ย เหลือเศษไว้เกิดทั้งนั้นแหละ เหลือกิเลสไปเกิดทั้งนั้นแหละ มันจะรู้สึกว่าสบายดีนี่หว่า นี่มันก็ยังสบายนี่เลยว่ะ นี่มันไม่ทุกข์อะไรเลย คุณยังเหลือเศษไว้ทั้งนั้นแหละ กว่าคุณจะรู้จริงๆ ด้วย ว่าอะไรที่มีแม้ตั้งแต่ขั้นอุทธัจจะ ก็ทุกข์ขึ้นมาเท่านั้นเองก็ทุกข์แล้ว ทุกข์แล้ว 

ฉะนั้นเราจะต้องมาไล่กันดูซิว่าทำยังไงเราจะดับอวิชชาได้สิ้น จะต้องรู้จนกระทั่งทะลุถึง อุทธัจจะ แล้วเราก็จะดับอวิชชาได้ อาตมาจะเขียนสูตรไว้ที่บนกระดานซะก่อนและอาตมาจะค่อยๆ ไล่มาจนกระทั่งอวิชชา นั่นคือสูตร 

ตั้งแต่ข้อ 1 มายันข้อ 10 นั่นคือสูตรที่เราจะต้องกระทำ เราจะต้องรู้ รู้เป็นลำดับๆ มา สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนี้แหละ มันผูกเราไว้ มันดึงเราไว้ มันล่ามเราไว้ ให้เราติดอยู่ในโลก พ้นจากโลกไปไม่ได้ มีอยู่ 10 ข้อนี่แหละ และข้อที่ 10 นั้นคือ อวิชชา 

เราไม่ไปเรียนวิชชาอื่น วิชชาที่เราจะเรียนนั้นคือ 

1. เรียนรู้ สักกายะ 

2. เรียนรู้ กามราคะ 

3. เรียนรู้ รูปราคะ

4. เรียนรู้ มานะ 

1. เรียนรู้สักกายะ 2. เรียนรู้กามราคะ 3. เรียนรู้รูปราคะ ถ้าละเอียดขึ้นก็เรียกว่า อรูปราคะต่อ ที่จริงเราไม่ไปอ่านซ้อนเราไม่ไปเอาซ้อนถ้ารู้ละเอียดแล้ว แล้วอีกลักษณะหนึ่งก็คือมานะ 4 จะเอาให้ชัดอีกอันนึงก็ได้ อุทธัจจะ คือสภาวะแห่งการเกิดที่ละเอียดที่สุดคืออุทธัจจะ ถ้าใครรู้อุทธัจจะ อันแท้จริงของคนได้แล้ว ใครรู้จักอุทธัจจะเจตสิก หวานเลย รู้จักอุทธัจจะเจตสิกที่มันคลิกขึ้นมา แฮ่ จับได้แล้ว เริ่มแล้วไหมล่ะ ก่อตัวขึ้นไหมล่ะ จับได้ไล่ทันอย่างนี้แล้วนะ พอรู้ว่ามันพลิกขึ้นมาปั๊บ เอาสติคุมเลย เอ๊ยเกิดมาแล้วสติคุมเลย พอเอาสติคุมไปได้ตลอดเวลาแล้วที่นี้คุณจะทำอะไรล่ะ ถ้าคุณเห็นว่าในโลกนี้ควรทำให้ดี สิ่งที่ทำนี้เป็นกุศล เชิญเลยทีเดียว เพื่อการเกื้อกูลโลก  โปรดโลกก็ทำ 

แต่ถ้าสิ่งใดเป็นอกุศล สติเรารู้ดีอยู่แล้ว แยกแยะออกแล้ว ว่าเป็นอกุศล หยุด เพราะเรารู้เสร็จแล้วนี่ อะไรเป็นสมุทัยแห่งตัวนี้ พอรู้อุทธัจจะแล้ว ดับอุทธัจจะปั๊บเลย อาตมาพูดย้อนตั้งแต่ปลายมาหาต้น ดับพรึ่บเลย อย่าปรุงอย่าฟุ้ง ถ้าฟุ้งมาเพื่อตัวตนนี้อย่าฟุ้ง ดับเลย พอดับพรึ่บลงแล้ว มันก็ไม่มีอะไร มันก็อยู่สบาย 

เพราะฉะนั้น อวิชชาตัวนั้นไม่เรียกว่า อวิชชา อวิชชาตัวนั้นเรียกมันว่า วิชชา ว่ารู้เท่า รู้ทัน รู้แจ้ง รู้สว่าง เข้าใจชัดแจ๋เลย นี่แหละเรียกว่า สว่างไสวอยู่ในการดับ หรือดับอย่างสว่างโล่ง นี่แหละ คือมีวิชชา เป็นวิชชาสว่างไสวรู้แจ้งแทงทะลุอยู่ชัดเจนเลย 

ไม่ใช่ดับอย่างอภิสัญญานิโรธ เพราะว่าถ้าไปดับอย่างอภิสัญญานิโรธแล้ว มันไม่สว่างไสว มันมืดตึ๊ดตื๋อเลย ไม่รู้เรื่องเลย ดับอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่เอา ไม่เอา ดับอย่างนั้นไม่เอา พระพุทธเจ้าท่านสอนพระอานนท์อยู่ในสูตร  โปฏฐปาทสูตร (พระไตรปิฎก เล่มที่ 9 ข้อ 275 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 1 ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค) ท่านสอนพระอานนท์เอาไว้ คือ ปาทะพราหมณ์มาถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านผู้เจริญ อภิสัญญานิโรธนี้มันเป็นยังไง มาทูลถามพระพุทธเจ้า 

พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสบอก อภิสัญญานิโรธ มันเป็นอย่างนี้แหละเธอ แล้วท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าผู้ใดทำตนให้รู้ในฌาน เป็นรูปฌานเสร็จแล้ว แล้วเราก็พยายามทำรูปฌานนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้นอีก กระทั่งว่างลง ว่างลงเป็น อากาสานัญจายตนะ แล้วก็รู้ให้ได้นะว่าที่เรามี อากาสานัญจายตนะ เรายังมีตัวมีตนนะ ยังมีรูปมีนาม รูปของอากาสานัญจายตนะ ยังมีนามซ้อนอยู่ตัวหนึ่ง  เรียกว่า วิญญาณ  

เพราะฉะนั้นทำความรู้ในวิญญาณนี้ให้ได้ ถ้าใครระลึกรู้ว่า อ๋อ.. วิญญาณนี้เราเข้าไปเสพ อากาสานัญจายตนะ เธอเข้าไปเสพอากาศมันเป็นอย่างนี้เองนะ ผู้นั้นก็จะเกิดวิญญาณัญจายตนะ ผู้ใดทำวิญญาณัญจายตนะได้แล้ว ก็จะรู้ว่าตัวเองยังมีตัวรู้อยู่ในตัวอีกตัวนึง ให้ดับตัวรู้นี้ลงไป ให้สิ้นซากอย่าให้เหลือหลอ ดับตัวรู้นี้ลงไปให้ไม่มีเหลืออะไรเลย ให้ไม่มีตัวรู้เลยเป็น อากิญจัญญายตนะ ดับลงไปๆ ให้สนิท เป็นอากิญจัญญายตนะ ให้ตัวเองไม่รู้อะไร จะพยายามให้ไม่มีทุกสิ่งในโลก ดับไปอย่างที่คนจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกเลย ก็เป็น อากิญจัญญายตนะ 

ถ้าผู้ใดเกิด อากิญจัญญายตนะ นิดหนึ่ง น้อยหนึ่ง อะไรก็ไม่มีหมดแล้วเรียบร้อยแล้วนะ ท่านให้ดับต่อไปอีกเลย แล้วดับให้มันสนิทที่สุดเท่าที่มันจะสนิทได้ ต่อจาก อากิญจัญญายตนะเลย ดับพรึบให้ยิ่งกว่านั้นเลย อายตนะก็ไม่ให้เหลืออะไรก็ไม่เหลือ ดับสูญที่สุดเท่าที่เราจะสามารถ อันนี้และเรียกว่า  อภิสัญญานิโรธ ไม่ต้องไปต่อ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ต้อง ไม่ต้องไปต่อ ดับให้ยิ่ง 

อภิ แปลว่ายิ่ง นิโรธ แปลว่าดับ อภิสัญญานิโรธ คือดับสัญญานี่แหละ ในตัวคนที่จะเหลืออยู่ก็มีสัญญากับอัตตา อันใดเป็นอัตตา ก็เรียกว่ายังมีรูป อันใดมีสัญญาอยู่ก็เรียกว่า มีรูปมีนาม นามเราเรียกว่า สัญญาตัวสุดท้าย รูปเราก็เรียกว่าอัตตา ใครเหลือนามเหลือรูป ก็เป็นอย่างนี้ถ้าใครไม่เหลือนามเหลือรูปก็ไม่ต้องมีอะไร อย่างนี้เป็นต้น 

พระพุทธเจ้าท่านให้ดับอย่างนี้ นี่ท่านทรงสอนเอาไว้ใน โปฏฐปาทสูตร คือ โปฏฐปาทพราหมณ์ ไปทูลถามท่าน การดับดับอย่างนี้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านเคยเรียนมานะ เรียนมากับพวกศาสดาจารย์ต่างๆ อาฬารดาบส อุทกดาบสก็ดีสอนท่านสอนถึงขั้น อากิญจัญญายตนะแล้ว ยังมียิ่งกว่านี้อีกนะยังเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ พระพุทธเจ้าเคยเรียน ก็มันมีดับแล้วมันก็มีรู้  รู้แล้วมันก็ดับ  ดับแล้วก็รู้ รู้แล้วก็ดับ ดับแล้วก็รู้ รู้แล้วก็ดับ พระพุทธเจ้าท่านเข้าใจท่านก็เลยบอกว่า ปัดโธ่ ไม่รู้จักจบ อยู่แค่นี้เอง ที่มันไม่จบเพราะอะไร เพราะคนมันยังมีรูปมีนาม มันยังมีกายยังมีใจ เมื่อมันยังมีกาย ยังมีใจ มันยังไม่ตายแท้นั้นมันยังไม่ตายจริงหรอก 

แต่คนจะพ้นทุกข์ไปได้จริงแทนนั้นจะต้องรู้กิเลสตัณหาให้ชัด เมื่อรู้กิเลสตัณหาให้ชัดแล้วดับกิเลสตัณหา ให้เปลื้องจากตัวตนไม่ให้เหลืออยู่ จิตก็ให้เหลืออยู่ กายก็ให้เหลืออยู่ ก็จบ แล้วคนนี้ก็เหลือแต่กายกับจิตที่ไม่มีของใคร เป็นของโลกเป็นของว่างๆ เป็นของสาธารณะ มีจิตกับกายอย่างสาธารณะ แต่ไม่ทำเหมือนคนสาธารณะ แบบผู้หญิงสาธารณะ ผู้ชายสาธารณะ ไม่ใช่นะไม่ทำอย่างนั้นนะ แต่สาธารณะในสิ่งที่ดีที่ควร ใครจะมาเอาสิ่งที่ดีที่ควรจากท่าน ท่านผู้บรรลุนี้ ท่านผู้ที่หมดแล้วจากกิเลสตัณหาทั้งหลายนี้ จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ จะให้เป็นสาธารณะในสิ่งที่ดี 

แต่ไม่ใช่เป็นสาธารณะในสิ่งที่ชั่ว ไม่เป็นเลย นี่เรียกว่า เป็นผู้ดับที่รู้ว่าชั่ว ดับอย่างฉลาดดับอย่างรู้เท่าทันคำว่า ชีวิต เพราะชีวิตมันไม่ตายจริง มันไม่ดับจริง ดับให้เหลือน้อยหนึ่ง จนไม่รับรู้อะไรเลยก็เหลือแต่รูปเปล่าๆ เหลือแต่ร่างกายแข็งทื่อเฉยๆ ไม่รับรู้โลกเลย เป็นอาสัญญีอย่างนี้ท่านไม่เอา หรือเป็นอภิสัญญานิโรธท่านไม่เอา ไม่เอา อภิสัญญานิโรธ หรืออสัญญีสัตว์ ไม่เอา ท่านไม่เอา อย่างนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรท่านไม่เอา 

จงเข้าใจให้ได้ แบบนี้ใบไม้กำมือเดียวของพระพุทธเจ้า คือ นิโรธอริยสัจ นี่แหละ เพราะฉะนั้นก็หันกลับเข้าไปหาสิ่งที่ถูก ก็นิโรธต้องรู้ว่าอย่างนี้หนอ ต้องเรียกว่า สักกายะ อย่างนี้เรียกว่า กามราคะ เศษของกามราคะ เรียกว่า ปฏิฆะ ก็รู้ให้ได้ อย่างนี้เรียกว่า รูปราคะ รู้ให้ชัด ลึกละเอียดลงไปเข้าไปกว่ารูปราคะเรียกว่า   อรูปราคะ ซ้อนไปอีกก็รู้ให้ชัด และรู้ว่าอย่างนี้เรียกว่า มานะ พอรู้มานะ มานะนี่คือใจ คำว่ามานะเนี่ยแปลว่าจิต คือรู้ให้ชัดว่านี่แหละคือมานะ ถ้ามันถือดีในจิต ใหญ่เป็นปรมาตมันอยู่ก็รู้มันให้ชัด พอรู้มานะชัดแล้ว หมดมานะ ละ ไอ้ที่มันยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าฉันใหญ่ ฉันเล็ก ความใหญ่ความเล็กไม่มีแล้ว 

รู้ละเอียดจนกระทั่งว่า ถ้ามันเริ่มเกิดขึ้นมานิดนึงเป็นปฏิกิริยาในจิตวิญญาณเล็ก เป็นปฏิสนธิวิญญาณขึ้นมาน้อยหนึ่งได้แล้วนี่ เริ่มเป็นโอปปาติกะสัตว์ขึ้นมาในโลก พอเริ่มนิดขึ้นมาเป็นอุทธัจจะก็รู้ได้ คราวนี้แหละ หวานเลย คุมได้เลย ตอนนี้คุมติดตลอดเลย รู้ละเอียดได้ถึงขนาดอุทธัจจะผุดขึ้นมานิดนึงคุมได้ตลอดเลย ตอนนี้ล่ะ โอปปาติกะก็โอปปาติกะเถอะ จิตของเราเองเราคุมได้เลยอย่างนี้ มันไม่เป็นผีแน่ โอปปาติกะตัวนี้ไม่เป็นผีแน่ และไม่ใช่เทวดาหลงกามแน่ 

เพราะรู้เสียแล้วนี่ว่ากามเป็นยังไง ฆ่ากามแล้ว ไม่เป็นเทวดาชั้นพรหมแน่ด้วย  ที่มันใหญ่ มันยิ่ง มันโต ไม่เป็นด้วย เพราะฉลาดรู้เท่าทันหมดแล้ว มีวิชชาซะแล้ว พ้นอวิชชาซะแล้ว เข้าใจได้ซะแล้ว ก็คุมได้สบายเลย แต่การคุมนี้ไม่ได้คุมเปล่า การที่จะรู้นี้ วิชชาที่รู้นี้ ของผู้ที่เป็นพระอาริยเจ้าของท่านหมดจริง ท่านมีแต่กุศลจริง แต่ของคนอื่นไม่เท่าของท่าน ฟังให้ดีนะจุดนี้สำคัญ ของท่านหมดจริง ท่านไม่ยึดแม้แต่เศษเสี้ยวของโอปปาติกะ แม้แต่เศษเสี้ยวของวิญญาณ

แม้แต่เศษเสี้ยวของปฏิสนธิวิญญาณที่เกิดมาเป็นตัวตนแรกเริ่ม ท่านก็ไม่หลงยึดอะไรเลย แต่ว่าของคนอื่นนั้นยังทำไม่ได้เท่านี้ ของคนอื่นคนนี้ๆ บางคนยังมีเศษของกามอยู่ก็มี เศษของปฏิฆะอยู่ก็มี ยังมีเศษของรูปราคะ อรูปราคะ มีเศษของมานะก็มีอยู่ทั้งนั้น 

พวกนี้ยังตามรู้ถึงขั้นที่เป็นอุทธัจจะเจตสิกยังไม่ได้ พระอรหันต์ก็จะเข้าใจจิตของผู้นี้ว่า อ๋อ..คนนี้ยังมีกาม เศษกามยังมี ผู้นี้เศษของรูปราคะยังมี ผู้นี้เศษของมานะยังมี พระอรหันต์จะรู้เท่าทัน พอรู้แล้วก็เขียนไว้ คนนี้ กามราคะยังไม่หมดเลย จะให้ไปละมานะไม่ได้ ไม่ได้ ก็สูตรมันบอกอยู่แล้วนั่นน่ะ อาตมาขีดเส้นใต้ไว้ระดับที่ 5 นะ ระดับจาก 5 ไปหา 1 เรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ หมายความว่าสังโยชน์เบื้องต้น ที่ขีดเส้นใต้เอาไว้สังโยชน์เบื้องต้น 

เพราะฉะนั้นเมื่อเบื้องต้นเรื่องหยาบเรื่องตื้นยังไม่หมดได้ สังโยชน์เบื้องสูงจากข้อ 6 ไปจนกระทั่งทะลุรวดถึงอวิชชาเลยนี่  ที่เรียกว่า อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ย่อมยังไม่ได้ อ๋อนี่เห็น กามก็ยังไม่หมดเลย ย่อมไม่ใช่พระอนาคามี 

พระอนาคามีหมดแล้ว 5ข้อทั้งหมด พระอนาคามียังเหลือแต่เศษ รูปราคะ อรูปราคะ ไปถึงอวิชชา เหลือแต่ อุทธัมภาคิยสังโยน์ แต่นี่กามก็ยังไม่รู้เลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พักไว้ก่อน ไปเล่นภพชาติอยู่ข้างใน ในจิตเลย ไปเล่นมานะ อาตมาบอกแล้ว มานะ แปลว่า จิต จิตอะไร รูปจิต ที่เป็นรูปราคะ อรูปจิตที่เป็นอรูปราคะ แล้วก็ไปมานะ ไปดับไปฆ่าในโน้น แต่กามราคะไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้ทำมาเลย คนนี้จึงเรียกว่า จะเป็นผู้ที่ดับได้สิ้นรอบไม่ได้  เพราะฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ให้ถูกคำสอนพระพุทธเจ้ามันลงรอยลงร่องกันหมด ผู้ใดจะเริ่มต้นทำก็จะต้องหัดตั้งแต่ นิวรณ์ 5 

นิวรณ์ 5 ท่านสอนว่ายังไง หัดเรียนรู้กาม อ้าว กามเบื้องต้นอีกแล้ว ให้เรียนรู้พยาปาทะ ให้เรียนรู้พยาบาทให้รู้ ถีนมิทธะ ให้เรียนรู้อุทธัจจะ ซึ่งอุทธัจจะมันเข้าไปหาข้างล่างแล้ว ก็คือ  รูปราคะ อรูปราคะ มานะ ถีนมิทธะ ฟังให้ดี นิวรณ์ 5 นี่นะ แบ่งครึ่งกามกับพยาบาทเป็นตัวหยาบเป็นตัวต้น ถีนมิทธะ อุทธัจจะเป็นตัวปลาย วิจิกิจฉานั้นอย่าไปพูดถึงมัน เพราะวิจิกิจฉามันไม่มีอะไรมันเป็นตัวไม่รู้แจ้งยังลังเลสงสัย มันยังไม่ทะลุทะลวง ยังคล่องๆ คาๆ อยู่ ยังไม่เข้าใจชัดอย่างแท้จริงแค่นั้นเอง วิจิกิจฉา 

เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจอย่างแท้จริงพ้นวิจิกิจฉาแล้วนะ วิจิกิจฉามันก็หลุดไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไรในตัววิจิกิจฉาคือ มันเป็นตัวที่ยังไม่รู้แจ้งแทงทะลุรอบถ้วนนั่นคือวิจิกิจฉา ซึ่งอาตมาอธิบายสังโยชน์ 10 อยู่ อาตมาถึงยังไม่ได้พูดถึงวิจิกิจฉาเลย เพราะไม่ต้องไปทำอะไรมันนี่ วิจิกิจฉา คือตัวจิตของเราที่บรรลุเป็นปัญญาอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง พอบรรลุซึ่งปัญญารอบถ้วนอย่างแท้จริง วิจิกิจฉามันก็ผล็อยลงไปเองไม่มีอะไรเหลือวิจิกิจฉา 

เพราะฉะนั้น ตัววิจิกิจฉาไม่ต้องไปทำอะไรมัน ไม่ต้องไปทำอะไรมันเลย เป็นแต่เพียงว่าพยายามทำให้รอบสิ้นเป็นรอบๆๆ ไปเท่านั้นเอง วิจิกิจฉา          นี่เรียกว่า เราเข้าใจ แม้แต่นิวรณ์ 5 ก็เหมือนกันเห็นไหม อาตมาแบ่งหยาบๆ ให้ฟังเหมือนกัน ไม่ขัดกับสังโยชน์ 10 นิวรณ์ 5 ก็ไม่ขัดกับสังโยชน์ 10 ไม่ขัด

เพราะฉะนั้น ก็ขอมาเริ่มต้นที่ เบื้องต้นซะก่อน มาเริ่มต้นที่ สักกายะ

เราจะรู้ว่าสักกายะเป็นอะไร เราก็ต้องมาเรียนรู้ภาษาซะก่อนว่า สักกายะท่านหมายความว่าอย่างไร 

สักกายะ ท่านก็หมายความว่า ไอ้ที่มันหลงเป็นตัวเป็นตนอันใหญ่ สักกะ แปลว่า ใหญ่ ๆและตัวตนอันใหญ่นี่ มันไม่ได้กินความแค่นี้ มันไม่ได้กินความแค่ร่างกายเท่านี้หรอก มันกินความถึง 6 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจด้วย ใจด้วย อาตมาจะพูดใจก่อน สักกายะตัวนี้ อาตมาจะพูดใจซะก่อนเพราะหยาบกว่าคือ 

ใจของเรานี่มันโง่ โง่ที่มันไปหลงภพ หลงชาติ เรียกว่า ภวตัณหา นี่พูดภวตัณหาก่อนกามตัณหาเสียด้วย เพราะมันเป็นภพหยาบๆ เป็นโลกียธรรมหรือเป็นโลกธรรมธรรมดาธรรมดา เป็นอะไรบ้าง มีหลงภพแห่งความร่ำรวย ภพ

แห่งการเป็นใหญ่เป็นโต ภพแห่งการที่จะได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ชูช่อชูเชิด ภพแห่งสิ่งที่หลงว่า สุขสำราญเหลือเกิน สุขสำราญเหลือเกิน มีแค่นี้แหละ รวมความแล้วก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่มีอะไร 

ภพแห่งความร่ำรวยก็คืออยากจะได้ลาภเยอะแยะ ภพแห่งการที่จะได้ความใหญ่ความโต​​ ความมหึมาของยศฐานะ  ภพที่จะได้รับคำเยินยอสรรเสริญ ภพแห่งความที่จะหลงว่ามันเป็นสุขทั้งนั้นในโลกนี้ ไม่ว่าอะไรก็หลงว่าเป็นสุขหมด มีอยู่เท่านี้ อาตมาเคยอธิบายละเอียดละออมาแล้ว วันนี้ไม่พูดซ้ำแต่เน้นให้ฟังให้เข้าใจ 

ถ้าผู้ใดไม่หลงภพที่หยาบๆ แบบนี้แล้วแล้วก็ ผู้นั้นจะเข้าใจสักกายะอย่างหยาบที่สุดได้แล้ว แล้วก็หัดตัด หัดตัด หัดละ ถ้าคุณเองยังไปหลงภพแห่งความรวย ทำไมคุณยังไปหลงภพแห่งความรวย ก็คุณเข้าใจว่าความรวยนั้นมันดี มันเป็นของดี ของควรได้  ควรเป็นควรมี มันก็เป็นเพราะว่าตัณหาเท่านั้น แล้วคุณก็อยากได้ว่าเป็นของควรได้ควรมีควรเป็น คุณก็อยากได้สิ่งนั้น อยากเป็นสิ่งนั้น อยากมีสิ่งนั้น คุณก็ละอยากไปสิ ไม่ต้องไปอยากมัน ไปอยากมันทำไม ละมันเสีย แล้วมันจะเป็นคนรวยเอง ฟังให้ดีนะตลก 

ถ้าคุณละอยากซะแล้ว อย่าอยากรวยและคุณจะรวยเอง ใครยิ่งอยากรวยยิ่งไม่เคยรวย ถ้าใครยิ่งไม่อยากรวย นั่นแล้วยิ่งจะรวยเข้าไปทุกทีทุกที นี่อาตมาไม่ได้พูดเล่นลิ้นไม่ได้เล่นภาษา อาตมา มหาศาลรวยจริงๆ รวย อาตมารวยมหาศาลเลยไม่ขาดตกบกพร่องเลย ทุกวันนี้สบายมาก สู้เขาได้สบายมาก จริงๆ อาตมารวยมหาศาลเลยทุกวันนี้ เพราะอะไร เพราะอาตมาไม่อยากได้ เต็มเสียแล้วนี่ แต่คนที่อยากรวยนั้น มี 5 พันล้านแล้วยังไม่เต็มเลย คุณคิดดูให้ดี มี 5,000 ล้านแล้วยังไม่เต็มเลย ยังอยากอีก ทำเหน็ดเหนื่อยเข้าไปสู้เอา 5,000 ล้าน ไปหาเอาใหม่ต่ออีกทำอะไรต่ออะไรอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะรวย 

คุณคิดดูซิ ไม่รวย ต่อให้มีหมื่นล้านนี่ยังไม่รวยเลยเพราะเขายังไม่เต็มสักที แต่อาตมาเต็มซะแล้ว เต็มแล้วยัดไม่ลงเดี๋ยวนี้บาทหนึ่งยังยัดไม่ลงเลยเต็มปรี่เลย แล้วคุณคิดดูซิคนที่เต็มปรี่แล้ว บาทนึงยังยัดไม่เข้า นี่กับคนที่มีหมื่นล้านแล้ว มีเท่าไหร่ก็ทิ้งหายทิ้งหายเหมือนหาย เอาไปทิ้งอีก 20,000 ล้าน ก็หายอันไหน เรามันจะเต็มอันไหนมันจะที่มันจะรวยกว่ากันก็คนที่ยัดไม่เข้าสิรวย มันรวยเด็ดขาดเลย โอ้โหเต็มปรี่เลยไม่รู้จะทำยังไงบาทนึงก็ยัดไม่เข้าจริงๆ

แล้วแสนสุขสบายเลยไม่เหน็ดเหนื่อย ส่วนคนที่มี 5,000 ล้านแล้วยังเหน็ดเหนื่อยยังอยากได้ยังคิดหาวิธีปวดขมับปวดขมอง คิดแต่จะเอายังไงดีโว้ย  ยังไงดีโว้ย เสร็จแล้วพอจะตายตายก็ต้องมานั่งทำพินัยกรรมอาตมาตายแล้วไม่ต้องนั่งทำพินัยกรรมเลยสบายมาก ตายที่ไหนก็ได้ ตายไม่บอกใครก็ได้อาตมาจะตายที่ป่าที่ภูเขาที่ไหนก็สบาย  แต่ถ้าคุณมี 5,000 ล้าน จ้างคุณก็ไม่กล้าไปตายในป่าในเขา จะตายก็ต้องเรียกให้พี่น้องมาทำพินัยกรรมกันนะ อย่าเถียงกันนะอย่าตีกันนะ ขนาดบอกไปแล้วเดี๋ยวมันก็ตีกัน บางทีตีต่อหน้ายังไม่ทันตายเลย บางคนก็อดทนเอาไว้ พอตายแล้วไปตีกัน เพราะแบ่งให้อั๊วะน้อยแบ่งให้ลื้อมาก ให้เป็นพี่น้องกันก็ยังตีกันยุ่ง ยุ่งทุกอย่าง  เพราะฉะนั้นอาตมานี้ไม่ยุ่งเลย ตายแล้วไม่ต้องทำพินัยกรรมทุกอย่างสบายมาก 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าใครที่หมดอยากแล้ว รวยไม่เป็นคนนั้นรวยคนนั้นรวยที่สุด ไม่เอาอะไรเลยรวยที่สุด แต่ใครเองยังเอาอยู่ไม่รวยเลยไม่มีวันเต็มไม่มีวันรวย นี่แหละถึงบอกว่า อย่าไปหลงในลาภ ยศก็เหมือนกัน 

เวลามาเป็นพระพุทธเจ้านี่ท่านไม่มียศเลยนะ ท่านถอดยศจากราชกุมารมานะ แล้วรัชทายาทนะ พระพุทธเจ้าท่านถอดยศรัชทายาทลงมาเป็นคนถือบาตร บิณฑบาตขอข้าวกิน เสื้อผ้าก็มีน้อยนอนโคนป่าโคนเขานะ ซึ่งแต่เดิมยศฐาบรรดาศักดิ์ท่านขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย พระเจ้าปเสนที่เป็นเจ้าแห่งแคว้นโกศลยังมากราบไหว้

แต่ถ้าพระพุทธเจ้ายังเป็นราชกุมารย่อมเป็นผู้ที่จะครองราชย์อยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์นะ เจอพระเจ้าปเสนทิต้องกราบพระเจ้าปเสนทิก่อน ต้องกราบก่อนนะ พระพุทธเจ้านี่โดยศักดิ์ ก็กรุงกบิลพัสดุ์น่ะกรุงเล็ก แคว้นเล็กไม่ใช่แคว้นใหญ่หรอก แคว้นโกศลเป็นแดนใหญ่แคว้นกว้างขวางใหญ่โต พระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ใหญ่ มีศักดิ์เป็นผู้ใหญ่

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าพระพุทธเจ้าเราครองราชย์ ครองกรุงกบิลพัสดุ์นะ ต้องมากราบ มีฐานะต้องมากราบมาเคารพพระเจ้าปเสนทิโกศล แต่พอพระพุทธเจ้าไม่เอาแล้ว ยศฐาบรรดาศักดิ์แบบนี้ไม่เอาแล้ว โยนทิ้งเลย ไปเป็นคนนอนกะดินกินกะทราย มีกินน้อยมีใช้น้อย โอ้โห ยศฐาบรรดาศักดิ์พระเจ้าปเสนทิว่าใหญ่ เจ้าแคว้นโกศลต้องมากราบเลย ต้องมาเคารพเลย  คิดดูซิว่า ฐานะที่พระพุทธเจ้าได้นั้น ยศที่พระพุทธเจ้าได้นั้นสูงกว่าหรือเปล่า สูงกว่าหรือเปล่า สูงกว่าแล้ว 

อาตมาเห็นจริง เห็นชัดเหลือเกิน แหม แจ่มจริงหนอ  ชัดจริงหนอ พระพุทธเจ้าทำทานมาสูงจริงหนอ บริบูรณ์จริงหนอ ถึงสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมในตนอย่างนี้แล้ว ยศฐานะบรรดาศักดิ์ขึ้นเอง และไม่ได้อยากได้ด้วยแต่มีเอง มีเอง มีเองจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ใดยิ่งไม่เอาลาภ ไม่เอายศ ไม่เอาสรรเสริญ ยิ่งดังด้วย พระพุทธเจ้าดังมาตั้ง 2,500 กว่าปีแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็ยังรู้จักท่านดีเหมือนกับท่านนั่งอยู่ตรงนี้พระพุทธเจ้า ดังไหม ใครที่ทำให้ดัง ยิ่งเดี๋ยวนี้ มาร์ลอน แบรนโด ที่ว่าดังๆ เนี่ย ปัดโธ่เอ๋ย  ฮิสตัน มันกำลังดัง ๆ อยู่นี้ นับไปกี่ปี ใครจะอยู่รอดูก็ได้ 100ปี 200ปี 300 ปี ดูซิจะดังไปได้แค่ไหน ไม่สู้ คนที่เป็นจอมจักรพรรดิยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ารุ่นหลังกว่าพระพุทธเจ้าอีก ยังดังสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ยังดังสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้เลย  

เพราะฉะนั้น ผู้ใดไม่อยากได้ลาภ ไม่อยากได้ยศ ไม่อยากได้สรรเสริญ  ยิ่งได้ 

ทีนี้สุขล่ะ ไม่อยากได้สุข จะได้สุขไหม ได้แฮะ ได้อย่างบริบูรณ์ถ้วนรอบ บอกใครไม่ถูก ภาษาพระท่านขอยืมภาษาโลกท่านมาเรียกว่า มาเรียกว่า บรมสุข แต่ไม่ใช่สุข ฟังดีๆ นะ ขอเอายืมภาษาโลกมาเรียกว่า บรมสุข หรือแปลว่า นิพพาน

 นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานนั่นแล เรียกว่าบรมสุข ขอยืมภาษาโลกเรียกว่า บรมสุข  ไม่รู้จะเอาภาษาอะไรมาเรียกแล้ว เรียกว่านิพพาน คุณก็ไม่รู้ว่านิพพานคือตัวยังไง อารมณ์ยังไง ตัวมันเป็นยังไง คุณไม่รู้ ก็เลยขอเทียบเคียงไอ้สุขโลกๆ เนี่ย คุณรู้สุข  สุขแบบโลกคุณรู้ ว่ามันไม่ใช่สุขธรรมดานะ มันบรมนะ มันยิ่งนะ บรมนี่แปลว่า ยิ่งนะ ปรมัง บรม มันยิ่งกว่าสุขขึ้นไปอีกแหนะ ไม่มีชื่อเรียก แต่เรียกว่ายิ่งกว่าสุข เรียกว่ายิ่งกว่าสุข ไม่รู้จะเอาภาษาอะไรเรียก 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ไม่มีสุข แต่มีอันนึง เรียกว่านิพพาน เรียกว่าสุญญตา เรียกว่า นิโรธอริยสัจยิ่งกว่าสุข ยิ่งกว่าสุข ตัวนี้แหละ ไม่อยากได้สุขเลย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งมาแทนยิ่งกว่าสุข ยิ่งกว่าสุข ใครมี คนนั้นจะเบิกบาน แจ่มใส มัธยัสถ์ สุภาพ สงบ แจ่ม ใสอยู่ เบิกบาน แจ่มใส มัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมดความเสพ สิ้นความอยาก หมดความเสพ สิ้นความอยาก อยู่อย่างนั้นบริบูรณ์อยู่ นี่เรียกว่า ผู้ใดหลงภวตัณหาอย่างหยาบแบบนี้แหละ ถ้าเราเอาแค่ภวตัณหานี้เดินเข้าไปอย่างนี้ถึงลึกละเอียดก็ได้ด้วย

 แต่มันก็เข้าใจไม่ได้สำหรับคน ต้องยักย้ายภาษาหน่อย และให้ตามสภาวะมาไม่งั้นมันดื้อ ไม่งั้นมันดื้อ มันลึกนึกว่าตัวเองมันจบอยู่ที่สุด นึกว่าน้ำเต็มตุ่มแล้ว ทุกที ที่จริงควรเปลี่ยนตุ่มเสียบ้าง ตุ่มนี้ไม่ขยันเอาตุ่มใหม่หน่อยก็ได้สิ่งใหม่ๆ มา อืมแหม ตุ่มใหม่นี้น่าตักใส่ ตักใส่ใหม่หน่อยค่อยยังชั่ว ต้องอาศัยหลอกบ้างเหมือนกัน คนถ้าไม่หลอกไม่เอา ตักน้ำใส่ตุ่มเก่าไม่อยากตักเอาตุ่มใหม่มาให้ค่อยยังชั่ว ตักก็ยอมตักหน่อย อย่างนี้ยักย้ายหน่อย 

ยักย้ายจาก ภวตัณหาเข้ามาหากามตัณหา กามตัณหาอย่างหยาบ ไม่ต้องพูดมากวันนี้ไม่ตั้งใจพูดถึงเรื่องพวกนี้มาก เอาแต่เพียงคร่าวๆ  พอเราทำกามตัณหาให้รู้ กำลังขึ้น สูตรอันที่เรียกว่าข้อที่ 4 ก็มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ติดตัวแล้วตอนนี้ เมื่อกี้นี้มีแต่ใจนะทวารใจ ที่บอกแล้วใจมันไม่อยู่ในภพร่ำรวยอยู่ในภพแห่งความเป็นใหญ่เป็นโต ภพแห่งความเป็นความดังสรรเสริญเยินยอ ภพแห่งสุข ตอนนี้ไม่ใช่ภพข้างนอกแล้วนะ ไม่ใช่เอาใจไปผูก เอาตา เอาหู เอาจมูก เอาลิ้น เอากาย ว่ากันชัดๆ เลย 

