คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
พ่อครูให้โอวาทสมณะ หลังปาติโมกข์
สมณะฟ้าไท : ตลาดเครืองแหอุทยาน Perfect มาก
พ่อครู : มันเป็นของคนอื่นเขามา เราก็ให้คนข้างนอกเข้ามาขาย ก็อย่างนี้แหละ เราก็
เผื่อแผ่กันไป ก็เป็นสาธารณโภคี เป็นการช่วยเหลือสังคม เป็นเศรษฐกิจที่พวกเรา ช่วยสังคมจริงๆ เราไม่ได้เหมือนทุนนิยมเขาเลย ทุนนิยมเขาไม่ไได้ เขาต้องหาเงินกัน เก็บทุกเม็ด
ของเราเนี่ยพยายามที่จะช่วยเหลือเขาให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราพอเป็นไป
สมณะฟ้าไท : เพราะตลาดเราทำให้ขยายไปโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
พ่อครู : เอ่อ เราก็พยายามทุกอย่าง ซึ่งมันจะแตกต่างกัน ในวัฒนธรรม พฤติกรรมของสังคม
อโศก สังคมสาธารณโภคี กับสังคมทุนนิยม มันจะชัด แต่คนเขายังไม่เข้าใจ เขายังไม่ค่อยเข้าใจว่า พวกเรานี้ทำให้มีแกนหลัก มีตัวตั้ง วัดวาต่างๆ เขาก็ เขามีเหมือนกันนะ แต่ว่าวัดวาเขา ก็ค้าก็ขาย เขาก็หาเงิน อะไรๆเป็นเรื่องเป็นราวกันเยอะ วัดวามีที่ของวัด
สมณะเห็นแก่น : เขาแค่ขายธูป แค่เทียน เขาก็รวยกันแล้ว
พ่อครู : อะไรต่างๆนี้แหละ ขายธูปขายเทียนอะไร เอาดินข้างส้วมมาปั้นเป็นนอะหลั่ยของพระ
แล้วก็ขายกันแพงจะตายชัก ขายธูปขายเทียน เอา พูดไปก็เท่านั้น เราก็ว่ากันไปเรื่อย เท่าที่จะพยายาม ช่วยให้สังคมศาสนามันเป็นไป ทำมาถีงปีนี้ 48 ปีแล้ว โอ๋ จวนจะสิ้นปี ถึง พย.61
เต็ม 48 ปี ขึ้น 49 ไล่ไปเรื่อยๆ 50 51 อยู่กันไปเรื่อยๆ
สมณะฟ้าไท : อยู่ให้ถึง ร้อยๆปี
พ่อครู : ต้องอยู่ให้ได้ จะได้พิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยว่าเราสามารถอยู่ให้ได้เกินกัปป์
หรืออยู่ให้ถึงกัปป์ อย่างผมอายุ 72 ปี เป็นกัปป์ ผมต่ออายุมาได้แล้ว ส่วนพระพุทธเจ้า
ท่านอยู่เป็นกัปป์ กัปป์ของท่านเป็นร้อย แต่ท่านตายก่อน ตายก่อนกัปป์ 80 ก็อายุท่าน
ผม 72 ก็เก่งแล้ว ถ้า 100 มันลงตัว อย่างผมไม่ใช่
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:23:46 )
รายละเอียด
พ่อครู : _หลวงปู่ครับ ทำไมหนังสือของหลวงปู่เยอะ แต่ทำไมคนอ่านน้อยครับ
พ่อครูว่า...เพราะว่าหลวงปู่เขียนหนังสือแล้วคนไม่ค่อยรู้เรื่อง เขียนแล้วคนไม่ค่อยรู้เรื่องเขาอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาอ่านไม่ค่อยไหว เพราะหลวงปู่เขียนหนังสือเป็นโลกุตระเป็นธรรมะขั้นโลกุตระซึ่งคนจะรู้ได้ยาก รู้ได้น้อย คนที่อ่านจริงๆคือผู้ที่ไปหาตั้งใจศึกษาเป็นคนใฝ่ดีจริงๆ ที่จะอ่านหนังสือหลวงปู่ ถ้าคนที่ภูมิไม่ถึงขั้นไม่ต้องอ่านหรอกหนังสือหลวงปู่ ดีไม่ดีอ่านนิดหน่อยแล้วไม่ไหว ก็โยนทิ้งไปเลย มีคนที่ไม่นับถือหลวงปู่ไม่เชื่อหลวงปู่เขาเขียนหนังสือดีเขียนหนังสือชั้นสูงเขาไม่เชื่อ ก็มีเยอะเหมือนกันนะ
_เวลาเราอยู่กับคนชั่วนี่ ควรจะหลีกเลี่ยงอย่างไร?
พ่อครูว่า...อยู่กับคนชั่วเราก็เรียนรู้เราไปบังคับไปสอนเขาไม่ได้เขาก็เป็นตัวของเขา เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปสอนเขา หรือแม้แต่บังคับให้เขาไม่ชั่วก็ทำไม่ได้ เราก็ต้องศึกษาความชั่วก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ต้องศึกษาว่า เราเห็นว่าอย่างนี้มันชั่ว เราจะไปประพฤติปฏิบัติแบบนั้นเป็นอันขาด ก็เป็นประโยชน์ที่ว่าเราประพฤติชั่วเหมือนกัน เรารู้ว่าเขาชั่วแล้วเราทำไหม หากเราทำมันก็เข้าตัวหรอก บอกว่าเขาประพฤติชั่วเราก็เลยทำชั่วอย่างเขา แม้จะไม่ชั่วมากเท่าเขาหรือชั่วน้อยกว่าเขาก็ต้องมาศึกษา ศึกษาอย่างนี้เราก็จะได้ประโยชน์จากการอยู่กับคนชั่ว ไม่ต้องไปดูถูกเขาไม่ต้องไปรังเกียจเขาเพราะว่าเขาก็เป็นของเขาไม่มีใครอยากชั่วหรอก แต่เขาก็ทำตามอวิชชาของเขา
_ลูกตั้งตบะว่าอยากจะมาฟังธรรมพ่อท่านทุกครังไม่อยากขาดแต่เมื่อวานนี้มีสำมะปี๋ซี่วิต แต่ลูกทำงานไม่เสร็จแล้วลูกเบื่อลูกๆของพ่อค่ะ ชอบพูดชอบเปรียบเสมอๆ ไม่รู้สมมุติทำตัวเป็นผู้รู้แจ้ง ดิฉันฟังแล้วรู้สึกทุกข์ใจไม่มีความสุขเลยลูกขอสารภาพผิดค่ะ
ตอนที่ลูกทำงานไปแล้วฟังพ่อท่านด้วย กลับฟังธรรมได้ดีมากขึ้น ไม่มีสำมะปี๋ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า...ไปเบื่อโลกียะ ก็แก้ไข ไม่ต้องไปเพ่งคนอื่น หากมาสัมผัสจริงก็จะดีกว่า ฟังแต่เสียงก็ได้ระดับหนึ่ง แล้วมันมีความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย ถ้าคิดอย่างคุณอาตมาก็ไม่ต้อง สำมะปี๋กับใคร หากว่าทุกคนบอกว่าอยู่ที่บ้านไม่ต้องมา แล้วจะอยู่กันอย่างนี้ได้อย่างไร จะให้สอนหุ่นยนต์มานั่งหรือ
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:24:43 )
รายละเอียด
610924_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 17
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ibt9csJttqfIuiPmaxljhS5VE1wQiA-GvE4OWRD51ow/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Fju7nPcvO2EsMQOj0c-so0LbrYRf0-Oe
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศกวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ด้วย เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ไทยเราก็มีวันสารทเหมือนกัน ไหว้พระจันทร์ก็เป็นสารทจีนของเราก็เป็นสารทไทย
SMS เสาร์ 22 กันยายน 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : ทบทวนธรรม)
_3867คนบ่มีพันธะกับใคร!บ่มีหนี้บุญคุณกับทางโลก!มีแต่ห่วงพ่อแก่แม่เฒ่า!ถ้าได้มาจะโกนหัวขอบวชอโศกเลย!เพราะไม่รู้จะอยู่กับงานศิลป์ รายได้กระจอกเป็นจิตรกรไส้แห้งในบั้นปลายเพื่ออะไร?ฤาอาจม่องเท่งก่อนพ่อครูนักยืดอายุขัยยืนยาว!มนุษย์หูเทียมน้ำพักน้ำแรงไร้ทุกระบอบเกื้อกูลทุกเครื่องช่วยฟังฯปลงตก!
_บุญเลียบ · ท่านสม.ท่านเทศน์รถด่วนขบวนสุดท้ายได้โดนใจมากค่ะจะพยายามไม่ให้ตกขบวนค่ะกราบนมัสการค่ะ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:25:37 )
รายละเอียด
พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ ยามเช้า
พ่อครู : นอนนอนไปก็ยิ่งเทวดาคุยกันมีมากขึ้น มันก็ต้องเอามาสาธยายไว้ทุกอย่างมันดี มันจะต้องอยู่ไปอีก แต่แม้ไอมันยังไม่เซาซา วิบากนี้ยังไม่สิ้น
สมณะดินไท : พ่อท่านตอบคำถาม มีคำถามเกี่ยวกับรำคาญคนนอนกรน ที่บอกว่าจะนอนก็นอน นอนไม่ใช่เวลาคุย
สมณะแสนดิน : เด็กจะเจอปัญหาเยอะ
สมณะดินไท : นี่ต้องบอกเทวดาด้วยว่า เวลานี้นอน
พ่อครู : ถ้าจะอธิบายให้ชัดๆจริงๆก็คือว่า เราคือเราเขาคือเขา จะนอนคุณก็นอน คุณอย่าเสือกไปยุ่งกับเขาสิ จะไปรับเสียงเขาทำไม ต้องอธิบายให้ชัดๆอย่างนี้สิ หูคุณก็ดับสิ หูคุณเสือกเองไปรับเขาทำไม
สมณะแสนดิน : ดับการรับรู้
พ่อครู : เออ ปิดตาแล้ว ปิดจมูกปิดลิ้นปิดกายแล้ว แต่ว่าคุณยังเสือกนะ ไปแสไปหาเขาทำไม
ต้องอธิบายแบบนี้ภาษาหนักๆจะชัดเจน
สมณะแสนดิน : ฝนตกนี่หลับสบาย
พ่อครู : ใช่
สมณะแสนดิน : ทั้งที่ฝนตกมันก็ดัง
พ่อครู : เอ่อ ถ้าฝนตกคุณก็ไม่รับอยู่แล้วถ้าเสียงฝน เพราะว่าคุณก็รู้แล้วว่าเสียงฝน คุณก็เข้าใจเสียงฝน คุณก็ไม่รับ ไม่รับแล้วจบ
สมณะแสนดิน : ถ้าเสียงคน เดี๋ยวมันนินทาเราหรือเปล่า
พ่อครู : เอ่อ อะไรต่างๆนาๆ มันต่างจากเสียงฝนไง
สมณะแสนดิน : เสียงอึ่งอ่างนี่ บางคนก็รำคาญ
พ่อครู : แต่เสียงฝนนี่ ไม่เป็นไร เสียงฝนเราเคยจัดการมันได้ อึ่งอ่างเราจัดการได้นะ
สมณะแสนดิน : หลวงพ่อฮังดินไงครับ ได้ยินเสียงอึ่งอ่างนอนไม่หลับ ตอนหลังลองคิดว่ามันปล่อย อึ่งอ่าง ปล่อยวาง ปล่อยวาง
พ่อครู : นั่นก็ใช้วิธี ปล่อยวางแบบสมถะ แต่เข้าใจแบบปัญญาแล้ว มีธาตุปัญญาเข้าไป อ๋อ
สมณะแสนดิน : ไม่มีอะไร จิตใจเราคิดไปเอง
สมณะดินไท : ใช้ได้ทุกเรื่องเลยนะ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรทำอะไรยังไง คนอื่นก็คือไม่ใช่ตัวเรา
สมณะแสนดิน : มันวางแบบ ถ้ามันเห็นความรำคาญ
พ่อครู : ถ้าเอาภาษาของแสงแก้วมาใช้ว่าทุกอย่างก็มีแต่ชวิสรา ชริสรา ชร กับ ชว
ชรา กับ ชีว ชว(ไปเร็ว) ชร(อย่างช้า)
ชร เป็น ยร แต่ ชว มันเป็น 4 พลังงาน 4 จะไปเร็ว มากกว่า 2
สมณะแสนดิน : นามปากกาของแสงแก้ว มีนามว่า “ฌาน ชริสรา ตั้งได้อย่างไรนะ
เก่งเหมือนกันะ
พ่อครู : เก่ง เพราะฉะนั้น ชริสรานี่ มันมีตัวไปหาชรตา ถ้าชวิสรา ชวิ ชว นะ ชวิสรา ก็จะไปหา
ทางอุปจยะ จะหาทางพลังงาน วะ กับพลังงาน ระ ถ้าเข้าใจตัวนี้ให้ได้ก็จบ อิสระก็คือเป็น
ตัวของตัวเอง อิสระเริ่มตัวอัตตา
สมณะแสนดิน : นี่แปลว่าเขาพยายามจะสลายตัวตน ให้มันชรตาไป
พ่อครู : เป็นตัวตน แต่เป็นตัวตนที่ยังไงก็ยังแม่นอยู่ทาง ชร ชรตา ไม่ได้ไป
ชว ชวน
อุทัย ถอดความ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:26:34 )
รายละเอียด
พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ ยามเช้า
พ่อครู : มันยิ่งกว่าโอ้โหรู้สึกเข้าใจพลังงาน 1 2 3 4 5 6 7 ไป โอโห พลังงานพวกนี้มันมี
มันมีดีกรีของมัน มีคุณสมบัติของมัน ร่วมกันกับสระรวมกันกับพยัญชนะ เศษวรรค ก็ตัวพยัญชนะวรรค โอโฮไป มันก็เลยเป็นภาษาขึ้นมาเรื่อยๆ
สมณะแสนดิน : มันแตกตัว
พ่อครู : ผมก็เลยเป็นภาษาขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะมันครบทั้งสระ เศษวรรค และพยัญชนะ ตัวเต็มวรรค มันก็เป็นภาษามาเรื่อยๆ
สมณะแสนดิน : ตอนหลังพ่อท่านน่าจะอักขรนิทัศน์เพิ่มขึ้น
พ่อครู : ตอนนี้อัขรนิทัศน์ก็ยังไม่เอา สัมประสิทธิ์นิทัศน์ก็ยังไม่ขอต่อ เพราะว่าโอโฮมันหนักมันเยอะ เอาไว้ก่อน สะสมไปจนกระทั่งมันง่ายขึ้น แล้วค่อยๆคลี่คลาย สัมประสิทธิ์ก็ยิ่งใหญ่
เพราะเป็นอัตราการก้าวหน้าจริงๆ
สมณะแสนดิน : อันนั้นมันเกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์ อันนี้เกี่ยวกับทางประวัติศาสตร์ บาลีนี่
อักขรนิทัศน์ ถ้าย้อนอดีต อันนั้นมันอนาคต
พ่อครู : สัมประสิทธิ์ทางวิทยาศาสตร์ ทางพยัญชนะนี่ทางอักษรศาสตร์
สมณะแสนดิน : มันไม่มีใครจะเอามานี้ล่ะครับ
พ่อครู : ไม่ง่าย
สมณะแสนดิน : แต่ก็ยังไม่ทิ้งนะครับอักขรนิทัศน์ที่พ่อท่านเคยเรียบเรียงเอาไว้ยังอยู่ในเครื่องอยู่
พ่อครู : เอาไว้ เก็บไว้ยังงั้นละ เดี๋ยวค่อยๆคิดอีกทีในอนาคต พออีกนานไปมันก็จะมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นเอง
สมณะเดินดิน : พอถึงตอนนั้นพ่อท่านกระแอมกระไอก็มีความหมายหมด
สมณะแสนดิน : สัมประสิทธิ์ก็ยังอยู่
พ่อครู : อยู่ อยู่มันไม่ศูนย์ไป เพราะเราเองเรารู้ค่าของมัน มันไม่หายหรอก อะไรที่เห็นว่าค่าของมันไม่มีแล้ว มันเป็นพิษเป็นภัยด้วย เราก็ว่างก็ทิ้ง เพราะไอ้สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยรื้อๆแล้วก็ทิ้งไป ไอ้ที่เป็นค่าาเราก็เก็บเอาไว้ เก็บไว้ เก็บไว้ มันจะมีตัว Selection ของตัวเราเอง จะมี Selection ของตัวเรา มันจะเลือกสรรไว้ เลือกไว้ เก็บไว้ มันจะมีปฏิภาณของ Selection
สมณะดินไท : เมื่อวานนี้ อย่างเรื่องของผู้หญิงสาวชาวบราซิล ปรากฎว่า มาอยู่เมืองไทย
5 ปี พูดไทยปร๋อเลย เพราะสนใจ
พ่อครู : มีในตัวเอง
สมณะดินไท : แล้วเขาพูดธรรมะด้วย แล้วบอกว่า ภาษาไทยนี่ สื่อธรรมะได้ดีที่สุด เขาเข้าใจ
เก่งมาก ตั้งแต่อายุ 15 ก็ออกจากบราซิล แล้วก็มาเป็นนางแบบ อยู่ฟิลิปปินส์ เมืองไทยอะไรเนี่ย สุดท้ายมาอยู่เมืองไทย ชอบเมืองไทย แล้วก็ไม่เรียน ขนาดเคยคิดว่าจะไปเรียนมหาลัย
แต่ก็ไม่เอา อยู่อย่างนี้ดีกว่า และเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เรียนเอง ตั้งใจ
พ่อครู : เรียนของตนเอง เหมือนอย่างผมเรียนธรรมะของตนเอง มันไม่มีใครแล้วในประเทศไทย ผมก็เรียนของตนเอง มีของเก่า
สมณะดินไท : เขาสะดุดตรงที่บอกว่า ภาษาไทยสื่อธรรมะได้ดีที่สุด
พ่อครู : ภาษาไทยมันๆ apply จากบาลีผสมสันสกฤต ภาษาไทย แล้วก็เป็นภาษาพื้นบ้านของตนเอง แล้วก็มีสันสกฤตบาลีเข้ามาช่วย สามเส้าก็เลยไป ภาษาบาลีนี้เป็นสภาพของอิตถีภาวะของสามเส้า ภาษาไทยเป็นประธาน
สมณะดินไท : สันสกฤตก็มีมากมาย
พ่อครู : ใช่ สันสกฤตเป็นอิตถีภาวะ
สมณะแสนดิน : ถ้าไทยคือผู้หยิบใช้เป็นประธาน
พ่อครู : ประธานเป็นประธาน ภาษาไทยก็เป็นประธาน ของสรีระ ของสันสกฤตกับบาลี ก็พยายามใช้
สมณะดินไท : แต่ก็ยังไม่ละเอียดเท่าบาลีสันสกฤต
พ่อครู : ใช่ ภาษาไทยยังน้อยกว่า ภาษาไทยยังน้อยกว่าบาลีสันสกฤตที่เป็นภาษาสภาวะ ผมเอามาใช้ ดูซินี่ สัมปาเทติ สัมปชัญญะ อะไรอะไรไม่หมด ยังใช้ไม่หมด ยังขยายความเป็นภาษาไทยได้อีกเยอะ ขยายแต่ละสภาพแต่ละระดับ แต่ละระดับ ได้อีกเยอะ ยังไม่หมด ไม่ไหว ยังไม่มีปัญญาพอที่จะไปอธิบายรายละเอียดเหล่านั้นได้
สมณะเดินดิน : สงสารคนแปล ซ้ำแล้วซ้ำอีก
พ่อครู : เอ่อ สงสารคนแปล คนแปลเขาทำได้ขนาดนี้ โอ่เป็นบุญคุณมากเลย เขาแปลไว้ได้ขนาดนี้ เป็นบุญคุณมาก
สมณะดินไท : พ่อท่านต้องเพิ่มพจนานุกรม โอ้โห หนังสือที่จะต้องใช้งาน ไม่มีอื่นเลย รวมแล้วมีแต่พจนานุกรมทั้งสิ้นเลย กองอยู่เต็มโต๊ะ นอกนั้นก็มีพระไตรปิฎกอยู่ในตู้ ข้างบนพจนานุกรมหมดเลย โอ้โหตลกมากเลย อีกหน่อยต่อๆไปก็คงจะพจนานุกรมภาษาอังกฤษเพิ่ม ภาษาอังกฤษมีอยู่ 3 เจ้า เนี่ยพจนานุกรมภาษาอังกฤษมีอยู่ 3 เล่มเอง มีสอเสถบุตร
มีของคุณเทียน และก็อาจารย์อะไรอีกเล่ม พจนานุกรมภาษาอังกฤษมีอยู่ 2 เล่ม ที่ใช้ทำงานประจำอยู่
สมณะดินไท : นี่ผมให้เขาหาอยู่ เป็นพจนานุกรมจิตวิทยา
พ่อครู : ถ้ามีอีกพจนานุกรมเอามาได้ใช้ได้
สมณะดินไท : ภาษาอังกฤษ
พ่อครู : ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย พจนานุกรม
คุณนิ่ม : โหลดจาก Google ก็ได้
สมณะแสนดิน : คือมันเยอะก็จริง
สมณะดินไท : มันไม่เหมือนในหนังสือ มันเปิดมันคล่องกว่า
สมณะแสนดิน : คือมันไม่รู้จะเลือกอะไรเลย ที่เป็นหลักๆที่เขาเชื่อถือกันไม่เหมือนที่เล่ม
พ่อครู : มันไปตามบารมีไง เล่มนี้เล่มนี้มา มันเหมาะกับตัวเรา
คุณนิ่ม : ที่อาจารย์อุทิน เอามา มันเหมือนกับฝรั่งที่มาอยู่เมืองไทย จนรู้ภาษาไทยมาก แปลแบบคนไทย
พ่อครู : แปลแบบเซ้นของเขา
สมณะเดินดิน : แล้วอย่างคำว่า ทเวธัมมา เทวนิยมเขาแปลไว้ดี ที่พ่อท่านเปิดของอ.สุทิน
พ่อท่าน : ใครแปลว่าดี
สมณะแสนดิน : ไม่ใช่แปลว่าดี แปลไว้ดี ที่อ.สุทิน เอามาให้ไงครับ ตอนนั้นพ่อท่านค้นหาคำเกี่ยวกับ อะไรน้า แต่มันไปเทว อเทวได้
พ่อครู : เทวมันก็ 2 2 สภาวะ หรือ 2 พยัญชนะ เมื่อใดจะใช้พยัญชนะ เมื่อใดจะใช้สภาวะ สลับไปสลับมา ตัวนี้แหละสิริมหามายา
สมณะดินไท : คนจะเข้าใจยาก
พ่อครู : มันต้องเป็นของตนเอง เป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ เป็นความรู้ของตนเอง ที่จะรู้อ๋อ อันนี้มันต้องอันนี้ ประกอบไปด้วยสัปปุริสธรรม ประกอบไปด้วยมหาปเทศ ต้องมีองค์ประกอบ ทั้งหมดของสัปปุริสธรรม มันรวมไว้หมดทั้ง ธัมมัญญุตากับอัตตัญญุตา มันเป็นคู่ 2 เป็นธรรมะ 2
มีอัตตัญญุตา เป็นประธาน แล้วเป็นคนที่รู้จักประมาณ มัตตัญญุตา จัดการเลย แต่เป็นผู้รู้
รู้ทั้งหมดที่จะอะไรอะไรเกิดขึ้นเป็นคนจัดการ มัตตัญญุตา ก็ไปประกอบกันข้างนอก กาลลัญญุตากับปริสัญญุตา กาลกับผู้อื่น ปริสัญญุตา แล้วก็ปุคคลปโร ซอยไปหมู่ใหญ่ก่อน แล้วค่อยไปซอยบุคคล ปุคคลปโรปรัญญุตาเป็นตัวสุดท้าย
สมณะแสนดิน : ตอนเรียนผมท่องให้มันจำได้
พ่อครู : มันจำไม่ได้หรอก ถ้าเผื่อมันไม่มีภาวะ ปัญญา มันจะรู้มันจะไล่ไปตามลำดับ มันสัมพันธ์อะไรกับอะไร อะไรก่อนอะไรเป็นลำดับ 3 4 5 6 7 มันก็ค่อยๆไป
สมณะแสนดิน : เมื่อกี้นี่ที่พ่อท่านพูด นึกถึงเรื่องที่เคยท่อง เหตุผลตนประมาณกาล
ชนคน เหตุผลก็คือ อัตตัญญุตา กับธัมมัญญุตา ตนประมาณ อัตตัญญุตา ของตัวเองก่อน
พ่อครู : ตัวเองเป็นประธาน พอเป็นประธานแล้วจัดการได้ เป็นมัตตัญญุตา มัตตัญญุตาก็ต้องเกี่ยวข้องต้องการัญญุตา ต้องดูกาลเวลา ในวาระเวลาก็มีกรรมของบุคคล ชุมชนต้องเอาน้ำหนัก มนุษย์ชาติ ชุมชน มันมีน้ำหนักกว่าบุคคลคนเดียว เสร็จแล้วก็ไปซอยบุคคลเข้าไปอีกเป็นปุคลปโรปรัญญุตา
สมณะแสนดิน : ตั้งแต่เรียนมัธยม เขามีวิชาพุทธศาสนาใช่ไหมครับ ที่ท่อง เหตุ ผล ตนประมาณ กาล ชน คน
พ่อครู : ก็ใช้ได้นะ ภาษาไทยก็คล้องจองกันเข้าไปได้ เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล ชน คน
สมณะเดินดิน : ถ้าท่องทั้ง 7 จำยาก ถ้าท่องแค่หัวใจ
สมณะแสนดิน : แต่พ่อท่านอธิบาย ไม่มีใครจะอธิบายได้
พ่อครู : มันมีภาวะสัมพันธ์ ผมอธิบายมีภาวะอิทัปปัจยตา มีภาวะสัมพันธ์ ปฎิสัมพัทธ์
มีภาวะปฏิสัมพัทธ์
สมณะแสนดิน : เป็นคู่ เป็นเส้า อะไรอย่างนี้
พ่อครู : ใช่ เป็นคู่เป็นเส้า
สมณะแสนดิน : พ่อท่านจะถนัดมากเลย จับ Dynamic Static ก็ตาม บวกลบอะไรอย่างนี้
พ่อครู : ดีกรีของมันอีก
สมณะแสนดิน : พ่อท่านจับอะไรก็ใช้ได้หมดนี่ ธรรมะ 2 ครับ
สมณะดินไท : ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องดูกระแสโซเชียลอีก ว่าอะไรพอเหมาะ
พ่อครู : ผมยังไม่เอามันเยอะ แค่นี้ก็ค่อยๆเรียบเรียงไปก่อน มันก็จะเสียเวลา เอาเท่าที่ได้ เพราะมีกระแสมา จับอันนี้ใช้ได้ก็เอามาใช้ใช้ใช้ แล้วขยายออกไป มันมีมากพอ จนที่ผมเคยใช้พอ เพลงอาริยะอะไรที่ว่า คุณปิดทวารทั้ง 6 คุณก็จะรู้ได้ ต่อให้คุณปิดทวารทั้ง 6 มันก็แทรกเข้ามาหาคุณจนรู้ได้ในโลก หมวดปิดใจทั้งหมดมันก็แทรกเข้ามาจนได้ มันมาตรงไหน
ก็แล้วแต่ สิ่งที่มันเป็นพลังงาน มันแรงมันก็เข้ามากระทบคุณ มันเข้ามากระแทกคุณอยู่ จนกว่า
คุณจะต้องรู้ว่ามันกระแทก มันก็เป็นอย่างนี้ มันเป็นลมหรือมันเป็นไฟ คุณก็จะค่อยๆเข้าใจ แล้วแต่มันเป็นลม มันป็นไฟ หรือเป็นน้ำ
สมณะดินไท : เมื่อกี้นี้พ่อท่านพูดถึง ตัวอักษร ทำให้ผมนึกถึงว่า อย่างคำว่า อปุญญ เขาแปลว่า ไม่ใช่บุญ พ่อท่านแปลว่ายิ่งกว่าบุญ
พ่อครู : ไม่ใช่ อปุญญ คือไม่ต้องใช้บุญแล้ว แต่เขาไปแปลว่าเป็นบาป เขาไปแปลอยู่ในความไม่ตัด ยังมีภพ มีชาติอยู่ แต่ถ้าอปุญญ ไปแปลว่า ตัดเลย 0 ตัด 0 ไม่มีภพ ไม่มีชาติ คุณก็เป็น 0 แต่คุณไปแปล มีภพ มีชาติ คุณก็เป็นบาป คุณก็วน
สมณะดินไท : มันเหมือนนิดเดียว แต่มันทำพุทธศาสนา
พ่อครู : ใช่ มันทำลายพระพุทธศาสนาเลย
สมณะดินไท : ซึ่งมันยากมาก
พ่อครู : ที่นี้ไปพูดมากก็ไม่ได้ เราก็ไม่ควรไป Discredit ท่าน เพราะคนในระดับฐานต้องพึ่งท่านมากกว่าเรา คนมาพึงเราน้อยกว่าคนไปพึ่งท่าน คนพึ่งท่านมากกว่า ต้องให้ท่านช่วย
พวกเหล่านั้น
สมณะเดินดิน : เพราะท่านเหมือนเสาหลัก ศาสนาพุทธ
พ่อครู : ใช่ ต้องให้ท่านเป็นหลัก
สมณะเดินดิน : ท่านเป็นที่อ้างอิงของวิชาการ
พ่อครู : ท่านเป็นพุทธโฆษาจารย์ ไอ้เราเป็นต้นโพธิ์
สมณะดินไท : ก็เลยมันก็เสียเหมือนกัน ถ้าเกิดเราไม่เข้าใจตัวอักษร ภาษา พ่อท่านให้ความลึกซึ้ง เราไม่รู้เราเอาไปใช้ มันก็จะผิดได้
พ่อครู : ผิดเพี้ยนแล้วมันบาปเรา
สมณะเดินดิน : มานึกได้ว่า สมัยพ่อท่านเผยแพร่ตอนแรกๆมันก็ยังไม่ได้ลงรายละเอียดลึกอย่างนี้
พ่อครู : ไม่ มันจะมากกว่านี้อีก ไว้รอผมอายุ 100 ก็จะเห็น อีก 15 ปี อีกนักษัตรหนึ่ง กว่าจะถึง 100 อีกนักษัตรเศษๆ โอ่ไม่ใช่น้อย อัตราการก้าวทุกวันนี้มันมากขึ้นแล้ว ตัวผมมันมีแต่
อัตราก้าวหน้าที่จะแผ่ความรู้
สมณะแสนดิน : ช่วงเลยชุมนุมมานี่ พ่อท่านโอโฮมีออกมาเยอะเลย ตั้งแต่กาย จำได้ กายตอนที่ชุมนุม ทำไมต้องมาพูดเรื่องแต่กายนี่ อำนาจอะไรตอนนั้น สัตตาวาส 9 ก็ออกมาตอนนั้น เขาชุมนุมอยู่พ่อท่านเทศน์สัตตาวาส 9 บนเวที เราก็โอโฮเขาจะรู้เรื่องไหมนี่
สมณะเดินดิน : กำลังรอระเบิดอยู่ ที่คุณหนึ่งฟ้าเปิดประเด็นมาว่า จริงๆควรมาฟังธรรมในช่วงหลังมากกว่า คนเรามาตามฟังแต่เรื่องเก่าๆ แต่พวกเราเอาเวลาที่ตัวเองพร้อมเป็นหลัก งั้นพวกเราถนัดทำวัตรเช้า ไม่พร้อมจะฟังตอนเย็น เพราะงั้นไปตามธรรมะเก่าๆอยู่
พ่อครู : บางทีก็ได้ประโยชน์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สมณะดินไท : แล้วแต่ดวง
สมณะเดินดิน : แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังตอนเย็นก็จะไม่ได้รายละเอียดไม่เข้ากัน
พ่อครู : ผมมาดูงานแล้ว ลดงานของผมก็ได้ตอนนี้ มันเยอะนะ หมดเลยทั้งอาทิตย์ มีจันทร์ พุธ พฤหัส ศุกร์ อาทิตย์ มีแค่ อังคาร กับ เสาร์ ที่ไม่มี
สมณะแสนดิน : คนบันทึกตามก็เมื่อยนะ ผมให้เขาตัดต่อเป็นคลิปๆ เขาตามไม่ทัน
พ่อครู : เอางั้น เอาลดผมได้ ลดได้ ผมว่างอยู่ 2 วัน คือ วันอังคาร กับ เสาร์
สมณะเดินดิน : ว่าจะลดไปเพิ่มได้อย่างไง
พ่อครู : เอ่อ จะลดไปเพิ่มได้อย่างไง
สมณะดินไท : ดูรายการซำมะปี๋นี่ รูปแบบ ok แต่เนื้อหาก็ถามแนวตอบปัญหา
พ่อครู : คนเขาชอบไง ก็เลยเอาซำมะปี๋มายัดใส่แทนเข้าไป จันทร์ พฤหัสก้็ซำมะปี๋
สมณะดินไท : พ่อท่านก็ว่ามันหนัก หนักกว่าพุทธศาสนาตามภูมิอีก มันไว
พ่อครู : ใช่ มันเหวี่ยง เดี๋ยวก็ต้องหมุนสมองให้ทันสมัย
สมณะเดินดิน : เอาวันจันทร์เป็นซำมะปี๋ วันพฤหัสให้ท่านฟ้าไทกลับไปจัดเหมือนเก่า
สมณะแสนดิน : ปกติเมื่อก่อนภันเตฟ้าไท ก็จะรับวันพฤหัสครับ
คุณนิ่ม : เหตุที่กลับคืนมาได้อย่างง่ายดายก็คือพ่อท่านนั่งอยู่หน้าคอม
สมณะแสนดิน : เพราะพ่อท่านเร่งแต่หนังสือนี่ครับ ท่านเลยจะไอมาก
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:27:32 )
รายละเอียด
พ่อครู : เป็นแต่เพียงว่าให้สตินิดนึงอย่าผยองอย่าเบ่งในอำนาจ ทุกอย่างให้เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ที่ดี แต่ลีลานี้ใช้ได้แล้วอาตมายังสู้คุณไม่ได้เลย อาตมาก็มีท่าทียียวนแต่ไม่เก่ง มันต้องใช้อย่าง มีสัปปุริสธรรม 7
เช่นทำกับทักษิณตัวต่อตัวเต็มที่เลย แต่ทำกับประชาชนอย่างยืดหยุ่น ทำกับทักษิณเด็ดขาด ไม่เปลี่ยนแปลงตอกหลักถมเทปูนทับ เอาโลหะเททับอีกชั้น
สมณะเดินดินว่า...พวกฮาร์ทคอถามว่าทำไมไม่จับตัวมา
พ่อครูว่า...ถ้าจับตัวมาจะเป็นเผด็จการ ไม่จับตัวมานี่ เอ็งเก่งก็ดิ้นไปแล้วกรรมการให้คะแนน นี่เป็นลีลาเหนือลีลาของพล.อ.ประยุทธ์ การไม่จับทักษิณนี่ ทำให้เห็นอะไรมากขึ้นแม้แต่คนของทักษิณเองก็จะเห็นอะไรมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์จริงให้ศึกษา เป็นยุคไม่ปิดกั้นการศึกษา อาตมาว่าวิเศษได้เห็น แม้อาตมาจะเป็นตัวหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก อาตมานี่ จริงๆเป็นตัวอะไรแต่คนเขาหาว่าอาตมาเป็นตัวเบี้ย แม้แต่โคนเขาก็ไม่ให้เป็นเลยไม่ต้องพูดถึงม้าเรือเลย เป็นขุนไม่ได้แน่ (โยมว่าพ่อครูเป็นกระดาน)
เล่นได้ทุกตาขาดไม่ได้เลย ถ้าขาดกระดานอาตมาพวกคุณเล่นไม่เป็นเลย เห็นไหมว่ามันซับซ้อนกลับไปกลับมา ชัดเจน รักษาสภาพธรรมะสอง เป็นสิริมหามายา ที่เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อนที่ยิ่งใหญ่ ที่กลับไปกลับมาแต่อยู่ในร่องรอย อยู่ในสัจจะ อย่างมีความชัดเจนด้วยปัญญาอันยิ่ง แต่ไม่สับสน ไม่ผิดพลาด นี่เป็นธรรมะที่สุดยอด
สอนในศาสนาพุทธสอนธรรมะสองให้เป็น 1 เป็น 0 แล้วก็เป็นธรรมะ 2 3 4 5 6 7 8 9 แล้วขยายไปอีกเป็นธรรมะ 10 11 12 13 14 เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ขยายความหมุนรอบเชิงซ้อนที่ซับซ้อนยิ่งกว่ามหาจักรวาลได้ สุดยอดจริงๆเลย
ขออภัยขอพูดนิดนึง ในอนาคต อาตมาตายไปแล้วคนจะขุดเอามาศึกษา แต่ตอนนี้ไม่แลไม่เห็นคุณค่า เขาขุดมาไม่ได้เอามาต้มยำ แต่ขุดขึ้นมาศึกษา ในสิ่งที่อาตมานำพา ก็ไม่รู้อาตมาก็ยังไม่ยอมตาย ก็คงอีกพอสมควร เพราะว่ามันซับซ้อน เดี๋ยวก็ว่าตายเดี๋ยวก็ว่าไม่ตาย
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:28:27 )
รายละเอียด
610926_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยที่ไร้อัตตาจึงเข้าถึงอิสราและสันติยา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1mYtdL8w_5SiFaFaYEv-2YpmfhKRp66Tlrwfkrf3ZQuE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1BBnS5thmBuymMfznbocdwAm9N-u7XMiw
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 16 กันยายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้พ่อครูอยู่ในช่วงเขียนหนังสือคนจนที่มีแบบฉบับแก้แล้วไขอีก ก็เลยปรารภว่า จะลดเวลาเทศน์ลง พ่อครูตกลงจะเทศน์ วัน จันทร์(สำมะปี๋ซี่วิต) พุธ ศุกร์ อาทิตย์ ส่วนวัน อังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ ให้สมณะสิกขมาตุย่อยธรรมะกัน
ทุกวันนี้โพลกี่โพลสำรวจมาก็ยกให้นายกฯประยุทธ์นั่งนายกฯต่อกันทั้งนั้น แต่คนที่ต่อต้านก็จะนึกแต่ว่าต้องเลือกตั้งๆเท่านั้น จึงเป็นประชาธิปไตย คนยึดถือแค่ภาษาบัญญัติ ถ้ามีคนเป็นอย่างนี้มากๆ ศาสนาก็ขยายตัวไม่ได้เหมือนกัน
พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยขาเดียวเอาเรื่องการเลือกตั้งเป็นหลัก จะไม่มีผู้บริหารยิ่งใหญ่ขึ้นไปได้เลยถ้าไม่มีการเลือกตั้ง เขาบอกว่าการปฏิวัติก็เป็นเรื่องของทหาร ก็เลยบอกว่ายิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย ประชาชนปฏิวัติก็ยาก เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เข้าใจเรื่องประชาชนปฏิวัติเลย พูดเรื่องประชาธิปไตยว่าประชาชนปฏิวัตินั้นเข้าใจยาก ประเทศไทยทำประชาธิปไตยที่ประชาชนทำการปฏิวัติ ย้ำอย่างนี้ พวกเขาก็จะหาว่าเข้าข้างตัวเองเพราะพวกเราไปร่วมปฏิวัติ เราจะบอกว่าไม่ผิดกฎหมายยังไม่มีอาวุธ ร่วมมือกันจนกระทั่งเกิดคนออกมาเป็นล้าน จนในที่สุดชนะ หลายรัฐบาลได้งามที่สุดในโลก งามที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ที่มีมา 200 ถึง 300 ปี แม้ว่าประชาธิปไตยจะเริ่มจากอังกฤษ แล้วอเมริกาก็มาทำเป็นประชาธิปไตยขาเดียว เด่นทางอำนาจบ้าบอต่างๆนานา ไม่ได้เป็นอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนมีอำนาจตอนเลือกตั้งเท่านั้น เขาก็ซื้อเสียงเอาไว้ให้อยู่ในอำนาจ เขาไม่ดูรายละเอียดพวกนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน พ่อครูรำลึกถึงคุณสันติยา วีระพันธุ์
ก่อนจะได้ตอบก็ขอรำลึกถึงคุณสันติยา วีระพันธ์ เป็นผู้ที่ยืนยันยืนหยัดของชาวอโศกเป็นอุปัฏฐากใหญ่ของชาวอโศกแม้ยุคแรกๆ หนังสือชาวอโศกในยุคแรกๆมีคุณสันติยาเป็นผู้พิมพ์ผู้โฆษณาเป็นคนแรกๆ
ทำให้อยากรู้ว่า สาวิกา ผู้นี้เป็นใครกัน ลุงอ้วนช่างตัดผมปากซอย สันติอโศก มักจะอุ้มโถข้าวส่งมาศาลาทุกๆครั้งบอกว่า ป้าสันติยาให้หุงขึ้นศาลา ก็เจอกันเป็นประจำ มีคุณสันติยา เป็นอุปัฏฐาก
คุยกับคนวัดก็ได้รู้ว่า เตียงน้อยนี้ ตั่งนั้น ป้าสันติยาให้ คนโน้นคนนี้คนนั้นหลายๆคนป้าสันติยาให้ความช่วยเหลือมากมายหลายคน มาวัดทุกวันอาทิตย์ก็มาบำเพ็ญธรรมร่วมกิจกรรม ไม่เคยเห็นป้าสันติยาสักที คือไม่ค่อยลงมาแสดงตัวสักที ก็เลยคิดว่าใครหนอเป็นผู้มีจิตเมตตาคนนี้
จนวันหนึ่งมีประวัติคนไข้มาที่ทำงาน ชื่อนางสันติยา วีระพันธ์ มาทำการแอดมิดที่โรงพยาบาลด้วยโรคไตวาย หญิงชราร่างเล็กบาง แต่งกายเรียบร้อยชุดผ้าถุงนอนนิ่ง มีลูกชายและลูกสะใภ้อยู่ข้างเคียง ลูกชาย คุณปั้น พูดกับแม่ไพเราะสุภาพมาก เราและเจ้าหน้าที่ประทับใจในสิ่งที่ลูกชายคนนี้แสดงกับแม่เขามาก
คุณป้าสันติยา พูดกับลูกด้วยวาจาเรียบร้อยเช่นกัน จากนั้นก็ได้ทราบข่าวการเจ็บป่วยของป้าสันติยาเป็นระยะด้วยภาวะเรื้อรัง มีคุณป้อม(เคียงดิน) ช่วยเอาภาระดูแล ร่วมกับญาติธรรม ผลัดกันมาเฝ้าดูแล ร่วมกับญาติสายโลหิตของป้าสันติยา จนกระทั่งถึงลมหายใจสุดท้าย ผ่านมา 21ปีแล้ว
พ่อครูเคยพูดถึงป้าสันติยาฯหรือป้ากิตติยา วีระพันธ์ว่า เป็นนางวิสาขาของท่าน ที่ได้เกื้อกูล มีส่วนในโพธิกิจสำคัญๆ นางวิสาขาของอาตมาก็ข้าวกรอกหม้อจนๆอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่ใครอื่นหรอกแต่ใช้สรรพนามแทนเท่านั้น
สมณะเดินดินว่า...นางวิสาขาสมัยพระพุทธเจ้านั้นร่ำรวยขนาดที่คนใช้ของนางก็ร่ำรวยขนาดกษัตริย์ยังสู้ไม่ได้
พ่อครูว่า...อาตมาพูดตามประสาอาตมาว่า คุณสันติยาเป็นนางวิสาขาของอาตมา มาเกื้อกูลโพธิกิจ ต่างๆเสมอมา
ผู้เขียนมาก็ขอกราบในบุญคุณของคุณป้าสันติยาโดยเฉพาะที่ดินของสันติอโศกที่คุณป้าได้บริจาคให้เป็นคนแรก ผืนแรก
เขาเขียนมาก็เอาล่ะ
สมณะเดินดินว่า...ในส่วนที่ผมประทับใจก็คือคุณสันติยาแม้จะเป็นที่ดินที่คุณสันติยาบริจาคที่สันติอโศก ถ้าพวกเรารู้จักกันในยุคนั้น คือเขาแทบจะไม่ได้แสดงตัวว่าเจ้าของสันติอโศกคือใคร ไม่ได้ออกมาแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแต่อย่างใด อยู่ในมุมของตัวเองสงบๆ
พ่อครูว่า...ไม่แสดง เหนียมด้วย เขาไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ด้วย
สมณะเดินดินว่า...และที่สำคัญ คนเข้าใจผิดเสียมากด้วยเพราะคุณสันติยาทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดิน
แม้วาระสุดท้าย ความคิดของเขาก็ยังคิดแต่จะทำให้หมู่กลุ่มมีที่กว้างขวางขึ้น ทำงานจนกระทั่งวันตายที่จะทำให้หมู่กลุ่มมีกิจการก้าวหน้า แม้คนจะวิพากษ์วิจารณ์เข้าใจผิดแต่ก็ยังยืนหยัดยืนยันในความถูกต้อง เป็นบรรพชนที่ เราต้องระลึกถึงอย่างสำคัญ
พ่อครูว่า...มาดู sms ก่อน
_1614
-พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธทรัพย์หรือความร่ำรวย เพราะทรงเห็นว่ามีประโยชน์ ข้อสำคัญก็คือ ต้องได้ทรัพย์นั้นมาด้วยวิธีการที่ชอบธรรม และเมื่อได้มา ก็ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังมีจิตที่เป็นอิสระจากมัน ไม่ยึดติดในทรัพย์ - พระไพศาล #หอจดหมายเหตุพุทธทาส #BIA การเข้าใจเช่นนี้ ถูกต้อง ในแบบคนจน ไหมคะ
พ่อครูว่า...ไม่ถูกต้อง เข้าใจว่ายังรวยได้อยู่ คุณก็จะต้องมุ่งไปโดยอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าไม่ได้แปลว่าคนรวยๆก็ได้ แต่ท่านเป็นคนจนไหมล่ะ ท่านลาออกจากทรัพย์สินทั้งหมดไหมล่ะ ทำไมไม่เอาอย่างท่านล่ะ แล้วท่านก็พาคนออกมา โภคขันธาปหายะ พาคนมาจนมาลดละอย่าง อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็สละจนหมดตัว ก็เป็นคนจน ไม่ต้องพูดถึงนางวิสาขาสละเท่าไหร่ก็ไม่หมด ก็มันมากจนเราคิดไม่ออก ถ้าเปรียบเทียบเป็นอัตรากับทุกวันนี้เศรษฐีของยุคปัจจุบันนี้สู้นางวิสาขาไม่ได้หรอก
พระไพศาลก็พูดอนุโลมให้คนรวยบ้างแต่อาตมาไม่ไว้หน้าเลยให้มาจนๆๆ
_การที่มีปัญหากับคู่กรณี แล้วไปเล่าให้มิตรฟัง โดยไม่เอ่ยชื่อเขาผู้นั้น เป็นการนินทาไหมคะ (คับแค้น แน่นอก )ซึ่งเราอาจเข้าข้างตนเองว่า ทำถูก
พ่อครูว่า…ไม่ออกชื่อก็ไม่ถือว่านินทา บอกเรื่องราวไม่ออกชื่อออกเสียง ไม่มีเชิงให้เขาสะดุดว่าเป็นใคร มีจิตใจแบบนี้ก็อยู่ถือว่าไม่นินทา แต่ถ้ามีจิตแม้จะไม่ได้ออกชื่อแต่มีจิตอยากให้เขารู้ว่าเป็นใครก็เป็นนินทา ถ้าหากบริสุทธิ์ใจเลยบอกไปเฉยๆให้เป็นตัวอย่างให้เป็นความรู้ให้ไปศึกษา เพื่อให้ฝึกฝนปฏิบัติธรรมแก้ไขอะไรไปก็ไม่เป็นไร
_บ้านราชฯ แผ่นดินพุทธ ที่พ่อครูนำทาง คนมีดีมีศีล วิถีไทย วิถีธรรมสุดเลิศล้ำโลกโลกุตระ เปรียบเสมือนย่อยุคพระศรีอารย์ได้ไหมคะ
_ปาลิตา ทองสุขนอก · กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุสันติอโศกทุกรูปเจ้าคะ 2 อาทิตย์แล้วที่ฉากหลังเป็นสีดำ อยากให้เป็นแสงสีน้ำเงินสวย ๆ เหมือนเดิมเจ้าคะ สาธุจ้า
_จันทนา แซ่อิ้ว · ฟังเรื่องกรรมแล้ว หนาวเหมือนกัน ถึงไม่ทำชั่วแล้ว แต่ทำดีที่เป็นกุศลจนเกิดผลบุญยังน้อย ต้องขวนขวายเพิ่มก่อนสาย
_จาก ไลน์...
จาก ขวัญไพรเย็น ตอนล้างกิเลสใหม่ๆยากและทุกข์ค่ะ เพราะมันจะออกจากสิ่งที่เคยติด อย่างเรื่องอาหารต่้องเคร่งมากเพื่อจะออกให้ได้ก่อน แต่ตอนนี้ลูกกินได้ทุกอย่าง(ไม่มีเนื้อสัตว์ นม ไข่ ) กินอร่อยด้วยค่ะ ไม่มื้อเดียว บางทีก็กินทั้งวัน กินเยอะเหมือนตอนล้างกิเลสใหม่ๆเลยค่ะ แต่รู้ค่ะว่ากินมากมันไม่สบายกาย แต่ใจไม่ทุกข์เหมือนเริ่มล้างกิเลสใหม่ๆ แต่รู้ว่ากินมื้อเดียวสบายที่สุด แต่ความต่างคือ ตอนล้างกิเลสใหม่ๆมันทุกข์ แต่ตอนนี้ก็ทำเหมือนตอนที่ล้างกิเลสใหม่ ๆแต่มันไม่ทุกข์เหมือนเดิมแล้วค่ะ
หนูจะถามพ่อว่าการกระทำเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันตรงที่ตอนเริ่มล้างกิเลสใหม่ๆโคตรทุกข์เลยค่ะ แต่ตอนนี้ โคตรสบายเลยค่ะ เพราะมันไม่ได้ยึดมื้อไม่ยึดรส ไม่ยึดจืดไม่ยึดจัด การบำเพ็ญเหนื่อยร่างกายแต่ใจไม่เหนื่อย มีเมื่อยหัวค่ะแต่ใจไม่ทุกข์
....ขอพ่อช่วยอธิบายสภาวะเช่นนี้ให้ลูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…กายสบายแต่ใจตะกละไง ซับซ้อนสลับไปมาจนกว่าเราจะรู้ว่าทุกข์ทรมานจะไปเอากับมันทำไม เขาบอกว่าคางคกเลือดหัวไม่ตกยางไม่ออกไม่ยอม เอาจนถึงขนาดนั้นก็แล้วแต่
ไม่อธิบายล่ะ คุณอยากจะลองไปลองมา ลองไปเถอะเดี๋ยวก็รู้เอง รู้เองดีกว่าจะมาบอก
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ลูกขออนุญาต กราบเรียนผลจากการฟังธรรม ที่พ่อท่านอธิบาย เรื่องของธรรมะสอง
ลูกมีความเข้าใจดังนี้ค่ะ ผิดถูกอย่างไร ขอความเมตตา พ่อท่านช่วยแก้ไข ให้ลูกด้วยค่ะ
ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง และทำธรรมะหนึ่งให้เป็นศูนย์
ขอยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม ตามความเข้าใจของลูก เช่น เราจะเลิกกาแฟ
(กาแฟเป็นรูปนอก) ทำจากรูปนอกไปหารูปใน ด้วยฌาณหนึ่ง คือ พิจารณาว่า เราติดใจอะไรในกาแฟ
ติดใจรูป ติดใจรส กลิ่นหอม ความมัน ความหวาน และพิจารณาโทษภัยของกาแฟด้วย
พิจารณาทุกข์ที่ไม่ได้ดังใจ พอสลายได้ จากฌานหนึ่ง จนเกิดญาณสอง สามคือปิติ สุข และเกิดฌาณสี่ คืออุเบกขา
เป็นธรรมะหนึ่ง และทำธรรมะหนึ่งให้เป็นศูนย์ คือสลายรูปใน สลายอารมณ์ทั้งหมด
ที่อยู่ในจิตคือเวทนาเทียม ที่เป็นความชอบในรสอร่อย กลิ่นหอม ความมันหวานของกาแฟ
และสลายอุปาทาน ที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิต และตรวจดูด้วยอรูปฌานสี่
จนไม่เหลือความชอบ ชัง ในกาแฟทั้งหมดสิ้น ไม่ว่าสัญญาใดๆ เล็กน้อยก็ไม่มี หมดสิ้นแล้ว
พ้นสังโยชน์ 10 แล้ว อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่คะ ?
ถ้าถูก ลูกจะนำเป็นแบบอย่างปฏิบัติเรื่องอื่นต่อไป
กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า...คนมันบ้าไปแล้ว ตอนนี้มีกาแฟขี้ช้าง (โยมว่ากาแฟขี้ชะมด) พ่อครูว่าคุณยังไม่ทันสมัย กาแฟขี้ช้างมาใหม่แพงกว่าเก่า คนเราอุปาทานจิตมันยึดถือบ้าบอ กินขี้เยี่ยวเลอะเทอะ ที่จริงไม่มีปัญหาหรอกให้ไม่มีเชื้อโรคที่จะทำร้ายร่างกายก็ได้
พ่อครูว่า ทำได้ถูกใช้ได้แล้ว
_คุณเพชรดินฟ้า...รายงานจากดินหนองแดนเหนือมาว่าได้ทำกิจกรรมต่างๆที่อาวาสสถานดินหนองแดนเหนือ มีกิจกรรมต่างๆรายงานมาให้ทราบ
_
กราบนมัสการพ่อครู ขออนุญาตนำเรียน โดยมิต้องออกอากาศ หรือตามแต่จะเห็นสมควร
อาวาสสถานดินหนองแดนเหนือ อุดรธานี มีกิจกรรม ค่ายอุโบสถศีล พร้อมกับค่ายสุขภาพฯ ระหว่าง 21-23 กันยายน 2561
และในวันที่ 23 กันยายน 2561 ได้จัด "งานทำบุญ สร้างกุศล บูชาคุณผู้อายุยาว" ครั้งที่1 (เหตุที่มีงานนี้เนื่องจาก ดร.บุญถม ธรรมศิริ ได้มาร่วมงาน "90 ปี ย่าเรณู ดิศโยธิน" เมื่อ 24 สิงหาคม 2561 ซึ่งมีสมณะมา 4 รูป ได้ฟังธรรมะจากสมณะแล้วซาบซึ้งมาก เรื่องการตอบแทนบุพการีโดยไม่รอให้ตาย จึงขอให้จัดฉลองให้แม่อายุ 90 ปี และมีผู้ร่วมฉลองเพิ่มขึ้นอีก)มีท่านสมณะ 4 รูป ท่านสมณะฝนธรรม ท่านสมณะดินทอง และท่านสมณะตรงมั่น สมณะมือมั่น ผู้อายุยาวมาร่วมฉลอง 12 คน ญาติๆซึ่งเป็นคนใหม่ก็มามาก รวมคนมาซื้อสินค้าอาจถึงร้อยมีกิจกรรม ทำวัตรเช้า เย็น ใส่บาตร และฟังธรรมจากท่านสมณะ
การสัมภาษณ์ผู้อายุยาวและครอบครัว และพิธีรดน้ำขอพร อวยพร ผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไป
ผู้ร่วมงาน ได้ฟังธรรม เรื่องการทำบุญ สร้างกุศล แสดงความกตัญญูตอบแทนบุพการี ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องรอให้ตาย เป็นสัมมาทิฎฐิ..ถูกตรงตามหลักพุทธศาสนา เรียบง่ายประหยัด เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไม่งมงาย
ผู้ร่วมงานได้รับของฝากมากมาย เช่น หนังสือธรรมะชาวอโศก ข้าวสาร ฯลฯ
ผู้ร่วมงานล้วนพอใจกับบรรยากาศที่อบอุ่นซาบซึ้งประทับใจ ผู้อายุยาวมีขวัญกำลังใจ
คุณยายมัจฉา ทองผล อายุ 84 ปี ตั้งใจเลิกเคี้ยวหมาก ทั้งที่เคี้ยวหมากตั้งแต่อายุ 17 ปี
ภาคบ่ายมีตลาดอาริยะ ขายปุ๋ยงอกงาม ราคา 80 บาท(ปกติขาย 115. ถุง 25 ก.ก.) ซื้อได้คนละ 10 กระสอบ และมีสินค้าราคาอาริยะอีกมาก
งานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายทุกวัย และได้เห็นจุดที่บกพร่องควรแก้ไข คาดว่าถ้ามีครั้งต่อไป การบูชาผู้อายุยาวจะสมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น
พ่อครูได้เตือนไว้ว่า ขอให้พัฒนาตนเองขึ้น และ อยู่กันให้นานๆอย่าเพิ่งตาย
ขอกราบน้อมรับเป็นปฏิบัติบูชา และขอให้กำลังใจหมู่มวลชาวอโศกให้อยู่กันนานๆให้เป็นเมืองแห่งผู้อายุยืนยาว แห่งหนึ่งของโลก
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพบูชาครับ
เพชรดินฟ้า ดิศโยธิน
สม.รินฟ้า
ส.แสนดิน
ส.ฟ้าไทว่า...ผมมาในยุคที่คุณสันติยาไม่ตาย ไม่รู้สึกว่าแกเป็นเจ้าของที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเจอผมก็ยังไหว้กันเลย แต่คนที่เคยบริจาคที่ให้อโศก แต่แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสถานที่นั้นจะไม่ค่อยเจริญ แต่ถ้าใครไม่แสดงความเป็นเจ้าของความเป็นตัวตนที่นั่นก็จะเจริญได้มาก
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยที่ไร้อัตตาจึงเข้าถึงอิสระได้
เข้าสู่โหมดการเมือง
พ่อครูว่า...สู่แดนธรรมว่า เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เชิญตั้งนี่แหละเป็นสุดยอดประชาธิปไตยของโลก
เชิญตั้งนี้ใครเชิญล่ะ ประชาชนเชิญ ประชาชนเห็นดีเห็นด้วยพร้อมนั่นแหละเป็นประชาธิปไตย เลือกตั้งมันเป็นวิธีการนิดๆหน่อยๆ ซึ่งคนมีความฉลาดแกมโกงเก่งมาก มีกลวิธีในการที่จะให้คนมาเลือกตั้งให้ตัวเราได้มากที่สุด มันเล่นมาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่มีประชาธิปไตยมา มันก็ทำมาจนทุกวันนี้ มีวิธีการซับซ้อนยอกย้อนยุค ซึ่งจนกระทั่งรู้ไม่เท่าทันมันหนักหนาสาหัสทุกวันนี้ เล่ห์กลของการเลือกตั้ง
เพราะฉะนั้นในนัยลึกซึ้งของการมีประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เข้าถึงได้ง่ายๆเข้าใจได้ง่ายๆแม้กระทั่งจบด๊อกเตอร์มาไม่รู้กี่ใบ อาตมาพูดถึงว่าพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดนักประชาธิปไตย ทั้งที่อยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคของทาสแท้ แล้วท่านมีบารมีพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์รับรองยอมรับ เหมือนกับในยุคนั้น ถ้าเป็นสหประชาชาติก็ยอมรับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยยิ่งกว่าในหลวงของเราอีก ในหลวงเราก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่ดำเนินไปตามลำดับ
อีกคำหนึ่งของ สู่แดนธรรมว่า เราไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจแต่เรามีเป้าหมายที่จะเป็นมหาภิบาล
ประชาธิปไตยมีการอภิบาล ไม่ใช่มีการใช้แต่อำนาจ แต่ใช้การอภิบาล ก็เคยเขียนกวีบทที่เกี่ยวข้องมาพูดมาหลายทีแล้ว คำว่าอภิบาลกับคำว่า เบ่งอำนาจ ปกครองด้วยอำนาจหรืออภิบาล ให้เป็นมหาอำนาจกับมหาอภิบาลด้วย อภิคือยิ่ง บาลคือ ดูแลบริหาร อภิคือยิ่งใหญ่เป็นเชิงบวกไม่ใช่เชิงลบเลย ละเอียดลึกซึ้งสุดยอด
ประชาธิปไตยนี้ อาตมาขอย้ำยืนยันว่าประชาธิปไตยของประเทศไทย ตอนนี้นี่โลกยุค Globalization ดูรายละเอียดกันไปหมดไม่สามารถปิดกั้นได้
ประชาธิปไตยของประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างที่จะให้คนทั้งโลกได้ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็ประชาธิปไตยของคนจากท่าทีของชาวโลกที่ปฏิบัติกับประเทศไทย ใครสังเกตออกไหม
โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเบอร์ 1 ของประเทศ บริหารมา 4 ปีแล้ว ยิ่งนานมา ค่านิยมของชาวโลกที่สังเกตการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากลับเพิ่มขึ้นๆๆ
แสดงถึงชาวโลก เข้าใจประชาธิปไตยดีขึ้น คำว่า ทหารปฏิวัติ ตอนนั้นก็อยู่ในตำแหน่งพล.อ.เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจมากเพราะว่าผบ.ทบ.มีอำนาจคุมกำลังพลได้สูงสุด ในประเทศ มีกำลังพลสูงสุดมากกว่า ผบ.สส. อันนี้เป็นเรื่องสัจจะ เมืองไทยมีความฉลาดเข้าใจและรู้ ไม่ได้ขัดแย้งอันนี้
มีแทรกมาว่า...กปปส.กำลังไม่พอ กลัวทีมลุงตู่ถึงขนาดเลิกอุดมการณ์ที่เคยทำมา ทำการจับมือกับทหารเลย หนึ่งในแกนนำออกมาบอกว่า ขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดรัฐประหาร
พ่อครูว่า...อาตมาขอยืนยันว่า กปปส.กำลังเป๋แล้ว
ส.เดินดินว่า..ผมคิดว่า อันนี้ไม่ใช่ตัวแทนของ กปปส. แต่เป็นคนที่เคยร่วมเท่านั้น
พ่อครูว่า...เป็นเล่ห์กลการเมือง พวกนี้บาปกินหัว ไม่ยอมรับรู้ส่วนร่วม มุ่งจะเอาชนะท่าเดียว
อาตมาขอยืนยันว่าอาตมามีความรู้ประชาธิปไตย ไม่ได้มีแค่ชาติเดียวแต่มีมาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้าร่วมรับรู้ อาตมาประกาศเป็นโพธิสัตว์เรียนรู้มาตลอด เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังไม่มีชื่อประชาธิปไตยเลย แต่ว่าสภาวะการบริหารนั้นเป็นประชาธิปไตย สภาวธรรม พฤติกรรมต่างๆ เป็นแบบประชาธิปไตย เป็นเรื่องลึกซึ้ง อาตมาจะตายไม่ได้เพราะว่าธรรมะก็ยังไม่จบประชาธิปไตยก็ยังไม่จบ
พฤติกรรมในประเทศไทยยุครัฐบาลทักษิณ กับพฤติกรรมของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ก็ดูสิว่าสองอันนี้เทียบให้ชัดเลย ขอยืนยันว่าของทักษิณ เผด็จการตัวเอ้
ของพล.อ.ประยุทธ์เป็นประชาธิปไตยตัวเอ้ เช่นกัน
ศึกษาจากชั้นเชิงของความคิด ที่มีอดีตมีปัจจุบันมีอนาคต
แนวคิดชั้นเชิงของทักษิณทำมา 10 กว่าปีแล้ว ปัจจุบันนี้ก็ยังออกลาย ตั้งแต่ทักษิณเองจนนอมินีอีก 3 คน ส่วน พลเอกประยุทธ์ทำมา 4 ปี ทักษิณนั้น 10 ปีผ่านมาตั้งแต่พ.ศ.49 จนถูกขับออกไปปี 54 สุดท้าย น้องสาวคนโปรดก็ผ่านไปแล้ว แล้วพยายามจะเอาคนอื่นขึ้นมาก็ยังไม่ได้ เพราะพลเอกประยุทธ์ยืนหยัดยืนยันหลังจากนางสาวยิ่งลักษณ์แล้ว ก็ศึกษาจากชั้นเชิง ความคิดอดีตปัจจุบันอนาคตองค์ประกอบของข้อมูลเหตุปัจจัยต่างๆที่มันมีทั้งพฤติการณ์พฤติกรรม แนวคิด มันจะได้คำตอบของความรู้ว่า ประชาธิปไตยของสองคนนี้คืออะไรเป็นอย่างไร จะได้ประกอบความเป็นจริงของประชาธิปไตยว่ามีอย่างไรแค่ไหน
ความเป็นประชาธิปไตย 2 แบบที่ตื้นที่สุด
แบบแรกคือเอาการเลือกตั้งเป็นหลักก็คืออย่างอเมริกาเป็นต้น
อีกแบบไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเท่านั้นคือแบบที่ไทยกำลังดำเนินไปอย่างลึกซึ้ง ว่ากันแล้วโดยรวม ประชาธิปไตยเป็น Majority ruled Minority Rights ที่ถูกสุด เพราะว่าประชากรของไทยมีแค่ 70 กว่าล้านเทียบกับประชากรของโลก 2000 กว่าล้าน เป็น Minority Rights
คำว่า Rights แปลว่าสิทธิมนุษยชนก็ได้แปลว่าความถูกต้องก็ได้ ส่วนน้อยถูกต้องที่จริงที่สุดแต่ส่วนใหญ่นั้นมันก็มีส่วนมาก คือส่วนน้อยที่มีเนื้อแท้ความเป็นประชาธิปไตยสูงที่สุดคือมีอิสระเสรีภาพมีความไร้อัตตา มีความรู้ทางจิตวิญญาณ
ประชาธิปไตยต้องมีอิสระและความไร้อัตรา
ความอิสระนั้นต้องเข้าถึงความอิสระอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วน อัตตาต้องไร้อัตตาจริง คนที่มีจิตอัตตาอย่างไร ต้องศึกษาจากจิตวิญญาณ 3
ภาษาฝรั่งจะมีหลายคำเช่นคำว่า Philosophy Epistemology Phenomenology
สามเส้านี้จะชัด คือจากปรัชญาก็เข้าหาความเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆเป็น ส่วนPhenomenology เป็นการเข้าถึงความจริง มากที่สุด Epistemologyกำลังตามและสะสมอยู่แต่ถ้าเป็นPhenomenology จะครบครันสมบูรณ์สุด
ตัวเองจะเป็นนักปฏิบัติธรรมต้องเรียนรู้ปฏิบัติธรรมให้ได้เข้าถึงความอิสระเสรีภาพความไร้ตัวตนไร้อัตตา ได้แท้ ถึงจะรู้รายละเอียดของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
น.สพ.เราคิดอะไรเดือนกันยายนวางตลาดแล้วในวันที่ 26 กันยายน ยังเหลือวันอีกบ้างที่จะหมดเดือนที่คือเรื่องของอโศก ตอนนี้รู้สึกเซาซากันไป ก็เร่งขันชะเนาะหน่อย ตอนนี้ทำเล่มตุลาคมอยู่ ก็ไม่น่าจะออกวันที่ 26 ตุลาคมนะ น่าจะออกได้ก่อนหน้านั้น เอาล่ะ อาตมาไม่ไปติเตียนอะไรหรอก พวกเราทำตามประสา
ประชาธิปไตยแบบพุทธ
(1) “ประชาธิปไตย”โลกร้อง เรียกหา
ล้วนแต่หลง“มายา” อยู่แท้
หาใช่ยอด“สัจจา- ธิปัตย์”ไม่
แค่แข่ง“อำนาจ”แพ้- ชนะสู้กันไป
(2) ใครแย่งอำนาจได้ ใหญ่ครอง
ข่มคนอื่นเก่งผยอง เบ่งบ้า
เอาเปรียบโลกทั้งผอง ด้วยกิเลส แท้เทียว
เห็นแก่ตัวกลั้วกล้า ไม่รู้“ตัวตน(อัตตา)”
(3) คนผู้นำไป่รู้ “อำนาจ”
มีแค่“เฉกะ”ฉลาด ยึดไว้
หลงเต็มสิทธิ์ผูกขาด เบ่งใส่ “โลก”เลย
ถือว่า“ตน”ใหญ่ ใช้ อำนาจชี้บงการ
(4) เป็นพาลใหญ่เบ่งกล้าม นักเลง
ใช้“อธิปไตย(อำนาจ)”ข่มเหง บ่รู้
ไม่หัดฝึกตนเอง มี“สติ” ตื่นเต็ม
“ความฉลาด”จึ่งไป่กู้ วิกฤติได้ใดใด
(5) ไม่เคยเรียนพุทธแท้ “โลกุตระ”
มีแต่ฉลาด“เฉกะ” แค่นั้น
นั่นฉลาดแบบ“โลกียะ” พ้นกิเลส มิได้ดอก
“โลก-อัตตา”นี้หลากชั้น หลอกใช้ปุถุชน
(6) คนผู้“เป็นใหญ่”แท้ ที่“จิต”
ตน“ใหญ่”เพราะพิชิต “ตน(อัตตา)”ได้
ไทยชนะชนิดวิศิษฏ์ เอาสงบ สยบอริ
ชนจึ่งมอบ“อำนาจ”ให้ รับใช้ประชาจริง
(7) ทุกสิ่งไทยเลิศพร้อม ครบหมด
มี“อิสระ”สุดใสสด วิเศษฟ้า
“อัตตา”ก็หมดจด ดับสนิท สามมิติ
ฝึก“จิต”จนกาจ”กล้า แกร่งแกล้วคุณธรรม
(8) ไทยสำเร็จหกถ้วน เป็นระบบ
พุทธยิ่งใหญ่ครันครบ พรักพร้อม
“วิญญาณ”ฆ่ากิเลสจบ บรรลุจุด สุดเฮย
“กษัตริย์-ประชา”ล้อม ถักร้อย“อธิปไตย”
“สไมย์ จำปาแพง”
10 ส.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 338 ประจำเดือนกันยายน 2561]
พ่อครูว่า...อาตมาสาธยายความจริงไป ประชาธิปไตยที่แท้ ต้องศึกษาธรรมะ เพื่อลดละตัวตน ประชาธิปไตยที่มีแต่ให้คือการสร้างอำนาจ รัฐศาสตร์สอนว่าต้องแสวงหาอำนาจเพื่อให้เกิดประชาธิปไตย จึงเป็นรัฐศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนประชาธิปไตยที่ผิดเพี้ยน
ท่านเดินดินนี่ก็เรียนเศรษฐศาสตร์แต่ลาออกมาแล้ว ซึ่งแสดงว่าพ่อแม่ของท่านเดินดินเข้าใจ
มาเจาะรายละเอียดลงไป
สมณะฟ้าไทว่า...พูดเรื่องประชาธิปไตย ฟังช่องเนชั่นโหวต ว่า สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ ก็ปรากฏกว่า คนกด สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ประมาณ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ มีคนไม่สนับสนุนก็แค่ 10% อย่างนี้เชิญตั้งได้เลย
หากเลือกตั้งเขาก็ไม่ได้แน่
พ่อครูว่า..เขาก็มีทางเดียวคือต้องเลือกตั้งเผื่อฟลุ๊ค
พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณเป็นผู้ประกาศปฏิวัติยึดอำนาจเป็นคนแรกในวันที่ 11 กันยายน 2556 อาตมายืนยัน ประชาชนยึดอำนาจแต่คนยังไม่เข้าใจ อาตมาเป็นคนรับคำของพลเอกปรีชาและออกมาประกาศต่อ คนไม่เข้าใจ นี่คือ เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จะเป็นคนในประวัติศาสตร์ เอาไปสร้างหนังจีนรับรองเลย
สมณะเดินดินว่า...อิสรเสรีภาพ ไร้อัตตา และจิตวิญญาณ คนข้างนอกอาจจะเห็นยาก แต่ในพวกเราเองก็น่าจะเห็นกันได้ เราจะพัฒนาประชาธิปไตยในกระบวนการพวกเราอย่างไรให้เห็นความสำคัญของกระบวนการกลุ่ม กระบวนการกลุ่มจะไปได้เพราะว่าเราลดอัตตาของตัวเอง ทำอะไรก็พยายามไม่ยึดถือความเห็นของเรา และตกลงกันไป เป็นมติของหมู่กลุ่มไม่ได้เอาทิฏฐิของตัวเอง ที่บ้านราชฯไม่มีห้องถกเถียงแบบสันติอโศก ถ้ามีก็จะถกกันมากมายแต่นี่เรายอมรวมกันได้มากกว่า ชาวอโศกมีกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลา ประชาธิปไตยจะเจริญได้เพราะแต่ละคนไม่ยึดถือความเห็นของเรา เอาตามมติของที่ประชุมตกลงกัน จะเป็นการทำประชาธิปไตยให้เกิดความเจริญขึ้นมาเกิดความสงบสุข หมู่กลุ่มไหนมีความสงบสุขก็แสดงว่าเป็นประชาธิปไตย
พ่อครูว่า...ขออ่าน คอลัมน์ของคุณจริงจัง ตามพ่อ ใน นสพ.เราคิดอะไร ฉบับกันยายนนี้
นัยปก : ประชาธิปไตยไทยแบบพุทธ
ประธานาธิบดีสหรัฐ(ต้นแบบประชาธิปไตยของโลก) ได้ให้สัมภาษณ์ออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดี (23 สค.) ทรัมป์กล่าวเตือนว่า... เศรษฐกิจของสหรัฐจะพังพินาศหากเขาโดนถอดถอนออกจากตำแหน่ง ทุกคนจะยากจน เขายังคุยว่าเศรษฐกิจสหรัฐก้าวหน้า การจ้างงานมากขึ้นในยุคสมัยของเขา "ผมไม่รู้ว่าคุณจะถอดถอนคนที่ทำงานอย่างยอดเยี่ยมได้อย่างไร" (แต่อีกด้านเขายอมรับเต็มปากว่าเงินที่จ่ายเพื่อปกปิดเรื่องอื้อฉาวที่ไปนอนกับดาวโป๊และนางแบบเพลย์บอยนั้น เป็นเงินของเขาเอง จึงไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง)
ลองกลับมาดูความมั่นใจของนักการเมืองไทย ดูบ้าง “ "ผมมั่นใจว่า วันนึงเมื่อผมวางมือทางการเมือง นายวัน อยู่บำรุง จะได้เป็นรัฐมนตรี (มีเสียงเฮและปรบมือจากกองเชียร์ดังสนั่น) " ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มั่นใจ หรือจากปากของผู้ก่อสงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ ที่ได้ประกาศ ชูธงรบ อีกครั้ง พร้อมการปลุกระดมสงครามยังไม่จบ การที่จะแพ้นั้นมีแค่ 2 ทาง คือตายกับยอมแพ้! "อยากบอกทุกคนว่าถ้าเราไม่ยอมแพ้ คำว่าแพ้มีได้สองกรณี คือ 1.แพ้เพราะตาย กับ 2.แพ้เพราะยอมไปเอง ถ้าเรายังสู้อยู่เราก็จะไม่แพ้!"ทักษิณ ชินวัตร (ผู้สร้างสงครามประชาธิปไตยในแผ่นดินไทย จนทำให้ฝ่ายประชาชนถูกเข่นฆ่า พากันบาดเจ็บล้มตายมาตลอดกว่า 10 ปีแล้ว)
พ่อครูว่า: น่าสงสารทักษิณมาก เพราะว่าเขาแพ้ไม่เป็น เขาจะทุกข์ไม่ใช่แค่ในชาตินี้ เขาจะทุกข์ข้ามชาติ นี่เขาดีขึ้นนิดนึงนะ ตรงที่เขาบอกว่า เขาจะแพ้ก็แพ้เอง แต่ก่อนว่าแพ้ไม่มี นิดนึงก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้มีนิดนึง ลดลงไป แต่อย่างไรก็ดี เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆหรอก ไปห้ามอย่างไรก็ไม่หยุดหรอก อาตมาขอบอกได้เลยว่า แม้เขาจะดูทีว่าเขาจะชนะ แต่ขอยืนยันว่าในประเทศไทยเอาชนะไม่ได้ ในยุคปัจจุบันนี้ต่อจากนี้ไป แม้ตอนนี้ช่วงนี้ เขาจะดูทีว่าจะชนะ หรือจะได้แต้มอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ชนะไม่ได้!
เพราะประเทศไทยมีมวลประชาชนที่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยมากพอที่เขาจะเอาชนะไม่ได้
แต่อย่าชะล่าใจไปเท่านั้นเอง แม้แต่รัฐบาล ก็อย่าไปประมาทดูถูกดูแคลนเขา!
..อาตมายืนยันว่าขณะนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก เพราะทำกันอย่างจริงจังมีความเจริญก้าวหน้า แต่ความเสื่อมของประเทศไทยที่ถูกนักเลือกตั้งสร้างค่ายกลโกงกินกันมาเกือบ 80 ปีแล้ว มันสะสมหมักหมมมาแย่เต็มที ก็เลยต้องแก้ไขกันอย่างหนัก แต่มันก็ดีขึ้น ๆ ตอนนี้การเมืองกำลังเข้าไคล ขอสรุปเลยว่าประชาธิปไตยไทยนี่แหละดีที่สุด เป็นประชาธิปไตยที่มีรากฐาน ของศาสนาพุทธ เพราะเนื้อแท้ของประชาธิปไตย จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1. อิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีอัตตาตัวตน 3. มีจิตวิญญาณ ที่รู้จักธาตุจิตซึ่งเป็นประธานของความเป็นคน มีจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นจึงจะทำวิญญาณของเรา ให้เป็นวิญญาณที่สูงสุดคือ อิสรเสรีภาพ และไม่มีตัวตน นี่คือสุดยอดของความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งในหลวงรัชการที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่างของนักประชาธิปไตยที่มีธรรมะเป็น “โลกุตระ”ๆ คือไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อมวลประชาชนอย่างแท้จริง
ท่านให้ประชาชนมีอิสระเสรี และมีประชาธิปไตยในตนจะได้เป็นอำนาจของตน แล้วจะได้แสดงอำนาจที่จะช่วยประเทศชาติ ด้วย “ราชประชาสมาสัย” เพราะเป็นประชาธิปไตยสองขา เพราะมีพระเจ้าอยู่หัวกับประชาชน ร่วมกันทำงานถักร้อยประชาธิปไตย อย่างลูกกับพ่อ อย่างที่ในหลวงท่านทรงทำมาแล้ว อย่างที่เห็นๆ จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เมืองไทยเราตอนนี้ จึงมีความสงบสุขกว่าอเมริกาๆ ชึ่งเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นประชาธิปไตยที่ต้องใช้เงิน อำนาจบาตรใหญ่และอิทธิพล แล้วเข้าไปแย่งชิงอำนาจกัน เป็นสมบัติผลัดกันชม ผลัดกันใช้อำนาจบาตรใหญ่
จริง ๆ แล้วผู้ที่สมควรจะได้ไปบริหาร ถ้าหากแย่งอำนาจอยู่ก็ยังไม่ใช่ประชาธิปไตยแม้สักนิด ส่วน ประชาธิปไตยจริง ๆ คือ ผู้ที่ประชาชนจะยอมยกให้ขึ้นไปบริหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์องค์ยอดจริงๆเลย ไม่ว่าจะกี่ปี ๆ ก็คนนี้แหละ มีความเห็นขัดแย้งกันน้อยที่สุด เหมือนอย่างที่ในประเทศไทยยกให้ในหลวงรัชกาลที่ 9จากจิตวิญญาณจริง ๆ ของปวงชนชาวไทย ที่เห็นความจริงว่า ผู้นี้ ๆ เป็นคนทำเพื่อประชาชนจริง ๆ เราจึงพากันยกย่องนับถือ ด้วยปัญญาของเราเอง อย่างอิสระเสรี ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมาบังคับให้เราต้องกระทำ.
พ่อครูว่า..สมมุตินะ เลือกตั้งนี้ ทักษิณได้คะแนนมากที่สุด ทักษิณจะตั้งใครเป็นนายกฯ คิดถึง คึกฤทธิ์ ปราโมช มีแค่ 18 คะแนนในพรรคเขาก็ยังได้เป็นนายกเลย คึกฤทธิ์ ปราโมชสู้พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ในการบริหาร เพราะมีเหตุปัจจัยอื่นๆอีก
ขณะนี้ เอาล่ะ มันก็ต้องอวดดีกันไว้ทั้งนั้น แม้ตอนนี้ อาตมาว่า ทักษิณคงไม่ได้ตายด้วยโรค แต่คงอกแตกตาย เพราะแกกดข่มเยอะนะ Pretender แสดงความสุขทางภายนอกแต่ในใจจะทุกข์แค่ไหน
พ่อครูว่า..ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเทวนิยมแต่เป็นศาสนาอเทวนิยม เป็นเรื่องลึกซึ้งสลับกันไปสลับกันมา เขาจะหาว่าอาตมาไม่อยู่กับร่องกับรอยแต่คนที่เข้าใจแม่นสภาวะ จะยิ่งชัดเจนแยก 1 แยก 2 ได้ เพราะมีความรู้เป็นโลกุตระ นิพพานสุญญตา เป็นฐานจิตที่ว่างเปล่าจากอคติ จากกิเลส สามารถมองอะไรได้กระจ่างใส เพราะว่าจิตไม่มีอะไรขวางภายใน
เพราะฉะนั้น 0 นี่แหละถึงจะเป็นทั้งหมดและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ที่จะรู้ได้กว้างรู้ได้ทั้งหมดเพราะว่ามี 0 จิตไร้ความปิดกั้น จิตยิ่งทำความไม่รู้ออกไปก็ยิ่งรู้ๆๆ เป็นสัจจะธรรมะ 2 ที่ยากที่คนจะเข้าใจได้ พูดไปอธิบายภาษา คนก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่ว่ามีคนปฏิบัติ เท่าที่อาตมามีภูมิธรรมวัด รู้ ขณะนี้คนทั้งโลก เข้าใจประชาธิปไตยดีขึ้นดีขึ้นแล้ว
ประเด็น ที่จริงก็คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นทหารออกมา ตอนแรกเขาก็ไม่ยอมรับต่อต้าน แต่เมื่อประชาชนในประเทศยอมรับ และพลเอกประยุทธ์ก็ปฏิบัติเป็นประชาธิปไตยที่เป็นไปได้ดีเหมาะสมกับกาละเข้ากับยุค อาตมาว่า เหมาะสมหมดเลยทั้งท่าทีลีลา อาตมาก็เลียนแบบไม่เก่ง บางทีดูยียวนแต่เหมาะสม ปิดปากพวกที่อย่างโน้นอย่างนี้ได้ดีนัก
คือ มี สิ่งที่เป็นความจริงอยู่ในตัวเองเยอะ โยนความจริงไปพวกนั้นก็อึ้ง หยุด ก็ดีอีก นักข่าว นักผู้รู้นักสัมภาษณ์ก็มีปฏิภาณปัญญา เมื่อเจอความจริงเข้า ก็เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสกับใครก็แล้วแต่ ตรัสไปแล้ว เขาก็นิ่งก้มหน้าซบเซาลงไปเลย
เป็นแต่เพียงว่าให้สตินิดนึงอย่าผยองอย่าหยิ่งในอำนาจ ทุกอย่างให้เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ที่ดี แต่ลีลานี้ใช้ได้แล้วอาตมายังสู้คุณไม่ได้เลย อาตมาก็มีท่าทียียวนแต่ไม่เก่ง มันต้องใช้อย่าง มีสัปปุริสธรรม 7
เช่นทำกับทักษิณตัวต่อตัวเต็มที่เลย แต่ทำกับประชาชนอย่างยืดหยุ่น ทำกับทักษิณเด็ดขาด ไม่เปลี่ยนแปลงตอกหลักถมเทปูนทับ เอาโลหะเททับอีกชั้น
สมณะเดินดินว่า...จับตัวมาไม่ได้
พ่อครูว่า...ถ้าจับตัวมาจะเป็นเผด็จการ ไม่จับตัวมานี่ เอ็งเก่งก็ดิ้นไปแล้วกรรมการให้คะแนน นี่เป็นลีลาเหนือลีลาของพล.อ.ประยุทธ์ การไม่จับทักษิณนี่ ทำให้เห็นอะไรมากขึ้นแม้แต่คนของทักษิณเองก็จะเห็นอะไรมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์จริงให้ศึกษา เป็นยุคไม่ปิดกั้นการศึกษา อาตมาว่าวิเศษได้เห็น แม้อาตมาจะเป็นตัวหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก อาตมานี่ จริงๆเป็นตัวอะไรแต่คนเขาหาว่าอาตมาเป็นตัวเบี้ย แม้แต่โคนเขาก็ไม่ให้เป็นเลยไม่ต้องพูดถึงม้าเรือเลย เป็นขุนไม่ได้แน่ (โยมว่าพ่อครูเป็นกระดาน)
เล่นได้ทุกตาขาดไม่ได้เลย เป็นธรรมะสอง เป็นสิริมหามายา ที่กลับไปกลับมาซับซ้อนแต่ไม่สับสน ไม่ผิดพลาด
สอนในศาสนาพุทธสอนธรรมะสอนให้เป็น0 แล้วก็เป็นธรรมะ 3 4 5 6 7 8 ธรรมะ 10 11 12 13 14 เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ขยายความหมุนรอบเชิงซ้อนเป็นมหาจักรวาลได้
ขออภัยขอพูดนิดนึง ในอนาคต อาตมาตายไปแล้วคนจะขุดเอามาศึกษา แต่ตอนนี้ไม่แลไม่เห็นคุณค่า เขาขุดมาไม่ได้เอามาต้มยำ แต่ขุดขึ้นมาศึกษา ในสิ่งที่อาตมานำพา ก็ไม่รู้อาตมาก็ยังไม่ยอมตาย ก็คงอีกพอสมควร เพราะว่ามันซับซ้อน เดี๋ยวก็ว่าตายเดี๋ยวก็ว่าไม่ตาย
ที่ไม่ตายนี้อาตมายังจะค้นพบพลังงานที่เรียกว่า Coefficient สัมประสิทธิ์ พลังงานนี้อาตมามั่นใจขึ้นอีกมากว่าอันนี้แหละคือสัมโพชฌงค์ของพระพุทธเจ้า คืออิทธิบาท 4 ที่มันจะนำพาให้แม้แต่อายุยืนยาวได้ก็คืออันนี้ เพราะฉะนั้นอาตมาจะพิสูจน์ทางรูปธรรม ให้คนเห็นเลยนะ ไอนี่แหละ จะบอกว่าเป็นโรคหรือวิบากก็คือๆนี่แหละ แล้วมีเหตุด้วยนะ หมอไม่เก่งยังผ่าไม่ได้ หากผ่าออกก็สบาย แต่ผ่าไม่ได้เสี่ยงตายเขาก็ให้อยู่ไป ก็เป็นวิบาก เข้าใจถึงได้ไม่รำคาญอยู่กับมันไป อาจทรมานกายแต่ไม่เป็นไร ไม่ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง แต่ไอแทรกแซง ก็มองอจินไตย คืออาตมาต้องประกาศตัวต่อ ไอ i คือตัวเรา ยังจะแสดงตัวตน และยังจะขยายไปว่า I คืออะไร โปรดติดตามว่า I คือใคร อย่ากระพริบตา แล้วจะรู้ว่า I ที่ชื่อว่าโพธิรักษ์นี้คือใคร
สมณะเดินดินว่า...พ่อครู ประกาศตัวตนในยุคไอทีแต่พ่อครูไอหลายที คนเดาพ่อครูยาก ท่านว่าท่านไม่ใช่หมอดูแต่เป็นคนดูหมอ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:29:21 )
รายละเอียด
ลุงไม้ร่ม : ผมสงสัยแต่มันก็ต้องถาม มันเป็นความรู้ว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากพระพุทธเจ้ามา พ่อท่านเกิดเมื่อไหร่
พ่อครู : ตั้ง 2000 กว่าปีไม่รู้เกิดกี่ชาติแล้ว
ลุงไม้ร่ม : ก็ไม่กี่ชาติ
พ่อครู : หลายชาติ
ลุงไม้ร่ม : ก็ 1000 ปี ก็ 10 ชาติ 10 กว่าชาติ ถ้าอายุ100 ปี ใช่ไหมครับ อันนี้มัน 2000 กว่าปี ประมาณ 20 ชาติ 20 กว่าชาติ อย่างนี้่พ่อท่านต้่องจำได้
พ่อครู : จำไม่ได้หรอก ได้เป็นเรืองๆ ได้อะไรต่ออะไรบ้าง
ลุงไม้ร่ม : ถ้าพ่อท่านตายปุมเกิดปั๊บ ก็จำได้
พ่อครู : ไม่ ไม่ได้ จำได้ก็เก่งนะซิ
ลุงไม้ร่ม : 5 ปี
พ่อครู : จำไม่ได้หรอก เราตายแล้วเกิดจำได้ ยุ่งกันใหญ่เลย
ลุงไม้ร่ม : อีกอย่างหนึ่ง พ่อท่านมาเกิดมีเพื่อนเยอะ 1249 องค์ พ่อท่านมาทำงานมีเพื่อนพ่อท่านที่เป็นอรหันต์สมัยพระพุทธเจ้ามาช่วยด้วยนะครับ
พ่อครู : เป็นธรรมดาผู้ที่ยังเกิดอยู่ ยังต่อภพภูมิ ยังเกิดไปเกิดมา ก็จะมาช่วย
ลุงไม้ร่ม : ที่พ่อท่านบอกว่า 9 องค์ ผมว่ายังน้อยไป เพราะว่ายังไงก็ต้องรู้จักบุญคุณของพระพุทธเจ้า
พ่อครู : คุณจะรู้ดีไปกว่าวิบากของเขา วิบากของเขายังไม่มาเกิดหรือจะไปเกิดตรงนู้นตรงนี้ บางคนอาจจะไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินประเทศนู้น ประเทศนี้อยู่
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:30:18 )
รายละเอียด
พ่อครู : พยาบาลเคยเจอไหม คนไข้มีเมน เราก็ต้องจัดต้องช่วย
คุณนิ่ม : มีทุกรูปแบบ เขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องธรรมดา
พ่อครู : เป็นเรื่องธรรมชาติ
สมณะแสนดิน : อุตุ
พ่อครู : อุตุ ที่เรียกอุตุเพราะว่า เลือดเป็นอุตุแล้ว ไม่ใช่พีชะ ไม่ใช่จิต
สมณะแสนดิน : สมมุติว่ามีเม็ดเลือดแดงนี่ แล้วมันใช้ไม่ได้
พ่อครู : ไม่ ท่านถึงเรียกอุตุไง
สมณะแสนดิน : ถ้าเราดูดเลือดออกมา เม็ดเลือดแดงเอาไปใช้
พ่อครู : ได้ อันนี่ได้ อันนี่ไม่ใช่อุตุ
สมณะแสนดิน : เอาไปใช้กับคนอื่นได้
พ่อครู : ดูดเลือดเอาไปใช้กับคนอื่น ไม่่ใช่อุตุ เป็นพีชะ มันไม่มีจิตร่วม เอาออกไปเป็นพีชะ ถ้าอยู่ในนี้เป็นจิต ถ้าอยู่ในร่างกายเราก็อยู่กับจิต จิตก็ร่วมทำงานสังขาร แต่ว่าดูดออกมาก็เป็นพีชะ เอาไปใช้ได้ ถ้าเสียแล้วก็เป็นอุตุ เพราะฉะนั้นเลือดเมนถือว่าเป็นอุตุเพราะว่าเสียแล้ว
สมณะแสนดิน : อย่างนี้ขี้ฟันเรา มันมีชีวิตอยู่ มันมีจุลินทรีย์
พ่อครู : จุลินทรีย์คนละตัว คนละอัน
สมณะแสนดิน : คนละชีวิตกับเรา
พ่อครู : มันไม่เกีี่ยวกับขี้ฟันแล้ว
สมณะแสนดิน : งั้นร่างกายเราก็มีชีวิตอื่่นอาศัยอยู่เยอะแยะ
พ่อครู : เยอะไป
สมณะแสนดิน : โอ่โฮ จุลินทรีย์เพี้ยบเลย พยาธิ์ด้วย
พ่อครู : จุลินทรีย์ก็คือเซลล์ ท้ายจริงๆตัวที่เป็นเซลล์จริงๆก็คือจุลินทรีย์ ดี จุลินทรีย์ดี ที่มันอยู่ในวงจรของชีวะเรา อยู่ในวงจรของอาการ 32 ของเรา
ที่นี้มันมีกบฎ จุลินทรีย์ที่เสียกบฎ ก็มีทหารเม็ดเลือดขาวจัดการ น้ำเหลืองจัดการ
เม็ดเลือดขาวจัดการ
พ่อครู : บอกว่ามีจุลินทรีย์ชนิดที่เก่าแก่ที่อยู่ในเซลล์เราอยู่ได้ ในเซลล์จะมีตัวผลิตพลังงานชื่อ ไมโซคอนเดียร์ ไม่โซคอนเดียร์ DNA มันอยู่ในนี้ด้วยข้างใน เหมือน
จุลินทรีย์เลยที่อยู่ข้างนอก เราพัฒนาจากจุลินทรีย์มาแน่เลย
พ่อครู : ใช่มันก็พัฒนามาจากตัวรากเหง้า มันตัวแกน จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเลย
มันมีรูปนามธาตุ 2 ธรรมะ 2 มีธรรมะ 2 เป็นอุตุกับธรรมะ 2 แต่มันไม่มีบงการ
ธรรมะ 2 ไม่มีอะไรบงการ แต่มันก็มีพลังงานผลักดูด ผลักก็คือแยกกัน ดูดก็คือรวมกัน ดูดมากก็ดูดสนิทดูดเนียนดูดแน่น ผลักมากก็คือร้อนกระจายเลย ดันระเบิด
เหมือนกันพลังงานนิวเคลียร์เลยก็เท่าน้ั้นเอง มี 2 ทิศ มีผลักกับดูด จาก 2 ทาง จากธรรมะ 2 เท่านั้นเอง สุดท้ายไม่มีอะไรเลย
สมณะแสนดิน : สร้างได้เป็นจักรวาลเลย
พ่อครู : จากทางจักรวาล จากธรรมะ 2 2 จะเรียกอะไรก็มันเล็กที่สุด ไม่รู้จะเรียกอะไร 2 ปรมาณู
สมณะแสนดิน : ก็มีช่องว่างกับจุด
พ่อครู : ใช่ ช่องว่างกับจุด ช่องว่างกับ 1
สมณะแสนดิน : ควอนตั้มกับปาร์ก
พ่อครู : ควอนตั้มกับโฟตรอน
สมณะแสนดิน : คือต้องค้นเล็กลงไปอีก ตอนแรกนึกว่าอะตอมว่าเป็นหน่วยเล็ก อะตอม โฟตรอน เล็กตรอน ถือว่าเป็นหน่วยที่เขาค้นพบเล็กที่สุด แต่ว่ามันมีเล็กกว่านั้นอีก
พ่อครู : ถ้าเล็กกว่านั้นได้ก็จริง แต่เรายังไม่ถึง ละเอียดยังไม่พอ มันซ้อนๆจนกระทั่งหาที่สุดไม่ได้
สมณะแสนดิน : อากาศธาตุ
พ่อครู : พวกนั้นเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า เราไม่รู้จักที่ต้น แต่เราไม่จำเป็นต้องไปหาที่ต้นในธรรมชาติ ถ้าไม่มีอยู่จักรวาลนี้้ก็ไม่มี มีจักรวาลนี้มันมีเอกภพ มันก็ต้องมี เพราะฉะนั้น เราก็เป็นธาตุมี แล้วจะสงสัยทำไมละ มีแต่เพียงว่าเราจะเอาอะไรให้ไม่มีนี่คือส่ิงที่ควรค้นพบของพระพุทธเจ้าคือสูญตา เราจะทำให้พลังงานแย่ที่สุดคือจิตอกุศลที่สุดไม่มีเท่านั้นเอง ก็เป็นชั้นๆ โสดาก็ระดับหนึ่ง
สกิทาก็ระดับหนึ่ง อรหันต์ก็ระดับหนึ่ง โพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าระดับสุดท้าย ยังจะต่ออีกก็เชิญต่อพระพุทธเจ้าก็ว่าไปเป็นความรู้ทีสุดที่จะศึกษาแล้ว
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:31:50 )
รายละเอียด
สมณะแสนดิน : พวกที่ตัวเองมี แต่ปฏิเสธว่าตัวเองมี อัตตวาทุปทาน
พ่อครู : คือพวกที่ไม่รู้เรื่องและไม่มีปัญญา พวกที่อัตวาทุปทาน คืออุปทาน 4 นี่ ต้องมีปัญญารู้ คือ 1.กามมุปทาน 2.จิตุปทาน ระลึกอยู่ในความรู้ ไอ้คนนี้นึกว่าตัวเองรู้กาม แต่มีแค่รู้
สมณะแสนดิน : แค่รู้ภาษา
พ่อครู : และแถมรู้ว่าตัวเองรู้วิธีปฏิบัติิอีก รู้ศีลพตุปทาน ดันนึกว่าตัวเองรู้อัตตวาทุปทานอีก ทิฎฐุปทาน
สมณะแสนดิน : ซ้อนกัน 3 ชั้น
พ่อครู : ทิฎฐุปทาน ศีลพตุปทานก็ยังพอทำเนา ยึดแต่ศีลพตตั้งหน้าตั้งตาปฏิบติ
มันยังดีกวาทิฎุปทาน ทิฎฐุปทานเป็นวิตกจริต ศีลพตุปทานศรัทธาจริต กามมุปทาน พุทธิจริต อัตตวาทุปทานนี่หนักกว่าทิฎฐุปทานอีก ติดติงแต่คำพูดภาษาเปลือกอยู่เท่านั้นเอง เปลือกกับเปลือกเท่านั้นตอนนี้
สมณะแสนดิน : พวกนี้น่าจะเป็นคนที่หายากที่สุด
พ่อครู : ใช่ เพราะฉะนั้นเราจะดูในอุปทาน 4 ที่ท่านเรียงไว้ กามมุปทานดูเหมือนเรื่องใหญ่ๆ อัตตวาทุปทานเหมือนเป็นเรื่องใหญใหญ แต่ที่ไหนได้ซวยสุด
อัตตวาทุปทาน แม้พวกไปเรียนดอกเตอร์ เรียนเปรียญเก้า เขาอาศัยวิชาการสร้างวิมานสร้างฐานะสร้างชีวิตอยู่อาศัย เขาก็สบาย เขาไม่รู้ตีนไม่ติดดิน เขาไม่เป็นตัวตนเขาไม่ได้อะไร เขาไม่ได้สัมผัสสิ่งจริงเลย
สมณะแสนดิน : เขาได้โลกธรรมไป
พ่อครู : อาศัยอย่างนั้นช้านานมากเลย ซ้อนทิฎฐุปทานยังมีสัมผัส อัตตวาทุปทาน
ตีนลอยไม่สัมผัสอะไรเลย แล้วก็หลงอยู่อย่างนั้นลอย ไม่ได้รู้สักที ไม่มีปฏิิฆะสัมผัสโส
สมณะแสนดิน : พวกกามมุปทาน มันจะทุกข์ๆ
พ่อครู : พวกนี้มีพวกอธิวจนะสัมผัสโสอย่างเดียว ไม่มีตัวปฏิฆะสัมผัสโสเลย มีแต่อธิวัจนะ มีแต่บรรญัติ มีแต่ภาษา มีแต่คำพูด เหมือนกับนักการเมือง วาทะกรรมทั้งนั้น นักการเมืองเป็นพวกอัตตวาทุปทาน
สมณะดินไท : นึกถึงพุทธวจนะที่ยังค้นหาคำของพระพุทธเจ้า แต่ก็ยึดแต่คำของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วก็ยึดแต่ภาษา คัดเอาภาษาสูงๆ ปฏิจจสมุปบาท แต่การปฏิบัติก็คือนั่งหลับตา
พ่อครู : นั่นละคือไม่มีสัมมาทิฎฐิ ไม่มีอะไร คนที่มีได้ภาษาแล้วก็ได้สัมมาทิฎฐิบ้าง เขาก็ปฏิบัติได้บ้าง คนที่ได้ภาษา แล้วก็ปฏิบัติมากจนถึงครึ่ง จนกว่าครึ่ง มันก็มาเรื่อยๆตามความจริง พอมันชักจะปฏิบัติได้ หรือรู้แล้วปฏิบัติมีผล พวกนี้เขาจะปล่อยวางไอ้ที่มันติดยึดภาษา ที่ติดบรรญัติ บรรญัติสำหรับรู้ เป็นแผนที่ เป็นพิมพ์เขียว เป็นเข็มทิศ มันก็จะเกิดปฏิภาณปัญญา อ๋อบรรญัติภาษา คือเข็มทิศ
คือทางให้เราเดิน เราเดินซิ แล้วก็ทำสัมมาทิฎฐิ รู้ว่าทางนี้ไปถึงนี้ แยกนี้ไปไหนไปไหน รู้แยกก็ไป มีเข็มทิศก็บอกกลับ เข็มทิศบอกไปถึงแยกนี้แยกนี้ ตรงนี้ทิศนี้ไป
สมณะแสนดิน : ถ้าพูดถึงจะละ ก็ต้องละตามลำดับ แย่สุดก็คือละอัตตวาทุปทาน
แล้วไปละทิฎฐุปทาน แล้วก็ไปละศีลพตุปทาน แล้วถึงไปละกาม
พ่อครู : นี่เป็นพวกถอยหลัง พวกที่ชัดเจนแล้ว อัตตวาทุปทานก็ไม่ติด อัตตวาทุปทานก็ไม่ติด ทิฎฐุปทานก็ไม่ติด มันก็ทำกามมุปทานก็เร็วซิ
สมณะแสนดิน : ก็เป็นศีลพรตปรามาสอยู่
พ่อครู : ศีลพรตปรามาสอยู่ คุณรู้แล้วมันก็เรื่องของคุณแล้ว ถ้ายังเล่นๆหัวๆอยู่กับโจร ไปจับโจร ก็กินพุ่ยข้าวต้มกุ้ยอยู่กับโจร คุณก็
สมณะแสนดิน : มันก็เป็นไปลำดับ
พ่อครู : คุณก็ไม่จัดการโจรสักที
สมณะแสนดิน : ถ้าทำศีลพรตปรามาสพ้น ก็ขึ้นโสดาบัน มันก็มีลำดับมา
พ่อครู : ใช่ คุณไม่ลงมืออยู่ มันก็อยู่อย่างนั้นแหละ อย่างสักกายะทิฎฐิคุณรู้แล้ว คุณรู้ตัวตนนั้นแล้ว ไม่สงสัยเลยใช่ ตัวนี้ไม่ใช่แพะไม่ใช่เพ๋อเลย โจรตัวจริงเลย อย่างคุณก็เล่นหัวอยู่กับมัน สนุกสนานอยู่กับมัน ไม่จัดการสักที
สมณะแสนดิน : พวกนี้ไม่ปฏบัติหน้านองน้ำตา ปฏิบัติหน้ายิ้ม พวกหน้านองน้ำตานี่อีกแบบนึง
พ่อครู : อย่างนี้ประมาณ สักวันหนึ่งโจรก็ตลบหลัง ฆ่าเรา ตายโดยไม่รู้ตัว โจรมันใส่ยาพิษเข้าไปรู้ขุมขนไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งยาพิษก็เต็มเรา
สมณะแสนดิน : วันก่อนมีคำถามที่ตอนแรกปฏิบัติรู้สึกทุกข์มาก ตอนหลังไม่ทุกข็เลย แต่กินทุกอย่างเลย อย่างนี้มันผิดๆอยู่
พ่อครู : มันจะเป็นหลายลีลา แต่ละคนก็คนละอย่าง
สมณะแสนดิน : กลับไปกลับมาได้นะครับ
ถอดข้อความโดย อุทัย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:32:43 )
รายละเอียด
610929 เอื้อไออุ่น งาน 42 ปีศีรษะอโศก รำลึกบรรพชน - แพทย์แผนไทย ยุค 4.0
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1wTC7r-afAytfGmT1LLI6QeV2uCEKoXIH-XiCt_Z_w1A/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=17dcSJZKgY4VOrnifwHv4p0yBkJqAhdzQ
พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 29 กันยายน 2561 ที่บวรศีรษะอโศก วันนี้วันรำลึกบรรพชน ก็พูดต่อจากท่านจิรัสโสว่า ไม่มีใครไม่เคยเกิดมาเป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล่นๆ เพราะว่าวัฏสงสารมันยาวนานมากไม่รู้กี่ล้านๆๆปี คนเราเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันนั้น บางคนเป็นไม่กี่ปีก็ตายจากกัน แต่ไอ้ล้านๆๆๆปี วนเวียน นับไม่ถ้วน ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่ลูกพี่น้องกัน ก็วนไปเกิดแล้วตาย ตามวิบากพาเป็น
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นเลยที่เราจะไปคิดฆ่าคิดทำร้ายใครๆ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมากมาย มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น ทางมหายาน มีลังกาวตารสูตร สัตว์ก็วนเวียนเป็นพ่อแม่ลูกกัน แล้วจะไปกินเนื้อกันได้อย่างไร เราพูดไปแล้วเราเข้าใจแล้วเชื่อแล้ว แล้วเขาทำตนไม่กินเนื้อสัตว์กัน ก็เป็นสุดยอดความจริงความรู้ สุดยอดของการหลุดพ้น
เพราะคนเราไม่รู้ แต่ที่จริงควรจะรู้อย่างยิ่ง พ่อแม่ลูกเกิดมาใช้วิบากกันแต่เขาไ่ม่รู้ก็เกิดมาฆ่ากัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอนันตริยกรรมแต่เขาก็ทำกันได้ ในวงการชาวอโศกจะไม่มีอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ก็จมกับวิบากไม่รู้กี่ชาติ คนมาเป็นชาวอโศกจะหลุดพ้นจากเรื่องเหล่านั้น พ้นจากวิบาก พูดในเชิงร้าย ฆ่ากันอาฆาตพยาบาทกัน
แม้แต่รักก็ผูกพันกัน นิพพานนั้นไม่ทั้งรักไม่ทั้งชัง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ได้พัฒนาสูงมาเป็นอาริยะกันได้จริงๆ อาตมาพูดไปแล้วน่าสงสารชาวพุทธส่วนใหญ่ ยังหน้ามืดในลาภยศสรรเสริญสุข จมกับสิ่งเหล่านั้นไม่รู้ตัว จนกระทั่งเกิดเรื่องเกิดราว เป็นพระเป็นเจ้า จมแล้วยังทุจริต ไปวุ่นวายเรื่องเงินทองก็ต่ำแล้ว ยังมีโกงทุจริตอีก การทุจริตในคราบฆราวาสก็บาประดับหนึ่ง แต่โกงในคราบพระก็บาปซ้ำซ้อน มากมาย มันเป็นยุคใกล้กลียุค
อาตมาภูมิใจที่พวกเราทำได้มีชุมชนหมู่กลุ่ม มีพฤติกรรมถึงขั้นสาธารณโภคี สุดยอด ในยุคพระพุทธเจ้ายังทำสาธารณโภคีในฆราวาสไม่ได้ อาตมามาพาทำได้
คนที่มีความรู้ทางศาสนาในยุคนี้ไม่มีใครมาอธิบายธรรมะอย่างโพธิรักษ์ อธิบายธรรมะไปถึงขั้น ธรรมนิยาม 5 แจกเวทนา 108 พระสูตรต่างๆวรรณะ 9 อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แจกได้ทุกมุมทุกเรื่องและไม่ได้แจกแค่พยัญชนะ แต่ขยายสภาวะนะ ให้เห็นให้เข้าใจ ขออภัยที่ดูอวดตัวอวดตนมาก การนำพุทธธรรมมาเปิดเผยได้นี่คือ บรรพชนของพุทธ พูดได้อย่างมั่นใจไม่ได้เป็นความหลอกลวงไม่ได้เป็นความอวดตัวตนอะไร พูดเรื่องจริง
_รุ่นพี่ที่ดีควรทำตัวอย่างไร
พ่อครูว่า..ก็ควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่รุ่นน้อง ตัวอย่างที่ดีก็เป็นความรู้ที่กว้างๆ ว่าดีนั้นคืออะไร ดีนั้น คือ ต้องมีความรู้ทางธรรมที่พุทธเจ้าท่านสอนมา ตีขลุมอย่างนี้เลย
คนจนที่ไม่มีภูมิธรรม ถ้าเขามีเขาก็จะกินจะใช้อย่างเกินกินเกินใช้
คำว่าดีต้องมาศึกษาธรรมะพุทธเจ้า ถ้าพี่เขาไม่ดีเราเป็นรุ่นน้องก็ดูตัวอย่างว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อไปเราเป็นรุ่นพี่อย่าไปทำอย่างนั้น
ส่วนพี่ที่ไม่ดีก็รู้ตัวเองและปรับตัวเองให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน ใช้ชีวิตในสัมมาสิกขาอย่างไรให้มีความสุข
_ใช้ชีวิตในสัมมาสิกขาอย่างไรให้มีความสุข
พ่อครูว่า...ก็เรียนรู้ธรรมะ ที่จริงในที่นี้เป็นสังคมที่มีความสุขมาก เราเองมาอยู่ในที่นี้แล้วเรายังไม่มีความสุขแสดงว่าเราเองยังโง่ เราจะต้องศึกษาให้ดีว่าเราอยู่ในแดนที่สุขสำราญเบิกบานใจแล้ว เรายังมีความสุขไม่ได้ แสดงว่าเราโง่มาก ต้องเรียนรู้บุคคลที่แต่ละคนก็มีกรรมกิริยาของเขามีพฤติกรรมของเขา เขาก็แสดงออกของเขาอย่างนั้นเป็นตัวของเขา เขาก็เป็นเขา เราก็คือเรา อ่านพฤติกรรมของคน ว่า เรามีความรู้ว่าอย่างนี้เป็นสิ่งที่ดีเราก็ทำตัวอย่างที่ดี อันนี้ดี เราก็พยายามปฏิบัติตาม จะทำอย่างไรจะอยู่กับหมู่เขาเป็นอย่างนี้ อยู่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ในนี้ยิ่งดีเพราะมีคนดีเยอะ ตัวอย่างไม่ดีก็มีเล็กน้อย คนไม่ดีจริงๆมาอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เขาเองเขาทนไม่ได้หรอก
_ทำไมคนเราต้องมีกิเลสด้วยคะ แล้วเราจะกำจัดกิเลสให้หมดอย่างไร
พ่อครูว่า กำปั้นทุบดินเลย คนเรายังมีกิเลสเพราะว่าคนเรายังไม่ถึงอรหันต์ตอบตามพยัญชนะเลย พระพุทธเจ้าท่านเรียนรู้ว่ากิเลสคนเป็นเช่นนี้ มันเกิดมามันก็ยังไม่รู้ มีอวิชชา พาเกิด ก็มีกิเลส ก็ต้องมาเรียนรู้ให้มีวิชชาให้ลดกิเลสจนสามารถลดกิเลสให้หมด ถามว่าจะทำอย่างไรก็ต้องเรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้า ศาสนาอื่นไม่สามารถลดกิเลสจนหมดได้ ศาสนาอื่นทำไม่ได้เหมือนศาสนาพุทธ
หลวงปู่นี่เป็นคนหมดกิเลสแล้ว ที่พูดนี้ยืนยันไม่ได้อวดอ้างอะไร พูดด้วยสัจจะด้วยความจริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีกิเลสอยากอวดตัวเอง พูดความจริงให้ฟัง ยืนยันให้รู้ว่าคนหมดกิเลสเป็นคนอย่างนี้ ให้รู้เสียบ้าง คนข้างนอกเขาไม่สามารถกล้ารับรองว่าตัวเองหมดกิเลสหรอก ไม่กล้า เดี๋ยวถ้ากิเลสมันเข้ามาเมื่อไหร่คนจับได้ก็จะซวย เขาไม่กล้าหรอก
_ถ้าอยากเป็นสมณะชาวอโศกจะต้องปฏิบัติอย่างไร
พ่อครูว่า..เรียนรู้ตามธรรมะพุทธเจ้ามาเรื่อยๆ ถ้าเผื่อว่าปฏิบัติดีจนกระทั่งถึงเวลาวาระเข้ามาแล้วก็จะได้แน่นอน
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน ความทุกข์กับความสุขมันต่างกันอย่างไร
_ความทุกข์กับความสุขมันต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...เข้าใจให้ได้ว่าจิตใจเราเป็นสุขเป็นอย่างไรความทุกข์เป็นอย่างไร หัดอ่านอารมณ์อาการ อย่างนี้มันไม่ใช่สุข ก็คงเป็นทุกข์ อาการอย่างนี้ไม่ใช่ทุกข์มันก็คงเป็นสุข แต่ความสุขความทุกข์นี้เป็นความโง่ ความสุขก็คือโง่ความทุกข์ก็คือโง่ ความสุขนี่แหละคือความโง่ที่ลึกซ้อนมันหลอกให้ติด ถ้าความทุกข์นี่มันยังดี เพราะฉะนั้นจงอย่าไปกลัวความทุกข์จงอย่าไปกลัวสิ่งที่ทำให้เราลำบากใจ นั่นแหละตัวดีเลยเรียนรู้แล้วทำใจให้เข้าใจวางใจได้ เพราะเราไปมีอุปาทานยึดติด เรียนรู้ให้รู้จักอุปาทาน 4 ถึงจะเป็นคนเจริญคนที่ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วไม่มีความทุกข์ความสุขเพราะความทุกข์ความสุขเป็นของคนโง่พระอรหันต์เลิกโง่แล้วก็จบ ไม่มีอวิชชา คนอวิชชาก็ยังติดในความสุขความทุกข์อยู่ ฟังดีๆนะฟังธรรมะที่หลวงปู่พูดนี้ไม่ได้ฟังง่ายๆ ไม่มีใครจะมาสอนเรื่องพวกนี้หรอก พูดอย่างชัดเจนที่จะแยกดำแยกขาวชัดเจน
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ทำไมพ่อครูก่อตั้งอโศก
_ทำไมถึงได้ก่อสร้างได้มาเป็นวัดและเป็นโรงเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศกและชาวชุมชนอโศกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...หลวงปู่เองเป็นตัวตั้งต้นก่อสร้าง ให้เป็นวัด ให้เป็นชุมชน เป็นโรงเรียนสัมมาสิกขา ศีรษะอโศก ทำไมถึงได้ก่อสร้าง เพราะหลวงปู่เป็นโพธิสัตว์ จะต้องมาทำเรื่องนี้ไม่ทำอันนี้ก็ไม่ใช่ เคยได้ยินไหม?
โพธิสัตว์จะสร้างวัตถุอย่างเช่น นครวัดอย่างเช่นปราสาทต่างๆ แม้แต่อยู่ในอินโดนีเซียคือบุโรพุทโธ นั่นคือพระโพธิสัตว์สร้างทั้งนั้น อันนั้นสร้างเหมือนกันแต่สร้างอย่างนั้นมันไม่ใช่โพธิสัตว์ที่เจริญสูงสุด พระโพธิสัตว์จริงๆ จะมาสร้างคนให้ได้รับโลกุตรธรรม แล้วก็บรรลุธรรมกันจริงๆนั่นคือโพธิสัตว์สายตรงของศาสนาพระพุทธเจ้า ส่วนสายที่ไปแวะวัตถุใหญ่โตนั้นเป็นสายหลงทาง จะยาวนาน มองในแง่โลกๆจะดูยิ่งใหญ่ยกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แท้จริงคนที่ไปสร้างจะจมอยู่ในวัฏสงสารอีกยาวนาน นี่คือนัยยะลึกสำคัญ
พระโพธิสัตว์อย่างอาตมาสร้างวัตถุภูเขาน้ำตกนกร้อง ตั้งแต่อาตมาสร้างชุมชนนี้สร้างภูเขาสร้างน้ำตกสร้างลำธารทั้งนั้น ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรก เมื่อวางผัง ถมดินเสร็จทำลำธารทำภูเขาทำน้ำตกนกร้อง อย่างนั้นเลย ทั้งนั้นเลย พวกเรามีชุมชนที่ไหนก็เข้าใจแล้วหลวงปู่ติดชิปให้แล้ว
สรุปแล้วต้องสร้างสิ่งที่มันเสื่อมไปแล้ว ธรรมชาติมันเสื่อมไปแล้ว เราก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ให้มันมีธรรมชาติบรรยากาศและคนที่อยู่ในสังคม ในมนุษยชาติอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี ยิ่งโรงเรียนสัมมาสิกขายิ่งจะเป็นสถานที่ฝึกฝนเยาวชนขึ้นไป มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงวิทยาลัย จะขอเป็นมหาวิทยาลัยเขาก็ยังไม่ให้
_ทำไมพ่อทานจึงได้มากินมังสวิรัติ
ตอบ ก็คนกินมังสวิรัติคือคนประเสริฐ หลวงปู่รู้ว่ากินมังสวิรัติเป็นคนประเสริฐ ก็เลยมีคนกินตามมา
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมมีจริงหรือไม่
_กรรมมีจริงหรือไม่
พ่อครูว่า...ฟังดีๆ ลมหายใจเข้าหายใจออกก็คือกรรม กรรมแปลว่าการกระทำ กายกรรม วจีกรรมพูดออกไปก็เป็นกรรม การกระทำในการคิดอย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นกรรม แล้วมันมีจริงไหม ก็เราคิดใหม่เราพูดใหม่ เราทำกายกรรมใหม่ ถามว่าทำไมคนต้องทำกรรม ไม่ทำกรรมก็ตายสิ เพราะเรายังไม่ตายก็ต้องมีกรรมการกระทำ กรรมเหล่านี้ถ้าเป็นกรรมดีกรรมชั่วก็เป็นวิบาก ศาสนาพุทธจึงเรียนเรื่องกรรมและต้องแก้กรรมให้ดี จนได้สูงสุดทำกรรมที่ไม่มีดีไม่มีชั่วทำกรรมไม่มีวิบากเลย มีวิบากแต่กรรมดีกุศล กรรมชั่วไม่ทำเลย นั่นคือคนเจริญสูงสุด
_สะพานบุญ...ไม่ทราบว่าจะได้เป็นบรรพชนกับเขาได้ไหม ปัจจุบันผมอายุ 83 ปี สมัยที่พ่อครูอยู่ที่วัดอโศการามกระผมกับพรรคพวกที่ทำงานรถไฟ ได้นิมนต์พ่อครูไปเทศน์ ปัจจุบันผมตั้งใจจะมาอยู่วัดมากกว่าอยู่บ้าน ปีหน้าตั้งใจจะทุ่มสุดตัวครับ พยายามอยู่ ไม่ทราบว่าเป็นบรรพชนระดับไหน
พ่อครูว่า..เป็น บรรพชนระดับอายุ 83 แล้ว
_ทำอย่างไรจะอยู่ในสัมมาสิกขาได้ดี
พ่อครูว่า...ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าที่นี่เป็นแดนคนดี เป็นสถานที่ที่เราต้องมาอยู่ ต้องมองให้ออกเข้าใจให้ได้แล้วเราจะอยู่ที่นี่ได้ แม้คนจะว่าจะดู เราต้องมองเห็นความดีในการอยู่
_ผมว่าธรรมะนี้มันเข้าถึงได้ยากครับ แต่ผม ก็พยายามทำ ให้ตัวเองเข้าใจ แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ก็ดังคำที่ว่า เมื่อคนมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ หลวงปู่มีวิธีทำให้ผมเข้าใจไหมครับ
พ่อครูว่า..ที่ตั้งใจไว้ก็ดีแล้ว ที่มันเข้าใจยากเพราะว่าธรรมะที่นี่เป็นธรรมะขั้นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง ส่วนธรรมะอื่นๆนั้นพูดแล้วก็เข้าใจได้ง่าย อย่างนั้นคนอื่นเขาพูดกันเยอะแล้วหลวงปู่ก็ไม่ได้นำมาใช้ ในหมู่กลุ่มชาวอโศกเป็นหมู่กลุ่มที่เป็นธรรมะชั้นประเสริฐเป็นธรรมะชั้นสูง ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจได้ยากก็ให้พยายามเถอะได้นิดได้หน่อยก็เป็นสิ่งที่ยอด มันยิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าทอง พยายามตั้งใจเอาให้ได้
_ทำไมคนเราทำดีมาเป็นร้อยครั้งแต่เมื่อเขาทำผิดครั้งหนึ่งทำไมต้องถูกประนามขนาดนั้น หนูไม่เข้าใจเพราะว่าหนูคิดว่าคงไม่มีใครไม่เคยทำผิด
พ่อครูว่า...ทำผิด 1 ครั้งในความชั่วร้ายแรงก็ลบความดีเป็นร้อยครั้งทั้งหมด ก็ระวังให้ดีคนเขาพูดก็ดีแล้วก็จะได้ระมัดระวัง ชั่วครั้งเดียวมันก็ไม่ดีเลย อย่าให้มันเกิด แต่มันเกิดแล้วก็เป็นคนจริงอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นอย่าให้เกิด ทำความดีไปมันไม่เสียหรอก เราไม่ให้เกิดความชั่ว
เหมือนกับที่เขาว่า มีเพื่อนชั่วคนเดียวก็มากแล้ว มีเพื่อนดีร้อยคนก็ยังน้อยไป มันมากแล้ว ครั้งเดียวก็มากแล้วทำชั่ว ทำดีร้อยครั้งก็ยังน้อยไป
เพราะฉะนั้นอย่าไปแก้ตัวว่าทำไมต้องมาว่า ว่าทำไม่ดี เขาว่าก็ดีแล้วจะได้แก้ไขจะได้ไม่ต้องทำไม่ดี ถ้าทำดีแล้วก็ทำไปสิ ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่เสียหาย จะทำชั่วนั้นมันก็ติดตัวเราเสียถึงตัวเรา จะไปทำทำไมไม่ทำซะเลยให้ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะเตือนไม่ให้ทำชั่ว ทำดีไม่มีความเสียหาย ทำไปสิทำดี
สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน ทำไมผู้ใหญ่ในวัดชอบนินทา
_ทำไมผู้ใหญ่ในวัดชอบนินทากันชอบพูดประชดเด็ก ชอบแบ่งแยกทะเลาะกันเอง ไหนบอกว่าถือศีล มาลดทิฏฐิไม่ใช่หรือคะ ไม่เห็นทำได้เลยค่ะ
พ่อครูว่า..เราก็มองตามประสาเราให้มองตัวเองดีกว่าอย่าไปมองผู้ใหญ่อย่างนั้นเลย ผู้ใหญ่เขาไม่รู้ความดีความชั่วเขาทำไม่ดีไม่งามอะไรก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ปล่อยเขาเถอะผู้ใหญ่เขาโตแล้วจะโง่ทำก็แล้วแต่ เราเอาตัวเราทำดีก็แล้วกัน เราตัวเราให้ดีก็แล้วกันอย่าไปมองความชั่วความดีไม่ดีของคนอื่น มองความดีนั้นดี มองความชั่วนั้นต้องมองให้ดี ผู้ใหญ่เขายังทำชั่วนะ เราเห็นแล้วเราก็ไม่ทำชั่วอย่างนั้น เอาเป็นประโยชน์อย่าไปมองเพ่งว่าประโยชน์ทำชั่ว เราสอนผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ก็ปล่อยให้เชื่อไปเลย ให้โง่เง่าไปอีกนานเท่านานเลยผู้ใหญ่ที่ชั่วชั่วอย่างนั้นโง่ไปเลย
_ทำไมคนเราต้องถือศีล
พ่อครูว่า เพราะถือศีลทำให้คนเป็นคนประเสริฐ ถือศีลแม้แต่ข้อเดียวจะเป็นคนตกต่ำชาตินี้ชาติหน้าก็จะตกต่ำ ศีลข้อ 1 ข้อ 2 ก็ทำไม่ได้ก็จะตกต่ำ ทำไมต้องถือศีลเพราะว่าจะได้สูงขึ้น ทำไมชาวอโศกไม่กินเนื้อสัตว์เพราะว่าชาวอโศกฉลาด คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์เป็นคนประเสริฐมีปัญญาคนที่กินเนื้อสัตว์อยู่ยังเป็นคนโง่
_ทำไมสมณะร้องเพลงไม่ได้เพราะอะไร
พ่อครูว่า...เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าและเป็นเรื่องที่ทำให้กิเลสเข้ามันไม่ดี
_ทำไมเด็กสมาธิขาต้องมีวินัยคะ
พ่อครูว่า... คนไม่มีวินัยก็คือคนชั่ว
_ทำไมถึงทำผิดศีลในวัดไม่ได้
พ่อครูว่า...เพราะว่าที่นี่จะทำให้คนเป็นคนดีที่นี่จะทำให้คนดีจึงต้องทำอย่างนั้น
_ทำไมสมณะเทศน์นานจังเพราะอะไร
พ่อครูว่า...ก็เพราะว่าเราโง่ไม่เสร็จ ก็เลยต้องเทศน์นาน ถ้าโง่เสร็จแล้วก็ไม่ต้องเทศน์นาน
_ทำไมสมณะทำผิดศีลไม่ได้
พ่อครูว่า...ถ้าหากเป็นคนไม่ดีก็ทำผิดศีลได้ ไม่ใช่แม้แต่สมณะ ใครก็ตามถ้าผิดศีลแล้วก็ไม่ดีทั้งนั้น
_ทำไมสมณะถึงเป็นผู้น่านับถือของคนในชุมชน
พ่อครูว่า...เพราะว่าสมณะเป็นผู้ปฏิบัติดีเป็นคนมีศีลจึงน่าเคารพบูชาเอาอย่าง
_ทำไมพ่อครูจึงมาบวชเป็นสมณะคะ
พ่อครูว่า...การมาบวชคือการทำตามพุทธเจ้ามาเป็นคนดีคนประเสริฐก็ต้องมาบวช
_ทำไมวันเข้าพรรษาจะต้องตั้งตบะด้วย
พ่อครูว่า...มันเป็นวิธีการที่ดี เราตั้งแต่วันนั้นเป็นเรื่องที่ดี หากคนบอกว่าเข้าพรรษาแล้วจะกินเหล้าหัวราน้ำ อย่างนี้ไม่เรียกว่าตบะ มันแตกตั้งแต่ไม่ตั้งตบะแล้ว การตั้งตบะคือตั้งข้อประพฤติให้แก่ตัวเอง
_สวรรค์กับนรกนั้นแตกต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า สวรรค์กับนรกคือความไม่ดีแล้วก็ไปทำ นรกเป็นความไม่ดีไม่งามเป็นกรรมที่จะฝังไว้ในอัตภาพที่ชั่ว สวรรค์ก็เป็นความติดยึด ชั่วเหมือนกัน ศาสนาพุทธจึงสอนให้ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ให้ได้ วัดไหนก็ไม่สอนอย่างนี้ วัดอื่นๆเขาจะสอนให้มีแต่สวรรค์ สวรรค์คือคู่กับนรก มีสวรรค์ก็มีนรก มีนรกก็มีสวรรค์ ไม่มีจบ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าสวรรค์คืออารมณ์ของจิต อารมณ์อย่างนี้ไม่ดีต้องทำให้อารมณ์เป็นกลางอุเบกขา ไม่มีความชอบไม่มีความชังไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกเป็นกลางๆ สร้างอารมณ์ต่างๆ กลางๆ ได้นี้เป็นอรหันต์ สร้างได้ชั่วคราวเป็นอรหันต์ชั่วคราว ทำได้ 1 ครั้งก็เป็นอรหันต์ 1 ครั้ง
_ทำไมถึงต้องมีชุมชนชาวอโศกด้วย
พ่อครูว่า...ว่าเป็นชุมชนที่ดี ประเทศไทยมีชุมชนชาวอโศกจึงเป็นประเทศที่ดีมีคนดีอยู่ในประเทศโลกที่มีชุมชนอย่างชาวอโศกนอกนั้นก็มีสิ่งที่ดีอยู่ในโลก
_ในโลกนี้มีผี หรือวิญญาณไหมคะ
พ่อครูว่า...จิตวิญญาณนั่นแหละคือผี วิญญาณอยู่ในตัวเราวิญญาณคือจิต จิตใจนี่แหละคือวิญญาณ วิญญาณหรือจิตใจที่ชั่วที่ทำชั่วก็คือผี คิดชั่วก็คือผี ศัพท์ชัดๆคือ วิญญาณที่มีผีจิตที่มีกิเลสก็คือผี ถ้าเป็นอรหันต์แล้วจะไม่มีผีในตัว เป็นอนาคามีก็จะเหลือผีน้อย เป็นโสดาบันก็มีผีมากกว่าสกิทาคามี เป็นปุถุชนมีผีอยู่เต็มตัว
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ทำไมคนเราเกิดมาหน้าไม่เหมือนกัน
_ทำไมคนเราเกิดมาหน้าไม่เหมือนกัน
พ่อครูว่า ปรมาณูที่เกิดขึ้นมาทุกคู่ไม่เหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นธรรมะ 2 ที่จะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนหน้าตาไม่เหมือนกันก็เพราะว่าสร้างด้วยปรมาณูตั้งเท่าไหร่ แล้วมันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร ขนาดปรมาณูยังไม่เหมือนกันเลย กรรมมีจริงหรือไม่ คนตายคือคนไม่มีกรรมไม่กระดุกกระดิก คิดไม่ได้พูดไม่ได้ทำไม่ได้ แต่เรายังไม่ตายเราก็มีกรรมเราต้องทำกรรมดีกรรมมโนกรรม เรียนรู้กรรมที่ดีแล้วทำกรรมแต่ดี ไม่ทำกรรมชั่ว
เรียนรู้ทำกรรมจนไม่มีบาปไม่มีบุญไม่มีสุขไม่มีทุกข์ก็คือพระอรหันต์ เพราะว่าบุญคือกรรมที่จะต้องชำระกิเลส กิเลสคือบาปคืออกุศล กิเลสหมดแล้วบุญก็ไม่ต้องไปทำอีก ไม่ต้องมีพลังงานเป็นบุญที่จะต้องไปชำระกิเลสอีก พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญไม่มีบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ฟังดีๆ ไม่มีใครสอนเหมือนหลวงปู่หรอก ฟังให้ชัดสั้นๆง่ายๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน หลวงปู่ได้พระธาตุมาอย่างไร
_อยากถามว่า พระธาตุหลวงปู่ได้มาอย่างไร
พ่อครูว่า...เรื่องพระธาตุเป็นเรื่องสมมติอย่างหนึ่งให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า หลวงปู่นี้มีคนเอามาให้ เกิดมามีเองเขาเอามาให้ทั้งนั้น เราเอาพระธาตุมาบรรจุก็จะมีคนเอาพระธาตุมาให้ ทุกวันนี้มีพระธาตุเยอะ เขาบอกว่าพระธาตุมันงอกเองก็ไม่มีปัญหา จะงอกเองก็งอกไปหลวงปู่ไม่เคยไปนับดูมีอยู่ในตู้มันก็อยู่อย่างนั้นไม่เคยดูสักที พระธาตุคือสิ่งแทนพระพุทธเจ้าให้รู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ในโลก
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าตั้งไว้อยู่อย่างนั้น แต่ถ้าพระธาตุนี้ก็อาจจะเป็นจริงที่เป็นของพุทธเจ้าเลยก็ได้ เป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้าเป็นพระอัฐิเป็นพระกระดูกพระพุทธเจ้า ก็เป็นชิ้นส่วนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธรูปนี้ไม่ใช่ชิ้นส่วนพุทธเจ้าเลยก็ยังกราบเคารพบูชาได้ แต่อันนี้พระธาตุสมมติว่าเป็นของพุทธเจ้า มันอาจจะมีส่วนในล้านส่วนที่เป็นไปได้น่าเชื่อว่าเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นของพระพุทธเจ้าจริงบางส่วนก็ยังดี หากเอาพระพุทธรูปไปแทนสมมติได้ นี่ก็สมมุติเป็นของพุทธเจ้าได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็บอกว่าจะมีจริงหรือไม่มีจริง พระธาตุนี้มันเหมือนหิน เอาไปใส่ในน้ำถ้ามันจมก็ไม่ใช่พระธาตุ ถ้ามันลอยก็ถือว่านี้เป็นพระธาตุ เป็นต้น
_ความสุขเป็นการเมาๆอย่างนั้นใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...คนที่ฉลาดถามเข้าท่า คำถามนี้ไม่ใช่คนธรรมดานะที่ถาม ความสุขเป็นของมอมเมา เรียนรู้ให้ดีมีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นสอนในโลก ต้องอ่านอาการสุขของจิตที่เป็นเวทนา ผู้ที่อ่านอาการจิตออกเป็นสุขเวทนา คนที่รู้จักอาการสุขของจิต ได้ อ่านทุกข์ได้แยกออกต่างกัน แล้วเราก็หาเหตุแห่งสุข มันก็เหมือนกับการหาเหตุของทุกข์ เพราะความสุขเป็นความหลอกสุขขัลลิกะ ความสุขเป็นเรื่องโกหก ความสุขนั้นเป็นเรื่องของแท้ เป็นอริยสัจ พระพุทธเจ้าถึงให้หาเหตุของทุกข์เท่านั้นแหละ เมื่อดับแล้วสุขทุกข์ก็ไม่มี นี่คือสุดยอดของผู้ที่ตรัสรู้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สุดยอด เรียนรู้ตามจะเจริญ
_คำว่า อโศก แปลว่าอะไรครับ
พ่อครูว่า...อโศก แปลว่าไม่โศกไม่เศร้าก็ยังมีความเศร้าอยู่ ก็ยังไม่ใช่อโศก คนอโศกนั้นมีความเศร้าน้อย ไม่เหมือนสังคมอื่นเขาที่มีแต่ความโศกเศร้า ร้องห่มร้องไห้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ของชาวอโศกจะมีคนร้องไห้บ้าง ที่ร้องไห้เพราะว่า ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่ร้องไห้เพราะว่าเราไปติดยึด แต่ร้องไห้เพราะทนไม่ได้ต่อการปฏิบัติธรรมที่ถูกขัดเกลา ชาวอโศกนี่ร้องไห้ เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ร้องไห้เพราะถูกขัดเกลาไม่ใช่ว่าร้องไห้เพราะไม่ได้ลาภยศอะไร เหมือนกับเด็กที่ร้องไห้งอแงเพราะอยากได้ของอย่างนั้นอย่างนี้เยอะ แต่ว่าเด็กชาวอโศกที่มีอย่างนั้นแหละน้อย
_ถามว่าตายแล้วไปไหน
พ่อครูว่า...ตายแล้วก็ไปตามวิบาก จะไปสวรรค์นะน้อย แต่จะไปนรกนั้นมีส่วนมาก
_ทำไมหลวงปู่ต้องไปอยู่ที่บ้านราชด้วยครับ ไม่เห็นไปอยู่พุทธสถานอื่นบ้างครับ
พ่อครูว่า...พุทธสถานมีหลายพุทธสถาน ก็ต้องมีที่อยู่เป็นหลักฐานบ้าง จะอยู่ประจำที่ไหนที่คิดว่าตรงนั้นควรจะอยู่เป็นประโยชน์จะทำอะไรได้มากหน่อย ก็อยู่ที่นั่น แต่ก่อนก็อยู่ที่ปฐมอโศกนาน ต่อมาก็อยู่ที่สันติอโศกนาน ต่อมาก็อยู่บ้านราชนาน ส่วนพุทธสถานอื่นๆแม้ไม่ได้ไปอยู่นานก็แวะเวียนไปที่เหมาะควร ก็มีร่างเดียวจะไปอยู่ทุกที่หมดก็ไม่ได้ ขนาดนั้นแต่ละที่เขาก็สร้างที่ให้อยู่ ก็ดีแล้วไปนานๆทีไม่ต้องรบกวนมาก ทำตามเหมาะควร
_ทำไมมนุษย์ต้องเกิดมา แล้วทำไมต้องเกิดมาทำอะไรคะ
พ่อครูว่า...เพราะว่ามนุษย์ยังทำตัวเองไม่ให้ไม่เกิดไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธนี่แหละทำให้ตัวเองไม่เกิดได้ ต้องเรียนรู้จิตวิญญาณแล้วเรียนรู้ความเกิดความตาย จิตอย่างนี้ทำให้เกิดคิดอย่างนี้ทำให้ตาย เป็นพระอรหันต์แล้วสามารถทำให้จิตไม่ต้องเกิดอีกตายด้วยจิตที่ไม่ต้องเกิดอีกได้ นี่คือคำตอบว่าทำไมต้องเกิดต้องตาย เพราะมันยังเรียนรู้ไม่ได้ ยังมีอวิชชาพุทธเจ้านั้นค้นพบและมีคำตอบว่าไม่ต้องเกิดต้องตายได้ มีแต่ในศาสนาพุทธศาสนาอื่นไม่มีหรอก
_บรรพชนกับบรรพบุรุษแตกต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...แตกต่างกันอยู่ที่ว่า บรรพบุรุษ หมายถึงคนที่เป็นผู้ชาย บรรพชนหมายถึงคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย บรรพแปลว่าเก่าแก่
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ความยุติธรรมคืออะไร
_คนดีคือคนแบบไหนและความยุติธรรมคืออะไร
พ่อครูว่า...ความยุติธรรมคือหยุดจบระงับไม่มีอะไรต่อไม่ทะเลาะกันไม่มีเรื่องราวอะไรที่จะไปต่อ หรือหมายความว่าต้องให้ความดีเป็นเรื่องชนะ และมีการยุติหรือหยุดเป็นสิ่งที่ควรทำ ยุติธรรมในความหมายหนึ่งก็คือ ทำให้รู้ว่านี่ความดีคือความชนะความชั่วคือความแพ้ หยุดให้ได้ ยอมรับดี ยอมรับแล้วก็หยุด เป็นความยุติธรรมต้องให้ดีที่ถูกต้อง ชั่วนั้นหยุด ต้องมีการพิพากษา มีความยุติให้ได้ด้วยการชัดเจน การระงับเรื่องราวมี 7 อย่างในเรื่องของพระพุทธเจ้า มีข้อสุดท้ายที่ระงับไม่ได้คือติณณวัตถารกวินัย คือซุกไว้ใต้หญ้า คือไม่พิพากษาแล้วซุกไว้ก่อน
_ทำไมทุกคนย่อมเกิดมาไม่เหมือนกัน
พ่อครูว่า...บอกแล้วว่าปรมาณู 2 หน่วยไม่เท่ากันหรอก สิ่งที่มีคือสิ่งที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่มีนั้นศูนย์เหมือนกันคือนิพพานคือศูนย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว จะเหมือนกัน นอกจากศูนย์แล้วไม่มีอะไรเหมือนกันเลยทั้งดีและชั่ว
_โลกคืออะไร
พ่อครูว่า...โลกคือความหมุนเวียน เป็นวัตถุก็ตามที่หมุนเวียน หมุนเวียนของกรรม ความเกิดวนเวียนสุขทุกข์กับโลก การเกิดวนเวียนสุขทุกข์ก็คือโลก เกิดแล้วตายเกิดแล้วตายก็คือโลก
_ทำไมคนเราเกิดมาสวยหรือขี้เหร่เกิดเกี่ยวบาปกับบุญหรือไม่
พ่อครูว่า...เกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับบาป ที่จริง บุญกับบาปไม่ชัด ต้องกุศลอกุศล จึงเกี่ยวกับความสวยหรือไม่สวยหล่อกับไม่หล่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ทำบุญไถ่บาปมีหรือไม่
_อยากจะถามว่า...มีคนในศาสนาพุทธเกิดเป็นมนุษย์ไม่เคยทำบุญเลย เมื่อเสียชีวิตไปไม่ทราบว่าเขาจะตกนรกหรือว่าลูกหลานเขาที่ทำบุญจะไถ่บาปให้เขาได้ไหม
พ่อครูว่า...ถามอย่างนี้ก็ถามอย่างเทวนิยมไม่ใช่พุทธศาสนา
บุญคือการชำระกิเลส คนที่ทำบุญ คือทำพลังงานจิต ให้มันชำระราคะ โทสะ โมหะ ให้มันกำจัดกิเลสราคะกิเลสโทสะกิเลสโมหะได้ นั่นคือคำว่าบุญ แต่ที่พูดว่าคนไม่เคยทำบุญนี้ มันจะหยาบไป มันต้องละเอียดกว่านั้น คนทำบุญได้ก็อย่างชาวอโศก
ทำบุญคือพัฒนาทำให้จิตเราลดกิเลสได้ คนทำทานคือเอาของให้คนอื่นเรียกว่าทำทาน
คนที่ทำทานแล้วไม่ได้บุญ คือทำจิตให้มีสวรรค์ อยากได้กุศล คือจิตที่มีกิเลสเพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ศาสนาพุทธนั้นสอนผิด สอนทำทานแล้วมีแต่ให้ทำแล้วอยากได้อะไรเพิ่มขึ้นเป็นสวรรค์วิมานอะไรเป็น สาเปกโข มันไม่ถูกต้องตามศาสนาพุทธเลย เพราะฉะนั้น
ตอบที่ว่าทำบุญแล้วจะได้ให้ไปถึงญาติไหม ไม่ได้ บาปบุญก็เป็นของตัวของตน กุศลอกุศลก็เป็นของๆเรา ใครทำให้เราไม่ได้เรื่องกรรมของเราคนเดียว กัมมัสโกมหิ กัมมโยนิ กัมมทายาโท กัมมาพันธุ กัมมปฏิสรโณ เดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้กันอย่างนี้แล้วศาสนาพุทธ ขออภัยเถอะฟังศาสนาพุทธต้องมาฟังที่บุญนิยมหรือชาวอโศก นอกนั้นสอนกันอย่างเละเทะ น่าสงสารศาสนามากเลย ให้มาบ่อยๆฟังให้ดี แล้วจะได้ความรู้ตามที่พูดให้ฟังนี้
ยกตัวอย่าง เช่นเราติดทุเรียนเราได้กินทุเรียนก็มีความสุข อยากกินทุเรียนแต่ไม่ได้กินทุเรียนก็มีความสุข เราก็ศึกษาอาการเวทนาการสุขอาการทุกข์ แล้วก็เราสร้างที่ว่าติดทุเรียนมันติดที่ไหนติดที่ว่ามันมีหนามหรือเนื้อมันหวานมันๆมันหอม ติดในอะไรมัน ในรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ติดที่เขาพูดตามคำหลอกลวง ใครได้กินทุเรียนนี้จะเป็นผลไม้ราคาแพงผลไม้ชั้นสูงนะ กินแล้วจะเท่กินแล้วจะดี (สู่แดนธรรมว่า ทุเรียนภูเขาไฟ ) ก็หลอกกันทั้งนั้นต้องมาเรียนรู้ความหลอกก็รู้ความหลอกแล้ว จะกินก็ได้ไม่กินก็ได้ จิตใจมันก็ไม่ติดยึดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ติดยึดในคำยกย่องชมเชยโฆษณาชวนเชื่อ ทุเรียนภูเขาไฟอย่างนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะไปยากอะไร มันก็อย่างนี้แหละ รสก็อย่างนี้ กินก็อย่างนี้ รูปก็อย่างนี้ มันก็มีธาตุอะไรที่ควรกินก็กิน เอาอะไรกินแทนได้ก็กินแทนไป คนที่เข้าใจอย่างนี้ได้ก็คือคนที่หลุดพ้นจากผู้เรียน หลุดพ้นโศกพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของทุเรียน ความหลุดพ้นนี้มันง่ายๆไม่ได้ยากอะไรเรียนรู้ให้ดี ให้เข้าเป้าเข้าหลักคุณจะลดได้จริง แต่ถ้าไปฟังอย่างที่ไม่ได้อธิบายอย่างอาตมามันจะซับซ้อนที่เขายึดติดกัน
_การรักษาสุขภาพด้วยการกิน แล้วต้องกินอะไรถึงจะดีที่สุด
พ่อครูว่า...กินตามที่ชาวอโศกเราพากิน อย่างที่ข้างนอกพาไปกินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเยอะเพราะฉะนั้นอย่าไปแสวงหาการกินข้างนอก แสวงหาอย่างที่ชาวอโศกพาทำอย่างนี้ดีที่สุด
_ทำไมชีวิตคนเราต้องมีกิเลสด้วยครับ
พ่อครูว่า...เพราะโง่ หากเรียนรู้กิเลสล้างกิเลสหมดก็ไม่โง่
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกด้วย
_ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกด้วยครับ
พ่อครูว่า...เกิดมาเป็นคนเป็นชีวะ เป็นจิตนิยาม เป็นธาตุรู้ที่มีจิตวิญญาณมีความรู้สึกเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ก็มีลักษณะหน้าที่ 1 สังขารขันธ์ก็มีหน้าที่ 1 วิญญาณขันธ์ก็มีอีกหน้าที่หนึ่ง เวทนาขันธ์คือความสุขความทุกข์ ทำไมจะต้องมีเพราะว่าเป็นจิตนิยามที่จะต้องมีความรู้สึก
พืช เป็นพีชนิยาม มันไม่มีความรู้สึกไม่มีธาตุขันธ์ถึงขั้นเวทนา ไม่ถึงขั้นมีวิญญาณหรือมีเวทนา ศาสนาพุทธนั้นแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ชัดเจนมากถามว่าทำไมต้องมีเวทนาเพราะว่าเราได้ก่อตัวจนกระทั่งเป็นจิตนิยามแล้ว เมื่อมันเป็นจิตนิยามแล้วตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนถึงเป็นคนมีหลายล้านเซลล์ เพราะโง่หนักมากเลยติดยึดเยอะ พยาบาท เยอะ ต้องมาเรียนรู้สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ให้รู้จักจิตวิญญาณเป็นความรู้สึกแล้วสะสมที่กรรม
โง่ วิ่งไปสะสมที่ตกนรกสวรรค์ติดยึดอีกนาน พระพุทธเจ้าจึงให้มาทำออก จนกระทั่งกลายเป็นคนเหมือนพืช ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีวิบากดีหรือชั่วอีกแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นพีชะ แต่มีพลังงานในตัวที่มีปัญญาจึงสามารถนำพลังงานแคลอรี่ที่เหลือนี้มาทำประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกอื่นๆได้ ส่วนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องเกิดเรื่องตายไม่ต้องไปกังวล เพราะว่าเป็นอรหันต์แล้วจะตายอย่างศูนย์ก็ได้จะเกิดอีกเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่โลกอีกก็ได้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรียนรู้ถึงพลังงานตั้งแต่อุตุนิยามที่ใช้นิยามจิตนิยาม แล้วก็ควบคุมกรรมได้ ทรงไว้เรียกว่าธรรมะอย่างดี
เป็นพระโพธิสัตว์นั้นทรงไว้ในธรรมะอย่างดี โพธิสัตว์คือผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้าแล้วละกิเลสได้ ผู้ที่ละกิเลสได้แล้วยังมีชีวิตเรียนรู้อยู่ต่อทำประโยชน์ นี่คือโพธิสัตว์ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
_ผีมีกี่ตัว มีตัวอะไรบ้าง
ผีมีสามตัวใหญ่ ราคะ โทสะ โมหะ
_ถ้าจะเลิกกิเลสต้องทำอย่างไร
พ่อครูว่า...ก็ฆ่าผีให้หมด กิเลสคือผีก็ล้าง กิเลส ราคะ โทสะ โมหะให้หมด
_หลวงปู่ครับ เขาจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ครับ
พ่อครูว่า...เขากำหนดวันแล้วเราอย่าไปเสือกกับเขาทำไม
สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส) ตอน ผีไม่มีจริง
_ผีไม่มีจริง ไหนว่าผีไม่มีจริง แล้วทำไมบางคนบอกว่าเห็นผี
พ่อครูว่า...ผีหมายความว่าความหลอกจึงเรียกว่าผีหลอก ผีไม่มีจริงเพราะ ถ้ามันหยาบถึงขั้นหลอกว่ามันมีตัวมีตนมีรูปมีร่าง ใครที่ตาไปพบผี คือพวกที่หลอก เป็นมโนมยอัตตา เป็นอุปาทานของตนเอง ใครที่เห็นตามอุปาทานตัวเองเรียกว่าผีหลอก คือจิตหลอน ทางการแพทย์ก็รู้ บางคนมีคนตายในบ้านก็ได้กลิ่นธูป คือหลอกทั้งนั้น ก็ศึกษาให้ดีจะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ถ้าศึกษาไม่ชัดเจนไม่สัมมาทิฏฐิก็จะหลงงมงายอยู่อย่างนี้ตลอด ศาสนาพุทธเจ้าสอนให้คนชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ นี่คือจิตวิญญาณชั่วในตัวของคน อุปาทานเอง
การล้างอุปาทานนี้ยาก ตั้งแต่เป็นฆราวาสอาตมาก็ศึกษาเรื่องของการสะกดจิต สะกดจิตแล้วสั่งให้บอกว่าบนโต๊ะนี้ไม่มีอะไรทั้งที่มีอะไร เขาก็จะไม่เห็นอะไรจริงๆ บางทีก็สั่งว่าบนต้นนี้มีถ้วยให้หยิบถ้วยมาซิ ทั้งที่มันไม่มีถ้วยจริงเขาก็จะควานหาถ้วยจริงๆ เพราะเขาจะเห็นว่ามันมีตามอุปาทานของเขา อุปาทานที่จะให้ตาเห็นหรือไม่เห็นก็ได้
พิสูจน์ถึงขั้นเช่น จะเอาเหล็กแดงที่ร้อนเป็นไฟทาบที่แขนนะ เราก็เอาไม้บรรทัดธรรมดาไปทาบ เขาก็จะเกิดความรู้สึกร้อนเอามือสะบัดเลยมีแผลพุพองจริงๆด้วย นี่พิสูจน์ชัด แล้วผีที่หลอกตัวเองมันก็ยิ่งง่าย มันเป็นไปได้ทั้งนั้นอุปาทาน หนังเหนียวอะไรต่างๆนานาพวกนี้ได้
อย่างอาตมานี้เล่นไสยศาสตร์อาตมาหนังเหนียวได้ ลองกันใช้มีดโกนยิลเลตต์กรีดเข้าไป ว่าเข้าหรือไม่ มันก็จะลื่นไปลื่นมาเลย มันไม่เข้า แต่ถ้าใช้มีดหนาหนักใหญ่ กรีดเข้าไปก็เป็นรอยเพราะมันหนัก มันกรีดเป็นรอย ดีไม่ดี มันเข้าเหมือนกันนิดหน่อยเลือดซิบได้ นี่คืออุปาทานทั้งนั้น พอเลิกแล้วอะไรจิ้มนิดหน่อยก็เลือดออก มันไม่ถาวรหรอกบางครั้งก็ไม่เหนียวบางครั้งก็เหนียว เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่จิตมันรวมตัวแล้วก็ยึดมั่นถือมั่น ถ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เรื่องพวกนี้อาตมาอธิบายพวกเราก็จะพอเข้าใจบ้างแต่ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนลึกซึ้งเยอะแยะ
เวลาหมด ก็ต้องจบด้วยเกินเวลาไป 2 นาทีแล้ว
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:34:26 )
รายละเอียด
610929_พ่อครูให้โอวาท งาน 42 ปีศีรษะอโศก รำลึกบรรพชน - แพทย์แผนไทย ยุค 4.0
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…
https://docs.google.com/document/d/1p0HHDVk2Ef5sW7EcF9YI48VRU5BE0aFbF2wbtZd0dGk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงได้ที่ https://drive.google.com/open?id=1TW-yvMYy6F9hPd2K5D6Q2I2EM8NXCC2V
เวลา 09.45 น.
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน 42 ปีศีรษะอโศก
พ่อครูว่า…วันนี้วันเสาร์ที่ 29 กันยายน 2561 ที่บวรศีรษะอโศก
ส.ถ่องแท้ว่า... วันนี้พูดถึงประเด็น 42 ปีศีรษะอโศกพ่อครูทำงานมา 49 ปีมา ทำไมพ่อครูเห็นว่าที่นี่ควรเป็นวัดเป็นพุทธสถาน ทิศทางการพัฒนาชุมชนควรเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...ทำไมจึงสมควรจะตั้งเป็นศีรษะอโศก สมควรก็เพราะว่าหนึ่ง มันมา ป๊อกอยู่ตรงนี้ ท่านดินดี กับอัควัณโณ สององค์แรกเลย พระอโศก สันตจิตโตกับอัคควัณโณ มาป่าช้าศีรษะอโศก มายึดครองก็เอา แต่ก่อน พระธุดงค์กับป่าช้ามันไปด้วยกัน ถ้าพระธุดงค์ไปยึดป่าช้าไหน ก็เสร็จ พระธุดงค์องค์นั้นทั้งนั้นแหละ ใครเขาไม่กล้าเถียงเขากลัวฤทธิ์ธุดงค์ เขากลัวป่าช้ากัน แต่พระธุดงค์ไปนอนป่าช้าเลย ก็อาศัยความยึดถือความเชื่อมั่นของคนก็มาอยู่ที่นี่ไป อยู่ที่ป่าช้าที่นี่แหละ ที่จริงคือป่าช้าของเขาย่านนี้ โยนไข่ตกตรงไหนก็เผา(ตั้งงกองฟอน) ตรงนั้นแหละ
พอเรามาอยู่ 2 ปีแรกเราไม่ได้นับนะของศีรษะอโศก ที่นับเอาพุทธาภิเษก 2 ปีแรก ไปนับเอาเมื่อเริ่มต้นผ่านไป 2 ปีแล้ว ปีแรกๆมีประชากรไม่ถึง 50 คน เมื่อ 2 ปีผ่านไปก็เป็นร้อยและหลายร้อยขึ้นมาเรื่อย มายึดเอาปีนั้นเป็นปีเกิดของศีรษะโศก อยู่มาเราก็ซื้อที่ดินเพิ่ม ปลูกบ้านเรือนไปอีก ขยายเพิ่มเติมจนเป็นร้อยๆไร่ ไปซำตาโตง ไปทางของตระกูลสิงห์คำบริจาคมาด้วย ก็กลายเป็นศีรษะอโศกที่มีเป็นร้อยไร่ทุกวันนี้ ก็มีวิวัฒนาการเป็นอยู่ของมนุษยชาติ อยู่อย่างวัฒนธรรมของเรา ที่อาตมามั่นใจว่าจะต้องปลูกฝังให้เจริญงอกงามขึ้นไปอีกในสังคมโลกเลยล่ะ วัฒนธรรมที่เราทำอยู่นี่ อาตมามั่นใจว่าเป็นของพระพุทธเจ้าแบบนี้ซึ่งทำไม่ได้ง่ายทำยาก ที่มาเคร่งๆกัน ฆราวาสก็อยู่ศีล 8 ศีล 10 กันได้ อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย อยู่กันอย่างเสมอสมานกัน ผสมผสาน
อยู่กันอย่างผาสุกด้วยหลักธรรมพระพุทธเจ้าและก็ปฏิบัติมีมรรคผลจริง ปฏิบัติแล้วมีมรรคผลจริงจึงเกิดจิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงเป็นตัวเรา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เพราะฉะนั้นเมื่อมารวมตัวด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า ทฤษฎีหรือทิฏฐิอันเดียวกันคนละภาษา ภาษาบาลีกับภาษาสันสกฤตเท่านั้นเอง เราอยู่มาก็ปลูกฝังให้เจริญงอกงามเพราะเรามีศีลสมาธิปัญญา อธิศีลอธิจิตอธิปัญญาอธิมุติ มันเป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆจึงเกิดมาจริงซึ่งได้มรรคผลขึ้นมาเกิดเป็นพฤติกรรมสังคม พฤติกรรมของแต่ละคนแต่ละคนเกิดขึ้นมาอย่างสอดคล้องกันเสมอสมานกัน มันก็เจริญงอกงาม
ที่นี่ก็เป็นแหล่งหนึ่ง ศาลีอโศกกับศีรษะอโศกเกิดขึ้นพร้อมกัน ที่จริงสันติอโศกเกิดหลังอันนี้หน่อยนึง แต่เราก็จะถือว่าเกิดพร้อมกันก็แล้วกัน 3 แห่ง ศีรษะอโศกศาลีอโศกแล้วก็สันติอโศกเป็น สามเส้าแรกของชาวอโศกก็เกิดขึ้น ถือว่า สันติอโศกอยู่ในเมืองกรุงอยู่ในกรุงเทพเลย อันนี้ก็เป็นอยู่ต่างจังหวัด ศาลีอโศกทางเหนือ ทางนี้ก็อีสาน ก็เป็นแหล่งลงหลักปักแหล่ง สร้างสรรค์บ่มเพาะผู้คนขึ้นมาในทฤษฎีพระพุทธเจ้า 42 ปีขึ้นมาแล้วก็เป็นรูปร่าง มีความเป็นอยู่มีวัฒนธรรมมีพฤติกรรมมนุษย์มีพฤติกรรมสังคมขึ้นมาอย่างแท้จริง อย่างที่เป็นนี้
ซึ่งทฤษฎีพระพุทธเจ้ารวมหมดทั้งสังคมโลก ไม่ใช่แค่สังคมประเทศน่ะ ด้วยความเป็นมนุษย์ ประวัติพระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม ท่านไม่ได้ศึกษาอื่น อาตมาบอกยืนยันว่าควรจะเข้าใจได้ว่าพระพุทธเจ้านี้ท่านศึกษาความเป็นมนุษยชาติแต่ละบุคคลปุคคลปโรปรัญญุตา ปริสัญญุตาหมู่กลุ่ม จนขยายขึ้นเป็นสังคมตำบลอำเภอจังหวัดประเทศจนเป็นแต่ละส่วนของโลกจนรวมเป็นทั้งโลกอย่างนี้เป็นต้น ก็เกิดการสมานประสานกันกระจายแพร่ขยายไป จากที่แก่นแกนออกไปสู่ข้างนอกเอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง แพร่ขยายพฤติกรรมจิตวิญญาณ ที่เป็นอย่างนี้
รูปกับนามจิตกับกาย จิตกับองค์ประกอบวัตถุ มันเป็นอย่างนี้ ทั้งการรักษาเผยแพร่เผื่อแผ่ก็เป็นพฤติกรรมของสังคมโลก ก็เกิดการขยายผลเชื่อมโยงกันที่มันไม่ชอบกันก็ขัดกันไม่ชอบกันมากก็ทะเลาะกัน หนักเข้าก็ตีกันฆ่ากัน แต่ของพระพุทธเจ้านั้นละเว้นการฆ่า จะร้ายแรงอย่างไรไม่เอาแล้วจบ เรื่องการฆ่าไม่เอา โดยเฉพาะการฆ่าและการทำลายมนุษย์เป็นเบื้องต้น ไม่เอาเลยไม่ฆ่าไม่แกงมนุษย์ ถือเป็นอนันตริยกรรมสำหรับพระ ปาราชิก สำหรับพระ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมีหลักเกณฑ์ขั้นตอนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน
สังคมมนุษย์นี้ ที่แยกภาษาที่เรียกวาธรรมะบ้าง ของโลก ของสังคม ศาสนา แยกโลกแยกศาสนา แยกการเมือง แยกธรรมะ ซึ่งที่จริงมันเป็นธรรมะ 2 มันเป็นอะไรสองอย่าง ธรรมะคือสิ่งที่มีอยู่สิ่งที่ทรงไว้ มันมีอยู่ 2 สัมพันธ์การปฏิสัมพันธ์กันมีประโยชน์มีโทษ ต่อกัน ก็ศึกษาโทษ ศึกษาประโยชน์ ศึกษาคุณศึกษาโทษ
อะไรเป็นโทษก็เลิกไม่ทำอย่าให้มันมีพฤติกรรมนี้แม้จะเป็นพลังงานก็ให้พลังงานนั้นหายไปสูญหายไปให้มันไม่มีอำนาจไม่มีฤทธิ์แรงอะไรอยู่ในโลกในสังคม ซึ่งเป็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่มากเลยที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนเรา เราทำได้จนกระทั่งตัวเราและบรรยากาศใกล้ชิดเรามันมีฤทธิ์มีอำนาจ ป้องกันเป็นค่ายเขื่อนกั้นเป็นบัฟเฟอร์ กลั้นเอาไว้ได้บางทีตาเราไม่เห็นแต่มีพลังงานข้างนอก มีพลังงานรูปนามอย่างหยาบกลางละเอียด ธาตุดินน้ำลมไฟเป็นพลังงานซ้อน พระพุทธเจ้าสอนเราถึงธรรมนิยาม 5 สอนถึงอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามกรรมนิยามธรรมนิยาม เป็นความรู้ที่สูงที่สุด
อาตมามีความรู้เรื่องเหล่านี้ก็เอามาขยายความอธิบายพวกเราได้รู้ก็สามารถเป็นไปได้สามารถรู้ความปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันสังเคราะห์กันสังขารกัน ตั้งแต่อุตุ ดินน้ำไฟลมจนถึงพืชพรรณธัญญาหารจนถึงจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็ประกอบด้วยกรรม ที่จิตวิญญาณของแต่ละคนเป็นประธานของแต่ละคนทำการจัดการกรรมของตนเองควบคุมกรรมของตนเองให้มีพฤติกรรมให้มีบทบาทให้มีพลังงานให้มีสิ่งที่เกิดความเคลื่อนไหว จะเบาจะแรง จะมีผลเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสรรอะไรต่ออะไรไปก็เกิดจริง จึงเกิดรูปสังคมที่เกิดอะไรต่างๆนานาตามความจริงใจตามปัญญาที่บริสุทธิ์ ความจริงใจบริสุทธิ์จึงเกิดสภาพที่เราทำตามจริง เราไม่สร้างอกุศล เราไม่สร้างสิ่งที่เป็นโทษเป็นทุจริตเราสร้างสิ่งที่เป็นสุจริตสิ่งที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์แก่ตนแก่ท่านแก่สังคมแก่โลก
ความจริงอันนี้มันเป็นความจริงซึ่งอาตมามั่นใจว่าคนเกิดมาเป็นคนนี้มันต้องการอย่างนี้ทั้งนั้นแหละเป็นแต่เพียงว่ามันโง่ชั่วคราว มันจะโง่ถาวรดักดานนานก็แล้วแต่คน แต่จริงๆแล้วมันเปลี่ยนแปลงได้คนนี่ แม้มันจะโง่ดักดานนานเท่าไหร่สักวันหนึ่งมันก็ต้องเข็ดต้องหลาบ แต่มันอาจจะนานจนกระทั่งเราตายเกิดตายเกิดจนเราปรินิพพานแล้วมันก็ยังไม่รู้สึกตัวก็เรื่องของมันแต่มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง มันต้องเจ็บต้องหลาบแหละเป็นสัตว์ขั้นมนุษย์แล้ว มันจะนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่บารมีใครมาได้มีมันสันดานใครสันดานมัน มันก็เป็นเรื่องสัจจะความจริงก็มีเท่านั้น
พวกเรารู้แล้วตามที่พุทธเจ้าตรัสรู้เอามาประกาศให้ทำอย่างนี้อันอื่นเข้าใจแล้วเราก็ทิ้งไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวไม่ต้องไปอะไรกับมันปล่อยมันไปเราก็ทำแต่สิ่งที่ดีของเราไป สิ่งดีนั้นมันก็เกิดเป็นผล อย่างที่มันเกิดที่มันเป็น มันเป็นคุณต่อโลกต่อมนุษยชาติสังคม
ประเทศไทยมีแก่นโลกุตระ ประเทศอื่นเป็นเทวนิยมประเทศอื่นไม่มีความรู้ถึงธรรมะ 2 เทวะแปลว่า 2 แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้หมดภาวะ 2 ทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็น 0 ได้ทำให้เป็นมากขึ้น 3 4 5 6 7 8 9 10 เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นล้านเป็นแสนเป็นล้าน เป็นโกฏิไปเลย ทำได้ มีการต่อเนื่องสัมพันธ์กัน มีการเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เป็นระเบียบระบบจนเป็นระบอบ เกิดผลจริงมีจริงเป็นจริงอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้
เพราะงั้น เรามีสิ่งจริง และมีสิ่งที่ดีอันนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจของเรา เราก็ทำ เราก็มีประโยชน์เพื่อเราทำให้ตัวเรานี้มีผลดีเจริญพัฒนา สังคมที่ร่วมด้วยก็เกิดผลดีพัฒนา มันไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยไหมว่าคนไม่รู้ ก็เขาไม่รู้ ก็ไปว่าเขาไม่ได้ ดีไม่ดีเขาจะมาต้าน เขาจะมาทำร้ายเราก็ป้องกันตัวเองได้ ให้คนที่มาทำร้ายทำร้ายไม่ได้ เป็นอสังหิรัง ไม่มีอะไรมาล้มล้างได้ ซึ่งเป็นเรื่องจริงพิสูจน์ได้ อาตมาก็มั่นใจว่าคุณธรรมระดับโลกุตระอย่างพวกเราชาวอโศกไม่มีใครมาลบล้างได้หรอก มีแต่จะมันจะเกิดขึ้นหรือวาระมันก็จะเสื่อมของมันเอง ไม่มีอะไรจะมาทำลายไม่มีอะไรจะมาตีแตกได้ มันเกิดมันก็เสื่อมของมันเหมือนกันแม้จะไม่มีอะไรมาตีแตกมันก็เสื่อม แต่ว่ามันไม่ได้เสื่อมหรือแตกไปโดยใครมาทำลาย แต่มันเสื่อมไปด้วยเหตุปัจจัย กรรมกาละเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามลักษณะของไตรลักษณ์เป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวรนิรันดรหรอก
เพราะฉะนั้นในช่วงนี้เป็นช่วงที่สังคมประเทศไทยนี้กำลังจะเจริญ กำลังโตขึ้นงอกงามแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวกำลังแตกตัวขึ้นมา สังคมโลกกำลังมองเนื้อหนุ่มเนื้อสาวแตกเปรี๊ยะๆ ประเทศอื่นก็มาชำเลืองดูเห็นว่ามีน้ำมีนวลขึ้นมีสิ่งที่น่าชวนชมชนนิยม มันก็เกิดขึ้นตามจริงสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่อาตมามั่นใจว่าคนจะต้องมาเอา
1 เราเป็นแล้วได้จริง 2 ไม่มีใครเขาทำได้เหมือนเราในโลก 3 เขาก็แสวงหากันจริงๆ 4 เราก็เผื่อแผ่ได้ เจตนาเราก็ต้องการให้เขาได้ของจริงนี้ไปด้วย มันก็ลงตัวกัน เป็นอันที่ 5 ปัญจะสาขา มันก็โดนลงตัวกันได้เกิดแน่ ไม่มีทางที่ใครจะมาห้ามได้ ช่วยกันเลย
ช่วยกันนี้คือช่วยอะไรช่วยตัวเรานี่แหละเป็นหลัก ตัวเราเองนี่แหละทำตัวเราเองให้เจริญ เคยคิดว่าตัวเองจบแล้วไม่มีความเจริญต่อจากนี้ได้อีกแล้วใครเป็นอย่างนั้นบ้างยกมือขึ้น
ตอนนี้อาตมาก็ยังอุ่นใจภูมิใจและยังไม่อยากตายง่ายๆยังพยายามจะอยู่เพื่อที่จะชมสิ่งที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าของมนุษยชาติว่ามันเจริญเป็นอย่างนี้ ใครจะไม่อยากชมนะ ใครก็ต้องอยากเห็นอยากชมสิ่งที่ประเสริฐสิ่งที่ดีของโลกของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นก็ต้องรักษาร่างกายรักษาชีวิตให้ดีๆรักษาไม่ดีนี้ตายโหงตายเหวนะ หรือ ตายห่าก็ได้ ห่านี่คือโรค ตายโหงคืออุปัทวเหตุ เดี๋ยวนี้โอ้โหมันเยอะ ตายด้วยโรคก็เยอะ แต่พวกเราก็ต้องพยายามป้องกันไม่ให้ตายด้วยโหงด้วยห่า ไม่ได้พูดหยาบนะแต่พูดธรรมะพูดด้วยพยัญชนะที่สื่อสารกันรู้เรื่องให้ฟังง่ายๆสั้นๆ ไม่มีเวลาขยายความแล้ว
ตอนนี้โลกุตรธรรมในโลกกำลังก่อหวอดกำลังผลิตผลผลิดอกออกผล ที่จะเจริญงอกงามต่อไป เพราะคนในโลกนี้ไม่มีอะไรสูงสุดเท่ากับโลกุตรธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งประกาศอยู่ในโลก อันเดียวกันหมดโลกุตรธรรมอันเดียวกันหมด มีแต่พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นแหละที่ท่านไม่ได้ประกาศในโลกแต่ท่านก็มีความรู้ สัมมาสัมโพธิญาณเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า กับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ประกาศ ท่านไม่ประกาศว่าท่านเองมีสัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศกับโลกมนุษย์ จนเกิดศาสนาพุทธ โดยท่านไม่ได้ประกาศ พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ได้ประกาศและท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นอิสระเสรีภาพส่วนตัวของท่านไป ก็เลยไม่มีภาพปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชื่อขึ้นมาในโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็เท่านั้นเอง ความแตกต่างระหว่างปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีคำจำกัดความว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลกกับไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลกแต่ท่านก็เท่ากันอย่างนี้เป็นต้น
ประเด็นนี้ต้องไขความเพราะว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดแล้วความแตกต่างระหว่างสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เพราะคนเข้าใจผิดว่าเป็นปัจเจกพุทธะ ซึ่งไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะอย่างนี้เป็นต้น
ปัจเจกพุทธะนั้นคือพวกมีอนันตริยกรรม หรือว่าเป็นผู้หญิง ผู้หญิงนี้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ได้แค่ปัจเจกพุทธะ จะใส่คำว่าเจ้าก็ได้ เป็นปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่มีสัมมาสัมพุทธะ นี่เป็นนัยยะสำคัญ เป็นได้แค่นั้น นี่เป็นขีดขั้นของอจินไตยสิ่งที่เป็นกรรมวิบากที่เป็นอจินไตยเป็นธรรมดาธรรมชาติ
ผู้หญิง 1 ผู้ที่มีอนันตริยกรรมเป็นที่สุด มันก็มีเงื่อนไขหลายอันที่เป็นผู้ที่ไปทำอนันตริยกรรมมีเงื่อนไขหลายอันที่ไม่สามารถเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ คุณก็จะต้องตายสูญไปเหมือนกัน ปัจเจกพุทธเจ้าก็สามารถตายศูนย์ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเขาตั้งใจได้ก็ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปจนกว่าจะข้ามเขตมาเป็นสัมมาสัมพุทธะ มาเข้าเขตโลกุตระอันสมบูรณ์แบบเป็นเรื่องอจินไตยที่ยังไม่ขออธิบายต่อ เมื่อถึงเวลาพวกเราบำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมาถึงขีดขั้นก็จะพูดได้อย่างเต็มใจไม่กลัวผิดเพราะว่าเราตั้งใจแต่สิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ผิดเราไม่พูด พูดไปแล้วมันเสีย เสียไปไหนก็เป็นบาปของเราด้วยคนอื่นก็พลอยเสียไปด้วยแล้วจะไปทำทำไม ตัวเองก็เสีย อันอื่นก็เสีย เราฉลาดแล้วเราไม่โง่จะทำไปทำไม กรรมอันนั้นไม่ต้องให้มันเกิด เขาก็เสียเราก็เสียทำไปทำไม คนที่มีพลังงานอำนาจในการควบคุมได้แล้วย่อมจะไม่ทำมันเป็นสัจจะ คนที่มีกิเลส 1 คนที่ไม่รู้อีกหนึ่งเขาก็ทำ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดีแต่กิเลสมีเขาก็ทำ แต่ถ้าคนควบคุมกิเลสได้อยู่เหนือกิเลสได้อย่างแท้จริงแล้วไม่ทำหรอก ก็ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องที่ดีที่ไม่เป็นผลเสียทั้งเราทั้งเขา
สัจจะอันนี้อาตมาก็ค่อยๆพูดไป คนก็ไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นสรุปอีกที
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เอากาละเป็นตัวตัดสิน กรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีคุณภาพมีคุณวิเศษเท่ากัน ท่านจะทำกรรมได้เท่ากัน มีคุณสมบัติสูงสุดเท่ากันคือกรรมกับกาละ
พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพระพุทธเจ้านั้น กาละไม่เท่ากัน พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นทำกาละก่อน ทำลายธาตุขันธ์ตัวเองเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไปก่อน ก็ต่างที่กาละเท่านั้น พระพุทธเจ้าทำได้อย่างไรพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธะก็ทำได้อย่างนั้นเหมือนกันในเรื่องกรรม แต่ในเรื่องกาละ อิสระเสรีภาพของพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีสิทธิ์ที่จะตัด กาละนั้นเอง ท่านไม่ประกาศศาสนาแล้วท่านก็สูญไปจากเอกภพนี้ทำลายอัตภาพแตกจบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงต่างกันตรงที่ กาละ นี้แหละ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเดานะ เป็นเหตุปัจจัยองค์ประกอบความหมายว่ามันมี ลิงค เพศ ที่ต่างกันตรงไหนระหว่างสัมมาสัมพุทธเจ้ากับปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าจุดสำคัญจุดนี้แหละ จะเรียกว่าจุดเดียวก็คือจุดนี้ นี่ก็อธิบายละเอียดสำทับกัน
สูงสุดแล้วกาละ เพราะว่าคือการเคลื่อนของจักรวาลถ้าไม่มีการเคลื่อนก็ไม่มี กาละเกิด ถ้าอยู่นิ่งอยู่กับที่ก็ไม่เกิด กาละ แต่เคลื่อนก็มีกาละ ยิ่งเครื่องหมุนวนเลยก็เป็นโลก สามเส้า
โลกเบี้ยวๆก็เป็นโลกที่ไม่สมบูรณ์ แต่โลกที่รียาวไปไกลก็ไม่กลมง่ายๆ จนกว่าจะเป็นวงกลมได้สมดุลนิ่ง มันก็จะเร็วจะไม่ถูกต้านจากอะไรมันก็จะหมุนได้นาน เหมือนลูกข่างกินน้ำจั้น จะวิ่งได้นานไม่มีอะไรมาขัดสีเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ วิทยาศาสตร์ทั้งทางโลกและจิตวิญญาณก็ยิ่งชัดเจนเพราะมีธาตุรู้เป็นองค์ประกอบสมบูรณ์แบบอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นพฤติกรรมที่มีเรามีรากฐาน มีของจริงพวกนี้มันจะเกิดการพัฒนาขึ้นมาในโลก เรามีอายุเรามีกรรมกิริยาเรามีเวลาเราก็มาช่วยกันสร้างช่วยกันต่อหัวต่อหางต่อรูปต่อตัวตนของมันของโลกุตรธรรมต่อไป มันเป็นประโยชน์แก่สังคมแก่มนุษยชาติมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร มันก็ต้องสร้างให้แก่โลกเราก็ช่วยกันทำ
ยิ่งผู้ใดจะต่อภพภูมิ หรือภพภูมิเรายังไม่เจริญได้สูงสุดก็จะได้อานิสงส์ได้คุณค่า ขึ้นไปเรื่อยๆ
ประเทศไทยนี้เป็นตัวตั้งตัวต้นของโลกเป็นแบบของโลกุตรธรรมจะเกิดกลุ่มก้อนทางธรรมเป็นพลังธรรม แล้วก็จะต่อออกไปขยายตัวออกไป สู่มวลมนุษยชาติทั้งโลก เป็นของดีไม่ใช่ของที่พาให้เสียอะไร แล้วโลกก็จะต้องมีของดีอันนี้ไปจนกว่ามันจะขยายเต็ม โลกุตระก็จะมีถึงขั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ peak สุด แล้วมันก็จะเสื่อมซึ่งมันก็จะเป็นรูปสามเหลี่ยม
สามเหลี่ยมนี้ตอนแรกที่สร้างขึ้นก็จะเป็นความสูงชัน เสร็จแล้วพอเราตายไปก็จะเป็นสามเหลี่ยมมียอดสุด แล้วมันก็จะมีพลังงานโมเมนตัมไปสู่ความเสื่อม ชรตา
หากต้นทุนอ่อนแรงลง จากโพธิสัตว์มาหรืออรหันต์ จากอรหันต์ก็เป็นเหลืออนาคามี มาเป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบัน มาเป็นกัลยาณชน จะมาหาปุถุชนก็หรี่ลงๆ จากธรรมะของบุคคลที่เป็นต้นธรรมต้นทางที่เส้นตรง ก็จะลดลงๆ
ขณะนี้พลังงานกำลังขาขึ้นจนกว่าจะ peak สูงสุดขีดหนึ่งแล้วมันก็จะจบมันก็จะเสื่อมลง ถ้าไม่มีโพธิสัตว์ใหญ่กว่าอาตมาในกัปป์นี้ พออาตมาตาย องค์อื่น ๆ พี่เป็นโพธิสัตว์รองลงมาที่เป็นอรหันต์เป็นอนาคามีเป็นสกิทาคามีเป็นโสดาบัน ก็จะไล่เรียงลงมาค่อยเสื่อมลงไป จนหมดไปพลังงานที่จะขยายผลแก่โลกก็จะยาวนานไปอีก ระยะทางนี้ไปอีก 2,000 ปี
ระยะทางนี้ก็มีสัดส่วน ไม่ได้พูดอย่างลงตัวเป๊ะ ก็ดูรูปร่างสามเหลี่ยมนี้ มีเส้นตรง 90 องศา แยกส่วน ส่วนดันที่ขาขึ้นเป็นตัวสร้าง ส่วนต่อมาก็เป็นตัวผลที่เป็นด้านขาลง ก็จะยาวนานไปตามของจริงที่มันมี มันมีของจริงก็ยืนยันได้ต่อไปใครจะอยู่รักษาขันธ์ยืนยันชีวิตให้ยืนยาวจนถึง เวลาที่อาตมาว่า ไทยสามารถอยู่ได้นานกว่าอาตมาถึง 200 ปีก็อาจจะเห็นผลที่ชัดเจน รักษาได้ชีวิตถึง 200 ปีก็สามารถเป็นผู้ที่จะนำความจริงนั้นนำความรู้ถ่ายทอดบอกยืนยัน แก่ก็เดินต่อไปได้อย่างมีตัวตนบุคคลจริง แต่ใครอยู่ไม่ถึงก็ตายไปก่อนก็แน่นอน จะจะจะเป็นอย่างนี้ หมดเวลาแล้ว ตามที่เขากำหนดก็จะหยุดจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:35:06 )
รายละเอียด
610930_วิถีอาริยธรรม ศีรษะอโศก วรรณะ 9 และ อวรรณะ 9 อันสุดลึกซึ้ง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1L7p3cAqL8IR_skkUdx6VGvqBgAk_-2amS6wFIinNcXE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Kuu_U0y_ctdrsT8xY0fzfRQxFamCehth
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2561 ที่บวรศีรษะอโศก วันนี้เรามาจัดรายการที่อาคารปัจจัยชีวี เป็นงาน 42 ปีศีรษะอโศก รำลึกบรรพชน - แพทย์แผนไทย ยุค 4.0 เลข 4 หมายถึงอะไรนะ คงจะหมายถึงพระอรหันต์ เพราะอรหันต์หมายถึงเลข 4
4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราเป็นคนดีต้องมาอยู่ร่วมกันถึงมีฤทธิ์ จึงมีผลสูง ที่บ้านราชฯมีเกษตกรมาอบรม ก็บอกว่าที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก เราอยู่ร่วมกันมีหลักของศาสนาอยู่แล้วว่า ต้องมีความระลึกถึงกัน มีความรักกัน เคารพกัน เกื้อกูลกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถามเกษตรกรว่าอยู่ที่นี่ 5 วันเห็นคนทะเลาะกันไหม ก็ไม่เห็นมี ชาวอโศกจึงมีความเป็นปึกแผ่น แต่พ่อครูก็ต้องอยู่ต่อเพราะพวกเรายังเป็นอิฐมวลเบาอยู่ยังไม่แข็งแรงมากพอ พ่อครูจึงต้องอยู่เพื่อพัฒนาพวกเราต่อ
พ่อครูว่า...อาตมานำพาสิ่งที่ทำด้วยความจริงใจมั่นใจที่สุดเลย ว่าอาตมาไม่มีเศษเสี้ยวอะไรของสิ่งที่หลอกลวง สิ่งที่มาโป้ปดมดเท็จ มาหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง ไม่มีเลย มีสิ่งที่วนเวียนมาหาอาตมาก็เพื่อที่จะวนออก ไปสู่คนอื่นยิ่งขึ้นเรียกว่านาบุญ นอกหน่วยเป็นหมื่นพันแสนออกไปให้คนอื่นเรื่อยๆเป็นนาบุญที่เจริญที่อุดมสมบูรณ์เป็นเช่นนั้น ตัวเองไม่ได้ยักอะไรเอาไว้เลย
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน อวรรณะ 9 คืออะไร
มาเข้าสู่เนื้อแท้ของสัจธรรมพระพุทธเจ้า
ธรรมะ 2 มีส่วนตัวกับส่วนรวม พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนชั้นสูงเรียกว่ามีวรรณะ ส่วน อวรรณะ นี้คือคนชั้นต่ำ
อวรรณะ อวรรณะ 6(คนไม่รู้จักพอเพียง คือ คนให้โทษแก่สังคม)
1. เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
2. บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
3. มักมาก (มหัปปิจฉะ)
4. ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
5. เกียจคร้าน (โกสัชชะ) หรือกุสีตะ
6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
สังคณิกา ท่านแปลว่าไม่คลุกคลีกันเป็นหมู่คณะ อาตมาเห็นแย้งว่า ศาสนาพุทธเจ้าต้องอยู่รวมกันเป็นปึกแผ่นเป็นกลุ่มหมู่ที่ยิ่งใหญ่ด้วย นัยยะสำคัญคือ มันมีคณะคนพาลกับคณะบัณฑิต ต้องแยกกันตรงนี้ อเสวนาจพาลานัง ปัณฑิตาจเสวนา ต้องคบคุ้นผนึกแน่นหมู่บัณฑิตให้มาก ส่วนพาลชนมากเราก็ต้องหนีให้ห่างหลายโยชน์ ส่วนพาลชนที่ไม่มากก็ค่อยๆพัฒนาเขาให้เป็นบัณฑิตให้ได้ ต่อไป
อวรรณะคือพวกวรรณะต่ำ
ทุภโร เลี้ยงยาก สุภโร เลี้ยงง่าย ทุโปสะ คือพัฒนาว่านอนสอนยาก ถ้าสุโปสะ คือพัฒนาสอนให้เจริญง่าย ทุโปสะคือพวกรวยไม่จบรวยไม่สิ้นสุดเป็นพาลชน
อสันตุฏฐิ คือไม่สันโดษ ใจไม่รู้จักพอตะกละมากขึ้นเรื่อยๆสะสมกอบโกยไม่สิ้นไม่หยุด
กุสีตะหรือโกสัชชะ คือขี้เกียจหนักมากขึ้นเรื่อยๆไม่เอาถ่านไม่ทำกรรมการทำงาน
สังคณิกา มันต้องชัดเจน ในนัยยะสำคัญว่า ไม่ใช่ไม่รวมหมู่คณะ อสังคณิกา ส่วนสังคณิกา รวมหมู่รวมคณะถือว่าอวรรณะ รวมหมู่กลุ่มก้อนเป็นเรื่องไม่ดี มีนัยยะแยกว่าต้องรวมหมู่บัณฑิตให้แน่นให้มากใหญ่จึงจะทำประโยชน์ได้มาก
อสังคณิกา จึงมีนัยยะ 2 อย่างว่ารวมหรือไม่รวม ในโลกนี้มีธรรมะ 2 จะมีส่วนที่ผิดกับส่วนที่ถูกอยู่ตลอดกาลเลย ถ้ายังมีอยู่นี้จะต้องมีธรรมะ 2 อันหนึ่งถูกอันหนึ่งผิดอันหนึ่งดีอันนึงไม่ดี กลับกันไปกลับกันมาเปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมาเจริญขึ้นเป็นแบบก้นหอย เป็นวงวนที่พัฒนาขึ้น ไปซ้ายไปขวาสลับกัน แต่ว่ามันเป็นการเจริญขึ้น สังเคราะห์สังขารขึ้นเป็นคนใหม่ อธิบายซ้ำซาก เบื่อไม่ได้ อาตมาเบื่อแล้วคนไม่เจริญต่อ ต้องไม่เบื่อ โพธิสัตว์นี่เบื่อไม่ลงหรอก ในเรื่องที่จะพัฒนาอะไรให้เจริญต่อไป โพธิสัตว์เจริญสูงสุดจนกระทั่งสุดท้ายจบกิจเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็จบแล้ว มันยังไม่เป็นไม่ถึงขั้นนั้นก็พัฒนาต่อไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน จากหนึ่งจึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง
มาแยกเฉพาะตัวกับส่วนรวม เป็นธรรมะ 2 เราจะต้องมีตัวเราส่วนตัวกับหมู่กลุ่ม ก็ต้องอยู่ด้วยกันแยกกันไม่ได้ ตัวเราต้องรวมกับหมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มก็ต้องมีเรา One For all All for one
เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
หนึ่งจึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง
ที่พระพุทธเจ้าสรุปสุดยอดคือมีวรรณะ 9 และวรรณะ 9 นี้ เราก็ต้องมีกลุ่มหมู่สังคมชุมชนขาดไม่ได้ แล้วก็ต้องมีสมบัติส่วนกลาง อุปโภคบริโภค เครื่องกินเครื่องใช้ส่วนกลางเป็นสาธารณะโภคี และกินใช้ส่วนกลางร่วมกันอย่างเช่นชาวอโศกทำอย่างมีปัญญาเข้าใจเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ ของโลก เศรษฐกิจบทไหนก็สู้เศรษฐกิจสาธารณโภคีไม่ได้ สูงสุด ของประชาธิปไตยของคอมมิวนิสต์ ของเผด็จการก็ตาม สู้อันนี้ไม่ได้
สาธารณโภคีจะต้องมีคุณสมบัติเป็นสาราณียธรรม 6 เป็นตัวบ่งชี้ จะมีสาราณียธรรม 6 ได้ คนที่มาร่วมต้องมีจิต 7 ตัว คือพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
สาราณียะคือ ไม่ใช่นึกถึงแต่ตัวเอง แต่นึกถึงคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่านึกถึงคนอื่นจนสุดท้ายเหลือเพียงเราสองคน อธิบายแจกแจงความรัก 10 มิติ เหลือเพียงพ่อแม่ลูกก็ดีขึ้นนิดนึง นอกนั้นกูไม่เอากูไม่เกี่ยวกูจะแย่งชิงเอามาเป็นของเท่านี้แหละ โลกนี้มีแต่เราสามคน โลกนี้มีแต่เราสองคน ลูกมันยังไม่เอาเลย เอาลูกไปทิ้งถังผง กลางถนน ดีไม่ดีฆ่าทิ้งเลย พวกนี้มันเกินสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านชนิดมันก็ไม่ฆ่าลูก แต่นี่คนอะไรวะ
ความรักสูงขึ้นไปในระดับมิติที่ 4 มีการเผยแผ่ให้สู่ผู้อื่น เป็นญาติโกโยติกา
1. กามนิยม (เมถุนนิยม)
2. พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ)
3. ญาตินิยม (โคตรนิยม)
4. สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)
5. ชาตินิยม (รัฐนิยม)
6. สากลนิยม (จักรวาลฯ)
7. เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) เป็นพุทธเบื้องต้น
8. อาริยนิยม (อเทวนิยม) เป็นพุทธเบื้องกลาง
9. นิพพานนิยม (อรหันตฯ) เป็นพุทธเบื้องสูง
10. พุทธภูมินิยม (หรือ.. โพธิสัตวภูมินิยม)
นี่คือสัจธรรมสภาวธรรมที่เราต้องเรียนรู้
พุทธพจน์ 7 สำหรับส่วนรวมจิตจะต้องเห็นแก่คนอื่นไปเรื่อยๆกว้างขึ้นจนเกิดความรักที่เจริญขึ้นเป็นมิติที่ 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ถึง 10 ก็สมบูรณ์แบบแล้ว
ปิยกรณะ ก็รักกัน เป็นความรักที่เจริญขึ้นเป็นประโยชน์คุณค่าตามความรักมิติที่ 10
ครุกรณะ จะต้องรู้จักการเคารพคารวะกันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติในโลก หากไม่มีไม่รู้จักขั้นตอนศักดิ์ศรีไม่ได้ ต้องรู้จักสมมติสัจจะโลกนี้ มีการเคารพโดยสมมุติ เคารพด้วยหลักเกณฑ์ เคารพด้วยวัยวุฒิ เคารพด้วยคุณธรรม เคารพด้วยความมีคุณค่าประโยชน์ เคารพด้วยการเป็นอริยบุคคลเป็นต้น หากว่าถือดีไม่เคารพคารวะใคร ก็จะบ้า มันใหญ่คนเดียว ไม่รู้ตัวหรอกคนพวกนี้
สังคหะ อันนี้ยิ่งใหญ่ คือการเกื้อกูลช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเป็นผู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นคุณสมบัติคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ ถึงขั้นให้ๆๆ หากว่าให้อย่างไม่มีปัญญาก็จะเสียหายได้ เกิดความสูญเสียเกิดความเสียหายได้อีก
อวิวาทะ ไม่ทะเลาะวิวาทกัน จะมีอะไรนิดหน่อยก็พอเป็นไป อย่างสังคมชาวอโศกทุกวันนี้กล้าพูดได้เลย มีคุณสมบัติที่สูง อยู่กันอย่างไม่ต้องวิวาทกัน ตำรวจไม่ต้องใช้เลย ใช้ก็ตอนจราจรมันแน่นมาช่วยจราจร นอกนั้นในคนเหล่านี้เขาไม่มีการทะเลาะกันไม่วิวาทกัน ไม่เกิดเรื่องอะไรถึงขนาดที่ต้องใช้ตำรวจมาจัดการ นอกจากคนอื่นคณะอื่นที่อื่นเขามารวนเรามาเกเร เบียดเบียนทำร้ายเรา ก็ต้องอาศัยตำรวจมาจัดการบ้างซึ่งก็จะไม่มีมาก เพราะมีพลังงานซับซ้อนเป็นอจินไตย คือว่าพวกนี้ดีจนกระทั่งคนชั่วไม่กล้ามาทำอะไรมันมีบารมีมันมีราศีรังสี เป็นพลังงานกั้นไว้เป็นบัฟเฟอร์กั้นไว้ เป็นอจินไตยเป็นเรื่องที่คิดไม่ออกแต่เป็นเรื่องจริง คนมารวนก็แพ้ภัยตัว หนักเข้าก็เลิกไป อยู่ที่นี่ก็เจอถึงขั้นมาเผาร้านขายของเรา ร้านหนึ่งน้ำใจ ถูกไฟเผา เราก็สร้างมาใหม่อีก ถ้าไม่ไปเทียบกับคาร์ฟูร์ โลตัสเขา ร้านหนึ่งน้ำใจเราก็ไม่เล็กนะ ถ้ามีฝ้าและมี LED ส่องสว่างหน่อย ที่นี่ 77 นะ ไม่ใช่ 7 11 นี่ 77 เข้มข้นกว่า ทิ้งไว้ไม่พูดต่อละ
ไม่วิวาทกันอยู่กันอย่างสามัคคีซึ่งมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ จะมีการขัดเกลากันเพื่อให้มีการตรวจสอบสิ่งที่ดีที่สุดถูกที่สุด ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย หยวนๆ แต่ต้องตรวจสอบกันให้ดีจึงเรียกว่ามีการขัดแย้งอันพอเหมาะจะเกิดความสามัคคีเป็นกลุ่มหมู่ที่แน่นเหนียวสะอาดขัดเกลาเสมอตรวจสอบเสมอ อันที่ดีที่สุดไม่ต้องไปสอบ แล้วตกผลึกเกาะกลุ่มกันแน่นเป็นเอกภาพ เอกีภาวะ แน่นเหนียวทนทานคงมั่นดีเยี่ยมเป็นแก่นแกน สาระทุกอย่าง เป็น แก่น core เป็น essence เป็นตัวตั้งของพลังงานบวกเสมอ
ถ้ามีสามเส้ามีบวก ลบ และมีปฏิกิริยาของพลังงาน ต้องมีประธานเป็นตัวจัดการสร้างสรร พีชะก็ไม่รู้เท่าไหร่แต่มาเป็นจิตนิยามก็จะมีตัวรู้มากกว่า ไปจัดการกรรมได้
สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นธรรมะ 2 ที่เป็นส่วนรวม
ส่วนตัวนั้นเป็นวรรณะ 9 จะต่างกับ อวรรณะ เสมอ เทียบได้
ตัวหยาบในอวรรณะ คือทุภโร ทุโปสะ และมหัปปิจฉะ หยาบ รู้ได้ง่าย เลี้ยงยากไปยากนั่งยากนอนยากกินยากอะไรก็ยากไปหมดเลย คนตายแล้วคนนี้ ทุภโร
ทุโปสะ จะสอนจะแนะนำให้สร้างสรรให้ดีขึ้น ก็ลำบากยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก มันไม่ไหวหรอก ไม่กระดิกเลย หากเข็นครกขึ้นเขายังกระดิกบ้าง ไปสีควายให้ซอฟัง ซอก็ฟังไม่รู้เรื่อง ควายจะเตะเอา มันรำคาญไปสีมันอยู่ได้ เป็นการอธิบายโดยอาศัยภาษาบัญญัติ พวกเรามีสภาวะก็จะเข้าใจ
เราศึกษาก็จะได้ประโยชน์ที่เราได้ของจริงเป็นมนุษย์อยู่ในโลกที่มีประโยชน์คุณค่าดีกว่าเป็นมนุษย์ที่เป็นโทษภัยในโลกก็เจริญขึ้น ๆๆ
เมื่อเป็นผู้ที่ไม่สะสมไม่มากๆรู้จักพอแล้วก็น้อยลงรู้จักพอแล้วก็น้อยลงเรียกว่า อสันตุฏฐิ คือไม่รู้จักพอ ตะกละตะกรามไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุดเป็นพาลชน เป็นพวกไม่เจริญเรียกว่าอวรรณะ ต้องน้อยลงก็พอ จนเหลือ 0 ก็พอ หากไม่มีในตัวเองเลยก็ต้องอยู่กับหมู่กลุ่มอยู่กับของส่วนกลางที่กินใช้ร่วมกัน อยู่คนเดียวโดดเดียวไม่ได้
สรุปแล้วธรรมะพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมบทเดียว ต้องอยู่กับหมู่ครบครันมีจิตวิญญาณประเสริฐสูงสุดที่จะอยู่กับหมู่กลุ่มอย่างเป็นผู้มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ได้เบียดเบียนไม่ได้ไปทำให้คนอื่นเขาลำบาก ไม่เป็นหนี้ในตัวเอง ตลอดแต่ละชาติๆไม่มีหนี้เลยมีแต่กำไร มีแต่ส่วนที่ตัวเองเป็นนายทุน แต่เป็นนายทุนทางโลกุตระไม่ใช่นายทุนทางโลกียะ นายทุนที่ไม่เอาดอกเบี้ยอะไรเลยนายทุนคือผู้ที่มีมากแต่ให้เสมอ ไหลให้คนอื่นเขาซะ
เช่นเดียวกับปิระมิด ปิระมิดอโศกคือ ปิรามิดที่ยอดอยู่ล่างแต่ฐานอยู่บน มันมีความแข็งแรงคงทนตั้งมั่นมีการไหลจากข้างบนลงล่างเสมอ ส่วนปิระมิดของทุนนิยมนั้นรวยกระจุกจนกระจายดูดเข้าไปหาตัวเอง แทนที่จะกระจายดูดเอามาให้แก่ตัวเองเข้าไปหายอด เดี๋ยวนี้การเมืองเขาก็กำลังเรื่องการดูด ใช้ศัพท์ว่าดูด แต่ที่จริงเป็นการแย่งชิงด้วยเล่ห์เหลี่ยมด้วยอำนาจก็เป็นเรื่องของโลกเราก็ดูอย่างไม่มีปัญหาอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน บริหาร อภิบาล อธิปไตย
ตอนนี้สังคมการเมืองทางโลกเขากำลังศึกษาและกำลังเรียนรู้ อะไรควรไม่ควรก็จะดีขึ้นดีขึ้น ยังไม่ถึงเวลาของเรา เรายังมีพลังงานไม่พอ มวลก็ไม่พอความเข้าใจเชื่อถือก็ไม่พอ รออีกสักประเดี๋ยวนักการเมืองสักวันหนึ่ง พรรคของชาวอโศกจะแสดงตัว ตอนนี้ต้องพรรคอย่างไรก็ไม่มีปัญหาแต่เรามีพรรคอย่างแท้จริงคือพรรคราษฎร คนเข้ามาอย่างสมัครใจเอง มีอิสระเสรีภาพเห็นดีเห็นชอบเองไม่ต้องเขียนใบสมัครสมัครได้เลย แล้วอยู่ให้ได้นะตามหลักเกณฑ์ที่หมู่มวลเขาเป็น แล้วพัฒนาเข้าไปให้เจริญให้ได้เหมือนผู้เจริญในชาวอโศก เจริญสูงสุดแล้วก็ช่วยหมู่กลุ่ม แล้วจะเป็นพลังงาน อาตมามีภาษาสามคำ
1. บริหาร 2. อธิปไตย 3. อภิบาล
คำว่าบริหาร เป็นสภาพกลางๆ มีการบริหารจัดการทำให้มันเกิดความสมดุลเกิดความเป็นไปอย่างดี ผู้บริหารต้องทำให้เกิดความสมดุลให้เกิดความเป็นไปอย่างดีอย่างราบรื่น งดงาม สันติ สงบอย่างเรียบร้อย
หากบริหารมากไปเรียกว่าอธิปไตย มันมีพลังแรงไป ไม่เหมาะสมไม่พอดี
ถ้าบริหารอย่างอภิบาล อันนี้สูงสุด คือปกครองดูแล อภิ + ปาละ ช่วยเหลือเลี้ยงดู ทำให้เป็นหมู่มวลที่สงบเรียบร้อยมีอยู่มีกินขัดแย้งกันพอเหมาะไม่ขัดแย้งกันเลย
ตัวอภิบาล จะเป็นตัวตัดสินว่าเป็นประชาธิปไตยถูกต้องหรือเปล่า ถ้าหากยังใช้อธิปไตยยังเป็นอำนาจอยู่ก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นนักบริหารที่ยังไม่เข้าใจความต่างระหว่างอธิปไตยกับอภิบาล ยังไม่เข้าใจว่าพลังงานระดับไหนเรียกว่าอธิปไตยหรืออภิบาล ถ้าแรงเกินไปเรียกว่าอภิบาลถ้าได้สัดส่วนพอดีเรียกว่าอภิบาล ผู้บริหารที่เข้าใจอธิปไตยกับอภิบาลได้ แล้วจัดสรรให้ดีก็เป็นผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม
อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ที่ทรงอภิบาลประชาชนได้ดีงดงามที่สุด นักการเมืองหน้าเก่าที่เคยมีมาเป็นพวกบ้าอธิปไตย และไม่มีความรู้เรื่องอธิปไตย อภิบาลไม่เป็น ได้ชื่อว่าเป็นนักบริหารแต่เป็นนักบริหารที่ไม่ดี ในอนาคตพยัญชนะคำว่าอภิบาลจะได้รับการศึกษาแล้วเอาไปฝึกฝนให้ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ รัฐศาสตร์จะมาศึกษา สามเส้านี้ เราเป็นนักบริหารก็ต้องจัดสรรให้เกิดอภิบาลให้พอดีเราเป็นนักอธิปไตยที่แรงเกินไปก็ต้องเอามาอภิบาลให้ดี นี่คือสัจจะที่ต้องเรียนรู้กันอย่างสำคัญ
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน วรรณะ 9 ต้องขัดเกลาอยู่กับหมู่
มาขยายลักษณะธรรมะ 2 ที่เป็นส่วนรวมกับส่วนตัว ส่วนตัวปฏิบัติให้มีวรรณะ 9 อย่างบริบูรณ์ เงื่อนไขของวรรณะ 9 คือจะต้องอยู่กับหมู่ ตัวเราเองมีคุณสมบัติ
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ขัดเกลากายวาจาจิตให้ดีขึ้น มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติเรียกว่าศีล เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเกิดผลเป็นอธิวิมุตเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ แล้วก็มาเริ่มต้นเป็นอธิศีล เจริญเป็นอธิจิต อธิปัญญา มาเป็นอธิวิมุติ ไปอีก หมุนรอบเชิงซ้อนไปอีก สูงขึ้นๆไปเรื่อยๆ นี่คือความเจริญของศีลคนไม่มีศีลเป็นหลักนั้นเละเทะ จะให้เกิดความเจริญอันน่าอัศจรรย์เป็นลำดับนั้นไม่ได้เลย
ต้องปฏิบัติศีลให้เป็นลำดับรู้การสังเคราะห์สังขารสูงสุดเป็นอภิสังขาร มีศีลเป็นขีดขั้นไปเรื่อยๆ เมื่อเจริญขึ้นก็จะได้ตัวที่ 7 มีอาการที่น่าเลื่อมใสศรัทธา เรียกว่าอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นคนที่น่าบูชาเคารพนับถือเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วเราก็ทำตามไป มาเป็นตัวสุดท้ายคือไม่สะสมกับยอดขยัน
อาตมาภาคภูมิใจว่าชาตินี้เกิดมาไม่สะสมอะไรเป็นของตัวเองเลย ทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้วทางศาสนา ก็ไม่สะสม พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงยิ่งให้ไปยิ่งได้มายิ่งเป็นผู้ไม่เอายิ่งได้ไม่เอายิ่งได้ ถ้าหากบารมีไม่ถึงไม่เอาอย่างไม่เข้าทางก็เสียผล แต่อยู่กับหมู่กลุ่มนี้ เราไม่เอาเลยเราก็ไม่ตาย อยู่กับพวกสาธารณโภคีเขาไม่ปล่อยให้ตายหรอก ตายได้ แต่ไม่ปล่อยให้เกินไป จะต้องมีน้ำใจเมตตากรุณาอุเบกขาอย่างแท้จริง
มนุษย์เจริญสูงสุดด้วยการมีวรรณะ 9 คือไม่สะสมกับยอดขยัน วิริยารัมภะคือขยันเสมอ รู้เวลาควรพักหรือควรเพียร
เราไม่พักอยู่ (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป
เราไม่เพียรอยู่ (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท
เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว (โอฆมตรินติ)
เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้
เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้
เราไม่พัก เราไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ
(พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 2)
ภาษาซ้อน ไม่คือมี มีคือไม่ เป็นสุดยอด สิริมหามายา ทั้งดีทั้งใหญ่ เป็นภาษาที่เรียกสภาวะขั้นสุดท้าย สิริมหามายาเข้าใจได้ยาก แม้แต่พระมารดาของพุทธเจ้าก็ชื่อว่าสิริมหามายา ชื่อดีกว่านี้ก็ไม่เอาเอาชื่อมายาแต่มันเป็นจริง แต่เป็นมายาที่ดีที่ใหญ่ สิริ ดี มหาแปลว่ายิ่งใหญ่ จริง แปลว่าแม่ผู้สุดยอด
แม่นี้หมายถึงธรรมะไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขาที่คลอดลูกออกมา หรือว่าเป็นแม่แบบที่มีใครออกมา หรือการเกิดอื่นอื่น เป็นแม่ทางจิตวิญญาณ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบายวรรณะ 9 ให้ฟัง
อบรมเกษตรกร เขาบอกว่ามาอยู่ที่เรากินง่ายมาก เราเอาหัวปลีไปทอดให้เขากินเขาก็บอกว่าไม่เคยกินมาก่อนเลย ชาวอโศกเป็นผู้ที่บำรุงพัฒนาให้เจริญง่าย และยังเป็นคนที่มักน้อยอีก เอาไว้แก่ตัวเองน้อย บ้านแต่ละบ้านก็จน ส่วนกลางก็มากขึ้นมากขึ้น ส่วนกลางก็จะมีมาก ส่วนตัวก็จะมีน้อยไม่ได้มากขึ้น ศีลเคร่งคือเราสามารถลดกิเลสได้มากขึ้น ทำงานไปก็สลายตัวตนได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น จะให้ก็ได้ไม่ให้ก็ได้ เอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ ให้ทำก็ทำไม่ให้ทำก็ไม่ให้ทำ พร้อมที่จะสลายตัวเอง อาตมาว่าเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุด และเป็นคนที่ไม่สะสมให้แล้วยอดขยัน ใครหนอจะขยันเท่าที่เราเป็น ขยันอย่างไม่ธรรมดา เขาบอกว่าคนที่นี่ทำงานขยันทำอะไรก็สำเร็จ คนจึงเห็นเป็นอัศจรรย์ในสิ่งที่พวกเราทำ แต่ว่าบอกว่าดี แต่จะมาอยู่ไหมไม่มา
พ่อครูว่า...ไม่ต้องเร่งรีบ มาเถอะมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม
อาตมาใช้ศิลปะในการทำงาน แต่สงสารพวกบ้าศิลปะ อาตมาเรียนจบทางศิลปะมา ไม่ได้จบด็อกเตอร์สถาบันศิลปะอะไรมา ปริญญาตรีทางศิลปะยังไม่ได้เลย ได้แค่ขั้นปวส. เลยอาชีวะแค่สองปี ไม่ได้ต่อปริญญาแต่อาตมาว่า อาตมารู้จักศิลปะดี รู้จักศิลปะโลกุตระเป็นมงคลอันอุดมสุดยอดเหนือกว่าด๊อกเตอร์ต่างๆที่เขายิ่งใหญ่กัน เขามีชื่อเสียงอะไรต่างๆนานา ดร.หลอกคน เอาเงินเข้ากระเป๋า เอาเงินมาได้แล้วก็ทำเป็นบริจาคซับซ้อน สร้างตัวเองให้ดูมีความ เขื่อง เท่ แต่ตัวตนยังไม่หมดมีตัวใหญ่เลย ศิลปินนี่แหละตัวตนเบ้งที่สุด
สมณะฟ้าไทว่า..มีพวกศิลปิน มาแสดง เอาสีราดตัวเด็ก แล้วให้เด็กกลิ้งไปมาบนพื้น ตัวเองก็ทำด้วยแล้วถามว่าเป็นศิลปะอะไรเขาก็บอกว่ามันเป็นเรื่อง Abstract
พ่อครูว่า...เป็นการตีกินไปหมดเลย อะไรก็ Abstract เป็นนามธรรม อาตมาก็อยู่ในวงการศิลปินศิลปะมาก่อน จนถึงวันนี้ก็ยังมาใช้ศิลปะเป็นโลกุตระ จนกระทั่งนักศิลปินแห่งชาติบอกว่าศิลปะมันมีโลกุตระด้วยหรือ อุทาน คือ เขายังไม่รู้เรื่องหรอก ยิ่งทางต่างประเทศเทวนิยม เลิกเลย ทางยุโรป ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้า ขนาดศิลปินทางชาวพุทธก็ยังไม่รู้เรื่อง แล้วก็พยายามเอาศาสนาพุทธไปอธิบายงานศิลปะด้วยนะมันซับซ้อนมาก ดีไม่ดีอธิบายเนื้อหาสาระของศาสนาแต่เอาไปขายหากินแพงๆเท่ๆ
ศีกษาเป็นคนมีวรรณะ 9ได้แล้วแต่จะอยู่คนเดียวไม่ได้จะต้องเกี่ยวกับหมู่กลุ่มเป็นมิติสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอยู่กันอย่างสมบูรณ์ จะขยายผลขึ้นไปเรื่อยๆเป็นตัวอย่างของโลกเป็นต้นแบบของโลกจะเป็นได้จริง ยืนยันเลยไม่ใช่พยากรณ์เป็นความเชื่อมั่นเลย จะเป็นต้นแบบที่ดีที่สุดให้แก่สังคมโลกเขาได้ ในชาวอโศกที่จะเป็นตัวอย่างนี้จะลำบากลำบนหนักหนาสาหัสอย่างไรก็ต้องช่วยกันแล้วมันจะเบาขึ้นๆ ซ้อน เบาขึ้นเรื่อยๆ เป็นความซับซ้อนที่สุดยอด อาตมาถึงบอกว่ามันยังจะเหนื่อยเหนื่อยก็ไม่มีปัญหา คนที่มีปัญญาแล้วก็หมดปัญหา คนที่มีปัญหาคือคนที่ไม่มีปัญญา แต่พอมีปัญญาแล้วก็จะเห็นเป็นเรื่องสามัญที่แก้ได้ไม่มีปัญหา คนที่มีปัญญาแล้วจะไม่ลำบากใจมันอาจจะลำบากกายบ้างแต่ก็ช่วยกันไป แล้วมันจะมีบารมี เดินทางกายเรื่องทางรูปธรรมก็จะไม่หนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อาตมาชีวิตชาตินี้ความรุนแรงเจ็บปวดหนักหนาสาหัสไม่มาถึงมีบารมีขันธ์แล้ว ที่พูดนี้ไม่ได้ท้าทาย แต่มันเป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรม
สันติอโศกเคยถูกพวกฝั่งตรงข้ามมาปองร้ายมาวางระเบิดครั้งหนึ่ง ยังมีหลักฐานเก็บเอาไว้เป็นตัวอย่างเป็นอนุสรณ์อยู่ที่หน้า บ้านสุขภาพ ที่นั่งแตกไปเลย นอกน้นก็มีคนยิงปืนเข้ามาสองครั้งยิงแล้วปืนไม่ออก ก็เลยวิ่งกลับไปเลย
พวกนี้ไม่มีบารมีเท่าไหร่แล้วมาทำร้ายใครไม่ทำร้ายมาทำร้ายโพธิสัตว์มันก็จะมีวิบาก ไม่ได้ลงโทษเขาจะมีวิบากกรรมทำของเขาเอง จากนั้นก็ไม่มีอะไรมา ก็มาเจอแก๊สน้ำตา ในระดับสังคมใหญ่เลย ก็สูงสุดมีแค่นี้ แก๊สน้ำตาก็แสบตาน่าดู ที่จริงแสบไม่น่าดูหรอก แต่สำนวน
ผู้ที่สามารถทำตัวเองมีวรรณะ 9 จะอยู่กับหมู่กลุ่มเรียกว่าส่วนรวม ส่วนรวมค่าจัดส่งสุดไปมีวรรณะ คือ มีพุทธพจน์ 7
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ คือ 7 ลักษณะชั้นสูงของจิต ระลึกถึงผู้อื่นไม่ใช่ระลึกถึงแต่ตัวเอง ไม่เห็นแก่ตัวเลยมี สาราณียะ
มีความรักที่เกิดการช่วยเหลือไม่ได้รักในทางกาม หรืออัตตา เป็นความรักที่หมดธรรมะ 2 คือหมด กาม หมดอัตตา เป็นความรักต่างๆเป็นความรักที่สูง
มีความเคารพนับถือในสมมติสัจจะ เชิงชั้นต่างๆ
มีลักษณะเด่นคือสังคหะเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแต่แก่ผู้อื่นเหน็ดเหนื่อยหนักหนา เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นถ่ายเดียว โดยที่ตัวเองไม่ค่อยระมัดระวังตัวเองเลย คนอื่นจะเข้ามาดูแล กลายเป็นตัวเองมีคนอื่นคอยประคบประหงม อุปการะดูแลจัดการ คนอื่นเขาจัดการชีวิตเราให้เลยอยู่อย่างนี้กินอย่างนี้นอนอย่างนี้ขี้อย่างนี้เยี่ยวอย่างนี้ไปอย่างนี้มาอย่างนี้ แล้วก็ต้องรู้ว่าคนที่เข้ามาทำอย่างนี้พอจะมีภูมิสูงพอที่จะมาจัดการกับชีวิตเรา จะมาเป็นเจ้าเป็นนายชีวิตเรา เราก็ต้องมีปฏิภาณรู้ว่าคนนี้ จะให้เป็นเจ้าชีวิตเรา จะให้ตามใจไม่ได้ แต่เขาจะรู้ความพอเหมาะพอดีแล้วก็มาช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูเหน็ดเหนื่อยหนักหนาดูแล ตื่นก่อนนอนทีหลังอะไรต่างๆนานา เหมือนกับผู้รับใช้ เหมือนกับที่พุทธเจ้าท่านตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรู ว่าผู้ที่เคยอยู่เคยรับใช้พระองค์ แต่เขามาเข้ารีตพระพุทธเจ้าแล้วจะเอาคืนไหม พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าไม่เอาคืนหรอกต้องยกให้พุทธเจ้าไปเลยเพราะเขาเป็นคนเจริญจะเอาเขาไว้ทำไม ให้เขาพัฒนาขึ้นไปแล้วไปช่วยคนอื่นได้อีกเยอะแยะนี่คือความเจริญ
ผู้ที่ฟังแล้วไม่สงสัยมีตัวจบก็ดี ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ศึกษาต่อ
คนที่มีแต่การให้นี่แหละไม่เห็นแก่ตัวเห็นแต่แก่ผู้อื่นนี่แหละ เป็นตัวหลักของส่วนตัวที่อยู่ในสังคม สังคหะ
ทำไมทะเลาะวิวาทกับใคร อวิวาทะ อยู่กันอย่างกลมเกลียว เมื่อมันจบไม่ได้เราจึงต้องเป็นผู้เสียสละผู้ที่ยอมแพ้ เป็นผู้ที่ยอมให้คนเข้าใจผิดได้ ก็ไม่ได้อยากให้เขาเข้าใจผิด ให้เขาเข้าใจถูก แต่สุดยอดแล้วเขาเข้าใจถูกไม่ได้ เขาก็ยังจะเข้าใจผิดอยู่นั่นแหละ เราก็ต้องจำนน คุณจะเข้าใจผิด ตัวคุณก็ยึดถือของคุณก็แล้วกัน เราก็จำนน สุดท้ายเราก็ต้องยอมแพ้อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นสัจจะอย่างนั้นจริงๆไม่ได้แกล้งพูด อย่างอาตมาต้องยอมให้ เถรสมาคมเขาเข้าใจผิด ไม่ยอมไม่ได้เพราะเขาใหญ่เขาจะเอาเราตาย จะขับไล่ออกจากประเทศก็ได้ถ้าไปถึงขั้นของชาติ จะต้องเนรเทศให้ออกจากประเทศอยู่ในประเทศไม่ได้ก็ถึงขั้นนั้น แม้ที่สุดจะสั่งประหารชีวิตก็เป็นได้ถึงขนาดนั้นเลย ตามกฎเกณฑ์ของสังคม เราก็ไม่เอาอย่างนั้นไม่ให้เขาทำบาปขนาดนั้น เขาก็รับวิบากไป
เอกีภาวะ เป็นความเป็นปึกแผ่น อย่างเช่นชาวอโศกนี้มีความเป็นปึกแผ่นแน่น อสังหิรัง ใครตีแตกยาก ทำลายอโศกยาก และพวกอโศกก็แน่นอนไม่กลับกำเริบ ผู้แน่นอนแล้วอสังกุปปัง อวิปาตธรรม ไม่มีเปลี่ยนแปลงเป็นอันอื่นเลย อยู่อย่างนี้แหละ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
คำสอนเหล่านี้อธิบายเป็นทางบวกก็ได้ ทางลบก็ได้เป็นสิริมหามายา หากว่าเรามีปัจจัตตังเป็นของตัวเองแล้วจะฟังเข้าใจง่าย ยิ่งมีสูงส่งขึ้นไปเป็นปัจจัตตังเป็นปัจเจก จนมากขึ้นเป็น สยังอภิญญามีภูมิรู้ของตนที่มากพอจะพึ่งพาตนเองไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นแล้ว ก็จะสะสมภูมิรู้สูงสุดขึ้นเป็นปัจเจกสัมพุทธะ จนเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะเท่ากับพระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ประกาศศาสนาเป็นของตนเอง แล้วทำก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปโดยอิสระเสรีภาพของท่านจบ
เพราะฉะนั้นสูงสุดแห่งสัพพัญญู หรือระดับที่ 9 สูงสุดก็อยู่ที่ สัมมาสัมพุทธะเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งประกาศตนอยู่ในโลก หรือไม่ประกาศตนแต่มีภูมิเท่ากัน เป็นอิสระเสรีภาพสุดยอดเป็นเรื่องของท่านท่านจะไม่สอนใครท่านจะไม่ประกาศศาสนา ท่านจะสลายอัตภาพของท่าน มันก็เป็นเรื่องของท่าน ใครจะไปยุ่งกับท่านอย่าไปแส่ อย่าส.ใส่เกือก เป็นอิสระเสรีภาพที่สุดยอดเลย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แท้ๆแต่ไม่ยอมเป็น เป็นได้แต่ไม่ยอมให้คนในโลกรู้เลย ไม่ใช่เดาแต่เป็นสภาวะจริงที่อธิบายให้ฟัง อาตมายังเป็นไม่ได้แต่รู้นำไปแล้วได้
อาตมายืนยันว่าที่พูดนี้มันไม่มีความลับ มันไม่มีความโกงไม่มีความหลอก มีแต่เรื่องจริงมีแต่เรื่องที่เป็นสัจจะ มีความจริงใจไม่ได้เพื่อมาหาตัวตนหาหมู่คณะตัวเอง ไม่ใช่ อาตมาจะพยายามพูดที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยม เพื่อให้เหมาะสมและตัวตนได้ก็จะทำได้ แต่มันเป็นวิบากและไม่สะอาดบริสุทธิ์อาตมาจึงไม่ทำ ไม่สะอาดบริสุทธิ์และเป็นวิบากต่อไปอีกอาตมาจะเป็นพุทธเจ้าไม่ได้อีกต่อไป เรื่องอะไรจะไปสร้างเป็นวิบากที่เป็นอกุศลกรรมให้ตนซวย ไม่เข้าท่า อาตมาเลิกโง่แล้วก็ไม่ทำ ใครอยากจะทำก็แล้วแต่ อาตมาจะทำต่อไปจนถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็คอยดู ลีลาอาตมาว่ายียวนขนาดไหน อาตมายียวนไม่น้อยกว่าบิ๊กตู่นะ แต่มันเป็นเรื่องที่ในยุคนี้ต้องใช้มันเป็นศิลปะ มันมีอะไรชวนให้คนมาสนใจ แต่ไม่ร้ายนะ ชวนไปในทางดี
มันซ้อนแล้วชวนไปทำอย่างนี้มันน่าเอาอย่างหรือเปล่า ลึกๆชั้นสูงแล้วอาตมาอย่างอาตมาไม่น่าเอาอย่าง อย่างลุงตู่ก็ไม่น่าเอาอย่างเพราะมันยังไม่สะอาดไม่ดีมันมีความนิ่มนวลได้กว่านั้น แต่ต้องทำขนาดนี้ก็เอาขนาดนี้ก่อน มันซับซ้อนอีก แต่ต้องทำเพราะส่วนตัวมันยังไม่ได้ หากไม่เสียสละตัวเองบ้างมันจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร ก็ต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนใหญ่ นี่คือความหมายว่าพระพุทธศาสนาต้องสละส่วนน้อยเพื่อเป็นประโยชน์ส่วนใหญ่ แล้วส่วนน้อยหรือส่วนที่เสียนี้อย่าให้ไปคนอื่นเขาเสีย เรารับเสียเองแต่มันได้ประโยชน์มาก เราก็เสียแต่ส่วนน้อยก็คุ้มกัน สละได้คุ้มประโยชน์ได้มากเราก็ยอมเสีย สุดท้ายเราก็เป็นผู้ที่เสียสละ คุณเสียนี่คือคุณได้นะพวกเราฟังแล้วไม่มีปัญหา
อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกว่าเราเสียนี่แหละคือเราได้ นักเศรษฐศาสตร์ก็จะบอกว่าไม่ใช่ ก็ต้องพูดทวนให้เขาฟังอีก ฟังแล้วเขาก็บอกว่าไม่ใช่ สุดท้ายก็ต้องบอกว่าเป็นอย่างนั้นผู้เสียนี่แหละคือผู้ที่ได้ อธิบายอย่างนั้นก็จบ อาตมาจึงต้องมาพาทำให้จริง
ในหลวงท่านทำตนเองเสียสละให้ดูเฉพาะตัวท่าน คนก็เข้าใจว่านี่คือเสียสละ อาตมามาทำให้ประชาชนให้มวลเป็นผู้แสดงความเสียสละให้แก่คน ส่วนตัวอาตมาจะต้องรับ ว่าอาตมาจะต้องถูกเขาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่คนจะเห็นว่าประชากรราษฎรประชาชนมวลส่วนใหญ่ ต่างหากเป็นผู้เสียสละไม่ใช่อาตมาเป็นผู้เสียสละ อาต มาก็ต้องยอม ...ไม่งงไม่สับสนนะ
สมณะฟ้าไทว่า เสียสละแต่ไม่เอา แต่ให้ผู้อื่นได้
พ่อครูว่า... มันเป็นเรื่องของลีลาศิลปินที่เข้าใจโลกุตระต้องศึกษาให้เข้าใจและทำได้ ทำได้แล้วเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อีกจึงเป็นผู้สูงสุดในทุกเหลี่ยมมุมทุกมิติ ทุกท่า ด้วยบริสุทธิ์ใจด้วยปรารถนาดี แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาอย่างไรก็ต้องทำต้องพากเพียรไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ทิฏฐิสามัญตา
วันนี้มาถึงที่นี่รู้สึกว่าที่นี่จะมีพลเมืองที่สนใจศึกษามากกว่าราชธานีอโศก อาตมาก็ไม่ได้ริษยาไม่ได้งงอะไร เพราะว่าที่นี่คือหัว ราชธานีไม่ใช่หัวนะ
ศีรษะแปลว่าหัวแล้ว หัวต้องทำไปก่อน ผู้ฉลาดเอาหัวไปก่อน โทษที่เอาตีนเดินนำและหัวไปข้างหลังเป็นพวกที่ไม่เข้าท่า ถูกลากไป พวกที่เอาหัวไปนำก่อนคือพวกนำ พวกลากเอาตีนนำไปก่อน
มันเป็นสัจจะที่อธิบายขยายความได้ เราศึกษาให้ดีจะรู้รูปธรรมนามธรรม มันอยู่ด้วยกันซับซ้อนใช้ร่วมงานกันไปตลอดเวลา ที่อาตมาพาทำ เป็นสัจธรรมที่มันใจว่าต้องให้มนุษย์ในโลก ในยุคที่อาตมาจะต้องวนเวียนเกิดอีก เป็นโพธิสัตว์จะต้องทำให้จบ ยังไม่ท้อ อาตมายัง เป็นนิยต มหาโพธิสัตว์ จะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้สลายอัตตาตัวเองให้เป็นอุตุนิยามไม่ต้องจับตัวไปอีกก็ได้ อาตมาทำได้แล้วแต่ยังไม่ยอมทำตัวเองให้ 0 ยังจะศึกษาทำประโยชน์จนเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ไม่ใช่แค่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า เจตนาจะเป็นถึงสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ขึ้นทำเนียบไว้ในโลกเลย จะได้ชื่ออะไรตอนนั้นก็ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้ได้ชื่อว่าโพธิรักษ์ ตอนนั้นองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบไปเลย อัตภาพของอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก ไม่เอาแค่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้สัพพัญญูแล้ว แต่ไม่ประกาศศาสนา ปรินิพพาน 0 ไปอย่างนั้นไม่เอา จะประกาศจะขึ้นทำเนียบ จะไปตอนโน้นก็ยังไม่แน่นะอาตมาอาจจะรีไทร์ไปตอนเป็นสัมมาสัมพุทธะ จะประกาศศาสนาอีกก็อาจจะไม่ทำ ก็เป็นไปได้เป็นเรื่องอนิจจตา ในลักษณะ 4 ตัวสุดท้าย อนิจจตา ตัดสินด้วยตัวปัจจุบัน ปัจจุบันจะเป็นตัวที่ชัดเจนที่สุดเพื่อตัดสิน เมื่อถึงอนิจจตาแล้วจะต่อหรือไม่ต่อไปที่สันตติ
สามเส้า สันตติ ชรตา อนิจจตา หรือสามเส้าของอุปจยะ สันตติหรือ ชรตา จะเอาชรตาหรืออนิจจตาก็ตัดสินเอาเอง
สมณะฟ้าไทว่า...ถึงตอนนั้นพ่อครูสั่งสมไปมากได้แล้วก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลง จิตตั้งไว้แรง
พ่อครูว่า..ตอนนั้นก็สามารถตัดได้ ตั้งไว้แล้วแต่จะตัดก็ได้ เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปเสือใส่รองเท้า สุดยอดจริงๆธรรมะพุทธเจ้าเป็นเรื่องอิสระเสรีภาพ เรื่องอย่างนี้ไม่น่าโง่ก็โง่ได้ที่นี้จำไว้อย่าไปโง่ทีหลังอีกเอาให้ทัน รู้ให้ทัน เป็นโพธิสัตว์สนุก เรียนรู้ไปได้ อาตมาเป็นตัวจริงที่จะมาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมให้ถึง 5000 ปีให้ได้ ถ้าไม่ถึง 5,000 ไม่เอา ไม่ยอม ถ้ายังไม่ถึง 5,000 ปีจะตายแล้วก็ต้องเกิดมาอีก เพราะอาตมาไม่ทำชั่วแล้วไม่สร้างวิบากชั่วแล้วมีแต่สร้างวิบากดี ๆๆๆ แล้วจะไปกลัวอะไรเกิดมาชาติหน้าก็หล่อกว่าดีกว่าเก่าๆดีกว่าเก่าง่ายกว่าเก่าและพวกคุณก็จะมาช่วยมากขึ้นกว่าเก่าแข็งแรงขึ้นกว่าเก่าและมันจะเสื่อมก็ไม่รับรองด้วย ตัวใครตัวมัน มันตกไปโดยสัจจะมันมาไม่ได้ อยากมาก็มาไม่ได้เพราะว่าวิบากของคุณทำให้ตกนรกไป อย่าไปทำอุตริไม่ดีก็แล้วกัน
สาราณียธรรม
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
ชาวอโศกเรามีสาราณียธรรมจริง เมตตากายกรรม ใครเจ็บป่วยก็ช่วยเลยถึงช่วยกันดูแลอย่างพอเหมาะพอสม ผู้ที่มีกายกรรมที่เมตตา ชาวอโศกก็มีอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทะเลาะวิวาทมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน องค์รวมสงบได้ดี พูดก็เมตตากันมโนก็มีใจเมตตาจริง
เมตตา ทางมโน เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ก็อยากให้เขาพ้นทุกข์ เห็นคนอื่นเป็นสุขก็ไม่อยากให้เขาติดในสุข ช่วยให้เขาออกจากความสุขขี้หลอก ให้มาเป็นสุขอย่างวูปสโมสุข สุขอย่างโลกุตระจนกระทั่งสูงสุดไม่สุขไม่ทุกข์เลย ก็ทำไปตามฐานะบารมีว่าจะช่วยแค่ไหนอย่างไร หากว่ามันเกินกว่าจะลากจูงก็พอก่อน มันมีคนให้ช่วยทุกระดับงานมีให้ทำทุกเวลา
ผู้ที่อยู่กับหมู่กลุ่มมีสาธารณโภคีในข้อที่ 4 ของสาราณียธรรม 6 มีอยู่ร่วมกันกินร่วมกันใช้ของกลางและมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบกองกลาง แม้แต่ที่สุดบริหารและรับใช้ และก็รับใช้กันอย่างอภิบาล ไม่รับใช้อย่างอธิปไตย ที่จะไปใช้อำนาจบาตรใหญ่
อธิบายสามเส้าใหม่ อธิปไตย อภิบาล บริหาร
บริหารคือเป็นเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบ แล้วบริหารอยากให้เป็นอธิปไตยหรืออภิบาล
อภิบาลหมายถึงว่าดูแลปกครองช่วยเหลืออย่างดีมากเลย
มี sms เขียนมา sms ของพวกเราที่ยาวยืดมีสองเจ้า แต่ยังไม่อยากเอามาแทรก ของพวกเราเอง อาตมาก็เลยยังไม่อยากจะเอามาแทรกตรงนี้เพราะว่าบรรยายสภาวะของตัวเองลึก อาตมากำลังบรรยายอย่างเบื้องต้นมาหากลาง ก็ยังไม่อยากลงไปลึกถึง 2 คนนี้มันจะกินเวลา ก็มีใบทวงมา ว่าทำไมไม่พูดถึงก็ตอบเจตนาของอาตมาอย่างนี้
ผู้ที่สามารถทำสาราณียธรรม 6 สาธารณโภคีเราจะต้องกินอยู่อย่างบริหารร่วมกันร่วมกันกินร่วมกันใช้แล้วอาศัยสิ่งเหล่านี้พัฒนาตนเองขัดเกลาตนเอง ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเองให้เป็นผู้ที่เจริญ โดยมี ศีลสามัญตา ทำทิฏฐิสามัญตา ในส่วนตัวเรา สามัญญตา ไม่-ว่าศีลของเราเสมอสมานกับเพื่อน ศีล 5 เสมอสมานกับศีล 5 ศีล 10 เสมอกับศีล 10 แต่เราก็ต้องรู้ว่าศีล 5 นี้มีศีล 8 สูงกว่า ศีล 10 สูงกว่า มีศีลโอวาทปาฏิโมกข์สูงกว่า ศีลถึงขั้นธรรมมนูญ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลสูงกว่าเรา เราก็ต้องรู้ฐานะบุคคล อยู่กับท่านให้ได้เคารพกัน อยู่กันอย่าง คุรุกรณะ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามฐานะ แบบอย่างไรก็ไม่สับสน ผู้ใหญ่จะช่วยผู้น้อยอย่างนี้ผู้น้อยจะช่วยผู้ใหญ่อย่างนี้อย่างไร ผู้น้อยควรจะยกเก้าอี้ให้ผู้ใหญ่นั่งเป็นต้นชัดเจนมันต้องรู้หน้าที่ เข้าใจกันแล้วจะไม่มีปัญหาอะไรคืออะไรอะไรควรอะไรไม่ควร จบสุดท้ายพระพุทธเจ้าจึงสอนที่เราอยู่ที่ว่าควรหรือไม่ควร ในปัจจุบันนั้น มหาปเทส 4 เอาปัจจุบันนั้น ไม่อาศัยพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยตัวเองรับผิดชอบเอา ผิดก็เป็นวิบากของตัวเอง ถูกก็เป็นวิบากของตัวเอง อันนี้สุดท้ายและเป็นอิสระเสรีภาพตัวใครตัวมันแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
ศีลสามัญตา เป็นหลักเกณฑ์ที่พระเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว หรือจะมีในแต่ละลำดับแต่ละยุคสมัย มีตราขึ้นมาใช้อย่างเหมาะควรถูกต้องก็ต้องอาศัยในแต่ละยุคสมัย อาจจะมีเหตุปัจจัยที่มีความยึดถือต่างกันในแต่ละยุคสมัย อย่างของพวกเรานี้ยึดถือว่าอย่าไปแก้ของพุทธเจ้าเด็ดขาด ส่วนของมหายานนั้นถือว่าแก้ได้ เถรวาทถือว่าอย่าแก้เลย พวกเราอยู่ในฝ่ายเถรวาทยึดถือเอาไว้ พวกมหายานไม่มีที่สิ้นสุด แต่พวกเถรวาทนั้นมีแก่นแท้ มีที่สิ้นสุดได้ มหายานเขาก็เข้าใจและยอมรับ แต่ว่าเขาไม่เอาแบบนี้เขาจะเอาแบบมหายาน เขาต้องการแบบมาก แต่เถรวาทนั้นไม่ต้องการแบบมากต้องการของแท้ของจริง แม้น้อยเราก็ไม่มีปัญหาเราจะเอาหมูน้อยที่เป็นแก่น เราเข้าใจในหมู่มากนั้นเราจะมากอีกเท่าไหร่ก็ได้ แต่หนักไม่เอามันเสียเวลายาวนานจบเร็วเป็นพระอรหันต์เลยดีกว่าอย่าว่าแต่จะเสียเวลาให้ไปเสวยเสพอยู่ในสุทธาวาส 5 ก็ไม่เอา ไม่ไปเสียเวลาพระสมณโคดมเป็นหลักสูตรที่ลัดคัดสั้นที่สุด concise ที่สุด
ศีลที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ศีลแต่ละลำดับมีส่วนที่จะอนุโลมปฏิโลมส่วนที่ได้แท้ๆแล้วไม่ต้องทำอีกมีแต่สั่งสมให้แข็งแรงมั่นคง ตั้งมั่นมันก็มีเป็นสัจธรรมเป็นสภาวะธรรมที่เชื่อมโยงเพราะฉะนั้นความมีศีล เป็นลำดับมีสภาวะมีผลสำเร็จเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์จึงไม่ใช่เรื่องเล่น
อาตมาพยายามอธิบายย้อนไปย้อนมาศีลข้อที่ 1 2 3 จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเอามาอธิบายอีก
ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับคน ดิ้นด๊อกแด๊กได้ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของวัตถุไม่ดิ้นด๊อกแด๊ก ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกี่ยวกับสัตว์มันก็ต้องมีวิบากมากกว่า เกี่ยวกับของที่เป็นพืชนั้นไม่มีวิบากอะไร ยิ่งเป็นวัตถุยิ่งจะไม่มีวิบากเลย เพราะฉะนั้นเราจะเลือกเอาอันไหนถ้าคุณอยากต่อวิบากก็ต่อไปสิแต่ถ้าคุณไม่อยากมีวิบากเกี่ยวกับสัตว์ก็ปล่อยเขาไปอาตมาจึงไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดๆมันจะยุ่งก็เป็นวิบากของมัน เราก็ยุ่งเกี่ยวกับแค่ของมันไม่มีวิบากแค่นี้ก็เหลือแหล่แล้ว ชีวิตมีทั้งสองนะมีทั้งอุตุนิยามและพีชนิยาม ส่วนสัตว์ด้านในมีตัวเดียวแต่มันยุ่งยาก อาตมาว่าอาตมาไม่โง่ไปยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับ 3 ยิ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวสัตว์เดรัจฉานมันผูกพยาบาทมันรักมันไม่รู้เรื่องนะ มันหนักนะมันรักก็รักหนักมันผูกพยาบาทก็ผูกแน่นนะ เพราะมันยังไม่รู้เรื่องการปลดปล่อยอะไรเลย มันเกิดมาเป็นชีวแล้วมันไม่รู้ตัวหรอก ว่ามันจะถูกมันมีแต่จะเอาตัวเองให้หนาขึ้นแน่นขึ้นใหญ่ขึ้น ชอบใจอย่างนี้ก็มากขึ้นมากขึ้น กว่าจะเป็นเวไนยสัตว์ กว่าจะเป็นสัตว์ที่สอนได้นี้ นาน เป็นเวไนยสัตว์แล้วซ้อนได้แล้วก็ยังมีลำดับขั้นอีกเยอะแยะซับซ้อน
เพราะฉะนั้นศึกษาให้ดีและเราจะรู้ลำดับ จนถึงขั้นทำได้อย่างถูกสัดส่วน ได้มีข้อกำหนด ศีลกับทิฏฐิ ทิฏฐิเป็นความรู้เป็นหลักเกณฑ์เป็นผู้ที่เอาตัวนามธรรม ศีลสามัญญตาเป็นการเอาวัตถุเป็นหลัก ทิฏฐิสามัญญตาเป็นเอานามธรรมเป็นหลัก แล้วจัดสรรกับนามธรรมตัวนี้ทิฏฐิสามัญญตา
ทิฏฐิสามัญญตาจึงเป็นตัวซับซ้อนทิฏฐิสามัญญตานี้อยู่ในอุปาทาน 4 เรียกว่าทิฏฐุปาทาน
1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ บำเรอรูปรสฯ) .
2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน)
3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม)
4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . .
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 262)
การยึดถือในเรื่องกามก็เป็นความโง่ถ้าเลิกก็พ้นกามุปาทาน มีศีลมีหลักเกณฑ์ให้เป็นไปได้ตามทิฐิที่ชัดเจนและคุณก็ทำ แล้วก็อย่าไปหลงติดแต่บัญญัติอัตตวาทุปาทาน ไม่เข้าหาแก่นในเลย
ทิฏฐิแปลว่าความเชื่อ ลัทธิก็ได้ แต่ยังไม่มีสภาวะเปลี่ยนแปลงจริง จึงต้องเข้าถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงได้แท้จริงจึงเรียกว่าพ้นอัตตวาทุปาทาน
ยึดอัตตาได้แค่คำพูดภาษาบัญญัติตัวเองยังปฏิบัติไม่ถึงสภาวะแท้ได้สักที หรือว่าจะทำก็ได้รู้แล้วนะ ว่าจะต้องจัดการกับตัวกิเลสตัวนี้ ยังไม่มีความลังเลสงสัยว่าต้องจัดการแน่แท้ แต่ยอมไม่ทำเองเรียกว่าสีลพตปรามาส ทำอย่างเหยาะแหยะเล่นหัว ตัวนี้มันน่าเอ็นดู ดีไม่ดีมันทำประโยชน์ให้เรา ก็เอาไว้ก่อนใช้มันก่อน เลี้ยงไว้ก่อน สักวันหนึ่งมันจะกบฏ คุณจะตายเพราะมัน เลี้ยงไว้จนมันอ้วนพีสักวันมันก็จะมาฆ่าตัวเรา เอามาอยู่เลย อย่าประมาทเป็นอันขาดจัดการเสียให้มันเสร็จ กว่าจะพ้นสีลพตปรามาส จึงไม่ใช่เรื่องเล่น ไปเล่นหัวใหญ่ลูบคลำ
สีลพตปรามาสจึงเป็นหนึ่งในอุปทาน 4 แม้แต่พระพุทธเจ้าอธิบายสอนว่าไปอย่าไปยึดถือความเนิ่นช้าปปัญจธรรมอัตตา อารามะคือความยินดี ยินดีในความเนิ่นช้าเรียกว่า ปปัญจรามตา เลี้ยงมันไว้เดี๋ยวมันอ้วนนะมันมีกำลัง ประมาทไม่ได้ สรุปแล้วมันก็เข้าไปหาธรรมะคำว่าอย่าประมาทเพราะว่าตัวประมาทนี้เป็นตัวที่ร้ายกาจมากนี่คือสัจจะซ้อน
อาตมามีภูมิเท่านี้ อาตมามีภูมิที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆเท่านี้คือแกน 7 อาตมาต้องเข้าไปหา 8 เรื่อยๆ แต่ยังไม่ตัดสิน ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นเมื่อรู้ตัวแล้วก็สูงเสียแล้วดีกว่า ได้สภาวะจริงไปเรื่อยๆยังไม่ให้คะแนนตัวเองยังไม่บวกลบคูณหารของตัวเองเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าประโยชน์มันได้แล้วเป็นแต่เพียงเราเสียเวลาแรงงานเท่านั้นเอง ช่วยคนอื่นรับใช้คนอื่น คนอื่นก็ได้ประโยชน์ไม่มีปัญหา ถือว่าอันนั้นเราเสียสละก็ได้ เราได้แล้วเสียเวลาช่วยคนอื่นไปตั้งนานตั้งล้านกว่าปี อย่านึกว่าล้านกว่าปีนี้มันนานนะ มันไม่นานหรอก คุณไม่รู้ตัวว่าคุณเกิดมากี่ล้านปีแล้ว ก็ยอมเป็นผู้แพ้ก็ได้ เราไม่มีตัวตนเราก็อยู่กับศูนย์ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทำเท่าที่ควรเท่าที่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน แกนปัญญาเจโตเปลี่ยนแปลงกันได้ไหม
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเป็นโพธิสัตว์กว่าจะมาถึงนิยตโพธิสัตว์ จากการสะสมไปแต่ละอันก็ต้องรู้ว่า นัยยะอันนั้นเรารู้เองไหมว่า อันนี้เป็นโพธิสัตว์ขั้นไหน
พ่อครูว่า...ผู้ที่จะรู้ตัวเองว่าเป็นขั้นนั้นขั้นนี้อธิบายได้คนอื่นได้จะต้องเป็นบริษัทระดับ 7 ขึ้นไป ระดับแค่โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีแม้แต่อนุโพธิสัตว์ยังไม่รู้ตัวเองหรอก ดูตัวเองได้แต่อธิบายแยกแยะไม่ได้แต่สั่งสมไป เป็นนิยตโพธิสัตว์ที่เข้าไปหา 8 ระดับ 8 จึงจะแยกแยะอธิบายชี้แจงได้ จึงจะรู้ว่า 1 2 3 4 5 6 คืออะไรจึงจะรู้ว่า 8 ข้างหน้าเป็นอะไร 9 เป็นอย่างไร ส่วนอนิยตโพธิสัตว์นั้นแยกแยะอธิบาย แจกแจงไม่ได้อย่างนิยตโพธิสัตว์ ระดับของอนิยตะทำเป็นแต่ยังพูดอธิบายแยกแยะไม่ได้ ดีไม่ดี อนิยตโพธิสัตว์สั่งสอนคนได้มากกว่านิยตโพธิสัตว์ก็ได้ แต่เอามาแจกแจงอธิบายให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ดีไม่ดีบารมีมากกว่านิยตโพธิสัตว์ก็ได้ แต่ท่านช้าเองเพราะเป็นแบบแกนศรัทธาเจโตไม่เป็นปัญญา แบบปัญญาธิกะจึงไวที่สุด ไม่สูญเสียไม่รั่วซึมเสียหาย เก็บได้ทุกเม็ด พวกศรัทธานั้นเก็บไม่ค่อยได้จึงเสียเวลา เก่งกว่าแต่ช้า เพราะฉะนั้นปัญญาจึงนำศรัทธา ไม่ได้ไปข่มแต่มันเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องยกตนข่มท่านมาคุยโม้ทับถม ไม่ใช่
คุณฟังแล้วอยากได้ปัญญาแต่คุณเป็นศรัทธา คุณจะได้ ถ้าเป็นแกนศรัทธาคุณต้องสะสมปัญญา คุณจะเอาตัวปัญญาเป็นแกนของเราจริงๆคุณต้องสั่งสมปัญญาจนกระทั่งถึงเข้าขั้นแกนปัญญา แต่ศรัทธามันบรรลุอรหันต์ได้แล้ว คนจึงไม่เอาปัญญาก็ได้เอาแค่ศรัทธาก็ได้
แต่ใครก็อยากได้แก่นปัญญา แต่มันสั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ไหนก็ไม่รู้อยู่กับแกนศรัทธา คุณอยากได้ปัญญาจริงๆก็ได้คุณต้องเสียเวลาสะสมนะ จึงต้องยอม แต่ถ้าคุณบอกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว มันเมื่อยไม่ไหวแล้วก็ปรินิพพานไป เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นตัวนำที่สุดมันจึงช้าและเร็วต่างกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(อุปกิเลส) ตอน อย่าประมาทในวัยและวันเวลา
อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงสามารถทำให้เกิดมวลเกิดหมู่กลุ่มเกิดสิ่งที่ทำให้เกิดเป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่มจะค่อยๆเจริญขึ้นผนึกเป็นมวลที่มีเครือแหเยอะขึ้นๆคนก็จะชัดเจน คนที่แสวงหาคนที่มีแนวมีปัญญาหรือว่ามีฐานรู้ที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้โดยเฉพาะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีโลกุตรธรรมมีอริยบุคคลมากกว่าที่อื่น จะรู้ก่อนแล้วค่อยๆเป็นไป อาตมาไม่กลัวคนจะไม่ยอมรับอาตมา อาตมาแสดงความจริงใจ และทำความจริงนี้ให้ปรากฏจริงคนที่เขาไม่ยอมรับอาตมาก็เอาเถอะไม่ยอมรับไม่เป็นไร แต่คนที่เขาชัดเจนแล้วเขายอมเขาก็จะเปลี่ยนเขายอมมาได้เรื่อย คุณทนไม่ได้หรอกสุดท้ายคุณก็ต้องจำนน คนที่ทนนี่นะจำนนนี้นะ 1 ตัวกูต้องเป็นใหญ่กว่า 2 ต้องมีคนอื่นใหญ่กว่ากูจะเอาคนนั้นไม่ใช่คนนี้ สุดท้ายก็ต้องเอาเงินที่ว่ากูก็ไม่ใช่คนที่ใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีแล้วจะไปไหน ก็ต้องเอาขนาดนี้แหละ นอกจากตัวเองจะหลงตัวเองนี่แหละว่ากูนี่แหละใหญ่กูนี่แหละใหญ่เป็นพระอินทร์อยู่ตลอดเวลาก็เชิญ ให้มันใหญ่จริงเถอะนะถ้ามันใหญ่จริงนี่มันจะต้องมีภูมิปัญญารู้ว่าอะไรคืออาริยะแท้ ถ้าใหญ่จริงมันจะต้องมีภูมิปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอาริยะแท้ คนจะรู้ตัวเองว่าตัวเองใหญ่จะต้องรู้อะไรที่ใหญ่กว่ามันมีแล้วมันมีอีกแล้วจึงจะใหญ่จริง
คอยดูโดนัลด์ทรัมป์นี่จะเป็นตัวอย่างโดนัลดั๊ก เป็ดง่อยตัวนี้ แต่ก็นึกว่าตัวเองแข็งแรงอยู่แต่เป็นเป็ดป่วยนะโดนัลด์ทรัมป์เป็นโดนัลด์ดั๊ก เขาไม่อยากจะเป็นหรอกนะแต่เขาเป็นได้แค่นี้เพราะเขากดขมไว้ไม่ว่าจะทางกามหรืออัตตา ก็จะมีโจทย์ทางกามทางอัตตาเยอะแยะเลย พูดอย่างมีหลักฐานยืนยันอ้างอิงไม่ได้พูดไปเรื่อย มันเป็นสิ่งที่เขาทำตัวเองอย่างไม่รู้อย่างอวิชชา จริงๆเราจะต้องขอบคุณเขาเพราะเขาจะต้องรับวิบากต่อไปเป็นสายเทวนิยมเขาไม่ได้เรียนรู้วิบาก เขาไม่รู้หรอกเทวนิยมเขาได้ชาติเดียวแล้วเป็นนิรันดรเกิดมาชาติหนึ่งแล้วก็ไม่รู้ ทั้งๆที่พุทธเจ้าสอนรู้ด้วยปัจจุบันทำ เป็นเหตุปัจจัยในโลกแล้วก็จะรู้ได้มาก แต่ว่าเขาตายแล้วไปจมอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรเกิดชาติเดียวก็ตัดตัวเองอยู่ที่ชาติเดียว คุณก็ไม่อะไรต่อคุณก็จบ ปิดสวรรค์อยู่กับพระเจ้า แต่ว่าถ้าตัวเองไม่มีสิ่งที่จะมีสวรรค์พระเจ้าส่งลงนรกก็ต้องจมอยู่ในนรกแค่นั้น คุณอยากจะเอาแบบเทวนิยมก็เชิญเลย สวรรค์อเทวนิยมมีทางออกคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็จมอยู่ทางโน้นมันเป็นสัจจะ ใครจะไปจัดการได้คุณเลือกเองคุณยึดถือเองแต่ถ้าคุณบอกว่าทางนี้จะเป็นทางออกที่ดียิ่งกว่าก็ศึกษาสิแล้วจะเกิดภูมิปัญญาว่าเราจะไปจมอยู่ตรงนั้นทำไม
แม้คุณแน่ใจว่าจะได้สวรรค์แล้วจะตายไปอยู่กับพระเจ้าก็ได้ สวรรค์จึงอยู่กับพระเจ้าเท่านั้นและคุณรู้ไหมว่ามีสวรรค์นั้นมากหรือยาวนานอย่างไร จริงๆแล้วพระเจ้าสั่งให้สวรรค์ยาวนานหรืออย่างไร กรรมเป็นของๆตน สวรรค์ของคุณก็มีเท่าของคุณ พระเจ้าจะสั่งให้ได้อย่างไร กูนี่แหละใหญ่ที่ลงสวรรค์ลงนรกได้ เขาก็หลงตนอยู่อย่างนั้น
พิสูจน์กันไปอาตมาถึงว่ามันยังพิสูจน์กันน้อย ยังไม่มีตัวอย่างมากจนตัดสินได้ จึงต้องทำให้มีตัวอย่างมากพอที่จะเป็นหลักจนกระทั่งเขายืนยันกับเขาได้ เขาฟังแล้วเขาก็นั่งคอตกซบเซา พูดไม่ออกต้องเอาอย่างนั้นเลยเพราะมันจำนน ต้องเอาให้เขาจำนนต่อฐานต่อความจริงนี้ยืนยัน แล้วเขาก็มีปัญญารู้จริงๆไม่ผิดที่ท่านมีสิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าเป็นของถูกต้องคนที่ซื่อสัตย์สุจริตใจไม่ดันทุรัง แม้ว่ากูไม่ถูกก็จะเอาชนะก็จะเถียง
คนที่รู้ความจริงก็จะมีเครื่องตัดตัดสินยืนยันเหมือนกัน แต่อย่างพวกทักษิณนี้เขาก็จะบอกว่าพวกเขานี่แหละต้องชนะ ไม่ต้องดูไบไหนหรอก ไม่ต้องไปเสียสตางค์ไปดูไบไหนหรอก ดูไปที่นี่แหละดูพิสูจน์ความจริงกัน เมื่อไหร่จะได้รู้กัน ต้องสร้างความจริงยืนยัน อย่าประมาททำเป็นชะล่าใจอย่างไรก็ นอนมาแล้วก็มีพระนำหน้าอย่างนั้นไม่ถูก
คำว่าไม่ประมาทจึงเป็นอุปกิเลสตัวสุดท้าย มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ
มทะ แปลว่าเมา ปมาทะ เป็นตัวสุดท้ายในอุปกิเลส 16 เป็นสุดยอดแล้ว แห่งอุปกิเลส ในอุปกิเลส 16 ตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายเลยพระพุทธเจ้าตรัสเรียงลำดับเอาไว้ มันสุดวิสัยที่เราว่าเราไม่ประมาทแล้วก็แล้วไปเถอะ เรานึกว่าเราประมาณประมวลแล้ว ได้เท่านี้ก็สุดที่บารมีของเรา แต่ถ้าเรายังไม่รู้ต่ออีก แล้วเรายังประมาทอีก ยังบอกว่าไม่เป็นไรหยวนๆ เสร็จนะ เรายังไม่ต้องรีบหรอก ศีรษะอโศก ราชธานีอโศกยังไม่หายไปไหนหรอก เดี๋ยวจะไปวันตายพรุ่งนี้ไม่ได้แช่งหรอก พ่อครูจะอยู่ไปอีกถึง 151 ปี เรายังหนุ่มกว่าท่านเรายังสาวกว่าท่าน นี่คือประมาททั้งนั้นเลย ประมาททั้งนั้นเลย หายใจเข้าไม่หายใจออกตายขี้ไม่ออกเยี่ยวไม่ออกตายกินมากเกินไปตายไขมันจุกอกตาย ดีไม่ดีเดี๋ยวก็เสือกรุง จักรยานยนต์บ้างรถดั้มรถยนต์มันชนเขาไปสู่กองฟอนแยะไป เด็กออกไปเถอะเดี๋ยวเสือกรุงวันๆหนึ่งมันกัดมันฆ่าคนตายมากกว่าเสือป่า เสือป่ามันกัดคนตายวันละกี่คนกัน แต่ว่าเสือกรุงนี้มันกัดคนตายวันละเท่าไหร่ เป็นปกติในเรื่องเทศกาลเลยที่จะมีคนตายจากอุบัติเหตุเสือกรุงชนคนตาย ที่อุบัติเหตุตายเองก็มีอีกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นให้หยุดเที่ยวหยุดไปที่อื่นให้มาก ทุกวันนี้สื่อสารมันช่วยเรา อยากเห็นอะไรก็กดเอาทั่วโลกเลยไม่ว่าแต่เมืองไทยเท่านั้นเรื่องอะไรจะไปเสียเวลาไป เสียเวลาเสียแคลอรี่ เอาแคลอรี่มาปลูกผักพืชสร้างสรรค์ให้แก่มนุษยชาติเป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อโลกด้วยดีกว่าเยอะเลย
เพราะฉะนั้นที่ยังอยากเที่ยวอยู่ อาตมาใช้คำว่าเที่ยวคำนี้นี้มันเลวมาก คนชอบเที่ยวนี้เลว ขออภัยพูดให้ชัดเจนก็หยุดเที่ยวได้นี่ ปักหลักแล้วก็ทำสิ่งที่ดีอยู่ในนี้ ได้ออกกำลังกายด้วย ไม่ต้องไปเที่ยวอะไร ไม่ต้องไปสูดโอโซนที่อื่น อาตมาสร้างแต่ที่ที่มีโอโซนที่มีอากาศบริสุทธิ์มีพระอาทิตย์พระจันทร์ได้สัดส่วนการเคลื่อนไหวของพลังงานของแก๊สของอากาศของดินน้ำไฟลม ได้สัดส่วนที่ดี ไม่เชื่อมาทดลองดูได้เลยคุณไปหาเอาเองคุณยังไม่เก่งเท่าอาตมาหรอก อาตมาสร้างเอาไว้นี้ให้มันมีสภาวะ อย่างได้สัดส่วนที่ดีมากเลยตามที่อาตมามีภูมิรู้
ตัวอย่างที่ราชธานีอโศกอาตมาว่าลงทุนไปไม่น้อย แม้แต่เราจนก็ตามแต่เราก็ทำ คนอื่นจะมาเที่ยวเราก็ไม่ว่ากัน ไม่ได้เก็บเงินทองอะไร เราก็รู้สึกดีอบอุ่นใจด้วยซ้ำไป คนมาได้รับประโยชน์ ดินน้ำไฟลมมันมีอยู่คนมารับประโยชน์ก็ดีแล้ว เราก็อาศัยดินน้ำไฟลมอย่างพอใช้เหลือเฟือ ถ้ามันเกิดความแออัดต่อไปในอนาคต เราก็จะรู้ คนที่จะเอาผิดเข้ามาเราก็จะรู้และมีกฎเกณฑ์เข้ามาเท่านี้เอาเท่านี้ แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาก็ให้มาฟรีเลย ยินดีต้อนรับอย่ามาสร้างความวุ่นวายอะไร อย่าก่อเรื่องไม่ดีไม่งามก็แล้วกันอย่างนี้เป็นต้นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องประเสริฐสิ่งที่มนุษยชาติควรได้ควรมีควรเป็น
ใครจะเชื่อว่า อาตมาเป็นคนจริงที่มีสร้างสัปปายะ 4 แก่มนุษยชาติ มีสถานที่ มีบุคคล มีสิ่งอาศัย มีอาหาร มีทั้งธรรมะมีทั้งบุคคลที่สัปปายะ ใครเชื่อก็มา ใครเชื่อพุทธเจ้าก็มาอาตมาไม่มี hidden agenda ใดๆเลยขอยืนยัน ก็สามารถพูดความจริงตามความจริงใจได้ประมาณนี้เพียงเท่านี้
ส.ฟ้าไท สรุป...
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:35:59 )
รายละเอียด
611001_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 18
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1QDfYuD1czIqjqSoXOr2rBeDDATNVxfBOsvw3nL132dQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ur1atzXpPrBFZT8yoU2XnCm5o3C9hE-u
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก นึกถึงพวกข้าราชการปลดเกษียณนะ ปีจอวันจันทร์ แรม 7 ค่ำ เดือน 10
SMS วันที่ 28 กย. 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)
_1614อย่าเข้าใจว่าโกรธทีหนึ่งแล้วก็แล้วไปนะ โกรธทุกทีจะเพิ่มอนุสัยแห่งความโกรธ คือ ความเคยชินแห่งความโกรธให้เข้มข้นทุกที เราจะโกรธง่ายขึ้นทุกที จะสะสม เปน สันดาน สั่งสมไป - พุทธทาสภิกขุ
พ่อครูว่า...จริง อาตมาก็รับรองว่า เป็นความจริงอย่างนั้น
อาตมามีโศลกอันหนึ่งว่า…ความโกรธอย่างไรแม้นิดแม้น้อยเมื่อเกิดขึ้นในจิตแล้ว Kick It Out เอามันออกไปจากจิตให้สะอาดทันที อย่าเอาไว้ อย่างหยาบ กลาง ละเอียด แม้เล็กเท่าละอองธุลีก็เอาออกไป เอาไว้รังแต่ทำให้เราเลวร้าย
มาเรียนกับอาตมากับชาวอโศกจะเป็นคนที่หายโกรธได้เร็ว เพราะจะเป็นผู้ที่รู้โทษภัย สายอื่นจะโกรธนาน สายอาตมาจะโกรธน้อย โดยเฉพาะอาตมาชื่อรัก ไม่ใช่สายเครียด ก็คงมาจาก เคียด นี่แหละ
_ศีลห้าเป็นข้อห้ามทำชั่วซึ่งกำหนดมีห้าประการแต่ความหมายลึกซึ้งใครปฏิบัติได้ ต้องมีผัสสะ กระตุ้นให้ การปฏิบัติธรรมกระเตื้องขึ้นใช่หรือไม่คะ
พ่อครูว่า...ถูกต้อง อาตมาเอาศีลนำมา จนกระทั่งผู้รู้ว่า จะศึกษาศีลให้ไปสันติอโศก จะศึกษาสมาธิให้ไปธรรมกาย จะศึกษาปัญญาให้ไปสวนโมกข์ อย่างนี้เลย
แต่อาตมาว่าหากไปศึกษาธรรมกายก็เป็นมิจฉาสมาธิ ศึกษาปัญญาอย่างอื่นก็จะได้เฉโกไปเยอะ ท่านพุทธทาสก็เป็นพระอาริยะอยู่ มีภูมิปัญญาโลกุตรธรรมบ้างแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน เมตตากับราคะห่างกันคนละโยชน์เลย
_เมตตา กับ ราคะ ห่างกันแค่ เส้นยาแดงผ่าแปด จะแยกแยะ สังวรระวังอย่างไรคะ ถึงจะไม่ตกหลุม
พ่อครูว่า…อ่านให้ชัด เมตตานี้ ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ ราคะนี้มันคนละโลกเลย มันอบายมุข
เมตตาเป็นโลกียะก็ได้ เข้าใจเป็นมิจฉาทิฐิก็ได้เป็นเมตตาแบบโลกีย์
อย่างอาตมา อธิบายเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาก็ไม่เหมือนกับที่เขาอธิบาย เขาอธิบายเมตตาก็คือ เห็นเขามีทุกข์ก็เลยอยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาก็เลยอยากให้เขามีสุข ก็มีแต่อยาก มุทิตาก็อยากจะไปยินดีกับเขาที่เขามีสุข ไม่ทุกข์แต่ของพุทธมุทิตาคือยินดีที่ไม่ทั้งสุขทั้งทุกข์ ยิ่งอุเบกขาโลกียะกับโลกุตระไปกันคนละอย่างเลย
พระพรหมคนละองค์ พระพรหมของศาสนาโลกียเป็นพระพรหมหลายหน้าไม่รู้กี่หน้า แต่ของพุทธนั้นมีสี่หน้า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่พระพรหมของศาสนาอื่นแยกแยะด้วยบัญญัติภาษา ไปเยอะแยะ ไปไม่รู้กี่พันหน้า ล้านหน้าก็ได้ พระพรหม เพราะความเข้าใจในสภาวะธรรมหรือบัญญัติแตกแยกกัน ไม่ตรงกัน ไม่เหมือนกัน มีเยอะมาก ส่วนโลกุตระจะไปทางทิฏฐิเดียวกัน รู้ความสุข ทุกข์เป็นอาริยสัจ โดยเฉพาะสุขนั้นเป็น อัลลิกะ ส่วนทุกข์นั้นเป็นอาริยสัจะ
สุขกับทุกข์เป็นเมถุนธรรม เป็นภาวะคู่ ถ้าดับได้จริงก็ต้องดับทั้งคู่ ดับสุข ทุกข์ก็ดับ ดับทุกข์สุขก็ดับ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ เหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน ถ้าไม่มีเหรียญก็ไม่มีสองด้าน ถ้ายังมีเหรียญอยู่ คุณก็ต้องมีอยู่ 2 ด้าน จะผ่าเป็นกระดาษบางอย่างไรมันก็มีสองด้านอยู่ดี นอกจากคุณจะแหลกแยกกระจุยไปเลย คุณก็ไม่เหลือวัตถุธาตุอันนี้มันจึงไม่มี
สรุปแล้วเมตตาคือจิตโลกุตระ ปรารถนาให้เขามีโลกุตระให้เขาพ้นทุกข์พ้นสุข
กรุณาคือลงมือกระทำช่วย
แล้วอย่าไปหลงติดยินดีว่าเราเป็นผู้ทำ เป็นผู้มีบุญคุณ อย่าไปทำจิตอย่างนั้น เขาจะจำได้หรือจำไม่ได้ก็แล้วแต่เขา เข้าจักกตัญญูกตเวทีหรือไม่ก็แล้วแต่เขา ไม่ได้คิดหวังผลตอบแทนอะไรทั้งนั้น วาง อุเบกขาปล่อยวางไปเลย นี่คือลักษณะของโลกุตระ เมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขา
ส่วนราคะ นั่นคือต้นตอโทสมูล เค้าแรกคือราคะ ถ้าบอกว่า ภวราคะ ก็ยังเบา ราคะนี่เป็นคำสรรพนาม ไม่ใช่วิสามัญนาม เป็นคำกลางๆรวมๆ แต่หากเข้าใจแล้วก็เป็นคำเสียจะเป็นคำดีไปไม่ได้ ราคะ คือหมายถึงภาวะไม่ดีทั้งนั้น แม้โลกีย์หรือโลกุตระ
แต่ถ้าโลกุตระ เมตตาไม่ใช่หมายถึงสิ่งไม่ดี ส่วนราคะแน่นอนไม่ดีแน่ ต่างกันไกล แต่นี่มาบอกว่าห่างกันไกลแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน โพธิปักขิยธรรม 37 แบบสั้น
_ต่าย ณ สกล ขอเรียนถามว่า อินทรีย์ 5 กับพละ 5 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ถ้าเหมือน ทำไมจึงนับซ้ำในโพธิปักขิยธรรม 37
พ่อครูว่า...อินทรีย์ กับพละก็มีนัยยะต่างกัน ภาษาไทยบอกไม่ชัดเจน อินทรีย์หมายความว่าเป็นฐานเป็นมรรค พละเป็นผล
อินทรีย์มาก่อนพละ พละคือผล บางทีก็ใช้คำว่าผลแทน คำว่าอินทรีย์ 5 พละ 5 ก็เป็นหลักสอง
ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 คือ สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
สัมมัปปธาน 4 คือ สังวรปธาน สังวรว่าเกิดกิเลสขึ้นเมื่อสัมผัส ผัสสะ ก็ปหานกิเลสได้ ทำได้ก็ทำซ้ำๆ เป็นอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง อาเสวนาคือทำซ้ำ ภาวนาคือ ทำให้เกิด ผลอย่างที่ทำได้นี่แหละ พหุลีกัมมังคือทำให้มากทำให้บ่อย จนทำได้ทุกปัจจุบันสั่งสมเวทนาเป็นอดีต 36 ปัจจุบัน 36 จะไม่สงสัยในอนาคตอีก 36 ทำได้กิเลสสูญแน่ ทำได้เกิดผลเป็นอินทรีย์ พละ 5 อ่านมโนปวิจาร 18 ได้ จึงแยกแยะโลกุตระกับโลกียะได้
ยืนยันว่าต้องมีสัมผัส 6 ลืมตาปฏิบัติ หลับตาปฏิบัติไม่มีทางบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมไม่มีกายภายนอกไม่ครบกาย พระพุทธเจ้าย้ำว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาเพี้ยนเอาคำว่ากายแค่ข้างนอก ที่จริง กายนี่เน้นที่ จิต มโน วิญญาณ แต่ต้องมีภายนอกด้วย นี่มันยากอย่างนี้แหละ
อินทรีย์ 5 พละ 5 ก็เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันตรงมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย พละเป็นผล อินทรีย์เป็นมรรค
_SMS 29-30 กันยายน 2561
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นใครที่แสดงธรรมได้ชัดเจอได้เนื้อๆ และไม่กลัวหน้าอินหน้าพรหมไดๆอย่างแกล้วกล้าอาจหารอย่างนี้เลยครับ ถูกใจคนซาดีสม์อย่างผมมากครับ กราบสาธุๆ
พ่อครูว่า...อินทร์กับพรหมอาตมารู้จักดี ทำไมต้องกลัวด้วย
_จาก ลูกศีรษะอโศก
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง ขออนุญาตกราบเรียนผลจากการฟังธรรม เรื่อง อุปาทาน อาสวะ อนุสัย ความจริงแล้วเกินภูมิของลูก แต่ก็อยากเขียนมารายงานตามความเข้าใจของตัวเองที่เกิดจากสภาวะ ถูกผิดอย่างไร ขอความเมตตาจากพ่อท่าน แก้ไขชี้แนะ ให้ลูกด้วยค่ะ
1. คำว่า อุปาทาน มีลักษณะดังนี้ เป็น "รูปใน" เทียบได้กับสังโยชน์ 3 มีความยึดติดเหนียวแน่นในสิ่งที่ตัวเองชอบ ชัง ดูด ผลัก ในคนสัตว์สิ่งของและอื่นๆ ที่เป็นสเปก ล็อกไว้เป็นสักกายะ สั่งสมไว้ในจิตเป็นก้อนแข็งปึกเหมือนหินสลายยาก เป็นสแตติก มีผัสสะเบาๆ เคลื่อนตัวออกมาเป็นไดนามิค เรียกว่า ตัณหา คือความใคร่อยาก เห็นได้เร็วและชัด ควบคุมอารมณ์ได้ยาก มักไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัว ก็โดนกิเลสเล่นงานแล้ว เช่น เวลาหิวมากๆ เป็นของที่ชอบ ตัวอย่าง ชอบปิซ่า (แต่เราตั้งตบะไว้ว่าไม่กิน) ก็คว้ากินโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัว ก็ลงกระเพาะแล้ว ต่อมาก็เศร้าใจ "เราไม่น่าเลย" อย่างนี้ ถูกต้องหรือไม่คะ
2. คำว่า อาสวะ มีลักษณะดังนี้ เป็นอรูป เทียบได้กับอุปกิเลส 16 เป็นกิเลสละเอียด เห็นได้ยากมาก ต้องกระทบผัสสะหนักๆ แรงๆ จึงเห็นได้ ถูกต้องหรือไม่คะ
คำว่า อนุสัย มีลักษณะดังนี้ พ่อท่านบอกว่า เป็นสัญญา เป็นพลังงานก้อนสุดท้ายที่พระอรหันต์ เอาไว้อาศัยทำประโยชน์ ส่วนผู้ที่ยังไม่อรหันต์ ตามความเข้าใจของลูกคือ พระอนาคามี ที่ยังไม่สิ้นสังโยชน์ เบื้องสูง คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ยังต้องทำอยู่ เช่น ลูกกำลังทำเรื่องของไข่เจียว จนกว่าเห็นไข่เจียวแล้ว ไม่มีน้ำลายออกมา จึงจะเรียกว่า สิ้นสังโยชน์ในเรื่องของไข่เจียว อย่างนี้ ถูกต้องหรือไม่คะ
ขอความเมตตาพ่อท่านแก้ให้ลูกด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า ได้
_น้ำมนต์...ทำไมคนเราต้องลดกิเลสคะหลวงปู่
พ่อครูว่า..ถามซ้ำหลายทีแล้ว หลวงปู่จำได้ ตอบอีกไม่เป็นไร เพราะว่ากิเลสนี่คือผี ผีคือจิตของเรามีตัวไม่ดีเรียกว่าผี เราต้องลดละล้างกำจัด ทำให้มันตายไปจากจิตเรา ผีคือจิตที่อยู่ในตัวเราเป็นตัวร้ายอยู่ข้างนอกช่างมันเถอะอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่ของเรานี่ต้องกำจัด น้ำมนต์เคยดื้อหรือไม่ นั่นแหละจิตผี มันจะเอาแต่ใจมีไหม นั่นละผี จำไว้อย่าเอาแต่ใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนนี้ดีกว่ารวยแน่นอน
_ใจแก้ว...อยู่ในดงคนจน เสร็จแล้วก็กลับไปบ้าน น้องชายเสียชีวิต กลับไปดงคนรวย ก็จะได้พิสูจน์ 2 ฝั่ง แต่ที่นี่ จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ น้องชายเสียชีวิต เห็น ความวุ่นวายของมรดกด้วยแล้วลำบากอย่างนี้จะไปรวยทำไม หาก็ลำบากกว่าจะรวย ตายก็ต้องจ้างทนายจัดการมรดก มาเห็นความจนกับความรว
ยชัดเจนที่สุด อ่านจิตตนเอง พี่สาวเป็นคนโสด มีห้างทองใหญ่ที่สุดในปาดังเบซาร์ อายุ 77 ปีแล้ว บอกว่าให้เรากลับบ้านไป จะไปวัดทำไม จิตเราก็คิดถึงว่าจนนี้สบายกว่า ก็เลยได้เปรียบเทียบ ฟังพ่อท่านไปแล้วเราก็ได้เจอของจริง ดูแล้วเขารวยก็ไม่มีความสุข เขาบอกว่าทุกข์จะตายกว่าจะได้มา รักษาไว้ก็มีความทุกข์อีก แต่พี่สาวก็บอกว่าให้มาอยู่เพราะมีเงินหลายร้อยล้าน เป็นโสดไม่มีคู่ ทุกคนก็เชียร์หมด
เขาก็ว่า คนที่สองนี่แหละ(ใจแก้วเป็นลูกคนที่สอง) จิตเราไม่กระดิก เรามาจนดีกว่า เคยรวยมาก็ห่วงสมบัติ ตอนนี้ น้องชายตาย ก็ยังพบความยุ่งยากกับพินัยกรรม แต่พี่สาวรวยกว่าอีก ก็ยังไม่ได้คิดเรื่อง
พ่อครูว่า...เข่งมาแต่อายุ 20 กว่า เดี๋ยวนี้ 68 ปีแล้ว เป็นนางสาว มีลูกสาวคนหนึ่ง มาตั้งแต่ 27 ปี มีสามีคนหนึ่ง แล้วก็เลยหาเมียให้สามี ประวัติเขา ตกแต่งให้ไป แล้วก็อยู่ในบ้านเดียวกันไปอย่างนี้เป็นต้น ภรรยาที่หาให้สามีก็ดี คือมันดูแล้ว คนเรา จิตใจต่างกัน แล้วมารวมกันแต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก หาภรรยาให้แก่สามีก็ไม่เดือดร้อน อยู่ด้วยกันดี สามีก็ทำหน้าที่ เราก็ขอมาทำหน้าที่ทางนี้มาปฏิบัติธรรมะ เขาก็เข้าใจ อยู่ดี อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องของคนดีๆที่ไม่มีเรื่องมาก ที่อื่นฆ่าแกงกัน ผู้หญิงผู้ชาย ขนาดอายุมากแก่เฒ่าแล้วพูดไป เปรอะปาก ทั้งนั้นแหละ ยังมีเรื่องราวมาออกข่าวกันไม่จบหรอก กี่ปีกี่ชาติ ก็มีเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดาสามัญ คนที่มีจิตใจถึงขั้นมาเข้าใจคนจนแล้วมาเป็นคนจนมันไม่ใช่ธรรมดา มันเป็นโลกุตระเป็นอารยชน มันกลับขั้วกัน ปฏิโสตัง ทวนกระแสโลกีย์ คนธรรมดาก็ต้องให้รวยมากๆนั่นแหละดีเขาจึงจะใช่ ตอนนี้ก็ชัดเจนเลยว่าเขาไม่เอา ชุบมือเปิบได้ ยกให้ฟรียังไม่เอา ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครเป็นสิทธิ ก็พี่สาวเป็นโสดบอกว่าน้องคนนี้น่าได้ คนอื่นก็ไม่น่าได้เท่า คนนี้มันดี แต่ก็ไม่เอาอีก มันซ้อนอีก ยิ่งดียิ่งไม่เอามันซ้อนไปใหญ่ เป็นภาวะแทรกซ้อนขัดแย้งในตัวอย่างนี้แหละธรรมะ
อาตมาตอนนี้ก็เขียนหนังคือ คนจนที่มีแบบ เล่ม 1 พิมพ์ออกมาแล้ว 192 หน้า ก็จะมีฉบับแก้แล้วไขอีก เพิ่มเป็น 500 กว่าหน้า เล่ม 1 นะ เล่ม 2 อีกต่างหาก ตัดจบเล่ม 1 แล้ว ก็จะได้พิมพ์ออกมา อาตมาว่าน่าอ่านนะ พูดไปจะหาว่าหลงตัวเองอีก อ่านหลายๆเที่ยว เพราะว่ามันชัดเจนละเอียดลออดีมาก
ตอนนี้ อาตมา ภาวธรรมเก่าๆขึ้นมาเยอะ ตอนแรกก็สลับกลับไปกลับมาบ้าง ตอนนี้ก็ต้องมาแก้ไข ธรรมะนี้มันจะสลับกันได้ ธรรมะ 2 ซ้ายขวาหน้าหลังกลับไปกลับมา จึงเรียกว่าสิริมหามายา ต้องมีสัมมาทิฎฐิแล้วจิตใจเห็นดีเห็นงามในโลกุตระ ถ้าไม่เช่นนั้นไม่มาหรอก
อาตมาทำงานเพื่อสืบทอดศาสนาของพระสมณโคดมให้ถึง 5000 ปี อาตมาไม่ได้ระบุจำนวนเวลาแต่รุ่นก่อนๆระบุมา อาตมาเห็นด้วยเข้าใจ อาตมาว่าไม่ผิด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เลี้ยงไส้เดือนมาทำประโยชน์ให้คนได้ไหม
_มีคนเขาฝากมาให้ถามว่า...เขาจะสามารถเลี้ยงไส้เดือนเพื่อจะเอาฉี่ไส้เดือน ทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้ เพราะว่าเม็ดถั่วเหลืองไม่เวิร์ค ก็ต้องไปใช้ไข่แดงอีก แต่ถ้าเป็นฉี่ไส้เดือนจะได้ พ่อท่านจะอนุญาตให้เลี้ยงไส้เดือนได้ไหม
พ่อครูว่า...อาตมาไปบังคับไม่ได้หรอกผู้ที่มีวิบากก็ทำไปเถอะ จะไปบังคับกำหนดก็ไม่ดี ถ้าให้อาตมาว่าก็ไม่ดี ไม่ควรทำ เพราะเอาสัตว์มาเลี้ยงอีกเดี๋ยวมันก็จะตายคามืออีก แต่ถ้ามันเป็นอาชีพจะทำอย่างไร ถ้าจะให้ดีหาทางที่จะทำอาชีพที่อยู่กับพืชกับวัตถุ อุตุนิยาม พีชนิยามอีกว่า จิตนิยามหรือสัตว์ ปล่อยไปตามวิบากเลยได้ อย่าเอามายุ่งเกี่ยวกันเลย หรือเอามาทำประโยชน์ หากไม่จำเป็นอย่างสุดวิสัยก็อย่าเอามาเลย แค่อุตุนิยาม ดินน้ำไฟลมพืชพรรณธัญญาหารแค่นี้ก็เหลือแหล่ ที่จะเอามาเลี้ยงชีพอาศัยในชีวิตได้มากพอ และอาตมาว่า เมืองไทยนี้ต้องการอันนี้ ต้องการพืช เอาล่ะ แร่หรือโลหะ ดินน้ำไฟลมก็ตามที่มี แต่ว่าพืชนี้มันหมุนเวียนสร้างสรรค์ทำได้เป็นคุณสมบัติก่อเกิดได้ทั้ง ในเวลาเร็ววันหรือเป็นปีหรือเป็นหลายปีเอาเป็นผลใช้ประโยชน์ได้ ก็มาเอาอันนี้ดีกว่า เมืองไทยอยู่ในโซนนี้ที่จะทำเรื่องนี้ได้ดี อาตมาขอเน้นย้ำ เรื่องนี้ ถ้าประเทศไทยยกให้อันนี้เป็นวาระแห่งชาติ ระดมทำกสิกรรม แม้แต่ว่าปศุสัตว์ ประมง ก็ไม่เน้นก็ได้ ก็ปล่อยไปให้คนที่จำนนทำ วิบากของเขา เราไม่ปิดกั้นแต่อันที่ควรทำคือพืช หลีกเลี่ยงจากอันโน้น มันเป็นเรื่องสำคัญคือวิบาก จิตนิยามเป็นวิบากต่อกัน ยิ่งสัตว์ชั้นต่ำ วิบากมีแรง ปล่อยมันไป หากต้องการหลุดพ้น แต่หากไม่ต้องการหลุดพ้นก็แล้วไป นัวเนียกัน ชาติแล้วชาติเล่า คุณฆ่าเขา เขาฆ่าคุณ ไม่ทีเดียว แต่ไม่รู้จบ
อาตมาพูดนี้เพราะมีความเข้าใจจริง อาตมายืนยันตัวเองเป็นอรหันต์ เป็นแบบนี้ อรหันต์ไม่ใช่อรหันต์เก๊ อรหันต์เดาแบบเขา อาตมามีวาสนาแบบนี้ เน้นหนักแรง ขนาดคุณเมื่อกี้บอกว่า ชอบซาดิสม์ เป็นต้น ชอบแรงๆถึงใจ ดีนะไม่บอกมาโซคิสม์ คือตนเองเจ็บตัวแล้วพอใจ แต่ซาดิสม์นี้เห็นคนอื่นเจ็บแล้วพอใจ เข่น ดูคนชกกัน ไก่ตีกัน คนฆ่าแกงกันที่ไหนชอบ ก็ต้องลดความยินดีพึงใจในสิ่งเหล่านั้นให้ได้ก่อน
สมณะเดินดินว่า...เกี่ยวกับ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้คุยกับคุณทิวเมฆ เขาว่าเอาขี้นกกระทา เอามาผสมปุ๋ยดีมาก
พ่อครูว่า...ก็ดีนะ ไม่เอาอะไรมันมาก เอาขี้มัน บางคนเอาไข่ เอาขนมัน เนื้อมันไม่เข้าท่า เอาขี้มันไม่หวงหรอก
_สิกขมาตุเป็นหญิง..คราวที่แล้วปลูกฟักทอง 100 หลุม ถั่วเหลืองหมักกับน้ำข้าว 3 เดือนแล้วเอาไปใส่กับฟักทอง ไม่มีลูกห่างเลยค่ะ100 หลุม ได้ฟักทอง 2 ตัน ส่วนที่ไม่ใส่ 150 หลุมได้ 1 ตัน ตอนหลังเอาน้ำถั่วเหลืองหมักไปรวมกับจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงแต่ต้องหมักกับน้ำซาวข้าวถึง 3 เดือน อันนี้ได้สูตรจากคุณเป็นดิน จากพิษณุโลก
พ่อครูว่า...ที่จริงไปเอาขี้มาก็ไม่มีวิบากเท่าไหร่หรอก แต่อันนี้ไม่ต้องเกี่ยวกับสัตว์ได้เลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมมังสวิรัติเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1
_ดินนา ทำไมพ่อท่านกำหนดบุญญาวุธหมายเลข 1 คือมังสวิรัติ
พ่อครูว่า..อาตมาที่กำหนดก็ไม่ได้รู้ตัวมาก่อนหรอก แต่เห็นว่าเป็นความสำคัญ ก็เลยเอาเป็นเรื่องบุกเบิกในการทำงานศาสนา แต่ก่อนมีแต่เจ อาตมาเอามังสวิรัติมาทำด้วยเหตุว่าคือธรรมะที่เกิดจาก การปฏิบัติศีล แล้วมีธรรมะศีลข้อ1 คือเกี่ยวกับสัตว์
ศีลข้อ 2 จะมีวิบากตามทันไม่เร็ว มันเป็นวัตถุ ไม่มีรักหรือชังอะไร
ศีลข้อ 3 ก็พัวพันกับสัตว์เกี่ยวกับราคะเกี่ยวกับกามอยู่
เรื่องสัตว์เป็นเรื่องเบื้องต้น แม้แต่เรื่องผู้หญิงผู้ชายก็เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เดรัจฉานไม่รู้เรื่องกาม อเวไนยสัตว์ก็สอนกันไม่ได้ ต้องเป็นเวไนยสัตว์แล้วมาสอนโลกุตระได้ มีอัญญธาตุได้
ถ้าสนใจเรื่องสัจธรรมพุทธศาสนา อาตมานับถือคนเคร่งตั้งใจปฏิบัติ เอาจริงเอาจังแต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็น่าสงสาร อาตมาบอกอย่างจริงใจเขาก็หาว่ามีกิเลส ไม่ใช่ ก็ท่านมีทิฏฐิเห็นผิด เข้าใจว่า อาริยะ อรหันต์เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ ความรู้องค์รวม ทิฏฐิ concept ของท่านไม่ใช่ ไปยึดถือที่สรุปไว้อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงเป็นทิฏฐุปาทาน แล้วกลายเป็นอัตตวาทุปาทาน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ร้านเท่าทุนพิสูจน์จิตอาสาจะไปไม่รอดเพราะว่าอะไร
_ดิฉันได้สนทนากับญาติธรรมที่ทำร้านพิสูจน์จิตอาสาเขาเห็นว่า ขายเท่าทุนหากขายดี ก็คงจะไม่มีแรงทำต่อเพราะว่าไม่ได้อะไรเลย ก็คือถ้าขายดีเราจะหมดแรง แล้วก็เหมือนกับว่าเราเป็นผู้ให้แรงงานไม่ได้อะไร ประชาชนได้ เขาห่วงว่าไปไม่รอด
พ่อครูว่า...หนึ่งหมดแรงเราก็พัก หมดทุนเราก็หยุดขาย ไม่ได้แย้งเลย คนค้านแย้งคือคนไม่เต็มใจทำ ถ้าเต็มใจก็ไม่แย้ง เราหมดต้นทุนจะขายต่อแล้ว เราหมดแรงแล้ว เขาก็บังคับเราไม่ได้ ไม่เป็นปัญหาเลย เป็นปัญญา
_ดินนาว่า.. ดิฉันไม่สงสัยเลย แต่มีคนคิด
พ่อครูว่า..หนึ่งคุณคิดไม่ทัน หรือสอง กิเลสทำให้คิดพูดเช่นนี้ อาตมาสนับสนุนเลย หากหมดแรงหมดทุนทำต่อก็หยุดได้
_ดินนาว่า ถ้าภูมิอนาคามีจะไม่เอาอะไรกลับมาเลย
พ่อครูว่า...ใช่ คนเป็นอนาคามีจะไม่เอาอะไรกลับมาแน่ แต่ไม่ถึงก็ต้องการอยู่บ้าง
_ใจแก้วว่า... มันอยู่ได้เพราะเราไม่ได้คิดต้นทุนค่าแรงของเรา
_แก้วบุญ..ทำไมมีกิเลสคะ
พ่อครูว่า...กิเลสเกิดจากเราไม่รู้มันกิเลสคือจิตไม่ดี จิตโง่ จิตชั่ว ต้องมาเอามันออกไป คือผี เรียนรู้ อย่าให้จิตอย่างนั้นเกิดในใจเรา มันมีกิเลสมาก็พยายามไม่ให้เกิดอาการ
_ดูดี...ทำไมโรงเรียนสัมมาสิกขาถึงมีนักเรียนน้อย
พ่อครูว่า..ก็เพราะว่ามันยากทั้งที่กินอยู่ฟรี เพราะเขาไม่รู้ว่านี่ดี เข้าใจไม่ได้ ก็ไม่ได้บังคับมา หลักเกณฑ์ที่นี่คือ หนึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองเห็นดีเห็นงาม สองเด็กต้องเห็นดีเห็นงาม ถ้าฝืนขัดกันส่วนใดส่วนหนึ่ง หากจะบังคับมาต้องทำใจหน่อยว่าจะไปไม่รอด แต่ถ้าทั้งพ่อแม่ลูกเต็มใจก็สมบูรณ์
ที่ดูดีถามว่า ทำไมมีน้อยก็มันยาก คนจะมาเป็นคนดียาก ไม่ค่อยอยากมาเพราะมันโง่ คนที่ได้มาแล้วนี่ฉลาดทั้งนั้น ..(ตอบว่าไม่รู้) พ่อครูถามต่อว่าจะอยู่ไหมล่ะ ถ้าอยู่ก็ฉลาด หากจะไปก็โง่แล้ว
ศีลเด่นก็มาแล้ว น้องบัวก็มาแล้ว จะไปทำไม เขาตั้งชื่อน้องชายเขาเองด้วยว่าศีลเด่น
_น้อมยอดธรรม..พูดเรื่องหนี้ หนี้นี้เป็นโลกีย์ดิฉันคิดว่าใช้เขาหมดไปแล้ว แต่หนี้ทางโลกอีกแบบที่เราอยู่มา เวลาไปวัด เขาก็จะไปกู้หนี้ที่วัด ดิฉันมาฟังพ่อครู ก็ติดหนี้สินพ่อท่าน ท่านสมณะ เป็นหนี้ชาวอโศกเพราะไปเพ่งโทสถือสา
พ่อครูว่า..ติดหนี้อาตมา อาตมาไม่คิดดอก เป็นอรหันต์แล้วก็ปล่อยไป ต้นก็ไม่คิด ดอกไม่คิด เป็นหนี้อาตมาได้
ใจเราเป็นหนี้วิบากในอนาคตต้องไปตามใช้ ดีไม่ดี ไม่ต้องตามใช้ แต่มันต้องได้ใช้คนอื่นแทนอีกเป็นได้ ไม่ทำเลยดีกว่า แต่มองมุมกลับมาเป็นหนี้บุญคุณอาตมานี่ดี ให้อาตมาสอนทำงานให้ก็เป็นหนี้ แต่เกรงใจบ้างว่าอาตมาจะตายไว อาตมาไม่ทวงทั้งต้นทั้งดอก
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน เถรวาทกับมหานิกายอันหลากหลาย
_ดิฉันจะขอถามพ่อว่า ศาสนาพุทธทำไมมีหลากหลายนิกาย ที่เมืองเลยมีภูเขาที่พระอยู่ถือเคร่งทำให้ชาวบ้านแตกกัน เพราะบางสำนักสอนเถรวาท หรือบางสำนักมหายาน เดรัจฉานวิชชา ทำให้ชาวบ้านแตกแยกกันหลายสำนัก พระสูบบุหรี่เล่นหวย เปิดเผย ดิฉันเลยหนีออกมา เวลาทานอาหารดิฉันก็ไม่ไปร่วมวง เขาก็ว่ากินเจนี้เหาะได้ไหม สารพัดแดกดัน ดิฉันก็ว่า อยู่ไม่ได้แล้ว ออกมาคนก็ร้องไห้ ของอโศกเราเป็นเถรวาทหรือธรรมยุติ
พ่อครูว่า...เถรวาท เป็นนิกายเดิม เถรวาทคือ นับเอาผู้ที่เป็นนักบวชผู้เถระ ผู้เก่า ผู้แก่ ผู้ต้นทางเป็นพี่ คือผู้ที่เกิดร่วมยุคพระพุทธเจ้า คำสอนของผู้เกิดร่วมยุคพระพุทธเจ้า คือคำสอนของเถระในพระไตรปิฎก เขาจะเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ากับพระเถระ มาบันทึกในไตรปิฎก จะไม่ได้บันทึกคำสอนอาจารย์รุ่นหลังจากยุคพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นเรียกวา อาจาริยวาทหรืออรรถกถาจารย์ไม่ใช่คำสอนเถระ แต่ถ้าเป็นของเถระนี้ใช้ได้ พิสดารหลากหลายกว่าสมัยพระพุทธเจ้า บางทีพระพุทธเจ้ารับรอง บางที ก็ไม่ได้รับรองแต่ใช้ได้ เราจึงรับรองส่วนเถรวาทะ แต่สำนักคึกฤทธิ์พุทธวจนะนั้นเอาแต่ของพระพุทธเจ้า ไม่เอาของเถรวาทะ ก็เป็นทิฏฐิของเขา อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ากับเถระ
อาตมาจึงกลายเป็นเถรวาทะ ก็เป็นเถรวาทะของชาวไทย ไทยเป็นลัทธิเถรวาทะแต่เดิม จนมาแตกเป็นสองนิกายใหญ่ คือธรรมยุติ กับมหานิกาย แต่เดี๋ยวนี้มีลัทธิแตกย่อยเยอะ ก็อย่างที่พูด อยู่กันคนละเขา หรือแม้แต่วงการเถรสมาคม ที่จริงเป็นสมาคมเถื่อนนะ ไม่ได้จดทะเบียนสมาคมใดๆนะ
สำหรับของอาตมาเป็นทั้งธรรมยุตและมหานิกาย เพราะว่าตอนแรกบวชธรรมยุตแต่ก็ยังไม่ได้คืนใบสุทธิ ก็ไปบวชกับมหานิกายอีก สำหรับอาตมา สงฆ์ชาวอโศก เป็นทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ตอนหลังก็เอาใบสุทธิไปคืน 1 ใบ ใบสุทธิเป็นเรื่องสมมุติ ในยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใบสุทธิ ในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดนิกายชัดเจน พระพุทธเจ้าสิ้นไปแล้วจึงเกิดแตกแยกเป็นนิกาย
สรุปแล้ว อาตมา เป็นหมดทุกนิกายที่ไทยเขามี เป็นทั้งเถรวาทเป็นทั้งมหานิกาย เป็นทั้งธรรมยุต ไม่ได้ตกหล่นเลย แล้วเขาก็หาว่าอโศกเป็นอีกนิกาย อาตมาก็ว่า ใครมาจัดให้อาตมาเป็นนิกายก็เป็นบาปเพราะเป็นเรื่องอนันตริยกรรมเป็นสังฆเภท อาตมาว่าอาตมาเป็นแค่นานาสังวาส พระ เจ้าทางเถรสมาคมจะมาคบกับอาตมา ก็มาตามวินัยที่เข้ากันได้เป็นสมานสังวาสกันได้อาตมารับ อันไหนที่เข้าไม่ได้ด้วยวินัย คุณก็ปลงอาบัติหรือเลิกสิ่งที่มันยังเข้าไม่ได้ จนกว่าคุณจะทำได้ก็เข้ามาสมานสังวาสกัน เป็นพระสังวาสเดียวกันหรือสมานกันได้
นานาสังวาสได้ แต่ถ้าอสังวาสมา ปาราชิกมาไม่รับ แต่ถ้า สังฆาทิเสสมาก็ให้ปลงอาบัติให้จบอยู่กรรมให้จบก่อน ไปจัดการให้เสร็จหน้าที่ของคุณก่อน ไม่เช่นนั้นเกิดชาติหน้าคุณก็ต้องค้างสังฆาทิเสส ไม่ได้ปลงก็ต้องไปปลงอาบัติก่อน คนที่มาเป็นสมณะชาวอโศกจึงมีน้อยหายาก
มหายานคือ ยานใหญ่ เขาก็แปลภาษา หีนยาน มหายาน ก็เท่านั้นเอง เขาถือว่าหมู่ใหญ่กว่า แต่หมู่เล็กหีนยานหรือเถรวาท ถือว่า เป็นพวกที่ถูกต้องเคร่งครัดกว่าอันนั้นมันบานปลายเสื่อมไปเยอะ ก็เอาเถอะ เราสนใจอันไหนก็มา ธรรมวินัยนั้นมีอยู่แล้ว
_พลังพร...ถ้าเวลาฟังธรรมพ่อท่าน ดูเหมือนจะบรรลุธรรมรู้สึกว่าจะดีๆ แต่เวลาพ่อท่านเทศน์จบแล้วลุกไปก็หายหมด จะทำอย่างไร
พ่อครูว่า..ไม่เป็นไร ไม่ถึงขีดไปทำได้ก็เอาแค่เข้าใจก่อน อย่าบังคับตนเองมาก หากคุณฟังแล้วเข้าใจแสดงว่ามีภูมิรับได้ ฟังแล้วเข้าใจ แต่ถ้าภูมิไม่ถึงก็มี เข้าใจได้ จำได้ แล้วก็ทำได้หรือไม่ได้ก็อีกชั้นหนึ่ง
_พลังพร...คิดว่าอยากจะทำนาต่อ คณะกรรมการจะให้ทำต่อไหม
พ่อครูว่า...หากไม่เจียมสังขาร เกินไป ก็ห้ามบ้างใจเราไหว แต่คนอื่นว่าตอนหลังต้องเสียเวลารักษาจะลำบากลำบน เสียเวลาเสียเงินทอง เสียสุขภาพไม่เข้าท่า เราเชื่อฟังหมู่หลายคนว่าไม่ได้ก็ฟังแต่ถ้าหมู่ว่าได้ก็ได้ ก็แล่วแตมู
_ดินจริง...มีอย่างเดียวคือพระอรหันต์เป็นที่หมายทำให้เราพ้นทุกข์ได้เป็นความปรารถนาแรงกล้าแม้ความหมายง่าย คือไม่ต้องหนักใจเบาใจว่างสบายหมด แต่กิเลสมันหนักหนาสาหัส ก็ตั้งภพไว้ว่า ผัสสะมันแรงมา เราก็ต้องเจอบ่อยๆ สิ่งกระทบเราก็รุนแรง จึงทดสอบสภาวจิตเรา บางครั้งเราก็ผ่านได้แต่บางครั้งเราเผลอไป แต่เราหยุดยอมแล้วพิจารณาว่าอยากเป็นอรหันต์หรือไม่ เวลามีผัสสะแรง ด้วยการหมั่นฟังธรรม หมั่นทำงาน เอางานแล้วก็เป็นโพธิสัตว์บำเพ็ญไปก่อนแล้วไม่เลี่ยงไม่หลบไม่หนี ไม่ว่ากับใคร ลุยไปถึงที่สุด มีผัสสะก็เอาอรหันต์มาเตือน
พ่อครูว่า..ได้อาจจะนานหน่อย ก็จริตเป็นเช่นนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เมากลิ่นแอลกอฮอล์จะทนอย่างมีปัญญาอย่างไร
_ดินเย็น..ผัสสะปัจจุบัน คือเอาสดๆร้อนๆ วันนี้ ตัวเองก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่เขาหมักไว้ข้างบ้าน มันก็มีสัญญาเก่าว่าเราเคยกิน มันก็เมาอย่างนี้ เมื่อเราได้กลิ่น อาการเมาก็เหมือนกัน ใจเราไม่ผลักแต่อาการไม่ค่อยดี มันมีอาการเมาไม่เป็นตาอยู่ เราจะหนีหรือเปล่า เพราะเขาก็ลงทุนเยอะ แล้วขายดีด้วย จะหนีหรือจะให้ทน
พ่อครูว่า..มันพอทนได้ทนไปเถอะ ก็ใช้พลังปัญญาด้วย พลังเจโตจะทน พอพลังปัญญาเกิดขึ้นก็จะเบาลง พิจารณา เช่นเราไปอยู่กับคนที่ทำปุ๋ยขี้ไก่ มันเหม็น เป็นธรรมชาติอย่างนี้ แต่เราจะทำประโยชน์ก็ทำไป มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ใช้การอดทนโดยไม่พิจารณามันจะวนเวียน แต่ถ้าทนด้วยการพิจารณา ว่ามันเป็นเช่นนั้น ก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ หากว่ามันเป็นโทษเราก็ไม่เอา ถ้ามันไม่เป็นโทษแต่มันเป็นของมันอย่างนี้มันเป็นก๊าซไข่เน่า มันเป็นก๊าซชนิดหนึ่งไม่ถึงกับมีสารพิษอะไร ก็ว่าไป ไม่เป็นอะไร มันก็มีสีแดงแต่ไม่ได้ทำให้เราบาดเจ็บ สีขาวสีเหลืองสีแดงไม่ดี มันก็มีดีอะไรมันก็สีแดง แต่เราไม่ชอบสีแดงเราชอบสีเหลือง หรือเราชอบสีเหลืองไม่ชอบสีแดงก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น จริงๆแล้วมันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันก็อยู่ที่ใจเราจะเกิดปัญญาว่า อ๋อ มันก็เป็นของมันเช่นนั้นที่ภาษาของท่านบอกว่าเป็นตถตา
เราเองรักเองชังเอง ชอบเองไม่ชอบเอง ก็เกิดปัญญา ที่อธิบายยังไม่ละเอียด แต่เราปฏิบัติอยู่แล้วก็ค่อยเป็นไป
เราเมาเวียนหัวก็ต้องห่าง ร่างกายเราไม่ดี หากไม่เมา ทนได้ก็ทนไป เหมือนกับพวกดมกาว นี่คนดมแล้วเมาก็ชอบ แต่บางคนดมก็ว่ากลิ่นไม่เป็นไร แต่บางคนก็ทนได้แต่อาตมาไม่เห็นเป็นอะไรมันก็มีกลิ่นฉุน ก็ไม่น่าจะมีพิษมาก แต่ก็เป็นได้
แต่ถ้าเราจำเป็นต้องทนเพื่อประโยชน์ก็ต้องทน แต่ถ้าไม่เห็นจำเป็นจะต้องทนไม่มีประโยชน์อะไรก็ไม่ต้องทน ถ้าหากประโยชน์มันคุ้มเราก็ทำ
_กล้าตรง..ผมเกิดวันครูใฝ่ฝันว่าจะเป็นครูแต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะมีอุปสรรคเยอะ ทีนี้ผมมาเป็นนักเรียนก็เลยประทับใจกับการเป็นนักเรียน มาอยู่บ้านราชฯเรียนตั้งแต่ ม.วช. ว.สว. ปัจจุบัน ว.นบ. แต่ก็ไม่ได้จบสักอัน คำว่าเคารพในการศึกษาเป็นคำของพุทธเจ้าหรือไม่ มีความหมายลึกซึ้งอย่างไร
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้เคารพในการศึกษา การศึกษาหากคนไม่เคารพจะเป็นอย่างไร เพราะว่าจะไม่มีสิ่งที่ทำให้คุณเจริญ คุณจะไม่เคารพสิ่งที่ทำให้คุณเจริญแล้วจะไปเคารพอะไร จะเป็นพฤติกรรมวัตถุหรือมนุษยชาติหรือแม้แต่สัตว์ที่ทำให้เราเจริญ มันจะทำให้เราเกิดโลกุตรธรรมเราก็เคารพ มีศาสนาบางศาสนาถือสัตว์บางชนิดเพราะว่าทำให้เขาเจริญ แต่ว่า หากเราไม่เคารพในสิ่งที่ทำให้เราเจริญคือการศึกษามันผิดหรือถูกล่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน สมองกับจิตกับมโน ทำงานต่างกันอย่างไร
_สมองกับจิต กับมโน ทำงานต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...สมองนั้นเป็นรูปธรรม อุปกรณ์ให้จิตกับมโนใช้งานทำงาน สมองเป็นอุตุ หรือพีชะ ถ้าสมองตาย ไม่มีชีวะแล้ว เป็นพืชก็ไม่ได้ เป็นจิตนิยามไม่ได้ก็เป็นอุตุ ส่วนจิตมโนใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าสมอง
หัวใจกับสมอง เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย
สมองเป็นสิ่งที่ให้จิตใจใช้อุปกรณ์ ส่วนหัวใจนั้นทำให้โลหิตทำงาน ขาดเลือดหรือเลือดไม่กี่นาทีก็ไปแล้วแต่ถ้าสมองนี้เร็วกว่าแต่สมองมีหลายส่วนแต่หัวใจมีที่เดียว
สรุปแล้วสมองเป็นที่ให้จิตและมโนทำงาน แต่หัวใจให้เลือดทำงาน แต่สมองให้จิตมโนวิญญาณทำงาน
วิญญาณคือภาษารวมของพลังงานธาตุจิต ธาตุรู้องค์รวมคือวิญญาณแยกเป็นเจตสิกอีกเยอะแยะ จิตกับมโนก็แยกเป็นเจตสิก เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ
จิต เป็นคำกลางๆ proper noun
จิตเป็นตัวใหญ่ เจตสิกเป็นตัวบทบาท ย่อย มโนเป็นตัวใน จิตสังขารกับมโนสังขาร
จิตสังขารคือหยาบ มโนสังขารคือภายใน วจีสังขารก็ไม่ใช่วจีกรรม คือการปรุงแต่ง จิตกับมโน เป็นตัวปรุงแต่งตัวกลางของจิตกับมโน
หากจิตกับมโนช่วยกันทำงานเกิดจิตสังขาร จิตเป็นบวก มโนเป็นลบ
เหมือน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นแรงเคลื่อน ส่วน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนาเป็นแกนหลัก
วจีสังขารคือปฏิฆสัมผัสโสที่มีอธิวจนสัมผัสโส คือมีพลังงานจิตเกิดแล้ว คุณก็รู้ว่ามีชื่อเรียกว่าอาการสุข นี่คือทุกข์ นี่คืออาการสะอาด นี่คือสกปรกมีกิเลสไม่มีกิเลส วจีสังขารคือมีอธิวจนะพร้อม ถ้าไม่ได้ตั้งชื่อเลยก็เป็นเพียง ปฏิฆสัมผัสโส สัมผัสขึ้นมาให้รู้ตัวเป็นธรรมะ 2 สัมผัสแล้วก็เกิดสภาพ ฆ หรือก้อน เป็นสามเส้า เกิดตัวก้อน ฆ ก็ถ้ามีชื่อก็เป็น อธิวจนสัมผัสโส ไม่มีชื่อเป็นปฏิฆสัมผัสโส
สมองเป็นอุปกรณ์ให้จิตกับมโนทำงาน
_ความเครียดกังวลนึกคิด ความสุขความทุกข์ ก็มาจากสมองสั่งงาน ฮอร์โมนในสมองก็มี เพราะฉะนั้นสมองเป็นส่วนหนึ่งของกายกับจิตมโน ก็คือทำงานอยู่ในกายต่างคนต่างทำงานใช่ไหมคะ แล้วสมองคงอยู่ใต้การทำงานของจิตใช่ไหม
พ่อครูว่า..สมองอยู่ภายใต้การทำงานของจิตก็ได้ สมองเป็นอุปกรณ์ให้จิตทำงาน ทีนี้อยู่ในกาย ต่างคนต่างทำงานก็ใช่ จิต มโน วิญญาณก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย เวลาจะเรียนเราก็ไปเรียนที่จิต มโน วิญญาณ เรียกว่า กายคือ ต้องประชุมสอง เราก็เอามาใช้ทีละ 2 เรียกว่าธรรมะ 2 จับคู่ภายนอกกับภายในก็ได้ ภายในกับภายในก็ได้ หยาบกับละเอียดก็ได้ ให้มีข้อเปรียบเทียบ 2 อย่างเรียกว่าธรรมะ 2 หรือศัพท์รวมเรียกว่า กาย
เพราะฉะนั้นคำว่า กาย จึงมีนิยามชัดเจนว่า ต้อง 2 และต้องมีภายนอกร่วมด้วย มีแต่ภายในไม่มีภายนอกก็ไม่เรียกว่าการ เช่นเราปฏิบัติกามภพเสร็จ แล้วแต่ รูปภพ อรูปภพ
รูปภพก็ไม่มี กาย ไม่เรียกกาย เป็นภายในแล้วจึงมีกามภพ ภวภพ
พยัญชนะก็แยกย่อยหากทำหน้า อย่างคุณคนนี้ถามมามันจะสับสนปนเป ให้เอาทีละคู่ อย่าแย้งพระพุทธเจ้า อย่าเอาจริตที่คุณมันชอบเยอะๆ อย่าอยากเร็วหากจับทีละคู่ ได้ผลเป็นอันดับคุณจะเร็ว อย่างอู๊ดนี้เยอะตอนแรกก็เยอะ แต่ตอนนี้ลดลงก็เอาแต่อรหันต์ ให้ได้ก็รู้จักสรุป แล้วเขาก็มีปิติมากชอบจะพูด โม้ คุย เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรก็ให้เขาระบายบ้าง
_อย่าร่ำไร กับคนที่มีหัวใจ เราไม่มีวันได้อะไรที่คาดหวัง คนที่ไม่มีหัวใจ จะอธิบายทางธรรมะได้อย่างไร
พ่อครูว่า...คนไม่มีหัวใจนี้ อธิบายทางธรรมะคือคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไร มันไม่มีใจ ไม่มีความรู้สึก มันจะเอาธรรมะก็ไม่เอา มันจะเอาดีก็ไม่เอามันจะเอาแต่ชั่ว อย่างนี้เป็นต้น ปล่อยไปตามที่ชอบเถอะ คนที่ไม่มีหัวใจกับอะไรเลย มันต้องมีหัวใจมันต้องมีความรู้สึกกับอะไรบ้าง อย่างน้อยก็รู้สึกกับพฤติกรรมตนบ้าง ทำให้พฤติกรรมของตนเจริญพัฒนาบ้างฝึกฝนอบรมบ้าง คนจะไม่ฝึกฝนอบรมพฤติกรรมเลย ยิ่งจะไปฝึกฝนอบรมใจมันก็จะไม่ได้อะไร
_เกร็ดดิน..การกำหนดหมายทำได้ทีละตัวใช่ไหม
พ่อครูว่า...ทำได้ทีละตัวจนกว่าคุณจะสร้าง มุทุภูตธาตุ ได้เร็ว แต่อย่างไรก็ได้ทีละตัวคนจะจบลงไปทีละจุดนั้นได้ทีละจุดเดียว มันเร็วมุทุภูตธาตุ ของอาตมาเร็ว จิตที่มัน มุทุภูตธาตุภาษาบาลี เขาไปแปล หยาบๆว่า อ่อน แต่ของพระพุทธเจ้านั้นมีความหมายมากกว่านั้น มันมีความรู้เร็วขึ้น ปรับปรุงได้เร็วขึ้น
_เกร็ดดินว่า... ดิฉันกำลังออกกำลังกาย สั่งให้ออกกำลังกายอัตโนมัติ ท่าทีนั้นได้แล้ว แต่ภายในก็ปรุงธรรมะ ก็เลยลืมไปเลยว่านับได้กี่ทีแล้ว
พ่อครูว่า...มันไม่ทัน หากฝึกก็ทำได้ มุทุ เขาแปลว่าอ่อน ก็แปลว่า แคล่วคล่องว่องไวนั้นดีกว่า เจโตปรับได้ไว ปัญญารู้ได้ไว รวมแล้วเป็นเจโตกับปัญญาที่แววไว แคล่วคล่องยิ่งขึ้น เรียกว่า ปาคุญญตา
_แก่งธรรม...ขอแสดงความเห็น จากการที่ผมเอง ได้ข่าวพี่น้องเราประชุมกันเรื่องการค้า เฮือน บวร ผมเกิดปีติ เห็นว่าเป็นความคิดที่ใหญ่
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อารามตา 4 กับการยินดีในการงาน
_กิ่งธรรม...ลูกมาอยู่ที่นี่ได้ 4 เดือน ทำไมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก อยู่ที่นี่สุขสบายกายใจ เราจะติดสุขหรือเปล่า ทำอย่างไรจะขยับ
พ่อครูว่า...คนที่เจริญในธรรมจะรู้สึกว่าเร็วคนที่รู้สึกว่าฝืนมันจะช้า เราดูรายละเอียดของศีล ของหลักเกณฑ์ บางที เราทำไปโดยไม่รู้หลักเกณฑ์ว่าหมายถึงอะไร มันไม่เป็นกระบวนการ มันไม่มีเหตุปัจจัยที่จะรู้ว่า เพราะเหตุปัจจัยกระบวนการนี้ทำงานสังเคราะห์สังขารกันแล้วมันเกิดผลอย่างนี้ มันไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายเป็นนิมิต เป็นสิ่งที่จะปรากฏให้เรารู้มันก็ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นถ้าเราพยายามที่จะกำหนดรู้มันบ้าง ว่าเราทำอะไรมีหลักเกณฑ์มีศีลแต่ละข้อ พระพุทธเจ้าท่านตั้งไว้ เอาตามท่านเลย เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติศีล จุลศีล แม้แต่ได้หมดแล้วก็มีแต่มหาศีลควรเลิกเดรัจฉานวิชชาก็เลิกก่อน แต่ก็มีส่วนตัวที่หลงเล่นหวยเล่นหุ้นอยู่ เป็นต้นแต่จุลศีล เป็นเครื่องขัดเกลากิเลสเราไปตามลำดับ
วจีกรรมก็ในจุลศีล เรื่องวัตถุ พฤติกรรมก็มี ไล่มา
เพิ่มศีลแก่ตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลา จะกลายเป็นพวกนางวิสาขา กลายเป็นเศษอารมณ์ติดแป้น หรือ พระพุทธเจ้าใช้ศัพท์ว่าเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง
จะไม่เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ
อธิมุติ คือเจริญโน้มไปเจริญ คือมีศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อทำให้เกิดผล ได้ผลเป็นอธิมุติขึ้นมาก็เพิ่มศีล ปัญญาก็จะเพิ่ม จิตก็จะเจริญขึ้นเป็นอธิจิต จะมีวิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ตรวจวิมุติ วิมุติญาณทัสนะไม่มีคำว่าอธินำหน้า
ในกถาวัตถุ 5 ข้อหลัง กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
สุขาปฏิปทา ทันทาภิญญา คือได้สุขแต่นานช้า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมในความเนิ่นช้า ปปัญญจรามตา ท่านส่งเสริมความเร็วและดี อย่ายินดีในความเนิ่นช้า เป็นข้อเสียข้อเสื่อมชนิดหนึ่ง ในกัมมารามตา ยินดีในงานเกินไป ภัสสารามตา ยินดีในการพูด พูดสอนเขาแจ้วๆ แต่ตนเองไม่ได้มรรคผล นิทรารามตาคือ ยินดีในการนอนหลับ และปปัญญจารามตา คือยินดีในความเนิ่นช้า ไม่ใช่ยินดีแบบฉันทะ แต่อารามะ เป็นความยินดีที่ละเอียดน้อย เป็นเรื่องที่ชั้นสูงแล้ว
เพราะฉะนั้นยินดีในการงานจึงไม่ใช่เรื่องหนัก คุณต้องทำการงานขยันหมั่นเพียรแต่จะไปมีตัวติด อย่าไปติดการงาน ไปติดการพูด ไปติดการนอน ติดการเนิ่นช้า ติด ที่จริงแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว คุณทำการงานนั้นดีแล้ว คุณพูดก็ดีแล้ว มันก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นคนนอนก็ดีแล้ว คุณต้องนอนพัก หรือคุณเองจะไปรีบร้อนเกินไปนัก ช้าหน่อยก็ดีแล้ว ตอนนี้มันหนักมันเกินขอบเขตไป ไม่ใช่หยาบนะ เป็นความยินดีชั้นสูง
หากไปแปลว่าไม่ยินดีในการงานก็จะไม่ทำการงานอีก เดี๋ยวกัมมารามตา ไปตีกิน พวกภิกษุ
_ดินจน..สำมะปี๋ซี่วิต คนเมืองว่าซะป๊ะซะเป๊ดซีวิต ขอขอบพระคุณ SMS ที่ให้โจทย์ข้อนี้มา ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเลย ว่าผมคงไปไหนไม่ได้ต้องอยู่ที่นี่ที่เดียว แผ่นดินพุทธที่มีของดีคือ มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีความสุดยอดที่มีทุกระดับ ความหนักความเบาความนิ่มความขมขื่น ถ้าไม่แน่จริง ชาวอโศกทั่วประเทศ ต้องขอเอาไว้ก่อนไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่แต่
พ่อครูว่า...คุณเชื่อไหมว่าผมเป็นพระอรหันต์
_ดินจน...ผมอ่านหนังสือของพ่อท่านเล่มเดียว รุ่งเช้าขึ้นมาผมกินมังสวิรัติ ผมไม่อ่านหนังสือเล่มอื่นอีก แต่ก็ห่างไกลธรรมะห่างไกลสัตบุรุษ ไม่ถึงปีครึ่งก็เสื่อม สุดท้าย ปี 32 ก็ต้องไปหาอ่านใหม่อีก เราเชื่อมั่นแต่ทีแรกแต่ทำไมเสื่อมก็ติดตามอ่านอีก ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันนี้ถือว่าเป็นสุดยอดของชีวิต
สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน DNA โลกุตระต้องถึงระดับอาสวะหรืออนุสัย
_อยากทราบว่า DNA ทางโลกุตระจะต้องถึงระดับอนุสัยหรืออาสวะ
พ่อครูว่า...DNA มันต้องถึงขั้นอนุสัยหรืออาสวะ
จะว่าถึงอาสวะก็ใช่ ต้องเปลี่ยน DNA ที่จริงอาสวะยังสูงกว่า DNA ด้วยซ้ำ
DNA เป็นทางวัตถุก็ไม่ถึงระดับจิต แต่ถ้าเปลี่ยนถึงจิตนิยาม มีอาการจิต ธาตุจิต
แต่ก่อนมีแต่ธาตุจิตโลกีย์หมด พอมันมาได้ธาตุนี้จากสัตบุรุษบอก คุณก็เกิดปัญญารับได้ เหมือนกับอัญญาโกณฑัญญะฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ แค่กัณฑ์เดียว หรือสองกัณฑ์ เกิดอัญญธาตุเลย เป็นโลกุตรธาตุแต่เดิมมีแต่โลกียธาตุ แต่มีธาตุใหม่ ตัวแรกไม่เรียกตัวตระกูลแต่เรียกว่าตัวโซ่ต่อ อัญญธาตุ เป็นตัวใหม่อีกตัวที่ไม่ใช่เฉกะ เป็นตัวฉลาดใหม่อีกอัน แต่ไม่เป็นปฏิกิริยาเคลื่อนที่ อัญญะ เป็นตัวหนึ่ง เมื่อมี 2 ตัวก็เริ่มเคลื่อนที่เป็น อัญญา
3 4 5 6 ก็เป็นกัญญา มาถึง จัญญา มาถึง ฉัญญา มาเป็น ชัญญา เป็นความรู้
จ ฉ ช ฌ มาเป็นพลังงานความร้อนเป็นพลังงานไฟที่ขัดเกลาทำหน้าที่เสริมขึ้นไปอีก เป็น ญญ หรืออัญญะ เป็นธาตุอื่น ของความฉลาดเต็มเลย เป็นธาตุใหม่อัญญะ เป็นความรู้ความฉลาดตระกูลใหม่เปลี่ยน DNA อาสวะส่วนหนึ่งก็หมดไปล้างไป จนกระทั่งหมดอาสวะเป็นตัวไป เป็นสภาพของสังโยชน์ 10 เป็นรายละเอียดแยกย่อยลงไปอีก พวกเราฟังเข้าใจก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้น
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:36:57 )
รายละเอียด
611003_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อธิปไตย อภิบาล อย่างมีปัญญาคือประชาธิปไตย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1STv19H-kSiYHgrAYlnIKjMau2xmoP0oUgD6kywbYGp8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=15tIi8bOO7UCl-HNUMugyBsjBBEiwAwhg
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้ใกล้จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ ที่บ้านราชฯ คนทั้งหมู่บ้านจะช่วยกันออกไปทำงานนี้กัน เพื่อให้คนภายนอกเข้ามาเชื่อมสู่โลกุตระได้ คืออาหารมังสวิรัติซึ่งเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 กิจกรรมนี้ดูจะเป็นงานใหญ่ของบ้านราชฯ
จากงานเจก็จะเป็นงานมหาปวารณา มีพวกเราเสนอมาว่า ในงาน 48 ปีโพธิกิจ น่าจะมี timeline เส้นทางโพธิกิจของพ่อครู 48ปีมีเหตุการณ์อะไรสำคัญบ้าง เป็นข้อเสนอที่ดีมากแต่ยังหาคนทำไม่ได้เท่านั้นเอง ถ้าพวกเราช่วยกันทำร่วมกันทำก็จะทำได้ง่าย หากมีความประทับใจไม่ประทับใจอะไรในเหตุการณ์ที่ผ่านมาร่วมกับโพธิกิจ เช่นบางคนแจ้งเกิดได้ชีวิตใหม่ที่สวนลุมตอนปี 2524 บางคนได้จากงานศีลสมโภชน์สมาธิสมโภชน์ แต่ละคนจะมีมุมที่แต่ละคนประทับใจกับประสบการณ์ร่วมกับชีวิตพ่อครู เราได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วย ให้แต่ละคนเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นๆ
กำลังจะเปิดกลุ่มไลน์ ตามรอย 48 ปีโพธิกิจ ให้พวกเรา ช่วยส่งประสบการณ์นั้นมา จะได้มารวบรวมเรียบเรียง กว่าจะเดินทางมาถึง 48 ปีได้เกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกโลกุตระ
พ่อครูเคยบอกว่า เป็นร้อยปี เขาจะขุดกระดูกพ่อครูขึ้นมาตามหาประวัติศาสตร์ แต่อาตมาว่า ตอนขุดกระดูกขึ้นมานั้น จะเป็นเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนไปได้มากเหมือนอย่างเช่นอาจารย์มั่นที่ลูกศิษย์ลูกหาเอาเรื่องอภินิหารอะไรที่ผิดเพี้ยนมากมายมาเล่า ทั้งที่อาจารย์มั่นเน้นเรื่องธุดงควัตรเน้นเรื่องพระธรรมวินัยให้พระป่ามีอาการน่าเลื่อมใสมีเยอะแยะ แต่ลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้เน้นเรื่องนี้เลย เน้นแต่เรื่องที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์เช่น ท่านไปพูดกับเทวดาเป็นต้น
ตอนพ่อครูยังมีชีวิตอยู่เราควรจะช่วยกันรวบรวมเรียบเรียงเรื่องราว ให้พ่อครูได้ตรวจสอบว่า ตรง จริงหรือไม่ก่อน เอาจากประสบการณ์ของแต่ละคน ที่อาจแตกต่างกัน และอีกส่วนหนึ่งคือ มีรวบรวมเรียบเรียงเรื่องราวๆในหนังสือสารอโศกและหนังสือแสงสูญอยู่แล้ว
เป็นการฝึกบุพเพนิวาสานุสติญาณกันหน่อย ช่วยส่งข้อมูลมาที่ ไลน์ ตามรอยเส้นทาง 48 ปีโพธิกิจนี้ได้
พ่อครูว่า…SMS วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 (สะมะปี๋ ซี๋วิต)
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ตั้งใจศึกษาและปฎิบัติตามแนวทางหลวงปู่ ได้ผลกิเลสลดลง วัดจากศีลทั้ง5 รักษาได้เข้มแข็งขึ้น กราบนมัสการหลวงปู่ และนักบวชทุกท่าน ด้วยความเคารพรักครับ
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ ผมยากจะถามเรื่องธรรมพ่อครู แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไรเพราะแค้ฟังพ่อครูก็แทบจะทำตามยังไม่ได้ครบตามที่พ่อครูสอนเลย และอีกอย่างที่พ่อครูเทศสนามามันก็กระจ่าง แม้บางอย่างยังไม่เข้าใจแต่พอฟังชํ้าครั้งที่สองที่สามก็ทำไห้เข้าใจมากขึ้น และผมขอเป็นผู้เก็บเกี่ยวจากท่านผู้รู้ที่มีปัญญามากกว่าผมในอโศกที่มีอยู่มากเป็นผู้ถามแทนผู้มีปัญญาน้อยอย่างผมนะครับ
_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย · พ่อครูคะ ลูกขอถามค่ะว่าเมื่อเรามีผัสสะท่าทีลีลาซุ้มเสียงที่หยาบ แรง เราเห็นจิตเรานิ่งสงบเย็นไม่มีความโกรธ เพียงแต่รู้สึกสังเวชในผัสสะนั้นลูกเห็นนิมิตหมายนี้เกือบทุกครั้งเมื่อกระทบกับโจทย์ แต่พอผ่านไปหลายๆชั่วโมง เมื่อลูกสื่อสารกับคนรู้จักบางคนกับเรื่องเดิมนี้ น้ำตาลูกก็ไหลเป็นทางออกมาทันที ลูกเข้าใจว่าเป็นอรูปจิตหรืออานุสัยส่วนอาการตอนต้นนั้นลูกเข้าใจว่าเป็น รูปจิตที่เป็นสมาธิ ลูกเข้าใจอย่างนี้ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือเปล่าขอพ่อครูชี้แนะด้วยค่ะ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อคูรด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า...ประเด็นคือเกิดอาการอะไรขึ้นมาก็เอามาถาม สรุปคือเห็นจิตใจตัวเองสงบเย็นแล้วน้ำตาไหล ก็แสดงว่าเราพอใจยินดีในสิ่งที่เราทำได้มันก็เป็นปีติ เรียกว่าอรูปจิตหรืออนุสัย มันเป็นอรูปจิตจริง ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่อนุสัย มันเป็นผลที่ได้ ไม่ใช่อนุสัย แต่เป็นผลได้ และมีจิตอุปกิเลส ปีติ คืออุปกิเลส หากมันแรงก็ถึงน้ำตาไหล หากปีติเบาก็ไม่มากมายอะไร มีปัญญาเข้าใจว่าอันนี้คืออะไร มีความลึกซึ้งอย่างไร ก็จะไม่มีอาการออกมากเท่าไหร่ จนกระทั่งไม่มีอาการเลยก็ค่อยๆลดลงก็ค่อยสังเกตไป
_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ສາຖຸສາຖຸສາຖຸພອ້ມໝູຂະນະເຈົ້າຂ້ານອ້ຍ
นางเกดมณี สุขสวรรค์ สาธุ สาธุ สาธุ พร้อมหมู่คณะเจ้า ข้าน้อย
พ่อครูว่า...
SMS วันอังคาร 2 ตุลาคม 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : สันติอโศก)
_ปาลิตา ทองสุขนอก · เด็กถามได้ประโยชน์กับหนูมาก กราบนมัสการทุกรูปเจ้าคะ. ฉากสวยแล้วทีมสื่อบุญนิยมแจ๋ว สาธารณโภคีจงเจริญจ้า
_พิศมัย ชำนาญคิด · เด็กๆเข้าใจถามมากเลยลดกิเลสแล้วเราจะได้อะไรอีก คำถามน่ารักมากค่ะ ขอบคุณค่ะ ลดกิเลสได้คือได้อิสระภาพได้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย และจะไม่ทุกข์ด้วย เยี่ยมเลย ตอนนี้เข้าใจเรื่องสาธารณโภคีชัดเจนเลยค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พระสมณโคดมมีปกติไม่ฉันเนื้อสัตว์
_ต่าย ณ สกล กราบนมัสการ...กระผมใคร่ขอความเห็นพ่อครูในกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้
หลวงปู่ท่านหนื่งเล่าว่า สมัยท่านเป็นเด็กมีความเป็นอยู่แบบวิถีชาวบ้าน คุณแม่ใช้ให้เอาข่ายไปดักปลาเพื่อเอามาทำอาหาร ท่านไม่กล้าขัดใจคุณแม่ ได้แต่ไปนั่งร้องไห้ที่ริมบ่อน้ำ พอกลับบ้านมือเปล่าก็ถูกคุณแม่ดุด่าว่ากล่าว
ประเด็นคือว่า หากหลวงปู่ท่านนั้นได้บรรลุพระโสดาบันแล้วและได้เวียนมาเกิดในภพมนุษย์อีกครั้ง กรรมหนักจะตกที่คุณแม่ของหลวงปู่ท่านนั้นหรือไม่
พ่อครูว่า..กรรมหนักตกถึงแม่ท่านแน่ เพราะพระพุทธเจ้าได้บรรยายในเรื่องเนื้อสัตว์นี้ใน ชีวกสูตรละเอียดมากจนคนเข้าใจกันยาก หรือไม่ได้เลย
ในชีวกสูตรว่า บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย 5 ประการ บุญสักนิดน้อยไม่มีเลย
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
การเจาะจงนั้นเขาขยายความเพื่อให้คนกินเนื้อสัตว์ได้ ยิ่งเบี้ยวบาลีก็ยิ่งทำผิดหนักเข้าไปอีก ผิดซ้ำซ้อนอีก โดยอัตตาความเห็นแก่ตัวก็เลี่ยงไป คุณเองกินเนื้อสัตว์ก็บาปแล้ว แถมมาโกหกเบี้ยวคำสอนพระพุทธเจ้าอีก ก็บาปเพิ่มขึ้นอีกซ้ำซ้อน
ในสีหสูตร
อเจลกะ ชื่อสีหเสนาบดีที่เป็นผู้มีอำนาจมีชื่อเสียงมากในเมืองได้ นิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันที่บ้าน เขาก็ให้คนทำอาหารเนื้อสัตว์มาให้พระพุทธเจ้าฉัน ในพระสูตรไม่มีรายละเอียดว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์หรือไม่ แต่พวกอเจลกะที่จะดิสเครดิตพระพุทธเจ้าก็เอาไปป่าวประกาศว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์ ทั้งที่รู้ที่เห็นเขาเจตนานำมาทำอาหารให้ เอาไปป่าวประกาศไปทั่ว ชาวบ้านก็ฟัง...ก็จะคิดว่าสมณะฉันเนื้อสัตว์หรือ
ประเด็นคือ หากพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นสามัญแล้ว เขาจะตะโกนบอกไปอีกทำไมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์คนก็จะไม่แปลกใจอะไรเพราะว่าท่านฉันอยู่แล้ว แต่นี่ที่เขาตะโกนบอกก็เพราะว่าปกติแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ ตะโกนบอกเพื่อจะดิสเครดิตพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าเสียแล้วนะฉันเนื้อสัตว์แล้วนะ แต่นี่แสดงว่าท่านไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ อเจลกะก็เลยมาตะโกน แต่ถ้าท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ ตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีผลอะไร แม้ในยุคนี้ ในอินเดียก็ไม่ยอมรับพระที่ฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น
_อีกตัวอย่างหนึ่ง ญาติธรรมของชาวอโศกได้บรรลุพระโสดาบันในชาตินี้ แต่ยังดำรงเพศฆราวาส ยังต้องขับรถด้วยตนเอง หากมีการเฉี่ยวชนเกิดขึ้น คู่กรณีมีโทสะ ทำร้ายญาติธรรมท่านนั้น กรรมที่เกิดขี้นจะเป็นเช่นไร ...
และสำหรับผู้ประพฤติธรรมจนได้อริยะแล้ว ควรวางตัวเช่นไรในสังคมปัจจุบัน
พ่อครูว่า...หยุด อย่าไปตอบโต้ แม้พระโมคคัลลานะถูกคนฆ่าท่านก็ชุบร่างกายขึ้นมาอีก แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดท่านก็ยอมตายไปในชาติหนึ่งเลย ทั้งที่ท่านชุบชีพตัวเองได้ นี่คือปาฏิหาริย์ของพระโมคคัลลานะที่ท่านมีสูงสุด แต่เสร็จแล้วก็ต้องยอมตายตามวิบากไม่ตอบโต้ ถ้าใครเข้าใจ พฤติบทอันนี้ พฤติบทของพระโมคคัลลานะอันนี้ ก็เขาฆ่าเรา เราจะไม่ตายก็ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอม หากท่านจะชุบชีพสักสี่ห้าหกครั้ง เขาก็จะกลัวไม่มาฆ่าต่อได้ หรือแม้แต่สันติอโศก คนเอาปืนมายิงเข้าไปข้างใน ก็ยิงลูกปืนไม่ออก ก็เลยเลิกไปเลย ไม่มาย นี่ถ้าท่านฟื้นมาสักสามสี่ครั้ง คนมาฆ่าก็ต้องวิ่งหนีเลยแน่
_Master taizen ....ฝากน้อมกราบนมัสการบูชา..ผลานุภาพอิทธิจิตแด่พ่อครูโพธิสัตว์ด้วยครับ.. ที่จุดประกายความขวนขวายเกื้อกูลต่อมวลมนุษยชาติที่มอดดับไปร่วมสิบปีของผมให้กลับคุโชนอีกครา..หลังจากที่ผมได้มีกราบเท้าพ่อครู เมื่อครามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องอาคารพีระมิดที่ราชธานีอโศก..
จิตไม่ขวนขวายอุ่นเอื้อเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์นี้..สายท่านมหากัสสปะหอมถ้ำหวานป่าอย่างผมนี่..ยากนักที่จะออกจากภพนี่ได้..
ได้กราบพ่อครู..ได้เห็นราชธานีและผู้คนในเขตราชธานีธรรมแห่งนี้..ยิ่งกว่าถูกเปิดกะลาหงายของที่เคยควํ่าเลยครับผม..เดี๋ยวนี้ก็เริ่มโครงการ จะเปิดสอนวิชาชีพแปลงรูปมะขามป้อม..โดยมอบหมายให้น้องสาวที่เกษียณอายุมาหมาดๆ..ทดลองสูตรแช่อิ่มทั้งแบบเค็มและหวานอยู่..พร้อมทั้งทดลองเรื่องถั่วเดมเป้..สูตรนิ่งเมื่อไหร่ ก็จะเดินหน้าออกสอนฟรี เป็นโครงการ"งานอาชีพ.. ให้สัมมาฯ"..ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ครับ..
น้อมนมัสการระลึกคุณพ่อครูอย่างสูงสุดครับผม..
พ่อครูว่า...สายเจโต ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งในศาสนาพุทธที่เก่งในทางอยู่ป่า เช่นพระกัสสปะ
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ตั้งแต่ป่วยอยู่หลายเดือน ลูกมีเวลาอยู่กับธรรมะ ทบทวนวีรกรรมของตัวเองสร้างบาปกรรมอะไรไว้ให้กับพี่น้องและตัวเองบ้าง และได้มีโอกาสเขียนข้อความมากราบเรียนพ่อท่านบ่อยๆ ผลที่ได้คือสภาวะดีๆขึ้นในจิต( โอปปาติกะ) เวลาเกิดผัสสะแบบรุนแรง ลูกสามารถควบคุมอารมณ์โทสะได้ดีมาก ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าทำได้ ลูกเคยคิดว่า ถ้าเกิดผัสสะอะไรขึ้น ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เท่ากับทรยศพ่อท่าน ไม่กตัญญูต่อพ่อท่าน คิดอย่างนี้ลูกจึงทำได้ และจะทำต่อไปจนกว่าจะเป็นของจริงตัวจริง ถ้าลูกสลายโทสะในจิตได้ เกิดมาชาตินี้คุ้มค่ามาก ท่านดินไทสอนลูก “ให้ ดูในปัจจุบัน” ลูกก็ทำตามนำมาปฏิบัติฝึกดูเวทนาในขณะปัจจุบัน ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนมากจิตจะอยู่ในอดีตมากกว่า สภาวะจิตช่วงนี้ดีมีปีติมาก ที่ได้เขียนข้อความมาหาพ่อท่าน ทำให้ลูกมีกำลังใจในการเพิ่มอธิศีลยิ่งขึ้นไป ลูกก็ดูเวทนาตัวเองเวลาพ่อท่านอ่านของลูกจะมีปีติมาก แต่ถ้าวันไหนพ่อท่านไม่ได้อ่านของลูกก็ต้องทำใจ ขอพ่อท่านเมตตาลูกที่กำลังตั้งไข่ฝึกเดินก้าวแรกด้วยค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน หลากชั้นตอนของสาธารณโภคี
_ใบฟ้า..สาราณียธรรม 6 …
จะเป็นตัวอย่างแก่โลก เป็นระบบเศรษฐกิจที่สูงสุด สูงสุดตรงที่คนอยู่ในสังคมชุมชน ในกลุ่มนี้ เป็นสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกันกับส่วนกลางทุกคนมีส่วนร่วมกับส่วนนี้โดยอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของชุมชน เป็นสมาชิก คนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะกินใช้มีสิทธิ์ส่วนในการเบิกส่วนกลาง
หลักการของสาธารณโภคีจึงมีขั้นตอนอีกเยอะ จนกระทั่งแม้แต่คนที่อยู่ภายนอกหมู่บ้านก็สาธารณโภคีได้ เขาเข้ามาก็จะปฏิบัติอย่างนี้ แม้เขาจะมีส่วนตัวไม่ได้เอามาร่วมกับส่วนรวมไม่ได้สละออกมา ส่วนคนที่อยู่ในนี้มีสละทั้งหมดก็มีไม่สละหมดก็มี ยังหารายได้ส่วนตัวนิดๆหน่อยๆก็มี แต่หารายได้หลักส่วนตัวอย่างเอาเป็นเอาจริงเขาไม่กล้าหรอกในนี้ หารายได้อย่างเอาเปรียบเอารัดเห็นแก่ตัว เอาของที่นี่ไปขายเอาเงินทองเข้ากระเป๋าส่วนตัวเลยเป็นต้น หรืออยู่ที่นี่แล้วไปหากินภายนอกเอาเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวเลยไม่บริจาคให้ที่นี่เลยก็ไม่มี มีบริจาคบ้างมีบริจาคไม่มากนัก มีบริจาคมากขึ้นเอาไว้ส่วนตัวบ้าง ก็มีทุกระดับ ไม่มีปัญหา อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นสาธารณโภคีมีหลักอยู่ที่ว่ากองกลางส่วนกลาง ที่เป็นหมู่กลุ่ม เอกีภาวะ เหนียวแน่นแข็งแรงไหม ถ้าแข็งแรงคนอื่นจะอย่างไรก็ตาม คนอื่นจะเห็นแก่ตัวจะไปแบ่งส่วนย่อยส่วนใหญ่มากน้อยของเขาก็ว่าไป อย่างไรๆ ส่วนหลักก็ยังช่วยคนอื่นได้ ตัวเองคุ้มตัวเองเหลือ ยังแจกจ่ายคนอื่นได้อีกไม่กระทบกระเทือนเลย เช่นพวกเราทุกวันนี้ ถึงขั้นว่าถนนสาธารณะที่เป็นสาธารณูปโภคต่างๆ ถ้าเราทำได้เราจะทำไปเรื่อย ตอนนี้เราทำถนนเทคอนกรีต หมดไปกี่ล้าน ทางการเขาจะมาให้บ้าง จนป่านนี้มาบ้างไม่มาบ้าง ได้มาบ้างแล้ว แต่ไม่มีปัญหาเราก็อนุโมทนาด้วยให้ทำต่อไป แต่เราก็ทำอยู่ ที่ให้มาของทางการ จะมาก่อนที่เราเสร็จหรือไม่ก็ไม่รู้แต่เรายังมีที่จะทำต่อไปอีก
อย่าว่าแต่ทำถนนเลย ทำโครงการลอกคลอง บุ่งก็มีอีก หากเขาไม่ลงมติให้ทำเราก็ไม่ทำ แต่ถ้าลงมติให้ทำเราก็ทำ เพราะว่าเป็นประโยชน์ร่วมกันเป็นสาธารณูปโภค สาธารณโภคีนั้นเป็นส่วนลึกซึ้งในนี้ ส่วนสาธารณูปโภคเป็นส่วนอุปโภคบริโภคร่วมกัน ในสาธารณะ เช่นไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น โดยที่รัฐบาลเป็นผู้ดูแลอนุเคราะห์ส่งเสริมสาธารณูปโภคให้แก่ประชาชน เราก็ช่วยสาธาณูปโภคนี้ให้ประชาชนเหมือนกัน เราเองเราก็ใช้ร่วมด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นการแสดงออกถึงจิตของพวกเราที่ไม่เห็นแก่ตัว มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันอย่างนี้เป็นต้นซึ่งเป็นสุจริตธรรม เป็นเรื่องดี
_จากแสงหิ่งห้อยปลายอุโมงค์...ผู้ที่ยังพูด ให้ผู้อื่นบาดเจ็บอยู่แสดงว่ากำลังประจานตัวเองอยู่อย่างคะนอง ไม่รู้จักสักกายะของตนเอง ในหนังสือ ธรรมพุทธสุดลึก อุปกิเลส 16 ละสังโยชน์ 10 ที่เป็นเครื่องขัดเกลาไปสู่ความสูง ควรสนใจดูบ้าง สงสารเพื่อนร่วมงานเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในองค์กรบ้าง การทำให้เสียใจภายหลังแล้วมันลบออกไม่ได้เข้าหน้าไม่ติด ไม่อบอุ่นผาสุกเลย ไม่เชื่อลองถามตัวเองดูสิ(อารมณ์ดี ลดกิเลสแล้วสบาย) ปฏิเสธไม่ได้การกระทำเป็นอันทำ การศึกษาที่ถ่ายทอดโลกียะอย่างงมงายเป็นเทวนิยมไม่มีศิลปะเป็นโลกุตระเด็กเบื่อ ที่จริงควรนำพาเด็กเข้าห้องเรียนโลกุตระด้วย เพื่อบูรณาการให้วิชาโลกียะเป็นวิชาโลกุตระ
พ่อครูว่า..คนที่เป็นครูสอนคนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ผู้ที่พอรู้ตัวก็ช่วยกันไป
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน อธิปไตย อภิบาล อย่างมีปัญญาคือประชาธิปไตย
พ่อครูว่า..เรามาเข้าสู่โหมดแห่งยุคสมัยบ้างคือการเมือง
ประชาธิปไตย ในเราคิดอะไรอาตมาเขียนกวีเกี่ยวกับการเมืองมามากมาย จนชักจะปวดหัว ตั้งชื่อจนผู้เขียนภาพไม่รู้จะเขียนอะไรมาประกอบแล้ว มันเป็นเรื่องซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น อาตมาว่ายิงเข้าเป้า ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดที่สุด แต่คนก็ยังไม่ประทับใจสะใจเท่าไหร่เลย อาตมาว่ามันน่าจะประทับใจสะใจในประชาธิปไตยของพุทธเจ้านี้ยิ่งใหญ่
อาตมาพยายาม สรุปให้เป็นพยัญชนะภาษาให้เข้าใจกันได้ คงไม่อ่านกวี หลายอันเหลือเกิน
ระบอบการปกครองของมนุษย์ในปัจจุบันนี้
ประชาธิปไตยต้องเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณที่เห็นใจประชาชนรับใช้ประชาชนจริง ส่วนสากลเขารู้กันแล้วแต่ว่ากิเลสมันพราง ทำให้เห็นแก่ตัวเองเห็นแก่เงินทองข้าวของ ทรัพย์ศฤงคารต่างๆนานาไปกันใหญ่
สรุปแล้วถ้าจะเป็นประชาธิปไตยนั้นจิตวิญญาณจะต้องหมดความเห็นแก่ตัว หมดอัตตา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เรียนรู้อัตตา จนถึง ปรมาตมัน คือตัวตนของตัวเองแล้วมีพรรคพวกตัวเอง อำนาจบาทใหญ่ มันต้องลด ถ้าไม่ลดอัตตา หากลดอัตตมาแล้วจิตของผู้ลดอัตตาจะหลุดพ้น คือ จะมีอิสระ (ภาษาสากล)
อิสระนั้นไม่ใช่ตามใจตัวเอง ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้มันไม่ใช่ มันไม่ใช่อิสระ อิสระคือไม่มีตัวตน ลดตัวตนจนไม่มีตัวตน ผู้มีอิสระสูงสุดคือผู้หมดตัวตน ผู้ที่ลดตัวตนลงได้ก็มีอิสระที่ดีขึ้น ลดตัวตนได้อิสระจริงขึ้น ลดตัวตนได้หมด อิสระสัมบูรณ์เลย
คนเข้าใจผิดอิสระแบบสมบูรณ์คืนนี้เข้าป่าเข้าถ้ำ ไปอยู่โดดเดี่ยวไม่ต้องเกี่ยวกับใคร หรือแบบฮิปปี้ กูจะทำอะไรก็ได้ ทำตัวเละเทะอยู่ในหมู่มวลมนุษยชาติ อยากจะทำผิดกฎหมายอยากจะทำอะไรเละเทะอยู่อย่างนี้ ทำใจอย่างไทยคือไทยแท้ อย่างนั้นอิสระพาลเต็มที่ แต่นี่เป็นการไม่เห็นแก่ตัวเต็มที่อิสระเต็มที่ ยกตัวอย่างที่สุดโต่งคือ พระเชน พระมหาวีระคืออัตตาเต็มที่ อิสระเสรีที่ไม่ไปกับใครทำอะไรกับใคร อิสรเสรีแบบเต็มบ้องของอัตตา อยู่เดี่ยว แต่ไม่เบียดเบียนใครเลย แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย สุดยอดเลย สุดโต่ง กินน้อยใช้น้อยผ้าก็ไม่นุ่ง มีภาชนะใส่อาหารอันเดียว เอาไว้ใส่สารพัดมีภาชนะอยู่ 1 ชิ้น กับไม้สำหรับปัดสัตว์เล็กสัตว์น้อยต้องระวัง นี่คืออัตตาเต็มบ้อง อิสระ แบบไม่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติเลย อิสระแบบนั้นตายไปจากโลก โลกก็ไม่เสียดายอะไรเลย เพราะคุณไม่มีประโยชน์อะไรต่อโลกเขาเลย มีแต่ตัวเองเต็ม
แต่ศาสนาพุทธกับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งลดละตัวตนยิ่งรู้จักมนุษยชาติรู้จักโลกะวิทู รู้ความเป็นอยู่ของมนุษย์ เขาจะอยู่อย่างไร เขามีการสังขารสังเคราะห์กันอย่างไร มีการช่วยเหลือ เข้าไปแทรกแซงเข้าไปช่วยให้เขาดีขึ้นเจริญขึ้น ในสังคมให้เป็นอยู่ดี ได้มีประโยชน์คุณค่าต่อกันและกันอย่างไร มีความละเอียดลึกซึ้งครบครัน อาตมามีภูมิของอาตมาเท่านี้ แล้วอาตมาก็จะทำ
จะให้คนได้รับความรู้คุณธรรมอันนี้ อาตมาตั้งใจจะอยู่ถึง151 ปีตอนนี้อายุ 84 ย่าง 85 ยังเหลืออีกไม่ถึง 70 ปีดี การเมืองของโลกที่เป็นประชาธิปไตยก็คงจะเจริญขึ้นอีกเยอะ ทุกวันนี้มันเร็วขึ้นเพราะคนรู้จักมีปัญญามีความรู้ ไม่ใช่เฉโก แม้แต่ในคนไทย
ในคนไทยที่เป็นอาริยะ ที่จะทำการเมืองด้วยจะมีขึ้น มวลของผู้ที่ชัดเจนจะมารวมกัน ชาวอโศกต่อไปจะมีคนมาผนึกมาร่วม ที่เราไม่อยากยื่นมือไปร่วมกับการเมืองแบบรัฐสภา เราเป็นราษฎร ไม่เอารัฐสภา เอาราษฎรสภา ซึ่งประชุมกันหมดไม่ได้หรอกก็เอาความเห็นรวม ชาวอโศกที่ทำการศึกษาร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรวมกันได้ ส่วนอันอื่นที่ไม่ใช่เป็นสมาชิกก็ยังยากอยู่ ก็ไม่เป็นไร ทำความจริงที่เราเข้าใจให้จิตของเราเป็นประชาธิปไตยด้วย ลดอัตตาแล้วมีอิสระเต็มที่ มีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ มีจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ จิตวิญญาณเป็นอาริยะเต็มที่ สะอาดจากกิเลส แล้วก็มีพรหมวิหาร 4 อัปปมัญญา 4 สมบูรณ์ด้วย เห็นแก่ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถไปได้เรื่อยๆ
อาตมาใช้พยัญชนะสื่อแถมไปอีกว่า ให้รู้จักพลังงานที่เราจะใช้ พลังงานที่เราจะมีอำนาจมีแรงมีพลังมีอิทธิพล เรียกว่าอธิปไตย แล้วก็มีการช่วย บริหารปกครองเรียกว่าอภิบาล
อธิปไตย อภิบาล แล้วก็อีกอันคือ ปัญญา
ปัญญานี้เป็นตัวอาริยะนะ เป็นความเฉลียวฉลาดโลกุตระที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว
สามเส้านี้
อธิปไตย อภิบาล ปัญญา
จะเป็นคุณวิเศษคุณธรรมอันสุดยอด พลังงานที่เป็นอธิปไตย เป็นพลังงานที่มีพลังมีอิทธิพล แต่ไม่ไปเบ่งข่ม แต่ก็เป็นอธิปไตย เพราะเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง อำนาจอันสูงสุดของอริยบุคคล ไม่เอาเปรียบเอารัดไม่เบ่งข่ม เป็นอำนาจที่ทำงานเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่เป็นอธิปไตย เป็นอำนาจที่สร้างสรรได้เต็มที่ มีฤทธิ์แรงมีพลัง เสร็จแล้วก็รู้จักวิธีการ บริหารปกครองอภิบาล ประสานสมานช่วยเหลือเกื้อกูล บรรเทากันตัดสิน แม้แต่เป็นเรื่องความยุติธรรมก็ตัดสินช่วยเหลือเกื้อกูล พยายามพัฒนาสังคมมนุษยชาติ ด้วยปัญญา
ตัวประธาน ปัญญาแต่ละบุคคลจนรวมกันเป็น brainstorm เป็นกลุ่มหมู่ ร่วมกันคิดร่วมกันทำเป็นมติ เป็นความเห็นร่วมไปทำงานกับมนุษยชาติประชาชน
อาตมาว่า นี่เป็นการสมบูรณ์แบบของประชาธิปไตยที่ทั้งโลกเดี๋ยวนี้ก็เอาคำนี้ จะมีภาษาอังกฤษมาก็ว่ากันไป หรือภาษาอื่นๆก็แล้วแต่จะมีคำก็ว่ากันไป
1.อิสระ 2.ไร้อัตตาหมดอัตตา 3.จิตวิญญาณ
นี่คือสามเส้า กลุ่มหนึ่ง
อีกกลุ่มหนึ่งคือ
กษัตริย์ ประชาชน และจิตวิญญาณ
ประชาธิปไตยต้องมีจิตวิญญาณ มีพระมหากษัตริย์ จึงเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ประเทศอังกฤษเป็นผู้ขานเรียกประชาธิปไตยกำหนดอันนี้ขึ้นมาเป็นประเทศแรก ที่เรียกว่าประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตย 2 ขา อเมริกาทำอวดดีเอาไปจากอังกฤษ จริงๆแล้วเขาแยกมาจากอังกฤษ เอาไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียวทุกวันนี้ขาเกมากแล้ว อีกหน่อยก็หมด อย่านึกว่าเก่งเหมือน สว.ลัดดานะ
สว.ลัดดา เป็น สว.ของอเมริกา ใช้ขาเหล็กทั้งคู่เลย ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของอเมริกานะ
อาตมาได้ประสพผลสำเร็จปกครองโดยเมื่อปกครองบริหารโดยไม่บริหาร จิตวิญญาณทุกคนรู้หน้าที่รู้สิทธิ รู้ความเป็นตัวเองที่จะควรเป็นตัวประโยชน์ เป็นตัวที่มีคุณค่าเป็นคนประเสริฐอย่างไรในสังคม เป็นอาริยบุคคลเป็นคนเจริญเป็นคนศิวิไลซ์อย่างแท้จริงเลย อาตมาประสบผลสำเร็จ เป็นแต่เพียงว่ามีมวลน้อย อโศกนี้มีมวลน้อย แต่ถ้าเผื่อว่าได้จิตวิญญาณอย่างชาวอโศกเป็นค่าเฉลี่ย จะมาศึกษามาทำวิจัย จะมาทำการค้นคว้าทำสถิติตรวจสอบดูอย่างไร ก็เชิญเลย เราจะได้
ถ้าเป็นคนในคุณสมบัติคุณธรรม คุณวุฒิ ความรู้ คุณวิเศษขนาดชาวอโศก ถ้ามีค่าเฉลี่ยประมาณอย่างชาวอโศกที่เป็นอยู่ประมาณนี้ ขณะนี้ เกิดมวลเกิดปริมาณเพิ่มขึ้น กว่านี้ไปในโลก ไม่ต้องไปเอาถึง 7 พันล้าน มีอย่างชาวอโศกนี้แค่ พันล้านเท่านั้นแหละ อาตมาว่า ทุกประเทศในโลกจะชัดเจน เอาประมาณ 1 พันล้านในโลก ที่มีคุณสมบัติคุณวิเศษของมนุษยชาติอย่างชาวอโศกนี้ แล้วบริหารปกครองแบบนี้ที่เรียกว่าประชาธิปไตยสากลที่สุด สมัยพุทธเจ้าเรียกว่าโลกาธิปไตย ยังไม่เรียกว่าประชาธิปไตย
ในยุคของพุทธเจ้ายังเป็นยุคที่ยาก เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเผด็จการสมบูรณ์ พระเจ้าแผ่นดินยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าสมบัติเจ้าสิทธิทุกอย่าง เป็นยุคของทาสด้วย เพราะฉะนั้นแม้แต่ประชาชนก็มีนายทาสมีลูกทาส ของตัวเอง ซ้อนๆ เป็นเจ้าอำนาจซ้อนอยู่ในนั้น และในยุคนั้นมนุษย์ยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ สิทธิอะไรต่างๆก็ไม่เข้าใจเป็นทาสไม่มีความรู้ ไม่มีสิทธิในข้าวของ สิทธิในแรงงานความสามารถของตน สิทธิในการพูดในการแสดงออกทางกายกรรมวจีกรรม สิทธิในความรู้ความคิด สิทธิในอะไรอีกเยอะแยะ สิทธิมนุษยชน Human rights Watch
เขาก็ยังไม่มีทฤษฎีที่จะฝึกตนให้คนเป็นอาริยบุคคลโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ได้จริง ทฤษฎีที่จะให้คนมีคุณสมบัติ คุณวิเศษ คุณธรรม ที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ คือทฤษฎีของพุทธเจ้านี้ เมื่อบรรลุจิตวิญญาณ ที่หมดกิเลส แบบทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบด้วยรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ที่เป็น 3 ศาสตร์ใหญ่ของมนุษยชาติ คนต่างประเทศก็รู้ดีทั้งนั้น
รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ 3 ศาสตร์นี้ยิ่งใหญ่ที่สุดสมบูรณ์แบบที่สุด เอาตรงนี้ก่อน
ชาวอโศกถึงจุดสำคัญที่เป็นสาธารณโภคี ชาวอโศกอยู่ในนี้เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานทำการในนี้ทำอย่างไม่รับเงินทำฟรีแล้วตัวเองกินใช้ในนี้ตัวเองก็มักน้อยสันโดษกินง่ายอยู่ง่าย ไม่เปลืองผลาญไปกับโลก เป็นคนประโยชน์สูงประหยัดสุดจริง จึงเป็นเศรษฐศาสตร์ที่วิเศษที่สุด แล้วเรียกได้ว่ามาเป็นคนจนของโลก คนจนของประเทศ เป็นคนจนของสังคม มาเป็นคนจนของหมู่บ้าน เป็นคนจนของครอบครัว แม้แต่ในครอบครัว ก็ให้คนอื่นมากกว่าให้ลูกมากกว่าให้พ่อให้แม่ให้หลานให้เหลน มากกว่าตัวเองตัวเองจนกว่า ตนเองหาได้มากกว่าเขาแต่ใช้น้อยกว่าเขา นี่เป็นสภาพ dialectic ที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นสิริมหามายาที่ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมะ 2 ที่เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ยิ่งใหญ่ รวยที่สุดแต่จนที่สุด นี่คือภาษา 2 คำซ้อนกันข้างใน เป็นตัวตนที่0 แต่เป็นตัวตนที่ศูนย์เพื่อผู้อื่นที่สุด เต็มที่เลยให้หมดเนื้อหมดตัว
และมั่นใจในสมบัติของคนชนิดนี้คืออะไร คือความสามารถและความรู้และความขยัน คนๆหนึ่งนี่ มีความรู้ ความรู้เชิงปัญญา มีความสามารถ เชิงการกระทำสมรรถนะความสามารถ สายเจโต อย่างนี้สายปัญญาอย่างนี้ และมีความขยัน
ความรู้ความสามารถและความขยัน ไม่ใช่ขยันแต่โง่ และไม่เลยเถิดขยันจนเกินและเวอร์ ขยันอย่างรู้ขอบเขตได้สัดส่วน ได้อย่างมีเหลือเฟือเผื่อแผ่ ไม่มีการ Run Short ทำได้อย่างพอเหมาะได้สัดส่วนที่สุด ปโหติ
ป ห ต
ป คือ พฤติกรรมที่จะต้องทำเป็นบทบาทลีลา เป็น Dynamic
ห คือ ความจริงแท้
ต คือ ตัวตั้ง Static
ปโหติ ปะคือเต็มที่อยู่แล้ว โหคือ สุดยอดของความจริง สระ โอ นี้สูงสุดแล้ว ปโหติ คือสามเส้า ครบองค์เป็น Cyclic order เป็นผู้ที่มีสัปปุริสธรรม 7 ประมาณอย่างได้สัดส่วนสูงสุด พอเหมาะพอดี แม้ที่สุดมีมหาประเทศ 4 ก็สามารถรู้จัก กาละ แม้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่าอนุญาตหรือว่าห้ามก็ตัดสินได้เอง ใช้มหาปเทส 4 ยังได้สัดส่วนพอเหมาะพอดีลงตัวที่สุด จึงเป็นคนมีประโยชน์คุณค่า ไม่มีตัวตน ไม่เห็นแก่ใครๆไม่ลำเอียงด้วยอคติใดๆ บริสุทธิ์ซื่อสัตย์เสมอภาคชัดเจน
มีคุณสมบัติที่โลกต้องการไม่ขัดแย้งกับสากล มีคุณสมบัติตามสากลที่ยืนยันกันได้เลย เพราะฉะนั้นในประเทศไทยนี้อาตมาก็อ้างอิงยืนยัน อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก อาตมาก็เป็นนักประชาธิปไตยเบอร์หนึ่งเหมือนกัน อาตมาเป็นทางด้านนามธรรม ในหลวงเป็นทางด้านรูปธรรม คนพอเข้าใจในรูปธรรมลางๆ แต่นามธรรมต้องซ้อน ที่จริงเป็นประธาน ในหลวงท่าน มีพระปรีชาญาณแสดงเต็มที่ จนทั่วโลกยอมรับเพราะเป็นรูปเห็นได้ก่อน ส่วนนามธรรมนั้น ละเอียดกว่ายากกว่าสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นเลย
อาตมาจึงต้องใช้เวลา เพื่อที่จะประสานสร้างสิ่งที่เป็นรูปร่างแล้วมีเค้าเงื่อนขึ้นแล้ว ในโลกและในประเทศไทย แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ในประเทศจะยังไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร อาตมาสู้ๆ อาตมาจะพากเพียรทำไปทำไปจึงได้พยายามจะไม่ให้ตัวเองตายง่าย เพราะตายแล้วมันจะขาดวรรคเว้น อย่างน้อยอาตมาตายไปแล้วก็ต้องกว่าจะโตอีกมันจะผ่านไปอีก อย่างน้อยก็ ประมาณ 15 18 ปี 20 ปีโน่น ถึงจะมีการยอมรับทางสังคม นอกนั้นเขาก็จะหาว่าคนยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่มีสิทธิ์ ยังถือว่าไม่เดียงสา ถ้าต่ำกว่า 15 ต่ำกว่า 18 นี้ จะดีอย่างไรพิเศษอย่างไรเขาก็ยังไม่เชื่อ คุณจะเป็นคนวิเศษอย่างไรก็ไม่ให้มาบริหารโลกหรอก แต่ในประเทศก็พอได้ แต่อาตมาไม่เสี่ยงหรอก เพราะขนาดนี้อาตมาก็ยังแย่ขนาดนี้ แต่ถ้าเกิดมาใหม่ต้องมาสร้างบารมี ตอนนี้ทำไปจะถึง 50 ปีแล้ว ต้องทำไปถึงร้อยปี ต้องทำการกระเสือกกระสนต่อไปอีก อาตมาจึงต้องทำสัมประสิทธิ์
อีกหน่อย คนจะมาช่วยอาตมาคิด สูตรนี้คงจะใช้ได้แล้วล่ะแต่ยังไม่เต็มที่แต่ก็น่าจะใช้ได้ E=C(mc2+A)
ยังจะไม่ขยายความเรื่องสัมประสิทธิ์ต่อไปตอนนี้ จะทำงานทางเนื้อหาต่อไป เพราะอันนั้นเป็นเรื่องพลังงานเป็นเรื่องเติมตัวปลาย คนอื่นจะมาช่วยคิด อาตมาว่า แต่อนาคตถ้ายังไม่ตายจะไปต่อเอง ตอนนี้ก็ดีนะ พูดไปวันนี้ยังไม่ไอเลยนะ
อาตมาได้เข้าไปร่วมประท้วงไล่รัฐบาลสามารถออกไป จะได้รัฐบาลที่ดีขึ้นมาแล้วก็บริหารกันมาได้ 4-5 ปีแล้ว ได้ประมาณหนึ่งอาตมาก็เห็นดี อาตมาไม่ไปแข่งแย่งแบ่งอะไร เชิญทำ ทำการสนับสนุนพากเพียรไปอย่าให้บกพร่อง อาตมาก็เห็นความตั้งใจเป็นความปรารถนาดีของผู้ที่ทำงานกัน แต่แน่นอนการเมืองมันไม่หยุดยั้งพวกที่ต้องการอำนาจก็ยังสร้าง Fake News ใส่ลงไปมันก็ทำสารพัดแบบ เพื่อจะดิสเครดิต ของรัฐบาลนี้นายกฯผู้นี้ เขาก็ทำ มันช่วยไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องสัจจะของคนที่มันแข่งขันแข่งดีแข่งเด่น มันก็ต้องทำ ห้ามไม่ได้ไม่หยุดหรอก คนไหนเข้าใจก็เลิกมา จะเห็นได้ว่ามีคนออกมาช่วยพลเอกประยุทธ์มากขึ้นแล้ว กว่าจะถึงวันนั้นก็คงจะเพิ่มขึ้น ค่อยๆดูไป ไม่เสียเวลาดูไบ
ดูไบ เป็นเรื่องของคนที่หลงความสำเริงสำรวยโออ่าฟู่ฟ่า อย่างทักษิณ อวดความใหญ่โตหรูหรา ก็ไป ดีไม่ดีเอาไปทั้งตระกูลเลย ไม่ใช่แต่น้องสาว มันเหมาะจะไปอยู่ ตามที่ชอบที่ชอบ
เมืองไทยเรานี้ว่า อย่าประมาทอย่างเดียว พยายามพากเพียรไม่ประมาททำให้ดีขึ้นไป จะได้เป็นแกนตั้งเป็นแกนหลักให้แก่สังคมโลก เป็นประชาธิปไตยตัวอย่าง อาตมาว่า ไม่ได้หลงเลอะบ้าบอ อาตมาว่า อาตมา มีหลักการประชาธิปไตยของพุทธเจ้า คนไม่เข้าใจว่าในยุคพุทธเจ้ามีประชาธิปไตยได้อย่างไร เนื้อหาเป็นประชาธิปไตยแท้ แต่มันมีความเข้มข้นมีพลังงานอย่างปาฏิหาริย์
ในทวีปอินเดียยกให้พระพุทธเจ้าหมดเลยพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ขนาดพระเจ้าปเสนทิโกศลพระเจ้าพิมพิสารยกให้หมด แคว้นที่ใหญ่ที่สุดของโลกในยุคนั้นนะ ในทวีปอินเดีย ท่านเป็นรัฐอิสระไปที่ไหนประกาศธรรมนูญของท่าน จะเรียกว่าประกาศรัฐธรรมนูญของท่านก็ได้ ก็คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเป็นธรรมนูญใหญ่ ทุกรัฐทุกแคว้น ยกให้ท่านเลยประชาชนจะมาเข้ารีตของท่านก็ยกให้เลย
ชัดเจน พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นลูกของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรูก็เป็นตัวอย่างได้ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องราวมีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยยืนยันอ้างอิงชัดเจน
เพราะฉะนั้นค่อยๆทำความเข้าใจกัน นักศึกษานักรัฐศาสตร์การเมืองประชาธิปไตย จะค่อยๆเข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร
เพราะฉะนั้นพวกที่ยังมะงมมะงาหลากับประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งควรจะตื่นเสียที แดดออกแล้วฟ้าก็งามดุจเปลวทอง เพลงของสุรพล โทณะวณิก ไม่ตื่นเสียทีงมงายกับการเลือกตั้ง มันเป็นกะผลีกนิดนึง เรื่องเลือกตั้งมันไม่ใช่เรื่องแก่นสารเนื้อหาของความเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยเป็นเรื่องเพื่อประชาชน
คนที่ทำงานเพื่อประชาชนตั้งแต่หัวหน้า ตั้งแต่ผู้ที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ จนกระทั่งสมาชิกผู้ร่วมบริหารอภิบาลปกครอง ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อประชาชนจริง ยืนยันได้ตรวจสอบได้พิสูจน์ได้ วิจัยได้ ตรงนี้ต้องมีความเฉลียวฉลาดเพียงพอต้องมีภูมิปัญญาที่เรียนรู้สัจจะความจริงพวกนี้
อาตมาว่าอาตมาพอมีภูมิมีความรู้ จึงเอามาพูดอย่างนี้ ก็ยังอยู่ในกรอบของเหตุปัจจัยข้อมูลที่จำนนว่าอาตมายังไม่มีมวลมากพอ ยังไม่มีคนมากพอ ถ้าคนมากพอเมื่อไหร่จะมาก็จะไปร่วม ไม่ใช่อวดดีหรอก จะไปร่วมทำให้ประเทศให้มวลชนประชาชนไทยดีขึ้นในโลก ไม่ได้ไปเบ่งข่มอำนาจบาตรใหญ่ เหมือนนักประชาธิปไตยแบบโดนัลด์ทรัมป์ ที่เป็นตัว activist อยู่เต็มที่ขนาดนี้ อย่างอาตมา ไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตย บวมๆอย่างนั้นหรอก หรือพวกคอมมิวนิสต์อาตมาก็ไม่ใช่แน่ๆอยู่แล้ว แม้แต่ประชาธิปไตยที่รองลงมาก็ยังไม่ได้เด่นอะไร
ตอนนี้ที่พอขานชื่อก็มีจีนกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังไม่ใช่ แต่อาตมาว่าจีนเด่นกว่ารัสเซีย อาตมาพูดด้วยความจริงใจนะ ไม่ได้มีความลำเอียง เอามิเตอร์ของอาตมา
สีจิ้นผิงมีมวลประชากรประเทศสูงสุดในโลก ประชากรมีมากที่สุดในโลก ถึงขนาดปลดแอก ให้สีจิ้นผิงเป็นรัฏฐาธิปัตย์เบอร์ 1 ของประเทศจนตายเลย เขาตั้งให้ถึงขนาดนั้นนั่นเป็นความเห็นของประชาธิปไตยนะ คนจีนให้ อาตมาไม่ได้ขัดแย้งและเห็นด้วย เพราะไม่ได้หลับหูหลับตาดูสังคมโลกอยู่ เท่าที่จะพอดูได้ พอที่จะประมวลได้ แล้วก็เอามาพูดให้ฟังเผื่อแผ่กันขยายความขี้เท่อ ความรู้เท่านี้ ใครจะเห็นดีเห็นงามเท่าไหร่ก็ว่ากัน อาตมาอยู่ร่วมในสังคมอย่างไม่ได้ถดถอย แม้ที่สุดอาตมาก็บอกไว้ ถ้าอาตมาจะไปประท้วงรัฐบาล ถ้าเห็นว่ารัฐบาลไม่เข้าท่าแล้ว ต้องไล่ออก เราก็จะไปร่วมกับอาตมา ใครจะไปร่วมด้วยยกมือซิ หมดเลยที่นี่ คนข้างนอกจะมีถึง 2,000 ไหมนี่ ยกมือใหม่ 2000 คนนี้ ขนาดนี้อาตมาถามว่าจะไปประท้วงกับอาตมาใหม่ก็คงจะได้ประชากรไม่น้อย
แต่ว่ารัฐบาลคสช.นี้ อาตมาส่งเสริมอยู่นะ แต่ว่ารัฐบาลไหนก็แล้วแต่ที่พูดไป รัฐบาลไหนขึ้นมาที่จะมีเลือกตั้งกันมา รัฐบาลนี้จะได้รับการเลือกตั้งหรือเปล่า สมมุติว่ารัฐบาลคสช. ไม่ได้ขึ้นหลังเลือกตั้ง กลายเป็นรัฐบาลอื่นที่ไม่ดี รับรองว่า ถ้าอาตมาออกไปแน่ถ้าไม่เข้าท่า หากยังไม่ตายยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ดีไม่ดีให้หามไปประท้วงเลย จะไปกันไหม หากรัฐบาลไม่ดีจริง ไม่รู้ว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นอันไหน แก๊สน้ำตาอาตมาก็สู้
สมณะเดินดินว่า...ฟังที่พ่อครูเล่ารู้สึกว่าคนจีนฉลาด แต่เขาก็พร้อมให้อำนาจผู้นำ คนนี้ดีก็ให้เป็นผู้นำไปไม่กำหนดเวลาเลย สิงคโปร์เป็นคนฉลาดแต่ผู้นำออกกฎหมายเผด็จการเราก็พร้อมจะทำตาม
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:38:03 )
รายละเอียด
611005_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เตวิชชสูตร ตอน1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1l5_XhtLpYpLoNVOh--bR_XjxjFR6M-8VYd7zX2PbFJ0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1sYJJlv_AIPnxtVlHQAHRiHzinw7mbpLb
สมณฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก สิ่งแรกจะบอกเรื่องการสร้างบ้านที่บวรราชธานีอโศก ปกติไม่ให้เทพื้นซีเมนต์ตรงพื้นข้างล่างบ้าน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้น้ำไหลได้ แต่ตอนนี้ต้นไม้เยอะ กรรมการจึงอนุญาตให้เทซีเมนต์บริเวณพื้นล่างบ้านได้ โดยสามารถต่อชายจากตัวเสาบ้านออกมาได้ไม่เกิน 1 เมตร เพื่อไม่ให้พื้นใต้ถุนบ้านแฉะเกินไป
ตอนนี้ใกล้ถึงเทศกาลกินเจแล้ว ให้เด็กผู้หญิงไปนอนที่อุทยานบุญนิยม เด็กผู้ชายนอนที่บ้านราชธานีอโศก เนื่องจากสะดวกในการดูแลเด็กนักเรียน เทศกาลถือศีลกินเจ จะทำให้คนมีจิตใจที่สงบร่มเย็นมากขึ้น การกินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องที่เรื่องมาก กินพืชผักกินง่าย ทำให้แข็งแรงอยู่ได้ง่าย อาตมาว่ากินมังสวิรัติแบบชาวอโศก จะทำให้สุขภาพดีขึ้น นอนหลับสบาย ร่างกายดีขึ้นทุกอย่าง อาตมาไปเจอเพื่อน อาตมาไม่เจ็บป่วยอะไร แต่เพื่อนเป็นโรคเบาหวานความดันฯหัวใจมากมาย
เทศกาลกินเจของเรา เราพยายามสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดไปขายในราคาที่ถูกที่สุด เป็นประโยชน์สูงสุดไปขายแก่ประชาชน
เหมือนกับพ่อครูพยายามเขียนหนังสือให้กับพวกเรา พยายามแก้แล้วไขอีก พยายามมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเรา เราก็ควรจะตั้งใจรับฟังที่ดีที่สุดเช่นกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กินเนื้อสัตว์เป็นบาปมิใช่บุญเป็นอันมากเลย
_จาก..สัมมาบุญ กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพ
เมื่อ 2 วันก่อนท่านนายกลุงตู่พูดในเทศกาลถือศีลกินเจของจังหวัดภูเก็ตว่า สู้ไหวมั้ยแม่ทัพ!!(นักแสดงงิ้วที่แต่งกายเป็นแม่ทัพบุญ)
เราต้องร่วมสู้กับความไม่ดีซึ่งตอนนี้มันมีเยอะ ต้องทำเรื่องดีๆให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อคนไทย เพื่อประเทศชาติ
กราบเรียนถามพ่อครูว่าการถือศีล กินเจ มีผลถึงประเทศชาติได้อย่างไรคะ
กราบขอบพระคุณเพราะคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… เราไม่ไปทำร้ายสัตว์มันมีแนวลึก คนก็คือสัตว์ชนิดหนึ่งสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ สัตว์ชนิดอื่นสู้ไม่ได้ ยังสามารถเอาช้างมาใช้งานได้ ถ้ามีไดโนเสาร์ก็คงจะมาใช้งานได้ สัตว์น้ำก็ไม่ได้เอามาใช้งานเท่าไหร่
ประโยชน์ของการถือศีลกินเจนี้ คือ ละเว้นการสร้างความพยาบาทให้เป็นวิบากแก่สัตว์ใดๆต่อไปอีก จะต้องไปชดใช้หนี้วิบากบาป กุศลอกุศลอีก เราจะไปสร้างวิบากกุศลอกุศลกับสัตว์ใดๆอีกทำไม
พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอาหารของคน ชาวอโศกก็ได้พิสูจน์ว่าสามารถมีชีวิตยืนยาวเพราะการกินพืชผักไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็พิสูจน์แล้ว พวกสัตว์กินพืชลำไส้ยาวกว่าพวกสัตว์กินเนื้อ เป็นต้น แต่คนไม่เชื่อ เพราะว่าไปหลงติดรสเนื้อสัตว์ มันติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า เขามอมเมาให้คนติดรสเนื้อสัตว์อะไรต่างๆนานา
พ่อครูว่า...พีชธาตุ กับสัตว์ธาตุ มันต่างกันแน่นอน ในนัยยะละเอียด แต่สำคัญตรงที่ว่าสัตว์มันจะมีพยาบาทมีรักเป็นวิบากทั้งนั้น ส่วนพืชมันไม่มี อย่างไรๆมันก็ไม่มีวิบากที่จะต้องมาใช้หนี้ใช้สิน มารักมาชังกันอีก ต่อไปนี้ชาติต่อต่อไป แต่สัตว์มันทำตามใจไม่มีอะไรยับยั้งหรอก เราจะไปห้ามมันก็ไม่ได้ มันเป็นของมันเป็นธาตุวิญญาณเป็นธาตุจิตของมัน เพราะฉะนั้นก็อย่าไปสร้างดีกว่า อย่าไปสร้างความรัก ชัง ส่วนคุณจะไปรักชัง ก็ตายไปข้างหนึ่ง เกิดมาแก้แค้นกันอีก อย่างหนังจีนก็คุณสมัครใจจะทำเช่นนั้น แต่ถ้าจะไปนิพพานให้มันจบ คุณก็ต้องมาทำอย่างนี้ ไม่มีทฤษฎีหรือวิธีอื่นมันมีวิธีนี้วิธีเดียว
สรุปแล้วเรื่องสัตว์ ที่นี้ไปกินกัน อาตมาอธิบายละเอียดใน ชีวกสูตร ว่าเป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเป็นอันมาก แค่กล่าวชื่อสัตว์แค่นั้นก็บาปแล้ว ในเจตนา ที่จะไปจับมันมา ประเด็นที่ 2 สัตว์มันมีอิสระมันถูกจับมามันก็ต้องพยาบาท
ส่วนข้อที่ 3 นั้น ยังบอกอีกว่าให้ไปฆ่าสัตว์นี้ มันก็เป็นบาปอีก บาปเป็นอันมากซับซ้อน แค่สั่งฆ่าสั่งทำร้ายสัตว์ก็ต้องทุกข์โทมนัส ทั้งตัวผู้ฆ่าผู้สั่งก็เป็นบาป ก็บาปหนักขึ้นๆ เป็นบาปมิใช่บุญเป็นอันมากเลย ส่วนข้อ5 นี้ พระพุทธเจ้ารู้รายละเอียดถึงขั้นที่เรียกว่าอย่างนี้บาปหรือ? คนไม่เชื่อกุศลอกุศลจะไปคิดออกได้อย่างไร หากคนเชื่อกรรมวิบาก ก็ไม่ต้องพูดกันยาว
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
ทั้งหมดเป็นเรื่องไม่สมควรทำอย่างยิ่งแต่เขาก็ทําด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้ เป็นความละเอียดลึกซึ้งสุขุมพาณิชย์มากเลยในบาป 5 ข้อนี้ ไม่ใช่เรื่องหยาบเลยเป็นเรื่องละเอียดมากเลย 5 ข้อ เพราะฉะนั้นคนที่หยาบไม่มีภูมิที่สูง ถึงฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนอยู่กับลมแต่ก็ไม่รู้สึกว่าลมจะทำอะไรเขาได้ แต่นี่ยิ่งกว่าลมอีก ฟังแล้วผ่านไปยิ่งกว่าสายลม ไม่รู้เรื่อง มันยากมากอย่างนี้
คนไม่ฆ่าคนค้นไม่ทำร้ายเบียดเบียนคนอื่นในประเทศชาติก็คือคนที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติแล้ว ปฏิบัติธรรมก็ทำให้ชีวิตเจริญขึ้นสูงขึ้นไม่ทำร้ายทำลายชีวิตสัตว์แล้ว ก็ยังมีภูมิธรรมอื่นอีกที่จะมีคุณค่าต่อสัตว์อื่นๆนั้นด้วย แม้แต่คน ที่สำคัญต้องเป็นประโยชน์ต่อคนด้วย อย่างแท้จริง มันก็เป็นแล้วเป็นประโยชน์แล้ว
_ มีจดหมายส่งไปหาพ่อครูที่ปฐมอโศก เขียนว่า...49 ถนนท่าหิน ตำบลท่าราบ อำเภอเมือง เพชรบุรี 76000 วันที่ 30 กันยายน 2561
กราบนมัสการท่านพระโพธิรักษ์ที่เคารพ…. วันนี้ผมได้ไปเยี่ยมเพื่อน บังเอิญเห็นหนังสือ “ค้าบุญคือบาป” ชื่อเรื่องพูดตามภาษาชาวบ้าน ติดหู หน้าปกเตะตา จึงขออนุญาตจากเพื่อนหยิบมาอ่าน ครั้งแรกที่เปิดอ่านคำปรารภ(คำนำ) ของพ่อท่านก็ซึ้งในแก่นธรรม (เพราะผมได้อ่านพระไตรปิฎกที่เป็นพุทธวจนมาบ้างแล้ว)ยังไม่ได้อ่านเนื้อในเล่ม จะขอยืมเพื่อนกลับมาอ่านที่บ้านก็เกรงใจ เลียบๆเคียงๆถามที่มาที่ไป ที่เขาได้รับหนังสือมา เขาเลยบอก ถ้าสนใจให้ขอไปที่พ่อท่านที่สันติอโศกได้
ผมจึงใคร่นมัสการกราบขอความเมตตา ขอหนังสือ “ค้าบุญคือบาป” จากพ่อท่านไว้อ่านและเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวให้ลูกหลานได้ศึกษาต่อไป
ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพ
นายธาดา มหาทำนุโชค
_จากบ้านเล็กเมืองน้อย....กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
หนังสือเก่าๆของพ่อท่าน ชี้ประเด็นของผู้ปฏิบัตินั่งหลับตาไว้อย่างน่าสนใจ กราบขออนุญาตสรุปเปรียบเทียบให้เห็นภาพดังนี้
ต้นเหตุที่ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรม หลงผิดออกนอกขอบเขตพุทธ พากันไปไปนั่งหลับตา แล้วคิดว่าจะได้สมาธิได้นิพพาน ก็คือ การไม่ยอมปฏิบัติศีล ไม่ชำระจิตที่สกปรกออกด้วยศีล จึงไม่มีสัมมาทิฐิ
เมื่อผัสสะแล้ว แยกเวทนาไม่ออก ธรรมวิจัยไม่ได้ ทำให้หาเหตุแห่งทุกข์ไม่พบ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
กลัวอดกลั้นการแสดงธาตุแท้ของจิตอันสกปรกไว้ไม่อยู่ ก็เลยปิดกั้นผัสสะด้วยการหลับตาซะงั้น
ทำเหมือนการปิดทีวี ก่อนจะถึงฉากที่ไม่ชอบ เมื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ผล เพื่อให้ง่ายเข้า จึงเกิดเป็นการฝึกฝนหลับตาสะกดข่มอย่างจริงจัง ปิดกั้นผัสสะซะเลย หารู้ไม่ว่าจิตสกปรกที่ถูกสะกดข่มถมทับลงเรื่อยๆ มันก็ตั้งมั่นตกผลึกได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่สมาธิ กลายเป็นสันดานเลวทราม ที่ฝังแน่นหยั่งลึกลงเป็นอาสวะ อนุสัยยากแก่การชำระออกได้โดยง่าย ดังนั้นทุกการคิดพูดทำ ต้องพึงระวังสังวรศีลให้ดี เพราะไม่ตกผลึกลงฝั่งดี...ก็ลงฝั่งชั่ว
ถ้าเปรียบการแก้ปัญหาการถูกโจรยกเค้าขโมยขึ้นบ้าน เหมือนการปฏิบัติธรรมเนื่องจากอวิชชา กลัวโจรขึ้นบ้าน กลัวของหาย จึงปิดกุญแจล็อคบ้านอย่างแน่นหนา ติดสัญญาณกันขโมยจนวุ่นวาย แต่ก็ไม่ช่วยให้รอดพ้นมือโจร ส่วนการปฏิบัติศีล อุปการะจิตอบรมจิตจนเกิดสมาธิจนไม่มีของสะสม จะเกิดปัญญารู้ว่า ถึงโจรมาก็ไม่มีอะไรให้หาย โจรมาเพราะทรัพย์สิน ทรัพย์สินหมดก็ไม่มีโจร ความกลัวก็จะหมดไป
การปิดล็อคบ้านอย่างแน่นหนา ก็เหมือนปฏิบัตินั่งหลับตาถ้าลืมตาเผชิญผัสสะ ก็กลัวปรี๊ดจะแตกแสดงความทุเรศขายขี้หน้าออกมา จึงยอมเสียเงินตั้งใจไปเข้าคอร์ส ฝึกปิดกั้น นั่งหลับตา ไม่ยอมเอาต้นเหตุ คือตัวสัญญากำหนดหมายที่เป็น spec ของตนออก ไม่ยอมปฏิบัติศีลให้ชำระกิเลสขัดเกลา spec เพราะกลัวเสียself จึงล็อค spec ไว้......... กลัวจะถูกรู้ว่า selfish แต่ก็ไม่รู้จะขจัด selfish ยังไงดี หลับตามาตั้งนาน selfish ก็ยังอยู่....แต่ self ก็ดิ้น ไม่ยอมเสียหน้า ยังคงยึดมั่นใน spec ของตน เมื่อไม่ตรง spec ปรี๊ดจึงแตก
บางบ้านไปติดกล้องวงจรปิดยี่ห้อศีล เหมือนกับปากถือศีล แต่ไม่สังวรศีล เอากล้องไว้ขู่ ไว้ประดับนัยว่า..อย่านะ รู้นะ มีศีลนะ แถมยังสะสมของหรูหรา ฟู่ฟ่าเต็มบ้าน ยิ่งปิดล็อคแน่นหนายิ่งสื่อว่ามีของหวงยิ่งตกเป็นเป้าของโจร
ถ้าเพียงเปิดใจรับ ปฏิบัติศีลให้เป็นศีลอย่างจริงจังเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวก็จะลดลงให้เห็นแจ้งได้จริง
จะสัมผัสรู้ความจริงตามความเป็นจริง ผัสสะอะไรก็ไม่มีปัญหา เมื่อปัจจัตตังแล้ว
จะเกิดปัญญารู้ความแตกต่างของการมีกับไม่มีศีล แล้วจะให้ความสำคัญกับการปฏิบัติศีลยิ่งๆขึ้น
ดังนั้นถ้ายังดิ้นไม่ยอมปฏิบัติศีลให้ชำระกิเลสออกจากจิต ทั้งยังคงหลงผิดออกนอกขอบเขตพุทธ ไม่ยอมเปิดตารับการกระตุ้นกิเลสของผัสสะ ยังคงนั่งหลับตาแล้วจินตนาการให้เป็นสมาธิ ปิดล็อคบ้านอย่างแน่นหนาอยู่ ก็ไม่มีวันที่โจรจะเลิกราวีไปได้ เพราะจะไม่มีทางรู้เลยว่า....ทรัพย์สมบัติที่ตนสะสมทั้งในบ้าน...และในจิต คือสาเหตุ
พ่อครูว่า...ละเอียดลออขึ้น พวกเราศึกษาเข้าไปละเอียดยังไม่งงไม่สับสนได้
SMS 3 - 4 ตุลาคม 2561
_1614 คำว่า ปล่อยเขาไป ให้เรามีอิสรภาพทางใจ เลิกจองกฐิน อาฆาต พยาบาท คนที่ทำให้เราย่ำแย่ ...คำว่า อิสรภาพนั้น ขยายความได้มากน้อยเท่าใด
พ่อครูว่า..เท่าที่อ่านตามโจทย์ที่คุณเขียนมา ก็ขยายความได้มากเลยอิสระเสรีภาพไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ซึ่งค่อยๆทำไปอิสรภาพจาก อันหยาบแรง เช่นโสดาบันมีอิสระจากอบายมุข มีอิสระจากสิ่งที่ หยาบแรง จิตหลุดพ้นแล้ว เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน อบายมุขนี้จะอยู่ที่ไหน จะอยู่อเมริกาจะอยู่เมืองจีนจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เราไปเจอที่ไหนเราก็อยู่เหนือมันหมด สูงกว่าอบายมุขขั้นกามก็หลุดพ้นได้อีก ก็เหนือทั่วทั้งแผ่นดิน ธรรมดาธรรมชาติเขาก็มีตามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เราก็อยู่เหนือหมด ไปอยู่ไหนก็สบาย เหลือภายในรูปภพก็ล้างอีก อยู่กับเราตลอดนะ ไปไหนไปกัน อยู่ในใจเรา ก็คือรูปภพ อรูปภพ ก็ล้างอีก จนอยู่เหนือมันได้ หมดรูปภพหมดอรูปภพได้อีกต่อไป
_6601 ลูกมีเรื่องจะถามว่าคำว่าปิดอบายภูมิแท้จริงแล้วคือการปฏิบัติธรรมมรรคองค์ 8 ใช่มั้ยคะ ขอความเมตตาพ่อครูช่วยอธิบายลูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..ใช่ จบไปหลัดๆเมื่อกี้นี้ สิ่งที่เราไปติดที่เป็นภาระของเรา อันนี้ตัวเราหรือโลก ถือว่าเป็นเรื่องหยาบ เรื่องต้น ไร้สาระ คุณจะหลงว่าเป็นสาระทั้งนั้น การขี้โกงก็ถือว่าเป็นสาระสำหรับคนหลงผิด เพราะว่าโกงได้ถ้าเก่งแล้วโกงได้ ไม่เชื่อไปถามทักษิณสิ เขาก็ภาคภูมิใจในการที่เขาโกงได้เก่ง ไม่ใช่ว่าตัดสินให้ถูกจำคุกคดีเดียว ยังมีคดีอื่นอีกก็หนีเลยไม่ยอมให้พิพากษา เพราะว่าคดีอื่นมันร้ายแรงกว่าคดีที่ถูกตัดสินติดคุก คดีอื่นยังมีอีกน่ะ จะตายในคุกหัวโตเลย คดีเดียวนี้ติดคุก 2 ปี ทักษิณนั้นเป็นคนขี้กลัวขี้ขึ้นสมองเหมือนกุ้งเลยไม่ได้เป็นคนกล้า เพราะฉะนั้นเขาจึงอยู่กับปูเป็นกุ้งกับปู ขออภัยนะคนที่ชื่อกุ้งมีเยอะ ขออภัยอาจารย์กุ้ง พาดพิง
สรุป อบายมุขนั่นคือสิ่งที่เราตัดสินว่าอันนี้ต้องเลิกให้ได้ก่อน มันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลยมันไร้สาระ แม้จะเป็นสาระก็ควรทิ้งไปได้แม้จะเป็นเพชรพลอยเป็นอะไรที่เป็นสาระบ้างก็ไม่ต้องแล้วเราลดละไปได้เรื่อยๆ ศึกษาให้ดีไปตามกรรม อาตมาดูภูมิธรรมก็ค่อยๆก้าวก็แล้วกัน ยินดีต้อนรับ
_3867เทศกาลกินเจปีนี้มีความหมายสำคัญสูงส่งยิ่งเป็นเทศกาลมหามงคลน้อมทำบุญชำระกายขัดเกลาใจด้วยอาหารเจถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อหลวงร.9ฯ สะอาดด้วยใจรักฯ บริสุทธิ์ด้วย จิตภักดีฯ
_0015 การทำตนเป็นเช่นสะใภ้ใหม่ ได้ประโยชน์และควรประพฤติอย่างไรครับ
พ่อครูว่า..สะใภ้ใหม่ นั้นคือ ดีดี๊ดีใหม่ๆ แม่ผัวพ่อผัวชื่นชมดี พอเก่าไปชักออกลาย คำว่าสะใภ้ใหม่ คือทำดี จนพ่อผัวแม่ผัวหลงชื่นชม ก็ทำให้ดีสิ เหมือนตอนมาใหม่ พอเก่าออกลาย ก็แย่สิ เป็นสะใภ้ใหม่ตลอดไปทำดีให้ถาวรต่อไปคือเป็นคนดี จนพ่อผัวแม่ผัวชื่นชมยกย่องเลย ต่อเนื่อง
_ต่าย ณ สกล อยากทราบความเห็นของพ่อครูในกรณีล่วงเกินพระอริยะ เพราะเคยได้ยินพระท่านหนึ่งบอกว่า พระโสดาบันก็เป็นไฟบรรลัยกันต์ ถ้าหากพลั้งเผลอไปล่วงเกินท่าน
พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการล่วงเกินพระอาริยะจะมีโทษภัย 11 ประการ แล้วคุณจะไปล่วงเกินท่านทำไม ถ้าไม่รู้คุณก็ซวยไปเอง แต่ถ้ารู้แล้วจะไปล่วงเกินท่านทำไมแม้จะเป็นพระโสดาบันก็ตาม พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นความจริงทั้งนั้นไม่ได้ขู่ เป็นกรรมวิบากที่เป็นอันทำ คนไม่เชื่อก็ประมาท เขาก็ทำ อย่างอาตมานี้เขาไม่กลัว แต่กรรมมีจริง หากคุณรู้ก็หยุดเถอะ อาตมาใจไม่ได้ผูกใคร ไม่ได้เขียนเสือให้วัวกลัว ว่าอย่ามาแตะต้องฉัน ฉันใหญ่นะ ไม่ใช่อย่างนั้น บอกด้วยความจริงใจ บอกอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นโทษภัย
_สนอง นิละกุล · สัญญาณสะดุดบ่อยครับ
_สีดิน ลี · ท่านสิกขมาตุเทศน์เรื่องคนเอาหมูมาทำอาหาร ทุกวันนี้ด้านนอกเขตวัด มีเสียงหมูร้องตลอดวัน ยิ่งกลางคืนจะมีเสียงร้องติดๆกันจนถึงเวลาตี 05.30 จึงจะเงียบลง แล้วพอใกล้เที่ยงก็มีเสียงหมูร้องอีก ดิฉันทำงานขายของในร้านค้า จะเห็นรถบรรทุกหมูซึ่งเป็นกรงสองชั้น รถจะบรรทุกหมูผ่านหน้าร้านทุกวัน วันละ 2 ถึง 3 รอบ และหมูก็จะร้องในรถด้วย คงรู้ตัวว่าไม่รอดแน่นอน ตอนเขาบรรทุกหมูผ่านหน้าร้านจะเห็นเป็นตัวๆ แล้วจะมีรถบรรทุกเนื้อหมูแบบแช่เย็นแบบมิดชิดปิดไม่ให้เห็นเนื้อวิ่งผ่านร้านออกไป ท่านสิกขมาตุช่วยแนะนำการวางจิตวางใจให้เห็นถึงสัจจะของชีวิตของสัตว์ที่โดนทำร้าย กับการที่เราได้ยินเสียงร้องของสัตว์เมื่อโดนทำร้ายด้วยค่ะ เมื่อก่อนดิฉันได้ยินเสียงหมูร้องสงสารหมูมากๆ สำหรับตอนนี้ทำจิตโดยการวางจิตอุเบกขา และเตือนจิตเตือนใจตัวเองให้ปฎิบัติธรรมให้เข้มแข็งยิ่งๆขึ้น โดยไม่ประมาทกับทุกนาทีที่ผ่านไป ให้ศีลอยู่กับตัวเราตลอดเวลา ศีลจะเป็นเสมือนแสงนำทางชีวิตให้พบกับสัจจะธรรมที่แท้จริง
_วริยากร ถ้ากินเยอะขนาดนั้นตายเกิดกี่ชาติถึงจะชดใช้กรรมหมดค่ะ
(ส.ด่วนดีอ้างถึงคำพูดลุงจำลอง ในคนหนึ่งคน ถ้ามีชีวิตถึงอายุ 60 กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ก็หมายถึงต้องฆ่าสัตว์กว่า 2 แสนชีวิต)
- ไปงานเจมีความสุขมากค่ะชอบเหมือนไปแดนสวรรค์
_เพชรดินฟ้า ขอฝากบทกวีถวายพ่อครู
อำนาจ เพื่อประเทศชาติ ควรสืบทอด
เพื่อต่อยอด ตอกย้ำ ขย้ำผี
สืบสานศาสตร์พระราชาตามมรรควิธี
ชุบชีวี การเมือง"ไท" ด้วย ไทยนิยม
สม.กล้าข้ามฝัน
สม.รินฟ้า
ส.เดินดินสรุป…
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร ตอน1
พ่อครูว่า...ขึ้นเตวิชชสูตร ล.9
จะไม่ขยายความในบางจุดที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
[365] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงพราหมณคามของชาวโกศลชื่อว่ามนสากตะ ได้ยินว่า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ทิศเหนือแห่งมนสากตคาม เขตพราหมณคามชื่อว่ามนสากตะ.
วาเสฏฐะและภารทวาชมาณพเข้าเฝ้า
[366] สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอาศัยอยู่ในมนสากตคามมากด้วยกันคือ วังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุโสณีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์และพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอื่นๆ อีก. ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพเดินเที่ยวเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง วาเสฏฐมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้. ฝ่ายภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้. วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้ ฝ่ายภารทวาชมาณพก็ไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้.
[367] ครั้งนั้น เวเสฏฐมาณพบอกภารทวาชมาณพว่า ดูกรภารทวาชะ ก็พระสมณโคดมนี้แล เป็นโอรสของเจ้าศากยะ ทรงผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดีเขตพราหมณคามชื่อมนสากตะทางทิศเหนือ และเกียรติศัพท์อันงามของท่านสมณโคดมนั้นขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้วเป็นผู้จำแนกพระธรรม มาไปกันเถิดภารทวาชะ เราจักเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับครั้นแล้วจักกราบทูลถามความข้อนี้กะพระสมณโคดม พระสมณโคดมจักทรงพยากรณ์แก่เราทั้งสองอย่างใด เราจักทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น ภารทวาชมาณพรับคำวาเสฏฐมาณพแล้วพากันไป.
[368]ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นที่ให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. เวเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ขอประทานโอกาสเมื่อข้าพระองค์ทั้งสองเดินเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง ข้าพระองค์พูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า หนทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทางนี้ ยังมีการถือผิดกันอยู่หรือ ยังมีการกล่าวผิดกันอยู่หรือ ยังมีการพูดต่างกันอยู่หรือ. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่าท่านพูดว่า หนทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ภารทวาชมาณพพูดว่าหนทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ดูกรวาเสฏฐะ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านจะถือผิดกันในข้อไหน จะกล่าวผิดกันในข้อไหน จะพูดต่างกันในข้อไหน.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทาง พราหมณ์ทั้งหลาย คือ พราหมณ์ พวกอัทธริยะ พราหมณ์พวกติตติริยะ พราหมณ์พวกฉันโทกะ พราหมณ์พวกพัวหริธ ย่อมบัญญัติหนทางต่างๆ กันก็จริง ถึงอย่างนั้น ทางเหล่านั้นทั้งมวล เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ เปรียบเหมือนในที่ใกล้บ้านหรือนิคม แม้หากจะมีทางต่างกันมากสาย ที่แท้ทางเหล่านั้นทั้งมวลล้วนมารวมลงในบ้าน ฉะนั้น.
พ. ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.
ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.
ดูกรวาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูด.
ทรงซักวาเสฏฐมานพ
[369] ดูกรวาเสฏฐะ บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา พราหมณ์แม้คนหนึ่งที่เห็นพรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์แม้คนหนึ่งของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหม มีเป็นพยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหม มีเป็นพยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาที่เห็นพรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้ พวกเราเห็นพรหมนั้นว่า พรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด ดังนี้ มีอยู่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
[370] ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า บรรดาพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา แม้พราหมณ์สักคนหนึ่งที่เห็นพรหมเป็นพยาน ไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ แม้อาจารย์สักคนหนึ่งของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพยานไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ แม้ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพยาน ไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาแต่เจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ที่เห็นพรหมเป็นพยาน ไม่มีเลยหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ที่ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้พวกเราเห็นพรหมนั้นว่า พรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใด ดังนี้ มีอยู่หรือ?
พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็น แต่พวกเราแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรงเป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
[371] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์แน่นอน.
ดีละ วาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนแถวคนตาบอดเกาะหลังกันและกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนท้ายก็ไม่เห็น ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีอุปมาเหมือนแถวคนตาบอด ฉันนั้นเหมือนกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนท้ายก็ไม่เห็น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ถึงความเป็นคำน่าหัวเราะทีเดียว ถึงความเป็นคำต่ำช้าอย่างเดียว ถึงความเป็นคำเปล่า ถึงความเป็นคำเหลวไหลแท้ๆ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือนอบน้อม เดินเวียนรอบ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น.
[372] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น ก็พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือ นอบน้อมเวียนรอบ พราหมณ์ได้ไตรวิชชา สามารถแสดงทางเพื่อไปอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้นว่า ทางนี้แหละเป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ดังนี้ ได้หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ได้ยินว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น พระจันทร์และพระอาทิตย์ขึ้นไปเมื่อใด ตกไปเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลายย่อมอ้อนวอน ชมเชย ประนมมือ นอบน้อม เดินเวียนรอบ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่สามารถแสดงทางเพื่อไปอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็จะกล่าวกันทำไม พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชามิได้เห็นพรหมเป็นพยาน แม้พวกอาจารย์ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็มิได้เห็น แม้พวกปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็มิได้เห็น แม้พวกอาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ก็มิได้เห็น แม้พวกฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตรฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์บอกมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ที่ท่านขับมาแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่ได้กล่าวไว้ บอกไว้ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เห็นว่าพรหมอยู่ในที่ใด อยู่โดยที่ใด หรืออยู่ในภพใดพวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นแหละพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมที่พวกเราไม่รู้ ที่พวกเราไม่เห็นนั้นว่า หนทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรงเป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้.
[373] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ แน่นอน.
ดีละ วาเสฏฐะ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า ทางนี้แหละ เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
(พ่อครูว่า...ในปัจจุบันนี้ไม่มีอาจารย์คนไหนบอกว่าตนเองบรรลุและพาคนอื่นบรรลุ แถมว่า ผู้ใดบอกว่าตัวเองบรรลุก็คือผู้ไม่บรรลุอย่างนั้นอีกด้วย ก็เหมือนกับตัวเองไม่เห็นพรหม แต่พวกเราก็บอกว่าเห็นพรหม แล้วมีทางพาไปด้วยซึ่งมันขัดแย้งกับทางของท่าน
เราบอกว่าเราเห็นและพาไปทางที่เห็นได้ด้วย ในขณะที่เป็นเป็นด้วย ท้าให้มาดูด้วย
พูดไปแล้วอาตมาเหมือนคนอวดเก่งอวดดี เหมือนท้าทาย แม้ว่าจะทักทายก็ยังไม่มา พูดหนักขนาดนี้แล้วนะ ไม่ใช่อะไรหรอกต่อไปอายุมากขึ้นก็พูดแรงอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีแรงอยู่ก็เลยก็เลยขอพูดแรงหน่อย ใครทนแรงได้ก็มาเพราะรู้ว่าอาตมาพูดแรงแต่ใจดี)
อุปมาด้วยนางงามในชนบท
[374] ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราปรารถนารักใคร่นางชนปทกัลยาณีในชนบทนี้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ นางชนปทกัลยาณีที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่าเป็นนางกษัตริย์ นางพราหมณี นางแพศย์ หรือนางศูทร์ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญนางชนปทกัลยาณีที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่านางมีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ สูงต่ำ หรือพอสันทัด ดำ คล้ำ หรือมีผิวสีทอง อยู่ในบ้าน นิคม หรือนครโน้น เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปรารถนารักใคร่หญิงที่ท่านไม่รู้จักไม่เคยเห็นนั้นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า ถูกแล้ว ดูกรวาเสฏฐะท่านจักสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็ดี อาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์พวกนั้นก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี เหล่าฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพยาน …
อุปมาด้วยพะองขึ้นปราสาท
[375] ดูกรวาเสฏฐะ เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงทำพะองขึ้นปราสาทในหนทางใหญ่สี่แพร่ง ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านทำพะองขึ้นปราสาทใดท่านรู้จักปราสาทนั้นหรือว่าอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือทิศเหนือ สูง ต่ำหรือพอปานกลาง เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่าท่านจะทำพะองขึ้นปราสาทที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่าถูกแล้ว ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้นย่อมถึงความเป็นคำไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้นย่อมถึงความเป็นคำไม่มี
ปาฏิห าริย์.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาก็ดี อาจารย์ของพวกพราหมณ์นั้นก็ดี ปาจารย์ของอาจารย์แห่งพวกพราหมณ์นั้นก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี เหล่าฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพยาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ย่อมถึงความเป็นภาษิตไม่มีปาฏิหาริย์แน่นอน.
ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม จักแสดงหนทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมนั้นว่า ทางนี้แหละเป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
อุปมาด้วยแม่น้ำอจิรวดี
[376] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดีนี้ น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขายืนที่ฝั่งนี้ ร้องเรียกฝั่งโน้นว่า ฝั่งโน้นจงมาฝั่งนี้ ฝั่งโน้นจงมาฝั่งนี้ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนฝั่งโน้นของแม่น้ำอจิรวดีจะพึงมาสู่ฝั่งนี้ เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา หรือเพราะเหตุยินดีของบุรุษนั้นหรือหนอ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราร้องเรียกพระอินทร์ พระจันทร์ พระวรุณ พระอีศวร พระประชาบดี พระพรหม พระมหินทร์ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาอย่างนั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา หรือเพราะยินดี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[377] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขามัดแขนไพร่หลังอย่างแน่น ด้วยเชือกอย่างเหนียวที่ริมฝั่งนี้ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนบุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ 5 เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง กามคุณ 5 เป็นไฉน? คือ รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ เสียงที่พึงรู้ด้วยโสต กลิ่นที่พึงรู้ด้วยฆานะ รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก เกี่ยวด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด กามคุณ 5 เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา กำหนัดสยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ 5 เหล่านี้อยู่ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ กำหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออกบริโภคกามคุณ 5 พัวพันในกามฉันท์อยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ส.ฟ้าไท สรุป...