พอตาสัมผัสเข้าปั๊บ แหม เป็นตัณหาเลย แหม สวยจริงโว้ย อยากได้จริงแฮะ เอาเลย หูได้ยินไอ้นี่ แหมดีจริงถูกหูจริง ไพเราะเสนาะพริ้ง หรือว่า มันส์ บางทีก็ไม่ไพเราะหรอก  เป็นรสชาติอย่างไรก็ตาม บางคนก็ชอบการด่าเหมือนกันนะ ด่าแบบนี้ดีเหมือนกันนะ  มันส์ๆ ดีเหมือนกัน มันคันๆ หัวใจดีเหมือนกัน บางคนคิดชอบด่า ถ้าไม่ด่าไม่ขยัน บางทีลูกเต้าบอกพูดหวานๆ ลูกเอ๋ย ทำอย่างนี้หน่อย ไม่ทำ พอด่าเข้าสักเปิง 2 เปิงประเดี๋ยวแหนะ ซัดซะนี่ ทำเลย นี่ บางทีมันต้องใช้วิธีนี้เหมือนกัน  บางทีมันต้องใช้วิธีนี้เหมือนกัน ชอบด่า เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องพูด บางคนถ้าได้มาในเสียงที่ยึดมั่นถือมั่นก็ชอบ ถือว่าต้องทำ ถือว่าต้องเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทุกประตูในทวาร 5 ทีนี้ไม่ใช่ทวารใจ 

ถ้ายังไปหลงอย่างนี้อยู่ อยากอยู่ เพราะทวารทั้ง 5 นี้ เรียกว่า กามราคะ เรียกว่ากามราคะ เพราะฉะนั้นภพภวตัณหาหยาบแล้ว กามตัณหาอย่างหยาบแล้วนี้ เราต้องเรียนรู้ให้ได้ เรียนรู้ มันเป็นสมุทัย ภวตัณหา กามตัณหา มันเป็นสมุทัย ตัณหานี้เป็นสมุทัย รู้ให้ชัด เข้าใจมันให้ได้ แล้วหาทางไปฆ่ามัน ทางที่จะเอาไปฆ่ามันทำอย่างไรล่ะ

พระพุทธเจ้า ท่านว่าไว้ละเอียดหมดเลย ท่านให้เอาศีลไปฆ่า เอาศีลไปประพฤติ เอาศีลไปบำเพ็ญ มาถึงข้อที่ 3 แล้ว ศีล พรต เอาศีลไปประพฤติ พรต ตัวนี้ แปลว่าบำเพ็ญ เอาศีลตัวนี้ไปประพฤติเข้า ไปบำเพ็ญเข้า แล้วมันจะฆ่ากาย หรือฆ่ากาม ถึงจะละสักกายะหรือฆ่ากามราคะ มันจะฆ่าจริงๆ

เมื่อเรารู้มันซะก่อนแล้วว่า สักกายะ คืออย่างนี้ด้วย กามราคะคืออย่างนี้ด้วย ถ้าไม่รู้ก็ทำดื้อๆ ไม่รู้ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ปานาติปาตาเวรมณี อทินนาทานาเวรมณี อะไรก็ตามแต่ คุณก็เอาศีลนั้นมาอย่างดื้อๆ สมาทานตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่าแปลอย่างดื้อๆ เอาง่ายๆ คุณก็ได้ง่ายๆ แต่คุณก็ไม่รู้ตัวรู้ตนมัน มันก็ยังไม่บริบูรณ์ ได้เหมือนกัน ได้ชั้นนึง ถ้าใครเข้าใจละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก ศีลอันนี้เอามาบำเพ็ญก็รู้เนื้อรู้ตัวรู้สภาวะ รู้ทุกอย่างเรียบร้อยไปเป็นชั้นๆๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำๆๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าเอาศีลมาแล้วก็มาประพฤติอยู่เฉยๆ เหมือนกับ อ้าวศีล 5 บริบูรณ์แล้ว 

อาตมากล้าพูดด้วยในนี้ศีล 5 ไม่ใช่ตื้นๆ นะ 1.ยังไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร 4. ไม่โกหกใคร 5. ไม่กินเหล้า เนี่ยเอาตื้นที่สุด อาตมาเชื่อว่าในนี้นี่ เต็มตุ่มไปนานแล้วเยอะ ในนี้ ศีล 5 แค่นี้ ในนี้เต็มตุ่มไปนานแล้ว เปลี่ยนตุ่มใหม่เสียบ้างสิ เปลี่ยนตุ่มใหม่ซะบ้างสินะ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนตุ่มใหม่ คุณก็เทแล้วก็เทอีกอยู่ในตุ่มนั่นแหละ เทแล้วก็หก เทแล้วก็เลอะออกมา ก็มันเต็มแล้วนี่ ก็ไม่ได้ฆ่าสัตว์แล้วนี่ ก็ไม่ได้ขโมยของใคร ไม่ได้ผิดผัวเขาเมียใครแล้วนี่ ไม่ได้โกหกใคร ไม่ได้กินเหล้า ก็เต็มแล้วตุ่มนี่ เปลี่ยนตุ่มใหม่เสียบ้างสิ หรือไม่ก็ขยายตุ่มออกบ้าง 

ขยายตุ่มออกคือยังไงคือ ทำศีลให้ลึกลงไปอีก ถ้าไม่ขยายให้ทะลุเนื้อหาสาระของศีล 5 เอง ทำความเข้าใจไม่ได้ ก็เพิ่มศีล 6 ศีล 7 ศีล 8 ศีล 9 ศีล 10 เข้าไป เพิ่มเข้าไป ศีลเหล่านั้นเป็นศีลขยายความละเอียดความลึกซึ้งออกไป โดยภาษาโดยนิรุตติ ทำความเข้าใจในภาษาเหล่านั้น ไม่ใช่ตื้นๆ 

จะเอาแค่วิกาลโภชนา ประมาณกำหนดอาหารก็ได้ นัจจะ คีตะ วาทิตะ ไม่ดูการละเล่น ไม่ฟังเสียงร้องเสียงรำอะไรต่ออะไรต่างๆ ก็ได้ มาลาคันธะ วิเลปะนะ จะไม่หลงในดอกไม้ในของหอม ในเครื่องพอกทา ในเครื่องที่มาทรงแต่งไว้ ในเครื่องที่จะมารัดเอาไว้ต่างๆ นานา ที่จะเป็นฐานะแห่งการประดับตกแต่ง คุณเองคุณไม่ทำก็ได้ 

อุจจาสยนะ มหาสยนา จะไม่เอาแล้วที่นั่งที่นอนที่สูงที่ใหญ่อะไรแล้ว คุณก็ไม่เอาแล้วก็ได้ เอาหยาบๆ แค่นี้ก็ได้ ปฏิบัติศีล 8 เต็มแล้ว เต็มตุ่มอีก หยาบๆ แค่นี้นะ เต็มตุ่มแล้ว เปลี่ยนตุ่มอีกบ้าง ถ้าคุณไม่เปลี่ยนตุ่มอีกนะ คุณก็ ตักเท ตักเท ตักไหลทิ้ง ตักไหลทิ้ง อย่างเก่าอีก

 อาตมาเชื่อว่าคุณหลายคนเต็มตุ่มแล้ว ตุ่มแตกนี้เต็มแล้ว เปลี่ยนตุ่มเสียบ้าง ขยายตุ่มเสียบ้างหรือเปลี่ยนตุ่มใหม่เสียบ้างตักใส่ใหม่เสียบ้าง ถ้าคุณไม่ขยายในสภาพที่ไม่ขยายตุ่ม หรือ  ไม่เปลี่ยนตุ่มนั่นแหละ  เรียกว่าสีลัพพตปรามาส ฉ่ำแฉะ หยำแหยะ สักแต่ว่าทำตามอย่างนั้นแหละ แล้วก็ไม่รู้ว่าได้แล้วหรือยัง เต็มตุ่มหรือยัง หลับหูหลับตาทำ เข้าใจไม่ได้ เต็มหรือไม่เต็มก็ยังไม่รู้ บางทีพอรู้ๆ เหมือนกันว่าตัวเองเต็ม แต่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองเต็ม แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ไปมืดไปมัวอยู่ เรียกว่า สีลัพพตปรามาส สักแต่ว่าลูบๆ คลำๆ ทำ ๆ กันอยู่ ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าควรจะเขยิบฐานะขึ้นอย่างไรๆ ไม่รู้เลย มันก็ไม่เดินทางน่ะสิ คุณก็ไม่ได้อะไรอีก คุณก็ได้แค่นั้นจนกระทั่งตาย บางคนถือศีล 5 จนตายเต็มตุ่ม ศีล 5 เต็มตั้งแต่ถือปีแรก ปีที่ 2 จนกระทั่งไปอีก 20 ปีก็ตาย เลยตักน้ำอีก 20 ปี เทตุ่มเต็มอันเก่านี้จนกระทั่งตาย มันน่าเสียดายไหมล่ะ น่าเสียดายไหมล่ะ

นี่แหละ สีลัพพตปรามาส คือสักแต่ว่าทำ ลูบๆ คลำๆ เล่นเฉยๆ ไม่ขยับฐานะไม่เลื่อนชั้น จารีตต่างๆ ท่านสอนไว้เนี่ยดี ประเพณีต่างๆ มีไว้ให้ทำและทำให้ถูกเรื่อง ถูกราวดี ทำให้บริสุทธิ์ได้ดี แต่ต้องรู้ว่ามันเต็มหรือยัง มันพอหรือยัง ควรจะขยายเพิ่มขึ้นหรือยัง ควรจะรู้ ถ้าเราได้มีปัญญาอ่านว่า  เราเต็มจริงแล้วควรขยายเพิ่มขึ้นไป เอาเลยแล้วมันจะสูงขึ้น 

ใครเต็มศีล 8 แล้วก็ขยายศีล 10 ใครขยายศีล 10 ได้แล้วก็เป็นจุลศีล มาให้หมด จุลศีลถ้าคุณไม่รู้มาหาอาตมา อาตมาจะให้ไป 26 ข้อ จุลศีลเต็มแล้วเอามัชฌิมศีลอีก มาหาอาตมา จะเอาให้ จะลอกพระไตรปิฎกให้อย่างไม่ผิดหรือเพี้ยนเลยล่ะ ลอกพระไตรปิฎกกันให้เลยล่ะ เพราะว่าอาตมาจะพูดเอง เอาพระไตรปิฎกให้ไปลอกเองก็ได้ อาตมาเอาพระไตรปิฎกไปให้ลอกเองก็ได้ มัชฌิมศีลได้ เอามหาศีลไป มหาศีลบริบูรณ์อีก เอาโอวาทปาฏิโมกข์ศีลต่างๆ นานา ที่อาตมาจะคัดให้คุณอีก อาตมาจะไม่ขี้เกียจ ขอให้มาขอเอาก็แล้วกัน จริงๆ ด้วย 

อย่างนี้ถึงเรียกว่าควรจะเลื่อนชั้น ควรจะประพฤติ อย่าให้มีวิจิกิจฉา ให้พ้นวิจิกิจฉา คือให้รู้แจ้งรอบได้ว่าเราเต็มตุ่มหรือยัง ไอ้ตุ่มเล็กๆ ใบที่เราทำขณะนี้เต็มหรือยังเต็มแล้วขยายตุ่ม หรือเปลี่ยนตุ่มใหม่ ตุ่มใบนี้เต็มหรือยัง ขยายไปเรื่อยๆๆๆ ตามความเป็นจริง คุณก็ใช้ศีล ใช้พรต ได้อย่างดี เรียกว่า เป็นผู้ที่รู้จักใช้ สีลัพพตุปาทาน คือมีศีลมาประพฤติ ยึดเอาศีลมาประพฤติ สีลัพพตุปาทาน หมายความว่า ยึดเอาศีลมาบำเพ็ญประพฤติ พอยึดเอาศีลมาบำเพ็ญประพฤติได้แล้วจนกระทั่งเราเต็มแล้ว ให้วาง อย่ายึดเอาไว้เป็นอุปาทานอีก 

ศีลที่เราประพฤตินี้ เมื่อได้แล้วเต็มแล้วบริบูรณ์แล้วถึงจิตบริสุทธิ์เป็นอธิจิตแล้ววาง เลิก หาศีลใหม่ มาพรตใหม่ หาศีลใหม่มาบำเพ็ญใหม่ พอบำเพ็ญใหม่ก็ไปเรื่อย ๆ สูงขึ้นอีก พอสูงขึ้นอีก เต็มอีกหยุด หยุดอุปาทาน หยุดยึดศีลนี้ แล้วก็หาศีลใหม่มายึดใหม่ เป็น พรต ใหม่อีก มันก็จะเขยิบฐานะอย่างนี้เรื่อยไปๆๆๆๆ  สูงขึ้นตามลำดับโดยแท้จริง 

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดทำตามลำดับศีลข้อ 1 ถึงข้อ 8 เนี่ยนะ มันเป็นการฆ่ากามจริง เป็นการฆ่ากามตัณหา ศีลข้อ 1 ถึงข้อ 8 นี่ อย่างหยาบๆ นะ แต่โดยแท้จริงแล้วศีลข้อ 1 ถึงข้อ 5 อย่างละเอียดแล้ว คือลุไปถึง ทุกข์ ภวตัณหา กามตัณหา อย่างละเอียดสุดแล้ว ใครอ่านก็อ่านอะ อาตมาเขียนแล้ว ศีลคั้นออกมาจากศีล อย่างหยาบๆ ในเล่ม 1 ก็เขียนไว้แล้ว อย่างละเอียดในเล่ม 2 เขียนไว้อีก ในเล่ม 3 อีกที่จะละเอียดต่อไป ที่จะมีข้อ กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และสุราเมรยะมัชฌะ ยังไม่ได้เขียน ยังไม่ได้ทำ  ที่จะทำต่อไปอีก ถ้าสรุปความแล้วจะไปยึดรวมเอา คือเอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล รวมเข้าไว้ ในการอันควรที่จะทำจะมีประโยชน์ 

หลักการพระพุทธเจ้าวางไว้ตามสูตรทำอย่างนี้ไม่ทำอื่น ไม่ได้ทำอื่น เอาศีลมาบำเพ็ญสิ ฆ่าสักกกายะ ฆ่ากามราคะ เศษเสี้ยวของสักกายะ กับ กามราคะที่เป็นปฏิฆะะอยู่ก็ค่อยๆ เลาะออกๆ ปฏิฆะ หมายความว่า ทวนไปทวนมา ให้มันเห็นรู้แจ้งในเศษเสี้ยวที่มันยังเป็นอาพาธอยู่ในจิต ยังเป็นเศษเสี้ยวของกาม ยังเป็นเศษเสี้ยวของกาย ที่เป็นกายใหญ่นะ สักกายะใหญ่ อาตมายังไม่ได้พูดถึงสักกายะเล็กนะ ยังไม่ได้พูดถึงกายเล็กนะ พูดถึงสักกะคือกายใหญ่ ถ้าชวนไปทวนมา ปฏิ คำนี้ แปลว่าทวนไปทวนมา ปฏิฆะ ถ้าหมายความว่า กลุ่ม หรือ หมู่ที่มันเกิด คณะนี้พอเป็น เปสิ กัลละ คณะ  ฆนะ เปสิ 

ก็เป็นก้อนเล็กนิดนึง ฆนะ ฆ แปลว่ากลุ่ม แปลว่าก้อน ถ้าใครทวนไปทวนมาเจอก้อนตรงไหนยังเป็นเศษเสี้ยนอยู่ยังเป็นเสี้ยนหนาม รู้ให้ได้ ทวนไปทวนมาให้หมด ลูบคลำ ให้เกลี้ยงให้ละเอียดถ้วนทั่วหมดเศษของกาย หมดเศษของกายเศษของกายอย่างหยาบแล้ว ก็เลื่อนชั้น ขึ้นหา อุทธัมภาคิยสังโยชน์

คือตอนนี้เป็นภวตัณหา อย่างละเอียด เข้าไปหาภพข้างในเลย ภพข้างในคืออะไร ภพข้างในก็คือความสงบระงับ ผู้ใด ฆ่าโลกธรรม 8 ได้แล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ คุณเองไม่ค่อยย่อหย่อนแล้วอย่างหยาบ คุณเลิกวางได้แล้ว และฆ่ากามได้แล้ว ทวนไปทวนมาเป็น ปฏิฆะ 

นี้จิตของคุณมันจะสงบระงับลงอย่างแท้จริงเพราะอะไร เพราะคุณขาดกิเลสตัณหาลงไปตั้งเยอะแล้ว กิเลสที่เป็นกาย กิเลสที่เป็นกามอย่างที่ว่าขาดโลกธรรมไปแล้ว ขาดกามคุณไปแล้ว คิดดูสิ จิตจะไม่สงบลงได้อย่างไร จิตที่มันเต้นอยู่มากๆ เพราะมันสร้างกายใหญ่ สร้างกามใหญ่มันก็เต้น พอกายกับกามลดลงไปได้มากแล้วคุณสงบลงเยอะ เต้นอยู่เบาๆ แล สงบลงไปตั้งเยอะ เพราะกามกิเลสกายกิเลสที่เป็นโลกธรรมมันขาดออกไปจริงๆ ไม่ได้ขาดเพราะคุณไปทำอื่นเลย 

เห็นไหมเอาสูตรพระพุทธเจ้ามาพูดแล้วมันจะชัด ไม่ใช่ว่ามันสงบลงเพราะกดหัวมันไว้ หยุดๆ อย่าดิ้นนะ ดิ้นเดี๋ยวตบๆๆๆ อย่าดิ้นนะ กดไว้ๆ อะระหังสัมมา อะระหังสัมมา กดไว้ หนอพองหนอยุบหนอพองหนอกดไว้ ปวดตรงไหนก็ปวดหนอ ตรงปวดหนอเจ็บหนอเจ็บหนอ กดไว้มันไม่ได้ฆ่ากามที่มันกดหัวมันเอาไว้ ไม่ได้รู้ว่าสักกายะคืออะไร ไม่รู้ว่ากามคืออะไร แต่อะไรมันดิ้นขึ้นมาก็ให้หยุดอธิบายเลยใช้มนต์คาถานั้นกดเอาไว้เป่าหัวสมองมันไว้ เอาคาถานั้นต่อไว้กดไว้ ซึ่งมันไม่ได้ทำอย่างนี้นะ ลักษณะอย่างนี้ แต่ต้องเป็นลักษณะรู้แจ้งรู้จริงว่าอะไรเป็นสมุทัยอะไรเป็นเหตุ เป็นเหตุที่มันก่อให้เกิดการดิ้นเป็นกายใหญ่ เป็นกามราคะใหญ่ อะไรเป็นเหตุ รู้เหตุแล้วก็ดับเหตุให้ได้ ยังเกิดอีกอยู่ในนี้ก็ เราเลิกรูป เลิกรสเลิกกลิ่น เลิกเสียอย่างนี้ มันสงบระงับอย่างนี้จริงๆ นะ มันก็เป็นนิโรธในตัวมันไป 

นิโรธก็ดับไปทุกทีดับไปทุกที อย่างนี้ต่างหากล่ะที่เราทำตามสายของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อมันหลุดออกมาจริง เรื่อยๆ มันก็สงบระงับเหลือลงแต่แค่จิตตรงนี้ จิตที่มันไม่ดิ้นเพื่อกาม มันไม่ดิ้นเพื่อกาย หรือไม่ดิ้นเพื่อโลกธรรมมากนักแล้ว และมันก็ไปติดอะไร มันก็ไปติดภพของจิตเข้าให้ แหม สบายดีจริงหนอ ช้าๆ อย่างนี้สบายไม่ร้อนแฉะเย็นดี สงบดี แต่ยังมีดิ้น ถ้าคุณยังไม่รู้ว่ามันยังดิ้นอยู่อย่างนี้นะ คุณก็ไม่รู้ว่าคุณยังเกิดอยู่ มันดิ้นอยู่มันก็ยังเกิดอยู่ ไม่ดับแน่ เพราะฉะนั้นสภาวะที่ยังดิ้นอยู่ แค่นี้ดีกว่ามันดิ้นเยอะ ดิ้นอย่างโอรัมภาคิยะ เพียงข้อ 1 ถึงข้อ 5 มันก็มากกว่า แต่ยังไม่หมดรอบ ยังมีรูปราคะ อรูปราคะอยู่ 

รูปราคะ อรูปราคะก็คือ ปีติ ปัสสัทธิ เป็นอุปกิเลสแล้ว ตั้งแต่ โอภาโสมาเลย โอภาส โอภาสคืออะไร คือปัญญารู้แล้วว่าเราหมดกิเลสกาม หมดกิเลสกายมาแล้ว มันยังดิ้นอยู่แค่นี้เรารู้แล้วรู้แล้วก็เกิดปีติใจ ก็เป็นอุปกิเลส เพราะฉะนั้นอย่าติด ความรู้แค่นี้ยังไม่สิ้นถ้วน ยังไม่หมดถ้วน ยังไม่ถ้วนทั่ว ยังมีเศษอยู่นะ ยังไม่ดับสนิทนะ ถ้าให้รู้ให้ได้ เพราะฉะนั้นการไปหลงโอภาสคือ ความรู้สว่างขนาดนี้อยู่ ทำไมท่านเรียก โอภาส   อาตมาบอกแล้วว่า ความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นสว่างโล่ ประดุจดังแสง ปัญญาเหมือนอาภา หรือโอภาสเหมือนดังแสง นิโรธของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ดับอย่างไม่รู้นะ แต่ดับอย่างรู้นะ กายดับกามอย่างรู้ด้วยนะถึงขณะนี้ก็ยังไม่จบถึงบอกว่าอย่าหลงโอภาส สว่างอยู่แค่นี้ก็อย่าเพิ่งหลง อย่าหลงปีติใจ แหมดีใจฉันได้แล้วนะแค่นี้ก็อย่าปีติ เลิก พยายามต่อ 

ดับให้มันด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ ก็คือเรียนรู้จิตที่มันเป็นรูปกิเลส รูปราคะ อ๋อจิตอย่างนี้นี่นะ มันยังดิ้นอยู่ทำยังไงจะให้มันหยุด ตอนนี้ไม่มีภาษาพูดแล้ว ถ้าคุณตัดกามก็ได้ ตัดโลกธรรม 8 ก็ได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีภาษาพูดแล้ว คุณจะต้องเรียนรู้ต่อไป 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดไม่หลงโอภาส ไม่หลงปีติ เข้าใจให้ได้ว่าความรู้ของเราเป็นอย่างนี้ โอภาสเป็นอย่างนี้ อย่าหลงความรู้ของเรา ถ้าไม่หลงความรู้ของเรานั้น พร้อมกันนี้ คือการไม่ยึดมานะทิฏฐิ ไม่ยึดความใหญ่ของเรา ไม่หลงปีติไม่หลงตัวตน ภาคภูมิอยู่แต่ตัวแต่ตน ปีติ คืออัตตา ไม่หลงทางอัตตา ไม่หลงทางความใหญ่ของตัวเองเป็นมานะทั้งคู่เราไม่ลง หยุดให้ได้มันก็จะลดลง เป็นปัสสัทธิเรียกว่าสงบระงับลงแล้ว คือขันน็อตอย่างที่อาตมาว่าเมื่อกี้ ต้องรู้ให้ได้นะว่าจิตของเรา แหม มันหลงในภูมิรู้นี่ มันไม่ใช่เล่นนะคุณเอ๋ย นี่มันมโหฬาร ฉันมีความรู้นี่มัน .. แค่โอภาสแค่นั้นนะ แค่เป็นความรู้ชั้นต้น เป็นวิโมกข์ หรือเป็นวิโมกข์อย่างชั้นต้นก็ได้หรือเป็นวิมุติก็ได้ เป็นโมกขะ โมกขธรรมชั้นต้นก็ได้ 

พอเราดับแล้วไม่หลง ที่จริงเรามีความรู้อันนี้มีโอภาสอันนี้หรือมีวิโมกขะน้อยๆ อันนี้ มีโมกขะน้อยๆนี้ พอดับกามราคะ ดับสักกายะได้แล้ว เรามีจริงๆ แต่เราไม่หลงมัน ไม่หลงปีติยินดี ไม่หลงคือถือเนื้อถือตัวว่าฉันมีนะ เธอไม่มีเธอเล็กกว่าฉัน ฉันเหนือกว่าเธอไม่เอา ไม่มีอันนี้ ผู้ใดดับอันนี้ได้จริงๆ รู้จิตตัวที่เราไปยึดมั่นถือมั่นอันนี้แล้ว เลิกแล้วอย่าไปยึดมั่นถือมั่นอันนี้ อย่าไปอวดตัวอวดตนอย่าไปหลงยินดีปรีดาในสิ่งที่ตัวเองมี มีน่ะมันดีแล้วล่ะ แต่อย่าไปถือตัวเธอตนอย่าไปยินดีตรงภาคภูมิ อะไรก็ตามแต่ยึดเป็นอย่างนู้นอย่างนี้อยู่ มันก็จะสงบลงเป็นปัสสัทธิจริงๆ  

สงบลงแล้วทีนี้ก็ แหม นัตถิสันติปรังสุขัง คุณเอ๋ย ไม่มีสุขอะไรที่มันจะสงบ หรือ มันจะสุขเท่าไม่มีสุขอื่นที่จะเท่ากับไอ้ที่มันสันติลงเรื่อยๆ มันสงบระงับลงเรื่อยๆ ไม่มี ไม่มีความสุขไหนจะเท่า สนุกกับการสนุกสักกายะนั่นน่ะหรือ ปัดโธ่เอ๋ย อาตมาอยากจะใช้คำโลกๆ ฟังให้คุณรู้สึก ว่า สนุกอย่างบ้าเลือด สนุกด้วยการสนุกด้วยสักกายะะนั้นเหนื่อยแสนเหนื่อยเหน็ดเหนื่อยทรมาน สู้กับเขาลูกเอ๋ย เกิดมาลูกเอาเรียนเข้าไป แต่เรียนเดรัจฉานวิชาเท่านั้นนะไม่ใช่วิชาอย่างที่อาตมาว่า เรียนใบไม้ทั้งโลกเรียนใบไม้ทั้งป่าเลย เอาเรียนเข้าไปลูก อันนี้เขาตั้งวิชาใหม่อันนี้วิชาเก่าเรียนเข้าไปโลก ถูไถเข้าไปเพื่อที่จะอะไร เพื่อจะเอาวิชานั่นแหละไปข่มขู่เขา จะไปสร้างลาภ สร้างยศ สร้างสรรเสริญ สร้างได้ก็เอามาเสพกาม ลูกของกามขยายแถบออกมาเป็นพรวนเลย อยู่อย่างนั้นตลอดโลกนั่นมันเป็นการไม่จบ 

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเข้าใจได้เห็นได้ว่าไอ้ความสงบที่หมดกาม หมดกาย หมดสักกายะนี่นะ แหม ยอดเยี่ยม

ไปหลงโอภาสหลงปีติก็ไม่มีไปหลงเป็นปัสสัทธิ เข้าใจได้ ดูได้เป็นรสได้ว่าปัสสัทธิ มันเป็นนิ่งสงบนะ ยิ่งอร่อยกว่า ยิ่ง ปรมังสุขัง ยิ่งกว่าเลย มันยิ่งบรมสุขยิ่งกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังเป็นกิเลส ยังไม่หมดตัวตนแฮะ ยังเป็นปัสสัทธิอยู่ที่อยู่ ไปกดกิเลสตัวที่ทำความรู้ขึ้นให้แจ้งว่าอันนี้ก็ไม่เอา อันนี้ก็ยังเป็นจิตที่ยังหยาบอยู่ ยังเป็นจิตที่จะต้องดับให้ได้อีก ผู้ใดรู้จิตที่เป็นปัสสัทธิตัวเองได้อีกนะ ความรู้สูงขึ้นไปดับปัสสัทธิ ดับที่ไปยึดอัตตาตัวนี้ได้อีกนะ มันจะหลงอยู่แค่ไหนก็ตาม แต่มันจะมีความหลงในความใหญ่หลงในอัตตาซ้อนเข้าไปอีก 

ถ้าเรามีปัญญารู้มันอีก ดับมันได้อีก เรียกว่า อธิโมกข์ ก็เป็นความรู้ที่รู้ ยิ่งกว่าเมื่อกี้อีกโอภาสก็เป็นความรู้อีก อธิโมกข์ เป็นความรู้ที่เหนือกว่าโอภาสอีก ยิ่งสว่างไสวรู้ใน โมกขะ รู้ในการตรัสรู้ รู้ในการดับกิเลสตัณหาลึกเข้าไปอีก เรียกว่า อธิโมกข์ 

เพราะฉะนั้น ไอ้นี่มันยิ่งใหญ่ขึ้น ความรู้ชั้นสูงขึ้นไปนี้ยิ่งผยองตัวอย่างขนาดหนักเลย ถ้าเผื่อว่าคุณรู้ไม่ทันนะ มันยิ่งโอ้โห ตอนนี้จบปริญญาโทและ มโหฬารเลย ถ้าคุณยังหลง อธิโมกข์นี้อีก บอกว่ามันดีจริงอธิโมกข์นี่มันดีจริง คุณก็ ปัคคาหะ ขยันหมั่นเพียร วิริยะอุตสาหะ ทำใหญ่เลย สร้างอธิโมกข์ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ที่จริงน่ะดี ก็ยิ่งสร้างคุณก็ยิ่งสูงขึ้น คุณก็ยิ่งสงบลง สงบลง คุณดูนะ สภาพอันนี้เดินทางเข้าไปหาสุญญตานะ ยิ่งสงบลงเรื่อยๆ นะ เมื่อกี้นี้เป็นไปเพื่อกามเพื่อกาย ดิ้นไปหาโลกอันนี้สงบลงมาแล้วนะ ยิ่งขยันหมั่นเพียร ปัคคาหะ หมายความที่ขยันหมั่นเพียรยิ่งสงบลงไปมาก ยิ่งสุขมากที่สุด เพราะฉะนั้น อุปกิเลสอีกหมู่หนึ่ง     อธิโมกข์ ปัสสัทธิ สุขัง นี่อีกหมู่ เมื่อกี้นี้ โอภาส ญาณ ปีติ

สงบลงมาถึงขนาดนี้ อธิโมกข์ ปัสสัทธิ สุขัง  มันยังไม่จบแฮะ จบปริญญาโท ยังไม่จบปริญญาเอก ต้องทำปัญญาให้ยิ่งๆ กว่านี้อีกกว่าโอภาส กว่าอธิโมกข์ ให้เป็น ญานังหรือญาณ ให้มีญาณสูง ๆ ละเอียดลึกกว่านี้อีก ทำเข้าไป สูงเยี่ยมจนกระทั่งในจิตของเราตั้งมั่นเป็นสติ อันครองพร้อมตั้ง ฐานะ อันที่เรียกว่า หมิ่นเหม่ต่ออรหันต์  แหม่ใช้ศัพท์อันนี้น่าดู จนกระทั่งเราจะหมิ่นเหม่ต่อความเป็นพระอรหันต์  อุปัฏฐาน อุปะ แปลว่า ใกล้ อุปัฏฐานตั้งมั่น เริ่มตั้งมั่นเข้าใกล้ ใกล้อะไร ก็ใกล้ที่จะพ้นอวิชชาสิ  ใกล้ที่จะพ้นกิเลสตัวละเอียดที่สุดแล้ว เรียกว่า อุปัฏฐาน ให้มีสติมั่นคงให้มีความรู้รอบเป็น ญาณ กิเลสปุริสสาก็มี ญาน อุปัฏฐาน

จนกระทั่งเราทำได้อย่างสนิทสนมพร้อมรู้ชัดในจิต ที่ดิ้นนิดนึงก็รู้แล้ว เข้าหาอุทธัจจะ จะมีมานะน้อยหนึ่งก็ไม่มี จะมีรูปแห่งราคะนิดนึงก็ไม่มีจะมี อรูปก็นิดนึงไม่มี ไม่มีรูปไม่มีอรูป เป็นมานะความถือตนถือตัว ความยินดีหลงในจิตตัวเองก็ไม่มี รู้ชัดแจ้งไปจนกระทั่งถึงเศษจิตที่เกิดขึ้นเป็นอุทธัจจะขึ้นมาก็รู้ ดับอุทธัจจะให้วางเฉยอยู่ได้เป็นอุเบกขา อุปกิเลสหมู่ที่ 3 ก็มี ญาน อุปัฏฐาน และ อุเบกขา หมู่นี้ละเอียดยิ่งกว่า เป็นความรู้ชั้นสูงยิ่งกว่า

ถ้าหลงอยู่แม้กระทั่งแม้ความรู้ชั้นละเอียดขนาดนี้ ก็ยังเป็นอุปกิเลสชั้นระดับสูงสุดเลย เห็นมั๊ยว่าทุกอย่างมันเป็น สมังคีธรรม ร้อยกันมาสูงสุด ถึงขนาดนั้นท่านพระพุทธเจ้าท่านบอก อย่าเพิ่ง ปัจจเวก ปัจจเวก ทวน ทวนต้นทวนปลายอีกนะ มีเศษอะไรหลงเหลืออีกมั๊ยใน 9 อันนี้ ตั้งแต่ โอภาส มายัน อุเบกขานี้ มีเศษอะไรหลงเหลืออีกไหม ถ้ามีเศษอยู่อันหนึ่งอันใดก็เรียกว่า นิกันติ   ทั้งนั้นเลย เรียกว่า นิกันติ  คือเศษของอุปกิเลสที่เหลือทั้งนั้นเลย ไม่ว่าอยู่ที่จิตไหนก็ตามแต่ มีเศษยังไม่นิกันติ ยังไม่หมดสิ้นที่แท้จริง ยังไม่ถึงซึ่งอันติม อันติมะหมดสนิท อันติมะเนี่ยหมายความว่าหมดสนิท นิกันติก็หมายความว่าไม่มีเลยที่สุดที่ไหนไม่มี ละเอียดยิบ เพราะฉะนั้นถ้ายังมีเศษของอุปกิเลสอยู่ไม่ได้ ทบทวนเป็นปัจจเวก จะเป็นเศษของมุมไหนก็ให้รู้ให้ละเอียดให้ได้ ถ้ามีเศษอันไหนอยู่ยังเป็นนิกันติหมด ทวนให้ได้ทั้ง 9 อันนี้ หมดอุปกิเลส 10 ผู้ใดทำหมดอุปกิเลส 10 นี้ จนกะทั่งรู้ถึงอุทธัจจะ อย่างที่อาตมาว่านี้ ฐานขึ้นมาปั๊บ อวิชชาก็ไม่มีกระอักแล้ว เหลือแต่วิชชาโผล่พรวดขึ้นมาเลย ใสสว่างโล่เป็นนิโรธมีแสง แหม อาตมาก็คงว่า พวกคุณก็คงไม่เคยได้ยินใครมาอุตริพูด นิโรธ มีแสงมันมีที่ไหนในโลก นิโรธดับอย่างสว่าง นิโรธมีแสงเลยมีวิชชาสว่างโล่ รู้ตัวรู้ตนวางทุกสิ่งอย่างเป็นอนัตตาธรรม เกิดดับเกิดดับไป โลกเอ๊ย กายนี้ จิตนี้ ขันธ์ 5 นี้ เอ็งเกิดเอ็งดับของเอ็งไป ฉันจะรู้ตามรู้เองทั้งหมด อันไหนที่มันจะปรุงขึ้นมาเป็นกุศล ฉันจะช่วยโลกปรุงให้แก่โลก อันไหนที่ปรุงขึ้นมาเป็นอกุศล อย่าทีเดียว อย่างนี้ไม่เอา 

ที่นี้กุศลกับอกุศลนี่ท่านจะปรุง พระอริยะท่านจะปรุงให้แก่คนอื่น ท่านก็จะมีสัจจานุโลมญาณ ลองย้อนเข้าหาโสฬสญาณดูบ้าง ไม่เคยพูดโสฬสญาณซักที วันนี้ลองดูบ้าง ตั้ง 16 ญาณ ที่จริง โสฬสญาน ไม่ใช่เรื่องพูด โสฬสญาณเป็นของละเอียดที่จะเกิดเองเป็นเองในนี้ ถ้าใครไม่มีสภาวะนะ เมายิ่งกว่า เอทานอล ไม่รู้เรื่องเลย ถ้าใครมีสภาวะพอจับบ้างแล้วก็พอรู้ เพราะอะไร เริ่มต้นตั้งแต่ นามรูปปริเฉทญาณ เอาแล้วเริ่มต้นมาแล้ว นามอะไรเอ่ย รูปอะไรเอ่ย ยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ต้องเรียนรู้มาตั้งแต่ รูปหยาบ ๆ นามหยาบ ๆ ไอ้รูปนั่ง รูปนอน รูปเดิน รูปยืน ไอ้รูปที่เป็นแบงค์ รูปที่เป็นลาภ รูปที่เป็นยศ รูปที่เป็นสรรเสริญ อะไรที่หยาบ ๆ ทั้งนั้น รูปที่เป็นกามคุณ  มาในเรื่องสี มาในเรื่องผิวพรรณ รูปที่มาในเรื่องของเสียงเข้ามาเข้าหู รูปที่มาในเรื่องของกลิ่น รูปที่มาในเรื่องของรส รูปที่มาในเรื่องสัมผัสส่วนไหนก็ตามแต่ รู้มันให้ได้หมดในรูปเหล่านั้น 

มันมาสัมผัสเราเมื่อใด  มันมีตัวสำคัญที่สุดคือ จิตตัวสำคัญคือนามนี่เข้าไปรู้ เมื่อรับเข้าก็ไม่รับเปล่านะปรุงเลย ทำงานเลย ทุกทีไป รู้ให้ทันอย่างนี้ แยกให้ออกว่า อ๋อ ไอ้นั่นอันนึงเรียกว่ารูป เป็นสิ่งหนึ่งที่จะมีเป็นตัวปัจจัย อีกอันนึง เป็นตัวเรานี่เองกิเลสใหญ่ เหตุเพราะอะไร เหตุเพราะใจของเรามันโง่มันมีแต่อวิชชามีแต่อวิชชา ไอ้รูปต่างๆ ข้างนอกมาแตะปั๊บ ไอ้อวิชชาตัวนี้ ทำสั่งจิตเข้าไปสั่งนามเข้าไปให้สังขารเลย สังขารเลย ตรงเข้างับเข้าให้ ทุกทีไปเลยไม่รู้เหตุรู้ปัจจัย พอแยกรูปแยกนามออกชัด ไอ้นี่มาหรือ อ๋อ ไอ้นี่สีแดงมาเหรอ ปัดโธ่ ไอ้รูปเป็นแบบนี่อย่านะอย่าไปปรุงกับมัน แยกรูปแยกนามให้ออก รู้ว่าไอ้รูปนั้นกับนามนี้นี่แหละ ถ้าไม่รู้แล้วมันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันเป็นนามรูปะ นามรูปปริคคหญาณ ปัจจยเป็นปัจจัย ปริคคหะ ยังมีการม้วน เป็นห่วง ปริคคหะ แปลว่าห่วง ยังจะห่วงหวงกันอยู่ ยังจะยึดถือกันอยู่ ปริคคหะ เป็นปัจจัยที่จะทำการห่วงหวงผูกพันเป็นลูกโซ่ พันกันอยู่ มันเป็นอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นถ้าเราแยกรูปแยกนามออกรู้ โสฬสญาณ อันที่ 1 เรียกว่า นามรูปปริเฉทญาณ ปริเฉท แปลว่าอะไร ปริเฉทแปลว่า ว่างลงให้ได้ แยกมันออกจากกันให้ได้ ทำความคั่น นามกับรูปให้ได้ นามรูปปริเฉทญาณ หั่นออก นามก็แยกเป็นอันนึงรูปก็แยกเป็นอันนึงให้ได้ เรียกว่า นามรูปปริเฉทญาณ เห็นมันให้ได้ชัดๆ อย่างนั้น  แล้วรู้ให้ได้นะ อ่อไอ้อันนี้รูปมาแล้ว โท่งๆ มาเลยอะ จะทางหูก็ชั่ง จะทางเสียง เห็นขี้ เคยขี้ไปหลายวันลอยฟ่อง ๆ มาแล้ว เนี่ยรู้เลยรูปอย่า นามอย่านะ ใส่โซ่นามไว้เลยจิตของเรา อย่า เอ็งอย่ามาทำอะไรกับฉันไม่ได้ เข้าทางลิ้นเข้าทางจมูกเข้าทางกาย สัมผัสเสียดสีทุกประตูรู้มันได้ แยกรูปแยกนามชัดอย่างนี้แล้วรู้ให้ได้มันเป็นปัจจัย 

เพราะฉะนั้น นามรูปปริเฉทญาณแล้ว ก็ นามรูปปัจจยปริคคหญาณ ไม่ให้เกิด  ไม่ให้มาทำเป็นห่วงพัวพันไม่ให้มีการเกิดเป็นสังขารอยู่ในนี้ รู้จนกะทั่งมันเป็นปัจจัยอย่างนี้ รู้ให้ชัดก็ทะลุเป็นญานที่ 2 นามรูปปัจจยปริคคหญาณได้ พอแยกได้ชัดอย่างนี้แล้วจบ ก็ทำความเข้าใจสิ่งพวกนี้ให้ได้ รู้สิ่งที่มันเกิดอยู่เสมอๆๆ เป็นธรรมดาเรียกว่า สมะ เรียกว่าสมะ ทุกอย่างมันเป็นเสมอๆ มันเป็นเนืองๆ อยู่เสมอเรียกว่า สมะ และมันจะตายอยู่เสมอๆๆ เรียกว่า สนะ ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้ว อ๋อ มันจะมีเสมอเกิดอยู่เสมอ และมันก็ตายอยู่เสมอเป็นธรรมดา ธรรมดา ธรรมดาอ่านว่าธรรมดา เเต่ถ้าคนอายุมากๆ หน่อยเคยเรียนหนังสืออ่านแต่ก่อนนี้แบบเรียนเร็ว อ่านธรรมดาอ่านว่าธรรมดา ถ้ารุ่นใหม่ไม่มีอ่านอย่างนี้แล้ว มันจะเกิดอยู่เป็นธรรมดา มี สมะ กับ สนะ

รู้ สัมมสนญาณให้ได้ เกิดญาน เกิดปัญญารู้ให้รู้สัมมสนญาณ  ตัวเกิด และตัวดับ ใครรู้ตัวเกิดและตัวดับแยกออกแค่นี้ก็เก่งแล้ว  รู้ญานที่ 3 จะเกิดอะไรก็เกิด สีแดงเกิดมาเดี๋ยวมันก็ไม่แดง  ไอ้รสหวานหอมเนี่ยเกิดมา เอ้อ เดี๋ยวมันก็ไม่เกิดมันก็ไม่หวานไม่หอม หรือเหม็น จริงๆ อะไรทุกอย่างเลย มันเกิดขึ้นมาประเดี๋ยวมันก็เปลี่ยน ประเดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เกิดแล้วมันจะมีดับ “สมะ” เอ็งเกิดของเอ็งอยู่เสมอ เพราะว่าทุกอย่างในโลกมีแต่สังขารธรรม มีแต่การปรุงอยู่เสมอปรุงให้เกิด เกิดแล้วเอ็งก็ต้องดับ ไม่ต้องไปทำอะไรมันก็ดับของมัน ตามกาลตามเวลา ตามเหตุตามผลของมัน ตามเหตุตามปัจจัยของมัน ไม่มีใครไปทำกับมันมันก็ดับ ให้รู้เกิดรู้ดับอย่างนี้จึงเรียกว่ารู้ สัมมสนญาณ มีปัญญารู้รอบในเรื่องนี้ 

ผู้ใดรู้ สัมมสนญาณ แล้วก็พยายามรู้ให้มันละเอียดให้มันช้า ละเอียดยิ่งกว่านี้ รู้เกิดรู้ดับเรียกว่ายังไม่เก่งจริง ต้องรู้เกิดมาแล้วมันก็ยังทรงอยู่นะ แล้วมันก็ดับลง เกิดมาแล้วก็ทรงอยู่นะไอ้ตอนทรงอยู่นี่แหละ คนหลงมันเเยะ นึกว่ามันเป็นนิจจัง ไอ้ตรงทรงอยู่นี่ ถ้าคนเห็นเกิดปั๊บดับปั๊บ คนก็ไม่งงไม่หลง แต่คนมาหลงตรงที่มันเกิดปั๊บแล้วมันก็ตั้งอยู่ มันยังไม่เสื่อมไปทีเดียวมันค่อยๆ โตขึ้นนิดนึงแล้วมันก็ค่อยๆ เสื่อมก็ได้ หรือพอเกิดปั๊บแล้วก็ค่อยๆ เสื่อมลง แต่กว่าจะเสื่อมหมดสิ้นก็ยังมีสภาพอยู่ยังมีสภาวะอยู่ คนก็ไปหลงว่าไอ้นี่เป็นนิจจัง ก็ไปคว้าไว้ อย่าจากไปนะเอ็ง อย่าหลุดไปนะ อย่าให้หายไปนะ มันได้ที่ไหนในโลก ไปห้ามมันได้ที่ไหน ไม่มี มีอะไรบ้างลองหยิบมาให้อาตมาดูมีอะไรบ้าง ว่าพระอาทิตย์มีอายุยืนนานว่าไม่เสื่อมไม่ดับเหรอ ดับ พระอาทิตย์ก็ดับ อย่าว่าแต่อะไรในโลกนี้เลย โลกก็กำลังดับอยู่ อะไรก็ดับอยู่ทั้งนั้น รู้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ให้ละเอียดลออยิ่งกว่า สัมมสนญาณ เรียกว่า อุทยัพพยญาณ เรียกว่าอุทยัพพยญาณรู้ให้ชัดอย่างนี้ 

พอรู้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์ชัดเจนอย่างนี้แล้วทีนี้ก็มาจับแยกเลย ไอ้นี่เกิดขึ้น ไอ้นี่ตั้งอยู่ ไอ้นี่ดับไป 3 ส่วนแยกออกมาเลย แยกออกมาเป็นส่วนๆ เลย ดูให้เห็นชัดๆ เลยทีเดียวว่า อ๋อ ไอ้โลกนี้มันมีแต่ความฉิบหายอย่างนี้ มันไม่มีของจริงเลยนี่ ไอ้เกิดนี่แล้ว เอ็งก็ยังเดินติดต่อกันอยู่เป็นธรรมดา ประเดี๋ยวเองตั้งไว้เองก็ดับลงไปเป็นธรรมดา มันมีแต่ความฉิบหายอย่างนี้ มีแต่ความไม่ได้เข้าท่าอย่างนี้เองนี่ เห็นมันให้ได้ว่ามันเป็นภัยอย่างนั้น มันไม่มีอะไรเลยถ้าเราไปยึดมั่น ถือมั่น มันไปหลงเข้าใจผิดว่า เอ็งต้องอยู่มั่น ๆ นะ เอ็งต้องนิจจังนะ เอ็งเที่ยงนะ เอ็งอย่าไปหายไม่ได้นะ  ถ้าใครไปหลงอย่างนี้เป็นภัยอย่างยิ่ง เป็นความน่ากลัวอย่างยิ่ง เป็นความน่าเศร้าใจอย่างยิ่ง 

พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านจะเอาคำว่า สงสารมาให้ ท่านจะบอกว่า แหม มันน่าสงสารจริง ไปหลงในภัยอันนี้ มีความรู้ในภัยเหล่านี้เรียกว่า “ภยญาณ” เรียกว่า ภยญาณ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้ในความน่ากลัว แบบนี้ รู้ในสิ่งที่มันยึดไม่ได้ เอาไม่จริงได้แบบนี้ คนนั้นก็มีจิตมีปัญญาที่สูงละเอียดขึ้นไปอีก ก็จะเกิดการเห็นแต่ว่าโลกนี้นั้น จะมีแต่ความดับสลายเป็นที่สุด ทุกอัน ไม่มีอะไรเลยที่มันจะไปยึดเอาไว้ได้ จะเห็นอย่างชัดอย่างแจ้ง ไม่ได้เห็นอย่างที่ปากอาตมาพูด คุณเห็นในญาณในปัญญาของคุณ คุณเห็นว่าคุณเองนี่ อาตมาจะเล่าประกอบยกตัวอย่าง 

แต่ก่อนนี้อาตมาทำงานเงินเดือนไม่กี่ตังค์รายได้ไม่กี่บาท อาตมาก็พยายามสร้างให้มันเกิดขึ้น จาก1000 เป็น 2,000 จาก 2,000 เป็น 3,000 จาก 3,000 เป็น 4,000 ให้มันได้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น โดยความหวังตั้งใจอยู่ว่า ขอให้รายได้ของเรานี้จงตั้งอยู่ จงตั้งอยู่มั่นคงอยู่ พอบางเดือนมันไม่ได้ 4,000 มันไม่ได้ 5,000 ชักหน้าหงิก พอมันลดลงมามากอีก ก็พยายามใหม่ให้ได้ 5,000 ยืนทรงอยู่ให้ได้ ยิ่งได้ 6,000 แหม เก่งภาคภูมิ เอาให้มันทรงที่  6,000  พอมันลดจาก 6,000 มา หน้าหงิกอีก ไม่ได้ ต้องสู้อีก ให้ได้ 7,000...8,000…10,000 ถ้าคุณยิ่งขยันหมั่นเพียร ยิ่งทำให้คุณเห่อเหิม พากเพียรและขยัน

ได้แล้วอยากให้มันตั้งอยู่ แต่มันไม่ตั้ง บางทีมันก็ลด แล้วมันก็ลด บางทีมันก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วมันก็ลด ไม่เที่ยงสักทีแต่เราไม่เข็ดสักที กระหน่ำตัวเองเข้าเหมือนเฆี่ยนด้วยแส้ เอาเข้าไป ลดไม่ได้นะ เสียหายนะเรา เราเสียหายก็เฆี่ยนเข้าไป พากเพียรเข้าไป ทำอย่างนี้ทุกทีโดยไม่เคยเห็นภัย ไม่เคยเห็นว่า ไม่แน่หรอกเอ็งได้เดือนละล้านเอ็งก็ยังจะไม่ได้เลย สักวันหนึ่ง เอ็งก็จะไม่มีรายได้เลยซักวันนึง  อย่าว่าเอ็งแต่รักษามั่นไว้เลย เอ็งจะมีรายได้เดือนละล้าน เอ็งก็ไม่เหลือสักวัน เอ็งจะไม่มีรายได้เลยสักแดงเดียวในเดือนนึงเลย อาจจะเคยตอนนี้เคยได้เดือนละล้านแต่อีกหน่อยแกก็ไม่ได้ 

ไม่มีความเข้าใจเลยในตอนนั้น สมัยนั้น ก่อนนั้น ที่อาตมายังทำงานอยู่ หรือพวกคุณเองก็คิดเอาเอง เหมือนกัน ไม่ได้หวาดระแวงเลย ไม่เคยเห็นภัย แต่แท้จริงแล้ว มันมีแต่จะเดินทางไปหาความสูญ มีแต่ ภังคะ มีแต่หมดสิ้น มีแต่จะเดินไปหาความไม่มีอะไร ต่อให้คุณได้รายได้เดือนละแสน เดือนละหมื่น เดือนละล้านอะไรก็ตามแต่ คุณจะเหลือแต่สุดท้ายคุณจะสูญ ถ้าใครเห็นแจ้งอย่างนี้เป็น ภังคาญาณ นะ อ๋อ สุดท้ายมันจะมีแต่สูญอย่างนี้เหรอ เอ้ย อย่างงั้นเราสูญเองดีกว่า ไม่ต้องให้ใครมาทำลายดีกว่า เอาไปเลยเดือนนึงล้านนึงไม่เอาแล้ว อยู่เฉยๆ ดีกว่าไม่ต้องมีอะไร เดือนนึงอยู่สูญก่อน รู้เท่ารู้ทันมันอย่างนี้ปั๊บ คุณเอ๋ยจะเกิด    อาทีนวญาณ เบื่อหน่ายการมานั่งเฆี่ยนแส้ตัวเอง เฆี่ยนเข้า เฆี่ยนเข้าทำ เบื่อจริง ๆ  อาทีนวาญาณ จะเกิดเลย เห็นโทษของมัน อาทีนวะ เห็นโทษของมัน บอกปัดโธ่ เฆี่ยนเข้าไปฟาดลงเข้าไป หวังจะตั้งใจจะให้มันตั้งอยู่ ไม่มีที่สุดมันมีแต่ ภังคะ มันมีแต่จะชิบหาย มีแต่สูญสูญสูญ เดินไปเข้าหาความแตกดับสูญ ไม่มีอะไรจริงภังคะ และเห็นโทษมันอย่างนี้เเหล่ะ  เรียกว่าเห็นโทษมันจริงใครมี อาทีนวานุปัสสนาญาณ คนนั้นก็มี นิพพิทาญาณ ...​เบื่อ 

เรามาหลงเฆี่ยนตัวเองเพื่อเหตุแห่งดิ้นอยู่กับโลกเท่าแค่นี้เองแหล่ะหรือ แค่นี้หรือ ชีวิตมันดิ้นอยู่กับโลกแค่นี้เหรอ มันเฆี่ยนตัวเองไปแข่งกับโลกเขาแค่นี้เหรอ แล้วเราแข่งไปแล้วเสร็จก็ไปหา ภังคะ เข้าไปหาศูนย์อยู่อย่างเก่าดับสูญสิ้นไม่มีคงทนไม่มีอยู่ได้เหมือนเก่า ใครเห็นแล้วก็เกิดเบื่อจริงๆ พอเห็นโทษก็นิพพิทาญาณ เบื่อ เบื่อจริงๆ เบื่อ  พอเบื่อแล้วก็เป็นไง มุญจิตุกัมยตาญาณ ...เกิดเลย

เอ้าเปลื้องออกไป

ใครจะเอาเชิญ เชิญ ใครจะเอาอะไรเชิญ อาตมาเริ่มเเจกเลยเอ้างานนี้คนนี้จะเอา เอาไปเลย เอ้างานนี้เอาไปเลย รายได้เท่านั้นเท่านี้เอาไปเลยไม่ว่าเอาไปเลย หัดตัวเองน้อยลงกินให้น้อยลงอยู่ให้น้อยลง ดูซิว่าขันธ์ 5 นี้มันเลี้ยงมันไว้ด้วยได้เท่าไหร่ อาหารกี่กรัม อาหารวันหนึ่งกี่บาทลองเลี้ยงมันดูซิ เครื่องนุ่งห่มใช้น้อยๆลง น้อยๆๆน้อยลงคือน้อยที่สุดเท่ารายได้หัดน้อยลงๆ ของเรา งานการเราก็ทำอยู่ตามธรรมดาเท่าที่แรงเรามี ตอน อาตมายังเป็นฆราวาสอยู่ก็ทำ และอาตมาก็หัดน้อยลงๆ มีก็แจกออกไปเปลื้องออก มุญจิตุกัมยตาญาณ คือเปลื้งออก เปลื้องออกไปจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นเลย ไม่ใช่บอกตอนนี้ฉันเกิด มุญจิตุกัมยตาญาณแล้วนะ เปลื้องออกแล้วน่ะแต่เอามาสิ เปลื้องออกมาแล้วไปเอามาสิ มันจะเป็นเปลื้องอะไรอย่างนั้น เปลื้องมันต้องเปลื้องจริงๆ เปลื้องทั้งกามราคะ เปลื้องทั้งสักกายะ อันต้น แล้วก็ค่อยมาเปลื้องจิต รูปราคะ ความยึดมั่นถือมั่นความรู้ความใหญ่เป็นอุปกิเลสที่อธิบายไปแล้ว ค่อยมาเปลื้องอันนี้ เปลื้องออกไปสิอันนี้สิ มีของโตๆ ใหญ่ๆ เป็นวัตถุ สมบัติ เป็นญาติติโกโยติกา ลูกเขาเมียเราพ่อแม่เรา ญาติแฟนเราไม่เคย ไม่เคยเปลื้องออกสักอย่างเลย แล้วจะบอกว่าฉันได้ญาณ 9 แล้ว 

มุญจิตุกัมยตาญาณ 

ฟังเอานะนี่พูดตอนนี้ อาตมาไม่อยากจะกล่าวกับใครว่าตอนนี้ใครบอกว่าได้ มุญจิตุกัมยตาญาณ ท่านบอกว่า ได้ญาณนี้แล้ว แต่ไม่เห็นเปลื้องนี่ ฉันจะมีโต๊ะหมู่บูชาไว้มุมโน้น เอาพัดลมมาไว้ตรงนี้ อาสนะใหญ่ก็ไว้มุมนี้ Air condition ติดเลย นี่เหรอ นี่หรือมุญจิตุกัมยตาญาณ ไม่ใช่หยาบด้วยนะ ฉันแค่กายอันใหญ่กับกามอันโตด้วยนะ ไมใช่ขั้นรูปจิต อรูปจิตนะ ขั้นหยาบนะไม่ใช่ขั้นกายกับจิตนะ อธิบายให้ชัด 

เพราะฉะนั้นใครจะมีญานอันนี้จริง มันเป็นจริงสลัดออกจริงเปลื้อง        มุญจิตุกัมยตาญาณ คือเปลื้องออกไม่เอา ค่อยๆ ผ่อนคลาย ลดๆๆ ลงจริงๆ ผู้ใดผ่อนลงได้ขนาดใด ขนาดใด ผู้นั้นทำได้ของตนเองอย่างแท้จริง พิจารณา มีการ ปฏิสังขาญาณ พิจารณา เราจะเหลือไว้แค่ใดเราจะออกไว้แค่ใดเปลื้องออกไปแค่ใด เอ้าเปลื้องได้แค่นี้เอาเปลื้อง พิจารณาทีเดียว ปฏิสังขาร หมายความว่าพิจารณา พิจารณาเหลือแค่นี้ก่อน ตอนนี้ยังมีฐานะยังไม่สูญแท้ เปลื้องออกได้แล้ว แล้วก็มักน้อยลง แล้วก็หัดเปลื้องออกอีก เปลื้องไป ปฏิสังขาญาณ เกิดรู้จักพิจารณาในการเปลื้องออกเริ่มออกทำออกไปเรื่อยๆ 

ผู้ใดทำได้เป็นจิตบริสุทธิ์ เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วจัดการอันนี้ออกไป เป็นอิสระได้แล้วออกไป เป็นวัตถุ เป็นยศ เป็นเกียรติ เป็นกามคุณเอาออกไป ยกให้ ทำจนกระทั่งทางกายทำซะก่อน เปลื้องไปทางกายก่อน พิจารณาแล้วอันนี้ควรเปลื้องก็เปลื้อง ตั้งสมาทานศีลขึ้นมา ฉันจะเลิกสิ่งนี้แล้วฉันจะไม่เอาสิ่งนี้แล้วเราก็เปลื้องออกไป แม้ใจมันจะรอนๆ อยู่ ก็เปลื้องมันซะก่อน เพราะเราพิจารณาแล้วอันนี้    ปฏิสังขาร มีการพิจารณาถูกต้องแล้วพอเปลื้องแล้วเสร็จ 

กระทั่งจิตใจของคุณเข้าใจจิตของคุณเป็นอุเบกขา ไม่มีการสังขารไม่มีการปรุงสะเทือนไหว หวาบหวิว ให้เขาไปก็ยังเสียดายอยู่นะให้เขาไปก็ยังโหยหาอยู่นะไม่มี จนกระทั่งเกิด สังขารุเปกขาญาณ เห็นชัดแจ้งจริงว่าไม่มี อุเบกขาเฉยอยู่ในสังขารเหล่าานั้น ให้เขาไปก็ให้เฉยๆ เป็นสังขารธรรมดา เราเองไม่มีจิตสังขาร ไม่มีปรุง จิตเป็นอุเบกขา นี่ก็เป็น สังขารุเปกขาญาณ มีปัญญารู้เท่าทันในสังขารโลกและจิตสังขาร การกระทำของเราให้เขาไปนี้เป็นสังขารโลก เป็นการกระทำอย่างโลกๆ แต่จิตของเรา เฉย อุเบกขา ว่าง ไม่วาบไหว ไม่กระเทือน ไม่รู้สึกเดือดร้อนจึงเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ สังขาร+อุเบกขา เกิด สังขารุเปกขาญาณ อย่างแท้จริง 

ผู้ใดเกิด สังขารุเปกขาญาณ จะมีปัญญาญาณมาก จะทำอะไรต่ออะไรก็ทำได้ตามสบายเลย ทำอย่างอนุโลม ปฏิโลม ทวนไปทวนมาทำตั้งแต่โน่นแหละ นามรูป ปริเฉทญาณ ทวนไปทวนมา มีอนุโลมปฏิโลมมากมาย และรู้สัจจะ รู้อริยสัจ รู้สัจจะทุกตัว อันนี้เป็นของที่เป็นทุกข์อยู่หนอ เป็นสมุทัยอยู่หนอ เอ้าดับมันเสีย หาทางดับมันเสีย รู้อย่างแท้จริงแล้วก็ทำไปตามควรเสมอ ถูกต้องโดยแท้จริงคนนี้ ก็มี สัจจานุโลมญาณ มีการอนุโลม ปฏิโลมอย่างเป็นสัจจะถูกต้องอย่างแท้จริง 

คนนี้เท่านี้คนนี้จะมาปรุงแต่งเรื่องอะไรกับเราเราก็อนุโลมได้ ของๆ เราที่จะเอาออกเราก็อนุโลมปฏิโลมได้ เรียกว่า สัจจานุโลมมิกญาณ

ผู้ใดทำแบบนี้ได้ก็ตัดโคตรของความเป็นคนออกไปได้ ทำได้นิดนึงก็ตัดโคตรรออกไปได้เรื่อยๆ ทำได้จริงจากเด็ดขาดตัดโคตร เรียกว่า โคตรภูญาณ สบายมากแล้วเราไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอันนี้ ไม่ต้องเกี่ยวข้องเลยเงินเดือนเดือนละหมื่นเฉย ตัด ส บ ม สบายมาก กินข้าววันละ 3 ครั้ง กินข้าววันละจาน ไม่ได้กินเนื้อสัตว์อะไร เอาไปยศศักดิ์ฐานะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข กามคุณ เอาไป แต่ละระดับแต่ละระดับ คุณตัดโคตรอย่างนี้ออกไปได้เรื่อยๆ บริสุทธิ์ขึ้นๆ ถ้าตัดโคตรชั้นหยาบได้ เขาเรียกว่าตัด โคตรภู ถ้าตัดโคตรชั้นสูงท่านเรียกว่าตัดโวทาน โวทานแปลว่าขาว คือบริสุทธิ์ขึ้นๆ โคตรภู ถ้าเรียกว่าชั้นต้น ถ้าตัดโคตรชั้นสูงเรียกว่าเดินทางตัดโคตรเข้าไปหาความบริสุทธิ์ เรียกว่าเข้าหาความบริสุทธิ์ผ่องใส

ใครตัด โคตรภู ได้จริงๆ คนนั้นก็บรรลุมรรคญาณ ผลญาณ ไม่เห็นมีอะไร บรรลุมรรคญาณ ผลญาณ อย่างแท้จริงเลย เผลอๆ พูดถึงมรรคผลแล้ว เสร็จแล้วก็ทวน ทวนดู ทวนดูอันนี้มันหลงหรือเปล่า จริงหรือเปล่า ที่เราทำนี้มันจริงหรือเปล่า จิตเราก็หมดสิ้นหรือเปล่า เป็นมรรคเป็นผลอันแท้จริงหรือเปล่า สว่างไสวชัดหรือเปล่า ไม่ใช่ดำๆ มืดๆ อะไรเป็นอะไรก็ไม่รู้ อาการอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้ว ประมาณเอาก็ไม่ใช่ เปล่าอันนี้เห็นเลยว่าอันนี้คือกามเป็นสักกายะ อันนี้เป็นรูปราคะ อรูปราคะอันนี้เป็นมานะ รู้เป็นก้อนๆ แท่งๆ รู้เป็นความชัดๆ เลย ตอนนี้ก็ ปัจจเวกขณ์ เลย ทวนมาตั้งแต่ นามรูปปริเฉทญาณ นามรูปปัจจยปริคคหญาณ สัมมสนญาณ  อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ภังคานุปัสสนาญาณ ภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ นิพพิทานุปัสสนาญสณ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ สังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมิกญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ …ปัจจเวกขณญาณแล้ว ถึง 16 รอบ..เราตัดจริง บริสุทธิ์จริง มันไม่เห็นมีอะไร อวิชชาอยู่ที่ไหน…อวิชชาอยู่ที่ไหน? 

โยมว่า...แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน

พ่อครูว่า... ที่คุณถามมานั้นคือ เพราะมันไม่รู้แจ้งตั้งแต่นามรูปมาตั้งแต่ต้นพอมันไม่รู้ว่าอันนี้คือ นามรูป กิเลสตัณหา กิเลสตัณหาก็เป็นตัวตนที่ประกอบด้วยนามรูป ไอ้ดอกไม้สวยๆ ที่เขากำลังถือมานี่ คุณแยกรูปแยกนามมันออกไหม แยกออกไหม ดอกไม้ที่เขาถือสวยๆ มานี้แยกออกไหม ถ้าแยกออก แล้วเรารู้ทันว่าไอ้นี่เเหล่ะตัวสำคัญ มาเป็นปัจจัยที่ทำให้เราไปยุ่งกับมันนะ รู้ทัน ก็รู้ถึง นามรูปปัจจยปริคคหญาณ ล่ะ พอรู้ทันก็ใส่โซ่ตรวนใจเรารู้ทันนะเอ็งอย่าไปเกี่ยวกับมันนะเองเฉยๆ นะ มันดิ้นเท่าไหร่ก็เฆี่ยนมันไว้อย่านะ ได้ทำอย่างนี้หรือเปล่า  ไม่เลย หลับตา หลับตาก็ไม่เห็นดอกไม้สิ ถ้าลืมตาเห็นดอกไม้งามจริงหรอคว้าไป มันจะเป็น นามรูปปัจจยปริคคหญาณ ได้อย่างไร มันก็ปรุงเข้าให้เท่านั้นเอง ก็ไม่เห็น สัมมสนญาณก็ไม่เกิด อุทยัพพยานุปัสสนาญาณก็ไม่เกิด ญานอันไหนก็ไม่เกิดเพราะชั้นต้นแค่นามรูปก็ไม่เห็นแล้วมันก็มีปัจจัยอะไร นามรูป ปัจจยปริคคหญาณ ก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ทำไม่ได้ 

โยมว่า... เอาตำรามาพูดเฉยๆ 

พ่อครูว่า... จะมาพูดนี้เอาภาษาที่เขาว่าตามตำรา แล้วอาตมาพยายามอธิบายด้วยสำนวนของอาตมาที่จะให้คุณเข้าใจถึงเนื้อแท้ๆ ของมันเลย พอเข้าใจไหมเมื่อกี้นี้อาตมาพูดซะเหนื่อยเลยเมื่อกี้นี้ ถึงญาณ 16 ตั้งแต่ต้นเลยถึง 16 เลย 

โยม… ยังไม่รู้ในนี้ 

พ่อครูว่า... ก็แสดงว่าเรารู้แต่นอกเรารู้แต่บัญญัติของญาณ 16 ถ้าเรารู้เนื้อหาสาระของมัน มันเกิด อาตมาถึงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าที่จริงโสฬสญาณมาพูดไม่ใช่เรื่องธรรมดา ถ้าใครมีสภาวะจริงๆ แล้วนะไม่ต้องเอาชื่อไปตั้งให้มันหรอก   ให้มันเกิดเองเป็นมรรคเป็นผลเอง ไม่ต้องไปตั้งชื่อให้มัน แต่ในไหนๆ ท่านก็ตั้งชื่อให้มันแล้ว อาตมาก็อธิบายบ้างเท่านั้นแหละ อาตมาไม่ได้ขยันอธิบายหรอกไม่ได้อยากอธิบายท่านเลยหรอก เพราะมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง อาตมาบอกแต่ต้นแล้วไง ใครที่มีแล้ว ฟังไปอย่างเมาเอทานอลอย่างที่ว่า 

อาตมาบอกแต่ต้นมันไม่รู้เรื่องหรอกมันมีแต่ภาษานั่นแหละ ถ้าใครมีสภาวะรับแล้วนะบอกว่าจะ มันจะมีอย่างนี้เองมันจะเกิดเองอย่างนี้เอง เราก็โยนทิ้งอย่างนี้จริงๆ อย่างที่อาตมายกตัวอย่างอาตมาเปรียบเทียบให้ฟังนี่ มันเป็นไปตามจังหวะเป็นไปตามระยะจริงๆ แล้วทำอย่างไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้แกล้ง โลภะ มันไม่เอามันไม่มีโลภะ มันไม่ได้อยากได้เอาไว้ไม่ได้อยากยึดเอาไว้ ใครจะเอาไปก็ไม่โกรธ แล้วโทสะมันจะมีจากไหน เอาไปเลย ขนาดเขามาปล้นเรายังให้เลย 

อย่าว่าแต่ให้เขาเฉยๆ เฉยๆ ไม่มี ไม่มีการหวงไม่มีการยึด มันจึงจะมีการคลายการหน่ายการวาง การละ อันแท้จริงแล้วมันก็จบลง สู่ มรรคผลอันแท้จริง นอกจากจบมรรคผลอย่างที่ว่าแล้วเข้าใจด้วยปัญญาอย่างที่เราคิดว่าทำอันนี้ถูกทางไหม ท่านยังให้ปัจจเวกขณ์ อีกเที่ยวเลย เป็น ปัจจเวกขณญาณ ให้มีปัญญารู้ทบทวนว่ามันจริงไหมถ้าจริงปั๊บมันก็อ๋อ อวิชชาที่เราทำในเรื่องนี้ทุกเหลี่ยม ทุกมุมมันก็ลดลงไปตามส่วน ใครวางกี่อันใครหน่ายกี่อันใครรับไปกี่อัน ใครคลายกี่อันแล้วล่ะ มันก็อันนั้นแหละอะไรติดอยู่บ้างล่ะ 

ถ้าอะไรที่ติดอยู่ มันก็อันนั้นมันก็ไม่พ้นอวิชชา ถ้าอันไหนที่ไม่ติดแล้วเลิกแล้วโดยจริง มันก็พ้นอวิชชานั้นจริงๆ ไม่ใช่ภาษาพูดหรอก มันเป็นสูตร สูตรหนึ่ง ที่พูดอธิบายเอาไว้เฉยๆ เท่านั้นเอง ให้รู้ แต่โดยแท้จริงแล้วถ้าทำได้ถึงจิตแล้วไม่ต้องอธิบายไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องเอาภาษามาพูดเลย สภาวะมันจะต่อกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเราจบถึงอุทธัจจะ ปรุงขึ้นมานิดนึงก็รู้จิต

 พระอรหันต์เจ้าจะมีชีวิตอยู่ด้วย อุทธัจจะกับวิชชา เขียนให้ชัดๆ เมื่อเวลาจบแล้วท่านมีรูปนามอยู่คู่หนึ่งที่ยังอยู่ เป็นขันธ์ 5 คือ จิตของท่านที่ฟุ้งขึ้นมาเป็นอุทธัจจะ นั้นเป็นรูป และมีวิชชา คือ ความรู้อันเยี่ยมยอดที่จะคุมอุทธัจจะ อันนี้เอาไว้ให้มันไปตามทิศทาง ทำรูปอันนี้ให้มันเป็นกุศลทั้งหมดเลย ให้เป็นสิ่งที่เกื้อกูล 

ท่านมีรูปกับนาม 2 อย่างนี้แค่นั้นที่อาศัยอยู่ จนกว่าขันธ์ 5 นี้จะดับสูญสลายเป็น อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านเหลือแค่นี้ นอกนั้นบ้อ แล้ว หมด ไม่มีมานะ ก็ไม่มี อรูปราคะ รูปราคะ ไม่มีทั้งนั้น ปฏิฆะ กามราคะ สักกายทิฏฐิ ไม่มี ถ้าเหลือแต่จิตที่มันปรุงขึ้นมาทำงาน แล้วทำงานอะไร วิชชาสั่งทั้งนั้น วิชชาสั่งทั้งนั้น ไม่มีทำงานโดยไม่สั่ง 

พุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงทำงานด้วยวิชชาสั่งทุกตัว ในฐานะที่ยังเป็นผู้ที่ได้ สอุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานอย่างที่เรียกว่าอย่างไม่ตาย ยังมีขันธ์ 5 อยู่ยังไม่ตายไป ท่านจะมีอย่างนี้อยู่มีนามรูปอันนี้อยู่ นี่อาตมาเรียกว่านามรูปนะ ไม่ใช่นามรูปอย่างโลกๆ นะ นามรูปของพระอรหันต์ นี่เป็นภาษานะ ที่จริงพระอรหันต์แล้วไม่มีนามรูปอะไรอีก แต่นำรูปที่ตั้งนั้นเป็นนามรูปแบบโลกๆ แต่ก็มีนามรูปเป็นโลกุตระอย่างนี้ ใช้ภาษาไปเรียกอย่างนี้ ท่านมีเท่านี้ มีเท่านี้ 

เพราะฉะนั้นถึงมีธาตุรู้อย่างสว่างไสว รวมแล้วก็เป็นวิญญาณ อุทธัจจะกับวิชชาเป็นวิญญาณ มีนามรูปที่อยู่อย่างสว่างไสว อุทธัจจะเจตสิกมันจะทำงานของมันตามบทบาทของมัน เจตสิกที่ฟุ้งขึ้นมานิดนึงท่านก็สั่งแล้ว เฮ้ย ไปทำงานดีๆ ทำงานอย่างโน้นนะ พิจารณาเสร็จมันไม่ดีก็อยู่เฉยๆ ถ้าดีก็ทำ ถ้าจะทำทำดีทุกอย่างท่านถึงเรียกว่า ท่านมีสัจจานุโลมิกญาณ อนุโลมให้ทำทุกอย่างทำดีทั้งนั้น และโอกาสกาลอันควร ทำกับหมู่นี้ขนาดนี้ถือว่าดี ทำกับหมู่ที่สูงกว่านี้ไอ้จิตที่ต่ำกว่านี้ก็เรียกว่า ไม่ดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างดีก็สมมุติชั่วก็สมมุติ สมมุติทั้งนั้นดีก็สมมุติชั่วก็สมมุติ สมมุติตามโลกจึงเรียกว่า สมมุติสัจจะ สมมุติเป็นความจริงเหมือนกันเป็นความจริงที่สมมุติ สมมุติตามโลกตามระดับตามกาลเทศะและมันเกิดอย่างนี้ในโลกมันมีอะไรดับหรอก จนกว่าเราเองเราจะดับไป ก็เลิกกัน คนอื่นจะยังไงก็เชิญ พระอรหันต์องค์อื่นจะเกิดต่อก็ทำต่อ 

เราจะดับอวิชชาด้วยวิธีก็อธิบายมาแล้วทั้งหมด อาตมาไม่รู้จะทำยังไง ทำยังไง ก็ที่อธิบายมาทั้งหมดคือ วิธีดับอวิชชาจะเหลือเป็นวิชชา ดับอวิชชาแล้วกลายเป็นวิชชาแล้วก็มีชีวิตอยู่แค่นี้ 

ชัดเลยว่า กายกับจิตมันก็ คือไอ้แค่นั้นแหละไอ้สมบัติสิ่งหนึ่งที่มันเกิดมาในโลก ถ้าหลงก็ไปทรมานชีวิตอยู่กับโลก ไปเฆี่ยนตัวเองต้องให้สู้กับโลก ไปเกาะไอ้นั่นไม่รู้ไอ้นี่เป็นกาม ไอ้นี่เป็นกายไอ้นี่เป็นรูป ไอ้นี่เป็นอรูป อะไรไม่รู้ทั้งนั้น มันก็ไปเพ้อพบอยู่ไหนก็ไม่รู้ พอรู้ชัดในที่นี้หมดแล้วมันก็หยุดหมด จึงไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ให้แก่ตน 

อรรถะ ที่จะเป็นการพูดเป็นภาษา หรือ บรรยายกันเป็นเพียงแต่ปริยัติ เป็นสิ่งที่จะพึงรับเอาไปได้ไปฟัง ในขณะฟังนั้นเราก็มีความตั้งใจให้ดี ตามฟังธรรม พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเสมอต้องพยายามฟังธรรมด้วยดี ตามฟังธรรมด้วยดีต้องฟังอย่างไร การฟังธรรมด้วยดีก็คือ เราต้องมีโยนิโสมนสิการหนึ่ง  สองนอกจากมีโยนิโสมนสิการ คือตั้งอกตั้งใจฟังให้ดีแล้ว เราจะต้องทำจิตให้เป็นกลาง ทำจิตให้เป็นกลาง อย่าเพิ่งไปคิดค้านอย่าเพิ่งไปคิดเห็นดี ทั้งไม่ค้านทั้งไม่เห็นดี แต่ให้เราใช้ปัญญาที่จะมีธรรมวิจัย หรือวิจัย วิจารไปพลางในขณะที่ฟังไปนั้น นอกนั้นมันจะดีหรือมันจะไม่ดีมันจะปรากฏผลบอกเรา ในสิ่งที่เราเดินเครื่องเพื่อที่จะทำธรรมวิจัยหรือแยกแยะทำมันนั้นอยู่ในจิตของเราเสมอ 

ถ้าเราไปคิดเสียว่า เราจะน้อมตามเสียทีเดียว หรือว่าเห็นขัดเสียทีเดียว มันก็จะกลายเป็นว่าเราไปตั้งจิตเพื่อ  1.เอนพร้อมจะตามไปง่ายทีเดียวก็ไม่ดี 2. จะไปขัดทีเดียวมันก็ดี เพราะฉะนั้นเราทำจะให้เป็นกลางจึงจะดี แล้วก็ฟังไปด้วยปัญญาใช้ปัญญาตรองไป คล้ายๆ ค่อยๆ พิจารณา พร้อมๆ กันไปเรื่อยๆ ตั้งจิตให้ถูก 

ชื่อเรื่องในวันนี้ตั้งเอาไว้ก็ดีมาก เพราะเป็นชื่อเรื่องที่ จะอธิบายกันได้ ละเอียดลึกซึ้ง ทั้งเป็นประโยชน์พร้อมที่เราจะเอาไปประพฤติปฏิบัติด้วย เห็นอย่างไร ที่ว่ามีดวงตาเห็นธรรม น่าฟัง น่าฟังทีเดียว เห็นอย่างไร คือสิ่งที่จะต้องอธิบายคำว่าเห็นอย่างไร เนื้อความจริงๆ อยู่ที่ว่า ที่ว่า มีดวงตาเห็นธรรม 

เพราะฉะนั้นก็เราก็มาจำเพาะเจาะจงลงไปถึงสิ่งที่ได้จำกัดลงไปแล้วว่าเราจะอธิบายกันสิว่า มีดวงตาเห็นธรรม 

คำว่า มีดวงตาเห็นธรรมก็เป็นภาษา หรือเป็นสำนวนที่เราใช้เรียกกัน ใช้พูดกัน สำหรับ จะบอกแก่ผู้ที่เกิดธรรมะนั้นในจิตเรา ใช้สำนวนในภาษาไทยว่า มี

ดวงตาเห็นธรรม หมายความว่า เกิดธรรมะนั้นในดวงจิต ไม่ใช่ดวงตาโทโร่ ที่มองอยู่ 2 ข้างนี้ ที่เราลืมโพรงโพรงอยู่นี้ไม่ใช่ อันนี้ต้องมา เรียกว่าต้องมาทำความเข้าใจกันให้มากเสียก่อนว่า คำว่าดวงตาเห็นธรรมนี้ และคำว่าเห็นธรรมนี้ ไม่ได้หมายความว่า กายรูปนอก แต่หมายความว่าข้างในดวงตา และเห็นเป็นรูปเป็นนาม คำว่าดวงตาหมายความว่า “รูป” คำว่าเห็นหมายความว่า “นาม” 

รูปนามอันนี้เป็นสภาพของจิต ดวงตาเป็นรูป เห็นเป็นนาม เมื่อผู้ใด         เกิดมีดวงตา เรียกว่า ผู้นั้นเกิดจักขุวิญญาณ เมื่อใดผู้นั้นมีดวงตา เรียกว่าผู้นั้นเกิดจักขุวิญญาณ และจักขุวิญญาณนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ตาเท่านั้นด้วย คำว่าจักขุ แปลว่า ตา แต่ไม่ได้หมายความว่าตา แต่หมายความ  เป็นวิญญาณเลยทีเดียวนะ ฟังให้ดี 

คำว่า จักขุวิญญาณนี้ อาตมากำลังแปลว่าดวงตา กำลังหมายความว่าดวงตา เพราะงั้นคำว่าดวงตานี้ อาตมาก็อธิบายลึกไปแล้ว ถ้าไอ้ลูกกลมๆ โท่โร่นี้เราเรียกว่าดวงตา หรือภาษาเราเรียกง่ายๆ เข้าใจอย่างภาษาโลก ต่อจากภาษาโลกที่ลึกเข้าไปอีกนั้น ดวงตาไม่ใช่ดวงตากลมๆ โทโร่นี้ แต่มันลึกเข้าไปถึงข้างในเรียกว่าจักขุวิญญาณ คือเป็นสภาพการรับรู้ การรับซับซาบเห็นได้ในจิต เรียกว่าจักขุวิญญาณ 

ที่นี้ จักขุวิญญาณไปเห็นสภาพ คำว่า เห็น คำนั้น สภาพคำว่าเห็นคำนััน เราเรียกว่า รูปารมณ์ เอากันง่ายๆ ก่อน รูปารมณ์ แต่คำว่าเห็น คำนี้เราจะจำกัดแค่ว่า รูปารมณ์เท่านั้น มันก็เข้าใจได้จุดหนึ่ง จุดเดียว จุดหนึ่งจุดเดียว ถ้าเราจะต่อไปอีกจากคำว่ามีดวงตาเห็นธรรม คำว่า ธรรม นั้นแน่นอนที่สุดไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเห็นแต่เฉพาะดวงตา เราไม่จำเป็นจะเห็นแต่เฉพาะรูปารมณ์ แต่เราจะรับความเห็นได้หมดทุกวิญญาณ วิญญาณมีถึง 6 วิญญาณ 

รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์ มีถึง 6 อารมณ์ หรือมีถึง 6 สิ่งที่จะให้เห็น ถ้าเราจะเอาเฉพาะแต่ว่าดวงตาซึ่งหมายถึงกายนอกนอกเท่านั้นเอง ธรรมะน้อยเดียวนิดเดียว มีวิญญาณจักขุวิญญาณอย่างเดียว อาตมากำลังไต่เข้าไปให้ลึกเป็นระดับนะ 

เพราะฉะนั้นคำว่าดวงตาคำนี้เป็นศัพท์โลกๆ ง่ายๆ ตื้นๆ แต่ความลึกมันจะเขยิบเข้าไปเรื่อยๆ มันจะไม่เกิดแต่เฉพาะดวงตา และอาตมากำลังตีความคำว่าดวงตาอย่างโลกทิ้งไป แต่จะไปเอาคำว่า ดวงตาอย่างธรรมะ และคำว่าดวงตาของธรรมะนี้มันลึกซึ้งเข้าไปจนกระทั่งถึง เป็นจักขุวิญญาณนั่นแหละ อาตมาให้ก้าวเข้าไปชั้นหนึ่ง

ตอนนี้ไม่ใช่จากจักขุวิญญาณแล้ว ลึกเข้าไปกว่าจักขุวิญญาณต่อเข้าไปอีกเป็น โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ และก็ กายวิญญาณ จนกระทั่ง ถึงมโนวิญญาณ ลึกเข้าไปหมดเลย 6 วิญญาณ 

เพราะฉะนั้นคำว่าดวงตาคำนี้ จึงกลายเป็นวิญญาณ ทุกวิญญาณแล้ว ตอนนี้ลึกเข้าไปแล้วนะ ตั้งต้นตามให้ดีนะ ถ้าตาไม่ดีก็เมาเลยนะ ถ้าเรา ฟังตามภาษาโลกๆ มันไม่รู้เรื่องดวงตาเห็นธรรมอะไร ดวงตาลืมโท่โร่ และเห็นธรรมมันไม่ใช่ภาษาธรรมะ อันนี้มันโลกๆ ธรรมดาๆ

เอาย้อนใหม่อีก มีผู้มาใหม่บ้าง ก็เป็นการซ้ำทบทวนอีก คำว่าดวงตา ไม่ได้หมายความว่า ลูกตากลมๆ ในภาษาธรรมะไม่ใช่ลูกตากลมๆ แต่ดวงตานี้หมายความว่า จักขุวิญญาณ อันแรกที่สุด ก็หมายความว่าจักขุวิญญาณก่อน คือสิ่งที่เข้าไปทำงานอยู่ข้างใน อะไรล่ะคือจิตหรือวิญญาณนี่ เราเรียกจำเพาะมุมหนึ่ง แง่หนึ่งเราเรียกว่า จักขุวิญญาณ 

ทีนี้คำว่าเห็น เราไม่เอาภาษาโลกๆ เห็นเพียงดวงตาเห็นแล้วก็มองเห็นรูปอยู่นี่เป็นโลกๆ แต่จะไปใช้กับธรรมะนั้น มันยังไม่พอ กับธรรมะนั้นสิ่งที่ไปเห็นนั้นเราไม่ใช้แต่แค่ดวงตาที่เห็น หลับตาก็สามารถที่จะเห็นธรรมได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นนั้นจึงไม่ใช่หมายความว่าเอาลูกตานี้มอง หลับตานี้ก็เห็นได้ธรรม เห็นด้วยอะไร เห็นด้วยจักขุวิญญาณ แล้วจักขุวิญญาณไปเห็นอะไร คำว่าเห็นคำนั้นก็คือ รูปารมณ์  เห็นสิ่งที่เป็นอารมณ์ที่รับอยู่ในจิตอีกทีนึง จักขุวิญญาณก็เป็นรูป อย่างที่อาตมาได้แยกแยะตั้งแต่ต้นแล้ว รูปารมณ์ก็เป็นนาม ฟังเท่านี้แล้วพวกที่เรียนรูปนาม บอกว่าเข้าไปเห็นรูปนั้นเมาแล้ว ถ้าใครแยกแยะดวงตาไม่ออกเมาแล้ว เมาเเล้ว เมาจริงๆ เพราะอาตมาไปบอกวิญญาณเป็นรูปเสร็จแล้วนี่ จักขุวิญญาณ อาตมาบอกว่าเป็นรูป ถ้าใครเรียนมา รูปกับนามหยาบๆ แล้วนั้นไม่เข้าใจหรอกตั้งหลักให้ดี 

จักขุวิญญาณ อาตมากำลังยืนยันเด็ดขาดว่า มันกำลังคือรูป และนำนามธรรมของจักขุวิญญาณคือรูปารมณ์ คือสิ่งที่เกิดเป็นผลต่อมาจากจักขุ เคยถอดให้ฟังแต่ก่อนนี้เคยซ้อนจิตเข้าไปอีกทีนึง รูปกับนามนี้ 

สิ่งนี้เป็นตัวถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้นั้นเป็นรูป สิ่งที่รู้ เป็นตัวรู้จริงๆ เลย ถ้าสิ่งนี้เป็นรูป สิ่งที่รู้จริงๆ เลยเป็นนาม  เพราะฉะนั้นขณะนี้ จักขุวิญญาณนี้เป็นรูป รูปารมณ์เป็นนาม รับรู้ รับรู้จากรูป จักขุวิญญาณเป็นตัวทำรูปขึ้นมา เป็นตัวทำรูปทำร่างขึ้นมาจากจักขุวิญญาณ แต่ไอ้ตัวที่จะรู้นั้นมันเป็น รูปารมณ์ เป็นตัวรู้ จักขุวิญญาณตอนนี้มันก็รู้ ขึ้นมาแล้ว

ย้อนใหม่ จักขุ เฉยๆ เป็นรูป จักขุวิญญาณเป็นนาม จากโลกมาหาธรรม ชัดๆ เลย จักขุ เรียกว่ารูป จักขุวิญญาณเรียกว่านาม

ต่อจากนี้อีก รูปตัวนี้ดับไปก็ทิ้งไอ้รูปหยาบทิ้ง ตาธรรมดาที่อาตมาว่าไม่ได้หมายถึงเพียงตานี้ จักขุวิญญาณที่เป็นรูป รูปารมณ์ ขึ้นมาเป็นนาม เกี่ยวข้องกันแล้ว ตอนนี้เราทิ้งแล้วจักขุธรรมดาทิ้งไปแล้ว จักขุวิญญาณเป็นรูป รูปารมณ์เป็นนาม

เพราะฉะนั้นตัวดวงตานี้จึงกลายเป็นจักขุวิญญาณ จักขุคือดวงตา แล้วก็จักขุวิญญาณเป็นนามอยู่ข้างใน ทีนี้พักดวงตาข้างนอกหลับตาเสียไม่ใช้แล้ว เเต่จะเห็นเหมือนกันเห็นด้วยจิตวิญญาณ จักขุวิญญาณก็เป็นรูป รูปารมณ์เป็นาม ลึกเข้าไปอีก 

เป็นสภาพที่จะซ้อนๆๆ ซ้อนลึกเข้าไป ถ้าเรารู้รูป รู้นามไม่ชัดหมดนะ เมา  เพราะฉะนั้นรูปนามไม่ใช่อัตตา จะไปยืนยันว่าสิ่งที่เป็นนามจะอยู่ตลอดกาล ไม่ได้ อาตมาบอกว่าจิตเป็นรูป เจตสิกเป็นนาม  อย่านะถ้างงก็หมายความว่าเรารู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นฟังปริยัติไปหรือฟังภาษาที่อาตมาอธิบายไปแล้ว เอาไปลอง พยายามอ่านดูให้ชัด สัมผัสดูให้จริงสิ อ๋อ ลักษณะรูปมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วยอย่างที่อาตมาว่ารับรู้ได้ เพราะนามมันเป็นตัวรู้ซ้อนเข้าไปได้จริงๆ มันก็จะลึกขึ้นลึกขึ้นจริงๆ 

จิตเป็นรูป เจตสิกเป็นนาม รูปเป็นรูป นิพพานเป็นนาม อาตมาเอาปรมัตถ์มาพูด ปรมัตถ์มันมีจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตอนนั้นอาตมาไม่เกี่ยง จิตกับเจตสิกเป็นรูปกับนามคู่หนึ่ง รูปกับนิพพานเป็นรูปอีกคู่หนึ่ง ตราบใดเราทำจิตให้เป็นรูปและมีเจตสิกเป็นนิพพานก็จบ ทำจิตให้เป็นรูป ทำเจตสิกให้เป็นนิพพาน จบเลย 

แล้วเจตสิกตัวนี้ทำให้เป็นนิพพานแล้วมันจะเหลือตัวที่เก่งที่สุดอยู่อันเดียว คือปัญญาเจตสิก หรือ ปัญญินทรีย์ตัวเดียว ตัวอื่นๆ ไม่ยืนอยู่หรอกตัวอื่นๆ เป็นเพียงตัวผ่านเฉยๆ แต่ตัวที่ยืนอยู่จะมีปัญญาหรือ ปัญญินทรีย์ เท่านั้นที่ยืนอยู่เราเรียกว่า เกิดญาณทัสสนะนั่นเอง 

แล้วปัญญาหรือปัญญินทรีย์ ถ้าใครเรียนอภิธรรมมาจะรู้เลยว่าตัวนี้เป็นตัวที่ 52 นะ เจตสิก มีทั้งหมด 52 ตัวเท่านั้นแหละ แล้วตัวเจตสิกตัวปัญญานี่แหละเป็นตัวที่ 52 เป็นตัวเล็กละเอียดที่สุดเลย นอกนั้นตั้งแต่ตื้นๆ ขี้กะโล้โท้ขึ้นมา ตั้งแต่ต้นๆ สิ่งที่เป็นหยาบๆ หนาๆ ตั้งแต่เป็นอกุศลไปจนกระทั่งอะไรต่ออะไรนั้นไม่ต้องล่ะ 

ถ้าเราไปนั่งท่องภาษามาก่อนก็ได้ ถ้าเราจับถูกฝาถูกตัว ถ้าเราไปนั่งท่องมาแล้วไม่ถูกฝาถูกตัว เราก็จะไปยึดติด ไปหลงในวิชชาอยู่เปล่าๆ แต่ถ้าเราปฏิบัติแล้วจับตัวให้ถูก โดยไม่ต้องใช้ภาษาให้รู้ว่า อ๋อตัวนี้เองคือรูป ตัวนี้เองคือนาม อาจจะภาษาแค่คำว่ารูปแค่นามก็พอ นี้แสดงอาการเป็นรูปอันนี้แสดงอาการเป็นนาม รู้ชัดก็จะจับถูกด้วยกัน 

ที่นี้มาหาเข้า คำว่าดวงตาเห็นธรรมอีกทีนึง ถ้าเอาตาจริงๆ มันก็มีเป็นเพียงแต่คำว่าดวงตากับเห็น ที่นี้เราจะเห็นธรรมะนะ อาตมาบอกแล้วว่าธรรมะไม่ได้มีอยู่แค่จักขุวิญญาณอย่างเดียว ธรรมะมันมีวิญญาณอื่นๆ เยอะแยะ จักขุวิญญาณก็มี โสตวิญญาณก็มี ฆานวิญญาณก็มี ชิวหาวิญญาณก็มี กายวิญญาณก็มี มโนวิญญาณก็มี มีถึง 6 วิญญาณ

ถ้าจักขุก็แปลว่าวิญญาณทางตา โสตะ ก็แปลว่าวิญญาณทางหู ฆานะ แปลว่าวิญญาณทางจมูก ชิวหา วิญญาณทางลิ้น กายะ คือวิญญาณทางกาย มโน คือวิญญาณทางจิต มีวิญญาณถึง 6 วิญญาณ 

แล้วจำพวกวิญญาณต่างๆ เมื่ออาตมายกมันมาเป็นรูปได้ โสตวิญญาณก็ต้องเป็นรูป ฆานวิญญาณมันก็ต้องเป็นรูป ชิวหาวิญญาณก็ต้องเป็นรูป กายวิญญาณต้องเป็นรูป มโนวิญญาณก็ต้องเป็นรูปหมด ไม่ใช่เป็นรูปแต่เฉพาะจักขุวิญญาณ เมื่อพวกนี้มีวิญญาณเป็นรูปหมดแล้ว มีนามของมันที่ควบคู่ซึ่งกันและกันทำงานร่วมกันอยู่ ก็จากโสตะ ก็เป็นพวก สัททารมณ์ ก็เป็นามของโสตะ เป็นนามของหู หู หรือว่า วิญญาณที่เกิดถ่ายทอดกันมาทางเสียง เสียงเป็นรูป จิตรับรู้เสียงนั้นเป็นนาม นี่พูดภาษาไทยๆ ถ้าพูดภาษาบาลีบาลีก็บอกว่า โสตวิญญาณเป็นรูป คือเสียง มันมาสัมผัสจิตแล้วก็รับรู้ จิตที่ไปปรุงแต่งสังขารธรรมเข้ารับรู้เป็น สัททารมณ์ สัททารมณ์ก็เป็นนาม คือรับรู้อาการของเสียงนั้น รสชาติของเสียงนั้น…เป็นอารมณ์จิตที่รับรู้เลย เรียกว่าอันนั้นเป็นนาม 

ถ้าเราไปรับรู้มัน โดยที่เรียกว่าเราเกิดอารมณ์กับมันแล้วก็เพลิดเพลินกับสุขเวทนา หรือทุกขเวทนา หรือไม่สุขเวทนาไม่ทุกขเวทนา แต่เป็น อทุกขมสุขเวทนา กลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข นั่นแหละ อาการอย่างนั้นแหละ อาการอย่างนั้นแหละที่เรียกว่า วิญญาณ ที่เรียกว่าวิญญาณ

อาการที่เรียกว่า มันเกิดสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เฉยๆ นั่นแหละเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณอย่างนั้นเป็นรูป เป็นรูป ฟังให้ดีนะตอนนี้กำลังจะไต่เข้าหาคำว่าธรรมะแล้วนะ ขณะใดเรารู้มันว่าเป็นสุขเวทนา ได้ยินเสียงอย่างที่ว่านี่ มันปรุงเป็นสุขเวทนา ไปรู้ตัวสุขเวทนาหรือมันจะปรุงเป็นทุกข์เราก็รู้ว่าขณะนี้เป็นทุกขเวทนา แหม เสียงด่านี้ไม่ชอบเลยเป็นทุกขเวทนาไม่ชอบเลย หรือเสียงนี้เป็นเพลง พี่ไปหลายวัน กำลังเข้าหูเลย ไพเราะ หรือ ตอนนี้เป็นเสียงของ ฉวีวรรณบานเย็น รากแก้ว ได้มาฟังก็ยิ้มขึ้นมาเลย ฟังแล้วก็ยิ้มเลย ไม่ทำอะไรแล้วตอนนี้เสียงบานเย็นรากแก่น เข้าไปแล้วเขามาแล้ว ก็ดูเขาไปเขามาเสียด้วยถึงขนาดนั้นนะ แฟนๆ 

ถ้าเสียง บานเย็น รากแก้ว มาเลย โห มาแล้วก็เอาละ อย่างนี้ก็เรียกว่าเรารัก ถ้าเราชอบมันก็สุข ต้องใจต้องอารมณ์ ต้องอารมณ์ก็สุข ถ้าเราไม่ชอบ แหม ขัดเคืองใจพูดไม่เข้าหูเลย หยาบคายบ้าง ไม่ชอบ มาด่าเราบ้างอะไร เราก็ไม่ชอบ เกิดทุกขเวทนาสุขเวทนาเหล่านี้เราเรียกว่า วิญญาณ 

ในขณะใดถ้ามันเกิดวิญญาณอยู่ เรารู้ไม่เท่าเรารู้ไม่ทัน เราจะไม่เกิดผลเกิดธรรมะเลย เราก็จะถูกวิญญาณนั้นครอบงำ สุข อร่อยก็สุข ทุกข์ แหม ทรมานอยู่กับทุกข์เรียกว่า ผู้นี้ถูกวิญญาณครอบงำอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นธรรม เรียกว่าถูกวิญญาณเล่นงาน 

วิญญาณแบบนี้เข้าสิงตัวคนทุกคน วิญญาณอย่างนี้เข้าทรงคนทุกคน ทุกคนกำลังเป็นคนทรงอย่างเก่ง แล้วก็ทรงวิญญาณอย่างนี้กันทั้งนั้น อย่าไปพูดถึงวิญญาณที่ร่องรอยเป็นหลวงพ่อโตบ้าง วิญญาณผีวิญญาณเทวดาองค์นั้นเจ้านี้มา ขอร้องกันที ศิษย์ตถาคตเอ๋ย อย่าไปวุ่นวาย อย่าไปฟุ่มเฟือย เสียเวลากับมัน โยนทิ้งเข้าป่าเลยสิ่งเหล่านั้น ดีหรือไม่ดีก็ช่าง อาจจะมีส่วนดีก็ได้ อาจจะมีส่วนเสียก็เยอะเราไม่เอา เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ทาง อาตมาใช้คำว่าไม่ใช่ทาง ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่สัมมาอาริยมรรค ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง 

สัมมาอาริยมรรคของพระพุทธองค์นั้น ให้เรียนตรงไหน ตอนนี้ข้ออ้างเข้าไปหาสูตรประกอบจะไต่เข้ามาหาวิญญาณ 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ใน มิจฉาทิฏฐิสูตร ท่านจะกล่าวไว้ว่าอย่างนี้ 

254] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับฯลฯ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละมิจฉาทิฐิได้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ

บุคคลรู้เห็นจักษุแล โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นรูป

โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นจักขุวิญญาณโดยความเป็น

ของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นจักษุสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง

จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่

เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิ

ได้ บุคคลรู้เห็นหู... รู้เห็นจมูก... รู้เห็นลิ้น... รู้เห็นกาย... รู้เห็นใจโดยความ

เป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นธรรมารมณ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงจึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นมโนวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นมโนสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยโดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ ฯ

พ่อครูว่า... คำว่าจักขุหมายความว่าเราเป็นตัวชื่อหลักเป็นตัวต้นทาง เป็นกายอันหยาบ เป็นกายอันใหญ่ที่อาตมาบอกแล้วว่าไม่ใช่ดวงตา โท่โร่ข้างนอกเท่านั้นถึงจะเป็นธรรมะนั้นหยาบมาก เพราะฉะนั้นใครไปยึดมั่นถือมั่นอยู่กับตาข้างนอกหยาบมาก ยังไม่เข้าหาธรรมเลย ยังเป็นกายนอกกาย แต่มันก็สืบต่อกันเข้าไปหาด้วยวิธีนี้แหละ 

จนกระทั่งเกิดจาก ดูจากตามันจะเห็นรูป พอมันไปเห็นรูปแล้ว ไอ้รูปที่เห็นในจิตนี่แหละ ภาพที่เห็นในจิตนี่แหละ ถ้ามันเกิดที่จิตนี่เเหละ มันเป็นกายในกาย 

ตาคุณมองขวดนี่ ขวดนี่ เป็นวัตถุข้างนอก ตาคุณคือจักขุ พอตาคุณมองขวดนี่ ขวดมันอยู่ข้างในนี้หรือเปล่า(ตัวเรา) มันไม่ได้อยู่ในนี้หรอก ขวดมันอยู่ข้างนอก แต่รูปหรือภาพที่เกิดในนี้ (ตัวเรา) อันนั้นแหละ เราเรียกว่า จักขุวิญญาณ อันนี้แหละเราเรียกว่า จักขุวิญญาณ มันไม่ใช่ขวดที่อยู่ในนี้ แต่ ไอ้จักขุวิญญาณอันนี้ มันก็ไม่มีเหตุมีผลอะไรมาก 

ในรอบแรกหยาบที่สุด ตาเรานี่ เราถือว่า กายนอก รูป เราถือว่าเป็นนาม คือรูปขวดเป็นนาม คู่ที่ 1 หยาบที่สุด 

พอต่อมา ถ้าคุณสักแต่รู้ขวดนี้ มันก็เฉยๆ คุณไม่มีรสชาติ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขกับมัน อาตมายกเรื่องขวด มันก็ยังไม่ค่อยเข้าที ยังไม่ค่อยซาบซึ้งเท่าไหร่ เอาอันนี้ดีกว่า  พอตาคุณเห็นรูป รูปเกิดในนี้เป็นจักขุวิญญาณ ถ้าคุณสักแต่ว่าเห็นรูปแล้วเฉยๆ คุณก็ไม่มีรสชาติ ไม่มีอะไรเลยบางทีจะไม่จำมันด้วย จนกว่าคุณจะเลื่อนชั้น พิจารณารูปให้ดีๆ พอเราพิจารณารูป เอาจิตเข้ามาพิจารณารูปอีกทีนึง คุณพิจารณาต่อๆ กัน คุณอาจจะดูมันก็ได้ ไม่ดูมันก็ได้ คุณก็จำมันได้แล้ว ไอ้รูปก็มีอยู่ในนี้ อารมณ์ก็เป็นนามเรียกว่าจักขุวิญญาณมันอยู่ในนี้แล้ว (ตัวเรา) แล้วคุณก็พิจารณาอีกทีนึง ไอ้ตัวที่พิจารณาเข้าไปอีกทีนี่แหละเรียกว่าตัวรับรู้จิต เราเรียกว่าเวทนา รู้ใหม่ตัวนี้เป็นกายในแล้ว กลายเป็นรูปไปแล้ว แต่คุณก็พิจารณาดอกบัวนี้อีกทีตอนนี้เป็นเวทนา พอรู้อีกทีหนึ่งตอนนี้คุณก็นึก คุณพิจารณาอีกทีแล้วคุณจะพิจารณาไปทำไม คุณก็พิจารณาว่ามันสวยหรือไม่สวยใช่ไหม 

บางคนพิจารณาว่าสวย เกิดแล้วสุขเวทนาเกิดทันทีในจิต ควรพิจารณาแล้วว่า แหม ไม่สวยดูไม่ได้เลย มันก็เป็นทุกขเวทนา หรือคุณก็พิจารณาแล้วเฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่แตะตาไม่เดือดร้อนเฉยๆ หรือคุณก็ไม่รู้เรื่องไม่มีปัญญาคุณก็เฉยๆ เกิดเป็นพวก สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนาต่างๆ พวกนี้แหละ เรียกว่าเรามีธรรมะเกิดจากนามและรูป นี่เป็นคู่ที่ 2 สุขทุกข์ขึ้นมาอย่างนี้… 

…1.  บุคคลรู้เห็นอายตนะ 12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจโต)  จึงละมิจฉาทิฏฐิได้ 

 2.  บุคคลรู้เห็นอายตนะ 12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นทุกข์ (ทุกขโต)  จึงละสักกายทิฏฐิได้ 

3.  บุคคลรู้เห็นอายตนะ 12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน (อนัตตโต) จึงละอัตตานุทิฏฐิได้ 

(พตปฎ. ล.18  ข.254 – 256) 

พ่อครูว่า... เราตัดจักขุภายนอกทิ้งเลยขยับเข้ามาหาภายใน เป็นรูปที่เกิดในจิตเป็นภายใน แล้วมีวิญญาณหรือจักขุวิญญาณเป็นนามรับรู้ต่ออีกที เลื่อนเข้าไปอีกทีนึง ตอนนี้คุณไม่ต้องดูรูปแล้ว คิดเองเลย ยกขึ้นมาเลยในจิต จักขุ ของคุณก็สัมผัสเลยว่า นี่รูปดอกบัว จักขุสัมผัสอันนี้ อาตมาเอาอดีตก่อนแล้วค่อยเอาปัจจุบันมาทำย้อนเข้ามาใหม่ เดี๋ยวสับสนไอ้เรื่องธรรมะ เดี๋ยวก็เอาจักขุสัมผัสแบบย้อนให้เอามาปัจจุบัน ตอนนี้ไม่ใช้ปัจจุบันขอไปหา รูปจิต อรูปจิตไปก่อน 

คุณมีสัญญาความจำคุณจำรูปนี้ได้แล้ว ตอนนี้คุณไม่ต้องอาศัยรูปทางตา โท่โร่ นี่ก็ได้ อาตมาอยากอธิบายเข้าไปลึกเข้าไปอีก เรียกว่า จักขุสัมผัสเกิดขึ้นปั๊บในใจ เกิดแล้ว คุณก็ต้องเห็น คุณจะไปอยู่ตรงไหนก็ได้รูปดอกบัว รูปนี้ คุณจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ โน่นไปอยู่ในวังก็ได้ อยู่ไหนก็ได้ แล้วก็ระลึกถึง รูปดอกบัวขึ้นมา จะเป็นจักขุสัมผัส ที่ไม่ต้องใช้จักขุเลย ตอนนี้จักขุอยู่ไหน สัมผัสได้ปั๊บคุณก็รับรู้ ตัวที่รับรู้ได้ดอกบัวอันนั้นก็เป็นจักขุวิญญาณอีกชั้นหนึ่ง วนไหมล่ะ เห็นไหมล่ะ ฟังให้ดี วนไหม เกิดจักขุวิญญาณอีกแล้วซ้อนอยู่ในจักขุวิญญาณอันนั้น ไปอยู่ในจักขุสัมผัสอันนั้น แล้วจักขุวิญญาณอันนั้นแหละ คุณต้องรู้อย่างเร็วด้วย ย้อนกลับไปหา เวทนาอีก จึงเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุข คุณก็เป็นพระพรหมเสพอารมณ์ได้เลย เป็นธรรมะแล้ว แต่ไม่ใช่ธรรมะที่เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม

ขณะนี้อธิบายธรรมะที่เกิดจากการรับสัมผัสและรับรู้เฉยๆ ยังไม่ได้ถึงขั้นเรียกว่า ดวงตาเห็นธรรมตามสำนวน ถ้าสำนวนดวงตาเห็นธรรมแล้วหมายความว่า ผู้นั้นรู้แจ้งธรรมชัดเจนว่าได้…จบเทป…การแสดงธรรมมีไว้เพียงเท่านี้ 

ที่มา ที่ไป

150000 จะมีดวงตาเห็นธรรมจนดับอวิชชาได้ด้วยวิธีใด-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง

พ่อท่านเทศนาที่วัดธาตุทอง ปี 2515 ไม่ทราบวันที่และเวลาเทศน์ 


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2567 ( 19:17:02 )

จะมีตัวแปรของธรรมชาติอะไรขึ้นมาอีกเหมือนกับโควิดเนี่ย มันก็จะขึ้นมาแสดงส่งเสริมอันที่มันก้าวหน้าไปอีก

รายละเอียด

ความจริงที่เป็นสัจธรรมของมนุษยชาติในสังคมที่เราทำได้ เราต้องพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้นกว่านี้ มันจะเป็นที่พึ่งของมนุษยชาติในโลก และมันเกิดโควิดอย่างนี้เป็นต้น จะเห็นความล้มละลายแล้วเขาจะมาสู่จุดสำคัญจุดนี้ เรายังมองไม่ออกถึงตัวแปรอะไรที่เจ๋งกว่าโควิดอีก เรายังไม่รู้ เป็นตัวแปรที่เกิดพรึ่บขึ้นมา แล้วอาตมายังไม่เชื่อว่าธรรมชาติที่จะเป็นตัวแปร โควิดมันก็เป็นตัวแปรหนึ่ง ไม่เชื่อว่าธรรมชาติที่เป็นตัวแปรต่อมาอีก คนจะมองไม่ออกเรื่องเป็นแง่ร้าย โควิด แต่คนมองออกจะเห็นแง่ดีของโควิด ฉันเดียวกัน จะมีตัวแปรของธรรมชาติอะไรขึ้นมาอีกเหมือนกับโควิดเนี่ย มันก็จะขึ้นมาแสดงส่งเสริมอันที่มันก้าวหน้าไปอีก เพราะว่าโลกกำลังเจริญไปสู่ความสูงสุด จนกว่าจะหมดยุค 5,000 ปี อย่างน้อยมันจะเกิดเจริญไปอีก ประมาณอย่างน้อย 400 ปีอาตมาทำงานมาแล้ว 50 ปี สูงสุดมันจะขึ้นไปถึง 500กว่าปีตามแพทเทิร์นที่ได้เขียนขึ้น พวกเราจะช่วยกันสร้างแล้วมีคนอื่นมาช่วยสร้างต่อ อัตราการก้าวหน้าจะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆในที่สุดแล้ว หมด มันก็จะค่อยๆลดลงไปหาความเสื่อมไปตามธรรมชาติสุด 5 พันปี อย่างรูปสามเหลี่ยมที่อาตมาเคยเขียนไว้นานมาแล้ว สรุปแล้วอาตมาก็ยังพยายามฝืนอยู่ ตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายไม่เสื่อมลงหรอก แต่มันยังไม่หายยังไม่เพลาลงจากเก่า แต่ไม่ทรุดลง มีคนช่วยเหลืออยู่อาตมาพยายามก็ดีขึ้น คิดว่าหาก 90 ก็ยังหนุ่มกว่านี้ แข็งแรงกว่านี้ ก็ช่วยฉลองหน่อยไปถึง 96 ปีก็อีก1 นักษัตร ก็จะฉลองอีก  

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 10:33:44 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:39:05 )

จะมีเกราะป้องกันภาวะทุกข์ที่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

รายละเอียด

ขณะที่คุณถามมันให้คุณรู้แล้วมันก็เป็นเกราะให้คุณได้แล้ว ถ้าจะบอกว่าให้คุณรู้ทัน คุณจะรู้ทันไหมมันก็ตอบไม่ได้ แม้จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว คำนี้อาตมาก็เคยพูด ถ้าผู้ที่มีสภาวะแข็งแรงมั่นคงตั้งมั่น นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) มันไม่มีปัญหาเลยจะรู้ตัวไม่รู้ตัว มันไม่เกิดรูปภาพมันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเกิดปฏิภาณที่จะโอภาปราศรัยรอบรู้หรือจะตอบหรือไม่ตอบ มันอาจจะรู้เฉยๆ เขาไม่ต้องการคำตอบ เราไม่จำเป็นต้องอธิบายแต่เรารู้ทันที คือเขาต้องการคำตอบที่จะช่วยเขาได้เราก็ตอบ คุณก็รู้ตัวอยู่คุณก็พยายามรู้มันจะช่วยได้ อย่าใจเร็วอยากได้ก่อนที่ควรจะได้ คุณกำลังพัฒนาอยู่ คุณจะได้เมื่อคุณได้ คุณยังไม่ได้ คงต้องพากเพียรต่อ ทำดียังไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 08:11:44 )

จะรู้พ้นอัตตวาทุปาทานต้องอ่านรูปนามให้เป็น

รายละเอียด

มันรู้แต่พยัญชนะ เอาดีๆ ฟังดีๆ อย่าเอาแต่พยัญชนะ แล้วเหตุผลของพยัญชนะเป็นตรรกะนี่แหละมันชวนเราชื่นใจนะ ชวนเรา โอ้โห เราเข้าใจ เราฉลาด ที่แท้คืออัตตวาทุปาทาน ยึดได้แต่แค่วาทะภาษาพยัญชนะเป็นอัตตาอยู่ นี่คืออัตวาทุปาทาน 

อัตวาทุปาทาน เขาแปลกันว่า ยึดอัตตา แต่เขาไม่ได้เข้าใจ นี้ส่วนใหญ่ เถรสมาคม ผู้เรียนรู้เปรียญ 9 ด๊อกเตอร์ทางศาสนาล้วนแล้วแต่เป็น อัตตวาทุปาทาน ทั้งนั้น ยึดได้แต่แค่วาทะ พยัญชนะเรื่องราว ความหมาย ความรู้เท่านั้นเป็นอัตตา ยังไม่ได้เข้าถึงสภาวะเลย เป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ทางศาสนาเยอะแยะ มีอุปาทานข้อที่ 4 นี้ หนัก! 