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:39:00 )
รายละเอียด
611007วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อธิปไตย อภิบาล อภิปัญญาคือประชาธิปไตยแท้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1XpneCCNztaUVILpybVDTcAJe5bWd1SfTKcrBeD-gRcc/edit?usp=sharing
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการจะขายอาหารเจที่อุทยานบุญนิยมและร้านสหกรณ์บุญนิยม ที่อื่นเป็นวันล้างท้อง ก่อนจะถึงงานเทศกาลกินเจวันที่ 9 ตุลาคม เป็นสิ่งที่ดีน่าจะล้างทุกปี
พค.ว่า...SMS วันที่ 5 -6 ตค. 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน โสดาบันจะพ้นมิจฉาอาชีพ 5 หรือไม่
_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ · น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ มั่นใจค่ะว่าพ่อครูต้องอยู่ถึง 151 ปี ลูกขอน้อมกราบอาราธนาค่ะ
ขออนุญาติถามนะคะ ว่าพระโสดาบันเต็มรอบต้องพ้นมิจฉาชีพห้าข้อหรือไม่คะ
ตะกรวด ตัวเงินตัวทอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า "วรนัส"
พ่อครูว่า..ก็ตอบว่าไม่ โสดาบันเต็มรอบยังไม่พ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 ข้อหรอก
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
ชาวอโศกพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ได้ด้วย พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานแล้วไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนเลย ทำแล้วไม่คิดว่าเราจะได้อะไรสะท้อนกลับมาทำแล้วให้ไปโดยบริสุทธิ์ใจ
แม้จะได้ตอบแทนกลับคืนมาก็รู้สึกเฉยๆ และยังจะกระจายให้คนอื่นต่อไปอีกอย่างนั้นแหละสุดยอด
พระโสดาบันนี้ แค่อยู่ในโลก ก็ยังอยู่ในกามในอบายมุขเป็นงานอาชีพเป็นสิ่งที่ต่ำที่สุดแล้ว เป็นอาชีพที่จัดจ้าน เช่นการโกงการทุจริตการหลอกลวง กุหนา กับลปนา
สองข้อนี้ เลว ทุจริตหนึ่ง พระโสดาบันไม่ทุจริตไม่หลอกลวงแล้ว มีศีล 5 ไม่พูดปด ไม่กระทำทุจริต แต่ทุจริตนี้ยังแยกอีกเยอะ ไม่เมาหยาบ อบายมุขไม่ใช่เข้าใจง่ายๆ อบายคือหัวหน้านรก เรื่องต่ำ
เช่น นักร้องมีรายได้สูงมาก หลอกซับซ้อน อย่างนี้คือนรกสุดยอด หลอกฟรุ้งฟริ้ง กลับไปกลับมา เหมือนสูงแต่ก็ยิ่งต่ำ นักชก ชกน็อค หมัดตายๆๆ นักฟุตบอลมีแทคติกหล่อเก่ง คนอื่นสู้ไม่ได้เลยเตะทีไรเข้าโกลเก่งได้รายได้สูง เก่งอย่างนั้นเสียเวลา และยังให้คนมาติดอีก คอยดูเถอะจะมีคนชักตายต่อหน้าต่อตา ตื่นเต้นมากสะใจมาก เคยมีมาแล้ว แล้วก็จะมีอีก เขาไม่หยุดยั้งเป็นอุพเพงคาปีติ พลังงานทางจิต สมอง ส่งไม่ทันก็ชักตาย ไม่ได้แช่งได้ด่านะ แต่เป็นเรื่องพูดโดยสัจธรรม
เพราะฉะนั้นพระโสดาบันยกให้ อาชีพที่ทุจริตหยาบคายไม่เอาแล้ว แต่อาชีพที่ยังแลกเปลี่ยนไปมา เนมิตกตา พอเหมาะพอสมควร หรือยังมีเล่ห์เหลี่ยมที่ยังเอาเปรียบเขาบ้างแต่ไม่จัดจ้านเท่าไหร่ จะบอกว่ามักน้อยก็ยังไม่มักน้อยเท่าไหร่ จะบอกว่าจิตใจพอก็ยัง ถ้าได้ก็ยังเอาอยู่ โสดาบัน ส่วนสกิทาคามีก็สูงขึ้นตัดออกได้พอแล้ว ตัดขีดพอ เกินกว่านี้เราจ่ายคืนไม่สะสมแล้ว สำหรับสกิทาคามีถึงจะเริ่มต้น จนกระทั่งสกิทาคามีเพิ่มขึ้นอย่างนี้เราไม่เอาแล้วน้อยลงน้อยลงจนกระทั่งสมบัติโลกไม่เอาแล้ว อนาคามี ทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานวัตถุสมบัติลาภยศสรรเสริญ สำหรับอนาคามีจะมีอยู่บ้าง ลาภยศ อนาคามีมีอยู่บ้าง
โสดาบัน ก็กุหนา ลปนา ละได้ เนมิตกตายังทำอยู่
นิปเปสิกตาก็ยังไม่บริสุทธิ์ แล้วไม่ไปทำงานกับคนผิด สูงกว่านี้เป็น ลาเภนลาภังฯ อยู่ในหมู่กลุ่มที่บริสุทธิ์ด้วยกันช่วยกันทำงานไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยน เอาเข้ากองกลาง สูงสุดเป็นสัมมาชีพที่พ้นจากมิจฉาชีพ 5
_พันธุ์ พอเพียง · ผมอาจจะว่างมากไปหน่อย เลยคิดว่า จะให้รถที่มาเที่ยวน้ำตก มาจอดใกล้ๆร้านพิสูจน์จิตอาสา อาจจะมีคนสนใจแวะมาดูสินค้าราคาเท่าทุนของร้าน ที่เฮือนบวร หนะครับ
พ่อครูว่า... หากมีที่ว่างใช้ได้ก็ใช้ต่อไปในการจอดรถ แต่ถ้าต่อไปร้านมากขึ้นอาจจะไม่มีที่ว่างแล้ว
_พิศมัย ชำนาญคิด : ทำดีเป็นเกราะคุ้มกันตัวเองไว้ ดีแน่เลย โยมจะจำไว้นะเจ้าค่ะ ขอบคุณค่ะ กราบนมัสการค่ะ
_7680.กราบนมัสการพ่อครู / ถ้ามีเพื่อนมาบ่นน้อยใจที่เราให้ความสำคัญกับงานของเขาน้อยกว่างานที่อื่น เราควรจะบอกเขาอย่างไรดี และขอความกรุณาพ่อครูช่วยอธิบายเรื่องจิตที่เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่ามันเกิดจากอะไร และนักปฏิบัติธรรมจะแก้ไขจิตแบบนี้ได้อย่างไร
พ่อครูว่า..ต้องตัดสินที่กาละปัจจุบันว่าอันไหนสำคัญกว่ากัน
เรื่องน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดจากความไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ ใจของเราที่มันพอดีพอดีอย่างนี้ ใจมันต่ำคุณน้อยใจของคุณเองคุณโง่เองเสียใจเศร้าใจ เว้าใจแหว่งใจ คุณทำใจตัวเองเอง ใจก็คือใจ ไม่ต้องไปน้อยไปต่ำมันจะต่ำจะสูงก็อยู่ที่ใจของเราเอง นี่ก็พูดทั้งพยัญชนะและสภาวะให้ฟัง อ่านอาการใจเหล่านี้ให้ดีและอ่านสภาวะสังคมที่เกี่ยวพัน ใช้คำว่าน้อยคืออะไรใช้คำว่าต่ำคืออะไร คำว่าสูงคืออะไรคำว่ามากคืออะไร
จะแก้จิตอย่างไรก็อ่านอาการจิต อ่านสภาวะที่เขาสมมุติ สอดคล้องกัน ติดตามพยายามปฏิบัติมันละเอียดลออในนามธรรมตอนนี้ ศึกษาในมิติต่างๆรอบด้าน ทั้งนัยยะ นัยยะละเอียดกว่ามิติอีก มิติมีด้านต่างๆ ส่วนนัยยะนี้แตกต่างกันแหลกราญเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เข้าหู เข้าใจ เข้าถึง
_จากลุงทุย ทุ่งชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปีที่แล้วผมได้อ่านหนังสือ 100 ปีพุทธทาส
มีหน้าหนึ่งพูดถึงท่านโพธิรักษ์พูดว่า “พุทธทาสไม่เข้าใจพุทธศาสนา”
ผมอยากจะถามพ่อครูว่า พุทธทาสไม่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างไร ผมอยากจะให้พ่อครูตอบในรายการวิถีอาริยธรรมวันอาทิตย์ครับ ผมจะรอฟัง
พ่อครูว่า...ขออภัยผู้ที่ยึดถือเคารพบูชาท่านอาตมาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดความจริงเท่านั้นเอง ท่านพุทธทาสยังมีภูมิธรรมสู้อาตมาไม่ได้หรอก ส่วนคุณจะติดใจถือสาว่าอาตมา ไม่ชอบอาตมาก็ไม่เป็นไร ขออภัยจริงๆ อย่าไม่ชอบอาตมาเลย อาตมาไม่มีจิตต้องชอบหรือไม่ชอบ ดูท่าที ตั้งแต่อาตมาทำงานศาสนาไม่เคยเอาใจใครไม่เคยประเหลาะใคร เปรี้ยงๆลัดคัดสั้น ในยุคนี้ต้องทำเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นเป็นการพิรี้พิไรซ้ำซากไม่เด็ดขาด มันต้องอย่างนั้นถึงจะได้ผล
ท่านพุทธทาสมีธรรมะในระดับเริ่มเข้าใจภาษาแต่ยังไม่เข้าถึงสภาวะธรรม ท่านพุทธทาสมีหูเข้าหู ธรรมะเข้าหูแน่นอน เข้าใจเข้าถึง นั้นมี 3 ระดับ ท่านพุทธทาสมีแต่เข้าหูและเข้าใจเบื้องต้น เข้าถึงนั้นยังไม่ถึง บรรลุธรรมยังไม่ถึง ฟังดีๆนะต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆเลย
ท่านพุทธทาสดูเก่งดูมีความรู้ท่านมีความรู้สังคมศาสตร์มีความรู้ปรัชญา พยายามจะเข้าหาขั้นญาณวิทยา ส่วนเข้าถึงขั้นปรากฏการณ์วิทยายังไม่มี อาตมาอธิบายมันยาวพวกนี้ อธิบายได้เป็นเดือนๆแต่ก็จะขอสรุป
ท่านพุทธทาสมีความรู้ด้านสังคมศาสตร์ปรัชญาคำคม ของท่านพุทธทาสมาใช้อยู่ อาตมาเห็นด้วย ไม่มีปัญหา ความหมายของสังคมศาสตร์ใช้ได้ เพราะสังคมศาสตร์ขึ้นอยู่กับกาละสิ่งแวดล้อมที่มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้นจะอธิบายธรรมะที่มันไม่เที่ยงเหล่านั้นให้เป็นหลักแหล่งตายตัวอธิบายไม่ได้หรอก ขึ้นอยู่กับกาลเวลาองค์ประกอบต่างๆสารพัด
สังคมศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น ท่านพุทธทาสอธิบายสังคมศาสตร์คนก็จะเข้าใจง่าย เมื่อมาถึงปรัชญาก็เข้าใจยากหน่อย เมื่อถึงขั้นญาณวิทยา Epistemology พยายามเข้าหาธรรมชาติ พยายามเข้าหาสภาวะจริงของดินน้ำไฟลม อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นปรากฏการณ์วิทยา
สังคมศาสตร์ ปรัชญา ญาณวิทยา ปรากฏการณ์วิทยา สี่ขั้นนี้
ท่านพุทธทาสไม่รู้ความหมายของอภิธรรมปรมัตถ์ที่เป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน แม้แต่คำว่า ธรรมะคือธรรมชาติ นี่ก็เป็นความรู้ของท่านพุทธทาสเป็นความรู้ที่ผิด ก็ธรรมชาติวิชาคณิตสมการ ธรรมะคือธรรมะ เอาคำว่าชาติไปใส่ x = x แล้ว x = xy ได้อย่างไร ธรรมะ =ธรรมชาติ
ชาติ แปลว่าเกิด ศาสนาพุทธรู้จักความเกิดและทำดับได้ ท่านพุทธทาสท่านทำความดับไม่เป็น ขอยืนยัน ขออภัยที่พูดเน้น-แข็ง-แรง! เหมือนข่ม แต่พูดเนื้อนะ อาตมาเคารพท่านพุทธทาสจริงๆท่านเป็นองค์กรตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ท่านมีคุณประโยชน์ให้อาตมาท่านเปิดคำว่าโลกุตระ ให้แก่อาตมา 2 ท่านรู้จักอบายมุขพอสมควร และท่านไม่มีอบายมุข ท่านมีความรู้โลกุตระเริ่มต้น อาตมาจึงจัดอันดับท่านพุทธทาสอยู่ในโสดาปัตติมรรค เริ่มต้นมีผลนิดๆหน่อยๆ
สักกายะท่านไม่รู้ ท่านไม่เข้าใจธรรมะสองของกาย เอาบันทึกท่านพุทธทาสมาดูสิขอยืนยันว่าไม่มี พูดไปเหมือนข่มแต่เป็นการอธิบายวิชาการเพื่อให้เรียนรู้ อย่าไปยึดติดในตัวบุคคลเท่านั้น ต้องเอาเนื้อหาสาระเป็นหลัก พูดอย่างตรงๆไม่ได้ลำเอียงพูดอย่างเคารพ ท่านพุทธทาสมีประโยชน์ในด้านสังคมศาสตร์ในด้านปรัชญา แต่ในด้านญาณวิทยา ปรากฏการณ์วิทยาท่านยังเข้าไม่ถึง
ความเหมายแค่สามเส้า เข้าหู เข้าใจท่านมีนิดหน่อย มีความรู้เริ่มต้นแต่บรรลุหรือเข้าถึง ยังไม่ถึง ยังไม่บรรลุธรรม
เพราะฉะนั้นท่านพุทธทาสจึงไม่เข้าใจ เข้าหูเท่านั้น โดยเฉพาะยังไม่เข้าถึงแก่น
ขอขยายคำว่าแก่น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าศีลคือสะเก็ด สมาธิคือเปลือก ปัญญาคือกระพี้ วิมุต เป็นเนื้อแท้ วิมุตติญาณทัสสนะเป็นแก่น
ศีล ท่านพุทธทาสไม่เอามาใช้ เช่น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
สมาธิ ท่านก็เป็นสมถะทั้งนั้น เป็นสมาธิเดียรถีย์นั่งหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น อาตมาจึงอธิบายสมาธิได้ยากนัก ปัญญาก็ยิ่งยาก ปัญญานั้นไม่ใช่แค่ เฉโก ที่แปลว่าความฉลาดทางโลกีย ปัญญาเป็นความฉลาดทางโลกุตระ เริ่มต้นตั้งแต่ อัญญธาตุ มีอัญญาเป็นพหูพจน์แล้วถึงเป็นกัญญา ชัญญา ปัญญา ก็ติดตามฟังให้ดี
สรุปแล้วท่านพุทธทาสยังมีศีลไม่เป็นโล้เป็นพาย ท่านพุทธทาสไปหลงปัญญา ไม่ใช่หรอกท่านมีแต่ เฉโก ปัญญา นี้ ใช้พยัญชนะเริ่มต้นจากอัญญา แล้วขยายเป็น กัญญา ชัญญา อะไรอีกเยอะ รับรองว่าท่านจะอธิบายไม่ได้ อาตมาเองแม้อธิบายได้ก็ยังไม่เก่งทีเดียวพอไปได้ยังไม่สมบูรณ์ทีเดียว
อาตมานอบน้อมท่านพุทธทาสอยู่นะ เมื่อสมัยท่านยังมีชีวิตต่อมาก็ไปกราบท่านอยู่หลายที อาตมาไม่เคยมีความพยาบาทต่อท่านพุทธทาส ไม่ได้มีจิตอย่างนั้น ผู้ใดตั้งใจฟังด้วยดี สุสูสังละภะเตปัญญังก็คงได้ปัญญา อาตมาเอาปรากฏการณ์จริงมาอธิบายให้ฟังก็คงจะได้ประโยชน์กัน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจแบบต่างๆ 5 ประเภท
เศรษฐกิจแบบต่างๆ 5 ประเภท
แบ่งตามโครงสร้างหยาบๆก่อน 5 อย่าง
เศรษฐกิจแบบเผด็จการเข้าใจได้ไม่ยากคือฉันคนเดียวนี่แหละเป็นตัวเบ้ง ตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์เผด็จการฟาสซิสต์ มาตั้งแต่ต้น ดีไม่ดีเผด็จการคนเดียวไม่พอยังหาหมู่กลุ่มมาร่วมเผด็จการแต่ฉันก็เป็นหัวหน้าคนเดียว ต่อมาก็ตัดยอด ทุกอย่างเป็นยอดเผด็จการได้มากคนอื่นก็ขอแบ่งส่วน ก็เกิดในทุนซับซ้อน ขอแบ่งส่วนแบ่ง ก็มามีนายทุนนายทาส มีลูกน้องของนายทุนอีกเป็นนายทาส ก็มีลูกทาส ก็เกิดทุนนิยมขึ้นมา เศรษฐกิจทุนนิยมซ้อน ผู้ที่ยิ่งใหญ่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะแบ่งได้เท่าไหร่ก็แบ่งไปเท่าที่นายทุนจะเอามาได้ เพราะฉะนั้นอำนาจยิ่งใหญ่นี้อาตมาไม่ขอลงละเอียดทางประวัติศาสตร์ ว่า มันก็มีการเผด็จการของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ริบอำนาจทรัพย์สินเงินทุนของนายทาสทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการคาราคาซังแบบทุนนิยมด้วย ทุนนิยมก็ปลดปล่อยให้ลูกทาสมีส่วน จะได้อาศัยใช้สอยเงินทองทรัพย์สินให้เขาแบ่งงานไป ก็จะได้เกิดการสร้างสรรค์เกิดการผลิต นายทุนก็มีความซับซ้อนความฉลาดขึ้นมา
เสร็จแล้วต่อมาก็มีคอมมิวนิสต์ ถ้าหากเอาคนเดียวก็เป็นผู้เอาหมด มันเห็นว่าเป็นการเห็นแก่ตัวคนเดียวไม่ดี ก็เลยทำการเผด็จการเป็นหมู่ แต่ในนั้นก็มีตัวเอ้ เป็นหัวหน้าอยู่ดี แต่ถ้าหัวหน้าคณะคอมมิวนิสต์เอาแต่น้อยให้ลูกน้องได้มาก หัวหน้าก็ดีแต่รวมๆ แล้วทั้งหมู่เอาเปรียบส่วนใหญ่ มีประเด็นหลักอย่างนี้ คอมมิวนิสต์คือเอาหมู่นี้ได้หมดก็ยังได้น้อยกว่าองค์รวมส่วนใหญ่ แต่ถ้าเป็นเผด็จการมีมากกว่าเอาของหมู่มารวม เหมือนนายทุนทุกวันนี้เอาของส่วนรวมทั้งหมดรวมกันยังสู้นายทุนไม่ได้เลย ขณะนี้นายทุนเมืองไทยก็เป็น
มาถึงประชาธิปไตยก็พยายามจะขยายเพื่อมวลประชาชน ให้ประชาชนมีสิทธิอำนาจในทรัพย์สินมากกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเผื่อว่ายังเป็นประชาธิปไตยสามานย์อยู่ เมืองไทยชื่อว่าเมืองประชาธิปไตยไม่ใช่เผด็จการไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์มานานแล้วเมืองไทยนี้ พยายามมาเป็นประชาธิปไตยจริงมานาน ในจักรีวงศ์พัฒนามาจนถึงรัชกาลที่ 9 ก็ชัดเจนว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดเป็นขั้นสาธารณโภคี แต่อธิบายโดยรูปธรรม
ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่สืบสันตติวงศ์มาก็เป็นของประเทศต่อทอดกันมา พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ จะเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ออกมาใช้มากหรือน้อยเท่านั้นแหละ ก็อยู่ที่แต่ละองค์
รัชกาลที่ 9 ท่านมีบารมีมีผู้โดยเสด็จพระราชกุศล มาถวายให้เป็นส่วนใช้สอยตามอัธยาศัยต่างๆและรายได้ที่พระองค์ควรจะได้เท่าที่ควรจะได้ ท่านก็ทำงานมีส่วนตอบแทน รัฐบาลให้บ้าง ท่านเองก็ไม่ได้เรียกร้องซื้อขายอะไรไม่มี ท่านไม่ได้ทำกิจการส่วนตัว พวกที่มี fake news หาเรื่อง เลอะเทอะ พูดมาบาปกินหัว ท่านไม่เป็น
ท่านเองท่านเป็นประชาธิปไตยแบบพุทธ ใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์และที่ได้โดยเสด็จพระราชกุศลมาทำงานกับรายได้ส่วนที่พึงได้ควรได้ ท่านไม่ได้ทำงานค้าขายหรือทำมาหากินที่เป็นส่วนรายได้ มีแต่ท่านจะบริจาคช่วยราษฎรไป แล้วท่านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย รัฐบาลก็ให้บ้าง จะเรียกว่าเงินเดือนก็เท่าที่ให้ ท่านไม่ได้เรียกร้อง ท่านก็เอามาใช้
ส่วนพระองค์เอง ท่านไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เป็นอบายมุขไม่มี หาเวลาจะมาสบายก็ยาก ทรงงานตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำอย่าง เหน็ดเหนื่อย ตลอด 70 พรรษาตั้งแต่พ.ศ 2489
ประชาธิปไตยกับสาธารณโภคี
ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยแม้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคของธาตุคนยังไม่เข้าใจในเรื่องสิทธิต่างๆ สิทธิมนุษยชนสิทธิในการแสดงออกสิทธิในข้าวของก็ยังไม่มีความรู้เลย แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักประชาธิปไตยแล้ว ท่านได้ปลดแอกทาสปลดแอกออกจากกันนะ ปลดแอกออกจากนายทุน มาเป็นคนจนมาเป็นคนสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกัน และท่านก็พาหมู่คณะไป ในยุคนั้นยังออกจากทวีปอินเดียไม่ได้
ท่านทำสังคมสาธารณโภคีได้จริงตรงที่จิตวิญญาณเกิด ให้เป็นคนมามีวรรณะ 9 แล้วเกิดสาราณียธรรม 6 โดยทำให้คนมีคุณสมบัติของพุทธพจน์ 7 อยู่ในสังคม
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
มาเข้าสู่สภาพของเศรษฐกิจ อีกหน่อย
เศรษฐกิจสาธารณโภคี คนที่เป็นสมาชิกของสังคมชุมชนหมู่บ้าน หรือจะขยายเป็นตำบล อำเภอ จังหวัดได้ก็ดีมาก แต่ก็ตอนนี้ก็ได้เป็นหมู่บ้านอยู่ หมู่บ้านชาวอโศกมีที่เป็นนิตินัย 2 อันคือชุมชนศีรษะอโศกและราชธานีอโศก นอกนั้นก็เป็นชุมชนตามสภาพธรรมชาติธรรมดาซึ่งมีระบบสาธารณโภคี ทุกชุมชน กลุ่มเล็กอยู่ในต่างประเทศก็มีบ้าง
แต่มีจริงเป็นจริงสังคมกลุ่มจริงที่ดำเนินเศรษฐกิจแบบนี้ เป้าหมายหลักที่จะเจริญตามแต่ละบุคคลหรือตามกลุ่มก็เป็นจริงตามสัจจะ พวกเราพากเพียรให้เป็นสมาชิกของสาธารณโภคีที่ตนเองเจริญให้ได้สูงสุด อยู่กับสังคมโดยให้ผู้อื่นเขาเลี้ยงไว้เราทำงานกับสังคมให้สังคมอย่างเดียว ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา
มีอาหารส่วนกลางของใช้ส่วนกลาง ที่อยู่ส่วนกลาง เอาไว้ใช้สอย
พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง ต่อไปจะมีคนมาขยายความต่อ
ประชาธิปไตยที่แท้นั้นขึ้นอยู่กับ 1 ความเป็นอิสระเสรีภาพ 2 ความไม่มีตัวตน ความไร้ตัวตน 3 ความมีปัญญา
ความเป็นอิสระเสรีภาพนั้นลึกซึ้งมากมายใหญ่หลวง
อิ คือ สระ ของ อะ อา อิ เป็นสามเส้าของสระ แล้วก็มีสระซ้อนอีก สระจริงๆคือ อะ อา อิ
มีรัสสระกับทีฆสระ ทีฆสระมี อา ส่วน อะ กับอิ เป็นรัสสระ ยิ่งแสดงความสั้นเล็กน้อยนิด น้อยนี่จับตัวกันสู้กับ 1 คือ อา
ย ร ล ว ส ตัวที่ 5 ของเศษวรรค พลังงานระดับเศษวรรค 5 คือพลังงานเดินหน้าก้าวหน้า ถ้า 4 จะถดถอย ตัว 8 กับ 4 เป็นตัวเคลื่อนยึกยักๆอยู่ พวกชักเย่อ ถ้าชักเย่อไปได้จนชัด เข้า 9 ชนะลอยลำ
ปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดโลกุตระ ที่ต้องออกจากความเห็นแก่ตัวและต้องสร้างอิสระให้จริง อิสระจริงคือตัวกลางที่สุด ไม่เข้าข้างใคร
ส่วนตัวตนไร้ตัวตนเลยเอาแต่สัจธรรมเนื้อหา พิจารณาอะไรควรก็เอาอะไรไม่ควรไม่เอา จะต้องรู้ตามสัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4
สรุปแล้วมาดูความจริงพฤติกรรมจริงของชาวอโศกแล้วจะเข้าใจว่ามีสาธารณโภคี มีประชาธิปไตยขั้นที่ดี
ประชาธิปไตยแบ่งเป็น 2 อย่างแบบดีกับไม่ดี
ประชาธิปไตยเมืองไทยกำลังจะก้าวขึ้นสู่ความดี พวกเราก็เป็นหลักสาธารณโภคี แต่ยังเล็กยังน้อยมาก
ชีวิตของอาตมายืนยาวต่อไป อาจจะเกิดพรรคการเมืองของชาวอโศก ถ้าเกิดขึ้นตอนนั้นเชื่อว่าอาตมาไม่ต้องมาเกิดอีกก็ได้ มีพรรคการเมืองภายในระยะเวลา 151 ปีของชีวิตอาตมา อีก 60 กว่าปี เปิดพรรคการเมืองได้จริงๆมีประชากรมีสมาชิกมากพอที่จะเป็นพรรคการเมือง
การเมืองก็ใช้รัฐสภาเป็นตัวปฏิกิริยาส่วนราษฎรเป็นตัวสัจธรรม พวกเราทำงานกับสายราษฎรเต็มขั้น ส่วนทางสภายังไม่อาจเอื้อม ถ้าหากชาวอโศกสามารถตั้งพรรคการเมืองมีสมาชิกเข้าพรรคการเมืองเป็นสสได้มีจำนวนหนึ่งที่มีสิทธิ์มีเสียงพอจะไปต่อรองออกสิทธิ์ออกเสียงในสภาพอได้หรือ เข้าไปจำนวนหนึ่ง แล้วจะมีพรรคการเมืองต่างๆมาเข้าเป็นมวลร่วมได้ ยังไม่ยากเย็นนะ ถ้าหากจะต้องใช้เงินซื้อเสียงไม่เอา ต้องใช้เงินต่างๆไม่เอา มันจะเป็นสัจธรรม
ตอนนี้คนกำลังแสวงหาความจริงตัวแท้และปัญญาที่จริง ตอนนี้ก็ขอยืนยันว่าชาวอโศกมีตัวแท้และปัญญาที่จริงไม่ใช่แค่ เฉโก
หากมีพรรคการเมืองเข้าไปทำงานในสภาได้ เมื่อถึงตอนนั้นประชาธิปไตยของไทยจะเจริญจนต่างประเทศมาดู มาศึกษา ตอนนี้ก็ยังไม่เป็นอย่างนั้น
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูว่า หากอีกใน 66 ปี สามารถเกิดพรรคการเมือง ที่แข็งแรง
พ่อครูว่า..อย่างน้อยมีพันคนในบ้านราชฯมีพฤติกรรมองค์รวมพฤติบทที่ครบครัน แยกย่อย เป็นบทเป็นตอนอีก
ตอนนี้กำลังรุ่งเรืองก้าวหน้าประชาธิปไตย ทุกคนก็ปรารถนาดีกันทุกคนแต่มันตามภูมิ จริงใจตามภูมิ ก็เลยมีการสังเคราะห์ มีการขัดเกลา แล้วก็จับตัวเกิดการสังขาร สังขารที่จับตัวเป็น static สังเคราะห์เป็นไดนามิก จนกระทั่ง ร่อนได้เนื้อทอง ก็สั่งสมเป็นสังขาร สังขารปรุงแต่งตกผลึกเป็นสังขตธรรม ตอนนี้บทบาทพฤติกรรมคืออาการของมวลมนุษยชาติในประเทศไม่ได้หยุดหย่อนทำอยู่อย่างค่ะมีขมันมีคนรุ่นหนุ่มสาวรุ่นแก่ขนาดพลเอกชวลิตก็ยังออกมา
เอาอย่างเสนาะ ชวลิต โพธิรักษ์ใครจะแก่กว่ากัน ต่างคนต่างแสดงกิริยาบทบาทในสังคม สัจจะที่แสดงออกมาได้ชวลิตเกิดปี 2475 เสนาะ 2477 เท่าอาตมา เกิดเมษายน อาตมาเกิดมิถุนายน เป็นน้องสามเดือน
ตอนนี้กำลังสังเคราะห์สังขารในเมืองไทยเรื่องประชาธิปไตย เกิดการ Action Reaction สูงมาก ประเทศอื่นยังไม่เป็นประชาธิปไตยสวยงามเท่าเมืองไทย ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยสวยงามตั้งแต่โพธิรักษ์ออกไปแสดงปรากฏการณ์ทำงานประชาธิปไตยทางการเมืองในโลก ตั้งแต่ออกไปประท้วงพ. ศ. 2549
เศรษฐกิจการเมืองสังคมประชาธิปไตยก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติ อาตมาเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ได้เป็นคนหลับหูหลับตานั่งเสพสุข อาตมาอยู่กับบทบาทของสังคมบทบาทของโลก ไม่ได้อยู่นิ่ง
_สู่แดนธรรมว่า...ประชาธิปไตยของอโศกที่ไม่หาเสียงเป็นอย่างไร จนกว่าจะมีคนมาเชิญเป็นผู้แทน
พ่อครูว่า...ชาวอโศกทำงานทุกบรรยากาศที่การรายงานความจริงไม่มีการหาเสียงไม่มีการเรียกร้อง อย่างไม่เรียบร้อยก็มี เป็นความจริงแสดงออก เป็นสภาวะอจินไตย ทั้งตัวบุคคลด้วย ตราบที่อาตมายังเป็น activist ยังไม่หยุด จะต้องทำต่อไปเรื่อยๆ อาตมายังเป็นโพธิสัตว์
หากไม่มีใครมาเชิญ ไม่ไปสมัคร ถ้าถึงขนาดเชิญก็เอา แต่ถ้าไม่เชิญแต่เนื้อหาเหมาะสมก็ได้
อย่างลุงตู่มีคนเชิญมาสมัคร สส. แต่ก็ดูไปก่อน เหมือนกัน แต่อาตมานี่ขอบอกว่าเกินแกงแล้วไม่ไป ส่วนลุงตู่นี้ได้ อาตมาตีกลองเชียร์ แต่นั่นแหละ
นายกตู่มีปฏิภาณปัญญาเหมือนกับอาตมาอยู่ยังไม่ไปเคาะทีเดียว ยังไม่ถึงเวลา ก็ทำไปเถอะ แม้จะเดินเรื่องตามลำดับแต่พฤตินัยของนายกฯไม่ได้หยุด ทำหน้าที่ บริหาร อธิปไตย อภิบาล
อธิปไตย อภิบาล และปัญญาหรืออภิปัญญา
ถ้าเป็นโลกีย อธิปไตยคือโลกียะร้อยเปอร์เซ็น อภิบาลก็มีโลกียะได้ แต่ปัญญาหรืออภิปัญญาไม่มีโลกียะ มีแต่ในโลกุตระ
โลกียะมีแค่อภิปรัชญาหรืออภิเจโต ในโลกียะ
อภิปัญญา คือ จิตวิญญาณเป็นเรื่องนามธรรมแท้
อธิปไตยที่เป็นตัวกูของกูแท้ๆยกตัวอย่างทักษิณหรือธัมมชโย อาศัยสถานะของธรรมะ ส่วนทักษิณอาศัยสถานะของการเมือง เป็นตัวอย่างคือสองคนนี้ เป็นตัวจริงของจริงไม่ได้เป็นง่ายๆนะ เขาเป็นแล้วได้นรก เพราะอวิชชา เป็นตัวอย่างที่เราต้องศึกษา อาตมาพูดไปเขาจะมายิงทิ้งเมื่อไหร่? ถ้ายิงก็เป็นวิบากเขา ที่ทำมาก็นรกมากแล้วทำอีกก็นรกมากอีก
อธิปไตยแปลว่าแรง พลัง energy พลังงาน
อภิบาล เอาพลังงานมาทำกับมนุษย์สัตว์โลก ช่วยเหลือกัน ผู้อภิบาล ช่วยเหลืออย่างยิ่งใหญ่ โดยใช้ภูมิปัญญาความฉลาด ปัญญาฉลาดไม่เห็นแก่ตัวทำเพื่อผู้อื่น ส่วนปัญญาคือไม่เห็นแก่ตัว
จะอาศัยอภิบาลในการช่วยเหลือสังคมโดยตนเองมีปัญญา ให้ตนเองก็อยู่ได้ยืนยาว และช่วยคนอื่นได้ด้วย ไม่ทำร้ายตัวเอง ก็อยู่ช่วยโลกไปเรื่อยๆ
อภิปัญญาคือความรู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว มีจริงไหม ได้ทำงานอภิบาลจริงไหมแล้วมีพลังงานอธิปไตยในตัวเองจริงไหม หรือที่ทำนี้ไม่มีพลังงานจริงอะไรเป็นตัวประกอบตัวเบี้ย อย่างที่เห็นมีเยอะแยะ ไปสะสมแต้มสะสมบารมีตนเองไปเรื่อยๆก็มี ตลอดสังคมมนุษยชาติไม่ขาดแบบนี้หรอก
ผู้ที่มีปัญญาความรู้สามารถเข้าใจ อธิปไตย อภิบาล อภิปัญญา นี้ได้ ถ้าคุณมีแสดงว่ามีน้ำหนักนะ อธิปไตยมีน้ำหนัก อภิบาลช่วยจริง อภิปัญญาจริงคนนี้มาทำงานในสังคมนี่แหละคือนักประชาธิปไตยจริง คือมีสภาวะจริงรู้พยัญชนะด้วยได้ คือนักประชาธิปไตย
อธิปไตยคือธรรมะสอง อภิบาลคือธรรมะสอง อภิปัญญาก็คือธรรมะสอง
ธรรมะสองคือแกนหลักของทุกสิ่ง เทวธัมมา แยกพยัญชนะกับสภาวะ สมมุติกับปรมัติ
สมมุติเป็นโลกียะ เทวะ
ผู้ไม่รู้จักความจริงของธรรมะ 2 มีแต่ความรู้เป็นพยัญชนะเก่ง อัตวาทุปาทาน หรือทิฏฐุปาทาน มีหลักปฏิบัติแบบสีลัพพตุปาทาน หากทำถูกก็พ้น กามุปาทาน จนมาเป็นอนาคามี หากกามหยาบอบายก็เละเทะอยู่นั่นแหละ
อย่าง ธัมมชโยหรือทักษิณก็เสพกามเสพโลกธรรมอยู่ ออกรูปแฝงร่างนักบวชกับฆราวาส ในฆราวาสไม่มีกรอบมากก็เลอะเทอะมาก ธัมมชโยซ้อนในนามธรรมแย่กว่าทักษิณ เพราะเอานามธรรมมาหาเงิน
ในรูปธรรมธัมมชโย ซ้อนกว่า ทักษิณทำหยาบตรงทื่อแต่ธัมมชโยเอาธรรมะมากลบ ธัมมชโยบาปกว่าทักษิณเยอะเลย ธัมมชโยรูปหล่อกว่าด้วย ต้องขอบคุณสองคนที่ให้เอามาเป็นตัวอย่าง
เข้าไปสู่ธรรมะสอง เทวธัมมา
ผู้ที่ไม่รู้จักสภาวะกับพยัญชนะ หรือเนื้อแท้กับโวหาร เปลือกกับแก่นก็จะสับสนหลอกตัวเองหลอกคนอื่นอยู่เช่นนั้น ผู้ใดจับมั่นคั้นตายได้ ทำเนื้อแท้ให้ตนได้ พยัญชนะก็เหมือนเปลือก เข้าใจแล้วไม่สับสน
เศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ
เศรษฐศาสตร์โลกุตระก็ทำเพื่อผู้อื่น เศรษฐศาสตร์โลกิยะก็เอาเปรียบเพื่อตัวเอง ได้เปรียบเป็นเชิงชั้น นั่นคือพวกที่เป็นโลกิยะ แต่ผู้ที่ยอมแพ้ไม่ต้องชนะ แต่เรามีสาระที่เป็นสาระเพื่อมวลมนุษยชาติที่แท้กว่า แม้แพ้เขาจะชนะด้วยเปลือก แต่มนุษยชาติได้เยอะกว่า คุณกับมนุษยชาติ มวลมนุษยชาติกับคุณแพ้อย่างนี้ชัดเจน
ทักษิณกับคนไทย มั่นใจว่าคนไทยมีมวลมากกว่าทักษิณ ที่มวลทักษิณกำลังออกฤทธิ์เดชยังเหนื่อย ประชาชนไทยยังไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าหรอก เขาทำอย่างเต็มที่เต็มเรี่ยวแรงเลย
พวกประชาชนคนไทย ไม่ว่ากี่โพล ที่ไม่รับใช้ทักษิณก็ใช้ได้ แม้แต่สื่อสาร ไม่ว่าระดับไหน ถ้ายังมีเศษส่วนรับใช้ทักษิณด้วยวัตถุก็ตัดทิ้งไปได้
ถ้าเป็นสื่อกลางๆจริงก็จะเข้าข้างประชาชนไม่ได้เข้าข้างทักษิณ
หากเอานายกฯตู่มาร่วมด้วย
ทักษิณโกงมากว่านายกตู่ฯ มวลหมู่นายกฯตู่มีมากกว่า
รายได้องค์รวม Gross domestic product GDP
รายได้องค์รวมภายในก็คือของคนไทยในคนไทย สร้างมาเป็นมวลที่คนไทยกินใช้พอ ไม่เดือดร้อน เอาเข้ากองกลาง ไม่แพร่แก่ข้างนอกเขา อย่างนี้เศรษฐกิจของ domestic ไทยเจริญ แต่ถ้าของคนไทยมีพอแล้วเหลือเอาไปเอาเปรียบต่างประเทศ อย่างนี้ไม่ใช่ GDP เป็น GIP หรือ GEP เป็น international หรือ export เอาของเขามา อย่างนี้ไม่ใช่ GDP ที่ดี แต่ถ้าของภายในเราทำได้มากมีเหลือเอาไปช่วยประเทศอื่นอย่างนี้ GDP ดีที่สุด
ในหลวงร.9 ส่งเสริมให้ทำคนจนและ อโศกก็สอนให้เป็นคนจน ไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวแต่ขยันสร้างสรรค์เพื่อผู้อื่น จนมีส่วนเหลือเอาไปช่วยผู้อื่นได้อย่างนี้เป็น GDP ที่แท้จริงไม่หลอกไม่แฝง จึงได้ชื่อว่าเราเป็นคนจนที่ไม่ได้งอมืองอเท้าเป็นคนจนมีความรู้ความสามารถมีความพร้อมมีความแข็งแรง มีการสร้างสรรไม่หยุดหย่อน ไม่เห็นแก่ตัว สร้างสรรเพื่อมนุษยชาติเพื่อสัตว์โลก ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงนี่คือสุดยอดสุดประเสริฐของมนุษยชาติ
ขณะนี้เอาจริงๆเลย เช็คดูสิว่า เศรษฐกิจประเทศไทยเท่าที่เป็นอยู่นี่ ชาวอโศก นี่แน่นอน ไม่เป็นหนี้ พึ่งตัวเองรอด ทำให้มากให้เกินแล้วเอาไปช่วยเหลือคนอื่น ถ้าหากประชาชนในประเทศทำอย่างนี้ได้ ความแข็งแรงของเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น ให้ประชาชนอย่ากลัวความเป็นคนจน คนจนที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นนั้นเป็นคนประเสริฐ เราเองสุขภาพแข็งแรง มีกินใช้มักน้อยสันโดษไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยให้โง่ถูกโลกหลอก เอาความสูญเสียที่โง่เง่าของตนชำระออกไป เอาความสูญเสียของข้าคืนมา เราเป็นธรรมะสองสลับไปมา ไปเปลี่ยนสัจจะอันนี้ไม่ได้ ลึกซึ้งที่สุด ในมนุษยชาติที่มีธาตุรู้ ตลอดนิรันดร์กาล สลับไปมาตามภูมิปัญญาที่ซื่อสัตย์คนหาว่ากลับกลอก จึงชื่อว่าสิริมหามายา
ธรรมะ 1 ธรรมะ 2 ธรรมะ 0
0 นี้ไม่มีอะไรไม่ทรงไว้ ไม่ใช่คำว่าธรรมะ 0 เพราะมันจะแย้งกันไม่ใช้คำนี้ ก็ใช้ 0 เฉยๆ
ธรรมะต้องมี 1 ขึ้นไป 0 ธรรมะ 1 ธรรมะ 2 ธรรมะ 3 ธรรมะ 4 5 6 7 8 9 10 ขยายออกไปเรื่อยๆไปถึงร้อยก็คือ 0 ถ้าจบที่พันหมื่นแสน ก็เป็นศูนย์ ถ้าไม่ก็ไปถึง Infinity ได้
เพราะฉะนั้นศูนย์จึงเท่ากับอินฟินิตี้ 0 = ล้าน
ผู้ที่สามารถที่จะมีอำนาจ
อำนาจพระพุทธเจ้าใช้คำว่า เรียกว่าอำนาจในการควบคุมจิต ทำให้จิตเป็นไปในอำนาจได้ นี่แหละเป็นตัวสูงสุด
ในเตวิชชสูตร
[380] ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคยได้ยินพราหมณ์
ผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวว่ากระไรบ้าง พรหมมีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตจองเวรหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี.
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา มีเครื่องเกาะคือสตรีหรือไม่มี.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตจองเวรหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตเบียดเบียนหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่มี?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มี.
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่ได้?(สัมประสิทธิ์ Coefficient )
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
สัมประสิทธิ์ Coefficient สามารถทำให้จิตเจริญก้าวหน้าจนถึงขนาดคูณหรือยกกำลัง
ในเตวิชชสูตร ศึกษาวิชชา 3 ไปถึงสภาพสามเส้า อธิปไตย อภิบาล กับอภิปัญญา
อธิปไตยคืออำนาจ มีอภิบาลไหม แล้วมีอภิปัญญา เป็นความรู้โลกุตรธรรมที่สูงสุด อํานาจอธิปไตยสามารถ ยังจิตให้มีอำนาจได้ ทำอย่างไม่มีอัตตาใช้ได้มีอภิปัญญาจริง ถูกต้องตรงแท้ไม่ผิด
นี่คือสุดยอดของประชาธิปไตย อาตมา จะเอาประชาธิปไตยของพุทธเจ้ามาทำแบบพวกเราเป็นให้ได้
สมณะฟ้าไทสรุป ..
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:40:16 )
รายละเอียด
611010 เวทนา 108 ย่อความให้ง่าย
ส.เดินดิน : น่าจะยกเอาศัพท์ที่ ท่านพุทธทาสอธิบายกับที่พ่อครูอธิบายมาเทียบกัน เหมือน ตถตา
ส. ดินไท : เทียบเคียง
ส. แสนดิน : ธรรมะคือธรรมชาติ
พ่อครู : ไม่ได้เข้าไปหาศาสนา ที่ท่านอธิบาย เป็นเหตุผลเฉยๆ
ส.เดินดิน : กินเนื้อเป็นยักษ์ กินผักเป็นค่าง กินด้วยจิตว่าง ก็กินได้หมด
พ่อครู : นั่นแหละ คือ เป็นตรรกะ เป็นสมถะ เอาตรรกะมาเป็นสมถะ มาเป็นเครื่องมือในการที่เราจะระงับก็ระงับได้ ระงับด้วยเหตุผล
ส.ดินไท : ชั่วคราว
พ่อครู : เออ.. ระงับชั่วคราว ไม่ได้เป็นการวิจัยเข้าไปแล้วก็ปฏิบัติ เพื่อละลด
ส.แสนดิน : ซึ่งผล ผลของที่ท่านสอนอย่างงั้นทำให้คนไม่ได้มารวมเป็นสังคะได้
พ่อครู : สมถะลืมตา
ส.แสนดิน : เขาก็ได้ผลกว้างๆ ก็สมถะไป
พ่อครู : มันยังไม่ได้เข้าวิปัสสนา ยังไม่เข้า วิปัสสนาจะต้องเข้าไปหาเวทนา ต้องอ่านสภาวะและพิจารณาสภาวะจริงๆ อธิบายสภาวะได้จะต้องมีผัสสะ 6 จะต้องมีอะไรต่ออะไร ตามหลักมรรคองค์ 8
ส.แสนดิน : มีรายละเอียดเยอะ อันนี้ของเขาก็แค่วาง จิตว่าง เขาก็วางแล้ว
พ่อครู : ใช่ ท่านพุทธทาสนี่ ยังไม่เข้าใกล้ ยังจับสภาวะเทวฺ เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา อันนี้คือหัวใจของศาสนาพุทธ ผู้ที่เข้าใจคำว่า เทฺว นี่แหละเป็นแก่นของศาสนาเป็น ศาสนาพุทธเป็น อเทวฺ เพราะสามารถตีแตก เทวฺ ได้ เทวฺเป็นพยัญชนะ แปลว่า 2 เทวฺ หมายความว่า ธรรมะ 2 ธรรมะแปลว่า 2 นี่หมายความว่าพยัญชนะธรรมดา เทวฺ คือ ธรรมะ 2 เข้าไปถึง ธรรมะ 2 ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือ ลักษณะโลกียะ ลักษณะหนึ่งคือ ลักษณะ โลกุตระ ลักษณะหนึ่งคือ รูป ลักษณะหนึ่งคือ นาม ลักษณะหนึ่งคือ เวทนาจริง ลักษณะหนึ่งคือ เวทนาเก๊ ลักษณะหนึ่งคือ ความรู้ปัญญา ลักษณะหนึ่งคือ ตัณหา ตัณหากับปัญญาเนี่ย ผู้ที่สามารถเข้าใจวิภวตัณหาได้ ปฏิบัติมาตั้งแต่กามตัณหา แล้วก็เข้ามาปฎิบัติ ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่ใช่ วิภว เข้ามาปฏิบัติภวตัณหา รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะไป หมดถึง อรูปภพ ก็หมดภพ ไม่มีภพ วิภวภพ ตัณหา ความต้องการ ความพากเพียร ที่จะเรียนรู้ภพ 3
ส.แสนดิน : ที่ท่านพุทธทาสบอกว่า มีๆไม่ได้ ถ้าอยากเป็นอรหันต์ปุ๊บ คุณก็ไม่ได้เป็นหรอก
พ่อครู : นั่นคือ ตรรกะ คุณไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คุณต้องมีฉันทะ คือ อยาก ต้องการ ปรารถนา ใคร่
ส.แสนดิน : เขาเรียกว่า เจตนา มโนสัญเจตนา
พ่อครู : เออ .. มีมโนสัญเจตนา ฉันทะ ยินดีที่จะปฏิบัติธรรม มีฉันทะเป็นมูลกา ตามมูลสูตร ต้องมีความยินดี มีความอยาก ฉันทะ ยินดีที่จะปฏิบัติ คุณไม่ยินดีมาปฏิบัติไม่ไหวหรอก มียินดีแล้วก็ต้องมีความปรารถนายิ่ง ปรารถนายิ่ง ต้องการยิ่ง ตั้งใจยิ่ง แล้วต้องมนสิการเป็น ต้องทำใจในใจเป็น ประเด็นนี้ไม่มีเลย โยนิโสมนสิการได้แต่คิด ไม่ใช่คิด ทำใจในใจ ทำใจในใจ ก็คือ ทำกายในกาย ทำเวทนาในเวทนา ทำจิตในจิต ทำใจในใจ ทำใจในใจตั้งแต่เรียนรู้ แยกออกว่าเจโตปริยญาณ คือ สราคะ ทำให้ออก วีตราคะให้ได้ จับสราคะ สโทสะ สโมหะ ให้ออก แล้วก็ลดลงมา ลดลงมาได้ จึงกลายเป็นวีตราคะ ไม่ใช่ .. สังขิตตัง จิตตัง วิกขิตตัง จิตตัง ลงมาตามลำดับ จนกระทั่งเป็นมหัคคตะ จนกระทั่งลงไปถึงอนุตตระ จนสำเร็จเป็นสมาหิตังเป็นวิมุติ ตามหลักของเจโตปริยญาณเลย ผมอธิบายได้เพราะว่ามีสภาวะ แล้วมันเรียง มันไม่ได้ต้องไปสับสนอะไร เจโตปริยญาณ 16 ก็ไม่เห็นจะต้องไปท่องอะไร มันเรียงแล้วเป็นหมวดหมู่ เป็น คู่ๆๆๆๆ ตั้งแต่ สราคะ วีตราคะ สโทสะ วีตโทสะ คู่ๆๆ มาจนกระทั่ง สังขิตตัง วิกขิตตัง จนกระทั่ง มหัคคตะ อมหัคคตะ จนกระทั่ง อุตตระ อนุตตระ จน สมาหิตโต อสมาหิตโต วิมุติกะอวิมุติ เป็น คู่ๆ ๆๆ มาเลย 8 คู่ 16 ตัว อย่างนี้เป็นต้น เวทนา 108 ก็ไม่เห็นจะต้องไปท่อง
ส.แสนดิน : มันมีตามสภาวะ
พ่อครู : สภาวะ 108 ของมันถูกต้อง มันมีตั้งแต่กายิกทุกข์ -เจตสิกทุกข์ สอง สุข - ทุกข์ ไม่สุข- ไม่ทุกข์ อีกสาม แล้วก็มีดีกรีของมันอีกห้า สุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา ห้า แล้วก็เกิด 6 ทวาร 6 ทวาร มี 3 ได้ ก็เป็น 18 ทวาร เป็นเคหสิตะกับเนกขัมมะ 18 แล้วก็ทำ 18 36 นี่ให้เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่ต้องท่องนี่
ส.แสนดิน : ครบ 108
พ่อครู : สภาวะมันชัดเจนเป็นลำดับ มันต้องทำตามลำดับนี้ก็จบ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ด้วยอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทำปัจจุบันให้สั่งสมเป็นอดีตเต็ม อเนญชา จนกระทั่งอนาคตมาเลย เท่าไหร่มาเลย เข้ามาใกล้ราศีแกก็เหี่ยวหมดแล้วกิเลสอ่ะ เพราะจิตเป็นวสะ วัสสวัตตี วัสสวัตตีจิตโต ยังให้จิตเป็นไปตามอำนาจได้ นี่ตัวจบเลย อยู่ในเตวิชชสูตรนี่แหละ
ส.แสนดิน : สูตรสุดท้ายเลย สูตรสุดท้าย คือ ?
พ่อครู : นี่แหละ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ สูงสุด ผู้ที่ยังจิตให้เป็นอำนาจได้ก็จบแล้ว เริ่มต้นถ้าอาจจะแย้งกันว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง ไม่มีการไปกำหนดกฎเกณฑ์เอาจิตได้ ไปกำหนดไม่ได้ นั่นเริ่มต้น แต่สุดท้ายนี่ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ เป็นตถตา ไม่ต้องใช้จิตไปกำหนดมัน มันก็เป็นไปเอง เป็นตถตา มันมีอำนาจในตัวมันเอง สามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จนจิตนี้มันเก่ง จนกระทั่งสำเร็จผลสุดท้าย ทั้งไว ด้วยมุทุภูตธาตุ เร็วในการรู้กิเลส เร็วในการกำจัดกิเลส พรั่บ เป็นไปทันที ทันที สัมผัสปั๊บจบในตัว สัมผัสปั๊บประสิทธิภาพยิ่งกว่าจอมยุทธ์ ไม่ต้องทำอะไรปั๊บ ไอ้นั่นดิ้นไปแล้ว
ส.แสนดิน : แค่สบตา ไม่ต้องสบตา
พ่อครู : เออ จอมยุทธ์ สุดจอมยุทธ์
ส.แสนดิน : แต่จัดการตัวเองนะฮะ จอมยึดจะจัดการคนอื่น
พ่อครู : อธิบายธรรมะเป็นโลกุตระ หรือ อธิบายธรรมะเป็นโลกียะ แค่นี้มันก็ชัดเจน ถ้าอธิบายธรรมะเป็นโลกุตระ อธิบายไปพอเริ่มต้นเป็นโลกียะไปประเดี๋ยวก็เข้าหาโลกุตระ มันจะชัดเจน ไม่ถึงโลกุตระ ไม่ยอมหยุดง่ายๆ หรอกนอกจากไม่มีเวลา
ในสวนดาว ถอดความ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:41:35 )
รายละเอียด
611012 ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ
ส. ดินไท : สุขสันต์วันศุกร์ บุญรักษาพระคุ้มครอง ปกป้องผองภัย.... เขาจะให้กัน นี่แหละ สุขสดชื่น สุขใจตลอดไป
พ่อครู : ศึกษาศาสนาสิ ศึกษาศาสนา ปฏิบัติดีๆ แล้วจะมีแต่สุขสบาย ไม่มีทุกข์ โดยเฉพาะเราจะไม่มีโศกเศร้า จะไม่มีโกรธอะไร พวกคุณยังรู้สึกวันๆ มีอาการโกรธ อาการอะไรบ้างเปล่า ?
ส. ดินไท : มี นิดๆในใจ แต่ไม่ค่อยแสดงออกมา
พ่อครู : เหรอ... อ๋อ ..
ส.แสนดิน : ไม่มาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน
พ่อครู : เออ.. ดี.. นั่นแหละ ผมไม่มีโศกเศร้า มีทุกข์ มีลำบากลำบน อะไร ไม่เห็นมีอะไร นอกจากมันออกกำลังมากก็เมื่อย มันออกกำลังมากเกินไปก็เมื่อย
ส.ดินไท : พ่อท่านเหนื่อย เหนื่อย ๆ เพลีย ๆ
พ่อครู : ก็ถ้าเผื่อว่า มันใช้แคลอรี่ออกไปหน่อย มันก็มาก ก็เท่านั้น นอกนั้นไม่..
ส.ดินไท : มันเป็นอ่อนล้าเฉยๆ
พ่อครู : อืม ..เราไม่ได้ไปออกกำลังอะไรมากมาย เหมือนกับอย่างสมัยก่อนๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง ไม่ได้ กำลังวังชา อ่อนล้าอะไรเลย ก็ไม่ เป็นแต่เพียงว่า เรารู้สึกตัวว่าเราอายุยาวแล้ว จะไปแสดง action ที่มัน มันไม่เหมือน มันไม่สมเหมาะกับวัยอะไรเกินก็ไม่ดี เท่านั้นเอง แต่จะให้คะนอง แสดง ลีลา action แบบ วัย 20 วัย 30 ก็ทำได้อยู่ มีเรี่ยวมีแรง มีอะไร ทำได้แต่ว่ามันไม่สำเร็จเหมือนของเราเท่านั้น
ส.ดินไท : แค่นี้ก็เกิน แค่นี้คนก็มองว่าเกินแล้วครับ
พ่อครู : สำนึกของเราเท่านั้นว่า อย่าไปออกมากนัก ไม่รู้ มันไม่ดี มันเวอร์ มันรู้สึกคนเขาจะเข้าใจไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้า เป็นนะผู้ใหญ่มันทำอะไรเหมือนเด็กๆ มันก็บ้า คนนี้มันไม่เต็ม ก็มันผู้ใหญ่แล้ว ไปทำเหมือนเด็กๆได้ไง
ส.แสนดิน : เป็นเฒ่าทารก
พ่อครู : เออ.. เฒ่าทารก ซึ่งมันจริง
ส.ดินไท : แสดงว่าสิ่งที่พ่อท่านทำ ถ้าตลอดเวลามันต้อง ต้องสร้างขึ้นมา ต้อง build ขึ้นมา มันไม่ได้ปล่อยตามธรรมชาติ
พ่อครู : ควบคุม ก็ดูแล สูงสุดเท่าที่ผมดูภาษาที่ วัสสวัตตี เนี่ย จบ วัสสวัตตี คือ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ผู้ที่สูงสุดก็แค่นั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ วัสสวัตตี สูงสุดแล้ว อย่างในเตวิชชสูตร เนี่ย พระพุทธเจ้าท่านตรัสถาม
วาเสฏฐะ อาจารย์ของเธอ ยังมีราคะ ยังมีเครื่องเกาะคือสตรีได้ไหม? ไม่ได้ ยังมีสตรี.... ยังทำใจไม่เศร้าหมองได้ไหม? ไม่ได้.... ทำใจให้ไม่มีพยาบาทได้ไหม? ไม่ได้.... คำสุดท้ายก็ ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ไหม? ไอ้ที่ถามมาทั้งหมดนั้นน่ะ ผู้ที่ทำได้แล้ว อันอื่นจะตอบว่าได้หมดเลย ยังมีสตรีเป็นเครื่องเกาะไหม? ไม่ ไม่แล้ว... มีจิตเศร้าหมองไหม? ไม่... มีจิตพยาบาทไหม? ไม่... ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ไหม? ได้....อันเดียวจบสุดท้าย นอกนั้นเป็นโลกๆ หมดเลย พอมาอันสุดท้าย ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ไหม? ได้ อันเดียโลกุตระ
ในสวนดาว ถอดความ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:42:22 )
รายละเอียด
611014_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก กาลามสูตรและเตวิชชสูตร
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1xQ3c5A5ujIPpzbE1qJeG-T97cPwZTEmOgDhFmZNbs8Y/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1wgGD1O7bWs-mxF7miAdm0yXxo9Iux5mI
สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก เป็นวันครบรอบ 45 ปี 14 ตุลาคม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ขึ้นหน้าปกว่าคิดถึงพระองค์มาก วันนี้เป็นวันครบรอบ 88 ปีของโยมสวงค์ บุญโชค บอกว่าผมสังหรณ์ใจว่าพ่อท่านจะมา แล้วพ่อท่านก็มาจริงๆด้วยแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความปีติ วันนี้ ท่านมาพร้อมกับภรรยาและลูกๆ ลูกสาวเขียนมาบอกว่า คุณพ่อสวงค์รับประทานอาหารมังสวิรัติติดต่อกันมานานถึง 30 ถึง 40 ปีตั้งแต่พบสันติอโศกมาปกติเป็นคนรักษาศีล 5 เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสอัธยาศัยใจคอดี ปกติเพิกเฉยต่อคำพูดที่ไม่ดีของคนอื่น มีพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เป็นกำลังใจให้มีอายุยืน ปกติมีอายุปานนี้ แต่ก็ยังมาฟังธรรมที่สันติอโศกเป็นประจำ
ประเด็นที่อยากขอเกริ่นนำ เมื่อสักครูพ่อท่านได้เกริ่นถึงนามปากกาเก่าสมัยใหม่เสมอ เขียนคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม นามปากกาเดิม โบราณ นวทัศน์ แต่พ่อท่านเห็นว่านามปากกานี้ห่างไกลจากความเข้าใจของคนมากไปก็เลยเปลี่ยนเป็นนามปากกา เก่าสมัย ใหม่เสมอ หรือเก่าก็ได้ใหม่ก็ด้วย พ่อท่านว่าเพราะกว่าแต่อาตมาก็ว่า เก่าสมัย ใหม่เสมอนั้นเพราะกว่า เธอมีชีวิตอยู่กับสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ได้อย่างผสมกลมกลืน ไม่ใช่ฝังหัวแต่กับของเก่าโดยไม่สนใจสิ่งใหม่ หรือไม่ก็เอาแต่สนใจสิ่งใหม่ไม่สนใจสิ่งเก่า รักษาชีวิตแบบเดิมๆแบบของแบบพระพุทธเจ้าเอาไว้แล้วเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้
มีถ้อยคำที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ให้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่สามีของเธอทิ้งไป ทั้งที่อยู่กินกันมานานมีลูกกันมาแล้วด้วย เธอผู้นี้มีความแค้นใจเป็นอย่างมาก เป็นขนาดอยากจะฆ่าใครก็ได้แล้วจะฆ่าตัวเองตายตามไปก็ได้ ได้เล่าให้พ่อท่านฟัง หลังจากได้พูดระบายกับพ่อท่านแล้ว พ่อท่านพูดว่า ถ้าหากเขาดีเขาไม่ทำแบบนี้หรอก คำพูดเท่านี้ทำให้หญิงผู้นั้นเกิดความสว่างโพลงในจิต ความดำริที่เป็นพยาบาทที่อยากจะฆ่า ก็ได้คิดตามที่พ่อท่านว่า “ถ้าหากเขาดีเขาไม่ทำแบบนี้หรอก” ประเด็นนี้สื่อแสดงภาวะของผู้มีจิตสูง ถ้าเรานำคำนี้ไปใช้กับการดำเนินชีวิต ไม่เห็นใครทำไม่ดีท่านที่เราจะรู้สึกไม่ดีกับพฤติกรรมของเขา ก็ใช้คำพูดของพ่อท่านไปพิจารณาว่าถ้าหากเขาดีเขาไม่ทำแบบนี้หรอก ทำให้เราเข้าถึง ยถาภูตญาณทัสนะ รู้ความจริงตามความเป็นจริงได้ตามไปด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีที่ไหนในพระไตรปิฎก
พ่อครูว่า...มีลุงทุย ท่าชนะ ฝากถาม ให้ ตอบในวันอาทิตย์ครับ
1.พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ในกาลามสูตร
ไม่ให้ เชื่อ 10 อย่าง แม้จะเป็นคำสอนที่อยู่ในพระไตรปิฎก ท่านพุทธทาสได้กล่าวเอาไว้ว่า คำสอนในพระไตรปิฎก สามารถฉีกทิ้งได้ถึง 60% หรืออาจารย์คึกฤทธิ์ ที่เน้นพุทธวจนที่บอกว่า พระไตรปิฎกนั้น ให้เลือกเชื่อเฉพาะที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่า ทั้งพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และหมอเขียว จะเอาพระไตรปิฎกมาสอน เป็นประจำ อยากทราบว่า การปฏิบัติแบบไหน จะถือว่า เป็นการปฏิบัติตามกาลามสูตร
2. จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีกล่าวไว้ที่ไหนในพระไตรปิฎก เพราะไม่เคยได้ศึกษามาจากท่านอาจารย์พุทธทาส หรือพระในมหาเถรสมาคม ก็ไม่มีท่านใดที่ได้นำเอามาสอน
พ่อครูว่า...ใช่ ยืนยันชัดเจนว่าในประเทศไทยนี้ มหาเถรสมาคมรวมทั้งท่านพุทธทาส ก็ยืนยันอย่างนั้นแสดงว่าหายไปจริงๆด้วยในโลกสังคมพุทธ ศีล ไม่มี เหลือแต่วินัย 227 พูดกันเมื่อไหร่พระถือศีลเท่าไหร่ก็บอกว่าถือศีล 227 จบชัดเจน หมดไปแล้วจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
คำว่าศีลกับวินัยก็ยังแยกไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าศีลกับวินัยเป็นอันเดียวกัน วินัยเป็นกฎหมายที่มีโทษ ส่วนศีลไม่ใช่แบบนั้นเป็นคำกลางๆก็เห็นดีเห็นงามก็ปฏิบัติ ปฏิบัติให้เกิดสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธก็ได้ผลไป
ตกลงเขาอ่านพระไตรปิฎกกันหรือเปล่า แสดงว่าไม่เปิดพระไตรปิฎก ไปเปิดก็จะเจอเลย โดยเฉพาะพระสูตร พระวินัยมี 8 เล่ม ศีลมีอยู่ในพระสูตรตั้งแต่ประสูติแรกคือพรหมชาลสูตร ท่านเปิดด้วยโลกอุบัติขึ้นมาอย่างไร และผู้เป็นเจ้าอุบัติขึ้นมา ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.
จุลศีล
[2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?
พ่อครูว่า...หากจะชมว่าคนนี้รวยก็ไม่เที่ยงแท้ ทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปมาไม่มีเป็นของตัวของตนจริงๆเลยแต่ถ้าศีลนั้นใครมีในตน ให้เกิดเป็นสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ ตั้งมั่นแล้วเช่นศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ มีความปรารถนาดีหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไปทางไหนก็มีกิริยาอย่างนี้เพราะคนมีศีล เป็นสุดยอดมนุษย์ แม้จะรวยเป็นแสนล้านก็ไม่เป็นเครื่องชี้ว่าเป็นคนที่ใจสูง นี่เป็นศีลข้อที่ 1 ข้อเดียวข้อแรกต่ำที่สุดแล้วนะ นี่แหละสิ่งยืนยันคนที่สูงได้อันนี้เป็นคุณธรรมที่ต่ำที่สุดแล้ว ความรวยความมีสถานะยืนยันไม่ได้ เป็นสมบัติผลัดกันชมไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปมา แต่ว่าศีลนี้ทำให้ตั้งมั่นยืนยันอยู่ที่เราได้ตลอดนิรันดร์กาลได้
ใครจะไม่ฆ่าสัตว์ตลอดชีวิตยกมือขึ้น ...ยกมือ…
พวกเรามั่นใจ แล้วจะไปฆ่าเขาทำไม เพราะเรารู้จักวิบาก รู้จักความดีความไม่ดีเป็นสมมุติ ยิ่งปรมัตถ์แล้วก็ยิ่งไม่ทำบาป แต่นี่คนทำไมต้องสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่ากัน อาวุธที่สร้างไม่ได้หมายจะฆ่าสัตว์ คนอุตริเอาไปยิงหมีขอหมีดำ แต่ที่จริงมันสร้างมาฆ่าคน เป็นเรื่องเลวร้าย คนเราทำร้ายกันไม่ต้องถึงกับเอาอาวุธทำร้ายกันแค่มือไม้ทำร้ายกันก็แย่แล้ว แต่นี่มีจิตใจที่สร้างอาวุธเพื่อจะฆ่าคน มันไกลแสนไกลจากพระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนให้ห่างไกลคนพาล ร้อยโยชน์พันโยชน์ ได้เป็นดี
อาตมานี่ต่อให้แก่อายุ 100 กว่า ก็จะยอมให้เรียกแก่บ้าง แม้มีคนเห็นด้วยเท่านี้ก็ภูมิใจแล้ว ปฏิบัติธรรมมาพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นคนในสังคมโลกที่มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ มีจริงๆไม่ได้พูดเล่น ปฏิบัติได้เป็นจริงเลยพวกเรานี้มีสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นคนอยู่ในสังคมในประเทศอยู่ในโลก ที่ไม่เบียดเบียนใครไม่เป็นภัยต่อใครมีแต่คุณค่าประโยชน์
ตอบขอบลุงทุยก่อน...ท่านพุทธทาสได้กล่าวเอาไว้ว่า คำสอนในพระไตรปิฎก สามารถฉีกทิ้งได้ถึง 60%
พ่อครูว่า...อย่างนั้นโมหะเกินไป พระไตรปิฎกมีคนนับถือทั่วโลกแต่พระพุทธทาสบอกว่าฉีกทิ้งได้ 60% ในพระไตรปิฎกมีแต่คำสอนพระพุทธเจ้ากับคำสอนของพระเถระในยุคพระพุทธเจ้าเท่านั้น คำสอนในยุคของพระพุทธเจ้าก็เป็นคำสอนที่ในยุคของพระเถระที่น่านับถือมีอีกมากมาย ตัดเองตัดสินได้ไหมว่า คำนี้ เป็นคำของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริงแล้วไปฉีกทิ้งได้อย่างไร ฟังดูใหญ่เหลือเกิน อาตมาไม่ได้ฉลาดยิ่งใหญ่ขนาดตัดสินฉีกทิ้งขนาดนั้น ท่านพุทธทาสก็ฟังแล้วน่ากลัว
หรือท่านคึกฤทธิ์ให้เลือกเชื่อเอา แต่อาตมาว่า ที่ท่านบันทึกในพระไตรปิฎกคงไม่ใช่ของที่ขี้เหร่เท่าไหร่ แล้วเก่งอย่างไรให้เลือกเชื่อ อาตมาว่าหากเรายังไม่เข้าใจอย่าไปตีทิ้ง เอ็งเก่งขนาดไหนพิพากษาได้เลยตีทิ้งได้เลย ไม่ว่าจะเป็นยุคของท่านพุทธทาสหรือท่านคึกฤทธิ์ ที่จะเอาแต่พระวจนะ เขาเก่งกว่าพระเถระอื่นๆด้วย อาตมาว่าจองหองจังเลย
ส่วนจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนั่นมีในพระสูตรเล่มแรกเลย จุลศีลมี 26 ข้อ มัชฌิมศีลมี 10 ข้อมหาศีลมี 7 ข้อ ศีลนั้นอธิบายโดยย่อ
ศีลข้อ1 สมาธิ กับปัญญาก็อยู่ที่ศีลข้อ1 วิมุติ วิมุติญาณทัสนะก็อยู่ที่ศีลข้อ1 มันมีทั้งหมด แต่เขาไม่เข้าใจว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุตติญาณทัสสนะในศีลข้อที่ 1 เป็นอย่างไร เมื่อคุณไม่รู้ก็ทำไม่ได้สักอย่าง สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะก็ไม่ได้ เพราะคุณไม่รู้ว่าในศีลข้อที่ 1 นั่นแหละมีทุกอย่าง อาตมารู้แล้วอาตมาก็ทำได้ก็มาสอนพวกเราให้รับต่อไปได้จึงสำเร็จมีการบรรลุได้ กถาวัตถุ 5 แล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติ
1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .
2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)
3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .
4. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) .
5. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .
6. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)
7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ (สมาธิกถา) .
8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)
9. เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส (วิมุติกถา)
10. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 69)
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของกับพืช ของคือวัตถุดินน้ำไฟลมกับพืช อันแรกสัตว์ทั้งหมดก็มีสัตว์ในโลกก็มีสัตว์กับดินน้ำไฟลมอากาศกับพืช
ศีลข้อที่ 3 เรามีความรู้สึกเรามีผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ กับสัตว์ ผัสสะกับของ กับพืช เท่านี้แล้วก็มีครบแล้วในโลกแล้วปฏิบัติให้มีสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ จบเลยศาสนา จากนั้นก็เอาไปพูดอยู่ที่วจีกับมโน ศีลข้อที่ 4 คือวจี ศีลข้อที่ 5 คือมโน
ดังนั้นที่ว่า มหาเถรสมาคมแม้แต่ท่านพุทธทาสก็ไม่เอาเรื่องของจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลแล้วก็ถือว่าหมดไปเลย แม้แต่หมอประเวศ วสี ก็แยกเลย หากจะศึกษาเรื่องศีลก็ไปสันติอโศกหากจะศึกษาเรื่องสมาธิก็ไปที่ธรรมกาย หากจะศึกษาเรื่องของปัญญาก็ไปที่สวนโมกข์
นั่นแหละเป็นคำพูดที่ผิด หากจะเอาให้ครบทั้งศีลสมาธิปัญญาต้องมาที่สันติอโศก หากจะเอาสมาธิที่ผิดเพี้ยนก็ไปเอาที่ธรรมกาย หากจะเอาปัญญาที่แหว่งๆก็ไปเอาที่สวนโมกข์ วันนี้พูดยังอวดดี แต่เรื่องอะไรจะอวดความชั่ว ก็ต้องอวดความดีให้กันฟัง อาตมาไม่โง่นะ ใครจะโง่อวิชชาก็อวิชชาไป อาตมาฉลาด ใครจะว่าอาตมาโง่ก็แล้วไป อาตมาเลิกอวิชชาแล้ว อาตมาฉลาดแล้วรู้ด้วยว่า โลกียะกับโลกุตระต่างกันอย่างไรแยกแยะได้ อาตมาไม่โง่แล้ว ส่วนคนโง่คือคนไม่รู้หรอกโลกุตระกับโลกียะ ก็อยากจะไม่ได้พูดไม่ได้ อาตมาพูดได้ แยกแยะได้ เอามาให้คนปฏิบัติได้ด้วย คนชาวอโศกเป็นคนโลกุตระ ยืนยัน มีในศาสนาพุทธ ศาสนาเดียวเท่านั้นที่มีโลกุตระ
หากทิ้งจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็เท่ากับทิ้งศาสนาพุทธเลย มหาเถรสมาคมและท่านพุทธทาสทิ้งก็แสดงว่าไม่เหลือเลยศาสนาพุทธของท่าน ท่านบอกว่าฉีกทิ้งได้ตั้ง 60% ท่านไม่เห็นค่า แต่อาตมาเห็นค่า คำอธิบายได้อธิบายยังไม่หมดเลยตอนนี้ หากอาตมาอยู่ถึง 60 กว่าปีก็ไม่รู้จะอธิบายหมดหรือเปล่า
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน กาลามสูตร
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ในกาลามสูตร
ไม่ ให้ เชื่อ 10 อย่าง...แล้วคุณจะไปเชื่ออะไรได้เล่า
1. อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา (มา อนุสสเวนะ)
2. อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา (มา ปรัมปรายะ)
3. อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ (มา อิติกิรายะ)
4. อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา (มา ปิฎกสัมปทาเนนะ)
5. อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง (มา ตักกเหตุ)
6. อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน (มา นยเหตุ)
7. อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ (มา อาการปริวิตักเกนะ)
8. อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว (มา ทิฏฐินิชฌา นักขันติยา)
9. อย่าได้เชื่อถือ โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ (มา ภัพพรูปตายะ)
10. อย่าได้เชื่อถือ โดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
พ่อครูว่า...หากปฏิบัติธรรมเหล่านี้แล้วเกิดอกุศลก็ควรจะละเสีย หากปฏิบัติธรรมเหล่านี้แล้วเกิดกุศลก็ควรจะเข้าถึงธรรมเหล่านี้อยู่ ท่านไม่ได้บอกว่า 10 หลักเกณฑ์นี้พึ่งพาไม่ได้เอาไปยึดถือเอามาทำอะไรไม่ได้ ก็ให้ดูทั้ง 10 ข้อ 10 อย่างนี้แหละ ข้อไหนที่เราควรเอามาปฏิบัติให้ว่าจะได้ยินตามกันมาก็ดี ถ้อยคำสืบกันมาก็ดี ได้ยินข่าวลือมาก็ดี อ้างอิงตำราคิดตามอาการเดาเอาเอง นึกเอาเอง หรือผู้อื่นพูดแล้วน่าเชื่อถือ แม้แต่เป็นครูของเราก็ตามอันสุดท้าย ก็เราเห็นว่ามันน่าจะเอามาปฏิบัติมันเป็นกุศล เรามีสิ่งที่ทำมหาปเทส ได้สุดยอดก็ตัดสินเอง ตัดสินแล้วอันนี้ดีควรเอามาประพฤติ เมื่อประพฤติแล้วได้สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นกุศล คุณก็ได้แล้ว หากว่าไม่เชื่ออะไรไม่ฟังอะไร แล้วคุณจะได้ทำ?
สรุปรวมทุกอย่างเป็น ทฺเว ธัมมา แปลว่าลักษณะสอง
ลักษณะ 2 นี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พยาธิลักษณะ 2 อยู่กับลักษณะ 2 สามารถชัดเจนใน 2 ไม่ว่าจะเป็นพยัญชนะหรือสภาวะ 2 มันมีรูปกับนาม มันมีสิ่งที่มีกับไม่มี มันเป็นชีวกับไม่มีชีวะ
เป็นสภาพคู่ทั้งนั้นหากปฏิบัติ 2 ให้จบได้ก็จบเลย ทุกวันนี้ปฏิบัติไม่ได้เพราะว่าค่ายหนึ่ง เป็นค่ายเทว อีกค่ายหนึ่งเป็นค่าย งงๆ
อีกค่าย อเทวะคือศาสนาพุทธชัดเจนในสองแล้วทำสองให้เป็นหนึ่งได้ก็หมดเมถุน พ้นทุกข์ ศาสนาพุทธทำให้ธรรมะ 2 เป็น 1และเป็น 0 ได้ เข้าใจเทวดา เข้าใจความเป็นสอง เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เอามาเปรียบเทียบกัน คุณจะเปรียบเทียบอะไรกับ 2 อันนี้ อันใดเป็นกุศลอันใดเป็นอกุศล คุณก็อยู่กับกุศล สุดท้ายศาสนาพุทธเลิกเลยจบเลยก็ทำได้ นี่คือสุดยอดความรู้ของมนุษยชาติในโลก ศาสนาพุทธ บรรลุธรรมะ 2 ทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็น 0 ได้ก็จบเลย แล้วก็รู้ความหลากหลายจากแต่ละบุคคล หลากหลายมากมายเยอะแยะเต็มโลกนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นรู้ความเป็น 2 ความเป็น1ความเป็น0ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีที่สิ้นสุดจบเลย นี่คือศาสนาพุทธ จบแล้ว พูดธรรมะพระพุทธเจ้าจบแล้ว
สมณะเพาะพุทธว่า...ต้องทำความเข้าใจความเป็น 2 ความเป็นหนึ่งและความเป็น0
พ่อครูว่า...ทุกอันคือ2หมดแล้วเอามาเทียบกันศึกษาได้
2นี่ เปรียบเทียบให้ชัดเจนว่าอะไรดีอะไรไม่ดีอะไรควรมีอะไรควรไม่มี ของที่มันควรก็ควรจะอยู่กับสิ่งที่ดี สิ่งที่ควรจะไม่ให้มีทำให้มันสูญได้เลย จบ ทุกคู่ในมหาจักรวาลนี้คือ เทวะหรือ ทฺเว ทุกสิ่งทุกอย่างก็รู้คู่ แล้วก็แยกได้ด้วยว่า 2 อันนี้อะไรคือดีอะไรคือไม่ดี ถ้าเราจะอยู่ก็อยู่กับความดี ถ้าไม่อยู่ก็เลิกเลย 0 นี่จบแล้วนะ ศาสนาพุทธได้ย่อมาจบอย่างนี้
สมณะเพาะพุทธว่า...ให้รู้สิ่งที่จริงและเท็จแล้วเลือกเอาสิ่งที่จริง อาศัย
พ่อครูว่า...แต่ศาสนาพุทธทำ1 ได้แล้วเลิก1 ได้ เป็น 0 ได้แยกธาตุได้หมด จึงสามารถศึกษาได้ทุกอย่าง แยกแยะ อุตุนิยามก็ได้ ทางฟิสิกส์เขาก็เก่ง เข้าใจแยกฟิสิกส์บวกลบให้หายจนเป็น1เป็น0ได้ นี่คือความสามารถของศาสนาพุทธ เป็นพีชะก็แยกได้ เป็นสัตว์ก็แยกได้ แยกได้ด้วยการกระทำ แยกได้ด้วยกรรม
แยกได้ด้วยการกระทำ การกระทำแล้วจะให้ทรงอยู่ก็เป็นธรรมะ อันไหนจะไม่ให้ทรงอยู่ก็คืออธรรม
อาตมามีสภาวะและเข้าใจจึงอธิบายได้ การอธิบายของอาตมาจะไม่เหมือนกับคนอื่น ศาสนาพระพุทธเจ้ามาถึง 2500 กว่าปีแล้ว ข้อใดผิดเพี้ยนไปเลอะเลือนไปจนไม่มีใครเอามาพูดได้ อาตมาก็นำมาพูดได้ ขออภัยที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้คุยตัวอวดตัว แต่พูดตามภูมิธรรมที่อาตมามี หากไม่มีก็เอามาพูดไม่ได้หรอก ก็ตำราก็มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลในพรหมชาลสูตรก็มีแต่ทั้งท่านพุทธทาสและมหาเถรสมาคมบอกว่าไม่มี มหาเถรสมาคมหรือท่านพุทธทาสก็พอรู้ว่ามีนะ ทำไมท่านจะไม่รู้จักศีล คุณเองไปดูถูกท่าน
สมณะเพาะพุทธว่า...คนๆหนึ่งไปหาของในห้องแล้วกลับมาบอกว่าไม่มี แต่ถ้าคนอื่นไปหาเพราะว่ามันมีก็ยืนยันได้
พ่อครูว่า...ก็ยืนยันว่าจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มี แต่คุณบอกว่าไม่มี ใครที่ไม่กล่าวถึงไม่เอาน่าจะมีในพระไตรปิฎกเขาก็ทิ้ง อาตมาไม่ทิ้งแล้วนำมาให้พวกเราปฏิบัติ ได้ผลหรือไม่ ...ได้ เป็นประโยชน์และดี สบายขึ้น ประเสริฐ สุดยอด
คนที่เห็นค่าก็เอามาปฏิบัติประพฤติก็ได้คุณค่านั้นได้ความประเสริฐนั้น ส่วนคนไม่เห็นค่าก็ทิ้งไป มันไม่ได้แปลกอะไร ลิงมันเห็นแก้วแหวนก็บอกว่าสู้ถั่วไม่ได้ ไก่เจอเพชรพลอยไม่เอามันแข็ง ไปกินพืชผักดีกว่า คนเห็นคุณค่าก็บอกว่ามี คนไม่เห็นคุณค่าก็บอกว่าไม่มี
มาถึงกาลามสูตร...มันเป็นเรื่องที่สุดยอด ที่เป็นความละเอียดลออของพระพุทธเจ้า มีคำตอบของพระเจ้าบอกว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในอะไร สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ ธรรมะทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ยึดถืออะไร แล้วคุณไปตีทิ้งว่าไม่ยึดอะไรเลย
คำว่ายึดมั่นก็คือไปติดไปหลง การยึดถือแบบอาศัยให้ได้คุณค่าได้ประโยชน์ สุดท้ายคุณก็ไม่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา พรากได้จากกันได้สูญได้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของๆเรา สุดท้ายอาศัยในชีวิตได้ ไม่ใช่อกตัญญู แต่เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเหตุปัจจัยอาศัยกันและกัน เพราะฉะนั้นอะไรเป็นกุศลอะไรเป็นประโยชน์ อาศัย อะไรไม่เป็นประโยชน์ไม่เป็นกุศลก็ไม่อาศัย ไม่ยาก ข้อสำคัญคุณจะต้องมีญาณปัญญาวินิจฉัยชัดเจนว่าอันนี้เป็นประโยชน์อันนี้ไม่เป็นประโยชน์ อย่างไม่ลำเอียงอย่างไม่มีกิเลส เป็นตัวตัดสิน มีแต่ความซื่อตรงสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีอคติใดๆมาตัดสินแล้วเอามาใช้ เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีปัญญาเป็นผู้พิพากษาเอง
ปัญญานี้เป็นตัวผู้พิพากษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราต้องมีปัญญาที่คมแหลมลึกแม่นตรงจริง แล้วสามารถตัดสิน สามารถพิพากษาได้ อะไรควรใช้อะไรควรอาศัยเราก็อาศัย มันก็เป็นความจริงที่คุณเองจะมีความสามารถ คุณจะมีความรู้จริงที่จะตัดสินถูกต้อง แล้วคุณก็ได้ตามสิ่งที่ตัวเองพิพากษาเองตัดสินเองแล้วเอามาใช้เอง มันก็เป็นของจริง ใครมีเท่าไหร่ อาตมาว่าคนเรานี้ก็ไม่ได้เจตนาที่จะเอาสิ่งที่ไม่ดีนะเจตนาจะมาเอาสิ่งที่ดีทั้งนั้น เอามาใช้ ไม่มีใครอยากจะเอาสิ่งไม่ดีมาใช้ มันก็อยู่ที่เราจริงฉลาดจริงแล้วก็ตรงแท้ตามสัจจะหรือไม่ เท่านั้นแหละที่จะทำได้ พระพุทธเจ้าสรุปลงท้ายในพระสูตรนี้ว่าหากปฏิบัติธรรมะเหล่านี้แล้วเกิดอกุศลไม่เกื้อกูลเป็นทุกข์ก็ละทิ้งธรรมะนั้น แต่ว่าหากปฏิบัติธรรมะเหล่าใดและเกิดกุศลเกิดความเกื้อกูลเกิดความพ้นทุกข์ก็ควรจะทำธรรมะนั้น
สำหรับตัวเองปรุงใช้ มี กับสูญ อะไรจะไม่ให้มีให้สูญไปเลยอกุศลใดๆที่จะมีในตนก็ให้เลิกไปเลย ชัดเจนไหมคุณชัดเจนก็ทำได้ด้วย มี วัสสวตีจิตโต มีจิตที่มีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ สุดท้าย คนที่มีจิตเหนือ แม้มันจะมากระทบสัมผัสเราก็เลือกสิ่งที่เป็นกุศลอาศัยสิ่งที่ไม่เป็นอกุศลไม่อาศัย ที่สุดเหนือกว่านั้นคือเลิกไปเลยศูนย์ไปเลยสลายไปเลย แม้แต่ตัวเองก็สละให้สูญไปเลยได้ นี่คือสุดยอดแห่งความรู้ของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนาที่ไม่มีเทวเหลือไม่มี 2 ทำให้เหลือ 1 ในสภาวะที่ยังมีอยู่ คุณยังมีชีวะ คุณยังไม่ตาย คุณมีเหลือคุณก็อาศัยแต่สิ่งนี้ คุณจะไปให้มันสูญ คุณก็ไม่เหลืออะไรเลยแยกธาตุเลย คุณสามารถแยกได้
สมมุติว่าของคุณมีธาตุน้ำไฮโดรเจนกับออกซิเจน คุณก็สามารถแยกกันอยู่เช่นกับออกซิเจนออกจากกันได้อย่างถาวรนิรันดรเด็ดขาดจริงด้วย ในสภาพที่เป็นจิตนิยามก็สามารถแยกแยะอุตุนิยาม ไม่ต้องเป็นพีชนิยามอีกได้ด้วย ข้ามไปเลย สลายไปเลยเพราะว่าอุตุนิยามมันไม่มีพลังงานในตัวเองไปจัดการมันเอง มันไปตามสิ่งแวดล้อม ส่วน พีชนิยามเริ่มจะมีพลังงานจัดการตัวเองบวกกับลบ แต่ยังไม่มีพยาบาทไม่เกี่ยวข้องกับอันอื่นไม่ไประรานใครเป็นตัวเองของตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อเป็นจิตนิยามนั้นมีทั้งตัวเองและมีทั้งไประรานคนอื่น เป็นโทษเป็นภัยแก่คนอื่นยิ่งจะชั่วน่ะโง่หนัก ยิ่งจะไประรานคนอื่นยิ่งจะมีโทษมากเท่านั้น คนที่มีโทษมากที่สุดในโลกคือคนที่ร้ายแรงที่สุด ทำอาวุธฆ่าคนอื่นนี่เลวร้ายมากที่สุด และอันที่สองคือแย่งชิงเอามาเป็นของตัวเองให้มากที่สุดรวยที่สุด สองฝั่งเป็นความเลวร้ายมากที่สุดทั้งสองฝั่ง เอามาให้เป็นของตัวมากที่สุดก็ไม่เอา ทำร้ายคนอื่นให้มากที่สุดก็ไม่เอา
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน ธรรมะ 2 ให้เป็น 0 ได้ต้องยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้
สมณะเพาะพุทธว่า...การทำร้ายทำลายผู้อื่นเป็นอำนาจนิยม ส่วนเอามาให้แก่ตัวเองมากที่สุดเป็นทุนนิยม
พ่อครูว่า...ทุกอย่างเมื่อเทียบกันแล้วมันมี 2 ทั้งนั้น เทวะ เป็นตัวตนเป็นตัวเองตีไม่แตก เทวนิยมจะตีเทวะไม่แตกตลอดเลย สายเทวนิยมมีจิตวิญญาณนิรันดรเขาตีไม่แตกเขาไม่มีความรู้เขาแยกไม่ได้ ไม่มีความกระจ่างในความจริงสองนี้ ส่วนพุทธนั้นแยกได้รู้อะไรดีกว่าไม่ดีกว่ารู้ละเอียดเราหมดเลย และสุดท้ายแยกธาตุให้เป็น0ได้เลยจบ โลกนี้ก็มีเทวะกับอเทวะ ศาสนาพุทธเป็นอเทวะรู้จัก 2 แล้วจัดสรร 2 ให้เป็นหนึ่งให้เป็นศูนย์ได้
แล้ว 1 กับ 0 เป็นสภาพที่มีที่สามารถควบคุมจัดการได้มีอำนาจจัดการได้ วัสสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ถ้าจิตเป็นธาตุที่ยังให้เป็นไปในอำนาจได้ยากกว่าธาตุทางวัตถุและทางอื่นๆ
คนทุกวันนี้เอาธาตุทางฟิสิกส์มาใช้ให้เป็นคุณเป็นโทษได้มาก แต่ว่าจิตใจตัวเองนี้เอามาใช้ไม่ได้ จิตใจเป็นโทษเป็นภัย ยิ่งจะสามารถแยกเอาท่าทางฟิสิกส์เอามาใช้ทางเป็นโทษเป็นไปได้มากอีก จึงยิ่งเลวร้าย ไปอาศัยวัตถุที่เลวร้ายมาทำให้โลกเลวร้ายยิ่งขึ้น นี่มันเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างนี้
ศาสนาพุทธเรียนรู้สิ่งที่เป็นสัจจะพวกนี้ได้ครบ จึงอยู่โดยที่เรียกว่า จัดสรรสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้ สูงสุดมี วัสสวัตตี มีอำนาจจิตที่สูงสุด สามารถจัดการกับพลังงานในระดับจิต
สมณะเบิกบานว่า...เป็นคำว่า เจโตวัสสิปัตโต
พ่อครูว่า... เจโตวัสสิปัตโต แปลว่าการกระทำ ผู้นั้นเป็นเจ้าของและผู้นั้นกระทำ อาตมาอธิบายวัสสวัตตี เป็นอำนาจในตัวเอง ก็ไม่ผิดเป็นการขยายเพิ่ม
เจโต คือจิต วสี วัสสะ แปลว่าอำนาจ วัสสวัฏ รอบที่มีอำนาจ ปัตโต แปลว่าเข้าถึงบรรลุ รวมตัวเต็มบริบูรณ์เท่านั้นเอง
ผู้เรียนรู้ศาสนาพุทธจะรู้ทั้งหมดในพลังงานทั้งระดับอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ควบคุมกรรมให้ทรงไว้เท่าใดขนาดไหนก็ได้ จัดสรรสิ่งที่จะให้มีอยู่เท่านั้นเท่านี้โดยกรรม
ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาเราทำเอง ไม่ต้องให้พระเจ้าเป็นผู้บงการผู้สั่งการให้ทำ เราทำเองทั้งนั้นนี่จึงเป็นศาสนาพุทธ
สมณะเพาะพุทธว่า... สอดคล้องกับ โศลกที่ให้กับนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมว่า ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ
พ่อครูว่า..ธรรมะคือสิ่งที่ส่งไปในส่วนที่ดีส่วนไม่ดีคืออธรรม เราก็ทำในสิ่งที่ดีแล้วเราเป็นคนทำ กับ ธรรม ก็เท่านั้นเอง
สมณะเพาะพุทธว่า..เราจะทำก็ทำว่าจะทำอะไรก็ทำในสิ่งที่เป็นธรรม กรรมด้วยกรรมของเรา ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ
พ่อครูว่า...ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ
ก็ต้องขออภัยที่กล่าวพาดพิงถึงท่านพุทธทาส ท่านก็เสียไปแล้วมากล่าวเถียงอาตมาไม่ได้แล้ว
อาตมาพูดว่าท่านตำหนิท่าน ตั้งแต่ท่านยังไม่ตายด้วย อาตมาตำหนิท่าน จนท่านเอาหนังสือของอาตมาไปไว้ในสวนโมกข์จัดในหมวดที่เรียกว่าเขาด่าเรา
สมณะเพาะพุทธว่า..ตอนนั้นพ่อท่านว่า ต้องรีบออกหนังสือนี้ เพราะว่าท่านยังไม่ตาย
พ่อครูว่า...อาตมาตำหนิท่าน คือด่า ตั้งแต่ตอนท่านเป็นๆไม่ได้มาว่าตอนท่านตายแล้วด้วยซ้ำ
สมณะเพาะพุทธว่า..ตอนนั้นผมเป็นประจักษ์พยานอยู่ด้วย ต้องการพูดถึงท่านพุทธทาสตั้งแต่ท่านยังไม่เสียชีวิต ว่าท่านพุทธทาสสอนศาสนาผิดพลาดว่าอย่างไร
ความตอนหนึ่ง ปัญหาสังคมแก้ไม่ได้เพราะว่าศึกษาศาสนาผิดพลาด เป็นการวิพากษ์คำสอนของหลวงปู่สวนโมกข์พุทธทาสภิกขุ ก่อนที่ท่านจะสิ้น
พ่อครูว่า..จะมาหาว่า มานินทาว่าร้ายท่านลับหลังตอนท่านตายไปแล้วไม่ได้ อาตมารู้ทันด้วยว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้เขาจะว่าอย่างนี้จึงทำก่อนแล้ว มีหลักฐานยืนยัน
สมณะเพาะพุทธว่า..ก็เหมือนพ่อท่านจะรู้ว่าหลังจากที่พักวิจารณ์จะมีกระแสตอบรับอย่างไร
พ่อครูว่า...เพราะว่าท่านเองพูดในสิ่งที่คนอื่นเขาเข้าใจได้ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ท่านพูดถึงสังคมศาสตร์ท่านพูดถึงปรัชญา มันเป็นความรู้ที่เรียนรู้กันทั่วไปอยู่ทั้งโลก ในพวกเทวนิยมเขาก็เรียน ก็ไม่มีปัญหาอะไรคนรู้ได้มากก็มีบริวารมากผู้เชื่อถือก็มา สำหรับอาตมานั้นพูดโลกุตระ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเข้าถึงยาก รู้ได้ด้วยยาก มีคนจำนวนน้อยเข้าถึงได้ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรมันเป็นจริง คุณจะเอาจำนวนใหญ่จำนวนมากมาตีก็แล้วแต่ อาตมาไม่สู้หรอกเพราะรู้อยู่ว่าความจริงต้องเป็นเช่นนั้น โลกุตระเป็นของรู้ได้ยากคนรู้ได้น้อย อีกอย่างหนึ่งโลกุตระไม่ไปทำร้ายใครหรอก มีแต่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยใจบริสุทธิ์ ที่พูดนี้บริสุทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ด้วยใจจริงไม่ได้ไป ไปข่มเบ่งอะไรท่าน สิ่งดีสิ่งที่ถูกต้องมันก็ต้องเหนือกว่าสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องเป็นธรรมดาเป็นสัจจะใช่ไหม ความถูกความดีก็ต้องเป็นสิ่งที่เหนือกว่าอยู่แล้ว
มีกลอนที่ท่านพุทธทาสได้แต่งไว้...เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
สมณะเพาะพุทธว่า..พ่อท่านว่าในตอนนั้นว่า...หลวงปู่สวนโมกข์พูดได้ดีใน 3 วรรคแรก เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู แต่อันสุดท้าย ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลยนั้นขอไว้หน่อยเถอะ ส่วนที่ชั่วขอให้รู้แล้วก็วางเลย
พ่อครูว่า...ชั่วกับดีมันเป็นธรรมะ 2 จะไปห้ามให้คนไม่รู้ได้อย่างไร คุณจะรู้สิ่งเดียวโดยไม่มีการเปรียบเทียบคนก็โง่ตายเลย มันเป็นไปไม่ได้ด้วยและไม่มีการฉลาดขึ้นเลย สรุปแล้วก็คือท่านรู้ยังไม่ครบ ท่านพุทธทาสท่านรู้ยังไม่ครบ
สมณะเพาะพุทธว่า...มีคนส่งข้อความบอกให้พ่อท่านจิบน้ำสักนิดนึง
พ่อครูว่า..ขอบคุณ
สมณะเพาะพุทธว่า...นมัสการน้อมกราบพ่อครูและท่านจันทร์ด้วยความเคารพอย่างสูง ดิฉันก็ได้ฟังพ่อครูบอกว่าเทวดาของฉันเป็นเพียงเทวดาเก๊ เป็นสมมุติเทพ จะออกจากเทวดาเก๊ก็ต้องเป็นอุบัติเทพ การเป็นพระโสดาบันต้องเริ่มต้นที่อุบัติเทพเหมือนกันใช่ไหมคะ ดังนั้นเทวดาทั้ง 6 ชั้นคงไม่ใช่พระโสดาบันใช่ไหม
พ่อครูว่า… สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ
สมมุติเทพเป็นเพียงเทวดาสมมติ เก๊ ยึดอยู่กับ ธรรมะ 2 มีสุขมีทุกข์มีสวรรค์มีนรก ไม่ชอบมีไม่ชอบมีผลักมีดูด เป็นเทวดาสมมติเป็นปุถุชน คุณก็อยู่กับ 2 ตลอดนิรันดรเป็นเทว ถ้าคุณไม่รู้จักตัวเองนั่นแหละคือเทว ตัวเองนั่นแหละคือ 2 ตัวเองนั่นแหละคือ2คือไส้เดือน
ไส้เดือน มันมีทั้งสองเพศอยู่ในตัวเอง ตัวเองนั่นแหละไม่ได้เรียนรู้ตัวเองเลย ศาสนาพุทธนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ยืนอยู่ 1 ไม่มีผลักไม่มีดู ยืนอยู่อย่างไม่มีปฏิกิริยาร้ายต่อใคร แม้จะมีปฏิกิริยากับอันอื่นอีกก็มีแต่ดีมีแต่ประโยชน์ คุณค่า กับคนไม่ดีก็คือมีประโยชน์กับเขาคือชำระเขาให้ได้ ขูดเขาให้ได้ ช่วยเขาทำลายสิ่งที่ไม่ดีให้ได้ก็เลยดูเหมือนจะไปจัดการเขา ส่วนผู้ที่ไม่ทำอะไรกับใครเลยก็เอาของตัวเองก็แล้วกัน ชำระสิ่งที่ไม่ดีในตัวเองออกให้ได้ก็แล้วกันก็ได้แต่ของตัวเอง คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ช่วย ก็เป็นคนใจดำไป ศาสนาพุทธไม่มีใจดำมีแต่ใจดีให้รู้ ทำให้ตัวเองด้วยทำให้คนอื่นด้วย แม้คนอื่นจะไม่เข้าใจ
อาตมาทำนี้เขาไม่เข้าใจกันคนอื่นไม่เข้าใจหาว่า อาตมาไปว่าไปด่า กระแทกกระทุ้งเขา แต่ว่ากระทุ้งกระแทกเพื่อให้เขารู้ตัวแต่เขาไม่รู้ว่าอาตมาเจตนาดี อาตมาจะต้องกระแทกแรง เจตนาด้วย เพราะว่ามันเหนียวแน่นเหลือเกิน ติดเกินทำแบบเบาๆเสียเวลา อาตมาจะอยู่ไปอีก 500 ปีก็ไม่ค่อยได้เรื่องแบบนั้น เมื่อเวลามีน้อยก็ต้องแรงและเร็วเอาคนที่รู้ได้เร็วก่อน คนที่รู้ไม่เร็วก็ช่างศีรษะมัน ขนาดแรงๆยังไม่รู้ตัวดีไม่ดีก็ ดีดกลับด้วย แต่ดีดอย่างไรก็ไม่ถูกกับอาตมาเพราะว่าอาตมาเป็น0ไม่มีตัวตน ไม่ได้เล่นลิ้นนะเรื่องจริง
สรุปแล้วคำว่าเทวคำว่า 2 ยิ่งใหญ่ที่สุดในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
นี่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธแล้วมาเรียนรู้ตรงที่พัฒนาเรียนรู้ที่ความรู้สึกของแต่ละคน แยกเวทนาให้เป็น แยกตัวเวทนา ให้ถูกต้องเลยเอามาเป็นถึงร้อยแปด ในความรู้สัตว์ทั้งหลายแหล่ในโลกมีแต่ความรู้ของพุทธศาสตร์เท่านั้นที่แยกเวทนา 108 ได้ แล้วรู้ยังมีสภาวะจริงด้วย
กายิกกับเจตสิกะ แยกเวทนา 3 เป็น สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ แยกเวทนา 5 มีดีกรีของมันมีนอกมีใน กับอุเบกขา
แยกเวทนา 6 เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสแล้วเกิด 6 สภาวะนี้ แล้วก็มาจัดการกับสภาวะ 6 นี่แหละ มันเกิดความสุขความทุกข์ความไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ รวมเป็น 18 อย่าง
อย่างความเฉยๆที่เป็นเคหสิตะ มันไม่ใช่ความเฉยอย่างมีปัญญาที่เป็นเนกขัมมสิตเวทนา ก็ทั้งสองอย่างเป็นอุเบกขาเหมือนกัน แต่ก็ต้องต่างกัน ต้องอ่านสภาวะทั้งสองอย่างนี้ออกจึงเป็นผู้รู้จักเทวะ มีอุเบกขาเป็นเนกขัมมะ หากเป็นเคหสิตะไม่จบ ต้องทำเนกขัมมะ ได้เป็น 1 ถึงที่สุดเป็น 0 ได้ ทำอันนี้แหละให้เที่ยงยืนยาวตลอดกาลนานโดยการทำซ้ำทำให้สูญทำให้จบ ให้มันเที่ยงแท้ถาวรเป็นเองเป็นอัตโนมัติ ทุกปัจจุบันที่มันเกิดแล้ว สั่งสมเป็นอดีตเป็นสิ่งที่ตกผลึกเป็นความแข็งแรงตั้งมั่น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มากระทบอีกเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ตกต่ำไม่มีการถดถอยมีแต่การเจริญยิ่งขึ้นไปตลอดกาล เพราะรู้ความรอบความครบความถ้วน นี่คือสัจจะของพุทธเจ้าที่พูดจากสภาวะที่ตัวเองมี ตัวเองเป็นจริง ไม่ได้พูดตามตำราอย่างเดียว แต่อ้างอิงถึงสภาวะจริงของตนด้วย
คนตีแตกเทวะไม่ได้ จึงเป็นเทวนิยมในโลกก็จะมีอยู่ 2 ค่ายในโลกนี้คือเทวนิยมกับอเทวนิยม แม้แต่ชาวพุทธทุกวันนี้ไม่รู้จักเทวก็จมอยู่กับเทวนั่นแหละ แต่เรารู้จักว่า เทวว่ามี 2 สามารถที่จะอยู่กับเทวคือธรรมะ 2 สามารถมี วัสสวัตตี มีอำนาจ ยัง จิตให้อยู่ในอำนาจได้
หนึ่งพุทธส่งข้อความว่า...เจโตวสัสสิปัตโต คือ ยัง จิตให้อยู่อำนาจ เป็นพุทธพิสัย ดูของผู้ตรัสรู้
พ่อครูว่า..ทำจิตให้อยู่ในอำนาจอยู่เหนืออำนาจจิตตนเองได้
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร ทางไปสู่พรหมโลก
_มีข้อความที่ว่า เทวดา 6 ชั้นเป็นเทวดาเก๊ การเป็นพระโสดาบันก็ต้องเริ่มต้นที่อุบัติเทพเช่นเดียวกันใช่ไหม เทวดาทั้ง 6 ชั้นคงไม่ใช่พระโสดาบัน
พ่อครูว่า...ใช่ เริ่มต้น พระโสดาบันออกจากความเป็นเทพ ไม่หลงอยู่กับความเป็นเทพหรือเทวะหรือเทวดา มันคือธรรมะ 2 อย่างที่เป็นรูปนาม เป็นอาการของกาย รวมกันอยู่เป็นเทวเป็น 2 ธรรมะพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เป็นเทว จึงเป็นศาสนาที่รู้จักเทว เทวดามารพรหม แล้วก็ทำให้ตัวเองพ้นเทวดามารพรหมในภาวะที่ยังมีธาตุจิตวิญญาณ เป็นธาตุรู้ มันก็มีสิ่งที่มี
เทวดาคือสิ่งที่เป็นภพชาติทั้งหมด ผีนรกหรือมันก็เป็นธรรมชาติของจิตนิยามนี้อีกชนิดหนึ่ง เรารู้แล้วเราไม่เป็นทาสของจิตนิยามที่เป็นผีเป็นมาร เป็นตัวร้าย ถ้าจะมีจะเป็นก็เป็นอย่างเทวดา ผู้ที่ทำให้เกิดอุบัติเทพ ยังเกิดเป็นเทวดาอยู่ เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบันก็ต้องรู้จักจิตเจตสิกของตัวเอง
แบ่งมารู้ตั้งแต่อบาย ตัวต่ำ เริ่มต้น ทำให้พลังงานเหล่านี้ไม่มีในจิตของตน จนจิตมีวัสสวัตตี ทำได้สามารถให้อำนาจโดยมารผี เข้ามาอีกไม่ได้เลย มันจะมาทำให้จิตเรามีแหว่งเว้าไปตามมารตามผีก็ไม่มีทาง นั่นคือมีอำนาจในจิตใจตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ พูด ทำ ได้จริงรู้สึกจริง เข้าใจจริง มีความจริงอย่างที่อาตมากำลังอธิบาย นี่คือสุดยอด อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรสุดท้ายในเตวิชสูตร
พระพุทธเจ้าถามว่าวาเสฏฐมานพ ….
[381] ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวรได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมองได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แต่พรหมยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ กับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
ถูกละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นในโลกนี้จมลงแล้ว ยังจมอยู่ ครั้นจมลงแล้วย่อมถึงความย่อยยับ สำคัญว่าข้ามได้ง่าย เพราะฉะนั้น ไตรวิชชานี้เราเรียกว่า ป่าใหญ่คือไตรวิชชาบ้าง ว่าดงกันดารคือไตรวิชชาบ้าง ว่าความพินาศคือไตรวิชชาบ้าง ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา.
พ่อครูว่า...พรหม คือ สามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้
[381] ดูกรวาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดีละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวรได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่พรหมไม่มีจะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับพรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังมีจิตเศร้าหมอง กับพรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมองได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แต่พรหมยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา ซึ่งยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ กับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ได้แลหรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้.
ถูกละ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้นในโลกนี้จมลงแล้ว ยังจมอยู่ ครั้นจมลงแล้วย่อมถึงความย่อยยับ สำคัญว่าข้ามได้ง่าย เพราะฉะนั้น ไตรวิชชานี้เราเรียกว่า ป่าใหญ่คือไตรวิชชาบ้าง ว่าดงกันดารคือไตรวิชชาบ้าง ว่าความพินาศคือไตรวิชชาบ้าง ของพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา.
[382] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้มิใช่หรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มนสากตคามอยู่ในที่ใกล้แค่นี้ ไม่ไกลจากนี้ พระเจ้าข้า.
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคามนี้ ออกไปจากมนสากตคามในทันใด พึงถูกถามหนทางแห่งมนสากตคาม ดูกรวาเสฏฐะ จะพึงมีหรือที่บุรุษนั้นผู้เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงหนทางแห่งมนสากตคามแล้ว จะชักช้าหรืออ้ำอึ้ง?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม เขาต้องทราบหนทางแห่งมนสากตคามทั้งหมดได้เป็นอย่างดี.
ดูกรวาเสฏฐะ เมื่อบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม ถูกถามถึงทางแห่งมนสากตคาม จะพึงมีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งบ้าง ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก ไม่มีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งเลย เรารู้จักพรหม รู้จักพรหมโลก รู้ปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก และรู้ถึงว่าพรหมปฏิบัติอย่างไร จึงเข้าถึงพรหมโลกด้วย.
[383] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมย่อมแสดงทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหมดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระองค์จงแสดงทางเพื่อความเป็นสหายแห่งพรหม ขอพระองค์จงอุ้มชูพราหมณประชา.
ดูกรวาเสฏฐะ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าววาเสฏฐมาณพทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
ทางไปพรหมโลก
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรวาเสฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้วอยู่ ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น
ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต
เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วย สติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
จากนั้นก็เป็นศีลอันเป็นอาริยะ เป็นสำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ
ทำศีล สมาธิ ปัญญา เกิดพลังงานไฟฌานที่เป็นพลังอุณหธาตุ ฌานนั้นร้อนไม่ใช่เย็น ใครไปนั่งสมาธิทำฌานแล้วเป็นเรื่องที่ผิดเพราะทำให้เย็นหมด ฌานเป็นพลังงานไฟร้อนที่เหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะถึงจะทำลายไฟราคะโทสะโมหะได้
การปฏิบัติสมาธิผิด นั่งสมาธิเป็นเรื่องน่าสงสาร อาตมาเกิดมาอาภัพเป็นหมู่ที่น้อยหมู่ที่เล็ก เป็นหมู่ที่ไม่มีความคดโกงมีแต่ความซื่อตรง ทางที่คดเคี้ยวลดเลี้ยวมีเยอะ ส่วนทางที่สั้นและตรงนั้นมีทางเดียว ทางสั้นตรงนั้นสู้โลกไม่ได้ที่นิยมความมาก คนตรงคนซื่อมีน้อย โลกนี้หลงด้วยความมักมากไม่ชัดตรง ความมักน้อย เลยมีคนนับถือคนชอบคนยินดีน้อย อาตมาเองก็รู้ความจริงอันนี้ จึงไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้เกิดภาวะไม่สบายใจอะไรไม่ใช่ น้อยก็น้อย อาตมาต้องการความจริงก็ได้ความจริงตามที่เป็นอยู่ อาตมาเกิดชาตินี้ทำงานมา 48 มาแล้ว ได้คนเข้าใจได้คนปฏิบัติตามมาประพฤติจนชีวิตของผู้ที่ได้นั้น มาเป็นอยู่อย่างนี้อาตมาก็ว่าไม่ขาดทุนแล้ว กำไรพอตัวแล้ว สามารถช่วยคนในยุคนี้ ในยุคสมัยที่มืดบอด มีพวกมารพวกผีเยอะเลย เขามีพวกมาก อาตมาก็สามารถแย่งคนมาจากมารและผีได้มากขนาดนี้ อาตมาก็เก่งพอสมควรแล้ว มารผีที่โหดร้าย แต่อาตมาไม่บาดเจ็บ มารผีทำอะไรไม่ได้ พูดไปแล้วเหมือนการท้าทาย มันไม่ดี แต่ไม่ได้ท้าไปหรอกเพราะว่าคนชั่วมันทำชั่วได้ ไปท้าทายมันไม่ได้หรอกคนชั่ว เพราะฉะนั้นอย่าไปท้าทายให้เขาทำชั่ว พูดไปเหมือนท้าทาย แต่มันเป็นตัวจริงก็ยังปลอดภัยอยู่ ยังมีบารมี มีสิ่งที่เป็นพลังที่มองไม่เห็นป้องกัน เป็นสิ่งที่ช่วยเหลืออยู่บ้าง ก็ได้มาประมาณนี้
อาตมาทำงานได้มนุษย์โลกุตระอาริยะ เอาหลักฐานตามพระไตรปิฎกมาอ้างอิง อาตมาใช้คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องตรวจสอบ มีวิชชา 9 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 วรรณะ 9 หมวด 6 หมวด 7 เอามาใช้หมดตั้งแต่มงคล 38 โพธิปักขิยธรรม 37 โลกุตรธรรม 46 (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเพาะพุทธว่า...ตามกามลามสูตร 10 หลายคนบอกว่าอย่าเชื่อ แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่าอย่าปลงใจเชื่อ คำว่าปลงใจเชื่อ กับอย่าเชื่อต่างกันนะ
หากว่าอย่าเชื่อก็อย่าไปเชื่อกาลามสูตรสิ ก็เพราะว่ากาลามสูตรก็มาจากพระไตรปิฎกเหมือนกัน จริงๆแล้วไม่ได้บอกว่าอย่าเชื่อแต่อย่าปลงใจเชื่อ
พ่อครูว่า..ถูกต้อง คำสองคำนี้คำว่ามีกับไม่มี คุณเองขณะนี้คุณอยู่ในฐานะมีหรือไม่มี คุณยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นคนมีความรู้สึก เราก็ต้องใช้ความรู้ความรู้สึกนั้น อะไรควรหรือไม่ควร ความรู้สึกดีความรู้สึกไม่ดี ความรู้สึกที่เป็นกุศลความรู้สึกที่เป็นอกุศล เราก็ต้องอยู่ในภาวะที่อยู่ในความดีเป็นกุศล และสามารถทำแม้แต่ดี แม้แต่สิ่งที่มีก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามี ว่าเป็นเราเป็นของเรา นี่เป็นของสูงสุด
พระไตรปิฎกล. 16 ข. (43) [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
พ่อครูว่า..เราก็ยืนหยัดอยู่ในกุศลคือมี ส่วนลึกของเราไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเราก็เป็น0ได้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เราสามารถทำได้ จิตของเราเป็น วสวัตตี มีวัสสิปัตโต ยังจิตใจให้อยู่ในอำนาจจะให้มีหรือไม่มี เราทำได้สำเร็จจริง อาตมาอยู่ทุกวันนี้เหมือนคนเหลาะแหละ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ อาตมาก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครอาตมาก็สบาย อาตมาก็อธิบายอย่างสิริมหามายา มีก็ได้ไม่มีก็ได้เหมือนคนเล่นกลใครจะทำไม เพราะทุกวันนี้คนมาเร็วเดี๋ยวก็ยึดถืออันนั้นอันนี้ อาตมาก็ต้องเร็ว เอ็งยึดถือแต่อาตมาไม่ยึดถือ เผื่ออนุโลมกับเขาจิตใจเราอยู่เหนือ เราอนุโลมกับเขาเราสามารถคุมเกมได้ไหม หากเราจะอนุโลมกับเขาแล้วคุมเกมไม่ได้ก็อย่าทำ คุณเสร็จเลย คุณคุมไม่ได้ก็เล่นงานคุณตาย แต่ถ้าสามารถคุมเกมได้ก็มีอำนาจสูงสุด เป็นจิตใจที่ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ พรหม สามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ แล้วพระพุทธเจ้าถามวาเสฏฐมานพ
อาตมาสามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้อาตมาทำพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient ทำจิตให้มีอำนาจ อาตมาจะพิสูจน์ว่าสามารถสร้างพลังงานทำให้เกิดอายุขัยเกินกว่าอายุขัยที่ควรมีได้ นี่คือ วัสสวัตโต อาตมาจะทำได้สำเร็จได้หรือไม่ โปรดติดตาม อย่ารีบตายแต่ละคน แต่ที่อายุเลย 80 มีกี่คนยกมือขึ้น ใครเลย 84 แล้วยกมือ มีสองคน…
อย่าเพิ่งรีบตาย อยู่ดูต่อไปว่าอาตมาจะสามารถทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ ยถาวาทีตถาการี ยกถาการีตถาวาที อาตมาทำได้เป็นระยะไป สำเร็จเป็นรายทางไป อาตมาว่า อาตมาอายุ 100 ก็จะมีความ Active อยู่อย่างนี้ยืนยันต่อไปอย่าเพิ่งรีบตาย คิดว่าอาตมา จะสร้างพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient ให้ได้มากขึ้น ถ้าเผื่อว่าอาตมาเป็นจริง วสวัตตีจิตโตจริง สามารถควบคุมจิตให้เป็นไปในอำนาจ อาตมาบังอาจมากที่จะมาสร้างพลังงานนี้ให้มันอยู่เหนือ พระเจ้ากำหนด พญายมกำหนดวันตายแต่ไม่ยอมตาย บังอาจมากไม่ใช่น้อยนะ
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกินวิสัยสามัญ อาตมาว่าอันนี้แหละจะพิสูจน์ให้คนพอเชื่อเถอะ อธิบายโลกุตระไปจะตายคนไม่เชื่อเอากันแค่นี้ ลากชีวิตให้ยาวยืนแค่นี้จะเชื่อไหม นี่เชื่ออาตมาบ้างสิ ทีลากสังขารยังเชื่อเลย แต่ว่า โลกุตระ เชื่อบ้างสิ ต้องหาวิธีดึงลูกค้าแบบนี้ ใช้วิธียืดอายุขัยเป็นปาฏิหารเพื่อจะได้เป็นประโยชน์บ้างและไม่ใช่เรื่องอุตริเกินไปของมนุษย์มนา ยืดอายุไขอย่างไม่ง่องแง่งด้วย ยืดอายุไขอย่างเบิกบานร่าเริงด้วย หากไม่มีอาการไอสักอย่างคนจะเชื่อถือมากขึ้น
สมณะเพาะพุทธว่า...สรุป...จะอธิบายสัมประสิทธิ์ว่าอิทธิบาทได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...ได้ มีความยินดีพากเพียรทำพลังงานจิตให้เป็นไปได้
เทวะ 6 ชั้นเป็นสมมุติเทพ เป็นพระโสดาบันต้องเร่ิมอุปัติเทพ เรียนสัมมาทิฏฐิให้เกิดการลดละเทวดาเก๊ คือธรรมะ2 ทำให้เป็น1ได้ ไม่มีตัวต้านตัวทำลายหายไปเราก็บูรณาการให้สิ่งท่ีมีเจริญยืดยาว แต่สูงกว่านั้นทำให้สลายไปได้ มีก็มีให้แข็งแรงมั่นคงได้ แต่ทำให้มีไปทำไม? เมื่อต้องสูญ จึงเป็นประสิทธิภาพยิ่งใหญ่ ผู้ทำได้จึงมีพลังงานเหนือว่าฟิสิกส์ เป็นเรื่องละเอียดมาก หากเรียนพลังงานจิตได้ เรียนรู้พลังงานวัตถุได้ไม่ยาก
ส.เพาะพุทธ...สรุป.
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:44:09 )
รายละเอียด
611015_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1X9YWXlE0_Nu1dYm0KMac5B9hqPYFa_XGQRSEelrBBnM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Mjd8m3T8JKYPrPOX5jUTj3BEcVqTAGk_
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561 ที่บวรปฐมอโศก สำมะปี๋ เป็นเรื่องพูดคุยกันธรรมดาระหว่างพ่อแม่พี่น้องพี่ป้าน้าอา คุยกัน มีอะไรจะแวะมาหาธรรมะก็ทำ หลวงปู่เองอดไม่ได้ที่จะเข้าหาธรรมะ พูดอะไรไปก็ตามเดี๋ยวก็เข้าหาธรรมะ อดไม่ได้ ก็รับเอาให้ได้ก็แล้วกัน อย่าไปนั่งห่างๆ
อาจารย์กฤษฎาว่า...บางทีผมได้รับโทรศัพท์จากพี่น้องญาติธรรมว่าทำไมไม่เห็นมานั่งจัดรายการกับพ่อครู วันนี้ก็เลยได้มานั่งด้วย ประเด็นที่อยากจะแลกเปลี่ยน เรื่องของเทวนิยมกับอเทวนิยม และที่ผ่านมาพ่อครูพูดถึงเรื่องพระเจ้า เทวนิยมนี้จะต้องติดกับพระเจ้า ซึ่งก็จะไม่หลุดพ้นจนมีความเป็นอิสระ แต่ความเป็นอิสระของพระพุทธเจ้านั้นต้องการหลุดพ้นจากกับดักความคิด
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตีให้แตกแยกให้ออกในธรรมะ 2
พ่อครูว่า...ความเป็นสองเป็นเทวเทวะแปลว่า 2 อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติความยิ่งใหญ่ของโลก คำว่าเทวะ กับอเทวะ
ศาสนาพุทธค้นพบคำว่า อเทวะ ตีแตกคำว่า 2
คำว่าสองคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ในมหาจักรวาลนี้คือภาวะธรรมะ 2 ตั้งแต่อุตุนิยามที่เรียกว่า อุตุนิยาม ขยับมาเป็นพีชนิยามก็มีสัญญากับสังขารก็มี 2 มันกำหนดเกลือแร่ธาตุอะไรเป็นตัวมัน แล้วก็เอาธาตุนั้นมาสร้างมาสังขารตัวมันตลอดเวลา มีสัญญากำหนดรู้แล้วเอามาสังขาร ยังไม่มีเวทนายังไม่มีจิตวิญญาณสำหรับพืช แต่มันก็มีสภาวะ 2 ตัวสัญญากำหนดรู้และก็ตัวสังขารตัวเองเป็นตัวเองสร้างตัวเองจนมาเป็นจิตนิยาม
ก็มีประธานควบคุมบวกลบ ควบคุมตัวสัญญากับสังขาร ถ้ามีวิญญาณมาควบคุมถ้าวิญญาณยังไม่เป็นปัญญา วิญญาณก็เป็น เฉกาหรือเฉโก วิญญาณก็เป็นธาตุรู้ที่เป็นตัวตนถูกอำนาจกิเลสเป็นตัวควบคุม ไม่มีปัญญาลดกิเลสแล้วได้ จึงไม่เป็นทาสของกิเลส ควบคุมขั้วบวกขั้วลบได้
การจัดการบวกลบการจัดการสัญญากับสังขาร สังขารจะแตกออกไปเป็น มันจะปรุงแต่ง มันจะเกิดเป็นเวทนาก่อน เวทนาก็จะแตกเป็นเทว แตกเป็นธรรมะ 2 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 คือหัวใจของศาสนาหัวใจของทุกสิ่งทุกอย่าง
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เทวะ ตัวนี้ที่พูดถึง มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากที่เขาตีไม่แตกกัน เทวเลยกลายเป็นสภาพตัวตนเป็นเทวดา ความเป็นเทวดาก็เลยเป็นตัวตนมีสภาพเป็นวิญญาณ ความรู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน ถือว่าความจริงความรู้ในตัวเองเป็นธรรมะ 2 เป็นความจริงความรู้ เป็นความจริงความรู้ที่สูงสุดก็คือความลึกลับ ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเอง เป็นเทว ก็คนนี่แหละไม่รู้เทวไม่รู้จักธรรมะ 2 ทำให้ตนถูกบงการ แล้วก็ไม่รู้ตัวเทวะ ว่าคืออะไร
อาจารย์กฤษฎาว่า...พ่อครูใช้คำว่า สุดท้ายมันเกิดความลึกลับ ความลึกลับ จึงเป็นภาวะของความหวาดกลัวกริ่งเกรง ไหว้ไปทั่ว กลัวไปทั่ว ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย กลัวอะไรต่างๆที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ฟ้าผ่าฟ้าร้องสุริยุปราคาจันทรุปราคา มันเป็นเหตุแห่งการกลัวก่อนจะมีพระพุทธเจ้า ก็เพราะกลัวความลึกลับก็เลยทำใหญ่
พ่อครูว่า...แม้แต่ทางตะวันออกกลางก็เป็นพีระมิด ทั้งเอเชียก็สร้างเป็นวิหารอะไรใหญ่โตมโหฬาร ก็เพราะว่ากลัวก็เลยสร้างพวกนี้ ทำเพื่อถวายพระเจ้ากันทั้งนั้น แต่ในยุคนี้ไม่ได้สร้างอย่างนั้นแล้ว
อาจารย์กฤษฎาว่า...ถึงขนาดต้องบูชาด้วยชีวิตทำยัญพิธีบูชา
วิเชียร...ในเมถุนสังโยคข้อที่ 7 ปฏิบัติธรรมแล้วตั้งจิตปรารถนาเป็นเทพนิกายใดนิกายหนึ่ง เสริมอ.กฤษฎาที่ว่า โดยทั่วไปปฏิบัติธรรมไปก็ตั้งจิตปรารสนาไปอยู่กับพระเจ้า แต่ของชาวพุทธสอนไม่ให้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อไม่ให้เป็นเทพนิกายใดนิกายหนึ่ง
พ่อครูว่า..ใช่ ไม่ต้องไปยึดถือในพลังงานลึกลับที่ไม่รู้ว่าอะไร ให้อยู่ในปัจจุบันที่เป็นธรรมะ 2 เทวหรือเทวดาหรือเทพเจ้าที่เป็นเทวะใหญ่พลังงานใหญ่ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็เป็นพระพรหม ศาสนาอื่นๆก็เป็นพระยะโฮวาห์พระอัลลอฮ์ก็ว่ากันไป แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เป็นแต่เพียงว่าพยายามมีความรู้
คนที่มีความรู้สูงสุด อย่างพระศาสดาของศาสนาต่างๆ จะเป็นศาสนาอิสลาม ศาสนาพระยะโฮวา ศาสนาโบราณตั้งแต่ชาวยิวต่างๆ ก็มีพระเจ้าที่ลึกลับ แต่ถือว่าเป็นยอดแห่งความรู้ ทีนี้มีคนที่เกิดอุบัติขึ้นมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีความรู้มาได้อย่างไร ก็เลยคิดว่านั่นไม่ใช่ตัวเองไม่รู้ตัวเอง มีอะไรอันหนึ่งบันดาลมีอะไรอันหนึ่งสิงสู่ สั่งการบงการให้ประกาศก็เลยกลายเป็นผู้ประกาศ โฆษก ก็ประกาศสิ่งลึกลับ เป็นความรู้ที่สูงส่งแต่ไม่เชื่อว่าตัวเองมีความรู้นี้ ถือว่าเป็นความรู้ที่สูงสุดที่ไม่เชื่อว่าตัวเองสามารสรู้หรือใครจะบังอาจรู้ได้ นี่คือศาสนาทางเทวนิยม ทางยุโรปหรือทางเอเชียก็ตาม ก็จะมาพูดตามพระเจ้า พระเจ้ามีความรู้อยู่ที่พระเจ้า นี่เป็นศาสนาที่ตีไม่แตก เทวะ ความรู้
แต่ศาสนาพุทธตีแตก จริงๆก็คือคน คนที่มาเป็นประกาศกของพระเจ้าก็คือคน ก็คือความรู้ของเราเองที่สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ ความรู้สูงสุดก็คือความรู้ของคนไม่ใช่ของพระเจ้า
1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
แม้แต่ศาสนาไม่รู้ตัวเองนั้นเขาก็มีบารมีมาประกาศจริงๆเขาก็รู้ คนก็นับถือผู้ประกาศนี้เป็นศาสดา ผู้ประกาศนี้เป็นศาสดาทุกพระองค์ ผู้ประกาศธตตของพระเจ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าคือธรรมะ 2 ธรรมะที่ตัวเองสั่งสมมาเป็นธาตุรู้ของรูปนาม เป็นธรรมะ 2 อย่าง
เป็นความรู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นความรู้ธรรมะ 2 ทุกอย่างทั้งหมดเป็นเรื่อง 2 อย่างทั้งนั้น ถ้ามีอย่างเดียวก็หมดการปรุงแต่ง ก็ไม่มีบวกไม่มีลบไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีอะไรเดือดร้อนไม่เดือดร้อน ถ้าใครจมอยู่ในความเดือดร้อนก็เดือดร้อนเอง ถ้าใครไม่จมอยู่ในความเดือดร้อนก็อยู่ในความไม่เดือดร้อนเอง ทีนี้ความเป็นพุทธ กว่านั้น จัดการให้เกิดความไม่ทุกข์ไม่สุขได้เลยเฉยๆกลางๆ ทุกอย่างเกิดแต่ตัวมันเองมีเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เราเองเป็นผู้จัดการ เป็นธาตุรู้ เราไม่ยึดถือมาเป็นตัวเราเป็นของเรา เราอยู่กับมันได้เราก็เอา เราอยู่กับมันไม่ได้ก็ไม่เอา อันนี้มันดีเราก็เอา อันนี้ไม่ดีเราก็ไม่เอา ก็อยู่กันอย่างเป็นผู้ที่มีอำนาจ เป็นผู้เลือก เลือกเอาหรือไม่เอาก็ได้ ให้มันมามีฤทธิ์อำนาจเหนือเราไม่ได้ เราเป็นผู้ตัดสินเองเราเป็นผู้กำหนดเองผิดถูกเราโง่เองเราเลือกสิ่งที่ไม่ดีมาใช้มารับ เราทำเราปฏิบัติก็เกิดวิบากเอง เกิดความทุกข์นั้นเอง หากเอาสิ่งที่ดีมาทำก็ไม่เกิดความทุกข์ร้อน
วิเชียร...พ่อครูว่า ถ้ายึดดีมันก็เป็นกิเลส อย่างภาวะของพระเจ้า เป็นพระผู้สร้างพระผู้ประทาน เป็นผู้มีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ แต่เมื่อยึดถือ มันก็ไม่กลายเป็นซาตานไปเลยครับ
พ่อครูว่า..ยึดปุ๊บก็เป็นซาตาน เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ยึดถือเพื่ออาศัย เพื่อปฏิบัติเพื่อทำเพื่อเกิดปฏิกิริยา
วิเชียรว่า...ที่ผมถามคือ ความยึดมั่นถือมั่น
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ให้รู้ว่าอะไรควรก็ยึดถือมาทำดี ทำดีแล้วก็จบแล้วก็เลิกก็วางไป ก็ไม่ยึดดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา หากเรายึดดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา เราก็จะติดดี แต่ถ้าเราไม่ติดแล้วทำดีก็จบไปสิ แล้วผู้รู้ดีแล้วมีความเฉลียวฉลาด สิ่งที่ไม่ดีเราไม่ทำเราทำแต่ดี เพราะฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ เราก็ทำสิ่งที่ดี เราก็ทำ หากเราจะอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยนั้น ศาสนาพุทธไม่เอา ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเชน ไม่ทำอะไรเลยอยู่ไปวันๆหนึ่ง กินอยู่ธรรมดา นั่งโด๋ ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปีไปจนกว่าจะตายไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่าอะไรเลยไม่ทำอะไรเลย อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้นเราก็รู้ว่าเราเกิดมามีชีวะ มีวันมีคืน กลางวันก็ทำงานกลางคืนก็พักผ่อน นอนพักกลางคืน กลางวันก็ตื่นมาทำงาน เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร มีแสงสว่างก็ทำงานไป งานที่จะทำเป็นงานที่มีประโยชน์คุณค่าก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าขึ้นมาให้แก่สังคมให้แก่โลก
อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เราอาศัยกินใช้ หรือจะทำสิ่งที่เป็นประกอบ เท่าที่เรามีความรู้ความสามารถและก็สร้างสรร เป็นผู้ที่มีความดีความควร ทำสิ่งที่ดีสิ่งที่สมควรในชีวิต สิ่งที่ไม่ดีเรามีความรู้มีปัญญาจะไม่ทำ ทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ควรไปเท่านั้น แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้สูงสุดแล้ว เป็นผู้จบแล้ว พระอาจารย์เป็นผู้รู้สิ่งที่ดียังกุศลให้ถึงพร้อม อกุศลไม่ทำเลยบาปไม่ทำเลย ที่ไม่ต้องทำบุญเพราะว่าบุญเสร็จงานแล้ว บุญกำจัดกิเลสโง่ไปหมดแล้ว ความโง่ไม่มีในตัวเราแล้ว บุญก็ไม่มีเช่นกันก็หายไป อรหันต์ทุกองค์เป็นผู้มีบุญเป็นผู้หมดบุญหมดบาป บุญก็ไม่มีไม่ต้องเอามาใช้
เพราะว่าบุญเป็นพลังงานที่ต้องเอามากำจัดกิเลส เป็นคำพูดที่ในยุคนี้ไม่มีใครพูดแล้วนอกจากสมณะโพธิรักษ์ โบราณอาจารย์ก่อนหน้านั้นก็จะมีผู้รู้อยู่ แต่ในยุคนี้ไม่มีผู้รู้อย่างนี้แล้วนอกจากสมณะโพธิรักษ์ นี่ก็พูดความจริง
ทิวเมฆ...พระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีบุญฟังแล้วจะงง เพราะว่าคนโดยปกติทั่วไป บอกว่าพระอรหันต์คือคนมีบุญมาก
พ่อครูว่า...บุญคือเครื่องกำจัดกิเลส ความเข้าใจ 2 อย่างก็เรียกว่าเป็น เทวธัมมา
คำว่าบุญคืออะไร ก็มีธรรมะ 2 อย่าง อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าบุญคือเครื่องชำระกิเลส อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าบุญเป็นเรื่องกุศลเป็นเรื่องทำดี ไม่ใช่หรอกบุญไม่ใช่เรื่องแค่ทำดีได้ บุญเป็นนักฆ่า บุญเป็นพลังงานฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเสร็จก็จบ ไม่ทำหน้าที่อย่างอื่นเลยคือบุญ
อาจารย์กฤษฎาว่า...ตรงนี้คือ 0 ธรรมะสองคือ ไปทางด้านดีก็เป็นบวกก็ไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนทางนี้ก็คือทางชั่วคือลบก็ไปสองด่านอย่างนี้
แต่มันไปไม่มีที่สิ้นสุดทั้ง 2 ทาง
พ่อครูว่า...หากคุณไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำต่อไปตราบใดที่คุณยังมี วัสสวัตตี มีอำนาจจิตตัวเองแล้วจะทำแต่ดี ไม่ทำชั่วแล้ว หากจะมีชีวิตอยู่ต่อก็ทำต่อไปจนนิรันดร
อาจารย์กฤษฎาว่า...อรหันต์อยู่ที่ 0
พ่อครูว่า..ท่านมี 0 แล้วท่านจึงเลือกทำจะดีด้านเดียว ไม่มีบุญแล้วทำแต่กุศลแล้วอย่างเดียว บุญไม่มีบาปไม่มี
บาปก็เข้าใจเป็นตัวอกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดี คุณยังทำไม่ดีด้วยความโง่ คนที่จบแล้ว จบกิจไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วไม่ว่าบาปหรืออกุศล ก็ทำแต่สิ่งที่ดีอย่างเดียวมีกรรมกิริยาก็จะทำแต่สิ่งที่ดีอย่างเดียว เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีแต่กรรมกิริยาที่ดี แต่ไม่มีบุญ เป็นคนไม่ใช้บุญแล้ว บุญคือพลังงานที่กำจัดกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสไม่มีแล้วจะใช้บุญมาทำอะไร บุญคือมีดสำหรับที่จะตัดฟืน แต่เมื่อฟืนหมดแล้วไม่ต้องใช้ฟืนแล้วเดี๋ยวนี้ใช้แก๊สแล้ว ก็เลยไม่ต้องใช้มีดมาหั่นฟืน
ช่วยบุญว่า...อยู่กับพ่อครูตั้งแต่อายุ 19 รู้สึกคุ้มมาก เรื่องแรกคือศีล เมื่อก่อนแม่ก็พาไปวัดถือศีลเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ศีลอย่างที่พ่อท่านพาทำ อันนี้คืออันดับ 1 ที่รู้สึกคุ้มค่ามาก
อันดับที่ 2 คือเรื่องของบุญ อันนี้กระจ่างเลย รู้สึกเหมือนกับอะไรที่คว่ำอยู่แล้วมันหงายขึ้นมา รู้สึกสว่างเลย ไม่อย่างนั้นที่บ้านจะถือว่าบุญนี้ บุญที่ประเสริฐสุดที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่บุญที่ตัดกิเลส แต่ก่อนชื่อบุญช่วย น้องชื่อ บุญชู และน้องชายชื่อบุญชิต ที่บ้านจะให้ทำแต่บุญ บุญที่ดีมากเจริญประเสริฐ แต่พ่อครูพาให้เรารู้ว่าบุญไม่ใช่ตัวนั้น แต่เป็นตัวที่ตัด เป็นมีดเป็นอะไรที่ตัดกิเลสและเป็นอะไรที่เจ็บปวดรวดร้าว จนไม่มีบุญเลย แล้วเราเองชื่อช่วยบุญ เราจะไม่เอาได้ไหม
มีคนถามว่า รสอะไรที่เป็นรสเลิศที่สุดในโลกหล้า พระพุทธเจ้าตรัสว่ารสแห่งสัจจะ แต่สำหรับช่วยบุญบอกว่า สัจจะเป็นรสด้วยหรือ
พ่อครูว่า..เป็นวิมุติรส รสเป็นภาษาธรรม ไม่ใช่ภาษากาม ที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 แต่นี่เป็นรสที่เป็นโลกีย์กับโลกุตระ ถ้าเป็นวิมุตติรสก็เป็นรสที่หลุดพ้นจากกิเลส ธรรมะรสก็คือรสที่เข้าใจธรรมะไม่ว่าจะเป็นโลกียะหรือโลกุตระเราก็ปฏิบัติให้ลดความเป็นโลกียะ ลดลงไปเรื่อยๆก็เป็นส่วนแห่งบุญ ก็ได้ส่วนทางการลดกิเลส ลดกิเลสหมดก็เรียกว่าได้ผลที่ ปฏิบัติธรรมลดกิเลสได้ครบ เมื่อลดกิเลสได้หมด บุญก็หมดหน้าที่ ก็หมดบุญ หมดบาป หมดอกุศลก็จบ เป็นคนไม่มีบุญเรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ ทั้งบุญทั้งบาปก็ไม่มีแล้วเป็นศูนย์
เรื่องนี้เป็นเรื่องลึก ธรรมะของพุทธเจ้าเป็นความสูงส่ง ซึ่งไม่มีธรรมะศาสนาไหนที่เหมือน ศาสนานี้จึงเป็นศาสนาที่หมดบุญหมดบาปหมดบุญหมดนรก หมดอัตตาหมดปรมาตมัน หมดสิ่งเหล่านี้หมดไปเลย จึงเป็นศาสนาที่สุดยอดที่เข้าใจเทวะเข้าใจธรรมะ 2
ธรรมะ 2 นี่แหละที่โลกเข้าใจไม่ได้จึงกลายเป็นธรรมะ 2 ที่เป็นเทวนิยมมีพระเจ้า มีสิ่งที่ลึกลับ เป็นอย่างนั้นตลอดกาลเขาตีไม่แตก มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวตีเทวแตก แล้วสุดท้ายดับเทวได้หมดเลยไม่เหลือเทวดา ไม่มีเทวดาไม่มีสัตว์นรก มีแต่กรรมกิริยาที่กำหนดกรรมรู้กรรม ทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ชั่วไม่ทำชั่วไม่ทำบาป ทำแต่ดี ถ้าจะทำก็ทำแต่ดี กิเลสไม่มี สามารถมีความลึกซึ้งไปถึงว่า
รู้จักจิต รู้จักจิตเจตสิก รูป นิพพานแล้วแยกกิเลสออกจากจิตได้ทำลายกิเลสได้ เป็นความโง่ที่ยอมให้กิเลสเกิดขึ้นในจิต จนกระทั่งเป็นผู้มีฤทธิ์สูงสุดไม่ให้กิเลสเข้ามาในจิตได้เลย จิตใจก็ปราศจากกิเลส พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากกิเลสถาวรในจิตใจ กิเลสเข้าไม่ได้แม้จะกระทบสัมผัสอยู่ในโลกที่เขาสร้างกิเลสอยู่ทุกวันๆมหาศาลไม่มีหยุดหย่อน คนโง่ที่เป็นปุถุชนก็สร้างกิเลสตลอดเวลา แต่จะสร้างอย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็อยู่ในโลกนี้ อยู่ที่กิเลสไม่สามารถที่จะระคายเคือง ไม่สามารถที่จะเข้าไปแตะต้องเข้ามาหาตัวเขาได้เลย นี่คือความยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ
อาตมาต้องถามว่าที่พูดนี้ทำได้จริงหรือเปล่า ทำได้จริงเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลส สามารถที่จะให้กิเลสไม่เข้าได้จริงหรือเปล่า? ซึ่งมันยืนยันว่าการพูดนี้ไม่ได้สักแต่ว่าพูดแล้วตัวเองเป็นได้หรือเปล่า ...ได้สิ แล้วคนที่เพ่งโทษก็หาว่าอวดตัวตน เราก็เอาสิ่งที่ทำได้รู้จริงพูดจริงทำจริงมาอธิบาย แทนที่จะบอกว่าดีจังเลย จริงๆหรือเป็นไปได้หรือ จะได้เข้ามาเรียนรู้ปฏิบัติตามบ้าง แต่ดันผ่าว่ามาอวดอะไรไม่เชื่อ คนโง่จะไปเชื่ออะไร คนโง่ไม่เชื่อหรอกว่าพระอาริยะหรือพระอรหันต์หรือผู้ที่จะรู้ความจริงพวกนี้แล้วมาประกาศตัวยืนยันว่าเป็น คนโง่ไม่เชื่อ
คนโง่คือคนที่ถือดีว่าตัวเองฉลาด คนอื่นรู้กว่าตัวเองไม่ได้ ใครมาพูดว่าตัวเองรู้กิเลสทำกิเลสหมดก็ไม่เชื่อ เพราะกูเองยังไม่หมดกิเลสทำไม่ได้ ตัวเองยังไม่เชื่อก็ทำไม่ได้ก็ดักดานต่อไป คนเขารู้ทำกิเลสออกหมดได้มาบอกก็ดันไม่เชื่อแล้วดันไม่ฟังอีก ก็โง่ไปอีกนิรันดร
วิเชียรว่า...เหมือนอุปกะ ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปบอกเขา เขาก็ไม่เชื่อเป็นคนแรกที่พุทธเจ้าบอกเลยเขาก็แลบลิ้นใส่
พ่อครูว่า...เหมือนกับนิยายของกามนิตที่นอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนรุ่งเช้าก็บอกว่าจะไปขอตามหาพุทธเจ้าต่อไป ก็ไปหาพระพุทธเจ้าอีก คนทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นผู้รู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศในยุคนี้ จะเรียกว่าเป็นประกาศก จริงๆก็เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ อาตมาเอามาประกาศที่เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นคนจริงๆไม่ใช่เรื่องลึกลับที่เป็นของพระเจ้าที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่มีคนรู้ตามหาต้นตอได้ พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ใช่ต้นตอคนแรก พระพุทธเจ้าองค์แรกองค์ไหน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าท่านไม่รู้ที่ต้น จะสืบทอดกันมา ทุกอย่างมาแต่เหตุ มีที่ต้นทางทั้งนั้นแหละ อยู่ดีๆโผล่มาอย่างไม่มีต้นเหตุไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงค้นไปหาต้นเหตุได้ ส่วนศาสนาเทวนิยมค้นหาต้นเหตุไม่ได้ ก็บอกว่าทำอย่างนี้เพราะว่าพระเจ้าทำ พระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เป็นเรื่องลึกลับอย่างเดียว ศาสนาเหล่านั้นจึงเป็นศาสนาที่ลึกลับตีไม่แตกในความเป็นเทว ตีไม่แตก ทวเยน เวทนายะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้เรียนรู้ที่เวทนาจับคู่ความทุกข์ความสุขมาทีละคู่ หรือจะเรียกอีกภาษาว่าดีชั่วก็ได้ ธรรมะ 2 เป็นธรรมะคู่ มีอันที่ตรงกันข้ามกัน 2 อย่างก็เอามาแยก 2 อย่างนี้ แล้วเอามาไว้ใช้ แล้วก็เข้าใจสูงสุดที่พระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสรู้ก็คือ ตีแตก แยกธาตุได้เลย เป็น 0 อย่างไม่จับตัวกันได้อีกเลยนี่เป็นความรู้ที่สุดยอดแล้ว เทวนิยมยังไม่มีภูมิปัญญาตอนนี้ต่อฟังให้ตายก็ไม่เข้าใจ
คนที่สร้างบารมีมาพอก็จะฟังธรรมะอย่างนี้เข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติได้ประโยชน์จริง ก็ได้ประโยชน์ในการลดละกิเลสได้ เกิดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อาจารย์กฤษฎาว่า...แสดงว่า พวกที่วนเวียนกับเทวนิยมมักจะพูดเสมอว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ก็คือย้อนกลับเป็นเรื่องลึกลับอีก ถ้าหากมนุษย์ใดแสดงอาการเป็นผู้ที่จะมีความลึกลับแล้วอ้างตัวว่าเป็นพุทธก็ไม่ใช่แน่ เป็นเทวนิยม
พ่อครูว่า...ต้องเรียนรู้แยกแยะได้แล้วทำลายทิ้งอกุศลธรรมได้ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นคนที่ทนความชั่วความเลว แล้วสูงสุดกว่านั้นก็คือ ศาสนาพุทธขนาดเป็นเทวะแล้ว เป็นผู้ที่รู้ 2 ทำ2 ให้เป็นหนึ่งได้แล้ว ยังสามารถทำ 0 ได้อีก เลิกแม้แต่ 1 ไม่เหลือ 1 อีกเลยทำให้ 0 ได้
ในฟิสิกส์สามารถเรียนรู้นิวเคลียส รู้ขั้วบวกขั้วลบ ศาสนาพุทธก็สามารถใช้ได้อย่างนั้นเหมือนกัน
อาจารย์กฤษฎาว่า...ศาสนาพุทธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ที่ยังเป็นไสยศาสตร์ก็คือผู้อยู่อย่างลึกลับ
วิเชียร...นึกถึงพระอัญญาโกณฑัญญะเมื่อก่อนก็เชื่อแบบเก่า เชื่อมั่นในความดีก็เป็นแค่สมมุติที่เทพ เมื่อมาฟังพ่อครูแล้วก็ได้ความรู้ใหม่เกิดความรู้ใหม่ทิฏฐิใหม่ เมื่อลดละกิเลสของตนเองได้ก็เปลี่ยนเป็น อุบัติเทพ
พ่อครูว่า...ใช่เป็นความรู้ใหม่ที่แตกต่างไปจากอันเดิม พอดีมีคำถามมาบอกว่า ในจักรวาลเรามีดาวหลายดวง ผมอยากรู้ว่าพ่อท่านเคยเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ครับ
ตอบ..หลวงปู่นี่แหละคือคนที่เป็นมนุษย์ต่างดาว รู้ไว้เสียด้วยนี่แหละมนุษย์ต่างดาวนอกนั้นเป็นมนุษย์ในดาวดวงเก่า เป็นมนุษย์ในดาวโลกีย เป็นดาวที่เป็นปุถุชนยังมีความทุกข์ความสุขยังเป็นธรรมะ 2 ส่วนหลวงปู่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ไม่มีความทุกข์ความสุข มีแต่ความสุขสำราญเบิกบานใจไม่มีธรรมะ 2 ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ 1 หรือทำ 0 ได้ก็สบายๆกลางๆ สบม.ทมด.ปกต หห จจ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่เป็นความจริงเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ทำอย่างไรจะหายกลัวตาย
_จริง..ม.4...มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูเคยนอนอยู่แล้วนึกถึงความตาย รู้สึกว่ากลัวตายมากมาย หากเราตายโดยไม่ได้ร่ำลาครอบครัว ก็จะค้างคาใจ ก็เลยอยากจะถามพ่อครูว่า ทำอย่างไรจะหายกลัวตาย
พ่อครูว่า...คนที่รู้สึกว่ากลัวตายเป็นนิมิตอันหนึ่ง คนรู้สึกว่ากลัวตายมีไตรลักษณ์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป รู้สึกถึงความเป็นไตรลักษณ์ว่าชีวิตเรานี้ เกิดมาแล้วก็จะตาย แต่ว่าตอนยังไม่ตายนี้เราจะได้อะไร เราควรให้อะไรที่ควรได้ เพราะฉะนั้นคนที่มีภูมิปัญญาเป็นผู้ที่แสวงหา ผู้ที่ลึกซึ้งในธรรมะแล้วก็จะแสวงหาว่าควรได้โลกุตรธรรม ส่วนคนที่เป็นปุถุชนก็อยากจะได้ความรวยได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เขาก็ไปหาสิ่งเหล่านั้น หรือมีความลึกหน่อยก็อยากจะได้ความดีไม่เอาความชั่ว ก็จะพยายามละเว้นความชั่วตั้งใจทำแต่ดี แต่จะได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างมีความเป็นสุจริตทำแต่ดีทำแต่ดี ศาสนาของโลกียะก็มีแต่อย่างนี้ ศาสนาของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้อนกว่านี้ ว่าความดีความชั่วก็คือความวนเวียน เมื่อทำดีได้ก็ดีต่อไป เสร็จแล้วเมื่อนานๆเข้า ลาภก็จะเยอะ ยศก็จะเยอะ สรรเสริญก็จะเยอะ มีความสุขเยอะแยะก็จะหลงความสุข ได้บัลลังก์ ก็จะยิ่งมากขึ้นเพราะทำได้ผลส่งผลให้เราเสวยกุศลอันนี้ เสร็จแล้วพอไปได้มากขึ้นก็เหลิงหลงตัว ทำชั่วทำอะไรขึ้นมา ยิ่งจะผยองอวดดี ก็จะตกอย่างรวดเร็ว
เสร็จแล้วก็ต้องมาใช้หนี้ใหม่สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อยู่แค่นี้แหละ นรกสวรรค์สวรรค์นรกสุขทุกข์อยู่แค่นี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่า โลกียะ วนเวียนอยู่แค่ความสุขความทุกข์สวรรค์กับนรก ท่านจึงทางหาทางออกได้ ผู้ที่ยังติดอยู่ในเทวะเป็นธรรมะ 2 ความสุขกับความทุกข์สวรรค์กับนรก ก็จะมาเลิกจิตใจที่มันติดในสวรรค์ที่เป็นของหลอก ความทุกข์คือความโง่ ก็ไม่หลงในความหลอกและไม่มีความโง่ จนหลุดพ้นความโง่หลุดพ้นความหลอกก็จะอยู่ได้อย่างธรรมดาธรรมชาติ โดยการเรียนรู้ซึ้งเข้าไปถึงเวทนา
เวทนา 108 เมื่อเกิดความโง่ในเวทนา ความสุขความทุกข์ก็เกิดอยู่ในเวทนา ถ้าหากไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ เรียกว่าเป็นเคหสิตอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ในสภาวะที่คุณได้อาการนั้น ด้วยความโง่ด้วยความไม่รู้โดยธรรมชาติมันก็มีเป็นกลางๆ ว่าความไม่สุขไม่ทุกข์นี้ดีนะ พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกที่เป็นธรรมะ 2 มันปรุงแต่งกันแล้วมันเกิดความยึดถือ ยึดได้ก็เป็นสุขไม่ได้ก็เป็นทุกข์
เสร็จแล้วมันยึดถืออยู่ถึงเวลามันได้ตามที่ยึดถือ ตามตัณหาอุปาทาน ท่านก็ให้ล้างอาการที่เป็นตัณหา อุปาทานนั้นมันอยู่ในจิตยากกว่าที่จะรู้ ถ้าหากเป็นตัณหาก็มีการเคลื่อนไหวก็ล้างได้ง่ายกว่า มันก็เป็นตัวเดียวกันเป็นกิเลสความโง่ทั้งคู่ พอล้าง กิเลสตัณหาได้ กิเลสตัณหาลดลงอุปาทานก็ลดลงจนหมดตัณหาอุปาทานเลย
ท่านก็สอนเรื่องเวทนาที่ไปยึดอยากได้อยากเป็นอยากมี ก็แตกเวทนา 108
ตัวที่ปฏิบัติจริงก็คือ วิจาร มโปปวิจาร ทางทวารทั้ง 6 แล้วเกิดความสุข ความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเนกขัมมะกับ เคหสิตะ
เมื่อเกิดกิเลสแล้วก็จับให้ได้และพิจารณาว่ามันโง่อะไรนักหนา กระทบมันก็เป็นเหตุปัจจัย เราก็เนกขัมมะออกจากความโง่ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วจะจบได้ทันทีเหมือนที่อธิบาย กว่าจะเลิกได้จริงๆต้องมีขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย โดยมีหลักปฏิบัติคือศีล แล้วทำไปตามลำดับ ปฏิบัติให้เกิด อธิจิต แล้วจิตใจก็จะเกิดปัญญา เกิดวิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ
ทำไปตั้งแต่กระทบกับความเป็นสัตว์ความเป็นมนุษย์ เกิดจิตใจที่ชอบและชัง สัมผัสกับข้าวของ สัมผัสกับพืช เราแบ่งเป็น อุตุก็ของ พีชะก็พืช ก็เหลือแต่ พืชกับสัตว์ในศีลข้อที่ 2 กระทบกับสัตว์ข้าวของหรือพืช อยากได้หรือไม่ได้ก็เป็นธรรมะ 2 อยู่อย่างนี้ก็อ่านธรรมะ 2 นี้
มันควรได้ก็ค่อยอยากเอามาใช้ประโยชน์ ส่วนที่ไม่ควรได้ อย่าไปอยากเอามาเสียพลังงานเสียแคลอรี่ ใช้ประโยชน์ไปตามความเป็นจริง
_กำชับ อโศกตระกูล สองล้อเมืองหลวง...ผู้ว่ากทมฯกี่คนก็เห็นมีแต่โกงกินหลายเจ้าหลายราย เห็นมีแต่มหาจำลองที่ถือศีล 8 นะครับ ที่ไม่มีเรื่องโกงกิน ตอนเป็นผู้ว่ากทมฯ ตั้ง 6 ปีนะครับ เป็นเพราะลุงจำลองถือศีล 8 หรือเปล่า ถึงได้ไม่โกงกินแล้วก็ไม่ยอมให้ลูกน้องโกงกิน เห็นมีอยู่คนเดียวครับผู้ว่ากทมฯ ที่ผ่านมาหลายคน
พ่อครูว่า...ถูกต้อง เพราะว่าถือศีลแล้วทำให้ลดกิเลสได้ด้วย ก็เลยเป็นคนที่มีศีลเป็นคนที่มีจิต เป็นคนมีปัญญาเป็นคนมีวิมุต เป็นบารมีของคุณจำลองมี เป็นคนจริงที่อยู่ในสังคมยุคนี้ที่เป็นตัวอย่างดีงาม ก็มีของดีอย่างนี้ คนที่มีดวงตามีปัญญารู้ก็จะรู้ว่าสิ่งนี้มีประโยชน์มีคุณค่าเป็นคนที่มีศีลธรรมที่แท้จริง
คนที่ไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้แสดงออกไม่ได้เรียนรู้เป็นปุถุชนก็ไปตามธรรมดา ก็เห็นไม่มีใครชัดเจนเด่นเหมือนคุณจำลองที่ยกเป็นตัวตนขึ้นมาได้ ไม่ว่ากี่ผู้ว่าก็เละ นานๆถ้ามีคนดีมาสักที ก็ทำไป โลกก็ต้องมีอย่างนี้แหละ ทุกวันนี้คุณจำลองก็ บอกว่าแก่แล้วปลดเกษียณตัวเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ถือศีลในศาสนาพุทธง่ายนิดเดียว
_ชูบุญ...ช่วงนี้เป็นเทศกาลกินเจ เรามีศีล 5 ข้อแล้วในเรื่องศีลข้อที่หนึ่งเราต้องเพิ่มอธิศีลคือความเมตตาต่อสัตว์ต่อบุคคล อยากให้พ่อท่านอธิบายเพื่อตอกย้ำให้กับตัวของเล็กและตัวเด็กๆ
พ่อครูว่า...ศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เป็นเรื่องแรกที่พุทธเจ้ายกขึ้นมา เป็นเรื่องที่กระทบ กระทบกับพืชก็ไม่เป็นไร กระทบกับสัตว์ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่า สัตว์มันก็คือสัตว์ มันถูกกระทบก็มีวิบากต่อกันไป กัดกันหรือไม่กัดกัน แต่คนอยู่ด้วยกันนี้ กัดกันไม่จบ ท่านก็เลยต้องมาสอนตั้งแต่ต้น คนนี่เกิดมีความพยาบาทมีความรักความชังเกิดขึ้น จึงต้องเกิดการรบ สรณะ ประกอบสงครามตลอด คนอยู่ด้วยกันทำสงครามตลอด คนรู้จักว่าสงครามอะไรดีก็คือสงครามการลดกิเลส อยู่ในเหตุปัจจัยที่เป็นนักรบมีข้าศึก คนนี้กระทบสัมผัสกับเรา เขาก็เป็นข้าศึกทำให้เราเกิดกิเลส เราก็รบกับกิเลสของเราอย่าไปรบกับเขา คนเขาทำให้เราเกิดกิเลสก็ขอบคุณ ถ้าไม่ เรารู้กิเลสก็ฆ่ากิเลสเรา ถ้าไม่มีคนนี้กิเลสเราไม่เกิดนะ คนนี้ยั่วยวนให้เกิดกิเลส ดีชะมัดขอบคุณเขา เสร็จแล้วเราก็ล้างกิเลสของเราไป คนฉลาดก็ต้องมองให้ออกว่าเป็นกิเลสของเราเองเป็นโอกาสของเราเอง
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้จักธรรมะ 2 ก็ทำอย่างที่อาตมาว่า เป็นผู้ที่มีดวงตาเป็นคนได้ประโยชน์อยู่ในสังคมอยู่ในการสัมผัสกับคนกับสัตว์กับพืช ก็ได้ประโยชน์
ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชกับข้าวของ พืชกับข้าวของไม่ได้มาสัมผัสกับเรา มายั่วกิเลสเรา แต่มันยั่วได้แต่ไม่ได้ยั่วเหมือนคน จึงจัดลำดับไว้เป็นอันที่ 2
เมื่อสัมผัสแล้วเกี่ยวกับศีลข้อที่ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลส สรุปแล้วก็เรียนรู้กิเลสตอนสัมผัสแล้วก็ล้างกิเลส จบ ศีลมี 3 ข้อนี้ จบ ถ้าทำถูกต้องตามที่อาตมาอธิบายแล้วจะล้างกิเลสหมดแค่ 3 ข้อนี้จบ แล้วก็เอาไปพูดต่อเป็นศีลข้อที่ 4 จิตใจของคนก็เป็นจิตที่ทำให้กิเลสหมดไปได้ใน 3 ข้อแรกก็คือศีล ข้อที่ 5 ก็จบเท่านี้เอง ศาสนาพุทธง่ายนิดเดียว
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน เตือนสติอย่างไรเมื่อรู้ว่าตนกำลังจะตาย
_อาจารย์กฤษฎาว่า...ช่วงรายเดือนที่ผ่านมามีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตกันมาก สิ่งหนึ่งที่ผมได้เขียนเอาไว้ ว่าพวกเรานี้พร้อมที่จะสิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อ แต่ผมเองก็ไม่บรรลุ แต่คำถามอยากจะถามก็คือ เราควรจะเตรียมสติไว้อย่างไรถ้ามันรู้ว่าเราจะหมดสภาวะแห่งกายนี้แล้ว
พ่อครูว่า...ตอนที่อยู่เป็นยังไม่ถึงเวลาตายหรือตอนจะตายก็เหมือนกัน ต้องรู้เท่าทันสิ่งที่มาสัมผัสกับตัวเรา อะไรมาสัมผัสกับตัวเราก็ต้องเป็นผู้ที่ตื่นรู้ สิ่งที่มาสัมผัสกับตัวเราเสร็จแล้วก็ก่อให้เกิดกิเลสราคะโทสะโมหะคือสิ่งสับสนไม่รู้ แต่เอาที่กำหนดรู้ว่านี่เป็นโทสะหรือราคะ เราก็มีสติเพื่อรู้สิ่งนี้แล้วก็มีปัญญามีความรู้ว่า เราจะลดกิเลสอย่างไร
สติทำให้เรารู้กิเลสไม่ว่าจะเป็นราคะโทสะ เราก็ต้องเรียนรู้ว่าจะลดได้อย่างไร การลดกิเลสมี 2 แบบพอรู้แล้วเราก็สะกดไว้ อันนี้เป็นธรรมดาธรรมชาติสะกดเป็นทุกคน กระทบแล้วเกิดกิเลสก็ไม่ให้กิเลสออกมาเต็มที่ไม่มีใครปล่อยออกมาเต็มที่หรอก เช่น กระทบอันนี้แล้วเกิดความโกรธก็จะแสดงความโกรธออกมาเต็มที่ก็ไม่ใช่หรอกจะต้องกดคอมไว้บ้าง
ราคะก็ตามเมื่อเกิดกิเลสตัวนี้จะแสดงออกมาหมดก็ไม่ใช่ มันจะต้องกดไว้ เป็นธรรมชาติ ยิ่งเรียนรู้ว่าตัวเองเกิดกิเลสแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ว่าราคะโทสะไม่ใช่ของจริงหรอก มันเป็นของคนโง่ เอ็งไม่ใช่ตัวจริงเอ็งไม่มีตัวตนอย่ามาหลอกข้าพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่ามาหลอกเราเลย พระพุทธเจ้าตัดเรือนยอดของเอ็งได้หมดแล้ว พังทลายเรือนของเอ็งได้แล้ว อย่ามาทำเป็นแสดงออกมาเลย เอ็งไม่มีเรือนจะอยู่แล้ว
จะต้องมีสติรู้เท่าทันกิเลสราคะโทสะพิจารณาให้มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่ใช่ตัวจริงมันไม่เที่ยงหรอกมันมาแค่ตอนนี้แหละ เดี๋ยวมันก็ไปเดี๋ยวมันก็มีตัวใหม่มา เอกภพใหม่มีตัวใหม่มาตัวเก่าก็ผ่านไป ตัวใหม่มาแล้วก็ผ่านไปอีกเรื่อยๆ คนโง่ก็เจอมันตลอดเวลาแหละ คนฉลาดก็เจอตลอดเวลาเหมือนกันแล้วก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน เห็นมันมีอาการอย่างนี้อย่าให้มันมีอาการ อย่าให้มันมีอำนาจในการที่ทำให้เราเกิดอาการจะต้องเอาต้องผลักต้องดูด ต้องไปกระทบสัมผัสกับคนอื่น ก็ให้เรียนรู้อย่าให้มันมีอาการเหล่านั้นให้ได้ ถ้าเราทำได้ก็จบ ทำยังไม่ได้ก็ต้องฝึกหัด ว่า อย่าให้มันมีอาการผลักหรือดูดในจิต จุดสำคัญก็อยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นจะเกิดความผลักและดูดนี่แหละให้เราเรียนรู้ความรักและความดูด ให้อยู่แต่กลางๆ เป็นแต่เพียงว่าเราสัมผัสแล้ว อันนี้เป็นสุจริตธรรมนะ สัมผัสแล้วน่าได้น่ามีแล้วเรามีสิทธิ์ไหมถ้าเรามีสิทธิ์ก็เอามาได้ตามควร อย่าไปตะกละตะกรามอย่าไปโลภมาก
ถ้าเราอยู่ร่วมด้วยเราก็สร้างในสิ่งนี้ที่เราต้องกินใช้ต้องอาศัยเราก็ร่วมสร้าง ถ้าเราไม่สร้างเราก็ไปกินไปอาศัยสิ่งที่คนอื่นเขาสร้างเราก็เป็นหนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องร่วมสร้างขึ้นมามันจึงจะไม่เป็นหนี้ แม้เราไม่ได้ไปสร้างโดยตรงโดยสร้างทางอ้อมก็สร้าง สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เอามากิน พอกินพอใช้แต่เรามีงานอื่นอีกเราก็ไปแบ่งมาทำ อันไหนควรทำตามหน้าที่ ที่เราจะใช้อาศัยในสังคมนี้ ก็ไม่ใช่อยู่แต่หน้าที่เดียว ทุกคนจะปลูกแต่ข้าวปลูกแต่พืชผักก็ไม่ใช่ มันต้องมีงานอื่นบ้างที่ต้องอาศัย ต้องแบ่งกันกินกันใช้
สังคมชาวอโศกเข้าใจสาระเหล่านี้ กำลังงานที่จะต้องไปเต้นไปดีดเอาชนะทางการกีฬาการละเล่นการแสดง อะไรต่างๆนานาที่โลกเขาหลงใหลกัน เราก็รู้แล้วว่าอย่างนั้นมันไม่มีสาระอะไร เราไม่ต้องมีก็ได้ เพราะฉะนั้นคนที่มาอยู่ในโลกนี้จะมี คนที่มีบารมีมาก เรื่องอบายมุขเรื่องการเต้นๆรำๆขัดแย้งแข่งขันแย่งชิงกันตามโลกนั้น จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่ค่อยมี จึงเป็นสังคมที่สงบสบาย ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเข้าใจธรรมะที่อาตมาพาทำ ยิ่งจะสงบสร้างสรรอุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกินเบิกบานสำราญใจ
เพราะฉะนั้นเด็กๆหรือผู้ใหญ่เข้ามาในยุคนี้จึงจะเห็นว่าเป็นสังคมที่อุดมสมบูรณ์ สังคมอโศกสะดวกง่ายสบายดี เป็นแต่เพียงว่าเข้ามาในนี้เราเห็นเขาทำงานอย่าไปเกะกะกวนเขาก็จะโดนดีดออกเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราทำกับเขาไป อยู่ด้วยมาด้วยทำด้วยก็จะมีกินมีใช้อยู่ร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยกันทำก็จะแบ่งเบาแรงกันไม่หนักหนา จึงเป็นสังคมที่สูงสุดในการพัฒนาให้มีเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ระบบสังคมก็ดีที่สุด แม้ที่สุดการเมืองก็ดีที่สุด ผู้บริหารประเทศทั้งหลายโปรดมามองดูชาวอโศก เป็นตัวอย่างอันมีทั้งเศรษฐกิจที่ดีที่สุด สังคมที่ดีที่สุดการเมืองที่ดีที่สุด ขอยืนยัน ไม่เชื่อก็แล้วแต่
_กฐิน..พ่อท่านพูดศีล ข้อที่ 1 ร้ายแรงกว่าศีลข้อที่ 2 แต่การเมืองในประเทศไทยทุกวันนี้ศีลข้อที่ 2 ทำให้เกิดศีลข้อที่ 1 ผิด ถ้ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเช่นเรื่องน้ำมันไม่รู้กี่ยุคสมัยเราไม่สามารถทำให้น้ำมันในประเทศไทยราคาถูกได้ การเมืองไทยจึงกลับไปกลับมา
นักการเมืองยังจะต้องผิดศีลข้อที่ 2 อยู่เรื่อยๆ ลองมองนักการเมืองในประเทศไทย ก็เลยจะไปเลือกพระป่าดีกว่าเข้าป่าดีกว่า
พ่อครูว่า...ชาวอโศกเราไม่เคยหนีไม่เคยใจดำ พวกที่หนีไปนั้นเป็นพวกที่ใจดำเป็นพวกเหยาะแหยะอ่อนแอ
_กฐินว่า...ตถตา เป็นภาษาที่ยังไม่มีธรรมะ 2 ใช่ไหม
พ่อครูว่า..เป็นภาษาเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง เอาภาษามากันตัวเองเท่านั้น
_กฐินว่า..เมื่อเกิดความไม่ชอบ แต่ว่าบุญคือการชำระกิเลสเราต้องอาศัยบุญ ถ้าอรหันต์ไม่ต้องใช้แล้ว แต่เราไม่สามารถเอาบุญมาชำระได้ทัน เราก็จะเกิดจิตพยาบาทอาฆาต ที่จะเป็นอุปกิเลส 16 เยอะแยะมากมาย ..ทำไงคะ
พ่อครู...ก็โง่ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีก็ต้องกันมัน อย่าให้อาการนั้นมันเกิดในจิตเรา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้แหละ ให้มีปัญญาว่าเกิดกิเลสอย่างนี้มันไม่ดีมันโง่ พลังงานของปัญญาจะมีฤทธิ์อำนาจ เพราะฉะนั้นพลังงานของปัญญามีพลังงานมากถึงขีด กิเลสพวกนี้เกิดมันก็ดีดออกไปหมด คุณก็สร้างปัญญาที่รู้ความจริงเหล่านี้ให้หมด ความจริงที่ว่าโง่ตายซัก จะทำทำไมเรื่องโง่ๆอย่างนี้เมื่อไม่ทำแล้วก็จบแล้วนี่ แม้แต่คิดคุณก็ไม่คิด ก็ดีดมันออกจากความคิดมันก็ไม่เกิดความคิด
_อาจารย์กฤษฎาว่า...แม้ไม่เท่าทันแต่อย่างน้อยก็ได้รู้ร่องรอยการเกิดกิเลส
พ่อครูว่า...อย่างน้อยได้รู้ มาอีกคราวหน้าแล้วก็ (วจีสังขารว่า...มึง) เอ๋ยข้ารู้ทันแกแล้ว
_กฐินว่า...ฆราวาสกับนักบวชเป็นอรหันต์ได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างหลวงพ่อกุสโล ฆราวาส จะถือสาท่านมาก คือ ท่านกุสโลไม่สะสม ไม่มีเงินเลย ความเป็นญาติก็ตัดญาติขาดมิตรได้ เป็นอนาคามีได้ แต่อารมณ์บารมีที่ท่านสะสมมามันไหว การตัดต้นไม้เป็นเรื่องของวินัย ฆราวาสไม่มีไว้ในครอบครองจึงไม่ได้ไปจับ แต่ท่านมีวินัย แต่ฆราวาสก็สะสมเงิน กฐินว่า...หากเอาวินัยไปจับ แต่ท่านไม่มีเงินได้นะ อย่าไปเพ่งโทสท่านกันเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน สวรรค์คือภพชาติของคนโง่
_สีดิน...ประวัติศาสตร์เมื่อเริ่มก่อตั้งชุมชน...ดูจากในวีดีโอเห็นแสงอรุณเต็มปฐมอโศก ดิฉันก็มาไม่ทัน มาทีหลัง ภาพในประวัติศาสตร์จะมี พ่อครู คุณลุงจำลอง คุณธำรงค์ พาแบ่งเขตบ้าน มีคุณไม้ร่ม ที่สร้างบ้านไม่เหมือนใครเลย ดิฉันรู้สึกว่าเป็นภาพที่อบอุ่นมาก เป็นภาพที่มีค่าทางประวัติศาสตร์มาก รู้สึกทึ่งในชื่อชุมชนที่พ่อครูตั้งชื่อเป็นคุ้มต่างๆ พ่อครูมีความรู้มาตั้งชื่อได้อย่างไรทั้งที่ไม่มีใบปริญญาทางอักษรศาสตร์ รู้สึกทึ่งพ่อครูมาก จะถามว่า ภาษาสวรรค์ 7 ชั้นในชุมชนนั้นพ่อครูคิดค้นมาจากไหน แล้วความหมายของภาษาเหล่านั้นช่วยอธิบาย
พ่อครูว่า...อาตมาจะต้องไปแปลชื่อภาษา แต่อธิบายเนื้อดีกว่านะ
สวรรค์คือภพชาติของคนโง่ มีสวรรค์อยู่ก็คือคนโง่ทั้งนั้น มีสวรรค์ก็เกิดนรกมีนรกก็เกิดสวรรค์มันเป็นธรรมะ 2 เป็นธรรมะคู่ มันไม่มีวันจบ คนหมดสวรรค์นรกก็คือคนที่ไม่มีธรรมะ 2 เป็นธรรมะ 1 ธรรมะ 0 ก็จบได้ การตั้งชื่อก็เพื่อให้กำหนดรู้ว่าเขตนี้เขตนันทวัน เขตนี้เป็นเขตยามาเขตนี้เป็นเขตดุสิต เขตนี้ปรนิมมิตวสวัตตี เขตนี้นิมมานรดี ก็ตั้งไว้เท่านั้นเองเพื่อกำหนดเหมือนชื่อบุคคลที่เราตั้ง ให้กำหนดรู้แม้แต่ชื่อรถยนต์ก็ตั้งชื่อ จะได้รู้ว่าเป็นคันนั้นคันนี้ ชื่อนี้ที่เป็นสถานที่ก็จะได้รู้ว่าเป็นสถานที่ใด ไม่ได้ไปกำหนดให้ถึงขั้นที่จะทำไมต้องเอาสวรรค์นันทวันทำไมต้องเอาสวรรค์ดุสิต ที่จริงก็มีชื่อนันทวรรณเป็นชื่อที่ 7 เดิมก็จะมีแค่ 6 สวรรค์ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตสวัสดี แล้วก็มีนันทวัน เป็นอันที่เจ็ดเท่านั้นเองแก้ปัญหาตั้งชื่อเท่านั้นไม่ดีมีความลึกอะไร
อาตมาสรุปไปแล้ว สวรรค์นรกคือภาวะของคนโง่ที่ไปหลงว่ามีความสุขมีความทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นอาการของคนโง่ ถ้าหากเข้าใจภาษาที่อาตมาพูดอย่างลัดคัดสั้น
ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็สามารถจบได้เลยเราอยู่อย่างที่เป็น 0 หรือเป็น 1 ไม่เป็น 2 แล้ว 1ก็เป็นสภาวะที่เป็นอย่างนั้น อาศัยหรือมี 1 คือ ชีวิตยังอยู่ยังไม่ตายก็ต้องมีอาศัย เราก็อาศัยอย่าไปเรื่องมากให้มีสอง มี 2 มันก็เกิดสงคราม เกิดความบวกความลบเกิดความดูดความรัก เป็นอย่างโน้นอย่างนี้อีก ก็ใช้แค่อาศัยจะกินจะใช้อย่างไรก็เป็นหนึ่งไม่ไปทะเลาะอะไรกับใครไม่เป็นศัตรูอะไรกับใคร ไม่มีเรื่องราวอะไรมากมาย
การปฏิบัติดังนี้ปฏิบัติง่ายๆชีวิตก็สงบ เข้าใจทำได้ก็สงบ
_สีดินว่า...พ่อครูรู้สึกเหนื่อยไหมกับการที่ถูกเถรสมาคมฟ้องร้องตอนนั้น
พ่อครูว่า..เหนื่อย อาตมาพาทำดี แต่เถรสมาคมโง่ ไม่รู้ว่าทำดีก็เลยมาต่อต้าน ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าทำชั่วแต่มาไม่ได้ก็เลยเพลาลง แต่ตอนก่อนกลัวอาตมาจะไปแย่งลาภยศสรรเสริญอะไรกับเขา เขาก็เลยต่อต้าน ตอนนี้เขาก็รู้แล้วเขาก็เลยค่อยยังชั่วแต่ก็ยังชั่วอยู่ดีก็เลยไม่มากวนอะไรมากมาย
_สีดินว่า..พ่อครูมั่นใจว่า เถรสมาคมไม่ทำอะไรแล้ว
พ่อครูว่า...แต่ก่อนประชาชนไม่รู้ทันก็เลยเชื่อเถรสมาคม แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเถรสมาคมคือพวกที่ยังต้องจัดการกับเงินทอนวัดเต็มไปหมด เขาก็รู้ทันแล้ว เขาก็รู้ว่าชาวอโศกไม่ใช่อย่างนั้น เขาแบ่งแยกออกได้แล้ว เถรสมาคมจะมาครอบงำความคิดประชาชนอย่างทุกวันนี้ไม่สำเร็จหรอก
_สีดินว่า...พูดถึงชุมชนแรกจากตอนนั้นถึงตอนนี้พ่อครูรู้สึกว่าหายเหนื่อยหรือไม่
พ่อครูว่า...ก็เพลาลง เวลาทำงานได้ทำงานเป็นเรียกว่าปลดเกษียณได้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากมายทุกวันนี้ไม่ได้ประชุม ให้คนอื่นทำแทนอาตมาก็สบายพักผ่อนนอนหลับได้
_สีดินว่า..จะไปโหวตโนจะได้ไหม
พ่อครูว่า..จะไปทำทำไม?
สื่อธรรมะพ่อครู(ไตรลักษณ์) ตอน ลักษณะของไตรลักษณ์
_นะโมว่า ...วิปัสสนากับสมถะแยกกันอย่างไร วิปัสสนาเขาบอกว่าคือการทำใจในใจ ตั้งแต่คิดว่าด้วยวิธีคิด วิธีเอาคำพูดคำนั้นคำนี้มา แต่เมื่อผ่านไปจริงๆ เราก็พอทำใจได้ก็หายโกรธ แต่อีกสักพักมันก็ยังโกรธอยู่ไม่ได้หายไป มันแค่เหมือนเอามาบังตาเราเฉย
พ่อครูว่า...เพียงรู้เห็นอาการโกรธของเรา เราก็พยายามลด อย่างน้อยเห็นอาการโกรธแล้วก็กดข่มไว้บ้าง ก็ได้ทำ เราจึงต้องใช้วิปัสสนา กดข่มเป็นธรรมดาธรรมชาติ สมถะก็ทำอยู่แล้ว เราก็มาเรียนรู้พิจารณาในความเป็นไตรลักษณ์ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามธรรมชาติ ตามความโง่ของเรา จริงๆแล้วมันเกิดเป็นอาการผลักหรือดูดอย่างไรก็ตาม มันเป็นของไม่เที่ยงมันเป็นของที่มาหาเรื่อง จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะมีตัวตนเป็น
อนัตตา นี่คือลักษณะของไตรลักษณ์
มันมีมาหาเรื่องก็เลยก่อให้เกิดจากเหตุปัจจัยมีกรรมวิบากเฉยๆ เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาว่ารู้ความจริงตามความเป็นจริง ไอ้นี่เกิดเรื่องขึ้นมาเราสัมผัสแล้ว เรื่องราวนี้เป็นอย่างนี้ มีเหตุอย่างนี้มีปัจจัยอย่างนี้ เราก็ดูเหตุปัจจัยที่มันปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็แค่นั้น จิตใจเราอย่าไปผลักหรือดูดอะไร ทุกอย่างต้องเกิดตามเหตุปัจจัย 2 คนมันก็มีการเกี่ยวข้องสัมผัสกันเขาก็ทะเลาะกัน เหตุปัจจัยของเขาเราก็ดูไป หรือแม้แต่เขามาเกี่ยวข้องกับเราแล้วเขามาโวยวายกับเรา เราก็รู้ว่าคนนี้ช่างโวยวาย คนนี้มา 1ดูดเรา 2 มาผลักเรา เราก็รู้เขาว่าดูดอะไรของเรา ดูดมาทำไมเห็นว่าดีก็เอาตามเราเถอะอย่าไปดูดอะไร เห็นว่าไม่ดีก็ไม่ต้องเอา ไม่ต้องมาผลักอะไรเรา ถ้าเราไม่ดีบอกเราบ้างแล้วก็ขอบคุณ จะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ดีเราจะได้เลิกทำ ถ้าไม่บอกก็แล้วไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คุณจะชั่วก็ช่างคุณ คุณจะอย่างไรก็ช่างคุณก็แล้วแต่ก็มีเยอะไป ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ
ก็เรียนรู้การเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันนี่แหละ แล้วเราก็เอามาปฏิบัติ ให้เป็นประโยชน์ อะไรปฏิบัติเกิดประโยชน์ได้ก็ทํา ก็เป็นประโยชน์อยู่เท่านั้นเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(มิจฉาอาชีวะ 5) ตอน เอาลาภแลกลาภกับไม่เอา เป็นอย่างไร
_ปางดิน..ปฐมอโศก ดิฉันไปที่ร้านค้า มีคนบอกว่าอโศกค้าขายแบบเอาลาภแลกลาภ เป็นจริงไหม แล้วการเอาลาภแลกลาภกับไม่เอา เป็นอยางไร
พ่อครูว่า…มิจฉาอาชีวะ 5
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง ทุจริต
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้ ปฏิบัติศีลสมาธิไปตามลำดับและก็จะเจริญแต่ก็ยังมอบตนในทางที่ผิด
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
ทุกวันนี้ชาวอโศกทำ ไม่ได้เอาลาภแลกลาภ เอาเข้าส่วนกลางหมด พวกเราชาวอโศกไม่มี กุหนา ลปนา เมมิตกาตา ก็ปฏิบัติไปตามลำดับมีศีลสมาธิปัญญาวิมุติไปตามลำดับได้แล้วก็ไม่ไปไหนเรียกว่าปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาชีพอยู่กับหมู่กลุ่มนี้ ทำได้แล้วก็ยังไปทำอยู่กับคนข้างนอกที่ยังมีการโกงกินทุจริต ไปมอบไปในทางที่ผิดอย่างนั้นก็ยังไม่เป็นสัมมาอาชีพมันเป็นมิจฉาชีพ ใครปฏิบัติตนเองได้ดีงามแล้วให้อยู่กับหมู่กลุ่มอย่าไปไหน ไปก็จะถูกอำนาจของโลกบีบบังคับให้เราทำชั่วไปด้วย อยู่ในนี้มีแต่สิ่งที่ดีงามมีความบริสุทธิ์แล้ว ก็ทำงานอย่างไม่เอาลาภแลกลาภ
สังคมชาวอโศกพ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 ได้ สัมมากัมมันตะ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์มีการสังวรในกาม เราก็ทำกันอยู่แล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์สังวรในกามเราก็ทำ ไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ชาวอโศกไม่พูดหยาบ พูดเพราะจะตาย
_ทิวเมฆ...กรณีคุณปางดินพูด เขาหมายถึงว่า พวกเรา ยังผลิตสิ่งของแล้วซื้อสิ่งของมาขายแล้วได้เงินกลับคืนมา ปางดินเขาว่า พวกเราเป็นลาภแลกลาภไหม?
พ่อครูว่า..ไม่ใช่ เราเอาเข้ากองกลางเราไม่ได้เอาเข้าตัวเองที่ไหน กองกลางนั้นบริหารส่วนรวมไม่ใช่บริหารด้วยส่วนตัว เป็นเศรษฐศาสตร์สูงสุดเลยเป็นสาธารณโภคี แล้วไม่มีวิธีการใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วของพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้ว ไม่ได้เอาเข้าตัว คนไม่ได้แบ่งเอาทรัพย์สินไป
_อาจารย์กฤษฎาว่า...ผลที่ได้ระบุไม่ได้ว่า เป็นของตัวคนใดคนหนึ่ง ก็เป็นสาธารณโภคี ก็จะไม่เป็นผลประโยชน์แก่คนใดคนหนึ่ง
พ่อครูว่า...เราเองปฏิบัติตามลำดับตามขั้นตอนตามฐานะอันควร อย่างชัดเจนทุกอย่างแล้ว สภาพไม่เอา ลาภแลกลาภ สัมมากัมมันตะ ก็ไม่มี วาจา 4 ก็ไม่ทำมิจฉา ส่วน สัมมาสังกัปปะเป็นตัวรับกิเลสโดยตรง ตักกะ วิตักกะ เป็นฐานปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ชาอโศกปฏิบัติธรรมอย่างครบพร้อมในสัปปายะ 4 เถรสมาคมไม่เข้าใจแล้วทำไม่ได้ ก็เลยทำอย่างโลกๆแม้แต่พระก็ท่องคาถาสวดมนต์ทำอย่างไม่ได้เข้าถึงแก่นศาสนาว่าจะต้องเป็นคนโลกุตระอะไร ได้แค่นั้นก็เอาเถอะก็ทำไป เรารับหมดไม่ไหว หากคนทั้งประเทศมาหมดก็รับไม่ไหว ตายแน่ๆเข้ามารวนเรกันคนละฐานะ วุ่นวายเลย เขาก็เป็นส่วนแบ่งที่เอาไปควบคุมดูแลไปตามขั้นตอน ผู้ที่เข้ามาถึงนี้ได้จะเป็นประโยชน์เหมาะสมกับหมู่กลุ่มทุกอย่างนี้ลงตัวหมดแล้วแสนสบายไม่มีปัญหา
_อาจารย์กฤษฎาว่า...การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มตามกลไกของหมู่กลุ่ม
พ่อครูว่า..ตามคำสอนพุทธเจ้าเลยเป็นขั้นเป็นตอน
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน คนต้องรับมรดกกรรมของตน
_น้ำดิน..อยู่ฐาน เกี่ยวกับ ความแก่ความเจ็บความตาย ตนเองจะเห็นสภาพที่เป็นต่อหน้าต่อตาหลายราย ตอนนี้ 13 รายผ่านไปแล้ว ที่บ้านอารมณ์ดี ทุกครั้งที่เห็นคนอื่นเสียชีวิตตนเองก็จะรู้สึกตื่นเต้น รายสุดท้าย ป้าเกียว ตายบนโต๊ะอาหารเลย ตอนดึกๆก็คิดว่าแกจะมาหาเราไหม พ่อท่านว่าผีไม่มีในโลกเราก็บอกตัวเองอย่างนี้ไม่มาหาเราหรอกคนละภพภูมิแล้ว
สภาพของคนสูงอายุที่แก่และเจ็บบางคนก็รอเข้าโลง เมื่อมาถึงตัวเองบ้างไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอ ไม่นานมานี้ก็หกล้ม หัวไหล่หลุด 2 ครั้ง เจ็บปวดทรมานมากโดยเฉพาะครั้งที่ 2 นี้ ไปที่ห้องฉุกเฉิน ดิฉันว่าบอกว่าหมอหนูปวดมากเลย ช่วยหนูด้วย ก็เลยท่องนะโมอิติปิโสก็ยังไม่หายปวด ก็เลยบอกว่าพ่อท่านช่วยลูกด้วย ลูกยังไม่อยาก พอคิดได้แป๊บเดียว เจ้าหน้าที่ก็พาไปให้หมอจัดกระดูกให้ ก็เลยนึกว่าอภินิหารมีจริง
เรายังไม่อยากเป็นอะไรตอนนี้เพราะว่าพ่อยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ถ้าตัวเองเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัส มีความรู้สึกว่า ยังมีคนที่อยู่กับเราอีกหลายชีวิต เมื่อวานก็มีมาเพิ่มอีกหนึ่งชีวิตคุณยายทองอยู่ศูนย์เจาะวิจัย และก็ติดต่อมาอีกราย
มันดีอย่างนี้คือ คนที่ยังแข็งแรงกว่าก็มาช่วยเราดูแล มาช่วยกัน ก็จะโทรเรียกกันมาช่วย มีความรู้สึกว่าตอนอยู่ในห้อง ICU เรามีความรู้สึกว่า ลึกๆเรากลัวที่จะพิการ เมื่อเขาดึงไหล่ให้เข้าแล้วแขนมันชาไป 1 ซีก แขนอ่อนแรงไป ตอนนี้รีบหาหมอใหญ่เลย หมอที่ช่วยให้ดิฉันหายแขนชาแล้วไหลเข้าที่ ไปเอ๊กซเรย์เจอว่า ไขข้อไม่มีน้ำมัน เขาก็ฉีดน้ำมันไขข้อให้ .. ที่จะถามคือ เมื่อถึงตัวเอง ก็นึกถึงว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นอยากจะยังช่วยเหลือคนอื่นต่อไป
พ่อครูว่า...ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต้องให้ผู้อื่นช่วยอยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ก็พิการ ช่วยไม่ได้ก็ตาย ก็เป็นไปตามวิบากของแต่ละคนเป็นธรรมดาธรรมชาติไม่ต้องไปคิดมากหรอก
แล้วมันไม่มีก็ไม่มาสำหรับวิบาก เป็นสัจจะไม่มีใครโกงได้หรอก มาเราก็ต้องรับ คุณไม่รับก็ไม่ได้ กรรมเป็นของๆตน กัมมทายาโท คนต้องรับมรดกกรรมของตน พระพุทธเจ้าตรัสคำไหนมันจริงทั้งนั้นตายตัว ไม่ต้องไปทำอะไรหรอก วางใจ มาแล้วหรือ วิบากมาก็มา ก็รับไป หายแล้วก็ดี เราจะได้ทำสิ่งดีต่อไป ตราบใดที่เรายังไม่ปรินิพพานเราก็ยังต้องวนเวียนในวิบากพวกนี้ มันไม่เหมือนศาสนาเทวนิยมที่ตายไปแล้วอยู่กับพระเจ้า แต่ชีวิตเราจะต้องพัฒนาให้เกิดวิบากที่ดีขึ้นไปให้เกิดชาติต่อไปให้ดีขึ้น เขาไม่มีการศึกษาเหล่านี้เขาไม่มีการพัฒนาก็จะจมอยู่อย่างนั้น ตายไปอยู่กับพระเจ้าอยู่แค่นั้น สั้นๆไม่รู้กรรมวิบากอะไรเลย น่าสงสารศาสนาเทวนิยมมันสั้น มันไม่มีอะไรมันตื้นน่าสงสาร แล้วก็ปล่อยไปตามพระเจ้าจะสั่งหรือไม่สั่ง มันเหมือนคนสิ้นท่า รอแต่กับอะไรไม่รู้ที่เขาจะสั่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็อ้อนวอนขอให้สั่งให้ดีขอให้มาดีๆให้พระเจ้าทำให้ มีอยู่นิดเดียวคือรู้ว่าดีคืออะไรแล้วสังวรทำแต่ดี ก็จมอยู่กับความดีและความชั่ววนเวียนอยู่ไปนาน ไม่มีทางออก
ของชาวพุทธนอกจากจะกดข่มแล้วยังรู้จักวิปัสสนารู้อาการของจิต วิจัยอาการจิตได้ว่าจิตใจตัวโง่ตัวนี้อย่าไปทำ มันมีความชัดเจนรายละเอียดของอาการจิตทั้งบทบาทอาการต่างๆของจิตวิญญาณที่มันทำ
ศาสนาพุทธมีความละเอียดลออจึงเป็นประโยชน์มากที่สุดแต่คนก็รู้ยากคนเข้าใจไม่ได้ เพราะว่าโลกุตระนั้นรู้ได้ยากเขาก็เลยยอมจมอยู่อย่างนั้นอยู่กับความทุกข์ความสุข ทำไงได้ คนที่รู้ฉลาดก็ต้องมีน้อยกว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ก่อนตาย จะทำใจอย่างไร
_กอบกูล..ก่อนตาย จะทำใจอย่างไร มีมโนปวิจาร 18 มีอุเบกขา เราพยายามทำจิตอุเบกขาเป็นฐานใช่ไหม
พ่อครูว่า..กดข่มก็อุเบกขาแต่ต้องลดด้วยปัญญา ทำให้กิเลสหมดวางเฉยได้ด้วยปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง เมื่อทำได้คุณก็ไม่ให้กิเลสมันเพิ่ม กิเลสมันลดลงได้ ปัญญามันก็จะรู้ว่ากิเลสไม่เพิ่ม ปัญญามันรู้ว่ากิเลสไม่ควรจะให้มันเกิดโดยอัตโนมัติจะมีปฏิภาณปัญญาเฉลียวฉลาด ก็จะช่วยให้เราลดลงๆๆ ปฏิบัติให้ถูกอย่างที่อาตมาพูดนี้มีแต่กิเลสลดลงเรื่อยๆ
_ยายแมว...มีครั้งหนึ่ง ดิฉันฟังพ่อท่านแล้ว บางตอนก็เข้าใจบางตอนก็ไม่เข้าใจ เคยถามท่านแก่นผาว่า..ฟังพ่อท่านเข้าใจไหม..ท่านก็ว่า ฟังดี
ถามว่า กามนิต นอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืน แต่กามนิตก็ไม่เข้าใจว่า นั่นคือพระพุทธเจ้า กามนิตไม่มีสภาวะมาก่อนในชาติก่อนหรืออย่างไร
พ่อครูว่า...แม้อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ก็เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศมาพูด อย่าไปอยากจะได้มากกว่านี้ มันจะได้ไปเรื่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน การศึกษาควรเป็นอย่างไร
_ปะฝนฟ้า..เท่าที่อยู่ในอโศกมารู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากกว่าเก่าๆ ได้พัฒนาปัญญา อยากถามว่าเด็กของเราจบม.6 คนที่อยู่กับสังคมอโศกไปแล้วก็ศึกษาวิชาทำอยู่ทำกิน แล้วช่วยเหลือตัวเองได้ แม้ว่าจะออกไปอยู่กับสังคมภายนอกเขาก็สามารถจะประกอบอาชีพได้ กับอีกพวกหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่รู้ว่าจะไปประกอบอาชีพอะไร สองนัยนี้ การศึกษาควรเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...เขาว่าอย่างนั้น ผู้ที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาเรียนเพื่อจบแล้วจะได้ไม่มีงานทำ แล้ว แต่เรียนแล้วก็ตกงาน แต่ที่นี่เรียนแล้วก็รู้ว่าเราควรทำงานอย่างนี้อย่างนี้อย่างที่อาตมาพาทำ คือเป็นพวกที่รักษาตัวรอด พวกที่เรียนแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไร เรียนจบมาแล้วก็ตกงานก็จริงเต็มไปหมด เตะฝุ่น บางคนปริญญาเอกปริญญาโทแบกกันว่ากูใหญ่กูใหญ่ หางานทำที่เหมาะสมกับตัวเองก็ไม่ได้
ที่ถามนี้ มันเข้ากับยุคสมัยจริงๆเขาไม่รู้ คนที่รู้อย่างพวกอโศกก็ได้ คนที่รู้ก็มาเอาคนที่ไม่รู้เขาก็ไป ไปบังคับกันได้อย่างไร
_ปะฝนฟ้า..แทนที่จะเรียนมหาวิทยาลัยต้องลงทุนสูงจบมาแล้วต้องหาอาชีพทำ แต่ถ้าอยู่กับสังคมพวกเราก็ได้อาชีพได้ฝึกความชำนาญ ได้ฝึกฝีมือตัวเอง ในนี้มีหลายศาสตร์
พ่อครูว่า..อันนี้จริงที่สุดตอนนี้อโศกและสมบูรณ์ใครจะมาเรียนที่นี่ก็มาเรียน จะมาเรียนปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอกก็ที่นี่มีทุนให้ด้วย เป็นการเรียนที่ฟรีทุกอย่าง เป็นทุนในระดับ แต่คนไม่ค่อยอยู่กับคนโง่ คุณว่าในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมากกว่า คนโง่ก็มีมากกว่าก็ต้องออกไป คนฉลาดก็อยู่ ไปบังคับกันไม่ได้เป็นธรรมดาธรรมชาติ
คนจบม.6 แล้วก็เรียนต่อที่นี่ได้ ทำงานก็ทำได้ที่กินที่อยู่ก็มี จะต่อปริญญาก็ส่งให้ได้อีกแล้วก็ไม่เอาเองจะไปบังคับกันได้อย่างไรความโง่ของคน คนฉลาดก็ทำ เด็กๆฟังให้ดีจะรู้สึกหรือไม่ก็ไม่รู้ ถ้ารู้ก็เอาเลยสิ จะเรียนอยู่ที่นี่กินอยู่หลับนอน เป็นแต่เพียงว่าที่นี่มีการขัดเกลา อยู่ที่นี่ต้องปฏิบัติธรรมพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ก็มันจะดีแล้วทำไมไม่เอา มันจะโง่ซ้อนความโง่ทำไม อยู่ที่นี่เขาจะช่วยขัดเกลาให้ ให้ดีขึ้น ดีด้วยนะ สบายดีขึ้นเจริญขึ้นด้วยทั้งโลกียะโลกุตระพร้อมอยู่ในนี้ แต่ไม่เอา เพราะฉะนั้นเด็กก็ตามคือเด็กที่มันโง่ 2 พ่อแม่ก็โง่ด้วยให้เด็กออกไป ทั้งที่ให้เด็กอยู่ที่นี่เด็กมันไม่อยู่ก็อีกเรื่อง หากเด็กมันอยากอยู่แล้วเอามันออกไป พ่อแม่เอ๋ย ไม่รู้จะทำอย่างไรโง่ซ้อนความโง่
ถ้าเด็ก ก็ยังอยากจะอยู่พ่อแม่ก็เห็นดีด้วยก็อยู่สิ อยู่ที่นี่ต้อนรับด้วย อย่ามาเกเรก็แล้วกัน มาตรฐานก็ไม่ได้สูงนะ ไม่กินเนื้อสัตว์มีศีล 5 ไม่มีอบายมุขก็อยู่ไปสิ คุณเจริญได้ด้วย มาเป็นพลเมืองของที่นี่ก็ยินดีต้อนรับ จะอยู่เท่าไหร่ อยากได้พลเมืองที่นี่สัก 1000
_ปะฝนฟ้า...อยากเรียนถามว่า..หากเราทำเพื่อสนองอัตตาก็จะอึดอัด เราก็ต้องวางเท่าที่ได้
พ่อครูว่า...อยากให้ได้ดังใจเรา เมื่อเราไม่ได้ก็รู้สึกอึดอัด จะไปอยากให้ได้ดั่งใจทำไมเขาก็ทำของเขาไป เราก็ทำของเรา เราอยากได้ทำเป็นเจตนาดี แต่เขาไม่ทำตามใจเราจะทำอย่างไรได้ เขาก็ทำตามของเขาเท่าที่ได้ จะช่วยเขาได้ก็ช่วยสิ หากว่าเราเก่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ชดใช้กรรมควรทำอย่างไร
_ปะฝนฟ้า..เกิดมาเพื่อสำรอกวิบาก กับ เกิดมาเพื่อใช้กรรมต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...วิบากปัจจุบัน ที่เป็นผลแล้วจะสำรอกไม่ได้หรอก ต้องเอาตามปัจจุบันที่มันเกิดกิเลสเกิดวิบาก ก็ต้องสำรอกวิบากออกไปไม่ให้มันเกิดอีก
สํานวนการชดใช้กรรม ก็หมายความว่ากรรมที่เราเคยทำมามันเป็นความชั่วมันไม่รู้ ทำดีมันก็ไม่รู้ เราก็ต้องพยายามใช้ พยายามเรียนรู้กรรม แล้วก็ทำกรรมนี้ให้มันดี แก้ตัว ที่เป็นแต่ก่อนเราทำแต่กรรมที่โง่ ทำแล้วก็สั่งสมวิบากที่ไม่ดี แก้ตัว ตอนนี้ก็มาชดใช้กรรมที่เคยชั่วเคยโง่ เราก็ทำกรรมใหม่ในปัจจุบันให้เป็นกรรมดี สำนวนก็เลยเป็นว่าชดใช้กรรม เป็นของที่เราเป็นโง่ทำไปทำไม เมื่อมาอยู่กับชาวอโศกก็ดีแล้วได้แก้กรรมให้เป็นกรรมใหม่ หรือทำกรรมชนิดใหม่ไม่ให้เหมือนเดิม ทำเหมือนเดิมทำแต่โง่ คนที่ไม่เคยได้เรียนรู้ธรรมะมีแต่กรรมที่โง่สร้างแต่กิเลสให้แก่ตัวเองหนาขึ้นเป็นปุถุชน เมื่อมาที่นี่เป็นอาริยะชนมาชดใช้ แต่ก่อนเราโง่จังเลย เดี๋ยวนี้ที่นี่มีอาริยธรรม สอนให้เราทำกรรมชนิดใหม่ ชดใช้ ไม่ต้องทำเหมือนอย่างเก่านะ ไอ้กรรมที่เก่านั้นทำทีไรมีแต่ชั่วมีแต่บาปอกุศลสะสมไปเรื่อย ที่นี่สอนให้มาทำแบบใหม่เรียกว่าชดใช้กรรม แทนที่จะทำแบบกรรมแบบเก่าที่มีแต่อกุศลแต่บาป ให้มาทำกรรมดีเป็นการชดใช้ เดิมมันโง่ไม่ดี มาใหม่นี่ทำใหม่ นี่เรียกว่าสำนวนชดใช้กรรม คือมาเรียนรู้ สิ่งที่ควรทำแล้วทำให้ได้ แก้กรรม แทนที่จะทำกรรมเก่าที่ชั่วโง่ มาทำกรรมใหม่
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาอาขีพ) ตอน การถือศีลดีกว่าศีกษาทางโลก
_ทิวเมฆ ..โรงปุ๋ยมีเด็กดอยหลายคน ต้องจากบ้านมาถือศีล พอหาเงินได้ ก็ต้องส่งเงินกลับบ้านทั้งหมดทุกบาท เขาจะเกิดความรู้สึกเป็นปมด้อยน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะว่าคนอื่นเกิดมามีฐานะก็ยังได้เรียนหนังสืออยู่ตามโรงเรียน แต่ว่าเขาเองมาอยู่ที่นี่ต้องมาทำงานหาเงินแล้วก็ต้องมาถือศีล
พ่อครูว่า...ได้ถือศีลเป็นการศึกษาเป็นการขัดเกลาดีกว่า การศึกษาทางโลกเป็นการทำอาชีพเลี้ยงตนเอง แต่การถือศีลเป็นการได้ขัดเกลากิเลสตัวเอง จิตวิญญาณตัวเองจะได้รับผลวิบากที่ดีไป การไปเรียนแบบโลก ดีไม่ดีเกิดกิเลสหนามากขึ้นก็ได้วิบากเลวไปมากขึ้น จะไปดีเท่ากับการมาปฏิบัติศีลหรือ อธิบายให้เขาเข้าใจเสีย อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจเลย ให้เรียนรู้แล้วเขาหลงระเริงอยู่เต็มโลกนั่นแหละไม่ได้รู้จักถือศีลปฏิบัติธรรมลดกิเลส ถ้าได้ลดกิเลส แล้วได้เรียนด้วยเหมือนกับเด็กอโศกก็ดี ก็พยายามบอกเขา ให้เขาเข้ามาเรียนรู้ปฏิบัติ ไม่ต้องไปเรียนข้างนอกหรอกวิชาแบบข้างนอก ที่นี่ก็สอนเป็นสอนทำอาชีพ แต่ไม่ได้สอนแบบตำราหลักของเขา ไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่ชีวิตจริงๆเราก็พาทำอยู่แล้ว
เขาก็เรียนรู้ได้ แต่ที่นี่พาทำสัมมาชีพอยู่แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ตายแล้วไปตามวิบากกรรม
_ช่วยบุญ...เรื่องที่คิดนี่ไม่แน่ใจว่าจริงไหม?...เรามีอาชีพเป็นสัปเหร่อ ได้สัมผัสกับคนใกล้ตายได้ไปเฝ้าและดูแลคนป่วย ที่โรงพยาบาลอยู่กับแม่หลายปี เมื่อคนที่เขาตาย ตัวเขาจะแข็ง แต่บางคนไม่แข็ง ตัวนิ่ม ยกตัวอย่าง เช่น แม่รส แม่เกียว ทีนี้คนตัวแข็ง ใกล้จะตายก็ตัวแข็งแล้ว เราก็ได้ยินมาว่า ลัทธิเต๋าบอกว่าถ้าจิตไปดีตัวจะนิ่ม ถ้าจิตไปไม่ดีตัวจะแข็ง แต่สำหรับตัวเองคิดว่าการปล่อยวางที่จิตหรือเปล่า คนที่ตัวแข็งเขายังไม่อยากตาย เขาบอกกับฉันว่าเขาอยากจะอยู่ต่อไปทั้งที่เขาปวดเจ็บทุกข์ทรมาน ก็ยังเป็นห่วงนั่นห่วงนี่ ตัวเขาก็แข็งก่อนตาย ก็เลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องแค่จิตใจ ที่ไปสวรรค์อย่างที่เขาบอกหรือเปล่า เรื่องของจิตที่ปล่อยวาง ที่รู้ว่าอันไหนควรหรือไม่ควรหรือไม่?
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องอธิบายยากอยู่ โดยสามัญสำนึกปฏิภาณสามัญคนรู้ว่าตายคือตาย พอรู้ว่าตาย จิตวิญญาณจะออกจากร่างไป บางทีก็บอกว่ามันต้องตายแล้ว มันจะแข็งก่อนที่จะตาย ส่วนคนที่เรียนรู้จักจิตวิญญาณ รู้ว่าตายก็ตายไม่ตายก็ไม่ตายมันก็เลยไม่แข็ง เป็นแต่เพียงว่าจะสัมมาทิฏฐิหรือไม่ อย่างชาวเทวนิยม ไม่มีสัมมาทิฏฐิ อยู่กับจิตที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ตายแล้วก็ไม่ไป ตายแล้วเล็บกับผมก็ยังงอกไม่เน่าก็ยังมี นั่นคือผู้เข้าใจผิด ตายแล้วต้องให้มันเน่าจิตใจก็ไปตามวิบากไม่มาจมยึดถืออยู่อย่างนั้นอย่างพวกอวิชชา ก็คือเป็นพวกที่คิดผิดเป็นพวกสายสมถะตายแล้วไม่เน่า เป็นผู้โง่ทั้งนั้น
ส่วนผู้ที่สัมมาทิฏฐิตายแล้วก็ไม่เน่าก็รู้วาระ ว่า ตอนนี้เราตายก็คือตาย เสร็จแล้วเราก็ค่อยๆออกจากร่าง ไม่ต้องรีบร้อน ดีไม่ดีอยู่กับหมู่มิตรดีก็เลยร่างก็ยังอุ่นอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณหมดความเป็นจิตนิยามแล้ว แต่ถ้ายังไม่ไปแสดงว่าเป็นพีชะอยู่ร่างไม่เน่าเหมือนพวกใน ไอซียู เขาต่อท่ออาหารให้ ก็อยู่ได้ ก็เท่านั้นเอง ก็เป็นความรู้กับความไม่รู้เท่านั้นเอง
_ช่วยบุญว่า..เป็นเรื่องที่สรุปไม่ได้เลย
พ่อครูว่า...มันยังไม่ตายก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร เมื่อตายแล้วก็ทิ้งร่างไปมันก็แข็งไป มันไม่มีจิตใจแล้วมันจะไปอ่อนอะไรมันหมดธาตุที่จะมีชีวิตต่อไปมันก็จะแข็งไปมันก็จะจบ มาเรียนรู้ดีๆเพื่อเราก็จะอยู่อย่างไม่มีปัญหาอะไร มันมีมิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่าตัวเองนี้ เก่ง ไม่พรากจากอนุสัยตัวเอง ไปแล้วไม่ออกจากอนุสัยร่างก็เลยไม่เน่า แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาย งมยึดมั่นถือมั่นกับร่างนี้อยู่กับอนุสัยของกูนี้ไม่ไปไหนเสียเวลาจมอยู่กับร่างนี้ทั้งที่มันตายแล้วทำอะไรก็ไม่ได้แล้ว อาหารเขาก็ไม่ให้แล้วก็เลยยังไม่เน่าเท่านั้นเอง แต่คุณก็ยังช้าอยู่นั่นแหละ ก็เลยยิ่งเคารพบูชาเอามาใส่โลงแก้วบอกว่าร่างกายไม่เน่า ก็เลยเคารพบูชา เป็นคนอวิชชา ก็ยิ่งอวิชชาจิตไม่ไปไหนก็เกาะกับร่างนี้แหละไม่ยอมปล่อยวางไป แบคทีเรียไม่ค่อยทำงานก็ค่อยๆแห้งไป ไม่เน่าแต่ก็เสื่อมไปเรื่อยอยู่ดี
_ปะพัดชา...เรื่องการเล่นหมากฮอสและหมากรุก
พ่อครูว่า...เมื่อเล่นแล้วมันจะมีความคิดจะเอาชนะเขาก็จะใช้เหลี่ยมการโกง ไม่ควรจะสร้างจิตที่เอาเปรียบหรือเอาชนะคะคานคนอื่น ถ้าไปสร้างจิตแบบนี้ก็จะเล่นหมากรุกหมากฮอส เป็นเกมจะสร้างความฉลาดเหนือคนอื่นเท่านั้นเอง สร้างจิตจะเอาชนะด้วยเกมเหลี่ยมมุม ไม่เห็นจะต้องไปทำทำไม เรามาลดกิเลสดีกว่า มันติด มันมี อัตตา เฉลียวฉลาดโกง เฉกา กิเลสไม่ลด อัตตาโตเท่านั้นเอง
_ฉันอยากทราบว่าพ่อท่านเคยเป็นมนุษย์ต่างดาวไหมครับ
พ่อครูว่า..อาตมาเป็นมนุษย์ต่างดาวเป็นมนุษย์โลกุตระอยู่ในโลกนี้แหละ ดาวอย่างนั้นช่างหัวมันเถอะจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องไปนึกไปคิด เพราะว่าคนเราเกิดๆดับๆอย่างนี้ไม่รู้กี่ล้านๆๆชาติ แล้วโลกแต่ละดวง บางดวงก็มีมนุษย์อยู่เหมือนกันไม่ใช่ไม่มี มีแต่โลกเราลูกเดียวก็ไม่ใช่
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน พ่อท่าน สามารถระลึกชาติได้ไหม
_พ่อท่าน สามารถระลึกชาติได้ไหม หลายชาติที่แล้วพ่อท่านเคยเกิดเป็นไดโนเสาร์ไหมครับท่านไหนครับ
พ่อครูว่า...ทำไมถามไปไกลจัง ไดโนเสาร์นี่ผ่านมาหลายล้านปีแล้ว อาตมาระลึกไปไม่ได้หลายล้านชาติแต่อาจจะเคยเกิด หรือไม่เกิดก็ได้ไม่รู้ แต่คนเราเกิดมาเป็นเซลล์ เราก็เลยไม่รู้ว่าเกิดมากี่ล้านชาติแล้ว แต่ละคนถ้าจะได้มาอยู่ในที่นี้ มาฟังโลกุตรธรรมได้ เป็นคนที่มีวิบากดีทุกคนมีวิบากดีแม้จะโดนถีบเข้ามาก็ดี ไม่ได้มาสมัครใจแต่โดนถีบเข้ามาก็เป็นกุศลของคุณแล้ว ถ้าหากยิ่งสมัครใจเข้ามาก็ดีใหญ่ เข้ามาที่นี่เป็นถิ่นฐานของคนเจริญคนดีที่สุดแล้วออกมาตั้งแต่เป็นสาวๆอดีตไม่ต้องไปเกี่ยวข้องไมันเป็นปอะไรกับมัน เอาปัจจุบันนี่ เราได้อยู่กับมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ได้พบสัตบุรุษ มีคำสอนที่ดีมีการพัฒนาตัวเองแม้แต่ในทางอาชีพการกระทำก็ได้พัฒนาดีเป็นกุศล ทางจิตวิญญาณก็ได้พัฒนาดีให้เป็นบุญ เป็นการลดล้างกิเลสด้วย นี่เป็นสิ่งประเสริฐสุดยอดแล้ว ที่นี่เป็นดินแดนของมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ดีที่สุดแล้ว อาตมาพูดไปแล้วมันยกยอยกย่องตัวเอง อะไรก็ดีหมดที่อื่นเขาไม่ดีเลย ก็มันไม่ผิดนี่ มันก็เลยต้องพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ต้องขออภัยเพราะว่าจะมาไม่รู้จะหลีกเลี่ยงอย่างไร จะบอกว่าไปในที่อื่นที่ดีที่นี่ไม่ดีมันก็พูดไม่ได้เพราะเป็นการโกหก อาตมาเกิดในยุคที่ความดีมีน้อยความถูกต้องมีน้อย มันมีแต่ความไม่ดีมีแต่ความผิดเสียเยอะ เพราะฉะนั้นจึงพูดทีไรก็ดีก็มีแต่พวกมัน มันก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ออกจำนวนจบดีกว่าหมดเวลาแล้ว ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:45:07 )
รายละเอียด
611016 พ่อครูร่วมถ่ายภาพในวันครบรอบ 35 ปี ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย
อาเล็ก : กราบนมัสการพ่อท่านนะครับ วันนี้ก็เป็นวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย ครบรอบ 35 ปีครับ เราเปิดร้านครั้งแรกที่สนามหลวงเมื่อปี 26 แล้วก็อันนี้ก็เป็นทีมงานซึ่งมาช่วยงานเป็นประจำครับ ก็อยากจะขออาราธนาให้พ่อท่านให้โอวาทกับทีมงานหน่อย เป็นกำลังใจให้กับพวกทีมงานของเราครับ
พ่อครู : มนุษย์มันก็กิน มนุษย์กินเป็นหลัก ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้ว มันเริ่มกินมาเรื่อยๆ เป็นพืชมันก็แค่ดูดสังเคราะห์ ดูดสังเคราะห์ แต่พอเป็นสัตว์แล้วเนี่ย กินละ เริ่มกิน เป็นสัตว์ก็เริ่มกินมาจนกระทั่งมาเป็นคนก็ มาเลือกกินละ เป็นคนมาเลือกกิน เลือกไปเลือกมาเลือกบาปใส่ตน เลือกทำเวรทำภัยใส่ตัวเอง จนกระทั่งมามีปัญญารู้ ก็เลิก เลือกออกแล้ว ไม่เอาแล้วบาป เลิก บาปออก บาปออก ก็เหลือแต่สิ่งที่เป็นกุศล บุญก็ทำลายกิเลสไป ไปได้เรื่อยๆๆๆ จนกลายเป็นคนมีแต่กุศล มีชีวิตเป็นแต่กุศล กิเลสหมดไป บาปมันเป็นตัวจัดการกิเลส หมดไป หมดไป หมดไป เอ้ย.. ไม่ใช่บาป บุญเป็นตัวจัดการกิเลสให้ตายไป ตายไป ตายไป กรรมกิริยาที่เหลืออยู่ก็สร้างแต่กุศล เป็นแต่กุศล เพราะนั้นพวกเรานี่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจึงสามารถทำอะไรได้ ตรงตามสัจจะ แล้วก็ยังประโยชน์ให้แก่ตน ให้แก่โลก ไปเรื่อยๆ นะ ซึ่งอาตมาเกิดมาชาตินี้ได้มาเอาคำสอนพระพุทธเจ้านี่มาเผยแพร่ มาแก้ มันผิดเพี้ยนไปไกลมากเลย ดึงกลับมา จนกระทั่งพวกเรามารู้ความจริงถูกต้อง แล้วก็มาทำความถูกต้อง ยืนยันขึ้นในโลก ซึ่งอาตมาก็มั่นใจว่าพวกเราจะเป็นตัวหลัก ปักหลักยืนยันความถูกต้องนี่ไปอีกๆๆๆ คนก็จะค่อยๆเริ่มรู้ ทั้งโลกอ่ะ จะเริ่มมารู้ๆๆๆๆ มาเรื่อยๆๆๆ ไม่ต้องเอาอะไรมากเอาเรื่องมังสวิรัตินี่ก็ได้ มังสวิรัตินี่จะพิสูจน์ มาเรื่อยๆๆ เขาก็รู้ เขาพอรู้ แต่ก่อนมันพอมีเหลือไง เหลือเชื้อ รู้ แต่เขาก็ไม่ชัด ไม่เจน ไม่มีอะไรยืนยัน แต่เรานี่ชัดเจน ยืนยันแล้ว เอามายืนยันพิสูจน์ ให้มนุษย์ปฏิบัติพิสูจน์ไปเรื่อยๆ มันก็จะมีแต่มวล มวลโตๆขึ้นเรื่อยๆ มวลของประชาชน ผู้คนที่เห็นจริงๆๆ ยืนยันความจริงๆขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าพวกเรายังไม่รีบตาย อายุยาวยืนจะเห็นว่าวงการ แม้แต่มังสวิรัตินี่จะเจริญก้าวหน้าไปอีก เป็นหลักเป็นแหล่งให้แก่โลกเลย ไม่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น จะค่อยๆเห็นรูปร่างอันนี้เป็นจริงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ท้าแต่เชิญพิสูจน์
ทีมงาน ชมร. : สาธุครับ กราบขอบพระคุณครับ
ในสวนดาว ถอดความ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:45:44 )
รายละเอียด
611018_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 20
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1R-4J-3d4gaXpIQ0HcCp3KQo9SRN12wH4dWyRJxe3cKo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1LbSQOguxZn-7ZcEuWvsK6C5uWlVXsNy6
พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
ขอโอกาสคั่นโฆษณา
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“ปฏิบัติบูชา กล้าบำเพ็ญเพียร”
ครั้งที่ 33 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 19 - อาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4477865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
SMS 14-17 ตุลาคม 2561
_สมเกียรติ · นมัสการ ครับ....ธรรมที่พ่อท่านสอน ของจริงแท้ ที่ท่านกรุณามาบอกให้แบบตรง ไม่อ้อมค้อม อาจระคายเคืองหู ของจริงต้องแรง จึงถึงแก่นแท้ พิจารณาให้ดีสาธุ ครับ
พ่อครูว่า...จะมีคนที่ชัดเจนอย่างนี้เพิ่มขึ้นมา เพราะมันช้าแล้ว
_ปาป้าสอน ทาบุดดา · ของจริงต้องคนจริงเท่านั้นที่ฟังแล้ว..ถึงใจ..กราบนมัสกานพ่อครูครับ
_สุชาดา · ขอให้พ่อครูมีอายุยืนยาวและมีพลังมากมายค่ะ
_ฐิติวัจน์ · ขอบพระคุณพ่อท่านวันเกิดนะครับ กระผมได้เข้าใจธรรมกระจ่างขึ้นครับ
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ดีใจจัง อาจารย์กุ้ง มาเป็นพิธีกร เสียงเบาไปนิดครับ
_1614 ความคับแคบทางจิต ณ เวลาที่ความหนักแน่น พร้อม ๆ กับการเปิดใจกว้างยังไม่ปรากฏในบุคคล โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกความเห็นต่างตั้งแต่ในภายในจิตตน จนเกิดหลุดเป็นคำพูดออกมา ทำนองว่า... เมื่อไม่เห็นด้วย คำว่าเหนื่อยใจ หนักใจ ทำอย่างไรใจจะได้พัก คะ
ช่วงเวลาโกรธอาฆาตคือสภาวะทำเต็มกำลังทั้งหมด แต่ช่วงเวลาทำความดีส่วนใหญ่ไม่กระตือรือล้นหรือทำไม่เต็มกำลังจิตกุศลนั้นๆ ผลจิตจึงช้าใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...คุณไปยุ่งกับคนอื่นเขาทำไมอย่าไปใส่รองเท้าให้เสือ อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา ใครเขาจะอย่างไรช่างเขา ไปวิจารณ์คนอื่นไม่ต้องกลัวเขาจะช้าจะเร็วให้หยุด ไม่เหนื่อยใจ คุณโง่อย่างเดียวไปเหนื่อยใจกับเขาทำไม คุณทำของคุณเถอะฉันมาอยู่ที่คุณเท่านั้นจบ
คุณ 1614 นี้มาเรื่อย คุณหยุดประเด็นหลักอย่าไปใส่รองเท้าให้เสือจบ อย่าไปวุ่นกับคนอื่นเขา เอาของตัวเองอย่างเดียว นี่ให้กรรมฐานง่ายๆชัดๆ
_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ ….น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านแสนดิน และสมณะทุกรูปด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในปี 61นี้ มีเพื่อนไลน์มาบอกว่าปีนี้คนทั้งโลกมีอายุเท่ากันมันคือวันที่แสนพิเศษ ที่เกิดขึ้นทุกๆ 1 พันปี ลองนำอายุคุณบวกกับปีพ.ศ. เกิดจะได้เท่ากับ 2561 เหมือนกันทุกคน มันน่าอัศจรรย์มากแม้แต่นักโหราศาสตร์ ไหนๆ ก็ไม่สามารถอธิบายได้ และกว่าจะเกิด ขึ้นอีกครั้ง ต้องรออีก 1 พันปี ข้างหน้า พ่อครูเคยพูดคำว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ดิฉันอยากถามว่า ปี 61 ที่ว่านี้ มันเกี่ยวกันไหมกับที่พ่อครู มีอายุการเกิดทางเนื้อหนังมังสา 84 ปี และกับที่พ่อครูเกิดทางธรรมคือบวชมา 48 พรรษา ซึ่งดิฉันลองนำอายุ 84 ปี บวกกับปีเกิดพ่อครู คือ 2477และ 48 พรรษา บวกกับ ปีบวชของพ่อครู 2513 ต่างก็ได้ เท่ากับ 2561 ถ้าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกันถือว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าเป็นปาฏิหาริย์ คะ น้อมกราบขอบพระคุณมาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า...มันไม่มีอะไร คุณเรียบเรียงมาให้ลงก็ได้ไม่มีปัญหา
_ดาวพร...สำมะปี๋ซี่วิต กับปัจจัยชีวี มีแต่แนวดีๆ สังคมสาธารณโภคี มีแต่การแบ่งปันการให้ ผู้ใดยัง บ่ ทันฮู่ให้มาดูมาเบิ่ง พ่อครูเพิ่นฮู่ถึงโลกอุดร ท่านสอนพวกเราชาวอโศก ให้บุกเบิกศาสนาไปถึง 5,000 ปี พวกเราอย่าช้าจะตกเรือโนอาห์ มัวแต่หวงเรือน สร้างบ้านสะสมข้าวของ ถ้าไม่ทิ้งไม่วางมันจะว่างได้อย่างไร
พ่อครูว่า...เขาก็ให้วางให้อะไรมา
_น้องคิน...ตกนรก หัวหมกขี้ …มีจริงไหมครับ...
พ่อครูว่า...ไปเอาหัวหมกขี้ดูนั่นแหละตกนรก พิสูจน์ง่ายๆไม่ยาก
_แก้วบุญ..ทำอย่างไรหนูจะได้เป็นหลานหลวงปู่ทุกๆชาติ
พ่อครูว่า..ไม่ยาก ตามปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ไปให้ดีๆให้จริง สิ่งที่ปฏิบัติตามหลวงปู่ไปได้จริงมันก็จะเหมือนกันไปด้วยกัน ต้องปฏิบัติให้ได้เหมือนนะ แล้วก็จะได้มาจริงๆ
_น้ำมนต์...ทำไมคนจะต้องมีสัมมาทิฏฐิด้วยหลวงปู่
พ่อครูว่า...ตอบยากมากเลยนะ เดี๋ยวน้ำมนต์เข้าใจว่าสัมมาคืออะไร ทิฏฐิคืออะไร?
ต้องเข้าใจสัมมาก่อน ต้องเข้าใจทิฏฐิก่อน ถึงจะบอกว่าทำไมต้องมี
ถ้ารู้ว่าสัมมาคือดีอย่างนี้เชียวหรือ ทิฐิคืออย่างนี้หรือมันจะต้องเอาสิ
สัมมาคือความถูกต้องความดีงาม ทิฏฐิคือตัวเรา ตัวเราต้องเอาความดีงามความถูกต้องไหม ...เอา
นี่ น้ำมนต์เข้าใจแล้ว ทำไมต้องมี เพราะสัมมาคือความถูกต้องความดีงาม ทิฏฐิคือ เราเองที่จะเข้าใจ แล้ว เราจะต้องเอาความถูกต้องดีงามไหม...จบใช้ได้
_หนึ่งฟ้า...มีอยู่วันหนึ่งญาติธรรมที่สันติอโศกมาเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีข้าราชการจากกระทรวงสาธารณสุขมาเยี่ยมชุมชนสันติอโศกมากันเยอะเป็นคันรถหลายสิบคน ด้วยความประทับใจคำสอนที่พ่อท่านเทศน์ เขาก็เลยอยากจะมาดูว่าพ่อท่านสอนอะไร ก็เลยเดินไปเดินมาเยี่ยม กินข้าวกินน้ำเสร็จ เขาก็ถามญาติธรรมว่าพ่อท่านสอนอะไร
คุณป้าก็บอกว่า พ่อท่านสอนให้เราถือศีลกินมังสวิรัติลดกิเลส ให้เราทำกิจกรรมในสังคม แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่า ไม่พอใจที่ตอบไป
ดิฉันรู้สึกว่าพ่อท่านสอนอะไรมากมายทำอย่างไรเราจะตอบอย่างสั้นๆให้คนอื่นเขาฟังได้ง่ายๆ วันนี้ก็เลยมีคำอธิบายสั้นๆถามว่าจะเข้าใจถูกหรือไม่
ว่า...ที่พ่อท่านพูดมาหลายประโยค แต่ก่อนบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ท้าทายให้มาพิสูจน์ไม่จำกัดกาลเวลา หัวใจของศาสนาพุทธคือทุกข์อริยสัจ วันนี้พ่อท่านบอกว่าหัวใจศาสนาพุทธที่ชัดเจนคือ เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ
ถ้าจะบอกวาพ่อท่านสอน ให้ฝึกรู้กันกระทบผัสสะทางทวารทั้ง 6 แล้วสามารถแยกออกได้ว่าเป็นเวทนาเทียมหรือเวทนาแท้ ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งที่ลึกละเอียดเข้าไปอีก จึงจะเรียนรู้ธรรมชาติต่างๆได้อีก เรื่องกิเลสในจิตวิญญาณอีก มีรายละเอียดลึกละเอียดแหลมคม จะจัดการมันได้อย่างไร เพื่อนำไปอธิบายปรากฏการณ์ระหว่างเทวนิยมกับอเทวนิยม ที่เอาแต่พึ่งพาสิ่งลึกลับ…
พ่อครูว่า..ถ้าคุณเองสรุปของคุณได้จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ แต่ถ้าคุณยังเข้าใจอย่างนี้คุณไม่มีวันจะทำให้คนอื่นเข้าใจ
ถ้าคุณเองคุณนึกว่าคุณเข้าใจเยอะแยะนี่ แล้วคุณก็จะเอาแต่พูดที่คุณเข้าใจให้คนอื่นเขาฟัง คุณไม่มีวันทำให้คนอื่นเขาเข้าใจได้ คุณสรุปที่คุณเข้าใจได้ให้เขาเท่านี้ คุณอย่าอยากสาธยายว่าคุณรู้มาก จบ อันนี้ คุณจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้
แต่ถ้าคุณรู้แล้วตัวจบคืออะไร แต่คุณก็สาธยายว่าคุณฉันรู้มาก ฉันรู้อิทัปปัจจยตาอะไร บลาๆๆๆ รับรองว่าคนที่ฟังคุณเขาไม่รู้เรื่องหรอก
สรุปว่าคุณรู้มาก คุณสรุปไม่เป็น หัดสรุปให้สั้นให้จบคุณจะเก่ง คุณรู้มากแล้วทุกวันนี้แล้วก็อยากสาธยายมาก ให้คนเขารู้ว่า ฉันรู้นะ เท่านั้นเอง ก็รู้ตัวเองให้ได้ก็แล้วกัน
_น้อมยอดธรรม...งานเจในปีนี้ ทุกปีมีจิตอาสาเยอะ แต่ปีนี้ดิฉันสนใจจิตอาสา ..มีคนชื่อสันติฯ เราใช้เขาทำงานเขาก็ได้กุศล ถามพ่อท่านว่า เราเรียกเขาทำงานร่วมกับเราเหมือนเราได้สร้างกุศลร่วมกันใช่ไหม
พ่อครูว่า...ใช่ เราทำอะไรอยู่ทุกวันนี้ หนึ่ง คนยังไม่เคยรู้จัก ยังไม่รู้ความจริงว่านี่สุดยอดแล้ว ขออภัยที่ต้องพูดอย่างนั้น คนก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าคนจะมามากๆ ไม่ต้องกลัว มันไม่ไหวหรอกมันไม่ง่ายที่จะรู้ได้ แม้แต่แค่ว่า มาทำงานฟรี มาเป็นคนจน มันทำให้เขางงเท่านั้นแหละมาทำงานฟรีไปทำไม? เขายังนึกไม่ออกว่าทำงานฟรีจะเป็นอย่างไร มาทำงานฟรี เป็นความเสียสละเป็นคุณค่า อธิบายจนเป็นแบบเทวนิยมเป็นกุศล จะได้อาศัยไปอีกชาติหน้าชาติโน้นชาตินี้ ก็ยังไม่อยากได้ ฟรีทำไมชาติหน้า ชาตินี้เอามาก่อน เอาราคาแพงๆมาก็ยังดี มันก็ยาก
คนที่เข้าใจได้จริงๆมีภูมิปัญญาจริงๆแล้วถึงจะเข้ามาอยู่ ทุกวันนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว ก็เอา
ตอนนี้ก็มีผู้ที่ร่วมงานกันมาแต่ปางไหนๆก็ยังทยอยกันมา คนที่ยังอยู่ที่นี่ระวังเถอะ คนที่ได้อยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อนๆเข้ามาร่วมมากๆ ระวังนะ คนอยู่ที่นี่ ยังต่องแต่ง ไม่ใช่คนแต่ปางก่อนพยายามอยู่ระวังจะช้า
_ทำอย่างไรน้องคิน จะหายโมโหแม่ครับ
พ่อครูว่า..ทำอย่างไรก็ใจเย็นๆ พยายามบอก น้องคิน ให้รู้ว่าอยู่ที่นี่ดี แม่ก็รู้ว่าอยู่ที่นี่ดีมีความสุขมีความสบายก็ว่ากันไป ให้เขาอยู่ที่นี่ไปอย่างดี ให้เขาพอใจอยู่ที่นี่แหละ แล้วเราก็อยู่ด้วยกันไป ก็จะทำให้เขาได้รับ จริงๆแล้ว อธิบายไปก็ยากอจินไตย
แต่ละคนมันมีเหตุการณ์ต่างๆมันจะผลักดันก็ดี เราแสวงหาเราเองทำ มันก็ก้าวเข้ามาเองก็ตาม ใครผลักดันเข้ามาโดยเราไม่ได้อยากก็ตาม มันเป็นเหตุไม่บังเอิญสักอย่างมันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ตั้งใจก็แล้วกันโดยเฉพาะเข้ามาที่นี่
ถ้าเผื่อว่าเราถูกผลักเข้าไปใน หลุมนรก เข้าไปในถิ่นที่มันพาเราให้เดือดร้อนวุ่นวายจะไปตกต่ำอะไรก็แล้วแต่ เราไม่รู้ตัวก็ ซวยไป ถ้าเรารู้ตัวเรารีบพยายามดูให้ได้ แล้วก็รีบออก
แต่ถ้าเราเข้ามาที่นี่จะโดยไม่เจตนา ใครไม่รู้ผลักเข้ามา พยายามตื่นพยายามมีสติสัมปชัญญะปัญญาตรวจให้ดี ว่าเขาอยู่กันอย่างไร มันดีอย่างไรอ่านให้ดีจริง
ถ้าเรามีภูมิปัญญารู้ว่าเขาถีบมาในที่ๆดีก็จะชัดเจน แต่ถ้าไม่มีภูมิปัญญาจะรู้ถูกเขาถีบกันมา อย่างนี้อาตมาก็ไม่ค่อยจะอยากได้เลย
ถ้าได้เข้ามาด้วยจะวิธีใดก็ตามคุณแสวงหาเองถูกถีบเข้ามา จะมีอะไรผลักดันเข้ามาก็แล้วแต่ ให้ลืมตาใช้สติสัมปชัญญะปัญญาอ่านให้ได้จริงๆเลย อย่างนี้ดีนี่หว่า ให้อยู่เลย แต่ถ้าบอกว่า อย่างนี้ไม่ดีจะอยู่ไปทำไม ก็ไปเลยๆ อาตมาก็ไม่ไหวเหมือนกัน
_เด็กชายก้านกล้วย เปรตมีจริงไหมครับ
พ่อครูว่า..ตอบ อันที่หนึ่งก่อน ...มี สองอยู่ที่ไหน?
ตอนนี้ฟังให้ดีเด็กชายก้านกล้วย เปรตมันอยู่ที่ตัวเด็กชายก้านกล้วยก็มีนะ มันเป็นอย่างไร มันดื้อ ก็เปรตแล้ว มันจะดันทุรังเถียงพ่อแม่ จะเอาชนะคะคานจะเอาให้ได้ก็เปรตทั้งนั้นในตัวเรา มีไหม? มี ตรวจให้ดีที่หลวงปู่พูดไปแค่สองสามแง่ มันดื้อ มีไหม ถ้ามันไม่มีก็เปรตไม่มี แต่ถ้ามันมีนั่นแหละ อยู่ที่ตัวเด็กชายก้านกล้วยเอง
มีไหมที่พูดแล้วไม่ฟังมีไหม...ตรวจที่ตัวเองถ้ามีเราเป็นเปรตก็เลิกให้ได้ เข้าใจนะ
_ดช.พุทธ...หลวงปู่เคยฆ่าไก่ไหมครับ..
พ่อครูว่า..ที่ไม่รู้ตัวเมื่อก่อนนี้ถ้ามดแมลงสัตว์เล็กสัตว์น้อยตอนไม่รู้เรื่องยังไม่นึกถึงธรรมะอะไรก็มีบ้าง แต่ปลานี่จับปลา แก่งสะพือหลวงปู่อยู่พิบูลฯ ลงแก่งจับปลา ฆ่ามาไม่น้อย ยิ่งกุ้งมาเยอะตักช้อนเป็นสวิง จับปูปลากุ้งหอย กุดปลาขาวลงงมมาเยอะ
ไก่เคยฆ่า 1 ตัว แม่หลวงปู่ไปชอบยาจีน กินไก่ธรรมดาวันละตัว ต้มกับเหล้า อยู่ไฟ ธรรมดาพ่อกับน้องเป็นคนทำ เหล้าก็ดองเอง ดองข้าวหมาก วันนั้นพ่อไม่อยู่ให้อาตมาฆ่า อาตมาก็ต้องฆ่า จำได้ครั้งเดียว เล่าหลายทีแล้ว เห็นพ่อแม่ฆ่า จับคอ หักปีก ถอนขนที่คอตรงจะเชือดแล้วก็เชือดแล้วก็รองเลือดไก่ใส่ถ้วย เราก็ทำตาม ทำเสร็จมันก็ไม่สะเด็ด โยนทิ้งไป แล้วเตรียมหม้อน้ำ แต่ไก่มันลุกเดินโย่งๆ โซเซ โซเซ เดินเลือดไหลซกๆ อาตมาจำได้ติดตาม แต่ก็ต้องทำให้แม่ แต่มันก็รู้สึกว่าเรานี่มันต้องฆ่าไก่ก็สงสารมัน ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทำให้แม่
นอกนั้นก็ฆ่าแต่ปลาปูกุ้งหอย สัตว์สี่ขาไม่เคยฆ่าเลย สองขาก็เคยฆ่าไก่ เคยจับกิ้งก่า ได้ไม่กี่ตัวหรอก นอกนั้นก็จับจักจั่น แมงจี่นูน แมงกุดจี่ ไปตามประสา ก็เป็นไปตามวิบากไม่รู้ รู้แล้วก็เลิกเด็ดขาด
_ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจที่มองเห็นองค์พระพุทธาอภิธรรมนิมิต องค์ศักดิ์สิทธิ์ของบ้านราชพวกตะไคร่น้ำ เปรอะตามตัว ไม่มีสง่าราศี จึงอยากถามพ่อว่า ถ้าขัดออกทาสีจะดีไหม
พ่อครูว่า..เราก็ขัดอยู่เป็นคราวๆ วัตถุธรรมดา คุณอยากจะขัดก็พาหมู่กลุ่มมาขัดสีฉวีวรรณ สีเสื้อสีน้ำตาลก็ปล่อยไป ส่วนสีเนื้อก็ขัดหน่อย ก็ช่วยกันทำ ผู้หญิงก็ขึ้นได้ พวกดาวนา หนิงก็ขึ้นไปบ่อยไป
_ดินจริง...เรื่องไหนๆก็ไม่อัพเดท เท่ามหกรรมเทศกาลกินเจที่อุบลราชธานี ถือว่าเป็นการประกาศแสนยานุภาพ ของธรรมะที่เหนือชั้น ระดับโลกุตระ ที่เวทีวันสุดท้ายผมได้เข้าไปสร้างบรรยากาศ เมื่อลงมาก็เจอสาวๆนศ.ม.อุบลฯก็เลยถามว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไรหรือ? เขาก็บอกว่า อยากจะสัมภาษณ์นักปฏิบัติธรรมที่นี่ คุณลุงพอจะได้ไหม?..ก็ตอบว่าได้เลย...เขาก็เตรียมสคริปไว้ ...อาหารเจกับอาหารมังฯต่างกันอย่างไร? บวร คืออะไร? สาธารณโภคี เป็นอย่างไร? ก็มันช่างสอดคล้องกันเหมือนร้อยพวงมาลัยตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ผมตอบไป…
พ่อครูว่า...รู้สึกสงสารเขาเหมือนกัน ขนาดคุณพูดกับอาตมายังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ที่จริงน่าจะแนะนำให้ไปสัมภาษณ์คนอื่นที่เขารู้ดีนะ
อาตมาพอเข้าใจ ว่าเด็กๆที่เขามาก็มีบารมีขนาดนี้ เขาได้เท่านี้ไปก็เอาละ สาธุ
หรือแสดงว่าเขามีบารมีฟังคุณรู้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน หากไม่เป็นพระหันต์ก็จะไม่รู้จักพระอรหันต์ใช่หรือไม่
_ปีกแก้ว...สมัยเด็กๆดิฉัน ยายสวดมนต์มีพระโสดาบัน ดิฉันก็อยากเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้อ่านหนังสือของหลวงปู่พุทธทาสพูดถึงพระอรหันต์ ดิฉันก็อยากเป็นพระอรหันต์อีก ตามหาพระอรหันต์ก็มาเจอกับชาวอโศก ท่านถิระถามว่า คุณเชื่อไหมว่าพ่อครูเป็นพระอรหันต์ ดิฉันตอบว่า ดิฉันยังไม่เป็นอรหันต์ก็เลย
จริงๆแล้วหากเรายังไม่เป็นพรหันต์ก็จะไม่รู้จักพระอรหันต์ใช่มั้ยคะ
พ่อครูว่า...ถูกต้อง คนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังไม่รู้จักพระอรหันต์ แต่ก็จะพอมีภูมิปัญญาได้ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็จะบอกสอนให้เราเป็นพระโสดาบันก่อน จะเป็นอรหันต์เลยทันทีไม่ได้ ลัดขั้นตอน
หากเรายังไม่รู้จัก เราตามหาพระอรหันต์ ท่านก็จะให้เรารู้เป็นอาริยะตามลำดับ อย่างที่คุณก็ได้แล้ว ตามหาพระอรหันต์จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ คุณเองเข้ามาป่านนี้แล้ว ขอถามตรงๆว่าคุณได้โสดาบันหรือยัง..ได้ มันไม่มีปัญหาหรอก ได้แล้วก็จะรู้ว่า เราจะค่อยเป็นไป เป็นจริง
สัจจะที่อาตมาพาทำนี้อาตมาพยายามอธิบาย อาตมาพูดไปเหมือนกับคุยตัว อวดอ้างตัวเองแต่ก็ต้องเอาความจริงเป็นตัวยืนยัน
เช่นว่า มีใครที่อธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างอาตมาอธิบายไหม ? อาตมาอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้มาพูดเองเออเองโดยที่เป็นคำพูดของตัวเองเท่านั้น โดยไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน อ้างอิงอะไรไม่ได้ ไม่ใช่
อาตมาว่า อาตมาอ้างอิงคำสอนพระพุทธเจ้าและก็โชคดีที่ว่า ยังมีตำราพระไตรปิฎก ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าบันทึกไว้อยู่ แล้วคนก็ยังเคารพนับถือพระไตรปิฎกฉบับนี้อยู่ด้วยนี่ก็เป็นโชคดีของอาตมา ถ้าเขาไม่ยอมรับนับถือพระไตรปิฎกฉบับนี้อาตมาก็หมดท่าเลย แต่นี่เขาก็เคารพนับถือ
แม้เขาเคารพนับถือแล้ว อาตมาอธิบายมัน กลับไป ต่างกับที่เขาอธิบายทั้งที่เป็นพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน อาตมาต้องอธิบายกลับมาที่เขายอมรับนับถือนั้นมันไม่ใช่ อย่างที่พระพุทธเจ้าอธิบายเป็นพยัญชนะไว้ แต่เขาอธิบายเพี้ยนไปเบี้ยวบาลี ทั้งที่อาตมาไม่ได้เรียนบาลีเลยชาตินี้ แต่ก็ต้องเอาบาลีที่มีแต่เดิมแต่เก่ามาอธิบาย โชคดี ที่คนแปลถูกไว้ก็มีเอามายืนยัน บาลีตัวเดียวกันแต่อธิบายต่างกัน
เช่น ยกตัวอย่างสั้นๆ อปุญญะ เขาไปแปลว่า บาป อาตมาว่าไปแปลว่าบาปไม่ได้ ขืนไปแปลวนว่าบาปอีก คำว่าปุญญะไม่ได้เป็นธรรมะสอง ปุญญะเป็นธรรมะ1 เอกังสะ แปลว่าฆ่ากิเลสอย่างเดียว ไปเป็นสมบัติ เป็นกุศลไม่ได้ บุญสะสมไม่ได้ นี่เป็นนัยะละเอียด
พระพุทธเจ้าอธิบายไว้อาตมาก็เอามาเรียบเรียง เห็นไหม คำว่าบุญ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในแง่มุมต่างๆอาตมาเอามาเรียบเรียงเอาไว้
บุญหมายความว่าอย่างนี้ถ่ายเดียวไม่เป็นสอง ต้องเปิดคอลัมน์ เปิดยุค บุญนิยม แล้วเป็นคอลัมน์ขยายคำว่าบุญเป็นหลัก จนป่านนี้แล้วหลายปี ขยายคำว่าบุญคำเดียว สั้นๆแต่ยิ่งใหญ่ เยอะแยะยืดยาวมากมายเลย เป็นนัยะของสัจธรรมพระพุทธเจ้าที่ต้องศึกษาให้ดี
พยัญชนะอย่างหนึ่งสภาวะอย่างหนึ่งจะสลับกันไปมาจนถึงวันนี้แล้วอาตมาอธิบายถึงคำว่า เทวะ โปรดติดตามอย่ากระพริบตา คำว่าเทวะกับอเทวะทำให้ศาสนาแยกกันในโลก
_คุณสันติฯ...ปีนี้ผมได้มีโอกาสได้มาเป็นจิตอาสาที่อุทยานบุญนิยม ปีก่อนๆก็มา ปีนี้ไปร้องเพลงด้วย ผมเป็นจิตอาสาแบบนี้ ทำหน้าที่หลายๆอานิสงส์จะได้อะไรบ้างตอบสนองทันทีหรือต้องรอ.
พ่อครูว่า...ตอบให้คุณชัดเจนเข้าใจว่า คุณอย่าไปหวังผลและคุณจะได้ ถ้าคุณไปอยากได้ผลและคุณจะไม่ได้ ทำใจอย่างนี้
ทำอะไรอย่าไปอยากได้ผล พิจารณาแต่ว่านี่ดีไหม? ดีแน่ๆนะ ทำจบ อย่าไปอยากได้ผลตอบแทนอะไรเป็นอันขาด นี่ดีที่สุด สั้นที่สุด อานิสงส์สูง นี่ลัดคัดสั้นที่สุด concise ที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน นางวิสาขาเป็นตัวอย่างที่ดีได้ไหมอย่างไร
_พิมพ์เพชรรุ้ง..นางวิสาขาสมัยพุทธกาล จะเป็นที่รู้จักในสังคมสมัยนั้น ลูกรู้สึกว่า คนที่เป็นโสดาบันเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกียะกับโลกุตระ เท่าที่ดูแล้ว เกิดสภาวะตามว่า นางวิสาขา สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ยังไม่เข้าสู่ธรรมะให้เห็นว่ามีความงดงามแบบนี้ ผู้ที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามีความงดงามแบบนี้ปฏิบัติธรรมแบบนี้ ทำให้คนที่ยังไม่เข้ามาในพุทธศาสนาได้เห็นเป็นตัวอย่าง
พ่อครูว่า...เป็น ก็ต้องเป็นตัวเชื่อม มันมีรายละเอียดมากกว่านี้อีกเยอะ นางวิสาขาเป็นตัวเชื่อม แต่ตัวนางวิสาขานี้ไกล โดยบารมีตัวเองอีกไกล แต่เขาเป็นอย่างนั้นจนได้ฉายาว่า เป็น วัฏฏภิรตโสดาฯ หมายความว่าเป็นคนยินดี รต ที่จะอยู่กับสุข เสพรสสุข เป็นสุขนิยมที่ยืนยาวยืดยาดยาวนานมาก ที่จริงน่ะ ไม่น่าเอาอย่างหรอก มันเป็นความเนิ่นช้ายาวนาน แต่สิ่งที่จูงนำเป็นความงดงาม
นางวิสาขาจะมีความงดงามในทางโลกีย คนเห็นแล้วน่าเอาอย่าง ทั้งรวยทั้งสวยสุภาพเรียบร้อย เบญจกัลยาณี เป็นผู้ดีพร้อมแต่นิสัยเขาบารมีเขายาวนาน อันนี้เป็นอจินไตยยาวนานมาก อธิบายไม่ได้ว่า ทำไมนางวิสาขาเป็นอย่างนั้นก็เล่าสู่กันมา ก็ธรรมดาในโลกนี้ โดยเฉพาะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะมีตัวอย่างที่เป็นเอตทัคคะอย่างละ 1 ถึง 80 คน เป็นตัวอย่างที่หาได้ยาก บางคนเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะ บางคนพูดหยาบ แต่ก็เป็นเอตทัคคะ มีวาสนาติดตัวมา ถึงอย่างไรพระพุทธเจ้าสอนอย่างไรเขาก็แก้ไขไม่ได้ คือเป็นคนพูดหยาบ ข่มคนอื่น
นางวิสาขา รวยไม่อั้นจนคนเดี๋ยวนี้คิดไม่ออก ขนาดคนใช้ของปู่ยังเป็นเศรษฐีอันดับ 6 ในยุคนั้นเลย
อาตมาชาตินี้ไม่ได้เก่งทางโลกีย์ไม่ได้ด้อยแต่ไม่เป็นเอกทางโลกีย์ไม่เด่น อย่างไรก็ไม่เด่น ไปร้องเพลงก็เราก็ว่าร้องไม่เลวนะ รุ่นเดียวกันสุเทพ วงคำแหง ตั้งแต่แรกมา ตั้งวงดนตรี อาตมาเป็นคนจัดการเลยนะ อาตมาตั้งชื่อวง มีวัลลภ วิชชุกร สุเทพ วงกำแหง นฤมลฯ รวมกันตั้งแต่ยุค วิทยุในประเทศไทยมีสามแห่ง ปณ. รักษาดินแดน กรมปชส. อาตมานี่หัวหน้าสถานีอนุญาตอาตมาได้ทุกอย่าง อาตมานี่เป็น DJ คนแรกของประเทศไทยที่เอาแผ่นเสียงมาเปิด ก็บรรยายประกอบ แต่งกลอนด้วยนะ ที่วิทยุรักษาดินแดน แผ่นเสียงใหม่เราก็หามาเปิดก่อนเป็นเจ้าแรก รีบได้มาเปิด นี่คือ DJ คนแรกของประเทศไทย วิทยุรักษาดินแดน แต่ก็ไม่มีคนรู้คนเข้าใจ แต่อาตมาไปเปิดรายการเพราะมีคุณล้วน ควันธรรม ไปเอาสปอนเซอร์ แล้วก็ไปโฆษณาอาตมาก็เอาเพลงมาเปิด แกให้ไปซื้อไอติมให้แกกิน อาตมาก็อยากกินแต่แกไม่เคยให้อาตมากินเลย อาตมาก็ไม่ได้รับอะไรจากแกเลย แต่อาตมาก็อาศัยเป็นที่อยู่ เลี้ยงลูกให้ ทำอาหารให้ เมียแกหนี อาตมาก็ต้องไปคอยเลี้ยงลูกแกให้ มีลูกสองคน ที่จริงมีลูกหลายคน ตอนหลังไปมีเมียอีก แม้แต่นายหมึกตอนนี้ยังอยู่ นายแหลมตายไปแล้วเป็นแฟน ศิริพร วงศ์สวัสดิ์ นายหลิมไม่ได้ข่าวแล้ว นายหมึก(วิโรจน์ ควันธรรม)ยังอยู่
อาตมาตั้งวงดนตรีเล่นที่รักษาดินแดน ตั้งชื่อคณะว่า เทพวิชชุ
วัลลภ วิชชุกร เป็นสามีคนแรกของผ่องศรี วรนุช
_ต๊ะ...งานเทศกาลกินเจอยู่หน้าร้าน ปกติไม่ขี้หวื่อไม่ขี้เหนียว แต่งานนี้มีลูกค้าที่มาทุกวันขอเยอะๆทุกวัน ดิฉันก็คิดว่ามันเกินมาตรฐานแล้ว ก็เลยบอกว่าให้แค่นี้นะ
พ่อครูว่า..อย่าไปเสริมให้คนเขาตะกละมากไป พอห้ามได้ก็ห้าม ให้เขามีสติให้เขารู้สึกตัวดีอย่าให้เขามีกิเลสลุกลามมากขึ้น แต่อย่าทำให้เขาโกรธ ต้องมีศิลปะ อย่าให้เขาโกรธให้เขารู้ตัว จะได้ปรับปรุงตัวเอง
_โกเส่ง...ในเทศกาลกินเจ วันที่เราแจกอาหารฟรี แม่บ้าน เห็นคนมาเอาของใส่เป้ไปหลายคน เขาก็ว่ามากไปก็เลยตามไปให้คิดเงิน ...พอมาถึงวัด มีคนมาว่า ว่าไปตามเขาทำไม? ปล่อยเขาไป ..แต่ผมก็ว่า นโยบายมีต้องทานที่นี่ แต่นี่เอาของใส่เป้ไปมากมาย ไม่ควร
พ่อครูว่า..ถูกต้อง เป็นแต่เพียงว่าอย่าให้เขาโกรธ ให้เขารู้ตัวว่า เขาทำอย่างนี้มันไม่ดีมันทำให้เขาตกต่ำ เขาได้สมโลภ เป็นวิบากเขา นิสัยเขาก็ไม่ดี วิบากก็ไม่ดีแน่นอน ก็ให้เขารู้ตัวอย่าสร้างบาป เราไม่มีปัญหา ให้ได้ แต่คุณจะตกต่ำ เป็นหนี้บาปไป
_แม่บ้านไปขอร้องให้มาคุยกับคนคิดเงิน..แต่พวกเราเองมาว่า ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้น
พ่อครูว่า..คนที่มาว่าคือไม่กล้าบอกก็ไม่เป็นไร แต่คนที่กล้าไปทำก็ทำได้ อย่าให้เขาได้ทำบาปจมหนักไปก็ไม่ดี
_บุญยิ่งแก้ว...ช่วงงานเจดิฉันชอบหั่นผักอยู่กับยาย ปีนี้ได้มีโอกาสคิดเงินด้วย ก็สนุกดีค่ะ ได้เจอลูกค้าหลากหลาย ตั้งแต่เช้าจนถึงหนึ่งทุ่ม..พูดจนเสียงแหบ ก็ชอบเย้ากับลูกค้า แต่มีเพื่อนติงมาว่าพูดเยอะ ...ก็เราคงพูดมากเสียงแหบเลย
อีกข้อหนึ่งมีโอกาสได้ดูแลท่านผู้ว่าฯกับคุณนาย ประทับใจที่ท่านติดดินช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง อันไหนไม่ให้จ่ายท่านก็จะจ่าย ท่านมีถุงผ้ามาด้วย เป็นตัวอย่างที่ดีกับคนทั่วไป
พ่อครูว่า...เป็นประโยชน์ที่ควร ผู้ใหญ่นี้ทำอะไรดีๆก็มีผลดีมากเลย คนที่เห็นดีเห็นงามจะได้เอาตามคุณค่า
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน การคัดเลือกคนดีแบบอาริยะ
_บุญยิ่งแก้วว่า...เมื่อเชิญท่านให้ไปเยี่ยมพวกเราหลังร้าน ท่านก็ไปให้กำลังใจ ทั้งคุณนายด้วยก็น่าประทับใจ เราจะล้างจานให้ท่านก็ขอล้างเอง ก็ขอฝากเรื่องที่น่ายินดีไว้
พ่อครูว่า..ยุคนี้ มีคนดีๆเข้ามาและมีความจริงใจ มันกำลังเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นในประเทศไทย คนไทยมีอะไรที่ดี และก็มีนิมิต
นิมิต เรื่องที่อาตมาอยากอธิบายประกอบคือนิมิตของหมูป่า 13 คน เป็นนิมิตที่กระฉ่อนไปทั่วโลก เป็นจุดกระฉ่อน จุดสำคัญของมันคือการช่วยเหลือเกื้อกูล ด้วยน้ำใจ คำว่าน้ำใจนี้ยิ่งใหญ่ภาษาอังกฤษยังไม่มีเลย water heart ไม่มี แสลงไง มันไม่มีคำว่าน้ำใจ
เป็นนิมิตที่มีน้ำใจ เห็นแก่คนอื่น จนตัวเองต้องตายเลยได้
แต่ก็เริ่มที่อบายมุขคือฟุตบอล อาตมาว่าเป็นอบายมุขใหญ่เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในยุคนี้ ก็ให้รู้ว่า เกมฟุตบอล อังกฤษเป็นเจ้าของและก็ฮิตมาก ราคาค่าตัวนักเตะก็แพงมากราคาค่าโฆษณาในสังคมก็บวกกันไปหมดแล้ว เป็นเรื่องของการดูดเอาเงินของคนอื่นมากไปแล้วส่งเสริมจิตใจที่เอาชนะคะคาน แข่งขันเพื่อความชนะคะคาน ผลนี้มีอะไรก็มีแต่แท็คติกต่างๆกลเม็ดเด็ดพรายของความรู้ความสามารถ ในการที่จะแคล่วคล่องว่องไว หรือมีแง่เชิงที่จะได้เปรียบในแท็คติกต่างๆ แล้วเขาก็ได้ชนะในสิ่งเหล่านั้น เป็นเรื่องโกงซ่อนไม่ให้เขาจับได้ แต่ก็เป็นเชิงเอาเปรียบได้เปรียบทั้งนั้น
ลึกๆคือ การได้เปรียบเป็นความเลว การเสียสละเป็นความดีงาม สรุป การเป็นผู้แพ้เป็นความดีงาม การเป็นผู้ชนะเป็นความเลวทราม ใครยังตั้งหน้าตั้งตาจะเอาชนะยังมีจิตเลวทราม คนไหนตั้งใจจะแพ้ แต่เสียสละได้ยอมเสียสละ คนนี้แหละเป็นคนเจริญ เป็นคนอุ้มชูโลกช่วยโลก แต่ตนเองต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรมีความรู้ความสามารถสร้างสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม แล้วยอมขาดทุนยอมเสียสละทั้งความรู้ทั้งแรงงาน ทั้งผลผลิตต่างๆ ให้แก่คนอื่นได้คนนี้เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ในโลก
ตัวเองก็รู้จักค่า เราก็สร้างสิ่งที่กินใช้ สร้างสิ่งที่มนุษยชาติได้อาศัยเป็นปัจจัยชีวิต เช่นปัจจัย 4 เพราะฉะนั้นผู้ที่ รู้ความจริงก็มาอยู่ในการสร้างประโยชน์ปัจจัยชีวิตไม่ล้าสมัยไม่ตกยุค เมื่อใดๆก็ไม่ตกยุค
ชาวนา คนสร้างบ้าน คนสร้างเครื่องนุ่งห่ม คนทำอาหาร พวกนี้ปัจจัย 4 แต่ก็ต้องมีซ้อนไป พระพุทธเจ้าตรัสว่าอาหารเป็นยอดของ 4 อย่างนี้ ซ้อนไปในสิ่งที่กินนี้ไม่ต้องติดในรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส เข้าไปหาสาระเนื้อหาที่มี ที่มีสารสาระจำเป็นเป็นหลัก อย่างนี้เป็นต้น ลึกๆๆไป
สูงกว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นอรหันต์ได้ ในหมู่พวกเราเป็นพระโพธิสัตว์มี อนิยตโพธิสัตว์ได้ แต่ไม่ถึงนิยตโพธิสัตว์ เพราะอาตมาเป็นใหญ่อยู่ นอกนั้นก็มีค่อยๆตามมาเรื่อยๆ ถ้าใครเป็นนิยตะที่เป็นพี่อาตมาก็ดีสิก็มาปรากฏตัว ยิ่งเป็นมหาโพธิสัตว์ระดับ 8 ก็ยิ่งดี แต่ตอนนี้ไม่มีก็เลยประกาศตัวดูเหมือนใหญ่ แต่ถ้ามีใหญ่กว่าก็มาแสดงตัวพูดความจริงสิ อาตมาทำมา 40 กว่าปีก็ ไม่ค่อยเชื่อกันแต่ก็มีมาเชื่อกันพอสมควร แต่ก็มีไม่เชื่ออีกเยอะ
ก็ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้มีใจอยากอวดอ้าง ไม่ได้ยกตัวยกตนเกินความจริง ไม่ เป็นความจริงที่อาตมาจำเป็นต้องยืนยัน ต้องยืนหยัดประกาศบอก เพราะคนไปหลง อาริยะผิด อาริยะเดา อาริยะเก๊ มันก็ไม่ไหวที่จะไปอธิบาย ก็เลยต้องเอาตัวเองเป็นเครื่องยืนยัน แล้วยืนยันเส้นที่อาตมาไม่ได้งามนะ มันซ้อน เพื่อคนที่ไม่ได้งามนั่นแหละมาเป็นก่อนเป็นได้ คนที่งามๆรักษามาดงามๆนี่เก๊เยอะ ไม่ได้เป็นอรหันต์หรอก มันซ้อนอาตมาก็จำเป็นต้องทำซ้อน จนต้องบอกความด้อย 10 อย่างของอาตมา รู้อยู่ว่าไม่ทำดีกว่า แต่ไม่ดีกว่าเพราะว่าสมยุคสมัย ต้องทำอย่างนั้นไป แต่ถึงอย่างไรอาตมา ยกตัวอย่างต้องพูดแรง ดัง สักวันก็หมดแรงก็ต้องเบาเอง ถึงเวลาวาระ
ต้องพูดภาษาจัดๆ เป็นต้น ภาษาจัดๆได้สองนัยะ คือหนึ่งคัดเลือกคนถือสาออกไป แต่คนที่เขารู้ว่า แรงหยาบแต่เนื้อนี้ได้ ก็ได้คนไม่ติดเปลือกผิว มันเป็นเครื่องคัดเลือกบุคคลเข้ามาไม่อย่างนั้นเฮละโลมา ไม่ไหว เหมือนกัน มันเป็นองค์ประกอบในการที่จะต้องทำงาน ไม่อย่างนั้นอีรุงตุงนังเกินไม่ไหวงอแง
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อย่าทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีแม้เป็นพ่อลูกกันก็ตาม
_แก่งธรรม...เมื่อก่อนนี้ผมมีความกังวลใจกับสังคมไทย ที่เหมือนในช่วงชีวิตของผมมันมีการเปลี่ยนแปลงของระบบทุนที่เข้ามา แล้วผมก็มองว่าทุนนิยมทำให้รากเหง้าจิตวิญญาณของคนไทยเสียไป หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตไป มีเหตุการณ์อีกหลายอย่างทำให้ผมสบายใจขึ้น โดยเฉพาะเรื่องจิตอาสา ที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 พยายามสร้างขึ้นมา ผมมีความเข้าใจว่าสิ่งนี้จะสามารถกอบกู้จิตวิญญาณของคนไทยให้สามารถฟื้นมาเพื่อที่จะไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของทุนนิยม
พ่อครูว่า...ถูกต้องสรุปได้
ขณะนี้เรื่องของทุนนิยมสามานย์ เรื่องของการใช้อำนาจบาตรใหญ่ก็ดี กำลังถูกฉีกหน้า โดนัลด์ทรัมป์ แม้แต่คนไทยคือทักษิณ ก็กำลังถูกฉีกหน้า กำลังประจานตัวเอง กำลังจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเขาเห็นได้ว่านี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีไม่งาม มันน่าเกลียด คนจะเริ่มมีปัญญาซับซ้อน มีความเฉลียวฉลาดรู้เชิงซ้อนอย่างนี้ขึ้นมา ใช้เงินมาบีบบังคับให้คนอื่นอยู่ใต้อำนาจอย่างที่ทักษิณทำ
อย่างที่โดนัลด์ทรัมป์ทำนั้นถือว่าตื้น เอาเถอะแกทำผิดก็ให้คะแนนแกขนาดหนึ่ง แต่ทักษิณนี้ทำซับซ้อน อาตมาไม่ให้ค่าเลย แต่อย่างทรัมป์ยังพอให้อภัย แต่เล่ห์เหลี่ยมทักษิณซับซ้อนหนักร้ายกว่าทรัมป์ คนไทยยังหลงในอำนาจทักษิณอีกไม่น้อย ก็ขอเตือนคนไทย ลูกเมียเขาก็ได้ยินจะชังน้ำหน้าอาตมา ก็อย่าชังเลยจะเป็นบาป พยายามศึกษาสัจจธรรมให้ดีก็แล้วกัน ชาตินี้คุณมีบารมีมีพ่อรวยได้มีสมบัติมันเป็นกุศลทางโลก ที่เป็นกุศล ฆ่าตัวเอง ศึกษาธรรมะดีๆเถอะ แล้วจะเป็นประโยชน์ นี่อาตมาก็ให้สติ สนใจหรือไม่สนใจแค่ไหนก็ไม่รู้ อาตมาก็ปรารถนาดีไม่อยากจะให้ใครตกต่ำเพิ่มขึ้น แม้แต่เป็นลูกหลานเขาก็ตาม แม้แต่น้องสาว หรืออา พลาดพลั้งไปก็พยายามปรับให้ดี อย่าเอาแต่ติดยึดว่าเป็นพ่อเป็นลูก
การเป็นพ่อเป็นลูกก็มีกตัญญูก็ถูกแล้ว เราก็ไม่ลบหลู่ แต่อย่าไปเอาอย่างในสิ่งไม่ดี ต้องศึกษาสัจธรรมให้ดี เอาแต่สิ่งที่ดีของท่าน ถ้ามันหาได้มันมีดีอยู่บ้าง ถ้าไม่ดีก็ไม่ใช่ไม่พูดถึง แต่เอามาบอกคนให้รู้เท่าทัน อาตมานี่ หากชั่วมันมาก ทำร้ายมนุษยชาติ ต้องรีบมาบอกกัน เหมือนมีผ้าชุบน้ำมันไหม้ไฟบนหัวต้องรีบเอาออก แต่สิ่งที่ดีนั้นไม่ต้องบอกมันก็อยู่ที่กับเขาก็ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ชั่วนิ่สิ คนเห็นนึกว่าโก้ จุดไฟอยู่บนหัวนึกว่าเก่งนึกว่าโก้ มันไม่ดีหรอกต้องรีบออกมันจะไหม้หัวเอา
_ตบะธรรม ในเรื่องเข้าพรรษาสามารถลดอาการเร่งพุ่งเพ่งลดละการพุ่งเพ่งโทษได้ประมาณร้อยละ 70ขึ้นไป ด้วยการมีสติสัมโพชฌงค์รู้ตัวเนืองๆ ผลการปฏิบัติก่อให้เกิดความผาสุกสงบที่ไม่เคยพบมาก่อน จากนั้นจะมีภาวะพักสบาย แช่ ติดแป้น ไม่ไปฝึกฝนต่อ จะทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ก็ออกมาสิ จะไปพักทำไม ได้อันที่ว่านี้ดีแล้วจะไปพักทำไม จะแช่ก็เสีย พิจารณาจุดบกพร่องให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน น้ำใจกับนิยามชีวิต 5
_มีคนบอกมาว่า ภาษาอังกฤษเขามีคำว่าน้ำใจคือ Kindness หรือแปลจาก ลองดูdict
พ่อครูว่า...Kindness ยัง ไม่ถึงความเป็นน้ำใจ ที่จริงคำว่าน้ำใจ เป็นความเสียสละเป็นโลกุตระ โลกุตระไม่มีที่ไหนหรอกมีแต่ในศาสนาพุทธศาสนาเดียว ประเทศไหนก็ยังไม่มี มีแต่ในประเทศไทย จะเป็นต้นเค้าต้นเงื่อนโลกุตรธรรม kindness เป็นความดีงามที่เป็นโลกียะ มันไม่ถึงขั้น รู้จักอัตตาตัวตนแล้วยอมเสียสละอัตตาตัวตน kind เป็นความดีงามเท่านั้นเอง
คำว่าน้ำใจเป็นภาษาไทยมันลึกซึ้งมาก คนไทยมีภาษาไทยที่ลึกซึ้งหลายอย่างเช่นคำว่าไฟฟ้า โอ้โห ไฟมาจากฟ้า มันมาวับแวบ ไวไฟ มาก จากฟ้า
น้ำใจ โอ้โห เป็นอย่างไรน้ำใจ น้ำนี่ ในธรรมะโลกุตระเป็นเรื่องต้นแม้แต่ทางฟิสิกส์ก็เป็นต้น น้ำ เป็นสภาพ น้ำเกิดจากแก๊ส แล้วดินเกิดจากน้ำตกตะกอน ดินกับไฟกับลม จับตัวตกตะกอน น้ำเมื่อรวมตัวกันมากๆก็ผนึกเป็นก้อน
ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อนจากกลละเป็นอัพพุทะจากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะจากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)
ฆนะเป็นตัวที่ 4 สังขยาเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 แล้วจะขยายออกไปอีกเท่าไหร่ก็ได้ ลึกซึ้งมากเลยที่จะอธิบายสัจธรรม อาตมาก็พอไขตามพวกเราก็ใช้ตามมาได้ เป็นเรื่องที่อยู่ในสัจธรรมทั้งหมด เรื่องราวนี้ผู้ที่ยังจะศึกษาความรู้ถ้าจะศึกษาไปเพื่อรู้ก็ต้องศึกษาพวกนี้ด้วยแต่ศึกษาไปเพื่อที่จะบรรลุอรหันต์แล้วเพื่อที่จะปรินิพพานจบไปก็ไม่จำเป็นต้องลงในรายละเอียดเหล่านี้ก็ได้ แต่ต้องรู้บ้าง ถ้าไม่รู้บ้างก็จัดสรรไม่ถูก ไม่รู้ธรรมะ 2 ก็ไม่รู้ 1
มันต้องเริ่มต้นมีที่ 1 หาก 0 มันคือความไม่มี เริ่มต้นมีก็คือสิ่งหนึ่ง 0นี่คือความว่าง
อาตมาใช้คำว่า Niche แปลว่าห้องว่าง แล้ว เพิ่งจะมีเซลล์ เซลล์เป็นจุดหนึ่งที่เป็นชีวะแรกติดอยู่กับ ยังไม่เคลื่อนออกมา จนกว่าจะแตกตัวออกมา หลุดออกมาแล้วก็จะมีเชื้อ ร่องรอยของเซลล์ ก็จะมีเชื้อต่อติด หลุดออกมาดิ้นรนเกิดปฏิกิริยากระทบ ก็จะเกิดแตกตัวเป็นพลังงานปฏิกิริยาแตกตัว สิ่งเหล่านี้อาตมาก็พออธิบายได้ขนาดนี้
อุตุนิยาม พีชนิยาม แล้วมาเป็นจิตนิยาม จิตนิยามจะอธิบายสามเส้าได้ พีชนิยามจะอธิบายได้เป็นรูปเส้นตรง จะเป็นวงวนทีเดียวไม่ได้
สิ่งเหล่านี้อาตมาอธิบายไปตามภูมิให้ฟังใครไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป เอาสิ่งที่เราเรียนรู้เพื่อที่จะปลดทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านย่นย่อไว้แล้ว ให้เรียนรู้ให้หมดทุกข์จึงหมดภาระ ดับอัตตาหมดก็หมดทุกข์ จบเป็นอรหันต์ หรือเริ่มต้นเรียนรู้ 3 ตัวแรก แล้วก็ทำให้คุณเป็น 2 จาก 2 เรียนรู้ตัวที่ 3 จน 3 นี้มีฤทธิ์สู้ 2 ไม่ได้ 2 ก็สู้ 1 ไม่ได้ ถ้า 1 มีอำนาจจะควบคุม2ได้
สภาพกลับไปกลับมา 1 ควบคุม 2 ได้ พีชะมี ISH ควบคุม 2 ได้ ถ้าเป็นจิตเป็น 4 ก็ค่อยแตกตัวเป็นธรรมชาติไป 5 6 7 เมื่อเป็น 7 ถึงจะรู้สภาพสามเส้า ก็พอจัดแจงจัดการได้ จนกว่าจะเป็น 8 มีอำนาจ จนกว่าจะเป็น 9 รวมตัวได้ก็คุมสองเส้าได้ ถ้า 3 ไม่มีอำนาจพอจะคุม 6 ไม่ได้ กลับไปกลับมาจนกระทั่งเล็กจะคุมใหญ่ได้ หรือใหญ่คุมเล็กได้ ที่เล็กก็ต้องพยายามปรับตัวไปปรับตัวมากลับไปกลับมา
เป็นภาวะสลับซับซ้อนกลับไปกลับมา อาตมาใช้ภาษาเรียกว่าสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน กลับไปกลับมาอย่างนี้ เป็นสภาวะที่ยากมากที่จะต้องศึกษา ตั้งแต่เทวที่เป็น 2 แล้วจะมี 3 กลับไปกลับมาเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 อธิบายก็ยังไม่เก่งอธิบายได้แค่นี้ แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆอยู่นะ ก็อยากจะเก่งกว่านี้อธิบายได้มากกว่านี้ก็เลยอยากจะตอบทบทวนยังไม่อยากตาย จะมีฐานอยู่ถ้าหากตายไปแล้วเกิดมาใหม่ก็ต้องค่อยๆรวบรวมอีกไม่มีฐาน
อาตมาไม่ได้หลงตัวตนว่ามีคนเดียวในโลก อาตมาเกิดมาคู่กับในหลวงรัชกาลที่ 9 พูดอย่างไม่เหนียมอายเลย ในหลวงเป็นสายเจโต เป็นนักทำ อาตมาเป็นสายปัญญาเป็นนักพูด อาตมาได้แต่พูดทำสู้ท่านไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าอาตมาไม่ทำ
ขออภัยนะไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในหลวงสร้างคนที่เป็นโลกุตระไม่ได้แต่ในหลวงทรงงานให้คนที่มีเชื้อโลกุตระได้รับรู้ ท่านทรงงานมาถึง 70 ปี อาตมาทำงานไปถ้าถึง 70 ปีแล้วค่อยไปเทียบ
อัตราการก้าวหน้าตอนนี้อาตมาพัฒนาปฏิภาคทวีอยู่ อีก 22 ปี นี้คิดว่าไม่น้อย เพราะโลกต้องการโลกุตรธรรม ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเป็นธรรมิกราช 2 ในประเทศไทยนี้ ตามที่ในโบราณาจารย์ ทำนายพยากรณ์ไว้ ไม่ใช่เรื่องผิดไม่ใช่เรื่องไม่จริง อาตมาต้องพูด เพราะขนาดพูดก็ยังไม่ค่อยเชื่อเลย คนที่เชื่อก็ยิ่งมั่นใจ อาตมาก็เอาคนที่มั่นใจคนที่เชื่อนี้มาเป็นฐานที่จะช่วยกัน ผนึกช่วยกันเข็นกงล้อพระธรรมจักรนี้ไปก่อน ส่วนคนไม่เชื่อไม่เป็นไรไม่มีปัญหาไม่เสียหลายหรอก
อาตมาจึงจำเป็นที่ต้องประกาศตัวตน เพราะมันถูกครอบงำทางความคิด เป็นอรหันต์เดาอรหันต์เก๊มานานเกิน มันก็เลยยากมาก ที่ถ้าไม่ประกาศตัวเองแล้วคุณจะเข้าใจว่าอรหันต์เป็นอย่างไร
อรหันต์มีเนื้อแท้ของจิตว่าไม่มีกิเลส ก็ต้องมาเรียนรู้ว่ากิเลสคืออะไร คุณก็มาเรียนรู้ว่ากิเลสคืออะไร แล้วจะเรียนรู้กิเลสกับอะไร กับเวทนา กับ สังขาร วิญญาณ ที่ใจพยัญชนะ
อาตมาว่าอาตมาอธิบายสภาวะของสิ่งเหล่านี้ได้จนคนสามารถเข้าใจได้ ใครสามารถเข้าใจคำว่าสัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณได้บ้าง ยกมือสิ แม้แต่ที่สุดขยายเป็นนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
อย่างนาม 5 รูป 28 ก็เอามาขยาย เพื่อให้รู้ตั้งแต่โคจรรูป ปสาทรูป
แต่ละคนมีเส้นประสาทเป็น static โคจร โคจระ ดำเนินไปเป็น Dynamic แรงเคลื่อน กับกระแสร่วมกันทำงาน สัมผัสกับอันที่ 3 ก็เกิดสภาพเป็น ภาวรูป
เกิดสภาพ มีหนึ่งตัวรู้ สองบวก สามตัวลบ ตัวรู้คือเรา ก็จะรู้ว่ามีบวกมีลบเกิดภาวะ 2 คุณก็จัดการกับภาวะสองให้ได้ ภาวะ 2 นี้จะต้องทำให้เป็นหนึ่งให้ได้
ภาวะสองนี้ตัว 2 เรียกว่าอิตถีภาวะคือตัวกวน ต้องทำให้นิ่งให้ได้ ทำนิ่งได้จะมีฐาน มีราศีอีกช่วยได้ เป็นบริวาร ไม่ระบุตัวตนแต่มีนัยลึก ผู้ใกล้ชิดจะห้อมล้อม บารมีมากก็ได้มาสอง สาม สี่ ห้า แปด เป็นต้น
สัจธรรมที่อธิบายขยายความไม่มีใครอธิบายอย่างนี้ อาตมาก็ประกาศหาโพธิสัตว์ที่เป็นพี่อยู่ ก็ไม่มี
น้องมี แต่พูดไม่ได้ อาตมาพูดไปนี้มันดูไม่ดี แต่มันเป็นอย่างนั้นก็ต้องค่อยอธิบายไป แต่เพียงขณะนี้สาระสัจธรรมมันเกิดขึ้นแล้วกำลังดำเนินไป
ไม่ต้องมีอะไรมากหรอก ทำไมหมูป่าต้อง 13 ? ใน 13 นี้ก็เป็นหัวหน้าคนหนึ่งจริงๆก็คือ 12
12 คือนักษัตร สาม สี่ อันก็เป็น 12
เป็นสัจธรรมที่มันจะต้องเกิด เส้าอยู่อย่างนี้ มีสามเส้าแล้วมีสี่ 9 แล้วเกิดอีกเส้าเป็น 10 11 12 เกิด 18 ก็มีสองหน่วยแล้ว สภาวะสิ่งเหล่านี้ เป็นการขยายตัวเป็นการจับตัวเพื่อจะเกิดพลังงานการขับเคลื่อน อยู่ในมหาจักรวาลนี้
อาตมาก็ยังไม่เก่ง ที่จะอธิบายขยายความได้ดีกว่านี้
เมืองไทยจะเป็นตัวตั้งโลกุตรธรรมที่เป็นธรรมะในมหาจักรวาลใดก็แล้วแต่ ถ้าในยุคที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด สัจธรรมที่ครองโลกอยู่ก็จะอุดมสมบูรณ์ ไม่เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายจนกระทั่งกว่าจะเกิดคนโง่คนเลว ทำให้เกิดความลำบากขึ้นมา เมื่อลำบากถึงขนาดหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาเพื่อจะช่วยโลกทำให้เกิดความรู้ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง เพราะว่าในขณะที่มันเกิดความเดือดร้อนนี้มันต่างคนต่างไม่รู้ตัว อวิชชาทั้งคู่ เพราะฉะนั้นมันก็จะเกิดการทะเลาะกัน สร้างความทุกข์ใส่กันและกันอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะเกิด
พระพุทธเจ้าก็จะมาบอกให้เปลี่ยนแปลง คนที่มีบารมีในจำนวนคนทั้งสองกลุ่ม ก็จะมีบารมีมา รู้จักสัจธรรม พอเกิดคนที่ได้รับสัจธรรมขึ้นมามาก พวกอสัจธรรม ก็จะถูกสัจธรรมที่มีอำนาจ สามารถเอาสัจธรรมอีกเหมือนกัน มากำราบ สามารถทำให้เกิดความสงบโดยไม่ฆ่าแกงกันโดยเอาความรู้เอาความจริง มากำราบกัน ไม่รุนแรง นี้คือ คุณวิเศษคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เอาความสงบมาสยบความรุนแรง
ไม่เอาความรุนแรงมาสยบความรุนแรง อันนั้นไม่เก่ง เอาความรุนแรงมาสยบความรุนแรงอย่างนั้นไม่จริง ต้องเอาความสงบสยบความรุนแรงนั้นเก่ง
ขออภัยที่อาตมาต้องขอรื้อฟื้นตัวอย่าง อาตมาทำ ความสงบสยบความรุนแรงจนประเทศไทยเป็นตัวอย่างของโลก คือการเมืองที่รุนแรง อาตมาก็พาคณะที่เป็นชาวโลกุตระ ออกไปแสดงตน ประกาศ Neoprotest
สงบ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น
7 คำนี้ นี่อาตมานำเอาภาวะพวกเหล่านี้ มาประพฤติปฏิบัติกัน คนไทยมีโลกุตรธรรมฟังสิ่งนี้เข้าใจ จึงมารวมตัวกันมีพฤติบท คือมีลีลาของความประพฤติโดยที่อาตมาพามาทำบท 1 เกิด 1 บริบท เกิดพฤติบท
อาตมายกตัวอย่างครั้งแรกว่าอาตมาพาไปประท้วง ทางรัฐบาลตอนนั้นอภิสิทธิ์เป็นใหญ่อยู่ สั่งให้ไปปราบอาตมา โดยให้ ผู้การแต้ม ตำรวจเอกวิชัย สังข์ประไพ อาตมาทำความสงบสยบความเคลื่อนไหว ผู้การแต้มรับคำสั่งมาปราบเราให้เรียบ เอาเครื่องกลหนักเข้ามาเยอะแยะ เราก็ว่าตกลงเราสู้ เรานั่งประนมมือสงบ ผู้การแต้มคือผู้การแต้ม หากว่าเป็นคนที่เลือดร้อนไม่มีคุณธรรมเขาจัดการเราไม่ไว้หน้าหรอกเราเสร็จ แต่ผู้การแต้มเจอความสงบก็หมดท่าเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรทำไม่ออก นั่งประนมมือและเงียบเฉยๆแล้วเรา จะไปตีเอาเครื่องกลหนักเข้าไปทำลาย ผู้การแต้มเป็นคนมีคุณธรรม ทำไม่ลง ยอมตัวเอง เพราะฉะนั้นหน้าที่การงานของผู้การแต้มจึงไม่ค่อยขึ้นเพราะไม่สนองนโยบายหัวหน้า แต่ว่าคุณธรรมของผู้การแต้มนั้นสูง ทางโลกดูไม่ดีแต่ทางธรรมผู้การแต้มสูงเป็นโลกุตรธรรม นี่คือ ความสงบของเราสยบความเคลื่อนไหวชนะครั้งแรก ที่อาตมาเห็น
ครั้งที่อาตมายืนยัน อาตมาบงการ อยู่บนเวทีไมโครโฟน 2 ตัวยิงกันตูมตาม 18 กุมภาพันธ์ 2557 เขาก็ได้รับคำสั่งปราบเหมือนกัน พรักพร้อมเลย ตอนนี้ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เสร็จแล้ว จะมีอะไรซับซ้อนไม่รู้ล่ะ อาตมาต้องมีบารมี มีผู้ช่วยแน่นอน ปรากฏว่าตำรวจที่ได้รับคำสั่งให้มาปราบนั้นวิ่งหนีกันไปเลย ทิ้งโล่ห์เลยบางคน เราไม่ได้ทำอะไรตำรวจเลยเป็นความสงบสยบความเคลื่อนไหว นี่เป็นปรากฏการณ์ เราจึงชนะ
ประชาชนเข้าใจคนไทยมีโลกุตรธรรมจึงเข้าใจว่าความสงบสยบความเคลื่อนไหวได้แน่ จึงมั่นใจ เกิดความมั่นใจ ประชาชนก็เลยรวมน้ำใจกันตั้งแต่บัดนั้นคนไทย พวกเรานั่นแหละทำการปฏิวัติเสร็จแล้ว เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ ผู้รักษาความสงบของประเทศก็เข้าไป บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจก็สบายได้ด้วยดี อาตมาพูดอย่างนี้เหมือนกับเอาตัวเองเข้ามาฟื้นฝอยหาตะเข็บคุยตัว แต่นี่คือสัจธรรมของประเทศไทยไม่จำเป็นต้องยกโพธิรักหรอก แต่เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์
ความจริงผู้ปฏิวัติจริงๆคือพันเอกปรีชาประกาศได้วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ยืนอยู่บนหลังคารถประกาศปฏิวัติ แต่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เตือนกันไปหน้าวัดพระแก้วกัน แห่สมเด็จปู่วิชิตอวิชชาไป ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:46:25 )
รายละเอียด
611019_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พุทธคุณ 9 เป็นจริงได้ไหมในยุคนี้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1lwxGJinPaxMk7oHNl75FycD-iz_BQlbiS15y3sU37ZQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1RKcYSll30JYdTBSS6DD1-fG9KqKW5XK4
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เราเพิ่งพ้นจากเทศกาลกินเจมา ตอนนี้เตรียมงานมหาปวารณาที่ชุมชนราชธานีอโศก เตรียมงานตลาดเท่าทุนอีก ตอนนี้จะมีค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“ปฏิบัติบูชา กล้าบำเพ็ญเพียร”
ครั้งที่ 33 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 19 - อาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ดูจากข่าววิเคราะห์การเมือง พ่อครูว่า ออกกฎหมายรัดกุมอย่างไรคนมันฉลาดขี้โกงจะฉลาดกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญอีก ประชาธิปไตยจะต้องเป็นอย่างที่พ่อครูว่าจริงๆ เพราะว่าแต่ละคนมาเพื่อเอาชนะกันเพื่อโกงกิน แล้วประชาชนจะเป็นอย่างไร พวกนี้เข้ามาก็มีแต่จะมาดูดเลือดดูดทรัพย์สินดูดทรัพยากรของชาติให้แก่ตัวเอง คนที่มาสมัคร สส.ก็หน้าเดิมซ้ำๆ แต่ถ้าทำการเชิญตั้งน่าจะดีกว่าเลือกตั้ง
คนที่จะมาเป็นผู้แทนควรจะต้องเสียสละเพื่อประชาชนจนเห็นเป็นประจักษ์ไม่ใช่ว่ามาทำเอากันตอนเลือกตั้งเป็นการหาเสียง แต่จะต้องเสียสละมาตลอดจนประชาชนเห็นว่าควรจะเป็นตัวแทนของเขา
ถ้าบ้านราชฯมีคนมาอยู่เป็นพันคน ก็น่าจะช่วยประเทศชาติได้ เราจะต้องเติบโตมากยิ่งขึ้น ทางที่ดีพวกเราควรอยู่อายุยืนยาวไปกันกับพ่อครูด้วยกัน พยายามพากเพียรทำตัวเองให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ และอย่าเพิ่งรีบตาย
พ่อครูใช้โศลกว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ
พ่อครูว่า…
SMS 17 ตุลาคม 2561 (สัมมะปี๋ ซี๋วิต)
_รักเอื้อ หลักเขต · กราบนมัสการพ่อครู..ผู้ให้ความพ้นทุกข์
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ข้างในอโศกเป็นยังไง
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบพ่อท่าน ดิฉันก็โดนเพื่อนถามว่า ข้างในอโศกเป็นยังไง เขาสอนกันอย่างไร สวดมนต์แบบไหน ทำไมพี่ถึงอยากไป คือเข้าใจอยู่ในใจตัวเอง แต่อธิบายไม่ถูกค่ะ เลยบอกไปว่า มีโอกาสไปดูซี.! เราเป็นญาติธรรมกับชาวอโศกนะ
พ่อครูว่า...อโศกเป็นอย่างไร เป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนมีวรรณะ 9 เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายทำให้คนได้เข้าใจ ปฏิบัติตามได้ จนกระทั่งเป็นสังคม มีพฤติกรรมสังคมอยู่กับโลกเขา เรานี้เป็นหมู่ชนเป็นมนุษย์ ที่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้ แล้วประพฤติปฏิบัติมีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ผลสำเร็จ ด้านรัฐศาสตร์ก็สบาย ด้านเศรษฐศาสตร์ก็สบาย ด้านสังคมศาสตร์ก็สบาย พวกเรานี้ครบหมดแล้ว
อาตมาก็ว่า ประเทศไทย ผู้บริหารน่าจะเข้าใจน่าจะมองออก เขาก็จบดอกเตอร์กันมาหลายดอกเตอร์ด้วย หลายปริญญาด้วยแต่ละคนก็น่าจะเข้าใจได้ แต่ทำไม เขาไม่รับซับซาบหรือไม่นำไปใช้ เพื่อสืบสานทำต่อไป อาตมาก็ว่าอโศกอาภัพนะ พูดโดยโวหาร แต่จริงๆแล้วเราไม่อาภัพอัปภาค เราไม่ได้เป็นคนตกต่ำไม่ได้เป็นคนด้อยไม่ได้เป็นคนขาดแคลนเป็นคนที่เกิดมามีชีวิตแล้ว อาตมาว่า ลึกๆพวกเราจะมีปัญญาเข้าใจ เราไม่มีลาภยศมากมาย โลกียธรรม เราไม่มีสรรเสริญเยินยอ ดีไม่ดีโดนว่าโดนดูถูกดูแคลนด้วยซ้ำ นินทาว่าร้ายด้วยซ้ำ แต่เราก็เข้าใจเขา เราก็อยู่สบายดี สิ่งเหล่านี้เป็นโลกุตรธรรม นี่คือสิ่งที่ยืนยัน ที่บ่งบอกว่าเราอยู่เหนือโลกธรรมเป็นโลกุตระ
เป็นเรื่องพิสูจน์ยืนยันได้เป็นของจริงอาตมาไม่ได้ทำได้คนเดียว แม้แต่ฆราวาสอย่างพวกเราก็ทำได้ดีเป็นกลุ่มเป็นก้อนหนาแน่นแข็งแรง เป็นปึกแผ่น ที่บอกว่าให้อยู่นานๆก็จะดูซิว่าพวกเราจะโรยรา จะหนีหายจนกระทั่งเหลืออาตมาคนเดียวกับท่านฟ้าไท นอกนั้นหมดหรือเปล่า?
หรือมีเท่านี้หนักเข้าก็ทยอยตายจากไปหมด คนใหม่ก็ไม่มีมาใช่ไหม ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เราไม่คาดเดาอนาคต
ข้างในอโศกเป็นอย่างไรก็มาดูเขาสอนกันอย่างไรสวดมนต์กันแบบไหน อาตมาภาคภูมิใจชาวอโศกสวดมนต์ไม่ต้องอาบัติ แต่ทางเถรสมาคมนั้นสวดมนต์ต้องอาบัติหมด
อาบัติคือหนึ่งไม่เป็นสรภัญญะ เพราะว่าลากเสียงยาว ภาษานั้นมันมี รัสสระ ทีฆสระ
เช่น นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ก็จบในตัว แต่เมื่อลากเสียง นามัวตัสสสสะ ใส่ทำนองแถมลากเสียงยาวด้วย อาบัติตลอดเลย ไปท่องพร้อมกันสองรูป เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาท่องต่อหน้าอุปสัมบันผู้ที่ไม่ใช่นักบวชข้างนอก อาบัติปาจิตตีย์ทุกอาบัติ มีมากจะสวดกันเป็นล้านคนก็อาบัติตลอด ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้รู้เรื่อง นี่ก็พูดตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ใส่ความเลยนะ
และอาตมาว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้หากไม่มีสวดมนต์ก็อยู่ไม่ได้ พระเจ้าต่างๆอยู่ได้ด้วยการสวดมนต์ ถ้าไม่มีสวดมนต์ก็ ไร้ ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือการยอมรับนับถือ อาตมาก็เห็นว่ามันผิดไปหมด อาตมากล่าวนี้เป็นรายละเอียด
1. สวดมนต์ไม่เป็นสรภัญญะ 2. ลากเสียงอันยาว 3. ใส่ทำนอง 4. เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 องค์ต่อหน้าฆราวาส 5 เอามาสวดหากินกันทุกวิถีทาง ตั้งแต่เป็นฆราวาสจนถึงรัฐพิธี ศาสนาพุทธก็เลยมีแต่การสวดมนต์เป็นเครื่องอาศัย ถ้าไม่มีการสวดมนต์แล้วพระเจ้าไม่รู้จะทำอะไร
ถ้าไม่มีสวดมนต์ก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะเขาประเคนอาหารแล้วก็ให้เงินด้วย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไปบิณฑบาตเสร็จ เมื่อเขาใส่บาตรเสร็จก็ท่องยะถาสัพพีให้เลย คนไม่สวดก็เลยกลายเป็นผิดไปเลย เราเองก็สวดแบบไม่ใส่ทำนอง สวดสรภัญญะ เช่นสวดพาหุงฯมหากาฯเป็นต้น ก็สวดไม่ผิดสรภัญญะ สำเนียงอาจไม่เหมือนแขกแต่ก็เป็นสำเนียงไทย
ทำไมพี่ถึงอยากไปก็ต้องไปถามเขาดู
_สรายุทธ บุญญโก · วิธีสื่อสารของมนุษย์ก็มี ตัวเลข กับ อักขระ พ่อครูอธิบายเป็นสภาวะได้มาก
_หินไท ชาวหินฟ้า · คุณอู๊ตนี้ยากมากที่จะเข้าใจ ว่าตัวเองไม่ควรออกมาแสดงความคิดเห็น พ่อครูเตือนหลายครั้งแต่ไม่รู้ตัว ใครอยู่ใกล้ช่วยที
พ่อครูว่า…อาตมาว่า อย่านึกว่าได้แต้มนะที่แสดงออกมา
_วันชัย สหมโนธรรม · ครับผม คือฟังแล้วไม่มีเนื้อหามีแต่น้ำวนเสียเวลาของพ่อท่านครับ ขออภัยครับ
_กิตติ ธรรมสโรช · เป็นธรรมดา ที่ต้องสาธยายธรรมยาว ๆ ก็ต้องให้ละเอียดบ้าง ส่วนญาติธรรมที่ตั้งคำถาม ก็วกไปวนมาโชว์ภูมิรู้ให้คนทั้งหลายรับรู้กันไปในตัว
_คอยไท ไมตรีวงษ์ · ขอถามพ่อครู ผมทานอาหารมื้อเย็นมื้อเดียว เพราะตอนเช้าต้องไปทำงานขับรถขึ้นทางด่วน รถจะติดทุกวัน แล้วก็ขับรถตรวจงานตามที่ต่างๆทั้งวัน เย็นถึงกลับมากินข้าวที่บ้านมื้อเดียว ผมทำผิดไหมคับ เพราะที่ไม่กินข้าวเช้าเพราะกลัวไม่มีห้องน้ำเข้าระหว่างทาง และไม่อยากเสียเวลาแวะกินข้าว จึงทานมื้อเย็นให้อิ่มแล้วเช้าทำงานเลย แบบเติมน้ำมันรถเต็มถังแล้วเช้าสตารทรถลุยงานเลย ไม่ต้องหาแวะเติมน้ำมันต่อคิวให้วุ่นวายตอนเช้า เจริญธรรมคับ
พ่อครูว่า…ใครบอกว่าคุณผิดล่ะ คุณจะกินมื้อเดียวต่อวันหรือ 3 วันต่อมื้อก็ไม่ผิด หรือแม้แต่บางคนกินทุกอย่างที่ขวางหน้าก็ไม่ได้ผิดอะไรเป็นส่วนตัวของเขา คุณเองไม่ได้ทำผิดหรอก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ชาวอโศกมีพระอาริยะหรือไม่
_เขาบอกว่าชาวอโศกมีพระอริยะที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...อาตมาขอยืนยันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อพูดพล่อย เพราะกรรมเป็นอันทำ พูดก็เป็นกรรม บาป ไม่ใช่ไม่บาป ที่อาตมาพูด ขอยืนยันว่าเป็นความจริงแต่ในสังคมคนไม่รู้ความ ไปยึดถือเอาสิ่งที่เก๊ สิ่งไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ถูกไปยึดถือเอาอรหันต์เก๊ อาริยะเก๊
อาตมาขอยืนยันว่ามีอาริยะจริงในชาวอโศก อาริยะไม่ได้มีในเถรสมาคม พระเถระสมาคมทั้งยวงมิจฉาทิฐิ พระบ้านเองก็หลงผิดว่าต้องเป็นพระป่าถึงจะปฏิบัติแน่กว่า เพราะเขานั่งสมาธิหลับตา และเขาก็ออกปลีกเดี่ยวไม่ยุ่งเกี่ยวกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกจะสุขอย่างนี้ เขาเข้าใจว่าเป็นโลกุตระ ซึ่งศาสนาพุทธนั้นไม่ได้หนีไปจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่มีอยู่
โลกเขามีกันอย่างไรก็อยู่กับที่เขามีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ต้องปฏิบัติตนตามลำดับศีล ศีลข้อที่ 1 2 3 4 ไป แล้วก็ลดกิเลสไป คุณก็จะอยู่เหนือโลก อยู่เหนือโลกียะที่เขามีกันได้ เพราะจิตใจของคุณยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นวัสสวัตตี วัสสวัตตีโก เป็นผู้มีอำนาจจิตอยู่เหนือโลกียะได้
พวกเราไม่ได้หนีโลก ก็อยู่กับโลกเขา ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌานทั้ง 4 อาตมาพาทำ ประสบผลสำเร็จพวกเราปฏิบัติธรรมได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้ามีวรรณะ 9 พ้นมิจฉาอาชีวะ 5
กุหนา ขี้โกง ไม่มี ลปนา หลอกลวงไม่มี เนมิตกตา ก็เป็นไปตามลำดับแล้วก็มีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่หลุดพ้น และไม่มอบตนในทางที่ผิด สุดท้ายทำงานฟรี พ้นการใช้ลาภแลกลาภ เป็นการพ้นมิจฉาชีพ 5 อย่างบริบูรณ์ นอกนั้นพ้นจากมิจฉากัมมันตะ 3 ก็ทำได้
พ้นจากมิจฉา 4 ของวาจา วาจาเราอาจจะมีบกพร่องบ้างบางที หลายคนก็เข้าข่ายเพ้อเจ้อ ไม่ขยายความแล้วว่าเพ้อเจ้อคืออย่างไร บางคนก็อาจไม่มีส่อเสียดหรือกระทบบ้าง จะปดก็ไม่ รู้สังวรอยู่
โดยเฉพาะสังกัปปะ 3 ก็รู้วิธีปฏิบัติออกจากกามออกจากพยาบาท เป็นต้น หรือออกจากวิหิงสา การปฏิบัติสังกัปปะ 7 เป็นการเรียนรู้จิตใจของเรามันมี ตักกะ วิตักกะ เราก็รู้จักอ่านจิตจับเวทนาที่มันมีตัณหาตามปฏิจจสมุปบาท เราก็อ่านกิเลสตัณหาได้ มีวิธีทำให้มันจางคลายได้ จึงประสบผลสำเร็จ เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามธรรมวินัยของพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ชาวอโศกทำให้ศาสนาพุทธมีเนื้อหาสาระของโลกุตรธรรมขึ้นมาได้อย่างจริงๆสำเร็จผล เป็นหมวดเป็นหมู่ มีพฤติกรรมสังคมอยู่อย่างดี แต่คนยังไม่เข้าใจ อาตมาพูดสัจธรรมที่ถูกต้อง คนที่ไม่รู้ก็ฟังไม่เข้าใจ คนที่พอรู้มีปัญญาก็จะพอรู้
อาตมาเคยได้ยิน ผู้รู้ทางเถรสมาคมพูดว่า อันนี้ได้ยินมานะไม่ได้ยืนยันว่าใครที่ไหน เพราะอาตมาเห็นว่า คนยังมีดวงตา เขาพูดว่า เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาก็มีอยู่แต่ในอโศกเท่านั้นแหละ คนพูดนี้ไม่รู้ว่าเป็นใครเมื่อไหร่แต่ได้ยินผ่านหูมา ใครสามารถรู้ได้หรือมีคลิปตัวอย่างได้ก็ยิ่งดี เขาบอกว่าศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้มีแต่ของอโศกเท่านั้นที่เป็นแบบพระพุทธเจ้า อาจจะไม่เป็นคำต่อคำ แต่เนื้อหาความหมายอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาว่าอาตมาไม่สงสัย เขาพูดถูก อาตมาไม่ได้หลงตัวเองแต่อาตมาว่าจริง อาตมายืนยันตัวเองว่าอาตมาเป็นผู้มาสืบสานพุทธศาสนาเป็นโพธิสัตว์ ในยุคนี้จะมี 2 องค์ก็พูดไปหมดแล้ว องค์หนึ่งเป็นสายเจโตองค์หนึ่งเป็นสายปัญญา อาตมาเป็นสายปัญญา อีกองค์หนึ่งสายเจโต ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านจนครบสมบูรณ์แบบแล้ว จนหมดอายุขัยไปแล้ว อาตมาก็มาทำต่อ ก็ขอยืนยันว่าที่เขามีพยากรณ์ไว้เรื่องธรรมิกราช 2 องค์ มาสืบสานพุทธศาสนาเอาไว้ได้ ไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ หรือมุขขึ้นมา เป็นเรื่องจริง อาตมาขอยืนยัน
ผู้ที่สามารถเข้าใจได้อย่างพวกคุณแล้วมาเชื่อถือ ได้ประโยชน์กันไหม ได้ ในชีวิตนี้คุณเองยังเคยหาลาภ เคยแย่งยศกันไหม? เคยแย่งสรรเสริญไหม เคยแย่งสุขด้วยรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสกันไหม ก็หลงกันมา มาทุกวันนี้เข้าใจ ลดได้มากพอสมควร ...กล้าหาญมาก ตอบได้ว่าลดได้มากเสียด้วย อยากจะทำให้ได้หมดไหม..กลัวจะตอบว่า หมดก็เป็นอรหันต์สิ
อาจมีคนคะนองว่า เป็นอรหันต์ได้ จะถือว่าคะนองหรือมั่นใจตัวเองก็ได้ อ่านจิตตัวเอง เข้าใจธรรมะแล้วปฏิบัติธรรมะได้จริง
สม.รินฟ้า..
ส.เดินดิน
ส.ฟ้าไท
พ่อครูว่า..พวกเราปฏิบัติโลกุตรธรรมได้จริง แต่โดยคนข้างนอกแล้วเขามีจิตใจริษยาด้วยไม่อยากให้ใครได้ดี มักขะ ปลาสะ มีอุปกิเลสอยู่ โดยไม่รู้ตัวมันก็ไม่อยากจะรับมา เพราะรับแล้วมันข่มเขา โดยเฉพาะมหาเถรสมาคมถ้ายอมรับอโศกก็เท่ากับข่มเขา เขาก็อยู่ไม่ได้ อาตมาก็เข้าใจเขา แม้ว่าทุกวันนี้เขาไม่มีอะไรจะออกมา ก็ขอบคุณเขาอย่างยิ่งแล้ว เขาไม่โต้ตอบไม่ย้อนแย้งอะไรมาก็ดีแล้ว เราก็ใส่เขาน่าดู อันนี้เป็นธรรมฤทธิ์ เท่านี้อาตมาก็ว่ายิ่งใหญ่แล้วนะ มันเป็นเรื่องดีแล้ว อาตมาก็ยังดูคะนองอยู่พูดกระทบอยู่บ่อย ก็ต้องขออภัย พูดแรงด้วย แต่เขาก็เงียบ
มาถึงวันนี้ อาตมาสำนึกเยอะ ว่าเราไม่ค่อยยั้งทุบเขาได้ตีเขาได้ รู้สึกอย่างนี้จริงๆ ก็อาตมาก็ต้องทำหน้าที่เพราะอาตมา เป็นคนที่มีหน้าที่นี้จริงๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนพวกคุณมาเชื่อก็ตัวคุณเองใครบังคับคุณมาเชื่อ
1. บังคับ 2. ปอกลอก 3. จ้าง อาตมาได้ทำสักอย่างหนึ่งไหม ก็ไม่ได้ทำ ประเล้าประโลมหว่านล้อมให้เชื่อมีไหม มีแต่ผ่าเปรี้ยงๆ อาตมาทำตามสัจจะ ก็ทำต่อ
มาอ่าน เตวิชชสูตรกันต่อ…อาตมาอธิบายอย่างมีธรรมรสนะ
13. เตวิชชสูตร
------------------
[365] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงพราหมณคามของชาวโกศลชื่อว่ามนสากตะ ได้ยินว่า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ทิศเหนือแห่งมนสากตคาม เขตพราหมณคามชื่อว่ามนสากตะ.
พ่อครูว่า..อ่านตอนนี้ก็รู้สึกว่ามีบรรยากาศยิ่งใหญ่น้ำภิกษุ 500 รูปแล้วออกไปเผยแพร่ ได้มรรคผลได้บุคคล
เมื่อเทียบกับเราแล้วยังกับฟ้ากับเหว เราเองดีไม่ดียังถูกด่าว่า แต่ก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกยังมีพวกเรารับฟังรับได้ อาตมาว่าทุกวันนี้อาตมาอธิบาย 6 โมงเย็นก็มานั่งกันพอได้นะ จริงๆขนาดนี้อาตมาพอใจแล้ว ที่อื่นเขาอธิบายธรรมะประเล้าประโลม คนมากกว่านี้ด้วย แต่อาตมาอธิบายธรรมะอันเข้มข้นพวกคุณก็นั่งฟังก็ได้ ไม่ค่อยเห็น โงกง่วงนะ ธรรมะสายอื่นๆเขานั่งโงกง่วงมากนะ เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ค่อยมี ไม่ต้องเอาอะไรมาก สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน หลับจังแต่ก่อนนี้ อาตมาก็ว่าจะไปรอดไหมนี่ มาถึงทุกวันนี้แม้แต่ฆราวาสก็ตั้งใจฟัง อาตมาแสดงธรรมะอันลึกซึ้งที่เป็นโลกุตระ
คำว่าพราหมณ์มหาศาล สมัยนี้คือพระมหาศาล
วาเสฏฐะและภารทวาชมาณพเข้าเฝ้า
[366] สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอาศัยอยู่ในมนสากตคามมากด้วยกันคือ วังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุโสณีพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์และพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงอื่นๆอีก.
ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารทวาชมาณพเดินเที่ยวเล่นตามกันไป ได้พูดกันขึ้นถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง วาเสฏฐมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้. (สมัยนี้ก็คือทางที่พาไปนิพพาน)
ฝ่ายภารทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น เป็นมรรคาตรง เป็นทางตรง เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นให้เป็นสหายแห่งพรหมได้. วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้ ฝ่ายภารทวาชมาณพก็ไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้.
ยุคนั้นพระพุทธเจ้าประกาศศาสนา ส่วนใหญ่ยอมรับพระพุทธเจ้ามีบางสำนักที่ไม่ยอมรับยังถือดี มีบางสำนักบอกว่าท่านเป็นเจ้าสำนักใหญ่พระพุทธเจ้าควรจะมาหาท่านต่างหากมีอย่างนี้ด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน อธิบายพุทธคุณ 9
มาอธิบาย พุทธคุณ 9 กัน
1. เป็นพระอรหันต์ผู้ไกลจากกิเลส เขาแปลเอาความหมาย พยัญชนะแปลว่า อรหะผู้ไม่ลึกลับ รหะ รโห หรือ รหัสส แปลว่าความลึกลับ อรหะแปลว่าไม่ลึกลับแล้วเป็นผู้ไม่ลึกลับแล้ว ไม่ลึกลับอะไร ไม่ลึกลับในธรรมะ ไม่ลึกลับในสัจธรรมทั้งหลาย ไม่ลึกลับในโลกียะ ไม่ลึกลับในโลกุตระ เป็นผู้แทงทะลุธรรมทั้งหมดแล้วจึงเรียกว่า อรหังหรืออรหันต์ คือผู้ไกลจากกิเลส นอกจากไม่ลึกลับแล้วยังทำกิเลสของตัวเองออกไปจากตัวเองหมดได้ด้วย เรียกว่าอรหันต์ เรียกเต็มๆ ว่าอรหันต์ อรหันต์ก็คือ อรหะสนธิกับคำว่าอันตะ
อันตะ แปลว่าไม่สิ้นสุด หรือที่สิ้นสุดก็ตาม สูงสุดแล้วอันตะ บางทีก็แปลว่าสูงสุด อันตะ บางทีก็ว่าไม่มีที่สิ้นสุด อันตะ ได้ทั้งสองอย่าง เพราะมันไม่มีคำอะไรอีกแล้ว สูงสุดมันก็สุดแล้วไม่มีที่สุด จะต่อไปอีกจะต่อไปไหนก็แล้วแต่สิ มันสุด สุดไปไหน สุดไปหาที่สุด สุดๆๆ ศูนย์กับอินฟินิตี้สุดแล้วก็เรียกว่าอรหันต์ เรียกเต็มๆ ไม่เรียก อรหันต์ก็เรียกอรหะ อรหัง อรโห อะไรอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ลึกลับ
ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างตัวเองอาตมาไม่ลึกลับ อาตมากำลังสรุปธรรมะของโลก ธรรมะของโลกนะไม่ใช่ธรรมะของพุทธเท่านั้น ว่าธรรมะของโลกนั้นอยู่ที่ เทวะ หรือ เทฺวเป็นบาลี อ่านว่า เด-วะ เทวะแปลว่า 2
ในโลกนี้มีเรื่องเทวะเท่านั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใครแทงทะลุเทวะแล้วเป็นอรหัง ไม่ลึกลับแทงทะลุเทวะแล้วหมดลึกลับ
2. สัมมาสัมพุทโธ แปลว่าตรัสรู้ถูกต้องโดยพระองค์เอง สัมมาสัมพุทธโธหมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่ได้รับคำเล่าคำสอนไม่ได้รับความรู้มาจากใคร ท่านอุบัติมามาปางนี้เป็นพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ของท่านเอง ท่านเอาคำสอนที่ท่านรู้จบแล้วมาประกาศเป็นของท่านเอง แต่แน่นอน ก่อนที่ท่านจะมาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็รับจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งท่านประกาศตนว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้ว มีความรู้ทุกอย่างเท่ากับสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นท่านเป็นเจ้าของธรรมะเรียกว่าธรรมะสามี ท่านมาประกาศยุคนี้ ท่านก็ประกาศว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า เราเป็นเจ้าของธรรมะเพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็เหมือนกันกับของท่าน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเท่ากันหมดอันหนึ่งอันเดียวกัน ศาสนาพุทธมีเท่านี้ มีเท่าที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้ครบแล้ว เรียกว่าสัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีบอกจากใครไม่ได้รับคำสอนมาจากใคร ตอนนี้เป็นเจ้าของแล้ว ครบแล้วบริบูรณ์แล้วเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มาประกาศว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หมายความว่าพระพุทธเจ้าแต่ละองค์แต่ละองค์ท่านก็เป็นองค์หนึ่ง องค์ใดองค์หนึ่งในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เท่ากันหมดทุกองค์ ประกาศมากี่ยุคกี่สมัยก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้ามีจำนวนมากเท่ากับเมล็ดกรวดทรายในมหานที สรุปมาเรียกท่านว่าเป็นเจ้าของธรรมะ สัมมาสัมพุทโธ
นี่อาตมาอธิบายพุทธคุณ 9 สู่ฟังอย่างพิสดาร ไม่มีใครเขาแปลไว้อย่างนี้หรอก แปลอย่างพิสดาร
3. วิชชาจรณสัมปันโน เป็นผู้เข้าถึง สัมปัมปันโนสัมปันนะ หรือเป็นผู้บรรลุ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือวิชชา 8 จรณะ 15 เป็นผู้รู้จักวิชชา 8 จรณะ 15 เป็นผู้เข้าถึงเป็นผู้บรรลุเป็นผู้มีธรรมนั้น ไม่ใช่เอาแต่คำพูด พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของหมดเลย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาก็มีจรณะ 15 อาตมาก็มีวิชชา 8 ประกาศเหมือนกัน แต่อาตมาก็มีตามฐานะของอาตมา มีวิชชา 8 จรณะ 15 เท่าที่อาตมามี เต็มเหมือนกันแต่เต็มตามบารมีของอาตมา ไม่ได้เต็มพิสดารมากเท่ากับพระพุทธเจ้าหรอก คนละฐานะ แต่ก็เป็นความเต็มที่อธิบายสู่ผู้อื่นได้มากกว่าผู้อื่นอยู่
4. สุคโต คตะแปลว่าดำเนินไปหรือไป สุ แปลว่าดี คือเสด็จไปดีแล้ว คนธรรมดาสุขโตก็เรียกว่าไป ดำเนินไป เดินไป ก้าวไป ดีแล้ว
สำนวนลึกซึ้ง หมายความว่าคนนี้จะเดินทางของชีวิตไปอีกในทุกๆก้าวข้างหน้า ทุกๆก้าวของกรรม ของพฤติกรรมคนๆนี้มีแต่ดี ๆๆๆ เรียกว่าไปดีแล้ว ไม่มีการสะดุด ไม่มีบกพร่องไปด้วยชั่วด้วยเลว ไม่มี มีแต่ดี ๆๆ เสด็จไปตลอด อาตมาอธิบายให้ฟังเป็นภาษาง่ายๆ เป็นสภาวธรรมที่มันเป็นจริงตามคำที่ว่านี้ ซึ่งอาตมาพอมีความรู้ก็อธิบายสิ่งเหล่านี้ง่ายๆ ชัดๆ นี่คือสุคโตเสด็จไปดีแล้วพระพุทธเจ้า
อาตมาก็มีสุคโตของอาตมา ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ก็หมายความว่าอาตมาดำเนินไปดีแล้ว เดินไปดีแล้ว ก้าวหน้าไปพัฒนา มีกรรมการกระทำไปดีแล้ว
5. โลกวิทู ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง โลกมีอะไรบ้าง โลกียะคือโลก โลกุตระก็คือโลก โลกอยังโลโก โลกนี้ โลกหน้า ปโรโลโก คือโลก อย่างนี้เป็นต้น
โลกคือความวน ผู้ยังไม่ดับโลก ยังไม่นิโรธโลก ยังไม่ดับสูญ ยังมีอยู่ก็คือผู้ยังมี ยังวนอยู่ แม้จะเป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา อาตมาก็ยังอยู่ในโลก ยังวนอยู่ในโลก ยังมีการเกิด ยังไม่ได้แยกธาตุสูญไปไม่เกิดอีก คนที่จะไม่เกิดอีกมีอยู่ 2 สภาพ
หนึ่งคนที่ไม่เกิดอีก แต่ยังเกิดชาติหน้าชาติโน้นชาตินี้อะไรอีกอยู่ ยังวนไปเรื่อยๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือผู้ที่เป็นอรหันต์ไปเป็นโพธิสัตว์จะไม่เกิดอีก ตายแล้วสูญเลย แยกธาตุไปเลยเป็นอุตุนิยาม ธาตุที่เป็นธาตุจิตนิยามของผู้ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว ก็เป็นคนแยกธาตุตัวเองที่เป็นธรรมะ 2 แยกจากกันไม่เข้ามาจับตัว ไม่เข้ามาสังขาร ไม่เข้ามาปรุงแต่งเป็นตัวตนอีกเลย เหมือนนักวิทยาศาสตร์แยกธาตุออกซิเจนกับไฮโดรเจนออกมาเป็นแก๊ส ธาตุน้ำก็หายไป นั่นคืออัตภาพ อัตภาพของธาตุน้ำหายไป ของอุตุนิยาม เพราะมีผู้สามารถแยกออกซิเจนกับไฮโดรเจนแตกตัวกันไม่จับตัวกันอีก ฉันเดียวกัน อันนั้นอุตุนิยาม อันนี้เป็นจิตนิยาม แยกไม่มีชีวะของจิตนิยามอีกแล้ว แยกไปเป็นอุตุนิยามเลย แม้แต่เป็นแค่พีชะนิยามก็ไม่ค้างอยู่
พวกที่ไม่เข้าใจพีชนิยามไม่เข้าใจจิตนิยาม นั่งหลับตาสะกดจิต แล้วตัวเองก็ไปเป็นชีวะอยู่ในอนุสัย คนพวกนี้ตายแล้วไม่เน่า เพราะยังมีเชื้อชีวะอยู่ที่ก้นบึ้ง เป็นคนยึดมั่นถือมั่นได้เก่งมาก พอนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วตายแล้วไม่เน่า แล้วคนก็ไปกราบเคารพ กราบเคารพคนยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่คนเก่งอะไรในทางศาสนาพุทธ แต่เป็นคนเก่งทางอวิชชาที่เข้าใจผิดในศาสนาพุทธ ตายแล้วก็ไม่รู้จักตาย เหมือนกับคนที่เป็นมนุษย์พืชอยู่ในห้อง ICU ถ้าให้อาหารอยู่ก็อยู่ไปได้อีกนานเท่านาน เพราะยังยึดอย่างนั้นอยู่ ไม่ยอมตาย
แต่คนที่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีใครเขาให้ ตายแล้วไม่เน่า ตายแล้วไม่มีใครให้อาหาร มันเหมือนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แต่มันก็จะแห้งลงๆเพราะตกตะกอนเชื้อชีวะเพราะยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ มันก็เลยค่อยๆทยอยเลี้ยงขันธ์ไปตามค่อยๆดึงเอามาใช้
อธิบายตามสภาวะก็คือ คนนี้ไม่รู้จักธาตุจิตนิยาม ไม่รู้จักธาตุพีชนิยาม แม้ธาตุจิตของตัวเองนั้นหยุดแล้วเลิกแล้ว พลังงานจิตของตนเองจะปรุงแต่งถึงขั้นจิตนิยามไม่ได้แล้ว หมายความว่าตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ คุณจะมีพลังงานมาร่วมรับรู้ตื่นเป็นอะไรกับคนอื่นข้างนอกไม่ได้แล้ว เหลือแต่เป็นพลังงานภายในของจิตเท่านั้น อนุสัยของจิตยังเป็นชีวะอยู่ในจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ยังมีความเป็นชีวะเหลืออยู่ค้างอยู่
ผู้ที่เข้าใจชัดแล้วไม่เอาลัทธินั่งหลับตาแล้วก็สะกดจิตตัวเอง นั่งตายแล้วก็ไม่เน่า ยกย่องกันจริงเลย คือไม่ได้อยู่ในศาสนาพุทธ ไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวางรู้จักตายรู้จักเป็น ตายแล้วก็หมดแล้วธาตุวิญญาณธาตุจิต เหลือพีชะก็ทิ้งไปสิร่างพีชะ มันก็สลายเน่าเพราะไม่มีการเข้าไปสังเคราะห์สังขารปรุงร่วมกับธาตุนั้น มันก็สลายเน่าทันทีเน่าไว แต่นี่ไปยึดอยู่ไม่ยอมตายไม่ยอมออก คุณก็ยังสงวนความเป็นชีวะของคุณเอาไว้อยู่ ก็เลยตกเป็นธาตุพีชะในระดับชีวะอยู่ แย่กว่าคนธรรมดาโง่ปฏิบัติผิดทาง
นี่คือความไม่เข้าใจของศาสนาพุทธ พุทธมหายานมีพวกอาจารย์สำนักใหญ่ๆ นั่งตายแล้วก็ไม่เน่า แล้วก็ปิดทองเอาไว้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมี โดยสัจจะของธรรมะแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาปล่อยวาง รู้จักขนาด รู้จักอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ถ้ายึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนี้ยังไม่รู้ เป็นคนไม่เข้าใจศาสนาพุทธ กลับไปนับถือบูชาคนที่อวิชชา ไม่เข้าใจศาสนาพุทธเลย ไม่รู้เรื่องพวกนี้ นี่คือความสับสน เป็นความอวิชชา เป็นความกลับไปกลับมา สับสน ไม่รู้เรื่อง ว่าพุทธคืออะไร แค่ไหน? ไม่เข้าใจ ไปนับถือสิ่งที่ไปยึดมั่นถือมั่น พระพุทธเจ้าให้นับถือสิ่งที่ปล่อยวางละวาง อ้าวไปยึดมั่นถือมั่น ยึดได้ถึงขนาดไม่เน่า มันเกินธรรมชาติมันเกินความเป็นจริงด้วย เกินธรรมชาติไปในทางยึดมั่นถือมั่นนะ ไม่ใช่ว่าเกินธรรมชาติไปในทางเหนือธรรมชาติอย่างโลกุตระ มันคนละเรื่องกันเลย มันโง่ดักดานหนักเข้าไปอีก นี่ฟังดีๆ อาตมาอธิบายธรรมะให้ชัดเจน ขยายความที่มันหลงผิด สับสน ยึดมั่นถือมั่นในทางที่ผิดมาถือเป็นถูก
เหมือนกับทุกวันนี้เอาง่ายๆ มานั่งหลับตาปฏิบัติสมาธิ แค่สัมมัปปธาน 4 ก็ผิดแล้ว สัมมัปปธาน 4 มีตั้งแต่สังวรอินทรีย์ทั้ง 6 คุณไม่ได้สังวรอินทรีย์ 6 คุณไปนั่งหลับตา มันก็ไม่เป็นตามสัมมัปปธาน 4 แล้วไม่มีโลกุตระข้อสำคัญ
ในมูลสูตรทั้ง 10 พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
1. จะปฏิบัติก็มีเค้าเงื่อนของ 4 อย่างนี้เป็นเงื่อนเค้า 1. คุณต้องยินดีในศาสนาพุทธ คุณไม่ยินดี คุณมาเหลาะๆแหละๆ อย่ามาทำเล่นเลยไม่มีทางที่คุณจะได้ธรรมะพุทธ คุณต้องเอาจริงเอาจังเลย ต้องมีฉันทะพากเพียรอุตสาหะวิริยะเรียนจริง มาทำเป็นเหลาะแหละมาศึกษาหน่อยดูพุทธแต่ก็ศรัทธาศาสนาพระเจ้า มาดูสิพุทธมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนเป็นปีแต่ก็ศรัทธาเทวนิยมไม่มีทางที่คุณจะได้รู้จักพุทธอย่างลึกซึ้ง ไม่มี ต้องยินดีจริงๆ เหมือนอย่างไอน์สไตน์จิตศรัทธาในศาสนาพุทธ ยินดีในศาสนาพุทธ ถ้าหากไอน์สไตน์มาศึกษาศาสนาพุทธก็จะไปลิ่วเลย ไอสไตน์มีฉันทะเป็นมูล
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) เขาจะมนสิการเป็นจะโยนิโสมนสิการเป็น จะทำใจในใจเป็น ทำให้กิเลสในใจออกได้ จะดับกิเลสออกได้เป็นมนสิการ
3. จะทำให้กิเลสลดได้นี่ต้องทำอย่างไร ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย ต้องมีผัสสะเป็นเหตุที่คุณจะเรียนรู้กิเลส แล้วคุณถึงจะละกิเลสได้ แล้วคุณจะมนสิการได้ ถ้าคุณไม่มีเหตุคือสัมผัสปฏิบัติไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่สำรวมอินทรีย์ 6 เหมือนอย่างกับสัมมัปปทาน 4 แล้วก็มามูลสูตร 10 นี่ ข้อ 3 นี่บอกต้องผัสสะเป็นสมุทัย สมุทัยไม่ใช่สมุทัยในอริยสัจนะ สมุทัยภาคปฏิบัติ คุณต้องมีสัมผัสเป็นภาคปฏิบัติ ไม่มีสัมผัสเป็นเหตุที่จะปฏิบัติไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่มูลของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ต้นเค้าของทางปฏิบัติ
4. ต้องรู้จักเวทนา แล้วจัดการกับเวทนาให้เป็นสโมสรณา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักเวทนาก็เรียนรู้ ทฺวเยน เวทนาย รู้ธรรมะ 2 ของเวทนา แล้วทำให้เป็นธรรมะ 1 สโมสรณา ภวนฺติ ทำให้สำเร็จ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่น 10 ข้อ 60 ว่า เทฺว ธมฺมา ธรรมะ 2 แล้วก็มาเรียนรู้ ทฺวเยน เวทนาย ก็เอาที่เวทนานี่แหละเป็น 2 ทฺวเยน ก็คือเวทนาย 2 แล้วจัดการทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 นี่คือหัวใจเอกใจของศาสนาพุทธ รู้จักเทวะ รู้จักความเป็น 2 ในโลกนี้มีเทวะ ความเป็น 2
เมื่อทำเวทนา 2 ให้เป็นเวทนา 1 ได้สำเร็จ จิตใจก็เป็นจิตสะอาด ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ก็ทำอย่างนี้แหละ ทำเป็น 1 หรือเป็น 0 ธรรมะ 2 ทำให้เป็น 1 ได้รู้จักธรรมะ 2 ทำให้เป็น 1 ได้ ทำให้เป็น 0 ได้ นี่คือศาสนาพุทธที่ตีเทวะแตก ศาสนาที่เป็นเทวนิยมตีเทวะไม่แตก จึงจมอยู่กับเทวะอย่างงมงายนิรันดรด้วย ไม่มีนิพพานเพราะทำ 1 ไม่ได้ทำ 0 ไม่ได้ ศาสนาเทวนิยมจึงไม่มีนิพพาน เพราะไม่รู้จักเทวะ
เทวะนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาทั้งโลกทั้งอเทวนิยมเทวนิยม มีศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมรู้จักเทวะจึงตีเทวะแตก ทำ 2 ให้เป็น 1 ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ จึงมีอรหันต์จึงมีนิพพาน จึงถึงที่สุดแล้วก็รู้ทั้งหมด รู้ 0 แล้วเท่ากับรู้อินฟินิตี้
0 คือหาที่สุดไม่ได้ อันเดียวกัน อย่างนี้เป็นต้น
5. ต่อมาสามารถทำให้จิตบริสุทธิ์ได้ ให้เป็นนิพพานได้ สั่งสมตกผลึกลงมาเป็นสมาธิ สมาธิจึงเป็นประมุข (ปมุขะ) สมาธิจึงเป็นหัวหน้าจิตทั้งหลาย ผู้สามารถทำให้เป็นสมาธิเป็นจิตทั้งหลายได้ เพราะมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ
6. สติเป็นอธิปไตย อธิปไตยเหมือนเจโต ปัญญาเป็นอุตระ ปัญญาก็เหมือนปัญญาแหละ สติเหมือนอธิปไตย ไปเข้าคู่กันแล้วเจโตกับปัญญา
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด คือปัญญา
มีสติกับปัญญาเป็นหวังเฉา หม่าฮั่นทำงานร่วมกัน เป็นสารีบุตรเป็นโมคคัลลานะ สติสามเส้านี้เป็น cyclic order สติก็คือ ส กับ ติ ติแปลว่าสาม แปลว่าความรู้เป็นธาตุรู้ที่จะครบ 3 คือ ISH มีตัวตนเป็นประธานแล้ว มีพลังงานบวกกับลบหรืออิตถีภาวะกับปุริสภาวะ แล้วจัดการกับพลังงาน 3 นี้ โดยเราเป็นประธานเป็นประมุขสำเร็จ ผู้ทำได้อย่างนี้แหละมีสติมีปัญญา จึงสามารถทำแก่นของธรรมะได้เรียกว่า สาระ
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) มีวิมุติเป็นสาระมีความหลุดพ้นจากโลกโลกียะ แม้โลกุตระก็ไม่ติดไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นผุ้หลุดพ้นทั้งโลกียะทั้งโลกุตระ หลุดพ้น โลกียะทำได้ไม่เป็นโลกีย์ ไม่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลุดพ้นเป็นโลกุตระ แม้เป็นโลกุตระก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา อาศัยโลกุตระทำงานสอนคนอื่นต่อ ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ต่อไป เพราะเราพ้นทุกข์แล้ว
ผู้ที่พ้นทุกข์แล้วจะเห็นคุณค่าของความพ้นทุกข์ เป็นสุดยอดแห่งมนุษย์ที่ควรได้ควรมีควรเป็นที่สุด ก็จะไม่หนีจากโลกง่ายๆ จะเอาอันนี้สมบัติที่วิเศษที่สุดนี่ สอนคนอื่นให้คนอื่นได้ๆๆ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์เป็นพระโพธิสัตว์ทุกองค์ มีเหมือนกันพระอรหันต์ที่เห็นแก่ตัว จบแล้วก็ไม่สอนใครแล้ว แต่ก็สอนมาตลอดจนกว่าจะตาย เช่น พระอรหันต์ที่จบอรหันต์ตอนนี้ แต่ยังไม่ตาย อาจจะ 40 ปีถึงจะตาย แต่ท่านเป็นอรหันต์แล้ว ท่านก็ 40 ปีนี่ก็สอนกว่าจะตาย มีพระอรหัตน์ สมสีสี เท่านั้นหละตายพร้อมกับบรรลุอรหันต์ก็ไม่ได้สอนใคร แต่ถ้าท่านไม่ใช่ สมสีสี ท่านอยู่วันหนึ่งก็สอนวันหนึ่งอยู่ 5 วันก็สอน 5 วัน ท่านบรรลุแล้วก็จบแล้วก็ต้องรีบสอน ไม่มีอรหันต์องค์ไหนไม่สอนคนหรอก เพราะว่าท่านบำเพ็ญมา กว่าจะเป็นอรหันต์ โสดาบัน สกิทาฯ อนาคาฯ เห็นคุณค่าแล้ว โอ้โห...เรากว่าจะได้ มันจะโง่อย่างไรเป็นอรหันต์ว่านี่มันคือสุดยอดสมบัติ ไม่สอนไม่มีหรอกที่อรหันต์จะไม่สอนใครนอกจากสมสีสี ขนาดไม่ได้เป็นยังสอนเลย ฟังดีๆนะ คนนี่เดาว่าท่านไม่สอนใคร ทำไมเห็นแก่ตัวนักอรหันต์อะไร ได้แล้วก็สอนคนอื่นบ้าง ไม่สอนไม่เก่งก็สอนเท่าที่คุณสอนได้ก็แล้วกัน และอรหันต์ก็คือผู้ที่ไม่ขี้เกียจแล้ว ใครจะขี้เกียจแม้แต่จะสอนคน ขอดีๆ ให้คนอื่นบ้างบอกคนอื่นบ้างไม่ได้ เป็นอรหันต์ได้อย่างไร
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน
คนๆนี้ ผู้บรรลุนี้ก็หยั่งลงเป็นผู้อมตะ ไม่เกิดไม่ตายหรือรู้จักเกิดรู้จักตาย ทำเกิดทำตายให้แก่ตนเองได้ อมตะบุคคล วิมุติเป็นอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้นคนๆนี้สามารถที่จะทำเกิดทำตายให้แก่ตนเองได้ เช่นจะตายแล้วคราวนี้ ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานด้วย ท่านก็เลิก แต่ท่านบอกว่ายังไม่ตายเป็นปริโยสาน ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะเกิดอีก อย่างอาตมานี่ตายแล้วก็ไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเข้ามาสืบทอดจะเข้ามาทำ และที่จริงอาตมามุ่งหมายจะต้องบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งให้ได้ด้วย อย่างนี้เป็นต้น หรือบางองค์ท่านก็ไม่ตั้งใจจะเป็นพุทธภูมิหรอก แต่ท่านก็ยังไม่ตาย ท่านก็จะสอนคนบ้างสืบทอด ทดแทนบุญคุณศาสนาพุทธบ้าง แต่ก็ไม่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ทำไป แล้วแต่ แต่ละท่านแต่ละองค์ อิสระเสรีภาพ ไม่มีปัญหาอะไร
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
ต่อจากอมตบุคคลจึงจะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานอันที่สุด มูลสูตร 10 ครบหมดเลย ในความสมบูรณ์ของความเป็นศาสนาพุทธ มีฉันทะเป็นมูล ทำใจในใจ มนสิการ อาตมาใช้ว่ามนสิการเป็น ซึ่งท่านทั้งหลายแหล่บรรดาคณาจารย์ที่สอนกันท่านไม่ได้พูดหรอกมนสิการ ไปแปลว่าพิจารณา
ที่จริงคำว่า มนสิการ คำว่า การะ แปลว่าการกระทำ ไม่ได้แปลว่าพิจารณา
โยนิโสฯมีนัยะว่าจะพิจารณาหรือจะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ทำความรู้เป็นเชิงปัญญา ให้แยกแยะไปลงไปถึงที่เกิดลงไปถึงต้นทางที่มันเป็น เป็นมนสิการ เป็นแดนเกิดเป็นต้น หรือกิเลสมันเกิดตรงนี้ ที่หทยรูป ตรงนี้แหละ ตรงนี้อยู่ตรงไหนอยู่ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก คูหาสยังนี้แหละ จับอาการ ลิงค นิมิตได้คุณก็เรียนรู้อันนี้ ก็แยกแยะให้ได้ จัดการมันได้ แยกแยะให้ได้ รู้จักภาวะรูปจนกระทั้งมีชีวิตรูป แล้วพยายามรู้อาหารรูป มีกามแล้วก็ลดกิเลส เจตนาที่เป็นกามมันมีเจตนาลดให้ได้อาหารรูปตามหมวดที่คุณทำไปเป็นปริเฉท ปริเฉทรูปให้สำเร็จคือจับคู่ทำทำไปเรื่อยๆ นี่แหละธรรมะ 2 สรุปแล้วต้องทำที่เทวะคือธรรมะ 2 หากทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่งไม่ได้คุณก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ได้รู้จักจิตวิญญาณ
คนไม่รู้จักจิตวิญญาณคือคนไม่รู้จักธรรมะ 2 คุณจะต้องกลายเป็นคนจมอยู่กับธรรมะ 2 แตกตัวก็ไม่ได้ โดยไม่รู้จักตัวเองคือธรรมะ 2 นั่นคือเทวนิยมคือศาสนาที่เป็นพระเจ้า แล้วก็ไม่รู้ว่าเทวที่เป็นธรรมะ 2 ที่สูงสุดคืออะไร คือพระเจ้าที่เป็นผู้สั่งมา ฟังพระเจ้า เอาแต่ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ฟังก็ไม่เข้าใจสั่งมาให้ทำก็แล้วกัน เท่าที่ภูมิตัวเองจะบอกว่าดีแล้วก็ทำ พอเราไปทำชั่วแล้วก็บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราทำชั่ว เราก็เลยเป็นบาปเราก็เลยมีนรก ผิดไม่ผิดก็โทษพระเจ้า เมื่อตัวเองได้รับทุกข์จะให้เกียรติพระเจ้าบอกว่าซาตานทำให้เราได้รับทุกข์ แต่ก็ไม่โทษพระเจ้าแล้วบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งที่ซาตานทำให้เราทำชั่วนะ ก็ยังอุตส่าห์ไปหลงพระเจ้าอีกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ก็เลยไม่รู้จะแก้ที่ไหน แล้วทำไมไม่รู้จักตัวซาตาน อาตมาเคยถามว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง แล้วพระเจ้าเป็นผู้ที่สั่งให้ลงนรกทำไมไม่สั่งให้ซาตานลงนรก ทำไมปล่อยให้ซาตานเป็นอิสระ ทำไมไม่จับซาตานไปเข้านรก ปล่อยให้ซาตานเพ่นพ่านอยู่ได้ ดีไม่ดีมายั่วพระเจ้าด้วย แข่งกับพระเจ้าด้วย พระเจ้าต้องการให้คนนี้ไปสวรรค์ทั้งนั้น แต่คนก็มีทุกข์ แล้วก็บอกว่าพระเจ้าช่วยด้วยก็คือหมายความว่าซาตานเข้า ทำไมพระเจ้าไม่รีบช่วย ประจักษ์กรณีคำสอนว่าต้องช่วยตัวเองก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วยทีหลัง แล้วตกลงพระเจ้ามีเล่ห์เหลี่ยมหรือฉลาดจริงกันแน่
เพราะฉะนั้นไม่รู้คำสอนของตนเองว่าตนเองนั้นวนเป็นงูกินหางวนไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีการ 0 ทำ 1 ไม่ได้ ทำ 0 ไม่ได้ มีแต่ธรรมะ 2 คุณจึงจมอยู่กับเทวะ คุณจึงเป็นพระเจ้าอยู่เท่านั้น ตีเทวะไม่แตก ศาสนาพุทธตีเทวะแตก นี่แหละคือความเป็นศาสนาทั้งโลก ศาสนาที่ตีเทวะไม่แตกจึงอยู่กับพระเจ้าที่บอกว่าต้องช่วยตัวเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วย
ศาสนาพุทธสอนว่า อัตตาหิอัตโนนาโถ จบแล้วไม่ต้องพึ่งพระเจ้าพึ่งตัวเอง อัตตาหิอัตโนนาโถ เลิกดับอัตตาตัวเองแล้วสอนอัตตาสอนธรรมะ สอนให้รู้จักตัวตนสอนให้รู้พระเจ้าตีแตกให้ได้ เรานี่แหละใหญ่เราเป็นผู้ทำลายเราทำลายซาตานทำลายกิเลสได้ ศาสนาเทวนิยมพูดถึงซาตานเลย พูดถึงแต่พระเจ้าอ้อนวอนแต่พระเจ้า แต่ไม่พูดถึงซาตานไม่จัดการกับซาตานที่เป็นตัวร้าย ทำไมไม่จัดการกับซาตานเสียจะได้ไม่มีนรก ทำไมพระเจ้าไม่จัดการซาตานเสียจะได้ไม่มีนรก มันวนอยู่เห็นไหมเพราะฉะนั้นไม่จบ
ไม่จบธรรมะ 2 ไม่รู้จักตัวเองทำให้เป็น 1 ทำให้เป็น 0 ไม่ได้ มีศาสนาพุทธทำให้เป็น1 ได้ทำให้เป็น 0 ได้รู้จักเทวะจริง จบเทวะ หมดแม้แต่เทวะก็ไม่มีอัตตาตัวตนไม่มีปรมาตมันใดๆ 0 ว่าง เหลือแต่กรรมกับกาละ นี่คือศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ควบคุมกรรม เป็นผู้ที่สามารถรู้จักกรรมการกระทำของตน ไม่ทำชั่วเลย ทำแต่ดี กิเลสก็หมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีบุญไม่ต้องมีบาป เป็นคนหมดบุญหมดบาป ปุญญปาปริขีโณ อรหันต์ทุกองค์หมดบุญหมดบาป เมื่อไม่มีบุญไม่มีบาปกรรมทุกกรรมจึงมีแต่กุศล จึงมีแต่กุสลัสสูปะสัมปะทา สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่มีแล้วบาปไม่ทำเลย ถ้ามีกรรมก็มีแต่กุศล นี่คือสรุปสุดท้าย เพราะสจิตตปริโยทปนัง เพราะได้จัดการกับกิเลสหมดจดสะอาดแล้ว นี่คือโอวาทปาติโมกข์ 3 ที่สมบูรณ์แบบ
อรหันต์ทุกองค์ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
ยังมีกาละอยู่เมื่อใดเราก็ยังมีเป็นชีวะเป็นจิตนิยามสะอาดบริสุทธิ์แล้ว จึงเหลือแต่กรรมกับกาละที่เป็นกุศล บาปไม่มีเลย ก็สอนให้คนอื่นเป็นอย่างนี้บ้าง อาตมาก็รู้ว่าอาตมาเป็นอย่างนี้ พูดได้ละเอียดยืนยันอธิบาย อธิบายด้วยใจด้วยสภาวะที่มีจริงเอามาขยายความไป
อาตมาจึงอธิบายได้ตลอดเวลาเพราะมีสภาวะ วันนี้ขยายอย่างนี้ วันพรุ่งนี้ต่อไปขยายอย่างนี้มันได้ละเอียดมากขึ้น มุมที่อาตมาขยายนี้มุมเท่ากับความกลม คุณนับมุมมันได้ไหม วงกลมนี้มีเหลี่ยมหลายเหลี่ยมได้ เก่งกว่าล้านเหลี่ยมมาอธิบายให้พวกคุณฟังได้ ไม่ได้เล่นลิ้น พูดจริง
พุทธคุณ 9 ต่อ
5. โลกวิทู ในอันตคาหิกทิฏฐิ 10 ท่านรู้ทั้งหมด เป็นที่สุดแห่งที่สุด
6. อนุตตโร ปุริสธัมมสารถิ คือ ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า บุรุษคำนี้ท่านเอาคำว่าบุรุษมาใช้ก็หมายความว่าคน ฝึกคนให้เป็นคนให้เป็นบุรุษ จะเป็นอิตถีภาวะมามาทำให้เป็นบุรุษที่ควรฝึกได้จนเป็นเอกบุรุษ ฝึกคนสอนคนได้ไม่มีใครยิ่งกว่า
พูดตรงนี้แล้วอยากชมตัวเอง ใครหมั่นไส้ก็ขออภัย
อาตมามาปางนี้ยุคนี้ไม่มีใครยิ่งกว่าอาตมาหรอก ที่อาตมาฝึกคนให้มาเป็นโลกุตระได้จนกระทั่งถึงเป็นสังคมสาธารณโภคี สังคมของชมพูทวีป สังคมของพระศรีอริยเมตไตรย อาตมาทำได้แล้วเป็นของจริง สามารถฝึกบุรุษได้อย่างนี้ไม่มีใครยิ่งกว่าอาตมาหรอก ขออภัยที่พูดความจริงไม่ได้อยากอวด แต่พูดสาระสัจธรรม ใครทำได้แข่งก็เอาสิ ไม่ได้ริษยานะ ไม่ได้อยากให้แข่งเด่น อยากให้ทำได้เก่งกว่าอาตมาเลย มีชุมชนหมู่กลุ่มมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมเป็นอริยบุคคลได้อย่างที่อาตมาทำก็ทำสิ ในประเทศไทยทำขึ้นมา อาตมาไม่แข่ง อนุโมทนาสาธุ จะไปร่วมด้วยถ้าคุณทำได้จริง แต่อาตมายังไม่เห็นมี ก็มีแต่อาตมาพาทำ นอกนั้นก็ไม่เห็นมี มีแต่พวกทำลายศาสนาด้วย พูดไป
ในยุคนี้อาตมาก็เป็นผู้ที่ฝึกบุรุษได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า จริงอยู่ไม่เท่าพระพุทธเจ้าหรอก แต่ว่าอาตมาทำอย่างจริงมีได้จริง เห็นไหม เห็นพวกเราจะเข้าใจและชัดเจน ก็พอสมควรสมฐานะ
7. สัตถาเทวะมะนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เทวะหรือเทวตา
อาตมากำลังอธิบายคำว่าเทวะ ธรรมะ 2 อยู่เทวตา แปลว่าความ เอาคำว่าตาใส่เข้าไปในปัจจัยข้างหลัง เป็นคำนาม เทวดาเทวตา เป็นศาสดาของเทวดา คือคนที่อยู่ในภูมิเจริญ มนุสโสคือผู้ที่มีจิตจะพัฒนาให้เจริญได้ อาตมาสอนมนุษย์สอนคนที่มีจิตเจริญ โดยเฉพาะเป็นเทวดาระดับอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ หรือเป็นสมมตุเทพก็มาสอนให้เป็นอุบัติเทพสอนให้เป็นวิสุทธิเทพได้ อาตมาเป็นศาสดาสอนมนุษย์ผู้ที่ใฝ่ดีใฝ่สูงเทวดาให้เป็นอุบัติเทพ ให้เป็นวิสุทธิเทพได้ อาตมาทำได้เท่าที่อาตมาทำได้ตามภูมิไม่มีใครยิ่งกว่ายุคนี้ นี่พูดความจริงไม่ได้หลงตัวหลงตน ไม่ได้คุยโม้โอ้อวดอะไร อาตมาก็ทำได้สำเร็จเป็นสัตถาเทวะมะนุสสานังตามฐานะของอาตมา ไม่มีใครมาให้ตำแหน่งศาสดาแก่อาตมา ไม่มี อย่าว่าแต่ศาสดาเลยแม้แต่ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ ไม่มีใครมาให้อาตมาหรอก แต่ว่าอาตมาได้ทำจริงเป็นได้จริงสอนเทวดา อาตมารู้จักเทวดา เทวดาสมมุติเทพคือเทวดาโลกีย์ หลงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หมุนเวียนเสพสุขอยู่ในโลกีย์ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข
เทวดาอบัติเทพเข้าใจแล้วทางที่จะปฏิบัติเพื่อที่จะลดกิเลสก็มาทำให้กิเลสลดได้มาเรียนรู้เป็นสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ เป็นเทวดากิเลสลด อย่างพวกคุณนี่เป็นต้น เป็นอุบัติเทพ คนไหนลดกิเลสถอนอนุสัยได้ถอนอาสวะได้ก็เป็นวิสุทธิเทพ ก็เป็นจริงแต่ละคนมีกิเลสอันไหนดับอาสวะได้ก็เป็นวิสุทธิเทพถ้าได้หมดคุณก็เป็นอรหันต์
อาตมาจึงยืนยันว่าอาตมารู้เทวดา มาร พรหม ไม่ใช่มีแต่พยัญชนะ รู้สภาวะรู้ในจิตแล้วสอนพวกคุณ อาตมารู้ของอาตมาก่อน ล้างมาร ล้างผี แม้แต่ไปยึดติดในความเป็นเทวดาก็ไม่มีเทวดา เป็นมนุษย์โส เป็นผู้ที่มีจิตเจริญจิตสูงอยู่ในนี้ ไม่สงสัยไม่หลงใหลในเทวดา และไม่เป็นมาร เป็นผี เป็นสัตว์นรกไม่เอา
8. พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบายด้วยธรรม อาตมาว่าอาตมาเคยถามพวกเราว่า ใครเคยเห็นอาตมาเศร้าอาตมาโศกอาตมาซึมอาตมาอะไรพวกนี้ไหม มีแต่เบิกบานร่าเริงๆ จนอาตมาเองอาตมาไม่สงสัยว่าทำไมอาตมาจึงตั้งชื่อพวกเราว่าอโศก คือ พวกไม่โศก ใครยังโศกยังไม่ใช่พวกอโศกหรอก อยู่ที่นี่เป็นอโศกนี่ไม่มีโศกหรอก ดีไม่ดีจะมากไป เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็คือเป็นผู้ที่ชาคริยา เป็นผู้ตื่นแล้วจากโลกียะ เป็นผู้ที่รู้จักทาง อย่างที่กำลังอ่านเตวิชสูตร รู้จักทางเป็นทางออกทางนำออก มาสู่การบรรลุ ข้ามฝั่งพ้นฝั่งได้ เป็นผู้ตื่นไม่งมงานอยู่กับโลกธรรมแล้ว เป็นผู้รู้มีปัญญารู้เบิกบานร่าเริงได้ พุทโธ
9. ภควา เป็นตัวสุดท้าย เป็นผู้จำแนกธรรม สั่งสอน อาตมาก็เป็นภควาตามบารมีฐานะ จำแนกธรรมอยู่ตอนนี้ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์อยู่ตอนนี้ แน่นอนอาตมายังไม่ใช่ภควโตเป็นพระพุทธเจ้าแต่อาตมาก็เป็นผู้เจริญ ภควาเป็นผู้เจริญ อาตมาเป็นภควาที่จริง สอนอธิบายบรรยายอยู่นี่ เป็นผู้สอนจริงธรรมะจริงบรรยายจริง
สรุปว่าอาตมาเป็นผู้มีพุทธคุณ 9 เหมือนกัน เป็นแต่เพียงยังไม่เท่าพระพุทธเจ้า แต่อยู่ในร่องรอยเดียวกัน เพราะเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมเพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้า แม้เป็นระดับ 7 ยังไม่ถึง 8 ถึง 9 ก็มีคุณธรรมอันนั้นพอตัว สมตัว ซึ่งก็ไม่น้อย อาตมาว่าอาตมามีธรรมะก็ไม่น้อยสามารถแบ่งแจก สามารถที่จะอธิบาย สามารถเอาให้มาปฏิบัติ ได้มรรคผล ได้ความจริง
คนที่ไม่เพ่งโทษอาตมา ฟังธรรมด้วยดี ก็จะได้ปัญญารู้ว่า อ๋อ พระรูปนี้พูดธรรมะ ไม่ได้พูดเลอะเทอะ พูดธรรมะ แต่อาตมาไม่ได้คุยอวดตัว แต่ยืนยันความเป็นตัวเองว่า อาตมาเป็นผู้ที่มีภูมิธรรมเป็นผู้มีธรรมะพุทธเจ้าเป็นผู้มีความรู้มีความจริง ที่เอามาสาธยายมาบอกกล่าว มาอธิบายให้พวกเราได้เรียนรู้เข้าใจและปฏิบัติตามได้ก็เป็นตาม เป็นอย่างนั้นไม่ได้มาค้าขายธรรมะ อาตมาไม่เอาธรรมะไปขายหาเงินแม้แต่จะเอาไปสวดเพื่อหากินก็ไม่ใช่
นอกนั้นคนจะไปบรรยายก็ได้เงินอีกแต่อาตมาบรรยายฟรี อาตมาเคยไปเทศน์ที่ช่อง 9 ก็คือช่อง 4 บางขุนพรหมเก่า อาตมาเคยไปเทศน์ตั้งแต่ตอนโน้นเถรสมาคมยังไม่ต้าน เมื่อเทศนาเสร็จเขาก็เอาเงินมาให้ 1,000 อาตมาบอกว่าอะไร บอกว่าค่าออกอากาศ อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่ได้รับเงินรับทองหรอก ก็คืนเขาไป เขาก็บอกว่าไม่ได้ จ่ายออกมาแล้วให้เซ็นรับเงิน อาตมาก็ว่าเซ็นไม่ได้หรอก อาตมาจะรับเงินไปทำไม ตอนนั้น เขาก็เลยแก้ปัญหาให้ผู้ที่มาด้วยที่เป็นฆราวาสเซ็นรับ ส่วนจะเอาไปให้ใครก็เรื่องของเขา เขาก็แก้ปัญหาอย่างนั้น นี่ก็เคยมีเหตุการณ์เล่ากันฟัง เล่าไปเล่ามาเวลาจะหมด
สมณะฟ้าไท..สรุป
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:47:29 )
รายละเอียด
611021_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีให้แตกจนแหลกสูญในเทวะคือเวทนา 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/10xu8wXoklbt5Gjw9BHlJn1Bn33NtBa6lDjOYnJ_YFT4/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1da5lGyOboahqalomIKJqXkyWSDaEZ53T
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ในยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุค มีคำทำนายความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าต่อไปแม่โคจะขอนมลูกโคกิน ก็เหมือนกับยุคนี้พ่อแม่ต้องขอร้องให้ลูกทำให้ดี ในอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะจัดงานมหาปวารณาฉลอง 48 ปีโพธิกิจ 84 ปีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เรามาร่วมกันสร้างสรรสิ่งที่ดีงามให้แก่สังคม ตอนนี้เรากำลังเตรียมร้านขายในราคาเท่าทุน ร้านปันกัน ร้านศิษย์เก่า(ห้านนี่มี๊ซื่อนะ) ร้านพิสูจน์จิตอาสา
พ่อครูเทศน์ตอกย้ำเสมอว่า สายที่เอาแต่นั่งหลับตา คนมาเยอะก็เงียบเหงาไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคม แต่สายพุทธคนมาเยอะก็จะมีชีวิตชีวา มีประโยชน์ต่อสังคม
“ภัยของชาติคือนักการเมืองที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือหากิน” เป็นคำพูดในโลกInternet ซึ่งโดนใจมาก
พ่อครูว่า...SMS วันที่ 19 ตุลาคม 2561 (พ่อครู : พุทธศาสนาตามภูมิ)
_3867ทุกครั้งพ่อครูอ่านพระตปฎ.จะมีตัวอักษรขึ้นจอประกอบด้วย!วันนี้ไม่ขึ้นเลย!มนุษย์หูเทียมเหลือข้างเดียวฟังไม่ถนัดและข้างเดียวที่เหลือใส่อยู่ยินเสียงก็ไม่เต็มร้อย!วิบากคนโลกเงียบ!
_3867ถ้าไม่มีหนังสือพ่อครูให้อ่าน!ไม่มีสมุดบันทึกให้เขียน!ไม่มีบุญนิยมให้ดู!ไม่มีพ่อครูเทศน์ให้ฟัง!คนโลกเงียบคงจมอยู่ใต้เสียงโลกียธ.ทุกข์ อยู่ใต้อำนาจโลกธ.ไปจนตาย!กราบขอบพระคุณโลกุตระธ.พ่อครูกอบกู้จิตวิญญาณพ้นสุขทุกข์โลกียะธ.สาธุ
_อำภา รื่นใจดี · ลูกเป็นคนหนึ่งที่ได้เคยกล่าวไว้ว่าอโศกเป็นพุทธสถานแห่งเดียวของ
โลก ที่สอนตรงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า คำกล่าวนี้ลูกเขียนมาถวายท่านพ่อครูในเฟสบุ๊ค และท่านพ่อครูได้อ่านออกอากาศแล้วเจ้าค่ะ
ลูกเข้ามาเป็นจิตอาสาที่สันติอโศกได้เกือบสามปีแล้ว จะขอตอบว่าอโศกสอนอะไร แต่ตอบในฐานะคนข้างนอกที่เข้ามาเอาประโยชน์ในอโศก ไม่ใช่ในฐานะตัวแทนอโศก อโศกสอนให้เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์ สอนให้เรารู้และเห็นความจริง ถ้าความจริงนั้นเป็นสิ่งดี มีประโยชน์ต่อตนเอง และมนุษย์ชาติ ทำต่อไป โดยไม่ยึดดีที่เราทำ ถ้าความจริงนั้นเป็นสิ่งเลวไร้ประโยชน์ ก็ให้พยายาม ลด ละเลิก ล้าง ไปตามลำดับ จนความเลวเหลือ 0 และเป็นสูญ อันเป็ความว่างคือสิ้นเกลี้ยงจากกิเลสที่ติดอยู่ในภพนี่คือธรรมที่เป็นเอกและถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่อโศกสอนและยังมีธรรมอื่นๆ อีกมาก แต่ไม่ขอนำมากล่าว สาธุ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...พูดมาสั้นๆก็ชัดเจน เอาไปปฏิบัติและได้ประโยชน์ อย่างนี้แหละที่อาตมาปฏิบัติแล้วมีความประสงค์ให้เกิดผลอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อโศกเป็นคนหมดเนื้อหมดตัวไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
_เพ็ญจันทร์ ภูมิเทศ · ณ วันนี้ เป็นคนหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอนาคต หากตายก็คงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด...(ละซึ่งตัวตน มีชีวิตอยู่เป็นปัจจุบัน และมีเป้าหมายสู่นิพพาน)
พ่อครูว่า...พูดมาก็คงมีความเข้าใจ สั้นๆแค่นี้ได้ความ แสดงว่าเข้าใจ คนที่อยู่ในชาวอโศกในชุมชนบ้านราชนี้ก็ตาม จะมีความรู้สึกอย่างคุณเพ็ญจันทร์นี้ จะมีไหมหนอ แต่ที่ได้พยายามเรียบเรียงลักษณะอย่างนี้ตามที่คำพูดพูดออกมา เป็นคนอยู่อย่างหมดเนื้อหมดตัวอย่างนี้ อนาคตก็ไม่ต้องไปหวังอนาคต เป็นคนหมดอนาคต อยู่ไปวันๆฝันถึงดวงดาว แต่นี้ไม่ต้องฝันถึงดวงดาวอะไร อยู่ไปวันๆไปมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปัจจุบัน มีเป้าหมายคือนิพพาน แสดงว่าเข้าใจว่าอยู่ไปวันๆนี้มีเป้าหมายสู่นิพพานคืออะไร ก็คือปฏิบัติตน อยู่ไปวันๆปฏิบัติปัจจุบันไปลดละกิเลสในปัจจุบันแต่ละปัจจุบันไป กิเลสก็ลดลงไปเรื่อยๆ ถึงนิพพานก็คือความว่างไม่มีกิเลส มีความมีนิพพานไปตามลำดับ อย่างนี้การปฏิบัติธรรมของพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ต้องไปย่างหนอเดินหนอให้เสียเวลา ศาสนาพระพุทธเจ้าปฏิบัติขณะปัจจุบันทำงานอาชีพ มีสัมมาอาชีพ ทำกรรมกิริยาทั้งหลาย มีสัมมากัมมันตะ พูดก็เป็นสัมมาวาจา คิดก็ให้เป็นสัมมาสังกัปปะ ไม่มีหรอกไปนั่งหลับตาแล้วไม่ทำอะไร อาตมาก็ยังงงว่าคนไทยวิปริตไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าไปนั่งหลับตาสะกดจิตเอาเป็นเอาตายเต็มไปหมดเลยในประเทศไทย สำนักปฏิบัติเอาแต่นั่งหลับตา อาตมาก็ดูว่างงๆกัน มันอะไรกัน
พระไตรปิฎกก็ยังมีอยู่ชัดเจนอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ไปสอนแบบพระป่าไปนั่งหลับตากัน ก็เลยงง นั่งหลับตาไม่มีในสารระบบของพระพุทธเจ้าท่านตีทิ้ง แต่ท่านเป็นผู้ดีไม่พูดเหมือนอาตมาที่พูดให้ขจัดทันที แต่พระพุทธเจ้าประนีประนอมก็ตรัสไป แต่อ่านให้ดีๆศึกษาให้ดีๆคำสอนพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตา ไม่มีหรอกไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่เลยถ้าเข้าใจด้วยปัญญาที่จริงแล้ว นั่งสะกดจิตหลับตามันไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้า ศาสนาพระพุทธเจ้ามีสัมผัสเป็นปัจจัย มีธรรมะ 2 มีรูป มีนาม มีกายสัมผัส แล้วก็รู้จักเทวที่แปลว่า 2 โดยสภาวะก็แปลว่าสัจจะ 2 อย่าง คือจิต ความรู้สึก ที่ไปหลงเทวหลงเทวดา หลงว่าเป็นความสุข แล้วก็ดับทุกข์ไม่เป็น หลงความสุขต่างๆ เลยกลายเป็นศาสนาลัทธิที่เป็นคำสอนเพื่อแสวงหาความสุขเท่านั้น
อาตมาจับสัจจะหนึ่งเดียวในมหาจักรวาลในโลกนี้ได้คือเทวนิยมกับอเทวนิยม
สายเทวนิยมตีไม่แตก สายพุทธจับเทว สภาวะธรรมะ 2 แล้วตีแตกอันนี้ ทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็นศูนย์ได้ จบเลย ปรินิพพานป็นปริโยสานได้เลย ชัดเจนทุกอย่าง
_ปาลิตา ทองสุขนอก · น้อมกราบนมัสการพ่อครูเจ้าคะ ลูกเป็นคนหนึ่งที่พยายามตั้งใจจะเป็นชาวอโศกรุ่นใหม่ ลูกระลึกถึงชาวอโศกรุ่นเก่าและท่านสมณะหัวเก่า ๆ ในบางรูป สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นอโศกพัฒนาในทางที่ดี ๆ มาก ๆ สมมุติถ้าเรารู้ว่าชาวอโศกเก่า ๆ อยู่วัดมานาน หรือสมณะบางรูปอาจจะมีเจตนาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่อะไรหรือเปล่า หนูขอเสนอยกให้เขาไปเลยเจ้าคะพ่อครู บอกเขาว่าดูแลอโศกให้ดี พวกเราจะเป็นกำลังใจให้ สำหรับคนรุ่นใหม่ ๆ หลายท่านรวมทั้งลูก อยู่สบายดี รักพ่อครูที่สุดเหมือนเดิม สาธุจ้า น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ
พ่อครูว่า...
_SMS วันที่ 20 ตุลาคม 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : พุทธศาสนาตามภูมิ)
_3867หมอฟ้ารักเป็นเสมือนน้ำประสานทอง!จำคำพูดหมอตอนที่ชาวอโศกมีปัญหาขัดแย้งกัน!แล้วพ่อครูเกิดอาการถอดใจไม่ไหวจนต้องมาพักฟื้นที่ภูผาฟ้าน้ำ!หมอพูดสะกิดจิตกินใจจนปัญหาจบลงที่รวมใจเป็น1เดียวกันเพื่อพ่อครูฯสาธุธ.รักษ์เอกภาพหมู่กลุ่มฯ
พ่อครูว่า…เลยไม่รู้ว่าหมอฟ้ารักพูดตอนไหน?
_สีดิน : กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ สมาธิคือการทำการสลัดตัดกิเลสให้ออกไปจากจิตให้เร็วที่สุด ยิ่งตัดกิเลสเร็วมากเท่าใดสมาธิเรายิ่งแข็งแรงดียิ่งขึ้น ซึ่งการสลัดกิเลสออกเป็นการเติมพลังจิตให้มีพลังในการทำดีมากๆยิ่งๆขึ้น จนกิเลสเกิดไม่ทันหรือไม่เกิดกิเลสเลยนั่นคือการได้สัมผัสถึงคำว่าโลกุตระที่เกิดขึ้นในจิตได้ตลอดเวลา จิตที่การทำการตัดกิเลสได้ก็คือบุญอย่างแท้จริง กิเลสออกไปได้แล้วเมื่อใด บุญก็หมดหน้าที่ในการทำงานในการกำจัดกิเลสออกไปเช่นกัน ที่เข้าใจอย่างที่เขียนมาถูกต้องหรือไม่ กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า...ถูกต้องลัดคัดสั้นพูดมาสั้นๆง่ายๆดีใช้ได้ อาจจะไม่ยาวยืดไม่ครบสมบูรณ์แต่ชัดเจนดีใช้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิ คือการ ตัดกิเลส
มาพูดถึงว่า สมาธิ คือการ ตัดกิเลส อันนี้แหละ เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากที่ทุกวันนี้มันผิดเพี้ยนไปอย่างไรอาตมาก็ยังงงที่ไปนั่งหลับตา แล้วมันจะรู้ตัวได้อย่างไร กิเลสมันเกิดก็พยายามสะกดเพื่อให้มันลดลง อย่าให้มันเกิดกิเลสนั่งหลับตาแล้วก็ไปให้มันนิ่งอย่าให้มันคิดนึกอย่าให้มันเกิดกระทบสัมผัสอย่าให้รู้สึกอะไรเลย ให้ไปเวทนามันนิ่งหยุดเป็นเฉยๆ ไม่เรียนรู้อะไรเลยมันก็เสียเวลาตลอดชาติไม่รู้กี่ชาติเป็นอย่างนี้อยู่ เพิ่งจะทำให้คนที่เขาหลงติดแล้วซึ่งเขาไม่ฟังอาตมา เขาหลงที่เรียนมาว่าถูกต้องแล้วมันน่าสังเวชใจน่าสงสาร จะทำอย่างไรจึงจะไปงัดแงะเขาขึ้นมา ให้เปลี่ยนแปลงความคิดใหม่มันน่าเห็นใจนะ
ศรัทธาศาสนาตั้งใจพากเพียรเอาชีวิตมาทิ้งกับศาสนา เรียนกันในสำนักแต่ละสำนักๆ แต่ทำให้ลูกศิษย์จมและโง่ลง ไม่รู้จะทำอย่างไรก็สงสาร
สมณะฟ้าไทว่า...เคยคุยพวกสายนั่งหลับตาเขาบอกว่าท่านมาทางนี้ผิดทางหรือเปล่า ผมก็บอกว่า อาตมาลดตัดกิเลสได้ไม่มีปัญหาอะไรไม่ผิดทาง เขาบอกว่าอย่างนั้นหรือไม่ผิดทางก็ไม่เป็นไรเป็นห่วง อาจารย์สายนั่งหลับตาเป็นห่วงผมมากว่าจะผิดทาง
พ่อครูว่า...ผมก็ว่าน่าเห็นใจนะ ต่างก็เป็นห่วง เราก็ห่วงท่านท่านก็หวงเรา เราประกาศตนว่าเป็นอรหันต์เป็นพระอาริยะพ้นทุกข์รู้ทางที่ถูกต้อง เขาก็ฟังไม่ขึ้น ก็ยังงง มันน่าจะเอาคำเราไปพูดว่า กล้าอย่างไรพูดอย่างนี้มันจริงเหรอ มันเป็นสุขเหรอ มันยืนยัน แล้วก็หลงอยู่อย่างตรงนั้น จะทํายังไงอีก ท้าทายก็แล้วบอกความจริงก็แล้ว อธิบายให้ยาวยืด อาตมาว่าไม่มีใครมาอธิบาย แหลกแตกละเอียดอย่างอาตมาหรอก เอาบันทึกในพระไตรปิฎกมาขยายความอย่างนี้ อาตมาอธิบายได้ให้ฟัง สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วบันทึกไว้โบราณอาจารย์ผู้รู้ท่านเห็นว่าเป็นของมีค่าทั้งนั้น ของไม่มีค่าเขาไม่เสียเวลาหรอก ทำความเข้าใจให้หมดสิ อธิบายให้กันฟังนี่เป็นคำสอนเป็นความตรัสรู้ของพุทธเจ้านะ แต่เขาก็ไม่ฟังไปนั่งหลับตาแล้วจะรู้เอง ถ้าอย่างนั้นมันเป็นจริงนั่งหลับตาแล้วจะรู้เอง พระพุทธเจ้าจะมาอธิบายให้เสียหลายทำไม คิดอย่างตื้นนี้ก็ได้ไม่เห็นต้องคิดให้ยากอธิบายให้ยาวยืดยาด ถ้าหากนั่งหลับตาแล้วจบทุกอย่างได้
เป็นเรื่องน่าสังเวชใจน่าสงสาร คนเหล่านี้มันจะโง่ไปถึงไหน โง่ไม่เคยเอาฉลาดมาใส่เข้าไปบ้างเลย โง่ไม่เหลือเศษฉลาดได้อีกเลย อย่าหาว่าปากร้ายเลย ทำไมโง่ได้ดิบได้เถื่อนขนาดนี้
สมณะฟ้าไทว่า...เพื่อนผมเป็นสายหลับตา บอกว่าจะมาหาหลายทีก็ยังไม่มาสักที
พ่อครูว่า...อาตมาชาตินี้ พยายามงัด ใช้ชะแลงก็แล้วหรือจะใช้คานดีดคานงัดของอาร์คีมีดีสได้ไหม
_ลูกเป็นคนช้า ติดนิสัยเป็นคนละเอียดทำอะไรต้องวางแผนให้เรียบร้อย แบบนี้จะเป็นการเพียรหรือกามคุณคะ
พ่อครูว่า..ต้องอ่านอาการของกามให้ออก ลักษณะใคร่อยาก กามมันเป็นอย่างไร มาถามอาตมาทำไม อ่านอาการนั้นให้ออก ว่าลักษณะของกามเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นกามหรือเปล่า มีความเพียรคือพากเพียรปฏิบัติตามที่เราเข้าใจ เข้าใจอย่างนี้ก็พากเพียรปฏิบัติก็ดีแล้ว
กามก็อย่างหนึ่งเพียรก็อย่างหนึ่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เจตนาแต่ไม่สาเปกโข
_มีผู้บอกว่าทําอะไรอย่าตั้งความหวัง แต่พอมีเหตุกับชุมชนข้างเคียง เราก็พยายามจะปรับความเข้าใจและทำความรู้สึกที่ดีงามต่อกัน ที่ไปทำยังหวังค่ะ หวังว่าจะขจัดความขุ่นข้องหมองใจและยังหวังว่าจะให้เกิดความเป็นพี่เป็นน้องระหว่างชุมชนอโศกและชุมชนข้างเคียงหนูก็ยัง สาเปกโข อยู่ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...จะบอกว่าไม่มีความหวังแล้วจะเป็นการปฏิบัติ เราไม่รู้ว่า สาเปกโข คือการตั้งจิตที่มีตัวต่อ จากการคิดการนึก ถ้าเราเจตนาว่ามันน่าจะเป็นเช่นนี้ เจตนามันน่าจะเป็นพี่เป็นน้องกัน ก็รู้จักเจตนา เราก็ไปสร้างเหตุให้เกิดความเป็นพี่เป็นน้องโดยไม่ต้องมีจิตไปหวังว่าเขาจะมาเป็นพี่เป็นน้องกับเราได้หรือไม่ นี่คือไม่ต้องไป สาเปกโข แต่เรามีเจตนาอย่างนี้ๆ
ถ้าเข้าใจภาษาสื่อให้รู้ว่าเจตนาคือความรู้ที่มีจุดหมายไปข้างหน้าเรียกว่าเจตนา จุดหมายไปข้างหน้าว่าน่าจะให้เป็นพี่น้องกัน เราก็ไม่ต้องไปสร้างความหวังเป็นภพชาติ แต่ทำเหตุให้ถึงจุดหมาย นี่คือไม่มีสาเปกโข
มี 1 แน่นะ 1 + 1 ก็เท่ากับ 2 หรือ 1 + 1 + 1 = 3 ทำให้มันครบบริบูรณ์ มันก็เป็นผลเองไม่ต้องไปหวังผลก่อน เรารู้จักเหตุทำเหตุให้ครบ เป็นแต่เพียงมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าอันนี้มันจะได้เท่านี้นะ ไม่ต้องไปหวังนี่คือไม่มี สาเปกโข แล้วก็จะไม่อกหัก ไม่ทุกข์ไม่ร้อน มันเป็นวิธีการเบื้องต้นที่พระพุทธเจ้าบอก
_จะทำอย่างไรให้ใจไม่เศร้าหมอง เวลาเจอผัสสะ ทำใจให้เบิกบาน ทำอย่างไรให้ใจอยู่เหนืออำนาจกิเลสได้ พอเจอทีไรแพ้ทุกที
พ่อครูว่า..นี่พูดเองนะ ...นั่นแหละตอบเอง พูดถูกแล้วอย่าเอาแต่ถาม แต่ให้ทำด้วยให้ทำอย่างที่เข้าใจนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงคืออะไร
_สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงคืออะไรคะ
พ่อครูว่า...มันจะต้องมาเรียนรู้ธรรมะ 2 คือเทว ธรรมะ 2 คืนหนึ่งคำว่า ศักดิ์ พยัญชนะแปลว่าอะไรสภาวะแปลว่าอะไร คำว่า สิทธิ์ สภาวะแปลว่าอะไรพยัญชนะแปลว่าอะไร
ถ้าใครวิจัย 2 นี้ได้ทั้งหมดทุกคนจบเลย เข้าใจธรรมะสองนี้อาตมาสรุปได้ว่าศาสนาทั้งโลกนี้มีธรรมะ 2 เพราะฉะนั้นจับคู่มาวิจัย แล้วก็จัดสรรให้ได้ว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ต้องทำอันนี้ให้มันเป็นอย่างนี้มันก็จะเกิดความดีงาม อย่างนี้ดีงามแล้วก็ทำให้ได้ เมื่อคุณสามารถ 1. รู้ 2. แล้วก็ทำ ทำได้จิตใจก็จะเก่งขึ้นจนกระทั่งจิตใจคุณ มีทั้งตัวรู้และทำได้ จิตใจของคุณก็จะเป็นจิตที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้จบเลย
จะเป็นศาสนาเทวนิยมเขาตีเทวไม่แตก เขาแยกสภาวะกับพยัญชนะไม่ออกเขาก็เลยจมอยู่กับเทว ตีไม่แตกแยกไม่ออก จมอยู่กับเทวเขาก็อยู่ไป เขาไม่เข้าใจว่าที่ว่านี้คือธาตุรู้ความรู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ให้ท่านบอกมาแล้วเราก็ฟังตามท่านก็แล้วกัน ถ้าได้แล้วมันก็เป็นจริง
พระพุทธเจ้าท่านให้พึ่งพาตนเอง อัตตาหิอัตโนนาโถ ตีแตกความเป็นเทวดา แตกความเป็นธรรมะ 2 แล้วรู้ว่าธรรมะ 2 มีดีมีชั่ว มีทุกข์มีสุข ก็เอาอันใดอันหนึ่งให้ได้ ใครๆก็อยากได้สุขไม่อยากได้ทุกข์ แต่ก็ทำให้สร้างแต่อารมณ์สุขไม่สร้างเหตุ มันก็เลยไม่จบ
เมื่อมาเรียนรู้เหตุแห่งทุกข์แล้วดับเหตุแห่งทุกข์ แล้วความสุขที่เกิดนี้ยิ่งกว่าสุขัลลิกะ ไปหลงสุขที่บำเรอเหตุมัน มันไม่มีจบ ตีไม่แตกมีแต่ซ้ำเติม กิเลสที่เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์มันเบลอ กิเลสก็ยิ่งจะโตก็ยิ่งจะอยากได้อยากได้สุข แต่ไม่มีวันจบ
แต่พระพุทธเจ้ามาเรียนรู้เหตุแล้วดับเหตุแห่งทุกข์ มันก็หมดเลยไม่เหลือเลย ดับเหตุแห่งทุกข์หมดเลยหมดเหตุ ทุกข์เราก็ไม่มี
ถามจริง พวกเราใกล้ๆความรู้สึกที่อาตมาพูดนี้ไหม ...ใกล้ เพราะเราอยู่กับสิ่งแวดล้อมกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราทุกข์ เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ทุกข์มาก สิ่งแวดล้อมอันนี้มันพาให้เราทุกข์ แต่ทุกข์ก็ลดลง มันก็เข้าหาตถตา ก็หันกลับมาที่ตัวเรา เราอยากจะได้เพิ่มอยากจะได้อันนี้มากขึ้น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เราก็ไม่ได้อยากให้เกิดความสุขมากกว่านี้ มันสุขแค่นี้ก็เหลือพอแล้ว ยศแค่นี้ก็เหลือพอแล้ว สรรเสริญก็ไม่มี มีแต่ถูกตำหนิด้วยซ้ำ ก็เราเข้าใจด้วยว่าตำหนินี้ดี เขาตำหนิมาถูกเราก็ขอบคุณมากก็แก้ไข เขาตำหนิเราแล้วเราก็ตรวจสอบอย่าลำเอียงเข้าข้างตัวเอง หากเขาตำหนิผิดไม่รู้ความจริงเขารู้ไม่พอ เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่ต้องบอกเขาโง่หรอก เขาตำหนิผิดก็บอกไป มันก็สบายมากเลยชีวิตนี้
อย่างอาตมานี้คนตำหนิอาตมาผิดเยอะ เพราะอาตมาพูดไปเยอะ แล้วเขาก็ไม่ตรวจสอบความจริงว่าที่พูดนี้จริงไหม ได้แต่หาแง่มุมที่มามองในแบบลบกับอาตมา อาตมาก็ว่าคนนี้เขาไม่หมดปัญหา เขาหาแต่ปัญหาให้ตัวเอง ก็เลยฉลาดไม่เข้าหาสักที เพราะเขาหาแต่ปัญหากับตัวเองแล้ว คนนี้ก็ไม่เกิดปัญญาเท่าไหร่ เพราะเอาแต่ปัญหาให้แก่ตัวเอง ต้องเอาปัญญาใส่ให้กับตัวเองบ้าง หากไปเจอคนนี้ก็ทำปัญหากับคนนี้คนนั้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่จบ อาตมาบอกให้หาปัญญาก็ไม่หา เอาแต่ปัญหา จะโง่ไปถึงไหนฉลาดบ้างได้ไหม
ถ้าคุณเห็นว่าอาตมาเป็นตัวปัญญา คุณจะได้ปัญญาจริงๆคุณจะไม่มีปัญหา ปัญหาก็จะหมดลงเรื่อยๆ เพราะว่าอาตมาเป็นเจ้าปัญญามีแต่ปัญญา
หากใครไม่มีปัญหา คนนี้ จ่ายหรือทำอะไรก็มีแต่ปัญญาคนนี้รับรองว่าเป็นอรหันต์ ฟังให้ดีย่อมเกิดปัญญา จะเป็นอรหันต์ได้
แต่คนที่ฟังแล้วมีแต่ปัญหา คนจะบอกว่า ขี้ดีกว่าข้าวก็หาเหตุได้ จริงๆเอาขี้ทำปุ๋ยดีกว่าข้าวนะ
พระพุทธเจ้าตั้งประเด็นไว้ ท่านจะแสดงเรื่องทุกข์กับมนุษย์ทั้งโลก ผู้ใดรู้ปัญหาเรื่องทุกข์หมดแล้วผู้นั้นหมดเหตุที่จะทำความชั่ว หมดเขตที่จะทำความไม่ดี หมดเขตครอบคลุมไปหมดทั้งในลาภยศสรรเสริญสุข เรียกว่าโลกทั้งหมด โลกธรรม ก็หมดเหตุหมดเรื่อง
ศาสนาพุทธคือรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ ทางดับทุกข์และก็ทำความดับทุกข์ได้ก็จบ มีชีวิตดำเนินต่อไปก็ทำแต่คุณงามความดีไม่มีพิษมีภัยไม่เสียหายอะไรเลย จริงๆอย่างอาตมานี่ เป็นคนไม่มีพิษมีภัยไม่เสียหายอะไร แต่คนโง่มองไม่ออก คนฉลาดจะรู้ ว่าไม่
อาตมาเป็นคนซื่อๆพูดตรงๆแต่คนก็หาว่าอวดตัวตนอีกเขาไม่เชื่อ
ความไม่เชื่อของคุณนั่นแหละเป็นตัวทำให้คุณโง่ ถ้าคุณเชื่ออาตมาไม่เอาอะไรมาคิดว่าจะมาเป็นคนไม่น่าเชื่อ อาตมาเป็นคนน่าเชื่อ คุณไม่ต้องมีเศษเพียงนิดน้อยในความไม่เชื่อในอัตตาไม่มีเลยคุณได้แต่ดีถ่ายเดียว
อาตมาพูดไปด้วยเอาตัวเองมายืนยัน เป็นปรากฏการณ์เป็นฟีโนมีนอน มีของจริง ทั้งพยัญชนะและสภาวะ เป็นธรรมะสอง
อาตมาเข้าใจธรรมะ 2 ศาสนาที่เป็นพระเจ้าหลงติดจมอยู่ในเทว แล้วก็เป็นเทวผู้ที่ใหญ่ อยู่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยสัมผัสอยู่เลยไม่เคยแตะต้องกันเลย แต่เป็นผู้รู้ผู้ยิ่งใหญ่ผู้สร้างผู้บันดาลทุกอย่าง ยกให้แก่พระเจ้า
แต่อาตมาพึ่งตนไม่พึ่งพระเจ้า ตามพระพุทธเจ้าสอนแล้วเรียนรู้เทวะเป็นมหาเทวดามหาเทวดา อาตมาก็เรียนรู้ธรรมะ 2 ให้มาเป็นปัจจุบัน
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่ไปกระทบรูป แล้วเรียนรู้ตั้งแต่สิ่งเล็กน้อย อะไรที่ดีอะไรไม่ดีทำความไม่ดีออกไป แต่ละคู่ เป็นธรรมะ 2 จนมันหมดเลย อาตมาเห็นแล้วว่าธรรมะ 2 ในโลกนี้สิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี เรียนรู้ธรรมะ 2 ก็จะไม่งง
ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่เอาสิ่งที่ลึกลับ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนสัมผัสก็ไม่ได้ แม้แต่ประกาศก Prophet ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าขึ้นมาเป็นมนุษย์ในโลก เสร็จแล้วพระบุตรนั้นบอกว่าเอาคำสอนของพระเจ้ามาประกาศเรียกว่า ประกาศก
เทวะ คือธรรมะสอง มหาเทวะใหญ่สุดที่ไม่มีใครสัมผัสได้ พระบุตรที่เอาคำพูดมาประกาศก็ยังไม่ได้สัมผัสจริงเลย แล้วก็ห้ามไม่ให้วิจารณ์คำสอนนั้นด้วย เป็นศาสนาที่บังคับเป็นศาสนาแห่งนายทาสกับลูกทาส เป็นศาสนาที่ไร้อิสระเสรีภาพอย่างน้อยก็เป็นทาสของพระเจ้า ไม่มีความเป็นอิสระ ศาสนาพุทธให้ความเป็นอิสระ ให้เลิกตั้งแต่เป็นทาสพระเจ้า ใครที่รักความเป็นอิสระเสรีภาพ เริ่มต้นก็ไม่ต้องเป็นทาสพระเจ้าแล้ว
อย่างลูกApple อีฟที่พระเจ้าชักเอากระดูกซี่โครงซี่ที่ 7 ของอดัมมาสร้าง อาตมาอธิบายได้ ลูกกระเดือกก็อธิบายได้ซี่โครงที่ 7 ก็อธิบายได้เป็นธรรมะทั้งนั้น แต่เขาไม่รู้เขาตีไม่แตก ศาสนาเทวนิยมตีไม่แตก
Apple พืชคืออาหาร จะเป็นมนุษย์ต้องกินอาหาร จะยืนยันว่าต้องกินอาหาร แสดงว่ามนุษย์ต้องกินอาหารอย่างนี้ อาหารคืออะไร คือ Apple คือ พีชะ เพราะฉะนั้นในศาสนาคริสต์หรือศาสนาเทวนิยม จะบอกว่าอาหารคือต้องกินพืชผักผลไม้ ผลไม้ลูกแรกเรียกว่าแอปเปิ้ล แล้วก็ยืนยันลักษณะ เป็นสภาวะยืนยันให้เห็น สัตว์โลกนี้ต้องกินอาหารและก็ต้องกินพืช ทีนี้ อีฟ คือ ส่วนหนึ่งของความเป็นคนคือพลังงาน 7 ที่ได้เอามาเป็นตัวบทบาทแตกเป็นธรรมะ 2 ก่อเผ่าพันธุ์ด้วยกัมมโยนิ เพราะฉะนั้นจึงมีลูกหลานของอดัมกับอีฟทั้งนั้นแหละ เพราะคนนี้เป็นลูกของอดัมกับอีฟทั้งนั้น อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาไม่ต้องไปเรียนศาสนาคริสต์หรอก แต่อธิบายได้ ที่พูดนี้ไม่ได้ไปเรียนมาจากตำราของคริสต์ ไม่เป็นความรู้ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แล้วก็ไม่ผิดหรอก ถูก ถ้าคุณเข้าใจได้ก็ถูก ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นมันก็จะไม่เกิดมีลูกหลานของอดัมกับอีฟอย่างนี้ พวกที่เรียนศาสนาคริสต์มาก็จะเข้าใจดีว่าอาตมาพูดนี้ถูกไหม
ศาสนาพุทธไม่ใช่แค่หมดทุกข์ แต่ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ทำให้เกิดธรรมะ 2 เป็น 1 และทำเป็น 0 ได้จบหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
มะละกอกับฟักข้าวไม่ทะเลาะกัน เพราะมันเป็น พีชะ เสือกับสัตว์อื่นมันก็ทะเลาะกับสัตว์อื่น แบคทีเรียอันนี้ก็ทะเลาะกับแบคทีเรียอันอื่น เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นสัตว์นี้เป็นธาตุที่ นักรบนักกัดกัน มีสิ่งที่จะต้องทำคือพยายามทำอย่างไรไม่ให้กัดกัน จะไปทำให้แบคทีเรียไม่กัดกันทำให้สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยไม่กัดกันมันเกินไป มันยาก เอาแต่คนไม่ให้กัดกันก็พอแล้ว
อาตมาพยายามมาสอนมาแนะนำไม่ให้กัดกัน ถ้าคุณเป็นสัตว์ก็กัดกันอยู่เป็นเดรัจฉาน มาเป็นคนก็ใช้คำพูดตกลงกันทำความเข้าใจกัน เพราะว่าคนเราจะต้องสื่อสารกันด้วยพยัญชนะทำความเข้าใจกันด้วยพยัญชนะด้วยภาษาด้วยคำพูด เพราะมนุษย์นี้สร้างคำพูดได้มันมีไม่รู้กี่ภาษา คนมีภาษาไหนก็ใช้ภาษานั้น ทำความเข้าใจกันให้ได้ ตกลงกันด้วยภาษาแล้วก็อยู่กันอย่างสร้างสรรค์ไม่มีการทะเลาะกันมีความสุข อาตมาทำได้อย่างประสบผลสำเร็จ จนกลายเป็นหมู่กลุ่มชาวอโศกสบายมากเลย คุณเชื่อไหมว่านักเลงโตคนเกเรเข้ามาในถิ่นของอโศกไม่ได้ เชื่อไหม
เขาเข้ามาก็ไม่ได้อะไร เขามาทำร้ายพวกคุณจะยอมให้เขาทำร้ายไหม 1. ยอม 2. หนี ไม่ตอบโต้เลย ด่าก็ไม่ตอบโต้ทะเลาะก็ไม่ตอบโต้หนีไปดีกว่า เพราะเขาเป็นพวกที่สัตว์กินสัตว์ต้องหาคู่กัด
อาตมาเองอาตมาเข้าใจธรรมะทะลุเข้าใจธรรมะตลอด เอามาอธิบายคนที่เข้าใจก็ได้ประโยชน์ พวกเราก็สบายสงบมีชีวิตอยู่อย่างเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามมีสันติ เป็นชีวิตที่มีภราดรภาพ มีอิสระเสรีภาพ มีสันติภาพอันนี้เป็นวัฒนธรรม สันติภาพ ภราดรภาพ บูรณภาพ
ครบ 5 ภาพนี้มากกว่าฝรั่งเศส ที่มี 1. อิสระเสรีภาพ 2. เสมอภาค 3. ภราดรภาพ
เกร็ดดินมีชีวิตตั้งแต่ตัวเล็กน้อยอยู่ที่ฝรั่งเศสมา ศึกษาดี รู้จักฝรั่งเศสดี
ในความเป็นมนุษย์อาตมาว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ พระพุทธเจ้าเกิดมาไม่ได้ทำอะไร มาศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม แล้วท่านก็รู้จบ ท่านมาประกาศความรู้ของท่านไว้ให้แก่โลก แล้วก็ปรินิพพานไป ผู้ที่เรียนรู้ตามอย่างเช่นอาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็มาสืบทอดมาขยายความทำให้คนรู้ตามให้ได้เท่าที่เราจะเก่ง เข้าใจอย่างนี้ถูกต้องแล้วสืบสานต่อไปเป็นประโยชน์ของมนุษย์
อาตมาทำงานนี้เพราะงานนี้เป็นงานที่ประเสริฐที่สุดของมนุษยชาติ ถ้าหากสมมุติอาตมาจบทางด็อกเตอร์ทำงานทางโลก ได้เป็นนายกฯได้เป็นรัฐมนตรี อาตมาก็ไม่เอา
ชีวิตอาตมานี้ดีไม่เคยไปรับราชการ หลงลิงลมอมข้าวพองหลายปี ก็รู้ว่าไม่ยากหรอก หากอาตมาทำต่อ อากู๋แกรมมี่ อาร์เอสไม่เกิดหรอกเพราะอาตมาวางแผนจะทำสำนักงานหัวใจสีชมพู มีโลโก้แล้วนะที่ใช้ของบุญนิยมทีวีนี้คือโลโก้ของสำนักงานหัวใจสีชมพูนะ ตรงหัวใจกลางสีแดง
อย่าง ดาราฟ่านปิงๆอายุ 30 ปีหาเงินได้เป็นพันล้าน โจวเหวินฟะ ตอนนี้จะยกสมบัติของตัวเองให้สาธารณะ ของตัวเองมีทรัพย์สินรวมกันแล้วตอนนี้ สองหมื่นสามพันล้านบาท หรือ 5.6 พันล้านดอลลาร์ ฟ่านปิงๆก็จะยกให้การกุศลคือ รัฐบาลจะเอาไปไม่งั้นจะให้ติดคุก สิ่งเหล่านี้เมื่อคนที่รู้แล้ว เงินทองข้าวของไปแย่งเขามาแล้วก็ไม่ดี ในโลกนี้ สังคมโลกในยุคไหนก็แล้วแต่ หากว่าราคาของดาราอบายมุขกับราคาค่าตัวนักกีฬา คือขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ หากราคาดารา นักกีฬาสูงแพง นั่นคือสังคมโลกเสื่อมลง นายทุนจะสร้างอำนาจทำมาหากินมอมเมาโลกซ้ำแล้วซ้ำอีก มันน่าสงสารโลกที่ฉลาดไม่ดีเลย น่าสงสารมาก เต็มไปด้วยโง่ไม่มีฉลาดไม่รู้จะทำอย่างไร ขออภัยพูดเป็นภาษาข่มดูถูก
พูดด้วยความจริงใจไม่ได้รังเกียจไม่ได้ดูถูกแต่สงสาร คำว่าสงสารนี้คือสังสารวัฏ มันยิ่งใหญ่ที่สุด คือการวนเวียนกับโลก กิเลสก็พาให้จมอยู่ในนรกและสวรรค์ ศาสนาพุทธทำให้ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ รู้จบสูงสุด ความตรัสรู้ของพุทธเจ้ารู้ตรงนี้ อยู่ที่หมดนรกหมดสวรรค์ มีแต่จิตที่เป็นอทุกขมสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์มีแต่สุขที่บริสุทธิ์ มีคุณภาพ 5 อย่าง มีคุณลักษณะ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธา จิต บริสุทธิ์ไม่มีกิเลส ถ้าเรียกว่าธรรมะ 2 ก็ไม่มีกิเลสแล้วเป็น 0 เป็นธรรมสูญไม่มีกิเลส อธิบายด้วยพยัญชนะคือจิตไม่มีกิเลสสภาวะไม่มีกิเลสสูงสุด คือไม่ทุกข์ไม่สุข ชั่วไม่มีดีก็ไม่มี เพราะเราหมดชั่วหมดดี ความชั่วอาตมาไม่ทำ ดีอาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรมีแต่ปัญญา กรรมของอาตมามีแต่การกระทำที่เป็นตัวกระทำที่เป็นปัญญา และคือดี ไม่มีชั่วสักตัว กรรมที่เกิดมีแต่จิตที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ไม่ทำชั่ว สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลสูปสัมปทา มิติที่ทำแต่ดีทำชั่วไม่ทำ มุทุ แววไว เร็วทำได้เร็วทุกกรรม กัมมัญญามีแต่กรรมที่ดีที่ได้สัดส่วนพอเหมาะ ดีที่สุดสมดุลด้วยสัดส่วนที่พอเหมาะเรียกว่า กัมมัญญาในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ดี ปภัสสรา โชติช่วงชัชวาลผ่องใสตลอดกาลไม่มีเศร้าหมองไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีการเปื้อน สะอาดอยู่อย่างนิรันดร เป็นตถตา ไม่เป็นอื่นแล้วเป็นอย่างนี้
นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
นี่คือ เวทนา 5 ที่เป็นฐานนิพพาน
จิตประภัสสร ด้วยจิตมุทุภูตธาตุ ด้วยจิตเราเป็นเจ้าเรือนที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ตามที่เราประสงค์ จะมีเหตุปัจจัยอะไรมาเกี่ยวข้อง กระทบสัมผัสทำร่วมอยู่ ก็ปริโยทาตา เราก็ทำได้ให้จิตเรารักษาความสะอาดบริสุทธิ์ได้ตลอดกาลนาน บริสุทธิ์ที่เป็น status ทุก status quo ไม่มีเปื้อนเพี้ยน มีแต่สะอาด มีแต่สิ่งที่จะทำให้เราเปื้อนเราก็กลับทำให้มันสะอาดได้อีก เราไม่เปื้อน มีแต่เราถ้ามีพลังงานมีฤทธิ์ให้คนอื่นลดความเปื้อนลง พูดไปตามที่ตัวเองทำได้
ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้นทำอย่างไรก็พูดได้อย่างนั้น
(ดช.ธัมโม ร้องเสียงแหลมดัง พ่อครูเลยถามว่า ชื่ออะไร ชื่อ พงศ์ธิพุทธ)
พ่อครูว่า...ธิ คือ ธ คือทรงไว้ ิ ก็คือสระ ก็ ทรงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่
สู่แดนธรรมว่า...แปลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งประโยชน์ ปรีชา ปัญญา
สุดท้ายก็มีแต่พยัญชนะกับภาษาที่จะสื่อสาร ใครจะติดยึดกับพยัญชนะเขาก็หยุดอยู่อย่างนั้น ใครยึดถือแต่สภาวะก็ไม่เอาภาษา มันก็สลับไปสลับมา ใครจะยึดภาษาก็เอาภาษาขึ้นหน้า ใครจะยึดถือสภาวะก็เอาสภาวะขึ้นหน้า สลับไปสลับมาคนที่ยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่งก็หวงแหนว่าอันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่ แต่คนที่เข้าใจว่าอันนี้มันเป็นอย่างนี้ อันนี้มันเป็นอย่างนี้ อาตมาก็ไม่มีปัญหาเรื่องเหล่านี้ เข้าใจก็จบเท่านั้นเองอยู่ในโลก
ขณะนี้ใครว่าอาตมาดี อาตมาชั่วก็ไม่สงสัย พยายามฟังภาษา สภาวะ ที่เขามาตำหนิมาว่า อาตมาเป็นอย่างที่เขาว่ากันไหม อาตมาชัดเจนสิ่งที่อาตมาทำ
อาตมารู้สึกว่าพยายามบรรยายนี้พอรู้เรื่องไหม? รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่ง อธิบายไม่กระจ่าง
ในโลกนี้มีแต่เทวะ ศาสนาเทวนิยมตีเทวะไม่แตกทำให้ธรรมะสองให้เป็นหนึ่งไม่ได้ คนที่ทำให้ธรรมะ 2 เป็นอย่างไรก็รู้ทุกอย่าง ทุกอย่างเอามาแยกเป็นหนึ่งเป็น 0 ได้หมด ก็หมดที่จะทะเลาะกันก็กระจ่างทุกอย่าง เอาทีละสองแยกได้หมดไม่สงสัยเลย ตีเทวะแตก
พวกตีเทวะไม่แตกคือตัวปัญหา พระเจ้ายึดถือเทวะ ยึดถือจนกระทั่งฉันต้องเป็นใหญ่ในโลก ต้องเป็นใหญ่กว่าศาสนาใดๆนั่นแหละคือตัวปัญหาของโลก ลัทธิใดเป็นอย่างนี้ก็คือตัวปัญหา ศาสนาใดที่เป็นแบบนี้ก็คือศาสนาที่เป็นตัวปัญหา อาตมากำลังพูดสัจจะไม่ได้ไปว่าใคร มันเป็นอย่างนั้นจริงๆชัดเจนเลย ในโลกนี้มีผู้พยากรณ์ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็จะเป็นไปในโลกนี้ไม่สงสัย มันก็จะเป็นไป
ของเราชาวพุทธ จึงเป็นผู้ชัดเจน ว่าอะไรคืออะไร แล้วเราก็อยู่กับโลกเขา โดยไม่ได้เป็นตัวทะเลาะกับโลก อาตมามองทางศาสนากับการเมือง กับสิ่งที่มนุษย์บริหารปกครอง เมืองไทยเรานี้ มีธรรมะ มีความเข้าใจในเรื่องการเมือง จึงสามารถที่จะใช้ธรรมะเท่าที่มี ตัวเองจะไม่รู้ตัวก็ตาม ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่สามารถปฏิบัติประพฤติเอามาใช้ได้ ให้อยู่ดีมีสุข
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน อำนาจเป็นของประชาชน
เรื่องแรก พลเอกประยุทธ์ปฏิวัติบอกว่าขอยึดอำนาจ อาตมาก็ยังอธิบายว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ต้องยึดอำนาจ เพราะว่าอำนาจเป็นของประชาชนแล้ว เพราะว่าประชาชนได้ยึดอำนาจไว้หมดแล้วไล่รัฐบาลทรราชสามานย์จบไปแล้ว ช่วงนั้นไม่มีรัฐบาลแล้วก็ต้องมีผู้บริหารมาเป็นตัวแทนโดยไม่ได้แต่งตั้ง แต่โดยหน้าที่โดยตำแหน่งต้องมารับหน้าที่ ตั้งแต่วันนั้นมา การเมืองของไทยจึงเป็นการเมืองของประชาชน เพราะตัวแทนของประชาชนเข้าไปทำหน้าที่ ประเทศไทยมีพลเอกประยุทธ์ อยู่ในตำรา อยู่ในวิชาการว่า เข้ามายึดอำนาจ คนที่ติดยึดว่าประชาธิปไตยต้องเลือกผู้เป็นนายกไปบริหารถ้าเป็นการยึดอำนาจอย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย นี่คือ พวกที่ติดตำราเก่าก็ว่าไป
พวกอยากได้อำนาจก็ยืนยันตามตำรา ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตยเป็นการยึดอำนาจบริหาร เพราะฉะนั้นพวกกูเป็นประชาธิปไตยกูจะเอาเลือกตั้ง คุณประยุทธ์ก็บอกว่าไม่มีปัญหาถึงเวลาก็เลือกตั้งตอนนี้ก็ทำงานก่อน เขาได้ตั้งเวลาไว้แล้ว คุณจะมาให้เลือกตั้งวันนั้นวันนี้จะบ้าหรือ เขาก็ต้องวางอะไรให้ทุกอย่างลงตัว จะเอาแต่ความบ้าที่จะชนะคะคานได้เปรียบไม่ได้
พอพลเอกประยุทธ์บอกว่า ยึดอำนาจแล้วตั้งตนขึ้นเป็นนายกฯบริหาร ทำงานไปพวกนั้นก็ร้องตะโกนว่าเจ้าข้าเอ๊ย นี่เป็นพวกไม่ใช่ประชาธิปไตย บอกว่าประเทศเป็นประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้ประเทศไทยไม่น่านับถือไม่น่ายอมรับ การค้าการขายการเมืองจะบอยคอตประเทศไทย เสร็จแล้วเป็นอย่างไรตอนนี้มีประเทศไหนบอยคอตประเทศไทยได้ รู้สึกบ้างว่ามันไม่ใช่ที่เอ็งพูด คนในโลกเขามีปัญญา ถ้าพลเอกประยุทธ์มาโกงกินประชาชนต่างประเทศจะประท้วงไหม ทุกวันนี้เป็น globalization มันจะประท้วงแน่ แต่ว่าพลเอกประยุทธ์มีการบริหารตามคุณลักษณะประชาธิปไตยใช่ไหม คนเหล่านั้นจึงไม่ประท้วงรู้จักสาระเสียบ้างสิจะไปเอาแต่เลือกตั้งคือประชาธิปไตยไม่ใช่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างนั้นมันบ้า มันโง่
ตอนนี้ ปชป. กำลังทำเท่ ว่าเขาเป็นนักประชาธิปไตยชั้นหนึ่งแม้แต่หัวหน้าพรรคก็ยังให้เลือกตั้ง
มีข่าวก็ว่า ปชป.เล่นละคร ลุงตู่เป็นนักเผด็จการบริหารประเทศแต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก แต่นายกที่เขาว่าเป็นประชาธิปไตยก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน คนที่เขาหนีคดีอยู่ก็อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเป็นประชาธิปไตยซ้อนอยู่ในประเทศประชาธิปไตยอีก เห็นไหมว่าประชาธิปไตยของไทยนั้นสูงส่งขนาดไหน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน เวทนา 108 ย่อความง่ายๆ
_เวทนา 108 ย่อความง่ายๆ
พ่อครูว่า...ถ้าเผื่อว่าผู้ที่สามารถรู้เวทนา 108 แล้วก็ตีแตกเวทนา 108 ปฏิบัติเวทนา 108 มีผลสำเร็จ บรรลุธรรมในเวทนา 108 ผู้นั้นเป็นอรหันต์ ผู้ที่มาสนใจเรียนรู้เวทนา 108 คนจะมีเวทนาต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าไปหลับตาปิดตาปิดหูปิดจมูกปิดลิ้นปิดกาย ไม่มีการรับสัมผัสทางทวารทั้ง 6 เวทนาก็ไม่เกิดมีได้ เป็นการปฏิบัตินอกรีตศาสนาพุทธ ให้ตีทิ้งได้เลยพวกที่ทำการหลับตาปิดทวารไม่ใช่ศาสนาพุทธ ฟังอาตมาย่ำยีตีทิ้งพวกนั่งหลับตามาจนกระทั่งป่านนี้ 40 กว่าปีแล้ว เขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเลย เราพูดไปเถอะ แต่อาตมาก็ต้องตีเพราะเป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ออก
เวทนา 108 คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60
ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
สั้นๆแค่นี้ สุดยอดของหัวใจศาสนาพุทธแล้ว
ธรรมะ 2 เทฺว ธมฺมา หรือเทวะคือไปเป็นศาสนาที่เป็นเทวนิยมตีเทวไม่แตก ยกให้เป็นสุดยอดความจริงความรู้ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความจริงความรู้นี้คืออะไรเพราะเขาตีไม่แตกเขาแยกไม่ออก พระพุทธเจ้าก็จึงได้หยิบเอามาแยกแยะ โดยเอาเนื้อแท้ของมนุษย์ เวทนาของมนุษย์ ความสุขความทุกข์ก็อยู่ที่เวทนา มาเป็นอริยสัจ 4 แล้วก็ให้หาเหตุแห่งทุกข์และดับเหตุแห่งทุกข์ให้ได้ จนหมดความสุขความทุกข์ เหลือเพียงหนึ่ง เหลือเพียง 0
ถ้าดับเหตุนี้ได้คนที่บรรลุตรงนี้ก็หมดโทษภัยหมดพิษ เป็นคนที่จะมีแต่ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า..เอาของเทียมออก ให้เหลือแต่เวทนาแท้ อุเบกขาที่เขาเข้าใจว่าเฉย แต่ที่พ่อครูเอามาอธิบาย นั้นอุเบกขาของพุทธเจ้าต้องมี “กรรม”-การงานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ไม่ใช่อยู่เฉยๆไม่ทำอะไร ปริโยทาตา ต้องมีการกระทบมีผัสสะ จึงจะเกิดให้รู้ว่าบริสุทธิ์ที่แท้จริงหรือไม่ มุทุ เขาแปลว่า นิ่ม อ่อน แต่พ่อครูว่าแววไว เปลี่ยนได้ไวทั้งปัญญาเจโต มีธาตุหัวอ่อน
พ่อครูว่า..เป็นธาตุจิตหัวอ่อนปรับได้เร็ว เป็นยอดของเวทนาที่อยู่ใน ธาตุวิภังคสูตร ในพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์ของพระพรหมคุณาภรณ์หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ในปัจจุบัน ท่านไม่ได้รวมเอา คุณสมบัติของ เวทนา 5 ไว้แต่อาตมาเห็นว่าสำคัญมากเป็นตัวจบสุดยอดของเนื้อหา ซึ่งน่าเสียดาย ที่ไม่มีในนั้น
เวทนา 5 อาตมาไม่เห็นเวทนา 5 ที่เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา แต่ ท่านมีเวทนา 5 ที่เป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา โทมนัส โสมนัส อุเบกขา
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำให้ได้ต่อเนื่องเสมอๆสมบูรณ์แบบก็เป็นอรหันต์ที่สมบูรณ์ ผู้ใดทำได้เป็นครั้งคราวก็ได้เป็นครั้งคราวในอรหัตตผลนั้นๆ
ในปฏิจจสมุปบาทหรือมูลสูตรก็มีผัสสะกับเวทนา อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหาอุปาทาน
แม้แต่ในสูตรอื่นมีผัสสะก็เกิดเวทนา ไม่มีผัสสะ ไม่เกิดเวทนาไม่มีการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติไปดับเวทนา อยู่ดีๆก็นั่งแล้วไม่เกิดความรู้สึกอะไรมันก็หมดความฉลาด ในจิตมันไม่มีความฉลาดมีแต่โง่ตัวเดียว ถ้าไปทำอย่างนั้น อาตมาก็เลยว่าทำไมเข้าใจกันไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกกันมา สอนกันมาพูดกันมา ผู้รู้ก็สอนกันมา คนที่ไม่รู้ไม่อ่านก็แล้วไป เอาแต่นั่งก็ตามโง่เง่าอย่างนั้น ก็ไม่ตื่นสักที ผู้รู้ภาษารู้ตำราก็เอามาอธิบายแต่ทำไมไม่อธิบายหรืออธิบายไม่ออก ถ้าแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ศาสนาพุทธไม่ฟื้น ถ้าแก้ความตื่นให้เกิดชาคริยาตรงนี้ไม่ออก ผู้ใดรู้ตัวแล้วก็ให้เลิกเสียที บางคนกลัวจะเสียหน้าก็ไม่ยอมเปลี่ยนก็มี
อย่าไปนั่งหลับตาปิดทวาร ต้องเปิดทวารในขณะที่มีงานสัมมาอาชีพ อะไรกุหนาก็เลิก อย่างทักษิณทั้งกุหนา ลปนา ทั้งโกง ตอแหล ทั้งปฏิบัติประพฤติในพฤติกรรมให้เห็นอยู่ ตัวเองประพฤติไม่พอก็ส่งน้องสาวมาประพฤติซ้ำซากอีก ถอดแบบพี่ชายมา ก็เลยถูกตัดสินจำคุกมากกว่าพี่ชายอีก เห็นไหมผลมันออกมาก็ชัดเจนแต่ไม่รู้เรื่องเลยว่าตัวเองทำเอง แล้วมาหาว่าศาลไม่ยุติธรรม ไปตัดสินเขาผิดๆ (พ่อครูไอมาก ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า..เขาทำผิดไปก็ไม่ยอมรับผิด แต่ถ้ายอมรับผิด ขอเข้าคุก คนจะยอมรับเขามากเลย แน่มาก
พ่อครูว่า...อาตมาใช้พยัญชนะสื่อถึงสภาวะที่ลึกมากเลยนะ มีลีลาท่าทางด้วย
สรุปว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรเลยนอกจาก ธรรมะ 2 มีแต่ตัวนี้ ถ้าใครเข้าใจได้ทั้งความหมายที่เป็นภาษา ทั้งในสภาวะที่เป็น ว่า 2 นี้คืออะไร
2 คืออะไร
ชาวเทวนิยมที่ยึดถือในพระเจ้า เป็นสิ่งสุดยอด และเขาก็ไม่รู้จักพระเจ้า เขาไม่เคยได้สัมผัสกับพระเจ้า ไม่เคยเห็นเนื้อตัวไม่เคยจับต้องเป็นสิ่งลึกลับ สายเทวนิยมจะตีธรรมะไม่ออก เป็นต้นว่าจะแยกเวทนา 108 แยกไม่ออก แยกเป็น เคหสิตะกับเนกขัมมะ เวทนา ก็แยกไม่ได้ แม้แต่ในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครจะมาแยกแยะอธิบายได้ เพราะไม่เห็นความสำคัญ ไม่รู้เนื้อแท้ว่าเป็นสิ่งที่สุดยอด ถ้าผู้ใดเป็นชาวพุทธเป็นนักปฏิบัติขนาดไหนก็ตามไปหานิพพาน ถ้าไม่รู้สภาวะเวทนาที่เป็น เคหสิตะกับเนกขัมมะ เวทนา ไม่รู้จักสภาวะของอาการ ลิงค นิมิต ว่าแตกต่างกันอย่างไร แล้วทำอาการที่เป็นเคหสิตะ มันจะเป็นสุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา ก็ทำให้เป็นเนกขัมมะให้ได้เข้าใจจิตที่เป็นโลกียะกับโลกุตระ
เนกขัมมะคือการจับตัวกิเลสให้ได้ อาการที่มันเกิดจากเหตุคือกิเลสความสุขที่มันเป็นโลกียะ ก็ทำให้มันลดลงไปได้ ที่จริงสุขมันคือตัวแทนของทุกข์ คือตัวปลอม สุขคือลิเกของทุกข์ มันก็ทรงเครื่องร่ายรำว่าสุข สมมุตินามตามท้องเรื่องว่าข้าพเจ้าคือท้าวเธออย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงแล้วสุขกับทุกข์มันคือตัวเดียวกัน มันคือลิเกทั้งนั้นแหละเนื้อแท้ของมันคือทุกข์ แต่มันทรงเครื่องเป็นความสุขมาหลอกมานานแล้ว เท่านั้นเอง
ตัวทุกข์นี้คุณเลิกเป็นตัวทุกข์เสียทีได้ไหม เหตุอะไรที่มันพาให้ทุกข์ก็ตามหาเหตุ ภาษาที่เป็นเทวคือธรรมะ 2 แล้ว 2 คือคุณมีตัวภาษาเทวะกับตัวสภาวะ คุณก็แยกภาษา 2 นี้ให้ออก สภาวะว่ามันคืออย่างไร อาการของจิต สภาวะคืออาการของจิต
จิตของคุณมีอาการสุข อาการสุขคืออาการของ 2 อย่างคือรูปกับนามเรียกว่าธรรมะ 2 เรียกว่ากาย เรียกว่าเทวะ เพราะฉะนั้นคนที่หลงเทวะ คือหลงเทวะที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ทุกข์เลยคือพระเจ้า เพราะฉะนั้นใครได้ไปอยู่กับพระเจ้า ตายไปแล้วอยู่กับพระเจ้า แต่ใครทำชั่วไปหาพระเจ้า พระเจ้าจะไม่รับพระเจ้าจะส่งลงนรก ถ้าใครทำดีก็จะไปอยู่กับพระเจ้า ความหมายก็อธิบายอยู่แค่นี้ แล้วทำไมต้องให้พระเจ้าส่งลงนรกหรือดึงเอาไว้ในสวรรค์เป็นเจ้าของสวรรค์คนเดียว สวรรค์อยู่ในโลกมนุษย์ไม่มีหรือ
เวทนาเป็นอาการของสวรรค์หรือนรกเป็นความทุกข์ความสุข ให้เรียนความจริงตรงนี้ให้ได้ คุณเป็นคนนี้มีความรู้สึกไหม รู้จักความรู้สึกไหม อ่านความรู้สึกให้เป็น ความรู้สึกที่เป็นความสุข ความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ให้แยกแยะให้ออก แล้วให้รู้ว่าความสุขนี้มันคือตัวทุกข์ปลอมแปลงตัวเหมือนเป็นลิเก มาหลอกว่าเป็นตัวสุข ที่แท้เองมันคือตัวทุกข์แท้ๆ ก็ต้องตาม หามันให้เจอ
เทวะคือ 2 ต้องดูสภาวะทุกข์แล้วตามหาเหตุแห่งทุกข์ให้ได้ ศาสนาพุทธตามหาเหตุอย่างนี้ แล้วก็ทำลายเหตุตัวโง่ตัวอวิชชา ตัวที่ไปยึดถือว่าอาการอย่างนี้สภาวะอย่างนี้เอามันไว้ในจิต เอามาไว้ทำไมเอามาเป็นตัวทำให้ตัวเองทุกข์ ทำให้ตัวเองโง่ ตัวนี้พระพุทธเจ้าท่านก็อธิบายว่าตัวนี้มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่ตัวจริง มันไม่มี แต่คุณไปมีอยู่ในจิต คุณก็โง่อยู่นั่นแหละ ถ้าหากคุณเข้าใจแล้วถ้าไม่มีตัวเหตุที่พาให้ทุกข์ตัวนี้มันก็สบาย
ตัวเหตุคืออะไร เหตุคืออาการ “อยาก” คุณก็ต้องอ่านอาการอยากให้ได้ ท่านก็สอนเป็นลำดับ มันอยากได้อะไร ในการสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องปรุงแต่งเกี่ยวกับโลกอบายมุข
เช่นโลกขี้โกงแล้วสุข อย่างเช่นทักษิณหรือน้องสาวกับธัมมชโยเป็นต้น
ธัมมชโยก็หลอกให้ไปสวรรค์ ไม่พูดถึงเหตุแห่งทุกข์ให้เลิกความทุกข์อะไร แต่ทุกคำพูดของเขาก็คือตัวเหตุแห่งทุกข์ ทำให้เกิดแห่งทุกข์ คือตัวโง่ที่หลอกให้เกิดเหตุแห่งทุกข์ทั้งนั้น แต่คนไม่เข้าใจ
อ้างอิงเรื่องจริง ทั้งเรื่องนักบวชและฆราวาสเป็นตัวอย่างของความโง่ที่ไม่เข้าใจกัน
เสร็จแล้วเราไม่เรียนรู้เราก็ไปเป็นลูกน้องของทักษิณของคนนิยมของอวิชชาตัวนี้ คุณก็ไม่รู้อาการจิต อาการ ลิงคิ นิมิต ว่า มันเป็นตัวอยากอบาย คุณก็ดูเอามาทำไมสิ่งที่โง่สิ่งที่ต่ำเหล่านี้ หรือคุณได้โลกนั้น ได้โลกที่คุณรวยคุณชนะ
ขณะนี้ ทักษิณได้ความรวยไป แต่ยังชนะเขาไม่ได้ ธัมมชโยได้ความรวยไปแต่ยังชนะไม่ได้ แต่อย่างไรประเทศไทยก็ระงับชะนีบ้าบอสองตัวนี้ได้แล้ว มีบทบาทเต้นแร้งเต้นกาอยู่คือทักษิณแต่คนหนึ่งไม่รู้ว่าอยู่ไหนเลยส่งลูกน้องมาเท่านั้น คือ ธัมมชโย
เมืองไทยเป็นฟีโนมีนอนมีตัวอย่างที่ให้ศึกษาได้เลยมีตัวตนด้วย ทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านธรรมะเห็นได้ชัดเลย แม้ที่สุดตัวโลกุตระก็มีตัวอย่างของคนไทยให้ศึกษา แล้วชี้หน้าได้อย่างไม่เกรงใจผีซาตานทั้งสอง ทั้งด้านฆราวาสและทางด้านนักบวช ไม่ไว้หน้าอย่างไม่เกรงไม่กลัวเลย เข้ามาสิอาตมาวิ่งหนีเป็นนะ เรื่องอะไรอาตมาจะอยู่ให้เขามาทำลาย คุณเชื่อไหมว่าคนโง่นี้ทำชั่วทำร้ายได้ อาตมาไม่โง่ให้เขาทำชั่วหรอกอาตมาฉลาดที่จะต้องไม่พยายามให้เหตุเขาทำชั่ว ต้องหนี ถ้าอาตมาอยู่ก็จะเป็นเหตุให้เขาทำชั่วอาตมาก็จะไปทำทำไม อาตมาจะไปรับให้เขาตกต่ำไปทำไม อาตมาไม่เป็นเหตุเป็นคู่ให้เขาทำชั่วหรอก หนีก็ไม่เจ็บตัวด้วย
สมณะฟ้าไท ...สรุป
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:48:28 )
รายละเอียด
611024_พ่อครูเทศน์เวียนธรรมออกพรรษา บวร ราชธานีอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1N2_11NyQnJJkeWEgyOad8xUohugt877Uu4-3W3979W0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1pru9WhqYjxPkzn5o5u7mXqeDbsrEZ3Ih
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน จิตวิญญาณที่พัฒนาต้องรู้จักธรรมะ 2
พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เลยเวลาให้อาตมาพูด 48 นาที จำพรรษา นักบวชของศาสนาพุทธต้องอยู่ประจำที่ จะไปจากสถานที่ต้องมีหลักเกณฑ์ สัตตาหะไป จะพูดไปถึงเนื้อหาของการเข้าถึงสาระ
มีสิ่งที่พูดกันในความหมายว่า เข้าพรรษานั้น พระพุทธเจ้าท่านไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ซึ่งฟังแล้วเป็นเรื่องตลก พูดกันเชิงวิทยาศาสตร์ก็ตลก ไปโปรดอย่างไร อายุ 7 วันมารดาท่านก็สิ้นพระชนม์แล้ว แล้วไปโปรดพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าก็เทศนาอภิธรรม ธรรมะยอดลึกซึ้ง เช่น อาตมาเทศน์ทุกวันนี้ก็คืออภิธรรม ธรรมะที่แยกแยะจิตเจตสิกรูปนิพพาน และมีพระสารีบุตร แอบฟังอยู่ที่ตีนภูเขา ดาวดึงส์อยู่เหนือภูเขาสิเนรุ พระสารีบุตรแอบฟังอยู่ตีนภูเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นภาษาของบุคลาธิษฐานทั้งนั้นเลย การเข้าพรรษาที่พูดกันเป็นเชิงปุคคลาธิษฐาน เป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องเป็นราวเป็นวิมานสถานที่มีตัวตนบุคคลเราเขา มีทั้งแดนดาวดึงส์ต่างๆนานา
จะมาพูดถึงเนื้อของสัจธรรมเนื้อของธรรมะ ภาษานั้นพูดขึ้นมาเพื่อกำหนดแผนเนื้อสภาวธรรม ผู้ที่ตีไม่แตกเข้าใจถึงสภาวะธรรมของภาษาต่างๆนี้ไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจศาสนาพุทธ ไม่สามารถที่จะทำให้ธรรมะ คือสิ่งที่ทรงอยู่ทั้งหลาย ตั้งแต่รูปธรรมและนามธรรม จัดการได้ ผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาชัดเจนได้แล้ว สามารถจัดการสิ่งที่เป็นรูปธรรมนามธรรมได้จนถึงสูงสุดทำให้ธรรมะที่แปลว่าสิ่งทรงไว้นี้เลิกไปเลยสูญหายไปเลย ไม่เหลืออะไรทรงไว้เลยในมหาจักรวาลนี้ ได้แล้ว
นั่นคือแยกแยะความเป็นเทวความเป็นอัตตาหรืออัตภาพ แยกความเป็นจิตนิยามนี่แหละสำคัญ ศาสนาพุทธรู้จักจิตนิยามนี้ดี ซึ่งแบ่งเป็น 2 เรียกว่า เทวะหรือเป็นธรรมะ 2 และธรรมะ 2 นี้ มันก็มาเป็นสภาพที่เต็มรูปก็มีทั้งภายนอกกับภายใน มีทั้งดินน้ำไฟลมและตัวจิตวิญญาณ ปรุงแต่งกันอยู่ จะเป็นรูปร่างตัวคน มีพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ และก็มีสุขมีทุกข์ มีความวุ่นวายเดือดร้อน อะไรอยู่ในโลก
มีพืชพรรณธัญญาหาร มันก็ไม่ทำให้ยุ่งยากอะไร แม้แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆมันก็ไม่วุ่นวายอะไรมาก แต่ไอ้คนนี่ สัตว์คนนี่ มันทำให้โลกวุ่นวายที่สุดเลย ดีไม่ดีมันทำลายโลกด้วย เช่นยกตัวอย่างง่ายๆว่า โลกนี้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้นมา ภาวะในโลก ทางภาษาวิทยาศาสตร์ ถึงขั้นทำให้บรรยากาศ เป็น Green House effect หรือภาวะเรือนกระจก บรรยากาศที่มันแตกมันแยกมันทะลุ ทำให้เกิดความร้อนมากขึ้น ก็เกิดจากฝีมือคนทั้งนั้น คนนี่สารพัดจะทำให้แม้แต่บรรยากาศโลกก็ลดน้อยลง
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน เศรษฐศาสตร์ วรรณะ 9
พระพุทธเจ้าให้สรุป พระพุทธเจ้านี่คือสุดยอดของผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดแห่งที่สุด ท่านใดจับประเด็นสำคัญของเทวะ หรือประเด็นสำคัญของสัจธรรมได้ และก็จัดการทำตรงนี้เท่านั้นเอง ทุกอย่าง คน จบดีหมด แก้ปัญหาคนที่บอกว่ามันวุ่นวายนี้ คนนี่แหละทำให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายที่สุดนี่ จบเลย ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าบรรลุอรหันต์ถือว่าจบ จึงเป็นคนที่ไม่ได้ทำให้โลกเสียหาย เป็นสังคมกลุ่มที่แม้จะยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็จะอยู่กันอย่างช่วยกันให้เป็นสังคมกลุ่มที่ไม่ทำให้โลกร้อน ทำให้เราเสียศูนย์เดือดร้อนวุ่นวาย เกิดปฏิกิริยาสังคมมนุษย์วุ่นวายเดือดร้อน อย่างชาวอโศก ชาวอโศกเราไม่ได้เป็นหมู่คนที่ทำความเดือดร้อนให้แก่สังคม เพราะฉะนั้นแม้แต่กว้างไปสู่โลกภายนอก ก็ไม่
แม้แต่เมืองไทยก็ยังไปเดือดร้อน ประเทศอื่น เช่น GDP คำว่า GDP คือการทำรายได้ให้แก่ประเทศตน domestic มันหมายถึงภายในเรา ภายในประเทศเรา รายได้องค์รวมภายในประเทศเรา ก็ต้องหมายความว่าเป็นรายได้ของคนไทย แล้วคนไทยก็ต้องไม่ไปเดือดร้อนกับประเทศอื่น ไม่ไปดูดเอาจากประเทศอื่น ทำให้ประเทศอื่นเสียหายเดือดร้อนขาดทุน
เพราะฉะนั้นในหลวงของเราจึงบอกว่าไม่เอาหรอกกำไร ต้องเอาขาดทุน ถ้าไปเอากำไรจากประเทศอื่นเราก็เบียดเบียนเขา ประเทศไทย GDP เจริญมันจะต้องขาดทุนให้กับประเทศอื่นได้ แต่ประเทศไทยก็ยังสร้างเศรษฐกิจ ทำเศรษฐศาสตร์เอาเปรียบประเทศอื่น จะต้องหารายได้ให้มาก เอาจากประเทศอื่นให้ได้มาก ของประเทศไทยก็จะให้ได้มากสร้างเองก็ได้มาก แต่ก็ยังไม่หยุดยั้งจะเอาจากประเทศอื่น มีเชิงเอาเปรียบ นอกจากสู้เขาไม่ได้ ในกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์สังคม สู้เขาไม่ได้
เพราะฉะนั้นความจริงแล้วโดยสัจธรรมพระพุทธเจ้า ไม่เคยให้คนแต่ละคน สังคมแต่ละกลุ่ม ประเทศแต่ละประเทศ ไปทำความเดือดร้อนกับผู้อื่น แม้แต่ในพวกตัวเองก็อย่าไปทำความเดือดร้อนแก่กันและกัน
อย่างชาวอโศกนี้ทำสำเร็จ แม้แต่ในหมู่ชนเดียวกันก็ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่กัน ยิ่งข้างนอกก็ไม่ต้องทำให้เขาเดือดร้อน เขาเดือดร้อนก็ไปช่วยเขาด้วยอย่างนี้เป็นต้น
สร้างเศรษฐกิจ ก็ทำกินทำใช้เรียกว่างานอาชีพ ชาวอโศกมีสัมมาอาชีพที่สมบูรณ์แบบ และก็รู้ งานหลักคืออะไร งานหลักคือการทำอาหารอันเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นชาวอโศกจึงทำงานกสิกรรม หรืออาหารเป็นหลัก งานอื่น จะเป็นงานทำปุ๋ย ใกล้กับอาหาร ทำยา ทำเครื่องผสมส่วนอันนั้นอันนี้ แม้แต่ผสมส่วนเอามาบดขายกันก็ทำกัน ผสมยาก็ทำกัน ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่อย่างที่ชาวโลกเขาทำกันวุ่นวาย และก็ทำอย่างพออาศัย แต่ทำการกสิกรรมนี่เอาจริงเอาจัง จนกระทั่งอาตมาก็ภาคภูมิใจที่เราเป็นผู้พากเพียรทำให้เกิดอาหารที่ดี ให้เป็นอาหารที่มีทั้งคุณภาพดี ไม่มีพิษภัยไม่มีสารเคมี จนกระทั่งเป็นกสิกรรมไร้สารพิษ อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกเราตั้งอกตั้งใจทำขึ้นมา จนสำเร็จ เป็นรูปธรรมกิจลักษณะได้อย่างแท้จริง จนกระทั่งกลุ่มอื่นๆในสังคม สังคมทางการทางบริหารก็ยอมรับ เราก็ไม่ได้ยึดถือว่าชาวอโศกเป็นผู้ทำ มันกลายเป็นชื่อของประเทศ ว่าสามารถทำกสิกรรมไร้สารพิษ เป็นกสิกรรมอินทรีย์ เป็นของประเทศไทยดี เราก็ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าเราเป็นคนก่อหวอดคนบุกเบิกไม่ต้องหรอก ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้น้อยใจอะไร ที่พูดนี้ก็ไม่ได้ทวง พอเราพูดขึ้น เขาก็ตื่นตัวช่วยกันทำ เลยมีผู้ช่วยกันทำในประเทศไทยเยอะ เพราะชาวอโศกเรามีน้อย คนที่ทำกสิกรรมในประเทศมีเยอะ ชาวอโศกแน่นอนทำอยู่ แต่ก็เป็นกลุ่มน้อย ก็เลยไม่เป็นรูปร่าง จนกระทั่งคนที่เป็นส่วนมากทำ กลายเป็นสินค้าออกอะไรไป ของเราก็ทำแต่เป็นคนกลุ่มน้อย ทำมากที่สุดเท่าไหร่ก็ยังไม่มากสำหรับประเทศไทย 70 ล้านคน มีประชากรประมาณ 40 ล้านคน
ของอโศกไม่ถึงล้าน มันจุ๋มจิ๋ม ถูกแล้วอย่างชาวอโศกเป็น แต่เราทำเราไม่ได้มุ่งกสิกรรมอย่างเดียว เรามุ่งที่พฤติกรรมมนุษย์ ความเป็นสังคม อันนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เรามีพฤติกรรมของชีวิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นตัวอย่าง แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นตัวอย่าง เขาหาว่าเป็นความสุดโต่ง ที่จริงเราทำได้ดี มาเป็นคนมีพฤติกรรมไม่ต้องมี ไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับอบายมุข กับสิ่งฟุ้งเฟ้อปรุงแต่งหรือแย่งเป็นผลผลิตที่จะต้องได้แลกเปลี่ยนกับคืนมาเป็นของตนเอง หรือจะต้องไปได้ยศศักดิ์ตำแหน่งฐานะทางสังคม อโศกไม่แย่งสักอย่าง ทำอยู่ตามประสา เลี้ยงตัวเป็นหมู่เล็กน้อยของสังคม แต่เราทำเข้าหาแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ และสังคม พวกเราแต่ละคนปฏิบัติธรรมถึงมีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มีวรรณะ 9 อย่างนี้เป็นต้น
วรรณะ 9 คือ พวกเราอยู่อย่างเลี้ยงง่าย ไม่เดือดร้อนสังคม ไม่เดือดร้อนพวกเราเอง เลี้ยงง่าย พวกเรานี้ ที่จริง อยู่กันอย่างพวกเราน่าจะเลี้ยงยาก จะกินจะอยู่การแบ่งแจกก็น่าจะยากแต่มันไม่ยากเลยนะ มันง่าย นอกจากเลี้ยงง่ายแล้วรู้จักทิศทางของการเจริญ ทำให้เจริญง่าย ลึกซึ้งนะทำให้บำรุงง่ายด้วย เป็นคนอาริยะ เป็นคนที่ไม่มีพิษภัยต่อสังคมเลย ในความเป็นอยู่พฤติกรรม ในความประพฤติไม่เป็นภัยเป็นโทษต่อสังคม สังคมเราจึงเป็นสังคมที่ทำให้คนเป็นคนดีของประเทศของโลก ที่มีขีดขั้นในการทำได้อย่างของพระพุทธเจ้า เป็นอาริยะชนเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยะกันจริง
ชาวอโศกเป็นอาริยะกันเกือบทั้งชาวอโศก เป็นโสดาบัน แต่ว่ามันยากที่จะไปแจกแจง ยุคนี้พูดกันยาก แต่เราก็ยืนยันว่าเราเป็น ยิ่งในยุคนี้ถือว่าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าในยุคพระพุทธเจ้า คนเป็นอาริยะเขาเนียนและลึกซึ้งกว่าเรา เทียบยุคโน้นไม่ได้ แต่ในยุคนี้เขาหาคนเป็นอาริยะไม่ได้ แต่เราเป็นได้จึงเป็นเรื่องที่หายาก เราได้ขนาดนี้ อาตมารู้สึกว่า ตัวเองเอาธรรมะพุทธเจ้ามาให้คนในยุคนี้เป็นได้ แต่มันเป็นได้ขนาดนี้ โอ้โห
อาตมาจริงๆลึกๆก็ดูเหมือนผยองในฝีมือตัวเอง แต่มันไม่ใช่ มันเป็นสันดานเป็นเชื้อลึกของคนไทย อาตมาเอาธรรมะที่ยากมาพูด พวกคุณก็ประพฤติได้บรรลุได้เป็นสังคมหมู่กลุ่มเลยนะ สัมมาอาชีพอย่างพ้นมิจฉาหมด สัมมากัมมันตะก็พ้นมิจฉา สัมมาวาจาก็พ้นสัมมาสังกัปปะก็พ้น คิดดูสิมันเป็นผลสำเร็จขนาดไหน เถรสมาคมสำนักไหนกล้าพูดเหมือนเราไหม ไม่มีสำนักไหนกล้าพูดอย่างนี้ เราพูดอย่างไม่ได้อวดอ้างไม่ได้อยากโชว์ แต่อยากยืนยันให้คนเขาเข้าใจได้ฟังได้รู้ นี่แหละคือธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่คือคนที่เป็นอาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า มายืนยันเท่านั้น ไม่ได้พูดอวดโอ่ไม่ข่มเบ่ง เรามีแต่เกื้อกูลช่วยเหลือคนอื่นเขา ไม่มีใจไปข่มเบ่งเขา ด้วยกิริยาทางกายวาจา ฟังวาจาดูเหมือนมี แต่ไม่ข่มเขา พระพุทธเจ้าบอกว่าอาริยบุคคลเป็นแบบนี้ เราไม่มีความหลงในอบายมุข ไม่ไปแย่งชิงในลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรมากมาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่จัดจ้าน ปรุงแต่งประโลมโลกมอมเมาโลก ยศชั้นสรรเสริญ เราก็ไม่ได้ไปแย่งชิง ความสุขโลกียะเราก็ไม่ได้แย่งชิงสุข เพราะมีลาภมาก สุข เพราะมียศมาก สุขด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราไม่ได้ไปแย่งเขาเลย คุณก็ปรุงแต่งกันไป แต่เราไม่ได้ไปแข่งเด่นดัง ไม่ไปชิงของเขามา ไม่มี
เป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างในการได้ผล เราไม่ได้เข้าพรรษาเฉพาะ 3 เดือน เราเข้าพรรษาตลอดชีวิต สรุปตรงนี้ สมณะนักบวชหรือสิกขมาตุก็ตาม เคยออกพรรษาเข้าพรรษาไปที่โน่นที่นี่ไหม ก็อยู่ที่นี่แหละบวชไป นอกจากผู้อยู่ไม่ได้ก็สึก ผู้อยู่ได้ไม่สึก ก็อยู่อย่างนี้ จะเข้าพรรษาหรือจะออกพรรษาจะไปไหน ก็อยู่สถานที่นี่แหละที่พวกเรามี แม้แต่ฆราวาส เราก็มาอยู่ปฏิบัติธรรม อยู่ในอารามอยู่ในอาวาส อยู่ในบวร อยู่ในบ้าน วัด โรงเรียน เราพาให้ปฏิบัติธรรมหมดแม้แต่เด็กเล็กก็ตาม ตัวเล็กตัวน้อยก็พอรู้เรื่องธรรมะกันทั้งนั้น อย่างน้อยคุณก็ซึมซับ เด็กอยู่ในนี้มันเหมือนสนามแม่เหล็กแห่งธรรมะ แล้วคนแต่ละคนก็เหมือนโมเลกุล ส่วนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในสนามแม่เหล็ก มันก็จะมีฤทธิ์แรงปราบพวกเราให้เข้าที่เข้าทาง โมเลกุลหนึ่งคนหนึ่งเข้ามาในนี้ พลังงานในสนามแม่เหล็กแห่งธรรมะที่นี่ มันจัดให้เข้าทิศทางหมด จะมาเกเรเกตุงขวางๆรีๆได้ที่ไหน ที่นี่มีธรรมฤทธิ์ของพลังงานแรงแห่งกรรม ช่วยให้พวกเราเข้าทิศทาง และไม่ได้ทำเฉพาะ 3 เดือน ไม่ได้ทำเฉพาะเล่นๆ แต่ทำตลอด ตลอดชีวิต แล้วก็มารวมกันอยู่อย่างเป็นหมู่กลุ่ม
อาตมามาทำงานศาสนาชาตินี้ประสบผลสำเร็จ ที่ทำให้เกิดเอาธรรมะพุทธเจ้ามายืนยัน อย่างที่พูดไปแล้วว่ามีวรรณะ 9 สาราณียธรรมก็ดี จะมีสาราณียธรรมได้ต้องเกิดจากจิตของเรามีพุทธพจน์ 7 มีความระลึกถึงกัน มีความรักกัน เป็นความรักกันลึกซึ้งมิติที่สูงส่ง มีความเคารพกัน พวกเรามาอยู่นี้ถ้าไม่มีความเคารพกัน ไม่มี คุรุกรณะ มันอยู่ไม่ได้หรอกมันจะทะเลาะกัน ขนาดนั้นก็ยัง ง๊องแง๊งนิดๆหน่อยๆ แต่ธรรมดา ไม่ได้หรอกอยู่กันมากอย่างนี้ มันจะแย่งกัน ถ้าเผื่อว่าไม่ลดละได้มากพอ มันก็จะแย่งกัน จะตีกันตลอดเวลาแต่นี่ไม่ มีอยู่ก็อยู่ มีกินก็กิน มีใช้ก็ใช้ และช่วยกันทำสร้าง ไม่เป็นคนไม่ขยันไม่เป็นคนขี้เกียจ หรือหลบเลี่ยงอะไร
อาตมาว่าอาตมาทำงานเอาศาสนาพระพุทธเจ้ามาทำจนสร้างหมู่บ้านได้ ไม่ใช่ว่าเราเป็นอย่างเล่น แต่เป็นอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย เป็นพฤติกรรมสังคม เป็นวัฒนธรรมของหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านเรานี่เป็นเพื่อนของหมู่บ้านข้างเคียง ไม่เหมือนกันเลย แต่คนละศาสนาเราก็ไม่อยากจะเทียบเคียง นอกนั้นก็ศาสนาพุทธหมู่บ้านอื่นๆก็มี พูดไปมากจะกลายเป็นยกตน แต่ก็น่าพูดให้เข้าใจพูดกันให้รู้ว่ามาช่วยกันทำอย่างนี้เถิด มันดีนะ มันดีต่อสังคม มันดีต่อประเทศชาติดีต่อโลก พูดไปอย่างนี้คนก็ไม่ค่อยกระดิกหูแม้จะเป็นเมืองพุทธ ผู้บริหารประเทศไทย หรือเถรสมาคมรู้เรื่องที่ไหน ถึงรู้เรื่องก็ไม่กล้าที่จะยกโชว์ ว่าเป็นตัวอย่างของประเทศนะ ว่า ไทยเรามีหมู่บ้านชุมชนแบบนี้ ที่เป็นสังคมสาธารณโภคี มีวรรณะ 9
วรรณะ 9 คือกลุ่มคนที่มาจน เลี้ยงง่ายๆกินอยู่ง่ายๆ พัฒนาให้เป็นคนเจริญง่าย สุโปสะ มักน้อยกล้าจน มาเป็นคนจน คำว่ามักน้อย โดยไวยพจน์คือกล้าจน มามีน้อยๆไม่เอามาก ตรงข้ามกับมากๆคือ มหัปปิจฉะ คนโลกีย์เขากอบโกยกัน แต่ที่นี่พอ นอกจากไม่มากๆเลยสันโดษ สันตุฏฐิ เราพอ พออยู่พอกินมีเหลือด้วย มีน้อยนะ แต่เหลือ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่จริงมันมีไม่น้อยนะ พูดอย่างไร เป็นสิริมหามายาแล้ว เดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ไม่มีเดี๋ยวก็น้อยเดี๋ยวก็มากมันมีเหลือเฟือ แต่ก็ไม่ได้มีมากจนกระทั่งไปแจกจ่ายหมดให้แก่โลกได้มากมาย เราก็ไม่ถึงขนาดนั้น มันก็สามารถสะพัดออกไปเท่าที่เราทำได้ ช่วยกันอยู่อย่างไม่ได้ออมมือ มีแรงงานมีความสามารถ ทำได้ เราก็ตั้งใจให้มันมีมากขึ้นกว่านี้นะแต่มันยังทำไม่ได้
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
อโศกเราปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้เข้าหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า มีผลสำเร็จได้จริงๆ ทั้งนั้นที่กล่าวถึง ที่ไม่ได้กล่าวถึงก็อีกเยอะ กล่าวถึงเฉพาะเท่าที่จำได้
อาติ้ว(ปีกรัก) เอาหนังสือธรรมพุทธสุดลึกไปให้พ่อครู …
ไม่ว่าหมวด 6 7 8 9 10 11 12 15 16 จนกระทั่งถึง 37 จนถึง 108 เวทนา 108 เอามาให้ทำได้หมดทั้งนั้นเลย อาตมาลองนึกดู พยายามไม่เหนียมตัวเอง ลองนึกดูว่าเรานี่สอนธรรมะพุทธเจ้าเอาธรรมะพุทธเจ้ามาอธิบาย เราอธิบายอะไรบ้างหนอ เราอธิบายทั้งนั้นเลย อย่างเช่นเวทนา 108 จะมีใครมาอธิบายได้ แต่เราก็อธิบายได้ ไม่ใช่แค่ปากเปล่า แต่มีผลของการปฏิบัติได้ด้วย นอกนั้นก็จะมี
สู่แดนธรรมว่า... มรรคกับภาวนา พ่อครูอธิบายครบ 37 เลยครับ
พ่อครูว่า..โดยเฉพาะโลกุตรธรรม 46
46 คือ 37 บวก 9
โลกุตรธรรม 9 คือ โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรคสกิทาคามีผล อนาคามีมรรคอนาคามีผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล นิพพานอีก 1
ส่วนโลกุตระ 31 ก็คือโพธิปักขิยธรรม 37 อาตมาปฏิบัติจนหมด
อธิบายกายในกายเป็นต้น ซึ่งศาสนาพุทธเลือนไปหมดแล้ว มีแต่ความเป็นกาย กายไปเข้าใจเป็นเรื่องของดินน้ำไฟลมภายนอกไปหมด อุตุนิยามเท่านั้น กายไม่เกี่ยวถึงจิต อาตมาก็ว่า โชคดีที่มีพระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
ยังโชคดีที่มีคำตรัสของพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก อาตมาพูด คนก็ว่า กายนี่ต้องสำคัญที่จิต มโน วิญญาณ ไม่ได้ไปสำคัญที่ข้างนอกหรอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในพระสูตรนี้ข้อ 230 ท่านตรัสว่าเรื่องกายภายนอกนี้ มันพิจารณาละหน่ายคลายไม่ยาก แต่ว่า กาย ที่เป็นจิต มโน วิญญาณนี้ ละหน่ายได้ยาก เพราะ กาย มีทั้งดิน น้ำ ไฟ ลมภายนอก ร่างกายเสื่อม มันพิจารณาไม่ยาก แต่ว่าจิตนี้มันเกิดแก่เจ็บนี้ยาก พิจารณาถึง ความไม่เที่ยงในความเป็นทุกข์ความไม่ใช่ตัวตน ร่างกายนี้ มันอายุ 100 ปีก็เหลือ ใครจะอายุเกิน 100 บ้าง ….มีหลายคน คนไม่ยกก็ไม่ถึงร้อย บางคนจะเอาเกิดใหม่
อาตมาพูดถึงคำว่ากาย พูดถึงคำว่าบุญ คำว่าสมาธิ ตอนนี้ก็คำว่า เทวะ คำนี้แหละ เป็นคำเดียวในโลกที่เกี่ยวกับศาสนา เทวะ ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้า เข้าใจเธอว่าคำเดียวนี้รู้จักศาสนาทุกศาสนา ศาสนาเทวนิยมตีไม่แตกคำว่าเทว เขาตีธรรมะ 2 เทวะ แปลว่า 2 สภาวะของเทวะคือจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณมีกายด้วยก็คือธรรมะสองคือเทวะ เขาตีไม่แตกเขาแยกไม่ออก เขาแบ่งแยก แยกแยะ เอามาอธิบายทำความเข้าใจไม่ได้ แต่พุทธนี้ทำได้ นอกจากแยกแยะแล้วนะ ยังทำให้ ธรรมะสองเป็นหนึ่ง สุดท้ายไม่เหลือธรรมะ ไม่มีอะไร ไม่ทรงไว้ ธรรมะคือความทรงไว้ พุทธสามารถทำได้แม้กระทั่งสุดท้ายธรรมะก็ไม่เหลือสูญหายไปเลย นี่สุดยอดเลย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นธรรมดาธรรมชาติของพวกเทวนิยมเขาก็มีธรรมะ เทวะนิรันดร เพราะเขาตีไม่แตก สองนี่เขาตีไม่แตก แยกเป็นสามสี่ห้าก็ไม่รู้ ยิ่งจะให้ลด เหลือ 1 เหลือ 0 ก็เลิกเลย แต่ศาสนาพุทธนี้ทำได้ให้เหลือ 1 หรือ 0 หรือจะให้มีนิรันดรก็ได้
พระพุทธเจ้าท่านสอนคนให้เป็นคนหมดพิษภัยกับโลก กับสังคมมนุษย์ กับโลกเลย ถ้าคุณสูงสุดได้แล้ว คุณหมดพิษภัยต่อโลก ต่อ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามเลย คุณจบ ถ้าคนจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เหมือน พระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิม ก็เชิญ จบแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์แล้วไม่เป็นพิษภัยกับใครมีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อมนุษย์พุทธเจ้าท่านสร้างคนแบบนี้ และ ศาสนาพุทธนอกจากจะสร้างคนแบบนี้ให้แก่โลกแล้ว ยังสามารถแยกตัวเองแตกตัวเอง ตีแตกตัวเอง ให้สลายสูญ ไม่เหลือความเป็นอัตภาพอยู่เลยในโลกในมหาจักรวาลนี้ ชีวะ ที่เป็นตัวตนของคนนี้เมื่อแยก จะไม่จับตัวอีกแล้ว กลายเป็นธาตุดินน้ำไฟลม เป็นพืชก็ยังไม่เป็นเลย เป็นแบบพวกหลงผิด ตายแล้วยังไม่ยอมตาย กลายเป็นมนุษย์พืชไม่เน่า เขาเสียอาหารให้อยู่ใน ICU มันก็จะอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าตายแล้วไม่เสียบอาหารก็ไม่เน่าได้ อาตมาอธิบายได้ แต่มันเมื่อย แยกแยะลำบาก กว่าจะเข้าใจ
พวกเรานี้มาเข้าพรรษากัน ใครจะออกพรรษาบ้างยกมือ ...ไม่มีใครยกเลย...พวกเราก็ไม่ได้เข้าใจว่าต้องออกต้องเข้าอะไร ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:51:59 )
รายละเอียด
611026_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรื่อง สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในเอกกนิทเทส
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Mk5M5xKgSosvrkijxrO3yC3y1x2amsWGofG6O2UBtvA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=12h63S68H37bYkVcxonOy-yVxeoORRYgZ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้อากา ศร้อนจัดแต่พรุ่งนี้เขาบอกว่าจะหนาว รักษาสุขภาพให้ดีจนถึงงานมหาปวารณา วันนี้มีการประชุมเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ มีนายอำเภอมาเป็นประธานประชุม และมีผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามของบ้านราชฯริมฝั่งมูน บอกว่า จะมาขายพืชผักไร้สารพิษที่นี่ได้ไหม เราก็บอกว่าให้มาอบรม 5 วัน 4 คืน มีเกษตรกร 20 คนก็มาได้ เขาก็ว่าทำไมเราปลูกผักยังไงงามจัง
คนอีสานมีสิ่งที่จะขายได้เยอะ เช่นมะม่วงน้อยต้นใหญ่ มะม่วงไร้สารพิษเอามาขายที่เราได้ คนนิยม มะขามเปรี้ยวขายได้ต้นละเป็นหมื่น ฝรั่งบักสีดา ก็ขายได้ คนอีสานมีสิ่งที่เอามาใช้ประโยชน์ใช้กินได้เยอะ
พ่อครูว่า...มีแตงแคนตาลูป อะโวคาโด ปลูกไปทำไมพวกนี้ มันไม่ใช่ถิ่นของเราไม่ใช่ดินแดนของเรา บางทีเรากินไม่เป็น สิ่งที่เราปลูกแล้วกินเป็นกันก็ขายแล้วก็แจกกันเลย หยวกกล้วยเอาไปหมก เอาไปทำน้ำ เอาไปทำแกง ได้หลายอย่างเลย ตำส้มหยวกกล้วย
สมณะฟ้าไทว่า...ผักบุ้งแดงมีธาตุอาหารสูงมาก ไปกินทำไมผักบุ้งจีน ผักบุ้งแดงเป็นยาอย่างดีเลย แต่กสิกรปลูกพวกนี้ไม่เป็นแล้ว เขาบอกว่าทำไมกล้วยท่านงามจัง ก็เป็นแรงจูงใจให้เขามาศึกษา ไม่อยากให้เขาเสียเวลาปลูกพืชผักที่ลงทุนสูงและก็ขาดทุนราคาตกต่ำ
พ่อครูว่า...นี่พริกนะ ไม่ใช่ลูกบวบนะพริก
สมณะฟ้าไทว่า...เรามีประกวดแฟนพันธุ์แท้พ่อครูหลายประเภทนะในงานมหาปวารณา รายการเพลงพ่อครู หนังสือพ่อครู เป็นต้น
พ่อครูว่า...SMS วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : บ้านราช)
_1701 กราบนมัสการท่านสมณะฟ้าไท ท่านสมณะถักบุญและท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ขอบพระคุณที่ย่อยสภาวะธรรมอธิบายให้เข้าใจเรื่องกามกับอัตตาฟังง่ายขึ้น วันนี้ถูกใจมากท่านฟ้าไทเน้นเรื่องลดละกิเลสชัดเจนดีมากค่ะ ยิ่งฟังยิ่งเพลิดเพลิน ต้องติดตามทุกครั้งค่ะ
_เมย์ อรวรรณ นมัสการค่ะ“อย่าบังคับคนรอบข้างให้เป็นเหมือนกับเรา”(สุดยอด)เจ้าค่ะ สาธุค่ะ
_แก้วลา ไชยวงค์ · ขอให้บุญนิยมทีวีช่วยถ่ายทอดธรรมะย้อนอดีดที่พ่อท่านเทศน์หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จลงในเฟสให้ด้วยเจ้าค่ะ ถ้าวันใดอากาศปกติก็เปิดทีวี แต่ถ้าวันนั้นฝนตกฟ้าร้อง จะได้เปิดเฟสบุ๊คค่ะ
SMS วันจันทร์ที่ 22-23 ตุลาคม 2561
_0085 ทำไมเราบอกให้คนอื่นได้ง่ายกว่าบอกตนเอง?