อุปาทาน 4

คือกิเลสความยึดมั่นถือมั่น 4 อย่าง

1. กามุปาทาน (ยึดมั่นในกาม)

2. ทิฏฐุปาทาน (ยึดมั่นในความเห็น)

3. สีลัพพตุปาทาน (ยึดมั่นในศีลและพรต)

4. อัตตวาทุปาทาน (ยึดมั่นในคำพูดเป็นตัวเป็นตน)

(พระไตรปิฎกเล่ม 12 "จูฬสีหนาทสูตร" ข้อ 156)

เพราะฉะนั้นอุปาทาน 4 ข้อ 1, 2, 3 ยังไม่ต้องพูดถึง ยังมีครบพร้อม เพราะในตัวที่ 4 นี้ยืนยัน ว่าได้แต่ผิวเผิน มีอัตตาอยู่แต่แค่วาทะ นี่คือตัวสุดท้าย อัตตวาทุปาทาน รวมความโง่เป็นอุปาทานยึดอยู่เต็มคราบเลย นี่แหละ ทีนี้มาอธิบายคำว่า นามกับรูป ถามมาก็ตอบไป 

นามคือธาตุรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ 

สิ่งที่ถูกรู้นี้จะต้องรู้ ภายนอกเราเรียกว่ากามาวจร ภายในเราเรียกว่ารูปาวจรหรืออรูปาวจร 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ทำตามลำดับต้องเอากามาวจรก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้ทางข้างนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นรูปข้างนอก แล้วปฏิบัติกิเลสที่เกิดจากข้างนอกให้ลดลง

กิเลสลด กิเลสดับข้างนอกได้แล้ว เหลือกิเลสเข้าไปข้างในเรียกว่ารูปาวจร ก็ต้องค่อยไปล้างกิเลสตัวนั้นต่อ ถ้ายังไม่สามารถดับกิเลสในกามาวจร ข้างนอก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้แล้ว หลับตาไปจะดับกิเลสในรูปาวจร อรูปาวจร นั้นเป็นการลัดขั้นตอน ไม่เป็นไปตามลำดับอย่างอัศจรรย์ มันเป็นการทำที่ผิดขั้นตอน หยาบ มันยังไม่ได้ แล้วจะไปทำละเอียด คุณจะบดทุเรียน มันต้องทำข้างนอกก่อนถึงจะไปถึงข้างใน อันนี้ทำไมถึงดันทุรังก็ไม่รู้ ไปทำข้างในก่อนข้างนอกมันได้ยังไง ศาสนาพระพุทธเจ้า ข้างนอกมันหยาบ ข้างในมันละเอียด จะไปทำละเอียดมาหาหยาบ มันจะได้ยังไง ไประเบิดข้างในแล้วข้างนอกก็พังด้วยเหรอ? บรรดาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้นจริงๆ เนาะ 

สู่แดนธรรมเขาเคยไปเรียนกับพระป่า ไปบวชทางโน้นมา เขาก็เลยรู้ผ่านมา อาตมาก็รู้ ก็ผ่านมา เคยอยู่กับพระทางพวกนี้ ที่นั่งปฏิบัติแบบนี้เหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นนามกับรูป ก็ง่ายๆ เป็นเบื้องต้นในการรู้ว่า นามคืออาการของจิต รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเกี่ยวข้องกันเรียกว่านามรูป คือกาย ปฏิบัติธรรมต้องมีกาย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมีนามมีรูป ต้องมีภายนอก-ภายใน นี่ก็อธิบายซ้ำซากไปไม่รู้เท่าไร 

หากเข้าใจไม่ได้ในคำว่ากาย คำว่านามรูป หรือภาวะ 2 เทวะ เข้าใจไม่ได้ ไปแยกส่วน โมฆะ! ไปเข้าใจว่ากายเป็นสรีระ ผิด! กายเป็นสรีระไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเรียนมา จะเป็นเปรียญ 9 จะเป็นด็อกเตอร์ จะเป็นปราชญ์ทางธรรมขนาดไหน ทางพุทธนี่แหละ ขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังแปลคำว่า สรีระ แปลว่า ร่างกาย ผู้นี้แสดงว่ายังเข้าใจกายไม่ได้ ยังไม่พ้นสักกายทิฏฐิ (สังโยชน์ 10) เพราะสรีระไม่มีกายเป็นแต่เพียงร่าง รูปร่าง เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณ  อสรีระ มโนวิญญาณนี่ อสรีรัง ไม่มีสรีระ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท่านตรัสไว้ชัด

เพราะฉะนั้นคำว่า จิตวิญญาณ ไม่มีสรีระ แต่สรีระก็ไม่มีจิตวิญญาณ สรีระไม่มีวิญญาณ ใครยังแปลสรีระว่าร่างกาย แสดงว่ายังไม่พ้นสักกายทิฏฐิ หรือไปแปลกายว่าร่าง ก็ไม่ได้ สรีระนั้นท่านมีแปลในพจนานุกรม สรีระ ท่านแปลว่า ซากศพ นี้ถูกต้อง สรีระคือซากศพ สรีระไม่มีจิตวิญญาณประกอบ สรีระคือ ซากศพถูกต้อง อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นคำว่า กาย คำเดียว เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมมาก จนกระทั่งกาย ก็กลายมาเป็นภาษาไทยสนิทแล้ว  แล้วก็เข้าใจกันผิดสนิทด้วย พากันเข้าใจเป็นภาษาไทย “กาย” แปลว่า สรีระ ผิด สรีระไม่มีกาย 

สรีระคือ ถ้ามีกาย มีสรีระด้วยได้ มีภายนอกด้วยได้ มีร่างร่วมด้วยได้ แต่จะไปแปลสรีระว่า ร่างกาย ไม่ได้ สรีระต้องแปลว่าร่างคำเดียว เพราะสรีระคือซากศพ อสรีรัง จิตวิญญาณไม่มีสรีระ เข้าใจชัดขึ้นไหม นี่คำตรัสพระพุทธเจ้า อสรีรัง  มีอะไรบ้าง มี ทูรังคมัง เอกจรัง อสรีรัง คุหาสยัง อนิทัสสนัง อนันตัง และ สัพพโต ปภัง นี้วิญญาณเป็นอย่างนั้น 

ลักษณะเฉพาะของจิตวิญญาณ 7

อนิทัสสนัง ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้  

อนันตัง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด 

สัพพโต ปภัง แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง 

ทูรังคมัง ไปได้ไกล (เดินทางไวกว่าแสง) 

เอกจรัง ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร 

อสรีรัง ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง 

คูหาสยัง อาศัยกายเป็นขอบเขตคูหากำบังอยู่ 

พระไตรปิฎก เล่ม 9 "เกวัฏฏสุดร" ข้อ 350 - พระไตรฎกเล่ม 25 "จิตตวรรค" ข้อ 13

เพราะฉะนั้นต้องศึกษาดีๆ ไม่ใช่ง่าย เพราะไม่งั้นสับสน ยุคนี้มันเสื่อม  ศาสนาพุทธมันเสื่อมมาก แล้วก็เข้าใจผิดกันเยอะ 

เรื่องนามกับรูปไปด้วยกัน แต่ก็แยกกันได้ เวลาอธิบายให้ชัดเจน แต่ไม่แยกกันในเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติต้องไม่แยกกัน แต่จะแยกมาเป็นความรู้ได้ หรือแม้ที่สุดแยกได้ในการทำใจในใจสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ ทำใจให้เป็นอุตุก็แยกได้ ทำใจให้เป็นพีชะก็แยกได้ ทำได้ ใจของท่านก็เป็นจิตนิยาม ถ้าท่านทำให้เป็นพีชะ ทำไปเป็นุอุตุ ท่านทำได้ นี้พระอรหันต์ทำได้ แยกได้และทำได้ ผู้ทำอย่างนี้ได้ก็ "จบกิจ” อรหันต์ 

ฟังดีๆ นะ ที่อาตมาอธิบายนี้ ธรรมะพุทธเจ้า ชัดเจนที่อธิบายถึงอภิธรรมต่างๆ พวกนี้ อธิบายอย่างภาษาอาตมา ไม่ได้อธิบายอย่างภาษาอภิธรรมที่ท่องมาตามตำราแล้วก็ไป ออกนอกตำราไม่ได้นะ เพราะว่าเขาเป๊ะๆ เลย ยิ่งนักวิชาการ คำนี้ต้องแปลอย่างนี้เลยนะ อย่าไปแปลอย่างอื่นนะ ถ้าแปลอย่างอื่นไปไม่ถูกเลยทีนี้เดี๋ยวหลงทางพากันเข้าป่าเลย 

แต่ที่อาตมาพูดนี่ พูดภาษาตามปฏิภาณ เอาสภาวะเป็นหลัก ไม่ได้ติดยึดในภาษา โดยเฉพาะภาษาสมัยนี้ภาษาของพวกเราสมยุค สมสมัย ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล ยุค ดิจิตอลวอลเล็ต (กระเป๋าเงินดิจิตอล) ของนายกเศรษฐา เอาละไปเรื่อย พอ 

เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้จักสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้ได้ตั้งแต่มันเป็นอุตุ ข้างนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น 

พืชที่ตัดออกมาจากเชื้อชีวิตมันแล้ว มันตาย อย่างผลหมากรากไม้ ต้นไม้ที่ยังไม่ได้ออกจากดินยังอยู่เป็นชีวะ เราก็รู้มันมีชีวะหรือไม่มีชีวะ เราก็จะเข้าใจธรรมะนิยาม 5  โดยเฉพาะธรรมะนิยาม 5 นี้ ถ้าไม่เข้าใจสภาวะธรรมนิยาม 5 อย่างถูกต้อง ไม่มีทางเป็นอรหันต์

เพราะฉะนั้นธรรมะนิยาม 5 นี้ ท่านเรียกว่าเป็นมูลกรรมฐาน 5 มาบวชแล้วจะต้องไปนิพพาน ผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องเข้าใจแยกกายแยกจิตในธรรมนิยาม 5 ให้ได้ ถ้าแยกกายแยกจิตในธรรมะนิยาม 5 นี้ไม่ถูก ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอรหันต์ อาตมาก็อธิบายไปจนไม่รู้กี่ ตลบแล้ว 

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะเอาอันใดมาจะอธิบายก็ได้ เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย เมื่อไหร่เป็นจิต เมื่อไหร่จิตทำให้เป็นกาย เมื่อไหร่จิตที่ทำให้ไม่มีกาย ทำให้ไม่เป็นกาย เป็นอุตุ เป็นพีชะ จิตต้องรู้  จิตต้องทำได้ ทำได้ในปัจจุบันนี้จึงจะเป็นอรหันต์ 

อุตุไม่ใช่จิต ไม่ใช่ชีวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ต้องแยกให้ชัดเลยว่าจิตของคุณที่จะมีลักษณะอุตุ เป็นอย่างไร 

ลักษณะของอุตุคือ มันไม่มีความรู้สึก มันเป็นพลังงานฟิสิกส์เป็นพลังงานทางวิทยาศาสตร์โลกเขาเข้าใจ เป็นพลังงานของสสารกับพลังงานเท่านั้น ไม่มีชีวะอะไร อุตุดินน้ำไฟลม เป็นต้น 

พอเริ่มเป็น พีชะ มีชีวะขึ้นมา มีธาตุรู้ในตัวมัน เรียกว่ามีสัญญากับสังขาร เป็นพลังงานสัญญากำหนดรู้สังขาร สังขารตัวมันเองแล้วมันก็เลือกธาตุที่จะมาสังขารให้ตัวมันได้ เป็นชีวะ แต่มันไม่ไปรบกวนใคร ไม่เป็นโทษภัย ไม่จองเวรจองกรรม ไม่เป็นภัยกับใคร ไม่มีวิบาก 

เพราะฉะนั้นถ้าคนเข้าใจไม่ได้ว่า ต้องทำพลังงานจิตให้เป็นพืช  นั่นคือฐานไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์ พืชไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ มีแต่สัญญากับสังขาร อาตมาก็อธิบายมาหมดแล้ว พอมันมาเป็นจิตนี่แหละ จะเป็นตัวรู้ที่รู้ครบ รู้ภาวะลักษณะที่เป็นอุตุ รู้ภาวะลักษณะที่เป็นพืช แล้วทำจิตในจิตของเราเป็นพวกนี้ได้อาศัย คุณทำให้อาศัยเป็นพืช คุณก็ไม่ทุกข์ไม่สุข จนสามารถทำจิตนี่ให้เป็นอุตุได้ ก็แยกธาตุจิตเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมได้ คุณจะตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิต ไม่ให้จิตมันเกาะกุมกันเป็นแม้พืช ก็ไม่เหลือ แยกปล่อยวางหมดเลย คุณก็หมด ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเลย 

อาตมาก็อธิบายไปหมดแล้ว ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอีกอันหนึ่งก็คือ ไม่มีใครในยุคนี้อธิบายอย่างอาตมาได้ จบเปรียญ 9 จบ Post Doctor มา ในทางศาสนาพุทธนี่แหละ คุณจะไปเอา Post Doctor มาจากเทวนิยมอีกกี่ใบก็ตาม แม้แต่ในเมืองไทย ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอย่างนี้ อาตมาได้พูดไปหมดแล้ว ในหนังสือเรื่อง “เกิดมาชาตินี้” สารภาพพวกนี้ไว้หมดแล้ว ไว้ค่อยอ่าน เขียนจบไปแล้วล่ะ ให้เขาไป Edit แล้ว 

เถียงมาก็เอาพระไตรปิฎกยื่น อาตมาเอาจากไหนมาอธิบาย ถ้ามันไม่มีในความรู้ของอาตมา แล้วอาตมาจะเอาความไม่รู้มาอธิบายความรู้มันได้ไหม มันไม่ได้ มันก็ต้องมีความรู้ แล้วความรู้อาตมาเอามาจากไหน ก็เรียนมาพระไตรปิฎกก็อ่านภาษาไทยได้ทั้งนั้นเหมือนกันหมด หลายคนอาจจะอ่านภาษาไทยเก่งกว่าอาตมา อาตมาอ่านยากอ่านช้า อาตมาไม่ใช่นักศึกษา แต่อาตมาเป็นนักมีความจริง อาตมาไม่ใช่นักศึกษา มาชาตินี้ไม่ได้เป็นนักศึกษายิ่งใหญ่อะไรเลยแล้ว ก็ไม่ค่อยจะได้ศึกษา ไม่ถนัดการศึกษา ถนัดการแสดงออก เอาความจริงมาเปิดเผย ขนาดนั้นเวลาก็ยังไม่พอ ทำงานมาขนาดนี้ก็ยังได้แค่นี้ ไม่เก่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ถือศีลให้รู้รูปนาม ให้เกิดปัญญาจนอวิชชาหายไป วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2567 ( 19:12:33 )

จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตไม่สุขไม่ทุกข์

รายละเอียด

คุณจะรู้ว่าจิตตัวเองไม่สุขไม่ทุกข์ อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำที่อาตมาบรรยาย แล้วเอาไปอ่านอาการความจริงของจิต ว่า จิตมันไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ  วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 14:58:03 )

จะรู้ได้อย่างไรว่าเจริญ

รายละเอียด

เพราะความเจริญไม่มีหลักวัดเทียบได้ว่า คุณเจริญหรือไม่ คุณทำจิตให้เจริญตามศีลได้หรือไม่ จะรู้ได้อย่างไรว่าเจริญ ก็ต้องมีศีล ถึงจะรู้ว่าคนนี้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ ทุกวันนี้เขาทิ้งศีล เอาแต่ศึกษาโลกียะ ตามโลก มันไม่ใช่ ความเจริญของจิตมนุษย์แต่ละชาติ สร้างความหลงโลกีย์มาก พุทธศาสนิกชน จะไม่ได้อะไรจากศาสนาเลย ต้องโทษผู้สอน ผู้ดูแลศาสนานะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ยังค้าขายเนื้อสัตว์จะเป็นโสดาบันได้ไหม


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:43:35 )

จะลดความติดในอาหารรสจัดจ้านอย่างไร

รายละเอียด

ต้องพยายามเห็นความจริงให้ได้ ความจริงในภาษาพยัญชนะที่พูดพระพุทธเจ้าก็ดี ผู้รู้ต่างๆ ก็ดี ก็ต้องเข้าใจให้ได้ว่าพวกนี้มันเป็นของเก๊ ของปลอม ของหลอก รสอร่อยมันไม่มี มันรู้สึกอร่อย ความหมายคำว่าอร่อยก็คือ ชอบใจ อ่านอาการตรงนี้ อาการชอบใจ ชื่นใจนิดๆ ชื่นใจมากๆ รู้ง่ายกว่า ชื่นใจนิดๆ ก็ไม่มี มีแต่ความรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า อันนี้มันรสหวาน อันนี้มันรสเค็ม อันนี้มันรสเปรี้ยว อันนี้มันรสเผ็ด อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้ตามจริง ถ้าหวานมากเราไม่ชอบก็ไม่เอา เอาหวานพอสมควร เค็มมากก็ไม่ชอบ ชอบเค็มน้อย เปรี้ยวมากก็ไม่ชอบ 

คนที่ชอบรสจัดๆ ตายง่ายทั้งนั้น พวกโรคเอาไปกินทั้งนั้น พวกจัดๆจ้านๆ เป็นพวกเลยเถิดเป็นพวกสุดโต่ง ปรุงแต่งให้จัดจ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสีสันรูปร่าง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรที่จัดจ้านมากยิ่งขึ้นอะไรใหญ่มากยิ่งขึ้น และก็จะยิ่งขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นพญานาค ก็จะดำดิ่งลงไปหายไปใน พญานาค หลงทางไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย คือลงบาดาลมืดเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เอื้อไออุ่น วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:20:03 )

จะลดอุปาทานต้องปฏิบัติตามจรณะ 15

รายละเอียด

เอา “มาเหนือเมฆ” เราไปกันบนพื้นดิน ไม่ต้องไปถึงขั้นเหาะเหินเดินเมฆอะไร ไปกับพื้นดินเรานี้แหละ 

ขอต่อเรื่องที่ มีคนที่มีความเชื่อมีอุปาทาน ความยึดติดในนามธรรม นามธรรมเป็นสิ่งที่ซ้อน นามธรรมคือจิตของเรานี่ ไปประหวัดถึง ไปคิดเอาเอง เป็นนิรมานกาย เป็นกายที่เนรมิตเอง จะเป็นอะไรก็ตามแต่ สมมุติชื่อไปสารพัด จะเป็นผี เป็นสาง เป็นเทวดา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นจตุคามรามเทพ เป็นครูกายแก้ว เป็นอะไรๆ พวกนี้ มันเป็นเรื่องนิรมิตเอาเอง แล้วก็หลงว่ามีอำนาจ มีฤทธิ์ มีเดช มีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ศัพท์เรียกว่า "อุปาทาน” คือการยึดถือ ติดยึด ตรึง ยึดติดตั้ง ไปสมมุติว่ามันมี มันมีฤทธิ์แรงอย่างนั้น มีอิทธิพลอย่างนี้ เก่งอย่างโน้น เก่งอย่างนี้ อะไรต่างๆ นานา เขาก็เชื่อกันไป ตั้งแต่เชื่อ เชื่อแม่น้ำ เชื่อทะเล เชื่อภูเขา เชื่อต้นไม้ เชื่อจอมปลวก กราบเคารพบูชา คนไทยทุกวันนี้ก็ยังกราบเคารพบูชาอะไรพิสดาร แปลกๆ ก็เชื่อว่ามันมีฤทธิ์มีเดช กราบต้นกล้วย กราบต้นมะพร้าว กราบต้นหญ้า กราบต้นนั่นต้นนี่ที่มันออกผิดประหลาดมาหน่อยก็กราบไปหมด อะไรอย่างนี้เป็นต้น 

มันเป็นความไม่มีปัญญา ไม่รู้จัก และมันเป็นการตะกละตะกลาม มันเป็นการยึดถือคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะประทาน มันเป็นเรื่องเทวนิยม 100% สิ่งเหล่านั้นจะมีอำนาจมีฤทธิ์จะประทานโชค ประทานลาภ ประทานอะไรต่ออะไรให้เราได้ดังประสงค์ ตามที่เราอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นเทวนิยม มันเป็นเรื่องของโลกธรรม ธรรมดาๆ นี่เอง สำคัญที่สุดคือจิตมันอยากได้ ยังมีความไม่พอ มันอยากได้ อยากได้อะไรก็แล้วแต่ อยากได้เงินได้ทอง อยากได้ลาภได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุข อยากได้ของงามๆ อยากได้ของอร่อย อยากได้ของไพเราะ อยากได้อะไรๆ มาบำเรอเสพสมกิเลสของตนเอง เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ที่รู้ความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านั้นทั้งหลายเป็นมายาสุขทุกข์ 

สรุปลงตรงสุขตรงทุกข์ ไม่ได้ก็ทุกข์ดิ้นรนอยากได้ ได้มาก็เสพสมก็สุข แค่นั้นเอง ถ้าหมดสุขหมดทุกข์ หมดเสพสมสุขสม หมดบำรุงบำเรอกิเลส หมดอยากแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย จบ เป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงว่ามันเป็นเรื่องหลอก เรื่องความสุขรวมลงที่ความสุข คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่เราไปหลงปั้นขึ้นมา หลอกตัวเองเป็นผีหลอก เป็นมายา ให้มันมีตัวตน มันก็มี 

ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ แล้ว ค่อยๆ ลดไปทีละขั้นทีละขั้นตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา แต่ละสิ่งตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดไปจนกระทั่งหมด ก็จะรู้แจ้งเห็นจริงว่าไม่มีเลย จบกิจเป็นอรหันต์ สวรรค์ทั้งหมดมันไม่มี สวรรค์เป็นของปลอม สวรรค์ไม่มี นรกมันก็ไม่มี ถ้าไม่มีสวรรค์ นรกก็ไม่มี ไม่มีสวรรค์จะขึ้นก็ไม่มีนรกจะตก อยู่ที่เดิมที่กลางๆ ถ้ามีสวรรค์-นรกก็มี สวรรค์สูง-นรกก็ต่ำ สวรรค์สูงขึ้น-นรกก็ยิ่งต่ำลงไป เป็นธรรมดาๆ เป็นคู่กัน เพราะฉะนั้นควรศึกษามาเรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วไล่เรียงเลิกไปทีละขั้นทีละขั้น ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 เลิกแค่นัยยะของศีลข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 นี่จะครบมิติ ของความติดยึดกันบริบูรณ์แล้ว นอกนั้นมันก็จะเป็นส่วนขยายออกไปเท่านั้นเอง จาก 3 เส้า (1)-(2)-(3) เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 จับคู่มุมสามเส้า (4)-(5)-(6) จับสามเส้ากันอีกจนเป็น 9 ไปกันอีก ถ้าขยายออกไปอีก เป็น 11 ก็ไปหา 20 อย่างนี้เป็นต้น ไปอีก ซ้อนเป็นการยกกำลังซับซ้อนไปอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1 วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2566 ( 11:37:09 )

จะละกิเลสจริงในปัจจุบันได้ต้องมี อนุปัสสี 4

รายละเอียด

อนิจจานุปัสสี ปัญญาตามเห็นความไม่เที่ยง สภาวะ 2 ทุกอย่าง ไม่มีอะไรเที่ยง ทีนี้มันไม่เที่ยง ที่ไม่มีปัญญา เขาก็รู้ได้เดาได้ มีปฏิภาณก็พอรู้ทั้งนั้นว่ามันไม่เที่ยง แต่ไม่เที่ยง ผู้รู้จะเห็นความไม่เที่ยง ตามรู้ อนิจจานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยง โดยเจาะลงไปที่กิเลสเลย จิตก็ตาม กิเลสก็ตาม ก็คือส่วนหนึ่งของจิต ปลอมตัวเป็นจิต ไม่เที่ยงและไม่แท้ เป็นอาคันตุกะ เป็นพวกจรเข้ามาอยู่ในจิตเรา เขาเรียกว่า แขกจร ไม่เที่ยงไม่แท้ 

ปัญญา ธาตุปัญญา มันมีพลังงานอำนาจรู้จักความไม่เที่ยงนี้แหละ รู้โดยเฉพาะ ยิ่งตัวไม่แท้คือกิเลส เฮ้ย! เอ็งอย่าปลอม เอ็งอย่ามาเสนอหน้า ปัญญามันจะรู้จริง อธิบายไปแล้ว เท่านั้นแหละ กิเลสมันหายกิเลสมันลด หรือหากว่ายังไม่มีอำนาจประสิทธิภาพพอ กิเลสมันก็จะค่อยๆ จางคลายลง วิราคานุปัสสี ไม่ใช่ว่าไปนั่งกดข่ม แล้วก็ตามเห็นใน อานาปานสติสูตร อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี 

พวกนี้ มันเป็นลำดับที่แท้จริงเลย มันเป็นลำดับของสัจธรรม คุณจะตามเห็นเรียกว่า อนุปัสสี เห็นโดยปัญญาญาณ แล้ว เข้าไปรู้ตั้งแต่อนิจจัง มันไม่เที่ยง โดยเฉพาะกิเลสนี่แหละไม่เที่ยงเพราะมันไม่แท้ กิเลสมันไม่ใช่ตัวจิต กิเลสมันเป็นอะไรไม่รู้ แอบแฝงเข้ามาอยู่ในจิตเรามานานแล้ว พอปัญญามันเกิดจริง มันเห็น มันก็ไม่อยู่รอหน้า ยังไม่มีอำนาจมากก็แค่ วิราคา ลดลงจางคลายลง จนกระทั่งมันดับได้ด้วย นิโรธานุปัสสี ดับได้ด้วยจริงๆ ไม่มีกิเลสตัวนี้ในจิตได้ ก็เข้าใจเลย ที่นี้ก็เลยทำตามอย่างที่ว่าด้วย ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำตามนิโรธานี่แหละ ก็ทำกลับไปกลับมา ทวนไปทวนมา จนสำเร็จเรียบร้อยเป็นอัตโนมัติ อนุปัสสี 4 ในอานาปานสติ ตัวอนุปัสสี 4 เป็นยอดในการปฏิบัติ คนไปนั่งหลับตาปฏิบัติเขาก็ทำเขาก็เห็นเขาก็รู้แต่มันเป็นสมถะ มันไม่ได้เป็นวิปัสสนามันไม่ตื่นเต็ม อนุปัสสี เห็นตามทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและเห็นกิเลส มันเกิดจริง หลับตาปฏิบัตินั้นไม่เห็นกิเลสจริง มีแต่ความจำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 11:44:07 )

จะสัมมาทิฏฐิต้องมีปรโตโฆสะ กับโยนิโสมนสิการ

รายละเอียด

ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่อง “ทิฏฐิ” ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 497 ว่า ผู้ที่จะ “สัมมาทิฏฐิ” ได้นั้น จะต้องเป็นผู้มี “ปรโตโฆสะ” นั้น 1  และต้อง “โยนิโส มนสิการ” นี้อีก 1

มีธรรม 2 ข้อ นี้เป็นเครื่องชี้บ่งยืนยัน ที่จะตัดสินคน ผู้จะมี

 “สัมมาทิฏฐิ” ได้นั้นต้องมี “ปรโตโฆสะ” กับ “โยนิโส มนสิการ”

ผู้ที่ไม่ต้องมี ปรโตโฆสะ (ไม่ต้องฟังคำพูดของใครอื่น) นั้น เพราะเป็น “เจ้าของธรรม” ก็คือ “พระพุทธเจ้า” แต่ผู้เดียว ซึ่งเป็น “สยัมภู” แท้ๆ

“สยัมภู” คือ พระผู้เป็นเอง พระผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง 

พระผู้ทรงประพฤติปฏิบัติด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่เริ่มได้รู้ได้ยินได้ฟังความเป็น “โลกุตรธรรม” และได้ติดตามศึกษากระทั่งจิตเกิด “อัญญธาตุ” 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 412 หน้า 298


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 21:33:41 )

จะสู้ใจตัวเองได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิและปฏิบัติมีมรรคผล

รายละเอียด

หากไปนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นสมาธินอกรีต แล้วไปหลงว่า ผู้ที่ทำแบบนี้เป็นอรหันต์ แท้จริงแล้วเป็นอรหันต์เก๊ น่าสงสาร ที่ปฏิบัติกันในวงการศาสนาไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาส ที่เขายกย่องบูชากันในวงการ ถ้ายังฟังอาตมาไม่เข้าใจ ไม่สะดุ้งสะเทือนว่านี่สอนปฏิบัติมาตลอดไม่ได้ปฏิบัติตามพระอนุสาสนี คุณฟังธรรมะไม่เข้าใจ อย่างน้อยเพ่งโทษอาตมาว่าไม่มีปัญญารู้สัจธรรม แต่หากตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังละภะเตปัญญัง จะสู้ใจได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรมมีมรรคผล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู (ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน หลวงปู่สู้ใจตนเองอย่างไร


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:45:29 )

จะหมดความรู้สึกกลัวเวลาถูกเจาะเลือดได้อย่างไร

รายละเอียด

ตอบไม่ได้เหมือนกัน อาตมานี่นะ ตั้งแต่ตอนยังอายุไม่มากเท่าไหร่ เห็นเลือดไม่ได้เป็นลมเลย ดูภาพเท่านั้นนะไม่ใช่เจาะเลือดตัวเอง เสร็จแล้วตอนหลังก็ค่อยๆหายไป จนกระทั่งมาศึกษาธรรมะก็รู้ว่าเลือดมันก็ธรรมดา ก็ไม่ได้เกิดความเสียวอะไร อาตมาก็ตอบไม่ได้ว่าคุณจะหายเมื่อไหร่ เพราะว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการอวิชชาที่เรายึดติดว่ามันน่ากลัว เขาจะจิ้มเอาเลือดมันก็รู้สึกเจ็บเท่านั้นเองมันเป็นเวทนาเป็นความรู้สึก ถ้าเราจะสะกดจิตไม่ให้รับรู้สึกจะฝึกตนเองไม่ให้เกิดผัสสะ ไม่เกิดอาการรู้ตามแบบสมถะก็ฝึกมันก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่คนไม่ฝึกมันก็เป็นธรรมดา ถูกนิดหน่อยก็รู้สึกมากแล้ว มากไปหรือน้อยไปก็ได้ไปในทางไหนก็แล้วแต่ ก็เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่าเลือดก็คือธาตุชนิดหนึ่งในร่างกายที่มันย่อมมีเป็นธรรมดาธรรมชาติ ถ้ามันเกิดอะไรที่ทำให้มันไหล มันก็ไหลออกได้ตามที่ควรไหลเป็นธรรมดา ถ้าเราเข้าใจแล้วมันก็จะหายกลัว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 21:16:21 )

จะหายหลงผิดในความหลงว่าบรรลุธรรมได้อย่างไร

รายละเอียด

คนที่หลงตนเองว่าเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี จะหายจากความหลงได้อย่างไร นี่คือประเด็น ก็ต้องบอกคนที่หลงนั่นแหละ ต้องให้คนที่เขามีศรัทธาหรือให้ฟังสัตบุรุษผู้ที่อธิบายแนะนำให้ปฏิบัติธรรม ให้ฟังบ่อยๆ ฟังอย่างดีจึงจะได้เข้าใจและหายจากความหลง แต่จะให้เขาเกิดความเสียหายจากความหลงเองไม่มีทางเลยอย่าไปหวังตายแน่ไอ้หวัง หวังไม่ได้ ต้องให้ฟัง ก็ประเด็นนี้แหละคุณจะต้องได้ฟังจากพระพุทธเจ้าที่เป็นคำสอนโลกุตระ ถึงจะหายจากความหลง เรื่องพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี คุณจะพูดเอาแต่ปากไม่ได้ จะต้องไปฟังจากพระพุทธเจ้าหรือผู้ที่เป็นสัตบุรุษผู้อยู่ในฐานะครูที่มีสัมมาทิฏฐิ อธิบายจากผู้รู้ที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆ คุณจึงจะได้รับความรู้และเอาไปแก้ไขปฏิบัติจึงจะหายเลย ปฏิบัติแล้วได้ผลคนจึงจะรู้ว่าสิ่งที่เรายึดติดมาก่อนนี้มันผิดคุณถึงจะหายหลง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 09:17:04 )

จะอยู่ช่วยทางบ้านฝึกเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ ได้หรือไม่?