..เพื่อนมาบ่นถึงบุคคลที่สามในทำนองว่ารำคาญที่เขาชอบมาตำหนิการทำงานของเพื่อน
..ดิฉันตอบทันทีว่า พ่อครูสอนว่า..เราต้องมีธัมมวิจัยทุกผัสสะ เราต้องมีธัมมวิจัยทุกกรรมกิริยา คิด พูด ทำ แต่ดิฉันไม่ได้ทำกับตนเองทุกผัสสะเหมือนกับที่บอกเพื่อนค่ะ
_1614 ลูกหลวงพ่อฤๅษีลิงดำกล่าวไว้ครับ ทำไมบัวต้องมี 4 เหล่า ทำไมเราถึงคบทุกคนไม่ได้ ดูไม่ดีเลย เราต้องสามารถคบทุกคนได้ซิ นี่คือคำถามในใจ ตอนเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งท่านสอนถูกแล้ว ทำไมบัวต้องมี 4 เหล่า #เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเปลี่ยนโลก #เราเกิดมาเพื่อเปลี่ยนตัวเราเอง #และไม่มีใครเกิดมาเพื่อเราแต่สิ่งที่รู้ยาก มองไม่ค่อยจะเห็นคือข้อบกพร่อง สิ่งไม่ดีของเราเอง คนที่รู้ได้ชัดเปรียบ ดั่ง มีตาทิพย์ ถูก ต้อง ไหมคะ
พ่อครูว่า...ตาทิพย์คุณพูดเป็นภาษาของพุทธ แต่ตาทิพย์ของฤาษีและเดียรถีย์หมายถึงการเห็นสิ่งหลอกลวง สิ่งที่คนธรรมดาเห็นไม่ได้ เป็นอุปาทาน เป็นมโนมยอัตตา เป็นภาษาหมอก็เรียกภาพหลอน แล้วนึกว่าจริงอีกเยอะ แต่คืออุปาทาน สายเทวนิยมน่าสงสาร มีอุปาทานเยอะมาก
เริ่มตั้งแต่พระเจ้า ก็เป็นอุปาทาน ตอนนี้อาตมากำลังเขียนหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม 2 ขยายความเรื่องเทวะ ยังนึกเลยว่า สายเทวะ จะมาเล่นงานเราหรือเปล่า วิเคราะห์วิจัยแต่ก็เป็นเรื่องความรู้ก็ยอมเสี่ยงดู เพราะเป็นความรู้ที่ไม่มีใครรู้ในยุคนี้ ตัวเองชัดเจนความจริง จะได้ให้ผู้ที่มีปัญญาที่แสวงหาได้เข้าใจ ว่าเป็นอย่างนี้เองหรือ อาตมาเจตนาด้วยความจริงใจว่านี่คือสัจธรรม ไม่ได้ข่มเบ่งหรือทำลายเขาหรอก ก็เป็นความจริงของสัจธรรม
_7680 กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอเรียนถามว่าระหว่างการชักชวนคนอื่นมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมกับการปฏิบัติอธิศีลที่ตนเอง เราควรให้ความสำคัญเรื่องไหนมากกว่า เพราะเหตุใดครับ
พ่อครูว่า...ไม่น่าถาม เอาตัวเองนั่นแหละ เอาอธิศีลตนเองให้จำเริญๆ จะได้เป็นตัวอย่างให้คนอื่นเขา ได้ความเจริญแล้วจะได้เอาไปอธิบายคนอื่นเขาได้เป็นประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็ให้คนอื่นเขาไม่ได้ มีแต่เรื่องหลอกลวงกันไปมา
_รักเอื้อ หลักเขต · กราบนมัสการพ่อครู..ที่สอนจับกิเลสให้ทัน...
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน วิปัสสนาฆ่ากิเลส สมถะกดกิเลส
_ในสวนดาว น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ขอกราบเรียนถามถึงความเข้าใจว่าลูกเข้าใจถูกต้องหรือไม่คะ ความแตกต่างของการพิจารณาแบบโลกียะกับการพิจารณาแบบโลกุตระแตกต่างกันแบบนี้ใช่หรือไม่คะ
การพิจารณาโดยทั่วไปแบบโลกียะเพื่อให้ปล่อยวางเป็นเพียงการพิจารณาแบบหยาบๆ เป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่ใช้เพียงเหตุผลและตรรกะมาประกอบการพิจารณา ทำให้สุดท้ายกิเลสก็จะกลับมาเกิดอีก เพราะไม่ได้ไปแก้ที่รากเหง้าของกิเลสในจิต
แต่การพิจารณาแบบโลกุตระเป็นการพิจารณาแบบแยบคายให้ลึกซึ้งถึงจิตในจิต เป็นนามธรรม จนกระทั่งเห็นความจางคลายของกิเลสว่าไม่เที่ยงจนทำให้เราเกิดปัญญาและรู้สึกไม่ดูดไม่ผลักกับผัสสะนั้นๆได้ เป็นการพิจารณาถึงต้นเหตุของทุกข์ จึงทำให้เกิดการลดละจางคลายและปล่อยวางได้ในที่สุด
เช่น เรื่องการทานมังสวิรัติ ถ้าพิจารณาแบบโลกียะ เราจะเลิกทานเนื้อสัตว์เพราะว่าต้องการดูแลสุขภาพหรือเจ็บป่วย แต่ก็เคยเห็นว่าสุดท้าย หลายๆคนก็ต้องกลับมากินเนื้อสัตว์ใหม่อยู่ดี แต่ถ้าเราพิจารณาในแง่โลกุตระคือเราเลิกทานเนื้อสัตว์ไม่ได้เพราะเราเสพติดความอร่อย ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา แล้วเราก็เห็นว่าความอร่อยมันไม่มี เราอุปทานมันเอง แล้วค่อยๆล้างความอร่อยจนในที่สุดจิตไม่เสพติดในรสชาติของเนื้อสัตว์แล้ว เราก็จะไม่กลับไปทานมันอีก ทำให้เราสามารถเลิกทานเนื้อสัตว์ได้ ลูกเข้าใจแบบนี้ถูกต้องหรือไม่คะ
พ่อครูว่า...ใช่ สมถะจะได้ชั่วคราว ได้ตรรกะ ภาษา เป็นอัตวาทุปาทาน เป็นบัญญัติแล้วเอามาใช้เป็นประโยชน์ว่า ความหมายอย่างนี้ทำอย่างนี้ เวลาใช้แล้วมันก็จะได้เหมือนกันแต่มันแป๊บเดียวแล้วมันก็มาใหม่ มันไม่ขาด มันไม่ได้ฆ่าต้นเหตุ มันได้แค่บรรเทา ใช้สิ่งเหล่านี้มาแก้ เหมือนกับเราหมดทุกข์ด้วยการไปเสพสุข เสวยสุขมันก็บำบัดทุกข์ แค่นั้นเองไม่ได้ไปล้างที่เหตุ ไม่ได้ไปแก้ไขที่เหตุ
มันไม่เที่ยงมันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริงๆ แล้วมันไม่เที่ยงมันไม่มีความจริงเลย เป็นของหลอกมันหลงติดมานาน ซึ่งมันไม่มีภาษาที่จะง่ายกว่านี้อีกแล้ว เป็นภาษาที่ตรงที่สุดสั้นที่สุด และก็น่าจะเป็นภาษา ตาย แล้วแน่นอน จบตรงนี้ กำลังพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแท้เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเป็นมาและมันเป็นเหตุให้เราคาราคาซังทุกไม่จบ ทุกข์ๆสุขๆ จนกว่าจะเกิดปัญญาตัวที่ฉลาดรู้ทันจริงๆ แล้วมันก็มีพลัง ปัญญานี้มีพลังทำให้เกิดต้นเหตุนี้จางคลายไปได้ ถ้ามีพลังใครมีพลังได้ไวได้มากก็วับ สลายความโง่ความยึดติดนี้ได้เร็วก็ดีสิ แต่ที่นี้มันไม่ได้ เราก็ต้องทำไปๆจนกว่ามันจะมีฤทธิ์ จะเพิ่มความเฉลียวฉลาดความรู้ความจริง
พลังปัญญาที่จะบำบัดหรือกำจัด พลังโง่ที่ไปติดยึด มันจึงต้องใช้ มันไม่มีทางอื่นที่จะใช้ได้ดีกว่านี้ ไปกดข่ม ก็ได้ชั่วคราวไม่แจ้งชัด ปัญญามันรู้ความจริงเป็นเหตุผลหลักฐานความจริงแท้จริงๆเลย โดยธาตุจิต ธาตุเวทนา สัญญา สังขาร ธาตุรู้ เป็นปัญญาที่ไปละลายเปลี่ยนแปลงธาตุที่อื่นที่ไปติดยึด ในเวทนา สัญญา สังขาร มันสลายอันนี้ไปเลย มันก็ไม่มีตัวตนของเวทนา ตัวตนของสัญญา ตัวตนของสังขาร ตัวตนของวิญญาณ มันก็สลายหายไป
_สุชาดา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูและท่านสมณะสิกขมาตุค่ะ และขอบพระคุณท่านผู้ถามปัญหาด้วยค่ะเพราะทำให้เราได้ตรวจสอบตัวเองไปด้วยค่ะ
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมติดตามชมและฟังพ่อครูเป็นประจำไม่ค่อยจะพลาดชมเลย นอกจากไม่ได้อยู่บ้าน แต่ก็จะหาดูหาชมตามยูทูปก็พอได้ครับ ผมยิ่งฟังยิ่งชอบเพราะนับวันจะดุเด็จแบบที่จะหาชมและฟังจากพระที่อื่นไม่ได้เลย เพราะธรรมที่อื่นส่วนมากจะเป็นธรรมเบาใจ แบบหวานๆเย็นๆเย็นๆเท่านั้นครับ
_ผู้ครอบครอง จักรวาล · พ่อท่านคือนิยตโพธิสัตว์(ระดับ7)ของจริงครับ
_โพธิปัก ขิยธรรม พ่อครูผู้สยังอภิญญา. โพธิสัตว์ระดับ7 กระผมขอฟังธรรมจากพ่อครูโพธิรักษ์ทุกชาติไป
_ได้ฟังเพลง หรือจะรอให้พ่อสิ้นที่ท่านสมณะเด่นตะวัน แต่ง ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล จึงคิดว่า จะตอบแทนพ่อครูด้วยการปฏิบัติบูชา ในพรรษานี้ ตั้งตบะ ที่สำคัญที่ติดมากชอบมากคือขนมหวาน แต่ก็กินน้อยมากแล้ว เห็นโทษภัยทำให้เกิดโรคภัยและทำให้แก่เร็ว จึงเลิกกินอาหารที่ทำจากน้ำตาลและกะทิทุกชนิด จะเลิกตลอดชีวิต
_จาก บ้านเล็ก เมืองน้อย
อำนาจเงิน กับ อิทธิพลของศีล เป็นพลังงาน 2 ขั้ว ที่อยู่ตรงข้ามกัน และมีแรงดูดผลักที่สวนทางกัน
การสะสมเงินมากๆ จะมีอำนาจเป็น โลกียะทรัพย์ สามารถใช้เงินซื้อ-สั่ง ผู้คน-สิ่งของ ได้ดั่งเนรมิต แต่จะไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจที่แท้จริงจากผู้คน จึงเกิดเป็นสังคมกลวง ที่เสแสร้งแกล้งดัด หักเล่ห์ชิงเหลี่ยมสารพัด สังคมจึงร้อนรุ่ม-วุ่นวายไร้ที่พึ่งพิง
การขัดเกลากิเลสออกด้วยศีล จนยอมมาเป็นคนจน มีจิตที่วางจากกิเลส เป็น อาริยะทรัพย์ หมดโลภ-โกรธ-หลง-ไร้อัตตาตัวตน เสียสละทำเพื่อผู้อื่น จนได้รับความนับถืออย่างยินยอมพร้อมใจ จึงจะสร้างพลังเย็น เปลี่ยนสังคมให้เกิดสันติสุขได้ ดังที่พ่อท่านได้นำพาชาวอโศกทำเป็นตัวอย่าง
ในสมัยก่อน ที่ผู้คนยังไม่ถูกอำนาจเงินครอบงำ ศีลธรรมประจำใจคือสิ่งเชื่อมโยงสังคมให้ร่มเย็น อาศัย ขนบ-ประเพณี ชักนำผู้คนให้อยู่ในครรลอง ดูแลสังคมให้เป็นธรรม..... เงินกับกฎหมายจึงเป็นของฟุ่มเฟือยในสมัยนั้น ขึ้นโรงขึ้นศาลไม่ค่อยมีให้เห็น
เมื่อระบอบทุนถูกสถาปนาขึ้น โดยมี โลกาภิวัฒน์ ช่วยเร่งปฏิกิริยา แพร่เชื้อความเป็นปัจเจกชน ปลูกฝังความเห็นแก่ตัว จนการแข่งขันแย่งชิงกลายเป็นสิ่งขับเคลื่อนสังคม สมใจนายทุน เพื่อให้ฟังดูไม่น่าเกลียด การเอารัดเอาเปรียบจึงถูกตั้งชื่อใหม่ว่า ธุรกิจ
เงินทำให้ วจีกรรม กายกรรม ของคนเปลี่ยนไปได้ ให้เป็นผู้คล้อยตามได้ แต่เงินไม่สามารถควบคุมมโนกรรมให้อ่อนน้อมถ่อมตนได้ เหมือนอย่างที่ศีลมีอิทธิพลต่อจิต อบรมขัดเกลาจิตให้เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งกาย-วาจา-ใจ เป็นผู้เจริญขึ้นได้อย่างแท้จริง
เงินยิ่งเรืองอำนาจ ก็เปลืองกฎหมายมาก แต่ไม่ช่วยให้คดีความน้อยลง ความศักดิ์สิทธิ์ของเงินได้ทำลายความศรัทธาในศีลของผู้คนไปจนหมดสิ้น จริยธรรม กลายเป็นเรื่องตลกของทนาย ผู้คนเปลี่ยนเป็นนักลักลอบ-หลีกเลี่ยงกฎหมาย เพื่อธุรกิจจำต้องสะกดข่มยิ้มแย้มในที่สาธารณะ-แล้วค่อยลงมือลับหลังเมื่อสบโอกาส การนั่งหลับตาสมาธิจึงเป็นที่นิยม ขอเพียงเพื่อให้ดูดี แต่กิเลสยังคงหมักหมมอยู่ภายใน เป็นดังภูเขาไฟที่รอเวลาปะทุ
ดังนั้นเงินไม่ใช่หนทางในการแก้ปัญหาความเสื่อมของสังคมฉันใด การนั่งหลับตาสมาธิก็มิใช่หนทางของพุทธปฏิบัติ ที่จะยกระดับจิตให้เป็นผู้เจริญขึ้นได้ฉันนั้น
มรดกในโลกของทุนเป็นเพียง สินทรัพย์ ไม่เที่ยง ที่สืบ ทอดให้แก่ลูกหลานของตน
แต่อาริยะทรัพย์ คือ ศีลทรัพย์ ที่สถิตถาวรในจิต อบรมจิตให้ถึงขั้นสูญญตาได้ ซึ่งต้องปัจจัตตังกันเอาเองเท่านั้น จึงจะทำให้เกิดการสืบสานไปสู่ชนรุ่นหลัง แล้วมรดกที่เป็นอาริยะคุณนี้ จะยังความมีศีลมีธรรมให้คงไว้ในสังคมสืบไป
ไม่มีศีล..... ไม่มีทาง..... ไม่มีธรรม
_ใบฟ้า..
1. ณ กาละนี้ พ่อครูยกคนดีข่มคนชั่ว แยกความถูกผิดคมชัดอย่างแกล้วกล้าอาจหาญร่าเริงบันเทิงใจดิฉันเห็นเช่นนี้ค่ะ
2. หัวใจนั้นมี 4 ห้อง ดังนั้นหัวใจของพุทธศาสนาซึ่งประกอบด้วย ห้องที่ 1 อริยสัจ 4 ห้องที่ 2 คือไตรสิกขา ห้องที่ 3 คือธรรมะ 2 ห้องที่ 4 คือสัมมาหรือมรรคมีองค์ 8
3. เนื่องจากวันปิยมหาราช จึงเรียนถามว่าการเลิกทาสของพระเจ้าอโศกมหาราชและรัชกาลที่ 5 นั้น อานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่นั้นจะเกิดผลเช่นไร ทั้งสองพระองค์อยู่ในโพธิสัตว์ระดับใด
พ่อครูว่า...คุณถามมานั้นลึกและเป็นอจินไตยเกินไป อาตมาไม่มีเครื่องวัดที่จะตอบคุณได้อย่างดี เราก็ไม่อยากตอบเท่าไหร่ ตอบเดาไม่เข้าท่า อย่าอยากรู้เลย ให้รู้ของตัวเองเถอะเราจะได้รู้ว่าขนาดนี้คือขนาดนี้ ผู้ใดมีประมาณที่เรามี เข้าท่า ผู้ใดมีไม่เท่าเราก็รู้ว่าเขามีน้อยกว่าเรา คนนี้มีมากกว่าเรา เราจะซื่อสัตย์ เราจะเห็นความจริงตามความเป็นจริงอย่างนี้ เมื่อเราไม่มีอคติไม่เห็นแก่ตัวไม่หลงตัวหลงตน ความไม่หลงตัวหลงตนไม่มีตัวมีตนมันจะตรงซื่อสัตย์ จะเห็นว่าคนนี้มีมากหรือน้อยกว่าเราเป็นจริงตามสัจจะ แต่ถ้าคนมีความเห็นแก่ตัวมีอัตตามานะ มันก็จะ ลำเอียง บวกลบคูณหารตัวเอง จะใหญ่กว่าเขาจะดีกว่าเขาอยู่เรื่อย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน เอกกนิทเทส 1
พ่อครูว่า...มาดูในพระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ 36
อภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
เอกกนิทเทส
[17] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดยสมัยแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย
พ่อครูว่า...ทุกอย่างจะเริ่มจาก 2 ทั้งนั้นที่เป็นสังขตธรรม อยู่เดียวไม่ได้ปรุงแต่ง ทุกอย่างเริ่มที่ 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 เป็นหัวใจของศาสนาพุทธเลย
[18] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาล(กาเลนกาลัง)ในสมัยโดย สมัย(สมเยนสมยัง) สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ
พ่อครูว่า...สัมผัสวิโมกข์ 8 อย่างไร วิโมกข์ 8 มีอะไร สัมผัสสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วต้องกายนะ กายมีทั้งภายนอกภายใน กายมีคู่สังขารสังเคราะห์ด้วยนะ
วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 เวไนยสัตว์ของโลกุตระต้องมีอัญญธาตุเริ่มต้น แล้วมีความรู้แบบโลกุตระ จึงฟังรู้เรื่อง ต้องมีคนมีธาตุรู้มีจิตนิยาม และต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ มีพืชสัตว์หรือวัตถุเป็นต้น พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) คนตาบอดก็ไม่เห็นรูป คนที่ไม่มีสติ ไม่มีการใช้สติสัมผัสสัมพันธ์รู้เรื่อง ไร้สติ สติดีอยู่แต่ในวาระนั้นไร้สติมันก็ไม่รู้จะเป็น รูปานิไม่ได้ รูปีคือรูป รูปานิคือ คนที่จะรู้รูป
ปัสสติ คือเห็น รูปอันแรกคือคำว่า ตา กับ รูป ตาก็ไปเห็น กระทบรูปหรือ
หูกระทบเสียง ได้ยิน จมูกกระทบกลิ่น ก็ได้กลิ่น เป็นธรรมะ 2 มีของจริงทั้งนอกทั้งในมีประสาท โคจรรูป มีสิ่งที่ถูกรู้ สัมผัส เกิดภาวะรู้ได้ยินได้กลิ่นได้รสสัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง นี่คือ ข้อแรกของวิโมกข์ 8 ต้องมีคนมีจิตวิญญาณ มีสิ่งที่ถูกรู้สัมผัสสัมพันธ์กัน ข้อนี้มีไปจนถึงข้อที่ 8 ของวิโมกข์นะ ไม่ขาด รูปี รูปานิปัสสตินะ อย่าไปทิ้ง
2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) คำว่า อัชฌัตตังแปลว่าภายใน พหิทา แปลว่า รูปภายนอก
อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เขาแปลว่า ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน อาตมาว่ามันไม่ถูก อัชฌัตตังแปลว่าภายใน อรูปคือ ความละเอียดกว่ารูป พหิทา เป็นภายนอกตัวหยาบ อัชฌัตตังคือภายใน ตัวอรูปคือตัวละเอียดภายใน
อัชฌัตตังภายใน พหิทาภายนอก สามมีรูปีรูปานิ แล้วต้องมีปัสสติ มีการสัมผัสเห็นอยู่ตลอดเวลา
ส่วน อรูปสัญญี นั้น สัญญีคือ ผู้มีสัญญาหรือผู้สำคัญมั่นหมาย แต่เอา อ ไปใส่หน้าเขาแปลว่า ผู้ไม่มีความสำคัญในรูป แล้วท่านก็เอารูปมาเป็นตัวยืนยัน ที่จริง อรูปกับสัญญี
สัญญีคือ ผู้กำหนดรู้ผู้มีสัญญา กำหนดรู้ภายใน ที่จริงกำหนดรู้หมดตั้งแต่ภายนอก โดยตนเอง เอโก ของตนเองทั้งหมด เป็นผู้มี ครบทุกอย่างทั้งภายในภายนอก รู้แล้วไม่รู้ ของตัวเองคนเดียว เอโก
พวกนี้สามารถที่จะรู้รูป มีรูปให้รู้ และมีปัสสติ มีการให้เห็นได้รู้สัมผัส ตั้งแต่ภายนอกพหิทา จนถึงภายใน อัชฌัตตัง
ภายนอก คืออบายภพ หมดอบายก็เหลือกามภพ หมดกามก็เหลือรูปภพ เลยรูปภพเข้าไปอีกคือ อรูปภพ จนครบหมดเลย ละไว้ในฐานที่เข้าใจรูปภพ
ภายนอกก็ไม่ได้บอก กามภพ แต่ก็ละไว้ แล้วรู้ว่าภายในมีภวภพหรือรูปกับอรูป
หมดภายในขั้นรูปภพแล้ว เหลืออรูปภพ เป็นการกำหนดรู้ภายนอกที่หยาบก่อน แล้วกำหนดรู้ภายใน
แต่ไปแปลว่า ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน ก็เลยไม่ได้ปฏิบัติอะไร ไปๆอย่างนี้มันก็เลยผิดเพี้ยน เป็นตำราคัมภีร์นะ คนที่ไม่รู้ภาษาบาลีก็ไปต้องอ่านภาษาไทย ก็แปลมาผิดๆอีก ขออภัย ต่อท่านผู้แปล ขอติติงเถอะ ขออนุญาตก็ขออภัย
ข้อ 2 นี้อาตมาจึงขอแก้ว่า ผู้ที่ใช้สัญญาทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งรูปภายนอก รูปขั้นกลาง รูปภายใน รู้หมดเลยรวบหมดเลย ทั้งภายนอกภายในทั้งขั้นกลางทั้งลึก เป็นผู้กำหนดสำคัญมั่นหมายเป็นขั้นตอนเป็นลำดับไปหมดเลย ข้อ 2 นี้เป็นองค์รวมหมดเลยเป็นความรอบรู้ในการปฏิบัติธรรม
ข้อที่ 1 ปูทางไว้ ว่าต้องมีรูป มีธาตุรู้ที่จะรู้ แล้วต้องมีวิญญาณมีการสัมผัส
ข้อที่ 2 ตั้งแต่ภายนอกภายใน จากรูป อรูป แล้วเป็นผู้มีการกำหนดรู้ สัญญี อย่าไปบอกว่าเป็นผู้ไม่สำคัญมั่นหมาย ไม่ใช่อสัญญี
แม้แต่คำว่าอสัญญี ก็ไม่ได้แปลว่า ผู้ไม่มีสัญญา แต่แปลว่าผู้มีสัญญาครบแล้ว ไม่ต้องมีไม่ต้องทำสัญญากำหนดรู้อีก นี่คือนัยะลึกซึ้ง
เพราะโลกุตระ ไม่ได้ปฏิเสธ 0 แต่ต้องทำสูญไปตามลำดับ กามภพ รูปภพ อรูปภพไม่ใช่สูญหมด แต่สูญไปทีละขั้น
ข้อที่ 2 ของวิโมกข์ 8 คือผู้ที่ครบครันในการปฏิบัติโดยใช้สัญญาเป็นการกำหนดหมายสำคัญมากในสัญญาตัวนี้ หน้าที่สัญญาคือจำใส่คลังความรู้ ต่างจากปัญญา ตรงสัญญาใช้ทั้งภายนอกภายในก็ได้ส่วนปัญญาต้องมีภายนอกเป็นตัวยืนยัน ต้องมีธาตุรู้คือภายในเนื้อแท้ ปัญญา มีอัญญาตัวหลักแล้วปัญญาต้องมีตัวนอก ปัญญา ปัญญินทรย์ ปัญญาพละ ต้องมีภาคปฏิบัติใน มรรคทั้งหมด ในการทำงานอาชีพในการกระทำการพูดการคิด เรียกว่าอาชีวะ ต้องมีหมดครบเลย
นั่นคือผู้ที่ใช้สัญญาให้มาเป็นปัญญา ปัญญาต้องมีภายนอก
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
อธิ ไม่ใช้คำว่าวิ เพราะอธิเป็นภาคปฏิบัติที่ทำให้เจริญขึ้น วิ คือผู้ทำสำเร็จแล้ว อธิคือ จิตโน้มไปสู่ที่สูงขึ้น
สุภันเตวะ คือ ไปแปลว่า สิ่งที่น่าได้น่ามีสิ่งที่น่ายินดี คือ อันตะ แปลว่า ที่สุด เพราะฉะนั้นการกำหนด อันใดอันหนึ่งเรียกว่า เอวะ มีสุภะ อันตะ เอวะ
เอวะคือ อันนี้ๆ เอวะเมสุตังคือ อันหนึ่งอันนั้น
เมื่อเราเห็นอันใดที่หน้าได้ควรได้ควรมีควรเป็น แล้วก็ทำอันนั้นให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ อันตะไปเรื่อยๆ จนเป็นอันตา แปลว่าข้าง หากโลกีย์ก็มีแต่ไปหานรก หากโลกุตระก็ไปหานิพพานอันตาคือคนละฝ่าย คนละข้าง เมื่อได้สภาวะที่เป็นสิ่งที่น่าได้เรียกวาสุภะ ที่อันใดที่ได้ เอวะ อันนั้น คุณต้องพยายามทำให้มันเจริญมันน้อม อธิมุตโต อธิโมกโข ไปสู่ที่สุดที่สูงให้ได้ ทำให้มันเจริญขึ้นสู่ที่สุดที่สูงให้ได้ นี่เป็นข้อที่ 3
จนถึงที่สุดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นก็ดำเนินไปตามลำดับข้อที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 สูงสุด
เพิ่ม 6 ข้อที่ 1 2 3 รวบรวมทำให้เกิดถึงผลที่เรียกว่า ฌาน
สามข้อนี้คือ รูปฌาน เป็นฌานขั้นต้น ปฏิบัติแล้วให้จิตมันเผากิเลส ฌานคือ ไฟ พลังอุณหธาตุ เผากิเลสลดกิเลสไปเรื่อยๆ เป็นขั้นๆ
ขั้นที่ 1 จะเรียกว่าวิตกวิจารปีติสุข แต่ยังไม่เรียกว่าอุเบกขา เรียกว่าเอกัคคตา รวมเป็นหนึ่งได้แต่ยังไม่สูญ
ขั้นที่ 2 วิตกวิจารคือการพิจารณาการศึกษาจะต้องแยกแยะอะไรต่างๆนานา แล้วก็อ่านพฤติกรรมเรียกว่า วิจาระ วิตักกะคือไตรตรองแยกแยะ วิตกวิจาร รวมทั้งในจิตเราแยกแยะอะไรต่างๆเรียกรวมกันว่าเป็นวิตกวิจาร คุณก็ทำ ทำแล้วคุณก็แยกแยะได้ เช่น แยกธรรมะ 2 หาข้อสรุปจากธรรมะ 2 ที่มีของเก๊ แยกเวทนา ความรู้สึก 2 ความรู้สึกแท้กับความรู้สึกเก๊ คุณก็สามารถดับเหตุของความรู้สึก เก๊ นี้ได้ ดับได้ลงไปเรื่อยๆก็เหลือ1 รูปฌานคือทำอันนี้ให้ได้ ไปเรื่อยๆ จนไปถึงขั้นหมด
ข้อที่ 3 อธิบาย สุภันเตวะแล้ว เจริญเป็นลำดับไปสู่ที่สูง เมื่อถึงขั้นรูปฌานดับหมดได้
อรูปฌานอีก 4 คือ วิโมกข์ ข้อที่ 4 5 6 7
รูปฌาน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส คุณสำเร็จผล จิตคุณอยู่เหนือมันสัมผัสแล้วมันไม่เกิดกิเลส จิตที่ไม่เกิดกิเลสนี่แหละคืออุเบกขาฐาน
ขยายอุเบกขาเป็นปริสุธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ศึกษาอรูปฌานต่อ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
อรูปฌานสองคู่แรก เป็น อากาสาฯ กับวิญญานัญจาคือรูปกับนาม
อากาสาคือว่างจิตว่างจากกิเลส กิเลสไม่มีในจิต จากอบาย ก็ทำได้ จิตว่างจากอบายก็ทำจิตวางจากกามอีก แล้วต้องมีธาตุรู้คือวิญญาณอ่านความว่างจากกิเลสแล้วหันกลับมาอ่านวิญญาณอีก ว่าวิญญาณคุณมีธาตุรู้ที่กิเลสอาการรสชาตอร่อยไม่มีหรืออุปกิลสเรื่องเลอะเทะก็ไม่มีแล้วนะ ต้องอ่านมันให้ได้คือธรรมะสอง สิ่งที่อาศัยคือวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ของคุณสะอาด บริสุทธิ์จาก อบาย กาม รูปภพอรูปภพ จะเกิดสภาพ อากาสา วิญญาณัญจาไปทีละคู่
คู่สุดท้ายคือ อากิญจัญญายตนะ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
อากิญแปลว่าไม่มี นิดน้อยหนึ่งก็ไม่มี มันเป็นรูปเป็นความไม่มี เป็นของสิ่งที่ไม่ให้มี เป็นนามธรรมคุณสัมผัสกับวัตถุภายนอก แต่จิตคุณต่างหาก ที่จะให้ไม่มีอาการที่ไม่มีไม่มีแน่นะ เนวสัญญา นาสัญญา กำหนดรู้ไปทุกอย่างทุกอันต่างๆ จะมีมุมเหลี่ยมไหนกี่มุมคุณก็กำหนดรู้ได้หมด นา นัตตสัญญา นาสัญญา
เนวะ เป็นคำภาคเศษมันจบได้หรือยังหรือมันยังไม่ได้
ก็ขอแวะอธิบาย ตามความรู้ของอาตมา มีคำสามคำที่ยากจะเข้าใจ คำว่า
เนวะ กับ เหวะ กับ เอวะ สามคำนี้
คำว่าเอวะ เป็นคำกลางคำระบุสิ่งใดสิ่งนั้น สิ่งนี้สิ่งนั้น
ส่วน เนวะ หมายความว่าจะรู้ก็ไม่รู้ จะปฏิเสธว่ามันไม่มีก็ได้แล้ว
ส่วน เหวะนั้นได้แล้ว เป็นของแท้ ห คือของแท้ น คือปฏิเสธ หะ โห หิตะ เป็นภาค Past perfect tense
หุตุง โหติ คือมีแล้ว เหวะ เพราะฉะนั้น อันนั้นแหละมันได้แล้วไม่ต้องไปซ้ำซากไม่ต้องไปพูดอีกไม่ต้องไปกำหนดอีก เช่นใน วิโมกข์ 8 บุคคล 7 ในข้อที่ตรัสว่า
นเหว โข พยัญชนะ 3 คำนี้ เหวะ โข
โข คืออันนั้นแท้แล้วแล เหวะ น เหวะโข ไม่ต้อง นะคือปฏิเสธ เหวะคือสิ่งที่ได้แล้ว กับโข คือแน่แท้แล้วโดยแท้แล้ว มันเสร็จแล้ว ไม่ยอกย้อนแล้ว
นเหวโข ผู้ที่มีปัญญาวิมุติคือ นเหวโข หากไปแปลว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ภาษาไทยคือไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่อาสวะ ทุกอย่างสิ้นไปแล้ว ไม่ใช่อาสวะบางอย่างสิ้นไปบุคคลผู้ที่ 5 กายสักขี
อาสวะบางอย่างของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว
กายสักขี ต่ำกว่าปัญญาวิมุติ คนไม่มีสภาวะก็เลยสับสน ตัวพยัญชนะแปลกๆอันนี้
น เหวโขอัตถวิโมกเข กาเยนผุสิตวา แต่ไปแปลว่ามิได้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็เลยเข้าใจว่า ผู้นี้ไม่ได้บรรลุอะไรก็เลยตัดทิ้งเลย แต่ ปัญญาวิมุติคือผู้ที่อาสวะสิ้นไปตัดทิ้งท่านได้อย่างไรท่านสูงกว่ากายสักขี
กายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้นไปเท่านั้น ต่ำกว่าปัญญาวิมุติ
ปัญญาวิมุติท่านอาสวะสิ้น อาสวะผู้นั้นสิ้นไปหมด เพราะเหตุแห่งปัญญาและเป็นคนลำดับที่ 6
ลำดับที่ 5 กายสักขี อาสวะบางอย่างหมดเท่านั้น นี่คือสิ่งที่คาดคะเนเดาเอาไม่ได้ หากไม่มีสภาวะอธิบายไม่ได้แน่นอนน่าเห็นใจ เห็นใจผู้ที่พยายามที่จะศึกษาแล้วก็ภูมิไม่ถึงก็เลยสับสน
อาตมาจริงใจพูดตามความเห็นยืนยันว่าอย่างนี้ถูก แล้วก็ขอตำหนิท่านว่าอย่างนั้นมันผิดก็ต้องขออภัยที่ต้องตำหนิ อาตมาก็ได้ประโยชน์จากพระไตรปิฎกที่ท่านแปลมา อันที่มันลึกซึ้งสับสน เห็นว่าไม่ตรงอย่างนี้อาตมาเห็นว่าตรงกว่า ก็ขอเห็นแย้ง ผู้ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร อันนี้บังคับกันไม่ได้ อาตมาอธิบายด้วยความจริงใจ นี่คือสัจจะที่ยาก มาไล่ไปตามลำดับ
เอกกนิทเทส
อันที่ 1 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว
[17] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดยสมัยแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย
พ่อครูว่า...ผู้นี้สรุปแล้วมี อาสวะบางอย่างสิ้นด้วยปัญญา
ต่อมา ท่านใช้คำว่า บุคคลผู้ไม่ใช่พ้นแล้วในสมัย คือ อสมยวิมุตโต
จริงๆแล้ว อสมยะ สูงขึ้นกว่า สมยะ แต่ไปแปลว่า ไม่พ้นแล้วในสมัยก็ไม่ถูกต้องแปลว่า ไม่ต้องทำอีกแล้วพ้นสมัยแล้วบรรลุแล้ว สูงกว่า ไม่ต้องพูดว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในสมัยใดสำเร็จอิริยาบถอยู่ อาสวะทั้งหลาย ของบุคคลนั้นหมดสิ้นแล้วก็เห็นด้วยปัญญา
ของตนนั้นพ้นอาสวะบางอย่าง แต่อันนี้คือ อสมยะ ไม่ใช่ว่าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่สัมผัสมาแต่ต้นจนพ้นแล้ว นเหวโข
ได้แปลว่าไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายทำให้สับสน มันต้องพูดว่าไม่ต้องทำอีกแล้วโดยกาละสมัยสำเร็จอิริยาบถอยู่แล้ว อาสวะทั้งหลายหมดสิ้นแล้วด้วย
ท่านไปแปลว่า นเหวโขกาเยนกาลังสมเยนสมยัง คือในกาละในกาละโดยสมัยในสมัย
อันที่ 2 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะทุกอย่างสิ้นแล้ว
[18] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาล(กาเลนกาลัง)ในสมัยโดย สมัย(สมเยนสมยัง) สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ
[18] กตโม จ ปุคฺคโล อสมยวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข กาเลน กาล สมเยน สมย อฏฺ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปฺาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อย วุจฺจติ ปุคฺคโล อสมยวิมุตฺโต ฯ สพฺเพปิ อริยปุคฺคลา อริเยวิโมกฺเข อสมยวิมุตฺตา ฯ
ท่านไปแปล อสมยวิมุตตา ว่าไม่พ้น มันขัดแย้ง ว่า พ้นอาสวะทั้งหลายแล้ว แต่ที่จริงต้องแปลว่าท่านคือผู้พ้นในสมัยยิ่งกว่าอีก
สู่แดนธรรมว่า...น่าจะแปลว่าผู้พ้นแล้วโดยไม่ต้องมีสมัยอีก
พ่อครูว่า…
บุคคลที่ 1 คืออาสวะบางอย่างพ้นแล้วในสมัย
อันที่สองโดยกาละสมัย อาสวะหมดสิ้นทั้งหมด
บุคคลที่ 3 บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เพราะมีความประมาท
[19] บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็น
ผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใด ตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบได้ เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันกำเริบ
[19] กตโม จ ปุคฺคโล กุปฺปธมฺโม อิเธกจฺโจ ปุคฺคโลลาภี โหติ รูปสหคตาน วา อรูปสหคตาน วา สมาปตฺตีน โส จ โข น นิกามลาภี โหติ น อกิจฺฉลาภี น อกสิรลาภี น ยตฺถิจฺฉก ยทิจฺฉก ยาวติจฺฉก สมาปชฺชติปิ วุฏฺาติปิ ฐาน โข ปเนต วิชฺชติ ย ตสฺส ปุคฺคลสฺส ปมาทมาคมฺม ตา สมาปตฺติโย กุปฺเปยฺยย อย วุจฺจติ ปุคฺคโล กุปฺปธมฺโม ฯ
พ่อครูว่า…อาตมา เอาสภาวะที่มีมาอธิบายว่าผู้ที่ปฏิบัติเพื่อให้กิเลสหมด แต่ผู้ที่เป็นเดียรถีย์ ท่านก็นึกไปถึงสภาวะ การนั่งสมาธิหลับตาเท่านั้น แล้วก็ไปทำให้กิเลสลดได้เข้าแล้วก็ออก กิเลสก็ไม่หมดหรอกเป็นการสะกดจิตหลับตา
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นคือผู้ที่ปฏิบัติลืมตา สมาบัติไม่ได้หมายความว่าหลับตาแล้วเข้าสมาบัติออกสมาบัติ แต่ของท่านคือการปฏิบัติ เมื่อได้ผลแล้วก็ได้ไปเสร็จไป ไม่ต้องเข้าต้องออก
เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ท่านก็แปลว่าไม่ได้เป็นผู้ที่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ก็แสดงว่าได้โดยยากได้โดยลำบาก (สู่แดนธรรมว่า...ท่านแปลถูกแล้ว เพราะเป็นผู้อกุปปัง จึงได้โดยยากได้โดยลำบาก) ยังได้โดยยากได้โดยลำบากก็ยังไม่เก่ง
ข้อ 1 อาสวะบางอย่างสิ้น ข้อที่ 2 คืออาสวะทั้งหมดสิ้น ผู้จะสิ้นอาวะได้ต้องด้วยปัญญา อาสวะจึงสิ้นเด็ดขาดหากไม่ดับด้วยปัญญาปัญญาต้องมีภายนอก ต้องสัมผัสด้วยกาย ต้องเป็นธรรมะ 2 มีภายนอกภายในต้องรู้จัก เทวะ แล้วก็แยกธาตุเทวะหรือดับเทวะได้ เป็น 1 เป็น 0 ไม่ต้องเป็นเทวดาตัวตนบุคคลเราเขา คนนี้ หมดเทวดา
คนที่ 3 นี้ บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ
[19] บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใด ตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบได้ เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันกำเริบ
[19] กตโม จ ปุคฺคโล กุปฺปธมฺโม อิเธกจฺโจ ปุคฺคโลลาภี โหติ รูปสหคตาน วา อรูปสหคตาน วา สมาปตฺตีน โส จ โข น นิกามลาภี โหติ น อกิจฺฉลาภี น อกสิรลาภี น ยตฺถิจฺฉก ยทิจฺฉก ยาวติจฺฉก สมาปชฺชติปิ วุฏฺาติปิ ฐาน โข ปเนต วิชฺชติ ย ตสฺส ปุคฺคลสฺส ปมาทมาคมฺม ตา สมาปตฺติโย กุปฺเปยฺยย อย วุจฺจติ ปุคฺคโล กุปฺปธมฺโม ฯ
พ่อครูว่า...คนที่สามนี้ประมาท ทำได้แล้วอย่าประมาทต้องทำเพิ่ม อย่านึกว่าเราได้แล้วเร็วนัก อย่ารีบตัดสินเร็วนัก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ซ้ำไปเรื่อยๆ นี่คือบุคคลที่ 3
กำเริบได้นะ คนที่ 3 นี้อย่าประมาท จึงชื่อว่าบุคคลมีธรรมะอันกำเริบ
บุคคลที่ 1 ผู้พ้นแล้วสมัย บุคคลที่ 2 ไม่ต้องกล่าวแล้วเพราะพ้นแล้วในสมัยแน่นอน บุคคลที่สามนี้ไม่แน่อย่าประมาท
บุคคลที่ 4 อกุปปธัมโม คือ มีธรรมะอันไม่กำเริบ
[20] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น เป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยากเป็นผู้ได้โดยไม่ลำบากสามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใดได้ตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะไม่เป็นโอกาสที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบเพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันไม่กำเริบพระอริยบุคคลแม้ทั้งหมดชื่อว่าผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ ในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ
[20] กตโม จ ปุคฺคโล อกุปฺปธมฺโม อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล ลาภี โหติ รูปสหคตาน วา อรูปสหคตาน วา สมาปตฺตีน โส จ โข นิกามลาภี โหติ อกิจฺฉลาภี อกสิรลาภี ยตฺถิจฺฉก ยทิจฺฉก ยาวติจฺฉก สมาปชฺชติปิ วุฏฺาติปิ อฏฺานเมต อนวกาโส ย ตสฺสปุคฺคลสฺส ปมาทมาคมฺม ตา สมาปตฺติโย กุปฺเปยฺยย อย วุจฺจติปุคฺคโล อกุปฺปธมฺโม ฯ สพฺเพปิ อริยปุคฺคลา อริเย วิโมกฺเข อกุปฺปธมฺมา
พ่อครูว่า...ผู้ที่เป็นอาริยะในส่วนนี้ก็จะไม่กลับกำเริบ อาศัยความไม่ประมาท ไม่ใช่แปลว่าอาศัยความประมาท ถ้าท่านเป็นบุคคล จะมีความประมาทอยู่ กิเลสกำเริบได้
เพราะฉะนั้น ส่วนที่เป็นอาริยะแล้วได้แล้ว ได้แล้วไม่กำเริบ ส่วน ที่ท่านยังไม่ได้มันยังกำเริบอยู่นะอย่าประมาทนะ ต้องทำต่อไปอีกนะ
บุคคลที่ 5 บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม
[21] บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วย อรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นานเท่าใดตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่บุคคลนั้น จะพึงเสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้นได้ เพราะอาศัยความประมาท บุคคล นี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันเสื่อม
21] กตโม จ ปุคฺคโล ปริหานธมฺโม อิเธกจฺโจ ปุคฺคโลลาภี โหติ รูปสหคตาน วา อรูปสหคตาน วา สมาปตฺตีน โส จ โข น นิกามลาภี โหติ น อกิจฺฉลาภี น อกสิรลาภี น ยตฺถิจฺฉก ยทิจฺฉก ยาวติจฺฉก สมาปชฺชติปิ วุฏฺาติปิ าน โข ปเนต วิชฺชติ ย โส ปุคฺคโล ปมาทมาคมฺม ตาหิ สมาปตฺตีหิ ปริหาเยยฺย อย วุจฺจติ ปุคฺคโล ปริหานธมฺโม ฯ
พ่อครูว่า...ถ้าท่านประมาท กิเลสที่มันยังไม่แน่นอนอาจกำเริบได้ ประเด็นจึงอยู่ที่อย่าประมาท ถ้าประมาทเมื่อใดแล้วอาศัยความประมาทบุคคลนั้นมีธรรมะอันเสื่อม
บุคคลที่ 1 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว
บุคคลที่ 2 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะทุกอย่างสิ้นแล้ว
บุคคลที่ 3 บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เพราะมีความประมาท
บุคคลที่ 4 อกุปปธัมโม คือ มีธรรมะอันไม่กำเริบ เพราะไม่มีความประมาท
บุคคลที่ 5 บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เพราะมีความประมาท แต่เป็นผู้ที่สูงกว่าผู้ที่มีธรรมะอันกำเริบ เป็นลำดับของความเจริญขึ้น ของแต่ละบุคคล
สมณะฟ้าไทว่า... ผู้ที่หลุดพ้นแล้วต้องทำงานมากขึ้นเพื่อให้ไม่เสื่อม
พ่อครูว่า...สรุปแล้วทุกเวลาของพระพุทธเจ้านี้ต้องควบคุมต้องสนใจต้องเพิ่ม ให้มากขึ้นไปอย่าให้ถอยหลัง มันจะช้าและมันจะวนเวียนสับสน ต้องเป็นไปตามลำดับ
ถ้าเป็นไปตามลำดับจะเจริญได้อย่างน่าอัศจรรย์ มันจะเยี่ยมยอดเลย
ส.ฟ้าไทว่า...สรุป วันนี้เราต้องปีนต้นตาลฟังแล้วนะ แต่อาตมาว่า เป็นธรรมะที่มีรายละเอียดกันพิศดารมาก กิเลสแล้วหมดไปแล้วก็ยังต้องไม่ประมาท ที่สุดแล้วลดกิเลสได้หมดก็ยังประมาทไม่ได้เลย
พ่อครูว่า….มีอีก คือ ผู้ที่ลดกิเลสได้อย่างจริงจังแล้วกลับมามีกิเลส คือคนอื่นมองดูแล้วเหมือนมีกิเลส แต่ทีจริงกิเลสเข้าไม่ได้แล้วจริงๆ มาเปื้อนได้ แต่มันไม่มีอะไรจิตเราสะอาดหมด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา จนเป็นผู้ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ก่อนที่คุณจะทำทีว่าอนุโลมได้แล้ว หากทำโดยประมาท ตาย
ส.ฟ้าไท สรุป จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:54:08 )
รายละเอียด
611028_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอน ทำ 2 ใน 1 ทำ 1 ใน 2 ได้ต้องทำลายเทวะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1pjfR6ezekv6eMK6zwA69RdXevEsiiS4W4krys_gXuBE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=11BPNc77PNm61A_PoxSKx0a5lAHG8rZhQ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สิริมหามายาของโพธิสัตว์ระดับ 7
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มาโลกียะก็พาไปหาสวรรค์หาความสุข แสวงหานรก แต่มาโลกุตระ ตีนรกตีสวรรค์แตก มีแต่ความว่างเบาสบาย โลกุตระทำสวรรค์ให้หมดไปนรกก็หมดไปด้วย
พ่อครูว่า...ทำปัญญาให้แจ้งว่าสวรรค์ก็เก๊ ก็ลวง ทำปัญญาให้เข้าใจจริงๆว่าสวรรค์ก็อย่างนี้นรกก็อย่างนี้
สมณะฟ้าไทว่า...คนมาอยู่ในแดนโลกุตระก็อยู่อย่างเบาว่างสบาย
พ่อครูว่า...ไม่มีความเป็นเทวไม่มีความเป็นสองมีแต่ความเป็นศูนย์
สมณะฟ้าไทว่า..คนโลกียะมีพุงเหมือนคนใกล้คลอด ดูหน้าพวกเราก็เหมือนไม่มีภาระอะไร เสื้อผ้าก็ไม่เป็นภาระ ดูที่เท้าก็สบาย ไม่ใส่รองเท้านอกจากจำเป็น เราไม่เป็นภาระไม่ยึดมั่นถือมั่นก็สบาย แต่ก่อนไม่มีนกร้องแต่มาตอนนี้มีนกร้อง อยู่กันอย่างผาสุกสบาย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์สะพัดไปสู่ผู้อื่นได้ ปกติหน้าเจต้องซื้อมะละกอจากตลาด แต่ปีนี้ของเรามีเหลือเลย แสดงว่า การแสดงธรรมของพ่อครูประสบผลสำเร็จทำให้คนลดกิเลสได้ไม่ว่าจะไปเทศน์งานไหนก็แสดงธรรมให้คนลดละกิเลสอย่างเดียว
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องหลักไงลดละกิเลส ทำตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วกิเลสก็ลด ปัญญาก็เกิดขึ้นเยอะด้วย มันจะเกิดคู่กันเลย กิเลสลดปัญญาเกิด ไม่ใช่ว่ากิเลสลด ถูกกดข่ม แต่ไม่ได้เกิดปัญญาไม่ได้เกิดความกว้างขวางไม่ได้เกิดการรอบรู้ไม่ได้เกิดการรู้โลกรู้อัตตา ของพุทธ รู้ทั้งโลกที่ปรุงแต่งกัน รู้ทั้งตัวเอง แล้วก็ทำความไม่ดีทำความบกพร่องให้หายไป แล้วเป็นประโยชน์ต่อโลกทำให้เทวที่เป็นสองเหลือเป็นหนึ่งได้ เป็นความสำเร็จที่ถูกสัดส่วน ไม่มีอะไรถ่วง ได้สมดุล ได้สัจจะ
สมณะฟ้าไทว่า...เราก็ต้องศึกษาจากพ่อครูต่อในรายละเอียด
พ่อครูว่า...ละเอียดมาก อาตมาก็ยังรู้ไม่ครบ ก็ต้องพยายามไม่ให้ตกหล่น
สมณะฟ้าไทว่า...ภาษาตรงกับสิ่งที่เราทำได้และเคยสงสัย มันกับเราลดละกิเลสคำว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และมีอเนญชาภิสังขาร มันกิเลสหมดแล้วทำไมมีต่อ
พ่อครูว่า..เพื่อความมั่นคงแนบแน่นเป็นสัจจะสมบูรณ์แบบ
สมณะฟ้าไทว่า...แสดงว่าอย่าประมาทนะ ก็เลยต้องทำให้เราต้องศึกษาต่อตามเหตุปัจจัยต่างๆ
พ่อครว่า..ปิดประตูความเสื่อมตามเลย ปิดประตูความตกต่ำอย่างเต็มรูปเลย
สมณะฟ้าไทว่า..สุดท้าย เป็นอิสระเสรีภาพ พวกเราก็ค่อยๆลด ลากไปจนถึงจุดสูงสุดให้ได้
พ่อครูว่า...ขอแวะแทรก ตัวเองในฐานะโพธิสัตว์ระดับ 7 ระดับ 7 เป็นระดับที่เที่ยงแท้เรียกว่านิยตะไม่ยึกยักลงมาข้างล่างอีกเลย อย่างไรอย่างไรก็เด็ดขาด ไปข้างบนถ่ายเดียว นิยตะแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาจึงรู้สภาวะธรรม รู้ความจริงทั้งจิตตัวเอง และมันรู้สิ่งที่มันยากก็คือว่า เราปฏิบัติกายกรรมวจีกรรม อนุโลมให้คนอื่น เป็นภาวะรูปธรรมที่มันดูไม่สวย แต่ว่า ตัวเองอาตมาเอง จิตอาตมาไม่ได้เป็นร่วมด้วย แต่อาตมาจำเป็นต้องมาทำความสัมพันธ์ มาทำความสะอาด มาทำการอยู่ร่วมกับระดับล่าง เหมือนกับเรายังร่าเริง เข้ากับเด็กได้โดยเด็กไม่รู้เรื่อง แต่ก็ทำเหมือนเด็กๆรู้เรื่องภาษาเขา รู้เรื่องความต้องการของเขาอย่างสอดคล้องไปด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นอันนี้แหละ ข้างนอกกายกรรมวจีกรรมเหมือนเราอนุโลมทำร่วมกับเขา แต่ใจเราไม่ได้ลดลงมาเลย เขาไม่รู้ใจเราได้ เขาไม่ได้หยั่งรู้ใจเรา เราไม่ได้มีหรอกสิ่งเหล่านี้ เหมือนเราต่ำแต่ใจเราไม่ได้ต่ำ เราพูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้หรอกเพราะเขาเข้าใจไม่ได้ เขาจะมารู้จิตเราได้อย่างไร เขารู้ได้แต่การแสดงออกทางกายวาจาอย่างนี้เป็นต้น
มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิริมหามายาเป็นความซับซ้อน ไม่มีบอกว่าไม่มีคือใจไม่มีลักษณะนี้ แต่ไม่อย่างที่เห็นนี้ แล้วบอกว่าไม่มี มันก็เลยขัดแย้งเขาก็ไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร อาตมาเข้าใจอาตมารู้
คนไม่มีภาวะสิ่งนี้แต่ต้องประพฤติอาการกิริยากายวาจาสิ่งนี้อยู่ เราไม่มีกิเลสร่วมเลย เขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่สามารถที่จะเชื่อถือ เลยดูเหมือนกลายเป็นคนหลอกลวง ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยกตนข่มท่านเขาก็ยิ่งไม่ชอบ
ขอเข้าที่ sms ก่อน
Sms 611026
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญกุศลต้องหาเวลาโอกาสไปทำหรือไม่
_1614 การตอบแทนบุญคุณไม่ได้อยู่ที่การปรนนิบัติ หรือการรับใช้อย่างเดียว การให้โอกาสให้ท่านทำบุญหรือกุศล และรู้จักอนุโมทนาในความดีที่ท่านได้ทำไว้แล้ว คือการช่วยสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่สำคัญมาก .. พระอาจารย์ชยสาโร
พ่อครูว่า..ความจริงแล้วของพุทธเจ้าไม่ต้องไปหาโอกาสไม่ต้องไปให้โอกาสเพราะโอกาสมีอยู่แล้วทุกคน จะทำบุญหรือทำกุศลด้วยทุกกรรม ศาสนาพุทธอยู่ในทุกกรรมไม่ต้องแบ่งเวลาไปทำกุศล หรือแม้แต่คำว่าทำบุญไม่ต้องแบ่งไม่ต้องแยกเวลา ทุกเวลา ถ้าฉลาดพอ เข้าใจกรรม การกระทำกายวจีอย่างนี้ จิตของเราก็ได้ทำกุศล จิตของเราก็ได้ทำทานจิตของเราก็ได้ทำบุญ อาการกุศลอาการบุญมันเป็นอาการอย่างไร คุณก็ทำอาการนั้นของคุณให้สอดคล้อง พร้อมกับคุณทำกุศลคุณงามความดีทางวัตถุ คุณจะตัดกิเลสในทางวัตถุ ที่คุณทำทานทางวัตถุคุณก็ได้ตัดกิเลส คุณรู้ว่ากิเลสมันมีร่วมอยู่ด้วย แต่คุณก็ได้มีการวิธีทำใจ กดข่มก็ตาม รู้ด้วยปัญญาว่ากิเลสมันสลาย ตามพลังของปัญญามันได้เลยคุณทำได้ไหม อันนั้นต่างหาก เป็นภาวะคำสอนตามความตรัสรู้ของพุทธเจ้าไม่ต้องไปแยกเวลาสถานที่เลย นี่คือของพุทธ เพราะฉะนั้นอาจารย์ชยสาโร ก็มีภูมิอย่างนี้ ยังมีความเป็นเทวนิยมอยู่ ยังไม่มีความรู้ในระดับ2 in 1
2ใน1 1ใน2พร้อมกันเลยอย่างนี้ไม่ต้องไปแยกเลย ทำได้แล้วได้มากด้วย ได้ตลอดเวลา ไม่ระบุเวลาสถานที่ไม่ระบุโอกาสให้มีสติรู้อ่านแล้วทำได้เลย นอกจากที่มีสติตกไม่พร้อม แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ที่ทำได้แล้วเวลาทำตลอดเวลาก็มีสติ
อย่างอาตมาเวลามีความคิดนึกอยู่ เวลาจะนอนเป็นต้น บางทีก่อนนอนและตอนนอนก็ต่อเนื่องกันไป หลับไปก็คิดเรื่องเดียวกันไป บางทีตื่นขึ้นมา ก็จดไว้ เพราะเป็นเรื่องยาวต่อเนื่องเป็นเรื่องดีเดี๋ยวมันจะลืม
เป็นภาวะที่สติแข็งแรงแล้วเรื่องราวจะต่อเนื่อง แต่คนสติไม่แข็งแรง การหลับก็จะต้องตัดจากภาวะที่มีทวารทั้ง 5 ภายนอกมันคนละเรื่องกันกับภายใน เวลาหลับมันคนละเรื่องกับตอนที่คุณตื่น อาตมาจะต่อก็ได้จะตัดก็ได้ หยุดคิดหยุดตรงหลับตัดก็ได้
นี่ก็ให้เรียนไป คือ การเรียนของพุทธ อาตมานั้นยกตนข่มท่านเยอะ เพราะท่านไม่รู้จริงๆว่าศาสนาพุทธที่พูดอยู่นั้นเป็นโลกีย์ในทั่วไป มีการแยกเวลาแยกสถานที่ ศาสนาพุทธนั้นเดินมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติธรรมในขณะทำงานอาชีพสัมมาอาชีวะ แม้แต่การกระทำสัมมากัมมันตะแม้แต่การพูดอยู่ ในขณะคิดอยู่ไม่ได้แยกเวลาเลย อันนี้แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
สรุปลงเหลือที่ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ไปที่หัวใจของศาสนาพุทธ มันจะมี 2 มีเทวะคำว่าเทวะนี้ยิ่งใหญ่ คำว่าเทวะพยัญชนะแปลว่า 2 สภาวธรรมก็คือจิตวิญญาณสองให้เป็นหนึ่ง ถ้าศาสนาพุทธจิตวิญญาณ 2 ไม่รู้เลย ยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว และ จะทำให้เป็น 0 ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธนี้เทวดาจึงได้ตีแตกแยกได้จัดการได้ 2ทำให้เหลือ 1 แล้วก็ทำให้เป็นศูนย์ได้ นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ รู้จักเทวะ ทำให้เทวะเป็นหนึ่งเป็นศูนย์ได้ จนกระทั่งสามารถอย่างเช่นพระอรหันต์ทำให้จิตเป็นหนึ่งได้ทำให้จิตเป็นศูนย์ได้ ในภาวะที่ยังไม่ตาย ตายแล้ว จะตายยังหนึ่งหรือตายอย่างสูญก็อีกเรื่อง
ขอถามความรู้ ; คุณว่าอาตมาตายอย่างสูญหรือตายอย่างหนึ่ง? ...ตายอย่างหนึ่งคือยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อาตมายังตั้งจิตต่อพุทธภูมิ ยังตั้งจิตเป็นหนึ่งไม่เป็นศูนย์ ทำศูนย์ได้หรือยัง อรหันต์นั้นทำสูญไปแล้ว นี่พูดกับเถรวาทยาก เพราะไม่รู้จักจุดนี้ มหายานนั้นเรียนโพธิสัตว์ เถรวาทไม่รู้เรื่อง อาตมาพูดมา ย่าง 48 ปี ก็ต้องพูดไปอีก
คนที่หัวแข็งดึงดันไม่ยอมรับอาตมา เขาก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าไม่หัวแข็งไม่ดื้อด้าน พยายามเปิดจิตรับฟังบ้างก็จะได้ ยิ่งคนที่เข้าใจแล้วอันนี้มันเป็น 2 ทำให้เป็นหนึ่งอย่างไร เขาก็จะรับประโยชน์มาก
_3867 สมณะพูดถึงงานศพฯวันนี้ผู้น้อยไปงานศพเพื่อน!เพื่อนที่ผูกพันกันมาม.1ถึงม.6จนไปจบเทคนิคฯมหาลัยฯ ทำมาค้าขายก็ยังไปมาหาสู่กัน!รวมมิตรภาพพบปะปีละหน!แปรใจทุกข์อาลัยรักเป็นจิตสงบปลงมรณัสสติ!สักวันเราก็ต้องเป็นเช่นนั้น! จำธ.พ่อครูสอนอภิณหปัจจเวกขณ์ฯเราต้องพลัดพรากจากคนที่รักของที่ชอบใจทั้งสิ้น!วันคืนผ่านไปเราทำอะไรอยู่?ยังตนอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบรูณ์ด้วย ความไม่ประมาทเถิดสาธุ!
พ่อครูว่า...ก็ค่อยๆทวน คนฟังธรรมะแล้วจำได้ก็เอามาทบทวนมาทำรายงานทำรายงานส่งดีมาก ผู้ใดศึกษาแล้วก็มีการทบทวนทำรายงานมีการบ้านส่งครูอยู่ก็ดี ครูก็สอนไปจะได้รู้ว่าไม่ได้เปล่าได้มีคนรับรู้ได้เข้าใจได้ มันก็เป็นประโยชน์แก่กันและกัน
พ่อครูว่า..มาต่อ อาตมาอธิบายมาถึงวันนี้แล้ว เอาบุคคลต่างๆ เข้ามาไล่เรียงดู อธิบายกันดู มีรายละเอียดลึกซึ้งมากในความเป็นบุคคล (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเทศน์ไปนี้ถ้าไม่ตั้งใจฟังจะไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเป็นเรื่องยาก พระไตรปิฎกใช้คำว่า เงี่ยโสตสดับฟัง
พ่อครูว่า...เอาใจใส่เต็มที่เลย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน เอกกนิทเทส 2 บุคคล 41
ในเอกกนิทเทส พระพุทธเจ้าท่านได้แยกคน แยกความแตกต่างของคนนี้เอาไว้ถึง 41 ขั้น
อาตมาจะอ่านหัวข้อให้ฟังก่อน
ฟังแล้วเหมือนยาก เราจะเอาภูมิปัญญาที่ไหนไปทำ แต่ว่าทำได้ คนที่ไม่เชื่อว่าสามารถทำได้ก็จะตกต่ำ คนที่พยายามแสวงหาความจริงพิสูจน์ให้ได้ โดยไม่ต้องไปแย่งลาภกับเขา แม้แต่จะสุจริตชนก็ยังไปเอาเปรียบเขาแย่งกับเขาอยู่ กิเลสมันก็ยิ่งอ้วน เพราะว่า สมใจในกิเลส คุณไม่ยอมเสียสละไม่ยอมลดกิเลส คนที่มีปัญญารู้ว่ากิเลสมันหมดเราเสียกิเลสไปนี่แหละ กิเลสเราลดนี่แหละมันดี คนมีปัญญาก็เข้าใจ แต่คนไม่มีปัญญาก็เสียไม่ได้ขาดทุนได้อย่างไร โลกุตระบุคคลกับโลกียะบุคคลต่างกัน
เมื่อตั้งสติฟังก็จะเข้าใจ แต่คนเราเมื่อเป็นไปตามโลกก็จะไปเป็นบุคคลโลกียะ จะมาเป็นบุคคลโลกุตระไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้ที่ยังมีจิตตั้งมั่น มีสติแข็งแรงพอที่จะ พยายามปฏิบัติ สัมผัสอยู่ในสังคมนี้ ต้องพยายามให้เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอาริยบุคคลให้ได้ ได้มากได้น้อยก็ต้องมีสติรู้ตัว ไม่ใช่ว่าเรากินๆไป ขอรู้ตัววันหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวก็รู้แค่สองที 5 ที นอกนั้นเป็นโลกีย์หมด กระทบสัมผัสแล้วเราได้ตั้งจิตพัฒนาให้เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอาริยบุคคลบ้างหรือไม่ หรือล่องลอยไปกับโลกียไป หาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างเต็มรูปอย่างนั้น ไม่ได้ตรวจสอบเลยว่าคนเราต้องปฏิบัติอย่างนี้ อย่างที่อาตมาพูดเขาไม่เข้าใจ
ปฏิบัติธรรมจะต้องไปสิ พาไปวัดวาไปนั่งสวดมนต์ ประเภทอาจารย์ที่บอกว่าเก่งพูดให้ฟังก็ไป คนนี้ฟังดี เหมือนกับฟังร้องเพลงเพราะ ได้ถูกรสนิยม มันก็ไม่ได้โลกุตระ
คนจะมาเอาโลกุตระ ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งสวดมนต์นั่งท่องบ่นอะไร ปฏิบัติอะไรอย่างนั้นไม่ได้ชัดเจนในสภาวะและเข้าใจอย่างมีลำดับ มันไม่เป็นอย่างนั้น มันจึงไม่ได้ผล ไม่ได้มรรคผลเท่าไหร่
อาตมาคงไม่ต่อแล้วไม่อธิบายรายละเอียด 41 อย่างนี้ บุคคลที่แตกต่างในฐานะ ถึง 41 สภาวะ และมาสรุปผลเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ + เข้าไปอีกเป็น 45 ครบ เอกกนิทเทส อาตมาคงไม่มีปัญญาพอ อธิบายพอได้แต่ไม่อยากฝืนดีกว่า มันละเอียดเกินไป มาเอาอย่างนี้
เอาแค่ โสดาบัน เพราะทุกวันนี้เขาไม่เริ่มต้นตรงนี้เลย เขาไม่เริ่มต้นโสดาบัน เขาไปเริ่มต้นอะไรก็ไม่รู้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วจะได้อรหันต์เลย มันไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นหรอก ยิ่งไปนั่งหลับตาไม่มีในสารบบของศาสนาพุทธ จะพูดอีกเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเขาหลงในสิ่งที่เขาเชื่อว่านั่งหลับตา เขาไปหลงผิดว่า อานาปานสติไง พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่ให้ทำอานาปานสติ ขอยืนยันว่าอานา อาปานะ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายความว่าให้คนไปนั่งหลับตาดูลมหายใจเข้าลมหายใจออก ไม่ใช่ แต่ในยุคพระพุทธเจ้านั้นท่านอุบัติขึ้นมาคนก็หลงผิดแบบนั้น นั่งดูลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น ก็ทำกันเต็มไปหมด พูดอะไรกันไม่รู้เรื่องหรอกว่าอย่าทำอย่างนั้น ท่านจึงจำนนท่านจำยอม เอ็งจะนั่งหลับตา ตั้งสตินั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นอยู่ในราวป่า วา นั่งในถ้ำ อยู่ในที่แจ้งลอมฟาง วา คืออย่างนี้ก็ตาม ก็เพราะจำนน คนเขาทำอย่างนี้เต็มบ้านเต็มเมือง
เมื่อท่านมาสอนให้ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้มาลืมตาปฏิบัติในขณะทำการงานอาชีพเลี้ยงตน ไม่ต้องไปแยกเวลาไม่ต้องไปแยกสถานที่ ไม่ต้องไปแยกกรรมการงาน ในขณะนี้แหละมีสติสัมปชัญญะ เกี่ยวข้อง อ่าน กาย อ่านวาจา อ่านจิต โดยเฉพาะอ่านเข้าไปถึงจิต ให้รู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ว่ามีกิเลสร่วมมาในจิตไหมแยกให้ออกตีให้แตกในเทว 2
จิตที่มีอะไรร่วมปรุงแต่งเป็นภาวะธรรมะ 2 แยกกิเลสออกจากจิตให้ได้ แล้วก็กำจัดตัวนี้ ด้วยการทำปัญญาให้แจ้งเหนือกิเลส กิเลสเอ็งเป็นผีหลอกไม่ใช่ตัวจริงเอ็งอย่ามาหลอกข้าเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราหักเรือนยอดของเอ็งได้แล้วมาร อย่ามานั่งสร้างบ้านเรือนอะไรอยู่ในจิตของเราเลย.. ไป ทำลายทิ้งหมดแล้ว อย่ามานั่งสร้างอะไรอยู่ในนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้เป็นนิทานเป็นวัตถุเป็นตัวตนให้ฟัง เราทำลายทุกอย่างของมันแล้วมันไม่มีฐานที่ตั้งของกิเลสของมาร ไม่มีแล้วในจิต
ผู้อ่านตักกะ สังกัปปะออก แยกกิเลสออกจากจิตได้ แล้วมีวิธีทำให้เกิดพลังงานปัญญามีฤทธิ์เป็นไฟฌาน ทำให้กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ทำให้จางคลาย แล้วทำให้ดับ เป็นนิโรธานุปัสสีแล้วทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้กิเลสดับนิรันดร ไม่ใช่มีเทวนิรันดรเหมือนเทวนิยมแต่ทำให้เป็น 0 ได้อย่างนิรันดร
เทวนิยม จำนนต้องเป็นนิรันดร เพราะทำให้เป็น 0 ไม่ได้ จะมีอยู่ในโลกนิรันดรเขาตีเทวไม่ได้ตีเทวไม่แตก เขาจึงมีเทวนิรันดร ส่วนพระพุทธเจ้านั้นหมด เมื่อผู้หมดแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ก็มีแต่ 1 กับ 0 อยู่กับ 2 อนุโลมอยู่กับพวกคุณอยู่กับชาวโลกที่ต้องมี 2 3 4 5 มีร้อยมีพันมีล้าน เราก็อยู่กับเขาได้ จะเข้าใจเขาว่าเขาก็ต้องมี เราไม่ต้องมีกับเขาแล้ว แต่เราต้องทำอยู่กับเขาให้เขาดีขึ้นมา อย่างน้อยอย่าให้เขาไปทำร้ายทำชั่ว ให้เขาทำแต่ดี ช่วยเขา เราก็มีหน้าที่ช่วยเขา ตนเองเราหลุดพ้น ทำสำเร็จแล้วตนเองหมดทุกข์
ศาสนาพุทธถึงขั้นเป็น0ทำ0ให้เป็น แยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้ จิตทำลายเป็นอุตุนิยามแม้แต่พีชะก็ไม่ให้เหลือ คนที่ยังมิจฉาทิฐิอยู่ก็ไปนั่งสะกดจิต ทำให้จิตเป็น พีชะ ตายแล้วไม่เน่า พวกนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบมีมิจฉาทิฐิเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าตายคือตายเกิดคือเกิดไม่เหลือซากอะไรตายคือตายสูญได้ แยกธาตุน้ำ ไฮโดรเจนกับออกซิเจนแยกได้ขาดเลยไม่เป็นธาตุน้ำเหลืออีกเลย กลายเป็นแก๊สเป็นออกซิเจนเป็นไฮโดรเจนไปเลย อย่างนี้เป็นต้น ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้น จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดลออลึกซึ้งมาก
คนที่ยังตีไม่แตกเรื่องเทว ตีไม่แตกเรื่องธรรมะ 2 ที่อาตมาเห็นว่าในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 เทวธัมมา เป็นเรื่องยอดหัวใจของศาสนาทุกศาสนาในโลก แต่ในโลกนี้เขาไม่สามารถเรียนรู้ได้ เพราะว่าเป็น อเวไนยสัตว์ ศาสนาเทวนิยม ผู้ที่มีบารมีเข้ามาได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้าแม้แต่เป็นชาวเทวนิยม มีภูมิรู้ว่า มันแตกต่างจากเทวนิยม เทวนิยมจบที่เทวะนิรันดรตีไม่แตกตลอดกาล ก็อยู่ไปอย่างนี้นิจนิรันดร แล้วเขาก็แยกไม่ได้เข้าใจไม่ได้แยกเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 เขารู้เรื่องที่ไหนกัน ขนาดชาวพุทธยังไม่สอนกันเลย ชาวพุทธทุกวันนี้มีใครสอนบ้าง สํานักอโศกนี้สำนักเดียวมั้งที่สอนอธิบายกัน ยังมีรายละเอียด แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ยังอธิบายเวทนา 108 ยังไม่มากมายเท่าไหร่ อาตมาพยายามตามหาคำอธิบายในพระไตรปิฎก ก็ได้เอามาขยายความว่าต้องแยกเป็น 2 คำว่าสองนี้แม้แต่คำว่า 2 คือ 1 เทวะคือตัวมันเองก็มีสอง มีสภาวะเรียกว่า ธัมมา เทวะนี่แปลว่า 2 ธรรมะคือมีสิ่งทรงไว้สิ่งหนึ่ง ธรรมะ 2 นี้ มีกาย
กายคือรูปกับนาม อย่างคนมีรูป มีสิ่งหนึ่งปรุงแต่งกันมาจากอุตุนิยามเป็นพีชนิยามแล้วมีจิตนิยาม พีชะ กับอุตุยังไม่ใช่นาม ธาตุรู้พีชนิยามไม่เป็นธาตุรู้ที่มีบาปบุญ รักชัง ผลักดูด มี ISH ของมัน แต่ไม่ไปเบียดเบียนทำร้ายสิ่งอื่น มันมีแต่ตัวตนสร้างตัวตนมันอย่างเดียว ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่างที่นี่มันสร้างตัวเองได้เก่ง ดูสิมะเขือมันสวยจริงๆ มันงามสวย เห็นแล้วน่ากิน ไม่ใช่ลูกไม่สวย คนทำให้มันได้สัดส่วนดี เป็นเรื่องลึกซึ้งอจินไตย ไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นหลักจิตศาสตร์ วิญญาณด้วย เป็นธรรม 2
ธรรมะสองจึงยิ่งใหญ่ที่สุดถ้าใครเข้าใจจบเรื่องเทว แล้วจัดการตีแตกแยกแยะ distinguish ตีแตกได้ชีวิตนี้ก็จะเป็นอรหันต์ได้
พูดไปแล้ว เหมือนยกตนข่มเทวนิยม แต่ที่จริงแล้วเป็นความรู้ที่เอาไปให้ ผู้ที่เป็นลัทธิยึดมั่นถือมั่นในคำสอนศาสดาแล้ว เราก็ไม่ไปละลาบละล้วง ใครจะมาเอาอันนี้ก็มาเอาเอง เป็นอิสระเสรีภาพให้มาศึกษาได้ หากสนใจ เห็นว่าเข้าท่าก็ไม่ว่าอะไร จะกลับไปเป็นเทวดาเดิมก็ไม่มีปัญหาอะไร มีอิสระสำหรับชีวิต
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่สูงสุดยอดเลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจปัญหาทางด้านการเมือง แก้ตกหมด อย่างชาวอโศกนี้แก้ปัญหาตกหมด อย่างอาตมาเป็นผู้นำชาวอโศก อาตมาไม่เห็นว่าอะไรเป็นปัญหาเลยมีแต่ปัญญามีแต่ความเข้าใจทั้งนั้น พวกเราก็จะรู้สึกตัวเองว่ามันไม่เป็นปัญหาหรอก เป็นแต่เพียงว่าระวังตัวเองให้ดีอย่าไปยกตนข่มเขาอย่าไปทำดีข่มเขา เรารู้มากกว่าเขาว่างั้นเถอะ บางทีเราก็ไม่จำเป็นจะต้องแสดงตัว หรือแสดงว่ารู้พอกันหรือน้อยกว่าได้ แต่ไม่ใช่เสแสร้ง ทำทีให้เขาเข้าใจผิด ไม่ดี แต่ให้รู้ว่าเราพอจะรู้ให้ดีที่สุด แล้วก็คุยกัน โอภาปราศรัยสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ให้เขาดูเองว่าเรามีอะไรที่ดีเขาจะมีปฏิภาณรู้เอง
ศาสนาพุทธ ในความเป็นจิตวิญญาณของศาสนาพุทธจะไม่เป็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมืองเรื่องสังคม
สรุปแล้วความรู้เรื่องจิตวิญญาณ คือ
1.ผู้สามารถทำจิตวิญญาณให้มีอิสระเสรีภาพได้
2.ไม่มีอัตตา
3. รู้ความจริงตามความเป็นจริงสามารถจัดการกับจิตวิญญาณได้จนไม่มีอัตตาจริงได้จึงจบสรุป
ไทยมีเศรษฐกิจสุดวิเศษแบบพุทธ
(1) “เศรษฐกิจ”คิดแต่ตื้น โลกีย์
ล้วนอยากรวยมั่งมี หลากล้น
แข่งเด่นแย่งกันทวี วัตถุ
ได้มากมาท่วมท้น “สุข”แล้วปุถุชน
(2) คนนับเป็นเครื่องชี้ ชีวิต
จมอยู่กับ“เศรษฐกิจ” แบบนี้
“สุข”ก็ยึดผูกจิต ผนึกแน่น กันเลย
“ติดสุข”หลงลับลี้ นรกเพ้อเป็นสวรรค์
(3) หันมาสร้าง “เศรษฐกิจ” ให้ “คนจน”
นี่แหละสังคมคน เลิศแท้
“จน”ทรัพย์แต่“สุข”สน- ใจฉลาด ขึ้นเฮย
“อาริยะปัญญา”แก้ ประลุด้วย“สัมมา”
(4) พาทั้ง“สี่กิจ”ย้อม ความดี
“ตัดกิเลส”ด้วยแสนศรี สุดแล้ว
“สัมมาชีพ”พุทธมี “คุณวิเศษ” จริงแล
“ทำ-คิด-พูด”เพริศแพร้ว โลกได้เห็นวิถี
(5) ว่ามี“ทิฏฐิ”แก้ “เศรษฐกิจ”
ที่เกิดผลสัมฤทธิ์ เด็ดแท้
แบบนี้แหละวิศิษฏ์ สุดยอด เชียวพ่อ
เพราะยั่งยืนวิสุทธิ์แม้ ปราศพ้นโพยภัย
(6) คนไทยมีพุทธชี้ วิชชา
สูงสุดศาสตร์ที่พา สำเร็จได้
ซึ่งยอดวิธีหา ใดเทียบ เท่าแฮ
อย่างอื่นนั้นแม้ใช้ จบแล้วเวียนคืน
(7) ยั่งยืน“เศรษฐกิจ”นี้ ครบหมด
มี“อิสระ”สุดใสสด ฟ่องฟ้า
“อัตตา”ก็หมดจด ดับสนิท ได้เด็ด
“จิต”ประธานกาจกล้า แกร่งด้วย“อุตตระ”
“สไมย์ จำปาแพง” 14 ก.ย. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 339 ประจำเดือนตุลาคม 2561]
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน แถลงปัญหามหาภูติ
“คนเห็น “ความจน” เป็น “สุข” นี้เป็นคนฉลาด คนเห็น “ความร่ำรวย” เป็น “สุข” นี้เป็นคนโง่...พ่อครู 28 ต.ค. 2561
อีกนานมากเลยเขาจะตื่น อย่าว่าแต่พูดกระแทกเลย เอาน้ำสาดเขาก็ยังไม่ตื่นจะจมอยู่กับความร่ำรวย
ธาตุพลังงานของมนุษย์ที่เป็น อุตตระนี้ คือจิตที่อยู่เหนือ เป็นจิตที่ประธานของสิ่งทั้งปวง ที่เรียกว่าปัญญา ในมูลสูตร 10
มีฉันทะเป็นมูล หมายความว่าใจเราเห็นดีเห็นงาม ศาสตร์หรือความรู้ที่ยิ่งใหญ่สอนเรื่องนี้เหรอ คนที่มีปัญญาก็จะมีฉันทะมีความพอใจมีความยินดี ว่า ศาสตร์นี้ยอดเยี่ยม
แล้วมีมนสิการเป็นแดนเกิด คือ เขาสอนให้รู้เรื่องจิตดวงวิญญาณรู้เรื่องเทวะ สายเทวะนิยม จิตวิญญาณเป็นใหญ่แต่ไม่มีใครสามารถแตะต้องสัมผัสได้ ใหญ่อย่างไรเป็นอย่างไร มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ ส่ง prophet คือ พระบุตรมาเป็นผู้ประกาศ ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับพระเจ้าเลยว่าเป็นอย่างไร พระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ลึกลับ ไม่มีใครเห็นหน้า คนก็อยากจะสัมผัสอยากบูชาอยากกราบ แต่พระเจ้าก็ไม่แสดงตัวเป็นสิ่งลึกลับอย่างยิ่ง
คนเรา ถ้าเผื่อว่า ได้จับต้องของจริงมันเชื่อถือได้มากกว่า แต่นี่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จริงหรือเปล่า แปลกพิลึกเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พระพรหมบอกว่าข้านี่แหละใหญ่ ๆ มีนิทานของศาสนาพุทธ
โรหิตัส ไปหาพระพรหม ถามว่า ดินน้ำไฟลมมีที่สิ้นสุดที่ไหน ไปถามที่พระพรหม ไปถามต่อหน้าบริวาร ดินน้ำไฟลมมีที่สุดอยู่ที่ไหน พระพรหมก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ ๆ ก็ไม่ได้ถามว่าใหญ่ แต่ว่า ถามว่าดินน้ำไฟลมนี่แหละมีที่สุดที่ไหน ครับผมก็บอกว่าข้านี่แหละคือผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างข้านี่แหละใหญ่ที่สุด โรหิตัสก็ว่า ไม่ได้ทำอย่างนั้นพระพรหมหูแตกหรืออย่างไร (พ่อครูว่า พ่อครูเติมสำนวนเอง) ก็ถามอีกว่า ดินน้ำไฟลมธาตุ 4 จะสลายดินน้ำไฟลมธาตุ 4 นี้ ไม่ต้องมารวมตัวเป็นสังขารไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้าชาติไหน แยกได้ไหม อยู่ที่ไหน ที่สุดแห่งที่สุดอันนี้แหละ (พ่อครูขยายความคำความเพิ่ม) ถามสามเที่ยว พอจะถามอีก พระพรหมก็ลาก โรหิตัส ไปในที่ลับหูแล้วบอกว่า มาถามต่อหน้าบริวารได้อย่างไร เพราะข้าไม่รู้ ให้ไปถามที่พระพุทธเจ้า
พุทธทำศูนย์ได้ แต่ทำ1 ได้ รู้จักการปรุงแต่งอย่างพอเหมาะพอดีกับโลก
ล.9 [346] ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้น เธอได้เข้าไปหามหาพรหมแล้วถามว่า ท่าน มหาภูตรูปทั้ง 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน?เมื่อเธอกล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวมหาพรหมนั้นได้ตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นพรหม เป็นมหาพรหมเป็นใหญ่ ไม่มีใครยิ่งกว่า รู้เห็นเหตุการณ์โดยถ่องแท้ เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้างเป็นผู้เนรมิตร เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้วและยังจะเกิดต่อไป แม้ครั้งที่ 2 เล่า ภิกษุนั้นก็ได้กล่าวกะท้าวมหาพรหมนั้น ดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้ถามท่านอย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าถามท่านว่า มหาภูตรูปทั้ง 4 ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้ต่างหาก แม้ครั้งที่ 2 เล่า ท้าวมหาพรหมก็ได้ตอบเธออย่างนั้นเหมือนกัน แม้ครั้งที่ 3 เล่า
ภิกษุนั้นก็ได้กล่าวกะท้าวมหาพรหมนั้นดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้ถามท่านอย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าถามท่านว่ามหาภูตรูปทั้ง 4 ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้ต่างหาก.
[347] ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมนั้น จับแขนภิกษุนั้นนำไป ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุ พวกเทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหมเหล่านี้เข้าใจเราว่า อะไรๆที่พรหมไม่รู้ ไม่เห็น ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ประจักษ์ ไม่มี ดังนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตอบต่อหน้าเทวดาเหล่านั้นไม่ได้ว่า แม้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบที่ดับไม่มีเหลือแห่งมหาภูตรูปทั้ง 4 คือ ปฐวีธาตุอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล การที่ท่านละพระผู้มีพระภาคเสีย แล้วมาเสาะหาการพยากรณ์ปัญหานี้ในภายนอกนั้น เป็นอันท่านทำผิดพลาดแล้ว นิมนต์กลับเถิด ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลถามปัญหานี้ พระองค์ทรงพยากรณ์แก่ท่านฉันใด ท่านพึงทรงจำข้อนั้นไว้ ฉันนั้น.
อุปมาด้วยนกตีรทัสสี
ล.9 ข้อ [348] ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้หายไปที่พรหมโลก มาปรากฏข้างหน้าเราเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้อยู่ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดไว้เข้ามา ฉะนั้น. ต่อนั้นเธอไหว้เราแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาภูตรูปทั้ง คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหนเมื่อเธอกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรภิกษุ เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกพ่อค้าเดินเรือทะเลย่อมจับนกตีรทัสสี (นกดูฝั่ง) ลงเรือไปด้วย เมื่อไม่เห็นฝั่ง เขาย่อมปล่อยนกตีรทัสสีมันบินไปยังทิศบูรพา ทิศทักษิณ ทิศปัจจิม ทิศอุดร ทิศเบื้องบน ทิศน้อย ถ้ามันแลเห็นฝั่งโดยรอบมันก็บินเลยไป ถ้ามันแลไม่เห็นฝั่งโดยรอบ มันก็จะกลับมายังเรือนั้นอีก ดูกรภิกษุเธอก็ฉันนั้นแล เที่ยวแสวงหาจนถึงพรหมโลก ก็ไม่ได้รับพยากรณ์ปัญหานี้ ในที่สุดก็ต้องกลับมาหายังสำนักเรานั่นเอง ปัญหาข้อนี้เธอมิควรถามอย่างนั้น แต่ควรถามอย่างนี้.
พ่อครูว่า...ฟังแล้วเหมือนเรื่องตัวตนบุคคล แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องจิต คือ จิตคนนี้ มีความเร็ว ในการ รู้ ตอนนี้อยู่เรื่องนี้ ตอนนี้อยู่เรื่องอื่น กลับไปกลับมาได้ หายไปได้ กลับมาได้ คุณรู้เร็วก็อย่าไปตีทิ้งคนอื่น อาตมาก็รู้เร็ว ก็เลยเห็นว่าคุณดูถูกเขาทำไม ไปตีทิ้งคนอื่นทำไม ทำให้คนอื่นไม่มีฐานะจะศึกษาได้
แถลงปัญหามหาภูต
[349] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหนอุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหนนามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
[350] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวงปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม(สุภะกับอสุภะ) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้.
เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลิน
ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
จบเกวัฏฏสูตร ที่ 11.
___________________
พ่อครูว่า ไม่ใช่ไปตามหาที่ไหน แต่มันดับได้ที่ใจเรา ที่ไม่เรียกว่าธรรมะ0เพราะไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้ เรียกว่าธรรมะ 1 ทำให้ธรรมะ 2 เหลือธรรมะ 1 ถ้าเป็น0นั้น ไม่มีธรรมะอะไร
ศาสนาพุทธรู้เรื่อง ธาตุ สามารถตีแตก แม้จิตวิญญาณก็แยกเป็น0 เป็นดินน้ำไฟลมได้ ซึ่งสามารถมีนิทานมีเรื่องที่ จิตสลายได้ยิ่งกว่าตีแตกธาตุในนิวเคลียส ในนิวเคลียสมีพลังงานหนึ่งที่เรียกพลังงานจับตัว ภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า ฟิวชั่น อีกอันที่แตกกระจาย เป็นนิวเคลียร์ฟิชชันแตกตัวเป็นไอโซโทป
ในตัวมันเองจับตัวกันเอง บวกกับลบ เป็นนิวเคลียสอันหนึ่ง โดยมีบวกลบอยู่ในนั้น ผู้สามารถรู้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถนำเอามาใช้ประโยชน์ได้ ทำระเบิดหรือทำอะไรก็แล้วแต่ได้ ศาสนาพุทธรู้หมด อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แต่ไม่จำเป็นต้องไปรู้หมด แต่ให้รู้ ความหมดทุกข์ให้ได้ก่อน ทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ยากหรอก อาตมาว่าหากรู้ทางนี้แล้วทางนั้นกล้วยมาก แต่อาตมาไม่ได้ประเด็นก็เลยไม่เก่งทางโน้น ไม่เก่งก็ช่าง มาทางนี้ดีกว่า ทางนี้มีประโยชน์กว่า
อาตมานี่เป็นคนไม่มีบุญไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว อาตมาเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ...พูดไปเขาจะหมั่นไส้เอา อาตมาคนเดียวอธิบายเรื่องนี้ นอกนั้นไม่มีใครอธิบายหรอก ดีนะมีพยัญชนะ ปุญปาปปริกขีโณ อยู่ แม้แต่ผู้ใดทำบุญได้ผลก็เป็นผลสำเร็จ ส่วนที่ได้ไม่มีมันเป็นวิบัติ ทำให้กิเลสวิบัติ บุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว คำว่าส่วนบุญ ปุญญภาคิยา หรือปุญญภาค ส่วนบุญที่ได้คือส่วนที่ไม่ได้ คือส่วนที่ทำให้กิเลสอกุศลจิตมามันสูญไป ได้คือไม่ได้
ทำบุญสำเร็จ เกิดเป็นผลแล้วแต่คุณไม่ได้อะไร หากอาตมาไม่เอามาเปิดเผยคนก็เอาบุญไปค้าขายไปหลอกคนเต็มบ้านเต็มเมือง ก็เป็นอยู่อย่างนั้นจึงเข้าใจบุญไม่ได้ทำบุญไม่เป็น ศาสนาพุทธมีบุญเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ความรู้ในเรื่องของพลังงานที่ชื่อว่าบุญ พลังงานที่ทำลายกิเลสได้ มีศาสนาพุทธศาสนาเดียว ชาวพุทธทุกวันนี้ทำไม่เป็นแล้ว
อาตมาเอามาพูดอย่างไม่ได้อวดดี แต่ดูความจริงเอามาเปิดเผยให้เลิกเข้าใจผิดเสียที เอาบุญไปค้าขายไปหลอกลวง เอาบุญไปสร้างอะไรต่ออะไรให้มี ทั้งที่จริงบุญมันไม่มี บุญมันเป็นธาตุที่มันไม่มี นี้ดีสุด ถ้ามีอยู่ไม่เรียกบุญ เพราะอะไรที่มีอยู่คือความไม่ดีคือบาป แล้วมันมีตัวปัญญารู้ว่าอะไรคือตัวดี อะไรควร อะไรไม่ควรมี เอาออกให้หมดเอาออกให้ถาวรยั่งยืนเลย อะไรที่ควรมีก็อาศัย แล้วมีอาศัยก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเป็นของเรานิรันดรเป็นเรานิรันดรตราบนิรันดร ศาสนาพุทธไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งนิรันดร ถ้าสูญนิรันดรนั้น ศาสนาพุทธทำได้อาศัยได้ แต่มีนิรันดรนี้ไม่มี
ศาสนาพุทธจึงเป็นที่สุด นิพพาน มีศูนย์ได้ ศาสนาเทวนิยมมีแต่นิรันดรไม่มีนิพพาน ซึ่งจะไปยากอะไร เพราะทุกคนทุกคนก็เป็นเทวดาทั้งนั้นมีภาวะธรรมะ 2 เยอะแยะนับไม่ถ้วนนิรันดรปรุงแต่งกันเละเทะ chaos แปลว่าเละเทะ จัดระบบอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าอันไหนต้นอันไหนปลาย ไม่เป็นส่ำ พยายามมาเรียนรู้เดี๋ยวก็เด้งกลับ ไม่สำเร็จ
ศาสนาพุทธรู้ในธาตุต่างๆ จัดลำดับทีละ 2 ทำไปทีละคู่ใจเย็นๆ ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ทำไปทีละคู่ๆ จนกว่าจะปรินิพพานเป็นอรหันต์ หากจับคู่ไม่เป็นก็เละเทะเลยสับสนผสมคู่ผิดอีกต่างหาก เลยกลายเป็นกะเทย เป็นเกย์เป็นตุ๊ดไป เพราะฉะนั้นในศาสนาพุทธนี้พูดไปแล้ว ทุกวันนี้มีผู้แสวงหา แม้แต่ศาสนาเทวนิยมที่ยาวนานจนเขาหลงว่านิรันดร์ ผู้ใดหลงนิรันดร์ ไม่แสวงหาว่าทางที่สุดยอดสามารถตีแตกเทว จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน มหาพระเจ้าขนาดไหนก็ตีแตกหมดความเป็นพระเจ้าได้ จนกระทั่งแตกธาตุเป็นอุตุนิยามไปเลย หมดชีวะ หมดชีวิตินทรีย์ อยู่ในมหาจักรวาลนี้อีกเลยอัตภาพของเราไม่ไปอยู่กับพระเจ้าอีกแล้ว คุณจะทำดีไปอยู่กับพระเจ้านิรันดรเราก็ไม่เอา ยิ่งยังมีบาปอยู่ ให้พระเจ้าชำระบาปคุณก็ต้องไปลงนรก มีมากหรือน้อย พระเจ้าก็ต้องรู้ว่าคนมีบาปเท่าไหร่ ใครไม่มีบาปเลยยกมือ อย่างนี้พระเจ้าส่งลงนรกหมด คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่มีบาป เพราะฉะนั้นทุกคนไปหาพระเจ้าพระเจ้าก็ส่งลงนรกทุกคน ใครล่ะที่ไม่มีบาปเลย
อาตมาหมดแล้วบาปของอาตมาไม่มี คือสภาพนิรันดร กุศลอกุศลก็เป็นสมบัติ ที่นี้คนไม่รู้ก็สร้างอกุศลมากกว่า อกุศลคือกิเลส เพราะฉะนั้นความไม่รู้ในชีวิตมันมีแต่กิเลสแท่งทึบแท่งกำแพงอกุศล จึงเพิ่มขึ้น กุศลสร้างน้อย แต่อกุศลคือกิเลสมาก กำแพงกุศลอกุศล อกุศลหรือกุศลเหมือนหมาไล่เนื้อ วิ่งไล่ตาม มันวิ่งไล่หนีจากกำแพงใหญ่จิตของคุณต้องการกุศลแต่ความต้องการของคุณนั้นมันโง่ คนเป็นหมาไล่เนื้อ วิ่งหอบแดด วิ่งให้ตายก็ไม่มีทางทัน
พระพุทธเจ้าจึงให้จับจุดเรียนรู้กิเลสในตัวเรา ในปัจจุบันนี้ อดีตมันก็สั่งสม อนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง ทุกอย่างความจริงอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตก็ไม่ต้องทำ อนาคตก็ไม่ต้องทำความจริงคือต้องทำปัจจุบันนี้ให้เสร็จทีละคู่ ทีละคู่ไม่ต้องตะกละ คุณทำไปทีละคู่ๆ เดี๋ยวคุณก็หมด คุณก็จะเกิดปัญญาเกิดความรู้ว่าในโลกนี้มี 2 อย่างปรุงแต่งกัน เพราะมันมี 2 คู่ 5 คู่ 100 คู่ล้านคู่ คุณก็รู้ทันหมดแล้วทีนี้ คู่ไหนมา ตอนแรกมันก็มีเหลี่ยม มีแค่สองเหลี่ยมมีสามเหลี่ยม มีสี่เหลี่ยม มีห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยม เจ็ดเหลี่ยม เหลี่ยมหายไปเรื่อยๆ มีเป็นร้อยเหลี่ยมร้านเหลี่ยม แต่มันไม่หายนะ แต่คุณแยกแยะเหลี่ยมไม่ออกแล้ว คุณนึกว่ากลม พวกนี้ไม่ได้แก้ที่ต้นทาง เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้ทีละคู่ทีละคู่ ก็จะหมด แต่นี่ถ้าไม่รู้จักเหลี่ยมไม่ได้ลบเหลี่ยมเลย เพราะฉะนั้นเหลี่ยมของคุณจึงมีมาก คนในโลกนี้จึงวิ่งเป็นวงกลม แต่ที่จริงมันมีเหลี่ยมมากจนกระทั่งมันดูเหลี่ยมไม่ออก จึงหลอกคนอื่นว่าฉันไม่มีเหลี่ยมหรอก ที่จริงแล้วหน้าเหลี่ยมหน้าเหลี่ยมหน้าเหลี่ยม
ศึกษาให้ดีไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือจิตวิญญาณก็อยู่ในความเป็น 2 คนที่ไม่รู้เรื่องคือไม่รู้จักพยัญชนะ 2 ไม่รู้เข้าใจพยัญชนะ 2 อย่างนี้สับสนปนเปไปหมด เดี๋ยวก็เป็นพยัญชนะเดี๋ยวก็เป็นสภาวะก็ยังไม่รู้จักสภาวะอีก ก็ยิ่งจะมืดแปดด้าน สุดท้ายก็ต้องอยู่กับ 2 แยกไม่ได้เพราะไม่รู้มัน แต่พระพุทธเจ้านั้นให้รู้จักสภาวะ ไม่ตรรกะให้รู้จักทำทีละ 2 ล้านเหลี่ยมก็แก้ได้หมดเหลี่ยม กลมวงกลม จึงเป็นวงกลมจริง หมดเหลี่ยมมุม 500,000 เหลี่ยม ถ้าสามเหลี่ยมกับสองเหลี่ยมต่อกันก็แก้เหลี่ยมเดียวก็เป็นสองเหลี่ยมต่อกันเป็นเส้นตรงหรือเส้นเดียว ก็เลยกลายเป็นวงกลมได้เพราะว่าเหลี่ยมมันหายไป เหมือนกับยักษ์หนามแหลมของฟักข้าว หรือทุเรียนหรือบักมี่ ก็ลบเหลี่ยมมันไปเรื่อยๆก็จะต่อกัน จะเป็นวงรีหรือเป็นวงกลมก็ได้ มันต่อกันอย่างไม่มีเหลี่ยมมุม ทำทีละ 2
เหมือนกับคนเขาแข่งกันอวดดีกัน ร้านนี้ใหญ่ที่สุดในโลก คนนี้ก็บอกว่า ร้านนี้ใหญ่ที่สุดในประเทศ อีกคนก็บอกว่า ร้านนี้ใหญ่ที่สุดในถนนนี้ ดูเหมือนเล็กนะ หรือว่าร้านนี้ใหญ่ที่สุดในซอยนี้ ก็ชนะทั้งโลก ร้านที่ว่าใหญ่ที่สุดในโลก มาตั้งกับร้านนี้ใหญ่ที่สุดในซอยนี้ ประเทศนี้มีหลายซอยกี่ซอย ร้านนี้ใหญ่ที่สุดในซอยนี้
เทวะหาที่สุดมิได้ แต่จับคู่เทวะ จึงทำลายเทวะนิรันดรได้ ทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็นศูนย์ได้ ถ้ายังไปเป็น 2 3 อยู่เป็นเทวนิยมอยู่ ก็รู้ก็เป็น แต่เป็นยังไม่มีมาร ที่เป็นตัวร้าย อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นสิ่งที่ควรสิ่งที่ไม่ควร มหาปเทสก็เอาสิ่งควรไม่เอาสิ่งไม่ควร
มหาปเทสคือ ในโลกสิ่งที่ไม่มีคําสอนของพุทธเจ้าสอนไว้เรื่องนี้แล้ว หมดคำสอนในยุคนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้ว่าห้ามหรืออนุญาตในเรื่องนี้ จึงต้องใช้ความรู้ ของตัวเอง คนนี้จะต้องมีสัปปุริสธรรม 7 ประการแล้วด้วย แล้วก็ได้ใช้ความรู้ปัญญา มีปฏิภาณตัดสินเอง เพราะในยุคนี้มีภาษาใหม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นคนละยุค เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์จะไปพูดในเรื่องนี้กับคนในยุคพระพุทธเจ้าได้หรือ พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เอา ปฏิภาณปัญญาของเรา มาตัดสินเอง มหาปเทส หมายความว่าอย่างนั้น
เริ่มต้นแต่รูปกับนาม คุณทำ สิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศล ก็ทำให้มันเกิดเป็นกุศล แม้แต่กุศล ก็ไม่ได้ยึดติด ไม่มีทั้งกุศลและอกุศลได้ นี่เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ทำให้เป็น 0 ได้ ไม่ใช่แค่ภาษาพูด จิตนิยามก็ทำให้เป็น0 ได้
พีช คนที่ breed พีชะ ทำให้มี GMO นี้ได้เลย สามารถทำได้ เมื่อเป็นอุตุนิยาม ไม่มีธาตุรู้ในตัว เป็นบวกเป็นลบ มีพลังงานภายนอกเป็นตัวกำหนดมัน
พอเริ่มต้นพีชนิยามมีตัวตน ยิ่งเป็นจิตนิยามก็ยิ่งเป็นตัวตนมาก ธรรมนิยาม 5 นี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของพระพุทธเจ้า
ชีวิตของพระอรหันต์ทำจิตของตัวเองให้เป็นพีชธาตุสำเร็จ ก็สำเร็จในการที่จะไม่เบียดเบียนใคร พีชธาตุ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่มีธาตุพยาบาทหรือธาตุรักมีแต่ตัวตน ธาตุจิตนิยามทำให้ตนอาศัยได้เป็นพีชนิยามที่แข็งแรง ไม่ไปเบียดเบียนใครจึงเป็นพีชธาตุที่มีพลังงานเหลือ
คนนี้ช่างเลวและโง่เอาพลังงานที่เหลือไปเบียดเบียนคนอื่นไปรักคนอื่นนั้นเกิดความสูญเสียเยอะ ไม่เกิดพลังรวม จึงเอามาใช้ประโยชน์ได้น้อย เมื่อไม่ต้องไปสูญเสียกับความรักความดูดความผลัก มีแต่รู้สาระของตัวเองเอามาทำประโยชน์ให้พอเหมาะพอดี แล้วไม่โลภมากด้วย จึงใช้พลังงานน้อย ชีวิตจึงสบาย ก็เลยมีพลังงานมากพอใช้ ไม่ไปกระทบกับใคร ไม่ไปแย่งกับใคร ไม่ไปเบียดเบียนใคร ตนเองก็ไม่เมื่อยมาก สร้างความพออยู่พอกินความพอเป็นพอไป แต่ความรู้และสิ่งที่เป็นตัวฐานขององค์ประกอบ ของโครงสร้าง ทวัตติงสาการของอาการ 32 เหลือเยอะ จึงเอามาสร้างพลังงานได้มาก เพราะฉะนั้นในชีวิตของพระอรหันต์จึงสามารถสร้างพลังงานเอามาสร้างจิตใจตัวเอง ซึ่งมีมาก อย่างไรก็เหลือ จึงสร้างได้เหลือได้เกิน ถ้าหากอาตมาไม่เอาเวลาแรงงานมาสอนมาพูดมาทำตำราขยายความเผยแพร่ความรู้อย่างนี้ อาตมาก็ไปทำพืชทำผัก เก่งเท่าๆหรือเก่งกว่าพวกเราได้ สร้างไปให้แก่โลกเขา แต่พวกคุณก็เก่งแล้ว ทำหน้าที่เหล่านี้อย่าให้อาตมาไปเสียเวลาเลย ให้อาตมาเอามาสอนสิ่งเหล่านี้ สิ่งอื่นท่านทั้งหลาย support อาตมาอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลา ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ปล่อยให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น เอาเวลามาทำเรื่องนี้ อาตมาจึงรับหน้าที่นี้โดยตรง ทำแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเรื่องอื่นไม่ต้อง
ใครไม่อยากให้เราสอนให้เราตายเราก็ตาย ไม่เป็นไร อาตมาก็ถ้าไม่สอนก็ปลูกเผือกปลูกมันกินใช้อยู่ด้วยตนเองได้ หมุนเวียนเก็บกินไปก็พอ ปลูกหมุนเวียนให้พอ มีแค่ไร่สองไร่ก็พอแล้วสำหรับตน กินน้อยใช้น้อย ครบธาตุชีวิตร่างกาย
ชีวิตมีทางออก รู้จักความเป็นอยู่ง่ายและจบ แต่ถ้าไปแย่งในลาภ ยศ สรรเสริญมากมายก่ายกอง ก็ลำบากเหมือนปากกรวย ออกไปหานอกโลกจักรวาลก็ไม่จบ แต่ทางพุทธนี้รู้ที่จบ เป็นก้นกรวยจบแล้ว ชีวิตมีที่จบ ศาสนาพุทธจึงรู้ทางบรรลุจบกิจของตัวเอง อรหันต์คือผู้จบกิจ
อาตมาพูดความจริงเพราะรู้จักความจบของจิต อาตมาทำได้จริงจึงประกาศแก่พวกเรา ไม่ได้มังกุอะไร ใครไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ประกาศตนเองโดยจิตไม่ได้อยากอวด คนอื่นที่ไม่ประกาศเป็นอรหันต์เดา นี่อรหันต์จริงอยู่นี่ ไปงมงายเชื่ออรหันต์เก๊อยู่ได้ แม้พูดไม่เพราะแต่เป็นของจริงนะ มึงมาพาโวย แต่ของแท้แน่ จิตไม่มีความโกหกหลอกลวงไม่มีกิเลส กิเลสหมดเกลี้ยงไม่เกิดอีกกิเลสไม่เกิดอีกแล้ว เป็นคนจริงอย่างนี้
อาตมาพูดแล้วคนเชื่อยาก จึงต้องอาศัยเวลาพิสูจน์ตัวเองไป บรรยายไปเรื่อยๆ ยืนยัน คนที่เข้าใจแล้ว ว่านี่ใช่ ก็มาเอาก็จะได้ คนยังไม่ได้ก็ทำต่อไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงความคิด หากพบแล้วเป็นของจริง
อาตมาทำก็เพื่อให้เกิดสิ่งจริง คนได้ก็มาเอาได้ คนที่จะรู้สัจธรรมโลกุตระมันยาก มันไม่ใช่แค่คำพูด ไม่ใช่แค่ปากพูด ถ้ามันคือความเฉลียวฉลาดของแต่ละบุคคล จะไปบีบบังคับ ไปทำอย่างไรก็ไม่ได้ ยัดเยียดไม่ได้ ก็ได้เท่าที่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำ จะต้องทำให้คนมีโลกุตตรธรรมมากยิ่งขึ้น มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าที่ในชีวิตนี้อาตมาสามารถ ยังชีวิตทำให้มาก ขยายความให้มาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะ ยื้อชีวิตไม่ไหวแล้ว ก็ต้องตาย อาตมาไม่รู้หรอก นาฬิกา เคาท์ดาวน์ หมดเวลาแล้วไม่เห็นก็พูดไปเรื่อยๆ
สมณะฟ้าไท...พ่อครูให้ใจเย็นๆ ทำทีละสอง
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:55:19 )
รายละเอียด
611029_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 22
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1e89_ACh4oEP1nZvtfn8N3E-nVlmlDw976MqIbbbJLjA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1oPOqSgqHzQMo2RY8gRzOvrF5To_FLUft
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน จิตเร็วกว่าแสงได้จริง
พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 5 ค่ำเดือน 11 ปีจอ วันจันทร์ สำมะปี๋ซี่วิต ซึ่งคนพยายามแปลสำมะปี๋ จะว่าไม่ได้ระบุว่า เป็นเชิงดีหรือเชิงไม่ดี ดีก็ได้เลือกเอา ตาดีได้ตาร้ายเสีย ปนเละอยู่ในนี้ แต่แน่นอน เราเป็นพวกที่ศึกษาฝึกฝนเล่าเรียนเลือกเฟ้นเอาแต่ส่วนที่ดี ส่วนไม่ดีเราไม่เอาไม่เกี่ยวข้อง แม้จะมาเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ต้องระวัง เราก็ต้องทำให้เขาเข้ามาแปดเปื้อน เข้ามาทำร้าย เข้ามาทำอะไรที่ไม่ดีกับเรา เราก็ต้อง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาฝึกฝน ทำพลังงาน ทำรังสี ซึ่ง ภาษาวิทยาศาสตร์เป็นกัมมันตภาพรังสี ละเอียดและมีฤทธิ์ในตัวมันเอง สำคัญมาก มันมีจริงๆซึ่งมองไม่เห็นเลย ดีไม่ดีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ยังจัดการไม่ได้ ค้นหารังสีทางจิตวิญญาณ วิทยาศาสตร์ยังอีกไกล
อาตมาพูดว่าจิตวิญญาณนี้เร็วกว่าแสง หลายคนไม่เชื่อ แต่พอดีมีปรากฏการณ์ที่จะมายืนยันอ้างอิงได้เช่นว่า นีล อาร์มสตรอง เคยไปดวงจันทร์ แกก็ไปสัมผัสดวงจันทร์ แกก็มีจิตไปกำหนดแล้วว่าระยะตรงนี้ตรงนี้เป็นอย่างนี้ ทิศทางใครก็แล้วแต่ เส้นโคจร มันจะมีสัญญาของคนกำหนดรู้กำหนดได้ โดยเฉพาะถิ่นที่ตัวเองได้เคยสัมผัส ก็จะจำได้ แน่นอนจำได้ไม่ลืมเด็ดขาดว่า ที่ตัวเองเหยียบไว้ เมื่อแกคืนกลับมาสู่โลก คนก็ถามว่า เป็นยังไง ตรงนั้นรับรองจิตของแกก็วิ่งไปตรงนั้นเลย เชื่อไหมว่าเร็วกว่าแสง เป็นภาวะยืนยันอธิบาย คนคิดตามได้ว่า แน่นอนของเราไม่ต้องไกลถึงขนาดนั้นเราก็ยังเร็วขนาดนี้ ถึงตายแล้วก็เร็ว ปรู๊ด เร็วขนาด ระยะแสงเรารู้ว่าเร็วเดินทางเท่าไหร่ ก็จิตเราเร็วกว่าแสงเท่าไหร่ จิตคนที่ไม่ได้ฝึกก็ยังเร็วแล้ว เร็วกว่าแสงแล้ว มันเร็วยิ่งกว่าอะไรดี เพราะฉะนั้นยิ่งคนได้ฝึกจิตแล้วยิ่งเร็ว
เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะรับรู้สัมผัสแล้วจับเข้ามารู้ เร็วขึ้นเร็วขึ้นๆ ได้มากขึ้น ทัน ความเร็วของแสง แสงจากตรงนี้มากระทบตาแสงจากตรงนั้นมากระทบตา แม้แต่หูก็ตาม เสียง ไม่ใช่เรื่องประหลาดถ้าเรามีสมรรถนะฟุตบอลจริงๆ เป็นจริงเป็นได้ อาตมาไม่ได้ฉงนไม่ได้สงสัย ตัวเองเป็นได้ คนที่ยังทำไม่ได้ก็มาศึกษาเถอะ ศึกษาดีๆแล้วจะรู้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องน่ามหัศจรรย์อะไรหรอก เป็นเรื่องตามเหตุปัจจัยของมัน ตามความเป็นจริงของมัน ไม่ใช่เรื่องพิลึกพิลืออะไร
อย่างอาตมานี่ขอพูดตรงๆเลยว่า อาตมารู้ว่าอาตมานี่ รู้มาก รู้ในหลายๆอย่างที่คนไม่สามารถรู้ได้เท่า คนฟังก็ขอให้อย่าหมั่นไส้ พูดอย่างวิชาการ อาตมารู้อะไรที่คนไม่สามารถรู้ได้เท่าเยอะ แล้วเอามาพูดเอามายืนยัน สิ่งนี้เขาไม่รู้ตาม เขาก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เขาก็ไม่รับ ถ้าคนที่รู้ว่าอันนี้ถูก หรือคนก็จะรู้ว่า ไม่ง่ายนะที่จะรู้ เรารู้ได้ก็ไม่ง่ายนะ ก็ยิ่งจะทึ่ง คนนี้รู้ ก็ว่าเรารู้ไม่ง่ายแล้วนะ ของเรานี้ยังรู้น้อยอีกกว่าเขา อย่างอันอื่นอีก เราพอรู้รำไร แต่คนนี้รู้ดีอธิบายจนเราได้รับความรู้ตาม คุณจะยอมรับขึ้นมาเรื่อย ขอให้อย่ามีอคติในใจว่าอย่างเดียวจำใส่กบาลไว้ อย่ามีอคติในใจ
เพราะว่าการมีอคติในใจนี้มันไม่ได้เจริญมันโง่ มันทำให้ตัวเราเองยิ่งโง่ดักดาน โง่หนักเข้าไปอีกดีไม่ดีเข้าใจผิดซับซ้อน ซวยหนัก เพราะฉะนั้นจิตใจถ้าไม่มีอคติ 4 ลําเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชอบ ลําเอียงเพราะชัง ลําเอียงเพราะไม่รู้โมหะ ลำเอียงเพราะกลัว
ในรอบตัวที่อาตมาทำงานจะมีหนังสือพจนานุกรมกับปทานุกรมเยอะเลย ยังต้องการอีกในสิ่งที่อาตมาไม่รู้ในพยัญชนะ ปทานุกรมคือสิ่งที่เขาแปลพยัญชนะ จะเป็นของชาติไหนแม้แต่ของไทยก็ตาม หลายเจ้าก็ตาม ปทานุกรม พจนานุกรม จะมีนัยยะละเอียดที่แหลกแตกต่าง อาตมาก็ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายที่ทำขึ้นมา อาตมาก็ได้ใช้ แล้วเอามาสื่อสภาวะ ขอยืนยันว่ามีสภาวะไม่น้อย แปลว่ามาก แล้วก็มีมากไม่น้อย มีมากๆไม่น้อยเลยแปลว่ามากๆยิ่งขึ้น อย่างนี้จริงๆ
SMS วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2561 (วิถีอาริยธรรม)
_3867คติธรรมสารอโศกฯคนโง่มักทำให้ตนเป็นทุกข์! คนฉลาดจักทำให้ตนพ้นทุกข์
_ปนิรัตน์ : ฟังพ่อท่าน แล้วถึงพริก ถึงขิงค่ะรู้สึกว่า ตัวเองโชคดีมากเลยค่ะ
_แก้วลา ไชยวงค์ · อายุจะ 60 แล้วเพิ่งได้ฟังธรรมะที่แท้จริงจากพ่อท่านนี้แหละเจ้าค่ะเริ่มปฏิบัติมาตั้งหลายปีแล้วใหม่ๆล้มลุกคลุกคลานเดี๋ยวนี้ยืนตั้งใข่ได้แล้วต่อไปลูกจะเดินตามพ่อท่าน ตามท่านสมณะท่านสิกขมาตุ กลุ่มชาวอโศกอย่างมั่นคงเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน คันธธุระและวิปัสสนาธุระ
_อำภา รื่นใจดี · น้อมกราบนมัสการท่านพ่อครู ลูกขอโอกาสถามได้ฟังการสนทนาธรรมรายการหนึ่งทางวิทยุ บอกว่า พระภิกษุทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ คันธธุระและวิปัสสนาธุระ
ขอคำอธิบาย คันธธุระ เพราะยังไม่เข้าใจ และตามความเข้าใจของลูกคิดว่าท่านสมณะอโศก คงทำหน้าที่ 2 อย่างนี้ไม่เหมือนภิกษุในเถระสมาคมจึงขอความรู้ ว่าสมณะอโศกทำหน้าที่ 2 อย่างนี้อย่างไรการที่สมณะทำงานที่โรงปุ๋ยเป็นการทำหน้าที่คันธธุระ หรือ วิปัสสนาธุระ สาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...สรุปแล้วก็คือเรื่องของคำว่าคันถธุระกับวิปัสสนาธุระ สองคำนี้มันหมายความว่าอะไร
คันถธุระ หมายความว่าเป็นพระผู้ที่เรียนรู้มากรู้ภาษาเยอะ แต่ไม่เข้าใจถึงสภาวะ สัจธรรม ก็สอนแต่คันถธุระ หรือเอาภาระแต่การสอน แต่ตัวเองไม่เรียนรู้ปรมัตถธรรม ไม่เรียนรู้ให้เกิดสภาวะธรรมที่ตนเองพึงได้ ผู้สอนอันนี้ก็ได้แต่เปลือก ได้แต่พยัญชนะที่สื่อให้คนอื่นฟังแต่ตนเองไม่ได้ จะเทียบในตำนานก็จะคือพระโปฐิละ คือพระใบลานเปล่า
ส่วนคนที่เข้าถึงสภาวะปรมัตถ์ เข้าถึงสภาวะธรรมหรือจิตเจตสิกรูปนิพพาน คือพวกวิปัสสนาธุระ ใช้ความหมายคู่กันกับคันถธุระ อย่างนี้เป็นต้น
คันถธุระคือผู้เอาภาระแต่เพียงสอนแต่จิตใจตัวเองนั้นไม่มีสภาวะ ยังไม่มีความรู้ทางสภาวะธรรม ที่เป็นอภิธรรม มีเยอะไม่รู้ตัวง่ายๆ การจะรู้คันถธุระหรือวิปัสสนาธุระ จะต้องรู้ธรรมะ 2 พยัญชนะกับจิตนิยาม ตัวผู้รู้จะต้องรู้ 2 อย่าง
เช่นอาตมาให้รู้ความยิ่งใหญ่ของธรรมะ 2 ที่เรียกว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ทั้งหมดเลยในเรื่องของศาสนาในเรื่องของลัทธิในเรื่องของจิตวิญญาณ เทวะ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วต้องตีแตกตัวนี้ เป็นภาษาสภาวะที่สลับกันไปสลับกันมา คนไม่รู้ก็เลยสับสนกันใหญ่ระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ สลับกันไปสลับกันมาไม่รู้กี่รอบ เสร็จแล้วตัวเองก็นึกว่าตัวเองรู้ ถูกต้อง แต่แท้จริงไม่ถูกต้อง นอกจากไม่ถูกต้องแล้วมันยังมีรอบเป็นร้อยรอบพันรอบที่ตนเองไม่รู้สลับไปสลับมาไม่รู้กี่ชั้น นี่คือความยิ่งใหญ่ของธรรมะ 2
พระพุทธเจ้าจึงให้เริ่มต้นศึกษาตั้งแต่ธรรมะ 2 คู่แรกเลยหยาบที่สุดตื้นที่สุดคุณอย่าประมาท เรียนรู้สิ่งต่ำอย่างง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มต้นพระพุทธเจ้าสอน สอนศีลสมาธิปัญญา เอาคู่แรกที่เราเองอยากเรียนรู้แล้วให้บรรลุทีละคู่ๆๆ มันจะ advance ก้าวกระโดดพัฒนาได้เร็วเป็นลำดับ พระพุทธเจ้าถึงสรุปของท่านว่า ความเป็นลำดับนี้เป็นสิ่งน่ามหัศจรรย์ เป็นระบบระเบียบ ถ้าไม่เป็นระบบระเบียบจะสลับไปสลับมาซับซ้อนอีกนาน แต่ถ้าได้ลำดับจริงๆตั้งแต่ธรรมะ 2 เป็น 3 4 5 6 7 เท่าที่อาตมามีปัญญาอธิบายซึ่งไม่ง่ายเลยแต่พอเข้าใจไปตามลำดับ
คันถธุระคือเรื่องเปลือก วิปัสสนาคือเนื้อแท้
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ทำไมพระห่มจีวรสีเหลือง
_ทำไมพระข้างนอกห่มจีวรสีเหลือง แล้วพระข้างในห่มสีน้ำตาล
พ่อครูว่า...นี่ยื่นมีดให้อาตมาเสียบเขานะนี่ ก็ตอบ...นี่เป็นวิชาความรู้ ขออภัยที่ท่านห่มสีเหลืองกันเยอะแยะ แล้วพวกเรามาห่มสีน้ำตาลสีกาสาวพัตร สีกรัก
ตอบก็คือพระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าไม่สมควรจึงได้ตรัสห้ามไว้ วินัยพระไว้ในเรียบร้อยเลยบันทึกไว้เรียบร้อย 1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน 3.สีแดงล้วน 4.สีบานเย็นล้วน 5. สีดำล้วน 6. สีแสดล้วน 7. สีชมพูล้วน (พตปฎ. เล่ม 5 ข้อ 169)
สีเหลือง จะเรียกว่าล้วนหรือมีเฉดผสมกันนิดหน่อย สีแสดสีเหลือง แต่แดงก็ผิด เหลืองก็ผิด แต่คุณว่าไม่แดงล้วนแสดล้วน แต่แสดอ่อนแสดแก่ก็ผิด คือมันมีอัตตาก็เลยใส่ อาตมาก็พูดตามสัจธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้ดันทุรังอะไร มันก็เป็นไปตามสัจธรรมคนที่จะต้องหลงทางไปห่มสีเหลือง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เปลี่ยนมา ก็มีผู้เปลี่ยนมาเรื่อยๆผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นดึงดันอยู่ก็ยังมีก็เห็นอยู่ ช่างศีรษะดื้ออยู่ก็เห็น ดื้อดึงดัน ไม่เห็นมีเรื่องอะไรใหญ่โตเลย ใหญ่โตไม่ใหญ่โตไม่เป็นไรแต่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ ก็ไม่เสียหาย ยิ่งไม่ใหญ่โตก็ยิ่งทำง่ายจะไปดันทุรังทำไม จะไปยากเย็นทำไม
เขาก็บอกว่าเรื่องนิดหน่อยเอามาพูดทำไม แต่ถ้าคุณมีผู้เคารพนับถือแล้วคุณก็ทำสิ่งที่ผิดตามที่พระเจ้าตรัส เขาก็ทำตามคุณแล้วมันควรไหม เพราะคนอื่นเขาปล่อยวางไม่ได้เขายึดมั่นถือมั่นเขาก็ไปตู่ ด่าคนนั้นคนนี้ก็ได้ แต่คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นตามคนมันก็เป็นผลสืบเนื่อง
สรุปแล้ว ทำไมข้างนอกห่มสีเหลือง เพราะว่าไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้าสอนพระวินัยเล่ม 5 ข้อ 169
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ทำไมถึงเรียกว่าสมณะชาวอโศก
_ทำไมพระอโศกต้องเรียกว่าสมณะ
พ่อครูว่า...ตอบ ทีเรียกว่าสมณะก็เพราะเป็นไปตามธรรม ที่จริงชาวอโศกก็เคยเรียกว่าพระเป็นภิกษุ พระเป็นภาษาไทย หรือมาจากคำว่าพร หรือวร ซึ่ง แปลว่าผู้สูงส่งผู้ประเสริฐ ก็มาใช้เป็นพยัญชนะภาษาไทยเรียกคนที่ประเสริฐว่าพระ โดยเฉพาะเอาไปใช้กับนักบวช นักบวชก็เรียกว่าภิกษุหรือเรียกว่าพระเลย จริงๆพระที่เรียกเป็นยศตำแหน่งก็มี มีขุนมีหลวงมีพระก็มี จนกระทั่งถึงพระยา จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีถึงสมเด็จพระยา ก็มาจากคำว่า วร ภาษาบาลี แปลว่าสูงสงประเสริฐก็มาใช้แทนสภาวะธรรม
อาตมาบวชมาก็ไม่ได้ดึงดัน ไม่ได้ไปสนใจจะเรียกว่าภิกษุอะไร เสร็จแล้วก็มาเกิดความขัดแย้งกันกับเถรสมาคมคณะใหญ่ ก็บรรยายอย่างลัด นิทานมันยาว จนกระทั่งมีเรื่อง เขาไล่อาตมาออก แต่ที่จริงเขาขี้ตู่ เขาใหญ่เขาไล่อาตมาออกจากเถรสมาคม ที่จริงอาตมาประกาศไม่เอาเถรสมาคมขอแยกออกมาต่างหาก นี่คือสัจจะ เป็นเรื่องนานาสังวาสตามพระวินัยของพุทธเจ้าอาตมาก็ทำถูกต้องตามนั้น ประกาศแยกในวันที่ 6 สิงหาคม 2518
วันที่ 7 สิงหาคมก็เป็นวันที่อิสระเต็มที่ แรกๆ เถรสมาคมก็ยังยอมรับพ.ศ 2518 วันร้ายคืนร้ายพ.ศ 2532 เขาก็ดึงเข้าไปอีก นอกนั้นเขาก็ยอมรับอยู่นะ มีนิทานสิ่งอ้างอิงเยอะแยะ
ก็ขอสรุป เป็นเรื่องสัจธรรมที่เป็นไปตามธรรม ผู้ที่ทำผิดก็ยังยิ่งมีนิทานเรื่องราวเหตุปัจจัยที่ผิด พัวพันเกี่ยวข้องโยงใยเป็นโดมิโนเป็นอิทัปปัจจยตาไปเรื่อย ผู้ถูกก็ยิ่งถูกๆๆ มีเส้นทาง เหมือนที่เขาติดตามเส้นทางการเงินของวัดตอนนี้ไง มันมีรูปกับนาม นามธรรมก็ตามได้รูปธรรมก็ตามมีเส้นทางทั้งนั้น ก็เรียนรู้ตามนี้ให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน พระรับเงินผิดอาบัติไหม
_ที่หลวงปู่รับเงินผิดอาบัติไหมคะ
พ่อครูว่า...อาตมารับเงินอยู่ทุกวันนี้ มีคนเอาเงินมาบริจาคมาถวายอาตมาก็รับให้เห็นมีรูปยืนยัน บิณฑบาตก็รับใส่ อยู่ที่ไหนเขาให้มาก็รับ อาตมารับด้วยมือด้วยวัตถุ แต่จิตอาตมาไม่ได้ยึดเป็นของตัวของตน เป็นอจินไตย เป็นเรื่องจิตของแต่ละคน ไม่มีใครหยั่งรู้ ความจริงในจิตอาตมาได้ดีเท่ากับตัวเอง มีคนที่เชื่อใจ ถ้ามีใครสามารถหยั่งรู้จิตใจของอาตมาได้อาตมายิ่งจะดีเลย อยากจะให้ผู้นั้นมาอ่าน อาตมาก็อ่านจิตตัวเองได้เท่าที่อาตมามีภูมิว่าอาตมาสะอาด อาตมาไม่ได้มีจิตถือเป็นเราเป็นของเรา ไม่ได้อยากได้เป็นเราเป็นของเราไม่ได้สะสมไม่ได้อยากร่ำรวยอะไร หากอาตมาสะสม ป่านนี้อาตมาก็มีไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้าน อาตมาก็ไม่ได้พูดอวดตัว อาจจะมีไม่น้อยถึงร้อยล้านอาจจะถึงพันล้านจะถึงหมื่นก็ไม่รู้ เพราะว่าทำไปนี่กระจัดกระจาย ที่จริงก็ไม่น่าจะถึงหมื่นหรือแสนล้าน คิดว่าไม่ถึงเท่าที่เคยได้รับบริจาคแล้วทำไปใช้ไป คงไม่ถึงหมื่นล้านแสนล้าน พันล้านก็น่าจะถึงอยู่นะ
หมื่นล้านจะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะว่าทำกระจัดกระจายไปเรื่อยๆอาตมาไม่ได้ยึดติดเป็นเราเป็นของเราไม่ได้สะสม ได้มาก็สลายเอาไปทำงาน เป็นแต่เพียงว่าอาตมามีหลักในตัวเองว่า
1.อาตมาไม่เป็นหนี้ พวกเรามีระบบเงินหนุนเราไม่เรียกเงินหนี้ ใช้เป็นเงินอุดหนุนจุนเจือกันแล้วเงินก็ไม่เรียกเงินกู้ ของทางโลกเขามีดอกเบี้ย แต่ทางเรานี้ ได้ไปไม่ได้ใช้หนี้ก็ถือว่าเป็นเงินหนุน เราก็ต้องคืนเขา เรามีแล้วก็รีบคืนเป็นวิธีการเป็นวัฒนธรรมชาวอโศกเรา อย่างนี้เป็นต้น
2.สร้างสรรของตนเอง ฝีมือความสามารถลงทุนลงแรงเองให้มันเกิดผล ผลผลิตที่เราจะอาศัยเป็นอาหารเป็นเครื่องอาศัยเป็นเครื่องกินเครื่องใช้ แล้วเราก็กินก็ใช้ที่เราทำ เป็นแรงงานความรู้เป็นสัดส่วนที่เรามีสิทธิ์เต็มที่ ให้เหลือให้พอของตัวเอง เหลือเกินจากที่ตัวเองกินใช้แบ่งแจกคนอื่น ให้เหลือให้เกินให้คนอื่นได้แม้มันจะไม่โดยตรงโดยอ้อม อาตมาไม่ได้ปลูกพืชผักโดยตรง แต่เราก็มีส่วนมีสิทธิ์ในนี้ ทำงานส่วนที่เป็นหน้าที่ของตัวเอง ให้พอให้เหลือ แล้วแจกจ่ายเจือจาน นี่เป็นหลักเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่
1 อย่าเป็นหนี้ 2 ทำให้พอกินพอใช้ 3 ทำให้เหลือ 4 สะพัดแจกจ่ายแก่ผู้อื่น อย่าให้ตัวเองทำจนเป็นหนี้หรือฉุกละหุก ไม่ต่อเนื่องขาดตอนก็อย่าทำ ต้องประมาณให้พอแรง ต้องคำนวณสมรรถนะหรือสิ่งที่จะสัมพันธ์กับเราให้พอหมุนเวียน ไม่ขัดข้อง อย่าทำให้เกิดความขัดข้องมันเป็นทุกข์มันยุ่งยากเสียงาน อย่างนี้เป็นต้น
อาปัติ คือจิตไม่สะอาด อาบัติก็มีระดับ อาตมาไม่มีจิตที่หยาบใหญ่สะสมเป็นของตนเป็นอัตตามานะไม่มี มีก็เอามาใช้ในแวดวงของพวกเรา ซึ่งก็มีบารมีพอสมควรก็พอเป็นพอไป ไม่เห็นจะต้องยาก เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็มาเสริมให้ ได้อยู่ มันไม่ขาดหรอก มันเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่เดาเอาไม่ได้คิดเอาไม่ได้ หลงตัวเองไม่ได้ มันเป็นจริงของบารมี
พูดอย่างง่ายก็ได้ไม่ง่ายก็ได้เทียบเคียงให้เห็น พวกเราหลายคนมีบารมีด้านทรัพย์สินมากกว่าอาตมา หาเงินได้เร็วได้เยอะกว่าอาตมา หลายคนในนี้เคยหาได้เยอะ อาตมาหาเงินได้ไม่เท่าไหร่หรอกในชาตินี้ ทางโลก มีรายได้มีเงินหมุนเวียนเป็นล้านก็จริง แต่อาตมามีชีวิตเป็นฆราวาสยังไม่เคยสะสมเงินก้อนเป็น 10 ล้าน เงินก้อนจะเป็นคงคลังของอาตมา อาตมาทำงานอยู่ 12 ปี เงินทองหมุนเวียนเยอะแยะมากมายแต่ไม่เคยสะสมในตัวเองเป็นตัวเลขถึง 10 ล้าน 5 ล้านก็ดูยาก แต่หมุนเวียนทำในสิ่งที่เป็น 5 ล้าน 8 ล้าน 10 ล้าน แต่มีเวลาทำงานอยู่ทางโลกก็ไม่ได้ขัดข้องไม่ได้ตกต่ำ
จริงๆแล้วอาตมาเป็นคนขับรถติดแอร์เป็นคนแรกของประเทศไทยนะ แอร์ตัวแรกของบริษัทฟอร์ดเขาสั่งมาซึ่งมันยังไม่ติดกับรถหรอก เป็นแอร์ที่ต่างหาก ก็พยายามปรับปรุงมาติดรถยนต์ อาตมาก็พยายาม เป็นรถยุโรป ไดนาโมมันก็ไม่ค่อยดี สู้รถญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ อาตมาก็เอา ตอนนั้นใช้ Ford corsair ที่เป็น demonstrate ที่เป็นตัวอย่าง อาตมาก็ซื้ออันนี้ เพราะคันที่จะเอามาโชว์มันต้องเอาคันที่ดีที่สุดมาอวด ซื้อแล้วเขาก็บอกว่ามีแอร์นะ แต่ต้องติดต่างหาก อาตมาก็เอาๆๆ อาตมาก็ให้เขาติด ตอนนั้นยังไม่มีใครติดหรอกอาตมาเป็นคนแรก เสร็จแล้วต้องไปเข็นกลางทางบ่อยเพราะว่าไดนาโมมันไม่พอจ่ายไฟ แต่ก็ยังภูมิใจนะ เข็นก็เพราะรถแอร์ละว้า เอ็งไม่รู้หรอกว่าไดนาโมมันยังไม่เก่ง ซ้อนลึกก็ยังรู้สึกเท่ห์อยู่นะว่าอย่างไรก็รถแอร์ เพื่อนอาตมาเรียนกับมาตั้งแต่ม.7 ม.8 เวลาเลี้ยงรุ่นเขาก็จะจ่าย เราก็บอกว่า ลื้อเป็นข้าราชการ อั๊ว ขี่รถแอร์แล้วนะ อั๊วต้องจ่าย ลื้อไม่มีสิทธิ์จ่าย นี่มันหน้าใหญ่ใจโต
นี่คือเรื่องราวโบราณ สนิมรัก นี่คือนามปากกาอันแรก ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นโบราณนวทัศน์ เสร็จแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นโบราณ ไม่เสมอ ตอนหลังก็มีเก่าสมัย ใหม่เสมอ นี่คือนามปากกา นามแฝง
สรุป หลวงปู่รับเงินไม่ได้มีอาบัติ เอาวินัยมาจับได้ หลวงปู่รับเงินจริงแต่จิตไม่มีอาบัติ จิตไม่มียึดถือเป็นเราเป็นของเราอย่างแท้จริงเอามาใช้งานผ่านไป หมดก็หมดมีก็มี แต่มันก็มีบารมีที่ไม่หมด มีหมุนเวียนมาเรื่อยๆ จะติดขัดอย่างไรบางทีก็ ถึงขั้นต้องเปรยปรายก็จะมีคนที่เข้าใจไหวพริบทันเอามาให้ เขาพอมีก็เอามา ก็เป็นไปตามบารมีลอกเลียนยาก
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน น้ำตกและแก่งที่บ้านราช
_น้ำตกที่จะทำใหม่ จะเสร็จตอนไหนหรือคะ
พ่อครูว่า...น้ำตกที่เราทำอยู่ตอนนี้คือน้ำม่าน ท่านศิลปินคมคิดก็ยังนึกไม่ออกตามที่อาตมาจินตนาการก็ยังยาก ก็ยังนึกไม่ตรงกับอาตมาว่ามันจะต้องเป็นแผงเป็นแผ่น ไม่ใช่ออกมากระจายเป็นเส้น มากๆหนาๆ จะเป็นแผ่นบางเท่าไหร่ก็ยิ่งสวยติดกัน ทีนี้วิธีทำก็ยังไม่เคยทำ ถ้าทำได้ก็ได้น้ำม่านเป็นระยะยาว จากสวนไม้ตาย คำว่าไม้ตายคือไม้เด็ด แต่อาตมาก็เอาต้นไม้ตายๆมาตั้ง พยัญชนะกับสภาวะ ก็ทำเป็นสวนไม้ตาย สำนวนไม้ตายคือไม้เด็ด อาตมาเข้าใจธรรมะ2 เยอะก็เอามาใช้ มันยกสูงก็จะได้มีลำธารมีคลองก็จะให้น้ำนี้ไหลลงไปเป็น แปว เป็นคลองแล้วก็จะเป็นที่ๆสไลเดอร์ แต่ต้องทำให้ปลอดภัยดีๆ ก็ไม่ได้ลึก และไม่ให้มีอะไรที่ทำให้เกิดบาดเจ็บก็ต้องกันๆไว้ ก็กำลังทำกันอยู่ จะเสร็จเมื่อไหร่ตอบไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ก็มีน้ำตก มีน้ำโตน น้ำม่าน น้ำริน
น้ำตกมี...แมนน้ำริน หินน้ำไหล น้ำตกไทบ้าน ม่านน้ำ
แก่ง มีแก้งตำอิด ติดราม สามใส ไฝใหญ่ ไทบ้าน
ก็ทำไปตามประสาตัวเองที่เห็นว่าดี คนมาอาศัยเล่น น้ำก็ทำให้สะอาดให้ใส ตอนนี้ก็ประกาศใครมีความรู้ ลองมาทำน้ำคลองถอยหลังเข้าให้มันใส่ได้ ใครมีฝีมือก็เชิญ มาช่วยกันหน่อย อาตมาไม่มีปัญญาทำให้มันใส่ได้ คนเลยไม่ค่อยชอบ ไม่ค่อยอยากจะไปเล่น ก็ยังคิดอยู่เลยว่าจะหาเรือแคนู มาใส่ไว้ มันใสก็จะพายกันเล่น พายลอดซุ้มหินพายผ่านแก้ง แก้งหรือแก่งก็อยากให้ทำเป็นแปว คือน้ำไหลแรงเป็นช่อง เรือพายในร่องน้ำไหลก็ดีเลย ไปทีละแก่ง แล้วล่องน้ำไหล วนให้ทะลุเลย แต่ตอนท้ายนี้วนไม่ได้ต้องแบก ทั้งหมดพันสี่ร้อยกว่าเมตร รับรองสนุกแต่ตอนนี้ทำยังไม่สำเร็จ เขายังไม่ค่อยเข้าใจเจตนาอาตมาเท่าไหร่ ผู้ที่เข้าใจแล้วก็อยากจะสนอง
ที่ทำนี้ทำเพื่อประชาชน คนจะได้มาอาศัยเป็นที่พักผ่อน เป็นที่คลายเครียด สำเริงสำราญไป ใครที่เข้ามาที่นี่เป็นแต่เพียงว่าอย่ามาทำเลวร้าย อย่ามาทำเกะกะเกเร อย่ามาทำสิ่งที่มันไม่สมควรในที่นี้ ผู้ใดมาแล้วก็มาฝึกฝน เราก็จะมีหลักเกณฑ์คนดูแล เราเป็นเจ้าของสถานที่ที่ไม่ได้เก็บเงิน เจตนาให้คนมาอาศัยมาเล่น ผู้ใหญ่ยังไม่ค่อยกล้ามาเล่นเท่าไหร่ ในอนาคตก็คงจะมี
_พิมพ์เพชรรุ้ง...ลูกมีปีติ เบิกบานใจที่ได้มาอยู่ในระบบสาธารณโภคี มีพี่น้องช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นคนอีหลี มาเด้อพี่น้อง มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นหนึ่งในพัน มาอยู่ที่นี่มีแต่แนวดี มีสัปปายะ 4 อาหารสัปปายะ มีพืชผักไร้สารพิษ เสนาสนะสัปปายะ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอากาศก็ดี บุคคลสัปปายะ คือหมู่กลุ่มที่มีศีล 5 หมดทุกคน ธรรมะสัปปายะ มีโลกุตรธรรมจากพระอาริยะ นี่คือแดนวิมุติ วิมาน วิโมกข์ ใครอยากเป็นผู้มีโชคก็ให้มาอยู่ด้วยกันที่บ้านราชเมืองเรือบ้านไม้เมืองหินบ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ
_ใจแก้ว...จะพูดภาษาอีสานประโยคหนึ่งว่า เฮ็ดจังใด๋ก็ได้จังนั่น...จะถามพ่อท่านว่า ตอนที่ยังไม่เจอพ่อท่าน แม่ที่เป็นภิกษุณีไต้หวัน แม่ก็ชวนไปทุกวันไปสวดมนต์ เจ้าแม่กวนอิม เข่งทำไปทำมา อยู่นานหลายปี อาจารย์ก็บอกจะเข้ากรรมฐาน 3 เดือน เข่งก็ว่า เคร่งดี แต่รู้ทีหลังว่า เขาเอามีดโกนไปด้วย ให้เข่งหิ้วอาหารไปแขวนที่หน้าต่างทุกวัน พอออกมาจาก 3 เดือน หูสองข้างนี้หายไปเลย ออกมาใบหูสองข้างไม่มี พอเข่งมาที่สันติอโศก รู้สึกว่า ธรรมะอย่างนี้เจ็บตัวไม่เอา นิ้วก็ตัดด้วย ก็เลยกลัวไม่กล้าปฏิบัติ อีกไม่นานก็มาเจอพ่อท่านให้ถือศีลกินมังฯไม่ต้องตัดหูอย่างนี้ดีกว่า
พ่อครูว่า...เป็นสายเทวนิยม สายศรัทธา ยังตีไม่แตกในเรื่องของเทวะ ตอนนี้อาตมากำลังขยายความคำว่า เทว คำนี้ ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องจิตวิญญาณในเรื่องศาสนา แม้แต่ในทางธรรมทางโลก ธรรมะ 2 นี้ ศึกษาให้ดีอาตมากำลังขยายความ คำว่าธรรมะ 2 นี้ลึกซึ้งมาก สนุกในการขยายความ ละเอียดมากเลยจนคนที่ดูแลบอกว่านอนบ้าง อาตมาว่าเดี๋ยวนี้ จะไปเปลี่ยนชื่อที่ลงทะเบียนด้วยบังอรแล้วเอาแต่นอน
_ใจแก้วว่า...แม่เค้าสวดมนต์เป็นชั่วโมง เข่งไม่รู้จะทำอะไร อยู่ดีๆเห็นใบไม้ไหวพริ้วๆจิตมันก็มีความสุข ปฏิบัติธรรมแบบนี้มีความสุขแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
พ่อครูว่า...นั่นเป็นความรู้ทางธรรมที่คุณตีแตกจากการยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องนิ่งหยุดเป็นหนึ่ง เพราะเห็นความไว ก็เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยงทุกอย่างเคลื่อนไป แสดงถึงจิตคุณเห็นว่าอาการเคลื่อนไหวถูกต้องกว่า อย่างนี้ไม่เอาก็เลยเลิกจากสิ่งนั้น เหมือนกันกับพระ จูฬปัณฎก ถูผ้าไปผ้าก็ดำ ไม่ขาว มันก็ไม่เที่ยง อันนี้ก็ตีแตกธรรมะ 2 อันนี้ก็เหมือนกันดำกับขาว อ๋อ เห็นภาวะสองตีแตกอันใดอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นยิ่งใหญ่มากเลยธรรมะ 2 นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนผู้ที่ยึดถือธรรมะเทวนิยมเป็น 2 เทวะแปลว่า 2 แล้วตีไม่แตกมาหาหนึ่งมาหาศูนย์ไม่ได้ มีแต่ 3 4 5 6 7 8 9 เป็นล้านเลยก็ตาย ตรงนี้แหละที่ไขความสุดยอดเลย ทีนี้เราจะมีคนมีภูมิตรงนี้จะไขเลยในโลก ไม่ใช่แค่ในไทย
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การสวดแผ่เมตตาที่แท้จริง
_หลวงปู่ครับ ทำไม ตอนทำวัตรเช้าท่านสมณะไม่ได้พาสวด สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์
พ่อครูว่า...เพราะเด็กเขาเคยได้ยินมา ที่นี่เราก็มี สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เราทำอย่างเป็นความจริง ความหมายคือเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เป็นญาติกัน ต่างคนต่างมีชีวิต อย่าไปฆ่ากันอย่าไปกินกันอย่าไปทำร้ายกัน พวกเราทั้งหลายแหล่ประพฤติแล้วไม่ต้องไปถึงแบบท่อง สัพเพสัตตาสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เฉย เสร็จแล้วก็กินเนื้อสัตว์ฆ่าสัตว์ทำร้ายสัตว์เบียดเบียนกันมาตลอดอย่างนั้นปากเปล่า ได้แต่ท่องได้แต่สวด แต่โดยสภาวะจริงนั้น มันไม่ได้สอดคล้องกับส่ิงที่ตัวเองท่องเลย จึงได้แต่สวด
ทุกวันนี้ศาสนาอยู่แต่แค่สวด สวดคำสอนของพระเจ้าของอาจารย์ ถือว่าสูงที่สุด ธรรมะแปลว่าคำสอน ของอาจารย์ ก็จะรักษาอันนี้ไว้อย่างเดียว นี่ก็เป็นความดีงามของวัฏสงสาร ถ้าไม่มีผู้รักษาสิ่งที่เป็นคำสอนสิ่งที่เป็นพยัญชนะเอาไว้ มันจะไม่มีอะไรตกค้างความรู้ให้คนต่อไปเลย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่คนที่ไปโง่ติดยึดอันนี้คือไม่ดีตีไม่แตกตรงนี้
คำสวดก็มีธรรมะ 2 สระพยัญชนะแต่สภาวะจริงคืออย่างไร ก็ต้องชัดเจนแล้วทำให้ได้ตามสภาวะ มีคู่เหมือนกัน สภาวะกับคำสวด พยัญชนะ ในพยัญชนะก็มีสองซ้อนอีก มีความสูงความต่ำความชั่วความดีความถูกความผิดอะไรอีกไหม
สภาวะดีแล้ว กายกรรม วจีกรรม ตรงกับสภาวะหรือยัง คือเอาทีละคู่มาเปรียบเทียบแล้วรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่วอะไรสูงอะไรต่ำให้ชัดเจน สำเร็จทำดีได้แล้วก็อย่าไปยึดถือความดีนั้นเป็นเราเป็นของเราเป็นงานสุดท้าย คุณก็อาศัยดีนั่นแหละ แต่อย่าไปยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือเอาความดีไปตีคนนั้นคนนี้หรือเอาไปขาย
สรุปแล้วทำไมไม่สวดเพราะว่าที่นี่เราทำอยู่แล้วเป็นจริงอยู่แล้ว ในการไม่เบียดเบียนสัตว์ เห็นสัตว์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์จริง ผู้เอาแต่สวดแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่ดี ต้องทำให้ได้อย่าเอาแต่พูดปากเปล่า
_หายโง่...อัศจรรย์จริงหนอ ปีนี้ ปี 2561 มี 2 + 5 = 7 มี 6 + 1 = 7
อาตมาก็เคยพูดแล้วปีนี้ 61 แล้วมี 2 กับ 5 ปีนี้จะมีอะไรต่ออะไร เป็นเรื่องอจินไตยที่อาตมา ไม่อยากจะพูดมาก เหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต ในพ.ศ 2559 มันมีความหมายที่อาตมาไม่อยากพูดมาก คนจะงมงายเล่นกับตัวเลขด้วย ศึกษาไปเถอะเราจะรู้จักสังขยาเลขพวกนี้ เป็นการสื่อสภาวะธรรมที่ลึกซึ้งมาก ชาตินี้อาตมาก็อาศัยส่วนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย แต่ไม่อยากให้พวกเรางมงาย เข้าใจแต่เพียงว่า 123 456 789 0
2 เป็นแนวระนาบ 3 เป็นแนวกลม จะเป็นกลมรีหรือมน จนกระทั่งมีสิ่งที่ออกมาจากวง 3 นี้ได้ มีพลังตีแตกออกจากวง คนหลงก็มี แต่คนไม่หลงและรู้ด้วย จับ 4 ต่อ 5 ต่อ 6 เป็นสามเส้า แล้วมี 7 ออกไปอีก จนเป็น 8 9 ก็เป็นสามเส้า ซ้อนกันไปอย่างเป็นระบบระเบียบ นี่คือสัจจะของระบบระเบียบ ถ้าคนไม่มีระบบระเบียบ ก็จะเหมือนกับเศษอุกกาบาตที่ถูกแรงอันนั้นอันนี้ ดีดไปดูดมา กระเด็นไปกระเด็นมานี่คือพวกฟุ้งซ่าน พวกที่เกาะกันแน่นก็เหมือนกับกลุ่มไหมยุ่งแก้ไม่ออก ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง สองด้าน เรียกว่า วิกขิตตังจิตตัง กับ สังขิตตังจิตตัง สองอย่างนี้เท่านี้แหละในโลก จะชัดเจนทุกอย่าง
_สองนักษัตร บ้านราช คือ 24
สามนักษัตร มหาปวารณา
สี่นักษัตร พ่อครูเผยแพร่ พุทธศาสนาในฐานะนักบวช 48 ปี
เจ็ดนักษัตร 84 ปีชีวีพ่อครู
2 3 4 7 เขาก็เอา มาบวกกันอีกได้ 16 ก็มีเลข 1 กับเลข 6 บวกกันก็ได้ 7
กรุณาอธิบายรหัสของเลข 7 ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า….ไม่ได้ ไม่เก่ง รู้แต่ว่า พลังงานระดับ 7 ไม่ใช่เล่น เหนือ ชั้นกว่า 456
3 เหนือกว่า 2 แต่ 2 มีประเด็นว่า อันนี้สองคน กับคนเดียวจะสู้ไหม ปริมาณกับคุณภาพ ถ้าหากว่าหนึ่งมีคุณภาพมากกว่าปริมาณ 2 ก็สู้ได้ มีความสลับไปสลับมาเยอะเลย
_ต้องทำอย่างไร ผมถึงจะเป็นเด็กดีครับ ดช.กร
พ่อครูว่า...ต้องฟังธรรมะแล้วปฏิบัติธรรมตามลำดับ ฟังแล้วก็รู้ว่าอันนี้หลวงปู่พูดถูก เราไม่ดีอันนี้ เรารู้ความไม่ดีของตัวเองแล้วแก้ไขปรับปรุง เป็นขั้นตอนไป อันนี้หลวงปู่พูดถูกอันนี้เราไม่ดีก็แก้ไขอย่าไปเป็นอย่างนั้นให้เลิกไปทำอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วก็จะเป็นเด็กดี
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ทำไมไม่ยุบรวมหมู่บ้านอโศก
_ตอนนี้บ้านราชฯต้องการคนมารวมกันให้เป็นปึกแผ่นเป็นหมู่มวลที่ใหญ่ ทำไมไม่ให้พุทธฐานเล็กๆชุมชนกลุ่มเล็กๆ ยุบมา รวมกันอยู่ที่ราชธานีเลยครับ เหลือไว้แต่ที่ใหญ่และเป็นหลักพอ
พ่อครูว่า..อย่าไปใช้การบังคับ เขาจะยุบตัวเองก็เรื่องของเขา เขาไม่ยุบตัวเองก็ปล่อยไปตามธรรมชาติอิสระเสรีภาพมันจะเป็นไปตามธรรมของมัน ขอให้เราทำดีๆเถอะ เขาจะรู้ตัวบุคคลเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ เขาจะรู้ว่าเขาควรจะอยู่ที่ไหน ควรจะทำตรงไหน เขาจะรู้และเคลื่อนย้ายปรับปรุงปรับเปลี่ยน ยิ่งอยู่ในสถานะระบบสาธารณโภคีทุกอย่างเป็นของเราหมดเลย นี่แหละมันเป็นประตูที่เขาจะมาได้ไม่ยากเย็น นี่เป็นสัจจะ แต่ถ้าไม่ใช่สาธารณโภคีก็จะยาก หรือแม้แต่สาธารณโภคีของแต่ละหมู่บ้านชุมชน ถ้าแต่ละคนก็ยึดถือเป็นตัวกูของกูก็เข้ามาไม่ได้ง่าย แต่เพราะว่าสมาชิกของชุมชนชาวอโศก ไม่ได้ยึดถือตัวตนมากมายจึงเข้ามาได้ ง่าย อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นสัจจะที่จริงที่ลงตัวทั้งนั้นเพราะฉะนั้นเรื่องที่เกิดการทะเลาะวิวาทขัดแย้งอะไรกันมากจึงไม่มี มันจะลงตัวตามสัจจะมันจะได้สัดส่วน จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่ได้ขัดแย้งอะไรมาก แม้แต่แย่งข้าวของหรือตีกันด้วยทิฏฐิก็ไม่มาก
_วันก่อนฟังพ่อท่านพูด วิโมกข์ 8 รูปฌานอรูปฌาน ฟังเข้าใจมีปีติมากครับ เวลานึกตามสภาวะที่เคยมีมา ก็จะพยายามทำให้แข็งแรงมากขึ้นครับ
_ในการเลือกตั้ง คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการทุจริต จะใช้กฎหมายที่เข้มงวดอย่างเช่นพระวินัยขั้นปาราชิกหรือมีโทษขั้นติดคุกจะดีไหมครับ
พ่อครูว่า..ดี แต่เขาจะเอาตามคุณไหม? ทุจริตต้องลงโทษให้หนัก ติดคุกก็ได้ ตามควร
_ตอนช่วงงานเพื่อฟ้าดิน ได้มานอนพัก ที่เรือนบวร อากาศดีมาก ตอนนั้นยังไม่มีการกั้นห้อง ลมถ่ายเทดีมาก พอถึงตอนนี้ด้านฝั่งที่พักหญิง กั้นห้องด้วยกระจกที่ทันสมัยมาก ก็ทำให้คิดถึงอีกฝั่งหนึ่งที่กั้นไม่เสร็จ ว่าจะมีโอกาสเห็นการกั้นด้วยไม้เฌอร่า หรือไม้ไผ่บ้างจะเป็นไปได้หรือไม่ มีญาติธรรมหลายคนเขาบอกว่า จะได้ความเป็นชนบทลูกทุ่ง และลมจะถ่ายเทได้สะดวก ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน
พ่อครูว่า...หากใช้ไม้จะไม่ทึบ แต่ไม้หายากกระจกหาง่าย มันมีลักษณะดีหลายอย่าง น่าคิดเหมือนกันทางโน้น อันไหนแซบซอยใส่ มีนิทานว่า คนอีสานไปกินอาหารที่ร้านแต่ใช้ตะเกียบไม่เป็น ใช้แต่ช้อน คนขายก็ถามว่า เอาตะเกียบไหม? คนอีสานคนนี้ก็ว่า อันไหนแซบซอยใส่...ก็เป็นนิทาน
_แก้วบุญ….อคติ 4 คืออะไรคะ
พ่อครูว่า..อคติแปลว่าใจไม่ดี ใจชั่ว คือใจมันลำเอียง ใจมันไม่ตรง คนนี้รักมากก็จะช่วยเขามาก คนนี้ชังก็ไม่ช่วยเขา อคติ 4 มี รัก ชัง หลง กลัว
รักมากทำให้ลำเอียง ชังมากก็ทำให้ลำเอียง ไม่รู้ก็ทำให้ลำเอียง หรือกลัวก็ทำให้ลำเอียงได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรหากเจอผู้ใหญ่น่ารำคาญ
_ถ้าผู้ใหญ่น่ารำคาญ ควรทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...เราทำที่ใจของเรา เราไปบังคับผู้ใหญ่สอนผู้ใหญ่ไม่ง่าย ผู้ใหญ่ท่านก็เป็นของท่าน ท่านเป็นผู้ใหญ่ก็น่าจะรู้ หรือบางทีเราก็ไปรำคาญที่ท่านทำถูกทำดีไปเคี่ยวเข็ญเราให้ทำดี เราก็เลยรำคาญท่าน ก็พิจารณาสิ ท่านทำอะไรกับเรา มันดีไหม ถ้าดีก็ทำ ถ้าเห็นว่าไม่ดีทำไมไหวก็เอาไว้ก่อน แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่น่าจะทำไม่ดีทุกอย่างก็น่าจะมีอะไรทำดีกับเรา ที่ยังไม่ดียังเข้าใจไม่ได้ก็ถาม ถามว่าผู้ใหญ่คนนี้ทำอย่างนี้ดีไหม ผู้ใหญ่ที่เราศรัทธา เราก็จะได้รู้ว่าท่านอธิบาย ให้ฟังได้ เราก็ อาจจะเกิดจากเราถือสา
_ทำไมสมณะต้องใช้ชุดสีน้ำตาล..
พ่อครูว่า....อธิบายไปแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน คนเกิดมาได้อย่างไร
_น้ำมนต์ คนเกิดมาได้อย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า...รุ่นพวกนี้ ถามแต่ละเรื่อง อย่างกับเอาตะลุมพุกทุบเลยนะ
คนเกิดมาได้มีสองแบบ
1. คนเกิดมาได้เพราะเรามีพ่อมีแม่ ทำให้เราเกิด
2. คนเกิดมาได้เพราะ ต้องมีวิญญาณเข้ามาร่วม เป็นจิตวิญญาณเข้ามาร่วม กับพ่อแม่
พ่อแม่ท่านเป็นพ่อแม่แล้วท่านก็ทำหน้าที่ที่จะมีลูก เสร็จแล้วก็มีพลังงานที่เป็นจิตวิญญาณเข้ามาร่วมเป็น
3. นี่คือความรู้ทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีจิตวิญญาณร่วม 2 อันรวมตัวได้ก็จะแท้ง คือเป็นแค่พลังงานพีชะไม่ถึงจิตต้องสลายตัวไป ถ้าพลังงานนี้จะเกิดได้ พลังไม่เต็มก็เกิดมาได้แค่พีชะ ไม่เต็ม หากแค่อุตุก็แยกธาตุไป ไม่เป็นชีวะเลย
สรุปแล้ว เกิดได้เพราะว่ามีพ่อแม่อย่างหนึ่ง สองเกิดเพราะมีวิญญาณมาเกิด มาใช้อวัยวะใช้ธาตุดินน้ำไฟลม เกิดได้สองอย่าง
_ช่วงงานเจ มีลูกค้าที่มากินเจถามญาติธรรมว่า อยู่วัดมากี่ปี ญาติธรรม คนนั้นตอบว่า 30 ปี แล้วเขาถามต่อว่าบรรลุโสดาบันหรือยัง? ดิฉันเห็นเขาพยายามเอาคำตอบแต่ญาติธรรมก็เดินเลี่ยงไป (มารู้ทีหลัง ว่า ญาติธรรมตอบว่าไม่ แต่เขาไม่ได้ยิน คนตอบก็ตอบไป แค่คนที่ถามไม่ได้ยิน) ตรงจุดล้างจานล้างใจ ดิฉันเลยอธิบายว่าเราไม่ควรพูดเรื่องนี้ตรงจุดนี้ เพราะคนอื่นที่ไม่เข้าใจด้วยจะเพ่งโทษและเป็นวิบากเขาได้ หรือเขาอาจจะบรรลุ แต่ผู้ถามไม่มีอะไรมาตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่เขาจึงไม่ตอบ วันรุ่งขึ้นเขาก็มาขอโทษแล้วบอกว่าคุณดุมีเหตุผล ดิฉันก็บอกเขา “ดิฉันไม่มีเจตนา ดุ แต่รีบอธิบายไปหน่อย แล้วก็กล่าวขออภัยเขา การเดินจากไปเขาก็ยกมือไหว้ขอโทษด้วย แล้วพูดว่า คุณมีสมาธิดี” แสดงว่า เขาติดตามรายการพ่อครูอยู่และช่วยตรวจสอบชาวอโศกด้วย พ่อครูคิดเห็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า..ตอนนี้เรากำลังทำ วิจัยเรื่องโสดาบันกัน เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจกันได้ว่าความคิดอย่างนี้พฤติกรรมอย่างนี้องค์ประกอบอย่างนี้ อย่างนี้แหละคือโสดาบัน เรากำลังทำกันอยู่ ก็คงจะได้ออกมาแจกจ่ายให้รู้กัน แทนที่จะอมพนํา แต่เอามาใช้ในการศึกษา
มีพ้นสังโยชน์ 3 มีปัญญา 7 คุณธรรม 8 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ก็ได้เอามารวบรวมเอามาขยายอธิบายเป็นภาษาให้เข้าใจ จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นโสดาบันแล้ว จะได้รีบเข้ามาอยู่ บ้านราชฯต้องการโสดาบันเพิ่มเติมอีกสัก 1000 มีคนที่ไม่รู้ตัวแต่เขาเป็นแล้วก็มี มีเยอะ อาตมาก็ไม่มีโอกาสจะไปบอกคนนั้นคนนี้เพราะไม่ได้ไปคบคุ้นอะไรมากมาย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ภิกษุสมณะมีความลับหรือไม่
_สงสัยว่า ภิกษุสมณะมีความลับได้ด้วยหรือคะ ก็หนูได้ยินว่า โบสถ์มีไว้สำหรับเวลา สงฆ์ ประชุมกันเรื่องที่คนนอกรู้ไม่ได้ แล้วการมีความลับมันไม่เป็นการเป็นความผิดใช่ไหมคะหรือว่าผิดคะ
พ่อครูว่า...มันมีลำดับ บางอย่างคนที่ยังไม่เจริญไม่เดียงสาก็ยังไม่ควรรู้ รู้แล้วจะไปลอง ดูแล้วจะไปเล่นมันก็จะเสีย มันจะเกิดโทษภัย เขาก็ยังไม่อยากให้รู้ เมื่อเราโตขึ้นพอเขาก็จะบอกเราเป็นลำดับ ที่บอกว่าความลับจะไม่เปิดเผยก็ได้ แต่มันยังไม่เหมาะสมยังไม่ควรแต่ละเวลา ทั้งเราเองโตพอ ใจพอจะทำเช่นนี้ได้
เช่นเราบอกว่า สมัยโบราณบอกกันว่า จะไปตรงนั้นนะ เดี๋ยวผีหลอก สัญชาตญาณของคนมันก็กลัวอยู่แล้ว แต่เสร็จแล้วอุปาทานยุคนี้ ควรอธิบายให้ชัดเจนอย่าไปทำให้เด็กกลัวผีหลอก คุณจะอธิบายว่ามันจะไม่ดีงามมันจะเสียหายมันจะเกิดความทุกข์อย่างไรก็ควรจะบอกให้ชัด ทุกวันนี้ความรู้ของคนกระจ่างขึ้นเยอะ เด็กทุกวันนี้ก็ฉลาด คนสอนคนบอกก็รู้มันก็จะเกิดพัฒนาการ คนก็จะไม่โง่เง่าเหมือนโบราณ ไม่ทื่อเหมือนโบราณ จะปราดเปรียวว่องไวทำงานได้มากขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ทำไมคนเราต้องมีการพบการพราก
_ทำไมคนเราต้องมีการพบและการจากด้วยคะ หนูไม่ชอบเลยค่ะ
พ่อครูว่า...ในสังสารวัฏนี้มีธรรมะสอง การพบการจากก็เป็นธรรมะ 2 ความมีนี้มี 2 อย่าง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเราไม่อยากให้มี 2 อย่าง ก็ต้องมาเรียนรู้
1 ทำให้มันเกิดอย่างเดียว 2 ทำให้มันหมดเลยเป็นศูนย์ นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่เข้าใจและทำไม่ได้ ก็มีสองอย่างก็ต้องยืนยันต้องเชื่อว่ามี 2 อย่างที่พรากจากกันไม่ได้ หรือถ้าไม่ชอบกัน ถ้ามาอยู่ด้วยกันเป็นคู่เป็น 2 อย่างแล้วต้องตีกัน มันก็มี 2 อย่าง 1 อยู่เป็นคู่กันแล้วต้องตีกัน 2 เป็นคู่กันแล้วต้องดูดชาติแล้วชาติเล่า หรือเกาะกันบ้างตีกันบ้าง รักกันบ้างตีกันบ้าง มันต้องอยู่กันอย่างมีประโยชน์ต่อกันและกัน ทำให้เป็นหนึ่งเป็นอิสระได้ไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่กันและกันแต่เป็นประโยชน์แก่กันและกันเท่านั้นพอ
สอง วาง สูญ ในขณะเป็นๆ ลักษณะศูนย์เราก็ทำให้จิตเป็นกลางว่างๆไม่ดูดไม่ผลัก แม้จะอะไรจะมากระทบเราก็ว่างก็ศูนย์ ไม่มากกระทบก็สูญได้แน่นอน แม้กระทบแรงก็สูญได้ อยู่ในโลกก็มีสิ่งที่กระทบได้ อะไรทนไม่ได้เราก็หลีกเลี่ยงก่อน จนกว่าเราจะมีพลังที่กระทบได้ ดีไม่ดีกระทบได้แล้วเราก็มีจิตที่เหนือกว่าทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเป็นจิตที่ดีได้ ก็สอนกันไปแนะนำกันไปปรับปรุงกันไป ก็จะเกิดการช่วยกันพัฒนาช่วยกันให้เจริญขึ้นด้วยประการฉะนี้ แต่ยังไม่เอวัง
_เกร็ดดิน...จะขอถามพ่อท่านว่า ดิฉันชื่อทิพย์เทวี ดิฉันทุกข์มาก เพราะว่าหาพระพุทธเจ้าไม่เจอ ไม่อยากไปดูดกับอะไร เมื่อพ่อท่านมาธรรมะ 2 ดิฉันก็มาเจอถึงเรื่องว่า ราคะต้องถอนรากถอนโคน ราคะที่พระพุทธเจ้ามีก็คือวิภวตัณหา ดิฉันก็เลยหลุดจากปมราคะ นึกว่าต่ำ แต่ที่จริงสุดยอดเลยหากเราไปถึง มันเกิดมาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรไม่พลัดพราก ยังไม่อยากผูกพัน เมื่อมาเจอคนนี้ก็เลยคลายไม่อยากผูกพันกับพ่อท่าน ดิฉันก็รู้สึกจะปลดได้
พ่อครูว่า...ก็มาแล้วจนป่านนี้ อย่างนี้เดิมเขาชื่อทิพย์เทวี นิคเนมคือ เขียว เป็นคนที่เกิดมามี 2 พ่อ 2 แม่ แม่สองคนพ่อสองคน มาเจออาตมาตั้งแต่อายุ 21 เสร็จแล้วก็ไม่ไปเรียนต่อแล้ว ที่ฝรั่งเศส พ่อคนหนึ่งเป็นฑูต พ่อแม่อีกคนหนึ่งก็เป็น ดร. ก็เลยไปอยู่กับพ่อที่เป็นฑูตที่จริงเป็นลุง เขาก็เป็นคนตามสายวิบากเขาเมื่อมาเจออาตมาก็หยุด จนเดี๋ยวนี้ อายุ 70 แล้ว ยังไม่แก่หรอก พวกเราชัดเจนว่าจะไม่แก่ง่ายๆหรอก อาตมาจะหนุ่มขึ้นนะ พวกเราบางคนจะชัดเจน เปลี่ยนแปลงสรีระร่างกาย มันมีพลังงานพิเศษที่ค่อยๆเปลี่ยนไป มันจะมีอะไรที่เกินกว่าโลกสามัญพอสมควรในหมู่พวกเรา ที่เราเรียกว่าปาฏิหาริย์ หรือว่าเป็นสิ่งที่เกินสามัญเกินที่จะเชื่อได้ แต่มันจะเป็นไปได้ มันจะมีสิ่งเหล่านี้ หากเข้าใจสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยแล้วมันไม่ใช่เรื่องลึกลับเมื่อเราทำเหตุได้ครบผลมันก็ต้องเป็น พวกเราสามารถทำเหตุที่เป็นนามธรรม ละเอียดได้ซึ่งได้จริง แม้บางทีเรียกชื่อไม่ได้แต่เรารู้แล้วว่าตัวเรามี เราสามารถรวบรวมทำให้มันเกิดปฏิกิริยาทำงานขึ้นมามันก็ได้ แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมาเรื่อยๆไม่ต้องห่วง อันนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าฉงนน่าอัศจรรย์ขึ้นไปในอนาคตของสังคม ไม่ใช่เรื่องสามัญ เป็นเรื่องวิสามัญ คนอื่นจะรู้ตามได้ยาก ดีไม่ดีจะหาว่าเป็นเรื่องวิตถารประหลาด เป็นเรื่องพิสดาร อาตมาถึงไม่ได้งง คนจะว่าอาตมาบ้า ใครจะมาให้รางวัลอาตมา เขาไม่มีปัญญาจะให้หรอก อาตมาจึงไม่ได้ประหลาดอะไร ในชีวิตนี้ไม่เคยได้รางวัลอะไรกับเขา ลูกศิษย์ลูกหาลูกน้องได้รางวัลเยอะแยะไป ท่านเสียงศีลก็ได้รางวัลเยอะ อาตมาไม่ได้ ถึงไม่ได้ประหลาดไม่ได้แปลก
_ศีลข้อ 3 สำคัญ โทสะ โลภะ ละง่าย แต่ราคะละยาก
พ่อครูว่า...ราคะ เป็นราก เป็นสิ่งดูด สิ่งลึก โทสะง่ายกว่าราคะเยอะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สรณะคือสนามรบ
_ในกาละนี้ จะกล่าวถึงราชธานี้ได้ดังนี้ไหมคะว่า...ราชธานีอโศกเมืองมายา
พ่อครูว่า….เป็นสนามรบ (สรณะ) ของผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น คนไม่ยึดถือก็ให้รู้ว่าสรณะคือการรบ ผู้ที่รบด้วยปัญญา รู้ว่าต้องรบกับกิเลสเรา และคุณกำลังมีคู่ต่อสู้คือผัสสะคือเหตุปัจจัย ผัสสะกับดินน้ำไฟลมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสชลมารครากไม้ กับสัตว์กับคนเยอะแยะ คุณรบมาทั้งนั้นแหละ รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อรบ รบแต่ชนะก็ดีขึ้นด้วย สรณะคือต้องอาศัยการรบ ถ้ารบได้ชนะก็เป็นที่พึ่ง หากไม่ชนะก็ทุกข์ ยิ่งคุณไม่รู้ไม่รบก็ยิ่งถูกหลอกหนักไปใหญ่ ชีวิตคือการรบ ผู้หมดสรณะแล้วเป็นอรณะ ไม่ต้องรบแล้ว เพราะอรหะ เพราะไม่ลึกลับแล้ว เพราะชัดเจนทุกอย่าง ทำได้ด้วย ก็ไม่ต้องรบแล้ว นอกจากไม่รบก็ยังอยู่เหนือมันได้ อยู่อย่างมีประโยชน์ด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่ค่อยๆเรียนไป อันไหนอาตมาไม่แน่ใจจะไม่ตอบเพราะตอบผิดเป็นวิบากของอาตมานะ ไม่ได้คำชมด้วย ซวยเราเองทำไปทำไม อาตมาเลิกโง่หายโง่แล้วนะไม่เอา
สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส) ตอน ทำไมผู้หญิงถึงอยากสวย
_ทำไมผู้หญิงถึงอยากสวยค่ะ
พ่อครูว่า...โง่ ประเด็นที่หนึ่งเลย แปลเป็นพยัญชนะว่าอวิชชา คือมันไม่รู้ความจริงว่าทำไมอยากสวย สวยคือสมมุติ สมมุติคืออะไร สมมุติคือรู้ร่วมกัน
ชาวแอฟริกา เขาก็ถือว่าผิวดำสวย คนผิวขาวไม่ไหวหรอก สู้ผิวดำไม่ได้ เขาก็แต่งงานกับคนผิวขาวไม่ไหว ส่วนคนที่ข้ามขั้น อยู่กับคนดำนานแล้วเบื่อไปขาวดีกว่า ข้ามเขตมาคนขาวคนแขกสีแทน สีขาวดีกว่า ก็เป็นไปได้ อยู่ที่ใจเราจะไปยึดถือสมมติไปเอาอย่างไหน เรียกว่าจิตเราเองทั้งนั้น เป็นอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น บ้าบ้าบอบอๆทั้งนั้น ยึดถืออะไรก็บ้าบอทั้งนั้น เพราะฉะนั้นต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงก็พอแล้ว อันนี้เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้แล้ว คนอื่นเขายึดถือสมมตินี้มากหรือน้อย เขายึดถือสมมตินี้มากเราก็ต้องอนุโลมตามเขาเรียกว่าสมมติ แต่ถ้าเขายึดถือแล้วมันก็ไม่ดี ก็เห็นว่าไม่ดี เช่นเขายึดถือในอบายมุข อาตมาก็พยายามให้เขาเลิกยึดอบายมุข หลายอย่างยากมากแต่ก็ต้องทำ
ไปยึดความสวยก็ยึดทั้งนั้น ยึดต่างกันกรรมการก็คนละ taste (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_เกร็ดดินว่า...ขอแก้ข้อมูล พ่อดิฉันเป็นนักการปกครอง ส่วนพ่อสนิทเป็นทหาร ดิฉันออกบวช อายุ 23 ค่ะ มาพบพ่อครูปี 15
พ่อครูว่า...อาตมาจะไปจำอะไรได้ ยังนึกชื่อแฟนตัวเองไม่ออกเลย ชาตินี้มีแฟนสามคนก็นึกชื่อไม่ออก มันยังอยู่นะ มีใน ฮาร์ดดิส แต่มันก็ยังไม่ขึ้น
ฮาร์ดิสก์ของมนุษย์เรียกว่าสัญญาความจำมันไม่หายไปไหนเลยบันทึก แต่ละคนมีฮาร์ดดิสก์ คนละไม่รู้กี่ล้าน GB เป็นแต่เพียงว่าเราจะดึงขึ้นมาใช้ได้หรือไม่ สิ่งที่ไม่จำเป็นมันก็เลยยิ่งจำไม่ค่อยได้ สิ่งที่สำคัญเอามาจำไว้ ก็จึงได้เอาพลังงานมาใช้ในส่วนนี้ สิ่งที่คนต้องจำ ก็ยังจำไม่ค่อยได้เลย ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ส่วนมากเป็นของเก่า
1 เก่าที่ดึงขึ้นมาใช้ 2 เก่าที่มันมีอยู่แล้วก็ใช้อยู่ ส่วนใหม่ที่จะเข้าไปก็แทบไม่มี พยายามจะจำ เช่น ศัพท์ภาษาอังกฤษ ทำไมเราไม่เคยเกิดเป็นคนอังกฤษหรืออย่างไร ทำไมมันถึงไม่ค่อยจำ จำไม่ค่อยได้เลย ก็รู้สึกตัวเองอย่างนั้น ยุคนี้เขาใช้กัน แต่อาตมาว่าอาตมาเคยเกิดเป็นคนจีนแน่ถ้าฟื้นคืนภาษาจีนคงจะได้มากกว่าภาษาอังกฤษแน่ แต่ก็รู้สะเปะสะปะ อาตมานี่จีนแต้จิ๋ว รู้จีนแคะ จีนกลางไม่ค่อยรู้
_ถ้าตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรยกให้หมด ไม่ขอติดกรรมนี้ อยากทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรแบบความคิดชาวอโศกแนวคิดของพ่อครูด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..ฟังดีๆนะ คนยังยึดถือจะเป็นอย่างนี้อีกเยอะ เชื่อว่าการอุทิศส่วนกุศล หรือเลิกจองกรรมจองเวร จิตของคุณเลิกจองเวร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_เกร็ดดินว่า..เวลาพ่อท่านเอาภาษาอื่นมาใช้ ใช้แบบสภาวะ ที่เราเรียนนั้นก็แค่จำ แต่พ่อท่านยกสภาวะนี้เข้าถึงใจเรา
พ่อครูว่า..ใช่ ที่เอามาใช้ เป็นสภาวะที่จำเป็นสำหรับคน ภาษาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ใช้มากไม่รู้มาก แต่ภาษาที่เอามาใช้ก็เป็นคำสำคัญๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน เจ้ากรรมนายเวรมีจริงไหม
พ่อครูว่า..ตอบเข้ากรรมนายเวร ...เจ้ากรรมนายเวรไม่มี กรรมเป็นของๆตนไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร เทวนิยมถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นผู้บงการทุกอย่างของคนทั้งหมด เทวนิยมมีพระเจ้ามีก็อดเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนทุกคน ทุกคนอยู่ในอาณัติของพระเจ้าที่จะสั่งที่จะบงการ ตามพระเจ้าต้องการทั้งนั้น คุณจะทุกข์จะสุขจะดีจะชั่ว พระเจ้าเท่านั้น แม้แต่เราชั่ว ก็ยังบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เกิดการคลายใจ ทั้งที่เราชั่ว ซวยไหมล่ะ ตัวเองชั่วแต่บอกว่าพระเจ้าประสงค์ ทำไมพระเจ้าประสงค์แบบนั้น พระเจ้าก็มีแต่จะต้องให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นจะไปเป็นคนชั่วทำไม แล้วบอกว่าที่ทำให้คนชั่วคือซาตานไม่ใช่พระเจ้า เอาความไม่ดีไปยัดใส่พระเจ้าได้อย่างไร พระเจ้าก็จะมีแต่ส่ิงดี เวลาเราทุกข์เวลาเราชั่ว ก็อยู่ที่เราทั้งนั้น ถ้าหากพระเจ้าให้ก็ให้แต่ความสุข แล้วทำไมไม่ให้คนเป็นสุขทั้งหมดทำไมให้คนเป็นทุกข์ ก็เพราะว่ามันมีซาตาน แล้วทำไมไม่จัดการกับซาตานให้มันเกิดอยู่ทำไม นี่เขาตีไม่แตกภาวะธรรมะ 2 จัดการธรรมะ 2 ให้เป็น 1 ไม่ได้ นี่คือสุดยอดเลยเห็นไหม
ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงไม่เอาสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ พระเจ้าจะเก่งอย่างไรก็ไม่เป็นไร ที่สุดเราพิสูจน์พระเจ้าได้ว่า พระเจ้าไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเลย เราเองนี่แหละ กรรมชั่วกรรมดีเราสะสมไว้มหาศาล แล้วก็มาออกฤทธิ์เดชอะไรที่เราไม่อยากให้เป็นเลยแต่มันเป็น คุณเองคุณสู้กรรมชั่วที่มันจะต้องเป็นไม่ได้ที่คุณเคยเจอตั้งหลายอย่าง จนกระทั่งเอาชนะได้ เลิกหยุดกรรมชั่ว ซาตานหายไปอย่ามาเกิดอีกนะ มาเมื่อไหร่เราก็มีอำนาจเหนือมัน จึงถือว่ามีวสวัตตี มีอำนาจจิตในตนควบคุมจิตตัวเองได้ จัดการซาตานได้เท่าที่เรามีความสามารถในแต่ละคน แต่ละคนก็เป็นไปได้เรื่อยๆ
พิสูจน์ถึงขั้นว่า ซาตานอย่าว่าแต่จะมาทำร้ายเลยเข้ามาใกล้ตัวเราก็ทำไม่ได้ ซาตานเข้ามาใกล้อาตมาไม่ได้หรอก ขออภัยไม่ได้ท้าทายหรอก ก็ได้แต่ขนาดประมาณนี้ ชีวิตอาตมาอายุ 80 กว่าแล้ว ยียวนนะ แต่ก็คนที่เขาหมั่นไส้ ก็เข้าไม่ถึง นี่เป็นเรื่องลอกเลียนไม่ได้ สัจจะที่แท้ที่จริงมันเป็นไปอย่างนั้น
_พระภิกษุที่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย (หนูไม่แน่ใจว่า ถูกบันทึกในพระไตรปิฎกไหม) สงสัยว่าเขาไม่ได้อ่านข้อปฏิบัติในพระไตรปิฎกหรือ หรืออ่านแล้วเข้าใจยาก เขียนเป็นบาลีทำให้คนเข้าใจได้ยาก แล้วต่างศาสนาทำผิดข้อไบเบิลหรือคัมภีร์อัลกุรอานหรือไม่
พ่อครูว่า...เหมือนกัน แต่ละลัทธิก็มีคนผิดคนถูกทั้งนั้นแหละ
_หนูอยากรู้ว่าการที่เราอยู่วัด กับการที่เรามีคู่มีคนรักแต่อยู่ภายนอก กับการอยู่วัดเป็นโสดไม่มีคู่อย่างไหนดีกว่าไหม
พ่อครูว่า...อยู่วัดไม่มีคู่ดีกว่า มีคู่ก็จะไม่มีอิสระเสรีภาพ
_รู้แล้วว่าการอยู่วัดเป็นโสดดีที่สุด แต่อยากรู้ว่าระหว่างสองข้อนี้แบบไหนดีกว่ากัน
พ่อครูว่า..รู้แล้วยังถามอีก แสดงว่าไม่แน่ใจ ไม่ใช่อาตมาคนเดียวที่ให้คะแนนนี่ คนอื่นให้คะแนนจมเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน การชอบเพศเดียวกันผิดไหม
_การที่เราชอบเพศเดียวกันผิดไหมคะ
พ่อครูว่า...ผิด อยู่ที่นี่ไม่ได้เลยนะ เพศเดียวกันนี่ ธรรมชาติมีบวกกับลบ ดูดกันเป็นภาวะสามัญปกติธรรมชาติทุกอย่าง ถ้าภาวะไม่ถูกกัน มันคนละขั้ว แล้วดันเอามาคู่กันอีก เอาบวกมาหาบวก เอาลบมาหาลบ ยิ่งจะซับซ้อนเป็นกะเทยอีกหลายชาติ แก้ชาตินี้ก็ยากคุณทำของคุณเองทั้งนั้น ไปติดยึดซ้ำซ้อน ติดยึดทางเพศที่เป็นกระเทย เป็นเรื่องดูดไม่ใช่เรื่องผลัก ถ้าเรื่องผลักนี้อย่ามาใกล้กันเชียวนะ ก็คนละแบบ
เรื่องอย่าติดกันไม่ค่อยใกล้กันง่าย แต่เรื่องดูดกันนี่เข้ากันได้ง่าย มันจึงอยู่ในหมู่นี้ง่ายกว่า ชาวอโศกมีลักษณะดูด แต่ลักษณะตีกันมีน้อย
_วินัยสงฆ์ถือว่าผิดวินัยถ้าหลวงปู่รับเงินจะอาบัติไหม หนูคิดว่าคงไม่อาบัติเพราะไม่ได้รับเงินเพื่อตัวเอง แต่รับเงินเพื่อพัฒนา แผ่นดินพุทธ
พ่อครูว่า..ถูกต้อง
_ทำไมผู้หญิงผู้ชายห้ามถูกตัวกันครับ หรือต้องรักษาศีลข้อ 3
พ่อครูว่า...ถูกต้อง
_ข้าวเปลือก 1 เมล็ด ปลุกแล้วได้ข้าวหลายรวง เท่ากับ 120-300 เม็ด ต่อหนึ่งรวง ไม่ใช่มีรวงเดียวนะ แต่ส่วนใหญ่ชาวนายังจน แต่ความจนไม่เคยทำให้ชาวนาอดตาย
พ่อครูว่า...เอาไว้ฝากไว้ก่อนโอฬารเรื่องความจน ชาวนาและชาวอะไรก็แล้วแต่ เรื่องความจำนี้เรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:56:03 )
รายละเอียด
611029_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 22
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1e89_ACh4oEP1nZvtfn8N3E-nVlmlDw976MqIbbbJLjA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1oPOqSgqHzQMo2RY8gRzOvrF5To_FLUft
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน จิตเร็วกว่าแสงได้จริง
พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 5 ค่ำเดือน 11 ปีจอ วันจันทร์ สำมะปี๋ซี่วิต ซึ่งคนพยายามแปลสำมะปี๋ จะว่าไม่ได้ระบุว่า เป็นเชิงดีหรือเชิงไม่ดี ดีก็ได้เลือกเอา ตาดีได้ตาร้ายเสีย ปนเละอยู่ในนี้ แต่แน่นอน เราเป็นพวกที่ศึกษาฝึกฝนเล่าเรียนเลือกเฟ้นเอาแต่ส่วนที่ดี ส่วนไม่ดีเราไม่เอาไม่เกี่ยวข้อง แม้จะมาเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ต้องระวัง เราก็ต้องทำให้เขาเข้ามาแปดเปื้อน เข้ามาทำร้าย เข้ามาทำอะไรที่ไม่ดีกับเรา เราก็ต้อง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาฝึกฝน ทำพลังงาน ทำรังสี ซึ่ง ภาษาวิทยาศาสตร์เป็นกัมมันตภาพรังสี ละเอียดและมีฤทธิ์ในตัวมันเอง สำคัญมาก มันมีจริงๆซึ่งมองไม่เห็นเลย ดีไม่ดีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ยังจัดการไม่ได้ ค้นหารังสีทางจิตวิญญาณ วิทยาศาสตร์ยังอีกไกล
อาตมาพูดว่าจิตวิญญาณนี้เร็วกว่าแสง หลายคนไม่เชื่อ แต่พอดีมีปรากฏการณ์ที่จะมายืนยันอ้างอิงได้เช่นว่า นีล อาร์มสตรอง เคยไปดวงจันทร์ แกก็ไปสัมผัสดวงจันทร์ แกก็มีจิตไปกำหนดแล้วว่าระยะตรงนี้ตรงนี้เป็นอย่างนี้ ทิศทางใครก็แล้วแต่ เส้นโคจร มันจะมีสัญญาของคนกำหนดรู้กำหนดได้ โดยเฉพาะถิ่นที่ตัวเองได้เคยสัมผัส ก็จะจำได้ แน่นอนจำได้ไม่ลืมเด็ดขาดว่า ที่ตัวเองเหยียบไว้ เมื่อแกคืนกลับมาสู่โลก คนก็ถามว่า เป็นยังไง ตรงนั้นรับรองจิตของแกก็วิ่งไปตรงนั้นเลย เชื่อไหมว่าเร็วกว่าแสง เป็นภาวะยืนยันอธิบาย คนคิดตามได้ว่า แน่นอนของเราไม่ต้องไกลถึงขนาดนั้นเราก็ยังเร็วขนาดนี้ ถึงตายแล้วก็เร็ว ปรู๊ด เร็วขนาด ระยะแสงเรารู้ว่าเร็วเดินทางเท่าไหร่ ก็จิตเราเร็วกว่าแสงเท่าไหร่ จิตคนที่ไม่ได้ฝึกก็ยังเร็วแล้ว เร็วกว่าแสงแล้ว มันเร็วยิ่งกว่าอะไรดี เพราะฉะนั้นยิ่งคนได้ฝึกจิตแล้วยิ่งเร็ว
เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะรับรู้สัมผัสแล้วจับเข้ามารู้ เร็วขึ้นเร็วขึ้นๆ ได้มากขึ้น ทัน ความเร็วของแสง แสงจากตรงนี้มากระทบตาแสงจากตรงนั้นมากระทบตา แม้แต่หูก็ตาม เสียง ไม่ใช่เรื่องประหลาดถ้าเรามีสมรรถนะฟุตบอลจริงๆ เป็นจริงเป็นได้ อาตมาไม่ได้ฉงนไม่ได้สงสัย ตัวเองเป็นได้ คนที่ยังทำไม่ได้ก็มาศึกษาเถอะ ศึกษาดีๆแล้วจะรู้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ไม่ใช่เรื่องน่ามหัศจรรย์อะไรหรอก เป็นเรื่องตามเหตุปัจจัยของมัน ตามความเป็นจริงของมัน ไม่ใช่เรื่องพิลึกพิลืออะไร
อย่างอาตมานี่ขอพูดตรงๆเลยว่า อาตมารู้ว่าอาตมานี่ รู้มาก รู้ในหลายๆอย่างที่คนไม่สามารถรู้ได้เท่า คนฟังก็ขอให้อย่าหมั่นไส้ พูดอย่างวิชาการ อาตมารู้อะไรที่คนไม่สามารถรู้ได้เท่าเยอะ แล้วเอามาพูดเอามายืนยัน สิ่งนี้เขาไม่รู้ตาม เขาก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เขาก็ไม่รับ ถ้าคนที่รู้ว่าอันนี้ถูก หรือคนก็จะรู้ว่า ไม่ง่ายนะที่จะรู้ เรารู้ได้ก็ไม่ง่ายนะ ก็ยิ่งจะทึ่ง คนนี้รู้ ก็ว่าเรารู้ไม่ง่ายแล้วนะ ของเรานี้ยังรู้น้อยอีกกว่าเขา อย่างอันอื่นอีก เราพอรู้รำไร แต่คนนี้รู้ดีอธิบายจนเราได้รับความรู้ตาม คุณจะยอมรับขึ้นมาเรื่อย ขอให้อย่ามีอคติในใจว่าอย่างเดียวจำใส่กบาลไว้ อย่ามีอคติในใจ
เพราะว่าการมีอคติในใจนี้มันไม่ได้เจริญมันโง่ มันทำให้ตัวเราเองยิ่งโง่ดักดาน โง่หนักเข้าไปอีกดีไม่ดีเข้าใจผิดซับซ้อน ซวยหนัก เพราะฉะนั้นจิตใจถ้าไม่มีอคติ 4 ลําเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชอบ ลําเอียงเพราะชัง ลําเอียงเพราะไม่รู้โมหะ ลำเอียงเพราะกลัว
ในรอบตัวที่อาตมาทำงานจะมีหนังสือพจนานุกรมกับปทานุกรมเยอะเลย ยังต้องการอีกในสิ่งที่อาตมาไม่รู้ในพยัญชนะ ปทานุกรมคือสิ่งที่เขาแปลพยัญชนะ จะเป็นของชาติไหนแม้แต่ของไทยก็ตาม หลายเจ้าก็ตาม ปทานุกรม พจนานุกรม จะมีนัยยะละเอียดที่แหลกแตกต่าง อาตมาก็ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายที่ทำขึ้นมา อาตมาก็ได้ใช้ แล้วเอามาสื่อสภาวะ ขอยืนยันว่ามีสภาวะไม่น้อย แปลว่ามาก แล้วก็มีมากไม่น้อย มีมากๆไม่น้อยเลยแปลว่ามากๆยิ่งขึ้น อย่างนี้จริงๆ
SMS วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2561 (วิถีอาริยธรรม)
_3867คติธรรมสารอโศกฯคนโง่มักทำให้ตนเป็นทุกข์! คนฉลาดจักทำให้ตนพ้นทุกข์
_ปนิรัตน์ : ฟังพ่อท่าน แล้วถึงพริก ถึงขิงค่ะรู้สึกว่า ตัวเองโชคดีมากเลยค่ะ
_แก้วลา ไชยวงค์ · อายุจะ 60 แล้วเพิ่งได้ฟังธรรมะที่แท้จริงจากพ่อท่านนี้แหละเจ้าค่ะเริ่มปฏิบัติมาตั้งหลายปีแล้วใหม่ๆล้มลุกคลุกคลานเดี๋ยวนี้ยืนตั้งใข่ได้แล้วต่อไปลูกจะเดินตามพ่อท่าน ตามท่านสมณะท่านสิกขมาตุ กลุ่มชาวอโศกอย่างมั่นคงเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน คันธธุระและวิปัสสนาธุระ
_อำภา รื่นใจดี · น้อมกราบนมัสการท่านพ่อครู ลูกขอโอกาสถามได้ฟังการสนทนาธรรมรายการหนึ่งทางวิทยุ บอกว่า พระภิกษุทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ คันธธุระและวิปัสสนาธุระ
ขอคำอธิบาย คันธธุระ เพราะยังไม่เข้าใจ และตามความเข้าใจของลูกคิดว่าท่านสมณะอโศก คงทำหน้าที่ 2 อย่างนี้ไม่เหมือนภิกษุในเถระสมาคมจึงขอความรู้ ว่าสมณะอโศกทำหน้าที่ 2 อย่างนี้อย่างไรการที่สมณะทำงานที่โรงปุ๋ยเป็นการทำหน้าที่คันธธุระ หรือ วิปัสสนาธุระ สาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...สรุปแล้วก็คือเรื่องของคำว่าคันถธุระกับวิปัสสนาธุระ สองคำนี้มันหมายความว่าอะไร
คันถธุระ หมายความว่าเป็นพระผู้ที่เรียนรู้มากรู้ภาษาเยอะ แต่ไม่เข้าใจถึงสภาวะ สัจธรรม ก็สอนแต่คันถธุระ หรือเอาภาระแต่การสอน แต่ตัวเองไม่เรียนรู้ปรมัตถธรรม ไม่เรียนรู้ให้เกิดสภาวะธรรมที่ตนเองพึงได้ ผู้สอนอันนี้ก็ได้แต่เปลือก ได้แต่พยัญชนะที่สื่อให้คนอื่นฟังแต่ตนเองไม่ได้ จะเทียบในตำนานก็จะคือพระโปฐิละ คือพระใบลานเปล่า
ส่วนคนที่เข้าถึงสภาวะปรมัตถ์ เข้าถึงสภาวะธรรมหรือจิตเจตสิกรูปนิพพาน คือพวกวิปัสสนาธุระ ใช้ความหมายคู่กันกับคันถธุระ อย่างนี้เป็นต้น
คันถธุระคือผู้เอาภาระแต่เพียงสอนแต่จิตใจตัวเองนั้นไม่มีสภาวะ ยังไม่มีความรู้ทางสภาวะธรรม ที่เป็นอภิธรรม มีเยอะไม่รู้ตัวง่ายๆ การจะรู้คันถธุระหรือวิปัสสนาธุระ จะต้องรู้ธรรมะ 2 พยัญชนะกับจิตนิยาม ตัวผู้รู้จะต้องรู้ 2 อย่าง
เช่นอาตมาให้รู้ความยิ่งใหญ่ของธรรมะ 2 ที่เรียกว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ทั้งหมดเลยในเรื่องของศาสนาในเรื่องของลัทธิในเรื่องของจิตวิญญาณ เทวะ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วต้องตีแตกตัวนี้ เป็นภาษาสภาวะที่สลับกันไปสลับกันมา คนไม่รู้ก็เลยสับสนกันใหญ่ระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ สลับกันไปสลับกันมาไม่รู้กี่รอบ เสร็จแล้วตัวเองก็นึกว่าตัวเองรู้ ถูกต้อง แต่แท้จริงไม่ถูกต้อง นอกจากไม่ถูกต้องแล้วมันยังมีรอบเป็นร้อยรอบพันรอบที่ตนเองไม่รู้สลับไปสลับมาไม่รู้กี่ชั้น นี่คือความยิ่งใหญ่ของธรรมะ 2
พระพุทธเจ้าจึงให้เริ่มต้นศึกษาตั้งแต่ธรรมะ 2 คู่แรกเลยหยาบที่สุดตื้นที่สุดคุณอย่าประมาท เรียนรู้สิ่งต่ำอย่างง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มต้นพระพุทธเจ้าสอน สอนศีลสมาธิปัญญา เอาคู่แรกที่เราเองอยากเรียนรู้แล้วให้บรรลุทีละคู่ๆๆ มันจะ advance ก้าวกระโดดพัฒนาได้เร็วเป็นลำดับ พระพุทธเจ้าถึงสรุปของท่านว่า ความเป็นลำดับนี้เป็นสิ่งน่ามหัศจรรย์ เป็นระบบระเบียบ ถ้าไม่เป็นระบบระเบียบจะสลับไปสลับมาซับซ้อนอีกนาน แต่ถ้าได้ลำดับจริงๆตั้งแต่ธรรมะ 2 เป็น 3 4 5 6 7 เท่าที่อาตมามีปัญญาอธิบายซึ่งไม่ง่ายเลยแต่พอเข้าใจไปตามลำดับ
คันถธุระคือเรื่องเปลือก วิปัสสนาคือเนื้อแท้
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ทำไมพระห่มจีวรสีเหลือง
_ทำไมพระข้างนอกห่มจีวรสีเหลือง แล้วพระข้างในห่มสีน้ำตาล
พ่อครูว่า...นี่ยื่นมีดให้อาตมาเสียบเขานะนี่ ก็ตอบ...นี่เป็นวิชาความรู้ ขออภัยที่ท่านห่มสีเหลืองกันเยอะแยะ แล้วพวกเรามาห่มสีน้ำตาลสีกาสาวพัตร สีกรัก
ตอบก็คือพระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าไม่สมควรจึงได้ตรัสห้ามไว้ วินัยพระไว้ในเรียบร้อยเลยบันทึกไว้เรียบร้อย 1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน 3.สีแดงล้วน 4.สีบานเย็นล้วน 5. สีดำล้วน 6. สีแสดล้วน 7. สีชมพูล้วน (พตปฎ. เล่ม 5 ข้อ 169)
สีเหลือง จะเรียกว่าล้วนหรือมีเฉดผสมกันนิดหน่อย สีแสดสีเหลือง แต่แดงก็ผิด เหลืองก็ผิด แต่คุณว่าไม่แดงล้วนแสดล้วน แต่แสดอ่อนแสดแก่ก็ผิด คือมันมีอัตตาก็เลยใส่ อาตมาก็พูดตามสัจธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้ดันทุรังอะไร มันก็เป็นไปตามสัจธรรมคนที่จะต้องหลงทางไปห่มสีเหลือง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เปลี่ยนมา ก็มีผู้เปลี่ยนมาเรื่อยๆผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นดึงดันอยู่ก็ยังมีก็เห็นอยู่ ช่างศีรษะดื้ออยู่ก็เห็น ดื้อดึงดัน ไม่เห็นมีเรื่องอะไรใหญ่โตเลย ใหญ่โตไม่ใหญ่โตไม่เป็นไรแต่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ ก็ไม่เสียหาย ยิ่งไม่ใหญ่โตก็ยิ่งทำง่ายจะไปดันทุรังทำไม จะไปยากเย็นทำไม
เขาก็บอกว่าเรื่องนิดหน่อยเอามาพูดทำไม แต่ถ้าคุณมีผู้เคารพนับถือแล้วคุณก็ทำสิ่งที่ผิดตามที่พระเจ้าตรัส เขาก็ทำตามคุณแล้วมันควรไหม เพราะคนอื่นเขาปล่อยวางไม่ได้เขายึดมั่นถือมั่นเขาก็ไปตู่ ด่าคนนั้นคนนี้ก็ได้ แต่คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นตามคนมันก็เป็นผลสืบเนื่อง
สรุปแล้ว ทำไมข้างนอกห่มสีเหลือง เพราะว่าไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้าสอนพระวินัยเล่ม 5 ข้อ 169
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ทำไมถึงเรียกว่าสมณะชาวอโศก
_ทำไมพระอโศกต้องเรียกว่าสมณะ
พ่อครูว่า...ตอบ ทีเรียกว่าสมณะก็เพราะเป็นไปตามธรรม ที่จริงชาวอโศกก็เคยเรียกว่าพระเป็นภิกษุ พระเป็นภาษาไทย หรือมาจากคำว่าพร หรือวร ซึ่ง แปลว่าผู้สูงส่งผู้ประเสริฐ ก็มาใช้เป็นพยัญชนะภาษาไทยเรียกคนที่ประเสริฐว่าพระ โดยเฉพาะเอาไปใช้กับนักบวช นักบวชก็เรียกว่าภิกษุหรือเรียกว่าพระเลย จริงๆพระที่เรียกเป็นยศตำแหน่งก็มี มีขุนมีหลวงมีพระก็มี จนกระทั่งถึงพระยา จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีถึงสมเด็จพระยา ก็มาจากคำว่า วร ภาษาบาลี แปลว่าสูงสงประเสริฐก็มาใช้แทนสภาวะธรรม
อาตมาบวชมาก็ไม่ได้ดึงดัน ไม่ได้ไปสนใจจะเรียกว่าภิกษุอะไร เสร็จแล้วก็มาเกิดความขัดแย้งกันกับเถรสมาคมคณะใหญ่ ก็บรรยายอย่างลัด นิทานมันยาว จนกระทั่งมีเรื่อง เขาไล่อาตมาออก แต่ที่จริงเขาขี้ตู่ เขาใหญ่เขาไล่อาตมาออกจากเถรสมาคม ที่จริงอาตมาประกาศไม่เอาเถรสมาคมขอแยกออกมาต่างหาก นี่คือสัจจะ เป็นเรื่องนานาสังวาสตามพระวินัยของพุทธเจ้าอาตมาก็ทำถูกต้องตามนั้น ประกาศแยกในวันที่ 6 สิงหาคม 2518
วันที่ 7 สิงหาคมก็เป็นวันที่อิสระเต็มที่ แรกๆ เถรสมาคมก็ยังยอมรับพ.ศ 2518 วันร้ายคืนร้ายพ.ศ 2532 เขาก็ดึงเข้าไปอีก นอกนั้นเขาก็ยอมรับอยู่นะ มีนิทานสิ่งอ้างอิงเยอะแยะ
ก็ขอสรุป เป็นเรื่องสัจธรรมที่เป็นไปตามธรรม ผู้ที่ทำผิดก็ยังยิ่งมีนิทานเรื่องราวเหตุปัจจัยที่ผิด พัวพันเกี่ยวข้องโยงใยเป็นโดมิโนเป็นอิทัปปัจจยตาไปเรื่อย ผู้ถูกก็ยิ่งถูกๆๆ มีเส้นทาง เหมือนที่เขาติดตามเส้นทางการเงินของวัดตอนนี้ไง มันมีรูปกับนาม นามธรรมก็ตามได้รูปธรรมก็ตามมีเส้นทางทั้งนั้น ก็เรียนรู้ตามนี้ให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน พระรับเงินผิดอาบัติไหม
_ที่หลวงปู่รับเงินผิดอาบัติไหมคะ
พ่อครูว่า...อาตมารับเงินอยู่ทุกวันนี้ มีคนเอาเงินมาบริจาคมาถวายอาตมาก็รับให้เห็นมีรูปยืนยัน บิณฑบาตก็รับใส่ อยู่ที่ไหนเขาให้มาก็รับ อาตมารับด้วยมือด้วยวัตถุ แต่จิตอาตมาไม่ได้ยึดเป็นของตัวของตน เป็นอจินไตย เป็นเรื่องจิตของแต่ละคน ไม่มีใครหยั่งรู้ ความจริงในจิตอาตมาได้ดีเท่ากับตัวเอง มีคนที่เชื่อใจ ถ้ามีใครสามารถหยั่งรู้จิตใจของอาตมาได้อาตมายิ่งจะดีเลย อยากจะให้ผู้นั้นมาอ่าน อาตมาก็อ่านจิตตัวเองได้เท่าที่อาตมามีภูมิว่าอาตมาสะอาด อาตมาไม่ได้มีจิตถือเป็นเราเป็นของเรา ไม่ได้อยากได้เป็นเราเป็นของเราไม่ได้สะสมไม่ได้อยากร่ำรวยอะไร หากอาตมาสะสม ป่านนี้อาตมาก็มีไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้าน อาตมาก็ไม่ได้พูดอวดตัว อาจจะมีไม่น้อยถึงร้อยล้านอาจจะถึงพันล้านจะถึงหมื่นก็ไม่รู้ เพราะว่าทำไปนี่กระจัดกระจาย ที่จริงก็ไม่น่าจะถึงหมื่นหรือแสนล้าน คิดว่าไม่ถึงเท่าที่เคยได้รับบริจาคแล้วทำไปใช้ไป คงไม่ถึงหมื่นล้านแสนล้าน พันล้านก็น่าจะถึงอยู่นะ
หมื่นล้านจะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะว่าทำกระจัดกระจายไปเรื่อยๆอาตมาไม่ได้ยึดติดเป็นเราเป็นของเราไม่ได้สะสม ได้มาก็สลายเอาไปทำงาน เป็นแต่เพียงว่าอาตมามีหลักในตัวเองว่า
1.อาตมาไม่เป็นหนี้ พวกเรามีระบบเงินหนุนเราไม่เรียกเงินหนี้ ใช้เป็นเงินอุดหนุนจุนเจือกันแล้วเงินก็ไม่เรียกเงินกู้ ของทางโลกเขามีดอกเบี้ย แต่ทางเรานี้ ได้ไปไม่ได้ใช้หนี้ก็ถือว่าเป็นเงินหนุน เราก็ต้องคืนเขา เรามีแล้วก็รีบคืนเป็นวิธีการเป็นวัฒนธรรมชาวอโศกเรา อย่างนี้เป็นต้น
2.สร้างสรรของตนเอง ฝีมือความสามารถลงทุนลงแรงเองให้มันเกิดผล ผลผลิตที่เราจะอาศัยเป็นอาหารเป็นเครื่องอาศัยเป็นเครื่องกินเครื่องใช้ แล้วเราก็กินก็ใช้ที่เราทำ เป็นแรงงานความรู้เป็นสัดส่วนที่เรามีสิทธิ์เต็มที่ ให้เหลือให้พอของตัวเอง เหลือเกินจากที่ตัวเองกินใช้แบ่งแจกคนอื่น ให้เหลือให้เกินให้คนอื่นได้แม้มันจะไม่โดยตรงโดยอ้อม อาตมาไม่ได้ปลูกพืชผักโดยตรง แต่เราก็มีส่วนมีสิทธิ์ในนี้ ทำงานส่วนที่เป็นหน้าที่ของตัวเอง ให้พอให้เหลือ แล้วแจกจ่ายเจือจาน นี่เป็นหลักเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่
1 อย่าเป็นหนี้ 2 ทำให้พอกินพอใช้ 3 ทำให้เหลือ 4 สะพัดแจกจ่ายแก่ผู้อื่น อย่าให้ตัวเองทำจนเป็นหนี้หรือฉุกละหุก ไม่ต่อเนื่องขาดตอนก็อย่าทำ ต้องประมาณให้พอแรง ต้องคำนวณสมรรถนะหรือสิ่งที่จะสัมพันธ์กับเราให้พอหมุนเวียน ไม่ขัดข้อง อย่าทำให้เกิดความขัดข้องมันเป็นทุกข์มันยุ่งยากเสียงาน อย่างนี้เป็นต้น
อาปัติ คือจิตไม่สะอาด อาบัติก็มีระดับ อาตมาไม่มีจิตที่หยาบใหญ่สะสมเป็นของตนเป็นอัตตามานะไม่มี มีก็เอามาใช้ในแวดวงของพวกเรา ซึ่งก็มีบารมีพอสมควรก็พอเป็นพอไป ไม่เห็นจะต้องยาก เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็มาเสริมให้ ได้อยู่ มันไม่ขาดหรอก มันเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่เดาเอาไม่ได้คิดเอาไม่ได้ หลงตัวเองไม่ได้ มันเป็นจริงของบารมี
พูดอย่างง่ายก็ได้ไม่ง่ายก็ได้เทียบเคียงให้เห็น พวกเราหลายคนมีบารมีด้านทรัพย์สินมากกว่าอาตมา หาเงินได้เร็วได้เยอะกว่าอาตมา หลายคนในนี้เคยหาได้เยอะ อาตมาหาเงินได้ไม่เท่าไหร่หรอกในชาตินี้ ทางโลก มีรายได้มีเงินหมุนเวียนเป็นล้านก็จริง แต่อาตมามีชีวิตเป็นฆราวาสยังไม่เคยสะสมเงินก้อนเป็น 10 ล้าน เงินก้อนจะเป็นคงคลังของอาตมา อาตมาทำงานอยู่ 12 ปี เงินทองหมุนเวียนเยอะแยะมากมายแต่ไม่เคยสะสมในตัวเองเป็นตัวเลขถึง 10 ล้าน 5 ล้านก็ดูยาก แต่หมุนเวียนทำในสิ่งที่เป็น 5 ล้าน 8 ล้าน 10 ล้าน แต่มีเวลาทำงานอยู่ทางโลกก็ไม่ได้ขัดข้องไม่ได้ตกต่ำ
จริงๆแล้วอาตมาเป็นคนขับรถติดแอร์เป็นคนแรกของประเทศไทยนะ แอร์ตัวแรกของบริษัทฟอร์ดเขาสั่งมาซึ่งมันยังไม่ติดกับรถหรอก เป็นแอร์ที่ต่างหาก ก็พยายามปรับปรุงมาติดรถยนต์ อาตมาก็พยายาม เป็นรถยุโรป ไดนาโมมันก็ไม่ค่อยดี สู้รถญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ อาตมาก็เอา ตอนนั้นใช้ Ford corsair ที่เป็น demonstrate ที่เป็นตัวอย่าง อาตมาก็ซื้ออันนี้ เพราะคันที่จะเอามาโชว์มันต้องเอาคันที่ดีที่สุดมาอวด ซื้อแล้วเขาก็บอกว่ามีแอร์นะ แต่ต้องติดต่างหาก อาตมาก็เอาๆๆ อาตมาก็ให้เขาติด ตอนนั้นยังไม่มีใครติดหรอกอาตมาเป็นคนแรก เสร็จแล้วต้องไปเข็นกลางทางบ่อยเพราะว่าไดนาโมมันไม่พอจ่ายไฟ แต่ก็ยังภูมิใจนะ เข็นก็เพราะรถแอร์ละว้า เอ็งไม่รู้หรอกว่าไดนาโมมันยังไม่เก่ง ซ้อนลึกก็ยังรู้สึกเท่ห์อยู่นะว่าอย่างไรก็รถแอร์ เพื่อนอาตมาเรียนกับมาตั้งแต่ม.7 ม.8 เวลาเลี้ยงรุ่นเขาก็จะจ่าย เราก็บอกว่า ลื้อเป็นข้าราชการ อั๊ว ขี่รถแอร์แล้วนะ อั๊วต้องจ่าย ลื้อไม่มีสิทธิ์จ่าย นี่มันหน้าใหญ่ใจโต
นี่คือเรื่องราวโบราณ สนิมรัก นี่คือนามปากกาอันแรก ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นโบราณนวทัศน์ เสร็จแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นโบราณ ไม่เสมอ ตอนหลังก็มีเก่าสมัย ใหม่เสมอ นี่คือนามปากกา นามแฝง
สรุป หลวงปู่รับเงินไม่ได้มีอาบัติ เอาวินัยมาจับได้ หลวงปู่รับเงินจริงแต่จิตไม่มีอาบัติ จิตไม่มียึดถือเป็นเราเป็นของเราอย่างแท้จริงเอามาใช้งานผ่านไป หมดก็หมดมีก็มี แต่มันก็มีบารมีที่ไม่หมด มีหมุนเวียนมาเรื่อยๆ จะติดขัดอย่างไรบางทีก็ ถึงขั้นต้องเปรยปรายก็จะมีคนที่เข้าใจไหวพริบทันเอามาให้ เขาพอมีก็เอามา ก็เป็นไปตามบารมีลอกเลียนยาก
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน น้ำตกและแก่งที่บ้านราช
_น้ำตกที่จะทำใหม่ จะเสร็จตอนไหนหรือคะ
พ่อครูว่า...น้ำตกที่เราทำอยู่ตอนนี้คือน้ำม่าน ท่านศิลปินคมคิดก็ยังนึกไม่ออกตามที่อาตมาจินตนาการก็ยังยาก ก็ยังนึกไม่ตรงกับอาตมาว่ามันจะต้องเป็นแผงเป็นแผ่น ไม่ใช่ออกมากระจายเป็นเส้น มากๆหนาๆ จะเป็นแผ่นบางเท่าไหร่ก็ยิ่งสวยติดกัน ทีนี้วิธีทำก็ยังไม่เคยทำ ถ้าทำได้ก็ได้น้ำม่านเป็นระยะยาว จากสวนไม้ตาย คำว่าไม้ตายคือไม้เด็ด แต่อาตมาก็เอาต้นไม้ตายๆมาตั้ง พยัญชนะกับสภาวะ ก็ทำเป็นสวนไม้ตาย สำนวนไม้ตายคือไม้เด็ด อาตมาเข้าใจธรรมะ2 เยอะก็เอามาใช้ มันยกสูงก็จะได้มีลำธารมีคลองก็จะให้น้ำนี้ไหลลงไปเป็น แปว เป็นคลองแล้วก็จะเป็นที่ๆสไลเดอร์ แต่ต้องทำให้ปลอดภัยดีๆ ก็ไม่ได้ลึก และไม่ให้มีอะไรที่ทำให้เกิดบาดเจ็บก็ต้องกันๆไว้ ก็กำลังทำกันอยู่ จะเสร็จเมื่อไหร่ตอบไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ก็มีน้ำตก มีน้ำโตน น้ำม่าน น้ำริน
น้ำตกมี...แมนน้ำริน หินน้ำไหล น้ำตกไทบ้าน ม่านน้ำ
แก่ง มีแก้งตำอิด ติดราม สามใส ไฝใหญ่ ไทบ้าน
ก็ทำไปตามประสาตัวเองที่เห็นว่าดี คนมาอาศัยเล่น น้ำก็ทำให้สะอาดให้ใส ตอนนี้ก็ประกาศใครมีความรู้ ลองมาทำน้ำคลองถอยหลังเข้าให้มันใส่ได้ ใครมีฝีมือก็เชิญ มาช่วยกันหน่อย อาตมาไม่มีปัญญาทำให้มันใส่ได้ คนเลยไม่ค่อยชอบ ไม่ค่อยอยากจะไปเล่น ก็ยังคิดอยู่เลยว่าจะหาเรือแคนู มาใส่ไว้ มันใสก็จะพายกันเล่น พายลอดซุ้มหินพายผ่านแก้ง แก้งหรือแก่งก็อยากให้ทำเป็นแปว คือน้ำไหลแรงเป็นช่อง เรือพายในร่องน้ำไหลก็ดีเลย ไปทีละแก่ง แล้วล่องน้ำไหล วนให้ทะลุเลย แต่ตอนท้ายนี้วนไม่ได้ต้องแบก ทั้งหมดพันสี่ร้อยกว่าเมตร รับรองสนุกแต่ตอนนี้ทำยังไม่สำเร็จ เขายังไม่ค่อยเข้าใจเจตนาอาตมาเท่าไหร่ ผู้ที่เข้าใจแล้วก็อยากจะสนอง
ที่ทำนี้ทำเพื่อประชาชน คนจะได้มาอาศัยเป็นที่พักผ่อน เป็นที่คลายเครียด สำเริงสำราญไป ใครที่เข้ามาที่นี่เป็นแต่เพียงว่าอย่ามาทำเลวร้าย อย่ามาทำเกะกะเกเร อย่ามาทำสิ่งที่มันไม่สมควรในที่นี้ ผู้ใดมาแล้วก็มาฝึกฝน เราก็จะมีหลักเกณฑ์คนดูแล เราเป็นเจ้าของสถานที่ที่ไม่ได้เก็บเงิน เจตนาให้คนมาอาศัยมาเล่น ผู้ใหญ่ยังไม่ค่อยกล้ามาเล่นเท่าไหร่ ในอนาคตก็คงจะมี
_พิมพ์เพชรรุ้ง...ลูกมีปีติ เบิกบานใจที่ได้มาอยู่ในระบบสาธารณโภคี มีพี่น้องช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นคนอีหลี มาเด้อพี่น้อง มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นหนึ่งในพัน มาอยู่ที่นี่มีแต่แนวดี มีสัปปายะ 4 อาหารสัปปายะ มีพืชผักไร้สารพิษ เสนาสนะสัปปายะ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอากาศก็ดี บุคคลสัปปายะ คือหมู่กลุ่มที่มีศีล 5 หมดทุกคน ธรรมะสัปปายะ มีโลกุตรธรรมจากพระอาริยะ นี่คือแดนวิมุติ วิมาน วิโมกข์ ใครอยากเป็นผู้มีโชคก็ให้มาอยู่ด้วยกันที่บ้านราชเมืองเรือบ้านไม้เมืองหินบ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ
_ใจแก้ว...จะพูดภาษาอีสานประโยคหนึ่งว่า เฮ็ดจังใด๋ก็ได้จังนั่น...จะถามพ่อท่านว่า ตอนที่ยังไม่เจอพ่อท่าน แม่ที่เป็นภิกษุณีไต้หวัน แม่ก็ชวนไปทุกวันไปสวดมนต์ เจ้าแม่กวนอิม เข่งทำไปทำมา อยู่นานหลายปี อาจารย์ก็บอกจะเข้ากรรมฐาน 3 เดือน เข่งก็ว่า เคร่งดี แต่รู้ทีหลังว่า เขาเอามีดโกนไปด้วย ให้เข่งหิ้วอาหารไปแขวนที่หน้าต่างทุกวัน พอออกมาจาก 3 เดือน หูสองข้างนี้หายไปเลย ออกมาใบหูสองข้างไม่มี พอเข่งมาที่สันติอโศก รู้สึกว่า ธรรมะอย่างนี้เจ็บตัวไม่เอา นิ้วก็ตัดด้วย ก็เลยกลัวไม่กล้าปฏิบัติ อีกไม่นานก็มาเจอพ่อท่านให้ถือศีลกินมังฯไม่ต้องตัดหูอย่างนี้ดีกว่า
พ่อครูว่า...เป็นสายเทวนิยม สายศรัทธา ยังตีไม่แตกในเรื่องของเทวะ ตอนนี้อาตมากำลังขยายความคำว่า เทว คำนี้ ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องจิตวิญญาณในเรื่องศาสนา แม้แต่ในทางธรรมทางโลก ธรรมะ 2 นี้ ศึกษาให้ดีอาตมากำลังขยายความ คำว่าธรรมะ 2 นี้ลึกซึ้งมาก สนุกในการขยายความ ละเอียดมากเลยจนคนที่ดูแลบอกว่านอนบ้าง อาตมาว่าเดี๋ยวนี้ จะไปเปลี่ยนชื่อที่ลงทะเบียนด้วยบังอรแล้วเอาแต่นอน
_ใจแก้วว่า...แม่เค้าสวดมนต์เป็นชั่วโมง เข่งไม่รู้จะทำอะไร อยู่ดีๆเห็นใบไม้ไหวพริ้วๆจิตมันก็มีความสุข ปฏิบัติธรรมแบบนี้มีความสุขแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
พ่อครูว่า...นั่นเป็นความรู้ทางธรรมที่คุณตีแตกจากการยึดมั่นถือมั่นว่ามันต้องนิ่งหยุดเป็นหนึ่ง เพราะเห็นความไว ก็เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยงทุกอย่างเคลื่อนไป แสดงถึงจิตคุณเห็นว่าอาการเคลื่อนไหวถูกต้องกว่า อย่างนี้ไม่เอาก็เลยเลิกจากสิ่งนั้น เหมือนกันกับพระ จูฬปัณฎก ถูผ้าไปผ้าก็ดำ ไม่ขาว มันก็ไม่เที่ยง อันนี้ก็ตีแตกธรรมะ 2 อันนี้ก็เหมือนกันดำกับขาว อ๋อ เห็นภาวะสองตีแตกอันใดอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นยิ่งใหญ่มากเลยธรรมะ 2 นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนผู้ที่ยึดถือธรรมะเทวนิยมเป็น 2 เทวะแปลว่า 2 แล้วตีไม่แตกมาหาหนึ่งมาหาศูนย์ไม่ได้ มีแต่ 3 4 5 6 7 8 9 เป็นล้านเลยก็ตาย ตรงนี้แหละที่ไขความสุดยอดเลย ทีนี้เราจะมีคนมีภูมิตรงนี้จะไขเลยในโลก ไม่ใช่แค่ในไทย
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การสวดแผ่เมตตาที่แท้จริง
_หลวงปู่ครับ ทำไม ตอนทำวัตรเช้าท่านสมณะไม่ได้พาสวด สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์
พ่อครูว่า...เพราะเด็กเขาเคยได้ยินมา ที่นี่เราก็มี สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เราทำอย่างเป็นความจริง ความหมายคือเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เป็นญาติกัน ต่างคนต่างมีชีวิต อย่าไปฆ่ากันอย่าไปกินกันอย่าไปทำร้ายกัน พวกเราทั้งหลายแหล่ประพฤติแล้วไม่ต้องไปถึงแบบท่อง สัพเพสัตตาสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เฉย เสร็จแล้วก็กินเนื้อสัตว์ฆ่าสัตว์ทำร้ายสัตว์เบียดเบียนกันมาตลอดอย่างนั้นปากเปล่า ได้แต่ท่องได้แต่สวด แต่โดยสภาวะจริงนั้น มันไม่ได้สอดคล้องกับส่ิงที่ตัวเองท่องเลย จึงได้แต่สวด
ทุกวันนี้ศาสนาอยู่แต่แค่สวด สวดคำสอนของพระเจ้าของอาจารย์ ถือว่าสูงที่สุด ธรรมะแปลว่าคำสอน ของอาจารย์ ก็จะรักษาอันนี้ไว้อย่างเดียว นี่ก็เป็นความดีงามของวัฏสงสาร ถ้าไม่มีผู้รักษาสิ่งที่เป็นคำสอนสิ่งที่เป็นพยัญชนะเอาไว้ มันจะไม่มีอะไรตกค้างความรู้ให้คนต่อไปเลย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่คนที่ไปโง่ติดยึดอันนี้คือไม่ดีตีไม่แตกตรงนี้
คำสวดก็มีธรรมะ 2 สระพยัญชนะแต่สภาวะจริงคืออย่างไร ก็ต้องชัดเจนแล้วทำให้ได้ตามสภาวะ มีคู่เหมือนกัน สภาวะกับคำสวด พยัญชนะ ในพยัญชนะก็มีสองซ้อนอีก มีความสูงความต่ำความชั่วความดีความถูกความผิดอะไรอีกไหม
สภาวะดีแล้ว กายกรรม วจีกรรม ตรงกับสภาวะหรือยัง คือเอาทีละคู่มาเปรียบเทียบแล้วรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่วอะไรสูงอะไรต่ำให้ชัดเจน สำเร็จทำดีได้แล้วก็อย่าไปยึดถือความดีนั้นเป็นเราเป็นของเราเป็นงานสุดท้าย คุณก็อาศัยดีนั่นแหละ แต่อย่าไปยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือเอาความดีไปตีคนนั้นคนนี้หรือเอาไปขาย
สรุปแล้วทำไมไม่สวดเพราะว่าที่นี่เราทำอยู่แล้วเป็นจริงอยู่แล้ว ในการไม่เบียดเบียนสัตว์ เห็นสัตว์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์จริง ผู้เอาแต่สวดแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่ดี ต้องทำให้ได้อย่าเอาแต่พูดปากเปล่า
_หายโง่...อัศจรรย์จริงหนอ ปีนี้ ปี 2561 มี 2 + 5 = 7 มี 6 + 1 = 7
อาตมาก็เคยพูดแล้วปีนี้ 61 แล้วมี 2 กับ 5 ปีนี้จะมีอะไรต่ออะไร เป็นเรื่องอจินไตยที่อาตมา ไม่อยากจะพูดมาก เหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต ในพ.ศ 2559 มันมีความหมายที่อาตมาไม่อยากพูดมาก คนจะงมงายเล่นกับตัวเลขด้วย ศึกษาไปเถอะเราจะรู้จักสังขยาเลขพวกนี้ เป็นการสื่อสภาวะธรรมที่ลึกซึ้งมาก ชาตินี้อาตมาก็อาศัยส่วนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย แต่ไม่อยากให้พวกเรางมงาย เข้าใจแต่เพียงว่า 123 456 789 0
2 เป็นแนวระนาบ 3 เป็นแนวกลม จะเป็นกลมรีหรือมน จนกระทั่งมีสิ่งที่ออกมาจากวง 3 นี้ได้ มีพลังตีแตกออกจากวง คนหลงก็มี แต่คนไม่หลงและรู้ด้วย จับ 4 ต่อ 5 ต่อ 6 เป็นสามเส้า แล้วมี 7 ออกไปอีก จนเป็น 8 9 ก็เป็นสามเส้า ซ้อนกันไปอย่างเป็นระบบระเบียบ นี่คือสัจจะของระบบระเบียบ ถ้าคนไม่มีระบบระเบียบ ก็จะเหมือนกับเศษอุกกาบาตที่ถูกแรงอันนั้นอันนี้ ดีดไปดูดมา กระเด็นไปกระเด็นมานี่คือพวกฟุ้งซ่าน พวกที่เกาะกันแน่นก็เหมือนกับกลุ่มไหมยุ่งแก้ไม่ออก ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง สองด้าน เรียกว่า วิกขิตตังจิตตัง กับ สังขิตตังจิตตัง สองอย่างนี้เท่านี้แหละในโลก จะชัดเจนทุกอย่าง
_สองนักษัตร บ้านราช คือ 24
สามนักษัตร มหาปวารณา
สี่นักษัตร พ่อครูเผยแพร่ พุทธศาสนาในฐานะนักบวช 48 ปี
เจ็ดนักษัตร 84 ปีชีวีพ่อครู
2 3 4 7 เขาก็เอา มาบวกกันอีกได้ 16 ก็มีเลข 1 กับเลข 6 บวกกันก็ได้ 7
กรุณาอธิบายรหัสของเลข 7 ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า….ไม่ได้ ไม่เก่ง รู้แต่ว่า พลังงานระดับ 7 ไม่ใช่เล่น เหนือ ชั้นกว่า 456
3 เหนือกว่า 2 แต่ 2 มีประเด็นว่า อันนี้สองคน กับคนเดียวจะสู้ไหม ปริมาณกับคุณภาพ ถ้าหากว่าหนึ่งมีคุณภาพมากกว่าปริมาณ 2 ก็สู้ได้ มีความสลับไปสลับมาเยอะเลย
_ต้องทำอย่างไร ผมถึงจะเป็นเด็กดีครับ ดช.กร
พ่อครูว่า...ต้องฟังธรรมะแล้วปฏิบัติธรรมตามลำดับ ฟังแล้วก็รู้ว่าอันนี้หลวงปู่พูดถูก เราไม่ดีอันนี้ เรารู้ความไม่ดีของตัวเองแล้วแก้ไขปรับปรุง เป็นขั้นตอนไป อันนี้หลวงปู่พูดถูกอันนี้เราไม่ดีก็แก้ไขอย่าไปเป็นอย่างนั้นให้เลิกไปทำอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วก็จะเป็นเด็กดี
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ทำไมไม่ยุบรวมหมู่บ้านอโศก
_ตอนนี้บ้านราชฯต้องการคนมารวมกันให้เป็นปึกแผ่นเป็นหมู่มวลที่ใหญ่ ทำไมไม่ให้พุทธฐานเล็กๆชุมชนกลุ่มเล็กๆ ยุบมา รวมกันอยู่ที่ราชธานีเลยครับ เหลือไว้แต่ที่ใหญ่และเป็นหลักพอ
พ่อครูว่า..อย่าไปใช้การบังคับ เขาจะยุบตัวเองก็เรื่องของเขา เขาไม่ยุบตัวเองก็ปล่อยไปตามธรรมชาติอิสระเสรีภาพมันจะเป็นไปตามธรรมของมัน ขอให้เราทำดีๆเถอะ เขาจะรู้ตัวบุคคลเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ เขาจะรู้ว่าเขาควรจะอยู่ที่ไหน ควรจะทำตรงไหน เขาจะรู้และเคลื่อนย้ายปรับปรุงปรับเปลี่ยน ยิ่งอยู่ในสถานะระบบสาธารณโภคีทุกอย่างเป็นของเราหมดเลย นี่แหละมันเป็นประตูที่เขาจะมาได้ไม่ยากเย็น นี่เป็นสัจจะ แต่ถ้าไม่ใช่สาธารณโภคีก็จะยาก หรือแม้แต่สาธารณโภคีของแต่ละหมู่บ้านชุมชน ถ้าแต่ละคนก็ยึดถือเป็นตัวกูของกูก็เข้ามาไม่ได้ง่าย แต่เพราะว่าสมาชิกของชุมชนชาวอโศก ไม่ได้ยึดถือตัวตนมากมายจึงเข้ามาได้ ง่าย อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นสัจจะที่จริงที่ลงตัวทั้งนั้นเพราะฉะนั้นเรื่องที่เกิดการทะเลาะวิวาทขัดแย้งอะไรกันมากจึงไม่มี มันจะลงตัวตามสัจจะมันจะได้สัดส่วน จะเห็นได้ว่าพวกเราไม่ได้ขัดแย้งอะไรมาก แม้แต่แย่งข้าวของหรือตีกันด้วยทิฏฐิก็ไม่มาก
_วันก่อนฟังพ่อท่านพูด วิโมกข์ 8 รูปฌานอรูปฌาน ฟังเข้าใจมีปีติมากครับ เวลานึกตามสภาวะที่เคยมีมา ก็จะพยายามทำให้แข็งแรงมากขึ้นครับ
_ในการเลือกตั้ง คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการทุจริต จะใช้กฎหมายที่เข้มงวดอย่างเช่นพระวินัยขั้นปาราชิกหรือมีโทษขั้นติดคุกจะดีไหมครับ
พ่อครูว่า..ดี แต่เขาจะเอาตามคุณไหม? ทุจริตต้องลงโทษให้หนัก ติดคุกก็ได้ ตามควร
_ตอนช่วงงานเพื่อฟ้าดิน ได้มานอนพัก ที่เรือนบวร อากาศดีมาก ตอนนั้นยังไม่มีการกั้นห้อง ลมถ่ายเทดีมาก พอถึงตอนนี้ด้านฝั่งที่พักหญิง กั้นห้องด้วยกระจกที่ทันสมัยมาก ก็ทำให้คิดถึงอีกฝั่งหนึ่งที่กั้นไม่เสร็จ ว่าจะมีโอกาสเห็นการกั้นด้วยไม้เฌอร่า หรือไม้ไผ่บ้างจะเป็นไปได้หรือไม่ มีญาติธรรมหลายคนเขาบอกว่า จะได้ความเป็นชนบทลูกทุ่ง และลมจะถ่ายเทได้สะดวก ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน
พ่อครูว่า...หากใช้ไม้จะไม่ทึบ แต่ไม้หายากกระจกหาง่าย มันมีลักษณะดีหลายอย่าง น่าคิดเหมือนกันทางโน้น อันไหนแซบซอยใส่ มีนิทานว่า คนอีสานไปกินอาหารที่ร้านแต่ใช้ตะเกียบไม่เป็น ใช้แต่ช้อน คนขายก็ถามว่า เอาตะเกียบไหม? คนอีสานคนนี้ก็ว่า อันไหนแซบซอยใส่...ก็เป็นนิทาน
_แก้วบุญ….อคติ 4 คืออะไรคะ
พ่อครูว่า..อคติแปลว่าใจไม่ดี ใจชั่ว คือใจมันลำเอียง ใจมันไม่ตรง คนนี้รักมากก็จะช่วยเขามาก คนนี้ชังก็ไม่ช่วยเขา อคติ 4 มี รัก ชัง หลง กลัว
รักมากทำให้ลำเอียง ชังมากก็ทำให้ลำเอียง ไม่รู้ก็ทำให้ลำเอียง หรือกลัวก็ทำให้ลำเอียงได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรหากเจอผู้ใหญ่น่ารำคาญ
_ถ้าผู้ใหญ่น่ารำคาญ ควรทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...เราทำที่ใจของเรา เราไปบังคับผู้ใหญ่สอนผู้ใหญ่ไม่ง่าย ผู้ใหญ่ท่านก็เป็นของท่าน ท่านเป็นผู้ใหญ่ก็น่าจะรู้ หรือบางทีเราก็ไปรำคาญที่ท่านทำถูกทำดีไปเคี่ยวเข็ญเราให้ทำดี เราก็เลยรำคาญท่าน ก็พิจารณาสิ ท่านทำอะไรกับเรา มันดีไหม ถ้าดีก็ทำ ถ้าเห็นว่าไม่ดีทำไมไหวก็เอาไว้ก่อน แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่น่าจะทำไม่ดีทุกอย่างก็น่าจะมีอะไรทำดีกับเรา ที่ยังไม่ดียังเข้าใจไม่ได้ก็ถาม ถามว่าผู้ใหญ่คนนี้ทำอย่างนี้ดีไหม ผู้ใหญ่ที่เราศรัทธา เราก็จะได้รู้ว่าท่านอธิบาย ให้ฟังได้ เราก็ อาจจะเกิดจากเราถือสา
_ทำไมสมณะต้องใช้ชุดสีน้ำตาล..
พ่อครูว่า....อธิบายไปแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน คนเกิดมาได้อย่างไร
_น้ำมนต์ คนเกิดมาได้อย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า...รุ่นพวกนี้ ถามแต่ละเรื่อง อย่างกับเอาตะลุมพุกทุบเลยนะ
คนเกิดมาได้มีสองแบบ
1. คนเกิดมาได้เพราะเรามีพ่อมีแม่ ทำให้เราเกิด
2. คนเกิดมาได้เพราะ ต้องมีวิญญาณเข้ามาร่วม เป็นจิตวิญญาณเข้ามาร่วม กับพ่อแม่
พ่อแม่ท่านเป็นพ่อแม่แล้วท่านก็ทำหน้าที่ที่จะมีลูก เสร็จแล้วก็มีพลังงานที่เป็นจิตวิญญาณเข้ามาร่วมเป็น
3. นี่คือความรู้ทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีจิตวิญญาณร่วม 2 อันรวมตัวได้ก็จะแท้ง คือเป็นแค่พลังงานพีชะไม่ถึงจิตต้องสลายตัวไป ถ้าพลังงานนี้จะเกิดได้ พลังไม่เต็มก็เกิดมาได้แค่พีชะ ไม่เต็ม หากแค่อุตุก็แยกธาตุไป ไม่เป็นชีวะเลย
สรุปแล้ว เกิดได้เพราะว่ามีพ่อแม่อย่างหนึ่ง สองเกิดเพราะมีวิญญาณมาเกิด มาใช้อวัยวะใช้ธาตุดินน้ำไฟลม เกิดได้สองอย่าง
_ช่วงงานเจ มีลูกค้าที่มากินเจถามญาติธรรมว่า อยู่วัดมากี่ปี ญาติธรรม คนนั้นตอบว่า 30 ปี แล้วเขาถามต่อว่าบรรลุโสดาบันหรือยัง? ดิฉันเห็นเขาพยายามเอาคำตอบแต่ญาติธรรมก็เดินเลี่ยงไป (มารู้ทีหลัง ว่า ญาติธรรมตอบว่าไม่ แต่เขาไม่ได้ยิน คนตอบก็ตอบไป แค่คนที่ถามไม่ได้ยิน) ตรงจุดล้างจานล้างใจ ดิฉันเลยอธิบายว่าเราไม่ควรพูดเรื่องนี้ตรงจุดนี้ เพราะคนอื่นที่ไม่เข้าใจด้วยจะเพ่งโทษและเป็นวิบากเขาได้ หรือเขาอาจจะบรรลุ แต่ผู้ถามไม่มีอะไรมาตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่เขาจึงไม่ตอบ วันรุ่งขึ้นเขาก็มาขอโทษแล้วบอกว่าคุณดุมีเหตุผล ดิฉันก็บอกเขา “ดิฉันไม่มีเจตนา ดุ แต่รีบอธิบายไปหน่อย แล้วก็กล่าวขออภัยเขา การเดินจากไปเขาก็ยกมือไหว้ขอโทษด้วย แล้วพูดว่า คุณมีสมาธิดี” แสดงว่า เขาติดตามรายการพ่อครูอยู่และช่วยตรวจสอบชาวอโศกด้วย พ่อครูคิดเห็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า..ตอนนี้เรากำลังทำ วิจัยเรื่องโสดาบันกัน เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจกันได้ว่าความคิดอย่างนี้พฤติกรรมอย่างนี้องค์ประกอบอย่างนี้ อย่างนี้แหละคือโสดาบัน เรากำลังทำกันอยู่ ก็คงจะได้ออกมาแจกจ่ายให้รู้กัน แทนที่จะอมพนํา แต่เอามาใช้ในการศึกษา
มีพ้นสังโยชน์ 3 มีปัญญา 7 คุณธรรม 8 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ก็ได้เอามารวบรวมเอามาขยายอธิบายเป็นภาษาให้เข้าใจ จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นโสดาบันแล้ว จะได้รีบเข้ามาอยู่ บ้านราชฯต้องการโสดาบันเพิ่มเติมอีกสัก 1000 มีคนที่ไม่รู้ตัวแต่เขาเป็นแล้วก็มี มีเยอะ อาตมาก็ไม่มีโอกาสจะไปบอกคนนั้นคนนี้เพราะไม่ได้ไปคบคุ้นอะไรมากมาย
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ภิกษุสมณะมีความลับหรือไม่
_สงสัยว่า ภิกษุสมณะมีความลับได้ด้วยหรือคะ ก็หนูได้ยินว่า โบสถ์มีไว้สำหรับเวลา สงฆ์ ประชุมกันเรื่องที่คนนอกรู้ไม่ได้ แล้วการมีความลับมันไม่เป็นการเป็นความผิดใช่ไหมคะหรือว่าผิดคะ
พ่อครูว่า...มันมีลำดับ บางอย่างคนที่ยังไม่เจริญไม่เดียงสาก็ยังไม่ควรรู้ รู้แล้วจะไปลอง ดูแล้วจะไปเล่นมันก็จะเสีย มันจะเกิดโทษภัย เขาก็ยังไม่อยากให้รู้ เมื่อเราโตขึ้นพอเขาก็จะบอกเราเป็นลำดับ ที่บอกว่าความลับจะไม่เปิดเผยก็ได้ แต่มันยังไม่เหมาะสมยังไม่ควรแต่ละเวลา ทั้งเราเองโตพอ ใจพอจะทำเช่นนี้ได้
เช่นเราบอกว่า สมัยโบราณบอกกันว่า จะไปตรงนั้นนะ เดี๋ยวผีหลอก สัญชาตญาณของคนมันก็กลัวอยู่แล้ว แต่เสร็จแล้วอุปาทานยุคนี้ ควรอธิบายให้ชัดเจนอย่าไปทำให้เด็กกลัวผีหลอก คุณจะอธิบายว่ามันจะไม่ดีงามมันจะเสียหายมันจะเกิดความทุกข์อย่างไรก็ควรจะบอกให้ชัด ทุกวันนี้ความรู้ของคนกระจ่างขึ้นเยอะ เด็กทุกวันนี้ก็ฉลาด คนสอนคนบอกก็รู้มันก็จะเกิดพัฒนาการ คนก็จะไม่โง่เง่าเหมือนโบราณ ไม่ทื่อเหมือนโบราณ จะปราดเปรียวว่องไวทำงานได้มากขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ทำไมคนเราต้องมีการพบการพราก
_ทำไมคนเราต้องมีการพบและการจากด้วยคะ หนูไม่ชอบเลยค่ะ
พ่อครูว่า...ในสังสารวัฏนี้มีธรรมะสอง การพบการจากก็เป็นธรรมะ 2 ความมีนี้มี 2 อย่าง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเราไม่อยากให้มี 2 อย่าง ก็ต้องมาเรียนรู้
1 ทำให้มันเกิดอย่างเดียว 2 ทำให้มันหมดเลยเป็นศูนย์ นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่เข้าใจและทำไม่ได้ ก็มีสองอย่างก็ต้องยืนยันต้องเชื่อว่ามี 2 อย่างที่พรากจากกันไม่ได้ หรือถ้าไม่ชอบกัน ถ้ามาอยู่ด้วยกันเป็นคู่เป็น 2 อย่างแล้วต้องตีกัน มันก็มี 2 อย่าง 1 อยู่เป็นคู่กันแล้วต้องตีกัน 2 เป็นคู่กันแล้วต้องดูดชาติแล้วชาติเล่า หรือเกาะกันบ้างตีกันบ้าง รักกันบ้างตีกันบ้าง มันต้องอยู่กันอย่างมีประโยชน์ต่อกันและกัน ทำให้เป็นหนึ่งเป็นอิสระได้ไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่กันและกันแต่เป็นประโยชน์แก่กันและกันเท่านั้นพอ
สอง วาง สูญ ในขณะเป็นๆ ลักษณะศูนย์เราก็ทำให้จิตเป็นกลางว่างๆไม่ดูดไม่ผลัก แม้จะอะไรจะมากระทบเราก็ว่างก็ศูนย์ ไม่มากกระทบก็สูญได้แน่นอน แม้กระทบแรงก็สูญได้ อยู่ในโลกก็มีสิ่งที่กระทบได้ อะไรทนไม่ได้เราก็หลีกเลี่ยงก่อน จนกว่าเราจะมีพลังที่กระทบได้ ดีไม่ดีกระทบได้แล้วเราก็มีจิตที่เหนือกว่าทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเป็นจิตที่ดีได้ ก็สอนกันไปแนะนำกันไปปรับปรุงกันไป ก็จะเกิดการช่วยกันพัฒนาช่วยกันให้เจริญขึ้นด้วยประการฉะนี้ แต่ยังไม่เอวัง
_เกร็ดดิน...จะขอถามพ่อท่านว่า ดิฉันชื่อทิพย์เทวี ดิฉันทุกข์มาก เพราะว่าหาพระพุทธเจ้าไม่เจอ ไม่อยากไปดูดกับอะไร เมื่อพ่อท่านมาธรรมะ 2 ดิฉันก็มาเจอถึงเรื่องว่า ราคะต้องถอนรากถอนโคน ราคะที่พระพุทธเจ้ามีก็คือวิภวตัณหา ดิฉันก็เลยหลุดจากปมราคะ นึกว่าต่ำ แต่ที่จริงสุดยอดเลยหากเราไปถึง มันเกิดมาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรไม่พลัดพราก ยังไม่อยากผูกพัน เมื่อมาเจอคนนี้ก็เลยคลายไม่อยากผูกพันกับพ่อท่าน ดิฉันก็รู้สึกจะปลดได้
พ่อครูว่า...ก็มาแล้วจนป่านนี้ อย่างนี้เดิมเขาชื่อทิพย์เทวี นิคเนมคือ เขียว เป็นคนที่เกิดมามี 2 พ่อ 2 แม่ แม่สองคนพ่อสองคน มาเจออาตมาตั้งแต่อายุ 21 เสร็จแล้วก็ไม่ไปเรียนต่อแล้ว ที่ฝรั่งเศส พ่อคนหนึ่งเป็นฑูต พ่อแม่อีกคนหนึ่งก็เป็น ดร. ก็เลยไปอยู่กับพ่อที่เป็นฑูตที่จริงเป็นลุง เขาก็เป็นคนตามสายวิบากเขาเมื่อมาเจออาตมาก็หยุด จนเดี๋ยวนี้ อายุ 70 แล้ว ยังไม่แก่หรอก พวกเราชัดเจนว่าจะไม่แก่ง่ายๆหรอก อาตมาจะหนุ่มขึ้นนะ พวกเราบางคนจะชัดเจน เปลี่ยนแปลงสรีระร่างกาย มันมีพลังงานพิเศษที่ค่อยๆเปลี่ยนไป มันจะมีอะไรที่เกินกว่าโลกสามัญพอสมควรในหมู่พวกเรา ที่เราเรียกว่าปาฏิหาริย์ หรือว่าเป็นสิ่งที่เกินสามัญเกินที่จะเชื่อได้ แต่มันจะเป็นไปได้ มันจะมีสิ่งเหล่านี้ หากเข้าใจสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยแล้วมันไม่ใช่เรื่องลึกลับเมื่อเราทำเหตุได้ครบผลมันก็ต้องเป็น พวกเราสามารถทำเหตุที่เป็นนามธรรม ละเอียดได้ซึ่งได้จริง แม้บางทีเรียกชื่อไม่ได้แต่เรารู้แล้วว่าตัวเรามี เราสามารถรวบรวมทำให้มันเกิดปฏิกิริยาทำงานขึ้นมามันก็ได้ แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมาเรื่อยๆไม่ต้องห่วง อันนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าฉงนน่าอัศจรรย์ขึ้นไปในอนาคตของสังคม ไม่ใช่เรื่องสามัญ เป็นเรื่องวิสามัญ คนอื่นจะรู้ตามได้ยาก ดีไม่ดีจะหาว่าเป็นเรื่องวิตถารประหลาด เป็นเรื่องพิสดาร อาตมาถึงไม่ได้งง คนจะว่าอาตมาบ้า ใครจะมาให้รางวัลอาตมา เขาไม่มีปัญญาจะให้หรอก อาตมาจึงไม่ได้ประหลาดอะไร ในชีวิตนี้ไม่เคยได้รางวัลอะไรกับเขา ลูกศิษย์ลูกหาลูกน้องได้รางวัลเยอะแยะไป ท่านเสียงศีลก็ได้รางวัลเยอะ อาตมาไม่ได้ ถึงไม่ได้ประหลาดไม่ได้แปลก
_ศีลข้อ 3 สำคัญ โทสะ โลภะ ละง่าย แต่ราคะละยาก
พ่อครูว่า...ราคะ เป็นราก เป็นสิ่งดูด สิ่งลึก โทสะง่ายกว่าราคะเยอะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สรณะคือสนามรบ
_ในกาละนี้ จะกล่าวถึงราชธานี้ได้ดังนี้ไหมคะว่า...ราชธานีอโศกเมืองมายา
พ่อครูว่า….เป็นสนามรบ (สรณะ) ของผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น คนไม่ยึดถือก็ให้รู้ว่าสรณะคือการรบ ผู้ที่รบด้วยปัญญา รู้ว่าต้องรบกับกิเลสเรา และคุณกำลังมีคู่ต่อสู้คือผัสสะคือเหตุปัจจัย ผัสสะกับดินน้ำไฟลมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสชลมารครากไม้ กับสัตว์กับคนเยอะแยะ คุณรบมาทั้งนั้นแหละ รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อรบ รบแต่ชนะก็ดีขึ้นด้วย สรณะคือต้องอาศัยการรบ ถ้ารบได้ชนะก็เป็นที่พึ่ง หากไม่ชนะก็ทุกข์ ยิ่งคุณไม่รู้ไม่รบก็ยิ่งถูกหลอกหนักไปใหญ่ ชีวิตคือการรบ ผู้หมดสรณะแล้วเป็นอรณะ ไม่ต้องรบแล้ว เพราะอรหะ เพราะไม่ลึกลับแล้ว เพราะชัดเจนทุกอย่าง ทำได้ด้วย ก็ไม่ต้องรบแล้ว นอกจากไม่รบก็ยังอยู่เหนือมันได้ อยู่อย่างมีประโยชน์ด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่ค่อยๆเรียนไป อันไหนอาตมาไม่แน่ใจจะไม่ตอบเพราะตอบผิดเป็นวิบากของอาตมานะ ไม่ได้คำชมด้วย ซวยเราเองทำไปทำไม อาตมาเลิกโง่หายโง่แล้วนะไม่เอา
สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส) ตอน ทำไมผู้หญิงถึงอยากสวย
_ทำไมผู้หญิงถึงอยากสวยค่ะ
พ่อครูว่า...โง่ ประเด็นที่หนึ่งเลย แปลเป็นพยัญชนะว่าอวิชชา คือมันไม่รู้ความจริงว่าทำไมอยากสวย สวยคือสมมุติ สมมุติคืออะไร สมมุติคือรู้ร่วมกัน
ชาวแอฟริกา เขาก็ถือว่าผิวดำสวย คนผิวขาวไม่ไหวหรอก สู้ผิวดำไม่ได้ เขาก็แต่งงานกับคนผิวขาวไม่ไหว ส่วนคนที่ข้ามขั้น อยู่กับคนดำนานแล้วเบื่อไปขาวดีกว่า ข้ามเขตมาคนขาวคนแขกสีแทน สีขาวดีกว่า ก็เป็นไปได้ อยู่ที่ใจเราจะไปยึดถือสมมติไปเอาอย่างไหน เรียกว่าจิตเราเองทั้งนั้น เป็นอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น บ้าบ้าบอบอๆทั้งนั้น ยึดถืออะไรก็บ้าบอทั้งนั้น เพราะฉะนั้นต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงก็พอแล้ว อันนี้เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้แล้ว คนอื่นเขายึดถือสมมตินี้มากหรือน้อย เขายึดถือสมมตินี้มากเราก็ต้องอนุโลมตามเขาเรียกว่าสมมติ แต่ถ้าเขายึดถือแล้วมันก็ไม่ดี ก็เห็นว่าไม่ดี เช่นเขายึดถือในอบายมุข อาตมาก็พยายามให้เขาเลิกยึดอบายมุข หลายอย่างยากมากแต่ก็ต้องทำ
ไปยึดความสวยก็ยึดทั้งนั้น ยึดต่างกันกรรมการก็คนละ taste (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_เกร็ดดินว่า...ขอแก้ข้อมูล พ่อดิฉันเป็นนักการปกครอง ส่วนพ่อสนิทเป็นทหาร ดิฉันออกบวช อายุ 23 ค่ะ มาพบพ่อครูปี 15
พ่อครูว่า...อาตมาจะไปจำอะไรได้ ยังนึกชื่อแฟนตัวเองไม่ออกเลย ชาตินี้มีแฟนสามคนก็นึกชื่อไม่ออก มันยังอยู่นะ มีใน ฮาร์ดดิส แต่มันก็ยังไม่ขึ้น
ฮาร์ดิสก์ของมนุษย์เรียกว่าสัญญาความจำมันไม่หายไปไหนเลยบันทึก แต่ละคนมีฮาร์ดดิสก์ คนละไม่รู้กี่ล้าน GB เป็นแต่เพียงว่าเราจะดึงขึ้นมาใช้ได้หรือไม่ สิ่งที่ไม่จำเป็นมันก็เลยยิ่งจำไม่ค่อยได้ สิ่งที่สำคัญเอามาจำไว้ ก็จึงได้เอาพลังงานมาใช้ในส่วนนี้ สิ่งที่คนต้องจำ ก็ยังจำไม่ค่อยได้เลย ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ส่วนมากเป็นของเก่า
1 เก่าที่ดึงขึ้นมาใช้ 2 เก่าที่มันมีอยู่แล้วก็ใช้อยู่ ส่วนใหม่ที่จะเข้าไปก็แทบไม่มี พยายามจะจำ เช่น ศัพท์ภาษาอังกฤษ ทำไมเราไม่เคยเกิดเป็นคนอังกฤษหรืออย่างไร ทำไมมันถึงไม่ค่อยจำ จำไม่ค่อยได้เลย ก็รู้สึกตัวเองอย่างนั้น ยุคนี้เขาใช้กัน แต่อาตมาว่าอาตมาเคยเกิดเป็นคนจีนแน่ถ้าฟื้นคืนภาษาจีนคงจะได้มากกว่าภาษาอังกฤษแน่ แต่ก็รู้สะเปะสะปะ อาตมานี่จีนแต้จิ๋ว รู้จีนแคะ จีนกลางไม่ค่อยรู้
_ถ้าตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรยกให้หมด ไม่ขอติดกรรมนี้ อยากทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรแบบความคิดชาวอโศกแนวคิดของพ่อครูด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..ฟังดีๆนะ คนยังยึดถือจะเป็นอย่างนี้อีกเยอะ เชื่อว่าการอุทิศส่วนกุศล หรือเลิกจองกรรมจองเวร จิตของคุณเลิกจองเวร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_เกร็ดดินว่า..เวลาพ่อท่านเอาภาษาอื่นมาใช้ ใช้แบบสภาวะ ที่เราเรียนนั้นก็แค่จำ แต่พ่อท่านยกสภาวะนี้เข้าถึงใจเรา
พ่อครูว่า..ใช่ ที่เอามาใช้ เป็นสภาวะที่จำเป็นสำหรับคน ภาษาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ใช้มากไม่รู้มาก แต่ภาษาที่เอามาใช้ก็เป็นคำสำคัญๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน เจ้ากรรมนายเวรมีจริงไหม
พ่อครูว่า..ตอบเข้ากรรมนายเวร ...เจ้ากรรมนายเวรไม่มี กรรมเป็นของๆตนไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร เทวนิยมถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นผู้บงการทุกอย่างของคนทั้งหมด เทวนิยมมีพระเจ้ามีก็อดเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนทุกคน ทุกคนอยู่ในอาณัติของพระเจ้าที่จะสั่งที่จะบงการ ตามพระเจ้าต้องการทั้งนั้น คุณจะทุกข์จะสุขจะดีจะชั่ว พระเจ้าเท่านั้น แม้แต่เราชั่ว ก็ยังบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เกิดการคลายใจ ทั้งที่เราชั่ว ซวยไหมล่ะ ตัวเองชั่วแต่บอกว่าพระเจ้าประสงค์ ทำไมพระเจ้าประสงค์แบบนั้น พระเจ้าก็มีแต่จะต้องให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นจะไปเป็นคนชั่วทำไม แล้วบอกว่าที่ทำให้คนชั่วคือซาตานไม่ใช่พระเจ้า เอาความไม่ดีไปยัดใส่พระเจ้าได้อย่างไร พระเจ้าก็จะมีแต่ส่ิงดี เวลาเราทุกข์เวลาเราชั่ว ก็อยู่ที่เราทั้งนั้น ถ้าหากพระเจ้าให้ก็ให้แต่ความสุข แล้วทำไมไม่ให้คนเป็นสุขทั้งหมดทำไมให้คนเป็นทุกข์ ก็เพราะว่ามันมีซาตาน แล้วทำไมไม่จัดการกับซาตานให้มันเกิดอยู่ทำไม นี่เขาตีไม่แตกภาวะธรรมะ 2 จัดการธรรมะ 2 ให้เป็น 1 ไม่ได้ นี่คือสุดยอดเลยเห็นไหม
ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงไม่เอาสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ พระเจ้าจะเก่งอย่างไรก็ไม่เป็นไร ที่สุดเราพิสูจน์พระเจ้าได้ว่า พระเจ้าไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเลย เราเองนี่แหละ กรรมชั่วกรรมดีเราสะสมไว้มหาศาล แล้วก็มาออกฤทธิ์เดชอะไรที่เราไม่อยากให้เป็นเลยแต่มันเป็น คุณเองคุณสู้กรรมชั่วที่มันจะต้องเป็นไม่ได้ที่คุณเคยเจอตั้งหลายอย่าง จนกระทั่งเอาชนะได้ เลิกหยุดกรรมชั่ว ซาตานหายไปอย่ามาเกิดอีกนะ มาเมื่อไหร่เราก็มีอำนาจเหนือมัน จึงถือว่ามีวสวัตตี มีอำนาจจิตในตนควบคุมจิตตัวเองได้ จัดการซาตานได้เท่าที่เรามีความสามารถในแต่ละคน แต่ละคนก็เป็นไปได้เรื่อยๆ
พิสูจน์ถึงขั้นว่า ซาตานอย่าว่าแต่จะมาทำร้ายเลยเข้ามาใกล้ตัวเราก็ทำไม่ได้ ซาตานเข้ามาใกล้อาตมาไม่ได้หรอก ขออภัยไม่ได้ท้าทายหรอก ก็ได้แต่ขนาดประมาณนี้ ชีวิตอาตมาอายุ 80 กว่าแล้ว ยียวนนะ แต่ก็คนที่เขาหมั่นไส้ ก็เข้าไม่ถึง นี่เป็นเรื่องลอกเลียนไม่ได้ สัจจะที่แท้ที่จริงมันเป็นไปอย่างนั้น
_พระภิกษุที่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย (หนูไม่แน่ใจว่า ถูกบันทึกในพระไตรปิฎกไหม) สงสัยว่าเขาไม่ได้อ่านข้อปฏิบัติในพระไตรปิฎกหรือ หรืออ่านแล้วเข้าใจยาก เขียนเป็นบาลีทำให้คนเข้าใจได้ยาก แล้วต่างศาสนาทำผิดข้อไบเบิลหรือคัมภีร์อัลกุรอานหรือไม่
พ่อครูว่า...เหมือนกัน แต่ละลัทธิก็มีคนผิดคนถูกทั้งนั้นแหละ
_หนูอยากรู้ว่าการที่เราอยู่วัด กับการที่เรามีคู่มีคนรักแต่อยู่ภายนอก กับการอยู่วัดเป็นโสดไม่มีคู่อย่างไหนดีกว่าไหม
พ่อครูว่า...อยู่วัดไม่มีคู่ดีกว่า มีคู่ก็จะไม่มีอิสระเสรีภาพ
_รู้แล้วว่าการอยู่วัดเป็นโสดดีที่สุด แต่อยากรู้ว่าระหว่างสองข้อนี้แบบไหนดีกว่ากัน
พ่อครูว่า..รู้แล้วยังถามอีก แสดงว่าไม่แน่ใจ ไม่ใช่อาตมาคนเดียวที่ให้คะแนนนี่ คนอื่นให้คะแนนจมเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน การชอบเพศเดียวกันผิดไหม
_การที่เราชอบเพศเดียวกันผิดไหมคะ
พ่อครูว่า...ผิด อยู่ที่นี่ไม่ได้เลยนะ เพศเดียวกันนี่ ธรรมชาติมีบวกกับลบ ดูดกันเป็นภาวะสามัญปกติธรรมชาติทุกอย่าง ถ้าภาวะไม่ถูกกัน มันคนละขั้ว แล้วดันเอามาคู่กันอีก เอาบวกมาหาบวก เอาลบมาหาลบ ยิ่งจะซับซ้อนเป็นกะเทยอีกหลายชาติ แก้ชาตินี้ก็ยากคุณทำของคุณเองทั้งนั้น ไปติดยึดซ้ำซ้อน ติดยึดทางเพศที่เป็นกระเทย เป็นเรื่องดูดไม่ใช่เรื่องผลัก ถ้าเรื่องผลักนี้อย่ามาใกล้กันเชียวนะ ก็คนละแบบ
เรื่องอย่าติดกันไม่ค่อยใกล้กันง่าย แต่เรื่องดูดกันนี่เข้ากันได้ง่าย มันจึงอยู่ในหมู่นี้ง่ายกว่า ชาวอโศกมีลักษณะดูด แต่ลักษณะตีกันมีน้อย
_วินัยสงฆ์ถือว่าผิดวินัยถ้าหลวงปู่รับเงินจะอาบัติไหม หนูคิดว่าคงไม่อาบัติเพราะไม่ได้รับเงินเพื่อตัวเอง แต่รับเงินเพื่อพัฒนา แผ่นดินพุทธ
พ่อครูว่า..ถูกต้อง
_ทำไมผู้หญิงผู้ชายห้ามถูกตัวกันครับ หรือต้องรักษาศีลข้อ 3
พ่อครูว่า...ถูกต้อง
_ข้าวเปลือก 1 เมล็ด ปลุกแล้วได้ข้าวหลายรวง เท่ากับ 120-300 เม็ด ต่อหนึ่งรวง ไม่ใช่มีรวงเดียวนะ แต่ส่วนใหญ่ชาวนายังจน แต่ความจนไม่เคยทำให้ชาวนาอดตาย
พ่อครูว่า...เอาไว้ฝากไว้ก่อนโอฬารเรื่องความจน ชาวนาและชาวอะไรก็แล้วแต่ เรื่องความจำนี้เรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:57:32 )
รายละเอียด
611031_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทางเดินสู่วิโมกข์คือก้นกรวยที่หมุนรอบเชิงซ้อน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1pvA1DrwkSfrykO39aD5FFQiex4iGZLQ3kJgUU5O32xE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1xMZ9VDi2vUvfCgyrfYf31qE8rNBxuqmW
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ปากกรวยไม่มีที่จบ ก้นกรวยมีที่จบ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้วันงานมหาปวารณาแล้ว ปีนี้งานเรามีรหัส 3 4 7
3 ย่อมาจาก 3 นักษัตร มหาปวารณา ครั้งนี้ครั้งที่ 36
4 ย่อมาจาก 4 รอบนักษัตรของโพธิกิจ
7 ย่อมาจาก 7 รอบนักษัตรอายุพ่อครู อายุ 84 ปีขึ้น 85 ปี
เป็นองค์ประกอบลงตัวหลายอย่างที่พ่อครูได้ยืนหยัดทำงานศาสนามา พ่อครูเคยประกาศเจตนารมณ์ว่างานของท่านมีงานเดียวคืองานสอนคนให้มีโลกุตระ คนไหนที่เห็นคุณค่าก็จะมาเป็นโลกุตระบุคคล เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่พวกเราแต่ละคน ควรจะมีทิศทางแบบนี้ เป็นทิศทางที่มีที่จบ พ่อครูเทียบว่า เป็นปากกรวยกับก้นกรวย ชีวิตโลกุตระ ไม่เป็นชีวิตที่แย่งชิงลาภยศสรรเสริญ ที่ไม่มีที่จบ ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีพวกเราทำโมเดล ปากกรวยกับก้นกรวยมาให้ดู เป็นได้ทั้งปากกรายและก้นกรวย เป็นเทวธัมมา
พ่อครูว่า...ใครเอาโลกียะก็เป็นปากกรวยบานไปเรื่อยๆ ส่วนทางโลกุตระ ไปทางก้นกรวย ไปถึงที่จบสุด เหมือนก้นหอยสูงสุด คนที่ไม่รู้ก็นึกว่าเขาไปไกล เขาลงไปต่ำ มันจะวนซ้ายวนขวา เป็นธรรมะ 2 วนไปวนมาซ้ายขวาก็เป็นทางลงนรก แต่ทางโลกุตระจะไปซ้ายไปขวาเหมือนกันแต่มันจะสูงขึ้น ดูเหมือนที่เดิมแต่เราเดินสูงขึ้นจากที่เดิมไปสู่ยอดเหมือนก้นหอย ไปสู่ที่จบ
ปากกรวยจะบานออกและขยายกว้างออกด้วยมีแต่นรกและสวรรค์สูงๆต่ำๆเท่านั้นแหละ
สมณะเดินดินว่า..ปากกรวยไปสู่ที่ไม่จบไปสู่จักรวาล
แต่ก้นกรวยคือมีที่จบคืออรหันต์
พ่อครูว่า...ปากกรวยกับก้นกรวย สูงหรือต่ำ มากหรือน้อย เรียกว่ามากไม่มีที่สิ้นสุด หรือ 0 จบ มากไม่มีที่สิ้นสุดเป็นนิรันดร กับคนที่ทำให้สูญได้นิรันดร คุณจะเอานิรันดรแบบไหน สูญก็นิรันดร ไม่มีที่สิ้นสุดก็นิรันดร เพราะไม่เคยหยุดไม่รู้จักหยุดจักพอ
อย่างคุณเจ้าสัว วิชัย ศรีวัฒนประภา รวยติดอันดับโลก มีคุณงามความดีตรงที่ใจกว้างเป็นคนให้เป็นคนสละ คุณงามความดีอันนี้โดดเด่นไปทั่วโลกดีมาก เป็นแต่เพียงว่าดีระดับหนึ่ง ไม่มีที่จบเป็นปากกรวยเพราะรวย คุณวิชัยไม่มีทางที่จะทำให้ตัวเองจน อบายมุขกีฬา ความบันเทิงเริงรมย์ เอาทุกอย่าง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ก็ต้องขอโทษขออภัย คุณวิชัย และอยากจะขอเปรียบเทียบกับคุณธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งเขารวยกว่าคุณวิชัย คุณธนินท์นั้นแย่กว่าคุณวิชัย ขออภัยเป็นการแยกแยะทางวิชาการ คุณวิชัยยังมีลักษณะการให้การเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลเยอะกว่า ขอยกตัวอย่างบุคคลจริงในคนไทย เอามายืนยันเป็น specimen ที่เป็นตัวอย่างชัดเจนที่เป็นของจริงที่มีอยู่ในโลกไม่ใช่ลอยลม เป็น phenomenon ปรากฏการณ์จริงของมนุษย์ ตัวอย่างจริงที่เปรียบเทียบให้เห็นได้ มันไม่ใช่ง่ายเลยเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา เป็นวิบากของกรรมต่างๆที่สะสม มันมาก อาตมาอธิบายพยายามทำความเข้าใจ เอาจากคนจริงพฤติกรรมจริง งานจริงที่เขาทำอยู่ เท่าที่รู้ เท่าที่คุณจะสามารถเก็บความเป็นจริงให้รู้ได้ เห็นชัดเจนว่าเรื่องมนุษยชาติมันสะสมทุกกรรมกิริยา แล้วสะสมซับซ้อน ดูยากว่าเป็นบาปหรือบุญกุศล
โดยเฉพาะบุญ คุณวิชัยจะรู้จักจิตตัวที่มีกิเลสแล้วทำให้กิเลสลด หรือรู้จักเป็นโลกียะว่า การให้การเสียสละ จะได้กุศลจะได้รวยต่อไปในอนาคต ซึ่งมีความหยาบกว่าคุณวิชัย ขออภัยคุณธนินท์คุณวิชัยที่เป็นตัวอย่าง คุณก็ถูกอาตมาวิจัยวิจารณ์ ในส่วนบกพร่อง คนไม่อยากวิจารณ์เรื่องความบกพร่องเพราะว่ากลัวเขาจะมาฆ่าเอา คุณวิชัยมาไม่ได้เพราะเสียแล้ว คุณเจริญจะมาได้ เราก็เสี่ยงตายพูดเพื่อสัจธรรม ตายก็ตาย จะมาก่อเวรกรรมกับอาตมา อาตมาไม่ได้ขู่นะ ฆ่าอาตมาตายนี้วิบากมากกว่าฆ่าคนทั่วไป
ศึกษาให้ดี ชีวิตที่พาให้เราหลงแล้วคนไม่รู้ก็หลง ในชีวิตนี้ก็คงจะต้องพากเพียรเพื่อจะชิงตำแหน่งรวยที่สุดในโลกไปเรื่อยๆ คุณวิชัยหมดโอกาสแล้ว เพราะว่าสิ้นชีวิตไปแล้ว ส่วนคนที่เหลืออยู่ คุณศึกษา กรรมวิบากเป็นเรื่องจริง
กรรมนี้ ศาสนาพุทธเรียนรู้ ศึกษาแล้วจะทำอย่างละเอียดเข้าไปมันก็บันทึก ไปทำหยาบ แน่นอนก็บันทึก เพราะถ้าไม่เชื่อกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่าเป็นของๆตน ไม่เชื่อในวิบาก และสะสมเป็นกรรม ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า นี่คือความเชื่อ 4 อย่าง ที่เป็นเรื่องจริงที่ต้องศึกษาให้ดี ถ้าเราเชื่อและเราเข้าใจ เราก็จะไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติไม่ทำ ไม่ทำให้เกิดกรรมกิริยาที่จะเป็นบาป สะสมไปในทางไม่ดี
กุศลนั้นสร้างแล้วไม่ต้องไปยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ซ้อนลึกซึ้ง การไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเราคืออะไร ต้องรู้ วิญญัติ การเคลื่อนที่ของพลังงาน พลังงาน กายวิญญัติ วจีวิญญัติ พลังงานทางมโนคือจิต คุณก็ต้องรู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วก็ทำ มนสิการ เป็นการทำใจในใจ ทำให้ถูกตรงตามที่เรารู้เราชัดเจน
ถ้าเผื่อว่าเรา แม้แต่ความหมายที่ได้ฟังนี้จะยังไม่ชัดเจน แค่หยาบๆคร่าวๆ ขนาดนี้คุณยังไม่รู้เลย แล้วพลังงานจิตวิญญาณคุณจะรับได้อะไรแค่ไหน ขนาดที่ว่านี้ยังไม่ได้ละเอียดเท่าไหร่นะ คุณต่ำเกินไปแล้ว ทั้งกาย วาจา ใจ ให้รู้ว่าใจมันมีผล เขาก็ว่าแค่คิดเท่านั้นไม่ได้บาปอะไรคิดอาฆาตมาดร้าย คิดรักคิดชัง เพลงของสุรพล สมบัติเจริญ 16 ปีแห่งความหลังทั้งรักทั้งชังทั้งหวานทั้งขมขื่น ภาษามันสื่อสภาวะพวกนี้ ถ้าเราไม่เชื่อกรรมวิบาก กรรมเป็นของๆตนมีจริง ออกฤทธิ์เดช ในกรรมและกาละ ไม่รู้กี่ล้านๆปีเราไม่รู้
คนที่ยังโง่ไม่รู้โลกุตระ แค่โลกนี้มีพลเมือง 7000 ล้าน ที่จะมารู้สัจธรรมโลกุตระ เห็นหน้าอยู่ที่นี่กี่คน เอาล่ะ คนข้างนอกที่ฟังอยู่ ไม่ได้เอาตัวมาสัมผัสจริงก็จะเท่าไหร่ แล้วคนที่ฟังแล้วไม่เชื่อ ไม่เข้าใจอีกตั้งเท่าไหร่ คนที่ไม่ได้ฟังอีกเท่าไหร่ ใน 7 พันล้าน 6 พันล้านกว่านี่ไม่รู้ อาตมาไม่พูดหรอกพันล้าน ร้อยล้านก็ไม่มี มันจะถึงล้านหรือเปล่า ในประเทศไทยมี 77 ล้าน เอาเก็บรายละเอียด ประเทศที่ฟังอยู่
แสนคน เท่าไหร่ก็เอา อาตมาเข้าใจจึงไม่ ฮึดฮัด ก็ยังสื่อสารไม่เก่ง
SMS วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 (สำมะปี๋ซีวิต)
_6601น้อมกราบนมัสการบูชาพ่อครูค่ะ ลูกได้ฟังธรรมะทุกวันจากพ่อครูลูกเริ่มเข้าใจในการปฏิบัติแล้วค่ะ ลูกเริ่มนิ่งได้เมื่อเจอผัสสะ และลูกเริ่มเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมสำคัญอย่างยิ่งต้องสังวรณ์และสำรวมในกายวาจาใจใช่มั้ยคะ ลูกฟังธรรมะมาเริ่มจะไม่สงสัยแล้วค่ะ เหลือแต่จะปฏิบัติให้ได้ค่ะ กราบขอบพระคุณในธรรมะอันประเสริฐค่ะ
พ่อครูว่า..ปฏิบัติได้เจริญจะต้องมีทักษะได้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นหนีหลบเลี่ยง อย่างเรารับผัสสะจากคนอื่นที่เข้ามา เราไม่ต้องไปวิ่งไปรับผัสสะจากข้างนอก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อัตภาพของโพธิสัตว์ระดับ 7
_3867เคยทำบุญกับพระหลายร้อยวัดส่วนใหญ่จะเป็นนักเทศน์นักธรรม!แต่พ่อครูเป็นหลายนักนศ.เพาะช่าง!นักประติมากรรมศิลป์!นักแต่งเพลง!นักจัดรายการTV!นักเขียนหนังสือธรรมะ!นักกลอนกวี!ครูนักเทศน์ลงดินลุยน้ำก็ยังเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ!อดีตชาติท่านทำบุญกุศลใดจึงเก่งเป็นหลายนัก ?
พ่อครูว่า...อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นมานักแล้ว เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินบริหารประเทศอย่างนี้เป็นต้น ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่ สิ่งจริงมันก็เป็นจริงถ้าไม่เป็นจริงอาตมาก็เป็นบาปเป็นวิบาก หากมีอาการอวดดีอวดอ้างก็เป็นบาป หากใครพูดเท็จก็เป็นวิบากบาปมาก บาปในเรื่องที่พิเศษอุตตริมนุสสธรรมบาปยกกำลังร้อยนะ ยกกำลังพัน เพราะฉะนั้นอย่าทำเป็นเล่น ก็ตอบได้ว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คุณคิดสิ แค่โพธิสัตว์ระดับโสดาบันต้องรู้สัจจะที่จะต้องระมัดระวัง โพธิสัตว์สกิทาคามี ไม่ใช่แค่ 10 ชาติร้อยชาติแต่ละชาติ ที่สั่งสมบารมี ไม่ใช่แค่ 10 ชาติร้อยชาติ เป็นพันชาติแสนชาติพันชาติล้านชาติ ตัวเลขนี้ไม่ได้นับกันง่ายๆ ตัวเลข 100 ปีมันสั้น คนอายุเป็นหมื่นปีนึกออกไหมว่าจะต้องทำกรรมสะสมวิบากขนาดไหน 100 ปีมันแป๊บเดียว อีกเดี๋ยวก็เกิดอีกชาติ อาตมาเกิดมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วเป็นโพธิสัตว์ ที่พูดนี้ยังน้อยนักในที่อาตมารู้ หลายอย่าง พูดไม่ออก อธิบายไม่ได้แต่รู้สภาวะธรรม แต่จะอธิบายให้ฟังนั้นบางทียังจับแพะชนแกะไม่ชัด เราใช้ภาษาไทย หลายคนรู้ภาษาไทยมากกว่าอาตมา คำก็มากกว่าอาตมา ภาษาอื่นที่จะมาผสมก็มากกว่าอาตมา อาตมาสื่อแค่นี้คุณยังฟังไม่หวาดไม่ไหว หากว่ารู้มากกว่านี้คุณจะปีนบันไดฟังไม่ไหว
เรามั่นใจว่าอัตภาพ 1 ของแต่ละคนที่เกิดมาเพื่อสะสม สิ่งที่โง่กับสิ่งที่ฉลาด คนฉลาดนั้นแยกเป็น 2 ฉลาดแบบโลกีย สมบัติผลัดกันชม วิบากแก้แค้นกันไปรักกันไป พยาบาทกันมา แยกออกไหมว่าโลกียะกับโลกุตระ โลกุตระนั้นตัดความวน สั้นลงๆ จนกระทั่งถึงที่สุดโลกุตระจบ เป็นอรหันต์ แล้วก็จะมาวนอีกได้ แต่วนขึ้นไปเรื่อยๆไม่วนลง จะเจริญต่อไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเอาแค่พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนใครจะไปเกินกว่านั้นมากกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็นิมนต์ อาตมาว่าอาตมามีขีดความพอ และไม่เอา 2 สมัยด้วย เป็นพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เป็นแค่ปัจเจก ได้ของเราแล้วไม่ประกาศศาสนา ไม่เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ เพราะเราบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ประกาศแก่มนุษย์โลก ภูมิสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่ท่านไม่ประกาศศาสนาปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ก็เป็นสิทธิของท่าน ซึ่งท่านก็ทำงานมาหนักหนาสอนคนมานักต่อนัก ท่านก็มีความสันโดษใจพอ แล้วความสันโดษของแต่ละคนมันเท่ากันที่ไหน สันโดษของท่านมันขนาดนั้น ท่านสูงส่งกว่าเราเยอะ เทียบกันไม่ได้เลย เราก็ยังรู้จักพอเลย ท่านก็ยิ่งรู้จักพอ อย่าไปคิดแทนท่านเลย ท่านจะจบโดยฐานนี้ก็เป็นอิสระเสรีภาพของท่าน เป็นเรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องคิดยากเข้าใจยาก
สรุปแล้วอาตมาเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ บางอย่างระลึกได้ก็ยังไม่ควรพูด
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ยึดกับปล่อยวางเป็นธรรมะ 2
_1614 แม้จะเป็นความเห็นที่ถูก ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น #พุทธทาสภิกขุ
พ่อครูว่า…ก็ใช้ได้ เป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แต่อาตมาซ้อน ใช้ภาษาที่เห็นต่าง ความคิดถูกที่ถูกต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นแต่ก็ต้องยึด หากคุณปล่อยก็ลืมเลยไม่เหลืออะไร เพราะฉะนั้นพูดไม่ครบเป็นธรรมะ 2 ธรรมะ 2 คืออันนี้เราควรยึดถือก็ยึดถือไว้ อันนี้มันจะหลุดง่ายก็ควรจะยึดไว้ เรารู้วิธีวางแล้วก็ยึดได้ คนรู้วิธีวาง ยึดก็ไม่น่ากลัว แต่คนยึดโดยไม่รู้วิธีวาง ก็เอาแต่ยึดก็ซวย
เรียนรู้วิธีวางเก่งก็ยึดได้มาก แต่ถ้าคุณยึดแล้ววางไม่เก่ง ยึดเอามามาก ก็ซวย ไม่เฮง มันซับซ้อนอย่างนี้
_7795 การบิณฑบาตของพระภิกษุนั้นเป็นอุบายธรรมที่พุทธองค์ทรงให้พุทธบริษัทลดกิเลส ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาเขียน ศาสตร์และศิลป์ของบิณฑบาต ผู้เรียนทางชาวอโศก เป็นสามเณรต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้พิมพ์เพิ่มอีกแล้วหาได้ยาก
การบิณฑบาตเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะที่ลึกซึ้ง บาปในการบิณฑบาตก็เยอะ กุศลก็มีในบิณฑบาตเยอะ บุญก็มีในบิณฑบาต ต่างกันนะ บาปก็อย่างหนึ่ง กุศลก็อย่างหนึ่ง บุญก็อย่างหนึ่ง
หากไม่ชัดเจนไปบิณฑบาตก็ได้แค่กุศลอกุศลโลกียะ บิณฑบาตสามารถเป็นบุญได้ด้วย โดยมีผู้รับและผู้ให้ กิเลสคุณที่มีความขี้โลภก็ได้ล้างจากการให้ ปัจจุบันสัมผัสแล้วทำให้กิเลสลด ไม่ใช่กิเลสเกิดแล้วไม่รู้ตัว ก็ซวยตลอด แต่พระบิณฑบาตแล้วอ่านจิตอ่านใจเป็นมันเกิดกิเลสขี้โลภสะสมอยากจะได้ หรือว่าเรามีจิตอยากได้อยากมีอยากเป็นหรือยึดmก็ล้าง มันก็จะได้ประโยชน์จากการบิณฑบาต
_Koithai Maitriwong · กราบเคารพพ่อครู. ผมมีความเห็นว่า ที่จะให้ท่านคมคิดทำม่านน้ำเป็นแผ่นบางๆยาวลงมาให้เป็นแผ่นไม่ให้แตกเป็นแฉกๆ. ผมว่ายากคับ. เพราะผมทำระบบน้ำ ทำบ่อปลามานานพอสมควร ถ้าม่านน้ำยิ่งบางมันจะยิ่งแตกกระจายคับ ปัยจัยด้วยลมก็ใช่ ด้วยการทำบ่าให้น้ำไหลก็ใช่ ด้วยความแรงน้ำก็ใช่. และอีกมากมาย ม่านน้ำถ้าจะให้เป็นแผ่นสวยจะไม่เกิน1เมตรเท่าที่ผมเคยเห็นมาคับ. ขออย่าติท่านคมคิดเลยคับ ผมอยากเข้าไปช่วยงานนี้อย่างมากเลยคับถ้าผมมีโอกาส แต่ผมยังติดอยู่กับโลกๆอยู่คับขอแกะให้ออกแล้วผมไปอยู่บ้านราชแน่คับ.
พ่อครูว่า…
ก็คิดกันไปได้แต่ทำไม่ง่าย ตอนนี้จะมีน้ำโตน น้ำตกผาแหงน น้ำริน หินน้ำไหล น้ำม่าน ท่านคมคิด เป็นศิลปินก็จะทำเป็นสไลเดอร์
เป็นองค์ประกอบให้คนมาซึมซับสิ่งที่ดี อาตมามั่นใจในพลังงานสนามแม่เหล็กแห่งคุณธรรม พวกเราเป็นองค์กรที่มีสนามแม่เหล็กแห่งคุณธรรมที่มีพลังงานแน่นพอสมควร ใครเข้ามาในสนามแม่เหล็กนี้ พลังงานนั้นมีจริง เขาจะไม่กล้าทำชั่วอะไรมาก มันเป็นจริง เขามานี่ก็จะได้รับประโยชน์มากกว่าโทษ
แม้คุณจะมาไม่ได้ ก็มาช่วยบอกเอาความรู้มาช่วยแนะนำก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็ขออภัยหากเรียกร้องมากไป
_สมชาย บ้านซับขาม · ที่อื่นท่องเมตตาปากเปล่า แต่ไม่ได้ทำได้จริง. แผ่แล้วก็ฆ่า แผ่แล้วก็กิน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน จะรู้กิเลสปริยุฏฐานต้องผ่านวีติกมกิเลส
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ลูกขอกราบขอบพระคุณท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโร ที่กรุณาอธิบายเรื่องของ ปริยุฏฐานกิเลส ทำให้ลูกเข้าใจมากขึ้น ลูกขออธิบาย ความเข้าใจจากการฟังผิดถูกอย่างไร
ขอพ่อท่านชี้แนะด้วยค่ะ
1. ขอยกตัวอย่างปริยุฏฐาน เป็นเรื่องของนิวรณ์ 5 เป็นเรื่องของในจิตล้วนๆ เช่น
ลูกชอบต้มมะระมาก ไปซื้อมาให้แม่ครัวต้มขึ้นศาลา พอต้มเสร็จ ลูกก็ไปตักมากิน
แล้วแบ่งขึ้นศาลาประมาณหนึ่ง พอกินเสร็จ ลูกเกิดสำนึกขึ้นมาว่า
"เรานี่เป็นผีเปรตไม่รู้ตัวเลย" ตอนไปตักทำไม มองไม่เห็นผีเปรต เกิดความสลดใจ
เศร้าใจ คิดว่าต่อไปจะแก้ตัวใหม่ ความโลภ (ผีเปรต) เป็นปริยุฏฐานกิเลสใช่หรือไม่คะ
2. อุปกิเลส 16 เป็น ปริยุฎฐานกิเลส หรือ เป็น อรูปอัตตา
กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า...คุณต้องพ้นกิเลสนั้นก่อน กิเลสตัวนั้นมันตายแล้ว ฐานจิตคุณก็สูงขึ้น กิเลสมันก็ลดลงไป ผ่านกิเลสนั้นได้แล้ว เรียกว่าวีติกมะ ล่วงพ้นจากกิเลสนั้น กำลังเผชิญกับกิเลสชั้นสูงขึ้นเรียกว่าปริยุฏฐาน กิเลสหยาบต่ำเราผ่านมาแล้วพ้นแล้ว เรียกวิติกมกิเลส ส่วนกิเลสปัจจุบันคือ ปริยุฏฐานกิเลส
ปริยุฏฐานคือคุณทำกิเลสหยาบต่ำพ้นแล้วจริง จึงรู้กิเลสที่เหลือคือปริยุฏฐาน มีกิเลสหยาบคืออบายคุณผ่านได้แล้ว
ปริยุฏฐาน จึงไม่ใช่อรูปอัตตา
อรูปอัตตาคือ ไม่หยาบเป็นกาม ที่เป็นทวารทั้ง 5 ภายนอก ที่ต่ำถึงอบายภูมิ หมดทางภายนอกเหลือแต่ภายใน ข้างนอกไม่มีปัญหา แต่ที่ดุ๊กดิ๊กอยู่ ถ้ารูปราคะมันแรงอยู่ภายในข้างนอกไม่ออกแล้ว อนาคามี หิริโอตตัปปะ ไม่ทำภายนอก ชัดเจน กรรมเป็นอันทำ คุณจะไปนิพพานทำไมไปวนเวียนอีก ต่ำก็ยังไปเพิ่มต่ำอีกดัน ก็ต่ำลงไปอีก คุณก็โง่ไม่ไปนิพพานได้หรอก คุณต้องฉลาดจะไปทำต่ำทำไมต้องทำให้สูงขึ้นต่างหาก มันจะวนเวียนอยู่กับธรรมะ 2 จะไปวนเวียนอยู่ทำไม วนกับธรรมะ 2 ซ้ายขวา มีรูปนามอีกเป็น2
หากคุณสูงขึ้น ก็ดึงขึ้นสูงขึ้นๆ มันวนจริง แต่มันวนเหมือนก้นหอยสูงขึ้นๆ ก็ได้ แต่นี่ทั้งสูงทั้งเคลื่อนทั้งไปซ้ายไปขวา นี่ระนาบเดียวนะ ยังมีนอกมีในอีก แค่พูดก็เมื่อยแล้ว กรรมกิริยาทั้งนั้นซ้อนในนี้ เราก็ทำให้กิเลสลดลง อัตราความก้าวหน้าจะรู้ได้ปฏิภาคทวีสูงขึ้น มากกว่าที่พูด มันซ้อนพูดไม่ไหว จะมีปฏิภาคทวี การก้าวหน้าการเจริญซ้อนไปซ้อนมา มันจะบวกลบคูณหารกัน
ตกลง ปริยุฏฐานกิเลสกับอรูปอัตตา ที่มีขั้นหยาบ กลาง ละเอียด
ซึ่งยังมีอีกมากมาย อาตมาก็ยังรู้สึกว่าอธิบายยังไม่เก่งไม่ครอบคลุมพอ
ปริยุฏฐาน ยังมีความดิ้นมากกว่าอรูปอัตตา
กาม รูป อรูป แต่ปริยุฏฐานเป็นขั้นที่ได้แล้วก็มี ไม่ได้ก็มี ต้องทำต่อ ส่วนที่ไม่ได้ต่อไปอีกก็ไม่รู้มีอีกมาก ต่อไปอาจหยาบในเรื่องอื่นอีก มีหยาบอีก กามอีก อรูปอีก ซับซ้อน…
_คุณใบฟ้า...ดิฉันได้ข้อมูลจากคุณจุ้ยว่า ท่านยุทธวโรอาจลงอารามที่ภูฟ้าผาธรรม พ่อครูมีความคิดเห็นอย่างไรคะ ถ้าเป็นจริงก็อนุโมทนาสาธุ
พ่อครูว่า..ฟังดูแล้ว ท่านปฏิบัติประพฤติอย่างนี้ทำให้ช้าหรือเร็ว ...ช้า แล้วใครไปดึงท่าน ดึงท่านไม่ได้หรอก ท่านเป็นตัวของท่านเองว่ากัน ก็อนุโมทนาสาธุ
สม.กล้าข้ามฝัน…
สม.รินฟ้า…
ส.ฟ้าไท..
ส.แสนดิน..
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน มนุษย์โลกียะกับมนุษย์โลกุตระ
พ่อครูว่า...ก็ขอเพิ่ม ขอเติมอีกคนคือคุณเจริญ..ขออภัย ขอบคุณก่อน ที่จะมายกตัวอย่างเพื่อจะศึกษาความรู้ความจริง เป็น phenomenal ทั้ง 3 ท่านนี้ ตามภูมิของอาตมา
คุณเจริญอาการจะหนักกว่าเพื่อน จะต้องไปวนในกรรมวิบากอีกมากมาย เพราะว่าธรรมอบายมุขเมา ในเรื่องเหล้า ซับซ้อนทำให้คนทรมานทรกรรม คนต้องตาย และทรมานอีกเยอะเลยในเรื่องเหล้า เขาก็รวยเละมาก ตัวเองก็รู้ดี ไม่ดื่มเหล้านะ แต่ใจดำอำมหิต ให้คนอื่นตาย มันอาการหนักมากเลย นี่ก็ขอให้สติคุณเจริญ ถ้าคุณเจริญรู้สติเรื่องนี้แล้วรีบแก้ไข รีบมาเรียนโลกุตระ ไม่อย่างนั้นจะจมดิ่งหนักมาก
คุณวิชัยก็รู้สึก จะมีพฤติกรรม พฤติบทที่ เป็นกุศล ส่วนจะเข้าเกณฑ์ของ โลกุตระนั้นก็คงจะยังไม่เข้าเกณฑ์แต่ก็เป็นกุศลไม่ใช่น้อยเท่าที่ดูแล้ว ช่วยสร้างวัดวาช่วยทางสัจธรรมเยอะ มีผู้แสดงออกมามีพระมีเจ้าแสดงออกมา
ส่วนคุณธนินท์ ซับซ้อนกว่าคุณวิชัยเยอะ ที่ต้องยกตัวอย่างบุคคลเพราะว่าไม่เก่ง ผู้ที่เป็นตัวอย่างจริง มันชัดเจนกว่าเยอะ มันเป็นของจริงที่ปรากฏเกิดจริงมีจริงให้ศึกษาได้ ก็ศึกษาภาวะนี้ก็แล้วกันเพราะอาตมาไม่เก่งที่จะเอารายละเอียด ความลึกซึ้งตรงนี้มาขยายความ สรุปอีกว่าเป็นเรื่องกรรมวิบากทั้งนั้น
อาตมาสรุป มนุษยชาติ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว จนเป็นมนุษย์ที่มีไม่รู้กี่ล้านเซลล์ กว่าจะได้มามีฉันทะ เห็นว่าโลกุตระนี้จะต้องเอา คงอีกนานมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ใดแล้วนี้อย่ารอช้า ไม่เห็นจะมีอะไรดีกว่านี้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สิ่งที่ดีที่สุดท่านเอามาให้แก่คน พระพุทธเจ้าท่านทั้งชีวิตของท่าน 80 ปี ทำงานศาสนาอยู่ 45 ปี ท่านไปทำอย่างอื่นเลย เมื่อรู้ตัวตอนอายุ 29 ก็ยังไปมีวิบากอีก 6 ปี เป็นลิงลมอมข้าวพอง ไปหลงวัฒนธรรมยุคสมัยเขาติดยึดอย่างนั้น ออกป่า นั่งทรมานทรกรรม กระทำทุกรกิริยาอีกตั้ง 6 ปี กว่าจะฟื้นตัวเองได้ ว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่เป็นลิงลมอมข้าวพองที่ต้องมีวิบาก เป็นวิบากที่แต่ละช่วงของการเกิดซับซ้อนทุกคนมีลิงลมอมข้าวพอง อาตมายังเก่งนะ ยังอุตส่าห์ เอาลิงลมอมข้าวพองมาเป็นตัวแทนได้
ลิงลมอมข้าวพอง เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของคนไทย คือคนเล่นจะมีคณะ แล้วจะมีคนหนึ่งที่จะตายเป็นลิงลม ก็ต้องนอนคว่ำหน้า หมอบ ให้เพื่อนเขาจับเขย่า ให้เวียนหัว คนเล่นมี 10 คน 20 คนก็มาเขย่าคนเดียวให้เมาหัว ก็ร้องเพลงลิงลมอมข้าวพอง บางคนก็ร้อง 3 จบบางคนก็ร้อง 2 จบ แล้วก็ให้ลิงลมนี้วิ่งไล่ตามจับคนที่เป็นสมาชิกเล่น จับคนไหนได้ คนนั้นก็มาเป็นลิงลมอีกต่อไป สรุปแล้วทำให้เมา จนกว่าจะตั้งหลักได้ คนไหนตายคนนั้นก็มาเป็นลิงลมแทน เพราะฉะนั้นการให้เมาคือลิงลม
คุณเกิดมา กระแสของโลกก็จะมอมเมาคุณ พระพุทธเจ้าอยู่กับโลก 29 ปี ออกมาก็เมากับวัฒนธรรมอีก เพราะว่าไม่มีโลกุตรธรรมตอนนั้น ภูมิเก่าพพจ.ยังไม่ขั้น ท่านก็ทำเก่งกว่าคนอื่นเขาอีก จน15 ค่ำเดือน 6 ก็ตรัสรู้
ลิงลมอมข้าวพอง จะสั้นหรือยาวก็อยู่ที่วิบาก เรารู้แล้วก็อย่าปล่อยให้ยาวสิ เราก็ทำให้สั้นเสีย ในงานจะได้เทศน์ 48 พรรษา 4 รอบอาตมาก็ยังมีลิงลมอมข้าวพอง
อาตมาเป็นฆราวาส ก็ไปวนในโลก 36 ปีออกมาแล้วก็มาทำงานศาสนา แน่นอน 12 ปีแรก ที่เกิน 72 ปีมา อาตมาจะอยู่ไปอีก 12 ปีก็เป็น 60 จากนั้นก็เป็น 72 จากนั้นก็เป็น 84 มันไม่ใช่น้อยแล้วนะ อาตมาถึงว่าตอนนั้นแหละ อาตมาอายุมาบวช 36 ปี บวกอีก 48 เป็น 84 ปี บวกอีก 12 ปีเป็น 96 ปี เป็น 7 นักษัตร บวกอีก 12 เป็น 108 บวกอีก 12 เป็น 120 จะกระเสือกกระสนไปอีกจนอายุ 144 ปี
โลกทั้งโลกตอนนี้กระแสมันดีกระแสมาทางธรรม อย่างน้อยตอนนี้รู้สึกว่าการเสียสละการช่วยคนนี่สิดี ถ้าเขาสามารถอ่านจิตเจตสิกเขาได้ล้างกิเลสได้ก็เข้าโลกุตระ อาตมาหวังนะ คนจะเข้าใจโลกุตระได้ พวกเรามีแก่นแกนชัดเจนไม่มีปัญหาจะต้องไปเวียนกลับทางโลก ส่วนคนไม่ชัดเจนก็ต้องมาเอาสิ่งนี้แหละ เพราะความเจริญของอัตภาพสัตว์โลก ก็มีแต่ทางนี้แหละสูงสุดโลกุตระ เพราะว่าโลกใบนี้มีมนุษย์โลกียะกับโลกุตระเท่านั้น แล้วพุทธก็อธิบายโลกุตระได้
อาตมานี่เอาสภาวะจริง แต่พยัญชนะเป็นเรื่องรองลงไป เป็นเรื่องทฤษฎีเป็นเรื่องบัญญัติ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจตามทฤษฎีบัญญัติตามภาษา ที่จะผิดเพี้ยนไปบ้าง ทำให้สับสนได้นิดหน่อย แต่ถ้ายืนหยัดสภาวะไม่ผิดเพี้ยน อาตมาว่า อาตมาเอาอันนี้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเห็นความไม่เก่งของตัวเองมันยังไม่เก่งในพยัญชนะ อุตส่าห์เอาภาษาไทยก็แล้วภาษาบาลีก็แล้วภาษาอังกฤษแถมไปนิดหน่อย ภาษาจีนภาษาจีนนิดๆ
ภาษาญวนก็ได้แต่นับเลข ใช้ภาษาอีสาน ลาวเสริมช่วย ถ้าอาตมารู้อย่างอื่นอีกก็เอามาเสริมกันไม่ได้ขาดทุนอะไร แต่มันไม่รู้ ไม่ได้ตั้งต้นศึกษาเพิ่มเติม อาตมาว่าไม่มีเวลาจะศึกษา ที่จะรู้พยัญชนะเพิ่มเติมอีกแล้วเอาแค่ภาษาไทย อีสานมากหน่อย แค่นี้ก็พอแล้ว คนอื่นใครอยากจะได้ก็มาศึกษาภาษาไทย อีสานฟังภาษากลางได้แต่พูดอีสานคนอื่นอาจฟังไม่รู้เรื่องอาตมาไม่โง่ เอาภาษากลางดีกว่า การใช้ภาษาอีสานยิ่งหนัก ใช้พลังงานมากกว่าภาษากลาง ขนาดภาษาไทยกลางยังแรงเลย ถ้าเป็นอีสานมันจะแรงกว่านี้อีก เสียงดังกว่านี้มากอีก คนอีสานอยากให้อาตมาพูดภาษาอีสานก็ขออภัย อาตมาไม่ค่อยจะสนองกิเลสเท่าไหร่ ก็อย่าถือสาอาตมาเลย อย่าหาว่าเล่นตัว ไม่ได้อายหรอก อาตมาจะมาเป็นคนอีสานทำไมจะมาอยู่อีสานทำไม ถ้าหากอาตมาก็อยู่ที่กรุงเทพฯสิ จะมาอยู่ภาคกลาง อยู่ที่นี่ทำไม มันซับซ้อนเสียเวลา
ทีนี้มาเข้าสู่เนื้อหา จะอธิบายบุคคล
ตอนนี้ มีพวกเรากำลังจะทำรายละเอียดของโสดาบัน มีหลักฐานข้อมูล จุดต้นของความเป็นโสดาบันให้ชัด เขาพยายามอยู่ อาตมาเมื่อได้ค้นด้วย
เอาลักษณะก่อนโสดาฯ จนเป็นโสดาฯ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ในเอกกนิทเทส
มันตั้ง 41 ขั้น หากพูดในงานไม่ทันแน่ มาเริ่มแต่วันนี้เลย
อันที่ 1 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว
[17] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดยสมัยแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย
17] กตโม จ ปุคฺคโล สมยวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล
กาเลน กาล สมเยน สมย อฏฺ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา
วิหรติ ปฺาย จสฺส ทิสฺวา เอกจฺเจ อาสวา ปริกฺขีณา
โหนฺติ อย วุจฺจติ ปุคฺคโล สมยวิมุตฺโต ฯ
พ่อครูว่า...ท่านไปแปลว่า ไม่พ้นแล้วในสมัย การพ้นอาสวะต้องด้วยปัญญา ต้องในขณะลืมตามีการอาชีพ การกระทำ คิด พูดทำ อย่างครบพร้อม ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาที่จะได้แต่สัญญาในอดีตกับฟุ้งอนาคต นั่งหลับตามิจฉาทิฏฐิหมด ไม่ใช่ปัจจุบัน ธรรมะพุทธเจ้านั้น คือทิฏเฐ แล้วปัจจุบันต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง (อาโลก) คือต้องมีทวาร 5 ภายนอกเปิดรับทุกอย่าง แสงสว่างเข้ามากระทบตา หูกระทบเสียง กายสัมผัส จมูกรับกลิ่นครบทวาร 5 ตลอด ใจก็ร่วมกับตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสโผฏฐัพพะ เป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งมาก
สรุปแล้วผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่บอกว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในพระไตรปิฎกใช้คำว่าถูกต้อง ผุสิตวา คือสัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ด้วยกาย หมายความว่า ในโลกที่มีพระอาทิตย์มีโลกหมุน ตาม กาละ
กาละนี้เป็นเรื่องวงโคจรทั้งหลายของดวงดาว แต่คุณเป็นอัตภาพเป็นสัตว์เป็นจิตนิยาม เกิดมาสัมผัสรู้เกิดมามีความรอบรู้จนถึงขั้นปัญญา มีความเฉลียวฉลาดเป็นขั้นปัญญาโลกุตระแล้ว คุณสามารถที่จะรู้จักกิเลส ทำให้กิเลสมันลดได้ ในการที่คุณไม่ปรินิพพานทำกาละสิ้น ยังมีกาละไม่สูญไปจากความหมุนของพระอาทิตย์ของโลกนี้ ยังมีอาโลกะ โลกสันนิวาส ยังมีแสงอาทิตย์ โลกยังหมุน คุณก็ยังมีกรรม มีกาละ
ในสมยะ โดยสมัย ในสมัยอีก ท่านแปลเป็นไทยจาก กาเลน กาล สมเยน สมย
กาละคือองค์รวม วาระ เวลา
สมยะ คือในขณะคุณเกิดเหตุการณ์ ตอนนี้คุณกำลังเจอกิเลส มย แปลว่าของเรา ส คือการกระทำของตนเอง
ในขณะนี้ที่คุณทำของตนเอง สมยะ ถ้ากาละคือในเวลา ในโลก แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ แปลจากคำว่า วิหารติ
อฏฺ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ท่านแปลว่า สมเด็จอิริยาบถอยู่ ที่จริง วิหารติ คืออยู่ พร้อมไปทั้งการเคลื่อนไหวไม่เอาแบบนิ่งๆนะ สำเร็จอิริยาบถอยู่มันเป็นการเคลื่อนไหวนะ คือมันเป็นอยู่นะๆ มันได้ทำแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งกาย วาจา ใจนะ นี่คือรายละเอียด
อาตมาก็รอว่ามีใครที่เก่งกว่าอาตมาเป็นพี่ อาตมาไม่ริสยาหรอกนะ คนดีกว่าเก่งกว่าอาตมาก็ต้องเคารพนับถือ ตอนนี้ยังไม่มีก็ไม่เป็นไร
ตอนนี้อาตมาคนเดียวในหลวงท่านก็ไปแล้ว อาตมาก็เอาไม่เป็นไร อาตมาก็มีลูกๆมีผู้ที่ช่วยๆกันหลายคน ก็รวมๆกัน หลายคนรวมกันก็มีหนึ่งขึ้นมาได้ ธรรมะ 2 ช่วยกัน มันก็จะซับซ้อนอย่างนี้เสมอ
อันแรก ผู้พ้นในสมัย กับอันที่สองธรรมะสอง
อันที่ 2 บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย อาสวะทุกอย่างสิ้นแล้ว
[18] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาล(กาเลนกาลัง)ในสมัยโดย สมัย(สมเยนสมยัง) สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ
[18] กตโม จ ปุคฺคโล อสมยวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข กาเลน กาล สมเยน สมย อฏฺ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปฺาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อย วุจฺจติ ปุคฺคโล อสมยวิมุตฺโต ฯ สพฺเพปิ อริยปุคฺคลา อริเยวิโมกฺเข อสมยวิมุตฺตา ฯ
พ่อครูว่า...อันนี้ท่านแปลต่ำว่า คือไม่พ้น ต่ำว่าอันแรกไม่ถูก ต้องสูงกว่าอันแรก คำว่า น คือไม่ เหวะ โข คำว่าโข คือยืนยันความจริงเป็นของแท้ของ จริง หวะ คือ ภาคเศษ คือไม่อะไรไม่อยู่ที่เหวะ
เหวะคือ หะ กับเอวะ
เอวะ คือนั้น คล้ายๆกับโห ที่ยืนยันความจริง
เอวะคือ อันนี้ๆฉะนี้ เอวะ เอวัง
ส่วน ห คือตัวแท้ตัวจริงตัวถูกต้องตัวนั้นแหละอันนั้นมันมีแล้ว นเหวะ
คือ คนที่มีแล้วอย่างนี้ไม่ต้องไปกล่าวว่าจะต้องถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มันจึงได้ยากที่จะเข้าใจ ก็เห็นใจเขา คนที่เป็นแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ วิหรติ แล้วก็ได้แล้วผ่านแล้วสำเร็จแล้วอาสวะทั้งหลาย บุคคลนั้นสิ้นแล้ว สูงกว่าผู้ที่อาสวะบางอย่างสิ้นไปคืออันแรก อันนี้อาสวะทั้งหลายหมดสิ้นแล้ว
การที่คุณไปตัดทวาร 5 ออก มีแต่ ธรรมารมณ์ กับมโนไม่ได้ ต้องออกมามีภายนอกด้วย ต้องเป็นธรรมะ 2 ใจกับตาหูจมูกลิ้นกาย ต้องมีสัมผัส
กายะ นี้จึงกำกับเลย เป็นเงื่อนไขหลักว่ากายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน คำว่าธรรมะ 2 คำว่ากายคำว่าเทวะ
3 คำนี้ยิ่งใหญ่มาก
เทวะ ก็ แปลว่า 2 กายก็เป็นรูปนาม ธรรมะ 2 คือสิ่งที่ทรงไว้ 2 สิ่งที่ไม่ทรงไว้ ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้มีอยู่ ยังไม่ 0 ธรรมะคือยังไม่สูญ
กาย มีภายนอกกับภายใน
ทีนี้ เทวะ เป็นหลักบอก 2 คำว่าเทวะ จึงเป็นคำรวมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยในโลก ของศาสนาของการประพฤติจิตวิญญาณกับร่างกาย หรือมนุษย์เทวะ
ศาสนาเทวนิยม ยึดถือใน 1 แต่ตี 1 ไม่แตก แต่จิตมันต้องแยกมาเป็น 2 เพื่อศึกษา ศึกษาก็ไม่เป็นแยกไม่เป็นตีไม่แตกแยกไม่ออก แล้วก็ยึดถือ ตีไม่แตกแยกไม่ออกนี่แหละเป็นนิรันดร์ คุณก็ไม่ฉลาดนิรันดร์ ไม่ว่าโง่นะ คุณไม่มีทางรู้ มันก็เป็นนิรันดร์เพราะคุณไม่แยก เทวนิยมแยกไม่เป็น มีแต่หนึ่งเดียวอย่าที่สุดหนึ่งเดียว แต่ในโลกนี้มันคือเทว คุณมีกายกับจิตก็เป็น 2 มีตากระทบรูปก็เป็น 2 มีชอบและมีชังก็เป็นสอง
ถ้าไม่มี 2 ให้เปรียบเทียบแล้วจะเกิดความรู้ไหม ก็ไม่เกิด ก็รู้แค่หนึ่งเดียวที่เป็นเทว แล้วเทวะของเอ็งเป็นอย่างไร ก็ห้ามสัมผัสอีก แล้วรายละเอียดเป็นอย่างไรมีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นเทวะเป็นพระเจ้า ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว วิญญาณยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลนี้ แล้วถือว่าเป็นผู้สร้างทุกอย่างในมหาจักรวาลด้วย แล้วเอาพันธ์ุไหนมา?
ตอนนี้โลกมันเปิดหมดแล้วเป็น globalization มาต้องตีแตกสิ จะไปสงวนไว้ทำไม ไม่ต้องขี้เหนียว อันนี้อยากให้รู้อยากให้ได้ มันจะได้เจริญยิ่งขึ้น โลกจะได้สงบจะได้มีความเป็นสุข ได้ความวิเศษอย่างนี้ ถ้ารู้จุดเจริญ ก็อย่าไปทำน้ำเหล้าขายกันอยู่นั่น
จะได้กินเจ อีกอันคือ เจริญ มันทำมืดหน้าเจ มาเป็นเจดีกว่า
ภาษาไทยเจริญ ภาษาบาลี ถ้าจะไปสะกดอย่างนั้น เจริยะ หรือ จริยา ภาษาบาลีไม่ใช้ เจริญ ที่เป็นภาษาไทย สระเอินเป็นของภาษาไทยไม่ใช่ บาลีสันสกฤต
เจริญมาจากภาษาเขมร
สรุปตรงนี้ก่อน...เทียบไปทีละคู่ได้
เขาแปล น เหวะ คือไม่ แต่ที่จริง เหวะนี้น้ำหนักสูงกว่า น เอวะ เสวะ เนวะ ปฏิเสธครึ่งหนึ่ง ถ้าเหวะคือของแท้อันนั้น โข ก็ยืนยันอีกคำ
โข คือแท้แล้วแล โดยแท้แล้ว แท้จริงแล้วแล
สมณะเดินดิน...สรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:58:38 )
รายละเอียด
611102_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกไม่ใช่กระฎุมพีแต่คือเศรษฐีผู้เจริญ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ur4GWjny6nVtaDbKHEOyF5ims9bvsY1N2ZrQGiLcliE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1GT_bkYnKVV1Wxo9AkQXVf-Am0uIoWI-F
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ข่าวแรกที่จะบอกก็คือที่บ้านราชฯอากาศหนาวควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย
ข่าวที่ 2 คือที่คุณใบฟ้า ส่งข่าวว่า ท่านยุทธฯจะลงมาที่ผาธรรมนั้น ไม่เป็นความจริง
เราจะเข้าสู่งานมหาปวารณากัน เริ่มวันที่ 6 พ.ย. นี้ งานเริ่ม 6-10 พ.ย. 2561
งานนี้เราจะมีร้านพิสูจน์จิตอาสา ขายสินค้าราคาเท่าทุน (ไม่ได้คิดค่าแรง) มีร้านอื่นๆอีก เช่น ห้านนี่มี๊ซือนะ ร้านศิษย์เก่า ที่จะขายสินค้าเท่าทุน ส่วนร้านปันกัน เช็คสต๊อกไม่เสร็จก็ยังไม่ทันขาย
งานมหาปวารณาเราจะมาเสียสละ ขาดทุนคือกำไรตามที่ในหลวงร.9 ได้ตรัสไว้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนจนนี่แหละจะเป็นผู้ให้ได้มากกว่าคนรวย
พ่อครูว่า...SMS
_4155 กราบอนุโมทนา..สาธุกับท่านยุทธวโร ที่ลงอารามภูฟ้าผาธรรมค่ะ / อุบาสิกาน้อมอภัย ค่ะ
_3867 พ่อครูใช้ขดลวดที่ขยายออกเป็นรูปกรวยประกอบธ.มัชฌิมาเห็นภาพชัดเจน!ปลายกรวยบานที่ปุถุชนหลงไปทางนามริยาสู่โลกียะกว้างออกไปหาเนกขัมมสิตโทมนัส!
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐีแท้จริงคือผู้ประเสริฐ
_โพธิปัก ขิยธรรม · ขอนอบน้อมพ่อท่านโพธิรักษ์ที่มีความอาจหาญกล้าวิจารณ์มหาเศรษฐี.
พ่อครูว่า...อาตมาก็แสดงธรรมะไปตามสัจธรรม เศรษฐีในความหมายของโลกใบนี้เขาหมายถึงความร่ำรวย ที่จริงคำว่าเศรษฐีหมายถึงผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐจะไม่ร่ำรวย คนร่ำรวยภาษาศัพท์บาลีเรียกว่ากระฎุมพี ไม่ใช่เศรษฐี
เศรษฐีนั้นคือผู้เจริญผู้ประเสริฐ คือผู้ที่มีธรรมะ ผู้ที่มีธรรมะจะไม่สร้างตัวเองให้รวย พระพุทธเจ้าท่านจากเดิมเป็นเจ้าชายก็ทิ้งสมบัติออกมาเป็นคนจนเลย นี่คือ คนเป็นเศรษฐีเป็นเศรษฐกิจที่เยี่ยม คนมาเป็นคนจนได้ คือคนที่มีเศรษฐกิจดีเยี่ยม มาเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่ไม่ขาดแคลน เป็นคนจนที่ไม่เป็นหนี้ เป็นคนจนที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความลึกซึ้งเป็นคนมีคุณวิเศษ มีความรู้พฤติกรรมที่เจริญอย่างแท้จริง
ถ้าโลกไหนสังคมไหนประเทศไหน สามารถสร้างคนให้เป็นเศรษฐีแบบนี้ ไม่ใช่สร้างคนให้เป็นกระฎุมพี แบบนั้นไม่เข้าท่า ยิ่งเป็นประเทศที่แย่ คนที่สร้างกระฎุมพีให้มากมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมาก รวยกระจุกจนกระจาย จึงเป็นประเทศที่ยากลำบากเศรษฐกิจ ฉิบหาย เศรษฐกิจเสื่อม บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ที่ทำให้คนรวยมากจะเป็นอย่างนั้น ศาสนาพุทธพิสูจน์ได้ชัดเจนในเรื่องความรวยความจน เรื่องที่จะสร้างฐานะไม่สะสมเงินทอง อยู่ในวรรณะ 9 ยืนยันเลย เป็นคนไม่สะสมและยอดขยัน เป็นคนที่อยู่รอดได้
สังคมคนจนที่ไม่สะสมนั้นจะอยู่รอดได้ต้องเป็นคนที่เก่งมาก ยิ่งตัวคนเดียวแล้ว ก็ยิ่งเก่งมากถึงจะอยู่รอดได้ แต่อย่างเรานี่สบายมาก เป็นสาธารณโภคี พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ป่วยเจ็บก็มีส่วนกลางดูแลกัน แก่เฒ่าก็มีส่วนกลางดูแล เป็นคนที่ยืนยันสำหรับมนุษยชาติ อย่างที่ชาวอโศกทำได้ ถึงขั้นสาธารณโภคี ยุคนี้สามารถทำให้ฆราวาสเป็นสาธารณโภคีได้ สมัยพระพุทธเจ้าเป็นสังคมยุคทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน มนุษย์ไม่มีสิทธิในทรัพย์สมบัติในการแสดงออก เป็นต้น ยุคทาส ทาสทำด้วยมือเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของเลย ทุกอย่างเป็นของนายทาส แต่ยุคนี้ รู้จักสิทธิมนุษยชนแล้วและไม่เป็นยุคทาสด้วย เป็นยุคประชาธิปไตย ผู้บริหารประเทศที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ก็ไม่ใช่ผู้ที่ยึดในสิทธิเด็ดขาด อย่างเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่ในประเทศในโลกนี้ บรูไน ก็มีกษัตริย์ แต่เขาไม่เดือดร้อน เพราะว่าเขารวยเนื่องจากมีบ่อน้ำมันเยอะ มีบ่อน้ำมันเต็มประเทศ เพราะฉะนั้นทุกคนมีเงินหมด คนที่เกิดอุแว๊ออกมาก็มีเงินแล้ว
ที่อาตมาต้องขยายความ เพราะเป็นเรื่องความรู้ความจริงที่มนุษยชาติเป็นได้ ที่อาตมาอยากจะพูดมากๆ เพราะชาวอโศก เกิดในยุคประชาธิปไตย มีความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ยุคธาตุหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พวกเรามีอิสระเสรีภาพ ยอมเป็นคนจนเอง เต็มใจที่จะมาเป็นคนจนทั้งๆที่เราไม่สิ้นไร้ไม้ตอก แต่ละคนที่มานั่งอยู่นี่ใครไม่มีทางไปบ้าง ไปทำมาหากินไม่รอดก็เลยมาซุกอยู่ตรงนี้ ใครยกมือไม่ต้องอาย ไปไหนไม่รอดหากินไม่รอดมาอาศัยที่นี่กินมีไหม ไม่มีใครสักคน ช่วยตัวเองได้ ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก เราทำมาหากินเลี้ยงตัวเองรอด แต่เข้ามาอยู่ที่นี่มาเป็นคนจน จนถึงขนาดมาอยู่ที่นี่เมื่อมาเป็นสมาชิกชุมชนที่นี่ ทำงานอยู่ในนี้จะกี่ชั่วโมงกี่เดือนกี่ปี ก็ไม่ได้รายได้อะไรเลย รายได้ต้องเข้ากองกลางหมด ตามกฎระเบียบตามแบบแผนของเรา คุณเข้ามาอยู่ที่นี่มาทำงานที่นี่ อาศัยพื้นที่ที่นี่เขาให้คุณอยู่รอด ที่นี่มีวัฒนธรรมเช่นนี้ ชาวอโศกมีวัฒนธรรมทำงานแล้วเอาเข้ากองกลางหมด
เราทำอยู่อย่างนี้มีอิสระเสรีภาพในตัวเองก็ยังมาทำได้แบบนี้ สละแรงงาน ความรู้ความสามารถของเราแต่ละวัน ก็เหมือนกับสังคมครอบครัว เป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มันเป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ ภาษาจีนเขาเรียกว่ากงสี เป็นกงสีใหญ่ ทุกคนอยู่กงสีเดียว ใครจะเป็นตระกูลไหน แซ่อะไร ตระกูลอาจจะดีไม่ดี สัญชาติเชื้อชาติอื่นที่ไม่ใช่คนไทยก็มาอยู่ได้ และนี่มีเชื้อชาติไทยสัญชาติไทยก็ยิ่งอยู่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อยู่อโศกได้ต้องมีเกณฑ์ขั้นต่ำอย่างมีปัญญา
อยู่ที่นี่มีหลักเกณฑ์ขั้นต่ำมีศีล 5 ไม่มีอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นต้น ทำไมอาตมาเข้ม อยู่ที่นี่ทำไมไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เพราะว่าศีลข้อที่ 1 นั้นไม่ใช่ให้แค่ไม่ฆ่าสัตว์ แต่ท่านให้มีรายละเอียดถึงมีจิตใจที่เมตตา วางอาวุธ มีจิตใจที่เมตตา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อความมันมีรายละเอียดยาวถึงขนาดนั้น แต่เขาเอาแค่ศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ก็ทำให้ได้ก่อนเถอะ
ศีลข้อ 1 พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
แต่ว่าพระ เจ้าต่างๆบอกว่ามีศีล 227 ซึ่งมันเป็นวินัยเป็นข้อบังคับเป็นอาชญา แต่ศีลคือนุสาสรีย์
นัยยะต่างๆในยุคนี้อามาต้องแยกแยะขยายความซึ่งมากจริงๆ แต่ก็ต้องทำเพราะเป็นยุคปัญญา
ปัญญาก็ไม่ใช่ความฉลาดแบบ โลกีย์เขาเป็นนะ ปัญญามาจากรากเหง้าของอัญญา เป็นความฉลาดที่ตรงกันข้ามกับโลกียะ ที่เขาฉลาดอยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ว่าฉลาดอย่างโลกุตระ มีปัญญาคือฉลาดที่เราลดกิเลสไม่ติดในลาภ ไม่ติดในยศ คืนลาภยศสรรเสริญได้แล้วก็มีความสุข มันทวนกระแสกัน
ทางโลกีย์ได้ลาภก็สุข ได้ยศก็สุข ได้สรรเสริญก็สุข ตรงสเปค แต่โลกุตระ เราสัมผัสกับสิ่งนี้แล้ว ความสุขที่เราเคยได้มาอย่างแต่ก่อนลดลง หรือไม่เกิดความรู้สึกเป็นสุขเลยนั่นต่างหากที่เป็นความหมายของปัญญา และก็มีจิตที่เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย คุณรู้สึกหรือไม่ว่าคุณเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ...หากรู้สึกได้แสดงว่ามีโลกุตรธรรม ซึ่งมันตรงกันข้ามกับแต่ก่อนที่เรามีความรู้สึกแบบโลกีย แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขาพาปฏิบัติ ชาวอโศกพาปฏิบัติโลกุตรธรรม ไม่ใช่ศาสนาพุทธที่เป็นโมฆะเป็นหมันแล้วไม่มีโลกุตระเลยไม่ใช่
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน สภาวะ 2 ของนรกและสวรรค์
อาตมาทำงานเอาโลกุตระคืนมาได้ คือให้พวกคุณมีความฉลาดที่มีวิมุตติธรรม เป็นอย่างนี้ กิเลสลดละจางคลายมีวิมุตติรส เป็นรสธรรมะเป็นรสของสัจธรรมโลกุตระเป็นอย่างนี้ พวกคุณจะเข้าใจ เพราะว่ามีสภาวะรองรับ ภาษาที่พูดไปด้วยก็ยืนยันเป็นธรรม2
เทวะ แปลว่า 2
เทวดา คำนี้ไม่ลึกเลย แต่มันลึกมาก ทุกคนฟังเข้าใจตั้งแต่เกิด จริงๆแล้วเทวะนี่ทำให้คนแยกพวกเป็นสองพวก มีชาวพุทธแยกเป็นอเทวะ ส่วนใหญ่ของโลก เป็นศาสนาเลย เป็นสิ่งที่เขานับถือยึดถือเป็นชีวิต เป็นตระกูลเรียกว่าเทวนิยม ก็มีอเทวนิยมก็คือพุทธะ
ที่เป็นเทวนิยม เพราะเขาไม่รู้จักเทวะก็เลยเป็น ศาสนาพุทธไม่เป็นอะไรเลย เป็นเทวะก็ไม่เป็นเป็นซาตานก็ไม่เป็น เพียงแค่อาศัย อาศัยจิตนิยาม มีอัตภาพแล้ว ศึกษาให้รู้ว่าเทวะเป็นเช่นนี้ เทวะแปลว่า 2 สองอะไร
สภาวะ 2 ทุกอย่างเลย ธรรมะ 2 สามารถแยกได้ แล้วที่มันเป็นสองเพราะต้องเทียบกัน 2 นี่มันจะไม่มีอะไรเท่ากัน แม้ดีก็ไม่ดีเท่ากัน ยิ่งชัดๆคือมีดีกับชั่ว ดี ดีแล้ว ดีกว่านี้ ดีกว่านี้มีอีก จนรู้จักอเทวะ ดีทีสุด สุดยอดของศาสนาพุทธดีที่สุดเป็นหนึ่งแล้ว สามารถทำให้ศูนย์ได้หมดดีหมดชั่วไม่มีอะไรเลยได้
ศาสนาเทวนิยมไม่เคยรู้จักศูนย์ ไม่เป็นศาสนาสุญญตา ไม่เป็นศาสนาที่มีนิพพาน ศาสนาเทวนิยมหมดสิทธิ์ ไม่มีโอกาสที่จะนิพพานได้เด็ดขาดเพราะตีไม่แตกแยกไม่ออกความเป็นเทวะ คือความเป็นสอง
ยึดมั่นถือมั่นความเป็นสองว่าเป็นหนึ่ง เป็นพระเจ้าองค์เดียวเป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดลงเดียว หนึ่งเดียวไม่มีอะไรเทียบไม่มีอะไรเทียม แต่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีใครเคยสัมผัสแต่ว่ายิ่งใหญ่ สมัยโบราณเรียกพระเจ้าว่าพระพรหม มีตำราบอกว่าคนไปหาพระพรหม เป็นบุคลาธิษฐาน แล้วถามว่าทางที่จะไปสู่ความ สิ้นสุดของดินน้ำไฟลมอยู่ที่ไหน ไปถามพระพรหมคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ท่านก็ตอบว่า ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด เขาก็บอกว่าไม่ได้ถามอย่างนั้น ถามว่าดินน้ำไฟลมสิ้นสุดตรงไหน พระพรหมก็ตอบว่า ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด เขาก็บอกว่าไม่ได้ถามเรื่องนั้น ก็ถามว่าดินน้ำไฟลมสิ้นสุดตรงไหน ท่านก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ เป็นเรื่องน่าขำ เพราะว่าไม่รู้จะไปตอบอย่างไร มาถามต่อหน้าธารกำนัล ก็เลยถูกดึงไปสู่ที่ลับแล้วก็บอกว่าให้ไปหาพระพุทธเจ้า เราตอบไม่ได้ แต่จะบอกต่อหน้าธารกำนัลว่าไม่รู้ก็ไม่ดี
เป็นบุคลาธิษฐานว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เท่าไหร่พระพรหมยิ่งใหญ่เท่าไหร่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้นิยามชีวิต 5 เขาก็ไม่รู้หรอก เพราะตีไม่แตกเทวะของตน ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักธรรมะ2
ธรรมะ 2 ที่ง่ายๆที่สุดคือนรกกับสวรรค์ แล้วใครเป็นผู้รู้ ของเทวนิยม นรกสวรรค์ พระเจ้ารู้ จะไปนรกหรือสวรรค์ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้ตัดสินเป็นผู้พิพากษา คนอื่นไม่มีสิทธิ์ไปพิพากษาว่าใครไปนรกหรือไปสวรรค์ พระเจ้าเท่านั้นที่พิพากษา ถ้าไม่มีพระเจ้าไม่มีใครรู้จักสวรรค์นรก ศาสนาเทวนิยมจึงไม่รู้จักนรกหรือสวรรค์ แต่ว่าอยากได้สวรรค์
อธิบายว่าสวรรค์คือความดี สวรรค์ของพระพุทธเจ้ากับเทวนิยมต่างกัน
สวรรค์ของพระพุทธเจ้าคือสูงสุด ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกไม่มีธรรมะ 2 นี่คือสวรรค์สูงสุด คือจิตอุเบกขา ไม่ผลักไม่ดูดไม่มีธรรมะ 2
ทำจาก 2 เป็นหนึ่งได้ก็ไม่มีคู่ที่จะให้เกิดเหตุเกิดเรื่องได้ ยิ่ง 0 เลยคือสุดยอดของศาสนาพุทธ เรียกปรมังสุขัง สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง
ศาสนาพุทธรู้จักโลก รู้จักอัตตา รู้จักสวรรค์ รู้จักนรก
พระพุทธเจ้ารู้ความเป็นพรหม อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็รู้แล้ว รู้เทวดามารพรหม สัตตาวาส 9 คือกายะ ต้องรู้สัญญา รู้จิตที่เป็นตัวกำหนดรู้ กาย กำหนดรู้จิต ผู้ใดรู้จักกาย กายต่างกันต่างๆ เราก็รู้ความเป็นสัตว์ในโลก หากทำ 9 อย่างนี้ได้เรียบร้อยก็สิ้นหมดเลย ไม่เป็นสัตว์โลก เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดาเพราะอยู่เหนือเทวะ ทำหนึ่งก็ได้ทำศูนย์ก็ได้
อรหันต์คือคนไม่เป็น 2 ไม่มีความลับ
เรื่องของเทวะนี้อาตมาชัดเจนมาไม่นาน โลกนี้ขัดข้องที่เทวะ อยู่ที่ความแบ่งแยกเป็น 2 แต่เขาไม่รู้จักความเป็น 2 ก็เลยงงอยู่กับ 2 ก็ได้พยายามรวมกัน เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่รู้แม้แต่ตัวเอง เพราะฉะนั้นอันอื่นเขาจะรู้ได้อย่างไร ตัวเองเขายังไม่รู้เลย นี่คือใครนี่คือคน และนี่คืออะไร ก็คือคน แล้วเอ็งรู้จักคนหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จักคนก็คือไม่รู้คนนี้ไม่รู้คนนี้ไม่รู้จักคน
คน คือการวนการกวนที่อาตมาเขียนในหนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก เพราะมันปนเปกันเละ คนกันผสมกันเละไปหมด อาตมาพยายามอธิบายด้วยภาษาลูกทุ่งนะ
ให้แยกออกเป็นชั้นๆว่ามีอะไรบ้างในการสังขารที่ปรุงปนกันอยู่ มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายเป็นลำดับ ศาสนาพุทธรู้จักสิ่งเหล่านี้ตีแตกแยกออก จนกระทั่งสามารถทำให้เป็นจิต วสวัตติโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอมตบุคคล จะให้เกิดก็ได้จะให้ตายก็ได้ จะให้เป็นเทวดาก็ได้ เป็นสัตว์นรกก็ได้ แต่ก็รู้แล้วว่าสัตว์นรกเป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็น รู้แล้ว แต่ก่อนเคยโง่ ทำให้ตัวเองเป็นสัตว์นรก ตอนนี้รู้แล้วใครทำก็เราเอง แต่ก่อนเราโง่เราก็เลยทำ ตอนนี้เราหายโง่แล้วไม่ทำ-เลิกทำเด็ดขาด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ไม่ทำให้จิตใจตัวเองเป็นสัตว์นรกอีกแล้ว สัญญาไปกำหนดรู้กาย ไม่ให้เป็นธรรมะ 2
ตราบที่คนยังมีชีวิตจิตใจเลี้ยงชีพอยู่ ยังไม่ทำกาละ ยังไม่ตาย
กาละ เวลาโลกหมุนก็เกิดกาลหรือวนรอบพระอาทิตย์ก็คือทำกาล แต่ถ้าตายไปไม่มีธาตุรู้จะทำอะไรได้อีก ก็คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีอะไรเหลือ กายัสสเภทา ปรัมมรณา
ทำกาละให้หมดกาละจากความเป็นชีวะของตน
ตนก็ยังมีธาตุรู้ ยังไม่หมดอัตภาพยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เช่น อาตมาเป็นโพธิสัตว์ตายแล้วก็จะยังไม่สูญ มีธาตุรู้ที่จะวนเวียนเกิดอีกอยู่ คือไม่หมดกาละ ถ้าไม่เวียนวนแล้ว แตกสลายไปจาก กาละ ไม่มีโลกไหนจะไปอยู่ได้อีก คือแตกสลายกาละได้ที่สุด
แต่กาละ เขาแปลว่า ร่างตาย แต่ว่าหลังตายแล้วก็ยังมีอัตภาพอยู่
ผู้เข้าใจพยัญชนะกับสภาวะที่อาตมาอธิบาย หลังอาตมาตายไปแล้ว จะสูญหรือไม่ก็ได้ แต่รู้แล้วว่าตายสูญเป็นอย่างไร ก็จะรู้ได้อย่างไร
โพธิสัตว์ก็เริ่มรู้อรหันต์ก็เริ่มรู้อาริยะก็เริ่มรู้ โสดาบันตายจากโลกอบายมุข อบายภพ ที่จะต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไปสุขไปทุกข์กับโลกนั้น โลกเล่นไพ่ โลกเล่นการพนัน ยังติดในรูปรสกลิ่นเสียงจัดจ้าน การละครละเม็งเป็นอบาย คุณก็อยู่กับโลกนั้น แต่เมื่อเราปฏิบัติแล้วเราก็เลิก
จนจิตเรา เวทนา ความรู้สึกของเราเมื่อไปสัมผัสกับสิ่งนั้นเราก็เกิดเฉยๆ มันยืนยันว่าคุณหมดสุขหมดทุกข์ แม้จะคลุกคลีเกี่ยวข้องกับมัน ถ้าหากเป็นประโยชน์ต่อกันก็เอา แต่อบายไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราหรอก ของเราดาราแม้สักเศษคนไม่มาหรอก เพราะอาตมาปากจัด ทั้งที่วงการมายาดาราอาตมามีเพื่อนนะ แต่อาตมาไปว่าเขา เขาก็เหม็นขี้หน้าอาตมา
คืออาตมาไม่ได้ไปด่าไปว่าแต่ตำหนิบอกให้รู้ด้วยความปรารถนาดี ชาตินี้อาตมาไม่ได้เป็นดารากับเขาหรอก ไปอยู่ในวงการมายาเท่านั้นเองอาตมาอยากเป็นดารานะ ในตึกโทรทัศน์ รูปดาราเขาจะอัดมาเป็นแผ่น ติดเรียงกันไปในตึกสถานีโทรทัศน์ อาตมาไม่มีสิทธิ์ที่จะให้เขาอัดขึ้นไปได้หรอก เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเราไม่ใช่พวกสัตว์อบาย แม้อยากเป็นสัตว์อบายกับเขา ฟังให้ดีไม่ได้ด่านะ แต่พูดสัจธรรม พวกดาราเด่นดังเท่าไหร่ก็อบายมากเท่านั้น
สัจธรรมที่ย้อนแย้ง หากคุณจมอยู่ก็ไม่ดี เป็นสิริมหามายา เป็นนักเล่นกลชั้น 1 เป็นนักมายากลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ฮูดินี่ ที่เขาเป็นนักเล่นกลชั้น 1 เล่นกลเช่น คนเอาโซ่มามัดอยู่ในน้ำเอาถังน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเขาก็รอดออกมาได้
อาตมาไปหัดกินเหล้าสูบบุหรี่ เล่นบิลเลียด ไปหัดกับเขา ไปเล่นไพ่ก็จะเป็นหมูสนามให้เขา เขาก็เลยชอบชวน
เป็นลิงลมอมข้าวพอง ทางโลกที่นิยมยกย่องกีฬา ดารา ค่านิยมอย่างนี้เราก็ไปเป็นตามเขา อยากเป็นพระเอก เขาก็ให้เป็นตำรวจไปจับผู้ร้ายตอนจบ ไม่ได้เป็นพระเอก มันเป็นสิ่งที่คุณจะไปเป็นพวกนี้เป็นไม่ได้ ชั่วไม่สำเร็จ เกิดมาชาตินี้ทำชั่วไม่สำเร็จ
สม.รินฟ้า
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน ทานให้หมดนรกสวรรค์คือนิพพาน
พ่อครูว่า...ขอสรุปตรงนี้แหละว่า นี่แหละคือยอดหัวใจของศาสนาพุทธ หมดสวรรค์หมดนรกนี่แหละคือนิพพาน นี่คือยอดหัวใจของศาสนาพุทธ ซึ่งไม่ได้ยากอะไรเลย แต่มันยากตรงที่เราเองมีกิเลสอุปาทาน ตัณหาที่เราล้างไม่ได้ แต่ความเข้าใจนี่ฟังให้ดีไม่ยาก เพราะฉะนั้นเราเองเกิดความสุขความทุกข์ เกิดความชอบความชังเป็นเทวะ เป็น 2 เป็นธรรมะ 2
แต่โลกียะหรือเทวนิยมไม่เรียนธรรมะ 2 ไม่เลิกสุขทุกข์ เขาถือว่าต้องไปอยู่กับพระเจ้าเป็นสุขด้วยซ้ำไป ไม่มีสวรรค์ไม่ได้ เขาไม่รู้จักสวรรค์ไม่รู้จักนรก สวรรค์คือนรก นรกคือสวรรค์เขาไม่รู้ เขาตีแตกเทว เขาตีแตกธรรมะ2 เขาตีแตกพระเจ้าเทวดาเทวะที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้ God เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาบาลีคือ มหาเทวะหรือพระพรหม เขาไม่รู้จักหรอก แนวเรียกอย่างโก้ว่า วิสุทธิเทพ แต่คนไม่รู้จัก รู้จักแต่พรหม
ในรูปพรหม 16 ส่วน อรูปพรหมอีก 4 ก็มีอีก
รวมเป็นพรหม 20 ชั้น
ความเป็นพรหมเป็นเทวดาเป็นเรื่องเก๊ สวรรค์ 16 ชั้นก็ไม่มี เพิ่มอีก 4 ชั้นก็ไม่มี แต่มันมีเพราะคนโง่ โง่อยู่ก็เลยมี ไม่รู้จักก็เลยมีอันนั้น คือผู้หลุดออกมาไม่ได้ ผู้ที่หลุดออกมาได้แล้วไม่มีเทวดา 6 ชั้น ก็ไม่มีของหลอกของเก๊ จิตไม่มีอาการที่จะเป็นสุข
อธิบายอารมณ์ความรู้สึกของเทวดา 6 บ้าง
ท่านอธิบายถึงความรู้อาการของสภาวะที่เราเสพติด แล้วแบ่งแยกออกเป็นภาษาให้รู้ ให้รู้ว่าตัวเองยังมีอาการอะไร ก็ให้ล้างเสียอย่าให้มีในจิต เพราะมันไม่มีแล้ว คุณก็เป็นนิพพานเป็นวิมุติ
ชั้นที่ 1 ของ เทวดา 6 ชั้น
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี คือยักษ์คือมาร วาดรูปมาก็เป็นยักษ์เขี้ยวแหลม ถืออาวุธ เป็นพวกล่า ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขโลกธรรม ล่าอย่างดุเดือดมากมายเอาเป็นเอาตายจึงเรียกว่าจตุมหาราช ล่าเลย กูจะต้องได้มาหมดทุกทิศ 4 ทิศเอามาให้หมดทุกทิศ เป็นของข้า ข้าจะเป็นเจ้าโลก นี่คือจตุมหาราชแรงร้ายดุเดือด แต่ก็ยังถือว่าเป็นเทวดา เมื่อได้มาแล้วก็หลงสุขใจเรียกว่าดาวดึงส์
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี ดาวดึงส์ภาษาบาลีว่า ตาวติงสะ คือ อาการที่ 33 จริงๆแล้วคนมีแค่ทวัตติงสาการ อาการ 32 ตาหูจมูกลิ้นกาย ตับไตไส้พุงทั้งหมดคืออาการ 32 แต่คนไปมีอาการบ้าๆโง่ๆอีกอันหนึ่ง เกิดมาได้นั่นก็คืออาการที่ 33 เป็นอาการที่ไม่มีจริงเป็นอุปาทาน เพราะฉะนั้นดาวดึงส์ที่เป็นความสุขจึงเป็นอาการที่ 33 ได้อารมณ์นี้ขึ้นมา ก็จะอยากให้ได้อยู่นานๆ ยามา
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี อยากให้รสสุขอย่างนี้อยู่นานๆอย่าหมดไปอย่าหายไป
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ ชั้นนี้เขาให้พัก ดุสิตะให้หยุดบ้างแต่ไม่หยุด เพราะฉะนั้นผู้รู้จักหยุดพักบ้าง จึงถือว่าเจริญขึ้นได้ (สิตะ หรือสีดา แปลว่าเย็น) ถือว่าเป็นที่พัก โง่มาตั้งแต่ จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ก็มาหยุดบ้าง เลิกบ้างแต่ก็หยุดเพราะเมื่อย จำเป็นต้องหยุด แต่เดี๋ยวเถอะออกพรรษาก่อน หนักกว่าเก่า ก็เลยกลายเป็น นิมมานนรดี
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ คือ ยิ่งมีอุปาทานจัด สร้างขึ้น นิมาน คือเนรมิตทำเอาเอง สร้างอุปาทาน สร้างนรกสวรรค์สร้างสิ่งหลงงมงายว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น ต้องเลิกสร้าง ยังสร้างอยู่ก็โง่
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) สูงสุดจนมีบริวารมาสร้างให้เลย เป็นใหญ่ หลอกคนให้มาสร้างให้ตัวเองเสวย พวกมีอำนาจใหญ่
ใครทำนรกให้หมดก็คือทำสวรรค์ให้หมดไปด้วย
ความรู้มันมี 2 อย่างนรกกับสวรรค์ โง่หรือฉลาด มี 2 อย่าง คนที่จมลงไปนี้จะเป็นเรื่องที่น่าสงสาร คนที่หลุดพ้นได้แล้วก็สงสาร คนที่หลุดพ้นแล้วไม่ใจดำก็น่าจะมาอธิบายมาสอนมาบอกให้เลิกเสีย ที่ไปโง่ ไปรวย อาตมาก็เคยรวยมาชาติก่อนๆ
อาตมาเคยรวยเคยมีอำนาจโลกีย์ เคยผ่านมาเป็นล้านๆชาติ เคยผ่านอะไรมามากจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ผ่านมาหนักหนาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดนี้ไม่ใช่เดาเอา ไม่ได้ไปว่าเขา แล้วเคยเป็นหรือเปล่า พวกเราเคยรู้ไหมว่าอาตมาเคยรวย พูดไปเขาก็ไม่เชื่อน้ำหน้า
คือ เป็นสัจจะเราเองชัดเจนแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก คนที่อยากได้อยู่ รวยเท่านี้ไม่พอต้องรวยกว่านี้อีกด้วย คนนี้ไม่พอก็ต้องไปต่ออีก มันไม่มีสันโดษไม่มีใจพอไม่มีหยุด คนๆนี้ยังโง่เดินหน้า โง่ติดจรวด คือจรวดวิ่งเร็วกว่า รถไฟหัวกระสุนด้วยนะ
คือ ไม่รู้จะไปทำทำไม คนที่มาดูแล้วทวนกระแสไม่เอาอย่างนั้นก็มาเป็นคนอีกอย่าง แล้วจะมีความดีงามความเป็นสุขความเป็นประโยชน์คุณค่าไหม เป็นคนประเสริฐไหม เป็นคนจนที่มีประโยชน์คุณค่า
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกไม่ใช่กระฎุมพีแต่คือเศรษฐีผู้เจริญ
ชาวอโศกเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าต่อประเทศชาติ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสังคมอันสงบ รัฐบาลไม่ต้องใช้ตำรวจมาดูแลเลย เพราะไม่มีเรื่องที่จะให้ตำรวจมาช่วย มากินข้าวกินน้ำก็ได้ นายตำรวจมานั่งฟังธรรมนี้ก็มาเอาธรรมะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร นานๆจะไหว้วานให้ช่วย ช่วยติดต่ออันโน้นอันนี้ให้ทีบ้าง ตำรวจมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ทุกข์โลกๆ อย่างนั้นอย่างนี้
เป็นสังคมที่ไม่เดือดร้อน ถนนเขาไม่เทให้สักทีเราก็เทเองก็ได้ ไม่มีปัญหาเราลงทุนเองอยู่แล้ว อาตมามีจิตใจอยากจะช่วยจริงๆเขาไม่ทำเราก็ทำอยู่แล้ว ที่เราเป็นคนจนเพราะหนึ่งเราเป็นคนที่มาจน 2 ไม่เอาเปรียบ 3 ไม่สะสม เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเงินอะไรเลยที่เป็นคงคลัง ดอกเบี้ยก็ไม่เอา
เพราะไม่มีเงินของทางเศรษฐกิจโลกโลกีย์ที่มีวิธีได้เงินให้เงินออกดอกปันผลอะไรอีกเยอะแยะ เราไม่เอาสักวิธีแบบนั้น แต่ว่าอยู่รอด เพราะว่าเราเองฝึกให้กินน้อยใช้น้อยสร้างสรรไม่งอมืองอเท้า เราเองไม่ได้ฟุ่มเฟือยให้เสียศูนย์จนเขาหลอก มีสาระเป็นปัจจัยชีวิต สิ่งที่เกินปัจจัยชีวิตเราก็ไม่จำเป็นต้องไปจ่าย นอกจากพอกินพอใช้แล้วเหลือด้วย สะพัดแก่สังคม ตลาดอาริยะ ตอนนี้จะเปิดอาคารบวร จะขายเท่าทุนไปตลอดด้วย มาซื้อเมื่อไหร่ก็เท่าทุน แต่ตลาดอาริยะขายขาดทุน ตอนนี้คนรู้ข่าวกันทั่วแล้ว เปิดตลาดอาริยะคนก็แน่นเลย อาคาร 11 ไร่ของเรา วันแรกวันที่ 2 คนก็เต็มแน่นเลย แต่วันที่สามคนซาลง
พ่อครูว่า...เราไม่ได้ทำเพราะอวดอ้างทำเท่ทำเก๋ทำโก้ อาตมาว่าการช่วยมนุษยชาติ จะค้าจะขายก็ตาม เราขายขาดทุนได้ไหม ได้ ขาดทุนคืออะไร
หนึ่งของที่เรามีเราเป็นนี้ เป็นสิทธิของเรา ทุนมีเท่านี้เราก็ขายให้ต่ำกว่าราคาทุน สอง ขาดทุนคือ สิ่งที่เรามีเราสร้างเราผลิต คิดทุนแล้ว มีการคิดค่าแรงงานบวกไปด้วย สมมุติว่าสิ่งประดิษฐ์อันนี้ มันหัวนี้ นี่เราปลูกเราไม่คิดค่าแรงงาน ก็ถือว่าเราขาดทุนแล้วแต่ทางโลกีย์คุณยิ่งสร้างมันหัวนี้เก่ง ค่าแรงงานคุณยิ่งสูงนะ คุณยิ่งมีความรู้ฝีมือต้องคิดค่าแรงงานสูงขึ้นตามวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์ของโลก แต่ของโลกุตระนั้นยิ่งเก่ง ผู้คนยิ่งเก่งค่าฝีมือยิ่งสูง ค่าแรงงานก็สูงค่าฝีมือก็สูง มีค่าอื่นๆที่เขาตั้งชื่ออีกเยอะ
ที่เราทำไม่ได้ทำโก้ แต่ทำเพื่อช่วยสังคม อยากให้สังคมมีการเสียสละช่วยกัน ไม่ใช่ดำเนินเศรษฐกิจยิ่งเอาเปรียบยิ่งได้มาก ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่าไหร่นั่นเรียกว่าการเจริญทางเศรษฐกิจ แล้วเรียกว่าเป็น Gross D
omestic Product GDP เขาว่าย่ิงสูงยิ่งดี ซึ่งผิด
Domestic แปลว่าของภายในที่ผลิต คุณก็คิดแค่ของภายในที่ผลิตอย่าไปเอาของคนอื่นเขามา แต่นี่คุณผลิตได้ก็เอาไปขายแล้วขายยังบอกราคาคิดกำไรไปด้วย ได้มากเท่าไหร่ก็ถือว่ามี GDP มากกว่านั้น แต่คุณบอกว่าของคุณเองภายใน คุณก็เอามาบวกของคุณอีก
รายได้องค์รวมของคุณถ้าไม่ไปได้บวกจากภายนอกเลยเรียกว่า GDP ที่แท้จริง แต่นี่เอาของภายนอกมาบวกและบอกว่าเป็น GDP ที่เจริญมากขึ้น อย่างนั้นมันผิด คุณไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสีย เป็น inter หรือ export external
อาตมาแย้งไปเขาไม่ฟังหรอก เพราะอาตมาไม่ได้เป็นที่นับถือของเขาแต่อาตมาว่า อาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่พาให้คนมาเปลี่ยนแปลง เป็นเศรษฐกิจแบบพุทธ เป็นเศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคี
อธิบายอย่างง่ายก็คือ เขาจะต้องรวบรวมรายได้ สำหรับที่จะเอามายืนยัน รายได้องค์รวมส่วนตัว แต่ละคนเท่าไหร่ เขาเอามาหาร ก็ถือว่า เป็นความเจริญทางเศรษฐกิจ
แล้ว รายได้องค์กรส่วนตัวคือรายได้ที่เอาเปรียบเขามามากๆถือว่าเป็นเศรษฐกิจดี เราได้เปรียบเขามาก ปีนี้ได้เท่านี้ล้าน ปีหน้าต้องได้มากกว่านี้อีก มากขึ้นเรื่อย ถือว่าเศรษฐกิจเจริญใครฉิบหายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่กูได้มากขึ้นมากขึ้น นี่คือความคิดเศรษฐกิจของโลก
ซึ่ง เศรษฐกิจของศาสนาพุทธเราจะเสียสละให้โลกได้มากเท่าไหร่ นั่นคือความเจริญของผู้ที่เป็น เสฏโฐ เศรษฐีผู้เจริญผู้ประเสริฐที่แท้จริงไม่ใช้กฏุมพี กระฎุมพีคือคนแค่ร่ำรวยเท่านั้น แต่เอาใช้ศัพท์คำว่าเศรษฐีนั้นน่าอาย ควรเรียกตัวเองว่ากระฎุมพีอย่ามาเรียกตัวเองว่าเศรษฐี เพราะตัวเองไม่ใช่เศรษฐี ตัวเองเป็นแค่คนร่ำรวยเป็นคนใจดำ เป็นคนใจร้ายไม่ได้เสียสละเป็นคนขี้โลภเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ขออภัยไม่ได้ด่านะ แต่อธิบายสัจธรรม
คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้วจะไม่ไปเป็นกระฎุมพี ที่จริงแล้วเศรษฐีเป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่จะทำงานให้แก่สังคมแก่โลกอย่างเสียสละ ไม่เอามาให้แก่ตัวเองเลย สุดยอดเศรษฐี ชีวิตสูญ สูงสุดถึง ไม่เอาลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานแล้วไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนเลย หากยังทำงานเอารายได้ไม่พ้นมิจฉาชีพ พระก็ไปเทศน์เอาเงินเอาค่าเทศน์เป็นต้น
คำว่า เสฏฐะ เสฏโฐ เศรษฐี ไม่เป็นกระฎุมพี เป็นทลิทโธ มาเป็นคนจน
ถ้าเป็นคนจนก็เข้าหลักวรรณะ 9
ตั้งแต่เลี้ยงง่าย กินข้าวกินน้ำเหมือนหมูเอาอาหารมาวางเรียงกันไป วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) มักคือชอบ มีมากแต่เอาไว้น้อยๆ ยังมีอยู่นะ อัปปิจฉะคือยังมีอยู่ แต่ถ้าไปถึงอปจยะ คือไม่สะสม ตัวสุดท้ายยอดขยัน ปรารภความเพียร แต่ของตัวเองไม่สะสมอะไรเลย
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)กายกรรมวจีกรรมน่าเลื่อมใสไม่สะสมยิ่งน่าเลื่อมใส คนที่ทำตัวเองให้รวย คบค้าสมาคมกับคนต่างประเทศคนนั้นคนนี้ ไปทำกิจการค้าและตัวเองจะได้รวย
อย่างคุณเจริญนี้รวย มอมเมาคนไทย สร้างน้ำเหล้าน้ำเบียร์ ขายให้คนไทยเมาเละ ตายฉิบหายพิการ อะไรก็แล้วแต่เต็มบ้านเต็มเมืองฉิบหายช่างมัน กูรวยอย่างเดียว อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ น่าสงสารคนอะไร หาเงินแล้วไปทำร้ายคน ทำลายมนุษยชาติทำลายสังคม ให้สังคมมนุษย์ตกต่ำ ก็คนมันเสพติด มีกิเลส รู้อยู่แต่ก็ให้คนเขาเสพเขากินเข้าไป กูได้เงินอย่างเดียว คนพวกนี้อาตมาขอตำหนิไม่ได้ชมเชยหรอก ไม่ได้ส่งเสริม เพราะว่าเขาเป็นบาปไม่อยากให้ทำ เลิกได้ก็เป็นกุศลของเขา แต่เขาไม่เลิกง่ายๆหรอกเพราะว่าเขาได้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง เขาหลงสิ่งเหล่านี้
สัจจะพระพุทธเจ้าจึงเป็นสัจจะที่ต้องย้อนแย้งต้องพูดตรง ตำหนิที่เขาเป็นบาปเขาเป็นอกุศลเป็นหนี้ เขาไม่ได้เป็นคนที่ได้ดีนะเขาจะยิ่งแย่ เอาอย่างนี้
เขาล่าเอาเปรียบมนุษย์ทำลายมนุษย์ให้เมาๆให้ติดยึดในน้ำเหล้า พอได้เงินมามากๆเขาก็ทำทีเอาเงินไปจ่าย ที่เป็นรูปธรรมบริจาคทำกุศล ช่วยอันนั้นอันนี้เหมือนเศรษฐีวิชัยที่ตายไปก็ตาม เศรษฐีเจริญเศรษฐีอะไรก็แล้วแต่ ไปบริจาคไปทำอะไร ก็ทำทาน
ถ้าคุณมีรายได้พันหนึ่ง คุณจะไปทำทานเท่าไหร่ คุณจะทำทานถึง 500 ไหม ทุนคุณก็เอาไว้แล้ว เงินหมุนคุณก็พอแล้วแต่เอาเปรียบมาได้เกิน 500 คุณจะบริจาคถึง 500 ไหม ก็ไม่หรอก คุณก็ไปทำทาน 100 รับรองว่า คุณมีรายได้ 100% จะไม่ทำทานถึง 20 เปอร์เซ็นต์หรอก ยิ่งจะเป็นเศรษฐีที่รวยมากเท่าไหร่ก็ไม่ทำทานถึง 20% หรอก คนดูเหมือนว่าคุณทำทานมากบริจาคนะ แต่ก็ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์หรอก
นอกจากคนที่ฟิตจัด อย่างเจ้ามาร์คซัคเคอร์เบิร์ก หรือว่าบิลเกตส์จะทำทานสักเท่าไหร่ก็ทำทานเข้ามูลนิธิ อย่ามาหลอกกันเลย ทานก็เข้ามูลนิธิของเอ็งนั่นแหละ ดีไม่ดีได้ลดดอกเบี้ยด้วย ได้ลดภาษีอีกต่างหาก อย่างนี้เป็นต้นเป็นความซับซ้อนมาก ในโลกนี้ไม่มีอะไรโง่มากกว่าความฉลาดแกมโกงของมนุษย์หรอก มีวิธีคิดที่ซับซ้อนได้เปรียบทั้งนั้นแหละ
พวกนายทุนทุนนิยมมีวิธีคิดซับซ้อน ไม่มีความขาดทุนให้แก่สังคมหรอกไม่มีความสุจริตไม่มีความจริงใจที่จะคิดขาดทุนให้กับสังคมหลอก ไม่มี
มีแต่ชาวบุญนิยมคิดที่จะเสียสละให้ได้มากขึ้น ไม่เอาเปรียบเลยแล้วเสียสละส่วนตัวออกไปด้วย มากที่สุดที่จะเสียสละได้ก็ทำ คนอย่างนี้คือคนประเสริฐ อธิบายสัจธรรมไม่ได้ชมตัวเองนะ พูดสัจธรรมความจริง จะเป็นศาสนาในสังคมกลุ่มไหนก็ตรงกัน ไม่ได้เป็นเรื่อง ที่มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น แต่มันเป็นสัจธรรม
ผู้ใดที่รู้จักสัจธรรมอย่างนี้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยแต่ประเทศไทยแต่ช่วยโลกด้วย
อาตมาถึงบอกว่าประเทศไทยถ้ามี GDP อย่าเอาเปรียบประเทศนอกเขามา domestic ของคุณเอาของประเทศไทยเลี้ยงตัวเองให้ได้ จะได้องค์รวมเลี้ยงตัวเองรอด แล้วคุณยังสามารถไปเลี้ยงประเทศอื่นได้นี่ถือว่า GDP คุณเจริญ แต่นี่ของคุณเลี้ยงตัวเองยังไม่รอด เอาของต่างชาติมาบวกเอาเปรียบเขาได้เท่าไหร่ แล้วเอามาคิดว่านี่แหละคือ GDP ประเทศไทยเจริญ คุณไปเอาเปรียบประเทศอื่นเข้ามา คุณอย่ามาใช้คำว่า domestic ความเข้าใจตรงนี้อาตมาเห็นขัดแย้งกันอยู่กับเขา พวกนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้คิดอย่างอาตมาหรอก อาตมาคิดอย่างนี้แล้วก็ทำอย่างนี้ด้วย
GDP ของชาวอโศก ถ้ามีพอกินพอใช้เหลือแล้วสะพัดออกไปนั่นคือ GDP เจริญของภายในอโศก เพราะว่าเราเลี้ยงตัวเองรอด เรามีส่วนเหลือส่วนเกินช่วยเหลือส่วนเนื้อส่วนเกิน แต่หากว่า GDP ของคนภายในยังไม่พอแล้วไปดูดของคนอื่นมาแล้วบอกว่าตัวเองได้มากนี่คือบอกว่าตัวเองเจริญก็คือบ้า
ทั่วโลกเขาคิดอย่างนี้ นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นดอกเตอร์แบบไหนก็คิดแบบนี้ อาตมารับผิดชอบที่พูดไป อาตมาว่า วิธีคิดของคนที่เป็นโลกุตระ โลกียะนั้นคิดไม่ออกแบบนี้ แม้จะคิดออกเขาก็ไม่เอาหรอก แต่อาตมาพาพวกเราทำ
พวกนี้ดูถูกตัวเองว่า ตัวเองช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ เอาเปรียบคนอื่นได้มากแล้วยังหลงว่าตัวเองดีอีกด้วย โง่ตายชัก ไม่ใช่ คุณเสียสละได้มากเท่าไหร่นี่แหละคือยิ่งดี
นักเศรษฐศาสตร์ที่ไปจ้างเขามา พูด Speech ทีหนึ่ง เป็น 10 -20 ล้าน แต่เขาไม่พูดโลกุตระหรอก มีแต่ปลุกเร้าให้เอาเปรียบคนอื่นให้ได้มากขึ้น
ประเทศไทย จ้างนักเศรษฐศาสตร์มาพูดเพื่อให้ได้วิธีคิดที่เอาเปรียบมากขึ้น มันเป็นการซวยซับซ้อนไหม อย่างนี้เป็นต้น อาตมาเห็นแล้วว่าสังคมนั้นน่าสงสาร มีแต่ทับถม ทำตัวเองให้ตกต่ำไปเรื่อย ไม่เจริญทางโลกุตระเลย ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองศาสนาพุทธแต่ไม่ได้เข้าใจเศรษฐศาสตร์โลกุตระ อาตมาถึงบอกว่า การไปกอบกู้เศรษฐกิจนั้นไม่ต้องไปสอนให้คนไปรวย ถ้าสอนให้คนไปรวย ทุกคนจะต้องแย่งกันหมด
คนที่แย่งในประเทศได้นอกประเทศก็ทำได้อีก คนที่เขารวยนั้นเขาแย่งชิงคนในประเทศไทย ก็แย่งชิง แล้วก็ก้าวออกไปสู้กันแย่งชิงจากต่างประเทศเพิ่มเติมอีก คนที่รวยๆ ซึ่งไม่ใช่ อย่างนั้น ไม่ใช่เศรษฐีแท้แต่เป็นกระฎุมพี
เราให้เริ่มจากไม่เป็นหนี้เลี้ยงตัวเองให้รอด เราสามารถเลี้ยงตัวเองให้คุ้มแล้วสามารถมีส่วนหรือส่วนเกินสะพัด เช่นเราสร้างวัตถุดิบผลผลิตของเราได้ภายในประเทศ ของเรามีเหลือภายในประเทศก็ขายออกไปให้ต่างประเทศโดยขายให้ขาดทุน นี่คือความเจริญของประเทศ ทั่วประเทศนี้ไม่ได้ไปเอาเปรียบเอารัดประเทศไหน มีแต่ไปเสียสละช่วยประเทศอื่น นี่คือเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์เจริญที่แท้จริง เหมือนชาวอโศกเราทำได้
เพราะฉะนั้นในเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแล้ว ในคนในโลก มีชาวอโศกนี่แหละปฏิบัติเศรษฐศาสตร์ได้ดีที่สุดตรงตามพระพุทธเจ้า แต่คุณเมา บอกว่าเศรษฐศาสตร์ของคุณยังไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ของโลกของสากล เศรษฐศาสตร์ทุกวันนี้แต่ละประเทศคือเศรษฐศาสตร์ที่จะกอบโกยจากประเทศไหนได้ มาให้แก่ตัวเองให้ได้มากที่สุด ถือว่าประเทศนั้นเจริญ เพราะฉะนั้นพวกนักสร้างอาวุธไว้ฆ่าคน เก่ง วิเศษ คนอื่นต้องซื้อ ก็จะได้โก่งราคาแพงเอาไว้ขู่ประเทศอื่น ประเทศใดที่สร้างอาวุธเก่งๆให้แก่ตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้ไปรบกับใคร ดีไม่ดีก็เลยเอาไปฆ่ากันเอง พวกตะวันออกนี่แหละมีเงินซื้อรถไว้ มีอาวุธไว้ไม่ยิงกันมันก็ไม่สนุก มันฉลาดหรือมันโง่นะ พวกเราไม่ได้ซื้ออะไรมากมายเพราะไม่ได้ฆ่าแกงอะไร ก็ดีแล้ว ไม่น่าไปทำโง่เหมือนทางโน้นเขา อธิบายสัจธรรมไม่ได้ไปว่าเขานะ เอาพฤติกรรมจริงของเขานั่นแหละมาขยายความอธิบายเป็นสัจธรรมให้ฟังมันเป็นอย่างนั้น
อาตมารู้สัจธรรมก็อธิบายตามภูมิตามความจริงใจว่าคนรู้ว่า ไม่ควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ชาวอโศกพาทำในสิ่งที่ควรทำ มาเป็นเศรษฐีเป็นคนประเสริฐ เราเป็นเศรษฐีเงินถังแต่สตางค์ไม่มี
อธิบายอย่างอาศัยพฤติกรรมจริงของคนในสังคม ว่าสิ่งที่ควรทำสิ่งที่ควรเอาอย่างก็ทำ สิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเอาอย่าง ไม่ควรให้มีในโลกเลยก็ได้แต่เราไปห้ามไม่ได้เราก็ทำของเรา
ชีวิตมาเสนอสิ่งนี้ให้แก่คนแก่สังคม อาตมาถือว่าเป็นงานที่ประเสริฐที่สุด อาตมาจึงเลือกมาทำงานนี้ ชีวิตของอาตมา จะไปหาเงินทองลาภยศสรรเสริญสุขแข่งกับเขา อาตมาว่าไม่ได้แพ้เขานะ ได้ลองดูแล้ว ใช้เวลา 12 ปี ก็ไม่ได้จัดจ้านตะกละอะไร แต่ถ้าไปกับโลกเขาก็คงจะตะกละมาก ก็ดี เราไม่ได้ทำให้เป็นวิบาก ทำมาแล้ว 12 ปีก็เป็นวิบากแล้ว ก็อย่าให้สร้างวิบากเป็นหนี้ ยิ่งรวยเท่าไหร่ก็สร้างหนี้วิบากมากขึ้น
พระพุทธเจ้าสอนคนให้ไม่เป็นพิษภัยแต่โลก แต่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อยู่ในสังคมมีพฤติกรรมสังคมอยากเป็นคนประเสริฐ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด อาตมาได้มาช่วยมนุษย์ให้แก่ประเทศ ช่วยมนุษย์ให้แก่ประเทศตรงไหน ช่วยตรงที่ว่าเขาไม่ได้เป็นตัวอย่างไม่เป็นตัวโกงไม่เป็นตัวเอาเปรียบในสังคม มาเป็นตัวที่สร้างสรรเสียสละ แล้วก็มีความสุข สร้างสรรก็เป็นความสุขเสียสละก็เป็นความสุข มาเป็นคนจนไม่สะสมก็เป็นสุข
ไม่ใช่พูดเล่นนะ มาเป็นคนแบบนี้คือคนเจริญเป็นคนประเสริฐเป็นเศรษฐีเสฏโฐ แล้วอาตมาก็ว่าอาตมาทำได้ด้วย
อาตมาทำงานภูมิใจที่ไม่ได้และเล็มเลียบเคียงคนมาให้เป็นบริวาร มาเป็นมวลเป็นสมาชิก ให้ทุกคนมีอิสระเสรีภาพมาเองเข้าใจเอง อาตมาพอใจตนเองในชีวิตนี้ ไม่ได้โฆษณาหลอกลวง โป้งรวยหรือจะมีสวรรค์กี่ชั้น เฟสนั้นเฟสนี้ อาตมาว่า โอ้โห มันหลอกกันฉิบหาย อาตมาว่า อาตมาเข้าใจ แม้แต่และเล็มเลียบเคียงอาตมาก็ไม่ ไม่ได้หลอกว่ามาที่นี่จะได้บุญมาก แต่บุญของที่นี่คือการฆ่ากิเลสนะเขาก็ไม่เข้าใจ นี่แหละคือความเสื่อมของศาสนา
คำว่าสมาธิเข้าใจผิด คำว่ากายเข้าใจผิดก็เสื่อม คำว่าบุญเก่าเข้าใจผิดก็เสื่อม เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันเสื่อมถึงขีด โดยเฉพาะคำว่าบุญนี้ยิ่งใหญ่เพราะว่าบุญเป็นคำโลกุตระ หมายถึงพลังงานที่ไปกำจัดกิเลส กำจัดกิเลสเสร็จก็หยุดจบหายไปเลยไม่มีแล้ว ปริขีโณ สูญสิ้น
มีหน้าที่ฆ่ากิเลสตัวไหนก็แล้วแต่ ฆ่ากิเลสได้ บุญก็หมดพลังงาน เหมือนลูกระเบิดปรมาณู คนเอาไปทิ้ง ตูม แล้วทำลายสิ่งนั้นสำเร็จ ก็จะไม่เหลือลูกระเบิดปรมาณูนั้นอีก ลูกนั้นก็หายไป นี่แหละคือบุญ บุญคือลูกระเบิดปรมาณู บุญไม่ใช่สมบัติ คุณจะเก็บอะไรจากลูกระเบิดปรมาณูที่เป็นสมบัติ คุณอยากได้ไหมเอาไว้ในครอบครอง มันจะระเบิดใส่เราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราไม่อยากได้ไม่อยากมีหรอก แล้วจะไปทิ้งใส่อะไรไหม ก็ไปทิ้งใส่กิเลสตัวเอง บุญคืออาวุธร้ายฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าเสร็จแล้วลูกระเบิดนั้นก็สลายหายไป ชัดเจนไหม
เพราะฉะนั้นใครจะไปสะสมบุญนั้นผิดหมด บุญสะสมไม่ได้ บุญเป็น One way Traffic เดินมาถ่ายเดียว เป็น Nuclear Fission ตรงไปเลยไม่มีโค้งงอกับมาไม่มี Boomerang ชัดเจนไหม
คุณจะประกอบบุญเมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัยเกิดกิเลส บุญเกิดมามีพลังงานทำลาย กิเลสเอ็งถูกพลังงานระเบิดปรมาณูบุญของฆ่าทำลายแน่นอน
1. รู้จักตัวกิเลสตัวศัตรูตัวเป้าหมาย ที่คุณจะต้องทิ้งระเบิดปรมาณูนี้ใส่ ระเบิดบุญ แม่นๆนะ จะไปโดนสิ่งที่ไม่ใช่กิเลส เพราะฉะนั้นไม่ระคายเคืองแม้แต่สิ่งที่ประกอบอยู่ใกล้ๆ บุญนั้นมีความละเอียดละออมาก จะฆ่าโจร โจรอยู่ในประเทศไทย คุณจะมาหาเลย คุณจะทำลายไม่ใช่แค่ทางประเทศไทยให้พังลงไป ไม่ใช่ แต่มันอยู่ไหน กิเลส
กิเลสอยู่บ้านราชฯก็มา แล้วอยู่ในบ้านหลังไหน แล้วอยู่ในซอกไหน จนเจอกิเลสว่าหลบอยู่ตรงนี้เองอยู่ในร่องนี้ซอกนี้ช่องนี้เอง จับได้แล้วตัวบุญก็เอาระเบิดปรมาณูโยนลงไป ให้กิเลสแตกละเอียดหมดไปสูญไป พลังงานปรมาณูนั้นยิ่งใหญ่กิเลสมันน้อยเดียวมันจะไปสู้ได้อย่างไร ก็ต้องสร้างพลังงานที่จับตัวกิเลสให้มั่นต้องมีปัญญา บุญจะต้องมีตัวปัญญา อย่าไปมีกัมมันตภาพรังสีไปทำลายอันอื่นที่ใกล้เคียงนะ บุญนั้นเป็นผู้ดีขนาดนี้
ส.ฟ้าไท...สรุปจบ..
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 20:59:14 )
รายละเอียด
611104_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าวิปัสสนาโลกุตระค่ายม.4
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VClpfW7itlg1xfAx_JHf1Zu8m39_Nh8ZM1ZnYTvU124/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1FtCDYDeZdV0sRUbvDn3YKdFLdAcv2P-X
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงงานมหาปวารณา ปีนี้เราจัดฉลองครบ 48 ปีโพธิกิจและครบรอบ 84 ปีอายุพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ก่อนหน้านี้เราจัดเทศกาลกินเจ คนมาทำงานร่วมกันเยอะมาก หากว่าเราคิดค่าแรงงาน จะเสียเงินเป็นล้านเลย แต่เราไม่คิดค่าแรงงานเลย แสดงว่าเราทำงานขาดทุนให้แก่สังคม เพราะเราขายในราคาที่ถูกมากด้วย ที่นี่ประกาศตนว่าเป็นคนจนแต่ขายของขาดทุนได้
อากาศที่นี่ตอนนี้หนาวเย็น ไม่ต้องไปเที่ยวที่ไหนเลยมาเที่ยวที่นี่ได้ มาทำงานช่วยกันที่นี่ ตอนนี้มีเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4 เข้าค่ายเตรียมงานมหาปวารณา ก็จะมีคลิปสรุปการเข้าค่ายฉายตอนนี้
พ่อครูว่า...เอาล่ะตอนนี้ ได้โอกาสเวลาที่อาตมาตอบคำถามเด็กๆเข้าค่าย
สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน ทำไมคนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
_กราบนมัสการค่ะหลวงปู่
1.ทำไมบางคนฟังธรรมไม่รู้เรื่องคะ (พ่อครูว่าดูแต่เรื่องเล่นเกมส์ ตลกโปกฮากัน แต่ฟังธรรมนี่ไม่รู้เรื่อง)
2.ความขัดแย้งในบ้านเมืองทุกวันนี้เกิดจากอะไรคะ
3.ทำไมคำสอนในปัจจุบันผิดไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า...เป็นคำถามที่ง่ายๆซื่อๆแต่ลึกนะ
ทำไมบางคนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง ง่ายๆก็คือเขาไม่รู้เรื่อง หลวงปู่เทศน์เขาก็ฟังไม่รู้มันก็ไม่รู้สิ ผิดตรงไหนล่ะ ใช่ไหม คือมันมีนัยะสำคัญที่ลึกก็คือ ความรู้ยอด ความคิดรวบยอดความรู้องค์รวม ของอาตมา ของหลวงปู่เป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นนามธรรม ทีนี้ความคิดความรู้รวบยอดของเราเป็นอีกบริบทหนึ่ง มันก็เลยไม่ตรงกัน คนหนึ่งอยู่ปลายสะพาน อีกคนหนึ่งอยู่หัวสะพาน อีกคนหนึ่งอยู่ก้นเหว อีกคนหนึ่งอยู่บนยอดเขาสิเนรุ มันก็เลยไม่รู้ คนหนึ่งอยู่บนเมฆบนฟ้า อีกคนหนึ่งดำอยู่ในดิน ก็ไม่เจอกันไม่รู้กัน นี่ง่ายๆ เป็นของคนที่จะมีความรู้ความเข้า มีความเป็นอยู่ ไม่เอาอะไรมาก เด็กก็คิดอย่างเด็ก ผู้ใหญ่ก็คิดอย่างผู้ใหญ่ เด็กก็ว่าผู้ใหญ่พูดเรื่องอะไรกัน พูดถึงเรื่องในสังคมเรื่องอะไร เด็กเขาก็บอกว่าอะไร มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ที่มันมีอยู่ในมนุษยชาติ ยังไม่ถึงเวลาวาระโอกาส เหตุปัจจัยความรู้สมมุติก็ดี อะไรต่างๆที่เป็นองค์ประกอบมันยังไม่เข้ามาร่วมกัน
มีเหตุปัจจัยต่างๆรวมแล้วเป็นองค์รวมที่ต่างกัน ทำไมส้มโอต่างกับกล้วย เหตุปัจจัยที่เอามารวมกันมันต่างกัน แล้วก็มีมิติต่างๆ กล้วยมันก็มีมิติที่ยาว ส้มโอมันก็กลมไม่ยาว มันเป็นเรื่องที่เข้าใจแล้วทุกอย่างในโลกนี้มีสารพัด รวบรวมแล้วก็คือมีความแตกต่าง จบ
มีสารพัดเลย รวบรวมแล้วมันเป็นความแตกต่างเท่านั้นเอง อะไรก็แล้วแต่ ที่แยกเป็นอณูปรมาณู มีอีกอันมันจะต่างกันทันที สรุปรวมที่ทุกอย่างคือ 2
เราเกิดมามีร่างกายก็มี 2 แล้ว 1. กาย 2. จิต
ร่างคือสรีระ กายเป็นองค์รวมของร่างกับจิต จิตเป็นธาตุรู้ตัวการใหญ่สุดรู้ได้ยอดเยี่ยมได้ดีได้ประเสริฐที่สุดก็คือจิต ทำไมคนบางคนฟังธรรมไม่รู้เรื่องเพราะว่ามันต่างก็จบ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ความขัดแย้งในบ้านเมืองเกิดจากอะไร
2. ความขัดแย้งในบ้านเมืองทุกวันนี้เกิดจากอะไร
พ่อครูว่า...เพราะยึด ต่างคนต่างยึด เมื่อไม่ลงตัวกันก็ทะเลาะกัน คนหนึ่งอยู่ฝั่งไทยคนหนึ่งอยู่ฝั่งอเมริกาก็ทะเลาะกันได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ทะเลาะกัน เราต้องมาเรียนรู้ 2 อย่างนี้ ทะเลาะกันกับอยู่ร่วมกันอย่างสงบ อันไหนดีกว่ากัน อยู่อย่างสงบดีกว่า เราเป็นคนก็ต้องเลือกทำในสิ่งที่ดีจะไปเลือกทำในสิ่งที่โง่ทำไม เราก็อยู่กันอย่างสงบมีประโยชน์ต่อกันและกัน เราก็ทำอย่างนี้ให้ได้ ใครที่ยึดถือจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดีไม่ดีเราก็ไล่ออกไป บางคนไล่ไม่ได้ก็ฆ่าทิ้ง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติในโลกนี้
อาตมาว่าทุกวันนี้ ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วพูดไม่หมด มันไม่มีอะไรเลยมันมีแต่ทุกอย่าง สูญ คือไม่มีอะไรเลย
สูญ นี่คือทุกอย่าง ทุกอย่างนี่คือ สูญ เท่านั้นเองสุดท้าย
ใครเองไปยึดมั่นถือมั่น ก็ทะเลาะกัน แต่0 ไม่ทะเลาะกับหนึ่ง ไม่ทะเลาะกับอะไรเลย แต่ 1 ก็ทะเลาะกับ 2 ดีไม่ดีแบ่ง สองครึ่งทะเลาะกับสองอีก
ทุกอย่างที่ขัดแย้งกันเกิดจากความเป็นสอง เมื่อมันแยกกันแล้วไม่ยอมรับกัน ขัดแย้งกันอย่างแรงขึ้นมากขึ้นก็ทะเลาะกันเท่านั้นเอง
ธาตุรู้ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด เมื่อรู้แล้วว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ เราก็รู้ว่ามันขัดแย้งมันต่างกันตรงไหน เราก็เป็นอย่างนี้ของเรา เขาก็เป็นอย่างนี้ของเขา
อัตภาพที่ไม่หยุดพยาบาท ไม่หยุดดูดหยุดรัก มันก็มาทำงานตามปฏิกิริยาที่มันยึดถืออย่างนั้น ก็ต้องตีกันฆ่ากันอย่างนั้น หรือว่ารักกันซาบซึ้งกันก็อย่างนั้นแหละ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ
สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน ทำไมคำสอนปัจจุบันผิดไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า
3. ทำไมคำสอนปัจจุบันจึงผิดไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า...ก็เพราะความหมายความรู้ มันรู้ไม่ได้ มันไม่ยอมรู้ตามพระพุทธเจ้า ก็ใช้พยัญชนะใช้ภาษาสื่อสารว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง มันก็เลยไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้า ก็พยายามทำให้ตรงกับของพระพุทธเจ้า เมื่อรู้ตรงกันก็เข้าใจแล้ว ไม่เห็นยากเลย
ทีนี้มันเข้าใจไม่ได้นี่แหละมันจะต้องพยายามศึกษาให้ดีๆ ทำความเข้าใจไป ก็จะค่อยๆรู้ตามเหตุปัจจัย พระพุทธเจ้าท่านใดแยกความต่างออกมาว่าเป็นสูตรเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท 12 ขยายความต่อไป
เราใช้ภาษาไทย ก็คิดว่าคนจะรู้ร่วมได้กับอาตมาเยอะ บันทึกไว้ในหนังสือต่างๆทุกคนเข้าใจร่วมกันนะ ในพจนานุกรมก็มี หรือภาษาที่เรากำหนดหมายได้ ก็มาพูดกันให้เข้าใจรู้เรื่อง มันก็จะจบ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นสรุปแล้วที่ทำมา 3 ประเด็น
ทำไมบางคนฟังธรรมไม่รู้เรื่องเพราะไม่กำหนดให้ตรงให้รู้เรื่องให้ดี
ขัดแย้งกันก็ยังไปทะเลาะกันไปตีกันอีก บ้านเมืองก็เลยขัดแย้ง มันก็เท่านั้นเอง
ทำไมคำสอนปัจจุบันจึงผิดไปจากคำสอนพระพุทธเจ้าก็เพราะว่ากำหนดผิดยึดถือผิด ต่างคนต่างยึดถือของตน ยึดในความนึกคิดตอนสมมุติของตนเอง การสมมติอะไรของตนขึ้นมาเป็นอุปาทาน จะไปยึดถืออย่างไรก็นึกไปได้หมด ของเราเอง แต่เพี้ยนให้แตกต่างจากของคนอื่นได้สารพัด อยู่ที่เราจะบ้าบอยึดถือไป ในโลกนี้ต้องรู้สมมุติตามเขา
สมมุติว่าเรามี 2 สิ่งคนนี้สมมุติอย่างนี้คนนี้สมมุติอย่างนี้ เราก็พยายามทำความสมมุติให้ตรงกับเขาให้ได้เขายึดถืออย่างนี้นึกคิดอย่างนี้ ก็จบ ตรงกันแล้ว เราจะต้องการอย่างนี้ทำมาให้แก่ตนหรือว่าตกลงว่าเรายืนยันว่าตรงกันแล้วอย่างนี้ไม่ตรงอย่างนี้ต่างกันอย่างนี้ อย่างนี้ไม่เอานะเอาอย่างนี้ เราก็รู้ร่วมกันให้ได้ แยกแยะให้ออกว่าเอาอย่างนี้ไม่เอาอย่างนี้ เราก็ทำความเข้าใจ ทำอันนี้คืออันนี้ อันนี้คืออันนี้ อันนี้คือเอาอันนี้คือไม่เอา 1 ความเข้าใจตรงกันว่าเอาอันนี้ไม่เอานี้ แล้วไม่เอาอันนี้ก็ทำอันนี้ให้ตรงกันก็จบ
สัจจะมันมีอย่างนี้ อยู่ที่จิตของเราจะยังจิตของเราให้เป็นไปในอำนาจ ให้จิตของเราเป็นไปตาม ผู้ที่สามารถเอาจิตของตนเองรู้ตามเข้าใจตาม คนอื่นได้ เราก็ไม่ต้องเป็นตัว ถ้าเราจะให้จิตเรามีอำนาจให้คนอื่นรู้ตามได้อีก คุณก็เก่งก็จบ หากคนอื่นรู้ตามไม่ได้ก็เป็นไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าละเอียดมากให้คนรู้ตามได้ด้วย แล้วมีความดีที่ต่างกันอีก อันนี้ดีกว่าอีก จนกระทั่งดีที่สุดดีจนกระทั่งระดับพระพุทธเจ้า สัพพัญญูรู้กัน ละเอียดมากรู้กันหมดเลย สรุปอันนี้มากที่สุดคือสูญ เมื่อใครเข้าใจแล้วว่ามากที่สุดกับสูญไม่ต่างกันเลย แต่ถ้าคนเข้าใจว่ามีความแตกต่างกันมากแล้วไม่เป็น 0 สักทีคนนี้ยังอีกนานนนนนน
อาตมาพยายามใช้ภาษาง่ายๆสบายๆให้เข้าใจ ศึกษาให้ดี มันยึดมั่นถือมั่นคำเดียว เราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ปล่อยความเข้าใจ ศึกษาของเขาแล้วก็อนุโลมตามเขาไป
คนหนึ่งมามองอันนี้เรียกว่ากล้วยนะ อีกคนหนึ่งบอกว่า กล้าย อีกคนหนึ่งว่ากล้วย แต่อันนี้มันอันเดียวกันนะ แต่ 2 คนนี้มันหาเรื่องกันแล้ว เอาพยัญชนะมาคนนึงบอกว่ากล้วยคนนึงบอกว่า กล้าย ถ้ามันไม่ลงกันสุดท้ายมันก็ฆ่ากัน เถียงกัน ถ้าหากอีกคนหนึ่งบอกว่า กล้ายก็กล้ายนะ ก็จบเหมือนกัน
อาตมานี่ฉลาด แพ้ก็แพ้วะ แพ้ทำไงต่อ ก็ติดคุก ติดก็ติด แล้วเขาอนุโลมรอลงอาญาสองปีก็รอ จะให้คนมาควบคุมความประพฤติ จะมาก็มา คนมาควบคุมไม่กี่วันไม่กี่ปีก็ไม่มาอีกแล้ว หายไปเลยตั้งแต่บัดนั้น มาแค่ทีสองทีบันทึกรายงาน คนบันทึกรายงานก็บันทึกแล้วว่า ท่านทำดีแล้ว เรายังไม่ดีเท่าเลย มันก็บาดเสียดหัวใจตัวเอง คือ สัจจะมันเกิดขึ้นมาจริงแล้วทั้งนั้นเลย ศึกษาให้ดีเถอะ อาตมาศึกษามาแม้เป็นแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 มีความรู้ความจริงที่มาแสดงต่อโลก ผู้คนรู้เข้าใจว่ามีความต่างมีทฤษฎี ผู้ที่เอาตามยังไม่ได้ไม่เห็นด้วยก็ขัดแย้ง ก็ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะฉะนั้นเราเอาอย่างนี้แหละ
พระพุทธเจ้าท่านสรุปแล้วเราทำตามอย่างท่านได้แค่นี้ ก็ยังเกิดความสงบเกิดความอบอุ่นเกิดความยินดีเป็นไป อาตมาก็เห็นว่ามนุษย์ยุคนี้ได้ใฝ่หาสัจธรรมอันนี้ เขาไปใฝ่หาจะทำอีกแบบมานานแล้วมันเดือดร้อนมากแล้วตอนนี้ก็ไม่เอา มาเอาแบบนี้มันมี 2 ทิศทางเป็นธรรมะ 2 ในโลก
แนวโน้มที่เป็นเทรนด์ต่างๆในโลก จิตวิญญาณคนเรามีความรู้สึกร่วมที่ดี อย่างเช่นจะช่วย 13 หมูป่า มันเป็นความรู้สึกที่ดี คนต่างๆที่ไม่มีความรู้สึกมันก็เกิดความทึ่งความเซอร์ไพรส์ มันก็เลยมากัน แค่นี้ เรามีที่สูงกว่านี้เยอะเลย ของเราไม่ใช่หมูป่าเป็นคนเมืองเลย มากกว่า 13 คน เขายังไม่เห็นเลย มีคุณสมบัติอะไร หมูป่าเป็นทีมฟุตบอล 12 คน มีโค้ชหนึ่งคน รวมเป็นคณะ รวมกันไปเตะบอลแค่นั้นแหละ เตะให้เข้าประตู ใครเตะเข้าประตูมากกว่าก็เก่งแค่นั้น ก็ยิ่งใหญ่กันต่างๆนานา บอกว่ามันดี คนนี้มีแทคติก คนนี้มีแรงมาก อะไรก็แล้วแต่ ก็เหตุปัจจัยต่างๆ ให้เรารู้ แล้วก็รู้สึกทึ่งในสิ่งที่เขาสมมุติกันขึ้นมาแต่มันไม่มีสาระอะไร แต่แค่มีอารมณ์ร่วมอารมณ์สนุก เก่งในแทคติกเทคนิคต่างๆ วิธีการเคลื่อนไหวต่างๆ แล้วได้อะไรไหมกินอิ่มไหมจ่ายแรงงานออกไป พวกเราไม่นิยมไม่เห็นดีงามแบบเขาหรอก
นี่เป็นภาษาง่ายๆว่าใครติดสมมุติยึดแล้วก็ทำ แต่เราไม่ยึดติดก็เห็นแง่มุมเหลี่ยมต่างๆที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตเราขนาดไหน ย่นย่อแค่ปัจจัยสี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนอกนั้นก็เป็นบริขารองค์ประกอบไม่มากมายอะไร อันไหนมีมากเกินไปเราก็รู้ว่าชีวิตนี้เราไม่ต้องเราก็ไม่ได้แสวงหา เขาได้ยัดเยียดให้เรามาแค่นี้เขาก็พอแล้วสันโดษแล้วทั้งที่หนักไม่เบาสบาย ใครมีแรงงานมีผลผลิตเรือก็มาร่วมสร้างสรร อะไรที่เป็นสาระก็ทำอันนั้นก่อนอะไรที่ไร้สาระอย่างนี้ไม่ทำ เราจะมาทำอาหาร ยังทำได้อีกเยอะ
หรือเราบอกว่าเงินเรามีเหลือก็จ่ายค่าขนส่งให้เขาด้วยเราโง่ไหม แจกจ่ายเกื้อกูลเขาเราโง่ไหม...ไม่ เราไม่โง่หรอก แต่คนหวงแหนของกูปล่อยเน่าเสีย คนนี้ไม่รู้ตัวว่าโง่ แล้วก็เข้าใจเขาอย่าไปทำอย่างโง่ๆ เขาไม่รู้ก็ทำแต่เราไม่ทำ ชีวิตเกิดมามีประโยชน์ต่อคนอื่น
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ทำไมพระต้องแต่งสีส้มหรือสีน้ำตาล
_ทำไมพระถึงต้องแต่งชุดสีส้มหรือสีน้ำตาลเท่านั้น
พ่อครูว่า...มีหลากหลายสีเยอะแยะ เขาเห็นสีส้มกับสีน้ำตาลเป็นธรรมะ 2 ก็อยู่ที่คนยึดถือ เราใส่สีน้ำตาลเป็นหลัก คนอื่นก็แต่งสีส้มแก่ส้มอ่อนจนไปหาแดง ก็เพราะต่างคนต่างยึดถือเห็นดีเห็นงามต่างกัน เราเห็นแล้วว่าสีอย่างนั้นมันฉูดฉาดยั่วยวน อย่างนี้มันไม่ฉูดฉาดไม่ยั่วยวนอย่างนี้ดีกว่า แต่เขาเข้าใจว่าอย่างนั้นดีกว่า สวยเหลืองอร่ามเรือง ล่อแมลงได้เยอะกว่าเขาก็เอาอย่างนั้น บางคนก็ดูว่าพุทธเจ้าท่านห้าม สี 7 สี ด้วย แต่กูจะทำ ทำไม? คนอย่างนี้ก็มี รู้ทั้งรู้ อ่านพระไตรปิฎกเก่งด้วยนะ ในพระวินัย ก็บอกไว้ว่าสีอะไรที่ห้ามใส่ ก็ดันจะเถียงเล่นคารมว่าไม่ใช่เหลืองล้วน แดงล้วน แสดล้วน แปลเองนะว่าล้วน แล้วก็บอกว่าไม่ใช่ล้วน
ทุกวันนี้อาตมาอธิบายพยัญชนะกับสภาวะ
_หลวงปู่ตั้งสัมมาสิกขามาเพื่ออะไร
พ่อครูว่า...ตั้งมาเพื่อให้เธอนั้นแหละมาเรียน ทำไมต้องมาเรียนเพราะเธอมันโง่ต้องมาสอนให้ฉลาด เธอยังไม่ดีก็สอนให้ดี เธอยังไม่รู้ก็สอนให้รู้เอาไหมล่ะ เอาไหมล่ะทำให้ดีทำให้รู้ถ้าไม่หายโง่เอาใหม่ ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไร ไม่เอาก็ไม่เป็นไรที่นี่ไม่ได้ขาดทุนอะไร พูดแรงไปหน่อยสำหรับเด็กๆ ก็จะสอนให้เธอนั่นแหละให้ได้สิ่งที่ดีสิ่งที่ฉลาด ในสิ่งที่ไม่ได้โง่ สิ่งที่ประเสริฐสิ่งที่มีคุณค่าประโยชน์ต่างๆ จะทำให้เอาไหมล่ะ ถ้ามีแล้วก็ไม่เป็นไรเราก็ไม่ว่าอะไรใครยังไม่มี เราก็เติมให้ ก็เป็นอย่างนี้แหละเป็นประโยชน์แก่กันและกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน เจโตสมถะแบบลืมตามีประโยชน์ไหม
_การฝึกเจโตสมถะแบบลืมตา มีประโยชน์ต่อสัมมาสิกขาไหม หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไร
พ่อครูว่า...เด็กเรารู้จักเจโตสมถะแบบลืมตาด้วย
เจโตสมถะมีสองแบบเขารู้ด้วย
สมถะคือ เอาจิตให้รวมเป็นหนึ่งอย่าดิ้น หลับตามันก็ไม่ดิ้นง่ายก็เลยนิ่งได้ง่าย ฝึกเข้าจะมีพลังงานควบคุมได้เก่งก็เรียกว่าเป็นสมถะ เมื่อลืมตากระทบสัมผัส ก็จะรวมไม่ค่อยอยู่ ก็มาหัดลืมตาแล้วรวมให้ได้ ก็จะเก่งสมถะลืมตา
สมถะต่างจากวิปัสสนาได้มาก สมถะรวมกันเป็นอย่างเดียวเป็นฟิวชั่น วิปัสสนาทำให้มันกระจายออกๆจนมาหา ฟิสชั่น ให้กระจายออกขยายออก มันก็มีสองทิศสองนัยยะอย่างนี้
วิปัสสนารู้การปรุงแต่ง 2 อย่าง 3 อย่าง 4 อย่าง 5 อย่าง 6 อย่าง 7 อย่าง จับให้รู้เป็นคู่ 2 คู่ 5 คู่ 10 คู่ 100 คู่หมื่นคู่แสนคู่ อย่างนี้ก็เป็นความรู้ความเข้าใจที่รู้ รู้อันนี้เป็นอย่างนี้ เราไม่ขัดแย้งในหัวใจเรา เรารู้อันนี้ว่าเป็นอย่างนี้อย่างนี้ ต่างคนต่างยอม มันก็เห็นต่างกันได้เราเราก็อยู่ร่วมกัน คนที่ทำได้อย่างนี้รู้อย่างนี้ก็อยู่ร่วมกับอะไรได้มากได้หมดได้ดี
เจโตสมถะ จริงๆเขาไม่ลืมตา พอฉลาดมาก็รวมเป็นหนึ่งให้ลืมตา ฉลาดกว่านั้นอีกก็เป็นอย่างนั้น
จะมีสมถะในวิปัสสนาอีกทีหนึ่ง สมถะเราก็สงบอยู่ วิปัสสนารู้แล้วว่าอ๋ออันนี้คืออย่างนี้ ก็รวมลง อันนี้ก็ยังอยู่อันนี้ก็ยังอยู่อันนี้เขาทะเลาะกันอันนี้ไม่ทะเลาะกัน เขาไม่ลงกัน แต่เราลงกับเขาได้หมด เราก็เป็นผู้ที่ประนีประนอม อย่าไปตีกันมาก อยู่ให้เขาสงวนตัวเอง ควบคุมตัวเองบ้างอยู่ได้ ถ้าเข้าใจก็รวมกันได้
แต่คนที่ไม่เต็มใจมารวมกันก็บังคับกันยาก ใครเต็มใจจะอยู่มารวมกันก็ทำได้ ทั้งที่มันมีพลังงานนะไม่ได้หยุดนะ จนกระทั่งเข้าใจอยู่อย่างสงบไม่ดีดดิ้น อยู่อย่างสบายไม่มีอะไรที่จะทะเลาะกัน อยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรที่เป็นประโยชน์คุณค่าได้ ก็ร่วมกันสร้างสรรอย่างนี้ดี เราเอาแต่สิ่งดี สิ่งไม่ดีไม่เอา เราทำได้อย่างที่พูดด้วยนะ ยถาวาที ตถาการี เราไม่ได้หลอกลวงใครพูดอย่างนี้เราก็ทำได้อย่างนี้ แต่คนอื่นเขาพูดอย่างนี้แล้วทำไม่ได้อย่างนี้คุณก็หลอก แต่นี่จะพูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้นได้ก็จบ ง่ายๆสัจจะที่อาตมาพาทำอยู่ก็อย่างนี้แล้วสบาย เข้าใจลึกกว่านี้มีสมมุติและภาษามากกว่านี้อีก
พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นใครจะรู้ ล้าน สารพัดสิ่งเลย โธ่เอ๋ย สูญทั้งนั้นเป็นหนึ่งเดียวเลย พอเข้าใจไหม
เราจะรู้ประเด็นที่ว่าสมมุติมันต่างกัน มันมีอะไรมากมายแต่ก็มีศูนย์กับอะไรมากมาย 2 อย่างเท่านั้น ผู้ที่เข้าใจอย่างนี้แล้วไม่ติดยึดว่าศูนย์ก็ได้จะมีมากมายก็ได้ มีแตกต่างกัน ล้านกับล้าน 2 กับ 5 ก็ได้ เราก็เข้าใจว่า 5 คืออะไร 2 คืออะไร 2 ข้อ 2 5 ก็ 5 คุณจะอยู่กับ5ก็อยู่กับ5ไป คุณจะอยู่กับ 2 ก็อยู่กับ 2 ไป ก็อยู่ร่วมกันได้ แล้วมันก็แตกต่างกันจะไปบีบบังคับให้คนที่ยึดถือใน5 กับคนที่ยึดถือใน 2 ให้มาเหมือนกันได้อย่างไร เพราะเขายึดถือ กูจะเป็นอย่างนี้ อิสระเสรีภาพของแต่ละคนมันยึด
อิสรเสรีภาพคือตัวเองยึด แต่อิสระเสรีภาพที่จริงๆแล้วก็คือไม่ต้องยึด เข้าใจตามแต่ละคนให้ได้ว่าเขายึดถืออะไร ยิ่งลงไปในพยัญชนะเลย
อิสระ
อะนี่คือ 0 มาใส่หัวหน่อยหนึ่งหัวก็ค่อยโตออกมาเป็นอ.อ่าง จาก 0 นี่แหละแล้วก็มี niche แล้วก็มีเซลล์ขึ้นมา ธาตุรู้ จนกว่าจะขยายตัวออกมาเป็น 2 หน่วย 3 หน่วย 4 หน่วย 5 หน่วย ถ้าออกมาหลายหน่วยมันก็ทะเลาะกัน ถ้าไม่ทะเลาะกันก็จะอยู่รวมกันได้ แล้วก็สร้างสรร สร้างสรรร่วมกันไปเป็นวงใหญ่ อย่างชาวอโศกอยู่อย่างมีปัญญารวมกันได้
จะอีก 5 ปี 10 ปี 20 ปีชาวอโศกก็จะสร้างขึ้นเจริญขึ้น อย่าให้ทะเลาะกันขัดแย้งกัน ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีคุณค่าที่ดี แล้วอาศัยในสิ่งที่เราทำแล้ว เหลือแล้วก็แบ่งแจกผู้อื่น การแบ่งแจกให้แก่ผู้อื่นเป็นการป้องกัน เป็นความปลอดภัย เขาจะมาแย่งเรามาฆ่าเราร้ายแรงที่สุดก็คือฆ่าเรา เราไม่ต้องไปแย่งกับเขา ไม่ต้องเอาจากเขาเลย
เราเป็นผู้สร้างเป็นพระเจ้าเป็นผู้ให้ ยิ่งให้ไปคนอื่นก็จะได้ประโยชน์จากเรา เขาก็ยิ่งนับถือเราเคารพเรา มันเป็นสัจจะที่จริง ยิ่งเขาทำอย่างนี้ไม่ได้สร้างอย่างนี้ไม่ได้ก็ต้องพึ่งพาเราสิ พวกเราสร้างได้ อาตมาว่า มันเป็นปาฏิหาริย์ที่ลึกลับ ทำไมเราว่าเราสร้างแล้วมันก็ยิ่งงามดูแล้วมันก็เจริญ ดูเห็ดฟางนี่ มันมีธาตุที่ดีมาก ไร้สารพิษด้วย เป็นความยิ่งใหญ่ที่ต้องศึกษาและจะเห็นจริงว่ามันเป็นไปได้ ทุกอย่างเหมือนร่วมช่วยให้เราเป็น เหมือนแกล้งให้เราต่อให้เราได้ของที่ดี ไม่เห็นเราจะได้ทำอะไรมากทำไมมันดีเกิน หัวผักกาดก็หัวใหญ่เท่านี้
เกิดจากธาตุอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามนี่แหละอยู่ในนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ช่วยสัตว์แล้วมันตายโดยเราไม่เจตนาจะมีวิบากไหม
_สมมุติว่าเราช่วยมดตัวหนึ่งขึ้นจากถังน้ำ แต่การช่วยของเราไม่เกิดความสำเร็จ ทำให้มดตัวนั้นตาย อยู่ที่เราไม่มีเจตนา แล้วมดก็เกิดความอาฆาต ถ้าคิดว่าเราฆ่ามันเราจะบาปไหมคะ
พ่อครูว่า...จิตเราบริสุทธิ์ จิตใจเรามีความเมตตาช่วยเหลือเขาด้วย เราไม่บาป เรามีแต่กุศลมีแต่จิตที่ดี แต่เราไปบังคับใจมดไม่ได้ มันไม่รู้หรอกว่าเราช่วยมันหรือฆ่ามัน ถ้าสัตว์มันมีไหวพริบรู้ว่าเราจะช่วยหรือเราจะฆ่า แต่ถ้ามดตัวนี้มันมีไหวพริบรู้ว่าเราจะช่วยมัน ช่วยแต่ไม่สำเร็จ มันก็จะรักเราด้วยเพราะเราช่วยมัน แต่ช่วยไม่สำเร็จก็ตาม มันก็มีสองนัยะ บังคับมันไม่ได้มันไม่รู้ แล้วก็มีเจตนาดีแล้วเราก็ทำดีนั้น ส่วนคนอื่นจะเข้าใจไม่ได้ก็ตาม หลวงปู่นี้สบายใจมีแต่เจตนาดีพยายามทำให้คนดีทุกวิถีทาง เขาจะเข้าใจผิดว่าเราไปว่าเราไปด่าเขาด้วย ต่อไปทำแรงกับเขาก็ขออภัยอยู่นะ มันจะแรงไปก็ขออภัยเขาก็ถือสาเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรไปห้ามเขาก็ไม่ได้ แต่เราจริงจังที่เจตนาเราดีอย่างบริสุทธิ์ใจ อาตมาจบที่ตรงนี้ เจตนาเป็นกรรมก็จบไม่มีปัญหาอะไรเลย เราทำรุนแรงมีวิธีการ ชี้ผิดเขามากก็ยิ่งแรงมาก แต่ก็ต้องทำเพื่อให้เขารู้นะว่ามันเยอะนะที่ทำผิดไม่รู้กี่แผลกี่โง่ซับซ้อนจนแยกไม่ออกก็เอามาแยกให้ฟัง คนที่ฟังได้ประโยชน์เยอะ แต่คนที่ถูกเอามาเป็นตัวอย่างนี้ตีไม่แตกแยกไม่ออก เป็นมุมกลับ คุณเป็นประโยชน์แก่คนอื่นมากเลย ให้คนอื่นแยกแยะให้เห็นมุมเหลี่ยมต่างๆ แต่ตนเองนั้นโง่ดักดานอยู่เรื่อย ดีไม่ดีอาฆาตมาดร้ายด้วย มันเป็นการโง่ซ้ำซ้อนได้อย่างนี้ แต่ประโยชน์ก็ได้อยู่
อาตมาก็ต้องยอมเสียสละ เขาจะอาฆาตก็ไม่เป็นไร แต่คนได้ประโยชน์เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน ก็คุ้มอย่างนี้เป็นต้น อาตมากยอมเสียส่วนน้อยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนมาก เราก็ทำให้เกิดคุณค่าขึ้น และมันมีเหตุปัจจัยให้เราทำ ถ้าเราไม่มีตัวอย่างไม่มีสิ่งยืนยันมันก็ลอยลมไม่มีน้ำหนัก แต่อันนี้เราเห็นอยู่ทนโท่ ดีไม่ดี ทำกับเราด้วย ก็ยิ่งได้ดีได้ชัดเจนเป็นประโยชน์มาก เราจะเสียบ้างก็ต้องเสีย ดีไม่ดีเขาจะมาว่าอาตมามันก็มีอีก ก็ไม่เป็นไรเราก็ยอม
_ทำไมทุกคนไม่ยอมรับหรือหลีกเลี่ยงโชคชะตาของตัวเอง เช่น หน้าตาดี หรือฐานะการงาน
พ่อครูว่า...แล้วตัวเองเป็นอย่างไรที่ทำมา ไม่ยอมรับตัวเองหรือเปล่า คนไปริษยาคนอื่นก็ยิ่งทุกข์ทรมาน หรือบางคนเป็นบางคนซาดิส เห็นคนอื่นมีความทุกข์แล้วชอบ คนที่เป็นมาโซคิส เห็นตนเองมีความทุกข์ก็ชอบ
_เวลาหนูรู้สึกอ่อนแอทำอะไรไม่สำเร็จหนูก็มักจะกดดันตัวเองว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เรื่อง จะแก้นิสัยตรงจุดนี้ให้หายได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ก็เข้าใจแล้ว ไปกดดันทำไม รู้แล้วก็จบ เราพยายามคลี่คลายกิริยาอาการที่ไม่ดีนั้นในตัวเราเปลี่ยนแปลงให้มาเป็นสิ่งที่ดี รู้มีคู่ สิ่งที่ดีเป็นอย่างนี้ไม่ดีเป็นอย่างนี้ ก็เป็นจากสิ่งที่ไม่ดีเป็นอาการที่ดี ต้องดูให้ชัดเจนแล้วถึงจะเปลี่ยน ไม่ต้องไปกดดันกดข่ม แต่เปลี่ยนมา มันยังไม่เป็นก็ฝึกให้มันเป็นมันยังไม่ได้ก็ฝึกให้มันได้ ไม่มีอย่างอื่นหรอกมันต้องได้ให้ฝึกจริงๆเข้าใจจริงๆ เราจะเห็นเลยว่าได้จริง ได้ทีละน้อยๆ จนกระทั่งได้มากขึ้นก็จะง่ายขึ้น อันนี้คือสัจจะ ได้มามากๆแล้วจะยิ่งยากนั้นไม่ใช่ ได้แล้วจะมีปีติอนุโมทนา
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนแบบสุขสำราญเบิกบานใจเป็นอย่างไร
_จนแบบสุขสำราญเบิกบานใจเป็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า..ยิ่งใหญ่มาก คำถามนี้สั้นๆ ต้องอธิบายจนก่อน
จน คือ คนที่มีน้อยๆ จนถึงขั้นไม่มีเลย จน แต่ไม่สะสมอะไรเป็นของตัวเองเลย หรือมีของตัวเองให้น้อยที่สุด แล้วก็ได้อาศัยสิ่งที่เป็นสิทธิที่เป็นตัวเองเป็นของตัวเอง แล้วเราก็มีเพื่อนฝูงมีคณะมีสังคม ที่มายึดถือว่าอันนี้เป็นของตัวเราเอง ของมีเยอะก็เอามารวมกับกองกลาง ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ ร่วมด้วยใช้ได้อาศัยมันเป็นของตัวเองได้ นี่แหละคือวิธีการของชาวอโศกเราทำแล้ว เป็นสาธารณโภคีอย่างนี้ เราจึงมีสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องไปยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ที่ต้องหวงแหนรักษาไว้ใส่กลอนใส่กุญแจใส่เซฟ ไม่ต้องจ้างคนมาเฝ้า สบาย
ในสิ่งจริง ความรู้ และวิธีคิด ที่เอามาขยายให้รู้กัน
เป็นสิ่งจริง เป็นสิ่งที่อาศัย พยายามแนะนำวิธีคิด มันก็เกิดความรวมตัวเกิดความสำเร็จเกิดความเป็นจริงได้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเรารู้ว่า ความเจริญมาจาก 1 มวล ของแต่ละอณู มวลแต่ละอณูก็ไม่สะสม เป็นคนไม่มี เอามาไว้ส่วนกลางมีแต่ของส่วนกลาง ทุกคนมีสิทธิ์ร่วมกัน แล้วมีสิทธิ์ร่วมกันแล้ว เราก็แบ่งกินแบ่งใช้ตามแต่ละคน ก็ไม่มีใครที่ ผลาญพร่า ไม่มีใครเอามาเป็นของตัว กินใช้ร่วมกันนี่แหละ ไม่ทำลาย ดีไม่ดีสร้างสรรเพิ่มเติมให้มีมาเสมอก็อุดมสมบูรณ์ตลอดเวลา แล้วเราก็มีเหลือกินตลอดเวลา
เรามีความสามารถและสร้างได้มาก คนมารวมกันมากขึ้นก็ยิ่งสร้างได้มากขึ้น แต่ละคนก็มาเรียนรู้ แต่ก่อนตัวเองกินมากใช้มากก็มาลดน้อยลง ก็ยิ่งจะมีความเจริญ เราก็สร้างให้กลับได้มากขึ้น คนก็มีมากขึ้นด้วย ความจริงทั้งคนและกิริยากรรมต่างๆ สอดซ้อน มันจึงอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นี่เป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอดเลยเป็นเศรษฐศาสตร์หลักใหญ่สุดยอด
อาตมาพยายามมีชีวิตอยู่ อยากให้เศรษฐศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ อาตมาเอามากระจายความ อธิบายออกว่าลักษณะที่ท่านทำเป็นแบบนี้ ตั้งแต่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส มาจนถึงในยุคนี้อาตมาก็พยายามทำมันมีองค์ประกอบมาก ก็ทำได้แล้ว ในยุคนั้นมันเป็นยุคของทาส สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เลยทำไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วรู้จักสิทธิมนุษยชนได้ดีก็เลยเอามากระจาย แต่ก่อนสมาชิกจะต้องเป็นภิกษุ แต่ตอนนี้เป็นฆราวาสก็ได้ เอาสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้ามาขยายผลถึงฆราวาสเป็นของจริง ไม่ใช่ของเล่นนะ เห็นไหมอาตมาถึงบอกว่า ทำไมนักเศรษฐศาสตร์จบดอกเตอร์คนละหลายใบ ทำไมมันไม่เข้าใจ เศรษฐศาสตร์บทนี้ สุดยอดเลยนะ
ถ้าหากว่ามีโมกุลอย่างนี้เกิดมากขึ้น อาตมาพยายามขยายผลอยู่ ก็จะมีของจริงที่ขยายผลออกไป คนก็จะเข้าใจเห็นจริง ความคิดแบบนี้เสียสติแบบนี้มันเป็นจริงได้มันเป็นอย่างนี้ไม่มีผลประโยชน์ต่อใคร คนอื่นก็ต้องการแบบนี้แหละ แต่เขาไม่รู้เขาไม่เชื่อเราต้องพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่อะไรหรอก เขายังโง่เขาโง่เข้าใจไม่ได้ เราจึงต้องทำจนคนตาบอดเห็นได้ เข้าใจได้ แต่ไม่ใช่ตาบอดสอดตาเห็นนะ แต่นี่เห็นจริงๆเลย ตาบอดเขาแค่สัมผัสรู้ก็แจ้งสว่างยิ่งกว่าคนมีธาตุรู้ทั้ง 6 อีก
อาตมาเคยพล็อตเรื่องสั้น ผู้ชายไปรักผู้หญิงตาบอดคนหนึ่ง แต่ก่อนไม่รู้ว่าทำไมถึงแต่ง ตอนนี้รู้แล้วว่าให้คนตาบอดเห็นได้ มันก็แฝงเชิงกามผู้หญิงผู้ชายก็เป็นนิยายขึ้นมา ทำนิยายเรื่องนี้ได้แต่เรื่องนี้เอาไปทิ้งหมดแล้ว เขียนเรื่องสั้นเป็นร้อยเรื่องเลยแต่ก่อนทำเป็นละครวิทยุ มีนักเขียน 3 คนร่วมกัน ยังเหลืออยู่คนหนึ่ง คุณสำราญ ทรัพย์นิรันดร์ กับ ธนพ
เราก็แบ่งกันเขียนสามคนนี้ต้องออกทุกวัน อาทิตย์นึงออกอากาศ 5 วัน ให้คนละ 2 คนละ 2 เรื่อง สำราญยังอยู่ แต่ธนพ ตายแล้ว สำราญ เจ้าของนามปากกา หลวงเมือง
ตอนหลังก็เลิกทำเพราะเขียนไม่ไหว เลยมีเรื่องสั้นละครวิทยุเป็นแฟ้มเลยให้รุ่งโรจน์ ณ นคร เอาไปทั้งแฟ้มตอนนี้รุ่งโรจน์ตายไปแล้ว เมียของเขาหม่อมหลวงเบญจมาศ ไปถามหาดู ตามดูพล็อตเรื่องเหล่านี้ เขาก็ทิ้งไปแล้วหายไปเลย พูดไปก็โบราณ เก่าเอี่ยมเลย
_48 ปีของหลวงปู่ได้อะไรเป็นสิ่งที่ค้นพบอย่างจริงแท้
พ่อครูว่า...อาตมากำลังบอก อาตมาค้นพบความเป็นเทวะ 48 ปีตอนนี้อาตมากำลังพบ เทวะ ทุกสิ่งทุกอย่างจนแต้มอยู่กับเทวะ มี 2 ฝั่ง เทวนิยมกับอเทวนิยม อาตมากำลังขยายความเรื่องนี้ เทวนิยมก็มาสนใจนะ อเทวนิยมเขาก็เข้าใจไม่ถูกต้อง ชาวพุทธเป็นอเทวนิยมแต่เขาตีไม่แตกไม่เข้าใจ ก็เลยกลายเป็นยี่ห้อพุทธ แต่ความรู้ยังไม่เข้าพุทธตีแตกธรรมะ 2 ไม่ได้ แยก 2 ไม่ได้ ทำเป็น1 ไม่ได้ ทำ0 ไม่ได้
เมื่อทำ0ได้ก็จะรู้ทุกอย่าง 0ก็คือ 1 2 3 4 5 6 0ก็คือ 369 0ก็คือขยายผลไปอีกเป็น สามเส้า ต่อไปมากมายซับซ้อน ซึ่งมีระบบ ไม่ใช่เรื่องของความสับสนวุ่นวาย แต่เป็นความซับซ้อนอย่างมีระบบระเบียบ
อย่างเช่น ดร.ยุค ศรีอาริยะ เขาไปเรียนวิชาเรื่องโลก ระบบโลก เขาก็เลยไปเรียนจับระบบ ตั้งแต่การเคลื่อนไหว ผีเสื้อกระพือปีก พวกคิดมากเกินไป (ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ)
_การที่เราเป็นทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องทำอย่างไรคะถึงจะผ่านพ้นไปได้
พ่อครูว่า...ให้มาเรียนรู้ที่นี่แหละที่เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขเหตุ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงความเป็นอยู่ความทุกข์ความเดือดร้อนความขัดแย้งก็จะหายไป แล้วก็จะลงตัวอย่างเป็นสมดุล ลงตัวอย่างเคลื่อนไหวไปอย่างราบรื่นเรียบร้อยง่ายงาม ก็จะหายทุกข์หายขัดข้อง หายบาดเสียด ใช้ภาษาง่ายๆ จะเกิดความเคลื่อนที่ละมุนละไมร่วมกันรังสรรค์เป็นประโยชน์แก่กันและกัน และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นไป เท่านี้แหละ มีชีวิตอย่างนี้ ยอดเยี่ยมแล้ว ที่เราทำอยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่ไปวัดที่มิจฉาทิฏฐิจะบาปไหม
_การที่หนูได้มารู้จัก ได้มาปฏิบัติธรรมกับอโศก แล้วทำให้หนูไม่ศรัทธาพระข้างนอกสักเท่าไหร่ แม่ชวนไปวัดไม่ค่อยจะอยากไปแบบนี้หนูจะบาปไหมคะ
พ่อครูว่า...ตอบก่อนอื่นว่าไม่บาปหรอก แต่เราไม่ได้เอื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น อย่างน้อยเราอนุโลมตามแม่ เราก็จะได้ช่วยแม่ หากเราขัดแย้งกับแม่ แม่ก็ไม่มีเพื่อน ความผิดฐานร่วมกันจะลดลง แต่ถ้าเราอนุโลมไปกับแม่ แล้วก็หาโอสถใส่แทรกตามขุนขน ให้เขาได้ยาโดยไม่รู้ตัว หรือสามารถให้เขายอมรับกินยาได้ หากเขาไม่รู้ตัวเราสามารถแทรกยาทิพย์ให้เขาได้
บอกว่าพระที่ทำอย่างนั้นเราไม่ศรัทธา ห้ามไม่ได้ ก็เพราะว่าเขาไม่ดีจริงไม่น่าศรัทธา แต่จะไปตีทิ้งทั้งหมดไม่ได้พระเถระสมาคมก็ยังมีดีอยู่ องค์นี้รับได้มาก องค์นี้รับไม่ได้ เราก็มีระดับอยู่ อย่าไปตีทิ้งทั้งหมด เราจะไม่มีแนวร่วมที่จะเพิ่มขยายผลได้ เราก็ต้องค่อยๆไป ค่อยๆขยับ จะต้องขยันต้องเหนื่อยต้องอดทน
ที่พูดนี้อาตมาเจอทั้งนั้นต้องเหนื่อยต้องขยันต้องอดทนทำเพื่อผู้อื่น จริงๆแล้วมันซ้อน เพื่อผู้อื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้ประโยชน์เสียทีเดียว พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า ประโยชน์ของเราคือการลดกิเลสของเรา จนกิเลสของเราสิ้นเกลี้ยงก็หมดประโยชน์ของเรา แต่ประโยชน์ความเจริญเราจะมีทักษะเก่งขึ้นเราจะรู้รอบมากขึ้น รู้วิธีการจะผสมผสาน ให้ได้ประโยชน์แก่ผู้อื่นมากขึ้น โพธิสัตว์จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมันจะไม่หยุดหรอกจะก้าวหน้าทำเพื่อผู้อื่นได้ดีขึ้น เอาของคนอื่นมาจัดสรรให้ได้ประโยชน์คนอื่นไปมากขึ้นเรื่อย มันไม่จบหรอก จะจบก็คือเก่งเท่าพระพุทธเจ้า จบนั้นเก่งเท่าพระพุทธเจ้า หรือใครจะเก่งเกินพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่ อาตมากลัวคนที่จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้า อาตมาเอาที่พระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์
ถ้าไม่ศรัทธาพระข้างนอก ไม่ศรัทธาองค์นี้ องค์นี้ก็มีอีก จะมีองค์ที่ศรัทธาที่น่าพอรับได้อยู่นะ มันไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นหรอก อาตมาก็เห็นอยู่ว่ามีพระที่น่าศรัทธาเลื่อมใสมีเยอะไป ที่รู้ แม้แต่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
อาตมารู้จักพระน้อยมาก เพราะเกิดมาชาตินี้ไม่มีสำนักไม่มีอาจารย์ ไม่มีศิษย์ร่วมสำนักอาจารย์เดียวกัน
อาตมานี่ ถ้าจะเขียนหนังสือกำลังภายในจะเขียนได้เก่งกว่ากิมย้ง โกวเล้ง เพราะอาตมาเป็นเจ้าสำนักที่ไม่มีลูกศิษย์ ไม่มีอาจารย์ ไม่มีเพื่อนร่วมสำนักที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง โกวเล้งเขาไม่เคยเขียน กิมย้งก็ไม่เคยเขียน เขานึกไม่ออกว่าในโลกมีด้วยหรือคนแบบนี้ คนเกิดมาในโลกนี้ไม่มีสำนักไม่มีอาจารย์ ก็นึกว่าจะต้องมีอาจารย์มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง แข่งขันกัน เข่นฆ่ากัน แต่อาตมาไม่มี แล้วไม่รบกับใครด้วย จอมยุทธที่ไม่มีสำนักไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีอาจารย์และไม่รบกับใครด้วย อาตมามีแต่ทำความจริงทำความประสานกับทุกแห่ง
จะพูดว่ารบก็ได้แต่เป็นการรบอย่างใช้ความสงบสยบความรุนแรง ถูกต้องตามกฎหมายโลกสากล ใครมาว่าอาตมาไม่ได้ รบอย่างสงบเรียบร้อยช่วยเหลือเกื้อกูลทำความจริง เลยชนะอย่างสง่า
ต้องทำในใจและเรียนรู้ว่าทำได้อย่างไร อาตมาเชื่อว่า เป็นเรื่องจริงสุดยอดในโลกแล้วมีตัวอย่างด้วย รูปธรรมที่ทำนี้ไม่ใหญ่ ที่ไม่ใหญ่เพราะรุนแรงไม่ถึงขนาด มีไม่กี่เหตการณ์
เดี๋ยวงานมหาปวารณา อาตมาก็คงจะท้าวความ สงครามสังคมที่อาตมาได้ผ่านมา 12 ปีที่แล้ว 24 ปีที่แล้ว 36 ปีที่แล้ว 48 ปีที่แล้ว ที่เคยอยู่กับสังคม
อาตมาพูดหนักพูดแรง พระพุทธเจ้าก็พูดแรง พระ 180 รูป 60 รูปบรรลุเป็นอรหันต์ อีก 60 รูปกระอักเลือด อาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก อีก 60 รูปขอลาสิกขาเลย
ของอาตมาทำได้น้อยกว่าพระพุทธเจ้าแม้จะไม่เพิ่มแต่ก็มีจำนวนของที่พอสมควรทุกวันนี้ไม่เหี่ยวแห้ง อย่างน้อยก็มี 50 60 70 คน จะถึง100 ไหมวันนี้ สักวันก็ได้ 200 แต่มีคนฟังข้างนอก เดี๋ยวนี้มันมีสื่อสาร
อาตมาพยายามอัดคุณภาพ ปริมาณก็ได้น้อยแต่คุณภาพคับแก้ว แต่มันต้องทำไม่มีทางเลี่ยงจำนนต้องทำ
หนูที่ถามมา...ก็อย่าไปดูถูกเขาเห็นใจเขา ที่เขามาบวชกันนั้น มาบวชได้บาป คือมีเจตนาไม่ดีอาศัยแฝงทำมาหากิน เขาไม่รู้ แต่คนมีเจตนาดีมาบวชแต่ไม่รู้ก็ทำบาปน่าสงสาร เขาตั้งใจพากเพียรอยู่ ไม่ผิดกฎระเบียบวินัยพระพุทธเจ้าห้ามไว้ สายปฏิบัติที่ท่านพากเพียรจริงเท่าที่ภูมิรู้ท่านมี ท่านก็พากเพียรอยู่ อาตมาก็อนุโมทนาสาธุ มีคนชนิดนี้อยู่ไม่น้อยหรอก พวกเราก็พากเพียรไปเถอะ
หากพวกเรามีมวลที่เป็นของจริง ก็จะมีรัศมี ราศี ออกไปช่วยผู้อื่นจะเป็นสนามแม่เหล็กแห่งโลกุตรธรรม จะมีรังสีไป ทำให้โมเลกุลต่างๆ ที่เขาจะเอาตัวมาในสนามนี้ โมเลกุลต่างๆที่มาร่วมก็จะถูกพวกเราปรับให้เข้าทิศทาง ตามธรรมชาติ ยิ่งเขาพากเพียรจะให้สอดคล้องลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกับมวลใหญ่ มันก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ เป็นธรรมดาความจริงต้องเป็นเช่นนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไปยึดติดกับดารานักร้องจะดีไหม
_เยาวชนใต้ร่มโพธิ์...การที่เราไปยึดติดกับคนที่ไม่เห็นหน้า (ดารา นักร้อง ) เห็นแต่ภาพ มีกระแสร่ำลือ ดาราเด่นดังในโลกไม่เคยมาให้สัมผัสหน้าแต่เราเห็นกระแสความเด่นดัง แล้วเราไปติดยึด มันดีหรือไม่ดีเพื่อนๆชอบมากด้วย
พ่อครูว่า...จะเป็นดาราหรือนักร้อง ก็มีคนดีบ้าง คนที่เข้าท่าอยู่บ้าง ถ้าจริงๆจะว่าไปแล้วมันก็มีน้อย เพราะว่าจะเป็นคนที่หลงไปในทางระเริง ดาราไม่ใช่สาระ เป็นความบันเทิงเริงรมย์ มีความเป็นโทษมากกว่า ขิฑฑาปโทสิกะ พวกดารานักร้อง หรือนรกปหาสะ นรกที่หลงในความเพลิดเพลินสนุกสนานเอร็ดอร่อย เราก็ค่อยๆเรียนรู้ไป
ขนาดเรายังไม่เห็นตัวก็ไปเสียเวลาศรัทธามัน ก็เอาคนที่เห็นหน้าเห็นตา แล้วเป็นสาระยิ่งกว่าเป็นดาราเป็นนักร้อง หลวงปู่นี่เป็นดารานะ จริงๆ เป็นดาวฤกษ์ด้วย ดาราคือดาว ไม่ใช่ดาวเล็กๆนะ เข้าใจให้ได้สิ ไปเข้าใจดาวเล็ก โธ่เอ๋ย รับแสงมาทำทีเป็นของตนเองแสงหลอกๆ แสงไม่ดีด้วยซ้ำ ตอนนี้เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงจริงในตัวเองด้วย เป็นแสงที่ดีด้วย สัมผัสให้ดี เรามีโอกาส
คนไม่เข้าใจไม่รู้ว่าหลวงปู่เป็นดาวฤกษ์ เขาเห็นว่าเป็นฝุ่นเป็นขยะด้วยซ้ำก็แล้วแต่เขาไม่มีปัญหาอะไร หลวงปู่รู้ความจริงตามความเป็นจริงอะไรหลายๆอย่าง ก็ยืนยันว่าเราไม่ได้ไปหลอกใคร เอาสิ่งที่ดีเป็นสาระแก่นสารที่ประเสริฐมาให้ เช่น เอาความจนมาให้ พยายามฝึกให้มาเป็นคนจนเป็นสิ่งประเสริฐไม่ใช่รู้กันง่ายๆ
เมืองไทยเป็นเมืองประเสริฐที่มีพระเจ้าแผ่นดินลึกซึ้งในเรื่องความจน แล้วมาประกาศให้มาเป็นคนจนเอาแบบคนจน มีที่ไหนในโลกขณะนี้ 200 ประเทศ มากน้อยก็แล้วแต่ มีประเทศไทยนี่แหละมีพระเจ้าแผ่นดินประกาศความจนให้มาศรัทธาความจนมีหนึ่งเดียวในโลก ประกาศไปทั่วโลก โพธิรักษ์ประกาศไม่ดังหรอกแต่พระเจ้าอยู่หัวประกาศแล้วดังเยอะ ขนาดนั้นคนก็ยังนั่งงงอยู่ว่าในหลวงตรัสอะไร ให้ปกครองบริหารแบบคนจนสิ นักเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่าอะไร ท่านก็ตรัส นิ่มๆ เป็นเรื่องที่สุดยอดลึกซึ้งมาก อาตมาก็ว่าเอาเถอะ สักวันหนึ่งเขาก็จะรู้เขาก็จะเข้าใจ สักวันหนึ่ง ดอกไม้บานสะพรั่ง สักวันหนึ่งคนจริงจังจากหลากหลาย
ต้องรู้ว่าดาราเป็นดาวแสง ดาวที่มีแสงในตัวเองเรียกว่าดาวฤกษ์ ดาวที่รับแสงจากดาวฤกษ์เรียกว่าดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงใดมีแสงมาก ดาวเคราะห์ดวงน้อยมีแสงน้อยก็ว่ากันไป ไปเรียกตามสมมุติ ตามรูปธรรม ตามสิ่งที่เป็นจริง ไม่ใช่ชีวะไม่ใช่ชีวิต เมื่อเทียบกับคน คนมีออร่า มีรังสีมีแสง แสงแห่งนามธรรม แสงแห่งคุณธรรม แสงแห่งจิตวิญญาณ
เอาศัพท์คำว่าแสงมาเรียก เป็นพลังงานมีรังสีที่เปล่งออกมาได้ มันเป็นจริง มาศึกษาให้ดีเราจะได้รู้จัก ดาราก็ตาม นักร้องก็ตาม
หลวงปู่นี่เป็นนักร้องวงเดียวกับสุเทพ วงศ์กำแหง แต่บารมีมันไม่ไปทางโน้น มันเลยไม่แข่ง แข่งกับเขาไม่ขึ้น เขาก็เลยชนะเด่นขึ้นไปเรื่อยๆไม่เป็นไร หลวงปู่ไม่ริษยาเขาหลอก เพื่อนกันรุ่นเดียวกัน เขาแก่กว่าอาตมา 2 เดือน มาพร้อมๆกันรุ่นเดียวกัน อาตมามาสายทางล้วน ควรธรรม เขาไปสายไสล ไกรเลิศ อาตมาก็เรียกพี่ทั้งสองคน พี่ไสลกินเหล้า พี่ล้วนไม่กินเหล้า ก็รู้จักกันดี
นี่นักร้องนะ แต่นักร้องนี้เป็นโลกุตระ กับเขาร้องเป็นโลกียะ
ที่จริง นักร้องนักแต่งเพลง ที่ไม่เป็นโลกุตระมีเยอะ นักร้องนักแต่งเพลงที่แต่งเพลงที่เป็นสาระเพื่อชีวิตหรือเป็นเพลงธรรมะ แต่งเพลงเป็นปรัชญามีบ้าง แต่จะข้ามเขตมาโลกุตตระ ยังไม่เป็น เพราะยังเข้าใจโลกุตระไม่ได้ว่าโลกุตระคืออะไร
โลกุตระคือ.... ผู้จะชื่อว่าเป็นชาวโลกุตระคือผู้รู้จักกิเลส อ่านตัวกิเลสออก แล้วมีวิธีการมีอุบายเครื่องออก ทำให้กิเลสตัวเองลดได้ แม้ว่าลดไปนิดหนึ่งก็เริ่มเป็นโลกุตรบุคคล รู้จักกายในกาย รู้จักความเป็นกาย รู้จักความเป็นเวทนา รู้จักความเป็นจิตเป็นธรรม
โลกุตระตัวแรกคือกายในกายในโลกุตระ 37 ล.31 ข.620 โลกุตร 46
แม้ศิลปินแห่งชาติเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เสียงพูดเข้าหูอาตมาเลยว่าศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ ขนาดศิลปินแห่งชาติที่ดังนะ
มงคลคือสิ่งที่พาไปสู่ความสูงอุตตมะ คือ มงคลอันอุดม เอตัมมังคะละมุตตะมัง
อาตมานี่แหละชื่อมงคล ซึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส อ้วน เป็นผู้ตั้งให้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็น อาตมาเป็นลูกศิษย์ของวัดนี้มาก่อน
อยู่กับเจ้าคุณที่ท่านมีความลำเอียงรักลูกศิษย์ที่เอาแต่ประจบประแจง ของเราเองทำงานสารพัด กับได้รับความดูแล เราก็ไม่ได้ริษยาเขาหรอก แต่ว่ารู้สึกว่าอาจารย์ไม่ควรจะชอบคนแบบนั้น เอาอาหารแบ่งให้ลูกศิษย์ ให้พวกเรากินของเหลือ ส่วนคนอื่นให้เลือกอาหารแล้วไปเรียนก่อนได้ ของเราต้องเก็บอาหารเหลือไว้กินแล้วต้องค่อยไปเรียนทีหลัง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน วิปัสสนาดีกว่าสมถะ
_สมถะกับวิปัสสนาหนูมีความเห็นว่าสมถะคือกดข่ม แต่คงไว้ซึ่งความอยาก (ตัดไม่ขาด)พอเจออีกก็กดข่มอีก หนูว่าวิปัสสนาดีกว่าค่ะพอจะรู้จักเหตุและกำจัดความอยากได้มากกว่า แต่อย่างไรอย่างไรหนูก็ต้อง สมถะกดไว้ก่อนแล้วค่อยวิปัสสนาค่ะ
พ่อครูว่า..ถูกต้องเพราะในวิปัสสนามีสมถะด้วยแต่สมถะไม่กดข่ม แต่มันคือความสงบแบบปัสสัทธิ สมถะก็สงบแต่กดข่มแต่สงบปัสสัทธิคือกิเลสเลิกมารบกวนเรา เลิกมีบทบาทกับเราหายไปๆก็สงบ จิตเราก็ยิ่งสะอาดจริงมีอิสระมีพลัง ดูกิเลสมันยอมแพ้นะ ใช้ศัพท์ที่ดุเดือดว่าเราฆ่ากิเลส แต่เราไม่ได้ทำให้มันเลือดตกยางออกหรอก กิเลส แต่ให้มันแพ้ด้วยความจริงมันจำนนว่า เอ็งโง่ เอ็งทำร้ายเองทำไม่ดีเองไปจากข้า จนกิเลสมันฉลาดมันรู้ตัวว่าไม่อยู่ด้วยแล้วคนละพวกกับมัน กิเลสมันก็เลยค่อยจากไป เพราะมันรู้ว่าคนละพวก แต่มันก็ไม่ฉลาดอีกแหละเพราะมันฉลาดไม่เป็นหรอก กิเลส แต่มันรู้ว่าไม่ใช่พวกมัน มันอยู่ไม่ได้เพราะที่นี่ไม่ร่วมมือกับมัน ใช้ความจริง ใช้โวหารภาษาพูดให้เขารู้ตัว ให้กิเลสรู้ตัว ให้กิเลสมันมีชีวิตที่มันรู้ตัว คนนี้ไม่เอาแล้ว กูแน่โว้ย นอกจากไม่เอาแล้วทุบหัวกูด้วย กูโนดีกว่า กูไม่เอา แสดงว่า โน NO และมันก็ Know ด้วย มันมีสองโนนะ ก็โนสองโนเป็นธรรมะสอง
ใช้ศิลปะวิธีการให้เขาเข้าใจ ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้สำเร็จอันนี้แหละสุดยอดเลย
สมถะนั้นกับปัสสัทธิต่างกัน แปลเป็นไทยว่าสงบทั้งคู่ สมถะนั้นมีเชิงไม่งาม เกิดจากการกดข่มแต่ปัสสัทธิเกิดจากวิปัสสนา
ใช่แล้ว คนเราต้องใช้กดข่มช่วยเป็นธรรมดา มีใครปล่อยแสดงออกมาเต็มที่ล่ะ ไม่มีใครหรอกมันต้องกดข่มบ้างมากน้อยต่างกัน มันมีความละอาย จนกระทั่งความละอายคุณมากขึ้นมันก็ค่อยๆหายไปจนหมด
_มีแต่คนพูดถึงผี อยากสวย ทำไมไม่มีคนพูดถึงผีอยากหล่อบ้าง คะไม่ยุติธรรมเลย
พ่อครูว่า...ขอสมมุติคำว่าหล่อใช้กับผู้ชาย เขาใช้คำว่าสวยกับผู้หญิง แล้วผู้หญิงที่อยากสวยมากกว่า ปุริสภาวะ เพศชายก็เลยไม่ไปหลงความสวยงามความปรุงแต่งมากกว่าผู้หญิง ความสวยความหล่อก็คือความงาม ให้แมลงต้องใจเหมือนดอกไม้ ที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้วมีสภาวะแล้วก็อย่าไปติดใจในพยัญชนะ
พยัญชนะกับสภาวะที่อธิบายสลับไปสลับมา เดี๋ยวนี้ผู้ชายมีจริตเป็นกระเทยเยอะแยะ
_หลวงปู่ทำงานมา 48 ปี เคยท้อเคยล้มเลิกความคิดไหมคะ ถ้าเคยมีหลวงปู่จัดการความรู้สึกนี้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า..ไม่มี หากมีก็รู้สึกว่า เราเองเป็นโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อช่วยคนในโลกนี้ต้องเหนื่อยแน่ เพราะต้องช่วยคนที่ยังไม่รู้ พูดว่าโง่ก็ได้ ช่วยคนโง่นี้มันยากจะตายมันเป็นสัจจะ หลวงปู่เข้าใจว่าคนโง่คนรู้น้อยลงๆ ยิ่งโง่ ให้รู้มากขึ้นๆก็ค่อยยังชั่ว ก็ได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆก็มีผลอยู่หลวงปู่ก็ไม่ท้อแท้ไม่กลัวก็ทำไป ยังจะเติมอายุขัยให้ตัวเอง ฝืนอายุขัยตัวเองด้วยซ้ำ เพื่อจะทำผลนี้ให้เกิดประโยชน์ หลวงปู่เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เข้าใจอะไรมาก จะมีอะไรดีกว่านี้อีก หลวงปู่ไม่กลัวหรอก เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้นทิ้งไปหมดแล้วไม่เอา มาเอาแบบเจริญแบบนี้ เจริญแบบโลกียะให้เขาดูว่ามันไม่ดี มาเจริญแบบโลกุตระดีกว่าและมีชั้นตอนอย่างไร อย่างน้อย 37 ชั้น ฝากไว้ก่อนโอฬาร
_เพลงเพ็ญธรรม...กราบนิมนต์หลวงปู่อธิบายอิธิบาท 4 ในฉบับนักเรียน
พ่อครูว่า...อิทธิบาท 4 มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เราต้องมีความยินดีก่อน คือมีฉันทะ ในอะไรก็แล้วแต่ เรื่องหนึ่งก็ได้ เช่นเรื่องไม่ฆ่าสัตว์ มายินดีเรื่องนี้น่าจะดี ก็มาเรียนรู้มาประพฤติเถอะ ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็พากเพียรปฏิบัติ หากเราอยากฆ่าอยู่ก็ต้องเรียนรู้ตัวเหตุ แล้วก็ลดกิเลส ลดได้เราก็จะมีวิริยะ เกิดวิริยะ เกิดจิตตะ จิตใจเป็นตัวประธานก็จะได้ผลเป็น อธิจิตเจริญขึ้นเรื่อยๆมีปัญญาร่วมด้วย เรารู้หมดเลย ฉันทะยินดี วิริยะได้ผลดีขึ้นๆ ได้ผลก็เป็นธรรมศาสตร์ ได้เนื้อๆ วิมังสา มังสะคือเนื้อธรรมะ
ค่อยจะขยายความไปอีกมันยิ่งใหญ่ มนุษย์ที่ไม่มีอิทธิบาท 4 ทำงานอะไรไม่ได้แน่นอน เวลาเป็นศูนย์แล้ว
สมณะฟ้าไท..สรุป
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:00:09 )
รายละเอียด
611105_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 23
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1hz-ennFYcENwVikXjYA96gEzaMEiOonULqg_Tt1kfGY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1I9d_9lhxqrdQ2VTM6vhQHzHikHC0uMqH
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ก่อนอื่นขออนุญาตอ่าน โอภาปราศรัยท่านที่มาไม่ได้
SMS วันศุกร์ที่ 2-อาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561
_3867 กรรมทำต่อหน้าฤาลับหลัง?คนรู้เห็นไม่รู้เห็น? เจ้ากรรมนายเวรตามหลังดังเงาตามดูรู้เห็นทั้งต่อหน้าและลับหลังสนองกรรมดีชั่ว?กลับคืนทุกการกระทำ!สาธุ ธ.บุญนิยมฯ
พ่อครูว่า...เรื่องกรรมของศาสนาพุทธเท่ากับ God เราเป็นเจ้าของเก่า จึงยิ่งใหญ่เท่ากับGod เราเป็นผู้ทำกรรม เราทำกรรมให้เก่ง สุดยอดได้ = God สรุปแล้วเรายิ่งกว่าGod
ก็เพราะ God เก่งอย่างไรก็ไม่มีใครเคยเห็นจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ของเรานี่เป็นคนจริงใจ จึงเป็นบุคคลจริงๆแสดงพฤติกรรมจริง พระพุทธเจ้า จะถือว่าเก่งที่สุดในความเป็นมนุษย์ จะบอกว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าก็ได้ เก่งที่สุดเท่าที่คนในโลกทั้งหมดมี คือพระพุทธเจ้า ส่วนพระเจ้านั้นเก่งของใครก็ของใคร อาตมานี่ถ้าจะให้ รวมทุกโลกเลยได้ไหม ได้ จะไม่ให้รบกันเลยทั้งหมดก็ทำได้ ความคิดของคน คิดเท่าไหร่ก็ได้พระเจ้ายังทำไม่ได้เลย จะไม่ให้มีซาตานเลยก็ได้
กรรมของเราจริงกว่า ยิ่งกรรมเก่งเท่ากับพระพุทธเจ้าสุดยอดเลยทำได้พิเศษสุดยอดเก่งขนาดนี้คือกรรม ค่อยๆเข้าใจค่อยๆฟังไปเรื่อยๆเข้าใจสัจธรรมไปเรื่อยๆ ขออภัยไม่ได้เบ่งข่มศาสนาเทวนิยม เพราะผู้เทวนิยมควรก้าวหน้ามาเป็นอเทวนิยมบ้าง เท่านั้นเอง ไม่ใช่หาบริวารนะ แต่อธิบายสัจธรรม จะมาหรือไม่มา อาตมาไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้หว่านล้อมและเล็มเลียบเคียง เป็นแต่เพียงอธิบายสัจธรรมอย่างไม่กลัวตาย เขาจะมายิงเราตายก็ไม่เป็นไร ตายก็ตาย
_3867 ดูวิกฤติภัยน่านตามข่าวทำไมผจญวิบากน้ำป่าดินยุบโคลนถล่มเขาแยกแผ่นดินไหวฯถี่ติด?สณ.แสนดิน ลูกท้าวฯหลานเจ้าพระยาฯขุนนางเก่าน่านฯน่าจะนิมนต์พ่อครูสร้างบุญเสริมกุศลถิ่นเกิด?สาธุ!
พ่อครูว่า...อาตมาไม่เก่งเหมือนครูบาบุญชุ่มหรอก ไม่ได้ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่อวดอุตริมนุษยธรรมหรอก เข้าใจให้ดีๆคุณ3867
_1614 "ความรัก" ยิ่งต้อง "ฝึกรัก" "รัก" จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นรัก ที่แท้จริง แม้แค่รักคู่ของตน ความรัก 10 มิติ ของพ่อครูสูงสุดคือ "รักของ" "องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" คำว่า "ให้" ของ "โลกุตรชน" ขอทราบ การให้ ในแบบ โลกุตตระ
พ่อครูว่า...อาตมามีนิดหนึ่ง เกี่ยวกับการให้ หรือทาน ให้ละเอียดขึ้นอีกหน่อย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ให้ด้วยมือให้ด้วยปากพูดแต่ว่าต้องการเอาคืนมากกว่า จากการให้นี่ทำให้เหมือนเหยื่อติดเบ็ดแล้วตกปลาตัวโตกว่า ให้อย่างนี้ในเชิงชั้นของคนทำได้จริงทำเก่งแต่ซวยเพราะว่าทำบาป คนไม่รู้รายละเอียดพวกนี้ไม่รู้นัยะซับซ้อน จึงต้องมาศึกษาธรรมะให้ดี มันมีอยู่ทั่วโลก แล้วไม่มีศาสนาไหนสอนได้ละเอียดลออเท่ากับศาสนาพุทธ
การให้นั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อ 1. เจ้าตัวเองต้องรู้จักกิเลสเรียกว่าพ้นสักกายะทิฐิ สามารถอ่านจิตเจตสิกรูปนิพพานอ่านอาการจิตของตัวเองออก ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของกิเลส อันนี้เป็นกิเลสโลภ อาการนี้อยากได้มาให้แก่ตน อันนี้เป็นอาการเกิดขึ้นของจริงในบัดนั้นเวลานั้นมีอาการชัดๆไม่ใช่นึกเอาคิดเอา มีหรือไม่มีโมเมทั้งนั้น แต่ตอนนี้สัมผัสกำลังเกิดอาการอยู่หลักๆ อาการโลภ ทั้งที่ให้เขาแต่อาการโลภจะเอามากกว่า
โลภก็บาปแล้วมีเหลี่ยมโกงในโลภอีก แล้วคนในโลกก็ไม่รู้ว่าเขาทำเหลี่ยมโกง เขาก็ทำกันทั่วโลก คนที่ไม่รู้หรืออวิชชาน่าสงสารทำกันอยู่อย่างนั้น มีชาวอโศกเรียนรู้สัจธรรมเหล่านี้ เลิกทำ จึงเกิดกลุ่มคนแบบนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยังมีซ้อนละเอียดกว่านี้อีกเยอะเราก็เจริญไปเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ทำไมความจนถึงไม่หมดไปจากโลก
_1614 ทำไมความจนถึงไม่หมดไปจากโลก ทั้งๆที่มนุษย์มีความสามารถและเทคโนโลยี่ทันสมัยมากมาย เพราะความจนเป็น"ความรู้สึก" ที่มนุษย์"รู้สึกจน" ก็เพราะมนุษย์ผู้นั้นไม่เคย"พอ
พ่อครูว่า..จะจนได้จิตต้องพอก่อน คนอยู่ในโลกทุกวันนี้รวยเป็นอันดับโลก จิตใจไม่เคยพอ มีแต่เสริมเพิ่มเข้าไปอีก เอาออกด้วยเป็นทานแล้วก็เพิ่มเติมขึ้นไปอีก ให้ได้ขึ้นมามากกว่าเก่าอย่างนี้เป็นต้น เขาก็เป็นสุขหรือสนุกอยู่จนกว่าชีวิตจะตาย สรุปแล้วเขาเป็นหนี้มากกว่าที่เขาจะเป็นเจ้าหนี้ เขาได้มามากกว่าที่เขาให้คนอื่น เขาจะกลายเป็นหนี้มากกว่าเจ้าหนี้ เขาเป็นลูกหนี้มากกว่าเจ้าหนี้ เพราะเขาเอาหรือเขาได้มากกว่า แม้จะสุจริตก็ตาม ยิ่งทุจริตก็ยิ่งหนัก ทุจริตมีหลายระดับ เอาแบบฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาสำนวนนี้เป็นต้น ที่จริงมันมากกว่า ระเบิดนิวเคลียร์ใส่ประเทศนี้ เอาประเทศมันมาทั้งประเทศ มนุษย์มันมีความคิดอย่างนี้อยู่ แต่ตอนนี้ความรู้อันนี้ก็จะยันกันไว้บ้าง ยังไม่กล้าจะเอาระเบิดปรมาณูไปทิ้ง แต่ก็ยังมีทำเขาบ้าง แต่คนมันดูแล้วก็เลยบอกกันว่าอย่านะมันไม่ดี ตอนนี้นี่ยาก ในโลกทุกวันนี้ ไปเอาระเบิดไปทิ้งใครรับรองว่าใครทิ้งเข้าไปสิ ถูกบอยคอตระดับโลกเลย แต่เขาก็ซุกซ่อนระเบิดปรมาณูระเบิดนิวเคลียร์ไว้ เพราะความขี้กลัวเลยต้องสะสม แล้วก็โกหกชาวบ้านชาวช่องว่าไม่มี ก็เป็นกรรมของแต่ละคนค่อยๆทำ
แต่ถามประเด็นที่ว่า ความรู้สึกจน คนเราจะมีความรู้สึกจนเราก็ต้องมีปัญญาอย่างชาวอโศก ก็มีความรู้นี้จนกระทั่งไม่สะสมทรัพย์สิน เราก็พอใจสบายชีวิตมีความใจพอมีความอุดมสมบูรณ์กินอยู่หลับนอนสบาย ไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์อะไร เรามีความขยันหมั่นเพียรอยู่กับหมู่กลุ่มไป พอกินพอใช้วงเวียนแล้วไม่มักมาก โลกจะมอมเมาให้อยากได้อยากมีอยากเป็นเราก็ไม่เป็นอย่างเขา อยู่ในหมู่กลุ่มกินใช้อยู่ในนี้ หลายคนจะรู้สึกว่าตัวเองตะกละ ตะกละในหมู่นี้ ไม่ใช่ข้างนอก เพื่อนฝูงไม่ได้เอามา แต่เราสะสมกอบโกยไว้ ไม่ถามหรอก ว่าใคร ของใครของมัน เตือนให้รู้ตัวระวัง จิตขี้โลภ เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวยังมีอยู่
คุณไม่เชื่อหรือว่าที่นี่มีส่วนกลางโดยที่คุณไม่ต้องสะสมเลยก็อยู่ได้คุณไม่เชื่อถือหรือ ที่นี่มีกินมีใช้พออยู่ เสื้อผ้าหน้าแพรกับส่วนกลางอยู่ได้ตลอดกาล ตายแล้วเกิดมาอีกก็อยู่ได้จะอีกกี่ชาติก็อยู่ได้ อโศกมีแก่นมีแกนอันนี้แล้วจะอยู่ไปอีกนาน หลายร้อยหลายพันปีอย่างน้อยก็คงจะ 2,000 ปีจะมาประมาณไว้นะ อาตมาจะทำอันนี้ แม้ว่าไม่ถึงอาตมาต้องทำเนื้อหาให้ถึง เพราะว่าจะมารับผิดชอบศาสนาพุทธเจ้าให้ไปถึง 5,000 ปี ลบจาก 2561
เรื่องความรู้สึกในคนจนและมาเป็นคนจนเป็นเรื่องใหญ่ของโลก ถามว่ายังไม่หมดจากโลกเสียที ขนาดคนมีความรู้โลกุตระอย่างชาวอโศก ยังบ่เป็นคนจนได้แค่นี้ อาตมาทำงานมา 48 ปียังได้แค่นี้ อาตมาอาจไม่เก่งพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ คนก็เลยไม่มาจากต่างประเทศขนาดเดี๋ยวนี้เขามีเครื่องแปลแล้วนะถ้าสนใจซะอย่าง อาตมาพูดไปนี้เขาแปลเป็นภาษาต่างชาติได้หมด อัดไปแล้วกดแปล แม้ว่าจะแปลไม่ละเอียดพอถึงอย่างไรก็รู้เรื่องได้ดีใช้ได้ เอาไปปฏิบัติตามได้ทันทีทั้งนั้น แต่มันก็ยังช้าเพราะว่าไม่ง่ายไม่เป็นไร อาตมาถึงบอกว่าอยากจะอยู่ดูผลงานอัตราการก้าวหน้าของโลกุตรธรรม จะพยายามไม่ตายเร็วแม้ว่าตายเร็วก็ต้องรีบมาเกิด แต่อย่างน้อยก็อายุถึง 20 ปีถึงจะมีความเดียงสามาทำงานรับช่วงของเก่า ดีไม่ดีลิงลมอมข้าวพองหลงโลกอีกหลายปีก็ไม่รู้ ชาตินี้ตั้ง 36 ปี ขนาด พระพุทธเจ้ายังถึง 35 ปี หลงวิบากในป่า 6 ปี หลงโลก 29 ปี อาตมาก็มีวิบากของตนไปหลงโลก 36 ปี ในงานนี้จะแบ่งพูด 12 12 12 12 ปี
รายละเอียดของมนุษยชาติยิ่งใหญ่ในเรื่องของความจน ประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นดินที่มีความรู้เรื่องนี้และทำเรื่องนี้ อาตมาก็ทำได้ตามบารมีตามที่เป็นได้จริง มีจำนวนคนที่จะเข้าใจเป็นอาริยะจริงๆเลย อย่างในหลวงก็ทำให้คนเข้าใจเรื่องนี้บ้าง แต่คนจะมีจิตถึงเข้ากระแสและมาเป็นอย่างนี้ อาจจะมีแต่ก็ยังไม่มา ยังไม่แรงยังไม่พอยังไม่มีหมู่กลุ่มกระจายกันอยู่ทั่วไป หากความเข้าใจถึงจะมีหมู่ไหนพาจนอย่างนี้ได้ ในหลวงกับอาตมา ทำเหมือนกัน ใครเข้าใจแล้วก็จะมา จิตเข้ากระแสเป็นโสดาบันก็จะมา
ถ้าจิตใจยังไม่เข้ากระแสก็จะไปที่อื่น อยากจนแต่ก็ไปที่พระมหาวีระ เชน จนเก่งกว่าพระป่า สำนักพระป่า สำนักที่มักน้อยสันโดษในชาวไทยมีเหมือนกัน มีจำนวนมากสำนักเหมือนกันแต่ยังไม่เก่งเท่าเชนเขาหรอก เชนเขาไม่มีอะไรเลย มีภาชนะใส่อาหาร 1 ชิ้น เสื้อผ้าไม่มี มีดโกนไม่มี ถอนผมเอา
อย่างนั้นจนยังไม่ใช่โลกุตระ จนอย่างเป็นโลกุตระนั้นมีลำดับเป็นโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์ ตอนนี้เราพยายามเอามาตรการของโสดาบันมาประกาศมาอธิบายขยายกัน ให้คนได้รับรู้อันนี้ให้มากๆ เป็นเบื้องต้น เพราะว่าคนต้องการอันนี้จริงๆ โลกชัดเจนในเรื่องโลกียะโลกุตระมีความเบื่อและอยากจะหาทางออกจากโลกียะ แต่เราก็กลุ่มเล็ก อาตมาก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียงไม่มีผลงานที่เข้าตาแบบโลกีย์ ดีไม่ดีด่าโลกีย์หนักด้วย เขาก็ไม่นิยม
_แก้วลา ไชยวงค์ · ขอให้ท่านช่วยนำธรรมะในอดีตของพ่อท่านที่ในทีวีหลังทำวัดเช้าลงใน เฟซบุ๊คด้วยขอบคุณเจ้า
_วางสุข จึงสิ้นทุกข์ · กราบนมัสการพ่อท่านผู้เป็นสัมมาสัมพุธสาวก ผู้เป็นสยังอภิญญา ผู้เป็นโพธิสัตว์ระดับ8...นมัสการท่านสมณะ ท่านสิกมาตุทกรูป ด้วยความเคารพยิ่ง
พ่อครูว่า..อาตมายังไม่ถึงระดับ 8 ภาษาก็ภาษาแต่ว่า สภาวะเนื้อแท้ของอาตมาคืออย่างไร ก็อธิบายอยู่ ระดับ 7 คืออย่างไร ระดับ 5 4 3 คืออย่างไร โดยเอาความจริงของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้คือบุคคลต่างๆ
เช่นผู้พ้นแล้วในสมัย ท่านแปลกันมาแต่สลับไปมา
ผู้พ้นแล้วในสมัย นี่อาสวะบางอย่างดับ แต่ผู้มิได้พ้นแล้วในสมัย อาสวะสิ้นแล้ว สูงกว่านะ แต่ไม่พ้นแล้วในสมัย อาตมาก็ต้องมาอธิบายสัจธรรมให้ชัดเจน มันจะสลับซับซ้อนโดยภาษากับสภาวะมันจะสลับกัน
อาตมาว่าโลกมันงงตรงที่สภาวะกับพยัญชนะ มีคำว่าเทวะกับอเทวะซับซ้อน จึงยาก
_กิ่งฟ้า ขันหล้า · เห็ดฟางตลาดไม่กล้าซื้อกินแล้ว..เพราะใส่สารเคมีไปด้วยจ้า
พ่อครูว่า..มาเจอเห็นของเราไร้สารพิษ ดอกโตด้วย
_Jan.Lat มีน้องคนหนึ่งถามว่าฟังหลวงปู่แล้วไม่อยากไปวัดใกล้บ้าน. พอหลวงปู่อธิบายแล้ว เอ้อเราก็เป็นอย่างนั้น เราไปวัดเพราะเราอยากทำบุญ พระจะดีหรือไม่ดี ไม่เกี่ยวกับเรามันเรื่องของท่าน สบายใจดี
พ่อครูว่า...ต้องมีระดับต่างๆกัน ผู้ใดทำทานให้กับพระเจ้าได้อานิสงส์สูงสุด แต่ถ้าใครก็ตามคำถามให้กับภิกษุ โดยไม่ได้กำหนดภิกษุใด ที่เป็นภิกษุปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่กำหนดบุคคลและไม่กำหนดของ อันนี้ได้อานิสงส์กว่าทำทานกับพระพุทธเจ้า อันนั้นเรียกว่า สังฆทาน คำว่าสังฆทานคือทำทานกับสงฆ์ โดยไม่ระบุบุคคลข้าวของ คำว่าไม่ระบุคือ เช่น ท่านขาดแคลนเข็มเย็บผ้า เอาทองก้อนเท่าหัวไปให้ท่านท่านไม่เอาหรอก ท่านต้องการเข็มไปเย็บสบงมันโป๊ ของที่ไม่ตรงกับสัจธรรมความจำเป็นไม่มีค่าหรอก
ทำทานกับวัดใกล้บ้านก็ดี แต่วัดที่ไม่ดีก็อย่าไปส่งเสริม วัดไหนที่พอจะควรส่งเสริมได้ก็ควรจะทำ วัดไหนที่ไม่น่าส่งเสริมก็ไม่ต้องทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ธรรมะ 2 ของบุญกับกุศล
_มีนายก.กับนายข. นายก.คือนายไก่ นายข.คือนายไข่ มีประเด็นคำว่ามีกับไม่มี หรือเป็นประเด็นกรรมของคนที่ยังเป็นๆ กับคำว่ามีหรือไม่มี
พ่อครูว่า...คำว่ามีหรือไม่มี ในพระไตรปิฎกเล่ม 17 ข้อ 43 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าคนเราก็อยู่กับคำว่ามีและไม่มีนี่แหละเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และผู้ที่เป็นสัตบุรุษหรือเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมาสอนเรื่องมีหรือไม่มี เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ฟังเริ่มต้น...คำว่ามี นายก.มีส่วนบุญ ทำบุญได้ผล ส่วนนายข. ไม่มีส่วนบุญเลย แต่อาจจะทำทานเก่ง มีส่วนกุศลเก่ง สมมุติให้ร้อยหน่วย
นายข.ทำส่วนบุญไม่เป็นทำเป็นแต่กุศล ทำทาน ทำดี ที่เป็นโลกียะทั้งนั้น
สมมุติว่ามีกุศล 100 หน่วย นายก.ทำบุญได้ผล หากนายก.มีอายุ 30 ปี ทำบุญกำจัดกิเลสหมดสิ้นอาสวะไหนก็เป็นอรหันต์ เป็นผู้หมดบุญ
เสร็จแล้วนายก.จะมีอายุยืนไปอีก 50 ปีถึงจะตาย ชีวิตของนายก. จะมีแต่กุศลไปถึงอีก 50 ปี สัพพปาปัสส อกรณัง
ส่วน นายข.ทำบุญไม่เป็น กำจัดกิเลสไม่เป็นเลย แต่ทำทานทำดีทำกุศลอายุ 80 ปีก็ตายเหมือนกัน นายข.ก้ได้สวรรค์ นายก.ได้นิพพาน ตายอายุ 80 ปีเท่ากัน
มี 50 ปี ที่นายข.ทำบุญไม่เป็นเลยมีแต่กุศลบ้าง บาปบ้าง คนไม่หมดกิเลสจะไม่ทำแต่กุศลอย่างเดียวจะทำบาปด้วย เพราะแยกแยะกิเลสไม่เป็น
ส่วนผู้ที่เป็นอรหันต์จะแยกเป็น กุศลอกุศล บาป บุญแยกจิตที่เป็นกิเลสกับไม่มีกิเลสได้
นายก.มีนิพพาน นายข. ถ้ากุศลมีส่วนทำให้ได้เสวยสวรรค์ ก็เท่าที่จิตของเขาเอง
สวรรค์คือจิตยึด มีแรง มีพลังส่วนหนึ่งยึด ยึดในภพชาติ วิมานเก๊ ทั้งที่มันไม่มีหรอก สวรรค์นรกไม่มี สวรรค์คือแดนที่จิตไปพักแล้วเป็นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต เป็นพยัญชนะอธิบาย ดีไม่ดีไปล่า จาตุมหาราชิกาเป็นต้น
เขาจะมีแต่วิมานเก๊ ยึดเก่ง แรงมาก เป็นพลังงานอุปาทานที่เขายึด ความหลง นี่คือ นิรมานกาย เป็นกายที่เขาสร้างเอง ไม่มีจริงหรอก จิตเขาเป็นนามตั้งมาเองเป็นรูป สวรรค์จะสวยอย่างไรก็เนรมิตเอา สวนนันทวัน มิสกวัน ก็สมมุติว่า สวนนี้มีอันนี้ รื่นรมย์ตามยึดสมมุติ
หนึ่งแรงปั้นตามที่ตนเนรมิต สองแรงยึด แรงยึดมากก็นาน แรงยึดหมดก็ไม่มี ก็มีเท่ากับแรงที่ยึด หมดแรงยึดก็ตกนรก นรกเป็นอนุสัย หากกุศลหมด แรงยึดหมดก็จะมีนรกมาก นรกแต่ละคนที่ทำมาด้วยอวิชชามาเยอะมาก คนเราทำอกุศลวิบากมากกว่ากุศล ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนมาเป็นอเวไนยสัตว์ แล้วทำชั่วทำดี กุศลอกุศลอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะมาพบโลกุตระ กว่าจะตั้งต้น หากไม่เรียนรู้ออกก็วนเวียนอยู่กับสวรรค์นรกนานช้า สักวันก็ต้องเบื่อและหาทางออก คุณเห็นทางออกแล้วอย่าช้า คว้ามีดพร้าจอบเสียมมา
คนทำกุศลมาก ทำทานมาก ทำดีมาก แต่ในชีวิตนี้คุณไม่รู้จักความโลภก็คืออะไร คุณโลภความดี โลภทาน โลภกุศล คุณคิดว่าอย่างนี้ดีก็ทำๆๆ ก็รวย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ในวิบาก คุณก็ได้ คุณก็เสวยผล แล้วคุณก็ไม่รู้เรื่องหรอก ก็จะยิ่งซับซ้อน เสวยผลทางกามคุณก็กามจัด เสร็จแล้วคุณก็ไม่รู้จักโทสะ ก็โทสะจัด คนไม่ได้ศึกษาก็โมหะจัด ก็วนเวียน ในกามจัด โทสะจัด โมหะจัด วนดูสักกี่ชาติ ฟังแล้วก็น่าเบื่อน่าออกจาก วงวนนี้
ใครก็ตามได้ฟังแล้วทำความเข้าใจให้ดี โลกโลกีย์ไม่ทำให้เราเจริญได้จริงหรอก จึงมาตั้งหลักเป็นโสดาบัน ได้สมบูรณ์แบบถาวร คนถาวรสุดคือคนไม่ทำบาปทั้งปวงถ้าจะมีชีวิตอยู่ กรรมทุกกรรมก็จะเป็นกุศล จิตก็จะสะอาดไม่เป็นโทษเป็นภัยต่อไปเรื่อย เป็นพระอรหันต์แล้วมีแต่เจริญมีแต่ทำประโยชน์คุณค่าและสอนคนอื่นต่อ ไปจนกระทั่งเป็นนิพพาน
ผู้ที่ทำบุญไม่เป็น หากไม่มาทำจิตใจให้เป็นจิตใจที่เจริญ จิตใจลดกิเลสแล้วเกิดภูมิปัญญาที่แท้จริงตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าอันซับซ้อนลึกซึ้งมาก มันไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นอาริยบุคคลโลกุตระบุคคลได้
ผู้ที่ทำบุญไม่เป็น ก็คือคนที่กำจัดกิเลสไม่เป็นรู้จักกิเลสไม่ได้กำจัดกิเลสไม่ได้ ก็จะเพิ่มกิเลส โลภในดี โลภในทาน โลภในกุศล มีแต่ความโลภที่เก่ง เก่งรวยในวิธี จะพอมีความซื่อสัตย์สุจริตบ้างก็ทำไปตามประสา แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าอย่างนี้เป็นเชิงชั้นแทคติก ความโกงซับซ้อน เขามีวิธีการที่ซับซ้อนไม่ให้คนรู้ทัน แต่ฉันสมโลภ อยากเรียนไปเรียนกับคุณทักษิณหรือธัมมชโยสิเขาเก่ง วิธีการสะสมความโลภ และมีความอำมหิตซับซ้อนอยู่ในความโลภ เอาความโลภออกมาเป็นประชานิยม
ส่วนกรรมที่เขาไม่รู้ทันคือกรรมชั่วทุจริต ที่ทำให้เขารวย มีอำนาจหลอกให้คนเป็นบริวารด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณหรือธัมมชโย ขอขอบคุณสองท่านไว้ ณ ที่นี้
เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็น แล้วเขาก็เก่งด้วย ธัมมชโยยังหาตัวไม่เจอ ทักษิณยังเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนแต่ยังหาตัวเจอ ถ้าจะจับจริงก็จับได้ อาตมาไม่รู้แล้วแต่วิบากใครจะจัดการ ก็ว่ากันไป มันมีเรื่องซับซ้อนวิบากของเขาด้วยมีทั้งคนที่จะต้องทำกุศล หากใครทำกุศล จับเขามาให้เขาได้รับโทษภัยใช้หนี้บาป ให้เขาหยุดทำวิบากต่อ ขนาดนั้นเขาก็ยังไม่หยุดทำบาปซับซ้อนที่เขาหลอกคน อาตมาอธิบายไม่เก่งในความเป็นบาปหมุนรอบเชิงซ้อน หลงคนช่วยเป็นคนดี มันโง่หนักหากรู้จักคนดีคือคนดีก็ไม่โง่เท่าไหร่ ยิ่งรู้คนโลกุตระก็ยิ่งฉลาด แต่นี่รู้คนชั่วเป็นคนดี คนโง่เป็นคนดี ไม่ต้องพูดโลกุตระ ดีไม่ดีเขานึกว่าคนโลกุตระเป็นคนชั่วหนักเพราะด่าเขาด้วย อย่างโพธิรักษ์นี่ เขาเห็นที่ไหนทืบที่นั่นเลย เขาจะบอกอย่างนี้ด้วย ทำให้ตายก็ได้กุศลด้วยเพราะเป็นคนบาปเขาจะบอกอย่างนั้นด้วย เขาจะเก่งมากในเรื่องของ การโลภ ในกุศล ในทาน ในความดี
ทีนี้เล่ห์เหลี่ยมวิธีการจะเก่งเพราะเขาโลภ ต้องการได้กุศลความดี แต่การทานจะทำใจในใจอย่างไรก็ไม่รู้ ทานโดยมีจิตคิดโลภ ถ้า 1 บาทจะตั้งจิตเอาแสนล้านพันล้าน จิตใจมันตะกละจริง คุณทำทาน 5 บาทแล้วจะเอาทั้งโลก จิตใจของคุณตั้งไว้จริง มันก็เกิดจริงตามที่คุณอธิษฐานคุณตั้งไว้แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทานในสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้สรุปแล้ว เขาก็จึงรวย บาปและอกุศล
สรุปแล้วถ้าเป็นปุถุชนก็จะทำบาปมากได้บาปมาก ทำกุศลมากก็ได้ด้วย แต่ทำบุญไม่เป็นเลย ทำบุญไม่ได้เลย
จนกว่าจะเป็นอาริยชนเริ่มเป็นพระโสดาบัน ก็จะทำบาป เริ่มต้นก็ต้องทำบาปมากพอสมควร ทำกุศลพอสมควร และเร่ิมทำบุญเป็น
เป็นสกิทาคามีก็ลำบากพอสมควรทำกุศลพอสมควร และทำบุญได้ชัดขึ้นและเพิ่มขึ้น
เป็นอนาคามีก็ทำบุญจนกระทั่ง โลก กามภพหมดเลย ขจัดกิเลสในกามภพหมด เป็นอนาคามีเหลือส่วนละเอียดในรูปภพอรูปภพก็จะทำต่อ จนกระทั่งจบหมดเป็นอรหันต์ ก็ไม่ทำบาปทั้งปวงทำแต่กุศล
กรรมที่มีอยู่ สมมุติ นายก.นายข.แล้ว ถ้านายก. สิ้นอาสวะตั้งแต่อายุ 30 อีก 50 ปีจนกว่าจะตายก็ทำแต่กุศลก็เป็นวิบากกุศล ถ้ายังเป็นโพธิสัตว์ ต่อไปอีกก็จะได้อันนี้เป็นสมบัติ
แต่ถ้าเป็นอรหันต์แล้ว สิ้นอาสวะตั้งแต่ 30 แล้วอายุ 80 ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
ส่วน นายข.ทำบุญไม่เป็น เป็นแต่ทำทานเก่งทำกุศลเก่ง อายุ 80 ปีก็ตายเท่ากัน คนนี้ก็จะได้กุศล ส่วนบาปจะมากกว่ากุศลเยอะเลยเพราะคนไม่หมดโลภก็ทำบาปมาก เขาไม่รู้จักกิเลสโลภ โลภในกุศล โลภในทานโง่ๆ ในความดีโง่ๆ เป็นความซับซ้อนน่าดูเลย
วันนี้ฟังแล้วเป็นไง ตอบอย่างจริงใจจะถาม ใครฟังแล้วงงๆอยู่ยกมือ? มีน้อยมากเลย ไม่กี่คน ใครเข้าใจดีเลย ใครเข้าใจอย่างกระจ่าง..
โลกุตระโลกียะก็เป็นธรรมะ 2 ดีชั่วก็เป็นธรรมะ 2 เทวนิยมอเทวนิยมก็เป็นธรรม 2 ผู้หญิงผู้ชายก็เป็นธรรมะ 2 บวกกับลบก็เป็นธรรมะ 2 ตั้งแต่อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยามก็เป็นธรรมะ 2 อีกเยอะ
_ดญ.น้ำมนต์...คนตายได้อย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า...บางคนหายใจไม่ได้ก็ตาย บางคนโดดน้ำตายบางคนโดดตึกตาย รถชนตายเจ็บป่วยตายมีเยอะ การตายก็คือเหตุปัจจัยชีวิตในสรีระทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ก็เรียกว่าตาย ก็ต้องเปลี่ยน พลังงานที่จะทำหน้าที่อยู่กับชีวิต คือพลังงานชีวิตของแต่ละคน ใช้ร่างกายนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วก็เรียกว่าตาย
เด็กอยู่ในนี้ก็ได้ซึมซับไหลเวียน osmosis มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์
ฝากฟ้า_ที่พ่อท่านอธิบายนายก.นายข. ทำให้จุ๋ม เห็น วัฏสงสารนี้ยาวไกลเหลือเกิน เพราะฉะนั้น นายข. ต้องไปเสวยวิบาก ก็จะเห็นสัจธรรม กว่าจะมาลดละกิเลสเขาจะต้องทุกข์มาก ความทุกข์จะทำให้เขาเห็นสัจธรรม แล้วความทุกข์นี่แหละ จะทำให้เขาเข้าใจ เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าถึงธรรมะ และเห็นความสำคัญของสัตบุรุษ เขาจะต้องเห็นทุกข์ก่อน (พ่อครูว่า... คนจะต้องเกิดปัญญาเห็นว่าเป็นทุกข์ แล้วคิดจะออกจากทุกข์ จะต้องหนีออกจากเหตุแห่งทุกข์ แต่คนไม่เข้าใจก็เลยไปหลงติดเป็นอุปาทานนึกว่าเป็นสุข มันไม่ใช่อย่างนั้นต้องดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์คือสภาวะธรรมะ 2 แล้วมันมีเหตุ คุณจะต้องดับเหตุที่มันเกิดสวรรค์เกิดสุข คุณก็ฆ่าเหตุ แล้วก็จะหมดสวรรค์หมดนรกหมดทุกข์หมดโศก ตอนนี้เขาไม่ได้ทำ ก็จะไปหาสวรรค์บ้าบอที่เขาหลอกกันก็โง่ไปอีกนาน ในโลกมีแต่จะคนทำสวรรค์หลอก ฉันสวยงามฉันมีคุณค่าฉันให้ความเอร็ดอร่อยมีคุณค่ามีสวรรค์อย่างนั้นอย่างนี้บ้าบอ สวรรค์มันมี ลาภเยอะ ยศเยอะ สรรเสริญเยอะ ความสุขเยอะ หรือมีอัตตาตัวตนมีศักดิ์ศรียิ่งใหญ่อะไรก็แล้วแต่)
_คนจะมาทางธรรม เป็นธรรมดาที่จะต้องน้อยแน่นอน
พ่อครูว่า..อาตมาถึงไม่ได้สงสัย ขนาดนี้ก็มากแล้วใช้ได้แล้ว แต่มากกว่านี้ก็ดีแต่ไม่ได้เท่านี้ ก็พยายามต่อไปเพื่อจะให้มากกว่านี้เรื่อยๆ
_เกร็ดดิน..โลภะโทสะโมหะ อันไหนหนักที่สุดอันไหนเป็นตัวสำคัญ
พ่อครูว่า..ตอบไม่ได้ มันมีจริตต่างๆกัน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
พุทธิจริต โทสะจริต โลภจริต โมหจริต ก็ตอบไม่ได้ไง จริตของคนบังคับเขาไม่ได้ของแต่ละคน เข้าใจโทสะจริต โมหะจริต ราคะจริต โมหะคือแยกไม่ออก แต่ถ้าแยกได้เป็นโลภะโทสะก็จะชัดเจนคือ หรือแยกโลภะมีราคะกับโลภะ
โลภะกว้างใหญ่จะสมโลภใน เงินทองข้าวของลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เหมาหมดเลย ส่วนราคะนี้แบ่งมาเรียกจำเพาะในเรื่องของ จะบอกว่า กามราคะคือกามคุณ 5 จะบอกว่าราคะจากโลกธรรมก็ไม่ใช่ เพราะโลกธรรมรวมหมด แต่ราคะนี้จัดเข้าในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณ 5
ราคะคือสิ่งที่จะมาเสพเสวยใส่ตนเอง(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เกร็ดดินว่า...ตัวเหตุใหญ่คือราคะ โลภะ คือดูดมาเป็นตนหนักสุด
พ่อครูว่า...ดูดมาเป็นตนของตนนี้หนักสุดเป็นต้นรากแต่ไม่ได้มาสมใจก็โทสะเกิด
จะว่าจริงๆโมหะนี่แย่กว่าเพื่อนเพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย สับสนปนเป ถ้าอยากออกก็จะรู้ว่าราคะหรือโทสะก็เริ่มออกได้แต่โมหะนี้มั่ว หนักกว่าเพื่อน
เกร็ดดินว่า..ทำบาปมากคือโลภะ
พ่อครูว่า..โลภะทำบาปมากก็ตามแต่อวิชชามันซ้อนยกกำลัง หากมาเรียนรู้โลภะราคะในตนก็ลดได้ แต่โมหะคือแยกไม่ออก พวกวิตักกจริต อันโน้นก็ไม่รู้อันนี้ก็ไม่รู้ ไขไม่ออกอันนี้ดีหรือไม่ดีสับสนไม่เป็นทาง
เราจะไปประเทศอะไรก็แล้วแต่ สมมุติทางถ้าไปทางนี้ก็จะใกล้เท่านี้ สมมุติว่าอ้อมก็จะไกลกว่ามันก็ถึง แต่มันโง่ แทนที่จะไปทางสั้นมันก็ดันไปทางยาวเท่านั้นเอง ไปเถอะ
ถ้ามีความศรัทธาจิตใจมุ่งไป มันก็ยังถึงเร็วกว่าคนที่ไปทางนี้แล้วก็ไปอีกทางหนึ่งใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ไปอีกทางหนึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วเมื่อไหร่มันจะถึงสักที พวกที่ไม่แน่นอนไม่ชัดเจนพวกนี้ เสียเวลาเยอะ
_ดุลเพชร..ปีนี้ครบรอบ 36 48 84 ปี จะมีองค์กรหลายอย่างมาช่วยสร้างสาธารณูปโภค เป็นบารมีหรือไม่ เป็นความมหัศจรรย์ของพ่อท่านหรือเปล่า
พ่อครูว่า...งานนี้คืองาน 3 4 7 สามรอบ ได้ อย่างพวกจีนชอบสร้างสิ่งต่างๆ มันก็จะมีคนที่ชอบสร้างอย่างนี้ ถ้าคนจีนมาจะสร้างสาธารณูปโภคเยอะ ก็ไม่เป็นไร ส่วนคนไทยนี้ไม่ชอบสร้างอะไรด้วยซ้ำไป ก็ไม่เป็นไรก็มา
_สุดชดา
เรื่องแรกเกิดที่ชมร.สันติฯ มีผู้ชายคนหนึ่งสมัยที่มีม็อบเขาก็ควักอาวุธมีดมา แล้วเขาชวนบอกให้ซื้อไว้ เวลามีใครทำร้ายจะได้ตอบโต้ ดิฉันบอกว่าเราไม่มีศัตรูอะไรเราเป็นมิตรกับเขาก็ไม่ต้องใช้
เรื่องที่สอง พ่อครูว่าอยากให้น้ำใส มีคนบอกว่าต้นกล้วยจะมียางกล้วย จะทำให้น้ำใสได้ ผู้ใหญ่ท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่ท่านก่อเกิดประเพณีลอยกระทงเพื่อให้น้ำใส ยางกล้วยจะผสมกับน้ำให้เกิดการตกตะกอน พ่อขุนรามเลยบอกให้ลูกหลานลอยกระทงในวันเพ็ญเดือนสิบสอง แต่ตอนนี้มันมากไป
พ่อครูว่า...ตอนนี้อาตมาทำลำธาร ลำธารนี้ชื่อว่า ลำธารถอยหลังเข้า อาตมาเอาคำว่าถอยหลังมาใช้เรียกว่าลำธาร ถอยหลังเข้า สำนวนภาษาไทยว่า ถอยหลังเข้าคลอง เราก็เป็นถอยหลังเข้าลำธาร ลำธารของเรานี่น้ำมันขุ่น ทำมาหลายปีมันก็ไม่ค่อยใส ประกาศไปให้คนที่มีความรู้หลายคนมา แม้ท่านถ่องแท้ว่า ทำได้ก็ยังไม่ทำ บอกว่าเอาสารส้มมาลงก็จะใสมันก็ได้ชั่วคราว
มีสูตรของอีกคนหนึ่ง สูตรของอาจารย์ไม้ร่ม เขาเรียกว่าอาจารย์กันทั่วโลก เขาว่า เอาขี้ควายมาใส่ก็จะใส เขาเคยทำที่สันติอโศก น้ำมันก็ใสอยู่แล้ว แต่อันนี้เป็นธรรมชาติเป็นดินปนทราย มันจะขุ่นได้มากกว่า อันนี้ไม่ใช่ น้ำลำธารจะทำให้ใสไม่ง่าย ใครมีความรู้มาช่วยจะทำให้น้ำใส มาทำแก่งก็จะทำ แต่ตอนนี้ทำไม่ไหวแล้ว หากอายุ 30 มีแรงทำ และคนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องแก่ง คือลำน้ำมีหินก้อนคั่น น้ำปะทะก็จะวิ่งไป มีช่องที่น้ำไปได้มากเรียกว่าแปว น้ำจะแรงตรงแปว มีช่องเดียวนี่ก็น้ำแรงมากเรียกว่าแปว หากมีแก่ง มีแปว เพื่อให้ล่องเรือ แคนนูเล็กๆ ที่แปวน้ำไหลแรงก็จะสนุก ผ่านแก่ง ตำอิด ติดราม สามใส่ ไผใหญ่ ไทบ้าน มีหินให้ทำ แต่ยังไม่มีคนมีฝีมือมาทำ ถ้าจะทำฝืนไปสังขารจะไหวหรือไม่ไหว คนก็ไม่ค่อยอยากจะให้ลุยทำ
สรุปแล้วจะทำธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ก็มีคนเข้าใจ ผู้ใหญ่ยังไม่ค่อยมากล้าเล่น ส่วนเด็กๆก็มาใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ผู้ใหญ่ก็ได้แต่พาเด็กมาด้วยยังไม่กล้า ไม่เป็นไร ต่อไปในอนาคตจะเป็นที่พักผ่อน ขอแต่อย่างเดียวมาที่นี่อย่านำสิ่งสกปรกเลอะเทอะ ลามก มาลงไปในที่นี้ก็แล้วกัน เอาแต่สิ่งที่ดีมา เป็นผู้ประสานสมานกันให้เกิดความสุขสำราญแลกเปลี่ยนได้ประโยชน์กัน
อาตมาก็ทำตลาด ทำธรรมชาติ ทำอะไรอีกหลายอย่าง ทำร้านค้า ทำสื่อสาร ทำการศึกษา เพื่อให้มนุษยชาติได้อาศัยได้มาเอาประโยชน์ เอาประโยชน์จากธรรมชาติจากตลาดจากการศึกษา เอาประโยชน์จากอะไรก็แล้วแต่ อาตมาว่า คนเราควรจะได้สิ่งเหล่านี้ เอาไปสกัดจากการเต้นแร้งเต้นกา แข่งขันกีฬาเอาชนะคะคานอาตมาไม่ส่งเสริมหรอก แม้จะแข่งรวยที่นี่ไม่ส่งเสริม แข่ง แบ่งแจกกัน มาจน มักน้อยสันโดษสร้างสรรสิ่งดี อาตมาพาทำ
_ช่วยบุญ...ตอนงานมหาปวารณาที่ปฐมอโศก จัดเตรียมและจัดสถานที่ให้สวยงาม ต้อนรับท่านสมณะและญาติธรรมทุกท่าน ทำอย่างเข้มงวด ตอนนั้น ในตอนแรก ช่วงที่มีเจ้าอาวาส ก็จะตื่นเต้นกันมาก ปีนี้เจ้าอาวาสองค์ไหนจะอยู่วัดไหน จะอยู่พุทธสถานไหน สมณะจะประชุมกันหลายวัน ต่อมาก็ไม่มีระบบเจ้าอาวาส แต่ว่าโยมก็อยากรู้ว่า สมณะจะอยู่พุทธสถานไหนกัน นี่เป็นความรู้สึกของตนเอง จากนั้นไม่ค่อยมีแล้วใจมันด้านแล้วไม่ตื่นเต้น แต่มันก็มีองค์ประกอบไม่ใช่ว่าเฉื่อยชา คือสมณะประชุมน้อยวันลง ญาติโยมก็เตรียมใส่บาตร แต่ก็สมณะประชุมเสร็จเร็วท่านก็เลย บิณฑบาตในวันที่ไม่ได้เตรียม แล้วก็ ณ ปัจจุบัน สมณะก็กลับเร็วมาก จะใส่บาตรก็ไม่ทัน ใจเลยเหี่ยวลง เราแก่ลงหรือเปล่า?
พ่อครูว่า...ดี พูดเตือนสติกันดี จะรีบไปไหน มันก็เป็นลักษณะหลายๆอย่าง ติดที่ ไม่อยากจะสังสรร คือ คนเราเวลาไม่ค่อยอยากจะสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ก็จะเบื่อวางอยากอยู่เปล่าๆเฉยๆ เป็นลักษณะของพวกฤาษี
คนเราต้องเป็นสัตว์โขลง อยู่กับสังคม มีความระลึกถึงกันมีความรักกันมีความเคารพกันมีความช่วยเหลือกัน ทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
แต่ผู้ศึกษาไม่สำเหนียก หนีไปเป็นฤาษีตัวใครตัวมันเหมือนพวกเชน ใช้ชีวิตไร้ค่าไร้ประโยชน์ไม่รู้เรื่องอะไรกัน ชีวิตก็ตายทิ้งไปเปล่าๆเท่านั้นเอง มันก็น่าเสียดายการศึกษาพฤติกรรมของชีวิต มันตรงกันข้ามกันตรงนี้ ศาสนาพุทธต้องเข้าใจให้ได้ว่า
คนเกิดมาเป็นอัตภาพหากไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คนจะกลายเป็นคนที่ ไม่เป็นโทษภัยแก่ใคร มีประโยชน์คุณค่าแก่ผู้อื่น นี่คือสูงสุดแห่งคุณค่าแล้ว และประโยชน์ที่ว่าเป็นประโยชน์โลกุตระด้วย ผู้ที่ศึกษาอันนี้ได้แล้วจึงเป็นโพธิสัตว์ มีประโยชน์คุณค่าอย่างเป็นโลกุตระทีเดียว โทษไม่มี เป็นอรหันต์หมดโทษแล้ว เป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งสูงขึ้น ระดับ 4 ขึ้นไปไม่ทำบาปทั้งปวงจริงๆ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็มีบาปอยู่บ้าง
_วันที่ 5 ธันวาคม ญาติธรรมข้างนอกจัดงานเหมือนเดิมหรือไม่ ให้ชื่ออะไร?
พ่อครูว่า...ให้ทำตามอัธยาศัยแต่ละคน แต่ไม่ควรจะมารวมกันทำ
ส่วนวันดินโลก 5 ธันวาฯ โลกเห็นคุณค่าของในหลวงเรื่องของดินท่านเก่ง ก็เลยเอาวันที่พระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นวันดินโลก
_ใบฟ้า วันนี้ดูรอบๆ ประกอบด้วย พุทธบริษัท 4 ดูครบพร้อม ดิฉันรับหน้าที่ลงทะเบียน (พ่อครูว่า..ใครไปลงทะเบียนรับหนังสือคนจนที่มีแบบฉบับแก้แล้วไขอีกได้ เล่มนี้น่าจะเปิดศักราชเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เฉพาะสารบัญ ไม่มีเล่มไหนจะมีสารบัญมากถึง 325 Content บรรจุอยู่ในนี้) คนมาลงทะเบียนไปแล้ว 300 กว่าคน ดิฉันรู้สึกว่าได้รับความเมตตาจากพ่อแม่พี่น้องเยอะ การที่เราหายไปจากบ้านราชฯนานพอสมควร แล้วก็ได้ขุมทรัพย์คำชี้แนะจากพี่ๆ เมื่อเช้าได้จากพี่เข่งใจแก้ว และที่น่าปลื้มใจ มีคุณแม่อุบาสิกา ว่าจะมาต่อว่า ว่าไปไหนมา ต่อว่าว่า ไปนานเกินไปแม่มาหลายเดือนก็ยังไม่มา แม่คิดถึง
อยากสรุปว่า เมื่อดิฉัน ตกต่ำทางจิตวิญญาณ นรกเร่าร้อนใจ น้องสาวที่เป็นพยาบาลทุ่มเทดูแลดิฉันอย่างสุดจิตใจ ล่าสุด เขาอนุญาตให้ดิฉันมาได้ 9 วัน ก็มีกันสองคน (พ่อครูว่าถ้ามาได้ก็มา 2 คนพร้อมกันเลย) แต่สัมมาทิฏฐิยาก เอาเป็นว่าดิฉันจะกลับมาแน่นอน
พ่อครูว่า… Late is better than never.
_พลอยแผ้ว สงสัยว่าเรือลำนี้เอาไว้ทำอะไร
พ่อครูว่า..มันเป็นพาหนะชนิดหนึ่งที่อยู่ในน้ำ ของเราเป็น บ้านราชฯเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ แต่ก่อนน้ำท่วมเราอาศัยเรือ ตอนนี้น้ำไม่ค่อยท่วมเอาเรือมาทำเรือน เรือในน้ำเราเรียกเรือเรือน เรือบนบกทำที่อาศัยเรียก เรือนเรือ เอามาบูรณะ
อาตมาเป็นคนมีศิลปะก็เอามาทำให้เกิดผล มีพญาแร้ง มีพระพุทธรูป ข้างในเรือเป็นที่ฉายวิดีทัศน์ มีพระปางปรองดองคืออะไร พญาแร้งคืออะไร สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา มีความหมายอย่างไร ตอนนี้ยังไม่อธิบาย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า...สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ยืนสง่าหลังพญาแร้ง ยังเป็นแค่โครงสร้างยังไม่ได้ถอดแบบ ต่อไปจะทำแบบโลหะ คงจะตั้งได้ จะแข็งแรงกว่าก็คงจะอยู่ได้ แต่อันนี้ไม่ได้เพราะมันเป็นโฟม ดินปั้น รับน้ำหนักไม่ไหวต้องมีนั่งร้านค้ำยัน
พญาแร้งอาตมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตัว อาตมาเกิดมาชาตินี้ ชื่อรักแต่คนไม่ค่อยรักเพราะปากจัดแกะกิเลสคน กระแทกกิเลสคนให้เอาออก อาตมาไม่มีทางเลือก ใครจะบอกให้หยุด อาตมาไม่หยุดเพราะว่า อันนี้ดีที่สุดแล้ว การทำให้คนละกิเลสได้นี่เป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว การละกิเลสได้นั้นเป็นทฤษฎีของพุทธเจ้าที่สำเร็จผลจริง เป็นทฤษฎีที่ชัดเจน อาตมาได้พาพวกเราพิสูจน์จนกลายเป็นชุมชนชาวอโศก อธิบายได้เลย ถ้าเป็นเศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์เป็นรัฐศาสตร์ ได้อย่างดีจริงๆเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน วิธีทำใจในใจต้องทำอย่างไร
_จริง(ปฐมอโศก) วิธีการทำใจในใจต้องทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า..ถามคำใหญ่ ทำใจในใจภาษาบาลีคือมนสิกโรติ แปลว่าทำใจในใจเป็นคำกิริยา ถ้าเป็นคำนามก็คือมนสิการ ก็คือการทำใจในใจ
ก็คือ ใจเรา หรือจิตหรือวิญญาณ หรือมโน อาการจิต ธาตุรู้ เราก็ต้องรู้ธาตุรู้ของเรา อาการถ้ารู้มันกำลังโกรธต้องเข้าใจ อาการตอนนี้กำลังโลภ อาการตอนนี้กำลังแสดงกาม แสดงราคะก็ต้องรู้มัน
รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
อาการ แล้วรู้ความแตกต่าง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
คุณรู้อาการของใจแล้ว คุณก็จัดการกับใจ ศาสนาพุทธหากไม่เข้าใจคำว่ามนสิการ คำว่าโยนิโสมนสิการ หรือมนสิกโรติ เอาไปเข้าใจคำนั้น เอาไปแปลว่า โยนิโส แปลว่า ถ่องแท้แยบคายละเอียดลออ แล้วก็เป็นปฏิภาณปัญญารายละเอียด มันไม่ได้หมายความว่าเป็นการทำใจในใจ มันไม่ได้เป็นการทำใจในใจเป็นแค่ความเฉลียวฉลาดความรู้เท่านั้น ค้างอยู่แค่นี้ ปัจจุบันศาสนาพุทธในเมืองไทย โยนิโสมนสิการแปลว่าเฉลียวฉลาดเอาความเฉลียวฉลาดพิจารณาเก่งรู้ จบ แต่ทำใจไม่เป็น
ใจที่มีกิเลสรูปร่าง อาการ ลิงค นิมิต ใจเรากำลังโกรธใจเรากำลังโลภ แล้วก็ล้างกิเลสด้วยไตรลักษณ์ เข้าใจไม่ง่ายเพราะไตรลักษณ์นี้ยาก
อาการพวกนี้เป็นอุปาทานแล้วมาแสดงบทบาทออกมาเขาเรียกว่าตัณหา อาการโลภ เกิดขึ้นตอนนี้มันค้างอยู่ที่จิตแสดงบทบาทเป็นตัณหาออกมาเป็นความโลภ ราคะ หรือโทสะ คุณก็พิจารณาต่ออีกว่า จะเรียกมันว่าตัณหา จะเรียกมันว่าอุปาทาน จะเรียกว่าราคะ โทสะก็ตาม มันก็เป็นพลังงานที่ทำปฏิกิริยากันด้วยความโง่ มันก็เพราะยึดว่ามันมีจริง มันอยู่กับคุณ คุณก็อยู่กับมัน คุณฟังอาตมาแล้วก็ไม่ต้องทำให้เกิดอาการนี้ขึ้นมาในจิตอีกเลย ถ้าคุณหยุดตอนนี้คุณเป็นอรหันต์ได้เลย
เป็นอรหันต์จะยากอะไร เข้าใจมันให้จริง ประเดี๋ยวมันก็มาประเดี๋ยวมันก็ไป มันไม่เที่ยง แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันหลอกว่าเป็นสวรรค์ จริงๆมันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันไม่มีหรอกสวรรค์อะไรขี้หมา มันเป็นตัวหลอก สวรรค์นี้เป็นของเก๊ สุขขัลลิกะของเท็จ มันไม่มีตัวตนมันไม่มีสภาพนี้หรอก คุณทำให้มันหมดก็เป็นสภาพอนัตตา อาการนี้ไม่เกิดในจิตอีกเลยเรียกว่าอนัตตา
ไม่มีอาการราคะโทสะอีกเลย มันไม่มีแล้วอันนี้ นั่นคืออัตตาตัวตนที่มันมี พลังงานที่มันมีตัวนี้ เข้าใจจริงๆแล้วก็พยายามเรียนรู้ด้วย มันเข้าใจด้วยปัญญาไม่ต้องกดข่มระวัง แต่นี่คุณก็ยังใช้คาถา มนต์ มีมาก็ไม่เอาน่าดันไว้เฉยๆ ต้องเข้าใจด้วยปัญญา เอ็งอย่ามาเสนอหน้า พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหักเรือนยอดของมันแล้ว
อาตมาอธิบายเหมือนกับปลิงแพ้น้ำมันหม่อง แตะแล้วก็ร่วงผลอยเลย สัมผัสเรามันเข้าไม่ได้ มันมีออร่ารังสีพลังงานที่กิเลสเข้ามาใกล้ไม่ได้ อย่าว่าแต่สัมผัสเราเลย นี่คือพลังงานจริงที่ลึกซึ้งมาก
ความรุนแรงที่เป็นโลกจัดจ้านเข้ามาใกล้เราไม่ได้หรอก พวกจัดจ้าน ราคะโทสะจัดไม่ค่อยมาใกล้อาตมาหรอก อยู่ไกลเข้าไม่ได้ อาตมาอนุญาตให้มาได้แต่ก็ต้องถูกขัดอย่างแรงนะเพราะว่ามันจัด รับรองเลือดไหลเลยนะ ผีก็กลัวพระเป็นธรรมดาธรรมชาติ มันเป็นเรื่องสัจจะต้องเป็นอย่างนั้น
หนังสือคนจนที่มีแบบฉบับนี้ มีเรื่องใหม่หลายเรื่องที่จะอธิบายเช่น
การซื้อหวยหากคุณมีบารมี บารมีเป็นเรื่องของกุศล แต่หวยเป็นเรื่องนรก เป็นเรื่องอบายมุข การได้ไม่ได้ด้วยบารมีหรอก การไปเล่นหวยซื้อหวยเป็นเรื่องต่ำ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ มันไม่อยู่ในตระกูลเดียวกัน มันคนละขั้ว มันไม่ใช่กุศลอะไรหรอกมันเป็นหนี้ เอามาฟรีทำไม เอามาเป็นหนี้เขา แล้วคนพวกนั้น คนซื้อหวยส่วนมากเป็นคนจนคนเสี่ยงทาย คนที่ยังขี้โลภอยู่ แม้จะมีเงินมีฐานะก็อยากจะได้เพิ่มก็ต้องซื้อหวย 1.คนขี้โลภ 2.คนจน คนที่รวยแล้วไม่ขี้โลภเท่าไหร่เขาไม่ซื้อหวยหรอก เสียสตางค์ไปทำไม เอามาด้วยน้ำพักน้ำแรงภูมิใจกว่า ก็ให้คนจนที่เสี่ยงทายกับคนขี้โลภ โลภไม่เสร็จ
ได้เงินหวยมาเป็นหนี้ทั้งนั้นเป็นหนี้บาป ได้มาทางการพนัน เอาเงินคนจนมาแล้วให้คุณไป คุณก็ได้ใช้ไปในชาตินี้ คนจนก็ยิ่งหมดไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องเศรษฐกิจดี ถ้าเลิกได้ประเทศนี้สุดยอดเลย แต่คนก็ไปอาศัยเงินหวยมาทำงาน มันแทบจะสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วต้องอาศัยเงินหวยมาทำงาน เอาเงินจากสิ่งที่ดีกว่านี้ดีกว่า เรื่องหวยเป็นเรื่องทรมานซับซ้อน ให้คนจนทุกข์เข้าไปอีก คนซื้อหวยคือคนทั้งโง่และจน มันก็เลยไปกันใหญ่ไปทรมานคนโง่ด้วยทรมานคนจนด้วย ทรมานคนขี้โลภด้วย
ใครที่เข้าใจแล้วก็จะไม่ทำ เลี้ยงตัวเองสร้างสรรทำมาหากินอย่างเป็นประโยชน์
ในนี้มีสิ่งใหม่ๆที่อาตมาอธิบายยังไม่หมด มีสารบัญให้เลือกด้วย มันไม่เรียงกันทีเดียวหรอก มีเล่ม 2 เขียนต่ออีกตอนนี้ อาตมายังขุดภูมิธรรมของตน เพื่อจะบอกคนก็ยังไม่หมด อาตมาไม่ได้เป็นคนที่มีภูมิใหม่ มีแต่ภูมิเก่า จากบัญญัติพยัญชนะที่อาศัยที่มี ก็ยังใช้ไม่ครบเลย ก็ไม่ต้องแสวงหามากแต่ก็พอสมควร อาตมาจะมีพจนานุกรมปทานุกรมอยู่เยอะ เพราะว่าไม่เคยรู้บัญญัติภาษา ก็ต้องหาคำแปลความหมายว่าอันนี้คืออันนี้และเอามาใช้อธิบายได้กว่านี้ ในที่ทำงานของอาตมารอบล้อมด้วยพจนานุกรมไม่มีหนังสืออะไรมากกว่านั้น มีหนังสือเราบ้างนิดหน่อย นอกนั้นมีพจนานุกรมกับปทานุกรม เพิ่งจะรู้ตัวว่าเราเป็นเศรษฐีพจนานุกรม มันต้องอาศัยเขาเรื่องพยัญชนะอาตมาไม่เก่ง ชาตินี้มีแต่สภาวะพยัญชนะไม่เคยรู้ ขอบคุณท่านที่ให้และท่านที่ทำพจนานุกรมมาก็ขอบคุณ ได้ใช้
สรุปว่าอาตมาเองพยายามจะมีชีวิตอยู่ไปอีกให้มากที่สุดเท่าที่จะยาวยืนได้ ก็อย่าเพิ่งไว้ใจว่าอาตมาจะอธิบายธรรมะพุทธเจ้าให้เป็นแก่นแกน เพื่อให้คนได้รับรู้แล้วเอาไปปฏิบัติประพฤติ และรักษาศาสนาพุทธ- ไว้อีก 2 พันกว่าปี จะหมด พุทธกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 5000 ปี
5,000 นี้เป็นของจริง พระสมณโคดมจะมีอายุศาสนาไป 5,000 ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสเอง แต่เป็นโบราณาจารย์ผู้รู้จริง อาตมาเชื่อและจริงที่สุดมั่นใจเพราะว่าอาตมานี่
จริงๆอาตมาไม่ได้เป็นผู้พยากรณ์หรอก อาตมาไม่ใช่โพธิสัตว์องค์ใหญ่ แม้แต่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ก็ตาม แม้แต่พระโพธิสัตว์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆจากพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็มีที่อยู่ในวัฏสงสารนี้ แต่ตอนนี้เกิดบ้างไม่เกิดบ้างเท่านั้นเอง ตอนนี้ในประเทศไทยมี 2 องค์ ที่ชัดเจนก็คือในหลวงกับอาตมา นี่ก็พูดหมดแล้วนะไม่ได้หมายความว่าไปโหนในหลวงนะ อาตมามีหลักฐานพอสมควรว่าอาตมาสอนอะไรตรงกับในหลวงไหม ตรงกันอย่างน้อยที่สุดเรื่องคนจน เรื่องพามาขาดทุน อาตมาทำจึงทำให้เกิดผลปรากฏการณ์จนเกิดเป็นสังคมหมู่บ้าน ที่เป็นหมู่บ้านคนจน มีพฤติกรรมมีบวรมีการศึกษามีชีวิตอยู่จริง เป็นหมู่บ้านคนจน เป็นคนจนชนิดโลกุตระ เป็นคนจนชนิดพิเศษไม่ใช่คนจนแบบโลกีย์
เป็นคนจนที่สุดวิเศษ
_บุญยิ่งแก้ว...หนูเป็นคนชอบฟังธรรม เมื่อฟังธรรมไปก็จะรู้สึกว่า ถ้ามีอะไรที่ยังไม่รู้อีกหลายเรื่อง แต่ก็มีความรื่นเริงในการฟังธรรม แค่อยากจะบอกว่าจะสมัคร รายการ แฟนพันธุ์แท้รายการพ่อครู ได้ยินว่าจะมีกล้วยน้ำว้าเป็นรางวัล
ในฐานะที่พ่อครูครบรอบ 48 พรรษา จะขอบริจาคตบะในโอกาสพิเศษ ท่านใดจะถวายตบะแก่พ่อครู เชิญที่ซุ้มค่ายสัมมาอาริยมรรค
พ่อครูว่า...ผู้ที่ตั้งจุดกลางจะให้เกิดสิ่งนี้ดีแล้ว การตั้งจิตนี้เป็นสิ่งดี ขอเรียกด้วยพยัญชนะว่าอธิษฐาน หรือปณิธานก็แล้วแต่ ปณิหิตะ ตั้งจิตเพื่อจะทำสิ่งที่ดีสิ่งที่เจริญให้กับตัวเอง เวลามันหมดแล้ว เหลือคำถามแห้งอีก 1 อัน
_หนูอยากถามว่าพระข้างนอกมีมากมาย ล้วนแต่เป็นที่ยึดติดของคนทั่วไป แต่บางท่านทำเรื่องไม่ดีไม่งาม ซึ่งต่างจากสมณะเราที่ทำความดี และรู้เท่าทันกิเลส อยากถามว่าคนข้างนอก คนดูพระผู้ปฏิบัติธรรม กระทำผิดได้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า...อาตมาตอบแทนคนข้างนอกไม่ได้หรอก คนจะดูพระที่ทำเละเทะได้อย่างไร มันก็น่าสงสัย แล้วเขาอยู่ได้อย่างไรทำเลอะเทอะ ก็ตอบได้แต่ว่า
1.คนเหล่านั้นก็ยังไม่รู้ พระเหล่านั้นทำเรื่องเละเทะ ดีไม่ดีเข้าใจผิดว่าพระเรานั้นจะพาเขาเจริญทำให้เขารวยก็แล้วแต่ คนมันมีหลายฐานะหลายระดับ เขายังไม่ค่อยฉลาดเรียกว่าอวิชชา เขายังโง่ไม่ค่อยเข้าใจ ก็ยังอยู่ไปตามฐานะของเขาไป เราก็รู้ความจริงให้ได้ และก็รู้ว่าอันนี้ดี ก็ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนเขาสงสารเขา หรือเขายังรู้สิ่งที่สูงกว่านี้ไม่ได้เขาก็อยู่ตามฐานะของเขา ช่วยเขาได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปตามวิบาก ใครที่มาที่นี่แล้วเข้าใกล้ก็ช่วยกันรับแขกปฏิสันถาร ไม่ต้องไปดึงคน ไม่ต้องไปล่อห]อก และเล็มเลียบเคียงไม่ต้อง พูดแต่สัจธรรมให้ฟัง เขาสนใจก็อธิบาย พูดสดๆของตัวเองให้ฟังนั่นแหละจบ นี่แหละสัจจะที่เราต้องทำไป สำหรับวันนี้เวลาก็หมดลงแล้ว ก็ขออภัย ขอให้รวมตัวกันมีประโยชน์ต่อตนต่อท่านได้ยิ่งๆขึ้นไปทุกคนเทอญ ...สาธุ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:00:59 )
รายละเอียด
611107_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1D6C3D70Czg7epW1llrWwtqcm-rZFYbxa9gwKL-HNXiw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1KssHCUjQoOO18lzyeX1tgHiXG1bqMEpR
พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก ก่อนอื่นก็มีเรื่องแจ้ง ตอนนี้ เขากำลังทำแบบทดสอบประเมินผล เกณฑ์ความเป็นพระโสดาบัน จะเอาหลักการต่างๆของพระพุทธเจ้ามาประมวล ทำตารางตรวจสอบ สำหรับญาติธรรมที่ต้องการทบทวนตรวจสอบความเป็นพระโสดาบันในตน มีเอกสารชุดนี้ สามารถฟังไฟล์เสียงอาตมาเทศน์เรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2544
48 ปี โพธิกิจ 84 ปีโพธิรักษ์
จำเนียรการก่อตั้ง อโศกมา
สี่สิบแปดพรรษา ล่วงแล้ว
แปดสิบสี่ชีวา-ยุยิ่ง ยืนยาว
เกิดแผ่นดินพุทธแผ้ว ผ่องเนื้อ เจียระไน
เส้นทางพิสูจน์ม้า จรดล
การเล่าพิสูจน์คน ทุกข์ผู้
ปทุมมาศพิสูจน์ชล ตื้นลึก แห่งนที
นานาสังวาสเว้น กิจวัตร
ธรรมวินัยวิบัติ หมดแล้ว
เป็นเมืองพุทธสารพัด เพี้ยนผิด ไกลเฮย
ฤ - ราชสีห์ติดแร้ว ห่อนรู้ ฤ - ไฉน
ใกล้กันมากแล้ว อุบัติ
บุรุษโพธิสัตว์ นักสู้
กระแสหลักเห็นชัด พาพุทธ หลงเฮย
พลีชีพเพื่อกอบกู้ พุทธฟื้นคืนมา
โอ้แม่มูนแม่ให้ วารี
เพื่อชุบเลี้ยงทีวี รอดพ้น
สองฝั่งแม่เขียวขจี พร้อมพฤกษ์ พงไพร
มวลมนุษย์มีสุขล้น ต่างล้วนสดุดี
แม่โพสพแม่ให้ อาหาร
ตั้งแต่ยุคโบราณ ล่วงแล้ว
เราพึ่งแม่มานาน สำนึกพระคุณ
คุณค่าแม่กว่าแก้ว ก่องเนื้อกาญจนา
แม่ธรณีนี่นี้ แดนพุทธ
โพธิสัตว์บริสุทธิ์ ท่านสร้าง
รื้อขนสัตว์บ่หยุด แม้เหนื่อย หนักเฮย
ใช่ออกโอษฐ์อวดอ้าง เก่งกล้าเกินใคร
บวรพ่อฝากไว้ ลูกหลาน
ให้สืบต่อกันมานาน ห่อนร้าง
อนาคตโลกกล่าวขาน เป็นหลัก แล้วเฮย
ปัจจุบันเห็นบ้าง ห่อนสิ้น ความหวัง
ประนมกรเกศก้ม อัญชุลี
เทพธูปเทียนบายศรี กราบไหว้
พระคุณพ่อที่มี ต่อลูก - เสมอมา
เสียงท่อเรียกรวมไซร้ ลูกพร้อมสนองคุณ
อ .เป็นต้น นาประโคน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ชุมชนอโศกมีตั้งแต่โสดาจนถึงอรหันต์
48 84 3 4 7 เลขดีๆทั้งนั้นเลข อย่าไปโถมแทงหมดนะ จะหมดเนื้อหมดตัวนะ หมุนไปหมุนมาหมดเนื้อหมดตัวอย่าไปทำ
พูดถึงเรื่องอบาย โสดาบันนี่จะจบอบายพ้นอบาย จะเลิกเรื่องอบายภูมิ นี่เป็นหลักใหญ่ คือมันหยุดขาดมันวางมันดับได้ คนที่รู้จักอบายภูมิ
อบายภูมิ คือพฤติกรรมชีวิตที่เป็นคลุกคลีเสพติดวุ่นวายกับเรื่องของโลกที่มันเป็นเรื่องต่ำๆ เรื่องทุจริต โสดาบันไม่ทุจริตใดๆแล้วทางกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม โสดาบันไม่ผิดกฎหมาย
กฎหมายนี้ต่ำกว่าศีล 5 กฎหมายไม่ได้ห้ามฆ่าสัตว์ กฎหมายห้ามแต่ลักทรัพย์ กฎหมาย จริงๆแล้วก็ผิด แต่เป็นเรื่องผิดผัวเขาเมียใครกฎหมายก็ไม่จับ กฎหมายไม่ได้ห้ามพูดปด แม้ที่สุดกฎหมายไม่ได้รู้เรื่องของอบายภูมิด้วยซ้ำ คนทำอบายมุขเต็ม ไม่ว่าจะในประเทศไหนแม้แต่ในประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธ อบายภูมิ เป็นเรื่องจัดจ้านที่ไม่ควรเป็นกิเลสหนัก
จริงๆแล้ว ในความคิดของอาตมา ทำอาหารให้รสอร่อยจัด ปรุงแต่งจัด แต่งตัวจัด แน่นอนเป็นอบายภูมิอยู่แล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่จัดจ้าน ปรุงแต่งจัดจ้าน อบายภูมิทั้งนั้น ถ้าเข้าใจความเป็นอบายภูมิแล้ว ประเทศหรือสังคม ชาวอโศกเราไม่มีอบาย ไม่ว่าจะเป็นรสจัด ในเรื่องความอร่อย ความสวย อะไรปรุงแต่งจัดจ้านอโศกเราไม่มีให้เห็น ชัดเจนที่สุด
เพราะสังคมอโศก ชุมชนอโศก เป็นอนาคามีขึ้นไปถึงอรหันต์ อนาคามีนี่ถึงขั้น ศีล 10 เราทำได้ถึงขั้นดีมาก ขณะที่ทั้งโลกนี้เสื่อมไปจากศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า นี่เอาแต่ขั้นศีล มาเปรียบเทียบตรวจสอบ เห็นชัดเจนว่าไปไม่รอด เป็นเรื่องไสยศาสตร์จารีตประเพณีต่างๆนอกรีตมาก พูดไปแล้วจะหาว่า อาตมาเพ่งโทสมาก ซึ่งมันไม่ใช่มันจริง จึงยากจริงๆ คนที่จะช่วยฟื้นฟูให้เกิดความสงบเรียบร้อยอบอุ่นจึงยาก
จริงๆประเทศไทยสงบอบอุ่นขนาดนี้ก็ถือว่าดีหนักหนา แต่ถ้าทำอย่างที่ชาวอโศกเป็นนี้ จะเป็นตัวอย่างของโลก อันยิ่งยอดสูงสุดเลย น่าเสียดายที่ว่า ศาสนานี้ ในยุคกาล คนก็เสื่อมไปตามธรรมชาติเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปค่อน 2561 ก็เสื่อมขนาดนี้
เมื่อถึงพ.ศ.3561 ไปอีก 1,000 ปี มันจะเสื่อมขนาดไหน ยิ่ง พ.ศ.4561 คงไม่เหลือซากอะไรของศาสนาพุทธ คงเป็นศาสนาอุจจาระแพะ
คนถ้าไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมาเป็นเครื่องสำนึกฝึกฝน ให้เจริญขึ้น คนก็จะเสื่อมว่ากิเลส คนเกิดมามีอวิชชามีกิเลส ถ้าไม่มีเครื่องมือ ไม่มีอะไรจะมาช่วยพยุงประคอง ขัดเกลา ฝึกฝนอบรมให้เจริญขึ้น มันก็ต้องเสื่อมแน่นอน เพราะฉะนั้นคนที่ปล่อยตัวไปตามยถากรรมนี้น่าสงสารทุกคน ไม่คำนึงถึงธรรมะไม่คำนึงถึงศีลธรรมอะไร ตื่นเช้ามาก็จะได้ลาภอะไร ลาบเป็ดลาบไก่หมูวัว แย่งชิง รับยศสรรเสริญสุข ที่เยิ้มไปด้วยกาม เยิ้มไปด้วยอัตตา แย่ง ได้มาสมใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็เป็นสุข ได้สมใจในอัตตาก็เป็นสุข หากไม่มาเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่สังวรสิ่งเหล่านี้ มีแต่จะเพิ่ม ต้องการอยากได้โลกธรรมทั้งหลายและตามใจกิเลส กิเลสมันอยากได้ก็ส่งเสริมมัน เพิ่มพลังสัมประสิทธิ์ให้กิเลส เอ็งอยากได้ก็เอาตามอยากได้นี่แหละ ไปแสวงหา ลาภยศสรรเสริญถึงขั้นจะฆ่าแกงกัน ก็ทำกันให้เห็นๆ
ไม่เคยมีสำนึกสังวรไม่รู้เรื่องรู้ตัวอะไรเลย ไปแย่งชิงเอา ทั้งๆที่ตัวเองโกงไปได้เอาไปได้เยอะแยะแล้ว ไปสวาปามในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็ไม่พอ มันควรจะหยุดยั้งได้แล้วเขาได้ขับออกจากประเทศแล้ว ถูกพิพากษาให้ติดคุกก็ไม่ยอม หน้าด้านอย่างเห็นๆ แล้วหลอกคนโง่ๆให้หลงใหลยกย่องสรรเสริญ คนเดียวไม่พอยังให้น้องมาลอกเลียนรูปแบบทำให้หนักกว่าอีก จะถูกพิพากษาติดคุกหนักกว่าอีก ก็ยังไม่เห็นไม่ชัดไม่รู้อีก คนน่ะ มันไม่รู้จะโง่ซ้ำซ้อนกว่านี้อีก
เป็นตัวอย่างของคนที่แสดงพฤติกรรมต่ำทรามชั่วให้คนได้รู้ได้เห็น ขออภัยที่ยกตัวอย่างจริงเอามาเป็นแบบเป็นตัวอย่างเอามาประกอบการอธิบายสัทธรรมก็ขอบคุณไม่ให้ก็จะเอาเขาไม่อนุญาตหรอก
ต้องขอบคุณพวกเราที่เห็นคุณค่าคำสอนของพระพุทธเจ้า พยายามแสวงหาเอาตัวเองมาศึกษาฝึกฝนปฏิบัติตน เห็นคุณค่าของธรรมะพระพุทธเจ้าที่เอามาประกาศไว้ ขออนุโมทนาสาธุกับพวกเรา ส่วนคนที่ไม่เอาอ่าวอะไร พูดไปก็ได้แต่น่าสงสารทำไมน้อเกิดมาเป็นชีวิตพวกนี้ ไม่ได้สิ่งที่อะไรที่ควรรู้ สิ่งที่ควรจะยึดเป็นหลักแก่ชีวิตได้เจริญขึ้นบ้าง ก็มีแต่เสื่อมกับเสื่อม แม้จะตั้งชื่อว่าเจริญ ควรจะใช้คำว่ามหาเจริญ อภิเจริญแต่เสื่อมหนักมอมเมา เรียกว่า ซ้ำเติมส่งเสริมให้มนุษย์มนาต้องตาย ฉิบหายวายป่วง ตายไปเยอะเรื่องเหล้า คนที่ทำเหล้าขึ้นมาขายรวยๆๆไม่ได้สำนึกเลยรวยเอาๆ แล้วคนก็โง่ๆๆ ตกเป็นเหยื่อไม่รู้ขนาดไหนก็กินเหล้า คนที่สำนึกแค่เลิกเหล้าได้ก็ดีมาก ระดับสูงของประเทศยังติดเหล้ากัน เมืองไทยไม่จำเป็นต้องกินเหล้าเลย นอกจากจะใช้เหล้าเป็นยาบ้าง เมืองหนาวเขาจะจิบเหล้าบ้าง เราก็เข้าใจเขาได้ แต่เมืองเรามันไม่ใช่เรื่องที่จะจิบเหล้าจิบเบียร์อะไร ก็ไม่น่าส่งเสริมแต่ที่จริงน่าจะออกกฎหมายเหมือนประเทศอิสลามเขา แข็งแรงน่าจะได้น่าจะทำ
สิ่งที่เกิดในสังคมตอนนี้เป็น status quo สภาพจริงก็ได้วิจัยวิจารณ์ประเทศชาติสังคมไทยไป ใครจะถือสาหาว่าปากจัดก็แล้วแต่ อาตมาก็ต้องว่า เพราะอาตมาเกิดมาก็ต้องว่า เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องทำงานนี้ 12 ปีตั้งแต่พ.ศ. 2513 วันที่ 7 พฤศจิกายน บวช วันนี้วันที่ 7 พฤศจิกายน
7 พฤศจิกายน 2513 มาถึง 7 พฤศจิกายน 2525 ก็เป็นหนึ่งนักษัตร 13 ถึง 25 พระจำได้ประมาณพ.ศ 24-25 มีคนๆหนึ่ง ชื่อพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ตีชาวอโศก เอาเรื่องของศาสนาตีหนัก ตีออกหนังสือว่า ศาสดามหาภัย ด่าแหลกเลย ทำตัวเป็นผู้รู้ทางศาสนาดี เข้าใจศาสนาดี นั่งหลับตา แล้วก็ปฏิบัติแบบที่ส่วนใหญ่ที่ความรู้องค์ความรู้ของศาสนาพุทธในประเทศไทยเข้าใจกัน อาตมาขอยืนยันว่าองค์ความรู้ของประเทศไทยในเรื่องศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่ขณะนี้ ผิดเพี้ยนตกกระป๋องไปแล้วจากศาสนาพุทธ พูดตรงๆอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สมาธิจะเกิดได้ต้องมีศีลเป็นพันธกิจ
ศีล การปฏิบัติศีลเกิดเป็นสมาธิจึงจะเจริญได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สมาธิจะเกิดได้ต้องมีศีลเป็นพันธกิจ ถ้าหากไม่มีศีลเป็นพันธกิจก็ไม่เรียกเป็นสมาธิของศาสนาพุทธ
“สมาธิจะเกิดได้ต้องมีศีลเป็นพันธกิจ”...พ่อครู 7 พ.ย. 2561
เพราะสมาธิของพุทธมีหลักเกณฑ์ ศีลข้อ1 หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าว่าอย่าฆ่าสัตว์ มีใจกรุณามีเมตตา วางอาวุธวางศาสตรา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1
ผู้ใดมีสำนึก มีการสังวรมีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจร่วมในทวารทั้ง 5 นี้ สัมผัสกับความเป็นสัตว์ เมื่อใดก็แล้วแต่สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ต่างๆ คุณก็ไม่ฆ่าสัตว์ วางศาสตรา วางอาวุธ มีใจเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ คุณได้สังวรดังนี้ก็เท่ากับทำอธิจิต ให้จิตเจริญขึ้น ด้วยศีลเป็นหลักเป็นเหตุ มีพันธกิจ ทำให้จิตเป็นแบบนี้มีปัญญามีความรอบรู้มีความเข้าใจประกอบ เป็นยาดำร่วมอยู่ว่า เราถือศีลสังวรศีลแล้วเราสำรวมอินทรีย์ทั้ง 5 ทั้ง 6 กายวาจาใจ ให้จิตมันเจริญ ปัญญาก็เจริญ จึงเกิดอธิมุติ อธิวิมุติ มันจึงเกิดการเจริญของความหลุดพ้น ของความเสื่อม ที่คนไม่รู้ไปทำวิมุติไม่ได้
คนทำให้วิมุติหลุดพ้นจากโลก ด้วยความไม่รู้เรื่องเขาไม่อยู่ในหลักเกณฑ์อะไรที่จะทำได้ ทำเป็นอำนาจกิเลส แย่งชิงทำ
ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเราของที่เขาไม่ได้ให้ เราจะเอาแต่ของที่เขาให้ นอกนั้นเราก็จะสร้างทำเอา ของที่เขาให้ นอกนั้นเราก็สร้างสรรเอาเองแม้แต่ของส่วนรวม หากจะถือวิสาสะ ก็จะรู้ว่าใครหนอดูแลอยู่ คือไม่ได้ถือวิสาสะเกินไป อยากจะได้ข่าสวยๆอันนี้อยากได้กล้วย อยากได้แตง ได้ไหม ผู้ดูแลอยู่บอกว่าให้ก็เอา ผู้ดูแลบอกว่ายังไม่ได้ไม่ให้ก็ไม่เอา ก็ไม่เกิดคดีเกิดกรณีเกิดเรื่องราวไม่ดีอะไรก็เกิดความสงบดี อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละคือการมีชีวิตอยู่อย่างมีหลักเกณฑ์ ศีล สมาธิ ปัญญา มีการสำนึกตื่นรู้
อาตมาอธิบายธรรมะไปเรื่อยๆง่ายๆตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตินะ มีพฤติกรรมกาย วาจา ใจ อย่างมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต ในชีวิตสามัญ ไม่ใช่เรื่องลึกลับว่ากว่าจะได้สมาธิต้องไปนั่งหลับตา เข้าไปในภพ มืด นี่เป็นสมาธิแล้ว ว่าง จิตว่างจากอะไรก็ไม่รู้
ที่จริงแล้วต้องว่างจากการสัมผัสแล้วไม่ผิดศีล โสดาบันก็ไม่ทำผิดศีล 5 บริสุทธิ์ในศีล 5 มีการตื่นรู้สัมผัสอะไรก็รู้ อย่างนี้ก็มีสมาธิ ไม่ใช่สมาธิคือหลับตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในภพ นี่มันมืดไปหมดเลยศาสนาพุทธ แบบนั้นมันเป็นเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเขาก็นิยมกันแบบนั้นแหละแบบสมัยนี้แหละนิยมกันออกป่า แต่นี่ขนาด 2561 ก็เสื่อมไปมาก ทิฏฐิความเห็นเหมือนกับสมัยพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมา ศาสนาเข้าใจกันว่าต้องออกป่า ตอนนี้ก็เอาสมัยเดียรถีย์มาเป็นแบบอย่างแค่นี้ก็เข้าใจกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเอามาฟื้นคืนกลับของศาสนาพุทธ
“จิตว่างของศาสนาพุทธ คือจิตว่างจากการสัมผัสแล้วไม่ผิดศีล”...พ่อครู 7 พ.ย. 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 1
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาของคนเจริญเป็นคนอาริยะ หรือจะใช้คำว่า อารยะ เป็นคนเจริญ ไม่ได้เป็นคนป่าเถื่อนอยู่กับป่าเขาถ้ำ ออกป่าก็ผิดแล้วอยู่ในอัมพัฎฐสูตร พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ ขณะนั้นศาสนาพุทธยังเจริญอยู่นะ คือแสวงหาอาจารย์ในป่า
1. อาจารย์ที่อยู่แต่ในป่าเป็นพระธุดงค์อะไรอย่างนั้น ก็จบเลยเป็นผู้ไม่เงยเลย
2 .สร้างเรือนไฟอยู่ในป่า สร้างโบสถ์วิหารอยู่ในป่าแล้วจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟ นี่คือความเสื่อมสนิทใน 4 ข้อ
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ
พูดไปแล้วพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ก็ลุกขึ้นมาเถียงอาตมาไม่ได้ เพราะตายแล้ว
อาตมาออกมาปี 2514 ออกมาเทศน์ที่วัดมหาธาตุ วัดนรนาถรังสฤษดิ์ เป็นต้น เขาให้อาตมาไปเทศน์ในวัดในวาได้สบาย ทุกคนก็ไม่มีปัญหา ท่านเจ้าคุณท่านสมเด็จก็ชอบด้วย จัดกุฏิให้อาตมาอยู่ต่างหากเลย มีกุฏิสำรองให้อาตมาไปพักไปค้างไปเทศน์ได้ เปิดเฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์ก็เทศน์ วัดนรนาถและวัดธาตุทองนี่แหละ วัดอาวุธฯก็จรไปบ้าง
ปี 2513-14 อาตมาจรไปจากวัดอโศการามไป ขับรถพาอาตมาออกมากัน ไม่ค่อยได้เทศน์ในวัดอโศการามเท่าไหร่ แต่ก็เทศน์ วัดอโศการาม ให้อาตมาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ทั้งที่เป็นพระบวชใหม่ ธรรมดาพระที่วัดอโศการามจะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ต้องอายุพรรษา 10 ปีขึ้นไป ต้องเป็นพระเถระจึงขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ พระนวกะเขาไม่ขึ้นเทศน์หรอก แต่อาตมานี้เขาให้ขึ้นเทศน์ได้ จะเทศน์เท่าไหร่ เป็นแต่เพียงสมเด็จวัดพระศรีมหาธาตุ สมเด็จพิมพ์ เป็นเจ้าอาวาส เป็นคนอุบลฯนี่แหละ เป็นเจ้าอาวาส ก็ปรามมาบอกว่า อย่าไปด่าเขาแรงนัก เบาๆ หน่อย ปรามมาเท่านั้นแหละ ไม่ได้บอกว่าพูดผิด ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ด่า เท่านั้นแหละ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า อาตมาบวชแล้ว อุปัชฌาย์สอนอะไรบ้าง
ขออภัย อุปัชฌาย์ไม่เคยสอนอะไรอาตมา มีแต่อุปัชฌาย์ปล่อยให้อาตมาไปสอน ให้ไปบรรยายไปเทศน์ในวัด
ตอนนี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไรพ.ศ 2513 - 2514 อาตมาแสดงธรรมก็ยอมรับกันอยู่ แต่มันแรง กระทบสัมผัสที่เขาก็ผิดกันเยอะ แล้วอาตมาก็พูดแรง พูดไม่ไว้หน้าเลย ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้เปลี่ยนCharacter อะไร พูดเปรี้ยงๆอย่างนี้แหละ จนได้ตั้งฉายาว่าขวานจักตอก จักตอกเล็กๆ แต่ใช้ขวาน
ก็มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) แต่อันนี้ชื่อพิมพ์ ตำแหน่งเดียวกันคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มหาพิมพ์) ทั้งสองรูป ไม่ได้เป็นสังฆราชแต่เป็นระดับสมเด็จ ท่านก็ปรามมา บอกฝากมาที่อุปัชฌาย์สอนอาตมามีเท่านี้ บอกว่าเทศน์อย่าหนักอะไรนักสมเด็จท่านฝากบอกมา
จริงๆนะขออภัยอาตมาพูดตรงชัดๆ ผู้ที่ยังเหลืออยู่ก็ยืนยันได้ นอกนั้นอาตมาบรรยายออกไป โดยที่เรียกว่าท่านก็สอนไม่เหมือนอาตมา อาตมาสอนอย่างเป็นอภิธรรมเป็นสัจธรรม ศีลสมาธิปัญญาขนาดไหน แจกแจงต่างๆนานา ศีลก็แจกแจงอย่างละเอียดลออ ว่าศีล มันจะต้องเกี่ยวเนื่องกันนะเป็น relative ไม่ใช่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ศีลก็ไปปฏิบัติอย่างนี้ สมาธิก็ไปนั่งหลับตา ปัญญาก็เอาเหตุผลความรู้ความคิดมันไม่ใช่ มันเกิดในกระบวนการเดียวกัน คุณได้ปฏิบัติศีล
1 คุณมีศีลข้อที่ 1
2 คุณสำรวมอินทรีย์ ระมัดระวังตาหูจมูกลิ้นกาย
3 โภชเนมัตตัญญุตา คุณจะต้องระมัดระวังในสิ่งกินใช้ อุปโภคบริโภคของกินของใช้ที่เกี่ยวข้อง เป็นอปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ
เกี่ยวข้องกันมาหมดเลยคุณจะต้องมีสติตื่นรู้ สัมผัสเกี่ยวข้องกับศีลข้อที่ 1 สัมผัสกับสัตว์ คุณก็จะต้องสำรวมสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ชีวิตของเราจะต้องมีอุปโภคบริโภค คุณอย่าได้เอาสัตว์มาบริโภค คุณอย่าเอาสัตว์มาเป็นเครื่องอุปโภค
คุณรู้ว่า สัมผัสกับสัตว์ก็ดี ข้าวของที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปละเมิดมันผิด ส่วนสัตว์ของเราหรือไม่ใช่ของเราก็ต้องอย่าไปยุ่ง ของจริงไม่ใช่ชีวะ ของเหล่านี้ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปผิด มันมีขั้นตอน ของสัตว์ก็คือสัตว์ ไม่ต้องเกี่ยวข้องเลยก็ได้สัตว์ ส่วนของนั้นเกี่ยวข้องกันได้อยู่ แต่อย่าไปทุจริตจะไปผิดศีลธรรม
3 ระวังตาหูจมูกลิ้นกายในศีลข้อที่ 3 สัมผัสแล้วอย่าไปติด ข้าวของก็อย่าไปมีกิเลสละโมบโลภมาก คุณทำได้คุณก็วิมุติ ไม่ใช่ไปมุดหลับตาไม่รู้เรื่องไม่ใช่มุดไปในถ้ำของภพชาติ ภวังค์ไม่ใช่ แต่ลืมตาตื่นอย่างมีวิมุติ
หลุดพ้นแล้ว จากสัตว์ สัตว์มันก็เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายก็เป็นสุขเป็นสุขเถิด กัมมุนาวัตตติโลโก ต่างคนต่างอยู่กรรมใครกรรมมัน ส่วนข้าวของต่างๆ ไม่ได้ทุจริตอะไรนะ จะใช้อุปโภคบริโภคก็ว่ากันไป อย่างนี้เป็นต้น รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคุณก็สังวร มันจัดจ้าน เอาอะไรนักหนา ต้องสวยขนาดนี้ตกแต่งขนาดนี้ไพเราะขนาดนี้ ปรุงแต่งขนาดนี้ รสชาติขนาดนี้สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็งขนาดนี้จึงจะชอบใจ มันจะอะไรกันนักกันหนา อย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่มีสติตื่นรู้ ก็จะเห็นความหลุดพ้นอยู่ ดูว่าเราเป็นคนไม่ได้ลำบากไม่ได้ต้องทุกข์ยากอะไรกับสิ่งเหล่านี้แล้ว อยู่ประมาณนี้สบายแล้ว นี่คือสมาธินี่คือวิมุตของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องหลับตาที่พูดกันไม่รู้เรื่องมันมุดอะไรอยู่นะ ปิดหูปิดตาพูดก็ไม่ฟัง แล้วมันจะไปรู้เรื่องกันได้อย่างไร ตัวเองจะไม่ตื่นดูอะไร มันไปกันใหญ่เลยไม่เข้าใจว่าศีลคืออะไรสมาธิคืออะไรปัญญาคืออะไรวิมุตคืออะไร ไม่รู้เรื่อง มันได้เพี้ยนไปอย่างนี้ อาตมาก็ได้พยายามเทศน์อย่างนี้ตอนนั้น แต่นี่ได้ขยายความเพิ่ม
หากฟังแล้วเพ่งโทษก็จะรับไม่เข้า แต่ถ้าตั้งใจฟังด้วยดียังไม่มีอคติไม่เป็นชาล้นถ้วยเขาจะเข้าใจว่าอาตมาพูดนี้เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า เอา ศีลสมาธิปัญญาวิมุตมาพูดอย่างชัดเจนไม่ได้นอกรีด
เมื่อ จรณะ 15 ข้อที่ 1 2 3 4 โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าจะต้องลืมตาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่เป็นหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน การไปนั่งหลับตานี้มันปิดแล้วมันไกลไปจาก อปัณกปฏิปทา มันเป็นการปฏิบัติผิดธรรมะพระพุทธเจ้า การเปิดปิดหูปิดตาไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ในข้อแรก
ศีลข้อที่ 2 เรียนรู้สัมผัสกับของกินของใช้ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส มันจะมีกิเลสในสิ่งนี้ ก็จะต้องเป็นผู้มีสติ ชาคริยานุโยคะ ปฏิบัติอย่างนี้แหละจะเกิดปัญญาเกิดวิมุติ
สมาธิปัญญาวิมุติจะเกิดได้อย่างไร
จากข้อที่ 4 5 6 7 8 9 10 ก็คือสัทธรรม 7 ก็เมื่อปฏิบัติ 4 ข้อนี้ก็จะเกิดสัทธรรม
ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะสติปัญญา ก็จะเกิดอธิจิต 7 เป็นเทวธรรม จะเกิดผิดรู้เป็นศรัทธาเป็นความเข้าใจเชื่อถือ ปฏิบัติ 4 ข้อนั้นก็จะมีการสำรวมสังวร เกิดความละอายการเกี่ยวข้องกับสัตว์วุ่นวายกับสัตว์มันน่าอายไม่เอา จะต้องไปฆ่า เมื่อก่อนไม่สังวรเลย สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ฆ่าหมดแต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว ต่างคนต่างอยู่เนาะ ไม่สร้างวิบากร่วมกันอีกแล้ว มีวิบากร่วมกันมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้แหละ สัตว์ที่เป็นเซลล์แล้วมันเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนถึงสัตว์ใหญ่ ต่างคนต่างพอ อย่ามาเพิ่มวิบากต่อกันอีก อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นอุตุหรือพีชะ จะกินจะอยู่จะใช้ในชีวิตประจำวันไม่เห็นต้องเกี่ยวกับสัตว์เลย เอามาใช้งาน แม้เอามาเลี้ยงท่านก็ไม่ให้เลี้ยง ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ศาสนาพุทธไม่ส่งเสริมการเลี้ยง แล้วจะปล่อยสัตว์อย่างไรก็ให้มันอยู่ตามยถากรรม ไม่ต้องไปมีชีวิตร่วมอยู่กับมัน แม้จะทำอย่างโทสะหรือราคะก็ตามคุณก็ต้องมีวิบากกับมัน ตามสายโทสะหรือราคะ โมหะมูลเลอะเทอะเลยเกี่ยวกับสัตว์ก็เข้าใจให้ได้ว่าต่างคนต่างอยู่ ช่วยกันได้ก็ช่วยกันตามควร เราก็ปล่อยมันไปตามยถากรรม เห็นว่างูกินเขียดก็เห็นว่ามันกิน มันเป็นอาหารของมัน มันเป็นคู่วิบากกันระหว่างเขียดกับงู คุณไปร่วมกันอีกคนนึงหรือ อยู่ดีๆไปร่วมอยู่ในสังคมสงครามกับเขา เขาเรียกว่าเอามือไปซุกหีบ หมูจะหามเอาคานเข้าสอด มันไม่ใช่เรื่อง
เกิดหิริโอตตัปปะ มีผลจากการปฏิบัติศีลเป็นอธิจิตในสัทธรรม 7 สัมผัสกับสัตว์เราก็ละอาย สัมผัสกับพืชพรรณธัญญาหารกับข้าวของ เพชรนิลจินดาก็ตาม ถ้าเกิดทุจริตขึ้นมามันไม่ใช่ของของเราแล้วไปเอา แม้จะไปเอาเปรียบเขา เราก็อย่าเลย แตงกวานี้เป็นอย่างไร ขายอย่างไร ลูกละ 10 บาท อันนี้แพงไปลูกละ 2 บาทเถอะ มันมากไปไหม ต่อเกินไปไหม ขี้โลภจัดไหม ละอายบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น จะมีหิริโอตตัปปะ จะไปเอาของที่ไม่ใช่ของของเรา และจะเกิดการแลกเปลี่ยนกันสัมพันธ์ให้แก่กันและกันอย่างนี้แหละ จะเกิดการขายหรือแลกเปลี่ยนกัน จะต้องมีความสังวร จิตใจจะเกิดความละอาย หากว่าอยากได้เกิดความโลภมากจะเอาเปรียบเอารัด
โอตตัปปะ จิตยิ่งกลัวในสิ่งที่เราจะเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว โอตตัปปะจะยิ่งกลัวเกรง ไม่ได้ไปนั่งหลับตาอะไรเลย จิตใจเราก็จะมี ความฉลาดเพิ่มเติมขึ้น มีวิริยะสติปัญญา เป็นอินทรีย์ ของความเจริญของปัญญา ปัญญาก็มีอินทรีย์
วิริยินทรีย์ สัทธินทรีย์ สมาธินทรีย์ นี่คือความเจริญของสัทธรรม 7 คุณทำอย่างนี้แหละจนถึงกระทั่งครอบศรัทธาหิริโอตัปปะพหูสูตวิริยะสติปัญญา สั่งสมเกิดฌาน 1 2 3 4 เกิดเป็นจรณะ 15 นี่คือการปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าไม่ได้พาไปนั่งหลับหูหลับตาอะไรเลย แต่มันได้เพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมาพูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เพราะว่า อาตมาไม่มีเครดิต เขาเชื่ออาจารย์ที่พาหลงทางพาเข้ารกเข้าพง พาทำบาปทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม อาจารย์ก็จะลงนรก ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์นั่นแหละเขาไม่ฟังอาตมาหรอก ฟังไม่เป็น น่าสงสาร
อธิบายอย่างเปิดตำราพระไตรปิฎกเลยนะเป็นเสขปฏิปทา ไม่ได้เบี้ยวไม่ได้เบี่ยงอะไรเลย
ความเป็นฌานไม่ได้ไปนั่งหลับตา จะเกิดฌานที่ 1 2 3 4 ก็มีภูมิปัญญาเข้าใจเหตุปัจจัยเรียกว่าวิตกวิจาร คุณจะเห็นสิ่งที่จิตกำลังเกิด แล้วก็อ่านพฤติกรรมของมันเรียกว่า จาระ แล้วคุณก็ต้องวินิจฉัย วิจัยและวินิจฉัย ตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตักกะ วิตักกะสังกัปปะ มันมีเหตุปัจจัยมีกิเลสประกอบแล้วก็รู้กิเลส แล้วก็ต้องทำให้กิเลสมันจางคลาย นั่นแหละคือสรุป คุณทำจิตของคุณในสังกัปปะ 7 คุณจะทำแบบนี้ แจก รายละเอียดลงไปจะต้องรู้จัก
รู้จักกายรู้จักเวทนารู้จักจิต แล้วทำให้เกิดธรรมะ กายเวทนาจิตธรรม
เวทนา เป็นตัวหลักให้ปฏิบัติ กายคือ คุณต้องมีรูปมีนาม
เข้าใจเหตุปัจจัยเรียกว่าวิตกวิจาร คุณจะเห็นสิ่งที่จิตกำลังเกิด แล้วก็อ่านพฤติกรรมของมันเรียกว่า จาระ แล้วคุณก็ต้องวินิจฉัย วิจัยและวินิจฉัย ตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตักกะ วิตักกะสังกัปปะ มันมีเหตุปัจจัยมีกิเลสประกอบแล้วก็รู้กิเลส แล้วก็ต้องทำให้กิเลสมันจางคลาย นั่นแหละคือสรุป คุณทำจิตของคุณในสังกัปปะ 7 คุณจะทำแบบนี้ แจก รายละเอียดลงไปจะต้องรู้จัก
รู้จักกายรู้จักเวทนารู้จักจิต แล้วทำให้เกิดธรรมะ กายเวทนาจิตธรรม
เวทนา เป็นตัวหลักให้ปฏิบัติ กายคือ คุณต้องมีรูปมีนาม
อาตมาทำงาน พ.ศ.15 13 -15 ก็คุยอย่างนี้ พ.ศ.13 14 ไปอยู่ที่แดนอโศก พ.ศ.15 ไปวัดมหาธาตุ ควงดาบ จัด
16 อยู่แดนอโศก เริ่มไปที่แดนอโศกแล้วไปจัดนิทรรการที่ธรรมศาสตร์พ.ศ. 2517 นิทรรศการผ่าตัดพระพุทธศาสนา เอาภาพไปติดประจาน สนุกสนานตอนนั้นเขาไม่ได้เพ่งโทษอาตมา ก็ขึ้นมาก เขาชื่นชอบมากเลย แต่ที่นี้พระผู้ใหญ่ผู้บริหารเขาเสียหน้าแล้ว ก็ค่อยๆตั้งหลักๆ พ.ศ.2517
พ.ศ.2518 อาตมาพาพวกเราประกาศแยก เพราะว่าเขาต่อต้านมาเรื่อย เดี๋ยวจะเกิดสงครามใหญ่อาตมาก็เลย วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ก็ได้โอกาสประกาศต่อหน้าในที่ประชุมสงฆ์กัน ก็ประกาศ ที่ศาลาวัดหนองกระทุ่ม อาตมาประกาศลาออกเป็นนานาสังวาสตามพระธรรมวินัย เถรสมาคมของไม่รู้เรื่องนานาสังวาสอะไรหรอก เราก็ทำนานาสังวาส เขาก็ไม่รู้เรื่อง ยังไปรวมตัวกัน ซึ่งผิดคณปูรกะ เอามหานิกายกับธรรมยุติ รวมกันเพื่อทำปกาสนียกรรม เป็นอาบัติ ไปเอาพระต่างนิกายมาร่วมทำสังฆกรรมกันแม้แต่องค์เดียวก็ผิดแล้ว แต่เขาก็ทำผิดวินัยคือมันน่าสงสาร เป็นผู้ดูแลศาสนาแต่ทำผิดพระธรรมวินัย ประกาศอัปเปหิออกจากเถรสมาคม ที่จริงแล้วอาตมาลาออกประกาศลาออกต่อประชาชนแล้ว ตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 เขาทำทีมาประกาศอัปเปหิอาตมา พ.ศ.2531-32 คือนี่พูดทวนนะ เอาประวัติศาสตร์ที่ได้ทำงานมาทบทวน น่าสงสารที่เขามะงุมมะงาหรา
ประกาศนานาสังวาสตอนแรกเขาก็รับรู้นะ มีหลักฐานหนังสือที่ยืนยันได้ คืออาตมาจะไปขึ้นรถไฟ อาตมาก็บอกว่าขอลดราคา อาตมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินทอง คนเขาก็ไปซื้อให้ เขาก็ถามว่าเป็นพระเถระสมาคมหรือเปล่า ทางกรมรถไฟ มีหนังสือไปถามเถรสมาคมว่าเป็นพระในเถรสมาคมหรือไม่ ทางผู้อำนวยการรถไฟ มาบอกว่ามีหลักฐานด้วยนะ ว่าพระอโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองบริหารของเถรสมาคม ยืนยันเลย ก็แสดงว่ารับรู้ว่าเราประกาศแล้ว เราไม่ขออยู่ในปกครองของเขา เป็นนานาสังวาสเขาก็รู้ มีหลักฐานยืนยันแสดง องค์กรของศาสนา อธิบดีกรมการศาสนา ชื่อ ชำเลือง วุฒิจันทร์ ไม่ใช่ธนูหรือ? มายืนยันว่า อโศกไม่ได้อยู่ในเถรสมาคมเพราะฉะนั้นไม่ควรจะลดราคาเพราะไม่ได้เป็นพระ อย่างนั้น คือใจดำ แม้แต่ถ้าต่างประเทศก็ลดราคา แต่พระอโศกไม่ลดราคาให้ ใจดำไหมเถรสมาคม ใจดำยิ่งกว่าย้อมมะเกลือ
พ.ศ. 2518 อาตมาก็ประกาศลาออกมา เขาก็รับรองด้วย อาตมาก็เป็นพระอโศกยังดีมีอิสระเป็นนานาสังวาส แต่เขาไม่เข้าใจ ก็เลยกลับไปกลับมา เดี๋ยวก็รับเดี๋ยวก็ไม่รับดึงอาตมาเข้าไปอีก ให้ยังอยู่ในการปกครองเอาไปชำระบาป เอาไปทำอธิกรณ์ ที่จริงแล้วอธิกรณ์ไม่ได้เป็นอาณาสังวาสกันแล้วตามธรรมวินัย แต่ว่าเขามีอำนาจ อาตมาก็ต้องยอมแต่ไม่เคยเรียกอาตมาเข้าไปรับฟังเลย คณะอธิกรพิจารณาลับหลัง ผิดวินัย สัมมุขาวินัย ไม่มีจำเลยอยู่ในนั้น (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ยอมรับวิบากแล้วจะเอากันให้ตายหรืออย่างไร
อาตมารู้นะวิบากที่อาตมาไม่หาย ก็ต้องมาพูดต้องใช้แรงเป็นเรื่องสถานที่ต้องแสดงออก เป็นเรื่องอจินไตย วิบากกรรมอาตมาที่ต้องไปตำหนิ แม้จะตำหนิถูก เขาก็ถือสา เขาก็กระทบสัมผัส เกิดความไม่สบายใจเกิดความไม่ชอบใจถึงขั้นโกรธเคืองพยาบาทก็ธรรมดา อาตมาก็ต้องยอมให้เขาโกรธเคืองพยาบาท ให้เขารู้ว่าผิดนะ ที่พูดนี้ด้วยเมตตาสงสารซื่อสัตย์จริงใจ พูดผิดนี่คือเขาผิด แต่อาตมาไม่ได้มีผิดอะไร อาตมาพูดสิ่งที่ถูกต้องก็ให้ฟังบ้าง อาตมาให้เขารู้ว่าผิดแล้วแก้ไขให้ถูก อาตมามาทำหน้าที่นี้
พ.ศ 2518 ประกาศแล้ว พ.ศ 2519 ก็ยังอยู่ที่แดนอโศก ตั้งแต่ พ.ศ.2516 ประกาศที่วัดหนองกระทุ่มพ.ศ 2518 จนกระทั่งอยู่ที่นั่นจนถึงพ.ศ 2522
พ.ศ.2519 เริ่มตั้งหลัก ศีรษะอโศก ศาลีอโศก สันติอโศก สามแห่ง จากนั้นเราก็ตั้งหลัก ดำเนินการก็มีพุทธสถานเพิ่มขึ้น จาก 3 แห่ง ตั้งพร้อมกัน 1 สิงหาคม 2519 ที่จริงก็มาเจอที่นั้นก่อน ไปตั้งหลักเมื่อเกิดเรื่อง ไปตั้งหลักที่สันติอโศก แต่ว่า บ้านเรือนไทยที่สันติอโศกนั้น คุณสันติยาเขาปวารณายกให้อาตมาตั้งแต่พ.ศ. 2515 อาตมาก็เฉยๆ ยังไม่มีความจำเป็นอะไร แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาก็ต้องทำ ต้องมีพุทธสถาน (พ่อครูว่า คุณธนู แสวงศักดิ์ เป็นอธิบดีกรมการรถไฟตอนนั้น)
จากนั้นอาตมาก็ทำงานมา จริงๆแล้วก็ขอพูดถึงตัวเอง อาตมาเกิดมาในชาตินี้อาตมาเป็นคนจริง เป็นอัตภาพของอาตมาที่ยังดำเนินอัตภาพ เกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้วจนกระทั่งมาถึงชาตินี้เป็นโพธิรักษ์ ก็ได้ท้าวความว่าอาตมาได้เป็นพระที่ในสมัยพระพุทธเจ้า มาถึงบัดนี้ก็ต้องมาทำงานศาสนานี้
เป็นพระยาธรรมิกราช 2 องค์ที่มากอบกู้ศาสนา ในหลวงท่านก็ทำงานแล้วจากไปแล้วเหลือแต่อาตมาทำงานต่อ เพราะทางด้านปริยัติภาษามีอีกเยอะ อาตมาทำหน้าที่ทางด้านสายปัญญา ก็ต้องทำอันนี้กันให้ชัดเจนทำให้เต็มที่ ในหลวงก็ทำเต็มที่จนสวรรคตไป ประชาชนคนไทยก็ชื่นชมและเสียดาย ที่ท่านสวรรคตไปแล้ว ถึงเวลาวาระ อาตมาสักวันหนึ่งก็คงต้องไป ท่านได้รับคำชื่นชมยกย่องเชิดชูพอดูได้ง่าย แต่อาตมานี้ทำนี้ซับซ้อนดูได้ยาก ในอนาคตคนก็จะรู้และเนื้อหาของอาตมาเหมือนกันแต่อาตมาก็คงจะตายแล้ว
อาตมาเป็นอัตภาพที่สืบทอดมา สายเชื่อมโยงมาตลอดเวลา อาตมาพูดยืนยันความจริงไม่ได้โกหกตลบแตลง ไม่ได้เอาเด่นดังดีอะไร คนเชื่อก็ได้ปฏิบัติดีไป คนไม่เชื่อก็ยิ่งจะหมั่นไส้ อาตมาก็รู้ แต่ก็ต้องพูดความจริง ทำไมอาตมาต้องพูดซ้ำซากย้ำนักหนา อาตมาก็บอกแต่ต้นแล้ว ที่อาตมาต้องยืนยันย้ำเพราะว่าคนมันมีแต่เดากับเดา มีแต่การคลุมเครือกันไปเรื่อย บรรยายสัจธรรมอย่างคลุมเครือ พระอาริยะเป็นอย่างไร พระอรหันต์เป็นยังไงก็พูดไม่ได้ต้องเดาเอา จึงมีแต่เดากับเดาเอาหมดเลย คลุมเครือไปหมดเลย มันจึงเกิดความไม่รู้จริงๆ แล้วมันจะใช้ได้หรือ อาตมาก็จึงบอกว่าเลิกเสียที ที่จะทำให้คนงมงายคลุมเครือเดาส่งไป ตกลงมีแต่เรื่องเดา การเรียนรู้ก็เป็นการเดา พระอาริยะก็เดา อรหันต์ก็เดา แล้วไปบูชาเคารพคนที่ไม่ใช่ อรหันต์เก๊อาริยะเก๊
นั่งหลับตานั้นผิดตั้งแต่ต้นแล้วศาสนาพุทธ ลืมตามีสัมผัสเป็นปัจจัย จะเอาพระสูตรไหนมายืนยันก็แล้วแต่ ปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัย มีเวทนาเป็นตัวกรรมฐานเป็นตัวปฏิบัติ ไม่ใช่ไปนั่งกรรมฐาน 40 ไปนั่งสะกดจิตจ้อง อันนั้นมันเป็นเดียรถีย์เข้าปฏิบัติธรรมหมด คุณไปเชื่อสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ที่เอาตำราพระวิสุทธิมรรคมาอ่านกันนี้นะมันผิด น่าสงสารประเทศไทย
พระพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนวิสุทธิมรรคนี้เขียนผิดเพี้ยน พูดไปเหมือนกับตียอดอกเขาเลย มันมีส่วนถูกบ้างในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไม่ใช่ไม่มี แต่สิ่งที่ผิดจากนั้นที่เอามาพูดนี้ ให้ฟังบ้าง ไม่เช่นนั้นจะแก้กลับไม่ได้เพราะมันไม่ถูก
อาตมาไม่อยากพูดหรอกว่าอาตมารู้ดีกว่าพระพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนวิสุทธิมรรคนะ อาตมาไม่ได้กระทบพระพุทธโฆษาจารย์ในประเทศไทยนะ แต่พูดถึงพระพุทธโฆษาจารย์ของลังกา ชาวสิงหล
ในเรื่องของธรรมะพุทธเจ้านั้น อาตมามาสืบทอดจริงๆยืนหยัดยืนยัน อาตมานี่แหละคือแก่นแกนสาระของศาสนาพุทธ เป็นสายธัมมานุสารี ไม่ใช่สัทธานุสารี เป็นผู้สืบทอดเอาธรรมะพุทธเจ้า หากอธิบายอย่างเทวนิยมอาตมาก็เป็นประกาศกของพระพุทธเจ้า เป็น prophet ของพระพุทธเจ้า พูดอย่างหมดเปลือกเลยนะ เป็นดารานู้ดที่ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย อาตมาจริงใจต้องการความสะอาดบริสุทธิ์อย่างหมดเปลือก ไม่มีอะไรเปื้อนเปรอะ
ในเรื่องของสัทธรรมต่างๆที่อาตมาทำงานมาแล้ว วันนี้อธิบายถึง 2515 พันตำรวจตรีอนันต์ตีหนักอาตมาก็ไม่ได้ตกใจอะไร จนสุดท้าย พันตำรวจตรีอนันต์ก็ติดคุก อาตมาก็บอกพวกเราให้ช่วยส่งอาหารให้เขาหน่อย พวกเราก็เอาอาหารไป สุดท้ายอันนั้นก็เขียนกระดาษมาว่า “ข้าวแดงของท่านมียาง”
ผ่านยุค 13-25 มา ปลอดพ้นมาก็มีสงครามมาเรื่อยๆมีการต่อต้าน พรุ่งนี้จะเข้าสู่กองทัพมหาเถรสมาคม พ.ศ.25-37 สงครามหนักๆก็พ.ศ.’32 รบหนัก โอ้โหเอาหนัก ทั้งๆที่ช่วงที่อาตมาประกาศ 2518 ก็เป็นนานาสังวาสแล้ว ท่านก็ปล่อยให้อาตมาแสดงธรรม ฟังดี เพราะว่า ทางเถรสมาคมไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน แต่เมื่อพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ โวยวายขึ้นมา เขาโวยวายกับท่านพุทธทาสก่อน พันตำรวจตรีอนันต์ตีท่านพุทธทาสก่อนมาตีเรา เขาอวดรู้ ตีจนแหลกราญ ทำประกาศทำหนังสือเขียนค้านแย้งต่างๆนานาเดี๋ยวนี้ก็ยังมีหนังสือเป็นหลักฐานอยู่
จริงๆแล้วเขาก็ศรัทธาศาสนา ทั้งเถรสมาคมและพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ อาตมาแน่นอนก็ต้องศรัทธาศาสนา มันเป็นสงครามของคนศรัทธาศาสนาทั้งนั้น ต่างก็มีจุดมุ่งถือว่าจะต้องเอาให้ถูก แต่คนละถูก ถูกกันคนละแยก เลยมีมากแยกเลยวงเวียนกรกฎา มี 5 แยก
ต่างคนต่างแยกแล้วยึดถือของตนจึงเกิดเป็นสังคมสงครามศาสนาพุทธ เป็นธรรมดาไม่เห็นจะแปลกๆ ที่จริงมันก็มีย่อยแต่เขาไม่มีแรงแสดงตัวออกมา แต่ละสำนักเขาก็เป็น สรุปแล้วมันจะมีสำนักที่
1. สำนักนั่งหลับตา
2. นั่งเรียนพยัญชนะ
3. อโศก
เอาแค่นี้ก็แล้วกัน เอาสามสำนักใหญ่ สำนักมหาเถรสมาคมนั้นเอาทั้ง 1 และ 2 รวมไว้รวมทั้งนั่งหลับตา รวมทั้งเรียนพยัญชนะ เอาทั้งสองสำนักมาสู้กับอโศก พูดนี้เป็นธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ ก็อธิบายมาสู่ฟัง
ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงกัน ชาวอโศกตลอด 48 ปีมา โดยอาตมาเป็นต้นตอของทฤษฎีความเห็นความเข้าใจ เป็นคนที่ยืนยันได้ว่ามีศีล มีผลของศีล ไม่ใช่เป็นสีลัพพตุปาทาน หรือสีลัพพตปรามาส เป็นสิ่งที่เกิดผลที่จิตจริง
ศีลข้อที่ 1 รู้ว่าสัตว์คืออะไรศีลข้อที่ 2 รู้ว่าข้าวของคืออะไร ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ไม่ได้ไปลักทรัพย์ไม่ได้เอาของของใครที่ไม่ใช่ของของเรา ศีลข้อที่ 3 สังวรระวังในเรื่องตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจสังวร กามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ใช่เรื่องเฉพาะเมถุนธรรม เรื่องคู่ผัวตัวเมียเรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าคนชาวอโศก ดูสินี่
รูปก็ดู ไม่มีสีสันฟรุ้งฟริ้ง แต่งเนื้อแต่งตัวสีสัน ธรรมชาติจะค่อนข้างมอซอด้วยซ้ำ มาอยู่ในโทนสีหมอง ไม่ได้เป็นสีฉูดฉาดจุ้นจ้านอย่างโลกเขาเลย นี่เป็นการยืนยันตามเจตนารมณ์พระพุทธเจ้าแล้ว
ศีลข้อที่ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ไม่พูดปด แล้วก็ไม่มีอบายมุข ในชาวอโศกเลย นี่ก็เป็นเบื้องต้นที่พวกเรามีพฤติกรรมมีธรรมดาของการประพฤติ ของชีวิต เป็นสัมมาอาชีพ มันหยาบมันผิดโกหกตลบแตลง กุหนา ลปนา ไม่มีแล้ว ปฏิบัติเลยกว่าเนมิตกตา ถึงนิปเปสิกตา ไม่มอบตนในทางที่ผิด ชาวอโศกไม่ไปทำงานกับชาวโลก ไม่ไปรับใช้ ไม่ไปช่วยเหลือ ไม่เป็นทาสนายทุน รู้แล้วก็ไปทำส่วนตัวไม่ต้องไปเป็นทาสนายทุนโลกีย์ ยิ่งหยาบเราก็ไม่เอา นี่คือพฤติกรรมสังคมจริง ที่พูดนี่หมายความว่า อาตมาทำงานสำเร็จผลทำให้คนหลุดออกมาจากโลกีย์ออกมาได้จริงๆ แต่ทางเถรสมาคม ทำให้คนหลุดออกมาอย่างอาตมาทำนี้มั้ย มีตัวอย่างชัดเจนมีหมู่กลุ่มพฤติกรรมสังคมเป็นหมู่บ้านอย่างนี้เขาทำได้ไหม เขาทำมาเป็นร้อยเป็นพันปี อาตมาเพิ่งจะมาทำ 48 ปี ก็เห็นรูปธรรม มีมรรคผลมีบุคคลมีสังคมยืนยันเลย มีวัฒนธรรมเลย
เป็นคนมีศีล สมาธิ สมาธิก็เป็นสัมมาสมาธิไม่ใช่มิจฉาสมาธิ ที่เป็นนั่งหลับตา นั่งหลับตานั้นเอาแต่มิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิที่เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 จนเกิดจิตสมาธิ ไม่มีข้อไหนให้นั่งหลับตาเลย ให้อยู่ในปัจจุบันนี้แล้วเผากิเลสออกไป ฌานคือไฟปัจจุบันไม่ใช่ไปนั่งหลับตา จะแปลว่าเพ่งแต่ก็ต้องตื่นรู้สัมผัสแล้วเกิดกิเลสอยู่ตอนนั้น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไม่ได้หลับหูหลับตาเลย
พวกที่ไปหลับตาไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 5 มันปฏิบัติผิดหมดเลย แค่ อปัณณกปฏิปทา 3 เขาก็ผิด โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ไม่มีหลับตาปฏิบัติเลย หากหลับตาแล้วจะไม่ได้สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 อะไรมันออกนอกศาสนาพุทธ ที่เป็นอปัณณกปฏิปทา แต่ว่ามันเป็น ปัณกปฏิปทาไปแล้ว ภาษาพระพุทธเจ้าก็มีแต่เรียนกันหัวผุหัวพัง ก็ไม่ได้สะดุดอะไร ไม่ได้เปลี่ยนแปลง อาตมาไม่รู้ว่าทำไปจนถึงอายุ 150 ปี มันจะลืมตาตื่นรู้ได้ไหม
สูตร อินทริยภาวนาสูตร..ล.14 ข้อ 854
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียง
ด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
แล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก
ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
[855] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า อุตตรมาณพศิษย์
ปาราสิริยพราหมณ์ นิ่ง คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงรับสั่งกะ
ท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์ ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์
แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง ส่วนการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของ
พระอาริยะ ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง ฯ
จะให้สำเร็จแบบนี้ก็เอาไม้จิ้มตาเลยสิจะได้สำเร็จเร็ว จะได้เป็นคนตาบอดหูหนวก ปฏิบัติอย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนที่ไหน แค่พระสูตรนี้พระสูตรเดียวก็ตื่นเสียทีๆๆๆ แดดออกแล้วฟ้าก็งามดุจเปลวทอง ไปหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเหลืองดำรง
พอได้ยินแล้วจะเหมือนกับอุตรมานพไหม ท่านทั้งหลายเถรสมาคม จะนั่งคอตกซบเซาก้มหน้าหมดปฏิภาณหรือเปล่า ไม่มีหรอกมีแต่จะเถียง ดีนะที่มีตำราของพระพุทธเจ้า ทำให้เขาเถียงไม่ออก พูดไปแล้วน่าสงสาร อาตมาก็พูดแล้วยืนยันแหละ ที่ต้องประกาศตัวอวดตัวตน ยืนยันเพราะว่าอาตมามีความจริง ก็ได้ยืนยันความจริง เพราะคุณได้แต่โกหกหลอกลวงได้แต่เดาส่งเดาสวด อาตมาก็บอกว่าไปเดาทำไมต้องเอาจริง คุณจะมาพิสูจน์อาตมาก็ยืนยันได้เลยยังมีตัวตนอยู่ยังไม่ตาย แต่ไปเชื่ออาริยะเก๊อรหันต์เก๊ ทำไม พูดมาจนเกือบ 50 ปีแล้ว
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:01:46 )
รายละเอียด
611108_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 2
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1KzZZhM1Ky5_rN_N0YKSXaQJoGiAsxt5pfY6HuB2cdPw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1uQ_Jh4KNQBg7VE6UvvWs4_UOwkvzDnK-
พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มีผู้ถามมาว่า ระหว่างอยู่ฟังธรรมที่พ่อท่านและท่านสมณะท่านสิกขมาตุเทศน์ที่บ้านราช หรือว่ากลับไปทำงาน ต้องลางาน อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเองเพราะผู้บังคับบัญชาให้อิสระ ในการตัดสินใจ เจ้านายไฟเขียวตลอด เจ้านายก็ให้อิสระและจะจ้างหรือไม่จ้างก็จะตัดสินใจในวันที่ 9 ถ้าไม่กลับไปก็ไม่ถูกต่อสัญญาแน่ ลูกคนนี้คิดไม่ตกจะอยู่หรือจะกลับ ให้พ่อท่านช่วยตัดสินใจด้วย
พ่อครูว่า...คิดเองบ้างเลือกเอา
_ผมฟังธรรมที่บ้านประจำ แต่ถ้ามีภาษาบาลีจะไม่เข้าใจ อยากให้พ่อท่านทำหนังสือแล้วมีคำแปลด้วย เช่น บาลีแปลเป็นไทยด้วย
พ่อครูว่า..ก็เผลอไปบ้าง ที่พูดบาลี ก็เป็นที่เข้าใจกันในหมู่พวกเรา เพราะว่าพูดซ้ำซากมาแล้วมาก ต้องแปลทุกทีมันก็เลยต้องซ้ำเป็น 10 ปีแล้วนะนี่ อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ก็ขออภัยท่านผู้ติดตามฟัง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน วิธีดับกิเลสตัณหาอุปาทาน
_การใช้ธรรมะกับกิเลสโลภโกรธหลงที่เกิดขึ้นทางทวารตา เกิดความพอใจควรใช้ธรรมะข้อใดดับกิเลส
_ถ้ามีหนังสือบาลีสันสกฤตแปลว่าเราจะตัดกิเลสดับตัณหาอุปาทานอย่างไร จะเป็นคู่มืออย่างดี นี่ก็อธิบายอย่างที่คุณเขียนบอกมานี้ และก็เขียนหนังสือด้วย แต่ไม่ได้แปลทุกคำแปลทั้งหน้าทั้งเล่มพระไตรปิฎกเท่านั้น
จะเป็นคู่มือในการดับกิเลสทุกวัน อาจใช้สมาธิวิปัสสนาช่วยในการตัดกิเลส...ดูพยัญชนะเท่ๆนะ สมาธิวิปัสสนาก็แยกไม่ได้
สมาธิ กับวิปัสสนามันคนละกาละสมัย
สมาธิคือเป็นจิตที่เกิดหลังปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้เป็นองค์รวมของจิตที่สำเร็จแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
วิมุตติญาณทัสสนะนี่แหละคือปัญญาที่รู้จักจิตมันลงตัวตกตะกอนตกผลึกตั้งมั่น ปริสุทโธ ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เห็นความซับซ้อนกับไปกับมาเป็นสิริมหามายาไหม พยัญชนะมีแค่นี้แต่อาตมาสภาวะสลับไปสลับมาเป็นสิริมหามายา นี่เป็นหน้ามือหรือหลังมือ หรือนี้เป็นหลังมือหรือหน้ามือ
พ่อครู...ว่าขอผลัดไปก่อน หากตอบหมดคงใช้เวลาสัก 5 ชาติ
พ่อครู...อาจเกิดที่ตำแหน่งนายกฯ อธิบดีหรือ? เกิดอยู่ที่คนหล่อเกิดที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่อยู่ที่จิตของคุณนั่นแหละ เกิดตัณหาอุปาทานใดๆ อุปาทานคือจิตยึดอย่างนี้ไม่เคลื่อนที่เป็น static พอดำเนินบทบาทมาก็เป็นตัณหาเป็น dynamic กิเลสเกิดทางทวาร 6 ตากระทบรูปมีสองแล้วปสาทรูป โคจรรูป แล้วมีการสัมผัส หากไม่มีสัมผัสก็ไม่เกิดภาวรูป2 อิตถีภาวะปุริสภาวะ
โคจรรูปคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่เคลื่อน โค คืออาการจะเคลื่อน ค
ตัว ก คือตัวเริ่ม ข ไม่มีแล้ว ว่าง แต่ กข คือสภาพธรรมะสอง มี ค ก็เคลื่อนแล้วจับตัวเป็น ฆ ตัวฆ ระฆังคือก้อนสิ่งที่รวม ส่วน ง คือ งงโง่เงินงามก็แล้วแต่ที่จะเป็นไป
เห็นระกำ คุณก็ชอบก็บอกงามก็โง่ เงิน งก อะไรก็แล้วแต่ ห้าตัวนี้ พยัญชนะ 5 ตัวนี้ก็ทำให้ โง่ งง งวย เยอะแยะ รู้เท่าทัน ก ข ค ฆ ก็ทำให้จิตว่าง ข ให้ดำเนินไปเคลื่อนที่เป็นอยู่คือ ตัว คือ ดำเนินไป ฆ ก็จับตัวแล้วแค่นี้ก็จบแล้ว ก ข ค ฆ ง
พ่อครู...ใช้ปัญญาทั้งนั้นแหละ หากกดข่ม มันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้วไม่ได้เรียนธรรมะก็ใช้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีความรู้ทางปัญญา พระอรหันต์คืออะไรตามความเป็นจริงไม่ต้อง ข่ม อย่างนี้เป็นต้น อะไรเป็นโทษอะไรเป็นประโยชน์ก็รู้โดยปริยายรู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปบังคับไม่ใช่ไปข่ม การศึกษาธรรมะหากใช้แต่การระงับสะกดข่ม มันก็ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง
ความจริงคำว่าดับของศาสนาพุทธไม่ได้ดับอะไร เป็นความรู้จบของเทวะ ของสิ่งสองสิ่ง สัมผัสกับอะไรมันก็คือสองสิ่ง นามกับรูป สัมผัสเสร็จรู้จบ ไม่ได้สงสัยอะไร รู้แต่ว่าอะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ควรหรือไม่ควรเป็นของเราหรือไม่เป็นของเรา ถ้าเป็นของเราเกิดโอกาสก็เอาไปใช้ประโยชน์ หากไม่เอาไปใช้ประโยชน์มันก็กองอยู่ตรงนี้ หากเป็นที่อื่นคนนั้นคนนี้ก็หยิบไป เดี๋ยวก็ไม่เหลือ แต่ที่นี่ของเราไม่ได้ มีความสุจริตก็สบาย สรุปแล้วยอดสุดคือปัญญา
หากศึกษาธรรมะพุทธเจ้าแยกแยะเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ ถ้าไม่รู้อันนี้ได้ไม่มีวันเป็นอรหันต์หรอก ต้องแยกธรรมะ 2 มโนปวิจาร มโนคือจิตวิจารคือพฤติกรรมของจิตอย่างยิ่ง คือวิจาร นี่คือฐานแท้ของโลกุตรธรรมของพุทธศาสนา หัวใจของศาสนา เทวธัมมา เทวเยน เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ หัวใจอยู่ตรงนี้แหละแยกแยะพัฒนา 2 ให้เป็น 1 เกิดความอุเบกขาเนกขัมมะเป็นเวทนามีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอรหันต์จ้อย
พ่อครูว่า...กิเลสเป็นคำรวมๆ ตัณหาเป็นการเคลื่อนจากอุปาทาน แบ่งเป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
พ่อครูว่า..พยัญชนะต่างกัน
พ่อครูว่า...วิญญาณจะดับด้วย พระอรหันต์เป็นผู้จบแล้ว ท่านจะตายด้วยปรินิพพานเป็นปริโยสานดับธาตุรู้นี้ ดับอัตภาพตัวเองเลย แตกธาตุเป็นอุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ไม่มี she he เกาะเกี่ยวอีกเลย อรหันต์ทำได้ จะตายเลิกสลายเป็นอุตุนิยามไปเลยต้องรู้ หทยรูป ชีวิตรูป จิตเรามีเชื้ออะไร แม้จะเหลือเชื้อชีวะ หากเราตายแล้วไม่ทิ้งอัตภาพ ยังมีตัวตนอยู่อย่างอาตมานี้ตายแล้วจะยังเกิดอีกศึกษาต่ออีก อาตมามีสภาวะและมีพยัญชนะขยายสู่ให้พวกเราฟังหากไม่มีสภาวะจะเอาอะไรมาขยายให้พวกเราฟัง
คนที่เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์แล้ว จะดับวิญญาณหรือไม่ดับก็ได้ อย่างเช่นอาตมาจะทำงานต่อเป็นโพธิสัตว์ สวนพฤหัสที่ท่านจะไม่ต่อจะดับสูญไปวิญญาณจะดับด้วย
พ่อครูว่า...เป็นทั้งกิเลสก็ได้ไม่เป็นกิเลสก็ได้อย่างอาตมานี้ด่าแหลก อย่างตำหนิมหาเถรสมาคมเยอะ มีแต่กุศลเจตนาไม่ได้ด่าเพราะอกุศลเจตนาอะไร คำพูดอาจแรง แต่ว่าไม่ได้หยาบนะ
คำหยาบคือคำที่แสดงคำพูดออกมาโดยมีกิเลสผสมคำนั้นออกมา เช่นว่า นี่เธอสวยจัง ..นี่คำด่านะ ฟังเข้าใจไหม เป็นคำที่ประกอบด้วยกิเลสนี่คือคำด่า แต่คำที่ไม่ได้ประกอบด้วยกิเลส อย่างอาตมาพูดนี้มีแต่เจตนาให้คุณรู้และแก้ไขปรับปรุง คุณยังมีอารมณ์ไปร่วมมีกิเลสคุณควรถูกด่า เช่น บอกคุณสวยจัง ยังมีจิตใจชอบในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่ไม่ใช่อรหันต์
พ่อครูว่า...ในพระไตรปิฎกก็มีบันทึกเกิดจากอรรถกถาจารย์มาขยายความ เขาแตกรายละเอียดไว้นะ ท่านประยุทธ ปยุตโตก็ได้บันทึกไว้ ท่านเป็นอรรถกถาจารย์แล้วแต่เป็นตัวเลข 108 เอาตัวเลข 1,500 คือแตกออกไป ที่จริงสามารถแตกเป็นล้านอย่างก็ได้ ตัณหาทางทวาร 6 ก็คูณ สุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วก็คูณอดีต ปัจจุบัน อนาคตอีก
เวทนา 108 ก็เริ่มจาก กายิกเวทนากับเจตสิกเวนา คำว่ากายเป็นภาษาธรรมะของพระพุทธเจ้า กายไม่ใช่แค่ร่างภายนอกหากแปลแค่ร่างภายนอกนั้นผิด ร่างภายนอกพิจารณาง่าย แต่ให้เน้นภายใน คือ กายคือจิต มโน วิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
กาย ก็ตาม เทวะก็ตาม ธรรมะ 2 ก็ตามเป็นความหมายเดียวกันใช้แทนกันได้หมด แล้วศึกษาตามธรรมะ 2 ศึกษาคำว่าเทวะ ตีแตกเทวะรู้จักสภาวะของเทวะ ธรรมะ 2 และทำให้เป็น 1 สุดท้ายไม่ทรงไว้เลย ในขณะเป็นยังไม่ตายก็ทำได้ คุณยังไม่สูญทีเดียว มีอัตภาพมีธาตุรู้ร่วมแต่จิตทำให้ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำให้จิตสะอาดปราศจากกุศลอกุศลทั้งปวงจิตมีมุทุธาตุ สะอาด แต่ดำเนินการสัมผัสกระทบกับอะไรอยู่ ถ้าเป็นอรหันต์แม้จิตกระทบก็สะอาดบริสุทธิ์ อะไรมาเปื้อนก็ดูความเปื้อนแล้วช่วยความเปื้อนให้สะอาดอยู่เรื่อยไป ตัวท่านไม่ได้เปื้อนแล้ว พระอรหันต์มีหน้าที่ช่วยคนอื่นเขาตัวเองจบกิจแล้ว ตัวเองรู้จักกุศลอกุศล แล้วช่วยให้คนอื่นล้างกิเลส ท่านทำไป มุทุของท่านก็ดีขึ้น จะเพิ่มความเจริญทั้งเจโตและปัญญา มุทุก็เก่ง อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา กับ ตักกะวิตักกะ สังกัปปะ ก็เก่งรวมเป็น วจีสังขารา
วจีนั้นก็มีสองอีกคือมีทั้ง ปฏิฆสัมผัสโส อธิวจนสัมผัสโส
การสัมผัสรู้อันนี้ ฆ มันเคยตั้งชื่อหรือยังหากสภาวะนี้สัมผัสแล้วไม่เคยตั้งชื่อ เช่นว่าสิ่งอะไรก็แล้วแต่ มีพืชบางชนิดอยู่ในประเทศอะไรที่เกิด ประเทศนั้นคนไปเอามาจากประเทศนั้นมาสู่ประเทศไทย คนไทยก็ดูว่าอันนี้พืชอะไร ประเทศไทยไม่เคยมีมีใครตั้งชื่อหรือยัง ขณะที่สัมผัสพืชต้นนี้ก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโสของคุณ แต่เราไม่เคยรู้ชื่อ แต่ถ้าคนรู้ก็บอกว่า ต้นไม้นี้เกิดในประเทศอโศกชื่อต้นไม้สาธารณโภคี ก็เป็นไง ก็มาชม มาสัมผัสมารู้ได้เอหิปัสสิโก มาศึกษาต้นสาธารณโภคี มีลักษณะคุณสมบัติของเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ คุณสมบัติการเมืองรัฐศาสตร์เป็นแบบนี้คุณสมบัติของสังคมศาสตร์เป็นอย่างนี้ นี่คือของราชธานีอโศก สุดยอดแล้ว สังคมแบบนี้มันสุดยอด คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ ประชาธิปไตยเต็มที่ จะบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ได้ชาวอโศก ทุกคนมานี่ใครบังคับมา อิสระเสรีภาพสมบูรณ์ เข้ามานี่ให้มาล้างอัตตานะ โดนล้างอัตตาทั้งนั้นนะ มาที่นี่ให้เรียนรู้จิตวิญญาณเป็นหลัก นี่คือแดนสาธารณโภคีแดนแผ่นดินพุทธ
กิเลสตัณหาตัณหา108 ก็ต้องศึกษาเวทนา 108 ให้ชัดเจน
สู่แดนธรรมทวงว่าพ่อท่านว่าจะพูด 12 ปีต่อมานะครับ
พ่อครูว่า..ตกลง คุณเตือนสติก็ตกลง…
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 2
ปี 2524 วิสาขบูชาที่สวนลุมฯ ตอนนั้นยังไม่เกิดเรื่องราวอะไร สงฆ์ต่างๆมารวมกันชุมนุมเป็นเรื่องสวยงาม เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ตอนนั้นคุณจำลองเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่ ก็มาทำ พูดชวน ประชาชนใส่บาตรเต็มเลย รวมกันยิ่งใหญ่มาก เสร็จแล้วไม่นานนัก พศ.25เริ่มต้นแล้ว พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ หันจากท่านพุทธทาสมาหาอโศก เขาตีอโศกแหลกเลย โพธิรักษ์ศาสดามหาภัย และมีอีกหลายเล่มที่เขียนด่าเละ และมหาเถรสมาคมบ้าจี้ตีเราด้วย พูดว่าเราเป็นภัยศาสนา อันนี้ก็เป็นกรรมวิบากของเขา เขามาแตะก็เป็นกรรมของเขาไป ขอยืนยันความจริงตามความเป็นจริงก็บานปลาย อาตมาก็ได้รับผลที่เขาเชื่อเถรสมาคมมากกว่าอาตมา เขารวมกันตีและทำร้ายทำลายอาตมา แต่ไม่รู้ว่าอาตมาอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้าตีไม่ออกตอกไม่เจ็บ เหน็บไม่รู้สึก ที่จริงเรารู้แต่อาตมาจิตว่างไม่สะทกสะท้อนอะไร ใครทำอะไรมาก็ไม่เป็นไรไม่ได้ต้านไม่ได้รักมาก็ไปของคุณเหมือนตบมือข้างเดียววืดไป จริงๆทุกอย่างเป็นบูมเมอแรง สิ่งที่อยู่ในเอกภพนี้ทุกอย่างโค้งกลับหมด แต่ถ้าออกไปนอกเอกภพมันก็โค้งน้อย กว่าจะวนเวียนกลับมาได้มันก็นานมาก แต่พอมาเจอตัวเรามันไกลยาวนานโดยวิบาก ถึงบอกว่าอย่าไปสนใจสิ่งเหล่านั้นเลย มาฟังธรรมะสัมผัสปัจจุบันนี่แหละ
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ มาเรียนนิพพานกันที่ปัจจุบันทิฏฐกาละคือเวลานี้ suddenly สัมปะติ บัดนี้ อยู่ในสมัย โดยสมัย สมยะ สมยัง ขณะนี้ตอนนี้ ในกาละโดยกาละหมายความว่าเวลาทั้งหมด ในสมัยโดยสมัยคือขณะนี้มีภาวะกรรมเกิดอยู่ขณะนี้คือในสมัยโดยสมัย
สะ มะ ยะ
สะ กับ ยะ คือเศษวรรค
ม คือตัวสุดท้าย ตรงกันข้ามกับ ก คือเริ่มเกิด ม คือเต็มจิตเลย เป็น จิตวิญญาณตัวตนเป็นเรื่องราว ตัว ม
ส่วน สะ คือ ยะ ตัวแรก สะตัวที่ 4 สามเส้าคือวน ย ร ล แล้ว ออกมาเป็น ว ก็มาเริ่มมีต่อ ส ห ฬ อํ 7 ตัววงวนสุดท้าย
พลังงานจะเที่ยงได้ต้อง 7 ส่วน 9 นั้นเต็ม
3 คือ วงวน
5 คือกลางระหว่าง 9
7 คือเที่ยงแล้ว สัมประสิทธิ์
8 ครบวัฏฏะ
ที่อาตมาอธิบายไปจนอวดรู้เป็นผู้รู้ถึงรากพยัญชนะ หากเอาสระเข้าไปอีกยิ่งสนุกใหญ่ คนไม่สนุกไม่รู้เรื่องก็ยิ่งเมา
24 - 25 ถึง 37
เขาตีสำนักปู่สวรรค์ก่อนไม่ใช่ท่านพุทธทาส ก็ใช่ ตีแหลกหมดเลย อนันต์ เขาเกิดขึ้นมาอย่างไรไม่รู้เขานึกว่า เขาเป็นผู้รู้ในศาสนา เขาไม่ตีเถรสมาคมเท่านั้นแหละ เขาเก่ง โพธิรักษ์จะไปเหลือหรือ
เมื่อระหว่าง 25 -37 ในนักษัตรต่อมา อาตมาก็เริ่มทำงานเขาก็เริ่มรู้สึกตัวว่าอาตมาจะมาจัดการกับเขา เขาก็เริ่มตั้งตัว ตั้งทัพสู้เลย ใครจะได้ไหมว่า กองทัพธรรมมูลนิธิ ตั้งในปีพ.ศ.ไหน
เราใช้กองทัพธรรม ธรรมกาย เขาก็เสียดายมากเลยเมื่อเราเอามาให้ใช้ก่อน อาตมาแต่งเพลงกองทัพธรรมด้วย
สมณะเดินดินว่า...ธรรมกายเขาแต่งเพลงกองทัพธรรมก่อน แต่ต่อมาพ่อครูก็แต่งเพลงกองทัพพุทธธรรม
มูลนิธิกองทัพธรรมเกิดปี 2527 เมื่อถึง พ.ศ. 2532 ส่วน พันตำรวจตรีอนันต์ ก็กระหน่ำมาเรื่อยๆตั้งแต่ 25 พอถึง 32 เราถูกจับ เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมโหฬาร
พ.ศ 2532 เอาหนักมากจะตีให้แตกจะทำให้ตาย จะสลายให้สูญ แต่ก็ไม่ตายแฮะ ยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต พระโพธิรักษ์ไม่ตาย สัจจังเวอมตาวาจา สัจจะไม่มีวันตาย
อาตมามาถึงวันนี้ยังพูดอธิบายมั่นใจว่าจะมานี่เป็นไม่เป็นผิด แต่เป็นผู้แพ้ แต่เขาเข้าใจว่าอาตมาผิด เขาถูก เขาก็อยู่กับสิ่งลวงก็จะต้องกลายเป็นฉลาดน้อยหรือฉลาดไม่มีเลย เขาก็จะเป็นเช่นนั้นก็น่าสงสาร นอกจากฉลาดน้อยฉลาดไม่มีแล้วยังโง่ซ้อนไปทำลายผู้ฉลาด
แต่ฉลาดน้อยฉลาดไม่มีแล้วยังไปทำร้ายผู้ฉลาดอีก
ฉลาดคือ ความรู้รอบในทวาร 6 รู้จัก มโนปวิจาร 18 ทำให้เกิดอุเบกขาฐาน นี่คือรายละเอียดจากฉฬายตนะหรือสฬายตนะ ภาษาอีสานว่า สะหลาด
ฉลาดหรือฉฬายตนะคือรู้เท่าทันทวารทั้ง 6 และมีปัญญาแตกแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้รู้จักรายละเอียดของแต่ละองค์รวม แต่ละลักษณะ รู้ตั้งแต่ 2
ในรูป 28
4 รูปแรก ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นอุตุนิยาม เสร็จแล้วมีจิตนิยามร่วมกับดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดการสัมผัสเกิดการดำเนินการขึ้นมา พอกระทบปุ๊บ มีภาวรูป วิสยรูป โคจรรูป มีตากับรูป หูกับเสียง กลิ่นกับจมูก ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเสียดสีก็ครบทั้ง 9 สภาวะ
เพราะอภิธรรมแยกเป็น 9 ไม่ได้เป็น 10 แต่กายนี้ถือว่า 2ใน1 1ใน2 มันขาดจากกันไม่ได้แต่ศาสนาพุทธเสื่อม เพราะไปเข้าใจว่ากายคือดิน น้ำ ไฟ ลม ตีหัวใจศาสนาทิ้งด้วย แยกกาย
เพราะฉะนั้น มูลกรรมฐาน 5 ผู้มาบวชแล้วจะต้องพิจารณามูลกรรมฐาน 5 ให้ชัดเจน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาให้เห็นว่าส่วนใดขณะใด โดยสมัยในสมัยใดมันเป็นอุตุ โดยสมัยใดการรใดที่มันเป็น พีชะ หรือเป็นจิตต้องแยกให้ออก แต่สุดท้ายทุกวันนี้ อุปัชฌาย์ ไม่รู้แล้ว ไม่ได้ให้กรรมฐานลูกศิษย์
อาตมาอธิบาย เช่นเล็บเรานี่ตรงไหนเป็นอุตุ ขณะตัดขาดจากร่างเรา ขณะตัดก็ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่มีเวทนาเกิดเพราะมันเป็นพีชะ พอตัดออกไป ส่วนที่หลุดออกไปเป็นอุตุ ไม่ใช่กายแล้ว
กายคือสิ่งที่มีส่วนพีชะ แต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ ตัดไม่เจ็บ จนถึงประสาท ส่วนเล็บที่มีเส้นประสาทก็รู้สึกเจ็บ ตรงไหนเล็บรู้สึกเสียวหรือเจ็บก็เป็นจิตนิยาม เสร็จแล้วก็จะสังเคราะห์ธาตุอาหารเติบโต
กาย มี อุตุ พีชะ จิต ส่วนกรรมกับธรรมะ ขึ้นอยู่กับจะทรงอยู่ในสภาพไหน หากเอาอาหารให้มันหากส่วนพีชะของเล็บหากไม่ให้อาหารมัน มันก็ไม่งอก
คนตายแล้วยึดติดไม่ทิ้งร่าง คนนั้นเล็บก็จะงอกขึ้นไปอีก ผมก็จะงอกได้ โดยที่ตัวเองมีโมเมนตัมของพลังงาน ที่ยังเป็นพีชะเป็นชีวะอยู่
ถ้าไปสร้างจิตให้ไปยึดว่าเป็นเรา คือศาสนาพุทธเจ้าใจผิดว่า ผู้ใดทำสมาธิให้จิตมันนิ่งมันเกาะอยู่กับอะไรแน่นิ่ง ตายก็นั่งตายได้ ทำสมาธิตายเขานิยมกันจังเลย ซึ่งมันผิด มันไม่เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง ตายก็คือตาย จิตจะไปเกาะไว้ทำไม แต่เขาก็บูชากัน ทั้งที่เป็นพืชก็ยิ่งกว่าพืชแล้ว แล้วแต่โมเมนตัมของพลังงาน แต่ถ้าคนมีทางต่อท่อให้เป็นมนุษย์พืช ให้ร่างกายทำงานอยู่เอาอาหารไปเลี้ยงอยู่ ร่างกายก็จะสดกว่าร่างกายของผู้ที่ตายแล้ว แล้วจิตใจตัวเองยังยึดถืออยู่ไม่ยอมทิ้งร่างก็จะยังสดอยู่ เป็นโมเมนตัมที่ยึดตัวกูของกูไว้
ศาสนาพุทธนี้ต้องรู้จักสมัยในสมัยโดยสมัย รู้จักกาละโดยกาละ ต้องรู้ว่าตอนนี้ตายแล้วนะตามสมัยตามกาละ ก็ต้องทิ้งร่างนี้แล้วนะ
กาละคือทั้งหมด ตราบใดมีเอกภพดวงดาวมีโลกมีพระอาทิตย์โคจรจากนั้นก็คือ กาละ
สมัย คือ ในขณะใดขณะนั้น สมยะ เกิดที่จิตตัว ส กับ ย
ย ร ล ว ส ตัว ส คือตัวที่5 จะทำการเสริมหนุน
4 ไม่ถือว่าเป็นพลังงาน coefficient เพิ่งออกมาเสริมไม่หยุดอยู่ หากหยุดก็แค่วงวนของ 3 พอ 4 ก็จะเป็นทศนิยม พอมา 5 ก็จะยิ่งมีพลังงานเสริมขึ้นไปอีก หากไม่หยุดเพิ่มพลัง Coefficient มาเป็น 6 ก็มีสองของสามเส้า แต่ถ้าเป็น 7 จะเป็น Coefficient แท้เป็นนิยตะเที่ยงไปสู่ 9
มีคนบอกว่า ม เป็น ตัวที่ 25 ของพยัญชนะ แล้วก็มี 2 กับ 5 ก็รวมเป็น 7 ก็ใช่ได้
มันจะสะสมรวมกันเป็นตัวก่อเกิดอะไรต่างๆนานาพวกนี้สารพัดสารเพ ตั้งแต่อุตุ มาเป็นพีชะ มาเป็นจิต เราแยก จิตเจตสิกมาแยกแยะทีละ 2 อย่าไปสับสนเอามากให้เรียนที่ละคู่ อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรควรเอาเป็นตัวตั้ง อะไรควรเอาตัวคู่ ก็เกิดคู่หูของธรรมะ 2 มีพระเอกกับพระรองเคียงกันไป หรือมีพระเอกกับนางเอก
ก็ช่วยกัน เป็นสภาพสองช่วยกัน โดยไม่สับสน นอกจากไม่สับสนแล้ว ยังรู้จัก เอก นอกจากเอกแล้ว หากไม่มีตัวช่วยเลย ตัวนี้ไม่ทำอะไรมันก็จะเกิดความ ชรตา
ลักษณะของรูป 28 สุดท้าย มีอุปจย สันตติ ชรตา อนิจจตา
คนที่จบอรหันต์แล้วจะรู้จัก อุปจยะ คือไม่จบ สันตติคือตัวกลาง จะให้ต่อหรือไม่ต่อจะให้ดับหรือไม่ดับ ถ้าไม่ให้เกิดหยุดไม่ต่อ โมเมนตัมก็จะเป็นชรตา เสื่อมสูญไปแต่คนไม่รู้จักสันตติ ให้มันเสื่อมไปไม่ได้ต่อมันไปอีก พระอรหันต์จะรู้จักธาตุตัวต่อนี้ จะต่อหรือไม่ต่อ สันตติ พระอรหันต์จะรู้ต่อหรือไม่ต่อ
ถ้าไม่ต่อแล้วผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์ที่จะไม่อยู่ในสุทธาวาส ตายแล้วก็สูญเลย แต่ถ้าใครไปติดยึดในสุทธาวาส ไปเที่ยวอยู่ก็จะมี
1. อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
2. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
3. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
4. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)
เป็นโมเมนตัมที่อยู่ตรงนั้น สายปัญญาอย่างอาตมาไม่เสียเวลาในสุทธาวาส 5 ตายปุ๊บ เกิดปั๊บ หากไปเที่ยวติดยึดในแดนนี้ก็จะช้า หากปล่อยไปก็จะช้านานมาก หรือต้องทำความเพียรมาก หากเก่งจะทำให้เกิดก็ได้จะให้ตายก็ได้เป็นผู้อยู่เหนือไม่เป็นน้องใคร มีอำนาจจิต วสวัตตี
ปี 2532 เขาพยายามปราบให้เรียบ อยู่ในศาล จนเลย 3257 -2538 ไป เราก็ค่อยพ้นสภาวะ เพราะเขารอลงอาญา เราก็เลยต้องช้าไปอีก แล้วเรากว่าจะมาเป็นตัวเองได้เต็มที่ กลับมาครองผ้าอาตมาต้องครองผ้าขาวจนถึงปี 2538 เรามีจีวรอันโจรลักไปก็ต้องครองผ้าขาว สมณะอาตมาก็ว่าครองสีกรักส่วนหนึ่ง สีขาวส่วนหนึ่ง อาตมาไม่ให้สมณะทิ้งกาสาวพัสตร์ เขาก็ต้องยอมเราเพราะเขาไม่กล้ารุกเกินไป เราก็ยอมเขามาแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าเรารักษากาสวะ ส่วนอาตมาเป็นคนไม่มีตัวตน แต่สมณะไม่เคยขาดกาสาวะเลยไม่เคยนุ่งขาวห่มขาวทั้งชุดแต่นี่แสดงว่าคุณไม่สามารถเอากาสาวพัสตร์ไปจากอโศกได้ แต่อาตมามีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นสิริมหามายาแล้ว ยิ่งกว่าฮูดินี่ นักมายากลใหญ่
อาตมาคือใคร ยิ่งกว่า สิริมหามายานักเล่นกลชั้น 1 ฆ่าไม่ตายยิ่งกว่าพระโมคคัลลานะ
เอาโจรนี้ไปฆ่าตอนเช้าด้วยหอกร้อยเล่ม พอถึงกลางวันพระราชาก็ถามว่าเอาตัวนี้ไปฆ่าหรือยังฆ่าอย่างไรก็ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม แต่มันก็ยังไม่ตาย ก็เลยบอกว่าเอาไปฆ่าอีก ตอนเที่ยง ตกเย็นก็บอกว่ายังไม่ตายอีก เป็นนัยะธรรมะ
พระราชาเขานึกว่าอันนั้นเป็นโจร มันเป็นองค์ประกอบของสภาวะธรรมที่ลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าที่ท่านยกตัวอย่างอันนี้ประกอบ ว่าสิ่งนั้นคืออะไรสิ่งนี้คืออะไร นี่แหละคือธรรมะที่ไม่ตาย ถ้ามันไม่ใช่สัจจะ สัจจะต้องมีการฆ่าตาย คนจะฆ่าให้สัจจะตายนั้นเมินเสียเถิดอย่าคิดถึง โพธิรักษ์นี้ยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต ยิ่งกว่าโมคคัลลานะตายแล้วก็ฟื้น
2525-2529 เดินสายอบรมครูทั่วประเทศ จริงๆแล้วอบรมครูเราไม่ได้ไปเหนือไปใต้ เราไปที่ภาคกลางกับภาคอีสาน (คนท้วงว่าใต้ก็ไป เหนือก็ไป) เหนือไปเทศน์ ความรัก 10 มิติอยู่ที่ทางเหนือนะ ไปเผยแพร่ทั่วประเทศ หิ้วหม้อกะละมังใส่รถไป หอบครัวหอบทั่วไป ไปกลางดินกลางทรายหาที่ปักพักแรมค้าง ไปอบรมที่ไหนมีโรงเรือนจะให้พักได้ก็ค่อยยังชั่ว ที่ไม่มีเราก็กลางกลดกางเต็นท์ พยายามออกไปเผยแพร่สัจธรรมทั้งที่ถูกขวางกั้น เขาพยายามจะให้เราหยุด ตั้งแต่บัดโน้น 45 48 ปีที่แล้ว อาตมาบวช 2513 มาถึง 2525 ก็ถูกรบกวนบ้าง
จาก2525-2537 นี่เล่นเราหนัก พยายามต้านเรา โดยเฉพาะ 2532
2526 ดิฉันจำได้ว่าเกิดน้ำตาโพธิสัตว์ ริเริ่ม โครงการก่อตั้งปฐมอโศก 2527
ท้าวความ 2513-16 อาตมาก็จัดไปอบรม แยกไปอบรมที่แดนอโศก 2516 แล้วก็ไปอบรมพัฒนากันที่แดนอโศก ตั้งแต่ พ.ศ.2516 พอมา 2518 ก็แยกตัว เป็นนานาสังวาสกับเถรสมาคม เมื่อถึง 19 ก็สร้างศาลีอโศก ศีรษะอโศก ที่เป็นที่ป้าช้าเก่าแล้วก็ที่สันติอโศก คุณสันติยาบริจาคที่
จนกระทั่งทำที่ปฐมอโศกรวบรวมเงินซื้อที่ส่วนกลางได้ 40 กว่าไร่ จากนั้นที่อื่นๆก็เกิดขึ้น จากป่าช้าก็มีสองที่ ศาลีกับศีรษะ จนมีวิวัฒนาการขึ้นมาจนถึงบัดนี้
2525 จำได้พันตำรวจตรีอนันต์ เป็นหัวหอก ปี 2524 เราไปแพร่มังสวิรัติจัดงานได้ดี คุณปรีชา ทรัพย์โสภา เป็นโฆษกของกรมประชาสัมพันธ์ อ่านมังสวิรัติเต็มที่อย่างไม่มีขัดข้องอะไรเลย พ.ศ 2524 พอมา 2525 ก็ปักหลักต้าน 26-27 เอาใหญ่เลย เขามีพวกมาก เลยพยายามทำได้ จนถึง 31-32 ฟ้องร้องเรา ถึงขึ้นศาล ตัดสินปี 2538 ดำเนินคดี 6 ปี 6 เดือน 6 วัน ศาลาที่ตัดสินศาลแขวงพระนครเหนือบัลลังก์ที่ 6 อาตมาจำได้ ไม่รู้มันเอาเลข 6 มาจากไหน คือมันจะขึ้น 7 มันจะจบเรื่อง 6 นี่เลิกเลย หลุดพ้นจาก 6 หกคือ ม้อระฮก อีสานเรียก ม้อระฮกคือนรก
เราก็จบ 6 จากนั้นก็ก้าวหน้าเป็น 7 มาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ ตั้งหลักหลุดพ้นจาก 7 มาเป็น 8 ตัดสินวันที่ 29 ธันวาคม 2538 ตัดสินให้แพ้นะ
อาตมาอุทธรณ์เฉพาะตัวเอง อาตมาไม่อยากอุทธรณ์หรอก ก็เขาตั้งธงไว้แล้ว บัญญัติกฎหมายขึ้นมาใหม่ในสิ่งที่พุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ คือให้สังฆราชสั่งให้สึกได้ เป็นการละเมิดจากที่พุทธเจ้าตรัสไว้ สังฆราชสั่งให้อาตมาสึกภายใน 7 วันอาตมาไม่สึกก็ต้องผิดกฎหมาย แต่ข่าวสร้างกฎหมายขึ้นมาใหม่ไม่ใช่บัญญัติพระพุทธเจ้าก็ช่างเขาเถิด เพราะฉะนั้นผิดกฎหมายก็ช่างเถอะมันเป็นกฎหมายลูกนะ อาตมามีปรมัตถ์เข้าใจปรมัตถ์ จะไม่ฏีกาต่อ
ทนาย เมื่อเราเกิดเรื่องทนายก็มาช่วย 50-60 กว่าคน นั่งกันเต็มโบสถ์เลย เราก็เลยได้ คุณทองใบ ทองเปาด์เป็นหัวหน้า เสร็จแล้วจริงๆก็ทำกันไม่กี่คนหรอก (ทนายความมี 53 คนขึ้นว่าความแค่ 10 คน)
ก็เป็นไปตามโลกตามธรรม โลกก็แพ้มาตลอด ทุกวันนี้ก็ได้ชื่อว่าแพ้อยู่ อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแพ้ก็แพ้ มันจะแพ้มันจะชนะเราก็มั่นใจแล้ว อาตมามั่นคงชัดเจนในเรื่องของโลกุตระคืออะไร เขามาแข่งกับอาตมาไม่ได้หรอกเอาโลกุตระมาแข่งกับเรามาไม่ได้ เขาไม่มีโลกุตระ ถึงไม่มีวันลบล้างอาตมาได้ เพราะเขาไม่มีโลกุตระเลยจะมาลบล้างอาตมาได้อย่างไร หากเขาบอกว่าเขามีดีกว่าถูกกว่าหรือเป็นโลกุตระกว่าก็มาสิมา
เราพ้น มิจฉาอาชีวะ 5 กัมมันตา 3 วาจาสิทธิ์ สังกัปปะ 3
สังกัปปะ 3 กาม พยาบาท วิหิงสา
วาจา 4 พ้น ปด ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อ
กัมมันตะ 3 ฆ่า ลัก ผิดในกาม
อาตมาพาพวกเราพ้นกุหนา ลปนา เนมิตกตาก็ทำไปตามฐานะพัฒนาศีล จุลศีล แม้ฆราวาสเราก็ปฏิบัติจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
โดยเฉพาะชาวอโศกมหาศีลของเราบริบูรณ์ ไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีไสยศาสตร์ ไม่มีรดน้ำมนต์ ไม่มีจุดธูปเทียนบูชาไฟ
พวกเราพ้นมิจฉาชีพ 5 ดำเนินชีวิตอยู่ก็ไม่มี มิจฉาอาชีวะ 5 ปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าสำเร็จจำนวนหนึ่ง จำนวนหนึ่งมีคนที่สะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์ บางอย่างแปดเปื้อนนิดหน่อย มันก็เป็นการไล่ระดับ ก็พากเพียรอยู่
ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัศนะไม่ได้แยกกัน
ศีลข้อ 1 เราทำให้จิตของเราสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาด้วยปัญญาหลุดพ้นขึ้นมา ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์คุณทำได้ขนาดไหน จิตของคุณมีขนาดใด ไม่ฆ่าสัตว์ในศีลข้อที่ 1
ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาในของที่ไม่ใช่ของของเรา ต้องรู้สภาวะความจริงที่เราปฏิบัติได้ ไม่ใช่แค่ท่อง แต่เราได้มรรคผล ได้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องอาศัยในชีวิตของเรา ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร มีศีล 5 ใครจะถือศีล 8 ก็เชิญ มีศีลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:02:29 )
รายละเอียด
611109_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 3
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1mLiGeZUmhP4Go8DTFuiRQqK8ytFDT5RrdiMld_1G0b0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1976YhoPRbmfI-2ejFPUpKQvXBelklmLJ
พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก พอเวลาจัดงานก็เห็นกันเยอะแยะดีอบอุ่นดี พอไม่มีงานก็หายกันไป พองานปีใหม่ ปลุกเสกฯ อโศกรำลึก เพื่อฟ้าดิน สี่ ห้าครั้ง ตลาดอาริยะอีก 6 ครั้ง มนุษย์เป็นสัตว์โขลงต้องรวมตัวกัน ยิ่งรวมตัวกันมากและยิ่งสงบอยู่กันอย่างเข้าใจ อยู่กันอย่างมีปัญญา อยู่กันอย่างรู้ อย่างพวกเราอยู่กัน เราไม่ได้บังคับอะไรกันว่าคนนั้นต้องทำอันนั้นดี ไม่มีใครสั่ง ไม่มีเจ้านาย เหมือนทางราชการเขา มีแต่สำนึกอยู่ที่นี่กันแต่ละคนจะมีอะไรให้ทำบ้าง บางคนก็รู้ตัวควรจะไปว่าตรงนั้นตรงนี้ บางคนก็เห็นว่าตรงนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อ อย่างเจ็กเอี๋ยว ก็ไปทำ หรือคนนั้นควรเก็บผัก คนนี้ควรถางตรงนั้นดูแลตรงนี้ต่างๆนานา หรือว่างานอะไรในสังคมเรา แต่ละคนก็จะรู้ว่าตัวเองทำอันนี้ได้อันนี้ดี หรือว่าเราจะฝึกหัดทำอะไรก็ทำ ไม่ได้มีอะไรไปบังคับ หรือจะแนะไปบ้าง บอกกล่าว นอกนั้นก็มีแต่สำนึกกัน
พวกเราในการบริหารปกครองที่อยู่ร่วมกัน ประเทศชาติเขาอยากได้แต่เราทำหมู่เล็ก จะเป็นหมู่เล็กหรือหมู่ใหญ่ก็อยู่ที่จิตสำนึก ถ้าเอาแต่จัดจ้านเที่ยวเล่นสำมะเลเทเมา แน่นอนมันก็ไร้สาระ ทำงานการเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ แต่พวกเรานี่ เป็นพวกที่มีปัญญาวุฒิ มีความเข้าใจ มีความเจริญทางปัญญารู้อะไรควรไม่ควร อะไรประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ แม้จะมาก
ถ้าอยู่กันครบอย่างนี้ตลอดปี อาตมาว่ารุ่งเรืองแน่ จะช่วยเหลืออะไรต่อกันดี จะเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงก็ไม่ต้องคำนึงถึง เราอยู่กันมากรวมตัวกันมากเท่าไหร่ก็จะดี สิ่งที่จะเอามากินก็เอามากิน สิ่งที่จะเอามาใช้ก็ใช้ เป็นคนมีปัญญาปฏิภาณรู้
อาตมาทำงานมา 48 ปีอาตมาว่าทำงานประสบผลสำเร็จ ทำสังคมอย่างพวกเราได้ มองไปกว้างขึ้นจากสังคมหมู่บ้านเรา หมู่บ้านอื่น เป็นถึงขนาดตำบล อำเภอ จังหวัด น่าจะทำให้มนุษย์มีความรู้สึกสำนึกเข้าใจและปรับตัว แทนที่จะเห็นแก่ตัวเกเร สำมะเลเทเมา ไม่ได้เรื่อง แต่พวกเรานี้ความไร้สาระจะมีน้อย เป็นคนเจริญ แต่ทางด้านเขาไม่เข้าใจ มีสิ่งไร้สาระเสียเยอะ เพื่อการสร้างคนให้เจริญ สร้างพฤติกรรมคนก็ช่วยกันรวม รวมทำให้เจริญขึ้นมา ทำให้สิ่งแวดล้อมเจริญ มีคนกับสิ่งแวดล้อมเจริญก็จบ
sms
SMS วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
_1614 พื้นที่บางเวลา บางเงื่อนไข มีแต่ความแตกต่างหลากหลาย ขอให้ ขยายความทั้งประชาธิปไตยและคอมมูนิสต์ เป็นแค่ลัทธิความเชื่อ อาจใช้ได้ในบางลัทธิ ความเชื่อ ค่ะ
พ่อครูว่า...ประชาธิปไตยจะมีอิสระเสรีภาพเป็นหลัก คอมมิวนิสต์คือเป็นองค์รวมที่ เขารวบรวม มีอำนาจผู้ปกครองบริหาร ในการบังคับ ก็เป็นอิสระ แต่คอมมิวนิสต์ความเป็นอิสระจะลดลงไป อำนาจจะอยู่ที่ผู้บริหารปกครอง มากขึ้น กำหนดกฎเกณฑ์ อะไรต่ออะไรมากขึ้น แล้วเขาก็พยายามที่จะทำให้ในสังคม มีจุดสำคัญอยู่ที่จะทำอะไรให้มีทรัพย์ส่วนกลาง มากพอหรือมีเกินเพื่อเอามาจับจ่ายใช้สอยไม่ว่าจะเป็นสังคมกลุ่มไหน จะเป็นสังคมกลุ่มย่อยก็ตาม พยายามเอาทรัพย์ให้เข้าสู่กองกลางแล้วมีผู้บริหารกองกลาง
สังคมชาวอโศกทำอย่างนี้ได้อย่างดีถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นประชาธิปไตยเป็นอิสระเสรีภาพ ใครจะมาที่นี่ก็ทุกคนมาอยู่ช่วยกันทำ เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่ไม่ต้องบังคับ คอมมิวนิสต์เขาบังคับ แต่ว่าประชาธิปไตยเป็นอิสระ จริงๆแล้วเขาไม่ได้บังคับหรอก แต่ว่าเขาใช้อำนาจบังคับเพื่อส่วนกลางเพื่อทรัพย์สินส่วนกลาง จะได้มีพอเอาไปบริหารแบ่งกันกินใช้ทำสาธารณูปโภคก็ตาม
ของชาวอโศกเป็นอิสระ ประชาธิปไตย 100% สมบูรณ์แบบ นักรัฐศาสตร์ควรจะมาดู (มีคนว่าเรามีสังคมนิยมเสรี ที่อื่นๆเขาก็เป็นจริงของเขา จะเป็นอิสระหรือใช้การบังคับ ก็จะเป็นไปตามนิสัย คอมมิวนิสต์นั้นมีเงื่อนไขว่าจะบังคับเพิ่มขึ้น ประชาธิปไตยไม่พูดถึงการบังคับ เป็นอิสระเสรีภาพให้มาก ที่นี่เรามีครบทั้งสองด้านเลย สมบูรณ์ทั้ง 2 ด้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วิธีทำใจในใจ 5 ขั้นตอน
_6601น้อมกราบนมัสการบูชาพ่อครูค่ะ ลูกเริ่มดูจิตของตัวเองพอปฏิบัติตามรู้ความคิดลูกก็พบว่าบางสิ่งที่ลูกติดอยู่มันจางคลายได้เองเช่นความหงุดหงิด
พ่อครูว่า...ธรรมะพระพุทธเจ้าให้มีสติรู้ตัวเสมออันที่กระทบและมีอะไรเกิดในใจ กายกรรมมาจากจิตที่เป็นประธาน วจีกรรมมาจากจิตที่เป็นประธาน 3 รู้จิตที่ไปบงการกายวาจา ว่าใจนึกคิดอย่างไรก็ดูกันที่จิต เราทำใจตนเองเป็นโดยระมัดระวังถึงกายกรรมวจีกรรม ก็ทำใจเป็นตัวอำนาจ อาตมาเห็นว่าธรรมะพระพุทธเจ้าอันนี้ก็คือการทำใจเป็น มนสิการ
สำนวนนี้อาตมาว่าเป็นสำนวนของอาตมานะ คำว่า ทำใจในใจเป็น แล้วคุณก็พยายามทำใจให้มีอำนาจดูแลกายกรรมวจีกรรมเป็นไปในอำนาจใจเราเป็นผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอยู่เมื่อเราสามารถมีสติปัญญารู้จักสังคม รู้จักบุคคลมีสัปปุริสธรรม 7 มีกายวาจาใจร่วมกัน สำเร็จแล้วและก็อยู่กันด้วย กาย วาจา ใจที่ดี อยู่กันอย่างสงบมาก
อาตมาแยกแยะ วิธีทำใจในใจออกไปตั้ง 5 อย่าง
1.อ่านใจตน ด้วยสติปัฏฐาน มีสติระลึกได้และมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว สติสัมปชานะ
2.ทำใจเป็น โยนิโสมนสิการ สัมปัชติ ทำให้เกิดขึ้นมา กลายเป็น สัมปชลติ คือฌาน เป็นไฟลุกไหม้กิเลส สลายอกุศลพฤติกรรมที่ไม่ดี ละลายพฤติกรรมกายวาจา ที่มีใจเป็นประธาน จนสัมปติ คือบรรลุ
3. ใจแสนสงบด้วยสัมมาวิมุติ นี่คือการทำสมาธิ มันก็วิมุติสงบไปด้วยสัมปันนะ สัมปปัตตะเป็นมรรค สัมปันนะเป็นผล
4.ใจจบแสนรู้ ด้วยสัมมาญาณ เป็นโลกวิทู
5.ใจสุขแสนสบาย ที่เราบอกว่า พวกเราเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ แต่ก็แสนสบายด้วยสัมมาสมาธิ อันมีคุณสมบัติสะอาด สว่าง สงบ สร้างสรร สมรรถนะ สามัคคี 6 ส.
ของท่านพุทธทาสว่า สว่าง สะอาด สงบ ของอาตมา สร้างสรร สมรรถนะ สามัคคี อีก เป็น 6 ส.ได้อานิสงส์ พ้นทุกข์ ชีวิตมีสุข มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นสุขแต่งอมืองอเท้า แต่ว่าทำการงานสร้างสรรร่วมกันจนเจริญสูงสุด อาตมาว่าเราทำได้สำเร็จ
_2978 มาร่วมงานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 บรรยากาศดีครับ ไม่หนาวเท่าไหร่ครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน การแก้ไขการติดแป้น
_5025 ลูกติดแป้นทำอย่างไรดีคะ , โสดาบันยังกลัวตายหรือปล่าวคะ
พ่อครูว่า…เราก็มีชีวิตมีกายกรรมวจีกรรมอยู่กับสังคมอยู่กับบ้าน มันมีอะไรที่เป็นงานการ มีกรรมกิริยาที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นกายกรรมวจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เราก็ขวนขวายเราก็ดู เราก็ทำ ติดแป้นคือสบายๆ งานก็ทำหมดแล้วที่ควรขวนขวายก็ทำแล้วแต่ดูเหมือนเราไม่เจริญ คืออะไร เรามีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยู่ในสังคมที่เราเป็นครอบครัว มีงานจะไปทำอื่นนอกจากอยู่ที่บ้านแล้ว หรืออย่างพวกเรา เป็นครอบครัวใหญ่ มีกว้างเยอะมาก อะไรต่างๆนานา งานการก็ช่วยกันดูแล บ้านราชฯไม่น้อยกว้างแต่พวกเราก็ช่วยกันดูแล ไม่เห็นมีที่ไหนเดือดร้อนมากหรือว่ารกสกปรกจนเกิดโทษภัย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น มันก็ดีแล้ว ก็ดู ถามว่าติดแป้นก็ว่ากายกรรมวจีกรรมหรืองานการส่วนรวมมีอะไรควรทำต่อ
ใครว่าเป็นโสดาบันแล้วบ้าง แล้วกลัวตายไหม? โสดาบันยังกลัวตายอยู่ แม้แต่อนาคามีนี่ก็ยังรู้สึกว่า ถ้าจะตายนี่ก็อย่าตายเลยนะ หรือแม้เป็นอรหันต์แล้ว ก็ตอนนี้เดินมาให้รถชน ตอนนี้รถชนก็น่าจะตายได้แล้วนะ ไม่มีใครหรอกจะเห็นว่าไม่กลัวตาย มันก็ต้องกลัวตาย คนคิดอยากฆ่าตัวตายนี้จิตไม่ดี วิปริต
_จากไลน์... คนที่อยู่กับปัญหา แต่ไม่คิดแก้ไข ด้วยเชื่อว่าตนเป็นพวกไม่มีปัญหา เพราะตนมีปัญญา ปล่อยปัญหาไปให้ธรรมะจัดสรรไปเองตามยถากรรม มองภายนอกก็ดูเป็นคนไม่มีปัญหาน่ายกย่อง ถ้าเทียบคนประเภทนี้กับอีกประเภทที่อยู่กับปัญหา เห็นปัญหา ยอมรับว่าตนยังไม่มีปัญญา แล้วพยายามหาทางแก้ไขปัญหา แม้จะยากลำบาก ต้องเจอผัสสะมากมาย ก็อ่านใจล้างกิเลสไป อาจกลายเป็นคนที่ถูกมองว่าเจ้าปัญหา ถามว่าเป็นคนอย่างแรกหรืออย่างหลังดีกว่า
พ่อครูว่า…อย่างหลังดีกว่าอย่างแรกหมกปัญหาซุกใต้พรหม ดูเหมือนไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่าหมักหมมเน่าใน
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน การรับมือกับการติเตียนที่ปนด้วยอารมณ์
_minty so...กราบนมัสการพ่อครูค่ะ
ได้ฟังความเห็นมาว่า ชาวอโศก"หลายคน" ที่พยายามทำความดี แต่ไม่มีมารยาททางสังคม
มักติเตียนผู้อื่น โดยไม่รู้จักประมาณตนว่ามีศิลปะในการติเตียนโดยไม่ใส่อารมณ์มั้ย และไม่รู้จักประเมิณคนฟังว่าเขาจะรับได้มั้ย
เสมือนว่าได้ถูกปลูกฝังมาให้เป็นคนกระด้าง เข้ากับคนอื่นยาก
ซึ่งหลังจากฟัง พิจารณาเองแล้วว่ามีความจริงอยู่บ้าง
พ่อครูมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ติเตียนนี้มันดี เป็นการท้วงให้เรารู้ตัว ระมัดระวัง หากเขาติเตียนมาแล้วเราเป็นจริงอย่างที่เขาว่ามันดีที่สุดแล้ว แม้ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าเลย มันก็เป็นความโง่ของเขา เป็นความไม่รู้ของเขา เราไม่ได้เป็นอย่างที่คุณว่าเลย ก็เป็นความผิดของเขามันไม่ได้เสียหายเลยกับเรา คนถูกตำหนิไม่ได้เสียหายเลย คนที่ได้รับการตำหนิติเตียนนั้นอย่าไปกลัว ใครติเตียนมาก็ฟังดีๆ คนนี้ติเตียนหยาบคายดีเนาะ คนนี้ติเตียนฟังได้ดี แล้วก็ไม่ต้องไปชอบติเตียน ดีไม่ดีเหมือนฟังเพลงอย่าไปติดอย่างนั้นละกัน
คนเขาใส่อารมณ์มานี่ก็จริงใจนะจะได้รู้ว่าคนนี้อารมณ์ไม่ดีมากนะ เช่นแม่ดุลูกดุไม่ไว้หน้าเลยนะ แม้เป็นคนจริงใจคิดให้ดีพิจารณาให้ดี
หนึ่ง คนติเตียนนั้นดี ไม่ว่าจะแรงอย่างไรก็ตามฟังเนื้อหาสาระเอาก็แล้วกัน ถ้าเขาตำหนิถูกก็ว่าดีนะ แต่อย่าลำเอียงละกันว่าฉันไม่เป็น อย่างนี้ใครก็ช่วยไม่ได้อย่างนั้น
สรุปแล้ว ไม่อยากให้คนติไม่ได้ อาตมาส่งเสริมให้คนติ แต่อย่าเลอะเทอะมากไป
ติกันเถอะ แล้วเราจะรู้จักมารยาทการตำหนิทำให้เจริญอย่างเดียว ส่วนการชมนี้ เขาทำแล้วไม่เสียหาย แต่คนทำไม่ดี มันเสียหายคนเขาไม่รู้ เราก็ตำหนิ แต่เพียงว่าอย่าทำอย่างเกิน มาก เป็นลูกช่างติ ก็มากไป จะได้ฉายา ไอ้...
SMS พุธที่ 7 พ.ย.
_3867 แม่บอกว่าเวลาอกหักไม่ต้องเสียใจไป!เราไม่ได้เสียคนรัก
เราแค่เสียคนที่ไม่รักเราไปเท่านั้นเอง ธรรมะสมณะเสียงศีลให้กำลังใจคนรักพังเพราะอบาย
พ่อครูว่า...เราต่างหากไปรักเขา เราอกหัก ดามอกตัวเองสิ ไปเสียใจได้อย่างไรก็เขาไม่ได้รักเรา มันก็ดีแล้วเราเสียคนไม่ได้รักเราไป
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน กระทรวงเกรดเอควรเป็นกระทรวงไหน
_นายเทพไพร ถาม อาหารเป็นหนึ่งในโลก เคารพในการศึกษา พ่อท่านคิดว่ากระทรวงใดควรเป็นกระทรวงเกรดเอ ระหว่างกระทรวงศึกษากับกระทรวงเกษตร
พ่อครูว่า...อาตมาไม่เคยคิดว่า กระทรวงไหนสำคัญกับประเทศ เกรดเอ ก็สำคัญกันทั้งนั้น เขาตั้งกันมาดูแล อาจจะเป็นเรื่องน้อยเรื่องเล็กหรือเรื่องมาก ถ้าจะให้พูดตามความเห็นอาตมาแล้ว กระทรวงเกษตรนี่ เป็นกระทรวงที่เอาชีวิตคนได้รอด ถ้าไม่มีอยู่มีกินนั้นตายอย่างเดียว ส่วนกระทรวงการศึกษานั้น หากมีแต่ความรู้ไม่มีกระทรวงเกษตรรอดไหม ไม่รอด คุณมีแต่กระทรวงเกษตรนั้นรอด เอากระทรวงเกษตรกรก่อนกระทรวงศึกษา อาตมาเป็นสัตว์โลก อาตมาเห็นว่ากระทรวงเกษตรสำคัญกว่ากระทรวงศึกษา แต่งบประมาณที่ให้กระทรวงการศึกษาได้งบประมาณสูงมากกว่ากระทรวงเกษตร แสดงว่าเขาเอง
ที่จริงให้งบฯกระทรวงเกษตรน้อยเพราะประเทศเจริญจึงไม่ต้องให้มาก แต่ให้กระทรวงศึกษาธิการมาก เพราะว่าไปพัฒนาคนเพิ่มเติม คนยังไม่เจริญ แต่กระทรวงเกษตรนี้มีอยู่มีกินพอเพียงแล้ว คนยังไม่เจริญทางด้านความคิดก็เลยไปให้การศึกษา
หรือว่า 2 ไปหลงการศึกษา ให้งบประมาณการศึกษาสูงขึ้นเพื่อปรับปรุงการศึกษาให้สูงขึ้นจะไม่ทันต่างประเทศเขาก็อยากจะให้ทันเขา
ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนเรื่องการเกษตรมีการสร้างผลผลิตให้พออยู่พอกิน ไม่ได้ไปเก่งทางกสิกรรม แต่ไปทำเรื่องเครื่องกินไม่ใช่เรื่องเครื่องใช้ อุดมสมบูรณ์เพียงพอ
_SMS วันที่ 6-7 ตุลาคม 2561
_3867กราบเรียนท่านจันทร์มีโคมไฟโซล่าเซลล์แบบพกพา!มีวางขายที่ร้านบวรอโศกไหม?จะเอามาใช้ทำงานศิลป์ตอนดึก!โคมไฟร้านเสีย!สาธุ
_แก้วลา ไชยวงค์ · พ่อท่านสุขภาพแข็งแรงมาก ดูทีวีท่านอ้วนขึ้นตัวใหญ่ขึ้นผิวพรรนท่านเปล่งปั่ง เป็นบารมีพ่อท่าน กราบสาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...อาตมาว่าอาตมาไม่ได้อ้วนเลยนะ
นพดล ทองโคตร : จ้งหวัดมหาสารคาม ที่วิทยาลัยครูมหาสารคาม อาคารโรงยิมส์อเนกประสงค์ ข้าฯน้อยได้รับฟังเทศน์พ่อครูและคณะ ประมาณปี 2525 หรือ 2526 ครับ
_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ນະມັດສະການພໍ່ທ່ານຢ່າງສູງສາມະນະທຸກຮູບສິກຂະມາດທຸກທ່ານກາບສາຖຸ
นางเก็ดมณี สุขสวรรค์ นมัสการพ่อท่านอย่างสูง สมณะทุกรูป สิกขมาตุทุกท่าน กราบสาธุ
_พันธุ์ พอเพียง · คำว่า ฉลาด หรือ สะหลาด ภาคเหนือ ใช้เรียก ไม้กวาดขยะ(กิเลส)ที่ทำจากใบมะพร้าวครับ เรียกขยะว่า ขี้เยี้ย(อาสวะ เยื่อใย) ด้ามไม้กวาดทำจากไผ่รวก กลม กำได้แน่น เรียกคนฉลาดว่า คนร๊วก ร เรือ ว แหวน ก ไก่ ผมแปลไม่ออกครับ แต่ผมทึ่งตรง สระอะไรที่อยู่ข้างบน ร เรือ มันคือ เลข 7 ไทย ที่แปลว่า นิยตะ โพธิสัตว์ครับ กราบแทบเท้าครับ
พ่อครูว่า…ทางอีสานเรียกไม้กวาดว่า ไม้ฟ่อย
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างสูงยิ่ง พ่อท่าน และชาวอโศกเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศสมควรปฏิบัติตามเจ้าค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติสังกัปปะขณะมีชีวิตลืมตา
_ถ้าผู้ทำใจให้ปราศจากนิวรณ์ 5 ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน จะถือว่าผู้นั้นมีเบญจศีลเบญจธรรมสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ในขณะลืมตาทำจิตต่างๆอยู่หรือไม่ ถือว่ามีการปฏิบัติสัมมาสังกัปปะถูกต้องหรือไม่ ภิกษุอยู่เป็นปกติมีปกติรู้รูปโดยจักษุ ก็ไม่มีความรักความชังกับรูปที่น่ารักน่าใครน่าปรารถนา
ถ้าภิกษุยินดีกล่าวสรรเสริญ ย่อมมีความเพลิดเพลินมีความกำหนัดกล้าก็จะมีความเกี่ยวข้องกิเลสก็เจริญ ถึงจะเสพเสนาสนะ อยู่ในที่สงัด อยู่ป่า ไม่มีอะไรกระทบสัมผัสมาก ควรเป็นที่กอบกิจของมนุษย์ผู้ต้องการความสงัด สมควรเป็นที่เว้นอยู่แต่ถึงยังงั้นก็ถือว่ายังมีเพื่อนสอง เพราะว่าเขายังมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง
พ่อครูว่า..ใช่ ดีแล้ว สัมมาสังกัปปะต้องอ่านถึงใจตัวเอง
ตักกะคือจิตเริ่มดำริก็ทัน ก็จัดการกาม พยาบาทที่ผสมในจิต วิเคราะห์วิจัยออกว่ามันมีในจิตมีบทบาทคุณก็ทำให้มันลด ถ้าคุณทำอย่างนั้นได้อยู่ตลอดเวลานั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้ามีตรงนี้เท่านี้แหละ ไม่ได้ไปนั่งหลับตาเลย นี่คือการสร้างสมาธิของพระพุทธเจ้า มีสัมผัสแล้วก็อ่านเวทนา ในเวทนานั้นมีตัณหาร่วมด้วยไหม กามหรือภวตัณหา เมื่อเห็นกิเลส ตัณหาก็พยายามจางคลายกิเลสตัณหาให้ได้ก็ดับด้วยพลังปัญญาหรือกิเลสมาแตะก็ทำอะไรจิตเราไม่ได้ จิตใจไม่หวั่นไหวรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าอะไรคืออะไร ไม่ได้มีจิตหวั่นไหวไปตามโลก ที่เขามีความรักความชัง คนทำอันนี้แหละเป็นการทำสังกัปปะถูกต้อง
การปฏิบัติใครไม่มีผัสสะไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทางเถรสมาคมฟังกันไหม ไปนั่งหลับตาประเทศนั้นชิบหายวายป่วงทั้งดำทั้งเหลืองไปแล้ว จะเหลืองดำลงก็เพราะเราทั้งหลาย ศาสนาพุทธไม่มีลัทธินั่งหลับตา มีผัสสะ 6 เป็นมีสัมผัสเป็นปัจจัย
กายคตาสติคือลืมตาปฏิบัติไม่ได้อยู่คนเดียวนะ คำว่าอยู่คนเดียวคือไม่มีเพื่อนสอง เขาไปแปล เอกะ ว่าอยู่คนเดียว ที่จริงคือทำจิตให้ไม่เกิดกิเลส เอกเสนะ ไม่มีเพื่อนสองคือกิเลส
ขณะที่คุณสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจอยู่ตลอดเวลา ต้องระมัดระวังรู้ตัวอย่าให้เกิดกิเลส อย่างนั้นประการหนึ่ง
คือคิดตื้นๆความสงบสงัดคือไปอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรพวกพล่าน มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียวอย่างนี้ไม่ใช่ลัทธิพุทธเป็นพวกฤาษีคิดกัน ว่าพระพุทธเจ้าให้อิสระเสรีภาพ แต่ว่าแม้จะอยู่คนเดียวนั้นก็ยังมีเพื่อน 2 คือกิเลส
รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่ยินดีไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้น เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้นอยู่ ความเพลิดเพลินย่อมดับ เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีความกำหนัด เมื่อไม่มีความกำหนัด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง ดูกรมิคชาละ ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความเกี่ยวข้อง เราเรียกว่ามีปรกติอยู่ผู้เดียว
พระพุทธเจ้าออกบวช ก็เจอแต่พวกหนีเข้าป่านั่งหลับตาสมาธิ จิตโน้มไปทางมิจฉาทิฏฐิมิจฉาปฏิบัติ แต่หากเราปฏิบัติในขณะลืมตาแล้วก็ทำให้กิเลสหมดไปได้ ทำให้ได้ตลอดกาล
ท่านตรวจสอบจิตแม้แต่อยู่คนเดียว พระอานนท์ท่านก็พิจารณาของท่านไม่ได้หมายถึงท่านทำอย่างนี้อย่างเดียวแต่ไปเอาสมัยนั้นของท่านมากล่าว
ตามประวัติพ่อครูมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าคุณ นร แล้วท่านเจ้าคุณ นร เป็นพระอรหันต์หรือไม่
พ่อครูว่า...ขั้นบันไดเป็นอรหันต์ ว่าไปแล้วท่านเป็นโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ท่านเกิดมาในชาตินี้เป็นสายศรัทธา ท่านไม่มีเพื่อน ท่านก็ปฏิบัติไปตามของท่าน ท่านไม่ได้ออกป่าเขา แต่อยู่ในเมือง ท่านเป็นตัวอย่างให้แก่วัดแก่พระทั้งหมด คนเคารพท่านแต่ไม่เอาตามท่าน เอาใจใส่เวลามีกิจสงฆ์ แต่ท่านเป็นสายเจโตมากไปเท่านั้นเอง ท่านก็เลยไม่ร่วมงานกิจสงฆ์ ซึ่งผิด มันสุดโต่ง แต่ท่านเกิดมายุคนี้อาตมาเข้าใจ ท่านเป็นสายเจโตแต่ศรัทธา ไม่เหมือนอาตมา อาตมานักกวาดลาน มีอะไรก็กวาดแต่ท่านเจโต ก็เลยคนละขั้ว มันยากทุกวันนี้ สายเจโตไม่มีปัญญาทำอะไรหรอก แต่สายปัญญาจะแข็งๆกราดๆ ไม่อย่างนั้นไปไม่ออก อาตมามีธรรมฤทธิ์พอสมควรจึงไปได้
มาเข้าสู่พวกเรา เนื่องในโอกาส อภิลักขิตสมัย อาตมาก็มีดำริจะให้อภัยโทษแก่ผู้ที่ทำผิดแล้วต้องออกจากอโศกไป และมอบให้ทางคภส.พิจารณาจึงได้ดำริขึ้นมา ว่าควรจะให้อภัยโทษได้แค่ไหนอย่างไร ก็มีคนที่ต้องพิจารณาเป็นขั้นตอน ควรยกโทษให้ผู้ที่กระทำไม่ผิดร้ายแรง โทษที่ต้องออกไปตั้งแต่ 4 ปีจนถึง1 ปี ส่วนโทษที่หนักกว่านี้อาจพิจารณาในวาระอายุ 90 ปี
ดังนั้นผู้ที่ได้รับการลงโทษไม่ถึง 4 ปีหากประสงค์จะเวียนกลับเข้ามาในหมู่อีกครั้ง ในชุมชนใดก็แล้วแต่ก็ให้แจ้งความประสงค์มาในแต่ละที่
ก็เป็นการประกาศอภัยโทษต่อชาวอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 3
ก็เข้ามาสู่เนื้อหาธรรมะ
อาตมาได้พูดถึงเรื่อง วันและเวลา…
ชาวอโศกเราย่างเข้าสู่พศ.2537-2539
พศ.2537 เราอยู่ในวาระยังไม่สิ้นสงครามสังคมชาวอโศกที่เริ่มแต่ 32-39
พศ.2549 เราเดินเข้าสู่สนามหลวง อาตมาเดินนำขบวนหมู่สมณะเดินเข้าสู่สนามหลวงและไปนั่งชุมนุมกับเขา จนเอารัฐบาลออกไปได้ถึง 4 รบ.
เป็นกิจที่สำคัญเป็นกิจที่ผ่านมาได้อย่างสวยงามมาก พูดเหมือนกับหลงตัวเองเลย ว่าพวกเรานี้ได้นำพาประเทศชาติให้ประท้วงได้อย่างสงบ อำนาจแห่งความสงบสยบความรุนแรง จนกระทั่งไล่รัฐบาลสำเร็จด้วย ไม่ได้ใช้อาวุธไม่ได้ใช้ความรุนแรง เอาคนมานั่งเสนอหน้าปักหลักเลย เพื่อแสดงมวลปชช.คะแนนเสียงว่าไม่เอาพวกคุณนะมีมวลร่วมกันมานั่งให้พรักพร้อม มายืนยันประท้วงรัฐบาลไม่ให้รัฐบาลนี้บริหารต่อไปจนสำเร็จ ผู้บริหารหมดฤทธิ์หมดอำนาจจริงๆ คนประยุทธ์ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจจากผู้รักษาการ เขาไม่มีอะไรจะเถียงเพราะประชาชนได้ปฏิวัติเรียบร้อยแล้ว
เป็นรัฐศาสตร์ในเมืองไทย แต่เขาไม่พูดว่าชาวอโศกไปทำก็ไม่เป็นไร เราก็ให้รู้ประวัติศาสตร์บทนี้ในไทย ทำได้อย่างงดงามสงบเรียบร้อย
มีสิ่งที่น่าฉุกคิดคือมีความรุนแรงถึงขั้นมายิงมาปาระเบิดใส่ ก็พวกรัฐบาลนั่นแหละพูดกันให้ชัด พวกที่เข้าข้างรัฐบาลนั่นแหละ มาวุ่นวายเรา ที่ฉุกคิดคือ ไม่มีชาวอโศกบาดเจ็บล้มตายเลย ไปทำนานเป็นปี อาตมาเข้าใจในกรรมวิบากบารมี เขาคิดไม่ออกว่าคือธรรมฤทธิ์ ที่พุทธศาสนิกชนทำงานให้กับชาติ แต่เถรสมาคมเขาไม่เข้าใจ เข้าใจว่าศาสนาพุทธต้องไปนั่งหลับตาไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ที่จริงแล้วศาสนาพุทธจะต้องอยู่กับสังคมมีบทบาทพัฒนาร่วมกันทำให้สังคมเจริญ แต่เขาก็ทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปไกลมากเป็นเรื่องเลอะเทอะ จนไม่เป็นศาสนาพุทธเลย
ศาสนาพุทธ ปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญา 7
ผู้ที่เกิดเป็นอาริยะ เจริญทางพุทธธรรมคือผู้มีปัญญา 7 โสดาบัน ถึงจะเป็นผู้ที่เข้าถึงเข้ากระแสของการเป็นชาวพุทธ ที่แท้จริง มีญาณ 7 พระโสดาบัน
1. รู้แล้วละ (ญาณที่ 1)
คือกำลังเรียนรู้กิเลสกลาง (ปริยุฏฐาน -กิเลส)ได้แก่นิวรณ์ 5 เพื่อละกิเลสนั้น แต่ยังมีทะเลาะ วิวาทกัน ด้วยหอกปาก (มุขสัตติ) อยู่
คือเราหลุดพ้นจากกิเลสตัวแรกของเรา เรากำลังทำกิเลสตัวต่อไป ไม่ได้หนีสังคม แต่กระทบสัมผัสอยู่รวมกับสังคม เราพ้นอบายแล้วก็อยู่กับสังคมได้ นี่ต่างหากคือปัญญาเป็นความหลุดพ้น นั่งหลับตาไม่มีทางหลุดพ้นจากศาสนาพุทธ
แม้ละ ปริยุฏฐานกิเลส ยังไม่ได้ ก็รู้ ไม่มีที่จะไม่รู้ และมีทิฐิ ตั้งปณิธานจิตไว้ เพื่อไปสู่การตรัสรู้ สัจจะทั้งหลาย
2. ทำให้มาก (ญาณที่ 2) คือเสพคุ้น (อาเสวนา) ทำให้เกิดผลเจริญ (ภาวนา) ทำให้มาก (พหุลีกัมมัง) กระทั่ง ระงับดับกิเลสตนได้
3. เชื่อมั่นธรรมวินัยนี้ (ญาณที่ 3) คือชัดเจนว่า การปฏิบัติอื่น นอกธรรมวินัยนี้ ไม่สามารถ ดับกิเลส สิ้นเกลี้ยง ไม่เป็นโลกุตระ
4. ผิดรีบแก้ (ญาณที่ 4) คือรีบแก้ไขความผิดของตน เหมือนเด็กอ่อน นอนหงาย มือเท้า ถูกถ่านไฟเข้าแล้ว ก็รีบชักหนีเร็วพลัน เช่นคุณไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และสังวร ทวาร 5 หากเราทำผิดไปจะรู้ตัวและรีบแก้ไข เป็นสำนึก
5. ทำกิจตน - กิจท่าน (ญาณที่ 5) คือทั้งศึกษา ในอธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา ทั้งขวนขวาย กิจใหญ่น้อย ของเพื่อนพรหมจรรย์ เหมือนวัวแม่ลูกอ่อน เล็มหญ้ากินด้วย ชำเลืองดูลูกด้วย อยู่กับหมู่กลุ่มทำงานเพื่อสังคมไป
6. มีกำลัง (ญาณที่ 6) คือมีอำนาจในตน มีพลังทำประโยชน์ ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิต ทั้งปวง เงี่ยโสต ฟังธรรมวินัย ของตถาคต อันบัณฑิตแสดงอยู่
มีกำลังจิต แยกแยะถูกผิดได้ชัด รู้ตนว่ามีผล ได้บรรลุแล้ว
7. ปลื้มใจในผล (ญาณที่ 7) คือได้รู้ธรรม รู้แก่น (อรรถ) รู้จริงครบถ้วนธรรม ปลื้มใจในผล ที่ตนได้ เห็นผลสุข ที่จะมียิ่งขึ้น ยิ่งเข้าใจชัด สมบูรณ์ ข้อ 7 เป็นพลังงานเสริม ผลที่ได้คือสงบเย็น เป็นประโยชน์สูงขึ้น เป็นโทษภัยต่อสังคมน้อยลง เป็นความเจริญครบพร้อมให้ตรวจสอบ ของปัญญาของธาตุรู้
ที่ไปปฏิบัติธรรมตามกระแสหลักของศาสนาพุทธทุกวันนี้ มันเสื่อมจนไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดดูถูก ข่มจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
ฟังแล้ว มีคนพุทธศาสนิกชน อย่างพวกคุณ หรือที่อยู่ข้างนอก แต่จะมาบอกเลยว่ามาทางอโศกก็ไม่ทำ เพราะยังอยู่กับสังคมที่เขาไม่ยอมรับอโศก แต่ก็รู้ว่าตนควรปฏิบัติอย่างไร
อาตมาเกิดมาหลงโลก 36 ปี ก็เสียดายอยู่นะ นี่มาทำอีก 48 ปีก็ยังดีใจว่าไม่ได้หลงโลก 36 ปีแต่มาอยู่ทางธรรมไม่ถึง 36 ปีแล้วก็ตาย แต่นี่ทำมาเลย ได้ 48 ปี ก็จะทำต่ออีก 36 ทำเพิ่มอีก 36
36x3 = 108 ถือว่าใช้หนี้สมบูรณ์ แล้วทำกำไรอีก กำไรต้องเอาหลายทบหน่อย
กำไรอีก 3 นักษัตร เป็น 144 ปี ใครจะอยู่กับอาตมาบ้าง..อาตมาพูดเหมือนพูดเล่นแต่เอาจริงนะ ชีวิตอาตมามีสาระหากอาตมามีชีวิตไปแย่ง ลาภยศสรรเสริญ หาอะไรมาบำเรอกาม อัตตา นั้นโง่ตายเลย อาตมาเลิกแล้วชีวิตเก่าอย่างนั้น ควรให้คนมารู้ตัวว่าโลกธรรมนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาไร้สาระ ไม่มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตนี้ เพิ่มกิเลสใส่ตัวเอง กิเลสโลกธรรม กาม อัตตาก็มีแต่ทำให้จม
ให้มาสังวรระวังเรียนรู้ออกจากความเป็นโลกโลกีย์
ควรจะเห็นว่าชีวิตเรานั้นไม่ควรเอาแบบนั้นแล้ว อนาคามีก็จะมาอยู่กับชาวอโศก อยู่กับโลกเขาที่แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หากอยู่ข้างนอกมาเสพสุขก็คงไม่มี คือจริงๆใจจะมีปัญญามีธาตุรู้จริง คนที่มาอยู่กับชาวอโศกเป็นแดนอนาคามี ไม่วุ่นวายกาม โลกธรรม ลาภยศสรรเสริญ หรือแม้แต่สุขทางกาม
เข้ามาในนี้บำเรออัตตาได้ แต่คุณก็อย่าโง่บำเรออัตตาตัวเองเลย ที่นี่ไม่มีกามมากมาย รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสอะไรไม่มาก จะเสพกามก็ไปข้างนอกแต่ในนี้มีคนมีอัตตาเยอะ ไม่ต้องห่วงหรอกมีเพื่อนเยอะ เดี๋ยวก็มาเจอกันเอง แบกมาเถอะ เราก็ขัดเกลากันไงมีผัสสะเป็นปัจจัย อัตตากระทบอัตตา แต่ถึงอย่างไรอัตตาก็ไม่รุนแรงไม่เกิดคดีด่าทอกัน ไม่มี
แสดงว่าอัตตาพวกเรา อาตมาพูดว่าพวกเราแบกอัตตามาก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย จึงเป็นแดนอนาคามี ที่โลกธรรม กามคุณแบบเขาพวกเราลดได้ คนมาอยู่ในนี้โดยปริยายจึงถือว่าฐานอนาคามี ทำงานฟรีเป็นต้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็ไม่เห็นน่ารื่นรมย์อะไรเลย
พวกเราสมานอัตตากันดีแล้ว แม้อัตตาก็มีเหลือ แต่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันมากมาย อยู่กันอย่างสบาย เปลี่ยนสังคมที่อยู่กันอย่างเจริญมากเป็นสังคมอาริยะ แท้ๆจริงๆ ที่เขาบอกว่าศิวิไลซ์ สังคมมนุษย์ศรีวิไลเป็นอย่างนี้ โลกเขาต้องการแต่เขาไม่รู้ และเขาก็ไม่บ้าเหมือนชาวไทย ที่บอกว่า คนเจริญเป็นอาริยะต้องไปนั่งหลับตาอยู่ในป่า มันหลงทางมากไม่รู้จะพูดอย่างไร มันหลงผิดจนไม่น่าเป็นไปได้
อาตมาถึงได้มาส่งเสริมโปรโมท propaganda ที่บอกว่าความเจริญของศาสนาพุทธเป็นอาริยบุคคลเป็นแบบนี้ไม่ใช่หนีเข้าป่า เป็นอาริยะแล้วไปบอกว่าพวกนั่งหลับตาในป่านิ่งคืออรหันต์ อย่างนั้นมัน อรหอย อรเหวไม่ใช่อรหันต์ อรหันต์เก๊ ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
เขาพยายามรวบรวมอรหันต์ในประเทศไทยก็มีแต่พวกนั่งหลับตาที่เขาบันทึกเป็นทำเนียบขึ้นมา มันน่าสงสารน่าสังเวชใจจริงๆพูดอย่างไม่ไว้หน้าเลยตีทิ้ง อาตมาเจตนาบอก จิ้มเลย ถือว่าโดนด่า โดนเทศน์คือโดนด่า
ตื่นขึ้นมาเถอะมาเรียนรู้มรรคมีองค์ 8 มาเรียนรู้สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ 3 ระมัดระวังเรื่องสัตว์เรื่องของเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมมาวาจา 4 มีการพูดจาร่วมกันให้ระมัดระวังมิจฉา 4 ของวาจา ในการคิดนึกปรุงแต่งกับสังคม มันมีกิเลสร่วมด้วยหรือไม่ แล้วลดกิเลสเป็นอย่างมีสัมผัสเป็นปัจจัยตลอดเวลาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า คล่องแคล่วในเวทนา 108 แยกมโนปวิจาร 18 ได้ อ่านทวาร 6 กระทบสัมผัสแล้วเกิดธาตุวิเคราะห์วิจัย มีฌานที่มีวิตก วิจาร คือรู้จักจิต แล้วรู้จักพฤติกรรมของจิต แล้วก็วิจัยเอาตัวกิเลสที่มันมาผสมอยู่ มีกาม พยาบาทเป็นต้น ก็ทำตัวนี้จับตัวนี้ให้ได้ เป็นจำเลย แล้วจับเข้าคุกประหารชีวิตเลย อันนี้คือการปฏิบัติ
พวกเราทำได้ก็รู้ นี่ก็พูดเผื่อพวกที่แสวงหาติดตามต้องการฟังอยู่ทางบ้าน แต่อยู่ที่นี่ก็เต็มศาลา อบอุ่น ลงทะเบียนกันด้วยนะ แม้คนในชุมชนอโศกไปลงทะเบียนกันบ้างนะ
ละทะเบียนตอนนี่ 1600 คน แต่ก่อนงานปลุกเสกฯพุทธาฯมีคนร่วม 2000 คน แต่ตอนนี้ก็ใช้ได้ คนในประเทศไทย ทำงานมา 48 ปีมันมีเท่านี้แหละที่รู้จักศาสนาพุทธ หรือเปล่านะ ในประเทศไทยเกือบ 70 ล้านคน นับถือศาสนาพุทธ 95% มีเท่านี้หรือ มีแค่นี้ก็เอา ได้เท่านี้ก็เอา
อาตมาพยายามอธิบายบุคคล 41 เป็นเรื่องลึก ยากแต่ต้องทำแล้วล่ะอายุปูนนี้แล้ว อาตมาไม่กลัวอะไร กลัวพวกคุณตายก่อน เลยต้องรีบอธิบาย ใครอายุเกิน 84 บ้างยกมือในงานนี้ มี 3 คน
อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม จะทำให้เราแข็งแรงมีสังขารที่ดี เพราะใจเป็นประธาน ใจมีพลังงาน ที่มีทั้งปัญญาและเจโต ทำให้เรารักษาพลังงานที่จะมีสมดุล ทวัตติงสาการ มันไป stimulate ทำให้พลังงานเราไม่แช่แข็งเฉื่อย แต่เกิดพลังงานความร้อนความเร่งกระตุ้น (มีภาพ ยายๆเดินด้วยรถเข็น หลายคนร่วมกัน)
ไม่มีปัญหาอะไร คนที่เห็นนี้เขาอยู่กันอย่างอบอุ่นนะ อย่างนี้แหละ เป็นสังคมที่พึ่งเกิดแก่เจ็บตาย โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้มีสมบัติส่วนตัว สมบัติครอบครัว แต่เป็นสมบัติส่วนกลางอาศัยได้ แก่แล้ว เจ็บป่วยแล้วบ้าง อาศัยได้ อาตมาว่า สังคมอย่างนี้ เป็นสังคมที่อบอุ่นแล้ว พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ อยากจะให้หมู่บ้านชุมชนแต่ละชุมชน เกิดวัฒนธรรมอย่างนี้ให้ได้ อาตมาช่วยชาติแล้ว หมู่บ้านหมู่ที่ 10 ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ อาตมาก็ได้ทำให้หมู่บ้านนี้ชุมชนแบบนี้ เป็นชุมชนที่น่าอยู่ ชุมชนที่สงบสร้างสรร ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตา แต่ว่าเป็นคนสงบ สงบอย่างศาสนาพุทธไม่ใช่สงบอย่างที่ต่างคนต่างนั่งหลับตากัน ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสในพระสูตร ว่า พวกเธอปฏิบัติธรรมอย่างไร อย่าให้ตากระทบรูปจะให้กระทบเสียง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่างนั้นไม่ถูก มันไม่ใช่ลัทธิพุทธ
อินทริยภาวนาสูตร ล.14 ข้อ 584 พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียง
ด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
แล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก
ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
อาตมาพูดเรื่องนี้จะอีกนาน เพราะมันติดสนิทแน่น เอาอีพอกซี่ติดเลย
ขอสรุปว่าพวกเราปฏิบัติธรรมะดีแล้ว ถูกต้องแล้ว สัมมาทิฏฐิแล้ว ยังเหลือแต่สังวรระวัง ไปอยู่บ้านก็เอาสติปัฏฐาน 4 ไป อานาปานสติก็ดี ไม่ได้หมายความว่าไปนั่งหลับตา
อานาปานสติ มันเป็นภาษา เรียกว่าลมหายใจเข้าออก ก็หลงผิดไปนั่งดูลมหายใจเข้าออก นั่งหลับตาอันนั้นมันผิดเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธแล้ว ถ้าอ่านพระไตรปิฎกแตก จะเข้าใจ ท่านไม่ได้สอนให้นั่งปิดภพ แต่ให้สังวรตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องรู้จักอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี แล้วรู้จักกิเลสกำจัดกิเลสทุกลมหายใจเข้าออก แม้จะไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นอย่างที่ไปหลงผิดก็ตาม ภาษาบาลี วา แปลว่า ก็ดี จะไปนั่งอยู่ที่ป่าก็ตาม ก็ต้องไม่หลงผิด ทำการปฏิบัติอนุปัสสี 4 ตลอดเวลาไม่ได้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ
จริงๆแล้วให้มีชีวิตอยู่ในปกติ ไปอ่านสามัญผลสูตรให้ดี ถ้าไปอ่าน อัมพัฏฐสูตรจะบอกการปฏิบัติที่ผิด 4 อย่าง นั่นคือความเสื่อมหมด คือวัดที่มีวิหาร โบสถ์ที่จุดธูปเทียน มันเสื่อมหมด คือออกป่ากับสร้างเรือนไฟในเมือง เห็นไหมว่าศาสนาได้เสื่อมไปหมดแล้วทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นชาวอโศกเลิกจุดธูปจุดเทียน แล้วเอาธรรมะพุทธเจ้ามาเรียนรู้พระสูตรสารพัด
มูลสูตร อวิชชาสูตร เป็นต้น เอามาปฏิบัติ สังวรศีลสำรวมอินทรีย์ ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 วิชชาและวิมุติก็เจริญ มันจะเข้าคำสอนพระพุทธเจ้าหมดเลย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:03:38 )
รายละเอียด
611110_พ่อครูบรรยาย เรื่อง ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1gVR1rdJS8-0jYiE1odcoR5byMzDONhp_WvtEVkhFLAc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..
สื่อธรรมะพ่อครู(สามอาชีพกู้ชาติ) ตอน ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม
พ่อครูเทศน์ เนื่องจาก โครงการรวมพลังเกษตกรรมยั่งยืน ราชธานี-อุบลฯ ที่ อาคาร บวร ราชธานีอโศก 10.00-11.00 น. วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2561
ฤกษ์กำลังงามยามกำลังดี 10:12 นาที ให้อาตมาว่าไปได้ถึง 11.00 น. อาตมาถูกกินเวลาไป 12 นาที ไม่เป็นไรเท่านี้ก็ได้ เท่าไหร่ก็ได้ เรื่องที่จะให้พูดคือ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม อาตมาย้ำไม่รู้กี่ทีแล้วว่า เมืองไทยเป็นเมืองกสิกรรม อยู่ในพิกัดของโลกเส้นศูนย์สูตรนี้ อบอุ่น มีน้ำมีแดด มีดิน มาก มีทะเลมหาสมุทรน้อย จึงสามารถที่จะทำกสิกรรม พืชพรรณธัญญาหาร เลี้ยงตน เลี้ยงโลกได้อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าคนไทยนี้ หันมาใส่ใจ เอาความรู้ เอาความสามารถ มาทำกสิกรรมกันจริงๆเลย ทำกสิกรรมแล้วให้เข้าใจให้เห็นจริงเลยว่างานกสิกรรมนี้เป็นงานสูงส่ง เป็นงานของคนเจริญ เป็นงานของคนสูงศักดิ์ เพราะเป็นคนที่สร้างสิ่งที่มนุษย์จะต้องกินต้องใช้ ต้องอาศัย G5 G10 ก็ยังไม่สำคัญเท่าเม็ดข้าว จริง
ต่อให้อุตสาหกรรมดิจิตอล หรือจะเป็นนาโน เลยดิจิตอลไปอีกเท่าไหร่ก็ดี ในเชิงของการก้าวหน้า ที่จะใช้ประโยชน์ในชีวิตมนุษย์ แต่มันก็ไม่ได้ยังชีพได้ กินเข้าไปไม่ได้ ชีวิตจะตายชักแหง่กๆ เอา G50 มาให้ จะอยู่รอดหรือ คนเราถ้าเผื่อว่ามีปัญญาจริงๆ รู้ชัดเจนว่า งานนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ในความเป็นมนุษย์โลก คนอย่างวัวหรือควายนี่ มันเห็นหญ้าเป็นสิ่งยอดเลยนะ โอ้โห เป็นสิ่งสุดยอดกว่า คนไม่เชื่อเอาเพชรเอาทองไปให้วัวควายสิ จ้างมันก็ไม่สนใจ เอาธนบัตรแบงค์พันไปกองต่อหน้ามันก็ไม่สนใจ มันก็เห็นหญ้านี่แหละสำคัญกว่าเพราะมันมีปัญญา มันรู้ความสำคัญของชีวิตของมัน คนนี่โง่เท่าควายยังไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ฉลาดเลย ไปหาว่าควายมันโง่ แต่ที่จริงควายมันฉลาดรู้ว่าอาหารมันคืออะไร แต่คนดันไม่รู้ ไม่เห็นสำคัญ
นอกจากไม่เห็นว่าสำคัญแล้วยังดูถูกข้าวแต่ไปให้ความสำคัญกับเพชรกับทอง เปิดกระป๋องกินเข้าไปตายนะ แต่ข้าวนี้กินเข้าไปมีชีวิตรอดนะ ตั้งความตั้งใจตั้งจิตให้ดีให้คิดให้ดีๆ ข้อความสำคัญ อาหารเป็นหนึ่งในโลก หมายถึงทั้งข้าวและพืชพรรณธัญญาหาร เป็นหนึ่งเป็นเอกของมนุษยชาติในโลก ข้าวเปลือกเป็นสมบัติอย่างยิ่ง นี่คือคำตรัสคำสอนของคนมีปัญญาคือพระพุทธเจ้า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก ไม่ใช่ทองคำไม่ใช่เพชรนิลจินดา ยิ่งกระดาษปั๊มขึ้นมาเป็นธนบัตรเป็นใบแทนราคา ต่างๆนานา ยิ่งเป็นเศษกระดาษ เป็นตั๋วจดราคาหนี้สินเอาไว้ แล้วบอกว่าธนบัตรคือสิ่งที่ใช้หนี้สินได้ตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้นถ้าใครมีปัญญารู้ว่า เสร็จแล้วในชีวิตของเรามีข้าวอยู่เต็มแล้วมีพืชพันธุ์ธัญญาหารเยอะแยะ มีกินมีใช้ทุกวันเหลือ แบ่งแจกไม่ต้องขายไม่ต้องแลกเปลี่ยนอะไรมาเลย เลี้ยงเพื่อนฝูงแบ่งแจกไปเลยนี่แหละคือผู้ที่มีปัญญาสูง มีปัญญาสูงส่ง
ฟังดีๆนะ อาตมาพยายามให้คนได้ยินได้ฟังคำพูดที่อาตมาเตือนสติ ให้ฉุกคิด พิจารณาให้เห็นจริงๆเลยว่าชีวิตของคนเรามันจะตั้งอยู่ได้มันจะดำเนินชีวิตมีลมหายใจ ยืดยาวต่อไป มันอะไรไม่สำคัญเท่ากับ อาหาร อาหารเป็นหนึ่งในโลก เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ท่านแปลภาษาบาลีว่า อาหารคือหนึ่งในโลกมันจริงที่สุด ข้าวเปลือกเป็นสมบัติ ข้าวเปลือกเป็นสมบัติอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้เลยในคนมีปัญญา แต่มันก็คนโง่ลงๆไปเห็นความสำคัญของเพชรพลอย จริงอยู่มันหายากในโลกเป็นสิ่งที่สังเคราะห์มาอย่างยาวนานกว่าจะได้คาร์บอนที่เป็นเพชร กว่าจะเป็นโลหะถึงขั้นที่เป็นทองคำ มันใช้เวลายาวนาน และก็หายากในโลก ก็เลยไปหลงกับของหายากนี้ เป็นสิ่งที่มีค่า มีราคาในโลก ก็จะไปหามันทำไมหายาก ไปหามันมาทำไม เอาเวลาเอาแรงงานมาทำสิ่งที่มันจำเป็นปลูกข้าวปลูกผักปลูกพืชปลูกอาหารการกินให้กินใช้กัน
วันนี้มีพลเมือง มีประชากรจากที่ต่างๆเข้ามาที่นี่บ้าง ก็ขอพูดให้ได้ยินได้ฟัง ว่าโรงเรือนนี้ อาคารบวรอาคารนี้ ในเนื้อที่ 11 ไร่ สร้างขึ้นมา เพื่อที่จะให้พวกเรา คนไทย ถ้าอยู่ในย่านนี้ ก็มาอาศัยเลย จะปลูกพืชผักผลไม้ได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอามาขายที่นี่ มาเลยขายฟรี มีที่ตรงนี้ให้ขาย ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตลาดที่จะให้เสียเงินค่าตลาด มาใช้ขายได้ อยากจะให้ประชาชนรู้ว่าที่นี่เป็นตลาด ที่นี่มีประชากรมีคนไทย สร้างปลูกผักพืชผลไม้ต่างๆอันเป็นอาหาร สร้างแล้วก็เอามาแบ่งแจกเอามาขายราคาถูก เอามาแจกกันกิน ให้เป็นพืชพรรณธัญญาหารที่ไร้สารพิษ เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ดี มีสารอาหารที่ดีๆเจริญๆกัน แล้วก็เอามาเป็นที่แจกจ่ายเผยแพร่เกื้อกูลกัน มารับมาแจกมาเอาไปกินใช้ยังชีพกันให้ดีๆ เป็นสถานที่กลาง ที่ให้มาเป็นที่สำหรับตั้งแจกจ่ายค้าขายแบ่งกันขึ้นมากินมาใช้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะหาเงินอย่างที่เขาทำกันทั่วโลก สร้างอาคารขึ้นมาให้มาใช้ฟรี ให้มาใช้ฟรี ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเพื่อเก็บเงินเลย ช่วยกันดูแลรักษากัน สิ่งที่จะเปื้อนเปรอะเลอะเทอะสกปรกจะแตกหักจะพังง่ายก็ช่วยกันดูแลกันเท่านั้นเอง นอกนั้นแล้วก็มาเลยมาใช้ เป็นอาคารที่เป็นประโยชน์ ที่จะค้าขายได้ นี่บอกประกาศไปให้ทุกๆคนรู้ แม้แต่ข้าราชการผู้ที่ทำงานหน้าที่ที่จะจัดสรรประชาชน ให้ดีๆ ที่ท่านบอกว่ารัฐบาลบอกจะมีตลาดประชารัฐ จะมีโรงเรือนตลาดประชารัฐ นี่แหละตัวแท้ที่สร้างขึ้นก่อนดำริของรัฐบาลแล้ว อาคารนี้สร้างขึ้นมาด้วยเอกชน พวกเราเป็นเอกชนไม่ใช่รัฐบาล สร้างขึ้นมาด้วยจุดหมายเดียวกับรัฐบาลที่คิดกันตรงกัน จะคิดก่อนคิดหลังก็ไม่รู้ แต่อาตมาพาทำวันนี้ขึ้นมา ก็ขอบอกไปให้ทั่ว ไปข้างหน้าก็บอกไว้บอกว่าเป็นอาคารที่จะให้เป็นตลาดมาค้ามาขายที่นี่ ไม่ได้มาทำเพื่อหาเงินหาทองอะไรเลย เขียนเอาไว้ เป็นคำพูดจริงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่มีตลบหลัง วันหลังจะขึ้นค่าเช่าไม่มี ไม่มีเลย
ชาวอโศกเรามีไม่กี่คน มีคนน้อยอาคารตั้งเยอะ ข้าวของก็ดีคนจะขายก็ดี มาก็มาอยู่ในที่นี้เห็นมีที่ว่างเยอะอาคารใหญ่ มันยังว่างอีกเยอะเลย คนอโศกก็บอกให้มาประมาณนี้ นานแล้วเป็นปีแล้ว ยังมีมาแค่นี้ ก็ป่าวประกาศไปประชาชนใครอยากจะมาใช้ที่นี่ก็เชิญ บอกให้ทราบกัน อาตมาพูดไปนี้คงจะยากที่จะเข้าใจอาตมาว่ามีใจเกื้อกว้างเผื่อแผ่ประชาชน
มาเข้าสู่เรื่องว่า ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม อาตมามั่นใจถ้าทางการทางผู้บริหารประเทศไม่ไปกังวลมาก เมืองไทยเราจะไม่ไปเป็นเมืองที่ไปแข่งด้านเทคโนโลยีความรู้อุตสาหกรรม อาจจะกลัวขายหน้า ก็เลยไปเสียเวลากับเรื่องเหล่านั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสไว้ชัดเลยว่า เมืองไทยไม่ต้องการก้าวหน้าอย่างยุโรป ไม่ต้องการก้าวหน้าอย่างเขา ขอให้พวกเรานี้สร้างกสิกรรมพออยู่พอกิน ท่านได้ตรัสไว้ชัด ก้าวหน้าอย่างยุโรปนั้นเป็นการก้าวหน้าอย่างถอยหลัง เป็นการก้าวหน้า แต่ในหลวงเราบอกว่าเป็นการถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว เราทำอย่างเราที่ทำกสิกรรม ส่งอาหารออกไปขายอย่างถูกหรือแจกเลย จะเป็นประเทศมหาอำนาจ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม ถ้าเห็นความสำคัญของความสำคัญที่เหมาะสมกับฐานะของเราประเทศของเรา และความรู้ของคนไทยก็เป็นความรู้ที่ทำกสิกรรมได้ไม่ได้เลวเลย ไม่อยากพูดว่าดี แต่ดีจริงๆด้วย ขอให้มาสนใจใส่ใจ อย่าไปมีความคิดวอบแวบเลย
อาตมาพัฒนาชาวอโศก แต่โลกเขาพัฒนากสิกรรมแบบใช้สารพิษใช้ปุ๋ยเคมี จนแผ่นดินจะล้มเหลว ประเทศจะเสีย อาตมาก็มาพัฒนาให้เป็นกสิกรรมไร้สารพิษไร้สารเคมี แค่มาทำไม่นานนะ คนไทยก็เข้าใจ คนไทยก็เปลี่ยนแปลงจากที่ไปทำสารเคมี แต่เพราะอำนาจนายทุนเขาขายสารเคมี เขาขายสารพิษ เขาขายวัสดุพวกนั้นร่ำรวยกันมีอิทธิพล เขาก็เลยยังยืนหยัดยืนยันอยู่ แม้แต่ข้าราชการก็ตกเป็นผู้ที่คอยจะรับเศษเงินจากนายทุนเหล่านี้ ก็เลยเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้ ให้มาใส่ใจในการทำกสิกรรมไร้สารพิษ มันก็ไม่ได้เพราะว่าความร่วมมือของทางราชการทางกระทรวงไม่สำเร็จเขาไปหลงรายได้ของเขา เขาเป็นข้าราชการก็ได้เบี้ยบ้ายรายทาง นายทุนก็เอาเงินยัด เอาเงินใส่มือเป็นรายได้ มันก็เลยไปกันใหญ่
ถ้าเกิดว่าคนไทยเป็นตัวของตัวเอง เห็นว่าไทยเรานี้ ต้องทำกสิกรรมไร้สารพิษ กสิกรรมอินทรีย์ เพราะว่าทำมาแต่เก่าแต่อ้อนแต่ออกแต่โบราณไม่มีความรู้เรื่องปุ๋ยเคมีสารพิษก็ทำได้ เราก็กลับคืนไปสู่ความรู้ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดทำพืชพรรณธัญญาหารกสิกรรมไร้สารพิษนี้ให้จริง ฟื้นมาไม่กี่ปีก็รู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว และก็เป็นไปได้ด้วย ชาวอโศกเราไม่ทำเลยที่จะมีสารเคมี คนที่เห็นดีเห็นด้วยก็เอาตามพอสมควรก็ดีแล้ว แล้วมาทำสิ่งดีๆขึ้น นี่แหละจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรมที่ไร้สารพิษ กสิกรรมที่ไม่ต้องใช้สารเคมี อย่าไปเป็นทาสนายทุนที่มันจะขายสารเคมี ขายปุ๋ยที่มันปรับปรุงมาเป็นสารสกัดสารเร่งโตไวโตเร็ว ก็ไปหลงมัน แต่ระยะยาวแล้วพื้นดินก็เสีย พืชพรรณธัญญาหารของเราก็ทรุดโทรม ไม่ได้เป็นของดีเลย ผสมไปด้วยสารพิษสารเคมีอะไรต่างๆนานา ชีวิตร่างกายก็รับเอาสารเคมีเข้าไปในร่างกายเร็วเกินไปชีวิตร่างกายก็ทรุดโทรม อายุสั้นตายเร็ว เป็นโรคเป็นภัย จะโง่กันไปถึงไหน
เดี๋ยวนี้ลูกหลานก็เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็เรียนกัน แต่ทำไมไม่พยายามฉลาดแต่รู้ถึงรากเหง้า ของที่ไปที่มาอย่างที่ว่านี้ มาทำความฉลาดที่มันถูกต้องที่มันสมบูรณ์แบบให้ดีๆ อย่าไปโง่ถูกหลอกว่าฉลาดนิดๆหน่อยๆ แต่มันไม่ใช่ถาวรไม่ใช่รากเหง้าไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ด้วยวงจรของความเป็นชีวะที่ดีที่สุด
ขอย้ำยืนยันว่า แม้อาตมาไม่เป็นคนมีชื่อเสียงไม่มีตำแหน่งหน้าที่ทางโลกอะไรเลย มาพูดมาบอกพวกเรา เอาล่ะ ชาวอโศกก็เข้าใจรู้ว่าอาตมานี่เป็นใคร มาสอนมาแนะนำมาบอกเรื่องอะไร เห็นด้วยรู้ด้วยศรัทธาเลื่อมใสก็เลยเอาชีวิตมาดำเนินรอยตามที่อาตมาพาทำ จนอาตมาสามารถที่จะทำให้พวกเราเข้าใจว่าชีวิตของคนเราไม่จำเป็นจะต้องไปรวย ชีวิตเป็นคนจนนี่แหละดีที่สุดกว่าคนที่จะบ้ารวยอยากรวย คนจนที่มีปัญญาแล้ว รู้จักความพอ เป็นคนมีวรรณะ 9 อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อยไม่ต้องมักมาก เป็นคนใจพอสันโดษ เป็นคนศีลเคร่ง ขัดเกลา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ขึ้น สิ่งที่ไม่ดีเอาออกไป ขัดเกลาให้เป็นคนที่มีกุศลมีสิ่งที่เจริญ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมดี มีศีล สมาธิ ปัญญาสำเร็จ ปาสาทิโก เป็นคนมีอาการน่าเลื่อมใสอยู่ในสังคม เป็นคนไม่สะสม อปจยะ เงินทองก็ไม่สะสม ข้าวของก็ไม่สะสมสร้างสรร อยู่กับปัจจุบันไป มีสมรรถนะมีความขยัน คนเรามีความขยันกับสมรรถนะสร้างสรร มันก็มีการเกิดมีผลผลิต เสร็จแล้วก็แบ่งแจกกันไปไม่ต้องกัก เก็บกินเป็นของสด ไม่ต้องสะสมหมักหมม มีแต่สดใหม่หมุนเวียนไป ทำไปกินไป เป็นคนเจริญเป็นคนที่ใหม่สด เป็นคนที่ไม่ต้องไปกักเก็บให้หนักหนา จนมีภาระ ไม่ต้อง อปจยะ วิริยารัมภะ ยอดขยัน พวกเราชาวอโศกบรรลุธรรมวรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
มีชีวิตแม้แต่ทำงานฟรีไม่มีรายได้เลย ไม่ต้องมีเงินทองสะสมกินใช้ร่วมกันกับส่วนกลางเป็นสาธารณโภคี อาตมาทำคนให้มีความเห็นมีปัญญาอย่างนี้ แล้วก็มามีชีวิตเป็นอยู่อย่างนี้จริงๆสำเร็จสบาย เป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจไม่ต้องมีเงินมีทอง ทำงานฟรีไม่ต้องสะสมรักษาเงินทองอะไร อยู่กันกินกันใช้ทำกินทำใช้ วันๆก็มีหน้าที่ทำงานกันอยู่ในสังคม มันแสนสำราญเบิกบานใจ เป็นคนปฏิบัติธรรมถูก และมันก็เป็นไปได้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้ามีวรรณะ 9 ที่กำลังพูดถึงนี้ มันสุขสำราญเบิกบานใจจริงๆเลย
เพราะฉะนั้นจะจน ไปกลัวความจนทำไม คนเราสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วมีชีวิตอยู่กับสิ่งแวดล้อมกับเพื่อนฝูง ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งทำเอา
อย่างหมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านสาธารณโภคี เป็นหมู่บ้านที่ อาตมาอายุปูนนี้เพิ่งจะเจอเห็นฟางใหญ่เท่านี้และไร้สารพิษสารเคมีด้วยนะ อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่อุดมสมบูรณ์จริงๆเลย
อาตมาสรุปของอาตมาเองว่าพาคนมาปฏิบัติตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าจนถึงปัจจุบันนี้แล้วอาตมาประสบผลสำเร็จ ประสบผลสำเร็จต่อประเทศ ประเทศไทยเขายังไม่รู้จุดสำคัญ จุดสำคัญของศาสนาพระพุทธเจ้าเขายังไม่รู้ว่า ทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้เอาไปพัฒนาประชาชนคนไทย แล้วจะมาเป็นคนจนอย่างชาวอโศก เขาไม่รู้ของดีนี้ เขาไม่เข้าใจ เถรสมาคมนั่นแหละตัวดีไม่รู้จักอันนี้ ประกาศให้ทางข้าราชการผู้บริหารเข้าใจแล้วเอาไปใช้ เขาไม่รู้ ไม่รู้ก็เลยตีทิ้ง เราก็เอาของพระพุทธเจ้ามาฟื้นคืนให้คนเข้าใจ พวกเราเป็นคนมีปัญญาฟังแล้วเข้าใจ อ๋ออย่างนี้เลย เลยมาเป็นคนแบบนี้เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
คนจนนี่เป็นคนที่ไม่ทำลายเศรษฐกิจ คนรวยคือคนทำลายเศรษฐกิจ ให้ฉิบหาย คนแย่งชิงสมบัติมาเป็นของตัวมากๆ คนอื่นก็ขาดแคลนแย่งชิงฆ่าแกงกัน ขโมยขโจรกัน แต่คนที่มีใจเต็มใจจนรู้จักความจน ก็ไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ไม่ต้องมีตำรวจไม่ต้องมีศาลมาพิพากษาเพราะไม่ได้แย่งกันไม่ต้องขโมยกันไม่ได้โลภโมโทสัน มันเป็นธรรมะเป็นสัจธรรมที่แท้จริงมันลงตัวของมัน เห็นไหมเข้าใจไหม แต่คนไม่รู้จักความจริงก็เลยไปโง่แย่งเงินทองข้าวของสะสมกอบโกย มีตัวกูของกูมากมายขึ้นมากเท่าไหร่ กูก็รวย ดีไม่ดี ไปทำความเลวร้าย เอาน้ำเมาไปมอมเมาคน คนก็แย่งชิงกินเหล้าแล้วก็บ้าฟุ้งซ่านคุมสติไม่ได้ ขับรถตกเหว สังคมชิบหายวายป่วง แต่ตัวเองก็ขายเหล้าเอาเงินเข้าตัวเองคนจะฉิบหายวายป่วงเท่าไรไม่สนใจช่างหัวมันทำไมคนใจดำอำมหิตเช่นนี้ คนที่ทำเอาแต่เงิน แต่คนจะฉิบหายวายป่วงอย่างไรช่างมัน ดูตัวอย่างเดียวคนนี้ใจดำที่สุดเลย โง่ที่สุดด้วย หลงความรวยแต่ทำให้มวลมนุษยชาติเดือดร้อน เข้าใจบ้างไหมอย่างนี้ พอเข้าใจบ้างไหม ว่าตนเองมีพฤติกรรม กรรมอย่างนั้นเป็นบาป ทำให้มนุษย์เสื่อมเสียทุกข์ร้อน ตัวเองได้เงิน นี่ยกตัวอย่างประเด็นแค่ทำน้ำเมา อย่างอื่นอีก การพนันการละเล่นมันเสียเวลาทุนรอน ทำให้คนเสื่อมตัวเองก็เสื่อมด้วย แต่ไม่รู้ไม่มีปัญญาเข้าใจสัจธรรมพระพุทธเจ้า ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ อาตมาก็ไม่โทษใครหรอกโทษมหาเถรสมาคมนั่นแหละ เพราะไม่เข้าใจสัจธรรมพระพุทธเจ้า ตัวเองก็หลงไหลไปตามโลกีย์ไปแย่งตำแหน่งเงินทอง ยังชำระเรื่องเงินทอนเงินทุนทุจริตกันยังไม่เสร็จ
ชาวอโศกอาตมาภาคภูมิใจมาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วนักบวชของชาวอโศกแม้แต่นักบวชหญิงถือศีล 10 ไม่มีใครวุ่นวายเดือดร้อนกับเงินทองเลย นักบวชหญิงของเรา สิกขมาตุไม่มีเงินตัวเองสักบาท มีก็สละออกหมดก่อนจะมาบวช บวชมา 30 40 ปี 50 ปีตายไปแล้วหลายคน ก็อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจไม่ต้องมีเงินทอง เป็นคนปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าสำเร็จ มีความสุขสำราญเบิกบานใจ ตายไปอย่างสุขสำราญเบิกบานใจไม่ต้องมีเงินทอง ไม่ต้องทำพินัยกรรมอย่างโน้นอย่างนี้ คนโน้นคนนี้จะแย่งก็ไม่ต้อง สบายมากเลย
ทิศทางที่ดีอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านวางเอาไว้เป็นแบบอย่างที่ดี ศึกษากันไม่ทะลุ ศึกษากันอย่างไม่สมบูรณ์ก็เลยไม่ได้เรื่อง นักศึกษาให้ดีในธรรมะพุทธเจ้าและปฏิบัติให้จริง มันจะเป็นอย่างนี้ อาตมาเองทำงานมาได้ขนาดนี้ก็ยังอยากจะเห็นสังคมมนุษยชาติ ว่ามันจะเจริญไปอีกได้มากกว่านี้เท่าไหร่แค่ไหน จึงได้พยายามฝืนสังขารอยู่ไม่ยอมตายไม่อยากจะตายง่ายๆ
1.เพื่อพิสูจน์ว่า อาตมามีความรู้อย่างนี้ อาตมาจะพยายามชะลอวัย ยืดอายุขัย ไปอีก ด้วยความรู้ความสามารถจะได้ไหม นี่จะพิสูจน์อันนี้ด้วย
2. จะดูมนุษย์ดูสังคมมนุษย์ ที่ได้เอาธรรมะทฤษฎีพระพุทธเจ้าไปใช้ คนมันจะมีปัญญามารับได้เท่าเดิมหรือจากนี้ไหมเพิ่มขึ้นไหม ในโลกขณะนี้ทั่วโลกกำลังเอนเอียง พอจะเข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมะที่อิสระเสรีภาพ เป็นธรรมะที่ไม่มีตัวตน ล้างตัวตนจนไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่ามาล้างความเห็นแก่ตัว Selfish ได้อย่างแท้จริงเพราะจิตวิญญาณมีปัญญา จิตวิญญาณมีความเฉลียวฉลาด ระดับโลกุตระ จึงทำได้ทำสำเร็จ นี่แหละเป็นสุดยอดของมนุษยชาติ เขาแสวงหากัน คนในโลกเขาก็แสวงหาความรู้ แสวงหาความจริงตรงนี้กัน ไปถามใครต่อใครในโลก ต้องการอิสระเสรีภาพกันทุกคน
คนเขาอยากให้คนเห็นแก่ตัวไหม ตัวเขาเองพอเข้าใจไหมว่าการไม่เห็นแก่ตัวนี้มันดีสุด เขาตั้งหลักตั้งใจฟังตั้งใจทำเพื่อจะเห็นว่า จริง การไม่เห็นแก่ตัวนี้ดี การเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว Selfish นี้ดี คนเราไม่โง่ขนาดไม่รู้สัจธรรมความจริงแค่นี้หรอก แค่นี้แหละมีอิสระเสรีภาพไม่เห็นแก่ตัวและสร้างปัญญาให้จริง เป็นคนมีอิสระไม่มีตัวตน อาตมาพาคนอโศกเข้าใจอย่างมีปัญญาและมาเป็นได้จริง คำว่าอิสระเสรีภาพนี้ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งครบถ้วน เสร็จแล้วก็มาล้างกิเลสตัวตนอัตตา เห็นแก่ตัวยึดตัวตน ซึ่งมันเป็นพลังงานที่บำเรอตัวตน จนมาไม่เห็นแก่ตัวไม่ทำเพื่อตัวตน
การที่เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตนนี้เขาจะไม่ได้อยู่คนเดียว เขาจะมีหมู่ฝูงที่จะไม่เห็นแก่ตัวด้วยกันมาอยู่ร่วมกัน พึ่งกันได้ ศาสนาพุทธไม่ใช่เห็นแก่ตัว แล้วไปอยู่คนเดียวปลีกเดี่ยวเหมือนศาสนาเชน ศาสนาของพระมหาวีระ ออกป่าไปอยู่ป่าเขาถ้ำ เก็บผลไม้รากไม้กินไม่ทำอะไร กินแล้วก็อยู่เฉยๆมันไม่ใช่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม มามีความเกี่ยวข้องกัน ช่วยเหลือเฟือฟายกัน เราถนัดมีความสามารถอะไรที่มันดีก็ช่วยกันทำ ก็เลยเป็นสังคมที่อุดมสมบูรณ์ สังคมที่มีกินมีใช้มีสิ่งที่จำเป็น มีสิ่งที่สำคัญเป็นปัจจัยของชีวิตดีเลย สิ่งที่เป็นพิษก็ยังมีปัญญารู้อีกว่าเป็นสิ่งมอมเมาสิ่งที่เป็นพิษ เลิก ลด ล้างออก อย่าไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับมัน เอาแต่สิ่งที่เจริญทำกันมันก็เป็นความอุดมสมบูรณ์
ชีวิตของคนอาศัยอาหารที่เป็นกสิกรรม อาศัยอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อความทุ่นแรงเบาแรงแก่ชีวิตนั้นมันเป็นรอง แต่อาหารที่เป็นของกินแก่ชีวิตนี้เป็นเอก
เราทำงานอะไรที่เป็นชั้นหนึ่งนั้นดีกว่าชั้น 2 อย่าไปหลงอาชีพที่เป็นอุตสาหกรรมวิศวกรรม กสิกรรมนี้เป็นงานชั้นหนึ่งของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นประเทศไหนก็ตาม ดูถูกกสิกรรม กดขี่กสิกร ดูถูกกสิกร ข่มเบ่งกสิกร มองกสิกรเป็นคนชั้นล่าง ประเทศนั้นมวลมนุษย์นั้นเป็นคนที่โง่ ถ้ารู้จักว่ากสิกรเป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นสูงเป็นคนชั้นที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ อาตมาพูดผิดแก้ให้ด้วยนะ ถ้ามันผิดตรงไหนแก้ให้ด้วย
อาตมาว่าอาตมาพูดถูกต้อง ไม่ได้พูดไปเพื่อด่าใคร แต่พูดสัจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าคนเข้าใจสัจธรรมดังที่กล่าวนี้ก็มาช่วยกัน ยกย่องเชิดชู เมืองไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม ให้มายกย่องเชิดชูกสิกร แล้วก็สอนกสิกรอย่าไปโลภมาก อย่าไปเห็นแก่เงิน สร้างพืชพรรณธัญญาหารที่ให้ดีแล้วแจกคนให้กินไปเลย ให้รู้ซะบ้างว่าเรามีกินมีอยู่เราก็ไม่ตายแล้วใช่ไหม มีข้าวกินมีพืชพรรณธัญญาหาร มันก็จบแล้ว มีเหลือก็แจกจ่ายเกื้อกูลกัน ให้รู้บ้างว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือได้รับการแจกจ่ายจากของเรา มันจะรู้สึกอย่างไรกับเราเป็นผู้แจก มันจะดูถูกเรา มันจะมาลบหลู่เรา มันจะเห็นว่าเราเป็นคนชั้นต่ำเป็นคนโง่ อย่างนั้นหรือ?
เขาก็จะเห็นว่าคนพวกนี้มีประโยชน์ คนพวกนี้มีบุญคุณ คนพวกนี้มีความรู้ความสามารถ สร้างสิ่งที่จำเป็นสร้างสิ่งที่สำคัญเป็นปัจจัยของชีวิตแท้ๆมาเอื้อเฟื้อ เจือจานแจกจ่ายอย่างไม่เห็นแก่ตัวนะ ไม่ต้องไปอยากได้คำชมเชยยกย่อง แต่ทำให้มันเป็นแบบนี้ไป ใครไม่ยกย่องก็ช่างเขา แต่เราได้เป็นประโยชน์คุณค่าต่อมนุษย์แล้ว จะไปต้องการทำไมคำยกย่องเชิดชู เราเป็นคนมีประโยชน์ เนื้อแท้ของสาระ ของคำกิริยาพฤติกรรมของชีวิต เราก็ทำอยากเป็นคนมีประโยชน์ก็จบในตัวของมันแล้ว เราเองไม่ได้ไปอยาก เราก็อาศัยกินใช้ของเรามีอยู่มีกินแจกจ่ายเจือจาน ให้คนอื่นมีกินมีใช้เป็นคนไม่มีหนี้ทั้งทางโลกทางธรรม เป็นคนแสนสุขสำราญเบิกบานใจ
ปากบ่อออกเลย ฟังแล้ว จริ๊งจริงใช่ไหม ปาก บ่ ออกเลย ไม่ใช่ปากกืกนะ เป็นคนพูดเป็นนะ แต่ตอนนี้ฟังแล้วมันจริงจนไม่รู้จะแย้งจะเถียงตรงไหน มันดีจริงๆถูกจริง นี่เป็นสัจธรรมเหล่านี้ ถ้าใครรู้ตัวรู้ภูมิประเทศว่าเมืองไทยเป็นเมืองอยู่ในภูมิประเทศนี้ทำกสิกรรมได้ดี จะทำได้ดีกว่านี้อีก ปลูกพืชพรรณธัญญาหารอะไรก็จะงาม กล้วยตานีออง (กล้วยน้ำว้านี่)
อาตมาเป็นคนอีสานเกิดที่นี่จนถึงอายุ 15 ปีแล้วค่อยไปอยู่กรุงเทพฯนานหลายสิบปี แต่ภาษาเก่าเป็นภาษาอีสานเก่า เมื่อมาพูดนี้ก็เอาภาษาที่ตัวเองจำได้เคยเป็นอีสานเมื่อ 60 กว่าปีก่อน คนยุคนี้เป็นคนสมัยใหม่ เป็นอีสานดัดแปลงภาษาแปลงผสมส่วนไป
อาตมาเป็นคนอีสานและมีอจินไตยหลายอย่าง มีสิ่งที่จะต้องเป็นเช่นนั้น คนอีสานเป็นคนมีคุณธรรม โดยเฉพาะเมืองอุบลนี้ ก็ได้ฉายา จังหวัดอุบลเป็นเมืองนักปราชญ์ ปราชญ์ทางคุณธรรมเยอะ ไม่เจตนาจะสร้างแต่เป็นของจริง
ถ้าจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม ขอยืนยันว่า เป็นความจริง ไทยจะเรืองอำนาจในการสร้างกสิกรรมนี่แหละ เป็นชาติที่เจริญในการทำกสิกรรม ให้มีพืชพรรณธัญญาหารที่ดีจริงๆ
เรามาศึกษาสาระจะทำให้ลึกแล้วเราจะมีชีวิตเดินทางเข้าสู่กันสู่รากเหง้า คนมันเอาสิ่งที่ประโลมโลกหลงไปสู่สิ่งมีที่ไม่ใช่แก่นของชีวิตเดือดร้อนวุ่นวายยุ่งยาก ถ้าคนเรารู้เมืองไทยเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ แดดต่างๆดี มาเป็นเมืองกสิกรรมสร้างกสิกรรมนี้เลี้ยงโลกเลย แล้วเราจะรุ่งเรืองด้วยกสิกรรมเลี้ยงโลก แล้วเราเองเราก็อย่าไปหลงกับสิ่งที่มันจะหล่อหลอมคนมาเยอะแยะเลย หลอกทั้งทางโลกโลกีย์ แม้แต่อุตสาหกรรมแม้แต่เรื่องปรุงแต่งเป็นเรื่องความสวยงามความหรูหราความฟุ้งเฟ้ออะไรอีกต่างๆนานาเลิก จบ มีปัญญา รู้จักความพอความหยุด เราเอาเท่านี้พอแค่นี้ ทำความเจริญอย่างนี้อย่ามาหลอกอีกเลยดำเนินอย่างนี้ไปชีวิตจะเจริญประเทศไทยจะรุ่งเรือง จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:06:19 )
รายละเอียด
611111_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยครบสูตรสาธารณโภคี
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1zhVZh92bzjM4zwBbaPDqeYdC_Z-Ubj222R5WrEovYKA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=15Z8ReEcUFHQoZOHmTd0sk_omAQVGpweV
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เพิ่งจะผ่านงานมหาปวารณามา เรามีตลาดขายเท่าทุนถึงขาดทุนในงานนี้ด้วย มีการฉายประวัติพ่อครูในงาน คนนิยมมาดูกันเยอะ มีเซียมซีอโศกด้วย เป็นเซียมซีธรรมะไม่ใช่เซียมซีเสี่ยงรัก
พ่อครูว่า...ก่อนอื่น ขอโอภาปราศรัยกับที่ส่งมากัน
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน บาปตกอยู่กับใครคนคนไข้หรือญาติที่ยอมให้ตาย
_ผัวเมียคู่หนึ่งเป็นเพื่อนของญาติที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล ผัวเป็นมะเร็งตับปวดมาก ปวดอย่างแรงขึ้นๆ หมอก็มาเสนอแนะบอกสงสารมากจังเลย ทางรพ.มียาตัวหนึ่งฉีดแค่สองเข็ม คนไข้จะค่อยๆหายใจเบาลงและหมดชีวิตไปเอง แต่ต้องให้คนไข้เซ็นยินยอมรับ ไร้ญาติคนไข้ก็เซ็นยินยอมรับด้วย ก็ไม่สบายใจแก่ญาติ อยากทราบว่าบาปนี้ตกอยู่ที่ใคร ผู้เสนอแนะหรือว่าตัวคนไข้เองที่ฆ่าตัวตาย หรือญาติที่เห็นด้วย
พ่อครูว่า...อาตมาไม่รู้ข้อมูลละเอียดที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด สรุปแล้วเจ้าตัวยินดีจะตาย เมียก็เห็นว่าควรจะตาย ญาติที่มาด้วยก็สงสาร ก็น่าจะให้สมใจเป็นไป เพราะว่าก็ดูคำนวณแล้วประมาณแล้ว ว่าไม่มีทางจะหายมีแต่ตายกับทรมาน ก็ให้เลือกเอาทรมานกับตาย 2 ช้อยส์ เห็นแล้วว่าไม่มีทางหาย ก็เลือกเอา คนไข้ไม่ชอบทรมาน คนที่เห็นกับตาว่าทรมานก็ไม่ชอบก็ชัดๆว่าควรเลือกเอาตาย อย่างนี้เป็นเหตุผลที่สมกับเหตุผลชัดเจน แต่คนเราก็มีจิตยึดติดเข้าใจกันตามเคยว่า อย่าไปทำให้เขาตาย การตายการเกิดถ้าเข้าใจแล้วก็คือการเป็นสถานที่ เปลี่ยนร่างกายตัวตนกาละเวลา เปลี่ยนกรรมกิริยาไปแค่นั้นหากเข้าใจสัจธรรมพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่มีอะไรมาก จิตคนไม่มีอคติจิตไม่ดีอยากให้เขาตายก็ไม่มี หรือชิงชังก็ไม่มีแต่นี่อยากให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ใช่อยากให้เขาตายเพราะแดกดันผลักลงไปในที่ต่ำ ไม่มีอกุศลจิตผสมเลย สิ่งเหล่านี้ นัยะละเอียดของชาวพุทธพวกเราศึกษา สรุปแล้วเอาเถอะ อาตมาไปพูดมากก็ไม่ได้เป็นสมณะ ประเดี๋ยวจะอาบัติ ไปแนะนำให้เขาตายก็ไม่ได้ ก็ดูให้สมเหมาะสมควร
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน การทำอาหารอร่อยมากเป็นอบายภูมิหรือไม่
_การทำอาหารอร่อย วิจิตรมาก เป็นอบายภูมิหรือไม่? แล้วการแต่งเรืออย่างวิจิตร ละเมียดละมัยจะเป็นอบายภูมิไหม
พ่อครูว่า...เป็นสำหรับอาหาร
การแต่งที่จะกำหนดเข้าไป เราแต่งเรือนี่ยังไม่วิจิตรพิสดารมโหราฬพิลึกพิลั่นอะไร สู้แต่งเรือหงส์ ที่พายในแม่น้ำเจ้าพระยา สู้ไม่ได้หรอก แม้แต่แค่กับ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จินตนาการสู้เขาไม่ได้หรอก เราก็พยายามทำไปตามประสาเราแค่นี้ ก็โถ ไม่ได้อะไรกันนักกันหนาหรอก แค่นี้ก็กระหืดกระหอบแบกแทบตายอยู่แล้ว จริง ถ้าเผื่อว่าเราไม่ตกแต่งเลยหรือตกแต่งให้น้อยกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ไม่ตกแต่งเสียเลย เราก็เป็นประชาชนเป็นคน เราก็รู้ว่าในโลกนี้จะต้องมีคนที่จะต้องมีอะไรแสดงถึง ความวิจิตร ความตกแต่งอะไรพวกนี้ ไม่ใช่ไปยึดมั่นถือมั่นจนสุดโต่งอะไรเกินไป เราก็มีอย่างพอเหมาะพอควรระหว่างกลาง มากไปเราก็ไม่เอา น้อยไปเราก็ไม่เอา คนจะมองโต่งไปทางไหนก็ได้แต่อยู่ที่คนตัดสิน ประมาณ
สมณะฟ้าไทว่า..อาหารอบายก็ใส่ผงชูรส แต่ของเราหากไม่ปรุงแต่งก็เอาถั่ววางไว้ผักวางไว้ แล้วคนจะกินหรือไม่
พ่อครูว่า..มีขอบเขตที่พอสมควรในพวกเรา หากเห็นว่าพอก็ควรจะมีการกำหนดประมาณ ปโหติ ก็จบกันได้
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยไม่ใช่มีแค่เลือกตั้ง
ตอนนี้ การเมืองหวือหวาฝุ่นคลุ้งเหลือเกิน เราก็ร่วมสมัยกับเขาบ้าง การเมืองเป็นเรื่องอะไรต่างๆนานา อาตมายืนหยัดยืนยันพูดว่า เรื่องประชาธิปไตยมันมีเนื้อหาสาระที่ลึกซึ้งจริงๆ แต่คนเขาไม่เข้าใจที่อาตมาพูด หรือเข้าใจแต่เขาไม่เชื่อว่าควรเป็นอย่างที่อาตมาพูด เขาก็ไม่เอา แต่ขอยืนยันว่าประชาธิปไตยที่อาตมาพูดมั่นใจว่าเป็น แก่นแกนของมนุษยชาติและสังคม ความรู้องค์รวมของอาตมาได้อย่างนี้
ประเด็นที่ 1 ประชาธิปไตยเลือกตั้งนี้ มันไม่เป็นประชาธิปไตย เลือกตั้งนี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยที่ประชาชนเชิญให้ตั้ง ประชาชนเชิญตั้งผู้นั้นๆขึ้นมา ไม่ใช่ไปเลือกตั้งแต่ประชาชนมีกระแสมีเหตุปัจจัยอะไรของสังคม อย่างที่พลเอกประยุทธ์เป็นอยู่ขนาดนี้ พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีของประชาธิปไตยของไทยเกิดจากประชาชนจริงๆ มวลประชาชนจริง อาตมามีส่วนร่วมในมวลประชาชนนี้ ถึงกล้าพูดอย่างเต็มความมั่นใจเลยว่า มันเป็นเรื่องของประชาธิปไตยของมวลประชาชน อาตมาร่วมด้วยไปไล่รัฐบาลไม่รู้กี่รัฐบาลออก มีฤทธิ์มีอำนาจมีอิทธิพลนะ รัฐบาลออกไปจริงๆ โดยพฤติการณ์ของการขับไล่นี้มันเป็น Neo protest เป็นการขับไล่ประท้วงชนิดที่แบบใหม่ ที่จริงมันแบบเก่าวนเวียนมา มันทำไม่ได้แล้วแต่เราทำขึ้นมาได้จึงเรียกว่าใหม่มาก Neo protest ซึ่งเป็นการขับไล่ด้วยความสงบความเรียบร้อยความสุภาพความจริง เอาออกมาย้ำยืนยันทั้งหลักฐานตัวจริงเหตุการณ์อะไรต่างๆนานาเลย เพื่อให้เขาจำนนและเขาต้องจำนน เป็นสัจจะของสัจจะมาสู้กันโดยตรง ไม่ได้เอาอาวุธเอาเขี้ยวงามาสู้กัน แต่เอาสัจจะความจริง เสร็จแล้วเขาก็ต้องพ่ายแพ้ไป จนชนะอย่าง Absolute Ultimate สุดยอดแล้ว
เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์ต้องมาสวมมาสอดพร้อมให้ต่อเนื่อง เพราะเขาอยู่ในฐานะตำแหน่งผู้ดูแลความสงบของชาติ ทั้งตำแหน่งฐานะโอกาสถูกต้องหมดเลย ต่อเนื่องไป ด้วยเหตุปัจจัย เป็นไปโดยธรรม ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 แล้วก็ปฏิบัติตัวเองในหน้าที่นั้นจนประชาชนคิดว่าเป็นนายกฯของประชาชน จนบัดนี้ก็ยังมีกระแสว่านายกฯตู่นี่แหละเชื่อมือแล้ว คนอื่นหากดูเบื้องหลังเบื้องหน้าดูพฤติกรรมแล้วยังไม่เชื่อมือ แต่คนที่ไม่ยอมแพ้เขาก็จะสู้จะแย้งเป็นธรรมชาติของประชาธิปไตยเป็นธรรมดาสามัญ
ฉะนั้นเมืองไทยจึงเป็นเมืองตัวอย่างของประชาธิปไตยที่มีฝ่ายค้าน ประชาธิปไตยไม่ใช่ว่าไม่มีฝ่ายค้าน ประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้านเสมอถ่วงดุลไว้และมีเหตุมีผล ใช้ความรู้ความสามารถอย่างผู้ดี ท้วงกัน เอาเหตุผลหลักฐานความจริงทุกอย่าง เพราะฉะนั้นในความเป็นประชาธิปไตยนี้ มันมีภาษาอยู่ 2 คำคือ มหาอำนาจ กับมหาภิบาล
มหา คือใหญ่ อำนาจใหญ่กับอภิบาลใหญ่
การอภิบาล คือการดูแลอย่างไม่ต้องการเอาชนะ ไม่ต้องการเป็นใหญ่ ดูแลอย่างดีด้วยความช่วยเหลือ แต่อำนาจนั้นมันใช้ฤทธิ์แรง ใช้พลัง จะกดข่ม บังคับก็แล้วแต่ นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องเอาสาระอยู่ที่การอภิบาล เพราะฉะนั้นผู้ใดแสดงสัจจะสาระที่ตรงกับพยัญชนะว่าอภิบาลนี้ จึงเป็นประชาธิปไตยกว่า ถ้าพฤติกรรม การกระทำการดูแลปกครองบริหาร เป็นการใช้อำนาจ มันไม่ใช่ประชาธิปไตย อาตมาว่า ประเทศไทยทำได้สวยทำได้ดีมากเลย ตอนนี้ก็มีการเรียกว่าแย่งชิงก็แย่งชิงต่อสู้กัน ต่างก็อยากได้อำนาจ ตำแหน่งหน้าที่ฝ่ายบริหารปกครอง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติคนเราไม่รู้ตัวหรอก เราจะสู้เขาไม่ได้หรือได้นึกว่าตัวเองแน่กว่า หาเรื่องมาโกหกมดเท็จ เช่นบอกว่า เศรษฐกิจแย่ แต่คุณมีความรู้เศรษฐกิจแค่ไหน อาตมาไม่ได้จบป.ตรี แต่คิดว่าคุยกับนักเศรษฐศาสตร์ได้ พูดกับปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ได้
คำว่าเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ มันหมายความกับประชาชนมนุษยชาติอย่างไร เสฏฐะแปลว่าเจริญ มนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุขเจริญ เจริญด้วยอะไรบ้าง
เจริญด้วยปัจจัย 4 เจริญด้วยจิตวิญญาณที่มีวรรณะ 9 พุทธพจน์ 7 เป็นคนไม่ต้องสะสมกอบโกยแย่งชิง แม้ที่สุดยินดีในการไม่ต้องมีทรัพย์สินเลย แต่อยู่กับหมู่กลุ่มสังคมมีวัฒนธรรมมีพฤติกรรมสังคมอย่างที่เราทำสำเร็จแล้วชาวอโศก เป็นสาธารณโภคี เป็นของพระพุทธเจ้า เอามายืนยันในยุคนี้เลย ในยุคพระพุทธเจ้าก็ทำแต่มีข้อจำกัด ทั่วโลกก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เขาไม่เข้าใจหรอกแบบพระพุทธเจ้า เป็นยุคที่มนุษย์เป็นทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนอะไร สิทธิในข้าวของ ในตนเอง นายทาสเป็นเจ้าของหมด ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะให้ตายก็ได้ ฆ่าไม่ผิดกฏหมาย ประชาธิปไตยในยุคนี้จึงเห็นชัดเจนกว่ายิ่งกว่าในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากเข้าใจสัจธรรมพวกนี้
ความเป็นประชาธิปไตยอาตมาสรุปว่า
1. คนต้องมีอิสระ
2. ในตัวเองของคุณต้องรู้จิตวิญญาณคุณอย่าเห็นแก่ตัว ไม่มี อัตตาตัวตนได้
นี่เป็นเงื่อนไขหลักเลย
3. มีปัญญา ที่รู้จักเหตุการณ์สิ่งแวดล้อม แล้วจัดสรรความเหมาะสมขององค์ประกอบ พวกนี้อย่างนี้ให้พอเหมาะพอดียังมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ไม่มีอคติใดๆ ไม่เห็นแก่ใคร ลงตัวสมดุลพอเหมาะที่สุดอย่างนี้ เป็นประชาธิปไตยจริงๆ
อาตมาว่า เมืองไทยมีความรู้มีทฤษฎีวิชาการพระพุทธเจ้าไว้หมดแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่อาตมาเข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร
อาตมาจึงเห็นว่าโลกจะต้องไปอีกกว่ามันจะบรรลัยจักร กว่าจะถึงกลียุค ฆ่ากันอย่างไม่ไว้หน้า อาตมาเคยอธิบายรูปธรรม คนเก่ง 2 คนสุดท้ายมันจะฆ่ากัน มันทั้งเร็วทั้งไว แม่น เอาปืนใส่มือคนละกระบอก ปืนประสิทธิภาพเท่ากัน ทั้งยิงเร็วไวแม่นเท่ากัน กรรมการเป่าปรี๊ด มันเก่งทั้งคู่ เร็วทั้งคู่ แม่นทั้งคู่ ตายพร้อมกัน โดนหัวใจทั้งคู่(สมณะฟ้าไทว่า..ยกเว้นลูกปืนมาชนกันกลางอากาศก็รอด)
อาตมามั่นใจว่าอาตมาเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย แม้จะไม่มีเครดิตทั้งโลก ก็จะพยายามอายุยืนยาวแล้วจะพูดเรื่องประชาธิปไตยอย่างที่เข้าใจนี้ เพื่อให้นักรู้นักการเมืองนักรัฐศาสตร์นักวิชาการ ที่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตย ฟังแล้วเข้าใจ อาตมาว่าประชาธิปไตยที่อาตมามั่นใจ ว่าเอามาจากพระพุทธเจ้า มันดีกว่าที่พวกคุณเข้าใจ คอนเซ็ปประชาธิปไตยของพวกคุณกับของอาตมามันต่างกัน อาตมาว่าอาตมาอย่างนี้แหละดีกว่า สรุปแล้วคนเดียวมันแสดงไม่ได้ต้องมีรูปธรรมอย่างชาวอโศก เป็นนักประชาธิปไตยที่เข้าใจแนวที่อาตมาเอามาให้พวกเราปฏิบัติประพฤติ พวกเราเป็นนักประชาธิปไตย เป็นหมวดหมู่องค์รวม ที่จะยืนยันไปเรื่อยๆ
การเป็นอยู่ชีวิตของเรามีเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี มีการบริหารปกครองกันเป็นหมู่คณะมาร่วมกันพูดตกลงหรือบรรยายก็ไม่มีอะไรถกเถียง ตีรันฟันแทงขัดแย้งรุนแรงอะไรเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม
“ระบอบการปกครอง”ของมนุษย์
(1) การปกครองมนุษย์นั้น แสนยาก
เพราะมนุษย์หลายจิตหลาก กิเลสล้น
แต่ละชาติต่างต้องพาก- เพียรสุด กำลังเฮย
ทั้งพูดทำคิดค้น เพื่อได้ทางเจริญ
(2) ไม่เกินกว่ามนุษย์รู้ ศึกษา
ทุกประเทศล้วนเสาะหา ทิศก้าว
ตามภูมิแห่งเฉกา ที่ฉลาด สุดแล
ใครไป่ปรารถนาน้าว ชาติให้เลวเลย
(3) แต่เคยสะดุดบ้าง มีไหม
ว่า“ระบอบ”ดีสุดใด นั่นแท้
มี“ทิฏฐิวิเศษ”ไหน สร้างโลกุตร์
ตรา“กฎธรรมนูญ”แล้ เลิศพร้อมเพ็ญพูน
(4) “ธรรมนูญ”พุทธพิสุทธิ์แท้ รู้เถิด
สามหมวด“ศีล”สุดประเสริฐ ยิ่งล้ำ
“จุลศีล”หมวดหนึ่งเกิด อาริยะ- ชนเอย
“มัชฌิมศีล”สองย้ำ ขยายซ้ำละเอียดเสริม
(5) เติม“มหาศีล”เข้าครบ หมวดสาม
ข้อกำหนดห้ามปราม วิเศษนี้
หากใครปฏิบัติตาม พุทธสุด สะอาดแฮ
ไร้“ดิรัจฉานวิช”ชี้ ศาสน์แผ้ววิสุทธิ์ธรรม
(6) กำหนดได้ระบอบนี้ ดีวิศิษฏ์
หลักพุทธแสนสุจริต ประสิทธิ์แท้
ปกครองมนุษย์ชนิด “ธรรมาธิ- ปัตย์”เลย
ชัด“อัตตา-โลก”แก้ ปรับได้โดย“ธรรม”
(7) สัมฤทธิ์“อธิปัตย์”ล้วน พิเศษผล
“ระบอบพุทธ”สัมมาชน สำเร็จได้
มี“ศีล”กำกับคน ตัดกิเลส
“สมาธิ-ปัญญา”ไซร้ ชี้มนุษย์เจริญจริง.
“สไมย์ จำปาแพง”12 ก.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 325 ประจำเดือนสิงหาคม 2560]
ประชาธิปไตยสามเส้า
(1) ทุกชาติต่างเลือกเฟ้น ครรลอง
เป็นระบอบการปกครอง ประเทศไว้
การเมืองเศรษฐกิจสนอง ชนรัฐ ตนแฮ
โชค-เคราะห์ชาติใดได้ ต่างชั้นกันไฉน
(2) “อธิปไตย”อำนาจนี้ คือพลัง
ปุถุชนหลงกันดัง พระเจ้า
ต่างสร้าง“ใส่ตน”หวัง เป็นใหญ่
ลาภยศยกย่องเย้า ยั่วให้แรงคึก
(3) เชิญศึกษาเถิดถ้วน ตำรา
“ไทยนิยม”อย่างราชา รัชชเก้า
“อภิบาล”สุดวิเศษหา ใดเปรียบ ได้เลย
คือ“อธิปไตย”สามเส้า เทิดเกล้าคนสยาม
(4) ตรงตามสัจจะทั้ง ศาสตรา
หนึ่ง“กษัตริย์”-สอง“ประชา” ผนึกเข้า
ผนวกสามอีก“วิญญาณ์” “อำนาจร่วม” กันเฮย
ยอด“อธิปไตย”สามเส้า จิตไซร้เป็นประธาน
(5) ใช่พาล“รวบอำนาจ”ไว้ ใน“ตน”
สิทธิ์ประชาแต่ละคน มอบให้
แก่เราที่เขายล เขาชื่น ชมเอง
มิใช่เราอยากได้ แย่งยื้อมาครอง
(6) ตามสัจต้อง“รับใช้.. ปวงชน”
แล้วประชาแต่ละคน จักให้
ลาภยศยกย่องขน มาข่ม ได้ฤา
หาก“อภิบาล”วิสุทธิ์ไซร้ วิศิษฏ์แท้จึงจริง
(7) ยิ่งใครได้สัมผัสซึ้ง ตรึงใจ
ศาสตร์พระราชาไทย ที่เก้า
หา“ประชาธิปไตย”ใด ไป่เปรียบ ได้เลย
คือ“อธิปไตยสามเส้า” วิเศษไท้ไทสยาม
“สไมย์ จำปาแพง” 16 เม.ย. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 334 ประจำเดือนพฤษภาคม 2561]
ประชาธิปไตยครบสูตร
(1) “การปกครอง”รัฐต้อง ครบสาม
หนึ่ง“มนุษย์”ผู้มีกาม ทุกข์แท้
สอง“กษัตริย์”ซึ่งทรงความ- ประสริฐสุด
สาม“จิตวิญญาณ”แพ้- “โลก”..แพ้“อัตตา”
(2) ต้องศึกษา“จิต”ให้ อุตตระ
“เหนือ”นี้ใช่ว่าจะ ง่ายรู้
จบเปรียญก็ใช่ชนะ “เหนือจิต” ได้เลย
ต้องศึกษาฝึกสู้ กิเลสด้วยวิชชา
(3) ซึ่งหาได้จากผู้ เข้าถึง
“สัตบุรุษ”ที่พึง สัมผัสได้
สอนรู้“จิต”จริงจึึง จักกำจัด กิเลสแล
ตรวจสอบพุทธพจน์ให้้ ถูกพร้อมบริบูรณ์
(4) ไม่พูนกิเลสเพิ่มซ้ำ “จิต”มนุษย์
ต้องพินิจให้พิสุทธิ์ ยากรู้้
กว่าจะสะอาดผุด ผ่องสุด เป็นสัจจ์
“อธิปไตย”จึ่งจักกู้ “โลก”ด้วย“ปัญญา”
(5) คือ“วิชชา”พุทธแท้ “โลกุตระ”
ไม่่ใช่ฉลาด“เฉกะ” แค่นั้น
นั่นฉลาดแบบ“โลกียะ” “เหนือจิต” มิได้เลย
“โลก-อัตตา”นี้หลากชั้น หลอกผู้ปุถุชน
(6) คนจักสำเร็จแท้ ด้วย“จิต”
“อุตตระ”จะพิชิต “โลก”ได้
“ธรรมะ”ชนะชนิด ยอดยิ่ง จริงจบ
ถ้ากำจัด“อัตตา”ให้ หมดเกลี้ยงก่อนใด
(7) “อธิปไตย”ครบสูตรนั้น ใช่ใด
ตัว“อัตตา”ที่อยู่ใน “ดนุ”นี้
“มนุษย์-กษัตริย์”ไม่กระไร กันหรอก
“จิต”ไม่มี“อัตตา”ชี้ “โลก”แจ้ง“อุตตระ”
(8) ประชาธิปัตย์นั้น คือระบบ
ยิ่งใหญ่สูตรครันครบ พรักพร้อม
“วิญญาณ”จักบรรจบ จุดสำเร็จ
“ไร้อัตตา-อิสรา”ล้อม ถักร้อย“อธิปไตย”
“สไมย์ จำปาแพง” 6 ก.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 337 ประจำเดือนสิงหาคม 2561]
อาตมาพูดไปยืนยันไปนี้ครบถูกต้อง แต่คนจะรู้ได้เมื่อไหร่เท่านั้น อาตมาไม่ยอมแพ้และไม่ตายง่ายๆด้วย มันดี ไม่ใช่แค่ว่าอาตมาอยู่ แต่มันดีที่ทฤษฎีด้วย อยู่ยาวๆอย่างไม่ใช่เป็นคนชั่ว แต่เป็นคนดีด้วยทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วย อย่างนี้น่าจะอยู่ แต่ถ้าอยู่อย่างหาเรื่องหาราว ทำความวุ่นวายยุ่งยาก มันควรจะลงเหว
ประชาธิปไตยไทยแบบพุทธ
(1) “ประชาธิปไตย”โลกร้อง เรียกหา
ล้วนแต่หลง“มายา” อยู่แท้
หาใช่ยอด“สัจจา- ธิปัตย์”ไม่
แค่แข่ง“อำนาจ”แพ้- ชนะสู้กันไป
(2) ใครแย่งอำนาจได้ ใหญ่ครอง
ข่มคนอื่นเก่งผยอง เบ่งบ้า
เอาเปรียบโลกทั้งผอง ด้วยกิเลส แท้เทียว
เห็นแก่ตัวกลั้วกล้า ไม่รู้“ตัวตน(อัตตา)”
(3) คนผู้นำไป่รู้ “อำนาจ”
มีแค่“เฉกะ”ฉลาด ยึดไว้
หลงเต็มสิทธิ์ผูกขาด เบ่งใส่ “โลก”เลย
ถือว่า“ตน”ใหญ่ ใช้ อำนาจชี้บงการ
(4) เป็นพาลใหญ่เบ่งกล้าม นักเลง
ใช้“อธิปไตย(อำนาจ)”ข่มเหง บ่รู้
ไม่หัดฝึกตนเอง มี“สติ” ตื่นเต็ม
“ความฉลาด”จึ่งไป่กู้ วิกฤติได้ใดใด
(5) ไม่เคยเรียนพุทธแท้ “โลกุตระ”
มีแต่ฉลาด“เฉกะ” แค่นั้น
นั่นฉลาดแบบ“โลกียะ” พ้นกิเลส มิได้ดอก
“โลก-อัตตา”นี้หลากชั้น หลอกใช้ปุถุชน
(6) คนผู้“เป็นใหญ่”แท้ ที่“จิต”
ตน“ใหญ่”เพราะพิชิต “ตน(อัตตา)”ได้
ไทยชนะชนิดวิศิษฏ์ เอาสงบ สยบอริ
ชนจึ่งมอบ“อำนาจ”ให้ รับใช้ประชาจริง
(7) ทุกสิ่งไทยเลิศพร้อม ครบหมด
มี“อิสระ”สุดใสสด วิเศษฟ้า
“อัตตา”ก็หมดจด ดับสนิท สามมิติ
ฝึก“จิต”จนกาจ”กล้า แกร่งแกล้วคุณธรรม
(8) ไทยสำเร็จหกถ้วน เป็นระบบ
พุทธยิ่งใหญ่ครันครบ พรักพร้อม
“วิญญาณ”ฆ่ากิเลสจบ บรรลุจุด สุดเฮย
“กษัตริย์-ประชา”ล้อม ถักร้อย“อธิปไตย”
“สไมย์ จำปาแพง” 10 ส.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 338 ประจำเดือนกันยายน 2561]
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน นักประชาธิปไตยเบอร์หนึ่งของโลก
เถรสมาคมทำตั้งเท่าไหร่ทำมากกว่าอาตมาเท่าไหร่ แต่ทำสังคมที่มีศีลอย่างชาวอโศกไหม มีสมาธิอย่างชาวอโศกไหม มีปัญญาที่ต่างจากเฉโกไหม แม้แต่ความควบแน่นของชุมชน ชาวอโศกมีความควบแน่นสังคมชุมชนสู้กับทางเถรสมาคมไม่ได้ ชุมชนของเถรสมาคมแต่ละชุมชน อำเภอ เสียดายเรายังรวมเป็นตำบล อำเภอไม่ได้ เช่นจะรวมเป็นตำบลโลกุตระ เช่นมี 8 - 10 หมู่บ้าน เป็นสาธารณโภคีหมด พฤติกรรมเป็นโลกุตระได้หมด แต่นี่มันยังไม่ได้ เราจะทำยังไงให้ กุดระงุมเป็นโลกุตระ ท่ากกเสียวเป็นโลกุตระ แต่คำกลางเป็นคริสต์ ยากหน่อย ทั้งหลายรอบๆนี้เอามาเป็นสาธารณโภคีให้ได้ รูปธรรมพฤติกรรมสังคมจะยืนยันให้เห็นจริง ผู้ศึกษาหาความรู้ก็เอามาตรวจสอบดูสิอยู่กันอย่างไร มีพฤติกรรมกับสังคมอย่างไร ซึ่งมันพูดได้อธิบายได้ พูดทีไรก็โก้ แล้วเขาก็หมั่นไส้มันพูดแค่ความโก้ ทำไมไม่พูดความเลวของมันบ้าง ...ความเลวหายาก แล้วเราจะไปอวดความเลวให้คนเอาอย่างตามทำไม เราต้องพยายามหยุดความเลวอย่าไปพูดถึงและต้องทำให้มันหมดไปจากชีวิต จะเอามาพูดมายืนยันโฆษณาหาเสียงทำไม เอาความดีออกมาโฆษณาหาเสียง ชักชวนให้คนพากเพียรปฏิบัติประพฤติให้เป็นสิ่งนี้ เราเอาความดีมาเป็นสินค้า เอาความดีมาประกาศเอาความดีมาเผยแพร่เอาความดีมาชักชวน เอาความดีมาให้เป็นกัน เหตุอย่างนี้ทำอย่างนี้แล้วจะดีอย่างนี้ๆ เราผิดตรงไหน ไม่ชวนให้คนทำชั่ว ไม่เอาความชั่วมาโฆษณาผิดอย่างไร ใช่ไหม
นี่มันต้องตั้งหลักตั้งใจฟังให้ดี แล้วเราไม่ได้หมายความว่า พูดโก้ แต่ ไม่ได้ทำจริงอย่างนี้ ให้มาตรวจสอบสิ ยถาวาทีตถาการี ยถาการีตถาวาที พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้นไหมตลบตะแลงตอแหลหรือเปล่า ที่พูดนี้ไม่ได้หยาบคายอะไร พูดชัดๆ พูดให้เห็น อาตมามั่นใจว่าเป็นสัจจะที่ดีที่งาม พูดเมื่อไหร่ก็ดี แม้จะพูดเน้นหนักแรงก็เพราะว่าไม่ค่อยจะฟังเลยก็ต้องแรงๆหน่อย ถ้าไม่แรงไม่กระตุกเขาให้หยุดมันผ่านหูไปไม่ฟัง ต้องพูดให้กระตุก มันดื้อ
สรุปประชาธิปไตย ตอนนี้อยู่ในโหมดประชาธิปไตยเฟื่องฟู แล้วมีประชาธิปไตยขี้โกหกเยอะ เราก็ต้องมายืนยันประชาธิปไตยแท้ จะได้ให้คนไปตรวจสอบประชาธิปไตยขี้หลอก ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวเละเทะ เพราะฉะนั้น มาเอาประชาธิปไตยแบบนี้
ขอยืนยันประกาศว่าชาวอโศกเป็นนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลกขณะนี้ ทำเป็นมวลเป็นหมู่พรักพร้อมสอดคล้อง เอาหลักเกณฑ์มายืนยันอีกว่า ประชาธิปไตยพวกนี้มี
1. อิสระเสรีภาพ
2. ล้างอัตตาตัวตน
3. มีจิตวิญญาณเป็นประธาน
4. ยอมรับว่าประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ ประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์ถือว่าเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ขาเก ไม่เต็มเต็ง
5. ต้องมีประชาชน
6. มีจิตวิญญาณที่ต้องเป็นตัวควบคุมตัวฝึกฝนสร้างให้เป็นจิตวิญญาณแสนบริสุทธิ์ เป็นจิตวิญญาณอันสุดประเสริฐเลิศยอดเป็นนิพพานสูงสุด
สมณะฟ้าไทว่า..จิตวิญญาณตัวที่ 3 กับตัวที่ 6 ต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...จะเอาตัวไหนเป็นความรู้ก็ได้ ขาดจิตวิญญาณไม่ได้ในตัวคน คนนี้มีจิตวิญญาณเป็นใหญ่ เทวนิยมบอกว่าจิตวิญญาณเป็นใหญ่แล้วอยู่ที่ไหน บอกอยู่โน่นเป็นใหญ่ บนฟ้าหรือ? ตัวตนเป็นอย่างไรไม่รู้สัมผัสไม่ได้ ทำตามคำสั่งสอนก็พอ อย่าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด ไม่เป็นองค์ประกอบร่วมกับ กาละ ยุคสมัย ใหญ่ตายตัว มันไม่เหมาะสมกับกาละยุคสมัย ดีสุดกับคนอ่อนแอสุดเขาก็ทำไม่ได้ ต้องเอาฐานะแค่นี้ก่อนนะ เด็กไม่เดียงสาก็เอาแค่นี้ก่อนค่อยให้ทำต่อไป จะให้ดีสุดเลิศยอดไม่ได้ ไม่เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ พระเจ้านั้นไม่มีองค์ประกอบยุคสมัยกาละ ที่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
ศาสนาพุทธมีเหตุปัจจัยมีองค์ประกอบมีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ อยู่กับกาละยุคสมัย รายละเอียดของพุทธครบครัน
พูดถึงประชาธิปไตยขณะนี้ ผู้ที่เป็นคนไทย พุทธศาสนิกชนศึกษาให้ดี ศึกษาให้บรรลุธรรมไม่อย่างนั้นเป็นนักประชาธิปไตยที่บาป จะเห็นแก่พรรคพวก เห็นแก่อำนาจ เห็นแก่ตัวเองก็ยิ่งซวย บาป พยายามใหม่ พยายามดีๆ แล้วจะกลายเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่ประเสริฐเลิศยอด
ผู้ที่มีภูมิปัญญา ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจ สังคม มันขาดจากกันไม่ได้ ต้องอิงสาศัยกัน ฉีกทิ้งอันใดอันหนี่งไม่ได้ มันต้องมีครบสามเส้าจึงเกิด cyclic order ความสมบูรณ์อยู่รวมกันเป็นหน่วย สังเคราะห์สังขารกันอย่างเต็มบริบูรณ์ไม่อย่างนั้นมันแหว่ง ไม่ครบครัน
ที่อาตมานำเสนอนี้เป็นสุดยอดประชาธิปไตยควรจะต้องหันมารับเอาระบบนี้ อาตมาใช้ภาษาใหม่ว่าบุญนิยม เพื่อให้ไปเทียบเคียงเป็นธรรมะ 2 กับทุนนิยม ให้เปรียบเทียบทีละขั้นทีละคู่ บุญนิยม บุญเป็นไปเพื่อละกิเลสหมดความเห็นแก่ตัว แต่ทุนนิยมเป็นไปเพื่อกิเลสเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ที่พูดให้รู้สภาวะจริงอย่างที่จะมาพูด ก็ต้องมาศึกษา
อาตมาต้องขอบคุณพวกเราแต่ละคน มาเรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้าแล้วก็ได้มรรคผล จนกลายเป็นมวลสังคมกลุ่ม มีพฤติกรรมสังคมประพฤติปฏิบัติอยู่ในโลก ให้เห็น แม้ได้เท่านี้ เพราะว่ารัฐบาลก็ไม่ได้ส่งเสริม เถรสมาคมก็จะเอาให้ตาย แต่เราเป็นแมว 9 ชีวิต สุดท้ายเขาก็จำนน ไม่ยอมระรานแล้ว เกิดปัญญาเกิดความเห็นจริงว่า เออ ให้มันดิ้น อโศกให้มันดิ้นเถอะแต่เขาไม่เคยมาร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมอะไรหรอก ก็ไม่เป็นไร อย่ามาต้านอย่ามาทำร้ายทำลายก็ดีแล้ว
มั่นใจว่าคนจะมาเอาบุญนิยมทั้งโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทย อาตมาไม่ใช่ติดว่าต้องไทยไม่เอาประเทศอื่น เดี๋ยวจีนจะมาเอา ไม่นานอินเดียก็มาอีก ทีนี้ล่ะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)หรืออื่นๆไม่ว่าจะยุโรป ตะวันตกจะมาเอา เพราะ สัจธรรมที่ดีกว่า
1. ความทุกข์มันมากขึ้นมันหนักหนาสาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันหนัก มันไม่อบอุ่น ไร้ความไว้วางใจกันหวาดระแวงกันมากขึ้น ทำร้ายกันทั้งหยาบคายซ่อนแฝงสารพัด ทุจริตทั้งหยาบทั้งอำพรางปิดบังไปไม่รอดหรอก
2. ทรัพยากรของโลกก็ร่อยหรอลงไม่พอกินพอใช้
3. ไม่มีทางเลือกอื่นดีกว่านี้แล้ว
4. มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดในยุคนี้เป็นการยืนยันได้แล้วเป็นอยู่จริง ใครจะออกจากอโศก
5. ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด
อาตมาว่า มันตรงกับธรรมะพุทธเจ้าเป็นระบบที่ยั่งยืน “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” พิสูจน์ด้วยกาละเวลา เขาว่า ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน สุดท้ายก็ต้องเชื่อ มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นแล้ว อะไรทำขนาดนี้แล้วมันก็ยังไม่เปลี่ยน งั้นเราตายก่อนเถอะ เขาจะตายจากไป เขาพิสูจน์อยู่ไม่ไหวแล้ว เราตายไปแล้วมันยังไม่เปลี่ยนแปลง เกิดมาอีกอโศกมันยังอยู่ เขาจะเจอจริงๆจริงไหม พวกเราจะอยู่ข้ามชาติไปเลย ก็ตอนเป็นๆนี้เราจะอยู่ ตอนนี้คนจะมาต่ออายุให้อาตมาถึง 200 ปีแล้ว เขาตายหลายรอบแล้วเกิดมาต้องเจออีกเขาก็ต้องจำนนจนได้
อยู่ในหนังสือสรรค่าสร้างคน อัพเดทใหม่มี 8 ข้อ
อาตมาพูดและเสนอไม่ใช่เรื่องมุขขึ้นหรือหลอกลวง อาตมาเสนออย่างที่อาตมาเป็นใครมีสัจจะแค่ไหนไม่ได้เทกระบะใส่ แต่ให้เป็นลำดับไม่ได้ทำอะไรเกินการ เกินควร ทำอย่างเกรงใจก็ทำไป ยืนยันพิสูจน์ความจริงจนกว่าคุณจะเชื่อว่า อ๋อ อาตมานำธรรมะพุทธเจ้ามาด้วยและเอาตัวเองตัวจริงมายืนยันด้วยว่า อาตมานี้เป็นคนที่ได้สั่งสมความรู้ สังคมความจริง สั่งสมความดีงาม มาจริงๆ แล้วก็เป็นตัวบุคคลจริงอย่างนั้นจนมาเกิดในยุคในสมัยนี้ มายืนยันแล้วมาขยายอธิบายทฤษฎีต่างๆ จนมีคนมีปัญญาอย่างพวกชาวอโศกรู้แล้วมาปฏิบัติตัว แล้วก็มากันจนกระทั่งเกิดขนาดนี้ แล้วก็รวมตัวกันมีพฤติกรรมซ้อน พอเราได้แล้วพวกเราก็แสดงออก พฤติกรรมเป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ เป็นคนมีความเสียสละสร้างสรร เป็นคนมีน้ำใจเกื้อกูลผู้อื่น ก็แสดงความจริงกันจริงในสังคมขณะนี้
คนที่มีความจริงของตนเองจริง มันก็เป็นจริงที่แสดงออก มันไม่มีปัญหาอะไร คุณจะมีมากมีน้อยมันก็ออกมาทำความสำนึกของคุณ คุณมีน้อยแต่เสแสร้งบอกคนอื่นเหมือนกับทำมากเป็นพฤติกรรมหลอก อาตมาว่าพฤติกรรมของคุณแสดงออกมาดี แต่ใจจริงคุณยังเป็นไม่ได้ถือว่ายังหลอก มันก็เป็นผลต่อผู้อื่น อาตมาก็ว่ายังดีนะ คุณยังมีอะไรแฝงว่าอันนี้ทำดีหลอกข้างนอก แต่ข้างในมีกลเม็ดมีวิธีการหลอกล้วงตับกินไส้ หรือว่าจะดึงให้มาเป็นพวกเป็นพรรคมาอยู่ใต้อำนาจอันนั้นสิมันเลว แต่คนที่ไม่ได้มีอันนี้แฝง รู้ว่าข้างในเรายังดีไม่บริบูรณ์แต่ข้างนอกมันดีคืออย่างนี้คุณทำไปเลย ใช่ไหม มันไม่ได้เสียหายอะไรนี่ จะบอกว่าไม่จริงใจ ก็ใจมันยังเป็นไม่ได้แต่ข้างนอกมันดีแล้ว มันดีแต่ข้างนอกก็จะเป็นไรไป ก็เอาก่อนสิ แต่ก็พยายามล้างให้มันเป็นจริงตรงกับข้างนอก เพราะจริงๆแล้วอาตมาสรุปแล้วว่าความจริงต้องให้คนอื่นรับรอง ความจริงไม่ใช่ไปยัดเยียดให้คนอื่นรับรองเรา ความจริงต้องให้คนอื่นรับรองว่าอันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง มันก็จะจบในตัว เราก็ยืนยันว่าจริงคนอื่นก็รับรองจริง แต่คุณบอกว่าคุณจริงแต่คนอื่นไม่รับรอง แล้วมันจะได้เรื่องไหมนี่ คนอื่นบอกว่าไม่ใช่ไม่เอา อย่างไรล่ะ ก็ต้องทะเลาะกันตีกันแหละไปจนตาย เพราะฉะนั้น คนอื่นรับรองนี่คือจริง ไม่ใช่เราไปยัดเยียด ไปบังคับ ไปประจบประแจงเอาลาภล่อ จริงครับนายใช่ครับท่าน ไม่ใช่ คุณต้องจริงใจเลยว่าอันนี้แหละใช่ ไม่ใช่เอาเงินเอาทองมาฟาดหัว ไม่ใช่ ภูมิปัญญาคุณมีเท่าไหร่จึงยอมรับ ไม่มีอำนาจอื่นมาแฝง นี่สุดยอดแห่งมนุษยชาติ
อาตมาพูดไปคร่าวๆนะ ยังไม่ได้ละเอียดหมดนะ อาตมาว่าจะต้องอยู่พิสูจน์ยืนยันสิ่งเหล่านี้ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นอาตมาจึงต้องอยู่ต่อ ก็มีคนอยากให้อยู่ไป มาช่วยดูแลสุขภาพร่างกาย เขาก็มีสูตรต่างๆ มาช่วยระดมมา จะมาช่วยกดจุด จะมาช่วยนวดจะมาช่วยดูแลจะมาช่วยจัดการอันนั้นอันนี้บกพร่อง ก็ขอบคุณ อาตมาก็ต้องใช้วิจารณญาณของตัวเอง จะว่าไม่รับก็ไม่ได้นะ บางทีมันมากไปถ้ารับไปตายก่อนเลยมันจะเยอะเกินไป ใช้อาตมาเป็นสนามรบตีกัน มีสิบทัพรบในร่างอาตมาก็ตายก่อน เอาแต่พอเหมาะอย่าให้มารบกันนักในร่างกายอาตมา
ก็สรุปลงมาง่ายๆนิดหนึ่งว่า คุณต้องเข้าใจสาม อะ
1. อธิปไตย 2. อภิบาล 3. อภิปัญญา
อธิปไตยเป็นพลังงานคนก็อยากให้มีเยอะ แต่ต้องมีเงื่อนไขว่าพลังแรงนี้เป็นพลังงานอะไร ต้องเป็นพลังงานที่มีคุณภาพดี ผู้มีปัญญารู้ว่าพลังนี้เป็นพลังงานที่มีคุณภาพดี ไม่เห็นแก่ตัวไม่เพื่อตัวตน ไม่เพื่อพรรคพวก ไม่เพิ่มหมู่ฝูงของตนเท่านั้น เพื่อคนอื่นอย่างสุจริต ไม่มีอคติเพื่อมวลมนุษยชาติ ต้องมีปัญญารู้ความจริงและเป็นให้จริง ด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นอภิบาล
อธิปไตย อภิบาล อภิปัญญานี้จริง 3 อย่างนี้
ส่วนอภิปโมทยังเป็นจิตยินดี อย่างไม่โลกีย์หลงระเริงนะ แต่เป็นจิตยินดีที่เป็นโลกุตระ อย่างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจนี่แหละ เป็นภาษาใหญ่และหยาบหน่อย แต่ที่จริงก็ อภิปโมทยังจิตตัง แต่ความจนสุขสำราญเบิกบานใจนี้ไม่เป็นโทษเป็นภัยต่อคนอื่นมีแต่ประโยชน์ พฤติกรรมมีแต่สิ่งที่ดีงามสิ่งที่เจริญเป็นสุดยอดวิเศษ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าในทางสังคม เกี่ยวข้องกันระหว่างมนุษยศาสตร์ เราจะมีปัญญา เราจะมีสิ่งที่เจริญวิเศษ เอาสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่สูตรมาขยายความก็ได้ ตั้งแต่ จรณะ 15 วิชชา 8 ศีล สมาธิ ปัญญา จนถึง โพธิปักขิยธรรม 37 ไล่เรียงมาเลย สอดร้อยถึงปฏิจจสมุปบาท หากเข้าใจสภาวะธรรมในพยัญชนะเหล่านั้นแล้ว เอามาเป็นต้นเค้าของสูตรหลัก มูลสูตร 10 อย่างนี้เป็นต้น
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) คือความยินดีความต้องการความประสงค์ความปรารถนาว่าอันนี้ดีนะ นำจิตใจเรา ไม่มีใครบังคับคุณหรอก หากไม่มีฉันทะมันก็เฉย แต่หากมีฉันทะก็ อ๋อ อย่างนี้ดี กลุ่มหมู่นี้ มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีใครพอคุยรู้เรื่องเข้ามาในนี้อย่างฉันทะแล้วมีมนสิการ
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) เป็นตัวต้นทางแห่งการเกิดทุกอย่าง จะเรียกว่าพระเจ้าจะเรียกว่าแดนสุขาวดี จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นต้นทางแห่งที่เกิดเลย คืออะไร คือมาทำใจของเรา ใจของเราจะเป็นทั้งสถานที่จะเป็นทั้งวิญญาณจะเป็นทั้งอะไรทุกอย่างเลย จะเป็นทั้งตัวบุคคลจะเป็นทั้งทฤษฎีต่างๆ คือใจนี่แหละมาทำที่ใจนี่ มนสิการ ทุกวันนี้โยนิโสมนสิการ ไปแปลว่าพิจารณาให้จริงเข้าใจ ไม่เน้นที่การทำที่ใจ นี่คือความผิดเพี้ยน โยนิโสมนสิการก็ไปปรับที่ ความนึกคิด ความเข้าใจ ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่ ต้องทำที่ใจของเราให้เปลี่ยนแปลงอย่างถ่องแท้ ตามที่เรารู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วทำให้ใจมันเปลี่ยนแปลง จึงเรียกว่ามนสิการเป็นแดนเกิด แล้วมีสัมผัสเป็นสมุทัย
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) การปฏิบัติต้องมีสัมผัส ต้องมีผัสสะ เป็นเหตุให้เกิดการปฏิบัติ ถ้าไม่มีการสัมผัสเป็นเหตุ ต้นเหตุแห่งการปฏิบัติ การประพฤติการทำจนกระทั่งเกิดรู้เหตุที่จิตใจมันตกต่ำ เรียกว่าสมุทัยอริยสัจ แล้วฆ่า เปลี่ยนแปลงตัวกิเลสตัณหานั้นอีกทีหนึ่ง สมุทัยภาคมรรค ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยในการปฏิบัติ ไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นโยนทิ้งนอกเขตเทศบาลศาสนาพุทธ ไม่ใช่ เข้าใจให้ดีเช่นในมูลสูตรพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปหลับหูหลับตา ถ้าทำอย่างนั้นถูกก็ต้องทำให้คนตาบอดหูหนวก ในอินทริยภาวนาสูตร
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) การปฏิบัติต้องปฏิบัติที่เวทนา 108 ความสุขความทุกข์ก็อยู่ที่นี่แหละ ต้องทำให้เป็นเนกขัมมะ เป็นการออกจากกิเลส จนกระทั่งมีฐานอุเบกขาเป็นฐานเวทนาที่เป็นฐานนิพพาน เป็นฐานความบริสุทธิ์ สภาวะจิตสภาวะธรรมต่างๆ คุณถึงขั้นไหม คุณทำได้ไหมรู้จักอาการของเวทนาไหม อาการของกิเลสที่มันร่วมปรุงแต่งอยู่กับเวทนา อาการนั้นไม่มีแล้ว คุณได้ละเอียดละออตรวจสอบอาการต่างๆเป็นไหม อาการของการเคลื่อนไหวในจิตของคุณนั้นมันมี จนมันเอาออกได้หมด เวทนาไม่มีอาการของโลกียะของกิเลสต่างๆ สะอาดบริสุทธิ์เป็นอาการที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเอาออกมาข้างนอกได้ หรืออาการอยู่ข้างในจิต คุณก็ตรวจสอบเวทนาที่เข้าไปถึงฐานจิตทำได้แข็งแรง ทำได้บริสุทธิ์สะอาด เป็นเวทนาบริสุทธิ์ ก็ได้สั่งสมตกผลึก ผนึกเป็นแก่นแกน เป็นจิตตั้งมั่น เป็นสมาธิ
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่สมาธิหลับตา เป็นสมาธิที่มีผัสสะ สมาธิรู้จักจิตแล้วทำจิตมนสิการ มันจึงจะเกิดสมาธิแบบพุทธ มีสติ เป็นอำนาจพลังช่วยมีปัญญาเป็นคู่ช่วย
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
สติกับปัญญาเป็นคู่ช่วยทำให้เกิดความบริสุทธิ์ไปเรื่อย หยั่งลงตั้งลงรวมลงเป็นสมาธิอันบริสุทธิ์สะอาดหมดจดแข็งแรงตั้งมั่นเป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นวิมุติสองส่วนเป็นแก่นสารสาระสมบูรณ์แบบธรรมะ 2 มีทั้งเจโตและปัญญาครบทั้งหมด มีอุภโตภาควิมุติ บริบูรณ์หมดอาสวะ อนุสัย ไม่ใช่แค่อาสวะบางอย่างสิ้น แต่นี่อนุสัยก็ยังหมด เป็นบุคคลที่ไม่เกิดไม่ตาย เป็นอมตะ
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นการทำความเกิดความตายทางจิต ในที่สุดทำความเกิดความตายทางร่างกาย เราจะตายอายุเท่านี้ เราจะเกิดอายุอายุเท่านี้ได้ หรือเราไม่แล้ว เราจะอายุยาวกว่ากัปป์ก็ได้แต่เราอายุแค่ 80 ทำสัญญาณให้เธออาราธนาตั้งหลายครั้งแล้ว 16 ครั้ง ตอนนี้มาขอก็ไม่อยู่ จนกระทั่งตัดสินจะปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วยังจะอาราธนาให้อยู่ต่ออีก สายไปแล้ว
คำว่าอมตะจึงไม่ใช่เรื่องพูดเล่น มันเป็นจริงเป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องเป็นไปได้ จะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ อาตมาจะอยู่ไปถึง 151 ปี อย่างปราดเปรียวแข็งแรงด้วย
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
จะอยู่เพื่อพิสูจน์ความจริงที่ทฤษฎีที่เป็นไปได้ยาก แต่มันก็เป็นไปได้ จึงเรียกว่าปาฏิหาริย์ มันเป็นไปได้แต่มันเป็นไปได้ยาก ไม่ใช่เรื่องลึกลับแบบอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์นั้นด้วย แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์พึงมีพึงเป็นศึกษาได้เป็นได้ และเป็นประโยชน์ต่อตนต่อโลกด้วย แต่อิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์มันเป็นเรื่องไร้สาระไม่เข้าท่าหรอก จึงจะพิสูจน์เป็นมนุษย์อมตะ จากนั้นแล้วจะตายหรือไม่ตายก็เรื่องของท่านจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ไม่มีปัญหา ยืนยันสิ่งต่างๆเหล่านี้
สมณะฟ้าไทว่า...สรุปจบ
พ่อครูว่า อาตมาพยายามสร้างคนให้เป็นอรหันต์เป็นอนาคามีเข้าไปบริหารประเทศ แล้วคนจะยอมรับเข้าใจได้
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:07:14 )
รายละเอียด
611112_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราขฯ ครั้งที่ 24
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1fIZFS7R6nRPIe7VeWaKUy22KXdVwmln3Oyc9skM9hg4/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1TDdrKJeu3pjZfjJkNbsbi-CW1EqZ_lDu
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
SMS วันที่ 9-11 ตุลาคม 2561
_1614ฝรั่งบอกว่า แม้คุณ เปนลูกพีชที่หวานที่สุดในโลก ก็ยังมีคนไม่ชอบอยู่ดี เพราะความอร่อย มัน subjective ...ความเชื่อ ความชอบ ก็เหมือนกัน ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า.
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน หลับตาแล้วยังเห็นแสงสีคือมีอุปาทาน..เราเรียนรู้กันตรงสมมุติที่ยึดที่ติด จะบอกว่า Subjective ก็ใช้ มันไปยึดเอาไว้เป็นเราเป็นของเราไหมล่ะ มันไปยึดก็มี ก็ไม่วางก็ไม่ปล่อยเท่านั้นเอง คนมีภาพในความคิดนึกจะรู้ได้ว่ามันมีนี่มันปลอม มันมีที่ตาเห็นเป็นรูปเสียงก็ไม่มีให้ได้ยิน ข้างนอกมี แต่ข้างในไม่มีหรอก ในภพไม่มีอะไร คนที่ไม่มีภพชาติแล้วหลับตาเข้าไปก็จะมืด ถ้ายังมีแสงไฟก็จะมีวามๆ แต่คนที่มี ก็จะมีแสงสีแดงสีเหลืองเขียวอะไรนี่ปลอมทั้งนั้น ปรุงเอง เป็นสเปกตรัมของตัวเอง สร้างอยู่ในภพชาติ จริงๆมันไม่มี ยิ่งไม่มีแสงอะไรเลย ยิ่งดับมืดๆธรรมดา ไม่มีอะไร ใครหลับตาแล้วยังเห็นแสงสี บางทีเป็นแสงสว่าง อยู่ไกลก็ได้เข้าใกล้ก็ได้แสงสว่างรวมตัวดวงเล็กดวงใหญ่ก็ได้ เขาก็นึกว่าเก่ง ที่แท้ เล่นกลปั้นรูปร่างตัวตนให้มันมีตามที่ตัวเองให้เป็นแล้วก็สำเร็จด้วยจิตเรียกว่ามโนมยอัตตา แล้วก็หลงความไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่มันไม่มีแล้วทำให้มีและไปยึดความมีที่มันไม่มี จริงๆแล้วต้องวิจัย เขาก็มีของเขา เท่านั้นเอง คนไม่มีนี้จะไม่ไปสงสัยคนที่มี แต่คนที่มีนั้นที่ยังไม่ชัดเจนแน่ใจว่าไม่มีมันเป็นอย่างไร ยังมีภพชาติมีแสงสี หลับตาแล้วมีแสงสี จริงๆแล้วแสงสีอยู่ที่ลืมตา หลับตาแล้วไม่มี ที่เป็นแม่สี 7 สี ม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง ก็อยู่ใน จริงๆแล้วพิสูจน์แล้วว่าไม่มี หากหมุนเร็วๆสีก็เป็นสีดำ แสงก็เป็นสีขาว วิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้ว ยิ่งวิทยาศาสตร์ทางภูมิปัญญาพระพุทธเจ้าพิสูจน์มาแล้ว
_3867ขอบคุณบุญนิยมฯกับเพลงโลกุตระกับวงฆราวาส วงดนตรีชาวมังสะวิรัติล้วนๆ วงไร้อบายฯปลอดมึนเมาวงเดียวในพุทธสยาม!แฟนเพลงสัจจะชีวิตพ่อครูฯสาธุ
_ไอดิน เพียงพอ · สถานที่งดงามสงบร่มเย็นมากค่ะ
_ลานไพร · ครั้งแรกในชีวิตครับ ร่วมทำวัตร ออนไลน์
_พรชมภู วรชินา · สัญญาณไม่ดีครับติดตลอดเลย(ทำวัตรเช้าวันพฤหัสที่ 9)
พ่อครูว่า...ของอโศกก็เป็นอย่างนี้ ขออภัย ต่อไปก็คงจะดีขึ้น
_นพดล ทองโคตร · กราบนมัสการพ่อครูครับ ข้าฯน้อยขอน้อมนำธรรมะเข้ามาในจิตเพื่อความดับทุกข์ขอรับ ข้าฯน้อยไม่ได้ไปลงทะเบียนร่วมงานที่บวรราชธานีอโศก สนใจหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม1 มาอ่าน จะทำอย่างไรดีครับ
พ่อครูว่า...บอกที่อยู่มาจะส่งไปให้ถ้ามารับเองที่นี้ได้ก็ดี ใกล้ที่ไหนที่เรามี พุทธสถานสังฆสถานก็มีที่นั่นอยู่แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน สมถะหรือวิปัสสนาในความไม่เที่ยง
_พราวพุทธ "รบกวนพ่อครูอธิบายวิธีพิจารณาความไม่เที่ยงของกิเลสด้วยค่ะ
ทราบมาว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ 4 วิธีด้วยกัน แต่สมณะที่พูดถึงเรื่องนี้ท่านจำได้แค่ 3 วิธี คือ
ใช้วิธีสมถะ, เบี่ยงเบนกิเลส, และวิปัสสนา
พ่อครูว่า..นั่นมันอนุปัสสี 4 หรือเปล่า
เห็นความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี เห็นความจางคลายของกิเลส วิราคานุปัสสี เห็นความหมดไปของกิเลส นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำทวนซ้ำไปมาให้แน่ใจ
ไม่ว่าจะเป็นสภาพความไม่มีตัวตนของกิเลส หรือรสอัสสาทะ รสชาติที่บำเรออารมณ์ของกิเลส กิเลสเป็นเหตุพอได้สมใจก็เป็นผล มันไม่มีทั้งนั้นก็ไม่มีทั้งเหตุทั้งผล มันสูญ ที่จริงแล้วมันไม่มีในจิตของเรา เราไม่มีตัวเหตุที่มันอยากจะได้ หากได้มาสมใจก็เป็นผลอะไรเพื่อความสุข มันว่างทั้งเหตุและผล จิตมันว่างๆกลางๆเฉยๆมันรู้ความจริงตามความเป็นจริง
อันนี้แดงก็แดง ไม่ได้เกิดอารมณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่มันซ้อนที่ว่า มันเคยจำได้ไหมมีความรู้ คนนี้เขาถือว่าแดงมันสวย ถ้าไปเทียบกับเหลืองก็เหลืองไม่สวยเท่าแดง เขาสมมุติกันอย่างนี้ คือบางคนอาจจะสมมุติอย่างอื่นเหลืองสวยกว่าแดง เราก็รู้ โดยไม่ได้ลงผิดทิศทางงงไปตามเขา ไปยึดตามเขา รู้ความจริงตามความเป็นจริงที่มันมีมันเป็น ทั้งบุคคลที่เขายึดติดอยู่ในโลกอย่างนั้นอย่างนี้ ยึดมากน้อยแรงหนัก ยึดจนต้องแย่งกันฆ่าแกงกันชิงกัน ก็คนแต่ละคนเขาเป็น เราไม่ได้เป็นสิ่งนั้นเราก็รู้จริงตามความเป็นจริง
ก็ที่เขายกตัวอย่าง วิธีสมถะ, เบี่ยงเบนกิเลส, และวิปัสสนา
คำว่าสมถะเป็นความหมาย 2 นัยยะ โลกียะก็ได้โลกุตระก็ได้ โลกียะก็สงบแต่ไม่ใช่โลกุตระ กลับคืนวนเวียนไปมาได้มันไม่สงบมันสงบแล้วมันก็ไม่สงบอีก แต่สมถะของโลกุตระนั้นสงบแล้วสงบเลยมันไม่มีตัวเหตุของกิเลสขึ้นมา ไม่มีตัวกิเลสอีก มันหยุดจบสงบ จะเจออะไรขึ้นมาอีกแปลกแตกต่างให้เปรียบเทียบ เราก็ยังอยู่ฐาน ตัวอะไรแปลกแตกต่างเป็นโลกียะมากน้อยอย่างไรเป็นสมมุติอย่างไร มีลีลา มีความปรุงแต่งอย่างโน้นอย่างนี้ อธิบายไปอย่างโน้นอย่างนี้ เข้าใจภาษาเข้าใจตามสภาวะ ภาษาบางทีก็ไม่เข้าใจแต่เรารู้สภาวะ
บางทีรู้ภาษาก่อนยังไม่มีสภาวะได้ก็มี เราก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่เขาจะมีความสุขความทุกข์อย่างไรก็เป็นเขาเราไม่มีก็จบแล้วก็มีเขาก็มี ถ้าอยากจะรู้ก็ไม่มีแบบเขาแล้วก็ต้องมาล้างอีก จะไปมีทำไม
ในความหมายที่คุณแพรวพุทธบอกมาคือความไม่เที่ยงของกิเลส ไม่มี 4 วิธี จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียกว่าสมถะ สมถะมีสองนัย แต่พระพุทธเจ้าท่านเรียกความสงบแบบปัสสัทธิ ไม่ได้เรียกความสงบแบบสมถะ
สมถะก็สงบแต่เราก็สงบได้ รู้นัยยะหมายถึงอย่างนี้นะ แต่ถ้าปัสสัทธิ เป็นนัยยะของศาสนาพุทธมากกว่าสมถะ หรือมีอีกเยอะ คำว่าสงบเช่นคำว่าสันติ คำว่าวิเวก คำอื่นๆอีกสันตาก็สงบ ก็รู้อาการที่มันเป็นหนึ่ง อาการสงบมันเป็นอย่างไร
สงบนี่ภาษาไทยนะ สงบหรือสงัด มันไม่กระดุกกระดิก ฟังง่ายๆ มันไม่เคลื่อน แต่นิ่งทึ่มมืดบอดนี่ไม่รู้อะไร แต่นี่รู้ดีว่าอาการจิตของเรามันไม่เคลื่อนไปตามที่เขาสมมุติต่างๆมันไม่เป็น ไม่มีอารมณ์แบบนั้นมันเฉยๆกลางๆว่างๆ
มาพยายามทำให้อาการจิตนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆจึงจะรู้ คำว่าสงบ คำว่าสมถะ ปัสสัทธิ วิเวก สันติ คำเหล่านี้อธิบายยาก
ที่จริงไม่ได้เบี่ยงเบนกิเลส เข้าใจว่ากิเลสไม่มีอาการอยู่ในจิตแล้วทำให้กิเลสมันหายไปไม่ใช่เบี่ยงเบน นั่นมันหลีกแต่นี่ไม่หลีก แม้จะกระทบกระแทกสัมผัสกับกิเลสแต่เรามีพลังงานทำให้จิตว่างได้ แล้วคำว่าวิปัสสนา เป็นคำของพระพุทธเจ้าเลย
ปัสสะ แปลว่าเห็นรู้ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่มีสภาพเกิดจริง เห็นอย่างรู้ยอดรู้จบ มีสภาวะสุดสิ้นเลย เห็นรู้ภาวะความจำของจิตที่บริบูรณ์ด้วยวิมุติ วิโมกข์ นิพพาน มันมีวิโมกข์วิมุติ นิพพานอยู่ตอนนี้เลย มันเป็นอาการนี้เลย พูดไม่รู้กี่โวหารที่จะอธิบายสภาวะนิพพาน สภาวะนิโรธ สภาวะวิมุติ สภาวะสันติ สภาวะสงบอะไรพวกนี้
เพราะฉะนั้นมันสำคัญอยู่ที่สภาวะจึงจะพูดกันรู้เรื่อง สำหรับคนที่รู้เรื่อง เมื่อใช้พยัญชนะเหล่านี้สัก 78 มุม10 โมงก็จบแล้วไม่ต้องต่ออีก บางคนบอกว่า 10:00 น.แล้วยังมีมุมเหลี่ยมที่แย่งไปอีก 20 มุมก็ยังแย่งอีกเราก็ตามไปดู หากพอพูดกันรู้เรื่องก็บอกว่าสงบมันเป็นอย่างนี้ หากไปอีก 50 มุม เราก็ตามไปอีก ชักเมื่อยๆ ไปอีก100 มุม ทำไมเขามีมาก เราก็ต้องไปอธิบายมุมที่เขาไมสงบนี่แหละ หากคนสงบแล้ว 3 มุม 4 มุม 20 มุมก็ชัดแล้วจบ แต่ถ้าคุณจะไปอีก คนมันไปได้ ปั้นเอา แง่อย่างนี้เรานึกไม่ออกเลย คิดตามคุณไม่ออกเลยเพราะคุณสร้างขึ้นได้ เราบอกตรงๆว่าไม่รู้นึกไม่ออกอย่างที่คุณว่า มิติที่คุณสร้างขึ้นมามันเป็นอย่างไรแง่งไหนแง่ไหน
ในสิ่งที่ทุกวันนี้คนเราใช้โวหารภาษาวาทกรรมเยอะ เป็นความคิดที่บ้าบอมากเกิน พวกมากเรื่องใช้วาทะมาหาเรื่องหามุมเหลี่ยม แล้วหาพวกมารับรองด้วยนะ ตีฉิ่งฉาบกัน บอกว่าพวกคนไม่รู้คุณโง่ก็ว่าไป คนเรามันจะเอาชนะก็เลยหาอะไรมา เราก็จบแล้วตามไปไม่ไหวแพ้จบ เลิก
ถามพ่อครู
ศีลข้อ 1
โสดา = เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจาก รุนแรง = กายสังขาร
เว้นขาดจากการเบียดเบียน = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะทำร้าย = วจีสังขาร พ่อครูว่า..อนาคามี หมดแล้ว ไม่คิดจะทำร้ายแล้ว มีแต่คิดราคะ มีราคมูลไม่มีโทสะนะ รูปราคะ อรูปราคะ มีมานะ อุทธัจจะฟุ้งกระเซ็น หรือส่วนน้อยละออง หากหมดละอองของพวกนี้ก็หมดอวิชชา รู้และจิตเป็นจริงก็เป็นอรหันต์
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกผลัก = จิตตสังขาร พ่อครูว่า..อรหันต์ไม่รู้สึกผลัก อนาคารู้สึกผลัก แต่ทนได้ อยู่กับสิ่งที่เขาแรง เป็นคนทนต่อสิ่งที่แรงร้ายของโลกได้ จนวางเฉยไม่เกิดความทุกข์ร้อนลำบากลำบนอะไร
ยังเข้าถึงสภาวะไม่จริงก็เลยสงสัยก็เลยถามมาอย่างนี้
ศีลข้อ 2
โสดา = เว้นขาดจากการขโมย = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากเอาเปรียบ = กายสังขาร
เว้นขาดจากการหวงแหน = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะเอา = วจีสังขาร พ่อครูว่า...อนาคามีไม่คิดจะเอามีแต่จะให้ ช่วยเหลือผู้อื่น
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกดูด = จิตตสังขาร พ่อครูว่า...อรหันต์อาศัย รู้จักความจริงตามความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้เราอาศัยแล้วทำอะไรต่ออะไรไป
ศีลข้อ 3
โสดา = เว้นขาดจากการส่ำส่อน ลามก = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจาก สวยจัด สวยงาม = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะสวย = วจีสังขาร
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกดูด = จิตตสังขาร
ศีลข้อ 4
โสดา = เว้นขาดจากการพูดโกหก = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากพูดส่อเสียด พูดหยาบ เพ้อเจ้อ = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะพูดทั้ง 4 คำ = วจีสังขาร
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกทั้งดูดและผลัก = จิตตสังขาร
ศีลข้อ 4 อยู่ในศีลข้อ 1 2 3 5
ศีลข้อ 5
โสดา = เว้นขาดจากสิ่งเสพย์ติดทุกชนิด = กายสังขาร
สกิทาคามี = เว้นขาดจากการเสพ แค่มีไว้ไม่คิดตัด = กายสังขาร
เว้นขาดจากเพียวสนุกสนาน = กายสังขาร
อนาคามี = เว้นขาดจากคิดจะเสพย์ = วจีสังขาร
อรหันต์ = เว้นขาดจากรู้สึกดูด ผลัก = จิตตสังขาร (ไม่ไหลไปตามแรงดูดและผลัก)
ถูกไหม โปรดอธิบายด้วย
โสดาจริงๆ ตัดรอบแค่นี้ใช่มั้ย?
พ่อครูว่า..ถ้าไปละเลียดอย่างนี้จะช้า ท่านพอจริง ท่านจะรู้มากรู้ละเอียดละเลียด แต่ต้นๆนี้ท่านไม่จบ มันไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มันซับซ้อน โขยกไปโขยกมาก อันนี้เป็นตัวอย่างของการไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
คำอธิษฐาน
_สิ่งที่ตั้งใจจะลดกิเลสคือการเขียนบันทึก หลังจากนี้จะขยันเขียนบันทึกทุกวัน
พ่อครูว่า...เอาเลย
_พลอย กิตติธรรมคุณ ม.3 สส.สอ.
ณ ตอนนี้ เราคิดว่าจะทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ หนูคิดว่าถ้ามีความตั้งใจแล้วทุกอย่างจะสำเร็จเพราะความตั้งใจเป็นสิ่งสำคัญ และก็จะตั้งใจคิดในแง่บวก เพราะการคิดในแง่ลบชีวิตหนูไม่มีความสุขหรือปิติ แต่พอเราคิดในแง่บวก โอ้โห ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปความรู้สึกก็เปลี่ยนไป แล้วจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพราะโอกาสที่จะมาเรียนที่นี่ ไม่ได้มีง่าย และไม่มีที่ไหนสอนธรรมะที่ลึกซึ้งแบบนี้อีกด้วย เป็นความโชคดีจริงๆค่ะ
พ่อครูว่า...อย่าตั้งแล้วล้มบ่อยนัก ตั้งแล้วทำให้สำเร็จ หากว่าตั้งไข่ล้มต้มไข่กินทำไม่สำเร็จสักทีก็ไม่ดี เอาเลย อนุโมทนาสาธุตั้งใจดีๆหลวงปู่เอาใจช่วย
_ด.ญ.นริศรา แทมมี่..หนูจะตั้งใจไม่พูดคำหยาบไม่โกรธไม่โมโหใคร แต่ถ้าไม่มีอารมณ์แบบนั้นหนูก็พยายามจะทำให้มันหายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งใจจะทำฝันตัวเองให้เป็นจริง ที่หนูตั้งใจจะไม่พูดคำหยาบหรือโมโหโกรธเพราะว่าช่วงนี้อารมณ์นั้นมาบ่อยค่ะ แล้วหนูก็พูดคำหยาบบ่อยมากเลยตั้งใจที่จะไม่พูด เพิ่มมันจะได้ลดลงบ้างจะได้ทำให้เป็นนิสัย ส่วนความโกรธความโมโหหนูไม่ได้ลึกซึ้งถึงจิตใจหรอกนะคะ เพราะหนูรู้ว่ายากแน่ๆ แต่หนูหมายถึงอาการหยาบๆจะไม่ทำ เช่นอาการชักสีหน้า ทำท่าทีไม่พอใจ หนูทำได้เท่านี้ก็พอใจแล้วค่ะ
พ่อครูว่า...คนที่รู้ตัวเองนี่ดีนะ จะเป็นกาย วาจา ใจ ก็รู้ นี่เด็กๆนะนักเรียน ม.3 พวกเราก็ปฏิบัติธรรมแบบนี้ โรงเรียนอื่นไม่มีสอน แต่โรงเรียนสัมมาสิกขาเราสอนพวกนี้ อาตมาว่า สำคัญกว่าวิชาโลกที่จะไปหาความรู้ด้วยซ้ำไป ทำอย่างนี้เป็นคนเจริญเป็นคนอาริยะ
_จะตั้งใจบูชาพ่อครู ตลอดชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งมั่นตั้งแต่พบพ่อครู (คำว่าพบนี้เขาเขียนว่าภพ)พ่อครูก็ว่าพ่อครูเก่งนะที่อ่านได้ เป็นการเขียนมาซื่อๆ ทำให้ขำกันดี
ลูกไม่เคยถามปัญหาพ่อครูเลย มันรู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา เว้นแต่ว่าเราจะแก้หรือไม่เท่านั้นเอง ชีวิตที่เหลืออยู่จะมอบให้ศาสนาหมดเลยไม่เอาอะไรตอบแทนเลย จะเป็นผู้ที่เสียสละตลอดไป จะอยู่ที่ไหนก็ติดตามพ่อเสมอไม่พลาดโอกาสอย่างแน่นอน เคารพ เขียนอย่างตั้งใจผิดพลาดก็กราบอภัย ด้วยความกตัญญู ไม่มีรายได้อะไรเลยมีแต่เงินเดือนผู้สูงอายุ
_สิริมา...วันที่ 3-9 พฤศจิกายน ดิฉันไปดูแลน้องสาวที่นครปฐม เธอผ่าตัดหัวใจกะทันหัน ด้วยมีเนื้องอก เป็นกรณีแรกที่หมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจทำงานนี้มา 20 กว่าปี ดิฉันทำหน้าที่ฟังเธอคุยให้เธอสบายใจ เพื่อความสบายใจมีผลต่อการเต้นของหัวใจ เธอเล่าถึงกันสาดที่บ้านของเธอเจาะรูขนาดเท่าคอตตอนบัด เจาะถี่ๆที่ปลายกันสาด พอฝนตกน้ำตกลงมาเหมือนม่านน้ำ ทำให้ดิฉันนึกถึงม่านน้ำที่พ่อครูปรารถนาที่จะสร้างเหมือนบ้านราชจึงเรียนมาเพื่อเรียนให้ทราบค่ะ
พ่อครูว่า..ของเราเป็นปูน เดี๋ยวเขาค่อยดัดแปลงเอา
_ด.ญ.น้ำมนต์ กุศลคืออะไรคะ หลวงปู่
พ่อครูว่า...กุศลคือความดีหรือความฉลาด แปลไว้อย่างนั้น เข้าใจไหม ความดีคืออะไร รู้จักความดีไหม ความฉลาดรู้ไหม นั่นแหละคือความดีความฉลาดก็เป็นกุศล
_หลวงปู่ครับ คนจะมีธรรมะได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า...คนจะมีธรรมะได้ก็ด้วยการมาเรียนรู้กับหลวงปู่กับผู้รู้ที่รู้ธรรมะทั้งหลาย เรียนรู้แล้วก็พยายามทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ เราก็จะได้ธรรมะจะมีธรรมะ ไม่อย่างนั้นจะซื้อเอาตามตลาดไม่ได้ ซื้อตามร้านขายยาก็ไม่มี จะไปแย่งชิงจากคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจและปฏิบัติให้ได้ เช่น ความเป็นธรรมะ ใช้ความดีเป็นธรรมะ ความฉลาดเป็นธรรมะ ความฉลาดอย่างไรจะดีก็ต้องซ้อนอีก เรียนรู้ไปตามลำดับ แล้วค่อยเขยิบไป
_ สู่แดนธรรม ผมกำลังพิจารณาคำว่า อาการที่น่าเลื่อมใส ผมคิดว่า สำคัญพอสมควร ผมพิจารณาหัวข้ออื่นที่ผ่านมา ก็ดูข้ออื่นๆล้วนแต่เพ่งที่ตน แต่ข้อนี้ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียวมันต้องอยู่ที่คนอื่นด้วย คนอื่นถึงจะเลื่อมใสเรา
เมื่อก่อนพวกเราจะมีคติเชื่อกันว่า อาการที่น่าเลื่อมใสต้องเบาพริ้ว หากไปปักมั่นแบบนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะอย่างนั้นมันเป็นสังขตธรรม ยังจะปรุงแต่งได้ตามเหตุการณ์ บางเหตุการณ์ถูก บางเหตุการณ์ไม่ถูก ผมก็คิดว่า พวกเราหลายคน ผ่านข้อเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายใจพอ สันโดษ ขัดเกลากิเลสได้แต่ผมว่า ชาวอโศกยังทำข้อที่ 7 นี้ไม่เจริญเท่าไหร่ อาการที่น่าเลื่อมใสบางทีก็บกพร่อง โดยเฉพาะ ผมไปอ่านคำสั้นๆของพ่อท่าน พ่อท่านเขียนไว้แค่สองประโยค คือคำว่า อาริยะเป็นเช่นไร
พ่อท่านก็บอกว่าอาริยะจะมีอารีย์เยอะ มีมิตรดีสหายดี มีน้ำใจมาก แต่ตรงกันข้ามกับอาริยะคือจะมีอริเยอะ พ่อท่านพูดแค่นี้เป็นคำข้าวที่พอเหมาะกับปากเรา ทุกวันนี้ มีคนอยากให้กินได้คำใหญ่ๆอิ่มแล้วก็ยังป้อนอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน หลวงปู่เหาะได้ไหม
_ด.ญ.แก้วบุญ...หลวงปู่เหาะได้ไหมคะ
พ่อครูว่า...พูดตรงๆหลวงปู่เหาะไม่ได้หรอก เล่านิดนึง สมัยหลวงปู่บำเพ็ญธรรมะ ทำพลังงานจิตให้เยอะมีอยู่ในวาระหนึ่ง หลวงปู่นั่งสมาธิทั้งคืน ตอนเป็นพระบวชแล้วอยู่กับวัดอโศการาม กลางคืนก็นั่งสมาธิ ก็ยังข้องใจว่าน่าจะเหาะได้ เขาก็บอกว่ามันมีอยู่ ผู้ที่ฝึกบางทีนี้เขาก็จะเอาอะไรไปเหน็บข้างฝา เมื่อทำสมาธิแล้วก็จะเหาะไปเอาอันนี้ลงมาได้ เพราะว่าตอนนั้นจะไม่รู้ตัวมันเหาะไปตามจิตที่สั่งไว้ อาตมาก็พยายามทำเหาะ ก็ไม่ได้ไปตั้งไว้ถึงเหาะ แต่ก็ไม่ได้ลืมตา ก็นั่งหลับตา เป็นแต่เพียงสงสัยตัวเองว่าน่าจะเคลื่อนที่ได้ เดิมจำได้ว่าสมาธิตอนเราจะเริ่มนั่ง นั่งอยู่ตรงนี้ แต่พอเราออกจากสมาธิแล้วเราไม่ได้นั่งอยู่ที่เก่า อ้าวไปนั่งอยู่ที่อื่น หันหน้าไปอยู่ที่อื่นไม่ใช่อยู่ตรงที่เริ่มต้นนั่งหลับตา ก่อนจะเข้าสมาธิแล้วนั่งอย่างนี้อยู่อย่างนี้ แต่เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเราไปนั่งอยู่ที่อื่น อยู่คนละมุมเลย ก็ไม่สงสัยหรอก เหาะได้หรือไม่ได้ ช่างมันเถอะ ท่านพุทธทาสก็ว่า เหาะได้จะไปเก่งอะไรแค่หมาเลียตูดไม่ถึง อาตมาก็ไม่มีปัญหาจะเหาะได้หรือเหาะไม่ได้
อย่างฤาษีลิงดำเหาะด้วยนะ ทั้งธรรมาสน์เลย ลอยในห้องนี้ ใครเคยได้ยินอย่างนี้บ้าง
อาตมาตั้งแต่สมัยอยู่กับสำนักค้นคว้าทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็ไม่ได้อะไรมากมาย บางทีอาจารย์คนนั้นก็โยนสร้อยเงินทองมาให้เลย แต่ทำไมห้องมืดนะ มันไม่ชัดเจน น้ำเงินอย่างนี้อ่านบอกภาษาแล้วเอาไปประพฤติได้ทางกายวาจาใจพ้นทุกข์พ้นความดีความชั่วนะเอาแค่นี้
_หลวงปู่มีไม้เท้ากายสิทธิ์ไหมคะ
พ่อครูว่า...หลวงปู่ยังไม่มีไม้เท้าหรอก ยังไม่อ่อนแอ 1.ไม้เท้าใช้กับคนอ่อนแอ 2.ใช้กับคนตาบอดหลวงปู่ยังไม่ตาบอดยังไม่อ่อนแอ่ไม่ใช้ไม้เท้า มีคนเอามาให้ ตอนที่ไปทะเลตอนนั้นชุดขาวไปน้ำท่วม คนก็เอาไม้มาให้ ไม่ใช่ไม่เท้าหรอก เป็นไม้แข็งแรงดีเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่เลยหลายสิบปีแล้ว
_ผู้ที่มาช่วยร้านจิตอาสา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ทุกข์ 10 ประการ
_เกร็ดดิน..พ่อท่านช่วยพิจารณาว่า สิ่งแรกที่คนควรจะรู้คือรู้จักทุกข์ หากเราไม่รู้จักทุกข์เป็นอันแรกคงไม่ได้เข้ากระแส หากเรารู้สึกว่าเรารู้จักทุกข์ก็เท่ากับรู้อาริยสัจใช่ไหมคะ คนทุกคนมีพลังชีวิต มันโดนกิเลสหุ้มห่อเอาไว้ เราต้องล้างทุกข์อาริยสัจก่อน เอาที่มันห่อหุ้มพลังชีวิตเราออก แล้วเราก็จะต้องอยู่กับทุกข์อีก 6 อย่างที่เราสามารถอยู่กับมันได้มันเลี่ยงไม่ได้
การที่คนสนใจรักษาสุขภาพเพราะเขาหาวิธีบำบัด แต่ถ้าเราพ้นทุกข์อาริยสัจ เราจะอยู่กับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ได้ดีขึ้น สบายขึ้นเบาขึ้น ชีวิตเราเอามาล้างกิเลสออกไปได้ก็สว่างขึ้น อรหันต์ล้างกิเลสหมด เรารู้พลังชีวิตเราแล้ว แล้วต่อจากน้ัน เราก็สามารถเพิ่ม พลังชีวิต Coefficient
พ่อครูว่า..ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มี 6 ข้อ ทุกข์ที่เลี่ยงได้ ทุกข์อาริยสัจ มี 4 ข้อ
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
2. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
3. อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .
4. พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
5. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
6. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
9. สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)
10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า)
ที่เลี่ยงไม่ได้มีข้อสำคัญเท่านั้นเอง นอกนั้นปวดขี้ปวดเยี่ยว มันก็ติดมากับร่างกายเรามันเป็นธรรมชาติไม่ได้ยากอะไร แต่ทุกข์ที่สำคัญคืออาหารปริเยฏฐิทุกข์ต้องแสวงหา มันบังคับด้วยนะข้อนี้ เราต้องแสวงหางานมาทำ จะได้เป็นคนมีประโยชน์คุณค่า ต้องแสวงหาอาหารมายังชีพ แต่อรหันต์หรือโพธิสัตว์ ข้อนี้ง่าย คนที่บารมีน้อย เป็นอรหันต์ที่วิบากไม่ดี บิณฑบาตก็ไม่ได้นะ ลำบากลำบนมาก อรหันต์บางองค์ บารมีเขาไม่มีไม่ได้เคยทำทานอะไรมาก่อน มาเป็นอรหันต์กระจอก อรหันต์ที่ไม่มีใครช่วยเหลือ หากินยาก อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ อรหันต์ที่มีบารมีพอสมควรมีคนอนุเคราะห์ไม่ต้องกังวลเรื่องการอยู่การทำงานอย่างอาตมาไม่ต้องกังวลอะไร ชีวิต ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่นเลี้ยงไว้
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ก็ไม่ต้องแต่แบ่งงานที่ทำเพื่อให้เรามีประโยชน์นั้นต้องทำ ตอนนี้อาหารชักมากไปต้องบอกให้น้อยลงไป บางทีเต็มโต๊ะเลยขายหน้า กินไม่หมดหรอก แต่บางทีเขาก็เอามาอยากจะถวาย เราก็ขัดศรัทธาก็ไม่ดี เอาวางไว้ ถวายแล้วยังจ้องอีก จะกินของเราหรือเปล่า? พูดตามเหตุการณ์บ้างไม่ได้ติดใจอะไรหรอก
_น้อมยอดธรรม...ดิฉันชัดแล้ว ดิฉันอยู่อุทยานมาเป็นสิบปี วันอาทิตย์ดิฉันไม่เคยเข้ามาฟังวิถีอาริยธรรมเลยต้องอยู่ตรงโน้น มีหน้าที่ขาย แต่มาฟังวันอื่นได้ แต่มีวาสนาก็เลยได้ฟังวันที่ 11 พ่อท่านเทศน์มูลสูตร 10 ดิฉันฟังแล้วเรามีฉันทะมา...