รายละเอียด

ตอนนี้คุณเข่งเขาอยู่ปาดังเบซาโน้น เขาไปเยี่ยมญาติทางโน้นเขาเรียกร้องให้ไปหา เขาก็ไป ไปอยู่นอกวัดหลายวัน หลายเดือนแล้ว

ตอนนี้ คุณเข่งนี่เขาก็ได้ไปมีประสบการณ์ ประสบการณ์จริง ก็อยากจะช่วยพี่ช่วยน้องนะ พี่น้องแท้ๆ เขา..สายโลหิต พี่น้องเขาก็เรียกร้องให้ไปบ้าง ฐานะของพี่น้องเขาก็เป็นเศรษฐีร้านทอง ที่ปาดังเบซาร์ เป็นเศรษฐีร้านทองมานานปีเลยนะ อายุของเข่งเขาก็ 70 กว่าแล้ว พี่เขาทั้งนั้น คิดดูสิอายุเท่าไหร่ พี่เขาก็ตั้งเท่าไหร่ ลูกหลานเขาต่างก็อยู่ที่นั่น เขาก็อยู่กับโลกีย์อย่างเต็มรูป เขาก็พยายามฝึกฝนตัวเขา ฝึกเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ อย่างที่ว่า 

ตื่นเช้ามาก็พูดเรื่อง เงินๆทองๆ แต่พวกเราตื่นขึ้นมาก็ไปฟังธรรม เงินทองไม่ได้แยแส ไม่ได้คำนึงอะไร ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนช่วยรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  เรื่องบุญก็ศึกษาเอาของใครของมัน เออ มันก็สบายพวกเรานี่นะ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ บรรลุธรรมไปตามวรรณะ 9 หรือว่าพุทธพจน์ 7 แท้ๆจริงๆ ของเรา มันก็จริง พิสูจน์อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่า มันตรง มันจริง มันมีมรรคผลจริงไหม ก็ว่ากันไป 

นี่ก็เป็นการรายงานผลที่มีประสบการณ์ของคนพวกเรานี่แหละ เอา ยังแข็งแรง ยังจะสู้อยู่ จะช่วยพี่น้องตามที่หวัง เมื่อไหร่มันหมดหวังหรือว่า โอ้โห.. หรือว่า พอแล้ว พอแล้ว หวังได้แค่นี้ ได้แค่นี้ ก็เอาแล้ว เมื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ก็มา ถ้าเผื่อว่ายังสู้ได้อยู่ จะอยู่สู้  อยู่ช่วยพี่ช่วยน้องอยู่ก็เอา ลองดูเป็นโพธิสัตว์ในหมู่นั้น 

ที่จริงการช่วยพี่ ช่วยน้อง ช่วยยาก เพราะว่าถือว่าเป็นพี่เป็นน้อง มันสนิทสนม ยิ่งเป็นพี่ด้วย..โอ้โห..ไม่ง่ายหรอก ช่วยพี่หรือว่าช่วยพ่อช่วยแม่ อย่างนี้ ยาก.. มาช่วยเพื่อนๆ หรือผู้ที่เคารพนับถือเราเป็นผู้พี่ผู้พ่อผู้แม่อะไรอย่างนี้ ยังจะมีมรรคมีผล ยังจะมีประโยชน์ ก็ไม่เป็นไร จะได้ทั้งสองด้าน กุศลอย่างที่เข่งเขาทำก็ได้  มาฝึกอย่างที่พวกเราอยู่กันที่นี่ก็ได้ ก็ว่าไป ที่นี่ก็จะกว้างกว่า ที่พี่น้องอยู่ก็แคบใช่ไหม การได้อยู่กับพี่กับน้องก็ไม่ได้หมายความว่าจะพูดอยู่กับแต่พี่แต่น้อง จะพูดจาปราศรัยคบหากันอยู่แต่พี่แต่น้อง ก็ต้องมีเพื่อนฝูงมิตรสหายคนอื่นอยู่บ้าง ก็มีคนที่นั่น อาจจะมีคนน่าสนใจกว่าพี่น้องก็ได้อยู่ จะทำงานอยู่อย่างนั้นก็ได้ แต่ไหวไหมล่ะคนเดียว คนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ ไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็มา ไม่มีปัญหาหรอกที่นี่ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 42 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2567 ( 19:09:12 )

จะออกจากกามได้อย่างไร

รายละเอียด

วีดีโอ Youtube

ที่มา ที่ไป

330416 จะออกจากกามได้อย่างไร พ่อท่านโพธิรักษ์ สันติอโศก

ลิ้งดาวน์โหลด จะออกจากกามได้อย่างไร : www.youtube.com/watch?v=gw8XxWxHVsI&feature=youtu.be


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:14:17 )

จะออกจากความเศร้าซึมหมดหวังยามเจ็บป่วยได้อย่างไร

รายละเอียด

ก็มาอยู่กับหมู่ อย่าไปอยู่เดี่ยวอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวแล้วมันจะจม อยู่กับหมู่มิตรดีสหายดี หากพาอยู่หมู่ฟุ้งซ่านก็ไปกันใหญ่เหมือนกัน หรือไปอยู่กับคนที่นั่งหลับตาสะกดจิตมันก็จม อาจจะมีพลังของการสะกดเอาไว้ ชั่วคราวมันก็เป็นสมถะวิธี อาตมายังดีอยู่อย่าง อาตมาผ่านมา สิ่งที่มันทำผิดอย่างโลกีย์เขาทำ เป็นมาอย่างที่เขาเป็น อาตมาก็เลยรู้ทั้งสองอย่างแต่ไม่ถึงขนาดหนักอย่างมหาบัว อาตมาไม่ได้เพ้อเจ้อฟุ้งซ่านอย่างมหาบัวซึ่งเป็นนิรมาณกายอย่างมากเลย ก็เลยสร้างพรรคสร้างพวกก็เลยมีอุปาทานหมู่มีสัมโภคกาย  คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:28:47 )

จะออกจากทุกข์ได้ต้องเกิดปัญญาเห็นว่าเป็นทุกข์

รายละเอียด

คนจะต้องเกิดปัญญาเห็นว่าเป็นทุกข์ แล้วคิดจะออกจากทุกข์ จะต้องหนีออกจากเหตุแห่งทุกข์ แต่คนไม่เข้าใจก็เลยไปหลงติดเป็นอุปาทานนึกว่าเป็นสุข มันไม่ใช่อย่างนั้นต้องดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์คือสภาวะธรรมะ 2 แล้วมันมีเหตุ คุณจะต้องดับเหตุที่มันเกิดสวรรค์เกิดสุข คุณก็ฆ่าเหตุ แล้วก็จะหมดสวรรค์หมดนรกหมดทุกข์หมดโศก ตอนนี้เขาไม่ได้ทำ ก็จะไปหาสวรรค์บ้าบอที่เขาหลอกกันก็โง่ไปอีกนาน ในโลกมีแต่จะคนทำสวรรค์หลอก ฉันสวยงามฉันมีคุณค่าฉันให้ความเอร็ดอร่อยมีคุณค่ามีสวรรค์อย่างนั้นอย่างนี้บ้าบอ สวรรค์มันมี ลาภเยอะ ยศเยอะ สรรเสริญเยอะ ความสุขเยอะ หรือมีอัตตาตัวตนมีศักดิ์ศรียิ่งใหญ่อะไรก็แล้วแต่

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:48:14 )

จะเป็นคนดีแท้ได้ต้องสั่งสมบารมีเอา

รายละเอียด

อยู่ดีๆก็ไม่ใช่จะมาเป็นคนดีก็ไปที่พูดเช่นนี้อยู่ดีๆคนเราจะมาเป็นคนดีไม่ได้หรอกเป็นสัตว์เซลล์เดียวมันไม่รู้เรื่องอะไรกว่าจะมาเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ตามประสาของสัตว์จนกระทั่งค่อยๆพัฒนามาเป็นคนแล้วก็ค่อยๆศึกษา แม้เป็นโลกียก็เป็นคนดีๆคือไม่เห็นแก่ตัวเขาก็พอรู้ แต่ไม่มีทฤษฎีที่จะรู้คำว่าตัวตนอัตตา แล้วค่อยมีความรู้ปัญญาสามารถฆ่าความเป็นอัตตา ศาสนาเทวนิยมได้แต่ข่มอัตตา ทำแต่ดี ข่มชั่วไว้ แต่แล้วสักวันมันก็ฟื้นขึ้นมา วนเวียนอยู่อย่างนั้นดีๆชั่วๆตกต่ำแล้วก็เจริญได้ วนเวียนอยู่อย่างนั้นนับชาติไม่ถ้วน เป็นได้ถึงศาสดาของศาสนา เจริญได้ถึงขั้นนั้นเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยมได้ ปานนั้นทีเดียวแต่น้อยคนจะได้ถึงศาสดา ผู้ที่รู้ทางออกเป็นโลกุตระแล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลาที่จะไปวนเวียนสามารถปฏิบัติเป็นลำดับ ได้แล้วเลิกโลกียะขั้นต่ำ มาสูงขึ้นตามลำดับ สูงขึ้นไปไม่ต้องวนเวียนซ้ำซ้อนอีกพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมะของท่านมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ เพราะมันจะไม่วกวนซ้ำซ้อนเสียเวลา มันเป็นลำดับไปขึ้นมา ไม่ต้องเสียเวลา ถ้าศึกษาผู้ที่ศึกษาสัมมาทิฏฐิเป็นลำดับที่ดีไม่เสียเวลา เพราะฉะนั้นสายปัญญาแท้ๆจะเร็ว เรียงลำดับเป็นลำดับได้ดี สายเจโตบ้างปัญญาบ้างจะช้า ยิ่งสลับไปสลับมา ยิ่งสายวิตกจริต หมุนเวียนซับซ้อนวนไปวนมาอันนั้นอันนี้ก็ดีเสียเวลามากกว่าเพื่อน ท่านเทียบว่า ผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ 3 สาย 

สายปัญญา ใช้เวลา 20 อสงไขย เศษแสนกัปป์

สายศรัทธา ใช้เวลา 40อสงไขย เศษแสนกัปป์

สายวิตักกะ ใช้เวลา 80อสงไขย เศษแสนกัปป์

อสงไขยนั้นนานนับชาติไม่ถ้วนเลยเป็นล้านล้านล้านๆชาติไม่ต้องนับเลย 

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน วันศุกร์ที่2 สิงหาคม2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 12:27:29 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:35:49 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:39:51 )

จะเป็นนายหรือทาสความคิดตัวเองมีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ

รายละเอียด

ฝ่ายประชาธิปไตยน่าจะเป็นทาสความคิดตัวเองหรือเปล่า มันก็จริงที่ออกมา เย้วๆๆๆ แต่จะคิดอย่างนั้นก็ได้หรือจะคิดอย่างนี้ก็ได้ว่าเราก็เป็นนายตัวเองสิ อย่าไปคิดว่าเป็นทาส เขาเอาแต่ความคิด แต่ความเป็นจริงจะเป็นทาสของความคิดหรือเป็นนายของความคิด ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ชัดเจนว่าเราเป็นนายของความคิด เป็นนายของการปรุงแต่งความคิด คุณเป็นนาย คุณคิดแล้วก็ไม่คิดเอาไปใช้ โดยไม่ได้ให้เป็นโทษภัย คิดแล้วเปรียบเทียบอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ดูว่าอะไรที่ควรทำในวาระนั้น ก็ทำให้มันเหมาะควร ที่จริงแล้วจะเป็นนายหรือเป็นทาส ดูที่ผลของพฤติการณ์ของสังคมขณะนั้นๆ status quo ดูผลของพฤติกรรมขณะนั้นของสังคมว่าประเทศไทยตอนนี้ประชาธิปไตยก็ดี เศรษฐกิจก็ดี เป็นเรื่องที่สุดยอดแล้ว แล้วคนก็พูดกัน เอาข้อมูลที่จะเข้าข้างตัวเองมายืนยัน มาคุยมาอะไรต่างๆ นานา จะคิดอย่างไรก็ได้แต่ความเป็นจริงต้องดูผลของสถานการณ์นั้นๆ ขณะนั้น มันเป็นอย่างไรอยู่ในมนุษยชาติแล้วมีพฤติกรรมต่างๆ เอาตรงนั้นมันเป็นไปอย่างดี เอาตรงนั้นเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวบ่งชี้  เป็นคำตอบว่ามันไม่ดีหรือมันดีอย่างแท้จริง คำนิยามประชาธิปไตยหรือเศรษฐกิจก็ดี มันยากมากเลยที่จะเข้าใจชัดเจนได้เพราะมันไม่ใช่ตัวมันเอง ประชาธิปไตยมันไม่ได้อยู่ลอยๆ เป็นตัวมันเอง เศรษฐกิจมันก็ไม่ได้อยู่ลอยๆ เป็นตัวมันเอง มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยตั้งเยอะแยะหลายอย่าง จึงบอกไปตายตัวที่เดียวไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 11:56:26 )

จะเป็นสังคมมนุษยชาติที่ดีได้เพราะอะไร

รายละเอียด

แต่หากพึ่งตัวเองได้เหลือเฟือแล้วเอาไปกอบโกยหากำไรเข้าหาตนเองขูดรีดจากคนอื่น ต้องศึกษาให้ละเอียดดีๆ ที่มีความซับซ้อนเลวร้ายอย่าไปทำ มีแต่ความซับซ้อน แต่ถ้ายิ่งเป็นคุณค่าประโยชน์ซับซ้อนอย่างนี้ดี ต้องศึกษาให้ดี อาตมาว่าอาตมาพาทำอย่างดีๆ กันอยู่ ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่ความเป็นประชาธิปไตยก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่ความเป็นเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนที่สุดยอดดี ก็ค่อยอธิบายไปก็จะเป็นสังคมมนุษยชาติที่ดี เพราะปัญญา เพราะความเฉลียวฉลาดของจิตวิญญาณ ต้องศึกษาเรื่องความสันติและอหิงสาอโหสิช่วยเหลือผู้อื่นต้องศึกษาถึงการเกิดการตาย ตายตั้งแต่ตายอย่างมรณะจนกระทั่ง อรณะ อย่างนี้เป็นต้น หรือการตายที่สมบูรณ์แบบ ตายอย่างกิเลสตาย ตายอย่างเป็นคนที่รู้การเกิดการตาย จะเกิดอีกจะตายอีกเป็นอมตะบุคคลอย่างไรก็ได้ แล้วก็มาช่วยโลกเขา ที่สุดตายแยกธาตุจิต เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอุตุไปเลยไม่เหลือแม้แต่ชีวะ ค้างในระดับพืชซึ่งเป็น ชีวะ ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขแล้วไม่มีพิษภัยต่อโลก มีแต่ประโยชน์ต่อสัตว์อื่นและโลก ก็ไม่เป็นอีก อาจจะมีเศษ

พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานปริโยสานแล้วเหมือนกับพวงมะม่วงตกมาแตกกระจายลูกมะม่วงก็แตกกระจายไปเอามารวมเป็นพวงกันไม่ติดแล้ว ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าอีกแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:40:29 )

จะเป็นอย่างไรในเมื่อผู้นำโน้มน้าวไปในทางมัวเมา ลุ่มหลง

รายละเอียด

ก็น่าสงสารบ้านเมืองอยู่ ผู้ที่พอมองเห็นแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มีคนถามว่าจะทำยังไง อาตมาก็ตอบไปแล้ว แม้แต่วันนั้นซึ่งท่านดอกเตอร์ บัณฑิตทั้งหลายเป็นอาจารย์มาถามประเด็นนี้เหมือนกัน อาตมาก็ตอบไปแล้ว เราก็ทำไปเท่าที่เราสามารถทำได้ด้วยความจริงใจเต็มภูมิแล้ว ตามสมเหมาะสมควร มันก็ต้องเท่านั้น เราจะไปมีกิเลสอยากให้มันได้ มันเป็นอะไรต่ออะไรก็คงไม่ได้ ก็ได้เท่าที่เรามีความสามารถทำงานไปไม่ดูดาย ทำงานกับสังคมไป ดีแล้วก็ช่วยกัน พยายามระมัดระวัง 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 26 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:29:26 )

จะเป็นอรหันต์ต้องสรุปรายละเอียดข้อปฏิบัติ 3 ข้อ

รายละเอียด

อาตมาไม่หาบริวาร แต่พวกคุณแสวงหาแล้วมาเอา ก็ไม่ได้มาเป็นบริวาร แต่อยู่ไปพากเพียรให้บรรลุ ที่จริงพวกเราเป็นอรหันต์กันไม่น้อยแล้วแต่ไม่รู้จักสรุปรายละเอียด หากรู้จักสรุป จะเป็นอรหันต์กันไม่น้อย รายละเอียดคืออะไร 

1. สำรวมอินทรีย์ 2. โภชเนมัตตัญญุตา 3. ชาคริยานุโยคะ เท่านี้แหละ 

แล้วเวลาปฏิบัติก็จะปฏิบัติ อ๋อ.. เราได้สูตรนี้แล้ว แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วก็มีมนสิการ มีผัสสะเป็นปัจจัยให้ศึกษา ศึกษาอย่างมีนามรูป มีวิญญาณเกิด วิญญาณเกิดแล้วก็เรียนรู้วิญญาณแยกวิญญาณเป็นเจตนาสัญญาสังขาร 

เจตนาเกิดจาก ผัสสะ แล้วก็ทำการมนสิการ ก็คือ เวทนา สัญญา เจตนา

เวทนาเกิด ในอาหาร 4 ก็มี 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 

เจตนาเกิด ก็มี 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โจรปล้นศาสนาที่ฆ่าด้วยหอกหลายร้อยเล่มก็ยังไม่ตาย


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:30:06 )

จะเป็นเลือดโพธิสัตว์แท้ต้องบำเพ็ญอย่างไร

รายละเอียด

แล้วพระสมณโคดม มายุคปลายภัทรกัป ท่านเป็นโพธิสัตว์มาหนัก จนกระทั่งมาถึงขั้นมนุษยชาติเหลือน้อยที่สุดแล้ว จนพระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้อีกแล้ว เสื่อมจนกระทั่งพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดในยุคนั้น ถ้าท่านมาเกิดก็เสียศักดิ์ศรีพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่มาเกิด ก็ปล่อยให้พระโพธิสัตว์อย่างเช่นอาตมา มากรำศึกอยู่นี่ หนักหนาสาหัส ซึ่งอาตมาต้องผ่าน ต้องประสบต้องมีเรื่องปรากฏการณ์จริง ต้องได้ประสบจริง ต้องประพฤติจริง ต้องใช้สมรรถนะสร้าง สร้างสมรรถนะความสามารถ ต้องสร้างขึ้นอย่างแท้จริง ไม่งั้นมันก็เป็นเพียงคิดได้แค่ตรรกะเอา คะเนคำนวณเอามันไม่ลงมือจริง มันต้องเผชิญจริงประสบจริงลงมือจริงผ่านจริง มันจึงจะเป็นเลือดโพธิสัตว์แท้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 06:46:44 )

จะเรียนรู้วิญญาณาหารได้อย่างไร

รายละเอียด

วิญญาณาหาร พระพุทธเจ้าตรัสว่าคือ นาม รูป ถ้าไม่เรียนรู้ นามรูปตั้งแต่ รูป 28 นาม 5 เป็นต้น คุณก็ไม่รู้จักวิญญาณได้ดี ต้องเรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มีของจริง นามรูปสัมผัสจริง จึงจะค่อยไปรู้เวทนาสัญญา เจตนา แล้วก็มี ผัสสะ มนสิการ นั่นคือ นาม 5 

ถ้าคุณไม่เข้าใจในความหมายของเวทนา จิตเจตสิกต่างๆ สัญญาเป็นเจตสิกอย่างไร เวทนาเจตสิกอย่างไร เจตนาเป็นเจตสิกอย่างไร ผัสสะ มนสิการ เป็นเจตสิกอย่างไร แล้วไปเรียนรู้ รูป 28 อีก จึงจะเริ่มต้นมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มี 5 กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะ จับคู่กันเข้าสัมผัสกันเข้าเป็นภาวะ 2 มีรูป อธิบายรูปผ่านมาจากอุปาทายรูป ปสาทรูป โคจรรูปหรือวิสยรูป คุณก็จะไม่เข้าใจเลยว่า อ้อ…จิตนี่ ที่บอกว่ารูปต่างๆ นี้เกี่ยวกับจิตด้วย ถ้าไม่มีจิตก็จะไม่ไปพูดว่า ปสาทรูป โคจรรูป ประสาททาง ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมันทำงาน มันโคจร มันออกมาทำงาน มีการสัมผัส โค มันออกไปหากิน โคจร ออกไปทำงาน สัมผัสกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันก็เกิดรู้ เกิดภาวะให้รู้เป็นภาวะ 2 ภาวะต้องมี 2 เสมอ ท่านเรียกว่า อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ภาวะเพศชาย ภาวะเพศหญิงหรือบวกกับลบ แล้วต้องมาเรียนสักกายะ มาเรียนตัวเรา 

วิญญาณาหารก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ มีโจรปล้นศาสนา ฆ่าไม่ตาย ทำผิดต่อพระพุทธเจ้าขบถธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นวิญญาณาหารหรือนามรูป เขาก็ไม่รู้ว่ามันผิดหมด ไม่มีอาหารอย่างนี้ในศาสนาพุทธแล้ว มีอยู่ในชาวอโศกเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 09:23:29 )

จะเรียนรู้เพื่อนิพพานต้องแยกกายแยกจิตให้ได้

รายละเอียด

กายกับจิตเป็นภาษาใหญ่ภาษารวมที่จะต้องรู้ว่า เมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย จิตก็อย่างหนึ่ง กายก็อย่างหนึ่ง แต่เมื่อไหร่เป็นจิตเมื่อไหร่เป็นกายและเมื่อไหร่ไม่เป็นกาย อธิบายไปยากมากเลยแต่ก็อธิบายมาซ้ำแล้วซ้ำอีกตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน โดยเฉพาะผู้จะมาเรียนรู้เพื่อนิพพาน ถ้าแยกกายแยกจิต เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่ไม่เป็นกาย 

ไม่เป็นกายก็หมายความว่า จิตไม่มีแล้ว เพราะกายมันจะมีจิตด้วย เมื่อมันไม่มีจิตเลย มันก็ไม่มีกาย เพราะฉะนั้นถ้ามันยังมีกายอยู่ มันก็ต้องมีจิตอยู่ร่วมหรือเจตสิกอยู่ร่วม นี่แหละความลึกซึ้งสูงสุด 2 ใน 1และ 1 ใน 2 ที่เป็นภาษาสิริมหามายา 2 คำ แต่มีความจริงที่ชัดว่าเมื่อไหร่บอกภาษา คำว่า กาย กับจิต หรือ อธิบายกายกับจิตลงไปว่า ภาษา 2 คำนี้ กายเป็นรูป จิตเป็นนาม กายเป็นตัวถูกรู้ จิตเป็นตัวผู้รู้ หรือ รูปเป็นตัวถูกรู้ นามเป็นผู้รู้ อันนี้ก็ต้องอธิบายในวิโมกข์ 8 ที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็อธิบายแล้วอธิบายอีก 

มันไม่ง่าย ถ้าง่ายก็คงมีอรหันต์ง่ายๆ เยอะเนาะ หรือมีโลกุตรบุคคล มีสมณะ 4 เหล่านี้เยอะ มันจึงได้เท่าที่มันได้ อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีได้เท่านี้ อาตมาตัดสินให้คะแนนตัวเองว่า อาตมาชาตินี้ไม่สอบตก สอบได้แล้ว ตายก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ขาดทุน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2566 ( 14:21:00 )

จะเลิกติดเกมยิงปืนได้อย่างไร

รายละเอียด

ก็ตายไปกับเกมยิงปืน คนที่ตายไปกับเกมมีแล้ว แล้วก็จะมีอีก ถ้าคุณจะโง่ตายไปกับเกม แต่ดีนะคุณมีสำนึก ที่ถามมาก็เพราะมีสำนึกว่ามันไม่ดี คงอยากเลิก จะทำอย่างไรก็ให้พิจารณา 

ไปเล่นเกมไปติดเกมนี้มันได้สาระอะไร มันก็เสียเงินเสียเวลา แล้วก็ไปติดแต่ลมๆแล้งๆ เขาก็เอามาหลอกไป คือเรื่องต่างๆ คนที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้คนติดนี้ เขาทำขึ้นมาหลอกคนโง่จะได้เงินได้ทองได้อะไรจากคนโง่เท่านั้น เป็นเหยื่อ พวกคนโง่ เพราะฉะนั้นคุณก็เป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกง ที่เขาหลอกให้คุณมาติด คุณก็เป็นทาส เป็นเบี้ย เป็นบริวาร เป็นผู้ที่เขาจูงจมูกให้เป็นอยู่อย่างนั้น อยากเป็นไปตลอดนิรันดรก็เชิญ คิดเอา 

ถ้าคิดว่ามันไม่เป็นอิสระในตัวเองเลยที่จะต้องมาเป็นทาส เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน ไปจมอยู่กับอันนี้ ไปทำงานอื่นที่เป็นสาระ มีคนพาทำกันเยอะ ยิ่งอยู่ในแวดวงของพวกเราจะไปนั่งจมอยู่กับเกมทำไม เลิกได้เลยชีวิตนี้ไม่มีเสียหายไม่ตกต่ำหรอก เลิกเถอะ ไปจมอยู่กับสิ่งที่มันจะทำให้เราตกต่ำมันจะไม่ได้ดี เลิกมาได้แล้วจะเจริญ จะได้ดี จะได้สูงได้เจริญ คิดให้ได้ 

จะทำอย่างไร คิดได้แล้วมันก็จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคุณ ถ้าคุณคิดไม่ได้คุณไม่เปลี่ยนหรอก 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:44:38 )

จะเลิกเอาแต่ใจตัวเองได้อย่างไร

รายละเอียด

ถามหลายเที่ยวแล้วนะ หลวงปู่จำได้ ดีมาก เข้าใจสำนึก แสดงว่าตัวเขาเป็นคนสำนึกเรื่องนี้ว่า เอาแต่ใจตัวเองไม่ดีทำไมถึงจะเลิกได้ 

ทำอย่างไรถึงจะหายจากการเอาแต่ใจตัว 

การเอาแต่ใจตัว หมายความว่าอย่างไร ...ลองตอบดู...(น้ำมนต์ ให้คนอื่นทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ)

ตอบถูกมาก คะแนน 10 ให้ 15 เลย การที่จะเอาแต่ให้สมใจตัวเอง มันเป็นการเอาแต่ใจตัว เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทีหลังก็พอรู้ว่าเราจะเอาแต่ใจตัวก็บอกว่า อย่าเอาแต่ใจตัว เราให้คนอื่นบ้าง ง่ายไหม ..ใช้ได้ ง่ายแล้ว พอรู้สึกว่าเราจะเอาแต่ใจตัวเองก็ให้คนอื่นบ้าง 

มันทำยากแต่ทำได้นี่เก่งไหม..นั่นแหละทำให้ได้เลย จะได้เก่ง นอกจากไม่เอาแต่ใจตัวเองก็คิดถึงใจคนอื่นบ้าง ให้ผู้อื่นบ้าง เอาให้ใจผู้อื่นบ้าง ไม่เอาแต่ใจตัวเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33  วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 21:19:45 )

จะเอาชนะสุขนิยมต้องมีแม่คือสิริมหามายา

รายละเอียด

จนกว่าจะมี “แม่” ที่ชื่อว่า “สิริมหามายา” ผู้ยิ่งใหญ่เลิศประเสริฐกว่า “มารมายาตัวยอด” นั้น ก่อเกิด “จิตใหม่ใหญ่ยิ่งกว่าจอมมารมายา” นั้นขึ้นมา มี “จิตใหม่เป็นอัญญธาตุ” 

“แม่” ที่ให้กำเนิด “อัญญธาตุ” นี้แล ชื่อว่า “สิริมหามายา”

ผู้ใดสามารถทำให้ “จิต” ของ คนหรือ “จิต” ของตนเกิด “อัญญธาตุ” เป็น“จิตโลกุตระ”ได้ 

ผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็น“สิริมหามายา”

คนผู้ยังไม่มี “สิริมหามายา” มาทำให้เกิด “อัญญธาตุ” ในจิต 

ก็จะยังมีแต่ “ความรู้-ความฉลาด” ที่เป็น “เฉโก” แบบปุถุชน
คนผู้มี “สุขนิยม” ก็งมอยู่ใน “โลก” ของ “โลกียภูมิ” เดิมตลอดกาลนานแน่ เพราะยังไม่มี “ความรู้-ความฉลาด” ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา” ซึ่งเป็น “ความรู้-ความฉลาด” ที่เป็น “โลกุตระ” ขึ้นมาได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 4 วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 16:35:54 )

จะได้บารมีจากผู้อื่นอย่างไร

รายละเอียด

อย่าเลย อย่าไปริอ่าน อย่าไปเอาอย่าง ถ้าเราเองจะมีบารมีช่วยใครได้ เขาเห็นว่าเราจะได้บารมีจากคนนี้ ซึ่งจริงๆ ก็คือการได้คุณธรรมทำความดีตามผู้นี้ แล้วเราก็ได้ทำตามแล้วเป็นผลสำเร็จอันนั้นแหละคือบารมี แต่อันนี้มันไม่ใช่ ขอให้คนนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าคนนี้ช่วยอย่างไร คนนี้ก็เลยนึกว่าได้พลังงานพิเศษ อิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ศาสนาพุทธไม่ส่งเสริม 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 12:25:56 )

จะได้เป็นพระอรหันต์ต้องเรียนรู้การปฏิบัติให้รู้จักกรอบให้รู้จักจบ

รายละเอียด

เรียนให้รู้สัจจะ ธรรมะ คือกิเลสแล้วล้างกิเลสให้หมดก็จบ จะได้เป็นพระอรหันต์จะได้รู้จักกรอบแห่งการเอามาอธิบายกัน ไม่ต้องไปเสียเวลารู้เรื่อง โลกจินตา มันเป็นความคิดของชาวโลก โลกคิดกันไปเยอะ จะไปตามดูหาที่สุดไม่ได้ จะไปตามความคิดของชาวโลก เขาคิดไป หากเราจะไปตามความคิดเขาก็ถูกจูงจมูกถูกหลอกไปหาความรู้อะไรมากมายไม่มาหาการปฏิบัติให้จบก็เลยไม่รู้จักกรอบ รู้สิ่งที่ควรจะต้องเอามาใช้อธิบายกับบุคคลแต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ มันก็เลยได้แต่รู้ๆๆๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:48:13 )

จะไปบังคับให้คนตาบอดเห็นฟ้าไม่ได้

รายละเอียด

อาตมาก็ว่า คุณรู้แล้วคุณก็วางได้ ปล่อยได้ แล้วคุณก็เลิกไม่ไปเลี้ยงแล้วสัตว์ แต่คนที่เขายังติดยึดอยู่ คุณก็พยายามบอกแล้วก็ทำใจกลางๆ แล้วคุณก็พยายามใช้ศิลปะ ใช้ศาสตร์ความรู้ ค่อยๆ พูดอธิบายไป อย่าไปหวังว่าน้องเขาจะเข้าใจ แต่ทำก็แล้วกัน ช่วยเขาได้ก็ช่วยไปตามควร อย่าไปยึดมั่นว่าจะต้องช่วยเขาให้ได้ มันจะเป็นทุกข์ ช่วยเข้าไปตามเจตนาโดยมีเมตตากรุณาช่วยกลับไป ช่วยเขาได้ก็จะได้มุทิตาช่วยเขา ไม่ได้ก็ไม่ได้มุทิตา ถือว่าได้ ช่วยเขาตอนที่เราจะทำหน้าที่ทำเต็มที่แล้วได้เท่าไหร่เท่านั้นเพราะว่าวิบากของคนมันยาก จะไปบังคับให้คนตาบอดเห็นฟ้า ไม่ได้ คนตาบอดมาแต่กำเนิดไม่มีทางจะเห็นฟ้าไม่มีทางจะรู้ว่าฟ้าคืออะไร เพราะว่าฟ้ามันอยู่ไกลเกินเอื้อม ถ้าว่าดิน หรือฟ้าตาบอดเอามือคลำก็รู้แล้ว แต่ฟ้าเขาสัมผัสไม่ได้คนตาบอดนี่นะ เพราะฉะนั้นจะบอกฟ้า อธิบายฟ้า สภาวะของฟ้าให้คนตาบอดรู้นี่นา เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง เป็นไปไม่ได้ คมนะ คำนี้ เอาไว้ใช้เถอะ คุณอย่าไปอธิบายให้คนตาบอดรู้เลย คนตาบอดแต่กำเนิดไม่มีสิทธิ์เลย หมดหนทาง ฉันใดก็ฉันนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต  วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 11:03:14 )

จะไปอยู่กับชาวอโศกต้องทำเช่นไร

รายละเอียด

ถ้าคุณจะมาอยู่บ้านราช จะไปติดต่อองค์กรที่อยู่นิวยอร์กก็ดี อยู่กวางเจาก็ดี คุณเข้าไปอยู่ไม่ได้ คุณก็ต้องติดต่อมาที่ชุมชนชาวอโศกที่ไหนก็ได้ เขาก็จะตรวจดูว่าคุณมีคุณสมบัติพอที่จะมาอยู่ในนี้สะดวกสบายพอไหม เจริญทั้งคุณแล้วพวกเราก็ไม่ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าคุณไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะมาอยู่ได้ ไม่ใช่ว่าเราเองเรารังเกียจ แต่เราเองก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เขาอาจจะมาเกเรเกตุง เช่นเรามีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ว่าต้องมีศีล 5 ต้องมาประพฤติปฏิบัติศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุขก็เข้ามาอยู่ได้ นี่เป็นเกณฑ์ง่ายๆ 3 ข้อ ทำงานฟรี อันนี้ก็คงเป็นเครื่องคัดเลือก ที่ไม่ง่าย ชาวอโศกที่มาทำงานฟรี ก็มากินฟรีก็ทำงานฟรีไม่ได้ประหลาดอะไร ถ้าคุณเองยังไม่ได้ก็ยากอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าใครได้ สบาย ชีวิตนี้มันสุดยอด อาตมาพูดไปแล้วก็ภาคภูมิใจในธรรมะพระพุทธเจ้าที่ในยุคนี้สมัยนี้ก็ยังมีมรรคมีผล ที่เยี่ยมยอดเลย   

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2565 ( 08:55:41 )

จะไปอยู่สันติอโศกได้ต้องทำอย่างไร

รายละเอียด

มาแต่ตัวกับหัวใจ มาเลย คุณพร้อมจะมาอยู่ไหม เขามีหลักเกณฑ์พื้นฐานง่ายๆ เท่านั้นคือ 1.ไม่มีอบายมุขมา 2.ไม่กินเนื้อสัตว์ 3. ถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ นี่คือหลักเกณฑ์พื้นฐาน ของคนที่จะมาอยู่ในชุมชนชาวอโศก 3 หลักนี้คุณทำได้ไหม ทำได้คุณมาเลยมีแต่ตัวกับหัวใจมาได้ ได้เลย หรือคุณจะมีอะไรที่จะต้องอาศัย คุณจะพกพามา เป็นเครื่องอาศัยใช้สอยของคุณก็ของคุณ ไม่มีใครเขาไปว่าคุณ ไม่ระแคะระคายคุณหรอกเป็นส่วนตัวของคุณ มาเลย ง่ายไม่ยากหรอกพวกเรา เอาใจจริงใจสู้ ถ้ามีใจจริงใจสู้แล้วก็มาได้ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศก ทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 14:15:16 )