พ่อครูว่า...ก็ทำไปตามลำดับที่เราจะมีปัญญาจะรู้ แม้แต่การงานสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดเราจะฉลาด เอาที่ว่าไปด้วยกันนี่แหละตายไปกับหมู่นี้ได้
_ผู้ที่มาช่วยงานจิตอาสาไม่มีบ้านในชุมชน หรือคนวัด ต่างพุทธสถานมาไม่มีบ้านส่วนตัว เรามีร้านค้าของเท่าทุนพิสูจน์จิตอาสา คนมาช่วยก็เวียนมาจากแต่ละชุมชน หากจะกางเต็นท์นอนที่ เรือนบวรจะมีที่ให้หรือไม่
พ่อครูว่า...พักได้ที่ชั้นบน ฝั่งชายฝั่งหญิงคนละฝั่ง เป็นแต่เพียงว่ายังไม่ค่อยไปพักกันมากอีกหน่อยคงจะมาก แต่ก่อนเฮือนศูนย์สูญ นี้หาคนพักยาก ไปพักเพิงกัน มาที่นี่นานๆที เดี๋ยวนี้มาที่เฮือนศูนย์สูญ นี้มาก อีกหน่อยจะไปบวร มันมีอบอุ่นขึ้น
_เป้าหมายของร้านจิตอาสาเพื่อให้ญาติธรรมต่างๆพุทธสถานมาฟังธรรมที่บ้านราชหรือเปล่า และเพื่อให้พาณิชย์บุญนิยมเกิดและแตกตัวที่บ้านราช
พ่อครูว่า..ใช่ด้วย
_ก่อนมาบ้านราชฯสุขภาพกายไม่เต็มร้อยสุขภาพจิตไม่เต็มร้อย แต่มาบ้านราชคราวนี้สุขภาพกายและจิตเต็มร้อย
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน นิพพาน นปุงสกลิงค์
_สัมมาสังกัปปะที่เป็นอนาสวะ 7 ถามว่ามีสัมมาสังกัปปะที่เป็นอย่างอื่นมีบ้างหรือไม่
พ่อครูว่า...คงเป็น สังกัปปะ 7
อนาสวะคือไม่มีอาสวะ อาสวะ 10
โสดาบันมี 3 ข้อ จนแม้ สกิทาคามี อนาคามีก็ใช้ 3 ข้อนี้ จนอรหันต์ 3 ข้อนี้เป็นตัวไขความเป็นอารยะของพุทธ สักกายะ คำว่าสักกะคือใหญ่ ข้านี่แหละใหญ่ พระอินทร์สักกะ
ตัวโตหยาบใหญ่ของความเป็นกลางคือธรรมะ 2 หรือเทว ตีแตกธรรมะ2ให้ได้ รู้จักธรรมะ2 คือรูปกับนาม ภายนอกกับภายใน อะไรอีกมาก เอารูปกับนาม ภายนอกกับภายในก็จะต้องประกอบด้วยภายนอกกับภายใน มีตา มีรูป มีหูมีเสียงกระทบกันแล้วเกิดภาวะ
แล้วก็มาเรียนรู้ภาวะ 2 เกิดอิตถีภาวะ ก็ทำให้เป็นปุริสภาวะเป็น 1 หรือทำให้หมดไปเลย นปุงสิกลิงค์แม้มีหนึ่งเดียวก็ไม่มีสองแล้วไม่มีการกระทบไม่มีเรื่องราวอะไร พ้นทุกข์แล้ว
ส่วนนปุงสกลิงค์ ไม่มีเพศแล้ว อยู่เหนือปุงลิงค์อีก เราทำอยู่กับปุงลิงค์ ทำจิตให้ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา เป็นนปุงสกลิงค์เป็นสูญได้
คนที่มีสภาวะรองรับอธิบายมุมนั้นมุมนี้ เราก็มีก็สบายจบ เราสื่อกันได้รู้ภาษาแล้วก็มีสภาวะที่เราเป็นได้ตรงกัน แล้วก็นี่คือการจบคือการพ้นทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าพ้นจากสุขจากทุกข์ ไม่ได้พ้นทุกข์อย่างเดียว โลกีย์พ้นทุกข์ไปอยู่กับสุข พ้นสุขประโยชน์กับทุกข์เป็นเหรียญ 2 หน้า นรกกับสวรรค์เป็นเหรียญสองหน้า อยู่ด้วยกัน
โบราณาจารย์ไม่ได้อธิบายได้ ต้องให้อาตมามาอธิบายมันไม่ง่าย บางคนบอกว่ามีที่ไหนธรรมะต้องเป็นสุขสิ พยัญชนะยังบอกว่านิพพานังปรมังสุขัง ยืนยันด้วยนะ
เขาก็แปลว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อาตมาก็ว่าแปลผิด นิพพานนั้นมันยิ่งกว่าสุข อาตมาแปลอย่างนี้ มันไม่ใช่สุขด้วย มันหมดสุขหมดทุกข์ นิพพานังปรมังสุขัง อาตมาก็แปล บรมว่ายิ่ง แต่คนละยิ่ง ของคุณสุขอย่างยิ่ง แต่ของอาตมา มันยิ่งกว่าสุข มันไม่มีสุข แต่พิเศษอย่างยิ่งกว่าสุข นิพพานแปลว่าว่าง แปลว่าจบ แปลว่าพ้นทุกข์พ้นสุข
คนที่มีสภาวะตรงกันก็จะเข้าใจตรงนี้ คนที่เขามียังไม่ได้ก็จะวน อย่างไรเขาก็ไม่มี
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน จิตว่าง ความมี และ ความไม่มี
_ลักษณะของพุทธธรรม 8 เหตุใดข้อที่เห็นตามได้ยาก รู้ได้ยาก คาดคะเนเอาตามได้ยาก
พ่อครูว่า...เห็นตามได้ยากก็เพราะว่าคุณมีตาเห็นมีทิฏฐิเห็น ทิฏฐิเป็นความรู้ก็ได้ความเห็นก็ได้ บางทีภาษาบาลีบอกว่า ทุททัสสา คือต้องทัสนะ โพธิแปลว่ารู้ ทุ คือยาก ทุรนุโพธา คือมันรู้ได้ยาก เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก มันก็เห็นด้วยแต่เห็นยาก พูดอย่างไรก็เห็นตามรู้ตามเชื่อตาม ได้ตามได้ยาก คนที่เชื่อแล้วเห็นแล้วรู้แล้ว คนที่เป็นแล้วมีแล้ว ก็จบ คนที่ยังไม่มี พูดไปอีกมันก็วน วนแน่นอน เพราะฉะนั้นตามไปอย่าไปหัวหมุน มันยังไม่รู้จักจุดจบไม่ลงตัวว่า อ๋อ..อย่างนี้เอง มันยังไม่สมบูรณ์ หากสมบูรณ์ก็จบ แต่มันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ศึกษาตามไป มันจะมีอันหนึ่ง ตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ทำความจบ คุณจะรู้ว่าภาวะจบมันเป็นอย่างนี้เอง มันเห็นตามได้ยาก แต่มันเห็น มันรู้ตามได้ยากแต่มันรู้ ใช่อันนี้อย่างนี้ มันก็เชื่อตามได้ มันเป็นการเชื่ออย่างปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหีติ เชื่อเพราะเราไม่ได้เชื่อคนอื่น เชื่อเพราะเรามีสภาวะรองรับในตัวเรา มันใช่อันนี้ เป็นนามธรรม จิตว่างอย่างนี้ ว่างเพราะมันไม่มีอันนี้ ว่างของพระพุทธเจ้าไม่ได้ลอยลม จิตว่างแบบไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ ต้องว่างจากอันนี้ ว่างจากอันใดอันหนึ่ง
เป็นหนึ่งจากอันสองของพุทธว่างจากอันนั้น ไม่ใช่จิตว่างเฉยๆลอยลม ไม่ใช่ คุณว่าง ที่พระพุทธเจ้าอธิบายในจูฬสุญญตสูตร ศาลานี้ว่างจากช้าง ศาลานี้ว่างจากม้า แต่มันมีคนมีเสามีโต๊ะตั่งเสา แต่ศาลาว่างจากเสาก็คงไม่มี อย่างน้อยศาลาต้องมีเสา ก็ต้องมีสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่มีก็ต้องมี
พระไตรปิฎกล. 16 ข. (43) [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
คนที่มีสภาวะกับบัญญัติทั้งคู่ อาตมาทำจบด้วย 2 อย่างคือสภาวะกับภาษา สลับไปสลับมากับไปกลับมา จึงเรียกว่าสิริมหามายาเหมือนเล่นกล เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มีเดี๋ยวให้ไปเดี๋ยวโผล่ มันเหมือนกับเล่นกล เป็นนักเล่นกลอย่างเก่ง เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวตายเดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี พูดอย่างไรเดี๋ยวก็พูดว่ามีเดี๋ยวก็พูดว่าไม่มี แต่ก็พูดว่าเป็นเดี๋ยวก็พูดว่าไม่เป็น
ก็มันมีอยู่แล้วเราก็แสดงสิ่งนี้อธิบายความไม่มี สื่อสารสิ่งที่ไม่มี ให้คนอื่นได้รู้ตามและขอก็จะได้อันนี้ ด้วยความไม่มีแล้วแต่ถ้ายังไม่ตายก็คือความมี จะชัดเจนว่าความไม่มีหมายถึงอย่างนี้ ไม่มีหรือว่านิโรธหรือว่านิพพานหรือว่าสุดยอด เป็นอย่างนี้เองหรือ หรือคำว่าอุเบกขา มันว่างจากกันดีแล้วไม่มีสิ่งนี้แล้วมันเป็นอย่างนี้หรือ ขยายเป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อาการกิเลสมันไม่มีแล้ว แม้จะกระทบอย่างที่เคยเกิดกิเลส มันก็เป็นจิตที่สะอาดอยู่อย่างนี้ ไม่แปดเปื้อนไม่ดูดไม่ซึมซับซึมอะไรเลย จิตยิ่งทำได้เร็ว ไม่มีได้ก็เร็วรู้ทันก็เร็ว จนกระทั่งเป็นอัตโนมัติเลย จึงมีจิตที่แข็งแรง เก่งมาก เอาไปทำการงานทำประโยชน์เกี่ยวข้องกับอะไรต่ออะไรได้ดี เรียกว่าเป็นกัมมัญญา ทำงานอะไรก็จัดแจงได้พอดีไม่เสียหายด้วยเป็นกุสสลสูปสัมปทา จะทำอะไรก็มีแต่สิ่งที่ดี มีเรื่องที่ต้องมีบทบาทต่อไปก็จะมีแต่ดีแต่กับดี
จะทำอะไรต่ออะไรก็ไม่มีบาปไม่มีชั่วไม่มีเสียหายอะไร นี่คือคนที่พยัญชนะรับรอง พยัญชนะบอกความหมาย คุณเป็นอย่างนี้ถูกตรงไหมล่ะ ถ้าคุณเป็นอย่างนี้จริงมีพฤติกรรมอย่างนี้เลย มีพฤติบทอย่างนี้ มีอาการที่คุณทำกาย วาจา ใจอย่างนี้ตลอด นี่คืออรหันต์ เป็นเรื่องลึกซึ้งไม่ใช่ลึกลับจนคนที่เป็นได้อาจจะไม่รู้ได้ แต่มันเป็นเครื่องชี้รับรองว่าเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของมนุษยชาติ แล้วก็เป็นจริงได้พิสูจน์ได้ยืนยันได้ อย่างคนพวกเราจะพยายามขึ้นไป
อาตมาบอกความลับอีกอันหนึ่ง ที่อาตมาไม่อยากตาย ก็เพราะว่าอาตมายังจะรอให้เราไปบริหารประเทศอยู่ แต่พวกเรามันยังน้อยมันยังไม่มีเครดิตพอที่เขาจะยอมรับ ถ้าจะไปคือให้ประชาชนเขายกให้เอง ประชาชนจะมาเลือกคณะอโศกไปบริหาร ถ้าประชาชนไม่เอา เราไปยัดเยียดตัวเอง อันนี้จะไปซื้อไปหาเสียงไปอ้อนวอนให้มาเลือกเรานั้น..ไม่มีทาง ต้องให้พวกคุณมาขอร้อง ให้พวกเราไปบริหาร คนมีพอมีประสิทธิภาพเพียงพอ เมื่อนั้นก็ไป ยังไม่นี้เราก็รู้ว่าไม่พอไม่พร้อม ไปเสียของ เสียหมดไม่เอา เพราะเราทำแล้วเสีย จะไปทำทำไม ซึ่งเราก็ไม่เอาลาภยศสรรเสริญแล้วก็ไม่เอา เราทำให้เขาด่าไปทำไม ไปทำไม่ดีก็ถูกด่า แน่นอน ลาภยศเราไม่เอา แต่ไปทำให้ถูกด่ามันก็ไม่ดี แม้ชมเชยเราก็ไม่ได้หลงกับคำชมเชย
_หมั่นตรอง...ยังมีคนที่มีความเชื่อว่า การนอนเปิดหน้าต่างในเวลากลางคืน จะถูกคุณไสยปล่อยมา ถามว่า ในยุคสมัยนี้คาถาอาคมยังมีฤทธิ์เป็นจริงได้หรือไม่
พ่อครูว่า...คุณไสยมีสำหรับคนโง่ จิตอ่อนก็มีผลตอบรับเรียกอุปาทาน คนทำคุณไสย มีพลังงานสูงกว่าคนที่จิตใจต่ำกว่าก็ยอมรับคนนั้นก็เกิด มีภาวะตอบรับมันก็เกิดปฏิกิริยา แต่ถ้าคนเองเป็นตัวความว่างมาแล้วก็ไม่เกี่ยว ไม่มีหรอกอย่างนี้ คุณไสยก็ไม่เกิดในคุณ คนนั้นก็ตบมือเปล่าตีเปล่า เสกควายเข้าท้อง ควายก็หายไปไม่เห็นมีควายเลย เสกตะปูเข้าท้องไม่ได้ อุปาทานมันร้ายกาจ สิ่งที่ไม่มีมันก็เกิดมีได้อย่างที่เคยยกตัวอย่าง (เกร็ดดินว่าแค่มีศีล5 ก็พอแล้ว) คุณมีศิล 5 ก็จะชัดเจน มีศีล 5 บริสุทธิ์แล้ว สิ่งเหล่านี้คุณจะมีปัญญา ศีลมีฤทธิ์ ปฏิบัติให้บรรลุศีล 5 ให้จริงเถอะ
_สม.กล้าข้ามฝัน...พูดถึงการยกกำลังกับงานมหาปวารณา รู้สึกปีนี้ งานยกกำลังมีเยอะ งานมหาปวารณาแต่ละปีจะมีจิตอาสาเกิดท่ามกลางมหาปวารณา แล้วมีงานปฏิญาณไร้สารพิษอีก ต่อจากนั้นก็จะมาจุดปฐมเหตุ เข้ามาต่อ แล้วมีแทรกซื้อข้าวอีก พลังงานแสงอาทิตย์ก็เกิด 2 ฝั่งเราก็ใช้ได้ตอนงานนี้ มันจะเป็นตอน 84 ปี แล้วตอน 85 86 จะไม่หนักกว่านี้หรือ
พ่อครูว่า...อาตมาจะถามอันเดียวเลย สู้ไม่สู้ มาอีกเลยร้อยอย่าง คุณไม่ต้องห่วงหรอกก็เท่าที่ได้ เราทำได้แค่ไหนก็จะรู้ อันไหนไม่ไหวก็เอาไว้ก่อน มันก็เป็นไปตามลำดับเอง พวกเราลูกศิษย์พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าน่าอัศจรรย์ตามลำดับ
_สันติชัย...ผมได้ฟังเทศน์พ่อครูเรื่องเจโต แต่คำว่าเจโตนี้คำเดียวกันกับเจโตปริยญาณหรือไม่ สองคำนี้กับคำว่าสายเจโตกับสายปัญญา ถ้าทำแล้วจะทำให้เราบรรลุอรหันต์ได้อย่างไร จนถามว่าใช้เวลานานแค่ไหน แล้วก็มันจะใช้พร้อมเพรียงกันไหม แล้วแต่เราจะถนัดสายไหนหรือไม่
พ่อครูว่า...ฟังดีๆนะ คุณหยุดคิดทั้งหมดเลย นี่คือคำตอบคุณจะวุ่นวายใหญ่เลย คุณกำลังไปหาเรื่องกับพยัญชนะภาษาที่มาอีกเยอะเลย คุณนั่นแหละจะวุ่นวาย เพราะฉะนั้นคำตอบคือคุณหยุดคิดคำเหล่านั้น คุณพยายามดำเนินไปว่าอะไรที่คุณควรจะปฏิบัติตามศีลข้อที่ 1 2 3 เอาอย่างนี้ เรื่องเหล่านั้นอย่าไปคิดวุ่นวายในพยัญชนะ แม้ว่าอาตมาจะอธิบายอย่างที่คุณถามมานี้ได้ ขยายได้ แต่คุณจะวุ่นกับพยัญชนะ
ผู้ที่รู้ว่าเจโตคือจิตเจตสิก คุณพยายามรู้จิตใจของคน คุณเกี่ยวข้องกับสัตว์คือศีลข้อที่ 1 คุณอ่านจิตของคุณนั่นแหละคือเจโต 1.ไม่ฆ่า อ่านอาการจิตว่าคุณไม่ฆ่า 2.วางอาวุธหมดไม่ใช่อาวุธ 3.จิตใจคุณจะเอ็นดูสัตว์ คำว่าเอ็นดูต่างจากกรุณา เอ็นดูคือมันไม่เดียงสา
ให้มีสติรู้ทันในศีล 5 อ่านจิต แล้วสายปัญญา
พ่อครูว่า...ปัญญาคือตัวรู้เจโตคือรู้จิต ดูอย่างอื่นไม่ใช่ปัญญามันเป็น เฉโก ปัญญาคือการรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน ก็คงต้องอาศัยเวลาอยู่พอสมควร พยัญชนะยังไม่ลงตัวเลย ก.ไก่กับข.ไข่ยังแยกไม่ได้เลย พยายามติดตามให้ดีๆ
_โลภ โกรธ หลง 3 คำนี้ หลงใหญ่กิเลสหนาน่าจะหลงโลภโกรธไหมคะ
พ่อครูว่า...ได้ คุณจะเอาพยัญชนะกับหัวกับหางก็ได้แต่ไม่มีปัญหา เอาสภาวะให้ถูกต้องก็แล้วกัน หลงคือความเลอะเทอะไม่ลงตัวไม่ถูกฝาถูกตัวไม่เข้าคู่มันก็หลงเลอะเทอะปนเปกันไปหมด คุณจะเอาความหลงก่อนแล้วค่อยดูโลภโกรธก็ได้ จริงๆก็เป็นเช่นนั้นเป็นการจับคู่ธรรมะ 2 ไม่อย่างนั้นมันจะเยอะ อย่างคนนี้จะเอาพยัญชนะต่างๆมา
ต้องเอาสิ่งที่เกี่ยวข้อง 1.เกี่ยวข้องกับสัตว์ 2.เกี่ยวข้องกับข้าวของ ข้าวของนั้นมีตั้งแต่ดินน้ำไฟลมกับพืช เราสัมผัสกับสัตว์ เราจะมีความเกื้อกูลปรารถนาดีแม้ว่าสัตว์ตัวนี้ดุร้ายไม่ดุร้ายอย่างไร สัตว์นี้สอนโลกุตระได้หรือไม่อย่างไร เราจะมีประโยชน์ร่วมกันได้ขนาดไหนอย่างไร คบกันแล้วสัมพันธ์กันแล้วมันเป็นโทษก็ต้องห่างกันไปจากกันไป เวลากำลังแรงงานการกระทำก็มีประโยชน์คุณค่า จะไปเสียเวลากับสิ่งไร้สาระที่เป็นโทษภัย คนเราก็ฉลาดอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน นึกถึงอะไรเวลาไหว้พระก่อนนอน
_สุวิดา..อยากขอคำแนะนำเรื่องของก่อนนอนในพรรษานี้จะกราบพระก่อนนอนทุกวัน แต่ไม่มีติดตัวขี้เกียจไหว้พระก่อนนอน นึกถึงว่าขนาดพ่อครูยังไหว้พระก่อนนอน พ่อครูนึกถึงอะไรเวลาไหว้พระก่อนนอนหรือตั้งจิตอย่างไร
พ่อครู...เราก็ทำด้วยปัญญา ปัญญามันบังคับกันไม่ได้คนที่มีปัญญาและฉลาดพอมันรู้ชัดเจน เรากราบพระหมายถึงอะไร พระหมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สูงสุดพระพุทธคือพระพุทธเจ้า ผู้ให้ความรู้สุดยอด เป็นความรู้ที่เราปฏิบัติตามและเราจะได้ดี เป็นคนพ้นทุกข์พ้นสุข สุดยอดแล้วเราคิดเองไม่ได้เลย แม้เราไม่ได้พบพระพุทธเจ้าแต่ได้พบสัตบุรุษที่เอาของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเรารู้ ก็รู้ว่าท่านมีคุณค่ากับเรา หากไปล่าลาภยศสรรเสริญเป็นสมบัติผลัดกันชมมันไม่เที่ยง ทำให้ทุกข์ร้อน มันไม่มีอะไรเลยเป็นอนัตตา เหนื่อยเสียเวลาแรงงานไม่มีอะไรเป็นสาระเป็นประโยชน์คุณค่าอะไร
หากเราเรียนรู้ที่จะเป็นประโยชน์กับสัตว์กับข้าวของต่างๆ สัตว์ไม่ต้องไปสร้างอะไรกับมันมาก สัตว์มันเกิดตามวิบากแล้วก็ช่วยมันตามควร
คำสุดท้ายของพุทธเจ้าเรามาแปลเป็นไทยแล้ว จากภาษาพระพุทธเจ้าในบัด โน้น ปโหติ แปลว่าควรหรือไม่ควร
น โหติ ก็แปลว่าไม่ควร ปโหติก็แปลว่าควรm
สุดท้ายจริงๆเหลือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ความหมายภาษาไทยก็จบสุดยอดแล้ว ควรหรือไม่ควร ถ้าไม่ควรก็เลิกทำ ถ้าควรก็ทำ ท่านแปลมา คำนี้ไม่ใช่อาตมากำหนด แต่พระที่ท่านบัญญัติภาษานี้เป็นคำไทยและเอามา ท่านแปลในมหาปเทส 4 ใช้คำว่าควรหรือไม่ควร มหาปเทส 4 สุดยอดแล้วเป็นการตัดสินใจเรื่องที่ต้องพึ่งพาตัวเอง หากว่าเป็นสัปปุริสธรรม 7 ต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆ 7 หลัก แปลว่า มหาปเทส 4 พ้นจากสัปปุริสธรรม 7 แล้ว ก็ต้องอาศัยตนเองในกาละนี้ไม่มีคำห้ามหรืออนุญาตแล้วดูเหตุปัจจัย ทั้ง สัปปุริสธรรม 7 แล้ว ในยุคนี้มีแต่ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีคำตรัสห้ามหรืออนุญาต ตัดสินว่าดีชั่วถูกผิดไม่ได้ก็ต้องใช้คำว่า ควร (กัปปติ)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน จริตสั่งสมข้ามชาติได้ไหม
ปุ้ย_จริตนิสัยเราสามารถสั่งสมข้ามชาติ แต่ความสามารถบางอย่างเช่นดนตรีกีฬาศิลปะ สามารถสั่งสมข้ามภพชาติได้หรือไม่ ยกตัวอย่างโมสาร์ทแค่ 6 ขวบก็แต่งเพลงได้แล้ว
พ่อครูว่า...ได้ ยึดมันมากๆ ไม่ยอมปล่อยมันไป แต่ถ้ารู้ว่าอย่าไปหลงมันเลยไปยึดถือดนตรีอะไร เอาสิ่งที่สูงกว่านี้ดีกว่า โลกุตระที่จะยึดถือเอาไว้ใช้งานมันมีอีกเยอะเลย คนที่เห็นชัดเจนว่าไปยึดถือมันทำไมเรื่องโลก แค่วางมันยังติด อาตมานี่ก็วางโลกีย์มามันก็ยังติดมาเลย อาตมาวางดนตรีนี้สุดท้ายเลย
คุณยึดไว้ ดีไม่ดียึดนรกมันก็จะอยู่ด้วย จริงๆแล้วดนตรีเป็นอบายมุขได้ มันหลงอย่างจัดจ้านเสียเวลาไปยึดมั่นถือมั่น ใครทำผิดนิดหน่อยก็ฆ่า ด่า นี่เพราะว่ายึดมั่นถือมั่นมาก ยิ่งมาเป็นคนยิ่งใหญ่ เป็น Conductorเป็นผู้อำนวยการเพลง
_สีดิน...จะถามเรื่องน้ำตก..เมื่อวานนี้ พอดีช่วงงานเราทำงานมาหลายวัน แต่หลังงานรู้สึกเมื่อย ก็ไปให้น้ำโตนนวด สะใจดี น้ำไหลยุงน้อย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:08:12 )
รายละเอียด
611114_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าต้องอ่านจิตเป็น
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dUlXayX5loh7pXis6zpjmEe509sl7jgqKrYWLAh1PvY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1S0zo7j9yEf2UZ7Bu157tOi6c-wOEflOy
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก พวกเราผ่านงานมหาปวารณาไปด้วยดี ปีนี้ มีคนลงทะเบียน 2069 คน มากกว่างานปลุกเสกพุทธาภิเษก หลังงานมีการจัดคอร์สการแพทย์จุดปฐมเหตุ เขาให้เราค้นหาความวิเศษของตนเองที่จะรักษาตัวเองได้ เน้นการออกกำลังกาย การพักผ่อน การทำอารมณ์ให้ดี ไม่นอนดึก เพราะนี่เป็นตัวหลักสำคัญ อาตมารู้สึกว่าก็สอดคล้องกับเรื่องของธรรมะ คือทุกวันนี้คนเราไม่ได้ศึกษาธรรมก็อยากเรียนลัด อย่างของพื้นๆไม่อยากทำ อย่างสำนักของประเทศไทย สำนักสันติอโศกต่ำสุดคือเน้นเรื่องศีล หากฝึกสมาธิไปธรรมกาย หากจะไปปัญญาต้องไปสวนโมกข์ เรื่องของศีลถือว่าเป็นเรื่องพื้นๆที่สุด
เรื่องสุขภาพก็เหมือนกัน เขามีดื่มน้ำขิงเป็นองค์ประกอบมีการกดจุด แต่หัวใจหลักคือการออกกำลังกาย การพักผ่อน การไม่นอนดึก การไม่เครียด อันนี้เป็นพื้นฐาน แต่หากคนไม่เข้าใจก็จะบอกว่าดื่มน้ำขิงการกดจุดเป็นหลัก แต่พื้นฐานไม่ได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
การปฏิบัติธรรมหากศีลไม่ได้ สมาธิก็จะไม่ได้ ปัญญาก็จะไม่ได้
สมาธิก็เกิดจากศีลข้อที่ 1 ปัญญาจากศีลข้อที่ 1 จากจิตใจที่มีความโหดร้ายหยาบกระด้างรู้สึกมีความเอื้อเอ็นดูมีความกรุณา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ปัญญาในศีลข้อที่หนึ่งก็จะเกิด หากเรายังฆ่าสัตว์อยู่ไม่เอาศีลเป็นพื้นฐานกระโดดไปเอาสมาธิเอาปัญญาเลยมันจะไปทำสมาธิอะไรปัญญาอะไรเป็นปัญญา เฉโก สมาธิเป็นมิจฉาสมาธิ กดข่มกิเลสไป
ดูการอบรมเขาเน้นเรื่องปฐมเหตุ พยายามให้รู้ว่าเหตุเกิดโรคของร่างกายอยู่ตรงไหนแล้วพยายามให้ร่างกายฟื้นคืนได้เอง ร่างกายมีความพิเศษที่จะสามารถทำให้เราเยียวยาตัวเองได้ในการปฏิบัติธรรม เราจะสามารถค้นพบความวิเศษของร่างกายและจิตใจ ด้วยการปฏิบัติธรรมเป็นลำดับมีศีลเป็นเบื้องต้น แล้วจะเห็นความวิเศษของร่างกายและจิตใจได้
หากชาวอโศก รู้หมดแต่อดไม่ได้ก็ไปไม่รอด มีแพทย์ทางเลือกก็คืออยู่เฮือนสุดชีวิตนี่แหละ เคยมีฝรั่งให้แปลสุดชีวิตว่าอะไรเขาแปลว่า The End สถานที่สุดท้ายของชาวอโศกก็ไปที่ The End นี่แหละไม่มีทางเลือก หากเลือกได้เราก็จะพยายามมาเข้าถึงความวิเศษทางร่างกายและจิตใจ
พ่อครูว่า...SMS วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน เป็นแม่เป็นลูกมาต้องมาใช้หนี้วิบากกัน
_7795 เราผู้เป็นลูกรู้ว่าผู้เป็นมารดาไม่รู้เรื่องศีลเรื่องธรรมและเป็นคนที่มีอัตตามาก ผู้เป็นบุตรควรทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ผู้เป็นบุตรก็ควรทำตัวเป็นบุตรไปตลอดตาย เพราะแม่มีคนเดียว แม่จะเป็นอย่างไรก็ยกไว้ เราก็ยอมเอา มันเป็นวิบาก เกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกัน มันเป็นวิบากต่อกันและกัน ที่จะต้องมาใช้หนี้วิบากใช้หนี้เวรภัย หนึ่งพ่อแม่เขาว่าเรา พ่อแม่เขาทำกับเราอย่างนี้ๆ หามุมดีที่เป็นประโยชน์ ต้องพยายาม ทั้งพ่อทั้งแม่ จะรับได้ไหมอย่างไรเราก็พยายามสนองตอบในสิ่งที่แม่พ่อจะพอรับได้ก็พยายาม แล้วเราก็จะฉลาดรู้ มนุษย์มีความรู้ความคิดที่แตกต่างกันมหาศาล เพราะฉะนั้นเราก็พยายามรับรู้
มันเป็นวิบากอจินไตยที่ต้องใช้หนี้วิบาก พ่อแม่เราโหดร้ายต่อเราเราก็ต้องจำนนใช้หนี้วิบากไปสักชาติ เราจะแก้ไขอย่างไม่มีสัมมาคารวะไม่ได้ ต้องแก้ไขอย่างมีสัมมาคารวะ อาตมาต้องเอาความหมายอย่างนี้ใช้อย่างนี้ มันเลี่ยงไม่ออก
อาตมาอธิบายคุณน่าจะพอเข้าใจได้ อาตมายังไม่เก่งอธิบาย คนเราต้องใช้หนี้กันไป เกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ
กาละและกรรม มันเกิดการหมุนเวียนในเอกภพ คุณจะต้อง เมื่อคนเป็นชีวะ วัตถุดินน้ำไฟลมเป็นพื้นฐาน โลกไม่รู้กี่ลูก ที่ไม่มีชีวะก็มีไม่เหมาะสม น้ำก็ไม่สามารถมีได้ ไอน้ำมีบรรยากาศดาวหางพ่นน้ำตลอดเวลา ดาวหางคือรถที่รดน้ำถนน มันก็ฝากธาตุน้ำนี้อยู่ในมหาจักรวาล อันไหนรับน้ำได้โลกลูกนั้นก็มีน้ำ โลกลูกไหนน้ำเข้าไม่ได้ก็มี พอถึงเหตุปัจจัยรับได้ก็มา น้ำมันก็ระเหยเป็นไอ แยกธาตุได้อีกเป็น ไฮโดรเจนออกซิเจน
สรุปคือคุณมีแม่ได้คนเดียวในแต่ละชาติ แม่จริงๆที่อุ้มท้องมา คลอดเรามามีคนเดียว จะมีสองคนได้ที่ไหน
_8533 ขอความกรุณาผู้เขียนประเด็นถามพ่อครูควรเขียนตัวบรรจงนะคะ
_สาคร วงเวียน · พ่อท่านไอมากเลย พ่อท่านตอบดีมากๆ ชัดๆ น้อมกราบนมัสการครับ ถนอมสุขภาพด้วยนะครับ
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · กราบนมัสการ พ่อท่าน ลูกได้ไปอุบล บ้านราชในงาน ปวารณาฯ. เพิ่งกลับถึงบ้านกระบี่ ในวันที่12พย. แบกกุศลผลบุญมาเยอะเลยเจ้าค่ะ รู้สึกอิ่มใจ เบาบาง บางเบา อบอุ่น กับการสัมผัส กับชาวอโศก
_นพดล ทองโคตร · ขอบพระคุณมากขอรับพ่อครู แนะนำวิธีรับหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม1
_วรรณาภา เกอเรทส์· เสียงภาพชัดเจนค่ะ รับชมประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะ
_อธิมาพร อัดโท · กราบนมัสการพ่อท่านดิฉันชอบคำสอนของพ่อครูมากค่ะ
_อำภา รื่นใจดี · ได้ดูประวัติท่านพ่อครูทางเฟสบุ๊ค ตอนหนึ่งท่านพ่อครูให้สัมภาษณ์ว่า
อาตมาจะสู้ด้วยความจริง สัจจะวาจาอมตะของท่านพ่อครูโพธิรักษ์ ที่ได้รักษาธรรมะอันเป็นพุทธแท้ ตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ปรากฏความเป็นจริงอยู่บนโลกใบนี้ตลอดกาล และสถิตย์อยู่ที่เดียวในแดนอโศก เพื่อให้คนมีปัญญาทางโลกุตตระเข้าถึงได้ และมาพิสูจน์สัจจธรรมตามแนวทางแห่งมรรค ที่ท่านพ่อครูนำพาลูก ๆ ให้เดินตาม ลูกขออนุญาต
นำสัจจะวาจานี้ มาเป็นสิ่งมงคลศักดิ์สิทธิ์คล้องชีวิตให้ลูกได้เกิดความเพียรยิ่ง ๆ ขึ้นไป กราบ สาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ความรู้ในพยัญชนะ อาตมาชาตินี้มีไม่มาก แต่อาตมาใช้ความจริงที่มี
SMS วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน กาย เทวิยม อเทวนิยม
_1614 จิต ฝึกไม่ได้ เขาไม่ยอมอยู่ในอำนาจของเรา แต่ฝึกสติให้ตามรู้เท่าทันจิตเจตสิกว่า
ไหนเป็นจิตเจตสิกฝ่ายกุศล ไหนเป็นจิตเจตสิกฝ่ายอกุศล เพื่อจิตจะได้ละเจตสิกฝ่ายอกุศลเสีย ใช้ คำว่า เจตสิก ในสภาวะธรรม อธิบายแบบใด ได้บ้าง
หากไม่นับความเสื่อมโทรมของร่างกาย ที่ผกผันไปตามกาลเวลา ..จิตใจ คือแค่เข้าใจ ก็มี สุข แล้ว แต่ถ้า สุข จริงต้องหยุดแสวงหาสุข แล้วคงจะมี เวทนาใด เกิดอีก
สิ่งที่ต้องมีสภาพตรงกันข้าม ที่ยิ่งผ่านกาลเวลา น่าจะยิ่งแข็งแกร่งน่าจะยิ่งสง่าสูงส่ง ดีงาม คำว่า กายนั้น รวม มโนใช่ไหม
พ่อครูว่า...เอาแค่ เจตสิก 52 ที่คุณรู้นี้ปฏิบัติให้ได้รับรองเป็นอรหันต์ไม่ต้องรู้มากกว่านี้ก็ได้
กายในความหมายศาสนาพุทธนั้นเอาจิตเป็นหลักแต่ขาดดินน้ำไฟลมภายนอกไม่ได้ต้องร่วมด้วย มันเป็นไฟท์บังคับที่ยาก กายนี่ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหลักธรรมของพุทธะนั้นหลับตานั้นโมฆะ
กาย ตั้งแต่กามภพที่คือโลกทั้งหมดกับคุณ หากเอาแต่คนคนเดียวไม่มีโลกไม่นับเป็นความจริงธรรมะ 2 ต้องมีทั้งภายนอกภายใน โลกกับคุณ เทวนิยม จะอยู่กับธรรมะ 2 ตลอดนิรันดร เขาแยกไม่ออก เป็นเทวะมหาเทวะตลอดนิรันดร เขาเชื่อตามพระเจ้าเป็นผู้จำนน เขาได้แค่นั้น ตำราเทวนิยม ตำราของศาสนานี้พระเจ้าองค์นี้ ของศาสนาอีกอันก็พระเจ้าอีกองค์ ศาสนาคริสต์ก็องค์หนึ่ง ศาสนาอิสลามก็องค์หนึ่ง เขาเอาตามที่พระเจ้าของแต่ละศาสนาสอน ได้แค่นั้นอยู่อย่างนั้น ก็จะเป็นแต่ละความเข้าใจ แต่ของพระพุทธเจ้าเข้าใจอันนี้ให้ได้ เข้าใจเทวนิยม สอง และก็จบได้ สุดท้ายความเข้าใจของเธอก็อย่างหนึ่งความเข้าใจของเราก็อย่างหนึ่ง เขาก็เป็นเทวะ เป็นธรรมะสอง แต่ของเราสามารถเอาไปใช้กับสิ่งอื่นใดอีก เราเป็นหนึ่งเป็น 0 ได้ แต่ทางโน้นไม่มีปัญญาไม่มีความรู้ และสามารถแยกแยะสองที่เทวะเป็น แล้วเอาไปใช้ประโยชน์ได้ เทวะแยกไม่ได้ ต้องมีอยู่อย่างนั้นนิรันดรแต่ของโลกุตระนั้นสามารถทำให้เป็นหนึ่งได้ทำให้เป็น 0 ได้จบเลยนิรันดร อยากอยู่นิรันดร์ก็ได้ อยากอยู่แข่งกับพระอวโลกิเตศวรอย่างเจ้าแม่กวนอิมก็เป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรก็ยังอยู่ คือไม่ได้ปิดกั้นเลย เป็นอย่างที่คุณเป็นก็เป็นได้ และเอามาใช้ประโยชน์ได้เปิดเผยได้ พระเจ้าของศาสนาพุทธเปิดเผยได้ด้วย มีความสูญอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างเทวนิยมที่เป็น 2 ตีไม่แตกเราก็รู้ เราทำให้เป็นหนึ่งได้และเป็น 0 ได้ 2 มันยังไม่แน่น ทำให้เป็น 1 เป็น 0 ไม่ได้ นี่เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย พยายามทำความเข้าใจให้ดีๆ
_จากเหมือนฟ้า ฐิติศรภาคย์ กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพและศรัทธา
ดิฉันเจอพ่อท่านปี 32 พี่ชายแนะนำพี่ชายนำหนังสือสัจจะพระโพธิรักษ์ให้อ่าน พออ่านจบศรัทธาพ่อท่านมาก โอ้โหในโลกนี้ทำไมมีพระปฏิบัติดีถึงขนาดนี้
หลังจากนั้นปี 33 ตัดสินใจเข้าวัดและเดินตามรอยพ่อท่านไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะรักษาศีลและไม่ทิ้งธรรม
พ่อครูว่า...อนุโมทนาด้วย ยินดีอย่างยิ่ง
_จาก ลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ขออนุญาตกราบเรียน สภาวะจากการกระทบผัสสะ เทียบเคียงกับภาษาบัญญัติในเรื่อง โทสะ ที่เป็นธรรมะ 2 ผิดถูกอย่างไรขอความเมตตาพ่อท่าน ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
เรื่องของโทสะหลายเรื่อง จับอาการได้ และมีสติสัมโพชฌงค์ รู้เท่าทันกิเลส ควบคุมได้
มีสัมมาสังกัปปะ คือ คิดที่เอาออก และให้อาการเบาบางลง บางเรื่องไม่ออกอาการ บางเรื่องคันๆในหัวใจ บางเรื่องก็ตะหงิดๆ บางเรื่องรำคาญ บางเรื่องก็รอนๆ ร้อนนิดๆอยู่ในใจ
แต่!พอเรื่องของ"ศักดิ์ศรี"ทำไมควบคุมไม่ได้ สติสัมโพชฌงค์ก็ไม่มี สัมมาสังกัปปะก็กลายเป็นมิจฉาสังกัปปะ คิดแต่จะเอาเรื่อง พยาบาทก็เกิด คิดแต่จะแก้แค้น วิญญาณฐีติ ผีนรกก็เกิดออกมาเล่นงานตัวเองและคนอื่น ทิ่มแทงเขาด้วยหอกปากอย่างน่ากลัว ปากสั่น ใจสั่น ตาขวาง หน้าแดงก่ำ ทั้งกายนอกกายใน เป็นสัตว์นรกเต็มๆ เป็นสัตตาวาส 9 ในข้อ 3 คือ
อาการโทสะเป็นกายเดียวกัน แต่สัญญาต่างกัน คือเรื่องอื่นๆ กับเรื่องของศักดิ์ศรี และยังไม่พ้นสังโยชน์ 3 ยังเป็นสักกายะอยู่ รูปฌาน อรูปฌานในวิโมกข์ 8 ก็ไม่เกิด ตรวจสอบไม่ได้ เพราะพลังโทสะ และแรงของพยาบาทปิดกั้นไว้
ลูกเขียนมาทั้งหมดนี้ถูกต้องหรือไม่ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
พ่อครูว่า...ถูกต้อง เป็นแต่เพียงขอแนะนำว่า โทสะเป็นเรื่องที่มันทำให้ทำงานปฏิบัติงานไม่ได้ มันรวนเรรุนแรง พยายามเห็นให้ได้ อาการโทสะตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด เล็กเท่าบรรจุซองละอองธุลี อาการโทสะ อย่าให้มันมีในจิต ถ้าคุณทำความเข้าใจและรู้จักอาการโทสะ ไม่ให้มันมีในจิตคุณไปได้เลย ศักดิศรีมันไม่มีอะไรหรอก โทสะก็แก้แค้นในการถือดี หากลดโทสะได้ศักดิ์ศรีก็ไม่มีอะไรหรอก พยายามปฏิบัติเรียนรู้
_หนังสือที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้คือคนจนที่มีแบบ มี 512 หน้า สังขยาเลขได้เลข 8 และเลข 10 หากลูกๆชาวอโศกอ่านจบจะได้วิชชา 8 และสั่งสมบารมี 10 ทัศ ให้มากขึ้นเป็นลำดับ โดยอาศัยการศึกษา 3 ธรรมะ 2 และเวทนา 108 เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ฆ่ากิเลสแต่ละตัวทันทีเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านบริบูรณ์ นอกจากนี้ นอกจากเรียนหนักแล้วพักให้พอ หนังสือเล่มไม่น้อยนี้ ยังเป็นหมอนหนุน ให้ซึมซับแบบออสโมซิสได้
พ่อครูว่า...มาเข้าเรื่องเนื้อหาของเศรษฐศาสตร์ที่คิดว่าควรจะพูดในช่วงนี้
เศรษฐศาสตร์ของ“พระพุทธเจ้า”
(1) ใบเสร็จก็รับแล้ว งานจบ
เงินจ่ายก็นับครบ ถูกถ้วน
แต่“เศรษฐกิจ”ก็ยังรบ กันต่อ มิหยุดเลย
เพราะ“แย่งรวย”กันล้วน บ่รู้“พอเพียง”
(2) เศรษฐกิจเยี่ยงนรกแท้ โลกีย์
“เห็นแก่ตัว”เกินวจี แจกแจ้ง
สามานย์จัดกว่าผี เฮี้ยนโขมด โฉดชั่ว
“เศรษฐศาสตร์”เก่านี้แล้ง ขอดแห้งน้ำใจ
(3) ในโลกส่วนใหญ่ล้วน โลกีย์ อยู่พ่อ
“เศรษฐกิจ”จิตมากมี ทุกข์แท้
“เศรษฐศาสตร์”ที่วิเศษศรี ยังไป่ รู้รา
แย่งทรัพย์แย่งยศแพ้ ชนะแก้เวียนวน
(4) เพราะ“คน”ยังบ่รู้ สิ่งวิศิษฐ์ ยังไป่มี“ธาตุ”ชนิด “ใหม่”ใช้
“อัญญธาตุ”ยังผลิต ใส่จิต มิได้เฮย
ไม่เริ่ม“ศีล”กำหนดให้ ฝึกก้าวพัฒนา
(5) “ศีล”พา“จิต”เกิดแท้ เป็นระดับ
“คน”จึ่งเดินเจริญนับ ครบขั้น
ตาม“ลำดับ”ไป่สลับ ตัดลัด ตอน
เศรษฐศาสตร์พุทธเจ้านั้น ครบถ้วน“ปัญญา”
(6) ศึกษาเศรษฐศาสตร์ให้ ดีเทอญ
พุทธวิเศษศาสตร์เกิน กล่าวอ้าง
ชาวอโศกใคร่ชวนเชิญ พิสูจน์สัจจ์ นี้แล ชมเศรษฐกิจชนิดนี้บ้าง ว่าแท้จริงไฉน
(7) จึงได้สุขสงบนั้น จริงสุด ฉะนี้เวย
มีศาสตร์ใดดีดุจ ดอกฟ้า
สามารถผลิตมนุษย์ ลดกิเลส กันเลย
ยืนหยัดเย้ยโลกหล้า ไม่ท้า..เชิญมาดู
“สไมย์ จำปาแพง” 29 ต.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 340 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561]
อาตมาพูดเทศน์ไปก็เหมือนคนยกตน แต่ว่า อาตมาไม่มีจิตอยากอวดเลยนะ
คุณสังเกตว่าอาตมาพูดไปแบบนี้ คนอื่นจะมีลักษณะไม่อยากให้คนมาว่ามาชัง แต่อาตมาไม่มีจิตที่อยากอวด ก็พอใจจะทำแบบนี้ใครจะไม่รักไม่ชอบก็ช่างเถิด อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรอาตมาไม่เห็นต้องไปง้องอนหรือเอาอะไรจากใคร หากมีผู้พี่ก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพี่ แต่นี่ตอนนี้ไม่มีพี่ก็เลยดูใหญ่
สม.กล้าข้ามฝัน
สม.รินฟ้า
ส.ฟ้าไท
ส.แสนดิน
พ่อครูว่า...อาตมายอมเสียสละทำข้อด้อย เพื่อให้ได้คนโลกุตระ เพราะโลกุตระนั้นแพงมาก ได้สักนิดสักคนหนึ่ง แต่ละคนๆ ราคาเทียบกับเจ็ดพันล้านจะมีโลกุตระสัก700 คนไหมนะ
“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ
อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร .... เช่น
1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน
2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง
3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น
4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง
5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่
6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่พวกบริวาร
7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง
8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ
9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน
10. เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า
และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน อ่านรูปนามของสุญญาณู
อาตมาตอนนี้ภูมิใจ พวกเราอ่านอาการจิตตนเองเป็น แม้แต่เด็กก็อ่านจิตตนเองเป็น แม้แต่บางคนเป็นผู้รู้เป็นปราชญ์ทางวิชาการ แต่อ่านจิตตัวเองไม่เป็น อ่านจิตตัวเองไม่ออก อ่านก็อ่านออกง่ายๆตื้นๆ อาการโกรธ โลภ ราคะ หยาบใหญ่ แต่อาการลึกซึ้งซับซ้อนอ่านไม่ออกทั้งที่เราพูดถึงภาษาบอกความลึกซึ้งซับซ้อนของจิตเจตสิกต่างๆมาก
ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ที่บอกว่า อาการ ลิงค นิมิต อุเทส สี่คำนี้ มันมีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย อีก 4 จริงๆอาตมาต้องแถมอีกตัวจึงตรงกับของสากล
system analysis เหตุ (input) นิทาน (process) สมุทัย (output) ปัจจัย (outcome)
แล้วมี impact เป็นผลกระทบอีก
อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ถ้าใครสามารถใช้นามธรรมตัวเองสัมผัสอะไรแล้วก็อ่านอาการ อาการตั้งแต่นอก กายวิญญัติ ลีลาของกายกรรมวจีกรรม วจีวิญญัติ อาการของภาษา ลีลา สุ้มเสียงสำเนียง สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล อ่านได้ ทำความเข้าใจได้ กายวิญญัติวจีวิญญัติแล้วคุณก็รู้สาระที่ประมวลมาได้
คำว่า อาการ ลิงคหรือเพศ หรือความแตกต่าง มันมีสภาพที่มีความแตกต่าง Different มันแยกกันว่ามันต่างกัน ต่างกันคนละขั้วเลย opposite คือสิ่งที่ต่างกัน distinct เราก็แยกออกจากกันได้ด้วยธรรมะสอง แยกแบบคู่แบบคี่ สามารถวิจัยแยกได้ สุญญาณูสองสุญญาณูนี่ก็ต่างกัน
สุญญาณู จะมีลักษณะอย่างไรก็นึกเอาเองก็แล้วกันแม้จะมีสองหน่วยก็ไม่มีอะไรที่จะเหมือนกันทั้งหมด ปรมาณูแต่ละปรมาณูไม่มีทางเหมือนกัน แต่เรารู้ถึงความต่างที่ละเอียด มากมายเรารู้ไม่ได้เท่านั้นเอง
ความรู้ไม่ได้นี้เราก็โมเมไป สุดท้ายสูงสุดก็แยก 2 อันนี้ไม่ได้ก็คือเทว เขาไม่มีอะไรเปรียบเทียบ ต้องแยกข้อเปรียบเทียบสมมุติในโลกจะมีสิ่ง 2 เสมอ แยกเป็นล้านๆ เปรียบเทียบจากสองเป็นล้านได้ เขาทำไม่ออกทำไม่เป็นจริงๆอันนี้ไม่แตก
แต่ผู้สามารถแยกออกได้เป็น 1 เห็นความต่าง 2 อันนี้จะเป็นนามธรรมในระดับที่เป็นกุศลอกุศล แม้แต่ความต่างระหว่างโลกียะกับโลกุตระ จะเห็นรายละเอียดที่เล็กน้อยรายละเอียดมากขึ้น แยกออกได้ จึงสามารถมีโลกุตตระ เพราะว่าสิ่งในโลกนี้มีมากมายหลากหลายที่ปรุงแต่งกันอยู่ทั้งหมดต้องแยกให้ได้ จึงสามารถที่จะอยู่ แล้วก็ประนีประนอม หรือว่า เป็นผู้สมานสามัคคี เราก็ยอมอนุโลม ผู้รู้คือผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้ไม่รู้จะมีความยึดมั่นถือมั่นเราจะไปดึงดันทำไม เราทิ้งอัตตาแล้วก็ยอมแต่ไม่ใช่ยอมอย่างอะไรก็ได้แล้วเสียหายเละเทะ ก็เอาสูงสุดที่เราจะค้านไม่ได้ต้านไม่ได้ เราจะมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าถ้าเกินขีดนี้แล้วระเบิด หากค้านเกินขีดแดงนี้จะเสียผล เราก็อย่าให้เกินขีดแดง อนุโลมได้ ต้านเกินก็ไม่ดี อนุโลมเกินก็ไม่ดี อนุโลมได้แม้เราจะเสียหาย
เพราะฉะนั้น ม็อตโต้ของพระโพธิสัตว์นี้จะเสียสละได้เท่าไหร่ จะเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ จะเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต จะเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
แม้จะต้องเสียอวัยวะ แขนขาขาดก็ยอม แม้จะต้องเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมก็ต้องยอม
พวกเราฟังธรรมได้ ไม่เบื่อหน่ายในธรรมะ เพราะธรรมะที่ดีที่สุดที่สูงแล้วไม่มีปัญหา พระอรหันต์ฟังธรรมะไม่มีเบื่อหน่าย แม้จะฟังความผิดสิ่งที่เป็นสิ่งชั่วก็เป็นข้อมูลต่างๆที่เราจะได้รับ เรารับแล้วก็ต้องรู้จักกลั่นกรองตรวจสอบ ข้อมูลที่เขาว่าเรามานี้ มันมีไหมคนเป็นแบบนี้ หรือมุขขึ้นมาเฉยๆ หากมุขขึ้นมาก็รู้เขามุขคนเดียว คนอื่นไม่รู้เรื่องด้วย หากว่าอันนี้คนอื่นเขารู้เรื่องด้วยเป็นสิ่งที่จริง เราก็ได้แล้ว เออ เอามาใช้กับสังคม ก็แค่นี้ของสัจจะที่มันมีปรากฏ
สรุปสำคัญอีกอันหนึ่ง พวกที่เขาเอาแต่หลับตาคุณจะพูดกับเขารู้เรื่องหรือ? เอาแต่หลับตาแล้วรู้หมดไม่จริงหรอกต้องลืมตาแล้วปฏิบัติถึงจะรู้โลกรู้อะไรได้ทั้งหมด หากคนรู้คนเดียวเขาก็ระแวงคุณด้วย แต่หากคุณพูดกับเขารู้เรื่องแล้วก็จบๆๆ ทำไมจะโง่นานนัก นานนักนี่แปลว่าดักดาน จะดักดานไปถึงไหน? จริงๆแล้วอาตมาพูดแรงมากนะพวกหลับตา ไม่เป็นทางรู้กว้างไกลยาวครบ มันอยู่ในที่แคบไม่มีอะไรรับรองไปทำทำไม นั่งหลับตาไปหลงว่ามันเก่งมันรู้อะไร มันเป็นได้พลังงานที่เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ อาตมาไม่สงสัยเพราะเคยเล่นมา แต่อาตมาว่ามันไม่คุ้มเสียหายมาก ไม่คุ้ม ไม่น่าไปทำเลย
เผื่อว่าเมืองไทยวงการศาสนาพุทธตื่นจากการนั่งหลับตาแล้วมาทำสัมมาทิฏฐิ เท่านี้ ฉลุย ประเทศไทยเป็นแดนพุทธอยู่แล้วตำรามีเยอะอยู่แล้ว จะสว่างอีกเยอะ คนที่มีบารมีแล้วไปนั่งหลับตามีเยอะมีไม่น้อยแต่ไม่เปิดตัวนี้ พวกคนนี้ ว่ากัน บารมีอาจจะสู้พวกเขาไม่ได้ด้วย มีทุนน้อย นี่ความสับสนอันนี้เป็นเรื่องอจินไตย แต่คงพอเข้าใจ เป็นอย่างนั้นจริง หากไปติดยึดอยู่อย่างนี้ไม่ค้นพบกุญแจดอกใหญ่ อย่างฮูดินี่ เป็นนักเล่นกลสามารถถอดสลักกุญแจโซ่เส้นโตได้
อาตมาพยายามอธิบายทุกแง่มุมทุกเหลี่ยมมากมาย มันก็ยาก เป็นความซับซ้อนในยุคนี้อาตมาต้องเจอกับวิบากอย่างนี้ความซับซ้อนอันนี้เป็นอจินไตย แต่ว่าอาตมาก็ต้องพูด ต้องกระตุก ต้องพยายามแกะอันนี้ให้คลายให้หายให้ได้ ก็เรารู้อยู่แล้ว เหตุปัจจัยตัวนี้แมลงตัวนี้มันอยู่ในรูนี้ ได้ยินเสียงมันอยู่ อาตมาจะไปหารู้นี้อย่างไรได้ยินเสียงมันอยู่อย่างนี้ชัดเจน ต้องเอารูนี้แหละ ต้องแคะรู้นี้แหละต้องแหวกรูนี้ให้แตกกระจายเอาแมงตัวนี้ออกมาให้ได้อาตมาจำนนต้องทำ
แต่ถึงอย่างไรก็มีผลมีอัตราการก้าวหน้า พวกที่จะมาต่อต้าน มาล้มล้าง เพลาไปแล้ว อาตมาแสดงมาใช้เวลาพอสมควรแล้วน่าจะ 50 ปีแล้ว ถ้ายึดถือพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันนี่แหละ แม้บางทีแปลมาอาตมาว่าไม่ค่อยตรงในบางส่วนแต่อาตมาก็ยินดีที่จะขยายความว่าที่คุณเข้าใจผิดเพี้ยนตรงไหน เขาทำความเข้าใจที่อาตมาพูดไปแล้วเขาก็เปลี่ยนแปลงเขาได้ ผู้นั้นก็จะได้ หากผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน เอกกนิทเทส 2
มาเข้าสู่ที่อาตมากำลังพยายาม ซึ่งยากมากเลย พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ 36 เอกกนิทเทส 41 ลักษณะ
[17] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน (สมยวิมุตโต)
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาล
ในสมัยโดยสมัย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น
หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา(พ่อครูว่า...คนจะบรรลุด้วยเฉโกไม่ได้ ต้องบรรลุด้วยปัญญา) บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย
พ่อครูว่า...คำว่า สมยะ หรือสมัย อาตมาเอามาใช้เป็นนามปากกาว่า เก่าสมัย เป็นอจินไตย อาตมารู้ว่าอาตมาเกิด 8 มิถุนายน อันนี้อยู่ในใบสุทธิ อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ ไปเจอในใบเกิดว่า เกิด 5 มิถุนายน ชื่อ นายสไมย จำปาแพง ที่จริงก็อ่านสมัยนั่นแหละแต่ไม่ตรงไวยกรณ์เขา
[18] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดยกาล
ในสมัยโดยสมัย สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมด
สิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริย-
*บุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย(น เหว โข) ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ
ห คือตัวแท้ ห.หีบคือความมีความเป็นแท้ โข คือยืนยันแล้วว่าได้แล้ว โขก็ยืนยันอีก แต่ท่านไปแปลว่ามิใช่พ้นแล้วในสมัย ที่จริงท่านเป็นผู้พ้นแล้วจนไม่ต้องกล่าวถึงอีก
มาแปลอีกว่า มิต้องถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก แต่อาสวะหมดสิ้นนะคนนี้ มันเป็นสภาวะซับซ้อน ที่ต้องเห็นใจคนแปลเลยว่าไม่ง่าย
ที่จริงต้องแปลว่าไม่ต้องไปกล่าวไม่ต้องไปพูดถึงว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก เพราะท่านได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว
ในบุคคล 8
พวกที่ไปหลงความคิดคือศิลปินบ้าบอฝันเพ้ออะไรก็ได้ให้แปลกแตกต่างจากเขาไว้ แค่หัวมังกุท้ายมังกรก็ได้หัวเป็นหมาท้ายเป็นหมูก็ได้ผสมเละเลย จินตนาการไป แต่สร้างแล้วให้คนอื่นรับได้ ก็จะใช้ประโยชน์ได้ แต่หากไร้สาระอะไรคนอื่นรับไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่มันก็ไม่มากเท่าคิดอยู่คนเดียวของข้า มันจบไม่ลงตรงนี้ น่าสงสารเพราะฉะนั้นออกมาจากถ้ำออกจากภพนั้นเสีย มาอยู่ในปกติสามัญ มันคนกับเขาอย่าไปปลีกแยก พวกปลีกแยกอีกนาน คือดักดาน แบบนั้นมันง่ายด้วย และมันก็มีอัตตาด้วย พวกศิลปินนี้ อาตมาไม่ยี่หระหรอก อาตมาเป็นศิลปินใหญ่ เป็นลูกของพระพุทธเจ้ารู้จักมงคลอันเป็นอุดม ไม่ใช่ศิลปะขี้หมูขี้หมาเพ้อพก แต่เป็นศิลปะที่ใช้ประโยชน์ได้มากด้วย
ในบุคคลที่ 2 นี้เป็นผู้คนแล้วในสมัยเป็นบุคคลที่สูงขึ้นแล้วกว่าบุคคลที่ 1 ด้วยซ้ำไป จึงไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องไปพ้นแล้วในสมัยอีก (สู่แดนธรรมว่า ผู้พ้นแล้วไม่ต้องอยู่ในสมัย)
ผู้นี้ควรสูงกว่าเพราะอาสวะทั้งหมดสิ้นไป แต่อันแรกอาสวะบางอย่างสิ้นไปเท่านั้น
[19] บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา มิใช่เป็นผู้ได้
โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด
ในที่ใด นานเท่าใด ตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่สมาบัติเหล่านั้น
จะพึงกำเริบได้ เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มี
ธรรมอันกำเริบ
มันสลับซับซ้อน เหมือนที่ทุกวันนี้คนไม่เอาเรื่องศีลไปเอาเรื่องสมาธิเรื่องปัญญาก่อน มันสลับกัน ปัญญาผกผันคิดไปได้หมด ออกนอกทางสมาธิก็หลับตาทำไม่รู้เรื่อง แต่ที่จริงต้องทำศีล แล้วทำให้เกิดสมาธิเกิดปัญญาเป็น สามเส้า cyclic order สังเคราะห์สังขารกันอย่างสมบูรณ์แบบถ้าไม่อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง
สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี เป็นแกนที่พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถไปกำหนดใครเขาได้ เป็นแกนของเขา แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ต้องเป็นผู้ที่มีสาวกคู่ 2 ช่วยกัน มีทั้งเจโตและปัญญา มีทั้งศรัทธาและปัญญา เป็นผู้ช่วยงาน 2 ด้าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องมี 2 เสมอทำงานนิวเคลียสต้องมีบวกกับลบทำงาน พลังงานจึงจะเกิดปฏิกิริยามีฤทธิ์แรง หากว่ามีอันเดียว มีแต่อยู่เฉยๆกับ ชรตา นอกจากจะอนิจจตา สัมประสิทธิ์ปรุงแต่งขึ้นก็จะเดินได้ แค่ถ้าไม่แล้วสามเส้าอุปจยะ สันตติ ชรตา หากไม่สันตติ ปล่อยก็มีแต่ชรตา ตามบารมีแต่ละคน บางคนเร็วไม่เสียเวลาในสุทธาวาส 5 บางคนช้า เต็มยศสุทธาวาส 5 เลยนานไม่รู้กี่ล้านชาติ
มาอธิบายสัทธานุสารีกับธัมมานุสารี พระโมคคัลลานะบรรลุธรรมก่อนพระสารีบุตร เร็วกว่าพระโมคคัลลานะใช้เวลา 7 วันบรรลุพระสารีบุตรใช้เวลา 15 วันบรรลุ 2 เท่าของพระโมคคัลลานะ แต่เสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ทางด้านปัญญาทางด้านที่จะใช้งานเยอะ ที่จะทำให้ผู้คนนำหน้าต้องเอาปัญญานำหน้า เอาเจโตนำหน้ามันยาก
พระพุทธเจ้าสายปัญญาต้องเอาปัญญานำหน้า แล้วท่านจะให้ชัดเจน หากเอายาวนานจริงๆแล้วปัญญาชนะ
สายปัญญาธิกะ ใช้เวลาบำเพ็ญ 20 อสงไขยแสนมหากัป
ส่วนสายเจโต ศรัทธาใช้เวลาบำเพ็ญ 40 อสงไขยแสนมหากัป
ส่วนสายที่วิตักกะวกวนไปมาใช้เวลา 80 ที่จริงให้น้อยแล้วนะที่จริงน่าจะมากกว่า เขาวนไปมาซ้ำแซะ พวกนี้ไม่รู้จักเวลาด้วยนะ เสียเวลาไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เขาไม่ได้จำ จำไม่ได้ด้วย
พวกปัญญา(พุทธจริต) 20 ศรัทธา 40 วิตักกะ 80
สัทธานุสารี คือพวกติดตามด้วยศรัทธา สายปัญญาก็ได้ธัมมานุสารี ได้จุดทฤษฎีปฏิบัติแล้ว เขาก็จะได้เป็น ทิฏฐิปัตตะ ถ้าจะให้ละเอียดก็เป็นธัมมานุสารีก่อน แต่มันจะข่มศรัทธา ก็จะได้สามเส้า จะได้บรรลุ ตามความเชื่อความเห็น ปัตตะแปลว่ารู้
จากทิฏฐิปัตตะแล้วจะได้เป็นกายสักขี คือมีอัตภาพยืนยัน มีเทวะ มีรูปนาม มีธรรมะ2 มีคู่มีเขามีเรา ร่วมกันรู้ร่วมกันเข้าใจพูดรู้เรื่องยืนยันกันได้ หากคนเดียวรู้ ไม่มีใครยืนยันไม่รับรองไม่ใช่ สัจจะนี้ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลย จึงต้องมีผู้รับรองผู้รู้ร่วมอย่างน้อย 1 คน ยิ่งมากคนตรงกันเป็นล้านคนเลย ความหมายสัจจะมีหนึ่งเดียวแต่คนมีเป็นล้านคนก็ได้ มันตรงกัน
เมื่อมีกายสักขี คือสิ่งนี้ยืนยันกันได้ทั้งภายนอกภายใน กาย ต้องมีสอง ธรรมะสอง คงอยู่ไม่สลาย หากสลายเป็น 0 ซึ่ง 0 นี้สลายแล้วบางทีไม่เรียกธรรมะ ไม่เรียกธรรมะ0 หรือสุญญตธรรมก็เรียกโดยเป็นที่เข้าใจกัน แต่ความจริงไม่ตรงเป๊ะเลยทีเดียว
พอมากายสักขี พระพุทธเจ้าต้องกำชับว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ต้องมารู้ว่าวิโมกข์ 8 คืออะไร?
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) คือมีคนที่มีจิตวิญญาณ สัตว์เดรัจฉานพูดกันไม่รู้เรื่องแม้อเวไนยสัตว์ก็พูดเรื่องนี้กันไม่รู้เรื่อง คือต้องมีการเห็นการสัมผัส
2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
สมณะเดินดินสรุปจบ...
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:09:24 )
รายละเอียด
611116_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยแบบสมณะโพธิรักษ์คือไฉน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1_P4XHOkywiNZHvfkqiluSwFukbTGm3vvSNARNvAgLQA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=17_S1I8OoPOBCpMIZIqOLKeMP9PVDUGuu
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ที่เมืองจีนมีการผลิตดวงอาทิตย์เทียม ทำให้เกิดความร้อนแผ่ไปสู่โลกได้ ส่วนการเมืองไทยก็กำลังร้อนแรง ใกล้จะถึงการเลือกตั้ง มีคนอยากจะให้เลื่อนการเลือกตั้งเพราะเห็นว่าเมืองไทยไม่มีความพร้อมในการเลือกตั้ง คนโลกียะไปอยู่ในสภาก็มีแต่จะเอาชนะคะคานกัน เห็นแก่ตัว
หากสามารถทำให้คนโลกุตระเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรได้ประเทศชาติก็มีความหวัง
พ่อครูว่า...SMS วันพฤหัส 15 พฤศจิกายน 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : ราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ในทางพุทธโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ
_1614 ในทางพุทธโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกอย่างมีเหตุที่มา ใช้ กรรม กับกาละ ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า...คุณจะได้หรือไม่ได้ คนนั้นถูกกำหนดด้วยกรรมกับกาละ อาตมาสรุปเลย ไอน์สไตน์ก็สรุปว่า Space and time of Continuum.
Space หมายถึงทุกอย่างในทางวัตถุหมดเลยในอวกาศทั้งหมด กับ
กาละ หรือเวลา
Continuum คือสันตติที่ดำเนินบทของมันต่อเนื่องตลอดเวลา ที่มันมีกาละอยู่ หากโลกไม่หมุน พระอาทิตย์ดับไปก็ไม่มีเวลา ตราบใดที่ยังมีการหมุนยังมีวงจรของโลกของพระอาทิตย์ มีอะไรปรุงแต่งกันขึ้นมาจนเป็นมนุษย์ พูดกันรู้เรื่อง มีมนุษย์โลกุตระด้วย ทั้งมีกรรมที่น่าชม ต้องต่อสู้กับสิ่งที่เป็นโลกียะจัดจ้านมากขึ้น ในโลกเริ่มเข้าใจโลกุตระกับโลกียะมากขึ้นอย่างน้อยก็มีประเทศไทยที่มีโลกุตระ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมา 70 ปี ปลูกฝังโลกุตระมาตลอด ประกาศแบบคนจนตั้งแต่ 2534
อาตมาก็ทำมาตั้งแต่ต้น มาจนถึงทุกวันนี้โลกุตระก็ชักเข้าใจกันดีแล้ว คือละตัวตน เดี๋ยวจะได้ขยายความสามเส้าเป็นหนึ่งหน่วย...ทุกอย่างมีมาแต่เหตุทั้งนั้น
_พ่อครูเกิดมา เคย อ้อน ใครไหมคะ
พ่อครูว่า...อาตมาเป็นคนขี้อายที่จะอ้อนคน จะรู้สึกว่ามันยังไงอยู่ทำไม่ออกทำไม่ได้ มันจะละอายมันไม่กล้า รู้สึกอย่างนั้นจริงๆแล้วก็ไม่เคย ออดอ้อนอะไร ส่วนมากจะแข็งๆตลอด เท่าที่คนมาคบคุ้น แต่ไม่แข็งโหดเหี้ยมแต่แข็งแรง เพื่อให้ได้น้ำหนักประโยชน์ การอ้อนนี้เป็นลีลาของอิตถีภาวะ
_7680 กราบนมัสการพ่อครูและหมู่สงฆ์ด้วยความเคารพ / ผมขอพูดถึงสภาวะที่ผุดขึ้นมาในหัวให้พ่อครูฟังสั้น ๆ ครับ จู่ ๆ ผมก็คิดขึ้นมาในหัวว่า คนส่วนใหญ่ในโลกโลกีย์นั้นดูคับแคบอึดอัดอยู่กับความเป็นไปได้อันน้อยนิดที่จะพัฒนาตนสู่ความเจริญขึ้นได้ ในขณะที่คนจำนวนน้อยนิดในโลกโลกุตระมีโอกาสมหาศาลอันประมาณมิได้ที่จะพาตัวเองให้เจริญขึ้นไปยิ่ง ๆ ขึ้น น้อมกราบขอบพระคุณพ่อครู หมู่สงฆ์ ตลอดจนถึงชาวอโศกทั้งหลายที่เปิดเผยโลกุตระออกมาครับ
...ปีติขึ้นมา ได้รับผลของบุญแล้วเราทำสูงขึ้นไป ทำต่อไป คิดให้ดีๆ จะเกิดที่เรียกว่า ปัญญา หรือ ความรู้ ปัญญานี้ไม่ได้หมายความว่าใครไปเรียนกลับมา ได้ดอกต้งดอกเตอร์ ไม่ใช่ นั่นเป็นปัญญาความรู้ทางโลกเขาใช้แต่ปัญญาจริงๆ เห็นอะไรจริงๆ ที่ใจจริงๆ ถ้าเราทำบุญไปก็จะค่อยๆ เห็น พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จากหนังสือเอกกษัตริย์อัจฉริยะ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
_อธิมาพร อัดโท ทุกรูปสอนดีมากค่ะฟังแล้วเข้าไจง่ายทำได้จริงไม่มีข้อสงสัย
_จำปี ยะถาธง · ดูช่องบุญนิยมดีมากเลยค่ะได้เข้าใจ ว่าสมาธิไม่ใช่ต้องนั่งหลับตา
พ่อครูว่า…อาตมาคงใช้เวลาอีกหลายสิบปีที่จะพูดเรื่องนี้ คุณคนนี้เข้าใจแล้ว สมาธิไม่ใช่นั่งหลับตา ขอขยายตรงนี้
จะมาพูดแล้ว หลับตานั้นตัดทิ้งได้เลย อย่าไปตัดหางปล่อยวัด เอาไปปล่อยตามป่าทึบเลย ไอ้หลับตาทำสมาธิ มันไม่ได้รู้กว้างไม่ได้รู้โลกอะไร ได้แต่อยู่ในความฝันตัวเอง ฝันเพ้อ บ้าบอไปเอง ฝันอะไรบ้าบอนิรมานกายอะไรไปสารพัด แล้วก็หลงติดในอุปาทานเรานั้น
อุปาทานข้ออัตตวาทุปาทานนี้โง่ที่สุด นักปราชญ์เหล่านี้ได้แต่วาทะแล้วเต็มไปด้วยนักปราชญ์มืดเต็มโลก เพราะฉะนั้นกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน
อัตตวาทุปาทานนี้ ดูเหมือนตื้นแต่เขาหมก กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน เต็มไปหมด
_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · ศรัทธาทั้งสาม สมณะ มาก ศรัทธายิ่งย่อยธรรมได้เข้าใจง่ายๆ มีโอกาส อยากมากราบท่านทั้งสาม ที่บวรราชธานีอโศก เจ้าค่ะ สาธุ . .
_Koithai Maitriwong · กราบเคารพพ่อครูครับ. จากความเดิมครั้งที่แล้วเรื่องม่านน้ำที่ให้ท่านคมคิดทำ. และให้ผมช่วยไปให้คำแนะนำการทำให้หน่อย ผมฟังแล้วน้ำตาคลอเลยคับที่พ่อครูให้เกียรติผมเป็นอย่างสูง และกราบเคารพรับคำเชิญ แต่ผมได้ข่าวว่ามีผู้หวังดีมากมายได้เดินทางไปให้คำปรึกษาอย่างมากมาย. ผมจึงขอให้ท่านเหล่านั้นแนะนำไปก่อนกลัวท่านคมคิดจะเขวเพราะหลากหลายเหลือเกินกับคำชี้แนะ. ส่วนจะสำเร็จไม่สำเร็จนั้นผมจะขอเข้าไปชมและให้คำแนะนำสมทบอีกทีตอนหลังดีกว่าคับ. ส่วนเรื่องทำลำธารให้ใสจะทำอย่างไร ผมขอชี้แนะไว้ตอนหน้าครับ เพราะเกรงใจญาติธรรมที่อาจมีคำถามอีกมากมายที่รอถามพ่อครู ผมขอเรื่องเดียวก่อนครับวันนี้ . สาธุครับ
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ขออนุญาตกราบเรียนที่ลูกเข้าใจในเรื่องของสัตวาส 9 และวิญญาณฐิติ 7
ก็เพราะท่านสมณะพอจริงสอนค่ะ ลูกนำมาเทียบกับสภาวะตามความเข้าใจ ที่ลูกเขียนข้อความทุกเรื่องมากราบเรียนพ่อท่าน ลูกก็ได้มาจากการฟังธรรมของพ่อท่านจากสมณะสิกขมาตุและท่านอาจารย์หมอเขียว ลูกชอบฟังหมวดธรรมะต่างๆเพื่อนำมาปฏิบัติ และเทียบเคียงจากสภาวะเพื่อความเจริญในธรรมเพื่อที่จะกราบเรียนให้ สัตบุรุษตรวจสอบว่าปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้างลูกขอน้อมกราบขอบพระคุณ พ่อท่านท่านสมณะทุกท่าน สิกขมาตุ และท่านอาจารย์หมอเขียว ที่ให้ปัญญา ให้ความสว่าง กับจิตวิญญาณลูกทำให้ลูกได้เป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง
กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
_จาก บ้านเล็กเมืองน้อย กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ทุกสรรพสิ่งในโลกมีสภาพที่ทรงไว้คู่กัน ดังที่พ่อท่านใช้คำว่า ธรรมะ 2 (พ่อครูว่า...เป็นคำของพระพุทธเจ้า แต่ก่อนอาตมาก็ไม่ชัด มาชัดเมื่อปีนี้แหละ ธรรมะของโลกต้องมี 2 ในชีวิตมนุษย์เกิดมาต้องมี 2 ทันทีมีรูปกับนาม คุณมีแต่รูปไม่ได้คุณมีแต่นามก็ไม่ได้ จะเป็นคนหรือเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตามมีธรรมะ 2 ทั้งนั้น ต้องเป็น อเวไนยสัตว์ถึงขั้นจะพูดรู้เรื่องเรื่องธรรมะ 2 คนที่ตีแตกธรรมะ 2 ไม่ได้จึงมีอยู่เต็มโลกเป็นเทวนิยม ปริมาณชาวพุทธโลกุตระนี้เทียบไม่ติดกับจำนวนพลโลก 7000 ล้านหรอก เพราะเป็นเทวนิยม มันใกล้กลียุคแล้ว จะคัดคนที่เอาเชื้อโลกุตระนี้ต่อไปให้ศาสนาพุทธอายุไปถึงห้าพันปี
ตอนนี้ชาวอโศกนี้ก็เปิดแล้ว พระยาธรรมิกราชมา ในประเทศไทย 2 องค์ตามที่ผู้รู้ท่านก็พยากรณ์ไว้นานแล้ว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญไม่ใช่เรื่องไม่จริง แต่มันยังไม่ปรากฏ ตอนนี้ปรากฏแล้วคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่รู้ คนที่เชื่อชัดเจนก็ว่าไป คนที่ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา มีแต่ความชัดเจนก็ทำ หน้าที่ของเราชัดเจนไม่ได้ท้อถอยอะไรแต่ขณะนี้อาตมาว่า พยายามทำให้ชีวิตเพิ่มไปอีกให้ได้ อาตมาจึงมั่นใจ)
จิตวิญญาณของมนุษย์ก็เช่นกัน เป็นสิ่งที่เกิดจากองค์ประกอบของ โลก และ อัตตาสังเคราะห์กัน
เมื่อผัสสะโลกภายนอกแล้ว เจตสิกภายในเกิดการปรุงแต่งออกมาเป็น 2 หรือบ่อยครั้งก็มากกว่า 2
ทำให้เกิดอุปาทานต่างๆนานาตามมา ความวุ่นวายยุ่งเหยิงที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็จะมีมากตามไปด้วย เพราะไป lock spec ในสุข หลงในสวรรค์ ต่างไปยึดรูปนามขันธ์ 5 ว่าเป็น นิจจัง-สุขขัง-อัตตา
ความทุกข์จึงเกิดแก่ปุถุชน และความสับสนร้อนรุ่มก็เกิดกับโลก
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่พ่อท่านได้เมตตาขยายความ ทำให้ได้เข้าใจถึงอริยสัจ 4 และกฎไตรลักษณ์ แล้วปฏิบัติไตรสิกขารอบแล้วรอบเล่า โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย เดินมรรคมีองค์ 8 ในกรอบของศีล ให้เกิดสัมมาปฏิบัติ ที่นำไปสู่การลดกิเลส ละอัตตา.... ท้าทายเทวะ จนสามารถตีเทวะแตก ทำลายความเป็นคู่ ให้เหลือเดี่ยวจนได้ แม้โลกจะปรุงหนักแค่ไหนก็ตาม ถ้าสูญความเสพ สิ้น spec ในตัวตน หมดแรงดูดผลักแล้วละก็ ตบมือข้างเดียวยังไงก็ไม่ดัง เมื่อจัดการทำ 2 ให้เหลือ 1 ได้จริง ก็จะเกิดโลกุตระจิต จิตเป็นไท สัมผัสรับรู้โลกตามความเป็นจริงของโลก
ความลึกลับในตนก็โปร่งใส ความเห็นแก่ตัวก็อยู่ไม่ได้ มีแต่เห็นแก่ผู้อื่น โลกก็ร่มเย็น
ถ้าจะเปรียบ computer เป็นมนุษย์
หน้าจอ computer ก็คือ อัตลักษณ์ของบุคคลที่ปรากฏ
Hard disk ก็คือ จิตหรือวิญญาณที่เป็นตัวรู้
Micro processor ใน Hard disk ก็คือ เจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร) มีหน้าที่ประมวลผลไปสู่จอภาพ
ในปัจจุบันเลขฐานสอง (binary system) เป็นพื้นฐานในการทำงานของ computer
โดยนำสัญลักษณ์เพียงสองตัวคือ 0 กับ 1 มาแทน สถานะไม่มีไฟฟ้า และ สถานะมีไฟฟ้า
หมายถึงการที่มีโอกาสเลือกได้เพียง 2 ทาง เช่น ปิดกับเปิด, เท็จกับจริง, ไม่ใช่กับใช่, ซ้ายกับขวา,..........
มาใช้เป็นคำสั่ง ใน Microprocessor ซึ่งเรียกว่าเป็นการประมวลผลแบบ Digital
เนื่องจากใช้ค่าเพียง 2 ค่าคือ “1” แทนค่า “On” กับ “0” แทนค่า “Off” โดยเลือกมาใช้เป็นคำสั่งคราวละ ค่าเดียวเท่านั้น
จึงมีประสิทธิภาพที่วิเศษ
และถ้าลง ศีล เป็น Operation System ด้วยแล้วละก็ จะเป็น computer ที่วิศิษฎ์ และจะเป็นมนุษย์ที่แสนวิสุทธิ์
การตีแตกธรรมะ 2 ให้เหลือเพียงทางเลือกหนึ่งเดียว จึงคือการประมวลผลของจิตแบบ Digital
ที่เป็นแบบเดียวกันกับอรหันต์ คือทำค่าของเจตสิกซึ่งเป็นอารมณ์ของจิต (ตัวถูกรู้) ให้”Off” ให้เป็นค่า ”0”
หรือ “สุญญตา” นั่นเอง
พ่อครูว่า...เข้าเรื่องการเมืองก่อน
อาตมาเจอบทความอันนี้ขอเอามานำเรื่อง...ใน น.สพ.เราคิดอะไร ฉบับ 340 เป็นข้อเขียนของคุณเปลว สีเงิน...ใช้หัวข้อว่า...กูมี เพราะหลงป่าเข้ามาขายตัว
ทำไมเรียกป่า ทั้งที่ประเทศไทยนี้เมืองนะ แต่พวกนี้มาจากป่า แทนที่จะมาคนเดียวแต่เอาป่าติดตัวมาด้วย
"ประเทศกูมี".............
ก็แค่เพลง "ขับถ่ายอารมณ์" เพลงหนึ่ง ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง เท่านั้น
ซักพัก เดี๋ยวก็ลืมกันไป
เหมือนอีกหลายๆ เพลงที่สะท้อนและเสียดสีการเมือง มีมาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยาโน่นแล้ว
ถ้ายึดเป็นอารมณ์ เอาเป็นเรื่อง-เป็นราว ก็จะเหมือน "ตีนุ่น"
ยิ่งตี ยิ่งลอยฟุ้ง คลุ้งเป็นมลพิษ!
ผมฟังแล้วก็ชอบนะ ร้องมันดี ดนตรีสะแด่วแห้ว แต่คนร้องจริง กับคนแร็ปในคลิป น่าจะเป็นคนละคนกัน
ขอตินิดเดียว.........
เจตนาสื่อ "ชังชาติ" ของพวกคุณ เนื้อหาและคำบางคำที่ใช้ บ่งบอกทัศนคติ "ต่ำทราม" มาก!
พยัญชนะไทย 44 ตัว สระ 21 ตัว จะผสมเป็นคำสร้อยมีลายศิลป์ภาษาถึงประเทศที่คุณเกลียด "แต่เสือกเกิด" ได้มากมาย
พวกคุณกลับต่อสร้อยให้ "ประเทศไทย" ของผมว่า
ประเทศเหี้....ประเทศคว.....อย่างนั้น
บอกตรงๆ กูชอบแร็ป แต่ชังมึง!
ถึงจะแถ ไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศไหน ไม่ได้หมายถึงประเทศไทย
ก็ถามใจแฟร์ๆ พวกคุณดูสิ ว่า...
สุจริตคิด หรือเสแสร้ง ซ่อนบัดซบคิด?
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สม.รินฟ้า
ส.แสนดิน
พ่อครูว่า...ขอแวะตรงนี้แล้ว ถ้าเกิดคราวนี้ ทางโน้นเล่นหนัก แล้วเราจะต้องออกไปช่วย โดยทางผู้ที่บริหารอยู่ เอาไม่อยู่ เราประชาชน ฐานะประชาธิปไตยเราเป็นประชาชนก็ต้องออกไป หากไม่ออกไปเราก็จะขบถต่อสัจธรรมไม่ได้ เราต้องไปด้วยความสงบสยบความรุนแรง ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวไม่ใช้อาวุธ ตอนนี้กระแสของโลกเข้าใจแล้วความสงบสยบความเคลื่อนไหว ความสงบสยบความรุนแรงกระแสโลกก็เข้าใจแล้ว ถ้าเราต้องไปแสดงอีกคราวนี้ จะฮือฮา= 13 หมูป่ามั้ย ดังไปทั่วโลก ทำเป็นเล่นไปนะ ชาวโลกทั้งหลายแหล่ จะเข้ามาจัดการพวกนี้เลยไหม จนกระทั่งทางนั้นทำอะไรไม่ได้เลย
เพราะอาตมาว่า ที่เหตุการณ์ของ 13 หมูป่าเกิดขึ้นคือ แบ๊บติสต์ คือผู้นำเรื่องของพระเจ้ามาบอกก่อน เป็นผู้นำทางมาบอกก่อน อาตมาว่าอย่างนั้นนะ ชาวเทวนิยมเขาก็เข้าใจเรื่องนี้ แต่ทางพุทธจะเข้าใจไหมที่อาตมากำลังพูดนี้ จะเรียกว่าลางสังหรณ์ก็ได้ ที่จะเกิดกรณีตามมา เพราะฉะนั้นเราก็เตรียมตัวให้ดีเถอะเหตุการณ์ครั้งนี้ เราไม่ประมาท จะบอกว่าช่างมันเถอะไม่ได้หรอก เราอยู่ในความมีสติสัมปชัญญะพอสมควร แม้อะไร ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ไม่ใช่รบไม่ขาดนะ เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
อ่านของเปลวต่อ….เก่งจริงๆ สมแล้วที่เขาได้ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ทางข้อเขียนนี้ ทั้งที่เขาไม่ได้จบปริญญาตรีนะ แต่เขาเก่งภาษา talent พิเศษของเขาเลย
อ่านของเปลวต่อ
ทั้งภาษาไทย ทั้งสีธงไตรรงค์บนกีตาร์ประกอบแร็ปที่จงใจโคลสอัพให้เห็น หรือคุณจะบอก นั่น...บกพร่องโดยสุจริต?
โลกวันนี้ มีทั้ง เทรด วอร์, ไซเบอร์ วอร์
แต่ "มิวสิก วอร์" การแต่งเพลงสะท้อนสังคมการเมือง เรียกว่า "ด่าผ่านเพลง" อย่างเพลง "ประเทศกูมี"
ที่ Jacoboi, Liberate P และ ET ร้องในนามกลุ่ม Rap Against Dictatorship "กลุ่มต่อต้านเผด็จการ" นั้น
คำว่า "ต่อต้านเผด็จการ" เท่นะ
แต่เปลือกจังเลย!
บ่งถึงโลกทัศน์ในเนื้อสมองพวกคุณ จมอยู่ก้นถังกรองขยะ กทม.เพราะเรื่องง่ายๆ ยังไม่สามารถแยกแยะเพื่อการทำได้เลย ว่า
"ประเทศชาติบ้านเมือง" นั้น เป็น "มรดกสมบัติ" ของคนทุกคนที่เกิดในแผ่นดินนั้น
ดังนั้น ขึ้นชื่อว่า "ประเทศชาติ" แล้ว ในความเป็น "รูปสมบัติ-นามสมบัติ"
"ทรงคุณประเสริฐ" สาธารณ์สถานเดียว
มนุษย์ในแผ่นดินนั้นๆ "ต้องสำนึก" ไว้เหนือหัว-เหนือชีวิต เว้นแต่มันผู้นั้น "ไม่ใช่คน"
"ประเทศ" จึงอยู่เหนือสำนึกทรามใดๆ ที่ใครจะโน้มดึงลงมาว่ากล่าวหยามเหยียดไม่ได้
มันเป็นคนละส่วนกับคน "ผู้บริหารประเทศ" คือรัฐบาล
พวกคุณอยากโจมตีรัฐบาล คสช.
พวกคุณอยากด่า-อยากประจานนายกฯ ประยุทธ์
ก็ "ด่าผ่านเพลง" ไปตรงๆ เลย จะได้ช่วยซี้ดดดด แต่นี่ไม่งั้น คนรุ่นใหม่ แต่ใจริยำ
ขั้นต้น คำนึงก็...ประเทศเหี้.....สองคำก็ ประเทศคว....
มันอะไรกัน!?
ตรงนี้ รับไม่ได้จริงๆ
แบบนี้ มันอุดมการณ์ทางการเมืองเสรีนิยม ประเภท "ถ้าพวกกูไม่ได้...ต้องเผา" ชัดๆ
ผมเข้าใจ รสนิยมเสพการบ้าน-การเมืองของคนไทย อะไรที่เผ็ดร้อน ดุ-ด่าใส่กัน ฟังปุ๊บ ไม่ต้องคิด รู้เรื่องปั๊บ มันต้องจริตนัก
ผมเองก็ชอบ
อย่างเพลง "ประเทศกูมี" จะด่าเรื่องเสือดำ เรื่องนาฬิกา เรื่องเผด็จการ เรื่องประชาธิปไตย เรื่องผลงานรัฐบาล คสช.
นั่นก็คิดประดิษฐ์ด่ากันไปซี ใครจะไปว่าอะไร
เพราะหลายๆ เรื่องในรัฐบาล คสช. มันสมควรต้องถูกด่าอยู่แล้ว
ไม่กล้าเยิ่นกะเขาตรงๆ ใช่มั้ย จึง "ด่าประเทศ" ด้วยนึกว่าเท่
แบบนี้ ทำให้ผมข้องใจ ว่านี่มันไม่น่าใช่แนวคิด-แนวร้องของนักร้อง-นักแร็ปตามธรรมชาติ
เพราะศิลปินจริงๆ จะไม่ "หมิ่นชาติ"
แต่นี่ยิ่งกว่าหมิ่น มัน "ชังชาติ" และบ่งเจตนา "สุมเชื้อ-สุมไฟ" ให้ประชาชนเกลียดชังประเทศชาติบ้านเมือง ให้ประชาชนแตกแยกเป็นฝักฝ่าย
มุ่งสู่เป้าหมาย ให้จลาจลเกิดในบ้าน-ในเมือง โดยย้อนดึงภาพยุค 14 ตุลา-6 ตุลามาเป็นเชื้อคิดและแนวเดิน
เห็นชัด "จงใจ" เน้นประเด็นนี้มาก ถึงขนาดขึ้นตัวอักษรไว้ท้ายคลิป ว่า
"การแบ่งแยกประชาชนเป็นฝักเป็นฝ่าย คือไม้ตายของอำนาจรัฐที่ฝักใฝ่เผด็จการ"
การนำภาพเหตุการณ์ 6 ตุลามาเป็นฉากประกอบ ทำให้ผมต้องคิดต่อ
6 ตุลา 19 ถึงวันนี้ ผ่านมา 42 ปี
แต่นักร้องแร็ป "ต่อต้านเผด็จการ" นี้ ให้มากสุด แต่ละคน อายุไม่เกิน 22-25 ปี
ถามว่า ธรรมชาติคนไทย สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ชาติตัวเองขนาดไหน?
และมีเหตุจูงใจอันใด ที่คนแต่ง-คนร้องเพลงนี้ ต้องนำภาพเหตุการณ์ 6 ตุลามาประกอบ?
ที่สำคัญ ลองถามนักแร็ปชุดนี้ดูซิว่า "6 ตุลาคืออะไร?"
6 ตุลา 19 "ยังไม่เกิด" กลับรู้เผด็จการ 6 ตุลา
แต่ "พฤษภา 53" เผาบ้าน-เผาเมือง "เกิดแล้ว-เห็นแล้ว" กลับไม่รู้ว่าเผด็จการ!?
มันชักทะแม่งอยู่ ดูๆ ไป ที่มา-ที่ไปของเพลง "ประเทศกูมี" มันน่าจะ "มี" จริงๆ
คือ น่าจะมี "เบื้องหลัง"!
เว็บไซต์ "ผู้จัดการออนไลน์" เมื่อวาน (26 ต.ค.) เสนอข่าวเรื่องเพลงนี้ และในข่าวบอกว่า
"กลุ่ม Rap Against Dictatorship ให้สัมภาษณ์ วอยซ์ออนไลน์ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ของ นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร
ว่า เพลงนี้มีแร็ปเปอร์ 10 คนร่วมกันเขียนเนื้อร้อง ธีมหลักคือต่อต้านเผด็จการ
พูดถึงว่าประเทศมีอะไรในสายตาของแร็ปเปอร์แต่ละคน และอ้างว่าตั้งใจรวบรวมคนที่คิดไม่เหมือนกันเข้ามาอยู่ในเพลงนี้ ซึ่งมีจุดร่วมกันคือไม่เอาเผด็จการ
โดยกลุ่ม Rap Against Dictatorship เป็นโปรเจกต์ที่อยากให้คนพูดเพลงการเมืองเข้ามาร่วมงาน ซึ่งซิงเกิลต่อไปอาจจะมีศิลปินหมุนเวียนมา
ส่วนที่ถามว่าเพลงนี้สุดโต่งไปหรือไม่ พวกเขากล่าวว่าไม่ได้สุดโต่งขนาดนั้น ประนีประนอมอย่างมากแล้ว โดยตั้งเป้าไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูประชาชนด้วยกันเอง
ตอนหนึ่งพวกเขากล่าวว่า.........
วัตถุประสงค์หลักที่ออกเพลงนี้ คือ อยากให้วัยรุ่นและวัยทำงานหันมาสนใจเรื่องบ้านเมือง
ซึ่งการใช้ดนตรีสื่อสารเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย ทุกคนทำได้ สามารถเอาไปทำตามได้
อย่างไรก็ตาม ในตอนจบของเอ็มวีที่ใช้ประโยคว่า All People Unite ในโลกประชาธิปไตย คนสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เราเก็บพื้นที่เอาไว้ตีกันเอง แต่เราสามัคคีกันไม่ให้อำนาจอื่นเข้ามาแทรกในอำนาจประชาชน
ในความแตกต่างหลากหลายเข้ามาตีกันเองได้ แต่ไม่ใช่ให้อำนาจรัฐเผด็จการเข้ามาควบคุมในส่วนนี้
ที่ใช้เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เป็นพื้นหลังในเพลง มันสะท้อนภาพชัดที่สุดแล้ว ในสภาวะที่องค์กรของรัฐเข้ามาสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ก็เกิดการแบ่งฝ่ายที่หนักมากกว่ายุคนี้
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเกิดแบบนั้นขึ้นก็ได้
จึงเลือกจุดที่มันหนักที่สุดขึ้นมา ภาพมันจะได้ชัดว่า มันคือจุดที่คนถูกรัฐทำให้แตกแยกจากกัน พอคนมันฟาดกันเองในระดับนั้น รัฐก็เข้ามาฉวยโอกาส
ตอนนั้น มันก็เป็นเผด็จการฝ่ายขวาแบบคลาสสิกเต็มตัว แบบที่ขวาที่สุดเท่ากับที่บ้านเราเคยมี
ตัวแทนกลุ่ม Rap Against Dictatorship ระบุ"
หาอ่านละเอียดในเว็บผู้จัดการออนไลน์เอานะครับ ผมหยิบยกมาให้ดูบางส่วน
สำหรับผม อ่านแล้ว พอปะติด-ปะต่อ เป็นความเข้าใจได้ว่า
ทำไมคนร่วมยุค "เผาบ้าน-เผาเมือง" ปี 53 เมื่อคิดจะต่อต้านเผด็จการ
เหตุการณ์ใกล้ตัวที่ "รู้จริง-เห็นจริง" ด้วยตาตัวเองตอนปี 52-53 แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา แยกประชาชนเป็นไพร่-เป็นอำมาตย์ แล้วเผาบ้าน-เผาเมือง
นักต่อต้านเผด็จการชุดนี้ กลับมองไม่เห็น........
กลับไประลึกชาติถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ตัวเองยังไม่เป็นสเปิร์มด้วยซ้ำ มาสร้างเป็นฉากเผด็จการ-ประชาธิปไตยปลุกระดมวันนี้?
แบบนี้แสดงว่า โปรดิวเซอร์ "ประเทศกูมี" ไม่ใช่อื่นไกล
พวก "หลงป่า" 6 ตุลา....
ที่กลับมา "หลงเงิน" เห็นหน้า-เห็นตากันอยู่นี่แหละ.
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยแบบสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า...อาตมาบ้าง...ประชาธิปไตยกับเผด็จการ ขึ้นต้นอย่างนี้
ขณะนี้ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก ใครไม่เชื่อไม่เป็นไร เรามีสิทธิ์พูด ไม่ผิดกฎหมายอิสระเสรีภาพ ประชาธิปไตยอาตมามีสิทธิ์คิดพูดและเชื่อ อาตมาก็ไม่ได้งมงาย อาตมาเข้าใจประชาธิปไตยคืออะไร
เรื่องเลือกตั้งเป็นเรื่องเศษผง-ขี้ผงนิดเดียว เป็นกรรมวิธีที่มาทำประกอบ ให้คนตื้นง่าย ความเห็นของประชาชนทั้งหมดนะ มาลงคะแนนเสียงนะ เสร็จแล้วกรรมวิธีที่จะให้คนไปลงคะแนนเสียงนี้ซื้อบ้างบังคับบ้าง หลอกบ้างอะไรบ้างสารพัด หลอกคนระดับล่างที่กระจอกงอกง่อยเอารองเท้าไปข้างนึงก่อนนะ ไปลงคะแนนแล้วมาเอารองเท้าอีกข้างหนึ่ง หลอกกันถึงขนาดนี้ เคยได้ยินไหม สารพัดวิธีแทคติกต่างๆเพื่อจะได้คะแนนมา มันไม่ได้เอาคุณงามความดีเอาความประพฤติความปฏิบัติ
มันซ้อน คนที่ประพฤติปฏิบัตินั้นไม่ต้องหาเสียง ประชาธิปไตยไม่ต้องหาเสียง ถ้ายังหาเสียงอยู่ไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างที่นายกฯประยุทธ์ทำอยู่อย่างนี้ไม่หาเสียง แต่คนพยายามยัดเยียดว่าหาเสียง เพราะว่าลึกๆแล้วคนรู้เหมือนกันว่าหาเสียงไม่ดีไม่ใช่ประชาธิปไตย คนไม่หาเสียงคือคนทำเพื่อประชาชนจริงๆ คนรับรู้แล้วก็เลือกเอง มันบริสุทธิ์มันสะอาด มันต้องอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ของชาวอโศกนี้ ถ้าลงสมัครส.ส.แล้วไม่มีใครไปหาเสียง ถ้าหาเสียงอยู่ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ประชาชนก็ยังไม่ตื่นตัวขนาดนั้น อโศกก็ไม่เดือดร้อนไม่มีส.ส.ไปในสภา แต่เราเป็นประชาธิปไตยเต็มขั้น ไม่ต้องพึ่งในสภา เอาถนนนี่แหละ จะทำให้ดูเพราะทำให้ดูมาแล้วจะทำอีกก็ได้พร้อมใครพร้อมบ้าง ...ยกมือ...พรึ่บ
ทีนี้มาไข ประชาธิปไตยกับเผด็จการแท้ๆ
อาตมาท้าวความถึงยุคพระพุทธเจ้า ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยุคของทาส คนไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน ไม่รู้จักสิทธิแรงงานสิทธิแสดงออก ยังไม่มีความรู้เป็นทาส เหมือนวัวเหมือนควาย อาตมาเขียนกวีเกี่ยวกับประชาธิปไตยนี้มามาก
สรุปประชาธิปไตยแท้ๆนั้น อาตมาสรุปไว้ 2 หมู่ใหญ่ๆ 2 กระบวนทัศน์
ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์มีประชาชนและมีจิตวิญญาณที่เป็นปัญญา นี่หมู่หนึ่ง
ประชาธิปไตยแบบมีกษัตริย์เป็นประชาธิปไตยแท้ เพราะประชาธิปไตยจะต้องมีประชาชนเป็นหลัก แล้วต้องมีผู้นำ เพราะฉะนั้นแยกธรรมะ 1 ไม่ได้ ต้องเป็นธรรมะ 2 เสมอ ต้องมีประชาชนกับกษัตริย์ มีผู้นำมีประธานกับประชาชน แต่ว่าประชาธิปไตยขาเดียว เอาแต่ประชาชนไม่มีผู้นำเป็นหลัก ผู้นำที่จะต้องมีการสืบสานมีการศึกษามีการอบรมมีการประพฤติ
กษัตริย์นี้อยู่ในวงปกครองตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงบัดนี้ มีกฎมณเฑียรบาลมีระบบวิธีมีการอบรมฝึกฝน ทั้งกายและใจมาตลอด มีทฤษฎีมีระเบียบระบอบมีวิธีมาตลอด แล้วก็พัฒนาเจริญระบบวิธีเจริญทฤษฎีเจริญมาตลอดเวลา ไม่ได้อยู่นิ่ง ระบบกษัตริย์ก็ไม่ได้อยู่นิ่ง มีการพัฒนาการมากับสมัยอยู่เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์กับประชาชนมีแต่ประชาชนไม่มีกษัตริย์ไม่มีผู้นำไปเลือกเอาประธานาธิบดีจากประชาชนนี่แหละ นั่นคือประชาธิปไตยขาเดียวอาตมาบอกว่าไปไม่รอด
อังกฤษเป็นต้นแบบประชาธิปไตย ทุกวันนี้เขาก็ยังมีกษัตริย์ ที่อวดเก่งแตกไปจากอังกฤษก็คืออเมริกา แม้แต่ออสเตรเลียก็ตามแต่ออกไปแล้วเป็นอย่างไรทำเก่งไปได้ไม่กี่ปี 100 ปี 200 ปีอเมริกายังไม่ถึง 300 ปีนะ ทุกวันนี้เห็นลางอยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ผู้นำประชาธิปไตยที่ถือว่าเป็นผู้นำระดับโลก รู้จักโดนัลด์ดั๊คไหม เป็ดโดนัล ไม่ได้ว่าโดนัลด์ทรัมป์นะ
พูดไป เขาจะเอาระเบิดปรมนูมาไหม ไม่คุ้มหรอกเสียดาย
ส่วนสำคัญคือจิตวิญญาณที่มีภูมิปัญญา หากว่าผมปัญญาเข้าใจประชาธิปไตยอย่างพระพุทธเจ้าท่านทำประชาธิปไตยของท่านในยุคนั้น จนมาถึงยุคนี้
เส้าที่หนึ่ง จิตวิญญาณต้องมีภูมิปัญญา
เส้าที่สองต้องมี ความอิสระเสรีภาพความไม่มีตัวตนและมีปัญญา
ความฉลาดแบบโลกิยะเป็นแค่สมบัติผลัดกันชม แต่ปัญญาแบบโลกุตระนั้นไม่มีตัวตนทำตามเหตุปัจจัยอย่างไม่มีอคติ เอาธรรมะกลางที่สุด อันไหนถูกที่สุดเอาอันที่ถูก เพื่อประชาชน ไม่ด้วยวิธีการหลอกล่อใดๆ ให้ตรงกับประชาชนแท้ๆ เพราะฉะนั้นในกลุ่มที่ 2 ก็มีอิสระเสรีภาพกับความไร้อัตตา ไม่มีอัตตาและจิตวิญญาณจะต้องมีปัญญามีโลกุตระ
โลกุตระปัญญาจึงเป็นตัวประธานของทุกอย่างในโลก คือความฉลาดทางโลกุตระ
ปัญญานี้ ภาษาเพี้ยนไปไกล เอาไปแทนคำว่าเฉโก ความฉลาดทางโลกียก็เอาคำว่าปัญญาไปเรียกหมดเลย
ความฉลาดทางโลกโลกีย์ ความฉลาดทางโลกุตระนั้นเริ่มต้นรู้จักตัวตนเริ่มต้นรู้จักอิสระเสรีภาพที่ถูกต้อง แล้วปฏิบัติเพื่อลดละ ลดตัวตน จะได้ความเป็นอิสระมาเรื่อยๆ
อิสระออกมาแล้วรู้โลก โลกวิทู ไม่ได้หนีไปหมกในป่าเขาถ้ำเรียนรู้ไปด้วยกัน ตั้งแต่วงเล็กไปถึงวงใหญ่โลกลูกเล็กไปถึงโลกลูกใหญ่จนชัดเจนทุกอย่าง จดทะเบียนทุกอย่างว่าโลกคืออะไรอัตตาคืออะไรชัดเจนในโลกในอัตตา
ศาสนาพุทธในสมัยก่อนไม่มีคำว่าประชาธิปไตย ท่านจะใช้คำว่ากษัตริย์ก็ไม่ได้ เพราะว่ากษัตริย์ในสมัยโน้นยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะใช้คำว่าประธานาธิบดีก็คงคิดไม่ออก ประวัติสัจจะความจริงเป็นแบบนั้น ประธานาธิบดีคือเนื้องอกของประชาธิปไตย มันงอกทีหลังนะ ต้นแบบของอังกฤษเขาก็มีกษัตริย์ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ทำอวดดี ที่จริงมันเป็นไปตามธรรม ตั้งแต่ ประธานาธิบดีคนแรก
ตามประวัติแล้วประธานาธิบดีคนแรกเขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีคนที่ 1 นะ จอร์จวอชิงตัน เขาไม่ต้องการจะเป็น เขาช่วยรบเสร็จสงครามกลางเมืองเขาจะพักไม่เอา แต่ประชาชนไม่ยอมจะให้เขาเป็นประธานาธิบดีเขาก็เลยต้องรับ อย่างนี้เป็นต้น เป็นภาวะซับซ้อนอจินไตย คนชนะแต่ประเทศรู้ไม่ได้ อย่างอเมริกานี้ จอร์จวอชิงตันก็เป็นคนดีแต่ประเทศมันไม่ดี
ในประเทศไทยพลเอกประยุทธ์กับนายทักษิณคนไหนเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน
นายทักษิณนั้นเป็นยอดเผด็จการ เอาพรรคพวกกดขี่ เอาเงินซื้อเอาเงินฟาดเอาอำนาจบาทใหญ่เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้สิ่งเหล่านี้อยู่เต็มที่ แล้วก็ยังใช้ไม่ได้ผลแล้ว ใช้อำนาจเงินใช้อำนาจแห่งอำนาจยศศักดิ์ก็ดี อำนาจของวิธีการในแทคติกต่างๆก็ดี เอามารวมเพื่อสร้างอำนาจ เป็นเผด็จการตัวทวดของทวดเลย แล้วมาหลอกคนสมัยใหม่ว่าประชาธิปไตยต้องเลือกตั้ง พวกไม่เลือกตั้งอย่างพลเอกประยุทธ์ถึงมาขอยึดอำนาจ บอกว่าอันนี้แหละคือเผด็จการ ...ขี้หมาเลยครับ
จะพูดมากก็ไม่ดี เพราะว่าเราเป็นประชาชนผู้ออกไปไล่ทักษิณและไล่นอมินีของทักษิณอีก แม้แต่อภิสิทธิ์ก็โดนหางเลขไล่ไปด้วยตั้ง 5 รัฐบาล พวกเราไปทำงานอยู่นั่น เราร่วมถึง 5 รัฐบาล โดยวิธีประชาธิปไตย เข้าไปไขความจริงเข้าไปบอกโลก ให้โลกรู้ว่า ใครผิดใครถูกใครดีใครชั่วใครเป็นเนื้อแท้ใครเป็นเนื้อเน่า ไม่บอกให้ชัดเจน จนพลังงานของทุกปี ตัดสินช่วยเป็นพลังงานแห่งสัจจะชนะ ไม่ต้องใช้ปืนใช้อาวุธ ที่มีอยู่นั้นเป็นพวกตรงกันข้ามแล้วมายัดเยียดให้พวกเรา ตอนนี้ตัดสินอยู่ที่ศาล สำหรับพวกเราไม่มีใครโดนคดีหรอก มีนิดหน่อยแซมดินติดเข้าไป ปิดสถานีอะไร ที่จริงไม่ใช่ เราไปปิดอะไรได้เราไม่มีอำนาจขนาดนั้นหรอกเขาสั่งให้ปิดกันเอง แม้แซมดินจะไปปิดสนามบินได้ ให้เกียรติแซมดินจังเลย มีอำนาจใหญ่จังเลยไปสั่งปิดสนามบินได้ แซมดินเอ้ยเขาให้เกียรติ ทั้งที่ไม่ทำเขาก็ให้เกียรติเป็นผู้ปิดสนามบินได้ยิ่งใหญ่
เราทำตามประสาผู้น้อยแต่เราเอาสัจธรรมความจริงไปใช้ ประชาธิปไตยนี้ อาตมาเข้าใจประชาธิปไตย พูดไปแล้วจะอ้วกแตก อาตมานำเรื่องการบริหารปกครองเรื่องประชาธิปไตยมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว รู้จักการบริหารแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รู้จักการบริหารแบบประชาธิปไตยสลับซับซ้อนมาไม่รู้กี่ยุคสมัยรู้ดี อาตมาไม่ได้ไปเรียนรัฐศาสตร์เลย ในชาตินี้ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 84 ไม่เคยลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลยสักครึ่งครั้งไม่เคยแลเลย นักการเมืองจะหัวหกก้นขวิดอย่างไรอาตมาไม่เคยเกี่ยว จนมาเป็นนักบวชถึงรู้และพาทำ ตอนเป็นฆราวาสไม่เอาเลย พอมาบวชนี้เข้าใจว่าคือเรื่องของสัจธรรมก็เลยต้องทำ
เพราะฉะนั้นนายกฯตู่นี่แหละคือตัวแทนของประชาธิปไตยที่บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับ เพราะพฤติการณ์ของนายกฯตู่บริหารประเทศมา 4 ปี ครบวาระแล้วนะ ก็พอดี จะเลือกตั้ง ตอนนี้ถือว่าดูแลบริหารไป
อาตมาเกิดมาในยุคนี้แม้จะไม่ทันนายกฯคนที่ 1 ประชาธิปไตยเขา เกิด พ.ศ. 2477 นายกฯคนที่ 1 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
แต่มาเริ่มต้นที่จอมพลแปลกนี่แหละอาตมารู้ดี ก็แหมอาตมาก็โตแล้ว จอมพลแปลกอยู่นานหลายปี นอกนั้นนายกฯคนอื่นๆเราก็สัมผัสและจำได้โดยพื้นฐานของอาตมา ตั้งแต่ชาติก่อนได้เคยบริหารคนทำงานมาเกี่ยวกับมนุษยชาติ ลึกๆจิตเรามีภูมิธรรมมีความรู้มีปัญญา
เพราะฉะนั้นมาถึงวันนี้จริงๆแล้วมันเป็นบารมีเป็นวิบากเป็นสิ่งที่ต้องทำ อาตมาไม่ได้คิดจะไปทำให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรหรอก ที่ได้พาทำ เหตุการณ์มันพาไป ตั้งแต่ออกไปตอนแรกๆ เพราะมีพลตรีจำลอง ศรีเมืองเป็นนักการเมือง ตั้งแต่ในยุคยังเติร์ก
เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องไม่บังเอิญเป็นสัจจะต้องเป็นเช่นนี้ แม้แต่อาตมาเอง อย่างคุณจำลอง ชื่อก็ชื่อจำลอง ไม่ได้ชื่อตัวจริง เพราะฉะนั้นคุณจำลองนี้ถ้าเชื่ออาตมาก็จะแก้เคล็ดตรงนี้ได้ คือ ถ้าเชื่ออาตมา เป็นผู้ว่าให้ครบสัก 3 สมัย แล้วจะได้เป็นนายกฯอย่างลอยลำเลยอาตมาใช้คำศัพท์ว่า Bangkok is Thailand Thailand is Bangkok อาตมาบอกว่าคุณทำกรุงเทพฯนี่แหละทำไปเลย แล้วประเทศไทยก็คือกรุงเทพฯนั่นแหละตอนนั้นเขาจำลองทุกอย่างด้วยกฎหมาย ให้เด่นชัด คนก็จะเห็นมันโฟกัสมาที่กรุงเทพ แต่คุณจำลองไปยังไงมายังไงก็ไม่รู้ได้สมัยครึ่ง เอาล่ะ เกิดพรรคพลังธรรม แล้วพรรคพลังธรรมก็มัดมือชกอาตมาด้วย ตกกระไดพลอยโจน เพราะมันยังไม่พร้อมเลย พลเมืองเรายังไม่พอ ไปเกณฑ์ไปสมัครสอบให้เป็นส.ส. สอบตกยกมือขึ้น ...มันยังไม่พร้อม ขนาดนี้ก็ยังไม่พร้อมดี ให้อโศกไปทำก็ยังทำไม่ได้ ขอเวลาอีกหน่อยนะ เพลงของนายกฯตู่แต่งไว้
จริงๆ อาตมานี่ขอลากสังขารไปถึงไม่มากหรอก อีกสัก 50-60 ปี อาตมาเผื่อพอไง ไม่มั่นใจว่ามันจะดีขึ้นเร็วได้ แต่มีอัตราการก้าวหน้าเท่าที่เห็นนี้ มันไม่น่าจะถึง ประเทศไทยน่าจะเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ต้องมาแคร์เรื่องเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่ต้องไปแคร์เลือกตั้ง ให้ตะโกนโหวกเหวกไป ถ้าเลื่อนจาก 24 กุมภา ยิ่งจะสะดวกโยธินเลย
พูดถึงสะดวกนะนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่วาริน เป็นแฟนของศรีสอางค์ ตรีเนตร
ในขณะนี้ทุกอย่างลงตัวและเป็นจริง ประชาธิปไตยจริง ที่พิสูจน์ยืนยันได้ว่าประชาธิปไตยจริงไม่ใช่ประชาธิปไตยที่จะต้องเลือกตั้ง ที่นายกประยุทธ์ทำเข้ามารับหน้าที่ในตอนนั้นเป็นผบ.ทบ.เป็นผู้ที่จะต้องทำงานรับช่วงต่อ เป็นหน้าที่ ก็จะต้องมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นขอยึดอำนาจ เชิงซ้อนกับคำว่าปฏิวัติ คำว่าปฏิวัติไม่ได้ใช้ปืนยิงสักลูกไม่ได้ใช้ระเบิดสักลูก
มันเป็นอำนาจประชาธิปไตยที่ประชาชนปฏิวัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้แหละนักรัฐศาสตร์ฟังดีๆ ประวัติศาสตร์การเมืองบทนี้ฟังให้ดี ประชาชนตั้งแต่เราออกไปทำจนกระทั่งเกิดกปปส.มาร่วม ประชาชนพวกเราไปทำ เริ่มต้นจริงๆก็เป็นพันธมิตร เราก็ออกไปประสานร่วม อยู่กับคณะผู้จัดการ คุณจำลองไปช่วยผู้จัดการทั้งหมด เงินทุกบาททุกสตางค์ไม่ให้โพธิรักษ์เลย พูดชัดๆ มีเท่าไหร่ไปถมกับผู้จัดการ
พ.ศ 2549 เราก็ออกไป แล้วออกไปเรื่อยๆจนถึงบัดนี้ เราร่วมกับพันธมิตรฯและกปปส. มันเป็นวิวัฒนาการของรัฐศาสตร์การเมือง และก็เป็นพลังประชาชนไปตามลำดับ จนกระทั่งสุดท้ายมาเป็นพลังในประเทศไทย ทางคุณสุเทพที่เขาเรียนรัฐศาสตร์มาก็รู้เรื่องมากกว่าอาตมาก็ Shutdown Bangkok ประชาชนก็ออกมา คนออกมาแสดงพลังเป็นล้าน ไม่เคยมีเลยเป็นความสงบ เป็นสิ่งที่เป็นประชาธิปไตยสากลของโลกไม่ได้ใช้อาวุธ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ไปบังคับข่มขี่อะไร ประชาชนออกมาร่วมมือกันจริง จนกระทั่งกลายเป็นประชาชนปฏิวัติสำเร็จ
ก่อนจะถึง กปปส.นี้ก็มีอะไรมาก่อน รัฐบาลทักษิณนี้ไทยรักไทย ต่อมาสมัคร พลังประชาชน สมชายนี่ก็เพื่อไทย เสร็จแล้วก็มีอภิสิทธิ์มาคั่นแล้วก็มียิ่งลักษณ์ ก็เต็มเหนี่ยวเลยเพราะว่าชำนาญขึ้น แล้วร้ายแรงกว่าเพื่อนด้วยยิ่งลักษณ์ ตอนนี้จะเป็นหนี้อีกไม่รู้กี่แสนล้าน เป็นความสลับซับซ้อน กลายเป็นผู้หญิงทำร้ายแรงร้ายกาจกว่าผู้ชาย ทุจริตขี้โกงซับซ้อนกว่า ความไม่บริสุทธิ์ไม่ซื่อสัตย์ซับซ้อนมากกว่า
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเป็นเรื่องอจินไตย ทำไมทักษิณต้องไปเรียนอาชญาวิทยา จบดร.ทางอาชญาวิทยา แล้วเขาเอากลยุทธ์กลวิธีการมาใช้ในทางการเมือง ปล้นประเทศ นี่คือการปล้นประเทศด้วยอาชญวิทยาของทักษิณ จนบัดนี้ก็ออกมาชัดเจน เก่งทั้งนั้นในการล็อบบี้ประชากรโลก จ้างนักล็อบบี้ยิสต์ของโลก เอาเงินไปออกดอกออกผลอีก พวกทุนนิยมไม่เกี่ยงหรอก จะเป็นเงินทุจริตอย่างไร มีเงินกูเอาทั้งนั้น ก็เลยใช้เงินเป็นอำนาจอยู่ตอนนี้ แต่อาตมาว่าจะลดลง อำนาจของลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองจะลดลง อำนาจของคุณธรรมจะเพิ่มขึ้น อำนาจแห่งการไม่เห็นแก่ตัวเป็นโลกุตระนี้จะยิ่งชัดขึ้น ขอให้พวกเราผนึกกันปฏิบัติคุณธรรมโลกุตระให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเถอะ แม้แต่ในเมืองไทยจะเข้าใจ จะมารวมพลังกัน อโศกก็จะมีพลเมืองมีประชากรเพิ่มขึ้น ก็ดูสิว่า
ถ้าอโศกบ้านราชฯมีจำนวนพันขึ้นมา ในผู้เพิ่มขณะนี้มีห้าร้อย หาอีกสักห้าร้อยมา ผู้ที่จะมานี้อาตมาคิดว่าจะมีผู้มีความรู้ทางรัฐศาสตร์การเมืองมาอีกไม่น้อย เป็นคนรุ่นใหม่ด้วย
ทีนี้อยากจะบอกถึงคนรุ่นเก่า
นักประชาธิปไตยรุ่นเก่าตอนนี้เอาลงถังผงไป คุณยังเล่นลูกเก่าๆอยู่ คุณไม่ทันสมัยหรอกและคุณยังไม่ใช่โลกุตระบุคคลด้วย ถ้าเป็นโลกุตระบุคคลคุณต้องมาที่นี่ แต่ขออภัย อาตมายังไม่ไว้ใจเขาอาตมาต้องขอเวลา มีจะมาเหมือนกันแต่อาตมาก็ยัง อาตมาเองไม่ไว้ใจตนเองที่จะช่วยพวกเราได้อยู่ จะบ่อนแตกไหม
คำว่าบ่อนนี้ ภาษาอีสานแปลว่าสถานที่ เสนาสนะ บ่อน แต่ในภาคกลางไปใช้เป็นสถานที่เล่นพนัน แต่อีสานหมายถึงสถานที่ บ่อนนั่นบ่อนนี่
เลยใช้ภาษาที่มีความหมายได้ทั้ง 2 อย่างเป็นสิริมหามายาต้องรู้สภาวะไม่ใช่ยึดติดที่ภาษาพยัญชนะ 2 อย่างนี้สลับไปสลับมาคำเดียวกันนี่แหละ ต้องยึดถือสภาวะเป็นหลัก พยัญชนะนี้กลับไปกลับมาได้ เปลี่ยนไปมาได้แทนกันได้ เพราะว่าเขาซื้อกันด้วยพยัญชนะ คนก็เลยโง่แต่พยัญชนะ หากใครแม่นสภาวะคนนั้นรอด
ประชาธิปไตยที่เป็นสภาวะแท้ต้องให้ยึดมั่น เอาหลักเกณฑ์ 10 ข้อของอาตมาไป ขอผ่านไม่พูดวันนี้
ข้อสรุปตรงนี้อีกทีว่า
คนรุ่นใหม่ เป็นลูกนักการเมืองเก่าหัวเก่าๆ บอกว่าคนรุ่นใหม่ที่โหวกเหวกตอนนี้ เป็นลูกเจ้าสัวนักการเมืองหัวเก่า เพราะฉะนั้นเราไม่เอาแล้ว การเมืองแบบที่ผ่านมาในยุคเก่าๆ ต้องเข้าใจการเมืองใหม่
มาเอาการเมืองแบบอโศกนี้ หรือเอาการเมืองอย่างนายกฯตู่ พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา มาเอาอันนี้ให้ชัดๆ มาทั้งเรียนรู้มาทั้งร่วมมือไปด้วย จะได้ช่วยบ้านเมืองช่วยสังคมและคุณจะได้ซึมซับเรียนรู้ฝึกฝนอบรม ไปทางนี้ ถ้าชอบการเมืองก็เอา ไม่มีปัญหาอะไรหรอก การเมืองที่ดีเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องดี อาตมาถึงบอกว่าไม่แยกการเมืองกับธรรมะ
การเมืองต้องวงเล็บว่าการเมืองที่ดีโดยเฉพาะการเมืองที่เป็นโลกุตระ คือการเมืองที่มีสามเส้า ไม่มีตัวตน - อิสระเสรี ไม่มีอคติ - มีปัญญาความรู้โลกุตระ ไม่ใช่มีแต่ เฉโก กูต้องรวยกูต้องได้กูต้องยิ่งใหญ่เหมือนกับโดนัลด์ดั๊ก
เพราะฉะนั้นเนื้อแท้ของประชาธิปไตยนั้นก็คืออิสระเสรีภาพ และไม่มีตัวตน ต้องมาศึกษาไม่มีตัวตนคืออะไร
ต้องมาเรียนรู้สัจธรรมอันนี้ที่ในศาสนาพุทธมี ศาสนาอื่นไม่ได้เรียนรู้เรื่องอัตตาตัวตน เพราะศาสนาอื่นนั้นเป็นศาสนาเทวนิยม ยังตีเทวะที่เป็น 2 นี้ไม่แตก ยังงมงาย 2 นี้เป็นหนึ่ง มันขัดแย้งกันในตัวและไม่เปิด2จนเป็น1เป็น 0 ได้ ถ้าหากตี2ไม่เป็น1ได้จะไปหา0ได้อย่างไรจะหมดตัวตนได้อย่างไร
0 คือทุกสิ่งทุกอย่าง ในมหาจักรวาล ลงตัวแล้วอันเดียวกันเรื่องเดียวกัน อันนี้จะต้องศึกษาให้ดีแล้วจะเข้าใจรู้
คนที่เรียนรู้ทำ 0 ให้แข็งแรงแล้วจึงเป็นอมตะบุคคล จะเกิดหรือไม่เกิดจะดับหรือไม่ดับ จะเกิดแล้วจะอยู่ต่อ หรือจะตายสูญไปเลยก็ได้ทั้งนั้น อมตบุคคล ที่มีความรู้อันนี้ทำให้ตัวตนที่เป็นมนุษย์ในโลก มีความเป็นไปได้เป็นคนอมตะบุคคล เป็นเรื่องจิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์มีภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดเข้าใจความจริงและซื่อสัตย์ ไม่ได้หลอกลวง ไม่ได้พรางแฝงตรงจริงสุจริตจริงดีจริง นี่เป็นสัจธรรมที่คนสุดยอด
พูดถึงพระพุทธเจ้าท่านก็คือคนเหมือนกันกับเรา แต่ท่านได้ฝึกฝนอบรมความจริงที่เป็นสัจธรรมโลกุตระ เรียนรู้อบรม ตั้งแต่เป็นโสดาบัน จนกระทั่งจบโสดาบันเป็นสกิทาคามี ไม่ใช่แค่ชาติเดียวไม่ใช่แค่ 5 ชาติ10 ชาติ เป็นร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติล้านชาติจนเป็นพระอรหันต์จนเป็นโพธิสัตว์ ระดับ 5 จาก 1 2 3 4 ก็เป็นโพธิสัตว์ในระดับโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วท่านจะประกาศศาสนาใดศาสนาหนึ่งของท่านก็ได้ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ท่านไม่ประกาศแต่ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่ท่านไม่ได้ต้องการที่จะขึ้นทำเนียบเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนสูงสุดแล้ว ที่คุณฟังให้ดี เรื่องจิตวิญญาณพัฒนาได้ถึงขนาดนี้ สูงสุดอย่างนี้แล้วไม่มีตัวตน มีอิสระเสรีภาพสูงสุดมีปัญญารู้เรื่องมนุษยชาติการเมืองและสังคม จะบริหารกันอย่างไรอยู่อย่างไรให้สูงสุดแล้วเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้บริหารด้วยการคิดไม่เท่านั้นแต่เอาตัวเองเข้าไปเป็นจริงจนกระทั่งตัวเองผ่านมาเป็นอีกเป็นอีก
อาตมานี้ยังนึกอยู่ว่าอาตมาจะต้องถูกจับไปเป็นผู้บริหารประเทศเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศอีกหรือไม่ในชาติต่อไป อาตมาเบื่อ อาตมาอยู่อย่างโพธิรักษ์นี้สบายที่สุดเลย ถ้าไปอย่างนั้นโอ้โห ตายพอดี เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา อยู่ในกรอบของประชาชนทั้งหมดเลยดิ้นไม่ได้
เมืองไทยนั้นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 มีบารมี ประชาชนไม่ไปบังคับพระเจ้าแผ่นดิน ยกให้พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินของไทยรัชกาลที่ 9 ท่านสุดยอดของเผด็จการ เพราะเป็นเผด็จการที่เป็นธรรมาธิปไตยที่สุด เป็นยอดประชาธิปไตยสูงสุด
ส.ฟ้าไท สรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:10:48 )
รายละเอียด
611118_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีเทวะให้แตกแยกทักษิณกับพล.อ.ประยุทธ์ให้ออก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1J6ByfJdFCLpbDkvpStPNbHpGv7ngUb5DSwEDJG0rTq0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=18-Yo6WDYc3gC_OaBTE_KaHokw9b630JJ
สฟ.ว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวของโลกก็จะมีอากาศวิปริตเพราะมีการทำลายสิ่งแวดล้อม มีน้ำท่วมกันในต่างประเทศ ที่ซาอุดิอารเบีย ทางการเมืองก็กำลังร้อนแรง ต้องไปเลือกผู้นำไปบริหารชาติ ต้องเป็นผู้นำที่รักประเทศชาติประชาชนเป็นผู้นำที่ไม่มีอัตตาตัวตนหรือไม่
พ่อครูว่า...ก็ขอวรรคโอภาอาศัยกับ SMS ก่อน
SMS วันศุกร์ 16 พฤศจิกายน 2561 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เรื่องพญาธัมมิกราชคู่
_2166 ชาวอโศกก็บ้ายอเหมือนกันนะ พอตินิดเดียวก็ขึ้นพรึบๆเลย
ผมยังข้องใจในเรื่องพระธรรมมิกราชอยู่ ทำไมในหลวงคู่ของหลวงพ่อไม่เคยเห็นท่านมาพบหลวงพ่อเลยครับ?? ทำไมหลวงพ่อไม่จับคู่กับพลตรีจำลองหรืออาจารย์ ส.ศิวลักษ์ จะไม่คือกว่าหรือครับ???
พ่อครูว่า…ใครจะหาว่าเราบ้ายอ พอตินิดเดียวก็ขึ้นพรึบๆเลย ..เพราะเราแววไว แต่ก็เป็นเรื่องของเรา
เรื่องพระยาธรรมิกราช โบราณจารย์ยืนยันไว้ ในครึ่งอายุศาสนาพุทธจะมีผู้มากอบกู้ศาสนาพุทธ อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่มากอบกู้ศาสนาพุทธคู่กับในหลวง บางคนฟังแล้วจะอ้วกแตกเพราะมาเทียบเคียงกับในหลวง ยกตนเสมอท่าน มันก็น่าอยู่หรอกนะอาตมามันดิน ในหลวงท่านเป็นฟ้า แต่เราพูดถึงสัจจะความจริง เรามองที่พฤติกรรมของคน กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม พยายามให้ความหมายความรู้ว่าอย่างนี้คือโลกุตรธรรม ลดกิเลสแล้วจะหมดตัวหมดตน สร้างสรรค์มนุษยชาติรู้ความเป็นธรรมาธิปไตย รู้จักโลกาธิปไตยรู้จักอัตตาธิปไตย ไม่ติดยึดในโลกในอัตตา ทำให้ธรรมะเป็นพลังเป็นอธิปไตย มีบทบาทมีพลังให้คนเกิดคนเป็น อย่างนั้นจริงๆเลย เอาตรงนี้สิ มาเป็นเครื่องชี้วัด ว่าบุคคลที่เป็นตัวตนแบบนี้จะให้เรียกอะไรก็ได้ เป็นหมูเป็นหมาก็ได้ แต่พฤติกรรมอาตมาถูกต้องไหม
ตอนนี้เรากำลังพูดถึงพยัญชนะกับสภาวะ คนไปติดแต่พยัญชนะบัญญัติภาษาเรียก แต่ตัวสภาวะจริง พฤตินัยต่างๆ กรรมต่างๆไม่เข้าถึง ไม่เข้าไปมีสัมผัสรู้อ่านรู้แล้วพิจารณา เผินๆไป อาตมาแม่นมั่นชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ คุณจะมาพูดอย่างไรก็พูดไป ถ้ามาชมก็ดี ถ้าไม่ชอบก็แล้วไป ทั้งๆที่เราดีก็อยากจะหาเรื่องใส่ร้ายใส่ความก็เป็นเรื่องของเขา หรือเขาไม่รู้ เขาโง่เขาไม่รู้จริงๆว่าเราทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ตัวเขาเองเขาก็โง่ และอาจจะถูกครอบงำด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารของมนุษยชาติ แต่ผู้ที่รู้ทั้งรู้แล้วมาตีเรานี่ไม่น่าสงสาร น่าจะถูกต่อต้าน
อาตมาไม่ได้หลงงมงายไม่ได้หลงผิดว่าแต่มาเป็นจริง อาตมาทำมา 48 ปีแล้ว ในหลวงท่านทำมา 70 ปี อาตมาจะต้องทำไปให้ถึง 70 ปีอย่างน้อย เหลืออีก 22 ปีเท่านั้นเอง เราจะ อีกตั้ง 67 ปี เหลือกินเหลือใช้เลย อาตมาจะยืนยันต่อไป มันเป็นสิ่งที่ดี อาตมาไม่มาทำเอาเงินเอาทองไม่ได้แย่งลาภยศ อาตมาทำอย่างอิสระเสรี รับใช้มนุษยชาตินี่แหละ และก็ไม่ได้เอาอะไรกินน้อยใช้น้อยไม่ได้เก็บกักสะสมกักตุนอะไร มีแต่ทำงานทำงานและทำงาน
คุณเอาสาระเนื้อหาอย่าไปติดแค่ตัวบัญญัติ ภาษา
_3867ตอนพ่อครูอ่านประเด็นญตธ.ทางบ้าน!น่าจะขึ้นตัวอักษรให้ดูโหน่ย!มนุษย์หูเทียม ฟังไม่คุ้นภาษาธ.ที่มิใช่ภาษาโลกุตระธ.พ่อครูอะนะ!?
_ถาวร ทิพย์โชติ · ใครจะเป็น รมต. มีตัววัด ทำงานเสียสละมากกว่า 20 ปี ประเทศชาติดีขึ้นแน่ คนในโลกโลกีย์ควรคิดออกได้แล้วครับ
ไม่เอาพิษใส่ร่างกาย เอาพิษออกจากร่างกาย และไม่สปาร์คบ่อย :กรุณาขยายความคำว่า สปาร์คครับ
ธรรมะสอง หมายถึง ต้องใช้ธรรมะทั้งสองที่กล่าวอ้าง จึงจะเป็นผล ;ผมเข้าใจผิดหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...ธรรมะสอง สภาวะสองนี้ยิ่งใหญ่ ธรรมะ 2 ที่ตีไม่แตกอยู่ในเทวนิยม หรือพวกที่นับถือเทวนิยม ยังไม่เข้าใจเทวะที่แท้จริงยังตีแตกเทวไม่ได้ ทำให้แยกเป็นหนึ่งเป็นสอง จากสองทำให้เป็นหนึ่งและทำให้เป็น 0 เมื่อทำให้เป็น 0 ได้ ก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง
ศูนย์ก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง และศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีลำดับที่จะให้ตีแตกเป็นคู่ไป ยิ่งจะมีปฏิภาคทวีที่จะทำให้เกิดความเข้าใจรู้และขยาย ปฏิภาคทวีขยายผล 2 เป็น 4 4 เป็น 8 8 เป็น 16 เพิ่มขึ้นเป็นยกกำลังไปอีก แตกขยายผลได้สูงได้มาก เป็นโลกวิทูได้หมดเลย
สปาร์คคือกระทบกันแล้วแตกเกิดความรู้ หากไม่รู้ก็จับตัวเป็นหนึ่งดีไม่ดีก็เป็นสอง ศาสนาเทวนิยมพวกที่เป็นศาสนิกของเทวนิยมทั้งหลาย มีแต่ชาวพุทธที่เป็นศาสนาอเทวนิยม ตีแตกเทวนิยม แล้วจัดการทำให้พลังงานจิตวิญญาณ เป็นผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ อันนี้สูงสุดเลย ศาสนาพุทธคำด่า
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน คุณสมบัติของจิตอรหันต์ 5 ประการ
_แว๋ว อำนาจ · แถวบ้านลูกมีคนหลงนั่งหลับตา คิดว่าตัวเองเป็นอรหันต์เขาบอกว่าคุยกันทางจิตกับอาจารย์เขาบ่อยแต่ขอบวช อาจารย์ไม่ยอมให้บวช ชาวบ้านแถวนั้นเขาบอกว่าเป็นบ้าค่ะ
พ่อครูว่า.. จบข่าว ใช่ อย่างนั้นล่ะ
อรหันต์หมายถึงผู้บรรลุธรรมสูงสุด พระพุทธเจ้าสอนมนุษย์แค่ใบไม้กำมือเดียว แต่เขาสอนว่าพระพุทธเจ้าสอนนิติ นิดเดียวแค่ไหน ใบไม้กำมือเดียวนี่หรือขั้นต้นเป็นพระอรหันต์แต่เลยพระอรหันต์ท่านไม่ได้สอน พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านสอนอรหันต์เท่านั้น หมายถึงว่าคำสอนทั้งหมดทั้งพระสูตรทั้งพระวินัยทั้งพระอภิธรรม ขยายผลขยายความ เยอะแยะมากมายหลากหลาย นานาสูตร นานาทฤษฎี เลยจากอรหันต์แล้วไม่ต้องสอน ท่านบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านสมณโคดม พระสมณโคดมไม่ได้สอนความเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ท่านสอนเน้นที่ความเป็นพระอรหันต์ จึงเหลือเถรวาท แต่โพธิสัตว์นั้นท่านรู้ ท่านรู้ทั้งอรหันต์ โพธิสัตว์
อย่างพระสารีบุตรเป็นพระโพธิสัตว์เกิดในยุคพระสมณโคดมท่านก็ไม่มีปัญหา พระพุทธเจ้าจะสอนท่านหรือไม่สอนท่านก็ไม่มีปัญหา ท่านนั่งตีนภูเขาสิเนรุ พระพุทธเจ้าจะสอนพระมารดา พระสารีบุตรก็เก็บเอาๆ มันมีนัยยะลึกว่า คนที่รู้จักสาระเป็นสารีบุตโตแท้ๆจะรู้จักว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอภิธรรมตรงไหน เก็บเอาๆ คนไม่รู้จักสาระโลกุตรธรรม ก็ไม่ได้เรื่องอะไร เทศน์ไปก็ไม่รู้เรื่องอะไร ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะอภิธรรม เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว
เพราะฉะนั้นอรหันต์มาถึงยุคนี้แล้วครึ่งพุทธกาล ศาสนาพระสมณโคดมจะมีอายุ 5000 ปีตอนนี้ก็ครึ่งหนึ่งแล้ว ความเป็นอรหันต์เขาเข้าใจไม่ได้แล้ว อาตมาจึงต้องประกาศว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ เขารู้กันแต่อรหันต์เดา อรหันต์เก๊ นับถืออรหันต์อย่างประหลาดประหลาด มันน่าสงสารน่าเวทนาจึงต้องจำเป็นบอกว่าอาตมาคือพระอรหันต์บอกตรงๆ บอกจริงๆอย่างจริงใจ อย่าไปงมงายอยู่กับอรหันต์เก๊พวกนั้นนักหนา โดยเฉพาะพวกนั่งหลับตาออกนอกรีตนอกราวเข้าป่าเขาถ้ำ หนีไปนั่งบำเพ็ญหยุดไม่รู้เรื่อง ธรรมะพุทธเจ้านั้นขยายความ รู้โลกโลกีย์เขามีอะไรต่างๆนานา ท่านไม่ได้ไปรู้กับโลก ของพระพุทธเจ้าท่านโลกวิทู ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องโลกอะไรเลยแล้วอย่าไปยุ่งกับพวกเขาด้วย พูดโก้ๆด้วยนะ ทำให้เรียนรู้โลกอยู่กับโลกแล้วก็อยู่เหนือโลกให้ได้แล้วก็ช่วยเหลือโลก อีกทีหนึ่ง โลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ
อรหันต์ทุกวันนี้อาตมาจึงจำเป็นต้องยืนยันบอกอย่าไปหลงงมงายอรหันต์เดา แต่นี่อรหันต์อย่างเปิดเผย ยืนยันตัวจริง ไม่ได้มาบอกเพื่ออยากได้ลาภยศอะไรด้วย บอกความจริงเท่านั้น ให้มาศึกษาสิไม่ได้เอาลาภยศจากคุณ คุณจะยกย่องก็ไม่ว่าแต่ให้มาเอาสาระสัจจะ อันนี้ต่างหาก
อรหันต์ คือ ผู้พ้นทุกข์ อาตมาก็บอกว่าอาตมารู้จักทุกข์ สุข โสมนัส อุเบกขา ฐานกลาง ทำจิตของเราให้เป็นแบบนั้นจริงๆก็ชอบสัมผัสแล้วจิตของคุณก็กลาง รู้สึกอย่างไม่บวกไม่ลบไม่ผลักไม่ดูดไม่รักไม่ชั่งไม่ทุกข์ไม่สุข จิตมันเป็นอาการอย่างนั้นทำได้จริงๆ มันเป็นอย่างถาวรด้วย บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น ไม่มีบวกไม่มีลบ ไม่มีเลยกลาง บริสุทธิ์อยู่ด้วยความมี 0 กับกลาง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
1. ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .
2. ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
3. มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .
4. กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ) .
5. ปภัสสรา (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)
(ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690)
อาตมาถูกด่าถูกว่าใส่ร้ายมาก จิตอาตมาก็ไม่มีการเศร้าหมอง จิตอาตมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากความเบิกบานแจ่มใส ขออภัยที่ต้องพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม ไม่ได้อยากอวดนะ พูดความจริงให้รู้เท่านั้นเอง จิตอยากอวดคืออย่างไร คือสาเฐยจิต อาตมารู้ว่าอาการจิตอย่างนั้นมันไม่มีนี่พูดภาษาคนนะ
มีจิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากความบริสุทธิ์ผ่องใสสะอาดร่าเริงเปลี่ยนแปลงไหม อาตมานี้อโศกตัวพ่อ ไม่มีแล้วความโศกเศร้าหม่นหมองไม่มี อโศกตัวพ่อ อรหันต์เปิดเผยไม่เดาไม่ปกปิด จะเรียกว่าเปิดโปงก็ได้ ภาษาเขาว่า
พยัญชนะอาตมาเข้าใจ สภาวะอาตมาเข้าใจ พยายามอธิบายให้เป็นสภาวะที่เป็นเรื่องสามัญไม่ใช่เรื่องลึกลับ ที่จะต้องซุกซ่อน พูดชัดเจนหมดเลยขยายความหมดเลย อยากจะรับฟังก็มาศึกษาให้ดีไม่เอาก็แล้วไป ขายไม่ออกก็ไม่มีปัญหาอาตมาไม่หยุด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำใจอย่างไรกับใยแมงมุม
_อำภา รื่นใจดี · ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม ดังนั้น ทุกศาสตร์จึงรวมอยู่ในพุทธศาสตร์ เมื่อเข้าใจแล้วและเห็นกิเลสตนเอง จึงค่อยลด ละ ล้าง กิเลสนั้น
จาก ...เสียงน้ำไหล ในสายธาร
_กราบนมัสการ เรียนถามพ่อครูค่ะ
คุณมะนาว ชอบจัดข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ให้เป็นระเบียบ วางแบบเป๊ะๆ ใครมาใช้แล้วไม่วางที่เดิมจะโวยวายใส่ แบบมีอารมณ์เสีย.. โดยบอกว่า นักปฏิบัติธรรมต้อง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย...
คุณแตงโม ผู้ร่วมใช้ของเหล่านั้นด้วย เวลาใช้เสร็จก็วาง คืนแต่ไม่เป๊ะที่เดิม...โดยบอกว่า นักปฏิบัติธรรมไม่ควรยึดมั่นถือมั่น...เดี๋ยวโรคประสาทมาหา ...
ทั้ง 2 คนนี้ ควรปรับตัวอย่างไร เพื่อให้อยู่ร่วมกันแบบอยู่เย็นเป็นสุขคะ
: คุณลำใย ปล่อยให้บ้านมีหยากไย่ย้อยเต็มบ้าน บอกว่าไม่กล้าเขี่ยทิ้ง เพราะไปทำลายบ้านของแมงมุม กลัววิบาก... แต่เพื่อนก็มองว่า ทำไมมาปฏิบัติธรรมแล้ว ปล่อยให้บ้านรกเลอะอย่างนี้ ไม่น่าเลื่อมใส
คุณลำใยควรทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...หากว่าเสียสละส่วนหนึ่ง อาตมาเองจะตัดสินใจเอาใยแมงมุมออก ถ้ามันเป็นวิบากก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าอาตมาจำเป็นจะต้องทำงานที่เป็นกุศลยิ่งใหญ่กว่านี้ เรื่องกุศลอกุศลเป็นเรื่องอจินไตยที่ยิ่งใหญ่อีกเยอะ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ จะยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ จะยอมเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต จะยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9) ตอน ตัวอย่างการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
_ผู้ต้องการหายสับสน เวลาเรานั่งหลับตาสมาธิแล้วรู้สึกน้ำตาไหลโปร่งโล่งสบายจิตใจเบิกบาน ออกจากนั่งสมาธิแล้วมาทำงานเมื่อกระทบผัสสะ ก็ไม่มีอาการของกิเลสเกิดขึ้น กลับรู้สึกเมตตาเขา รู้สึกเฉย โดยที่ไม่ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ลักษณะอาการเช่นนี้ จะเป็นเหมือนกับเวลาที่เรานั่งฟังพ่อครู อาการเช่นนี้เรียกเคหสิตอุเบกขายังเป็นสมถะอยู่ใช่ไหมคะ แต่เมื่อเวลากระทบสัมผัสแล้วไม่เกิดกิเลสเพราะมีกำลังของสมถะคุ้มครองอยู่หนูเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องไหม แล้วหนูควรจะทำอย่างไรต่อจึงจะเจริญขึ้นในเมื่อเกิดอาการอย่างนี้แล้วมันก็ไม่มีอาการโกรธโลภหลง ขอให้พ่อครูอธิบายและยกตัวอย่าง อธิบายสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
พ่อครูว่า...หันมาปฏิบัติเพื่อสัมผัสและเกิดโลภโกรธหลงแล้วจัดการ การนั่งสมาธิแล้วเกิดปิตินั่งหลับตาน้ำตาไหลนี้เสียเวลาพลังงาน ให้เลิกเสีย เอาเวลามาปฏิบัติธรรมแบบพุทธ การนั่งหลับตาสมาธินั้นมันไม่ใช่แบบพุทธมันเสียเวลาเสียพลังงานเสียสถานที่งานการก็ไม่ได้ทำ เหมือนพระได้หวี ขาดทุน หรือปานไก่ได้พลอย เขาก็ว่าสู้ข้าวเปลือกไม่ได้
ต้องเข้าใจวิโมกข์ 8 4 ข้อหลัก
สัญญาเวทยิตนิโรธข้อสุดท้ายขึ้นมา 5 ข้อ ขอวรรคไว้ก่อน
ต้องรู้ตั้งแต่วิโมกข์ 3 ข้อต้น จะละรูปตั้งแต่กาม ไปจนถึงรูปอรูปภายใน ใน 3 ข้อแรก
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) หากไม่มีรูปอะไรเลยเวิ้งว้างก็ไม่สามารถรู้จักรูปได้ คุณจะเรียนรูปได้ต้องมีผัสสะ ต้องผัสสะแล้วจะเห็น
ปัสสะคือต้องผัสสะแล้วจะเห็นนี่คือต้องมีวิโมกข์ 8 สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ก็จะต้องมีธรรมะ 2 คือรูปกับนาม
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือจิตวิญญาณของคุณเอง คุณต้องใช้จิตวิญญาณที่เป็น ธรรมะสองเป็นกาย เป็นเทวะ นี่แหละ สัมผัสรูป โดยนามคุณไปสัมผัสกับรูปแล้วก็เกิดรูป2
ผลของมันคือเห็น หากเป็นรูป ผัสสะด้วยเสียงก็ได้ยิน ผัสสะด้วยจมูกได้กลิ่น ผัสสะด้วยลิ้นก็รส สัมผัสภายนอกภายในก็จะรู้เป็นขั้นๆ
2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
ข้อที่ 3 ทำแล้วจิตจะมี อธิมุตโต อธิโมกโข จิตโน้มไปสู่ความเจริญความสำเร็จ ไปสู่ทางที่ดี สุภะ ทางที่เจริญในจิตที่คุณได้ อันนั้นๆ ไปเรื่อยๆ สุภะ อันตะ คือสูงสุด เอวะ อันใดอันนั้น เจริญไปแต่ต้น โน้มไปหาที่สุด จบได้ นี่คือสามข้อวิโมกข์ที่คุณจะต้องเข้าใจ
หนึ่งมีสัมผัส 2 ต้องมีคู่ กายต้องมี 2 มีรูปกับนามต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณปฏิบัติให้ถูกเลย เข้าใจแล้วนะขยายความขยายพยัญชนะ
มาเรียนรู้รูปนาม เป็นธรรมะ 2 และคุณจะเข้าใจ เริ่มต้นจากธรรมะคู่หรือเทว หรือกาย หรือธรรมะสอง คำว่าเทวะหรือคำว่ากายหรือคำว่าธรรมะ 2 จึงเป็นสิ่งสูงสุด
คนตีเทวะไม่แตก แยกกายแยกจิตไม่ออก จมกับเทวะ เป็นเทวนิยม แม้ในศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียดลออชัดเจนและทำได้สำเร็จ ตามความประสงค์
คุณจะอยู่ที่ 2 อย่างไรก็เป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
คุณจะสามารถมีจิตที่ยั่งยืนให้เป็นไปในอำนาจ วัสสวัตตีจิต คุณจะทำเป็นหนึ่งหรือทำเป็นศูนย์ก็ได้ ขณะที่คุณยังเป็นอยู่นี้คุณก็สูญได้ ตายแล้วคุณจะสูญเลยเลิกเลย ปรินิพพานเป็นปริโยสานเลย สุดท้ายปรินิพพานไม่เหลืออะไรเลยได้ นี่คือศาสนาพุทธที่สุดยอดตรัสรู้ จะอยู่อย่างมีเทวะก็ได้ หรือจะอยู่เป็นคน เลิกจากความเป็นคน เลิกจากความเป็นมนุษย์สลายเป็นอุตุนิยามได้เลย ไม่ได้ค้างอยู่ที่ พีชนิยามด้วย ไม่ได้ตกแค่พืช เป็นเศษดินน้ำไฟลมได้เลย ไม่ปะติดปะต่ออีกเลย
อาตมาพูดตามสภาวะที่ตนเองเป็นตนเองมีได้ ไม่ได้อวดตัวอวดตนนะ ไม่ได้อวดเก่งแต่เป็นแล้ว เอาของจริงมาบอก จะเห็นดีเห็นงามเข้าใจหรือไม่เอาก็แล้วไป เพราะอาตมามีหน้าที่ทำอย่างนี้ก็ขอตั้งปณิธานเป็นคนที่จะมาขยายความของพระพุทธเจ้า ใครจะเอาไม่เอาก็ศีรษะใส่ศีรษะมันไม่มีปัญหาอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน ฟังธรรมข้ามคืนดีกว่าสวดมนต์ข้ามคืน
_การมีการเชิญชวนสวดมนต์ฟังธรรมปฏิบัติธรรมข้ามคืน ตักบาตร ศิลปะคือภาวนา เพลินธรรม นำชม เอาหมอดูมาช่วยได้ไหม อานาปานสติภาวนา
พ่อครูว่า...เร่ิมตั้งแต่สวดมนต์ฟังธรรมปฏิบัติธรรมข้ามคืน
สวดมนต์นี้ ทุกวันนี้ทุกการสวดมนต์ได้อาบัติกันทุกคน เพราะว่าสวดมนต์ผิดคำสอนพระพุทธเจ้าผิดพระธรรมวินัยหมด เอาบทมนต์ของพระพุทธเจ้ามาสวดตั้งแต่ 2 คนต่อหน้าธารกำนัลต่อหน้าอนุปสัมบัน อาบัติ ปาจิตตีย์ทุกคำสวด ไปตลอด ทำไปเถอะพูดเท่าไหร่ไม่ฟัง มาบวชเอาอาบัติ ทำไมมันถึงได้ไม่มีฉลาดเสียเลย ไม่มีเลย ฉลาดสักนิดก็ไม่มี ไม่ได้ว่าเขาโง่นะ
สรุปแล้ว สวดมนต์ในศาสนาพุทธนี้ มีเพียง 1 สวดสังคีติ 2 สวดสังคายนา
สังคีติคืออะไร สมัยพระพุทธเจ้าสังคีติเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่มีการบันทึกเป็นตัวอักษรตัวหนังสืออะไรต้องใช้ความจำอย่างเดียว จึงต้องสวดพร้อมกัน แล้วจำให้ได้ สวดเป็นหมู่ สวดอยู่ในภิกษุ ต้องรักษาธรรมบทของพระพุทธเจ้า เหมือนท่องสูตรคูณ อย่าไปสวดต่อหน้าคนอื่น ไปสวดต่อหน้าคนอื่นเป็นอาบัติเป็นบาป สวดเพื่อรักษาไว้ แต่ทุกวันนี้มีบันทึกเป็นเทคโนโลยีไปแล้วไม่ต้องสวดก็ได้ กดเอาเมื่อไหร่ก็ได้จะเอากี่บท กู เอาไว้หมดเลย กดก็มาเลย เลิกการสวดไปได้เลย เพราะสวดแล้วได้อาบัติอีก
2 หากเอาไปสวดหากินก็เป็นบาป
3 เอาไปสวดเพื่อนนึกว่าเป็นสิริมงคลเป็นMagical เป็นสวรรค์วิมานวิเศษลึกลับโง่ไม่เสร็จ
ขออภัยที่พูดแรง ไปทำงมงายเหมือนศาสนาอื่นเพราะเขาไม่รู้จักสัจธรรมลึกซึ้งเหมือนพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้ามาสอนให้เลิกสิ่งที่งมงายไม่ต้องไปทำ จะสวดเป็นล้านคนสวดที่สนามหลวง บ้าไปเถอะ เสียเวลาเสียแรงงานมันไม่ได้อะไรไม่มีอะไร ต้องสวดเพื่อรักษาคำสอน คุณจะสวดรักษาคำสอนก็สวดไป จะต้องไปอวดอ้างทำพิธีหรูหรางมงายหลอกคนอีก ให้ลองเป็นเรื่องด้วยครับเรื่องวิเศษวิเสโสอะไร รักษาคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งวิเศษ ก็เลยหาวิธีรักษาเดี๋ยวนี้มีวิธีอะไรเยอะแยะ เพราะฉะนั้นสวดมนต์นี้เลิกได้
2 สวดสังคายนาสวดเพื่อตรวจสอบ ผู้ที่ดูบทมนต์พระพุทธเจ้าก็มานั่งฟังคนหนึ่งสวด คนอื่นก็จำตามช่องได้ตาม ผิดเมื่อไหร่ก็ทักท้วงได้ จะได้รักษาเอาไว้ไม่ให้ผิดพลาด ไม่ให้ผิดเพี้ยนไป นี่คือสวดสังคีติกับสังคายนา
เสร็จแล้วไปเรียกสรภัญญะ ที่แปลว่าการกล่าวคำ นะก็คือนะ โมก็คือโม ไม่ใช่ นาาาาามัวววววว ไม่ใช่ นะก็มีสระสั้น โม ก็สระออกเสียงยาว แต่เขาไปใส่เสียงลากยาว ดีไม่ดีใส่ทำนองอีก เลิกเสียได้ไหมเรื่องโง่ๆบาปๆ ไม่ได้ทำให้เจริญเลย ทุกวันนี้บาปกับบาป เอาสวดมนต์มาทำมาหากินอดอ้างเป็นพิธีการ ไปพิธีการไหนก็มีแต่การสวดมนต์กับสวดมนต์ศาสนาก็เหลือแต่การสวดมนต์เท่านั้น
เพราะฉะนั้นศาสนาที่มันเสื่อมก็เลยแต่สวดมนต์ ตกลงมีแต่สวดมนต์ เหลือแค่นั้นแหละ จริงมันมีเนื้อดีก็คือรักษาบทมนต์พระพุทธเจ้าไว้ แต่เสร็จแล้วก็หลงความขลัง หลงความมีอิทธิปาฏิหาริย์ หลงความมีอาเทสนาปาฏิหาริย์ มันต้องเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาทำความเข้าใจและประพฤติไปตามเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายให้บรรลุผล นี่คือเป้าหมายของการรักษาบทมนต์และเอาบทมนต์มาปฏิบัติประพฤติใช้ เดี๋ยวนี้ก็ยังทันสมัย สวดมนต์ข้ามคืนนั้นเป็นเรื่องโง่แล้ว
ฟังธรรมะข้ามคืนก็ยังมากไปแต่ก็ยังน่าอนุโมทนา ปฏิบัติธรรมะก็ยิ่งยอด
ตักบาตร ใส่บาตร ศาสนาพุทธให้พระภิกษุมีบาตรสำหรับใส่อาหารเพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้น ไปเดินแต่เช้าให้เขาใส่บาตรเพราะอาศัยพอกินพอใช้เท่านั้นใน 1 มื้อ ได้มาแล้วก็มากินแล้วก็ล้างบาตรเสร็จ อย่าให้เก็บกักรักษาสะสมไม่ว่าจะเป็นข้าวสารอาหารแห้งไม่ได้ มันเป็นบาป ดูว่ามันจะรื้อศาสนาเขาให้หมด ก็มันปิดหมด แต่พวกเราทำได้ ไม่ให้ผิดเพี้ยนจากพระพุทธเจ้าบอกไว้เลยแต่เขาก็บอกว่าในยุคนี้ทำไม่ได้แล้ว เราก็เกิดอยู่ในยุคเดียวกันทำไมทำได้ ไม่สะสมเลยได้ เป็นหน้าที่ของฆราวาสที่จะสะสม เขาจะมาเลี้ยงเราหรือไม่เลี้ยงเราก็เป็นเรื่องของเขาอีก อาตมาขอพูดตรงๆ ไม่ได้ง้องอนให้เขาเลี้ยงด้วยแต่เขาอยากเลี้ยง พูดอย่างไรห้ามอย่างไรเขาก็จะเลี้ยง เลี้ยงจนกินไม่ไหวเลย เต็มโต๊ะ นี่มันคือคุณค่าคุณงามความดีของเรา เขาอยากให้เราอยู่เองเราไม่ต้องเรียกร้องหรอก ถ้าอยู่แล้วมีคุณค่ามีประโยชน์ นี่คือสัจธรรมไม่ได้พูดเรื่องลึกลับอะไร
อาตมาทุกวันนี้แทบไม่ต้องไปบิณฑบาต เพราะว่าผู้ดูแลเกื้อกูลอุปถัมภ์ เหลือประเพณีไว้ได้ อาตมาไม่ต้องบิณฑบาตเลย อาตมาก็ทำงานแล้วเขาก็เอาอาหารมาให้กิน กินน้อยเขาก็ว่าอีก เราก็กินจนอิ่มเท่านั้น เขาก็มาว่า ว่าเราไม่กินอีก เราก็ว่ากินจนท้องจะแตกแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีล ศิลปะ และภาวนา
ทีนี้คำว่าศิลปะ ศีล ภาวนา มีความหมายอย่างไร
สิปปังหรือศิลปะ เป็นมงคลอันอุดม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าศิลปะเป็นมงคล
มงคลแปลว่าสิ่งที่พานำไป งานที่เป็นศิลปะคือสิ่งที่จะนำพาไปสู่ที่สูง มงคลอันอุดมอันไปสู่ที่สูง อันอุตมะหรืออุตระที่เจริญเป็นโลกุตระ นั่นคือศิลปะ สิ่งที่ไม่เข้าข่ายพาไปโลกุตระไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นศิลเปรอะ
ศิลปะคืออะไร ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทั่วโลกเขาไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้แม้แต่ โมเมชั่นเอาอะไรมาก็ไม่รู้ มีทั้งสีสันวัตถุ เอาอะไรมาเป็นเทคนิค แล้วมายืนยันว่าเป็นศิลปะ แต่เนื้อแท้นั้นเป็นคนที่บริโภคงานคุณแล้ว เสพงานคุณแล้ว เขาเกิดมงคลอันอุดม จิตของเขาเกิดกิเลสมันไม่ใช่ศิลปะแล้วเอาอันนั้นอันนี้มาผสมผสานกันแล้วถูกยกย่องว่าเป็นศิลปินของโลกอีก ศิลปินแห่งชาติอีกก็ว่ากันไป อาตมาเห็นแล้วก็สงสาร
อาตมานี่แหละศิลปินใหญ่ เอางานศิลปะของพระพุทธเจ้ามาสร้างมาถ่ายทอดมาสืบทอด เพื่อให้เป็นเรื่อง อุตมะ อุตระ ให้เกิดคนโลกุตระเกิดสิ่งที่เจริญ นี่แหละคือตัวศิลปินรู้ไว้เสียด้วย พูดเหมือนอหังการ์มันน่าอ้วกแตก
ไม้ร่มว่า มีศิลปินที่ใหญ่กว่าพ่อท่านก็คือพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า...โลกทั้งโลกเรียนดอกเตอร์ทางศิลปะแต่ไม่รู้ว่าศิลปะคืออะไร ปริญญาเอก ถวัลย์ดัชนีเป็นศิลปินดัง เอาสีสาดไปในกระดาษเขี่ยปั๊บๆ คนก็โง่ไปซื้อนึกว่างานศิลปินใหญ่ของโลก
แวนก๊อก เขียนรูปดอกทานตะวันเหี่ยวๆรูปหนึ่ง ขายกันไปไม่รู้กี่ร้อยล้าน เขียนเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ในห้องซื้อกันเป็นร้อยล้าน ส่วนมากเอาไปสะสมเพื่อประมูลเอาไว้ขาย คนโง่หลอกคนโง่ด้วยกัน คนที่รวยด้วยกันเป็นคนโง่
อาตมาสะดุดใจที่ทำไมอาตมาต้องไปเรียนศิลปะ ตอนนี้เข้าใจแล้วเพื่อจะเอามาเช็คหน้าศิลปินอาตมาเข้าใจแล้วว่าศิลปะคืออะไรยิ่งมาเจอคำสอนพระพุทธเจ้าอาตมายิ่งทะลุเลยชัดเจน จึงขอยืนยันว่า อาตมาคือยอดศิลปินมาด่าผู้ที่เป็นศิลปินที่ทำศิลปะพระพุทธเจ้าเลอะเทอะ
ศีลคือหลักเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ตามลำดับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ความเป็นลำดับ
ศีลข้อที่ 1 ต้องรู้จักสัตว์แล้วอยู่ด้วยกันอย่างหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่แล้วทำให้ได้จริง โลกนี้จะสงบราบรื่น
สัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว มันมาแทรกอยู่ในตัวคนกินตัวคนฆ่าตัวคนด้วย จึงต้องเรียนรู้เรื่องสัตว์ เรื่องเพศมันไม่เบียดเบียนใครไม่มีอะไรมากพี่จะนิยาม ดินน้ำไฟลมเป็นอุตุนิยามยิ่งไม่มีอะไรมาก นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้ารู้จักตั้งแต่สิ่งเล็กจนถึงสิ่งใหญ่รู้จักทั่วจักรวาลเลย ในนิยามชีวิต 5 นี้
ศีลข้อที่ 2 คือของของนั้นคือดินน้ำไฟลมกับพืช พวกไม่มีวิญญาณ แม้แต่พีชะก็ยังไม่มีวิญญาณไม่ถือเป็นวิบาก ไม่มีใครอธิบายละเอียดอย่างอาตมาหรอก
ศีลข้อ 1 คือสัตว์ ศีลข้อ 2 คือพืชกับของ สิงคโปร์ 3 คือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่คนไปโง่ ที่ไปรู้สึกมีอาการที่ 2 แต่ตีเทวะไม่ออกอยากจะได้ชอบ ไม่ได้ก็ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา
ศีล 3 ข้อนี้จบเลยหมดโลก อธิบายหมดแล้ว แต่ว่ามันจบไม่ได้ตรงที่มันมีคนโง่อยู่
คำว่าภาวนา เขาแปลไปผิดเพี้ยนจนแปลไปว่าเป็นการท่องสวดมนต์ภาวนา พุทโธพุทโธ พุทโธภาวนา ไม่ใช่หรอก ภาวนาแปลว่าการเกิดผลจากการปฏิบัติ
1 ไปเข้าใจผิดว่าเป็นคำท่องบ่น 2 เข้าใจผิดว่าเป็นกรรมกิริยาไปนั่งสวดมนต์ก็เป็นภาวนา
ภาวนาแปลว่าการเกิดผล ภาวนามัย มัยคือเกิดผลสำเร็จ สีลมัยคือมีหลักเกณฑ์ไปตามลำดับ ทานมัยคือทำเพื่อให้เกิดการเอาออกการให้ ให้ให้หมดให้หมดตัวหมดตนเหลือตัวเองเป็น 0 หมดเนื้อหมดตัวไม่มีตัวมีตน ก็เกิดผลภาวนามัย
พูดว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้วนุ่งห่มทำไม ก็เพื่อไม่ให้อุจาด ถ้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจบแล้วก็ยังมีสิ่งที่ต้องอาศัย ไม่ได้หนักไม่ได้มาก น้อยก็พอ แต่มีพลังงานสร้างสรรมีความรู้เพื่อจัดทำเพื่อผู้อื่น คนเรียนรู้ธรรมะพุทธเจ้าแล้วกลายเป็นคนไม่สะสมไม่กักตุนไม่กอบโกยแต่มีความขยันสร้างให้มากจึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง เป็นผู้ที่สร้างให้แก่โลก ตนเองอาศัยกินอาศัยใช้น้อย เมื่อมารวมตัวกันเข้าก็เป็นพวกนักเศรษฐกิจชั้นสูง ชาวอโศก สร้างสรรได้มากแล้วก็สะพัดออกตัวเองกินน้อยใช้น้อย ก็เป็นคนช่วยโลกไป
นี่คือนักเศรษฐกิจมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่เยี่ยมยอด สำเร็จแล้วประสบผลสำเร็จจบแล้วเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรานี้มีเศรษฐกิจในระดับขั้นสาธารณโภคีสูงสุดแล้ว ประเทศไหนก็ทำไม่ได้เหมือนชาวอโศก เศรษฐกิจแบบนี้ สาธารณโภคี
ถ้าสมมุติว่าชาวอโศกนี้ เป็นรัฐรัฐหนึ่งประเทศหนึ่ง คนในรัฐนี้ทำงานเสียภาษีให้รัฐ 100% จะมีรัฐไหนประเทศไหนทำได้ นี่รัฐอโศกทำได้ ประเทศอโศกทำได้แต่ไม่ได้คิดจะแยกเป็นประเทศเป็นรัฐนะ อย่างทักษิณสามารถไปซื้อ อะไรได้เขามีเงิน อาตมาไม่ได้สะสมเงินทอง ไปก็ไม่มีที่อยู่เหมือนโรฮิงญา ถ้าขืนออกไป
สรุปแล้วภาวนาคือการเกิดผล เกิดผล ในการปฏิบัติเป็นโลกุตระ
โลกุตระคือจิตที่จะเกิดผลสูงสุด จิตที่เป็นโลกุตรธรรม จิตที่เป็นโลกุตรจิต เป็นภาษาบัญญัติคำว่าโลกุตระคือ อยู่กับโลกเขาแต่ลอยตัวเหนือโลกได้โดยที่กระทบสัมผัสกับโลกเขาแล้วไม่ไปเบียดเบียนกับโลก ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับเรา มีแต่ช่วยโลกได้ นี่คือความรับผิดชอบของพระพุทธเจ้า สอนให้คนเป็นแบบนี้ เมื่อมีคนแบบนี้มากๆขึ้นสังคมก็เจริญมีแต่คนไม่เบียดเบียนไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร มีแต่คุณค่าประโยชน์
สรุปรวมภาษาเรียกว่าสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ไม่ทำอะไรที่เป็นบาปเวรภัยเลย กุสลัสสูปสัมปทา กรรมการกระทำที่มีอยู่เป็นกุศล เพราะฆ่าตัวบาปอกุศลตายไปจนไม่เกิดในจิตเรา ทำให้จิตเราสะอาดได้ สจิตตะปริโยทะปะนัง จึงมีแต่กรรมกับกาละที่เป็นประโยชน์เป็นกุศลตลอด หากตายแล้วจะตาย 0 ก็ได้หรือจะตายไม่สูญก็ได้ อาตมาไม่ยอมตายสูญ แต่ไปแล้วจะเกิดมาเพื่อทำงานรับใช้ปวงชน เกิดมาเพื่อให้เก่งให้รู้ให้ดีงามให้ประเสริฐสูงสุดขึ้นไปอีกเท่าที่ควรจะเป็นได้ มีตัวอย่างแล้วพระพุทธเจ้าเป็นได้ เกิดมาเป็นอัตภาพที่ดี แล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หากยังไม่ถึงก็ยังไม่ยอม เราไม่ได้ทำโทษภัยเบียดเบียนข่มขี่ใคร
อาตมาพูดนี้แล้วฟังแล้วเหมือนลงโทษ แต่ไม่อยากให้เขาทำชั่วทำบาปต่ออาตมาคิดผิดหรือ ถ้าอาตมาไม่ได้พูดแต่อาตมาทำด้วยทั้งพูดและพาทำ พยายามปิดกั้นไม่ให้คนทำบาปต่อ แต่ไปบังคับใครไม่ได้ใครจะมาทำก็ทำด้วยความสมัครใจเอง ใครไม่มาก็ศีรษะใครศีรษะมัน เขาไม่มาก็ไม่ได้ไปบังคับ ให้อิสระเสรีภาพทุกคน ใครจะมาก็มาเราก็เต็มใจให้ ดีไม่ดีพูดไปแรงโดนด่าก็ไม่ว่า
สรุปแล้วภาวนาคือการเกิดผลจากการเรียนรู้ ศีล ด้วยการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของศีลและให้เกิดผลของจิตใจ เกิดความละกิเลสได้ไปเรื่อยๆก็เป็นภาวนามัย
เช่น ทาน ศีล ภาวนา
คุณทำทานเป็นแต่เปลือก แต่ภายนอกแต่ใจทำไม่เป็น ผลของส่วนที่ใจไม่เกิด กายคุณให้แต่ใจคุณไม่ให้ นอกจากกายให้แล้วแต่ใจไม่ให้ ยังตั้งใจเอากลับมามากกว่าเดิม กูจะขอคืนล้านหนึ่งแสนล้าน ใจก็เป็นอันทำ จึงเป็นความพยาบาทจองเวรที่จะเอาคืน จิตของคุณก็เป็นอย่างนี้ เทพเจ้าถึงสอนว่าทานแล้วอย่าไปตั้งจิตอะไรต่อ มันจะเป็นภพชาติ สาเปกโข
สอนกันว่าทานแล้วจะมีสวรรค์ แต่มันเป็นสวรรค์เก๊ สอนให้ถึงโลกุตระบ้างสิ สอนแต่งในโลกียมันก็วนอยู่อย่างนั้น เขาบอกว่าไม่มีทางจะรู้โลกุตระหรอก อาตมาก็ต้องมาสอนโลกุตตระอย่างนี้ ใครจะว่าจะมาพูดแรง ขนาดพูดแรงก็ยังไม่ร่วงเลย ยังไม่เกิดรอยระแหงเลย
ทุกอย่างในโลกนี้อยู่ที่เทวอยู่ที่ธรรมะ 2 ถ้าหากจับธรรมะ 2 ได้แล้ว จับเนื้อจับตัวได้ตั้งแต่หยาบกลางละเอียด ตั้งแต่ภายนอกเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในภายนอกรู้ได้ง่ายกว่าภายใน ในจิตนั้นเป็นกุศลอกุศล อกุศลเอาออกก่อน ดีล่ะ แม้แต่กุศลก็ไม่เอา ศาสนาพระพุทธเจ้าคุณจะยังมีกรรมกิริยา หรือภาวะ ยังมีผลจากกรรมกิริยาคุณก็เอาแต่สิ่งที่ดีไว้ จนจิตคุณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง สัมผัสดูแล้วอะไรดีหรือไม่ดีควรหรือไม่ควรก็เอาแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่ควร พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เป็นพระอรหันต์อย่างนี้
อาตมาได้อรหันต์มาไม่น้อย ในพวกเราอาตมาไม่อยากบอกว่าใครเป็นอรหันต์บ้าง อรหันต์ในพวกเรามีไม่น้อย แต่เขาเข้าใจไม่ได้เพราะไปเข้าใจอรหันต์เดาอรหันต์เก๊ อาตมาตีแรงบอกอย่าไปงมงายกับอรหันต์เก๊ อรหันต์เดา บอกว่าเป็นอรหันต์เขาก็ว่าบอกไม่ได้ แล้วอรหันต์เป็นอย่างไรเขาก็เดาเอาทั้งนั้น ไม่รู้จะโง่ไปถึงไหน นี่มาให้ฉลาดให้รู้ว่าอรหันต์จริงเป็นอย่างนี้ ปฏิบัติแล้วจะเบากายเบาใจทุกอย่าง เลิกทุจริตทุกอย่างได้ แล้วเราจะมีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษย์โลกด้วยไม่บาป นี่ยังไม่ได้เข้าสู่การเมืองเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน แยกทักษิณกับพล.อ.ประยุทธ์ให้ออก
การเมืองเป็นธรรมะ 2 มีทักษิณกับพลเอกประยุทธ์
ทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ใครเป็นตัวเผด็จการตัวจริง กับ ใครเป็นตัวประชาธิปไตยตัวจริงกว่ากันให้เลือก เอาความฉลาดที่มีให้เลือก
ทักษิณใช้วาทกรรมว่าเป็นการเลือกตั้งๆๆ เลือกตั้งนะ นายกต้องมาจากการเลือกตั้งนะ แต่เสร็จแล้วเขาตั้งสมัครมาตั้งสมชายมา ตั้งยิ่งลักษณ์มาอีก มันโกหก เห็นไหม โกหกมายืดยาดเลย ตั้งไม่รู้กี่รัฐบาล เขาโกงเอาๆ จนรวยไม่เสร็จ ทุกวันนี้ทักษิณใช้แต่ดอกเบี้ย เงินต้นเขาไม่พร่องเลยมีแต่ อู้ฟู่ไปเรื่อยๆ เพราะว่าโกงไว้เยอะ ลูกหลานตอนนี้อู้ฟู่อีก เขาทำได้ ไม่เสียหลายที่ไปเรียนอาชญวิทยาถึงขั้นด๊อกเตอร์เอามาโกงประเทศได้ เอาไปใช้ทางชั่วทางเลวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขออภัยอาศัยบุคคลจริงปรากฏการณ์จริงมาแสดงสัจธรรมของโลก อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเสี่ยงหัวแตกนะ เสี่ยงถูกลูกปืน
ของเขานั้นเผด็จการ เพราะตั้ง normani มาถึง 4 รัฐบาล ตั้งแต่ตัวเองไป นั่นหรือคือประชาธิปไตยแล้วมาหลอกมนุษย์ว่าถ้าไม่มีการเลือกตั้งไม่มีประชาธิปไตย เขาก่อสร้างค่ายกลการเลือกตั้งไว้หมดซื้อข้าราชการ หัวคะแนนไว ซื้อหมดเอาเงินหว่านไว้หมด ตั้งค่ายกลแห่งการเลือกตั้งไว้สำเร็จเลือกตั้งทีไรเขาก็ชนะ
ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยคือให้อำนาจประชาชนไปรับใช้ประชาชนทำงานเพื่อประชาชนจริง พลเอกประยุทธ์ทำประชาธิปไตยตอนนี้ได้ 1 สมัยแล้ว 4 ปีเห็นผลงาน ผลงานของพลเอกประยุทธ์กับผลงานของทักษิณไหนบ้านเมืองฉิบหายไปมากกว่ากัน ...ทักษิณบ้านเมืองฉิบหายกว่า ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้นบ้านเมืองเจริญออกดอกผลขึ้นมาเรื่อยๆ นี่แค่สมัยเดียว เอาอีกสัก 5 สมัย อย่าเพิ่งแก่ อีก 20 ปี 5 สมัย ตอนนี้แค่ 60 กว่า ทำอีก 20 ปีก็เท่ากับอาตมาตอนนี้
ถ้ามีภูมิปัญญาเข้าใจ โดยพยัญชนะกับสภาวะเรียกว่าประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่พฤติกรรมใครเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน เอาแค่นี้เป็นเครื่องตัดสินก็รู้แล้ว เห็นชัดๆ ยิ่งทำแล้วตนยิ่งพร่องยิ่งสูญยิ่งทำก็จนลงๆ ไม่มีทรัพย์ศฤงคารส่วนตัว ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เอาแค่ระเบียบแบบแผนกฎหมายของรัฐบาลอย่างเดียว เขาก็เลี้ยงไว้หมดแล้ว นายกเขามีการอุปถัมภ์มีการ support ไว้หมดแล้ว จะไปจะอยู่จะกินจะนอนมีคนบริการหมดเราทำงานเพื่อประชาชนอย่างเดียว ถ้าหากทำเพื่อประชาชนจริง มันไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก ไม่เป็นเรื่องที่อาตมาเห็นว่ามันเป็นเรื่องสุดยอดเลย
ในขณะนี้เขามีแต่วาทกรรมพยัญชนะที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตย เป็นแค่เปลือก คนนั้นก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย เอาเป็นพวกประชาธิปไตยเพราะว่ามีการเลือกตั้ง คนโง่เท่านั้นที่บอกว่าเลือกตั้งจึงจะเป็นประชาธิปไตย ถ้าไม่มีการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย พวกนี้มีความรู้แค่ผงธุลีละอองของขี้แมงง่องแง่ง
ไม่เหมือนกับระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นระบบที่มีการสืบสันตติวงศ์มีกฎมณเฑียรบาลเพื่อจะคัดเลือกอบรมฝึกฝนผู้ที่จะมาเป็นพระมหากษัตริย์ มีหลักเกณฑ์จึงมีตัวบุคคลจริงกระทำจริงอย่างนี้มีอยู่ในสังคมโลก แต่ว่าประชาธิปไตยขาเดียวนั้น จะเอาแพะมาชนแกะ จับได้คนนี้มาเป็นผู้ใหญ่เป็นประธานาธิบดีเลย ขี้หมูขี้หมาอะไรก็เอามา พวกนี้เป็นนักวางแผนด้วย เอาเงินจ้างไว้ สุดท้ายคนก็ต้องไปเลือกเขา ไม่รู้ที่ไปที่มาเลยอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความสืบต่อไม่มีที่ไปที่มา ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นประชาธิปไตยสุดยอดล้างความเห็นแก่ตัวจนกระทั่งไม่มีตัวตน เป็นผู้ที่มีอิสระเสรีภาพและให้อิสระเสรีภาพแก่กันและกันสุดยอด แล้วก็มีปัญญา รู้ว่าอ๋ออย่างนี้ มาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องมีของต้นเลยทำงานฟรี อยู่ที่นี่อย่าขี้เกียจขี้คร้าน คนขยันหมั่นเพียร คนที่มีความรู้ความสามารถก็ทำไปอยู่ไป พึ่งพากันเกิดแก่เจ็บตายกันได้จริงๆไม่ใช่พูดด้วยภาษา 30 บาทรักษาทุกโรค ที่นี่ เป็นล้านก็ช่วยกันรักษา บางคนเสียเป็นล้าน ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย ลูกเต้าเหล่าหลานก็ได้ ถ้าเป็นสมาชิกที่นี่ดูแลกันเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใช่แค่ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ใช่ ที่นี่เป็นแสนเป็นล้านก็ช่วยกัน หากเป็นสมาชิกที่นี่ เหนือกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค หรือแม้แต่ประชาธิปไตย เอาเงินเข้ากองกลางที่นี่ก็เสียภาษี 100% พูดเหมือนโม้คุยใหญ่คุยโตแต่เป็นเรื่องจริง ทำไมพวกคุณก็เป็นคนอยู่ในประเทศไทยเหมือนกันพิสูจน์ได้เลย มาทำวิจัยได้ด้วย ก็เชิญมาทำ จะเป็นจริงเท็จอย่างไรก็มาทำ วิจัยดูได้
คนที่สอนได้ปฏิบัติได้ ประพฤติได้จนกระทั่งมีทางปัญญามีทั้งสมรรถนะมีทั้งความประพฤติเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านมีทฤษฎีไว้สุดยอด จนเป็นพระอรหันต์ได้
คุณอยู่ที่นี่ได้นี้อาตมามีเงื่อนไขง่ายๆ คุณมาอยู่อย่างสบายในสังคมนี้ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่อยากจะหาทางไปที่อื่น ไม่อยากจะมีบ้านเช่ามีทรัพย์สินอะไรส่วนตัว ไม่อยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไรที่โลกเขาแย่ง คุณอยู่ที่นี่สบายๆ นั่นแหละคุณเป็นอรหันต์แล้ว
เพราะสังคมชาวอโศกเป็นสังคมอรหันต์เป็นสังคมเมืองอริยะเป็นชมพูทวีป ถึงขั้นชมพูทวีปด้วย ใครอยู่ที่นี่ โอ้โห ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ….พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ
บุญนี้เป็นรากเหง้าที่คนในโลกนี้โง่ คำว่าบุญได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว หากไม่มีอาตมาเกิดมาคำว่าบุญจะผิดเพี้ยนไปไกลเอาไปทำเป็นกุศลเอาไปทำมาค้าขายเอาไปทำให้เสียสภาพความเป็นบุญไปเลย กลายเป็นกุศลเนื้อหาเป็นกุศลไปหมดเลย แม้จะมีพยัญชนะคำว่าบุญ เขาถือว่าบุญนี้สูงกว่ากุศลนะ บุญเป็นวิบัติไม่ใช่สมบัติ กุศลเป็นสมบัติ
ศาสนาก็ดีคนก็ดีภูมิปัญญาก็ดีเขาตีคำว่าเทวะไม่แตก distinguish ตีไม่แตกแยกไม่ออก
มันจะกลายเป็นสังคม ประชาธิปไตยขาเดียว เทวนิยม ไม่มีรายละเอียดตีเทวไม่ออก ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาเดียวในโลก ที่สามารถตีคำว่าเทวะออกยังมีภูมิปัญญาเข้าใจ ว่าคืออะไร จนกระทั่งทุกอย่างเป็นอนัตตาหากเราเป็นโง่มันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ และมันไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นอนิจจัง ไปยึดมั่นถือมั่นเอาอะไรไม่ได้เลย เราเข้าใจชัดเจนและเราก็ทำตามที่เราเข้าใจ แค่ไตรลักษณ์นี้สุดยอดแล้ว อนิจจังทุกขังอนัตตาไม่ใช่แค่ภาษาเท่านั้นแต่เป็นสภาวะที่แท้จริง แล้วคุณก็เป็นคนที่จบแล้ว จะอยู่ใน กาละ กับกรรมก็เชิญ แต่ถ้าจะทำกาละแล้ว แม้กาละจะมี แต่ตัวเราจะจบกาละ คือ คุณทำลายอัตภาพของคุณไปจากกาละ จากโลกนี้จากจักรวาลนี้ที่มันจะมี กาละ จะหมุนต่อไปอย่างไรก็ช่าง อัตภาพที่เป็นชีวะของคุณไม่เหลือแล้ว ทำลายกรรมของตนสำเร็จ ในกาละก็ไม่มีอัตภาพของเราเหลืออีกเลยละลายไปแล้วไม่มีกรรมในกาละ คือการทำกาละ
หลังจากทำกาละแล้วสูญสลายไปเลย กายัสสเภทา ปรัมมรณา สุญญตาจ้อย
กายัสสเภทาคือตีธรรมะ 2 ให้แตกแล้วสลายไปได้ หลังจากตาย ปรัมมรณา หลังจากทำลายกายแตกแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย สูญ
สมณะฟ้าไทว่า...อธิบายได้องค์เดียว
พ่อครูว่า...ทำได้หรือยัง ทำได้บ้างก็ดีแล้วไม่เป็นหมัน ทำให้ได้ จนกระทั่งเราไม่มีอะไรข้องใจอีกแล้ว มันอยู่กับ 2 นี่แหละเทวเป็น 2 แล้วเราก็จัดการ 2 ให้เป็น 1 คุณก็จะอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง 0 นี่คือทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างน้อยคุณก็ทำเป็น1ก็ไม่ทุกข์ ถ้าหากทำเป็น 0 แล้วก็ลอยตัว ศาสนาพุทธถือ 1 เป็นความสิ้นทุกข์ 2 มี 0 เป็นความจบสมบูรณ์
0 คืออะไรก็คือทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง มีวสวีตตี มีจิตอยู่เหนืออำนาจกิเลส ทำจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ คำนี้แปลว่าพระเจ้านะ โดยไม่ต้องให้พระเจ้ามาเป็นอำนาจของเราแต่เราเป็นอำนาจเองเป็นพระเจ้าเอง คือตัวพระเจ้าแท้ โดยไม่เกี่ยวกับพระเจ้าใดๆเลย ผู้ที่ตีไม่แตกแยกธรรมะ 2 ไม่ออกซึ่งจมอยู่กับพระเจ้า จะมีจะเป็นอะไรก็แล้วแต่พระเจ้าจะสั่งการ เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป เราคิดว่าแบบนั้นมันทุกร้อน ถ้าหากเราจะทำอะไรต้องโทษตัวเองไม่ใช่โทษพระเจ้า รับผิดชอบตัวเองสิ หากว่าไปโทษนอกตัวโทษพระเจ้าก็ไม่เป็นแมนซิ
หากว่าตีเทวแตกตีธรรมะ 2 แตกให้เป็น1เป็น0จะเรียกว่าศาสนาอะไรก็ช่างแต่เนื้อแท้เป็นศาสนาพุทธจบ
ลัทธินอกศาสนาพุทธ
1. ปุพเพกตเหตุวาท (ลัทธิเชื่อว่า..กรรมเก่าเที่ยงแท้)
2. อิสสรนิมมานเหตุวาท (ลัทธิเชื่อว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่หรือเทพเจ้าเป็นผู้เนรมิตสร้างบันดาลให้)
3. อเหตุอปัจจัยวาท (ลัทธิเชื่อในสิ่งเหนือเหตุปัจจัย)
(พตปฎ. เล่ม 20 ข้อ 501)
ลัทธิพุทธ รู้จักเหตุปัจจัยแล้วอยู่เหนือเหตุปัจจัยได้ จะมาเป็นชาวพุทธได้รับผลจากศาสนาพุทธ ได้อย่างเต็มรูปแบบ ได้อย่างที่ได้เป็นอรหัตผล แล้วเอามาเผยแพร่สืบทอดต่อ จากพระพุทธเจ้ามาแล้ว รับช่วงรับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์มีความจริงใจ ดูแลอย่างไม่ให้ผิดเพี้ยน อรหันต์ไม่ทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าผิดเพียงเพราะว่าเป็นผู้ไม่ลึกลับแล้ว อรหันตะ คือ ไม่ลึกลับอย่างมีที่จบแล้ว รู้ครบจบ แม้จะมีภาษาใหม่ของในยุคนี้ก็มาเรียกเอาภาษามาใส่กับสภาวะ เข้าใจภาษานี้เรียกแล้วคนเข้าใจก็เอามาเรียก คนอื่นเขาจะไม่เรียกก็ช่าง
อาตมาทำอย่างนี้และเอามาเผยแพร่อย่างนี้ตลอดเดี๋ยวนี้ก็มีคนที่มีความรู้ ความรู้ของอาริยชนคนเจริญมีภูมิเป็นอาริยะ มีความเฉลียวฉลาดที่จะรู้ มีน้อย ส่วนมากถูกครอบงำไปกับโลกเยอะ ไม่สิ้นหวังหรอกอย่างน้อยมีพวกเรารับได้ไม่มากไม่น้อย แต่ละวันมีนักเรียนเต็มห้อง แต่พวกเรานี้ตรงเวลา ยังไม่หกโมงก็ยังไม่มา
อาตมาก็ยังสนุก เกิดมาเป็นคนได้รู้ธรรมะอันนี้แหละที่เรียกว่าเทวะ ศาสนาที่ตีเทวไม่แตกนะน่าสงสาร หากเราตีเทวแตกแล้วมาช่วยกัน พวกศาสนาเทวนิยมควรจะได้ฟังอาตมาจะได้รู้ว่า ไปจมกับเทวะนั้น ก็อยู่แค่นั้น อยู่ในอาณัติ จะไปต่อว่าพระเจ้าก็ไม่ได้ ไม่รู้พระเจ้าอยู่ที่ไหน แต่นี่มีจะต่อว่าก็ได้ไม่รับก็ได้ ดีไม่ดีด่าด้วย แต่ถ้ารับก็รับเห็นว่าดีก็เอา เป็นสัจจะที่พิเศษ
อาตมารู้สึกสดอยู่เสมอ เรียกว่า มี protoplasm คือหมายความว่ามียางสด ในพืชพรรณธัญญาหาร เมื่อเอามาขูดดูแห้ง ไม่มี protoplasm ก็กินไม่ดี หากมียางสดอยู่นี่กินดี
อาตมาขออ่าน ...มีคนเรียบเรียงไว้
ทักษิณมาจากการเลือกตั้ง
เลือกตั้งที่ซื้อเสียงประชานิยมเล่นพวกใครไม่ใช่พวกไม่ช่วยพื้นที่ไหนไม่เลือกทักษิณไม่เลือกพรรคทักษิณไม่ช่วย ไม่ให้งบประมาณไม่แยแสทิ้งไปเลย
ย้อนอดีตทักษิณยังเดินหน้าทำการเมืองแบบครอบครัวเอาญาติสายโลหิตเป็นผู้นำตลอดมา
เพื่อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้องอย่างเปิดเผยไม่สนใจว่าโลกสังคมจะมองอย่างไร เช่นกำหนดให้วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันทำการเพื่อให้การเซ็นชื่ออนุมัติของตนเมื่อครั้งนั้นเป็นผู้นำมีผลบังคับใช้ จนในที่สุดถูกเปิดเผยต่อสังคมอย่างที่รับรู้กัน
ปัจจุบันลิ่วล้อเดินตามรอยนายใหญ่ด้วยเอาลูกหลานมาลงสมัครรับเลือกตั้งกระจายไปอยู่หลายพรรคเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งทางการเมืองในทุกพื้นที่ทั่วประเทศและโฆษณาขายคนรุ่นใหม่ที่แท้ก็คือเหล้าเก่าในขวดใหม่เท่านั้น เพราะคนเหล่านั้นตระกูลนี้เข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่สามารถเอามาเสวยสุขให้ตนและบริวารได้อย่างแท้จริง
นายกประยุทธ์ลุงตู่เป็นทหาร
ถูกเลือกมาโดยเชิญตั้ง จากพฤติกรรมอย่างน้อย 4 ปีที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนมีวินัยซื่อสัตย์ขยันสม่ำเสมอตอบคำถามสื่อตรงไปตรงมา มีการขับเคลื่อนพัฒนาภาครัฐทั้งประเทศข้าราชการตื่นตัว นายกเยี่ยมทุกภาคทุกส่วนงาน
เดินหน้าคดีทุจริตเปิดเผยให้ข้อมูลกับประชาชนทุกวันทางสื่อด้วยตัวเองและคณะร่วมรัฐนาวา
เจอ fake news จะมีภาคประชาสังคมหลายกลุ่มออกมาช่วยขุดคุ้ยจนผลที่ออกมาพิสูจน์ตนได้เช่น ต่างประเทศไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากเผด็จการ ปรากฏว่าภายหลังมีข้อมูลการศึกษาติดตามผลงานของรัฐบาลชุดนี้กลับตรงกันข้ามทำให้ผู้นำประเทศต่างๆจำนวนให้การยอมรับและชื่นชมกับพัฒนาการด้านต่างๆของประเทศไทย ในรัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ลุงตู่ทำเพื่อสังคมประเทศชาติอย่างแท้จริง
ส.ฟ้าไทสรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:11:45 )
รายละเอียด
611119_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 25
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1eATpaAWz-ijX2E86XMa37TauwxP46EqK4FPjcy7hlTg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=12Kb_JVIgO5VnbW3MTkWePf07rTU8ZtAQ
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
_เจ.คิว. ขอกราบนมก.เจ้าค่ะ
ลูกได้คุยกับญาติธรรม ทราบว่าท่านยังเจ็บลื้นอยู่ วันนั้นได้ลูกได้แว๊บมาฟังพอดีได้ความว่า ท่านกัดลิ้นเจ็บมาก พูดไม่ค่อยได้ เลยไม่ได้มาเทศน์ ลูกคิดว่าคงมีคนแนะนำท่านแล้วให้อมน้ำปสว. ..คิดจาเขียนส่งแล้วค่ะ เกรงว่าเป็นมะพร้าวห้าวขายสวน จึงไม่ได้ส่งมา
แต่วันนี้เพิ่งคุยกัน ทราบว่าท่านยังไม่หาย จึงขออภัยด้วยนะคะที่ขออนุญาตแนะนำให้ท่านอมน้ำปสว.นานๆๆ บ่อยๆๆ ถ้าเป็นอะไรในช่องปากทำเพียงเช่นนี้ วันรุ่งขี้นก้อจาหายค่ะ
แต่ถ้าแผลนั้นปล่อยไว้หลายวันแล้ว ก้อต้องอมหลายวัน แต่แค่วันรุ่งขึ้นก้อจาดีขึ้นมากค่ะ
โดยเฉพาะแผลบาดเจ็บในช่องปาก ยิ่งทายายิ่งหายช้า เมื่อก่อนให้แค่อมน้ำเกลือ หรือน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น แต่บัดนี้มียามหัศจรรย์(คนไข้ตั้งชื่อให้ค่ะ) อมไว้นานๆแผลหายเร็วมากค่ะ
ท่านมักจะกัดแก้มกัดลิ้นบ่อย สาเหตุ จากฟันท่านสึกมากๆ ท่านมีเส้นที่คอดี2เส้น สวยและแข็งแรง ขอให้ท่านพยายามยกลิ้นแตะกลางเพดาน ปิดปากสนิทแล้วปล่อยฟันทั้งหมดออก
จากกัน โดยปากไม่เปิดเวลาฉันอาหารให้ยกลิ้นช่วยตล่อมอาหาร เป็นการฝึกยกลิ้นได้ท่าหนึ่ง และช่วยลิ้นรอดจากการถูกทำร้ายได้ค่ะ
_ขอกราบขอขมาและโปรดอภัยให้ด้วยนะคะ ถ้ากล่าวสิ่งใดล่วงเกินท่าน ..
พ่อครูว่า...จะลองทำดู
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ตอบปัญหาพระเถรสมาคมเรื่องพระพุทธรูป
จากพระเถรสมาคม....
สมณะโพธิรักษ์ ท่านกราบพระพุทธรูปแล้วหรือ
เคยทุบพระทิ้งมิใช่หรือ เคยว่าพระอิฐพระปูน พากันไปกราบทำไมอะไรพวกนี้ (มีเทปบันทึก)
มาวันนี้ มาเล่นละครอะไรอีก หรือว่าสำนึกแล้ว ถ้าสำนึกแล้วจงพาสาวกไปขอขมา..?
ขอกับใคร..? ขอกับคณะสงฆ์ แล้วออกข่าวอย่างเต็มใจ เลิกลัทธิสาธารณะโภคีซะ
หวังว่าสมณะโพธิรักษ์จะมีดวงตาเห็นธรรม...?!
จากหลวงตา มิตรถาวรของสมณะ มิใช่ศัตรูของสันติอโศก
พ่อครูว่า...อาตมาไม่เคยทุบพระทิ้งสักองค์ ที่นี่มีพระองค์ใหญ่ให้กราบด้วยนะ
อาตมาเป็นคนกราบพระพุทธรูปมาตลอด คนที่หาว่าจะมาไม่กราบพระพุทธรูปนั้นเป็นคนหาเรื่องใส่ร้ายอาตมามาตลอด แล้วแต่ตอนเราเดินไปเจอพระพุทธรูปที่ชำรุดเรายังกราบเลย
พระอิฐพระปูนที่อาตมาว่านั้นมีนัยยะสำคัญ พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งสมมติเป็นสมมติสัจจะใช้เคารพกราบไหว้แทนตัวพระพุทธเจ้า แต่แน่นอนอาตมาพูดชัดเจนว่าอันนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่นอนอย่างไรให้ตายก็ไม่ใช่ เคยพูดคู่กับพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าก็ได้แม้เราจะพิสูจน์ยังไม่ได้ แต่พระพุทธรูปนี้อย่างไรๆตัดคอทิ้ง พระพุทธรูปทุกองค์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธเจ้าเลย ดีไม่ดีไปเอาดินข้างส้วมที่ไหนก็ไม่รู้มาปั้นเป็นพระพุทธรูปก็ได้ เราก็ไม่ติดใจ จะเอาดินข้างส้วมที่ไหนมาปั้นเป็นพระพุทธรูปเราก็กราบได้
พระอิฐพระปูนนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปหลงใหลได้ปลื้ม ว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นสิ่งที่สมมติแทนขึ้นมา กราบก็กราบได้ แต่อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของขลังเป็นวิญญาณพระพุทธเจ้าอะไร ไม่ใช่ ไม่ได้มีวิญญาณ ไม่ได้มีความขลังอะไร จะทำอะไรต่ออะไรก็ได้ อาตมาพอพูดตรงๆชัดๆว่าพระพุทธรูปนั้นตัดคอทิ้งได้ไม่บาป แต่โดยความสำนึกของคน อย่าไปทำ อาตมาไม่เคยไปตัดคอ ไม่เคยไปทำลายพระพุทธรูปนะ ที่พูดนี้ ไม่เคยทุบ พระเขาเอามาทำบุญองค์เล็กองค์น้อยเราก็เอาไว้ไม่เคยทุบทิ้ง
พากันไปกราบ อาตมามี 13 ประเด็น
1. เขาตู่ท้วงว่าไม่กราบพระพุทธรูปด้วยหรือ แสดงว่าเข้าใจผิด
2. เคยทุบพระทิ้งไม่ใช่หรือ ...ไม่ใช่
3. เคยว่าพระอิฐพระปูนไม่ใช่หรือ
4. พากันไปกราบทำไมอะไรพวกนี้(มีเทปบันทึก) เอามาฟังให้ดีอาตมาขอยืนยัน อาตมาจะไม่ได้พูดว่าไปกราบทำไมพระพุทธรูป จริงๆแล้ว การกราบนั้นต้องมีความรู้ต้องมีปัญญากราบพระ
5. มาวันนี้มาเล่นละครอะไรอีก อาตมาไม่ได้เล่นละครมีแต่ความจริง คนน่าจะกลัวความจริง เพราะอาตมาแสดงความจริงอย่างไม่ไว้หน้าอย่างแข็งอย่างแรง อาตมาไม่ได้ทำอย่างดาราละคร แม้ตอนเป็นฆราวาสอยากเล่นละคร แต่ไม่ได้เป็นดารากับเขา ชีวิตนี้
6. หรือว่าสำนึกแล้ว อาตมาไปผิดอะไรถึงต้องสำนึกอาตมาไม่ได้ผิดอะไรที่จะต้องสำนึก
7. อาตมาไม่ได้ผิดอะไรจึงต้องไปขอขมา นอกจากสัญญาวิปลาสไปบ้าง แต่คุณคนนี้พูดได้เลยว่า ยังไม่เข้าใจที่อาตมาอธิบายเทวะกับอเทวะ หากหมุนสมองไม่ทันสมัยตามไม่ทันหรอกเสร็จ เพราะว่าเป็นสิริมหามายาอย่างมาก รับรองว่าฟังอาตมาไม่รู้เรื่องหรอก
8. แล้วจะให้ขอขมากับใคร ..
9. ขอกับคณะสงฆ์
10. ออกข่าวอย่างเต็มใจ
11. เลิกลัทธิสาธารณโภคีเสีย ถ้าจะให้เลิก คุณจะไม่มีปัญญารู้จักสาธารณโภคี ชาตินี้ทั้งชาติ พูดได้เลยว่าคุณจะไม่มีโอกาสจะสัมผัสสาธารณโภคีและซาบซึ้งกับสาธารณโภคี คุณอย่าไปดูถูกสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าของอาตมานะ คุณไม่มีสิทธิ์จะใกล้สาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าหรอก ให้เลิกก็โง่
12. หวังว่าสมณะโพธิรักษ์จะมีดวงตาเห็นธรรม ไม่ต้องบอกหรอก อาตมาดวงตาเห็นธรรมมาตั้งนานแล้ว บอกไปคุณก็ไม่รู้เรื่อง
13. จากหลวงตา และบอกกำกับว่า มิตรถาวรของสมณะไม่ใช่ศัตรูของสันติอโศก
พ่อครูว่า...บอกสวยมากเท่นะ ขอให้เป็นมิตรถาวร
ในประเด็น 13 ประเด็นนี้ ของหลวงตาเห็น ส่วนอีก 12 ประเด็นทั้งหมดนั้น ก็สรุปว่า อาตมากราบพระพุทธรูปเป็นธรรมดาสามัญตั้งแต่ไหนแต่ไรมา กราบอย่างงามด้วย คนกราบงามเท่าอาตมาไหม
2. อาตมาไม่เคยทุบพระพุทธรูปทิ้งใว้สักครึ่งครั้ง
3. เคยว่าพระอิฐพระปูนก็มีนัยสำคัญอื่นๆอีก
4. พากันไปกราบทำไมอะไรพวกนี้มีเทปบันทึก ก็ต้องไปย้อนทวนดูว่าไปกราบทำไมอย่างไร
5. อาตมาไม่มีเล่นละครเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่มีดรามาติคการสร้างภาพใดๆ
6. อาตมาไม่ผิดอะไรก็ไม่ต้องสำนึกอะไร
7. ขอขมาก็ไม่ได้ทำเพราะไม่ได้ผิดอะไร
8. ขอกับใคร
9. ขอกับใคร กับคณะสงฆ์ ก็ไม่ได้อยู่แล้ว
10. ให้ออกข่าวอย่างเต็มใจอย่างนี้ก็บังคับกันอย่างไร
11. ให้เลิกลัทธิ สาธารณโภคีพูดอย่างนี้เป็นการลบหลู่ของพระพุทธเจ้าเป็นการมีบาปกินหัว
12. หวังว่าสมณะโพธิรักษ์จะมีดวงตาเห็นธรรม ก็สาธุอาตมาดวงตาเห็นธรรมอยู่แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(โลกธรรม 8) ตอน ปฏิบัติให้บรรลุได้ความสงสัยจะน้อยลงเอง
_น้อมดิน คำถามเกี่ยวกับ การติดยึดและการติดเสพในโลกธรรม และ อำนาจ ของโลกุตรบุคคลระดับต่างๆ
1.โลกธรรม คืออะไร อำนาจ คืออะไร แบ่งเป็นกี่ระดับ เกี่ยวข้องกับกิเลส หรือ อบาย อย่างไร
2.พัฒนาการของอาริยบุคคลในระดับต่างๆ สัมพันธ์กับการติดยึด หรือเสพติดในโลกธรรม หรืออำนาจอย่างไรบ้าง เกี่ยวข้องกับความยึดมั่นเชื่อมั่นในทิฐิ หรืออัตตาของตน อย่างไรบ้างหรือไม่
3. โลกธรรม 4 ตัวแรก กับ 4 ตัวหลัง อันไหนรับมือยากกว่ากัน เพราะเหตุใด
4. คนที่มีความสุขกับโลกธรรม 4 ตัวแรก ประกอบกับการมีอำนาจเพราะมีตำแหน่งในองค์กร มักจะชอบแสดงความสมเพชผู้ที่สูญเสียโลกธรรม 4 ตัวแรก และเข้าใจว่าคนที่ไม่ได้รับโลกธรรมอย่างที่เขาได้รับ ไม่สามารถมีความสุขอย่างที่เขามี เป็นคนปฏิบัติธรรมไม่เป็น อยากให้พ่อครูวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ ว่าเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...ในเอกกนิทเทส อ่านแล้วยังรู้สึกว่าเหนื่อยที่จะอธิบายแต่ก็ต้องอธิบายได้ประมาณหนึ่ง แต่คงไม่เก่งละเอียดละออมากแต่น่าศึกษา
การติดยึดและการติดเสพในโลกธรรม และ อำนาจ ของโลกุตรบุคคลระดับต่างๆ
การติดยึด คือภาวะของคำนาม ติดเสพคือภาวะของกิริยา คุณติดแล้วก็เสพ กิริยาเป็น Dynamic ส่วนการติดยึด เป็น Static
หากแยกสองคำนี้ ติดยึดคืออุปาทาน ติดเสพเป็นตัณหา
ยึด อุปาทานเป็น Static ตัณหาเป็น dynamic
เอาแค่นี้ก่อนละกัน
1.โลกธรรม คืออะไร อำนาจ คืออะไร แบ่งเป็นกี่ระดับ เกี่ยวข้องกับกิเลส หรือ อบาย อย่างไร
อาตมาว่า พยายามทำธรรมะทีละคู่ หากคุณหยิบพยัญชนะมาถามอย่างนี้อาตมาตายก่อนแน่ เพราะคุณเล่นทรมานอาตมา เอาแต่พยัญชนะมาถาม คุณปฏิบัติธรรมไปกับธรรมะแต่ละคู่แล้วจับให้ได้ทีละคู่ ตั้งแต่สัตว์กับตัวคุณ เกี่ยวกับเรื่องของกับพืช แล้วก็ตาหูจมูกลิ้นกาย ไปทีละคู่
2.พัฒนาการของอาริยบุคคลในระดับต่างๆ สัมพันธ์กับการติดยึด หรือเสพติดในโลกธรรม หรืออำนาจอย่างไรบ้าง เกี่ยวข้องกับความยึดมั่นเชื่อมั่นในทิฐิ หรืออัตตาของตน อย่างไรบ้างหรือไม่
คือ ทิฏฐิหรือความเข้าใจของผู้ถามมานี้ น้อมดิน ความรู้ทิฏฐิแตกฉาน แต่สภาวะความจริงยังไม่ได้ อาตมาว่าเลิกเอาความรู้ทางปรัชญาวางไว้ก่อน มาศึกษาสภาวะจับเวทนาให้ชัด ปฏิบัติลดละไปแล้วคุณจะไม่อยากถามอาตมามาก จะรู้ไปในตัว ถ้าขืนถามอย่างนี้ พยากรณ์ได้เลยว่าอาตมาตายก่อนคุณแน่ มีเหตุผลคืออาตมาหมดแรง แต่คุณยังมีสัมประสิทธิ์ไปเรื่อยๆ แต่อาตมาหมดสัมประสิทธิ์ตายก่อน
3. โลกธรรม 4 ตัวแรก กับ 4 ตัวหลัง อันไหนรับมือยากกว่ากัน เพราะเหตุใด
ปฏิบัติเองสิจะรู้ มาถามอาตมาอย่างนี้ก็ไม่ได้สภาวะจริงของตน
ข้อ4 ก็เหมือนกัน ให้ไปปฏิบัติแล้วจะรู้
เพราะเหตุว่าคุณไม่ลงมือปฏิบัติจึงวนเวียนอยู่อย่างนี้ เข้ามาในนี้ก็ไม่เต็มตัวสักทีอาตมาว่า 40 กว่าปีแล้วนะน้อมดิน เอาน่า ปฏิบัติเริ่มต้นตั้งแต่หยาบๆจับคู่รูปนาม ตั้งแต่คนกับสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งก่อนหรือคนกับของ
SMS วันอาทิตย์ 18 พฤศจิกายน 2561
_3867ตอนพ่อครูอายุ100ปีผู้น้อย ถ้ายังไม่ม่องเท่งก่อนก็70ปี! ถ้าพ่อครู150ปีผู้น้อยคงบ่มีวาสนาอยู่ถึง120ปี! ยกเว้นตายแล้วเกิดใหม่ตามมาฟังพ่อครูต่อส๊าธุ๊!กบสิ้นโศก
_3867ผู้น้อยไม่เห็นด้วยตามพ่อครูว่าจะไม่ไปเลือกตั้ง!ตนจะไปเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้การเลือกตั้งที่ปฏิรูปตามเสียงมติมหาชน!แต่สำเร็จมะไหร่บ่ฮู้ก๊ะ?
พ่อครูว่า...อาตมาว่าค่อยก้าวหน้าไปตามลำดับอย่าเพิ่งถึงขนาดนั้นเลย เอาเสียงประชาชนที่เขาจะยอมรับนับถือเป็นสำคัญก่อน
_เรวดี ธรรมโชโต · น้ำโลฟิลแบบที่หาผักง่ายๆๆทำไงค่ะใบย่านางหายากมากค่ะ
พ่อครูว่า..ในผักแทบทั้งนั้นมีคลอโรฟิลสีเขียวๆหมด
_พนิดา ธานีรัตน์ · เกิดมาไม่เสียชาติเกิดได้ฟังธรรมที่ถูกตรงจากพ่อครู ฟังพ่อครูได้อรรถรส เหลือแต่ปฏิบัติ(รูป-นาม)ที่ต้องฝึกค่ะ
_สุลิน สายพันธุ์ · กราบนมัสการพ่อครู ฟังธรรมทางวิทยุอยู่ค่ะตอนนี้ มีบุญที่ได้เจอได้ฟัง จะพยายามปฏิบัติตามค่ะ
_ถาวร ทิพย์โชติ · อโศกตัวพ่อ และ อรหันต์เปิดเผย ...กราบสาธุครับ
_ดาวริน นาวาบุญนิยม · กราบนมัสการค่ะ คักแหน่ประชาธิปไตยเชิญตั้ง น่าสนใจมากเจ้าค่ะบ้านเมืองสงบสุขอีหลีเด้อพี่น้องช่อยกันดูแลบ้านเมืองเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...การเชิญตั้งนี่แหละเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยขาเดียวที่ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินนั้นไปไม่รอดหรอก เพราะคนต้องมีกาย คือมีธรรมะสองมีจิตวิญญาณ คนที่ก้าวพ้นโลกียธรรมไม่ออกจึงติดกับธรรมะสองเทวะแล้วตีไม่แตกแยกไม่ออก อยู่อย่างนั้นทำออกไม่ได้ จึงจำนน แล้วเป็นเทวะที่ตีไม่แตกไม่เผยแตัวแล้วเป็นสิ่งลึกลับที่ห้ามแก้ห้ามเปลี่ยนแปลงต้องถูกต้องตามพระเจ้า แยกสวรรค์นรกไม่ได้ พระเจ้ามีสิทธิ์ผู้เดียว จะทำให้เกิดอะไรก็ได้ งามงายหมดเลย คลี่อะไรไม่ออกแสดงว่าไม่รู้จัก ความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์แล้วมาให้คนเรียนรู้ความรู้สึก พระพุทธเจ้าตีแตกเวทนา 108
สุขกับทุกข์คือภาวะ เทวะ และเป็นของเก๊ด้วย
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ · สมาธิทำเพื่อให้คิดถึงว่าตนทำอะไร และจะทำอะไร หรือพักผ่อน...
บางครั้งวิบากของสัตว์ จำเป็นจะต้องการเพื่อให้หมด โดยเรา แต่ถ้าเราเห็น ก็หลีกเลียง แต่ถ้ามากเกินไปก็จะไม่หมดวิบาก เป็นวิบากของกันและกัน
...มิตร จะดีไม่ดี มันอยูที่เรา จะนำมาใช่อย่างไร เพราะมิตรไม่ดี อย่างน้อยเขาเกือให้เรา ดูดีในระดับนึง พอเราดีแล้วจะทำอย่างไรให้มิตรนั้นดีด้วย ถ้าช่วยไม่ขึ้นก็แสดงว่า มีวิบากทำให้ไม่หลุด เราก็ปล่อยไป
พ่อครูว่า...อาตมาขอตอบว่าไม่รู้เท่าคุณ เพราะจิกซอว์นี้เยอะเกินที่อาตมาจะรู้เท่า อาตมาไม่รู้มากเท่าคุณหรอก อาตมาขอยอมรับว่าอาตมาไม่เข้าใจคำที่คุณรวมมาแล้วจะให้เชื่อมต่ออย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน สภาวะกลับไปกลับมาของความเป็นสิริมหามายา
_อำภา รื่นใจดี กราบนมัสการท่านพ่อครู ลูกขอโอกาสถามมีผู้ตั้งประเด็นว่า ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ต้องไม่มีอารมณ์เศร้าโศก ถ้ายังมีความรู้สึกอยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ แต่สำหรับลูกเห็นต่าง คิดว่า แม้พระพุทธเจ้าเมื่อรู้ว่าพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์คงโทมนัสบ้าง พระเวสสันดรเห็นชูชกตี โอรส ธิดา ยังสะเทือนพระทัย ก็ในเมื่อพระองค์เป็นมนุษย์ ยังมีลมหายใจ ย่อมเกิดความรู้สึกกับผู้ที่ผูกพันได้ ถ้าไม่ให้รู้สึกอะไรเลย ก็คือคนตายแล้ว หรือ อยู่ในนิโรธสมาบัติ เมื่อความเข้าใจแยกเป็นสองความคิด ท่านพ่อครูเห็นความคิด ไหนเป็นความจริง พ่อครูเป็นพระอรหันต์เคยรู้สึกโทมนัสไหม อย่างเช่น เมื่อรู้ข่าว การสิ้นพระชนม์ขององค์พ่อหลวง และที่ลูกเข้าใจนิโรธสมาบัติตามที่เรียนรู้มาถูกหรือไม่ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...คุณยังจะต้องศึกษาไป สิ่งที่ผ่านมานี้อาตมาอธิบายไม่ไหวเพราะมันเป็นเรื่องของสิริมหามายา เป็นเรื่องของสภาวะ 2 ที่กลับไปกลับมาและพยัญชนะกับสภาวะ 2 อย่าง ซึ่งเอาสภาวะหมายกลับไปกลับมา ตามที่ท่านเอาพยัญชนะมาแต่ไม่มีสภาวะคุณก็ตามไม่ทัน
อย่างคุณว่าอาตมามีความเศร้าโศก แล้วอาตมาก็ไม่มี คุณจะบังคับให้อาตมาเศร้าโศก คุณไปอ้างว่า พระพุทธเจ้าหรือพระเวสสันดรยังเศร้าโศกคุณจะรู้ได้อย่างไร
พระเวสสันดรนั้นอธิบายเป็นภาษาว่าท่านห่วงลูกรักลูก เขาตีลูกต่อหน้าต่อตาท่าน แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่เหนือกว่าอาตมาด้วย ท่านก็พูดด้วยภาษาสามัญ พ่อกับลูกก็ต้องมีการรู้สึกรู้สา แต่จิตของท่านว่าง ท่านไม่ได้มีสภาวะ ท่านพูดให้คนเข้าใจ คุณไปเข้าใจว่าท่านมี แล้วคุณก็เลยยากอย่างนี้แหละ เมื่อใดที่ผู้ที่อธิบายแล้วบอกให้คุณรู้ว่าอันนี้คืออันนี้ โดยที่ท่านไม่มี แล้วท่านไม่ได้บอกคุณ
แม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก เหมือนแม่สนุกไปกับลูกเลย ลูกนึกว่าแม่สนุกจริง ก็อยากให้แม่มาเล่นบ่อยๆ บางทีแม่ก็ว่าติดงาน แล้วจะบอกว่าแม่ฝืนหรือลำบากสิ ลูกก็ไม่คบกับแม่สิ มันตัดขาด ลูกก็ไปเล่นกับคนอื่นไม่อยู่กับแม่สิ
_ทำอย่างไรหนูจะเลิกขี้เกียจ
พ่อครูว่า...รู้ตัวเองว่าเราขี้เกียจนี้ดีแล้ว อ่านอาการตอนขี้เกียจ ขี้เกียจทำอะไร ไม่อยากทำงาน แล้วก็ต้องถามตัวเอง ว่าทำงานนี้เราจะเป็นงานไหม เป็นงานมันดีไหม ดี...แล้วเราควรทำสิ่งใดถามตนเอง คิดให้ดีว่าอันนี้ดีก็ต้องพยายามทำหากไม่ทำเราขี้เกียจ
ทีนี้ ขี้เกียจกับขยันอันไหนดีกว่า เราก็ต้องขยัน ขยันดี เราขี้เกียจไม่ดี แต่เราไม่ทำดี เราโง่หรือฉลาด?
ขยันนี่ดีใช่ไหมขี้เกียจไม่ดีใช่ไหมแล้วทำไมไม่ขยัน
หากเห็นว่าขยันไม่ดีโง่หรือฉลาด ...โง่
ขยันดี แล้วทำไมไม่ทำดี...เพราะโง่ เห็นไหมนี่คือสิริมหามายา เด็กยังไม่ทันเท่าไหร่
_น้ำมนต์...ทำกุศลและจะได้ดีได้อย่างไร
พ่อครูว่า...กุศลคือความดี แล้วหนูอยากฉลาดไหม..ฉลาดกับโง่อยากได้อะไร อยากได้ฉลาด แล้วคนรู้ว่าดี ดีนี่ควรทำไหม ควร...ฉลาดแล้ว ก็ทำสิดี แล้วจะได้ดีด้วยกุศลด้วย กุศลแปลว่าฉลาด และกุศลแปลว่าดีด้วย ก็ต้องทำสิสิ่ งที่ดี แล้วจะได้ชื่อว่ากุศล คือเราฉลาดแล้วเราทำดีก็คือกุศล
_ลงทะเบียนประวัติชาวอโศก เชิญชวนชาวบ้านราชฯไปเขียนลงทะเบียนประวัติชาวอโศกที่หลังศาลา
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน สภาวะกับพยัญชนะคือธรรมะ 2
_สม.เป็นหญิง...สมัยที่ไปดูแลพ่อในจังหวัดลพบุรี เจอภิกษุที่ท่านมองดูเรา แล้วบอกให้มาหาท่าน เราก็วางบาตรแล้วกราบท่านก็ถามว่ามาจากไหน? ดิฉันตอบว่ามาจาก บางกะปิ กทม. ท่านก็บอกว่ามาจากสันติอโศกใช่ไหม...ดิฉันก็บอกว่าใช่ ท่านก็บอกว่าอาตมาก็ฟังพ่อท่าน อาตมาชอบมากเวลาพ่อท่านตอบปัญหา ตรงและมีสติแข็งแรงที่คนอื่นจูงไปใช้อาศัยว่าคนอื่นไม่ได้ ท่านฝากกราบขอบพระคุณพ่อท่านมา
อีกเรื่องหนึ่ง ภาษากับสภาวะ คำว่าผัดหมี กับ ฝังพ่อท่าน สะดุด เขียนผิด
พ่อครูว่า...คำว่าเทวะนี้หมายถึงสภาวะกับพยัญชนะ สองคำนี้คนเอามาตีกินหลอกคน คนที่รู้ทันก็เข้าใจ แต่หากแยกออก สภาวะก็รู้แล้วสื่อให้รู้อันไหนสภาวะอันไหนพยัญชนะ นี่ยิ่งใหญ่ แต่เทวนิยมนี้ตีไม่แตก ต้องคิดตามพระเจ้า ห้ามแย้งทุกอย่าง นี่คือเผด็จการสุดยอด ของพระพุทธเจ้าเป็นปชต.
ศาสนาเทวนิยมที่เขานับถือพระเจ้า ตีไม่แตกเทวะธรรมะสอง จึงเป็นปชต.ไม่ได้ดีเท่ากับของพระพุทธเจ้าที่ตีเทวะธรรมะสองแตก
เทวนิยมมีมาก่อนพระพุทธเจ้า แม้ในช่วงพุทธันดรก็มีศาสนาเทวนิยม อยู่กับโลกสัตว์โลกตลอด จิตนิยามไม่แตกฉาน จนกว่าจะมีผู้รู้มาแตกเทวะ ทำลายเทวะให้เหลือ1 เหลือ0 เทวะเป็นนิรันดรตีไม่แตกไม่มี0 เทวนิยมไม่มีสุญญตาไม่มีนิพพาน ก็ถูกของเขา เขาแยกไม่ได้
สุญญตากับนิพพานเป็นคำไวยพจน์กัน
อาตมากำลังพยายามฉีกหน้าเทวะ ถึงอย่างไรๆ ฐานรากของอเวไนยสัตว์ผู้ไม่รู้มีมากผู้รู้มีน้อย เรื่องลึกซึ้งคนรู้น้อย แต่เทวนิยมก็ชนะทางมวลตลอดกาล อเทวนิยมจึงไม่แปลกที่จะมีน้อย majority rule แต่ minority right เท่านั้นเอง เรารู้ majority rule กฎของพระเจ้าของคนหมู่ใหญ่ ศาสนาพุทธรู้ดีไม่แข่งไม่แย่งบริวารแต่ให้เลือกนับถือย่างอิสรเสรีภาพ
ทุกวันนี้ ความเจริญความรู้ปัญญากว้างมาก คนกำลังเสาะหาอิสรเสรีภาพที่สูงที่สุด ซึ่งคืออะไร ความไม่มีตัวตนสูงสุดคืออะไร ISH คืออะไร ในตัวตน เรียกภาษาว่า self
self พอเป็น selfish เป็นเทวะตีไม่แตกเลย เราก็ตี self ออกมา ว่าคุณยึดตัวตน ขยาย ISH ออก แล้วขยายเป็นสภาวะ
S กับ H คือสองเพศ ก็เรียนรู้สภาวะจริงของสามตัวนี้จัดการให้เป็น 1 เป็น0 ได้ หมดสุขหมดทุกข์ เหลือแต่ I กับปุริสภาวะคือ H ก็ยังดี ปุงลิงค์ สองคือ 0 กับ 1 ที่เหลือ ซึ่ง 0 x 1 = 0
ยิ่งยกกำลังก็ยิ่ง 0 หนักเข้าไปอีก
หลวงปู่ครับ คนที่ขโมยของๆคนอื่น วิบากกรรม จะเป็นอะไรครับหลวงปู่แล้วจะทำอย่างไรให้วิบัติหาย
พ่อครูว่า… วิบากคือผลของการขโมย วิบัติคือความไม่ดีไม่งาม เขาจะมีวิบากเสียหาย
ความอยากนี้ไม่ต้องทำลาย พระพุทธเจ้าหรือหลวงปู่ก็มีความอยาก แต่อยากไปทำเลวนี้เลิก แต่อยากทำดีนี้ไม่ต้องไปทำลาย ต้องพิจารณาว่าดีนี้ควรหรือไม่ควร ตามสัปปุริสธรรม 7 แม้บางทีดีก็ไม่ควรทำก็มี แต่ที่สุดดีก็ไม่ได้ยึดถือ ต้องวางดีได้
สื่อธรรมะพ่อครู(การเกิด 4) ตอน คิดเพิ่มประชากรด้วยการมีลูกจะถูกหรือผิด
_ลูกหลานชาวอโศกเกิดอยากเพิ่มประชากรอโศกด้วยการมีลูก แล้วจะพาลูกมาฟังธรรมหลวงปู่สั่งสอนให้เขาดี แต่ปัจจุบันนี้ยังโสดอยู่
พ่อครูว่า...เอาตัวเองก่อนเถอะ อย่าไปฝันถึงลูกเลย กิเลสมันหลอก ให้มีลูกก็ต้องปฏิบัติการให้มีลูก ซึ่งเสี่ยงมาก
1.คู่คุณจะพาทรมานกันหรือเปล่า
2.ลูกที่มาจะเป็นลูกผีหรือเทวดาก็เสี่ยงมาก
พระพุทธเจ้าว่าการเป็นคนโสดคือบัณฑิต คนฝักใฝ่เมถุนย่อมเศร้าหมอง ที่จริงผ่านมีคู่มากี่ชาติแล้วไม่รู้ ชาตินี้เข็ดเสียที ใครฝักใฝ่มีคู่จะเจอความเศร้าหมอง วิบากจะเยอะ เป็นอจินไตยที่เป็นวิบาก ขนาดชาตินี้อาตมาต้องมีแฟน 3 คน แต่สุดท้ายแฟนก็ยอมให้ออกมาได้ แฟนคนแรกเขาก็ทำผิดไปไปมีคู่คนอื่น คนที่สองเขาก็เลิกไปเอง คนที่สามนี้อาตมาปฏิบัติธรรมเขาก็ยอมรับ และรั้งอาตมาไว้ไม่อยู่ อาตมามาทางธรรมนี้เขาตอบว่าดี แล้วหากรั้งอาตมาเอาไว้นี้ดีหรือไม่ดี ..เขาก็จำนน เขาก็จะพยายามเลิก เขาก็ว่าขอพบก่อนได้ไหม ตอนแรกก็สัปดาห์ละครั้ง ต่อมาก็ทีละเดือนหรือทีละสามเดือน เสร็จแล้วเอาเข้าจริงไม่ถึงอาทิตย์เขาก็ยอม แต่เขาก็รอถึง 6 ปี อาตมามาบวชแล้ว พอ6 ปี อาตมาไม่กลับไปแน่เขาก็เลยไปตามประสาเขา สุดท้ายเขาก็ไปเป็นคนอังกฤษ ไปมีสามีมีลูก ไปตามวิบากแต่ก็มานะ ตอนเราประท้วงก็มา มาที่วัด แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่ามีลูกชายคนหนึ่ง อาตมาไม่ได้ไปเชื่อมมากก็ได้ข่าวคราว มีลูกชาย จบดร.แล้ว นี่เป็นคนสุดท้ายในปางนี้ชาตินี้ ก็มีอะไรอีกเยอะเป็นแต่เพียงว่าวิบากเหล่านี้ควรตัดเราถึงเจริญไม่ใช่เพิ่ม หากมีอะไรพัวพันมากมาย แย่เลย ดีไม่ดีไปเจอผู้หญิงร้ายตามฆ่าด้วย อาตมาเลยรอดปลอดภัยมา
_หลวงปู่เคยวิบัติไหมคะ
พ่อครูว่า...สงสัยครูสอนมากระมัง วิบัติ
วิบัติคือ วิบากนี้เป็นสิ่งที่จะต้องเป็นผลของกรรมที่จะต้องใช้หนี้กรรมไปอีกยาวนานหลายชาติ
_ทำไมหลวงปู่ถึงอยากบวชหรอคะ
พ่อครูว่า..หลวงปู่พูดไปตามประวัติไม่ได้อยากบวชเลย ตอนแรกพยายามเป็นฆราวาส พยายามอธิบายสภาวธรรมไม่แคร์รูปแบบ ใส่เสื้อยืดคอสั้นสีขาวกางเกงขาสั้นไว้ใส่รองเท้าโกนศีรษเวลาไปพูดธรรมะกับนักวิชาการเขาก็บอกว่าคนบ้า
สุดท้ายก็มาบวช เขาก็หาว่าอาตมาบวชเอาแต่รูปแบบอีก จนป่านนี้ จริงๆไม่มีใครรู้หรอกว่ายุคพระพุทธเจ้าจริงๆนุ่งห่มอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นุ่งให้อย่าโป๊ ให้เป็นปริมณฑลก็พอ ให้ดูเรียบร้อย ไม่โป๊ไม่ดีไม่งาม เท่านั้นเอง เครื่องนุ่งห่มนี้กันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย สุดท้ายกันอุจาด ก็เท่านี้เอง
_การเลือกตั้งคือการกระหายอำนาจ ผลประโยชน์ตนและญาติ ความมั่งมี
พ่อครูว่า..สรุปได้ถูกต้อง การเลือกตั้งนี้ คือไม่มีทางไป สองตัวเองมีกลเม็ดเด็ดพรายจะได้เปรียบการเลือกตั้งเท่านั้นเอง อาตมาถึงยืนยันว่าขณะนี้ปชต.ของไทยดำเนินไปดีมาก สุคโต เพราะฉะนั้นไม่ต้องเลือกตั้งหรอก เลื่อนไปเลย อย่าไปฟังปากหอยปากปู อาตมาว่าซาวเสียงปชช.ได้นะว่าอยากให้เลือกตั้งหรือไม่ ซาวเสียงให้ดีให้ซื่อสัตย์ หากปชช.อยากเลือกตั้งมากก็เอา แต่หากไม่เอามากก็ไม่ต้องเลือกตั้ง แล้วผู้บริหารจะได้สบายใจ หากทำโพลอันนี้ก่อนจะดีมากเลย แล้วอย่าให้พวกแทคติกมากมาทำ หากว่ามีการก่อความไม่สงบก็ให้เลื่อนไปเลย ขณะนี้เขาก็ฉลาดพยายามสงบ
แต่เอาสาระสัจจะเนื้อแท้สัจธรรมะจะเป็นไปดีเอง
_เพราะอะไรหลวงปู่ไม่ผลิตหยาดน้ำใจอีก หนูอยากใส่ค่ะ เป็นกิเลสที่ไม่อยากลดเลยค่ะ
พ่อครูว่า...หลวงปู่ก็ไม่อยากจะบอก เอามาพบส่วนตัว แล้วอย่าไปบอกใครนะ
_พ่อครูมีหลักการพิจารณาตั้งชื่อต่อไปนี้อย่างไร
พ่อครูว่า…
1.1 ตั้งชื่อลูกๆหรือท่านสมณะสิกขมาตุ นักเรียน
พ่อครูว่า...เป็นอจินไตยอาตมาสัมผัสโหงวเฮ้งเหตุปัจจัยเอามาตั้ง บางคนไม่เจอหน้าตาก็ตั้งเดาเอาหรือให้ตัวเขาเขียนมา บอกมาว่าชอบอะไรเราก็เอาอันนั้นเป็นหลักการตั้งให้ ชอบอะไรอยากได้แบบไหนก็ตั้งให้ มีเยอะ
1.2 ตั้งชื่ออาคารสถานที่ต่างๆ
พ่อครูว่า..เพราะมันมีหลายอย่างหลายที่หากตั้งชื่อก็จะรู้ได้ชัด ไว แม้แต่ส้วมก็ยังตั้งเลย แต่ก็บอกทีหลังว่า ให้ตั้งเองกันเถอะ ยิ่งรถยนต์มีหลายคันก็ต้องตั้งชื่อ เป็นการระบุสิ่งที่เรียกใช้กันรวดเร็วไม่สับสน จะตั้งชื่ออาคารก็คล้ายกันกับวัตถุเหมือนรถ
1.3ลำธารน้ำตกภูเขา
พ่อครูว่า...อย่างลำธารถอยหลังเขา เขามีถอยหลังเข้าคลอง อาตมาก็เอาถอยหลังเข้าลำธารก็ชื่อลำธารถอยหลังเข้าให้สะดุด ว่าพวกเราพวกทวนกระแสไม่ใช่พวกตามกระแส
ส่วนน้ำตกก็ไปตามประสา น้ำตกผาแหงน แมนน้ำริน หินน้ำไหล แก่งไทบ้าน ไผใหญ่
แก่งตำอิด ติดราม สามใส ไทบ้าน แล้วก็มีกึ่งน้ำตกกึ่งแก่ง คือแก่งไทบ้านหรือน้ำตกไทบ้าน ส่วนอันนี้มาสายนี้ น้ำตกผาแหงน แมนน้ำริน หินน้ำไหล มีน้ำตกน้ำโตน ม่านน้ำอันนี้ยังไม่เสร็จ กำลังทำสไลเดอร์ แล้วจะมีเชื่อมกับน้ำม่าน ก็ค่อยๆทำ คือคนเราอยู่ในท้องก็อยู่กับน้ำเดิมก็เป็นสัตว์น้ำ แล้วมาเป็นสัตว์บก มีหลายขา มีสี่ขา มาเดินสองขาโก่ง มาเป็นสองขาตรง
1.4ตั้งชื่อถนน
พ่อครูว่า...ค่อยๆทำไปใช้ปฏิภาณ ถนนอาตมาก็ตั้งเยอะ เพราะว่าทำมา ตั้งแต่ถนนสายกุดระงุมมาเอาถนนตรงมูน ลงแม่น้ำมูนเลย แล้วก็ไปคำกลางชื่อตรงกลาง มีตรงซอย ตรงมุม ตรงเมรุ ก็เอาสิ่งที่ง่ายๆชัดๆบอกไขความ ตรงแก่ง เส้นนี้ ก็เลยมีแก่ง นี่แหละแก่งไทบ้าน หินน้ำไหล ไผใหญ่ ที่บ้านดร.ชิดตะวัน
แถมบอกชื่อเรือที่สร้างข้างเฮือนสุดชีวิตเป็นที่พักก็เลยให้ชื่อว่า เรือพักชีพ เป็นเรือนเรือไม่ใช่เรือเรือน บอกชื่ออยู่ติดกับเฮือนสุดชีวิต เป็นเฮือนพักชีพ
1.5 ตั้งชื่อร้านค้า ไร่นาสวน
พ่อครูว่า..อาตมาตอบไม่ไหว
_ทำไมแม่ครัวที่บ้านที่รร.เดิมและแม่ครัวที่นี่ ทำไมขี้บ่นครับ
พ่อครูว่า...ปล่อยเขาบ่นไปเถอะ เขาไม่บ่นเรื่องขี้ก็ดีแล้ว
_หลวงปู่ได้แต่งหนังสืออะไรบ้างคะ
พ่อครูว่า...หลวงปู่แต่งมาเป็นร้อยเรื่องร้อยเล่มแล้วพิมพ์เป็นล้านเล่มหลายล้านเล่มแล้ว
_หลวงปู่สร้างน้ำตกอีกไหมคะ
พ่อครูว่า...ยังตอบไม่ได้แต่คิดว่าแค่นี้เมื่อยแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไงไม่เบื่อพวกชอบหาเรื่อง
_เยาวชนใต้ร่มโพธิ์...เฮ้อ...ลูกเบื่อพวกขี้หาเรื่องมากๆ (พ่อครูว่าขี้นำหน้านี้ไม่ดี เอาแก้วนำหน้าสิดี ของเลวเรียกว่าขี้ของดีเรียกว่าแก้ว) ลูกพยายามมองโลกแง่ดีเหมือนหลวงปู่ค่ะ อยากทราบว่าทำจิตอย่างไรเมื่อโกรธ คือลูกรู้ว่าโกรธ ก็ใช้ทั้งวิปัสสนาทั้งเจโตสมถะ แต่มันยังเหลือเล็กน้อย ลูกควรทำอย่างไร ทำรูปธรรมอย่างไรจะไม่โกรธโมโห
พ่อครูว่า..ทำให้มากทำให้บ่อย ให้รู้ด้วยปัญญา เจโตจะค่อยลดลงๆ พลังปัญญาสูงขึ้นๆ ก็จะระงับได้ด้วยปัญญา ประเด็นที่หลวงปู่พูดมากคือโกรธนี้ร้อน ต่อจากโกรธนี้จะไม่ดีแล้ว แล้วโกรธนี้ก่อศัตรู หาเหตุผลให้มัน สองสามอย่างนี้ก็ไม่เอาแล้วหาเจออีกก็ยิ่งไม่ดี
เลยสรุปว่าการโกรธอย่างใหญ่อย่างยักษ์ อย่างธุลีละออง บรรจุซอง เหลือนิดนึงเท่าไหร่ก็ตาม Kick it out อย่าให้มีในจิตเรา รู้อาการมันอย่างใหญ่อย่างยักษ์ บรรจุซองละอองธุลีเท่าขี้ผงก็แล้วแต่ หากรู้ว่ามันมีในจิต ขจัดออกไปเลยไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้
ส่วนรักหรือโลภยังเป็นประโยชน์หากต้องการทำดีทำประโยชน์
โลภหรือราคะ ต่างกัน ราคะหมายถึงอาการเสพรสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ส่วนโลภคือความต้องการมาเป็นตัวเองเป็นของตัวเอง ส่วนตัณหาเป็นความอยาก กลางๆ อากังขาวจร มันเป็นความต้องการปรารถนา หากเข้าใจสภาวะแล้วเราต้องการมาทำอะไร ทำประโยชน์เท่านั้นไม่ใช่เพื่อเราเพื่อของเราเลย มันเหลือน้อยก็ดีค่อยศึกษา ใช้สมถะ วิปัสสนา พอลดสมถะวิปัสสนาจะมีพลังแล้วขจัดกิเลสได้
ก็พิจารณาเรื่องที่เขาใส่ความ หากเป็นสิ่งไม่จริงก็เป็นเรื่องโง่ของเขาที่เขามาใส่ความ หรือหากเอาความไม่จริงมาความไม่ดีก็อยู่ที่เขา เราไม่ไปถือสา หรือเขารู้ไม่พอก็ยัดเยียดมาหรือแม้ว่ารู้ว่าไม่ถูกแต่ใส่ร้ายป้ายสีก็เป็นความไม่ดีไม่งามของเขาไม่ใช่ของเรา เราจะไปรับมาทำไม เราอย่าทำ เขาทำก็เป็นของเขา เราบอกให้เขาหยุดได้ก็ทำ
_ผมอยากไปช่วยพ่อแม่เกี่ยวข้าว แต่คุรุก็ไม่ยอม อยากให้คุรุเปิดใจบ้างผมไม่ได้อยากไปเสพอะไร
พ่อครูว่า...พูดดีๆมีเหตุผลก็น่าให้ไป ดีไม่ดีครูพาเพื่อนไปเกี่ยวด้วย ครูก็น่าจะมีเหตุผลว่าน่าไว้ใจได้หรือไม่ ท่านฟ้าไทว่าเข้าที่ประชุมเลย
_ทำอย่างไรจะหายเครียด
พ่อครูว่า...อาตมาเกิดมาไม่เคยเครียดก็ฟังคนอื่นว่ามันจะมีอาการอย่างไร ก็พยายามเข้าใจ อวัยวะเราจะมีอย่างไร แต่จิตเครียดอาตมาไม่มีแบบคุณ แต่สรีระคงเป็นเส้นตึงหัวร้อนจะระเบิด อาตมาว่าไม่มี อยู่ดีๆจะไปสร้างอารมณ์แบบนั้นทำไม โง่ เขามีเรื่องอะไรก็ตามรู้ความจริงตามความเป็นจริงของเขา เขาร้อน เราก็อย่าไปร้อนกับเขา เราก็รู้ว่าเขาร้อนอะไรร้อนกายร้อนใจอย่างไร อะไรก็แล้วแต่มีพยัญชนะกับสภาวะสองอย่างนี้แหละยากมาก ใครเข้าใจก็จบโลกทั้งโลก อาตมาจบแล้วอาตมาตีแตกเทวะ คนส่วนใหญ่ติดยึดเทวะ แต่อาตมาตีแตก เขายึดเอง เราก็เพิ่งชัดเจนสภาวะกับภาษาเป็นอย่างนี้แล้วให้เขาตีแตกสภาวะที่เขาไม่รู้แล้วหลงยึด
_จะทำอย่างไรจะอยู่ที่นี่ได้นานๆหรือตลอดชีวิตได้
พ่อครูว่า...มองหาจุดดี จุดประเสริฐที่ควรได้ แล้วจิตจะฉลาดเห็นดีว่าทำไมเราโง่ไม่สิ่งดีหรือจะมองว่าที่นี่ไม่ดีก็มีแต่ว่าต้องดูสิ่งดีว่ามีมากกว่า จะไปหาสังคมดีอย่างเดียวไม่มีหรอก แต่ดูค่าเฉลี่ยว่าดีมากกว่า และที่สำคัญคือมีสิ่งที่ข้างนอกไม่มี พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ สังคมสิ่งแวดล้อมดีอย่างนี้เราจะไม่อยู่ด้วยก็ไม่ฉลาด แล้วคนโง่มากหรือฉลาดมากกว่าในโลก..ก็คนโง่มากกว่า สญชัยเวลัฏฐบุตรก็บอกพระสารีบุตรว่าเราจะอยู่กับคนโง่จำนวนมากนี่แหละ พระสารีบุตรก็จบ
_เกร็ดดินว่า...ศีลสมาธิปัญญา ก็สามเส้า รวมกัน ถึงเกิดสมาธิ หาก 2 1 0 ก็เป็น 3 การทำงานต้องมีสมังคีธรรม
พ่อครูว่า..มันต้องมี2 แล้วสังขารกระบวนการสังขารต้องมี 3 จึงเป็น cyclic order หากสองเป็นแนวระนาบสังเคราะห์ไม่ได้
การศึษาต้องมีสม ต้องมีตัวเราเป็นประธานแล้วก็มีสองเป็นเทวะ ผู้ที่ไม่รู้ความจริงเทวะก็จะมีสองตีไม่แตกเป็นอิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ จนกว่าเราจะศึกษารู้รูป 28
เป็นปสาทรูป โคจรรูป ต้องมีธาตุจิตไปรู้ แล้วจะมีผัสสะมีกรรมกิริยา เป็นภาวะสองที่มีตัวเราเป็นประธานรู้ธรรมะสองในนิวเคลียส เราอยากควบคุมพลังงานนี้ได้ต้องมีจิตเหนือบวกกับลบ จึงมีจิตที่ทำได้อย่างเรียบร้อยแม้ที่สุดมีจิตละเอียดถึง 0
0 คือทุกสิ่งทุกอย่าง คุณจะไปทำแบบที่หาที่สุดมิได้ ไม่ได้ต้องมาหา0 แล้วจะจบได้
สรุปแล้ว เรียนไปแล้วจะรู้ว่า 1 คืออะไร 2 3 4 5 6 7 8 9 สามเส้าคืออะไร
สรุปแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างสังเคราะห์สังขารกันอย่างไร
_ไม่ทันนับหนึ่งเข้าสู่เส้นทางเลือกตั้ง ก็เริ่มเห็นว่าเลือกตั้งไม่เสรี และเป็นธรรม จึงเชื่อว่านับจากนี้ไปจะมีสารพัดกล ต่อมาอีกแน่นอนค่ะ
พ่อครูว่า...เขามีกลเม็ดเด็ดพรายแต่ แต่เราจะจับได้ไล่ทันไหม หากซื่อสัตย์เรียบร้อยก็อยู่ที่คนดูแล แต่มันยากเพราะคนจะเอาชนะคะคานเล่นทุกท่า ก็เป็นสงครามสังคมทำไปแต่อาตมาเชื่อพระสยามเทวาธิราชแต่ก็อย่าประมาทต้องทำอย่างมั่นใจอย่าอวดดี ให้ทุกอย่างเรียบร้อยหากเห็นท่าไม่ดีก็เลื่อน อาตมาว่าเอาความสงบเรียบร้อยดีกว่า หากกลเม็ดมันยากก็เลื่อนเลย แต่หากไม่สงบเรียบร้อยก็เลื่อนเลย คนเราหาทางเอาชนะกัน เราก็เอาประโยชน์แก่มนุษยชาติดีกว่า
ตอนนี้ก็ส่วนใหญ่เห็นว่าสงบ เจริญไปตามลำดับ ไม่มียุคไหนทำได้เท่า ขนาดมีม.44 ก็ใช้อย่างไม่กดขี่ข่มเหงเลย ใช้ดาบอาญาสิทธิ์ที่เผด็จการอย่างสวยงามเลย นักรัฐศาสตร์ต้องมาเรียน phenomenology มีตัวอย่างจริงชัดหมดเลย ไม่ใช่เอาแต่ปรัชญา อย่างเพลโต โทมัส มอร์ แม้แต่พวกเราก็มีคนที่ไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าพาทำสำเร็จเหนือกว่าเพลโตด้วย พาให้หมดตัวตนเป็นประชาธิปไตยสูงสุดได้ อิสรเสรีภาพ หมดตัวตน หมด selfish ด้วยปัญญาญาณ
คำว่า self พัฒนาจากคำว่า cell พัฒนามามากจำนวนจนเป็น selfish คนก็มาแยก สองจากหนึ่ง ทำสองให้เป็นหนึ่งได้และทำ 0 ได้
เทวนิยมศาสนาตีไม่แตกเทวะ ไม่มีทางเลือก สูงสุดได้แค่เทวะ อยู่ในตำรา
ในหลวงถึงบอกว่าจงปิดตำรา แต่ในหลวงตรัสได้เท่านี้ โพธิรักษ์มาเปิดเผยต่อว่าอาตมาคือตำราอันเก่าก่อนของเทวะ โพธิรักษ์นี้ไม่ไว้หน้า แยกสองแยกหนึ่งแยก0 ไม่มีใครแยกเหมือนอาตมาหากศึกษาได้ ได้ก็จบ
0 คือ eternity คือทุกอย่าง
_เมื่อเราเกิดมาได้ร่างอัตภาพ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเพศหญิง หนึ่งสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาสังกัปปะ ปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์สูงสุดจากน้อยมามากคืออะไร สิ่งที่เป็นโทษควรเว้นสามอันดับแรกคืออะไร
พ่อครูว่า..ติดตามฟัง
_ศาลาฝายฝน ที่ปฐมอโศก อยู่กลางอ่างลงหิน ตอนนี้ผุเยอะมากพ่อครูเห็นเช่นไรจะปรับปรุง
พ่อครูว่า...ก็แล้วแต่จะให้ผุไปต่อหน้าต่อตาก็ได้ จะบูรณะก็ได้หรือจะรื้อเลยก็ได้สามอย่างเข้าคณะกรรมการแล้วทำ
_หลวงปู่แต่งเพลงกี่เพลง อะไรบ้าง
พ่อครูว่า...เป็นร้อยเพลง แต่ก่อนแต่งเพลงรัก ตอนนี้ก็ไม่ค่อยอยากบอก บางเพลงไม่อยากบอกชื่อเลย เป็นเพลงรักเยิ้มเลย เหลือเศษเพลงรักบ้าง อย่างเพลงผู้ครองรักหรือเพลงผู้แพ้ แต่ก่อนใช้คำว่าแพ้จนรักสิ้นสลาย แต่เหนียมให้เป็นแพ้จนสูญสิ้นสลายไปเลย นอกนั้นก็เป็นเพลงโลกุตระ แม้แต่สอนเรื่องความรัก เพลงที่อาตมามีในทำเนียบ ใช้ได้สูงสุดเริ่มแต่งเพลง ผกาดั่งนารี แต่แต่อายุ17 พศ.2494 ถือว่าเป็นเพลงที่ใช้ได้
เพลงก่อนสิ้นแสงตะวันแต่งทีหลัง แต่ได้อัดเสียงก่อนเพลงผกาดั่งนารี
_วันลอยกระทง ขอให้พูดถึงประเพณีนี้ด้วย
พ่อครูว่า...เป็นการเล่นเท่านั้นเอง ของเราไม่ต้องไปอะไรมาก ส่วนใหญ่เรื่องของกาม ผู้หญิงผู้ชาย แต่ว่าไปปรับเป็นสามัคคีบ้าง ก็เอา เอาพอประมาณก็ต้องมีเลอะเยอะไปอีก
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:12:42 )
รายละเอียด
611121_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เศรษฐกิจช่วยโลกได้คือเศรษฐกิจจิตเป็น 0
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1QXSnzYrnRtehQL51BrgTD07kVZZ9H_-4P89ZZNelGIA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.https://drive.google.com/open?id=1dNVPvlI4lymECfuRQMookNWRpbgDCKOm
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้จะเป็นวันลอยกระทง คนก็คิดกันว่าจะลอยกระทงกันอย่างไรไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ส่วนพวกเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเพณีนี้
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“กู้วิกฤตตน พ้นวิกฤติชาติ”
ครั้งที่ 34 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 23 - อาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ข่าวในโทรทัศน์ทุกวันนี้มีแต่ข่าวไม่ดี เปิดไปช่องไหนก็มีแต่ข่าวสังคมแย่ ตามความโลภโกรธหลง คนก็อยากรวยก็เพิ่มความโลภโกรธหลง มองเห็นสัญญาณไฟบรรลัยกัลป์
พ่อครูว่า...SMS วันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน การเหยียดหยามต่างจากการตำหนิที่ใจ
_1614 อย่าคิด-พูด-ทำ ไปในลักษณะที่เหยียดหยามใคร ๆ ว่าเป็นคนโง่; เพราะเราอาจจะเป็นคนโง่เช่นนั้นเพราะเหตุนั้น-อยู่แล้วโดยไม่รู้สึกตัว #พุทธทาสเช่นนั้น#หอจดหมายเหตุพุทธทาส “เพราะเราอาจเป็นคนโง่เพราะเหตุนั้น” ขอคำอธิบาย เพิ่ม ด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..ก็เป็นความสำนึกที่ดีนะที่คิดเช่นนี้ และบางคนต้องท้วงติงกัน เพราะเขาทำผิดทำไม่ดี คนที่ทำผิดทำไม่ดีคือคนยังโง่ เราก็บอกว่ายังโง่ยังไม่ฉลาดนะที่ทำสิ่งที่ไม่ดียังไม่ฉลาด
พยัญชนะกับสภาวะความเป็นทั้งความคิดความรู้ทางจิตทางอารมณ์ สภาวะคือเรื่องของจิต หากเป็นกายกรรมวจีกรรมก็หยาบกว่า เราจะเลี่ยงไม่พูดคำว่าโง่ นี้ ไม่ได้ แต่จิตของผู้ที่ไม่เหยียดหยามใคร ก็เวลาแสดงออก สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ใช้นัจจะคีตะวาทิตะ ใช้น้ำเสียงสำเนียงท่าทาง คำพูด รวมแล้วสิ่งที่จะสื่อสารออกไป มันก็จะเป็นคำตำหนิ นิคหะ
รวมแล้วก็ไปพูดสิ่งที่เขาไม่ถูกต้องทั้งนั้น มันเลี่ยงยาก อาตมาพูดบ่อยนะ ผู้ที่เขาท้วงอาตมาว่า อาตมาเป็นคนพูดแรง ดัง ตำหนิหนักเหมือนคนโกรธไม่ชอบใจหรืออาจจะอยากพูดสะใจตนเอง อาตมาก็ว่าอาตมาไม่มีจิตสาเฐยจิต จิตอยากอวดอ้างข่มเบ่งคนอื่นเหยียดหยามคนอื่น ทำร้ายคนอื่น อาตมาไม่มี
แม้แต่คำว่าเหยียดหยามเราก็ไม่มีในจิต แต่เราก็ต้องพูดว่าคุณไม่ดีไม่ถูก อย่าโง่สิให้ฉลาดหน่อยเราก็พูด การไม่เหยียดหยามดี แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เหยียดหยาม แต่เราก็พูดว่าเขาโง่ ยิ่งพูดแรงดังอย่างอาตมา คุณอาจแปลตามอาการ
พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าให้เชื่อแค่อาการ เอามาตีความ แล้วสรุปพิพากษา ว่าไม่สุภาพ
สุภาพ แปลว่า ภาวะที่ดี เราทำงาน เช่นแม่ต้องการให้ลูกดี ด้วยความปรารถนาดีแต่ว่าลูกดื้อด้านก็ต้องว่าแรงดุแรง แม่ไม่ได้ผิดอะไรเลย ฉันเดียวกัน อาตมาทำลักษณะนี้แต่คนเข้าใจไม่ได้
สมมุติเชื่อตามเขาว่า ก็บรรยายธรรมะนิ่มๆเบาๆ อย่าไปว่าใคร เรื่อยๆมาเรียงๆ อาตมาว่ามันจะกระเตื้องใหม่ แต่เพราะมันหนาแน่นแข็งแรง ขนาดนี้ยังไม่เคลื่อนไม่กระดิกเลย อาตมาก็ว่าอาตมาเชื่ออย่างนั้นเป็นอย่างนั้นจึงทำอย่างที่เป็นอยู่
ที่จริงอาตมาว่า ท่านพุทธทาสบอกว่า “เพราะเราอาจเป็นคนโง่เพราะเหตุนั้น” คือท่านเองท่านก็ไม่รู้ตัว ท่านมีความจริงครบแล้วหรือยัง แต่ก็มีการสำนึกคิดออกคิดได้ว่า เราอย่าไปเหยียดหยามใครนะ แต่จิตคนไม่ละเอียดพอจะรู้ไหมว่าจิตคนเหยียดหยาม อย่างอาตมาว่าเขาผิดว่าเขาแรง คนอ่านตามอาการก็ว่าอาตมาเหยียดหยามดูถูกคน แต่อาตมาว่าอาตมาไม่มีจิตเช่นนั้น แต่พูดตามความเป็นจริง เขาทำไม่ดีเขาควรจะได้ฟังคำตำหนินั้น
เอาง่ายๆ ที่อาตมาติมากคือ ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไปโง่ทำไม อย่างนี้อาตมาไม่ได้เหยียดหยามเขานะ ก็เขาโง่ แล้วโง่อยู่ทำไม อ่านคำสอนพระพุทธเจ้าให้แตกฉาน พระพุทธเจ้าท่านตีทิ้งด้วย ท่านมีพลความเยอะแยะที่บ่งบอก เช่น หากไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ หรือในปฏิจจสมุปบาท โพธิปักขิยธรรม มูลสูตร พรหมชาลสูตร ก็บอกไว้หมดว่าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่เช่นนั้นไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติธรรมได้ หากไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะมันโง่
ในมหาจัตตารีสกสูตร บอกไว้ว่า การทำสมาธิต้องปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ปฏิบัติทั้ง 7 สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ
ขณะทำอาชีพ กรรมการงานทุกอย่าง ขณะพูด สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ
แต่ไปสอนว่า ให้นั่งไปอย่าไปคิดแล้วมันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ปัญญาผีบ้าสิ
คำว่า ผีบ้าใช้เพื่อให้คนสะดุดใจ อาตมาจะพูดหรือออกท่าทางก็ใช้ปัญญาคัดกรอง ไม่ใช่พูดส่งๆไป อาตมาว่าอาตมาผู้ใช้ปัญญา (พ่อครูว่าปวดนิ้วก้อยซ้าย ให้ตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญต่างจากทานเช่นไร
_การทำบุญ=การทำลายล้างอกุศลกรรมใหม่ การทำทาน=การสร้างกุศลกรรมใหม่ เพราะฉะนั้นควรจะทราบไว้ด้วยว่าการจะทำลายล้างกิเลสนั้นจำเป็นต้องมีเครื่องมือ ปัญญา=เครื่องมือทำลายล้างกิเลส จึงควรที่จะสั่งสมปัญญาพิจารณาธรรม แบบนี้ ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า...บุญมาจากบาลีว่า สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คือ การชำระจิตสันดานให้หมดจด ไปทีละส่วนคือส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา คือกำจัดกิเลสได้ แต่เราไม่ได้นะ ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้อะไรเลยมีแต่สิ่งที่จะหลุดออกไปจากจิตใจ เจริญขึ้น แล้วไม่มีผลอะไรสะสม กิเลสหมดไปก็ไม่ได้สะสมอะไรไม่ได้สะสมกุศล บุญนั้นไม่มีอะไรจะสะสม จนสามารถสิ้นอาสวะ หมดจนกระทั่งไม่เกิดอีก ก็ไม่ต้องทำบุญอีกเรียกว่า อปุญญาภิสังขาร บุญไม่มีแล้ว ปรุงแต่งไม่มีบาปอกุศลให้ชำระอีกแล้ว
ไม่มีบาปเป็นสภาวะซับซ้อน คนไม่มีสภาวะจะยาก คนที่แปลอปุญญาภิสังขารว่า สังขารเป็นบาปนั้นผิด บุญก็คือบุญ อปุญญะคือไม่ต้องทำบุญอีก
พระอรหันต์ทุกพระองค์หรือพระพุทธเจ้าก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ คนที่ไม่มีสภาวะของโลกุตระจะเข้าใจอันนี้ได้ยาก มันเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
การทำทานเท่ากับการสร้างกุศลกรรมใหม่
ทาน เป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระก็ได้ ถ้าคุณทำทานแล้วสามารถอ่านจิตตัวเอง ว่าในขณะคุณให้นั้นจิตของคุณให้หรือเอา จิตของคุณที่มีอาการต้องการเอา เอามาให้แก่ตน เอามาเป็นของตัวของตนเอง ยังหวังที่จะได้จากการให้ คุณก็ให้ไม่ขาด คุณให้ไม่จริง คุณไม่ได้ให้ คุณต้องการแลกเปลี่ยน และคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนมาก ให้ไปแล้วเอาคืนมามากๆเยอะแยะ ไม่มีใครทำทานไป 10 ต้องการคืนมา 2 ต้องการคืนมา 5 ส่วนใหญ่ไม่มี
คนที่เข้าใจการทำทาน สภาวะคือการให้ ให้คือให้ หากจิตต้องการเอาขึ้นมามันก็มีตัว ตนตัวกูของกู ไม่ได้เป็นทานจริงไม่ได้ให้จริงยังเอาคืนอยู่ และที่แน่ๆไม่มีใครให้ไป 500 แล้วจะเอาคืน 400 300 ให้ไปเท่านั้นแล้วจะเอาคืนมากกว่านั้นต่างหาก ก็ยังต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนคืนมาต้องการกลับมาเรียกว่าความหวัง สาเปกโข เป็นการทำทานที่ไม่มีอานิสงส์
ทำทานต้องไม่หวังอะไรตอบแทน หากว่าหวังอะไรตอบแทนจะมีภพชาติ ต้องการกลับมาแล้วได้ชื่นใจก็เป็นสวรรค์ดาวดึงส์ แล้วอยากให้อยู่นานๆ เรียกว่าสวรรค์ชั้น ยามา แล้วก็ต้องการสุขแบบไม่มีพักเลยไม่มีดุสิต ที่เป็นฐานพักคุณก็ไม่พักโง่ซ้ำซ้อน แล้วเอาแต่เนรมิต เกิดภพชาติ
สวรรค์ทั้ง 6 คือของเลว ผู้ใดที่ยังมีสวรรค์ก็คือไม่เป็นอรหันต์ สวรรค์นั้นไม่ใช่ของดี
สวรรค์มีภพมีชาติ นี่คือศาสนาที่ตีเทวะแตก ส่วนศาสนาที่ตีเทวไม่แตกจึงไม่มีนิพพานไม่มีธรรมะ 0 ธรรมะ 1
พวกที่มีสวรรค์นรกนิรันดร เขาหาว่าศาสนาพุทธไม่เป็นศาสนาเพราะไม่มีจิตวิญญาณ ที่จริงแล้วศาสนาพุทธตีแตกจิตวิญญาณ ถ้ายังมีคนเป็นจิตนิยาม แม้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์อย่างอาตมา อาตมาก็อาศัยจิตวิญญาณ แต่ไม่ได้ยึดถือจิตวิญญาณเป็นเราเป็นของเรา
อาตมาเป็นคนไม่มีจิตวิญญาณ 0 อาตมา แต่ตอนนี้ยังไม่ 0 ยังมีอยู่ยังไม่ตาย เป็นอมตะบุคคลคือยังไม่ยอมตายยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน กิเลสตายเกลี้ยง“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
ที่พูดนี้เป็นการยืนยันสัจจะความจริง ไม่ใช่เดาว่าใครคืออรหันต์ ซึ่งมันไม่มีความมั่นใจที่จะยืนยันได้
อาตมาเอาสภาวะมาพูด แสดงธรรมด้วยสภาวะ ส่วนพยัญชนะดูเหมือนผิดแต่อาตมาว่าไม่ได้พูดผิด แต่คุณตีความสิริมหามายาไม่ได้ หมุนสมองไม่ทันสมัย
เขาตีไม่ออก เขานึกว่าจิตวิญญาณต้องเป็นอยู่นิรันดร อย่างนี้ไม่สามารถแยกเป็น 1 เป็น 0 ได้ หากว่าสามารถทำ 0 ได้ก็สามารถทำให้ไม่ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเป็น 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ก็ตาม ถึงนิรันดร ไม่มีที่สิ้นสุด สรุปว่าทำทานอย่างอย่าไปสร้างกิเลสสร้างภพชาติ
การจะทำลายกิเลสต้องมีเครื่องมือคือปัญญา คนที่สั่งสมปัญญา จนกระทั่งสูงสุดก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องอาศัย
_ไพร จริยา · งานบริการ คืองานรับใช้ ทำได้ไม่เก้อเขิน
พ่อครูว่า...ดี
_แตงกวา ขอทราบความหมายของคำต่อไปนี้
1. คำว่าสามัญญตา พ่อครูว่า..สมณะแปลว่าผู้สงบแล้ว เป็นอรหันต์แล้วคือผู้มีสามัญไม่มีปัญหาสงบสบายแม้โลกจะกระทบกระแทกก็เป็นปกติไม่หวั่นไหวไม่เคลื่อนเป็นอย่างเดิม 0 ว่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ลบไม่บวกไม่ฟุ้งไม่จม
2. ความรักในระดับพุทธเบื้องต้น พุทธเบื้องกลาง พุทธเบื้องสูง
พ่อครูว่า...อาตมาเขียนความรัก 10 มิติ มันมีมิติที่ทั้งแคบทั้งกว้าง การดูดเอามาเป็นตัวตนมาก ก็เป็นมิติที่ 1 เห็นแก่ตัวมาก ไม่เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างแก่ใครเลย
เห็นแก่แค่ 2 คนลูกก็ไม่เกี่ยว ถ้าเผื่อแผ่ไปถึงลูกก็เป็นมิติที่ 2
นอกจากลูกแล้วยังมีเผื่อแผ่แก่ญาติก็เป็นมิติที่ 3 จนกระทั่งขยายไปหาสังคมประเทศ จนกระทั่งไปถึงต่างประเทศ
ความรักคือความเห็นแก่ตัวที่เป็นวงแคบ เรามาขยายความความรักที่ขยายขึ้นจนเป็นความรักของพระเจ้า เป็นความรักที่มีคุณลักษณะที่จะดียิ่งขึ้นประเสริฐยิ่งขึ้น จะมีเบื้องต้นเบื้องสูงก็แบ่งเอาเอง
_ลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพยิ่ง
ลูกขอหมอบกราบแทบเท้าพ่อท่าน กราบขออภัยอย่างสูงสุด วันนี้ลูกขอกราบเรียนความในใจ ที่เก็บไว้มานานแล้ว คือว่า อยู่ดีๆความคิดก็พุ่งขึ้นมาว่า ทำไมหนอพ่อท่านจึงตีงานศิลป์ อย่างรุนแรงไม่เหลือความเป็นตัวเป็นตนเลย งานศิลป์แบบโลกีย์ กว่าจะทำได้ก็ยากมากๆคิดแล้วก็น้อยใจ น้ำตาตกใน แต่ก็ไม่กล้าขัดแย้งอะไร เพราะพ่อท่านพูดเป็นความจริงทั้งหมด
เมื่อก่อนลูกทำงานศิลปะจิตรกรรมก็ภูมิใจตัวเอง ว่าเก่ง อัตตาก็ใหญ่โลกธรรมก็เยอะกามก็แยะ เวลาทำงานต้องขับเคลื่อนด้วยกาม คือ เสียงเพลง ด้วยโลกธรรม คือคนต้องเห็นค่าของงานด้วยอัตตาคือ ทุกอย่างต้องได้ดั่งใจ
แต่พอได้ฟังพ่อท่านวิจารณ์ศิลป กิเลส 3 ตัวก็เบาลง (เฉพาะเรื่องศิลปเท่านั้น) ปัจจุบันทำงานไม่ต้องมีเสียงเพลงก็ได้ ไม่ต้องมีใครมาให้ค่าก็ได้ ทำแล้วไม่ได้ดังใจก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ทุกข์ ปล่อยวางได้ หรือทำใหม่ก็ได้
ถ้าลูกสลายกิเลสเรื่องอื่นๆได้เหมือนเรื่องของศิลป ลูกก็จะเป็นคนกตัญญูต่อพ่อท่านโดยสมบูรณ์และเป็นอิสระ ลูกขอฝันอย่างนี้ไว้ก่อน อีกล้านๆชาติ ก็จะขอเกิดมาเป็นลูกพ่อท่านจะได้เป็นอิสระจากกิเลส
กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
_บ้านเล็ก เมืองน้อย...กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ลัทธิทุนนิยมได้สร้างความบอบช้ำให้แก่สังคมโลก ด้วยการส่งเสริม.....ความเป็นปัจเจกชน
เพาะสร้างความเป็นส่วนตัว ให้เสพติดความสะดวกสบาย ที่ปัจจุบันหาซื้อกันได้ง่าย แทบจะทุกปากซอย
ผลักดันให้นายทุนขึ้นสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร โดยมีความหายนะของทรัพยากรโลก เป็นค่าโง่ที่มนุษย์ต้องจ่าย
ทั้งยังได้วางแผนทำลายพฤติกรรมสุจริตดั้งเดิมของมนุษย์
โดยเพิ่มค่าเฉลี่ยต่ำๆ ด้วยการเพิ่มประชากรแบบด้อยคุณภาพในยุค Baby Boom เข้าสู่สังคม
แล้วเสริมเสื่อมระบบการศึกษา..... มุ่งเน้นแข่งขัน..... บ้าความสำเร็จ..... เสพติดแฟชั่น..... บูชาเงิน.....
เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับแย่งชิงกันในอนาคต เป็นหนูถีบจักรในกรงของนายทุน ที่เรียกอย่างสวยหรูว่า..... ธุรกิจ
เด็กรุ่นใหม่ที่ถูก spoil ด้วยความหลงเชื่อผิดๆของพ่อแม่ จึงกลายเป็นตัวทำลายความดีงามดั้งเดิมของบรรพบุรุษซะเอง
ความเลวร้ายทั้งหมดที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองเหล่านี้..... เกิดจากข้ออ้างคำเดียวว่า...จะทำให้ ”เศรษฐกิจดี”
แท้จริงแล้วความหมายของเศรษฐศาสตร์ คือศาสตร์แห่งการจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แก่มวลมนุษยชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่เป็นบ้านของมนุษย์ทั้งโลก ไม่ใช่เพื่อนายทุนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่หลังจากปี ค.ศ. 1776 เป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์ได้มีความหมายเปลี่ยนไปตาม หนังสือ
"ความมั่งคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of Nations) ของ อดัม สมิธ ซึ่งเนื้อหาภายในกลับเป็น “ความมั่งคั่งของนายทุน”
ทำให้แรงงานที่มีฝีมือของมนุษย์ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็น....คนเฝ้าเครื่องจักรให้แก่นายทุน
ค่าของคนจึงไม่ได้อยู่ที่...ผลของงานอีกต่อไป แต่ถูกวัดกันด้วยเงินแทน
Small is beautiful ของ ชูเมกเกอร์ ก็ไม่อาจช่วยได้
เพราะมองความต่างของ น้อย กับ มากไม่ออก และยังแยกแยะ ค่าของความเป็นคน กับ ค่าของเงินไม่ได้.....
จนคุณค่าความเป็นมนุษย์ถูกทำลายลง กลายสภาพเป็นผู้เสพติดความเกิน ร่วมขบวนล้างผลาญโลกไปด้วยอย่างเมามัน โดยมีความอยากรวยเป็นแรงขับเคลื่อน
............จนโลกดำรงอยู่ในขั้นวิกฤติมาพักใหญ่แล้ว เพราะทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัด ได้ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ ได้ฝากรอยแผลเป็นไว้บนโลกมากมาย
ปริมาณก๊าซเรือนกระจก จากภาคอุตสาหกรรม.....จากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย.....
เริ่มต้นตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ...... การขนส่ง....... การประกอบชิ้นส่วน........ การใช้งาน........
จนกระทั่งถึงการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังการใช้งาน...... ที่ถูกตั้งชื่อซะเก๋ว่า คาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)
รอยเท้าที่อยู่เต็มท้องฟ้าในชั้นบรรยากาศของโลกเหล่านี้เอง คือ สาเหตุหลักของการเกิดสภาวะโลกร้อน
โลกมีสภาพเป็นเตาอบ... น้ำแข็งปริมาณมหาศาลบนขั้วโลกละลายลงสู่ทะเล...ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นผิวโลก จนเด็กรุ่นหลังคงต้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จากแผนที่โลกฉบับใหม่ เพราะแผ่นดินในหลายทวีปจะต้องจมน้ำ
ทั้งอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้น.....เกินขีดที่โลกสามารถจะเยียวยาตัวเองได้อีกต่อไป
เมื่อข้ามจุด point of no return นี้ไปแล้ว จะเข้าสู่การนับถอยหลังของ chaos ทางธรรมชาติ ที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่เคยประสบมาก่อน แต่จะได้เริ่มรู้จักในอีก 20 ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน
มีเพียงการย้อนกลับไปทำความเข้าใจกับ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
โดยผนวกสุดยอดเคล็ดวิชาบุญนิยม แล้วน้อมนำกระบวนท่าอันสูงส่งของศาสตร์พระราชาเข้าด้วยกัน
เพื่อรับมือกับ chaos ที่จะเกิดในอีก 20 ปีข้างหน้าเท่านั้น
จึงจะช่วยโลกให้รอด และปลดปล่อยอิสรภาพให้แก่มนุษย์ได้
พ่อครูว่า...ประเทศไหนก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่สำเร็จ มีแต่ที่ชาวอโศกนี่แหละที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เพราะว่าเขาแก้ปัญหาแค่เศรษฐกิจสมบัติผลัดกันชม ใครมีโอกาสดีมือยาวสาวได้สาวเอาคนนั้นก็รวย แล้วถือว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจคืออะไร แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือการทำให้คนจนอย่างพอใจจนเต็มใจจนตั้งใจจนและจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วพอมีพอกินพอเพียงสร้างสรรค์เกื้อกูลผู้อื่นต่อไป เป็นคนจนไม่ได้เบียดเบียนใครมีแต่ช่วยโลกเพื่อผู้อื่น นี่คือการแก้ปัญหาที่สำเร็จสูงสุด คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์น่าจะฟัง โอ้โห หากคนไทยนับถือศาสนาพุทธเข้าใจแก้ปัญหาอย่างที่ว่านี้ มาเรียนรู้สิว่าชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร ถึงได้อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจไม่ไปแจ้งกับสังคมด้วย เป็นตัวช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมช่วยแบ่งเบาสังคมเราก็มีอยู่พอ
และสูงสุดแถวอโศกตรงไหน ที่ใจ จำนวน (ผู้ฟังบอกว่าจำนวนน้อย) คนบอกว่าจำนวนน้อยก็คือยังใจไม่ถึง หากว่าจำนวน 0 คือคนไม่มีเลย อย่างนี้เป็นไปได้ไหม เป็นไปได้
สม.กล้าข้ามฝัน…
สม.รินฟ้า
ส.ฟ้าไท
ส.แสนดิน
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน แก้เศรษฐกิจด้วยหลักวรรณะ 9
พ่อครูว่า...อยากจะวิจารณ์วิจัยการแก้ปัญหาเศรษฐกิจควรแก้อย่างไร ถ้าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าจะต้องให้คนรวย ทำให้คนต้องรวย แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างนั้นแก้ปัญหาไม่เสร็จหรอก แก้ไม่จบ ไม่สงบ ข้อสำคัญก็คือ แก้ไปแล้วไม่สงบ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...ตอนนี้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงิน ให้แก่ผู้ที่อายุยาวและคนจน เช่นค่าไฟค่าน้ำ
พ่อครูว่า...เขาก็จะยิ่งต้องใช้สบายขึ้นเฟ้อมากขึ้น รัฐบาลช่วยแล้ว เขาก็จะยิ่งประหยัดน้อยลง ถ้ามีน้อยก็กระเบียดกระเสียรก็ยังจะประหยัด แต่นี่รัฐบาลช่วยแล้ว เป็นการแก้ปัญหาปัดสวะออกไปนิดเดียว แล้วมันจะกลับมามากกว่าเก่า แก้ปัญหาไม่สำเร็จสมบูรณ์
แก้ปัญหาเศรษฐกิจควรแก้อย่างไร ขอแก้ปัญหาอย่างกำปั้นทุบดินว่าหันหน้าไปหาธรรมะพระพุทธเจ้า ให้เป็นคนชั้นสูง เป็น The Classes ทุกวันนี้คนเป็น The masses เป็นปุถุชนคนทั่วไป ต้องทำให้คนมีวรรณะที่สูงขึ้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นวรรณะ 9 เป็นคนเจริญ แต่คนชื่อเจริญไม่ได้หมายถึงเป็นคนมีวรรณะนะ พัฒนาตนเองตามหลักความรู้ให้เป็นคนวรรณะ 9 ให้ได้ คนๆนั้นก็จะเกิดจิตใจที่มีคุณธรรม พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ สังคมก็จะอยู่กันแหละ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
แล้วลาภที่ได้มา เราเรียกว่า มวลรวมของรายได้ ก็จะเอามาเข้ากองกลาง เมื่อคนจนได้ถึงที่วรรณะ 9 ก็คือคนทำงานฟรี เป็นคนพ้นมิจฉาชีพ 5 ข้อ พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คนฟังแล้ว บอกว่าโต่ง คงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ว่าอาตมาพาพวกเราพิสูจน์ว่าเป็นไปได้ พวกเราเกิดในยุคนี้ คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นไปได้อยู่ปรากฏจริงยืนยันได้พิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโก เชิญมาพิสูจน์ได้ดูได้ มีลาภโดยสุจริตแล้วเอามารวมกันกินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคีนี่คือเศรษฐกิจสูงสุดของมนุษยชาติ
อาตมานำเอาทฤษฎีของพุทธเจ้ามาให้เรียนรู้ พวกเราก็เข้าใจและก็เอาตัวมา ปฏิบัติตามและก็เข้ามาอยู่รวมกันในสังคมกลุ่ม เป็นหมู่บ้านได้ อาตมาว่าทำได้ขนาดนี้ทำให้เกิดหมู่บ้านชุมชนตามนิตินัยเลย ที่ไม่ได้ยกตามนิตินัยก็มีหลายหมู่บ้านของชาวอโศก เป็นชุมชนหมู่บ้านที่อยู่กันอย่างมีวัฒนธรรม มีพฤติกรรมสังคมเป็นอยู่ร่วมกันตลอด อยู่อย่างเป็นพี่เป็นน้องอยู่อย่างเป็นญาติ อยู่กันอย่างมีคุณธรรม 9 ของวรรณะ 9 เป็นคนชั้นสูง ที่ไม่ใช่ชั้นวรรณะแบบคนอินเดีย ที่เป็นพราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร อันนี้เป็นวรรณะของพระพุทธเจ้าเลย ส่วนอวรรณะมี 6
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
วรรณะ 9
1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .
อาตมาภูมิใจที่นำมาให้พวกเราปฏิบัติได้สำเร็จ ส่วน อวรรณะ มี 6
1. เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
2. บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
3. มักมาก (มหัปปิจฉะ)
4. ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
5. เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
แก้ปัญหาวิ่งไปหาปากกรายแก้ยาก ได้แต่สมบัติผลัดกันชม ที่จริงเบียดเบียนเขาแต่ไม่ให้เขารู้ว่าเบียดเบียน ทุนนิยมสร้างความซับซ้อนเอาเปรียบคนอื่นให้คนอื่นจำนนโดยตัวเองก็เป็นนายทาส เขาก็เป็นทาสอยู่อย่างนั้นออกมาไม่สำเร็จสักที
พวกขยันก็ขยัน อวรรณะ ขยันเอาเปรียบเขาขยันมากๆขยันไม่รู้จักพอ ต้องใช้ความรู้ความสามารถสร้างระบบทฤษฎีมาใส่สังคม เป็นทฤษฎีที่ได้เปรียบอย่างที่เขาจำนนอย่างที่เรียกว่า หลอกคนอื่นว่าฉันไม่เอาเปรียบฉันเป็นคนเมตตาอารี เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนซับซ้อน เพราะฉะนั้น คนที่อวรรณะ ยิ่งเกียจคร้าน
อันนี้แปลว่าคลุกคลีด้วยหมู่ อันนี้ แปลแล้วเกิดความซวยมหาศาลเลย
สังคนิกะ ที่จริง ไม่เกี่ยวข้องไม่คลุกคลีกับกองกิเลส คณะนี้คือพวกไม่ดี ตีไม่แตกพวกยึดอยู่ในเทวะ ตีไม่แตก เพราะฉะนั้นไปอยู่กับพวกมีปัญญาตีแตกกิเลสแต่ก็ไม่คลุกคลีกับคนแบบนี้ แล้วก็จมไปไม่รู้จักอะไร จริงๆเขามีอีกคำ
สังคณิกะหรืออสังสัคคะ เขาก็แปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่
แต่อสังสัคคะคือไม่หลงสวรรค์ ไม่สร้างสวรรค์ เลิกสวรรค์ไปเลย ที่จริงเขาก็แปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่แต่ที่จริงคือไม่คลุกคลีด้วยหมู่กิเลส อย่างชาวอโศก ไม่คลุกคลีด้วยกิเลส ก็มาคบกับพวกนี้ได้แต่ไปแปลว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อย่างนี้แปลใช้ไม่ได้
ต้องแปลให้ชัดว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะที่ไม่มีทางออกจากกิเลส ควรคบกับพวกที่ออกจากกิเลสได้จึงเจริญ
การไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะก็ไปแปลว่าปลีกเดี่ยวไม่คบกับใคร..อย่างนี้ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ผู้เดียวคือไม่มีเพื่อน 2 คำว่าเพื่อน 2 คือกิเลส กิเลสคือเพื่อน 2 มันลึกซึ้ง บอกว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ก็คือคณะกิเลส
คุณอยู่กับหมู่คณะสังคม อำมาตย์พระราชาเลย แต่คุณก็ไม่มีกิเลสอันนี้คือคุณไม่มีเพื่อน 2 แต่ต่อให้คุณอยู่ในป่าเขาถ้ำ แต่คุณมีกิเลสอยู่ อย่างนี้ก็คือมีเพื่อน 2 อยู่
ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตาอันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ เสียง… กลิ่น... จนถึง ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ (มโนวิญเญยยา ธัมมา อิฏฺฐา กันตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสัญหิตา รชนิยา) ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ ย่อมเกิดความเพลิดเพลิน เมื่อมีความเพลิดเพลิน ก็มีความกำหนัดกล้า เมื่อมีความกำหนัดกล้า ก็มีความเกี่ยวข้อง (นันทิสัญโญชนสัง)
ถึงจะเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าหญ้าและป่าไม้ เงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากลม แต่ชนเดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของมนุษย์ผู้ต้องการสงัด สมควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเรียกว่ามีปกติอยู่ด้วยเพื่อน 2 ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อน 2 เขายังละตัณหานั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงเรียกว่า มีปกติอยู่ด้วยเพื่อน 2 (สทุติยวิหารีติ) มิคชาลสูตร ล.18 ข.66
ภิกษุมีปกติอยู่ด้วยรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตา อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ เสียง... กลิ่น... รส... ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ (มโนวิญเญยยา) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ เมื่อไม่ยินดี ความเพลิดเพลินย่อมดับ เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีความกำหนัด เมื่อไม่มีความกำหนัด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง (น โหติ นันทสัญโยชนสัง)
แม้จะอยู่ปะปนกับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ ในที่สุด-บ้านก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว (เอกวิหารีติ)
มิคชาลสูตร ล.18 ข.67
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จที่บ้านราช
พ่อครูว่า...อาตมามีหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเยอะแยะแต่อาตมาก็อยู่ผู้เดียว อาตมาทำสังคมบ้านราชฯ ให้เด็กทั้งผู้ใหญ่มาที่นี่ ก็ยังพูดเลยว่า ผู้ใหญ่ยังไม่กล้ามาเด็กก็มาเลย ผู้ใหญ่ให้มาใช้บริการไม่ใช่มีแต่เด็ก ทั้งน้ำตกน้ำไหล สุขสำราญเบิกบานใจมาพักผ่อนไม่ว่าจะหน้าไหน หน้าร้อนหน้าแล้ง อาตมาทำให้คนมามากๆ เป็นสังคมที่ดี คนที่เข้ามาก็พยายามแทรกยาเข้าขุมขน ทั้งนัจจะคีตะวาทิตะ เพื่อให้คนได้ประโยชน์ ไม่ใช่อยู่ในป่าเขาถ้ำไม่สนใครเลยไม่ใช่ แต่ต้องสอนคนให้มากยิ่งขึ้น ให้คนได้เจริญไปตามลำดับและมาสัมพันธ์เกี่ยวข้อง จะมีภาวะที่มีการคัดเลือกอยู่บ้าง ซึ่งมันมีกำแพงของวัฒนธรรม กำแพงของคุณธรรม กำแพงที่ไร้สภาพ จึงเห็นได้ว่าในแวดวงชาวอโศก ถนนดีขึ้น เด็กแว้นๆมาถึงที่นี่ก็เบาลง สังเกตดู มันจะไม่ลามเหมือนที่อื่นหรอก นอกจากคนที่ไม่รู้จักถิ่นที่ อยู่ที่ไกลมาไม่รู้เรื่องโผล่มา ก็มาแว้นบ้าง แต่ถ้าเด็กแถวนี้เขาจะมีความเกรงใจ ถ้าเราให้เขา เราไม่เคยไปทำร้ายเขาเรามีแต่ให้ สร้างอะไรทุกอย่างให้เขา
ลึกๆของคนไม่โง่ มันฉลาดรู้ว่าผู้ให้กับผู้เอาคือใคร ที่เรานี้ไม่เคยหาเงินเรี่ยไร ทำงาน เพื่อจะกอบโกย ว่าวัดนี้เราได้เท่าไหร่ในปีนี้ทำงานวัดขึ้นมาหาเงิน เราไม่เคยทำ วัดเราไม่เคยหาเงินจากฆราวาสจากสังคมอื่น มีแต่เราสร้างตัวเองเลี้ยงตัวเองให้เหลือให้เกิน เพื่อมาช่วยสังคมประเทศชาติ มีตลาดอาริยะมีขายของขาดทุนขายเท่าทุน รู้จักเกินทุนบ้างก็จำเป็นเท่านั้น โดยมีความจริงใจที่จะไม่เอาเปรียบเอารัด หากว่าเรามีทุนรอนแรงงานเพียงพอเราก็จะสร้างให้แก่ผู้อื่น โดยเราไม่ลำบากเราไม่เป็นหนี้
ขณะนี้กำลังอธิบายเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของบ้านราชฯที่ประสบความสำเร็จ การจัดแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะให้คนไปด้วย รับรองไม่มีทางแก้ปัญหาได้สำเร็จ ต้องทำให้คนมาจนอย่างที่ชาวอโศกเราทำสำเร็จ อย่างในหลวงร.9 เอาตามศาสตร์พระราชา ขาดทุนของเราคือกำไรให้ได้ อย่าไปเอาอย่างตำราฝรั่ง แต่ในหลวงท่านจะตรัสว่าเอาแบบพุทธไม่ได้เพราะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งที่ท่านเป็นพุทธมามกะ คนไทยมีหลายศาสนา จึงตรัสเช่นนั้นไม่ได้ ปล่อยให้โพธิรักษ์พูด อาตมาไม่ได้รังเกียจศาสนาอื่น แต่ก็ให้เขาอยู่ในสังคมเขาไปแต่หากศาสนาอื่นมาเรียนรู้อเทวนิยมคุณจะตีแตกเทวะ ที่แปลว่า ธรรมะ 2 ออกได้
ตอนนี้เทวะตีไม่แตก แยกสภาวะกับพยัญชนะไม่ออก เป็นธรรมะ 2 ที่ตีไม่แตก ไม่สามารถรู้โลกียะโลกุตระ ไม่มีทางรู้ธรรมะ 2 ซึ่งเป็นธรรมะที่จะมีกิเลสและไม่มีกิเลส แต่ชัดเจนในกิเลส จิตอรหันต์มี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มีสมณะที่ 1 2 3 4
ศาสนาไหนไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีสมณะ 1 2 3 4 ไม่มีการศึกษาแบบพุทธ ไม่มีโพธิปักขิยธรรมไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่สามารถสร้างสมณะ 4 เหล่าได้ ไม่สามารถทำให้คนเจริญทางจิตวิญญาณแท้จริงได้
คนเจริญทางจิตวิญญาณจะมีวรรณะ 9 เป็นคนมีเศรษฐกิจสูงสุด การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจงหันหน้าเข้าหาธรรมะพระพุทธเจ้า ศึกษาให้ดี เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า จะไปจบดอกเตอร์มา 100 ใบ ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักวรรณะ 9 ได้ และทำได้สำเร็จ
แต่หากปฏิบัติวรรณะ 9 ได้ อย่างชาวอโศก ที่พูดนี้ไม่ได้อย่ากวนใจอวดต่อเบ่งข่มใครแต่พูดอย่างเอหิปัสสิโกเชื้อเชิญมาให้พิสูจน์ได้ แต่ในประเทศไทยคนอาจจะไม่แยแสสิ่งที่โพธิรักษ์ทำ
แต่ต่างประเทศเขาอาจจะรู้และมาเอาทีหลังถ้าจะมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ แต่สักวันจะมีคนแปลธรรมะของอาตมาไป จะมีคนเอาไปบ้าง จะมีคนค่อยๆเข้าใจ
อาตมาว่าอาตมาจะดังเพราะคนข้างนอกมาเอา ว่า อ๋อ คนนี้เป็นคนอธิบายเองหรือ เขาก็จะเห็นอาตมาเป็นคนมีค่าบ้าง อยู่ในประเทศไทยเขาไม่เห็นค่าหรอก นอกจากจะมีคนตาบอดมาไม่กี่คนนี่แหละ พวกตาบอดแต่ว่า โผล่จากมหาสมุทร เข้าบ่วงได้ เป็นเต่าตาบอด ร้อยปีโผล่จากมหาสมุทรมา 1 ที อาตมาว่ากว่าร้อยปีนะ เต่าทั้งหลายแหล่มีเท่านี้ (ส.ฟ้าไทว่าเต่าตาดีเห็นห่วงแล้วหลบหนีไกลเลย)
เป็นสัจจะภาวะของสิริมหามายา พูดเหมือนดีเป็นชั่วพูดเหมือนชั่วเป็นดี พูดน่าฟังไม่น่าฟัง กลับกลอกเหมือนคนเล่นกล ยอดฮูดินี่เลย สิริมหามายา
อาตมานำภาษาบาลี สัจธรรมพระพุทธเจ้ามาขยายความ เข้าใจพยัญชนะและสภาวะลึกซึ้งขึ้นบ้างไหม
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะ 2 ที่ขยายความเป็นธรรมะ 1 สภาวะเป็นอย่างไรพยัญชนะเป็นอย่างนี้ สิริมหามายานี้ ฟังภาษาเป็นพวกมายากลเป็นภาษาไม่ดีกลับกลอกตลบตะแลงเป็นพวกไม่มีความจริง มาเล่นกลหลอกล่อ สุดยอดของกล สิ่งดีสิ่งยอด เหมือนกลับกลอก พวกมายาด้วยกันแต่เป็นสิริมหา
อาตมาก็พยายามอธิบายให้เข้าใจฟังออก
ในคนที่เข้าใจสัจธรรมอย่างชาวอโศก และรู้จักแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ ชุมชนแต่ละชุมชนของชาวอโศกทั่วประเทศ เป็นชุมชนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้แล้ว สบายแล้ว ตามศาสตร์พระราชาด้วย รู้จากพระไตรปิฎกจากคำสอนพระพุทธเจ้าด้วยถ้าเข้าใจศาสนาพุทธที่แท้จริง
ที่ไทยเป็นไปไม่รอด ตอนนี้ก็พูดอย่างมหาศาล อย่างใหญ่ ที่ไปไม่รอดเพราะเถรสมาคมล้มเหลวทางศาสนาพุทธ เข้าใจเป็นเดียรถีย์ ออกป่าเขาถ้ำ กลายเป็นเรื่องโลกโลกีย์เต็มไปหมด หนักเข้าแก้ปัญหาไม่ตก เช่นภาวะเงินทอนวัดยังไม่เสร็จเลย เละหมด ทั้งลาภยศสรรเสริญหลงโลกียสุข ไม่เข้าใจว่าสุขนี้เป็นของไม่มีหรอก พวกคุณเป็นฆราวาสแต่เข้าใจได้ยิ่งกว่าพระมหาเถรสมาคมแล้วมาประพฤติปฏิบัติได้สำเร็จแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ แก้ปัญหาชีวิต ได้เป็นชีวิตที่สุขสำราญเบิกบานใจ
เรื่องจนนี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่องจนไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะฉะนั้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพื่อที่จะให้คนรวยๆ จ้าง ไม่มีทางสำเร็จ ต้องให้คนมีปัญญาต้องให้คนเข้าใจว่า คนจะจนจะรวยไม่ใช่เรื่องอะไรมาก คนที่เป็นคนมีความขยันหมั่นเพียรมีความรู้ความสามารถ ไม่มีความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว แค่ 4 คำนี้
เป็นคนมีความรู้ความสามารถ เป็นคนมีความขยันหมั่นเพียร เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ได้ เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว
เป็นคนมีความสามารถรู้ว่าควรจะสร้างอะไรๆที่ขาดแคลน อะไรเป็น Demand ของสังคม เข้าใจชัดเจน และก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยความไม่เห็นแก่ได้ ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
สร้างก็จะมีผลผลิตเกิดขึ้นมาก ก็ไม่เห็นแก่ได้ และไม่เห็นแก่ตัว สะพัดออก กระจายออกไปให้แก่ผู้คน ถ้าคนมาเข้าใจและมีคุณสมบัติแค่ 4 อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นคนที่ไปนั่งหลับหูหลับตาอะไรก็ไม่รู้ งอมืองอเท้า ยิ่งเป็นคนเคยเรียนก็รู้เป็นคนมีความสามารถ ความรู้ที่เคยมีสมรรถภาพที่เคยเป็นไม่เอามาใช้แต่ไปนั่งหลับตา ออกป่าเขาถ้ำ ไม่เอากับสังคมไม่เกี่ยวกับสังคม เป็นการออกนอกเรื่องของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาที่ช่วยสังคมมหาศาลเลย เป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นอันมาก
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
หูแตกหรืออย่างไรไม่ได้ยินที่พระพุทธเจ้าท่านสอน นี่คือลักษณะของโพธิรักษ์อธิบายอย่างนี้
เข้าใจสิว่าศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์เพื่อมวลชน พหุชนหิตายะ มวลชนได้รับประโยชน์เป็นอันมากไม่ใช่เป็นอยู่ในป่าเขาถ้ำเป็นประโยชน์แก่คนนิดเดียว ถ้าหากอาตมาทำได้ดีกว่านี้ก็จะทำให้คนมามากกว่านี้ แต่คนมาต้านอาตมานี้เป็นคนบาป แล้วอาตมาไม่เหลิงหรอก กลัวอาตมาจะไปแย่งตำแหน่งสังฆราชอีก อาตมาเป็นโพธิรักษ์นี้ก็ลำบากแล้วทุกวันนี้ ไม่มีความเป็นอิสระเสรีภาพเลยทุกวันนี้ จะไปจะมาจะขี้จะเยี่ยวจะหลับจะนอน ไม่มีอิสระเสรีภาพ บริการหมด คนมาคอยบริการมาคอยอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ที่พูดนี่ไม่ได้ว่านะ ฟังธรรมะให้ดี พูดอย่างสิริมหามายา ไม่ใช่ดูถูก ไม่ใช่ อาตมาชมเชยนะ
ถ้าอาตมาเป็นคนอื่นก็จะรำคาญแล้วเพราะไม่มีอิสระเสรีภาพก็จะมีความรำคาญแต่อาตมาไม่มี อาตมายังขอบคุณพวกเรา อาตมาไม่เคยดูตัวเองให้คนอื่นเลี้ยงไว เอ้าดื่มน้ำ เอ้าไปเดิน เอ้อไปนอน ตื่นได้แล้ว อาตมาไม่ได้ตำหนินะไม่ได้ว่า ที่พูดนี้ไม่ได้รำคาญไม่ได้เป็นภาระ อาตมาสบายไม่มีปัญหา อัดเสียงไว้หมดเอาไปฟังได้หมด มีบ่นลับหลังด้วย ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ไม่ต้องกลัวไม่ต้องปิดบังเอาไปเปิดเผยได้สบายมาก
คิดๆแล้วก็ เราก็พยายามปรารถนาดีต่อสังคมต่อใครหลายคน แต่ก็ดี ถ้าปล่อยให้อาตมาทำเต็มที่อาตมาจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปทำเพราะมันมากเหลือเกิน อะไรหลายอย่างอาตมาไม่ได้ทำก็ดีแล้ว มีแต่คนที่มี ผ่าน selection มาก่อนทั้งนั้น ได้รับการคัดเลือก Scratch เอาออกไปเรื่อยๆ ที่ไม่ควรก็เอาออกไปที่ควรก็เอามา มัน select พอสมควร คนจะเข้ามาในนี้เป็นอิสระเสรีภาพ เข้ามาเองนะ
อาตมาแม้แต่จะและเล็มเลียบเคียงให้เข้ามาก็ไม่มี การจะไปหาเสียงป่าวประกาศว่าที่นี่จะให้คุณได้เป็นคนรวยเป็นคนมียศศักดิ์ เราไม่ล่อด้วยโลกีย์เลย มีแต่มาแล้วบอกให้หมดเนื้อหมดตัวนะ มานี่ขัดเกลาต้องมีศีลนะ ไม่ได้ปิดบัง ที่พูดเช่นนี้ เป็นการคัดเลือก select มา
ซึ่งมันตรงกับสัจธรรมหมดเลยอาตมาทำงานได้ดีสบาย อาตมาถึงบอกว่าไม่เป็นไรหรอกทำงานได้ขนาดนี้ อายุยืนยาวไปก็มีอวัยวะเสื่อมไปบ้าง ถ้าหากชะลอออกไปได้ให้ถึง 151 ปี นี่ไม่รู้ว่าถึงร้อยจะเป็นอย่างไร สามารถวิดพื้นได้ถึง 50 ครั้งเหมือนคนที่ออกโทรทัศน์ อายุ 95 วิดพื้นได้ถึง 50 ครั้ง อาตมาวิดพื้น รอบละ 12 ครั้ง 4 รอบ แล้วก็มีการเดินออกกำลังกาย ก็ไม่เมื่อยไม่อะไร รู้สึกว่าดี แต่ไม่ขึ้นหรอก tricep bicep นี่ก็มี six pack ก็มีนะ
สมณะเดินดินว่า...สรุปจบ
ที่อยากจะฝากเป็นข้อคิดว่า ปุญญภาคิยาคือการกำจัดกิเลสแต่ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้อะไรเลย
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:13:36 )
รายละเอียด
611123_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำบุญสัมมาทิฏฐิจึงตีเทวะแตกถึงอนัตตา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1qmIflIueT3KnViFouKlRLdiNmt6-__BFLYe4_LBjYcU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1qj4A3iHlgVomZNLJVbt-DeZV3ol2sAO9
สมณะดินดินว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก มีข้างขึ้นก็มีข้างแรม มีกุศลก็มีอกุศล มีเวทนาแท้ก็มีเวทนาเทียม หากให้พวกเราเลือกเอาระหว่างคนมีบุญกับคนหมดบุญ พวกเราก็จะเลือกเอาคนหมดบุญ เราก็เข้าใจปรากฏการณ์ที่โลกเขามีอยู่ เราก็จะเข้าใจกุศลเข้าใจความทุกข ์ทำสิ่งที่ไม่ถูกให้เป็นสิ่งที่ถูกได้
พ่อครูว่า..ขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก่อน
SMS วันที่ 21 - 22 พฤศจิกายน 2561
_7680 กราบนมัสการพ่อครูและหมู่สงฆ์ด้วยความเคารพ / ผมยอมรับด้วยใจจริง ๆ เลยว่าเคยโง่ เคยชั่วมาก่อน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือโง่ เหลือชั่วอยู่ แต่มันก็เบาบางลงบ้างแล้ว ไม่โง่หนัก ไม่ชั่วหนักเหมือนแต่ก่อน ดังนั้น เวลาที่ได้ฟังพ่อครูกล่าวว่า "จะโง่ไปถึงไหน" เน้นเสียงดัง ๆ หนัก ๆ ผมฟังแล้วไม่รู้สึกว่าถูกเสียบถูกแทงให้เจ็บปวดแต่อย่างใด แต่กลับเหมือนถูกชี้ให้ดูคนที่กำลังละเมอหลับตาเดินบนทางด่วน มันก็นึกหวาดเสียวอยู่เหมือนกันเพราะเราก็เคยทำแบบนั้นมา เคราะห์ดีที่ตื่นมาได้ ก็คำของพ่อครูนี่แหละจะคอยเตือนเราให้ตื่นอยู่เสมอ และจะไม่ยอมหลับตาเดินแบบนั้นอีกแล้ว / ขอบพระคุณในความเมตตาอย่างยิ่ง
พ่อครูว่า..หากยังไม่เป็นอรหันต์ยังไม่หมดอวิชชาก็ยังถือว่าโง่ จะบอกให้คนหลับตามาลืมตานี่ยากมาก
_3867บ้านราชเมืองเรือจัดงานลอยกระทงแบบงานวัด77จังหวัดไหม? เห็นมีเรือโนอาห์,แพพืชผักผลดอกทานตะวันที่รับน้ำหนักหมู่มวลชนแบบบ่มีวันจมน้ำฯปลอดภัยที่สุด!
พ่อครูว่า..ไม่จัดเลย เพราะเป็นมลพิษ เพราะเป็นประเพณีที่ทำให้รกเลอะ
_8768กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ยังไม่เข้าใจเรื่องธรรมะ2 ค่ะเพราะฟังไม่ทันสักทีค่ะขอความเมตตาพ่อท่านอธิบายอีกสักรอบค่ะ
พ่อครูว่า..ติดตามฟังให้ดีไม่อธิบายรอบเดียวจะอธิบายอีกแสนรอบ เทวะแปลว่า 2 แล้วก็หลงไปเป็นเทวดา เทพเจ้า ไม่ใช่ เทวะแปลว่า สอง เขาไม่เข้าใจก็ไปหลงตัวตนว่าเป็นเทวดากับอีกฝั่งหนึ่งหลงพยัญชนะ มีแต่ตรรกะ ส่วนพวกไม่หลงตรรกะก็ไปหลงพระเจ้าที่เป็นเรื่องลึกลับmagical
เรามาเรียนรู้เทวะที่แปลว่าสอง ศาสนาพุทธตีแตกคำว่าเทวะ เป็นสภาวะอย่างไรเราก็รู้ ในจิตวิญญาณจะเป็นเทวะ เป็นมาร เป็นพรหม ก็อยู่ในนี้ ศาสนาพุทธตีแตกทำให้เหลือแต่พระพรหมที่เป็นความบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าสูงสุดมีจิตวิญญาณสูงสุดได้ เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์สะอาด
พยัญชนะธรรมะ2 ศาสนาพุทธทำให้เกิดสภาวะเป็น 1 หรือเป็น 0 ได้ พูดไปแล้วก็เหมือนกับการไปข่มศาสนาอื่น แต่เป็นเรื่องสัจธรรม
_กิ่งฟ้า ขันหล้า · กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ..พึ่งเคยเห็นพ่อท่านบ่นว่าปวด..ขอให้หายเป็นปกติไวๆนะคะ
_6242สมัยพุทธกาลมีท่านพระจูฬปันถก!!! สมัยพ่อครู..มีท่านสมณะถักบุญ!!! สาธุ..สาธุ..สาธุ!!!
_1614 คุณค่าของตนเองนั้นอันที่จริงดูได้จากคุณงามความดีและสติปัญญาของตนเอง
ถ้ามีองค์คุณเหล่านั้นอยู่กับตัว ก็มั่นใจในตนเองได้โดยไม่ต้องเอาทรัพย์สมบัตินอกตัวหรือสินค้ายี่ห้อดังมาเป็นเครื่องวัด - พระไพศาล วิสาโล #หอจดหมายเหตุพุทธทาส #BIA
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน อัตตา เทวะ อเทวะ
พ่อครูว่า..วันนี้เจตนาพูดถึงเรื่องอัตตา อนัตตา เทวะ อเทวะ
อัตตา อันตา
อันตาแปลว่าข้าง ฝ่ายบางที่แปลว่าโต่งไปข้างหนึ่งหรือเหลือนิดนึงก็เป็นอันตา คือมันไม่กลาง อันตาคือไม่ใช่จุดกลาง
อัตตาคือมีตัวตน พลังงานที่ยังมีความดูดหรือผลักอยู่ก็ยังไม่เป็นกลาง แม้เล็กแม้น้อยก็ยังไม่เป็นกลาง
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องความเป็นกลางแต่ทุกวันนี้เพี้ยนไป กลายเป็นทางสายกลาง แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นกลาง แล้วมีทางหรือวิธีปฏิบัติที่ไปสู่ความเป็นกลาง
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงมัชฌิมาคือความเป็นกลาง หากไม่กลางก็มีข้างใดข้างหนึ่งคือยังมีกามหรืออัตตา
เขาก็ไปตีความว่าการไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งคือความไม่เป็นกลาง ศาสนาพุทธไม่ได้สอนอย่างนี้เลย ถ้าหากเป็นคนเป็นพวกความดีหรือไม่ดี ความเป็นกลางที่สูงสุดนั้น ต้องเข้าข้างคนดี ต้องเข้าข้างความถูกต้อง นี่คือความดีหรือความเป็นกลางความดีสูงสุด
ความเป็นกลางคำนี้คือปรมัตถ์คือจิต จิตของใครก็แล้วแต่ ถ้ายังมีอาการของกิเลส กาม หมดกามก็คืออนาคามี ไม่มีกิเลสที่ออกไปภายนอกแล้วมีแต่ภายใน ก็ต้องล้าง ภวตัณหาต่อไปอีกให้หมดจึงมีความเป็นกลาง ได้สูงสุด
ความเป็นกลางของคนทั่วไปจึงแค่โลกียศาสตร์ เป็นแค่ความดีความชั่วกุศลอกุศลง่ายๆตื้นๆ
ทีนี้ ความเป็นกลางนั้นจะต้องมีผัสสะจึงจะชัดเจนในสภาวะอาการทางจิต ถ้าหากไม่มีสัมผัสเราจะไม่รู้เลยว่า ยังมีอากาศ กาม ภายนอกอยู่หรือเปล่า หากหลับตาปิดทวารภายนอกตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไปเรียนรู้แต่ทวารภายใน รูปราคะ อรูปราคะภายใน ทิ้งกามคุณ5 ไปทั้งดุ้น
สายหลับตาจึงล้มเหลวตั้งแต่แรกแล้ว เพราะทิ้งคำว่ากาย กายคือธรรมะ 2 ต้องมีทั้งข้างนอกและข้างในสัมผัสภายนอกและสัมผัสภายใน เป็นอนาคามีก็รู้ว่าเป็นอนาคามี หมดกิเลสกามภายนอก หากปฏิบัติผิดไปทำการนั่งหลับตา ทำในภายในก่อนก็ไม่ได้ เพราะเป็นการผิดลำดับ
แต่ทุกวันนี้เอาการหลับตาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่จริงแล้วคนลืมตาปฏิบัตินี่แหละยิ่งใหญ่แม้ที่สุด เป็นอนาคามีแล้วก็ยังลืมตา กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย แต่เรื่องกามภพอนาคามีนั้นอยู่เหนือ มีโลกุตรธรรมอยู่เหนือแล้ว อยู่เหนือโลกภายนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกายทำอะไรท่านไม่ได้แล้วพระอนาคามี ลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่ในโลกียะต่างๆ สุขทางโลกียะต่างๆไม่มี อนาคามีไม่มี มีแต่เหลือเศษภายในเป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
หากไม่มีลำดับจึงหมดสิทธิ์เป็นอรหันต์ เพราะไปงมโข่งอยู่กับภายใน แล้วไปหลงผิดปิดลูกกะตาอีก จึงปิดประตูที่จะมีธรรมะพระพุทธเจ้า ทุกด้านไม่มีเลยไม่เหลือเลย ไม่มีธรรมะพระพุทธเจ้า
อาตมาพูดอย่างเกรงใจนะ ไม่ได้อยากอวด หากอยากอวดก็จะพูดเกินความเป็นจริง แต่อาตมาพูดในความเป็นจริงที่ตนเองเป็น
ที่อยากจะอธิบายวันนี้คือที่กำลังขยายความเรื่องชัดๆคืออัตตา อนัตตา
ผู้ทำอนัตตาได้ ไม่มีตัวตนไม่เหลือตัวตนได้ คือผู้สุดสูงแล้ว อันติมะ หรือ ultimate ได้
ผู้ทำสูงสุดได้คือผู้หมดตัวตนเป็นอนัตตา สำหรับจิตนิยาม ที่มีความเป็นที่สุดของมนุษย์ มนุสโส เรียนรู้อัตตา ทำอัตตาให้เกลี้ยงได้ ไม่ใช่อะไรทุกอย่างก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนไปยึดตัวตนทำไม ก็ตรรกะทั้งนั้น
ก็เพราะไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข ก็ต้องอ่านอาการจิต แล้วทำให้กิเลสดับ อัตตาดับ จนกระทบอยู่แล้วมันก็ไม่มีกิเลส ในอนาคามีเหลือแต่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ
ผู้ที่ปฏิบัติจริงจึงจะมีอัตตา อัตตาจึงไม่ใช่แค่ตรรกะว่าไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตนจะไปยึดตัวตนทำไมเป็นแค่ภาษาพูด อะไรก็ได้ จริงๆแล้วต้องมาเรียนรู้ว่าอัตตามันมีทุกคน เกิดมาด้วยอวิชชามันมีอัตตาทั้งนั้น เทวนิยมไม่เรียนรู้อัตตา จมกับสองแล้วตีไม่แตกอยู่กับเทวะ ทำให้เป็นหนึ่งเป็น 0 ไม่ได้
แล้วคำว่าเทวนิยมมาหาอเทวนิยมอยู่ไหนก็ไม่รู้ สัมผัสไม่ได้ แล้วเข้าใจว่า ปกาศก คำสอนของพระเจ้าที่เราไม่รู้ว่าคือใครนั้น มาจากพระเจ้า ที่จริงแล้วก็มาจากคนนั่นแหละที่มีบารมีทางโลกียที่เป็นศาสดาได้ ก็คือคน แต่ความรู้ของเทวนิยมก็มีแค่เทวนิยม เป็นโลกียธรรม ไม่มีโลกุตระ
โลกุตระคืออะไร คือรู้จักเทวะทำลายเทวะให้สูญได้ ก็อยู่อย่างธรรมะที่ไม่มีคู่อยู่อย่างไม่มีเทว เป็นธรรมะหนึ่งได้ แล้วสามารถทำให้รู้ทะลุหมดเลย ปรินิพพานเลิกไปเลย อัตตานิรันดรเลิกไปเลยพิสูจน์ได้ตอนเป็นคนเป็นมนุษย์นี่แหละ สูญได้ในขณะปัจจุบันที่ยังไม่ตาย อรหันต์เป็นผู้ที่สูญได้จบ จากนั้นจะบำเพ็ญต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าอีกก็บำเพ็ญ
ความเป็นนความสูงสุดที่มนุษยชาติจะเป็นได้ยืนยันได้อย่างเป็นสัจจะที่ทุกคนเป็นได้ ไม่ใช่ไปอยู่ในจุดที่สูงที่คนไม่รู้ว่าคืออะไร ทุกวันนี้คนก็ยังไม่เคยรู้จักพระเจ้าจริง แต่พระเจ้านั้นมีแต่โลกียลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หากลดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างแท้จริงอย่างที่อานอาการจิตเจตสิก เวทนา 108 ของตัวเองเลย ว่ามันมีความหมดเป็นจิตที่สะอาดไม่มี ยืนยันได้ว่าแม้จะอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็ไม่มีเวียนกลับอีกเลย เด็ดขาดแน่นอนที่สุดเลย จะพิสูจน์กันอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ได้ เพราะศาสนาเทวนิยมนั้นมีภพชาติ เกิดวนเวียนเป็นล้านชาติ แต่ศาสนาอเทวนิยมนั้นไม่มีชาติ เทวนิยมไม่เรียนรู้ไม่เข้าใจเรื่องชาติตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ไม่รู้จักชาติไม่มีชาติ ภพชาติไม่มีไม่รู้จัก rebirth ไม่มี ตายไปแล้วก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าว่าจะให้ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ จบภายในชาติเดียว
ที่จะเกิดเป็นวิบากกรรมชาติแล้วชาติเล่าไม่มี สร้างจิตวิญญาณให้เป็นจิตวิญญาณที่เป็นโลกียะได้ดีได้สูงสุดเป็นกุศลสูงทำดีได้สูงสุด แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นจิตวิญญาณที่มีนิพพานได้อีกด้วย นี่คือศาสนาพุทธ คือสูงสุดเท่าที่ปกาศกหรือศาสดาจะเป็นได้ ปกาศกเป็นคน แต่เขาก็บอกว่าเป็นลูกพระเจ้า แล้วก็เลยบอกว่ามีแต่แม่มีแต่พระมารี แล้วพ่อเป็นใครก็ไม่รู้ บอกไม่ได้เดี๋ยวไม่บริสุทธิ์ เดี๋ยวพระศาสดาไม่บริสุทธิ์ ก็เลยเกิดมาโดยไม่มีพ่อ แล้วมันจะฝืนธรรมชาติได้อย่างไร นี่คือเรื่องที่มันไม่จบมันพูดกันไม่ได้ ติดกับอยู่อย่างนั้น ค้างคาอยู่อย่างนั้น เป็นเรื่องที่อธิบายเป็นธรรมะไม่ได้ แล้วเขาก็คิดว่าต้องเป็นอย่างที่เป็น
แต่ถ้าเข้าใจอย่างที่พูดสอนเป็นอเทวนิยมก็ไม่มีปัญหา ศาสนาเทวนิยมหาว่าศาสนาพุทธไม่มีจิตวิญญาณเพราะไม่มีพระเจ้า มีแต่ศาสดา จริงๆแล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่จับตัวจิตวิญญาณรู้จักจิตวิญญาณ มนุษย์มีจิตวิญญาณอยู่ ก็เอาจิตวิญญาณนี้มาเรียนจนจบเลย แต่ว่าศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักจิตวิญญาณ ตีเทวไม่แตก ตีธรรมะ 2 ไม่ออก ตี รูปนามไม่ออกไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ต้องมีรูปนามมีธรรมะ 2 ต้องมีสิ่งหนึ่งกับจิตวิญญาณที่กระทบกันแล้วเกิดสามเส้า เรียกว่าสังขาร ก็เป็นกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
สามสังขารนี้คือวิญญาณ จะรู้จักจิตวิญญาณต้องรู้นามรูป รู้อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา
เรียนรู้ไม่ใช่แค่สมถะกับกสิณดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ให้เรียนรู้เวทนา 108 ที่เป็น เทวธัมมา
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เพิ่งมาปีนี้ที่อาตมาตีความเรื่องธรรมะ2 นี้ได้ละเอียด แต่ก่อนนี้ผ่านไปผ่านมา จนกว่าจะฟื้นคืนสภาวะมาก็เอามาอธิบายได้ ก็จะค่อยๆละเอียดลึกซึ้งไปตามสัจจะ อาตมาเคยคิดว่าสอนธรรมะไปวนเวียนไปมาจะเอาอะไรมาสอนอีก แต่ที่ไหนได้ยังมีที่รู้ละเอียดลึกซึ้งอีกเยอะ
เพราะธรรมะพุทธเจ้านี้ถึงสุดยอดจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเดินแล้วจะไม่มีที่จบ จบได้ทุกคนเป็นอรหันต์ได้ก่อน แค่ใบไม้กำมือเดียว แล้วก็ค่อยมาเรียนรู้ต่อใบไม้ทั้งป่ากับจริตคนที่มีอีกเยอะแยะมากมาย พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็สอนมาตามลำดับ บางพระพุทธเจ้ามีอายุถึง 80,000 กว่าปี แต่พระสมณโคดมมีอายุแค่ 80 ปี
พระเจ้าจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่เป็นภาระที่พระเจ้าจะจัดการกับตัวตนเราอีก เพราะตัวเองสามารถจัดการตัวตนของตัวเองให้สูญสิ้นไปจากกาละได้แล้ว ไม่ปรากฏกรรมใดๆในเอกภพนี้ เราเรียนรู้จักตัวตนของเรา พระเจ้ามาทำให้อัตตาเราสูญไม่ได้เราต้องทำเอง แต่ศาสนาพระเจ้านั้นยังตีตัวเองไม่แตกเลย
ผู้ทำอนัตตาได้แท้ๆจึงเป็นผู้มีความสูงสุดในบรรดาจิตวิญญาณ เป็นตัวจบ อนัตตาเป็นความสำเร็จสูงสุดของจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นสภาวะสิ่งที่ไม่ใช่บัญญัติ จึงเป็นจุดสำเร็จของชีวิตแต่ละคนในความเป็นคนที่มีความสูงสู่สุดได้
เรายกให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้สูงสุดเท่าที่จะมีได้ เพราะเป็นผู้ค้นพบอนัตตา อนัตตาจึงเป็นสภาวะเป้าหมายแท้ ของทุกคนชาวพุทธ ผู้บรรลุธรรมสูงสุดก็คือผู้ทำอนัตตาให้เกิดในจิตของตน และเห็นด้วยปัญญา ผู้นี้ก็คือผู้บรรลุธรรมสูงสุด ทำจิตเป็นอนัตตาเสร็จแล้วก็จบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ จนสำเร็จแล้วเที่ยงแท้ คนนี้ก็จบกิจ
ผู้เข้าถึงอนัตตาแล้วจะเรียกว่าเป็นผู้บรรลุธรรม บรรลุนิพพาน บรรลุวิมุต บรรลุนิโรธ บรรลุสุดยอด บรรลุสรรพสิ่งบรรลุเป็นอรหัตตผล เป็นผู้เป็นอรหันต์ เป็นผู้พ้นทุกข์อริยสัจ เรียกกันไปตามพยัญชนะ คำไวพจน์ Synonym มีเยอะแยะคือผู้สำเร็จจบเป็นอะไร
พยัญชนะนั้น เรียนกันจบตำราจบนักธรรมจบปริญญา คนส่วนมากก็ติดที่พยัญชนะภาษาบัญญัติ เป็นกันมากโดยไม่รู้ตัว ศึกษากันมากมายหัวผุหัวพังจบเปรียญ 9 จบปริญญาเอกแต่ไม่มีผลลึกลงไปถึงสภาวะถึงเนื้อแท้ของสัจธรรม ที่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไม่รู้ ไม่เป็นลำดับ น้อยมากที่จะเรียนรู้และได้ประโยชน์ตนบ้าง ส่วนมากเก่งภาษาพยัญชนะทางศาสนาเยอะ แต่ไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย
ศีลข้อ 1 เราได้บรรลุสูงสุดเรื่องของสัตว์ไหม สัมผัสกับสัตว์แล้วเกิดจิตว่างไหม เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายกันหมดทั้งสิ้น โดยเฉพาะสัตว์ที่น่าช่วยที่สุดก็คือคน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ทำงานอย่างอื่น อาตมาทำงานเมตตาสัตว์เมตตาคน แม้จะถูกด่าถูกว่าอย่างไรก็ทำงานนี้ เพราะเป็นสุดแล้วที่จะต้องช่วย เป็นจิตเมตตาสูงสุด เรื่องอื่นอาตมาไม่กังวล
เพราะฉะนั้นไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสภาวะกัน เช่นพูดคำว่ารูปธรรมนามธรรมก็ดี พูดกันถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน ขันธ์ 5 เวทนา สัญญา สังขารก็พูดกันจ๋อยๆ แม้แต่รูป 28 นาม 5 ก็พูดกันน้อยลงไปอีก ยังมีที่ลึกละเอียดกว่านั้นมากมายนับไม่ถ้วน พวกที่เรียนอภิธรรมเป็นโสภณจิต อโสภณจิต
พระพุทธเจ้าเรียนรู้ที่จะมีวิธีที่เรียนรู้ให้ครบ เรียนแล้วจะปฏิบัติได้สุดยอด ถ้าหากรู้จักเบื้องต้นท่ามกลางก็จะได้ หากเรียนแต่ตรรกะก็ไม่ได้ น่าสงสาร จะได้ไปตามลำดับสำเร็จผลไปตามลำดับพ้นทุกขสัจ ไปตามลำดับเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปตามลำดับ บรรลุเป็นพระอริยบุคคลไปตามลำดับ นั่นคือเรียนรู้ด้วยธรรมะ 2 ที่เรียกว่า ทเวธัมมา
โดยทำทเวธัมมาให้เป็นเอกธรรม ที่สุดแล้วทำเอกธรรมให้เป็น 0 ถึงจะจบจึงจะรู้ทั้งหมด
ความเป็นเทวะ หรือธรรมะสอง ถูกรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วยปัญญา สมบูรณ์แบบ อาตมาเน้นคำว่าปัญญาที่ไม่เหมือนโลกปุถุชนที่เป็นปัญญาที่อยู่ในโลกียไม่มีทางรู้จักกิเลส ไม่รู้จักปฏิบัติไปทีละลำดับ แต่เขาปฏิบัติ กดข่มเก่งได้ แล้วปฏิบัติในสิ่งที่ดี แต่กิเลสนั้นไม่ตาย มันก็วนกลับมาอีก ไม่มีวิธีที่จะฆ่ากิเลสได้อย่างสมบูรณ์แบบ ศาสนาพุทธรู้จักหน้าตาของอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของกิเลสรู้ปรมัตถธรรม
ศาสนาพุทธรู้จักตัวหน้าตาของซาตานดี ไม่ได้ให้เรียนรู้แต่พระเจ้า เรียนรู้ซาตานแล้วกำจัดซาตานให้หมดจบเลย ตัวเองก็กลายเป็นพระเจ้าบริสุทธิ์ เพราะว่าพระเจ้ากับซาตานเป็นของคู่กัน แต่ว่าพระเจ้าไม่มีทางที่จะฆ่าซาตานได้ มีแต่บอกว่าสร้างอย่างเดียว แล้วทำไมไม่ทำลาย แต่ว่าศาสนาพุทธนี้ทำลายอย่างเดียว แล้วทำลายได้ก็จะสร้างเองอย่างมี นัยยะที่ควรเป็นภาวะที่ดี คนเป็นธรรมะ 2 ในตัวเองเป็นเทวะ ตัวเองเป็นเทวะเอง แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างคู่อีก
ถึงคลุมเครือว่าเทวะจริงๆนี้มีคู่ ก็เลยมอมเมาว่า พระพรหมมีคู่หรือเปล่า เอาไปเอามา เละเลย พระเจ้าแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน มีพระรามพระศิวะพระพรหมก็มีคู่ไปหมด มีพระสุรัสวดีเป็นต้น
จริงๆแล้วไม่ชัดเจนว่าพระเจ้าจริงๆแล้วไม่มีคู่จะมีปัญญารู้ว่าไม่ใช่เรื่องเพศ แล้วสูงสุดไม่มีคู่จนถึง 0 มันจบกิจ ทำลายจิตวิญญาณจะนิยามให้เป็น 0 ได้
ความเป็นเทวะ หรือเทวธัมมา ธรรมะ 2 ที่ถูกรู้ด้วยปัญญาศาสนาพุทธมีวิธีทำให้เกิดได้เป็นได้ พุทธจึงเป็นศาสนาที่มีนิพพานหรือมีศูนย์ บรรลุอนัตตาด้วยปัญญาอย่างแท้จริงเพียงศาสนาเดียว
ปัญญาคือความรู้ขั้นอุตระ ถึงเป็นความรู้ขั้นอริยะ ที่รู้ทั้งรู้ รู้จริงๆเลย รู้ในความมีปัญญา ทั้งรู้เองตัวเองเป็นทั้งตีแตกเทวะด้วย ไม่เหมือนความรู้ทั่วไป ที่สากลโลกเขารู้กัน อันนี้เป็นความรู้เฉพาะที่เป็นจิตวิญญาณของพุทธ ปัญญานี้ เป็นโลกุตระไม่ใช่ความรู้เรื่องลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข เป็นเรื่องโลก แต่นี่เป็นความรู้ที่ลึกไปทางอัตตา อนัตตา
แต่อัตตาหรืออนัตตา ขาดจากความเป็นโลกไม่ได้เพราะว่าเป็นคนจะต้องมีโลก เกิดมาไม่มีโลกไม่ได้ คุณจะอยู่ในโลกแต่ไม่มีโลกได้อย่างไร คุณเกิดมาเป็นตัวตนต้องมีโลกอยู่ จึงต้องมีคู่เสมอที่มีโลกกับอัตตา คนไม่เข้าใจก็ไปนั่งหลับตาทิ้งอัตตาทิ้งโลก ทิ้งรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส งมงายไปหมดกลายเป็นพวกมีกาย 3
นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย คือกายที่อุปาทานสร้างเอง เนรมิตเอง สร้างเป็นภพชาติ แล้วมีพวกอุปาทานหมู่ด้วยกัน พูดกันรู้เรื่องนะแต่ไม่รู้เรื่องต่างคนต่างเห็น แต่โมเมกัน เรียกว่าสัมโภคกาย โมเม
อาตมาเคยเล่นไสยศาสตร์ เขาบอกว่ามีภาษาจิตวิญญาณ ภาษาที่เขาพูดกันรู้เรื่องเรียกว่าสัมโภคกาย เป็นภาษาจิต ที่จริงมันไม่มีตัวตนอย่างนั้นหรอกเป็นอาทิสมานกาย นี่คือความงมงายสูงสุด นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย
กายคือรูปนาม ที่เป็นคน คนมีขันธ์5 มีองคาพยพ ทวัตติงสาการ มีผมขนเล็บฟันหนังจนกระทั่งถึงอาการ 32 และมีธาตุจิตวิญญาณร่วมอยู่
จึงเกิดภาพหลอนเป็นอะไรก็ได้ทางการแพทย์เรียกว่า psychosis เป็นมโนมยอัตตา เห็นเป็นตัวตนรูปร่างผีก็ได้เอามาปั้นสร้างเป็นนิรมานกาย ศาสนายุโรปตะวันตกผีคืออย่างนี้ ทางเอเชียก็เป็นอีกอย่างจินตนาการกันไปเอง ปั้นกันไปแล้วแต่จะสมมติกันไปเป็นสัมโภคกายที่รู้เรื่องกัน แต่มันไม่มีมันไม่เห็นตัวจริงหรอกมันก็สมมุติว่าไปเห็น แล้วเกิดเป็นภาพหลอน นี่คือรายละเอียดความจริง รู้ความจริงแล้วจะหมดปัญหาไม่สงสัยเลยในเรื่องจิตวิญญาณ ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของภาพที่มีเทวดาสัตว์นรกนอกตัวเรา เรียนในตัวเรานี่แหละ เกิดสิ่งเหล่านี้ในปัจจุบันนี้แล้วก็เรียนรู้สิ่งที่คนไปหลงอยู่ นอกตัวนอกตนสารพัด เป็นล้านๆๆๆอย่าง เรียนรู้ตอนปัจจุบันนี้ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พุทธเป็นศาสนาที่ตีแตกแยกแยะได้ เรียกว่ามี Distinguish ตีแตกมาเป็นเทวะได้ จึงได้ประโยชน์จากเทวะหรือธรรมะ 2 ถึงขั้นบริบูรณ์สมบูรณ์ ผู้ไม่รู้จักรู้แจ้งความจริงในเรื่องความเป็นเทวะ ก็จะจำนวนอยู่กับเทวนิรันดร สายเทวนิยมจึงอยู่กับเทวะนิรันดร ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ ก็จบอยู่ที่นั่น ศาสนานั้นจะไม่มีนิพพาน อย่างพระโพธิสัตว์จะเข้าใจจิตวิญญาณและทำจิตวิญญาณให้สูงขึ้น จิตวิญญาณสูงสุดในความเป็นคนก็เท่ากับพระพุทธเจ้า จะบอกว่าพระพุทธเจ้ามีศักดิ์เท่ากันกับพระศาสนาทุกคนก็ได้ก็คือคน เพราะฉะนั้นศาสดาของเทวนิยมก็ต้องเป็นคน เรามีความรู้อะไร ความรู้ของคนนั่นแหละเอามาเปิดเผย จะบอกว่าเป็นความรู้สูงสุดของพระเจ้า แต่ของพระเจ้านั้นตีเทวไม่แตก แต่ของอเทวนิยมพระพุทธเจ้านี้ตีเทวาแตกด้วย อยู่ในคนเหมือนกันนี่แหละ พูดเหมือนยกตนข่มท่านแต่อาตมายืนยันว่าอาตมาอธิบายอยู่นะตีเทวธรรมะ 2 ให้แตก ทำให้เป็นอย่างอย่างไรทำให้เป็น 0 ได้อย่างไรอาตมาทำได้ ตามศาสนาพุทธสอนเพราะว่ารู้จักจิตเจตสิกต่างๆแม้แต่ที่สุดเวทนา 108 อาตมาก็เอามาอธิบายได้มีสภาวะจริง แยกเคหสิตะ มโนปวิจาร เคหสิตะ 18 ทำให้เป็นเนกขัมสิตะ 18 ได้ แล้วสูงสุดเป็นอุเบกขาจิตวิญญาณเป็นพระเจ้าสมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์อย่างปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา และมี “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
สม.กล้าข้ามฝัน
สม.รินฟ้า
ส.ฟ้าไท
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ทานอย่างไรให้ถึงอนัตตา
พ่อครูว่า...เรื่องอัตตา อนัตตา ธรรมะของชาวอโศกไม่เหมือนกับของมหาเถรสมาคมหรือสำนักอื่นใดที่มีในขณะนี้ที่พูดกัน ไม่เหมือน จะไม่มีสำนักใดเหมือนเลย กับสำนักชาวอโศก มีบางสำนักที่พูดเรื่อง อัตตา เอาอนัตตามาพูดบ้าง แต่ก็ไม่เอาจริงเอาจัง หรือ สามารถจับตัวอัตตาตัวตนในตัวเองได้ รู้จริง ทำให้อัตตาลดลงไป หมดความยึดถือได้ จนมีคน เป็นคน ลดละได้จริง แล้ว มีธรรมะกันจริง ธรรมะที่ลดละได้บรรลุธรรม จนกระทั่งที่สุดควรบรรลุธรรมที่แท้จริง ต้องมารวมกัน ต้องมาอยู่ด้วยกันมาเป็นสังคม จนสามารถเกิดสังคมสาธารณโภคี เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบ เอาวรรณะ 9 มาตรวจสอบ สาราณียธรรม 6 มาตรวจสอบ แม้แต่พุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้า พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ก็สามารถพิสูจน์ยืนยันสภาวะเหล่านี้ได้
หรือจะเอาแค่พูดเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็ปฏิบัติธรรมมีศีลธรรมให้เกิดจิตบรรลุธรรมกิเลสในจิตลดละได้ มีตัวธาตุรู้ปัญญารู้สิ่งเหล่านี้ รู้ปรมัตถ์รู้จิตเจตสิกรูปต่างๆ แล้วสามารถแยกแยะกิเลสได้ลดกิเลสได้ เกิดมรรคเกิดผลจริงๆ จนเกิดคนบรรลุธรรมแล้วอาตมาก็กล้าพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ว่าพวกเราปฏิบัติธรรมบรรลุผลจนเป็นสังคมอาริยะ
จนกระทั่งพูดกันว่าเป็นแดนของพระอริยบุคคลอย่างแท้จริง มีพระโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์ ไม่ได้พูดอย่างเลอะเทอะ แต่หากพูดอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนนั้นเป็นปาราชิกเลวร้ายมาก อาตมารู้ความจริงเช่นนี้จึงไม่พูดอย่างปากเปราะให้ตัวเองได้รับอนันตริยกรรม บาปมีจริง จริงๆผลของบุญนี้ก็ยิ่งจริง
จนอาตมาต้องมารื้อฟื้นเอาคำว่าบุญมาพูดให้ถูกต้อง เพราะคำว่าบุญเพี้ยนไปจนสุดเลย เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้แล้ว เข้าใจคำว่าบุญผิดไปเลย อาตมาขอฟื้นอีกว่าบุญไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสะสม คุณยังมีบุญอยู่นั่นซวยอยู่ คนยังต้องทำบุญอยู่คนนั้นซวย คนที่บรรลุสูงสุดเป็นอรหันต์จบการทำบุญเลย ไม่มีบุญอีกแล้ว นั่นคือคนสูงสุด คุณยังอยากมีบุญยังทำบุญอยู่คุณยังซวย ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดอยู่อย่างนั้น
อาตมาพูดอย่างนี้แล้วยังมีพยัญชนะยืนยันให้อาตมาได้ อธิบายได้ว่าไม่ได้พูดเอาเอง แต่เขาเข้าใจผิดกัน อาตมากำลังจะเอาความถูกต้องกลับคืน บุญ คำเดียวทำศาสนาจนชิบหายทุกวันนี้เพราะเข้าใจคำว่าบุญผิดเข้าใจว่าบุญคือกุศล ลงเรือลงทะเลลงนรกเลย
บุญไม่ใช่กุศล แต่ว่ากุศลนั้นมันเลยขีดของกุศล บุญน่ะ บุญคืออาวุธ บุญคือเครื่องฆ่า คุณจะต้องสร้าง ปุญญาภิสังขารขึ้น สร้างประกอบ เป็นนักทำพลังงานจิตให้เกิดบุญให้ได้ การจะทำให้พลังงานจนเกิดภาวะที่มันเป็นอำนาจ เป็นพลังงานสูงสุดถึงขั้นบุญ ก็จะต้องเป็นพลังงานจึงมีภูมิปัญญาและก็ต้องมีตัวจิตจริง มีภูมิปัญญาจริงให้มีพลังที่มีฤทธิ์มีอำนาจ สามารถที่จะทำให้อำนาจของราคะ อำนาจของโทสะ อำนาจของโมหะนี้มันแพ้สลายไป
อาตมาพูดตามภาษาง่ายๆตามสภาวะที่อาตมามีจริงไม่ได้เอาตามตำราอันไหน ก็ไม่เคยเห็นตำราอันไหนมีแบบนี้ อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษาก็เลยไม่รู้ว่ามีพลังงานแบบนี้หรือเปล่า แต่ต่อมาว่าอาตมาอธิบายเองคือสภาวะความรู้ที่อาตมามีเอง
เข้าใจบุญไม่ถูกต้องก็เลยสร้างพลังงานจิตให้เกิดบุญขึ้นมาไม่ได้ มันก็ไม่มีอาวุธฆ่ากิเลสได้จริง พลังงานขั้นบุญไม่เกิด
ยกตัวอย่างเช่น ทำทานก็อยากได้ผลทาน คุณอยากได้ผลทาน ไม่มีสิทธิ์ที่จะเกิดบุญเลยเพราะเป็นภพชาติ
ทาน เอาออกจากตัวเองให้แก่คนอื่นไป จิตวิญญาณของคุณจะเป็นบุญหรือรู้จักจบ คุณให้ไปแล้วเอาออกไปจากคุณไปก็จบ เอาออกจากความเป็นเราของเรา จิตก็ต้องเอาออกจากความเป็นเราไม่มีของเรา จิตของเราไม่ได้นึกว่าเราไปให้ ของเราไปเป็นของเขา ให้แล้วก็จบอาการ ถ้ายังบอกว่านั่นเป็นเราของเราอยู่ ก็จะเกิดความเป็นตัวตนเป็นภพชาติ
ยิ่งให้ไปแล้ว จะต้องไปทำประโยชน์กลับคืนมาให้แก่ตัวเอง ให้แล้วก็ต้องสูญมายึดถือเป็นเราเป็นของเรา หากยังอยากได้อะไรกลับมาก็ยังไม่รู้จบทานต้องไม่มี สาเปกโข ไม่มีหวังว่าจะได้อะไรกลับมาเลย ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก นี่คือทาน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สัมมาทิฏฐิ 10 หากไม่สัมมาทิฏฐิ 10 ปฏิบัติธรรมไม่มีผล
ทาน ศีล ภาวนา
แค่ทานตัวแรก มีกรรมชัดๆยื่นของให้คนอื่น มี กายกรรมวจีกรรมและมโนกรรมให้จริงหรือเปล่า คุณให้แล้วยังมี สาเปกโข ให้แล้วยังไม่พอไปทวงคืน ไปยึดถือเอาคืนมา ได้ผลตอบแทนจากทาน ก็ดีใจ ถ้าไม่ได้ก็ไปบุกลุย แย่งชิง ตีรันฟันแทงเอาคืนมาให้ได้ ให้ทานเป็นของ ต้องการแลกอย่างละเอียดเป็นสุขต่อมา เป็น สรรเสริญ ต่อมาเป็น ยศ ต่อมาเป็นลาภ
พวกนี้ไม่ได้ทานจริงให้แล้วยังมีของแลกเปลี่ยน ถ้าต้องการ ภพ ก็เป็นจตุมหาราช แย่งชิง ลาภ ให้ไปแล้วก็ต้องใช้คืนต้องมีดอกเบี้ย ได้ยศได้อำนาจได้สรรเสริญชมเชยยกย่องว่า ฉันได้ทำทานเป็นเจ้าของเป็นผู้ให้แล้วก็หลงเสพสุขตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้ที่ให้ เขามาตอบแทนก็ยิ่งหลงใหญ่เลย เป็นจาตุมหาราชิกา ได้มาตอบแทนยินดีเป็นดาวดึงส์ แล้วติดยึดเป็นยามา ให้ไปทีเดียวและขอตอบแทนมาหลายทีก็ยิ่งดีๆ แล้วก็ถึงจุดพัก ดุสิต แต่ยังไม่พักยังมีภพชาติต่อไปอีก ดีไม่ดีให้คนอื่นมาช่วยจำอีก อย่างบางคนมีลูกน้องมาขอเกาะตำแหน่งเกาะเอายศศักดิ์ ทางการเมือง เป็นผู้นิรมิตให้ นิมมานรดี แล้วเก่งสุดยอดคนอื่นเนรมิตให้เราหมดเลยเป็นปรนิมมิตวสวัตตี
นี่คือสิ่งที่ไม่รู้จบอธิบายง่ายๆ แต่พอจะฟังรู้เรื่องกันไหม ถ้าเราสามารถเข้าใจแล้วว่า เทวดานั้นเป็นภพชาติ อย่าไปคิดสร้างอย่าไปคิดมีอะไรเลย ขนาดเรารู้แล้ว บางคนยังอยากจะไปมีอะไรอยู่บ้าง อย่าไปอยากได้อะไรจากใคร ตนเป็นที่พึ่งของตนเท่านั้น นอกจากต้นแล้วไม่มีใครพึ่งได้ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โกหิ นาโถ ปโรสิยา ตนเป็นที่พึ่งของตนนอกจากตนแล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้ได้
ถ้าผู้ใดเข้าใจชีวิตคือกรรม คุณทำทานก็เป็นกรรมชนิดหนึ่ง ผู้ที่สามารถสัมมาทิฏฐิว่าทำทานนั้นมีมรรคผล อัตถิทินนัง ทำทานแล้วมีผล คุณต้องรู้ว่าผลคืออะไร
ผลคือโลกุตรธรรม ผลคือการลดกิเลสได้ ทานก็ต้องลดกิเลสความโลภ ทานแล้วต้องลดโลภ แต่ยิ่งทานแล้วสาธุขอให้ได้สวรรค์วิมาน 8 ชั้น วิมานเฟส 2 เฟส 3 เฟส 4 เละไปหมด มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น ทำทานอย่างมีภพชาติต้องการสิ่งตอบแทนให้แล้วไม่รู้จักจบ เหตุใดจะต้องมีคืนดีไม่ดีออกดอกเบี้ยอีก
มันต้องทำใจของตัวเราเอง ว่าเราให้แล้วอย่าไปจำว่าเราเป็นผู้ให้ อาตมานี้จะกลายเป็นคนนิสัยเสียสัญญาเสีย สัญญาความจำเสีย ให้เขาก็จำไม่ได้ เขาให้แล้วก็จำไม่ได้ใครให้มา ไม่จำ ให้เขาไปแล้วก็ให้หรือยังนะ นิสัยเสีย สัญญาเสีย จนกลายเป็นสิ่งบกพร่อง อาตมาก็พยายามจำ เราเป็นผู้ให้ ให้ใครก็จำไม่ได้รู้แต่ว่าได้ให้ก็จบ แต่เขาให้เราแล้วเราไม่จำเขาเลยมันก็ไม่ค่อยดีนะ ขออภัยจริงๆ คนที่ให้แล้วอาตมาจำไม่ได้ บางคน ขออภัยจริง ก็จำว่าเขาให้ทานบริจาคอะไรมา บางคนให้ทานเป็นล้าน อาตมาก็จำไม่ได้ เข้ามาพบอีกก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้ให้อะไรกับอาตมา เขาก็คงน้อยใจ อะไรนะจำไม่ได้ว่าเคยให้ทานเป็นล้าน อาตมาก็เสียอย่างนี้ นี่เรื่องจริงเลยนะ อาตมาก็ต้องขออภัย เป็นจุดบอดของอาตมา
สมณะเดินดินว่า...แม้แต่กินอะไรก็จำไม่ได้
พ่อครูว่า..อาตมาต้องการแคลอรี่ต้องการพลังงานมาคิดมาเขียนหนังสือทำตำรามาสอน มาพูดอธิบาย แม้แต่การนั่งการนอนหลับก็มีแต่เรื่องคิดว่าจะสอนอะไร เรื่องนี้เรื่องนี้ บางคืนคุยกับเทวดาละเอียด หลายเรื่องเอามาสอนไม่ไหว มันไปมากมาย หรือแม้แต่ตื่นมา ก็อยู่กับธรรมะ หลับไปก็อยู่อย่างนี้ ชีวิตทำงานกับธรรมะอยู่กับธรรมะไม่มีอะไรอย่างอื่น หนังเรื่องอาตมาก็ขอเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งมา แม้แต่พลังงานบางอย่าง อาตมาเก็บพลังงานที่สูญเสียไม่เข้าเรื่องเอาไว้หมด ไม่สูญเสียพลังงานเอาพลังงานมาใช้แต่เรื่องทำงานพวกนี้ ให้เป็นประโยชน์
เราก็ต้องมีประโยชน์ทางโลกบ้างทางธรรมบ้าง ทางโลกอาตมาก็ทิ้งมาได้ ก็สบายเพราะเราเข้าใจจะให้คลุกลงไปทำจริงๆก็เคยทำมาแล้ว ทางเศรษฐกิจอาตมาก็ภาคภูมิใจที่พวกเราทำได้ ถึงขั้นสาธารณโภคี แล้วก็เป็นบุญนิยม ที่เป็น 4 ขั้น
ขั้นที่ 1 เราจะต้องไม่ขายเกินราคาตลาด ต้องต่ำกว่าราคาตลาด แต่ไม่ได้เอาเปรียบอย่างทุนนิยม อัตราต่ำที่สุดแย่ที่สุดจนกระทั่งขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุนเท่าไหร่ก็เจริญมากขึ้นเท่านั้น เป็นผู้ช่วยเศรษฐกิจโลก เป็นผู้ทำงานช่วยเหลือเศรษฐกิจโลกเป็นผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่โลก ได้ช่วยเหลือสังคมประเทศชาติแก่โลกด้วยซ้ำไป
นักเศรษฐศาสตร์สูงสุดคือนักเสียสละ ไม่ใช่นักเอาเปรียบ
เศรษฐกิจเจริญสูงสุดคือเราลดการเอาเปรียบได้ เราลดกำไรจากโลกได้ เราขาดทุนให้โลกได้ เป็นเศรษฐกิจเจริญ เราขาดทุนให้แก่ผู้อื่นได้เป็นเศรษฐกิจเจริญ เราขาดทุนให้แก่โลกได้เราต้องอยู่ได้นะ เราไม่เป็นหนี้และเราก็ไม่เบียดเบียนใครด้วยนะ เราก็มีเหลือส่วนของเราถึงได้เอาไปขาดทุนให้แก่โลกได้ เป็นคนมีเศรษฐกิจดีนะ
เศรษฐกิจช่ัวคือเอาของเขามาไม่มีที่สิ้นสุด พวกรวยแล้วรวยอีกไม่รู้แล้วคือพวกชั่วที่สุด อาตมาไม่ได้ด่า แต่พูดสาระธรรมพูดสัจธรรม คนที่โลภมากรวยเท่าไหร่ไม่รู้จักพอคือพวกชั่วมากที่สุด
คนมีสันตุฏฐีธรรมคือพวกเจริญเอาไว้น้อย หรือไม่เอาเลย อาตมาประสบผลสำเร็จที่ทำงานแล้วไม่เอาอะไรให้แก่ตัวเองเลยเป็นสาธารณโภคีเข้าแก่กองกลาง มีเหลือมากก็สะพัดไปสู่ผู้อื่น อาตมาสร้างราชธานีอโศกสร้างโรงเรือนสร้างแม่น้ำลำธารสร้างน้ำตก เพื่อให้คนอื่นได้มาอาศัยใช้สอย แม้แต่ทำที่เพื่อขาย ให้คนอื่นมาขาย เราทำไปขายด้วย มะละกอมีเยอะแยะเลย ขาย 5 ลูก 1 บาท เอามาขายบ้างมันเยอะแยะเต็มไปหมด ขายลูกละบาทก็ได้ มาซื้อสิ เราพูดจริง เราไม่ได้เป็นภาระแก่ผู้บริหารประเทศชาติว่าจะต้องช่วยสังคมเศรษฐกิจ ของเรามีช่วยสังคมเศรษฐกิจ เป็นผู้ที่จนสำเร็จด้วยคือผู้ที่ขาดทุนคือกำไร และกำไรตลอดเลย พูดอย่างภาษาสิริมหามายา ขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือภาษาสิริมหามายา เราขาดทุนตลอดเพราะฉะนั้นเรากำไรตลอด ใจของเราชัดเจนนะว่าเรากำไร เราไม่ได้พูดปากเปล่า เราไม่ได้เป็นคนตลกๆอะไร เราไม่ได้เป็นจอมมายาอะไร แต่เป็นเรื่องจริง เราขาดทุนให้แก่คนอื่นได้นี่แหละคือเราสบายใจ เรามีประโยชน์เราเป็นนักเศรษฐกิจนักเศรษฐศาสตร์ เราเป็นผู้ช่วยโลกช่วยเศรษฐกิจ เราไม่ได้เอาของเขามาเลย เป็นผู้ที่มีเศรษฐกิจดีมาก นี่เป็นสัจธรรม ฟังธรรมะที่อาตมาพูดให้ดี พวกเปรียญ 9 แม้แต่พวกเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอกก็ไม่พูดอย่างอาตมาหรอก
อาตมานี้พวก Post Doctor หรือด๊อกเตอร์หลายโพด ภาษาอีสานนะ
อาตมาอธิบายนี้ไม่ใช่เรื่องนอกรีต นอกสัจธรรมแต่เป็นความจริง และเป็นความจริงที่เป็นไปได้ไม่ใช่สุดโต่ง ยุคนี้คนก็ทำได้อย่างพวกคุณนี้ทำได้ จริง คนมาเอหิปัสสิโก ท้าทายให้คนมาดูได้นะ อาจหาญแก้วกล้าจริงหนอ อาสโภ กล้าหาญ ยืนยันสัจธรรมและจิตใจคุณมีจิตใจอยากอวดโอ่สาเฐยจิตหรือไม่ ไม่มี ยืนยันความจริงให้ฟังว่าในยุคนี้ยังมีคนจริง
เพราะฉะนั้นประเทศไทยยังมีธรรมะที่เป็นโลกุตระ ยังมีคนทำได้จริง ไม่มีสังคมที่เป็นองค์รวมมีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอย่างนี้จริง ถึงขั้นสาราณียธรรม 6 มีจริง จึงเกิดพุทธพจน์ 7 เกิดจากจิตของพวกเรามี พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ที่แท้จริง ยืนยันได้ว่าพวกเราเป็นเอกภาพเป็นปึกแผ่น
เอกภาพเป็นปึกแผ่น เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความขัดแย้งมีน้อยที่สุด จากสังคมทั้งโลกเขามีมาก น้อยกว่ามาก ข้างนอกเขาขัดแย้งกันเยอะ พวกเราขัดแย้งกันพอเหมาะ ถึงแน่นอน เราตรวจสอบเรื่องขัดแย้ง ก็เป็นธรรมดา Unity of diversity เป็นความหลากหลายของเอกภาพ แล้วอยู่กันอย่างสงบ หลากหลายแตกต่างกัน พวกเรามี นัยยะละเอียดแตกต่างกันหลากหลายมุม แต่ขัดแย้งกันพอเหมาะ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรกันมากไม่ทะเลาะกันยังอยู่ในขั้นที่เป็นสามัคคียะ อวิวาทะ พวกเราไม่มีการตีรันฟันแทงทะเลาะวิวาทกัน เป็นการพิสูจน์พุทธพจน์ 7 สังคหะ ช่วยกันสร้างสรรอนุเคราะห์โลก เกื้อกูลผู้อื่นช่วยเหลือเจือจานเสียสละ มีความเคารพกัน ครุกรณะ รักกันอย่างมีมิติที่สูงด้วย ระลึกถึงกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้แม้จะเป็นลูกคนละพ่อและแม่มา มาอยู่ที่นี่ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งอาตมาภาคภูมิใจที่อาตมาได้นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติ แล้วปฏิบัติกันได้ มีเรื่องจริงเกิดจริง อาตมาจึงภาคภูมิใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เป็นหมัน แม้จะเป็นเรื่องยาก
อย่างจนกลายเป็นว่าชาวอโศกนี้ ชาววงการศาสนาพุทธ ลอยแพ พวกเรา แต่อาตมาไม่ปล่อยให้พวกคุณถูกมรสุมตกนรกๆ แพพวกคุณจะตกนรกแล้วอาตมาจึงต้องช่วย จึงต้องบอกว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่าไปทางนั้นมันเป็นทางนรก ก็ต้องบอกต้องพูดอยู่อย่างนี้ ห้ามอาตมาไม่ได้ แต่มันไม่มีเรื่องอะไรจะพูดนอกจากช่วยผู้ที่ตกนรก ช่วยพวกที่ไม่ขึ้นสวรรค์ไม่ไปนรกเป็นโลกุตระอย่างพวกเราก็มาอยู่แล้ว อาตมาไม่ส่งเสริมสวรรค์เพราะอะไร เพราะสวรรค์มันเลวร้ายยิ่งกว่านรก คนรวยจะไม่กลัวสวรรค์จะไปกลัวนรกอาตมาจะไปส่งเสริมสวรรค์ทำไม มันไปติดสวรรค์นั้นแย่ยิ่งกว่าเจอนรก นรกไม่มีใครอยากเอา แต่สวรรค์มันกระโดดเข้าใส่แล้วมันเป็นภพชาติด้วยกันทั้งนั้น นรกกับสวรรค์นั้นแยกกันไม่ได้ คุณมีนรก 1.1 ก็มีสวรรค์ 1.1 คุณมีนรก.001 คุณไปหลงสวรรค์.001 เท่านั้นเอง คุณไปสร้างสวรรค์.001 คุณก็ได้นรก .001
สวรรค์นรกเป็นเรื่องของภพชาติ ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกที่นี่ถึงไม่ได้สอนเรื่องสวรรค์ สอนแต่นรก คุณเลิกจากนรกได้ก็ไม่มีแล้วสวรรค์ก็จบแล้ว มันเป็นของคู่แยกกันไม่ได้มันเป็นเทวะ มันทำให้เหลือแต่อย่าสร้างสิ่งที่เป็นกุศลอย่าไปสร้างสิ่งเป็นนรกแท้ แม้แต่กุศลก็เป็นภพชาติ ต้องสร้างอย่างบุญเลยไม่ต้องมีสวรรค์ไม่มีนรก ฆ่าภพชาติสวรรค์อัตตาเลย นี่คือทางที่สั้นที่สุดไม่ถือว่าเป็นทางลัด
คุณทำได้คุณก็รู้สภาวะจิตของคุณว่า นี่เรายังอยากมีภพชาติยังอยากได้สวรรค์หรือไม่ หากยังมีคนก็ไม่จบง่าย มันจะเรื้อรังมันจะเป็นภพชาติ ถ้าคุณเข้าใจว่าจิตมันยังมีความหวังอยากได้อันนั้นอันนี้อยู่ต่อ คุณมาทำปัจจุบันนี้ ให้เป็นกลางเป็นศูนย์ ไม่มีผลักไม่มีดูดไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ ไม่มีเทวะ ไม่มีธรรมะ 2 อย่างเก่งมันมีธรรมะ 1 หรือ 0 ให้ได้ จะต้องอธิบายกันว่า 0 คืออะไร 1 คืออะไร
1 คือเราจะต้องใช้พลังงานให้มันมีอยู่ แต่ 0 ก็คือคุณทำได้ก็ไม่ต้องมีแล้ว ศูนย์ไปเลย จิตของคุณก็ว่าง 0 เลย มันมีสักอย่างในจิตของเราไหมที่โลกเขาก็ยังมีอยู่ อย่างเช่นวันเพ็ญเดือนสิบสองเขาก็ต้องไปสนุกกันแต่จิตใจของพวกคุณ 0 ไหม มันก็ไม่มีมันก็ชัดเจน
มันจะมีอย่างนี้ เราไม่เอาแล้ว แล้วไปว่าเขา ไปมองเขาไปข่มขี่เขา อย่าให้เป็นอย่างนั้นให้จิตใจเป็นกลางๆเป็นธรรมชาติธรรมดาของคน หรือคุณก็สงสารเขาจะช่วยเขาได้อย่างไร จิตใจมีเมตตาเกื้อกูล แต่ไม่ต้องถึงกับเมตตาใหญ่ งานของเราก็เยอะอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่มีจิต ที่นี่จะลอยกระทงไหมก็มีหลักฐานให้ลอย ถ้าจะเปิดทางเราก็ทำได้ทุกแห่ง มีที่จะลอยกระทง ถ้าหากเปิดให้ลอยกระทงที่นี่เราหนักเลย เรื่องอะไรเราจะไปทำเสีย
อาตมาเคยพูดถึง เรื่องของจารีตประเพณีหลายอย่างมันเสียมาก ลอยกระทงก็เถอะ ประเพณีสงกรานต์
ทานก็ขอผ่านไปก่อน ไปอ่านทานสูตร
อ่านแล้วทำความเข้าใจให้ดีสวรรค์ 6 ชั้นเป็นอย่างไรไม่มีสวรรค์เป็นอย่างไรทำทานอย่างไม่มี สาเปกโข เป็นอย่างไรหากเข้าใจแล้วก็จะปฏิบัติถูกต้อง
มาพูดถึงสัมมาทิฏฐิข้อที่ 2
ยิฏฐังคือ ยัญพิธี พิธีการก็เพื่อลดกิเลส แต่นัตถิยิตถัง คือไม่มีผลลดกิเลส เดี๋ยวนี้ วิธีการพิธีกรรมอะไรเพื่อให้กิเลสลด วิธีทำศีล วิธีทำสมาธิ ศึกษาปริยัติ แล้วให้ปฏิบัติตามกุศโลบายของอาจารย์ก็เพื่อให้เรากิเลส เรียกว่ายัญพิธีมีผล แต่ทุกวันนี้ยันพิธีไม่ใช่เพื่อลดกิเลส ใครเป็นพิธีการที่จะต้องได้บุญกุศล ได้สวรรค์วิมาน หนักเข้าก็วิธีหาเงิน หมด
พิธีรักษาศีล 8 พิธีอะไรก็แล้วแต่ ตั้งชื่อมามากมาย ทั้งนั้น อย่างมีพิธีก็กลายเป็นพิธีสมถะ ไม่ได้เรียนรู้กิเลสไม่ได้เรียนรู้เวทนาในเวทนา มีแต่ทำให้จิตหยุดนิ่ง ซึ่งมันไม่ใช้เลย ศาสนาพุทธให้เรียนจิตเดินจิตวิ่ง ไม่ใช่ให้จิตนิ่งแล้วจับกิเลสในจิตวิ่งนี้ให้ได้ แล้วให้กิเลสลดลงจึงจะนิ่ง จิตจึงจะเกิดปัสสัทธิสงบไม่ใช่กดให้จิตเกิดสมาธิเท่านั้น ศาสนาพุทธมันต่างไปอย่างนี้
คำว่าสงบในภาษาไทย แต่ความเป็นสภาวะของความสงบของพระพุทธเจ้านั้นคือกิเลสมันสงบจิตใจจะยิ่งเร็วยิ่งแรง จิตใจยิ่งคล่องตัว เป็นกายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา เวทนา สัญญาสังขารยิ่ง คล่องแคล่ว วิญญาณก็จะยิ่งคล่องแคล่วปราดเปรียวเร็วไว ไม่ใช่ยิ่งเฉื่อยยิ่งตื้อ
กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา เขาก็แปลกันรู้เรื่องได้แต่เขามีสภาวะกันไหม อภิธรรมเขาแปลจากพยัญชนะสระพยัญชนะเป็นตัวตนเป็นวิมาน อาตมามุ่งเข้าสู่สภาวะแล้วแปลโดยอัตโนมัติ หากอาตมาสอนผิดเป็นวิบากกรรม อาตมาจะไปทำทำไม อาตมารู้ศรัทธาเรื่องกรรม กรรมที่เป็นวิบากบาปทำทำไม อย่างน้อยกรรมต้องเป็นกุศลหรือว่าเป็นบุญได้ก็ยิ่งดีเลยคือการฆ่ากิเลส ถ้าได้กิเลสก็หมดลงไปทันที
การทำทานก็ดี จะถือศีล หรือจะปฏิบัติอย่างไรมีวิธีปฏิบัติมี ยิฏฐัง จังใดก่อให้เกิดพลังงานบุญชำระกิเลสได้นั่นคือ อัตถิ อัตถิทินนัง อัตถิยิฏฐัง
หุตังคือ จิตของคนเกิดผล ก็คือการทำทานทำพิธีกรรมและเกิดผลที่จิต
ท่านแปลว่าสังเวยที่บวงสรวงแล้ว ฟังแล้วต้องไปนอนสลบสัก 3 วัน สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผลหรือไม่ ก็เลยคิดกันว่าจะต้องเอาไก่เอาเป็ดพะโล้ เอาหัวหมูไป บวงสรวงไปให้ หากว่าหัวหมูแหว่งไปครึ่งนึงบอกว่าวิญญาณมาเอาไปกิน แท้จริงแล้วมีสุนัขขึ้นไปกิน
น่าสงสาร บางคนเขาบอกว่ากลิ่นมันจางลงไปรสมันจางลงไป พูดไปแล้วน่าสงสารพวกนี้ เพ้อเจ้อเลอะเทอะไปน่าสงสาร กลายเป็นเรื่องจารีตประเพณีพิธีสังเวยบวงสรวงกันไป แปลตามพยัญชนะเป็นเรื่องเทวนิยม เป็นภาษาเทวนิยมเก่าตามโบราณ แต่สมัยนี้มันไม่ได้แล้ว แปลกันไม่ออกด้วยพูดกันไม่รู้เรื่อง
ทานที่ให้แล้วมีผล
ยันต์พิธีที่บูชาแล้วมีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล
ในสัมมาทิฏฐิ 10 ใน 3 ข้อนี้
ผลที่ได้ของจิตต้องรู้ว่าจิตลดละกิเลสทำให้เกิดบุญได้ลดกิเลสได้หรือไม่
ข้อที่ 4 ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ .
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
ผลของโลกุตระจะไม่เป็นวิมานเป็นกุศล แต่ผลคือการฆ่ากิเลส เป็นปุญญภาค ผลสมบูรณ์เป็นปุญญภาคิยะ ผลของบุญคือทำให้เสียทำให้สลายทำให้กิเลสลดได้ ผลของบุญคือเสียไป สละไปได้สละกิเลส ส่วนบุญคือส่วนกิเลสตายกิเลสมันจางกิเลสมันลดลงไป นั่นคือส่วนแห่งบุญ ถ้าหากกิเลสลดหมดก็สิ้นอาสวะเป็นอนาสวะ
หากสาสวะกิเลสยังไม่สิ้น เป็นพระเสขบุคคลไปตามลำดับ ปุญญภาคิยะ ส่วนแห่งบุญ คุณก็เจริญไปตามลำดับ ขันธ์ของคุณก็สะอาดขึ้นเรื่อยๆ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นอุปธิเวปักกา ผลกิเลสลดลงจิตก็เจริญขึ้น
ถ้าหากทำสมาธิอย่างนี้ก็ทำกรรมทุกอย่างที่สะอาด เป็นการปฏิบัติใดๆก็แล้วแต่ กรรมเหล่านั้นเป็นสุกตทุกกฏานัง กรรมวิบากของพุทธก็เป็นโลกุตระ มีกตญาณ แปลว่าดีแล้วเสร็จแล้ว สุคตะ ไม่ใช่สุคโต ที่เป็นสวรรค์วิมาน พระพุทธเจ้าเป็นสุคโต แปลว่าเสด็จไปดีแล้ว คือท่านจะยังมีการเดินทางไปเป็นกุศล มีการเกิด ล้วนแล้วมีแต่ กุสลสูปสัมปทามีแต่ดี เป็นสุคะโตมีแต่ดี ยังเป็นสภาพที่มีไม่ใช่สภาพไม่มี
5. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
6. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
โลกคือสิ่งที่ยังต้องสังขารเป็นการปรุงแต่งยังต้องวน คุณยังมีกิเลสก็ยังมีโลก เป็นโลกสมุทัย หากคุณเองทำให้โลกนี้ไม่มี ก็เป็นโลกนิโรธ คือดับ ดับอะไรดับความวน จิตของคุณไม่เกิดไม่ดับ ไม่ไปไม่มา จิตของคุณไม่มีโลก
โลกนี้มี จิตของคุณยังมีกิเลส
ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ทำจิตให้ไม่ไปไม่มาได้แล้ว ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ อยู่เหนือ เป็นอุตรจิต อยู่เหนือโลก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ดีได้แข็งแรงขึ้นเป็น มุทุภูเต สูงขึ้นก็เป็นความสามารถเป็นเรื่องจริงของแต่ละคน
โลกหน้าอย่างโลกียะ ก็คือโลกที่มีภพชาติ ตายจากนี้แล้ว จะต้องไปเกิดต่อมีชาติหน้าอีก ผู้ที่เป็นคนอวิชชา ยังเกิดต้องมีชาติหน้าอยู่ตลอดกาลนานไม่มีวันจบ
ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์จบโลกหน้าได้ ไม่มีโลกหน้าแล้ว แต่จะเกิดโลกหน้า ด้วยการมี ปณิหิตตังจิตตัง ตายแล้วก็ตั้งภพชาติต่อไปอีก ภพชาติที่จะเกิดก็ไม่เป็นภพชาติที่เป็นกิเลสแต่เป็นภพระดับวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่มีภพเป็นความประสงค์เป็นความปรารถนาที่จะทำได้ แล้วจิตเป็นได้แล้ว จิตใจไม่ได้วนอยู่ในโลกีย์ด้วยกาม โดยเฉพาะอัตตาก็ไม่มีทั้งคู่ จึงเป็นคนที่ไม่มีภพไม่มีชาติแล้วเกิดอีกก็ไม่มีภพไม่มีชาติ วิภวะ เป็นความปรารถนาต้องการที่ทำให้ไม่มีภพได้แล้ว หากว่าอาตมาไม่ใช่โพธิสัตว์อธิบายเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก ถ้าอาตมาเอาของจริงที่อาตมามีเองมาพูด รับรองว่าผู้ที่เรียนเปรียญ 9 จบดอกเตอร์ทางอภิธรรม ฟังอาตมาพูดแล้วบางคนเข้าใจได้ บางคนเพ่งโทษเอาอะไรมาพูด กูรูไม่เคยได้ยิน
โลกนี้โลกหน้าสำคัญ ถ้าใครสามารถเข้าใจโลกนี้ โลกหน้าคือโลกุตระ ถ้าเป็นโลกปรมัตถ์คือกิเลสยังมีภพชาติ หากโลกหน้าสูงสุดคือการไม่หยุดเกิด อรหันต์เกิดอีก เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญต่ออีกช่วยมนุษยชาติสืบสานพระศาสนาพระพุทธเจ้าต่อ เถรวาท เขาเอาอรหันต์ชาติเดียวตายแล้วสูญเลย อุจเฉททิฏฐิ เขาจะพูดไม่รู้เรื่อง เรื่องพวกนี้ อาตมาก็เอาเรื่องพวกนี้มาพูด พูดเรื่องโลกนี้โลกหน้าให้เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้เกิดมรรคผลเป็นโลกนี้โลกหน้า
ยิ่งต่อจากนั้นไปยิ่งยาก แม่มี พ่อมี สัตว์โอปปาติกะ มี อาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) .
อธิบาย บิดาคือเหตุปัจจัยของพระธรรม ส่วนมารดานั้นคือคนคือผู้สอน ถ้ามีบิดามีมารดา เป็นผู้สอนมีพระธรรม ก็ครบธรรมะ 2 ช่วยสัตว์โอปปาติกะ คนมีจิตวิญญาณเป็นสัตว์โอปปาติกะ ทำให้สัตว์โอปปาติกะเกิด ไปตามลำดับเป็นอริยบุคคล เกิดโลกโลกุตระ ไม่ใช่วนแค่โลกโลกียะ
สมณะเดินดินสรุป...
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:14:30 )
รายละเอียด
611125_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เสฏฐบุคคลแท้มีแต่ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Fzep13bsUNBkwdUogcaaWMW2CYRA9KY6Yb2B-1v_seY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1YgvJcLIIpZmzFCoFM3lw7UQjeARNxPPo
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ..สังคมชาวอโศก ช่วยกันแก้ปัญหา เรามีผู้นำพาลดละกิเลส ต้นเหตุของปัญหา..เป็นคนวรรณะ 9 ลูกๆก็อยากให้พักผ่อนมากๆ
พ่อครูเป็นผู้นำที่หมดตัวตน ไม่มีตัวตน แต่ทำงานเพื่อมนุษยชาติ ให้พัฒนาเป็นคนที่รับใช้คนอื่นต่อไป เป็นคนไม่มีตัวตนเป็นคนเสียสละที่แท้จริง
พ่อครูว่า…sms
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน อยากจะเลิกอบายมุข
_จาก โยม มะระขี้นก "อยากจะเลิกอบายมุข"
ดิฉันติดเรื่องการแต่งหน้า-แต่งตัวรวมไปถึงเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆมีเป็นชุดๆ ไม่ว่าจะเป็นมรกตทับทิมบุษราคัม ฯลฯ กระทั่งเพชร ทั้งนี้เพราะมีมรดกตกทอดเป็นข้าวของเงินทอง รวมทั้งเงินบำนาญอีกหลายหมื่น เป็นตัวช่วยอย่างดี ดิฉันจึงใช้ชีวิตฟูฟ่องล่องลอยไปวันๆ นัดแนะพบปะกับเพื่อนๆทางโลกเสมอเนืองๆ เพื่อเจอะเจอกัน รับประทานอาหารด้วยกัน ดิฉันยังคงมั่นคงในมังสวิรัติ แม้เพื่อนทั้งหลายจะรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ก็ตาม เมื่อจะไปเจอเพื่อนๆดิฉันก็แต่งหน้าครั้นมาวัดคบคุ้นกับชาวอโศก ดิฉันก็จะลบออก รู้เหมือนกันว่า ทำตัวเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี ไปตามสิ่งแวดล้อม แต่ก็อดไม่ได้
ดิฉันเป็นโสด กลางคืนก่อนนอนก็สวมแหวนประมาณ 8-9 นิ้ว เป็นประจำ เพราะชอบดูเพชรพลอยต่างๆ และแต่งหน้าด้วย เพื่อที่ว่าหากเช้าขึ้นมาดิฉันหมดลมหายใจ คนจะได้พบดิฉันในสภาพที่สดใสไม่ซีดเซียว ดิฉันอายุจวนจะ80 แล้ว แต่ก็ยังย้อมผมอยู่ เพราะทนเห็นเส้นผมเปลี่ยนสีไม่ได้ ดิฉันคิดว่าจะซื้อวิกมาใส่ เพราะคนชมว่าเมื่อใส่วิกแล้วหน้าของดิฉันจะเหมือนกับฝรั่ง
ดิฉันเจอชาวอโศกตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 เข้าใจดีว่า ตัวเองยังไม่ได้ไปไหนเลย จิตวิญญาณยังอยู่ที่เดิม จึงใคร่ขอความกรุณาพ่อครูแนะนำดิฉันด้วย เพราะดิฉันอยากเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ไปเกิดเป็นสัตว์อบายในชาติหน้า และอยากติดตามพ่อครูไปทุกภพทุกชาติ ...นมัสการขอบพระคุณ 22พ.ย.61
พ่อครูว่า...ก็มีสำนึกดี แต่กิเลสมันแรง มันก็ดึงไป รู้นะว่ามันไม่ดี กิเลสมันก็ให้ทำเองไม่ทำไม่ได้ ตัวเองต้องแต่งตัวใส่แหวน 9 นิ้ว แต่งหน้าก่อนนอน เดี๋ยวตายก่อนคนจะมาเห็นหน้าซีดเซียวไม่ได้นะ นี่เห็นไหม ดีแล้ว สนใจธรรมะฟังไปสักวันหนึ่งก็คงจะเต็มถ้วน อาตมาก็รอสักวันหนึ่งก็คงจะได้ ตั้งใจฟังให้ดี แล้วจะเกิดปัญญาได้ ปัญญามีพลัง เกิดมีพลังปัญญาแล้วมันจะสลาย พลังของราคะโทสะโมหะ พลังอุปาทาน มันสลายได้จริง เพราะว่าเป็นคุณสมบัติของปัญญา มันมีพลังงานของจิต ที่มีประสิทธิภาพสามารถสลาย พลังของกิเลส
พลังกิเลสจะถูกพลังงานของปัญญาสลาย หากยังไม่มีประสิทธิภาพของปัญญากิเลสแต่ยังไม่สลายได้ ถ้าหากเก่งก็จะสลายได้ทันที เก่งจริงๆก็คือกิเลสไม่เกิดได้อีกเลยพลังปัญญาเต็มถ้วนแล้ว จิตวิญญาณมีปัญญาเต็มถ้วนตลอดเวลา กิเลสเข้ามาใกล้ไม่ได้เลยมันมีรังสีของปัญญา กิเลสกระเด็นออกไปเลย
Sms 23 - 24 พ.ย. 61
_วันทิพย์ ปัญญาศิริโรจน์ · ข้าพเจ้าคิดเป็นสัมมาทิฏฐิได้ก็เพราะฟังธรรมจากอโศก สาธุๆๆเจ้าค่ะ (ทึ่งจริงๆ เหมือนเพลงธรรมะที่พ่อครูแต่งไว้)
_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย · พุทธเชื่อเรื่องกรรมเป็นอันทำ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมพวกเราเชื่อ และศรัทธาพ่อคูรมากจ้า
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญทำแล้วไม่ได้อะไรเลย
_อำภา รื่นใจดี · สาธุเจ้าค่ะ แรง ชัดเจน มีบุญอยู่ก็ยังซวยอยู่ ตั้งแต่ลูกฟังธรรมและปฏิบัติตามที่พ่อครูสอน แม้จะยังไม่มาก ต้องค่อย ๆ ทำไป ก็ยังรู้ได้ว่าความซวยค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า..หากเข้าใจว่าสิ่งที่ทำยิ่งได้บุญ แต่บุญแปลว่าการชำระกิเลส หากบอกว่าเอาบุญมาเยอะๆก็แปลว่าจะต้องมีกิเลสเยอะด้วย หากเข้าใจว่าบุญคือการสั่งสมอะไรอยู่ก็คือความงมงายทั้งนั้นเลย เป็นตัวกูของกูทั้งนั้น หากว่าละตัวตนออกไปหมดแล้วชีวิตก็เบาสบาย พวกเราฟังเข้าใจได้ เรานี่ต้องปฏิบัติจนหมดตัวตนอะไรก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราของเรา ที่สุดเรามีความอุดมสมบูรณ์ จากการที่เราสร้างเองเราไม่สร้างสิ่งที่เป็นพิษสิ่งที่มอมเมา เราสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต เยอะแยะเลย ดูนี่สิกล้วยมันแกล้งโตนะ อะไรๆต่างๆนานา มันอุดมสมบูรณ์สวยงามใหญ่โต ดีทั้งนั้นเลย
ความหมายแค่นี้ ถ้าอาตมาไม่ได้เกิดมาพวกเขาจะไม่ได้ยิน ดีนะที่เขาเถียงไม่ออก เพราะหนึ่งมีพยัญชนะยืนยันในพจนานุกรม ฉบับภูมิพโลภิกขุ ฉบับอื่นไม่มีนะ บุญ ท่านแปลว่า สันตานัง ปุนาติวิโสเทติ บุญคือการชำระกิเลสออกจากจิตสันดานจนหมดเกลี้ยง บุญมีแต่ในปัจจุบันเท่านั้น นอกปัจจุบันบุญเกิดไม่ได้เลยสะสมไม่ได้ อดีตไม่มีบุญ อนาคตยิ่งไม่มีใหญ่เลย บุญมีในปัจจุบันเพราะมีตัวตนมีพลังงานเกิดขึ้นกิเลสหายไป ก็ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเป็นซากเหลือ
ผู้มีส่วนบุญ โลกุตระแปลอย่างหนึ่ง โลกียะแปลอย่างหนึ่ง
โลกียะแปลว่าบุญว่าเป็นสมบัติอะไรสะสมขึ้นมา เป็นกุศล
แต่โลกุตระส่วนบุญ แต่ว่าสิ่งนั้นเสร็จไปแล้ว คนมีกิเลส 100 ปฏิบัติไป ทำให้กิเลสลดไป 10 ก็มีส่วนบุญ 10 ผลบุญนั้นคืออะไร คือ เลิกแล้วไม่มีบุญอีกแล้ว โดยสำนวนว่าได้บุญแต่บุญคือสิ่งที่ไม่ได้อะไรเลยกิเลสหมดไป ทำเสร็จแล้วกิเลสหายไป บุญก็หายไปด้วย ไม่ได้อะไรเลย
แต่ในวงการศาสนามีแต่เข้าใจบุญว่าคือการสะสม เข้าใจว่าบุญมีมากยิ่งดี
มีโยมที่เคยอยู่ที่นี่ มีชื่อบุญหนา นามสกุล บุญมี เรียนจบเปรียญ 8 ประโยคนะ ถ้าเข้าใจเรื่องบุญก็คงจะไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแล้ว บุญบาง นามสกุลหมดบุญ นี่อธิบายเหมือนง่ายๆสนุกๆ แต่ลึกซึ้ง
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ · จิตใต้สำนึก คือสิ่งที่เคยเรียนรู้ แต่มาเกิดใหม่แล้วลืม ด้วยความเจ็บปวดตอนคลอดจากแม่
_สุชาดา น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ ลูกเชื่อในสิ่งที่พ่อครูมีพ่อครูเป็น เหลือแต่ต้องทำตามให้ได้เท่านั้นค่ะ จัดการบริวารควายๆยังเข้าใจมาทำงานฟรี แต่คนบางคนก็ไม่เข้าใจ ก็แสดงว่าโง่ยิ่งกว่าควายนะคะ
พ่อครูว่า…
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน นิมิตกับสิ่งจริง สิริมหามายา ภาษากับสภาวะ
_0851614 นิมิต กับ สิ่งที่มีจริง สิริมหามายา ภาษา กับ สภาวะ ต่างกัน อย่างไร
พ่อครูว่า…หันเข้าหาสภาวะมากกว่าพยัญชนะดีกว่า อันไหนยังไม่เข้าใจก็ฟังไปเรื่อยๆ ถ้าจะมาให้เข้าใจท่านที่เป็นรูปธรรมอาตมาว่าตายก่อนนะ ต้องทำตามสภาวะไปตามลำดับ
นิมิตคือเครื่องหมาย ลาง เหตุ เค้ามูล กับสิ่งที่มีจริง อะไรก็ตามที่มีจริง นิมิตเป็นภาษาบาลีคือเครื่องหมายที่บอกสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นสมมติสัจจะในสิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถ์สัจจะ
ภาษากับสภาวะ และสิริมหามายา
ภาษากับสภาวะต่างกันอย่างไร
ภาษาคือสิ่งที่เป็นบัญญัติ
สภาวะคืออาการนามธรรม
ภาษาจะเป็นภาษาไทย จีน อังกฤษ ต่างๆนานา คนละภาษาต่างกัน แต่ว่าสภาวะเดียวกัน เช่นนี่เหลือง ดอกนี้ชื่อดอกทองอุไร พอเราจ่ายเงินซื้อแล้วเราบอกนี่ชื่อทองอโศก เราจะปลูกให้เต็มเลยนะ รู้สึกว่าดี ปลูกง่าย ออกดอกตลอดเวลา ได้น้ำแดดเหมาะสมก็ออกดอก
ของเราดอกทองอโศก คุณตัดคำว่าดอกออกดีกว่านะ นี่อะไร นี่ทองอโศก
ภาษาก็คือพยัญชนะเป็นส่ิงบอก ในคำสอนพระพุทธเจ้าลึกเข้าไปในจิตคน เมื่อกระทบสัมผัสจะเกิดเป็นสภาวะ ถ้าสภาวะนั้นยังไม่มีชื่อ ท่านเรียกวา ปฏิฆสัมผัสโส เกิดสภาวะอันหนึ่งขึ้น สภาวะอันนั้น เป็นปฏิกิริยา เกิด ฆ ขึ้นมา ถ้ามีชื่อก็เรียก อธิวจนสัมผัสโส
เรามีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดอาการขึ้นมา สิ่งนั้นถ้ามีชื่อก็เป็น อธิวจนสัมผัสโส ถ้ายังไม่มีชื่อก็เป็นเพียงแค่ ปฏิฆสัมผัสโส
คนที่ไม่ศึกษาก็ไม่มีสิทธิ์เจริญขึ้น แต่คนที่ศึกษาสภาวะกับพยัญชนะแล้ว ภาษาเป็นสื่อที่นำพาให้ไปสู่สภาวะ
สภาวะนิพพาน
นิพพานคือภาษา ส่วนสภาวะของนิพพานนั้น ผู้มีอาการของนิพพานเกิดในจิตเรา เราเรียกนิพพาน เรารู้สภาวะนี้ กำหนดหมายเรียกชื่ออาการนี้ ว่านิพพาน อธิวจนว่านิพพาน ส่วนปฏิฆสัมผัสโสเรียกว่า...สภาวะนั้นๆ พยัญชนะเรียกก็นิพพาน อาการนี้ ใครสามารถทำได้
นิพพาน ไม่ได้ หมายความว่าสิ่งที่ว่างอย่างไม่มีคู่เทียบ
นิพพาน ถ้าไม่มีอะไรเทียบเลยแล้วบอกว่าว่างๆ ไม่มีอะไรเลยว่าง อันนั้น ไม่มีอะไรรู้ได้ อะไรก็รู้ไม่ได้ เป็นไม่ได้ ใครไปแปลคำว่านิพพานแปลว่าความว่าง จิตว่าง แล้วมันว่างจากอะไร? ก็ว่างน่ะ คนนี้ไม่มีวันสำเร็จนิพพาน
นิพพานต้องว่างจากกิเลส
กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด หมดกิเลสหยาบ กลาง ละเอียดคือนิพพาน บอกได้สั้นๆง่ายๆอย่างนี้
ใครไปพูดให้มันละเลียดจนฟังไม่รู้เรื่อง คนนั้นไม่รู้เรื่องของความจริง ว่านิพพานคืออะไร ไปอ่านจุฬสุญญตสูตรให้ชัดๆหลายๆรอบ จะได้เข้าใจว่านิพพานหรือสุญญตานั้นคือความว่าง ว่างจากสิ่งที่เป็นอกุศลจิตหรือกิเลส
เช่นพระพุทธเจ้าท่านอธิบายว่าศาลานี้ว่างจากช้าง ในสำนวนท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ศาลานี้ว่างจากช้าง นั่นแหละนิพพานจากช้างแล้ว ศาลานี้ว่างจากคนบ้า
ศาลานี้ว่างจากคนชั่ว นิพพานต้องมีคู่เปรียบเทียบ บอกว่านิพพานนั้นไม่มีอะไรเลยไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบได้นัตถิอุปมา เขาหลอกกันขนาดนั้นเอง ก็เลยไม่เข้าใจว่าคืออะไร
ในขณะที่พูดว่าคืออะไรวะ คนก็ต้องมีสภาวะอะไรวะของคุณ แล้วนิพพานคืออะไรวะ ในจิตคุณต้องมีอะไรวะที่ว่านี้ว่า นี่คือนิพพานหรือเปล่าวะ ก็ต้องมีอะไรขึ้นมาทันที คนนี้จะไม่มีทางรู้เลยนี่แหละคือเทวะที่ตีไม่แตก มันซ่อน คือสิริมหามายา เป็นการพูดเหมือนไม่พูดเป็นการมีเหมือนไม่มี เพราะฉะนั้นพูดพยัญชนะเพื่อให้คุณรู้จักสภาวะ พูดสภาวะก็เพื่อให้รู้ว่ามีพยัญชนะเรียกว่าอะไร
ถ้าคุณมีนิพพานเป็นสภาวะแล้วใครจะมาพูดถึงอะไร ถ้าคุณเข้าใจว่าตรงสภาวะกับคุณคุณก็จบ จะรู้ว่าคนนี้เขาเข้าใจพยัญชนะว่าอย่างไร เข้าใจความหมายของนิพพานได้ดีหรือไม่ สภาวะนิพพานนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าพูดวนไปจนไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร คนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง บางคนพูดวนจนไม่รู้เรื่องคนนั้นคือคนไม่มีจริง คนที่มีจริงนิพพานคืออะไร นิพพานคือจิตที่ไม่มีกิเลส ว่างจากกิเลส สูญจากกิเลส
นิพพานหากพูดกันไม่รู้เรื่องก็คือคนที่ยังไม่รู้เรื่องไม่มีนิพพาน นิพพานรู้เรื่องง่ายจะตายไป นิพพานคือคนหมดกิเลส จิตไม่มีกิเลส คุณก็ต้องศึกษา หยาบกลางละเอียดของกิเลสให้ได้
จบแล้วอธิบายศาสนาพุทธ
อาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้กอบกู้ศาสนา เป็นสิริมหามายากลับไปกลับมา อาตมาหมดกิเลสจริง คุณต้องมาดูว่าความประพฤติการกระทำต่างๆของอาตมาคืออะไร แล้วตรวจสอบหลักฐานต่างๆทั้งหมดเลย ถ้าอาตมามีอะไรที่ติดก็ซักฟอกอาตมาได้ ถ้าคุณเห็นว่าอาตมามีอะไรที่ไม่ใช่
เช่น คุณก็ว่าอยู่แล้ว คุณว่าอาตมาไม่ใช่ผู้จะมาทำงานกอบกู้ศาสนา คุณว่าอาตมาเป็นพวกมาทำลายศาสนาเป็นพวกนอกรีต อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดถูกพวกคุณนั้นผิดแต่อาตมาถูก อาตมาคนตรงนะ พูดจริงอย่างไม่มีอะไรซ่อนแฝง พวกคุณเป็นคนไม่ยอมรับผิดและโง่ เอาไปตรวจสอบเลย แล้วก็แก้ไขให้ถูกเสีย
เช่นหลอกกันจนกระทั่งว่า อรหันต์คือคนอย่างนี้ อาตมาก็บอกว่า อรหันต์เก๊ ไม่สัมมาทิฏฐิ อรหันต์นั่งหลับตา กินหมากพลูอยู่ แค่สิ่งเสพติดรุ่นๆหยาบๆยังไม่รู้ อรหันต์แต่สูบบุหรี่ขี้โยไม่ขาดปาก ยังไม่รู้ตัว แล้วอรหันต์คืออะไร
แต่สิ่งเสพติดชัดๆยังวางไม่ได้ปล่อยไม่ได้ สิ่งเสพติดอบายมุขหยาบอย่างนี้ยังไม่รู้เรื่อง
ยกตัวอย่างยืนยันว่าให้หยุดงมงายเสียทีให้ตรวจสอบเสีย ถ้าไปนั่งหลับตาแล้วพวกคุณนับถือว่าเป็นอรหันต์แบบนั้น เลิกเลยจบเลยศาสนาพุทธไม่มีอีกแล้วแบบนั้นศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับตา ไปอ่านพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม สัก 50 รอบ อ่านให้ดีๆไม่มีให้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตและให้ลืมตาปฏิบัติแล้วสัมผัสรู้ไปทีละคู่ ทเวธัมมา แล้วจับที่ความรู้สึกเวทนาเป็นแกนหลัก ให้รู้สึกว่าให้รู้ความจริงของความรู้สึกว่า อาการอย่างนี้ มันคืออาการทุกข์อาการอย่างนี้มันคืออาการสุข อาการอย่างนี้มันชั่วอาการอย่างนี้มันดี
อาการอย่างนี้แหละ รู้สองอาการให้ได้ ให้เหลืออาการเดียว แค่เหลืออาการเดียวคุณก็หมดการปรุงแต่ง แต่ผู้สามารถทำให้ธรรมะ 2 เป็นธรรมะหนึ่งได้ คนนี้จะทำธรรมะ 1 ให้เป็น 0 ได้ แต่ถ้าคุณยังตีไม่แตกธรรมะ 2 เทวนิยมหรือแม้แต่ชาวพุทธยังติดเทวะ ยังเหลืออาการเทวอยู่ เช่นสอนกันว่าทานต้องได้สวรรค์ อาตมาตีทิ้งเลยในทานต้องได้ทั้งสวรรค์และนรก
ทานคือการให้ที่ไม่มีอะไรจะเกิดตัวตนอีกเลย คุณยังมีจิตที่มีตัวตนอยู่ก็ยังทานไม่สูง ยังมีสวรรค์นรก ยังมีเทวะอยู่ เทวะเขาจำนนตีไม่แตกนิรันดร เขาไม่ยอมตีด้วย ใครจะพูดอะไรเท่าไหร่ก็ตาม เขาก็เลยเป็นอย่างนั้นนิรันดร เขาไม่มีสูญไม่มีนิพพาน มีอัตตามีภพชาติ อาตมันตลอดกาล แต่ศาสนาพุทธ- เทวแตกได้มีนิพพานมีสูญได้ แต่จะยังมีอยู่ก็ได้ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานอยู่ต่อไปอีก ก็ได้ เช่นอาตมาจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้แต่ทำไมยังไม่ไป เรื่องของอาตมา อาตมาจะอยู่เพื่อสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไป
อาตมาว่าอาตมาเป็นบุคคลที่อยู่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 อาตมาอยู่ในยุคนี้
อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
โลกนี้ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่
เพราะมันไม่มีใครเหลือที่จะสืบทอดแล้วท่านเลยเอาของท่านเองมาพร้อมเป็นสยังอภิญญา เพราะยุคนี้ไม่เหลือแล้วใครที่จะมาอธิบายโลกนี้โลกหน้า ให้รู้ชัดเจน อธิบายศาสนาให้บริบูรณ์ ว่าคือผู้นี้เอง ผู้มีดวงตาก็จะเห็น สยังอภิญญา เห็นสมณะที่เป็น สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา
แต่ผู้ที่ตาบอด หลับตา นั่งปฏิบัติหลับตา ตามที่ในพระสูตร อินทริยภาวนาสูตร
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียง
ด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
แล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธลืมตาปฏิบัติให้ชัดเจนตั้งแต่คู่แรก แล้วอ่านในเวทนา ที่เป็นกรรมฐานเท่านั้น ศาสนาพระพุทธเจ้ามีหัวใจอยู่ที่พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ที่ว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ในมหานิทานสูตร
สื่อธรรมะพ่อครู(การเกิด 4) ตอน คนเกิดมาทำไม
_เฉลิมชัย ล้อลีลา ...สุรปแล้ว อะไรมาเกิด? มาเกิดทำไม? มาทำอะไร? ต้องทำอย่างไร? ครับ
พ่อครูว่า...อะไรมาเกิด อวิชชามาเกิด คุณน่ะตัวแท่งอวิชชา
มาเกิดทำไม ก็เพราะว่าคุณยังมีอวิชชา มาทำอะไรมาล้างอวิชชา ต้องทำอย่างไรก็ต้องมาฟังทำให้สัมมาทิฏฐิ แล้วอาตมาจะบอก ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติและคุณจะหมด เคลียร์คัทหรือยัง?
ไม่ต้องตอบยาวหรอกตีหัวเข้าบ้านเลย
สู่แดนธรรมก็ว่า...เดี๋ยวเขาก็เถียงว่าไม่มีตัวมีตนแล้วจะเอาอะไรมาเกิด
พ่อครูว่า...เหมือนมีฝรั่งเคยมาถามว่าทำอะไร เราก็บอกว่าแสดงธรรม เขาก็มีกลิ่นเหล้าโครงมาเลย อาตมาก็บอกว่าให้ไปหยุดดื่มเหล้าเสร็จก่อน เขาก็พูดต่อไปว่าอนัตตาไม่มีตัวตนแล้ว อาตมาก็ว่า คุณไปละตัวตนให้ไปเลิกเหล้าเสียก่อน เขาก็บอกว่าไม่มีตัวตนแล้วจะเอาอะไรมาเลิก อาตมาก็บอกว่าคนกับอาตมาพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกอย่างนี้
คนที่ไม่เข้าใจพยัญชนะไม่เข้าใจสภาวะ 2 อย่างนี้แหละ อาตมาถึงได้สรุปว่า ศาสนาทั้งหลายแหล่ ตีไม่แตกกับสภาวะและพยัญชนะ แล้วก็วนเวียนกับสภาวะกับพยัญชนะ เขาพูดถึงสภาวะเขาก็ไม่ได้พยัญชนะ เขาพูดถึงพยัญชนะก็ไม่ได้สภาวะ เขาก็สับสน มันเป็นอย่างไรสภาวะ ซึ่งสรุปแล้วมันจริงที่เขาพูด สภาวะจริงๆคือความรอบรู้สูงสุด แล้วความรอบรู้สูงสุดคืออะไรก็คือพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็กลับมาที่อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วผู้รอบรู้คือใครก็คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระบุตร เขาบอกว่ามีลูกพระเจ้าที่เป็นพระบุตรเท่านั้น พระเยซูตกลงไม่ใช่คนนะ แต่เขาก็แย้งต่อมาว่า มีแม่แล้วพ่ออยู่ที่ไหน พ่อก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกลัวแม่ไม่บริสุทธิ์ ถ้าว่าจะมีลูกต้องสมสู่กัน แม่จะไม่บริสุทธิ์ มันก็เลยวน ติดกับไม่สะอาดบริสุทธิ์ไปเลย เขาอยากบริสุทธิ์แล้วแต่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
ศาสนาพุทธนั้น พระศาสดาทุกคนก็คือคน สิ่งที่รู้คือคนนี้รู้เองสัมมาสัมพุทธะ รู้เอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้เองทุกพระองค์ ไม่มีพระเจ้าที่ไหน ใครจะเอาสูงสุดเป็นพระเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ทำเองแล้วไม่สงวนลิขสิทธิ์ด้วย ความรู้สุดยอดนี้ทุกคนมีสิทธิ์หมด แต่ศาสนาอื่นนั้นสงวนลิขสิทธิ์ พระเจ้าไม่มีใครเป็นได้ ความรู้สูงสุดไม่มีใครเป็นได้ แล้วพวกนี้มาประกาศเอาความรู้สูงสุดมาให้ฟังก็เป็นลูกพระเจ้า แล้วบอกว่าพระเจ้าคืออะไร ก็คือพระบุตร แล้วมีแม่ แม่ก็ต้องมีลูก ลูกก็ต้องเป็นคน
ศาสนาพุทธมีอรหะคือไม่มีความลับ อรหันตะ คือ หมดความลึกลับอย่างสูงสุด เราไม่เอาแบบกวนๆที่มีความลึกลับ magical เราไม่เอาแบบจินตนาการแต่เราเอาแบบมีสภาวะจริง สมมุติสัจจะคือพยัญชนะสภาวะคือความจริงหมดกิเลส สามารถแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยามด้วยจิตนิยามที่รู้กรรม ธรรมะ
อุตุนิยาม พีชนิยามนั้นวิทยาศาสตร์เรียนรู้ได้ แยกแยะทะลุหมดแล้ว ผสมพันธุ์ต่างๆนานาสารพัด แม้แต่สัตว์เขาก็ผสมพันธุ์กันได้ จนกระทั่งผสมเป็น gmo ก็เลยจะวุ่นกันใหญ่ ก็เลยต้องห้ามปรามกัน ประเดี๋ยวจะเอาคนมาทำเละใหญ่ พังหมด คนมันรู้มากจนจะทำร้ายตัวเอง ทำลายเชื้อตระกูลของตัวเอง
นี่สัจจะต่างๆพระพุทธเจ้ารู้หมดไม่ต้องเสียเวลาคิดให้วุ่นวาย
คนเราต้องศึกษาสภาวะธาตุรู้ สรุปลงที่กระทบผัสสะแล้วมันชั่วมันดีอย่างไร เรียนรู้ว่ามันทุกข์มันสุขอย่างไร มันมีเหตุที่ไปติดยึด เรียนรู้ว่าทุกข์มันเกิดจากเหตุนี้ คุณเข้าใจแล้ว ก็เหลือหนึ่งเดียว สีอย่างนี้รูปอย่างนี้ใครมาเห็นก็อย่างนี้ อย่างนี้เป็นวงกลม ภาษาไทยว่าวงกลม ภาษาอังกฤษบอกว่าเป็น Circle ภาษาจีนบอกว่า ?
ผู้ที่สลับไปสลับมาเรียกว่าสิริมหามายา คนก็เลยงง ก็เลยบางคนก็ทำตามพระเจ้าสั่งดีกว่าก็เลยจำนนไม่คิดอะไรต่อ เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้จักตัวเอง 2 ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรเองได้ ให้พระเจ้าเป็นคนบงการ ทุกอย่าง เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ตายแล้วก็ไปหาพระเจ้า พระเจ้าจะให้ลงนรกหรือจะขึ้นสวรรค์ก็แล้วแต่พระเจ้า เป็นสิ่งลึกลับที่แก้ไขอะไรไม่ได้เพราะมันไม่รู้ ก็เลยเป็นศาสนาที่แก้ไขอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกันที่อาตมาอยากจะพูดว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เสฏฐบุคคลแท้มีแต่ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสังคมประเทศชาติ ด้วยความไม่เข้าใจ คนไม่เข้าใจก็คือ ผู้กำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติทุกประเทศ ในโลก คือจะแก้ปัญหาให้คนรวย
นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพวกเทวนิยมก็ทำไม่ได้ วนอยู่กับพยัญชนะ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้คนไปรวย ให้คนในประเทศเรารวยที่สุด ทุกคนรวยหมด มีทรัพย์สินเงินทองได้รวย แล้วก็จะเอาในประเทศนี้มันก็รวยไม่พอ มันเป็นสมบัติผลัดกันชม นาย ก.ในประเทศนี้รวยก็เอามาจากนาย ข. นายข.จะรวยก็แย่งจากนายค. การแก้ปัญหาให้คนไปรวยจึงเป็นสมบัติผลัดกันชมแก้อย่างไรให้ตายก็ไม่เสร็จ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นให้คนมาเข้าใจว่า เสฏฐะคืออะไร?
เสฏฐะหรือเศรษฐะ แปลว่าดียอดประเสริฐที่สุดดีที่สุดยอดเยี่ยมที่สุด
ยกตัวอย่างประกอบ ชาวอโศกเป็น เสฏฐสังคม เสฏฐบุคคล เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมประเสริฐที่สุดแล้ว เป็นบุคคลที่มีเศรษฐศาสตร์มีเศรษฐกิจถึงขั้นสาธารณโภคี ทำงานฟรี บรรลุพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ทำงานฟรีได้
แค่โกง กุหนา ลปนา หลอกลวง เนมิตกตา ตลบแตลง นิปเปสิกตา มอบตนในทางผิด
ถึงเป็นคนที่ดีที่สุดยอดเยี่ยมที่สุดเพราะมีเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด
เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าประหยัด ภาษาอังกฤษว่า Economy หรือ Economic
เป็นคนที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เป็นคนดี เขาไปหมายว่าคนรวยคือคนดีไม่ได้
Economy แปลว่าคนประหยัดมัธยัสถ์ เป็นคนไม่มีมาก ภาษาอังกฤษเขาชัดเจน หรือภาษาธรรมะพระพุทธเจ้า คนเจริญคนประเสริฐคือคนมีวรรณะ 9 เป็นคนไม่มีมาก เป็นคน อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ เป็นคนจนไม่สะสมเลย อปจยะ
เศรษฐกิจที่ดีเลิศยอด คือผู้ที่มีความจนเป็นที่พึ่ง คนที่มีความจนเป็นที่พึ่งแล้วสุขสำราญเบิกบานใจอุดมสมบูรณ์
1. ไม่เบียดเบียนใคร 2. ตัวเองอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้ 3. ตัวเองทำให้เหลือช่วยผู้อื่นผลิตเองไม่เบียดเบียนใคร ไม่เป็นพิษภัยกับใคร นี่คือคนที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ เบอร์ 1 ของมนุษย์โลก
การไม่เข้าใจสภาวะธรรมชัดเจนจึงกลัวความจน แล้วก็กลับไปคิดถึงเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ต้องทำให้ประเทศนี้รวยกันทั้งประเทศ ไม่รวยก็ต้องเอาเงินไปแจก แล้วเอาเงินใครไปแจกก็เอาเงินคนในประเทศนี้
ในประเทศมีเงินไปแจกไม่พอก็ไปล่ามาจากประเทศอื่นไปเอาเปรียบมาจากประเทศอื่นบ้าง แล้วก็มาเรียกเป็น GDP
GDP คือมวลของรายได้ที่อยู่ภายในประเทศ โดเมสติก แต่คุณไปเอาของไปแลกเขามาคุณไปเอาเขามา แล้วคุณก็ไปเรียกว่าเป็นมวลรวมรายได้ภายในประเทศ ไม่เข้าใจในสภาวะและพยัญชนะยังสับสน
คนไม่เข้าใจว่าพยัญชนะหมายถึงอะไรสภาวะหมายถึงอะไรและทำให้มันตรง โดยเฉพาะมุ่งที่สภาวะ ชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เพราะว่าชาวอโศกเป็นคนดีสุดเยี่ยมสุด ที่เป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนที่ไม่เบียดเบียนคนอื่นเป็นคนจนที่เสียสละอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นชาวอโศกจึงเป็นคนรับใช้ อย่างขยันรวมเป็นภาษาว่าขยันรับใช้
แล้วชาวอโศกไม่เอาอะไร มีแต่ให้ พี่นี้มีแต่ให้
“ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ”
เข้าใจคำว่าอคติคืออะไร ลำเอียงเพราะว่ารัก ลำเอียงเพราะว่าชัง ลำเอียงเพราะว่าไม่รู้ โมหะ หรือว่า ลำเอียงเพราะว่ากลัว
อย่างอาตมาแสดงธรรมเปรี้ยงๆ ตัวเองเป็นใครตัวจริงเป็นใครก็บอกตรงๆ คนรักความจริงคนรักความตรงคนรักความไม่มีเลี่ยงเลย ตรงอย่างเดียวหนึ่งเดียว คนนั้นก็รับอาตมาได้ แต่ถ้าคนนี้ รู้ว่าไม่มีอะไรแฝงเลย หนึ่งๆเปรี้ยงๆชอบก็มา พวกคุณชัดเจนก็มา อาตมาก็ผ่าเปรี้ยงๆๆ ก็ไม่ต้องไปเสียเวลา ก็บอกเลยว่าอันนี้ไม่ใช่ แฝงนิดหน่อยก็บอกจนละเอียดแล้ว สัจจะมีหนึ่งเดียว
ในโลกทุกวันนี้ จึงยังเข้าใจ ไม่ได้ แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ผู้ใดมีวรรณะ 9 เป็นผู้สามารถรู้จักจิตตัวเองและกิเลสตัวเอง เป็นผู้ทำให้ตัวเอง เสฏฐบุคคล เหมือนชาวอโศกได้เป็นผู้ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เราแก้ของตัวเองได้ ครอบครัวตนเองได้ แก้ให้หมู่กลุ่มสังคมตนเองได้
เมื่อแก้ให้สังคมตัวเองได้ ก็แก้ไขปัญหาให้กว้างขึ้น เป็นอำเภอเป็นจังหวัดเป็นประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ
ถ้าประเทศนี้ ฟังในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ชัดเจน นักเศรษฐศาสตร์ฟังให้ชัดเจน และเข้าใจ จะแก้ปัญหาสำเร็จ ชาวอโศกประพฤติและกระทำตรงศาสตร์พระราชาทุกอย่าง เป๊ะ แต่ในหลวงท่านเป็นในหลวง จะมาพูดมาก ตรงๆอย่างโพธิรักษ์ไม่ได้ ต้องเป็นหน้าที่ของโพธิรักษ์ ส่วนในหลวงท่านทำอีกหน้าที่หนึ่ง ต้องดูแลสังคมประเทศไทยทั้งประเทศ และท่านก็ทรงความเป็นนักเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ สมบูรณ์แบบ แล้วท่านก็ตรัสบอกว่า
ให้ทำแบบคนจน ให้ทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วท่านก็ทรงอย่างนั้น นักเศรษฐศาสตร์ก็หูหัก แต่เขาไม่กล้าติในหลวง แต่ในหลวงท่านพูดชัดเจน นักเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่าพูดอย่างนี้ได้อย่างไรท่านก็ว่าอย่างนั้น
แต่เขาก็ทำตรงกันข้าม เอาแต่เอาเปรียบ เมื่อไหร่จะพอ
คนควรจะมีขีดความพอ คนควรไม่มีภัยไม่มีโทษแก่สังคมเป็นคนอย่างนี้ก็แก้ปัญหาจบแล้วเป็นคนไม่มีพิษมีภัย แล้วก็ช่วยกันสร้างทำอยู่กันอย่างสาธารณโภคีจบแล้วพฤติกรรมสังคมอย่างนี้ เป็นตัวอย่างของโลกเลย
เมื่อไหร่ ชาวโลกเขามีปัญญาโลกุตระเขาก็จะตาเหลือกตาลานตามมา แม้แต่ยูโทเปียก็สู้ไม่ได้ เขาก็ได้แต่คิดว่ายูโทเปียคือวิมาน แต่ของเราทำเลยยูโทเปีย
ยูโทเปียยังไม่ถึงขั้นสูญยังไม่รู้ 0 เขาจะพยายามเฉลี่ยกันให้ได้ตามจินตนาการ ที่นี้ปัญหาที่จะไปแก้ไปแก้ที่อื่นไม่ได้นอกจากที่จิตคน ให้คนเกิดภูมิปัญญาให้รู้ว่า คนเรานี้
ตัวเราก็เท่านี้จะเอาอะไรกันนักกันหนา มีความรู้ความสามารถก็ทำสิ่งที่เป็นกุศลเป็นเหตุปัจจัยให้แก่โลก คุณทำ ทำแล้วก็ไม่ต้องยึดถือเป็นเราเป็นของเรา และคุณก็กินก็ใช้อย่างที่หัดให้รู้ว่าจะไปใช้อะไรกันนักหนา คุณเองทรมานตัวเองในการใช้มาก แล้วก็ถูกโลกหลอก ว่าไอ้นั่นก็ดีไอ้นี่ก็ดีไอ้นั่นก็น่าได้ไอ้นี่ก็น่าเป็น คุณไม่หยุดหรอกไม่มีที่จบหรอก ตลอดตายอีกกี่ชาติมันก็เป็นแบบนี้ ไม่มีทางจบสิ้น ไม่มีทางหยุดพัก แต่ของเรานี่สบาย แล้วเราก็ทำงาน เรารู้จักพักรู้จักเพียรรู้จักสร้างสรร อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ควรทำ อะไรที่มีประโยชน์ของข้าวได้กินใช้สอย สังคมเรามันครบบริบูรณ์ถ้วน สิ่งที่จะไปเสียแรงงานพลังงานไปสร้าง แต่งเนื้อแต่งตัวใส่แหวนก่อนแต่งหน้าก่อนถึงจะนอนอย่างที่คุณคนนั้นว่า ก็ไม่ไปทำ แต่ดีที่เขารู้ตัว อยู่
กินแค่ดอกเบี้ยของมรดกก็เหลือเฟือแล้ว ไปใส่ทำไมแหวนมันรำคาญนิ้ว นิ้วมันสบายๆเอาอะไรไปใส่ ดีไม่ดีเอาอะไรไปเรียนมาใส่ มือปัดกันสองข้างก็โดนกันเอง
อย่างเด็กเขาหวงแหนตุ๊กตากันอย่างนั้นแหละ ผู้ใหญ่เห็นแล้วก็เขาใจ แต่คนแย่งกันฆ่ากันตายก็อย่างกับเด็กแย่งตุ๊กตา พอศึกษาธรรมะจะรู้จบแล้วทำได้ มันจะเห็นว่าน่าขันๆ หน้าก๊ากเลย น่าหัวร่อ ก๊ากเลย คนเรา
แต่เขาไม่รู้ตัว
เราถึงบอกว่าสาระ อะไรที่ชีวิตคนเราควรทำได้ ก็อยู่กับกรรม สร้างกรรมที่เป็นประโยชน์คุณค่า กวันนี้ อาตมาว่าอาตมาได้มีประโยชน์มีคุณค่า ได้พูดได้สอนแนะนำพากันเลิกสิ่งที่เป็นไร้สาระ มาเป็นคนมีสาระ แล้วไม่ต้องแสวงหาอะไรที่มันเกินภาระตัวเองอีก ปลงภาระได้ เอาภาระเก่ามาหมุนเป็นภาระใหม่ ปลงภาระ จนสิ้นภาระ เสร็จภาระได้
ก็จะเป็นคนที่มีคุณค่าเป็นคนมีประโยชน์มาก เป็นคนปฏิบัติเศรษฐกิจของประชาชาติ ในเชิง Economy ได้ดีมาก แล้วก็จะเป็นคนที่ช่วยเศรษฐกิจ ภาครัฐบาลได้ดี อย่างทุกวันนี้ชาวอโศก ช่วยรัฐบาลตลอดเวลาในทางเศรษฐกิจ เพราะเราแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเราจบ แล้วเราก็มีเหลือเกินเอาไว้สร้างสรร
เช่น รัฐบาลจะพยายามทำห้างร้านสินค้าประชารัฐ อโศกทำก่อนแล้ว ทำช่วยก่อนแล้ว นี่คือเราช่วยเศรษฐกิจช่วยสังคม
เพราะพวกเรานี้มีเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจ Economic life line เราทำเส้นชีวิตเศรษฐกิจของเรา ใครอยากจะเปลี่ยนเส้นทางเศรษฐกิจชีวิตออกจากชาวอโศกไปบ้าง …(ไม่มี)
เพราะเรามีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ Economic Basic base เพราะเราพ้นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจแล้ว Economic crisis
เพราะฉะนั้นเราจึงมาเป็นชาวอโศกที่จะทำงานเศรษฐกิจ แล้วทำงานการเมือง เป็นเศรษฐกิจการเมือง Political economy พวกเราทำอันนี้ให้แก่ประเทศชาติได้
เศรษฐกิจที่ดี คืออะไร
สรุปเป็นรูปธรรมว่ามาดูที่ชาวอโศก ดีจนหาโลกนี้ที่เขาจะเป็นสังคมที่จะมาเลียนแบบได้ยาก คือเศรษฐกิจสาธารณโภคีนี่คือสุดยอดแล้ว เศรษฐกิจสังคมกลุ่มนี้เป็นอย่างไร
สมาชิกของประชาชนกลุ่มนี้ สังคมนี้ประเทศนี้ ทำงานแล้วเสียภาษี 100% ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด นี่คือเศรษฐกิจที่สุดยอดแล้ว ประชาธิปไตยก็สู้ไม่ได้คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ ยิ่งเผด็จการก็สู้ไม่ได้ เพราะไม่เผด็จการทุกคนมีอิสระเสรีภาพหมดทุกคนเต็มใจมาทำ สุดยอดแล้ว
พูดแล้วก็ภูมิใจตัวเองที่อาตมาเกิดมาได้สร้างระบบเศรษฐกิจ เอาคนมาปฏิบัติศึกษาเรียนรู้ระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุด แล้วก็มาปฏิบัติจนได้ จนกลายเป็นคนที่มีเศรษฐศาสตร์สุดยอด สาธารณโภคีได้ ในสังคมประเทศต่างๆไม่มีสังคมใดที่ทำได้อย่างชาวอโศกในประเทศไทยนี้ ที่มีชุมชนหมู่บ้าน ที่นี่เป็นหมู่บ้านหนึ่งเลยนะ หมู่บ้านทางนิตินัย
อย่างสันติอโศกก็เป็นหมู่บ้านใหญ่ที่เป็นสาธารณโภคี สีมาอโศกอะไรก็แล้วแต่ สังคมชาวอโศกเป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคีทุกแห่ง มีเป็นชุมชนคนจริง มีพฤติกรรมจริงอยู่ในประเทศไทย เป็นเครือแหอยู่ อาจจะมีไม่มากถึงร้อยแห่ง มันก็เป็นเนื้อแท้มวลมนุษยชาติที่มีพฤติกรรมแบบนี้อยู่ในมนุษยชาติ ก็ได้ช่วยประเทศชาติแล้ว บรรเทาแล้ว เพราะเรามีพฤติกรรมจึงไม่แปลกที่ผู้แจ้งชิงเบียดเบียนเป็นพิษภัยเป็นโทษ ในระบบเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจเลย มันก็จบแล้ว นี่คือเรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
_ตอบคำถาม
_คำว่าสวรรค์ในอกนรกในใจคืออย่างไรครับ
พ่อครูว่า..ภาษาคำว่าสวรรค์ นรก หมายความว่า สุข กับทุกข์ สวรรค์คือความสุข นรกคือความทุกข์ ในใจของคุณยังมีความสุขความทุกข์ก็ยังมีสวรรค์และนรกอยู่ นั่นแหละคือสวรรค์ในอกนรกในใจ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าหมดสวรรค์นรกได้ ในอกของคุณก็ในใจของคุณก็ ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเป็นอรหันต์
_เวลารู้ทันกิเลสในปัจจุบันรู้สึกสนุกตื่นเต้นกับการรู้จักกิเลส แม้ว่าจะไม่สามารถจัดการกับกิเลสหมดลงได้ก็รู้สึกดี
พ่อครูว่า...ดีให้เรียนรู้กิเลสมารกิเลสให้ทัน อย่างน้อยที่สุด จ๊ะเอ๋กับกิเลสแล้ว นั่นแหละสักวันหนึ่งจะจับกิเลสได้มากขึ้นแล้วจัดการตัวกิเลสได้มากขึ้น แต่ถ้าไม่เรียนรู้กิเลสก็ติดตัวคุณไปและหนาขึ้นมากขึ้น ใครไม่ใส่ใจเรียนรู้สิ่งนี้เสีย คุณจะเกิดอีกมีอัตภาพอีกกี่ชาติ คุณจะทุกข์พราะกิเลสมันปั่นหัวคุณตลอดกาลนาน ถ้าคุณจัดการเสียแล้วเลิก จนกระทั่งเป็นอรหันต์ได้แล้วคุณจะไม่เกิดอีกอยู่ในโลกอีกกี่ล้านชาติเ ชิญเกิดเลย เป็นอรหันต์จบแล้วดับกิเลสได้หมดจริงศาสนาพุทธทำได้ มาทำเถอะ
หรือคุณบอกว่าจะไม่มันหากไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกก็แล้วแต่คุณ ตอนสมัยอาตมาเป็นฆราวาส อาตมามีเจ้านายคนเดียว คือ คุณจำนงค์ รังสิกุล อาตมาปฏิบัติธรรมอยู่ เขาก็ถามว่าปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร อาตมาก็บอกว่าไปนิพพาน เขาก็บอกว่าผมไม่เคยคิดถึงนิพพาน แต่ว่าคุณไปเถอะนิพพาน ผมก็จะอยู่กับความสุขความทุกข์นี่แหละ
เออจริงที่สุดพูดตรงที่สุด ก็เออ นะ นี่ก็เสียชีวิตไปแล้ว คุณจำนงค์ก็เป็นเจ้านายคนเดียวของอาตมาที่เคยอยู่ด้วย
คำว่าเจ้านาย เป็นภาษาซื่อๆบริสุทธิ์ใจ คุณอาจินต์ปัญจพรรค์ก็เรียกคุณจำนงค์ว่าเจ้านาย
_ธรรมะ 2 หมายถึงความเป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างภาษา บัญญัติ ความรู้ และเวทนาเทียม กับ สภาวะ ความจริง และเวทนาแท้ ซึ่งความยิ่งใหญ่ยิ่งสุดก็คือปรากฏการณ์ ทางจิต ที่บรรลุถึง การรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ถึงสภาวะ ความจริง และเวทนาแท้นั้น ๆจึงเป็นอุภโตภาควิมุติ และเอกัคตารมณ์ ที่เป็นของเวทนาแท้นั่นเอง
พ่อครูว่า...ใช้ได้
_คนทำงานเพื่อสังคมแบบปัจเจก กับการทำงานเพื่อสังคม ควรมีชีวิตที่เหมาะสมอย่างไร ถ้าเผื่อว่าสังคมจะมีพื้นที่ส่วนตัว สังคมควรมีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อสะสมพลังงานโดยไปวางสิ่งที่มากระทบบ้างได้ไหม
พ่อครูว่า...ก็เพื่อสังคมเหมือนกัน ถ้าเผื่อว่าควรมีพื้นที่ส่วนตัวก็เอียงแล้วไปหาทางป่าตัวตน เพื่อสะสมพลังงาน โดยการปล่อยวาง แล้วการไปนั่งหลับตาจะปล่อยวางได้เหมือน Center จะเป็นไปได้ คุณจะปล่อยวางได้ต้องมีการกระทบกระแทกและรู้จักปล่อยวาง จะไปนั่งนึกเอาสะกดจิตเอาว่าปล่อยวาง มันไม่จริงหรอก มันกระทบจริงๆสิ แล้วคุณจะเลิกสิ่งที่มันจะปล่อยวางได้ จากการกระทบสัมผัส
ขอสรุปอีกทีพวกนี้ยังเอียงไปทางเดียวกับเดียรถีย์ พวกหลับตานี้สังคมนี้การกระทบสัมผัส ไม่มีสัมผัสอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ก็ตาอย่าให้เห็นรูป หูอย่าให้เห็นเสียง ก็คือการสอนให้คนตาบอดหูหนวกนะ มันสะใจจริงๆเลยพวกนั่งหลับตาปฏิบัติพวกนี้ หลับตาปฏิบัติ เมื่อไหร่จะเข้าใจสักที (วะ)
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปฏิบัติธรรมเร่ิมต้นต้องทำอย่างไร
_เบื้องต้นการปฏิบัติธรรมควรเริ่มต้นอย่างไร
พ่อครูว่า..ทำศีล ข้อแรก เกี่ยวข้องกระทบกับสัมผัสกับสัตว์ ศีลข้อ 1 จะบอกว่าไม่ฆ่าสัตว์ วางศาสตราวางอาวุธ มีจิตกรุณา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1 มีเนื้อหาอย่างนี้ คุณก็เรียนรู้ สัตว์มันก็มีวิบากของมัน มันจะตายจะกินจะอยู่ก็เรื่องของมัน สองคุณอย่าเอามันมากิน คุณอย่าเอามันมาเลี้ยง สัตว์มันก็มีวิบากของมัน คุณจะไปมีวิบากเกี่ยวข้องกับมันทำไม คุณก็มาเรียนรู้วิบากที่ยังละไม่ได้มีอีกเยอะ จะไปตามวิบากกรรมสัตว์อีกทำไม 1 อย่าไปเอามันมาฆ่า อย่าเอามันมากิน เอามันมาเลี้ยงเพื่อจะเอาไว้กินเอาไว้ขาย นี่คือคนใจดำชะมัด
ถ้าปูปลา วัวควายเอาคนมาเลี้ยงเป็นสินค้า ขุนให้ดี เสี้ยมฟันให้แหลม ให้มีเนื้อมีหนังแล้วเอาไปขาย จะเป็นอย่างไร
_การตั้งตบะขัดเกลาทำไมทำได้ยากครับ
พ่อครูว่า..เอาพอทำได้อย่าเอาหนักเอาหนา ทำได้แล้วก็จะรู้ว่าทำอย่างไรและจะมีทักษะมีความรอบรู้มากขึ้นก็จะทำได้ดีขึ้นเอง สิ่งที่ต่อมาก็จะง่ายขึ้น
_มั่นคงมั่นใจเหลือเกินว่าอยู่ในแวดวงของอริยชน บางคนก็เมื่อยล้า แต่ได้พักก็หาย เวลามีปัญหาก็มีที่ปรึกษาฟรีๆ ลูกจะตั้งใจปฏิบัติธรรมะตามพ่อครู อยู่ในหมู่มิติสหายดีต่อไป
_วันดี ลูกคนโง่ค่ะ…ดิฉันยังมีความสงสัยเรื่องสิริมหามายา แต่ก่อนเคยคิดว่าเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า แต่ก่อนคิดว่าเป็นแม่ที่เป็นตัวตนเป็นคน ก็ขอให้พ่ออธิบาย ที่ว่าเป็นเมียของเจ้าสุทโธทนะ
พ่อครูว่า..ก็ใช่ พระนางสิริมหามายามีตัวตนจริงเป็นแม่ของพระพุทธเจ้านะ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะเกิดมาจากอะไรล่ะ เป็นพระศาสดาที่ไม่มีแม่หรือ แล้วที่ว่า มีตัวมีตน ก็ถูกต้องเป็นภาวะธรรมะ 2 ต้องมีแม่ที่ชื่อสิริมหามายา ต้องมีลูกที่ชื่อว่าห่วง (ราหุล) สภาวะต้องลงตัว บอกชื่อก็รู้สภาวะเป็นแบบนี้ ชื่อว่าสิริมหามายาก็คือแม่ของพระพุทธเจ้า
หรือ พระพุทธเจ้าชื่อสิทธัตถะ สิทธะแปลว่าสำเร็จ อัตถะแปลว่าเนื้อแท้ สำเร็จเนื้อแท้คืออันนี้ แปลว่าเนื้อแท้ที่เสร็จบริบูรณ์จบแล้วก็คือพระพุทธเจ้า
ต้องมีคู่ สารีปุตโต ต้องมีโมคคัลลานะ
เป็นทั้งสองอย่างเป็นทั้งตัวตนบุคคลจริงและก็เป็นทั้งสภาวะธรรมที่เป็นสัจจะ พอเข้าใจไหม ต้องแยกให้ออกอันนึงเป็นสภาวะอันนึงเป็นพยัญชนะ อนึ่งเป็นสมมติสัจจะ ก็คือพยัญชนะที่เป็นสิริมหามายา สภาวะตัวตนเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า
_ทำไมที่ว่าทำทานกับพ่อครูจะไม่ได้อะไร
พ่อครูว่า...อาตมาไม่มีอะไรจะให้พวกคุณนะ ความรู้ที่จะให้ก็เป็นความรู้แบบสูญญตา ก็คือการไม่ได้อะไร
_สิริมหามายากับนิยามประชาธิปไตย พ่อครูว่าจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งหรือไม่
พ่อครูว่า.เอาสิ่งที่ไกลมาให้พูด
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน บารมีหมายถึงอะไร
_อยากทราบคำว่าบารมี ในความหมายของพ่อครู
พ่อครูว่า...คำว่าบารมี ในความหมายของอาตมาแบ่งคำว่า บารมีกับคำว่าสันดาน
คำว่าบารมีคือสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ ส่วนคำว่าสันดานคือสิ่งไม่ดี
คนก็สั่งสม สันดาน สันตานะ คือมันจะยาวไปอีกนาน อันตะคือไม่มีที่สิ้นสุด จึงต้องมาลดสิ่งที่เป็นสันดาน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...วิบากกำลังมา สันดานคือสิ่งที่ต้องขุดออกโดยบุญ สันตานังปุนาติวิโสเทติ บุญจะล้างสันดานให้หมดจึงมีบารมี จนกว่าจะเที่ยงแท้แน่นอน
คำว่าบารมีมีนัยยะทั้งโลกียะและโลกุตระ
โลกียะบารมีคือสั่งสมกุศล แต่ในทางโลกุตระคือการตัดกิเลส ละกิเลส บารมีจึงหมดบุญไปเรื่อยๆในเรื่องโลกุตระ
แต่ถ้าหมายถึงกุศลก็แค่ทำดีเท่านั้นเอง
บารมีที่เป็นสมบัติก็คือกุศล บารมีที่เป็นวิบัติคือบุญ
ผู้ใดสร้างพลังงานบุญแล้วชำระกิเลสไป หมดบาป บุญก็หมด ปุญญปาปปริกขีโน
ทำไมทำทานกับพ่อครูแล้วไม่ได้อะไร เพราะอาตมาสอนให้หมดภพชาติ แต่เขาสอนกันว่ามีสวรรค์มีนรก ก็เลยวนเวียน อยู่อย่างนั้นตลอดกาล อาตมาจึงสอนให้เลิก ทำทานแล้วอย่าไปต้องการอะไร แล้วจะรู้ว่าควรทำทานกับใคร หากว่าเอาบุญมาล่อเอากุศลวิมานมาล่อ ก็จะได้สวรรค์และนรก แต่ว่าอาตมาสอนว่าทำทานอย่าอยากได้อะไรแต่คุณจะได้นิพพาน คือการหมดสวรรค์ หมดนรก หมดภพหมดชาติ
ส่วนการเลื่อนเลือกตั้งอาตมาไม่พยากรณ์ ขอผ่านไป
สมณะฟ้าไทว่า...สรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:15:21 )
รายละเอียด
วันนี้วัน พุธ ที่ 28 พ.ย. 2561 ที่ศาลาฉัน บวร สันติอโศก
พ่อครูว่า…ขอโอภาปราศรัยกับ SMS
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน นิมิตกับสิ่งมีจริงต่างกันอย่างไร
_1614 นิมิต กับ สิ่งที่มีจริง ต่างกัน อย่างไร
พ่อครูว่า….