จักขุ

รายละเอียด

ไม่ได้หมายถึงไปให้หลับตาแต่ให้ลืมตาปฏิบัติให้มี จักขุ ปัสสติ มีการเห็นภายนอกด้วย พหิทา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 62 วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 15:49:17 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:37:21 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:40:13 )

จักขุกรณียะ กับ ญาณกรณียะ ต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

คำว่า จักขุ เป็นรูปธรรม จักขุแปลว่า ตา กรณียะ แปลว่า การกระทำ มีบทบาท มีลีลา มีพฤติ มีการกระทำขึ้นมา เรียกว่า กรณียะจักขุกรณียะ คือมีตากระทบรูป แล้วมีเรื่องราวเป็นกิจ เป็นกรณียะไป ส่วนญาณ เป็นความรู้ เป็นความรู้ในระดับวิชชา ในระดับของโลกุตระ ไม่ใช่ความรู้แบบโลกียะเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนที่มีตากระทบรูปแล้ว ก็เกิดการงานจากตากระทบรูปนั้น การงานที่ทำถ้าไม่มีความรู้ทางโลกุตระ เขาก็ทำการงานไปในทางโลกียะเท่านั้น 

มันต่างกันยังไง โลกียะกับโลกุตระ ต่างกันก็คือ ถ้าเป็นโลกียะนั้น มันไม่สามารถรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันไม่สามารถจะแยกแยะเจตสิกต่างๆ ของอาการจิต แยกไม่เป็น แยกไม่ชัด แยกไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถแยกกิเลสออกจากจิตได้ เมื่อไม่สามารถแยกกิเลสออกจากจิตได้ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ของเขาไม่มีผล ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ของเขาไปฝึกสะกดจิตให้จิตนิ่ง แล้วจิตมันก็ยิ่งไม่รู้ เพราะไปสะกด แทนที่จะค่อยๆ มีการวิจัยวิจาร มีสติเต็ม สติเต็ม อาตมาก็อธิบายไม่รู้กี่ทีว่ามันต้องเต็มตื่นไปทั้งกายกรรมมีสติเต็ม วจีกรรมมีสติเต็ม มโนกรรมมีสติเต็ม แล้วไปสะกดจิตให้มันมีสติอยู่แค่ในภวังค์ แล้วมันจะไปคล่องแคล่ว มันจะไปรู้รอบ รู้เร็ว รู้ไว รู้ทั่ว รู้พร้อมได้อย่างไร สติแปลว่าความรู้ตัวทั่วพร้อม มันก็ได้แต่วงวนอยู่ในจิตเท่านั้น  

ใช่ แล้วเชื่องช้า สะกดลงไปจะให้หยุด จะให้เป็น อสัญญีสัตว์ ทิศทางแนวโน้มทิฏฐิผิดไปทางโน้นด้วย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันผิดทางไปอย่างนี้ จึงน่าสงสาร อาตมาไม่รู้จะทำยังไง ก็จริงอยู่เหมือนกัน มันไม่ปราดเปรียว อาตมาประพฤติให้ดูแล้ว แต่ก่อนอาตมาช้า ไม่พาเร็ว ช้า สงบดี โอ้ คนขึ้นเลย นับถือสงบว่างาม ดี พอมาเร็วอย่างทุกวันนี้เขาบอกว่าไม่ใช่นะ อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว อาตมาก็เข้าใจ ทำมาทุกอย่างทุกอัน สอนมาบรรยายมาตลอด คนรู้ทันรู้ได้ก็มาได้ คนไม่รู้ทันก็ทิ้งไปเยอะ หลุดไป ไม่ใช่แล้วอย่างนี้ตามที่เขากำหนดไว้ กรอบ ความเข้าใจของเขาเป็นมีเท่านี้ พอมันเลยกว่ากรอบความเข้าใจของเขา มันเลยกรอบความเข้าใจไปแล้ว เขาก็ตีทิ้งเลย เขาก็บอกว่าไม่ใช่ โพธิรักษ์เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปแล้ว เขาก็ว่าอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร 

สรุปแล้ว จักขุกรณียะหรือญาณกรณียะ มันมีความแตกต่างกัน อีกประเด็นหนึ่งที่เขาถามมาคือ หลายคนบอกว่ามีของเก่าหรือบารมีเก่า ทุกคนมันมีบารมีเก่ามาทั้งนั้น มากหรือน้อยตามจริง ของใครก็ของใคร มันมีของจริงของแต่ละคน ยิ่งมาปฏิบัติธรรมเข้ามาถึงขั้นโลกุตระ มีของเก่ามาแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรอกแบบโลกียะที่เขาเรียนรู้กัน ว่าพวกเราจะด้อยหรือพวกเราจะไม่มี มันมีมาทั้งนั้น มันผ่านคนเราจะต้องผ่านความไม่รู้หรือผ่านความโง่มาก่อนหรือผ่านความผิดมาก่อน แล้วถึงจะมาถูก ถึงจะมาฉลาด ถึงจะมาถึงขั้นมีปัญญาจริงแท้ มันเป็นธรรมชาติแบบนั้น จักขุกรณียะหรือ ญาณกรณียะ คนนี้มีมาเก่าได้หรือไม่ ก็มีได้มาทั้งรูปทั้งนาม 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส  วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2566 ( 12:21:58 )

จักขุทิพญาณกับโสตทิพย์

รายละเอียด

คือเป็นอันเดียวกัน  แต่มันไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่มันเป็นปรมัตถ์ของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นโลกีย์เทวนิยมจะแผลโสตทิพย์ว่า ได้ยินเสียง เป็นเสียงทางพิสิกศ์แต่หูคุณได้ยิน คนอื่นไม่ได้ยิน คุณก็นึกว่าเป็นสิ่งวิเศษ ทางวิทยาศาสตร์จะมี  frequency ของเสียงต่างๆ   ถ้าขึ้นเสียงนี้ ไม่ตรงกับคนสามัญจะรับได้มันก็ไม่ได้ยิน  แต่สิ่งเหล่านี้ สัตว์หลายชนิดมันได้ยิน  มันมีเครื่องรับที่รับคลื่นขนาดต่างๆได้ แต่คนมันไม่เกิดปฏิกิริยากับมันผ่านไปเขาก็เอาอันนั้นเป็นหูทิพย์  หรือตาคุณไม่เห็นหรอก  แต่คนที่มีตาทิพย์ เขาจะเห็น เช่น เห็นผี เห็นเทวดาในทางปรมัตถ์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปิ๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 13:16:24 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:38:47 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:41:07 )

จักขุทิพญาณกับโสตทิพย์

รายละเอียด

เป็นอันเดียวกัน แต่มันไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่มันเป็นปรมัตถ์ของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นโลกีย์เทวนิยมจะแปลโสตทิพย์ว่า ได้ยินเสียง เป็นเสียงทางฟิสิกส์ แต่หูคุณได้ยิน คนอื่นไม่ได้ยินคุณก็นึกว่าเป็นสิ่งวิเศษ  ทางวิทยาศาสตร์จะมี frequency ของเสียงต่างๆ ถ้าขึ้นเสียงนี้ไม่ตรงกับที่คนสามัญจะรับได้มันก็ไม่ได้ยิน แต่สิ่งเหล่านี้สัตว์หลายชนิดมันได้ยิน มันมีเครื่องรับที่รับคลื่นขนาดต่างๆ ได้ แต่คนมันไม่เกิดปฏิกิริยากันมันผ่านไป เขาก็เอาอันนั้นเป็นหูทิพย์ หรือตาคุณไม่เห็นหรอกแต่คนที่มีตาทิพย์เขาจะเห็น เช่นเห็นผีเห็นเทวดา ผีหรือเทวดาในทางปรมัตถ์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ที่บวรราชธานี


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 09:54:55 )

จักขุมา ปรินิพพุโพติ

รายละเอียด

ปรินิพพานที่มีตา

หนังสืออ้างอิง

จากค้าบุญคือบาป หน้า 300


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:23:49 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:10:01 )

จักขุมา ปรินิพพุโพติ

รายละเอียด

ปรินิพพานแบบลืมตา

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:22:21 )

จักขุมาปรินิพพุโพติ

รายละเอียด

การไปถึงนิพพานนี้จะถึงนิพพานได้ก็ด้วยการมี จักษุ มีปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 62 วันจันทร์ที่12 สิงหาคม2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 15:48:09 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:40:27 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:41:31 )

จักขุมาปรินิพพุโพติ

รายละเอียด

แต่ทุกวันนี้เขาไม่มีวิชชาจรณะ เพราะว่าไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีตื่นมีแต่หลับ ดิ่งเข้าไปให้มันดับไปหานิโรธ ทั้งที่นิโรธของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาเรียกว่า จักขุมาปรินิพพุโพติ เป็นการตรัสรู้อย่างลืมตา นิพพานอย่างลืมตา ไม่ใช่ศาสนาหลับตาเลย ที่อาตมาพูดอธิบาย เพราะแก้ไขมาล้มล้างที่เขาผิดๆ เอาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงยืนยัน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 08:54:42 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:49:58 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:41:53 )

จักขุสัมผัสสชาเวทนา

รายละเอียด

ความรู้สึกที่เกิดจากการแตะต้องทางตา

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 118


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:24:21 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:10:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:42:09 )

จักขุสัมผัสสชาเวทนา

รายละเอียด

ความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัสเห็นทางตา

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:23:29 )

จักร 4

รายละเอียด

คือ ธรรมที่นำไปถึงความเป็นใหญ่ เปี่ยมสมบัติ ดุจล้อหมุนนำรถไปถึงที่หมายสำเร็จ

1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะควร)

2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบกับสัตบุรุษ คือคบคนที่มีความเห็นถูกต้อง)

3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง. การตั้งตนไว้ชอบธรรม)

4. ปุพเพกตปุญญตา (การกระทำบุญลดกิเลสไว้ก่อน, ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 21 "จักกสูตร"  ข้อ 31

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2562 ( 21:50:14 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:13:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:42:28 )

จักร 4

รายละเอียด

คือธรรมที่นําไปถึงความเป็นใหญ่ เปี่ยมสมบัติดุจล้อหมุนนํารถไปถึงที่หมายสําเร็จ

1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะควร)

2. สัปปุริสปัสสยะ (การคบกับสัตบุรุษคือคบคนที่มีความคิดเห็นถูกต้อง)

3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง)

4. ปุพเพกตปุญญตา (กระทําบุญลดกิเลสไว้ก่อน)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 21 “จักกสูตร” ข้อ 31


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 19:57:03 )

จักร 4 ต้องมีสัตบุรุษผู้ที่จะมาเข็นกงล้อธรรมจักร

รายละเอียด

เห็นไหมว่าเหตุใหญ่นั้นคือได้พบสัตบุรุษ เพราะฉะนั้น จักร 4 ต้องมีสัตบุรุษในจักร 4 ต้องค้นให้เจอสัตบุรุษ จักร 4 จึงไม่ใช่ของคนธรรมดาของประชาชนคนทั่วไป ผู้ที่จะเข็นกงล้อธรรมจักร แม้จะไม่มีพระพุทธเจ้าในยุคนั้น แต่ผู้นี้แหละจะมาเข็นกงล้อธรรมจักรเพราะผู้นี้มีบุญเก่ามาแล้ว ตอนนี้ก็มาตั้งตนระลึกถึงของเก่าที่เคยมีสัมมาต่างๆ เอามาดำเนินเคลื่อนกงล้อไปต่อ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:06:04 )

จักร 4 ปัญญาวุฒิ 4 ที่จะนำไปสู่ความเจริญ 

รายละเอียด

จักร 4 ปัญญาวุฒิ 4 ที่จะนำไปสู่ความเจริญ 

จักร ก็คือ การผันหมุน การเดินการเดินบทของการปฏิบัติธรรมนั้นแหละ การเดินบทของการเคลื่อนธรรมะ ซึ่งปัญญาวุฒิ กับ จักร 4 รายการที่พบสัตบุรุษได้ฟังสัจธรรม ส่วนจักร 4 ยึดเอาสถานที่ 

จักร 4 (ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ)

1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) 

2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ)

3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม) 

4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย) 

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 31)

และปัญญาวุฒิ 4

1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ)

2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)  

3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย)  

4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)  

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 248)  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 04:44:39 )

จักร 4 มีลักษณะต่างจากปัญญาวุฒิ 4

รายละเอียด

วันนี้ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู เราก็เอาว่า ปีฉลุย จะได้ผ่านอะไรได้

เรามาต่อที่อาตมากำลังพูดถึงเรื่องของ จักร 4 ที่มีลักษณะต่างกันกับปัญญาวุฒิ 4

จักร 4 (ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ)

1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) 

2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ)

3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม) 

4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย) 

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 31)

และปัญญาวุฒิ 4

1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ)

2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)  

3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย)  

4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)  

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 248)  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 18:35:46 )

จักร 4 เป็นของผู้ที่มีปุพเพกตปุญญตา

รายละเอียด

จักร 4 จึงไม่ได้หมายถึงคุณธรรมของปุถุชนบุคคลทั่วไป แต่เป็นของผู้ที่มีปุพเพกตปุญญตา คือผู้ที่สามารถกำจัดกิเลสได้สำเร็จแล้วตั้งแต่ปางก่อนมา มาตอนนี้ก็ระลึกขึ้นได้สำเร็จ อัตตสัมมาปณิธิ มาตั้งของเก่าขึ้น แล้วก็ให้ผู้ที่ต้องการมาคบหา ในสถานที่นี้ ในถิ่นที่นี้มีอันนี้ ซึ่งเป็นแดน เป็นแหล่ง เป็นแห่ง จะเผยแพร่โลกุตรธรรมให้เกิดได้ ซึ่งเมื่อผู้นี้ยิ่งอยู่ในสถานที่ที่เหมาะควรคือ ปฏิรูปเทสวาสะ แล้วได้พบสัตบุรุษอยู่ ฟังธรรมจากท่านเสมอ สัมผัสสัมพันธ์ มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอยู่ คือ สัปปุริสูปัสสยะ แล้วก็มีบุพเพกตปุญญตา ข้อที่ 4 พร้อมครบ จักร 4 แน่นอนย่อมพาวิ่งเจริญไปอย่างยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:04:33 )

จักร 4 เป็นไฉน

รายละเอียด

จักร 4 (ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ)

1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) . 

2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .

3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม) 

4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย) 

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 31)

ข้อ 1. มีสถานที่อันพอเหมาะ แล้วมีมนุษย์มีคนที่เป็นสัตบุรุษได้พบสัตบุรุษ มีสถานที่ดีๆ เป็นเสนาสนะ 

ข้อ 2. มีสัตบุรุษมีคนที่อยู่ในฐานะครูอยู่ 2 ข้อนี้ครบ มีสถานที่ มีบุคคลเป็นครูบาอาจารย์ที่พึ่งอันเกษมให้เราศึกษาฝึกฝนได้ เรายังไม่เป็นผู้ที่เป็นไก่ตัวพี่ เราก็จะต้องอาศัยไก่ตัวพี่อยู่ ได้แล้วไก่ตัวพี่ 

ต่อมาข้อ 3. อัตตสัมมาปณิธิ คือ คุณก็ตั้งของคุณ ก็ทำของคุณศึกษาให้สัมมาอบรมให้ชอบ ฟังธรรมะความรู้สร้างสิ่งที่เกิดที่เป็นให้ขึ้นที่ตน อัตตะ ให้มันถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธให้เกิดให้ได้ เมื่อคุณได้แล้วก็จะข้ามชาติไป 

และข้อ 4. ปุพเพ ได้แล้ว กตะ ได้อะไร ได้ปุญญะ ได้สิ่งที่คุณสร้างบุญเป็นทำบุญได้ ชำระกิเลสได้เสร็จแล้ว กตะ ปุญญะ

คุณได้เคยทำกิเลสออกมาได้ก่อนแล้ว ปุพเพ มาตั้งแต่ปางบรรพ์ก่อนแล้ว คนที่มีจิตสะอาดที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ปางก่อนมาแล้ว ปุพเพกตปุญญตา แปลเอาตามสัจจะสาระ คือคนที่มีจิตสะอาดบริสุทธิ์เสร็จมาแล้วจากชาติก่อนข้ามชาติมาถึงตอนนี้ นั่นคือคนที่เป็น ปุพเพกตปุญญะ เอาคำว่าตาใส่ก็เป็นคำนาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 15:22:14 )

จักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่มีลำดับถอดแบบกันไป

รายละเอียด

ทุกวันนี้อาตมาก็พยายามถอดแบบของพระพุทธเจ้ามา แม้ไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้าก็เถอะแต่ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากกัน เปลี่ยนสภาพที่เป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ถอดแบบกันไป อาศัยสภาพเหมือนกัน แต่ว่ามันมีมากมายเก่งกาจ หรือว่าสูงส่ง กว่ากันเท่านั้นเอง อาตมาก็เป็นจักรวาลน้อยพระพุทธเจ้าก็เป็นจักรวาลใหญ่ น้อยใหญ่ก็มีลำดับอีกก็ค่อยว่ากันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:12:59 )

จักรวาลสิ้นสุดแค่ไหน

รายละเอียด

อาตมาว่าไปที่ NASA คบหากันกับนาซ่าแล้วถามเขาดูว่าจักรวาลสิ้นสุดแค่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรจะทำเช่นนั้น ควรจะถามว่าดินน้ำลมไฟ ตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน อันเป็นที่สุดของโลก ดินน้ำลมไฟอันเป็นที่สุดของโลกตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน ควรจะทำอย่างนั้น มันก็มีคำตอบตอนนี้อยู่ใน พระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 348 โลกอยู่ในวงโคจรของจักรวาล มีดวงดาวอยู่ในจักรวาลน้อยนี้ 9 ดวง หมุนรอบพระอาทิตย์ ซึ่งจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อโลกทุกโลกแตกสลายไปจากพระอาทิตย์ หรือพระอาทิตย์แตกสลายไปนั่นเอง แต่จะไปถามทำไม หากยังไม่สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้คุณก็ต้องไปอยู่ในอวกาศเป็นวิญญาณสัมภเวสีไป เข้าใจแล้วก็ไม่เอาแบบนั้นไม่จบ แสวงหาโลกลูกไหนอยู่ก็ไม่จบ ก็เลิกแสวงหา มาที่นี่ ก็จะสามารถจบ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จบ หรือจะให้โลกมันจบ จักรวาลมันจบ Galaxy ต่างๆ จบได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถทำให้ หากจะให้จบทุกอย่าง เหลือแต่พระพุทธเจ้าและท่านจะอยู่อย่างไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะคิดเลย เราก็ดับสลายตัวเป็นอุทาหรณ์เลิกความจำความรับรู้ไม่ต้องเป็นชีวะอีก ไม่ต้องเป็นดินเอาไปลงอีกแล้ว คุณก็จบของคุณ คุณก็จบคิด ไม่ต้องคิดอีกเลิกเลย 0 นี่คือวิธีดับของพระพุทธเจ้า คุณจะให้กาละเวลา การเคลื่อนที่ของดวงดาวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ทุกสิ่งที่เป็นจักรวาลมาหาเอกภพมันเคลื่อนที่หมุนเวียนไปตามระบบของมันอยู่ จะให้มันแตกสลายมีที่ดับที่ศูนย์ไปหมด คุณจะไปคิดแทนทำไม คิดแทนโลกมหาจักรวาลทำไม คุณควรคิดดับทุกข์ดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ทุกข์เพราะว่าเรายังมีขันธ์ 5 ภาราหเวปัญขันธา มีทรถ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ในทุกข์ 10 ข้อ ทุกข์ต้องปวดขี้ปวดเยี่ยว ความทุกข์ที่ต้องเจ็บป่วยมีพยาธิทุกข์ ความทุกข์ที่จะต้องทำงานแสวงหาอาหารมาให้ร่างกายกินมันก็ทุกข์อยู่ที่เลี่ยงไม่ได้ถึง 6 ข้อ จะหมดทุกข์สิ้นจริงๆ คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อรหันต์ก็หมดทุกข์ที่เลี่ยงได้แล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 ที่บวรราชสีมาอโศก


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 11:11:47 )

จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ปัจจุบันครบ

รายละเอียด

ปัจจุบันจะต้องครบจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง แล้วมีตัวตนบุคคลอยู่ในโลกใบนี้ที่มีดวงตาเปิดมีแสงสว่างมีความรู้ปัญญาญาณวิชชาอยู่ในปัจจุบันให้ครบพร้อม ถ้าเข้าใจอันนี้ไม่ได้คุณไม่ปฏิบัติอันนี้ คนนี้อีกนาน นานแสนนานที่จะบรรลุธรรม เพราะงมโข่งไม่ออกจากกะลา นี่พูดนี้รู้สึกว่าแรงแล้วนะ ยังอีกนาน เพราะไม่รู้โลกรู้แต่อัตตาในภพ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่3 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 10:36:14 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:42:52 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:42:52 )

จักษุกับอาโลก เป็นธรรมะ 2 ที่สำคัญต่อความเป็นสัจจะอย่างไร

รายละเอียด

ความหมายของ “จักษุ” กับ “อาโลก” จึงเป็น “ธรรมะ 2” ที่สำคัญต่อความเป็นสัจจะ” ปานฉะนี้คือ “ความรู้-ความฉลาด” ของพุทธที่เป็นโลกุตระและสัมมาทิฏฐินั้นต้องมี “จักษุ” และมี “อาโลก” ครบ “องค์ 5 (จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก)” ดังที่ได้อ้างอิงหลักฐานยืนยันมานั้น

แต่ “เทฺวนิยม” ไม่มี “จักษุ” ไม่มี “อาโลก” ยังเป็นโลกียะ จึงเรียก “ความรู้” นี้ว่าเป็น  “ปัญญา” ไม่ได้ เพราะ “องค์ประกอบ” ไม่ครบ

ก็ต้องเรียกว่า “เฉโก” หรือ “เฉกะ-เฉกา” เท่านั้น เพราะเป็น “ความรู้-ความฉลาด” ที่ไม่มี “ธรรมะ 2” คู่สำคัญคือ “จักษุ-อาโลก”

“จักษุ” กับ “อาโลก” ที่เป็นธรรมะ 2 คู่นี้สำคัญมากอย่างนี้เอง เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่า มิติแห่ง “ความรู้-ความฉลาด” ในมนุษย์นั้นจะขาด “จักษุ” ที่หมายถึง “ทวารรู้ภายนอกของมนุษย์ (ทวาร 5)” ไม่ได้ นี้ 1

“จักษุ” นี้เป็นตัวแทน “ทวารทั้ง 5” ได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย ซึ่งทวารอื่นๆ ทั้ง 5 นั้นก็ทำหน้าที่ของตนๆ เช่นกัน นัยะเยี่ยงเดียวกัน

โดยเน้นชัดๆ ว่าต้องมีภายนอกสัมผัสอยู่ “รู้เห็น” ของ “จิตวิญญาณ” ซึ่งต้องมีทวารทั้ง 5 ทำงานอยู่อย่างสำคัญเป็นปกติธรรมดาสามัญ ทำหน้าที่ “ผู้รู้” เป็น “ประธาน(subject)”

นี้คือ ส่วนหนึ่งของ “ธรรมะ 2”

กับอีกส่วนหนึ่ง คือ “อาโลก” ที่หมายถึง “รูป” หรือ “สิ่งที่ถูกรู้ (object)” ซึ่งต้องมีโลกภายนอกอันประกอบด้วย “โลกที่มีแสงพระอาทิตย์กระทบโลกสว่างอยู่ และมีวัตถุอื่นที่ “สัมผัส” รู้ได้ทั้งหลายด้วย ไม่ใช่เข้าไปอยู่ในภายในที่มืดๆ หรือ “หลับตา” อยู่ในภพ เท่านั้น ไม่มีแสง ไม่มีวัตถุที่ถูกรู้ให้สัมผัสเลย

คำว่า “จักษุ” กับ “อาโลก” ใน “องค์ 5” ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “การรู้แจ้งเห็นจริง” หรือ “การตรัสรู้” ของพระองค์จะต้องมีครบพร้อมทั้ง “องค์ 5 (จักษุ-ญาณ-ปัญญา-วิชชา-อาโลก)” ที่ทำหน้าที่อยู่อย่างเต็มหน้าที่ด้วยนะ

ไม่เช่นนั้น ไม่ถือว่า เป็น “สัจจะ” สัมบูรณ์

เห็นมั้ยว่า “จักษุ” กับ “อาโลก” ซึ่งจับคู่เป็น “ธรรมะ 2” คู่นี้สำคัญยิ่งใหญ่แค่ใด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู (จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:27:08 )

จักษุวิญญาณ

รายละเอียด

1. ความรับรู้ที่อาศัยตา

2. ความรับรู้เมื่อรับมาจากทางตาแล้วร่วมปรุงแต่งด้วยกิเลสในใจ

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 219 

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 105


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:25:06 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:11:12 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:43:11 )

จักษุวิญญาณ

รายละเอียด

ความรับรู้ที่เกิดจากตากระทบรูป

ที่มา ที่ไป

รวมศัพท์อโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:24:46 )

จักษุสัมผัส

รายละเอียด

ความกระทบที่มาสัมผัสทางตา

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 220 , ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 106


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 07:25:35 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 16:12:02 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:43:40 )

จักษุสัมผัส

รายละเอียด

การกระทบสัมผัสเห็นทางตา


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2563 ( 11:25:26 )

จัญญา อัญญา ปัญญา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

คุณทำภายในอาจจะมีกิเลสบางส่วน อาสวะบางส่วน จัดการไปได้นานมากจนกระทั่งสลายไปโดย ชรตาก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่ามันละเอียดเกินไปแล้วมันก็ไม่รู้ชัดเพราะตัวธาตุรู้ที่จะรู้ลักษณะความละเอียด มันเป็นอย่างไร มุมเหลี่ยมมิติต่างๆ มันไม่รู้ มันอ่านอาการกระดุกกระดิก อาการเคลื่อนไหวข้างในมันยาก 

ปัญญาธาตุรู้แท้ๆ ที่มันจะสามารถรู้ได้แท้ๆ เลย มันจึงไม่โตพอ ปัญญามันไม่โต ปัญญามันไม่ครบเครื่อง ปัญญามันไม่เต็มรูป มันมีแต่สัญญา มันไม่ใช่ปัญญา หรือไม่มันก็มีแต่ อัญญา มันไม่ใช่ปัญญา มันรู้ไม่ได้ ถ้ามันจะรู้ รู้ได้อย่างเก่งก็แค่ จัญญา

จัญญา มันรู้ได้แค่ความรู้ มันก็ไม่สว่าง เพราะไม่มีแสงสว่างไม่มี อาโลก มันไม่ครบ จักษุ ปัญญา ญาณ​วิชชา อาโลก ซึ่งเป็นกระบวนการองค์ประกอบของการรู้ที่เรียกว่า ปัญญา ที่เรียกว่า ความรู้ต่างจาก เฉโก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 04:43:00 )

จัดการกับปัจจุบันอย่างมีสามัญสำนึกรู้ผลต่ออดีตอนาคต

รายละเอียด

ปัจจุบัน นี่มันมีอะไร มันมีอะไรมา เราก็เอาสิ่งที่เกิดในปัจจุบันมาวินิจฉัย ว่า อันนั้นมันจะดี

ไม่ใช่เราเป็นคนโง่ ว่า เอ้อ เราเอาแต่ปัจจุบันโดยเราไม่รู้ว่าเราทำอันนี้แล้ว สิ่งที่มันเกิดตามมาเป็นอดีตนี่แหละ เป็นผลจากปัจจุบันนี่แหละ แล้วเราก็มารู้ว่า ผลจากปัจจุบันที่เราทำแล้วเป็นอดีต มันเสียหายนะ ไม่ใช่ว่าเราจะโง่ซะจนไม่รู้ว่ามันจะเสียหาย เราก็พอรู้ เพราะฉะนั้น โดยจริงๆ แล้วมนุษย์มันไม่อยากจะให้อะไรเสียหายหรอก ใช่ไหม เป็นสามัญสำนึก คนธรรมดาเป็นสามัญ ไม่เช่นนั้นถ้าเรามีความสำนึกกับมันนิดหน่อยเท่านั้น มันก็พยายามต่อแล้ว สำนึกต่อมันนิดหน่อย เพราะโดยสัญชาตญาณมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสามัญสำนึก ใครอยากให้อะไรเสียหาย ไม่มีใครอยาก เพราะงั้นเราก็เอาพลังงานเข้ามาร่วม มันก็จะน้อยลง ไม่งั้นเรื่องมันจะเยอะ

ที่มา ที่ไป

เทคนิคการปล่อยวางความยึดและอยู่กับปัจจุบัน

14 ก.ค. 2561 ป้าขาว (สีพลบ) กับลูก (พิมพ์บูชา) มาพบพ่อครู


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2564 ( 15:52:05 )

จัดการกายต้องแม่น คม ชัดในลำดับการตัดขาดภาวะ 2

รายละเอียด

ต้องแม่น ต้องคม ต้องชัดในลำดับความเป็น “ภายนอก” และหรือ “ภายใน” ของความเป็น “กาย” และเป็น “ใจ” กันให้ดีๆ ให้ตรงๆ อย่าผิดพลาดเป็นอันขาด จึงเป็นการตัดขาด “ภาวะ 2” ให้เป็น “ภาวะ 1” หรือที่สุด “ภาวะ 0” ได้อย่างเป็นจริงหากปฏิบัติธรรม ไม่มีลำดับอย่างถูกขั้นตอน มันก็ลักลั่น สับสน วกไปวนมา หลงเหลือเศษนั้นส่วนนี้ หลุดรอด ขาดหกตกหล่น วุ่นไปหมด มันก็ไม่ราบเรียบ ไม่สะอาดหมดจดราวกับแผ่นกระจก หรือหาดทรายฝั่งทะเล มันก็ถึงที่สุดบริบูรณ์สัมบูรณ์ไม่ได้ ความเป็นที่สุด ที่เยี่ยมยอด “อนุตตริยะ” จริง ก็เกิดไม่ได้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 139 หน้า 126


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 04:39:16 )

จัดการจิตวิญญาณตัวเองได้ ย่อมพบคำตอบ พระเจ้าแท้ๆ นั้นอนัตตา!

รายละเอียด

ก็ไม่เชื่อว่า ตนนั้นจัดการกับ “จิตวิญญาณ” ตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ที่สุดทำ “วิญญาณ” หรือ “อัตตา” ของตนเองให้สิ้นสูญเป็น “อนัตตา” สำเร็จจริง จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า “พระเจ้า” แท้ๆ นั้น “อนัตตา”“พระเจ้า” ไม่ใช่ “อัตตา” หรือ “ปรมาตมัน” นิรันดรเลยเนื่องจากยังเชื่ออยู่แต่ว่า “วิญญาณ” ของใครๆ ล้วนเป็นของ “พระเจ้า” และปักใจเชื่อสนิท ว่า “พระเจ้า” นี้เป็น “ภาวะที่มีอยู่นิรันดร” ชนิดที่ยก “พระเจ้าของข้าใครอย่าแตะ” ตาบู..เด็ดขาด!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 233 หน้า 192


เวลาบันทึก 01 สิงหาคม 2564 ( 19:17:55 )

จัดการให้มนุษย์อยู่กันดีที่สุด แล้วโลกทั้งใบจะดี

รายละเอียด

อาตมาก็เป็นไปตามมวลมนุษย์ ที่ชุมนุมกันรวมกันอยู่ อาตมาก็ทำกรรมคือการกระทำ กรรมของอาตมาที่คิดว่าควรทำกรรมในทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที มาก็กำหนด แล้วแสดงออก ทางกายวาจาใจ ที่ไม่แสดงออกคือในใจก็เอาไว้ ถึงเวลาใดที่เหมาะก็แสดงออก แล้วมันก็จะเกิดผล เมื่อแสดงออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ถ้าอยู่ในมโนกรรมก็อยู่เป็นผลแก่ตัวเราเท่านั้น พอออกมาถึงเป็นวจีกรรมกายกรรม แล้วมันก็ไปกระทบสัมผัสกับมนุษย์อื่นๆ กับคนอื่นๆ ก็เกิดปฏิกิริยากันไป 

ปฏิกิริยาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมันก็จะเป็นปฏิกิริยาผลักและดูด แรงและเบา มีผลมิติอื่นๆ อีกหลายนัยยะ ก็เกิดไปเป็นธรรมดาธรรมชาติของมนุษยชาติ พระพุทธเจ้าก็มาศึกษาสิ่งเหล่านี้และมาสอนให้รู้แล้วก็ให้อยู่กับมนุษย์ จัดการกับมนุษย์ให้ดีที่สุด แล้วโลกทั้งใบจะดี จัดการให้อยู่กันดีที่สุด แล้วโลกทั้งใบก็จะดี เราก็ต้องตัดกรอบมาจัดการไปทีละปริเฉท อย่าไปตะกละเอามาก คนเก่งก็ทำได้หลายปริเฉท เอามารวมกันเข้า คนเก่งก็ทำได้หลายปริเฉท 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 20:06:14 )

จัดสรรพลังงานแฝงให้ก้าวหน้าได้อย่างไร

รายละเอียด

แต่ถ้าคุณเองมีเจตนา และมีตัวปรารถนา มีตัวประสงค์ที่จะให้ก้าวหน้า คุณก็เติม ตั้งใจที่จะมีจิต สติ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะ กำหนดตัวนี้ เพื่อให้มันเกิดอย่างเป็นองค์รวม มันก็จะเกิดการก้าวหน้าที่ว่า แต่ถ้าไม่ไปจัดการมันก็ไปตามประสา ดีไม่ดีก็สะเปะสะปะ ก็ไม่พัฒนาเท่าที่ควร ถ้าเผื่อว่าเรามีจิต มีสติสัมปชัญญะ  ปัญญาเข้าไปควบคุม มันก็จะเป็น เหมือนกับเราบอก ปล่อยให้เด็กทำงานไม่ไปควบคุมเลย มันก็สะเปะสะปะ ถ้าเรา เอ้ามา  เอาเท่านี้ เอาอันนี้นี้นี้ มันก็จะได้ความ ถ้ายิ่งเราเป็นระเบียบเปี๊ยบวินัยเลย มันก็จะได้ครบ เรื่องธรรมดา

 

ที่มา ที่ไป

พลังงานสัมประสิทธิ์คือพลังแฝง Kinetic energy วันที่ 13 กรกฎาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน พลังงานสัมประสิทธิ์คือพลังแฝง

 


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2564 ( 14:25:24 )

จัดสัดส่วนให้ได้พลังงานที่ดี

รายละเอียด

คือจัดสัดส่วนให้ได้พลังงานที่ดี ในสังขยาเลข คำนวณตามคณิตศาสตร์ ก็ยังยากเลย จัด หรม. ครน. จะให้ได้สัดส่วนพอเหมาะพอดีไม่ง่าย ยาก ยิ่งนามธรรมแล้ว ไม่ใช่เม็ดมะขาม มันมีตัว overlap ซ้อนกันอยู่ไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ก็ไม่ใช่ง่ายต้องค่อยๆศึกษาไป มันจำนน ไม่รู้จะไปแบ่งอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 20:17:30 )

จัดอาหารถวายอย่าให้เกิน 3 อย่าง

รายละเอียด

นี่กำลังจะบอก ให้เขาจัดอาหารอย่าให้เกิน 3 อย่าง มีน้ำพริก ผักต้ม ผักสด ผลไม้มีบ้างไม่มีบ้างก็ไม่เป็นไร ส่วนครีมข้าว ไม่ต้องแล้ว ข้าวสวยอย่างเดียวนั่นแหละน้ำพริกผักต้มผักสด และก็มีกระปุกเกลือ น้ำตาลไม่ต้องก็ได้ กระปุกถั่ว ถั่วก็ให้ลดลง ถั่วเยอะเหลือเกินหลายอย่าง