สิ่งที่มีจริงเป็นภาษาไทย ส่วน นิมิตเป็นภาษาบาลี นิมิตเป็นสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นเป็นเครื่องหมายให้ตนเองรู้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ซึ่งจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ เป็นเครื่องหมายให้เรารู้ ส่วนสิ่งที่มีจริงนั้นจริงแน่ ส่วนนิมิตนั้นยังไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่ ส่ิงที่มีจริง เช่น เวทนาคุณสัมผัสกับอันนี้แล้วเช่นอันนี้ ถังไม้ อันนี้เป็นส่ิงมีจริงเราสัมผัสได้ ส่วนนิมิตมันอยู่ในจิต ถ้าจะไปหมายถึงสิ่งมีอยู่มันไม่ใช่นิมิต มันเป็นส่ิงจริงแล้วที่คุณสัมผัส แต่สิ่งที่คุณคิดสร้างขึ้นมีจริงหรือไม่จริงก็ได้ ต่างกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2จึงเป็นส่ิงมีไปตราบจนปรินิพพาน
_รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ • ธรรม2 เป็นตัวบ่งชี้ซึ่งกันและกัน/ คิดอะไรไม่ออกให้คิดอีกฝั่ง
พ่อครูว่า...อันนี้เข้าท่าทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นธรรมะ 2 คนที่ไม่มีความรู้ พวกเทวนิยมตีไม่แตกแยกไม่ออก ทั้งๆที่มันเป็นสอง คนที่เกิดมานั้นจะรู้ เราจะเห็น เราจะมีอะไร 2 ทั้งนั้น ไม่มี 1 มันจะมีสิ่งที่ถูกรู้ตลอด คุณคิดขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ คุณไม่คิดอยู่เฉยๆกลางๆว่างๆมันก็มีกับสิ่งที่ว่างๆนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นในความว่างๆรู้สึกว่างๆเฉยๆ เด๋อๆ นอกจากคุณจะมีการฝึกฝนมีภูมิธรรมจนกระทั่งมีอำนาจเหนือจิต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ วัสสวัตตี ทำจิตไม่ให้คิดอะไรสักระยะหนึ่ง แต่คุณต้องใช้ความสามารถที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าเป็นคนที่ฝึกทางสมถะ ไม่ใช่บรรลุธรรม คุณก็จะทำให้มันอยู่เฉยๆได้ เท่าที่คุณมีพลังงานควบคุมให้มันอยู่ได้ เสร็จแล้วคุณก็ต้องแวบไปอื่น
ส่วนผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วก็ตาม แม้จะเป็นอรหันต์หากจิตคุณไม่ได้ฝึกก็จะคิดโน่นคิดนี่เหมือนกัน
ว่างเฉยๆเด๋อๆไม่มีนอกจากสมมุติเอา อาตมาแนะนำให้ไปอ่าน จูฬสุญญตสูตร คนก็อ่านแล้วไม่เข้าใจ ว่า ความว่างคือจิตว่างจากกิเลสตลอดเวลาคือจิตอรหันต์ แต่ไม่ได้ว่างจากความคิดความรู้จากสิ่งที่สัมผัส จะคิดหรือไม่คิด มีสัญญากำหนดรู้อยู่ในใจ มีนิมิตอะไรขึ้นมาก็มีได้ หรือจะกำหนดรู้ทางจิตก็ได้ ยิ่งตาสัมผัสรูปโป๊กระทบเสียงก็ยิ่งมีจริง แต่อรหันต์ไม่มีเวทนา 2 ไม่มีกิเลสไม่มีปัญหาไม่มีอุปาทานไม่มี 2 มีแต่ 1 สัมผัสอะไรความจริงตามความเป็นจริงก็จบ
ถ้ามันมี 2 อันหนึ่งคือของจริง อันหนึ่งคือของเก๊ ที่มันสังขารตามกิเลส อันหนึ่งก็คือตัณหาอุปาทาน อุปาทานและตัณหานั้นเอง ถ้าเป็นอรหันต์แล้วมันไม่มีตัณหาอุปาทาน จิตปรุงแต่งก็มีสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นการสังขารปรุงแต่งตามความเป็นจริง ไม่ได้เป็นสังขารปลอม
ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วตีแตกธรรมะ 2 เข้าใจหมดเลยว่า ในขณะนี้จิตเรา
หนึ่งรู้สมมุติสองรู้สภาวะ มันจะมี 2 เป็นธรรมะ 1 เป็นสมมติ 2 เป็นสภาวะ สมมติก็เป็นภาษาเรียกเป็นบัญญัติ เป็นคำเรียกกล่าวอะไรกัน แต่สภาวะจริงนั้นคือจิต สัมผัสตาก็เห็นรูปขณะนี้ตรงๆ สัมผัสเสียงนี้สัมผัสจมูกได้กลิ่น หรือ สัมผัสในความคิด ก็รู้กำลังคิดอะไร กำลังสัมผัสอะไร คิดใหม่ คิดขึ้นมา ก็สามารถปรุงแต่งหน้า ปรุงแต่งเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็คือคิด อย่างไม่ได้เป็นกิเลส หมายความว่า เราคิดแล้วปรุงแต่งอย่างนี้ น่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ใจเราไม่ได้มีกิเลสว่าจะต้องเป็นให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานไม่ใช่ แต่เราต้องมีเจตนาว่ามันควรจะเป็นหรือไม่ควรจะเป็นเราก็ลงมือทำ คิดว่าควรจะเป็นแล้วเราก็ลงมือทำได้ตามที่เราคิดไหม ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่คนที่ยังมีกิเลสยังมีความยึดมั่นถือมั่นก็จะทุกข์ร้อน ตนเองทำไมไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้เท่าที่จะมีความยึดถือมากหรือน้อย
สรุปแล้วทุกอย่างเป็นธรรมะ 2 และจะมีธรรมะ 2 ไปตลอดกาล ตราบที่เรายังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แม้ว่าเรายังไม่ตายก็เป็นธรรมะ 2 ที่เราจะปรุงแต่งเป็นหนึ่ง
SMS วันที่ 27 พฤศจิกายน 2561
_สาคร วงเวียน · ประโยชน์ท่านเป็นกุศล(สมบัติ) ส่วนประโยชน์ตน(ลดกิเลส)เป็นบุญ(วิบัติ)
พ่อครูว่า...แสดงว่าฟังธรรมะเข้าใจชัดเจนใช้ได้
_วณี โคตุดร · คุณสาครบอกมา รู้สึกตรงเป๋งเลย เข้าใจง่ายดีจัง ขอบคุณค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน ประโยชน์และโทษของความโลภเพื่อส่วนตัวหรือส่วนรวม
_จับใจ ดิฉันมีความโลภเพื่อส่วนรวมและเพื่อส่วนตัว จะเป็นโทษ หรือ ประโยชน์อย่างไรคะ
พ่อครูว่า...เมื่อกี้เขาบอกแล้ว ประโยชน์ท่านเป็นกุศล(สมบัติ) ส่วนประโยชน์ตน(ลดกิเลส)เป็นบุญ(วิบัติ)
ผู้ใดทำได้ถูกต้องเลยตนเองไม่ต้องสะสมไม่ต้องเป็นของตัว อาตมาภาคภูมิใจที่ทำสังคมชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี
อย่าง สันติอโศกนี่ยังไม่ชัด เพราะยังมีส่วนตัวกระเป๋าใครกระเป๋ามันซ้อนแทรกอยู่ในนี้เยอะ แต่อยู่ในสังคมปฐมอโศกราชธานีอโศกนี้เขาชัดเจน ทำงานส่วนกลางหมด ใครไม่อยู่ในนั้นก็เป็นคนจร เป็นชาวอโศกจร ส่วนชาวอโศกที่เป็นสมาชิก ทำงานแล้วก็เอาเข้าศูนย์กลางหมด เป็นเรื่องไม่ง่ายเป็นเรื่องที่ยากมากเลย แต่เขาก็มีความสุข เขาอยู่ในนี้ 10 ปี 20 ปีตามแต่ละคน ยังอยู่กันก็คิดว่าจะตายตรงนี้อยู่ตรงนี้ก็ยังเป็นจริง เข้าใจทั้งโลกข้างนอกและโลกในสังคมเขา เขาก็เต็มใจอยู่ในสังคมเรา เป็นเรื่องปัญญาที่เราเลือกชัดเจน นี่คือฐานของมนุษยชาติที่เลือกที่จะเป็นอยู่ มีเสนาสนะอันนี้เป็นบุคคลมีเครื่องอาศัยเป็นอาหารมีธรรมะ เป็นสัปปายะ 4 สมบูรณ์แบบ
จะเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ ถ้าทำให้ตรงก็เป็นประโยชน์ถ้าทำไม่ตรงก็เป็นโทษ ต้องรู้ว่าทำเพื่อส่วนรวมจริงไหม เพื่อส่วนรวมและเพื่อส่วนตัว หากทำเพื่อตัวเองอยู่ก็ยังเป็นบาป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนส่วนตัวอย่างพวกเราชาวอโศก ทำเพื่อส่วนรวมอาศัยกินอยู่ในที่นี้ก็ไม่มีโทษอะไรเลย
_แซมดิน อยากถามความในใจของพ่อครูนะครับ คือตึกบริเวณนี้มีคดีอยู่ อาจจะถูกทุบทั้งหมด พ่อครูอยากเห็น สันติอโศกเป็นอย่างไรถ้าถูกทุบ มันก็จะโล่งไปหมด
พ่อครูว่า...เขามาทุบตึกก็เจ็บมือนะ มีความหมายนะที่อาตมาพูดนี่ อาตมาว่าเขาไม่ทุบหรอก เขาเสียตังค์ค่าทุบ เขาไม่ทำหรอก ให้ตายก็ไม่ทำ เขาไม่กล้าหรอก คุณจะให้เขาเท่าไหร่ก็ให้เขา เขาไม่เอาก็ฟ้องศาลเอา จะมาโก่งอะไรไม่ได้ขี้ตะกละเพราะเรื่องเสร็จจบไปแล้ว เขามารื้อฟื้นอีก หากทนายเก่งก็แพ้เขา ทนายไม่เก่งก็แพ้
เพราะจริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราหรือของใครหรอก เป็นอยู่ที่สมมติสัจจะเราก็ไปแย่งที่สมมติสัจจะเท่านั้น ส่วนปรมัตสัจจะนั้นเรารู้แล้วว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของใคร ที่เถียงกันอยู่นี้เป็นสมมติสัจจะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคารมใครจะดีก็ทำ ผู้ที่จะตัดสินรับรอง เชื่อไหมว่าให้ศาลแต่ละศาลนี้มาตัดสินจะไม่เหมือนกัน
ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ก็ไม่เหมือนกันศาลฎีกาก็ไม่เหมือนอีก เพราะฉะนั้นอยู่ที่คารมโวหารเท่านั้นเอง
_ผมเจ็บคอไม่ขอกล่าวคำยาวใดๆให้มากความ "ผมเป็นลูกของเอกบุรุษ ที่เกิดจากปากพระโพธิสัตว์" นี้คือประโยคลั่นสนั่นเงียบๆ ของลูกคนหนึ่ง ที่เกิดจากพ่ออันประเสริฐ
พ่อของผมเกิดมาทำความอัศจรรย์สองอย่างขึ้นในโลก พ่อผมได้กระทำตาม ได้เจริญรอยตามสมเด็จปู่สัมมาสัมพุทธะอย่างลำบากแสนเข็น ให้เป็นที่ประจักษ์ชัด คือ
1. โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่พอใจ-ยินดี-บันเทิงอยู่ในรสอร่อยของโลก ครั้นพ่อโพธิสัตว์แสดงธรรมสวนกระแสกับความอร่อยในกามของโลกนั้น ก็ยังมีผู้คนเอียงหูฟัง ดิ่งสดับ และปรับตัวละทิ้งความเพลิดเพลินในโลกกามเหล่านั้น มาเป็นพลังคนจนอันมหัศจรรย์อย่างสุขสำราญ
2. โลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่พอใจในการถือศักดิ์ศรี ยินดีในความถือตัวด้วยโคตรตระกูล-บันเทิงอยู่ในรสอร่อยของการถือดี ในคุณวุฒิ ในชาติวุฒิ ครั้นพ่อโพธิสัตว์แสดงธรรมสวนกระแสกับความอร่อยในการถือตัวของโลกอัตตานั้น ก็ยังมีผู้คนเอียงหูฟัง ดิ่งสดับ และปรับตัวละทิ้งความเพลิดเพลินในโลกความถือตัวอันไร้สาระเหล่านั้น
พ่อครูว่า...อาตมาว่าอาตมาทำจริง มีผลสำเร็จจริงไม่ใช่ความหลงใหลเพ้อเจ้อไม่มีแล้วหลงว่ามี มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่อาตมาทำสำเร็จ ชาตินี้ไม่โมฆะ ไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน ทำได้ผลประโยชน์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน พ่อครูอนุญาตหรือห้ามสร้างรูปเหมือนพ่อครู
_ใหม่เสมอ ...พ่อครูได้สร้าง พระพุทธรูป 3 ปาง และก็มีหยาดน้ำใจ ก็มีล็อคเก็ต ถามว่า ถ้าหลังจากที่พ่อท่านได้สิ้นบุญไปแล้ว พ่อท่านมรณภาพไปแล้วพ่อท่านจะอนุญาตให้พ่อท่านสร้างสิ่งใดไม่สร้างสิ่งใด พ่อท่านมีแนวคิดจะให้สร้างแบบใด
พ่อครูว่า...อาตมาสิ้นบุญแล้ว ประกาศไปตั้งนาน อาตมาเป็นอรหันต์ไม่มีบุญไม่มีบาป แต่ยังไม่ตาย อาตมาตายไปแล้วก็ไม่ทราบได้
1. อาตมาเคยคิดเหมือนกัน เราตายไปแล้ว เขาจะสร้างหรือไม่สร้างอะไรแล้วคิดว่าเขาสร้างจะดีไหม หรือเขาไม่สร้างจะดีกว่า ก็เคยคิดนะ อาตมาก็ว่า ห้ามคนสร้างอะไรไม่ได้แล้ว
2. ถ้าเขาสร้างก็ยังมีที่ยึด อาตมาว่า ถ้าไปห้ามไม่ให้เขาสร้าง เขาก็ไม่มีที่ยึด แล้วก็คงห้ามไม่อยู่ อย่างน้อยก็แอบทำ หรืออาจเลี่ยงไปว่า มาดามทุสโซ่ สร้างหุ่นขี้ผึ้ง มันห้ามยาก เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามทุกวันนี้ถึงเยอะแยะ อิสลามเขามีบัญญัติว่าห้ามสร้างเลยนะ
ก็มีแนวคิดว่า อย่าไปหลงรูปแทนสิ่งแทนว่าเป็นเรื่องมีอิทธิฤทธิ์มีปาฏิหาริย์ มีอะไรที่เป็นเรื่อง magical ต่างๆ เรื่องเพ้อพกไม่เข้าเรื่อง อย่าไปใช้เป็นที่อาศัยเป็นที่พึ่ง เหมือนกับเรา สร้างรูปปั้นของหมอฟากฟ้าหนึ่งไว้ ก็ไม่เห็นว่าพวกเราไปเคารพอย่างขลังๆก็ไม่มี ก็เป็นที่เคารพอย่างนั้น อาตมายังไม่ตายก็สร้างแล้ว หุ่นอาตมา
_คนที่มาปฏิบัติธรรมผมเห็นมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกมีความพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะการเงินไม่เคยผิดหวังอะไร เมื่อฟังพ่อครูพบว่าทางนี้มีประโยชน์จึงมาปฏิบัติธรรม
กลุ่มที่ 2 เป็นพวกผิดหวังทางโลกหนักหนาสาหัสเจอวิบากกรรมมากมายมีทุกข์แสนสาหัสแล้วเข้ามาปฏิบัติธรรม
คนสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันทางรูปธรรม แต่ทางจิตวิญญาณแตกต่างกันไหม กลุ่มคนไหนมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่ากัน
พ่อครูว่า...เราไปกำหนดไม่ได้หรอก จะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ว่าใครจะบรรลุธรรมเร็วกว่ากันมากกว่ากันไม่ได้หรอก มันอยู่ที่บุคคล
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ทำไมพ่อครูกล้าแสดงธรรมผ่ากิเลสคน
_ทองแก้ว..ฟังธรรม ช่วงทำวัตรเช้า เขาจะเปิดเทปเก่าๆ สมัยก่อนเขาจะนั่งหลับตากันเยอะ แต่พ่อครูกล้าชี้ว่านั่งหลับตาไม่บรรลุธรรม อันนี้อันที่ 1
อันที่ 2 หากฟังย้อนธรรมะเก่าๆ พ่อครูจะเทศน์เหมือนกันแต่ว่าตอนนี้ขยายอย่างเช่นธรรมะ 2 ตอนโน้นไม่มี
พ่อครูว่า...อันที่ 1 ทำไมกล้า เพราะมันเป็นความจริงและเป็นความถูกต้องด้วย อาตมาจะปล่อยให้คนผิดอยู่อย่างนั้นหรือ มันก็ไม่เข้าท่า สงสารเขา งมงายกันอยู่อย่างนั้น พยายามพูดแล้วพูดอีก พูดอีกพูดแล้ว จะต้องพูดอีกเพราะว่าเขาหลงยึดมั่นถือมั่น ด้วยความไม่ฉลาดพอไม่มีความรู้พอ อาตมาพูดไปก็มีคนที่ฉลาดพอ บางคนต้องพูดแรงต้องพูดนานพูดแรงพูดมากถึงฉลาดกระเตื้องขึ้น ส่วนคนที่ยึดมั่นถือมั่นและมีกิเลสไม่ชอบใจ ถูกกระทบถูกว่าเขาก็ตีทิ้งเลย ก็ทำอย่างไรได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ สัจจะความจริงก็ยังเกิดในคน 3 แบบ
1. ฟังแล้วอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากหมายความว่าตายเลย
2. ฟังแล้วขอลาสิกขาไปเลย
3. ฟังแล้วบรรลุอรหันต์เลย
เป็นความจริง 3 แบบ นอกนั้นก็มีมากมีน้อยบางคนก็ไม่ถึงอรหันต์ได้บรรลุไปตามลำดับ พระพุทธเจ้าท่านพูดอยู่ 3 หลักใหญ่ บางคนก็ไม่สึกทีเดียว อาจทนอยู่พอสมควร บางคนก็ไม่ตายทีเดียว เจ็บใจอยู่
ที่ตายเพราะช็อคเลย ยึดจัด ถูกหักอย่างแรง สำหรับอาตมา พูดให้ตายก็ไม่โลหิตร้อนออกจากปากหรอก บรรลุอรหันต์ก็ไม่ได้หรอก
ถามว่าทำไมกล้าเพราะเป็นความจริงและเป็นความเข้าใจผิดที่ต้องทำให้ถูก ก็ต้องทำสิ่งอันนี้แหละเป็นสัจจะที่อาตมาต้องทำ ทำไมอาตมากล้า จะไปกลัวทำไมในเมื่อพูดความจริงพูดความถูกต้อง คนที่พูดความไม่จริงนี่สิทำไมมันกล้าถามเขาสิ อาตมาพูดความจริงแล้วจะไปด้อยกว่าคนโง่คนไม่เข้าท่าอย่างนั้นได้อย่างไร
ทองแก้ว..ทำไมไม่เทศน์ให้คนมาเยอะๆ
พ่อครูว่า...เราไม่ต้องการคนเยอะๆเราต้องการคนจริง อาตมาพูดนี้เป็นสิ่งที่อาตมาเลือกเฟ้นไว้แล้วในตัว อาตมาไม่ต้องการคนไม่เข้าท่า ขนาดคนที่ตั้งใจมาจริงๆยังยากเลย อาตมาจะหาเรื่องยากใส่ตัวทำไมขนาดนี้ยังยากแล้ว อาตมาฉลาดนะไม่ใช่โง่เหมือนคุณ
_ทองแก้ว..เมื่อก่อนพ่อครูเทศน์ธรรมะไม่เหมือนกับตอนนี้พวกนิรุตติภาษาจะมีมากกว่า ฟังแล้วเข้าใจง่ายเมื่อก่อนจะเข้าใจยาก ตอนนี้มันพริ้วสละสลวยเข้าใจง่าย
พ่อครูว่า ค่อยๆทยอยเอาออกมา ค่อยๆดึงสภาวะและบัญญัติภาษาที่ค่อยๆขึ้นมาไม่ใช่ว่า พรึ่บมาทีเดียว
อาตมามีสิ่งที่ได้สัมผัส หรืออ่านหนังสืออ่านพระไตรปิฎกก็ทำให้มีเหตุปัจจัยข้อมูลหลักฐานมีภาษาบัญญัติ มาอธิบายได้
ดีที่ฟังได้ และขอให้บรรลุอรหันต์ไวๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อยู่กับคนหลากจริตได้อย่างไม่ทุกข์
_ดิฉันเป็นครูสังกัดโรงเรียนในกทม.แห่งหนึ่ง ที่โรงเรียนมีเพื่อนครูหลากหลายจริตนิสัยมีทั้งช่างพูดคุยใจกว่า โอบอ้อมอารี ปากจัดชอบนินทาว่าร้าย ฯลฯ อยู่คนหนึ่งชอบหาเรื่องหาราวไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งนักการภารโรง ขอพ่อครูกรุณาแนะนำวิธีการอยู่ร่วมกับเขาด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...คุณก็อยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว คุณอย่าไปทะเลาะกับเขาก็แล้วกัน คุณเข้าใจเขานั้นดีแล้ว รู้ว่าเขาคนนี้เป็นคนอย่างนี้ เราไปบังคับคนที่เขาจะเป็นอย่างนี้คุณบังคับได้ไหม ก็ไม่ได้ ให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ไหม ก็ไม่ได้ คุณจะอยู่ตรงนั้นก็อยู่กันคุณเข้าใจเขาให้ได้ เมื่อเข้าใจเขาให้ได้เขาก็เป็นเช่นนี้แหละ ตถตา เมื่อเราเข้าใจเขาเป็นเช่นนี้ก็จะไม่สงสัยไม่ขัดข้อง ก็เขาเป็นอย่างนี้ คุณก็สบายใจแล้ว คุณทำให้เป็นอย่างที่อาตมาว่านี้ก็แล้วกัน
พระอรหันต์จะรู้ว่าคนนี้เขาเป็นอย่างนี้ๆ แม้จะคบกันใหม่ๆว่าคนอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ถาวรหรือจะเป็นอย่างนี้ไม่ถาวรก็จะรู้ ก็รู้ความจริงตามความจริงแล้วรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันก็มีความแตกต่างกันไป
ผู้ที่สำเร็จ Unity of diversity ทุกอย่างมันก็คือสิ่งที่หลากหลาย ไดเวอร์ซิตี้ แล้วก็จบคือ Unity of diversity เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็หลากหลายแตกต่าง คุณก็เข้าใจสิ่งนั้นตามนั้นแล้วพูดกับเขาให้ได้เป็นประโยชน์ตรงกับที่เขาควรจะได้พูดกับเรา อย่างเป็นมิตรอย่างเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์แก่กันและกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อุทิศส่วนกุศลไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
_การอุทิศส่วนกุศลซึ่งทำไม่ได้จริง ต่างหรือเหมือนกับการแผ่เมตตา ที่เปิดตอนเที่ยงวันสันติภาพ
พ่อครูว่า...มันเพี้ยนไม่ค่อยตรงทำความหมายจริงเท่าไหร่ อุทิศแปลว่าเจตนา อุทิศไม่ได้หมายความว่าให้นะ อุทิศไม่ได้แปลว่าให้ อุทิศแปลว่าเจตนาจงใจ จงใจจะให้เกิดกุศลคืออุทิศส่วนกุศล
คำว่าส่วนกุศล อาตมาก็ไม่รู้ว่า อุทิศส่วนกุศลมันมีในศาสนาพุทธหรือเปล่า แต่ศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยม เขาก็มีการส่งให้ผู้ที่เป็นวิญญาณที่ยังไม่ตาย แต่ศาสนาพุทธมันไม่มี อุทิศส่วนกุศล ภาพแปลอุทิศว่าเจตนา แต่ว่าส่งไปให้ถึง ถ้าไปแปลอย่างเบี้ยวบาลีมันไม่มีหรอกในศาสนาพุทธ แต่ถ้าถูกต้องตามบัญญัติภาษา อุทิศแปลว่าเจตนาให้เกิดกุศล อุทิศส่วนกุศลจะเกิดกุศลส่วนน้อยส่วนกลางส่วนมากก็แล้วแต่ ถ้าอย่างนี้ทำได้ แล้วก็ทำกับคนเป็นๆ ศาสนาพุทธไม่ได้ทำกับคนที่ตายไปแล้ว คนตายแล้วไปอุทิศก็แปลผิดว่าส่งไปให้ เจตนาจะให้ถึง อุทิศแปลว่าเจตนาจะให้ถึง เอากุศลนี้แบ่งไป ถ้าบอกว่ากุศลแบ่งกันได้ก็เป็นการค้านแย้งกับพระพุทธเจ้าที่บอกว่ากรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม การทำกุศลของคนไหนก็คนนั้นแล้วจะไปแบ่งให้คนนั้นคนนี้ ก็เป็นการขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า ทำไมทำคำสอนพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยน ใครแบ่งกุศลให้คนอื่นได้คนนี้ไม่เข้าใจศาสนาพุทธและคนนี้กำลังทำบาป เพราะทำให้ศาสนาพุทธเพี้ยนผิด
ต่างหรือเหมือนกับการแผ่เมตตา ที่เปิดตอนเที่ยงวันสันติภาพ
คำว่าแผ่เมตตา ถ้าหากเข้าใจว่า เมตตาจริงๆแปลว่าจิตของใครก็แล้วแต่สัมผัสอันนี้แล้วเห็นแล้วก็น่าสงสาร น่าจะช่วยเหลือเรียกว่าเมตตา เสร็จแล้วคุณก็ลงมือช่วยเหลือเรียกว่ากรุณา ช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเป็นสุขตามควรได้แล้ว จบเสร็จ มุทิตา ยินดีด้วยที่เขาพ้นทุกข์ แล้วก็วางใจ นี่คือพรหมวิหาร 4 แต่เดี๋ยวนี้อธิบายเลอะ อธิบายเป็นภพชาติไปหมด
ของพระพุทธเจ้าคือการกระทำที่ช่วยเหลือกัน พรหมคือการช่วยเหลือการช่วยเหลือมนุษยชาติ เราสัมผัสกับคนนี้แล้วเห็นว่าเขาเป็นทุกข์เราก็คิดว่าจะช่วยเขาต้องการให้เขาเป็นสุขก็อันเดียวกัน แต่เขาแปลเมตตาว่า ต้องการให้เขาเป็นสุข กรุณาคือต้องการให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตาคือวางเฉย
อุทิศส่วนกุศลนั้นเขาเข้าใจผิดเพี้ยนไปเยอะแยะ ส่วนแผ่เมตตาก็อีกอย่าง
หากเห็นเขาเป็นทุกข์ต้องการให้เขาเป็นสุmข หรือกรุณาคือลงมือช่วย แล้วก็วางใจ นี่คือ พรหมวิหาร 4 แต่ไปใช้คำว่าแผ่เมตตาคลุมไปหมด ต่างจากอุทิศส่วนกุศลไปให้ มันเป็นความหยาบใหญ่เป็นก้อนเป็นแท่ง ก็มีสิ่งที่ต่างในรายละเอียดอย่างนี้
_ละออง วันนู..พ่อท่านพยายามจะอายุยืนยาว พ่อท่านใช้พลังงานอะไร ใช้พลังงานพิเศษอะไรที่นอกเหนือจาก 8 อ
พ่อครูว่า..ใน 8 อ.นี้
อย่างเมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์พ้นสุข กรุณาก็ลงมือทำ ก็มันอยู่ที่ทุกข์หรือสุข เสร็จแล้วก็ช่วยเขาได้สำเร็จแล้วก็อุเบกขาไม่ยึดมั่นถือมั่น สาเปกโขหรือเป็นวิมานก็จบ ส่วนเขาจะมีกตัญญูกตเวทีหรือไม่ก็เรื่องของเขาเราไม่ทวงบุญคุณ เขามีความกตัญญูกตเวทีก็เป็นความดีงามของเขาเท่านั้นเอง
ที่ถามมาว่า แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลมันก็เป็นก้อนใหญ่หน่อยสำหรับกุศล เท่านั้นเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน พ่อครูต่ออายุได้อย่างไร
_พ่อท่านรู้สึกตัวไหมว่าต่ออายุได้
พ่อครูว่า...อาตมาว่าได้อธิบายมาตามลำดับ อาตมาใช้คำว่า สัมประสิทธิ์ Coefficient เป็นพลังงานทางจิต จนอาตมาสร้างสูตรเอง E=C(mc2+A) ก็ขยายความหมายจนเมื่อยแล้ว ไม่เป็นประโยชน์อะไรมากเพราะมันยาก คนไปฟังย้อนก็จะเข้าใจได้ทีหลัง
การสร้าง พลังงานให้เกิดสัมประสิทธิ์มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตเลย ทางโลกเขาก็สร้างได้ พลังงานสัมประสิทธิ์นี้เป็นพลังงานตัวแปร ซึ่งสามารถทำให้เกิดพลังงานก้าวหน้าเติมทศนิยมของพลังงาน คุณสามารถรู้จักพลังงานทางจิตคุณจะทำได้
อย่างอาตมานี่อาตมาไม่ได้ทำเล่นไม่ได้พูดเล่น อาตมาพูดจริงทำจริงจึงจะพิสูจน์จริงให้เห็นเลยสัมผัสเลย อาตมาจะต่ออายุขัยไป ถ้าหากว่าจะมาพยายามทำอันนี้แล้ว อาตมาตั้งใจจริงๆว่า ถ้าสามารถอายุยืนยาวไปถึงร้อยปีอาตมาว่าคนเชื่อได้
ถ้าอาตมาอายุถึงร้อยปีก็จะไม่เหมือนคนที่นั่งวิลแชร์นั่งรถเข็น อาตมาก็จะเดินเหินคล่องแคล่ว จะเป็นการพิสูจน์ยืนยันว่า สร้างพลังงานจิตให้มีการต่ออายุยืนยาวได้
_อันนั้น พ่อท่านสร้างพลังงานนั้นได้เองแต่ลูกๆหลานๆหากจะมีอายุยืนยาวเหมือนพ่อท่าน จะต้องทำอย่างไรบ้าง มันก็ยังมีกิเลสยังลดไม่หมดแต่มันก็ต้องยากขึ้น
พ่อครูว่า...ต้องสร้างเองแล้วฟื้นอายุไขได้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ว่าเราจะมีอายุเกินกว่ากัปได้
ก็ค่อยๆฝึกไปตามลำดับ จะได้บ้างแม้จะได้บ้าง คุณยกให้อาตมาว่าไม่มีกิเลสแล้วก็ทำได้ถูก แม้คุณจะมีกิเลสยังเหลืออยู่ก็ทำได้ตามความสามารถ
_มันจะมีอีกศาสตร์ว่า ใช้การหายใจควบคุมเซลล์ในร่างกาย ให้เหมือนกับหยุดไว้ อ่อนเยาว์
พ่อครูว่า...วิทยาศาสตร์บอกว่าเอาไปแช่แข็งให้ยาว มันก็ยืดความสปาร์คไปได้เรื่อยๆ หากไม่สปาร์คก็สูญเสียน้อย
การใช้วิธีสมถะมันก็หยุดปรุงแต่งก็จะได้ คนที่นั่งสมาธิส่วนใหญ่อายุยาวทั้งนั้น อายุยาวและกระดูกเป็นพระธาตุด้วย แคลเซียมมันจะจับตัวเย็นมันจะแข็ง
สื่อธรรมะพ่อครู(ตัณหา 3) ตอน แม้คาดหวังเรื่องดีก็อย่ามีสาเปกโข
_สาเปกโขคือเรื่องที่ไม่ดีมีกิเลส แม้คาดหวังเรื่องดี
พ่อครูว่า..สาเปกโข มันรู้ได้ยาก คุณอย่าไปคิดว่าภพชาตินี้ มันเป็นเรื่องน่าสร้างหากคุณคิดว่าทำอันนี้เพื่อชาติหน้าชัดๆสาเปกโข อย่าทำ หากเข้าใจได้ชัดก็อย่าให้มันมีภพชาติ การปฏิบัติธรรมของคุณจะไม่ตอบภพชาติไปอีกเลย มันจะย่นๆชีวิตของคุณมันจะเป็นอรหันต์ด้วยเร็ว
เรื่องดีเรื่องชั่วก็เป็นภพชาติศาสนาพุทธหมดภพชาติ อย่าไปต่อภพชาติ ถ้าคุณเองเป็นอย่างอาตมาอาตมาต่อภพชาติ เพราะว่าอาตมาไม่ได้เดือดร้อนกับภพชาติ อาตมาจะจบภพจบชาติได้แล้ว แต่ต่อมายังไม่จบภพจบชาติตามฐานอาศัยเท่านั้นเอง แต่ว่าจิตของอาตมาจบภพจบชาติได้ ภพชาติของอาตมาไม่เกิดในจิตแล้ว อันนี้เป็นฐานพระโพธิสัตว์ทำได้ แต่คุณยังทำไม่ได้คุณก็อย่าไปต่อภพชาติ พยายามหยุดจะให้มันเกิดภพชาติ ถึงไม่มี สาเปกโข
_หากเอาตัวอยู่กับปัจจุบันมาตัด สาเปกโขได้ไหม
พ่อครูว่า...คุณต้องทำอย่าให้มันเกิดสาเปกโข อย่าให้เกิดเป็นภพชาติในจิต คุณต้องทำใจในใจมนสิการ ทำใจในใจของคุณเป็น ทำให้มันเกิดต่อภพชาติไม่ให้มีสันตติ
เช่น พระพุทธเจ้าสอนในทางสูตรว่า อย่าไปมีสาเปกโขในทาน ถึงจะไม่มีสวรรค์ 6 ชั้น หากคุณทานให้ของเขา คุณก็ให้ไปแล้ว จิตของคุณก็จบ อย่าไปคิดว่าคุณจะต้องได้อันโน้นอันนี้ อยากได้อันนั้นต่อ อยากได้การตอบแทนต่อ อยากให้เขามาตอบแทน คุณไม่สร้างแล้วจิตของคุณก็ไม่มีสาเปกโข จิตของคุณก็จบ แล้วจะเป็นอานิสงส์สูงด้วยเป็นอรหันต์ได้เร็ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ตัณหา 3) ตอน ภวตัณหาวิภวตัณหา ต่างกันอย่างไร
_ต่างกันอย่างไรกับภวตัณหาวิภวตัณหา
พ่อครูว่า..วิภวตัณหาก็แปลว่าไม่มีภพ ไม่สาเปกโข แต่ว่าเขาอธิบายตัณหา 3 อย่างนี้เป็นภพชาติหมด ความจริงแล้วในโลกียมันมีแค่กามตัณหา กับภวตัณหา แต่วิภวตัณหาคือไม่มีภพทั้งกามและภวภพ แต่เขาไปแปลว่า อันหนึ่งอยากได้อันหนึ่งไม่อยากได้ หากมีจิตอยากได้ ก็มีธรรมะ 2 อยู่
แต่ที่จริงคุณเข้าใจธรรมะ 1 ไม่ได้ ทำให้ไม่มีอย่างเป็นลำดับ ทำให้ไม่มีกามภพก่อนแล้วทำให้ไม่มีภวภพ วิภวตัณหาคือตัณหาของพระอาริยะ ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ต้องการทำงาน อยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า อย่างเช่นพระพุทธเจ้าอยากทำศาสนาให้ครบก่อน มารมาอาราธนาให้ตาย บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้วตายสิ พระพุทธเจ้าก็บอกกับมารว่า ยัง จะต้องสร้างศาสนาจนกระทั่งมีความตั้งมั่นเสียก่อน พุทธบริษัท 4 มีครบและสามารถปรับปวาทะได้ นี่เป็นความต้องการสร้างศาสนา อาตมาก็พูดว่าอาตมาทำอยู่ทุกวันนี้ไม่มีกิเลส อาตมาสบายใจที่ได้เปิดเผย อาตมาพูดไทยชัดเจนเลยไม่ต้องไปยึกยักลำบากอย่างมังกุไม่ต้องกั๊กตรงไหนสบม.มดม.ปกต.หห.จจ.
ที่อาตมาประกาศอรหันต์ก็สบายมากเลย ถ้าไม่ประกาศพวกคุณก็ยึกยักอยู่อย่างนั้น อย่างนี้ไม่ต้องติดขัดอะไรเลย ส่วนคนที่ติดใจบอกว่าคนประกาศเป็นอรหันต์คือคนไม่เป็นอรหันต์ คนบรรลุคือคนที่ไม่สามารถบอกได้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่สอนอย่างนี้ อย่างใน โลหิจสูตรว่า ใครที่บรรลุแล้ว บอกใครไม่ได้ คนนี้มีคติสองทางคือนรกหรือสัตว์เดรัจฉาน
วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพแล้ว เป็นตัณหาของพระอรหันต์เป็นตัณหาของพระพุทธเจ้าเป็นตัณหาอุดมการณ์
บางคนบอกว่าถ้าอยากได้นิพพานก็เป็นตัณหาแล้ว..อย่างนี้จะไปทำอะไรได้ก็เด๋อๆ ก็ต้องเอาพระไตรปิฎกเป็นที่พึ่งยืนยันไว้
ลมระริน_ร่างกายคนเราจะมีพลังงานชนิดหนึ่ง สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเช่นต่อกระดูกได้ ร่างกายคนเรามีพลังงานพิเศษอย่างนั้นหรือไม่
พ่อครูว่า..ได้ คนเราฝึกเข้าไปก็สามารถที่จะทำให้จิตของเรา มีความสามารถนั้นขึ้นมาได้จริง ตามแต่ละบุคคลที่มีบารมี แล้วมันจะช่วย ช่วยได้ จิตนี้เป็นพลังงาน เพราะฉะนั้นผู้สามารถทำจิตในจิต โยนิโสมนสิการทำจิตของตนเองให้เป็นเช่นนั้นได้ ซึ่งมันยากไม่ง่ายแต่ได้
_ทอธรรม (อาภรณ์ วิชัยดิษฐ ) ดิฉัน เชื่อมั่นพลังจิต ดิฉันคิดว่า 100 ปีพ่อท่านไปได้แน่นอน ดิฉันทดลองกับตัวเองไปเรียนชี่กง ไปดูงาน เราเชื่อว่าพลังจิตมีจริง ชี่กง มีพลังจิต รักษาตนเองได้ ดิฉันทดลอง ไปบ้านราชฯ 6 7 8 ดิฉันไอเป็นเลือด ลูกบอกว่าห้ามไป แต่ดิฉันก็ต้องไป แต่ไปที่โน่นก็มีพลังดีนะ ไม่เห็นจะเจ็บป่วยอะไรเลย ไปดูที่เปียปั้น รูปอาริยบุคคล 4 ก็รู้สึกชื่นชม ดิฉันอยู่คลอง 13 ทเวธัมมา นี้ คือโลกียะกับโลกุตระใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ด้วย ทุกอย่างเลยในมหาจักรวาลนี้คือธรรมะ 2 ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็ทะลุแล้ว สรุปเรื่องนี้ให้ฟัง จริงๆแล้ว ใครเข้าใจคำว่าเทวะ บาลีคือ เทวฺ หากใครเข้าใจตรงนี้แล้วตีแตกจบเลย ศาสนาพุทธตีเทวะแตก ทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็น 0 ได้จึงจบเลยในเอกภพบรรลุธรรมในความเป็นจิตวิญญาณ ส่วนศาสนาเทวนิยมที่มีพระเจ้าเขาตีไม่แตกแยกไม่ออก และก็ไม่ยอมรับคำสอนศาสนาพุทธ เขาก็เลยจมอยู่กับคำสอนของเทวนิยมตามที่พระเจ้าสอน บอกว่าให้ต้องเชื่อพระเจ้าก็จมอยู่กับพระเจ้า เทวะมีสองก็จมกับสอง คนโง่มากกว่าคนฉลาดเทวนิยมซึ่งมีจำนวนคนนับถือเยอะแยะมากมายเป็นฐาน
ในยุคนี้โลกและสังคมเปลี่ยนแปลง ดิฉันอยากจะตั้งว่าจะอยู่อีก 15 ปีอายุ 97 แต่ว่าก็จะตั้งจิตและพากเพียร
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน ประมาณการทำงานอย่างไรให้เกิดสัมประสิทธิ์
_ส.ลานศิลป์ ใน 8 อ.นี้ มีเวทนาและมีสัมประสิทธิ์ ผมเชื่อว่าพ่อครู มีพลังจิตสูงมาก แต่ยังสงสัยว่ามีสิ่งที่จะขัดกันหรือไม่กับการต่ออายุ เห็นพ่อครูทำอะไรแล้วขวนขวายมากต้องจ่ายพลังงานเยอะ เช่นเรื่องการเขียนหนังสือก็ทุ่มเทจนสุดชีวิต แล้วมันจะขัดกันหรือไม่กับเรื่องของ 8 อ.มันมีการจ่ายเกินไปไหม มีบ้างไหมที่ประมาณพลาดเรื่องจิตกับร่างกาย
พ่อครูว่า..อารมณ์คือเวทนา รวมทั้งรูปและนามใน 8 อ.นี้ หากทำ สัมประสิทธิ์ได้
คุณพูดถูกแล้วแต่คุณงงเอง ผมสร้าง สัมประสิทธิ์เพิ่มขึ้นด้วย ผมจ่ายได้มากเพราะว่าสร้างได้เพิ่มเป็นปฏิภาคทวี ถ้าหากผมไม่ทำสิ มันก็ไม่ไป ป่านนี้ก็หมอบแล้ว หากจ่ายเกินทำเกินก็ป้อแป้ คุณเห็นผมอ่อนแอลงหรือไง แสดงว่าผมไม่ได้ทำเกิน ยังสามารถทำสัมประสิทธิ์ให้มีทศนิยมก้าวหน้าขึ้นได้ คุณว่าผมจ่ายเยอะ แต่มันต้องมีพลังงานสัมประสิทธิ์ที่ผมสร้างขึ้นมันต้องเกินต้องพอเพียงที่ผมจะใช้มันต้องก้าวหน้าขึ้นด้วย
เราต้องรู้ว่าสมดุลขนาดไหน และก็ดีมีผู้แวดล้อมคอยช่วย ตรงนี้ไปมากินนอนตื่นก็ช่วยกัน
มีบ้างไหมที่ประมาณพลาดเรื่องจิตกับร่างกาย
มันก็ไม่ได้พลาดถึงสูญเสียตกหลุมตกบ่อก็อาจมีนิดหน่อยไม่ถือว่าเสียแล้ว ขนาดนี้ถือว่าเก่งพอสมควรแล้ว
พวกเรานี้ได้รับการศึกษาได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่ธรรมดานะ ไม่มีที่ไหนเขาเรียนถึงขนาดนี้หรอก ในวงการศาสนาพุทธ มันแย่เต็มทีเพี้ยนเหลวใหลไม่มีผลของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระแต่ไปทำให้เป็นโลกียธรรม แล้วแย่กว่าศาสนาโลกียะอื่นอีกทั้งเดรัจฉานวิชาและไสยศาสตร์ ศาสนาอิสลามก็ยังไม่มีเท่านี้เลย เขาเคร่งกว่าเยอะ แต่พุทธทุกวันนี้เหลวไหลทำให้อาตมายิ่งสงสารศาสนามาก ก็เลยต้องพากเพียรอยู่อย่าเพิ่งรีบตาย
แต่ก่อนนี้อาตมาพยายามทำงานเพื่ออธิบายสิ่งที่ถูกต้องเพิ่มเติม ทั้งด้านเถรสมาคมเขาหลงตัวว่าเขาถูกต้อง ก็ซัดอาตมาจะตีให้แตกหาว่าอาตมาทำลายศาสนา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาทำผิดหรอก เขามีภูมิเช่นนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าเขาโง่ เขาไม่เข้าใจความจริง ไปยึดสิ่งผิด อาตมาก็ไปแก้ไขสิ่งที่ถูก เขาก็ต้องรักษาสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
มันแสดงความจริงว่าอาตมามาแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ถ้าเขาไม่แย้งก็ไม่ใช่ หากอาตมาว่าจะมาแก้แล้วเขาก็เปลี่ยนได้เลยก็แปลว่าไม่ต้องแก้ แต่นี่เขาแสดงออกมาชัดว่าเขาผิด จนป่านนี้ 40 กว่าปีแล้ว ก็มีแย้งแต่ส่วนตัวบ้าง แต่จะจับกลุ่มมาจัดการอาตมาไม่มีแล้ว อาตมามีความมั่นคงแล้ว มีทั้งนอกทั้งใน ต่างประเทศก็รู้นะ เดี๋ยวนี้สื่อสารมวลชนมันก็เก่งด้วย พูดเป็นภาษาไทยมันสามารถแปลเป็นภาษาอื่นได้เลยทันที
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน ความแตกต่างระหว่างวิภวตัณหากับสัมประสิทธิ์
_ส.แม่นใจมั่น...วิภวตัณหากับสัมประสิทธิ์ตรงไหนมาก่อน
พ่อครูว่า...สัมประสิทธิ์ คือเราเข้าใจแล้วจะทำพลังงานจิตของเราให้มีพลังเสริมที่จะมีอิทธิบาทมีความไม่ท้อแท้ มีพลังงานที่มันยินดี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาไปเรื่อย เป็นการสร้างทศนิยมของพลังงาน ความพากเพียรความอุตสาหะความคิดจะต้องทำกรรมกิริยาที่ดี พิจารณาตัวเองไปเรื่อย เป็นเรื่องของอิทธิบาท
ความต้องการที่จะไม่มีภพเป็นความลึกซึ้งกว่า สัมประสิทธิ์เป็นความตื้นและเป็นความง่ายกว่า ให้สร้างพลังงานจิตให้มีการก้าวหน้าเท่านั้น แต่ความเป็นวิภวตัณหาต้องรู้รอบทั้งกว้างและลึกนะ วิภวตัณหาเป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาที่ต้องการให้กามภพหมด และก็ภวภพ รูปภพ อรูปภพหมดอีก เป็นวิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพแล้วเป็นตัณหาของพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้า มีความลึกและกว้าง
หากว่าเข้าใจแล้วจะประพฤติธรรมได้สะดวก ทุกวันนี้ไม่เข้าใจแม้แต่กามตัณหา ก็เลยไปนั่งหลับหูหลับตากันอยู่อย่างนี้ เบื้องต้นต้องทำจากกามตัณหาเป็นลำดับ ถ้าไม่เป็นลำดับก็จะขลุกขลัก ยิ่งหลับตาแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องปฏิบัติแบบหลับตา ก็ผิดแล้วแบบนี้ ไม่เริ่มต้นที่กามตัณหา แต่ดับกามไปอยู่ในภพ เป็นภวตัณหาภายในเลย มันก็เลยไม่ถูกลำดับมันก็เลยไปไม่รอด
เพราะว่าเขาจะเดินทางไปเชียงใหม่ แล้วเขาก็ว่าไปลงเหวก่อนแล้วก็เพลินในถ้ำ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเชียงใหม่ ยกตัวอย่างรูปธรรม ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรไม่เป็นลำดับ
_ฟังฝน...เรื่องยืดอายุขัยโดยสัมประสิทธิ์ ในสมัยพระพุทธเจ้าได้พูดกันไหม
พ่อครูว่า...เขาใช้ภาษาว่า อยากอายุยืนยาวต้องมีสัมโพชฌงค์ ก็ไปแปลว่าสวดโพชฌงค์แล้วจะอายุยืนยาวไปอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน การไม่มีอัตตา พาให้อายุยืนยาวได้
_งานปีใหม่จะเป็นงานเพื่อฟ้าดิน จะมี ว.บบบ.ไหม
พ่อครูว่า..ไม่มีตอนนี้อาตมาวางมือไปหลายอย่าง ทุกวันนี้อาตมากำลังทำตัวเป็นบังอร เอาแต่นอน อาตมาก็นึกถึงตัวเองสะดุดอยู่อย่างหนึ่ง
มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาเคยไปอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณ อาตมาก็เห็นโยมพ่อท่านซาบซึ้ง พอตกบ่ายก็นอนๆ อาตมาก็ว่าทำไมต้องนอนตอนนั้นโยมพ่อ ท่านก็ 70-80 แล้วก็สะดุด แต่พอมาถึงตอนนี้ อายุ 80 กว่าแล้วก็ต้องนอนพักให้สมดุลถ้าไม่อย่างนั้นตายเร็ว เพราะสังขารร่างกายต้องเสื่อมไปตามธรรมชาติ ก็ต้องใช้ตรงนี้ให้สมดุล มันจะฝืนให้แข็งแรงอย่างไรอาตมาก็ว่าทำได้ดีนะ แต่เขาให้พักให้พอเพียรให้พอให้สมดุล เราไม่พักเราไม่เพียร จึงจะข้ามโอฆะสงสารได้
อาตมาก็ถึงได้เห็นว่า เป็นสิ่งลึกซึ้ง อาตมาอยากให้อายุยืนยาวจึงต้องให้เขาควบคุมตื่นการนอนอาหารการกินการไปกันมา ก็จะช่วยให้เราต่ออายุได้ พวกนี้เป็นสัมประสิทธิ์
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน การปฏิบัติตามลำดับเป็นอรหันต์ได้ในขณะมีชีวิต
_ใหม่เสมอ...ศาสนามีสองรูปแบบคือ เทวนิยมกับอเทวนิยมแต่ตอนนี้มีพวกที่ไม่นับถือศาสนาใด เพียงแต่ทำตามกฎหมายเท่านั้นก็พอ นี่คือแนวโน้มใหม่ของสังคมโลก
พ่อครูว่า...ก็เห็นว่า คนพวกนี้มี 2 แบบ แบบหนึ่งโง่ดักดาน อีกแบบหนึ่งคือเห็นใจเขาเหมือนกัน เพราะว่าเขาเอง ศาสนาไหนก็ดูเหมือนบกพร่องทั้งนั้น มันก็จริงด้วย ก็เขาก็เลยพึ่งพาตัวเองดีกว่า อันหนึ่งเป็นความโง่เป็นมานะอัตตายิ่งใหญ่กว่าพระเจ้ายิ่งกว่าศาสนาอะไรก็แล้วแต่ เทวนิยมอเทวนิยมกูไม่เอาเลยจะใหญ่ไปถึงไหนคนพวกนี้ ก็มี 2 อย่างเท่านั้น
เพราะฉะนั้นคนเราเกิดมา ตัวเองไม่ได้เป็นศาสดาตัวเองก็จะต้องมีฐานที่พึ่ง จะเทวนิยมหรืออเทวนิยมก็ตาม เทวนิยมแม้โลกีย์เขาก็พัฒนาให้เรามีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ดีก็คือทำตามกฎหมาย กฎหมายเป็นของโลกที่บัญญัติเปลี่ยนไปตามภูมิประเทศตามสังคมตามวัฒนธรรม แต่ธรรมะนั้นเป็นของกว้างของลึก โลกียะก็เป็นศาสดามีวิธีการ มีความรู้ขั้นตอนของอะไรต่ออะไรสูงต่ำ ดีชั่วต่างๆ ก็ทั้งบัญญัติมาให้ปฏิบัติ แต่เทวนิยมต้องปฏิบัติตามพระเจ้าสั่ง เขาไม่มีความจบของตัวเองไม่สามารถที่จะล้างความคิด หรือธาตุจิตวิญญาณ จิตของเขาจึงเป็นนิรันดรเขาจึงไม่มีนิพพาน เพราะเขาอยู่ในวงเวียนของธาตุจิต อัตตา อาตมันนิรันดร อย่างเก่งเขาตีไม่แตกตรงสวรรค์นรก แต่เขาก็มีปฏิภาณที่จะเอาสวรรค์ไม่เอานรก มันเป็นเรื่องทุกข์เป็นเรื่องไม่ดี แต่คนเราก็ต้องเป็นไปตามกรรม คุณทำชั่วก็ต้องลงนรกอันนั้นเป็นโลกีย์ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นสูงกว่าอันนี้ จึงเรียกว่าเป็นศาสนาที่เกินโลกีย์ที่จะคิดเลย คือมันไม่มีทั้งสวรรค์ไม่มีนรก มันจบหมดเลยแล้วมันล้างความเป็นเทวะ 0 เลยด้วย หมดเลย
อัตภาพของคุณเป็นอุตุไปเลย อรหันต์หากปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็ไม่มีอัตตาไปอีกนิรันดร ส่วนของเทวนิยมมีอัตตานิรันดร
พวกไม่นับถือศาสนาก็มี 2 พวกคือพวกอวดเก่งอวดดี กับอีกพวกหนึ่งไม่รู้จะนับถือไปทำไม
พุทธตีแตกเทวะตีแตกจิต ตีแตกเวทนา 108 แบ่งเห็นเคหสิตะ เนกขัมมะ ให้จิตเป็นอรหันต์สมบูรณ์ตอนเป็นๆตายแล้วจะสลายอัตภาพก็ได้ หรือไม่สลายก็ได้ อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์สลายได้แต่ไม่สลายจะพากเพียรเป็นบารมีอัตภาพได้สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าสัพพัญญู คนทุกวันนี้เชื่อถืออาตมามากขี้นเรื่อยๆ เพราะอาตมายืนยัน พิสูจน์ว่ามีความจริง อย่างน้อยที่สุดก็มีอายุยืนยาว แม้เขาไม่เชื่อก็จะจำนน เขาเข้าใจไม่ได้ก็จะไม่เชื่อ แต่คนที่เข้าใจได้เขาจะเชื่อเลย จะมาเอาศาสนา
อาตมายังเชื่อว่าในอนาคตจะมีคนศาสนาอื่นมาเข้าอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ความน่าอัศจรรย์ในการปฏิบัติธรรมตามลำดับ
_ปะสร้อยแก้ว...ดิฉันฝึกมาเยอะแยะมากมาย ตั้งตบะ ทฤษฎีก็ฟังเยอะแต่ไม่สามารถที่จะถึงมรรคผลได้ เพราะเราไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ ดิฉันมาจับได้ว่า ฉันตั้งตบะมา ก็หวังว่าจะได้มรรคผล ว่าจะไปเอาความสุข แต่มาทบทวนว่า ความสุขนั้นไม่ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจเป็นทุกข์ แต่เราจะไปเอาสุขมันก็ไม่ใช่ แล้วทีนี้ดิฉันก็มาจับได้ว่า กามหยาบเราทิ้งแล้ว เราก็มาเพิ่มที่กามภพ อาหารที่เราติด เราติดเรื่องกินเรื่องนอน จะเลิกได้อย่างไร ดิฉันก็มาเข้าใจว่าคนเห็นเป็นสุขมันจะรู้ทุกข์ได้อย่างไร เมื่อดิฉันจับอารมณ์ตัวนี้ได้ก็สลายตัวนี้ได้ ฟังธรรมะพ่อครู วิโมกข์ 8 รูป 24 ดิฉันไม่สงสัย แต่ดิฉันจะเข้าใจว่า ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ก็ไม่สามารถดับทุกข์ได้แน่นอน หากเขาประกาศว่ามีอาหารอร่อยเราก็ไป อย่างนี้ไม่เห็นทุกข์แน่นอน วนไปวนมาไม่รู้จะจบตรงไหน ตอนนี้ดิฉันเข้าใจอย่างนี้จะตรงกับพ่อครูสอนจบได้ไหม
พ่อครูว่า..ยังไม่ได้ คุณอ่านที่อาการของจิต ความรู้สึกหรืออารมณ์ อ่านอาการลิงค นิมิต อุเทส มันเป็นความรู้สึก มันมีอาการ ความรู้สึกอร่อย ความรู้สึกสุขทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นก้อนใหญ่ ก็อ่านแยกแยะทุกข์สุขให้ออก อ่านอารมณ์ที่เป็นเวทนา สัมผัสอะไรคุณก็จะต้องเริ่มต้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ปฏิบัติธรรมให้เป็นลำดับซึ่งมีความเป็นน่าอัศจรรย์ แต่คุณไม่ไปตามลำดับ คุณเอาเรื่องเดียวก่อนก็ได้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 3 ข้อหลัก อาตมาอธิบายข้อที่ 1 ก่อน เกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ คนก็เป็นสัตว์ แล้วสัตว์ทั้งหลายแหล่คุณอย่าไปยุ่งกับมัน ให้เขาอยู่ต่างวิบากของเขาอย่าไปยุ่ง อย่าแม้แต่จะเอามาเลี้ยงไม่ต้องไปช่วยมัน ให้มันไปตามวิบากของมันเอง ใช้วิบากของมันเองบางทีมันก็ทุกข์ ต้องได้รับวิบากทรมานก็ปล่อยมัน ไม่ใช่คนใจดำหรอก เราอย่าไปร่วมวิบากกับเขา ก็จะเป็นหนี้บุญคุณกันอีก
หนี้บุญคุณนี้ไม่ใช่เรื่องสบาย หนี้เวรกรรมนี้ก็เป็นความทุกข์ยากแน่นอน แม้หนี้บุญคุณก็ไม่ใช่เรื่องสบาย ไม่ต้องไปเพิ่มวิบากเลยไม่ต้องเป็นทางบวกทางลบ เรื่องของสัตว์อย่าไปยุ่งกับมันเลย มันก็เป็นเช่นนั้นแหละไปตามวิบาก คนนี้แหละเป็นสัตว์สำคัญที่จะต้องมาศึกษา สัมผัสกับคนนี่แหละ หลากหลายลีลา มากมาย เราก็ต้องรู้จักคนว่าเป็นจริตอย่างไรมีกรรมกิริยาอย่างไร แล้วก็สัมพันธ์กับคนต่างๆให้ได้ คุณเอาข้อ 1 นี้ก่อนให้ดี เป็นลำดับไปและคุณก็จะเข้าใจอีกเยอะ จริงๆแล้วมันก็มีแต่จิตที่มีความผลักหรือดูดเท่านั้น
ข้อที่ 2 ก็เกี่ยวกับของ มีดินน้ำไฟลมและพืชพวกนี้ไม่มีจิตวิญญาณ ท่านก็สอนว่าอย่าไปเอามาเป็นของเรา ถ้าเราสร้างเองมีเองก็เป็นสิทธิเราได้ ถ้าไม่ใช่ของเราอย่าไปละเมิดเอามาแม้จะถือวิสาสะก็ไม่เอา ให้รู้เกี่ยวข้องกับคนอื่นแล้วนะ เกี่ยวกับสัตว์เดรัจฉานอย่าไปยุ่งกับมัน สัตว์คนนี่แหละมันหวงของกูของกู อะไรเป็นกูเยอะแยะเลย เพราะฉะนั้นการจะไปเกี่ยวข้องกับตัวเขา เกี่ยวข้องกับของของเขา คนนี้แหละ คุณศึกษาอันนี้ให้ดีสัมผัสกับของของเขา สัมผัสตัวเขาสัมผัสด้วยการพูดด้วยกายกรรมอย่างไรก็แล้วแต่ คุณเรียนรู้อาการ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมพวกนี้ แล้วคุณก็จะรู้ว่ามันดูดมันผลัก จิตเรายังต้องการให้เป็นเช่นนั้นให้เป็นเช่นนี้บำเรอใจ หรือบําเรอกาม บำเรอภายนอกกับบำเรอใจ
ข้อที่ 3 สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจในกามคุณ 5 เมื่อคนสัมผัสก็เอาที่คนนี่แหละ สัตว์ไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันปล่อยไปตามวิบาก สัมผัสกับคนทางตา หู จมูก ลิ้น กายใ จก็ให้ ละกามละอัตตา
คุณทำเท่านี้ก่อนเรียนรู้ให้ดีแล้วคุณจะเข้าใจว่า อ๋อ เบื้องต้นเท่านี้ เราก็รู้รูปนาม รู้เวทนาในเวทนา รู้การบรรเทาให้ง่ายขึ้นชัดขึ้น ไม่เช่นนั้นมันจะเยอะ เพราะฉะนั้นศีล 5 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ โดยเฉพาะ 3 ข้อแรกครบแล้ว ส่วนข้อที่ 4 เป็นวาจาข้อที่ 5 เป็นจิต ก็อยู่นัย สามข้อแรก วาจาก็เกิดจากจิตเราที่ไปสั่งให้วาจา กายกรรมทำ จิตของคุณเป็นประธาน ส่วนข้อที่ 5 ก็คือคุณเอามาทำแล้วที่จิต
คุณอยากไปมีจิตอยากบรรลุธรรมให้ได้ผลแล้วจะบรรลุไปเอง จะได้เข้าใจสภาวะว่าเราก้าวหน้าอย่างไร หากเข้าใจสภาวะจิตก็จะเข้าใจว่าเราได้มรรคผลอย่างไร ฟังแล้วก็จะยิ่งเข้าใจที่อาตมาพูด แล้วคุณจะเลิกถาม แสดงว่าคุณยังปฏิบัติไม่เข้าถึงจิต ได้แต่บัญญัติรู้มากอ่านมาก อาตมาว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรอกคนจบเปรียญ 9 ปริญญาเอกเยอะ ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก หากเขาบรรลุก็จะมีหมู่กลุ่มเป็นสังคมพฤติกรรม อย่างเช่นอาตมาทำเป็นสังคมสาธารณโภคี อาตมาประสบผลสำเร็จ เขาจะทำให้เป็นศีล 5 ยังไม่ได้ ของเรามีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลมากกว่านั้นด้วย สังคมของเราทำได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ทำอย่างไรจะอยู่กับหมู่กลุ่มได้นานที่สุด
_ดิฉัน เป็นคนใหม่ ทำอย่างไรจะอยู่กับหมู่กลุ่มได้นานที่สุด
พ่อครูว่า...อันหนึ่งคือ คุณจะต้องชัดเจนว่า กลุ่มหมู่นี้ เป็นหมู่ มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีที่พอใจแล้ว จะมีกลุ่มไหนในประเทศไทย หรือต่างประเทศดูสิว่ากลุ่มไหนที่คุณเลือก ถ้าหากเลือกแล้วว่ากลุ่มนี้ชัดเจน เราก็เกิดความมีฉันถ้ามีความพอใจใช้ได้ แล้วก็เริ่มมาปฏิบัติต่อไป มีมิตรดีสหายดีเป็นสุริยเปยยาล แล้วก็มามีศีล เหมือนอย่างที่อาตมาอธิบาย เป็นปะมาหลายปีแล้ว
ปฏิบัติศีลคือปฏิบัติธรรมทั้งหมด แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ปฏิบัติอย่างเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ปฏิบัติศีลแล้วจะเกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ
ศีลข้อ 1 ก็จะเห็นเลยว่ามันไปขัดเกลาจิตอย่างไร มันมีปัญญารอบรู้ มันเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนหากเข้าใจเวทนา 108 ธรรมะพระพุทธเจ้ากรรมฐานอยู่ที่เวทนา เข้าใจความรู้สึกอารมณ์ของเรา
ขอขยายความเวทนา 108 คร่าวๆ
เวทนา 2 3 5 6 18 36 108
เวทนา 2 คือ ความรู้สึกทางกายกับความรู้สึกทางจิต กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา คำว่ากายก็ยากแล้ว แม้แต่กายเขาก็ไม่เข้าใจกันแล้ว กายไปเข้าใจคือร่างภายนอกไม่ใช่จิต อันนี้ผิดเลย พระพุทธเจ้าบอกว่ากายคือจิตมโนวิญญาณ
หากไม่เข้าใจเวทนา 108 ปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย เวทนา 108 เป็นตัวปฏิบัติธรรมแท้ๆเพราะมันตีแตกแยกได้ หากได้เป็นร้อยแปดนี้จบ โลกุตระต้องรู้จักมโนปวิจาร 18 เคหะสิตะ มันเป็นของโลกียแล้วต้องแยกแยะได้ ทำให้จิตมีปัญญารู้แยกแยะกิเลส แยกเวทนาเก๊ได้ แล้วพยายามตามหาตัวเหตุ ที่บำเรอตัณหาอุปาทาน มันเกิดสุข ทุกข์ เราก็ลดพลังงานตัณหาเราแรงก็ต้องทำให้จางคลายเบาลง คุณต้องรู้ได้ด้วย ก็ปฏิบัติธรรมเป็นแล้ว จะลดด้วยการกดข่มก็ได้ชั่วคราว ต้องรู้ด้วยปัญญา
กิเลสมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งมันไม่มีตัวตนหรอก มันไม่เที่ยง กิเลสมันไม่ได้อยู่กับคุณตลอดเวลา เดี๋ยวก็มีกิเลสใหม่ เดี๋ยวก็วนมาตัวเก่าวันหนึ่งไม่รู้กี่ที มันไม่อยู่กับที่กับร่องรอยแล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวตนด้วยแล้วมันก็ไปเรื่อย สำส่อนมาก แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนด้วย ผู้บรรลุธรรมสูงสุดแล้วก็จะรู้ว่ามันไปสร้างใส่จิตเอง มันก็เกิดในจิตเอง กิเลสมันไม่มีตัวตน…(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) กิเลสมันตัวเลวและสำส่อน ไม่ใช่สิ่งดีงามสักอย่างหากเข้าใจแล้วเอาออกตอนนี้ได้เลยก็เป็นอริยะเป็นพระอรหันต์ เข้าใจเสียว่ามันเป็นเหตุแห่งทุกข์ รู้ตามเหตุปัจจัยความจริงตามความเป็นจริง เช่นนี่ถังก็คือถังไม่ได้อยากได้มา รูปก็คือรูป เสียงก็คือเสียง เป็นเวทนาเดียว แม้จะกดข่มว่า รูปก็คือรูปเสียงก็คือเสียงกลิ่นก็คือกลิ่น ไม่มีความหน้าได้หรือไม่น่าได้ ไม่มีอาการของจิตผลักหรือดูด ให้มันรู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นคุณฝึกไปเลย
ถ้ามันสุขมันทุกข์ก็มีเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันไม่มีตัวตนจริงหรอก แล้วมันซ้ำซ้อนจะตาย มันเป็นอนิจจัง เดี๋ยวก็ไปนู่นไปนี่ ไม่มีตัวตนไม่รู้จักแล้ว นี่แปลอย่างโพธิรักษ์ แปลอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าหากจิตของคุณชัดเจนก็จะไม่ชอบมันเลย หากคุณไม่เหม็นคุณก็ดูด ถ้าเหม็นก็ผลักเท่านั้นเอง เราก็รู้ว่าเหม็นปลาร้ามันเหม็นน่าดู แต่เราก็ต้องกินเป็นสิ่งเลี้ยงขันธ์ การทำปลาร้าหรือน้ำบูดูก็เป็นการถนอมอาหารเท่านั้นเอง เอาธาตุมาเลี้ยงขันธ์ มีวิตามินบี 12 เยอะเท่านั้นเอง เราก็มีความรู้รับสิ่งที่ควรรับไม่รับสิ่งที่ไม่ควรรับ เหม็นเหมือนจะตาย ฝรั่งมาเจอน้ำบูดูก็บอกว่ากินของเน่า เราก็บอกว่าคุณเองไม่รู้จักของดีนะมี B12 นี่เป็นการถนอมอาหารของเขา คนรู้แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นอย่างนี้มันก็ต้องอย่างนี้ มันก็เป็นแก๊สไข่เน่า เอาธาตุมันไม่ได้เอากลิ่นมัน แต่ก็มีกลิ่นอย่างนี้ หากมีกลิ่นเป็นพิษอย่างนี้ก็ระวัง แต่นี่ไม่เป็นอะไร ความเหม็นความหอมไม่เป็นพิษภัยอะไรอย่างนี้เป็นต้น คุณก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้นนี่แหละชีวิตมันก็สบาย ก็อยู่กับทุกอย่าง แตกต่างกันมหาศาล มีความหลากหลายแตกต่างมหาศาลเราก็อยู่กับสิ่งนี้แท้ๆ หากคุณเข้าใจว่า ทั้งหลากหลายอย่าว่าแต่หนึ่งหรือสองเลย สี่ห้าหรือทุกอย่างล้านๆอย่างก็อยู่ด้วยกัน Unity of diversity แต่ละอย่างมันก็ต่างกันเท่านั้นเอง เราก็รู้ว่ามันต่างกัน เราก็ไม่ต้องไปยึดติดว่า อันนี้ต่างกับอันนี้อันนี้ต่างกับอันนี้ เราชอบอันนี้ไม่ชอบอันนี้ ไม่ต้องมีความรู้สึกแบบนี้หรอก สมควรเราก็เอาไม่สมควรเราก็ไม่เอา จบอยู่ที่ควรหรือไม่ควร สิ่งนี้ควรสิ่งนี้ไม่ควร ควรเราก็รับ ไม่ควรเราก็ไม่เอา
_ที่บวร สันติอโศกเราจะมีการสรุปหนังละครหลังจากดูเสร็จ มีหลักการ 4 ข้อ ที่พ่อครูตั้งขึ้นมาทำไมพ่อครูตั้งมา
พ่อครูว่า...ดีไหม เป็นประโยชน์ไหม ทำไม ก็อาตมาฉลาดให้คุณดู แล้วมีหลักการก็เป็นสิ่งมีประโยชน์คุณใช้หลักการนี้ได้ประโยชน์ เดิมแท้เอาไปเผยแพร่ที่เมืองจีนเขาก็ยังทึ่งเลยว่ามีหลักการดูหนังดูละครอย่างนี้หรือ แทนที่จะสูญเปล่ามีแต่อบายมุขกินหัว หนังก็มีสามรส ราคะโทสะโมหะเท่านั้นแหละ มันเอามาปรุงกันตามสัดส่วนต่างๆมาหลอกคน เราก็ดูเอาสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเรา กว่าอาตมาจะให้มาดูหนังละครอาตมาก็ต้องศึกษาว่ามันจะคุมเกมอย่างไร แต่ก่อนมานั่งเซนเซอร์หนัง ตอนหลังก็ให้คนอื่นทำ ตอนแรกก็ต้องควบคุมดูแลพูดไปด้วยมีไมโครโฟนกำกับด้วย กว่าจะมาถึงตอนนี้ แต่เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ค่อยอยากดูด้วยซ้ำไป
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ10) ตอน การนั่งหลับตาไม่ใช่การปฎิบัติของศาสนาพุทธเลย
_การมีศีลบริสุทธิ์การหยั่งรู้เท่าทันโลกดีกว่าการปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตาทำตามกะลาครอบงำตามโลก ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..ใช่สรุปได้ดี ขอยืนยันนะ อยากให้ชาวพุทธทั่วประเทศไทยได้ยินว่าการนั่งหลับตาไม่ใช่ของชาวพุทธเลย ศาสนาพุทธไม่มีการนั่งหลับตาไม่มีหนังสือพระไตรปิฎกเลย ใน 45 เล่มไม่มีคำว่านั่งหลับตาปฏิบัติธรรมเลย มีแต่บอกว่านั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น
ให้มาปฏิบัติธรรมมรรคมีองค์ 8 มีสมณะ 4 เหล่า ในมหาจัตตารีสกสูตร ให้ปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างไร ก็บอกว่าให้ปฏิบัติตามมรรคทั้ง 7 องค์ ก็ไม่เห็นมีการนั่งหลับตาที่ไหน มีแต่สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ มันไปหลับตาที่ไหน เป็นปกติทำงานหาเลี้ยงชีพทำกรรมการงานต่างๆ แต่ต้องพยายามมีสติสัมผัส แล้วก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 ต้องแก้ไขให้ อัตถิ
ต้องทำทาน ศีล ภาวนา ก็เพื่อจะเอากิเลสออก ในบารมี10 ทัศจบที่ทาน ข้ออื่นๆเสริมหนุนการให้ คุณให้สำเร็จแล้วคุณก็มีชีวิตอยู่กับอุเบกขาและเมตตาเท่านั้น มีสามเส้า มีให้ อุเบกขากับเมตตา
การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าทำไปตามลำดับ อย่างที่อธิบายให้ปะสร้อยฟ้าฟัง เริ่มต้นด้วยศีลข้อใดก็ได้ ทำได้แล้วจะรู้จักเหตุผลหลักการ ทำแล้วมันได้ผลอย่างนี้มันเป็นการลดละกิเลสอย่างนี้ จะได้ชัดเจน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน การเมืองตอนนี้สงบจริงหรือ
_ต้นฝัน...การเมือง ตอนนี้ดูมันสงบมันสงบจริงหรือไม่
พ่อครูว่า...มันไม่สงบทีเดียวหรอก วูบวาบไม่เที่ยง มันสงบได้ถึงขนาดนี้ถือว่าประเทศไทยดีมากเลย ประเทศไทยทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยกว่าที่เคยมีมาทั้งหมดเลย มีคนเปรียบเทียบคนพูด คอลัมนิสต์เขาพูดว่า สังคมประเทศไทยตอนนี้การเมืองก็ดี เศรษฐกิจก็ดี อะไรก็ดีนั้นดี เขาก็ไปเปรียบเทียบกับพลเอกเปรมบริหาร 8 ปี อันนั้นเป็นการยึดอำนาจบริหาร แล้วพลเอกเปรมก็ทำได้ดี พอสมควร ในยุคนั้นมันไม่มีอะไรเปรียบเทียบแรงมากเท่าไหร่ ตัวรวนที่มาสร้างพฤติกรรมเลวในสังคมไทยยังไม่เกิด ทักษิณยังไม่เกิด ถ้าทักษิณเกิดก่อนพลเอกเปรมไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอก พลเอกเปรมจะไม่ได้บริหารง่ายอย่างนี้หรอก เพราะว่ามีการสร้างเชื้อเลวไว้แรง มันต้องเกี่ยวข้องกับกาละเวลาด้วย
ตอนนี้คนไทยรู้จักความเป็นประชาธิปไตยสูงขึ้นเยอะ ความเป็นประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายความว่าแค่เลือกตั้ง มันเป็นพฤติกรรมมนุษย์ พระพุทธเจ้าเป็นยอดแห่งประชาธิปไตยตั้งแต่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย ยุคทาส พระพุทธเจ้าก็ทำให้สังคมที่ท่านสร้างเป็นสังคมประชาธิปไตยทั้งนั้น ปลดแอกหมดเลยไม่มีวรรณะไม่มีทาส ในยุคนี้ก็เหมือนกัน ประชาธิปไตยคือ 1. อิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีตัวตน 3. ปัญญาโลกุตระ
นี่คือนิยามสั้นที่สุดของความเป็นประชาธิปไตย ศาสนาพุทธนี้สุดยอดประชาธิปไตย ตอนนี้ประเทศไทย มีความรู้ที่ได้มาโดยไม่ได้บรรยายมากมาย ด้วยในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงปฏิบัติให้ดู ท่านทำอะไร
ท่านทำการ ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ นี่ก็เป็นนิยาม 3 ข้อของประชาธิปไตย
ในหลวงทำงานขยันรับใช้ประชาชนนะ นายกรัฐมนตรีทำงานรับใช้ทั่วประเทศเหมือนในหลวงไหม นายกรัฐมนตรีก็เป็นนายกฯของคนทั้งประเทศเหมือนกัน แต่ไม่มีนายกฯคนไหนทำงานเหมือนอย่างในหลวงเลย แต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเหมือนกับในหลวง ในหลวงมีวาระที่นานกว่า แต่นั่นแหละ เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสุดยอดของในหลวง ท่านทรงมา 70 ปี คนไทยมีปฏิภาณรู้ว่าบริหารแบบนี้ดี นี่คือทราบสภาวะทราบพฤติกรรมแท้ๆของประชาธิปไตยแล้ว ไม่ต้องไปใส่ชื่อว่าประชาธิปไตยเหมือนอย่างพวกแดงพวกทักษิณบอกว่า เขาก็ประชาธิปไตย ขี้หมาสิ เป็นเผด็จการสุด ยอดเผด็จการฟาสซิสต์ เขาก็บอกว่าจะเอาเลือกตั้งให้มาเป็นประชาธิปไตย อาตมาว่าเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็กลับไปเป็นลัทธิบริหารแบบเก่า เละอีก
อาตมาไม่พยากรณ์ ว่าจะเกิดการเลือกตั้งหรือไม่ ให้อิสรเสรีในการเลือกทั้งนั้น อาตมาไม่ไปบังคับใคร
_ส.กอบชัย...วันที่พ่อท่านมาสันติอโศกแล้วเห็นลูกๆมาเต็มศาลาพ่อท่านรู้สึกอย่างไร
พ่อครูว่า...อบอุ่นใจ แล้วบอกตรงๆเลย อาตมามารยาทเลวมาก มาทักทายนิดเดียวแล้วไปเลย อาตมาก็ไปสำนึกว่า เราเป็นคนไม่ดี เลวมากเป็นข้อบกพร่อง พวกคุณเห็นใจอาตมาก็ขอบคุณ แต่ว่าอาตมามันไม่ดี ควรต้องเข้าใจเขาบ้าง อาตมาต่างกับท่านเพาะพุทธคนละขั้วที่ช่างโอภาปราศรัยรับแขก อาตมามีน้อยมากเป็นข้อด้อยของอาตมา
_ส.กอบชัย แล้ววันนี้ รายการนี้มีคนมาเยอะพ่อครูรู้สึกยังไง
พ่อครูว่า...ก็พยายามแก้ตัว โอภาปราศรัยให้ได้ประโยชน์ ให้ได้อะไรที่ดีขึ้นมาเยอะๆ
_ถ้าพ่อท่านรู้สึกดีอย่างนี้ เหตุปัจจัยอย่างนี้จะเป็นองค์ประกอบทำให้พ่อท่านอายุยืนขึ้นหรือไม่
พ่อครูว่า...ใช่ หากพูดไปแล้วไม่มีการกับเรื่องอะไรเลยอาตมาก็ต้องตายเร็วแน่นอน
_คราวหน้าจัดรายการสำมะปี๋ซี่วิตอีก ญาติโยมมามากกว่านี้พ่อท่านจะรู้สึกอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็ได้ประโยชน์ก็มากัน อาตมายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปได้ ผู้ใดฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:17:22 )
รายละเอียด
611130_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 27
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Zue4D_Lej95Q7yWKM7d7Vmj0Rgf1Ll-uel6sg2-b-Uk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1I_efIr1kTU5lKY7cNpeSHEedHvi9qZdE
พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรสันติอโศก ...พวกเราว่าไง สบายดี บ่ วันนี้ที่นี่พยายามจริงๆจะจัด สำมะปี๋ให้ได้ แต่ทำไมมาไม่มาก น้อยเดียว (กระทันหัน) รายการอาตมา พอเริ่มต้นจะน้อย พอตอนท้ายจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนที่อื่น เริ่มต้นคนเต็มแต่พอเทศน์ไปคนค่อยหายไป อันนี้เป็นสัจจะแท้ๆ สัจจธรรมแท้ๆพี่เป็นโลกุตรธรรมลึกซึ้งมันมีวิมุตติรส มันเป็นรสประเสริฐไม่ใช่รสสามัญ ที่เดี๋ยวก็เบื่อเดี๋ยวก็ดี มันไม่เที่ยง
โลกุตระมีความเที่ยงทั้งประเสริฐและสูงส่ง โลกียะ ทั้งไม่เที่ยงเบื่อง่าย มันไม่มีปัญญาแท้ มีแต่อุปาทาน ที่หลงยึด กับตัณหาตัวเอง เป็นตัวไม่เที่ยง ตัณหาก็ไม่เที่ยง อุปาทานเป็นตัวยึดให้เที่ยง อุปาทานกับตัณหานั้น ตัณหา เป็นตัวที่ทำงาน ตัณหาเป็น Dynamic อุปาทานเป็น Dynamic สั่งสมและตกผลึก ไม่เที่ยงทั้งคู่ไม่แน่นอน
ตอนนี้รอแว่นตามาอีก เพื่อให้มองได้ชัดขึ้น อาตมาทั้งตาสั้น ยาว เอียง และตาถั่วด้วย ข้างขวาก็มีจุดบอดใน macula มีเลือดออกหมอเลยยิงเลเซอร์สะกัดเลือดออก ก็เลยเป็นแผลเป็นในดวงตาก็มองไม่เห็นเป็นส่วนมากสำหรับตาขวา
_SMS วันที่ 29 พฤศจิกายน 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน พรให้หายป่วยทางกายและใจ
_3867อยากได้พรจากพ่อครูฯเป็นกำลังใจให้มารดาที่ได้ยินเสียงท่านเทศน์ทุกวันหายป่วย!แม้ว่าเราจะต้องอดหลับอดนอนทั้งคืนที่เฝ้าดูแลบุพการี!แต่หมอพยาบาลดูแลผู้ป่วยร้อยพันคนยิ่งกว่าเรา! ด้วยจิตคารวะจนท.ทุกท่าน!ขอขอบคุณฯ
พ่อครูว่า... พรเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่นำไปสู่ที่สูงที่โลกุตระ ให้อยู่ตลอดเวลาเลย อาตมาไม่เก่งขนาดให้พรแล้วคนหายป่วย อาตมาว่าหมอจะช่วยได้มากกว่าอาตมา แต่หากป่วยทางกิเลส ฟังอาตมาไปเรื่อยๆ ที่อาตมาอยู่ก็เป็นพรตลอดเวลา ส่วนจะให้ไปรักษาร่างกายสรีระให้หาย อาตมาไม่เอาเรื่องนี้ และไม่พาให้หลงงมงายในเรื่องนี้ ขอละเว้น อย่าหาว่าอาตมาไม่สนองความต้องการของคุณเลย เพราะอาตมาอยากให้คุณเข้าใจ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อาตมาอาจอนุโลมได้แต่ว่า ไม่อยากขัดใจตนเองที่จะมีอะไรแฝง อาตมาต้องการทำชนิดที่ผ่าชัดตัดแยก เพราะทุกวันนี้มีแต่ความคลุมเครือมันไม่ชัดเจนในสิ่งที่ดีที่แข็งแรงที่มาก มันปนเปกันเลอะเทอะวุ่นวาย หลอกกันจนกระทั่งอะไรกันแน่ มันน่าสงสารประเทศชาติทุกวันนี้สังคมเละ อาตมาก็เลยต้องทำให้ชัดเพื่อไม่ให้มันปนเปมากขึ้น
สาธุ อนุโมทนาที่คุณทำถูกแล้วก็อย่าให้ตัวเองสุขภาพเสียด้วย ไม่ใช่ว่าป่วยจนแย่ทั้งสองคน คุณอยากให้แม่คุณหายก็ขอแรงมา อาตมาก็มีข้อด้อยที่ไม่ค่อยจะเอาใจคน มีแต่ตรงๆก็ขออภัยอันนี้
_7735กราบเรียนพ่อครูสะมะณะ ญาติโยม อ.เลาขวัญขอวิธี ถ่านไม้แทนชาวบ้านอยากได้เอาไปปลูกมัน ผมจึงมาขอแทน จากปีศาจ
พ่อครูว่า... อาตมาหมดฉลาด เต็มโง่เลย ฟังที่คุณพูดมาไม่เข้าใจ อย่างไรๆพูดให้ง่ายกว่านี้หน่อย อาตมาไม่ใช่คนฉลาดพูดมาอย่างไรอาตมาเข้าใจหมดไม่ใช่อาตมาตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าใจความหมายของคุณ
และอาตมาไม่ได้รู้วิธีทำถ่านไม้
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทำสภาวะไปตามลำดับอย่าเพ่งรู้แต่พยัญชนะ
_จาก ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์..
วันก่อนพ่อครูเทศน์เรื่องวิภวตัณหาเป็นตัณหาของพระอรหันต์ ลูกสงสัยว่า ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังปฏิบัติ ไม่บรรลุถึงพระอรหันต์ ก็ยังไม่ถึงขั้นวิภวตัณหาหรือเปล่าคะ..
พ่อครูว่า...ใช่ วิภวตัณหาแปลว่าตัณหาไม่มีภพ วิภว วิแปลว่ายิ่ง มีภพก็คือภพอย่างยิ่ง เป็นภพโลกุตระที่สูงอีกชั้นหนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจไม่ได้ ผู้ที่หมดภพแล้วก็เจตนาจะใช้ตามฐานะที่ท่านจะมีความรู้รู้จักชั้น ซึ่งเป็นเรื่องสูงไปอีกชั้นหนึ่ง
พระอรหันต์พระพุทธเจ้าจึงใช้วิภวตัณหาได้ตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ได้อย่างแท้จริง
แล้วการทำงาน ทำสัมมาอาชีพในฐานงานปัจจุบันในวัด(บวรต่างๆ) ที่เรายังยึด ยังอาศัย เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติธรรม เรียนรู้ตัณหาต่างๆ ทั้ง กามภพ(ภายนอก) อรูปภพ (ภายใน) ที่มีทั้งดูด ผลัก กามและอัตตา พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 แล้ว(ทำงานฟรี) จะมีการปฏิบัติไปแตะถึงวิภวตัณหาได้บ้างมั้ยคะ…
พ่อครูว่า...ได้สิ ผู้พ้นอาชีวะ 5 แม้ไม่สนิทเกลี้ยงดีก็แตะวิภวตัณหาได้มากแล้ว อย่างชาวอโศก เป็นพวกที่มีฐานอนาคามีส่วนใหญ่ ทำงานฟรีไม่รับรายได้เลย ในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ยังทำไม่ได้ในฆราวาสเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส มนุษย์ยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน จึงทำให้เป็นสังคมสาธารณโภคีในฆราวาสไม่ได้ พระพุทธเจ้าทำได้แค่ในภิกษุ
อาตมาต้องระบุว่า สมณโคดม เพราะว่าพระพุทธเจ้าบางพระองค์ท่านทำได้ยิ่งใหญ่และกว้างกว่าสมณโคดมอีกเยอะ คนก็ดี สิ่งแวดล้อมก็ดี มีภูมิธรรมสูง อย่างพระพุทธเจ้าบางองค์มีอายุถึง 80,000 ปี ถ้าขืนไม่ดีแล้วประพฤติไม่ดีก็ตายก่อนมีแต่ความร้อน อยู่ไม่ได้ถึง 80,000 ปี
เช่น ถ้าปฏิบัติพอเข้าใจ ถึงตัณหาอุดมการณ์ ที่มี “ทาน” อย่างสัมมาทิฏฐิได้บ้างแล้ว (ยังไม่ได้ทั้งหมดทุกเรื่อง) ยังมีอาสวะ อนุสัยอยู่บ้าง แต่เห็นทางไปแล้ว และได้อ่านเวทนาจากผัสสะปัจจุบัน ทวนซ้ำกับกามภพ อรูปภพในเรื่องที่เรายึดอาศัยอยู่ ทั้งกับคนและวัตถุ ที่อยู่ในการงานปัจจุบัน ว่ายังมีกาม มีอัตตาอยู่มั้ย มีลิงคะ นิมิต ที่รู้ว่ากิเลสตัวนั้น มันดับสนิทจริงหรือหลบอยู่ จะถือว่าแตะถึงวิภวตัณหาขั้นต้นได้บ้างมั้ยคะ
พ่อครูว่า...ได้ถ้าคุณเลยไปถึงขั้น โสดาบันก็ดับอบายภพ ดับอบายภูมิก็ได้ขั้นหนึ่งแล้ว สกิทาคามีก็ดับ กามภพได้อีกขั้นจนถึงอนาคามี
ในวิภวตัณหามีลำดับด้วยมั้ยคะ
พ่อครูว่า...ก็มีไปตามลำดับ ความเป็นลำดับพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเป็นความน่าอัศจรรย์เป็นความซับซ้อนหลายเชิงหลายมิติหลายนัยยะซึ่งประกอบกันอยู่ซับซ้อนมาก ความเป็นลำดับของพระพุทธเจ้าศีลสมาธิปัญญาได้มรรคได้ผลไปตามลำดับซึ่งเป็นเรื่องจริงไม่ง่ายเลย อาตมาก็พยายามอธิบายขยายความให้พวกเราได้รู้ ติดตามดีๆ
หรือต้องให้ดับสนิท จนถึง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) กิเลสดับ ถึงนิพพาน จึงจะเรียกว่า วิภวตัณหาคะ
พ่อครูว่า...ให้ทำไปตามลำดับคุณรู้มาก ให้ทำไปตามลำดับ แล้วจะลดคำถามไปอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะถามไปเรื่อยๆจะได้บัญญัติไปอีกเรื่อยๆ ก็จะยิ่งบานปลาย คุณก็จะยิ่งถามอีกหนักเข้าคุณจะวุ่น หนักเข้าสับสน เสร็จแล้วคุณจะไม่ได้มรรคได้ผล ให้ทำไปตามลำดับอย่าเพิ่งอยากรู้มาก คุณรู้ไม่น้อยที่ถามมานี้ใช้พยัญชนะมาคุณรู้ไม่น้อย
ยิ่งถามยิ่งถามพยัญชนะ คุณมีพยัญชนะมากพอที่จะปฏิบัติ
ไม่แน่ใจว่าลูกเข้าใจถูกมั้ยคะว่า ผลหรือตัวจบของวิภวตัณหาและนิพพานคือตัวเดียวกันคือ สูญญตา ความไม่มีอะไร แต่มรรคหรือวิธีปฏิบัติยังสงสัยอยู่ค่ะ
กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า...แหมรู้เยอะจริงๆ เอาอย่างนี้ คุณปฏิบัติไปตามที่มีขณะนี้ คุณรู้ว่ากิเลสตัวนี้ เป็นกิเลสตัวที่ชัดเจนและแรง เป็นตัวที่คุณควรจะทำก่อนทำไปตามลำดับ แล้วคุณจะค่อยๆรู้ตัวต่อมาว่าตัวไหนที่มันจะแรงอีก ทำตัวนั้นอีกที่มันอยากเห็น ควรจะทำไปทีละตัวสองตัว อย่าไปเอาอย่างที่รู้มาก อย่าไปรู้ละเอียดลึกซึ้งพวกนั้นมากนัก มันจะเป็นลำดับที่คุณจะได้มรรคผลอย่างดี ฟังทำไปเรื่อยๆแล้วอย่าเอาพยัญชนะเรานั้นไปสนใจมันมาก สนใจพยัญชนะมากเกินไปมันก็สนุกรู้สึกเฟื่องดี เสร็จแล้วมันก็เลยเผินทิ้งสภาวะไม่ปฏิบัติสภาวะก็เลยหลงระเริงไปกับพยัญชนะ มันก็เสีย
_จากลูกๆหน้าปากซอย 44 - 48
..ทราบข่าวว่าห้องพักหลวงปู่ที่วิหารพันปีใกล้เสร็จแล้วกราบขอนิมนต์หลวงปู่มาพักเป็นระยะๆเพราะอากาศข้างบนวิหารดีเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกลูกชาวสันติ นะคะ
พ่อครูว่า...คนก็ประสงค์อย่างนั้นแต่อาตมาขยายเวลาไม่ได้ เวลามี 24 ชั่วโมงต่อวันขอ 25 ชั่วโมงก็ไม่ได้ เวลาก็ไม่เพิ่ม วันก็ไม่เพิ่ม ก็ได้อย่างนี้ อาตมาไม่ได้ออมมือเท่าไหร่ ทำอะไรเต็มที่เป็นแต่เพียงรักษาไม่ให้ถ่วงเสียสุขภาพ
_คำถามที่ยังเหลือจากรายการสัมมะปี๋ซี่วิตเมื่อวันพุธที่ 28พ.ย.61
_ ..ลูกเป็นฆราวาสมีโอกาสได้บำเพ็ญในแพทย์วิถีธรรม 2 ปีทุกครั้งที่ได้มีโอกาสเคลื่อนไปบำเพ็ญตามอโศกที่ต่างๆรู้สึกอบอุ่นแต่ละแห่งเป็นดินแดนพุทธะที่เจริญๆ วันนี้ลูกจะเดินทางไปที่ภูผาฟ้าน้ำจัดค่าย 5 วันค่ะมีโอกาสได้กราบพ่อครูก่อนไปช่างโชคดีจริงๆค่ะ..
_พ่อครูคะ เวลาพ่อครูเทศน์นานๆจนเสียงเริ่มแหบ,คอแห้ง,หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆ ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรเลยดื่มน้ำแทนค่ะ กว่าพ่อครูจะเทศน์จบก็พุงกางพอดีค่ะ สาธุ..พ่ออย่าไอๆๆๆค่ะ
พ่อครูว่า..มันห้ามได้ก็ดีสิ
_.. ผมอยากถามพ่อท่านว่า ทำไมแม่ของผมถึงชอบเอาแต่เงินของผมครับ
เวลาทำงานได้เงินมา แม่ของผมก็เอาเงินไปหมดเลยเกือบทุกครั้ง เวลาผมขอเงินใช้ แม่ก็จะบ่นว่าผมใช้เงินเปลือง บางทีผมก็ไม่ได้ใช้เงินเปลือง แม่ก็บอกว่าไม่มีตังค์ให้หรอก ใช้แค่นั้นก่อนไม่มีให้ ผมอยากรู้ว่าผมควรทำอย่างไร มันเป็นวิบากของผมใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...ไม่แปลกเท่าไหร่ แม่ส่วนใหญ่จะเอาเงินของลูก แต่ส่วนมากแม่จะให้ลูกนะ แต่คุณมีให้แม่ก็ดีแล้วนี่ นอกจากตนเองไม่พอก็บอกแม่เขาสิ เอาไปมากแล้วผมก็หมด ผมก็เป็นหนี้สินได้ ก็พูดกันให้รู้เรื่อง ก็ดีอุตส่าห์ถามมา ไม่พูดกับแม่ตรงๆ
ก็เอาซ่อนใส่รองเท้า ใส่ที่ไหนที่แม่ไม่เจอบ้าง ที่เราจะยักไว้ใช้บ้าง มีศิลปะในการยัก อย่าโกหกล่ะ มีแต่ยักไว้ก็พูดให้ดี โกหกก็เป็นบาปอีก ก็แนะนำได้แต่นั้น
_..หลวงปู่คะ พญาแร้งมาหาที่ศาลจริงหรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า..อาตมาไม่รู้ เราเรียกสมมุติพญาแร้ง สัญลักษณ์ของพญาแร้งมันมีลักษณะที่คนไม่ชื่นชม อาตมาก็เทียบกับตัวเองว่าเป็นพวกแร้ง ทีนี้ไม่อยากให้กดมากนักก็เป็นพญาแร้ง เป็นแร้งก็แร้งพญาไม่ใช่แร้งขี้ข้า ก็ใช้อย่างนั้นไป เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้คนคิดสะกิดใจ ก็เป็นการถ่อมตนชนิดหนึ่งว่าเราก็ประดุจแร้งตัวหนึ่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 ของ มารยาทกับการปฏิบัติธรรม
_.. คำว่า “มารยาท”กับการปฏิบัติ ควรจะก้าวเดินไปพร้อมกันไหมคะ
พ่อครูว่า..ไปด้วยกัน มารยาท เป็นคำซ้อนลึกซึ้ง
มารยาทกับมายา สูงสุดแล้วจะต้องรู้จักใช้มารยาทหรือใช้ มายา อย่างได้สัดส่วนเพราะเป็นสมมติสัจจะ เป็นสิ่งของที่เราจะต้องใช้ให้อย่างฉลาดเหมาะสม เพราะความจริงแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรจริงทุกอย่าง 0 มี 1 ก็เพื่ออาศัยให้เป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่า จริงๆแล้วทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่มีอะไรเที่ยง ตัวยึดเป็นทุกข์แต่ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ทุกอย่าง จึงเป็นเรื่องลึกซึ้งสูงสุด ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวใช่ตน
ที่ถามมาก็เป็นสิ่งคู่ที่เราปฏิบัติเช่น ถ้าเราปฏิบัติไม่สำเร็จยังไม่บรรลุธรรม นี่ยาก มันจะเป็นผลเสียหาย ถ้าเผื่อว่าผู้บรรลุแล้วสามารถควบคุมมีภูมิปัญญารู้สิ่งที่ควร สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริงได้ ก็จะเอามาใช้ได้อย่างชัดเจนดีและได้สภาพที่มันลงตัว สภาพที่เป็นประโยชน์ได้ อาตมาก็ว่าอาตมาอธิบายขยายความเรื่องนี้ยังไม่ดีพอเรื่องมารยาท ยังไม่เก่งเพราะมันมีธรรมะ 2
มารยาทหรือมายา มารยาทเป็นภาษาที่ชัดเจนกว่ามายา มารยาทเป็นการสำรวมสังวรพฤติกรรมที่แสดงออก แต่มายามันแปลตรงๆว่าพฤติกรรมมีเชิงหลอก สิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบจริง จนจะเข้าใจว่าเราแสดงออกประมาณไหน ถึงจะดีที่สุด จนกระทั่งไม่เป็นผลเสียต่อการแสดงร่วมกัน ที่มีพฤติกรรมร่วมกันของใครก็แล้วแต่ แต่ละคู่แต่ละคน มันจึงยาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จบก็คือจบอยู่ที่สิริมหามายา การแสดงออกเป็นมายาทั้งนั้น แสดงออกให้ดีที่สุด สิริ แปลว่าดี มหาแปลว่าใหญ่ ตัวการแสดงออกเป็นสมมติสัจจะทั้งนั้น จริงๆแล้วคือ 0 หรือไม่เกิดสภาวะคู่ก็ไม่เกิดทุกข์ มีอยู่ที่ฐาน สุขที่จะทำให้เกิดการสูญมันเป็นไปไม่ได้ สุขมันเป็นภาวะคู่ มันแยกไม่ได้ เหมือนเหรียญสองด้านกระดาษ 2 หน้าแยกให้ตายก็เป็นไปไม่ได้มันเป็นภาวะคู่นิรันดร ศาสนาพุทธจึงลึกที่สุดที่การดับความสุขความทุกข์ไม่มีสักเหรียญไม่มีกระดาษ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ลึกซึ้งมากเลย และจะต้องไม่มีจริงๆนะ
คุณจะต้องอ่านเวทนาอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ มันละเอียดมากแล้วเราจะอาศัยทุกข์หรืออาศัยสุข ก็ต้องอาศัยสุข จนกระทั่งมันไม่มีสุข เหลือน้อยจนจะหมดกับหมดแล้วมันเป็นเรื่องละเอียดมาก คุณจะต้องศึกษาเป็นเรื่องสุดยอด อาตมาก็อธิบายได้เป็นภาษาขนาดนี้นะ
_..ดิฉันเป็นอาสาอยู่ฐานขยะ จะมีคนนำของมาบริจาควันละหลายๆเจ้า ดิฉันจะยกมือไหว้เขาแล้วบอกว่าโมทนาบุญด้วยนะคะ ดิฉันพูดผิดหรือถูกคะ
พ่อครูว่า..โมทนาบุญ ก็หมายความว่า ขอยินดีด้วยที่บุญของคุณเป็นผล ภาษาที่พูดนี้ดี แต่คนจะเข้าใจด้วยไหม คนที่เข้าใจคุณผิดอยู่เขาเข้าใจว่าบุญเป็นกุศลเขาก็ยังสบายใจก็ใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้สึกว่า เขาได้บุญ แต่เหมือนกับหลอกเขาอย่างหนึ่งเหมือนกัน หลอกว่าเขาได้บุญ ถ้าเขาทำใจไม่เป็นเขาไม่ได้บุญหรอก เขาก็เลยยิ่งไปเข้าใจว่าเขาได้บุญ แต่แท้จริงเขาได้แต่กุศล นี่มันเป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้งอย่างนี้
ก็เอาเถอะ เอาไปก่อน อนุโมทนาบุญก็ได้ ก็ไม่ต้องใช้คำว่าบุญก็ได้ อนุโมทนาอย่างเดียวก็ได้ไม่ต้องเติมคำว่าบุญ อาตมาก็ใช้แต่อนุโมทนา
_..ทำไมหลวงปู่ยังยืนหยัดที่จะสร้างสันติคะ ในตอนที่เกิดเรื่องคดีสันติหลวงปู่คิดยังไงคะ หลวงปู่คิดว่ามันคุ้มไหมคะในตอนนี้
พ่อครูว่า..ที่จริงแล้วเรื่องก็ไม่ได้ใหญ่ยิ่งอะไร ที่นี่มันก็ยังเป็นประโยชน์ต่อคนอีกไม่ใช่น้อย คนที่ถนัดจะอยู่ที่นี่ก็มีอีกเยอะพวกเรา ก็ต้องให้เป็นที่อาศัย ทำงานเผยแพร่ อย่างน้อยที่สุดส่วนกลางมันอยู่ที่กรุงเทพ กรุงเทพฯไม่มีที่อื่นนะมีแต่ที่สันตินี่แห่งเดียวก็น่ารักษาไว้ ถ้าจะขายก็ไม่ได้เท่าไหร่หรอกที่ดิน เพราะเราขายก็ต้องขาย คนจะต้องการแย่งเพราะขายถูก อาตมาไม่ชอบจะขายแพงด้วย หลายคนก็จะคิดเหมือนกับอาตมาไม่อยากจะขายแพง หลายคนก็อาจจะคิดว่าไม่อยากขายถูก ก็จะทะเลาะกัน สรุปแล้วก็แล้วแต่ดวงก็แล้วกัน
_..ทำไมเราต้องทำศีลให้บริสุทธิ์คะหลวงปู่ แล้วถ้าเราผิดศีลเราสามารถอยู่กับเพื่อนๆได้อีกไหมคะหลวงปู่
พ่อครูว่า..คำถามนี้ยิ่งใหญ่มาก ตอบอันหลังก่อน หากเราผิดศีลก็จะอยู่กับเพื่อนยาก เพราะที่นี่มีแต่คนที่ประพฤติศีลปฏิบัติธรรม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เพราะศีลธรรมเป็นเรื่องเอกเป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่ถือศีลปฏิบัติธรรมก็อยู่ยาก
หากไม่ปฏิบัติเป็นศีลเป็นทีละขั้น ตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้น หากเราต่ำกว่า ศีล 5 ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ เราปฏิบัติประพฤติโดยมีศีลสมาธิปัญญาวิมุติอย่างแท้จริงตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า มันเห็นผลว่าทำให้คนเจริญจริงๆทำให้ตัวเราเองดีขึ้นสังคมก็ดีขึ้น มันไม่ได้มีผลเสียเลย ถ้าหากศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ ทำให้สัมมาปฏิบัติ มีผลเป็นสัมมาปฏิเวธจะเกิดเป็นผลดีต่อตนต่อท่าน แต่ถ่ายเดียว
_..คำถามข้อ1 งานปีใหม่ที่บ้านราชเป็นงานเพื่อฟ้าดินคือทำกสิกรรมและช่วยกันทำงานในฐานต่างๆแล้วฟังธรรมและมีงานอะไรอีกไหมคะ มีการแสดงบนเวทีไหมคะ ไม่มีงานสอบวนบ หรือ วบบบ แบบเก่าอีกไหม
พ่อครูว่า..ไม่มี
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน ไม่พอใจแต่เก็บไว้หรือแสดงออกต่างกันอย่างไร
_2 ผัสสะที่เกิดขึ้นในแต่ละวันหากเราเก็บมันไว้ในใจ โดยไม่แสดงออกทางกาย และวาจา เพราะถือว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรแสดงออก ควรปล่อยให้มันจางหายไปตามธรรมชาติ คือมีเกิดก็ต้องมีดับ มันก็ค่อยๆจางหายไปโดยการทำงานให้มันลืมไปเอง และมองเห็นในคุณงามความดีของผู้ที่ทำให้เราไม่พอใจ นึกถึงธรรมะของพ่อครู “ยอมไม่เป็นก็เย็นไม่ได้” “อภัยทานเป็นทานที่สุดยอด” ให้แล้วได้ผลดีในทันทีทั้งสองฝ่าย อย่างนี้เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าโกรธมากก็ไม่พูดด้วยไม่คบหาสมาคมด้วย จะผิดไหม
พ่อครูว่า..ก็ผิดอยู่ เพราะอยู่ในอำนาจของความโกรธ ต้องพยายามอย่าให้อาการโกรธในตัวเรามันอยู่ ก็ต้องอโหสิก็ต้องอภัย ให้เลิกการถือสา มันจะผิดหรือถูกอย่างไรก็ต้องพูดกัน พยายามทำความเข้าใจ ตกลงกันถ้าเราผิดจริงๆก็ยอมรับ ถ้าเราถูกอยู่เขาก็ยังยึดถือความผิดของเขาอยู่สุดท้ายเราก็ต้องปล่อยเราก็ต้องรู้ว่าเขายึดถือ เขาไม่ยอมก็เป็นอัตตาของเขาอย่างหนึ่ง เข้าใจให้ได้อย่างนี้ แล้วไม่อย่างนั้นก็ไม่จบ
_ 3 การนิ่งมากๆพูดน้อยในแต่ละวันเป็นการเก็บกดหรือไม่ การเป็นผู้ยอมแพ้เรื่อยๆไปจะกลายเป็นผู้อ่อนแอหรือไม่ เป็นปมด้อยหรือไม่
พ่อครูว่า..เราก็ไม่ต้องเก็บกดเราก็จะพูดอย่างนี้ก็พูดพอสมควรไม่พูดมากก็ได้ หากทำอย่างนี้จะวนเวียน ก็ตอบว่าจะไม่ได้อะไรสักอย่างหรอก ต้องล้างเหตุออกไปแล้วมันจะไม่มีการยึดมั่นถือมั่นจะมีการอนุโลมปฏิโลม ถามนี่ไม่ครบ ถามปลายเหตุ
_ 4 การไม่แสดงออกทางกายและวาจา แต่ทางใจกลับฟุ้งซ่าน คิดวนเวียนอยู่กับผัสสะและกับผู้ที่ทำให้เราโกรธหรือไม่พอใจเป็นเวลาประมาณไม่ถึงชั่วโมง จะถือว่าเป็นการทำลายสุขภาพจิตหรือไม่ หรือเราควรจะระเบิดมันออกมาบ้าง
พ่อครูว่า..เห็นไหมล่ะ ทำไปทำมาก็จับได้ว่าตัวเองก็ฟุ้งซ่าน ตอนแรกว่าจะเก็บกดไปเฉยๆจะไม่แสดงออก อันหลังก็มารู้ว่าฟุ้งซ่าน ก็ยังดีไม่ถึงชั่วโมง เป็นการทำลายสุขภาพจิตแน่นอน แต่อย่าไปแสดงระเบิดออกไป แก้ไขแค่ว่าเอาไปตะโกนในท้องนาก็เลยก็ได้ไม่มีใครได้ยิน เป็นเพียงการบำบัดเท่านั้นเอง
ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิให้ดี
_อุบาสิกากรุณา.. เราตถาคตไม่ติดสุขไม่ยินดีในสุขเราจึงไม่ต้องทุกข์ เข้าใจใบไม้กำมือเดียวใบไม้ทั้งป่าไม่ต้องห่วงคนในโลก ไม่มีใครเหมือนใคร
แค่คำตรัสของพระพุทธเจ้าแค่นี้เราทำไมร้อยชาติพันชาติก็ยังไม่ค่อยจะถึงมรรคถึงผลเลย
ดิฉันเป็นคนอ่อนต่อภาษาแต่มั่นใจในสภาวะด้วยความพยายามค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน ลำดับความลึกของ จิต มโน วิญญาณ
_1614 จิตใด พาสู่โลกุตระ คะ ขอคำอธิบายด้วยค่ะ
พ่อครูว่า..หากแตกเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร จะให้ตอบไปต่อว่าจิตตัวใดไม่ได้ จิตเป็นภาษาร่วมในการปฏิบัติ
จิต มโน วิญญาณ 3 ตัวนี้ จิตเป็นตัวรวม วิญญาณเป็นธาตุรู้ที่รวมทั้งหมด ส่วนมโนเป็นธาตุรู้ตัวสุดท้ายตัวแปร
วิญญาณเป็นตัวใหญ่สุด จิตเป็นตัวกลาง มโนตัวเล็กที่สุด
ปฏิบัติที่จิต โดยเลือกตัวใหญ่ที่สุดก่อนตัวกว้างก่อน แล้วจะไปเป็นตามลำดับ สุดท้ายมันจะเหลือสังขารในธรรมารมณ์
_กิ่งฟ้า ขันหล้า · วันนี้เห็นลูกสาว...ข้าวฟ่าง/ฟ้าเพลงไพร"ได้ไปนั่งฟัง"หลวงปู่"ด้วยดีใจจัง..ฝันเป็นจริงแล้วค่ะ...มีลูกได้ส่งลูกไปเรียนที่วัดค่ะ
_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย · พ่อคูรคะ ลูกขอส่งการบ้านค่ะผิดถูกให้พ่อช่วยตรวจเฉลยชี้แนะค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า มีบุคคล 3 ท่านกำลังทำงานร่วมกันอยู่
บุคคลที่1 ท่านคุยเกี่ยวกับงานที่กำลังทำ
บุคคลที่2 ท่านก็พูดประโยคช็อตเด็ดเกี่ยวกับธรรมที่พ่อคูรสอน
บุคคลที่1ท่านฟัง เกิดอาการหัวร้อนฟัดเหวี่ยงเล็กน้อยถึงปานกลาง
ส่วนบุคคลที่3 ฟังเข้าใจและเห็นด้วยเพราะได้นำธรรมข้อนี้ไปประพฤติปฎิบัติอยู่แล้วและได้พิจารณาเห็นอาการจิตตัวเองร่าเริงเบิกบานเป็นสุขในประโยคธรรม และในการทำงานและทำให้ลูกได้เห็น ธรรม2 ในคู่ที่ว่า บัญญัติ +สภาวะ คือได้เห็นสภาวะปุริสภาวะของตัวเองและเห็น อิตถีภาวะได้จากท่านบุคคลที่1 และจะเรียกว่า สัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกายได้หรือเปล่าคะ(ประโยคเด็ดที่ทำให้บุคคลที่1ท่านหัวร้อนถ้าอ่านออกอากาศท่านอาจรู้ตัวว่าเป็นท่าน คือ เราไม่รอเราไม่หวังแต่เราทำ เดี๋ยวมีเทวดามาช่วยเอง ค่ะ ควรไม่ควรแล้วแต่พ่อจะเมตตาค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า..ได้ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
_โยคี...ผมฟังธรรมพ่อท่านตลอด..ตอนหลังพ่อท่านไม่เล่นมุขยียวน..ถ้าเป็นไปได้กราบอาราธนานิมนต์ให้พ่อท่านทำอีก..ผมฟังอยู่ที่บ้านก๊ากทุกที.และรู้สึกซาบซึ้งที่พ่อท่านเล่นด้วย
พ่อครูว่า..ต้องออกหรอกจะมีอีก แต่คุณก็อย่าอาศัยอารมณ์ขำมากเกินไปเดี๋ยวไม่ได้สาระ
_สุชาดา ขอพ่อครูตรวจสอบความถูกต้องด้วยค่ะ
ก. - จิตมีอำนาจเหนือผัสสะ คือ วสวัตตี
- กระทำจิตให้มีอำนาจเหนือผัสสะ คือ เจโต วสิปัตโต
- ผู้ทำจิต หรือควบคุมจิต ให้มีอำนาจเหนือผัสสะ คือ วสวัตตีโก
ข. 1 กับ 0 ใน 2 ระดับพุทธ
ข.1 อาริยะที่ยังไม่หมดกิเลส (โสดา สกิทา อนาคา)
1 คือผลการปฏิบัติในขั้นของอนาคามี
0 คือผลการปฏิบัติในขั้นของอรหัตตผลในแต่ละขั้นตอน
ข.2 สำหรับพระอรหันต์ขึ้นไปนั้น
1 คือมี - มีการปรุงร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนารูปธรรมของสังคมประเทศโลกและนามธรรมของบุคคลต่างๆ
- มีการปรุงใช้ของตนเอง ยังขันธ์ของตนให้อยู่ได้อย่างแข็งแรง เพื่อทำประโยชน์ผู้อื่นต่อไป
0 คือ - จิตเป็นอุเบกขา หรือปรินิพพานเป็นปริโยสานในที่สุด
พ่อครูว่า..0 ไม่มีอะไรเลิกเลยปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ในพระอรหันต์ที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะมี 0 เป็นฐานอาศัยอย่างแข็งแรง และ 0 นี้จะแข็งแรงมากยิ่งขึ้นเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
แม้จะทำงานอย่างไรสัมผัสอย่างไรก็ยังยิ่งสะอาดแข็งแรง พระอรหันต์จะไม่เพลี่ยงพล้ำ ยิ่งมีผัสสะก็จะยิ่งเจริญขึ้นไปอีก มุทุภูตธาตุ ก็จะยิ่งเจริญขึ้นไปอีกทั้งเจโตและปัญญายิ่งเจริญเร็วไวมากขึ้นจัดการ เจโตก็ได้เร็ว ปัญญายิ่งจะรู้ทันและละเอียดมากยิ่งขึ้น กัมมัญญาจึงสามารถทำกรรมการงานอะไรที่เหมาะควร ไม่เสียหายได้มากยิ่งขึ้น ตามความเจริญของมุทุภูตธาตุ และความเจริญของปริสุทธา ปริโยทาตา สุดท้ายแม้จะทำงาน ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา จิตก็จะยิ่งประภัสสร มีความใส เป็นความใสที่มีสัจจะ ผ่องใสดีทุกอย่างเลย
_ส.กอบชัย..ขอถามชาว บวร สันติอโศก ...ว่า ดีใจไหม ที่มีรายการสำมะปี๋เป็นครั้งที่ 2 (ดี) ถามเป็นครั้งที่ 2 ดีใจไหม(ดีใจ) ถามเป็นครั้งที่ 3(ดีใจ) ขออาราธนานิมนต์พ่อท่านให้อายุยืนยาว จะได้จัดรายการสำมะปี๋ได้อีกต่อไป
พ่อครูว่า...ถ้าอาตมาไม่ได้ทรุดเกิน อยู่ในภาวะรัดตัวอยู่ อาตมาฝืนสังขาร พวกคุณคงได้ยินมาว่า อายุไขของอาตมา 72 ปีเอง นี่ก็ฝืนมาได้ 1 นักษัตรแล้วเป็น 84 ปี จะฝืนไปอีกเพื่อพิสูจน์ความจริงของธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย เพราะท่านตรัสว่า จะอยู่ ถึงกัป หรือเกินกัปก็ได้ อาตมาก็พิสูจน์ไปให้มากที่สุดเพื่อที่จะสร้าง เจโตวสิปัตโต จนเป็นผู้มี วสวัตตีโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นการพิสูจน์สัจธรรมอย่างแท้จริง
อย่างไรอาตมาก็เพิ่มมาได้ 1 นักษัตรแล้ว ถ้าอยู่ต่อไปถึง 96 ปี อีก 1 นักษัตร ถ้าอีก2 นักษัตรก็ยิ่งเยี่ยม 108 ปี ถ้าเป็น120 ปีก็เป็น 4 นักษัตร
เราจะได้มั่นใจว่าจิตวิญญาณของคนสามารถทำให้ก้าวหน้าเป็นปฏิภาคทวีด้วยตัวของตนเองนะ ไม่ใช่พระเจ้ามาสั่ง ขออภัยที่พาดพิงถึงพระเจ้า เพราะว่าอันนี้เป็นเรื่องสัจจะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ รับสมัครเข้าศึกษาตามพระพุทธเจ้ามาจนถึงป่านนี้ ใครจะเข้าใจหรือเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือก็ไม่มีปัญหา
_ดญ.แลเลื่อนฟ้า...ถ้าเราหาสิ่งที่ไม่ถนัดไม่เจอ แสดงว่าเราหาจุดยืนของตัวเองไม่ได้ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ที่ถนัด เป็นจุดยืนของเราก็ใช่ แต่สิ่งที่เราไม่ถนัดหากเราสร้างให้เป็นจุดยืนของเรานี้มันดีกว่า ไม่ถนัดอันนี้ แต่ถ้าเป็นอันนี้ได้มันดีกว่าที่เราเป็นอยู่ ประเดี๋ยวมันจะยากเกินไป ก็ถูกต้องทำสิ่งที่เราถนัดนี้ให้ได้พอควร แต่ไม่ใช่จมอยู่ที่การถนัดแต่อย่างเดียวไม่เป็นไปตามสมควร ไม่ใช่อย่างที่สุนทรภู่ ให้ทำดีแต่อย่างเดียวขอให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผลเท่านั้น อันนั้นเป็นโลกียะธรรมดา ก็ดี แบบนั้นก็ก้าวหน้าเจริญแบบโลกียะธรรมดา แต่ถ้าเป็นโลกุตระ มันก็ควรจะเจริญไป คละกัน ถ้ายิ่ง พึ่งพาอาศัยกันเป็นคู่ ก็จะเป็นประโยชน์สูงสุดกว่า
_วันก่อนกองทัพภาคที่ 1 เชิญพวกเราไปทำรายการจิตอาสา เป็นโครงการที่ทหารซ่อมบ้านให้แก่คนยากแค้น เสนาธิการที่ประสานมา เขาบอกว่าดูรายการบุญนิยมทาง youtube ดูเรื่องการเกษตร เขาทราบว่าเราเป็นจิตอาสาไม่ได้ใช้เงิน เขาก็ตื่นเต้นมาก แสดงว่า พวกเราพอเพียงของแท้ ก็เลยไปทำกับเขาซึ่งไกลมาก เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมามอง เห็นเรา มีเสื้อโลโก้บุญนิยมเขาบอกว่าหนูดูพ่อครู ชอบพ่อครูมากเลยแต่พ่อครูเชียร์แต่ทหาร อยู่ไกลขนาดนั้นก็ไม่นึกว่าจะมีคนดูบุญนิยมด้วย
_ถามว่า เมื่อปฏิบัติธรรมก็สบายใจขึ้นเยอะ เมื่อปฏิบัติไปมากขึ้นรู้สึกว่าการปฏิสันถารกับผู้คนก็ยิ่งยากขึ้น กลายเป็นคุยกับคนน้อยลง อยากอยู่คนเดียวมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาติดต่อกับคนภายนอกไม่ทราบว่าปฏิบัติทำผิดทางหรือแก่ขึ้น
พ่อครูว่า ไม่ได้เชียร์แต่ทหารแต่เชียร์ผู้ที่ทำดีทำประโยชน์ต่อประชาชน
มันลดลงไปตามควร ขนาดนี้ก็พอใช้ได้ไม่ได้น้อยเกินไป ไม่ใช่ว่าหลบจนไม่พูดกับใครเลย ก็ทำให้ตามสัดส่วน ไม่อย่างนั้นเราจะฟุ้งซ่านทำแต่งานพูดกับคนมากเกินไป ทำงานแต่คนอื่นไม่ทำงานของตนเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ทักษิณหรือคสช.เป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตยดูกันที่ไหน
เผด็จการหรือประชาธิปไตยดูกันที่ไหน
อาตมาอยากจะขอแวะตรงนี้หน่อย เกี่ยวพันถึงผู้บริหาร
อ่านอันนี้สู่ฟัง เรื่องเผด็จการหรือประชาธิปไตยดูกันที่ไหน ตอนนี้กำลังเคี่ยวข้น ประชาธิปไตยเก๊หลอกคน บอกว่าเขานี่แหละประชาธิปไตย พวกนั้นเป็นเผด็จการโดยอ้างว่ายึดอำนาจมาเป็นทหาร อย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นเรื่องตื้นแรงๆคนก็เลยเชื่อ เลือกตั้งก็ไม่ใช่แถมมายึดอำนาจเป็นทหารเป็นเผด็จการๆๆ อาตมาก็เลยต้องพยายามไขความ อย่างนั้นมันตื้นๆ
ก็อยากขยายรายละเอียดให้ฟัง เทียบให้ฟังแต่ละข้อ ชุดเคียงกันระหว่างระบอบทักษิณกับคสช.
ระบอบทักษิณ ประชาธิปไตยได้มาจากการเลือกตั้งแต่ทุกอย่างต้องทุ่มด้วยการซื้อนักการเมืองซื้อหัวคะแนน สุดท้ายแม้ประชาชนจะเลือกกันจนตาย กว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ทักษิณสั่งการคนเดียว ไม่ว่าสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ก็อยู่ที่ทักษิณสั่งเพื่อไทยทำเท่านั้นเอ
คสช. ประชาธิปไตยแบบราษฎรตั้ง ซึ่งเราไปต่อต้านปฏิวัติกันเป็นปีในยุคทักษิณและบริวาร เราไปต่อต้าน ถูกต้องตามกฎหมายและสากล เป็นประชาธิปไตยไม่ได้มีอาวุธ ใช้ความสงบ และความจริงออกมายืนยันอ้างอิงอธิบาย เอาคนที่มีหลักฐานมีความรู้คนที่อ้างอิงได้มาแฉ มายืนยัน ด้วยความรู้ด้วยความจริงที่ทำมา ปรากฏผล เมืองไทยเป็นเมืองประชาธิปไตยที่แท้ก็ชนะ ประชาชนปฏิวัติ ประชาชนประท้วง จนถึงสีรัฐบาลประเทศก็สงบเรียบร้อย ก็อยู่ในระยะเวลาที่พลเอกประยุทธ์มารับช่วง ก็มาสอดประสานรับช่วงยึดอำนาจไปบริหาร ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ บริหารมา 4 ปีแล้วคะแนนก็ยังไม่ตก นี่ก็ยังบอกว่า อยู่ดีๆทำไมนิด้าโพล ออกมาคะแนนนำประยุทธ์ได้ แต่อันอื่นเขาไม่เลย นิด้าโพลก็เลย ตอนนี้เสียภาพลักษณ์ เสียรังวัด เพราะว่าโพลอื่นๆคะแนนเหนือกว่ากัน และดูมวลคนอื่นที่เขาทำโพลด้วย นิด้าโพลมีจำนวนน้อยกว่า ตอนนี้ก็เลยเสียรังวัด อันนี้เป็นเรื่องความบริสุทธิ์สะอาดใครไม่บริสุทธิ์สะอาดก็เสียแต้มความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
ระบอบ คสช.
1. ประชาธิปไตยแบบเชิญตั้ง ซึ่งเกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ยินยอมพร้อมใจให้เข้ามาบริหารประเทศ (หลังจากที่ประชาชนได้ขับไล่รัฐบาลทรราชออกไป จนบริหารประเทศต่อไปไม่ได้) จะทำโพลกี่ครั้ง ๆ ประชาชนก็ให้การสนับสนุนมาตลอด จนครบ 4 ปี กว่าแล้ว และประชาชนกำลังจะเชิญตั้งในสมัยที่ 2 ต่อไปอีก ซึ่งมีคะแนนนิยมจากผลโพลสูงกว่า รัฐบาลทักษิณและนอมินีมาตลอด
ระบอบทักษิณ
2.มุ่งประโยชน์เพื่อตัวเองและพรรคพวกของตัวเองเป็นหลัก จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทยก็จะให้ความดูแลก่อน เคยกำหนดให้วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันราชการ เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้กับครอบครัวของตน จนได้รับนานาสารพัดฉายา เช่นโคตรโกง และโกงทั้งโคตร (แถมยังสืบทอดการโคตรโกงอย่างยั่งยืน แม้จะมีการปราบปรามอย่างขุดรากถอนโคนได้มากแล้ว แต่ก็ยังเหลือผีตายซากทั้งร้องทั้งดิ้นให้เห็น ๆ กันอยู่)
ระบอบ คสช.
2. มุ่งทำประโยชน์เพื่อประชาชนในทุกๆด้าน เช่น ยึดที่ดินจากผู้มีอิทธิพล คืนมาได้กว่า 300,000 ไร่ ปลดทุกข์ให้กับประชาชนทั่วประเทศที่เป็นหนี้สิน นายทุน หน้าเลือด จับ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นายพลนายพัน นักธุรกิจ นายธนาคาร นักวิชาการที่ละเมิดกฎหมายติดคุกไปแล้วหลายราย จนพูดได้ว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังคนจนเท่านั้น
ระบอบทักษิณ
3. สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง จนยากที่จะประเมินมูลค่าได้ เฉพาะคดีของยิ่งลักษณ์คดีเดียว เรื่องทุจริตจำนำข้าวก็ปาเข้าไป 2.8 แสนล้านแล้ว แต่ ของทักษิณ มีอีกเป็น สิบ ๆคดี บางคดีศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ไปแล้วหลายหมื่นล้าน สุดท้ายก็ต้องพากันหลบหนีออกไปต่างประเทศอย่างสุขสำราญ ทั้งน้องทั้งพี่ ปล่อยให้ลูกน้องที่ร่วมกันโกงพากันเข้าคุกอย่างทุกข์ทรมาน
ระบอบ คสช.
3. ภาพรวมของประเทศไทยได้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในหลายๆด้าน
•เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยพุ่งแตะ 1.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
• ส่งออกข้าวมากที่สุด อันดับ 1 ของโลก
• ยอดนักท่องเที่ยวปี 2017 ทะลุ 35 ล้านคน
• ทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุด อันดับ 3 ของโลก ประจำปี 2017
• กรุงเทพมหานคร คือ เมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประจำปี 2017
• สำนักข่าว Bloomberg จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความทุกข์น้อยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน
ระบอบทักษิณ
4. การสร้างความรุนแรงที่กระทำต่อประชาชน ด้วยนโยบายกำปั้นเหล็กที่ใช้ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด ทำให้มีประชาชนถูกวิสามัญฆาตกรรมกว่า 2800 ศพ ซึ่งมีเบาะแสน่าเชื่อว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตัดตอนไม่ต่ำกว่า 2000 ศพ และมีประชาชนพากันบาดเจ็บล้มตายไม่ต่ำกว่าพันคน ที่ออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ แต่ถูกฝ่ายของทักษิณ เอาระเบิดและอาวุธปืนร้ายแรง มาใช้ เข่นฆ่าทำลายทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุมกันอย่างสงบ
ระบอบ คสช.
4. แม้จะมีม. 44 ให้ใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ แต่คสช. ก็ไม่เคยเอาอำนาจเด็ดขาดนั้นมาใช้เข่นฆ่าประชาชนให้ตายแม้แต่คนเดียว แต่กลับเอามาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์จรรโลงสังคม เพื่อแก้ปัญหาที่สะสมหมักหมมมาอย่างยาวนานชั่วนาตาปีที่รัฐบาลเลือกตั้งยุคใหน ๆ ก็แก้ไม่ได้
ระบอบทักษิณ
5. สร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ จนคนเหนือคนใต้ไม่กล้าไปมาหาสู่กัน เกิดความแตกแยกในที่ทำงาน และลุกลามบานปลายไปถึงครอบครัว แม้แต่นอนในมุ้งเดียวกันก็เลือกสีคนละข้าง
ระบอบ คสช.
5. ทำให้ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศหมดไป คนไทยหันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเทิดทูนสถาบันชาติ-ศาสนา -พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดไปทั่วโลก ในงานพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 และการช่วยเหลือเด็ก ๆ ทีมหมูป่า Academy 13 ชีวิต ออกจากถ้ำหลวง
(ทุกวันนี้ประเทศไทยดีขึ้นในทุกๆด้านแม้ต่างชาติก็ให้การยอมรับอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคใดสมัยใด แต่พวกประชาธิปไตยเก๊ทั้งหลาย ก็พยายามสร้างวาทกรรมที่เป็น Fake News ให้เกลียดชังประเทศของตัวเอง จนทำให้เห็นว่า ต้องรีบเลือกตั้ง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทันที น่าจะพอกันได้แล้ว พอกันที 86 ปีมาแล้วนะ รู้ประชาธิปไตยกันให้จริงบ้าง จะไม่ยอมฉลาดกันบ้างเลยหรือ??? )
ทุกวันนี้ประเทศอื่นไม่ได้รังเกียจนายกตู่ ทั้งที่กรรมกิริยาเหมือนรัฐประหาร แต่ที่จริงนะนักรัฐศาสตร์ก็รู้แล้วว่าทหารไม่ได้ปฏิวัติแต่ประชาชนปฏิวัติ ซึ่งมันเป็นสากลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนะ คนไทยภูมิใจเถอะ ประเทศไทยปฏิวัติได้จริงๆ เป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดเลย แสดงให้เห็นได้อย่างงดงาม ปฏิวัติได้งดงามอย่างสงบไม่ใช้อาวุธ แต่ใช้ความจริงเท่านั้นปฏิวัติ ทักษิณก็เอาคนมาประท้วงแต่สู้ประชาชนไม่ได้ เพราะว่าไทยเป็นพุทธที่เป็นประชาธิปไตย อันสุดยอดที่สุด ตามที่พระพุทธเจ้าทำมาก่อน
ใครมาเข้าธรรมนูญของท่าน ไปในแคว้นไหนประเทศอินเดียไม่ว่าจะเป็นแคว้นเล็กหรือใหญ่ก็ยอมให้กับพระพุทธเจ้า ใครจะมาเข้ารีตมาเป็นประชากรของรัฐอิสระของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหญ่ๆ อย่างเช่นพระเจ้าปเสนทิโกศลพระเจ้ามคธก็ยอม
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์การปกครองพระพุทธเจ้าสุดยอดที่สุดศึกษาให้ดี
นี่ก็อยู่ครบเทอม ทุกชาติในโลกต่างก็รับรองในพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตยจริงแม้จะมีความซ้อนที่ดูเหมือนรัฐประหาร แต่แท้จริงแล้ว คำว่ารัฐประหารเป็นเพียงภาษาบัญญัติ แต่โดยแท้จริงสัจจะสภาวะแท้มันก็ต้องจำนน ก็ยังโชคดีที่ว่าประชากรโลกคนในโลกยังเข้าใจสัจจะนี้ได้ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เหมือนยึดมั่นถือมั่นประชาธิปไตยขาเดียวที่เขายึดถือกันไม่เอาเข้าสู่สาระสัจจะ ตอนนี้แสดงว่าพลโลก ประเทศต่างๆในโลกเข้าใจในความเป็นประชาธิปไตยได้ลึกซึ้งถูกเนื้อหาสาระมากขึ้น
ที่จริงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ทำการบริหารอย่างถูกต้องอย่างที่คนยากจะเข้าใจเช่นเอาเงินไปแจกคนจน อย่างนี้เป็นต้น เขาก็หาว่าไปทำประชานิยม เป็นการติดสินบนประชาชน จะได้คะแนน
อาตมาว่า พิจารณากันให้ดีแล้วเรามีนักวิชาการที่มีความรู้ทางสถิติเขาทำกันอย่างถูกต้องด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้วอย่าไปกลัว พวกปากหอยปากปูที่จะประท้วง จะพยายามมาหาเรื่องมีเยอะแน่นอน
1.คนไม่รู้เขาก็ว่า
2.คนที่ต้องการอำนาจคืนก็เป็นอีกพวกหนึ่ง
ก็ขอส่งสัญญาณกับผู้ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจดี แล้วก็หลงตัวเองว่าตัวเองเข้าใจถูก พยายามพิจารณาทุกอย่างให้รอบ ยุคนี้เป็นยุคของปัญญาที่แท้จริง
เขาก็พยายามสร้างวาทกรรม fake news ทำให้คนเกลียดประเทศตัวเอง เลยจะต้องให้รีบมีการเลือกตั้งแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ว่าอย่างนั้น ที่จริงแล้วถ้าตรวจสอบ 86 ปีผ่านมาแล้วประชาธิปไตย รัฐบาลต่างๆเทียบกันได้เลย 28 รัฐบาลก่อน กับรัฐบาลที่ 29 นักวิชาการนักข้อมูลเทียบประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นด้านไหน เป็นการวิวัฒนาการที่เจริญสูงขึ้นหมดเลย อย่าว่าแต่ประชาธิปไตยของไทยที่เจริญกว่ารัฐบาลต่างๆผ่านมา 28 รัฐบาลของไทย ของไทยตอนนี้เป็นประชาธิปไตยที่นำมาในโลก ใครจะหาว่าหลงใหลประเทศตัวเองไปชาตินิยมก็แล้วแต่ อาตมาไม่ได้ลำเอียงแต่ใช้หลักวิชาการตามที่อาตมามีความรู้ภูมิธรรม พูดความจริงไม่ได้หลงใหลเพ้อเจ้อ
ศึกษาให้ดีระหว่างประชาธิปไตยแท้ๆกับประชาธิปไตยเทียมๆ
ชาวอโศกเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้ อาตมาพยายามจะให้หลักสำคัญ
1 ประชาธิปไตยแท้ต้องเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ต้องมีพระมหากษัตริย์กับประชาชนคู่กันเสมอ เป็นราชประชาสมาสัย ประชาธิปไตยต้องมี 2 ประชาธิปไตยเดียวไม่ได้ ประชาธิปไตยขาเดียวก็ไม่ได้ ประชาธิปไตยมีแต่ประชาชนไม่มีกษัตริย์ก็ไม่ได้มีแต่กษัตริย์ไม่มีประชาชนก็ไม่ได้ ประชาธิปไตยมีแต่ฝ่ายรัฐบาลไม่มีฝ่ายค้านก็ไม่ได้ จะมีแต่ฝ่ายค้านไม่มีฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้ ก็ต้องเป็น ทวิภาคี สภาพคู่
ถ้าแยก ประชาธิปไตยขาเดียวก็เท่ากับมนุษย์นี้ เอาแต่จิตไม่เอาขา หรือเอาแต่กายไม่เอาจิต ลักษณะประชาธิปไตยขาเดียวมันมีแต่กายที่ผิด มิจฉาทิฏฐิที่ไม่มีจิตร่วมด้วย จริงๆแล้วกายมันเป็นธรรมะคู่แยกไม่ได้มันเป็นเทวะ ทเวธัมมา
สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์ 10) ตอน กามราคะสังโยชน์กับปฏิฆสังโยชน์
_ข้าพุทธ...สกิทาคามี กามราคะสังโยชน์กับปฏิฆสังโยชน์หมายเอาแค่ไหน
พ่อครูว่า..สกิทาคามีทำสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้หมดสิ้นก็เป็นอนาคามี
ความลึกซึ้งซับซ้อน สูงสุด ปฏิฆสัมผัสโส หมายถึงอาการของจิตใดที่เกิด เป็น ทเวธัมมา เป็นก้อน ฆ ปฏิคือ Action Reaction มีการเคลื่อนไหว รูปกับนาม 2 เป็นคู่ ผู้สามารถสัมผัส ปฏิฆ ของตนเองได้
ปฏิฆ ความหมายหยาบคือมีสามเส้า มีประธานและมี อิตถีภาวะ และปุริสภาวะ
อธิบายอย่างวิทยาศาสตร์ มีนิวเคลียสมีบวกและลบ แต่ไม่มีใครเป็นประธาน ในเรื่องของอุตุนิยาม คนก็เอามันมาใช้ ถ้าไม่เอามาใช้มันก็ระเบิดของมันเอง เหมือนภูเขาไฟ มันมี 3 เส้า แล้วก็ระเบิดปะทุของมันหรือ คนเอามาทำนิวเคลียร์
สรุปแล้วต้องมีคู่ พลังงาน 2 ปฏิฆ
ตัว ฆ ประธานเป็นเจ้าของ จนมี วสวัตตีโก เป็นผู้ควบคุมจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ อาตมากำลังพยายามควบคุมพลังงานสัมประสิทธิ์ เพื่อให้จะเป็นผู้ที่มี วสวัตตีโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ตอนนี้ก็ยังเป็น เจโตวสิปัตโต เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการใช้พลังงานจิต พลังงานจิตป็นเรื่องวิเศษมากเก่งกว่าอุตุนิยาม สามารถถึงขนาดนั้น อาตมามีไม่มากเท่าไหร่หรอก ทำตามบารมี อาตมาจึงต้องพิสูจน์เป็นเรื่องท้าทายอาตมายังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน
สรุปแล้ว ที่ถามมา สกิทาคามีต้องหมดสังโยชน์เบื้องล่าง โอรัมภาคิยสังโยชน์ จะเหลือน้อยลง หมดจนไม่มีกามภพภายนอก
_ข้าพุทธว่า..กามภพหมายขนาดไหน?
คือเหลือเศษของรูปราคะ หากสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายแต่ไม่แสดงออกทางกายกรรมวจีกรรม แม้จิตยังอยากแต่อำนาจจิตควบคุมได้ มีสัทธรรม 7 มากเพียงพอ ศรัทธาหิริโอตัปปะวิริยะสติสมาธิปัญญา ศรัทธามีความเชื่อมั่นมากพอ มีความมีหิริโอตตัปปะ มีวิริยะ สติ สมาธิปัญญาไปตามลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เนื้อแท้ของประชาธิปไตย
_ส.ลานศิลป์ สิ่งที่พ่อครูอ่าน 5 ข้อ เป็นการรวบรวมได้ชัดเจนในสภาพการเมือง ให้รู้ว่าสภาพการเมืองแบบทักษิณเป็นอย่างไร มันต่างจากคสช.อย่างไร ถ้าต่อไปพ่อครูได้ลงรายละเอียดจะชัดเจนมาก เช่น ผมเข้าใจผิดว่ารัฐประหารเป็นเผด็จการแต่สิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนเผด็จการแต่ที่จริงก็คือ เป็นการประชาชนปฏิวัติ
พ่อครูว่า...อย่างเรื่องสิริมหามายา เอาเรื่องสมมุติสัจจะบัญญัติ ว่าเป็นรัฐประหาร แต่แท้จริงเป็นสภาวะอย่างไร จริงๆไม่ใช่พลเอกประยุทธ์เป็นผู้รัฐประหาร แต่ว่าประชาชนรัฐประหารมาแล้วแต่อยู่ในสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยแวดล้อม พลเอกประยุทธ์ในขณะนั้นเป็นผู้รักษาความสงบของประเทศที่เป็นหัวหน้าใหญ่ เพราะฉะนั้นก็ต้องมารับสมอ้าง มารับผิดชอบอันนี้ แล้วก็พอดีพลเอกประยุทธ์ นำการบริหารไปได้ มีบารมีพอมีความรู้พอมีความจริงพอแล้วทำไปได้ มันก็เลยเป็นสัจจะ ตอนแรกก็ถูกต่างประเทศต่อต้านทั้งนั้น ว่านี่เป็นการปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่ประชาธิปไตยบอกว่าเป็นเผด็จการ เพราะว่ามีตัวอย่างของทั่วโลก ภาพที่ทหารของแต่ละประเทศปฏิวัติ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้ทำประชาธิปไตย แต่ว่าพลเอกประยุทธ์พิสูจน์ตัวเองจนครบเทอมแล้ว 4 ปี อย่างเป็นสากลเลยนะ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นสัจจะเหล่านี้จึงทำให้คนยอมรับ แล้วคุณก็จะได้เข้าใจจริงๆเลยว่า อาตมาพูดไปแล้วว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องขี้ผงไม่ได้เรื่อง ยืนยันความจริงอะไรไม่ได้เลย
อาตมาขยายความและว่าประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ระหว่างประชาชนกับกษัตริย์เป็นประชาธิปไตย 2 ขา เพราะคนมันมีจิตวิญญาณ คนสืบทอดทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณต้องมีประชาธิปไตย ประเทศไทยสืบสานกันมาถูกต้อง
อาตมานี่ เป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อนประเทศไทยเกิด อาตมาเคยมาบริหารประเทศไทยบ้างแล้วเป็นประชาธิปไตยด้วย ก่อนที่ประชาธิปไตยจะเกิดในประเทศไทยด้วย อาตมาบริหารแบบประชาธิปไตย แต่ยังอยู่ในคราบของสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อาตมาที่พูดนี้ไม่ได้พูดไม่จริง หากพูดไม่จริงอาตมาตายนะ อย่างน้อยที่สุด อาตมา ไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์แต่เอาสิ่งที่รู้นี่มาจากไหน ถ้าไม่ใช่ของเก่าของอาตมา ก็พวกท่านเรียนกันมาเป็นด็อกเตอร์ บางคนจบรัฐศาสตร์มาหลายใบ ทำไมไม่รู้อย่างอาตมา
อาตมาว่าหากอาตมาอายุ 100 อาตมาว่าอัตราการก้าวหน้าความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของโลก จะมีวิวัฒนาการสู่สัจจะ ของความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นแล้ว อย่างเช่นนายกตู่ยืนยันได้เลย ภาษาบัญญัติบอกว่าเป็นรัฐประหารแต่เนื้อแท้นั้นเหนือกว่าบัญญัติเหล่านั้น ชี้บ่งได้ว่า ประเทศต่างๆ ผู้นำของแต่ละประเทศต่างๆ ประชาชนของประเทศต่างๆเข้าใจประชาธิปไตย โดยเนื้อแท้มากกว่าพยัญชนะ มากกว่าหลักเกณฑ์ มากกว่า rule
หากจะอธิบาย Majority rule Minority rights ก็จะยิ่งชัดเจน Minority rights เจริญมากขึ้นกว่า Majority rule
_ส.ลานศิลป์..เรื่องรัฐประหาร ที่จริงไม่ใช่เผด็จการเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนนี่คือสิ่งที่บ่งบอกประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
พ่อครูว่า...ตอนนี้เขาศึกษาอยู่ แต่เขาไม่กล้าพูดอย่างนั้นเพราะว่าตัวหลักของการรัฐประหารก็คือกองทัพธรรม กองทัพธรรมเป็นสกั๊งของประเทศไทย แต่เดี๋ยวนี้ล้างกลิ่นของตัวเองออกเยอะ
_ส.ลานศิลป์อยากถามว่า...พ่อครูว่า ยุคนี้ต้องเป็นยุคปัญญาชน รวมถึงนักปฏิบัติธรรมก็ต้องเป็นปัญญาชนที่เข้าใจโลกเข้าใจการเมือง ไม่ใช่ศึกษาได้ปริญญาเป็นบัณฑิตเท่านั้น จะต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง จะต้องเข้าใจสังคมเข้าใจโลกเข้าใจกันเมืองให้ลึกซึ้งเพิ่มขึ้น
พ่อครูว่า...ใช่
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน นักการเมืองต้องไม่ดูถูกประชาชน
_สุดชดา...ดูในทีวี เห็นพ่อครูตอนไปประท้วงมีสมณะไปด้วย มองดูว่าสมณะมีความมั่นใจ ตอนไปเดินกับพ่อครู แต่พอดูแต่เห็นสีหน้าพ่อครูคล้ำเล็กน้อย แต่พ่อครูไม่ครั่นคร้าม ถามว่าเป็นสิริมหามายาหรือเปล่า มองภาษากายเหมือนพ่อครูกังวลเล็กน้อย อาจคิดว่า การพาลูกๆมาประท้วงจะถูกดูถูกหรือไม่ พ่อครูคิดอย่างไร
ตอนพ่อครูมีคดี ต้องระวังไม่ให้คะนองไปพ่อครูตีสีหน้าดีมาก
พ่อครูว่า...อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ทำหน้าอย่างไร อาตมาว่าอาตมาจริงใจ ใจก็ไม่ได้วิตกกังวล จะว่าไปอาตมารู้สึกคะนองด้วยซ้ำ ก็คือ เข้าสู่สนามรบไม่ได้คะนองอย่างไร
ใช่ ตอนคดีอาตมามีสีหน้าดี ตอนถูกจับอาตมาต้องตีสีหน้าอย่างหนึ่ง แต่ตอนไปทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติต้องตีสีหน้าอย่างหนึ่ง
ใน Concept ส่วนใหญ่ ถ้าไปทางธรรมะต้องสงบ ถ้าไปทางออกรบจะต้องมีสีหน้าท่าทางอีกอย่างหนึ่งตายเป็นตาย อาตมาต้องตีสีหน้าให้ถูกต้องตามเป็นจริงอย่างที่ว่า ไม่ใช่เสแสร้งแต่เป็นจริงด้วยซ้ำไป มันเป็นจริงจากองค์ประกอบกับความรู้ของอาตมา ว่าจะต้องทำอย่างนั้น
ถ้าอาตมาพาประชาชนไปประท้วง ปฏิวัติล้มรัฐบาลได้ 4 รัฐบาล รัฐประหาร แต่เราไม่ใช่รัฐเราเป็นราษฎร นี่คือบัญญัติกับสภาวะ รัฐแท้ๆ ของประชาธิปไตยนั้นคือประชาชน ประชาชนคือเจ้าของรัฐ แต่ตัวรัฐบาลไม่ใช่ประชาชน รัฐบาลเป็นผู้รับหน้าที่ไปบริหารประชาชน ประชาธิปไตยอยู่ที่ประชาชน คนมารับหน้าที่อย่าไปเหลิงอำนาจเหมือนกับทักษิณ นึกว่าตนเองได้อำนาจแล้ว แสดงได้อำนาจแล้วเป็นเผด็จการทางรัฐสภาจะทำอะไรก็ได้ ส่งเสาไฟฟ้ามาเลือกตั้งก็ได้ จะเอาวันหยุดวันสุดท้ายของปีเพื่อเซ็นสัญญาให้แก่เมีย เสร็จแล้วก็กฏหมายออกวันเดียวก็ได้ เป็นการแสดงออกที่สุดชั่วร้ายเลย แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว นึกว่าคนอื่นเขาเป็นควายหมดหรืออย่างไร คือ ทำอย่างดูถูกดูแคลนมนุษยชาติไปหมด จะทำอย่างไรก็ได้ อาตมาพูดชัดพูดแรง
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ผู้นำต้องเสียสละ แม้ไม่มีใครยกย่อง
_ทอธรรม ธรรมทัศน์...ดิฉันเรียนรัฐศาสตร์อยู่กรมการปกครองอยู่กระทรวงมหาดไทยตอนนี้ลืมทฤษฎีที่เรียนไปหมดมาฟังพ่อท่าน จากเหตุการณ์ปฏิวัติประชาชน หากว่าดิฉันจะสรุปว่าพ่อท่านเป็นหัวหน้าปฏิวัติประชาชนจะได้ไหมคะ
พ่อครูว่า.. รัฐศาสตร์เกณฑ์การบอกว่า รัฐศาสตร์คือการแสวงหาอำนาจ อย่างนั้นไม่ใช่ ความเป็นประชาธิปไตยเลย
แต่อย่าทำให้คนอื่นเขาโลหิตร้อนออกจากปากเลย มากไป
อาตมาพูดความจริงไม่ได้คุยโม้ อาตมาไม่ได้สะทกสะท้านเลย เริ่มต้นตั้งแต่อาตมาพาเข้าทำเนียบแล้วเอาพระล้อมคุณสนธิกับคณะ ประวัติศาสตร์เหล่านี้มีรายละเอียดอันสวยงามจริง ไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงอะไรเลย แม้แต่ที่สุด วันที่ 18 กุมภาพันธ์อาตมาอยู่บนเวที เป็นเป้าที่ไม่ต้องใช้ Sniper เลย คนธรรมดาก็ยิงได้ ตัวเบ้อเร่อ ระยะกระชั้นชิดเลย อาตมาก็ไม่ได้หวั่นไหวไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย พระสยามเทวาธิราชมีอยู่เรียบร้อย
อาตมาว่า พระสยามเทวาธิราชท่านมีภูมิปัญญา
อย่าไปพูดให้มากเลย เราต้องใช้เวลาเป็นปี เวลานาน ดูความอดทนของพวกเราพวกเราก็เข้าใจว่าการกระทำนี้ไม่เสียหลาย รักษาสภาพได้นานขนาดนี้เป็นปี โดยพวกเราไม่บกพร่อง โดยไม่ได้ใช้อาวุธ เราไม่ได้ใช้ออกนอกกฎหมายเลย นอกจากผิดกฎจราจรเท่านั้นเอง
ขณะนี้เขาว่า คุณสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นหัวหน้าปฏิวัตินำคนออกมาเป็นล้านคน
แต่อย่างไรก็ตาม อาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นแกนอยู่ด้วย แต่ไม่ต้องไปคุย
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
_ถามว่า จาก เหตุการณ์ทางธรรมชาติที่แปรปรวน ยิ่ งน้ำทะเลต่ำสุดรอบ 20 ปี อันนี้มันเกิดที่ทะเลแหวกแนวหน้าฐานทัพเรือสงขลา หรือเกาะทะลุ ปะการังและสัตว์น้ำโผล่พ้นน้ำราว 2 กิโลเมตรเป็นวิกฤตการณ์ของโลก พ่อท่าน จะวิเคราะห์ได้อย่างไรว่ามันเกิดขึ้นแล้วแล้วอีกภายใน 3 วันหรือ 7 วัน ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้น อย่างที่ชุมพร พระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวที่ท่านทราบ เมื่อสิ้นท่านแล้วประชาชนก็ว้าเหว่ อยากถามพ่อท่านว่าจะวิเคราะห์ได้หรือไม่ เหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไร ดิฉันว่าบ้านราชฯมีเรือ เกิดวิกฤตก็ขึ้นเรือโนอาห์อบอุ่นมากกว่าเพื่อน แต่ดิฉันอยู่คลอง 13 เขาก็บอกว่ามีรอยเลื่อน แต่ดิฉันก็จะอยู่เพราะถือว่าเป็นแผ่นดินพุทธที่จะอบอุ่น
พ่อครูว่า...อาตมาไม่สามารถที่จะรู้ที่คุณถามได้ ในทางอุตุนิยม ธรรมชาติจะลงตัวกับสัจธรรม รูปกับนามจะลงตัวกันเสมอ เป็นเรื่องอจินไตยที่ยากจะรู้ อาตมามั่นใจในเรื่องของสัจธรรม แน่นอนจะมีวิบากบ้างมีความบกพร่องบ้าง อย่างอาตมาจะต้องทุกข์ด้วยการไอเป็นวิบากบ้าง มีความต่อต้านบ้าง มันเป็นธรรมชาติของวิบาก แม้แต่เรื่องของความไม่ราบรื่น ไม่สวยงาม ครบทุกอย่างนี้ มันจะเป็นได้ อย่าไปนึกว่าประเทศไทยนี้จะราบรื่นทุกอย่างเลย มันอาจจะเป็นบ้างไม่มีปัญหา แต่ก็แนวโน้มทุกอย่างอาตมาว่ากำลังดีขึ้นโดยค่ารวม ไปรอด ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไร แม้แต่พฤติกรรมสังคมโลกทุกอย่าง แม้แต่เรื่องการเมืองประชาธิปไตยเรื่องสังคม ถ้าคุณชอบเก็บสถิติก็เก็บไว้ อาตมาจะได้มีข้อมูลเอามาบรรยาย ใครเป็นนักเก็บสถิติส่งมาให้อาตมาก็จะขอบคุณมาก
สรุป..อาตมาจะพยายามที่จะทำชีวิตให้ยาวยืนต่อไป ไม่ได้แกล้งพูดเล่น ไม่ได้มีตัณหาราคะหรือตัณหาในกามอะไรหรอก ไม่ใช่ แต่เพื่อที่จะนำพามนุษย์โลกสังคมโลก โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นตัวตั้งเป็นตัวนำ ไทยเป็นตัวตั้งตัวนำหลายอย่าง ไม่ต้องเอาอะไรมาก สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์แล้วเช่น 13 หมูป่า คนทั่วโลกก็เกิดการฮือฮา มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่ในทางนามธรรมมันได้ขาดแคลน คนมีน้ำใจแบบนี้มันขาดแคลนมันเลยเป็นเรื่องใหญ่ จริงๆแล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องใหญ่กว่านี้เขายังไม่ฮือฮาเท่า 13 หมูป่า แต่ก็เริ่มรู้กันมาแล้ว เพราะฉะนั้นในความหนากับความกว้าง มันค่อยๆกระเถิบเข้ามาหากัน ก็รออีกสักหน่อย แต่ละคนก็รักษาชีวิตสุขภาพให้ดี จะได้ดูอะไรดีๆกันปฏิบัติตัวเองไปตามนี้ให้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ สำหรับวันนี้เวลามันเลยไปแล้ว ก็ขอจบรายการไว้เพียงเท่านี้ ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:18:26 )
รายละเอียด
611203_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 28
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1TKNcg7HmOHXXIUzovR2a8gB9epwdEBwkESTGvM92v5o/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Y86QoVl60s3wWXERgR1cC68hDhvHQrRT
พ่อครูว่า...ตอนนี้เริ่มแล้วนะรายการสำมะปี๋ซี่วิต แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ภาษากลางว่า สารพัด วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก
มาอ่าน sms กันก่อน ดูคนนี้ดูจะถือสามานะ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ความเข้าใจถูกกับทำอะไรถูกหมดต่างกันตรงไหน
_Panya Prachachit …ความเห็นหลังดูสำมะปี๋ซี่วิต 30 พ.ย. 61
ความคิดแบบพวกท่านนี้ดูเหมือนว่า ใครใช้แกนธรรมะของพุทธเจ้า จะต้องไม่ถูกตั้งคำถามเรื่องความดีงาม พอท่านอ้างแบบนี้ ท่านก็เปิดช่องให้พวกโจรใช้การอ้างแบบนี้ไปอ้างแล้วไม่ต้องถูกตรวจสอบได้เหมือนกัน
ท่านอ้างว่า คสช. เป็นประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ มาจากการเลือกของพวกท่าน ก็แสดงว่าที่ท่านไปชุมนุมกันก็เพราะอยากให้ทหารออกมาปฏิวัติสินะครับ?
ประชาธิปไตยเขาระบุความหมายไว้ชัดเจนนะครับ ส่วนแก่นของพระพุทธเจ้าก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าท่านเข้าใจว่าแก่นของพระพุทธเจ้าคือประชาธิปไตย แล้วจะใข้ได้กับทุกอย่าง ผมว่ามันมักง่ายไปหน่อยนะครับ นอกเสียจากว่าท่านจะนิยามมันเป็นอย่างอื่นอย่าเรียกว่าประชาธิปไตย เรียกว่าอย่างอื่นครับ แบบนี้คนถึงจะยอมรับได้ ไม่ใช่ว่าเอาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่แบบนี้มายัดใส่สิ่งที่คนยอมรับว่ามันเป็นอีกแบบหนึ่งแล้ว
พ่อครูว่า...อาตมาไม่มีเจตนาอยากให้ใครยอมรับเลย คุณขี้ตู่อาตมาแล้ว คุณเข้าใจอย่างทั่วไป เข้าใจว่าอาตมามีอัตตามีตัณหา เจตนาจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าอาตมาไม่มี อาตมาบอกแล้วว่าอาตมาขยายความรู้ไปให้ถึงความจริง ที่อาตมาพูดอยู่ทุกวันนี้ อาตมาไม่ได้มีความอยากว่าจะต้องเอาอย่างที่ฉันพูด มีแต่ยืนยันว่าสิ่งที่จริงสิ่งที่รู้แสดงความเห็น ที่อาตมาเข้าใจเท่านั้น ส่วนใครจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ศีรษะใครศีรษะมัน อาตมาไม่เคยไปวุ่นวายสักนิดหน่อย
ยิ่งการยัดเยียดยิ่งไม่ทำ ไปทำทำไม ใครจะเอาเขาก็เอาไม่เอาก็ไม่เอา อาตมามีหน้าที่อธิบายมีหน้าที่ชี้แจงเท่านั้นเอง คุณเองจะรับหรือไม่รับก็เรื่องของคุณ
_ผมยอมรับว่าพวกท่านเก่งที่สามารสต่อต้านยีนเห็นแก่ตัวในตัวของท่านได้ พูดง่ายๆ คือฝืนธรรมชาติได้(พ่อครูว่าที่จริงเราไม่ได้ฝืนธรรมชาติ ธรรมะไม่ใช่แค่ธรรมชาติ มันเป็นสมการที่ผิดไป คือ x = xy มันไม่ถูก) ผมนับถือในตรงนี้ที่พฤติกรรมส่วนใหญ่ของท่านทั้งหลายไม่ได้ไปในทางที่ทำให้ยีนเห็นแก่ตัว แต่ๆ ๆ มันไม่ใช่ว่าท่านทำอะไรจะถูกไปหมด หรือไม่ถูกตั้งคำถาม หรือห้ามตรวจสอบ หรือคนอื่นค้องเชื่อแบบท่าน ธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็คือวิธีหนึ่งที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ท่านดูมด ปลวก ผึ้ง พวกเขาเหล่านั้นพัฒนาโคโลนีในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมาก่อนศาสดาใดในโลก ผมกำลังอยากจะบอกท่านว่า เรามีวิธีที่หลากหลายในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิบัติตามคำสอนของพุทธเจ้า ธรรมะไม่ใช่ทุกอย่างของโลกนี้ครับ อย่ายึดถือมันมากเกินไป เปิดใจรับสิ่งดีอื่นๆ บ้างครับ
พ่อครูว่า...คำว่าท่านทำอะไรสูกหมด กับคำว่าอาตมาเข้าใจถูกหมด ทำอะไร แม้แต่อาตมาก็เคยบอกว่าทำผิดเพี้ยนไปก็มี แต่ขอยืนยันว่าอาตมาเข้าใจถูกหมด คือสัมมาทิฏฐิตามที่พุทธเจ้าสอน เพราะอาตมาเข้าใจศาสนาพุทธถูก และได้ตีทิ้งศาสนาพุทธทั้งหมดว่ามิจฉาทิฏฐิ อาตมาก็ต้องแน่ใจว่าพูดออกไป คนต้องถามคนต้องซัดอาตมาเพราะเขาต้องยึดถืออย่างนั้นมันถูก อาตมาไปค้านแย้งเขาต้องเจอแน่ ไม่ได้ประหลาดหรือแปลกอะไร หากไม่แย้งสิ อาตมาเข้าใจผิดแน่ แต่คุณยึดแล้วว่าอันนั้นถูกแล้วมาตู่ว่าอาตมาผิดไปจากที่คุณคิด
อาตมาเชื่อมั่นว่าอาตมาถูกในความเข้าใจอาตมา และอาตมาออกมาพูดก็แน่ใจว่า คนต้องตั้งคำถาม ถ้าคนเข้าใจถูกหมดแล้วอาตมาพูดสิ่งถูกก็ไม่ถูกตั้งคำถาม แต่อาตมาพูดไปนี้มีคนตั้งคำถามก็แน่นอนก็มีคนตั้งคำถาม อาตมาไม่ได้เข้าใจผิดอย่างที่คุณพูด อาตมาก็ไม่ได้ห้ามตรวจสอบ และไม่ได้บังคับให้ใครต้องมาเชื่อตามอาตมาหมด
สุดชดาว่า...โคโลนี เช่น แบคทีเรียก็สร้างมวลของมันอยู่รวมกันเป็นก้อนๆโคโลนี
พ่อครูว่า...คุณก็มีคิดของคนเข้าใจตามประสาคนแล้วมองเห็นความขัดแย้งที่อาตมาพูดไป ซึ่งอาตมาพูดตามความเห็นอาตมาก็ต้องค้านแย้งกับความเห็นของคุณ เพราะมันก็ไม่ถูกตรงกัน ต่างคนต่างมีความเห็นไปคนละทางก็แล้วกัน จบ เพราะว่าคนเราถ้าเผื่อว่ายึดถือกันแล้วเถียงกันได้ทุกอย่าง อนุสุญญาณูทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาไม่มีอะไรเหมือนกันเท่ากันหรอก ไม่ว่าจะกี่ล้านๆอณูแน่นอนต้องมีความแตกต่างหลากหลายกันไปหมดอาตมาไม่ได้สงสัยเลยในคำพูดนี้ และอาตมาก็ว่า อาตมาต้องพูดยืนยันที่บอกว่าศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ทำให้เกิด Unity of diversity พูดไปในไม่กี่วันนี้
แล้ว ท่านก็เข้าใจในความหลากหลาย diversity ท่านก็จะอยู่กับสิ่งที่หลากหลายนี้และมันเป็นความงดงาม ผู้ที่สามารสอยู่กับความหลากหลายได้ อาตมาพูดนี้พูดอย่างไม่ได้เห็นแปลก แต่ชี้บ่งว่า ควรจะเป็นอะไร อาตมาเห็นว่าอย่างนี้ดีก็พูดตามความเห็นว่าอย่างนี้ถูก
คำว่าดีคำว่าถูกหรืออาตมานับถือนี้ คุณก็มีสิทธิ์จะยึดถืออันที่คุณนับถืออันที่คุณเห็นดีเห็นงามมันก็มีความหลากหลายไป ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะพูดของตัวของตน และจะมาให้อาตมาพูดว่า ยึดไม่ได้ แล้วจะมาบังคับอาตมาทำไม คุณไม่ยึดถือก็ไม่ว่าแต่อาตมายึดตามความเห็นดีเห็นงาม แต่อาตมานี้ มีความละเอียดละออ ยึดเพื่อใช้อาศัย ในชีวิตตนไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แล้วอาตมาก็รู้ว่าในขณะที่อาตมายึดนี้ อาตมาไม่ได้รับว่าอันนี้จะตายตัว อนิจจตา ทุกขตา อนัตตาด้วย อย่างนั้นด้วยซ้ำ
คุณจะยึดถือว่าของคุณถูกเอาไปเลย ผิดก็ได้ อาตมาผิดก็ได้ คุณจะว่าอาตมาผิด
_แซมดิน..ที่เขาว่าที่ไปชุมนุมก็เขาว่าเพื่อให้ทหารออกมา
พ่อครูว่า...อาตมาหากไม่เปิดใจรับก็คงอกแตกตายแล้ว
มาย้อนทวนที่ว่า เป็นประชาชนเข้าไปชุมนุมประท้วงแบบประชาชนปฏิวัติ ไม่ใช่ทหารปฏิวัติ แล้วคุณก็มาบอกว่าอาตมาปฏิวัติเพื่อให้ทหารออกมาปฏิวัติ ทหารไม่ได้ปฏิวัติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ได้ทำการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ประชาชนทำรัฐประหารเสร็จแล้ว
พลเอกประยุทธ์มีตำแหน่งหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศเป็นหัวหน้า ก็เข้ามารับงานจากประชาชนไปทำ ก็เป็นการสูกแล้วเขามีหน้าที่ที่จะต้องทำงานและเชื่อมโยงต่อไป พลเอกประยุทธ์ก็บริหารประเทศในขณะที่ไม่มีการเลือกตั้ง บริหารประเทศเข้าตาประชาชน จนอาตมาาตาขานรับว่าบริหารประเทศได้เป็นประชาธิปไตยดีมากกว่า นายกฯที่ผ่านมา เป็นเรื่องจริงที่ประชาชนปฏิวัติรัฐบาล พวกเราชาวประชาชนที่มีกองทัพธรรมเป็นแหล่งที่จะยืนเป็นหลักทำอาหารแจก ปักหลักเป็นปี ปฏิวัติ รัฐบาล ทักษิณ สมัคร สมชาย จนปฏิวัติยิ่งลักษณ์สำเร็จหมด
ก็มีวิธีการบริหารต่อไปจนมาถึงวันนี้ 4 ปีแล้ว ครบเทอมของการบริหาร
พระพุทธเจ้าก็รู้ประชาธิปไตย แต่ท่านพูดว่า ประชาชนมีอำนาจเหนือกว่าไม่ได้เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่รู้จักสภาวะกับภาษาบัญญัติเป็นธรรมะ 2 ใช้ให้ถูกเวลาถูกวาระ คนที่รู้แต่ภาษามีเยอะแต่ไม่เข้าถึงสภาวะมีเยอะมาก ยิ่งจะเป็นสภาวะขั้นปรมัตถ์ก็ยิ่งยาก ก็ใช้กันอยู่แต่บัญญัติพยัญชนะ คนที่เข้าใจได้แค่บัญญัติพยัญชนะ นึกว่าตนเองเข้าใจสภาวะ ที่จริงแล้วก็เข้าใจบ้างนิดๆหน่อย เถียงกันอยู่ทุกวันนี้ยืนยันกันอยู่ทุกวันนี้มีเยอะ
ถ้าคุณเข้าใจว่าประชาธิปไตยคือประชาชนมีอำนาจ คุณมาเรียนรู้ในหมู่ชนชาวอโศกดูบ้าง แล้วพยายามอย่าเอาอคติ อย่าเอาความยึดถือความรู้ของตัวเองมาฟัง อย่าเอาถ้วยใส่น้ำชามาเต็ม มาดูว่า ชาวอโศกเป็นนักประชาธิปไตย มีธรรมาธิปไตย สมาชิกในสังคมเป็นผู้บริหารอธิปไตยนั้น เข้าใจโลกเข้าใจอัตตาจัดสัดส่วนโลกและอัตตาสมดุล จึงอยู่กันอย่างสบาย ชาวอโศกไม่ได้มีแค่ความคิดนึกตรรกะ ไม่ได้มีแต่ทิฐิความรู้ความเห็น แต่ได้ทั้งกระทำความรู้ความเห็นการพูดประพฤติจริงจนสำเร็จผลจริง เป็นสังคมมนุษยชาติจริง เป็นสังคมจริงอยู่ท่ามกลางประเทศไทย ประชาชนชาวอโศกทำได้อย่างสุดยอดเป็นขั้นเป็นสังคมสาธารณโภคี ประชาชนในกลุ่มนี้เห็นแก่ส่วนกลาง ทำงานเสียภาษี 100% ประชาธิปไตยในโลกนี้ทำไม่ได้ แต่ประชาชนอโศกทำได้ พอได้ศึกษาธรรมะจนความเห็นแก่ตัวอย่างแรงกล้านั้นหมดไปแล้ว มีความเห็นแก่กลุ่มหมู่ อย่างที่เห็นว่ากลุ่มหมู่นี้สามารสพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ มีเศรษฐกิจร่วมกันได้รัฐกิจร่วมกันได้อย่างดี จึงสมัครใจอยู่กับสังคมนี้กลุ่มนี้ ตามวัฒนธรรมของสังคม ตามหลักเกณฑ์ทางสังคม อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นผลสำเร็จของมนุษยชาติ นักรัฐศาสตร์คนเจริญอย่างยิ่งมันหาตัวอย่างนี้ไม่ได้ในโลกทั้งโลกนี้ไม่มี มันมีอยู่ที่นี่ในประเทศไทยไม่ใช่น้อยนะกลุ่มชนชาวอโศก มีในภาคกลางภาคเหนือภาคอีสานมีหมด เป็นสาธารณโภคีบริหารกันอยู่อย่างนี้ ทุกอย่างเข้าส่วนกลาง เศรษฐกิจที่สูงที่สุดที่ดีที่สุดคือเศรษฐศาสตร์แบบคนจนตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสไว้แบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่เป็นนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลกคือในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระปัญญาธิคุณสูงสุด ทำความเข้าใจให้ดี เราไม่ก้าวหน้าอย่างที่เขาทำกัน เราก็รวยพอสมควรไม่ต้องรวยอย่างเขาไม่ต้องอยากก้าวหน้าอย่างเขา เอาแต่แบบคนจน ซึ่งมันเป็นภาวะโลกุตระเข้าใจได้ยาก มาอยู่อย่างชาวอโศก จนอย่างมีปัญญา มีจิตใจที่เพียงพอสันโดษมักน้อย อัปปิจฉะ แม้ที่สุด ชาวอโศกไม่สะสมสมบัติส่วนตัว โดยเฉพาะเงินทอง
อาตมาเห็นความเห็นของคุณไม่เอากับอาตมาเลย ยังดีมีโต้ตอบกับอาตมาให้เห็นก็ขอบคุณอย่างยิ่ง คนตีทิ้งก็แล้วไปแต่คุณนี่ไม่ตีทิ้งมาว่ากันเลย มีอะไรก็มาอีกได้
SMS วันที่ 30 พ.ย. 2561
_8788 หลวงปู่ครับ กระผม ถ้าอยากได้ "ไอโฟน" อยู่ จะเป็นอรหันต์ ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...ยังเป็นไม่ได้หรอก
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เป้าหมายของคนลงสมัครเลือกตั้งทั่วไป
_นักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก หลวงปู่คะ หนูสงสัยมากเลยค่ะ คนที่เขาลงสมัครพรรคการเมืองกันเขามีเป้าหมายเพื่ออะไร แล้วเขาในนั้นจะมีคนที่ต้องการพัฒนาประเทศหรือต้องการพัฒนากิเลสกันแน่คะ
พ่อครูว่า...ต้องการพัฒนากิเลสเขา เขาอ้างว่าจะมาพัฒนาประเทศแต่น้อยคนที่จะทำสำเร็จผลจริง เชื่อไหมว่าชาวอโศกต่างพากันมาพัฒนาประเทศ... (ตอบ)เชื่อ... นี่เป็นความจริงใจ แล้วชาวอโศก สำหรับปัญหาตนเอง สบายแล้ว อย่างอาตมาสมณะ แม้แต่ฆราวาส มีปัญหาที่จะดำเนินชีวิตตนเองด้วยอาชีพด้วยกัมมันตะด้วยวาจาด้วยสังกัปปะ ...ไม่มี เขาพ้น มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะแล้ว ชาวอโศก แล้วแต่ใครที่ยังมีกิเลสส่วนตัวบ้างก็ทำออก ทำของใครของมัน คนใกล้หมดแล้วก็อยู่กันตามสบาย เข้าเกณฑ์อรหันต์ก็สบายก่อนเพื่อน เป็นอรหัตตมรรคก็ว่ากันต่อ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบันก็ไปตามลำดับเป็นความจริงที่ชาวอโศกคืออาริยะ 4 เหล่า อาตมานำความจริงมาปฏิบัติให้ชาวอโศกเป็นอาริยะได้จริงๆจากสัมมาทิฏฐิด้วยจริง ที่ทำกันมานั้นเป็นอรหันต์เก๊อรหันต์เก่า มุขกันมา ชาวอโศกมีอรหันต์จริง เชิญมาตรวจสอบ ก่อนจะมาตรวจสอบต้องมีภูมิพอนะ ภูมิไม่พอมาตรวจสอบแล้วก็ตรวจสอบไม่ถูก ที่สำคัญคุณต้องมีภูมิสูงกว่านะจึงจะมาตรวจสอบ หากมีภูมิไม่สูงกว่าจะไปตรวจสอบได้อย่างไร
ที่สำคัญการทำงานการเมืองในสังคมเขาทำทุกวันนี้พัฒนากิเลส ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นหลักโดยอ้างอิงว่าจะมาช่วยเหลือประเทศ แต่เนื้อแท้หลัก พยายามสร้างฐานะโลกธรรม
_ไพร จริยา-"การเลือกตั้งที่กำลังจะมา เป็นสิริมหามายาใช่หรือไม่"
พ่อครูว่า..ห่างไกลมาก เป็นมายาเป้งเลยไม่ได้สิริ ไม่ได้ใหญ่เลยติดลบ ไม่ได้มีสิริเลย สิรินี่คนดี
อาตมาเห็นว่า ในสังคมที่ยังไม่พัฒนาการเลือกตั้งเป็นการเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวอย่างหนักหนาสาหัส เลือกตั้งกันไปให้ตาย มันเล่นลิเกละครขี้โกงกันตลอด ในเมืองไทยอาตมาว่านายกตู่ บริหารประเทศในขนาดนี้ใช้ได้ น่าจะได้บริหารกันไปต่อพอสมควร อย่างน้อยสักสองสมัย พล.อ.เปรม 2 สมัย ทำสัก 2 สมัยดูสิ ว่าจะเข้าตาขนาดไหน อย่างพล.อ.เปรมถือว่ายึดอำนาจ แต่ไม่ได้ยึดอำนาจอย่างพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็บริหารไป
พลเอกประยุทธ์เอาเรื่องการกระทำมากกว่าเรื่องพูด มันก็เลยเงียบ เป็นการยึดอำนาจไหม พลเอกเปรมท่านก็เป็นคนที่ไม่พูดมาก ใครจะพูดอย่างไรท่านก็นิ่ง ท่านก็ปล่อยให้ตบมือข้างเดียวไป เรื่องก็เลยไม่ค่อยมาก ต่างกับบุคลิกของพลเอกประยุทธ์ พูดมาท่านก็ตอบโต้ มันก็เลยคนละเรื่อง คนละอย่างกัน ก็เลยเป็นอย่างนี้แหละท่านผู้ชม มันก็ไม่เสียหายอะไรหรอกอย่างนี้รู้เรื่องดีไม่อึมครึม แต่พลเอกเปรมก็มีความรู้อย่างท่านบริหารไปได้ดี ที่ผ่านมา
พลเอกประยุทธ์ทำแล้วจะสำเร็จไปในตัว พลเอกเปรมนั้นแม้จะดีแต่เมื่อเปลี่ยนจากพลเอกเปรมมันก็ไม่อยู่แล้ว มันไม่นิ่ง มันไม่สำเร็จ มันได้ชั่วคราว เหมือนพวกนั่งสมาธิหลับตาสะกดจิตได้ชั่วคราว พอออกมามันก็กลับคืนเหมือนเดิม แต่อย่างพลเอกประยุทธ์เหมือนอย่างวิปัสสนา สามารสแจกแจงว่าอย่างไรผิดก็จัดการอะไรสูกทำต่อไปอะไรผิดให้เลิก เลิกอย่างถาวรด้วย เข้าหลักของพุทธศาสนาเข้าหลักของพระพุทธเจ้า
สิริมหามายาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องของความจริงกับความไม่จริงที่เร็ว มุทุภูตธาตุ กลับไปกลับมาแต่สิริเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องไม่ผิดเลยเป็นเรื่องอจินไตยที่เข้าใจได้ยากอาตมาก็ยังไม่แกร่งพอที่จะอธิบาย ในบัดนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน คนที่เอาแต่รวยๆๆไม่ใช่เรื่องดีเลย
_เต็มตะวัน ...ทำไมพวกที่ขายชีวิต พวกที่เปิดเขียง ทำไมเขาถึงรวยเอารวยเอา ทั้งๆที่ทำให้ชีวิตอื่นเจอแต่ความเจ็บปวดทรมาน ผมอยากได้คำตอบที่ฟังแล้วหลุดพ้นคำถามพวกนี้ ที่ผ่านมาคำตอบคือเป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้นคือพวกนี้รวยแต่มีกรรมไปชดใช้ชาติต่อไปแค่นั้นเอง
พ่อครูว่า...ยกตัวอย่างให้ชัดอย่างพวกที่ขายชีวิตให้ทักษิณก็เช่นกัน พวกที่รวมอำนาจได้อย่างสูงสุดอย่างทักษิณมันก็โกงได้ก็รวยสิ ใช้สภาพซ่อนเร้นบริหารต่างๆนานา หรือโกงอย่างดื้อๆก็มี
พวกที่เขาทำไม่ถูกต้องเขาจะรวยเท่าไหร่ไป มันก็ไม่ใช่เรื่องดี คนที่คิดด้วยคือคนที่โง่แล้ว อาตมาพูดด้วยความจริง คุณว่าเจ้าชายสิทธัตถะท่านเลือกเอาความรวยหรือความจน ท่านก็เลือกเอาความจน ท่านมีสมบัติพัสถานอำนาจปัจจัยท่านก็ไม่เอาแล้วทิ้งมาเป็นคนจน ดำเนินพระบาทเปล่า ทรัพย์สินเงินทองทุกอย่างท่านทิ้งหมด มีจีวรบริขารกาย 3 ผืนมีบาตรบริขารท้อง บริขารพอสมควรเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเรื่องคนยิ่งใหญ่คนที่มีภูมิปัญญาอย่างชาวอโศกก็เลือกความเป็นคนจน นี่เป็นคนยิ่งใหญ่เป็นคนมีปัญญา คนไปเลือกความรวยนั้นเป็นคนโง่ พูดตรงๆอย่างนี้อาตมาไม่ชอบพูดโค้ง เข้าใจได้ยาก อันนี้เข้าใจได้ง่าย และอาตมามั่นใจว่าไม่ได้พูดผิด เหน็ดเหนื่อยจะตายชักแล้วจะไปเอาด้วย มาเอาความจนนี้ง่ายจะตายชัก
คนที่มันมาไม่ได้มันจะตายชักเหมือนกัน มาจน แต่คนที่จะมาจนได้โดยที่มันไม่ยากและมันก็ไม่ชักหรอกมันสบาย สบม. คนจะไปรวยนี้จะตายชักทั้งขึ้นทั้งล่อง ต่อให้เก่งหรือไม่เก่งก็ตาม ชีวิตก็มาง่ายๆสิไม่ใช่มักง่าย
หากไม่มีสังคมชาวอโศกคุณก็ไม่มีที่ไปที่มีพฤติกรรมสังคมมีความดำเนินเป็นอยู่ไปอย่างนี้ด้วย ยินดีต้อนรับนะถ้ามา แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์พื้นฐานขั้นต่ำ ไม่มีอะไรมากก็มีศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์กินมังสวิรัติไม่มีอบายมุข มีเงื่อนไขเบื้องต้นขั้นต่ำ คุณก็มาอยู่ได้
หากคุณไม่ละเมิดแค่พื้นฐานเงื่อนไขพื้นฐานนี้ซะ คุณก็อยู่ได้ไปตลอด ตายเสร็จก็ไปเผาให้ฟรี ไม่ต้องเดือดร้อนว่าใครจะมาเผาหรือฝัง ทุกคนมีเกียรติเท่ากัน งานศพชาวอโศกเหมือนกัน คนใหญ่คนเล็กคนโต สมณะก็พอกัน หามขึ้นกองฟอนแล้วเผา ดอกไม้ประดับเท่ากัน ดีไม่ดีฆราวาสบางคนจะมากกว่าสมณะด้วย
_ปุญญา ธัมมา....รักโดยไม่มีเงื่อนไข อยู่ในรัก มิติที่เท่าไรคะ
พ่อครูว่า...อาตมาคิดไม่ถึงไม่ได้จัดในมิติเท่าไหร่ รักไม่มีเงื่อนไขนี้โง่ไม่มีเงื่อนไข เลยไม่ได้จัดในมิติไหน อาตมาไม่เอาน่ะมันโง่หนักเกินไป แก้ไขคงยาก เพราะมันเจอปั๊บรักปุ๊บหากไปเจอโจรใหญ่รักแรกพบก็คงจะซวยตายเลย
SMS วันที่ 1-2 ธันวาคม 2561
_6242ได้ไปชมโขนตอน..พิเภกสวามิภักดิ์..ที่กำลังแสดงในขณะนี้..ในเนื้อเรื่องกล่าวถึงเหตุที่พิเภกถูกลงโทษถึงกับถูกขับออกจากกรุงลงกา ด้วยเพราะไปทำนายฝันให้ทศกัณฐ์แบบไม่ถูกใจโจ๋!! ในฝันของทศกัณฐ์มีกล่าวถึงนกแร้งดำและนกแร้งขาว ซึ่งหมายถึงทศกัณฐ์ และพระรามนั่นเอง ขอกราบรำลึกถึงพญาแร้ง..ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมและความดีมาในโอกาสนี้เจ้าค่ะ
_3867พ่อครูบอกพวกเราญตธ.อโศก!ผู้ปฏิบัติธ.ทุกบวรอโศก!ลูกหลานสัมมาฯ!มวลเสริม กองทัพธรรม!ว่าท่านจะอยู่กับพวกเราถึง150ปี!พ่อครูคงไม่ลืมคำสัญญานี้!พ่อครูสู้ๆ!
_จากฟรุ้งฟริ้ง จากการติดตามฟังธรรมะพ่อครู ทำให้เข้าใจว่า สำหรับผู้ที่อยู่กับหมู่แล้ว ธรรมะ2 ของผู้ที่กำลังปฏิบัติ หรือกำลังเดินมรรคนั้น คือ วรรณะ9 กับ สาราณียธรรม6 ส่วนธรรมะ2 ของผลที่เกิดขึ้น หรือที่ได้รับก็คือ พุทธพจน์7 กับสาราณียธรรม6
2. มโนมยอัตตาคือกิเลสในขั้นของรูปภพที่เรียกว่า รูปตัณหา สำหรับผู้ปฏิบัติสัมมาทิฐิ ส่วนมิจฉาทิฐิ หมายถึง รูป หรือ เสียงเป็นต้น ที่ปั้นขึ้น แล้วผู้ปั้นได้สัมผัสสิ่งนั้นๆด้วยตนเอง โดยผู้อื่นไม่รู้ไม่เห็นด้วย
3. สมยะ คือปัจจุบันคือขณะใด ก็ขณะนั้น กาละคือตลอดเวลา (ทุกปัจจุบันทุกขณะ) เพราะฉนั้นในสมัยโดยสมัย ในกาละโดยกาละ ก็คือ ทุกลมหายใจเข้าออก
ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…คุณฟังธรรมะพอเข้าใจใช้ได้ อะไรก็เริ่มกันที่ธรรมะ 2 คือ เทวฺ นี่แหละที่เป็นความยิ่งใหญ่ที่สุดในมนุษยชาติ ใครที่ไม่สามารสตีธรรมะ 2 นี้ให้แตกได้ แยกธรรมะ 2 แล้วก็ทำความเข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นของแท้อะไรเป็นสิ่งไม่แท้ อะไรเป็นสิ่งที่ควรอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร แล้วก็ต้องเลือกเอาสิ่งที่ควร ส่วนสิ่งที่ไม่ควร ถ้ามันติดยึดอยู่ก็ต้อง ทำออกๆ ธรรมะรวมทั้งหมดเลยมีแค่นี้ ทีนี้น่าสงสาร คนที่จมอยู่ในเทว จมอยู่ในความเป็น 2 ตีไม่แตก undistinguish ไม่สามารสตีแตกแยกแยะนี้ได้ คือพวกเทวนิยม
ชาวพุทธก็ตีธรรมะ 2 ไม่แตก มีชาวอโศกตีธรรมะ 2 แตก แล้วเรียนรู้เวทนาในเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน เป็นสัมมาสิกขาได้พัฒนาอะไร
_ฟ้าแล...ตอนนี้มีมนุษย์แม่ ผู้ปกครองมาเยี่ยมลูกก็เยอะ ตอนนี้ก็อยากให้ลูกหลานเล่า ประสบการณ์ชีวิตที่มาเรียนในสัมมาสิกขา แม่ก็เล่าก่อนว่า...ส่งลูกมาเรียนที่นี่ ก็เสียน้ำตาเยอะ เห็นลูกทำงานเยอะ ก็สงสาร เวลาแต่ละคนนี่อยากเอาลูกตนเองออกก็ให้กำลังใจกันว่า ลูกเราเข้มแข็งขึ้นเก่งขึ้น ถ้าเราเลี้ยงเองไม่เป็นอย่างนี้หรอก ลูกจะรอเราทำให้หมด แต่เมื่อลูกมาที่นี่ลูกแข็งแรงทำงานหนักเป็นคนมีความรับผิดชอบขึ้น ตอนนี้ก็อยากจะฟังหลานๆว่า พ่อแม่ส่งมาเรียนที่นี่แล้วเด็กๆมีการพัฒนาอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า..แม่ทั้งหลายเป็นจิตใจสปอยล์ลูก ทำให้ลูกเสื่อม มาที่นี่ก็ทำให้ลูกพัฒนา
_หนูอยู่มาครบสองปี ก็เรียนรู้ มีศีลมีคุณธรรมมากขึ้นมีความอบอุ่นในการเป็นอยู่ ที่อโศกของเราดีที่สุด การอยู่ในสัมมาสิกขาสันติอโศกหรือบวรไหนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่อบอุ่น เวลาเรามีปัญหาหรือว่าต้องเจอสิ่งอะไรที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ คนใดคนหนึ่งเสียสละไป เราก็ไม่ปล่อยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การศึกษาของโรงเรียนเรา มีทั้งคุรุและรุ่นพี่ เพื่อนและรุ่นน้อง พี่น้องในชุมชนเป็นการศึกษาที่พึ่งพากันได้จริง ขอบพระคุณหลวงปู่
พ่อครูว่า...เด็กพูดมาด้วยความจริงใจของเขาเอง ก็มีเจตนาเช่นนี้แหละ คนที่เข้ามาแรกๆก็จะไม่รู้ว่าที่นี่คืออะไรก็เหมือนกับโลกๆที่มอมเมากัน เมื่อเข้ามาแล้วก็จะได้สัมผัส เด็กที่มีปัญญามีความเฉลียวฉลาดที่ดีเมื่อเข้ามาแล้วก็จะรู้ว่าที่จริงที่นี่ดี นอกจากว่าเด็กบางคน เข้าใจเหมือนกันว่าที่นี่จะทำให้คนดีแต่กิเลสเขามาก เขาทนไม่ไหว เขาก็ต้องออก ทั้งๆที่เขาก็ต้องร้องไห้นะ หลายคนอยู่ไม่ได้ทนไม่ได้ กิเลสของเขามีสูง แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดี ส่วนคนที่โง่อวิชชาจริงๆเข้ามาที่นี่แล้วไม่เอาเขาจะไปชั่ว อันนั้นก็จะมีเหมือนกัน เด็กที่ไม่โง่เง่านะ มีปฏิภาณปัญญาพอสมควรมาอยู่ที่นี่แล้วจะเข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่นี่จึงมีคนอยู่ แต่ละปีแต่ละปีตั้งมา สามสิบกว่าปีแล้ว ทำได้อยู่ตลอดเวลาเลย มีคนไปคนมาเรียนตลอด
_ดูแล (แลเลื่อนฟ้า) … ได้อยู่ในโรงเรียนสัมมาสิกขา ก็ต่างจากสมุนพระรัก ได้ฝึกการทำเกษตรและฝึกศีลเคร่งมากขึ้นใช้ชีวิตกับเพื่อนๆมากขึ้น เจอกับคนที่นิสัยไม่เหมือนกัน เจอผัสสะแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน เวลาไม่ถูกใจก็ต้องปรับจิตปรับใจให้ได้ไม่งั้นเราก็อยู่ไม่รอด ก็ต้องทำใจค่ะ
พ่อครูว่า...ต้องเข้าใจว่าเขาคือเขาเราคือเรา เข้าใจอย่างนี้จะเหมือนกับนักปราชญ์จีน เข้าใจเขาเข้าใจเรา ซุนวู รู้เขารู้เราก็จบสบาย
_ชีวิตตั้งแต่เข้ามาอยู่ในสัมมาสิกขาจนถึงบัดนี้ก็ครบ 2 ปีแล้วค่ะ ตอนเข้ามาแรกๆ การงานก็ไม่ค่อยเด่น ศีลก็ไม่ค่อยดี แต่เมื่ออยู่ไปนานๆก็ปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ดีขึ้นการงานก็ดีขึ้นการเรียนก็ดีขึ้นศีลก็ดีขึ้น เข้ามาอยู่ในนี้ก็มีความสุข บางทีก็มีอุปสรรคเข้ามาแต่ก็ยังยิ้มได้
พ่อครูว่า...อุปสรรคทำให้เราแข็งแรงทำให้เราเจริญ คนไม่มีอุปสรรคไม่เจริญหรอกไม่แข็งแรง จำไว้เลย มันจะมากเกินไปจนเราสู้ไม่ไหวก็หลบหน่อย แต่ถ้าเผื่อว่าเราสู้ได้ก็สู้เลย อุปสรรคนี้ทำให้เราแข็งแรงทำให้เราก้าวหน้า
สส.ส.กิมฮง_ตั้งแต่เข้ามาในชาวอโศก เมื่อก่อนผมเคยบวชเป็นเณรสามปี ฝึกแต่นั่งสมาธิหลับตามาตลอด ก็ไม่ได้รู้เรื่องมีบุญได้เข้ามาอยู่ในชาวอโศกก็เริ่มเข้าใจ รู้ว่าความรักมันเป็นทุกข์ เมื่อมาที่นี่ก็รู้ว่าความรักเหมือนกับสวนดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตา ได้เข้าใจธรรมะที่เราไม่เคยได้ยินจากภายนอกก็มาได้ยินที่ชาวอโศก ก็กราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่ก่อตั้งสันติอโศกทำให้ผมได้เข้ามาเรียนที่นี่ครับผม
พ่อครูว่า...ดีมาก มีคนเห็นประโยชน์คุณค่าก็ดีแล้วอาตมาดีใจ๊ดีใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน อัญญะคือความรู้ชนิดใหม่จากโลกีย์
_พลังเพ็ญ คำด้วง...เมื่อก่อนอยู่ข้างนอกเขาก็จะสอนให้รวยแต่พอเรามาอยู่ในชาวอโศก พ่อครูสอนให้เป็นคนจน ได้อ่านหนังสือคนจนที่มีแบบ ได้ประทับใจความจนมากขึ้น ที่พ่อครูบอกว่า เป็นคนจนต้องมีวรรณะ 9 ทำให้เราเข้าใจชัดมากขึ้น การเป็นคนจนที่ประเสริฐต้องมีวรรณะ 9 ดิฉันตั้งใจจะเป็นคนจนที่ประเสริฐตลอดไป
อยากถามว่า คำว่าปัญญาคำว่าเฉโกก็เข้าใจแต่คำว่า อัญญะที่พ่อครูบอกว่า คำว่าอัญญะคือ ความรู้ชนิดใหม่
พ่อครูว่า...พระอรหันต์คือคนที่มีวรรณะ 9 สูงสุด พระอนาคามีก็มีลดลงมา สกิทาคามีก็เจริญขึ้นมาก็มีบกพร่องบ้าง โสดาบันก็เริ่มมีวรรณะ 9
อัญญะคือ เร่ิมต้นเป็นธาตุรู้ของจิตวิญญาณอีกตัวหนึ่งเกิดขึ้นมา นอกกรอบของธาตุรู้เก่า ที่เรียกว่าความเจริญเก่าทั้งหมดมันเป็นโลกีย์ เมื่อมีธาตุรู้ตัวใหม่ขึ้นมา เป็นตัวอื่นที่ไม่ใช่ธาตุรู้ในร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มในโลกียะ
อัญญะเป็นธาตุรู้ตัวที่ต่างจากโลกียะขึ้นมา พอธาตุรู้นี้จับตัวกันมาเป็นธรรมะสองเป็นพหูพจน์ เป็นอัญญาก็เลยกลายเป็นธาตุรู้ เป็นความรู้ เป็นธาตุทางเกิดความเข้าใจ ความเชื่อถือใหม่ความเห็นใหม่ต่างจากอันเก่าที่เป็นโลกียะ แต่ก่อนเราเข้าใจว่าความจนมันอย่างนี้ ตอนนี้ถ้าเราไม่ต้องไปแย่งกันโดยเรามาจนนี้ดีกว่าอย่างนี้เป็นต้น มันต่างกันแล้วมันทวนกระแสกันแล้วแต่ก่อนไม่เคยเห็นอย่างนี้ตั้งหน้าตั้งนานจะรวยไม่มีที่สิ้นสุด
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 ของเจโตและปัญญา
_อ.1 เคยถามพ่อท่านว่าเจโตวิมุติกับปัญญาวิมุติ พ่อท่านบอกว่า เจโตวิมุติจะตกร่วงได้มากกว่า แล้วต้องทำปัญญาวิมุติขนาดไหน
พ่อครูว่า..เป็นวิมุติ คือผ่าน ศีล สมาธิ ปัญญาและเป็นวิมุตเข้าขั้นที่ 4
อย่างน้อยทำถึงนิยตะ เช่น ในพระโสดาบันจะมีภูมิธรรมระดับ
โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ
ความรู้ที่เข้ากรอบความเจริญของทิศทางโลกุตระ แล้วไม่มีอวินิปาตธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีความชัดเจนเห็นจริง มันจะมั่นคง แต่มันกำลังพัฒนาความมั่นคง เพราะฉะนั้น มาหาอวินิปาตธรรมคือจะไม่ตกต่ำ หากตกต่ำก็ไม่เข้ากระแสที่จิต หากตกต่ำก็ไม่ใช่พระโสดาบัน ข้อที่ 2 นี้มันมีเงื่อนไขว่าจะตกต่ำไหม ถ้าหากตกต่ำคุณถอยหลังไปมันก็ไม่ใช่ นอกจากจะไม่ตกต่ำแล้ว นิยตะ คือเที่ยงแท้ มั่นคงขึ้น สัมโพธิปรายนะคือไปสู่ที่สูงที่สุดได้
นี่คือความหมายของสภาวะที่แต่ละคนจะได้ ตามที่จะใช้พยัญชนะภาษาบอก และสภาวะของเราเป็นอย่างนี้ไหม ถ้าเข้ากระแสแล้วเราก็เห็นจริงเลยว่า เราจะไม่แปรเปลี่ยนแล้วมันชัดเจน เพราะมันมี อัญญา มันมี ความรู้อันอื่นอันใหม่จากโลกีย์แล้วเราก็ชัดเจนว่ามาอยู่โลกใหม่นี้ดีกว่า ถ้าคนโลกียะจะไม่เกิดความรู้อย่างนี้เขาจะอยู่โลกเรานี้ดี
_อยากรู้ว่าปัญญาวิมุตินี้ มีตัวรู้มีสัมมาทิฏฐิ ต้องมีทั้งปัญญาและเจโตด้วยกันใช่ไหม อ.1 เคยบอกว่าเจโตวิมุตินี้ทำไปโดยไม่มีตัวรู้
พ่อครูว่า...มันมีตัวรู้สัมมาทิฏฐิแล้ว คำว่าเฉลียวฉลาดนี้รอบรู้ความเป็นโลกความเป็นธรรม ความเป็นภายนอกความเป็นภายใน และจริงๆ มันถึงขั้นมีความรู้โลกียะหรือโลกุตระ คนที่เกิดความเฉลียวฉลาดจริงๆว่าโลกุตระคือดีกว่าก็จะไม่ถอย เพราะเข้ากระแสแล้วจะไปถอยทำไม (แสดงว่าต้องได้ทั้งเจโตและปัญญา)ใช่ คำว่าศรัทธาหรือเจโตก็ไม่ได้หมายเอาปัญญา เจโตคือยังไม่มีความฉลาด ต้องมา เรียนรู้ถึงปัญญา
เจโตคือธาตุรู้ยังไม่พัฒนาสู่ปัญญาโลกุตระ ปัญญานี้เป็นคำของศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มีปัญญามีแต่เฉโก ศาสนาอื่นมีแต่ดีชั่ว วน ออกมาไม่ได้ ศาสนาพุทธเหนือดีเหนือชั่ว ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ลดสวรรค์ลดนรก จนหมด นั้นคือผู้มีปัญญาเต็ม
ศาสนาพุทธหมดสวรรค์หมดนรก เทวนิยม แม้ที่สุด พระเจ้าคือเจ้าของสวรรค์ คนตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร
_สายปัญญาจะฟุ้ง วิมุติสายปัญญาจะไม่แน่นเท่าเจโต
พ่อครูว่า ..ใช่ เพราะ มันรู้มากก็เลยจะวนเวียนสับสนปนเปกันเยอะมาก ใครจัดระบบตัวเองก็พอได้ ใครที่จัดไม่ได้ก็จะเหมือนคนบ้าเลยเพราะมันรู้มาก
_ทองแก้ว...วันก่อนได้สนทนากับสู่แดนธรรม...เวลาดิฉันตัดงาน แล้วก็ตัดรอบไปออกกำลังกายก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับงานตรงนั้นเลย เดี๋ยวเราก็มาทำต่อ อันนี้เป็นสัมประสิทธิ์หรือไม่
พ่อครูว่า...ก็ใช่ คุณไม่กลัวว่าใครจะมาตักอาหารอร่อยๆไป
_บอกว่า อุเบกขินทรีย์คือสัมประสิทธิ์ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า...อุเบกขินทรีย์ ในศาสนาพุทธเป็นสัมประสิทธิ์ที่สุดยอด พระมีฐาน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มีฐานที่ตั้งและมีคู่ของ Dynamic Static ที่มีตัวแปรมีอัตราการก้าวหน้า แล้วตัวเราเป็นเจ้าของพลังงานนี้ เราก็เจริญขึ้น มีเงื่อนไขของสัมประสิทธิ์ที่เราจะต้องทำให้เจริญก้าวหน้าแค่ขั้น + ยังไม่นับว่าเป็นสัมประสิทธิ์ ต้องเป็นระดับคูณขึ้นไปเท่านั้น ถ้าไปเอาแค่ + มันจะถอยหลังได้ แต่ถ้าขั้นคูณขึ้นไปมันถอยหลังยาก มันก็มีสิทธิ์จะไปถึงขั้นยกกำลังก้าวหน้าไปต่อ แต่ถ้าเอาแค่บวก มันก็จะถอยหลังได้ 2x2=4 แต่อันนี้ก็ 3x3 4x4 ก็ยกกำลังเลย
_อุเบกขาพัฒนากำลังเป็นอุเบกขินทรีย์พัฒนาไปเรื่อยๆ
พ่อครูว่า..อุเบกขามีคุณสมบัติ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อุเบกขาของพระอรหันต์จึงมีความเจริญก้าวหน้าไม่รู้จบเลย ใครทำให้กิเลสหมดเป็นตัวตัวก็ทำ ให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นปริสุทธา ส่วนมุทุภูเต คือตัวกลางที่จะมีฐานที่ตั้งแห่งความบริสุทธิ์และมีฐานแห่งความเจริญฉลาดเรียกว่าปัญญา มุทุเป็นธรรมะ2 เป็นทั้งเจโตและปัญญา รวมอยู่ในนี้เป็นธรรมะ 2 ก็ยิ่งดีข้นเจริญขึ้นปัญญาทะเลฉลาดหลักแหลมมากยิ่งขึ้น เจโตก็กลางวันแข็งแรงเป็นฐานที่มากขึ้น กัมมัญญา ทำกรรมการงานอะไรก็มีแต่ความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ทำไปมากขึ้นเท่าไหร่ก็ปริโยทาตา
_มะระขี้นก...ดิฉันติดหลายอย่าง อยากจะล้างมัน แต่มันยังตัดไม่ได้มีเยื่อใย ติดเครื่องประดับ อยากจะขายเขาไป แต่ยังตัดใจขายไปไม่ได้ ถวายพ่อท่านแล้วเดี๋ยวก็ไปซื้อใหม่อีก เป็นมาตั้ง 40 กว่าปีก็ยังทำได้บ้างเล็กๆน้อยๆ ตายไปก็กลัวน้องๆจะไปขายถูก
พ่อครูว่า...ภาษา พระพุทธเจ้าตอนจบที่ว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นเหตุแห่งทุกข์มันไม่ใช่ตัวตน ไปติดมันก็ทุกข์ไปอีกหลายชาติ ทิ้งเดี๋ยวนี้ก็หายทุกข์เดี๋ยวนี้ ต้องพิจารณาว่าจะต้องไปติดยึดมันทำไมมันเป็นเราเป็นของเรา ไปอีกนานเท่าไหร่ ปล่อยไปเถอะ สังคมสาธารณโภคีไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย
เครื่องประดับนี้มันหนักกว่าเงินเพราะมันจะยิ่งชั้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆจะยิ่งแพงมากขึ้นด้วยเรื่อย มันหนักกว่าแบงค์ คนรักมันจนตายก็ไม่มีทางแก้ไขได้เสร็จ ยึดมั่นถือมั่น ก็รู้ตัวเองหมดทุกอย่างแล้วจะให้ทำอย่างไร
ถามลึกไปมากกว่านั้น คุณสะสมไปนี่ตายแล้วจะทำอย่างไร ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอกไม่ต้องสงสารเขาหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงเขามากหรอก
_แซมดิน ...ก็ผมไม่ได้มองไปถึงอากาสาฯวิญญานัญจาฯ ผมมองว่า..อะไรที่เป็นโจทย์ของผมในปัจจุบันก็ทำขณะนี้ เหมือนกับเราลงหน่วยกิตวิชานี้ค่อยไปทำวิชาอื่น สมณะว่าผมสายเจโตคิดได้แค่นี้
พ่อครูว่า...จะดีมาก แล้วมีพลังงานรวมที่เยอะด้วย ถ้าหากว่าอันนี้ก็จะทำอันนั้นก็จะทำพลังมันไม่รวม อาตมาว่าสนับสนุนไม่อย่างนั้นพลังงานรวมมันไม่เต็ม ไปนึกถึงมากไม่ทำเลยมันไม่ดี อาตมาบอกว่าปฏิบัติธรรมเอาศีลข้อที่ 1 ไปทำให้ดี ข้อที่ 2 ถ้าเก่งหน่อย ได้ 3 ข้อแล้วก็ทำ 3 ข้อนี้ให้แข็งแรงหมด อาตมาว่าศีลของพระพุทธเจ้ามีศีล 3 ข้อนี้รวมหมดเลย
ศีลข้อ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของและพืช ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตัวเราเลยทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ทำอันนี้แหละ ทำกิเลสที่ตาหูจมูกลิ้นกายแล้วก็ทำในสิ่งที่กระทบกับของกับสัตว์ ศาสนาพุทธพัฒนาเวทนาพัฒนาวิญญาณ หัวใจของศาสนาพุทธก็คือ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทำเวทนาให้เป็น 0 ได้จบแล้ว 0 คือทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ทำให้เป็นหนึ่งได้ก็ไม่ทุกข์ ทำเป็นหนึ่งได้ คุณก็ยืนอยู่ในฐานทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฐานทุกสิ่งทุกอย่างคือ 0 คุณก็มีได้ ไม่ต้องรองรับ คุณก็อยู่บนของทุกอย่างอยู่บนทุกสรรพสิ่งอย่างไม่มีตัวเราของเราสูงสุดเลย ถ้าเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าจบอยู่ตรงนี้แค่นี้เอง อาตมาถึงบอกว่าหัวใจของศาสนาอยู่ตรงนี้เอง ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60
_เรื่องของศรัทธากับปัญญา อย่างพ่อท่าน หากไม่มีปัญญาเขาไม่มาศรัทธาหรอก
พ่อครูว่า...ต้องมีเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ ถ้าเราได้แค่คิดก็เป็นตรรกะมันแค่สัญญาเป็นแค่ทิฐิไม่ใช่ความจริง มันยังไม่เป็นปัญญา ถ้าเป็นปัญญาแล้วมันจบ ปัญญามันครบถ้วนทั้งเจโตและความเฉลียวฉลาด แล้วความเฉลียวฉลาดนี้ไม่ใช่ของโลกียะ แต่เป็นความเฉลียวฉลาดของโลกุตระ
_ผมคิดว่าญาติธรรมก็ต้องมองออก ต้องมีสัมมาทิฏฐิ
พ่อครูว่า..อาตมาไม่เต๊ะท่าหรอก พูดความจริงขนาดนี้ก็ยังเข้าใจได้ยากเลย อาตมาว่าสังคมทุกวันนี้ไม่ใช่สังคมเรียบร้อย มันเป็นสังคมที่จะต้องถึงลูกถึงคนด้วย สังคมต้องกล้าได้กล้าเสีย ไม่ใช่ว่านิ่มนวลอย่างนั้นไปไม่ออก ยิ่งกว่า Hard Rock ต้องเหมาะสมกับในยุคนี้ Status quo เราจะต้องรู้ความเหมาะสม
_ต่อจากแม่ดูแล เป็นตัวแทนมา อยู่ด้วยกันพี่ดูแลน้องน้องดูแลพี่ มีความอบอุ่นให้แก่กันและกัน เราก็จะอยู่ด้วยกันในสัมมาสิกขาพากันข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้ด้วยการที่หลวงปู่สอนให้ปฏิบัติธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ฝึกจิตอย่างไรให้เข้มแข็ง แข็งแรง
_ชลลดา...เราจะฝึกจิตอย่างไรให้เข้มแข็ง แข็งแรง หยุดได้
พ่อครูว่า...เท่ากับถามธรรมะทั้งหมดของศาสนาพุทธ ก็ให้ฝึก ศีลสมาธิปัญญาวิมุตติ ก็ตอบตรงง่ายๆ คุณอ่านศีล ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายศึกษาความหมายของ 3 อย่างนี้กับพบสัมผัสและคุณก็ปฏิบัติ อันนี้มันเกิดกิเลสเกี่ยวกับสัตว์อันนี้มันเกี่ยวกับของก็เกิดกิเลส กิเลสคืออะไรคือมันจะไปเอาของของเขาที่ไม่ใช่ของเราก็จะไปวุ่นวายไปทำไม ไม่ต้องไปเบียดเบียนกับสัตว์ให้มันอยู่ไปตามวิบากของมันปล่อยมันไป ทีนี้คุณก็มาเกี่ยวข้องกับของ ชีวิตคนเกี่ยวข้องกับของไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์เลยก็อยู่ได้ไม่ตาย สัตว์จะเป็นอย่างไรก็อยู่ของมัน หากคุณหลีกเลี่ยงไม่ได้มันจะกัดคุณตายก็แล้วไป แต่หากหลีกเลี่ยงได้ก็ดี อยู่กับข้าวของก็มีของและพืช ก็กินใช้อาศัยแค่นี้ แล้วก็ดูกิเลสตาหูจมูกลิ้นกายของคุณ เกี่ยวกับสัตว์นั้นไม่ต้องเอามันมาเลี้ยงเลยไม่ต้องเอามันมาเกี่ยวข้องเลย คนโง่นั้นไปเกี่ยวกับสัตว์ คนที่จะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ สัตว์ก็ปล่อยให้เขาอยู่ของเขาไป โดยเฉพาะสัตว์เดรัจฉาน คนก็คือสัตว์ แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้วรับลูกกับคนก็จะตายอยู่แล้ว ดีไม่ดีจะไปหาวิบากกับสัตว์มาเพิ่มทำไม นี่คือคนที่ไม่รู้จักตัดประเด็นที่จะให้ชีวิตสบายขึ้นมา เมื่อไม่ตัดประเด็นคุณก็เสียเวลาไปหาวิบากเพิ่มเติมเท่านั้น ถ้าหากฟังอาตมาพูดเข้าใจ ชีวิตคุณจะง่ายคุณจะสบายขึ้น ยิ่งมาถึงขั้นปฏิบัติธรรม
อาตมาตัดเขตให้ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของต้องอาศัยใช้สอยเกี่ยวกับพืชด้วยอุปโภคและบริโภค เท่านี้แหละ 1. คุณอย่าทุจริตในสิ่งที่ไม่ใช่ของของเรา 2. กระทบสัมผัสแล้วคุณจะไปมีกิเลสกับมันในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอย่างนี้น่าได้น่ามีน่าเป็นอย่างนี้ไม่น่าได้น่ามีนะ เป็นเรื่องมากเลี้ยงยาก ทำของกินของใช้ให้เป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำได้ตามฐานะ ถ้าดีกว่านี้ได้ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินไปก็ดีก็เอา เราก็รู้เขต ถ้าหากฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินไปเราก็ไม่เอา เอาแต่พอเหมาะพอเพียง ตามคำสอนในหลวงที่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านทำเป็นตัวอย่างที่ดีงามมากแล้ว เข้าใจได้ง่ายด้วย ท่านเองแสดงให้ดู ท่านสอนไม่ได้มาก มีแต่โพธิรักษ์จะต้องมาพูด จ้ำจี้จ้ำไช
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ทำไมฆราวาสอโศกนิยมสีน้ำเงินเข้ม
_ละออง วันนู ทำไมชาวอโศก มีชุดแต่งกายที่เป็นโทนสีน้ำเงิน ไม่ทราบว่าใครคิดค้น
พ่อครูว่า...อาตมาเองจะพูดถึงอจินไตยมันเป็นอจินไตยมาก จะสีน้ำเงิน อาตมาเรียนศิลปะมาเคยถามว่าเราชอบสีอะไรมากที่สุด อาตมาตอบได้ว่าอาตมาชอบสีน้ำเงิน ในแม่สีสามสีนี้คือแดงเหลืองน้ำเงินแม่สีสามสี แดงกับเหลืองไม่ชอบเท่าน้ำเงิน ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นสีน้ำเงิน จริงๆแล้วเราต้องการสีกรัก แต่ มีข้อจำกัด เห็นว่าสีกรักนี้เป็นสีของจีวรของนักบวช แล้วนักบวชมีสีกรัก ฆราวาสก็สีกรักก็ไม่ค่อยเข้าท่า อาตมาก็ว่าเอาสีครามน้ำเงินก็แล้วกัน หากสีเหมือนกันจะปนเปกันไป ก็ให้นักบวชใช้สีกรักสีของพุทธเจ้า แต่ไม่ได้จำกัดว่าสีน้ำเงินนะจะเป็นสีอื่นก็ได้แต่สีฉูดฉาดไม่เอา อยู่ในโทนสีที่สบาย
พระพุทธเจ้าก็ให้รู้ว่าสีก็อย่าให้เป็นโลกธรรมมากเกินไป ท่านถึงบอกว่ามาเป็นนักบวชแล้ว เฉดสีที่จะเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ทำจีวรมี 7 สี
คราม แสด เหลือง แดง บานเย็น ดำ ชมพู แต่ทุกวันนี้สีเหลืองกันเต็มสีแดงก็มี คือมันบกพร่องผิดเพี้ยน ประจักษ์คำสอนพระพุทธเจ้าแล้วอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 สีจีวรต้องห้าม แต่เดี๋ยวนี้คนเขาไม่เชื่อจะทำอย่างไม่สนใจก็มี
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน หลงรักคนมีเจ้าของบาปมากไหม
_สส.ส.กิมฮง ...ผมอยากรู้รายละเอียด เกี่ยวกับ หลงรัก คนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว เขาจะบาปผิดศีลข้ออะไรบ้างจะได้บาปอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า...บาปคือความทุกข์ บาปคือพลังงานจิตที่ไปสั่งสมพลังงานนั้นใส่ตัวเอง ไปรักเขา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามีรัก 1 ก็ทุกข์ 1 มีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 90 ทุกข์ 90 ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว พวกเราที่เกิดมาด้วยอวิชชา พระพุทธเจ้าเป็นคนหมดอวิชชาท่านได้ตรัสความจริง ท่านได้สอนไว้ เรายังไม่หมดอวิชชาเราก็มาเรียนรู้ตามพระพุทธเจ้า สามารสที่จะไม่มีความรักเลยในจิต แม้จะมีความรักก็พยายามล้างออกไป มันไม่มีหรอกความรักแบบนั้นมันเป็นทุกข์ ความสุขเป็นตัวหลอก สุขขัลลิกะ อัลลิกะ แปลว่าความเก๊ความหลอก มันมีแต่ทุกข์อาริยสัจ สุขเป็นอัลลิกะ ของเก๊ เป็นธาตุคู่ ทุกข์กับสุข อนาคตไม่เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่เอาทั้งสวรรค์และนรก ไม่ใช่ศาสนาโลกียะที่หมุนวนเป็นธรรมะ 2 อย่างเก่งที่สุดก็เป็นธรรมะเดียวไม่มีแล้วความทุกข์ ความสุขก็ไม่มี เป็น 0
แต่ก็ต้องรู้ว่าความสุขอย่างไรดีที่สุดก็เป็นความสุขที่ว่าง สุขที่ไม่ต้องมีธาตุคู่ อยู่ 1 ยังไม่เป็นศูนย์ก็ตามเป็นหนึ่งอย่างแข็งแรง พวกเรานี้ กำลังมีฮอร์โมนหนุ่มสาว ฟังไปอย่างนี้ยังไม่ซาบซึ้งแต่มันก็ติดใน hard disk แล้วเอาไว้ใช้ในอนาคต ในอนาคตหนักกว่านี้นี่ยังน้อยไป
สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน หลักเกณฑ์การรับบริจาคเงินของอโศก
_รักให้...ลูกได้เข้ามาในอโศกที่สะดุดกับหลักที่จะบริจาคเงินต้องมีหลักเกณฑ์ บางครั้งคนที่มาทานอาหารจะมาบริจาคก็เลยให้ไปที่กองบุญ บางคนมาถึงกองบุญก็ยิ้มกลับไปบางคนก็หน้าไม่พอใจ พ่อครูถึงบัญญัติกฎเกณฑ์การบริจาคเงิน
พ่อครูว่า..ตั้งแต่เริ่มตั้งอโศก จะมาบริจาคเงินอย่างน้อยจะต้องคบคุ้นกันอย่างน้อย 7 ครั้งอ่านหนังสือ 7 เล่มเป็นต้น ไม่อยากได้อะไรใครง่ายๆเราจะพึ่งตัวเอง ถ้าไม่มีให้มันตายไปซะ ถ้าคุณจะร่วมกุศลกันก็ต้องเข้าใจเราให้ได้ก่อน แต่ที่อื่นหว่านล้อมด้วยสวรรค์วิมานมากมาย ที่นี่จึงเป็นตัวอย่างว่าไม่หน้าด้านอย่างนั้นก็มีอยู่ เขาตะกละไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนเลย คนมาบริจาคต้องมาศึกษาเราให้ดีว่าเราสัมมาทิฏฐิเพียงพอไหม ต้องมานับถือเคารพ ไม่อย่างนั้นจะมาเสียใจทีหลังถูกหลอกไปเยอะ ให้คุณเกิดมีสติก่อนที่จะมาบริจาค
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน อย่าหลงระเริงกับพยัญชนะ
_บึงบุญ ...มีผู้มาอยู่ใหม่อยากถามพ่อท่านว่า คำว่าอย่าหลงระเริงอยู่กับพยัญชนะหมายความว่าอย่างไร แล้วจะปฏิบัติอย่างไร
พ่อครูว่า...ในธรรมะ 2 มีสภาวะกับพยัญชนะส่วนใหญ่จะติดยึดในพยัญชนะกัน พยัญชนะคือภาษาคือบัญญัติ คืออธิวจนะ คือ คำที่ตั้งขึ้นมาเรียกสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือภาษาที่สื่อสารให้รู้กันแต่ความจริงนี่เป็นอีกอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นพยัญชนะจะมีความจริงคู่อยู่เสมอเรียกว่าธรรมะ 2 พูดแต่พยัญชนะกันแล้วไม่พยายามรู้ว่าพยัญชนะตัวนี้หมายถึงอะไรคนก็ไม่ค่อยจะระลึก เมื่อเรียกพยัญชนะอย่างนี้มันหมายถึงสภาวะอย่างไรจะเป็นความหยาบกลางละเอียดเท่าไหร่คุณก็สามารสรู้ได้นั่นแหละคือคุณรู้ธรรมะ 2 แล้วคุณก็ไปเอาที่สภาวะ แยกสภาวะออกเป็น 2 ได้แล้วอะไรดีกว่าอะไรสูกกว่าอะไร อะไรเป็นความเท็จกว่าอะไรก็เอาความจริงเอาความดีความสุขนั้นคุณก็จะเป็นคนที่อยู่ในสิ่งที่ถูกต้องที่ดีงาม แต่นี่ไม่ ยิ่งสภาวะกับพยัญชนะ คุณไปหลงพยัญชนะเป็น 2 คือ พยัญชนะหนึ่งเท็จ อีกอันถูก แต่ถูกก็ไม่ใช่สภาวะ แต่พยัญชนะนี้ถูก
คนทุกวันนี้พยายามขยายพยัญชนะตามที่ตนรู้ไปข้างเคียงมาก คนจะมาชัดเจน พยัญชนะท่ีระบุตัวแรกหาไม่ค่อยเจอ มีแต่ตัวขยายข้างเคียงตกแต่งให้ดูหรูหรา เอาโลกมาผสมผเสไม่รู้ด้านไหนต่อด้านไหน คนทุกวันนี้จึงอยู่กับพยัญชนะส่วนมากสภาวะไม่ค่อยได้
อาตมาสรุปได้ว่าในโลกนี้มีเทวะ มีพยัญชนะสองกับสภาวะสองเท่านั้นเอง
พยัญชนะเข้าใจง่ายกว่าสภาวะ ต้องเอาพยัญชนะที่พูดแล้วก็มาเข้าสู่สภาวะสองต้องเอาตัวไหนเป็นตัวเก๊กับตัวจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่ว่าเอาอะไรมาเทียบสองไปหมด ตัวตนก็เทียบหมด ไม่เอา ท่านตีไปที่เวทนาเลย เพราะเป็นความรู้สึกสุขทุกข์เป็นประเด็นหลักของมนุษย์
ในเทวะเป็นสอง แต่คนไปหลงพยัญชนะว่าเป็นเทวดาหรือเทพ เทวดาเป็นนิรมาณกาย เป็นตัวตนบุคคลเราเขาในสวรรค์ ซึ่งมันไม่มีตัวตน แต่คนไปเห็นเทวะเป็นเทวดา แล้วเข้าใจว่าเทวดาเป็นสภาวะอีกเป็นจิตวิญญาณ สภาวะทั้งที่มันไม่มีสวรรค์ 6 ชั้นมันไม่มี ของเก๊ทั้งนั้น
ศานาพุทธไม่มีสวรรค์นรก มีสวรรค์ก็มีนรก หากไม่ติดยึดเข้าใจแล้วไม่มีสวรรค์นรกเป็นอรหันต์ชัดนี้เลย แต่ความติดยึดมันยาก มันโง่ที่ติดยึด
ถ้าคุณเข้าใจไม่ติดยึด ความติดยึดเรียกว่าอุปาทานเป็น Static ตัณหาเป็น Dynamic
อุปาทาน เป็นตัวตั้ง เมื่อมันเคลื่อนที่เมื่อไหร่ก็เป็นตัณหา
ปัญหาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ มันเกิดมาในปัจจุบันในจิตนั้นมันไม่ทำอะไรใครหรอก แต่มันทำให้สะสมเป็นอุปาทาน ให้คุณเติมเข้าไปเท่านั้นเอง มันไม่มีผลกระทบอะไรกับใครหากไม่ออกมาทางวาจากับกาย ตัณหาของคนบ้าให้แรงอย่างไรก็ไม่มาออกทางกายวาจาเลย ก็ไม่มีผลอะไรกับใคร ไม่ทำความทุกข์ทำเวรไปกับใคร คุณทำกับตัวเองเท่านั้น
เพราะฉะนั้นมันจะมีผลต่อเมื่อผัสสะแล้วมาเกี่ยวข้องกับคนอื่นทั้งนั้นแหละ เป็นตัวทุกข์ทรมานเกิดความวุ่นวายในโลกนี้ แต่ถ้าอยู่ในใจของคุณคนเดียวคุณจะบ้าบอคิดฟุ้งซ่านอย่างไรให้หนักหนาสาหัสไปเท่าไหร่ เชิญคุณเถอะ ถ้าเขาไม่เอาไปโรงพยาบาลบ้าก็ดีแล้ว ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์มีรสชาติของชีวิตไหม
_ละออง...พระอรหันต์แล้วจะมีรสชาติของชีวิตไหม
พ่อครูว่า...พูดโดยพยัญชนะมันยาก รส มันคือสภาพที่ภาษาบาลีเรียกอัสสาทะ
มันมี 2 อย่างคือ 1. รสของความจริง 2. รสของความเก๊
เช่น รสหวาน ถ้าใครลิ้นไม่พิการแตะรสหวานรสเดียวกัน คนไทยก็คือหวานโดยสภาวะของมัน จีนก็หวานอย่างนี้ เรียกโดยภาษาจีนอีกอย่าง เป็นรสเดียวกันเรียกว่ารสแท้ แต่รสแท้นี้ คนที่ไปแตะเข้าแล้วมันมีรสจริงว่ามันหวาน ความหวานนี้มันชอบ รสของความชอบนี้มันและมันเก๊ ส่วนอันนี้มันชอบนี่แหละรสเก๊ เป็นความโง่ของคนคนนั้น ก็มันมีรสของความจริงของมันอยู่อย่างนี้คุณจะไปบ้าบอเป็นเวทนาในเวทนาเป็นอุปาทานของคุณว่าจะต้องเป็นอย่างนี้จึงเรียกว่าสมใจ ตามที่ฉันติดยึดไว้ถ้าไม่ได้อย่างนี้ฉันก็ไม่ชอบถ้าได้อย่างนี้ฉันก็ชอบ มันก็เป็นอย่างนี้แหละไม่ว่าจะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็งเหมือนกันหมด ตามอุปาทานที่ยึดติดไว้ทั้งนั้นเลย
ผู้ที่มีรสจริงอย่างเดียวความสุขก็ไม่มีความสุขก็มีความชอบก็ไม่มีความชังก็มี รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็เป็นอย่างนี้ของมัน เหมือนกันหมดเสมอภาคจบ แล้วก็จะไม่แย่งชิงกันเลยโลกนี้สงบกันมากพวกเรานี้แย่งชิงกันน้อยไม่ติดยึดมาก จึงอยู่กันสงบ ข้างนอกเขาตีกันจะตายแย่งกันจะตาย ทีนี่มีน้อยด้วย ถ้าหากแย่งกันแล้วก็ตายเลย ข้างนอกมีมากยังแย่งกันไม่พอเลย
_ถ้าหากในชีวิตของเราที่ผ่านมาเมื่อครั้งยังอ่อนแอต่อกิเลสและไร้เดียงสาต่อธรรมะ หากตอนนั้นเราได้กระทำกรรมที่มีผลทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ใจ แล้วเราเองก็เป็นความทุกข์ด้วย เมื่อเวลาผ่านมานานพอสมควร เราทบทวนตัวเองที่ทำให้ไม่ค่อยสบายใจนัก หลานชอบถามตัวเองบ่อยๆว่าเราต้องชดใช้วิบากกรรม
พ่อครูว่า...ต้องใช้ แต่มันแล้วไปแล้วก็หยุดอย่าไปคิดถึงมัน เพียงว่าเราเอาไว้เป็นตัวอย่างถ้าเป็นอย่างนี้เราจะไม่ทำเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีก เจอองค์ประกอบของชีวิตอย่างนั้นอีกจะไม่ทำผิดอีก
_หลวงปู่มีธรรมะยาดีหรือไม่มีวิธีแก้กรรมในอดีตหรือไม่
พ่อครูว่า..อดีตนี้แก้ไม่ได้ ต้องทำปัจจุบันนี้อย่างเดียว ทำความไม่ดีไม่ชั่วให้จบจึงจะสูญ
_ช่วงนี้พ่อครูพูดว่า Unity of diversity ขอถามว่าคำนี้จะใช้คำว่า เหมือนกันอย่างแตกต่างจะได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ใช่ คำว่าเหมือน เป็นคำอนุโลม คำว่าเหมือนนี้มันไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่เราอนุโลมอะลุ่มอล่วยกัน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันไป คนเรานี้ถ้าใครยอมใครซะอย่าง แต่ถ้ายอมไปให้แก่ผู้ที่จะมาบรรลัยเราก็ยอมไม่ได้เท่านั้น เพราะเขามาทำบรรลัยเราก็ต้องต้านไว้ แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีอะไรนักหนา เราก็ยอม
ชาตินี้อาตมามาทำงานศาสนายืนยันว่าอย่างนี้ถูกต้องเขาก็หาว่ามาทำลายศาสนา แต่เขาก็ห้ามอาตมาไม่ได้หยุดอาตมาไม่ได้เขาก็มีหน้าที่ เขาก็จับเอาก็ทำได้สูงสุดเท่านี้ จะเอาพลังงานของปวงชนเขาก็ไม่เล่นด้วยเท่าไหร่ ดีไม่ดีโพธิรักษ์ มีปวงชนด้วย เถรสมาคมไม่ค่อยมีมวลชนมาเท่าไหร่ เขาพยายามจะ propaganda ด้วยแต่ไม่ขึ้น อาตมาทำอย่างนั้นมา จึงทำให้คนเข้าใจขึ้นรับรู้ขึ้นมากขึ้น อีกหน่อยจะมีคนอยากมาเหมือนชาวอโศก อยากจะมาเหมือนกับชาวอโศกมากยิ่งขึ้น ขอใช้คำว่าเหมือนนี่แหละ เขาไม่เหมือนหรอกแต่เขาอยากจะมาเหมือนชาวอโศก อีกหน่อยนี่อาจจะ 500 ปี เพราะเขาเกิดปัญญา คนที่ไม่เกิดปัญญาเขาจะไม่อยากมาเหมือนเขาจะอยู่ในนรกตลอดเวลา
คุณว่าอยู่ในนี้เหมือนสวรรค์หรือนรก คนตอบว่าสวรรค์ พ่อท่านตอบว่าไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก คุณตายแล้วจะตั้งจิตจบก็เป็นศูนย์ได้ถ้าไม่ตั้งจิตจบก็เป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา
_ดิฉันจะฝันหลายครั้งว่า...ได้ทำดีด้วยใจกับคนในช่วงที่ตื่นอยู่เขาไม่พูดด้วย ไม่มองหน้ากันแล้ว เมื่อตื่นจากฝันก็รู้สึกจิตที่ดีกันยังอยู่ เมื่อเจอหน้าเขาจริงๆคราวนี้รีบทักรีบยิ้มให้เขาทันที ด้วยจริงใจแบบที่ฝัน ผลก็คือ ตัวเองรู้สึกดี โล่งโปร่ง ถอนตะปูตรึงใจออกแล้วดีจริงๆค่ะ
ขอถามว่าอย่างนี้ได้ปฏิบัติธรรมแม้ยามหลับหรือไม่
พ่อครูว่า..ดีแล้ว
_มีผู้มาอยู่ใหม่ขอถามคำว่าอย่าหลงระเริงกับพยัญชนะ
พ่อครูว่า..ตอบไปแล้ว...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:19:18 )
รายละเอียด
611209_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1LU2EymqsPs3JTImlUbCvn6N7c9BAGCHRa3s5HYjYecc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Wxn5_ywdDL7H85ZzDavMwxCjQFl7HplZ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้จัดรายการที่ห้องส่งชั้น 3 เฮือนศูนย์สูญ
ใกล้ปีใหม่จะมีงานเพื่อฟ้าดิน มีการบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม สอบ ว.บบบ. มีการสอบตามหนังสือคนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เป็นหนังสือที่มีสารบัญละเอียดที่สุดในโลกแปลกที่สุดในโลก ใครอ่านหนังสือจบแล้วลดละกิเลสได้แม้จะสอบตกก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นก็ขออ่านบทความของคุณเปลว สีเงิน
สิ้นยุค "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" 07 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00:01 น.
ดูการเมือง "เรื่องเลือกตั้ง" แต่ละวันแล้ว "คลื่นไส้" เหมือนย่ำส้วมที่ไม่ได้ราดน้ำ
คนไม่เปลี่ยน
ทัศนคติ-ความคิดไม่เปลี่ยน
นิสัย-สันดานไม่เปลี่ยน
พฤติกรรม-การกระทำไม่เปลี่ยน
ในขณะที่ "โลกทั้งใบ" กำลังเปลี่ยน
แล้วการเลือกตั้งจะเปลี่ยนมิติสังคมประเทศได้อย่างไร?"
ในเมื่อพรรคและคนที่เสนอตัวให้เลือกที่เห็นหน้า ล้วนแต่เป็นคนที่เห็นแล้ว "อ้วกแตก" แทบทั้งนั้น!
ความจริง.....
"คนหน้าใหม่" ที่หมุนเข้าระบบเลือกตั้งเที่ยวนี้ ดูแล้วมีมากกว่าทุกครั้ง
แต่ด้วยเป็น "พระบวชใหม่" เจ้าสังกัดยังไม่ปล่อยขึ้นเวที ชาวบ้านซึ่งเป็น "ผู้เลือก" จึงไม่รู้-ไม่เห็น ว่ามีใครต่อใครบ้าง?
เห็นแต่ประเภท "หนังหนา-พรรษาแก่"
เคยวาดลวดลายในรัฐสภาและบริหารกิจการประเทศกันมาแล้ว
เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่ 2 ประเภท
ไม่เก่งพูด ก็เก่งโกง!
คสช.เข้ามาคั่นกลาง "ประชาธิปไตยกินเมือง" เกือบ 5 ปี เมื่อเปิดเวทีให้มีเลือกตั้ง
ผู้คนหวังกันมาก เลือกตั้งรอบนี้ บ้านเมืองขึ้นจากหล่มที่จมปลักมานานซะที
ด้วยหวังว่าจะมีนักการเมืองหน้าใหม่ๆ ที่มี "วงความคิด" กว้างกว่า "วงเขาควาย" เป็นตัวให้เลือก
เอาเข้าจริง.....
"ฝูงเดิม-ตัวเดิม" เกือบทั้งนั้น!
เข้าสู่เทศกาลเลือกตั้งปั๊บ แก๊งจ้องแยกบ้าน-แยกเมืองประกาศ "แยกสังคมประเทศ" ปุ๊บ
ใครนิยม "ฝ่ายประชาธิปไตย" โกงแบ่งกันเป็นงานประจำ เผาบ้าน-เผาเมืองเป็นงานอดิเรก
"มาทางนี้"
ใครไม่นิยมการโกงและการเผา มุ่งแต่สร้างบ้าน-สร้างเมือง เป็น "ฝ่ายเผด็จการ"
"ไปทางโน้น"!
แบ่งประเทศด้วยตรรกะควายขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีควายเหนือควาย ยืนโชว์เขากลางแดดโดดเด่น ซ้ายไม่อือ ขวาไม่อือ
ถามว่า ยืนเบิ่งหาอะไร?
หา "หลัก (การ)!
อยู่การเมืองมาจนเป็นสถาบัน ถูกไล่ตี-ไล่กระทืบปางตาย แต่ยังหาหลักผูกเชือกเล็มฟางไม่เจอ
ขาประจำบอก ขอ "หาวเรอ" แป๊บนึง
ถ้าคิดว่าเป็น "ควายโพธิสัตว์" ก็อนุโมทนา หลีกทางให้คนอื่นนำฝูง อย่างนั้นจะเป็นการเสริมบารมีตัวเองมากกว่า
แต่เมื่อพอใจจะเป็น "ควายชน" ในสนาม
แนวทางปัจจุบัน ควรใช้อดีตเป็นบทเรียนและฐานคิดเชิงแก้ เพื่ออนาคต "ไม่ซ้ำรอยเดิม"
แต่นี่ เหมือนควายซาดิสต์ เสพติดความรุนแรงที่เคยโดน ใช้ปัญญารั้น ไปกระสันกับฝ่ายเคยไล่กระทืบ!
"ฝรั่งเศส" ตอนนี้ กำลังถูก "ประชาธิปไตย" เผาประเทศ จากระดับ "รากหญ้า" คนเดียวแท้ๆ
สู่คนชั้นกลางและล่างหลายหมื่น ตอนนี้ ลามถึงระดับนักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย
ออกมาระบายความไม่พอใจประธานาธิบดีมาครงทั่วบ้าน-ทั่วเมือง
"ฝรั่งเศส" คุยเป็นประเทศ "ต้นแบบ" ประชาธิปไตยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
เพราะประชาธิปไตยเผาบ้าน-เผาเมืองที่เบ่งบานกลางชองเอลิเซขณะนี้
เลียนแบบ "ประชาธิปไตย" จากไทยชัดๆ!
ยิ่งข้อเสนอ "เสื้อกั๊กเหลือง" ให้มาครงลาออก แล้วให้อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดขึ้นแทน
โอ...จอร์จ เอานักการเมืองเลือกตั้งลง เอานักการทหารขึ้น มันก๊อบปี้ไทยทั้งดุ้น
นี่คือตัวอย่าง "ข้อคิด-มุมมอง" บนทิศทางและรูปแบบ สู่การโลกเปลี่ยน-สังคมเปลี่ยน ช่วงหัวเลี้ยว-หัวต่อ
"ศตวรรษที่ 21" สู่ "ศตวรรษที่ 21"!
จากเสรีประชาธิปไตย "ไร้พรมแดน" คนฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรปตอนนี้
กำลังส่งสัญญาณ จากเสรีสุดขั้ว กลับไปเป็น "อนุรักษนิยม" สุดขั้ว!
เสรีสุดขั้ว ทำให้มนุษย์เป็น "สัตว์วัตถุ" ทำอะไร-แบบไหนได้ทั้งนั้น เพื่อสนองตัณหาอยาก
ปรากฏว่า เสรีประชาธิปไตย สุดติ่งกระดิ่งแมวขนาดไหน สัตว์วัตถุไม่เคยพอ ไม่เคยหายอยาก
ไปจนสุดหล้า ก็ค้นหาสิ่งที่บอก "ประชาธิปไตยให้ได้" ไม่เจอ
จึงต้องการกลับไปแนว "อนุรักษนิยม" เดิม
กลับไปเป็นมนุษย์ คือ "สัตว์ฝึกแล้วมีใจประเสริฐ"
ยึดศีล-ยึดธรรม "ยึดพอ-ยึดสุข" ทางด้านจิตใจ ในวิถีชีวิตและสังคม
มนุษย์เป็นนายเวลา.....
เป็นนายสถานีใจบนการเปลี่ยนแปลง ให้ทุกอย่าง "ค่อยเป็น-ค่อยไป"
ไม่ใช่เป็น "ทาสเวลา" ในร่างไอที แล้วให้เวลานั้น เฆี่ยนโบยให้สัตว์วัตถุ หื่นกระหาย ไล่-ล่า-ฆ่า-แย่ง กัน
ซึ่งไม่มีใครไปถึงจุดสุดจินตนาการ ล้วนเป็น "หนูถีบจักร" หยุดไม่ได้ ไปไม่ถึง
หยุด หมายถึง ตาย...หงายท้องแหงแก๋!
การแสวงหาผู้นำของแต่ละสังคมประเทศในโลกตอนนี้
"เลือกตั้ง" ไม่ใช่วิธีการ "ผูกขาด" วิธีเดียว ที่ประชาชนจะใช้แล้ว
สังคมโลก ไม่มีประชาธิปไตย-เผด็จการ
เพียงนักคิดใน "สังคมปกครอง" กลุ่มหนึ่ง สมมุติขึ้นใช้ปกป้อง "อำนาจกลุ่มตน" ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง เท่านั้น
"เลือกตั้ง-แต่งตั้ง-ลากตั้ง" หรือจะแบบไหนก็แล้วแต่
มันไม่ใช่คำตอบบนความเป็น "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" ที่ใครจะเรียกว่าเป็น "สัจจะอำนาจ" ได้เลย
โลก มีมากกว่าหนึ่งทาง ที่จะไปถึง......
"อำนาจนำสังคมประเทศ" ก็เหมือนกัน "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" แค่สมมุติเรียก
มันเป็นดังปรัชญาท่าน "เติ้งเสี่ยวผิง"
"แมวสีไหนก็ได้ ขอให้จับหนูได้ เป็นใช้ได้"
หรือตามปรัชญานิพนธ์ท่านเหมาเจ๋อตง "ที่ใดไม้กวาดเข้าไม่ถึง ที่นั้นย่อมสกปรก"
อะไรที่ใช้กวาดขยะ หยากไย่ ทำให้สถานที่นั้นสะอาดได้ ใช้ได้ทั้งนั้น
จะในปราสาทราชวัง หรือจะใต้ถุน ไม่มีการแยกว่า ในปราสาท ต้องไม้กวาดทองคำ ใต้ถุน ใช้ไม้กวาดดอกหญ้า
ขอเป็น "ไม้กวาด" ถือว่าตอบโจทย์!
กับประเทศไทย "บ้านเรา" ชาวโลกทุกวันนี้ ไม่มีใครเขาเพ่งเล็งเรื่องประชาธิปไตย-เผด็จการแล้ว
เขาต่างมองทะลุรูปแบบเข้าเน้นดูเนื้อหาข้างใน ว่า บ้านเมืองสงบเรียบร้อยมั้ย?
ในทางปฏิบัติ บริหาร-ปกครองเป็นธรรม เป็นที่พอใจประชาชนมั้ย?
มีการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมประเทศหรือไม่ ทุจริต คอร์รัปชันกันอยู่หรือไม่?
และการคบค้าสมาคมในสังคมโลก ผลประโยชน์ต่างตอบแทนทางการค้า-การลงทุน เป็นธรรมต่อกันหรือไม่?
ก็มีแต่นักเลือกตั้งเก่าๆ คิดเก่าๆ ทำเก่าๆ เรานี่แหละ สังคมโลกสู่ศตวรรษใหม่ "เปิดประตูคอก" ให้ต่างออกไปแสวงหาหญ้าใหม่กันแล้ว
แต่กลับไม่ยอมไป.....
คิดอยู่แต่ในวงรอบเขาโง้งตัวเองแค่ "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" สาดใส่กันเพื่อหวังผลทางพิธีกรรมเลือกตั้ง
เห็นแล้วสงสาร
ไม่ได้สงสารสัตว์การเมือง แต่สงสารประเทศ ที่ถูกสัตว์การเมืองพวกนี้ขยี้ขยำมาร่วม 20 ปีแล้ว
คิดทำ-คิดสร้าง คิดถากถางทางเพื่อคนข้างหน้า ที่เรียก "พี่น้องประชาชน" กันเถอะ
เลิกบ้ากันได้แล้ว "ประชาธิปไตย-เผด็จการ"
ประชาชน "ชาวบ้าน" ครับ........
เลือกตั้งคราวนี้ ต้องให้บทเรียนเจ็บๆ กับพวกสัตว์การเมืองจริงๆ ซักที.
พ่อครูว่า...คุณเปลวกำลังอธิบายพยัญชนะกับสภาวะ ยึดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เขาฉลาดนะเปลวนี่ พูดกลางๆไว้อย่างนั้น แล้วตัวเองจะเอาข้างไหนบอกหน่อยสิคุณเปลว พูดทิ้งไว้กลางๆอย่างนั้น
อาตมาเองขอยืนยันว่า อาตมาเป็นคนยุคมาตั้งไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์ ผ่านเรื่องการเมืองสังคมพวกนี้มาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ดูแล้วก็ ตอนนี้เกาหลีก็หนังเอามาใช้ทำแบบนี้ขึ้น แต่ก่อนของจีนตอนนี้เกาหลีแล้ว ต่อไปจะเป็นของเขมรหรือเปล่าไม่รู้ ฮิตในตลาดโลก หรือว่าไทยจะตีตลาดโลกเขา เอาเถอะไม่ต้องเก่งอย่างนั้นก็ได้
มาทวนกันอีกที ระบอบทักษิณกับคสช. ลองเปรียบเทียบกันดูสัก 10 ข้อเพิ่มเติมจากคราวที่แล้ว
เผด็จการหรือประชาธิปไตยดูกันที่ไหน
|
ระบอบทักษิณ |
|
คสช. |
1 |
ประชาธิปไตยคือเลือกตั้ง แต่เบื้องหลังทุกอย่างได้มาด้วยการทุ่มซื้อ ๆ นักการเมือง ซื้อพรรคการเมือง ซื้อหัวคะแนน สุดท้ายแม้ประชาชนจะเลือกกันจนตาย ใครจะเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีก็อยู่ที่ ทักษิณสั่งการคนเดียว ไม่ว่าสมัครสมชายยิ่งลักษณ์ก็อยู่ที่ทักษิณสั่งเพื่อไทยทำตามเท่านั้นเอง |
1 |
ประชาธิปไตยแบบเชิญตั้ง ซึ่งเกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ยินยอมพร้อมใจให้เข้ามาบริหารประเทศ (หลังจากที่ประชาชนได้ขับไล่รัฐบาลทรราชออกไป จนบริหารประเทศต่อไปไม่ได้) จะทำโพลกี่ครั้ง ๆ ประชาชนก็ให้การสนับสนุนมาตลอด จนครบ 4 ปี กว่าแล้ว และประชาชนกำลังจะเชิญตั้งในสมัยที่ 2 ต่อไปอีก ซึ่งมีคะแนนนิยมจากผลโพลสูงกว่า รัฐบาลทักษิณและนอมินีมาตลอด |
2 |
มุ่งประโยชน์เพื่อตัวเองและพรรคพวกของตัวเองเป็นหลัก จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทยก็จะให้ความดูแลก่อน เคยกำหนดให้วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันราชการ เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้กับครอบครัวของตน จนได้รับนานาสารพัดฉายา เช่นโคตรโกง และโกงทั้งโคตร (แถมยังสืบทอดการโคตรโกงอย่างยั่งยืน แม้จะมีการปราบปรามอย่างขุดรากถอนโคนได้มากแล้ว แต่ก็ยังเหลือผีตายซากทั้งร้องทั้งดิ้นให้เห็น ๆ กันอยู่) |
2 |
มุ่งทำประโยชน์เพื่อประชาชนในทุกๆด้าน เช่น ยึดที่ดินจากผู้มีอิทธิพล คืนมาได้กว่า 300,000 ไร่ ปลดทุกข์ให้กับประชาชนทั่วประเทศที่เป็นหนี้สิน นายทุน หน้าเลือด จับ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นายพลนายพัน นักธุรกิจ นายธนาคาร นักวิชาการที่ละเมิดกฎหมายติดคุกไปแล้วหลายราย จนพูดได้ว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังคนจนเท่านั้น |
3 |
สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง จนยากที่จะประเมินมูลค่าได้ เฉพาะคดีของยิ่งลักษณ์คดีเดียว เรื่องทุจริตจำนำข้าวก็ปาเข้าไป 2.8 แสนล้านแล้ว แต่ ของทักษิณ มีอีกเป็น สิบ ๆคดี บางคดีศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ไปแล้วหลายหมื่นล้าน สุดท้ายก็ต้องพากันหลบหนีออกไปต่างประเทศอย่างสุขสำราญ ทั้งน้องทั้งพี่ ปล่อยให้ลูกน้องที่ร่วมกันโกงพากันเข้าคุกอย่างทุกข์ทรมาน |
3 |
ภาพรวมของประเทศไทยได้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในหลายๆด้าน •เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยพุ่งแตะ 1.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ • ส่งออกข้าวมากที่สุด อันดับ 1 ของโลก •ยอดนักท่องเที่ยวปี2017ทะลุ35ล้านคน • ทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุด อันดับ 3 ของโลก ประจำปี 2017 • กรุงเทพมหานคร คือ เมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประจำปี 2017 • สำนักข่าว Bloomberg จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความทุกข์น้อยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน
|
4 |
การสร้างความรุนแรงที่กระทำต่อประชาชน ด้วยนโยบายกำปั้นเหล็กที่ใช้ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด ทำให้มีประชาชนถูกวิสามัญฆาตกรรมกว่า 2800 ศพ ซึ่งมีเบาะแสน่าเชื่อว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตัดตอนไม่ต่ำกว่า 2000 ศพ และมีประชาชนพากันบาดเจ็บล้มตายไม่ต่ำกว่าพันคน ที่ออกมาชุมนุมประท้วงกันอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ แต่ถูกฝ่ายของทักษิณ เอาระเบิดและอาวุธปืนร้ายแรง มาใช้ เข่นฆ่าทำลายทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุมกันอย่างสงบ |
4 |
แม้จะมีม. 44 ให้ใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ แต่คสช. ก็ไม่เคยเอาอำนาจเด็ดขาดนั้นมาใช้เข่นฆ่าประชาชนให้ตายแม้แต่คนเดียว แต่กลับเอามาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์จรรโลงสังคม เพื่อแก้ปัญหาที่สะสมหมักหมมมาอย่างยาวนานชั่วนาตาปีที่รัฐบาลเลือกตั้งยุคใหน ๆ ก็แก้ไม่ได้ |
5 |
สร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ จนคนเหนือคนใต้ไม่กล้าไปมาหาสู่กัน เกิดความแตกแยกในที่ทำงาน และลุกลามบานปลายไปถึงครอบครัว แม้แต่นอนในมุ้งเดียวกันก็เลือกสีคนละข้าง |
5 |
ทำให้ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศหมดไป คนไทยหันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเทิดทูนสถาบันชาติ-ศาสนา -พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดไปทั่วโลก ในงานพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 และการช่วยเหลือเด็ก ๆ ทีมหมูป่า Academy 13 ชีวิต ออกจากถ้ำหลวง |
6 |
ทำลายระบอบประชาธิปไตยฯ, ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540 หัวใจของระบอบประชาธิปไตยฯ คือการตรวจสอบ ถ่วงดุล เป็นระบบที่มีเหตุมีผล สังคมเปิดกว้าง ไม่ปิดกั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เพราะประชาธิปไตยเชื่อว่า สังคมเปิดที่ไม่มีการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และมีกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี จะเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจของผู้ปกครอง แต่ระบอบทักษิณได้ทำลายกลไกทั้งหมด มุ่งมั่นทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง อย่างเห็นแก่ตัว ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่ต้องทำเพื่อประชาชน โดยไม่เห็นแก่ตัว ทำลายและครอบงำกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล -- คือ ส.ส. (ใช้กุศโลบายยุบรวมพรรค) ส.ว. (ซื้อ, แทรกแซง) และองค์กรอิสระ (ซื้อ, แทรกแซง และเข้ากำกับตั้งแต่ขั้นสรรหาและขั้นเลือกในวุฒิสภา
|
6 |
แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มีหัวใจของนักประชาธิปไตย แม้พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯที่มาจากรัฐประหาร มีอำนาจสั่งการด้วยม.44 แต่ว่า กลับยอมให้คนวิจารณ์คสช.หรือตัวพล.อ.ประยุทธ์ได้ โดยไม่ได้เอาคืน หรืออาฆาตพยาบาท อาจแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ว่า ก็กล้าขอโทษในสิ่งที่ผิด ซึ่ง ระบอบทักษิณไม่มีคำว่าขอโทษ ไ่ม่มีคำว่ายอมรับผิด มีแต่ความอาฆาตพยาบาท และเอาคืน ล้างแค้น หนีความจริงตลอดเวลา มุ่งมั่นทำเพื่อประชาชนโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน คือหัวใจประชาธิปไตยคือทำเพื่อประชาชนโดยไม่เห็นแก่ตัว
|
7 |
ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพฤติกรรมจาบจ้วง ใช้วาจาไม่เหมาะสม ละเมิดพระราชอำนาจ ซ้ำซ้อน หลายเรื่อง
เมื่อทักษิณมีปัญหาทางการเมือง สื่อมวลชนและประชาชนได้เรียกร้องให้ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณกลับกระทำการมิบังควรอย่างยิ่งอีกครา ด้วยการพูดผ่านสื่อมวลชนว่า “ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบรับสั่งกับผมคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน” ยามทักษิณเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง แทนที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของตน ทักษิณกลับประกาศกร้าวว่า มีมือที่มองไม่เห็นและคนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คอยทำลายรัฐบาลของตน! การจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของทักษิณ ทั้งลับและเปิดเผยนับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว |
7 |
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาล คสช.ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
“รัฐบาลจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญ...ที่จะเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินกับผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ”
คำแถลงนโยบายข้อนี้สอดรับกับสถานการณ์หลังการเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. กล่าวคือ มีการเร่งดำเนินคดีและจับกุมคุมขังผู้ต้องหาว่ากระทำการเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวนมากขึ้น ปัจจุบันมีถึง 16 กรณี (ดูรายงานการปรากฏตัวของคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ หลังรัฐประหาร 2557) ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือการจับกุม ภรณ์ทิพย์ และ ปติวัฒน์ สองนักกิจกรรม จากการแสดงละครเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคม 2556 |
8 |
อภิมหาฉ้อราษฎร์บังหลวง
สมัยก่อน “โคตรโกง” แต่สมัยนี้ “โกงกันทั้งโคตร” หนักไม่หนักคิดดูก็แล้วกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ต้องมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ทรงแช่ง
เป็นการโกงแบบใหม่ที่เนียนกว่าเก่า ใช้อำนาจหาผลประโยชน์มิชอบแก่ตนและพวกพ้อง ผ่านนโยบายสาธารณะที่มีวาระซ่อนเร้นทับซ้อนอยู่
สร้างมาตรฐานค่าคอมมิชชั่นใหม่ จากเดิม 10 % มาเป็น 30 %
โกงกันเป็นขบวนการ - คดีที่ดินรัชดาฯเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ราคา 772 ล้านบาท รัฐบาลประกาศวันที่ 31 ธ.ค. 2546 ไม่เป็นวันหยุดราชการ เพราะวันที่ 1 ม.ค. 2547 ราคาประเมินที่ดินจะเปลี่ยนไป (คือเปลี่ยนทุก ๆ 4 ปี/ครั้ง) ฉะนั้น 1 ม.ค. 2547 กรมที่ดินเปลี่ยนราคาประเมินเฉพาะตรงนั้นเป็นตารางวาละ 7 หมื่นบาท (ซึ่งตอนนั้นเสียภาษีอยู่ที่ 48,000 บาท) ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณประหยัดค่าธรรมเนียมได้ 5,977,000 บาท
|
8 |
มีการโกงกินกันน้อยมาก
ในรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ จะกล่าวหาเรื่องของการโกงกิน ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้ข่าวลือเรื่องพล.อ.ประยุทธ์โกงกิน
นโยบายที่ออกมาก็ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีวาระซ่อนเร้น |
9 |
ขายสมบัติของชาติอย่างไร้ศักดิศรี
เป็นการขายโดยผ่านนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยึดสมบัติชาติเป็นสมบัติตัวและพวกพ้อง ผ่านทางการกระจายหุ้นในตลาด และให้ Nominee ทั้งไทยและฝรั่งเข้ามาถือครอง
ดึงต่างชาติเข้ามาร่วมถือครองรัฐวิสาหกิจที่เป็นสมบัติชาติ
ขายสถานีโทรทัศน์ และดาวเทียม ซึ่งมีความละเอียดอ่อนเรื่องความมั่นคง ให้ต่างชาติ |
9 |
ไม่ขายสมบัติชาติ ปกป้องศักดิศรีชาติ
พยายามปกป้องผลประโยชน์ของคนในชาติ ไม่ยอมให้อเมริกามาครอบงำประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า “ผมยืนยันว่าในฐานะนายกฯ จะไม่ยอมให้ประเทศใดเข้ามาแทรกแซงบ้านเรา ทุกประเทศมีศักดิ์ศรี ประเทศไทยก็ต้องมีศักดิ์ศรี เราให้เกียรติกับทุกประเทศ ผมไม่เคยไปต่อต้านใคร แต่ผมเสียใจได้ในการแสดงความคิดเห็นบางอย่างที่มันไม่ใช่ ไปฟังข้างนี้แล้วออกมาพูดแบบนี้มันไม่ใช่ ผมไม่ใช่ศัตรูของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องประชาธิปไตย เขาก็คิดถึงประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่อย่าลืมว่าคนของเรา วิถีชีวิตของเราหรือผู้นำทางการเมืองของเราในอดีต ไม่เหมือนของเขา สหรัฐต้องฟังบริบทเหล่านี้ด้วย” |
10 |
แบ่งแยกดินแดน
กระบวนทัศน์แบบพ่อค้าทำให้ปัญหาภาคใต้ถึงวิกฤต และแบ่งแยกคนในชาติเป็นฝ่ายไทยรักไทย กับฝ่ายไม่ใช่ไทยรักไทย ตอนแรกคิดว่าโจรกระจอก เด็ดแต่ตัวหัว ๆ สัก 200 กว่าคนก็พอ
ประกาศสาเหตุว่าเพราะภาคใต้ไม่ได้รับการพัฒนา จึงทุ่มเงินลงทุน ซึ่งก็คือกระบวนท่าเงินฟาดหัวแบบเดิม ๆ ทำไปโดยขาดความรู้ความเข้าใจ เชื่อขันทีใกล้ชิด รื้อโครงสร้างการจัดการใหม่ จนเหตุเลวร้ายถึงที่สุด
|
10 |
รวมแผ่นดินไทยให้เป็นปึกแผ่น
คนไทยไปไหนได้ทุกภาค ลดการแบ่งแยกสีเสื้อได้อย่างมาก ได้คืนความสงบไม่มีสงครามกลางเมือง ไปไหน มาไหนไม่ต้องกลัวลูกหลง
จากการรวบรวมสถิติด้านต่างๆของศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งจำนวนเหตุรุนแรง คดีความมั่นคง การขยายตัวหรือหดตัวของ "หมู่บ้านพื้นที่สีแดง ก็พบว่ามีจำนวนที่ลดลงสถานการณ์ความรุนแรง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จากสถิติการก่อเหตุในปัจจุบันถือว่าลดลงอย่างมาก โดยจากปี2557-2558 ลดลงถึง 60% |
11 |
วงการสงฆ์มีแต่ความแปดเปื้อนโสมมหมักหมมเน่าในมากยิ่งขี้น ทักษิณและครอบครัวรวมทั้งบริวารสนับสนุนวัดพระธรรมกาย ที่ผ่านมาวัดธรรมกายสามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ เป็นลักษณะจัดตั้งแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินสนับสนุนกับวัดในต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
ตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน ต่อมายังได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นประธาน อ้างว่า สมเด็จพระญาณสังวร สังคปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันประชวร มิอาจปฏิบัติพระภารกิจได้
กรณีที่เกิดขึ้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า เป็นการละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่หากพิจารณาตามโบราณราชประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช หรืออย่างน้อยก็ต้องขอพระราชทานกราบทูลเพื่อให้ทรงวินิจฉัยเสียก่อน |
11 |
มีการทำความสะอาดชำระความทุจริตในวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ เช่นกรณีปราบปรามวัดพระธรรมกาย การตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ที่ขอเงินทอนวัดกว่าร้อยละ 80 และมีวัดดังหลายแห่งเกี่ยวข้อง จนสามารถจับกุมพระผู้ใหญ่ระดับกรรมการมส.ได้ ลดความขัดแย้ง โดยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชและ กรรมการมส. หรือแม้แต่การให้ส่งตัวเณรคำในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาชำระคดีในประเทศไทย
|
12 |
เกี่ยวกับการบุกรุกผืนป่า นโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ทำให้มีการบุกรุกยึดครอบครองที่ดินผืนป่ากันมากมายโดยอ้างนโยบายนี้ |
12 |
การทวงคืนผืนป่าจากนายทุน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเดินหน้าอย่างแข็งขันและถือเป็นผลงานที่ค่อนข้างเด่นชัดของ รัฐบาล และคสช.โดยสามารถทวงคืนผืนป่าได้จำนวนมาก โดยในปี 59 สามารถทวงคืนผืนป่าจากนายทุนได้ 1.4 แสนไร่และในปี 60 ตั้งเป้าทางคืน 1.07 แสนไร่ และในปี 61 ยังคงเดินหน้าต่อ |
13 |
ทักษิณและนอมินี เป็นรัฐบาล พรรคพวกมีแต่รวยๆๆๆขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แม้แต่นายขวัญชัย ไพรพนาใส่สร้อยคอเส้นเท่านี้ |
13 |
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯไม่มีข่าวว่ารวยขึ้นอย่างผิดปกติแต่อย่างใดทั้งที่เป็นยุคการสื่อสารไร้พรหมแดน ต้องถูกตรวจสอบอย่างมากแต่นายกฯประยุทธ์กลับประพฤติตนตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้ชีวิตพอเพียง |
14 |
มีการเพิ่มขึ้นของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ...เหตุการณ์ และคดีที่มีเงื่อนงำ และเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล - ชิปปิ้งหมูถูกฆ่าตาย - อุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิต - สั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่กรือเซะ, ตากใบ - ฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด อัยการสูงสุด “นายพชร ยุติธรรมดำรง” มีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รัฐบาลทักษิณใช้สถานที่จัดประชุมผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในวัดธรรมกาย มีทั้งสว. และรัฐมนตรีที่เป็นลูกศิษย์
|
14 |
มีการลดลงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น แก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย และ การปราบปรามผู้มีอิทธิพล ถือเป็นมาตรการที่ รัฐบาลและ คสช.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องดำเนินการโดยทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยกวาดล้างจับกุมอาวุธสงคราม อาวุธปืน กระสุน และวัตถุระเบิดได้จำนวนมาก มีผู้เกี่ยวข้องกว่า 30,000 คน รวมถึงและกำลังจับตาเครือข่ายและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง |
พ่อครูว่า...นี่ก็พยายามรวบรวมจากที่มีจริงเป็นจริงได้ขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในเรื่องของการเมืองขณะนี้ อาตมาว่า กำลังเด่นชัดในสิ่งที่กำลังจะบอกความจริงแก่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติ ในสื่อสารมวลชนเป็น globalization รู้กันเร็วทั่วกันไปแล้ว ซึ่งอาตมาไม่ได้พูดอย่างมงายไม่ได้พูดอย่างหลงตัวหลงตนอะไรมากมาย อาตมาว่าเมืองไทยเป็นเมืองเล็กก็จริง มีพลเมืองไม่ถึง 100 ล้าน แต่ว่ามีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพในการบริหารมนุษยชาติเอาคุณธรรมเป็นแกนหลัก เพราะเรานับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่เด่นมากในเรื่องนี้ แต่ประชากรโลกเป็นเทวนิยมส่วนใหญ่ ไม่ใช่พุทธที่เป็นอเทวนิยม จะว่ากันจริงๆแล้ว อเทวนิยมนั้นมีไม่กี่ลัทธิไม่กี่ศาสนาในโลก แต่มันไม่ชัด เป็นอเทวนิยมที่ไม่เป็นโลกุตระไม่นับถือพระเจ้าไม่เอาพระเจ้า อย่างเช่นศาสนาเชนของพระศาสดามหาวีระ แต่เขาก็ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร เอาแต่หนีปลีกเดี่ยวสุดโต่งไปทางมักน้อยสันโดษ ไม่เอาสังคมไม่เกี่ยวอะไรเลย โต่งไปดิ่วๆ น่านับถือเหมือนกันทำได้ยากแต่มันไม่เป็นประโยชน์ ทำตัวเองสูญเปล่า ตัวเองทิ้งหมด เป็นแต่เพียงว่าไม่ฆ่าตัวตายเท่านั้นปล่อยให้มันหมดอายุขัยไปอย่างนั้น อดทนจริงๆด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันก็มีเป็นอเทวนิยม ไม่เอาเทว
อาตมากำลังอธิบายคำว่า เทว เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเข้าใจได้ยากมีหลายมากมายเหลี่ยมมุม ละเอียดลออ ติดตามให้ดีๆศึกษาให้ดีๆเมืองไทยนี้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ดีจริงๆใช้ได้ และเอาออกมาใช้เป็นของแท้ ไม่ใช่ว่าเข้าใจแต่เอาไปใช้หรือประยุกต์ไม่ได้ แต่ว่าอันนี้จิตวิญญาณได้ผลประโยชน์จริงๆ
จิตวิญญาณที่เป็นแล้วกับจิตวิญญาณที่ยังไม่เป็น เป็นแต่เพียงตรรกะมันคืออะไร
อันนี้ ทีนี้เรื่องของประชาธิปไตยน่าจะพอแล้ว ทีนี้มาเข้าเรื่องธรรมะกันดีกว่า เพราะการเมืองเป็นเรื่องของธรรมะไม่ใช่เป็นเรื่องแบ่งแยกว่าคนที่มีธรรมะแล้วไม่ยุ่งกับการเมือง
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ความเห็นต่างช่วยสร้างปัญญา
มาเข้าสู่เรื่องของธรรมะ Panya Prachachit ...ผมไปดูคลิปเต็มมาแล้วนะครับ
อยากจะขอชี้แจงดังนี้
1. ที่ผมบอกว่าท่านสามารถฝืนธรรมชาติได้เลยนับถือ แล้วท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฝืน แล้วบอกว่าผมไม่เข้าใจธรรมชาติ
แล้วผมก็ไม่ได้บอกว่าธรรมะคือธรรมชาติด้วย
ท่านลองตรึกตรองดี ๆ จากที่จะอธิบายไปนะครับ ว่าแท้จริงท่านฝืนธรรมชาติได้ในส่วนนี้จริงๆ หรือไม่ และมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ
คุณปัญญา ประชาชิตว่า….ธรรมชาติในความเข้าใจที่ผมเขียนไปคือ ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาเผื่อส่งต่อเผ่าพันธุ์หรือสืบพันธุ์เพื่อส่งต่อยีน เพราะยีนเปรียบเสมือนเบ้าหล่อหรือแม่พิมพ์ที่สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ ธรรมชาติออกแบบมาให้สิ่งมีชีวิตต้องเป็นอย่างนั้น (ผ่านกระบวนการ natural selection) แต่นักบวชที่ครองศีล ละในกิเลสและกาม จะไม่ต้องการส่งต่อเผ่าพันธุ์ ข้อนี้เองที่เป็นการชนะ(ฝืน) "ยีนเห็นแต่ตัว" ที่น่านับถือ
พ่อครูว่า...เขาคิดว่าการชนะเท่ากับฝืน แต่อาตมาว่า การชนะนั้นไม่ใช่การฝืน ถ้ายังฝืนอยู่ยังไม่ชนะ เราบอกว่าเราไม่ได้ฝืนเราชนะเขาก็บอกว่าเราฝืน
อันนั้นเป็นสามัญโลกียะ แต่อันนี้มันเกินสามัญ โลกุตระ อันนี้จะคิดเอาไม่ออก เดาไม่ได้ จะต้องมาเป็นของตัวเองแล้วจะรู้ เพราะมันไม่มีทั้งความแย้งและความเถียงทั้งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มันไม่มี มันจบในตัวมันเอง ก็คนมันมีสองก็เห็นแย้งกันไปกันมา แต่นี่มันไม่มีสองมันมีแต่ 0 1 มันก็ไม่มีด้วย 1 มันก็เหลือฝั่งใดฝั่งหนึ่งแล้วมันไม่แย้งไม่เถียง แต่นี่แม้แต่ 1 ก็ไม่มี ก็เลยคิดไปเองเป็นศูนย์ไม่มีเลย เป็นภาษาที่ถ้าไม่มีเลยคุณจะต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ยังไม่ตายอาตมาก็ยังไม่ตายเลยเถียงกันอย่างคนไม่ตายมันก็เลยไม่ดี แต่อาตมารู้เลยไปว่าถ้าตายแล้วจะเป็นอย่างนี้ แต่คุณยังไม่รู้หรอก ขออภัยที่พูดแล้วดูเหมือนข่มคุณ ก็เอาไปศึกษาต่อ
2. ถูกหมด ของผมคือ ไม่ใช่เอาเรื่องของธรรมะไปอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกได้ บางเหตุการณ์ก็ต้องอธิบายด้วยศาสตร์อื่นๆ ครับ ถ้าท่านบอกว่าท่านเข้าใจธรรมะถูกหมด ผมไม่เถียงครับ เพราะผมก็ไม่ได้ศึกษาจนที่จะสามารถจะไปเถียงท่านได้
พ่อครูว่า...ธรรมะแปลว่าทรงอยู่ทรงไว้ แต่ธรรมะที่ไม่ทรงไว้นี้ อธิบายไม่ได้ มันจะมีภาวะที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น โลกจินตา คือ ความคิดของโลก ความคิดของชาวโลกมันคิดไปเกินกว่าที่จะตามไปรู้ทั้งหมดแน่นอนมันดูทั้งหมดไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นสิ่งอย่างนั้น มันก็เป็นส่วนของแต่ละคนที่เขาคิด มันเป็นจริงมันเป็นได้ของแต่ละคนคิด พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า สัญญายนิจจานิ มันเป็นความจริงของสัญญาแต่ละคน ถ้าเป็นธรรมะมันจะต้องยืนยันว่ามันมี 2 ธรรมะจะต้อง เทวธัมมา ต้องมี 2 คนเป็นอย่างน้อยยืนยันจึงจะถือว่าจริง เป็นสัจธรรมเป็นธรรมะที่เป็นจริงต้องมี คนผู้เป็นพยานหลักฐาน หากคุณคิดอยู่ของคุณคนเดียว สัญญายนิจจานิ คนอื่นไม่รู้ด้วยเลย จะนับถือว่าอันนั้นเป็นธรรมะเป็นสัจจะ มันจะไปถือกันอย่างไร คนอื่นไม่ได้ร่วมตกลงยอมรับด้วยมันไม่มี สิ่งอย่างนี้จะมาเรียกว่าเป็นสัจจะในสังคมมนุษย์ ในโลก มาอยู่ในโลกในตัวคุณคนเดียวเป็นอัตตาตัวคุณคนเดียว มันไม่ใช่ของโลก ของโลกต้องมีภายนอกด้วย อัตตาของคุณก็มีของคุณคนเดียวใครจะไปรู้กับคุณด้วยศีรษะใครศีรษะมัน กะโหลกใครกะโหลกมัน กบาลใครกบาลมัน
3. ผมไม่ได้บอกว่าสังคมอโศกไม่ดี ไม่น่าเอาเป็นตัวอย่าง แต่ท่านบอกประชาธิปไตยที่แท้จริง ให้ไปดูที่อโศก แสดงว่าท่านนิยามสภาวะที่อโศกเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งมันขัดกับคำนิยามที่ประชาชนในประเทศที่หล่อหลอมประชาธิปไตยขึ้นมาเข้าใจ (หมายถึงประเทศที่ประชาธิปไตยเกิดขึ้นเอง แล้วค่อยเรียกสิ่งนั้นว่าประชาธิปไตยภายหลัง) ท่านต้องเรียกสังคมอโศกว่าเป็นการปกครองแบบอื่นไม่ใช่เรียกว่าประชาธิปไตยครับ เพราะสภาวะของประชาธิปไตยที่หล่อหลอมขึ้นมามันคนละสภาวะกับที่อโศก ดังนั้นจึงไม่ควรไปเปลี่ยนสภาวะของประชาธิปไตย แต่ควรใช้คำใหม่นิยามสภาวะของอโศก ถ้าท่านยังไม่รู้ว่าจะนิยามสภาวะการปกครองของสังคมอโศกว่าอย่างไร คนรุ่นหลังก็จะมานิยามให้กับท่านเองครับ
ขอบคุณที่แสดงความเห็นกลับเหมือนกันครับ
พ่อครูว่า...คุณไปจดลิขสิทธิ์ของคุณไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณไปนิยามของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่บอกมา อาตมาว่า อาตมาไม่เอาเหมือนคุณหรอกของอาตมาหรือของอโศกไม่เหมือนของคุณหรอก ที่พูดอย่างนี้ก็ชัดเจนว่าของคุณกับของอโศกไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันไม่ขัดแย้งกันแล้ว คุณเข้าใจอโศกไม่ได้ แต่อโศกก็เข้าใจคุณไม่ได้ว่าคุณนิยามของคุณไว้เหมือนกัน
ส่วนนิยามของอาตมา อาตมานิยามเองไม่ต้องให้ใครมานิยามให้
อาตมาพยายามอธิบายคำว่าประชาธิปไตยที่เป็นความหมายของพระพุทธเจ้าอย่างไรก็คือคำว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
สภาวะความหมาย 3 อย่างนี้หมายถึงประชาธิปไตยเต็มตัวแล้วโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่าประชาธิปไตย แต่เป็นการรับใช้ประชาชน พหุชนคือมวลประชาชน ทำประโยชน์ให้แก่มวลประชาชน ทำให้มวลประชาชนมีสุข
โลกานุกัมปายะ ช่วยเหลือรับใช้โลก อย่าว่าแต่ประชาชนเลย แต่รวมทั้งวัตถุและมนุษย์รวมทั้งหมดเรียกว่าโลก หากเอาพหุชนะคือเอาที่ประชาชน โลกานุกัมปายะ เอาทั้งประชาชน ส้มโอ มะละกอ กล้วย รวมทั้งดินน้ำลมไฟหมดพระพุทธเจ้าเข้าใจหมดทั้ง
อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม โดยจัดการกรรม ให้เป็นธรรมะ
ธรรมนิยามนี้รวมไว้หมดแล้วทั้งมหาเอกภพ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยามธรรมนิยาม
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เข้าใจได้ขนาดนี้ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 จะต้องยิ่งละเอียดกว่านี้อีก แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียดที่จะเอามาแย้ง อาตมาก็กำลังตามหาโพธิสัตว์ที่เป็นพี่ จะได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น อาตาไม่ได้ปิดกันว่าจะมายิ่งใหญ่ที่สุดแล้วไม่มีใครเท่าเทียม ซึ่งจะมีได้มนุษย์ที่อธิบายได้ก็แสดงความจริงออกมา หากคุณอยู่ของคุณคนเดียวไม่แสดงออกมาใครจะไปรู้ มันก็อยู่ในกะโหลกของคุณ ก็ต้องเอามาพูดกันให้คนอื่นได้รับรู้ พูดภาษาที่อาตมารับรู้คนอื่นรับรู้ได้ด้วย หัดพูดภาษาอื่นก็เข้าใจด้วยไม่ได้ ดี คุณคนนี้ก็เป็นคนขยันหมั่นเพียรไม่ยึดถืออัตตามานะอะไรมากมายนับถือๆ เป็นคนที่ศึกษา มองมุมแย้งมา อย่างนี้ดี จะได้พัฒนาความรู้โดยไม่ต้องไปถือดีมีมานะอัตตา อันไหนรับได้ก็เอา ส่วนใครจะถือดีถือตัวก็เรื่องของเขา อาตมาก็ว่า อันนี้เป็นคนน่าคบศึกษากันให้ดีๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ญาณ 16) ตอน ญาณ 16 อย่างย่อ
ต่อมาคุณ Guru ultraman...เพราะอะไร เราจึงไม่มีแรงทำ "ความไม่มี"
ตราบใดที่เรายังไม่เบื่อหน่ายตนเอง
แสดงว่า เรายังไม่รู้จักตัวเองดีพอ
ถ้ารู้จักตัวเองดีพอ จะเห็นว่าเราเองยังมีอะไรๆ
ก็การมีอะไรแล้วยังสำคัญมั่นหมายว่า
มันเป็นดีกรีของเรา นั่นแหละ
ควรจะเบื่อหน่ายในความมีโทษ มีภัย
ของการมีดีกรีชั้นสูง ที่ผูกไว้บางๆใสๆ ก็แน่นเหนียว
จนยากที่จะเห็นความผูกตัวไว้เป็นตนของเรา
พ่อครูว่า...ใช้พยัญชนะทุกตัวให้ความหมาย สรุปแล้วคุณเข้าใจก็ดีทำให้มันได้ คนที่เข้าใจหมดแล้วจริงๆนั้น มีโบราณาจารย์ได้พยายามรวบรวม ญาณ ความรู้ แค่ญาณ 16 ก็เหลือกินเหลือใช้ ญาณ16 ตั้งแต่
ทำได้ก็ต้องจบ ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ต่อ
ไปทำการทบทวนแล้วทุกคน ทวนแล้วทวนอีก
นี่ 16 ญาณ หากคุณรู้ชัดเจนและทำสภาวะได้เป็นจริงตามนั้นแน่นอน ไม่มีปัญหาเลยสิ่งเหล่านี้จบ
ทีนี้ลองดู ยังมีอีกสองสามแผ่น
_ป้าย่านาง....กราบรบกวนขอคำชี้แนะจากพ่อครูในการขยายความที่จะนำไปชี้แจงผู้ที่ฝักใฝ่เทวนิยมที่คิดว่าตัวเองสามารถดับทุกข์ได้โดยการนั่งหลับตาทำสมาธิ ป้าจะลองให้เขาตั้งข้อสังเกตุดูว่า
1. เวลาเขาทำสมาธิ หลับตา แต่ยังได้ยินเสียงอึกทึกจากภายนอกผ่านการได้ยินจากหูตลอดเวลาที่นั่ง เขาคิดว่าใจจะยังสงบอยู่ได้ไหม? แต่ถ้าเป็นสมาธิลืมตาที่เราฝึกแยกเวทนาได้ บางท่านสามารถทำจิตให้นิ่งได้จากการได้ยินสักแต่ว่าได้ยินเพราะท่านฝึกจนแยกจิตและกายได้ช่วงหนึ่งโดยไม่ทุกข์กับเสียงนั้นๆ(อยู่ที่คุณฝึกการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องได้จนแก่กล้าประมาณไหน)
2. ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อานาปานสติจากลมหายใจนั้น เพราะลมหายใจเกิดขึ้นและทำงานอยู่อย่างเป็นอัตโนมัตโดยที่เราไม่ต้องไปกำหนด(นอกจากเราจะต้องการให้สั้นหรือยาวขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เราไม่สามารถไปบังคับได้ตลอดไป เขาจะทำงานตามกลไกที่ร่างกายให้มา และลมหายใจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับสัญญานชีพ(จิตวิญญาน)การมีชีวิตของคนที่เราจะไปบังคับให้หยุดทำงานไม่ได้ถ้าเรายังต้องการมีชีวิตอยู่ ส่วนตา หู จมูก การสัมผัสอื่นๆนั้น เราสามารถบังคับให้หยุดทำงานก็ได้ ให้เริ่มทำงานก็ได้ตามเวลาที่เรากำหนด พพจ. เข้าใจความแตกต่างของกลไกทางร่างกายนี้ ท่านจึงไปกำหนดที่ลมหายใจ และท่านก็ไม่ได้ขยายความว่าต้องทำคู่กับการนั่งหลับตา หรือ ไม่ต้องได้ยินอะไรที่มากระทบหูคนนั่งเลย
ป้าจะเอาไปอธิบายให้เขาฟังตามเหตุผลนี้ จะสมเหตุสมผลพอไหมคะ?
พ่อครูว่า...หากว่า ถ้าหลับตาปฏิบัติเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ใน อินทริยภาวนาสูตร บอกว่าให้ทำลายตาทำลายหูทำลายทวารทั้ง 5 เสียก็ถือว่าบรรลุอย่างนั้นหรือ มันก็ไม่ใช่หรอก
_ของคุณบ้านเล็กเมืองน้อย….กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
ขออนุญาตช่วยไขข้อข้องใจแก่ผู้ส่งประเด็นมา ในวันจันทร์ที่ 3 ธันวา ครับ
ความเห็นที่ผู้ส่งประเด็นถ่ายทอดออกมานั้น สะท้อนถึงทัศนะคติของ ผู้ที่รู้เพียงหนึ่ง ไม่รู้ถึงสอง
จึงตีไม่แตก...แยกไม่ออก...เข้าไม่ถึง.................... เป็นเหตุให้คำถามไม่ได้เกิดการพัฒนาขึ้นจาก สัมมาทิฐิ
“ยีนเห็นแก่ตัว” ที่ท่านกล่าวถึง ก็คืออวิชชาแท้ ที่ก่อเกิดเป็นอัตตา
ทางวิทยาศาสตร์เรียก “ สิ่งสืบต่อพันธุกรรม ” ว่า Gene แต่แท้จริงนั้น.... ยีนคือส่วนหนึ่งของสาย DNA (genotype - จีโนทัยป์)
ซึ่งทำหน้าที่ ส่งต่อลักษณะปรากฏทางชีวภาพ (phenotype – ฟีโนทัยป์) ไปยังรุ่นถัดไป
เช่น สีตา กรุ๊ปเลือด เป็นต้น
แปลให้เข้าใจง่ายๆ..... “ยีน” เป็นสรีระพันธุ์ (รูป) ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่ ซึ่งรับมาจากโคตรเง่าที่เป็นต้นตระกูลอีกที
แต่.......... “ความเห็นแก่ตัว” เป็นอาการทางจิต (นาม) ที่ทำให้การ คิด - พูด - ทำ ไม่บริสุทธิ์.... เป็นมรดกแห่งวิบาก(กัมมทายาท)
ในทางพุทธเรียกว่า “กิเลสตัวพ่อ” เช่น ความเห็นที่เกิดจากอวิชชาปรุงแต่งร่วมกับมิจฉาทิฐิ ที่ท่านได้แสดงออกมาแล้วนั่นเอง
เนื่องจากท่านมีความหวังดีห่วงใยชาติบ้านเมือง แต่ด้วยอวิชชาแถมยังมิจฉา จึงแสดงโทสะ ด้วยการประชดประชันเป็นคำถามแดกดันมากมาย ต่อเรื่องราวที่อยู่สูงเกินภูมิปัญญาของตน ดังนั้นคำถามที่ท่านคาใจแท้จริงก็คือ............
1. ผู้ระงับความเห็นแก่ตัว แล้วเสียสละออกไปชุมนุมทำเพื่อส่วนรวมนั้น เค้าทำกันได้อย่างไร ?
(เพราะท่านไม่เชื่อว่าคนที่ไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เพื่อตนเอง มีอยู่จริง!) คำถาม.....(เศรษฐกิจ)
2. ผู้ปกครองที่ดี และการปกครองที่เหมาะควรที่สุดนั้นเป็นไฉน ? คำถาม.....(การเมือง)
3. แล้ว habitant หรือผู้อาศัยที่เป็นมนุษย์ (หาใช่มดปลวกในอาณานิคมหรือ colony อย่างที่ว่า)
จะอยู่กันอย่างผาสุกได้นั้น ต้องทำอย่างไร ? คำถาม.....(สังคม)
ตามที่พ่อท่านได้อบรมสั่งสอนว่าผู้ที่จะช่วย สังคม ให้เกิดสันติสุขได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องมี โลกวิทู
โดยเริ่ม ปริยัติ ด้วยการศึกษาปฏิบัติศีล
เรียนรู้โลก..รู้อัตตาจากผัสสะ แล้วทำความเข้าใจแรงดูดแรงผลัก ที่มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณ
เข้าใจธรรมะ 2 ที่เป็นทั้งโลกและอัตตา แล้วทำใจในใจ ลดละกิเลสให้จิตสะอาดขึ้น ปอกลอกความเห็นแก่ตัวของตนออกไปทีละชั้น
จนจิตตั้งมั่นใน สัมมาปฏิบัติ เป็นสมาธิ ปลดแอกจิตให้เป็นไท มี อิสรเสรีภาพ ทำ 2 ให้เหลือเพียง 1 ได้
จิตจึงมีอำนาจเหนือกิเลสได้เป็นปกติ รู้อะไรควรหรือไม่ควร เป็น โลกุตระจิต อยู่เหนือโลกและอัตตาได้
สำเร็จประโยชน์ตน ในขั้นโลกุตระภูมิ... จึงเป็นอาริยะชนที่มี วรรณะ9 ทำ เศรษฐกิจ แบบคนจนให้สุขสำราญเบิกบานใจได้จริง
เมื่อยังจิตให้มีอำนาจเหนือกิเลสได้ ก็หมดความยึด สิ้นความเสพ จนปฏินิสสัคคะ สลัดอัตตาออก กระทั่งสลายตัวตนจน ไร้อัตตา ก็จะเกิดปัญญา เป็น ปฏิเวธ แทงทะลุได้ตลอด รับรู้ความจริงตามความเป็นจริง
ผู้ที่ยุติความเห็นแก่ตัวได้ จึงเสียสละ อภิบาลมนุษย์ อนุเคราะห์โลก ได้อย่างเต็มที่ ทำประโยชน์ท่านได้จริง
เมื่อบำเพ็ญพุทธภูมิต่อ จึงทำ 1 เป็น 0 ได้... แล้วจาก 0 กลับเป็น 1 ก็ได้..... เป็น อเนญชาภิสังขาร
...ทำความไม่เที่ยง ในความเที่ยงของนิพพานได้....
...ทำความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน แบบเสขะบุคคล บนความแน่นอนสงบนิ่งของอรหันต์ได้....
...ถึงแม้ดูเหมือนยังมีหน่ายมีอยาก แต่แท้จริงแล้วคือ อะไรควรก็ทำ..ไม่ควรก็ไม่ทำ จะ built ให้มี spec ก็ได้..ไม่มีก็ได้ แล้วแต่จะปรุง
เพื่ออภิบาล การเมือง แบบ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกมปาย ได้ โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวมาคอยยับยั้ง
พระโพธิสัตว์แท้ จึงเป็น สุดยอดนักประชาธิปไตยตัวจริง ด้วยประการฉะนี้แล
.....การปฏิบัติธรรมของพุทธแท้ที่พ่อท่าน พาทำทั้งหมดนี่แหละ คือคำตอบของทั้ง 3 คำถาม.....
ที่จะนำไปสู่ คุณธรรมอันวิเศษของพระพุทธเจ้า โดยเริ่มจากไตรสิกขา ซึ่งเป็น สัทธรรม ของพระพุทธเจ้า ที่จะทำให้เกิด
ความเป็นสุดยอดประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งจะแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สร้างความร่มเย็นเป็นสุขได้ในที่สุด
ตัวอย่างก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์.....
ดั่งในหลวงรัชกาลที่ 9
กษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม โพธิสัตว์ผู้ใช้ศาสตร์พระราชา อภิบาลปวงประชาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 70 ปี
และ ดั่งผู้ที่ถูกท่านกล่าวล่วงละเมิด ผู้บำเพ็ญจิต พุทธภูมิ ขั้นสูงอยู่ขณะนี้
เป็นโพธิสัตว์ผู้ใช้ระบบบุญนิยม....ในยุคทุนสามานย์ สร้างสังคมสาธารณะโภคีขึ้นได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสุดยอดสังคมประชาธิปไตย
ที่ทุกคนมีธรรมะในใจ... ธรรมะจึงอยู่ทุกหนทุกแห่ง... ธรรมะจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง... จึงทำให้เกิดความผาสุกร่มเย็นร่วมกัน
จึงขอเชิญผู้ที่คิดว่าตนเป็นผู้มีปัญญา มาพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง
ที่ราชธานีอโศก อยู่อุบลฯ แค่นี้เอง.... อยู่ฟรี กินฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย......เพียงแค่ “ไม่กินเนื้อสัตว์ และถือศีล 5 เป็นขั้นต่ำ” เท่านั้น
คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนะครับ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:20:29 )
รายละเอียด
611210 รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 29
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1oQB_QfQZEssyAAu1RFK6NxvoR0kyOGc5T23IQKDhfwc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1axexqPKP88klM0Q3TB2Ixmj6NLILSxNY
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคมวันรัฐธรรมนูญ 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อัตภาพและสังสารวัฏ
_สิริมา หายโง่ ...จาก ความอ้างถึง หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวว่า ปัจฉาสมณะ หอกข้างแคร่ แต่เนื้อหาเป็นธรรมะ ดิฉันว่า นี่คือเนื้อหาในระดับตื้น เพื่อให้เกิดการวิพากวิจารณ์กัน เพราะเป็นระยะใกล้เลือกตั้ง สมัยพล.ต.จำลอง ลงสมัครเลือกตั้ง ผู้ว่ากทม.มีการพาดหัวหนังสือพิมพ์ ชายตัดผมสั้นตัดผมเกรียน นั่งดื่มเบียร์อยู่ เป็นวิชามารที่ตื้นเขิน เป็นวิชาเต้าข่าว ของพวกที่ไม่หวังดี ขอให้พี่น้องอย่าหวั่นไหว ต่อไปอาจมีอีก เรื่องนี้หากมีคนมาถามกับดิฉัน ดิฉันจะยิ้มน้อยๆ แล้วตอบสั้นๆว่า ไร้สาระ เป็นการปิดประเด็นคำถาม
ที่เขาพยายามเขย่าองค์กรอโศก เพราะว่ารัศมีความจริงแยงตามาร เป็นเรื่องธรรมดาที่มารต้องใช้วิชามาร
พ่อครูว่า... อาตมาว่าอาตมาเข้าใจเพราะได้มีชีวิตเผชิญเรื่องเหล่านี้มา มากพอสมควร พระโพธิสัตว์ศึกษาตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นมนุษย์กับสังคม สัมผัสสัมพันธ์กับเกิดประโยชน์เกิดโทษต่อกัน ก็เท่านี้ แล้วท่านก็ศึกษาเพื่อจะช่วยให้เขาอยู่กันอย่างไร จึงจะเป็นการอยู่อย่างสงบ สมานกันได้ จะไปบังคับให้คนมีความเข้าใจมีความคิดความรู้เท่ากันไปหมดไม่ได้หรอก จะทำได้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น ที่จะให้เท่ากันคือ คุณต้องทำให้ความรู้ที่สูงที่สุดที่คนจะทำได้คือเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็มีความรู้ยังไม่ถึง แม้จะหนักหนาเหน็ดเหนื่อยยังไงก็สู้ นับวันยิ่งเหนื่อย เพราะว่ามันเสื่อมมาก คนเสื่อมมาก จะกอบกู้ช่วยเหลือคนให้กระเตื้องขึ้นมาบ้าง เข้าใจรู้ทำให้ตนเองเจริญขึ้นก็พยายาม แล้วก็ช่างกระไร เขาก็ยิ่งทำตนให้เก๊มากขึ้นๆ
เขาไม่ได้เห็นใจเรา หากเขาเห็นใจเราก็คงไม่ได้ทำให้ตนเองแย่ จนกอบกู้ได้ยาก เขาไม่เห็นใจไม่รู้ว่าเราทำอะไร แต่เขาทำอย่างน้นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่ามันเสื่อมต่ำ แย่ลงๆ
อาตมาเองยิ่ง พัฒนาตัวเองขึ้นมา เป็นมนุษย์ที่รู้มนุษย์สังคมขึ้นมาเรื่อยๆ มันหลากหลาย ในความแตกต่างความยึดถือของมนุษย์ นับวันก็ยิ่งมาก
(มีดช.ภูมิพุทธมากราบหลวงปู่ที่ตัก) คือลึกๆแล้วเขาซื่อจริงใจ มีมาในตัวของเด็กไม่เดียงสา เป็นความจริงใจของเขา ธรรมดาเด็กไม่เข้าใกล้พระหรอก เขาเกรงกลัว แต่จริงๆมีจิตลึกๆที่ว่าผีกลัวพระ แต่ทีนี้จิตเด็กคนนี้ไม่เป็นเด็กผี จิตเป็นพระลึกๆเขาสนิทสนมกับอาตมาด้วย เขาพึ่งจะมาด้วยซ้ำไป สิ่งเหล่านี้เป็นความบริสุทธิ์ที่ฝังลึกในปัญญา เป็นสัญชาตญาณ ก็มาแสดงบทบาท สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญชาติญาณแม้ไม่มีใครสอนก็รู้ตัวเอง (ดช.ธรรมะมากราบหลวงปู่แล้ววิ่งตื๋อออกไปเลย แล้วหลวงปู่ก็เรียกให้ทั้งธรรมะและธัมโมมาหาหลวงปู่)
ชีวิตเด็กเข้ามาเขาก็มี osmosis ก็มีสีสัน ไม่งั้นก็จืดๆ ก็ขออนุญาตแซมมาบ้าง
อาตมาว่าชีวิตมันสนุก ถ้าสามารถที่จะพ้นความทุกข์ได้ จิตของใครสามารถพ้นทุกข์ได้ อยู่กับโลก หากไม่มีจิตโพธิสัตว์จะเบื่อ สังคมน่าเบื่อชีวิตน่าเบื่อ นิพพิทา เพราะงั้นจิตที่ไม่มีโพธิสัตว์ เมื่ออยู่เหนือสังคมได้ ก็ไม่ยินดีอยู่ต่อ พอตายไปก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป
จริงมีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขั้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกแต่ผู้พ้นจริงๆได้แล้วสามารถพิสูจน์จิตที่หลุดพ้นแล้วไม่อยากจะอยู่กับอันนี้แล้วก็พยายามศึกษาว่าสังคมอยู่อย่างไร จะช่วยเขาได้ไหม ควรช่วยไหม ควรถามว่า ควรช่วยไหม...คุณก็ตอบกันได้ ว่าควรช่วย
ถ้าใครบอกว่าไม่ควรช่วยก็ใจดำเลย มันควรช่วยเพราะมนุษย์นี้น่าสงสาาร เขาหมุนเวียนในสังสารวัฏ น่าสงสาร เป็นความจริงที่ควรช่วย ความจริงจึงเป็นสัจจะของผู้ที่เมื่อยกจิตขึ้นสู่ปัญญาสู่ความควรรู้ ทั้งที่มันน่าเบื่อหน่าย เมื่อคนหลุดพ้นความน่าเบื่อหน่ายนี้ได้แล้ว เราไม่ไปแย่งชิงอะไรกับโลกแล้วก็รู้ว่า ตัวจะอยู่อย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็คือ 1 อัตตาหิอัตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา ก็รู้ว่าตนก็ต้องพึ่งตนสิ แมวหมาก็ยังพึ่งตัวมันเอง มีหมาที่คนเอามาเลี้ยงจนมันเสียนิสัย หมาเลยเสียหมาเลยเลี้ยงตัวเองไม่เป็นต้องพึ่งคน
คนใดที่เอาสัตว์มาเลี้ยงประคบประหงม จนมันเสีย คนนั้นก็บาป แต่เขาเข้าใจผิดว่าเขาได้ช่วยเหลือหมา แต่แท้จริงแล้วเขาทำให้หมาเสียหมา
สัตว์มันก็บำเพ็ญเลี้ยงตัวมันเอง มีแต่คนนี่แหละ ประหลาดไหม พอคลอดออกมาพ่อแม่ไม่เลี้ยงก็ตายเลยนะ คนต้องใจไม่ดำ ใจดำไม่ได้ต้องเลี้ยงเด็กเลี้ยงลูก โดยเฉพาะลูกตัวเองต้องเลี้ยง
อาตมาว่า อาตมาพ้นขีดที่จะอยู่กับสังคมมนุษย์ว่า เห็นแล้วมีแต่น่าสงสารน่าช่วยเหลือมันเหนื่อยหนัก ยิ่งโลกเสื่อมทุกวันศาสนาพุทธเสื่อมลงก็ยิ่งยาก ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมแต่คนเสื่อม เข้าใจผิดในความหมายศาสนาพุทธแล้วยึดถือผิด เอาไปปฏิบัติผิดน่าสงสารมาก จนไม่สามารถใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าปฏิบัติให้ตนเองพ้นทุกข์ได้ ก็เสียเลย เสียธรรมะพระพุทธเจ้า เพราะท่านสอนไว้เพื่อให้คนเอามาศึกษาเพื่อการพ้นทุกข์
แล้วคำว่าพ้นทุกข์นี้ลึกซึ้งมาก พ้นทุกข์นี้
ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือไปหลงลาภ ไม่ได้ลาภมาก็ทุกข์ หลงยศ ไม่ได้ยศก็ทุกข์ ใครมานินทาว่าร้ายก็ทุกข์ หรือไม่ได้สิ่งที่ตนเองอุปาทานไว้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แม้แต่ไม่ได้สมอัตตาก็ทุกข์
นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสอนไว้ชัด ท่านจึงสอนให้อย่าไปยึดถือไปหลงก็เท่านี้แหละมนุษย์ เมื่อมาเรียนรู้ไม่ต้องแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแล้ว ไม่แย่งแล้วทำอะไร กำลังไปไหน กินข้าวกินน้ำเปลืองพืชพรรณธัญญาหาร ที่ต้องใช้สอย ต้องมีที่อยู่ พระพุทธเจ้าว่าพอตรัสรู้มารก็ว่าตายเสียเลยดีกว่า อยู่ไปก็หนักแผ่นดิน เหมือนกัน บรรลุอรหันต์แล้วจะทำอะไรก็ตายเสียสิ ก็บรรลุแล้วจบแล้วก็เหลือแต่ว่าเราพ้นทุกข์แล้ว พ้นเรื่องที่ตรงข้ามกัน ก็มีธรรมะสองดีกับไม่ดี ควรกับไม่ควร เราก็รู้ความควร ความดี อะไรไม่ควรไม่ดี เราก็แนะนำอธิบายคนอื่นต่อ เพราะเขาไม่รู้
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ทำไมคนเราต้องปฏิบัติธรรม
_น้ำมนต์ ..ทำไมคนต้องปฏิบัติธรรมคะ
พ่อครูว่า...ใครบอกให้มาถามหลวงปู่…(ถามเอง) ต้องเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร หนูรู้ไหม ธรรมะเป็นของดีหรือไม่ดี ..ดี หากเราปฏิบัติให้เป็นธรรมะมันดีไหม...ดี เพราะฉะนั้นคนจึงต้องปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติคืออะไรรู้ไหม? ...เริ่มรู้...แล้วเราปฏิบัติคืออะไร?
หนูปฏิบัติตัวเองไหม ...เป็นบ้าง ปฏิบัติแปลว่าทำ เราทำตนเอง ทีนี้ทำตนเองให้เป็นธรรมะ ธรรมะคือของดี ก็ปฏิบัติให้ตนเองให้เป็นคนดี น้ำมนต์เข้าใจแล้วแต่ผู้ใหญ่จะเข้าใจหรือยัง
ภาษาธรรมดาแต่คนไม่ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ที่จริงภาษามีครบ ดีๆทั้งนั้น แต่ตนเองได้เข้าไปถึงสภาวะนั้นหรือไม่ พูดกันดีทั้งนั้นเลอเลิศ แต่ตนเองเข้าไปถึงขั้นไหนในความหมายดีๆนั้นบ้าง อาตมาสรุปในโลกมีเทวะคำเดียว เทวะคือสอง
สองคือ ภาษากับสภาวะจริง ทั้งนั้น แล้วทุกวันนี้คนสับสนภาษากับสภาวะจิต คนอยู่กับภาษาไม่เข้าถึงสภาวะจิต เข้าถึงน้อย รู้ภาษาดีๆๆ แต่เข้าถึงสภาวะน้อย แค่นี้
ศาสนาพุทธตีแตก สภาวะกับภาษา ธรรมะสอง แล้วทำสภาวะให้ดีตามภาษาให้ลงตัวเป็นหนึ่งให้ได้ ต้องแยกแยะกรรมกิริยาของตนเอง กายกรรมดี กับสภาวะและภาษาเป็นหรือยัง
สภาวะกับภาษาดี คุณเป็นตามที่รู้หรือยัง กาย วาจา จิต ก็เท่านี้ ถ้าทำได้ดี ทีนี้ เทวนิยมไม่แยกแม้แต่สองสภาวะกับพยัญชนะไม่แยกเลย ดีอยู่ไหนก็อยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นไงไม่รู้ ตีไม่แตกแยกไม่ได้ คำสอนของพระเจ้าก็ไม่เข้าถึงสภาวะเอาแต่ภาษาอีก พุทธก็เหมือนกัน เป็นเทวนิยมกันเสียเกือบทั้งนั้น อาตมามาบวช โดนผู้รู้ที่คนว่ายอด ตีอาตมาว่า หาว่าอาตมาพูดสภาวะกับพยัญชนะสลับกัน ไม่หมายตามที่ท่านหมายไว้ จนเดี๋ยวนี้ท่านจะเข้าใจอาตมาแค่ไหนว่าอาตมาเข้าใจสภาวะกับพยัญชนะแค่ไหน คนรู้จบ แยกสภาวะพยัญชนะได้ แล้วทำให้เป็นหนึ่งเดียว สิ่งที่เป็นพยัญชนะบอกว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี แล้วสภาวะทำให้ดีหรือไม่ดี เป็นหนึ่งเดียวกันก็จบ นี่คือสุดท้ายที่สรุปในคำสอน ความจริง
ของพุทธเข้าใจยากที่สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ขัดแย้งลงตัวเป็นหนึ่งเดียวก็เท่ากับสิ่งหยุดสิ่งไม่เคลื่อนไม่ต้องมีสอง หนึ่งนี้มันจะคือครบทั้งหมด คือ 0
คำว่า 0 คำนี้ จึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเลย รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่ตรัสรู้จะมีความรู้สึกอย่างนั้น พอรู้สึกว่าตัวเองรู้จบ รู้เป็น 0 รู้ครบ มันเป็นอจินไตย พอรู้แล้วจะรู้สึกว่า มันจะมีอะไรที่เราไม่รู้อีกหรือ มันจะมีความรู้สึกนี้ ในพวกเรานี้ผู้ที่เกิดอาการอย่างนี้มี
มีคนหนึ่งที่เกิดอาการนี้แล้วแสดงออกมาเลย แสดงพยัญชนะภาษา แสดงจริงใจเลย อาตมาได้รับพอดีที่ท่านแสดงอาการนี้ออกมา
มันเป็นอาการที่รู้จบ รู้จบนี่ก็ไม่ใช้ว่ารู้จบทีเดียวรอบเดียวนะ โอ้โห (ดช.ภูมิมาส่งสาร) มันก็เป็นรอบๆๆ เพราะฉะนั้นคนเรา มันเคยคิดเคยพิจารณา เคยพยายามจะรู้ให้ได้อยู่ในรอบอะไรก็แล้วแต่ ทำไมไม่ลงตัวข้องขัด พอรู้ได้ อ๋อก็จะเกิดความทะลุละลวงก็จะอุทานว่าจะมีอะไรให้เรารู้อีก ประเดี๋ยวก็จะรู้ว่ามีอีกเพราะมีเหตุปัจจัยในรอบต่างๆมีอีกให้รู
เช่นเดียวกับอรหันต์แล้วจะมาศึกษาโพธิสัตว์เช่นเดียวกับอาตมา ก็จะต้องเรียนรู้สิ่งที่ตัวเราเองไม่เคยเป็น ต้องเรียนรู้เพิ่ม ส่วนที่ตัวเราเองเป็นมาแล้วอรหันต์เคยเป็นมารู้จบแล้ว อรหันต์ก็จบในตัวเอง โพธิสัตว์จึงคือผู้เรียนรู้ผู้อื่น ช่วยผู้อื่น ส่วนคนที่เหมือนตัวเรา เราช่วยได้แน่นอน แต่คนอื่นที่ไม่เหมือนตัวเรา เราไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร โพธิสัตว์จึงต้องมาเรียนรู้ผู้อื่น ประโยชน์ตนหมดแล้วเหลือแต่ประโยชน์ท่าน เราจะรู้ผู้อื่นจนกระทั่ง คนอื่นที่เขาว่ารู้กว่าเราเขารู้บัญญัติมากกว่าเราแต่เขาไม่มีสภาวะเท่าเรา
พระพุทธเจ้าอุบัติมาในโลกไม่ใช่รู้ทุกอย่างทันที แต่ค่อยๆรู้ตามลำดับมาเรื่อยๆ ของเก่าที่รู้มาแล้วก็ค่อยตามมาเรื่อยๆ แม้แต่อาตมาก็ตาม เอาแต่ของเก่าที่อาตมารู้ พันเป็นเอนก โพธิสัตว์คือผู้มีลูกจำนวนพันเป็นเอนก ก็มาสอนลูกที่แตกต่าง พันเป็นเอนกก็จะได้ช่วยเขาไปเรื่อยๆ จนหลายพันเป็นเอนกๆ ก็มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากไปเรื่อยๆ
อัตภาพตั้งแต่เซลล์เดียว จนกว่ามาเป็นหลายเซลล์จนมาเป็นมนุษย์ มนุษย์อเวไนยสัตว์ก็อีกหลายล้านชาติ จนกว่าจะเป็นไวไนยสัตว์โลกีย์วนเวียนในดีชั่วแล้วก็ลืมวนอีก เป็นสมบัติผลัดกันชม แย่งกันดีแย่งกันชั่ว ผู้แย่งได้สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่งก็เป็นศาสดาแล้วก็วนอีกไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะดีแล้วจะหลงดี จะไม่รู้จักตัวตนโลกียะ ไม่ได้ละตัวตน หากยึดตัวตนว่าดี สุดท้ายคนอื่นจะมาชิงดี คนก็ผยองลืมตัว คนที่ไม่ผยองลืมตัวก็จะดีกว่าได้ทดแทนไป ก็ไม่เที่ยง แม้ศาสดาก็ไม่เที่ยง แต่หากเป็นศาสดาของพุทธจบสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็ไม่มีใครมาแย่ง
มีคนถามว่าเป็นพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้วจะปรินิพพานทำไม อยู่ช่วยโลกไปสิ คนเขาไม่รู้ว่า คนเป็นพระพุทธเจ้านี้สอนคนช่วยโลกมาจนเบื่อแล้ว โพธิสัตว์ก็สอนคนมาไม่รู้กี่ล้านปีน่าเบื่อจะแย่ เพราะฉะนั้นให้ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปสิ พระพุทธเจ้าไม่มีภพชาติแล้วไม่มีสองสมัย กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านี้สอนคนมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน อัตราเร่งอย่างไรเรียกว่าสัมประสิทธิ์
_กิ่งธรรม...การเพิ่มสัมประสิทธิ์ลูกเข้าใจว่าต้องเพิ่มอธิศีล อธิจิตอธิปัญญา ไป การเพิ่มก็มีบวก คูณ ยกกำลัง เอาอะไรมาตัดสินว่า บวกหรือคูณหรือยกกำลัง
พ่อครูว่า..เราจะรู้ได้ด้วยฐานจิตที่เรียกว่าปัญญา จะรู้พลังสัมประสิทธิ์คือพลังงานที่มีอัตราการก้าวหน้า อาตมาเข้าใจนัยยะพลังงานฟิสิกส์เขา พลังงานคนที่สามารถสร้างสัมประสิทธิ์คือรู้จักอัตราความเร่ง ที่สังเคราะห์เป็นนิวเคลียสมีพลังงานสูงสุดเท่าไหร่แล้วสามารถแยกบวกลบ บวกเป็นตัวตั้งที่แข็งแรง ลบเป็นตัวตั้งที่เร็ว ต้องแข็งแรง และรวดเร็วคู่กันเสมอ ทั้งสองอย่างต้องแน่น แข็งแรง มีแรงเหวี่ยงเร็วมากเท่าไหร่ก็ไม่มีคลอนแคลนกระดิกเลยสมบูรณ์ จะให้มากขึ้นก็เพิ่มตัวเร่ง ตัวเร่งก็ทำให้แข็งแรงขี้น หากแข็งแรงระดับบวกคนรู้ได้ยาก เขาจึงเอาระดับคูณไปถึงยกกำลัง จึงพอรู้แรงเคลื้อน ยิ่งเร็วนี้รู้ยาก จับไม่ทัน คุณก็ต้องสร้างธาตุรู้ที่จะรู้ทันให้ได้ แม้วัตถุก็มีเครื่องจับ มิเตอร์จับ เพราะคนหมดสิทธิ์ใช้มิเตอร์เป็นเครื่องวัด นัยยะมนุษย์จะวัดจิตต้องใช้มิเตอร์ตัวเองเป็นเครื่องวัด
ตัวแปรที่เพิ่มพลังงานขึ้นเราต้องรู้ คนสามารถเรียนรู้ขั้นนี้ ควรเพิ่มพลังงานดี (กิ่งธรรมว่าเราต้องทำงานทำอะไรได้มากขั้นเพิ่มขึ้น) เราต้องรู้ว่าเพิ่มดี ไม่เสียหายต่อโลก พลังงานจิตเรา เราต้องรู้จิตเรา สามารถทำพลังงานจิตเรา ไม่มีอะไรพิสูจน์ดีเท่าเพื่อขยายอายุขัย จะเทียบวัตถุอะไรไม่เห็นชัดเท่าเลย เอามาขยายความเจริญของชีวะ
อาตมายอมรับว่าไม่เก่ง อธิบายนัยละเอียดอย่างคุณถามมา จะให้คุณอ๋อทันที ยังไม่เก่ง พยายามอยู่ พยัญชนะบาลีมีแต่อาตมาไม่เก่งแม้เอามาใช้พวกคุณก็หัวหมุน ขนาดนี้คุณยังแย่ หากเอามาใช้อีกจะไปไกลเกินจนทิ้งกันไม่คุ้มมันเสียมากกว่าดี
ชีวิตคนสามัญ อายุร้อยก็ยากแล้ว แล้วอายุเก้าสิบก็เป๋แล้ว นั่งวิลแชร์กันแล้ว อายุร้อยนี่ ที่จะไม่นั่งวิลแชร์เดินเหินแข็งแรงได้นี่หาได้ยาก มีบ้างนะมี อาตมาเคยเห็นเขาออกทีวี เดินเหินทำงานได้แต่นอกนั้นหากร้อยก็วิลแชร์หรือนอนติดเตียง แต่ไม่ตายเท่านั้นเอง แต่อาตมาจะพยายามพิสูจน์แม้อธิบายไม่ได้แต่ก็พยายามเก่ง มีสูตร E=C(mc2+A)
ไม่รู้นักวิทยาศาสตร์จะว่าบ้าไหม C คือสัมประสิทธิ์ก็คือ mc2+A ตัว A คือ abstract คุณต้องพยายามจับให้ได้ A คือ mc2 จนกว่า แล้ว ได้ A มาบวกไปเรื่อยๆ จนได้ mc2+A ก็คือ C
ไปได้เรื่อยๆคุณจะสร้าง mc2+A กี่ร้อยชุดก็ตาม ถ้าสามารถ อาตมาก็พยายาม อาตมาใช้สังขารร่างกายมา แต่เด็กก็ไม่ควรจะแข็งแรงขนาดนี้ อาตมาก็พยายามทำ 8 อ.ให้แข็งแรงขึ้น ทุกวันนี้ก็ได้ขึ้นมานะ แต่นี่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นมันก็ได้อยู่ หากอาตมาอยู่อีกห้าปี อาตมาก็ 90
90 อาตมาแอคทีฟอย่างนี้อยู่ แต่คนยิ่งอ่อนแอลง แต่ถ้าอาตมาแค่รักษา 85 หรือ 90 ก็เท่าเดิมเท่านี้ก็เท่ากับมีสัมประสิทธิ์หากยิ่งแข็งแรงกว่าอีกก็ยิ่งแท้ก็ดูไป
_สม.กล้าข้ามฝัน...จากหนังสือคนจนที่มีแบบ และคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เราไปเทียบกับอ่านหนังสือเล่มอื่น เขาว่าอ่านจบ แต่ดิฉันว่าอ่านไม่จบ แล้วแต่เรามีสภาวะ พอไปอ่านอีกเหมือนไม่ได้อ่านเลย ไม่เหมือนหนังสือทางโลก แล้วแต่เราสภาวะอย่างไร หากวันไหนสภาวะเราดีก็ได้อีก ไม่ถาวร เป็นอย่างนี้ทุกคนไหม?...เป็นก็เลยว่าอ่านไม่จบนะ
พ่อครูว่า...มันวนแต่ก็ขยาย เหมือนกันปีใหม่ เปลี่ยนเวียนวาน ผ่านผัน เมื่อครบวันก็จะมีวันปีใหม่
_ตอนแรกดิฉันตั้งใจไว้ผิด ว่าอ่านคนจะมีธรรมะดีกว่าคนจนที่มีแบบ แต่ว่าในข้างในคนจนที่มีแบบนั้นลึกๆมาก ดิฉันดีใจที่จะมีการสอบ
การสอบตอนนี้เลื่อนฐาน แต่ก่อนอยากได้เหรียญ แต่ตอนนี้ไม่มีเหรียญทองคำให้ ตอนนี้เข้าสู่โลกุตระเพียวๆ มันเหมือนได้โลกุตระร้อย%
พ่อครูว่า...ยืนยันความจริงตามจิตเราแต่ละคน เราอยากรู้ว่าเราจะแค่ไหน ยิ่งพวกเราพยายามเอาบัญญัติพระพุทธเจ้ามาสรุป ตีกรอบ
โสดาบันต้องมีจิต กายวาจาใจอย่างนี้มันทำได้ เพราะว่ากรอบโสดาบันทำได้แต่กรอบสกิทาก็ยากขึ้นกรอบอนาคา อรหันต์ ผู้ได้ก็กำหนดกรอบตัวเองได้
พวกเราศึกษาธรรมะแล้วเอาจริงทำเกิดผล แต่ทางโลกน่าสงสาร ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็เหลิง การบวชเป็นอาชีพชนิดหนึ่งของมนุษย์ ส่วนผู้มาบวช ตั้งใจหลุดพ้นก็มีแต่เทียบกันไม่ได้ เขาถือว่าเป็นพระป่า พวกบวชไม่อยากได้หลุดพ้นเป็นพระบ้าน เทียบไม่ได้เลย พระสามแสนรูปจะมีพระป่าถึงห้าหมื่นไหม ไม่ถึง นอกนั้นเป็นพระบ้านหมด
ยิ่งดูแล้วน่าเห็นใจน่าสงสาร แต่ผู้บงการศาสนาคือผู้หันไปหานรก ก็เลยยากมากๆ พูดเขาก็ว่ามาจากไหน ทำเก่ง โบราณาจารย์สอนมาอีกแบบ คือเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ คนตาบอดไปดูหนังมีเสียงก็ยังดี แต่นี่คนตาบอดจูงตาบอดไปดูหนังใบ้ คนตาบอดกับหูหนวกไปดูหนังใบ้ ตาก็ไม่เห็นหูก็ไม่ได้ยิน..จบหรือยังเขาว่าจบก็จบ
_หมาเฒ่า..อารมณ์ค้าง จากที่พ่อครูตอบปัญหาสำมะปี๋ที่สันติฯมีญาติธรรมถามว่าทำไมพ่อครูให้ชุดชาวอโศกเป็นสีน้ำเงิน รู้สึกไม่เคลียร์นิมนต์พ่อครูตอบเพิ่ม
พ่อครูว่า...อาตมาถามดูว่าในประดาสีแม่สี แดงเหลืองน้ำเงิน เราชอบสีไหนมากสุด อาตมาก็ว่าอาตมาชอบสีน้ำเงินมากกว่า ก็ตอบไปแล้ว ..เขาอยากรู้อจินไตย
คือแม่สีจะทำให้ตายอย่างไรในโลกก็มีแม่สี แดงเหลืองน้ำเงินก็เท่านั้นเอง อาจสงสัยอจินไตยคืออาตมาหมกเม็ดว่า ในคนไทย นี่มีสีแดงขาวน้ำเงิน
สีน้ำเงินคือพระมหากษัตริย์ คือมนุษย์ ชาติศาสนาก็ไม่ใช่มนุษย์ ส่วนน้ำเงินคือคน แล้วน้ำเงินมีแถบโตกว่าเพื่อนเท่านั้นเอง เป็นสัจจะชนิดหนึ่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0
_ธรรมะ 2 แล้วไปเป็น1 ไปเป็น 0
1 คืออิตถีลิง vs ปุงลิงค์ สู้กันแล้วพอปุงลิงค์ชนะก็เป็น1พอได้แล้วก็ทำเป็น0 คือ นปุงสกลิงค์
เคหสิตะ vs เนกขัมมะ ก็ไปเป็นเนกขัมมะ แล้วเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา แล้วก็ไปถึงที่สุด เพราะว่าเนกขัมมะมีโสมนัส โทมนัส แล้วอุเบกขา ก็จบที่อุเบกขา
ก็ขอขยายความ เคหสิตะกับเนกขัมมะเป็นตัวชี้บ่ง หากไม่สามารถอ่าน เนกขัมมะกับเคหสิตะออก หากคุณทำให้ความเป็นโลกลดลงไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ทุกข์สุขหยาบๆ หากทำให้สุข ทุกข์ลดลงได้เรื่อยก็เนกขัมมะ หากเข้าใจจิตตน ว่าเป็นเคหสิตะ เราปฏิบัติธรรม แต่ก่อนจัดจ้านขนาดนี้ ตอนนี้ทำให้ลดลงได้สัมผัสอีกก็ลดลงได้ คุณก็รู้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หากไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ได้เรียนเวทนาสอง
หัวใจของศาสนาพุทธคือธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ทำให้เหลือเวทนาหนึ่งแท้ๆ เอกสโมสรณา ตากระทบรูปก็เหมือนกันหมดเป็นเวทนาแท้ ก็เป็นภาษาที่ต่างกันแต่สภาวะแท้เหมือนกันหมด รู้ความจริงตามความเป็นจริง เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็เช่นกัน ต้องแยกเอาเวทนาปลอมทำให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ๆ หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติคือพวกแฝงศาสนาพุทธ อยู่ไปก็ทำให้ศาสนาเสื่อมออกนอกรีตพระพุทธเจ้า ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานในการปฏิบัติ แม้พระสูตรอื่นๆก็ระบุไว้ น่าสงสารพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าออกบวชก็เจอพวกนั่งหลับตาปฏิบัติจนกว่าท่านจะฟื้นคืนความรู้เก่ามาได้ แต่ก็ยังมีพวกฤาษีเดียรถีย์เยอะดึงออกมาไม่ออก แม้แต่ผู้ที่มีปัญญาดีอย่างพระสารีบุตรเจอพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไปหาอาจารย์สญชัย เวลัฏฐบุตร บอกว่าไปหาพระพุทธเจ้าเถอะ สญชัยก็ถามพระสารีบุตรว่าคนโง่หรือคนฉลาดมากกว่ากันในโลกนี้ คนโง่มากกว่า สญชัยก็ว่าเราจะอยู่กับคนโง่จำนวนมากนี้ดีกว่า ก็เหมือนกับปัจจุบัน ดีว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ที่หนังเหนียว ฆ่าก็ไม่ตาย ไม่ยอมตาย เขาก็มองไม่ออก แต่เขาเงียบไปแล้ว เพราะอย่างไรอาตมาก็ไม่ยอมตาย เขาหมดลูกกระสุนแล้วอาตมาอยู่ยงคงกระพัน แต่อย่าเอาลูกปืนมายิงนะ
หากไม่แยกเวทนา 108 มีมโนปวิจาร 18 เนกขัมสิตะกับเคหสิตะ เมื่อแยกตรงนี้อ่านอาการลิงค นิมิตอุเทส สองฝ่ายนี้ได้แล้วแยกได้ แล้วไปจบที่อุเบกขาไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มีบาปมีบุญ ไม่มีสวรรค์นรก หากไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็โมฆะทั้งนั้น สงสาร ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ดูได้ถูกจริงเพราะพวกคุณมันผิด แล้วจะให้อาตมาไปอยู่กับพวกผิดก็ไม่ได้
ในธรรมะพุทธเจ้าถ้าเรียนรู้เนกขัมมะ กับเคหสิตะ แยกให้ออกแล้วเข้าใจหัวใจศาสนาพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน บาป บุญ สิ้นบุญสิ้นบาป
_บาป vs บุญ คือบุญหมดสิ้นบาป
พ่อครูว่า..บุญก็หมดด้วย มีพยัญชนะบาลีที่ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ เอาบุญไปใช้เป็นกุศลทำให้ศาสนาพังไปหมดเลย มันไม่ใช่สัจจะสาระก็เลยเลอะเทอะ เลยไม่มาทำความเข้าใจว่าพลังงานจะเป็นบุญเป็นอย่างไร ไม่มาเรียนรู้แล้วสร้างพลังงานที่เป็นบุญ คือพลังงานที่ทำให้เกิดอุณหธาตุ เตโชธาตุที่แรง จะ ละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ เมื่อทำได้แล้วบุญก็หายไป บุญไม่ใช่สมบัติ บุญเป็นวิบัติ เกิดในปัจจุบันเท่านั้น ขณะที่สัมผัส รู้ว่านี่คือไฟบาปราคะโทสะโมหะเกิด เราก็สร้างพลังงานไฟบุญขึ้นมาสลายอันนี้ได้ สลายได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าเป็นส่วนแห่งบุญ บาปมีร้อยสลายได้สามสิบคือ ได้คือเสีย เสียบาปไปบุญก็ไม่ได้ตกค้าง พลังงานนี้ไม่ตกค้างทีไ่หนเลย
ไม่มีใครมาอธิบายอย่างนี้ให้ฟังหรอก หาฟังได้ที่นี่แห่งเดียวในโลก จริง ต่อให้ดร.ทางศาสนาพุทธ เป็นฝรั่งเขาก็ไม่พูดอย่างอาตมาหรอก อย่าง Rhys Davids เป็นต้น
หากคุณไม่เข้าใจความรู้อันนี้พยัญชนะอันนี้สภาวะอันนี้ ว่าบุญกับบาป พลังงานนี้แยกไม่ออกเข้าใจไม่ได้ว่าจิตมีพลังงานอย่างไร พอรวมมาเป็นพลังงานสร้างขึ้นมาได้ที่เรียกโดยพยัญชนะ ว่าฌาน
ฌาน แปลว่า ไฟ แต่แปลว่าเพ่ง ก็ผิด ฌานคือพลังงานที่สร้างขึ้นได้จนสามารถละลายพลังงานราคะโทสะ เมื่อทำให้ละลายได้ก็คือเป็นบุญ ขณะที่คุณสร้างนั้นสร้างให้เป็นฌาน แล้วฌาน นี้ภาษาพยัญชนะ ว่า ชา แปลว่ารู้ แปลว่าปัญญา
ปุญญะคือปัญญา สร้างขึ้นมาและมีพลังงานละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ละลายได้ก็จบ เหมือนคุณจุดไฟมาเผาอันนี้สลายได้ ไฟก็หายไปด้วย ไปเก็บเอามาคืน เผาแล้วเอาพลังงานมาเก็บไว้ก็ไม่ได้ ฉันเดียวกัน บุญที่ทำงานเสร็จไปแล้วก็หมดไปจะไปเก็บมาไม่ได้ ยิ่งจะไปสะสมบุญยิ่งไม่ได้ บุญเกิดได้ในขณะนี้ปัจจุบันเท่านั้น แล้วก็ทำงาน ทำงานเสร็จก็สลายไปในตัว เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่สร้างได้ในปัจจุบัน จะเรียกว่าวินาทีก็นานไป หายวับ สลายบาปให้หมดไป บุญก็หายไปด้วย การไปสะสมบุญเอาไปค้าขาย คำว่าบุญก็เลยเสียไปหมดเลย บุญนั้นเหมือน guillotine ที่เป็นอาวุธร้าย เป็นยอดอาวุธระเบิดนิวเคลียร์ มันมีหน้าที่ทำงานแล้วก็หายไป แต่ว่ากิโยตินยังอยู่นะ อันนี้มันเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดตูมแล้วก็สลายไปเสร็จ มันก็จบไปเลยระเบิดนิวเคลียร์ก็หายไปด้วย ฉันเดียวกัน การสร้างพลังงานบนนี้ให้เกิดได้เป็นเรื่องสำคัญมาก
_พยัญชนะ vs สภาวะ ไปหาสภาวะความจริง แล้วไปหาสภาวะความจริงที่สมบูรณ์
_ปุถุชน vs กัลยาณชน อาริยชนไปหาอรหันต์
_อนุโพธิสัตว์ vs อนิยตโพธิสัตว์
_นิยตโพธิสัตว์ vs ปัจเจกพุทธ
_เทวะ vs อเทวะ
ทั้งหมดมีความถูกต้องสะอาดสอดคล้องกับธรรมะของพ่อครูที่ว่าธรรมะ 2 มีอยู่ตลอดกาลหรือไม่
พ่อครูว่า...ใช่
_อยากทราบความเห็นตอบกลับ ที่พ่อครู วิพากษ์วิจารณ์ 3 ข้อที่จะมาพิจารณาเพิ่ม
_การฝืนกับชนะสภาวะต่างกัน…
พ่อครูว่า...การฝืนอยู่ถือว่ายังไม่ชนะ จิตคุณฝืนก็ยังไม่ชนะผู้ชนะแล้วก็ไม่ฝืน มีอะไรมากระทบเราก็สบายรู้อะไรตามความจริงตามความเป็นจริงเราไม่ได้ฝืน
_เกร็ดดิน...พ่อท่านไม่รู้จักความเครียด ความเครียดเกิดจากลมหายใจ ลมหายใจสั้นทำให้น้ำดีปิด ทำให้เกิดกรด ดิฉันฝึกทำลมหายใจให้ยาวก็รู้สึกดีและทำให้เข้าใจว่าพ่อครูมีลมปราณที่ดี คนไม่สามารถเป่าลูกโป่งเหมือนพ่อครู พ่อครู มีลมปราณที่ดีมากลึกมาก ทำให้พ่อท่านไม่รู้จักเครียด ลมหายใจพ่อท่านเป็นอัตโนมัติที่มีความลึกและมีพลังมาก เวลาพ่อท่านล้ม จะฟื้นคืนเร็วมาก พ่อท่านจะเพิ่ม Coefficient ก็ต้องทำให้ลมปราณดีขึ้น
พ่อครูว่า...ใช่ๆๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อนาคามียังกลัวผีอยู่หรือไม่
_พ่อครูคะ ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุถึงขั้นอนาคามีก็ยังกลัวผีใช่ไหมคะ แล้วก็ยังมีเทวนิยม
พ่อครูว่า...จริงๆแล้ว คำว่าอนาคามีก็กลัวผีอยู่ ถ้าเผื่อว่ายังไม่มีปัญญาไม่เข้าใจคำว่าผีคืออะไร คำว่าผีคืออุปาทาน อนาคามีกับอุปาทาน
อนาคามี คือผู้ที่อยู่เหนือสิ่งสัมผัสภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกสัมผัสแล้วเกิดกิเลสในจิต ที่จะต้องทนไม่ได้จะต้องมีความผลักหรือดูด รักหรือชังมีความโกรธแสดงออกภายนอก อนาคามีไม่มีแล้ว โกรธอย่างไรก็ไม่มีทาง กายกรรมไม่มีทางวจีกรรมไม่มีทาง อนาคามีไม่ทำ เหมือนอย่างอาตมาเคยพูดอธิบาย แต่เขาหาว่า ยุคโน้นที่เขาหาเรื่อง อาตมาอธิบายสภาวะ ว่าโสดาบัน เขายังเตะคนได้อยู่ กายกรรมภายนอก โสดาบันยังทำได้ แต่อนาคามีขึ้นไปจะไม่เตะใครแล้ว มันผ่านสกิทาคามีไปแล้ว แต่โสดาบัน ลดโลภ โกรธก็แค่นั้นแหละทำกายกรรมหยาบ แต่เขาแตะคนได้ แต่ฆ่าคนไม่ได้ ตีได้นะ แต่ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็คนละระดับ ไม่ได้อธิบายพลความเขาก็ว่าอาตมาจะเตะคนได้ เราก็ไม่ได้มีโอกาสขยายความ คนจะหาเรื่องก็เรื่องของเขา แต่หากเราไม่ได้อธิบายก็ผ่านไป มาพูดตอนนี้ก็เหมือนได้อธิบายแล้วถ้าหากเขาได้ฟังก็อาจจะเข้าใจได้ พูดไปแล้วจะหาว่าแก้ตัวก็แล้วไป
คำว่าผี เป็นอุปาทานภายนอก เห็นเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวตนเห็นวิญญาณเป็นตัวตนซึ่งมันไม่มี แต่คนที่มีอุปาทานเห็นได้เป็นรูปร่างตัวตนก็ได้ แม้มันไม่มีก็ปั้นที่เป็นรูปร่างผีได้ อุปาทานของคุณเหมือนอาตมาอธิบายการสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์
สะกดจิตคนแล้วก็บอกว่าบนโต๊ะนี้มีแก้วน้ำอยู่ที่จริงแล้วมันไม่มี เขาก็เห็นว่ามีแก้วน้ำจริงก็จะเอามือคว้า แล้วก็ไม่ได้แก้วน้ำ เราถึงอ่านออกว่านี่ คนนี้ถูกสะกดจิตแล้ว จิตมีอุปาทานว่ามีแก้วน้ำ แต่แท้จริงไม่มี เราพูดกันว่า ลืมตาขึ้นมาแล้วจะเจอเสือ เราก็ต้องคอยจะจับไว้ หรือลองกันว่า สะกดจิตแล้วจะเอาเหล็กแดงเผาไฟนาบที่แขน 1 ที เราก็เอาไม้บรรทัดไปวางที่แขน ก็มีรอยแดงขึ้นมาเป็นเส้นเลยเหมือนไฟไหม้ มันเป็นจริงจิตใจที่มีอุปาทานมันเป็นไปได้ ทางหมอเรียกว่า psychosis เป็นโรคประสาทหลอน จะเกิดการเจ็บปวดอย่างนั้นอย่างนี้ก็ได้ มีเลือดไหลออกก็ได้ ตัวเองทำตัวเองทั้งนั้น
เรื่องผีที่สมมุติกันเป็นเรื่องหยาบ คำว่าผีคือกิเลส อนาคามีจะไม่กลัวแล้ว เรื่องหยาบภายนอกไม่กลัวแล้ว ผีหลอกเป็นรูปร่าง หากสัมมาทิฏฐิจริง โสดาบันก็จะเริ่มเข้าใจอาจจะมีกลัวผีอยู่บ้าง สกิทาคามีก็ค่อยมาเรียนรู้ความจริง มันเป็นสัญญาจะมาติดมาก็จะต้องล้างออกไปซึ่งไม่ง่าย เมื่อเป็นอนาคามีขึ้นไปแล้วก็จะไม่กลัวอะไรหรอก ผีมันไม่มี ที่เป็นรูปร่างตัวตนมาหลอกหลอน พวกเรานี้เอาศพมาตั้งก็เห็นมานอนกันอยู่เต็มไปหมด ชาวอโศกแม้แต่เด็กเล็กๆไม่ได้กลัวผี แต่คนเขาครอบงำทางความคิดก็เลยกลัวกันไปหมดแล้วเชื่อว่ามันมี แต่นี่มันไม่มี แม้แต่จะยังหลงอยู่ในจิตมีสัญญาอยู่ มันก็น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่ง พวกเราแม้แต่เด็กก็ไม่ได้กลัวผีอะไร
ผีคือศพที่ตายไปแล้วจะมีวิญญาณหลอกหลอนมันไม่มีหรอก แล้วก็หลงงมงายกัน ผีคือกิเลสคือจิตที่มันหลงผิดอวิชชาก็ผีทั้งนั้นผิด อนาคามีก็มีผีในตัว รูปราคะ อรูปราคะ มานะ
ส่วนเทวนิยมก็รู้เป็นภาษาว่ายังมีธรรมะ 2
_ที่พึ่งอันเกษมคือกรรม 3 คือตัวเราใช่ไหม ประโยชน์ตนคือเราได้ลดกิเลส
พ่อครูว่า...ใช่แล้วคนพึ่งกรรม กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทของกรรม
_การละเมิดศีลของตนเป็นกรรมเลว เป็นการก้าวก่ายทำร้ายจิตวิญญาณและเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อน หากเราลดกิเลสไม่ทันคงทุกข์สาหัสเลยนะ มีผัสสะรุนแรง ถึงรู้ว่าเรามีกิเลสอีกมาก จะผลักแรงก็กลัว Boomerang จะสะท้อนหาตัวเอง เอาเป็นว่ากรรมมันจัดสรรของใครของมันก็แล้วกัน อยู่วัดนานก็กลายเป็นโลกธรรมบาน เหมือนดอกทองอโศก (พ่อครูว่าเรียกดอกอโศกแทนดอกทองอโศก หรือเรียกทองอโศกไปเลย) เราไม่มีสิทธิ์โกรธโจทย์ที่ทำให้เราเจริญเพราะเราได้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านคือเราได้เห็นกรรมที่เลวของเขา
พ่อครูว่า...อยู่วัดอโศกนี้ไปนานๆเข้าไม่ใช่ว่ากิเลสมากขึ้นหรอกกิเลสมันมีอยู่เก่าแต่เราจะชัดเจนรู้จักกิเลสมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเรากิเลสจริงมากขึ้น ที่นี่ไม่ทำกิเลสใส่กัน มีแต่เราจะรู้กิเลสตัวเองมากขึ้นแล้วจะรู้สึกว่ามันมีมาก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้เลยว่ามีกิเลส ไปถามคุณหญิงคุณนายก็จะบอกว่าความโลภของฉันไม่มีมีแต่ความโกรธอยู่ เพราะว่าเงินเขามีเยอะแล้วออกดอกออกผลมาก็จะไปห่วงอะไรเรื่องลาภ โลภ แต่โกรธนี้อย่าแตะเลย ที่แท้มีเป็นกระบุง
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน การอยู่ร่วมกันไม่ควรเอาบุคคลใดเป็นใหญ่
_เด็กหรือผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นคนดื้อตาใสแถมนักบวชยังเข้าข้างคนรวย พร้อมกร่างอีกต่างหาก ใช่คำพูดและพฤติกรรมที่หยาบคาย ข่มคนอื่นซวยเรือหายเลย ไม่มีคนเอาภาระมาอยู่วัด แทนที่จะสอนตัวเองให้สูงขึ้นเป็นแปลงตัวเองให้ได้ประโยชน์ในการลดกิเลส สมัยก่อนนักบวชเคยเอากฎระเบียบชาวอโศกมาอ่านบ่อยๆรู้สึกประทับใจมีกำลังใจ แต่มาบัดนี้ไม่มีใครเอาภาระใคร ยิ่งตั้งใจจนก็ยิ่งถูกเหยียดหยามก้าวก่าย ราวกับว่าจะปล้นเอาความสามารถผู้อื่นมาเป็นของตัวเองได้ การทำงานคือการทำหน้าที่ ผู้ที่มีศีลแล้วถูกนักฆ่าตัดตอนตีทิ้งจนเข็ดหลาบตราบกาลละนาน ปัจจุบันนี้โลกุตระกำลังกลายพันธุ์ มีคนโลกียะที่ไม่มีบ้านในนี้มาขออาศัย หลบภัย มีมอเตอร์ไซค์รถยนต์รถจักรยานอย่างดี แต่ใครแตะต้องไม่ได้
พ่อครูว่า...ก็อ่านไป เจอกับใครก็สำนึกเอาก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้อาตมาก็วางมือเรื่องการบริหาร วางมือเรื่องที่พวกเราจะเอาภาระดูแลกัน อาตมาก็ไม่เอาภาระเท่าไหร่แล้ว อาตมาขอปลดเกษียณเรื่องพวกนี้ให้พวกเราช่วยกันเถอะ ช่วยกันดูแลเอาที่ประชุม เอากรรมการหมู่กลุ่มเป็นหลัก จะไปเอาตัวเองเป็นหลัก เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าจงใช้ตัวธรรมะ อย่าใช้ตัวบุคคล เป็นหลักในการบริหาร ปกครองดูแลอะไรกัน ให้ใช้ธรรมะอย่าไปใช้อำนาจส่วนตน อาตมาก็ให้ทำเช่นนั้นพยายามทำกันอยู่
ที่พูดมานี้จะเป็นบ้างสำหรับบางคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็ดูแลกัน ช่วยกันมีอะไรก็เข้าหมู่กลุ่มว่ากันไป การดูแลเอาภาระรู้สึกว่าน้อยลง ต่างคนต่างก็โทษคนนั้นคนนี้ เป็นการปล่อยปละละเลย หากสังคมเราเป็นอย่างนี้ พฤติกรรมสังคมเราจะเสื่อม ไม่ดูแลกัน พฤติกรรมสังคมจะเสื่อม แล้วมันก็เสีย จะสร้างการงานอะไรขึ้นมาอีกมันก็เท่านั้น
เราเน้นเรื่องความเสื่อมของชีวิตรู้เป็นอย่างปรมัตถ์ แต่ทางข้างนอกมาจากสมมุติมันก็ออกมาจากจิตใจ กลับกันไปกลับกันมา ย้อนแย้งกันอยู่ บางอย่างแสดงออกกายกรรมพฤติกรรมเหมือนไม่ดีแต่ซับซ้อนมันเป็นกุศลก็มีเหมือนกัน เป็นเรื่องของสิริมหามายา พวกเราก็มีอยู่อย่างนั้นจริง แต่ถึงอย่างไรก็ตามพอเข้าใจว่า ควรจะใช้อะไรกับใครตอนไหนเวลาไหนมันก็ควรจะต้องถูกตามสัปปุริสธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ลงตัว
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เลี้ยงลูกให้รู้จักโต
_น้อมยอดธรรม..ดิฉันมาอยู่สันติอโศกก่อน มาเห็นมารู้มาฟัง อยู่ได้ 4-5 เดือน แล้วดิฉันก็บอกลูกว่าแม่จะขายบ้านแล้วนะ แม่มีที่อยู่แล้ว ใช้หนี้เสร็จแล้วก็แบ่งกันไป พ่อบ้านก็ไปบวช แล้วมาด่าลกให้ฟังว่า แม่ทำไมต้องไปขายบ้าน ดิฉันก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อหรอกหลวงพ่อไปอยู่วัดเลย ให้ไปดูหลาน เขาก็ไปตามเรื่องของเขาไม่สนใจแล้ว ดิฉันคิดว่า ธรรมะ 2 ของดิฉันสุดท้ายนี้ก็ หมดห่วง หายห่วง เป็นธรรมะหนึ่ง หากมีห่วงก็หลงห่วง ไม่รู้เขาห่วงเราหรือเปล่า ทำไมคนหลงห่วง มิฉะนั้นปลดห่วงไม่มีห่วง
พ่อครูว่า...อธิบายสภาวะของตัวเองก็ดี อุตส่าห์มาบวชนะ แต่ฆราวาสมาบวชในนี้ก็หมดห่วง แต่ว่านักบวชนั้นมีห่วง ก็ลูกๆโตหรือยัง...โตกันหมด เรียนจบหมดอาตมาเคยบอกว่าเลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ลูกโตแล้วก็รับผิดชอบตัวเอง เมื่อ คนบรรลุนิติภาวะของฝรั่ง เขาก็ให้ไปเลย แต่ทางคนไทยสายเอเชีย ยิ่งจีน ไม่มีตัดขาดเลย คนไทยทางเอเชียก็พลอยเป็นอย่างนั้นด้วย ทางตะวันตกเขาสบายเรื่องนี้ ถือว่าอาศัยกันมาเกิดเท่านั้นรับผิดชอบตัวเองกันไป มันก็ดูไม่ดี เมื่อคนต่างประเทศสองผัวเมียตายายมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเห็นการดูแลเลี้ยงดูกันอย่างดีของคนไทย ก็เลยร้องไห้ เห็นว่าอย่างนี้มันอบอุ่นแต่อย่างเขามันว้าเหว่ มีเงินมีทองก็ไปเที่ยวกันเท่านั้น ระบบสวัสดิการของเราไม่ดีแต่มันดี ถ้าขืนมันดีจะกลายเป็นแบบนั้นอีก เพราะฉะนั้นดีแล้วล่ะระบบมันไม่ดี แต่ว่าวัฒนธรรมมันจะดี จริงๆนะมันจะเป็นอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องวัตถุขาดจิตวิญญาณ จะเป็นการขัดแย้งกันแล้วไปกันคนละด้านเสมอ ทางด้านเอเชียเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นเรื่องของโลกที่แบ่งเขตทางโน้นเป็นเรื่องเทวนิยมทางนี้เรื่องเป็นอเทวนิยมเป็นเรื่องจิตวิญญาณที่สัมพันธ์กันมาก เรื่องเทวนิยมนั้นตีไม่แตกเรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเขาจึงตื้น ก็เลยกลายเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่เห็นความสำคัญของจิตวิญญาณ เรื่องนี้เขาเข้าใจได้ยาก ประชาธิปไตยขาเดียวไปไม่รอดเพราะไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณ ทางตะวันออกมีการสืบทอดทางจิตวิญญาณมีพระมหากษัตริย์มีการรักษา การปกครองจารีตประเพณีกฎมณเฑียรบาล มีการสืบสันตติวงศ์ ต้องรู้หน้าที่ สันตติวงศ์ก็ต้องมีหน้าที่สังวรสำรวมระวัง ความมีจิตวิญญาณสูงและมีระบบระเบียบ สิ่งที่ไม่ดีงามอย่าไปทำ มีกฎระเบียบต่างๆที่ดีงามสืบทอดกันมาไม่รู้จักจบ ทางโน้นมันก็เลยหายไปเรื่อยๆ เรื่องของพฤติกรรมสังคมเรื่องของฮิปปี้ขึ้นไปเรื่อยๆ เอาแต่ใจตัวเองอย่างไม่มีระบบอะไร รายละเอียดลึกซึ้งเหล่านี้เขาไม่ค่อยเข้าใจ
ถ้าตะวันตกนี่นะ มีพลเมืองเป็นพันล้านรับรองอยู่ และจะเป็นได้ยากมันจะระเบิดและตีแตกมันจะไม่ได้ถึงพันล้านหรอกในทางตะวันตก อินเดียมีหลายพันล้าน จะไปมากกว่านี้มันก็สงบ แต่ทางจีนเขาแย่กว่า ทางโน้นเป็นเชิงความคิดทางนี้เป็นเชิงสมถะ
พลเมืองอินเดียจะถึง 2000 จีนจะไม่ถึง 2,000 ล้านจะแตกแน่นอน เหมือนรัสเซียก็แตกแยกกันไปแล้ว ไทยเราแปลงตัวได้เก่ง ก็อยู่อย่างนี้ ไทยไม่ใหญ่โตมากมาย
อย่างใดอย่างไรจิตวิญญาณของคนไทยก็ดีที่สุด แม้แต่ระบบของโลกเรื่องของรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ก็จะนำหน้าที่อื่น สำนัก Bloomberg ตรวจสถิติแล้ว เมืองไทยเป็นที่ 1 ในการทุกข์น้อยที่สุดของโลก 3 4 ปีติดต่อกัน เป็นเมืองที่น่ามาลงทุนเป็นเมืองที่น่ามาเที่ยวอย่างนี้จริง สำนัก Bloomberg เขามีหลักเกณฑ์ตรวจสอบ
สรุปแล้วเมืองไทยรักษาสภาพเหล่านี้ให้ดีอาตมาว่าจะดีขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่าพูดดังไป มีชาวอโศกเกิดขึ้นมา ในสังคมโลกในเมืองไทย เป็นแกนของจิตวิญญาณ เรามีแกนจิตวิญญาณที่เป็นจริงเรามีทั้งอธิบายบัญญัติภาษาทฤษฎี พฤติกรรมที่เป็นความรู้ออกไปอีก คนเราก็แสวงหาความจริงที่สุด เป็นแต่เพียงว่า อาตมาเกิดมาอาภัพ มันเป็นความจริงไง ศาสนาพุทธเมืองไทยนั้นเสื่อมมาก จนกระทั่งอาตมามาถึงก็พยายามฟื้นฟูประกาศขึ้นมาว่าอย่างนี้มันถูกอย่างนั้นมันผิด แต่เขาหมู่ใหญ่จะเอาเราตาย มันเป็นความจริง หากเขาไม่ผิดอาตมาก็ว่าเขาถูกก็จะไม่ทะเลาะไม่ขัดแย้งกัน แต่นี่มันผิด อาตมาเข้าใจว่ามันต้องมาแก้ไขก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนี้เขาก็ต่อต้าน ก็ยืนยันชี้บ่ง เป็นเครื่องชี้บอกว่าใช่ นอกจากว่าเราผิด ก็บอกว่าถูกก็บอกว่าผิดเขาก็ซัดมาเต็มที่เลย หากเราบอกว่าถูกก็ไปด้วยกันสิ อาตมาก็ว่าเขามาเหยียบเราก็ถูกแล้ว สุดท้ายเขาเหยียบไม่ลง จนวันนี้อาตมาว่ามันจบแล้วจะเกือบ 50 ปีแล้วยืนยันว่าเหยียบอาตมาไม่ลง อาตมาก็เสียงดัง ยังว่าเขาอยู่ว่าแบบนั้นมันผิด ยังว่าเขาอยู่ โดยเฉพาะหลักสำคัญปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล เขามีที่ไหนมีแต่วินัย 227 เริ่มต้นที่ศีลทั้งนั้นแหละ
ข้อที่ 1 คือสัตว์ ในโลกนี้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพื่อนทุกข์ สัตว์ทั้งหลายเกิดมามีวิบากของสัตว์แต่ละตัวอย่าไปยุ่งกับเขา เขาก็ปล่อยไปกับเขา จะเลิกเพื่อเกื้อกูลกันได้เล็กน้อยก็ทำไปถ้ามันถึงคราวจำเป็น เขาจะต้องไปทำมาหากินเช่นงูจะต้องกินเขียด จะไปดึงเขียดจากปากงูคุณจะไปร่วมวิบากกับมันทำไม ไม่ให้งูมันกินเขียดจะไปกินฟักทองได้อย่างไร จะให้มันไปกินหญ้า งูไม่ใช่ควาย ก็ต้องปล่อยมันไปจะไปฆ่าแกงกันก็เป็นวิบากของเขา บางทีเหมือนกับเราใจดำ ไม่ใช่ใจดำ มันมีวิบากของมัน มันไม่ไปกัดคนก็บุญของคุณแล้ว บางทีสัตว์มันก็มาเอากับคุณเพราะมันมีวิบากต่อกัน
อาตมาเกิดมาชาตินี้นอกจากมดผึ้งอะไรก็มาต่อยนิดหน่อย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย สัตว์ต่างๆไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราไม่ได้มีวิบากอะไรต่ออาตมามาก จะไปถูกสัตว์ทำร้ายอะไร หมาก็ไม่เคยถูกกัด สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่หลุดพ้นมาแล้วเป็นเรื่องอจินไตยที่ไม่มีวิบาก
หากคุณเข้าใจแล้วสัตว์ก็คือสัตว์
ต่อมาศีลข้อ 2 เกี่ยวกับข้าวของแม้แต่พืชก็เป็นข้าวของ คุณอย่าไปสร้างทุจริตต่อกัน ของใครก็ของมัน
ศีลข้อที่ 3 ข้อเกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เกี่ยวกับโลกธรรมเกี่ยวกับเวทนาของตน
ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 คุณเข้าใจแล้วคุณบริสุทธิ์แต่เรื่องสมบัติและข้าวของคุณก็ไม่มีการละเมิดแล้ว สัตว์คนก็ไม่ละเมิด คุณก็มาระมัดระวังโลกธรรมกับกามคุณ 5 การปฏิบัติธรรมของคุณก็เหลือน้อยลง นอกนั้นคุณเข้าใจแล้วก็อย่าไปละเมิด พยายามรู้ให้ได้ ไม่มีกิเลสในส่วนเหลือส่วนใดก็ปฏิบัติต่อ
พวกเราจะเข้าใจ กิเลสเรื่องเกี่ยวกับสัตว์นั้นไม่เดือดร้อนมากมายหรอก เรื่องของข้าวของอะไรก็ไม่มากมายแล้ว ก็เหลือเรื่องข้อ 3 มันเป็นภาระสำคัญมาก ...เวลาหมดก็ต้องหยุด
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:21:36 )
รายละเอียด
611212_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยคือขยันรับใช้มีแต่ให้ไม่มีอคติ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/11KxKcZz_R8jQ44kMggCL5G_bnxxCSfDlpnO1-r37GMU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ZGmGu8cPIJt0SXDAgOTmeVI7ZIZJ7yil
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ปลายปีเราจะมีการสอบ ว.บบบ. ในวันที่ 1 ม.ค. 2562 บรรยากาศการเมืองกำลังคึกคัก (ระบบเสียงไม่ค่อยดี)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน คุณลักษณะมหาบุรุษ 4 ประการ
พ่อครูว่า...อย่างไรก็อย่าเพิ่งลงโทษบุญนิยมทีวี เราไม่ได้ทำแอ๊คที่ว่าไม่รับโฆษณา แต่เราพยายามทำให้ดีที่สุด ในการช่วยจัดสรรมวลมนุษยชาติให้ดีที่สุด มีแต่มนุษย์ด้วยกันเป็นจิตนิยามจึงทำได้ จิตนิยามของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้วไม่มีใครยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธเจ้าในเรื่องจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าท่านชัดเจนทุกอย่างในเรื่องของจิตวิญญาณ ชัดเจนที่สุดตรงที่ว่า รายละเอียดของ ความเป็นจิตวิญญาณของมนุษย์ท่านประมวลลงที่เวทนา 108
เวทนา 108 เป็นความละเอียดละออของจิตวิญญาณสูงสุดแล้วในเรื่องของปรมัตถ์ในเรื่องของจิตวิญญาณ ไม่มีใครสามารถจะหยั่งรู้ได้ นักวิทยาศาสตร์นักธรรมะเทวนิยม หรือศาสดาในศาสนาใดๆก็ไม่มีใครสามารถที่จะแยกรายละเอียดของจิตวิญญาณออกเป็น 108 มิติ ที่เป็นเวทนา 108 ไม่มีใครสามารถทำรายละเอียดย่อยจนถึงฐานของจิตวิญญาณเลย ซึ่งเป็นโลกุตระ และโลกุตระยังแยกออกไปอีก 18
โลกุตระ 18 โลกียะ 18
โลกุตระ 18 เป็นเครื่องชี้บ่ง ความมีภูมิปัญญาสูงสุดในมนุษยชาติ คือ เนกขัมสิตเวทนา 18 เป็นมโนปวิจาร 18 ตั้งแต่ฐานที่ตั้งว่า เกิดจากฐานอะไรบ้าง
ฐาน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ฐาน เป็นเรื่องที่ร่วมรับรู้กันได้กระทบทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ไม่ใช่ว่าหลับหูหลับตาเห็นอยู่คนเดียว ตาเรากระทบสัมผัส คนอื่นก็กระทบสัมผัสด้วยก็พูดรู้เรื่องกัน หูกระทบเสียง ครบทวารนอก และใจครบทวารทั้ง 6 ครบถ้วนไม่มีขาดตกบกพร่อง
และในความรู้สึกมันมีความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์
สามัญเจโต ธรรมชาติทั่วไปก็มีกลางๆเป็นบางครั้ง มันก็มีได้ทำได้ ซึ่งอธิบายได้ยืนยันได้พิสูจน์กันได้ว่าทำอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร นั่งสะกดจิต พากเพียรทำก็ทำได้สะกดอยู่อย่างนั้นเป็นความสามารถของมนุษย์โลกก็ทำได้ ถ้าจะให้เยี่ยมยอดแล้ว มันต้องมีปัญญาเข้าเป็นตัวชัดเจน มีสัมผัสแตะต้องแต่มีฐานที่ตั้งมั่นสงบไม่เคลื่อนไหว ฐาน static ที่แท้จริงเลย สามารถอ่านรู้ได้อย่างสูงสุดในความเป็นจริงของมนุษย์ที่ทำได้ พระพุทธเจ้าท่านชัดเจน
ผู้ที่เป็นมหาบุรุษ มี คุณสมบัติ 4 ประการ
1.พราหมณ์ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มากเพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรมความเป็นผู้มีกุศลธรรม
2. เจโตวสิปัตโต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใดย่อมตรึกวิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้น ย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใดย่อมดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้นเป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้
3. เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
4. กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
ธรรมะถ้าไม่เอาสถาปนาลงไปในการเมือง การเมืองที่ปราศจากธรรมะจะกลายเป็นการเมืองเหลวไหลล้มเหลวเลอะเทอะ แต่การเมืองของไทยเป็นการเมืองที่มีธรรมะประกอบมา เป็นการเมืองที่ยิ่งใหญ่มาเรื่อยๆจนมาถึงทุกวันนี้ เป็นการเมืองที่เมืองไทยเราได้ ปฏิบัติมาเรื่อยๆตามโอกาสเวลาเป็นประเทศหนึ่งในโลก เจริญขึ้นมาได้เรื่อยๆ
อาตมาก็ขอ ขยายความ
ประชาธิปไตยของอาตมาเป็นประชาธิปไตยที่ประกอบทั้งภายนอกและภายในทั้งรูปและจิตวิญญาณแต่ละคนแต่ละคนประชาชนแต่ละคน ผู้บริหาร
สมมุติว่าประชาชนทุกคนเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยดี ถูกต้องด้วย สรุปไว้ตรงนี้ก่อน ทั้งประชาชนและผู้บริหารก็เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยดีด้วย มันก็พูดกันง่ายทำอะไรด้วยกันได้ทันที แข็งแกร่งสงบเรียบร้อย มีพลังอำนาจ ไม่ว่าทางด้านเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์ มันสบาย ขออภัย เหมือนอย่างชาวอโศกเราเป็น ชาวอโศก ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทั้งที่ทุกคนมาจน เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากทุกคนไม่ต้องสะสมเงินทองใช้เงินส่วนกลาง แล้วใช้กันไม่มากเป็นคนที่สุดยอดประหยัด ตามที่มันมีภาษาอังกฤษเขาว่าเอาไว้ เป็นคนยอดประหยัด Econimize ประหยัดคือเป็นคนไม่ใช้มาก เต็มบริบูรณ์แล้วกินน้อยใช้น้อยอุดมสมบูรณ์ ไม่เป็นการเปลืองผลาญเฟ้อ เป็นคุณสมบัติที่พิเศษของมนุษยชาติที่ดีที่เก่ง อย่างชาวอโศก อาตมาพาให้ปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้ามันเกิดผลจริง เป็นคุณสมบัติพิเศษตามวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)เจริญก้าวหน้าได้ไว
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) เป็นคนจิตไม่มักมาก มักน้อยแต่ไม่เบียดเบียนตัวเอง มันมีตัวน้อยลงและตัวพอ แม้ 0 ก็พอ ไม่มีเลย แล้วอยู่ได้ด้วยสิ่งแวดล้อม คนอื่นเขาเลี้ยงเราไว้ด้วย ปริปฏิพัทธาเมชีวิกา เราทำงานให้คนอื่นเขาทั้งหมด ด้วยความจริงใจสามารถแล้วเราก็ทำได้ดีพอสมควรด้วย คนอื่นเขาเลี้ยงเราไว้แน่นอน เขาไม่ปล่อยทิ้งหรอก และจะไม่ให้ตายด้วย เขาไม่อยากให้ตาย แต่ก็ต้องตาย อย่างพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างสูงสุด ใครก็ไม่อยากให้ตายแต่มันก็ต้องตายตามสัจธรรมธรรมชาติ จะอยู่ไม่ได้ตลอดกาลนาน
ไม่ต้องกลัวเลย
เราบริสุทธิ์ใจมีความสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นอย่างแท้จริงไม่ต้องกลัวว่าคนจะไม่เลี้ยงเอาไว้ นอกจากจะอยู่ในสังคมมนุษย์ที่เลว ต่ำ เดรัจฉานไม่รู้เรื่อง แต่ในขณะที่ในความเป็นมนุษย์คนดีอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีตาย ไม่ต้องทำงานปลูกข้าวหาอาหารก็ไม่ต้อง คนจะมาทำค้ำชู จะไปจะมาจะกินจะอยู่จะป่วยจะเจ็บเขาจะรีบรักษาอย่างสุดวิสัยอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เราตายง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้พิสูจน์ได้ท้าพิสูจน์ได้
อาตมาพิสูจน์ทั้งที่อาตมาไม่ได้ดีสุดยอด แต่ดีน้อยๆ อาตมาไม่กลัวที่จะบกพร่อง มีแต่คนจะช่วย อาตมานี่จะตายเพราะเกิน ไม่ได้ตายเพราะขาด ยามาก overdose ตาย ไม่ใช่ตายเพราะขาด อย่างนี้เป็นต้น จริงๆเลย อาตมามั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นจริง
บางคนมีใจตั้งใจจริง มุ่งหมายจริงพากเพียรจริง ถ้าจะว่าจริงๆแล้วก็เป็นโพธิสัตว์ ในระดับโสดาบัน สกิทาคามี แต่ตัวเอง ใจหนึ่งก็เห็นว่าดี ใจหนึ่งก็ แหมมันเมื่อย มันยากก็เลยไม่ถึงขั้นนิยตะ ก็ต้องพักเปลี่ยนไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 อาตมาจะไม่กำหนดลงไปว่าเป็นระดับไหน แต่นี่คือสัจจะที่แท้จริงได้เรียนรู้ได้มีประสบการณ์ แต่มีกรรมวิบาก เรื่องกรรมวิบากเป็นแน่แท้ จะไม่ทำ คนก็ต้องให้ทำ คนก็อยากให้ทำ แต่เราไม่ไหวจะแย่แล้ว จะปฏิเสธจริงๆว่าเราไม่มีประโยชน์มันก็ไม่ใช่ เราก็มีประโยชน์อยู่จริง คนก็เห็นว่าไม่ได้เสแสร้งไม่ได้หลงตัวเองอะไรมากมาย มันก็เป็นจริงอยู่บ้างแล้วก็ดี อาตมาว่าอาตมาก็มีสิ่งดีทำให้คนอยู่นะไม่ได้หลงตัวหลงตนอะไร มีปัญญาที่เราตรวจสอบรู้ความจริงตามความเป็นจริงก็จะมีความสำคัญ ตรวจสอบให้ถูกต้องให้ตรงกับความเป็นจริง อันนี้เป็นความสำคัญของจิตวิญญาณ ปัญญาหรือวิจารณญาณที่ตรวจสอบตัดสิน ความจริงในความเป็นจริง มันก็ต้องมีอยู่บ้างในคนที่เจริญ ในคนที่มีภูมิปัญญาสูงไม่ใช่คนชั้นต่ำ
ก็ไม่ได้แกล้งเสแสร้ง ตรวจตัวเองว่าเราไม่ได้หลงไปตามโลกที่หลงยกยอ หลงไปตามความอยากใหญ่อยากโต ตรวจสอบแล้วเราไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยากเพราะมีอำนาจกิเลสมันก็ใช้ได้แล้ว
กลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยการเมืองต่อ
_คุณพอดีๆ ...เมื่อก่อนประมาณสักครึ่งปีผ่านมา ดูพ่อท่านผ่านเน็ต จะเห็นคนดูอยู่ด้วยกัน 2-3 คน แต่ปัจจุบันนี้มีคนดูอยู่ด้วยกัน 50-60 คน แสดงว่าคนนอกวัดใจกลางกรุงอย่างลูก สนใจติดตามฟังธรรมจากพ่อท่านเพิ่มมากขึ้นทีเดียว
_คุณพรชัย ฝ่ายทีมงาน กรุณาเพิ่มปริมาณเสียงหน่อย
พ่อครูว่า...กำลังพากเพียรอยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน สาระสัจจะแท้ของประชาธิปไตย
อาตมากำลัง treat การเมืองขาเดียวที่บอกว่ามีประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง เขามาลงคะแนนก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย จริงไม่เถียง เป็นกรรมวิธีที่ตื้นๆ มันมีการหาเสียงมีการหลอกโฆษณาอะไรมากมาย ที่ใช้กัน ตัวอย่างประชาธิปไตยขาเดียวที่โลกียะเต็มที่ก็คือ อเมริกา
ถ้าคุณไม่มีทุนรอนมาสนับสนุนเป็นหมื่นล้าน ไม่มีทางได้เป็นประธานาธิบดี ทางอเมริกาจะเป็นอย่างนี้ ตัวอย่างของโดนัลด์ทรัมป์ จะทำให้อเมริกาชัดเจนและซาบซึ้งมากขึ้น มันมีภาวะซับซ้อนที่มาก ประชาธิปไตย ขอยืนยัน อาตมาไม่เก่ง อธิบาย
ประชาธิปไตย 2 ขาจึงสมบูรณ์ ประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่ประชาชนเลือกตั้งไม่มีกษัตริย์ที่สืบทอดสันตติวงศ์ มีกฎมณเฑียรบาลมีการฝึกฝนต่อเชื้อสันตติวงค์ ที่มาแต่โบราณ จนถึงบัดนี้ก็ยังมีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ในหมู่ชน ก็ยังเป็นรากเหง้าอันเดิม และก็มีพัฒนารากเหง้า เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์เป็นประมุข และถ้ากษัตริย์ที่ไม่มีทศพิธราชธรรมก็ไม่ค่อยดี แต่ถ้ากษัตริย์มีทศพิธราชธรรมจริง กษัตริย์ที่มีพระปัญญาธิคุณพระวิสุทธิคุณ เป็นทศพิธราชธรรมจริง ยิ่งทศพิธราชธรรมสูงส่งเท่าไหร่ยิ่งเป็นสุดยอดประชาธิปไตยเท่านั้น ดังที่ประเทศไทยมีตัวอย่างมาแล้ว และจะเป็นตัวอย่างแก่โลกเขาต่อไปคือประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสองขาอย่างสมบูรณ์แบบคือมีกายและใจ ทั้งรูปและนามไม่ขาดตกบกพร่องของความเป็นชีวะมนุษย์โลก
ประชาธิปไตยขาเดียวเป็นประชาธิปไตยที่พิการ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวก็จะเอาแต่การเลือกตั้งเป็นหลักใหญ่เท่านั้น จึงเป็นประชาธิปไตยที่เผิน
ส่วน ประชาธิปไตยที่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าเลือกตั้งไม่มีประโยชน์ไม่ใช่ความชี้บ่งอันหนึ่ง เราก็ไม่ได้ละทิ้ง แต่พฤติกรรมเนื้อแท้ของผู้บริหาร นั่นต่างหากคือเนื้อแท้ เนื้อสัจจะของประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์แบบ ประชาธิปไตยเก๊ ที่อยู่ในคราบของเผด็จการ ก็พากันมุ่งมั่นว่าสำคัญก็คือเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเขายืนหลักตัวนี้ ถือว่าไม่ใช่ความเห็นของประชาชนเขาเอาแต่รูป เปลือกๆตรงนี้เท่านั้นเอง ภาษาทฤษฎีหลักการเก๊นี้ พวกนี้ไม่ได้ยังเข้าไปถึงเนื้อหาความเป็นประชาธิปไตยพฤติกรรมจริงของผู้บริหารจริง
ซึ่ง ทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นตัวอย่างยืนยัน อาตมาบอกตรงๆเลยว่า อาตมามีอจินไตย ลึกๆที่คนรู้ได้ยาก ว่าทำไมประชาธิปไตยเมืองไทยต้องเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์รับช่วงจากประชาชน อาตมาอธิบายแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจ ภาพประชาธิปไตยของเมืองไทยตอนนี้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติ ปฏิวัติไปไม่รู้กี่รัฐบาล จนกว่าพลเอกประยุทธ์จะมาบริหารรับช่วงไปจากประชาชน ตั้งแต่ทักษิณ สมัครสมชายยิ่งลักษณ์ ที่จริงมีอภิสิทธิ์คั่นอยู่หน่อยด้วย นักรัฐศาสตร์ก็บันทึกกันมาไว้ ประชาชนปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อยเอาความจริงเข้ามายืนยัน เปิดเผยความจริง จะยืนยาวเท่าไหร่ก็ไม่ว่า ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆพวกนั้นเขาแพ้ความจริง
รัฐบาล 5 รัฐบาลนั้นแพ้ความจริง ไม่ได้แพ้ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ได้แพ้ด้วยการกดข่ม ด้วยอำนาจปัจจัย โดยเขาแพ้ด้วยความจริง มันสวยงามที่สุด ประชาชนไม่ใช้อาวุธ ไม่ได้ทำรุนแรงเลวร้าย มีแต่พวกกเฬวราก แทรกซ้อนมา จะทำเลวร้าย เพราะฉะนั้นเมื่อจบแล้วพลเอกประยุทธ์อยู่ในฐานะตำแหน่งเข้ามารวมอำนาจ แล้วประชาชนก็มีดวงตาให้พลเอกประยุทธ์บริหาร บริหารไป 3-4 ปีเข้าตาประชาชนมาก แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้าตาประชาชน แต่ว่าพวกที่ดิ้นรนจะแย่งอำนาจอยู่มันก็พยายามใช้การ propaganda มี fake news มาบ้างคนเลยเป๋ แต่แท้จริงคนก็ยอมรับส่วนมาก
อจินไตยอาตมาคือ ในชีวิตนี้ชีวิตของคนต้องรบ รบกับกิเลส ฉันเดียวกัน สังคมก็ต้องมีการรบ ผู้นำการรบทางธรรมในประเทศไทยคือท่านประยุทธ์ ปยุตโต ผู้ที่นำการรบทางสังคมประเทศ คือพลเอกประยุทธ์ ทำไมต้องชื่อประยุทธ์ 2 ประยุทธ์ เป็นอจินไตยที่อาตมารู้ดีว่าจะต้องนำพากันไป 1 บทบาททางธรรม 2 บทบาทการบริหารประชาชนเป็นนายกฯของประเทศ อจินไตยเหล่านี้อาตมาขยายความได้เท่านี้ให้ฟังก่อน
ความเป็นจริงโดยพฤติกรรมของมนุษย์ ที่แสดงออกมาจริงก็เป็นสัจจะที่เป็นได้ หากเทียบเคียงระหว่างทักษิณที่เป็นกระแสกับพลเอกประยุทธ์ขณะนี้ที่ชัดเจนเป็นตัวเปรียบเทียบ ทักษิณเป็นตัวแทนเผด็จการอยู่ในคราบความหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้น เป็นผู้แทนของประชาธิปไตยที่อยู่ในคราบของคนมองว่าเป็นเผด็จการรัฐประหารมา
นี่คือธรรมะ 2 เทวธัมมา หากใครจับความจริงลงตัวไม่ได้จะหัวหมุน มันจะเป็นอย่างนั้น อาตมาซาบซึ้งในคำว่า เทวธัมมา มันเป็นสิริมหามายาเหมือนกับเป็นคนกลับไปกลับมา คนที่ภูมิไม่ถึงเสร็จพวกที่หลอกนะ ส่วนคนที่ภูมิถึงจะไม่ได้ถูกหลอกไม่สับสนจับมั่นคั้นตาย ไม่งง อยู่ในสภาพที่จับเอาความจริงอยู่ได้เสมอนี่คือสัจจะที่ยิ่งใหญ่
เนื้อหาของประชาธิปไตยที่แท้ ที่อาตมาเน้นถึงเนื้อหาสัจจะสาระที่แท้
1.อิสระเสรีภาพ หมายถึงตัวผู้บริหารก็ต้องอิสระเสรีภาพประชาชนก็ต้องให้อิสระเสรีภาพเขาเต็มที่
2.ไม่มีความเห็นแก่ตัวไม่มีตัวตนไร้อัตตา ทำเพื่อประชาชนอย่างจริงจังทำเพื่อผู้อื่นอย่างจริงจัง
3.มีจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยปัญญา ปัญญาไม่ใช่เฉโก ปัญญาคือความฉลาดที่ซื่อสัตย์จริงใจไม่มีตัวตนไม่ได้เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่วงแคบ เห็นแก่วงกว้างได้ นี่คือปัญญาที่เฉลียวฉลาดระดับโลกุตระ ก็จะต้องศึกษาฝึกฝนทำจิตให้ตัวเองเป็นโลกุตระจริง เมืองไทยเป็นเมืองที่มีโลกุตระแท้ๆ
โลกุตระนี้โลกจะเอาไปศึกษาต่อ แล้ว เขาจะค่อยๆเข้าใจความเป็นโลกุตระที่เหนือจากโลกิยะที่ต้องวนเวียนกับลาภยศสรรเสริญสุข ส่วน โลกุตระนั้นหลุดพ้นจากอำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไปตามลำดับๆ หยาบ กลาง ละเอียด จนหมดสิ้นไม่เป็นทาสโลกียธรรม
คนที่เป็นจริงทำได้จริงมีจริง อย่างชาวอโศก พูดไปแล้วเหมือนยกย่องยกยอ มันต้องมี ตัวอย่างของจริงเป็นฟีโนมีนอน
สม.กล้าข้ามฝัน
ส.ฟ้าไท
ส.แสนดิน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ทักษิณหรือคสช.ใครกันแน่ที่สืบทอดอำนาจ
พ่อครูว่า...การสืบทอดอำนาจทักษิณทำได้เก่งชิบหาย ตัวเองไม่ได้อยู่ในประเทศแล้วกระเด็นออกไปนอกประเทศแล้ว ยังมีอำนาจบาตรใหญ่ สืบทอดอำนาจเผด็จการของตนเองอยู่ ใช้คุณสมัคร คุณสมชาย ยิ่งลักษณ์ เป็นต้น สืบทอดกันอยู่ได้ตั้งหลายปี อย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวนี้ก็ยังพากเพียรพยายามจะต้องใช้อำนาจที่เหลือนั้น แต่ว่าตอนนั้นมันลดทอนความเป็นประชาธิปไตยเก๊ๆ ที่ทักษิณได้ครอบงำประเทศไทยไว้ มันลดทอนไปเยอะแล้ว คนไทยรู้เช่นเห็นชาติของคุณทักษิณไปแล้ว คำว่า สืบทอดอำนาจนั้นคือตัวทักษิณ
ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้นจะใช้คำว่าสืบทอดอำนาจไม่ได้ ต้องใช้คำว่าสืบทอดการอภิบาลสืบทอดการบริหาร เพราะอธิบายได้อย่างดีไม่ได้ใช้อำนาจปัจจัยที่เป็นตัวกูของกู เหมือนอย่างที่ทักษิณใช้เลย ต้องเข้าใจนัยยะ ลึกซึ้งอันนี้ให้ชัดเจนเลย การกระทำที่โลภโมโทสันขี้โกงต่างๆ คุณทักษิณกับประยุทธ์ คนละขั้วกันเลย นี่ก็ย่างเข้าปีที่ 4 ที่ 5 แล้ว คุณประยุทธ์ ทักษิณเริ่มปีแรกก็เริ่มต้นแล้ว โกงกิน ทุกอย่าง
เป็นขนาดที่ออกกฎหมายมาทำให้ 31 ธันวาคมซึ่งเป็นวันหยุดราชการก็ออกกฎหมายมาเป็นวันราชการเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แล้วก็จบเลย วันเดียวเท่านั้น มันโจ่งแจ้งแสดงความเห็นแก่ตัวมันหน้าไม่อาย อาตมาว่า คนที่ไปหลงใหลทักษิณอยู่ตอนนี้ก็ช่างกระไร เมื่อไหร่จะฟื้นจะตื่น เมื่อไหร่จะรู้สึกตัว เมื่อไหร่จะหายโง่ดักดาน จริงๆ
ขนาดนี้ก็ยังรู้สึก จะเป็นจตุพรจะเป็นนักพูดก็ยัง งอกแงก แต่นกแสกหรือหมอเหวง ยังโงขึ้นหน่อย แม้แต่เสนาะก็ยังขออภัยที่กล่าวชื่อเพื่อความชัดเจนง่ายๆไม่อย่างนั้นเสียเวลาเยอะ
ประเทศไทยจึงดีขึ้นได้ทุกๆด้าน แม้แต่ด้านประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยดีขึ้นจนกระทั่งประเทศต่างๆต่างประเทศ รับรองความเป็นประชาธิปไตยของนายกฯตู่ นายกฯประยุทธ์ ไม่ว่าประเทศอื่นที่ใหญ่ยิ่งในมวลประเทศของโลก มีใครปฏิเสธ จะบอกว่าประเทศมหาอำนาจที่ใหญ่ๆในโลกก็รู้กันอยู่ ก็ยังยอมรับ อย่างเต็มที่ ไม่ได้มีการปฏิเสธอย่างมีแง่เชิงอะไร อันนี้เป็นการชนะด้วยสัจธรรมเป็นความบริสุทธิ์สะอาดที่จริง ไม่ได้แฝงซ่อนหลอก มีเนื้อหาแท้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนในโลกเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยชัดเจนอยู่ โดยนัยลึกๆ เพราะฉะนั้นเรื่องแค่เลือกตั้งจึงเป็นเรื่องขี้ผง แม้ที่สุดพลเอกประยุทธ์เป็นทหาร ควบคุมอำนาจทางทหารทางอาวุธในประเทศด้วย เขาก็ยังถือว่า พลเอกประยุทธ์เป็นประชาชน ทำงานประชาธิปไตย พลเอกประยุทธ์จะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ว่า ผมเองเป็นนักการเมืองแต่เคยเป็นทหารมา ไม่ต้องพูดเลย ผู้มีปัญญาเขาได้ชัดเจนหมดแล้ว เพราะ 4-5 ปี พลเอกประยุทธ์อาจจะใช้เพื่อนฝูงที่รู้จักกันดีไว้ใจมาทำงานที่เป็นทหารเอาเข้ามาช่วย บริหารช่วยทำงานในทางการเมือง ก็เป็นธรรมดา ตลอดอายุขัย 30-40 กว่าปีที่เป็นทหารมา
สรุปแล้ว พฤตินัย สำคัญที่แสดงออกต่อโลกคือพฤตินัยของความเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนโลกรู้กันอยู่ ประชาชนทั้งโลกรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไรในเนื้อแท้ ว่าไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง ที่เขาถือว่าเป็นประเด็นใหญ่เหลือเกินที่เขาเอามาตีกินกันทุกวันนี้ แต่เนื้อแท้เป็นประชาธิปไตย เนื้อแท้ของพลเอกประยุทธ์ที่ปฏิบัติเป็นประชาธิปไตย
พัฒนาความรู้ของประชาชนในโลกทั้งโลก เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยในลึกซึ้งตรงไหน ตรงกัน ถึงยอมรับวันนี้ เพราะว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ยิ่งใหญ่ทางอาวุธที่เขาจะต้องกลัว เขาไม่ได้กลัวประเทศไทยที่สร้างอาวุธเก่ง หรือไม่ได้กลัวเพราะมีอำนาจทางเงินตรา เขาก็ไม่ได้กลัวอำนาจทางการเงินของโลก ประเทศไทยเป็นประเทศที่เขาต้องกลัวเพราะว่ามีสมบัติ อยู่ในแผ่นดิน มีแร่มีแก๊สมีน้ำมัน เป็นวัตถุที่โลกต้องการนำหน้าประเทศอื่นอื่นๆก็เปล่าเลย ประเทศไทยไม่ได้เป็นอย่างนั้นด้วย ประเทศไทยไม่ได้มีสิ่งเหล่านั้นด้วย ต่างๆนานาพวกนี้
แต่ว่าประเทศไทยแสดงความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทยได้ดีอย่างยิ่งด้วย ความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยของมวลมนุษยชาติในโลกตอนนี้เป็นคำตอบ เรื่องพฤตินัยเผด็จการทหารอะไรต่างๆนานาเขาโยนทิ้งหมด ไม่ได้มีการเลือกตั้ง บริหารมาตั้ง 4 ปี (พ่อครูไอ)
สมณะเดินดินว่า...ไปต่างประเทศเขาก็ยินดีต้อนรับ นายกฯประยุทธ์ คนในโลกก็จับตาดูว่าประเทศอย่างนี้ควรถูกบอยคอต แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงตัวออกมา จะไปพบนายกอังกฤษเยอรมันฝรั่งเศสก็ไม่มีปัญหาอะไร จริงๆแล้วเป็นประเทศเล็กๆเขาจะไปกลัวอำนาจอะไร แต่เป็นเพราะคุณภาพประชาธิปไตยที่เขาเข้าใจได้ ประชาธิปไตยเป็นที่ยอมรับของสากล
พ่อครูว่า...ขออภัยที่อาตมา Cough Out พูดไปไอไป
ก็ต้องมาหาวินิจฉัยตัวสำคัญก่อนว่า ทักษิณกับประยุทธ์ใครเป็นนักสืบทอดอำนาจ ...ทักษิณเป็นคนสืบทอดอำนาจ แล้วเอาคำว่าสืบทอดอำนาจมาใส่ นี่แหละคือสิริมหามายา พวกนักเล่นกลพวกนักร้อง ความจริงตัวเองเป็นนักสืบทอดอำนาจ และพยายามสืบทอดอำนาจต่อไป คุณประยุทธ์ตอนนี้ก็ชักจะบ่นว่าเมื่อยแล้ว เขาไม่ได้สืบทอดอำนาจเลยแสดงออกในลีลา สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล มันเหนื่อยจริงๆลำบากลำบน คุณรู้ไหมว่าผมทุกข์ เป็นความจริงที่เขาพูดความจริงของเขาออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ มันไม่ได้เป็นความสนุกสนานอะไรเลยมันทุกข์ แต่มันก็ต้องทน เพราะเป็นเรื่องของประโยชน์เป็นความเสียสละ เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้มุกตัวเองขึ้นมา แต่ประชาชนต้องการให้เขาทำเท่าที่เขามีสิทธินี้อยู่ในตัวเขาก็ต้องอยากได้อยากอาศัยมาทำประโยชน์อะไรให้แก่มวลประชาชน อาตมาขอให้กำลังใจแก่พลเอกประยุทธ์อย่าท้อแท้ อาตมามีเท่าไหร่ให้คุณไปหมดกำลังใจ (มีคนบอกว่าที่นั่งอยู่ในนี้ด้วยให้ไปหมดเลย)...
ไม่ได้เป็นเรื่องเล่นลิ้นแต่เป็นเรื่องจริงจังใช้เป็นการศึกษา ทั้งเป็นเรื่องจริงที่เกิดความจริงอยู่ในสังคมประเทศไทย ทุกอย่างตอนนี้เป็นกลไกที่มีความซับซ้อน ที่มันลงตัวระหว่าง ระบบระเบียบ ลงตัวระหว่างฐานะของตัวบุคคลพลเอกประยุทธ์ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม อาตมาว่า สับสนในตัวเองอย่างยากที่จะชี้บ่ง แต่ภูมิปัญญาของอาตมาเอง อาตมาวินิจฉัยได้ว่า
มันเป็นความจริงที่มันจะต้องเป็นเช่นนี้ที่ควรจะเป็น
และสิ่งที่ควรจะเป็น สรุปความเป็นจริงลงไปก็คือ นายกฯตู่ ควรจะต้องสู้ๆหน่อย
ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าหลงใหล ขออภัย อาตมาไม่ไว้ใจใครจะมาบริหารได้ดีเท่านายกฯตู่ ภาวะบุคลิกต่างๆเหมาะสม อาตมามองตามภูมิปัญญาตมา ท่าที่แสดงหยอกเย้า ลีลาท่าทีเข้าตาอาตมาหมดเลย พอเหมาะพอเจาะสมยุคสมัย สมัยขี้เล่นพวกตลกๆนายกฯก็มีพอสมควร เรื่องที่จะใช้ความแรงนายกก็มีพอสมควร ท่าทีประเหลาะเล็กน้อย อิตถีภาวะที่พอเป็นกระสัยก็พอมีบ้าง แต่ไม่เหมือนสมชาย ไม่เหมือนยิ่งลักษณ์แน่นอน ที่ใช้ Woman touch
แม้แต่สมัคร มีบุคลิก อิตถีภาวะ ที่เป็นผู้หญิงที่ หยำฉ่า มันเลอะเทอะ ต่ำๆหน่อย บุคลิกของเขาท่าทีที่แสดงออก บุคลิกท่าทีที่แสดงออกของเขาเป็นอิตถีภาวะอย่างนั้นหน่อย เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆขออภัยที่ต้องพูดความจริง ขอเอาเป็นตัวอย่างเพื่อศึกษา ก็ขอบคุณที่เป็นตัวอย่างให้การศึกษานี้ อย่างนั้นจริงๆ
ในสิ่งที่เป็นจริงตามนุษย์ที่แสดงออกต่อพฤติกรรมโลกมันเป็นตัว ฟีโนมีนอน ปรากฏการณ์ให้เราได้ศึกษามากเลย หลายอย่างเราคิดได้แต่เป็นจริงไม่ได้ ทำไมออกทำไม่ได้ทำไม่ถึงอย่างที่คิด สามารถคิดบ้าบออะไรก็ได้ แต่เวลาทำจริงๆก็ทำไม่ถึง แต่นี่เขาทำจริง อย่างทักษิณ สมชาย สมัคร ความจริงที่เขาแสดงออกมาทั้งนั้น ยิ่งลักษณ์ก็ยิ่งแสดงออก
สิ่งที่เกิดที่เป็นจริงทุกวันนี้รวมแล้วสรุปแล้ว ไม่ใช่ว่าอาตมาดูถูกคนอื่น อาตมาว่ายังไม่อยากเสี่ยง ให้ใครมาบริหารแทนพลเอกประยุทธ์ เพราะว่าพลเอกประยุทธ์นี้ 1 ยังไม่ได้วางมือในกลไกทั้งหมด 2 อย่างแข็งแรงอยู่นั่น ถือว่าอายุ 60 ยังหนุ่มนะ นายกประยุทธ์ไปถึงแต่ 85 จะยังหนุ่มไหม ถึงตอนนั้นก็คงมีตัวตายตัวแทนแต่ตอนนี้ยังไม่เห็นตัวตายตัวแทน เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าขอร้องก็ได้ อย่างไรอย่างไรอดทนสู้ๆหน่อยเถอะแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพราะอาตมารู้รสชาติเหล่านี้จริงๆดี มหาเธร์ 92 แล้วก็ยังฟิตมาสู้ๆๆ
อาตมาก็เป็นคนในสังคมที่ปรารถนาดีต่อสังคม มีผลมีประโยชน์ต่อสังคมและไทยอยู่บ้างพิสูจน์ตัวเองอย่างจริงใจมา 40 กว่าปีแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงตลบแตลง แม้แต่เรื่องจะหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขใส่ตัวเองอาตมาก็ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ว่าเป็นคนที่จะทำเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง
ข้อสรุปว่าพอทีในเรื่องแบบทักษิณ ไม่ว่าจะให้ออกมาในลักษณะใดๆ แต่อาตมาว่าปิดฉากได้แล้ว ควรให้ปิดฉากอย่างดีสงบ ๆ อย่าให้ออกมามีฤทธิ์แรงอะไรเลย แน่นอนเขาก็หวังอยู่ 1 เงินของเขาอย่างเยอะ 2 ลูกหลานเขาก็ยังอยู่ ยังมีความหวังพวกนี้เท่านั้น อาตมาก็ขอบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก คุณทำให้ญาติของคุณเสียคนมาหลายคนแล้ว คุณอย่าให้ลูกคุณมาเสียคนอีกเลย อาตมาว่าขณะนี้คุณมีทรัพย์สินเงินทอง ทรัพย์สินเงินทองนี้ไปบริโภค เป็นกิเลสติดตัวให้หนาแน่นก็ไม่เชิง จริง ไปเสพ แม้แต่เขาไม่รู้การเสพในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โลกียะ เขาไม่รู้หรอกว่าคืออะไรแต่เขาเสพ ประคบประหงม ลูกเต้าเหล่าหลานให้เป็นอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ อยู่ในคราบว่าจะทำงานเพื่อประชาชนแต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คุณจบได้แล้วจะทำต่อไปอีกเท่าไรก็มีแต่บาปและอกุศลทั้งนั้น คุณควรจะหยุด และพาลูกเต้าเหล่าหลานหยุด อย่าให้พาลูกเต้าเหล่าหลานญาติพี่น้องทำได้บาปใส่ตัวเองต่อไปอีกเลย นี่คือความจริงใจของโพธิรักษ์พูดด้วยความปรารถนาดีไม่ได้พูดด้วยความเกลียดชังแต่พูดด้วยความสงสารคุณ สงสาร ญาติโกโยติกาลูกหลานคุณด้วย ขนาดนี้ก็ได้อกุศลไปมากแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าคุณจบเท่านี้ สิ่งที่จะให้ต่อระวังลูกชายของคุณเองก็จะสั้นลงยุติลงไปบ้าง แต่ถ้าคุณไม่หยุดคดีต่างๆที่จะไปถึงลูกชายของคุณจะมี ไม่ใช่พยากรณ์ แต่มั่นใจว่าจริง ถ้าคุณหยุดตั้งแต่บัดนี้สิ่งเหล่านี้จะเพลาลง แม้อยู่ประเทศไทยลูกชายก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าต่อไปแล้วอาตมาไม่รับรองว่าลูกชายคุณจะอยู่ในประเทศไทยได้ หรือไม่ในอนาคต ถ้าคุณยังดันๆๆอย่างนี้ต่อไป
คุณมีความซาบซึ้งไหมว่าไม่มีประเทศจะอยู่ไม่ได้อยู่ในประเทศปู่ย่าตาทวดประเทศเกิด คุณรู้สึกไหมว่าคุณพร่อง คุณขาด หรือคุณเสแสร้งว่าอยากมาอยู่ประเทศไทยแต่แท้จริงไม่ได้อยากมาอยู่หรอก อาตมาไม่ค่อยแน่ใจเสียแล้ว เพราะคุณไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย อาตมาก็เลยยากที่จะตัดสิน คุณก็หยุดได้แล้วที่จะสร้างบาปเวรต่อไป เป็นความปรารถนาดีของอาตมาที่ไม่ได้มีความคับแค้นโกรธเคืองอะไร ประเทศก็จะได้บริหารไปได้อย่างสะดวก มีพลังงานรวมกันอย่างดีขึ้น เป็นสิ่งที่อาตมาพูดอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจ
ทีนี้เข้ามาสู่สภาพของการเมือง พฤติกรรมการเมืองของประเทศไทยทุกวันนี้ อาตมาก็ขอแสดงความเห็นว่า จะต้องมีการเลือกตั้งก็ต้องมีตามกฎเกณฑ์สากลแต่อาตมาว่า การเลือกตั้งคราวนี้ มันจะไม่เป็นดังที่คาดหวัง หลายคนคาดว่าอำนาจเก่าจะมา อาตมาว่าอำนาจเก่าคงจะมายากมาก ก็ขอให้สติแก่ประชาชนว่า ประชาชนคนไทยทั้งหลายเอ๋ย ตอนนี้จะไปลงคะแนนเสียง ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
จงตรวจผู้สมัครเข้าอาสา ใคร! นักการเมืองมาเก่านั้น มีกึ๋นเท่าใด หาดูเปรียบได้เลย
ปัจจุบันนี้ ต่างชั้น ไปแท้ ฤาไฉน หมายความว่า ปัจจุบันนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะมันแตกต่างไปจากยุคเก่าชัด การเมืองของไทยคนไทยฉลาดรู้ความจริงขึ้นเยอะแล้ว ความจริงที่การเมืองของไทยพัฒนาสูงขึ้น มันไม่จริงหรือกำลังเล่นกลหลอกลวงกันอยู่ ...ก็ไม่ได้เล่นกลหลอกลวง มันจริง คำเป็นการเมืองจริง คนไทยพยายามผลักดันให้ประชาธิปไตยเจริญขึ้น ด้วยพลังงานรวมของคนไทยทั้งประเทศ รวมกันสานและถักทอให้เป็นประชาธิปไตยที่ดีงามขึ้นเท่าที่จะสามารถทำขึ้นมากันได้ด้วยความพยายามขนาดหนึ่ง อย่างน้อยชาวอโศกเป็นทั้งใจและพฤติกรรมที่จะเป็นได้ ตามกรอบความเป็นสิทธิ ที่จะแสดงออกอย่างเต็มที่ไม่ได้ออมมือ
ขณะนี้ประเทศในโลกกำลังตามพิสูจน์ ความเป็นประชาธิปไตยคืออะไร แต่ละประเทศทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือจีน เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเขาเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ลึกๆแล้วเขากำลังเป็นลัทธิแก้ ไม่ว่ารัสเซียหรือจีนก็เป็นลัทธิแก้ทั้งนั้น แก้เพื่อไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยด้วยเนื้อหา แต่ภาษาเขาไม่อยากเปลี่ยน เขาก็ว่าเขาไม่ถึงประชาธิปไตยเป็นสังคมนิยมก็แล้วแต่ว่าไปเอาภาษาว่าไป แต่เนื้อแท้นั้นเข้าไปสู่ความเพื่อประชาชน อย่างที่ลินคอล์นว่า โดยประชาชนเพื่อประชาชนของประชาชน อันนั้นก็ใช้ได้ ของอับราฮัมลินคอล์นว่าไว้ 3 อย่างนั้น ก็ใช้ได้
ประชาธิปไตยของอาตมาขณะนี้มี 3 อย่าง ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ นี่ของอาตมา
บริหาร ต้องตรึกไว้ สุดสำคัญ
1) “บริหาร”ต้องตรึกไว้ สุดสำคัญ
“ขยันรับใช้”คือบรร- ทัดแท้
ประชาธิปไตยอัน ล้ำค่า
ซึ่งวิเศษวิศิษฏ์แก้ วิกฤติได้ทันที
(2) การเมือง“มีแต่ให้” ยิ่งสำคัญ
“ไม่อคติ”ต่อกัน เลิศล้ำ
“อภิบาล”อย่างดีสรร แต่ช่วย ประชาเทอญ
“สังคหะ”แถมสละซ้ำ ยิ่งย้ำพระสอน
(3) สังวรตนหลุดพ้น โลกีย์
คือศาสตร์“สวนกระแส”มี แต่ให้
มันแปลกประหลาดดี มีรึ ดังฤา
หรือแต่เพียงบอกใบ้ ใช่แท้เท็จผจญ
(4) คนไทยเลือดพุทธแท้ เต็มตัว
แต่ไป่ใส่ใจมัว มุ่งบ้า
ถูกหลอกปั่นหูหัว จมลาภ ยศเฮย
หลงโลกธรรมด้านกล้า เก่งสู้ดักดาน
(5) สานธรรมนำสัจจ์ให้ กลับเมิน
ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน มนุษย์แท้
ทำชีวิตห่างเหิน พุทธสัจ
โง่บ่รู้จักแก้ ดนุด้อยดูใด
(6) ทำไฉนจึ่งจักก้าว- หน้าที สรรแต่กิจกรรมดี ซื่อซ้ำ
ชีวิตใช่จักมี แต่ต่ำ ฤาแล
เอาส่วนสูงเจริญค้ำ ชีพบ้างเถิดคน
(7) ตรวจค้นผู้สมัครเข้า อาสา
ใคร*เล่นการเมืองมา เก่านั้น
มีกึ๋นเท่าใดหา ดูเถิด ไทยเอย
ปัจจุบันนี้ต่างชั้น เปลี่ยนแล้วยุคสมัย
“สไมย์ จำปาแพง”8 ธ.ค. 2561[นัยปก “เราคิดอะไร”ฉบับ342ประจำเดือนมกราคม 2562]
ทำไมประชาชนไทย จะให้เอาสิ่งที่ดีเป็นโลกุตระ ทำไมมันไม่กล้าไม่ทนไม่สู้ที่จะไปแย่งหน้าด้านกันนั้นหน้าด้านหน้าทนสู้เอาสู้เอา
คนเราต้องสู้ทนสู้เอาในสิ่งที่ควรจะต้องสู้เอา จะไปสู้ในสิ่งที่ต้องแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขสู้ได้สู้ดี ด้านสู้ด้วยนะ ทำไมไม่มาสู้ทนกล้าทน ทางด้านโลกุตระบ้าง
ประชาธิปไตยไทยดักดานงมโข่งมา 84 ปีแล้วนะ ยังจะมะงุมมะงาหราอยู่อย่างนี้ไม่เข้าท่าอะไรเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจที่บ่งชี้ความเป็นประชาธิปไตย
อาตมาอยากเข้าสู่ อธิบายประชาธิปไตยหลักสำคัญคือเศรษฐกิจ เศรษฐกิจเป็นเครื่องชี้บอกความเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอด เศรษฐกิจที่ดีที่สุด ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสแล้ว เป็นเศรษฐกิจแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ซึ่งได้ขยายความจากเศรษฐกิจพอเพียงที่มีใช้พอมักน้อยสันโดษตามวรรณ9ของพระพุทธเจ้า
ชาวอโศกเราสามารถเป็นคนขาดทุนได้ แล้วมันอยู่ได้อย่างไรขาดทุน อธิบายได้ไหม ...ได้ ขาดทุนแต่อยู่ได้ เพราะเรามีเรี่ยวแรงความขยันความสามารถ สร้างสรรสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต สิ่งที่เป็นความสำคัญในมนุษย์จะต้องใช้สอยอุปโภคบริโภค เรามีทั้งความรู้เรี่ยวแรงขยันหมั่นเพียรสร้างสรรขึ้นมา คนหนึ่งก็สร้างเกินกินเกินใช้ของตน เรามีสิทธิ์เต็มในน้ำพักน้ำแรงของตน แต่เราสร้างได้มากเกินกว่าเรากินอะไร เรากินเราใช้แล้วก็ยังมีอีกหลายเท่า เหลือเป็นส่วนเกินที่เป็นสิทธิของเรา เรานำส่วนนี้ไปให้ผู้อื่น ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกลับคืนมาก็เป็นการเสียสละ เราให้เลยนี้เราขาดทุนไหม?...ขาดทุน เป็นสิริมหามายา
โดยโลกแล้วเขาจะบอกว่าเราเสีย เราเสียคนอื่นเขาได้คือเราขาดทุน จริงๆเราขาดทุนแล้วจริงๆเราก็กำไร พูดอย่างไรก็ถูก เราให้อย่างไรเราก็ขาดทุนอย่างไรเราก็กำไร เราขาดทุนก็ได้กำไรก็ได้ พูดเป็นภาษาจะทำอย่างไรก็ได้ ก็สบายมาก เราไม่ได้หลงเลย ก็จบ เพราะเรารู้แล้วว่า คือเราไม่เอา เราไม่สะสมเป็นของตัวของตน เราให้ได้อย่างสบายใจด้วย ใครจะเอาพยัญชนะว่า หน้าโง่ไปให้เขาทำไม ขาดทุนทำไม คุณจะพูดอย่างนั้นก็เป็นความรู้สึกของคุณ แต่ของเราให้ได้ เราก็ไม่เป็นไรเราก็ไม่ตายเราก็ไม่เบียดเบียนตัวเอง เพราะเรามีอยู่มีกิน แม้การเจ็บป่วย พวกเรามีสาธารณโภคีที่พึ่งพากันเกิดแก่เจ็บตายได้ด้วยซ้ำไป นี่เป็นระบบสังคมที่สมบูรณ์แบบแล้วสาธารณโภคีถึงเป็นสุดยอด
สาธารณโภคีที่จริงใจ บริโภคร่วมกันเป็นของส่วนกลาง เราไม่ได้เป็นคนสุรุ่ยสุร่ายกินเปลืองใช้เปลือง และเราก็ไม่ได้เป็นคนขาดทุน ตัวเองสร้างสรรสิ่งที่กินใช้ได้อย่างเหมาะควร มันอาจจะไม่ตรงเราไม่ได้ปลูกส้มโอแต่เรามีส้มโอกินได้ เราทำงานอื่นที่สมควรในสังคมเรา เราปัดกวาดเช็ดถูบ้าน แต่เราขอกินส้มโอก็ทดแทนกันได้ เราทำงานอื่นที่เป็นงานที่ดีในสังคมที่ต้องการที่ต้องใช้ต้องทำ ก็มาช่วยกัน แต่เราก็กินใช้อาศัยใช้สอยอันอื่นที่เราไม่ได้ทำหรอก เราก็มีสิทธิ์แล้วเราก็ได้ตามควรได้ไม่ได้เป็นหนี้เป็นสิน โดยสัจจะเราก็ทำงานอย่างไม่ได้งอมืองอเท้าเอาเปรียบเอารัดหลบเลี่ยง เราก็ทำงานตามสมควรของเรา
โดยจริงๆแล้วใจเราไม่ได้คิดเอาเปรียบเอารัด เราไม่ได้ต้องการเอาเปรียบเลย ใจจริงแล้วต้องการเสียเปรียบ จริงๆเราต้องการเป็นคนเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจในเรื่องวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า ทำไมใช้คำว่าเสียเปรียบ ท่านใช้คำว่า จน แล้วพอ นอกนั้นก็มีแต่ทานแต่ให้ไม่สะสม สุดยอด วิริยารัมภะ ทำแต่สิ่งที่ดี ขยัน มีอาการน่าเลื่อมใส่ ปาสาทิโก เป็นอาการที่ไม่น่าติเตียนเลย ประพฤติดีทำดีอยู่ในสังคมตลอดเวลา เป็นพวกที่มีศีลเคร่ง โดยที่ท่านไม่ได้เคร่ง ปฏิบัติได้สมบูรณ์แล้วไม่ได้เคร่ง คนอื่นจะเห็นว่าเราเคร่ง มากินมื้อเดียว ไม่มีเงินสักบาท ก็ไม่ได้เคร่งอะไรสบายดีอยู่ในนี้ กินมื้อเดียวไม่เห็นเคร่งอะไร ไม่มีเงินสักบาทอยู่ในหมู่นี้ก็มาเห็นเคร่งอะไรจะไปจะมาจะกินจะอยู่อะไร แม้แต่เจ็บป่วยก็ไม่ได้เดือดร้อนพึ่งพากันได้ อะไรต่างๆนานา มันเป็นสังคมที่สมบูรณ์ที่ครบครัน
ที่อาตมานำคำสอนพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติจนเกิดฟีโนมีน่า เกิดปรากฏการณ์จริง บุคคลต่างๆในชาวอโศกเท่าที่มีขณะนี้ อาตมาว่า คนอย่างอาตมาพาพวกเราให้มาทวนกระแสสังคมโลกีย์ พวกคุณยังมาได้มาทำได้ขนาดนี้แล้วโอ้โห โพธิรักษ์เอ๋ย ดีชะมัดเลย
เพราะฉะนั้นก็ขอสรุปลง เศรษฐกิจที่ดีที่สุดคือเศรษฐกิจแบบในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสเอาไว้ว่าเอาแบบคนจน ท่านตรัสอย่างจริงพระทัยว่าเราไม่ก้าวหน้าแบบเขา แบบนั้นเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านตรัสสั้นแต่น่าซาบซึ้ง คนธรรมดาพูดไม่ได้หากไม่ใช่พระโพธิสัตว์พูดไม่ได้หรอกอย่างนี้
ขอยืนยันว่าเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจที่ดีที่สุด ให้มวลประชาชนมาทำตนให้เป็นคนจน คือ คนมีไว้น้อย อย่าไปมีไว้มาก สะพัดแจกจ่ายขยันสร้างสรร แล้วสะพัดแจกจ่ายไม่ต้องสะสมไว้คงคลังอะไรมากมาย สะพัดออกไป แล้วเอาไปให้แก่ผู้ที่ควรให้
อาตมากำลังขยายความคำว่า GDP Gross domestic Product กระบวนการทำรายได้องค์รวมในประเทศ แต่กลับไปตลบแตลงเขา ไปกอบโกยเอาเปรียบเอารัดเอากำไรจากภายนอกประเทศมาให้แก่ตัวเอง อันนี้แบบนี้ Gross domestic ของคุณเป็นการกอบโกยเอาของคนอื่นมามาก มันไม่ใช่โดเมสติกแท้ ต้องเอาของเรานี่แหละแท้ๆ ควักเนื้อของเราให้แก่ประเทศอื่นเราก็ยังอยู่ได้ โดยผลรวมรายได้ภายในของเราเหลือให้แก่ประเทศภายนอกได้เกื้อกูลประเทศภายนอกได้ ไม่ใช่เอาสินค้าของเราราคา 100 ไปขาย 150 ไปขาย 200 เพื่อเอากลับมาเป็นเงินบอกอยู่ในประเทศและบอกว่าคือ Gross domestic ของเรามันไม่ใช่ อันนั้นคนยังไปขูดรีดของคนอื่นเขามา ต้องเอาของๆเราที่สร้างเองผลิตดี กินใช้ก็ยังเหลือเฟือ ส่งออกไปขายก็ขายต่ำกว่าทุน แม้แต่สินค้าเราส่งไปขายข้างนอกราคาต่ำกว่าทุนเราก็ไม่ได้เอาเปรียบใครเขามาแล้ว ยิ่งให้เลย แจกฟรี แจกคนที่ควรแจก เราก็ไม่ล่มจมเราเลี้ยงตัวเองรอดพอกินพอใช้อย่างนี้คือเศรษฐกิจเจริญ ท่านดร.ทางเศรษฐศาสตร์ฟังขึ้นไหมเข้าใจไหม
นี่คือในหลวงตรัสไว้ว่าต้องมาเอาแบบคนจน แล้วอยู่ได้ เราก็รวยพอสมควรเราก็ไม่ได้จนกระทั่งไปเบียดเบียนคนอื่น คือไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น พึ่งพาตัวเองรอด มีเหลือกินเหลือใช้แจกจ่ายออกไปอยู่ตลอดเวลา เราตัดสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เราไม่ไปบ้าที่เขาหลอกลวงอันนี้ก็จะซื้อต้องไปเอาจ่ายเงินทอง เรารู้ทันหมดแล้วมาหลอกเราไม่ได้ สิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิตของเราเรามีครบ เอาแต่สิ่งที่เป็นความสำคัญในปัจจัยชีวิต สิ่งที่มันเกินไปเรารู้ทัน เราไม่ถูกหลอก
ความซับซ้อน นัยยะเหล่านี้ยาก อบายมุข ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยสวยหรูหราเป็นชั้นไฮโซ รู้เขาหลอกเราก็รู้ทันหมดแล้วเราก็ไม่ไปหลงใหลเป็นทาสคนพวกนั้น แล้วเราก็ไม่อยากจะทำด้วย เช่นว่าเราสานตะกร้าไปขาย ราคาลงทุนไป 50 บาทไปหลอกเขาขายว่าราคา 5,000 พวก Dior versace ก็เอาไปหลอกขายเป็นแบรนด์เนม เราไม่ต้องเอาบาปแบบเขา พูดสัจธรรมเรานี้ไปเป็นการขัดใจคน ที่เขาอร่อยใจ เสพติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแข่งขันเอาชนะคะคาน เทคนิคต่างๆดรามาติคต่างๆเพื่อจะได้เงินทอง เก่งใน Drama แทคติก
ตอนนี้ดราม่านายเจชนาธิปก็ค่าตัวขึ้นไปเกงในการเตะฟุตบอล อาตมาว่าไม่ใช่เครื่องชี้บ่งสาระสัจจะของมนุษยชาติ เป็นเรื่องอบายมุขสะใจเสพรส เสพใน tactics and Drama ไม่ใช่เรื่องวิเศษวิเสโสอะไรเลย
มามีความสามารถมีสมรรถภาพ มามีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรรสิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ตั้งแต่ปัจจัย 4 จนถึงปัจจัย 5 ปัจจัย 8 ปัจจัย 10 ที่คนต้องอาศัยกันอย่างสำคัญ สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อเรื่องประโยชน์น้อยไร้สาระเป็นพวกด้วยซ้ำ ให้ศึกษาให้ดี แล้วเลิกละลดลงมา ชีวิตของเราจะได้เป็น Economize อย่างแท้จริง มีความมัธยัสถ์ประหยัดได้อย่างถูกสัดส่วน ไม่อย่างนั้นเราก็เป็นคนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
คนที่เขาเป็นคนประหยัดเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทำกิจกรรมต่างๆที่เป็นผลผลิต เป็นความต้องการของสังคมที่เป็นประโยชน์ เราจะอ้างว่าอาวุธเป็นความต้องการของสังคมเป็นความซับซ้อน ไม่ต้องทำอย่างนั้น ถ้าเมืองไทยเป็นเมืองที่ไม่ซื้ออาวุธเลยไม่สร้างอาวุธเลย ตอนนี้ลำบากลำบนประเทศอะไรที่ยิงกันเล่นๆเลย ฆ่ากัน อาตมาเคยพูดว่าปืนนี้ บ้านไหนซื้อปืนเอาไว้เพื่อเอาไว้ป้องกันโจร ป้องกันตัวเอง คนเรานั้นซื้อปืนไปยิงตัวเองตาย กับยิงคนข้างนอก ทำให้ตัวเองเข้าคุกเพราะปืนที่ซื้อมา หรือยิงลูกเต้าเหล่าหลานพ่อแม่พี่น้องของตนเองเป็นส่วนใหญ่ ไปทำสถิติมาได้เลย ที่จะใช้สำหรับฆ่าโจร นั้นมีน้อยต่อน้อย ส่วนมากเอามาค่าตัวเองทำตัวเองเข้าคุกเพราะปืนที่ซื้อมานี่เอง ไปสำรวจสถิติได้โดยทั่วโลก
อาวุธฆ่าคนสร้างขึ้นมาก็มีบาปมากเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้วิบากของอเมริกาที่สร้างอาวุธมาฆ่าคนทั่วโลก ไม่ได้ว่าอเมริกาแต่พูดอย่างเป็นสัจธรรมว่าคุณทำคุณต้องรับผลของกรรมวิบาก เขาจะได้รับผลของกรรมวิบาก อยู่กันนานๆไปอีกอย่าเพิ่งรีบตาย ไม่ใช่อยู่อะไร อยู่ดูความจริงของความจริงที่จะมันเป็นไปตามสัจธรรม ไม่ได้ไปแช่งหรือว่าใคร อเมริกาสร้างอาวุธอวดดีเอาไปถล่มสร้างอำนาจบาตรใหญ่ แล้วเวรภัยจะย้อนไปหาเขา พูดอย่างเป็นวิชาการสัจธรรมที่อธิบาย
เยอรมันก็รับไปแล้ว แต่ก่อนถือว่าหนึ่ง ตอนนี้ก็เพลาไป อเมริกาก็ผยองนึกว่าแน่ ด้วยความไม่รู้จะทำให้ตัวเองได้รับบาปเวรภัยเหล่านี้ ไม่เรียนรู้กรรมวิบาก พวกนี้น่าสงสาร
หากประเทศในโลกนี้ไม่สร้างอาวุธเลย อย่างเก่งก็เหลาไม้มาเสียบกันเท่านั้นเอง ก็ไม่ต้องมีทั้งดาบหอกง้าวอะไรอย่างเก่งก็เอาไม้เสียบลูกชิ้นจิ้มกันเท่านั้น มันก็จะไม่ร้ายแรงอะไร พูดแล้วเหมือนตื้นแต่ลึกซึ้งนะ
ประเทศไทยเราจะพัฒนาไปในทิศทางที่ตามคำสอนพระพุทธเจ้านี่แหละ
สมณะเดินดินสรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:22:34 )
รายละเอียด
611214_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะ 2 ของประชาธิปไตยเก๊กับเผด็จการโดยธรรม
เผด็จการหรือประชาธิปไตยดูกันที่ไหน
|
ระบอบทักษิณ |
|
คสช. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
6 |
ทำลายระบอบประชาธิปไตยฯ, ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540 หัวใจของระบอบประชาธิปไตยฯ คือการตรวจสอบ ถ่วงดุล เป็นระบบที่มีเหตุมีผล สังคมเปิดกว้าง ไม่ปิดกั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เพราะประชาธิปไตยเชื่อว่า สังคมเปิดที่ไม่มีการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และมีกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี จะเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจของผู้ปกครอง แต่ระบอบทักษิณได้ทำลายกลไกทั้งหมด มุ่งมั่นทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง อย่างเห็นแก่ตัว ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่ต้องทำเพื่อประชาชน โดยไม่เห็นแก่ตัว ทำลายและครอบงำกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล -- คือ ส.ส. (ใช้กุศโลบายยุบรวมพรรค) ส.ว. (ซื้อ, แทรกแซง) และองค์กรอิสระ (ซื้อ, แทรกแซง และเข้ากำกับตั้งแต่ขั้นสรรหาและขั้นเลือกในวุฒิสภา
|
6 |
แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มีหัวใจของนักประชาธิปไตย แม้พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯที่มาจากรัฐประหาร มีอำนาจสั่งการด้วยม.44 แต่ว่า กลับยอมให้คนวิจารณ์คสช.หรือตัวพล.อ.ประยุทธ์ได้ โดยไม่ได้เอาคืน หรืออาฆาตพยาบาท อาจแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ว่า ก็กล้าขอโทษในสิ่งที่ผิด ซึ่ง ระบอบทักษิณไม่มีคำว่าขอโทษ ไ่ม่มีคำว่ายอมรับผิด มีแต่ความอาฆาตพยาบาท และเอาคืน ล้างแค้น หนีความจริงตลอดเวลา มุ่งมั่นทำเพื่อประชาชนโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน คือหัวใจประชาธิปไตยคือทำเพื่อประชาชนโดยไม่เห็นแก่ตัว
|
7 |
ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพฤติกรรมจาบจ้วง ใช้วาจาไม่เหมาะสม ละเมิดพระราชอำนาจ ซ้ำซ้อน หลายเรื่อง
เมื่อทักษิณมีปัญหาทางการเมือง สื่อมวลชนและประชาชนได้เรียกร้องให้ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนาตรี ทักษิณกลับกระทำการมิบังควรอย่างยิ่งอีกครา ด้วยการพูดผ่านสื่อมวลชนว่า “ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบรับสั่งกับผมคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน” ยามทักษิณเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง แทนที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของตน ทักษิณกลับประ กาศกร้าวว่า มีมือที่มองไม่เห็นและคนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คอยทำลายรัฐบาลของตน! การจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของทักษิณ ทั้งลับและเปิดเผยนับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว |
7 |
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาล คสช.ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
“รัฐบาลจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญ...ที่จะเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินกับผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ”
คำแถลงนโยบายข้อนี้สอดรับกับสถานการณ์หลังการเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. กล่าวคือ มีการเร่งดำเนินคดีและจับกุมคุมขังผู้ต้องหาว่ากระทำการเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวนมากขึ้น ปัจจุบันมีถึง 16 กรณี (ดูรายงานการปรากฏตัวของคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ หลังรัฐประหาร 2557) ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือการจับกุม ภรณ์ทิพย์ และ ปติวัฒน์ สองนักกิจกรรม จากการแสดงละครเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคม 2556 |
8 |
|
|
|
9 |
ขายสมบัติของชาติอย่างไร้ศักดิศรี
เป็นการขายโดยผ่านนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยึดสมบัติชาติเป็นสมบัติตัวและพวกพ้อง ผ่านทางการกระจายหุ้นในตลาด และให้ Nominee ทั้งไทยและฝรั่งเข้ามาถือครอง
ดึงต่างชาติเข้ามาร่วมถือครองรัฐวิสาหกิจที่เป็นสมบัติชาติ
ขายสถานีโทรทัศน์ และดาวเทียม ซึ่งมีความละเอียดอ่อนเรื่องความมั่นคง ให้ต่างชาติ |
9 |
ไม่ขายสมบัติชาติ ปกป้องศักดิศรีชาติ
พยายามปกป้องผลประโยชน์ของคนในชาติ ไม่ยอมให้อเมริกามาครอบงำประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า “ผมยืนยันว่าในฐานะนายกฯ จะไม่ยอมให้ประเทศใดเข้ามาแทรกแซงบ้านเรา ทุกประเทศมีศักดิ์ศรี ประเทศไทยก็ต้องมีศักดิ์ศรี เราให้เกียรติกับทุกประเทศ ผมไม่เคยไปต่อต้านใคร แต่ผมเสียใจได้ในการแสดงความคิดเห็นบางอย่างที่มันไม่ใช่ ไปฟังข้างนี้แล้วออกมาพูดแบบนี้มันไม่ใช่ ผมไม่ใช่ศัตรูของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องประชาธิปไตย เขาก็คิดถึงประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่อย่าลืมว่าคนของเรา วิถีชีวิตของเราหรือผู้นำทางการเมืองของเราในอดีต ไม่เหมือนของเขา สหรัฐต้องฟังบริบทเหล่านี้ด้วย” |
10 |
|
|
|
11 |
วงการสงฆ์มีแต่ความแปดเปื้อนโสมมหมักหมมเน่าในมากย่ิงขี้น ทักษิณและครอบครัวรวมทั้งบริวารสนับสนุนวัดพระธรรมกาย ที่ผ่านมาวัดธรรมกายสามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ เป็นลักษณะจัดตั้งแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินสนับสนุนกับวัดในต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
|
11 |
มีการทำความสะอาดชำระความทุจริตในวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ เช่นกรณีปราบปรามวัดพระธรรมกาย การตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ที่ขอเงินทอนวัดกว่าร้อยละ 80 และมีวัดดังหลายแห่งเกี่ยวข้อง จนสามารถจับกุมพระผู้ใหญ่ระดับกรรมการมส.ได้ ลดความขัดแย้ง โดยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชและ กรรมการมส. หรือแม้แต่การให้ส่งตัวเณรคำในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาชำระคดีในประเทศไทย
|
12 |
|
|
|
13 |
ทักษิณและนอมินี เป็นรัฐบาล พรรคพวกมีแต่รวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา |
13 |
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯไม่มีข่าวว่ารวยขึ้นอย่างผิดปกติแต่อย่างใดทั้งที่เป็นยุคการสื่อสารไร้พรหมแดน ต้องถูกตรวจสอบอย่างมากแต่นายกฯประยุทธ์กลับประพฤติตนตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้ชีวิตพอเพียง |
14 |
มีการเพิ่มขึ้นของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ...เหตุการณ์ และคดีที่มีเงื่อนงำ และเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล - ชิปปิ้งหมูถูกฆ่าตาย - อุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิต - สั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่กรือเซะ, ตากใบ - ฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด อัยการสูงสุด “นายพชร ยุติธรรมดำรง” มีคำสั่งให้ถอนฟ้องพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย รัฐบาลทักษิณใช้สถานที่จัดประชุมผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในวัดธรรมกาย มีทั้งสว. และรัฐมนตรีที่เป็นลูกศิษย์
|
14 |
มีการลดลงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น แก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย และ การปราบปรามผู้มีอิทธิพล ถือเป็นมาตรการที่ รัฐบาลและ คสช.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องดำเนินการโดยทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยกวาดล้างจับกุมอาวุธสงคราม อาวุธปืน กระสุน และวัตถุระเบิดได้จำนวนมาก มีผู้เกี่ยวข้องกว่า 30,000 คน รวมถึงและกำลังจับตาเครือข่ายและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง |
พ่อครูว่า...เขามั่นใจว่าค่ายกลที่เขาได้วางไว้ จะทำให้เขาได้รับเลือกตั้งอีก เขามั่นใจขนาดว่า ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการดูถูกประชาชนไทยมากเลย
นี่คือข้อเปรียบเทียบ รัฐบาล คสช.กับรัฐบาลทักษิณ โดยอาตมาไม่ได้อคติไม่ได้แกล้ง มันเป็นความจริงที่ต่างกันราวก้นเหวกับท้องฟ้า ก็พูดไปตามเนื้อผ้า อาตมาก็ยังไม่เห็นรัฐบาลไหนจะขยันเท่ารัฐบาลนี้ ในการที่จะทำนโยบายพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ซึ่งมันไม่ง่ายที่จะช่วยประเทศที่เกือบจะล่มจมขนาดนี้แม้แต่หนี้สินที่น้องสาวทักษิณทำไว้รัฐบาลนี้ก็ต้องมาแก้ให้ มันเป็นเรื่องซับซ้อน จะเอาตัวเลขที่ตื้นและง่ายในปัจจุบันนี้มาตัดสินไม่ได้เพราะมันมีเรื่องที่ทับซ้อนเกินไปอีกเท่าไหร่ มันไม่กินตัวเองได้ ดอกเบี้ยทบต้นเหมือนกันนะ แต่นี่มันสามารถที่จะกอบกู้ขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ก็ดีแล้ว
พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ขออภัยอย่าหาว่าชมเชยตัวเอง ถ้ามาเอาหลักของพระพุทธเจ้ามาทำกับชาวอโศก ซึ่งสามารถที่จะทำให้พวกเรามีเศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคี ซึ่งยังไม่เคยมีในโลก เศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคีคือเสียภาษีเข้ากองกลางร้อยเปอร์เซ็นต์ สมาชิกของสังคมทำงานฟรี ก็เท่ากับเสียภาษีเข้าส่วนกลาง 100% แล้วร่วมกันกินอยู่เป็นแบบระบบคอมมูนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ประชาธิปไตยก็ต้องการ ต้องการเงินเข้ากองกลางเข้ารัฐบาลให้มากที่สุดเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ต้องการให้คนเสียภาษีให้เงินเข้ากองกลางให้ได้รายได้เข้ากองคลังให้ได้มากที่สุด แล้วระบบของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำนี่มันเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์มันจบแล้วสูงสุดแล้ว แล้วก็เป็นคอมมูนที่สูงสุด คอมมูนที่ใหญ่ ยิ่งกว่า คิบบุช ยิ่งกว่าอิโตเอนยิ่งกว่า อาร์มิช ยิ่งกว่ายูโทเปียที่โทมัสมอร์เขียนไว้
จริงที่อาจจะไม่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศแต่มันก็เป็นระบบวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมที่จริงในชาวอโศก ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชน จะมี 10-20 ชุมชน 50 ชุมชน ตั้งแต่ใหญ่จนถึงเล็กกระจายอยู่ทั่วประเทศไทยขณะนี้ เป็นระบบสาธารณโภคีทั้งนั้น ซึ่ง พิสูจน์ในยุคทุนนิยมสามานย์ที่เขาเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวจัดจ้าน เราก็ยังเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศอธิบาย คนไทยยังสามารถรับได้มาเป็นอย่างนี้ได้ อิสระเสรีภาพไม่มีใครบังคับพวกคุณมา เห็นดีเห็นงามก็เข้ามาเอง ขนาดนี้ยังได้เลยท่ามกลางทุนนิยมสามารถที่รุนแรงเลวร้ายขนาดนี้ ยังสามารถที่จะพิสูจน์ความเป็นจริงโดยอิสระเสรีภาพไม่ได้มีการครอบงำไม่มี
อาตมาว่าอาตมาไม่ได้บรรยายธรรมะอย่างประเภทปะเหลาะอ่อย ๆ แต่อย่างใด มีแต่ต้องมาลดและขยันหมั่นเพียรเสียสละไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน ให้มาช่วยสร้างสรรทำงานรับใช้มวลชน สุดยอดประชาธิปไตย พวกคุณก็เข้ามา ทุกคนก็ช่วยกันดู ใครที่เข้ามาเห็นแก่ตัวในนี้ก็จะเหล่ตากัน แล้วปากหอกพวกเราไม่เบานะ จนกระทั่งมีอำนาจในสังคมเอง คนที่จะมาทำเลวร้ายในกลุ่มของเราไม่ได้เลยเป็นสนามแม่เหล็กที่มีพลัง ตัวโมเลกุลพลังงานที่เกเรเข้ามา nuisance มันไม่สามารถอยู่ได้ ทุกพลังงานของพวกเราเตะกระเด็นไป พูดอย่างเป็นรูปธรรม ที่จริงก็ไม่ได้อยาบคายอะไรแต่มันอยู่ไม่ได้จริงๆ สิ่งที่เป็นจริงเหล่านี้อาตมาทำงานทางด้านมนุษยชาติสังคมมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อาตมาถึงเข้าใจ
พระพุทธเจ้าถึงต้องผ่านการเป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา อาตมาไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับสูงเกินการ ทำได้ขนาดนี้มีประสบการณ์ขนาดนี้อย่างนี้ก็ขอยืนยันว่าไม่ใช่แค่ชาติเดียว ทำการบริหารมาสารพัด มาในชาตินี้อาตมามาทำงานเป็นโพธิสัตว์เป็นคนต่ำต้อย ทางโลกไม่มีอะไรเลย เหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งในสังคม ทุกวันนี้ขี้เรือนก็หายไปแล้วแต่ก็ยังเป็นหมาน่อยในสังคม ก็ยังทำงานได้ ยังมีหมาหางด้วนมาทำงานตามก็ยังเป็นกลุ่มหมู่ในสังคมประเทศ
มาเป็นคนจน มาเป็นแบบอย่างคนจน เศรษฐกิจแบบคนจนนี้เป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนจะเข้าใจไม่ง่าย ในหลวงของเราตรัสอย่างเป็นสัจธรรม คนหูหัก ต้องบริหารแบบคนจน ต้องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เป็นสัจจะที่ชาวอโศกทำได้พิสูจน์ยืนยันสัจจะไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อที่พูดแล้วเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องพิเศษ
เมืองไทยเป็นเมืองที่คนมีจิตวิญญาณแบบนี้ถ้ารัฐบาลเข้าใจแล้วส่งเสริมเห็นด้วย พยายาม แต่เขาคงจะเกรงใจนายทุนหรือเปล่าไม่รู้ อย่าไปเกรงใจเลยนายทุน อันนี้ถ้าทำได้แล้วประเทศชาติจะเป็นตัวอย่างของโลกได้อย่างวิเศษสุด เป็นคนจนไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเป็นคนจนเป็นเรื่องที่น่าเคารพบูชาไม่ใช่คนจนงอมืองอเท้าขี้เกียจขี้คร้านคนจนอย่างสำมะเลเทเมาเลอะเทอะ เป็นคนจนมีภูมิธรรมมีความรู้มีความเสียสละมีจิตที่มักน้อยสันโดษ เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียรเป็นคนจนที่มีปัญญารู้ อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อะไรควรจะเสีย แคลอรี่ อะไรไม่ควรจะเสียแคลอรี่ ไม่ไปจ่ายแคลอรี่ที่ไร้สาระ
สมณะฟ้าไท สรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:24:05 )
รายละเอียด
611216_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วิธีตรวจกึ๋นผู้มาอาสาทำงานการเมืองไทย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1-PBqL79De7Pnugn0CAupPi82HFr4lDJaP-FonniXzGw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1_bmI8YBW5oMj7Kw6vhVLeRQ6ugDLEfxA
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวขึ้น ใครที่จะมางานเพื่อฟ้าดินก็เตรียมตัวกันหนาวมาด้วย สังคมไทยตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งนั้นไม่ใช่เป็นข้อสำคัญหรือเป็นส่วนใหญ่ของประชาธิปไตยเลย เป็นส่วนเล็กน้อยเท่านั้นของประชาธิปไตย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ผู้นำประชาธิปไตยต้องมีลักษณะมหาบุรุษ 4 ประการ
พ่อครูว่า...อาตมากำลังพูดอจินไตยประชาธิปไตยเมืองไทย พยายามแยกแยะขยายความให้ชัดเจน กำลังขยายความแจกแจงว่า ประชาธิปไตยขาเดียวประชาธิปไตยสองขาประชาธิปไตยสามเส้า
การเมืองขาเดียวหรือประชาธิปไตยขาเดียว มันเป็นคนพิการ คนจะมีขาเดียวได้อย่างไรต้องมี 2 ขา (ศาลพระภูมิ) ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เรื่องคำว่า 2 คำว่า เทวะ แปลว่า 2 มันยิ่งใหญ่ในเรื่องของสัตว์โลกเรื่องของจิตนิยาม จิตวิญญาณ ที่จะมีความรู้ในเรื่องของรูปนาม
เรื่อง 2 เทวฺธัมมา ต้องทำงานควบคู่กันไปตั้งแต่อุตุนิยาม มีพลังงานบวกลบก็มีสอง จับตัวเป็นรูปร่างอะไรขึ้นมาก็เริ่มต้นจาก 2 ทั้งนั้น แล้วถึงจะมีบทบาทกิริยาอำนาจอิทธิพลอะไรขึ้นมา ประชาธิปไตยที่เขาเน้นแค่การเลือกตั้ง ส่วนวิธีการอะไรต่างๆที่จะเป็นอย่างไรต่างๆช่างมันขอให้เลือกตั้งนี้ถือว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยเขามีแค่นั้น นอกนั้นจะไปอย่างไรมาอย่างไรพฤติกรรมจะเป็นอย่างไรมีความรู้อย่างไร มีจิตวิญญาณอย่างไรไม่รู้ เลือกตั้งมานี่แหละเขาก็ว่าเป็นประชาธิปไตยหมด ขอให้มีคำว่าเลือกตั้งอันเดียว ก็เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าไม่มีเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ
ถ้าเป็นสัตว์ไม่มีขาเสียก็แล้วไปเป็นสัตว์น้ำ เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ยังไม่มีขาเป็นไส้เดือนกิ้งกือหรือกิ้งกือก็มีขานับไม่ถ้วน มันมีมากไปก็เลยต้องย่อยให้น้อยลงจนกระทั่งเหลือแค่ 2 ขา สง่าที่สุด 4 ขานี่ก็ยังเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่ 2 ขานี่ยืนขึ้นสง่าผ่าเผย สูงสุดแล้วในเรื่องของความเป็นมนุษย์
ความเป็นสัตว์ที่พัฒนาการจนกระทั่งมาเป็นคนที่ยืนได้ตรง จะมีวิวัฒนาการจากลิงมาก็มีความโค้งจนกระทั่งเดินตรงแข็งแรง ยืนหยัดสู้กับอำนาจจุดศูนย์ถ่วงของโลก แข็งขืนกับแรงโน้มถ่วงของโลกได้อย่างดีที่สุด นี่คือมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่สูงสุดแล้วในมหาจักรวาลนี้
อาตมากำลังพูดถึงประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง เมื่อลงคะแนนเสร็จแล้วก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยมันก็จริงเราไม่เถียง มันก็เป็นส่วนหนึ่งเป็นลักษณะแสดงออกอย่างนึง เป็นกรรมวิธีที่ตื้น เปลือกเปลือก การจะไปลงรับเลือกตั้งก็ต้องหาเสียง อาตมาก็ยืนยันอธิบายว่า การหาเสียงอยู่นี้ ผู้ที่ยังหาเสียงให้แก่ตัวเอง โฆษณา propaganda ตะโกนโหวกเหวกว่าฉันดี หาเสียง มันยังไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นการพูดบอกตัวเองตะโกนบอกตัวเอง แต่ถ้าให้ประชาชนเขาดูเองได้ไหม คุณปฏิบัติตนกระทำอยู่ในสังคมนี้จนกระทั่ง ประชาชนเขารู้เอง ให้เขาตัดสินเองนั่นคือประชาธิปไตย ประชาชนทั้งหลายเขาใช้ความคิดที่มีอิสระเสรีภาพไม่มีอัตตาเขาเอง จะมีอัตตาหรือไม่มีอัตตาก็เป็นตัวของเขาเองสมบูรณ์เป็นผู้วินิจฉัยตัดสินเอง เลือกเองว่าเลือกคนนี้ จำนวนประชาชนแต่ละคนเลือกรวมกัน จะมีวิธีการก็ดีก็ใช้ได้ เราไม่ได้เกี่ยงไม่ได้ว่าอะไร แต่มันเป็นวิธีการที่ตื้นๆ วิธีการที่ให้คนไปลงคะแนนเสียง เพราะฉะนั้นที่ทำกันอยู่นี่ยืนหยัดยืนยันตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คืออเมริกา เขาถือว่าอันนี้เป็นเรื่องใหญ่
ทีนี้ถ้าพูดว่า มีการกระทำให้คนมาเลือกโดยใช้อำนาจทุนรอน อำนาจเงิน ใช้อำนาจในหน้าที่ตำแหน่ง ใช้อำนาจในอำนาจนักเลงหัวไม้ก็แล้วแต่ อำนาจสารพัดที่จะหว่านล้อมเอามาใช้ประกอบคนมันเก่งและฉลาดเฉโก ที่จะเอาประโยชน์สร้างอะไรให้แก่ตัวเองจนกระทั่งมีอิทธิพล ถ้าคุณมีทุนรอนสนับสนุนเป็นหมื่นล้านอย่างที่เขาใช้กันอยู่ แสนล้านนั่นแหละอย่าว่าแต่หมื่นล้านเลย อยู่อเมริกาถ้าไม่มีทุนถึงหมื่นล้านขึ้นเพื่อใช้ในการหาเสียง ไม่มีทางได้เป็นประธานาธิบดีหรอก ให้มันบริสุทธิ์สะอาดจริงๆเลยไม่ต้องหาเสียง มีกี่เบอร์หากันมา หัวกะทิก็มี 2 คนนั่นแหละใครจะแน่กว่ากัน ติดประกาศบอกชื่อเสียงให้คนเขารู้ไม่มีการโฆษณา ก็อยู่กันมาก็พอจะรู้ว่า คนไหนมีวัยวุฒิมีวุฒิภาวะที่จะบริหารประเทศได้คนก็จะรู้จักมักจี่กัน แต่คนที่โตขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วจะให้คนเขาเลือกได้อย่างไร คนไม่ได้รับซับทราบเลย คนนี้แม้จะอายุน้อยแต่เขามีประสิทธิภาพเก่งทำงานมาไม่กี่ปีคนก็เห็นชอบตาม แล้วคนมาทำงานตั้ง 10 ปี 20 ปี 30 ปี ยังไม่เข้าตา มีคนให้ข้อมูลว่าใช้ 175 บาทต่อ 1 เสียง เขาได้คะแนนเสียงหลายสิบล้านคน นี่เป็นตัวอย่างที่จะเป็นปรากฏการณ์ในโลก ให้ได้เรียนรู้กันไป
ประชาธิปไตย 2 ขาเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ ตามความเป็นมนุษย์มีกายกับจิต มีพฤติกรรม รูปกับนาม วัตถุกับจิต เป็นสภาวะเทวะ ธรรมะ 2 ที่จะเกิดพลวัตอะไรกันขึ้นมา ต้องเป็นประชาธิปไตย 2 ขาจึงจะสมบูรณ์ ประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่ประชาชนเลือกตั้งไม่มีกษัตริย์ที่สืบทอดสันตติวงศ์
การสืบทอดสันตติวงศ์จะมีกฎมณเฑียรบาล พระประยูรวงศ์ต่างๆทุกพระองค์จะต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาลจะต้องฝึกฝนตนเอง จะต้องอยู่ในกรอบ คนจะต้องมีวุฒิภาวะคุณภาวะต่างๆ เพื่อที่จะเป็นผู้ที่สูงได้ทั้งภูมิปัญญาทางพฤติกรรมทางจิตวิญญาณ อะไรต่างๆนานา เท่าที่มนุษย์จะเป็นไปได้ มนุษย์ทุกประเทศทุกชาติรู้กันมาแต่โบราณ จนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่โบราณก็มีหัวหน้าเผ่าหัวหน้ากลุ่ม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังมีกษัตริย์ ที่เราใช้ศัพท์คำว่ากษัตริย์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ชน เป็นรากเหง้าอันเดิม เป็นวัฒนธรรมที่พัฒนากันมา จนถึงวันนี้ มันถอนไปไม่ได้ในความเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสัตว์โขลงแม้แต่สัตว์ก็ยังมีหัวหน้าฝูง
กษัตริย์ที่จะดีจะต้องมีทศพิธราชธรรม ที่สูงส่ง ละเอียดลออวิเศษเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประชาธิปไตยที่ดีขึ้นเท่านั้น ดังที่ประเทศไทย มีตัวอย่างมาแล้ว น่าจะเป็นตัวอย่างแก่โลกเขาต่อไปอีกคือประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งก็ได้รับคำยอมรับจากต่างประเทศว่าเป็น King of king อย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสองขาอย่างสมบูรณ์แบบมีทั้งกายและจิต มีทั้งรูปและนามไม่ขาดตกบกพร่อง ในความเป็นชีวะแห่งมนุษย์ ชีวะขั้นจิตนิยาม
ประชาธิปไตยขาเดียวขาดจิตวิญญาณจะเอาแต่การเลือกตั้งเป็นหลักใหญ่เท่านั้นเพราะเขาไม่มีอะไรดีกว่านั้น ไม่ลึกซึ้ง ส่วนประชาธิปไตยที่เราไม่ได้ปฏิเสธการเลือกตั้งมีประโยชน์ แต่ควรเป็นรองอย่างยิ่ง เราก็ไม่ได้ตีทิ้งทีเดียว แต่ไม่สำคัญ ไม่เป็นเอก เป็นแต่เพียงรองๆๆอย่างมากสำหรับการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับคนทั่วไป ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ ถ้าหากเข้าใจเนื้อหาสาระเนื้อแท้ของประชาธิปไตย
พฤติกรรมเนื้อแท้ของผู้บริหารที่เป็นเนื้อสำคัญ มีพฤติกรรม มีความรู้ความสามารถ ที่จะทำงานให้แก่สังคม การทำงานให้แก่สังคมนั้นอาตมาพยายามจะเอาธรรมะพุทธเจ้ามาเป็นหลัก ผู้ที่จะบริหารประเทศเป็นผู้นำนั้นจะต้องเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่
วัสสการสูตร
[35] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถานใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของพระเจ้ากรุงมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอเป็นเครื่องให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เราย่อมบัญญัติผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ธรรม 4 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้สดับเรื่องที่สดับแล้วนั้นๆมาก ย่อมรู้อรรถแห่งภาษิตนั้นๆ ว่า
นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้ 1 เป็นผู้มีสติ ระลึก ตามระลึกซึ่งสิ่งที่กระทำคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ 1 เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในกรณียกิจอันเป็นของคฤหัสถ์ 1 เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นทางดำเนินในกรณียกิจนั้น สามารถเพื่อจะทำ สามารถจะจัดแจงได้ 1 เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์พึงอนุโมทนาขอท่านพระโคดมทรงอนุโมทนาแก่ข้าพระองค์ แต่ถ้าข้าพระองค์พึงคัดค้าน ขอท่านพระโคดมทรงคัดค้านแก่ข้าพระองค์ ดังนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาแก่ท่านเลยเราไม่คัดค้านเลย
ดูกรพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการแล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ธรรม 4 ประการเป็นไฉน ดูกรพราหมณ์
1.บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม
2.บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้นย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจ(เจโตวสิปัตโต)ในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้
3. เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
4.กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง (พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 35)
อาตมาสรุปว่า สามเส้านี้คือประชาธิปไตย พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ถ้าใครไม่ติดในพยัญชนะพิจารณาในความหมายต่างๆก็จะรู้ว่านี่คือสัจจะที่แท้จริง
เจโตวสิปัตโต คือ มีความสามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ตามประสงค์ จะให้จิตเรามีพลังงานอย่างนี้มีการดำริอย่างนี้ ตักกะอย่างนี้ จะให้จิตเกิดขึ้นมาอย่างไรจนแข็งแรงเท่าใดก็ทำได้ดังประสงค์ เท่าแต่ฐานะของแต่ละคน ถือว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุดทำได้มากที่สุดโพธิสัตว์รองลงไปก็ฝึกไป ก็ทำได้ไปตามลำดับ อาตมาก็มีอยู่ขนาดหนึ่งของอาตมา ตามความเป็นจริงที่เราฝึกฝนมาได้ ไม่มีใครทำได้เกินตัวเอง บางทีเป็นแต่เพียงว่าตัวเองไม่เก่งที่จะทำออกไปให้แก่คนอื่นเรียกว่าถ่อมตน ก็เท่านั้นเอง มีเท่าไหร่ก็ทำได้เท่าที่เราจะทำได้
มีเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
4 ประการนี้เป็นลักษณะที่ฝึกฝนได้ พระพุทธเจ้าฝึกฝนมาไม่รู้กี่ล้านชาติและได้ประพฤติมาจริง อาตมาก็ได้ฝึกฝนมาตามฐานะจึงได้พูดสิ่งนี้ได้อย่างสะดวกใจสบายใจ
ผู้ที่จะทำงานกับมนุษยชาติกับปวงชน ก็จะต้องมีความเป็นมหาบุรุษ 4 นี้ควรจะมาก หากไม่มีเสียเลยเป็นอนุบุรุษ ไม่ใช่มหาบุรุษ เป็นมหาบุรุษไม่ได้
ผู้ที่สามารถบริหารประเทศได้นั้น อาตมาพยายามจะรวบรวมทั้งความคิดตัวเองและของคนอื่นมา เอาเนื้อแท้ที่เราเข้าใจเชื่อถือว่าเราเอาของเราเป็นตัวตัดสิน ของคนอื่นอันไหนที่ดีก็ขอเอามา อย่างนี้เป็นพฤติกรรมเป็นอาการของมนุษย์ที่ดี เราก็ขอเอามาใช้บรรยายบอกกล่าว ว่าลักษณะอย่างนี้เป็นสิ่งประเสริฐ
ผู้ที่จะเป็นนักรัฐศาสตร์นักบริหารประเทศชาติที่ดี ก็ควรจะต้องมีความรู้และจะต้องสร้างพลังความสามารถในตน ให้มันได้ดั่งที่ผู้รู้ทั้งหลายท่านก็ประมวล ท่านพยายามรวบรวมไว้ให้คนได้ศึกษาฝึกฝนอบรมตนเอง อย่างที่กล่าวไปแล้วอย่างน้อย 4 ข้อนี้
การแสดงออกของบุคคลเหล่านั้น ของผู้ที่จะบริหารประเทศ ขณะนี้ก็มีบุคคลจริงมีนักประพฤติจริง อาตมาว่าหากไม่ลำเอียงไม่มีอคติ ก็ตรวจสอบได้ ในคนไทยเราก็เอาคนไทยเป็นหลักเราอยู่ในประเทศไทยที่กำลังพัฒนาการ อยู่ในสังคมไทยเรา จะดีไม่ดีก็คนไทย ผู้บริหารประเทศจะต้องตรวจสอบ ผู้นำมาเรียกว่านายกรัฐมนตรีของไทย 29 คน ก็มีประวัติ ศึกษาได้ อาตมาก็พอได้ศึกษามาเท่าทีมีภูมิ ก็เห็นว่ามาถึงปัจจุบันนี้มันลงตัว ทั้งพระมหากษัตริย์ ของเราเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ต้องมีทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนที่จะเป็นผู้นำเป็นหัวหน้า โดยเฉพาะมีความหมายมาก ว่ากษัตริย์ท่านจะทรงเป็นกลาง ทรงละเอียดลออลึกซึ้ง จนกระทั่งพูดถึงว่า The King Can do No Wrong จะทำอะไรก็ผิดไม่ได้นะ ซึ่ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกเองว่าพูดอย่างนี้มันหนักไป บอกว่า The King ก็เป็นคนนะ จะทำอะไรไม่ผิดเสียเลยได้อย่างไร เป็นคนก็ไม่น่าจะพูดถึงอย่างนั้นท่านก็ว่า มันก็น่าจะผิดได้บ้าง แต่แน่นอน เป็นในหลวงเป็นกษัตริย์ก็ไม่ควรจะต้องผิด แต่จะไปบังคับว่าไม่ให้ผิดมันเกินธรรมชาติ ถ้าท่านเองท่านไม่ถือดีไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง แสดงถึงปรีชาญาณ พระทัยอันสุดยอด ท่านไม่มีอัตตาตัวตนไม่หลงตัวหลงตน มันต่างกันคนละขั้วเลยกับโดนัลด์ทรัมป์ พฤติกรรมที่แสดงออก สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมันชัดเจนอย่างนี้เป็นต้น
ขออภัยที่ต้องเอาตัวบุคคลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่พอซับทราบกันได้มาศึกษา ที่มีของจริงให้เราได้อ่าน ได้เป็นข้อวินิจฉัย เป็น specimen เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นของจริง เป็นปรากฏการณ์จริงในโลกขณะนี้
เพราะฉะนั้นในโลกที่มี 2 หน่วยมีกษัตริย์และก็มีนายกฯ เป็นประชาธิปไตย 2 เป็นเทวะ อันนี้มันสมบูรณ์ จิตวิญญาณของกษัตริย์ท่านก็รักษาให้สะอาด ส่วนสมมติสัจจะจะผิดพลาดบกพร่องบ้าง สมมติสัจจะก็เป็นที่รู้กัน ก็ต้องยกให้เป็นรอง 1 นี้ต้องรักษา เพราะฉะนั้นจะให้กษัตริย์มาเต็มที่เหมือนอย่างกับอีกอันนึงนี่ มันจะไม่เหลืออะไร มันจะแปดเปื้อนง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นวิธีการนี้เป็นวิธีการอันชาญฉลาดของมนุษย์โลก ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงทุกวันนี้อาตมาว่ายิ่งฉลาดต่อไป ว่านี้ต้องมี 2 หน่วย ต้องมีรูปนาม
มันจะต้องมีสิ่งที่เกื้อกูลช่วยเหลือกันอย่างนี้ตลอดเวลา จะต้องช่วยกันรักษาสิ่งประเสริฐนี้ ต้องมีผู้หนึ่งที่เป็นผู้รองรับอีกสิ่งหนึ่งให้สะอาดบริสุทธิ์ไว้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นั้นจะเห็นแก่ตัว แต่ผู้ที่จะสะอาดบริสุทธิ์ก็ควรจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ ที่จริงแล้วผู้สะอาดบริสุทธิ์จะมาเป็นอย่างนี้แล้วก็เป็นได้แต่ไม่ควรจะมาให้ท่านเป็น ท่านควรจะต้องอยู่ในฐานะนั้นและอีกหนึ่งฐานะจะต้องช่วย มันเป็นเรื่องสัจจะที่ บางคนบอกว่ามันหลง มันต้องเสมอภาคกันสิ พวกนี้มันไม่รู้จักสัจจะ
ต้องมี 2 สิ่งต้องเข้าใจอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ซึ่งเป็นเอกบุรุษ เขาไม่เรียกเอกสตรี มีแต่ที่อเมริกาบอกว่าสตรีหมายเลข 1 เขาก็ตั้งของเขาเอง หลงตัวหลงตนมาก อเมริกา บัญญัติอะไรให้คนเอาตาม คนผู้ที่อ่อนแอกลัวอำนาจของอาวุธร้าย กลัวอำนาจก็ยอม แต่คนที่ไม่กลัวอาวุธร้าย ไม่กลัวอำนาจบาตรใจ เข้าใจชีวะเข้าใจจิตวิญญาณ rebirth หมุนเวียนจิตวิญญาณเกิดแล้วเกิดอีกเป็นอเทวนิยมเขาไม่กลัวหรอก แต่เทวนิยมนี้กลัว ตายแล้วกลัวจะไปในนรก ที่พระเจ้าบันดาล เป็นเรื่องลึกลับ ซึ่งศาสนาพุทธไม่มีความลึกลับเหล่านั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ตรวจกึ๋นผู้มาอาสาทำงานการเมืองไทย
อาตมาพยายามรวบรวมภาษา พูดให้เข้าใจง่าย อย่าง เราคิดอะไรฉบับใหม่ของเดือนมกราคม จะออกวางตลาด อาตมาก็พยายามรวบรวมเอาไว้ 3 คำ
1. ขยันรับใช้
2. มีแต่ให้
3. ไม่มีอคติ
3 หลักนี้จะสำคัญอย่างยิ่งเลย ดูได้ อ่านพฤติกรรมนี้ได้จากมนุษย์ เห็นได้สัมผัสได้ คนเด็ก คนกลาง หนุ่มสาว ผู้ใหญ่สัมผัสได้
(1) “บริหาร”ต้องตรึกไว้ สุดสำคัญ
“ขยันรับใช้”คือบรร- ทัดแท้
ประชาธิปไตยอัน ล้ำค่า
ซึ่งวิเศษวิศิษฏ์แก้ วิกฤติได้ทันที
(2) การเมือง“มีแต่ให้” ยิ่งสำคัญ
“ไม่อคติ”ต่อกัน เลิศล้ำ
“อภิบาล”อย่างดีสรร แต่ช่วย ประชาเทอญ
“สังคหะ”แถมสละซ้ำ ยิ่งย้ำพระสอน
(3) สังวรตนหลุดพ้น โลกีย์
คือศาสตร์“สวนกระแส”มี แต่ให้
มันแปลกประหลาดดี มีรึ ดังฤา
หรือแต่เพียงบอกใบ้ ใช่แท้เท็จผจญ
(4) คนไทยเลือดพุทธแท้ เต็มตัว
แต่ไป่ใส่ใจมัว มุ่งบ้า
ถูกหลอกปั่นหูหัว จมลาภ ยศเฮย
หลงโลกธรรมด้านกล้า เก่งสู้ดักดาน
(5) สานธรรมนำสัจจ์ให้ กลับเมิน
ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน มนุษย์แท้
ทำชีวิตห่างเหิน พุทธสัจ
โง่บ่รู้จักแก้ ดนุด้อยดูใด
(6) ทำไฉนจึ่งจักก้าว- หน้าที สรรแต่กิจกรรมดี ซื่อซ้ำ
ชีวิตใช่จักมี แต่ต่ำ ฤาแล
เอาส่วนสูงเจริญค้ำ ชีพบ้างเถิดคน
(7) ตรวจค้นผู้สมัครเข้า อาสา
ใคร*เล่นการเมืองมา เก่านั้น
มีกึ๋นเท่าใดหา ดูเถิด ไทยเอย
ปัจจุบันนี้ต่างชั้น เปลี่ยนแล้วยุคสมัย
“สไมย์ จำปาแพง”8 ธ.ค. 2561 [นัยปก “เราคิดอะไร”ฉบับ 342 ประจำเดือนมกราคม 2562]
พ่อครูว่า...ขณะนี้เรามาพูดถึงการเมืองซึ่งขาดธรรมะไม่ได้ บุคคลใดจะมาเป็นนักการเมืองต้องมีธรรมะ เป็นผู้ขยันรับใช้เป็นผู้มีแต่ให้เป็นผู้ไม่มีอคติ แล้วที่อาตมาอธิบายพูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว ว่า ประชาธิปไตยหรือการเมืองนั้นมันจะต้องมี 1 จะต้องรู้จักอิสระ รู้จักอิสระเสรีภาพ ตัวเองจะต้องเป็นผู้ที่มีอิสระเสรีภาพในตัวตน และก็ต้องให้บุคคลอื่นเขามีอิสระเสรีภาพสูงสุด เข้าใจเนื้อหาแท้ของอิสระเสรีภาพว่าคืออะไร ตนเองต้องชัดซึ่งตนเองต้องมีในตัวเองอย่างจริงใจ สุดชื่นชอบในความอิสระ เราก็จะต้องให้คนอื่นเขาได้สิ่งนี้มีสิ่งนี้ฉันเดียวกัน อิสระเสรีภาพ ต้องแน่จริง คนมีประชาธิปไตยต้องให้คนมีอิสระเสรีภาพ ซึ่ง อาตมาเห็นว่าเมืองไทยนี้ทำได้มากเลย แต่มันจำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบเพราะว่าคนมันดื้อด้านดึงดัน ถ้าไม่มีกฎหลักกฎเกณฑ์ มันเอาไม่อยู่ แต่กระนั้นก็ตาม ม.44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ตัดหัวได้เลยเหมือนกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จับเข้าคุกสั่งประหารชีวิตได้ว่างั้นเถอะ แต่เขาไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในทางนั้นเลย แต่เขามีสิทธิ์ใช้ แต่ไม่ได้ใช้ เป็นแต่เพียงว่า วางไว้เป็นสิ่งที่เคารพนับถือยำเกรง ใช้ได้ เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วคนไทยก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ถึงจะเป็นคนเลว ที่เหลืออยู่ในประเทศไทยก็ยังไม่เลวจัด เลวจัดนั้นมีอำนาจที่สวยที่สุด ไม่ได้บังคับเขา เขามีอิสระแต่เขาก็เข้ามาไม่ได้ เห็นกำแพงไร้สภาพไหม กำแพงไร้สภาพเป็นนามธรรมแต่เข้ามาไม่ได้ เชิญเลยคุณมีสิทธิ์เข้ามาได้ที่นี่ไม่ได้ห้าม แต่ไม่กล้าเอง เข้ามาสิ เพราะเขาเข้ามาไม่ได้ เข้ามายังมีคดีที่รอรับอีกไม่รู้กี่คดีที่จะขึ้นศาล คดีเดียวนี้ยังกลัวหน้าแหกขนหัวลุก ว่อนๆเป็นสัมภเวสีอยู่ที่ไหนไม่รู้ ซึ่งมันซับซ้อนมากเลย
เขาต้องมีอะไรอย่างหนึ่งเป็นตัวของเขาก็คือว่า มีสิ่งที่ชั่วร้ายคือโกงเอาเงินไว้ได้มาก ก็เลยใช้อำนาจเงินนั้นอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นในโลกทุกวันนี้ คนจึงยังหลงอำนาจเงินอยู่ สักวันหนึ่งจะรู้กันดีว่าอำนาจเงินไม่มีท่าอะไรเลย อำนาจเงินคือธนบัตรคือกระดาษเปื้อนสี ขณะนี้ถ้าจัดการได้ คือ Dollar ซึ่งเป็นธนบัตรที่ไร้ค่าที่สุดในโลกตอนนี้ ถ้าหากคืนค่าดอลลาร์นี้ให้แก่เจ้าของ เอาสิ่งที่มีค่าอันอื่นที่สำคัญเอาข้าวเอาน้ำเอาผักพืช สิ่งอะไรต่างๆ แม้จะเอาวัตถุทองคำ หรือว่าเพชรนิลจินดาที่เป็นของหายากตามธรรมชาติมาเป็นของมีค่า จริงก็ได้ เขาก็ไม่มี เจ้าของดอลล่าร์ทุกวันนี้ไม่มี จึงได้แต่แยกเขี้ยวขู่คนอื่น สักวันหนึ่ง เขี้ยวเก๊เหล่านี้ เดี๋ยวจะส่งลิงแสมไปหักเขี้ยวเขาให้ เหมือนสิงโตแก่ ตอนนี้ก็ได้แต่เบ่งกล้ามไปเฉยๆ ขออภัยที่ต้องพูดสัจธรรม เป็นปรากฏการณ์จริง phenomenon ก็ขอบคุณที่ให้เอามาใช้เป็นตัวอย่างศึกษา
แสดงถึงพฤติกรรมที่ไม่มีอิสระเสรีภาพมีแต่การครอบงำบังคับกดขี่ ไม่มีอิสระเสรีภาพ และเขาก็ไม่มีความรู้ในเรื่องของความเป็นอัตตาตัวตน selfish เขาไม่รู้ความเห็นแก่ตัวไม่รู้จัก self เขาไม่รู้จัก ish ของ self เขาครบถ้วนของ Selfish มีความเห็นแก่ตัวเต็มบ้องเลย แสดงออกมาอย่างนี้เช่นพูดว่า American First พูดออกมาได้ เรียกว่าตีทิ้งคนอื่นหมดเลย กูต้องมาก่อน เห็นแก่ตัวอย่างโลกนี้ต้องมีกูใหญ่ที่สุด กูต้องมาก่อน สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลอย่างสมบูรณ์แบบเลย ความเป็นอัตตาเขาก็ไม่รู้ตัว เขาไม่มีท่าเรื่องความมีอิสระเสรีภาพเลย สรุปแล้วไม่มีปัญญาเลย
คำว่าปัญญาภาษาฝรั่งภาษาอังกฤษไม่มี ความเฉลียวฉลาดที่เป็นโลกุตระไม่มีคำศัพท์นี้ มันมีแต่ภาษาข้างเคียง Enlightenment เขาแปลว่าเป็นสิ่งสูงสุดในนามธรรมแล้วเฉลียวฉลาดสูงสุด ส่วนคำว่า Wisdom ยังหยาบ แต่ Enlightenment เป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้ เขาจะไปเอาเรื่องนามธรรมของจิตวิญญาณเขาก็ไม่รู้ พูดไปเหมือนข่ม ทางเทวนิยมตะวันตก ยังตีไม่แตกเรื่องเทวะ
เขาตีไม่แตกแยกไม่ออก ใน รูปกับนามบัญญัติกับสภาวะธรรมแท้ๆจิตวิญญาณกับกาย เขาก็ยังแยกเป็น 2 ไม่ได้ ทำให้เป็นหนึ่งอย่างเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวไม่ได้ด้วย เป็นความซับซ้อนระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ ยิ่งลงไปถึงคำว่ากายะ ภาษาอังกฤษไม่มี ภาษาอังกฤษมีคำว่าบอดี้เป็นเพียงสรีระ ไม่ได้หมายถึงกายที่ตถาคตเรียกว่าจิตมโนวิญญาณ เขาก็ยิ่งงงใหญ่ กายของเขาคือ body คือ สรีระ จะมาเกี่ยวสปิริตเกี่ยวกับวิญญาณ mental ได้เมื่อไหร่มันมีแต่ Body สรีระเท่านั้น โครงสร้างของดินน้ำไฟลมเท่านั้น ในร่างกายของเขา แม้แต่เขาวพุทธก็เพี้ยนไปกับเขาคำว่ากายหมายถึง body ร่างเท่านั้น ก็ผิดไปจากเนื้อหาของสัจจะ อาตมาเบื่อไม่ได้ แต่เหนื่อยไม่ลงเหมือนกัน หอบแฮ็ก ๆ เอาละกัน
จิตวิญญาณก็เอาระดับความรู้ที่เป็นปัญญา เป็นความฉลาดที่ไม่ใช่โลกีย์เทวนิยมจะเข้าใจ ความหมายของปัญญานี้เป็น อัญญธาตุ เป็นธาตุจิตอีกธาตุหนึ่งที่ไม่มีในโลกีย์ ในดาวดวงปุถุชน ธาตุนี้ไม่มีในดาวดวงนั้น ธาตุปัญญาไม่มี ต้องออกมาสู่ดาวดวงใหม่อีกดวงหนึ่ง
อัญญะแปลว่าอื่น ต้องออกมาสู่ดาวดวงที่เจริญ ดาวดวงโลกุตระ เข้ามากระแสโลกนี้ได้จึงจะเริ่มมี ธาตุรู้ที่เรียกว่าปัญญา ถ้ายังวนอยู่ในโลกโลกีย์นั้น เทวนิยม คุณก็มีแต่แค่บวกลบ วนเวียนอยู่ในสนามแม่เหล็กเดิม เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นอัญญะ อัญญะแปลว่าอื่น อัญญะแปลว่าธาตุรู้ใหม่ ที่จะเป็นอัญญา พหูพจน์ที่มากขึ้น เป็นปัญญาที่มีความฉลาดแบบใหม่
โลกโลกียะที่เอาแต่อำนาจบาตรใหญ่ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่นี่มันเอาออกไปเรื่อยๆเป็นการทวนกระแสกัน จนกระทั่งเอาออกหมด แล้วเขาก็เป็นคนอย่างโลกุตระได้ หมดจนเป็นอรหันต์ได้ด้วย คนที่บริหารปกครองกันด้วยธาตุปัญญา ธาตุรู้ที่เป็นปัญญาที่ไม่เห็นแก่ตัว ในขั้นเป็นอรหันต์เป็นอนาคามีเป็นสกิทาคามี คนที่มีความรู้มีทฤษฎีอย่างนี้ศึกษาให้จริงสักคนให้จริง ละกิเลสที่เป็นอัตตาตัวตนนั้นออก จึงเป็นคนจริง มีพฤติกรรมจริงอยู่ในสังคมมนุษย์โลก รวมกันอยู่เป็นสังคม ดังที่ประเทศไทยเป็นชมพูทวีป
ในกาละอันไม่มีรู้เริ่มต้นหรือจบตรงไหน กาละ อันเกิดจากมหาเอกภพ ที่มันซับซ้อนอยู่ในกาละ กาละคือ เส้นทางโคจรของดวงดาวอยู่ในมหาจักรวาล อยู่ในเอกภพมีอยู่ชั่วกาลนาน เราเกิดมาเป็นสัตว์โลกเป็นคนมีธาตุรู้ จึงมารู้ภาวะของเอกภพ ของจิตนิยาม จนกระทั่งเป็นภาวะของ พีชนิยามจนมาเป็นภาวะของจิตนิยาม จนมาเป็นกรรมนิยาม แล้วมีกรรมมีวิบากจนตั้งไว้ทรงไว้ ธรรมะ แล้วสลายไปตามธรรมชาติได้ หมุนเวียนกันตามธรรมชาติจึงมีผู้รู้ทางจิตวิญญาณ ไปเรียนรู้ กรรม ธรรมะ แล้วจัดการให้ทรงไว้ ตามที่ควรจะเป็นให้ดีที่สุดเป็นกุศลธรรม จนกระทั่งศูนย์เลยไม่มีอะไรทรงไว้ อธรรม สูญสลายไปเลย แต่มันก็ทิ้งไม่ออกตรงที่ว่า สิ่งที่สูญสลายไปนั้นตัวมันเองมันไม่มีตัวรู้ของมันเอง ผู้จะรู้ตัว 0 นี้ได้ก็คือสัตว์โลก แล้วสัตว์โลกมี 0 แต่ไม่รู้ 0 เพราะต้องมีสภาพเปรียบเทียบเป็นธรรมะ 2 ก็เลยบอกไม่ได้ จนมีความเฉลียวฉลาดสามารถเปรียบเทียบออกได้
คนจะรู้ 0 จะต้องมีตัวรู้ ตัวรู้นั่นแหละสูงสุด รู้ว่า 0 คืออะไร คำว่า 0 หรือว่าง แล้วไปเรียกคำว่า จิตว่าง แต่จิตเป็นธาตุรู้ ก็ต้องมี 1 จิตกับความว่าง อย่างน้อยไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเปล่าๆคือเรา เราคือว่าง แต่เราก็ต้องมี ว่าง ก็เลยเป็นเทวที่เป็นสิริมหามายา พูดกลับไปกลับมาแล้วมันว่างหรือไม่ว่างกันแน่ มันมีหรือไม่มีกันแน่
มันมี แต่ไม่มี มันอยู่ด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ถ้าไม่มีจิตหรือธาตุรู้ จะไปพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไร ต้องมาสาธยายนำให้คนรู้แล้วปฏิบัติตามได้จนสูงสุด คำว่าจิตว่างนี้ไม่ใช่ว่างอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบไม่มีส่วน 2 ไม่ได้ ว่างต้องมีส่วน 2
ว่าง พูดว่า ว่าง ไม่มีอะไรเทียบได้นั้นเป็นคนยังไม่รู้จริง ว่างไม่มีอะไรเทียบแล้วมันจะรู้เรื่องได้อย่างไร มันก็ต้องมีจิตไปเทียบ จิตสุดท้ายก็รู้ว่ามันว่าง
ก็มาไล่เรียงว่า อันเลวสุด ที่ไม่ควรอยู่กับเราเอามันออกก่อน มันก็ไม่มีอันนั้นได้มันก็ว่างจากอันนั้น อันที่ร้ายที่สุดเลวที่สุด หยาบที่สุด ที่ไม่ควรจะมีอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ในขาวสะอาดที่สุด แม้แต่เศษ .000001 แห่งความเทาก็ต้องไม่มี ก็ต้องรู้ว่ามันคืออะไรแล้วเอาออกก็จึงว่างจากอันนั้น
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดความเป็นคนที่เลวร้ายที่สุด ไม่ควรมีในที่นี้ ในประเทศไทยก็ไม่ควรมีคนที่เลวร้ายที่สุดก็ให้ออกไป ออกไปอย่างดีที่สุดโดยที่เราไม่ได้ให้ออกไป คุณทำตัวเองออกไป แล้วก็ไม่ได้ไปปิดกั้นด้วยให้คุณมาได้ด้วยแต่คุณไม่เข้ามา เห็นไหมว่าอิสระเสรีภาพสูงสุดไหม ที่นี่ไม่ได้ปิดกั้นนะไม่ได้ปิดกั้นคุณ มีกฏเกณฑ์ว่าเข้ามาได้ โล่งหมดแต่คุณขัดแย้งในตัวของคุณเอง เราไม่ได้ไปขัดแย้งกับคุณ คุณขัดแย้งในตัวคุณเอง แล้วคุณก็ทำตัวคุณเอง คุณไม่เข้ามา แล้วเขาก็ไม่ได้มาขี้ตู่ด้วย แม้เขาจะชื่อตู่ เขาคือตัวเนื้อไม่ใช่ขี้ เขาเป็นตู่ไม่ได้เป็นขี้
ถ้าหากเข้ามาก็ต้องอยู่ในครรลองคลองธรรมของประเทศ หนึ่งจะต้องเข้าคุกก่อน แล้วคุณก็สู้คดีไปสิ
สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรม ทำแล้วผิด ทำแล้วไม่ดีไม่งาม ในโลกในสังคมที่มีสัจจะก็ดำเนินไป ประเทศไทยก็ดำเนินไปตามครรลองคลองธรรม แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ มีประชากรแค่ยังไม่ถึงร้อยล้านคน ประเทศอื่นๆเขามีประชาชนเกินร้อยล้านมีเยอะ แต่ก็มีพฤติการณ์มีความรู้มีภูมิธรรม ที่มากพอที่ดีพอ แล้วก็บริสุทธิ์ใจพอ สร้างความจริงขึ้นมาเป็นฐานแห่งความจริงเป็นมนุษย์สังคมในโลก เราก็ใช้บัญญัติภาษาเป็นสิ่งที่สื่อแทนความเป็นจริงต่างๆ
พูดไปตามรัฐศาสตร์ก็จะกลายเป็นนามธรรมอธิบาย จะพูดถึงเชิงพฤติกรรมบทบาท ที่แสดงกรรมการงาน ที่จะมาทำงานอาสารับใช้ประชาชน เขาก็มาซ้อนแทรกอยู่ มารับใช้จริงหรือไม่จริง มารับใช้กันอย่างหลอกขี้โกง กอบโกย โลภโมโทสัน มันก็เห็นได้ชัดเจน ยืนยันได้พิสูจน์ได้มีหลักการมีวิธีการอะไรต่างๆทำได้ คนที่เข้ามาเป็นนักบริหารประเทศก็จะมาอาสา ทำให้ประชาชนในประเทศ ในรัฐ อยู่กันอย่างสันติสงบสุข มีอยู่มีกินมีใช้ไม่แย่งชิง ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายทำลายกันไม่ฆ่าแกงกัน ซ้ำ เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกันอุดหนุนจุนเจือกันมีน้ำใจแก่กันและกัน พูดไปแล้วอาตมาชื่นใจกับชาวอโศกเรา ว่าเรามีสิ่งเหล่านี้ พูดไปแล้วก็เห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้
อาตมาว่า อาตมาไม่ได้เป็นคนงมงายสติฟั่นเฟือน อาตมามีสติมีภูมิปัญญามีธาตุรู้ พวกเราชาวอโศกจริงๆแล้วไม่มีอะไรมากในทรัพย์ศฤงคาร วัตถุสมบัติ สร้างสรร โดยเฉพาะอาหารเราก็สร้าง เพราะเราถือว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาตมาถึงมาชวนกันว่า เราจะต้องสร้างกสิกรรมธรรมชาติ
กสิกรรมหมายถึงพืชพรรณธัญญาหารไม่รวมเอาปศุสัตว์ เพราะเรื่องของปศุสัตว์ศาสนาพุทธนั้นไม่เกี่ยว วิบากใครวิบากมัน สัตว์ใดเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายมีวิบากของแต่ละตัว ต่างคนต่างมี เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกัน เรามาเอาแต่แค่พืชพันธุ์ธัญญาหารกสิกรรม กสิกรรมจึงจะเป็นสิ่งหนึ่งในสามที่จะกู้ชาติ กอบกู้เพื่อมนุษยชาติ อาหารก็แบ่งเป็นอุปโภคและบริโภค เราก็เอาสิ่งที่บริโภคนั่นแหละ เป็นคำข้าวมาเลี้ยงขันธ์ มันสำคัญที่สุดในความเป็นชีวะ สร้างอันนี้ให้อุดมสมบูรณ์ที่สุดเป็นพืชพรรณธัญญาหารเป็นเกษตรอินทรีย์ ปราศจากธาตุเคมีต่างๆ สารเคมีต่างๆ มันก็ซ้อน สารเคมี สารที่ใช้ในนี้ก็สารอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงสารเคมีเป็นภาพที่เขากลั่นมาจำเพาะมันก็แข็งแน่น มีคุณสมบัติแน่น แต่อันนี้มันอยู่ได้อย่างสัดส่วนพอเหมาะ ธาตุถั่วฝักยาวก็จะมีธาตุที่คนอาศัยได้ดีกว่า มันไม่เข้มข้นจัดจ้าน ธาตุมะเขือเทศมันจะมีอะไรก็รับสัดส่วนกันตามหน้าที่ของ พีชะ แต่ละวัตถุๆ คนก็มีความรู้หมด ว่าในแต่ละพืชพรรณธัญญาหาร มันมีอะไรบ้างที่ในร่างกายของเรา ของคนนี่ ต้องใช้ อันนั้นเท่านั้นเท่านี้ส่วน รู้หมดแล้วเดี๋ยวนี้ ทางโภชนาการสามารถรู้ที่จะเอาพืชอันนั้นอันนี้ ที่มันมีสารวัตถุ ธาตุต่างๆ เอามาใส่ในร่างกายเท่านั้นเท่านี้วิจัยได้หมด เอาเลือดมาตรวจ ดูว่ามันมีธาตุอาหารอะไรขาดแคลน กี่เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้มันทำงานได้สมดุลดีในร่างกายคนทุกวันนี้มีความรู้เหล่านี้หมด สรุปแล้วอาหารเป็นหนึ่งในโลกตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เรายืนยัน และอาหารนั้นต้องเป็นพืชพรรณธัญญาหารไม่ใช่ปศุสัตว์
การปศุสัตว์นั้นยังมีการประมง ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเราไม่เอาเราไม่เกี่ยว จะเลี้ยงไส้เดือนจิ้งหรีดอะไรไม่เอา ผู้ไม่รู้เขาจะอยู่ในวัฏสงสาร เขาจะเป็นกันเขาจะมีวิบากต่อกันและกัน พวกที่เลี้ยงจิ้งหรีดไส้เดือนเลี้ยงเสือเลี้ยงช้างเลี้ยงม้า มันเป็นวิบากที่เป็นอจินไตยละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่ต้องไปพูดหรอก สัจธรรมจะจัดสรรวิบากของเขาเอง สิ่งเหล่านี้อาตมาว่าอาตมารู้ในเรื่องอจินไตยเหล่หล่านี้ดี อาตมาถึงไม่มีปัญหาเลยในเรื่องพวกนี้ ไปว่าเขาก็ไม่ได้มาก ก็ต้องพยายามสอนเขา ดึงขึ้นมาหาสัจจะ การมากินพืชไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์ใดๆได้มันปลอดจากวิบาก ปลอดภัย คุณจะเกิดไปอีกกี่ชาติๆก็จะยิ่งปลอดวิบากไปเรื่อย
สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตยอาตมาเอามาขยายความว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย ยกตัวอย่างเรื่องการกินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสใน ชีวกสูตร ละเอียดที่สุดแล้วแต่คนก็ไม่เข้าใจใน 5 ข้อที่มันเป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย บาปนั้นมาก บุญไม่มีเลย 5 ข้อนี้ ท่านใดสรุปไว้อย่างสูงสุดแล้ว
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
เศรษฐศาสตร์ของมนุษยชาติ National Economy
state sector economy ภาครัฐบาลก็มีหน้าที่ ที่จะทำให้คนมีอยู่มีกิน ชาวอโศกมีคณะบริหาร ประชากรมวลสมาชิกชาวอโศกมีหน้าที่ ทำให้มวลสมาชิกชาวอโศกมีอยู่มีกิน แล้วมีอยู่มีกินไหม ..มี อุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ หาคนผอมแห้งไม่ได้เลยแถวอโศก จะมื้อเดียวหรือสองมื้อก็สมบูรณ์ดี ได้สัดส่วนมีความรู้ ชาวอโศกจะหาคนพุงโตหาได้ยาก ผอมแห้งแรงน้อยก็หาได้ยากมีแต่คนสเลนเดอร์ คน firm และ fit ได้สัดส่วนสันทัดคน นี่เป็นการชี้บ่งถึงเศรษฐกิจของ State Sector ชาวอโศกที่บริหาร ฝ่ายบริหารให้มีอยู่มีกิน เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย โสวจัสสตา บอกง่ายสอนง่าย เพราะฉะนั้นจึงเป็นการบริหารสังคมมนุษยชาติที่เป็นสมาชิกชาวอโศก ทำให้มีชีวิตการอยู่การกินอย่างดี เพราะว่ามี life line มีเส้นชีวิตที่เป็น Economic life line เส้นทางการเป็นอยู่ของชีวิต เหมือนกับตาราง schedule มีตารางชีวิตพวกเราเป็น Routine ที่พวกเราแต่ละคนมันมีโดยปริยาย ด้วยอัตโนมัติ ตามหมู่เป็นหมู่ไป เด็กหรือผู้ใหญ่ก็เป็นไปตามอบรมส่วนใหญ่ที่เป็นไปตามระบบสังคม เป็นพฤติกรรมสังคมขึ้นมา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็เป็นพฤติบท พฤติของชาวอโศกเป็นกัน ก็เป็นรากฐานหรือเป็นพื้นฐาน เป็น Base เป็น Economic Base มันเป็นนามธรรมแต่มีพฤติกรรมเป็นรูปธรรม ธาตุรู้ของแต่ละคนเป็นสัญชาตญาณร่วมกัน ต่างคนต่างเข้าใจประพฤติปฏิบัติร่วมกันเป็นรูปธรรม เป็นปรากฏการณ์เห็นได้ เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ Economic Base ที่ประพฤติกันอยู่
เมื่อมันเกิดมีอะไรแทรกซ้อน มีอะไรติดขัดขึ้นมา ขัดแย้งขึ้นมาบ้างมันจะจัดการของมันเองในตัว เรียกว่าเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ Economic crisis มันจะไม่เที่ยงมันจะมีการบกพร่องคนนั้นคนนี้กิเลสขึ้น นิดหน่อย เหล่กันดูกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง เดี๋ยวหายแล้วไม่กล้ากันหรอก นี่มันเป็นพลังงานอิทธิพลของสังคม อิทธิพลของพฤติกรรมสังคม มันมีพลังที่ เพราะฉะนั้นจะทำให้เกิด Economic crisis เกิดการขัดแย้งขึ้นมานิดนึงก็แล้วแต่ ไม่ช้าไม่นานก็จะหาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสัมพันธ์อันสนิทของระบบ ของพลเมือง ของสมาชิกสังคม เกิดเป็น ความสัมพันธ์อันสนิท เชื่อมโยงกันอยู่อย่างดี ชาวอโศกอยู่ยังประสานกันอย่างดี เป็น Relation Between Economic เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพลเมือง มีพฤติกรรมกันอยู่ เกื้อกูลกัน
อาตมาพูดไม่เก่ง มันแบ่งกันกินกันใช้ไม่เห็นจะแย่งกัน รีบหาด้วยกันด้วยซ้ำไป บอกให้มาเอาด้วยซ้ำไป ง่ายๆ ฟังอาตมาอธิบายด้วยภาษาง่ายๆเข้าใจใช่ไหม แล้วมันเป็นพฤติกรรมจริงด้วยก็เลยเข้าใจง่าย พลเมืองมีเศรษฐกิจเช่นนี้เรียกว่าเศรษฐกิจการเมือง Political economy พวกเรานี้เป็นตัวอย่างที่แสดงพฤติกรรมเศรษฐกิจสังคม
นักเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ก็ดี สังคมศาสตร์ก็ดี สามเส้านี้ อยู่ในสังคมเรา มีเศรษฐกิจมีรัฐกิจที่บริหารโดยไม่ต้องบริหาร อาตมาทุกวันนี้สบาย พวกเราช่วยกันคนละไม้คนละมือบริหารกันเอง แม้แต่เด็กๆเขายังบริหารกันเองเลย เด็กๆเขาก็ดูแลบริหารกัน จริงนะ
เด็กๆที่นี่ประหลาดไหม ไม่ติดทีวี บางทีต้องประกาศให้มาดู จริงๆมันก็ซับซ้อน สิ่งที่เละๆเน่าๆ เราก็ไม่เอาให้มาดู บางทีเด็กที่คะนองกิเลสยังไม่ลงตัว เขาก็ไม่มาดู แต่คนที่พอมีปฏิภาณปัญญาว่าน่าศึกษา มีวัยวุฒิมีวุฒิภาวะพอสมควรก็จะมาดู ยิ่งมาอธิบายสรุปผล สิ่งเหล่านี้เป็นการหล่อหลอมให้เป็นสังคมที่ลึกซึ้งละเอียดลออมีพฤติกรรม ต่างๆเกิดอยู่ในตัวมันเอง แล้วก็สอดสานถักทอกันอย่างลึกซึ้ง
สังคมที่ได้อย่างนี้ อาตมาว่ามีกำลังใจที่จะเป็นโพธิสัตว์ ไม่ง่าย แต่ก็มีกำลังใจที่เป็นผลที่น่าชื่นใจแม้จะยังไม่มากเท่าไหร่ ก็น่าจะมากกว่านี้นะ พอจะยืนยาวชีวิตต่อไปเพื่อที่จะดูว่าจะมากขึ้นกว่านี้ได้ไหม จะมากขึ้นไปได้เท่าไหร่ มันมีขีดจำกัดของมันเหมือนกันในยุคสมัยมันก็จะได้เท่านี้ ก็ช่วยกันไปทำกันไปแต่ละคนผู้ใดเห็นดีเห็นชอบก็มาบังคับกันไม่ได้ บังคับกันก็ไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ชอบบังคับ ให้ดูด้วยปัญญาให้ดูด้วยความเฉลียวฉลาดแต่ละคน แล้วคุณก็มาสมัครใจเอา คุณมาด้วยความสมัครใจ มาได้ดี หากว่าบังคับกันไม่ได้ดีหรอก ก็มาเป็นขยะทิ้ง แต่ถ้าคุณมาสมัครใจเอา คุณชื่นใจพอใจเอง เป็นอิสระเสรีภาพสูงสุดเป็นสัจจะที่สุดยอดแล้ว แล้วก็เป็นแต่ละคน อัตตาตนแล้วก็ซ้อนที่อย่ายึดตัวตน ตัวตนที่สูงสุดคือตัวตนที่หมดตัวตนไม่ยึดตัวตน เรามีตัวตนสูงสุดนะแต่เราไม่ถือว่าเรามีตัวตน เป็นภาษาไทยนะชัดๆ
สังคมมนุษย์รวมลงมาที่พยัญชนะกับสภาวะ 2 อย่างนี้เท่านั้นแหละ สภาวะกับพยัญชนะมันทำให้สับสนวุ่นวายกับไปกับมา หากยังไม่มีความคมแม่นลึกซึ้งแน่นหนาเพียงพอ ถ้าคุณได้อันนี้เพียงพอแล้วคุณจะจบ แล้วจะไม่มีความกังวลอะไรเลย อย่างอาตมาไม่มีความกังวลอาตมามีความจริงใจได้เท่าไหร่เท่านั้น
สมณะฟ้าไทสรุป...
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:25:14 )
รายละเอียด
611217_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bDyh6PQyoBlWuAlzJ30qEic9egbb0EOPjVVr7G2Hzvo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=16pycnV-jBHiCexwl9o3rFZht7nW74fUY
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยไทยในช่วงใกล้เลือกตั้ง 2561
พ่อครูว่า….วันนี้วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 หลวงปู่ก็เคลื่อนกายย้ายจุดมากเกินไป หลวงปู่เกิดปีจอ 5 มิถุนายน 2477 ปีหน้าก็เต็ม 85 ปี
เป็นไง แต่ละผู้แต่ละคน ลมหนาวมาหนาวไหม? ที่นี่กี่องศาฯ (ตอนนี้ 29 องศา) ใครมีอะไรเดือดเนื้อร้อนใจ เรามาบำบัดเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ผู้อวิชชาจะทุกข์เพราะหลงสุข อารมณ์สุขเป็นของเก๊ของปลอม หากมีสุขก็มีทุกข์คู่ มีสุขมากก็ทุกข์มาก dualism คู่หูกัน แยกกันไม่ได้ เป็นเหรียญสองด้าน ใครแยกออกจากกันไม่ได้ แยกให้มีหน้าเดียวไม่ได้มันเป็นเรื่อง dualism คู่หู คนหูเดียวก็คนปลอม คนหูปลอมหูเดียว หูต้องสองหูจึงเรียกว่าคู่หู เหมือนกันกับประชาธิปไตยต้องมีสองขา อันนี้ เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเป็นปรัชญาความรู้และเป็นความจริงที่ดี ถ้ามันขาดข้างใดข้างหนึ่งแล้วเป็นประชาธิปไตยพิการไม่เต็มเต็ง
ถ้าเลือกตั้งครั้งนี้ผลมันออกมาว่า พรรคที่คนเขาเชื่อว่าเป็นพรรคที่ส่ง ขณะนี้นายกฯตู่เป็นเจ้าสาวที่เล่นตัว โก่งราคาอยู่ ลักษณะสิริมหามายาจ ะอธิบายได้อย่างนี้ นายกฯตู่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ตอนนี้ก็พูดแล้วว่า ผมนี่ต้องอยู่สู้ตายไปกับการเมือง แสดงให้เห็นว่าเห็นความสำคัญว่าเป็นประเด็นสำคัญกับชีวิตมนุษยชาติ หากทำการเมืองรับใช้ประชาชนได้ดี ให้ประชาชนเขาพอใจ เขาก็พร้อมยอมรับเราได้ เราไม่ได้บังคับเขานะ เราจริงกายจริงใจที่จะทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
อย่างในหลวงร.9 ได้อย่างสุภาพเรียบร้อยงดงาม ต้องทำการศึกษาจริงๆว่าท่านทำได้อย่างดี ตรัสน้อย แต่ทรงงานมาก พระจริยวัตร 70 ปี ชัดเจนมีหลักฐานยืนยัน มีวิดีโอบันทึกไว้ด้วย อีกหน่อยจะแพร่หลายเป็นตัวอย่างของมนุษย์ในโลก ทรงจริงพระวรกาย จริงพระทัย เหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย พระเสโทไหล ภาพหยดเหงื่อไหลที่ปลายจมูกเป็นภาพ master piece เลย คนถ่ายก็เก่ง แจ๋วเลย พระองค์เป์นมนุษย์ มีพระชนม์ชีพย์มีพระจริยวัตรให้เห็นกัน
เลือกตั้งคราวนี้จะเป็นการแสดงบทบาทพฤติกรรมสังคม สมมุติ พรรคฝ่ายทักษิณกับคสช.สองอันนี้ สมมุติว่า ฝ่ายทักษิณได้คะแนนเสียงมาก เขาก็จะมีส.ส.ในสภาเยอะ เขาก็จะโหวตเลือกใครเป็นนายกฯ แต่ละพรรคก็เสนอชื่อได้ เลือกเสร็จแล้วออกมา สมมุติว่า ได้ ฝ่ายทักษิณมาเป็นนายกฯ อาจเป็นคุณพานทองแท้ ไม่แน่ตัวเลือกมันน้อยแล้ว ไปหมดแล้วนี่ ตัวเองก็ไปแล้ว น้องสาวก็ไปแล้ว เป็นสมชาย ยิ่งลักษณ์ก็ไปหมดแล้วได้คดีติดตัวไป เข้าประเทศไม่ได้ มันเป็นของจริง สิ่งแสดงสิ่งยืนยันความจริงเช่นนั้น
แต่ถ้าเป็นคสช.ชนะ ก็ไม่มีปัญหา เขาก็เอานายกฯตู่ก็ทำงานต่อไปเลย เดินเรื่องสบายทุกคนก็มั่นใจ เจ้าหน้าที่ก็ยิ่งชัดเจน ยิ่งมีน้ำหนัก รัฐบาลจะทำได้เป็นกอบเป็นกำไม่วอกแวก เป็นเรื่องขันชะเนาะ พลังการสร้างสรรก็ยิ่งชัดเจนเข้าใจ แนวลึกของการเมือง แนวลึกของการบริหารประเทศมีภาวะซับซ้อนมาก หลวงปู่พยายามอธิบายเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ตามในหลวงร.9 ก็ตรงกันอธิบายตรงกันว่า คนเรามาเป็นคนจน ให้ประชากรไม่ต้องหลงความร่ำรวย
หลวงปู่เคยบอกเคยพูดมา ว่าความร่ำรวยคืออะไร ความร่ำรวยคือ สมรรถนะ ความสามารถ กับความขยัน เป็นภาษาและพฤติกรรม ใครสร้างสรรได้ดีได้เก้่ง ขยันทำก็เกิดผลผลิตตามมา มีปัญญารู้อะไรควรสร้างก็สร้างให้คนได้กินใช้ มันก็รวย หากขายได้เงินโก่งราคาก็ได้มาก ของเราดีด้วย จำเป็นด้วย ต้องกินต้องใช้ คนก็ต้องมาซื้อหาไป ตามอัตราโลกก็ร่ำรวย เอาสะสมกอบโกยก็ร่ำรวย แต่ความซับซ้อนของคนเจริญถึงจะได้มากก็เอาไม่มาก หากเอาไม่มากก็พอกินพอใข้ ได้แล้วไม่สะสมด้วย ไม่กักตุน สะพัดออกไป เพราะเรามั่นใจในสมรรถนะประจำตัวเรา กับความขยัน ลงมือเมื่อไหร่ก็เป็นผลผลิต จึงไม่ต้องกักตุน แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว มีอยู่เป็นสังคมที่เห็นร่วมกันสัมมาทิฏฐิ เสมอสมานกัน เอกีภาวะ ทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา สอดคล้องกันก็ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจว่าอะไรควรผลิตก็ทำร่วมกัน กินใช้เท่าคนๆหนึ่ง เราผลิตได้มากก็สะพัดได้มาก ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อส้งคมมาก หากแลกเปลี่ยนเอาเงินมาก็ลดค่าลง ของคิดทุน ร้อย เอาร้อยแลกกลับมาได้ธนบัติก็เท่าทุนเจ๊ากัน หากยิ่งโกงราคา ของเราดีมีคุณภาพ โก่งราคา ทุนร้อยขายสองร้ายห้าร้อยนึกว่าได้กำไรทางโลกแต่เป็นหนี้ทางธรรมทางสัจจะ ศาสนาพุทธชัดเรื่องกรรมวิบากไม่ต้องสะสมหนี้ ไม่ต้องสะสมความเป็นลูกหนี้ก็ยิ่งซวย
หากคนไทยเข้าใจว่ามาเป็นคนจน มีใจเผื่อแผ่กันสร้างสรรขยันเพียรเหลือกินใช้ ไม่อดอยาก ใครขี้เกียจก็บาปใครบาปมันใครมาแฝงก็บาปวิบาก ศาสนาพุทธเชื่อกรรมเชื่อวิบาก เชื่อกรรมเป็นของๆตน สองเชื่อวิบาก สามเชื่อกรรมเป็นของๆตน
1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
มีแต่กรรมเท่านั้นเป็นที่อาศัย ไม่ว่าจะกี่ชาติก็อาศัยกรรม ทำดีก็อาศัยดี ทำชั่วก็อาศัยชั่ว ทำไม่สุขไม่ทุกข์ก็อาศัยไม่สุขไม่ทุกข์
อ.กฤษฏา… นึกถึงการก่อสร้าง กรรมคือสิ่งที่สร้างมาแล้ว เราก็ต้องสร้างต่อไปใช่ไหม การเข้าถึงกรรมคือการเข้าถึงปัจจุบัน เหมือนเราต้องสร้างถนนต่อไปข้างหน้า หากถนนไม่ดีเราก็ต้องสร้างกันต่อไป
พ่อครูว่า...มันบวกลบคูณหารกัน ทำปฏิกิริยากันซื่อสัตย์ ไม่มีใครเบี้ยวกรรม ไม่มีอำนาจไหนยิ่งใหญ่กว่ากรรม
อ.กฤษฏาว่า ..เขามีการแสกนกรรม แก้กรรม
พ่อครูว่า..พวกนี้อวดดียิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า เป็นเจ้ากรรมนายเวรทำได้ไม่มีหรอก ตัวเองเท่านั้น ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ไม่มีเจ้าหนี้ เราเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ของกรรมตัวเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ไปชี้เป็นชี้ตายสั่งกรรมไม่ได้ขี้โม้ทั้งนั้น
_กฐิน...ตอนนี้ฝรั่งเศสเรียกร้องให้ ทหารมาปฏิวัติ เขาเกิดจากคนชั้นกลางถูกขูดรีดภาษี ชนชั้นล่างก็มีสวัสดิการ พวกนายทุนเสียภาษีน้อยกว่าคนชั้นกลาง แต่ไทยเราจะไม่เป็นเหมือนฝรั่งเศส เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีทศพิธราชธรรม อย่างไรกฐินก็รักทหารเพราะเขาได้รับการฝึกมาแล้วให้ทำดี เขาต้องเสียสละ ระหว่างทหารกับพ่อค้า กฐินเลือกทหาร พวกพ่อค้ามีความโลภมาก
นึกถึงร.5 ที่ท่านเลิกทาส ขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้หญิงมาบวชได้ ไม่เป็นทาส แต่ทุกวันนี้ ผู้หญิงกลับไปเป็นทาส ไปเป็นทาสนักการเมืองน้ำเลว แทนที่จะมาสร้างสรร
ทุกวันนี้เราวัด GDP กับการค้าขายกับต่างชาติ แต่ก่อนนี้เราทำการเกษตรมีการแบ่งปันเผื่อแผ่ เราเอามะพร้าวไปแลกข้าว หากสังคมไทยกลับไปสู่การแลกเปลี่ยนไม่เอาเงินเป็นที่ตั้ง และผู้หญิงเดี๋ยวนี้หนักไปกับอบายมุขเรื่องแต่งหน้าแต่งตัว
พ่อครูว่า...แต่ละคนก็มีสิทธิ์จะตัดสินพิพากษา เมืองไทยบริสุทธิ์ใจ ทุกคนอิสรเสรีภาพสูงมากในคนไทย พยายามทำจริง เป็นตัวอย่างให้โลกอีกนานแสนนาน พยายามช่วยเท่าที่จะทำได้ เผยแพร่ออกไป คนก็ไม่ค่อยรับเพราะสูงไปหน่อย แต่ก็บันทึกไว้ ในอนาคตคนจะมาศึกษา เป็นหลักฐาน ทุกวันนี้บันทึกหมด สิ่งผิดสิ่งถูก คำพูดตอนเราไม่พูดเราเป็นนายคำพูด แต่พอเราพูดไปแล้วคำพูดมาเป็นนายเรา เราพูดผิด ผิดก็เป็นนายเรา พูดถูก ถูกก็เป็นนายเรา แก้ไม่ได้ด้วย พูดไปแล้ว
เมืองไทยเราใส่ใจเพิ่มเติมสัจธรรมไป โลกไม่ไปไหนหรอกต้องมาหาสัจธรรม องค์ประกอบโลกเปลี่ยนไปแต่ไม่จริงเท่าสัจธรรม ตั้งแต่เมืองไทยได้เกิดสภาพโลกุตระที่ได้เผยแพร่ไป ไม่ต้องหวงเลย อาตมาจะพยายามประคับประคองโลกุตรธรรมให้มีเนื้อแก่นสาระแน่นเจริญงอกงาม ตามความจริงใจเราพากเพียรยิ่งมั่นใจ โลกซับเอาโลกุตรธรรมไว้ในแกนจิตแล้วตอนนี้ นักบริหาร โพธิสัตว์ โพธิคือความรู้ระดับโลกุตระ มันกระจายไปในโลก เริ่มจุติหยั่งลง โอกกันติ โตขึ้น จากเซลเดียวมาเป็นสี่ แปด แล้วยกกำลังมากขึ้นๆ คือรูปธรรม นามธรรมก็ฉันเดียวกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
_ก้อนดิน...พ่อครูให้ว่า สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นขั้นตอน แล้วอยากถามพ่อท่านว่า อย่าเอาสุข สุขมันหลอก แล้วสุขแบบจนนี้สุขอย่างไร แล้วขาดทุน จะสุขสำราญอย่างไรด้วย คนข้างนอกงงว่า จนแล้วก็ยังมาขาดทุนอีก ทำอย่างไรให้จน สุขสำราญ เบิกบานใจ
พ่อครูว่า...คำว่าสุข สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง ว่างจากความไม่ดี ความโง่ มีความรู้ความเข้าใจดี มาเป็นตัวเนื้อแท้ของความสุข มีแต่ฉลาดอย่างประเสริฐอย่างแท้จริง ดี ความซับซ้อนจากพยัญชนะสู่สภาวะนี่แหละสรุปได้ทุกอย่าง คือพยัญชนะกับสภาวะกลับไปกลับมา คือความซับซ้อนสภาวะกับพยัญชนะ
จนเป็นพยัญชนะ คือสภาวะคนที่ไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีอะไรในตนเอง แต่มีหมู่กลุ่ม สวล. มีเหตุปัจจัยครบอุดมสมบูรณ์ ส่วนตัวจน แต่ส่วนรวมอุดมสมบูรณ์ ชาวอโศก อธิบายสภาวะนี้ได้อย่างครบสมบูรณ์ คนมาอยู่ด้วยสัก สองเดือนสามเดือนจะชัดเจนเลย
_สมณะเสียงศีล...ก่อนอื่นก็ต้องขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างมากที่มาให้กำลังใจกับพวกเรา ใจอาตมาอยากให้มา อีกใจหนึ่งก็อยากให้พ่อท่านถนอมสุขภาพมากกว่า แต่พ่อท่านมาแล้วก็ขอคั่นเวลา อยากถามพ่อท่านไว้ ช่วงที่พ่อท่านพักว่า
การเมืองนี่ที่จริง สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาตลอด มีครั้งหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูจะไปตีกษัตริย์ลิจฉวี พระพุทธเจ้าว่าไปตีไม่แตกหรอก เพราะเขามีอปริหานิยธรรม สามัคคีกันมาก พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยให้วัสสการพราหมณ์ไปยุแหย่
พ่อครูว่า..อจินไตย พระพุทธเจ้ารู้ในสิ่งเกี่ยวกันทำให้เกิดผลประโยชน์ หรือโทษ เป็นโทษก็เป็นตัวอย่างของโลก เป็นประโยชน์ก็เป็นตัวอย่างของโลก เกิดเป็นตำนานตกค้างมาให้เราได้ใช้ศึกษาให้รู้ว่า ความจริงของพลังงานจิต เป็นรูป นาม พลังงานสอง เทวะ ซับซ้อนปรุงแต่งกัน
ให้ตอบว่าทำไม อาตมาตอบไม่ได้ไม่เก่งอจินไตย จะต้องการคำตอบนี้ตอบไม่ได้ ก็ตอบได้แต่ว่า เป็นเรื่องพฤติกรรมจริงฝากไว้ในตำนานชาดก พฤติกรรมมนุษย์สืบทอดกันมาให้เห็นใครจะเชื่อหรือไม่ก็บังคับกันไม่ได้
อาตมาเชื่อว่ากรรมวิบากเป็นเรื่องสูงสุดของมนุษย์ กรรมนี่แบ่งกันไม่ได้ ถึงเวลาก็มาออกฤทธิ์กับตนเอง อาตมาสั่งสมภูมิปัญญามา เรื่องเก่าๆยิ่งทำให้เรามั่นใจเรื่องกรรมวิบากที่ออกผลต่อความจริงเป็นสัจจะที่ซื่อสัตย์สุด อาตมาจำนนเลย กรรมนี้ซื่อตรงซื่อสัตย์ไม่มีใครทำผิดเพี้ยนได้เลย เปลี่ยนไม่ได้ ถึงเวลาออกฤทธิ์ห้ามไม่อยู่ ดันทุรังไม่ได้ กัมมุนาวัตตีโลโก กัมมังสัตเตวิภัชติ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์ เป็นเรื่องสุดยอดยิ่งใหญ่ที่สุด
_กฐิน… คำว่าสุขสำราญเบิกบานใจต้องเริ่มจากโสดาบัน แล้วเป็นสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ หากคนไม่ได้ฐานโสดาบันจะไม่รู้จักสุขสำราญแท้
พ่อครูว่า...หากติดอบายมุข ก็เป็นโสดาบันไม่ได้ คนพ้นอบายมุข จึงเป็นโสดาบัน คุณหลุดพ้นมาถึงรับรสความหลุดพ้นไม่โง่ไปกับสุข ที่จริงมันทุกข์ แต่มันหลอกว่าสุข อย่างคนมาโซคิส ซาดิสม์ก็ ชกปากคนอื่นแล้วอร่อย แต่ลองปากตนเองแตกสิ จะรู้สึก
_อ.กฤษฎา..คำว่าจน ทำให้ผมนึกถึง สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลยไหม
พ่อครูว่า..ใช่ ไม่เอาอะไรมาสะสมเลย ไม่ยึดไว้เลย ในสภาวะจริง แต่มันซ้อนที่เราไม่มีแต่เรามี เรามีสวล.มีบารมี จะเป็นทรัพย์ เป็นพลเมืองประชากร ที่ยินดีรับใช้เราตายแทนเราเป็นสัจจะของเขา เขายินดีทำ ด้วยซื่อสัตย์จริงใจว่าคุ้ม เป็นสิ่งดี
อ.กฤษฏา มีองค์ธรรมหลายชุดขึ้นต้นด้วยทาน ผมเป็นการสะพัดออกการให้โดยไม่หวังผล คือวิถีทางฝึกทานอย่างแท้จริง สรรพสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเราให้ไปเลย
พ่อครูว่า..ยิ่งเราให้ อย่างไม่มีตัวตน คนอื่นก็ยิ่งจะเข้าใจ เขามีปัญญารู้ว่าอย่างนี้สิคือไม่มีตัวตน แต่หากคุณปากว่าไม่เอาแต่พฤติกรรมกลับเอาคืนอย่างซับซ้อนหรือยิ่งนานไปยิ่งไม่มีไม่เอาแต่คนปากว่าไม่มีไม่เอา แต่ยาวนานไปกลับเอาๆ มันจะฟ้องเลย
_อ.กฤษฎาว่า..เราทำก็มีผลจากการทำ คือสิ่งเกินสิ่งเหลือ พ่อท่านสอนว่าเอาสิ่งเกินเหลือไปให้อีกสะพัดอีก ในหนังสือเล่มนี้
พ่อครูว่า...หนังสือเล่มนี้จะมีคนขยายความอีกในแต่ละจุด ที่มีความเข้มข้นอีกมาก จะมีคนเก่งกว่าอาตมาเอามาขยายต่อ
_เราไม่ยึดมั่นถือมั่นคือเราไม่สุขไม่ทุกข์ได้
พ่อครูว่าเราไม่สุขไม่ทุกข์ไม่โต่งไปทางกามหรืออัตตา ไม่มีอันตา(ปลาย)เลย อธิบายไม่ง่าย ใช้ภาษาไทยว่า กลาง ว่าง เปล่า ก็ยังน้อยไป จะอธิบายอย่างใดก็ทั้งนั้น
_วิเชียร..นึกถึงพระเวสสันดร อนาถบิณฑิกฯ ก็ทานจนหมดตัว พออ่านหนังสือคนจนที่มีแบบ ตอนจบ มีว่า คนจะมีคุณค่าคือคนมีชีวิตเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นแก่สังคม ทำให้ตนเกิดจิตอาสาในใจ
พ่อครูว่า...ชีวิตที่มีคุณค่าคือชีวิตเป็นผู้ให้ โดยไม่มีอะไรเอากลับมาเลย เป็นเส้นตรงไม่โค้งมามีเราเลยไม่เป็นเราเลย เป็นนิวเคลียร์ fission ไม่มีแสง พลังงาน โค้งบูมเมอแรงกลับมาอีกเลย
มันควรต้องมาอยู่กับหมู่กลุ่มที่เป็น มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ในเรื่องสุริยเปยยาล 7 ข้อ ต้องมีความเข้าใจ ความจริง สุริยเปยยาลของแสงอรุณ ก่อนพระอาทิตย์ขั้นต้องมีแสงเงินแสงทองมาก่อน ลึกซึ้งมาก ใน 7 ข้อนี้คนที่สามารถเข้าใจได้ ทำความเป็นจริง
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี เรามาสัมผัสหมู่กลุ่มนี้พฤติกรรมสังคมวัฒนธรรมนี้ เราก็ว่าใช่ เรายินดีพอใจ มาแล้วก็จะมีหลักเกณฑ์ศีล
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . อย่างน้อยศีล 5 ละอบายมุขมังสวิรัติ ทำได้ก็จะรู้สึกสุดยอดประเสริฐ จะเกิดความรู้เป็นปัญญา ปัญญาจะชัดเจน ศีลเป็นตัวทำให้เราเจริญสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ ก็จะรู้ว่ามีศีลจะลดอัตตา
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยรรค .
จะมาเป็นลำดับๆเลยในสุริยเปยยาล 7 ข้อนี้ ก็จะปฏิบัติตามลำดับไม่ประมาท ทำโยนิโสฯเป็น ตามสวากขาตธรรม แล้วจิตเราทำได้ผล โยนิโสมนสิการ ทำให้กิเลสออกกิเลสลดลงๆ ตามกระบวนการที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
ทั้ง 7 ข้อหากทำได้ครบถึงโยนิโสมนสิการ เป็นหลักการ คุณต้องมี 7 ข้อนี้ชัดเจนแล้วถึงเริ่มฝึกมรรค 7 องค์ 7 ข้อนี้แค่ความรู้นะ ยังไม่ได้ปฏิบัติ แล้วก็ทำมรรค 7 องค์ มีการคิด พูดทำ การทำอาชีพ ตามมรรคมีองค์ 8
_วิเชียรว่า..ในหนังสือ มีพูดถึง สยะ อรหันต์หมดอาสวะ เหลืออนุสัยแล้วอนุสัยเป็นอยู่อย่างไร
พ่อครูว่า...อาสวะหยาบกว่าอนุสัย
อาสวะ มี 4 ข้อ
1. กามาสวะ
2. ภวาสวะ
3. ทิฏฐาสวะ
4. อวิชชาสวะ
(พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 961)
อนุสัยมี 7 ข้อ
1. กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
2. ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
3. ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
4. วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
5. มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
6. ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
7. อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
สามข้อสุดท้าย มานะคือการถือดี มันดีนะ แต่ยึดถือเป็นเราก็เลยเป็นภพ
_วิเชียร ..กิเลสที่เราละได้ ไม่มีอาสวะ แต่เป็นสัญญา
พ่อครูว่า...อนุแปลว่าเล็กละเอียด สกะ สยะ สวะ สามตัวนี้
กะ ยะ วะ
กะ เป็นตัวใหญ่สุด
ยะคือตัวเล็กสุด
วะคือตัวรองลงจาก กะ
ต้องรู้ ย ร ล ว
พลังงานเริ่มสอง คือ อ ย จับคู่ เป็นพลังงานบวกลบคู่แรก อะ คือไม่มี ยะ คือมี
ท่านแปลว่าพลังงานแม่เหล็ก อย เป็นคู่หู dualism แล้วแตกตัวเป็นล้านๆๆๆได้
สยะ คือตัวต้น สวะ คือตัวกลาง สกะคือตัวใหญ่
สักกายะคือองค์ประชุมรูปนามที่ยิ่งใหญ่
_อ.ก.ว่า..มีการปฏิบัติเป็นลำดับ
พ่อครูว่า..มีสลับไปมา สิริมหามายาด้วย
_อ.กฤษฎาว่า..อย่างสักกายนะนี้ความหยาบมาก่อนละเอียด แต่พอไล่ไปตัวท้ายกำจัดยากก็เลยมาหลอกตัวหยาบได้อีก หากเปรียบอนุสัยเหมือนน้ำในโอ่งเหมือนใสแต่มันมีตะกอนนอนนิ่ง
พ่อครูว่า..แต่ถ้าเอาตะกอนออก จนตุ่มนี้ไม่มีตะกอนจะกวนอีกเท่าไหร่ก็ไม่มีขุ่น มีแต่ใสตลอดกาลพ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน สำนึกผิดดีได้ถ้าไม่ตีกิน
_ปะฝนฟ้า...สงสัยว่า การที่พระอรหันต์ท่านล้างกิเลสหมด พอท่านไปเกิดใหม่ก็ลิงลมอมข้าวพอง แล้วโลกียวิสัย จะสั่งสมด้วยไหม
พ่อครูว่า..สะสมได้ แล้วมีพลังงานจิตเหนือ สั่งสมแต่มีพลังงานจิตเหนือสภาพโลกียะ แรกๆคุมไม่ได้แต่ก็ค่อยเจริญไปแล้วคุมได้เหนือได้ในที่สุด ก็จะเจริญไปตามลำดับ ใช้เวลาต้องเสียเวลาซับซ้อนเหมือนกัน แล้วแต่ใครจะเก่ง อย่าประมาท พระพุทธเจ้าถึงว่าอย่าประมาทแม้โทษภัยอันมีประมาณน้อย
โทษภัยแม้น้อยมันก็มีจริง คือคำสำทับของพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ต้องทำซ้ำซ้อน จนมีพลังแข็งแรงๆ จนเป็นกำแพงยักย์ดันเข้ามาไม่ได้
_กฐิน ..อยากทราบวาระหว่างนางวิสาขากับพระเทวทัตใครจะบรรลุก่อน
พ่อครูว่า..ตอบไม่ได้ วิสาขาติดทางสุข แต่เทวทัตสายทุกข์ ใครจะเข็ดหลาบก่อนกัน
_อ.กฤษฎา...ผมรู้สึกว่า คนที่ทำความผิดถึงอนันตริยกรรม ผมมองว่าท่านเทวทัต เป็นผู้ยอมรับผิดก่อนหมดสภาพ
พ่อครูว่า...หากไม่ยอมรับจะยิ่งหนักในชาติต่อไป
อ.กฤษฎาว่า...พระเทวทัตเหมือนโจรแต่ท่านได้สอนการยอมรับผิด
พ่อครูว่า...เป็นสิริมหามายา ถ้าคนหลอกก็บำเรอจิตตน ตนเองทำชั่วแล้วหลอกคนอื่นว่าเสียสละเพื่อคนอื่น คนนี้ก็ได้ชั่วเพิ่มอีก สัจจะจะเป็นอย่างไร? คนนี้จะเป็นอย่างไร จะยอมรับโดยไม่ต้องเอามาคุย ว่าฉันเองพลาดเอง หรือตีกินว่าฉันเสียสละ หากหลอกคนอื่นต่อก็ซวยซ้อน แต่หากยอมรับก็ได้ประโยชน์ตน
อย่าไปพูดต่อตีกิน เรารู้ว่าฉันผิด แต่ไปบอกคนอื่นว่าฉันเสียสละก็เสร็จ แทนที่จะรับโดยดุษณี แต่ไปหลอกคนอื่นซับซ้อนบ้ายกกำลัง พระพุทธเจ้าถึงว่า คนที่มีบาปมาก คือคนโกหกทั้งๆที่รู้ว่าตนโกหก ไม่มีบาปอะไรจะมากกว่าคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตนโกหก คนนี้จะทำบาปอะไรก็ได้มาก
อ.กฤษฎา เหมือนปฏิเสธตัวตนของตนว่ามีตั้งแต่เริ่มต้น
พ่อครูว่า..คำว่าหยุด เมื่อคุณรู้ว่าผิดแล้วก็หยุด หรือว่า คุณไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่ถ้ารู้ว่าผิดก็ชัดต้องยิ่งหยุด
อ.กฤษฎาว่า..ผมได้คำตอบหลายอย่างในการปวารณา พ่อครูมีการอภัยโทษ เป็นเพราะเหตุแห่งการหยุดทำชั่ว จึงมีการอภัยโทษให้
พ่อครูว่า...ต้องชัดเจนว่าขืนต่อไปเราซวยนะ หยุดได้ แต่คนขี้โกงไม่หยุด กลับเอาพยัญชนะมาตีกินโก้ๆ ฉันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้คนอื่นนะ หากคนรู้แล้วก็อย่าทำเลย กรรมเป็นอันทำ ไม่มีใครลบล้างได้ จะเอาสารเคมีสูงสุดแค่ไหนก็ลบไม่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน คนจะตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ต้องเป็นอรหันต์แล้วหรือไม่
_คนจะตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ต้องเป็นอรหันต์แล้วเท่านั้นไหม
พ่อครูว่า...โลกุตระคือความรู้ของพระพุทธเจ้าทุกองค์ การวนคือสามเส้า โลกียะแค่สามเส้าวนแค่นี้ หากเริ่มรู้โลกุตระ เป็นโพธิ สัตว์ที่รู้ก็จะเริ่มสะสมตั้งแต่โสดาบัน ตั้งแต่รู้ว่าโลกนี้แย่สุดคืออบาย โลกนรกต่ำสุด รู้สภาวะที่ต่ำสุดของเรา คุณตั้งใจเอาออกได้ก็พ้นอบาย
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขีดความต่ำหมดแล้วเป็นสกิทาฯ จนหมดในเรื่องกามภพ เป็นอนาคามี สิ่งกระทบภายนอก คุณหมดพลังงานดูดหรือผลัก มันมีดูดผลักภายใน แต่มันไม่ออกมาทางกายวิญญัติวจีวิญญัติ หากออกมาข้างนอกก็ไม่ใช่ ต้องไม่ออกมาภายนอกเลย คนนี้จบโลกกามภายนอก ใครก็ทำให้แสดงออกมาไม่ได้
ผู้เข้าใจสภาวะก็จะรู้กันเอาไปปฏิบัติได้ก็ตรงกัน แต่ตรงกันก็ไม่เหมือนกันมีนัยยะต่างกันไปตามแต่ละคน ที่มาเรียนรู้ร่วมกันได้เป็นพลังงงานรวม ชาวอโศกอาตมาขอยืนยันเลยกล้าพูดต่อโลกเลย จะอีกกี่ร้อยปีพันปีก็จะเป็นความจริงเช่นนี้
พวกเราก็จะสืบสานไป แม้เด็กไม่เข้าใจแต่ก็เหมือนคอมฯบันทึกไว้หมด แต่ยังไม่มีรหัสเอาออกมาก็ใช้ไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลามีรหัสเอาออกมาใช้ได้ มันไม่เสียหลายหรอก เด็กมาวิ่งเล่นในนี้ สักวันมันใช้ได้ มีรหัสทำออกมาได้ ก็ค่อยชัดเจน เรามีแล้วแต่ถ้าเราไม่มี ใช้รหัสอย่างไรก็ไม่มีออกมา
_วิเชียร...ตั้งแต่เด็กแม่สอนสิ่งดีแก่เรา แต่เราก็ไม่เข้าใจแต่ตอนโตสิ่งที่แม่สอนเอามาใช้ได้ เมื่อเราเจอปัญหา
พ่อครูว่า..แม่บริสุทธิ์ใจ รู้อะไรดีก็สอนให้ลูกจำไว้ แต่ต่อไปโตขึ้นก็เอามาใช้ได้ ก็ใช้ต่อไปเรื่อยๆ บางทีแม่สอนลูกไม่ดีหลอกลูก เอามาใช้แล้วเป็นโทษก็จะจำได้ บางทีไม่เจตนาหลอกลูก แต่สอนผิด ลูกก็จำเอามาใช้ก็เลยผิด เป็นโทษอย่าไปโกรธแม่ แม่ไม่เจตนาชั่วหรอก แต่มีน้อยที่แม่สอนชั่วให้ลูก มีส่วนน้อย
_น้ำดิน...ไม่นึกไม่ฝันว่าพ่อครูจะมาเยี่ยมได้ในเดือนธันวาคม เดือนที่แล้วลุ้นมากเลยพ่อครูจะมาได้มาไม่ได้ แต่วันนี้สมกับการรอคอย พอพ่อครูมาก็ได้เห็นเด็กนามาปฐมอโศก น้ำดินอยู่บ้านอารมณ์ดี ฮวงจุ้ยดี ตรงข้ามเป็นที่ชุมนุมศิษย์เก่า ฝั่งบ้านอารมณ์ดีมีผู้สูงอายุได้อาศัยรถราบ้านอาบุษ วันก่อนแม่กอบตัวโตก็ได้ศิษย์เก่ามาช่วยยก บรรยากาศรอบๆดีมากมีลูกหลานศิษย์เก่ามาอาศัยร่วมกัน สังคมเราหากอยู่รวมกันก็พึ่งพาอาศัยกันได้
พ่อครูว่า...เป็นสัจจะความจริงลึกซึ้งละเอียดละออมาเล่าสู่กันฟังไว้ พวกเราอธิบายไปเรื่อยๆก็เจริญเอง
_ต้อย ปลูกขวัญ...เก็บความสงสัยไว้ 10 วันว่ามีคนมาขโมยพระธาตุที่อุณาโลม สมเด็จปู่วิชิตอวิชชาและพระสมานัตตาที่หน้าปฐมอโศก
วันนี้ได้ความกระจ่าง...คนนึกว่ามีคนมางัดเอาพระธาตุไป แต่ได้ถามข้อมูลไปทางปัจฉาฯพ่อท่านว่า ยังไม่ได้บรรจุพระธาตุเลย ก็เลยเป็นความเข้าใจผิดของคนที่เห็นไป ตกลงไม่มีใครขโมยไป
พ่อครูว่า...น่าจะย้ายสมเด็จปู่ปรองดองไปไว้ในศาลาข้างๆนั้นดีไหม จะได้ไม่ดูขัดกัน คนอยู่ในศาลาจะได้กราบสบายด้วย
_เรื่องต้นmแต่ก่อนที่อื่นเขามี ชื่อ ต้นทองอุไร พวกเราเอามาปลูกที่บ้านราชฯ เลยเรียกว่าทองอโศก เป็นต้นไม้โตเหมือนกัน เราตั้งต้นปลูกตอนนี้อีกสัก 10 ปี จะเป็นสัญลักษณ์ของอโศกเลย เป็นต้นทองอโศก เราปลูกจากข้างในหมู่บ้านไปหาภายนอกหมู่บ้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คู่หูของสุขกับทุกข์
_อำนาจ...พ่อครูมาถือว่าเป็นความอบอุ่น ถามพ่อท่านว่าการค้นพบตัวเองคือการปฏิบัติธรรม รู้กิเลส ลดกิเลสใช่ไหม
พ่อครูว่า...ใช่แน่นอนที่สุด คำว่าเทวะคือสอง แต่ตีไม่ออกแยกไม่ได้ ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีรูป นาม คือสิ่งที่ถูกรู้กับตัวรู้ แต่เทวนิยมตีไม่แตก undistinquish ถ้า distinquish คือตีแตกแยกออก เทวนิยมตีสภาวะสองไม่แตกเลยอยู่อย่างนั้นนึกว่าเป็นหนึ่ง แต่อเทวนิยมคือไม่เอาแบบสองนั้น แยกแยะตีแตกได้แยกเป็นเจตสิก แยกเวทนาที่มีฐาน เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดมาเป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ แบบโลกียะแบบโลกุตระ แยกได้ทำได้ ในมโนปวิจาร 18 ทำให้โลกียะเป็นโลกุตระ เนกขัมมะได้ คือหัวใจศาสนาพุทธที่ตีแตกแยกเวทนาออกได้ชัดเจน
รู้จุดสำคัญคือสุขกับทุกข์ มันเป็นคู่หูกันแยกไม่ออก ศาสนาพุทธไม่ดับแต่ทุกข์หรือเอาแต่สุข ไม่ได้ต้องดับทั้งสุขและทุกข์ โดยดับที่ทุกข์เพราะรู้ได้ง่ายกว่าสุขมันอุปาทานเนียนกว่า รู้ยาก แต่ทุกข์รู้ง่ายกว่า ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ สุขก็หมดไปด้วย เป็นฐานกลางว่างเนกขัมสิตอุเบกขา มีตัวอย่างที่เราดูดมันมากผลักมันมาก เราก็อย่าไปยุ่งเกี่ยว เราเป็นอย่างไรในจิตเรา มันอยู่ที่เรา เราเอาออกเราหมดทุกข์หมดสุข เราจะเกิดปัจจัตตลักษณ์คือรู้ได้ด้วยของตนเองมี อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง จิตมันว่างจากกิเลสตัวนี้ จิตว่างจากภพชาตินี้แล้ว ว่างจากสุขทุกข์นี้แล้วเป็นเช่นนี้เอง ตถตา อุทานออกมาได้
ตถาตามีสามแบบ อย่างตถตายถากรรม กับตถตาอย่างว่างจากกิเลส พอทำได้ตัวแรกจะรู้เลย อ๋อ อุทาน ตถตาเป็นเช่นนี้เองหรือเราก็ amazing ตื่นเต้นอย่างนี้เองหรือ จนมันมีอย่างนี้ได้แข็งแรงนาน เป็นตถตาที่นิรันดร แข็งแรงเป็นจริงได้ตลอด คือนัยยะที่สามของตถตา
ตถตา ที่มิจฉาทิฏฐิ ก็คือแบบยถากรรม ไม่รู้เรื่องเลย ตถตาแบบที่สองคือ แบบที่รู้กิเลสแล้วทำลดได้หมดได้เป็นอย่างแรกก็ได้ผล แบบที่สามคือทำได้อย่างแข็งแรงตลอดกาล เป็นเช่นนั้นเอง
_กรักเพียงแก้ว….จิตมุทุ เป็นสมาธิมีความแววไวใช่ไหม แบบอื่นไม่ใช่
พ่อครูว่า...สมาธิโลกีย์ก็ทื่อๆไม่ไว แต่สมาธิโลกุตระมีมุทุ มีสองนัยคือทั้งรู้เร็วและปรับได้เร็ว
_กรักเพียงแก้วว่า...ต้องเริ่มที่ศีลหรือไม่แล้วทำจิตมุทุภูเต
พ่อครูว่า..คือเปลี่ยนแปลงได้เร็วไว จากเลวมาดี หรือรู้ได้เร็วด้วย
_กรักเพียงแก้วว่า..โลกุตระ 9 นี้ เราต้องปฏิบัติตั้งตนเนกขัมมะ ไม่ใช่เคหสิตะ สร้างอารมณ์โน้มทางเพ่งเผา เราไม่มีสิทธิ์จะไปเคืองโกรธรำคาญใคร ตอนเริ่มต้นรายการพ่อครูเหมือนไม่สด แต่ตอนนี้ยิ่งพูดยิ่งสดไปเรื่อยๆ
พ่อครูว่า...เอาที่อุปายาส ขุ่นเคืองออกไปเรื่อยๆ
_สีดิน...เรื่องสอบ ว.บบบ. ที่ผ่านมามีเข็มทำให้ดิฉันทุกข์มาก ตอนหลังสอบไม่มีเข็มตกแล้วสบาย ตอนสอบมีเข็มได้เข็มแล้วก็ทุกข์ นอนสะดุ้ง ว่าจะเอาเข็มทองไปคืนค่ะ
อีกข้อหนึ่ง ที่พ่อครูพูดถึงภาษากับสภาวะ นึกถึงชื่อลูกๆที่พ่อครูตั้งให้ ชื่อคือภาษา และสภาวะคืออีกอย่าง
เช่นทิวเมฆ คือภาษา แล้วสภาวะคืออย่างไร
พ่อครูว่า...เมฆก็ลอยสูงไป
ที่ยึดมั่นถือมั่นคือท่านถักบุญ ท่านก็ว่าจะเปลี่ยน เพราะว่ามันจะถักไปถึงไหน ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นภาษาเลย ทำบุญจนหมดกิเลสแล้ว ไม่มีบุญแล้วชื่อจะค้างอย่างไรก็แล้วแต่
_อยากรู้ว่าพ่อครูจะให้คะแนนคำคมของคอนฟิวเชียสบทนี้เท่าไหร่ครับ
ความมั่งคั่งและเกียรติยศที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้องนั้น มันไม่ต่างอะไรจากเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
พ่อครูว่า..ให้ 50 ก็แล้วกัน อธิบายต่อ เมฆคือก้อนน้ำที่จับตัวหลวมๆ พร้อมละลายเป็นน้ำให้ประโยชน์แก่โลก เมฆลอยบนฟ้าดีกว่าหินโสโครก เหมือนหมอกแต่หนาแน่นกว่า แต่มันยังไม่แข็งจนผ่านไม่ได้ ยังไม่จับเป็นก้อนน้ำ มันมีพลังดูดไม่แตกกันง่ายๆ หากแตกก็จับใหม่ จาก fission เป็นfusion จับเป็นน้ำตีแตกยากอีก ก็เป็นธรรมชาติหมุนเวียน
_มีคอร์สอบรมเพื่อให้คนรู้จักตนเอง คลายปมตนเองได้เนื้อหาเขาน่าสนใจแต่รายจ่ายเป็นหมื่น อยากให้พ่อครูสอนไม่ต้องให้พวกเราไปเสียเงินเข้าคอร์ส
หนึ่งรู้ตนเอง สองคลายปม สามแนวสะกิดจิตพูดกับตนเองในสิ่งดีบ่อยๆ
พ่อครูว่า...มีสามอย่างที่ตั้งมานี้ ก็ได้เป็นวิธีการของตนที่ตั้งขึ้น ให้ไม่ต้องไปหลงเสียเงิน เราอยู่ที่นี่สอนอยู่แล้วไม่ต้องเสียเงิน คนไหนมีเงินทองก็ปล่อยเขา พวกเราก็สอนกันอยู่ไม่ต้องจ่ายเงิน คนของเราโง่เองที่ไปเสียเงิน เราไม่ศรัทธาพวกเรากันเอง
ที่นี่คือโรงเรียนที่สอนรู้ตน รู้ปม คลายปม อย่างเป็นมหาลัยใหญ่ที่สุดเลย
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:26:14 )
รายละเอียด
611219_พ่อครูสนทนากับท่าน Lopen Gembo Dorji แห่งภูฏาน
เรื่อง การพัฒนาโรงเรียนและการวางรากฐานพุทธศาสนาในระดับมัธยมศึกษา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1E1qET4Y_tU6JQAKHLdRhCVTeEaLChBeK7QO8F7hzjAo
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=19KYcn9LSL4sk9trOIRNF8BolDpp3eKg6
สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน รากฐานการศึกษาต้องพัฒนาจากบวร
วันพุธที่ 19 ธ.ค. 2561 ที่ลานหินนั่ง หน้าน้ำตก บวร สันติอโศก
ผู้สนทนากันมี พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ กับ ท่าน Lopen Gembo Dorji เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยสมเด็จพระสังฆราชในประเทศภูฏาน (His Holiness of shagarage) เรียกว่าท่าน GEM และคณะ มีสม.สัจฉิกตา ตั้งเผ่าร่วมสนทนาด้วย คุณแหม่ม(พราวพุทธ ขาวดารา) เป็นผู้แปล
พ่อครูว่า…ที่เรามีโรงเรียน มี บ้าน มีวัด บ้านวัดโรงเรียนซึ่งเป็นสังคมองค์รวม จะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ของทุกอย่าง ของจิตวิญญาณและพลังงาน เมื่ออยู่รวมกันก็จะเกิดการสังเคราะห์สังขารรวมกัน ธรรมชาติของจิตวิญญาณนี้ละเอียด จะซึมซับ osmosis เข้าหากันอย่างสนิทเนียน
เพราะฉะนั้นเราจึงจัดสรรให้เกิดหมู่บ้าน เกิดการศึกษาเป็นโรงเรียนทางการศึกษาของเด็กทางการศึกษาของคนหนุ่มสาวของคนอายุมากเป็นองค์รวม
เราได้พิสูจน์และปฏิบัติกันมา อาตมาพาทำมาตั้งแต่อาตมาบวช เกือบ 50 ปีแล้ว ก็เป็นที่น่าพอใจสำเร็จผล ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านทรงวางระบบทฤษฎีเอาไว้ เป็นความสงบอบอุ่น เป็นความสุขสบาย ท่ามกลางสังคมที่เขาเดือดร้อนแก้ปัญหาไม่ตก เพราะที่นี่อยู่กลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย เราจึงเป็นจุดกลางที่ไม่เหมือนข้างนอกไปเลย เข้ามาที่นี่จะรู้สึกแตกต่าง ที่นี่มีครบพร้อมทั้งเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ
ท่าน GEM… ประเทศไทยกับประเทศภูฏานเป็นประเทศพุทธศาสนาเหมือนกันเป็นโชคดีที่ทำให้มีจิตวิญญาณที่ดีเหมือนกัน คุณลักษณะพิเศษขอบการมีธรรมะในจิตใจ ทำให้เราเป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่หรือผู้มีอายุ สิ่งที่เราฝึกสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติในสายทางธรรม จะเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เราเป็นคนที่ดีได้
ในการมาที่นี่เรามีความสุขสงบ เพียงแค่เราเข้ามาภายในนี้ก็สัมผัสสิ่งนี้ได้ ว่าโรงเรียนนี้มีธรรมะเป็นเครื่องเหนี่ยวนำ และเข้าใจถึงหลักการที่เราใช้ในการพัฒนา
พ่อครูว่า..มีสิ่งใดที่ท่านที่มาเห็นว่าจะมีประโยชน์ก็เชิญ ตักตวงเอาได้เลย
ท่านGEMว่า...สามารถสัมผัสได้ชัดเจนแน่นอนเพียงแค่เข้ามาเพียงไม่กี่วินาที สิ่งที่เรียกว่าความสุขความสงบไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะเห็นได้จากการต้อนรับการปฏิบัติ ความสงบที่ท่านสัมผัสได้อย่างชัดเจน ก็คือเป็นสิ่งที่ท่านประทับใจ ทำให้ท่านรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดี
พ่อครูว่า...ยินดีมากที่รู้สึกเช่นนั้น มีอะไรต่อไปที่จะได้รับชมได้รับที่จะสัมผัส ใครมีอะไรต่อไปมีคำถามต้องการจะได้ซักไซ้
ท่านGEMว่า...สมมุติว่านักเรียนที่จบจากที่นี่ไปแล้วไม่ทราบว่านักเรียนจะทำอะไรต่อไปมีอาชีพอะไร
พค.ว่า...เขาจะมีความรู้ที่ว่าเขาออกไปอยู่กับโลกเขาจะประพฤติในสิ่งที่ดีที่งามให้แก่โลก เขาจะแยกออกว่า โลก ส่วนใหญ่ที่เขาพุ่งเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เสียหายเป็นทุกข์ร้อนเขาจะรู้จักจากที่นี่ เมื่อออกไปอยู่ข้างนอกเขาก็จะประพฤติใช้ชีวิตกับสิ่งที่เขาเข้าใจแล้ว เขาจะรู้ความสูญเปล่าความไร้สาระที่โลกเขาหลงกัน
เพราะฉะนั้นเขาจึงอยู่กับข้างนอกได้อย่างประหยัดได้อย่างไม่สูญเสียไม่ฟุ่มเฟือยหลงโลกจนเกินเลยไป เขาจะเป็นผู้อยู่ในเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่ดี เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบ
ท่านGEMว่า...การที่เราสร้างการศึกษาเน้นคุณธรรมการใช้ชีวิต มันจะเป็นปัญหาของส่วนการศึกษาพื้นฐานหรือไม่ เช่นการสอบการเขียนเป็นต้น กับการพัฒนาศีลธรรม สองส่วนนี้เป็นสิ่งที่ยากจะทําได้อย่างสมบูรณ์ ขอเคสที่เป็นการแก้ปัญหาแนะนำการสอน จะทำให้เด็กที่เรียนในโรงเรียนที่เน้นคุณธรรมสามารถนำการศึกษานี้ไปใช้ได้ มีกระบวนการแบบไหนทำให้การศึกษาขั้นพื้นฐานกับการพัฒนาคุณธรรมไปด้วยกันได้
พ่อครูว่า...เรารู้ระดับของความเป็นเอกเป็นรอง ความเป็นเอกของจิตวิญญาณเป็นแก่น ความเป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องรอง เราไม่สับสน เราตัดสินได้ อย่างไรเราก็รู้ว่าเรามาจบที่จิตวิญญาณ ความเป็นโลกก็ได้เท่าที่สามารถทำได้เราไม่แข่งกับโลก โลกเขาเป็นโลกาจินตา ไปไม่หยุดไม่มีเขตแห่งความพอไม่มีความจุดจบจุดพัก เพราะฉะนั้นเราไปตามเขาไม่ได้ เราจึงมีจุดพอจุดสบาย มีจุดที่มั่นใจว่าเรามีสันโดษ เรามีความเข้าใจชัดเจนตามคำสอนพระพุทธเจ้า
ท่านGEMว่า...เราได้ทำการสอนมา ในฐานะที่ท่านเองเป็นทางพระเป็นทั้งผู้สอนธรรมะ บางครั้งเจอปัญหาที่ว่ายาก การทำให้สมดุลระหว่าง การสอนเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องศาสนา เรื่องการศึกษาพื้นฐานทางโลก ทำได้สมดุลยาก
หากพูดคำว่าโพธิสัตว์คนจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆคนเลยยากจะเข้าใจ ท่านก็เปลี่ยนจากคำว่าโพธิสัตว์เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเป็นความเสียสละ เมื่อท่านเปลี่ยนด้วยคำพูดเหล่านี้ทำให้คนเข้าใจเข้าถึงความหมายได้ชัดเจนมากขึ้น อันนี้เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการที่เป็นฐานะพระสงฆ์ต้องนำพระพุทธศาสนามาสอน โดยจะสอนให้คนทั่วไปนำมาใช้งานก็จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
นักเรียนที่นี่ดูน่ารักดูสงบและเงียบ ที่นี่มีการสอนทำสมาธิหรือมีกระบวนการพัฒนาให้คนมีผู้ ความสงบและความดี
พ่อครูว่า..คำถามนี้เป็นคำถามที่ต้องตอบอย่างดีเลย วิธีทำความสงบไม่ได้นั่งสมาธิ แต่ทำสมาธิอยู่ในทุกอิริยาบถ ทำการอาชีพเลี้ยงชีวิตเราก็ทำสมาธิ เราทำกรรมกิริยาทุกกรรมกิริยา เราก็ทำสมาธิ
น้อยมากที่เราจะไปนั่ง meditation แทบจะไม่ต้องทำเลยเพราะเราเกิดสัมมาสมาธิ มีความเสถียรของสติไว้ มีมุทุภูตธาตุ สัมผัสทุกอย่างแล้วเราจะมีจิตเร็วไว ไหวรู้ทันแล้วจะปรับจิตวิญญาณ ทุทุภูตธาตุ ของเราให้ทันการหมดเลย เพราะฉะนั้นสมาธิของเราไม่ใช่ไปช้านั่งนิ่ง แต่ของเรานี่มีแต่สมาธิที่ไวมากเลย
จริงๆแล้วศาสนาพุทธนี้ตรงกันข้ามกับ Meditation แต่ว่าเป็น Supra Concentrate ยิ่งจะไป Meditation ยิ่งจะช้ายิ่งหยุด ของพระพุทธเจ้านี้ทำการอาชีพ สัมมาสัมมาอาชีพ มีสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ ตลอดเวลาเราจะมีองค์ธรรมสมาธิที่ดีที่สุดคือ จิตจะไม่มีตัวกิเลสกวน เรียกว่าจิตสะอาด จิตปราศจากตัวกวน จิตก็มีความเร็ว มุทุภูตธาตุ จิตก็จะบริสุทธิ์สะอาดอยู่ตลอดเวลา กล่องทำที่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์จริง คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ทำกรรมการงานอะไรก็ดีอยู่ที่สุดเลย ปภัสรา ผ่องใสอยู่อย่างเดิมนี่คือสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่รู้เรื่องกรรมการงานอะไรทำงานอะไรก็ไม่ได้ ต้องเสียเวลาต้องหาสถานที่และต้องหยุดทุกอย่าง ไม่ใช่ สมาธิของพระพุทธเจ้าตรงกันข้ามหมดเลย Opposite
เพราะฉะนั้นแทบจะบอกได้ว่านั่งหลับตาทำสมาธินี่ ไม่ถูกเลยโยนทิ้งได้เลย ศาสนาพุทธไม่ใช่อันนี้เลย
ท่านGEMว่า...จะทำได้อย่างไรจึงมีผล
พ่อครูว่า...ต้องปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิ เพราะเราเชื่อว่าเรามีสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้าจึงเกิดผล เมื่อเขาสัมผัสแรกจึงรู้สึกว่าสงบทั้งๆที่เราไม่ได้มานั่งสงบMeditation
ล่ามว่า...ไม่ทราบว่า ท่านมีแนวคิดวิสัยทัศน์ต่อโรงเรียนดีอย่างไรโปรแกรมในอนาคตที่ท่านจะพัฒนาโรงเรียนนี้
พ่อครูว่า..อาตมาไม่มีอะไรที่จะ Apply สิ่งที่ทำมาแล้ว 40-50 ปี อาตมาว่าอาตมาได้ทำเต็มทำพร้อมหมดแล้ว มีแต่จะทำต่อไปและต่อไปเท่านั้นเอง
ปัญหานั้นไม่มี แต่อาตมาว่าอาตมามีปัญญาหรือว่ามีความรู้ที่รู้ว่า จะทำให้มันเจริญต่อไปนี่ได้ยาก เพราะเขายึดมั่นถือมั่นด้วยความหลงผิด เข้าใจคำสอนพระเจ้าที่เขาได้หลงผิดไปเขาได้ยึดมั่นถือมั่นตรงนี้แล้ว นี่มันยากตรงนี้แหละ ตรงกระแสหลักที่เข้าใจผิดนี่แหละ จะไปแก้ความยึดมั่นถือมั่นของเขานี่ยาก
เขาไม่เปิดประตูรับสิ่งที่อาตมาให้ไปเขาปิดสนิท
โยมที่มากับท่าน GEM ถามว่า...ได้รับการประสานงานให้มาที่นี่ โยมขออนุญาตว่า อยากจะขอถามเรื่องระบบที่พ่อท่านได้สอนเรื่องบุญนิยมกับทุนนิยม
พ่อครูว่า..เอาศัพท์คำว่าบุญนิยมกับทุนนิยม คำว่าปุญญะ ภาษาอังกฤษไม่มี แต่ทุนนิยม คือ capitalism คำว่าทุนนิยมเป็นเรื่องสามัญชาวโลกที่จะต้องไปหลงไปรวย หลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นโลกียะ แต่เขาไม่เข้าใจว่ายังมีโรคที่เป็นโลกุตระ โรคที่คนไม่ต้องไปเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องไปอยากรวยไม่ต้องไปอยากดังไม่ต้องไปอยากได้มาให้แก่ตัวเองอะไรอย่างนี้ เขาไม่เชื่อว่าคุณจะคิดเช่นนี้ได้ แต่คนที่คิดเช่นนี้ได้ทำเช่นนี้ได้คือโลกโลกุตระที่พระพุทธเจ้าค้นพบ
ท่านGEMว่า...จากที่พ่อท่านได้กล่าวมา สิ่งที่ท่านอยากจะขอย้ำคือ สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั่วไปคือ ตัวที่ทำให้เรามี ความพอเพียงและมีปัญญา ที่จะพัฒนาได้ สัตว์ทั่วไปไม่มีในส่วนนี้ที่จะเข้าใจและพอเพียง เมื่อไหร่ที่เราจะได้พัฒนาและปฏิบัติในสิ่งที่ได้รับพิจารณาอย่างถูกต้อง มันจะทำให้เราเป็นอิสระออกจากสิ่งที่มายั่วยวนหรือเป็นกิเลส ทำให้เราเกิดการพัฒนาในขั้นต่อไปได้
พ่อครูว่า...ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อเกิดปัญญา จะเข้าใจจะมีวรรณะ 9 the classes วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ท่าน GEM ว่า...การศึกษาที่นี่เป็นโรงเรียนที่อยู่ประจำหรือเปล่า
พ่อครูว่า..เราเห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันจึงทำการศึกษาแบบ บวร ให้อยู่ร่วมกันซึมซับกัน แต่การศึกษาแบบโลกนั้นเป็นการศึกษาที่ผิดเป็นการแยกส่วนทำให้เด็กไม่รู้จักสังคมไม่รู้จักความเป็นไปของสังคมไม่รู้จักว่าอะไรคือสิ่งที่เราจะต้องอยู่ร่วม นี่คือการศึกษาที่ล้มเหลวการศึกษาที่ผิดพลาด เราจึงเอาการศึกษามารวมกัน ชีวิตคนเป็นชีวิตสามัญ นักเรียนอยู่กับชีวิตคนตั้งแต่คนเด็กคนแก่คนหนุ่มคนสาวทำงานอะไรกัน นักเรียนของเราจะอยู่ร่วมกันหมดเลยช่วยกันคนละไม้คนละมือ ศึกษาไป รู้ซึมซับไปตลอดเวลาเลยว่าชีวิตอย่างนี้คือชีวิตจริง ส่วนตำราที่จะเรียนตามโลกเขากำหนดมามีหลักสูตรเท่านั้นเท่านี้เป็นเรื่องขี้ผง สอบเพื่อให้ได้ตามข่าวเท่านั้นเองอันนี้เป็นเรื่องของชีวิต
ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลจนไปถึงจบปริญญาเอก เขาไม่รู้จักสังคมไม่ได้ศึกษาความเป็นจริง
เราจึงเรียกว่าบ้านวัดโรงเรียน รวมกันอยู่ด้วยกันหมดเลย การประสบความสำเร็จที่เราได้ประพฤติปฏิบัติแบบนี้
ท่าน GEM ว่า...เป็นโชคดีของเราอย่างมากและขณะที่มาที่นี่ ขอบคุณเป็นอย่างมากกับทุกๆท่าน เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากแม้จะในระยะเวลาอันสั้น ท่านจะได้นำสิ่งที่ทั้งนี้ได้แนะนำไปปรับปรุงไปใช้ในประเทศภูฏาน
พ่อครูว่า...ขอบคุณเป็นอย่างมากที่เห็นเรามีคุณค่า เป็นเกียรติอย่างยิ่ง
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:27:12 )
รายละเอียด
611219_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1gb3FkRAI5yptVmJhbmaepeTOAXjhLY-vEVU_vjyRiGo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Dns183XJqLj41HlW6DNV-cRDTkkuJFhp
พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก ที่ลานข้างน้ำตก พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้มาจัดรายการที่นี่
มีsms ไลน์มา
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ธรรมะ 0 ไม่มี มีแต่ 0 อุเบกขา
_waja waja วาจา
กราบนมัสการครับ ผมได้ฟัง ธรรมะ ห้าดาว ตอน (170817) เจโตปริญาณ-พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์-วัดนรนาถสุนทริการาม ตั้งแต่นาทีที่ 56 พ่อครู เทศน์ เรื่อง อุทธัจจะ กุกกุจจะ "โดยเริ่ม จาก ศูนย์ " ศูนย์ในที่นี้ หมายถึง อุเบกขา หรือ ธรรมศูนย์ ครับ
พ่อครูว่า...ตอนนี้อาตมาอธิบายธรรมะ 2 เทวธัมมา ก็ขยายความว่า มันคือสุดยอดของธรรมะทั้งหมดเลยในโลก แล้วก็แตกแ กความอะไรออกไป ถ้าใครเข้าใจธรรมะ 2 แล้ว สามารถทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่งและเป็นศูนย์ได้
เช่น เวทนา 2 เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เราก็ทำกำจัดต้นเหตุของเวทนาเก๊ กำจัดอวิชชา เวทนาเก๊ก็หมดไป ก็เหลือแต่เวทนา1 เวทนาเดียวในจิต แม้เวทนาแท้ ผู้ที่ศึกษาดีแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ก็ได้อุเบกขาเป็นฐานอาศัยในชีวิต แล้วก็จะได้ผลความวางไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราอย่างแท้จริงได้ นี่คือความลึกซึ้งซับซ้อนของธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาสอนเรา อาตมาก็เอามาอธิบายให้ละเอียดซับซ้อน
วันนี้มีคำถามความสงสัยที่น่าสงสารของพวกเทวนิยมพวกที่ตีธรรมะ 2 ไม่แตก เขาจะถือ 2 นี้เป็นหนึ่งเดียวอยู่อย่างนั้น งมงายกับเทว จนเทวะเป็นอัตภาพเป็นเรื่องเมจิกเข้า เป็นเรื่องซับซ้อนมโนมยอัตตาไม่รู้จบ มันก็น่าสงสาร ก็ค่อยๆอธิบายกันไป
คนนี้ถามมา ถ้าธรรมะนี้อาตมาจะไม่ค่อยใช้คำว่าธรรมะ0 จะใช้คำว่า0 ใช้คำว่าธรรมะ 2 ธรรมะ 1 และ0 ศูนย์หมายถึงสิ่งที่หายไปสิ่งที่ไม่มีอยู่แล้วไม่ทรงอยู่ คำว่า ธรรมะศูนย์เราก็ไม่ค่อยใช้ เราก็ใช้ 0 สิ ธรรมะมันต้องทรงอยู่
สภาวะธรรมะ 0 ลึกซึ้งโดยสภาวะ แต่ธรรมะมันแปลว่าทรงอยู่ ผู้ที่บรรลุสูงสุดแล้วธรรมะคือสิ่งที่ไม่มี ถ้ายังมีอยู่ก็ไม่ใช่ธรรมะ ก็กลายเป็นอธรรม ที่มีอยู่นี่คืออธรรม ตอนนี้ฟังให้ดีนี่คือสิริมหามายาซับซ้อนไปเหมือนนักเล่นกลกลับไปกลับมา
สิ่งที่มีอยู่ผู้ทีไม่ยึดแล้วก็ไม่มี นั่นคือสูงสุด ถ้ายังยึดถือว่ามีอยู่ก็ยังเป็นอธรรม ก็เหมือนคนพูดตลบแตลงเล่นกล เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี
คนที่มีสภาวะจริงแล้วพูดกลับไปกลับมาตลบแตลงอย่างไรก็ไม่หลงทาง จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย
อุเบกขาเป็นการอธิบาย กลางๆวางเฉยแต่สภาพยังมีอยู่นะ อุเบกขานี้ยังมีอยู่ถ้าศูนย์นี้ไม่มีแล้ว คุณคนนี้ใช้คำว่าธรรมะ0 ถ้า0 แล้วไม่มีธรรมะ ธรรมะ 1 ธรรมะ 2 ธรรมะ 3 จนไปถึงธรรมะเป็นล้านก็คือสิ่งที่มีที่แตกตัวออกไป ท่านก็ใช้ธรรมะ 1 ถ้า 0 แล้วไม่ใช้คำว่าธรรมะเพราะศูนย์ไม่มีอะไรทรงไวแล้ว 0 คือสิ่งที่ไม่มีแล้ว
อุเบกขาขยายความสิ่งที่สูง เป็น องค์ธรรม 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธามีอยู่แต่ปราศจากกิเลส ที่สุดแห่งอาสวะ จะไม่คุยถึงอนุสัย ถ้าหากจบเป็นอรหันต์แล้วค่อยมาคุยเรื่องอนุสัย คุณรู้จักให้หมดอาสวะก่อน จะหมดอนุสัยหรือยังค่อยมาคุยกัน คุณมั่นใจว่าอาสวะหมดแล้วค่อยมาคุยกัน แล้วจะพูดเรื่องอนุสัย ภาวะอนุสัยนี้มันลึกซึ้งกว่าอาสวะ เพราะอนุสัยมันมี 7 แต่อาสวะมี 4 เหลือแต่กาม ทิฏฐิ ภว อวิชชา นี่คืออาสวะ 4 ซึ่งอาสวะ 4 แล้วเมื่อคุณเป็นอุภโตภาควิมุติแล้วค่อยมาคุยกัน แต่อรหันต์แล้วค่อยมาคุยเรื่อง อนุสัย 7
ปริโยทาตา แม้จะมีการกระทบสัมผัสอย่างไรก็ยังบริสุทธิ์อยู่ก็จะทำงานได้อย่างเหมาะควร กัมมัญญา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นั่ง meditationไปอีกล้านปีก็ไม่มีบรรลุ
_Silapatkul Sukjai... Meditation เป็นสมาธิที่คนทั่วไปเขาพยายามฝึกกันโดยเฉพาะฝรั่งชาวตะวันตก เพราะสังคมเขาเร่งรีบแข่งขันสูงในระบบทุนนิยม พวกเขาจึงเข้ามาแสวงหาในฝั่งเรา แต่พอมาเจอวัดไทยมีแต่วัตถุมงคลและเสียงสวดมนต์แบบลวกๆไม่ต่างกับร้องเพลง เขาก็ไม่ให้ความเคารพมาเที่ยวถ่ายรูปภาพพนังและพระองค์โตๆไปวัดกลายเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไม่ต่างกับไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ พวกสนใจฝึกMeditation ต้องไปเข้าอบรมฝึกเฉพาะซึ่งเดี๋ยวนี้มีค่าใช้จ่ายสูงอีกด้วย ฝรั่งที่เคยฝึกที่วัดมหาธาตุบอกต่อมาที่วัดนี้กันเยอะเพราะไม่ต้องเสียเงินแถมมีที่พักกินฟรี แต่ถามว่าเขาจะได้ดังใจหวังกับการเดินจงกรมนั่งสมาธิรึ? สัมมาสมาธิของพุทธไม่มีใครแจกแจงเช่นพ่อท่าน ในยุคนี้ ขอยืนยัน
พ่อครูว่า...พวกMeditation สะกดจิตได้เป็นล้านปี เหมือนอาฬารดาบส ที่จริงไม่ได้เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าเพียงแต่ไปดูนิดหน่อยเท่านั้นก็ทำได้แล้ว เขาก็ถือว่าเป็นอาจารย์ ที่จริงแล้วท่านผ่านมาแล้ว
สรุปว่าเรื่อง Meditation ก็เป็นฐานของเขา เขาสนใจเทวนิยมมานาน ตอนนี้ก็มาสนใจทางพุทธ ก็ไปนั่งหลับตา แต่ทางพุทธนั้นจะมีความหมายจะทำอีกเยอะที่เขาจะมีปฏิภาณรู้อีก เขาจะค่อยๆเข้ามา ก็อย่าเพิ่งไปตีเขาทิ้ง ต้องใช้ไม่ได้ติดตั้งเป็นฐานก่อนศึกษาไปแล้วเขาจะได้รับประโยชน์
คนที่จะเอาแต่ Meditation แล้วจะบรรลุนั้นเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่ทำ Meditation แล้วบรรลุนั้นจะต้องมีภูมิเก่า เช่นเป็นพระโสดาบันมาแล้วนั่งหลับตาก็เป็นพระโสดาบันได้ ถ้าหากไม่มีภูมิเก่านั่งหลับตาอีกเป็นล้านชาติก็ไม่มีทางบรรลุได้ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าบรรลุอย่าง 3 อัน มีตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสแล้วเกิดธรรมะ 2 นั่งหลับตาทำให้เกิดธรรมะหนึ่งนั้นมันไม่มีสมมติสัจจะมีแต่ปรมัตถ์สัจจะอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ธรรมะอย่างเดียวจะเรียนรู้ให้ตายก็ไม่มีทางบรรลุธรรม ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมีธรรมะ 2 ใครยึดธรรมะ 1 อยู่ในภพภายในอย่างเดียวก็ปิดประตูบรรลุธรรมของศาสนาพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ความเป็นอรหันต์กับโพธิสัตว์ ที่คนมักเข้าใจผิด
_Aeamaua Lee ....เรื่องอรหันต์ กับโพธิสัตว์. คนทั่วไปเขาเข้าใจหลวมๆง่ายๆว่าถ้าเป็นอรหันต์แล้วจบคือไม่กลับมาเกิดอีก ส่วนโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่อรหันต์ ค่ะ เมื่อ 2 วันก่อนได้คุยกับชายสูงอายุ 2 คน เขาว่าอย่างพ่อครูนี่ยังไม่เป็นอรหันต์แต่บำเพ็ญโพธิสัตว์จึงได้ออกมาช่วยคน เขาว่าเขาเคยมาร่วมชุมนุมและฟังเวทีกองทัพธรรม และยังคุยด้วยว่าเคยบวชมาทางสายหลวงพ่อลี ถ้าอรหันต์ไม่ออกมายุ่งเกี่ยวแบบนี้ จะบำเพ็ญเคร่ง พระในกรุงไม่มีอรหันต์ ก็เลยขี้เกียจคุยต่อเดี๋ยวมันจะยาวอะค่ะ คนคิดเช่นนี้มีเยอะและคิดว่าที่ตัวเองรู้ถูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...ผู้ที่เข้าใจว่าบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ตายแล้วสูญเป็นพวกอุจเฉททิฏฐิ คนๆนี้ไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุอรหันต์ อีกกี่ชาติกี่ชาติก็ตาม เพราะว่ามิจฉาทิฐิแต่ต้นทาง คุณจะไม่มีทางพบพระอรหันต์จริง เพราะพระอรหันต์จริง ที่ไม่สอนคนคือ สมสีสี คือ บรรลุอรหันต์แล้วก็ตายพร้อมกับการบรรลุ คนที่บรรลุอรหันต์แล้วยังไม่ตายก็จะสอนมนุษย์ แล้วจะเข้าใจว่า อรหันต์นี้ตายแล้วไม่สูญ เพราะว่าเป็นอรหันต์จริงแล้วจะตายไม่สูญได้
สุญญตนิพพาน นิมิตนิพพาน อปนิหิตตนิพพาน
ถ้าคุณตายรู้แล้วรู้จักทำศูนย์ไม่ตั้งจิต อปนิหิตต(จิต) ไม่ตั้งนิมิต(รูป) คนนี้ตายแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสาน คนนี้ตายแล้วสูญจริง เพราะทำนิพพาน 3 นี้เป็น ถ้าคนที่ทำ 3 นิพพานนี้ไม่เป็น ก็ยังไม่เป็น ยังไม่สูญ คนธรรมดาตายแล้วก็ไม่อยากเกิดเยอะ แต่มันไม่สนหรอกเพราะคุณทำจิตในจิตของคุณยังไม่เป็น ทำจิตในจิตให้สูญจริงๆ ดับอาสวะอนุสัยยังไม่ได้ไม่ได้ทำนิพพาน 3 นี้ไม่มีทางศูนย์ อยากสูญก็ไม่มีทางศูนย์ เขาว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายจะเกิดอีกเป็นครั้งสุดท้ายแต่ว่าปากยังเคี้ยวหมากอยู่ ยังติดหมากอยู่ไม่มีทางทำได้หรอก ผู้ที่หลงอรหันต์กินหมากไม่ขาดปาก แค่สิ่งเสพติดแค่ตื้นแค่นี้ ยังติดหมากเหมือนติดเหล้าติดเบียร์ยังตื้นๆอยู่ มันไม่ใช่สิ่งละเอียดลออเลยสิ่งเสพติดพวกนี้
ผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ได้ ต้องบรรลุพระอรหันต์ก่อน ผู้ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์จะเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปุถุชนโพธิสัตว์ไม่มี โพธิสัตว์ต้องมีความรู้ ตามลำดับ หนึ่งจะต้องรู้ความเป็นโสดาบัน ก็เรียกว่าโพธิสัตว์โสดาบัน ก็ต่อเป็น โพธิสัตว์สกิทาคามี แล้วก็ต่อเป็นโพธิสัตว์อนาคามี แล้วก็ต่อเป็นโพธิสัตว์อรหันต์ ก็จะรู้ชัดเจนว่าอรหันต์มี 4 ลำดับ
เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว ผู้บรรลุอรหันต์แล้วไม่ตอบโพธิสัตวภูมิพุทธภูมิต่อ จบในอรหันต์โสดาฯ สกิทาฯ จบอนาคามีอรหันต์ อรหันต์ในอรหันต์ สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ทั้งนั้น คนที่บอกว่า อรหันต์ตายแล้วสูญอย่างเดียวเท่านั้นจะไม่บรรลุได้แม้แต่พระโสดาบัน
อรหันต์โสดาบันก็ตายสูญยังไม่ได้ จะหลงว่าตนเองต้องตาย 0 แล้วมันก็ยังต้องเกิดอีก มันก็จะรู้ในชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ คนนั้นเป็นพระโสดาบันแต่นึกว่าตนเองเป็นอรหันต์ ก็ยังจะต้องเกิดอีกจนกว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นพระโสดาบันก็ค่อยๆศึกษาต่อไปเป็นลำดับ
อรหันต์ 4 แบบ อรหันต์ในโสดาบัน ในสกิทาคามี ในอนาคามี อรหัตตผลของอรหันต์
อรหัตตผลในอรหันต์จึงจะเป็นอรหันต์แท้ที่เข้าใจและทำได้ว่าตนเองจะตาย 0 ได้อย่างไร ต้องมีนิพพาน 3 แบบ ถ้าไม่ทำนิพพาน 3 แบบได้ยังไม่ใช่อรหันต์
ต้องอ่านจิตตัวเองให้ได้ สุญญะคืออะไร นิมิตตะคืออะไร อปนิหิตตะคืออะไร เราไม่สร้างนิมิตไม่ตั้งจิตต่อแล้วเป็นอย่างไร คุณก็จะต้องรู้ แล้วไม่ได้รู้ทันที คุณเป็นโสดาบันกว่าจะรู้อย่างละเอียดนี้ อย่านึกว่าเป็นโสดาบันปุ๊บจะรู้ได้ปั๊บไม่ได้หรอก
คุณคนนี้ถามมา ..คุณต้องมีความรู้ 3 อย่างนี้แล้วทำจิตตัวเองได้เป็น นิพพานทั้ง 3 อย่างนี้ อรหันต์จะรู้จิตตั้งจิตต่อได้ แม้คุณไม่อยากเกิดไม่ตั้งจิตเกิด แต่กิเลสยังมีมันก็จะเกิดมาอีก อย่างมหาบัวนี้ ไม่อยากเกิดมันก็ต้องเกิดอีก ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่าง เพราะมันเป็นปรากฏการณ์จริงในเมืองไทยที่ต้องเรียนรู้กัน จะช้านานกว่าอาจารย์มั่น ยกมหาบัวก็ชัดกว่า
สรุปว่าผู้จะเป็นโพธิสัตว์ต้องบรรลุอรหันต์ก่อน ถึงจะมีความเป็นโพธิ ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นมนุษย์ก็ตามนอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตลอดก็ไม่มีโพธิไม่มีความรู้ โพธิคือความรู้ที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ท่านพระโสดาบันเป็นต้นไป สัตว์ใต้ต้นโพธิ์นี้พระโสดาบันยังไม่ได้เลย จะใช้พยัญชนะบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ปุถุชนนั้นไม่มี พูดเอาบัญญัติมาหลอกคน ต้องขอยกตัวอย่างเป้าเก็งเต็ง ธีรทาส ใช้นามแฝงว่าธีรทาส ธีรทาส หรือ อาจารย์ธีระ วงศ์โพธิ์พระ แห่งโรงเจเป้าเก็งเต๊ง เขาได้ขยายเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์เผยแพร่มากก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ ชาตินี้ขยายเรื่องมังสวิรัติ เจ เรื่องเดียว นอกนั้นก็ไม่ได้ศึกษา โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์เลย
ก็ฝากความไปถึงท่านพุทธอิสระอีกคน บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ จะศึกษาทำแต่ความดีช่วยศาสนา พากเพียรอย่างนั้นโดยไม่ศึกษาไปตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มัวแต่จะทำความดีกอบกู้ศาสนา แล้วไม่เรียนในระดับโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีตามลำดับ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า มันก็เพี้ยนแล้ว เป็นโพธิสัตว์ที่เพี้ยนแล้ว ไม่มีสัมมาปฏิปทา ไม่มีทางที่ถูกต้องที่จะเดินไม่มีเบื้องต้น
ผู้ที่เอาแต่นั่งหลับตาเป็นเบื้องต้นก็จะได้แต่ความสงบเหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส อีกเป็นล้านปีที่ต้องวนเวียนเพราะไม่รู้จักธรรมะ 2 แล้วทำธรรมะ 2ให้เป็น 1
ปิดตาหูจมูกลิ้นกายนั้นโมฆะไปจากศาสนาพุทธ ตีทิ้งได้เลย ต้องมีสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจจึงจะรู้ ธรรมะ 2 มี ภาวรูป 2 อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ แล้วทำให้เหลือแต่ปุริสภาวะ จนเป็นธรรมะ 0 ได้จึงจะเจริญเป็นลำดับ
หากคิดเอาง่ายๆคิดตื้นๆว่าจะได้ ก็เป็นธรรมะแบบมักง่าย ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เป็นความสงบที่ละเอียดสูงส่งเหมือนนักมายากล คนเร็วพอก็จะจับได้ คนนี้และเป็นสิริมหามายามีความรู้ระดับสิริมหามายาเป็นนักมายากลที่ สิริ ที่มหา ที่ดีที่ยิ่งใหญ่ ถึงจะรู้ทันการพูดกลับไปกลับมา
เพราะจิตเจโต ปัญญาจะเร็วกว่าแสง เจโตอาจไม่วิ่ง static แต่ปัญญานี้วิ่ง เร็วกว่าแสง หากจิตไม่เร็วกว่าแสงก็รู้ไม่เท่าทันนักมายากล เขามีความเร็วของจิตยิ่งกว่าแสงจึงเป็นสิริมหามายา เป็นนักมายากลที่เก่งกว่า houdini ที่เป็นนักมายากลจริง เขาเก่งจนดังทั่วโลก
คนนี้ถ้าไม่มีธนบัตรจะเอาธนบัตรไปช่วยคนได้อย่างไร ถ้าหากคุณเป็นโพธิสัตว์แต่ไม่มีสิ่งที่คุณจะ ขา เขาขาดกล้วยคุณก็ไม่มีกล้วยให้เขา คุณก็ต้องเอากล้วยของคนอื่นมา มันไม่ใช่ของคุณ คุณช่วยเขาไม่ได้ คุณต้องมีของคุณ โพธิสัตว์ต้องมีของตัวเองก่อนจึงจะไปช่วยคนอื่นได้ อรหันต์ต้องมีความเป็นอรหันต์ของตนเองก่อนจึงจะเป็นพระโพธิสัตว์ จะเป็นอรหันต์ในระดับต้นคือพระโสดาบันมีอรหัตผล ก็ต้องมีจึงจะช่วยเขาได้ แต่คุณได้นิดหน่อยจะช่วยอะไรเขาได้มาก ตัวเองก็ยังช่วยตัวเองไม่ค่อยไหวเอาตัวเองไม่ค่อยไหว ล้มลุก ใครเหนี่ยวนิดเดียวก็ล้มแล้ว เหมือนคนตกบ่อ คุณจะมีแรงไปช่วยคนตกบ่อจะมีแรงดึงเหลือ เพื่อจะสามารถดึงน้ำหนักของคนตกบ่อขึ้นมาได้เท่าไหร่ หากคุณประมาณไม่เป็นก็ตกบ่อไปตามเขาก็ หัวทิ่มลงบ่อ คุณต้องรู้ตัวเองว่าสามารถมีแรงที่จะเริ่มลงไปดึงคนข้างล่างอีกไหม ต้องเผื่อไว้ มีที่ยึดถือแล้วดึงขึ้นมาจากบ่อได้ ถ้าคุณไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีเท่าไหร่และไปช่วยเขาก็ตกบ่อไปตายตามเขา ไม่ประมาณตน คุณตกบ่อไปตามเขานั้นมีเยอะเหมือนกันอวดดีหลงตัวนึกว่าตัวเองแน่ตัวเก่ง
อรหันต์มีภูมิร้อย จะไม่ใช่ภูมิทั้งร้อยนั้นไปช่วยใคร ช่วยแค่ 7 8 10 เผื่อพอไว้ ถ้าเกิดว่าเรามี 100 เราไปช่วยเขา 70 80 เผื่อพอไว้ มันไม่ใช่ เราเข้าใจผิดก็จะเหลือแค่ 90 75 ก็ยังพอช่วยตัวเองได้ เรายังไม่ประมาทตัวเองยังไม่ลงตัวเองว่าตัวเองมีมากมาย ที่จริงเรามีเกินความจริงเราก็เลยต้องมีน้ำหนักพอที่จะช่วยเขาได้ เพราะเรามีมากกว่าจริง คนไหนตัวเองมี 100 ก็ใช้ทั้ง 100 เลยก็เสร็จสิ ต้องเผื่อไว้ คุณเข้าใจจริงไหมว่าคุณเองมี 100 คุณอาจจะมี 80 แล้วนึกว่าตัวเองมี 100 ก็ต้องเผื่อไว้มากๆเลยไม่เสียหาย ถ้าไม่เผื่อเอาไว้ผิดพลาดขึ้นมา เผื่อไว้ไม่พอคุณก็ตายไปตามเขา เสียเวลาทั้งคู่ตัวเองก็ซวย อวดดี แล้วมันเป็นภาวะที่เป็นภาระวิบาก คนนั้นก็ต้องดึงทึ้งกันไปอีก ชาตินี้ชาติหน้าเป็นอจินไตยอีกเยอะ
สรุปอีกทีหนึ่งว่า ต้องบรรลุอรหันต์ก่อนจึงเป็นโพธิสัตว์ได้ หากไม่บรรลุเป็นอรหันต์ก่อนเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ ผู้เป็นโพธิสัตว์บำเพ็ญช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ตนเองยังไม่เป็นอรหันต์นั้นเป็นพระโพธิสัตว์ เก๊ แต่อรหันต์ไม่บรรลุพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์จะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร
โสดาบันต้องมีปัญญา 7 ต้องรู้ว่ากิเลสเราลดได้แล้ว เราได้สูงขึ้นจนช่วยเขาได้ในปัญญาขั้นที่ 5 ปัญญาขั้นที่ 5 นี้ช่วยคนอื่นได้แล้ว มีลูกเลี้ยงลูกช่วยลูกหลานได้แล้ว ปัญญาขั้นที่ 6 ที่ 7 ก็สูงกว่าขั้นที่ 5 ปัญญาหรือญาณ ของพระโสดาบัน หากเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ละเอียดพอก็อวดดีทั้งนั้น
อาตมาบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้หมายความว่าเป็นอรหันต์ขั้นที่ 4 5 6 7 แต่เป็นอรหันต์ไม่รู้กี่รอบซับซ้อนกว่าจะขึ้นเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นั้นเป็นล้านๆปี อย่าท้อใจล้านปีนี้นิดเดียว กัปป์หนึ่ง นั้นยาวนานมาก เอาผ้าใยบัวไปลาดภูเขาเวปุลละบรรพต จนกว่ามันจะราบเรียบไปร้อยปี 1 ครั้งเอาไปลาด มันนานมากจนไม่ต้องคิดนั่นเอง
เรื่องอรหันต์เรื่องโพธิสัตว์จึงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดพล่อย อาตมาถึงบอกว่าน่าสงสารผู้ที่หลงกับอรหันต์เก๊ เขาซื่อจริงๆที่เชื่อแบบนั้นก็เลยน่าสงสารก็เลยต้องมาพูดเพื่อให้ความรู้กัน ไม่ใช่ดูถูกดูแคลน แต่ว่าอาตมาจะต้องพูด ข่มสิ่งผิด ความผิดควรถูกข่ม จะไปยกความผิดได้อย่างไร ต้องยกความถูก ความผิดต้องถูกข่ม เป็นธรรมดาธรรมชาติ
_ประชาธิปไตยลึกซึ้งและตื้นเขิน
จิตวิญญาณประชาธิปไตยอาศัยอยู่ในตัวตนร่างกาย และตัวร่างกายก็ยังมีเปลือกหุ้มห่อ เรียกว่า ใส่เสื้อผ้าให้ประชาธิปไตย นักการเมืองทุกวันนี้รู้จักแค่ประชาธิไตยที่มีแต่ เสื้อผ้าคลุมร่างกายเท่านั้น ยังไม่รู้/ยังไม่เข้าใจใน ตัวตนแท่งร่างกายแห่งประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ จึงป่วยการที่จะไปถามหาความรู้จากหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ว่า “จิตวิญญาณของประชาธิปไตย” คืออะไรครับหัวหน้า ?
เพราะในหัวของพวกเขาจะมีคำตอบเดียวว่า “ประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้ง” ซึ่งมันก็ถูกในระดับเปลือกๆ อันเปรียบเสมือนได้ใส่เสื้อผ้าเท่านั้น ทุกวันนี้หันไปช่องไหน ฟังใครๆพูด ก็ล้วนแต่พูดเรื่องเสื้อผ้า และเรื่องกฏกติกาที่จะได้ใส่เสื้อผ้าเล่นเกมกีฬาชนิดหนึ่งเท่านั้น กีฬาหรือการละเล่นนี้จึงมีชื่อว่า “เกมการเล่นการเมือง” ของพรรคต่างๆ
ซึ่งมันคือ เปลือกอันห่างไกลแก่นสารของตัวตนร่างกาย (ยังไม่ใช่จิตเลย) ซึ่งตัวตนร่างกายเนื้อแท้ของคำว่า ประชามีอธิปไตย นั้น ย่อมหมายถึง เมื่อหมดฤดูกาลเลือกตั้งแล้ว อำนาจอธิปไตยก็ยังเป็นเนื้อตัวตนของประชาชนอยู่ ไม่ใช่อำนาจเป็นของตัวแทน อำนาจไม่ใช่ไปตกอยู่ที่ผู้แทน ซึ่งเขาเป็นแค่ “ตัวแทนที่ได้ใส่เสื้อไปเล่นในสภา” โดยที่ปชช.ก็ว่าจ้างให้เงินเดือนตัวแทนเหล่านี้ ไปเล่นเพื่อพวกประชาชน แต่ถ้าตัวแทนเล่นเพื่อประโยชน์ของนายทุน ประชาชนเจ้าของอำนาจก็มีสิทธิ์ตะเพิดขับไล่ลูกจ้าง คือ นักการเมือง ให้ออกจากความรับผิดชอบได้
แต่ส.ส.และหัวหน้าพรรค ดันหลงเข้าใจผิดหนักเข้าไปอีก ว่า พอเลือกตั้งแล้ว เขาเป็นฝ่ายมีอำนาจใหญ่ เพราะประชาชนเลือกเขามาให้ขึ้นไปรับอำนาจ ครั้นหมดฤดูกาลเลือกตั้งแล้ว ประชาก็ไม่มีอธิไปตย ซึ่งก็คือ ประชาไม่ใช่ผู้มีประชาธิปไตย ! นี่แหละคือ การที่นักการเมืองยังไม่มีความรู้เรื่อง ประชาธิปไตยแม้ในขั้นหยาบๆ คือ แก่นกาย
ส่วนในเรื่องลึกซึ้งระดับ จิตวิญญาณที่มีอำนาจ หรือได้รับอำนาจอธิปไตยมาจากประชาชนนั้น อย่าไปถามหาเลยดีกว่า เพราะเขายังไม่เคยรู้ว่า ในโลกนี้จะมีใครกัน ที่จะมีอำนาจขึ้นมาเพราะ ประชาชนเป็นผู้น้อมใจกราบไหว้เอาอำนาจใส่พานมาถวายให้
ซึ่งบุคคลที่จะให้ความรู้ในระดับจิตวิญญาณประชาไตยได้อย่างลึกซึ้งนี้ ควรเป็นพระโพธิสัตว์ที่ผ่านการเก็บความรู้มาหลายวัฏสงสาร ซึ่งความรู้ข้อแรกนั้น ควรยกให้กับคำว่า จิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตยนั้นควรเกิดจาก อิสรเสรีภาพ
ข้อ 2 และข้อ 3 ขอกราบอาราธนาพ่อท่านให้ความรู้ต่อเลยครับ (ผมเจ็บคอ พูดมากไม่ได้)
พ่อครูว่า..
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ภูมิรู้การเมืองไทยใกล้เลือกตั้ง 2561
แม้ว่าผู้ที่เข้าสมัครแข่งขันนั้นเขาจะรู้ว่าเขามีความรู้มากกว่านายกฯตู่ ภูมิมากกว่า เขามีคุณสมบัติจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดีกว่านายกฯตู่ แต่เขาจะรู้ภูมินายกฯตู่ ว่าถูกต้องเป็นอย่างนี้ เขาเป็นผู้ที่สูงกว่า เขาก็ไม่ดูถูกผู้ที่รู้น้อยกว่าแล้วจะไปคุยทำไม เขาก็ออกมาให้เลือกและขอทำงาน เขาก็ต้องส่งเสริมนายกฯตู่ เพราะอย่างไรก็ต้องทำงานกับนายกฯตู่ดีเพราะเขาสูงกว่าเขาก็มาทำงาน นายกฯตู่ หากเป็นโพธิสัตว์จึงรู้ว่าพี่มาแล้วก็ต้องช่วยกันทำงานไปหากนายกตู่ยังไม่ตาย สัจจะมันเป็นอย่างนั้นจะไม่ใช่คู่แข่งเป็น คู่เสริม เพราะมีภูมิรู้อันเดียวกันไม่แตกต่างกันไม่ขั แย้งกัน เหมือนอาตมากำลังประกาศถามหาพี่ มาแล้วอาตมาจะรู้ว่าเป็นพี่ หากมาหาเรื่องจะเป็นพี่ได้อย่างไรมันต้องสอดคล้องกับอาตมา พูดถูกคอกันไปด้วยกันส่งเสริมกันเป็นผู้ที่จะสนับสนุนน้อง หากมาขัดแย้งมาตีทิ้งอาตมาคนนี้เป็นน้อง น้องจะตีพี่ พี่ไม่ตีน้องหรอก นี่คือสัจจะ อาตมาพอจะรู้ได้ว่าใครเป็นพี่จริงไม่เป็นพี่จริง อาตมาไม่ได้ปิดกั้นพี่ ใครเป็นพี่ก็มาแสดง ยิ่งเป็นฐานะใกล้กันก็มาแสดงก็ยิ่งดี และมีความซับซ้อน ผู้ที่มีฐานะทางโลกกว่าอาตมาขณะนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสูงกว่าอาตมา เพราะว่าอาตมามีธรรมะมากกว่าโลก คนนั้นมีโลกมากกว่าธรรมะ เขาเลยแสดงออกให้โลกรู้ง่าย อาตมานั้นโลกจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสูง เพราะไม่มีเรื่องโลกแม้แต่ปริญญาตรี ปริญญาจัตวา ได้เป็นนายสิบก็ยังไม่ได้เป็นอย่าพูดถึงนายร้อย ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ศักดิ์ศรีอะไรเลยในชาตินี้
พ่อครูว่า..ผู้ที่เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไม่หาเสียง ให้ประชาชนเขารู้เองว่าเราคือคนที่ประชาชนต้องเลือกไปเอง หากประชาชนไม่บอกไม่ต้องว่าฉันเป็นนักประชาธิปไตยที่จะไปช่วยคุณ นักประชาธิปไตยจริงจะไม่พูด ถ้าหากพูดก็คือดูถูกประชาชนต้องไปครอบงำความคิดต้องไปอวดตัวตนว่าฉันเป็นนะ ถ้าคุณเป็นจริงประชาชนก็มีดวงตามองเห็น มองออกเอง เพราะฉะนั้นคนที่ ปุ๊บปั๊บ เป็นน้องใหม่เป็นส.ส. ใหม่ก็ยังหรอก ประชาชนยังไม่เห็นฝีมือ ก็ยังไม่ต้องท้อใจทำงานไป แต่นักการเมืองหน้าเก่าๆที่เขาไม่เลือกนั้นใช่แล้วล่ะ ถ้านักการเมืองหน้าเก่าๆเขาเลือกนั้นก็ใช่เลย
ประชาธิปไตยคราวนี้ ผู้ที่ประชาชนเลือกนั้นใช้ได้ คนที่จะได้นั้นต้องมีเล่ห์กล ถ้ามีการขี้โกงแทคติกต่างๆ ถึงจะได้นั้น ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ใช้แทคติกต่างๆ ได้รับเลือกไปจริงนะ คนนั้นใช่เป็นนักประชาธิปไตย ถ้าใครยังหาเสียง ยกตัวอย่างคุณเฉลิม อยู่บำรุง อย่าเลือกเป็นอันขาดเลยบาป ใครเลือกเฉลิม อยู่บำรุงและลูกชายนั้นบาป ขออภัยต้องพูดตรงๆเป็นตัวอย่างที่ง่าย หมอเหวงก็อีกเป็นต้น แต่จตุพรนี้ลงสมัครไม่ได้ หากตอนนั้นเขาสำนึกตัวก็อีกอย่าง เขามีพัฒนาการการสำนึกตัวอยู่นะเท่าที่ดู อาตมาให้คะแนน จตุพรเป็นน้องชายของมหาระแบบที่เป็นตัวการจะกำจัดอาตมา อาตมาไม่ได้ถือโทษโกรธเขาหรอก
เรื่องของประชาธิปไตยเรื่องการเลือกตั้งหรือเนื้อแท้ของประชาธิปไตยก็ดี ก็ค่อยอธิบายการไป ขออภัยอย่าหาว่ายกตัวเลย ชาตินี้อาตมาจะไม่ทำงานมีตำแหน่งทางด้านการเมือง
1. อาตมาอายุยาวนานแล้ว 2. อาตมาทำงานทำมามาก อาตมาไม่ต้องไปทำทางโลก จะทำทางนามธรรม อย่าหาว่าอาตมาหลงตนเอง ทางธรรมะไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่าอาตมาอาตมาก็ต้องทำอันนี้ไปจนกว่าจะตายชาตินี้
_ผู้ที่หันเหทิศผิดชวนคนในศาสนาพุทธออกจากศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีจุดสูงสุดที่ศูนย์ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ใช่แล้วศาสนาพุทธมีจุดสูงสุดที่สุด แต่ว่าที่เขาหันเหไปนั้นก็เป็นเรื่องของสิทธิ์แต่ละคน เขาอาจจะมีเพื่อนเตือนแล้ว อาจจะเตือนแล้วเตือนอีกเขาก็ไม่อยู่ก็เป็นส่วนตัวของเขา อันนี้เป็นเรื่องสูงสุดแล้ว ตัวใครตัวมัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าอัตตาหิอัตตโนนาโถ โกหินาโถปโรสิยา ตนแลเป็นที่พึ่งของตน นอกจากตนเองแล้วพึ่งใครไม่ได้
แม้แต่ผู้เป็นพี่ แม้แต่ผู้เป็นอาจารย์ ในกาลามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดไม่ต้องเชื่อแม้แต่เป็นศาสดาเรา ให้เชื่อในตัวเองที่รอตัดสินพิจารณาแล้วเป็นที่ประจักษ์ สูงสุดพระพุทธเจ้าให้อิสระทางความคิดความรู้เอง เป็นคนพิพากษาตัดสินเอง สุดยอดอิสระเสรีภาพ
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ตายไปแล้วเกิดมาใหม่ทำไมจำอดีตไม่ได้
_คนที่ตายไปแล้วเกิดมาใหม่ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้ในอดีต
พ่อครูว่า….เราเกิดมาเป็นล้านชาติ หากเราจำได้หมดเป็นล้านชาตินั้นจะยุ่งไหม เราต้องมีคู่ผัวคู่เมียคู่พ่อคู่แม่อะไรอีกเป็นล้านๆคน จำได้หมดมันจะยุ่งไหม ตายเลย
อะไรที่ทำให้เราจำไม่ได้เพราะธรรมชาติมันทำให้ดีแล้วอย่าไปเอามันมาเลย อยากได้ไปทำไมสิ่งที่มันจะทำให้เราแย่ ขืนจำได้หมดเราก็จะแย่แล้วเอามาทำไม ธรรมชาติเขาจัดสรรไว้ดีแล้ว ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เคยกินตับยุงไหม ธรรมชาติหาตับยุงไม่ได้เลยสุดยอดเลย สัตว์ที่เล็กกว่ายุงมีไหม หยุดคิดดีกว่า ปล่อยธรรมชาติเขาไปเถอะ เรามาทำเฉพาะที่เราจัดสรรได้รู้ได้ แล้วก็ลดกิเลสของเราแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข แล้วจะรู้ว่าตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นอย่างไร หรือยังไม่อยากตายจะอยู่ไปก็ได้ ยืนยาวไปเท่ากับพระอวโลกิเตศวร ที่ท่านยังไม่ยอมตาย เป็นพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่ที่สุดท่านก็ยังไม่ยอมตาย เพราะท่านมีปณิธานว่าท่านจะช่วยคนรื้อขนสัตว์ ให้คนอื่นปรินิพพานไปหมดก่อนตัวเองถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย
_ถ้าเราตายไปแล้วความสามารถของเราจะตายตามไปด้วยไหม
พ่อครูว่า...ความสามารถของเราหากเราตายไปแล้วมันก็จะลดลง เรามาเกิดมันก็จะมีไม่เต็มความสามารถทีเดียว เราเกิดใหม่แต่ใช้ความสามารถเต็มที่นั้นไม่ได้เราจะต้องสร้างความสามารถของเราให้มากเกิน อย่างพระพุทธเจ้าท่านสร้างความสามารถ เพราะท่านไม่ได้มีท่าที่ท่านสอนคน แต่ท่านมีไม้ทั้งป่าท่านสอนคนนั้นเพียงแต่ใบไม้กำมือเดียว หมายความว่าท่านจะสร้างความรู้ของท่านให้มากจนกระทั่งเทียบแล้วคนประมาณเปรียบเทียบเอาไม่ได้ เมื่อท่านมีความรู้เท่าทั้งป่าและท่านก็เอามาใช้กับคนแค่กำมือเดียว ท่านจะไม่เสียธรรมท่านจะไม่เสียถ้าอย่างไรก็ไม่เสียธรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะไม่มีทางเสียท่า โพธิรักษ์นี้ยังเสียท่าอยู่เลย
คนที่ทำดีแล้วยังไม่ได้ดีนี่พูดภาษาโลกียะ คือทำดียังไม่มากพอ ทำดียังน้อยไปฉันเดียวกัน บุญคือการตัดกิเลส ผู้ที่ยังตัดกิเลสไม่มากพอ ต้องตัดกิเลสให้มากพอจนแน่ใจว่ากิเลสเราหมด ก็ยังไม่แน่ว่าเราจะหมดกิเลสจริง เพราะเราอาจจะตัดสินเราผิด ว่าเรานั้นหมดกิเลส แต่ที่จริงแล้วเหนือชั้นกว่านี้ยังมีอีก ทำให้กิเลสเราขึ้นได้ นึกว่าเราหมดแล้วนะ เฮ้ย นี่มาได้อย่างไร อันนี้มันจะต้องบอกเราว่า คุณจะต้องมีประสบการณ์จริงถูกกระทบกระแทกกระเทือนตามเหตุปัจจัย แล้วมันก็เฉย มันก็ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
สมมุติว่าคุณมั่นใจแต่แท้จริงคุณยังไม่หมดคุณก็จะได้เท่าที่คุณได้ ถึงวาระที่หมดบารมีแล้วมันก็มากลับมาเกิดอีก คุณก็จะรู้ว่าเราหมดแล้วนะแต่เรายังเกิดอีก คุณก็จะรู้ด้วยตัวคุณเอง เพราะฉะนั้นมันก็จะเข็ดหลาบ ว่า โอ้โห ชาติที่แล้ว เรานึกว่าเราหมดแล้วนะ หนอย ไปกบดานเหมือนอุทกดาบสอาฬารดาบส อีกไม่รู้กี่ล้านชาติ เราก็ไม่เอาแล้วแบบนั้นมาเอาแบบโลกุตตระ อุทกดาบสอาฬารดาบส คืออาจารย์ใหญ่ทางสมถะ Meditation ยังอีกนาน พระพุทธเจ้าสิ่งใดอุทานเมื่อจะไปโปรด อุทกดาบสอาฬารดาบส เขาตายก่อน ท่านถึงอุทานว่า ชิบหายแล้ว เพราะไปช่วยไม่ได้เลย ตายก็ต้องไปตกค้างอยู่ในสวรรค์เก๊ ในภพชาติที่ยังไม่มาเกิดอีก บัดนี้ก็ยังไม่มาเกิด ช่วงอายุพระพุทธเจ้า 2000 กว่าปีเองนิดเดียว
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน เจตนากินเนื้อทั้งที่รู้ว่าบาปจะบาปมากไหม
_การที่เราอยู่ที่นี่แล้วเมื่อออกไปเรากินเนื้อสัตว์ต่างๆที่รู้จะบาปกว่าตอนที่เราไม่มาอยู่ใช่ไหม
พ่อครูว่า...ถูกต้องพระพุทธเจ้าบอกว่าคนโกหกทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหกคนๆนี้จะทำบาปอะไรได้ทุกอย่างไม่มีบาปใดที่คนๆนี้ทำไม่ได้ หากฟังความตรงนี้เข้าใจ กินเนื้อสัตว์ไม่ดีมันต้องตกนรกก็ยังไปกินอีกมันซ้ำซ้อน ทีนี้ก็จะชินชาก็จะกินต่อไปอีก นึกออกไหม
พุทธเจ้าจึงตรัสว่าเหมือนเด็กน้อยจะถูกไฟร้อนก็ถอย จะรู้แล้วว่าอย่างนี้มันร้อนจะไม่จับอีก แต่ถ้ายังจับแล้วจับอีกยังไม่ใช่ กินเนื้อสัตว์มันเป็นบาป มันเป็นบาปก็ยังกินอีก ก็คือจะไปอีกไม่รู้ร้อนหน้าด้าน มันด้าน จับไฟไม่ร้อนก็ด้านสิ ชัดเจนหรือยัง
_คนที่กินเนื้อสัตว์ทำไมหน้าแก่กว่าคนไม่กินเนื้อสัตว์
พ่อครูว่า...ก็เพราะว่าเนื้อสัตว์มันมีสารพิษ สัตว์มันมีความรู้เท่าคนไหม ก็ไม่ สัตว์มันก็ไม่รู้จักผิดเท่าคนฉลาด คนฉลาดไม่กินพิษ ถ้ามีความรู้กว่า คนที่มีความรู้เท่าสัตว์ก็ต้องกินเนื้อสัตว์อยู่ เนื้อตัวหน้าตาก็ต้องใสสู้คนไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้
_ชอบในการที่จะมีความรู้หลายด้านและเพื่อจะช่วยคนอื่นได้ด้วยอย่างเช่นการศึกษาต่อปวช. เราต้องการจะเรียนช่างยนต์แต่แม่ก็อยากให้เรียนอีกทางหนึ่งเราจะเรียนสองด้านนี้คู่กันจะมีคนมาพูดให้เราได้ยินว่าจะเรียนทำไมเยอะแยะ ความสามารถจะเอาไปทำอย่างไรเราจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า..ก็เรียนอย่างใดอย่างหนึ่ง สุนทรภู่ยังบอกว่ารู้แต่เพียงอย่างเดียวให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล อย่าไปเรียนเยอะแยะมากเลย อยากจะช่วยคนมากๆจะไปเรียนความรู้ ที่โลกเขามีมากๆ ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่า โลกจินตา เป็นความคิดทางโลก ที่มากมายไม่รู้จบ เราเอาที่ได้จนเก่ง ชนะแล้วได้ 1 อย่างแล้ว วิธีพิจารณาให้ดีว่าเป็นงานที่ใช้ได้ดีนะกับคนทำดีเอางานนั้นให้ช่ำชอง อย่างที่สุนทรภู่วาว่า อย่าเอาแบบเป็ด ที่ร้องก็สู้นกไม่ได้ บินก็สู้นกไม่ได้เดินก็สู้มาไม่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน บวรเรียนรู้แบบ osmosis ที่ยิ่งกว่า absorb
_อยากรู้ว่า วิธีการปฏิบัติแบบเรากับเขามันต่างกันอย่างไร แบบที่เขาทำไม่บรรลุจริงใช่ไหม
พ่อครูว่า..เขาแสวงหาที่จะรู้จริงรู้ดีเพิ่มขึ้น คือแกนของจิตทางภูฏานที่มาคือแกนศาสนาพุทธ เขาก็รู้ว่าศาสนาพุทธกลุ่มใดที่สอนอย่างไรอย่างไร เขาก็มารู้ว่าอโศกสอนอย่างนี้ เขาก็อยากรู้ ปมประเด็นที่หลวงปู่ให้เขาก็คือ ปมประเด็นของบวร การศึกษาแบบบวรคือการศึกษาแบบองค์รวมบ้านวัดโรงเรียนไม่ใช่แยกส่วน โรงเรียนก็ไปโรงเรียนบ้านก็อยู่สวนบ้านวัดก็อยู่ส่วนวัด ยิ่งนักเรียนทุกวันนี้ก็ไปบ้านกับโรงเรียนวัดไม่ไปเลยนี่เป็นสัจจะเลยไม่ไปวัด อย่างที่ว่าวัดก็ไม่น่าไปมีเยอะ วัดที่น่าไปก็มีน้อย ก็หาวัดที่น่าไปก็แล้วกันวัดอโศกที่น่าไป มันก็เข้าใจยาก ข้อบกพร่อง จะได้องค์รวมสามเส้า บ้านวัดโรงเรียนมันลึกซึ้ง ถ้ามันอยู่ด้วยกันซึมซับถ่ายเทหมุนเวียนที่ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า ออสโมซิส มันละเอียดกว่าการแอฟสอบ
absorb คือการซึมซับ การออสโมซิสคือการไหลซึมเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว การ absorb นั้นยังต้องรู้ตัว แต่ osmosis นี้ละเอียดเนียนใน เมื่อมีองค์รวมสามเส้า บ้านวัดโรงเรียน
บ้านคือคนธรรมดาสามัญที่มีชีวิตอยู่ คนทำงานอาชีพอย่างนี้อย่างนี้ เด็กผู้ใหญ่คนแก่ สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ไม่ใช่ว่าวันๆหนึ่งไม่รู้จักใครรู้จักแต่เพื่อนอยู่โรงเรียน กลับมาบ้านก็รู้จักแต่พ่อแม่พี่ป้าน้าอาในบ้าน มันก็บกพร่องไม่เต็ม เพราะฉะนั้นอยู่ในนี้แหละ พี่ป้าน้าอาเราก็มีเยอะ พี่น้องเราก็มีเยอะสัมผัสสัมพันธ์ อยู่กันคนละนิสัย บุคลิกคนละอย่าง สิ่งเหล่านี้มันละเอียดเกินกว่าที่จะอธิบายได้หมด
สรุปแล้วการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคีเป็นองค์รวมที่มีการถ่ายเทซึมซับกัน ทั้งชีวิตการงานทั้งการเป็นอยู่ทั้งอุปนิสัยใจคอ อะไรต่างๆนานา มันมาก ภาษาไม่พอ
บ้านวัดโรงเรียน มีสังคมมีการศึกษามีธรรมะ การสังคมนั้นจะต้องมีหมู่กลุ่มที่เราอยู่ร่วมกันจริง หลวงปู่ไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมเมืองนอกเท่าไหร่ เอาแต่วัฒนธรรมไทยที่ดีคัดเลือกมาให้ครบดีๆ ทำงานอยู่กับคนไทย เจตนาเลยไม่ไปเมืองนอก ไม่อยากไป แล้วก็ไม่คิดจะไปด้วย ไม่ต้องเอาอะไรอีก อินเดียนี้ก็น่าจะไป ไปดูสังเวชนียสถานต่างๆ เพราะรากฐานเดิมอาตมาก็มีสิ่งเหล่านั้น อาตมายังไม่ไปเลย ไม่คิดจะไปให้เสียเวลา ให้เสียแรงงานเสียทุนเงินทอง เพราะมั่นใจว่าไปก็ได้ครบอยู่แล้ว รูปนามจากที่มันมีแล้วครบ ถึงไปจริงๆก็เป็นรูปธรรมเสียส่วนใหญ่ นามธรรมนั้นเป็นสัพเพเหระเป็นพวกเทวนิยมจมอยู่ในสังเวชนียสถานทั้ง 4 อยู่เยอะแยะ
แต่ก่อนนี้บอกว่า อินเดียกับภูฏานจะให้เลือกไปนั้นจะไปภูฏานดีกว่า วันนี้เขาก็มาแล้วก็เลยไม่ต้องไปไง เขามาหาเอง หากเขาไปคราวนี้รู้สึกว่าได้อะไรดีก็จะมาหาอีก ได้จากเราไปเขาก็จะไปเปรียบเทียบว่าอันนี้ดี มีแก่นแกน หากเขามีภูมิปัญญาก็จะรู้ว่าอันนี้เป็นแก่นแท้ เขาก็จะมาหาเอง ไม่ต้องกลัวหรอกสินค้าเราดีจริงๆคนที่มีปัญญารู้เขาจะมาเอา ถ้าสินค้าเราดีจริงแต่คนไม่มีปัญญาดีมารู้ก็ไม่มาเอา ให้คนรู้ว่าของเราดีและมาเอาไม่เห็นว่าจะน่าเสียดายอะไร คนไม่รู้เขาก็ไม่มาเอา ก็ถูกแล้ว เขาไม่รู้ว่าเขาดีเขาก็ไม่มาเอานั้นถูกแล้ว คนเขารู้ว่าของดีคนก็มาเอาพากเพียรมาเอาด้วย เราก็จะรู้ว่าคนนี้ยิ่งดี
_ทองแก้วว่า..ที่มาจากภูฏาน เขาประทับใจว่าเราทำงานไม่มีเงินเดือนเขาประทับใจเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
พ่อครูว่า...ถูกต้องคนทำงานฟรีเสียภาษี 100% หาได้ในอโศกนี่แหละในโลกที่เป็นกลุ่มก้อน
_ทองแก้วว่า..เขาว่าเราได้สั่งสมบุญทุกวัน
พ่อครูว่า..แค่นี้ ทำงานฟรีเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่รวมกันเป็นหมู่กลุ่มนี่แหละ ชุมชนชาวอโศกไม่ได้มีที่เดียว คนทำงานฟรีไม่รับรายได้คืนเลยไม่ใช่มีแค่ชุมชนเดียว เรามีหลาย 10 ชุมชนในประเทศไทย จะมีมากบ้างน้อยบ้างเรียงลำดับไป ตามความเป็นจริง แต่ผู้ที่สบายแล้ว ทำงานฟรี แต่แล้วเขาก็จะเผาให้ เราช่วยกันเผา วัฒนธรรมของเราสมบูรณ์แบบหมดแล้วไม่มีปัญหา
_ทองแก้วว่า..ทำไมคนมาทำงานไม่มีเงินเดือนมันน่าทึ่งจริงๆ
พ่อครูว่า..มันต้องพึ่งมันต้องอัศจรรย์แน่นอน
_ส.ลานศิลป์...เมื่อเช้านี้ที่คณะภูฏานมา มีส่วนหนึ่งที่ชัดเจนเป็นเพราะ เขาสัมผัสได้ว่า เมื่อเข้ามาแล้วสัมผัสถึงความสงบ มันเป็นความสงบที่ต่างจากความสงบทั่วไป เพราะเราไม่ได้เงียบๆเฉย มีการเคลื่อนตัวมีการทำงานแต่ขอสัมผัสความสงบ มันจะเป็นนัยยะเดียวกันกับพระเจ้าอชาตศัตรูไปพบพระพุทธเจ้าในตอนกลางคืนแล้วเจอกับความเงียบสงบทั้งที่มีพระสงฆ์อยู่จำนวนมาก ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิกัน
พ่อครูว่า..ใช่ มันเป็นความซับซ้อนละเอียดลึกซึ้ง
_ทองแก้วว่า...เพราะว่าคนของเราถือศีลและมีสมาธิมีสติไวๆมีการสำรวจ
พ่อครูว่า...มีมุทุภูตธาตุ มีแกน static ที่สมบูรณ์แบบพอแกนนิ่ง และมีสติสัมปชัญญะปัญญาเร็วไว สมาธิควรหยุดนิ่งแบบพุทธนี้จึงไม่ใช่แบบที่มีแกนนิ่งทื่อ ที่ไม่มีปัญญาแต่มีความไวๆที่มาก จนกระทั่งมากแรงและเร็ว จนกระทั่งแกนของสมาธิไม่เคลื่อนเลย มันรับแรงเหวี่ยงเร็วได้ดี แกนสมาธิจะทำได้
แกน static จะทำให้เป็นแบบสมาธิพุทธนั้นไม่ง่ายต้องสะสมความจริง
_ทองแก้วว่า..พ่อครูสุดยอด ทำให้คนเคลื่อนไหวแต่หยุดนิ่งได้ทึ่งมากเลย
พ่อครูว่า...เพิ่งรู้หรือ
_แวง...บรรยากาศที่พลังบุญทีวีก็เปิด 2 เครื่อง ลูกค้าจะหยุดซื้อของเพื่อดูรายการเมื่อเช้า แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนี้ เขาก็ว่าอโศกโกอินเตอร์ขนาดนี้เลยหรือ
พ่อครูว่า..อโศกไม่ได้ โกอินเตอร์ แต่ว่าอินเตอร์โกมาหาอโศก
คนที่มีภูมิปัญญาจะรู้ว่าเป็นอย่างไร สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล นัจจะคีตะวาทิตะ ท่าทางลีลาสำเนียงสุ้มเสียงรายงานความจริงออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ ผู้มีภูมิรู้อย่างไรจะเข้าใจตามนั้น อาตมาไม่กลัว ใครจะว่าอย่างไร อาตมาประมาณแล้วว่าไม่ควรจะแสดงแรงกว่านี้ในเรื่องท่าทาง ไม่แสดงมากกว่านี้ในเรื่องสุ้มเสียงสำเนียง ขนาดนี้ก็มากแล้ว มากกว่านี้ก็จะได้อยู่นะ จะให้ทำเหมือนกับหนุ่มแน่นก็ได้อยู่ แต่ไม่ได้หรอกอาตมาประมาณแล้วว่าต้องขนาดนี้ นัจจะคีตะวาทิตะ วาทิตะคือ คำพูดภาษาที่เราได้เลือกแล้วเอามาใช้อย่างเหมาะสม
อาตมาว่าได้เลือกแล้ว บางครั้งภาษาหยาบ แต่อาตมาได้เลือกแล้วว่าเหมาะใช้ได้ตอนนี้ โดยที่บางทีใช้เร็วด้วยนะ คำนี้ ทำให้คนตกใจเลยว่าต่อมาไม่น่าจะใช้ แต่เขาก็รับได้รู้ทันที อาตมาก็ไม่ได้ทำอย่างพร่ำเพรื่อ อย่างที่ไม่ควรจะพูด กาละที่ควรพูดก็พูดออกมาก็ได้ผลดี
_การที่เรานำพาผู้อื่นหันมากินมังสวิรัติตามชาวอโศก แต่อาจไม่ได้ถือศีลเคร่งครัดอย่างชาวอโศกจะทำให้ลดวิบากได้ไหม
พ่อครูว่า...ได้ แม้จะเป็นแค่ครั้งคราว คำพังเพยที่ว่าให้เท่ากับงูกระดิกหาง ไก่ปรบปีกก็ได้แล้ว งูแลบลิ้นก็ได้นิดหนึ่งแล้ว ให้มีกรรมกิริยาในสิ่งที่ควรที่ดี
เช่นงดเนื้อสัตว์แม้ทีหนึ่งก็ดีแล้วยิ่งหลายทียิ่งดี กรรมเป็นอันทำ
_ดร.อาจอง ชุมสาย เขาได้คิดส่วนประกอบที่เป็นยานอวกาศไปลงที่ดาวอังคารเขาบอกว่านั่งสมาธิแล้วคิดได้ สมาธิอันนั้นเป็นแบบไหน
ก็เหมือนกับไอน์สไตน์ที่มีของเก่า ดร.อาจองนั้นก็ใช้ของเก่า ซึ่งเขายังใช้แบบฤทธิ์เดชมี ยอัตตา หากว่าดร.อาจองเข้าใจสัมมาทิฏฐิจริงจะมาหาอโศกนานแล้ว
อย่างไสยบาบา ที่ควักนาฬิกาโรเล็กซ์ออกมาจากอากาศได้ ซึ่งหากว่าควักออกมาได้จริง เอามาจากคนอื่นมันก็เป็นการขโมยมันก็บาป แต่หากว่าเอาแบบไม่ได้ขโมยก็ทำแบบปลอมจากโรงงานซึ่งมันก็ผิดอีก
_พ่อท่านเคยบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ก็คือท่านจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วใช่ไหม
พ่อครูว่า...ใช่แล้ว คนที่บอกว่า ตั้งจิตเป็นพระโพธิสัตว์จะไปเป็นอรหันต์ไม่ได้เพราะเป็นอรหันต์แล้วต้องตาย 0 หากว่าอรหันต์ทุกองค์ตายแล้วสูญศาสนาพระพุทธเจ้าก็ด้วนหมดไปเลย สืบต่อไปไม่ถึง 5,000 ปีหรอก เมื่ออรหันต์ตายสูญอรหันต์ก็ต้องหมด พระอนาคามีก็ต้องหมดไปตามพระสกิทาคามีก็ต้องหมดไปตามจนพระโสดาบันก็ต้องหมดไปตามด้วย พระไปเป็นอรหันต์หมดก็ต้องตาย 0 หมด เป็นอุจเฉททิฏฐิ ศาสนาพุทธก็ด้วนหมดเลย ต่อไม่ได้
สมมุติว่า ศาสนาพุทธในยุคนี้คือยุคของพระสมณโคดม 5000 ปี สูญ
5000 ปี สูญ ก็ไม่ได้หมายความว่าเชื้อของพระอริยะจะหมดไป ยังจะมีเชื้อเกิดต่อไปอีก แต่ก็ไปเป็น พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ จะเป็นบริวารของพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้าเองก็ตาม ก็ต้องต่อไปอีกองค์ จะสูญหมดไม่ได้ หากสูญหมด ก็หมดสิ้นศาสนาพุทธมันก็ต่อไปไม่ได้นานแล้วไม่มาถึงเรา แต่นี่มันตั้งกี่ล้านปีแล้วศาสนาพุทธ
พระพุทธเจ้าที่บังเกิดขึ้นมาแล้วมีจำนวนมากเท่ากับเมล็ดกรวดเมล็ดทรายในมหานที คำพูดนี้ทำให้รู้ว่าวัฏสงสารยังมีกาละกับกรรม หากหมดกาละ ไม่มีกาละแล้ว ตัวคุณเป็นจิตวิญญาณ เกิดเป็นจิตวิญญาณนี้เกิดหลังกาละ
จิตวิญญาณจะมีกรรม มาเรียนรู้กรรม คนจะเป็นจิตนิยามนั้นเกิดหลังกาละ โลกบางลูกไม่มีสัตว์มีแต่วัตถุ เป็นลูกโลกนั้นแต่ก็ไม่มีสัตว์ โลกยุคไหนที่มีสัตว์แต่สัตว์ยังไม่เจริญเท่ากับคน บางดาวมีไดโนเสาร์อยู่เยอะ แต่ก็จะเสื่อมไปพร้อมกับโลกลูกนั้น หรือว่าสัตว์นั้นตายก่อนดาวดวงนั้นก็กลายเป็นดาวแดงแล้วระเบิดก็ได้ ดาวระเบิดไปก็หาย หรือดาวไม่ระเบิดก็ลดพลังงานลง จนเป็นดาวแดงแล้วก็ 0
_ฟังฝน..อยากเล่าเรื่องภูฏานที่มา ที่ติดต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการสังฆราชภูฏาน ท่านอยากได้ โรงเรียนที่มีการปลูกฝังคุณธรรม ปีที่แล้วเราไปบ้านราชฯก็เลยไม่ได้ เชิญท่านไปก็ไม่สะดวก พอมาปีนี้ก็ติดต่อมาได้ กรรมการเห็นควรก็เลยรับมา กำหนดเป็นวันที่ 19 ก็คือวันนี้ แล้วท่าน เป็นเลขาฯสังฆราช จริงๆแล้วจะต้องร่วมวันชาติของภูฏาน ท่านก็ได้เสียสละมางานนี้ ครูที่ติดตามมา 4 คน คนหนึ่งป่วยก็มาไม่ได้ ครูที่มาต้องสอบชิงทุนมาก็มา 3 คน สุดท้ายที่ท่านไปสรุปที่ บุญนิยมทีวีท่านสรุปและน่าสนใจว่า
ท่านเห็นตรงนี้แล้วประทับใจ เห็นเด็กทำงานแล้วมีความสุข ประเทศของท่านเองมีจุดเน้นที่การคัดเลือกโรงเรียน คัดเลือกครูมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ท่านเห็นเด็กมีความสุข เห็นความสุขในใบหน้าของเด็ก แล้วก็ไปที่สถาบันขยะวิทยา (พ่อครูว่า...สงสัยดูสาวสัมมาสิกขาก็เลยใส) จริงๆแล้วเพลงสาวสัมมาสิกขาผู้ปกครองมานั่งเชียร์ให้ยิ้มนะคะ
แขกที่มามีแขกท่านหนึ่งเขาบอกว่า เขาฟังแล้วซาบซึ้งมากสาวสัมมาสิกขา อันนี้แขกคนไทย ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ชีวิตของนักเรียนต้องฝึกฝนขนาดนี้เชียวหรือ
แล้วท่าน gem ท่านบอกว่าประเทศภูฏานไม่ได้เน้นทางทุนนิยม ประเทศภูฏานมีทรัพยากรป่าไม้มาก หากจะนำเงินเข้าประเทศก็ขายได้ แต่ถ้าหากป่าไม้ถูกตัดไปเยอะแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศภูฏาน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มุ่งพัฒนาไปจุดนั้น เขาบอกว่าป่าไม้เป็นที่มาของทุกอย่าง
ประเทศถึงให้ทุนสนับสนุนให้ประชาชนปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ รัฐธรรมนูญบอกว่าป่าไม้ต้องมี 60% ของประเทศ เรื่องอำนาจ ระหว่างพระมหากษัตริย์กับสังฆราชอำนาจเท่ากันเป็นการคานอำนาจกัน ทางทาน gem พูด
แล้วทำไมพระมหากษัตริย์ต้องเป็นพุทธศาสนาเพราะต้องการให้มีการสืบทอดพุทธศาสนาต่อไป หากผู้นำไม่เป็นพุทธศาสนาศาสนาก็จะสั้น
จุดเน้นเรื่องของการพัฒนาความสุขของประชากรมีอยู่ 4 ด้าน
ด้านที่ 1 ทำอย่างไรจะเกิดธรรมาภิบาลที่สุดในประเทศ Good Governent
ด้านที่ 2 จะต้องมีวัฒนธรรมที่ดีของชาติ
ด้านที่ 3 สิ่งแวดล้อมต้องดี
ด้านที่ 4 สังคมต้องดี
อันนี้คือจุดเน้นที่พระมหากษัตริย์กับสังฆราชร่วมกันจะทำอย่างไรให้เกิดสิ่งนี้ในประเทศ ถ้าเกิดขึ้นคนในประเทศก็จะมีความสุข
ลูกศิษย์ที่มา บางท่านเป็นครูด้านเคมี ลูกศิษย์ทั้งสามคนต้องสอบแข่งขันกันมาถึงได้มาที่นี่ เขาบอกว่าสมาธิเกิดจากการงานได้ เขาประทับใจเรื่องการต้อนรับ เป็นการทุ่มเทการเสียสละ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ส่วนคุณครูผู้หญิง ก็บอกว่า สิ่งที่เขาได้เห็นที่นี่ เขาได้เห็นว่ากิจการงานทุกอย่างเป็นไปเพื่อสังคม เห็นภาพที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แล้วก็ประทับใจกิจการงานฐานรีไซเคิล ทั้งสองสิ่งนี้จะนำกลับไปทำที่ภูฏาน (พ่อครูว่า...ขยะวิทยาเป็น 1 ใน 3 อาชีพกู้ชาติซึ่งคนยังนึกไม่ออก)
คนไทยหนึ่งท่านพูดเรื่อง ประทับใจว่าเด็กมีระเบียบวินัยและมีความสงบ แล้วก็เรื่องชีวิตนี้ ไม่ต้องมีเงินก็อยู่ได้มีที่นี่ เห็นความเอื้ออาทรการช่วยเหลือกัน แล้วเห็นว่าที่นี่ได้ปลูกกล้าไม้ที่ยังเล็ก เพื่อให้เป็นคนดีขึ้นมาเป็นอนาคตของประเทศ
แล้วก็ สิ่งที่น่าประทับใจของพวกเราก็คือรอบนี้ได้รับความร่วมมือมีความเป็นปึกแผ่นทั้งชุมชน มีพี่แซมมาเป็นหัวหน้าห้องคอยพานักเรียนกราบค่ะ
เรื่องอาหาร ชมร.ทั้งจิตอาสา ร่วมกันเต็มที่ ไปที่ชมร. มีการจัดการเรียนการสอนให้เห็นด้วย ปั่นน้ำปั่นก็ชิมกัน เด็กเราก็พูดภาษาอังกฤษได้ มีการ สรุปบทเรียนให้ท่านเห็น
แล้วไปที่บุญนิยมทีวี ท่านผู้อำนวยการสถานีไปต้อนรับเองเลย รุณก็แนะนำตนเองว่าเป็นศิษย์เก่าที่นี่ ชุดของเรามาจากสขจ.ใช้เสร็จแล้วก็เอาไปคืนมีงานใหม่ก็เอามาใช้อีกหมุนเวียนกันไป
ปุ๊กก็บอกว่า เป็นเด็กมาที่วัดตั้งแต่ตัวเล็กๆกับแม่เมื่อเรียนจบมาก็มาอยู่ที่นี่รู้สึกซาบซึ้งใจกับที่นี่ เพื่อนๆตอนนี้เงินเดือนเป็นแสนก็มี เขาก็ถามว่าทำไมไม่ไปทำงาน มีเงินเดือนเป็นแสนซื้อบ้านซื้อรถ ทำไมไม่ไป แต่ปุ๊กบอกว่า ไม่ต้องมีเงินเดือนเป็นแสนก็มีความสุขแล้ว ที่บุญนิยมทีวีเป็นภาพที่ดีมีความสุข ท่านก็ได้ซึมซับว่ามีระบบแบบนี้อยู่ด้วยนะ สุดท้ายก็ให้ท่านเปิดใจ
วันนี้รู้สึกว่าพี่น้องเราให้ความร่วมมือกันอย่างดียิ่งแม้กระทั่ง ชมร.ยังแทบจะหยุดขาย บรรยากาศดีค่ะ
_ทองแก้ว...ช่วงแนะนำ ผู้อำนวยการ อาหนึ่งพุทธ ใครคนหนึ่งว่า ผอ.มีหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถู ท่านก็ยกมือไหว้อนุโมทนา คือแบบว่า ผอ.เราไม่ต้องเก่งทุกเรื่องแต่อยู่เหมือนพี่เหมือนพ่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน ฐานคิดของพ่อครูในการสร้างอโศก
_รุณยุภา...สองสามวันก่อน ไม่ไปถ่ายทำรายการศาสตร์พระราชา กับอาอุ๊ เป็นพระราโชบายที่จัดสร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ บ้านหลังแรกเป็นยายผู้เลี้ยงหลานถึง 4 คน บ้านหลังที่สองภรรยาเป็นโรคประสาท สามีก็เป็นโรคลมบ้าหมู บ้านทั้งสองจนเหมือนกัน ทางเข้าบ้านยากลำบาก หลังคาบ้านก็พัง ส้วมก็ลำบาก ภรรยาลุงเคยตกข้างส้วมสองที ข้างบ้านเป็นน้ำคลำ เต็มไปด้วยทะเลขยะที่ลอยข้างบ้าน ป้าคนที่เลี้ยงหลาน 4 คนเล่าว่า ไม่สามารถทำอาหารกินได้เพราะว่ากว่าจะซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร 1 อย่างก็มีรายจ่ายไปมากกว่าร้อยบาท แค่น้ำพริกผักลวกก็ยังต้องซื้อกิน หนูรู้สึกว่า ทำไมเขาจนใจอย่างนั้นไม่ได้ยากเต็มใจจน แต่เมื่อมองมาที่ชาวอโศก วันนี้จะกินอะไรไม่ต้องคิดเลย มีป้าๆชมร.มีแม่ครัวทำให้ เสื้อผ้าอะไรขาดแคลนก็ไปที่สขจ. สังคมเราจนแบบที่หลวงปู่อยากให้เราจน แต่เราไม่ทุกข์ใจเราแต่ละคนได้ใช้ศักยภาพตนเองอย่างเต็มที่ รุณก็เลยอยากรู้ว่า หลวงปู่มีฐานคิดอย่างไร ที่ตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มอโศกให้คนได้กินข้าวหม้อเดียวกัน คนปลูกผักก็ปลูกผัก คนทำสื่อก็ทำสื่อคนทำขยะก็ทำขยะ เราอยู่กันจนแบบนี้แต่เราไม่ได้พูดเลย เวลาพูดถึงความจนเรามีรอยยิ้ม แต่เมื่อพูดถึงความจนกับคุณป้าคุณลุงคนนั้นเขามีแต่น้ำตา อยากรู้ว่าหลวงปู่มีฐานคิดอย่างไรให้เราจนตั้งแต่ 30 40 ปีจนถึงทุกวันนี้
พ่อครูว่า..ฐานคิดนั้น ได้มาจากประสบการณ์จริงจากชีวิตหลวงปู่นี่แหละผ่านมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แล้วก็ได้ศึกษา สรุปหลวงปู่เคยพูดแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากศึกษามนุษย์กับสังคม ครบแล้วนะ เท่านั้นแหละ เอาสิ่งนี้ไปคิดให้ดี
เรื่องของสังคมมนุษยชาติกี่ชั้นวรรณะ ท่านศึกษามาหมด ทำได้แล้วจะชัดเจนทุกอย่าง หลวงปู่พูดก็จากที่เราทำมามาจนถึงชาตินี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ทำอย่างนั้นมาจริงๆแล้ว ไม่ได้เอามาจากไหนเอาจากที่ทำมาเองจริงๆ แล้วก็อย่านึกว่าหลวงปู่ไม่เคยจน ทุกคนเคยจนมาแบบนั้นแล้ว หนักกว่านั้นก็เป็นไปได้จนกว่านั้นก็ยิ่งได้ อยากรู้ไปอ่าน สัมภาระวิบากของพระโพธิสัตว์ให้ดี
คนที่ทุกข์ทรมานต่างๆแม้แต่อ่านชาดกก็ได้ ชาดกห้าร้อยชาติก็ยังน้อย ยังมีอีกเยอะแยะ เราคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีด้วยหรือ มนุษย์ต้องเป็นขนาดนี้ เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทรมานน่าเกลียดน่าชังขนาดนี้ เรื่องดีๆไม่ต้องพูดถึงหรอก แต่เรื่องแย่ๆขนาดนั้น ชีวิตสัตว์โลกชีวิตมนุษย์ น่ากลัว ก็อย่าประมาทความผิดแม้มีประมาณน้อยอย่าทำดีกว่า
_หนูอยากทราบว่า คนที่สามารถระลึกชาติตนเองได้คือเขายังยึดติดกับอดีตของตัวเองหรือไม่
พ่อครูว่า..ไม่ใช่ คนที่ระลึกชาติได้หากคนยังติดยึดอยู่ พระพุทธเจ้าก็ยังระลึกชาติได้ตั้งเยอะแยะ หลวงปู่ก็ระลึกได้บ้างตามภูมิ มันจะไปติดทำไมมันเข็ดด้วยซ้ำไป คนรวยนี้ไม่เข็ด คนทุกข์ดีกว่านะ มันเข็ด แต่คนรวยนี้หลุดยาก คนจนนี้หลุดง่ายกว่า ต้องชัดเจนในประเด็นเหล่านี้จะไปติดทำไม
สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน สอนอย่างเบากับสอนอย่างหนัก
_วันใดที่มีการทำอาหารเพื่อนำไปขายที่หน้าวัด ซึ่งเป็นเวลาที่สมณะออกบิณฑบาตพอดี ผู้ที่ผ่านไปมาบริเวณนั้น จะได้ยินเสียง 2 อย่าง ควบคู่กันไปคือ หนึ่งเสียงของครูที่พูดกับนักเรียนตัวน้อยๆ พวกที่เขาทำงานช้า บางคนก็ยืนงง บางคนก็ทำผิดขั้นผิดตอนฯลฯ ตามมาด้วยเสียง พั๊วพ๊ะ จากครูคู่กันไป ผู้ถามรู้สึกเห็นใจทั้งครูและนักเรียน จึงใคร่ของคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
พ่อครูว่า...คำตอบก็คือสอนกันคนถนัดสอนแรงก็ต้องอย่างนั้น พั๊วพ๊ะ คนที่สอนกันอย่างผู้ดีก็ค่อยๆพูดค่อยจาอาจจะช้าหน่อย แต่ที่ไม่ดี พั๊วพ๊ะ ...ก็อาจจะช้าหน่อยเพราะมันอาจจะจากกันไปเลยประชดเลยมันก็เลยเสีย เพราะฉะนั้นเราก็อย่ารุนแรงจะดี ไม่รุนแรงเป็นดีกว่า ถ้ารุนแรงก็จะเสียผล เพราะฉะนั้นพยายามทำให้ไม่รุนแรงทำให้เบาๆดีกว่า ตามวิการรูป 5
ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ
ลหุตา ใช้ความเบาอย่าใช้ความแรง
มุทุตา ต้องใช้ความเร็วทั้งเจโตและปัญญา
กัมมัญญตา คือการกระทำ มีภูมิรู้อัญญะ อัญญา มีความรู้เรื่องกรรมต่างๆ ท่านจึงแปล กัมมัญญตาคือผู้ทำการงานอันเหมาะสมดีงามได้สัดส่วน เหลือนั้นคือกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ซึ่งจะต้องมีจิตวิญญาณเป็นประธาน นี่คือวิการรูป 5 ในรูป 28
หลวงปู่ที่เอามาพูดได้เพราะมีอันนี้จริงแล้ว ในตำราไม่มีที่ไหนอธิบายอย่างที่หลวงปู่อธิบาย
ในรูป 28 มีรูป 4 คือ ดินน้ำไฟลม ส่วนรูป 24 คือ มีตาหูจมูกลิ้นกายใจมาประกอบอีกไม่รายละเอียดทั้ง 24 ไม่ใช่แค่พยัญชนะจะต้องเข้าใจพฤติบทของแต่ละรูปอีก 24 รูป เราจึงสามารถควบคุมรูปธรรมได้ เพราะเราจะมีจิตที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ วสวัตตี
วสวัตตี เป็นฉายาของผู้อำนวยการบุญนิยมทีวีเมื่อสมัยบวชเป็นสมณะ เพราะเดิมชื่ออำนาจ อาตมาเลยตั้งชื่อว่า วสวัตตีโก คือ ผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:28:20 )
รายละเอียด
611221_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ นักการเมืองแท้ต้องจริงใจรับใช้ประชาชน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VHhFudFsQWNf1IvomoTAW1MRYBHFYJZ4aO-RkMBkjTo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1uXLBeA4bCx-BHKSSE47N5nDqFR-GVSE4
ส.ฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ที่ราชธานีอโศกก็มีการเข้าค่าย เด็กนักเรียนชั้นม. 3 เพื่อเตรียมงานเพื่อฟ้าดิน เด็กเข้าค่าย 5 วัน งานเพื่อฟ้าดินจะจัดสองช่วง ช่วงแรก 26-28 ธ.ค. จะมีการบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม และช่วง 29-1 ม.ค. 2562 เป็นช่วงงานเพื่อฟ้าดิน สอบคือไม่ได้อะไรได้แต่ปฏิบัติธรรม ใช้หนังสือคนจนที่มีแบบ เพื่อสอบ
ตอนนี้เราจะเห็นว่า ในสังคมกระแสที่รุนแรงคือเรื่องการเมือง การเมืองที่รุนแรงคือการเลี้ยงโต๊ะจีน โต๊ะละ 1 ล้านถึง 3 ล้าน เป็นปัญหาร้อนแรงในการเมืองขึ้นมาทันที ถูกวิจัยวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ ดีนะสังคมไทยเป็นประชาธิปไตย
การเมืองที่พ่อครูพาทำให้ทำแบบคนจน เป็นประชาธิปไตยที่มีนิยามคือ มีอิสรเสรีภาพ และเป็นคนไม่มีอัตตา ได้ลดละอัตตา และต้องมีปัญญา
การจะดูคนจะมาทำงานการเมืองต้องมี 1. เป็นผู้รับใช้ 2. เป็นผู้มีแต่ให้ไม่เป็นผู้เอา 3. ไม่มีอคติ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เลือกเราเราก็เลยไม่ดูแล ไม่ใช่อย่างนั้นเราก็ต้องดูแลเพราะเราอาสามารับใช้ประชาชน
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นขอโอภาปราศรัยกับ sms ไลน์ที่ถามมา
SMS วันที่ 20 ธันวาคม 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(สาธารณโภคี) ตอน สาธารณโภคีพาชีวียืนยาว
0851ถือศีล ค่าใช้จ่ายฟรี เหมือนปฐมอโศก หรือเปล่าครับ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า...ฟังภาษาเหมือนว่า ถือศีลแล้วก็ไม่ต้องใช้เงิน ชุมชนชาวอโศกเป็นสาธารณโภคีทั้งนั้น ความเป็นเราความเป็นของเรานี้ ของเราก็หมายถึงว่าอันนี้มะละกอของเราอันนี้หัวปลีของเรา มันมีอีกสิ่งหนึ่ง ของเราคือสิ่งที่มีเรายึดถือมาเป็นตัวเรา จากสองสิ่งมาเป็นหนึ่ง แล้วคนที่ยึดถือสองมาเป็นหนึ่งคือเทวนิยม เทวนิยมแปลว่าสอง เทวนิยมเป็นศาสนาที่มีพระเจ้าดีพระเจ้าแตกไม่ได้ แยกความเป็นหนึ่งมาเป็น 2 ไม่ได้
สิ่งหนึ่งตั้งแต่อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ต้องมีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้จะอยู่เดียวไม่ได้ แม้พีชะก็มีธาตุรู้แค่ว่าเอาธาตุอะไรมาสังขารมาเป็นมะละกอแต่มันไม่ไปเบียดเบียนใครไม่ไปทำร้ายใคร มันเอาแต่สิ่งที่มันจะใช้มันได้เท่านี้มันใช้ได้ทั้งนี้ เพราะฉะนั้นมะละกอบางต้น ไม่เต็มเต็งได้ธาตุมาไม่ครบก็เอาเท่านั้น บางต้นเหี่ยวแห้ง บางต้นตายเลยแต่มันก็ยอมตายไม่ได้ไปเบียดเบียนใครเลย
พีชนิยามหรือพืชไม่เบียดเบียนใคร ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้อรหันต์มีพลังงานจิตเป็นแบบพืช ไม่เบียดเบียนใครแต่มีพลังงานเหลือไปช่วยคนอื่น ด้วยการช่วยคนอื่นไม่เบียดเบียนใคร ก็ต้องรู้ว่าการไม่เบียดเบียนคืออะไรแค่ไหน เราเบียดเบียนเขาแค่ไหน ก็ต้องรู้อาการที่เบียดเบียน เมื่อไม่เบียดเบียนใครที่มีแต่ให้เกื้อกูลคนอื่น คนนั้นเป็นอรหันต์ แค่นั้นจบ
เพราะฉะนั้นคนที่เป็นอรหันต์ เป็นคนมีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
นี่คือนิยาม 3 ประการของคำว่าประชาธิปไตยหรืออธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ในโลก ทั้งโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยและธรรมาธิปไตย นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าเข้าใจรายละเอียดพวกนี้ ให้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าให้รู้เนื้อหาแท้จริงทำหน้าที่แท้ แล้วเป็นได้จริงลงตัว นั่นแหละคือผู้จบ ผู้เป็นอรหันต์ก็มีประโยชน์ต่อมนุษย์ เป็นผู้ที่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ตลอดกาลนาน แล้วพระอรหันต์จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะทำงานเป็นโพธิสัตว์สืบทอด ตัวเองเป็นประโยชน์ต่อโลกจนกระทั่งกลายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ในมหาจักรวาล พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานสูญไปเลย พระเจ้าทุกองค์เป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวทุกองค์ จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัยไม่มี
อรหันต์รู้ความดีความชั่วอันที่เป็นประโยชน์อันที่เป็นโทษ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษ ทำแต่เป็นสิ่งที่ดี แม้แต่ความดีก็ไม่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา เราไม่ทำชั่ว ในโอวาทปาติโมกข์ 3 สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง
ผู้เป็นอรหันต์แล้วทำแต่ดีไม่ทำชั่วแล้ว แม้แต่ความดีก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา คำว่าไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเป็นคุณธรรมที่แท้จริง คุณวิเศษที่แท้จริงของผู้ที่มีภูมิปัญญา และเป็นจริง ตามความหมายนั้นได้สูงสุด จึงสูงสุดในความเป็นมนุษยชาติเรียกว่า อันตะ อรหันต์ อรหะคือผู้ไม่ลึกลับ อันตะ คือปลายสุด คือสุดแล้ว อะไรลึกลับที่สุดรู้หมดแล้วเป็นหมดแล้วได้หมดแล้ว
สมณะฟ้าไทว่า..เขาสงสัยว่า นิยาม 5
เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอุตุธาตุในธาตุจิต เขาสงสัยว่าอุตุในธาตุจิตเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...อุตุธาตุ ทุกอย่างต้องมีสอง ต้องมีสิ่งหนึ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป ส่วนธาตุรู้อีกอันคือนามธรรมของเรา หากนามธรรมเราหมดไปสลายไป ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ไม่มี ตราบใดที่ยังมีธาตุรู้ ก็ต้องมีการกระทบ ต้องมีสติ ดูว่าอะไรกระทบในปัจจุบัน เป็นภาวะที่สมบูรณ์แบบไม่ใช่ภาวะที่สะกดจิตไว้ให้นิ่งเฉย จะเห็นความต่างกันระหว่างการสะกดจิตตัวเองไว้กับการปล่อยให้ธาตุรู้ทำหน้าที่รู้เต็มๆ
ธาตุรู้เต็มๆนี้รู้จัก กลางคืนกลางวัน รู้จักการนอนพักกับการตื่น แล้วก็ทำให้มันสมดุล ไม่ได้ไปแปลกประหลาดในความเป็นสองอะไรเลย แล้วทำให้ถูกต้องตามที่ควร เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความลงตัวหมดทุกอย่าง คนนั้นก็ทำถูกต้องลงตัวทุกอย่างทุกอย่างก็ยืนยาว
คนที่สามารถทำให้ชีวะชีวิตยืนยาวได้ก็เพราะว่า เป็นพลังงานที่สามารถสร้างพลังงานที่เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ตัวแปรที่มีอัตราการก้าวหน้าเสมอ เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ทางวัตถุก็เอาไปใช้เขาก็เอาไปทำอยู่สัมประสิทธิ์ Coefficient ทางนามธรรมก็สามารถเอาไปใช้ได้ แล้วแต่มักจะมีชีวิตยืนยาวเพื่อพาพิสูจน์ว่า อาตมาจะยืดชีพยาวยืนให้ยิ่งกว่าสามัญ จะลากสังขารให้ยาวเกิน 151 ปีถึงจะยอมสูญจากร่างกาย ชาตินี้ เป็นนายรักษ์ รักพงษ์ เป็นสมณะโพธิรักษ์ตายไปจะยังไม่จบแต่ยังมาต่ออีก
สามารถสร้างพลังงานจิตวิญญาณได้เองด้วย ต่ออายุไขได้ อาตมาบอกใครๆว่าอาตมาอายุขัยชาตินี้ 72 แต่ปีนี้อาตมาเต็ม 84 ขึ้น 85 แล้ว อาตมาก็จะไปต่อเรื่อยๆ ต่อมาได้อีก 1 นักษัตรแล้วเป็นนักษัตรที่ 7 ฝืนตายไปได้ 12 ปี เลยไปเป็น 96 ก็ฝืนไปอีก จนเป็น 108 ปี ถ้าอาตมาทำไปได้ถึง 108 แล้วก็ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดีแข็งแรงกว่านี้ได้ คนต้องยอมรับสูตรนี้ E=C(mc2+A) นี่คือสูตรทางพีชคณิต
เรื่องสาธารณโภคีง่ายๆ คนที่อยู่ในนี้ไม่ต้องใช้เงิน สะดวกสบาย นอกจากคุณจะใช้สิ่งฟุ่มเฟือยเขาก็ไม่ให้ แต่ถ้าพอสมควรคุณเอาไปใช้ได้เป็นประโยชน์ ไม่ได้ไปสำเริงสำราญฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายอะไร เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมสิ่งที่ควรจะทำเขาก็ให้ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเป็นรายละเอียดที่เอาความจริงเข้าว่า มันเป็นเรื่องลึกซึ้งต้องพิสูจน์กันอีกนานกว่าจะยอมรับกันในโลก
_งามศิลป์ เอี่ยมนอก · ขอนุโมทนาสาธุกับชาวอโศก ท่านทำกุศลผลบุญเต็มพร้อมทุกด้าน บำเพ็ญบารมี 10 ทัศน์เกือบ 100% เพราะท่านประกอบการงานต่างๆ แล้วอาหารที่สร้างเหล่านี้นำไปบำรุงเหล่าสมณะ สิกขมาตุ และนักปฏิบัติธรรมผู้มีศีล แล้วยังเผื่อแผ่บุคคลภายนอกที่สนใจ
_พรชัย จันทรศร · ฟังแม่เณรกล้าข้ามฝันเทศน์แล้วอยากมาอยู่บวรราชธานีอโศกให้เร็วที่สุดเลย
_จันทรพนา สิทธิพันธุ์ · ทั้งสามองค์ (ส.ฟ้าไท,ส.ถักบุญ,สม.กล้าข้ามฝัน)...ถ่ายทอดธรรม...เป็นเยี่ยม...ชัดเจน..จริงใจ...เป็นธรรมชาติ..เข้าใจง่าย
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน นักการเมืองแท้ต้องจริงใจรับใช้ประชาชน
พ่อครูว่า...ที่จริงแล้ววันนี้อาตมาเตรียมเรื่องธรรมะลึกๆธรรมะตื้นๆ อาตมาจะเอาธรรมะตื้นๆมาแสดงให้ลึก แต่เสร็จแล้วนักการเมืองมานั่งหน้าสลอนอยู่นี่ จะเทศน์เรื่องศีลลึกๆตื้นๆนี้จะไหวหรือ ขออภัยไม่ได้ดูถูกดูแคลนนะ
ธรรมะพุทธเจ้าศีลเป็นข้อต้นศีลเป็นใหญ่ศีลเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าเรียกว่าต่ำ คำว่าต่ำ คำนี้เป็นปัญหามากที่สุด เขาแปลจากบาลีว่า โอรัมภะ ส่วนอุทธัมแปลว่าสูง ส่วน โอรัมภะแปลว่าต่ำ มันเหมือนกันแยกวรรณะ มีที่ต่ำที่สูง
โอรัมภาคียะ มันเป็นส่วนแห่งภาคต้นภาคแรกเริ่ม ไม่ได้หมายความว่าต่ำจมดิ่งกับสูงบนฟ้า จึงยากมากเลยที่จะขยายความ แปลในพหรมชาลสูตรท่านว่า
ผู้ที่จะชมเรา
จะเป็นคนได้ต้องชมว่ามีศีล ไม่มีศีลแม้สักข้อนั้นยังไม่ใช่คน คนละเมิดการฆ่าสัตว์นั้นยังไม่ใช่คนยังไม่ใช่มนุสโส ยังไม่ใช่คนจริง ยังไม่ใช่สัตว์ที่ใจสูงจริงยังเป็นสัตว์ที่ต่ำอยู่
เพราะฉะนั้นศีลข้อ 1 จึงเป็นศีลที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ใช่อาชญาไม่ใช้อาวุธ มีแต่ความเอ็นดู มีแต่ความกรุณา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทำร้าย ไม่ใช่อาวุธวางอาวุธหมด วางทัณฑะวางศาสตรา มีใจเอ็นดูกรุณา
1.เมตตา (ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข) .
2.กรุณา (ลงมือสร้าง-ช่วยให้เขาพ้นทุกข์)
3.มุทิตา (ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี-พ้นทุกข์)
4.อุเบกขา (เป็นฐานอาศัย วางใจเป็นกลาง ไม่ติดยึดว่าเป็นความดีของเรา หรือผลสำเร็จนั้นเกิดจากเรา) (พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 741) .
เราช่วยเขาแล้วก็ไม่ยึดดียึดชั่ว เขาจะกตัญญูก็เป็นกรรมของเขา เขาจะไม่กตัญญูก็เป็นกรรมของเขา
ตอนนี้มีการหาเสียงเลือกตั้งอาตมาก็เป็นประชาชนก็มีสิทธิ์ออกเสียง
เอาคำว่า ศาสตร์ ผู้ที่จะมีความรู้
ความรู้ คือ ศาสตร์ หรือศาสตรา ก็ได้ คืออาวุธก็ได้ ความรู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นก็เอาตรงนี้เลย เป็นกวีที่คุณสไมย์ จำปาแพงเขียน ประจำเราคิดอะไรมาอ่าน
“ศาสตร์คืออาวุธหรือความรู้”
(1) ภาษาว่า“ศาสตร์”นี้ แสนยาก
คนโง่ใช้ผิดมาก จึ่งร้าย
เป็นทุกข์โทษหลายหลาก ในโลก
ชั่วลึกซ่อนย้อนย้าย ยากย้ำมายา
(2) นานาหมายมุ่งชี้ ต่างนัย
ล้วนศาสตร์ต่างแตกไป เพื่อ“รู้”
“รู้”อะไรต่ออะไร ก็ศาสตร์ ตะพึดเฮย
ศาสตร์จึ่งเลอะเละผู้ เลิศล้วนวิชา
(3) “ปัญญา”คือ“ศาสตร์”ล้ำ โลกุตระ
แต่ปุถุก็“เฉกะ” เท่านั้น
คือหลงยึด“เทฺวะ” หนึ่งอยู่ นิรันดร์แฮ
บ่อาจ“ฉลาด”แบ่งขั้น แยกแม้เป็นสอง
(4) ผองพาลใช้“ศาสตร์”สร้าง อาวุธ
หมายมั่นฆ่ามนุษย์ โหดแท้
หรือศาสตร์ฉลาดสุด เอาเปรียบ บ่หยุดเลย
ศาสตร์ชั่วเช่นนี้แล้ ยากแก้โลกีย์
(5) เพราะมีกันแค่รู้ ว่า“ศาสตร์”
แต่บ่รู้ว่า“ฉลาด” แยกชั้น
“ฉลาด”โลกร้ายกาจ ด้วยกิเลส เลวเอย
ส่วน“ฉลาด”โลกุตร์นั้น หมดร้ายภัยผอง
(6) สอง“ฉลาด”นี้แยกให้ ธีรเทอญ
พุทธพิเศษ“ศาสตร์”เกิน กล่าวอ้าง
ชาวอโศกใคร่ชวนเชิญ มาพิสูจน์ เราแล
ว่าเท็จจริงสิ่งสร้าง มนุษย์ให้เป็นไฉน
(7) ทำไม“จน”สุขได้ มีใน โลกฤา
ไร้ทรัพย์แต่เจริญใจ หลอกมั้ง
ที่มนุษย์สุดแปลกใด วิมุติสุข ฉะนี้รา
แถมวิศิษฏ์วิสุทธิ์ทั้ง วิเศษฟ้า..เชิญมาดู
“สไมย์ จำปาแพง”
22 พ.ย. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 341 ประจำเดือนธันวาคม 2561]
คำว่าปัญญาคือความรู้ทางธรรมะ ต่างจากความรู้ทางโลกที่เรียกว่า เฉกะหรือเฉโก ผู้เป็นโสดาบันก็มีปัญญาเพิ่มขึ้น มีความเป็นเฉโกลดลงไป
ดูคลิปmv เพลง ฟากฟ้าฝั่งฝัน March version
เพลง ฟากฟ้าฝั่งฝัน March version
ผู้แต่งเนื้อร้องคือสมณะโพธิรักษ์ มีคุณมณีนุช เสมรสุตเป็นผู้ขับร้อง
แม้ไกลปานไปฟากฟ้า
ข้ามสุริยาอีกดวง
เลยจักรวาลทั้งปวง
อยู่สรวงฤาห้วงแดนใด
ยากแค้นไกลแสนกรากกรำ
คร่ำทรมานปานไหน
เจอมารพาลโหดโฉดภัย
ร้อนร้ายกว่าไฟก็ทน
แน่วจริงแล้วใจไม่หน่าย
เกิดตายแล้วตายกี่หน
มุ่งเพียรขอเพียงให้คน
เมตตาผองชนจริงใจ
นั้นคือแดนดังฝั่งฝัน
ช่วยกันและกันดีไหม
หวงโลภหลงโกรธอยู่ไย
บุญไซร้ใครสร้างต่างเป็นของตน.
พ่อครูว่า...ก็ไม่ได้รู้ว่า ท่านกำนันจะมา ไม่ได้ตกลงไว้ก่อนนะ เป็นความจริงใจเป็นเรื่องจริง ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำไป ตามจริง ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นบางคณะที่อยู่ในการเมืองขณะนี้ บางทีบางพรรคก็รวมกันช่วยกัน อย่าแย่งกัน ผลัดเปลี่ยนกันก็ได้ ก็ว่ากันไปทำกันไป แต่ว่าอาตมาขอยืนยันว่าอาตมาเป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่ไหนแต่ไรมาทำงานศาสนา การเมืองกับธรรมะแยกกันไม่ได้หรอกเป็นหนึ่งเดียว แยกกันไม่ได้ เพราะการเมืองก็ทำเพื่อประชาชน เป็นสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ ทำงานเพื่อประชาชนช่วยเหลือประชาชน ธรรมะก่อนทำงานเพื่อประชาชนช่วยเหลือประชาชน ให้มีประโยชน์ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ผู้ที่สามารถรู้ความจริงและหมดตัวตน และรับใช้ผู้อื่นได้ อาตมาถึงสรุปได้ 3 ข้อ
ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ นี่คือ 3 ข้อ ก่อนจะถึง 3 ข้อนี้มี
ประชาธิปไตยสุดยอดมี 1. มีอิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีอัตตาตัวตน 3. มีภูมิปัญญาที่จะทำงานรู้ รู้เรารู้เขา มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ผู้ใช้ความรู้ในความจริงตามที่ความหมายที่พุทธเจ้าบัญญัติไว้
ความรู้ของศาสนาพุทธทำจาก 2 ให้เป็นหนึ่งได้ ความรู้ของเทวนิยม มีแต่ 1 เผด็จการหนึ่งเดียว ผิดไปจาก 1 ไม่ได้เลย เทวนิยม ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้ อาตมาใช้คำว่าประชาธิปไตยขาเดียว ไม่ใช่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ เป็นประชาธิปไตยขาพิการ
ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ต้องมีกษัตริย์กับประชาชน อาตมาพยายามกำหนดว่า ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ ต้องมีประชาชน แล้วต้องมีจิตวิญญาณ นี่คือสามเส้าแรก
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีความรู้ทางจิตวิญญาณ และ ไม่มีระบอบกษัตริย์ มีแต่ประชาชน เลือกเอาประชาชน ใครมาเป็นประธานาธิบดีได้ประชาชนคนนั้นใหญ่สุด ไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีการสืบต่อสันตติวงศ์ ไม่มีการศึกษาถ่ายทอดข้ามชาติ กษัตริย์นี้ถ่ายทอดข้ามชาติ มีธรรมะ มี rebirth มีการเกิด ชาติแล้วชาติเล่า สั่งสมกรรมวิบาก เทวนิยมไม่มี rebirth ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าสั่งให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่ศาสนาพุทธมี rebirth ตายแล้วเกิดสั่งสมเป็นล้านชาติ เป็นพลังงานจิตที่มีกรรมที่เป็นอันทำ ดีก็เป็นของคนนั้นชั่วก็เป็นของคนนั้น คนอื่นไม่มีผลกับใครเลย ชั่วดีก็เป็นของใครคนนั้นเลย
1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
การเมืองที่มี 2 มีกษัตริย์กับประชาชนและมีจิตวิญญาณเป็นตัวร่วม ภาษาไทยใช้คำว่าราชประชาสมาสัย มีพระราชากับประชาชนอาศัยกัน หรือสมะ อาศัยกันและกัน
ในยุคนี้เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเป็นใหญ่ในโลก อาตมาทำงานมาตั้งแต่พศ.2549 กระทงด้วยความสงบด้วยธรรมะด้วยความไม่รุนแรงไม่มีอาวุธ แล้วเอาความจริงออกมาเสนอ พูดกันให้จำนน แล้วประเทศไทยก็เป็นประเทศที่แสนดี คนไม่ดีเลยออกไปนอกประเทศเลยค่อยยังชั่ว ส่งพลังงานมาก็เลยไม่ค่อยพอ คนในนี้ก็เลยทำงานได้ดีกว่า
สรุปแล้วการเมืองไทยจะเกิดความเจริญ ประชาธิปไตยไทยจึงเจริญ ตั้งแต่ประชาชนปฏิวัติ อาตมาอธิบายว่า นี่คือการปฏิวัติโดยประชาชน ทหารไม่ได้ทำ ทหารไม่ได้มาปฏิวัติไม่ได้ใช้มีดใช้ปืน ไม่ได้ใช้อำนาจทางกำลังทหารเลย เมืองไทยปฏิวัติครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 แล้ว รัฐบาลตอนนี้เป็นรัฐบาลประชาชนปฏิวัติ ประชาชนรัฐประหาร ประหารมาตั้งแต่รัฐบาลทักษิณรัฐบาลสมัครรัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะว่าไปจริงๆแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ร่วมด้วย อยู่ในนั้น
ประชาชนทั้งนั้นเลย ปฏิวัติหรือรัฐประหารด้วยธรรมะ ธรรมาธิปไตย มันสวยงามที่สุดไม่มีประเทศไหนในโลกเป็นตัวอย่างแห่งรัฐศาสตร์ สวยงามเท่านี้ ตั้งแต่ตำนานประวัติศาสตร์การเมืองมา หมดเลยประวัติศาสตร์การเมือง ไปค้นในตำราได้ ไม่มีอะไรงดงามเท่าประเทศไทยทำประชาชนปฏิวัติ ถึงบอกว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่คนไปหลงกันแค่ว่า นี่เขาเป็นทหาร เขามาเอาอำนาจ อำนาจอะไร ประชาชนให้ต่างหาก ประชาชนให้พลเอกประยุทธ์แต่อยู่ในตำแหน่งทหาร อันนี้แหละมันถึงแยกยาก จะว่าไปแล้ว แม้แต่อเมริกาเอง จอร์จ วอชิงตัน เขาก็ทำหน้าที่ทหาร ปฏิวัติเสร็จเขาก็ยังไม่ขึ้น จอร์จ วอชิงตัน แต่คนไม่ยอม ต้องให้เขาต้องเป็นประธานาธิบดี เขาก็จะไม่เอา ตามประวัติศาสตร์รู้มา
เรื่องสัจธรรมตอนนี้เป็นเรื่องสุดยอด ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะไม่รู้ว่าทำไมมันเป็นเช่นนั้น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ประเทศไทย ทำไมต้องมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านอยู่เป็นยอดประชาธิปไตยและท่านก็ทรงงาน อาตมาบอกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุด ในหลวงรับใช้ประชาชน ซึ่งมีศักดินา มีในหลวงประเทศไหน มาทรงงานเหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 รับใช้ประชาชนติดดิน ประเทศของท่านไปหมด ตลอดพระชนม์ชีพ 70 พรรษา อาตมาถือว่าในหลวงทรงงานมา 70 เลข 7 นี้สมบูรณ์แบบแล้วเป็น 7 ทศวรรษ 70 นี้สุดยอด อาตมายังพยายามอยู่ว่า อาตมาจะถึง 90 ไหม ในหลวงสิ้นพระชนอายุ 89 เป็นตัวเลขที่อาตมาขยายไม่ไหว 8 9 นี้เป็นตัวจบ หาก 9 0 นี้สามเส้าเลย เป็น 9 ทศวรรษที่ลงตัวที่สุด แหมในหลวงสิ้นพระชนม์ 89 อาตมาก็จะดูตัวเองว่าอายุถึง 90 ไหม ถ้าถึงแล้วอาตมาจะมีความชัดในอจินไตยอันนี้ ขึ้นมิถุนายนนี้ก็จะอายุ 86 ขึ้นแล้ว อีก 10 ปีก็น่าจะ 90 แล้วยังฟิตเนสอยู่อย่างนี้ ใช้ได้ อาตมาจะมั่นใจ
เพราะฉะนั้นความฉลาด เฉโก กับฉลาดโลกุตระ ฉลาดอาริยะ หรือโลกียะกับโลกุตระ
ชาวอโศกใคร่ชวนเชิญ มาพิสูจน์ เราแล
ว่าเท็จจริงสิ่งสร้าง มนุษย์ให้เป็นไฉน
(7) ทำไม“จน”สุขได้ มีใน โลกฤา
ไร้ทรัพย์แต่เจริญใจ หลอกมั้ง
ที่มนุษย์สุดแปลกใด วิมุติสุข ฉะนี้รา
แถมวิศิษฏ์วิสุทธิ์ทั้ง วิเศษฟ้า..เชิญมาดู
กำนันสุเทพ..กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จริงๆผมกำลังอยู่ในช่วงระยะด้านคารวะแผ่นดิน คารวะประชาชน แล้วก็มีกำหนดว่าจะต้องมาเดินที่อุบลราชธานี 2 วันนี้ อยากทราบว่าวันนี้พ่อท่านเทศน์ ก็เลยถือเป็นมงคลมาฟังเทศน์ด้วย แต่ผมอยากกราบเรียนว่า ช่างเป็นบุญของผมที่ได้ทำวันนี้ เพราะว่าสิ่งที่พ่อท่านเทศน์พอดีกับสิ่งที่ผมทำอยู่พอดี (พ่อครูว่า..คุณชื่อว่าสุเทพคือเทวดาดี ) อยากกลับเรียนว่าที่เดินอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยเดินเพื่อจะสร้างพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง ภาวะเมื่อปี 2556-2557 เรามีปาฏิหาริย์ร่วมกันว่าจะต้องปฏิรูปประเทศ ปรากฏว่าสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำมานี้ยังไม่ครบถ้วนยังไม่สมบูรณ์ มันจะต้องทำต่อ ทำได้แค่เขียนกฎหมายเป็นรัฐธรรมนูญเป็นแนวทางไว้ แต่ว่าตัวปฏิบัติจริง ต่อไปข้างหน้าก็จะมีขวากหนามเยอะแยะไปหมด พวกที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปอีกก็จะเริ่มอาละวาดกัน จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะทำต่อ ไม่มีทางที่จะปฏิรูปประเทศนี้ได้นอกจากอาศัยพลังของประชาชน จึงได้คิดพรรคการเมืองที่ชื่อว่ารวมพลังประชาชาติไทย
ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยในพรรคการเมืองนี้ไม่ได้เป็นกรรมการไม่ได้เป็นเลขาไม่เป็นหัวหน้า ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย เมื่อว่าจะเป็นแบบเขตเลือกตั้งหรือแบบปาร์ตี้ลิสต์
สิ่งที่กำหนด เป็นอุดมการณ์ของพรรคเลย คือพระมหากษัตริย์ต้องจงรักภักดีเทิดทูน เห็นที่พ่อท่านคิดว่าประเทศไทยต้องมีพระมหากษัตริย์กับประชาชน นี่เป็นอุดมการณ์ข้อที่ 1 เลยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แตกต่างกับพวกที่ไม่เอาสถาบัน
ประการที่สองคือธรรมาธิปไตย ต้องประกอบด้วยธรรมะ ถ้าหากไม่ชอบทำแล้วการเมืองก็จะเลวร้ายเหมือนที่เราเห็น
ประการที่สามคือรับใช้ประชาชน ต้องเคารพประชาชน เพราะว่าผมเองเป็นนักการเมืองมา 37 ปี ในสภา เห็นนักการเมืองอวดดีอวดรู้มากกว่าประชาชนประชาชนโง่ทั้งนั้น แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่หรอก ประชาชนไม่ได้จบปริญญาตรีโทเอกอะไร แต่ประชาชนรู้ว่าอะไรชั่วอะไรดี อะไรคือสิ่งที่เหมาะสมกับประเทศ
ประการต่อไปก็คือว่า พรรคนี้ ถ้าจะมาอยู่ก็ต้องตั้งใจต่อสู้เพื่อปฏิรูปประเทศ
ประการที่ห้า ต้องน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติจริง เพื่อแก้ปัญหาของประเทศให้ได้
ประกันที่ 6 ต้องรักชาติ ต้องภาคภูมิใจในชาติ ขนบธรรมเนียมจารีตวัฒนธรรมประเพณีของเรา เพราะเดี๋ยวนี้มีคนเห่อชาวต่างประเทศ แล้วดูถูกความเป็นไทยดูถูกประเทศไทย
ประกันที่ 7 ต้องแบบที่พ่อท่านทำ ต้องทำสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ชีวิตชาวไทยปลอดภัย
อุดมการณ์ของเรามี 7 ข้อเท่านี้ ผมก็พยายามเดินพูดสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆมีแรงเท่าไหร่ก็เท่านั้น คนบอกว่าลุงโง่ขนภูเขา ผมก็บอกว่ายอมโง่ทุกวัน ตอนนี้ก็จะเดินต่อไปก็กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า...ดีมาก อาตมาก็ขอสรุปว่า คุณเป็นคนดีคนหนึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ สุเทพ คือเทวดาดี ส่วน สุบรรณะคือดีเลิศ ไป ทำความเข้าใจกับคำว่า ดีเลิศให้ดี
คุณก็ทำหน้าที่ของคุณ อาตมาเองก็ดูทุกอย่างในสังคมมนุษยชาติ เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากศึกษาความเป็นคน กับความเป็นสังคม เท่านั้น แล้วท่านก็รู้จบในความเป็นคนกับความเป็นสังคม และเอาความรู้ในความเป็นคนกับสังคม
คนควรจะดีอย่างไรสังคมควรจะดีอย่างไร ทำสิ่งที่รู้อย่างที่มีความรู้ รู้ว่าคนที่ดีที่สุดคือคนอย่างไรคนที่วิเศษที่สุด พิสิษฐ์ วิเศษ วิสุทธิ์ คืออย่างไร เท่านั้นเอง แล้วก็ทำตัวเองให้เป็นคนที่วิสุทธิ์ พิเศษ วิศิษฏ์ให้ได้ นี่คือคน คนที่ดีแล้วจะรู้เรารู้เขารู้สังคมรู้ตัวเรา เมื่อตัวเราไม่มีแล้วก็ทำเพื่อสังคมเพื่อส่วนรวม แรงงานที่จะให้แรงงานเป็นผลประโยชน์เกื้อกูลกับสังคมก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแรงงานของเราทำออกไปด้วยความซื่อสัตย์ด้วยความรู้ด้วยความสามารถที่เรามี จริงใจที่สุดเราก็ทำไปให้แก่ประชาชนได้ จบในตัวมันเอง โดยไม่ไปยึดถือว่าเราทำแล้วเราเป็นเจ้าหนี้เจ้าบุญเจ้าคุณเจ้าของความดี ไม่มี ให้สิทธิอิสระเสรีภาพของคน เขาจะเห็นเราดี อยู่ที่เขา เราดีแต่เขาไม่ให้ความดีก็ไม่เป็นไรไม่ต้องไปทวง เราก็เสียสละแล้ว ก็จบในตัวมันเองแล้ว เพราะฉะนั้นมันหมดความสงสัยมันชัดเจนทุกอย่างเลย เราถึงสบายทำงานสบายๆ
มีแรงงานอะไรก็ทำไป เป็นแต่เพียงว่าสังขารร่างกายชีวิตของเรานั้นสมบูรณ์ ให้แข็งแรงทำงานให้เต็มที่ แต่ความจริงใจ คุณรู้เท่าไหร่ก็ทำความจริงได้เท่านั้น คุณมีความจริงเท่าไหร่ก็ทำตามความรู้ของคุณเอง มันก็จบความรู้ด้วยความจริงเท่านั้นเองในสังคมมนุษยชาติ
อาตมาก็ยังมั่นใจว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปักหลัก สร้างฐานของความเป็นประชาธิปไตยไว้ให้แก่โลก ซึ่งจะเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ เริ่มมาเรื่อยๆตั้งแต่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยมา 70 กว่าปีแล้ว เหตุการณ์ที่เสริมขึ้นมา แต่ยังไม่บริสุทธิ์ดีคือ
เหตุการณ์ 13 หมูป่า ต่างประเทศตื่นตัว ว่าอันนี้คนจะต้องช่วยเหลือกัน เลข 13 เป็นเลขที่รู้กันดีแม้แต่ในเทวนิยมหรือชาวพุทธ ชาวคริสต์ก็รู้ พระเยซูเป็นคนที่ 13 ไม่มีปัญหาอะไร จุดที่มีจิตวิญญาณร่วมกันใน 13 หมูป่า ก็อันเดียวกับที่ในหลวง พระองค์เดียวกับมวลมนุษย์ทั้งโลก
มนุษย์ทั้งโลกมาเห็นหนึ่งเดียว ที่คนมาร่วมแสดงสปิริตใน 13 หมูป่า ก็เท่ากับในหลวงองค์เดียว ทำกับคนทั้งโลก ใครเข้าใจอันนี้ได้ ในหลวงองค์เดียวทำเพื่อมวลมนุษย์ ก็เท่ากับมวลมนุษย์รวมเป็นหนึ่งเดียวที่ 13 หมูป่า มีความบริสุทธิ์ใจมีความเสียสละมีความจริงใจต้องช่วยเหลือกันๆๆๆ ก็ช่วย ช่วยคนอื่น ไม่มีอื่นเลย ใครสามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ คนนั้นมีคุณค่าจริงใจไม่ต้องการสิ่งตอบแทน คุณจะให้หรือไม่ให้ก็ไม่มีปัญหา แต่คนยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก คนจะมีภูมิปัญญามีกตัญญูกตเวที เราเป็นคนกินน้อยใช้น้อย แม้ที่สุดเราเองก็ทำกินทำใช้ได้ ไม่มีใครปลุกให้อาตมากินอาตมาก็ปลูกได้ แต่อาตมาว่าคนปลูกมะละกอดีกว่าอาตมาด้วย แต่เขาทำสิ่งที่อาตมาทำไม่ได้ เขาจึงปลูกมะละกอให้อาตมากินก็ทดแทนกันไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นสัจจะที่ลึกซึ้งซับซ้อนไม่ต้องกลัวตาย ขอให้ทำดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าคุณทำดีในชาตินี้ยังทำดีไม่มากพอ คุณตายไป กรรมวิบากก็จะ ทด มีปฏิภาคทวี ทดเพิ่มทวี
ขอให้มีความจริงเถอะว่าคุณเป็นคนทำความดีจริงเพื่อผู้อื่นที่จริง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพื่อคนอื่นให้จริง ไม่ใช่เพื่อตัวเองให้จริง ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนขบถต่อความจริง พระเจ้าก็จะเห็นความจริงแม้แต่พระเจ้าไม่เห็น ความจริงก็คือความจริงอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นอาตมายังมั่นใจที่อาตมาได้พยายามไม่ให้ตายง่ายๆ ว่ามันเป็นความจริงแล้วในประเทศไทย มาร่วมกัน
กำนันสุเทพ..กราบพ่อท่าน ขอไปก่อนครับ
พ่อครูว่า...เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย ใครยังไม่ได้หนังสือนะหาเอาไปอ่านบ้าง
พ่อครูมอบของที่ระลึกให้กำนันสุเทพ และคณะ
นี่คือทุกบรรยากาศเพื่อการรายงานความจริง ไม่ได้มีการเขียนสคริปต์ไว้ก่อนไม่รู้ล่วงหน้า
(6) สอง“ฉลาด”นี้แยกให้ ธีรเทอญ
พุทธพิเศษ“ศาสตร์”เกิน กล่าวอ้าง
ชาวอโศกใคร่ชวนเชิญ มาพิสูจน์ เราแล
ว่าเท็จจริงสิ่งสร้าง มนุษย์ให้เป็นไฉน
(7) ทำไม“จน”สุขได้ มีใน โลกฤา
ไร้ทรัพย์แต่เจริญใจ หลอกมั้ง
ที่มนุษย์สุดแปลกใด วิมุติสุข ฉะนี้รา
แถมวิศิษฏ์วิสุทธิ์ทั้ง วิเศษฟ้า..เชิญมาดู
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลเป็นสิ่งสูงมิใช่สิ่งต่ำ
อีก 30 นาทีอาตมาจะเข้าสู่ธรรมะ
ศีลเป็นหลักสำคัญเลย
ความเป็นสัตว์ในโลกที่เป็นชีวะขั้นจิตนิยาม ตั้งแต่เกิดเป็นสัตว์เซลล์เดียวขึ้นมาจนถึงเป็นล้านเซลล์ จนเป็นสุดยอดปราชญ์ สุดยอด เป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็จะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ของศีลเหมือนกันหมด ขึ้นต้นด้วยศีล
ศีลแล้วก็จะมาที่ กาย วาจา ใจ จิตต้องเป็นหลักกำหนดวัตถุ นี่คือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ใช่วัตถุกำหนดจิต แต่ศาสนาพุทธจิตกำหนดวัตถุ เพราะวัตถุนั้นมันไม่มีความเจ็บปวด วัตถุไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรก็ได้ อย่าว่าแต่วัตถุเลย แม้แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารผลหมากรากไม้ ที่เป็นอาหารของคน ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ
จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีบาปมีบุญมีสุขมีทุกข์ ขึ้นไป จิตวิญญาณแม้แต่เป็นเซลล์เดียว ชื่อว่าสัตว์เรียกว่าจิตนิยามแล้ว ถึงจะสะสมบาปบุญ สะสมความชอบความชัง สะสมความสุขความทุกข์ แต่แน่นอน สัตว์เซลล์เดียวสัตว์เดรัจฉานอเวไนยสัตว์ ที่ยังสอนไม่ได้ ข้ามเขตโลกียะออกมาเป็นโลกุตระไม่ได้ก็คืออเวไนยสัตว์
เวไนยสัตว์ต้องมีธาตุจิตที่เป็นโลกุตระ สามารถเข้าใจรับรู้มีความรู้ชนิดอื่นชนิดใหม่ ชนิดที่ไม่ใช่วนอยู่ในกรอบของโลกียะเท่านั้น โลกียะ=เอา แต่ที่ให้ต้องจำนนถึงให้หากไม่จำนนไม่ให้ แต่โลกุตระให้ด้วยความสมัครใจไม่ใช่ถูกบังคับไม่ใช่ถูกหลอก และเห็นว่าการให้นี้ดีกว่าเอา ให้นี้ประเสริฐกว่าเอา จบที่การให้ ไม่จบที่การเอา เขาให้มาหนึ่งเราต้องให้เขาเป็นล้าน
สมณะฟ้าไทว่า..เขาให้เรากินข้าว 1 มื้อเราให้เขาทั้งวัน
พ่อครูว่า..เหมือนคุณสมัคร สุนทรเวชบอกว่า ให้กล้วยกิน 1 หวีทำงานให้ทั้งวัน
ใครจะชมพระพุทธเจ้านั้น ชมว่ามีศีลนั้นยังต่ำนัก
คำว่าต่ำในภาษาไทยเทียบกับคำว่าสูงก็เลยเป็นศักดินาขึ้นมา อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่ามันไม่ใช่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคนต่ำเลย พระพุทธเจ้าเป็นคนสูงตลอด แต่เป็นขั้นต้นขั้นแรกแล้วต่อไปเป็นขั้นกลางขั้นปลาย การบอกว่าสูงต่ำ ก็อธิบายระนาบเดียว มันก็เหมือนกับขั้นสูงนี้ ข่มขั้นต่ำ แต่ถ้าอธิบายระนาบ ขั้นต้น กลาง ปลาย ก็เข้าใจได้ดีว่าไม่มีอะไร ข่มกัน แต่เดินหน้าจากที่ต้นไปหาที่ปลายสูงสุด อย่างนี้ก็เข้าใจได้ว่า
ศาสนาพุทธไม่ได้ข่มกัน แต่มันมากกว่ากัน ทุกอย่างก็หมุนวนอยู่ในโลก จะหมุนวนทิศตะวันออกตะวันตกทิศเหนือทิศใต้ ก็เหมือนกับยืดเส้นโค้งนี้ให้เป็นเส้นตรงอันเดียวกัน มันไม่มีต่างกันตรงไหน แต่คนเข้าใจว่า คนก็วนกันไปสูงต่ำต่ำสูง แต่คนที่ไม่คิดไม่ติดที่แปลว่า อานิสงส์ให้นี้ต่ำ มีความแตกต่างกัน 2
1. มีความแตกต่างกัน 2. สูงกับต่ำมีจริง และจิตใจผู้นี้ไม่ได้คิดไปยึดมั่นถือมั่นว่า สูงจะต้องเหนือกว่าต่ำ ข่มต่ำได้เหนือกว่าต่ำ กลับกัน ว่า สูงต่างหาก สละให้คนต่ำ จึงจะถือว่าถูก ถ้าคุณจริงคุณมีมากกว่าคุณสูงกว่าคุณเหนือกว่า ก็ต้องเอามาแถมให้คนอื่นเขา มันก็จะได้ดูเสมอกัน ถ้าคุณสูงแล้วมีแต่สูงขึ้นไปมันก็ไม่เอามาให้ต่ำก็จะเกิดช่องว่างเกิดความแตกต่าง ยิ่งจะเกิดความทับถม ถ้าจะอย่างนี้คนที่รู้ยิ่งแล้วก็ไม่ให้เกิดสภาพนี้ จึงเกิดความเสมอภาคกัน
ศาสนาพุทธไม่ใช้คำว่าเสมอภาค อาตมาแยกของเทวนิยมเขามี
1. อิสระเสรีภาพ 2. เสมอภาพ 3. ภราดรภาพ
แต่ของเรามี
ทางเทวนิยมทางตะวันตกไม่มีสันติภาพเขาจึงไม่สงบ
ในศาสนาก็ดี ในธรรมะก็ดีหรือในการเมืองเรื่องของมนุษยชาติ อันเดียวกันต้องมีร่วมกัน คานธีก็พูดชัดว่า ถ้าการเมืองไม่เอาธรรมะไปสถาปนาไว้ในการเมือง การเมืองก็ชิบหาย การเมืองก็จะเสียหายเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะฉะนั้นในการเมืองต้องเอาธรรมะไปสถาปนาไว้ในนั้น ต้องมีคู่การเมืองกับธรรมะแยกกันไม่ได้ การเมืองหากไม่มีธรรมะก็จะพังเละ
แล้วธรรมะจริงๆต้องฉลาดไม่โง่ ต้องรู้ว่าธรรมะคือการเมืองธรรมะคือประชาชน ธรรมะคือทำเพื่อประชาชน ธรรมะพยัญชนะแปลว่าทรงอยู่ ถ้าคุณอยู่อย่างไม่มีประโยชน์เพื่อประชาชนเช่นพวกมหาวีระพวกศาสนาเชน มักน้อยสันโดษไม่เบียดเบียนใคร ผ้าก็ไม่นุ่งกินวันละมื้อ แล้วก็หนีไม่เกี่ยวกับใครอยู่ป่าเขาถ้ำ อยู่ในส่วนตัว ใครจะเป็นอย่างไรไม่เกี่ยว จนกว่าตัวเองจะตายไป นั่นคือศาสนาสุดโต่งเป็นตัวเองมีอัตตาเต็มบ้อง ไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่รู้จักผู้อื่นเลยศาสนาพุทธไม่เอา
ศาสนาพุทธเอา 2 กับ 1
1 คือเรา 2 คือสังคม แล้วมีประโยชน์ต่อกันรู้ว่าเราจะสูญได้อย่างไรด้วย ศาสนาเชน 0 ไม่เป็น เพราะเขาไม่รู้ 1 มันตายตัวอยู่ที่หนึ่งมัน 0 ไม่เป็น ไม่มีอะไรเปรียบเทียบ เพราะความ 0 นั้นมันจะต้องมี 2
0 จากความหยาบความชั่ว 0 จากกิเลส แล้ว 1 ไม่มีตัวคู่มันก็จะมีแต่ชาติชรตา เสื่อมหายไปหมด หรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
จากพีชะก็มาเป็นอุตุ จากอุตุก็มาเป็นอุกกาบาต แล้วแต่พลังงานไหนจะเหวี่ยงไปให้เป็นอย่างไร อุกกาบาตไม่เป็นตัวของตัวเอง จนกว่าจะเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็มีพลังงานอยู่ในวงจรของพลวัตรของอะไรก็แล้วแต่ แล้ววงจรของ cyclic order
ถ้าคุณมีพลังงานเป็นประโยชน์ในวงนี้ cyclic order คุณมีพลังงานที่จะเป็นประโยชน์ได้ก็ได้พัฒนาขึ้น มวลในนี้ที่มีธาตุรู้ก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ ก็จะยอมรับด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ ให้เป็นผู้นำให้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ สูงสุดในโลกีย์ ยิ่งใหญ่ในโลกียะก็ได้ยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่รู้จักว่าสูงกว่านั้นแม้จะยิ่งใหญ่ก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ถ้าคุณยึดถือเป็นความยิ่งใหญ่ของตัวเองคุณก็จะเล็ก เดี๋ยวคุณก็ใหญ่เดี๋ยวคุณก็เล็กเดี๋ยวคุณก็ใหญ่ มันก็มี 2 ตลอดกาล จนกว่าคุณไม่ยึดถือใน 2 แม้แต่เขายกให้เป็นหนึ่งก็รู้ว่า ศูนย์ดีกว่า ก็แยกธาตุตัวเองออกได้ ผู้ที่แยกธาตุตัวเองออกได้ เราเป็นธาตุ 1 และ 0 ได้
จริงๆ 0 ไม่เป็นธาตุ 0 คือหมดความเป็นสิ่งที่จะรวมตัวกันได้แล้ว ก็จะแยกธาตุ แยกออกไปเป็นดินน้ำไฟลม ดินน้ำไฟลมกว่าจะรวมตัวกันมา เป็นสิ่งที่มันเป็นชีวะเป็นพืช กว่าจะมาเป็นจิตนิยามกว่าจะมาเป็นเวไนยสัตว์ ก็อีกเป็นล้านๆๆๆๆ ปี แล้ว มันก็ไม่มีตัวตนจริงแล้ว อัตตามาเป็นดินน้ำไฟลมแล้ว มันจะนานกว่าจะรวมตัวเป็นชีวะอีกกี่ล้านๆๆๆชาติ จนความเป็นตัวกูนั้นมันสลายหายไป ความเป็นอัตตา อัตภาพ อาตมันมันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ก็ใช้พยัญชนะอธิบายสัจธรรมให้ฟังกันได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าการศึกษามี 3 มีศีล สมาธิ ปัญญา มีผลคือวิมุต และวิมุตจริงก็ต้องรู้ว่ามีวิมุตติญาณทัสสนะตรวจสอบกัน
ญาณทัศนะคือความรู้ รู้ในวิมุติที่จบจริง เป็นของแท้ที่จบจริงสิ้นสุดแล้วนะ จบแล้วนะ ตัวที่จะปฏิบัติให้เกิดวิมุตก็คือศีล สมาธิ ปัญญา
ปฏิบัติไปทีละคู่เริ่มต้นตั้งแต่สัตว์ ที่จะเป็นวิบาก ส่วนของกับพืชนั้นไม่มีวิบาก ตัดวิบากก่อน ผู้ตัดวิบากไม่มีวิบากชั่วเกิดในตัวเราแล้ว ถ้าจะมีก็มีแต่วิบากดีเพื่อช่วยเหลือเราเกื้อกูลเรา คุณก็สะสมดีไป แต่ซ้อนเข้าไปในดี เราก็ไม่ยึดในดีเป็นเราเป็นของเรา แต่มันเป็นเรา ต้องมารับใช้เรา ต้องมาอยู่กับเราต้องเป็นเราอย่างแยกไม่ออก แต่จิตใจของเรารู้ว่าเราอย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา ใช้ภาษาได้แค่นี้ ที่จริงเป็นเราเป็นของเราแต่เราไม่ยึดเป็นเราเป็น ภาษามันจบแล้วเท่านี้ แต่สัจจะมันคือความจริง คุณจะรู้ว่าสัจจะความจริงมันเป็นจริงมันคืออะไร คุณก็ต้องพิสูจน์ของตัวเองตั้งแต่หยาบ
เช่น คุณเองได้อันนี้มา ฉันชอบเพชร ได้เพชรที่ชอบมา ลองไม่ต้องมีเพชร สู้เกลือก็ไม่ได้เกลือยังเอามาทำอาหารได้ แต่ว่าเพชรเอามาทำอาหารไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ได้ เลยไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากเอาไปตัดกระจก ไปตัดอย่างอื่นได้แข็งแรง นอกนั้นมันก็มีความใสที่สะท้อนแสง เพชรสะท้อนแสงได้มากเหลี่ยมมุมมากกว่าแก้วอื่นๆ
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปคิดมาก เชื่อไหมละว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีความตรัสรู้จริง แล้วเราก็มีตำราของพระพุทธเจ้าอยู่ และยังมีผู้ที่เป็นสัตบุรุษเรียนตามคำสอนพระพุทธเจ้ามา และเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาย้ำขยายความให้เราเข้าใจเพิ่มเติมขึ้น แล้วเราก็เอาความรู้ เราไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าแต่ได้พบกับสัตบุรุษ ความรู้นั้นสัตบุรุษก็ยืนยันว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการถ่ายทอดมา แล้วเราไปปฏิบัติจนมีผลจริง มีผลจริงเราก็รู้ได้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง ตัดสินได้เองว่า ก็จริง คุณเองเป็นผู้ตัดสินพิพากษาสุดท้ายแล้ว เช่น
ความไม่มีสุข อารมณ์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นกลางๆ อาตมาเคยยกตัวอย่างง่ายๆตื้นๆ ว่า ผู้ชาย เห็นลิปสติกก็เฉยๆ แต่ผู้หญิงเขาชอบอย่างโน้นอย่างนี้ คุณอ่านความรู้สึกในจิตของคุณว่าเป็นอารมณ์เฉยต่อลิปสติกนี้ได้ไหม แต่ถ้าคุณยังบอกว่ามันน่าเอามาทา คุณก็ยังมีเพศอิตถีอยู่ เพศหญิงอยู่ ถ้าเขาสมมุติว่าลิปสติกต้องเอามาทาปากได้มันจะงามตามสมมุติ
ก็เท่านั้นเอง แต่เดี๋ยวนี้ก็เยอะ ลิปสติกก็ไม่ใช่แค่สีแดง สีดำก็ทาก็ว่าสวย บ้า สีอะไรก็ทาสีขาวก็ทาสีเขียวสีม่วงเลอะไปหมด ก็แล้วแต่จะไปยึดถือกัน
อาตมาพยายามยกตัวอย่างว่ามันไม่มีหรอก ความจริงมันมีแต่สมมุติ เช่น แฟชั่น ปีนี้สีเหลืองขึ้น สวยที่สุดเลย เมื่อมาถึงปีนี้เข้า สีเหลืองสวย แต่ก่อนนี้สีแดงปีที่แล้วสีแดงสวย เขาก็บอกว่าปีนี้สีแดงไม่สวยแล้วเอาสีเหลืองสวย นี่คือความไม่เที่ยงถูกครอบงำทางความคิด แล้วคุณก็บ้าตามเขา แล้วไปถามสีเหลือง เรื่องนี้มันเก่งกว่าแดงหรือแดงเก่งกว่าเหลืองวะ มันก็ไม่รู้เรื่อง เอ็งสวยกว่าไหม เหลืองยอมให้แดงสวยกว่าไหม แดงยอมหรือเปล่าหรือเหลืองยอมให้แดงสวยกว่า มันไม่รู้เรื่องหรอกแต่คนสมมุติเอาเองบ้าไปยึดถือเอาเองว่ามันสวย ปีนี้สวยปีนี้ไม่สวย
ส้นสูงปีนี้ต้องแหลม บอกว่าสวยนะ มันก็แหลมมากขึ้น ต่อมาต้องส้นหนาส้นตึกจึงจะสวย ปีนี้ต้องยาวลากดินถึงสวย ปีนี้ต้องสั้น ยาวก็เชยตายชัก ก็ทำสั้นมาจนอุจาด โถ
แล้วก็สั้นอุจาดนี้อยู่นานกว่ายาวลากดิน เพราะสั้นอุจาดนี้ผสมกาม
หนึ่ง ลากดินมันยาวเปลืองของ แต่สั้นนี้ไม่เปลืองและแถมกามด้วย ก็จบ เห็นไหม
เพราะฉะนั้นชาวอโศกไม่ต้องลากดิน เอาพอดี ลากดินก็เปลืองของ ทำงานลำบากก็เอาพอดีๆ อย่าให้อุจาด
ชาวอโศกไม่มีใครมาแต่งตัวอุจาด ก็แต่งตัวพอดีพอดีสบายทำงานได้คล่องตัว ไม่ลำบากลำบนไม่อุจาดไม่โป๊น่าเกลียดก็สบาย นี่เป็นสัจจะที่มันเป็นจริง
สรุป อีกที เรื่องสัตว์นี้มันเป็นชีวะเพราะมันมีวิบากมีการแก้แค้นมีรักมีแค้น ปลดวิบากอันนี้เสียแล้วคุณก็จะมีคู่วิบากน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลากับคู่วิบาก รักก็ต้องแก้แค้นกัน ชังก็ต้องแก้แค้นกัน แก้แค้นคือบำเรอความดูดกับบำเรอความผลักเท่านั้นเอง เราไม่ต้องไปใช้ calory กับเรื่องนั้นนิทานนั้นจบ Story เลิกไปเถอะ
คุณก็ไปเป็นประโยชน์ต่อสิ่งอื่น สุดท้ายคนที่ไม่มีวิบากต่อสัตว์ทั้งหลายมากได้ วิบากของสัตว์อื่น ก็มีเวลาจะมาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารแจกจ่ายกัน คนจะมาเป็นนักกสิกรรมนี่แหละปลอดภัยที่สุดแล้วก็มีคุณค่าที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด อุตสาหกรรมก็มีประโยชน์ แต่ว่าอุตสาหกรรมนั้นยังไม่เป็นสิ่งยังชีพ เป็นเครื่องใช้เป็นอุปโภค แต่ว่ากสิกรรมเป็นเครื่องกิน เป็นการบริโภค เพราะฉะนั้นชีวิตนี้เครื่องใช้มีน้อย อย่างชาวเชน พระมหาวีระ มีแต่ของใช้ใส่อาหาร กับไม้ปัดสัตว์ไม่ให้เบียดเบียนสัตว์เล็กสัตว์น้อย แม้แต่มีดโกนก็ไม่ใช้เลยถอนเอา มันก็เกินไปมันน้อยไป มันทรมานไป แล้วมันไม่มีประโยชน์ ประโยชน์ต่อคนอื่น ไม่สมดุล
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราเป็นผู้ที่มีความสามารถทาง โลกจินตา คนอื่นมีความสามารถมากกว่าเรามีเยอะ เราก็เก่งเท่านี้ แม้แต่เก่งทางการสาธยาย พระกัจจายนะสาธยายได้ดีกว่าพระตถาคต อาตมาก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรคนที่จะขยายความได้ดีกว่าจะมาทุกวันนี้ก็มี คนที่ถนัดเก่งในทางนั้นทางนี้ เช่นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านประยุทธ์ ปยุตโตท่านเก่งในทางนี้ สมเด็จพระสังฆราชท่านประเสริฐทางนั้นก็ให้ท่าน
อาตมาก็ถนัดอย่างอาตมา ท่านไม่กล้าเท่าอาตมาหรอก อาตมากล้าอะไร กล้าว่าคนอื่น ท่านไม่กล้าเท่าอาตมาหรอก อาตมากล้าว่าคนอื่นก็เป็นวิบากนะ อาตมาสู้กับวิบากนะ กรรมเป็นอันทำ แต่อาตมาทำไมต้องทำ เพราะทุกวันนี้มันแข็งมันด้านเยอะ ต้องทำอย่างแรงไม่อย่างนั้นไม่เข้า สำนวนของพระพุทธเจ้าคือ เสกยาทิพย์เข้าขุมขนได้ แต่ทุกวันนี้ เสกให้ตายก็ไม่เข้าขุมขน ก็มันหนามันด้านไม่มีขุมขน ต้องเจาะต้องไชจึงจะเอายาเข้าไปได้
เรื่องจริงที่เป็นสัจจะ อาตมาถึงว่าไม่ดีไม่อยากทำนะ อยากจะทำเบา แต่ในลักษณะ วิการรูป 5 ถึงมีลหุตา เบา อาตมารู้ว่า จะทำให้เกิดประโยชน์ได้ต้องทำเอาขนาดนี้ เบาแรงๆ หากเบาเกินมันไม่เข้าไม่มีประโยชน์ อาตมาถึงว่า เบาแรงๆ แต่แรงกว่านี้ไม่ไหว อาตมารับไม่ได้แล้ว หยาบกว่านี้อาตมาทำได้แต่ไม่ทำหรอก ขนาดนี้ได้ผล ไม่ตะกละได้เท่านี้ก็เอาเท่านี้
ในเรื่องของชีวะจะมีภาวะตอบโต้กันใช้หนี้เวรหนี้กรรมตลอดเวลาในเรื่องของสัตว์ จึงต้องลดวิบากให้ได้ อย่าไปสร้างวิบากที่เสียเวลาดูดหรือเสียเวลาผลักทำร้ายกัน ไม่เอา มีภาวะที่เราต้องอิสระต่อภาวะดูดหรือผลัก ไม่ต้องดูดต้องผลักมีอิสระเต็มตัวเป็นกลาง ไม่มีใครมาดึงมาดูดเอาไว้ ไม่มีใครมาตั้งหน้าตั้งตาต้องคอยป้องกันคอยระมัดระวังอีกไม่ต้อง ไม่ต้องระวังคนอื่นมาทำร้าย เสียเวลาคนอื่นดึงเอาไว้เพื่อประโยชน์ของเขาก็ไม่ต้อง เราจึงมีแรงมาก เราจึงมีพลังงานที่จะช่วยคนอื่นได้มาก
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอธิบายเป็นเรื่องจริง
เรื่องของสัตว์ไม่ต้องทำวิบากกับสัตว์ใดๆ เรื่องของวิบากนั้นไม่จบง่ายๆพระพุทธเจ้าก็ยังต้องมีพระนางพิมพาต้องมีพระราหุล อาตมาจึงตั้งจิตว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องแต่งงาน จะไม่มีคู่ เมื่อไม่มีคู่มันก็ไม่มีลูก อาตมาจึงตั้งจิตให้เป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องมีคู่ไม่ต้องแต่งงาน แต่ชาตินี้ก็ยังมีตั้งสองสามคน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระพุทธเจ้าที่ไม่มีคู่มีไหม
มีคนถามว่า พระพุทธเจ้าที่ไม่มีคู่มีไหม
พ่อครูว่า..มี ไม่มี อาตมาก็จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกที่ไม่มีคู่ เรารู้ได้นะว่าไม่มีคู่คืออะไรเราก็ทำให้ได้สิ ไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้อีกกี่ชาติก็ต้องทำให้ได้สิ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกรรมอยู่ที่การกระทำคุณต้องสั่งสมบารมีให้ได้ อาตมาเจตนาอย่างนั้น ถ้าไม่ถึงอย่างนั้นอาตมาก็ยังไม่จบเป็นพุทธเจ้า อาตมาก็จะเป็นโพธิสัตว์อยู่นั่นแหละจนจะได้ขนาดนั้นจึงเป็นพระพุทธเจ้าวิบากไล่ไม่ทันวิบากไม่มีคู่ เป็นพระพุทธเจ้าจบไปแล้ว สลายเลิกกันแล้ว แม้คู่จะวิ่งตามมาเหมือนหมาไล่เนื้อก็ไม่มีทางไล่อาตมาทันเพราะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว เห็นความจบไหม ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็ต้องมาอยู่ดี หากจบแล้วก็ไม่ต้องมา
สรุปจบคำว่า ศีล แล้วมาเรียกกันเป็นคำว่าต่ำ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าจะชมเราต้องชมว่าเรามีศีล ยังเป็นเรื่องต่ำนัก พยัญชนะว่าต่ำ ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องต่ำ เป็นภาษาที่ต่ำกับสูง ไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆแล้วเป็นเบื้องต้น ภาษาบาลีใช้คำว่า โอรัมมัตตกํ นี่หมายความว่าเทียบในแนวดิ่งก็คือสูงกับต่ำ แต่เทียบระนาบแนวน อนก็คือ ต้น กลาง ปลาย แต่ให้ดูว่ามีขั้นที่เจริญขึ้นหรือก้าวหน้าไป เจริญขึ้นหรือก้าวหน้าไปก็อันเดียวกัน สัมโพธิปรายนะ
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้มีทั้งการเมืองและธรรมะทั้งสองส่วน เพราะมีนักการเมืองมาฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักการเมืองจะมาฟังธรรมในยุคสมัยนี้ ถ้าประเทศไทยมีนักการเมืองในสภามาฟังธรรมพ่อครู ถ้านิมนต์พ่อครูไปเทศน์ที่สภาผู้แทนราษฎรอาตมาว่าประเทศไทยต้องเจริญแน่ๆเลย แต่วันไหนไม่รู้ล่ะ มันอาจจะมีน่าจะมีนะ
พ่อครูว่า...พูดไปเหมือนว่าอยากไปเทศน์นะ ถ้าให้ไปเทศน์ก็ยังท้ออยู่เลยจะเทศน์ไหวหรือ?
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:29:26 )
รายละเอียด
611223_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สิริมหามายาเอาความแพ้ไปชนะผู้ชนะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1aD_Poj1XL7p3irOKFgZk7VEL6Aj3KKWIsOV3BwYZwFE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1KBdAA00R_9feFcBxIQhyX-jJR-ZAQ0Uh
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้ใกล้จะถึงงานเพื่อฟ้าดิน วันนี้หลังรายการเทศนา ใครจะไปลงทะเบียน ดูกลุ่มต่างๆที่จำเป็นการมาเข้าสอบ ว.บบบ.ก็ไปลงทะเบียนได้ที่โต๊ะหลังศาลานี้ ลงทะเบียนวันที่ 23-25 ธันวาคมนี้ วันสอบก็สอบปีหน้า
วันพรุ่งนี้นัดพบสมณะสิกขมาตุประจำกลุ่มเวลา 14:00 น
มีอีกข่าวหนึ่ง คือ วันจัดงานพุทธาภิเษกปี 2562 เลื่อนมาจัดที่ราชธานีอโศก วันที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2562 เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งส.ส. ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน สาธารณโภคีมิใช่แค่คิด
พ่อครูว่า…sms line
_ปุญญา ธัมมา...สาธารณะโภคีทางความคิด มีหรือไม่คะ แล้วชาวอโศกเป็นผู้มีสาธารณะโภคีทางความคิดหรือไม่คะ
พ่อครูว่า...ถามชาวอโศกก่อน มีไหม...มี ความหมายทางความคิดหมายความว่า มันมีได้แค่ความคิด มันยังปฏิบัติไม่ได้ หมายความว่าได้แต่คิดได้แต่เข้าใจ รู้ ทางเหตุผล ทางความหมายอะไรชัดเจน แต่มันยังทำไม่ได้ ทำได้มันก็ยังมีอีกนะ ทำได้เฉพาะบุคคล แต่ละบุคคลทำได้เป็นคนอย่างไร 2. หลายคน 10 50 100 พัน หมื่น หลายก็มีขนาดของมันอีก
มันเป็นจริงไหม เป็นจริง ชาวอโศก ไม่ใช่ได้แค่อาตมาคนเดียว แต่ได้หลายคน สมณะนักบวชสิกขมาตุได้หมด ได้แน่นอนด้วย ได้ถาวรด้วย ฆราวาสก็ได้ ไม่ได้จริง ทั้งผู้ชายผู้หญิงเด็กและผู้ใหญ่ รวมแล้วมีจำนวนปริมาณเท่าไหร่ 1 คุณสมบัติเนื้อแท้ที่เป็นคุณธรรม 2 ปริมาณ ต้องมีคุณสมบัติเนื้อแท้และปริมาณ Quality Quantity ทั้งปริมาณและคุณภาพได้ความควบแน่นที่พอสมควรมันจะเป็นปึกแผ่น อาตมาดูชาวอโศกแล้วมีสาธารณโภคีที่มีทั้ง Quality Quantity แน่นพอ คนตีไม่แตกหรอก ที่ตีไม่แตก มันไม่ได้เกาะกันแน่นด้วยรูปธรรมแต่เกาะแน่นด้วยนามธรรมที่เป็นภูมิปัญญารู้ชัดเจนรู้จริง มันช่วยกัน 2 ขา แน่นเกาะเกี่ยวกันแน่น ชัดเจน
เพราะมันเป็นความจริงที่ดี เป็นความจริงที่ประเสริฐที่วิเศษ ความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นมันจึงถาวรยั่งยืน เที่ยงแท้ ตลอดกาลไปอย่างไม่มีอะไรตีแตกแยกได้
สาธารณโภคีทางความคิดชาวอโศกก็มี แต่ในชาวอโศกไม่ใช่มีแค่ความคิด แต่มีความจริงเป็นไปได้ด้วยอย่างแท้จริง ขอยืนยันว่าอย่างแท้จริงเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน จะเข้าถึงโลกุตระได้อย่างไร
_เราโน่...ในมหาวิทยาลัยมี รัฐศาสตร์โลกุตระ ไหม
พ่อครูว่า...มี แต่ไม่มีโลกุตระ ความหมายทางโลกียะอย่างไรโลกุตระอย่างไร คุณ เราโน่ เป็นคนฟินแลนด์ถามมา อาตมาว่าไม่ง่ายหรอก ทางตะวันตกที่จะมาเข้าใจโลกุตระได้ง่ายๆ เริ่มมาศึกษาก็ดีแล้ว ในมหาวิทยาลัยของโลกไม่มี มีในชาวอโศกที่เป็นวิทยาลัย ไม่มีมหาวิทยาลัย แม้ว่า ทางโลกยังไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เราไม่เอาสากลเราไม่เอาข้างนอกเป็นเริ่มต้น เราเอาภายในเราเป็นตัวเริ่มต้น แล้วสากลจะมารับรองทีหลังก็แล้วแต่ อย่างไรเราก็ได้แล้ว แต่สากลรับรองอย่างไรก็ไม่ได้ มันเท่ากับเน่าใน มันเท่ากับการหลอก ปลอมเปลือก เราเข้าใจอย่างนี้นะ
เจาะลึกว่าโลกียะเป็นอย่างไร โลกุตระเป็นอย่างไร
อาตมาก็พยายามวิจัยให้เห็นว่า จุดแยกจากโลกียะมาเป็นโลกุตระจุดแยกอยู่ตรงไหน
จุดแยกคือ คุณต้องอ่านใจในใจของคุณเป็น คุณต้องดูอาการใจในใจของคุณให้ได้อย่างเป็นจริง คุณมีสัญญาธาตุกำหนดรู้ ทุกคนมีสัญญา สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญญากำหนดรู้ แต่มันกำหนดรู้โดยอัตโนมัติโดยสัญชาติญาณธรรมชาติ ยังไม่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา ที่กำหนดรู้แล้วควบคุมแยกแยะความรู้ เลือกเอาความรู้ที่ควรต้องทำ ควรต้องปฏิบัติแล้วมีอำนาจ เหนือที่จะเอาอะไรได้ ไม่เอาอะไรก็ได้ อย่างจริงจังเด็ดขาด Absolute นี่คือคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกว่าจิตสูงสุด เจโตวัสสิปัตโต แล้วก็สามารถที่ควบคุมจัดการกับจิตตัวเองให้เป็นไปตามต้องการ อย่างซื่อสัตย์ อยากมีภูมิปัญญารู้ว่าอะไรสมควรอะไรไม่สมควรได้ดี เราก็ทำแต่ดีทำแต่สิ่งที่ควร สิ่งที่ไม่ดีไม่ทำ เป็นความซื่อสัตย์จริงใจทำอย่างนั้นให้แก่โลก
โลกียะยังไม่สามารถอ่านจิตพวกนี้ได้แยกไม่ออก เทวะจึงแปลว่าสอง มีตั้งแต่ดีชั่ว ควรไม่ควรจนกระทั่งละเอียดถึงรูปธรรมนามธรรม มีตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ จิตของเราไปรู้ ดูวัตถุรู้ได้ง่าย แต่รู้จิตของตัวเองอีก ให้จิตใจตัวรู้ รู้จิตของตัวเอง จิตตัวรู้เป็นประธานใหญ่ ไปรู้จิตที่จะถูกรู้ จิตของตัวเองเป็นได้ทั้งตัวถูกรู้และตัวรู้เอง และตัวรู้นี่แหละเป็นตัวประธาน หรือจะยอมให้ตัวถูกรู้เป็นประธานก็ได้ มันเป็นสภาพนั้นจริงเราไม่ยอมก็ต้องรู้
คนที่ยอมให้ถูกรู้ ยอมเป็นผู้แพ้ ยอมเป็นผู้รับใช้ ยอมให้เขาหลอก แม้แต่ ยอมให้เขาเข้าใจว่าเป็นผู้ผิด จริงๆแล้วเรารู้ดีว่าเราผิดหรือเราไม่ผิด เราเองเราไม่ได้ผิด เราจะบังคับให้เขารู้ว่าเราถูกไม่ได้ เขามีภูมิรู้เท่านั้น และเขารู้ว่าสิ่งที่ผิดถูกนั้นมันเป็นการรู้ที่ยังกลับไปกลับมาอยู่ เขายังไปยึดถือเอาสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก เป็นอย่างนี้ เราก็รู้ว่าเขามีภูมิเท่านี้ ก็ต้องยอมเขา เขาจะเห็นสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกอยู่ เราจะไปบังคับเขาได้อย่างไร ก็ได้แต่อธิบายยืนยันได้แต่แนะนำพยายามที่จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจถูกต้องจริงๆเท่าที่เราจะสามารถ เมื่อหมดความสามารถของเราแล้วก็ต้องจบก็วาง ดึงดันไปมากกว่านั้นไม่ได้ เราก็รู้ที่จบ พระพุทธเจ้าจบที่ความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่งความเห็นของเราก็อย่างหนึ่ง
โลกุตระคือจิตเจตสิกที่รู้ละเอียดถึงขั้นเวทนา 108 แล้วก็แยกโลกุตระแยกโลกียะ อันหนึ่งเป็นแบบโลกีย์ที่ไม่ออกไปจากความรู้ในแวดวงเก่า ซึ่งความรู้ทางโลกีย์นั้นยังเป็นความนิรันดร ไม่มีทางที่จะลดลงมาไม่มีตัวตนลดลงจาก 2 มาเป็น1 โลกียะตี 2 ไม่แตกแล้วอยู่กับ 2 นี้ตลอดกาลเป็นเทว หรืออ่าน ดะเว แปลว่า 2 ถ้าอ่าน ดะเว เป็นสอง ถ้าอ่านเทวะไปทางมีตัวตนเป็นเทพเทวดา มีตัวตน ทวิ ทะเว แปลว่า 2 แต่เขายึด 2 เป็น 1 ตีไม่แตกแยกไม่ออก เขายึดอย่างนั้นแล้ว อันนี้เป็นเรื่อง ความไม่รู้เป็นอวิชชาของโลก มีการปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร พวกอวิชชาก็มีการสังขาร สังขารอย่างโลกียะ
ถ้าแยกออกก็รู้รูปนาม อยากรู้รูปนามต้องมีผัสสะ แล้วจะเกิดรูปนาม จากอายตนะ ผัสสะแล้วเกิดอายตนะมีเวทนา
เวทนาคือ ความรู้สึกอารมณ์ ก็เข้าไปเรียนรู้เวทนาที่แยกออกเป็น 108 ถ้าเข้าใจจุดสำคัญเวทนา 108 เข้าใจสภาวะครบ โดยเฉพาะแยกมโนปวิจาร 18 ที่แยกเป็นอย่างโลกีย์ทั่วไป เป็นโลกุตระที่มีความรู้ลึกซึ้งในโลกีย์แล้วแยกโลกีย์ออก ไม่เป็นไปอย่างโลกีย์ โลกีย์จะมีอยู่อย่างนิรันดร โลกุตระไม่อยู่นิรันดร โลกีย์ ยังมีสุขมีทุกข์ โลกุตระไม่แล้ว สุขทุกข์ก็หลอก แล้วก็เป็นสอง นอกจากจิตใจของคุณเองไปยึดถือเป็นทุกข์เป็นสุข ผู้ที่เข้าใจแล้วไม่ไปหลงใหลได้ปลื้ม สุขก็ไม่ดีใจทุกข์ก็ไม่ดีใจ หรือไปกดข่มเอาว่า สุขกับทุกข์ไม่มี แบบนี้ก็เป็นนิรันดรเหมือนกันจมไปนิรันดร เราต้องแยกทุกข์สุขเป็น เราสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ แต่ทุกข์เราไม่เอา มันไม่ประกอบด้วยความดีงาม เราก็เอาสุข แต่ไม่ยึดในความสุข เราไม่ยึดถือทั้งสุขทั้งทุกข์ ก็หมดพลังงานหมดตัวตนเมื่อตายหรือจบ พลังงานที่ไม่ยึดก็สลาย ความเป็นตัวตนก็หายไปเลยทุกๆอย่างมันก็ไม่เหลือความยึดถือ ไม่มีสังขารไม่มีความเป็นตัวตนแล้ว
สรุปอีกที ที่เราโน่ถามมา โลกุตระเป็นอย่างไร เอาแต่ถามให้ตายก็ไม่สามารถรู้ได้ต้องมาปฏิบัติจึงจะรู้ได้ ต้องมีธาตุรู้ที่ชื่อว่าปัญญาเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ปัญญาต้องรู้ด้วยตนเอง คนอื่นรู้แทนไม่ได้อธิบายแทนกันไม่ได้ ตนเองต้องรู้เองต้องอาศัยการอธิบาย จนปฏิบัติแล้วฉันรู้แล้ว เธอไม่ต้องอธิบายหรอกฉันอธิบายได้ ถ้ายังถามอยู่อย่างนี้ไม่มีวันสำเร็จ จนกระทั่งต้องรู้จนไม่ต้องถามใคร มีแต่อธิบายให้คนอื่นฟัง อย่างนี้คือปัญญา เพราะว่าปัญญารู้จนไม่ต้องถามใครมีแต่จะอธิบายให้คนอื่นต่อ แล้วซักไม่จนด้วย ปัญญา ปัญญานี้ซักอย่างไรก็ไม่จนด้วย จะรู้มากกว่าเขาอธิบายให้เขาได้ ปัญญาจะต้องเหนืออยู่อย่างนั้น
_ฝากเรียนถามว่า คนแก่อายุใกล้ 80 ปี มีวิบากเจ็บป่วยยืดเยื้อกำลังวังชาถดถอย งานส่วนกลางทำได้ตามกำลัง จะพึ่งแก่เจ็บตายที่แผ่นดินพุทธนี้ได้ไหม (พ่อครูว่า ได้อย่ามาซ่อนแฝงแอบ ก็เป็นหนี้บาปของตัวเอง คุณอยากได้หนี้บาปสะสมไป ถ้าไม่อยากได้ก็เลือกเอา ที่นี่ไม่มีปัญหา) คุณยายมาเป็นชาวบ้านราชฯตั้งแต่รุ่นบุกเบิก 20 กว่าปี ฝากพ่อครูคลายความไม่มั่นใจในเรื่องนี้ได้
พ่อครูว่า..มั่นใจได้เลย ถ้ามานี้แสดงว่ามีสำนึก ยิ่งมีสำนึกยิ่งดีเลย ไม่ต้องเกรงใจทำให้สบายใจไปเถอะ ถึงอย่างไรก็ตาม คนที่มีคุณค่าในตัวเอง ความเกรงใจผู้อื่นก็จะมี คนไม่เกรงใจคนอื่นนั้นไม่มีคุณความดีไม่มีคุณค่า ของมนุษย์ มนุษย์ที่เกรงใจผู้อื่นจะมีคุณค่า ที่ถามมานี้มี ยังเกรงใจหมู่กลุ่ม
_กระบวนการของ ธรรมะ 2 คือสุดยอดของสิริมหามายาใช่หรือไม่
พ่อครูว่า..ใช่แล้ว จึงต้องศึกษาดีๆ กว่าจะเข้าใจคำว่าสิริมหามายาได้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
_กราบพ่อครูขยายความความเป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน อย่างพอสังเขป
พ่อครูว่า...จิตคือชื่อของพลังงานเป็นก้อนเป็นตัวเป็นรูป แต่แยกความเป็นจิตเป็นพลังงานย่อยได้อีก อย่างน้อยก็มีผู้ที่แยกไว้ 52 เจตสิก คืออาการจิตต่างๆ เช่น วิญญาณ วิญญาณหรือจิตอันเดียวกัน แยกเป็นเจตสิก 52
จากแยก เวทนา สัญญา สังขาร เจตสิก 3 นี้แยกเป็น 5 5 18 36 เป็นต้น
_การเทศน์ของพ่อครู สร้างความร่าเริงเบิกบานอย่างยิ่งค่ะ จากสำนวนขำๆ ตัวอย่างเช่นเหนื่อยไม่ได้เบื่อไม่ลงหอบแฮกๆ (พ่อครูว่า...สำนวนขี้ขำของอ.ธีรยุทธ บุญมี)
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน อจินไตยกับประชาธิปไตยของเมืองไทย
ขอต่อการเมือง เรียบเรียงพูดไว้บันทึกมาให้
อจินไตยกับประชาธิปไตยของเมืองไทย
อาตมากำลังพูดถึง การเมืองขาเดียวที่บอกว่ามีประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง เขามาลงคะแนนก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย จริงไม่เถียง เป็นกรรมวิธีที่ตื้นๆ มันมีการหาเสียง มีการหลอกโฆษณาอะไรมากมาย ที่ใช้กัน ตัวอย่างประชาธิปไตยขาเดียวที่โลกียะเต็มที่ก็คือ อเมริกา
ถ้าคุณไม่มีทุนรอนมาสนับสนุนเป็นหมื่นล้าน ไม่มีทางได้เป็นประธานาธิบดี(ทรัมป์ใช้เงินหาเสียง 175 บาท ต่อ 1 เสียง) ทางอเมริกาจะเป็นอย่างนี้ ตัวอย่างของโดนัลด์ทรัมป์ จะทำให้คนอเมริกาชัดเจนและซาบซึ้งมากขึ้น มันมีภาวะซับซ้อนมาก
ประชาธิปไตย 2 ขาจึงสมบูรณ์ ประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่ประชาชนเลือกตั้ง ไม่มีกษัตริย์ที่สืบทอดสันตติวงศ์ มีกฎมณเฑียรบาล มีการฝึกฝนต่อเชื้อสันตติวงค์ ที่มีมาแต่โบราณ จนถึงบัดนี้ก็ยังมีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ในหมู่ชน ซึ่งยังเป็นรากเหง้าอันเดิม และก็มีพัฒนารากเหง้านี้มาอย่างต่อเนื่อง
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข แต่ถ้าเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีทศพิธราชธรรมก็ไม่ค่อยดี จึงต้องเป็นกษัตริย์มีทศพิธราชธรรมจริง ยิ่งมีทศพิธราชธรรมสูงส่งเท่าไหร่ยิ่งเป็นสุดยอดประชาธิปไตยเท่านั้น ดังที่ประเทศไทยมีตัวอย่างมาแล้ว และจะเป็นตัวอย่างแก่โลกเขาต่อไป คือประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข เป็นตัวอย่างประชาธิปไตยสองขาอย่างสมบูรณ์แบบ คือมีทั้งกายและใจ มีทั้งรูปและนามไม่ขาดตกบกพร่องของความเป็นชีวะในโลก
ประชาธิปไตยขาเดียวเป็นประชาธิปไตยที่พิการ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวก็จะเอาแต่การเลือกตั้งเป็นหลักใหญ่เท่านั้น จึงเป็นประชาธิปไตยที่ผิว ๆเผิน ๆ
ส่วน ประชาธิปไตยที่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าเลือกตั้งไม่มีประโยชน์ แต่เป็นประชาธิปไตยที่แก่นที่เนื้อ เพราะเป็นเครื่องชี้บ่งอันหนึ่ง ที่เราก็ไม่ได้ละทิ้ง
พ่อครูว่า...ตอนนี้ candidate การเลือกตั้ง ก็มีนายกตู่ แต่คนอื่นยังไม่เห็น คนที่เป็นได้ก็อยู่ต่างประเทศ มาไม่ได้
อาตมาไม่ได้บริหารประเทศแต่ว่าบริหารคนกลุ่มน้อย พูดไปแล้วคนอาจจะเชื่อยากแต่มันเป็นจริงต้องอาศัยเวลา ว่าการพูดไปแล้วทำให้ได้อย่างที่พูดหรือไม่ ก็ยังหวังอยู่ว่าจะมีความก้าวหน้า จะมีความเจริญเพราะตราบใดที่เราต้องการความเจริญของความเป็นประชาธิปไตยที่เราเข้าใจ เข้าใจถูกต้องเข้าใจสาระถูกเท่าไหร่ก็เท่านั้น อาตมาก็เชื่อมั่นว่าชาวอโศกเข้าใจประชาธิปไตยถูกต้อง และเต็มใจ เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยถูกต้องกว่ากลุ่มใดๆในโลก ขอยืนยันให้มันเสียงดัง แต่มันเสียงเท่านี้
แต่พฤติกรรมเนื้อแท้ของผู้บริหาร นั่นต่างหากคือเนื้อแท้ เนื้อสัจจะของประชาธิปไตย!
(ซึ่งสอดคล้องกับนักวิชาการอย่าง อ.พิทยา ว่องกุล ฟันธงไว้ว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้นต้องได้ผู้นำที่มีพฤติกรรมที่มีความเป็นธรรมเท่านั้น "ในทางวิชาการแล้ว ประชาธิปไตยรูปแบบที่สมบูรณ์ยังไม่เกิดขึ้น ตราบเท่าที่ผู้ปกครองไม่มีสำนึกการปกครองโดยธรรม เพื่อความเป็นธรรม และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหารัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากอดีตมาถึงปัจจุบัน ล้วนเกิดขึ้นจากผู้นำ หรือผู้ปกครองไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น
มนุษยชาติจะก้าวไปสู่การสร้างสรรค์วิชาการรัฐศาสตร์อย่างแท้จริง จึงมีทางเดียวเท่านั้น ได้แก่ การสร้างสำนึกความเป็นธรรมขึ้นอย่างแพร่หลาย วิธีการได้มาซึ่งผู้ปกครองที่ใจเป็นธรรม ทำประโยชน์อย่างเสียสละเพื่อสังคมส่วนใหญ่อย่างแท้จริง เมื่อถึงจุดนี้ รัฐธรรมนูญ จะเขียนไว้อย่างไรก็ไม่มีความหมาย? ” )
อธิบายไม่รู้กี่ทีว่า ประชาธิปไตยของประเทศไทยขณะนี้เกิดจากประชาชนปฏิวัติไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ปฏิวัติ พูดมาหลายเที่ยวเหลือเกินแล้ว
ยังมีหลักฐานว่าประชาชนรวมตัวปฏิวัติอย่างสวยงามที่สุด คือ ปฏิวัติด้วยความสงบ สวยงามเรียบร้อยที่สุดแล้วมีโทรทัศน์ถ่ายทอดออกไปด้วย ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ peace แปลว่า สงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม
ไม่ได้พูดเอาดีเข้าตัว อาตมายืนอยู่ในการปฏิวัติ 5 รัฐบาล อาตมาอยู่กลางถนนกับเขาด้วย อาตมาไม่ได้ออกแรงคนเดียวด้วย ประชาชนร่วมกันออกแรงช่วยกัน ไปร่วมกันปฏิวัติ ใครมาจากปฏิวัติบ้างยกมือขึ้น ..ก็ไม่น้อยนะ ผู้ที่ยังไม่เข้ามาเข้ามาจะได้ร่วมออกไปปฏิวัติอีก มารวมตัวเตรียมตัวไว้เผื่อจะออกไปปฏิวัติ แต่ถ้าไม่ได้ออกไปก็ไม่มีปัญหาอะไรดีซะอีก ที่นี่มีที่ทำกินทำอยู่มาเลย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญก็สอนให้ลดละ
เราปฏิวัติได้สำเร็จยืนยันว่าเป็นการปฏิวัติของประชาชนที่สวยงามที่สุดในโลก เป็น Phenomenology ไม่ใช่แค่ Philosophy หรือ Epistemology คือญาณวิทยา
Phenomenology มันมีปรากฏการณ์ที่มีตัวบุคคลจริงเป็นสังคมมีพฤติกรรมจริงเกิดผลจริง มันเกินกว่าปรัชญา Philosophy หรือว่าญาณวิทยา Epistemology แต่แบบ Phenomenology คือปรากฏการณ์วิทยา มันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน เป็นจริงไม่ใช่แค่ญานวิทยา แต่เป็นปรากฏการณ์วิทยา มีแต่ว่า ปรากฏการณ์นี้จะมีทั้งคุณภาพและปริมาณที่มากขึ้น และอาตมาเชื่อว่าแนวโน้มของ ประชาธิปไตยของโลกกำลังจะมา
อ.พิทยา ว่องกุล ยังไม่เชื่อยังไม่เห็นว่าความจริงมันเกิดขึ้นแล้ว อาจารย์พิทยา ก็ยังอยู่แค่ Philosophy ยังไม่เข้าถึงขั้น Epistemology ด้วยซ้ำไป แสดงว่า อ.พิทยา ภาษาพูดยังบอกเลยว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้นต้องได้ผู้นำที่มีพฤติกรรมที่มีความเป็นธรรมเท่านั้น "ในทางวิชาการแล้ว ประชาธิปไตยรูปแบบที่สมบูรณ์ยังไม่เกิดขึ้น ตราบเท่าที่ผู้ปกครองไม่มีสำนึกการปกครองโดยธรรม เพื่อความเป็นธรรม และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหารัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากอดีตมาถึงปัจจุบัน ล้วนเกิดขึ้นจากผู้นำ หรือผู้ปกครองไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น
พูดไปอยากให้อาจารย์พิทยาได้ยินบ้าง เคยมางานปลุกเสกฯ มาไม่กี่ทีก็กลับไป ได้แต่นั่งเก็บรายละเอียด ข้อสำคัญตัวเองไม่ลงมือปฏิบัติเอาตัวเองเข้ามาสำรอกกิเลส กิเลสมันมีอยู่กับไม่มีอยู่เป็นอย่างไร แต่ถ้าคุณเลิกได้ด้วยกิเลสไม่มีด้วย คุณจึงจะเป็นตัวจริง จะได้รู้ตัวจริงว่าเป็นแล้ว เราก็รู้ตัวจริง แต่นี่ยังไม่รู้ตัวจริงสักทีเพราะตัวจริงคุณยังไม่เป็นตัวจริงสักที มาเป็นตัวจริงสักทีสิ กิเลสตัวนี้คุณจะมีอยู่ แล้วคุณก็จะพยายามเข้าใจว่าไม่มีเป็นอย่างไร ก็ถ้าคุณไม่มีให้จริง คุณไม่มีจริงๆแล้วจะรู้ว่าอ๋อ มีเองเป็นเองเช่นนี้เอง ตถตา ไม่ต้องอาศัยใครบอกแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องมาบอกเรา เพราะเราเป็นแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ต้องบอกเราเป็นแล้ว แต่มันตรงกับของพระพุทธเจ้า
อาตมาว่า อันนี้คือประชาชนปฏิวัติไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ปฏิวัติ เขาก็ยังไม่เข้าใจ เอาทั้งความสงบความจริงความไม่มีอาวุธความไม่รุนแรง เอาความดีงามความฉลาดความเป็นผู้รับใช้ไปปฏิวัติ เอาความเป็นผู้แพ้ไปปฏิวัติเลยชนะ เอาความเป็นผู้ยอมไปปฏิวัติ เลยชนะ เพราะฉะนั้นคุณจะเอาชนะอยู่นี่ไม่มีวันชนะ
นี่คือความเป็นสิริมหามายา เอาความแพ้ไปชนะผู้ชนะ พยัญชนะแพ้กับชนะเป็นความหมายตายตัวแล้วดันบอกว่าเอาความแพ้ไปชนะผู้ชนะ จริง นั่นแหละ เป็นสิริมหามายา
ต้องมีมุทุภูติ เรียกว่ามุทุภูตธาตุ ไม่ใช่มุทุจิตธาตุ เพราะว่า คำว่า ภูตะ นี้ละเอียดกับคำว่าจิต ตัว ภ เป็นตัวที่เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆได้
ตอนนั้น ทาง ปชป. กำนันสุเทพรวมตัวที่สามเสน กำนันมีเสียงดี คนมารวมกันเยอะ ปิดกรุงเทพฯเลยได้ นักรัฐศาสตร์ศึกษาให้ดี
ประชาชนปฏิวัติโดยไม่ใช่อำนาจปากปืน ใช้ความสงบความจริง กับความเกื้อกูลหวังดีเป็นเครื่องมือ จะเรียกว่าอาวุธเป็นศาสตรา เป็นความจริงความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก จึงได้รับความชนะอย่างสุดยอดประเสริฐ เพราะรัฐบาลออกไปถึง 5 รัฐบาล ไม่ใช่น้อยนะ ประชาชนปฏิวัติรัฐบาลออกไปถึง 5 รัฐบาลไม่ใช่น้อยนะ เมื่อชนะถึง 5 รัฐบาลแล้ว ก็มีผู้รับช่วงบริหารไปเลย คุณประยุทธ์ที่เป็นชื่อนักรบก็รับหน้าที่ต่อ เป็นอจินไตยที่อาตมารู้ชัดแต่ไม่เก่งขยายความไม่ได้ พูดได้แต่ว่าสังคมยังไม่ราบรื่น จึงต้องมีประยุทธ์ ทั้งทางธรรมและทางโลก
เมื่อผ่านการรบทั้งสองอย่างนี้ไปแล้วจะเป็นไปได้ การรบหยุดเหลือแต่ความรัก ไม่ใช่ความรักมิติที่ต่ำ แต่เป็นความรักมิติที่ 7 ขึ้นไป เป็นความรักมิติที่ 7 ขึ้นไปเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อความรู้ทางพุทธ มิติที่ 8 เป็นความรู้ทางศาสนาทางธรรมะ มิติที่ 9 จบสุดยอด เป็นอุภโตภาควิมุติเลย
นักรัฐศาสตร์ควรจะได้บันทึกว่าเป็นการปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อยเอาความรู้ความจริงความสงบเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติไม่ได้เอาระเบิดเอาปืนมาปฏิวัติ คนที่แฝงมาบ้างก็เป็นวิบากของเขา
ในความจริงที่เราปฏิวัติ เรามีทฤษฎีสำเร็จอยู่ก็คือ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ นี่คือ อาวุธ ที่ดี ไม่ใช่อาวุธร้าย เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเลยจะยาวเท่าไหร่แล้วก็ทำได้โดยไม่ต้องกังวล เย็น ไม่ต้องวู่วามไม่ต้องร้อน แล้วก็มีแต่ไขความจริงออกมา คนก็จำนนด้วยความจริง ยิ่งเอาความจริงมาเปิดเผยยืนยันให้ชัดเจนเท่าไหร่ ความจริงที่คุณเถียงไม่ได้ ที่คุณจะต้องจำนน ก็จบ จนคุณแยกได้ออก ชั่วอยู่ที่คุณผิดอยู่ที่คุณ ดีอยู่ที่เราก็จบชนะเด็ดขาด พวกนั้นเขาพ่ายแพ้ต่อความจริง
อจินไตย ลึกๆที่คนรู้ได้ยากว่า ทำไมประชาธิปไตยเมืองไทยต้องเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์รับช่วงอำนาจจากประชาชน อาตมาอธิบายแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจ ภาพประชาธิปไตยของเมืองไทยตอนนี้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติ ปฏิวัติไปไม่รู้กี่รัฐบาล ตั้งแต่ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ที่จริงมีอภิสิทธิ์คั่นอยู่หน่อยด้วย จนกระทั่งพลเอกประยุทธ์เข้ามาบริหารรับช่วงไปจากประชาชน นักรัฐศาสตร์ควรจะได้บันทึกกันเอาไว้ ประชาชนปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อย เอาความจริงเข้ามายืนยัน พยายามเปิดเผยความจริงกันขึ้นมา จะใช้เวลายืนยาวเท่าไหร่ก็ไม่ว่า “ยาวให้เป็น-เย็นเรื่อยไป-ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ” พวกนั้นเขาพ่ายแพ้ต่อความจริง!
รัฐบาล 5 รัฐบาลนั้นแพ้ความจริง ไม่ได้แพ้ด้วยอำนาจของอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เขาแพ้ด้วยสัจจะความจริง มันสวยงามที่สุด ประชาชนไม่ใช้อาวุธ ไม่ได้ทำรุนแรงเลวร้าย มีแต่พวกกเฬวราก แทรกซ้อนเข้ามาทำลายทำร้ายประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อรัฐบาลทรราชหมดสภาพ (Fail state) ไม่มีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไปแล้ว พลเอกประยุทธ์อยู่ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของชาติ จึงต้องเข้ามาแก้ปัญหา แล้วประชาชนก็ยินยอมพร้อมใจให้พลเอกประยุทธ์บริหาร บริหารไป 3-4 ปีเข้าตาประชาชนมาก แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้าตาประชาชน แต่ก็มีพวกที่ดิ้นรนจะแย่งอำนาจอยู่บ้าง เขาก็พยายามใช้การ propaganda(โฆษณา) มี fake news มาบ้าง บางคนเลยเป๋ แต่แท้จริงคนก็ยังยอมรับส่วนมาก
อาตมาเป็นกองหนุนไม่ใช่กองหน้า ยกให้หลวงปู่พุทธอิสระ กองหน้ารบไป อาตมาไม่ได้พารบกับทางโน้นมากหรอก อาตมาพารบกับกิเลสมากกว่า สังคมไม่ได้ขาดการรบ
อจินไตยของอาตมาคือ ในชีวิตนี้ชีวิตของคนที่ถูกกำหนดให้เกิดมาต้องรบ คือรบกับกิเลส ฉันเดียวกัน สังคมก็ต้องมีการรบ ผู้นำการรบทางธรรมในประเทศไทยคือท่านประยุทธ์ ปยุตโต ผู้ที่นำการรบทางสังคมประเทศ คือพลเอกประยุทธ์ ทำไมต้องชื่อประยุทธ์ 2 ประยุทธ์ เป็นอจินไตยที่อาตมารู้ดีว่าจะต้องนำพากันไป 1. บทบาททางธรรม 2. บทบาทการบริหารประชาชนเป็นนายกฯของประเทศ อจินไตยเหล่านี้อาตมาขยายความได้เท่านี้ให้ฟังก่อน
ความเป็นจริงโดยพฤติกรรมของมนุษย์ ที่แสดงออกมาจริง ก็เป็นสัจจะที่เป็นได้ หากเทียบเคียงระหว่างทักษิณที่เป็นกระแสสังคมกับพลเอกประยุทธ์ขณะนี้ที่ชัดเจนเป็นตัวเปรียบเทียบ ทักษิณเป็นตัวแทนเผด็จการอยู่ในคราบความหลอกว่าเป็นประชาธิปไตย ส่วนพลเอกประยุทธ์นั้น เป็นผู้แทนของประชาธิปไตยที่อยู่ในคราบของคนมองว่าเป็นเผด็จการรัฐประหารมา
คนที่ภูมิไม่ถึงก็จะเสร็จพวกที่หลอกนะ ส่วนคนที่ภูมิถึงจะไม่ได้ถูกหลอกไม่สับสนจับมั่นคั้นตาย ไม่งง อยู่ในสภาพที่จับเอาความจริงอยู่ได้เสมอนี่คือสัจจะที่ยิ่งใหญ่
เนื้อหาของประชาธิปไตยที่แท้ ที่อาตมาเน้นถึงเนื้อหาสัจจะสาระที่แท้
1.อิสระเสรีภาพ หมายถึงตัวผู้บริหารก็ต้องอิสระเสรีภาพประชาชนก็ต้องให้อิสระเสรีภาพเขาเต็มที่
2.ไม่มีความเห็นแก่ตัวไม่มีตัวตนไร้อัตตา ทำเพื่อประชาชนอย่างจริงจังทำเพื่อผู้อื่นอย่างจริงจัง
3.มีจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยปัญญา ปัญญาไม่ใช่เฉโก ปัญญาคือความฉลาดที่ซื่อสัตย์จริงใจไม่มีตัวตนไม่ได้เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่วงแคบ เห็นแก่วงกว้างได้ นี่คือปัญญาที่เฉลียวฉลาดระดับโลกุตระ ก็จะต้องศึกษาฝึกฝนทำจิตให้ตัวเองเป็นโลกุตระจริง เมืองไทยเป็นเมืองที่มีโลกุตระแท้ๆ
โลกุตระนี้โลกจะเอาไปศึกษาต่อ แล้ว เขาจะค่อยๆเข้าใจความเป็นโลกุตระที่เหนือจากโลกียะที่ต้องวนเวียนกับลาภยศสรรเสริญสุข ส่วน โลกุตระนั้นหลุดพ้นจากอำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไปตามลำดับๆ หยาบ กลาง ละเอียด จนหมดสิ้นไม่เป็นทาสโลกียธรรม
พลังงานโลกุตระเป็น nuclear fission ที่ตรงไม่มีองศาโค้งเลย ออกนอกบ้านเอกภพไปเลย ทะลุเอกภพไปเลย ยิ่งกว่าพลังนิวเคลียร์ที่ออกนอกโลกไป ที่ยิงจรวดออกนอกโลก ยิ่งกว่าเลย มันไปสู่บรรยากาศทะลุบรรยากาศโลก จนกระทั่งหายไปหมด หายไปจนกระทั่งหมดพลังงาน เพราะฉะนั้นก็จบไปแล้วคำพูดที่จะพูดกัน
เพราะลึก ๆ แล้ว คนไทยเข้าใจในเนื้อหาของความเป็นโลกุตระ ประเทศไทยจึงดีขึ้นได้ทุกๆด้าน แม้แต่ด้านประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยดีขึ้นจนกระทั่งต่างประเทศ รับรองความเป็นประชาธิปไตยของนายกฯตู่ ไม่ว่าประเทศมหาอำนาจที่ใหญ่ยิ่งของโลก ไม่มีใครปฏิเสธ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนในโลกเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยอยู่ โดยนัยลึก ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องแค่เลือกตั้งจึงเป็นเรื่องขี้ผง
แม้แต่เรื่องพุทธศาสนาเขาก็ยอมรับให้เมืองไทยเป็นแหล่งกลางของพุทธศาสนาแห่งโลก ประชาธิปไตยของศาสนาพุทธจึงเป็นประชาธิปไตยแก่นแท้ เป็นเรื่องทั้งข้างนอกทั้งข้างในทั้งตัวตนบุคคลจิตวิญญาณเป็นจริง นายกฯตู่ขณะนี้เป็นตัวจริงยังไม่มีใครเป็นแคนดิเดตที่จะมาเป็นนายกฯ รอดูวันที่ 24 กุมภาพันธ์เถอะ จะรู้แดงรู้เหลือง
เลือกตั้งครั้งนี้จะแสดงปรากฏการณ์ สมมตินะ คะแนนเสียงเลือกตั้งพรรคที่ได้คะแนนมากที่สุดเลือกพลเอกประยุทธ์ พรรคที่มีคือมีเหลืองกับแดง ต่างก็แตกแบงค์ย่อยกันทั้งคู่ คนละนัยยะ แต่รวมยอดแล้ว มันก็เป็นสองเท่านั้น final แล้ว
เรื่องเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวจะออกผลมาอย่างไรก็ไม่มีปัญหา หากออกผลมาที่คะแนนรวมส่งเสริมพลเอกประยุทธ์มากกว่าส่งเสริมทางทักษิณ อาตมาว่า ประชาธิปไตยของไทยจะเดินหน้าแล้ว แต่เผื่อว่า ได้คะแนนทางทักษิณมากกว่า อาตมาว่า มะเร็งจะขึ้นคอ ไม่ใช่แค่หืดขึ้นคอ ถ้าคะแนนแดงมากกว่าเหลือง สมมุติว่าถ้าหากทักษิณมาปฏิวัติคุณจะยอมให้ทักษิณมาเป็นใหญ่บริหารไหม เพราะฉะนั้นเราก็ต้องออกไปอยู่ดีมันก็ต้องเกิดสงครามแน่นอน แน่นอนเราจะยอมตายในสงครามใช่ไหม ยอมตายในสงคราม เพราะฉะนั้นสู้ตายแน่ นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเล่น ใครไม่ออกอาตมาออก ใครจะออกไปด้วยยกมือ
ทีนี้เข้ามาสู่สภาพของการเมือง พฤติกรรมการเมืองของประเทศไทยทุกวันนี้ คนไทยได้ช่วยกันพยายามผลักดันให้ประชาธิปไตยเจริญขึ้น ด้วยพลังงานรวมของคนไทยทั้งประเทศ รวมกันสานและถักทอให้เป็นประชาธิปไตยที่ดีงามขึ้นเท่าที่จะสามารถทำขึ้นมากันได้ด้วยความพยายามขนาดหนึ่ง อย่างน้อยชาวอโศกเป็นทั้งใจและพฤติกรรมเท่าที่จะเป็นได้ ตามกรอบความเป็นสิทธิ ที่จะแสดงออกอย่างเต็มที่ไม่ได้ออมมือ
ขณะนี้ประเทศต่าง ๆ ในโลกกำลังตามพิสูจน์ ความเป็นประชาธิปไตยคืออะไร? ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือจีน เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเขาเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ลึก ๆ แล้วเขากำลังเป็นลัทธิแก้ ไม่ว่ารัสเซียหรือจีนก็เป็นลัทธิแก้ทั้งนั้น แก้เพื่อไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยด้วยเนื้อหา แต่ภาษาเขาไม่อยากเปลี่ยน เขาก็ว่าเขาไม่เป็นประชาธิปไตยเป็นสังคมนิยมก็แล้วแต่จะว่ากันไปเอาภาษาว่าไป แต่เนื้อแท้นั้นเข้าไปสู่ความแป็นไปเพื่อประชาชน อย่างที่ลินคอล์นว่า “โดยประชาชน-เพื่อประชาชน-ของประชาชน” แต่อันนี้จะใช้ได้กับคนที่บริสุทธิ์ลดกิเลสได้ จึงทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ แต่ถ้าไม่ลดกิเลสก็จะทำเพื่อกิเลส จะทำเพื่อตัวเอง จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ต้องคนลดกิเลสได้จริงๆๆ จึงไม่เอา ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นก็เน้นเพื่อประชาชน เช่นกัน คือ
ประชาชนชาวอโศกมี communal คือมีสาธารณโภคี เสียภาษาให้ส่วนกลาง 100% ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ทั้งสองอย่างมีวิธีการบังคับประชาชนเสียภาษีต่างกัน แต่ของสาธารณโภคีนี้ไม่บังคับเลย ใครทำยังไม่ได้ก็ยังอยู่นอกเขตเทศบาลสาธารณโภคี
“พหุชนหิตายะ” คือเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนหมู่มาก -“พหุชนสุขายะ” คือเพื่อความสุขของมวลประชาชน – และเพื่อ “โลกานุกัมปายะ” การรับใช้โลก อนุเคราะห์โลก
ผู้ที่เห็นแก่ประชาชน ทำประโยชน์แก่ประชาชน รับใช้มวลประชาชนอยู่ นี่คือความเป็นพฤติกรรมของประชาธิปไตย ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ซึ่งประเทศไทยโชคดีที่มีพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 9 ท่านทรงปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่างของ การ “ขยันรับใช้(โลกานุกัมปายะ) – มีแต่ให้(พหุชนสุขายะ)- ไม่มีอคติ (มีแต่ประโยชน์=พหุชนหิตายะ) นี่ก็เป็นนิยาม 3 ข้อของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นไปเพื่อ 1.ประชาชนอย่างแท้จริง และ 2.ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเป็นจริง
ทุกวันนี้ประเทศไทยดีขึ้นในทุกๆด้าน แม้ต่างชาติก็ให้การยอมรับอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคใดสมัยใด แต่พวกประชาธิปไตยเก๊ทั้งหลาย ก็พยายามสร้างวาทกรรมที่เป็น Fake News ให้เกลียดชังประเทศของตัวเอง จนทำให้เห็นว่า ต้องรีบเลือกตั้ง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทันที น่าจะพอกันได้แล้ว พอกันที 86 ปีมาแล้วนะ รู้ประชาธิปไตยกันให้จริงบ้าง จะไม่ยอมฉลาดกันบ้างเลยหรือ???
ส.ฟ้าไท สรุปจบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:30:24 )
รายละเอียด
611224_รายการสำมะปี๋ซีวิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 32
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VjWzVcowV9LKsDK_qEJaBBdwHPN-8e2OE37WWHJ9Qkk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1-moDAImP1JWmaM_ka4soi8Kzrc71wCLS
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ทำอย่างไรจะยินดีได้กับทุกเรื่อง
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
_ทำใจให้ยินดีกับทุกเรื่อง ทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ก็ไม่ง่าย มันไม่ง่ายที่เราจะทำใจให้ไม่มีความรู้สึกไม่ชอบ ยินดีก็คือมันชอบ มันอาจไม่ถึงขั้นชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นผลัก อารมณ์อาการจิต ต้องอ่านอาการจิตของเราให้เก่ง จิตของเรานี้ทำอย่างไรมันก็จะเป็นอย่างนั้นให้เราได้รู้สึก ทำให้เป็นอย่างไรมันก็จะเป็นอย่างนั้น ให้เรารู้สึก แล้วเราทำเป็นไม่ชอบมันก็ไม่ชอบ เราทำให้เป็นชอบ เราก็จะรู้สึกชอบ ถ้าเราทำให้มันเป็นเฉยๆ มันก็จะเป็นเฉยๆ
ทีนี้มันซ้อนที่ความเฉยๆนี่แหละ เราจะฝึกให้ไม่เป็นเพียงชอบหรือไม่ชอบ เราจะทำให้เป็นเพียงเฉยสัมผัสอย่างไรก็แล้วแต่เราก็จะเฉย ดีก็เฉยชั่วก็เฉย แรงก็เฉยเบาก็เฉย จะทำให้เราเจ็บปวดก็เฉยทำให้เรารู้สึกอร่อยก็เฉย มันก็ได้ ฝึกมากๆได้ เรียกว่าสมถะ และวิธีสมถะเขาก็ฝึกกันทั่วโลกแบบนี้ ฝึกการทำให้เฉย รู้นิ่งเฉยๆ รู้นี่คืออะไรๆ แล้วก็เฉยเลย แต่วิธีของพระพุทธเจ้าให้ศึกษาว่า ที่เรามันมีความรู้ ต้องวิจัยลงไปในนั้นว่า อาการกรรม กิริยาที่ประพฤตินั้นมันดีหรือมันชั่ว มันดีหรือมันไม่ดี นี่สิจะต้องอ่านต้องวิจัยให้ชัดตรงนี้ มันดีหรือมันไม่ดี
ถ้าเรามีใจแล้วจริงๆมันไม่ดีนี่ มันไม่ดีเราก็ไม่ควรจะชอบ แต่ถ้ามันดี นั่นแหละเราก็ควรจะยินดี ให้มันรู้สึก จับลิงคะ หรือ ความแตกต่างที่จริงของสภาวะธรรมะนี้ ต้องพิจารณาจริงๆนะ อ่านเสมอเมื่อเรากระทบสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เราไม่ได้หนีเข้าป่าเขาถ้ำปิดหูปิดตา ลัทธิของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องสัมผัส แล้วก็อยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็จะต้องอ่านอาการ ลิงคะ นิมิต อย่างดี
อย่างน้อยก็ทางโลกเขาถือว่าดีหรือไม่ดี โลกถือว่าดีหรือไม่ดี บางทีโลกก็ถือว่าดี แต่เรารู้สึกว่าก็ยังไม่ดี เราจะมีนัยะลึกซึ้งไปอีกว่า มันยังมีเชิงเห็นแก่ตัวอย่างโลภมากมาให้แก่ตัวมันไม่เสียสละแท้ บางคนยังโลภมากเห็นแก่ตัว นี่เขายังโลภมากเห็นแก่ตัวนะ บางคนมีความโลภน้อยกว่านั้น บางคนไม่มีความโลภเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็จะได้การเทียบเคียงไป ค่อยๆศึกษาไปก็จะยิ่งมีเชิงปัญญารู้ชัดเจน เราก็จะมีปัญญาหรือมีความฉลาดที่รู้ความจริงลึกซึ้งขึ้น ไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ทำจริงๆ เป็นคนที่จะไม่เป็นแบบอย่างนั้น เราเห็นว่าไม่ดีไม่ควร ไม่น่าจะเป็นเราก็อย่าไปทำ อย่าให้มีอาการอย่างนั้น อย่าให้มีพฤติกรรมอย่างนั้น ให้มีพฤติกรรมที่ดีอย่างนี้ดีกว่าควรกว่า เราก็ควรจะประพฤติแบบนี้อย่างนี้เป็นต้น
ค่อยๆศึกษาไปแล้วเราจะรู้ละเอียดขึ้นรู้ความจริงของตัวเอง วิจัยได้เอง ก็จะเจริญขึ้น ดีไม่ดีเจริญนำหน้าอาตมาก็ได้นะ
_นร. ...ถามว่า ถามว่า เด็กนร.สัมมาสิกขา ที่เข้าสอบ ว.บบบ. ต้องเข้ากระบวนการกลุ่ม เพื่อสอบไหม? หรือว่า ต้องเรียนตามปกติ
พ่อครูว่า...มันก็ต้องเข้ากับเขาสิ จะไม่เข้ากับเขาแล้วจะไปเอาแต่สอบมันก็ถือว่าไม่เต็ม มันก็ไม่ได้คะแนน คะแนนที่เข้ากระบวนการกลุ่มบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญคุณ ก็ต้องเข้ากระบวนการกลุ่มด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน ความสามารถพิเศษอย่างใดที่ควรมีในตน
_ส.ฟ้ารู้ฝากข้อเสนอของโยมมาว่า..ถ้าบ้านราชจะให้คนอยู่ได้เป็นพันควรจะสร้างคอนโดสัก 2-3 หลังผู้สูงอายุและคนที่อยู่เก่าบ้านทรุดโทรมให้ไปอยู่คอนโดให้หมด 5 ชั้นก็พอ ชั้นบน ไว้ประชุมหรือปลูกผักสวนครัวก็ได้ชั้นล่าง 3 ชั้นเป็นที่พัก ชั้น 2 เป็นห้องประชุม และทำกิจกรรม ผู้สูงอายุไม่เหมาะ ไปอยู่ หลังละคน แล้วให้มีเด็กรู้ดูแลผู้สูงอายุทุกชั้นมีกิจกรรมการเรียนการสอน นักเรียนผู้ดูแล ผู้สูงอายุ อาจจะขาย ห้องละ 2 ถึง 300,000 บาท อยู่ได้ 2 คน ก็จะมีผู้ไปอยู่ที่บ้านราชเพิ่มมากขึ้น อย่างรวดเร็ว ผู้สูงอายุไม่ต้องหอบที่นอนหมอนมุ้งเดินทาง ค่ะ
พ่อครูว่า…คอนโดฯก็มีส่วนตัว ถ้าคนไหนที่เขามีความรู้สึกอยากได้ส่วนตัวมากๆ ก็คิดว่าคงไม่เหมาะสมที่จะมาอยู่ที่นี่ มาอยู่ที่นี่ต้องตั้งใจว่าเราจะต้องละความเป็นส่วนตัว มาอยู่เพื่อที่จะไม่ยึดมาเป็นความเป็นส่วนตัวให้ได้ จนกระทั่งไม่ยึดความเป็นส่วนตัวได้หมดเลยได้นี่แหละคือแท้ๆของที่นี่ ถ้ายังมีส่วนตั๊วส่วนตัวอยู่ก็ยังยาก มันจะต้องเสมอสมาน ไม่มีอะไรแตกต่างไม่มีอะไรที่จะไปมีตัวขัดแย้ง ต่างๆนานา มันเหมือนๆกัน คละเคล้า ส่วนใหญ่ 3 อันเป็นแบบนี้เราไม่จำเป็นจะต้องพิเศษแตกต่างต้องโดดเด่นกว่า ต้องมีอะไรที่ มีแง่เชิงที่เราจะชู ชูในแง่สะอาดก็ได้ ในแง่สกปรกในแง่ซกมกในแง่ไฮโซก็ได้มันได้ทั้งนั้นถ้าเราจะโชว์อะไรเด่น
แต่ถ้าเผื่อว่ามันก็ไม่ได้แยกตัวเองให้เด่นเกิน เพราะฉะนั้นที่ท่านใช้คำว่า สังคมของพระศรีอารย์ คนลงมาจากบันไดบ้านเดินแล้วคนก็ดูเหมือนกันหมดไม่รู้ว่าใครเป็นใคร นี่คือความหมาย ช่างไม่มีอะไรแตกต่างไม่มีค่าอะไรที่จะบอกว่ามากน้อยสูงต่ำ มันเหมือนกันไปหมดเลย อย่างนี้ต่างหากคือความเป็นหนึ่งเดี๋ยวที่แท้จริง แต่แท้จริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ก็ต้องพยายาม ลดความแตกต่างให้ได้มากๆ
ใครยังยึดถือคุณก็ต้องแปลกต้องเด่นต้องพิเศษไม่เหมือนส่วนใหญ่ไม่เหมือนส่วนรวม คนที่จะไม่เหมือนส่วนใหญ่ไม่เหมือนส่วนรวมได้นั้นคือความรู้ความสามารถความพิเศษ อุตริมนุสธรรม มันเด่นกว่าจนกระทั่งตามไม่ทันจริงๆ นี่ต่างหากคือความเหนือ ไม่เหมือนพิเศษ ส่วนความสามัญที่ไม่ใช่เรื่องอุตตริมนุสสธรรม มันก็ต้องเหมือนกันหมด ส่วนอุตริมนุสธรรมเท่านั้นที่มันเด่นกว่าด้วยที่เรียกว่า คุณอยากเด่นเท่าคุณจะต้องทำอุตตริมนุสสธรรมให้เท่าจึงจะเหมือนกับท่านได้
จึงใช้สำนวนว่า โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาคาเสมอสกิทาคามี อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ มันเสมอ เมื่อถึงขั้นนี้ก็เสมอกันแล้วพระโสดาบัน ขั้นนี้เป็นสกิทาคามี ขั้นนี้เป็นอนาคามี ขั้นนี้เป็นอรหันต์ อรหันต์ขั้นที่ 5 ขั้นที่ 6 ขั้นที่ 7 ขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 เหมือนกัน อย่างนี้ต่างหากเสมอ m
ประเภทที่อยู่สูงกว่าเขาเสมอนั้นจะพยายามลงมาหาต่ำ ลงมาหาให้เหมือนกัน ข้างล่าง เพราะข้างล่าง ที่ลงมานั้นเป็นสมมติ สมมติลดลงมาข้างล่าง แต่อาริยะหรือปรมัตถ์ อุตริมนุสธรรมจะให้เสมอเหมือนนั้นยากมันไม่ง่าย คนที่ได้แล้วสูงจะลงมาเป็นต่ำมันจึงไม่มีปัญหามันง่าย แล้วก็ไม่ได้ยึดถือ เพราะฉะนั้นจะมาทำอย่างคนส่วนใหญ่เขาทำได้มันง่ายกว่าเราไปทำสิ่งที่สูงสิ่งที่ประเสริฐอุตตริมนุสสธรรม มันแอ๊คไม่ขึ้นหรอก แอ๊คอย่างไรก็ไม่ได้ จะไปทำความพิเศษที่รู้ว่าใครเขาก็ทำได้ซกมกสกปรกอย่างนี้ แต่ที่ยากจริงๆคืออุตริมนุสธรรม คุณเสแสร้งทำไม่ได้อันนั้นต่างหากที่มันไม่เสมอ แต่ไอ้ที่ธรรมดานี่ อย่าทำให้แปลกที่มันไม่เข้าท่าเลย ให้มันแปลกแยกออกไป
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เนื้อแท้อนาคามีของอโศก
_เอื้อมเอื้อ สมัยที่พ่อท่านและหมู่อโศกเชียร์และชื่นชมทักษิณ ต้องบอกเลยว่าดิฉันไม่เห็นด้วยเพราะมองยังไงก็รู้และดูออกว่าหัวพ่อค้า และทุนนิยมจะไปได้ยังไงกับบุญนิยมสุดขั้วอย่างอโศก แต่พ่อท่านก็เอื้อมและเอื้อให้เขา ขนาดลงพท.มอบกลดให้เขาอีก สมณะที่เชียร์ก็ยังบอกญธ.อีกว่าหานายกคนดีเช่นนี้ไม่มีแล้วเพราะลุงรับรองว่าเขารวยแล้วไม่โกง (ก็ลุงเป็นทหารคนซื่อ) ตอนนั้นฟังก็รู้สึกสะดุด อยากพูดแต่พูดไรไม่ได้เก็บไว้ เลือกตั้งไม่เคยเลือกอย่างที่คนวัดพากันไปเลือกดอกแต่ไม่พูด สุดท้ายก็ต้องออกถนนไปไล่คนโกงที่ไม่รู้จักพอ แต่แม้พ่อท่านจะชี้นำผิดพลาดทางการเมืองยังไง ดิฉันก็แยกแยะออก ว่าฟังธรรมะพ่อท่านยังไงให้ได้ปย.ไม่ตกหลุมพราง ครั้งนี้ก็เช่นกันไม่เห็นด้วยกับที่พ่อเชียร์ออกหน้า แต่นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ซึ่งทำถูกในแบบของท่าน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดตามดูกันต่อไป ยังไงท่านก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียอยู่แล้ว นั่นคือความจริงตามสัจจะ
...พ่อท่านตัดสินที่ปัจจุบันตามที่ท่านมีข้อมูลตามจริงของท่าน ทุกคนก็ตัดสินตามข้อมูลความจริงของตน ส่วนภูมิหยั่งรู้ละเอียดลึกซึ้งนั้นไม่อาจก้าวล่วงได้ บางเหตุปัจจัยเคยคิดไปว่าท่านอาจต้องการให้มันเกิดอะไรเพื่ออะไรบางอย่างก็เป็นได้
พ่อครูว่า…อันนี้แหละ อาตมาทำอย่างที่อาตมาทำ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่อาตมาต้องการให้เกิด อะไรเป็นอะไรแน่นอนใช่ไหม คุณต่างหากเข้าใจอาตมาไม่ได้คุณก็ไม่ทำ แต่คุณก็ทำให้เกิดไม่ได้ ทำให้เกิดหมู่มวลอย่างที่อาตมาพาทำไม่ได้ แต่อาตมาทำได้อาตมาก็ถือว่าแต่มาทำสำเร็จ แต่คุณก็เอาแต่คิด แต่คุณก็ทำ ให้มีมวลให้มีการเกิดให้มีการพัฒนาการ เจริญมากกว่าจะมาไม่ได้ คุณก็มองอาตมาแทนที่จะมาร่วมมือจะผิดอย่างไรไม่ตรงกับเรา m bอย่างไร แล้วก็จะถือว่าความไม่ตรงนี้คุณภูมิใจ คุณก็จะได้อยู่แต่เพ่งโทษ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้ที่เพ่งโทษผู้อื่นนั้น อาสวะเจริญยิ่ง โดยเฉพาะเพ่งโทษผิด เพ่งโทษ ผู้ที่เขาถูกกว่ายิ่งอาสวะเจริญยกกำลังคูณเข้าไป แล้วคุณก็จะจมเข้าไปในตัวเองๆๆ เพราะมานะอัตตาคุณก็จะยิ่งถือดี
การเข้ามาอยู่ในมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีจะได้รายละเอียด มีการตัดสินอะไรได้อีกเยอะ ถ้าเราเอาแต่ตัดสินเองแล้วอยู่คิดเอาเองมันก็จะมีแต่ตรรกะๆๆ กับเสริมอาสวะส่วนตัว เพราะมันตัดสินแล้วสั่งสม อาสวะก็เพิ่มๆๆ แล้วก็อยู่ตัวคนเดียว แต่อยู่ที่นี่ถึงอย่างไรหมู่กลุ่มก็ตัดสิน หลักเกณฑ์ เยภุยสิกา ศาสนาพุทธก็ใช้ ในกลุ่มนี้มีคนฉลาดมากกว่าคนโง่ โดยเฉพาะโสดาบันขึ้นไป ปุถุชนนั้นน้อย ปุถุชนที่ยังไม่เป็นโสดาบันมีน้อยในชาวอโศก
หมู่กลุ่มชาวอโศกทุกวันนี้เนื้อแท้อยู่ในฐานอนาคามีขึ้นไป ผู้ที่ยังอยู่ต่ำกว่าอนาคามีก็ต้องมีอยู่บ้าง แม้เป็นสกิทาคามี เป็นพระโสดาบัน แต่ปุถุชนจะมีน้อย เพราะฐานชาวอโศกส่วนใหญ่อยู่ที่อนาคามี สาธารณโภคีนี้คืออนาคามีเป็นแกนหลัก
ผู้ใดยังไม่เป็นอนาคามี ยังไม่ทำงานให้กับส่วนกลาง 100% คนนั้นก็ยังมีส่วนตัวตน แน่นอน มากหรือน้อย
_พระพัฒสา ไชยพันโท ...อาจารย์ยันตระ คุณทักษิณก็น่าที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะเช่นเดียวกัน ต่างแต่ว่าทั้ง 2 ท่านมีคนมุ่งร้ายหมายร้ายถึงชีวิต ส่วนพ่อท่านนั้นพยายามเชื่อมกับขั้วที่ทำให้อยู่ได้ จึงอยู่ได้ อาจเรียกว่าเป็นบารมีหรือความเก่งของพ่อท่านก็ได้
พ่อครูว่า…มานะอติมานะ จะซ้อนในจิตมนุษย์อีกเยอะจะปปัญรามตา หมายความว่าอยู่ในความเนิ่นช้าโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้
_ปาลิตา ท่านเจ้าคะปีใหม่ปีนี้ขออนุญาตไม่ไปสอบน่ะเจ้าคะ ไม่มีเงินค่ารถ ขายไม่ค่อยดี จะเป็นกำลังใจให้ทางทีวี ฝากน้อมส่งกำลังใจให้พ่อครูด้วยน่ะเจ้าคะ มันไม่ค่อยปีตังค์ ปีหน้าจะวางแผนดี ๆ เจ้าคะ
พ่อครูว่า…ปัญหาแห้งมาเยอะเลยดีๆๆตอบสลับกับปัญหาสด
_น้ำมนต์...หนูขอสอบ ว.บบบ.ได้ไหมคะหลวงปู่
พ่อครูว่า..แล้วหนูคิดว่าตัวเองจะสอบได้ไหมล่ะ จะเข้าสอบกับพี่ป้าน้าอาเขาได้ไหม
_น้ำมนต์ว่า... ได้นิดหนึ่ง
พ่อครูว่า...นิดหนึ่งก็สอบได้ ดีนะ ข้อสอบก็ไม่เสียหายอะไรถ้าคิดไม่ได้นิดนึงก็เอาเลย ต้องหัดให้กล้าไว้ เด็กๆ ไม่มีเสียอะไร มาสอบก็ได้ประสบการณ์เอาเลยหลวงปู่ยุส่งเลย สอบเลยๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน 0 คือไม่มีที่สิ้นสุดกับมีที่สิ้นสุด
_หลวงปู่เห็นภาพนี้แล้วคิดอย่างไรกับภาพ ...ภาพ วงกลมแล้วมีจุดจุดศูนย์กลาง
พ่อครูว่า...ก็คิด เป็นความรวมกับจุดอยู่ตรงกลาง แล้วการดีความก็แล้วแต่ใครจะคิดให้ลึกซึ้งเปรียบกับอะไร จุดศูนย์กลางจะเป็นจุดเล็กๆจุดหนึ่ง จะมีจุดอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ก็เริ่มความมีขึ้นมา กับวงกลมคือความกว้างของวงกว้าง จะขยายวงกว้างนี้เป็นเอกภพหรือเป็นอะไรก็ได้
สรุปแล้วคือมี 2 มี 1 จุดกับ 1 วงกว้างเท่านั้นเอง เอกภพก็มีสองสภาพ คือ เทวฺ
สู่แดนธรรมว่า... เป็นเครื่องหมายของอนุตตรธรรม
พ่อครูว่า...ก็ได้แต่เขาตีคำว่า เทวฺออกหรือไม่ หากเขาตีแตกก็อธิบายได้ อย่างอาตมาอธิบายไปเท่าไหร่ก็ได้ความเป็นทั้งหมดกับความเป็นหนึ่งก็ได้เลย หรือ จะให้อธิบายว่า จุดนี้คือ 0 วงกว้างคือ ทุกสิ่งทุกอย่างเลย Infinity ก็ได้ เท่านั้นเอง 0 กับล้านอันเดียวกัน เราจะรู้ว่า 0 ก็มีสิ่งๆหนึ่ง ล้านก็มีสิ่งต่างๆนานาแตกต่างเป็นล้าน อธิบายได้ด้วย เห็นแล้วรู้จักความหมายด้วย แต่ อยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้
เรารู้ความต่าง Unity of diversity เรารู้หนึ่งเดียวกันแต่มีความต่างที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นทำไปแค่ 2 1 วงกลมกับอีก 1 จุด แค่นี้ทำไมจะไม่เข้าใจ
จะเอาจุดเข้าไปใส่ในนั้นอีกล้านจุดก็เข้าใจได้ วงกลมคือ 1 จุดล้านจุดก็คือหนึ่งเดียวกันอยู่ด้วยกันได้เป็น Unity ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน สงสัยในกามไม่ชัดต้องตัดมันเลย
_หากเราสงสัยในกิเลสกามยังไม่ชัดในทุกข์จะทำอย่างไรดีคะ
พ่อครูว่า...คุณก็พิสูจน์เข้าไปแล้วพิจารณาให้เห็นโทษของกามเรียกว่า กามาทีนวะ มันจะต้องมีคู่ แล้วการมีคู่นี้คือการแตกตัวไปอีก จนยาว ไปในวัฏฏสงสารอีกมาก หากเราตัดเสียไม่มีคู่ การที่จะไปมีวัฏฏสงสารก็ยิ่งจะสั้นลง ยิ่งตัดคู่ เพราะคนมีคู่วิบากมากกว่ามากในโลก มาก ขนาดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมยังมีวิบากคู่มีพระนางพิมพา นอกนั้นก็ยังมีพระสนมอีกเยอะแยะ แต่พระสนมท่านตัดได้เก่งเหลือพระนางพิมพา ปล่อยให้พระนางพิมพามากอดขาร้องไห้ แต่สุดท้ายท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ก็ปล่อยพระนางพิมพา จะอยู่ในวัฏฏสงสารตามโพธิสัตวภูมิ ถ้าจะปรินิพพานก็เรื่องของนางพิมพา ถ้าไม่ปรินิพพานก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา การตัดเรื่องคู่นี้ยิ่งใหญ่แล้วนะสำหรับพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพา
แต่เศษคู่วิบากของนางพิมพาก็มีนะ แต่เบาลง พระพุทธเจ้าองค์ใหญ่หนักหมดไปแล้วนอกนั้นก็เบาลง น้อยลงก็ตัดได้ง่ายขึ้น ถ้าเอาจริงก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่เอาจริงเผลอเมื่อไหร่แล้ววิบากจะยาวยืดไปอีกของใครของมันนะ
กิเลสกามถ้ายังไม่ชัดจะทำอย่างไรดี ถ้ายังไม่ชัดก็ อาตมาแนะนำให้ ตัดมันเลย เชื่ออาตมาไหมล่ะ ตัดดีกว่ากาม ถ้ายังไม่ชัดตัดมันเลยรับรองว่าไม่เสีย ถ้าคุณต่องแต่งๆ อันนี้อาตมาไม่ส่งเสริม อาตมาส่งเสริมที่ตัดเลย เพราะกามไม่มีทางที่จะพาคุณเจริญมีแต่ทำให้เวียนเกิด
_ถ้าปัญหาอยู่ที่ความคิดของเรา สร้างทุกข์ให้ตนคิดให้ตนเองทุกข์แล้วควรแก้ตนเองอย่างไรค่ะ
พ่อครูว่า...คุณถามมาน่าจะรู้ตัวเองมันวนอยู่ในทุกข์จะแก้อย่างไร ก็ให้เลิกจะไปตามใจทุกข์ ก็ทุกข์เป็นของไม่น่าชอบใจไม่เห็นจะยากเลย จะไปตามใจมันอยู่ทำไม หักมันดื้อๆสมถะก็ยังดี(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เทวะ จะหลอกถ้าอยู่กับสุขกับทุกข์มันเป็น 1 2 ไม่จบ คุณตัดเรื่องทุกข์มันก็ตัดความสุขด้วย ระหว่างความสุขมันจะหลอก อันนี้มันคู่กับทุกข์ คุณก็ตัดมัน
_คนจนที่มีแบบอย่างไร
พ่อครูว่า….ก็ให้อ่านหนังสือคนจนที่มีแบบ
ต้องเห็นได้ด้วยปัญญาชัดเจนจะไม่วนเวียน ปัญญานี้ อธิบายความมากกว่านี้ก็ยังไม่เก่ง เป็นธาตุรู้ที่รู้จบในตัวเอง ปัญญาเป็นที่สุดเป็นอรหันต์แล้วเป็นโลกุตระ
โลกุตระนี้ ไม่ใช่แค่คิดเอา ต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่ศีลแล้วเป็นไปตามลำดับ จะเข้าใจอย่างกว้างๆไม่ได้หรอก ต้องเข้าใจใน1 คู่ 2 คู่ 3 คู่ 4 คู่ไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะชัดเจนในโลกุตระได้ง่ายๆ โลกุตระคือมันไม่ใช่โลกียะที่ต้องวนเวียน โลกุตระที่จริงคือมันไม่เอาแล้ววนอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่มีอะไรเลยจบเลิก นั่นคือโลกุตระที่สมบูรณ์ อะไรที่สมบูรณ์ที่เรียกว่าอบายมุข มันไม่มีเลยในเรา จะมาในท่าทีหลอกล่ออย่างไร ไม่มีทางหลงทางเลย อบายนี้สูญ นี่เป็นตัวต้นนะ อบายมุข
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน อจินไตย 4 คืออะไร
_อจินไตย 4 คืออะไร
พ่อครูว่า...อจินไตย 4 คือความคิดเอาเองก็ได้ แต่คุณต้องมีสภาวะตามนั้นคุณจึงจะได้ เช่นความเป็นพระพุทธเจ้าคุณคิดเอาได้ไหม ไม่ได้ นี่เป็นอจินไตยข้อที่ 1 เรียกว่าพุทธพิสัย มันคิดเอาไม่ได้
อจินไตย 4
(เรื่องรู้ยากที่บุคคลไม่ควรคิด)
1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน .
3. วิบากแห่งกรรม
4. ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 77)
2. ฌานวิสัย ความเป็นฌาน ทุกวันนี้วงการศาสนาพุทธกันมั่ว มันยังไม่ใช่ฌานทั้งนั้น ถ้าเขาเข้าใจว่าฌานคือการนั่งหลับตาแล้วเข้าไปอยู่ในจิตนิ่งอยู่ในจิต สงบๆ นิ่งๆนั้นคือชา ไม่ใช่ ฌาน แปลว่าไฟ ฌานคือ พลังงานของจิตที่เป็นอุณหธาตุ ใครสร้างอุณหธาตุที่เรียกว่าพลังงานร้อน ก็ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่ากับไฟ จึงใช้คำว่าธาตุไฟแทนอุณหธาตุ สร้างพลังงานให้เกิดพลังงานไฟ ตามที่คุณจะต้องเข้าใจด้วยปฏิภาณปัญญา แล้วมันจะมีฤทธิ์สลายไฟราคะ ก็คือความร้อน ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันมีฤทธิ์เหนือกว่าราคะ โทสะ โมหะ
การสร้างพลังงานจิตให้เกิดพลังงานที่ได้ ไฟร้อน ฌานไม่เย็นเลย ฌานนี้ร้อน ร้อนการสลายความร้อนของราคะ โทสะ โมหะของเราเองได้ให้หายไปเลย เพราะฉะนั้นคนจึงเข้าใจคำว่าฌานวิสัยไม่ง่ายหรอก
ที่เขาว่าฌานคือผิดทั้งนั้น ฌานคือไฟ ยังดีมีพจนานุกรมหลายฉบับที่ยังแปลว่าไฟ แต่ที่แปลตรงกันหมดไม่มีคำว่าไฟก็คือ เพ่ง เขาแปลฌานว่าคือการเพ่ง ซึ่งเป็นเชิงสมถะ เพ่งคือจดจ่อจ้อง hypnotize ไม่ใช่
แต่ฌานคือรวบรวมพลังงานจิตสร้างพลังงานจิตให้เป็น Coefficient มีพลังงานสูงขึ้นให้สลายพลังงานไฟราคะ ไฟโทสะ ฌาน เป็นเรื่องอจินไตยคิดเอาไม่ได้เดาเอาไม่ได้ ฌาน ที่เป็นโลกุตระเป็นสภาวะที่แท้จริงนั้น
สรุปแล้วฌานวิสัยเป็นอีกอันหนึ่งเป็นอันที่สองของอจินไตย 4
3. กรรมวิบาก มีคนอวดเก่งจะมาหักล้างเป็นเจ้ากรรมนายเวรให้ ไอ้คำว่า เจ้ากรรมนายเวรนี้ก็คือพระเจ้า คือผู้ที่มีอำนาจกรรมทั้งหลายมันไม่มีหรอก ขี้หลอก เรานี่แหละเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเอง ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราได้ เรานี่แหละทำกรรมของเราเอง กรรมนั้นมันพาเราเกิดพาเราเป็นไม่ใช่พระเจ้าพาเราเกิดพาเราเป็น ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่อะไรอื่นมาทำ เราเองตัวกูของกูนี่แหละทำเอง จะดีจะชั่วจะเป็นยังไงก็กรรมพาเกิดมาเป็นทั้งนั้น
คนที่ไม่เชื่อกรรมวิบากคนนี้จะยังอยู่ในวัฏสงสารอีกนานมาก เพราะอัตภาพใดที่คนเกิดมาเป็นเซลล์ไปตามกรรมวิบากทั้งนั้น
กว่าจะได้อัตภาพที่เป็นมนุษย์นั้นนานนะ สำนึกของสัตว์เดรัจฉานว่าอะไรดีหรือไม่ดีมันจะมี สำนึกของสัตว์เดรัจฉานที่มันช่วยสัตว์อื่น เราก็เอ็นดูมัน มนุษย์ก็เอ็นดูคนอื่นที่ช่วยสัตว์คนที่ช่วยคน คนที่ช่วยคนอื่นคนที่เสียสละเพื่อผู้อื่น แม้แต่สัตว์มันก็เอ็นดู สัตว์เดรัจฉานตัวใหญ่ ช่วยสัตว์ตัวเล็กๆเอ็นดูสัตว์ตัวเล็กๆมันน่าเอ็นดูซ้อนไหม
แม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวใหญ่ก็ตามตัวเล็กก็ตาม มันช่วยสัตว์ตัวอื่น ยิ่งช่วยคน สัตว์เดรัจฉานที่ช่วยคนยิ่งน่าเอ็นดูมันมากใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณสมบัติคุณธรรมอันนี้แหละ ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวันเลย คนที่ไปช่วยคน สุดยอด คนที่เสียสละช่วยคนนี้สุดยอด
ก็นายชัด อุบลจินดา ใช่ไหม ที่ไปนอนให้ฝรั่งผัวเมียเหยียบขึ้นจากโคลนเลนทะเล คนเห็นภาพเสียสละแล้วเอ็นดูกันทั่วโลก
เหตุการณ์13 หมูป่า ก็เป็นเรื่องสุดยอด ต่อไปคนที่เสียสละช่วยคนจะได้คะแนนไปเรื่อย ยิ่งช่วยอย่างจริงใจ ช่วยอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเหมือนอย่างนาย ชัด ช่วยฝรั่ง 2 คนอย่างไม่ได้ต้องการอะไรเลย ช่วยแล้วก็ไป ตอนนี้ก็ปวดหลังแล้ว ก็เป็นวิบาก ตอนนี้ก็ช่วยกันอยู่ คนก็ได้ออกข่าวช่วยกันก็เป็นวิบาก วิบากอันนี้ เป็นกรรมวิบากที่เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ อย่าประมาทกรรมอันมีประมาณน้อย การกระทำอันมีประมาณน้อยเป็นวิบากสะสมทั้งนั้น
4. โลกจินตา เป็นอจินไตยข้อสุดท้าย เป็นความคิดของชาวโลกที่มากมายนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปคิดเลย คนเขาจะไปคิดอย่างไรก็ได้ อาตมาก็คิดไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็คิดไม่ถึง ท่านเองหยั่งดู เช่นกระเทยมันคิดอะไรขึ้นมาพระพุทธเจ้าจะไปคิดทันมันได้อย่างไร ความคิดของชาวโลกเขาคิดอะไรมันมีสารพัดหลากหลาย นึกว่ามันวิเศษอย่างไรเลย ไม่มีใครเคยคิดเลยจะทำอะไรให้แปลกที่สุด เขาคิดได้เป็นเรื่องแปลกแต่ไร้สาระ ที่มันมีอยู่แล้วคุณอยู่เหนือมันให้ได้ก่อน ตอนนี้คนมันคิดบ้าบอมามากแล้ว เอาก่อนๆ ไปคิดมาเติมอีกทำไม โลกจินตา คนที่คิดอะไรให้แปลกออกไปอีก คุณว่าแปลกไปได้อีก พวกนี้ขึ้นชื่อว่าศิลปินนี้คือพวกบ้าพวกนี้ แปลกไม่เหมือนใครเอกลักษณ์ๆ นี่แหละคือชาวนรก โลกจินตา น่าสงสารมากเลย
เพราะฉะนั้นคำว่าศิลปะศิลปินคือชาวนรก โลกจินตาสร้างอะไรให้แปลกกว่าเขาอย่างที่ว่าฉันเด่นเป็นเจ้าของชิ้นเดียวไม่มีใครเป็นเจ้าของฉันเป็นคนบ้าคนแรก โง่จนไม่รู้จะโง่อย่างไร นี่คือ โลกจินตา
เพราะฉะนั้นใครอย่าไปหลงความแปลกความใหม่ความที่ไม่เหมือนมวล มวลคนดีที่เหมือนกันอย่างเป็น พระศรีอริยเมตไตรย เหมือนกันไปหมดจนกระทั่งแยกกันไม่ออกว่าใครเป็นใคร เอาอย่างนั้นดีกว่าข้าจะต้องแปลกเด่นกว่าเขาเพื่อนเลย อย่างนั้นเขาคิดมาแล้วก็ยังอยู่ในโลกจินตา อยู่ในคือความวนเวียนอยู่แล้วนั่นคือความวนเวียน เขานึกว่าเขาเด่นเป็นเจ้าของใหญ่ที่สุดนั่นคืออัตตามานะที่ไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นอย่างนั้นแหละศิลปิน อาตมาเคยเป็นศิลปินมามากมาย ชาตินี้อาตมาไม่มาเรียนศิลปะมากหรอก อาตมาเรียนศิลปะมาแค่ อนุปริญญา เท่านั้นเองไม่ต้องถึงปริญญา แล้วอาตมาก็สามารถชี้หน้าว่าพวกศิลปิน ที่หลอกลวง ขายงานราคาแพงจะตายชัก หลอกขายกระดาษและสี ราคา 10 ล้าน 50 ล้าน อันนี้ฉันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ยังไม่รู้ว่าเป็นนรกที่ต้องมาใช้หนี้ เอาลิงมาให้มันป้ายสีใส่กระดาษแล้วไปขายราคาแพง แล้วไม่รู้เลยว่า มันมี assen point องค์ประกอบอื่นอีกคืออะไรมันไม่รู้เรื่อง คอมโพซิชั่น ของมันเขาไม่รู้เรื่อง Interest Point ก็ไม่รู้เรื่อง มีองค์ประกอบคอมโพซิชั่นอย่างไรต้องการให้รู้อย่างไรให้ได้สาระประโยชน์คุณค่าอย่างไร ให้มีคุณค่าคืออะไร ถ้ายิ่งมีคุณค่าทำให้เกิดจิตที่เป็นโลกุตระเลย มันคือศิลปะ
ศิลปะคือต้องเป็นมงคลอันอุดม ลดละหน่ายคลาย ยกตัวอย่างคนเขียนรูปนู้ดรูปเปลือยให้คนสัมผัส คนสัมผัสรูปเปลือยแล้วกิเลสกามลด อย่างนี้เป็นศิลปะ แต่ถ้าคุณเขียนรูปโดยให้คนสัมผัส เมื่อคนสัมผัสแล้วกามขึ้น นั่นคือรูปอนาจารไม่ใช่ศิลปะ อย่างปิกัสโซ่ เขียนรูปนู้ดคนดูแล้วอ้วกแตกเลยอย่างนั้นเป็นศิลปะ
แต่ศิลปะของปีกัสโซบางอันก็ก่อกามนิดหน่อย แต่ รูป รูป cubism ของเขาดูแล้วบิดเบี้ยวไปหมดเลย มันก็เป็นศิลปะที่ลดกิเลสกาม แต่ถ้ายิ่งทำให้ดึงดูดกาม อย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะไม่ใช่มงคลอันอุดม เพราะฉะนั้นเข้าใจแค่นี้ยังไม่ได้ ศิลปินแห่งชาติจึงได้อุทานที่อาตมาบอกว่า ศิลปะนี้เป็นโลกุตระ ศิลปินแห่งชาติก็บอกว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ นี่คือคำอุทานของศิลปินแห่งชาติของไทย อาตมาก็น่าเห็นใจเขาเพราะเขาไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ศึกษา ขนาดเขาเป็นศิลปินแห่งชาติ ได้รับเกียรติมาไม่รู้กี่รางวัล เพราะฉะนั้นคำว่าศิลปะจึงยากมหาศาล
พวกศิลปินพวกกะเทยเป็นต้น เขาชื่อว่าศิลปินแต่ไม่ใช่ศิลปินแท้ นี่แหละคือพวกสร้างความแปลกใหม่ความบ้าบอความเรียกร้องความสนใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน รูป 28 มีอะไรบ้าง
_รูป 28 มีอะไรบ้างคะ
พ่อครูว่า...มีมหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
1. จักขุ (ตา)
2. โสตะ (หู)
3. ฆานะ (จมูก)
4. ชิวหา (ลิ้น)
5. กายา (กาย)
โคจรรูป คือเมื่อ ตากระทบรูปหูกระทบเสียง มีการเคลื่อน
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
6. รูปะ (รูป)
7. สัททะ (เสียง)
8. คันธะ (กลิ่น)
9. รสะ (รส)
10. โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
เมื่อ ตากระทบรูปหูกระทบเสียง ก็เกิดการสภาพรู้
ค. ภาวรูป 2
10 อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ) . .
11 ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)
พวกเทวนิยมจะจมอยู่กับแค่ 2 นี้ เท่าที่เขาจะสมมติว่าดีที่สุดเท่าไหร่ ดีของเขาคือเสียสละ อยู่ในโลกีย์เท่านั้น จมในโลกีย์ ค่อยๆสูงขึ้นต่ำน้อยลง จนสูงสุดแล้วก็เหลิง ไม่นานจะหมดฤทธิ์หมดพลังอำนาจก็จะตกต่ำ
ถ้าคุณไม่ได้โลกุตระจากใครเลยคุณคิดเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้รับฟังจากสัตบุรุษแล้วจึงมีทางออกจากโลกุตระ นี่เป็นตัวสำคัญ ไม่เช่นนั้นคุณจะรอว่า ไม่ต้องฟังสัตบุรุษแล้วจะรู้เอง อะไรรับรองว่าคุณจะอยู่อีกกี่ล้านๆๆๆปี จึงจะหาทางออกได้ คุณถึงจะรู้โลกุตระ ซึ่งมันเป็นอีกโลกหนึ่ง เมื่อไหร่คุณจะต้องออกจากโลกนี้แล้วออกไปสู่โลกใหม่ได้มันอีก 5000 ล้านปีแสง คุณจะออกจากโลกโลกนี้ไปสู่โลกโลกใหม่อีก 5 ล้านปีแสง โลกลูกนั้นคือโลกโลกุตระ คุณจะไปสู่โลกนั้นได้อย่างไร คุณก็ต้องมาฟังสัตบุรุษบอกวิธี ว่า อ๋อ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะไปได้ ถ้าคุณไม่รู้เริ่มต้นทางออกไปสู่โลกุตระอย่างไรมันก็มีแค่ 2 ออกจากคู่ 2 เป็นโลกุตระ เป็นตัวอย่างเป็นโมเดลอันหนึ่ง คุณทำโมเดลอันนี้ให้ได้คุณก็จะมี 4 มี 8 มี 16 มียกกำลังขึ้นไปอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน การที่เราคิดว่าชาติหน้ามีจริงถูกหรือผิด
_การที่เราคิดว่าชาติหน้ามีจริงถูกหรือผิด
พ่อครว่า...ไม่ผิด ถูก คนที่ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงเป็นคนอุจเฉททิฏฐิ คนที่เชื่อว่าตายแล้วสูญคนนี้จะตกนรกซ้ำแล้วซ้ำอีก คนที่อุจเฉททิฏฐิ ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงเขาจะกล้าทำบาป คนที่เชื่อว่าชาติหน้าไม่มี ชาติเดียวนี้ตายแล้วสูญ จบแล้วไม่มีอะไรต่อภพชาตินี้ก็หมด เขาเข้าใจว่าคนมีชาติเดียว คนที่เชื่อว่าถ้าตายแล้วจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า เป็นชาติที่ 2 ก็ยังดี เพราะว่าพระเจ้ายังจะเป็นผู้พิพากษาว่าคุณทำดีคุณก็ได้ขึ้นสวรรค์ คนทำชั่วก็ต้องพระเจ้าพิพากษาให้ตกนรกก็ยังดียังมีผู้พิพากษาดีหรือชั่ว แต่แท้จริงคือการสมมติตามที่คุณเชื่อ คุณก็จะอยู่ในวัฏสงสารแบบนั้นเป็นเทวนิยม ถ้าคนมาเรียนอเทวนิยมอย่างที่พุทธเจ้าว่า พระเจ้าคือตัวเราเองเราพิพากษาตัวเราเองโดยหยุดทำชั่วอย่างสนิท ไม่ทำชั่วอีกเลย คุณก็หมดสวรรค์หมดนรก คุณก็ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี แล้วก็ซ้อนไปอีกว่า ดีนี้มายึดเป็นเราเป็นของเรา คุณก็ปฏิบัติความดีนี้ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเราได้จริงๆเลย ใช้ภาษาพูดแค่นี้ คุณตายแล้วไม่ยึดดียึดชั่วคุณก็ว่างกลางเลย มี มุญจิตกัมมญตาญาณ ปล่อยวางแล้ว สุญญตนิพพาน อปณิหตตนิพพาน อนิมิตนิพพาน สูญจบ
คุณจะต้องมีสภาพรู้สภาวะจริงกับบัญญัติภาษาตรงกันหมดเลย แล้วทำได้ครบ ลงตัวเป็น 0 หมดเลย คุณก็สูญได้จริง
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน คำว่าธรรมะ 2 คืออะไร
_คำว่าธรรมะ 2 คืออะไร
พ่อครูว่า...คือ เทวฺ อ่านว่า ดะเว กับเทวะ
สู่แดนธรรมว่า.. ดะเว ก็คือ วี เทวะ คือสองอย่าง
พ่อครูว่า...ไม่ใช่ เทวะคือ สภาวะของอุปาทาน ที่บอกว่าเทวะคือ เทวตา คือ สภาพวิญญาณสูง วิญญาณดี วิญญาณที่ยังมีภพชาติ นั่นคือเทวะ ถ้า ดะเว หรือว่า ดะวิ สองนี่ มันหมายถึง 2 อย่าง เดวะหรืออะเดวะ อเดวะ คือสลายอัตภาพได้ แต่เทวะคือ ยังสลายไม่ได้ตีไม่แตกแยกไม่ออก ซึ่งจะมีจำนวนมากกว่า อเทวนิยมมากมายหลายต่อ อเทวนิยมจะมีน้อยกว่า แล้วไปถึงจนกว่าจะหมดศาสนาพุทธอีก 2 พันกว่าปี เมื่อพ้น 5,000 ไปแล้วอย่ามาพูดกันเลยในเรื่องเหล่านี้จะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว จะไม่มีโลกุตระอีกเลยมีแต่โลกียะล้วน ตอนนี้ยังมีโลกุตระไปมากขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะอีก 500 ปีจากนี้ แล้วพวกที่จะนำพานี้ จะช่วยกันนำพาต่อยอดกันไปจนกระทั่งถึง 500 ปี ตอนนี้ไม่ถึง 500 ปี อาตมาพูดตัวเลขกลมๆ มันเหลืออีกสี่ร้อยกว่าปี อาตมาจะเกิดมาอีกหรือไม่มาอีกก็ยังประมาณ ถ้าเลย 500 ปีแล้วแต่มาไม่เกิดมาอีกแล้ว ฟังไว้นะ พอจากนี้ไปอีก ไม่เกิน 500 ปี อาตมาไม่เกิดอีกแล้ว ในช่วงนี้ พุทธกัปนี้ แต่อาตมายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะฉะนั้นในช่วงของศาสนาพระสมณโคดม ภายในอีก 500 ปีนี้อาตมาจะยังเกิด อาตมาจะเกิดวนเวียนอยู่ในช่วงนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน สรีระกับชีวะต่างกันอย่างไร
_สรีระกับชีวะต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...เรื่องนี้อาตมาตั้งใจอธิบายในเรื่องอันตคาหิกทิฏฐิ ชีวะก็ดีสรีระก็ดี โลกมีที่สิ้นสุดไม่มีที่สิ้นสุด อัตตาก็ใช่หรือไม่ใช่ ในอันตคาหิกทิฏฐิ อาตมาจะอธิบายละเอียดอยู่
สรีระ คือ สิ่งที่ไม่ใช่ชีวะ มันเป็นธาตุดินน้ำไฟลม ร่างกาย ร่างของกาย กายนี้มี 2 ร่างนี้คือดินน้ำไฟลม นั่นคือสรีระ ร่างคือสรีระ body ไม่มีธาตุจิตร่วมด้วย ส่วนชีวะมีธาตุจิตร่วมด้วย จิตไม่มีธาตุรู้ร่วมไม่ได้ จิตจะต้องมีการต้องมีวัตถุต้องมีสิ่งอาศัย แม้ไม่เป็นวัตถุก็ต้องเป็นนามด้วยกันมี 2 เช่นเป็นรูปภพอรูปภพ จิตต้องสอง จิตต้องมีกาย
กายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ก็ต้องเรียนรู้พิจารณากายในจิต ก็จะแยกจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยามออกได้ พลังงานอย่างใดเรียกว่าอะไร
หากว่าแยกกายแยกจิตไม่ออกแล้วจะไม่สามารถเป็นอรหันต์ได้ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิเรื่องของกายกับจิต ที่เป็นมูลกรรมฐานบทแรกเมื่อภิกษุบวชใหม่จะต้องได้รับกรรมฐาน 5 ก็คือธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
พีชนิยาม เป็นธาตุชีวะ ไม่ใช่สรีระ จิตนิยามมีกรรมนิยาม ธรรมนิยาม หากแค่พีชะ จะเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ แต่มันควบคุมตัวมันเองไม่ได้ มันรอบรู้ ในแวดวงตัวของมันเองแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัวของมัน พระอรหันต์มีชีวะที่เป็นพีชนิยามไม่มีเห็นแก่ตัว ทำความไม่เห็นแก่ตัวให้แก่ตัวเองได้ แล้วก็รู้ว่ามีตัวเป็นเครื่องอาศัย โดยไม่ไปเบียดเบียนใครทำแต่ประโยชน์ให้คนอื่น นี่เป็นภูมิธรรมอุตรธรรม จึงทำกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นเท่านั้นไม่สร้างกรรมชั่วอีกเลย อย่างนี้เป็นต้น
_ถ้าหนูจะเข้าเรียนนิเทศศาสตร์จะได้ไหมเมื่อเรียนจบ
พ่อครูว่า...เรียนนิเทศศาสตร์ที่นี่ดีจะเป็นนักนิเทศศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ ข้างนอกยากที่จะเป็นนิเทศศาสตร์ที่เป็นโลกุตระ
ขอยกตัวอย่าง นิเทศศาสตร์ ที่จบมาจากจุฬาลงกรณ์ มีจบคนหนึ่งก็คือตะวันรุ่ง เตี๋ยประดิษฐ์ เป็นนักข่าวที่เขาก็ไม่อยากทำโลกียะ แต่คนชอบเขา เรียกว่า คนยังต้องการเขา คือ จบมาปีหนึ่งหลายพันคน เขาก็จบแค่ปริญญาตรี จะไปทำปริญญาโทต่อ แต่เขาก็ไม่อยากทำ เพราะฉะนั้นเขาจึงมาช่วยทางนี้อยู่เรื่อย ทางโน้นก็ดึงตัวไป ก็ไม่เป็นไร จะมาเต็มตัวก็ไม่เป็นไร พ่อแม่เขาก็อยู่นี่แหละในราชธานี หรืออยู่สันติฯ มันมีตัวจริงที่ค่อยๆศึกษา ตัวอย่างของพฤติกรรม ของมนุษย์ อธิบายเป็นภาษาได้ไม่หมด เพราะฉะนั้นจึงค่อยศึกษาไป
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ความโกรธด้วยความอ่อนโยน
_จากเด็กทำมะดา(ที่ไม่ธรรมดา)...