ไม่ใช่บางทีก็ ร่างกายไม่รับ (เบื่อ) บางทีฉันเข้าไปแล้วก็เต็มท้อง ข้าวสวยก็ไม่ได้ฉัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูดำริให้ลดชนิดของอาหารที่จัดมาให้ (โภชเนมัตตัญญุตา) วันที่ 13 มิถุนายน 2561

 


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:22:18 )

จัดอาหารอย่าให้เกิน 3 อย่าง

รายละเอียด

นี่กำลังจะบอก ให้เขาจัดอาหารอย่าให้เกิน 3 อย่าง มีน้ำพริก ผักต้ม ผักสด ผลไม้มีบ้างไม่มีบ้างก็ไม่เป็นไร ส่วนครีมข้าว ไม่ต้องแล้ว ข้าวสวยอย่างเดียว

พ่อครูว่า…นั่นแหละน้ำพริกผักต้มผักสด และก็มีกระปุกเกลือ น้ำตาลไม่ต้องก็ได้ กระปุกถั่ว ถั่วก็ให้ลดลง ถั่วเยอะเหลือเกินหลายอย่าง

พ่อครูว่า…ไม่ใช่บางทีก็ ร่างกายไม่รับ (เบื่อ) บางทีฉันเข้าไปแล้วก็เต็มท้อง ข้าวสวยก็ไม่ได้ฉัน

ที่มา ที่ไป

610613_พ่อครูสนทนาธรรมยามเช้ากับปัจฉาสมณะ  พ่อครูดำริให้ลดชนิดของอาหารที่จัดมาให้ (โภชเนมัตตัญญุตา) วันที่ 13 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:30:34 )

จับกังแบกลังทอง ในที่นี้คืออะไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสังคมที่มีธรรมะโลกุตระพระพุทธเจ้าเป็นสังคมที่มีประชาธิปไตยเด็ดขาด แน่นอนจริงจัง เป็นประชาธิปไตยไม่ได้มีอยู่ในรัฐศาสตร์ทางตะวันตก จะได้ ดร.ทางประชาธิปไตย รัฐศาสตร์มาอย่างไรก็ไม่มี มีอยู่ในประเทศไทย แล้วเขาเสื่อมความรู้นี้ไปหมดแล้วใน พ.ศ 2500 โพธิรักษ์นำกลับมา เพราะโพธิรักษ์เป็นสยังอภิญญา เป็นผู้มีความรู้จากพระพุทธเจ้าติดตัวมา แต่ชาติก่อนมาแล้ว อาตมานำติดตัวมาโดยไม่มีครูบาอาจารย์ในชาตินี้ เอามาพูดออกมา ผู้ที่รักษาศาสนาพุทธไว้ก็ขอบคุณมาก อย่างเช่น เถรสมาคมหรือผู้รู้ รักษาไว้ได้แต่ลัง รู้จักไหม “จับกังแบกลังทอง” ได้แต่แตะลังเท่านั้น แต่ไม่ได้แตะทองคำอยู่ในลังนั้น เถรสมาคมเป็นจับกังแบกลังทอง ไม่เคยแตะทองคำ แต่อาตมานี้เอาทองคำมายืนยันว่าอย่างนี้ ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่จับกัง อาตมาเป็นผู้ที่เอาทองมาแจกมาอธิบายขยายความว่าทองเป็นอย่างนี้ 

นี่คือสัจจะความจริงที่อาตมาพูดอย่างไม่เก้อเขิน ไม่มังกุ ไม่กระดาก ไม่มีสาเฐยจิต อยากโอ้อวดไม่มี พูดความจริงใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร อาตมามีหน้าที่พูดความจริงพูดความไม่จริงไม่เป็น ให้ฟังดีๆ เถอะว่าที่พูดอย่างนี้คืออะไร ทำไมพูดอย่างอวดดิบอวดดีเหลือเกิน นี่เป็นภาษาไม่ดี แต่ถ้าภาษาที่ดีก็คือทำไมคนนี้ พูดอย่างแกล้วกล้า อาสโภเหลือเกิน คนฟังมี 2 แบบ คนฟังไม่ดีก็ดูถูกดูแคลน ลดค่า ด้อยค่าอาตมา แต่คนฟังที่เห็นค่าอาตมาก็คือเขาเห็น ผู้ที่ด้อยค่าก็เป็นธรรมดา มันก็มี 2 คน ควรจะอยู่ในฝ่ายไหนก็เลือกเอา อาตมามีหน้าที่พูดความจริงที่มีอยู่ เจตนาเอาความจริงนี่มาขยายความเท่านั้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก  


เวลาบันทึก 18 มกราคม 2566 ( 10:55:19 )

จับคู่ตนกับของตน

รายละเอียด

ของตนก็อีกสิ่งหนึ่ง ตนก็คือธาตุวิญญาณ ธาตุจิตของเรา เป็นตนกับของตน จับคู่อยู่อย่างนี้ผู้ศึกษาให้ดีก็แยกคู่ได้ ตั้งแต่ของหยาบก็แยกได้ แล้วก็แยก แยกได้ดีขึ้น เพราะมันละเอียดขึ้น เป็นตัวตนของตนละเอียดขึ้น ก็ต้องรู้ให้จริงว่ามันไม่ใช่ตัวตน แยกได้ๆ ก็ละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายเหลือตนก็มี 2 

ตนอยู่ 2 นี้คือ ต.เต่ากับ น.หนู ต คือสิ่งที่ static ตั้งอยู่ น ก็คือ dynamic

น คือไม่มีแต่ตัว ไม่มีนี้วิ่งอยู่ ตัวป่วนนี่ วิ่งอยู่ ตัวมี ทำนิ่ง 

เพราะฉะนั้นตัวนิ่งคือตัวหลอกมนุษย์ที่สุด มนุษย์ที่นิ่งคือมนุษย์ที่ทำนิ่งได้แล้วคือผู้สงบ แต่การสอนสงบด้วยวิธีไม่มีปัญญาก็สงบแบบกดข่ม ต้องสงบด้วยปัญญาจึงเป็นของพุทธ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563 วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 20:54:34 )

จับคู่ปฏิบัติธรรมะ 2 อย่างไรให้เป็นลำดับ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าถึงให้เปรียบเทียบ 2 ตัว 2 อย่างจับคู่กันเข้า เอาจากหยาบที่สุดไปหาละเอียดที่สุดคุณจะรู้ง่ายด้วยซ้ำ หยาบที่สุดกับละเอียดที่สุด ก็หาต่อลงมาเรื่อยๆ ทีละคู่ ด้วยการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเปรียบเทียบ มี 2 อย่างให้เปรียบเทียบทีละคู่ๆ แล้วคุณก็จะเลือกได้อันที่ 1 เลือกได้ดีขึ้น ก็เปรียบเทียบกันต่อไป คุณเห็นอะไรที่จะเปรียบเทียบใกล้กันได้ก็เอามาจับคู่ แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ เป็นหนึ่งไปให้ได้ทีละคู่ๆ แล้วเราจะมีปฏิภาณรู้เองว่า อ๋อ.. เราไปจับคู่ที่มันไกลเกินเป็นฟันหลอ มันข้ามขั้น

ถ้าคุณเข้าใจลำดับด้วยไม่เป็นฟันหลอ ถ้าเรียงลำดับเลยว่าจากหนึ่งต้องมาจับคู่เป็น 2 จากนั้นจับคู่เป็น 3 เป็น 4 ถ้าคุณเรียงลำดับได้อย่างนี้นี่แหละ คือการเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า แต่มันจะเรียงได้ยากคนก็จะจับเป็นฟันหลอ ไม่รู้กี่อย่างกี่อันไม่รู้กี่กลุ่มกี่สลับซับซ้อน กว่าจะเรียงลำดับได้ขึ้นมาก็ไม่ต้องไปตกใจ มันได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นจับคู่ให้ได้ทีละคู่ ว่านี้เป็นคู่ที่ใกล้ชิดกันที่สุด 1 กับ 2 แต่ที่จริงคุณอาจจะไปจับ เอา 1 กับ 1,000 หรือ 999 ก็จับ 2 ได้ ที่จริงมันจะเห็นยากด้วยซ้ำเพราะมันยาวกว่าเยอะ คุณก็เลือกเอาหนึ่งที่เห็นว่ามันถูกต้องให้ได้เสมอ คุณก็จะเหลือ 1  1 1 1 1 1 1 จบด้วย 1 เป็นที่สุด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 20:57:06 )

จับคู่สิ่งที่ใกล้กันที่สุด คนจะเกิดปฏิภานนั้นเอง

รายละเอียด

ก็สารพัด สิ่งที่ใกล้กันที่สุด ปฏิภาณของคุณจะบอกว่า อันนี้เรียงกันเป็นตัว 1 ตัว 2 แต่ความละเอียดของคุณ คุณจะไปจับเอาตัวที่ 999 มาบอกว่าตัวนี้ตัว 1 กับ 2 แต่ที่จริงมัน 999 คุณก็เปรียบเทียบอะไรควรหรือไม่ควร แน่นอนคุณก็ต้องเอา 999 ออกก่อนให้เหลือ 1 ทีละคู่ทีละคู่เลย คุณก็ไม่เอาอันนั้นก็จะเอาตัวต่อมาคุณก็จะเลิกง่ายขึ้น เราจะรู้ว่าเราข้ามขั้น เราจะรู้ว่าตัวนี้ใช่กว่าคนจะเกิดปฏิภานนั้นเอง 

นี่แหละสุดยอดถึงว่าคำว่าเทวะแปลว่า 2 นี่สุดยอดเลย ถ้าเข้าใจก็จะเข้าใจเทวะได้ดียิ่งขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 20:59:36 )

จับนาม-รูปเริ่มต้นที่การกิน เป็นเรื่องใกล้ตัวนี้แหละ!

รายละเอียด

และ “นามรูป” ที่จะมีให้เราปฏิบัติ ก็ได้แก่ “อาหารคือคำข้าวที่กิน ผลไม้ที่กินทางปากเข้าไปเลี้ยงชีวิต(กวฬิงการาหาร)”นี้แหละสำคัญยิ่งนัก ซึ่งเป็น“กรรมฐาน” ที่มีอยู่ประจำชีวิต ไม่ต้องไปแสวงหาอะไรอื่นเลย เมื่อเรากินอาหารก็ต้องมี “ผัสสะทางทวาร 5” ด้วย “ภาวะ 2” ที่เป็น “ รูป-นาม” แล้วจึงจะเกิดภาวะในจิตคือมีเวทนา-ตัณหา-อุปาทาน ซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยตาม “ปฏิจจสมุปบาท” ให้เราได้ศึกษาปฏิบัติจนจบสูงสุดเกิด “วิชชา” แทน “อวิชชา”ได้ครบๆ จนบรรลุ “วิชชา” สูงสุดก็คือ “วิชชา 8”  

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 176 หน้า 154


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2564 ( 20:54:42 )

จับสังขารให้ได้ก่อน

รายละเอียด

เมื่อไม่รู้ “สังขาร” ก็ยัง “อวิชชา” อยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้น “ปฏิจจสมุปบาท” ให้ศึกษา ก็ปิดประตูที่จะพบ “ความรู้-ความจริง” ที่เป็น “ภพ” เป็น “ชาติ”หรือไม่สามารถมี “ความรู้-ความจริง” ที่เป็น “เทฺว” และไม่สามารถจัดการกับ “เทฺว”ได้เป็นที่สุดสัมบูรณ์ เพราะจะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “มาร” ตัวแท้ได้เลย จึงหมดสิทธิ์ที่จะจัดการกับ “มาร(ซาตาน)” ได้ถึงที่สุดแห่งที่สุดขั้น “นิพพาน”เพราะพ้น “ความลึกลับ” ในความเป็น “เทฺว” ไม่ว่าจะเป็น “เทฺว” เล็ก “เทฺว” ยิ่งใหญ่สุดใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่ได้ทั้งนั้นนี่เอง 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 28 หน้า 58


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 15:04:39 )

จับสิ่งที่เราติดจริง มาอ่านเหตุ เอามาเรียนรู้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องมาจับสิ่งที่เราติดจริง มีจริง ไปวนเวียนอยู่จริง แล้วก็เอามาเรียนรู้ อ่าน เหตุที่มันไปติดไปชอบไปยึด มันสำคัญนักหรือ ถ้ามันไม่มี เราปล่อย เราเลิก เราวางมันแล้วจะตายหรือ ลองดูซิ ลองดูจริงๆ มันไม่ตาย มันเบาสบายด้วย มันหลุดพ้นมาได้ ไอ๊หยา ได้ตัวอย่าง 

เมื่อได้ตัวอย่างแล้วก็ทำมาเรื่อยๆ พูดให้พวกเรานี้ พวกเรา อบายมุขไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้วอันนี้ สูงไปถึงขั้นเป็น กามขั้นหยาบ กามขั้นหยาบ ราคะขั้นแรงๆ จัดๆ จ้านๆ หยาบๆ จ๋าๆ จี๋ๆ แต่ก่อนเราก็ไปดีกับมัน ยินดีกับมัน เป็นสุขถ้าได้มาก็ชื่นใจ ก็มาเลิกอีก โอ้ เบา สบาย ว่าง ยิ่งมีหมู่มีพวก มีตัวอย่าง กลุ่มหมู่ ผู้บรรลุ ผู้ปฏิบัติแล้ว เป็นชุมชนหมู่กลุ่ม เป็นสังคม เป็นวัฒนธรรม เป็นพฤติกรรมปรากฏการณ์ในโลกเลยอย่างชาวอโศกเรานี่ โอ้โห มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี นี่แหละ มันน่าไปอยู่ด้วย ก็มาเลยๆ 

แล้วก็จะดำเนินการศึกษาปฏิบัติไปตามหลักจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีล ไปทีละขั้น ทีละระดับ ๆ บรรลุไปได้อย่างละเอียด ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล อัศจรรย์ไม่ต้องย้อนกลับไปอีกเลย ปื๊ดๆๆ ไปตามลำดับเลย จบแล้วจบเลย ไม่ต้องขลุกขลักๆ วนไปวนมา ไม่ต้อง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 14:15:08 )

จับอาการของทุกข์ได้อันนี้ยิ่งใหญ่

รายละเอียด

อันนี้ยิ่งใหญ่นะจับอาการของทุกข์ได้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ง่ายอาการของทุกข์ เพราะแม้แต่ทุกข์มันก็แยกออกเป็นทุกข์ทางกาย กายิกทุกข์หรือเจตสิกทุกข์ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงได้กับเลี่ยงไม่ได้ เป็นนัยยะละเอียดลึกซึ้ง คนที่จะรู้ทุกข์จึงไม่ใช่คนธรรมดา ต้องมีจิตที่มีปัญญาแหลมคมเข้าใจชัดเจนในคำว่าทุกข์แล้วก็รู้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นทุกข์ที่จะต้องแก้หรือเปล่า มันเลี่ยงไม่ได้แก้ไม่ได้ก็มี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาแยกแยะนามรูปได้เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2564 ( 20:45:56 )

จับเป้าคือ จิตล้าง เอากิเลส ออก

รายละเอียด

สงัด คือ จิตของท่านไม่มีกิเลส ทั้งๆที่ในขณะนั้นยังอยู่กับจีวร มีการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ฉันอาหาร อยู่ในพื้นที่สถานที่ต่างๆ ทั้ง 3 อย่างเลยยังมีอยู่พร้อม แต่จิตเท่านั้น ไม่ใช่สงัดเพราะเอาจีวรเก่าๆขาดๆมาใส่ หากไม่ใส่ก็เป็นโป๊ไป ในบิณฑบาต อาหาร ก็อย่าไปติดในอาหาร กินอาหารอย่างที่เรียกว่าทำให้สุขภาพร่างกายเสีย เป็นอาหารไม่เป็นอาหารดี ดีไม่ดีกินเศษอาหารเขาทิ้ง สำหรับเดียรถีย์ ที่อยู่อาศัยก็ไม่เอาก็เตล็ดเตร่ไปต่างๆนานา ไม่มีที่พักอาศัย ส่วนศาสนาพุทธไปออกจากเรือนบวช ก็ไปอยู่กับหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ว่าไม่มีมิตรดีสหายดี ไม่มีเสนาสนะทีพออาศัย ของพระพุทธเจ้าก็มีวัดวาเยอะแยะคนเขาก็ช่างให้ ก็มีที่พักเป็นธรรมชาติแต่เราไม่ติดที่ แต่ก็อยู่ได้ ดีไม่ดีไปเตร็ดเตร่มากไป ไปเหยียบข้าวเขาที่ทำไร่ ถึงเวลาเข้าพรรษาเขาทำนาก็ให้อยู่ในที่จำพรรษา เป็นความสลับซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยสำหรับคำสอนพระพุทธเจ้า จับเป้าถึงตัวจิตเจตสิกต่างๆ โดยที่ต้องรู้ต้องล้างกิเลสตัวผีร้ายเอากิเลสออกให้ได้ เขาก็ไม่ค่อยชัดเจนกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:56:26 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 17:46:28 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:45:50 )

จับเวทนาเพื่อเรียนรู้กิเลสด้วยเจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

ในเจโตปริยญาณ 16 มีเป็นคู่ทั้งนั้น 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ใครคือผู้ถึงแก่น ใครเป็นผู้หลงกิ่งใบดอกผล วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 15:14:52 )

จาก 2 เป็น 1 เป็นนามรูปคืออะไร

รายละเอียด

มีอะไรไปเกี่ยวข้องคุณก็จับคู่ สัมผัสอะไรเป็นปัจจุบันก็เอามาศึกษาก่อน อันไหนไม่ต้องเอามาศึกษาก็ปล่อยไปก่อน หยาบกลางละเอียดเท่าไหร่ก็เอามาศึกษา แล้วแยกเอาสิ่งที่มันควรที่สุด ควรที่ว่าคือขยับจาก การปรุงแต่ง 3 เส้า จาก 2 เป็น 1 เป็นนามรูป เลื่อนเป็นสังขาร วิญญาณ นามรูป 

นามรูปคือ 2 กับ 1 คือตัวถูกรู้กับตัวผู้รู้ พลังงานอุตุนี้มันยังแยกไม่ออก พลังงานบวกกับพลังงานลบตัวมันเองไม่รู้มันเอง แต่มีแต่คนไปจัดการแยกแยะรู้มันได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:45:58 )

จาก FETV เป็น FMTV

รายละเอียด

ตั้งแต่เป็น for the earth television มาเป็น for mankind Television คือเขาท้วงว่า มีพรรคการเมืองที่ชื่อเพื่อแผ่นดิน เราก็ไม่อยากซ้ำ เราก็มาเอา For mankind Television FMTV เอามาเพื่อจิตวิญญาณดีกว่า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 21:10:30 )

จาก สก มาเป็น สม 

รายละเอียด

จาก สย สว สก มาเป็น สม 

ม ตัวนี้คือจิตวิญญาณ ก คือตัวต้นของพยัญชนะทั้งหมด ม คือตัวปลายของพยัญชนะทั้งหมด 

 วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง

 วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ

 วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

 วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น

 วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม

 

สม ส คือ การเกี่ยวข้องร่วมกันอยู่ก็คือ จิต คือ ม 

ถ้า ก กับ ม มันทำงานร่วมกันก็เป็น กม ถ้า ม สองตัวเป็น cyclic มีอำนาจจิต มม สองตัวทำงานร่วมกันเป็นสามเส้า ก เป็นรูป ม เป็นนาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 16:59:54 )

จาก “จิตธาตุ” เป็น “พีชธาตุ” สุดท้ายเป็น “อุตุธาตุ” สิ้นความเป็น

รายละเอียด

ซึ่งชัดเจนใน “ธรรมนิยาม 5” นั่นเอง จึง “จบสิ้น” ใน “อัตตา” กันเป็นที่สุด แยก “จิตธาตุ” เป็น “พีชธาตุ” ที่สุดเป็น “อุตุธาตุ” ได้ด้วยการปฏิบัติ “กรรม” และด้วยการปฏิบัติ “ธรรม” ที่เป็น “วิชชา” ชนิดที่เปิดเผย ไม่สงวนสิทธิ์ ทุกคนมีสิทธิ์พิสูจน์ได้ ถึงที่สุดพิสูจน์ความเป็น “พระศาสดาอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า” องค์ใดองค์หนึ่ง ที่คนในโลกสัมผัส “ตัวตน (ปรมามตมัน)” ได้ ทั้งความเป็น “รูปร่างตัวตน” ทั้ง “วิญญาณ” ว่า ทั้งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจัดการกับ “วิญญาณ” ได้จริง ถึงที่สุด “ดับสิ้นสูญสลายความเป็นวิญญาณ” ให้เป็น “สูญ” ให้สลายแยกธาตุเป็น “อุตุ” สิ้นความเป็น “จิตวิญญาณ” ได้เด็ดขาดจริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือรวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 204 หน้า 171


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2564 ( 11:00:21 )

จากจิตนิยามสู่พีชนิยาม สู่อุตุนิยามนี้แลคือ“นิพพาน”! 

รายละเอียด

ศาสนาพุทธสามารถจัดการกับ “เทฺว” อันคือ “อัตตา-อาตมัน”แม้ถึงขั้น “ปรมาตมัน” ที่เป็น “จิตนิยาม” ให้เป็น “อนัตตา”ไ ด้สุดๆ ด้วยการจำแนกแยก(distinguish)ธาตุ “จิตนิยาม” แล้วทำให้เป็น“พีชนิยาม” และ “อุตุนิยาม” ด้วยความรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “กรรม” และใน “ธรรม” อันเป็น “เทฺว” คู่สำคัญยิ่งยอดได้จริงแท้ ด้วยประการฉะนี้ จึงชื่อว่า ศาสนาที่มี “นิพพาน” ขั้น “โลกุตระ”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 263 หน้า 211


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:24:35 )

จากฌาน 1 สู่ฌาน 2-3-4 ค่อยๆไต่ระดับ!

รายละเอียด

นั่นคือ พฤติการณ์หรือการกระทำ “ฌาน 1” เมื่อมีผลผ่าน“ฌาน 1” ไปได้ เราเจริญขึ้นก็ย่อม “ยินดี” ในผลนั้นเรียกว่า “ปีติ” เมื่อเสร็จกิจของ “วิตกวิจาร” เลิก “วิตกวิจาร” ไปก็เหลือแต่ “ปีติ-สุข-เอกัคคตา” ก็เป็น “ฌาน 2” จาก “ฌาน 2” จะเป็น “ฌาน 3” ได้นั้นก็คือ เรารู้ด้วยปัญญาของเราแน่แท้ว่า อาการ “ปีติ” คืออาการของ “ความยินดี” นี้ ถ้าเราเอาแต่เพิ่มอาการนี้ให้ยิ่งขึ้นๆ หรือติดใจในอารมณณ์นี้ยิ่งขึ้นๆ มันก็เป็น “อุปกิเลส” ยิ่งขึ้นๆ ก็เป็นเหมือนที่เราเป็นปุถุชนเคยหลงผิดอย่าง “อวิชชา” มาแล้ว ขืนเราทำตามที่เป็นปุถุชนนั้นก็กลายเป็น “กิเลส” หนาหนักเพิ่มขึ้นแน่แท้ บัดนี้เรารู้ทันแล้ว เราก็ไม่ทำอาการ “ปีติ” ให้มันหนักมันหนาขึ้นในจิตใจเราอีก เราก็ลดปีติด้วยปัญญา

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 291 หน้า 225


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:27:36 )

จากฌาน 2 สู่ฌาน 3!

รายละเอียด

เมื่อเราลด “ปีติ” ลง เราก็ยิ่งเห็นยิ่งรู้อาการที่เป็น “จิตสงบ” ที่เนียนสนิทยิ่งๆ ขึ้น ถ้าเราลดปีติได้ ไม่มี “ปีติ” ก็ยิ่งสงบที่เป็นจริง เหลือแต่ “สุข” ที่เป็นเอกัคคตายิ่งๆ ขึ้น เป็น “ฌาน 3” 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 292 หน้า 226


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:28:34 )

จากฌาน 3 สู่ฌาน 4!

รายละเอียด

ถ้ายิ่งลดอาการที่เหลือในจิตลงอีก คือ “สุข” ที่เสพอยู่ในใจ จิตมันก็จะยิ่งสงบลงๆ เพราะจิตจะเริ่มมี “อุเบกขา” เข้ามาในจิต คือ มันก็ยิ่งจะ “ไม่มีสุข (ไม่มีทุกข์ที่เป็นคู่หูด้วยแน่นอน)” เราก็จะสูงยิ่งขึ้นไปจาก “ฌาน 3” ได้ เข้าสู่ “ฌาน 4” ที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แท้จริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 293 หน้า 226


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:29:31 )

จากฌานก็มีปัญญาเรียนรู้มาตลอดสาย

รายละเอียด

จากฌานก็มีปัญญาเรียนรู้มาตลอดสาย รู้ว่าตอนนี้เป็นสัทธรรม ตอนนี้เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด เอ้อ.. กิเลสลดลงในจิต เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจางคลาย เห็นความดับ เห็นมันเกิดเป็นปัจจุบันนะ ถ้าคุณไปนั่งเตวิชโช อานาปานสติหลับตาก็เป็นเตวิชโช แล้วก็มีทั้งคุณสมบัติ อนิจจานุปัสสี  วิราคานุปัสสี  

วิโรทานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยงตรวจสอบด้วยเตวิชโช ตามเห็นความจางคลาย

วิราคานุปัสสี วิโรทานุปัสสี กิเลสมันดับ ทำไปทำมากิเลสมันเกิดอีกดับอีกดับแล้วดับอีกอีก จนกระทั่งมันเป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี ปฏินิสสัคคะไม่เกิดกิเลสอีก คุณก็จะอ่านออกทวนแล้วทวนเล่าทุกปัจจุบัน 36 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช 2/ 08/ 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:28:05 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 11:34:53 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 06:47:04 )

จากทิฏฐิปัตตะไปถึงกายสักขีอย่างไร

รายละเอียด

ทิฏฐิปัตตะ จึงจะมีคำว่ากายสมบูรณ์รู้จักคำว่ากายได้ดี พ้นกาย พ้นสักกายทิฏฐิ รู้จักกาย รู้จักตัวเอง เรียนรู้จิตเจตสิก รูป นิพพาน ของตัวเองโดยเฉพาะจิตเจตสิกแยกออกเป็น 2 ได้ แยกกิเลสกับตัวสะอาดได้ แล้วก็จัดการทำลาย จึงสามารถทำให้เกิด กาย ดับ ไม่มีอาการกาย มีแต่จิตสะอาดขึ้นๆ 

แม้กระทบกับกายภายนอกจิตก็สะอาดได้ จึงมีกาย จากทิฏฐิปัตตะ จึงไปถึงกายสักขี

ตัวกายสักขี จะเห็นว่ามีทั้งภายนอกภายใน เป็นพยานหลักฐานยืนยันได้ต่อคนทั้งมวล เพราะออกมาชัดเจน ถ้าทิฏฐิปัตตะ ไม่ปฏิบัติภายนอกคุณอยู่แต่ภายใน มันก็ไม่ได้อะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 05:20:46 )

จากปัจจัตตังเป็นปัจเจกแล้วจึงเป็นสยังอภิญญา

รายละเอียด

ผู้ได้ชื่อว่า “รู้เอง” ขั้น “สยังอภิญญา” นั้นคือ ผู้ที่ได้ “สะสมโลกุตรธรรม” ใส่ตนเองมาก่อนแล้วถึงขั้นเป็นปัจเจก “ในตนเอง” 

เมื่อได้มีชีวิตข้ามชาติ ถึงขั้นได้ชื่อว่า “สยังอภิญญา” ซึ่งต้องเกิดเป็น “ปัจจัตตัง” มาก่อนแล้ว มีภูมิสูงขึ้นเป็น “ปัจเจกบุคคล” ขั้นต้น จากปัจเจกขั้นต้นจึงเจริญสูงเพิ่มขึ้นเป็น “สยังอภิญญา” 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:31:56 )

จากพระไตรปิฎกนี้พวกนั่งหลับตาจะไม่บริบูรณ์เพราะ

รายละเอียด

ฟังคำว่าบริบูรณ์ให้ดีๆ พวกคุณได้ปฏิบัติได้ฟังธรรมะเสมอ มันเป็นปัญญาข้อที่ 2 ได้พบสัตบุรุษแล้ว พยายามมาฟังมารับต่อให้บริบูรณ์เสมอๆ ผู้มีสติสัมปชัญญะไม่บริบูรณ์ ไม่ตื่นเต็มทั้งภายในภายนอกคือไปนั่งหลับตา มันเลิกโยนิโสมนสิการเป็นแต่เพียงภายในและภายนอก อีก 5 ทวารทิ้งหมดแล้วมันจะบริบูรณ์ได้อย่างไร ทำไมคิดไม่ออก ทำไมบอกเท่าไหร่ก็ไม่เห็น 

ทำไมบอกเท่าไหร่ก็เห็นไม่ได้หรือ ว่าจริงๆ มันผิดหรือถูก น่าสงสารคนไทยที่ไปหลงพระอรหันต์หลับตาซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย มันหลงเชื่อสนิทกันอย่างนั้นจริงๆ คนนั่งหลับตากันมีลูกศิษย์ลูกหาแม้แต่เป็นพวกเปรียญธรรม เรียนพุทธศาสนบัณฑิตก็ยังเชื่อว่ามานั่งหลับตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2565 ( 14:22:34 )

จากภูตคาม เจริญมาเป็นพีชคามมาเป็นเจตภูต

รายละเอียด

ภูตคาม เจริญมาเป็น พีชคาม

จากพีชคาม เจริญมาเป็นจิต ตัวนี้เรียก เจตะ เจตสะ หรือเจตกะ ก็มาเป็นเจตภูต จากพีชคามมาเป็นเจตภูต

เจตภูต เป็นพลังงานที่มันจะเข้ามาหาจิต เพราะฉะนั้นก็จะไม่เป็นอยู่แค่พืช พืชจะเจริญอย่างไรไป แต่ไอ้เจ้านี่จะออกจากนอกกรอบพืชแล้ว เจตภูตนี่ เป็นพลังงาน ไม่ไปติดไปเกาะอยู่ในต้น ถ้าพืชแล้วเคลื่อนที่จากราก เคลื่อนที่จากที่เกาะของตัวเองไม่ได้ แต่เจตภูต คือ ความเจริญของเจตะ มันออกจากตัวนี้ได้ เป็นพลังงานออกไปเป็นผี ผีอะไรก็แล้วแต่ ที่เขาบอกว่าเป็นผี เจตภูตคือผี คือพลังงาน เขาก็บอกว่าเป็นแสงวามๆ แวบๆ วามๆ เป็นผีอะไรต่ออะไรบ้าง มีผีกระสือหรือผีอะไรๆ พวกนี้ แล้วแต่จะว่าไป เคลื่อนที่ เป็นพลังงานที่ออกจากต้นไม้ จะมาเป็นชีวะที่เจริญกว่าพลังงานพืชแล้ว เป็นชีวะที่เจริญกว่าพลังงานพืช หลุดออกมา แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เรียกว่า เจตภูต เขาก็เลยบอกว่ามันเป็นพลังงาน เอาแต่แค่ได้ยินเสียงเขาก็เรียกว่า ผี ได้เห็นรูปเขาก็เรียกว่า ผี ได้แต่กลิ่น เหมือนกลิ่นดอกไม้ เหมือนกลิ่นธูป เหมือนกลิ่นเทียน อะไรก็แล้วแต่เขาก็เรียกว่า ผี ก็เอาจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ มาขยายความ มันเริ่มเป็นพลังงานที่ประกอบด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นสิ่งสัมผัสจากตาหูจมูกลิ้นกาย 

ตาหูจมูกลิ้นกายนี้เป็นสัตว์แล้ว ส่วนเจตภูตจะเข้ามาหาความเป็นสัตว์ จากเจตภูตก็เข้ามาหาเป็นเจตสิก เจตภูตก็เจริญมาเป็นเจตสิก จากเจตสิกก็เป็นปาณะ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 19:51:48 )

จากมุมมองพ่อท่านพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีครบ 9 ข้อไหม

รายละเอียด

มีครบ 9 ข้อเลย แต่ท่านประพฤติปฏิบัติเพราะท่านเป็นในหลวงไม่เหมือนอาตมา อาตมาอยู่กับประชาชนพื้นๆ เลย แต่ท่านเป็นในหลวงและท่านมีข้อจำกัดเยอะ ศาสนาก็หลายศาสนา ประชาชนก็มีทุกระดับ และท่านจะต้องอยู่ในสารูปของในหลวง ท่านต้องมีสารูปของในหลวง อาตมาไม่ใช่ อาตมาก็อยู่กับสารูปอย่างประชาชนคนพื้นๆ ได้สบาย แต่ของท่านต้องมี ต้องทำสารูปอย่างในหลวง ท่านนั่งกับพื้นดิน แต่มันซ้อนๆ อยู่ในนั้นว่า คนก็ต้องมายกย่องแน่นอน อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น เมืองไทยจึงเป็นเมืองที่ เป็นเมืองที่มีตัวอย่างของคนชมพูทวีป ชมพูทวีปมี 1. สุรภาโว 2.สติมันโต 3.อิธพรหมจริยวาโส  3 คำนี้ คือ เงื่อนไข ของความเป็นชมพูทวีปที่มีมนุษย์โลกุตระ สุรภาวโว หมายความว่า มีความแข็งแรง มีภาวะอันแข็งแรง สุระ

สติมันโต เป็นคนมีสติสัมปชัญญะ ปัญญาจริงๆ เลย เป็นที่ๆ จะเป็นพรหมจรรย์ เป็นแดนพรหม พรหมจรรย์จะให้เป็นพรหมได้ พรหม คือ ความสูงส่ง บริสุทธิ์หรือความหมดกิเลส ของบริสุทธิ์สะอาด  ที่นี่คือแดนของพรหม พูดภาษาง่ายๆ ก็คือ ที่นี่แหละคือแดนที่ดีที่สุด เป็นประเทศที่ดีที่สุด เข้าเป้าชัดๆ ที่มี ธรรมะพรหม พรหมจรรย์ พรหมจริยวาโส เป็นสถานที่อยู่ของผู้ที่มีความประพฤติเป็นพรหม คือเมืองไทย แต่ก่อนอยู่ในดินแดนอินเดีย เดี๋ยวนี้ย้ายมาอยู่ประเทศไทย อาตมาไม่ได้พูดผิดแต่เป็นความจริง ส่วนที่เป็นตำนานก็อยู่ในอินเดียไปสิ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เที่ยง มันคลาดเคลื่อนย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้ว 

สรุปแล้ว เมืองไทยตอนนี้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด งามที่สุด ไม่ว่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ อาตมาก็ขอจบตัดหน้าอาจารย์ยักษ์ก็แล้วกัน สำหรับวันนี้ก็ขอเพียงเท่านี้เจริญธรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 5 พ่อครูพบ อ.ยักษ์​ วิวัฒน์ ศัลยกำธร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 12:40:17 )

จากอัตตาสู่อนัตตาด้วยนิพพานทีละขั้นทีละขั้น!

รายละเอียด

“อัตตา” ของท่านจึง “สูญสิ้นไป” เป็น “อนัตตา” แท้ๆ จริงๆ ตั้งแต่ทำ “นิพพาน” ได้เป็นขั้นต้น และทำ “ปรินิพพาน” เป็นขั้นต่อมา ที่สุดจึงจะทำ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” เป็น “อุตุธาตุ” ไปเลยการทำ “ตนเอง” ให้ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” ได้นี้ จึงเป็นการพิสูจน์ “อัตตา” ของเราว่า อิสระจาก “พระเจ้า” เด็ดขาด  “พระเจ้า” ไม่มีสิทธิ์มายุ่งอะไรกับ “จิตวิญญาณ” ของเราแน่ เราจัดการกับ “อัตตา” ของเราเองแท้ๆ แม้ที่สุด “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” หมดสิ้น “อัตตา” ไปจาก “กาล” แห่งจักรวาล ไม่เหลือเศษเลย เราทำได้จริงๆ “อัตตาหรือวิญญาณ” เป็นสิทธิ์ขาดของเราเอง “พระเจ้า” อย่ามาทำเป็น “เจ้าเข้าเจ้าของเรา” เลย

หนังสืออ้างอิง

หนังสือรวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 209 หน้า 174


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2564 ( 11:08:32 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์