1 หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไรครับกับคำสอนของหลวงปู่ ติชนัทฮัน ที่ว่า It’s now คือ ปัจจุบันนี้ แล้วคำสอนที่ว่า จงจัดการกับ ความโกรธด้วยความอ่อนโยน
พ่อครูว่า...หลวงปู่โพธิรักษ์ก็ตอบ หลวงปู่ติชนัทฮันบอกว่า จงจัดการความโกรธด้วยความอ่อนโยน ดี นั่นเป็น เป็นรสนิยมเป็น Concept ของหลวงปู่ติชนัทฮันห์ ซึ่งหลวงปู่โพธิรักษ์เห็นว่ามันไม่มีผลที่จะช่วยคนได้ มันไม่มีแรงพอที่จะดึงคนกะตุกคนขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นของหลวงปู่โพธิรักษ์นี้แรง ไม่อ่อนโยน ความโกรธนั้น kick It Out ประโยค kick It Out ไม่ใช่สำนวนของโพธิรักษ์ แต่เป็นสำนวนของ ท่านเจ้าคุณนรฯ อาตมาคุยกับท่านเจ้าคุณนรฯอยู่เป็นชั่วโมง แล้วก็ได้คำนี้มา
เจ้าคุณ นรฯบอกว่า ความโกรธถ้ามีอยู่ในจิตเราอย่าเอาไว้ในจิตเราเลย ท่านใช้คำว่า Get it out แต่โพธิรักษ์ใช้ไม่เป็น ของโพธิรักษ์ Kick It Out โพธิรักษ์จึงไม่เบาเหมือนเจ้าคุณนรฯไม่เหมือนหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เจ้าคุณนรฯท่านก็ได้แต่ตัวของท่านเอง แล้วท่านได้กลุ่มหนึ่งของติชนัทฮันห์ แต่ของหลวงปู่โพธิรักษ์นี้ได้มากกว่า จริง
ขณะนี้ ถ้าว่าแล้ว ชื่อเสียงของหลวงปู่ติชนัทฮันห์กว้างขวางกว่าหลวงปู่โพธิรักษ์มาก ขณะนี้นะ แต่บางเบา ในระดับเผินในระดับต้น แต่โพธิรักษ์นี้เป็นระดับแก่น เนื้อแน่นหนัก เป็นปรอท ไม่ใช่โฟม แล้วจะเป็นแก่นของศาสนาพุทธนี้ไปอีกนาน จนกว่าจะหมดพุทธกัป ของสมณโคดม
หลวงปู่ติชนัทฮันกับหลวงปู่โพธิรักษ์นี้ตรงกันที่ว่า It’s now เอาเลย สัมปติ Suddenly but now ท่านพุทธทาสก็เอาปัจจุบันจนเป็นปัจจุบันเลยเถิด
เพราะฉะนั้นความจริงคือปัจจุบัน เลยจากปัจจุบันไปแล้วไม่ใช่ความจริงจำคำนี้ไว้ก็แล้วกัน
_ถ้ามีฝรั่งมาบวชเป็นสมณะสักรูปหนึ่ง หลวงปู่ว่าอโศกจะก้าวหน้าขึ้นไหมครับ
พ่อครูว่า...มันจะเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง จะมีฝรั่งมาบวชถึงขั้นนั้นก็จะได้ มันก็จะช่วยได้ จริงๆแล้วแม้จะไม่มีฝรั่งมาบวช อาศัยคนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่ง ก็สามารถอธิบายได้พอดีพอสมควรอยู่แล้วขณะนี้ ขอให้ฝรั่งสนใจมาศึกษาเถอะน่า มาถึงขั้นมาบวชก็ได้ ไม่มาบวชก็ไม่มีปัญหา เรามีผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษภาษาฝรั่งที่จะอธิบาย ให้แต่ละคนๆ ที่มีภูมิที่สามารถ อธิบายให้ฟังแล้วคุณสามารถเข้าใจจนคุณจะมาเป็นอย่างนี้ได้ถ้าภูมิคุณถึง ได้
พวกเรามีภูมิทางภาษาพอเพียงที่จะใช้อธิบาย ให้ฝรั่ง หรือคนใช้ภาษาฝรั่งดีเข้าใจเป็น mother tounge เป็นภาษาที่เป็นภาษาแม่ภาษาเกิด
_การบิ้วอารมณ์ การสร้างอารมณ์ ควรทำไหมครับ
พ่อครูว่า...ไม่ควรสร้างอารมณ์ อารมณ์ที่คุณมีอยู่แล้วให้เรียนรู้ให้ละเอียดแล้วลดลงไม่ต้องไปสร้างอารมณ์
_เกร็ดดิน...จะเรียนถามว่าทำไมพ่อครูถึงฝึกตื่นทุกชั่วโมงแต่ต้น พ่อท่านมีสติแววไว ทำไมต้องฝึกอีก แต่ดิฉันทำไม่สำเร็จ เอาแค่ กำหนดเวลาหลับเวลาตื่นให้ได้ตอนกลางวันไม่นอนนี่ก็แย่แล้ว มีสติ รู้ลมหายใจเข้าออกแค่นี้ก็แย่แล้ว แต่ทำไมพ่อท่านถึงฝึกตื่นทุกชั่วโมง
พ่อครูว่า…ที่อาตมาฝึกตื่นทุกชั่วโมง คือต้องการทดสอบตัวเอง 2 ต้องการเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น คนที่ทำไม่ได้ก็ไม่ได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาเป็นตัวอย่างจะต้องนำพา
1. เราต้องสอบตัวเองว่าเราทำได้ 2. ก็เป็นตัวอย่างให้แก่ผู้อื่น 3. ผู้อื่นทำตามไม่ดีหรือ วิธีทำตามก็ได้ประโยชน์จริง
เกร็ดดิน...แต่ดิฉันเห็นผู้อื่นทำตามก็พักผ่อนไม่พอ
พ่อครูว่า..คุณอย่าเอาตัวเองไปวัด แต่คนที่เขาทำได้จะไปว่าเขาได้อย่างไร อย่างเช่นอาตมาทำได้ คนอื่นแม้ว่ายังทำไม่ได้เขาจะเพียร คุณล้มความเพียรก็เรื่องของคุณ แต่คนอื่นสุขภาพไม่เสียก็ไม่มีปัญหา ถ้าสุขภาพเราเสียก็อย่าทำ ถ้าสุขภาพเราไม่เสียก็ทำเลย
พระพุทธเจ้านอนแค่ 4 ชั่วโมงแล้วท่านก็ทำงานตลอดเลย อาตมาเองกลางคืนก็ทำงานอยู่นะ แต่ก็ยังไม่เท่าพระพุทธเจ้าแน่ กลางวันเดี๋ยวนี้ก็ยังสอนเยอะ อาตมามีภาวะซับซ้อน ต้องทำงานสอนเยอะแล้วต้องเตรียม อาตมาเตรียมการสอน เตรียมธรรมะอยู่ ถ้าว่ากันจริงๆแล้วเกือบทั้งวัน อาตมาเตรียมการสอนเตรียมทำมาเกือบตลอดทั้งวัน จนบางวันนี้ลงมา จะสอนอะไรดี มันเยอะ
เกร็ดดินว่า...ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นต้องเตรียม
พ่อครูว่า..ตอนนี้มีนักเรียนมาเยอะ มันกว้างขึ้น แล้วกว้างจนกระทั่งจะไปหาข้างนอก จะไปถึงนักการเมืองแล้วว่าอย่างนั้นเถอะ
_หนูขออนุญาตถามว่า ทำอะไรจะอ่านหนังสือเข้าหัวบ้าง
พ่อครูว่า...แล้วอ่านหนังสือเข้าอะไรไม่เข้าหัว อ่านเข้าแต่ตาเฉยๆ มันก็ต้องให้มันเข้าใจ ต้องให้เข้าหัว เข้าใจกับเข้าหัวก็น่าจะอันเดียวกัน เข้าหัวน่าจะได้แต่ความจำ แต่ถ้าเข้าใจคือเข้าไปทั้งสมองแล้วก็รู้รายละเอียด รู้นัยละเอียด เข้าใจแล้วก็ประทับใจ ใช้พยัญชนะอธิบาย ค่อยๆศึกษาไปไม่ต้องรีบร้อนใจร้อน อยู่ในหมู่กลุ่มนี้ไปจะได้ ตายแล้วเกิดมาอยู่ในหมู่กลุ่มนี้อีกก็จะได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เคยแต่งงานมีลูกแล้วมาแต่งงานใหม่จะได้พระโสดาบันไหม
_เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงผู้ชายที่แต่งงานมีลูกแล้วทั้งคู่ แล้วเลิกรากันไป แต่ต่อมาก็มาพบคนใหม่ ได้แต่งงานใหม่ทั้งคู่ จะนับว่า ชายกับหญิง 2 คนนี้เข้ากระแสพระโสดาบันได้หรือไม่คะ
พ่อครูว่า...ถ้ามันถูกต้องตามระบบระเบียบของสังคม กฎระเบียบสังคมมันมีกฎหมายก็ดีวัฒนธรรมก็ดี ขาดกันโดยเฉพาะเอากฎหมายเป็นหลักเลย ถ้ายิ่งเอาใจเป็นหลักเลย เอากายเป็นหลักเลย ไม่ใช่สำส่อนอยู่ทั้งคู่ไปไปมาๆแล้วก็เลิกกันอยู่ แต่ถ้าเด็ดขาดแล้วไม่สำส่อนแล้วเลย หรือว่าเอาหลักกฎหมายเลยชัดเจนเลยมีคู่เดียวผัวเดียวเมียเดียว ไม่สำส่อน ถ้าเป็นโสดก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ก็มีข่าวคราวฉันเป็นโสดฉันมีสิทธิ์ แต่ถ้าไม่โสดแล้วมีคู่แล้ว เป็นกฎหมายสากลมีคู่แล้วก็ไม่ควรนอกออกนอกกายนอกใจคนอื่น มันเป็นเรื่อง อันนี้รู้กันทั่วแล้วมันเป็นกฎสากล สรุปแล้วก็ต้องอยู่ตามกฎของสากลของโลกกฎหมายเป็นต้นหรือวัฒนธรรม ถ้าจะให้ดีแล้วไม่ผิดกฎก็ได้ไม่มีปัญหา
มันก็มีปัญหาอยู่ที่ความจริงเท่านั้นคุณอยากจะมากขึ้นหรือเปล่าถ้าคุณน้อยลงจนไม่ต้องมีคู่เลยไม่ต้องมีเรื่องเพศเลยก็ยิ่งดีก็เท่านั้นแหละความจริง
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ตายแล้ววิญญาณไปไหน
_เมื่อคนเราตายไปแล้ววิญญาณจะไปไหนต่อครับ
พ่อครูว่า..ตายไปแล้ววิญญาณไปตามวิบากที่เราทำกรรมชั่วกรรมดี ถ้าทำดีก็ไปสู่ที่เจริญถ้าทำชั่วก็ไปสู่ที่ไม่เจริญ เรียกว่าอบายมุขหรือนรก หรือทุกข์ร้อนหรืออะไรซึ่งเราคิดไม่ออกแล้วไม่ต้องไปคิด มันเป็นความจริงตามวิบาก ไปแก้ไม่ได้ไม่มีใครแก้ได้ที่บอกว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สั่งการเป็นผู้พิพากษา ไม่ใช่ คุณมีกรรมน้อยกรรมมากกรรมหนักกรรมเบา เป็นของคุณเลยของคุณเองคุณทำของของคุณ ไม่มีใครมาพิพากษาไม่มีใครมาตัดสินไม่มีใครมาทำ ของจริงตามความเป็นจริงที่คุณมีกรรมที่หนักเบาน้อยอย่างไร กรรมเป็นอันทำเท่าใดๆเท่านั้นๆ ดีมากดีน้อยเท่าใดๆเท่านั้นของจริงที่คุณทำจริงเท่านั้น ไม่มีใครตัดสินได้ไม่มีใครไปเบี้ยวความจริงด้วย ไม่มีใคร ความจริงซื่อสัตย์ต่อความจริงที่สุด ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงความจริงให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงได้ ความจริงซื่อสัตย์ที่สุดต่อความจริง
_ทนายแดง(สู่แนวเพียร ชวลิต) ...เมื่อสัปดาห์ก่อนผมฝันถึงหลวงพ่อถนอมคูณ ผมเลยอยากถามว่า การทำใจก่อนที่จะเสียชีวิต ผมอยากจะให้หลวงปู่สอนสิ่งนี้ เพื่อจะฝึกว่า หากเราเกิดทุกขเวทนา จากโรคภัยไข้เจ็บจนถึงขั้นจะเสียชีวิต การที่จะวางจิตวางใจละสังขารนี้ไป ที่พ่อครูเคยบอกหลวงพ่อถนอมคูณว่าให้วางใจ ผมเองผมก็ไม่แน่ใจว่า ถึงเวลานั้นเวทนามันจะแรงกล้า ในความเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะทำใจอย่างไร
พ่อครูว่า...อันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียวแต่ไม่ต้องเป็นกังวล ถ้าเป็นกังวลมากก็จะทุกข์มากก็จะสับสน เพราะฉะนั้นมันก็จะยุ่งยาก ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆเถอะ หัดวาง นี่ เป็นการทำสูงที่สุดแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นพวกนั่งหลับตาสะกดจิต สะกดจิตยึดถือแน่นไม่ออกจนกระทั่งยึดถืออัตภาพตัวเองมาก ไม่ยอมทิ้งชีวิต ไม่ยอมทิ้งอัตภาพ ยึดๆๆในอัตตา ไม่เรียนรู้อัตตาไม่วางอัตตาไม่ทิ้งชีวิต ไม่รู้ว่าตายคือตาย จบแล้วเลิก พลังงานจิตยังยึดอัตตา โดยไม่รู้ว่าสอนยึดอัตภาพ นักสะกดจิตหลับตาอย่างสายจีน นั่งสมาธิหลับตานั่งตายเลยแล้วเนื้อก็ไม่เน่า เป็นสิบปียี่สิบปี 50 ปีก็บูชากันอยู่นั่นแหละ
ความหลงยึดถืออย่างนี้ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักอุตุธาตุ จิตธาตุ จนกระทั่งรู้ตายก็คือตายเป็นก็คือเป็น เพราะฉะนั้นตายก็ต้องทิ้งร่าง แต่พลังงานที่ไม่รู้จักร่างไม่รู้จักอัตตาไม่รู้จักพลังงานจิตนิยาม พีชนิยาม อุตุนิยาม เกาะยึดอัตตา แล้วก็เลยยังอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมเน่าก็คือปรุงแต่งสังขารตัวเองอยู่แล้วตัวเองก็ยึดติดอยู่ที่ตัวกูของกู เป็นคนที่มีกิเลสยึดถืออุปาทานแน่นหนานาน คนที่เข้าใจผิดอย่างนี้จะอยู่ในวัฏสงสารนั้นมากจนกว่าจะบรรลุอรหันต์ กลายเป็นคนที่จมอยู่ในอัตภาพ ไม่รู้จักอัตตาไม่รู้จักอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูตายแล้วไม่รู้จักตาย แค่เข้าใจว่า พีชธาตุก็จะคลายได้เยอะแต่นี่ตัวกูของกูแน่นหนาหนัก ความเข้าใจผิดว่าตายแล้วไม่เน่าต้องบูชาเคารพอันนี้เป็นการบูชาคนที่มิจฉาทิฏฐิ เป็นการบูชาคนที่มี อัตตามากอุปาทานหนัก การเอาไปใส่ตู้กระจกบูชากันพวกนี้น่าสงสารยังไม่เรียนรู้ อัตตาอุปาทานยังติดยึดอีกนาน ยังงมงายมีอวิชชาอีกมากยากที่จะบรรลุอรหันต์ คนๆนี้นานมากที่จะบรรลุอรหันต์เพราะยังแยกอุปาทานยังแยกอัตตาไม่ได้
ยึดถืออุปาทาน ยึดอัตตา อัตตาตัวเองก็ไม่รู้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
อุปาทานก็ไม่รู้ เลยสร้างอุปาทานหนัก อัตตาก็เลยยิ่ง เป็นตัวเป็นตนแน่นหนักหนา นี่เป็นความซับซ้อนอย่างนี้ อาตมาไม่ได้แกล้งว่า ไม่ได้ข่มเขานะ แต่มันงงเข้าใจผิดเป็นโมฆะน่าสงสาร มีอีกเยอะ ยิ่งมีพระอาจารย์สายตู้กระจก ลูกศิษย์ก็หากินกับการที่คนมาทำบุญกราบไหว้อาจารย์ หลายวัดบูชารูปไม่เน่านี้ ยังอยู่มีเยอะ เพราะฉะนั้นทำความรู้ความเข้าใจให้ดีๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมถะ วิปัสสนา) ตอน การวิปัสสนาที่ถูกต้อง
_วิปัสสนา ที่ถูกต้องทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ยากมากเลย วิปัสสนา มีตากระทบรูป มีธรรมะสองให้เห็นอยู่นี่แหละ ต้องมีการเห็น ตามวิโมกข์ 8
รูปีรูปานิปัสสติ ปัสสนาเป็นมรรค ปัสสติคือตัวจบ ต้องมีการเห็นปัสสี ปัสโส มีตากระทบรูปเห็น มีหูกระทบเสียงเรียกว่าเห็น มีจมูกกระทบกลิ่นเรียกว่าเห็น มีลิ้นกระทบรูปในปัจจุบันเรียกว่าเห็น มีผัสสะ มีปรากฏการณ์ของผัสสะ
มีการกระทบสัมผัสกันจริงแล้วเกิดสภาวะรับรู้ได้จริงมีธาตุ 2 ระหว่างรูปกับนาม ระหว่างภายนอกกับภายใน เพราะฉะนั้นไปหลับตาสมาธิไม่มีการสัมผัสภายนอก โมฆะจากศาสนาพุทธ อาตมาจะต้องช่วยคนที่หลับตาสมาธินี้อย่างหนักหนาเหน็ดเหนื่อย ทุกวันนี้ก็เหนื่อยพอสมควรแล้วแต่ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ ก็มีพอเข้าใจแล้วก็มาปฏิบัติได้ประมาณนี้แหละ นอกนั้นยังหลับตาอยู่อีกมาก ถ้าพวกหลับตานี้ตื่นนะ ตื่นรู้แล้วก็เลิก แล้วก็หันมาสนใจอย่างที่อาตมาพาทำ ศาสนาพุทธจะกระเตื้องขึ้นมาอีก อย่างทันทีทันใด จะกระเตื้องขึ้นทันตาเห็น แต่อาตมาไม่มีบารมีพอ ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้อยากจะเก่งกว่านี้ คนเขาก็ไม่ศรัทธา เขาก็ไม่เชื่อฟัง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็มีแต่ปรารถนาดีด้วยความจริงใจ ว่าอย่างนั้นอาตมาเคยหลงมา แม้แต่ในชาตินี้ปางนี้ เป็นนายรัก รักพงษ์ ก็ไปเล่นไสยศาสตร์หลับตา อยู่ตั้ง 8 ปี แล้วก็ติดต่องแต่ง กว่ามันจะหมดฤทธิ์ลิงลมอมข้าวพองก็นาน
ก็อยากให้เขาเข้าใจว่าการหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าเลย สมาธิของพุทธเจ้าลืมตามีสติสัมปชัญญะมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติสัมปชัญญะเต็ม ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ แล้วก็อ่านจิตในจิตทัน แยกสังกัปปะออก เป็นสังกัปปะ 7 วิจัย สามเส้าของ ตักกะวิตักกะสำเร็จ จนกระทั่งรู้จักกิเลสลดกิเลสได้ รู้อาการ ลิงคะ แล้วก็ฆ่ากิเลสกาม กิเลสปฏิฆะได้ ก็จริงจะจบลงเป็นจิตที่ไม่มีกิเลส
จิตไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องทำ เมื่อทำให้จิตสะอาดได้ จิตก็ตกผลึก มาเป็นจิตที่สะอาด ก็ต้องทำจิตให้สะอาดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทำอย่างนี้เรียกว่าภาวนา ทำอย่างที่ทำได้แล้วนี่แหละ ทำอีกทำแบบนี้ได้อย่างนี้ ทำเรียกว่าสั่งสม อเนญชา
จิตที่คุณทำให้กิเลสออกไปจากจิตได้แล้ว จิตนี้ก็ตกผลึก ยังไม่ถือว่าสมาธินะ เป็นจิตที่ได้ผล จิตก็จะตกผลึกลงไปแล้วก็ตกผลึกตั้งแต่ 2 หน่วยทำอีกเป็น 3 หน่วย เป็นสิบหน่วยร้อยหน่วย ก็จะจับตัวกันเป็นผลึกจับตัวกันเป็นผลึกแน่น จึงจะเกิดความแน่นอัปปนา จนกระทั่งเกิดในระดับกลางเรียกว่า พยัปปนา จนแน่นขึ้นอีกเป็นหน่วยของล้าน จากล้านเป็นอเนญชา แน่วแน่ไม่หวั่นไหว กระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้งกระทืบอย่างไรก็ไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง อสังหิรัง หักล้างไม่ได้ สิ่งที่ได้แล้ว อสังกุปปังไม่กลับเวียนมาเกิดอีกใหม่ ไม่เลย จบแล้วจบเลยตายแล้วตายเลย ต้องมีคุณสมบัติอย่างนั้นจึงจะเรียกว่า เจตโสอภินิโรปนา
เพราะฉะนั้นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขารคือล้างกิเลสได้ ทำได้แล้วไม่ต้องทำอีก เรียกอปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องไปชำระอีกแต่ทำซ้ำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำโจทย์แบบตัวเก่านี่แหละ วันนี้เขาเอาปลาจ่อมให้กิน ก็ไม่กิน พรุ่งนี้เอามาให้อีกก็ไม่กิน เราไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเราก็จะแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่เอาปลาจ่อมมาแล้ว ไปเจอปลาจ่อมทีหลังอีก ก็พิสูจน์ได้ว่าเราไม่หวั่นไหวแล้วเราเฉยอีก จนกระทั่งเจอปลาจ่อมมา เขาหลอกเอาใส่อะไรมา เมื่อใส่เข้าไปในปากรู้ว่าปลาจ่อมเรารู้ตัวแล้วเราก็เอาออก ไม่ได้ติดเลย
เพราะฉะนั้นก็จะเกิด อปุญญาภิสังขาร อปุญญาไม่ได้แปลว่าบาป ผู้ที่แปล อปุญญาว่าบาป พยัญชนะบุญเป็นเอกังสวาที เป็นพวก One way Traffic ไม่มีการย้อนศรเป็น Nuclear Fission ไปทิศทางเดียวเลย เอกังสะ ไม่มีโค้งงอ บุญทำหน้าที่จบแล้วก็จบเลย ก็จบไม่มี 2
ไปเพี้ยนอปุญญะว่าบาปอีก อันนี้ยังไม่เข้าใจพยัญชนะของสภาวะบุญ บุญมีสภาวะเดียวคือ เอกังเสนะ ไม่ใช่วิภัชวาที หลากหลาย กลับไปกลับมาอีก ไม่ใช่ ไม่มีกลับไปกลับมาบุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ถ้ากิเลสลดจบสูญอย่างเดียว จึงเกิด ปุญญปาปปริกขีโณ
บาปหมดบุญก็หมดไปด้วยกันเลย เป็นเทวธัมมา สูญๆๆๆ สภาวะอันนี้จึงไม่อาจเดาเอาเองคิดเอาเองได้ อาตมามีของเดิมแล้วจึงเอามาพูด มายืนยันของเดิม ชาตินี้เราก็เจอสภาวะอย่างนี้ เราก็ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วอาตมาก็ทำได้จึงเอามาสอนคนแนะนำคนเอามาพูดยืนยันว่าอาตมาพูดนี้ยืนยันว่าเป็นความถูกต้อง สัจจะของพระเจ้านี้มันได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว อาตมาถึงเหนื่อย เกิดมาชาติหน้าก็คงจะเบาลงกว่านี้ได้ คงจะค่อยยังชั่วกว่านี้ ผู้ช่วยก็จะดีกว่านี้ ตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรมันต้องแรงก่อน
ต่อมา
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนโลกุตระกับคนจนโลกียะต่างกันอย่างไร
_คนจนโลกุตระกับคนจนโลกียะแตกต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า..คนจนโลกุตระ 1. จนอย่างมีปัญญาเข้าใจว่ามาจนนี้ดี เป็นการเข้าใจจริง ไม่ใช่เสแสร้งไม่ใช่ฝืน ถ้ายังฝืนอยู่แต่คุณก็เห็นว่าดี ดี แสดงว่า คุณมีตัวเข้าใจลึกๆว่า มาจนนี้ดีกว่าไปรวย มาจนไม่เมื่อยเท่าไปรวย ไม่ต้องหนักหนาสาหัสที่จะต้องไปแย่งเขา มาจนนี้มันง่ายกว่า คนมีเงิน 1 ล้าน ให้เงินหนึ่งล้านเขาไป กับคนไม่มีเงินเลยคุณจะต้องหาเงิน 1 ล้านให้ได้อันไหนยากกว่ากัน พูดอย่างนี้ก็ว่าไม่ได้
คุณจะหาเงิน 100 ล้านนี้ ไม่ง่ายนะ แต่ถ้าหมื่นล้าน คุณก็ให้เซ็นให้เขาไปเลย แล้วกว่าจะหาได้ 10,000 ล้านนี้มันง่ายหรือ นอกจากโกงเอาก็ยังยากเลย จนกระทั่งเขาเอาเข้าคุก
คนไทยนี่ใจดีจริงๆแล้วตามจับจริงๆก็ตามจับได้ แต่คนไทยใจดีบอกว่าเอาเถอะ วิบากใครวิบากมัน เพราะคนไทยรู้จักกรรมวิบากเชื่อกรรมเชื่อวิบาก เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าไม่ต้องรุนแรงอะไรหรอกปล่อยเขาไปเถอะ เขาจะมีวิบากของเขาเอง วิบากของเขาจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นเอง คนไทยเข้าใจสัจธรรมของศาสนาพุทธลึก จึงรู้ว่า เท่านี้พอ มากกว่านี้จะดูรุนแรงจึงไม่รุนแรง เป็นการเอ็นดูกรุณา แล้วเขาก็ไม่รู้ตัวเขาก็ยังทำชั่วทำบาปซ้ำเข้าไปอีกใครจะไปห้ามได้ ไม่อยากให้เขาทำ แต่เขายังทำอยู่ ยังไม่หยุดทำชั่ว แล้วไม่รู้ตัวแล้วจะไปทำอย่างไร
_ทำไมคนบ้านราชฯ ไม่ทำความสะอาดบริเวณน้ำตกเลยเพราะมันเป็นตะไคร่น้ำดูไม่ดีเลยกลัวว่าคนจะหกล้มลื่นได้
พ่อครูว่า...ก็ช่วยกันอยู่ น้ำมันต้องมีตะไคร่น้ำ ประเทศไทยมีเชื้อของตะไคร่น้ำ
_ทำชั่วทำเลวจะอยู่ในอโศกได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ไม่ได้
_น้องเพ็ญ ..พ่อครูคะ ถ้าเราโกรธเราจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า...ก็ต้องหยุดอย่าทำอาการโกรธอย่างนั้น อาการที่เรารู้ว่าคืออาการโกรธ ทำอาการอย่างกลางๆสดชื่นรื่นเริงสนุกสนาน เราทำอาการอย่างนั้นแล้วมันจะต้องร้องเสียงว่า แงๆๆ ก็หยุด มาทำอาการอย่าง ฮะๆๆๆ อย่าไปทำอาการแงๆๆ เอาอาการ ฮะๆๆๆ เอาแค่นี้ก่อน
_ผมอยากมีกำลังใจอยู่ต่อจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า...เอากำลังใจของอาตมาไปเลย ก็ต้องทำกำลังใจของเราสิ ใช้ปัญญา หมู่นี้ดีหรือไม่ ถ้าไม่เห็นว่าหมู่นี้ดีก็ออกไปเถอะ แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าหมูนี้ดีก็ควรจะอยู่ต่อ แต่ถ้าพิจารณาแล้วอย่างไรอย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมู่นี้ดี พยายามฝืนอยู่ให้ได้ แม้ว่าหน้านองน้ำตาอยู่ พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ ฝืนอยู่ไหมหน้าน้องน้ำตาพระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ พิจารณาให้จริงว่าหมู่กลุ่มนี้ดีจริงถ้าดีจริงแล้วอยู่ แม้จะหน้านองน้ำตาอยู่
แต่ถ้าพิจารณาจริงๆแล้วว่าไม่ดีไม่เข้าท่าก็ออกไปก่อน อาตมาว่ามันฝืนเกินไป อาตมาก็เห็นใจไม่ดีหรอก เดี๋ยวระเบิดแล้วมันจะยุ่ง แต่ถ้าเห็นว่าดีอยู่ก็เอาเถอะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ผีมีจริงหรือเปล่า
_น้อมยอดธรรม...ดิฉันทำงานฐานอุทยานบุญนิยม วันอาทิตย์ที่แล้วดิฉันอยู่ๆ มันเกิดวิบากตาม กุศลกำลังสร้างทุกวัน แต่วิบากมา มันขาเจ็บ ขามันปวดเหมือนรถชน ดิฉันคิดถึงว่า เวทนารู้สึกว่าเจ็บหัวเข่าแต่ใจก็ไม่ได้ทุกข์แต่มันต้องไปแล้ว เพื่อนบอกว่าให้ไป รพ.วารินฯ ดิฉันไปนั่งรถเข็นเขาก็พาไปหาหมอ ดิฉันคิดว่าวิบากกับกุศลนี้ ตามกันมาเกือบทัน ดิฉันเป็นแค่ 5 วันกุศลคงตามมาจึงได้แค่นั้น แต่ดิฉันคิดถึง ปูนาที่เราคงไปทุบมัน ขอบอกทุกคน เราเป็นอะไรก็รีบรักษา
_กล้าธรรม...อ่านคนจนที่มีแบบ อย่างสมณะของเรา เวลาท่านไปบิณฑบาต ช่วงเสื้อแดงไล่ เซ๊ๆๆ บางทีก็เขาใส่บาตรหมาฉี่ใส่ก็ยอม แต่ถ้าใครเอาเงินมาใส่บาตรก็เป็นเรื่องไม่ยอม ต้องมีการเจรจาตกลงกัน มีข้อต่อรอง เพราะท่านกินน้อยใช้น้อย เขาก็ขอให้ ก็ไม่ได้เราก็ไม่รับ คือเหมือนกับยอมหรือไม่ยอม เป็นลักษณะของสิริมหามายาใช่ไหม
พ่อครูว่า...ใช่ โลกจะทำอย่างไรเราไม่ยอม จะเอาเงินมาให้เราไม่ยอมรับ แต่หมาฉี่ใส่เรายังยอม เป็นการยึดถือที่ไม่ตรงกันกับทางโลก สลับกัน ทางโลกกับทางธรรม หมาฉี่ใส่ยอมได้แต่ให้เงินมาไม่เอา ทางโลกนั้นกลับกันหมาฉี่ใส่ไม่ยอมแต่คนเอาเงินให้ยอม
_พ่อครูครับ เราจะเป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า..ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร
จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:31:48 )
รายละเอียด
611226_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ราชธานีของโลกุตรธรรม
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1oPdHBBi5HGtkBFBlkbV1yjosr-YIoHgXfksnlwhe-nE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1mb9vpd97ftUA1rXqPlHJO-XoXyhZgBiy
สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน คนเราเกิดมาควรละอาสวะอนุสัย
พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ฟังธรรม ของงาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน เราได้จัดงาน ว.บบบ.ครั้งนี้ครั้งที่ 6 ก็เป็นงานที่เราจะสร้างสรรค์บัณฑิต คำว่าบัณฑิตคือผู้รู้ บัณฑิตคือผู้ที่มีความรอบรู้จริง แต่ความรอบรู้ของพระพุทธเจ้าท่านหมายนี่ หมายถึงสภาวะ ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นที่เข้าหมายเป็นแค่ ไปเรียนกันที่ในสำนักตักสิลา ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ที่สอนบรรยายกัน พาทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็สอบได้ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่หมายความถึงเนื้อแท้ของจิตวิญญาณ เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณได้เปลี่ยนแปลง จิตวิญญาณได้เกิดพัฒนาการ ในตัวจิตวิญญาณเองจริงๆเลย จากจิตที่มันต่ำ จิตที่มันไปยึดติด หรือชัดๆคือจิตที่มีกิเลส แล้วจิตก็มีกิเลสหลุดออก จางคลายออก จิตหมดกิเลสออกไปเรื่อยๆ เป็นลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนั้นคือบัณฑิตที่แท้ ก็ลดลงไป เป็นผู้ที่หมดอาสวะ
อาสวะ 3 คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ขยายเป็นอาสวะ 4 เติม ทิฏฐาสวะ
ผู้จะหมดสิ้นอาสวะก็คือ ผู้หมดสิ้นอวิชชาสวะ ก็จะต้องเป็นผู้ที่ถึงขั้นปัญญาวิมุติ จึงจะหมดสิ้นอวิชชาสวะ ถ้าหากแค่กายสักขี ก็จะมีอาสวะบางอย่าง
บุคคล 9
1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า 3. อุภโตภาควิมุติ 4.ปัญญาวิมุติ 5. กายสักขี 6. ทิฐิปัตตะ 7. สัทธาวิมุติ 8. ธัมมานุสารี 9. สัทธานุสารี
บุคคล 9 นี้คือคนในมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าที่จะมีเนื้อหาสาระ
ทิ้งอาสวะคือกิเลสตัวปลาย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะหมดสิ้นอวิชชาสวะ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ
ผู้จะสิ้นอาสวะตัวปลายก็ต้องรู้จักสังโยชน์ อาสวะ แล้ว ก็จะมีความรู้เพิ่มไปอีกชั้นก็คืออนุสัย
อนุสัย กับอาสวะ
สวะ ก็แปลว่าตัวตนสภาวะของจิตสัตว์โลก
สยะก็คือจิตของสัตว์โลก ผู้ที่สามารถรู้ถึงขั้นรายละเอียด อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้พอสมควรแต่ก็ยังไม่ได้รู้ชัดทุกสภาวะ แต่ก็พอรู้ ถ้ายังไม่ถึงอาตมาไม่รู้เรื่องหรอก จะรู้พยัญชนะตั้งแต่ กข ค ฆ ง แต่ละพยัญชนะหมายถึงสภาวะอย่างไรแล้วมาสัมพันธ์ร่วมกันผสมร่วมกัน เป็นสภาวะต่างๆ เพราะฉะนั้นบัณฑิตที่สามารถรู้ทุกคำแล้วผสมระหว่างพยัญชนะและสระ ต่างๆ โอ้โห... เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 ก็จะรู้มากยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่ยังไม่ถึงระดับอาตมา ก็จะเรียนพยัญชนะตัวหนังสืออะไรที่ท่านเรียนกันตามบาลี ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองกันไป ยังไม่เข้าไปลึกถึงขั้นขยาย ไปซับซาบ สภาวะแต่ละพยัญชนะ สระที่รวมกัน
คนฉลาดที่จะสร้างภาษา ภาษาเกิดก่อน แล้วพยัญชนะจะเกิดทีหลัง ภาษาที่พูดกันเกิดก่อน มากมายเยอะแยะ เสร็จแล้วก็มาสร้างพยัญชนะใส่ ก็ยังมีคนที่มีแต่ภาษายังไม่มีพยัญชนะ เอาไว้สำหรับเขียนสื่อสารกัน แต่เขาก็พูดกัน มีภาษาพูดกัน แต่พยัญชนะยังไม่เกิดมา ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเผ่าที่ไม่มีตัวหนังสือ มีแต่ภาษาพูดกัน ซึ่งนับไม่ถ้วนในโลก มีไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนภาษา ก็สื่อกันด้วยพยัญชนะ อาตมาก็ใช้ภาษาไทยสื่อ ขยายความมาจากรากฐานพระพุทธเจ้าที่ยึดถือในบาลีเป็นหลัก เราไม่ได้เรียนมาบาลีโดยตรง แต่เราก็พยายาม เอารากเหง้าของความหมายบาลีมาใช้อาศัย
อาตมาเกิดมาชาตินี้ ก็ยังภาคภูมิใจที่ได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้า มาอธิบายมาให้ศึกษากัน ในประเทศไทย 60 ล้านคนกว่า ก็มาได้ประมาณนี้ 500-600 คน ถ้า 670 ล้าน มาแค่ 670 คน หนึ่งในแสนคน ก็ถือว่าเป็นแก่น ลงทะเบียน 467 คน คนที่ไม่ลงทะเบียนอีกก็มีเยอะ
ได้คนแค่นี้อาตมาทำงานมา 40 กว่าปีถือว่าสร้างบัณฑิตสร้างคนที่ลดละอาสวะ ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม แต่ก่อนนี้เรามีกิเลสติดเสพถึงขั้นเป็นอาสวะ กิเลสาสวะ เป็นกิเลสขั้นอาสวะคือมีความยึดติดเป็นตัวเรา สวะ ตัวตนเรา ต้องได้ต้องเป็นต้องมีต้องเสพ
ยกตัวอย่างคนติดกาแฟ ไม่ได้ล่ะ เช้าขึ้นมาก็ต้องซดกาแฟก่อน ถ้ายังไม่ซดกาแฟแทบจะเรียกว่าทำอะไรไม่เป็นเลย มันต้องซดกาแฟก่อน ติด อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นกิเลสาสวะ เป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตนจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นจะต้องกินต้องใช้เป็นเราเป็นของเรา อย่างน้อยก็มีมาเป็นของเราเลย ...ต้องได้เพชรก้อนนี้มา เป็นต้น เอาใส่ไว้ในเซฟ วันใดวันหนึ่งก็ไปเปิดเซฟดู เฮ้ย เพชรมันหายไปไหน ปรากฏว่าคนที่เปิดเซฟได้เอาไปจำนำเอาไปขายแล้ว ก็ฆ่ากัน เพราะยึดติดว่าเป็นของเรา ฆ่ากันแม้จะเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่กันมา คนหนึ่งเอาของของเราไปขายเอาไปที่ไหนไม่รู้ เรา พรากจากสิ่งเหล่านี้ ขาดจาก ความเป็นของของเรา นี่คืออธิบายเป็นลักษณะสภาวะแท้ของมนุษยชาติ
คนเราก็มาติดมาติดยึดอย่างนี้ เราไม่ต้องยึดถืออะไรเป็นของเราหรอก สิ่งที่ต้องอาศัยมันคืออาหาร จะต้องกินต้องใช้เข้าไปสังเคราะห์ร่างกายนี้เป็นปัจจัยสำคัญนอกนั้นก็มีเสื้อผ้าก็ต้องใช้ประจำตัว ไม่อย่างงั้นอุจาด กันร้อนหนาวแมลงสัตว์กัดต่อย นอกนั้นก็มีที่พักอยู่โรงเรือนอาศัยกันไป เจ็บป่วยก็มีหยูกยารักษาโรคภัย นี่คือปัจจัย 4 ศาสนาพระพุทธเจ้าค้นพบเป็นความสำคัญที่ต้องอาศัยนอกนั้นก็มีบริการ วัตถุอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยใช้สอย เดี๋ยวนี้ต้องมีถึงขั้นคอมพิวเตอร์ แว่นตา ถ้าขาดแว่นตาทำอะไรไม่ได้เลยนะ ตามันสั้น หนักเข้าต้องมีคอมพิวเตอร์ขาดคอมพิวเตอร์ทำอะไรไม่เป็น ถือว่าเป็นบริขาร เป็นชีวิตที่ต้องทำงาน
ส่วนคนที่จะทำงานแล้วเอาไปหาเงินเอาไปสร้างรายได้ คือจะบำเรอความโลภ อีกชั้นหนึ่ง มันก็เป็นเหตุปัจจัยไปเรื่อย คนที่ติดยึดสิ่งเหล่านี้น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่ง อย่างอาตมามีอาหารกินหรือไม่มีกินก็ไม่กังวล มีเครื่องมือให้ใช้ก็ทำงาน ทำงานก็ไม่ได้เพื่อได้ลาภยศสรรเสริญได้อะไรแลกเปลี่ยนกลับมา ทำก็ทำเพื่อให้ จะทำงานใช้เครื่องมือเครื่องไม้อุปกรณ์ต่างๆก็เพื่อทำงานให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นไป แล้วตัวเองชีวิตก็ งานอะไรควรทำแต่ละกาละเวลาก็ทำ ทำขึ้นมา
สรุปแล้วชีวิตคนอยู่กับกรรมกับการงาน ชีวิตๆหนึ่งก็คือกลุ่มก้อนของกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก้อนของกรรมที่กระทำอันนี้เรียกว่าดี กระทำอันนี้เรียกว่าชั่ว อันใดที่ควรทำอันใดที่ไม่ควรทำ มันก็เป็นผลที่สมบูรณ์แบบออกมาเป็นกรรม มีผลทั้งต่อเรา และออกไปสู่ภายนอก เกิดผลผลิต ผลิตตะ ออกมาให้ไปอาศัย อุปโภคบริโภคต่อไปเรื่อย
สัตว์เดรัจฉานมันไม่ทำงาน มันไม่มีผลผลิตอะไร มันได้แต่ไปกินธรรมชาติอาศัยธรรมชาติไป มันไม่ได้สร้างอะไร แต่คนเป็นสัตว์โลกที่มีภูมิปัญญา ทั้งสร้างขึ้นมาเป็นวัตถุอุปกรณ์เป็นผลผลิตอะไรต่ออะไร ทั้งดูแลรักษาธรรมชาติ ช่วยปลูกฝังรักษาเมล็ดพันธุ์ ช่วยรักษาเชื้อพันธุ์อะไรต่างๆหมุนเวียน คนจึงเป็นสัตว์โลกที่มีประโยชน์ต่อโลก แต่คนก็เป็นสัตว์โลกที่ทำลายโลกยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก เดรัจฉานได้แต่กินแต่อยู่อาศัยใช้สอยตามประสา แต่คนเอามาใช้สอยได้เยอะและสร้างได้ด้วย แต่ที่ไม่มีภูมิปัญญาผลาญพร่ามีเยอะ คนต้องรู้ว่าเราควรทำลายหรือสร้างสรร ความเป็นคนจะต้องสร้างสรร
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ปัญญาโลกุตระพาละสุขทุกข์
สรุปคนอย่างชาวอโศกทำลายน้อย จนกระทั่งเป็นผู้ที่ไม่มีกรรมกิริยาทำลาย นอกนั้นก็สร้าง ชาวอโศกเป็นผู้ที่ไม่ผลาญไม่ทำลาย แต่สร้างช่วยโลก แล้วเราก็มาสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดก็คืออยู่กับกสิกรรม เราไม่ไปสร้างแม้แต่การทำปศุสัตว์ ทำการประมง การประมงเขาก็มีการสร้างมีการเลี้ยงปลา ก็มีบ้าง แต่มันก็สู้ธรรมชาติไม่ได้หรอก แม้จะปศุสัตว์ก็ตามมันก็สู้ธรรมชาติเองไม่ได้ แต่ก็ยังดี คนก็ไปรักษาไปช่วย ก็เป็นธาตุรู้ภูมิรู้ เรียกว่าภูมิเฉกา ภูมิรู้สามัญโลกียะ
ถ้าได้มีปัญญาก็ต้องเป็นปัญญาขั้นโลกุตระ
ปัญญาขั้นโลกุตระ หมายความว่ามีความฉลาดทำกรรมกิริยาต่างๆ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วมีสติสัมปชัญญะมีปัญญา รู้ว่าเราจะตามจิตของเรา แล้วก็รู้จัก ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มีกาม มีพยาบาท ผสมมากับจิตไหม ถ้ามีก็รู้ทัน จับ วิเคราะห์วิจัย จับเอาตัวกาม เฉพาะอาการของกาม เฉพาะอาการของปฏิฆะ แล้วมาจัดการ กำจัดกาม กับกำจัดปฏิฆะ
วิธีกำจัดก็ด้วยการ กดข่ม สมถะ แล้วก็ใช้ความรู้ พิจารณารู้ว่าอาการกามมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นพลังงานที่มันเกิดในจิตเรา มันก็เกิดเป็นคราว แล้วมันก็หายแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปมันไม่เที่ยง แต่มันเกิดมาก่อทุกข์ก็เวรก่อภัย จิตวิญญาณนี่มันเกิดมาก่อทุกข์ แม้ว่าจิตวิญญาณมันเกิดมาเป็นกาม เป็นปฏิฆะ
ปฏิฆะ แปลว่า ถูกกระทบกระแทกกระเทือน เคลื่อนไหว ฆ กับสิ่งหนึ่งเรียกว่ารูปนาม
ฆ คือก้อนแล้วมีพลังงานเกิด กระทบกระแทกกันเรียกว่า ปฏิฆะ
มันเกิด ปฏิฆะ อย่างนั้นขึ้นมาแล้วก็เกิดอารมณ์ พอใจกับไม่พอใจ
พอใจเรียกว่าสุข ไม่พอใจเรียกมันว่าทุกข์ คนไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างที่อาตมาอธิบายขยาย ตามที่พระพุทธเจ้ารู้ ให้อ่านอาการสุข ผู้ไม่ศึกษาก็ไม่รู้ว่าเหตุอะไรมันเกิดสุขเหตุอะไรมันเกิดทุกข์มันก็ต้องมีเหตุ เหตุที่เราตั้งเป้าเอาไว้เรียกว่าอุปาทาน ยึดติดมานานไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว ถ้าได้มาอย่างนี้ เมื่อใดมากระทบกันก็เกิดสุขเกิดพอใจ ถ้าไม่ได้มาดังที่ตั้งไว้สมมุติไว้ ก็ไม่พอใจ
ชีวิตก็เลยอยู่กับสุขกับทุกข์ แต่แท้จริงแล้ว สุขมันก็ไม่มีทุกข์มันก็ไม่มี อนัตตา แต่คนที่ไม่ได้ศึกษาก็จะอยู่กับสุขกับทุกข์ ยิ่งเป็นเทวนิยม จะไม่เอาทุกข์จะเอาแต่สุข แล้วก็ไม่เคยศึกษาว่าคุณแยกสุขกับทุกข์ไม่ออก คุณตีแตกคำว่าสุขกับทุกข์ไม่ได้
สุขกับทุกข์เป็น dualism เป็นคู่หู คู่ฆ่าแกงกัน คู่รัก คู่ปฏิปักษ์ ก็มีสองอย่าง คู่ฆ่ากับคู่รัก คู่ดูดกับคู่ผลัก ศาสนาเทวนิยมจะไม่เรียนรู้สภาวะลึกซึ้งอันนี้ เขาก็ไม่สามารถทำให้หมดสุขหมดทุกข์ไปได้อย่างไร ก็หลงสุข ไม่พอใจทุกข์ แต่ไม่มีวิธีที่จะเลิกทุกข์ หมดวิธีก็โยนไปให้พระเจ้า โยนไปให้ God เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ตัวเองจะไปรู้เรื่องทุกข์ ตัวเองจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่รู้เรื่อง ที่จริงแล้วสุขกับทุกข์เป็นตัวเดียวกัน เป็นแต่เพียงกลับกันไปในอารมณ์ยึดติด
คนที่ซาดิส มันก็ไปเอาความร้ายแรงความแรงมาเป็นสุข ยิ่งคนเป็น มาโซคิส ไปเห็นคนอื่นชกกัน รุนแรงต่อกันก็พอใจสบายใจ คนมากระทบกระแทกเขาชกกันไม่ใช่เรามันดี ดีไม่ดี เศษสตางค์จ้างเขาชกกันก็รู้สึกมัน เป็นคนอวิชชา แม้บางคนชกเองก็ได้รับสรรเสริญเยินยอว่าตนเองเก่ง ก็อยู่ในความวนเวียน ซาดิส เห็นคนทำรุนแรงคนอื่นก็พอใจ มาโซคิส ตัวเองถูกทำร้ายถูกทำรุนแรงก็เกิดความชอบใจ ภาษาไทยไม่มีต้องอาศัยภาษาฝรั่ง
สิ่งเหล่านี้พอเข้าใจ แต่ไม่มาเรียนรู้ที่จะเลิก ศาสนาพุทธเรียนรู้จนไม่ติดยึดในความสุขความทุกข์
คำว่า สอง ภาษาบาลีว่า ดะเว (เทวฺ)แต่ภาษาไทยอ่าน เทวะ ก็คือสภาวะติดกันยึดแน่นแกะไม่ออก แล้วแต่มองมุมดีว่าเทวคือสวรรค์ คืออารมณ์พอใจร่วมยินดี แต่แท้จริงมันแยกไม่ออกหรอกพอใจกับไม่พอใจเป็นอุปาทานอยู่ภายใน ยึด ถ้าได้กระทบสัมผัส อย่างนี้พอใจ กระทบสัมผัสอย่างนี้ไม่พอใจ มันก็ยึดติดอยู่อย่างนั้น แล้วบำเรออารมณ์ตัวเองเปลี่ยนไปพอใจไม่พอใจ-พอใจไม่พอใจ ศาสนาพุทธเรียนรู้จนกระทั่งไม่ต้องไปบ้าพอใจไม่พอใจ มากระทบอย่างนี้ก็คืออย่างนี้ ถูกกระแทกอย่างแรง กระแทกทำไม อะไรมากระแทกกระทุ้งถึงขั้นฉีกขาดกล้ามเนื้อ ปฏิกิริยาผิวหนังของอากาศเจ็บแสบปวด มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ที่เกิดเหตุการณ์อันนั้นก็รู้ ไม่กระทบกระแทก ตากระทบรูป เห็นรูปร่างสีสัน ก็คือของที่มันมีรูปร่างสีสันอย่างนี้ ไม่ต้องไปโง่ถึงขั้นต้องสีสันอย่างนี้เราถึงชอบ สีสันไม่ถึงอย่างนี้เราไม่ชอบ รูปร่างอย่างนี้เราชอบ ไม่ได้รูปร่างอย่างนี้ไม่ชอบ กลิ่นเสียงสัมผัสก็นัยยะเดียวกัน
เราก็สุขทุกข์อยู่กับการไปยึดติดสิ่งเหล่านี้เป็นสเปคอย่างนี้ กำหนดหมายว่าต้องได้อย่างนี้ แล้วมันกำหนดหมายใส่จิตตนเองมาไม่รู้กี่ชาติ จนกระทั่งมาศึกษาศาสนาพุทธจึงรู้ว่ามันก็เป็นความมีแค่นี้ ตากระทบสีก็เป็นสี ชอบหรือไม่ชอบมันก็เป็นสีนั้น แล้วคุณชอบหรือไม่ชอบ คุณมันบ้า ศาสนาพุทธให้รู้ว่าคุณโง่คุณบ้า ก็เลิกมันเสียไม่ต้องมี 2 เรียนรู้เทวะเรียนรู้สภาวะ 2 ความจริงมันก็คือความจริง ถ้าเกิดว่าชอบหรือไม่ชอบมันคือความว่าความไปติดยึดความเป็นอวิชชา
ถ้าเขาใจที่อาตมาอธิบายมาเรื่อยๆว่าอาการของจิตที่เป็นอวิชชามันบ้า มันมีแต่อันเดียวรู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้าเรายังไม่ตาย เราก็ต้องต้องกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้นกาย กระทบภายในใจเอง มันก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าเราสามารถรู้เป็นหนึ่งเดียว
มะละกออันนี้มันมี 2 สี สีเหลืองกับสีเขียว ไม่ไล่เฉด มีแต่เขียวกับเหลือง อันนี้มีแต่เขียวอย่างเดียว มันก็เขียว อย่างเดียว เขียวก็เขียวก็จบแล้ว แต่ถ้าเขียวนี้ชอบเขียวนี้ดี พุทรามันต้องเขียวอย่างนี้ หรือบางทีสีมันเน่าๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพมีแบคทีเรียมาทำปฏิกิริยาก็เสื่อมไป เราก็รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเพราะมันมีการเสื่อมไปตามสภาพ มันก็ไม่เที่ยงมันก็เปลี่ยนแปลงไป คนเราเข้าใจสภาพที่ต้นเหตุเกิดตามปัจจัยเหล่านี้แล้วไม่แปลก มีหนึ่งเดียวเท่านั้น
คนเข้าใจสภาพเทวแล้วทำจิตให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง จริงๆแล้วมันมีแต่ 1 มันทรงอยู่ที่ 1 ผู้ที่เข้าใจหนึ่งได้อาศัยหนึ่งได้ เมื่อมันไม่มี มันก็คือจิตของเรา จิตของเราจึงหมดปัญหา มีแต่ปัญญา ผู้ที่หมดปัญหามีแต่ปัญญา ก็คือสูญ จิตเราก็มีสูญ มันเป็นตามความเป็นจริง พุทรานี้มันดีมันก็ดี เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเสื่อมก็ได้สังเคราะห์ด้วยแบคทีเรียด้วยอะไร มันเสื่อมไปตามสภาพ ชักสีเหลืองสีน้ำตาลเน่าลง มันก็เปลี่ยนแปลงไป มันไม่เที่ยงมันต้องเปลี่ยนแปลงและไม่มีอะไร ทรงอยู่ได้ จะเรียกว่าอันนี้มันแข็งวันหนึ่งมันก็เปลี่ยน ยิ่งเป็นเหล็กโลหะเลย เกาะตัวอยู่นานสักวันมันก็เปลี่ยน ผู้เข้าใจสิ่งที่ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ได้ยึดติดเลย รู้ความจริงตามความเป็นจริงในปัจจุบัน อันนี้มันก็คืออันนี้ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป คนนี้ไม่มีทุกข์ ขอยืมพยัญชะมาใช้ คนนี้ก็เหลือแต่สุข
สุ คือดี ข คือว่าง สุดท้ายมันก็ว่างมันก็ศูนย์ก็เป็นไปตามธรรม มันก็เปลี่ยนแปลงไปเดี๋ยวก็หายเดี๋ยวก็ไปเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวก็สลายเป็นน้ำ จากธาตุดินมาเป็นธาตุน้ำ สลายเป็นธาตุอากาศ เป็นแก๊ส เป็นลม เป็นไฟ มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างนี้ แล้วคนเข้าใจหนึ่งแล้วก็ไม่มีปัญหาไม่มีปัญญา เสร็จแล้วก็ไปหาศูนย์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ศาสนาพุทธแยกแยะ 2 แล้วมันเป็นหนึ่ง ยังมีปัญญารู้ทุกอย่างมันก็เป็นหนึ่ง แล้วสำรอก จิตเราเป็นผู้ที่มีความสูงมีสุญญตามีนิพพาน ก็จะทำเข้าไปหา 0
ในสภาพของวัตถุมันก็เป็นไปหาศูนย์เหมือนกันมันก็สลายตัวเป็นแปลงไปตามเรื่องตามสภาพของโลก ธรรมชาติ ดิน น้ำ ไฟ ลม หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ไอน์สไตน์บอกว่าทุกอย่างมันเป็นสสารพลังงาน จากสสารพลังงานดินน้ำมันก็เป็นสสาร เมื่อไปถึงเป็นแก๊สเป็นลมเป็นไฟมันก็เป็นพลังงาน ก็เท่านั้นเองหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่มีสูญหาย สสารกับพลังงานเท่านั้น
ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วจึงเข้าใจสุขเข้าใจทุกข์ที่คนยึดติด เราไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ยึดติดจึงรู้จักการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามสภาพที่มันเปลี่ยนไป สภาพที่มันเปลี่ยนมันกำลังเกิด มันกำลังอยู่อย่างได้สมดุลพอดี มันกำลังเสื่อม ก็ไม่ได้สงสัยหรืองงประหลาดอะไร หลายอย่างจบที่คู่เทวะ ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยแล้วมันก็สูญ อาศัยที่มันเป็นธาตุที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์ เสร็จแล้วจิตเราหมดก็สูญไปตามสภาพสภาวะ มันก็จะสลายเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น จากลมจากไฟก็ไปเป็นน้ำเป็นดิน จากดินกับน้ำก็เป็นลมเป็นไฟ วนเวียนอยู่แค่นี้
ศาสนาพุทธ รู้จักสิ่งที่เป็น static Dynamic รู้จักสิ่งที่เป็นก้อนและเคลื่อนไหว 2 อย่างคือรูปกับนามเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นก็จะหมดสงสัยในโลกนี้ รู้จักสังขารการปรุงแต่งดิน น้ำไฟ ลม แม้ที่สุดมาเป็นชีวะเป็นจิตวิญญาณ ก็เป็นจิตวิญญาณที่เข้าไปปรุงแต่ง ก็เป็น 2เหมือนกัน เข้าใจเทวะเข้าใจ 2 เป็น 1 เป็น 0 อย่างสมบูรณ์แบบ
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน รูป 24 ทำให้มีเวทนา 0
อรหันต์รู้จักสังขารในการปรุงแต่งสมบูรณ์แบบในแต่ละอย่าง แต่ละไฟ แต่ละลม แต่ละน้ำ แต่ละดิน อยากเป็นมหาภูตรูป 4 อย่าง นอกนั้นมันจะจัดการอีกในรูป 24 อุปาทยรูป
ขอเริ่มต้นด้วย ภาวรูป โดยมีตัวตั้งปสาทรูป ชีวะที่มีประสาท ประสาททำงานร่วมกับ โคจระ มันก็คือรูปนามของแต่ละคนมีอยู่แล้ว เมื่อออกไปทำงานกระทบกับสิ่งหนึ่งก็เป็นสามเส้า ก็เกิดการสังขารปรุงแต่ง ปรุงแต่งกันโดยมีความรู้
เราสร้างวัตถุมาเป็นพืชพรรณธัญญาหาร สร้างมาเป็นกระดาษมาเป็นหนังสือมาเป็นคอมพิวเตอร์มาเป็นโลหะ ก็ทำไปในการผสมส่วน ผสมส่วนตั้งแต่ 2 อย่างมาเป็น 3 อย่าง จะเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ก็จาก 2 สิ่ง ถ้าเป็น 3 ก็เป็นองค์รวมของการสังขารขึ้นมา ถ้าหาก 2 อย่างยังไม่เป็นสังขาร 3 อย่างจึงเป็นสังขาร
ยกตัวอย่างในนิวเคลียสมันมีธาตุบวกธาตุลบ แต่มันไม่รู้ตัวมันจับเกาะกันเป็นก้อนเป็น 3 เป็นนิวเคลียสก็เป็น 3 พอมาสามเส้า ยกสถานะจากอุตุ พีชะมันไม่รู้เรื่องหรอก มันจะมี 3 มีสัญญากับสังขาร แต่ของจิตนิยามของมนุษย์ statusก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง อเวไนยสัตว์ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องเป็นเวไนยสัตว์อย่างมนุษย์นี่แหละถึงจะรู้เรื่อง
จึงจะเกิด ภาวรูป 2 อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ จึงเกิดตัวเราเป็นของเราจึงเป็น ISH เป็น I เป็น she เป็น he
พระพุทธเจ้าท่านศึกษารู้รากเหง้าของความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นนามธรรม วัตถุต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ถึงไบโอโลจี พระพุทธเจ้า biology ศึกษาไปถึงจิตวิญญาณสูงถึงขั้นจิตนิยาม ก็เรียนรู้แตกแยกเรื่องของจิตวิญญาณ psychology อย่างลึกซึ้งด้วย ทางด้านภาษาอังกฤษเป็นสายเทวนิยม ไม่เหมือนทางอินเดียหรือไทยที่ศึกษาทางด้านศาสนาพุทธ ก็ลงไปลึก เมื่อลงลึกถึง ไซโคโลจีของศาสนาพุทธ ถึงขั้นที่แยกโลกียะกับโลกุตระ แล้วตีแตก 2 ทุกอย่างเป็นสภาพ 2 ยิ่งเป็นชีวะแล้วมีสภาพ 2
แม้เป็นชีวะของเทวนิยมเขาแตกสภาวะสองสภาพนี้ไม่ออก เมื่อแตกไม่ออกเขาก็จำนวนเกี่ยวกับสองสภาพ มี 2 เรียกว่าเทวะ เทวดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นGod เป็นผู้สั่งการเป็นผู้ปฏิบัติการ แล้วไม่รู้เผด็จการอย่างไรตามใจGod เป็นทุกข์เป็นสุขอย่างไร Godเป็นเจ้าของ คนอื่นไม่สามารถหมดสุขหมดทุกข์ เอาฝากไว้ที่ God
God เป็นเจ้าของทุกชีวะ เขาก็เลยไม่มีนิพพาน หมดความสุขหมดความทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นคนสั่งให้เกิดความสุขความทุกข์ ถ้าหากเป็นคนสายเทวนิยม มันรับวิบากอย่างนั้นอย่างนี้ก็ว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า จำนน คนของสายเทวนิยมจึงไม่มีทางหมดทุกข์ เพราะอย่างไรก็จำนน เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ศาสนาพุทธมีนิพพานมีการพ้นทุกข์สนิท พระเจ้าจะให้ทุกข์อย่างไร จะให้พระอรหันต์มีทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยเรียกพระเจ้าว่า เป็น เทวบุตรมาร แปลงตัวมาเป็นเทพ ส่งมาเป็นลูก เป็นเทพบุตร แต่แท้จริงแล้วไม่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า มารเอ๋ย เราหักเรือนยอดของเธอหมดไปแล้ว ความเป็นมารไม่มี นี่คือศาสนาพุทธ หักยอดเทวะ ยิ่งใหญ่ แล้วก็เป็นนิรันดร
จากนั้นท่านก็ส่งอีกสิ่งหนึ่งมาเรียกว่าบุตร แต่ทำทีว่าจะมีแม่ของบุตรด้วยนะ ยิ่งมาเป็นคนก็บอกว่า ส่งพระบุตรมาประกาศคำสอนทุกอย่าง คือไม่รู้ต้นรากแท้ๆจริงๆ พูดไปก็เหมือนกับยกตนข่มท่านศาสนาเทวนิยม แต่ความจริงแล้วศาสนาพุทธรู้ความจริงของเทวะ จนกระทั่งเลิกศูนย์เลยมีนิพพาน ศาสนาเทวนิยมมองศาสนาพุทธว่าไม่รู้จักจิตวิญญาณเพราะไม่เป็นเทวดาไม่รู้จักพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ศาสนา เป็นแค่ ฟิโลโซฟี เป็นแค่ปรัชญาเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า ศาสนาพุทธเป็นตัวการที่หักขั้วยอดของวิญญาณออก สลายจนไม่ต้องเกิดวิญญาณหรือจะเกิดอยู่ ก็เกิดได้ เกิดได้อย่างดีด้วย จะมาเป็นคนหรือที่เรียกว่าพระบุตรก็ตาม จิตมีตัวพระเจ้าจริงเลย แล้วเป็นพระบุตรเป็นพระเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดไม่ทำชั่ว มีพฤติกรรมในจิตดีวิเศษที่รู้รอบรู้หมดรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของโลกจริงๆ ที่ยืนยันพิสูจน์ได้ในตัวบุคคล ในศาสนาพุทธก็คือเป็นพระพุทธเจ้า ถ้ารองลงไปก็คือพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานก็คือพระอวโลกิเตศวร นอกนั้นก็มีโพธิสัตว์ระดับรองลงมา โพธิสัตว์องค์อื่นใครพบเจอก็ว่ากันไป เจอพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่งก็เป็น อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
ใครเจอโพธิสัตว์ระดับ 8/9 ไหม ไม่เจอ ..ยังดี มาเจอโพธิสัตว์ระดับ 7 อย่างอาตมา เจอแล้วดีไหม เป็นคนเอาธรรมะพุทธเจ้ามาสาธยายแยกแยะมา ปรับปวาทะ ให้คนรับรู้ได้เอาไปปฏิบัติได้เอาไปทำให้เป็นขึ้นมาให้เจริญขึ้นมาเป็นคนดี เป็นคนที่หมดทุกข์ หมดทุกข์หมดโศก ทุกข์ก็ไม่มีสุขก็ไม่มี มีแต่สภาวะของมันอย่างนั้นเป็นหนึ่งเดียวอย่างเดียว จึงอาศัยเดียวหนึ่งเดียว ทำเทวะ 2 นี้ให้เป็น 1 อาศัย 1 แล้วก็รู้จักภาวะ 0
ผู้ที่ทำ1 ได้แล้วก็เข้าใจว่าสุดท้ายมันก็สูญสลาย หรือ 1 หรือ 0 มันก็เป็นตัวมันเอง พูดพยายามเขียนสื่อเป็นตัวเลข ที่จริงตัวเลข 0 อารบิก 0 เสร็จแล้วเริ่มต้นผ่าครึ่งก็เป็นหนึ่ง หนึ่งคือเส้นตรง เทวนิยมคือพวกแข็งๆ เป็นพวกผ่าเป็น 1 ส่วนคนไทยเลข 1 ไม่ผ่า แต่ม้วนลงมา จากจุดศูนย์กลางแล้วม้วนลงมา 1 นี่คือเลข 1 ของไทย
เพราะฉะนั้นไทยจึงเป็นพวก Dynamic พวกเทวนิยม เป็นพวก static คือ 0 คือ 1 เป็น Dynamic พวกม้วนเป็นวงกลม พวกตรงนี้คือพวกพูดกันยาก เพราะไม่มีการยืดหยุ่นไม่มีรู้เรื่องไม่มีการเข้าใจ ศาสนาพุทธมาเรียนรู้ทั้ง 1 ทั้งความเป็นStatic Dynamic เรียนรู้เทวะ ตีเทวะ 2 เป็น 1 ก็ได้เป็น 2 ก็ได้ ไม่สงสัยมันจะเป็น 1 เมื่อใดเป็น 2 เมื่อใดหรือจะเป็น 3 4 5 6 ขยายออกไปไม่สงสัย แม้ที่สุด ขยายไปจนถึง Infinity เลยก็คือ 0 ไม่สงสัยว่าศูนย์ก็คือ Infinity Infinity ก็คือ 0 หมดปัญหาหมดความสงสัยหมดวิจิกิจฉา เข้าใจหมดเลย
อย่างอาตมานี้ยังไม่เปลี่ยนพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ก็เข้าใจแล้ว เป็นระดับ 7 ก็เข้าใจขนาดนี้แล้ว มีแต่สังขาร สังขารอายุ 84 ก็ยังดี ยังไม่มีป่วยเจ็บอะไรมาก บางคนถามว่าเจ็บปวดอะไรหรือเปล่า วันหนึ่งทำงานกว่า 10 ชั่วโมงนั่งทำงานก็ไม่เป็นไร ไม่ปวดแขนปวดขาอะไรก็ต้องฟิตเนส ไม่มีอะไร อันนี้เป็นบารมีนะ คุณจะเลียนแบบเอาอย่างได้ก็เอาไม่ว่ากัน แต่มันเลียนแบบยากนะ ถ้าหากอาตมาอายุถึง 90 ก็อีกแค่ 5 ปี ก็ยังไม่ได้เจ็บปวดอะไรไม่เมื่อยอะไร ฟิตเนส อยู่อย่างนี้นะ รับรอง 100สบาย สมส่วน ก็มีผู้ดูแลรักษา ทั้งหมอไทยหมอฝรั่ง ช่วยกันดูแลบ้าง อาตมาก็ดูแลตัวเอง คนอื่นก็มาแนะนำดูแล บางทีทำงานมากไปพักผ่อนน้อยไป เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ทำงานกับพักผ่อน กินอยู่ก็ไม่มีอะไรแล้ว กินมื้อเดียวแล้วก็เสร็จ ก็ให้มันหมุนเวียนสังขารร่างกายให้ดี
ส่วนที่อาตมาเรียนรู้ก็บอกเรื่องจิตวิญญาณ ให้รู้จักการรู้เรื่องจิต เข้าใจอาการของจิต อาการของจิตที่เรียนรู้ที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าท่านสรุปลงไป ศาสนาพุทธมันเพี้ยนไม่เข้าใจ ว่ากรรมฐานที่ตั้งแห่งการกระทำแห่งการปฏิบัติ คือ เวทนา
เวทนา ศาสนาพุทธต้องรู้ฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติคือเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาแล้วไม่มีฐานที่ปฏิบัติ ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
อันนี้แหละเป็นตัวตั้ง คือสิ่งที่เป็นกสิณ ให้จิตใจจดจ่อเป็นกรรมฐาน รวมลงแล้วได้ 40 เข้าใจผิดอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นเรื่องออกนอกรีตว่ากรรมฐานก็คือ ไปเอาอะไรก็ไม่รู้ 40 อย่างเป็นดินน้ำไฟลมอะไรก็แล้วแต่รวมแล้ว 40 แล้ววิธีกรรมฐานคือสมถะเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่อย่างนี้ให้นิ่ง แล้วเรียกว่าสมาธิ นั่นแหละผิดหมดเลย มันเป็นของศาสนาเดียรถีย์มันไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ถ้าคุณไม่มีผัสสะก็ไม่มีความรู้สึก ถ้าไปนั่งสะกดจิตหลับตาให้มันนิ่งไม่มีอะไรได้ปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าเลย เพราะไปนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นพวกมองข้ามไปจากศาสนาพุทธ ทำแสดงให้ออกนอกรีตออกจากศาสนาพุทธไปเรื่อยๆ เอาแต่นั่งหลับตาสมาธิยิ่งจะออกนอกศาสนาพุทธไปไกลเดี๋ยวนี้ยิ่งไปไกลมาก ไปติดยึดว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสะกดจิต เป็นสมถะ จะเดินหนอย่างหนอ จะนั่งหลับตาสะกดจิตก็เป็นสมถะหมดเลย
เรียนรู้กรรมฐานพิจารณาเวทนา 108 จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง ดีที่ยังมีหลักฐานเวทนา 108 ถ้าไม่มีเวทนาแล้ว เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ไม่เป็นที่ตั้งไม่เป็นแหล่งที่จะปฏิบัติธรรม ผู้ใดไปนั่งหลับตาก็ไม่มีแรงที่จะปฏิบัติธรรม
โมฆะไปอีกกี่ชาติก็แล้วแต่ ขอพูดขอตีหนักๆ ตีอย่างนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว หยุดหลับตาปฏิบัติธรรมได้แล้วเพราะมันออกนอกศาสนาพุทธไปไกลมากเลย ต้องมีเวทนาเป็นตัวฐานในการปฏิบัติ จะมีเวทนาได้คุณต้องมีผัสสะ
ในมูลสูตร
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)จะบรรลุหรือไม่ก็ต้องทำใจในใจให้เป็น พอจะมีมนสิการเป็นจะต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)หากไม่มีทักษะเป็นสมุทัยเป็นเหตุแห่งการปฏิบัติ อันนี้ไม่ใช่สมุทัยอริยสัจ แต่เป็นสมุทัยในภาคของมรรค ภาคปฏิบัติธรรม ใครที่ไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะเป็นสมุทัยไม่ใช่พุทธเลย ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้าเลย คุณไปไกลมากมันหลงทางออกนอกพุทธไปไกลมากเลย อาตมาพยายามดึงกลับมันก็เหนื่อยเพราะว่ามันไปไกลมาก ในเมืองไทยไม่รู้กี่ล้านคน เป็นชาวพุทธ 95 เปอร์เซ็นต์ด้วย น่าจะประมาณ 60 ล้านคน อาตมาต้องชักเย่อ 1 ต่อ 60 ล้านคน ขันจอหว่อไหม เห็นใจเถิดเห็นใจบ้าง ภาษาจีน
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ราชธานีแห่งโลกุตระ
ถ้าอาตมาไม่มีพื้นฐานของคนไทยที่มีรากเหง้าของพุทธ เมื่ออาตมาเอาพืชโลกุตระ มาหว่านลงไปในคนไทย ถ้าไม่มีเชื้อก็ไม่มีทางสังเคราะห์ร่วมกันได้เพราะมันคนละโลกกัน มันก็ไม่เกิด แต่นี่มันเกิดเพราะว่าคนไทยมันมีฐานรากเชื้อของโลกุตระรับได้ ก็เลยเกิดก็เลยมีขึ้นมาได้
เมื่อได้แล้วก็เป็นตัวอย่างเป็นเชื้อต้น เพื่อที่จะแพร่เชื้อโลกุตระ แหม! อยากให้มันเกิดระบาด ก็ต้องพยายาม ถึงได้ขนาดนี้ เมืองไทยจึงเป็นเมืองโลกุตรธรรม เมื่อเป็นโลกุตรธรรมจึงมีพฤติกรรมแห่งโลกโลกุตระอาริยะที่แท้เป็นความศิวิไลซ์เป็นความเจริญเป็นตัวอย่าง เป็นความเจริญของสัตว์โลกมนุษย์โลกุตระหรือมนุษย์อาริยะ ชั้นหนึ่ง
ตัวอย่างของคุณธรรม ขณะนี้มันมีนิมิตรูปร่างของคุณธรรม เช่น คนเข้าใจ พระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงงานมา 70 พรรษา สวรรคตไปแล้วคนทั้งโลกก็พอรับได้ คนไทยเรารู้ดี จนเมื่อวันสวรรคตคนไทยแสดงเริ่มแสดงออกมาชัดเจน แสดงว่าเชื้อลึกๆของคนไทยรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสูงสุด เมื่อพรากไป จึงแสดงความเสียใจโศกเศร้า
อาตมาว่า ในหลวงท่านก็มีหน้าที่ ก็พูดไปจนหมดแล้ว ว่า ยุคนี้ตามที่เขาพยากรณ์ว่าจะมีพระโพธิสัตว์ 2 รูปมา คนเชื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 สำหรับอาตมานั้นเป็นคนอาภัพ เขาไม่เชื่อง่ายๆ อาตมาก็ไม่ได้น้อยใจเสียใจ ที่มันเป็นเช่นนี้ อาตมาชัดเจนว่า อ๋อ ศาสนาพุทธมันเสื่อมถึงขนาดนี้เราเอาของจริงมาประกาศเขาก็รับไม่ได้เพราะมันเสื่อมจริงๆ มันรับได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วรับได้ขนาดนี้ แต่คนที่รับไม่ได้ก็พยายามที่จะให้เขาได้เข้าใจ แต่ที่นี้มันมี มาร
มารคือ คณะสงฆ์ใหญ่เขาไม่ได้เข้าใจผิดหรอก การทำหน้าที่ของมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ไม่ได้ไปว่าเขานะแต่พูดความจริงตามความเป็นจริง เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องทำตามหน้าที่ แต่ว่า มาร ยับยั้งอาตมาไม่ได้ ก็ผ่านมา ตามวิบาก จนกระทั่งเขาจะขจัดไม่รู้กี่วิธี มาจนถึงวันนี้ อาตมาว่าเขาไม่สามารถจะมากำจัดอาตมาได้ จะระงับหรือว่าจะหยุดอาตมานี้ได้ไหม อาตมาว่าไม่ได้ แล้วเดี๋ยวนี้ อาตมาว่า
สักวันหนึ่งคนต่างชาติ คนต่างประเทศ จะรับโพธิรักษ์ได้ก่อนเถรสมาคม คนต่างชาติต่างประเทศจะรู้จักโพธิรักษ์ว่าเป็นโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ที่เกิดมาในยุคนี้ เขารับในหลวงไปแล้ว คนต่างชาติรับแล้วคนไทยรับได้แต่ยังไม่เชื่อว่า โพธิรักษ์ เป็นอีกองค์หนึ่ง แต่อาตมาว่าดูไปเถอะ สงสัยต่างชาติจะมารับโพธิรักษ์ก่อน เถรสมาคม อาตมาสงสัย ไม่รู้จะออกหวยว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้คุณว่าจะจริงไหม (โยมว่า น้ำตาล)
พ่อครูว่า น้ำตาล เป็นชื่อเล่นเขา ที่จริงเขามีชื่อที่อาตมาตั้งว่า น้ำธารธรรม เขาเป็นคนสกอตแลนด์มา แต่มีแม่เป็นไทย ก็จะบอกว่ามีต่างชาติก็ครึ่งๆ ถ้าอย่างนั้นก็มีจีนญวนครึ่งชาติ
สรุปแล้ว
มาเข้าลึก ขึ้นต้นด้วยอาสวะ พวกเราเรียนรู้ที่พูดไปแล้วก็คงไม่สูญเปล่า อธิบายไปนี้ก็คงไม่ใช่ไม่เข้าใจ ต่อจิ๊กซอไม่ติด ก็คงจะต่อติด เมื่อพูดถึงอาสวะก็คงจะต่อได้ พวกเราสามารถที่จะทำตนให้เป็นคนรู้ฐานะตัวเอง ฐานะตัวเองรู้ว่าอะไรที่เราควรจะเลิก อะไรที่เราควรจะหยุดความสุขความทุกข์กับมันเสียที
แต่ก่อนนี้ติดกาแฟมีความสุขความสุขกับกาแฟ เดี๋ยวนี้กาแฟกินก็ได้ไม่กินก็ได้ก็เฉยๆ นั่นคือหมายความว่าเราหมดความ 2 มาเป็น 1 แล้วหมดเทวแต่ก่อนก็มีสุขมีทุกข์ คือสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ เคยจำได้ว่าอย่างนี้สุข เข้าไปสัมผัสดื่มกาแฟเข้าไปสัมผัสว่าอย่างนี้ก็น่าจะสุข แต่ถ้ามันไม่ได้ดื่มก็ไม่เป็นไรไม่ได้โหยหาไม่ได้อะไรไม่ได้อาวรณ์อะไร จิตใจไม่มีอะไรอาวรณ์อะไรก็แสดงว่าปลดปล่อยวางกาแฟ เป็นหนึ่งแล้วก็อยู่อาศัยกับสามัญได้ หรือจิต 0 จิต ไม่มีการติดเชื้อ แต่ขั้น 0 มีความละเอียด คุณไม่ต้องอาศัยไม่ต้องอาลัยไม่ต้องอาวรณ์
อาศัย อาลัย อาวรณ์ ...อาวรณ์หยาบที่สุด แต่อาลัยตัวกลาง ติ๊งต่องๆๆ
อาวรณ์นี้ยังระลึกติดอยู่ หากเอาแนวลึกคือ สยัง สยะ
อาวรณะก็ยังหลงว่ามันดี วรณะ อาวรณะก็ยังจะต้องอาศัยเพราะยังอาวรณ์
เรามาเรียนรู้สิ่งที่ควรจะวางจะปล่อยยิ่งตั้งแต่โลกๆเลย เราไม่ห่วงหาอาวรณ์ว่าจะต้องได้วัตถุได้ลาภมากไป เอาแต่พออาศัย ไม่อาลัยไม่อาววรณ์ ก็เป็นคนที่มีความพอมีสันโดษ เพราะฉะนั้นคุณก็มีสติสัมปชัญญะปัญญาอยู่กับโลกเขา แค่นี้ก็พอ ยิ่งชีวิตมาอยู่กับพวกเรามาอยู่กับชาวอโศก โอ้! น้อยลงไป อัปปิจฉะน้อยลงไปก็พอ ก็มีแต่แค่ปัจจัย 4 บริขารที่จะใช้แค่นี้ก็พอแล้ว ใครสามารถที่จะอยู่ในนี้อย่างที่เรียกว่า วันคืนไม่เห็นจะต้องไปเดือดร้อนไปแสวงหาไปอยากได้อันนั้นอันนี้มาให้แก่ตัวเองเลย ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่ามันเฟ้อ เกิน แล้วสบาย อยู่กับชาวอโศกอยู่ในราชธานีอโศก มันอุดมสมบูรณ์ เป็นเครื่องบริขาร อุปโภคบริโภค เราไปช่วยงานนั้นงานนี้สบายแล้ว ไม่ต้องห่วงกังวลแล้วว่า อยู่ที่นี่สัปปายะ 4 ครบเลย สถานที่บุคคลเครื่องอาศัยอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค ครบ ธรรมะพร้อม อยู่นี่แหละไม่ต้องไปไหนเลยอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง เพชรนิลจินดาทรัพย์สินเงินทองแบบแฟชั่นที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ใครมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้บ้างได้ๆๆ ก็อยู่สบายๆกันไปจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ตายแล้วจะเผาให้ ไม่พูดปดหรอก พวกเราช่วยกันอยู่แล้ว
เป็นสัจจะที่มันเป็นดินแดน อย่างน้ำตาลมาที่นี่ เฟิร์สอิมเพรสชั่น บอกแม่เขาว่าที่นี่มันเมืองสวรรค์ คือเขามาจากสกอตแลนด์ เข้ามาถึงเมืองไทย สัมผัสแรกของเขาบอกว่าเป็นสวรรค์ ถ้าเขาจำได้อย่างนั้นแหละ มันจะเปรียบเทียบกันเป็นความรู้สึก เด็กมันอินโนเซนต์ ก็เลยจริงใจ เท่าที่ภูมิปัญญาเขามีโอ้โหบอกว่านี่มันเมืองสวรรค์ ขออภัยคุณตุ๊กตาจะพาลูกเขาออกไปอยู่ข้างนอกลูกก็บอกว่าอยู่ที่นี่แหละ ที่นี่เป็นสัปปายะอยู่ที่นี่ดี ไม่ได้ประเล้าประโลมหลอกไว้หรอก แต่พูดความจริงให้ฟัง
ที่นี่มีสัปปายะ 4 สถานที่ที่น่าอยู่ อาตมาจะสร้างให้เป็นบริเวณเป็นสัปปายะ 4 ให้ครบพร้อม ตั้งชื่อว่าราชธานีอโศก ที่นี่มีเหตุปัจจัยอยู่เมืองอุบลราชธานี อดีต สว.คุณคำนูณ สิทธิสมาน ยังทักอาตมาเลยว่านี่มี something wrong มีเจตนาอะไรมาตั้งชื่อหมู่บ้านว่าราชธานี ทำไมไม่ตั้งชื่อว่าหมู่บ้านอุบล มันมีคำให้เลือก ทำไมไม่ตั้งชื่อว่าอุบล ตั้งชื่อว่าราชธานี อาตมาก็ว่าไปตั้งชื่อบ้านอุบล มันก็จะไปพ้องกับจังหวัดอุบลสิ ว่าหมู่บ้านอุบล มันยังไงอยู่ หมู่บ้านราชธานีก็ยังห่าง หมู่บ้านอุบลไม่เข้าท่าหรอก เขาไปติดยึดที่พยัญชนะว่าราชธานี เขาว่าอยากใหญ่หรือ จึงตั้งชื่อว่าราชธานี แต่ถ้าเอาชื่ออุบลมามันเป็นชื่อจังหวัดใหญ่นะ ไปไหนไปอุบล ไปหมู่บ้านเหรอ เปล่าจะไปจังหวัด คนก็จะสับสน แต่บอกว่าไปไหนไปราชธานี อ๋อ ก็ไปหมู่บ้าน ยังพอชัดเจนมันก็จบ ไปราชธานีหมู่บ้าน จริงๆแล้วคำว่าราชธานีใน 77 จังหวัดนี้มีจังหวัดอุบลราชธานีจังหวัดเดียว ในประเทศไทย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะเอาหมู่บ้านธานี มันก็ไม่ดี ก็ยอมรับผิดก็แล้วกันตั้งชื่อ เป็นหมู่บ้านราชธานีอโศก หรือชุมชนราชธานีอโศกก็จะเกิดสิ่งเหล่านี้ที่พูดมาไม่ใช่เรื่องไร้สาระ คุณอยู่ไปอีกประมาณ 500 ปีจะรู้ว่านี่คือราชธานี ลึกซึ้งนะไม่ใช่พูดเล่น
ราชธานีของโลกุตระ ราชธานีของโลกุตระ ราชธานีของอาริยชน คนที่เป็นอาริยะ civilizeอย่างแท้จริง ศรีวิไลถึงขั้น โลกุตระ นอกจากมีความรู้โลกียะก็ยังมีความรู้โลกุตระ ทำตนให้เป็นคนโลกุตระบุคคล เป็นคนที่รู้จักโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นคนที่รู้กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นคนตีแตกกาย ดีแตกเวทนา กาย 2 เวทนา 2 จิต 2 ธรรมะ 2 ได้ จนสำเร็จธรรมะ 2 เป็นโลกุตรธรรมจบสมบูรณ์เป็นอรหันต์ได้
ต้องรู้จักกายก็ 2 เวทนาก็2 จิตก็ 2 ธรรมะก็ 2 จนสุดท้ายเป็นธรรมะ1 เป็นโลกุตรธรรม ผู้มีโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบคืออรหันต์ได้จริง ซึ่งเป็นดินแดนของคนศิวิไลซ์ ที่เป็นความศิวิไลซ์จนถึงขั้นโลกุตรธรรม อย่านึกว่าเทวนิยมอย่านึกว่าตะวันตกยุโรปอะไรก็แล้วแต่อเมริกาก็ตาม แม้แต่แอฟริกา เขาจะไม่ควรได้ โลกุตรธรรม เขาควรจะได้ทั้งนั้น แต่บารมีของเขาแต่ละคนยังมาไม่ถึง ที่นี่ราชธานีของโลกุตรธรรม ชัดเจนขึ้นไหม ไม่ต้องมาจองเพราะที่เต็มแล้ว
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:33:18 )
รายละเอียด
611227_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 บุคคล 9 ในเอกกนิทเทส
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Bjg15XsS97-LhSMCufHPVD-uhZmZ7xTSRL5nxpZKuME/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1mlnYY9mcp89npyEVLBKHIvHZok3h5zEf
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ผู้อวิชชาย่อมไม่รู้ทุกข์
พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ...ชีวิตของพวกเรามันสงบสบายและสนุก แต่ความสนุกของพวกเราเป็นธรรมรส ใครจะมาแอบทำยาก มันเป็นวิมุตติรส เราก็ฝึกฝน เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อในทิศทาง ในความเป็นอัตภาพชีวิตของพวกเราแต่ละคนว่าเราจะให้ชีวิตของพวกเราพัฒนาการไปสู่ จุดอย่างไร ในความคิดในห้วงความคิด ของคนแต่ละคนก็จะมุ่งไปสู่ความหมายเราจะไปเห็น พยัญชนะจะบอกว่านิพพาน พยัญชนะจะบอกว่าเป็นความสุดยอด จะบอกว่าอะไรก็แล้วแต่พยัญชนะก็บอกไปอย่างนั้น จะตั้งชื่อเป็นภาษาอื่นภาษาอังกฤษภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่นภาษาฝรั่งอะไรก็แล้วแต่ แต่ในห้วงความคิด ในองค์ความคิด ของแต่ละคน จริงๆแล้วแต่ละคนมันไม่ตรงกันเป๊ะหรอก
นอกจากจะมาหลอมรวมกัน โดยเฉพาะเมื่อหลอมรวมกันแล้วมันจะมีผู้นำ ผู้นำที่มีแล้ว มีองค์รวมของความคิดความรู้ความเป็นไปได้ ของจิตวิญญาณที่ทำให้เป็นไปได้แล้ว อย่างมั่นคงอย่างแน่วแน่ และก็มีปฏิภาณปัญญามีนิรุตติภาษา เอามาสื่อ คำอธิบายเอามาสาธยายแจกแจงให้ผู้อื่นเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านสาธยายได้ สัตถาเทวะมะนุสสานัง ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครเท่าเทียม ผู้ที่ดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ก็จะได้อย่างนั้นไปตามลำดับ อย่างแท้จริง
ซึ่งความรู้ของพุทธเจ้านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างพระพุทธเจ้าได้ทุกพระองค์ ซึ่งต่างกันกับเทวนิยมที่ไม่มีสิทธิ์ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเป็นถึงผู้รู้ผู้สุดยอด เท่าพระเจ้าพระเจ้าสงวนลิขสิทธิ์สูงสุดไม่มีใครเป็นได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่หนใด ก็เลยไม่มีใครจะไปรู้สุขาของพระเจ้าได้ ไม่รู้สุขาอยู่หนใด ของเรารู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หนใดเป็นอย่างไร
แต่สุขาของพุทธรู้ว่าอยู่หนใด สุขาเป็นอารมณ์เป็นความรู้สึกเพราะมนุษย์แต่ละคนมีความรู้สึกของตนเองสามารถเรียนรู้อย่างรู้ ฝึกควรรู้ จนกระทั่งอย่างพวกเรานี้สามารถอย่างเข้าไปรู้ การเข้าไปดูเวทนาความรู้สึกของเราได้ มากน้อยแล้วแต่ ของใครของมัน จะจริงแค่ไหนก็แล้วแต่ของใครของมันอีกเหมือนกัน แล้วจะละเอียดลออแยกแยะรายละเอียดของเวทนา โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส นี่เป็นการซอยละเอียดของทุกข์
ผู้ที่อวิชชาจะไม่สามารถรู้จักอาการ หรือพฤติของโศกะ ปริเทวะ พฤติของโทมนัส ของอุปายาสะ เพราะอวิชชาเขาไม่สามารถศึกษารายละเอียดได้เลย ไม่รู้สังขาร ไม่รู้นามรูป ไม่รู้อายตนะ ไม่รู้ผัสสะ ไม่รู้เวทนา ไม่รู้ตัณหา ไม่รู้อุปาทาน ไม่รู้ภพชาติ พยัญชนะพวกนี้ก็มีสภาวะแตกต่างกันไป เมื่อไม่สามารถที่จะรู้ในภาวะ 2 คือเทวะ พยัญชนะกับสภาวะ ไม่ได้มาเรียนไม่ได้มาแตกแยกไม่ได้มาวิจัยวิจารณ์วิเคราะห์อะไรออกมาเลย มันก็ไม่เกิดความรู้ในตนเองได้
ในศาสนาที่ไม่ได้มีความรู้รายละเอียดพวกนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่มีทางที่จะรู้ ยิ่งไปล็อกไว้เลยว่ารู้เท่านี้รู้ตามนี้ ใครอย่าไปแตกแยก เอาตามนี้ให้รู้ตรงนี้ พระบุตรแต่ละองค์ที่มาประกาศคำสอนของพระเจ้า พระบุตรองค์หนึ่งก็สอนศาสนาหนึ่งพระบุตรอีกองค์หนึ่งก็สอนไปอีกศาสนาหนึ่ง พระบุตรอีกองค์หนึ่งก็สอนไปอีกศาสนาหนึ่ง ตรงกันบ้างต่างกันบ้างแล้วก็แยกกันไปคนละศาสนา ดีไม่ดี แต่ละศาสนาทะเลาะกันด้วย ไม่ลงกันอีก และก็ไม่มีใครตัดสินเพราะพระเจ้าไม่รู้จะให้ตัดสินอย่างไร แต่ของศาสนาพุทธนั้นมาอยู่ในร่างของคน ไม่มีพระเจ้าไม่มีพระบุตร มีอัตตาอัตภาพ ซึ่งศาสนาพระเจ้าก็มีอัตภาพเหมือนกัน แต่ว่าอัตภาพของท่านเมื่อมาเป็นพระบุตรแล้ว อัตภาพของท่านก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าเลยใครก็ไปแย้งพระบุตรไม่ได้ เมื่อบอกว่าพระบุตรยืนยันคำของพระเจ้า ก็เลยไม่มีใครกล้าแย้งคำของพระเจ้า แต่คำของพระเจ้านั้นที่จริงก็คือคำของพระบุตร เขาก็เลยแฝง พระบุตรอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในพระบุตรก็ยังเป็น 2 เป็นเทว แยกพระบุตรกับพระเจ้าไม่ออก อย่างนี้เป็นต้น
ในความหมายเรื่องนี้อาตมาก็แจกแจงไปพลาง เพื่อเป็นประโยชน์อยู่ในผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นพระเจ้าได้มาศึกษาบ้างจะได้ความรู้เพิ่มเติมกันไป สิ่งที่ตีไม่แตกเราเคยเป็นมาแล้ว ตีแตกแยกออกจนกระทั่งสลายทำลายให้ 0 ศาสนาพุทธเก่า จะอยู่ก็อยู่ได้ สุดแล้วคุณก็จะสูญได้ แล้ว 0 ได้จริงๆด้วย แต่คุณจะไม่สูญคุณจะอยู่อีกก็ไม่เป็นไร อยู่ไปเลยแข่งขันกับพระอวโลกิเตศวร เป็นความจริงไม่ได้พูดเล่นได้จะอยู่เท่าไหร่ก็เอา
จริงๆแล้วพระพุทธเจ้ากับพระอวโลกิเตศวร ว่าจริงๆแล้วเท่ากัน เพราะว่าพระอวโลกิเตศวรอยู่นานกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพระองค์ บำเพ็ญนะ ไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานสักที ส่วนพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านพระอวโลกิเตศวร เราจะไปปรินิพพาน ก็นิมนต์ปรินิพพานไปก่อน ท่านก็อยู่บำเพ็ญไปจนสุดสูงสุดแล้ว ใครจะสุดกว่าพระพุทธเจ้า ใครจะสุดกว่าพระอวโลกิเตศวร มันจะเอาอะไรมาสุดอีก ถ้ามันสุดในความเป็นพฤตินัยของเอกภพ กับมนุษย์ จะเอาอะไรมาสุดอีก
สมมุติว่าพระอวโลกิเตศวร ถ้ามีความคิดพิสดารเป็นศิลปิน จะสามารถ create อะไรเอามาอีกให้ยิ่งกว่ามนุษย์ในโลกจะรู้ ก็สมมุติไปแล้วท่านจะไปพูดกับใคร จะเอาไปให้ใครก็ในเมื่อใครก็ไม่รู้กับท่าน ท่านก็รู้อยู่คนเดียว พูดกับคนอื่นคนอื่นก็ไม่มีภูมิรู้เท่าท่าน ท่านจะไปทำให้เสียพลังงานแคลอรี่แรงงานทำไม พูดขึ้นมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เพราะไอ้ที่มีอยู่แล้วก็ยังไม่รู้เท่าทันทั้งหมด แล้วท่านจะสมมติขึ้นมาต่อยอดอีกจะต่อไปทำไม เพราะฉะนั้นที่สุดแห่งที่สุดมันมี ที่สุดแห่งที่สุดก็ต้องสูงสุดระหว่างสองคนเท่านั้น พูดกันสมมุติกันรู้กันสองคน ถ้าคุณเดียวสมมติแล้วคุณจะสมมติมาหาอะไร คนอื่นไม่รู้กับคุณแล้ว มันก็สมมุติมา 2 คนนั้นจึงจะใช้งานได้ 3 คน 4 คน 5 คน 6 คนก็เริ่มใช้กันได้ สิ่งนั้นก็เกิดความมีขึ้นมา แต่ถ้าสมมุติขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะให้ใครรู้ด้วย สิ่งนั้นก็เท่ากับไม่มี มีกับไม่มีเป็นตัวเดียวกัน มีอยู่หนึ่งเดียว หา 2 ไม่ได้ แล้วมันจะมีลูกไหม ก็ไม่มีทางมีต่อ ไม่มีอะไรต่อ เกิดพระบุตรไม่ได้ แม้จะหาแม่ไม่ได้
นัยยะของสิ่งที่จะพูดให้รู้ขีดจบจุดศูนย์บ้าง ถ้าไม่มีจุดจบแล้ว ไม่รู้จักจบก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไรต่อไปจะไม่รู้จักจบอย่างเทวนิยมคือพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนไม่รู้ พระเจ้าเป็นอย่างไรไม่รู้ มีแต่คำสอนพระเจ้า ก็เอาคำสอนพระเจ้ามาประพฤติอย่างนี้ให้เป็นไปได้ แล้วก็แก้ไม่ได้ด้วย ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นแก้ได้ตามเหตุปัจจัย แต่ผู้ที่สูงสุดยืนยันหลักสูงสุดนั้นก็ไม่ต้องแก้ ผู้ที่สูงสุดในยุคสมัยใดๆก็แล้วแต่ อย่างอาตมานี้ยืนยัน ว่าความรู้สูงสุดอันนี้เป็นอย่างนี้ อาตมารู้ต่อไปไม่ได้ บางอันยังตีไม่แตกแม้แต่พยัญชนะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ อาตมาก็เอาเท่าที่รู้ได้ แต่แค่ที่รู้ได้นั้นพ้นไหม เท่าที่อาตมารู้และออกมาประกาศพ้นทุกข์ไหม พวกเราก็พ้นทุกข์เป็นโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ไปตามลำดับ มันก็สบายและมารวมกันเป็นสามัญตา มันจะมีอะไรสูงสุดขึ้นไปได้ ใครจะสูงกว่าอาตมารู้ยิ่งกว่าอาตมาก็เอามาพูดกัน อาตมาไม่ได้ปิดกั้นความสูง จะมีสูงขึ้นไปจริงๆเท่าที่เป็นไปได้ดี ถ้ามีก็มา สึกก็มีอยู่บ้าง บางอย่างพวกเรานี้ แต่ละท่านแต่ละองค์ มันก็เป็นการฝึกขึ้นมา จะเรียกว่าใหม่จะเรียกว่าซ้ำซ้อนที่มีอยู่เก่าก็ไม่เป็นไร มันก็เป็นพฤติกรรม ที่เราจะมาประพฤติปฏิบัติกันได้ มันดี คือ เราเกิดความรู้แล้วก็สร้างความจริงความรู้ก็เป็นฐานก่อเกิดความรู้ใหม่เกิดไปเรื่อยๆ มันก็เกิดการพัฒนาการ
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน บุคคล 9 ในเอกกนิทเทส
อาตมาจะพยายามสาธยายบุคคล 9 ….(พ่อครูหาในพระไตรฯใช้เวลา ตัดออกด้วย)
บุคคล 9
ขึ้นต้นด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บายไว้ก่อน เพราะเกินภูมิเรา
บุคคลที่ 2 พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บายไว้ก่อน เพราะเกินภูมิเรา
[38] บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองใน
ธรรมทั้งหลาย ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย
บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ
[39] บุคคลเป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้ซึ่งสัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลายที่ตนไม่ได้สดับมาแล้วในก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า พระปัจเจกพุทธะ
[40] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุต
พ่อครูว่า...อุภโตคือสอง คือ เจโตวิมุติ กับปัญญาวิมุติ หรือเรียก สัทธาวิมุติกับปัญญาวิมุติ ก็ได้ เจโตหรือศรัทธาลักษณะเดียวกันแต่ปัญญาเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกเป็นสองอีก จริงๆแล้วเจโตหรือศรัทธา เราจะเรียก เจโต เป็น Dynamic เรียกศรัทธาเป็น Dynamic ก็ได้
หรือสลับกัน ศรัทธาเป็น static เจโตเป็น Dynamic ก็ได้ เพราะว่าเจโตหรือศรัทธาค่อนข้างจะตีไม่แตก เจโตยังจะต้องมี 2 คือฝ่ายเทวะยังตีไม่แตก ส่วนปัญญานั้นสามารถแยกออกได้ จะแยก จะเป็นตัวตั้งตัวเคลื่อน จะแยกตัวไหนเป็นภาษาเป็นสภาวะก็รู้สภาวะจริงอย่างนั้น พยัญชนะก็ไม่สับสน อันหนึ่งเคลื่อนอันหนึ่งนิ่งอันหนึ่งเป็นแกนอันหนึ่งเคลื่อน พยัญชนะจะสลับอย่างไรแต่ถ้าสภาวะชัดเจนแล้ว คุณจะไม่เปลี่ยนแปลงคุณก็ไม่สับสน
เวลาสื่อสารก็สื่อสารด้วยพยัญชนะ เราเอาสภาวะควักออกมาให้ดูกันไม่ได้ มันอยู่ที่จิตเป็นธาตุรู้ของแต่ละคน มันหยิบมาให้ดูกันไม่ได้ของใครก็ของใครเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ก็ต้องสื่อให้รู้กันได้ด้วยพยัญชนะเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงจบที่พยัญชนะผู้ที่มีสภาวะแล้วรู้ว่าคนอื่นเขามีพยัญชนะอย่างไรก็ไม่สับสนเพราะผู้นั้นสามารถแยกแยะความแตกต่างของสภาวะได้ละเอียดละออ เท่าทันกัน เท่าทันคนอื่นใด ผู้สามารถดูได้เท่าทันมีสภาวะละเอียดกว่าและรู้เท่าทันว่าพยัญชนะนี้หมายถึงอะไรใช้พยัญชนะหมายถึงภาษาอะไรหรือภาษา 2 อย่างภาษาเทวะ 2 อย่าง สลับไปสลับกันมาอย่างไร จะพูดว่าดีชั่ว ชั่วคือดีดีคือชั่ว ก็ไม่สงสัย ผู้ที่มีสภาวะ จบแล้ว คุณจะเอาพยัญชนะชั่วไปเรียกดี ก็ดีนี้เขาเรียกว่าชั่ว ก็ชั่วนี้เขาเรียกว่าดี ก็ไม่สงสัย ผู้ที่จับสภาวะแม่นแล้ว ก็ไม่สงสัย คนที่เขายังสลับอยู่เท่านั้นเองก็จบ ผู้ที่เป็นสภาวะสูงสุดแล้ว ไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา
คำว่าถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถูกต้องต้องมีผัสสะ ปัสสติ มีการสัมผัส กายคือองค์ 2 ต้องสัมผัสกัน ความหมายของพยัญชนะเหล่านี้ถ้าไม่มีสภาวะแล้วยากมาก วิโมกข์ 8 มีอะไรบ้างตั้งแต่
1. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
รูปี รูปานิ ปัสสติ รูปคือสิ่งหนึ่ง รูปานิคือ ผู้มีความพร้อมที่จะรู้รูป เช่นคนตาบอดจะไม่สามารถรู้รูปได้ คนหูดีก็ฟังเสียงได้ รู้เสียงได้ แต่เสียงก็คือรูปเหมือนกัน ท่านย่นย่อมาที่รูปกับนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่เป็นธาตุรู้ จะเป็นเสียงเสียงมันก็เป็นรูป ที่จิตของเราเป็นนามมาสัมผัสเสียงก็รู้ เสียงก็เป็นรูป ที่นามของเราจะไปสัมผัสกลิ่นก็คือรู้ รสทางลิ้น รสก็เป็นรูป จะมีนามไปสัมผัสรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็ตาม มันก็มี 2 เหมือนกันมีการสัมผัสกับธาตุรู้ขึ้นมา นี่เรียกว่าวิโมกข์ข้อที่ 1 รูปีรูปานิปัสสติ
2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
ผู้ที่จะเห็นรูปตามข้อที่ 1 คือรูปานิ ผู้เห็นรูป ก็ต้องเห็นตั้งแต่ภายนอกมาก่อน การเห็นภายนอกด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นทวารภายนอก กระทบสัมผัสและคุณก็รู้ รู้แล้วคุณก็อ่านใจ ใจเป็นภายในคุณก็อ่านผล คนรู้จักนอกมาในมันก็เชื่อมโยงกันอยู่ไม่ขาดไปไหน ความรู้มันไม่ได้ขาดไปไหน นอกกระทบรู้ แต่ที่รู้จริงๆคือใน ภาวะภายในที่ไปรู้ รู้อย่างนี้อย่างนี้ และรู้อย่างนี้คุณมีอีกตัวหนึ่งที่เป็นเวทนา 2 เวทนาที่ไม่ใช่ตัวแทน
รูปอย่างนี้มันแบนกลมยาวสั้น มันก็คือรูปที่บอกมิติของมันอย่างนั้น สีอย่างนี้เป็นสีแดง สี อย่างนี้เป็นสีเหลืองเขียวมันก็บอกมิติของสีต่างๆ เราก็แยกกลุ่ม กลุ่มของระยะทาง กลุ่มของสีสัน รูปทรง หรือจะเป็นแสงสว่าง มืดสว่าง ใส ขุ่น ดำ อะไรก็แล้วแต่มิติต่างๆเหล่านี่แหละที่เราจะสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษา และรู้กันได้ด้วยสภาวะเดียวกัน อย่างอาตมาพูดไป ก็รู้ของใครของมัน
ที่นี้ภายนอกกับภายใน เมื่อรู้ภายนอกแล้ว เราก็รู้กิเลสหยาบภายนอก เราก็เรียนรู้กิเลสในภายนอก ล้างกิเลสกำจัดกิเลสภายนอกให้หมดไป เมื่อกิเลสภายนอกหยาบเป็นกามภพหมดไปก็เหลือต่องแต่งในภายใน ข้างนอกไม่แสดงออกแล้วเฉยๆสบาย กลางๆไม่ดูดไม่ผลัก เป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่เป็น 2 เป็นหนึ่ง เพียงแต่สักแต่ว่ารู้ หรือรู้อาสยะ อาศัย รู้เป็นตัวที่คงอยู่เท่านั้น
ย รล ว ส ห ฬ อํ
ย คือพยัญชนะตัวแรกของเศษวรรค เริ่มต้นจุดแรกที่จะไปเป็นภาวะ เอามาใช้เป็นตัวเกิดตัวเป็นก็รวมพลังงานนี้ ย ร ล สามเส้า ว ส เอา สะ ตัวที่ 5 ของเศษวรรค มารวมกัน ยะ
ยะ คือตัวแรก ส คือตัวที่ 5
5 คือกึ่งหนึ่งของความมี ถ้า 4 ก็ไปทางความไม่มี ความมีคือ 9 กึ่งของความมีคือ 5 ถ้าลดไปเหลือ 4 จะไปหาไม่มี ถ้าไป 6 ก็จะไปต่อเป็น 7 8 9 สังขยาเลข กำหนดเป็นภาวะให้เรียนรู้ได้
ถ้ามีหนึ่งนี้ 4 มันถอย ถ้ามี 5 มันมีทศนิยมเพิ่มไปแล้ว ทศนิยมเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งของ 9 ของความมี 0 คือความไม่มี ถ้าไป 4 มันถอยไปหา 0 ถ้าไป 5 ไป 6
5 คือกึ่งที่จะตัดสิน ในความเป็นสยะคุณจะตัดสิน อุปจยะหรือชรตา
ลักษณะ 4 สุดท้าย อุปจยะ สันตติ ชรตา ตบท้ายอนิจจตา
อนิจจตา เป็นตัวกลางเป็นตัวไม่เที่ยง คุณมีจิตเหนือแล้วจะเที่ยงหรือไม่เที่ยงก็ได้ มี วสวัตตีโกของคุณ คุณเป็นเจ้าของอำนาจจิต คุณจะเที่ยง หรือไม่เที่ยงก็อยู่ที่คุณ เที่ยงมันก็มี ถ้าเที่ยงอย่างไม่แตกแยกเป็นเทวนิยม ถ้าเที่ยงอย่างอเทวนิยมก็ชั่วคราว เที่ยงไปเป็นล้านๆๆๆปีก็ได้ คุณจะเที่ยงไปสักล้านๆๆๆปีก็ได้ จะเที่ยงไปเศษ .0000000 ไปอีกล้านวินาทีก็ได้คุณจะเที่ยงแบบนั้นก็ได้
สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยสภาพสอง ตัวหนึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ตัวหนึ่งเป็นธาตุรู้ ชีวะต้องมีธาตุรู้แม้แต่แค่พืชเป็น พีชะก็มีตัวรู้ มันไม่วิจิตรพิสดารอะไรมากมายมันมีกรอบขอบเขต เพราะว่าพืชมันมีแค่สัญญากับสังขารมันไม่มีวิญญาณ มันไม่มีเวทนา ความรู้สึกไม่มี วิญญาณพิสดารเป็นธาตุรู้พิสดาร เวทนา สัญญา สังขาร สามเส้านี้ ถ้าเกิด 3 อันนี้มีนิทานเกิดเยอะ ทั้งนั้นเลยเกิด story ขึ้นมามากมาย เรื่องราววุ่นวายมากมาย
สรุปแล้วศาสนาพุทธต้องมีผัสสะ ต้องรู้จักธาตุสองธาตุ นามและรูป รูปธาตุ นามธาตุ เสมอทำงานกันไปด้วยวิโมกข์ 8 ข้อ
ผู้ที่สามารถรู้ความหมายข้อที่ 1 ดีแล้วก็มีสภาวะเสร็จเรียกว่า วิหรติ แปลพยัญชนะชัดเจนว่า แล้ว เป็น Past perfect tense เป็น สมบูรณ์การณ์ ก็ยังมีอิริยาบทอยู่
ทีนี้ในข้อที่ 1 คนอุภโตภาควิมุติ นี้อาสวะสิ้นเพราะเห็นด้วยปัญญา ถ้าปัญญาเป็นอุณหธาตุที่สลายอาสวะได้ คนนี้มีทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ
[42] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ปัญญาวิมุต
พวกเทวนิยมไม่สามารถตีแตกเทวะได้ ตีแตกสองได้ ในคัมภีร์ของเทวนิยมไม่มีคำสอนเหล่านี้ ที่อาตมากำลังอธิบายนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระเจ้าไม่มีความรู้เหล่านี้อาตมาก็เลยไม่ไปอยู่ด้วย มาอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้าแทน พระเจ้าก็มีภาษาสภาวะที่เป็น 2 ตีไม่แตก คือ เทวะ ตีรูปกับนามก็ตีไม่ได้ ตีเจโตกับปัญญาก็ไม่ได้ ตีเพศหญิงเพศชายก็ตีได้แต่รูป รายละเอียดของปรมัตถ์ อิตถีภาวะปุริสภาวะ ก็ยังมีอีก แม้แต่พืชก็มีผสม 2 ส่วน เป็นเพศ 2 พืชมันก็ยังมี สัตว์ก็เหมือนคนก็ไม่ต้องไปพูดถึง แม้ที่สุดพระพุทธเจ้า 2
2 จะพูดถึงตัวนิ่งตัวหยุดเป็น status ก็ได้ 2 จะพูดถึงตัวเครื่องหมายเป็นตัวกระแสก็ได้ หมายเอาตัวไหนก็ได้ ตัวหยุดตัวจบตัว 0 เอาที่ตัว status static หยุดได้ด้วย 0 ตัว 0 คือไม่มีแต่มันมีตัวเราเป็นธาตุรู้ที่รู้ว่าสูญ 0เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบกับอะไรอื่นไม่ได้ นัตถิอุปมา หรือจะเอา 0 ไปเปรียบกับ Infinity หรือเป็น Eternity ก็ได้
Infinityประมาณนับหน่วยไม่ได้ ถ้าเป็นEternity ก็ไหลไปเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ก็เหมือนกับทางฟิสิกส์ที่ขัดแย้งกันระหว่างโฟตอนกับ ควันตั้ม จะเอาอะไรเป็นตัวเคลื่อนก็ได้สลับกันไป ถ้ารู้สภาวะเสียแล้วก็ไม่มีปัญหา
ตกลงเมื่อเราพูดกันเราตายหรือไม่ตาย เรามีหรือไม่มี เราต้องชัดเจนว่าเราพูดอยู่ในสภาวะที่เรายังมีอยู่ไม่ใช่ว่าเราไม่มีแล้ว แต่ในความมีของเรานั่นเรามีไม่มีไว้อาศัย ก็มีความไม่มีอาศัย เพราะฉะนั้นตัวที่จะไม่ให้มีอาศัยนั้นคือกิเลส
สุญญตาที่เราหมาย คือสุญญตาที่เราสูญจากอะไร สูญจากกิเลสเพราะเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเราก็ยังมี สิ่งที่เราหมายถึงว่าอะไร
ตัวการที่มันทำให้เราทุกข์ทำให้เราหยุดไม่ได้ ทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยต้องรำคาญ ก็ต้องพยายามอธิบายภาษาให้มันกระชับสั้นเป็นภาษาไทยรู้เรื่อง มันทำให้เรา ทุกข์ มันทำให้เรายังมุกมิก มุ๊งมิ๊ง มันก็กำหนดเอาเองก็แล้วกันว่าอะไรแรงกว่า มุกมิก มุ๊งมิ๊ง ก็จบที่ใครจะไปเอาแบบไหน ก็แรงกับเบา
สุดท้ายก็ทำความเบาที่สุดที่เราจะอาศัยไม่ได้ เบาที่สุดที่เราอาศัย ทำเบาที่สุดที่เราอาศัยได้สบายแล้วเบาแล้วขนาดนี้ ถ้าแรงกว่านี้ก็รู้สึกว่า ปวดๆ คันๆ หรืออะไร แต่คันนี่นะ ถ้าเการู้สึกว่าจะสบายเกิดกิริยาสัมผัส สบาย ถ้าเกามากๆก็ร้อน แสบ เจ็บ ก็คือเกิดจากผัสสะ ถ้าใครจะไปติดยึด พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ายังมีเมถุนสังโยค
ชอบ นวดฟั่น สัมผัสแตะต้อง การสัมผัสด้วยตาอะไรก็แล้วแต่ ในเมถุนสังโยค 7 ละเอียดจนกระทั่งอยู่นิ่งๆเลยเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เฉยเลย เป็นที่สุดเลย เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนี่งคือ อยู่เฉยๆไม่ต้องสัมผัสอะไรโดดเดี่ยวเดียวแดก็มี คุณจะนิ่งอย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ตาม จะมากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ไม่มีสังขยาเลขให้เรียกแล้ว ป่านนี้ก็ยังไม่เกิดหรอกสองรูป ยังจมอยู่ในภพที่ไปนั่งสะกดจิตตัวเองอยู่นั่นแหละ
ถ้าเราอยู่นิ่งก็จะแช่นาน หมดฤทธิ์หมดอำนาจก็จะออกมาจากสิ่งที่สะกดไว้ ออกมาตามวิบาก ไม่จบ จะจบได้ก็ต้องพระพุทธเจ้า ท่านมีปัญญาล้างอันนี้ออกไปเลยแยกธาตุออกไปได้ พีชนิยาม จิตนิยามออกไปได้ เป็นสามเส้า มีประธาน เราเป็นประธาน ISH เป็นตัวตน สองเพศ เพศหญิงเพศชาย เราควบคุมพลังงานเพศชายเกิดเป็นนิวเคลียสเป็นกลุ่มพลังงาน กลุ่มพลังงานนี้เราก็เป็นคนจัดสรรเป็นคนสร้างเป็นคนกำหนด จะให้แรงจะให้เบา จะให้น้อยจะให้มาก จะให้มีฤทธิ์มากหรือน้อยก็ตามบารมี ที่จะทำได้เท่าใด ชีวิตคนทำได้คุณไม่เก่งเกินกว่าที่คุณเก่ง ใครจะเก่งเท่าไหร่ก็เก่งเท่าที่คุณเก่ง ใครจะเก่งกว่าที่เราเก่งไม่มี เราก็เก่งได้ทุกที่เราเก่ง ก็จบแล้ว จะพูดกันอย่างไม่ดูที่จบก็ไม่ไหว มันต้องดูที่จบ
จบที่ ตัวที่รู้ด้วยปัญญาจะหยุดหรือมีอิริยาบถอยู่ ก็มีอิริยาบทอยู่ ตัวที่ยังไม่สูญคุณก็ยังมี เมื่อมีก็ไปเป็นบุคคลปัญญาวิมุติ
อุภโตภาควิมุติแน่นอนเป็นพระอรหันต์แน่เพราะอาสวะทุกอย่างหมด
[41] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้
เรียกว่า ปัญญาวิมุต
คนนี้อาสวะไม่มีแล้วเรานับคนที่เป็นอรหันต์ตรงที่อาสวะทุกอย่างหมดสิ้น พรุ่งนี้ก็เป็นอรหันต์ ปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์ อุภโตภาควิมุติก็เป็นอรหันต์แน่ บุคคลต่อมาปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์ เพราะว่าอาสวะสิ้นไปหมดแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง
ท่านไปแปล มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มาจาก อัตถะ วิโมกเข กาเยน ผุสิตวา วิหารติ
หะ คือธาตุแท้ เอวะคือตัวนั้น โขคือสำทับย้ำตัวนั้นอีกที ก็ไอ้ตัวนั้นกับตัวนั้น มันมีแล้วโข มันย้ำแล้ว ไม่ต้องไปย้ำอีกก็ได้ก็มันมีแล้ว ห เอวะ คำว่า เอวะคือนี้หรือนั้น นั้นหรือนี้ก็อันนั้นอันนี้ ถ้าโน่นก็ไกลมาก เอามาใกล้ๆเอาอันนี้ อันนั้นก็ยังไกลไป อันโน้นก็ไกลไป ก็เอาอันนี้ ก็อันเดียวกันนี่แหละ นเหวโขก็ตัวนี้ ไม่ต้องพูดอีกย้ำอีก สรุปแล้วนเหวโข ก็มีแล้วจนกระทั่งอาสวะสิ้นแล้ว มีอะไร มีทฤษฎีมีคำสอนมีภาคปฏิบัติมีวิธีเอามาเรียนจนกระทั่งอาสวะสิ้นแล้ว มีมาแล้วเลิกแล้วจบแล้ว จบตรงไหนก็คืออาสวะสิ้นแล้ว รู้ด้วยปัญญา มีปัญญา ปัญญาวิมุติ
ปัญญามีฤทธิ์ทำให้อาสวะสิ้นหมดแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญานี่ไง บุคคลผู้นี้เรียกว่าปัญญาวิมุติก็เป็นพระอรหันต์เพราะอาสวะสิ้น จะระบุได้ว่าเป็นอรหันต์ก็ตรงที่อาสวะสิ้น ถ้าหากอาสวะยังไม่สิ้น หรือว่าอาสวะสิ้นบางอย่างเท่านั้นคนนี้ไม่ใช่อรหันต์
[42] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี
กายสักขีอาสวะบางอย่างของผู้นั้นสิ้นไปแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา มีกำกับว่า ต้องเห็นด้วยปัญญา กดข่มอย่างไรก็สิ้นไม่ได้ อาสวะหมดไปไม่ได้ แต่สิ้นด้วยปัญญานี้ จะสิ้นอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
กายสักขีนี้เป็นบุคคลที่ 5
ผู้ที่เป็นปัญญาวิมุตเรียกว่าเป็นอรหันต์ได้ ส่วนผู้ที่เป็นกายสักขียังเรียกว่าเป็นอรหันต์ไม่ได้ ท่านจึงกำหนดสภาวะว่าจะต้องถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วบรรลุสำเร็จอิริยาบถอยู่ อาสวะบางอย่างสิ้นเท่านั้นก็เป็นกายสักขี ถ้าหมดทุกอย่างก็เป็นอรหันต์
หมดแล้วท่านบอกว่า นเหวโข ผู้แปลพยัญชนะเป็นไทยว่า มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ท่านแปลง่ายๆ ว่า น คือไม่ แต่ที่จริง เหว ก็ไม่ โขก็ย้ำ คือ ความถูกต้องที่เขาแปลมานี้ก็เลยหายไป คำว่าถูกต้องดีคือสัมมาทิฐิคือความไม่ผิด มันก็เป็นคำซ้อน
กายสักขีแค่อาสวะบางอย่างดับได้ยังไม่สิ้นอาสวะหมดเหมือนปัญญาวิมุติ
กายสักขี สายเจโต ปัญญาก็ไม่ค่อยเจริญเท่า ปฏิภาณปัญญาไหวพริบก็จะช้าก็จะน้อยกว่า ไม่เป็นวิชาการ ไม่ได้ข่มเจโตสายศรัทธาอะไร สำหรับการเป็นพระพุทธเจ้า
ปัญญาธิกะ ก็ 20 อสงไขย เศษแสนกัป ก็เป็นพระพุทธเจ้า
สัทธาธิกะ ก็ 40 อสงไขยเศษแสนกัป ก็เป็นพระพุทธเจ้า แล้วแต่บารมี
เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถบรรลุ กายสักขี อยู่ในสายเจโตศรัทธาปัญญาไม่บริบูรณ์เท่าสายปัญญา ก็จึงช้ากว่า เก็บรายละเอียดนานกว่า
คู่ปัญญาวิมุติกับกายสักขี
คู่ ทิฏฐิปัตตะกับสัทธาวิมุติ
คู่สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี
หมู่เดียวกับปัญญาวิมุติคือทิฏฐิปัตตะกับ ธัมมานุสารี
หมู่เดียวกับ กายสักขี คือ สัทธาวิมุติ กับสัทธานุสารี
เจโตคือเนื้อจิต ศรัทธาคือความเชื่อ เนื้อของจิตเป็นรูปความเชื่อเป็นนาม
ความศรัทธาเป็นความหมายความเชื่อก็คือเป็นนาม ใครจะเอาศรัทธาเป็นรูป เอาเจโตเป็นนาม ก็ช่างศรีษะใครศีรษะมัน เป็นแต่เพียงสภาวะอาตมาไม่สับสน คนจะมาเรียกรูปนามสลับกัน ก็ไม่เป็นไร เรารู้สภาวะก็จบ
ภาษาที่บอกว่าไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์8ด้วยกาย กับภาษาที่บอกว่าถูกต้องวิโมกข์8ด้วยกาย 2 คำนี้ หากไม่เข้าใจสภาวะก็บอกว่าคนนี้เก่งไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จะบรรลุด้วยประสิทธิภาพที่แท้จริงจะมาเก่งกว่าได้อย่างไร มันแหว่งฟันหลอ ไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยค่ะ จริงๆไม่ใช่ฟันหลอแต่ไปแปลพยัญชนะ นเหวโข สั้นไป ไปแปลสั้นไป ถ้าให้อาตมาแปลก็บอกว่า ไม่ต้องไปสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่ต้องไปกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก ไม่ต้องกล่าว เพราะท่านมีมาแล้ว ไม่ต้องไปกล่าวซ้ำซากก็ได้ เพราะว่าปัญญาวิมุตมีสัมมาทิฏฐิมาตั้งแต่ธัมมานุสารี
ทิฏฐิปัตตะ ทิฏฐิ แปลว่าความรู้ความเห็นความเชื่อ ปัตตะแปลว่าบรรลุ
ปัตตะเป็นตัวจริงส่วนทิฏฐิเป็นสายตรัสรู้เป็นสายปัญญา ผู้ที่สามารถเข้าถึงด้วยทิฏฐิปัตตะ
ส่วนสัทธาวิมุติก็แล้วแต่ความเชื่อว่าวิมุติอย่างไร เขาจะวิมุตด้วยการสะกดจิต ไม่มีปัญญาเข้าไปร่วม วิมุตด้วยการสะกดจิต วิมุตโดยสายศรัทธามันไม่เที่ยงมันจะต้องเปลี่ยนแปลง คุณมีพลังงานสะกดจิตได้เท่าไหร่ก็เท่าที่คุณมีฤทธิ์ เมื่อหมดฤทธิ์หมดอำนาจหมดยศศักดิ์ คุณก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ที่ต่ำ เรียกว่า อาคามี เป็นการเวียนกลับ แต่อนาคามีแปลว่าไม่เวียนกลับ แต่นี่เขาต้องอาคามี เพราะไม่สำเร็จ
สัทธาวิมุตจึงไม่สำเร็จด้วยปัญญา ไม่มีไม่เห็นด้วยปัญญา ทิฏฐิปัตตะนี่ ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่าอันนี้ถูก ว่าอันนี้คือเหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนึ่งธรรมะทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้วผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา เห็นชัดแล้วดำเนินไปปฏิบัติ คตะไป จนถึงขั้นปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว ทิฏฐิปัตตะ ก็ทำให้อาสวะสิ้นได้เพราะเห็นด้วยปัญญา พวกนี้ทำอาสวะบางอย่างสิ้นได้ด้วยธาตุปัญญา
ถ้าสัทธาวิมุติ กับทิฏฐิปัตตะ
ความเป็นปัญญากับความเป็นศรัทธา นั้น ปัญญา มีความฉลาดมีความไหวพริบมากกว่า เพราะฉะนั้นความหมายนี้จึงทำให้ผู้นี้ไม่สับสน ไม่ผิดในสภาวะ ก็จะรู้ว่ามันมีเชิงเหนือกว่า ปัญญาเหนือกว่าเจโต หรือศรัทธา ส่วน ปัญญา แยกรายละเอียดเจโตสัทธาออกได้แล้วไม่มีสองไม่มีเทวะ
ขออภัยทางเทวนิยม ไม่ได้มาข่มแต่ท่านเป็นอย่างนั้นอยู่จริง ท่านก็ไม่สามารถอธิบายอย่างอาตมาได้ แล้วอาตมาอธิบายนี้เป็นภาษาเพ้อเจ้อหรือเปล่าก็ไม่ใช่ อธิบายและมีสภาวะในตัวพวกคุณเอาไปปฏิบัติธรรมให้บรรลุตามได้หรือเปล่า..ก็ได้
อธิบายพยัญชนะไม่ได้เพ้อเจ้อ แต่หมายความถึงสภาวะที่มีจริงพวกคุณปฏิบัติจริงได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้สูญเปล่า ไม่ใช่เป็นคนพูดพล่อยลอยลมพูดเล่น พูดตามความหมายที่ไม่ใช่ความหมายธรรมดา ถ้าไมใช่คนอย่างอาตมา อธิบายไม่ถูก พูดไปแล้วเหมือนยกย่องตัวเอง ถ้าไม่ใช่อาตมารู้ความจริงเอาความจริงอันนี้มาพูด ถ้าหากไม่มีความจริงเอามาพูดก็พูดอย่างเละเทะ พวกคุณก็จะยืนหยัดไม่ได้ จับไม่มั่นคั้นไม่ตายอยู่ตลอด แต่นี่จับมั่นคั้นตายไหมที่อาตมาพูด...จับมั่นคั้นตาย
ทิฎฐิปัตตะกับสัทธาวิมุต สัทธาวิมุตไม่มีปัญญาแยกสองได้ไม่แตก กดข่มให้นิ่งเป็น1 ให้ 2 อย่ากระดุกกระดิกก็จบ สัทธาวิมุต
ส่วนทิฏฐิปัตตะ ตีสองแตกแล้วย่อยให้ลดลงให้หายเหลือเป็น1 เป็น 0 ได้
ธัมมานุสารี กับ สัทธานุสารี ส่วน ทิฏฐิปัตตะก็ทำให้อาสวะบางอย่างหมดได้
[43] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ
[44] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาแต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต
[45] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมี ประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญา เป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
อนุสารีคือสารีน้อยๆ สารีน้อยก็คือบุตร สารีใหญ่ก็คือพ่อ
สายปัญญาก็มีปัญญานำ มีปัญญาเป็นประธานของสามเส้าตัวเอง ระหว่าง อิตถีภาวะ ปุริสภาวะกับ ปัญญา อันนี้มีจุดเริ่มต้นของโสดาปัตติผลด้วยมีปัญญานำเรียกว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล เมื่อทำโสดาปัตติผลได้ ผู้นี้ชื่อว่าธัมมานุสารี ถ้ายังไม่ตั้งอยู่ในผลก็เรียกว่าอนุสารี สายปัญญา
ส่วน สัทธานุสารีนั้น สัทธินทรีย์มีพลังงาน
[46] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉน สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต
ศรัทธานี้ยังไม่แตกฉานด้วยปัญญาก็จึงอบรมด้วยการสะกดจิตไป ถ้าไม่ได้มาคบกับสายปัญญา ศรัทธาก็จะงมคลำกันไป ดีไม่ดีปนกับ อาจารย์สายศรัทธาด้วยกันก็วนอยู่อย่างนั้น อาจารย์ก็วนลูกศิษย์ก็วน วนๆวนๆอยู่ ไม่ออกจากกรอบของโลกียะไปได้ หรือไม่ออกจากกรอบของภาคปฏิบัติที่จะปฏิบัติให้ยิ่งกว่านี้ ข้อปฏิบัติอยู่ในธาตุรู้ที่ตนเองสมมุติรู้อยู่ในกรอบจำกัด ไม่มีอัญญะ อันอื่นก็จะมีแต่กรอบเก่าก็จะวนในโลกเดิม
สัทธานุสารี จึงจะต้องเกิดธาตุใหม่ กว่าจะเกิดธาตุใหม่เอง มันนานจนไม่รู้จะกี่ล้านปี แต่ถ้าคุณไปคบกับสายปัญญาที่เป็นสัตบุรุษก็จะเป็นทางเร็วทางลัดกว่าเสียศักดิ์ศรีอัตตาหน่อย ไปพบสัตบุรุษ เป็นทางลัดอีกหลายล้านๆๆๆปี ผู้หยิ่งผยองไม่ศรัทธาฉันจะเอาอย่างนั้นเองก็จะจบตัวใครตัวมัน มันมีทางแต่ไม่รู้อาตมาไม่มีตัวเลขให้คุณเมื่อไหร่จะเจอทางออก เพราะฉะนั้นให้คนเข้าไปช่วยเถอะน่า 13 หมูป่ายังต้องให้คนไปช่วยเลยออกเองไม่ได้ มันช้านะไม่อย่างนั้นตาย ตายแล้วไม่ได้ออก ใครที่ยืนหยัดจะหยิ่งผยองก็แล้วแต่ จะเสียเหลี่ยมอะไรนักหนา แม้จะให้สัตบุรุษสอนท่านไม่ถือว่าเป็นนายคุณหรอก คุณได้แล้วคุณจะอกตัญญูอย่างไรท่านก็ไม่ถือสา คุณจะไปมีกรรมอกตัญญูก็เรื่องของคุณ คุณจะสะสมอกตัญญูก็เรื่องของคุณ มันก็มีของจริงมีวิบากจริงเรื่องอกตัญญู เพราะฉะนั้นจบที่สภาวะจริงของใครของมัน
สรุป บุคคลที่ 9 สัทธานุสารีจะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ก็จะต้องอบรมอริยมรรค มีศรัทธาเป็นเครื่องนำมาก็ตาม มีศรัทธาเป็นประธานก็ตาม ก็จะช้าไปตามวาระของตนเอง ก็จะค่อยๆเป็นไป แต่ถ้าเผื่อว่าไปคบกับสัตบุรุษสายธัมมานุสารีก็จะเร็วขึ้น
คนเราถึงแม้ว่าจะไม่เจตนา ถ้ารวมกันอยู่ในพวกเรานี้มีทั้งสายศรัทธา มีทั้งสายปัญญา เพราะฉะนั้นการมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คือเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ อยู่ที่นี่ถึงอย่างไรมันก็มีซึมซับ osmosis โดยไม่ต้องเจตนา มันก็มีมันก็ได้ พระพุทธเจ้าถึงสรุปว่า
มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คือทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ คนที่อวดดีปลีกแยกเป็นช้างมาตังคะ เป็นแกะหลงฝูง ออกจากหมู่ ไปอวดดีทำไม ใช่ไหม
ศักดิ์ศรีอวดดี พระพุทธเจ้าถึงอธิบายว่าช้างที่จะออกไปจากฝูงถ้าไม่ใช่ช้างมาตังคะ
ช้างมาตังคะหมายถึงช้างที่มีประสิทธิภาพ ช้างมีความรู้ความสามารถของตัวเองอย่างเก่ง ออกจากฝูงแล้วไปสร้างฝูงใหม่ได้ เพราะมีความรู้มีอำนาจที่ทำให้คนได้รับประโยชน์ จึงสามารถตั้งหมู่ได้ แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ความสามารถไปตั้งกลุ่มหมู่ คุณก็ตั้งไปอาจจะได้กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ในอโศกนี้ก็มีพวกอวดดีจะไปเป็นช้างมาตังคะ แตกแยกหมู่ก็มี ชื่อของบุคคลขึ้นมาที่อาตมาไม่อยากจะกล่าว
อยู่ในชาวอโศกแต่อวดดีเป็นช้างมาตังคะ จะไปสร้างกลุ่มใหม่แข่งกับอาตมา ขออภัยอาตมาไม่ได้เบ่งอวดดีข่มเขาหรอก ก็ถ้าเขาจริง ป็นเขาเป็นช้างมาตังคะ ดีไม่ดีเป็นช้างมาตังคะตัวพี่ ก็มาอยู่ อาตมาจะอยู่ไปอีก 50 กว่าปี ก็ดู คุณจะทำได้ก้าวหน้ากว่าอาตมาหรือไม่ มีมวลหมู่มีความรู้มีความแตกฉาน สังคมก็เป็นตัวชี้บ่ง มีปริมาณหมู่กลุ่มเท่านั้นเท่านี้จะได้ไหม ที่พูดนี้ไม่ได้อวดดีแข่งขันท้าทายแต่พูดด้วยสภาวะให้ฟัง อาตมาพูดเหมือนอวดดี แต่มันต้องพูดในความจริง พูดความดีมันก็ต้องข่มความชั่ว พูดความสูงมันก็ต้องข่มความต่ำ จะให้หลีกเลี่ยงไปทางไหน ไม่มีทางเลี่ยงแล้ว เมื่อพูดสูงมันก็ต้องข่มความต่ำ แล้วสิ่งที่สูงอันนี้มันก็หมายถึงตัวเอง แล้วตัวเองเป็นอย่างนี้ ที่ไปพูดต่ำก็ต้องหมายถึงตัวเขา แม้ถึงขั้นเถรสมาคม อาตมาก็ยัง เบ่งทับๆ ก็ต้องเกรงใจขออภัยเถรสมาคม ท่านผู้ที่บวชนานบวชก่อน ผู้ที่รู้ราตรียาวนานกว่าอาตมามีอีกเยอะ หรือหลายคนเป็นผู้รู้มากกว่าอาตมา เป็นที่ยอมรับเลย เป็นผู้คงแก่เรียน learned man อาตมานี้ไม่ใช่ผู้ที่คงแก่เรียน ไม่ได้เรียนอะไรมากมายเลย เขาเรียนมาอย่างสั่งสมคงมั่นผนึกเป็นปึกแผ่นเยอะ อาตมานี้เรียนน้อยในปางนี้ มีแต่ควักของเก่าหากินอยู่ทุกวันนี้ ยังดีไม่หมดภูมิ
สรุปอีก พวกเราชาวอโศกได้เรียนรู้ เท่าที่อาตมาจะมีภูมิสาธยายแบ่งความรู้ให้พวกเราก็ศรัทธาเลื่อมใสนำไปปฏิบัติจนตัวเองได้มรรคผล บรรลุ ได้อาศัยสิ่งที่เราบรรลุสิ่งที่เราเป็นจริง จะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คุณก็ได้ของแต่ละคนจริง เวทนาสุขเท่าไหร่ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นฐานนิพพาน
ฐานนิพพาน ไม่ใช่ดีหรือชั่ว พรุ่งนี้มาขยายเรื่องนี้ นิพพานไม่ใช่เรื่องดีชั่วนิพพานคือเรื่องสุขทุกข์ เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้สึกทุกข์จึงจะไปนิพพานได้ เรียนรู้ดีชั่วไม่มีทางจบไม่มีนิพพาน ฝากไว้ก่อนโอฬาร
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:35:00 )
รายละเอียด
611228_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 สลายอาสวะให้ทะลุไปหาอนุสัย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bZNtQXUKDH73ki_6pgb_seRNJ6hrSe_RLp2PP4hcY9E/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1XOmjzLMqvAaEBSeQR4Orzj1eOmlnF6k4
สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน สลายอาสวะให้ทะลุไปหาอนุสัย
พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้อาตมาลงลึกคำว่าเทวะ หรือ เทวฺ มันเป็นสอง รู้ทั้งสภาวะและพยัญชนะ
ทางเทวนิยมเขาเป็น 2 เป็นจิตวิญญาณที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นหนึ่งเดียว เทวหรือเทวดาเขาเป็นหนึ่งเดียวมันแยก 2 ไม่ได้ รู้รูปนามรู้ 2 ไม่ได้ คำว่าสองนี้เป็นได้ทุกอย่างเลยตั้งแต่นิวเคลียสเป็นบวกกับลบ แต่มันเป็นพลังงานได้จนถึงขั้น ระเบิดออกมา มหาศาลเลย เท่าไหร่เท่าไหร่ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันลึกซึ้งมากทีเดียว
พวกเราเป็นพวกที่ว่ากันในยุคนี้เป็นคนที่รู้อันนี้ แม้แต่เถรสมาคมก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นประเทศอื่นเป็นศาสนาพุทธก็ตามก็ยังไม่รู้ มีประเทศไทยรู้และประเทศไทยก็คือชาวอโศกด้วย ไม่ได้อวดดีอวดเก่งแต่มันเป็นไปตามธรรม แสดงออกมาเป็นเกือบ 50 ปีแล้ว ถ้าอาตมาไม่เป็นจริงก็ไม่มีคนจริงไม่มีสภาวะธรรมจริง ไม่มีนามธรรมจริง จิตวิญญาณของคนก็ไม่สามารถรู้ รู้คำว่ากิเลส รู้คำว่าความหมาย รู้แล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติจิตส่วนที่เป็นกิเลสก็แยกกันเป็น 2 อนึ่งเป็นจิตธาตุรู้ที่แท้ อีกอันหนึ่งเป็นจิตปลอม จิตอุปาทาน จิตตัณหา จิตเก๊ แล้วเราก็สามารถทำให้จิตเก๊ จะเรียกว่าอาคันตุกะแขกจรก็ได้มันมาร่วมสิ่งนั้นมันก่อตัวจาก 2 เป็น 1 เราตีแตกแยกได้สามารถทำลายให้เหลือแต่จิตแท้ จนกระทั่งจิตเราสะอาดขึ้นตั้งแต่คู่แรก
อบายมุข เป็นเรื่องกิเลสที่หยาบที่ชัดเจน อันนี้ไม่ได้เรื่องต้องล้างออก สัมผัสของจริงมันเกิดเมื่อไหร่เราก็ได้ปฏิบัติ มันยังไม่หมดก็ปฏิบัติจนลดหมด หมดจนสั่งสมเป็นอเนญชา สั่งสมให้มันตกผลึก เช่น อภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร เกิดพลังงานบุญกำจัดกิเลสได้ ได้จนหมดก็เป็น อปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องกำจัดอีกแล้ว แต่ก็ยังทำสังขารอยู่ สังขารเป็น อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำซ้ำ ทำอย่างที่ทำได้นี่แหละ สั่งสมอเนญชายิ่งขึ้น
คำว่าสมถะสมาธิของพุทธเริ่มที่ตรงนี้ เริ่มตรงสั่งสมเป็นอเนญชา สั่งสมเป็น 1 หน่วย 2 หน่วย 5 หน่วยร้อยหน่วยล้านหน่วยพันหน่วย สั่งสมเป็นจิตตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ
จิตตั้งมั่นสมบูรณ์แล้วเรียกว่า สมาหิโต เป็น Past perfect tense จิตตั้งมั่นแล้วจบ ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” เป็นอเนญชาภิสังขารจนถึงขั้นสมาหิโต เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ถือว่าเป็นวิมุติ
เราก็ตรวจสอบความหลุดพ้นนี้จะเหลือเป็นเศษ อรูป หรือมีเศษ อนุสัย สุดท้ายๆๆ อนุสัยตัวสุดท้ายที่สุดหรืออยู่ในขั้น ทิฏฐาสวะ ในระดับกามาสวะ ก็มีกามานุสัย ในระดับภวาสวะก็มีภวานุสัย ในระดับภวาสวะ มี ภวราคานุสัย
อนุสัยมี 7
1. กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
2. ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
3. ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
4. วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
5. มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
6. ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
7. อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
อาสวะ 4 ยังมี ทิฏฐาสวะ
1.กามาสวะ
2.ภวาสวะ
3.ทิฏฐาสวะ
4.อวิชชาสวะ
(พตปฎ. เล่ม 35 ข้อ 961)
มาศึกษาทิฏฐาสวะ วิจิกิจฉานุสัย มันจะยังไม่แน่นอนเหมือนศึกษาสังโยชน์ 3 ชุดแรก คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
วิจิกิจฉาในสังโยชน์หยาบกว่า ต้องมีการศึกษาสักกายะ มีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องไหมตรวจให้พ้นวิจิกิจฉา ชัดเจนในตัวตนที่จะต้องฆ่าและเครื่องมือในการฆ่า กิเลสตัวนี้ กับเครื่องมือที่จะฆ่า คือ ศีลพรต ถูกต้องแล้วพ้นวิจิกิจฉาและลงมือทำ ตัวโจรแท้กับวรยุทธ์ของคุณที่ครบ เสร็จแล้วถ้าคุณยังทำไม่ได้ ไปศีลพรตกันแค่ ถ้าเผื่อว่า สีลัพพตุปาทาน ยึดศีลพรต ยังไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ อย่างเถรสมาคมยังอยู่แค่ สีลัพพตุปาทาน คือ ปฏิบัติบำเพ็ญอะไรก็แล้วแต่ยังเป็นเพียงแค่ยึดมั่นถือมั่นในศีลในพรต อย่างอุปาทาน ยังไม่เข้าร่องรอยยังไม่สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าทำอย่างสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาแยกแยะกิเลสได้แล้ว แต่คุณยังไม่ฆ่ากิเลสยังเล่นหัวกับกิเลสอยู่เลย เหมือนสิงโตมันจับกระต่ายมาได้ก็วิ่งเล่นอยู่กับกระต่ายแต่ไม่จัดการเสียที เหยาะแหยะลูบคลำ ก็ไม่พ้นสีลัพพตปรามาส
สีลัพพตปรามาสมีความสัมมาทิฐิแล้ว ทว่า ยังไม่ลงมือฆ่ายังไม่ลงมือประหาร ยังกินข้าวต้มกุ๊ยกับโจรอยู่เล่นหัวกับโจรเลี้ยงโจรไว้ ก็ยังไม่แล้วสักทีต้องประหารจึงจะพ้นอาสวะชุดแรก พ้นสีลัพพตปรามาส ส่วนวิจิกิจฉาในอนุสัยนี้ ทิฏฐิก็ต้องมาอ่านรายละเอียดของหลังหมด
กามาสวะ ภวาสวะก็มาศึกษาทิฏฐิให้พ้นสงสัย แล้วปฏิบัติการฆ่าอย่างถูกตัวถูกตนหมด จนกระทั่งเหลือสุดท้าย มานานุสัย ภวราคานุสัย ที่จริง เป็นภวานุสัย ไม่ต้องภวราคานุสัย เพราะราคะมันขั้นราคะ รูปราคะ อรูปราคะ พอภวานุสัยก็คือ รูปราคะ อรูปราคะชั้นปลาย
ภวานุสัย จึงไม่ใช่ รูปราคะ อรูปราคะที่เป็นอาสวะ แต่เป็นอาสวะเบื้องสูง มันละเอียดเหลือภพเล็กน้อยละเอียด ภพละเอียดที่คุณจะต้องเป็นผู้ที่ปราบอย่างมาก ถ้าจะพูดถึงว่า จะเรียกว่ากิเลสมันก็ไม่น่าจะเรียกกิเลสหรอก แต่มันเป็น ภาวะ วอบๆแวมๆที่กวนอยู่บ้างไม่สะอาด เป็นเหมือนความหมองของเพชรต้องเช็ดปัดออกให้สะอาด เรียกว่า ภวานุสัย
ในภวานุสัย สามเส้ากับ มานะ ภาวะ อวิชชา
มานะคือถือดี คุณมีดีแต่คุณยึดดีถือดี หรือเอาดีนี้ ไปทำร้ายคนอื่น เอาดีไปเบียดเบียนคนอื่น ข่มคนอื่นทำร้ายคนอื่น เอาไปเอาเปรียบเขาเป็นเชิงเหนือเขา จะถือตัวเบ่งข่มเบ่งใหญ่เป็นมานานุสัย ก็จะต้องเรียนรู้ตัวเอง หมดมานานุสัยแล้วถึงเหลือภวานุสัย เป็นคู่สุดท้ายกับอวิชชา เป็นรูป อรูปที่เหนือว่า รูปราคะ อรูปราคะ เป็นในลึกกวนใจอยู่ จนกว่าจะสงบหมด
จะว่าไปแล้ว โพธิสัตว์นี่ยังอาศัย ภวานุสัยด้วยซ้ำ อาศัยแล้วสร้างเจโตวสิปัตโต สร้างอำนาจอย่างอำนาจให้เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้ได้ จนอยู่ในอาณัติมีอำนาจเหนือ ภวานุสัย จึงเป็นตัวสุดท้ายที่เราจะเลิก ร้าง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ 4 ประการ
ดูกรพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการแล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ธรรม 4 ประการเป็นไฉน
1. ดูกรพราหมณ์ บุคคลในโลกนี้เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก ยังประชุมชนมากให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรรู้ เป็นอริยะ ได้แก่ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม 1
2. บุคคลนั้นย่อมจำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมตรึกวิตกนั้น ย่อมไม่จำนงเพื่อตรึกวิตกใด ย่อมไม่ตรึกวิตกนั้นย่อมจำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมดำริเหตุที่พึงดำรินั้นได้ ย่อมไม่จำนงเพื่อดำริเหตุที่พึงดำริใด ย่อมไม่ดำริเหตุที่พึงดำรินั้น เป็นผู้ถึงความชำนาญแห่งใจในคลองแห่งวิตกทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ 1
3. เป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน 1
4. กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ 1 ดูกรพราหมณ์ เราไม่อนุโมทนาและไม่คัดค้านแก่ท่านเลย เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล ว่าเป็นมหาบุรุษผู้มีปัญญาใหญ่ ฯ
เราสามารถจัดการกับกิเลสได้ ก็สามารถสร้างพลังงานนี้ไปใช้กับการกระทำอื่น เราเป็นผู้เอาพลังงานไม่ดี ถ้างานเผาทำลายพลังงานเรียกว่าพลังงานไม่ดีไปทำกับอย่างอื่น ต้องทำพลังงานนี้ให้ดี ให้เขาได้พลังงานนี้ไปใช้ กำจัดกิเลสเขา ต้องดีนะ ให้เขาไปทำงานได้ต้องเผากิเลสไม่ใช่ไปทำลายเขา การเผากิเลสต้องตนเองเผาเอง ให้เขาได้รับ ไม่ใช่ว่าให้เขาสลาย ให้เขาได้รับรู้เข้าใจ สร้าง ผลิตพลังงานให้แก่ตนเอง ในสิ่งที่เป็น ปัญญะ หรือฌาน
ฌานคือมรรค บุญคือผล ฌานคือพลังงานที่สร้างในปัจจุบันนั้น ทั้งฌานและบุญมีอยู่แต่ในปัจจุบันเท่านั้น ทำขึ้นมาแล้ว ฌานก็สลายกิเลส พอสลายกิเลสสำเร็จเรียกว่าบุญ สลายกิเลสได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา ส่วนที่กิเลสเสียไปแล้ว 75 ก็ยังไม่หมดเหลืออีก 25 ก็ต้องสร้างฌานให้เกิดบุญอีก สลายอีก 25 ก็เกลี้ยง ทำอย่างอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมังอีก ทั้งที่กิเลสไม่มีแล้วก็ทำต่อไปอีก ทำโดยไม่มีเครื่องมือ โดยไม่ต้องเอาพลังงานมาเผาแต่ก็ทำเหมือนเผา มันเป็นพลังงาน อรูป ทำเหมือนเผา แต่ไม่มีพลังงานอะไรมาเผาอีกแล้ว
ฌานที่เป็นฌาน 1 ก็จะต้องใช้เหตุผลหลักธรรมรูปนามหยาบไปวิตกวิจาร วิตกคือดำริ อย่างยิ่ง ตักกะคือดำริอย่างยิ่ง วิจารเป็นผล รูปนามของวิตกวิจารไม่ใช่แค่คิด เป็นบวกเป็นลบคู่หนึ่ง พลังงานทำร้ายกิเลสได้ เมื่อกิเลสหมดก็ปรุงมาเพื่อสร้างไม่ใช่ทำลาย เป็นการให้ความรู้แก่คนอื่น คนอื่นได้รับไปก็ใช้เป็นการทำลาย กิเลสคนอื่นของเขาเอง เพราะกิเลสของใครคนนั้นต้องทำเอง จากคนอื่นได้แต่เพียงรู้ คุณได้รับรู้แล้วเอาไปสร้างอาวุธไม่สำเร็จ อาวุธนั้นก็ไม่สามารถทำลายกิเลสได้ แต่ถ้าทำถูกต้องก็ทำลายกิเลสได้ หมดเป็นอปุญญาภิสังขารก็มีแต่สั่งสมอีกให้เป็นความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จึงจะเกิดองค์ธรรม 5 ของการสั่งสมธาตุจิตนิพพาน นี่คือธาตุจิตนิพพานของคนเป็น ถ้าคนตายแล้วธาตุนิพพานก็ไม่มี เป็นภาษาที่เป็นสุญญากาศธาตุ เป็นธาตุที่ว่างไม่มีตัวตนเลย เป็นธาตุแห่งความว่าง เป็นนิพพานธาตุสุญญตธาตุ ก็คือเป็นคำไวพจน์แทนกันได้ นี่คือนัยยะลึกซึ้งละเอียดที่อาตมาสรุปให้ในงานนี้
ทีนี้ก็มาถึงหยาบ เลิกจบ ความลึกละเอียดขนาดนี้ ใครทำได้ขนาดนี้เลยความเป็นอรหันต์แล้ว ใครทำได้อย่างที่อาตมาอธิบายนี้เลยความเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 แล้ว
มาพูดถึงหยาบ เอาตั้งแต่สังคมประเทศชาติ ไล่ไป
ชาวอโศกเป็นชาวพุทธที่รู้จักเทวตีธรรมะ 2 แตกแยกธรรมะ 2 ได้ ใครไม่รู้จักเวทนา 108 ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติตามพระไตรปิฎกเล่ม 9 _ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
คุณไม่เป็นนักรบไม่มีสนามรบในสนาม เหมือนบินโดรนอยู่ แต่ตัวคุณไม่อยู่ในสนาม เห็นอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้มีเวทนาให้ปฏิบัติ ไม่มีตัวฐานไม่มีฐานที่ตั้ง ไม่มีทั้งรูปและนาม เพราะฉะนั้นจะต้องมีทั้งตัวตนมีทั้งตัวเราที่เป็นประธานฆ่ากิเลสเรา หรือมีทาง ตัวคนกับศัตรู ข้าศึก คุณก็จะต้องฆ่า ข้าศึกได้ จะรบแต่อยู่ในสตาร์วออยู่ในอวกาศเหมือนหนังจีนเหาะรบกัน หรือคุณจะยืนอยู่บนพื้นดินรบกันบนพื้นดิน ก็ช่างมันเถอะ รูปธรรมอย่างไร แต่นามธรรมไม่หยาบอย่างนั้นหรอก ก็ทำให้กิเลสดับได้
ตัวกิเลสที่แท้พระพุทธเจ้าย่นย่อเทวให้เข้าหาสุขกับทุกข์ เพราะฉะนั้นคนที่จะพูดเรื่องเทวนิยมจะให้ดับทุกข์ ดับทุกข์ไม่มีสุขมีทุกข์ได้อย่างไร เขาจะไม่รู้เขาจะแยก 2 ไม่ออก สุขทุกข์ของเขา เป็นต่อ dualism เป็นภาวะคู่หู แกะไม่ออกเหมือนเหรียญสองด้าน พอมาเป็นพุทธก็จะแยก 2 ได้จนมาเป็นชิ้นเป็นอันของนามธรรม จึงตีแตกเทวดา เทวดาแปลงตัวลวงว่าสุข เทวดาไม่เรียกทุกข์ แยกอีกคำเป็นเทพบุตรมาร ต้องคลอดออกมาเป็นบุตรไม่ใช่ตัวจริงที่เดียว ไม่เรียกเทพมาร
ตัวตนตีไม่แตกก็เป็นมารอยู่อย่างนั้นเป็นเทวบุตรมาร เมื่อสามารถตีแตกได้ จึงทำลายตัวมารได้ มันแปลตัว เทพบุตรมาร เขาเรียกตามภาษาเทวนิยม แต่เทวะจริง ภาวะยิ่งใหญ่เป็นเทวดาเป็นพระเจ้า ไม่มีใครรู้จักต้องมาออกมาเป็นร่างของคน ใช้แต่พยัญชนะ สภาวะไม่ถึงมีแต่พยัญชนะภาษาเท่านั้นในเทวนิยม พระบุตรก็เป็นพระบุตรออกมาทำงาน
พระบุตรที่ออกมาทำงานเป็นพระเยซู เป็นต้น หรือเป็นพระมะหะหมัด เป็นต้น ก็เอาคำสอนเอาคำที่ถือว่าเป็นของพระเจ้า จึงเรียกว่าประกาศก ไม่ใช่ตนเอง เป็นของพ่อเป็นของพระบิดาแล้วพระบิดาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ คนอื่นจะทำให้เท่าพระบิดาก็ไม่ได้ ตีกินเอาพระบิดา ไม่มีใครสามารถสูงเท่าพระบิดา แต่ของพุทธนั้นเอาความจริงในตัวตนจิตวิญญาณจริงเลย แล้วสามารถแยกจิตวิญญาณที่ใหญ่เป็น god จาก 2 ให้เป็น 1 เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือจิต เจโตวสิปัตโต ไม่สุขไม่ทุกข์ดับได้ตอนเป็นๆเลย ตั้งแต่ของหยาบมาเราก็พิสูจน์ได้เลย เราก็หมดสุขหมดทุกข์กับสิ่งที่หยาบ จนกระทั่งละเอียดขึ้น จนถึงอบายมุข กามภพ ทางตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสแล้วเราก็อยู่เหนือมันให้หมด จนข้างนอกนี่เฉยแล้ว อุเบกขาได้จริงๆ ขาวรอบ แต่ภายในยังมีเชื้อรูปราคะอรูปราคะ จนหมดเหลือภวานุสัยก็เอาไว้อาศัยได้เพราะคุณจะมีพลังงานเป็น เจโตวสิปัตโต จะทำลายก็ได้แต่ว่าถ้างานมันมีแต่เราอยู่เหนือมัน เราจะฆ่ามันก็ฆ่าได้ ไม่ใช่เรื่องแค่ปากพูดแต่เป็นเรื่องจริงที่ทำได้ โพธิสัตว์ที่ทำแล้วทำอีก จึงจะมีสภาวะสิ่งที่จริง ไม่ใช่แค่คิดแต่จะทำซ้ำๆซ้อนอย่างละเอียดจากสิ่งที่เป็นจริงไม่ใช่แค่นึกคิดว่าเราเจริญขึ้น ได้แต่สร้างภพชาติ ไม่ใช่ แต่เป็นจริงเลย เท่าที่จะสัมผัสกับสัตว์โลก
เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์จะต้องเจอกับศัตรูที่เป็นสัตว์โลก ตั้งแต่เดรัจฉานมาจนถึงเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เก่งเป็นมนุษย์ที่ยอด สู้กับมนุษย์ที่ยอดถึงขั้นศาสดา ถึงขั้นเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะ ที่จะพัฒนาขึ้นมา เป็นโลกุตระเป็นอาริยบุคคลพัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งชัดเจนและรู้ได้ว่า เราเป็นโพธิสัตว์เราเป็นอาริยะบุคคล บำเพ็ญถึงขนาดนี้ ระดับนี้เหนือขึ้นไป จะรู้ว่าเราต่ำกว่าหรือสูงกว่า โดยไม่ไป ข่ม จะรู้ว่านี่เป็นน้องเราเป็นพี่ จะมีความเฉลียวฉลาด มีพลังแห่งปัญญาแหลมลึกคมชัด ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ส่วนน้องที่ยังไม่สูง ก็จะยังไม่มีความรู้ที่แหลมคมที่รู้ความสูงจริงได้ ก็จะยึดติดอยู่ ก็จะไปเข้าใจผิดว่าพี่เป็นน้อง พี่นี้ต่ำกว่าเรา เพราะฉะนั้นน้องจะข่มพี่ได้ น้องจะดูถูกพี่ แต่พี่รู้อยู่แล้วว่าน้องเป็นอย่างนี้ พี่ก็จะยอมให้น้อง ข่ม คือข่มไป เรารู้อยู่แล้วเพราะมันมีมานานุสัย มานานุสัย ต้องขึ้นไปเป็นโพธิสัตว์จึงจะลดได้ให้เหลือแค่ ภวานุสัยกับอวิชชานุสัย
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน สาธารณโภคีมีวรรณะ 9
พวกเราได้ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะเห็นได้ว่าในสังคมชาวอโศกชุมชนชาวอโศกนี้ อาตมาบอกว่าเป็นชุมชนที่อยู่ในฐานของอนาคามี เพราะฉะนั้น คนในนี้จะไปหาโลกอบายไม่มี อย่าว่าแต่อบายเลยกามหยาบก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส หยาบไม่มี ปฏิฆะหยาบร้ายแรงก็ไม่มี จะตีกันทะเลาะกันฆ่าแกงกันทำให้เลือดตกยางออก ทำให้เจ็บให้ปวดทำให้เนื้อตัวเป็นแผลอะไรกันก็ไม่มี สี่สิบกว่าปีมานี้ จะ 50 ปีแล้ว อาตมาทำงานมา ในสังคมเราไม่มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลฆ่ากันตีกันทำร้ายร่างกายกัน ไม่มี
ก็มีบ้างละเมิดชกกันบ้างก็มีนับรายได้นะ เท่าที่อาตมาจำได้ จะ 50 ปีนี้นับรายที่ถึงขั้นชกกัน ผู้หญิงถึงขั้นตบกันไม่มี นี่มันเป็นสภาวะจริงเป็นฟีโนมีนอน เป็นปรากฏการณ์จริงของสังคมมนุษย์ มันไม่มีความหยาบ มันมีแต่ความละเอียด ละเอียดไปจนถึงขั้น มันเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่เป็นหลานเป็นญาติธรรมที่สนิทกันจริงๆ เลี้ยงตนด้วยบริสุทธิ์ใจ เอ็นดูบริสุทธิ์ใจช่วยเหลือกัน ไม่ได้คิดว่าเป็นลูกนอกไส้คนนอกไส้ ใช่ไหม มันพึ่งพาเกิดแก่เจ็บตายกันได้เลี้ยงดูกันได้ ไม่มีความโหดร้าย ไม่มีความหยาบอะไรกัน แม้ที่สุดในเรื่องวัตถุเงินทองข้าวของทรัพย์สิน เห็นได้ว่าสาธารณโภคีนี้สุดยอด จนกระทั่งพูดแล้วเป็นเชิงน่าเกลียด ว่าในยุคพระพุทธเจ้านั้นทำสาธารณโภคี ในกลุ่มฆราวาส ให้เกิดสาธารณโภคีในยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ เหมือนกับเราเก่งกว่าพระพุทธเจ้า มาทำสาธารณโภคีได้ถึงในฆราวาส ฟังแล้วไม่ใช่ว่าโพธิรักษ์เก่งกว่าพระพุทธเจ้า มันมีเหตุปัจจัยข้อจำกัด ของพระพุทธเจ้าในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เด็ดขาดเลยนะ
ระบบสาธารณโภคียังไม่เกิดกับสังคมฆราวาสในสมัยพุทธกาล เพราะ…
1.ยุคสมัยนั้นยังเป็นยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์
2.ยุคสมัยนั้นประชาชนยังจำนนในยุคของสังคมทาส
3.คนยุคสมัยนั้นยังไม่มีความรู้เรื่อง“สิทธิ”ต่างๆ ที่มนุษย์พึงมี ตามธรรมชาติ ตามกฎหมาย ตามวัฒนธรรม และพึงมีตามสัจธรรมกันอย่างดีพอ
4.ยุคสมัยนั้นสังคมยังไม่เลวร้ายหนักหนาสาหัสเท่ากับสังคมยุคนี้ ยุคนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกลุ่มสังคมที่ไม่เลวร้าย เพราะยุคนั้นมีสังคมคนดี มีวัฒนธรรม คนดีที่ดีอย่างเข้มข้นที่ดี อย่างเป็นตัวอย่างได้จริงชัดเจน ยังไม่ต้องยืนยันความเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ ถึงขั้นเป็น “สาธารณโภคี” กันได้ในสังคมฆราวาส เพื่อถ่วงดุลหรือจูงนำสังคมที่ยังไม่ดีส่วนใหญ่ นั้นเลย
5.ทรัพยากรของโลกในยุคโน้น ยังไม่อัตคัดขาดแคลนเท่ายุคสมัยนี้
6. สิทธิในทรัพยากรในยุคโน้น ยังไม่เคร่งครัดแย่งชิงเท่ากับสมัยนี้
7. ทรัพยากรสาธารณะในยุคโน้น ยังมีมากมายเหลือเฟือ มีมากกว่ายุคสมัยนี้หลายเท่า
8. ความมีอิสรเสรีภาพของคนยุคโน้น ยังไม่รุ่งเรืองเท่าในยุคสมัยนี้
9. และในยุคโน้นยังไม่ถึงขั้นเปิดโลก หรือยังไม่ถึงยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) อย่างสมัยนี้.
สังคมมนุษยชาติในยุคนี้กำลังเดินมาสู่โลกุตระอย่างนี้ จึงต้องสำทับว่าเราต้องรู้ตัวเราแต่อย่าหลงตัวเอง อย่าเหลิง อย่าไปถือตัวเองว่าตัวเองดีตัวเองใหญ่ตัวเองสูง ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ไปเถอะ เกื้อกูลกันช่วยเหลือกัน คนที่เขา หยาบ หนัก ก็น่าสงสารช่วยกันเถอะ ถ้ามีบารมีพรักพร้อมมันจะป้องกันไปในตัว มันจะมีสิ่งที่ป้องกันตัวให้แก่เรา มันมีอยู่จริงเป็นจริง ทุกวันนี้อาตมาอยากให้พวกเรา มีปฏิสันถาร เพิ่มขึ้น พวกเราปฏิสันถารยังไม่เป็นแม้แต่อาตมา อาตมาก็แก้ตัวว่า อาตมางานเยอะอาตมาไม่มีเวลา พวกเราช่วยปฏิสันถารหน่อย เหมือนกับแก้ตัวก็ไม่เชิง
อาตมาดูแล้วซับซ้อน น่าสงสารแขกเหรื่อมานี่เหมือนเด๋อๆด๋าๆ ไม่รู้จะสนิทสนมกับพวกเราอย่างไร พวกเราก็ไม่รู้จะทำความสนิทสนมอย่างไร นี่ก็จะทำสไลเดอร์ จะเอาเรือมาให้พาย เขาเอามาให้หรือยัง เราก็มีเรือไม้แต่ไม่พาย แต่เรือพลาสติกเบาน่าเล่นกว่า ของเรามีไม่กี่ลำ
เราทำได้เพราะ 1.เรามีส่วนเกิน 2.เรามีความสามารถมีความขยัน 3.มีความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเรา 4. เราเหลือเฟือ พออยู่พอกินเกินอยู่เกินกิน เราจึงได้สะพัดออกไปได้ 5. เราไม่มีกิเลสเป็นของตัวของเรา
อันนี้สำคัญจิตใจเราไม่ยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นของเรา เรามีหมู่กลุ่มที่มีความรู้ความสามารถมีสมรรถนะมีความขยันทำงานและมีผลผลิตมีกินมีใช้ รู้จักพลังงานใช้พลังงานไม่ใช้พลังงานไปสร้างอาวุธ เอาไปสร้างของฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไปสร้างของมอมเมารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแฟชั่น ไม่เอา เราไม่จ่ายพลังงานแบบนี้ เอาพลังงานมาสร้างเหตุปัจจัยสาระที่สำคัญ เรามีความรู้ จึงมีสารัตถะชีวิตที่สำคัญ แข็งแรง สิ่งที่อาศัยเป็นอาหารเป็นเครื่องอาศัยทั้งอุปโภคบริโภค มันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไร้สารพิษ ไร้ความมอมเมา มีแต่สาระมีแต่เนื้อแท้มีแต่เนื้อดี มันมีแต่ของดี มันซับซ้อนๆ เราเองก็ไม่ได้ตะกละ เราไม่ได้ต้องการกินให้ตัวใหญ่ตัวโตพุงโต เราก็เอาแค่สันทัดคน เอาร่างกายแข็งแรง Slender ชาวอโศกถึงเป็นคนหุ่นดี สิ่งเหล่านี้พูดเหมือนง่ายแต่ซับซ้อนลึกซึ้ง นี่คือสัจจะที่เราจะได้พิสูจน์ให้คนเข้าใจในอนาคต ตั้งแต่วัตถุ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราก็เป็นคนจนไม่มีมาก แต่เขาก็ว่าไม่มีมากอะไรมันแจกเอาๆ ขายขาดทุน คนงานที่นี่มีร้อยกว่าคนทำงานเลี้ยงชีพอยู่ในนี่ 10 ปี 20 ปีก็มี ที่ราชธานีอโศกเดือนๆหนึ่งจ่ายไป เขาก็อยู่ในนี้ 10 ปี 20 ปีเอาเงินมาจากไหน ไม่ได้ขายธูปเทียนมันก็ไม่ได้ทำ ร้านค้าขายอย่างนั้นจะเอาเงินมาจากไหน ดูคนซื้อพวกกินฟรีมีเยอะ กล้วยมะละกอไม่ได้ขายก็เอาไปกินได้ ทำงานที่นี่ก็ปลูกผักพืชกินกับแจก จะเป็นอุทยานบุญนิยม สหกรณ์ ขายได้เท่าไหร่กัน ก็ขายอย่างถูก ตลาดเขาขายชามละ 50-100 นี่ยังขายถ้วยละ 10 20 แล้วจะเอาส่วนเกินมาจากไหนกันนักหนา เขาเห็นเขาก็มีปัญญารู้ แล้วเอาเงินมาจากไหนกัน เขาก็นั่งทำ ดีไม่ดี ขออภัย อู้กินบ้อ ดัดเหล็กน่าจะดัดเสร็จภายใน 5 นาทีแต่ก็ใช้เวลาตั้ง 3 วัน เทปูนนี่ไม่รู้ปีไหนจะเสร็จ พวกคนงานก็มาหากินไป เลี้ยงวันละ สามร้อยห้าร้อย ได้ใช้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียไป สบายไม่ต้องไปถึงซาอุเลยอยู่ราชธานีนี่แหละ นี่มันเป็นภาวะซับซ้อน พูดแล้วเหมือนคุยใหญ่คุยโต
ข้อสำคัญพวกเราไม่เป็นหนี้ จะมีเงินหนุนก็คือยืมกันได้แล้วไม่ชักดาบ ยืมกันมาก็ใช้คืน ส่วนมากก็ยืมให้เป็นส่วนกองกลาง ยืมส่วนตัวไม่มีหรอก เพราะเราไม่ได้เป็นคนร่ำรวยสะสม อโศกไม่มีมากแต่ใจดีมาก
อันนี้เป็นเรื่องสัจจะ สัจจะดังกล่าวเป็นเรื่องจริงที่หาได้ยากในโลก ในมนุษย์โลกทำอย่างนี้ได้ยาก เราทำสิ่งที่ทำได้ยาก แล้วพยายามเผยแพร่ยืนยันความจริงว่าคนเราไม่ต้องเสแสร้งมันเป็นจริงอย่างจริงใจ เรามาจนอย่างจริงใจ สบายใจด้วย ร่าเริงเบิกบานใจด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมือนพูดแล้วก็เหมือนตลบแตลงเสแสร้ง แต่จิตเขาเข้าไม่ถึงเรา เขาฟังแล้วก็..แต่เขายอมนับถือว่าทนได้อย่างไร เขานึกว่าอย่างนี้ต้องกดข่มฝืนแย่ แต่เราไม่ต้องทนของเราสบายๆเขานึกไม่ออก นี่คือสภาวะจริงที่เป็นได้ที่ลึกซึ้ง เป็นอาริยบุคคลหรือเป็นโลกุตระบุคคลที่จะต้องมามีของจริงอันนี้ เราก็ไม่ได้ฝืนไม่ได้ลำบากลำบน ยังสบาย จิตที่มันเป็นจิตมีวรรณะ 9 วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย กินง่ายเลี้ยงง่ายอยู่ง่ายไปง่ายมาง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย,ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
มักน้อย, กล้าจน จนกระทั่งไม่มีในตัวแล้ว ตัวเราเองกลับมีให้คนอื่นพึ่ง คนอื่นพึ่งเราได้ แล้วเราก็เป็นคนไม่มีนี่แหละ ซับซ้อนที่หากไม่มีสังคมก็อยู่ไม่ได้ ต้องมีสังคมเป็นที่พึ่ง มนุษย์อยู่คนเดียวไม่ได้ต้องมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมคุณถึงจะอยู่ได้มันแยกไม่ออก หากคุณแยกไปอยู่เดียวจริงๆมันไม่ได้ ตัวคนเดียวเป็นสาธารณโภคีไม่ได้ดีไม่ดีจะตายเน่าเอา (อัปปิจฉะ)
ใจพอ สันโดษ มีเขตแห่งความพอ หากกระฎุมพีมีไม่รู้กี่แสนล้านไม่รู้จักพอก็อยู่คนละโลกกันก็แล้วกัน อยู่โลกเดียวกันแต่เราไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณ จนกระทั่งรู้จักพอแล้วลดน้อยลงได้ แต่ไม่ได้เป็นคนหยุดทำงานขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะมีความรู้ความสามารถ เราเอาไว้แค่นี้เกินนี้พอไม่เอา สะพัดออก เราอยู่ได้ อยู่กับหมู่ แม้เราเป็นอัมพาตแล้วนอนติดเตียงก็เลี้ยงดูกันได้ มันเป็นสังคมอย่างนั้น พวกเรานอนติดเตียงเป็นอัมพาตได้แต่หาได้ยากนะ เพราะเราจะรู้จักสุขภาพรู้จักการรักษาชีวิตร่างกายมันก็จะยิ่งซับซ้อน ความซับซ้อนมันมีเยอะเหลือเกินที่อาตมาพูด คนที่รู้จักพอแล้วคนนี้ก็สบายก็ลดลงไปอีก (สันตุฏฐิ)
เป็นคนที่มีศีลขัดเกลากิเลสพฤติกรรมกายวาจาใจ คนมีภูมิปัญญาจะเห็นว่าน่าเลื่อมใส (สัลเลขะ)
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ)
เป็นคนไม่สะสมอย่างสบายใจไม่ต้องห่วงกังวล ไม่ต้องสะสมจริง ไม่กลัวว่าไม่มี กลัวว่าจะเยอะเกินไป ก็ต้องรีบระบายออก มีแต่พอใช้สอยมันไม่มีก็ไปหาได้ พูดนิดๆหน่อยๆ ถ้าคุณเองมีบารมี ขาดสิ่งนี้สิ่งนี้เดี๋ยวมาแล้ว อย่างอาตมานี่อย่าพูดเชียวนะว่าขาดอะไร นี่ไม่ใช่ว่าอวดตัวอวดตน แต่คนก็อยากช่วยอยากจะอุปัฏฐากอุปถัมภ์ อย่าพูดเชียวว่าขาดอะไร เดี๋ยวเถอะ จะต้องสนองศรัทธา มา 10 เจ้า แต่ละเจ้าก็จ้องใช้ของเราหรือเปล่าวะ กินของเราหรือเปล่าวะ ยากจริงๆ
นี่คือ พูดไปก็สนุกดีแต่ยาก จึงต้องมีวรยุทธน่าดู บางทีก็แรงๆ แรงๆก็สงสาร เขาอยากให้ ก็เอาล่ะ พอไม่ต้องพูดต่อ
สุดท้ายตัวจบของสัตบุรุษสูงสุดนี้คือ ไม่สะสมอะไร อปจยะ แต่ยอดขยัน แล้วก็อยู่กับ สังคมสาธารณโภคี ไม่สะสมอะไร มีปัจจัยยังชีพ น้อยสบาย ทุกวันนี้มีระบบซุปเปอร์มาร์เก็ต คือ สขจ. อย่านึกว่าสขจ.เป็นของเสียของเน่าแต่มีของแกะกล่องก็เยอะนะ แต่อาจจะตกรุ่นบ้างเท่านั้นเอง ยังไม่ตกรุ่นเขาก็ยังไม่เอามาให้หรอก ตกรุ่นมาบางทีมีมาเยอะเลย เพราะการค้าขายเขาก็ไม่ไหวเอาไว้ก็ค้างสต๊อกเงินค้าง ไม่ไหวต้องรีบผ่องถ่ายขายถูกออกมา คนขายถูกก็เอามาขายต่อๆ จนกระทั่งสุดท้าย คนนี้บอกว่าไม่ขายอีกแล้วก็โล๊ะมาให้เลย เราก็รีบขนเอามา
อาตมาถึงสรุปว่าสิ่งที่จะช่วยโลกมนุษย์ก็คือขยะ จะสร้างชาติ ขยะจะไปสร้างชาติได้อย่างไร หากเป็นกสิกรรมธรรมชาติก็ไม่ว่า ย่นย่อมาที่ปุ๋ย ปุ๋ยก็เอาไปทำกสิกรรมธรรมชาติได้เพราะว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้น คนทำปุ๋ยเก่ง จริงๆแล้วยารักษาโรคก็เป็นปุ๋ย อาหารที่กินเข้าไปในท้องเป็นคำข้าวก็คือปุ๋ย
อาหารคือคำข้าวก็คือปุ๋ย ปุ๋ยพวกเราเป็นปุ๋ยสะอาด แต่ปุ๋ยข้างนอกเป็นปุ๋ยสกปรกอาหารสกปรก มันเอาอะไรต่ออะไรมาใส่เข้าไป เละ ทั้งสีกลิ่นวัสดุ บางทีเห็นแล้วก็กินไม่ลง ขยะ แต่คนข้างนอกเห็นว่าปรุงแต่งพิสดารดี สวาปาม บางที่เอาตัวเป็นๆมาให้กิน ปลาหมึกเสริฟมาตอนมันยังดิ้นเลยมัดไว้ไม่ให้ไป เอามาใส่ปากหนวดยังดิ้นไปมาอยู่เลย คนเรามันอำมหิตโหดร้ายโหดเหี้ยมจนไม่รู้อะไรต่ออะไร
แต่ก่อนอาตมาก็ทำ กินจักจั่นตัวเป็นๆเลย ก็ทุกวันนี้วิบากก็ยังมีอยู่บ้างแต่ไม่มาก มีแต่เสลดกับไอ ทุกวันนี้นั่งนานๆก็ไม่มีปัญหาไม่สมดุลอะไรก็ไม่ค่อยจะมี เป็นบารมีเหมือนกัน แต่ก็ไม่ประมาทพยายามจะหมุนเวียนอะไรให้มันได้สมดุล
สรุปแล้วเข้าเป้าอีกที เศรษฐกิจแบบสาธารณโภคี เศรษฐกิจในด้านโลกียะเป็นเศรษฐกิจเลวร้าย แม้ว่าอาตมาจะบอกสังคมว่า มันต้องมาทำให้คนจน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่ว่าทำให้คนรวย ถ้าคุณจะไปทำให้คนรวย ประเทศของคุณรวย บ้านของคุณรวย บ้านอื่นก็ลำบาก ดีไม่ดีคุณก็รวยมีทรัพย์สินเป็น ล้านๆแสนล้าน คนอื่นก็ขาดแคลนหมด เพราะดูดเอาไว้กองที่คุณมาก เพราะฉะนั้นประเทศไทยมีเศรษฐีระดับหมื่นล้านในประเทศไทยก็ไม่กี่ตระกูล แสนล้านก็ยิ่งน้อยตระกูล แต่มันมีมาก รวยกระจุกจนกระจาย มันก็เดือดร้อนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องจนกระจุกรวยกระจาย รวยให้เข็ด เราจนสุขสำราญเบิกบานใจ แต่รวยนั้นเป็นภาระที่จะต้องรักษาต้องป้องกัน ดีไม่ดีซื้อปืนมาไว้สำหรับป้องกันทรัพย์สิน เสร็จแล้วปืนนั้นก็คือยิงตัวเองตายยิ่งญาติลูกหลานตาย ส่วนมากซื้อปืนเอาไว้ไม่ได้ยิงโจรหรอก แต่ยิงตัวเองยิงคนรอบข้าง ยิงคนอื่นเข้าคุกไป ที่ซื้อปืนไว้ป้องกันตัว ไปดูสถิติสิ มีแต่อาวุธ ทำร้ายตัวเองทำร้ายญาติ ดีไม่ดีต้องเข้าคุกเพราะตัวเองมีปืน แล้วไปยิงปืนอย่างผิดกฎหมายก็เข้าคุก มันไม่คุ้มเลย อย่างนี้เป็นต้น ไม่อยากถามว่าใครยังมี ..ไม่กล้ายก ใครมีปืน
พวกเราผู้ชาย อาตมาเคยบอก ใครมีปืนออกไปเลย เขาก็ยังแอบซ่อนมี เดี๋ยวนี้ก็ยังค่อยยังชั่ว เพราะเข้าใจแนวลึก ว่าไม่ต้องมีปืนหรอกให้เขายิงเราตายเลย คุณตายเพราะถูกเขายิงคุณไม่ต้องกลัวหรอก อย่าไปกลัวว่าตายโหงไม่มีปัญหา ตายแล้วเราก็จะเกิดมาใหม่ ใจก็ไม่ต้องโกรธด้วย เข้าใจกรรมวิบากก็เป็นการใช้หนี้วิบากไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเขาไม่ได้เป็นศัตรู ไม่ได้จองเวรจองกรรม ใครอยากจะจองเวรจองกรรมอยู่ยกมือขึ้น...ไม่มี ก็ไม่เข้าท่า ไปพยาบาทโกรธแค้น เดี๋ยวชาติหน้าจะต้องมาแก้แค้นอีก 10 ชาติก็จะตามฆ่า เราเข้าใจหมดแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไปสร้างจิตแบบนั้นเลย มีแต่อภัยอโหสิ เพราะเรารู้ว่าจิตวิญญาณตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายเป็นกรรมวิบาก ที่มันจะหมุนเวียนไป ถ้าเรารู้ที่จบเราก็หยุดเลย อโหสิ ไม่ต้องไปจองเวรจองกรรมอะไรกับใคร ใครจะทำอะไรกับเราก็เรื่องของเขาเราจบ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงสบายไม่เป็นโทษภัยกับใคร ใครจะทำร้ายกับเราจนถึงตาย เราก็ตาย เข้าใจแล้วเกิดตายไม่มีปัญหา เราตายโดยจิตใจเราไม่มีพยาบาทโกรธแค้นเคืองใคร ใครมาทำร้ายเราเราก็ตาย เกิดมาไม่ต้องห่วงหรอกเจริญกว่าเก่า ศัตรูก็หมด เขาจะจองเวรเราก็แล้วแต่เหมือนกับเขาตบมือข้างเดียว เขาก็วืดๆๆๆ เขาตบมากๆก็เมื่อยเอง หนักเข้าเราก็ต้องไปช่วยอีก หนักเข้าสุดท้ายก็เท่านี้เอง เราก็ช่วยแม้ศัตรู แพ้ภัยตัวเราก็ต้องช่วยเขา
สัจธรรมซับซ้อนพวกเราศึกษาไป อาตมาพูดสิ่งต่างๆเหล่านี้พวกเราฟังแล้วเข้าใจดีใช่ไหม ทำได้ด้วยไม่ใช่แค่เข้าใจ พวกเราเข้าใจแล้วทำได้ เราจึงรู้ว่าธรรมะพวกนี้ลึกซึ้งละเอียด หลายคนยังทำไม่เก่งยังทำได้ยาก จนทำได้โดยไม่ยากทำได้โดยไม่ลำบาก จนทำได้อย่างสิริมหามายา เร็วยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ยิ่งกว่าสิริมหามายา วับๆๆ
สรุปยังมีเวลาที่เราจะทำวัตรเช้าอย่างนี้อีก วันนี้วันที่ 28 วันสุดท้ายวันที่ 1 ก็ค่อยๆพูดไป พวกเราศึกษาแล้วจะรู้ว่านี่คือสาระอันวิเศษที่ควรได้คนมีคนเป็น เราก็เอาไปปฏิบัติประพฤติให้เจริญขึ้น ก็จะได้เจริญเกิดเป็นกลุ่มมนุษยชาติเกิดมาในโลก เป็นตัวอย่างในโลก ว่าไม่ใช่พูดเฉยๆแต่ทำได้ ดีด้วย ดีมาก ด้วย ยืนยันไม่ได้พูดยกตัวยกตน เป็นเรื่องจริงพระพุทธเจ้าก็ต้องเดินทางไปสู่ความเป็นมนุษย์ชนิดนี้ เป็นเหมือนโลกุตระอาริยบุคคล
เจตนาใช้ อาริยะ ไม่ใช่อริยะหรืออารยะ เป็นมนุษย์เจริญประเสริฐภาษาอังกฤษมีคำว่า Civilization เราไม่ได้อยากจะเป็นตัวอย่าง แต่เราเป็นได้อย่างเราแล้วเขาเป็นได้อย่างเราก็สบาย สิ้นโศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ไว้สาธยาย ธาตุที่คนจะรู้จัก โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะธาตุในจิตเรา คนนี้ต้องพ้นอวิชชาในปฏิจจสมุปบาท ค่อยขยายให้รู้ในสาย ปฏิจจสมุปบาท เราจะรู้ธรรมะพุทธเจ้าด้วยปฏิจจสมุปบาท เอาไปปฏิบัติให้บรรลุผลเป็นวิชาจนสิ้น โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:35:51 )
รายละเอียด
611230_พ่อครูเทศน์เปิดงานเพื่อฟ้าดิน
พ่อครูว่า...อาตมาว่าชีวิตอาตมาสรุปตรวจสอบแล้วสบายใจ เรามีชีวิตผ่านมาเราไม่ได้ทำชั่วเลยก็ไม่จริง แต่ชั่วในชีวิตนี้อาตมาไม่เคยไปแตะถีบทำร้ายใครเลย ศีลข้อ 1 2 3 4 5 ไม่ได้เป็นวิบากที่ไม่ควร อาตมามาถึงวันนี้แล้ว เป็นโพธิสัตว์ได้ผ่านวันเวลามาไม่น้อย เราก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่หยาบ ปางนี้ชาตินี้เป็นนายรัก รักพงษ์ไม่ได้ไปทำอะไรชั่วหยาบมากมาย ยิ่งเชื่อมั่นว่าชีวิตเราปลอดภัยเพราะเราไม่ได้ไปทำร้ายใครมาก่อนเราปลอดภัยอันนีจริงที่สุด บางทีอยู่ล่อแหลมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเราก็ไม่ได้ลำบาก รอดมา พลังงานของทุกกรรมทุกอณูทุกปรมณูมันมีอยู่ทั้งนั้น แล้วพลังงานอัตภาพของชีวิตแต่ละหน่วยแต่ละหน่วยของแต่ละคนๆ มันเป็นสิ่งสะสม ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ว่ากรรมเป็นเรื่องสะสมวิบากเป็นเรื่องจริงอื่นอะไรไม่จริงเท่ากรรม กระทำในที่ลับที่แจ้งในที่ไหนก็เป็นของของเรา กัมมัสกตา กัมมทายาโท
กัมมทายาท อาตมาอธิบาย คนไม่เข้าใจยังไปยกให้กันได้อยู่ เขาไม่ได้ใช้คำว่ากรรมก็ไม่ได้ เข้าใจคำว่าบุญ บุญก็แบ่งไม่ได้ กรรมก็แบ่งไม่ได้ ยิ่งบุญยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แบ่งบุญนี่มันประหลาด เขาศึกษาก็แบ่งกรรมกันอย่างไร ยิ่งบุญยิ่งแบ่งไม่ได้ กรรมยังพอมีรูปร่างกายกรรมวจีกรรม แต่บุญนี่มันไม่มีรูปร่างเลย เป็นพลังงานที่ทำงานกำจัดกิเลสอย่างเดียว มีหน้าที่กำจัดกิเลสฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่ากิเลสเสร็จแล้วบุญก็หายวับไปด้วยเลย อาตมาพูดขยายความมาเขายังไม่ค่อยเข้าใจ ขนาดผู้ที่ถือว่ามีภูมิรู้ในประเทศไทยถือว่ายังไม่ชัดเจนไม่ละเอียด แสดงถึงความเสื่อม ความผิดเพี้ยนไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้าอีกเยอะ ก็ต้องฟื้นต้องดึงขึ้นมาต้องเอากลับคืนมาให้ได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นสิ่งสุดยอดประเสริฐของมนุษย์ให้เอามาปฏิบัติประพฤติศึกษา ให้แก่ตัวเอง
โลกมันกำลังพัฒนาทุกวันนี้ พัฒนาไปสู่ความเจริญ ไปสู่จุดสูงสุดประเสริฐจุดดีงามที่แท้จริง เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น มันมีนิมิตหมายมีเครื่องแสดง เช่นว่าคนทำดีที่เป็นรูปร่างให้เห็นหรือดีแม้รวมกันทำ อย่างในหลวงร.9 ท่านทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพ ใครจะยกย่องหรือไม่ยกย่องต่างๆนานา ในหลวงทรงงานทางด้านเป็นรูปธรรม คนมองเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นสิ่งที่ประเสริฐเป็นโลกุตรธรรม ท่านทรงมากว่า 70 พรรษา รู้กันไปทั่วโลก อาตมาทำทางด้านนามธรรมเห็นยากมากเลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยมีคนเห็น อาตมารู้ความจริงอยู่ชัดเจนในความจริงว่ามันรู้ยาก คนไม่รู้ได้ง่ายๆ นอกจากไม่รู้แล้วเข้าใจผิดอีกต่างหาก
เช่นว่าอาตมาด่าคน อาตมานี่ด่าเอาบุญนะ คำด่าของอาตมาด่าเพื่อให้เกิดบุญ ด่าเพื่อให้เขาชำระกิเลส ด่าเพื่อให้เขา ได้สำนึกได้รู้ตัวว่าตัวเองทำไม่ดีต้องถูกด่าว่าตำหนิติเตียน ตำหนิแล้วตำหนิอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราจากกระหนาบและกระหน่ำอีก จะตำหนิแล้วตำหนิอีก นิคคหะ แปลว่าตำหนิ จะกำหราบแล้วกำหราบอีก เหมือนช่วงปั้นหม้อ ในขณะที่ดินยังเปียกยังเหนียวอยู่ยังไม่แห้งจึงจะปั้นได้ เราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก เหมือนช่างปั้นหม้อในขณะดินยังเหนียวยังเปียกอยู่ เหมือนรีบร้อนด่าว่ารีบร้อนกำหราบรีบร้อนตำหนิแถมยังตำหนิอย่างแรงอย่างหนักอย่างมาก มันเป็นความจำเป็น มันเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
คนไม่เข้าใจก็หาว่ารุนแรงหยาบคาย มากมาย ไม่มีบรรเทายับยั้ง ถ้าอาตมามีกำลังมากกว่านี้อาจจะทำยิ่งกว่านี้ ถ้าทำได้เร็วกว่านี้จะทำเร็วกว่านี้อีก แต่ทำได้แค่นี้ รู้สึกว่าทำได้น้อยไม่ทัน คือเราทำให้เกิดดีมันไม่ทันชั่ว อัตราความชั่วมันก้าวหน้ายกกำลัง อาตมานี่แค่บวกๆๆๆ อัตราความก้าวหน้าของความชั่วมันยกกำลัง เหนื่อยจริงๆ แล้วเขาโฆษณาความชั่วด้วย ควรจะมาโฆษณาความดีมาช่วยกันโฆษณาความดีร่วมไม้ร่วมมือกระจายให้คนรู้จักสิ่งที่ดี ให้ได้มากๆเร็วๆ มันมีอยู่เท่านี้นะ นอกนั้นมันช่วยกันร่วมมือร่วมไม้ประสานกันต่างๆนานาสารพัด ที่พูดไปแล้วเหมือนกับยกตัวเองคุยตัวเอง จะสิ้นปีแล้วก็สรุปสักยืนยัน มาช่วยกันเถอะผู้ที่รู้ พูดซ้ำซากวนเวียนดูน่าเบื่อ มารวมกันสักพันคน พลังงานคนที่เป็นอาริยะร่วมกันแล้วทำให้สอดร้อยสอดประสานกันร่วมไม้ร่วมมือกัน เป็นกลุ่มก้อนเป็นพลังรวม ที่มันได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเอกภาพ ที่มันจะเป็นพลังเป็นประโยชน์เป็นคุณค่าแก่มวลมนุษยชาติได้อีกเยอะ
อาตมาว่า ราชธานีอโศกนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอก ตอนนี้ก็เรียกร้องให้มากันนะ พื้นดินแผ่นดินก็ยังมี ที่ทางก็ยังว่าง จะมาปลูกบ้านช่องเป็นของตัวเองก็ยังพอได้ อีกหน่อยต่อไปแล้วอย่าว่าไม่เตือนนะ มันเต็มแล้วมันไม่มีที่แล้วไม่ได้นะที่นี้ อย่าหาว่าไม่เตือนไม่ให้สัญญาณ
ดูท่าทีแล้ว ขณะนี้ประเทศไทยเรา คนที่มีปฏิภาณปัญญารู้ก็พอมี เมื่อเช้าเอาบทความของเปลว สีเงิน ชื่อของเขาเดิมคือโรจน์ งามแม้น นามปากกา คือใช้เป็นนามในการเขียน สมัยโบราณเรียกปากไก่ ที่จริงโบราณเอาขนไก่มาใส่ปากกาคอแร้ง ชื่อปากกา คอเรียกคอแร้ง แต่จริงๆเป็นขนนกใช้เขียน ปากก็บอกปากกา คอเรียกคอแร้ง แต่ที่ใช่จริงคือขนนก ใช้เขียนแต่โบราณ เดี๋ยวนี้เครื่องมืออุปกรณ์ใช้ทำงานมากมายเยอะแยะ จนกระทั่งเลิกไม่ไหวมันทุ่นแรงไปได้เยอะ เราก็เลยทำงานการอะไรได้ดี มันมีสิ่งลึกซึ้งเหมือนกับแกล้ง อย่างเราปลูกผักพืช เราก็ว่าเราไม่ได้มีฝีมืออะไรมาก แต่ทำไมมันออกมาสมบูรณ์ กล้วยหวีหนึ่งไม่รู้กี่ลูก ฟักเขียว มะละกอ ทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่ดีงามเรียกว่ากุศล ทำให้มันตรงกับความดีงาม ความดีงามไม่ได้เป็นสิ่งตายตัว ความดีงามเป็นโลกีย์ไม่ได้เป็นโลกุตระไม่ได้ตายตัว ความดีงามที่สอดคล้องกับมนุษย์ ดิน น้ำไฟ ลม พฤติกรรมในสังคม มันจะร่วมกันเจริญ เจริญในเรื่องวัตถุรูปธรรม เรื่องของสิ่งที่เป็นโลกียะ มันจะเกิดตามเหตุปัจจัยของสังคมมวลมนุษยชาติของแต่ละแหล่งแต่ละที่ สิ่งไม่เที่ยง อันนี้ลึกซึ้ง ส่วนปรมัตถ์นั้นตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรถูกต้องก็คือถูกต้องอะไรผิดก็คือผิด ปรมัตถ์ไม่เปลี่ยนแปลง ที่เป็นโลกุตระแล้วไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นโลกุตระไปหา 0 แต่ถ้าเผื่อว่าโลกียนั้น เปลี่ยนแปลงไป จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้ดีอันนี้ชั่ว เดี๋ยวก็เปลี่ยนจากชั่วเป็นดีเดี๋ยวก็เปลี่ยนจากดีเป็นชั่ว โลกียะเป็นอย่างนั้น โลกียมันจะต้องเปลี่ยนจากดีเป็นชั่วจากชั่วเป็นดี มันไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นโลกียะจึงไม่มีอะไรเที่ยง เพราะฉะนั้นเอาตายตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงเอาแก้ไขกันที่ทุกข์
คำว่าทุกข์นี้ลึกซึ้ง ถ้าลงถึงพยัญชนะ ท.ทหาร สระอุ ก.ไก่ ข.ไข่
ทุกข์นี้คือพลังงาน สามเส้า อุ ตัวสระอุ ก็เอารัสสระสั้น อะ อิ อุ เป็นสามเส้า สั้นเร็ว อะ อิ อุ แล้ว ท.ทหาร เป็นตัวพลังงานที่แข็งแรงที่สุดกล้าหาญที่สุด เป็นสิ่งที่ตั้งมั่น ต ถ ท ตัวกลางของแถวกลาง มันไม่ใช่แถวที่จะลงระหว่าง ต กับก จ ฏ ต ปตัว ฏ จะออกเสียงขึ้นจมูก
ต.เต่าคือ static ต้ว ป.ปลาเป็น dynamic
ต ถ ท เป็นตัววิ่งเป็นพลังงานที่แข็งแรงที่สุดกล้าหาญที่สุด เอามาใช้คำว่า ทหร คือทหาร เป็นตั้งอยู่ หะ ห.หีบคือความจริง ร. เช่นรวดเร็วคือพลังงานที่ยิ่ง พลังงานคำว่าทุกข์
สระสั้นสุดเอามาใช้งาน พลังงานปรุงแต่งในตัวมันเองแล้ว เอาตัวตั้งคือตัวพร้อมทำงานพร้อมไปยึด คือตัว ท ส่วน ก กับ ข นั้น
ก คือตัวเกิด ข คือตัวว่าง ตัว สูญ หาก ก ไปหา ข ข.ไม่ต่อ ไม่ไปหา ค.
ตัว ค คือการเดินต่อ ถ้า ก ข ไม่มี ค ก็สูญ ถ้า ก กับ ข.มีตัวที่สามต่อก็ครบ cyclic order ไม่ออกไปจากตัวก็เป็นพลังงานพีชะหรือพืช ถ้ามีพลังงาน 4 5 6 7 ก็จะขยายต่อไปเรื่อย
ทุกข์ ถ้าไม่ต่อไปมันก็จะสูญ แต่คนอวิชชาไม่รู้ไปต่ออยู่เรื่อย หลงว่าเป็นสุข
สุข คือ สุ คือดี ข คือว่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าไปมากๆอย่าไปขยายมากอย่าไปเร่งรีบมากอยากไปมากๆเลย เอาไปให้น้อยไว้ สูตรหลักของพระพุทธเจ้าจึงคือ กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
แต่โลกียะนั้นตรงกันข้าม ไปมากมาย เราต้องน้อยไว้พอ ปวิเวกะ สบายสงบสบาย เพราะฉะนั้นสามเส้า แต่คนก็ไปหลอกว่า สบายแต่ไม่สนุก ก็ทำสนุกมาหลอกเป็นสวรรค์ สัคคะ หลงปรุงแต่เป็นสัคคะ พระพุทธเจ้าว่าอสังสัคคะ ไม่ต้องปรุงเป็นสวรรค์ ไม่มีสวรรค์แต่คนก็ไปปรุงแต่งไปมากอีก เอาแค่สวรรค์น้อยๆอยู่ในวงฟ้อนรำก็พอแล้ว แต่นี่แตกวงออกไปมากมายเยอะแยะ นี่คืออสังสัคคะ ไม่ต้องไปหลงสวรรค์
วิริยารัมภะคือพากเพียรอุตสาหะวิริยะ นี่ก็เป็นเรื่องของพยัญชนะของพระพุทธเจ้า เรียกว่า กถาวัตถุ 5 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา
ธรรมะพระพุทธเจ้าที่ขยายความมาเล็กๆน้อยๆก็ได้ประมาณนี้ เท่าที่เวลาจะตัดเท่านี้ก่อน ตอนนี้ท่านรองผู้ว่าฯก็มาถึงแล้ว พักเหนื่อยสักนิดนึงก่อน
งานของเราเป็นงานที่อยู่ในระดับของโลกุตตระ อาตมากำลังพูดยืนยันเลยว่า เมืองไทย ตอนนี้ไม่ใช่เมืองไทยสามัญแล้ว ประเทศไทยเป็นเมืองชมพูทวีป คำว่าชมพูทวีปหมายถึงดินแดนที่มีสิ่งที่ประเสริฐสุด ดินแดนที่มีมนุษยชาติเป็นสิ่งประกอบ ดีที่สุด เลื่อนจากอินเดียมาแล้ว แต่ก่อนนี้อยู่ที่อินเดีย แต่ตอนนี้เลื่อนจากอินเดียมาอยู่ประเทศไทยแล้วชมพูทวีป มีองค์ประกอบสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นเราก็ช่วยกัน เพราะ อาริยธรรมที่เป็นโลกุตระนั้นไม่เป็นโทษกับใคร มีแต่ประโยชน์มีแต่คุณค่าถ่ายเดียว One way Traffic ไม่มีโค้งงอ ไม่มีวนเวียนกลับคืนมา มีแต่ตรงถ่ายเดียว เป็นแต่ดีถ่ายเดียวไม่มีโค้งงอ ไม่มีองศาแห่งความโค้งเลย มีแต่ดี ถ่ายเดียวไม่มีเลวเลย นี่ก็เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า
เรามาช่วยสร้างมนุษยชาติทำมนุษยชาติให้มีคุณธรรมโลกุตระกัน รวมกันขึ้นมาก็จะได้มีพฤติกรรม พฤติกรรมของตัวเราออกมารวมกันให้เป็นพฤติกรรมสังคม ก็จะเกิดพฤติกรรมที่สุดยอดเป็นพฤติกรรมที่ดีงาม ชีวิตของสังคมมนุษยชาติก็จะอยู่กันอย่าง โอ้โหสุขสำราญเบิกบานใจ อาตมาใช้พยัญชนะนี้ สุขสำราญเบิกบานใจ เพราะฉะนั้นความสุขสำราญเบิกบานใจนี้ จะใช้พยัญชนะเรียกสภาวะสุขสำราญเบิกบานใจมันเป็นอย่างไร เชิญมาสัมผัส มาลิ้มรส เอาได้จากสังคมชาวอโศก
ขออภัยที่พูดแล้วเหมือนยกตัวยกตน ยกตนข่มคนอื่นก็เกรงใจ แต่ความจริงมันต้องพูดความจริงอาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อตำหนิก็ไปว่าเขา ไปก็ถูกตำหนิไปหมด เมื่อชมก็เหมือนชมแต่ตัวเอง ก็เลยยาก ไม่รู้จะทำอย่างไรมันเป็นสัจจะความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประวัติคนดีมาเริ่มต้นเป็นแก่นที่อโศก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะมันเป็นแก่นของโลกุตระด้วย เป็นแก่นของมนุษย์ที่ทำตามหลักของพระพุทธเจ้า มันก็ต้องบอกความจริงบอกสัจจะ เมื่อไปตำหนิก็เลยเหมือนตำหนิเขาไปทั่ว เมื่อจะชมก็เหมือนชมตัวเอง คนก็เลยยิ่งรู้สึกรับไม่ค่อยได้ พอชมก็วกมาหาตัวเอง พอตำหนิก็ดูตำหนิไปทั่ว การแสดงธรรมของอาตมาก็เลยดูเหมือนน่าเกลียด ทั้งที่อาตมาชื่อรักนะ แต่คนเกลียด แถมไม่พอ ชื่อนามสกุลยังเป็นรัก รักพงษ์ อาตมาเขียนหนังสือความรัก 10 มิติอีก นี่เป็นสัจจะ อาตมาอธิบายสัจจะมันต้องเป็นอย่างนั้นมันเป็นตถตา อาตมาต้องมาชื่อรัก ต้องมาเขียนขยายความความรัก 10 มิติ แล้วก็มาพัฒนาตนเองให้เป็นสิ่งที่เจริญ เป็นมิติที่ 7 เป็นมิติสากลเป็นความรักมวลมนุษยชาติไม่มีขีดคั่น แม้แต่ความรักเทวนิยมก็เป็นความรักสูงสุดเริ่มมิติที่ 7 เป็นความรักที่กว้างไม่มีขีดขั้นสมบูรณ์ดีสุดแล้วก็ทำให้มันมีพัฒนาการที่ลึกซึ้งละเอียดลึกซึ้งๆๆๆ เข้าไปจนกระทั่งถึงมิติที่ 8 ที่ 9 โลกจะอยู่ได้ด้วยความรัก ที่มีความหมาย มีสภาวะจริงในความหมายนั้น อย่างสุดวิเศษเลย ความรักนั้นใช้ร่วมกันได้ในทุกศาสนา ทุกศาสนาก็ใช้คำว่าความรักได้
ตอนนี้ก็ขอเชิญท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี มากล่าวเปิดงาน ปีใหม่เพื่อฟ้าดิน
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:37:10 )
รายละเอียด
611230_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ชาวอโศกคือผู้หมดทุกข์ 5 ประการ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ux8nuNpUp-XP3uyngIDlh4jyHc7-4jviyxVywT5Q7K0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=10V6sZPkeOYdTv1VUmXxZ9dNvXT486hNl
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ชาวอโศกคือผู้หมดทุกข์ 5 ประการ
พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันพระน้อยแรม 8 ค่ำเดือนอ้ายปีจอ สดชื่นยามเช้า วันนี้เป็นวันที่ระลึกถึงใครคนหนึ่ง หายไปเลย เขาเขียนให้ กลัวลืม เราก็รับมาแต่หายไปเลย วันนี้วันสิ้นชีวิตของหมอฟากฟ้าหนึ่ง 11 ปีแล้วหมอเสียไป
เราก็ได้ ได้ว่าเกิดจากการซับซาบ คนเรามีการรู้ทางกายวาจาและจิต แต่มางานนี้เราได้รู้ครบทั้งทางกายวาจาและจิต มากกว่านั้นอีกรู้ทางวิญญาณ
รู้ทางวิญญาณหมายความว่า มันรู้ได้ครบ ทั้งเวทนาสัญญาสังขาร มันรู้เห็นสิ่งที่มันปรุงแต่งกันอยู่ทั้งหมด แล้วก็เราก็ใช้สัญญาของเรากำหนดหมายสัมผัสทางกายสัมผัสทางวาจา สัมผัสทางใจ รู้เป็นเวทนารู้เป็นความรู้สึกรู้เป็นอารมณ์สัมผัสแล้วเราก็ได้คบคุ้น อยู่มาได้หลายวันแล้วรู้สึกว่าอารมณ์ของเราเป็นอย่างไร อารมณ์ในองค์รวม เป็นอย่างไร มาอยู่กันตั้ง 5 วันแล้ว เราก็ได้ก่อเกิดตามกาละเวลา ใครมาวันไหนก็แล้วแต่ก็มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ หลายคนก็คงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย หลายคนก็อาจวอบแวบไปข้างนอกบ้างก็เอาเถอะไม่มีปัญหาอะไร เราก็ได้ ได้ มันเกิดสิ่งที่เราได้เกิดสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ เป็นการสัมพันธ์เป็นการสัมผัส เป็นการก่อเกิดไปตามกาละ การก่อเกิดจากกรรม มโนกรรมกายกรรมวจีกรรมที่เราสัมผัสจากสิ่งแวดล้อมจากทุกสิ่งทุกอย่าง จากทั้งดินน้ำไฟลม ทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ ที่เราอยู่ร่วมกันหลายร้อย ลงทะเบียนสอบ 542 คน แต่มาฟังธรรม 700 กว่าคน
ก็พูดอะไรไปเบาๆง่ายๆทบทวนชีวิตของชาวเราเหมือนไร้สาระแต่ก็มีสาระในเรื่องของความเป็นมนุษย์ชาติ ก็เป็นอย่างนี้ ในรายละเอียดของความเป็นมนุษยชาติเราอยู่ร่วมกันร่วมกันอยู่มีชีวิตร่วมกันไป
อาตมาได้นำเอาสูตรของพระพุทธเจ้าทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติกันมาจนถึงวันนี้วินาทีนี้ อาตมาทำให้คนอย่างพวกเราเกิด มันเกิดอยู่ทุกวินาทีพัฒนาการ
จิตวิญญาณเราบางทีมันก็มี โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ บ้าง มันยังไม่หมด อวิชาทีเดียวก็ยังมี ถ้าเราหมดอวิชชาแล้วเกลี้ยง เราก็ไม่มี โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ พระอรหันต์ไม่มี โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ผู้ที่ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่คือผู้ที่ยังไม่หมดเทวะ คนที่หมดเทวก็หมด โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ หมายความว่าหมดสิ้น ปริเทวะ
ใน 5 ตัวนี้ โศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ
อุปายาสะคือยังติ๊งต่องๆๆอยู่ในธุลีละอองของความทุกข์ คนเรามันสุดโต่งระหว่างสุขกับทุกข์ สองตัวนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สุขกับทุกข์ แล้วก็ชัดเจนว่า สุขกับทุกข์มันคือเทวะ มันเป็น 2 แล้วท่านก็ดับเทวะ หมดเลย เทวะจะยิ่งใหญ่มหาGod ขนาดไหนก็ตาม หมดเทวะ
อุปายาสะ หมดก่อนแล้วมา โทมนัส คือความทุกข์ส่วนในเป็นก้อนทุกข์ ก็จบหมด
จึงมาอยู่ที่ ปริเทวะกับโศก แต่พวกเราคือพวกอโศกะ พวกเราเรียนรู้อย่างสิ้นรอบ ปริเทวะ คือความเป็นธรรมมา 2 อย่างครบพร้อม แล้วก็มาเรียนรู้ความเป็นเทว 1 กับ 2 จัดการเวทนา 2 เป็นสำคัญ เทวธัมมา ทวเยนะ เอกสโมสรณา ภวันติ คือหัวใจศาสนาพุทธรู้จักเวทนาสองซึ่งเป็นเทวธัมมา เป็นธรรมะ 2 แล้วก็จับตัวเวทนา เวทนาคือความรู้สึก เป็นสัมผัสแรก ของผัสสะ ผัสสะก็มีเวทนา ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา ก็ไม่มีวิญญาณ คนเราไม่มีผัสสะภายนอกนี้ มันมีธาตุรู้อยู่ภายในคือสัญญากับสังขาร มีสัญญากับสังขารเท่ากับพืช
พืชมีแต่สัญญากับสังขารไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขารมันไม่มีสุขทุกข์ เวทนาไม่มี เพราะฉะนั้นพืชไม่มีสุขไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทำจิตนิยามนี้ให้เหมือนพืช
ให้เป็นพลังงานจิตที่มีการกระทบสัมผัส แล้วก็เกิดจิตวิญญาณแล้วก็ทำให้จิตวิญญาณ คือธรรมเวทนาให้เหลือ 1 อย่างเป็นวสวัตตี ให้เป็นผู้ยังความมีอำนาจในจิตตัวเอง จนสุดท้าย ความหมายของคำว่า ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้คือสามารถทำให้จิตของเราเป็นไปอย่างไรก็ได้ แต่ไม่โง่ไปเป็นทุกข์ไปเป็นโทมนัส แม้แต่สุดท้ายโศกะ เราก็รู้รอบแห่งความเป็นเทวะความเป็นเวทนา รู้รอบในความเป็นเวทนาของเราทั้งหมด แล้วเราก็สามารถทำให้เวทนานั้นไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีทั้งสุขไม่มีทั้งทุกข์ได้เหมือนกันกับพืช แต่มีพลังงานเหลือ เพราะว่าจิตนิยามมีพลังงานมากกว่าพืช พืชมีแต่สัญญากับสังขาร แต่จิตวิญญาณมีเวทนากับมีวิญญาณด้วย เพราะฉะนั้นพลังงานที่เหลือก็สามารถที่จะไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขาหรือว่าเป็นอาการกลางๆ
พวกเราปฏิบัติธรรมมาแล้วอารมณ์จิตของเราที่มันเป็นกลาง แม้จะเป็น เคหสิตะ เป็นคนโลกีย์ก็สามารถมีอุเบกขา กลางๆ แต่เป็นแบบเคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นความรู้สึกที่มันเฉยๆ กลางๆ แต่ไม่ใช่ความบรรลุธรรมไม่ใช่เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา
เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา คือ ทำให้เป็นอุเบกขาด้วยความรู้ด้วยปัญญาด้วยการมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็สามารถที่จะมีความรู้ตามปฏิจจสมุปบาททั้งสาย
รู้ตั้งแต่สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา แล้วจัดการกับเวทนานี้ มันมีตัวเคลื่อนคือตัณหาก็ล้างตัณหา มันมีเศษเป็นอุปาทานตกตะกอนอยู่เท่าไหร่ก็ล้าง คนเราจะรู้จักตัณหากับอุปาทาน โดยที่ตัณหาเกิดจากการกระทบแล้วก็เคลื่อน ตัวเวทนาเป็น static เป็นตัวตั้ง เป็นนิวเคลียส ตัวสำคัญของมนุษย์ แม้จะกระทบอย่างแรงๆอย่างไรๆ อุปาทานก็ไม่เกิดตัณหาไม่ฟุ้งกระจาย แม้กระทบสัมผัสเร็วไวเป็นมุทุภูตธาตุ ยิ่งปริสุทธา ปริโยทาตา ปภัสสรา ยิ่งทำกรรมการงานได้อย่างดีเป็นสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลัสสูปสัมปทาเพราะว่าได้ทำ สจิตติปริโยทปนังแล้ว ถ้าจะทำกรรมกิริยาก็มีแต่ดีแต่กุศลบุญก็ไม่มีบาปก็ไม่มีแล้วในพระอรหันต์เป็นคนสิ้นบาป มีแต่กุศลอย่างเดียว กรรมที่เหลืออยู่มีแต่กุศล บาปไม่มี ปุญญปาปปริขีโณ ทั้งบุญทั้งบาปดับสิ้น
ที่อธิบายเป็นการสรุปสภาวะธรรม ฟังแล้วได้ยินแล้วใครเข้าใจบ้างยกมือ ที่อาตมาไล่ๆดูเป็นการตรวจสอบว่าที่เรียนมารู้กันแค่ไหน สอบพยัญชนะแล้วสอบสภาวะจากความรู้สึกพวกเรา เป็นการสอบปากเปล่า จบแล้วนะ defend จบแล้ว เดี๋ยวจะอนุมัติ
พวกเราก็พัฒนาไป ชีวิตนี้ก็ดีนะพวกเรารู้ว่านี่เป็นคุณค่าของชีวิตเรา เรามาเรียนรู้ทางนี้จากที่เราเคยไปร่ำรวยหาเงินหาทองแต่เรามีโอกาสได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาศึกษาได้เรียนรู้และเอาไปปฏิบัติฝึกฝน จนกระทั่งได้ผลออกมาแล้วเราก็มีอยู่ในตัวของเราเป็นพฤติการณ์พฤติบทของเราประจำตัวเราไป เราทำได้ปฏิบัติแล้วเที่ยงแท้มั่นคงยั่งยืนอย่างไรเราก็ได้ในตัวเราไป ก็เป็นมนุษย์ที่ได้รับการศึกษาฝึกฝนอบรมปฏิบัติจนบรรลุผล ตามคำสอนพระพุทธเจ้าได้มากได้น้อยก็แล้วแต่ ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด อาตมาว่าเกิดมาเป็นคนต้องมีอันนี้แหละเป็นสุดยอด อาตมาก็ว่าหมดแล้วในชีวิตนี้มีงานที่จะทำก็คืองานอันนี้ อาตมาก็มีงานที่ช่วยให้รับรู้รับฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ จนเป็นมวลมนุษย์ที่เป็นหน่วยของสังคม หน่วยของประเทศไทย หน่วยของจังหวัดที่เราพักอาศัยอยู่ ตอนนี้ก็ออกจากจังหวัดที่เราพักอาศัยอยู่มาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ในอุบลราชธานีก็มีหน่วยย่อยมาจนถึงหมู่บ้านราชธานีอโศก แล้วพวกคุณก็มาอยู่ที่หน่วยนี้ มาอยู่กับหมู่บ้านราชธานีอโศก
ตอนนี้ก็เป็นมวลปัจจุบันของราชธานีอโศกอยู่ที่นี่กัน 6 7 วัน วันนี้วันที่ 5 แล้ว เราก็มีพฤติกรรมอยู่กับมวลของเรา เราก็มีวิถีชีวิต อยู่กันอย่างสังคม สังคมของเราตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้มีประเด็นปฏิบัติอย่างนี้ บางคนไม่คิดอะไร ก็ไปกับหมู่ไม่ต้องคิด โปรแกรมอะไรไม่ต้องมี ไปกับหมู่ไปวันๆ แล้วแต่ว่าวงโคจร ดาวเล็กดาวใหญ่ในนี้ จะพาไปตามเส้นโคจรใดก็ไป แต่เป็นหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีที่พากันไป ให้เกิดการยินดี เป็นแสงอรุณเป็นฉันทะที่ดีในแต่ละวัน ฉันทะเป็นมูลไปเรื่อยๆแล้วก็ได้มนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะ เป็นสมุทัย ได้มีเวทนา ที่จิตรวมหยั่งลงแล้วเราก็ได้จัดการกับเวทนา จนเป็นสมาธิ เป็นฌานเผากิเลสไป ตกผลึกเป็นสมาธิเป็นประมุข จิตของเราก็เกิดมีสติปัญญาผ่องใสขึ้นมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ มีปัญญาเป็นธาตุที่บริหารปกครองชีวิต เป็นธาตุที่อยู่เหนือ มีปัญญาเป็นตัวควบคุม เป็นอุตระ ชีวิตของเราก็มีวิมุติเป็นแก่น หลุดพ้นจากสิ่งนี้สิ่งนั้นไปเรื่อยๆละเอียดลออไปตามลำดับของแต่ละบุคคล จนโอฆทา สำเร็จรูป ลงไปเป็นบุคคลอมตะไปเรื่อยๆจนมานั่งอยู่ตรงนี้แหละ สรุปรวมกันอยู่ตรงนี้ อาตมาแม้จะผ่านอรหันต์แล้วก็ตาม ก็มีภาวะที่เจริญขึ้นมีประโยชน์มีคุณค่า ทำอย่างนี้ไปจนถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำงานกับสังคมมนุษยชาติอย่างนี้สุดยอดแล้ว
อาตมาก็คิดว่า อยากจะได้มวลของที่นี่มาช่วยกันตั้งเป้าไว้พันคน จนมีเพลงหนึ่งในพันมาร้องจนเบื่อก็ยังไม่ถึงพัน มีวิธีการอย่างนั้นอย่างนี้เฟส 1 2 3 คนมีตังค์ก็มาสร้าง แต่ไม่มาอยู่ เป็นบ้านปราศจากวิญญาณ บ้านว่างๆ บ้านก็เหงา เจ้าของบ้านไม่มา ไหนว่าจะมาพักตากอากาศไงบ้านก็ร้องเพลงรอ ..ถ้าเธอ...มีหัวใจเหมือนฉันสักหน่อย...คุณสุรพล โทณะวณิกเป็นคนแต่ง เจ้าน้อยสุรพล ไม่ได้เรียนหนังสือแต่มีพรสวรรค์ ได้รับรางวัลเยอะ อาตมาอาภัพในชีวิตไม่ได้รับรางวัลอะไร จะได้รับรางวัลก็ต้องโดนด่า ไม่มีใครเหมือนอาตมาหรอกได้รับรางวัลแล้วโดนด่าเสร็จ
สังคมทุกวันนี้เราก็มีชีวิตอยู่กับสังคมอย่างไม่ได้หลับตาหนีเข้าป่าเขาถ้ำ เพราะศาสนาพุทธ
1. ไม่ใช่ศาสนาคนป่าเป็นศาสนาคนเมืองอย่างยิ่ง ขอยืนยัน เพราะฉะนั้นการออกป่าผิดไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ
2. ไม่ใช่ศาสนาหลับตา ไม่ใช่เลย หลับตานั้นจะบอกว่าเป็นอุปการะบ้างตามศัพท์ของพระพุทธเจ้า ก็หมายความว่าเป็นเครื่องช่วย ใช้อุปการะชีวิตเรา หลับตาจะใช้เป็นอุปการะได้อะไรบ้าง
1. ใช้พักผ่อนหรือนอน คุณนอนก็ใช้การหลับตาเป็นการพักผ่อน จะหลับตาก็คือนอน นอนก็ได้พักผ่อนหมดเลย เป็นอุปการะของชีวิต ถ้าใครไม่หลับตาไม่นอนไม่อุปการะมันเหนือกว่ากันกว่าคนนอนไม่หลับตา เวลาจะนอนก็หลับตา บางคนนอนไม่หลับตาดูน่ากลัว ไม่รู้ประสาทเขาเป็นอย่างไรชีวะร่างกายสรีระก็เป็นอย่างนั้น (สู่แดนธรรมว่าตั๋งโต๊ะนอนไม่หลับตา) แต่บางคนนอนแต่ตาไม่หลับแต่มองไม่เห็นเขาอยู่ในภวังค์ เพราะฉะนั้นหลับตาคืนนอนคือได้พักผ่อน
2. หลับตาได้ใช้เป็นการศึกษาตรวจสอบภายใน โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับทวารภายนอกทั้ง 5 ใช้สัญญาเอาความนึกคิดบุพเพนิวาสานุสติญาณเอามาระลึก เป็นสภาวะของอดีตทั้งนั้น ไม่ได้มีปัจจุบัน หลับตาไม่มีผัสสะไม่มีปัจจุบัน หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านไปในอนาคตที่มีก็ได้ ปั้นเป็นเรื่องราวสร้างเป็นนิรมานกายขึ้นมาก็ได้ บ้าบ้าบอบอไม่มีใครระลึกได้ก็ได้ เช่นอาตมาจะนึกสร้างวิมานตามเรื่องอาตมาซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ทำได้ เราก็นึกถึงอะไรที่มันเกิดในจิตอะไรที่มันดับในจิตอะไรที่มันทรงอยู่ในจิต มีจุตูปปาตญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็นั่นแหละคือหลับตาแล้วนึกถึงอดีตที่เราเคยผ่านมา ไม่มีปัจจุบันกับอนาคตที่เราจะสร้างใหม่ เพราะฉะนั้นเรารู้ก็อะไรเกิดตั้งอยู่อะไรขึ้นมา จุติอุบัติ จุติบางทีก็แปลว่าเคลื่อนบางทีก็แปลว่าตาย หรืออะไรมันเกิดมันอุบัติอยู่ แล้วก็เอาไปใช้ในการเตวิชโช ตรวจสอบเหมือนกับการลงบัญชีชีวิตที่ผ่านมา อ๋อ เราดับอาสวะได้ แต่มันก็ยังมี วอบแวบเมื่อนั่นเมื่อนี่ ตรวจสอบ จุตูปปาตญาณ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกจนกระทั่งผ่านเหตุการณ์เมื่อนั่นเมื่อนี่ก็ไม่เกิดอะไรเลย ไม่เกิดกิเลสเลยอาสวะไม่เกิดเลย จนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ผู้นี้ก็ปฏิญาณตนได้ว่าเป็นคนที่จบกิจเป็นอรหันต์อย่างชัดเจน ผ่านมาตั้ง 1 วัน ผ่านมาตั้ง 7 วันผ่านมาตั้ง 1 ปีผ่านมาตั้ง 7 ปี ผ่านมาตั้งนาน มันก็ไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย ก็แน่นอนเราเป็นอรหันต์เด็ดขาด
มาถึงวันนี้เราก็เกิดมาหลายคน คนละอายุของใครของมัน อาตมาอายุ 85 เกิด 5 มิถุนายน 2477 มาถึงปีนี้จะสิ้น 2561 จริงๆแล้วเมื่อถึง 5 มิถุนายน 2561 ก็ครบ 84 ปี จากนั้นมา มาถึง 5 ธันวาคมก็ครบครึ่งปี ก็ครบ 84 ปี 6 เดือน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เขาคนนั้นชื่อพล.อ.ประยุทธ์
มาถึงวันนี้สังคมประเทศไทยเขาคนนั้นชื่อพลเอกประยุทธ์ บทความนี้เขียนโดยเปลวสีเงินตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2561
เขาคนนั้นชื่อ "พลเอกประยุทธ์" 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล"
เมอร์รี่ คริสต์มาส "นายกฯ ประยุทธ์" ด้วยเค้กขี้เพี้ย 8 ก้อน
ก็ผสมโรง "เมอร์รี่ คริสต์มาส" ด้วย!
เค้กทั่วไป จะจัดหนัก-จัดเต็ม ทางหวานจัด มันจัด กินอร่อย แต่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ
ถ้าเป็นเค้กขี้เพี้ย คำแรกจะขมนำ ซักพัก หวานจะตามในลำคอ เหม็นในหอม-หอมในเหม็น เหมือนจะไม่อร่อย แต่ดีกับสุขภาพ
ก้อนเดียว ทำให้ฟิตปั๋ง กำลังวังชาเพิ่ม
แต่นี่โด๊ปทีเดียวตั้ง 8 ก้อน ปล้ำกับช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหดได้สบายมาก
เห็นแบบนี้แล้ว ก็...ทั้งโล่งใจและมั่นใจ!
พลเอกประยุทธ์ เสนอตัวเป็นนายกฯ สังกัดพรรคไหน ใครเลือก-ไม่เลือก
สุดแต่ตะกอนในหัวใจของใครจะตกผลึกแค่ไหน?
สำหรับผม.....
เข้าคูหา X ให้ผู้สมัคร ส.ส.สังกัดพรรคที่ชูพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ไปเลย!
การเมืองเป็นร้อยเล่ห์ก็จริง แต่เล่ห์ที่ว่าเป็นร้อยนั้น เป็นของนักเลือกตั้งเขา
สำหรับชาวบ้าน "ผู้เลือก" อย่างเราๆ อย่าเลือกด้วยเล่ห์ ต้องใช้ความจริงใจต่อชาติบ้านเมืองในการเลือก
พูดกันตรงๆ.....
อย่าเห็นแก่เงินโจรประชาธิปไตยที่ยื่นให้ แล้วขายอำนาจครองเมืองให้พวกมัน
ขืนทำอย่างนั้น พวกมันเมื่อได้อำนาจครองเมืองแล้ว ก็จะรุมทึ้งประเทศ
ทั้งย่ำยีบีฑาชาวบ้านที่ถูกตีราคาว่าไม่ใช่พวกมัน เคยเห็นกันแล้วมิใช่หรือ?
4 ปีข้างหน้า หรืออาจมากกว่านั้น
บ้านเมืองไทยยังจะอยู่ในภาวะ "หัวเลี้ยว-หัวต่อ" ทั้งสังคมโลกและสังคมประเทศ
พูดด้วยตัณหา.....
อภิสิทธิ์-ปชป. ก็เป็นนายกฯ ได้ สุดารัตน์-พท.ก็เป็นได้ ลูกเจ๊เบียบ-ทษช.ก็เป็นได้
นายสงคราม เจ้าของห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว พรรคจตุพร ก็เป็นได้ นายอนุทิน-ภูมิใจไทย ก็เป็นได้ หนูนา ชาติไทยพัฒนา ก็เป็นได้ นายเทวัญ ชาติพัฒนา ก็เป็นได้
กระทั่ง "นายวัฒนา เมืองสุข" ก็เป็นนายกฯ ได้
แต่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รวมพลังประชาชาติไทย ประกาศว่า "เที่ยวนี้ พรรคสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ"
ฉะนั้น ตัดออกไปจากบัญชีตัณหา "อยากเป็นนายกฯ"
แต่เมื่อพูดด้วยปัญหาของบ้านเมือง......
ก็จะเห็นว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมหลัก ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่
ล้วนเป็นมรดกจากรัฐบาลก่อนๆ ทิ้งหมักหมมตกทอดไว้
พวกเข้ามาใหม่.....
มีแต่สร้างปัญหาใหม่ทับในกองขยะเก่า มองไม่เห็นเลยว่า "ขยะคาประเทศ" ใครจะสะสาง
เมื่อมองตัวเลือกทั้งกระจาด
ก็เพิ่งมาในยุครัฐบาล คสช.ที่ตีตราว่า "ฝ่ายเผด็จการ" นี่แหละ เมื่อเข้ามาก็รื้อขยะ ชำระสะสางให้สังคม
พูดเป็นภาพสรุปได้ว่า
"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" นี่แหละ ตอบโจทย์ปัญหาค้างคาประเทศได้เหมาะสม
ทั้งสะสางขยะเก่าให้เห็นแล้ว
ทั้งสามารถรับมือสถานการณ์โลกทั้งด้านเศรษฐกิจ-การเมือง
ทั้งรับมือสงครามรูปแบบต่างๆ ในภาวะ "โลกลอกคราบ" ปัจจุบัน ได้ค่อนข้างน่าพอใจ
อาจไม่ทันใจพวกละเลงขนมเบื้องด้วยปาก หรืออาจทำได้ดีเกินไป จึงเกิดมลพิษทางตา ที่เรียก "โรคตาร้อน" นั่นก็เป็นเรื่องธรรมชาติบนความหลากหลายของชั้นมนุษย์
เป็นเรื่องต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องเก็บมาให้เหม็นคาวใจ หรือให้หูดหิดขึ้นที่หัวใจ
ผมเคยอ่านปรัชญานิพนธ์ท้ายรถบรรทุกบ่อยๆ เขาเขียนว่า
"คนอิจฉา" เพราะผลงานบาดตา
ยังไงๆ ก็ดีกว่า ทำงานแล้ว มีแต่คนสมเพช-เวทนา ซึ่งนั่นแสดงว่า เรา "ห่วยแตก"!
ขอย้ำว่า "พลเอกประยุทธ์" ไม่ใช่ตัวเลือกที่ "ดีที่สุด" ในตำแหน่งนายกฯ
แต่ในบรรดามี "พลเอกประยุทธ์" เหมาะสมที่สุด!
อีกทั้ง ตั้งแต่ 2475 ถึงปัจจุบัน มีนายกฯ มากี่คน ขี้เกียจจำ
จำได้อย่างเดียว.....
ไม่เคยปรากฏว่ามี "นายกฯ ดีที่สุด" เลยซักคน
แต่ถ้าบุคคลที่เป็นนายกฯ แล้ว "เหมาะสมที่สุด"
มีหลายคน!
จะนับรวมพลเอกประยุทธ์ไปด้วยก็ได้ ด้วยผลงานดีบ้าง ไม่ดีบ้างในรอบ 4 ปีที่ผ่าน ซึ่งหักกลบลบหนี้แล้ว
ที่ดี "มากกว่า" ไม่ดี!
นายกฯ เลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตย กับนายกฯ แต่งตั้ง ในระบบเผด็จการทหาร
ไม่ใช่คำตอบ ใครดีกว่าใคร
ที่ตั้งชุดความคิดป้อนสังคมให้เกิดทัศนคติกันว่า นายกฯ ทหารเลว นายกฯ เลือกตั้งดี
นั่นเป็นความคิดพวก "หมาในรางหญ้า"!
เอาง่ายๆ......
การทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ เผด็จการทหารของพลเอกประยุทธ์
กับการทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ เลือกตั้งของนางสาวยิ่งลักษณ์
ตอบซิ.....
เผด็จการเลว หรือเลือกตั้งเลว?
นี่คือสิ่งพิสูจน์ ว่าประชาธิปไตย-เผด็จการ เป็นแค่เปลือก
"ผลงาน" ที่เกิดกับสังคมชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก คือ "เนื้อหา"
เลิกกันซะทีเถอะ เสียอำนาจ เสียประโยชน์ แล้วพลอยเกลียดตัวคน ต้องทำลายล้าง ต้องสร้างวาทกรรมบิดเบือน
ตัวคนไม่ตายหรอก
แต่ประเทศชาติบ้านเมืองจะเฉาและยับย่อย!
อย่างเรื่อง เศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่ดี คนจะอดตายกันหมดแล้ว
ผมไม่บอกหรอกว่า จริง-ไม่จริง
แต่การพูดอย่างนั้น ควรมองบ้านอื่น-เมืองอื่นประกอบด้วย ว่ามันไม่ดีเฉพาะเรา
หรือมันเป็นทั้งโลก ด้วยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจขาลง
ในความเป็นประเทศสินค้าส่งออก มันไม่ดีไปด้วยกัน ทั้งประเทศผู้ซื้อและผู้ผลิตทุกแห่ง
พูดกันแฟร์ๆ.....
ที่เราบ่นกันว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ไปดูซี...ทั้งโลก โดยเฉพาะยุโรป สหรัฐ ต่อให้ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ด้วย
เฉาด้วยกันทั้งนั้น
หนัก-เบา ว่ากันไปตามเศรษฐกิจฐานรากของแต่ละประเทศ!
เราซะอีก ที่ว่าแย่ๆ เทียบแล้วยังดีกว่าของเขาร้อยเท่า นี่เรื่องจริง ไม่ใช่นอนบนเตียงถ่ายคลิปพูด
การสร้างทัศนคติให้คนรังเกียจทหาร พยายามพูดให้เห็นว่า กองทัพเป็นส่วนเกินสังคมปัจจุบัน
ทำกันไปทำไม....
การพูดอย่างนั้น มันทันสมัย โก้ เท่ กันนักหรือ?
ถ้าบ้านเมืองไม่มีกองทัพ ไม่มีทหาร
วันนี้ จะไม่มีแผ่นดินให้พวกคุณได้ยืนเห่าเป็นการเนรคุณอย่างที่ทำกันทุกวันนี้หรอก
เราเห็นบ้านเมืองกันแต่ "ภาพภายนอก" แล้วแหกปากทหารมีไว้ทำไม เลิกเกณฑ์ทหารได้แล้ว กองทัพเกินความจำเป็น
หารู้ไม่ว่า สภาพภายนอกที่สรุปว่าทหารเป็นส่วนเกินแล้วนั้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ, การเงิน, การคลัง รวมถึงความมั่นคง
ตั้งอยู่บนรากฐานที่มาจากการ "ทำงานภายใน" ของกองทัพเป็นส่วนใหญ่
สถานการณ์วันนี้ เสถียรประเทศ "บนดิน" ตาที่เห็นจะบอกว่า ขาดทหารก็ไม่เห็นจะเป็นไร
แต่ถ้าตาคนมองทะลุลงไปใต้น้ำเขตคามสยามประเทศ จะต้องร้องว่า
"มันดำน้ำเข้ามาทะลวงก้นเราขนาดนี้แล้วหรือนี่?"
ในภาวะโลกสับปลับขณะนี้ ลูกอ๊อดอย่างพวกเรา อย่าโง่แล้วหยิ่ง พองตนเป็น "พญาคันคาก" กันให้มากนัก
ไม่ได้บอกให้กองทัพหรือทหารมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินหรอก
เพียงแต่จะบอกว่า เอากันแต่พอดี เคลื่อนคล้อยไปตามเหตุปัจจัยของสถานการณ์ "เอาบ้าน-เอาเมือง" ไว้ก่อน
เรื่องอำนาจ เรื่องกินบ้าน-กินเมือง ทีหลังก็ได้ ในเมื่อประเทศไทยยังมีอยู่
ไม่สายหรอก.....
เมื่อช่วงหัวเลี้ยว-หัวต่อผ่านไป ค่อยเข้ามาแทะกัน คงไม่ถึงขั้นลงแดงตายกันไปก่อนกระมัง?
ด้วยเหตุผลอย่างที่ว่า ผมจึงเห็นพลเอกประยุทธ์ เป็นบุคคลลงตัว ในตำแหน่งนายกฯ คนต่อไปมากที่สุด
บางคนบอกว่า อยู่มา 4 ปี ไม่เห็นมีผลงานอะไร?
ถามว่า คุณใช้อะไรพูด?
ใจอิจฉา หรือ ความเป็นจริงประจักษ์?
แน่นอน พลเอกประยุทธ์ "ทำทุกเรื่อง" ที่ชาวบ้านต้องการไม่ได้
แต่หลายเรื่อง ทั้งสะสางเก่า ทั้งตั้งต้นเป็นอนาคตใหม่ พลเอกประยุทธ์ทำปรากฏเป็นรูปธรรมน่าพอใจมิใช่หรือ
4 ปี ทำได้ขนาดนี้ ต้องย้อนถาม แล้วรัฐบาลเลือกตั้ง เวียนกันเป็นมาในรอบ 20 ปี ทำอะไรเป็นเนื้อหนังฝากให้ชาติบ้าง?
อย่าตอบว่า......
ก็แปลงประเทศเป็นทุนไง
31 ธันวา.วันสิ้นปี ประกาศเป็นวันทำงานปกติ เพื่อ "ผัวเซ็น-เมียซื้อ" แล้วโอนโฉนดนั่นไง
เผาบ้าน-เผาเมืองนั่นไง
จำนำข้าวทุกเมล็ด แล้วเวียนเทียนซื้อขายเอาเงินหลวงเข้ากระเป๋า สร้างหนี้ทิ้งไว้ 8 แสนล้าน ให้ประชาชนทุกคนจ่ายแทนนั่นไง
การพูด ว่าต้องทำอย่างนั้น-ต้องอย่างนี้ มันง่าย
สำหรับคนทำงาน โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าบริหารด้วยแล้ว จะรู้ว่า ในโลกนี้ "ที่ยากที่สุด" คือ
"การบริหารใจคน"!
มีอำนาจ ใช่ว่าจะสั่งให้ทุกคนทำอย่างที่เราต้องการได้ และถึงสั่งได้ ก็ใช่ว่ามันจะทำ
ผมพอใจนายกฯ ประยุทธ์เท่ากับไม่พอใจ แต่ที่เป็นเหตุให้ผมยอมรับได้
เพราะประยุทธ์เอาชาติ เอาสถาบัน เอาประชาชน มุ่งสร้างอนาคตประเทศ ปากร้ายบ้าง
แต่ "ใจ" บริสุทธิ์!.
พ่อครูว่า...อาตมานี่ปากร้ายคือพูดแต่ตำหนิแต่ว่าเขา จะชมก็น้อย ชมก็ชมพลเอกประยุทธ์กับคุณเปลวนี่ไง
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจไทยในยุค คสช.
มาอีกบทความ…
แนวหน้า บทบรรณาธิการ วันพุธ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561,
เศรษฐกิจไทยในยุคคสช.
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลระบอบทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดความหยุดชะงักรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้หลังจากนั้นพลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เวลาผ่านไปถึงปีที่ 5 ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีกว่าสิ้นปี 2557 มากมายหลายเท่าตัว
แต่กลุ่มคนที่เป็นพวกที่สูญเสียอำนาจไปเพราะคณะทหารได้ออกมาโวยวายอย่างหนักแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วฐานะของเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีปัจจุบันคือปี 2561 ดีกว่าสมัยยิ่งลักษณ์มากนักดังตัวเลขที่จะยกมาให้ดังนี้คือสิ้นปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่นักการเมืองในระบอบทักษิณต้องสูญเสียอำนาจการบริหารประเทศไปนั้นประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติ 407.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 13,237.25 ล้านล้านบาท มีประชากร 65.4 ล้านคน
ประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเทียบปี 2556 กับ 2557 โตแค่ 0.7% เท่านั้นประชากรมีรายได้ต่อหัวคนละ 13,000 เหรียญสหรัฐ หรือคนละ 422,500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 35,208 บาทต่อคน มาสิ้นปี 2561 ในยุครัฐบาล คสช. ประเทศไทยมีประชากร 67.6 ล้านคนรายได้ประชาชาติสิ้นปี 2561 ประมาณ 1,323 ทริลเลี่ยนเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 455,400 ล้านล้านบาท รายได้ต่อหัวคนละ 19,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 617,500 บาทเฉลี่ยเดือนละ 51,458 บาท
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างปี 2560 กับ 2561 โตขึ้น 4% ไทยส่งสินค้าออกในปี 2561 ได้ถึง 236,760 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าสินค้า 222,760 ล้านเหรียญสหรัฐเทียบแล้วไทยเกินดุลชำระสินค้า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปี 2561 ค่าเงินบาทแข็งค่าคือ 1 ริงกิตมาเลเซียเท่ากับ 7.96 – 8.00 บาท บาทไทยมีค่าสูงขึ้น
เมื่อเทียบเงินบาทกับเงินตราสกุลหลัก 5 สกุลของโลกปรากฏว่าค่าเงินบาทสูงมาก 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 32.5 บาท 1 ยูโรเท่ากับ 37.5 บาท 1 ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษเท่ากับ 41.4 บาท 100 เยนเท่ากับ 29.5 บาท เมื่อนำเอารายได้ประชาชาติในปี 2557 กับ 2561 แล้วจะพบว่ารายได้ประชาชาติสมัย คสช.ดีกว่าสมัยระบอบทักษิณถึง 915.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3 เท่าตัวในเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมเต็ม 100 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเป็นอย่างมากแต่การกระจายรายได้ไม่ดีเท่าให้เกิดภาวะคนที่ร่ำรวยอยู่แล้วมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากตัวเลขของนิตยสารฟอร์บสนั้นระบุว่าไทยมีมหาเศรษฐี 1 พันล้านเหรียญสหรัฐถึง 40 ตระกูล มีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีฐานะที่ร่ำรวยที่มีรายได้ต่อปีคนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 1 ล้านคนจากประชากร 67.6 ล้านคน
ปัญหาที่รัฐบาลคสช.ต้องแก้ไขให้เป็นผลก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ก็คือการกระจายรายได้และการใช้โครงการสวัสดิการแห่งรัฐไปสู่ประชาชนที่ยากจนที่มีประมาณร้อยละ 20 ให้เป็นผลงานที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน https://www.naewna.com/politic/columnist/38404
พ่อครูว่า...ชาวอโศกเป็นคนที่ทำงานขยันหมั่นเพียรเสร็จแล้วก็เอาเข้ากองกลางไม่เอาไว้ส่วนตัว ไม่ยักไว้ กองกลางก็เอาไปบริหารสังคมเราที่เหลือก็เอาไปสะพัดสู่สังคมประเทศชาติไม่ขยักนไว้ เป็นคนทำหน้าที่ช่วยประเทศชาติโดยเสียสละ ขอใช้คำว่าเสียสละ เพราะเราไม่ต้องมีเงินทองในส่วนตัว เราอยู่เรากินในสังคมที่สมบูรณ์แบบคือสังคมชาวอโศก สาธารณโภคี เป็นวิธีบริหารสังคมประเทศชาติที่สูงสุดแล้วสาธารณโภคี หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านสังคมสาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า
พูดไปนี้เป็นการยืนยันความจริงของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แล้วเราทำได้ นักเศรษฐศาสตร์เชิญมาศึกษาแล้วก็มาวิจัย ของโลกไม่มีหรอก ในตำราโลกไม่มี มีแต่ในตำราของพระพุทธเจ้า แล้วมีคนปฏิบัติได้จริงคือชาวอโศก ขออภัยพูดแล้วเหมือนยกตน แต่มันเป็นเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีที่นำโลก ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆแต่ชาวอโศกก็ทำได้
เพราะเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามาเป็นลำดับจนเป็นสังคมเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์สังคมสาธารณโภคี แล้วจะล้มไหม? เศรษฐศาสตร์ชาวอโศก (ไม่).. ยั่งยืนมั่นคงเพราะลงตัวที่จิตมีปัญญา จิตมันรู้ว่าระบบยังมีวิถีชีวิตอย่างนี้มีเสนาสนะ มีบุคคล มีเครื่องอาศัยเป็นอาหารมีธรรมะอย่างนี้แหละ สังคมชาวอโศกจึงไม่มีเปลี่ยนแปลงง่ายๆจะยืนยาวแต่ก็ต้องเสื่อมในอนาคตคนก็จะต้องแย่งกัน แต่ก็จะไม่เสื่อมง่ายหรอก อาตมาถึงต้องพยายามลงหลักปักแหล่งราชธานีอโศกให้เป็นหมู่บ้านตัวอย่าง เราไม่เป็นถึงขั้นทำให้เป็นอำเภอ แค่ตำบลก็ต้องมีหมู่บ้านอย่างนี้ ไปหมู่บ้านอย่างสาธารณโภคีหลายหมู่บ้านรวมกันก็เป็นตำบล มีอยู่กระจายตามที่ต่างๆสาธารณโภคีของชาวอโศกแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ มันก็เลยกระจายอยู่ทั่วประเทศ ถ้าหากต่อไปหมู่บ้านรอบข้างเป็นสาธารณโภคีด้วย จะเป็นเครือแหเชื่อมต่อกันที่ยอดเยี่ยมเลย คำกลางเขาเป็นคริสต์ก็ไม่กล้าพูดเขาหรอก แต่คนบ้านคำกลางมาทำงานในราชธานีอโศกเลี้ยงชีวิตมีเยอะแยะไป พวกเราทำไม่ทันไม่พอก็ต้องจ้างเขา
เราก็คือมวลชนหมู่หนึ่งในประเทศไทยที่มีวิถีชีวิต จะเรียกว่าสาธารณโภคีจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจก็ใช่ทางด้านรัฐกิจก็ใช่ บริหารปกครองแบบศาสนพิธีบริหารโดยไม่ต้องบริหารอย่างยากเย็นอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ
ในหมู่บ้านชาวอโศกไม่ต้องมีตำรวจ ตำรวจไม่ค่อยเข้ามาเลยนานๆทีจะขอร้องให้มาดูแลการจราจรบ้าง พวกเราดูการจราจรของเราเอง เพราะว่าเราไม่จ่าย ไปที่อื่นเขาได้เงินนะ
0 ก็พอนี้เป็นสุดยอดของมนุษย์แล้ว เป็นคนมีอาชีพสูงสุด อาชีพ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา อาชีพที่ไม่ต้องใช้ลาภแลกลาภ ปฏิบัติตามทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาจนถึงวันนี้สมบูรณ์แล้ว อาชีพก็ถึงขั้นสุดยอด วาจาก็ดี พวกเราไม่มีด่าทอ ไม่มีหยาบภายนอก ข้างนอกพูดหยาบคายทะเลาะวิวาทกันของเราไม่มี (อวิวาทะ) แม้แต่พูดหยาบก็ไม่ค่อยมี
การพัฒนาเศรษฐกิจนั้นอาตมาก็เคยพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องพัฒนาเศรษฐกิจด้วยความเป็นคนจน การพยายามพัฒนาเศรษฐกิจให้คนไปรวยนั้นมันไม่สำเร็จมันพูดปากเปล่า พูดอย่างไรก็ให้คนรวยแข่งกันไม่ได้ พัฒนาให้ตายอย่างไรคนรวยก็ยิ่งจะรวย แม้คนระดับกลางก็รวยขึ้นคนจนยิ่งจะกรอบ บอกว่าจะสร้างให้คนรวยนั้นจะเกิดผลคือคนระดับกลางจะยิ่งรวยขึ้น แต่คนที่จนอยู่แล้วก็จะยิ่งกรอบตายกับตาย ไปฟังคำนี้แล้วพิจารณาเอา อย่าไปกลัวที่บอกว่าเราจะบริหารเศรษฐกิจด้วยช่วยให้คนจนลงมา โดยเฉพาะคนที่รวยมากๆให้จนลงมามันจึงเกิดระบบคอมมิวนิสต์ ที่เขาบังคับเลย
คนรวยต้องรู้จักพอ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงให้รู้จักพอบ้างเถอะเจ้าประคุณเอ๋ย พวกเรานี้ชาวอโศกมามีรายได้ 0 เราก็พอ มันไม่มีทางไปแล้วนะมันสุดแล้วนะ หลุดจากรายได้ศูนย์มันก็ไม่มีแล้วคน รายได้เท่าไหร่ก็เอาเข้ากองกลางเพิ่งกินเพิ่งใช้แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ มาแย่งชิงกันสบาย แล้วก็มีความอุดมสมบูรณ์เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบนี้ ...ก็ต้องพูดซ้ำซากอย่างนี้อีกไม่รู้กี่ชาติ ...จบ
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:38:06 )
รายละเอียด
611231_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 ส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่นิพพาน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1N68_pOpbc_X1KEGr3f6DB_P52VJqFOYuy-3CRih_VFc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1BkksVQKyIPeaqXy4gHKQnF1xFS2-aWsR
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน นิพพานไม่ได้อยู่ที่ดีหรือชั่วแต่อยู่ที่สุขหรือทุกข์
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2561 วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีแล้วนะ แต่เดือนเป็นเดือนอ้ายผ่านมา 9 วันแล้ว ปีจอ นับตามจันทรคติ ถ้าปีกุนจะนับตั้งแต่วันสงกรานต์ วันเวลาก็เคลื่อนไป ส่วนเราก็สำคัญที่กรรมของเรา กาละมันก็ทำกาละของมัน เราต้องหยุดที่เรา เราแต่ละคนก็กาละของใครของมัน กาละของใครหยุด กาละของคนนั้นก็หยุด
เริ่มต้นเอาเรื่องของธรรมะก่อน เช้าแจ่มใสฟังธรรมะให้ดี หนักสมองก่อนจะผ่อนคลายด้วยการเมือง จริงๆของพวกเรา การเมืองเป็นเรื่องไม่ยากเป็นเรื่องง่าย แต่เรื่องธรรมะเป็นเรื่องยาก แต่ทางโลกเขาเรื่องธรรมะเขาไม่ยากหรอกเขาไม่อ่าน เขาก็ทำไปตามประสาเขาเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องการเมืองของเขายาก เขาเอาเป็นเอาตายกันซีเรียสกันมาก แต่เรื่องธรรมะเขาไม่ซีเรียส พวกเรามาซีเรียสทางเรื่องธรรมะ การเมืองไม่ซีเรียส มันก็เป็นธรรมดานี่แหละเรื่องของสิริมหามายา เป็นเรื่องสลับซับซ้อนกลับไปกลับมา ทีนี้พวกเรามีสภาวะ พูดกันง่ายเข้าใจ แต่ทั้งโลกเขาหัวหมุนเลย พูดวนไปวนมาสลับไปสลับมา
มีผู้ที่ข้องใจสงสัยแล้วไม่มาฟังที่นี่เสียทีอยู่แต่ทางบ้านถามมา ให้ตอบไป เอากำไรอยู่เรื่อยนะ ประเด็นสำคัญที่ถามมา หมุนสมองให้ทันสมัย แอดจัสให้ดี
คำถามว่านิพพานไม่ใช่อยู่ที่ดีหรือชั่ว ไม่ใช่อยู่ที่ถูกหรือผิด ตัวนิพพานไม่ใช่ดีหรือชั่วไม่ใช่ถูกหรือผิด
พ่อครูว่า...นิพพานอยู่ที่สุขและหรือทุกข์ สุขทุกข์นี่แหละเป็นเทวดาสำคัญเป็นธรรมะ 2 หมดสุขหมดทุกข์ดับเทวะ เป็นอะไร เป็นนิพพาน ดีชั่วถูกผิดเป็นโลกียะไปดับมันไม่ได้หรอก คุณเองคุณเป็นส่วนตัวคุณทำชั่วคนทำผิดหรือคุณทำแต่ดีทำถูกไปกับโลกเขา คนต้องมีโลกด้วยคุณจะมีถูกมีผิด คุณก็ต้องมีโลกด้วย ถ้าไม่มีโลก มันไม่มีถูกไม่มีผิดมันไม่มีดีไม่มีชั่วถ้าไม่มีโลก สมมุติไปเป็นจินตนาการ ถ้าคุณคิดทำชั่วแต่ไม่อยู่ในโลกนี้เลย จริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร มันจะมีตัวมีตนไหม คนคิดดีคิดชั่วพูดผิดมันก็ไม่มีตัวตน แต่ถ้าใครไปยึดเข้าเท่านั้นแหละมันถึงจะมี ถ้าคุณคิดไปก็คิดแล้วก็ทิ้งไปมันจะไปมีเหลืออะไร แต่ถ้าคิดแล้วเป็นอุปาทานเข้าไปยึด มันก็จะมี
สรุปแล้วความสำคัญ นิพพานไม่ใช่อยู่ที่ดีหรือชั่วไม่ใช่ถูกหรือผิด นิพพานอยู่ที่สุขกับทุกข์ ก็สุขนี่แหละเป็นตัวร้าย คุณได้สุขมันก็ต้องมีทุกข์เพราะมันเป็นเทวเป็นธรรมะคู่ เป็น duality เป็นภาวะคู่คุณยังไม่ล้างมีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดมากอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ จนกระทั่งถึงอารมณ์อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์ แต่มันมีอาศัยอยู่ มันมี มันเป็นอารมณ์อาการ
เราจะต้องรู้ พระพุทธเจ้าถึงให้ฝึกไปอยู่ที่ฐาน สิ่งที่ยังมีอยู่ที่ฐานของรูป เรียกว่า วิการรูป 5 การ คือการกระทำที่ยิ่งที่สุดอยู่ที่ วิการรูป 5 มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา และกายวิญญัติ วจีวิญญัติ
กายวิญญัติ วจีวิญญัติ จะอยู่ข้างนอกก็ได้อยู่ข้างในมันก็เป็นต้นทางที่จิต
เพราะฉะนั้นอุเบกขา ที่จริงแล้วทุกข์ก็ตามมันเป็นเบาที่สุดแล้ว มันเป็นคู่กัน ถ้าจะพูดพยัญชนะบอกว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปก็ได้ มันก็สุขเท่านั้นเกิดขึ้นสุขเท่านั้นตั้งอยู่สุขเท่านั้นดับไป มันก็พูดไปได้ขนาดนั้น แต่ถ้าคุณดูแล้วว่าคุณเบา นี่คือตัวลักษณะ
ทีนี้เคหสิตอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขา นี่ก็คู่หนึ่งเคหสิตอุเบกขา เป็นโลกียล้วน ถ้ายังไม่มีความรู้โลกุตระ มโนปวิจาร 18 มีเคหสิต 18 เนกขัมมะ 18 คุณไม่รู้เลยตั้งแต่หยาบ ทวาร 6 สุข ทุกข์ อุเบกขา หรือว่าเป็นโสมนัสโทมนัสและเป็นอุเบกขา เรียกว่าอินทรีย์ 5
สุขก็ตามชั่วก็ตามเกี่ยวกับภายนอกด้วย เมื่อมันไปข้างใน หมดจากภายนอกแล้ว เหลือข้างในก็เป็นโสมนัสโทมนัส เป็นอุเบกขินทรีย์
อาการของอารมณ์ คุณจะต้องรู้ด้วยตน ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ ต้องฉลาดต้องมีความรู้ที่จะอ่านสัมผัสเองรู้ มันเป็นของใครของมัน ปัจจัตตัง มันมีลักษณะเป็นของตัวเอง คนอื่นไม่มีใครจะมาอ่านลักษณะอาการในจิตของเรา ให้เรารู้ได้ เราต้องอ่านของเราเอง
เคหสิตเวทนานั้น มันเป็นลักษณะของอวิชชา มันยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นยึดถืออยู่มันก็เป็นตัว static มันก็ไม่จากไปมันก็อยู่ วิหรติ เมื่อล้างออกไปให้ไม่มีในจิตเราคือเนกขัมมะเอาออก เอ็งไม่จากข้าข้าก็จากเอ็ง สมบูรณ์แบบเลย เอ็งจากข้า ข้าก็จากเอ็ง ถ้าเอ็งจากข้าแต่ข้าไม่จากเอ็ง ก็เอ็งน่ะเป็นเอง
เปลี่ยนแปลงได้เป็น Dynamic จะอนุโลมปฏิโลมกับเขาก็ได้ แต่ก่อนคุณจะอนุโลมปฏิโลมให้คนอื่นได้ยาก คุณจะอนุโลมให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้คุณต้องมีฐานของตนเอง เรียกว่าสมาธิ ฐานตั้งมั่น อาตมาอธิบายเป็นรูปธรรม คุณจะช่วยคนที่ตกบ่อ ฐานคนที่ยึดไว้บนบ่อ ที่จะมีกำลังเอื้อมลงไปในบ่อคุณต้องมีฐาน แข็งแรงตั้งมั่น ได้พอสมควรแล้วคุณจึงอนุโลมไปช่วยคนอื่นเขาขึ้นมา คุณจะใช้กำลังทาง 100 เลย คุณมีอยู่ 100 คุณอนุโลมหมด 100เลยคุณก็หมดหัวทิ่มบ่อไปกับเขา คุณต้องใช้ไม่หมด ใช้ให้น้อยกว่า 100 แต่ถ้าคุณมีมากกว่า 100 ก็ยิ่งทำได้
สมมุติว่าคุณมี 100 จะเอาน้ำหนักอีก 100 จากข้างล่างขึ้นมาจะได้ไหม...มันก็ไม่ได้ คุณมีน้ำหนักอยู่ข้างบน 100 แล้วจะช่วยข้างล่างอีก 100 มันก็ไม่ได้ คุณต้องมีมากกว่า100 ต้องมากถึงจะช่วยได้ ถ้ามากไม่พอ ไม่ไหว ต้องหาตัวช่วย ต้องหาพื้นช่วยยึด หรือใครคนอื่นมาเกาะขาไว้ เอาน้ำหนักถ่วงขาไว้มันจึงจะชัวร์มันถึงจะเอาขึ้นได้ (เอาไม้ให้เขาปีนเอง)
สรุปแล้วคำว่าเทวหมายความว่าสุข เป็นเจ้าแห่งความสุขเป็นภาวะที่ยิ่งใหญ่เป็นก็อต เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ศึกษาธรรมะของพูดเขาก็ไม่รู้สึกทุกข์ที่ละเอียดลออไม่รู้ความเป็น 2 ความเป็นเทวที่ละเอียดลออเขาก็จะเอาแต่สุข เพราะฉะนั้นเราก็จะทำดีมันก็ไม่ลึกซึ้ง ดีชั่วก็ไม่ลึกซึ้ง ดีชั่วที่ประกอบไปด้วยบุญบาป ประกอบไปด้วยลักษณะที่ต้องเรียนรู้พลังงาน ที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นประกอบเข้าไปด้วยเสมอๆ
ฉะนั้นธรรมะสองที่เป็น ยึดวางๆๆ วางกับยึด มันก็เป็นคนละลักษณะ จึงเป็นภาษาพูดที่พูดได้ แต่สภาวะจริงนั้น ต้องฝึกกันอย่างชำนาญ ยึดวางๆๆ อาตมาขนาดเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว ยังไม่เป็นมุทุภูตธาตุที่เก่งยึดวางๆๆ ทุกวันนี้วาง ที่ไม่เห็นความสำคัญนั้นวางหมดเลยคนอื่นยึดแทน เอาพลังงานมายึดไอ้ที่สำคัญๆที่เป็นโลกุตระที่เป็นปรมัตถ์ ซึ่งมันก็ไม่ใช่น้อยอาตมายังต้องวาง ยังจำไม่ได้ ควักเอามาใช้ได้เร็ว ควักอืดอาด บางทีต้องหาตัวช่วยอยู่เรื่อยเลย ต้องฝึกให้ชำนาญยิ่งกว่านี้ อาตมาต้องฝึกตัว มุทุภูตธาตุให้เร็วขึ้น จึงควักออกมาทำงานได้เก่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่เข้าถ้าไม่ออกมาแปลวจีวิญญัติกายวิญญัติ
กายวิญญัติของอาตมาทุกวันนี้จึงไม่มีอะไรแรงไม่มีอะไรจัดจ้านเท่าไหร่ กายวิญญัติยิ่งไม่มีอะไรแรงเลย วจียังมีแรงอยู่ แต่กายไม่แรงเลย เหมือนมีพลังงานอีกมาก แต่แรงอาตมาไม่เอาไปแปลเป็นอกุศล มีแต่กุศล กุศลก็สังเคราะห์มาทำงานทางด้านศาสนา ยิ่งอายุมากขึ้นแล้วเดี๋ยวนี้ต้องใช้แรงงาน เด็กกับหนุ่มสาวเยอะ เด็กมันใช้แรงงานได้ประมาณหนึ่ง จะทำงานหนักมากก็ไม่ได้ เพราะเด็กนี่ต้องสร้างสัมประสิทธิ์ Coefficient มันทดอย่างนี้ ถึงก้าวหน้าไปเรื่อยๆจนเป็นหนุ่ม คนหนุ่มเต็มที่แล้วก็ค่อยๆลดลง อย่างนี้เป็นต้น เป็นภาวะสัจจะธรรมดา
สรุปแล้วสุขทุกข์นี่เป็นตัวประเด็นของนิพพาน ไม่ใช่ดีหรือชั่วผิดหรือถูก เพราะว่า ดีชั่วถูกผิดนั่นเป็นโลกียะ สุขทุกข์นี่แหละเป็นตัวสำคัญยิ่งใหญ่ของนิพพานไม่ใช่ดีหรือชั่ว ผู้ที่นิพพานแล้วพ้นจากสุขทุกข์แล้ว ก็ยังต้องมาทำงาน ต้องมาช่วยอนุโลมปฏิโลมร่วมดีกับชั่วเขา อาตมาจึงมีจุดด้อย ถ้าพูดด้วยศัพท์ว่าดี หรือชั่ว ยังมีข้อด้อย ยังตำหนิแรง บางทีเฉียดหยาบด้วยนะ ต้องอนุโลมปฏิโลมถ้าไม่ทำก็ไม่เหมาะสมกับของที่มันหยาบ ด้าน หนา ต้องใช้ทุกทาง พวกเราก็คงพอเข้าใจที่พูดนี้ มันจำนนกับสภาวะ 2 แท่งก้อนที่มันต้องทุบ ก็ต้องใช้กำลังพอสมควร มันถึงจะทุบให้ละเอียดได้
สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน นิพพานแบบสูญกับแบบไม่สูญ
_คำถามมา..นิพพานที่เป็น 0 ต้องเป็น อนิมิตนิพพานเท่านั้นหรือไม่ นิพพานแบบสุญญตะ กิเลสหมดแต่ยังมีชีวิตอยู่ ถือว่าเป็น 1 หรือ 0 ถ้าตาย แต่ยังตั้งจิต เกิดต่อ เพื่อมาเป็นโพธิสัตว์ แบบอปนิหิตตะ จะยังเป็น 1 ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...มีทั้ง 1 กับ 0 กิเลสหมด 0 อยู่ แต่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ยัง 1 อยู่ ไม่เห็นจะสับสนตรงไหน แต่ถ้าตาย แต่ยังตั้งจิต การตายหมายถึงร่างกายตายนะ แต่จิตตั้งอยู่ ตั้งจิตเกิดต่อเป็นโพธิสัตว์ แบบ อปนิหิตตะ ถ้าจะใช้พยัญชนะควบคู่กับกิเลสก็ต้องใช้ อปนิหิตตะมันก็ไม่มีกิเลสมัน 0 แล้ว แต่คุณไม่ตาย คุณจะยังไม่ตายยังจะตั้ง คิดว่าจะไม่ตายยังจะเกิดอีก แต่คุณทำกิเลสหมดอย่างถาวรแล้ว กิเลสคุณหมดอย่างถาวรเอากิเลสมาตั้งใหม่อีกมันก็ไม่ได้นะ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” แต่แน่นอนสัมผัสอยู่กับโลกคนโลกๆก็ยังเป็นเหตุแห่งกิเลส ที่มาอยู่นี่ก็ไม่ใช่อรหันต์ทั้งหมด แต่ที่คนยังมีกิเลสนั่งอยู่นี่ กิเลสของคน ว่อนออกมาหรือเปล่า ? มันออกมาได้นะ ทำเป็นเล่นไปนะ มันหรอยออกมาได้นะ คุณยังไม่แน่จริงไม่ทำให้มันสูญไปหมด มันก็หรอยออกมาได้
โลกนี้นิรันดรด้วยกิเลส ถ้าโลกนี้ไม่มีกิเลสแล้วโลกนี้จะมีมนุษย์ไหม มนุษย์ก็ไม่มี ก็มันไม่มีแล้วกิเลส กิเลสมันอาศัยมนุษย์ ไม่มีมนุษย์ไม่มีกิเลส แตงโมมันไม่มีกิเลส สัตว์มันมีกิเลสแต่มันไม่รู้มันเป็นอวิชชา เริ่มต้นเป็นจิตนิยามตั้งแต่ 1 เซลล์ก็มีกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็ชัดเจนก็จะรู้ เริ่มต้นเป็นจิตนิยามสะสมกิเลส เป็นสัตว์เดรัจฉานมาไม่รู้เท่าไหร่ จึงมาเป็นคน จนเป็นอเวไนยสัตว์ พูดเรื่องโลกุตระกันไม่รู้เรื่อง พูดไปเขาก็ฟังไป ดีไม่ดีก็โดยมารยาทก็ยิ้มให้กับเราด้วย จนกว่าเขาจะค่อยๆรับได้เขาจะเข้าใจ ถึงจะชื่นอกชื่นใจจึงจะมีฉันทะ
สรุปว่านิพพานที่เป็น 0 ต้องเป็น อนิมิตนิพพานเท่านั้นหรือ นิพพานแบบสุญญตะทีเด็ดหมดแต่ยังมีชีวิตอยู่ถือว่าเป็น 1 หรือ 0 ก็เป็น 1 แปลว่ายังมีอย่างไรก็ต้องเป็น 1 มัน 0 จริงๆเลยหมดไปเลยไม่มีนิมิตเหลือ ตั้งอยู่ก็ไม่เหลือ ปนิหิตตะก็ไม่มีเรียกว่า 0 แท้ แต่ถ้าตายลงไปแล้วจะไม่ตั้งจิตต่อไม่กลับมามีร่างอีกแล้ว แต่บำเพ็ญโพธิสัตว์แบบอปนิหิตตะ
ก็ต้องขยาย อปนิหิตตะ ว่าไม่ให้กิเลสมันตั้งอยู่ ไม่มีสภาพ ไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมาย ก็ใช้พยัญชนะเทียบกับสภาวะ แม้ว่าสามารถทำให้ศูนย์ได้ทำให้มีก็ได้ในขณะตอนเป็น หนึ่งเดียวทำให้เป็นล้าน หลายคนทำให้เป็นคนเดียว คนเดียวทำให้เป็นหลายคนก็ได้
เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
จึงเรียกว่าเป็นสิริมหามายาเหมือนนักเล่นกล แล้วมันเป็นอะไรกันแน่ จิตใจมันเหนือแล้ว ความเก่งความวิจิตรความประเสริฐความสุดยอดของจิต ถ้าไม่ศึกษากันจริงๆแล้ว มันก็ฟังมันเล่านิทาน แต่ถ้ามาศึกษาให้จริงแล้วจะรู้ว่า จิตมันเร็วยิ่งกว่าแสงกว่าเสียง เสียงคุณพูดไปนี้เสียงมันช้ากว่าแสงอีกเยอะ จิตเร็วกว่าแสงเสียง ปั้นเป็นแสงเสียงได้เยอะ
แบบอปนิหิตตะ จะยังเป็น 1 ใช่ไหมคะ ก็บอกแล้ว จิตของคุณไม่มีกิเลสตั้งอยู่แล้วจะใช้พยัญชนะเรียกอะไร กิเลสมันตั้งในจิตของคุณไม่ได้ แต่คุณจะอยู่กับหยาบเขาได้ เพราะมีละเอียดที่เหนือชั้น ใช้พยัญชนะชัดขึ้นไหม คุณก็ใช้ความละเอียดของคุณเอาชนะ พระคุณเหนือชั้น มีความละเอียดที่เหนือชั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ในจิตมีอุตุนิยามหรือพีชนิยามอยู่ด้วย
_อุตุนิยาม พีชนิยาม ในจิตมีหรือ
พ่อครูว่า...เป็นพยัญชนะเอาใช้แทน จริงๆร่างกายเรามีทั้งอุตุ มีทั้ง พีชะ มีทั้งจิต ทีนี้คุณจะประกอบกรรม กายวาจา จิตของคุณก็จะต้องรู้ว่า ตอนนี้มันจะหมายถึง อุตุนะ เพื่อจะสื่อสภาวะด้วย ทีนี้สื่อสภาวะด้วย ถ้าคุณจะพูดถึงว่าแตงโม แตงโมมันก็จะต้องมีทั้งอุตุมีทั้งพีชะ มันไม่มีจิต แน่นอน คนพูดกับคนอื่นเขาคนจะหมายถึงอะไร คุณก็ต้องเอาพยัญชนะเอาภาษามาสื่อให้ถึงเขา ความจริงแล้วในขณะที่คุณพูด จิตของคุณก็จะต้องมีธาตุรู้ ที่คุณต้องรู้หมายถึง แตงโมมันไม่มีหรอกไม่ได้มีจิต มันมีแต่อุตุกับพีชะ
อุตุกับพีชะ มันก็มีในจิตของเราเองที่หมายถึงมัน ในจิตของเราเองมันไม่มีอุตุ หรือพีชะแต่หมายถึงที่จะทำกรรมให้คนอื่นเขารู้ไหมว่าคุณคิดก็รู้ของคุณเองแล้วก็หายไป แต่เมื่อพูดถึงแตงโมมันเป็น พีชะกับอุตุ แต่ถ้าพูดอยู่ข้างในแตงโมของฉันลูกสีสันอย่างนี้ สีของมรกตผสมนิลกาฬ คนอื่นก็จินตนาการไปตาม แล้วมันเป็นนิลกาฬนี้ดำหรือว่ามรกตมันเขียวมาก เขาก็จินตนาการตามคุณเข้าไป แต่มันไม่ได้เป็นสภาพที่เหมือนกันได้ ก็จินตนาการไปมันก็ไม่ใช่อุตุ มันก็ไม่ใช่ พีชะแล้ว มันจะไปมีในจิตจริงก็ไม่ได้มันก็เป็นจินตนาการ ให้เป็นความละเอียดในการอธิบายสภาวะพวกนี้ ที่จริงความทุกข์ความสุขไม่ได้ละเอียดขนาดนี้หรอก การพ้นจากความทุกข์ความสุขไม่ได้ละเอียดขนาดนี้หรอกเพราะที่พูดนี้
_ถามว่า ลักษณะจิตของคุณที่เป็นอุตุ พีชะมีไหม
คุณรับรู้ได้ก็คือคุณมี แต่ถ้าคุณไปยึดมั่นถือมั่นในจิตก็เป็นอาสวะอนุสัย แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่เป็น เอาจริงๆแล้วมันจะไปเอาให้อุตุ เป็นจิตไม่ได้ เอาพีชะไปเป็นจิตมันไม่ได้ อยู่คนละฐานะ เป็นแต่เพียงถ้าจิตที่ไปรู้แล้วยึด ถ้ารู้แล้วยึดคุณก็ติดไปข้ามชาติ แต่ถ้าคุณวางปล่อยมันก็มีหนึ่งวินาที คุณยึดถือไว้ 1 วินาทีมันก็อยู่กับคุณ 1 วินาที แต่คุณโง่ไม่รู้จัก กาละรู้จักความยึดคุณก็โง่ คุณก็เลยคิดถึงไปนิรันดร เพราะกาละก็ไม่รู้ความคิดก็ไม่รู้นี่คือเทวะอย่างหนึ่งคุณไม่รู้ทั้งคู่ ก็คุณไปชอบมัน คุณยึดถือก็ไม่รู้ กาละก็ไม่รู้ แต่คุณมีฉันทะ ก็เสร็จเลย
ฉันทะจึงเป็นมูล ข้อที่ 1 ของมูลสูตร
สุขกับทุกข์หมด นิพพาน เป็นแต่เพียงเราอนุโลมปฏิโลมกับเขากับโลกเขา เรารู้อันนี้ถูกอันนี้ผิด อันนี้ดีไม่ดี คนนี้เขาว่าถูกคนนี้เขาว่าผิด คนนี้เขาก็ดีเขาว่าชั่ว เราก็เข้าใจได้ตามเขา แต่จะบอกว่าเรามี เราก็มีดีกับเขา มีถูกกับเขา แต่ชั่วหรือผิดเราไม่มี พยัญชนะเหมือนพูดเล่นพูดโก้ สภาวะของคุณจริง แต่กรรมเราไม่ได้ทำกับเขา ความชั่วความถูกผิดอยู่ที่เขา
อาตมายกตัวอย่างเหมือนแม่เล่นขนมหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก เหมือนมีความสนุกไปกับลูกเขา เด็กเขาก็สนุกไป แต่บางทีก็เมื่อยเหมือนกัน เราก็อนุโลมสุขสนุกไปกับเขา ไม่ได้ยึดไม่ได้ดูดดึงเอาไว้ เมื่อเลิก เด็กลูกเลิกแล้ว คุณก็ไม่เหลือคุณก็วางเพราะคุณไม่ได้ติดเยอะ มันเป็นความจริง นอกจากคนจะติดยึดอยู่เวลาลูกไม่อยู่คุณก็เล่นเองสนุกเองมันเอง คุณจะไปหลอกตัวเองได้อย่างไร แต่คุณไม่มีคุณจะทำไปทำไม
มาเข้าเรื่องการเมือง...จากบ้านเล็กเมืองน้อย
การปกครองในสมัยโบราณที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราช พุทธศาสนาได้ถูกใช้เพื่อเสริมอำนาจความเป็นสมมุติเทพให้แก่ผู้ปกครอง.........ด้วยการเติมแต่งขนบประเพณี เสริมส่งพิธีกรรมให้อลังการ ดูขลัง ให้ง่ายแก่การปกครอง
การสวดมนต์พรมน้ำ ทำเครื่องราง ลงยันต์ ท่องคาถา เสกอาคม ถูกนำมาประกอบเสริมพิธี และช่วยสร้างความฮึกเหิมในยามรบทัพจับศึก
พ่อครูว่า...พยัญชนะเป็นตัวสื่อสภาวะที่จะตรงกัน แต่เมื่อคนยังไม่เข้าถึงสภาวะก็ต้องใช้พยัญชนะเป็นตัวนำสำคัญไปให้เข้าถึงสภาวะ คนที่ไปหลับตาทำ แล้วก็ทำจิตของตัวเองให้เป็นได้เช่นทำให้วิมุติแบบหลับตาได้ วิมุติก็คือหลุดพ้นวางหยุดเฉย เป็นความวิมุติเป็นความนิโรธ แต่สภาวะจริงๆแล้วมันไม่ใช่ คำว่าวิมุติจากการหลับตานั้นไม่มี ไม่ใช่หรือว่าหยุดจิตให้ไม่นึกไม่คิดไม่มี มันต้องมารู้ว่าไม่มี อย่างสว่างสัมผัสอยู่ก็ไม่มีเศษธุลีละอองแวบ เต็มๆต้องมาเอาสว่างไม่ไปเอามืด เอามืดอย่างไรคุณก็หาไม่ได้ครบ สว่างถึงจะหาได้ครบ สว่างเกินไป พร่าก็ไม่ครบ
คนที่อนุโลมได้ เช่นแม่เล่นขนมหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก จบแล้วแม่ไม่เอาอะไรไว้ แต่ลูกเลิกเล่นแล้วมันก็ยังจะมี แต่แม่เลิกเล่นแล้วมันก็ไม่มี ฉันเดียวกัน พระเจ้าปเสนทิโกศล พระพุทธเจ้าท่านก็อนุโลม เลิกแล้วท่านก็ไม่มี พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านก็มีไป พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตามเขา
ปัจจุบันไม่มีคุณก็ไม่มี คุณจะอนุโลมกับเขาเมื่อปัจจุบันคุณไม่มีเมื่ออนุโลมกับเขาก็เหมือนมี เลิกแล้วคุณก็ไม่มี ไม่มีแล้วมี 1 วินาทีคุณก็จำได้ มี 100วินาทีคุณก็จำได้ นี่เป็นปีคุณก็จำได้ สักแต่ว่าจำ ก็ยังมีการกินลึกในความรู้สึกอีก สัญญาคือจำ เวทนาคือความรู้สึก มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นความรู้สึก จริงๆแล้วจำนี้ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขหรอก แต่เมื่อมีสัญญากับสังขาร พีชะมีสัญญา มันจำหน่วยลักษณะนี้ธาตุนี้ เป็นธาตุที่เราต้องการในเนื้อ มันเอาแต่สิ่งที่มันเอา ISH สิ่งที่มันไม่ต้องการมันไม่เอาแต่ไม่ไปทำร้ายเขา
เพราะฉะนั้นธาตุจิตของคน ทำให้เป็นพีชธาตุได้ ธาตุพลังงานที่เหลืออื่นอีก พีชะจะมีธาตุพลังงาน static ด้วย พลังงานที่เหลือเป็น Dynamic พลัง Static มีพลังงานแข็งแรงควบแน่น ไม่ให้พลังงานไดนามิคของเราไปทำชั่ว มีฤทธิ์ พลังงาน Static ฐานจิตที่แข็งแรงเป็นตัวประธาน เป็นฐานไม่ให้ไปทำชั่วได้
คุณมี static อยู่ 100 ใช้ Dynamic แค่ 30 ก็สบาย อย่าไปใช้มาก หากใช้มากไปก็พลาดพลั้งได้ตายด้วย อธิบายเป็นพยัญชนะเป็นภาษา นามธรรม จิตของเราต้องฝึกอย่างที่ว่านี้จริงๆคุณถึงจะมีได้เป็นไปได้และคุณก็ทำได้ ถ้าคุณทำไม่ได้คุณก็ตาย ตายถึงร่างกายเลยนะไม่ใช่ตายเฉพาะจิตด้วย
......แม้ทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่ได้ส่งผลให้หมู่สงฆ์ที่มิจฉาทิฐิอยู่เดิม เริ่มพากันปฏิบัติออกนอกขอบเขตพุทธ ศาสนาพุทธจึงเพี้ยนไปทางพราหมณ์
พ่อครูว่า…สงฆ์ต้องอนุโลมก็ต้องรู้ว่าอันนี้อนุโลม หรือบางทีต้องทำร่วมด้วย บางทีสงฆ์ก็ต้องไปทำร่วมด้วยกับพิธีกรรมใด เราก็ต้องรู้ว่าอันนี้อนุโลม ก็ต้องทำเต็มที่คล้อยตามเท่านั้น แต่จิตใจจริงไม่ได้เป็น ใครจะมาบังคับจิตใจเราได้ ใครจะ มารู้ว่าจิตใจเราอนุโลม หรือว่าจิตใจเราเป็นตาม
อนุ คือเป็นน้อยแต่ ปฏิ คือทวน แต่ถ้าเอาแต่อนุโลม ไปไม่กลับเลยก็เสร็จเลย ไปใหญ่เลย
...... ผู้เผยแพร่ธรรมะ ที่เป็นเหตุเป็นผลของพระพุทธเจ้า จึงกลายเป็น ผู้วิเศษที่เต็มไปด้วยอาคม มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความงมงายจึงเกิดแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้
แล้วสมบัติก็ผลัดกันชม จากความเก็บกดของชนชั้นที่ต่ำต้อย.... พ่อค้าพลิกกลับมามีบารมีเหนือกษัตริย์ด้วย Democracy ที่ซ้อน แฝง Demon + crazy อยู่ภายใน..........เสรีภาพในการเอาเปรียบจึงมีกฎหมายคอยคุ้มครอง........................เพื่ออุปสงค์มวลรวมมากๆ จึงต้องสร้างอุปาทานหมู่ จนแฟชั่นอยู่เหนือเหตุผล ปุถุชนจึงบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่ง พากันเปิดเสรีรับความเป็นทาสอย่างสมัครใจ............. สังคมที่เคยเอื้อเฟื้อ ก็ถูกเศรษฐกิจชี้นำให้แก่งแย่ง
กุญแจที่ไขไปสู่อำนาจทางการเมืองจึงตกอยู่ในมือซ้ายกลุ่มทุน ซึ่งในมือขวาได้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ก่อนแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นนโยบายหลักของทุกรัฐบาล........ความร่ำรวยเป็นความใฝ่ฝันของเด็กๆ.......... นักธุรกิจแห่กันเปลี่ยนอาชีพเป็นนักการเมือง.................. ความเสื่อมทรามจึงแผ่ซ่านไปทั่วสังคม
มีเพียงภัยคุกคามเดียวของทุนที่เหลืออยู่ คือ ศีลธรรม พุทธศาสนาที่เคยสนับสนุนกษัตริย์ จึงจำต้องแปรเปลี่ยนมารับใช้ทุน
แต่โลกธรรม ได้เปลี่ยนผู้ตกกระไดพลอยโจน ไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จากศีลพรตปรามาสที่ย่ำแย่อยู่เดิม กลายเป็นพุทธพาณิชย์ หารายได้กับมหาชนไม่จำกัด...... ฆราวาสแห่กันสะสมบุญ แต่นักบวชกลับสะสมทรัพย์........
พ่อครูว่า…คำว่าบุญเข้าใจผิดก็มืดเลยไม่ว่าฆราวาสหรือนักบวช
ทั้งยังส่งเสริมการนั่งหลับตาสมาธิให้แพร่หลาย โดยเน้นที่คลายเครียด ให้มีสมาธิในการเอาเปรียบกันต่อไป จะได้หาเงินไว้ทำบุญ สะสมบุญ เพื่อเอาไปจับจ่ายใช้สอยกันในปรโลก....... ช่างบัดซบได้ใหญ่หลวงยิ่งนัก
พุทธบริษัทที่ผิดเพี้ยนอยู่ก่อนแล้ว จึงกลายเป็นสหกรณ์ อมทรัพย์ เครดิตยู เหี้ยน คลองจั่น และเพื่อความยั่งยืนของทุน ยังได้ปิดทางกอบกู้สังคม ด้วยการยัดเยียด ความไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ให้ตกเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของนักบวชในพุทธศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เข้าใจพระศาสดาของตน ว่าท่านตรัสรู้อะไร? สอนอะไร? และเพื่ออะไร?
พ่อท่านบอกว่าพุทธศาสนาเน้นสอนให้เข้าใจ ความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคม ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า สังคม คือ “รูป” มนุษย์ คือ “นาม” สังคมเป็นภายนอกที่สะท้อนพฤติกรรมรวมของมนุษย์ที่เป็นภายใน มนุษย์ที่ปราศจาก “ศีล” ทำให้สังคมมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อผัสสะกับอุบายของทุนเฉโก แรงดูดของสังคมจึงสร้างภาวะทุกข์เข็นแก่มนุษย์
การจะกอบกู้สังคมให้กลับมามีศีลมีธรรมได้นั้น มนุษย์ต้องมีศีล มันเป็นดั่งธรรมนูญของความเป็นมนุษย์ที่ดี เฉกเช่นเดียวกับการดูแลเฝ้าระวังภัยให้แก่สังคม ก็คือหน้าที่หลักของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ธรรมะกับการเมือง จึงเป็นเรื่องเดียวกัน มนุษย์ดี ไปทำการเมืองให้ดี เศรษฐกิจสังคมก็จะดี เพราะคุณธรรมอันวิเศษของพระพุทธเจ้า จะนำมาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
เนื่องในเทศกาลปีใหม่นี้ ขอมอบ ส.ค.ส. (ส่ง-ความ-สัตย์) เป็นสัทธรรมที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทความรู้จากพ่อท่านในรอบปีที่ผ่านมา
เพื่อเป็นการเปิดทางสู่อิสรเสรีภาพ แก่ท่านที่ยังไม่ถึงพร้อมด้วยทิฐิที่ถูกตรง ให้ปรากฏแสงอรุณในดวงเนตร
จะได้เบิกทางเดินสู่มรรคองค์ 8 จนสำเร็จสัมมาสมาธิของพุทธแท้ แล้วจะช่วยสร้างความร่มเย็นแก่สังคมได้จริง......
ความสัตย์แรก
การนั่งหลับตาสมาธิ ที่เรียกว่า Meditation นั้น เป็นศาสตร์โบราณของศาสนาพราหมณ์ ที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ หลงผิดเสียเวลาไป 6 ปี กับการเป็นฤาษี ผลที่ได้จากสมาธิแบบนี้ คือการมีสติจดจ่ออยู่เพียงในภวังค์ชั่วคราว ไม่ได้ลดกิเลสและความเห็นแก่ตัวลงแต่อย่างไร
ส่วนการปฏิบัติสมาธิของพุทธ (Supra concentration) ตามที่พ่อท่านสอนนั้น คือไตรสิกขา
ซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติศีลแบบลืมตาปกติ ควบคู่ไปกับสัมมาอริยมรรคจนจิตตั้งมั่นในศีลเป็นสัมมาสมาธิ จึงเกิดความรู้ใหม่ที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะเมื่อสองพันกว่าปีก่อน
ผลที่ได้จากหนังสือสมาธิพุทธ คือการมีสติ สัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม จิตตั้งมั่น ไม่ทำชั่ว ไม่เห็นแก่ตัว อย่างเป็นปกติ ในทุกปัจจุบันขณะ
ความสัตย์ที่สอง
เรื่องการไม่ยุ่งเกี่ยวกันระหว่างศาสนากับการเมืองนั้น..... โปรดทำความเข้าใจกันเสียใหม่ !
ศาสดาของทุกศาสนา คือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญทั้งสิ้น !!!
ในศาสนาพุทธ.....
พระพุทธเจ้าคือผู้เลิกทาส ทรงปลดแอกทาส ในสังคมที่มีรากเหง้าความเชื่อเรื่องชนชั้นวรรณะที่ฝังลึกที่สุดสังคมหนึ่งได้สำเร็จด้วยสันติวิธี โดยไม่เสียเลือดเนื้อ และทำให้เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆให้การยอมรับอย่างยินยอมพร้อมใจ
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ พระพุทธเจ้าคือ สุดยอดนักการเมือง สุดยอดนักปฏิวัติ ที่สลายชนชั้นวรรณะ แล้วสถาปนาสังคมที่เท่าเทียมกันขึ้นมาใหม่ให้แก่หมู่คณะสงฆ์ของท่าน โดยนำระบบสาธารณะโภคี (ประชาธิปไตยที่แท้จริง) มาใช้ในการอยู่ร่วมกัน
และด้วยการยอมรับอย่างเป็นทางการ ในที่ประชุมองค์สมัชชา ของสหประชาชาติ ครั้งที่ 54 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542
ได้รับรองโดยฉันทามติ กำหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก..........เหตุผลคือ
“ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ........ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์...... เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยใช้ความเป็นเหตุเป็นผล และไม่คิดค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ”
ดังนั้นพระพุทธเจ้านี่แหละ.....คือสุดยอดนักประชาธิปไตยขนานแท้ มรรคผลของการปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ก็จะได้ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นเอง
พ่อครูว่า...ดี ช่วยให้อาตมาเบาแรง
การเมืองตอนนี้กำลังเข้าไคล ต้องช่วยกัน จะมีเลือกตั้งหรือไม่มีเลือกตั้งอาตมาไม่มีความลำบากใจ ที่จะ ไปออกก่อนเป็นอะไรเป็นอะไรก็ได้ อาตมามั่นใจว่าคนไทยชาวไทยสว่างแล้วระหว่างทักษิณกับพลเอกประยุทธ์ แค่นี้แหละ ไม่ต้องเอาอะไรมาก ว่าใครเป็นนักผลาญใครเป็นนักสร้าง ทักษิณเป็นนักผลาญ ประยุทธ์เป็นนักสร้าง
คนจะฉลาดหรือโง่ความจริงสรุบกันแค่นี้ มันมีทั้งหลักฐานในอดีตมีทั้งหลักฐานในปัจจุบัน เห็นได้ชัดอยู่แล้ว คนหนึ่งกอบกู้ขึ้นมาข้อหนึ่งทำให้ฉิบหายวายป่วงไปเท่าไหร่เห็นชัดๆอยู่แล้ว ถ้าอย่างนี้ยังดูไม่ออก ไปตายซะ ไม่รู้จะพูดภาษาอะไรแล้ว เวลาก็หมดลงอาตมาก็จบลงด้วยคำว่าไปตายซะเท่านั้นแหละ ส่งท้ายปีเก่าไปตายซะ ความโง่ที่มีอยู่ ปีใหม่ค่อยเอาความเจริญมาให้
เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:39:42 )
รายละเอียด
620101_ทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน รุ่นที่ 6 พรปีใหม่ขับไล่อวิชชาจากพ่อครู
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1NjnUuCbE6qAUJ7aKqXh-kto1ve0NoS-ZapTLP-eFbKs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1z9H2YBvIX4P7i5B5AeRDaXywSFjofJGV
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน พรปีใหม่ขับไล่อวิชชาจากพ่อครู
พ่อครูว่า...อังคารที่ 1 มกราคม 2562 วันเวลาก็หมุนเวียนมาจนถึงวันปีใหม่ แรม 10 ค่ำเดือนอ้ายปีจอ วันที่ 1 แรม 10 ค่ำก็มีเลข 1 เดือนก็ 1 ก็นับหนึ่งใหม่ ปีจอก็เลข 11 ปีนี้ เริ่ม1 ใหม่
ก็ขออนุโมทนาสาธุกับทุกๆคน ที่พยายามนำชีวิตให้มันดำเนินไปกับทิศทางที่ควรจะเป็น ทิศทางชีวิตที่ควรจะเป็นคือทิศทางชีวิตที่ต้องพยายามหาสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เจริญสำหรับจิตวิญญาณ ความรอบรู้ที่ควรจะใส่ ควรเติมให้แก่จิตวิญญาณให้แก่ความรู้ของเรา ในโลกมีแต่แสวงหาความรู้ที่เป็นความรู้เพิ่มอุปาทาน เพิ่มตัณหา เพิ่มภพชาติ มันก็เลยยิ่งเพิ่ม โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส เพราะเขาไม่รู้ เพราะความไม่รู้ก็เลยเพิ่มสิ่งที่ไม่ควรเพิ่ม ไม่รู้ว่าอวิชชา ความไม่รู้นี้ แต่รู้ว่าทุกอย่างมันคือสังขารปรุงแต่งอยู่กับเรา วินาทีแต่ละนาที แต่ละชั่วโมงแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปี มันก็ปรุงแต่งไปโดยไม่รู้สังขาร 3
กายกรรมปรุงแต่งกันขึ้นมาตั้งแต่เริ่มคิด ดำริ อะไรขึ้นมามันก็มีตัวอาการ มีกาม มีปฏิฆะ เข้าไปร่วมปรุง ปรุงขึ้นมา ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ จิตของเรามันปรุงอย่างไร จนมาเป็นสังกัปปะที่เรียกว่า มิจฉาสังกัปปะเพราะมันไม่รู้ว่าอวิชชา มันไม่มีวิธีการไม่รู้การเรียนรู้ศึกษา
ที่อาตมานำเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายพูดถึง ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ พูดไปถึงอย่างนี้ พวกเราฟังธรรม ระลึกถึงอาการ ระลึกถึงสภาวะ ของคำแต่ละคำ ตักกะ ระลึกถึงสภาพ แม้แต่ในปัจจุบัน ที่อาตมาพูดไป พวกเราได้กำหนดตามไหม ว่าตักกะ เราก็กำหนดตามในปัจจุบันนี้ วิตักกะ ก็หมายความว่าจิตของเราได้พิจารณาไต่ตรองลงไป
แต่คนที่เป็นอวิชชาไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาเลย วิตกวิจาร ดูพฤติกรรมของมันไม่ได้รู้เรื่อง ก็เลยไม่รู้ว่าเราตกลงแล้วจิตมันสังกัปปะ จิตมันปรุงแต่งขึ้นมา ด้วยการมีตัวแขกจร เป็นกิเลสกามก็ดี กิเลสพยาบาทก็ดีปรุงเข้าไปด้วยหรือไม่ สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ฝึกฝน
แต่พวกเรานี้ฟังเอาคำสอนพระพุทธเจ้าที่อาตมาอธิบายแล้ว เข้าไปสังวรสำรวม สังวรปธาน ปหานปธาน ได้สังวร เวลาเราสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีสัมผัส 6 ก็สังวร มันเกิดที่จิตแล้ว จิตเรามีกิเลสหรือยัง จิตเรามีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งหรือไม่ถ้ามีเราก็ประหาร
สังวรปธาน ปหานปธาน ประหารให้เกิดผล พอปหานที่จิต นี่พูดรวบรัดเร็ว ประหารกิเลสในจิตเสร็จ ก็เป็นปหานปธานได้ผลเป็นภาวนาปธาน ภาวนาปธานคือการเกิดผล เกิดผลของการประหาร อยู่ในชีวิตประจำวันตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัส แล้วเกิดกิเลสก็อ่านกิเลสออกประหารกิเลสได้ การประหารแบบสมถะ ซึ่งคนเราก็มีสามัญสมถะกดข่มไว้ ไม่ถาวร ไม่เจริญ ต้องประหารด้วยวิธีพิจารณา ด้วยการไตร่ตรองเรียนรู้ จนกระทั่งแยก เทวะ แยกสภาพสอง
เมื่อมันไม่รู้ตัวมันก็จะจับตัวกันเป็นสภาพ 2 กิเลสมาจับตัวปรุงแต่งในจิตอยู่ จิตเราก็มีกิเลสอยู่ ต้องแยกกิเลสออกได้ แล้วเราก็พิจารณาเห็นว่ามันเป็นกิเลส เอ็งไม่ใช่ของจริงหรอก อนัตตา เอ็งทำเป็นจะมายึดมั่นถือมั่นในตัวเรา แต่จริงๆเองก็ไม่แน่จริงหรอก กิเลสตัวใหม่ก็มาเราก็โง่ให้กิเลสตัวใหม่มาจับใหม่ ดีไม่ดีซ้อนเลย กิเลสตัวเก่ายังไม่ออกไปกิเลสตัวใหม่เข้ามาอีกซับซ้อน จริงๆแล้วไม่อยู่กับร่องกับรอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เที่ยงแท้อะไร แต่มันเป็นทุกข์มันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริงๆ ตัวกิเลสนี้ นี่คือการรู้ไตรลักษณ์ ไม่ใช่ไปท่องเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแต่มันไม่เที่ยงแท้มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา มันไม่มีตัวตน แต่เราอ่านจิตเราเสมอ สัมผัสอะไรเกี่ยวข้องกับอะไรอยู่ เราก็สัมผัสเสมอ
นี่คือวิธีปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แล้วก็นิ่งให้สงบหยุด อันนั้นมันเก่า โบร่ำโบราณ เป็นคนโบราณฝึกมา แต่ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้มันเป็นของใหม่เป็นของประเสริฐวิเศษ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะคิดไม่ออก จะอธิบายสังกัปปะ อธิบายตรรกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วล้างกิเลสได้จิตก็ค่อยตกผลึกลงไปสะสม สะสมเข้าก็ควบแน่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ก็จะเป็นแกนของ 2 อัน
เป็นแกนสมถะกับแกนวิปัสสนา แกน Static กับ Dynamic ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นวจีสังขาร นี่คือองค์ธรรม 7 ของสังกัปปะ ผู้ที่ได้ศึกษาฝึกฝนอย่างที่อธิบายย่อๆวันนี้ เราปฏิบัติได้ละเอียดลออไป ได้มรรคได้ผล มีสังวรปธาน ประหารปธาน ภาวนาปธานได้ผลและก็รักษาผล อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมังไปเรื่อยๆ รู้ด้วยปัญญา ปัญญาพระโสดาบันรู้ว่าเราทำกิเลสลดได้และเราก็ทำ รักษาผล ปัญญาที่ 2 อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง
ปัญญาที่ 3 มันวิเศษนะ มันเป็นงานที่พระพุทธเจ้า ที่ได้พาทำ เป็นปุถุชนมันไม่รู้เรื่องหรอกมันไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน ก็เชื่อมั่นเห็นจริงว่าทฤษฎีนี้ เป็นอาริยะ ถ้าอาริยสาวก ของพระพุทธเจ้าสามารถที่จะทำได้ มีวิติกมกิเลสหายไป มีปริยุฏฐานที่ยังเห็นอยู่ นี่คือความเป็นพระโสดาบัน รู้จักสักกายะทิฐิ เท่านั้น พ้นวิจิกิจฉาไม่ได้สงสัยอะไร แล้วก็มีศีลพรต ที่จะปฏิบัติให้ลดละตรงนั้น จะเป็นหลักฐานของปฏิบัติ
ญาณ 7 จึงทำงานได้มีผล ตั้งแต่ข้อที่ 1 รู้จักกิเลสทำกิเลสลด วิติกมกิเลสลดได้แล้ว เป็นตัวอย่างที่เราทำผ่านมาแล้วที่มันกลุ้มรุมเร้า กิเลสตัวเก่าออกไปแล้วก็มีกิเลสตัวใหม่ที่ยังทำไม่ได้ ก็รู้ตัวนี้ ก็รู้ว่าอ๋อ การปฏิบัติอย่างนี้ มันมีกิเลสอยู่รู้กิเลสจริงทำให้กิเลสจางคลายลดลงไปได้จริง นี่คือความรู้ คือญาณ อธิบายไปอย่างนี้ใครเคยมีสภาวะบ้าง ผ่านสภาวะอย่างนี้ๆ
ใครมีบ้างยกมือซิ โอ้โห นี่สอบนะนี่ สอบปากเปล่าไง สอบสดๆเลย ดี พากเพียรปฏิบัติ อย่างนี้แหละเป็นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไป น่าสงสารหลงผิดไป จนยึดถือกันอย่างนั้นทั่วบ้านทั่วเมือง กระแสหลักทั้งหมด ก็ยึดถืออย่างนี้หมด เป็นไปได้อย่างไร ในตำราพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ เพี้ยนไปได้อย่างไร นี่คือความเสื่อมของคน เสื่อมจากศาสนา เสื่อมจากธรรมะของพระศาสดา คำสอนก็อย่างเดิมแต่คนได้ผิดเพี้ยนไป
คำสอนธรรมะพุทธเจ้า มีศีลแล้วก็เจริญ อธิจิต ทำให้จิตมันลดกิเลสลงไปด้วยการเกิด ญาณ 7 มันชัดเจน ญาณที่ 1 ญาณที่ 2 รู้ความจริงก็ลดลงไปอีก ทำให้มันควบแน่น อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง คำขึ้นไปขึ้นไปก็ยิ่งชัดเจน อย่างนี้เองไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แต่มาทำอย่างนี้กำจัดกิเลสทำให้กิเลสลดละจางคลายอย่างนี้ เราก็ทำซ้ำซ้อนอย่างนี้ เป็นการทำตามลำดับมีศีลข้อที่ 1 เป็นต้น ก็สัมผัสกับสัตว์ เราก็เกิดจิต ไม่มีความมุ่งร้าย มีแต่ความหวังประโยชน์มีความเอ็นดูสัตว์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ก่อนนี้มันมาทำร้ายเรา เราฆ่ามันแน่ ดีไม่ดีเราจงใจเจตนาฆ่ามันเลย ฆ่ามันมากินเลย หรือฆ่ากินเล่นคะนองเลย นักฆ่ามือหนึ่ง แบกอาวุธใหญ่ล้มช้างได้ ถ้าเก่งก็ตัวต่อตัวสิเอาปืนไปทำไม มีปืนแรงร้ายมันก็ตายสิ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสามารถที่จะเข้าใจอธิบาย ญาณ 7 ก็เข้าใจ
ญาณที่ 3 รู้ดีว่าเป็นสิ่งพิเศษไม่เหมือนใครเป็นของวิเศษ ลัทธิอื่นไม่มี ลัทธินี้แหละเป็นอาริยธรรม ลัทธินี้ชัดเจนกว่า ปัญญามันรู้ มันเห็นความแตกต่างมันมั่นใจเลยว่าอย่างที่เคยผ่านไปอย่างนี้ยังไม่ใช่
ญาณที่ 4 ผู้ที่สามารถที่กระทำได้ผ่านมาแล้วเป็นความรู้จริงแล้ว เป็นผู้ที่ได้ในตัวเองสามารถออกจากสิ่งที่ผิดพลาดไปเอาตัวเองออกจากอาบัติไม่ใช่แค่ปลงอาบัติสารภาพกราบแค่นั้น แต่ออกจากอาบัติหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นทุกข์ในปัจจุบัน ความเป็นสุขปฏิบัติได้แล้ว พอได้แล้วก็เหมือนกับเด็ก ที่เอามือหรือเอาเท้าไปถูกถ่านไฟเข้า เด็กไม่เป็นประสาก็นอนดิ้น เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงายเท้าถูกไฟเข้าก็ชักเท้าออก ไปทำผิดพลาดจากศีลจากสิ่งที่เราหลุดพ้นมาได้ไปเปื้อนมีกิเลสใหม่ ความสกปรกมาแตะเราเราก็จะรีบสลัดออก รู้จักคุณค่าความสะอาดของสิ่งที่เราได้กำจัดกิเลสออกไปได้ นี่คือ ญาณที่4 ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่เป็นของจริง ชัดเจน ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน ปุถุชนนั้นไม่รู้เรื่อง พวกมิจฉาทิฏฐิก็ไม่รู้ไม่มีความจริงของญาณที่ 4 ว่าเราเดี๋ยวนี้มีหิริโอตัปปะมีคุณสมบัติของจรณะ
ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา นี่เป็นองค์ธรรมเรียกสัทธรรม 7 เกิดเชื่อถือเชื่อมั่นว่า วิธีนี้มันดีวิธีนี้ถูกต้อง วิธีนี้ได้ผลชัดเจน ก็เข้าใจก็ยึดถือ ถ้าเรามีความผิดพลาดก็จะมีจิตที่เป็นหิริ เราไม่เอาจริง ไปเปรอะเปื้อน ยังประมาทอยู่อีกก็ยิ่ง โอตตัปปะ
หิริแค่ละอาย โอตตัปปะกลัวเลย คุณธรรมอันสูงขึ้นไม่เอา ทางโลกเราจะไปทำอะไรอยู่ แต่ทางธรรมนี้เราได้สิ่งนี้ต้องรักษาความเจริญ รักษาความสะอาด รักษาความประเสริฐที่เราได้มาแล้ว คนมีสำนึกศรัทธา หิริ โอตัปปะ 3 อันนี้ก็จะเจริญขึ้นสูงขึ้น เรียกว่าพหูสูตร หรือพหุสุตโต ก็จะได้ชัดเจนเจริญงอกงามเพิ่มภูมิ ยิ่งเจริญยิ่งเจริญขึ้นเป็นพหูสูต
เสร็จแล้วเราก็เพิ่มเติมความอุตสาหะวิริยะ อารัมภวิริโย เพิ่มเติมสิ่งที่ทำได้ การเจริญสติอันเป็นอริยะ สติปัญญาเจริญก็ยิ่งอยู่เหนือโลกุตระไปเรื่อยๆ
คุณสมบัติ 1 ถึง 11 ก็จะมีความซ้อนที่เรียกว่าฌาน ฌานไม่ได้ไปนั่งทำสะกดจิต ฌาน ถึงพร้อมด้วยศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ศรัทธา หิริโอตัปปะ พหูสูต พร้อมด้วยความเพียรมีสติปัญญา เจริญๆๆ สอดประสานช่วยกันขึ้นให้เราเจริญขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละคือความเจริญของพลังงานจิตที่เรียกวาฌาน คือพลังงานไฟที่มีฤทธิ์ เตวิชโช อุณหธาตุ มันสามารถที่จะไปสลาย ราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นพลังงานจริงๆ เป็นอุณหธาตุที่ไปสลาย ราคะโทสะโมหะ อย่างเป็นจริง
ฌานไม่ใช่การเพ่ง เป็นพลังงานความร้อนไม่ใช่พลังงานหยุดนิ่งแข็ง นี่คือ ความรู้ที่ผิดพลาดความเสื่อมจากสัจธรรมมันผิดพลาดหายไป อาตมานี้ยากๆ กลับมารื้อฟื้นความถูกต้องความจริงในวงการศาสนาพุทธที่เขาได้ทำบาปทั้งความเสื่อมทำความผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้าไปเรื่อยเปื่อย ก็มากอบกู้ขึ้น นี่อาตมาก็พูดวันนี้ขณะนี้วินาทีนี้ ก็คือคำพูดที่ได้สาธยายธรรมในวันปีใหม่
คนที่รู้สาระอย่างพวกเรานี้ ขออนุโมทนาสาธุด้วย ที่จะใช้เวลาใช้กาละ กาละมันก็เป็นของมันคนเราก็ทำกรรมในกาละ เอากรรมมาฟังธรรมร่วมสังคมสังสรรมาอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี แล้วก็มาสร้างฉันทะ แล้วก็มามีศีล มีศีลก็จะเรียนรู้ตัวอัตตา แล้วก็จะได้จัดการลดละอัตตาของเราไป ด้วยทิฏฐิความรู้ที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิของเราโดยไม่ประมาท แล้วก็ทำการโยนิโสมนสิการ ไม่ได้แปลว่าคิดเท่านั้น โยนิโสมนสิการแปลว่าทำ มนสิทำที่ใจนี้ ผู้ที่ทำใจได้อย่างถ่องแท้ โยนิโสแปลว่าถ่องแท้ถูกต้องแยบคาย แปลว่าลงไปถึงที่เกิด ลงไปถึงที่เกิดอะไร ที่ที่กิเลสเกิด เป็นหทยรูป แล้วเราก็แยกภาวรูปนี้ออกได้ เป็นธรรมะ 2 มีกิเลสเป็นอิตถีภาวะดิ้นด๊อกแด๊กอยู่ในจิตเป็นธรรมะ 2 ตัวที่เป็นกิเลสเป็นจิตเก๊จิตปลอมอยู่ในนี้ คุณก็จัดการเป็นรูปทั้งรูปเลย ตั้งแต่ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ผัสสะและเกิดภาวะ 2 ที่หทยรูป แล้วก็มีอาหารรูป ตรวจชีวิตรูป อะไรคือชีวิต กิเลสมันยังมีมันยังไม่ตาย กิเลสมันยังมีชีวชีวิตอยู่ อ่านกิเลสได้ กิเลสเป็นจิตนิยาม ชีวิตของกิเลสเหนือกว่าชีวิตของ พีชะ ไม่ใช่แค่อุตุเท่านั้น เราอ่านออก ตัวกิเลสนี้เป็นชีวิตินทรีย์ ก็จัดการมันมีอะไรเป็นอาหาร อ้อ อาหารของมันคือกามคือพยาบาท อาหารของเจ้ากิเลสมันมีชีวิตก็จัดการมันได้ กามหรือพยาบาท
จัดการปริเฉทรูป อย่างเป็นหมวดหมู่ จัดการปริเฉทรูป แล้วก็สามารถที่จะแยกแยะความเป็นตัวกิเลสที่มันปรุงแต่งอยู่ในนี้ได้ จับได้ตั้งแต่ข้างนอกที่สัมผัสทางกาย สัมผัสทางวจี เป็นวิญญัติ 2 ก็เอามาจัดการเกิดการสังเคราะห์สังขาร จับกิเลสได้ก็ประหารๆๆๆ ประหารได้ ล้างกิเลสได้ กิเลสลดลงๆๆ จนจิตมันสะอาดจิตว่าง จนจิตอยู่ในลักษณะ วิการรูป 5
จิตก็เบาสบายมี มุทุ ความเร็วไวคล่องแคล่ว ลหุตา ก็ทำงาน มีกรรมที่เกิดจากจิตลหุตา ว่างเบา ก็ทำงานอย่างมี อัญญา ปัญญาเข้าร่วมกับกรรม ก็เป็นผลงานออกมาเป็น กัมมัญญา เป็นการงานที่เหมาะควรดีงามทุกอย่าง เพราะเราได้ล้างกิเลสออก ก็มีจิตที่ ลหุตา มุทุตา ก็เกิด กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เกิดจากมโนคือจิตใจเรานั่นแหละ
อธิบายขยายความมันก็มีสภาวะ เรามีนะ มีอาการมีสภาวะพวกนี้ในจิตเรา ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสให้ท่องพยัญชนะได้เฉยๆ แต่เราเรียนรู้แล้วเราก็มีสภาวะ เราทำแล้วเราก็พอรู้พอเข้าใจ เห็นจริงมันมีสภาวะละเอียด ที่พูดนี้ละเอียดลออ เป็นอภิธรรมรูปต่างๆมันมีอยู่จริง สัมผัสพยัญชนะคืออะไรแล้วสภาวะคืออะไร มุทุตา ลหุตา กัมมัญญตาคืออะไร กายวิญญัติ วจีวิญญัติ รวมเป็น 5 วิการรูป เราก็ทำได้สำเร็จ จิตเราก็สามารถที่จะมี วสวัตตี มีอำนาจในทางจิต มีลักษณะรูป อีก 4 อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา จะให้เกิด อุปจยะ เราก็ให้เกิดอย่างไม่มีกิเลส หรือเราจะไม่ให้เกิดหยุดการสันตติไม่ต่อไป เราก็สามารถควบคุมได้มีวสวัตตี มีอำนาจเหนือจิตควบคุมจิตได้สัมผัสอะไร จิตกับเราจะให้มันเกิดก็ได้ไม่ให้มันเกิดก็ได้ควบคุมได้ ถ้าอวิชชา สัมผัสแล้วมันเกิดเลยคุณควบคุมไม่ได้ กิเลสกามกิเลสพยาบาท มันเกิด ปุ๊บๆๆ เลย ควบคุมไม่ได้
1. สัมผัสวัตถุข้างหน้าให้เกิดรู้ ถ้าเราไม่ใช้ ปสาทรูป โคจรรูป แต่ก็ไม่ใช้สติสัมปชัญญะไม่ใช้ปัญญากำหนดรู้ตามสัมผัสมันก็เฉยๆ เงียบๆอยู่ในจิต คนสะกดจิต แสงกระทบวัตถุเข้าตาแต่มันไม่เห็นอันนี้หรอก มันไปอยู่กับจิตปรุงแต่งเรื่องอะไรไม่รู้ เพ้อไปกับวิมานอะไร เอามือมาอย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่อง แสดงว่าสัมปชัญญะ ไม่อยู่กับสายตา แต่คนที่ปฏิบัติธรรมก็อยู่กับสิ่งที่เป็นปสาทะ โคจระ สัมผัสอันนี้ก็รู้ว่ามันมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส เป็นภาวะรูป 2 ก็จัดการกิเลสเสียถ้ามี จัดการแล้วคุณก็ดูจนควบคุมได้จนกระทั่งไม่มีกิเลสอยู่เหนือ จะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด ถ้าไม่ให้เกิดจิตของเราก็จะค่อยๆเสื่อมไปชรตา เราก็หยุดเลยไปเลยมันก็จะสลาย อย่างเป็นพระอนาคามีเป็นต้นไป ปล่อยไปกิเลสก็สลายไปตามเวลา อันตระ อุปหัจจะ
ถ้าไม่พัฒนา เข้าไปใน สุทธาวาส 5 เราไม่เข้าไปอยู่ในสุทธาวาส 5 จะทำปัจจุบันนี้แหละ พระพุทธเจ้าสมณโคดมแม้แต่อาตมาก็ตามสายปัญญา จะไม่เป็นอนาคามีแบบตายแล้วจมอยู่ใน อันตราปรินิพพายี ตามยถากรรมมันจะเสื่อมมันจะพัฒนาอะไรของมันก็เป็นไปตามยถากรรม หรือว่าคุณจะพยายามมากขึ้น อุปหัจจปรินิพพายี เอาใจใส่ฝึกหัดมาก็จะเรียนรู้ทำจิตของเรา มันก็มีความเป็นได้ ก็พยายามที่จะลดละกิเลส ให้มันเป็นไปเองอยู่ในภพชาติ มันก็มีคุณลักษณะของจิตละเอียด มันก็จะเป็นลักษณะของคน อันตรา อุปหัจจะ หรือคุณไม่แค่พากเพียรเท่านั้นแต่เอาใจใส่เลย ใช้ความเพียรประกอบ สสังขารเลย ตั้งใจประกอบให้มันเป็น ปุญญาภิสังขาร กระทำด้วยมีพลังงานที่สร้างพลังงานบุญ ปุญญะ พลังงานที่กำจัดกิเลสได้ ทำให้กิเลสถูกล้างไปได้ด้วยสามารถด้วยปัญญาอันยิ่งก็ยิ่งดี
หรือ เก่งกว่านั้นไม่ต้องไปทำอะไรมัน มันก็มีคุณสมบัติสูงแล้ว โดยไม่ต้องใช้ปรุงแต่งอะไรเลย อภิสังขาร เก่งเป็นตัวของมันเองเลยไม่ต้องทำอะไรให้มันมากนักมันก็เก่งยิ่งขึ้น กว่า สสังขาร หรือยิ่งกว่านั้นอุฏฐังโสโต มันใหญ่กว่าอนาคามี 4 อย่างแรกเป็นความสูงที่ไม่เป็นน้องใครเลย เป็นพระอนาคามีที่สูงสุด ก็จะเป็นผู้ปรินิพพานไวที่สุดเร็วที่สุด ก็เป็นคุณสมบัติของจิตเจตสิกต่างๆที่ได้ฝึกฝนมา พระพุทธเจ้าก็เอานัยยะความจริงที่ละเอียดมาแจกแจงแยกแยะ ด้วยพยัญชนะ ผู้ที่เข้าใจจะรู้ว่าเราอยู่ในฐานไหนสภาวะไหนขนาดไหน
ผู้ที่รู้ความเป็นจริงพวกนี้ แม้เราจะรู้ว่าเราเป็นแบบ อนาคามี 5 อย่างนี้ จะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่คนก็เป็นจริงตามแบบแต่ละคนเป็น ตามภูมิของแต่ละคน ถ้าเราสามารถเอามาใช้ปัจจุบันนี้ไม่ต้องไปเสียเวลา พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญา ไม่เสียเวลาตายแล้วเกิดเลย หากตายแล้วก็จมในภพภูมิตามภูมิปัญญาแต่ละฐาน ลักษณะแบบไหน ไม่ต้อง พวกปัญญาธิกะ สายปัญญาอย่างอาตมานี้ไม่เอาไปแช่อยู่ รีบๆทำไม่เสียเวลามาก รีบให้เป็นอรหันต์ ขนาดรีบๆก็ยังยากเลย แล้วถ้าไม่รีบจะขนาดไหน มันก็จะช้า ไปเอามีดพร้า อาตมาให้เอา gillette เลย
ยิลเล็ตนี่เป็นมีดโกน ยี่ห้อแรกที่ควรทำ ไม่มีมอตโต้ว่า สร้างอะไรที่ให้คนเอามาใช้..
1.คนต้องใช้ประจำ 2 .ใช้แล้วต้องทิ้ง ทิ้งเร็วที่สุดด้วย แต่ต้องคมนะ แล้วลบคมเร็วด้วย มันต้องใช้ทุกวันด้วยเขาเลยต้องซื้อเราทุกวัน มันก็เลยรวยเลยคนนี้ เป็นเศรษฐีเลย ขายแผ่นใบยิลเล็ตก็รวยเลย คนอื่นก็เอาตาม
อาตมาก็อุ่นใจ ว่า ชาตินี้ยังมีคนฟังธรรมที่เป็นโลกุตระ แสวงหา ปีใหม่ก็มา คนอย่างพวกเรานี้ รู้สึกสนุกสนาน ใจยังรอนๆ เพื่อนยังไปสนุก แต่เรารักดีจะมาที่นี่แต่จิตใจก็ยังคิดถึงเพื่อนยังสนุกน่าดู ใครยังมีอาการอารมณ์เช่นนี้อยู่ยกมือ ...ไม่มีก็ไม่กล้ายก แต่อาตมาเชื่อว่าไม่มีจิตใจอย่างนั้นหรอก คนที่มาทางนี้แล้วจะรู้คุณค่าสาระของชีวิต คนที่ไม่รู้สาระก็เอาชีวิตไปไร้สาระ แทนที่ปีใหม่จะทำให้กิเลสลดลง มาหาทางชำระกิเลส ดันไปโปะกิเลสใส่กิเลสเข้าไปอีก คนเรามันอวิชชา เห็นคนโง่กับคนฉลาดต่างกันไหม ใครเป็นคนฉลาดยกมือขึ้น
บางคนมีอัตตาหาว่าพ่อท่านทำอะไรเหมือนเด็กๆ ครูถามก็ยกมือให้ครูเห็นคำตอบหน่อยสิทำเป็นผู้รู้ยิ่งใหญ่ ทำเหมือนกับเด็กๆ ก็ยกให้อาตมาดูหน่อย ครูผู้สอนจะได้รู้ว่านักเรียนสอนไปแล้วรู้เรื่องหรือเปล่า คำตอบก็เป็นข้อสอบนะ ไม่สอบ แล้วเมื่อไหร่ครูจะได้รู้ ครูก็จะไม่รู้ว่าคุณได้หรือไม่ได้ (อู๊ดว่า คนโง่ที่สุดผมขอสัมปทานครับ) พ่อครูว่า ทำเท่ๆพูดคำคม (ญาติธรรมว่า ธรรมะของพ่อครูรู้ได้แต่บัณฑิต) อาตมาว่าสนุกนะพูดธรรมะพุทธเจ้าพวกคุณก็รู้แล้วพวกคุณก็ทำได้ด้วยไม่เป็นหมัน พยายามเผยแพร่ธรรมะนี้
อาตมาก็ยังภาคภูมิใจยืนหยัดยืนยันเลยว่า โลกุตรธรรมมันสูญไปจากศาสนาพุทธแล้วในปัจจุบัน อาตมาไม่ได้พูดผิดหรอกพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน อาณิสูตร ล.16
[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
จบสูตรที่ 7
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน สยังอภิญญาผู้มาพลิกฟื้นชมพูทวีป
อาตมาเป็นสยังอภิญญา ตามสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ที่ไม่มีใครมาอธิบายแล้ว เขาว่านัตถิทินนัง ต้องมาอธิบายว่าที่ทำทานกันนั้นมันผิด ทำทานแล้วมันไม่มีผลมันมีแต่กิเลสหนาขึ้นๆ ทำทานทุกวันนี้ มาทานแล้วก็มาตั้งจิต ขอให้ได้สวรรค์วิมานได้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ผิดหมด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทานว่าอย่าตั้งจิตอยากได้อะไร ทานนั้นคือให้ให้แล้วก็ปิด ไม่ต้องไปหวังว่าจะได้อะไรตอบแทน เขาไม่รู้แล้วไม่ได้ทำอย่างนี้ มีแต่ประเล้าประโลม จะได้สวรรค์ได้ภพชาติได้ร่ำรวย ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระไม่ต้องอยากได้ลาภยศอะไร อยากได้ลาบเต้าหู้ก็เอาเต้าหู้มาทำ อยากได้ลาบเห็ดก็เอาเห็ดมาทำ หรือเอาผลไม้ทำ ก็ทำขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปอ้อนวอนร้องขอขอให้ได้ลาภยศ ไม่ใช่ ขึ้นอยู่ที่กรรมอยากได้ก็ทำเอาอัตตาหิอัตโนนาโถ อย่าไปเบียดเบียนคนอื่น อย่างนี้เป็นต้น คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะที่จริงตรง ไม่เบียดเบียนใครมีแต่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แต่ทีนี้สอนกันผิดเพี้ยนกลายเป็นอ้อนวอนร้องขอ เป็นคนไม่มีสมรรถนะเป็นคนโง่ลงๆๆ กลายเป็นคนที่มาเบียดเบียนคนอื่น กินอยู่บนหลังคน
ขออภัย พูดแรง กลายมาเป็นนักบวชที่ไปกินอยู่บนหลังฆราวาส คฤหัสถ์ หลังสหธรรมิกผู้มาปฏิบัติธรรม กลายมาเป็นนักไถนาบนหลังคน กลายเป็นนักไถ แล้วทำนาอยู่ที่ไหนทำนาอยู่บนหลังคน (สู่แดนธรรม บอกว่าเขาเขียนว่าฆราวาสสั่งสมบุญนักบวชสะสมเงิน) น่าสงสารประเทศไทย ฆราวาสสั่งสมเงิน ศาสนาพุทธให้เอาออก อปจยะเอาออกให้มักน้อยสันโดษเกื้อกูลสร้างสรรขยันแจกจ่าย นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอด อาตมาให้พวกเราทำสาธารณโภคีพวกเราก็ทำได้ ขยันหมั่นเพียรผลผลิตเอามารวมกันกองกลางแบ่งกันกินแบ่งกันใช้มีเป็นเศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ของโลกที่เขาเข้าไม่ถึงปฏิบัติไม่ได้ ชาวอโศกเอาของพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้และปฏิบัติประพฤติได้
เศรษฐศาสตร์บทนี้แม้แต่ว่าเป็นดร.ทางเศรษฐศาสตร์อะไรก็เข้าไม่ถึงเศรษฐศาสตร์นี้ แต่ในประเทศไทยมีคนไทยที่อยู่ในระบบเศรษฐศาสตร์ระบบสาธารณโภคี นี่แหละมีจริงๆอยู่ในโลก ยังมีเกิดอยู่ไม่สูญหายตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า คนยังปฏิบัติประพฤติได้ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ทำให้คนอยู่สุขสำราญเบิกบานใจ ทำให้คนอยู่อย่างไม่แย่งชิง เกื้อกูล อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปคอยหาอาวรณ์อะไรในอบายมุข ในโลกธรรมในลาภยศสรรเสริญสุขไม่ต้องไปแย่งกัน ละลด
อบายมุขมันแน่นอนต้องเลิกแย่ง แม้แต่ลาภยศสรรเสริญก็ไม่แย่ง ไม่ต้องมีลาภ แต่ลาภเกิดขึ้นโดยธรรม เราสร้างขึ้นมันก็เกิด ได้มากก็ไปรวมกันจนเกินกินเกินใช้ มารวมกันเอาไปแบ่งแจก ตลาดบุญนิยมที่เกิดนี้มีทั้ง 4 แบบของบุญนิยม มีทั้งแจกฟรี ขายต่ำกว่าทุน ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าราคาตลาด นี่เป็นตลาดประชารัฐเหมือนอย่างที่ทางประเทศไทยกำลังมีความคิดอันนี้ แต่เราทำนำหน้าเขาไปแล้ว ถ้าหากทางรัฐมีความจริงใจขยันทำอย่างนี้มันก็จะเกิดเป็นได้ โดยองค์รวมโดยความเป็นจริงของสถานะประเทศไทย
สังคมประเทศไทย ทางด้านเศรษฐศาสตร์ก็ตามเศรษฐกิจก็ตาม มีลักษณะนี้ แม้การประพฤติปฏิบัติของคน เป็นมวลของประเทศ ชาวอโศกเป็นคนไทย เป็นมวลของประเทศ ก็ประพฤติ เป็นสาธารณโภคีอยู่ ชาวอโศกมีอยู่กี่ชุมชนหมู่บ้านก็แล้วแต่ในประเทศไทย ก็มีทฤษฎีนี้ทำสิ่งนี้ สร้างขึ้นมาแจกจ่ายเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ดีที่สุดยอดเยี่ยมที่สุดประเสริฐที่สุด ในประเทศไทยนี้มีผู้รู้อยู่คือโพธิรักษ์ ของพระพุทธเจ้า แล้วผู้รู้อีกท่านหนึ่งก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็เอามาประกาศ พาทำอยู่ตั้ง 70 พรรษาท่านก็สวรรคตไปแล้ว ประเทศไทยคนไทยศาสนาพุทธ ก็ยังไม่ค่อยกระเตื้อง เอาแบบคนจน มาขาดทุน ขาดทุนนี่แหละคือนักเศรษฐศาสตร์ ไปเอากำไรอยู่นี่คือไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง คนที่ไปเอากำไรเอาเปรียบเพราะเกินทุนได้มากเท่าไหร่ ถือว่าผู้ที่ทำเป้าแห่งเศรษฐกิจของเราให้เจริญ ความคิดแบบนั้นมันเป็นความผิด เป็นการทำลายเศรษฐกิจ มันเป็นการสร้างเศรษฐกิจให้แก่ตนเองเป็นเศรษฐกิจเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เศรษฐกิจแท้ เป็นเศรษฐกิจเห็นแก่ตัว สร้างให้คนเห็นแก่ตัว นักเศรษฐศาสตร์จะพอเข้าใจไหม ต้องมาสร้างให้เป็นคนขยันหมั่นเพียรเป็นคนเสียสละ วิริยารัมภะ แล้วสะพัด แจกฟรีได้หรือขายให้ต่ำกว่าทุนได้ ทำไมขายไม่ได้เพราะมันเหลือมันเกิน ทำไมแจกจ่ายกันกินไม่หมดนะของชาวอโศก เห็นความอุดมสมบูรณ์ความเหลือเฟือของชาวอโศกไหม
เราไม่มีแฟชั่นไม่มีของปรุงแต่งแบบโลกๆที่มอมเมาประดิษฐ์ประดอยประดับประดาไร้สาระกันมากมายหรอก เรามีแต่เรื่องเนื้อแท้ๆ เป็นปัจจัยเป็นอาหารของชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องอาศัย เป็นปัจจัย 4 หรือบริขารสำคัญ สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเสียเวล่ำเวลา ยิ่งไปสร้างระเบิดยิ่งไปสร้างปืนปิดประตูเลย ชาวอโศกไม่ไปบ้าทำ หรือจะไปทำสิ่งฟุ่มเฟือยพุ่งเฟือยอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆจะไปสร้างแฟชั่น เอาอะไรไม่รู้มาต่อหัวต่อหางแล้วไปเดินแฟชั่นกัน จะบ้ากันไปถึงไหน ดูแล้วก็ทุเรศๆ ขออภัยอาตมาพูดชัด เขาไม่รู้สึกทุเรศตัวเองนะ แต่อาตมารู้สึกทุเรศจัง ผู้หญิงฟังแล้วจะรู้สึกมากใช่ไหม เคยทุเรศตัวเองมาบ้างไหม ใครเคยยกมือบ้างสิ กล้าหาญยอมรับความจริง มันน่าทุเรศตัวเองฟังให้ดี ใช้ภาษาพยัญชนะมาอธิบายสภาวะ ทำให้ดูแล้วแต่ก่อนเราโง่นะ ไม่รู้ว่าทำทุเรศก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อเรารู้สาระโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ก็จะนึกว่าอะไรก็ไม่รู้ นอกจากเด็กเล็กๆ จะเห็นได้ว่าความอวิชชาความโง่ของเรา แต่ก่อนคนเรายังโง่ ...เดี๋ยวนี้ก็ยังโง่อยู่
เดี๋ยวนี้ก็ฉลาดขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว ผู้ที่หลุดพ้นก็คือผู้ที่ไม่ต้องไปเสียเวลาไม่ต้องไปเสียแรงงานเสียทุนรอน อาตมาสรุปชีวิตคนคือ 1. เวลา เวลาเป็นของโลก มันผ่านไปแต่ละลมหายใจเข้าออกเสียไปโดยเปล่า 2.แรงงาน แรงงานก็คือของเรา 3. เสียทุนรอนสมบัติอะไรที่ต้องไปร่วม นี่คือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ 1. สูญเสียเวลา 2. สูญเสียแรงงาน ทั้งแรงกายแรงความคิดไปอยู่กับสิ่งไร้สาระ 3. ไปได้ขี้ขยะอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่เหตุปัจจัยของชีวิต ขี้ขยะ ดีไม่ดีไปสร้างของเป็นพิษภัยแก่ชีวิตให้แก่มนุษย์ อย่างนี้เป็นต้น
การมีชีวิตอยู่แล้วเราก็รู้จักการศึกษา รู้จักว่าจริงๆชีวิตเรามีสาระคืออะไร ไปศึกษาสาระแบบโลกจะเป็นการปรุงแต่งเพื่อให้ได้ลาภได้สรรเสริญ ได้อะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะไป กว่าคนเราจะเข้าใจสาระแท้ว่าคนเราเป็นหลงเลอะเทอะที่เป็นโลกียะ ถ้าออกไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนสมบัติพัสถานวัตถุ กว่าจะกอบกู้ความสูญเสียที่ไม่เข้าท่านี้คืนมา ทั้งเวลาแรงงานทุนรอน ก็เอามาสร้างสิ่งที่มีคุณค่ามีประโยชน์ อาตมาทุกวันนี้ต้องใช้ทุนรอน สร้างอะไร สร้างธรรมชาติเพราะว่าธรรมชาติถูกเผาผลาญทำลาย ทำไมจึงมาสร้างธรรมชาติสร้างสิ่งเเวดล้อมสร้างดินน้ำไฟลม ให้มีการสะพัด มีน้ำสะอาดมีดินดี มีพลังงานไฟพลังงานลมที่ดี แล้วก็สังเคราะห์สังขารกันขึ้น ด้วยตัวมันเองด้วยแล้วก็ด้วยเราช่วยมันด้วยใช้วิทยาศาสตร์ช่วยบ้าง แล้วก็ให้มันเกิดอยู่ในนี้ ให้ครบพร้อมบริบูรณ์อยู่ในนี้ เราก็ใช้ความรู้ความสามารถอยู่ในนี้ในราชธานีอโศก พร้อมเลย อุดมสมบูรณ์ สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายเป็นอบายมุขต่างๆ ไม่มีในนี้ ไม่สร้างและไม่สนใจ มาในนี้มีแต่เนื้อของสาระสัจจะทั้งนั้น จะเป็นที่พึ่งพาของคน
งานปีใหม่นี้ก็มีคนมาขายของ มีคนเอาของมาขายเขาก็ใช้เป็นที่ขาย เป็นที่ที่จะสะพัด เขาขายเขาสร้างแล้ว เราไปสร้างตลาดให้เขา ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อหาเงิน เขามาขายเขาเห็นสถานที่ เราก็ดูแลจัดสรรให้เข้าที่เข้าทางเป็นจราจร ให้อยู่สถานที่เป็นหมวดหมู่ เป็นนักเทศกิจหน่อยดูแลช่วยกัน อาตมาเห็นปีนี้ ระวังแต่สิ่งที่เราจะไม่ให้เขาเอามาค้าขายคือสิ่งที่เป็นเนื้อสัตว์สิ่งที่เป็นมอมเมา เป็นของเป็นพิษ เป็นมิจฉาวณิชชา 5 เอาสัตว์เป็นมาขายเอาสัตว์ตายมาขาย เอาอาวุธมาขาย เอาสิ่งที่เป็นของมอมเมามาขาย เอาสิ่งเป็นพิษมาขาย นอกจากนั้นก็เอามาขายได้ ต่อไปที่นี่ก็จะเป็นตลาด ที่นี่จะเป็นที่รวมไม่ว่าทางบกทางน้ำ ก่อสร้างสนามบินสิ อาตมาคงไม่มีวาสนาสร้างสนามบินละมั้ง ดีไม่ดีสร้างสถานีรถไฟหัวกระสุน
เท่าที่เราทำได้ เราไม่เอาแรงงานทุนรอนเวลาไปสร้างสิ่งที่ไร้สาระมอมเมา แต่เราสร้างเผื่อแผ่คนโลกียด้วย การสร้างพืชผักผลไม้เช่นบนตอนนี้มี บวบเหลี่ยม (บักลอย) ไม่ใส่สารเคมีไม่ใส่ยากันแมลงอะไรแต่ไม่ค่อยมีแมลงมาเจาะไชอะไร เพลี้ยก็ไม่ลง มันเป็นไปได้อย่างไร ธรรมดาพวกนี้แสวงหาอะไรก็ดี มียามันก็ไม่กล้า แต่ทำไมอันนี้ไม่ลง มันบายให้เรา มันเป็นไปตามธรรม เพราะอะไรเพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันแข็งแรง พืชพวกนี้มันแข็งแรง เพลี้ยไม่กล้าเข้า เพราะว่าพวกนี้มันแข็งแรงกัดไม่เข้า มันเป็นสิ่งที่สูงมันไม่กล้า คนละฐานะอันนี้มันเป็นของดีเกินฐาน มันเห็นของพวกนี้ดีเกินฐานมองไม่ออก อะไรวะ อันหนึ่งมีสารพิษมากมันก็ไม่เอามีสารพิษน้อยมันก็เอา แต่อันนี้ไม่มีสารพิษเลยมันดูไม่ออกมันงามเกิน เหมือนพวกเรานี้ พวกเรางามอย่างสะอาดสะอ้านไม่มีเครื่องโสโครก นางงามชายหล่อ เพราะฉะนั้นพวกแมลงหน้าโง่ทั้งหลายมันไม่กล้ามากินหรอก มันไม่รู้จักของดี นี่คือความหลุดพ้น ความสะอาดที่สิ่งสกปรกมันไม่กล้ามาลงเอง มันกลายเป็นพวกนั้นเป็นอวิชชามันไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดมันข้ามขั้นไปแล้ว มันมีกำแพงไร้สภาพกั้นเอาไว้ มันมองไม่รู้ สิ่งที่สะอาดที่สุดนี่คือสิ่งที่สกปรกที่สุด กลับขั้วกันเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สกปรกที่สุด คนมองสิ่งที่สะอาดที่สุดไม่ได้เพราะมันมีกำแพงไร้สภาพอยู่ข้างหนึ่ง ดวงตายังผ่านกำแพงไร้สภาพไม่ได้เป็นตาถั่วตาบอด เขามองสิ่งที่สวยงามบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่พวกที่อยู่ตรงนี้มองทะลุสิ่งนี้ได้สว่างขยายเลยให้เห็นว่า เชื้อโรคสกปรกโลกอบายเห็นชัดเลย ไม่กล้าเข้าไปใกล้
อาตมากำลังอธิบายธรรมะนะ การศึกษาธรรมะทำให้เราเกิดญาณ ปัญญา มีชีวิตหลุดพ้นห่างจากสิ่งเหล่านั้นไปด้วยทั้งในธรรมชาติธรรมดา ธรรมชาติธรรมดาผู้ที่หลุดพ้นไปได้อย่างดี จะมีกำแพงไร้สภาพมาป้องกัน โดยที่เราไม่รู้ตัว เรียกว่าบารมี ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม
ก่อนยกตัวอย่างอาตมาไม่ได้พูดอย่างอวดดีท้าทาย อาตมาไปเข้าสู่สนามรบ คนมายิงปืนหรือระเบิดไม่ถูกอาตมาหรอกมันมีกำแพงไร้สภาพกันไว้ นี่คือเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมคนรู้ได้ยากแต่มีจริง อาตมาไม่ได้ประมาทนะ อาตมาอยู่ในสนามรบ เข้าไปประท้วงกับเขา มันยังมีวิบากอยู่ อาตมายังเจอกระแสแก๊สพิษบ้าง อาตมาอยู่บนนั้นอย่างท้าทายคงจะยิงก็ยิงไป คุณก็ไม่รู้ว่าเราคือเป้าหมาย ทั้งที่อาตมาควรจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่เขาจะเล็งปืนใส่ด้วยซ้ำ เขาก็ไปยิงใครไม่รู้ ระเบิดไปลงที่ไหนก็ไม่รู้ แต่อาตมานั้นเหมือนเขาไม่รู้ไม่เห็นความสำคัญ ทั้งที่อาตมาก็แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะอยู่นะ เป็นแม่ทัพใหญ่เป็นผู้บงการอยู่เขาก็ไม่... เห็นไหม นี่ไม่ได้พูดท้าทายอวดดีแต่พูดถึงเรื่องของสัจจะ เป็นเรื่องซับซ้อนที่รู้ได้ยากระวังอย่าประมาทถ้าบารมีไม่ถึงมันก็ตายอย่างเดียว ไปล่อเป้าเขา แต่อาตมาไม่ได้ล่อเป้า ไปอยู่ในนั้นเหมือนกันแต่เขาจะเห็นเหมือนไม่เป็นตัวสำคัญ มันหมุนเวียนกลับไปกลับมา เป็นสัจจะ
เอาล่ะ อาตมาสรุปว่า ขณะนี้ ราชธานีอโศกต้องการคน ให้เข้ามาร่วมสร้างร่วมสรร มันจะมีสถานที่ อาตมาจะทำสถานที่ให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติจะเป็นตลาดวัตถุตลาดแรงงาน ให้คนได้มาซื้อมาขายมาแลกเปลี่ยนให้เกิดเศรษฐกิจให้เกิดเศรษฐศาสตร์ที่มันเป็นของดีเป็นของสะอาดบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ไปโลภโมโทสันเอาเปรียบเอารัดอะไรกัน เป็นเศรษฐศาสตร์ชนิดใหม่ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่เอื้อเฟื้อเจือจารเกื้อกูลเป็นตัวอย่างของโลก ที่มีการค้าขายที่มีขายยันระดับแจกฟรี ระดับต่ำกว่าทุนระดับเท่าทุนระดับต่ำกว่าราคาตลาด
ตลาดบวร เราจะมีสินค้าแบบนี้ทั้งสินค้าแห้งสินค้าสดแจกฟรีได้สำหรับสินค้าสดทั้งแห้งมีทุกระดับเป็นตัวอย่าง ของแจกฟรีก็มีประจำของขายต่ำกว่าทุนก็มีประจำขายเท่าทุนก็มีประจำขายเกินทุนบ้างก็มี ที่เราทำได้เพราะพอมีพออยู่เหลือกินเหลืออยู่ เราจึงได้เสียสละได้ ขาดทุนได้เพราะเรามีเหลือกิน ชีวิตของเรามีแรงงานมีความรู้ความสามารถผลิต กินอาศัยเหลือ ร้อยคนพันคนหมื่นคน มีพลังงานมีพลเมืองมากเราก็จะผลิต ในสิ่งที่สำคัญสิ่งที่จำเป็นสิ่งที่เป็นสาระเป็นเหตุปัจจัยของชีวิต ที่ต้องอาศัยนี้แหละ ก็จะเป็นตลาดหรือเป็นสถานที่ที่มาพักผ่อนรื่นรมย์ ให้คนไปคนมา เป็นสังคมที่หมุนเวียนอย่างอบอุ่นน่าอยู่น่าไปน่ามา เด็กๆหรือผู้ใหญ่
อาตมาทำพวกนี้ไม่ได้ตั้งใจให้เด็กๆมาพักผ่อนเล่นน้ำ ตั้งใจจะให้ผู้ใหญ่มา แต่ผู้ใหญ่ก็ยังไม่กล้า จะมาอาบน้ำอาบท่าก็มาเลย เหมือนหาดทราย ที่นี่หาดทราย ริเวอร์ราชฯ คนข้างนอกก็มาขายได้พวกเราเองก็มาขายได้ ช่วยดูแลอย่าให้ขายสิ่งที่เป็นพิษสิ่งที่เป็นสิ่งมอมเมาๆสิ่งที่ไม่สมควรก็บอกกัน พยายามจะรักษาเป็นตลาดที่ขายสิ่งที่ดี สิ่งที่เหมาะควรก็มาขายเป็นตัวอย่างเขาอยู่กันอย่างเป็นสัดส่วนพวกเราจะได้จัดสรรกันไป ขายต่ำกว่าราคาท้องตลาดก็ได้ จะสูงกว่าราคาตลาดเขาบ้างก็ได้ แต่ก็พยายามให้ต่ำกว่าราคาตลาดให้ได้เสมอจนลดลงจนเท่าทุน ขายเท่าทุนก็อยู่ได้ อาตมาจะแนะนำให้นิดหน่อย คุณไปซื้อของแล้วเอามาขายในตลาดนี้ แล้วก็มากินข้าวกินน้ำที่บ้านราช เสร็จแล้วพรุ่งนี้คุณก็เอามาขายใหม่ แต่ก็กินอยู่ในนี้ แนะนำให้ ก็พอมีให้อาศัยกินได้อยู่ ถ้ามันไม่มีไม่พอเขาก็จะพูด ไม่มาทำไม่มาช่วยปลูกแล้วมากินเขาก็จะว่าเอง แต่ถ้ายังมีเหลือเขาก็ไม่ว่าหรอก เอาสิ เห็นไหม อย่างนี้แหละดี อาศัยใช้สอยกินอยู่มีชีวิต ในสิ่งที่สร้างทำขึ้นมา เป็นพี่เป็นน้อง ไม่คิดมาก ไม่มีเรื่องมากอะไร ก็อยู่กันกินช่วยกันทำช่วยกันกินไปมันขาดแคลนก็ช่วยกันสร้าง อาตมาว่าก็จะมีคนขึ้นมาอยู่กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จะมีแผ่นดินให้ปลูกสร้าง หรือแม้แต่จะมาสร้างบ้าน
จะมาตั้งบ้านเรือนอยู่ก็ได้ส่วนมากก็มีแต่บ้านสร้างแล้วคนก็ไม่เข้ามาอยู่ ควรจะมาอยู่ให้อบอุ่นให้เกิดสังคมอบอุ่น อ๋อ มีคนอยู่อย่างอบอุ่นสนุกสนาน ให้เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมสังคม อย่าว่าแต่สร้างบ้านหลังเล็กเลย หลายคนสร้างบ้านใหญ่โตมโหฬาร เราไม่อยากให้สร้างบ้านใหญ่โตเท่าไหร่หรอก แต่กิเลสประจำตัวก็บอกว่าฉันมีเงิน ขอแช่งเอาไว้ ใครไม่มีเงินแล้วไปกู้หนี้ยืมสินเขามาไปสร้างใหญ่โต ไปกู้หนี้ยืมสินมาทรมานตัวเองทำไม เอาเถอะ คุณมีเงินทองของคุณบ้างจะสร้างใหญ่โตก็แล้วไป แต่ให้เอื้อเฟื้อคนอื่นนะ ใหญ่โตแล้วอยู่กันอย่างหลวมหลวมไม่ดี ให้คนอื่นอาศัยอยู่ด้วยก็ดี สร้างใหญ่โตแล้วกินที่เปล่าๆไม่เผื่อแผ่คนอื่นไม่ดี จะติดแอร์ที่บ้านก็อย่าเพิ่งเลย ที่นี่หมู่บ้านคนจนไม่ใช่หมู่บ้านคนรวย อย่าเพิ่งติดแอร์หรอกสบายที่นี่ สบายเย็น ดีเป็นคำถามที่จะได้รู้กัน ที่จริงด้วยปัจจุบันปัญญาสำนึกซะมันก็น่าจะพอรู้อยู่แล้ว ไปเอาแต่ถามเผื่อคนอื่นบ้างก็ว่าไป
อาตมาสบายใจยิ่งขึ้น แต่เกรงใจสังขารเท่านั้นเอง ว่า เราก็อายุมากขึ้น ก็ยังไม่แข็งแรงเท่ากับอายุ 20 30 ก็ชัดเจน แต่ก็พยายามจะต่ออายุสังขารไปให้มากๆ เพื่อจะสาธยายสิ่งที่ผิดพลาดย้ำความผิดพลาดให้ถูกต้อง เราก็จะได้ช่วยกันทำให้ดีขึ้นรักษาสภาพธรรมะพุทธเจ้าให้ได้นานยิ่งขึ้น อาตมาว่าไม่มีอะไรค้ำจุนโลกได้ยิ่งกว่าโลกุตรธรรม ทางโลกียธรรมมันมีแต่เมาๆซ้ำซ้อน ยิ่งซ้ำซ้อนลึกลับ โลกยิ่งอำพรางกันล้วงตับกินไส้กันอย่างเลือดเย็น ทั้งโลกมันเป็นอย่างนั้น แต่ทางธรรมนี้ไม่ใช่ ทางธรรมมีแต่จะช่วยกัน อย่างที่พวกเราเป็น มันก็มีคนอยู่ 2 ประเภท ประเภทอย่างที่เราเป็นกับประเภทอื่น แม้แต่เถรสมาคม เสียดายที่เขาทิ้งโลกุตรธรรมไปแล้ว แม้แต่ประชากร สมาชิกของนักบวชในศาสนาก็กลายเป็นนายทุน เป็นผู้นำ โลกียะอย่างซับซ้อน เหมือนกับฆราวาส ซับซ้อนแล้วทำลายธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย เช่นเอาคำว่าบุญไปปู้ยี่ปู้ยำ จนพังหมดแล้ว บุญเป็นเครื่องฆ่ากิเลส กลายเอาไปเป็นสมบัติที่คนอยากได้อยากมีอยากเป็น คนยิ่งมีบุญมากๆจะต้องหาบุญมากๆคือคนกิเลสมากๆ คนที่กิเลสน้อยลงบุญจะน้อยลง จนที่สุดคนไม่มีกิเลสคือคนไม่มีบุญเลย พูดสั้นๆง่ายๆ ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่าบุญเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีเลย แต่มันกลับกัน ทำไม อธิบายธรรมะผิด บุญเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีเป็นพระอรหันต์แล้วหมดบุญ ปุญปาปริกขีโณ บุญทำลายบาปหมดแล้ว เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พระโพธิราชก็พูดไว้ เอาหลักฐานบาลีในพระไตรปิฎก มีหลักฐานยืนยัน
เอาล่ะ ก็พูดไปพูดมาก็เลยเวลาไป
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:48:15 )
รายละเอียด
620103 สมาธิพุทธเร็วจี๋และนิ่งสนิท
พ่อครู : มีประโยชน์อันใดก็ทรงทำ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ชีวิตมีเท่านี้ แค่เนี้ย พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เท่านี้ ชีวต มีสามเส้า เท่าเนี้ย
ส. แสนดิน : พหุชนหิตายะ พหุชยสุขายะ กับปัจฉา ตื่นมาก็...
พ่อครู : ผมนึกถึงตอนที่บรรยายธรรมะอยู่ที่วัดมหาธาตุ พอลงมา ไอ้หนุ่มมาคุยด้วย โอ้โห.. มันฉิบหายเลย แต่มันเร็วไป ช้าหน่อยก็ได้ ฟังไม่ทัน คุยกันไปคุยกันมา ก็มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ไปก็อะไรไป กินข้าวไป อร่อยไหม กินข้าวก็กิน กินไปทำไม กินไปเพื่อพวกคุณอ่ะ กินเพื่อพวกผมอะไร ก็ชีวิตหลวงพี่ ชีวิตอาตมา อาตมากินข้าวเพื่อคุณ ก็เถียงอยู่นั้นน่ะ.. พูดได้ไงกินข้าวเพื่อคุณ
ส. แสนดิน : เห็นกินเข้าท้องอยู่หมับๆ.. ไม่ได้เข้าท้องผมนิ
คุณนิ่ม : แล้วทีกรวดน้ำทำไมไม่คิดอย่างนี้
พ่อครู : ตอนแรกคิดยังไม่ทัน ถ้าคิดทัน ...ก็พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะอยู่อย่างเนี่ยๆ แต่ไอ้หนุ่มคงไม่รู้หรอก
ส.ดินไท : คุณนิ่มบอกว่า แล้วทีพวกคุณกรวดน้ำล่ะ อุทิศให้คนโน้นคนนี้อะไรได้ อันนี้จริงกว่าด้วย อันนั้นไม่รู้ว่าไปส่งให้ใครที่ไหน ถึงหรือเปล่า แต่นี่เห็นๆต่อหน้า
พ่อครู : นี่เห็นๆ กินข้าว แล้วร่างกายก็ยังอยู่ ชีวิตก็ยังไม่ตาย ก็ยังอธิบายธรรมะให้ได้ไง
ส.เดินดิน : พรุ่งนี้จะมีงานศพพี่สาวโยมธรรมนูญ
ส.ดินไท : พี่สาวป้าละอองบุญ
ส.เดินดิน : พี่สาวละอองบุญเหรอ ?
ส.ดินไท : น้องสาวของแม่จิ๋ว
พ่อครู : น้องสาวของแม่เจ้าจิ๋ว
ส.เดินดิน : เขามีสาม สี่ คน
ส.แสนดิน : น้องสาวของยายธรรมนูญ เป็นแม่เจ้าจิ๋ว น้องสาวของยายธรรมนูญก็คือพี่สาวของ...
ส.ดินไท : พี่สาวของป้าละอองบุญ
ส.แสนดิน : ใช่เหรอ?
คุณนิ่ม : ยายธรรมนูญใหญ่สุด
ส.แสนดิน : อ๋อ.. ยายธรรมนูญใหญ่สุด ยายดูไม่เป็นไรเลยเนอะ
พ่อครู : ไม่เป็นไร อะไร ง่อกแง่กๆ
คุณนิ่ม : จำคนไม่ค่อยได้
พ่อครู : เดินง่อกแง่กๆอยู่.. เดี๋ยวนี้ 6 ขาแล้ว
คุณนิ่ม : ยายแกดูสดชื่น
ส.ดินไท : ทีมเดียวกัน เข็นรถเป็นขบวน
ส.เดินดิน : เหมือนเกี่ยวข้องเพียง แค่เป็นพี่น้อง 3 คน ก็เลยอยากให้มาเผาที่นี่เท่านั้นเอง อาจจะไม่ได้รู้จักมักจี่อะไร
ส.แสนดิน : เผาบ่ายสอง ไม่มีรำลึกอะไรนะฮะ
พ่อครู : ผมขอบายนะ .. เผาใครก็ไม่ไหวละ
ส.เดินดิน : พ่อท่านไม่มาดีกว่า ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เพราะพี่น้องอยู่ที่นี่ก็เลย มีแค่สามคนก็มาเผาที่นี่
คุณนิ่ม : ยายธรรมนูญ ลูกสาวกำนัน
ส.ดินไท : ไม่ธรรมดา ๆ ลูกสาวกำนัน
พ่อครู : ลูกสาวกำนันเหรอ?
คุณนิ่ม : ค่ะ เขาบอกว่าบ้านยายกินแต่ข้าวละอองกษัตริ์ย ก็สงสัยคุยไปคุยมา เป็นลูกสาวกำนัน
ส.ดินไท : ลูกสาวกำนันก็เหมือนลูกสาวนายอำเภอมั้ง
พ่อครู : ใหญ่นะ ลูกสาวกำนัน
ส.แสนดิน : ใหญ่ที่สุดในตำบล
ส.เดินดิน : ละอองบุญเรียนจบธรรมศาสตร์
ส.แสนดิน : ละอองบุญเหรอ?
สม.เทียนคำเพชร : จบศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อายุคราวดิฉันค่ะ
ส.แสนดิน : อ้าว ..อาวิชาญ
คุณนิ่ม : พยาบาลพิเศษนะคะ คนนี้ นั่งเฝ้าท่านอยู่ข้างหลัง
พ่อครู : ธาตุแท้ ชื่อ ธาตุแท้
ส.ดินไท : แข็งแรงที่สุด
ส.แสนดิน : วันนี้วิดพื้น 50 ที สบาย.. แต่ก่อนป่วยไม่แข็งแรงเท่านี้ พอหายป่วยแล้วแข็งแรงกว่าเดิม
พ่อครู : แข็งแรงกว่าเดิม
ส.เดินดิน : ถามจริงๆ ถ้าลุงมาอยู่วัดแล้วจะหายแบบเขาบ้าง
ส.แสนดิน : ใช่ๆ
พ่อครู : เป็นอะไร ลุงเขาไม่ได้เป็นอะไร ไปว่าลุงเขาเป็นอะไร
ส.เดินดิน : ดูว่าจะทรุดยิ่งกว่าป้าอีก เหมือนๆกับกำลัง
พ่อครู : ง่อกแง่กๆ
คุณนิ่ม : ลุงพูดเหมือนลิ้นคับปาก มีอาการเหมือนสมองขาดเลือด
ส.เดินดิน : ดู มาทีหลัง ลุงไม่เหมือนปกติ
พ่อครู : ไม่เหมือนอะไร ไม่เหมือนเดิม
ส.เดินดิน : ครับ ไม่เหมือนเดิม ย้ำซ้ำๆ
ส.ดินไท : ไม่เหมือนเดิม คือพูดเหมือนเดิม
พ่อครู : พูดยังไง เดิมคำนี้คนละอันนะ ไม่เหมือนเดิมตอนนี้ กับไม่เหมือนเดิม แต่ก่อนนี้คล่องแคล่วกว่านี้ เหมือนพูดอะไรหลายๆอย่างได้ แต่ไม่เหมือนเดิม แต่มาพูดเหมือนเดิม พูดเดิมๆ พูดแต่เรื่องเดิมๆ
ส.เดินดิน : เป็นเอตทัคคะในการบรรลือสีหนาท พูดได้ดิบได้ดี
พ่อครู : พูดในสิ่งที่จำได้ เด่นๆที่ตัวเองได้ทำมา วีรกรรมของตัวเอง จำได้แม่น มาถึงปั๊บ บันทึกได้หมดเลย วีรกรรมยังอยู่ครบ จำวีรกรรมตนเอง
ส.เดินดิน : ประเด็นได้ดิบได้ดี เพราะสันติอโศก
พ่อครู : อันนี้ก็เป็นวีรกรรมของแกเอง ได้ดิบได้ดีเพราะ ว่ามาพบอโศก อันนี้ก็วีรกรรม
ส.เดินดิน : คุณสมพงษ์ เขามองว่าในบรรดาญาติธรรมทั้งหมดนี่ การรักษาศีลบริสุทธิ์นี่ไม่มีใครเท่าคุณจำลอง
พ่อครู : อ๋อ.. แน่นอน แกเปี๊ยะเลย เป็นเอตทัคคะทางศีล
คุณนิ่ม : ห้ามมีดอกไม้ที่เวที
พ่อครู : สมาธิของพระพุทธเจ้าเนี่ย มันไม่เข้าใจกัน สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายความว่า มันต้องมาเพ่งอะไร ไม่ใช่เลย สมาธิของพระพุทธเจ้ายิ่งไม่เพ่งเลย สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ static
คุณนิ่ม : ความมั่นคง
พ่อครู : ความมั่นคงของจิต แข็งแรงมาก อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เรียกว่าสมาธิ ความตั้งมั่นของจิต ที่จะสังกัปปะ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ได้เร็ว มีมุทุภูตธาตุ ได้เร็วมาก เพราะงั้นจะมีนิวเคลียสที่ โอ้โห..ถ้าเป็นลูกระเบิดนี่นะ พลังงานมันจะมหาศาลเลย
ส.ดินไท : เหมือนลูกข่าง
พ่อครู : เออ .. เร็วจี๋แล้วก็นิ่งสนิทเลย หมุนได้เร็ว ยิ่งกว่าโลกอีก นิ่งยิ่งกว่าโลกอีก นิ่งสนิทเลย มันมีสภาพคู่ มีสภาพทั้ง static และ dynamic ที่ลงตัวกัน เป็น cyclic order ที่สุดยอด
ส.แสนดิน : ที่มีผลกระทบทางจิตวิญญาณ
พ่อครู : มันพลังงานจิตวิญญาณวิเศษ
ส.แสนดิน : พูดถึงมันมีผลกระทบถึงจิต
พ่อครู : อะไรก็เร็ว แววไวมาก ปฏิภาณ การรับสัมผัสอะไร เร็ว ไม่ใช่ยิ่งเฉื่อย ยิ่งช้าอะไร ไม่ใช่สมาธิอย่างนั้น ทุกอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปแข็งทื่อ นิ่งเฉย ไปฝึก ตรงกันข้ามกัน ได้ฝึกสมาธิของ meditation ไปฝึกตรงกันข้ามกับการฝึก ของสัมมาสมาธิ
ส.แสนดิน : พวกที่ไม่ฝึก ก็ไว เถียงคนเก่ง ไวแบบเหตุผลมากมายสารพัดที่จะอะไร พวกนักโต้วาที
พ่อครู : พร้อมจะตอบโต้ เก่ง วจีวิญญัติ
ส.แสนดิน : มันไม่เท่าทัน
ส.เดินดิน : ก็ คุณสนธิ ตอนนั้นที่เราไปนั่งล้อมวงกัน โทรศัพท์ของแกไม่รู้กี่เครื่อง เดี๋ยวก็พูดเครื่องนั้น เดี๋ยวก็พูดเครื่องนี้ตลอดเวลา นี่เขาก็ไวเหมือนกัน เขาไว้ในการสังขาร
ส.ดินไท : ที่เขาฝึกสมาธิกัน แม้แต่คนป่วย มันปวดก็รู้ว่าปวด
พ่อครู : ไม่เกี่ยวเลย
ส.ดินไท : แต่ว่าไอ้ที่ป่วยเนี่ย จิตเรา ไปคิดว่ามันปวดเอง
พ่อครู : ไปอย่างนั้น อธิบายกันเอง ไม่เคยมีเลยอธิบายอยู่ในวงการศาสนาพุทธที่ไปนั่งสมาธิแล้วก็พูดกันอยู่นี่ สายพระสมาธิสายพระปฏิบัติเนี่ยไม่มีคำอธิบายอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่มีใครอธิบาย ไม่มีเลยซักอรรถกาถา
ส.เดินดิน : แล้วใช่คำว่าเวทนา
พ่อครู : อ่านเวทนา น่ะ ถูกต้อง
ส.เดินดิน : ครับเวทนา มันปวด
พ่อครู : ไม่ใช่
ส.แสนดิน : เวทนาทางจิต
พ่อครู : มันปวดก็ไปรักษาสิ ปวดก็ต้องไปดูซิ มันไม่รู้แน่ว่ามันมีเหตุ ต้องไปเอกซเรย์ เข้าไปให้หมอตรวจ ไป MRI ไปอะไร ให้มันรู้หมดสิ
คุณนิ่ม : ลงไปถึงที่เกิด
พ่อครู : ลงไปถึงที่เกิด ให้รู้สมุหทัย
ส.เดินดิน : หลวงพ่ออะไรนะ พม่า ที่เขานั่งกัน อ่านเวทนา
พ่อครู : นั่งนี่มันปวด มันปวดเพราะอะไร ..ทับเส้น อ้าว ..ก็ขยับมัน ก็หายแล้ว
ส.ดินไท : โกเอ็นก้า
คุณนิ่ม : หมอสมพงษ์บอกว่า ให้พ่อท่านนั่งแล้วเอาตาเข้าไปดูข้างใน
พ่อครู : ตลก.. ไม่เคยมีคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย
ส.ดินไท : ตาทิพย์
พ่อครู : มันเป็นตากระจกเงา เป็นตาเข้าไปสะท้อนอ่านข้างในหมด เป็นเลเซอร์
ส.แสนดิน : อันนั้นมันก็ทำได้ แต่ว่าไม่ยั่งยืน
พ่อครู : ไม่ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เล่นแบบนี้ ไม่เกี่ยว สรีระก็คือสรีระ จิตก็คือจิต
ส.แสนดิน : แต่ความหงุดหงิดที่จิต มันไปหงุดหงิด หงุดหงิดๆ ต่อสรีระ มันไม่ชอบ
พ่อครู : เออ .. พวกนี้ล่ะให้อ่าน ให้รู้อันนี้
ส.แสนดิน : สุดท้ายก็ต้องยอมรับ ถ้ามันไม่หายจริงๆ พ่อท่านยังปวด ยังบรรเทาไม่หาย ก็ต้องทำใจให้มัน..
พ่อครู : ไม่ต้องไป ...มันก็อยู่กับเราไป มันอยากหายมันก็หาย
ส.แสนดิน : ไออย่างนี้เป็นผมก็คงรำคาญ
พ่อครู : ไม่อยากหาย ก็ไม่หาย ถ้าหายเอ็งก็ได้ตายก่อน เอ็งก็หายก่อน ถ้าเอ็งไม่หายอยู่ไปด้วยกันนะ จะอยู่นานๆอ่ะ
ส.แสนดิน : คนที่ทำใจกับมะเร็งได้ เขาก็คิดอย่างนี้ เขาก็อยู่นานนะฮะ เพราะมะเร็งก็เพื่อนฉัน ถ้าฉันตายเอ็งตายด้วยนะ ก็อยู่ไป
พ่อครู : คนอยู่ได้เป็น 10 ปี 20 ปี มะเร็ง ก็มีเยอะแยะไป อย่างเทียนพุทธก็ไม่ใช่น้อยๆ 17 18 ปี..มะเร็ง
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:53:45 )
รายละเอียด
620104_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โลกานุกัมปายะของชาวอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1-8ofXImyqisiKmVD-ABc1IV6gO4VL9-vErpfJo0-wBg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1tr_IvpLgdjiTKsps5MpQPugQBXWMtBJj
สมณะฟ้าไทว่า….วันนี้วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก งานพุทธาภิเษกปี 2562 ก็จะจัดตั้งแต่วันที่ 1 4 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ตอนนี้คนก็สนใจเรื่องของพายุปาบึกที่จะขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทยวันนี้ ทางรัฐบาลก็ระดมความช่วยเหลือเต็มที่ ช่วยเต็มที่ดีอย่างนี้ก็น่าจะได้เป็นรัฐบาลต่อไป เพราะมีคุณสมบัติของเป็นผู้รับใช้เป็นผู้ให้ไม่มีอคติ พ่อครูก็จะมาแสดงธรรม สอนคนให้เป็นผู้รับใช้ผู้อื่นนี่แหละ
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ขอโอภาปราศรัยกับทางบ้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ประเทศไทยมหาอำนาจแห่งการให้
_มีโอกาสฟังผู้ทำงานธรรมทัศน์สมาคม ที่เผยแพร่หนังสือธรรมะ ได้พูดคุยกัน มาร่วมขายหนังสือธรรมะในงานนี้ มี trend แปลกๆอยากจะเล่าสู่ฟัง ปฏิทินของชาวอโศกในงานนี้มีผู้มาสนใจซื้อมากขึ้นกว่าปกติที่เคยขายมา ราคาแผ่นละ 10 บาท แจกฟรีก็เยอะแยะ ก็เลยทำให้สงสัยว่าเขาซื้อเพราะอะไร เลยถามชาวบ้านว่ารู้จักไหมใครในรูปปฏิทิน เขาก็ตอบว่าตามองไม่เห็นไม่รู้ว่ารูปใคร ก็เลยถามว่าอ้าว ทำไมยังซื้อล่ะ คำตอบคือ อยากเอาไปดูว่าอโศกนี้จะจัดงานอีกเมื่อไหร่ ในนี้บอกไว้ตลอดปีเลย เข้าท่า เขาสนใจงานอโศกไม่สนใจบุคคลด้วย พ่อครูว่า..ไม่สนใจเราก็ไม่เป็นไรแต่สนใจงานอโศกก็ชื่นใจ
หนังสือที่ขายดีปกติเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรยอดขายดีตลอดมา แต่ปีนี้หนังสือขายดีเป็นหนังสือธรรมะเล่มใหญ่ทั้งนั้น เช่น ทางเอก เล่ม 1-3 เราก็ถ่ายเอกสารขายชุดละ 1,000 บาท มีการสั่งซื้อจองมาก ผิดจากเดิมที่ขายยากมาก ผู้ซื้อ เป็นชาวแพทย์วิถีธรรม และ ผู้ติดตามดูพ่อครูทางทีวีคงจะเป็นผู้นิยมดูพ่อครูสอน หนังสือ สัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์เล่ม 1-4 ก็ขายได้มากกว่าทุกปี ทำให้เราตัดสินใจจะพิมพ์เล่มหนึ่งที่เคยหมดไปแล้วจากเดิมที่ไม่เคยคิดจะพิมพ์ หากใครต้องการจะใช้จะถ่ายเอกสารขาย แต่มีคนถามหามากจึงจะพิมพ์เพิ่ม โดยพี่เบญ(ลูกดิน) จะช่วยสมทบด้วย
เรื่องต่อมามีฝรั่งกับภรรยา มาที่ร้าน ภรรยาเป็นครูคนไทย พูดอังกฤษคล่องปรื๋อเลย ภรรยาอ่าน “คนจนที่มีแบบ” ฉบับแก้แล้วไขอีกแล้วก็แปลให้สามีฟังจนฝรั่งขอให้พามาดู มาบ้านราชฯ ก็ดูรอบพื้นที่บ้านราชฯ ริมมูนก็ไป แล้วพากันมาที่แผงธรรมทัศน์ ฝรั่งเหมาหนังสือคนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก ที่ตั้งไว้ 5 เล่ม ขอซื้อหมดเลย แล้วก็หยิบไปเล่มเดียว ที่เหลือบอกกับเราว่า ให้เอาไว้แจกให้คนไม่มีตังค์ซื้อหนังสือมาอ่าน ภรรยาก็บอกว่า หนังสือเล่มนี้อ่านไม่ยากค่ะ เข้าใจไม่ยาก สามีฟังแล้วอยากมาดูให้เห็นกับตาเลย แสดงว่าฝรั่งมีปัญญารับวิถีชาวอโศกได้ อย่างที่เรียกว่า Get เลย ให้เลย
สรุปว่า trend ปีนี้ ธรรมะมาแรง แซงหนังสือเกษตร ที่สำคัญแฟนธรรมะพ่อครูนอกจากจะเป็นสว. ยังมีวัยรุ่นมาซื้อหนังสือ คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก ซื้อไปฝากเพื่อนๆ เป็นของขวัญปีใหม่หลายเล่มเลย
มีผู้ถามหาหนังสือ permaculture อยากเอาไปทำเองบ้าง เขาได้ฟังปฏิบัติกรก็อยากทำตาม แต่ทางเราก็ไม่มีหนังสือ หากมีผู้จะทำหนังสือเรื่องนี้ก็ส่งข่าวมาได้ จะได้เปลี่ยนชีวิตของเขาให้ทำการอาชีพที่ปลอดภัยได้
พ่อครูว่า...อาตมามั่นใจเลยว่าประเทศไทยเราจะเป็นมหาอำนาจทางกสิกรรม ก็ย้ำยืนยันมามากมาย เกษตรมีทั้งปศุสัตว์มีทั้งประมง เราเอากสิกรรม อันหมายถึงพืชพรรณธัญญาหารเท่านั้นเราไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ เรารู้แล้วว่าเกี่ยวกับสัตว์เป็นเรื่องวิบาก เราไม่เอาไปฆ่าแกงไปเลี้ยงแล้วไปฆ่าเขากิน คนหนอคน เลี้ยงเขามาฟูมฟักไว้ดีแล้วฆ่ากิน คนเราไม่เข้าใจเรื่องชีวะ ชีวิตสัตว์โลกมันมีวิบากต่อกัน คนเขาไม่เข้าใจก็ทำ เราเข้าใจแล้วก็ไม่ทำให้เกิดวิบากต่อไปอีก
พืชพรรณธัญญาหารเหมือนแกล้งชาวอโศก ดูสวยสมบูรณ์เพราะเราเอาใจใส่มุ่งหมายตั้งใจพัฒนาสร้างภูมิปัญญาเอาใจใส่จริงๆ ทุกอย่างโถมลงไป อันนี้แหละจะกอบกู้โลก ผู้ที่เห็นดีเห็นด้วยก็มาร่วมไม้ร่วมมือกัน คนที่ชอบทำงานกสิกรรมเป็นชีวิตจิตใจ อาตมาอนุโมทนาสาธุ ร้อนเขาก็ไม่รู้ร้อนหนักเขาก็ไม่รู้หนัก เปื้อนเขาก็ไม่รู้เปื้อน วันทั้งวันตากแดด ไม่รู้สึก ลืมไปเลย อะไรอย่างนั้นทำไปดีจังเลย เป็นไปในผู้ที่ยินดีในสิ่งเหล่านั้น ชาวอโศกเข้าใจและมีมากขึ้นเรื่อยๆก็ดี
ประเทศอื่นๆต่างๆเขาจะไม่มีเหตุปัจจัยเหมือนอย่างประเทศไทย ประเทศไทยนี้อยู่ในพิกัดของโลกที่ อุณหภูมิน้ำดินครบพร้อมองค์ประกอบได้สัดส่วน พร้อมที่จะปลูกพืชพรรณธัญญาหาร เราจะไม่เก่งทางอุตสาหกรรมเราจะเก่งทางกสิกรรม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านส่งเสริมท่านตรัสไว้ชัด ท่านบอกว่าเราไม่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมทางอื่นเขาหรอก เรามาทางกสิกรรมซึ่งจะเป็นทางรอด อาตมาพูดเป็นเชิงข่มว่า อุตสาหกรรมก็ช่วยชีวิตได้ แต่ถ้าเอาจริงๆแล้วเหลือแต่เพียงอุตสาหกรรมกับกสิกรรมอะไรจะเป็นสิ่งที่พาให้ชีวิตรอด อุตสาหกรรมสร้างลูกระเบิดได้วิเศษใหญ่ กับการสร้างบล็อกโครี่กะหล่ำปลีได้พิเศษ อะไรจะช่วยชีวิตได้มากกว่ากัน แม้จะเป็นเครื่องยนต์กลไกอะไรก็แล้วแต่ แม้ที่สุดจะสร้างโรบอท สร้างหุ่นยนต์ที่จะพยายามทำให้เหมือนคนจริงๆเลย มีความใกล้เคียงความรู้สึกตอบรับสั่งการตัวเองได้ให้เข้าใกล้ความเป็นคน มันก็ข้ามเขตความเป็น อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จนมาเป็นกรรมนิยาม มันยังไม่มีความรู้อย่างนี้ได้ เขายังไม่มีความรู้ในเรื่องของพลังงานระดับ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จิตก็ต้องสามารถควบคุมกรรมของตัวเองเข้าไปอีกเพื่อให้ทรงเป็นสิ่ง Static มีจิตนิยามเป็นประธานก็จัดพลังงาน Dynamic Static ของตัวเอง พลังงานคู่ในนิวเคลียสของตัวเองได้
การจะเกิดพลังงานในระดับที่เชื่อมต่อให้มันมาเกิดจาก อุตุ ข้ามกรอบมาเป็นพีชะ จากพีชะข้ามกรอบมาเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่เป็น รูปธรรม อรูปธรรม มาจนเป็นชีวะเป็นพีชะ ก็เริ่มมีชีวะ จะเรียกนามเลยก็ไม่เป็นนาม มีสัญญา สังขาร แต่ไม่มีเวทนากับวิญญาณ มันมีได้แค่นั้นส่วนเมื่อมาเป็นจิตนิยามแล้วจะครบทั้งเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็ค่อยๆเป็นไปอีกหน่อยจะมีคนค่อยๆเข้าใจแล้วมาศึกษาต่อขยายผล ผู้ที่สามารถต่อภพภูมิความรู้อันนี้ต่อไปอาตมาก็มีความรู้เท่าที่รู้ พยายามเพิ่มเหมือนกัน ใครจะมาช่วยกันก็พัฒนากันไป
_ใบฟ้า นาวาบุญนิยม พ. 26 / 12 / 61 15.50 น.
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ
ประเด็น 1 ....พ่อครูได้ประกาศให้โลกรู้ว่าหลัง 500 ปีของการกอบกู้พระพุทธศาสนา พ่อครูจะไม่กลับมาเกิดอีก นั่นหมายความว่า “ โพธิกิจ” ของการสืบสานศาสนาให้ครบ 5000 ปีเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นการเพิ่ม”โลกวิทู” สั่งสมบารมีในภพภูมิต่างๆที่มิใช่มนุษย์ของพุทธกัปป์นี้ เพื่อยกระดับขึ้นเป็น”มหาโพธิสัตว์” ใช่ไหมคะ …..ดังนี้ลูกๆทุกฐานะมีโอกาสติดสอยห้อยตามได้หรือไม่ อย่างไรคะ?
พ่อครูว่า...ก็ขอตอบสั้นๆสังเขปว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ อนิจจตา ไม่เที่ยง อาตมาพูดไปคร่าวๆ อาตมาพูด 500 ปีนี้มันนานแล้ว จนเขียน pattern เป็นรูปสามเหลี่ยม
ได้เขียนไว้นานแล้วโลโก้นี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตา เป็นความสงบที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเดือดร้อน ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่าเหมือนก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก แล้วน้ำแข็งก็ไม่ละลายด้วย มันจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งซับซ้อนเป็นเรื่องอุปมาอุปไมย
ปณีตา คือ ละเอียดสุขุมเกินกว่าจะเดา อตักกาวจรา เดาไม่ได้ ต้องทำเองสังเกตเองเป็นเอง นิปุณา ก็ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรมันละเอียดสุขุมไปแล้วละเอียดมาหมดแล้ว นิปุณา แปลว่าละเอียดลึกซึ้งถึงนิพพาน ต้องบัณฑิตแท้ๆไม่ใช่บัณฑิตไปสอบเอาจากสำนักตักศิลามหาวิทยาลัยอะไร เป็นความเจริญความเฉลียวฉลาดแท้ๆจริงๆเกิดความเป็นบัณฑิต ด้วยความรู้ที่เกิดจริงเป็นจริงเองเลย
ขออภัย อย่างอาตมาเป็นบัณฑิตเองเลยไม่มีใครมาให้ปริญญาแม้แต่ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปริญญาจัตวาก็ไม่มี
ฐานะของลูกๆจะติดสอยห้อยตามไปได้แน่นอนไม่ต้องห่วง
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน มุทุธาตุคือจิตสิริมหามายา
ประเด็น 2 ....“ข้อเด่น”ของพ่อครูที่ต้องกราบขอโอกาสเชิดชู
1. เมตตากรุณาที่สุด(ในโลก)
2. มีความเป็นกลางไร้ลำเอียง
3. ขยัน เขียน - เทศน์ที่สุด(อิทธิบาทเต็ม)
4. มีภูมิธรรมสูงสุด ณ กาละนี้
5.เอาภาระกับมวลมนุษยชาติที่สุด
6 ขนาบกิเลสลูกๆเก่งสุด ไม่อ่อนข้อให้กิเลสแม้นิดๆ
7.ตอบปัญหาได้อย่างไร้เทียมทาน สนุก(ธรรมะบันเทิง)
8. นักมายากลที่เรียก “สิริมหามายา” ตัวจริง
9. ขยายอายุขัยได้ยาวที่สุด
10.เป็นไอดอลของ “คนจนที่สุขสําราญเบิกบานใจ”
กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้าฯ
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าเมื่อได้ศึกษาอะไรไปมากกว่าความเป็นมนุษย์กับสังคม จะทำอย่างไรให้มนุษย์อยู่กันอย่างดีที่สุดในสังคม ไม่มีอะไรอื่นดีกว่านี้
อาตมาพยายามขยายอายุขัยด้วยพลังสัมประสิทธิ์ มีสูตรคือ
แทนค่าสูตรในสมการ E = C(mc2 +A) ดังนี้
m = ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
A = นาม 5 (เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)
c = ความเร็วของจิต คือ มุทุธาตุ ในคุณสมบัติของ อุเบกขา 5
C = ค่าสัมประสิทธิ์
ตัว A คือ Abstract ที่แต่ละคนสร้างได้ในนามธรรมของตัวเอง ก็จะเพิ่มตัว mc2 เป็นชุดๆ บวกไปสี่ชุดห้าชุด จนยกกำลังได้ ก็ได้mc2 ยกกำลังได้ สูตรของอาตมาก็คือ E=C(mc2+A) สูตรของไอน์สไตน์ E=mc2
ตัว C คือ Coefficient แล้วตัวที่จะพัฒนา
mc2 คือตัวที่บวก A นี้ไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่อาตมาต้องทำต่อ
ค่า A ผู้ที่ศึกษาตามก็ชัดเจนขึ้น มันบวกเข้าไปในสมการอย่างไร
A = mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 ...บวกไปก็เป็น x หรือคูณ คูณมากๆก็เอาไปยกกำลัง เป็นวิธีทางคณิตศาสตร์ให้สรุปได้เข้าใจสั้น ไม่ต้องเขียนให้ยาว
เราบวก mc2 ประมาณหนึ่ง A เป็นตัวแทน บวกกันได้ระดับหนึ่งก็เป็นคูณ และเป็นยกกำลัง เช่น เป็น 9 อันก็เป็น 32
A จะพัฒนาเป็น C ได้อย่างไร ก็เพราะว่ามันคูณมากๆและเป็นยกกำลัง หากจะเอา mc2 คูณกันมาก ก็ทดไปเป็น C หากใครจะทำให้เป็นสูตรที่ละเอียดกว่านี้ได้
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูปรับได้ไวมาก บางวันดูเหมือนป่วยจะแย่ แต่อีกวันหนึ่งเหมือนไม่เป็นอะไรเลย มาเทศน์ได้ปกติ
พ่อครูว่า...มุทุภูตธาตุคือภาวะสิริมหามายา คือพลังงานจิตที่มีอำนาจ
อาตมาไม่มีโศกเศร้าอะไรในใจ สุขสำราญเบิกบานใจไม่ได้เป็นโลกีย์อยู่ในวงอันพอเหมาะ
_จากคุณน้อย กฤษณา กราบนมัสการพ่อท่านโพธิรักษ์ค่ะ
ดิฉันได้มีโอกาสมาสัมผัสงานเพื่อฟ้าดินครั้งแรกค่ะ ได้เข้าคิวซื้อคูปองอาหาร ที่เลือกคือก๋วยเตี๋ยว และรู้สึกเป็นแบบบุฟเฟ่ต์บริเวณผักลวก น้ำพริกอื่นๆ เพราะไม่มีใครเฝ้า มีเพียงกล่องรับคูปองวางอยู่ แต่หาที่นั่งไม่มีบริการค่ะ เสร็จ แต่โดนใครไม่ทราบ จะเป็นญาติธรรมหรือไม่ไม่แน่ใจค่ะเพราะสวมเสื้อลายยืนตวาดห้วนๆ “กินแล้วเอาไปล้างๆๆ โน่น” ....
ควรมีป้ายบอกผู้ที่ไม่เคยร่วมกิจกรรมมาก่อน
แต่พอเดินผ่านญาติธรรมที่ประกอบอาหารก็บอกห้วนๆอีกว่า “โน่นๆไปเดินทางโน้น ตรงนี้ไม่ให้ผ่าน” ก็ไม่มีป้ายบอกอีก
ทำให้รู้สึกว่าเราชาวโลกถูกรังเกียจว่าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม เราก็เป็นผู้มีมารยาทอยู่นะคะ
ขอให้มีป้ายบอกแนวปฏิบัติหรือมีผู้ประกาศ ประชาสัมพันธ์ในการปฏิบัติ
ตัวที่ชื่นชมคืออาหารอร่อยราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ
...แค่รายงานบรรยากาศให้พ่อท่านทราบค่ะ กราบสาธุค่ะ 1 มค. 62
สม.กล้าข้ามฝัน.
ส.เดินดิน
ส.แสนดิน
จากใบฟ้าก็มาหนึ่งฟ้าบ้าง…
_จากหนึ่งฟ้า ฝากเรียนถามพ่อครูว่า ความน่ากลัวของจีน กับอโศก มีลักษณะคล้ายและต่างอันไหนบ้าง
เมื่อเร็วๆ นี้ การศึกษาค้นคว้า “ภัยคุกคาม” ที่มาจากประเทศจีนซึ่งบรรดานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในอัมสเตอร์ดัมฮอนแลนด์ ข้อสรุปที่ได้คือ “ประเทศจีน น่ากลัวมาก” มีสิ่งที่ประเทศอื่นในโลกไม่มีเป็นจำนวนมาก ดังนี้
1. ยืนหยัดในสังคมนิยม แต่ไม่กีดกันทุนนิยม ยืนหยัดในการนำของพรรค แต่ไม่กีดกันการตรวจสอบของพรรคอื่น
2. รูปแบบเศรษฐกิจที่ใช้ พบเห็นได้ยากในโลก ทั้งไม่ใช่เศรษฐกิจสาธารณะ ทั้งไม่ใช่เศรษฐกิจตลาด รูปแบบผสมผสานชนิดนี้ได้ผลดีมาก
3. รักชาติทั้งประเทศ พบเห็นได้ยาก ภายในทะเลาะกัน แต่เจอศัตรูภายนอก ไม่ต้องมีใครปลุกระดม พันสี่ร้อยล้านคนต่อต้านศัตรูภายนอกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กรณีของซาด ทำให้ประเทศเกาหลีสูญเสียตลาดไป 2 ใน 5
4. ผู้นำชั้นสูงจิตหนึ่งใจเดียวทำเพื่อประชาชน พบเห็นได้ยากในโลก ไม่เก็บภาษีการเกษตร ช่วยคนจน ต่อต้านภัยธรรมชาติ ทุ่มเทพลังกายพลังใจสุดชีวิต
5. ระบบการเลือกผู้นำ พบเห็นได้ยากในโลก การเลือกผู้นำชั้นสูงของจีน จะต้องผ่านการทดสอบกว่า 10 ปี ไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ สามารถครอบงำได้
6. ระบอบของประเทศ พบเห็นได้ยากในโลก ประเทศจีนคิดจะทำอะไรที่เห็นว่าสำคัญ ไม่มีอะไรที่ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าพวกเขาสามารถระดมพลังคน พลังทรัพย์ และพลังทางวัตถุไปทำโดยไม่มีแรงเสียดทาน
7. คนรุ่นใหม่กลายเป็นเสาหลักของประเทศ ในปริมณฑลทางอากาศ อวกาศ พลังนิวเคลียร์ อีเล็กโทนิค แผ่นชิป รถไฟความเร็วสูง ผู้รับผิดชอบมีอายุเฉลี่ยอยู่ที 39.4 ปี ในหมู่พวกเขาเป็นนักศึกษาจบจากนอก 40 เปอร์เซ็น
8. ประเทศจีนมีระบบอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ไม่ว่าการผลิตเข็มเล่มหนึ่งหรือการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน เริ่มจากการออกแบบถึงสินค้าสำเร็จรูป ขอเพียงแต่พวกเขาปรารถนา ไม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังภายนอก
9. จีนมีเงินคงคลังที่มากมายมหาศาล มีเงินทุนสำรองเป็นดอลลาร์ 4 ล้านล้าน ซื้อพันธบัตรอเมริกา 2.1 ล้านล้าน เงินฝากธนาคารและทุนสำรองอื่นๆ มีประมาณ 8 ล้านล้านหยวน พลังทางการเงินที่แท้จริงคิดเป็นผลรวมของ ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และรัสเซีย
10. นวตกรรมสินค้าแบรนด์เนมของจีน พบเห็นได้ยากในโลก ทั่วโลกเรียกสินค้าบางตัวที่ยอดเยี่ยมว่าสินค้าแบรนด์เนม ส่วนประเทศจีนนั้นถือเอารูปแบบธุรกิจแบบใหม่ชนิดหนึ่งว่า แบรนด์เนม อีคอมเมอช อาลีเพย์ จักรยานแบ่งปัน พวกเขาใช้เวลาที่สั้นมากสร้างมูลค่ามาศาลที่พบเห็นได้ยากจากรูปแบบธุรกิจแบบใหม่
11. จีนมีความสามารถในการคอนโทรลมหภาคที่พบเห็นได้ยาก มรสุมวิกฤติการเงินของเอเชียและวิกฤติซับพรามของอเมริกา ส่งผลกระทบต่อจีนน้อยมาก ส่วนวิกฤติที่เกิดในจีนเอง ก็จะถูกลบล้างอย่างรวดเร็ว
12. จีนมีตลาดที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก เขาสามารถอาศัยการบริโภคเองมากระตุ้นการตลาด ขณะเดียวกัน พวกเขาก็สามารถทำให้ตลาดที่พวกเขาเห็นว่าเป็นภัยจมหายไปกับตา
13. ประเทศจีนคาดการณ์ล่วงหน้าไปหลายสิบปี เป็นเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองในโลก จีนมีโครงการ 5 ปี 10 ปี 1 สาย 1 เส้นทาง อาจเป็นโครงการ 50 ปี ความสามารถในการคาดการณ์ พยากรณ์ล่วงหน้าชนิดนี้ เป็นรากฐานในการรับมือกับวิกฤติทุกชนิด
14. การกำหนดนโยบายที่ดีสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ในโลกนี้พบเห็นได้ยาก ประเทศอื่นๆ ในโลก ประธานาธิบดีคนหนึ่งมีความคิดหนึ่งเปลี่ยนไปเรื่อย แต่ที่จีน คำว่ารับใช้ประชาชน ปฏิรูปเปิดประเทศ ใช้มาหลายสิบปี ใช้ได้ศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่น นโยบายต่างประเทศอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 5 ประการของโจวเอินไหลในที่ประชุมบันดง จนถึงปัจจุบันยังคงเป็นหลักนโยบายของการต่างประเทศ นี่เป็นการแสดงออกของการรักษาสัจจะและรับผิดชอบของมหาประเทศ
พ่อครูว่า...พวกลูกๆหลานๆหนุ่มๆสาวๆทั้งหลายแหล่ไม่มาสืบทอดต่อจะแพ้จีนนะ พูดอย่างนี้จะไปถึงหูพวกรุ่นๆไหมนี่ จะมีกี่คนที่ดูอยู่ตอนนี้
15. พลังแท้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อันใหญ่โตมโหฬารของจีน ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ การพัฒนาใกล้ 40 ปีมานี้ของจีน ไม่ใช่พัฒนาเฉพาะด้านหนึ่งด้านใด หากแต่เป็นการพัฒนาพลังรวม แม้จะไม่ใช่ดีที่สุดในโลก แต่มีศักยภาพที่สุดในโลกแน่นอน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจีนคือสิ่งเหล่านี้ ภัยคุกคามที่มาจากเขาก็คือสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ถ้าหากไม่เกิดปัญหาที่ตัวเขาเอง ขอถามว่า มีใครบ้างที่สามารถโค่นล้มเขาได้ การเจริญเติบโตของเขา ไม่ว่าใคร ล้วนไม่สามารถขัดขวางได้
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน โลกานุกัมปายะของชาวอโศก
พ่อครูว่า...เปรยถามมาทางอาตมา ที่พูดนี้เป็นความรู้ความเจริญฉลาดของมนุษยชาติ ประเทศจีนกำลังรวบรวมเอาความประเสริฐต่างๆไปใช้ได้ดี ตามสถานภาพที่แท้จริงของเขา ก็ทำได้ดีขนาดนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มหมู่มนุษยชาติที่น่ากลัวมาก เป็นการตื่นตัวในสมัย จีนกับอินเดีย มีพลเมืองประมาณกัน เป็น 2 ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด
อินเดียเป็นเชิงเจโตเป็นเชิงศรัทธา ไม่ปรู๊ดปร๊าดทางปัญญาแต่จีนเป็นสายปัญญาเฉลียวฉลาด ทางอินเดียมีความลึกในทาง เจโต ศรัทธามีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา นี่เป็นสองลักษณะของเทวะ เทวคือธรรมะ 2 ที่มีอยู่ในมนุษยชาติทั้งโลกตลอดกาลนาน ก็ต้องศึกษาเทวะหรือสองนี้ให้ดี
อาตมาก็ขอพูดตามภูมิอาตมา ว่าจีนเขาก็มีความรู้ในเชิงธรรมะโลกุตระกลายๆ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าในพลเมืองจีนจะมีศาสนาหรือธรรมะขั้นโลกุตระ สัจจะทางจิตของเขา จะมีคุณลักษณะคุณธรรมต่างๆเข้าขั้นไหม แต่เขามีแน่ ขณะนี้ที่ประมวลแล้วเขามีคุณธรรมเชิงมักน้อย ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน เพื่อมวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ช่วยโลกไม่มีขีดขั้น
เช่นอาตมาพยายามอธิบาย GDP Gross Domestic Product รายได้มวลรวมของเรา โดเมสติก ภายในประเทศ อาตมาอธิบายว่า รายได้มวลรวมคือของคนในประเทศเท่านั้นจริงหรือเปล่า หรือพูดแล้วก็ตีกิน ไปเอาเปรียบเอารัด จากประเทศอื่นเขา ไม่ใช่ของตนเองภายใน คุณก็ไปเอาของคนอื่นเขามา เอาสินค้าผลผลิตของคุณไปขายเขาแล้วก็เอากำไร เอาผลได้เกินทุนมากเท่าไหร่เท่าที่จะทำได้ Maximize profit คุณใช้วิธีนี้หรือเปล่า ถ้าคุณใช้วิธีนั้นคุณก็ได้มาแล้วก็เอาไปเรียกรวมว่าเป็น GDP อันนี้ผิด
อาตมาให้ความหมายอันนี้มาหลายครั้งแล้ว ถ้าจะเอา GDP อย่างซีเรียส มันต้องของเราเอง ของคนอื่นนั้น เรายิ่งเป็นผู้ที่สร้างได้มากมีผลผลิตสูงมีความเหลือ มีส่วนเกินเยอะ คุณแจกจ่ายไปสิ ขายต่ำกว่าทุนแจกฟรี นั่นชื่อว่า Domestic แท้ แต่ถ้าคุณไปขายเกินทุน Maximize profit ได้กำไรมากเท่าไหร่ข้าก็เอา นั่นไม่ใช่ใหญ่ อาตมาอธิบายความหมายประเด็นนี้ละเอียดหลายที ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกัน
ชาวอโศกอาตมาพยายามสอน เราอย่าไปเอากำไรจากคนภายนอก จงใช้สมรรถนะของเราสร้างให้เกินกินเกินใช้ มีส่วนเหลือส่วนเกินแล้วสะพัดออกไปให้แก่คนอื่น ขายจะต้องขายให้ต่ำกว่าทุน อย่าไปเอาเปรียบเอารัดเขา เราขายต่ำกว่าทุนแล้วเราอยู่ได้ไหมก็อยู่ได้เพราะว่าแต่ละคนมีสมรรถนะมีความสามารถเกินกินเกินใช้ของเราหลายผู้หลายคน เผื่อแผ่กันในที่นี้ ในมวลสมาชิกชาวอโศกพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ พอกินพอใช้ไม่กระเบียดกระเสียรไม่แย่งไม่ชิงมีส่วนเกิน จริงๆ
เราก็เอาส่วนเกินนี้ไปเสียสละให้แก่คนอื่น เรามีส่วนเกินแล้วอย่างไรก็ไม่ขัดข้องไม่กระเบียดกระเสียร ไม่แย่งชิงอะไรกันจนเกินกินเกินใช้ เพราะภูมิธรรมของเราไม่สุรุ่ยสุร่ายไม่ฟุ่มเฟือยไม่เฟ้อไม่เกิน รู้จักสิ่งที่กินใช้อย่างพอเหมาะพอควร เพราะลดกิเลสได้จริง ตัวกิเลสนี่แหละทำให้มันเปลืองกว่าที่ควร ลดกิเลสได้มันก็ประหยัดเป็นสัจจะ ที่เคยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินก็ลดลงไปได้อีก จะเห็นได้ว่าตัวคนมันถูกหลอกมาให้เฟ้อให้เกิน เอาอะไรมาบำเรอตัวเองมากมายหนักหนาสาหัส
ถามนิดนึง พวกเรายังมีสิ่งที่เฟ้อที่เกินอยู่มั่งไหม มี ขนาดพวกเรา อาตมาบอกชาวอโศกพวกเราอยู่ในฐานอนาคามีภูมิ ไม่ไปหลงกามรสของโลกเขา หรือโลกธรรม 8 ลาภยศสรรเสริญเราไม่ได้ไปอยากรวยมหาศาลอย่างข้างนอกเขาแล้ว ไม่แล้ว บางคนก็น้อยลง บางคนเคยมีเงินเป็นร้อยล้าน อาจจะไม่มีคนที่พันล้าน ยังไม่มีใครมี หรือมีก็ไม่รู้เอาซ่อนไว้แล้วไม่บอก เราก็มาสละออกจนอยู่ในนี้ ก็ไม่รู้นะ แต่ว่าขณะนี้ในชาวอโศก ร้อยล้านอาตมาไม่ถามนะว่าใครมี จะมีกี่คนกันเชียว สัก 10 ล้านนี่น่าจะมีอยู่ ยักเอาไว้ มีคนคิดว่าถ้ามีไม่ถึง 10 ล้านจะอยู่ไม่รอด ก็เป็นสิทธิของใครของมันไม่มีปัญหา เป็นอย่างไรก็ไม่ไปเบียดเบียนอะไรกับใครแต่เขาจะสละเข้ามา หรือจะสละออกไปที่อื่น เอาตัวเองให้กล้าจน ถ้าทำได้ก็เป็นสัจจะไม่มีปัญหาให้พากเพียรไปเถอะ คนเราไปบังคับกันไม่ได้ ตัวใครก็เท่าที่ตัวเองได้ ฝืนเกินไปก็ทุกข์
ตัวอย่างของอโศกเป็นตัวอย่างของผู้มักน้อย เป็นคนกลุ่มน้อยมักน้อย มีตัวอย่างของสาธารณโภคี อาตมาว่ามันสุดยอดแล้วในมนุษยชาติ ของจีนเขาก็ทำได้ประมาณนั้น พลเมืองเขามีประมาณนั้นแล้วเขาจะมีความรู้เรื่องวรรณะ 9 ไหม จะมีความรู้ในเรื่องโพธิปักขิยธรรมไหม เขาจะมีความรู้ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาอย่างของพระพุทธเจ้าไหมล่ะ จรณะ 15 วิชชา 8 เขาจะมีไหมล่ะ เขายังไม่มีหลักเกณฑ์ไม่มีทฤษฎีสำคัญพวกนี้ไปใช้ทีเดียว แต่เขาก็เป็นพุทธกันเยอะนะ
แต่อาตมาว่า โลกุตรธรรมของชาวจีนยังไม่ถึงชาวอโศก แต่พวกเรามีน้อยคนคัดเอาหัวกะทิมามันก็ได้ แต่คนจีนนั้นเขายังไม่มีความรู้โลกุตระเข้มข้นเหมือนเราเท่าไหร่ แต่ก็มีบ้างในความรู้ที่กว้างในความเป็นจุดสำคัญ เป็นเชิงที่เป็นการเสียสละตนเอง 1.ลดตนเอง 2.ให้อิสระเสรีภาพมากขึ้น ถึงอย่างไรของจีนเขาก็ได้ประมาณหนึ่ง
ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบต้องไม่มีตัวตน ให้อิสระเสรีภาพสมบูรณ์ไม่มีอคติ หรือว่ามีปัญญา หรือสามเส้าของอาตมาให้ไว้ตั้งเยอะแยะ ที่จริงมีประมาณ 3
อันนึงต้องมีกษัตริย์ มีประชาชน มีปัญญา
อีกอัน มีอิสระเสรีภาพ มีความไร้อัตตา มีปัญญา
อีกอัน ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ
แค่สามเส้านี้ ศึกษาและปฏิบัติให้จริงจะเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดในโลก สามเส้าสามหน่วยนี้ อาตมาว่า ขอให้มีสภาวะที่จริงนี้ได้
เพราะฉะนั้นที่ถามมาว่า เป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวของพฤติกรรม หรือจะเรียกว่าคุณลักษณะก็ได้เป็นพฤติกรรมของชาวจีนขณะนี้ จะเป็นภัยคุกคามหรือเปล่า ที่สำคัญยิ่งก็คือองค์รวมของประเทศจีน มีคุณลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยมันไม่ใช่ 2 ขา
เป็นประชาธิปไตยประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นเขาไม่มีราชประชาสมาสัย โดยเฉพาะไม่มีโลกุตรจิต มีทฤษฎีหลักแล้วเจตนาจะสร้างพฤติกรรมมนุษย์ให้เป็นอย่างนี้ไหมแต่ว่าชาวอโศกมี ชาวอโศกมีเป็นทฤษฎีหลักเลยแล้วพากเพียรปฏิบัติให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็ยังมีอัตราการก้าวหน้าอยู่นะ ชาวอโศก
หากจีนเขามีอย่างที่ชาวอโศกมี มีทฤษฎีมีหลักการพากเพียรปฏิบัติรู้จุดหมายนิพพาน ถ้าจีนมีก็ไม่มีประเทศไหนหักล้างเขาได้เพราะพลเมืองเขามีเยอะพลังงานเขาก็มีเยอะเขาได้แน่
ที่ จุดสำคัญจริงๆที่สุดท้ายนี่นะ ของพระพุทธเจ้าคือ โลกานุกัมปายะ จุดเด่นสุดท้าย แม้ทีสุด GDP ก็ต้องเป็นโลกานุกัมปายะ ช่วยให้แก่โลกไม่ได้ให้แก่ตนเอง เรามีทุน มีส่วนเหลือส่วนเกินให้คนอื่นได้ไม่ใช่เตี้ยอุ้มค่อม แต่เป็นคนมีเหลือเฟือจริง เราไม่เป็นหนี้ ไม่ไปหมกหมักสร้างหนี้เหมือนอเมริกา ระวังนะชาวอโศก ใครเป็นหนี้เป็นประเด็นแรกเลยให้หยุดเป็นหนี้ พึ่งพาตนเองรอด สร้างให้เหลือให้เกินสะพัดเพื่อผู้อื่น นี่ก็เป็นหลักการใหญ่ที่อาตมาพูดมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่
1. พึ่งพาตนเองรอด
2.ไม่เป็นหนี้ ปิดประตูหนี้
3. สร้างสิ่งสำคัญ จำเป็นให้เหลือให้เกิน ให้ดีให้งาม
4. สะพัดไปให้แก่ผู้อื่น แจกจ่ายเจอจานเผื่อแผ่ผู้อื่น คือโลกานุกัมปายะที่แท้
ถ้าหาก 4 สภาวะนี้เจริญก้าวหน้าคุณยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล
โลกานุกัมปายะคืออะไร คือ 1. พึ่งพาตนเองรอด 2. ไม่เป็นหนี้ ปิดประตูหนี้ 3. สร้างให้เหลือให้เกิน ให้ดีให้งาม 4. สะพัดไปให้แก่ผู้อื่น แจกจ่ายเจือจานเผื่อแผ่ผู้อื่น
เราก็มีแค่นี้แหละจนๆ เราไม่มีมากแต่เรามีสมรรถนะมีความมีน้ำใจเยอะ มีสมรรถนะสร้างให้มากเผื่อแผ่ได้มาก ไม่ต้องมีกับตัวเองไว้มาก เพราะอะไร เพราะอาตมามั่นใจในคุณธรรมของมนุษย์ ถ้าเราเป็นคนมีแต่ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีอคติมีน้ำใจมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาจริง คนนะ มีภูมิปัญญามีความเฉลียวฉลาดเขาจะรู้สิ่งนี้ เขาจะไม่มาทำร้ายทำลายกับคนชนิดนี้ คนที่มีแต่ความไม่เห็นแก่ตัวมีแต่เกื้อกูล โลกานุกัมปายะ สี่ระดับอย่างสมบูรณ์แบบ
คำว่า (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เราฟังคำว่าโลกานุกัมปายะ ประเทศอินเดียเขากำลังทำให้ประเทศเขาพึ่งพาตนเองได้ แต่ว่าจริงๆแล้วในพุทธบริษัทไม่มีใครจะทำร้ายพุทธบริษัทได้เท่ากับคนภายใน ชาวอโศกก็เช่นกันหากไม่มีคุณธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัส เราก็ต้องฝึกฝนตนเองให้มากๆ เพราะว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ประเทศจีนมีคนเป็นพันล้านจะเอาโลกุตระไปได้สักกี่คน นิมนต์พ่อครูไปเทศน์ประเทศจีนจะได้สักกี่คนก็ไม่รู้
พ่อครูว่า...อย่ามานิมนต์ไปเลย ภูฏาน ก็มานิมนต์จะให้ไปอาตมาเมื่อยไม่อยากจะไปต่างประเทศ อาตมาไม่เก่งภาษาต่างประเทศด้วย
จริงๆเลยนะ ถ้าจะให้ต้องไปต่างประเทศก็จะไปลาว พูดกันได้ค่อยยังชั่วหน่อย นอกนั้นจะไม่ไปมันเมื่อยมือ พูดกันก็เมื่อยมือเมื่อยแขน ข้อสำคัญ คนแปลไม่รู้จะแปลถูกหรือผิด
ขอลงท้ายที่บทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แนวหน้า … เศรษฐกิจไทยในยุคคสช.
แนวหน้า บทบรรณาธิการ วันพุธ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561,
เศรษฐกิจไทยในยุคคสช.
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลระบอบทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดความหยุดชะงักรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ หลังจากนั้น พลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เวลาผ่านไปถึงปีที่ 5 ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีกว่าสิ้นปี 2557 มากมายหลายเท่าตัว
พ่อครูว่า...ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ไปทำปฏิวัติแต่ประชาชนทำการปฏิวัติรัฐประหารต่างหาก ตอนนั้นยิ่งลักษณ์ไม่มีอำนาจแล้วมีแต่รักษาการณ์นายชัยเกษม ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจอะไร พลเอกประยุทธ์ถึงบอกว่าผมขอยึดอำนาจมันก็เรียบร้อย เพราะว่าประชาชนปฏิวัติรัฐประหาร ประหารรัฐบาลต่างๆไปหมดแล้ว อันนี้ พูดถึงเนื้อหาเนื้อแท้ของสัจธรรม นักรัฐศาสตร์ควรทำความเข้าใจให้ดีเพราะว่ามันไม่เคยมีในโลกมีในประเทศไทยนี่แหละ ประชาชนไปรัฐประหารกำจัดรัฐบาลออกไปอย่างดีงามที่สุด เพราะกำจัดด้วยความสงบเรียบร้อยไม่มีความรุนแรง ไม่ใช้อาวุธ เอาแต่ความจริง คุณผิดคุณขี้โกง มาประกาศยืนยัน จนคนขี้โกงต้องยอมจำนน เขาต้องยอมโดยศิโรราบ เราไปประท้วง ไปปฏิวัติ ไปประหารเขา ไปเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ให้เขามาปกครอง เพราะฉะนั้นทักษิณก็ไม่ได้แล้ว นอมินี นายสมัครเราก็เอาออกไป มีนายสมชายเราก็ออกไปอีก เมื่อเป็นยิ่งลักษณ์อีก ที่จริงอภิสิทธิ์ก็มาคั่น อภิสิทธิ์ไม่มีความผิดต้องออกไปจากต่างประเทศแต่นอกนั้นมีความผิดหมดเลย นายกฯยิ่งลักษณ์ผลาญพร่าทำลายประเทศจนเป็นหนี้มาจนถึงทุกวันนี้ พลเอกประยุทธ์ต้องมานั่งใช้หนี้อีกตั้งเท่าไหร่
สรุปว่ายังไม่เคยมีมาในโลกเลยที่ประชาชนจะปฏิบัติได้อย่างสงบซื่อสัตย์จริงใจ เอาความจริงเข้ามา ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆทั้งหมด นอนกลางถนนมาเป็นปี มีแต่พวกนั้นที่มายิงมาทำร้าย พวกเราไม่ได้ไปยิงไปทำร้ายเขาเลย มีพวกเราบางคน มือปืนป๊อปคอร์น ก็มาช่วยในวาระนั้น ก็เลยต้องรับวิบากไป ก็น่าสงสารเขา เขาก็มาช่วยพวกเราไม่ได้ไปช่วยรัฐบาลแต่ด้วยหลักเกณฑ์อะไรก็ถือว่าเป็นวิบากของเขาแต่ก็ถือว่าเขาได้ทำดี โดยวิบากกรรมไม่ได้เสียหาย เป็นความซับซ้อนที่ไม่เคยมีมาเลย
ขอยืนยันว่าที่พูดนี้พูดในความหมายของวิชาการรัฐศาสตร์ ประเทศไทยนี่แหละทำได้ก็เลยประกาศศักดาเลยว่าประเทศไทยมีประชาชนปฏิวัติ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็กถ้าเป็นจีนเขาก็ประกาศเลยก็ต้องยอมรับทันที หรือมีชื่อเสียงจะเป็นรัสเซียอเมริกาก็แล้วแต่เขาก็อาจจะประกาศคนอาจจะยอมรับ แต่นี่เรายังเล็กเราประกาศไปว่าเป็นความถูกต้องดีงามที่สุดเขาก็ยังไม่ยอมรับเพราะว่าอัตตาของคนเรา อัตตามานะไม่ยอมรับง่ายๆ
มันเป็นรัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นปฏิวัติรัฐประหารที่ยิ่งใหญ่ เมื่อประชาชนปฏิวัติเรียบร้อยพลเอกประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ฐานะและมันก็ลงตัวอย่างพลเอกประยุทธ์ มาเป็นผู้รักษาความสงบแห่งชาติก็มารับช่วง แล้วก็ไปทำงานต่อ
ทำงานผ่านมา 4 ปีแล้วก็เรียบร้อย มีอัตราการก้าวหน้า
มาอ่านต่อ
หลังจากนั้น พลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เวลาผ่านไปถึงปีที่ 5 ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีกว่าสิ้นปี 2557 มากมายหลายเท่าตัว
แต่กลุ่มคนที่เป็นพวกที่สูญเสียอำนาจไปเพราะคณะทหารได้ออกมาโวยวายอย่างหนักแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วฐานะของเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีปัจจุบันคือปี 2561 ดีกว่าสมัยยิ่งลักษณ์มากนักดังตัวเลขที่จะยกมาให้ดังนี้คือสิ้นปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่นักการเมืองในระบอบทักษิณต้องสูญเสียอำนาจการบริหารประเทศไปนั้นประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติ 407.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 13.237.25 ล้านล้านบาท มีประชากร 65.4 ล้านคน
ประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเทียบปี 2556 กับ 2557 โตแค่ 0.7% เท่านั้นประชากรมีรายได้ต่อหัวคนละ 13,000 เหรียญสหรัฐ หรือคนละ 422,500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 35,208 บาทต่อคน มาสิ้นปี 2561 ในยุครัฐบาล คสช. ประเทศไทยมีประชากร 67.6 ล้านคนรายได้ประชาชาติสิ้นปี 2561 ประมาณ 1.323 ทริลเลี่ยน(ล้านๆ)เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 455,400 ล้านล้านบาท รายได้ต่อหัวคนละ 19,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 617,500 บาทเฉลี่ยเดือนละ 51,458 บาท
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างปี 2560 กับ 2561 โตขึ้น 4% ไทยส่งสินค้าออกในปี 2561 ได้ถึง 236,760 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าสินค้า 222,760 ล้านเหรียญสหรัฐเทียบแล้วไทยเกินดุลชำระสินค้า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปี 2561 ค่าเงินบาทแข็งค่าคือ 1 ริงกิตมาเลเซียเท่ากับ 7.96 – 8.00 บาท บาทไทยมีค่าสูงขึ้น
เมื่อเทียบเงินบาทกับเงินตราสกุลหลัก 5 สกุลของโลกปรากฏว่าค่าเงินบาทสูงมาก 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 32.5 บาท 1 ยูโรเท่ากับ 37.5 บาท 1 ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษเท่ากับ 41.4 บาท 100 เยนเท่ากับ 29.5 บาท เมื่อนำเอารายได้ประชาชาติในปี 2557 กับ 2561 แล้วจะพบว่ารายได้ประชาชาติสมัย คสช.ดีกว่าสมัยระบอบทักษิณถึง 915.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3 เท่าตัวในเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมเต็ม 100 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเป็นอย่างมากแต่การกระจายรายได้ไม่ดีเท่าให้เกิดภาวะคนที่ร่ำรวยอยู่แล้วมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากตัวเลขของนิตยสารฟอร์บสนั้นระบุว่าไทยมีมหาเศรษฐี 1 พันล้านเหรียญสหรัฐถึง 40 ตระกูล มีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีฐานะที่ร่ำรวยที่มีรายได้ต่อปีคนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 1 ล้านคนจากประชากร 67.6 ล้านคน
ปัญหาที่รัฐบาลคสช.ต้องแก้ไขให้เป็นผลก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ก็คือการกระจายรายได้และการใช้โครงการสวัสดิการแห่งรัฐไปสู่ประชาชนที่ยากจนที่มีประมาณร้อยละ 20 ให้เป็นผลงานที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน https://www.naewna.com/politic/columnist/38404
พ่อครูว่า...ให้คนเข้าใจสัจธรรม เช่น ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็จะสำเร็จและเป็นเศรษฐกิจที่ดีจริงๆด้วย เศรษฐกิจจะมีคนจนมากขึ้นในประเทศ แต่เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นคำว่าคนจนจึงยิ่งใหญ่มาก ที่จะต้องศึกษาและทำเป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่นี้ให้ได้ ชาวอโศกทำได้และยืนยันมั่นคง เพราะฉะนั้นทางลัดจะมางับหัวคนจนของประเทศต้องดูดีๆ เมื่อเจอคนจนที่ร่ำรวยเข้าจะงง คนจนที่อุดมสมบูรณ์คนจนที่พอแล้ว แต่คนที่มีแสนล้านหลายแสนล้านยังจนกระจอกอยู่เลย ยังไม่พอ ไอ้อย่างนั้นสิ ควรจะต้องให้มาเข้าห้องปรับทัศนคติ คนจนที่ไม่รู้จักพอคนนั้นมีกี่แสนล้านก็ไม่พอ นั่นแหละควรจะจับมาอบรมทัศนคติใหม่ เพราะว่า ทัศนคติของคนล้มเหลวมากเป็นภัยเป็นบาป พูดไปก็คงเข้าใจกันดี เราทำอะไรได้ดีได้วิเศษประเสริฐเพิ่มขึ้น
Pope ฟรานซิส เรียกร้องให้ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบ่งปัน ที่วาติกันซิตี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส กล่าวในประเทศในพิธีมิสซา คืนคริสต์มัสอีฟ ที่พึ่งผ่านมา เรียกร้องไห้คริสตชนทั่วโลก ใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น แบ่งปันและเป็นผู้ให้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นประธานในพิธีมิสซา ขอบพระคุณในคืนคริสต์มาสอีฟ ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครติดกันเมื่อวันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาสครั้งที่ 8 ตั้งแต่พระองค์รับตำแหน่งผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิก ปัจจุบันพระองค์ก็มีวัย 82 พรรษา ในบทเทศน์และระหว่างพิธีมิสซา พระสันตะปาปาฟรานซิสชาวอาร์เจนตินา กล่าวประณามการแบ่งแยกยางใหญ่ต่อระหว่างโลกที่ร่ำรวยกับโลกที่ยากจน ระบุว่าพระเยซูคริสต์ทรงเกิดมาอย่างยากจนในถ้ำเลี้ยงสัตว์ เรื่องนี้น่าจะทำให้ทุกคนได้กลับมาไตร่ตรองความหมายของสิ่งที่ควรทำ พระองค์กล่าวในบทเทศน์ว่า การบังเกิดของพระเยซูคริสต์ที่เราเหล่าคริสชน ร่วมรำลึกถึงในคืนนี้ ชี้ให้เราเห็นวิถีชีวิตใหม่ของเรา ไม่ใช่ชีวิตใหม่ที่ใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองและมัวแต่เก็บสะสมวัตถุสิ่งของต่างๆ แต่ต้องเป็นชีวิตที่แบ่งปันเพื่อให้ผู้อื่น และเป็นผู้ให้ พระองค์กล่าวว่าเราต้องไม่สูญเสียจุดยืนของตัวเราหรือโอนเอนเอียงไปตามกระแสโลก และลัทธิบริโภคนิยม เราควรจะถามตัวเองว่าฉันจำเป็นต้องมีสิ่งของวัตถุเหล่านี้ทั้งหมดจริงๆหรือ จำเป็นไหมที่จะต้องกินอาหารที่ปรุงขึ้นอย่างซับซ้อน เพียงเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งของพิเศษที่ไม่จำเป็นเหล่านี้หรือไม่ เพื่อจะได้ชีวิตที่เรียบง่ายขึ้น พระองค์กล่าวอีกว่า สำหรับหลายคนความหมายของชีวิตมาจากการครอบครองข้าวของวัตถุที่มีความต้องการไม่หยุด เราได้เห็นความโลภ ที่ไม่รู้จักเพียงพอมาแล้วมากมายในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แม้แต่ในทุกวันนี้โลกของเราเป็นโลกที่ย้อนแย้งกัน คนไม่กี่คน กินอาหารค่ำอย่างหรูหราขณะที่คนจำนวนมากไม่มีแม้กระทั่งขนมปังเพื่อประทังชีวิต
สมณะฟ้าไท ...สรุป จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:54:44 )
รายละเอียด
620104_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โลกานุกัมปายะของชาวอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1-8ofXImyqisiKmVD-ABc1IV6gO4VL9-vErpfJo0-wBg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1tr_IvpLgdjiTKsps5MpQPugQBXWMtBJj
สมณะฟ้าไทว่า….วันนี้วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก งานพุทธาภิเษกปี 2562 ก็จะจัดตั้งแต่วันที่ 1 4 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ตอนนี้คนก็สนใจเรื่องของพายุปาบึกที่จะขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทยวันนี้ ทางรัฐบาลก็ระดมความช่วยเหลือเต็มที่ ช่วยเต็มที่ดีอย่างนี้ก็น่าจะได้เป็นรัฐบาลต่อไป เพราะมีคุณสมบัติของเป็นผู้รับใช้เป็นผู้ให้ไม่มีอคติ พ่อครูก็จะมาแสดงธรรม สอนคนให้เป็นผู้รับใช้ผู้อื่นนี่แหละ
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ขอโอภาปราศรัยกับทางบ้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ประเทศไทยมหาอำนาจแห่งการให้
_มีโอกาสฟังผู้ทำงานธรรมทัศน์สมาคม ที่เผยแพร่หนังสือธรรมะ ได้พูดคุยกัน มาร่วมขายหนังสือธรรมะในงานนี้ มี trend แปลกๆอยากจะเล่าสู่ฟัง ปฏิทินของชาวอโศกในงานนี้มีผู้มาสนใจซื้อมากขึ้นกว่าปกติที่เคยขายมา ราคาแผ่นละ 10 บาท แจกฟรีก็เยอะแยะ ก็เลยทำให้สงสัยว่าเขาซื้อเพราะอะไร เลยถามชาวบ้านว่ารู้จักไหมใครในรูปปฏิทิน เขาก็ตอบว่าตามองไม่เห็นไม่รู้ว่ารูปใคร ก็เลยถามว่าอ้าว ทำไมยังซื้อล่ะ คำตอบคือ อยากเอาไปดูว่าอโศกนี้จะจัดงานอีกเมื่อไหร่ ในนี้บอกไว้ตลอดปีเลย เข้าท่า เขาสนใจงานอโศกไม่สนใจบุคคลด้วย พ่อครูว่า..ไม่สนใจเราก็ไม่เป็นไรแต่สนใจงานอโศกก็ชื่นใจ
หนังสือที่ขายดีปกติเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรยอดขายดีตลอดมา แต่ปีนี้หนังสือขายดีเป็นหนังสือธรรมะเล่มใหญ่ทั้งนั้น เช่น ทางเอก เล่ม 1-3 เราก็ถ่ายเอกสารขายชุดละ 1,000 บาท มีการสั่งซื้อจองมาก ผิดจากเดิมที่ขายยากมาก ผู้ซื้อ เป็นชาวแพทย์วิถีธรรม และ ผู้ติดตามดูพ่อครูทางทีวีคงจะเป็นผู้นิยมดูพ่อครูสอน หนังสือ สัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์เล่ม 1-4 ก็ขายได้มากกว่าทุกปี ทำให้เราตัดสินใจจะพิมพ์เล่มหนึ่งที่เคยหมดไปแล้วจากเดิมที่ไม่เคยคิดจะพิมพ์ หากใครต้องการจะใช้จะถ่ายเอกสารขาย แต่มีคนถามหามากจึงจะพิมพ์เพิ่ม โดยพี่เบญ(ลูกดิน) จะช่วยสมทบด้วย
เรื่องต่อมามีฝรั่งกับภรรยา มาที่ร้าน ภรรยาเป็นครูคนไทย พูดอังกฤษคล่องปรื๋อเลย ภรรยาอ่าน “คนจนที่มีแบบ” ฉบับแก้แล้วไขอีกแล้วก็แปลให้สามีฟังจนฝรั่งขอให้พามาดู มาบ้านราชฯ ก็ดูรอบพื้นที่บ้านราชฯ ริมมูนก็ไป แล้วพากันมาที่แผงธรรมทัศน์ ฝรั่งเหมาหนังสือคนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก ที่ตั้งไว้ 5 เล่ม ขอซื้อหมดเลย แล้วก็หยิบไปเล่มเดียว ที่เหลือบอกกับเราว่า ให้เอาไว้แจกให้คนไม่มีตังค์ซื้อหนังสือมาอ่าน ภรรยาก็บอกว่า หนังสือเล่มนี้อ่านไม่ยากค่ะ เข้าใจไม่ยาก สามีฟังแล้วอยากมาดูให้เห็นกับตาเลย แสดงว่าฝรั่งมีปัญญารับวิถีชาวอโศกได้ อย่างที่เรียกว่า Get เลย ให้เลย
สรุปว่า trend ปีนี้ ธรรมะมาแรง แซงหนังสือเกษตร ที่สำคัญแฟนธรรมะพ่อครูนอกจากจะเป็นสว. ยังมีวัยรุ่นมาซื้อหนังสือ คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก ซื้อไปฝากเพื่อนๆ เป็นของขวัญปีใหม่หลายเล่มเลย
มีผู้ถามหาหนังสือ permaculture อยากเอาไปทำเองบ้าง เขาได้ฟังปฏิบัติกรก็อยากทำตาม แต่ทางเราก็ไม่มีหนังสือ หากมีผู้จะทำหนังสือเรื่องนี้ก็ส่งข่าวมาได้ จะได้เปลี่ยนชีวิตของเขาให้ทำการอาชีพที่ปลอดภัยได้
พ่อครูว่า...อาตมามั่นใจเลยว่าประเทศไทยเราจะเป็นมหาอำนาจทางกสิกรรม ก็ย้ำยืนยันมามากมาย เกษตรมีทั้งปศุสัตว์มีทั้งประมง เราเอากสิกรรม อันหมายถึงพืชพรรณธัญญาหารเท่านั้นเราไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ เรารู้แล้วว่าเกี่ยวกับสัตว์เป็นเรื่องวิบาก เราไม่เอาไปฆ่าแกงไปเลี้ยงแล้วไปฆ่าเขากิน คนหนอคน เลี้ยงเขามาฟูมฟักไว้ดีแล้วฆ่ากิน คนเราไม่เข้าใจเรื่องชีวะ ชีวิตสัตว์โลกมันมีวิบากต่อกัน คนเขาไม่เข้าใจก็ทำ เราเข้าใจแล้วก็ไม่ทำให้เกิดวิบากต่อไปอีก
พืชพรรณธัญญาหารเหมือนแกล้งชาวอโศก ดูสวยสมบูรณ์เพราะเราเอาใจใส่มุ่งหมายตั้งใจพัฒนาสร้างภูมิปัญญาเอาใจใส่จริงๆ ทุกอย่างโถมลงไป อันนี้แหละจะกอบกู้โลก ผู้ที่เห็นดีเห็นด้วยก็มาร่วมไม้ร่วมมือกัน คนที่ชอบทำงานกสิกรรมเป็นชีวิตจิตใจ อาตมาอนุโมทนาสาธุ ร้อนเขาก็ไม่รู้ร้อนหนักเขาก็ไม่รู้หนัก เปื้อนเขาก็ไม่รู้เปื้อน วันทั้งวันตากแดด ไม่รู้สึก ลืมไปเลย อะไรอย่างนั้นทำไปดีจังเลย เป็นไปในผู้ที่ยินดีในสิ่งเหล่านั้น ชาวอโศกเข้าใจและมีมากขึ้นเรื่อยๆก็ดี
ประเทศอื่นๆต่างๆเขาจะไม่มีเหตุปัจจัยเหมือนอย่างประเทศไทย ประเทศไทยนี้อยู่ในพิกัดของโลกที่ อุณหภูมิน้ำดินครบพร้อมองค์ประกอบได้สัดส่วน พร้อมที่จะปลูกพืชพรรณธัญญาหาร เราจะไม่เก่งทางอุตสาหกรรมเราจะเก่งทางกสิกรรม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านส่งเสริมท่านตรัสไว้ชัด ท่านบอกว่าเราไม่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมทางอื่นเขาหรอก เรามาทางกสิกรรมซึ่งจะเป็นทางรอด อาตมาพูดเป็นเชิงข่มว่า อุตสาหกรรมก็ช่วยชีวิตได้ แต่ถ้าเอาจริงๆแล้วเหลือแต่เพียงอุตสาหกรรมกับกสิกรรมอะไรจะเป็นสิ่งที่พาให้ชีวิตรอด อุตสาหกรรมสร้างลูกระเบิดได้วิเศษใหญ่ กับการสร้างบล็อกโครี่กะหล่ำปลีได้พิเศษ อะไรจะช่วยชีวิตได้มากกว่ากัน แม้จะเป็นเครื่องยนต์กลไกอะไรก็แล้วแต่ แม้ที่สุดจะสร้างโรบอท สร้างหุ่นยนต์ที่จะพยายามทำให้เหมือนคนจริงๆเลย มีความใกล้เคียงความรู้สึกตอบรับสั่งการตัวเองได้ให้เข้าใกล้ความเป็นคน มันก็ข้ามเขตความเป็น อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จนมาเป็นกรรมนิยาม มันยังไม่มีความรู้อย่างนี้ได้ เขายังไม่มีความรู้ในเรื่องของพลังงานระดับ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จิตก็ต้องสามารถควบคุมกรรมของตัวเองเข้าไปอีกเพื่อให้ทรงเป็นสิ่ง Static มีจิตนิยามเป็นประธานก็จัดพลังงาน Dynamic Static ของตัวเอง พลังงานคู่ในนิวเคลียสของตัวเองได้
การจะเกิดพลังงานในระดับที่เชื่อมต่อให้มันมาเกิดจาก อุตุ ข้ามกรอบมาเป็นพีชะ จากพีชะข้ามกรอบมาเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่เป็น รูปธรรม อรูปธรรม มาจนเป็นชีวะเป็นพีชะ ก็เริ่มมีชีวะ จะเรียกนามเลยก็ไม่เป็นนาม มีสัญญา สังขาร แต่ไม่มีเวทนากับวิญญาณ มันมีได้แค่นั้นส่วนเมื่อมาเป็นจิตนิยามแล้วจะครบทั้งเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็ค่อยๆเป็นไปอีกหน่อยจะมีคนค่อยๆเข้าใจแล้วมาศึกษาต่อขยายผล ผู้ที่สามารถต่อภพภูมิความรู้อันนี้ต่อไปอาตมาก็มีความรู้เท่าที่รู้ พยายามเพิ่มเหมือนกัน ใครจะมาช่วยกันก็พัฒนากันไป
_ใบฟ้า นาวาบุญนิยม พ. 26 / 12 / 61 15.50 น.
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ
ประเด็น 1 ....พ่อครูได้ประกาศให้โลกรู้ว่าหลัง 500 ปีของการกอบกู้พระพุทธศาสนา พ่อครูจะไม่กลับมาเกิดอีก นั่นหมายความว่า “ โพธิกิจ” ของการสืบสานศาสนาให้ครบ 5000 ปีเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นการเพิ่ม”โลกวิทู” สั่งสมบารมีในภพภูมิต่างๆที่มิใช่มนุษย์ของพุทธกัปป์นี้ เพื่อยกระดับขึ้นเป็น”มหาโพธิสัตว์” ใช่ไหมคะ …..ดังนี้ลูกๆทุกฐานะมีโอกาสติดสอยห้อยตามได้หรือไม่ อย่างไรคะ?
พ่อครูว่า...ก็ขอตอบสั้นๆสังเขปว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ อนิจจตา ไม่เที่ยง อาตมาพูดไปคร่าวๆ อาตมาพูด 500 ปีนี้มันนานแล้ว จนเขียน pattern เป็นรูปสามเหลี่ยม
ได้เขียนไว้นานแล้วโลโก้นี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตา เป็นความสงบที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเดือดร้อน ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่าเหมือนก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก แล้วน้ำแข็งก็ไม่ละลายด้วย มันจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งซับซ้อนเป็นเรื่องอุปมาอุปไมย
ปณีตา คือ ละเอียดสุขุมเกินกว่าจะเดา อตักกาวจรา เดาไม่ได้ ต้องทำเองสังเกตเองเป็นเอง นิปุณา ก็ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรมันละเอียดสุขุมไปแล้วละเอียดมาหมดแล้ว นิปุณา แปลว่าละเอียดลึกซึ้งถึงนิพพาน ต้องบัณฑิตแท้ๆไม่ใช่บัณฑิตไปสอบเอาจากสำนักตักศิลามหาวิทยาลัยอะไร เป็นความเจริญความเฉลียวฉลาดแท้ๆจริงๆเกิดความเป็นบัณฑิต ด้วยความรู้ที่เกิดจริงเป็นจริงเองเลย
ขออภัย อย่างอาตมาเป็นบัณฑิตเองเลยไม่มีใครมาให้ปริญญาแม้แต่ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปริญญาจัตวาก็ไม่มี
ฐานะของลูกๆจะติดสอยห้อยตามไปได้แน่นอนไม่ต้องห่วง
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน มุทุธาตุคือจิตสิริมหามายา
ประเด็น 2 ....“ข้อเด่น”ของพ่อครูที่ต้องกราบขอโอกาสเชิดชู
1. เมตตากรุณาที่สุด(ในโลก)
2. มีความเป็นกลางไร้ลำเอียง
3. ขยัน เขียน - เทศน์ที่สุด(อิทธิบาทเต็ม)
4. มีภูมิธรรมสูงสุด ณ กาละนี้
5.เอาภาระกับมวลมนุษยชาติที่สุด
6 ขนาบกิเลสลูกๆเก่งสุด ไม่อ่อนข้อให้กิเลสแม้นิดๆ
7.ตอบปัญหาได้อย่างไร้เทียมทาน สนุก(ธรรมะบันเทิง)
8. นักมายากลที่เรียก “สิริมหามายา” ตัวจริง
9. ขยายอายุขัยได้ยาวที่สุด
10.เป็นไอดอลของ “คนจนที่สุขสําราญเบิกบานใจ”
กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้าฯ
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าเมื่อได้ศึกษาอะไรไปมากกว่าความเป็นมนุษย์กับสังคม จะทำอย่างไรให้มนุษย์อยู่กันอย่างดีที่สุดในสังคม ไม่มีอะไรอื่นดีกว่านี้
อาตมาพยายามขยายอายุขัยด้วยพลังสัมประสิทธิ์ มีสูตรคือ
แทนค่าสูตรในสมการ E = C(mc2 +A) ดังนี้
m = ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
A = นาม 5 (เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)
c = ความเร็วของจิต คือ มุทุธาตุ ในคุณสมบัติของ อุเบกขา 5
C = ค่าสัมประสิทธิ์
ตัว A คือ Abstract ที่แต่ละคนสร้างได้ในนามธรรมของตัวเอง ก็จะเพิ่มตัว mc2 เป็นชุดๆ บวกไปสี่ชุดห้าชุด จนยกกำลังได้ ก็ได้mc2 ยกกำลังได้ สูตรของอาตมาก็คือ E=C(mc2+A) สูตรของไอน์สไตน์ E=mc2
ตัว C คือ Coefficient แล้วตัวที่จะพัฒนา
mc2 คือตัวที่บวก A นี้ไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่อาตมาต้องทำต่อ
ค่า A ผู้ที่ศึกษาตามก็ชัดเจนขึ้น มันบวกเข้าไปในสมการอย่างไร
A = mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 ...บวกไปก็เป็น x หรือคูณ คูณมากๆก็เอาไปยกกำลัง เป็นวิธีทางคณิตศาสตร์ให้สรุปได้เข้าใจสั้น ไม่ต้องเขียนให้ยาว
เราบวก mc2 ประมาณหนึ่ง A เป็นตัวแทน บวกกันได้ระดับหนึ่งก็เป็นคูณ และเป็นยกกำลัง เช่น เป็น 9 อันก็เป็น 32
A จะพัฒนาเป็น C ได้อย่างไร ก็เพราะว่ามันคูณมากๆและเป็นยกกำลัง หากจะเอา mc2 คูณกันมาก ก็ทดไปเป็น C หากใครจะทำให้เป็นสูตรที่ละเอียดกว่านี้ได้
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูปรับได้ไวมาก บางวันดูเหมือนป่วยจะแย่ แต่อีกวันหนึ่งเหมือนไม่เป็นอะไรเลย มาเทศน์ได้ปกติ
พ่อครูว่า...มุทุภูตธาตุคือภาวะสิริมหามายา คือพลังงานจิตที่มีอำนาจ
อาตมาไม่มีโศกเศร้าอะไรในใจ สุขสำราญเบิกบานใจไม่ได้เป็นโลกีย์อยู่ในวงอันพอเหมาะ
_จากคุณน้อย กฤษณา กราบนมัสการพ่อท่านโพธิรักษ์ค่ะ
ดิฉันได้มีโอกาสมาสัมผัสงานเพื่อฟ้าดินครั้งแรกค่ะ ได้เข้าคิวซื้อคูปองอาหาร ที่เลือกคือก๋วยเตี๋ยว และรู้สึกเป็นแบบบุฟเฟ่ต์บริเวณผักลวก น้ำพริกอื่นๆ เพราะไม่มีใครเฝ้า มีเพียงกล่องรับคูปองวางอยู่ แต่หาที่นั่งไม่มีบริการค่ะ เสร็จ แต่โดนใครไม่ทราบ จะเป็นญาติธรรมหรือไม่ไม่แน่ใจค่ะเพราะสวมเสื้อลายยืนตวาดห้วนๆ “กินแล้วเอาไปล้างๆๆ โน่น” ....
ควรมีป้ายบอกผู้ที่ไม่เคยร่วมกิจกรรมมาก่อน
แต่พอเดินผ่านญาติธรรมที่ประกอบอาหารก็บอกห้วนๆอีกว่า “โน่นๆไปเดินทางโน้น ตรงนี้ไม่ให้ผ่าน” ก็ไม่มีป้ายบอกอีก
ทำให้รู้สึกว่าเราชาวโลกถูกรังเกียจว่าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม เราก็เป็นผู้มีมารยาทอยู่นะคะ
ขอให้มีป้ายบอกแนวปฏิบัติหรือมีผู้ประกาศ ประชาสัมพันธ์ในการปฏิบัติ
ตัวที่ชื่นชมคืออาหารอร่อยราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ
...แค่รายงานบรรยากาศให้พ่อท่านทราบค่ะ กราบสาธุค่ะ 1 มค. 62
สม.กล้าข้ามฝัน.
ส.เดินดิน
ส.แสนดิน
จากใบฟ้าก็มาหนึ่งฟ้าบ้าง…
_จากหนึ่งฟ้า ฝากเรียนถามพ่อครูว่า ความน่ากลัวของจีน กับอโศก มีลักษณะคล้ายและต่างอันไหนบ้าง
เมื่อเร็วๆ นี้ การศึกษาค้นคว้า “ภัยคุกคาม” ที่มาจากประเทศจีนซึ่งบรรดานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในอัมสเตอร์ดัมฮอนแลนด์ ข้อสรุปที่ได้คือ “ประเทศจีน น่ากลัวมาก” มีสิ่งที่ประเทศอื่นในโลกไม่มีเป็นจำนวนมาก ดังนี้
1. ยืนหยัดในสังคมนิยม แต่ไม่กีดกันทุนนิยม ยืนหยัดในการนำของพรรค แต่ไม่กีดกันการตรวจสอบของพรรคอื่น
2. รูปแบบเศรษฐกิจที่ใช้ พบเห็นได้ยากในโลก ทั้งไม่ใช่เศรษฐกิจสาธารณะ ทั้งไม่ใช่เศรษฐกิจตลาด รูปแบบผสมผสานชนิดนี้ได้ผลดีมาก
3. รักชาติทั้งประเทศ พบเห็นได้ยาก ภายในทะเลาะกัน แต่เจอศัตรูภายนอก ไม่ต้องมีใครปลุกระดม พันสี่ร้อยล้านคนต่อต้านศัตรูภายนอกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กรณีของซาด ทำให้ประเทศเกาหลีสูญเสียตลาดไป 2 ใน 5
4. ผู้นำชั้นสูงจิตหนึ่งใจเดียวทำเพื่อประชาชน พบเห็นได้ยากในโลก ไม่เก็บภาษีการเกษตร ช่วยคนจน ต่อต้านภัยธรรมชาติ ทุ่มเทพลังกายพลังใจสุดชีวิต
5. ระบบการเลือกผู้นำ พบเห็นได้ยากในโลก การเลือกผู้นำชั้นสูงของจีน จะต้องผ่านการทดสอบกว่า 10 ปี ไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ สามารถครอบงำได้
6. ระบอบของประเทศ พบเห็นได้ยากในโลก ประเทศจีนคิดจะทำอะไรที่เห็นว่าสำคัญ ไม่มีอะไรที่ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าพวกเขาสามารถระดมพลังคน พลังทรัพย์ และพลังทางวัตถุไปทำโดยไม่มีแรงเสียดทาน
7. คนรุ่นใหม่กลายเป็นเสาหลักของประเทศ ในปริมณฑลทางอากาศ อวกาศ พลังนิวเคลียร์ อีเล็กโทนิค แผ่นชิป รถไฟความเร็วสูง ผู้รับผิดชอบมีอายุเฉลี่ยอยู่ที 39.4 ปี ในหมู่พวกเขาเป็นนักศึกษาจบจากนอก 40 เปอร์เซ็น
8. ประเทศจีนมีระบบอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ไม่ว่าการผลิตเข็มเล่มหนึ่งหรือการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน เริ่มจากการออกแบบถึงสินค้าสำเร็จรูป ขอเพียงแต่พวกเขาปรารถนา ไม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังภายนอก
9. จีนมีเงินคงคลังที่มากมายมหาศาล มีเงินทุนสำรองเป็นดอลลาร์ 4 ล้านล้าน ซื้อพันธบัตรอเมริกา 2.1 ล้านล้าน เงินฝากธนาคารและทุนสำรองอื่นๆ มีประมาณ 8 ล้านล้านหยวน พลังทางการเงินที่แท้จริงคิดเป็นผลรวมของ ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และรัสเซีย
10. นวตกรรมสินค้าแบรนด์เนมของจีน พบเห็นได้ยากในโลก ทั่วโลกเรียกสินค้าบางตัวที่ยอดเยี่ยมว่าสินค้าแบรนด์เนม ส่วนประเทศจีนนั้นถือเอารูปแบบธุรกิจแบบใหม่ชนิดหนึ่งว่า แบรนด์เนม อีคอมเมอช อาลีเพย์ จักรยานแบ่งปัน พวกเขาใช้เวลาที่สั้นมากสร้างมูลค่ามาศาลที่พบเห็นได้ยากจากรูปแบบธุรกิจแบบใหม่
11. จีนมีความสามารถในการคอนโทรลมหภาคที่พบเห็นได้ยาก มรสุมวิกฤติการเงินของเอเชียและวิกฤติซับพรามของอเมริกา ส่งผลกระทบต่อจีนน้อยมาก ส่วนวิกฤติที่เกิดในจีนเอง ก็จะถูกลบล้างอย่างรวดเร็ว
12. จีนมีตลาดที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก เขาสามารถอาศัยการบริโภคเองมากระตุ้นการตลาด ขณะเดียวกัน พวกเขาก็สามารถทำให้ตลาดที่พวกเขาเห็นว่าเป็นภัยจมหายไปกับตา
13. ประเทศจีนคาดการณ์ล่วงหน้าไปหลายสิบปี เป็นเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองในโลก จีนมีโครงการ 5 ปี 10 ปี 1 สาย 1 เส้นทาง อาจเป็นโครงการ 50 ปี ความสามารถในการคาดการณ์ พยากรณ์ล่วงหน้าชนิดนี้ เป็นรากฐานในการรับมือกับวิกฤติทุกชนิด
14. การกำหนดนโยบายที่ดีสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ในโลกนี้พบเห็นได้ยาก ประเทศอื่นๆ ในโลก ประธานาธิบดีคนหนึ่งมีความคิดหนึ่งเปลี่ยนไปเรื่อย แต่ที่จีน คำว่ารับใช้ประชาชน ปฏิรูปเปิดประเทศ ใช้มาหลายสิบปี ใช้ได้ศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่น นโยบายต่างประเทศอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 5 ประการของโจวเอินไหลในที่ประชุมบันดง จนถึงปัจจุบันยังคงเป็นหลักนโยบายของการต่างประเทศ นี่เป็นการแสดงออกของการรักษาสัจจะและรับผิดชอบของมหาประเทศ
พ่อครูว่า...พวกลูกๆหลานๆหนุ่มๆสาวๆทั้งหลายแหล่ไม่มาสืบทอดต่อจะแพ้จีนนะ พูดอย่างนี้จะไปถึงหูพวกรุ่นๆไหมนี่ จะมีกี่คนที่ดูอยู่ตอนนี้
15. พลังแท้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อันใหญ่โตมโหฬารของจีน ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ การพัฒนาใกล้ 40 ปีมานี้ของจีน ไม่ใช่พัฒนาเฉพาะด้านหนึ่งด้านใด หากแต่เป็นการพัฒนาพลังรวม แม้จะไม่ใช่ดีที่สุดในโลก แต่มีศักยภาพที่สุดในโลกแน่นอน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจีนคือสิ่งเหล่านี้ ภัยคุกคามที่มาจากเขาก็คือสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ถ้าหากไม่เกิดปัญหาที่ตัวเขาเอง ขอถามว่า มีใครบ้างที่สามารถโค่นล้มเขาได้ การเจริญเติบโตของเขา ไม่ว่าใคร ล้วนไม่สามารถขัดขวางได้
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน โลกานุกัมปายะของชาวอโศก
พ่อครูว่า...เปรยถามมาทางอาตมา ที่พูดนี้เป็นความรู้ความเจริญฉลาดของมนุษยชาติ ประเทศจีนกำลังรวบรวมเอาความประเสริฐต่างๆไปใช้ได้ดี ตามสถานภาพที่แท้จริงของเขา ก็ทำได้ดีขนาดนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มหมู่มนุษยชาติที่น่ากลัวมาก เป็นการตื่นตัวในสมัย จีนกับอินเดีย มีพลเมืองประมาณกัน เป็น 2 ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด
อินเดียเป็นเชิงเจโตเป็นเชิงศรัทธา ไม่ปรู๊ดปร๊าดทางปัญญาแต่จีนเป็นสายปัญญาเฉลียวฉลาด ทางอินเดียมีความลึกในทาง เจโต ศรัทธามีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา นี่เป็นสองลักษณะของเทวะ เทวคือธรรมะ 2 ที่มีอยู่ในมนุษยชาติทั้งโลกตลอดกาลนาน ก็ต้องศึกษาเทวะหรือสองนี้ให้ดี
อาตมาก็ขอพูดตามภูมิอาตมา ว่าจีนเขาก็มีความรู้ในเชิงธรรมะโลกุตระกลายๆ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าในพลเมืองจีนจะมีศาสนาหรือธรรมะขั้นโลกุตระ สัจจะทางจิตของเขา จะมีคุณลักษณะคุณธรรมต่างๆเข้าขั้นไหม แต่เขามีแน่ ขณะนี้ที่ประมวลแล้วเขามีคุณธรรมเชิงมักน้อย ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน เพื่อมวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ช่วยโลกไม่มีขีดขั้น
เช่นอาตมาพยายามอธิบาย GDP Gross Domestic Product รายได้มวลรวมของเรา โดเมสติก ภายในประเทศ อาตมาอธิบายว่า รายได้มวลรวมคือของคนในประเทศเท่านั้นจริงหรือเปล่า หรือพูดแล้วก็ตีกิน ไปเอาเปรียบเอารัด จากประเทศอื่นเขา ไม่ใช่ของตนเองภายใน คุณก็ไปเอาของคนอื่นเขามา เอาสินค้าผลผลิตของคุณไปขายเขาแล้วก็เอากำไร เอาผลได้เกินทุนมากเท่าไหร่เท่าที่จะทำได้ Maximize profit คุณใช้วิธีนี้หรือเปล่า ถ้าคุณใช้วิธีนั้นคุณก็ได้มาแล้วก็เอาไปเรียกรวมว่าเป็น GDP อันนี้ผิด
อาตมาให้ความหมายอันนี้มาหลายครั้งแล้ว ถ้าจะเอา GDP อย่างซีเรียส มันต้องของเราเอง ของคนอื่นนั้น เรายิ่งเป็นผู้ที่สร้างได้มากมีผลผลิตสูงมีความเหลือ มีส่วนเกินเยอะ คุณแจกจ่ายไปสิ ขายต่ำกว่าทุนแจกฟรี นั่นชื่อว่า Domestic แท้ แต่ถ้าคุณไปขายเกินทุน Maximize profit ได้กำไรมากเท่าไหร่ข้าก็เอา นั่นไม่ใช่ใหญ่ อาตมาอธิบายความหมายประเด็นนี้ละเอียดหลายที ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกัน
ชาวอโศกอาตมาพยายามสอน เราอย่าไปเอากำไรจากคนภายนอก จงใช้สมรรถนะของเราสร้างให้เกินกินเกินใช้ มีส่วนเหลือส่วนเกินแล้วสะพัดออกไปให้แก่คนอื่น ขายจะต้องขายให้ต่ำกว่าทุน อย่าไปเอาเปรียบเอารัดเขา เราขายต่ำกว่าทุนแล้วเราอยู่ได้ไหมก็อยู่ได้เพราะว่าแต่ละคนมีสมรรถนะมีความสามารถเกินกินเกินใช้ของเราหลายผู้หลายคน เผื่อแผ่กันในที่นี้ ในมวลสมาชิกชาวอโศกพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ พอกินพอใช้ไม่กระเบียดกระเสียรไม่แย่งไม่ชิงมีส่วนเกิน จริงๆ
เราก็เอาส่วนเกินนี้ไปเสียสละให้แก่คนอื่น เรามีส่วนเกินแล้วอย่างไรก็ไม่ขัดข้องไม่กระเบียดกระเสียร ไม่แย่งชิงอะไรกันจนเกินกินเกินใช้ เพราะภูมิธรรมของเราไม่สุรุ่ยสุร่ายไม่ฟุ่มเฟือยไม่เฟ้อไม่เกิน รู้จักสิ่งที่กินใช้อย่างพอเหมาะพอควร เพราะลดกิเลสได้จริง ตัวกิเลสนี่แหละทำให้มันเปลืองกว่าที่ควร ลดกิเลสได้มันก็ประหยัดเป็นสัจจะ ที่เคยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินก็ลดลงไปได้อีก จะเห็นได้ว่าตัวคนมันถูกหลอกมาให้เฟ้อให้เกิน เอาอะไรมาบำเรอตัวเองมากมายหนักหนาสาหัส
ถามนิดนึง พวกเรายังมีสิ่งที่เฟ้อที่เกินอยู่มั่งไหม มี ขนาดพวกเรา อาตมาบอกชาวอโศกพวกเราอยู่ในฐานอนาคามีภูมิ ไม่ไปหลงกามรสของโลกเขา หรือโลกธรรม 8 ลาภยศสรรเสริญเราไม่ได้ไปอยากรวยมหาศาลอย่างข้างนอกเขาแล้ว ไม่แล้ว บางคนก็น้อยลง บางคนเคยมีเงินเป็นร้อยล้าน อาจจะไม่มีคนที่พันล้าน ยังไม่มีใครมี หรือมีก็ไม่รู้เอาซ่อนไว้แล้วไม่บอก เราก็มาสละออกจนอยู่ในนี้ ก็ไม่รู้นะ แต่ว่าขณะนี้ในชาวอโศก ร้อยล้านอาตมาไม่ถามนะว่าใครมี จะมีกี่คนกันเชียว สัก 10 ล้านนี่น่าจะมีอยู่ ยักเอาไว้ มีคนคิดว่าถ้ามีไม่ถึง 10 ล้านจะอยู่ไม่รอด ก็เป็นสิทธิของใครของมันไม่มีปัญหา เป็นอย่างไรก็ไม่ไปเบียดเบียนอะไรกับใครแต่เขาจะสละเข้ามา หรือจะสละออกไปที่อื่น เอาตัวเองให้กล้าจน ถ้าทำได้ก็เป็นสัจจะไม่มีปัญหาให้พากเพียรไปเถอะ คนเราไปบังคับกันไม่ได้ ตัวใครก็เท่าที่ตัวเองได้ ฝืนเกินไปก็ทุกข์
ตัวอย่างของอโศกเป็นตัวอย่างของผู้มักน้อย เป็นคนกลุ่มน้อยมักน้อย มีตัวอย่างของสาธารณโภคี อาตมาว่ามันสุดยอดแล้วในมนุษยชาติ ของจีนเขาก็ทำได้ประมาณนั้น พลเมืองเขามีประมาณนั้นแล้วเขาจะมีความรู้เรื่องวรรณะ 9 ไหม จะมีความรู้ในเรื่องโพธิปักขิยธรรมไหม เขาจะมีความรู้ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาอย่างของพระพุทธเจ้าไหมล่ะ จรณะ 15 วิชชา 8 เขาจะมีไหมล่ะ เขายังไม่มีหลักเกณฑ์ไม่มีทฤษฎีสำคัญพวกนี้ไปใช้ทีเดียว แต่เขาก็เป็นพุทธกันเยอะนะ
แต่อาตมาว่า โลกุตรธรรมของชาวจีนยังไม่ถึงชาวอโศก แต่พวกเรามีน้อยคนคัดเอาหัวกะทิมามันก็ได้ แต่คนจีนนั้นเขายังไม่มีความรู้โลกุตระเข้มข้นเหมือนเราเท่าไหร่ แต่ก็มีบ้างในความรู้ที่กว้างในความเป็นจุดสำคัญ เป็นเชิงที่เป็นการเสียสละตนเอง 1.ลดตนเอง 2.ให้อิสระเสรีภาพมากขึ้น ถึงอย่างไรของจีนเขาก็ได้ประมาณหนึ่ง
ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบต้องไม่มีตัวตน ให้อิสระเสรีภาพสมบูรณ์ไม่มีอคติ หรือว่ามีปัญญา หรือสามเส้าของอาตมาให้ไว้ตั้งเยอะแยะ ที่จริงมีประมาณ 3
อันนึงต้องมีกษัตริย์ มีประชาชน มีปัญญา
อีกอัน มีอิสระเสรีภาพ มีความไร้อัตตา มีปัญญา
อีกอัน ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ
แค่สามเส้านี้ ศึกษาและปฏิบัติให้จริงจะเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอดในโลก สามเส้าสามหน่วยนี้ อาตมาว่า ขอให้มีสภาวะที่จริงนี้ได้
เพราะฉะนั้นที่ถามมาว่า เป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวของพฤติกรรม หรือจะเรียกว่าคุณลักษณะก็ได้เป็นพฤติกรรมของชาวจีนขณะนี้ จะเป็นภัยคุกคามหรือเปล่า ที่สำคัญยิ่งก็คือองค์รวมของประเทศจีน มีคุณลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยมันไม่ใช่ 2 ขา
เป็นประชาธิปไตยประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นเขาไม่มีราชประชาสมาสัย โดยเฉพาะไม่มีโลกุตรจิต มีทฤษฎีหลักแล้วเจตนาจะสร้างพฤติกรรมมนุษย์ให้เป็นอย่างนี้ไหมแต่ว่าชาวอโศกมี ชาวอโศกมีเป็นทฤษฎีหลักเลยแล้วพากเพียรปฏิบัติให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็ยังมีอัตราการก้าวหน้าอยู่นะ ชาวอโศก
หากจีนเขามีอย่างที่ชาวอโศกมี มีทฤษฎีมีหลักการพากเพียรปฏิบัติรู้จุดหมายนิพพาน ถ้าจีนมีก็ไม่มีประเทศไหนหักล้างเขาได้เพราะพลเมืองเขามีเยอะพลังงานเขาก็มีเยอะเขาได้แน่
ที่ จุดสำคัญจริงๆที่สุดท้ายนี่นะ ของพระพุทธเจ้าคือ โลกานุกัมปายะ จุดเด่นสุดท้าย แม้ทีสุด GDP ก็ต้องเป็นโลกานุกัมปายะ ช่วยให้แก่โลกไม่ได้ให้แก่ตนเอง เรามีทุน มีส่วนเหลือส่วนเกินให้คนอื่นได้ไม่ใช่เตี้ยอุ้มค่อม แต่เป็นคนมีเหลือเฟือจริง เราไม่เป็นหนี้ ไม่ไปหมกหมักสร้างหนี้เหมือนอเมริกา ระวังนะชาวอโศก ใครเป็นหนี้เป็นประเด็นแรกเลยให้หยุดเป็นหนี้ พึ่งพาตนเองรอด สร้างให้เหลือให้เกินสะพัดเพื่อผู้อื่น นี่ก็เป็นหลักการใหญ่ที่อาตมาพูดมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่
1. พึ่งพาตนเองรอด
2.ไม่เป็นหนี้ ปิดประตูหนี้
3. สร้างสิ่งสำคัญ จำเป็นให้เหลือให้เกิน ให้ดีให้งาม
4. สะพัดไปให้แก่ผู้อื่น แจกจ่ายเจอจานเผื่อแผ่ผู้อื่น คือโลกานุกัมปายะที่แท้
ถ้าหาก 4 สภาวะนี้เจริญก้าวหน้าคุณยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล
โลกานุกัมปายะคืออะไร คือ 1. พึ่งพาตนเองรอด 2. ไม่เป็นหนี้ ปิดประตูหนี้ 3. สร้างให้เหลือให้เกิน ให้ดีให้งาม 4. สะพัดไปให้แก่ผู้อื่น แจกจ่ายเจือจานเผื่อแผ่ผู้อื่น
เราก็มีแค่นี้แหละจนๆ เราไม่มีมากแต่เรามีสมรรถนะมีความมีน้ำใจเยอะ มีสมรรถนะสร้างให้มากเผื่อแผ่ได้มาก ไม่ต้องมีกับตัวเองไว้มาก เพราะอะไร เพราะอาตมามั่นใจในคุณธรรมของมนุษย์ ถ้าเราเป็นคนมีแต่ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีอคติมีน้ำใจมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาจริง คนนะ มีภูมิปัญญามีความเฉลียวฉลาดเขาจะรู้สิ่งนี้ เขาจะไม่มาทำร้ายทำลายกับคนชนิดนี้ คนที่มีแต่ความไม่เห็นแก่ตัวมีแต่เกื้อกูล โลกานุกัมปายะ สี่ระดับอย่างสมบูรณ์แบบ
คำว่า (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เราฟังคำว่าโลกานุกัมปายะ ประเทศอินเดียเขากำลังทำให้ประเทศเขาพึ่งพาตนเองได้ แต่ว่าจริงๆแล้วในพุทธบริษัทไม่มีใครจะทำร้ายพุทธบริษัทได้เท่ากับคนภายใน ชาวอโศกก็เช่นกันหากไม่มีคุณธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัส เราก็ต้องฝึกฝนตนเองให้มากๆ เพราะว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ประเทศจีนมีคนเป็นพันล้านจะเอาโลกุตระไปได้สักกี่คน นิมนต์พ่อครูไปเทศน์ประเทศจีนจะได้สักกี่คนก็ไม่รู้
พ่อครูว่า...อย่ามานิมนต์ไปเลย ภูฏาน ก็มานิมนต์จะให้ไปอาตมาเมื่อยไม่อยากจะไปต่างประเทศ อาตมาไม่เก่งภาษาต่างประเทศด้วย
จริงๆเลยนะ ถ้าจะให้ต้องไปต่างประเทศก็จะไปลาว พูดกันได้ค่อยยังชั่วหน่อย นอกนั้นจะไม่ไปมันเมื่อยมือ พูดกันก็เมื่อยมือเมื่อยแขน ข้อสำคัญ คนแปลไม่รู้จะแปลถูกหรือผิด
ขอลงท้ายที่บทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แนวหน้า … เศรษฐกิจไทยในยุคคสช.
แนวหน้า บทบรรณาธิการ วันพุธ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561,
เศรษฐกิจไทยในยุคคสช.
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลระบอบทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เกิดความหยุดชะงักรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ หลังจากนั้น พลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เวลาผ่านไปถึงปีที่ 5 ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีกว่าสิ้นปี 2557 มากมายหลายเท่าตัว
พ่อครูว่า...ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ไปทำปฏิวัติแต่ประชาชนทำการปฏิวัติรัฐประหารต่างหาก ตอนนั้นยิ่งลักษณ์ไม่มีอำนาจแล้วมีแต่รักษาการณ์นายชัยเกษม ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจอะไร พลเอกประยุทธ์ถึงบอกว่าผมขอยึดอำนาจมันก็เรียบร้อย เพราะว่าประชาชนปฏิวัติรัฐประหาร ประหารรัฐบาลต่างๆไปหมดแล้ว อันนี้ พูดถึงเนื้อหาเนื้อแท้ของสัจธรรม นักรัฐศาสตร์ควรทำความเข้าใจให้ดีเพราะว่ามันไม่เคยมีในโลกมีในประเทศไทยนี่แหละ ประชาชนไปรัฐประหารกำจัดรัฐบาลออกไปอย่างดีงามที่สุด เพราะกำจัดด้วยความสงบเรียบร้อยไม่มีความรุนแรง ไม่ใช้อาวุธ เอาแต่ความจริง คุณผิดคุณขี้โกง มาประกาศยืนยัน จนคนขี้โกงต้องยอมจำนน เขาต้องยอมโดยศิโรราบ เราไปประท้วง ไปปฏิวัติ ไปประหารเขา ไปเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ให้เขามาปกครอง เพราะฉะนั้นทักษิณก็ไม่ได้แล้ว นอมินี นายสมัครเราก็เอาออกไป มีนายสมชายเราก็ออกไปอีก เมื่อเป็นยิ่งลักษณ์อีก ที่จริงอภิสิทธิ์ก็มาคั่น อภิสิทธิ์ไม่มีความผิดต้องออกไปจากต่างประเทศแต่นอกนั้นมีความผิดหมดเลย นายกฯยิ่งลักษณ์ผลาญพร่าทำลายประเทศจนเป็นหนี้มาจนถึงทุกวันนี้ พลเอกประยุทธ์ต้องมานั่งใช้หนี้อีกตั้งเท่าไหร่
สรุปว่ายังไม่เคยมีมาในโลกเลยที่ประชาชนจะปฏิบัติได้อย่างสงบซื่อสัตย์จริงใจ เอาความจริงเข้ามา ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆทั้งหมด นอนกลางถนนมาเป็นปี มีแต่พวกนั้นที่มายิงมาทำร้าย พวกเราไม่ได้ไปยิงไปทำร้ายเขาเลย มีพวกเราบางคน มือปืนป๊อปคอร์น ก็มาช่วยในวาระนั้น ก็เลยต้องรับวิบากไป ก็น่าสงสารเขา เขาก็มาช่วยพวกเราไม่ได้ไปช่วยรัฐบาลแต่ด้วยหลักเกณฑ์อะไรก็ถือว่าเป็นวิบากของเขาแต่ก็ถือว่าเขาได้ทำดี โดยวิบากกรรมไม่ได้เสียหาย เป็นความซับซ้อนที่ไม่เคยมีมาเลย
ขอยืนยันว่าที่พูดนี้พูดในความหมายของวิชาการรัฐศาสตร์ ประเทศไทยนี่แหละทำได้ก็เลยประกาศศักดาเลยว่าประเทศไทยมีประชาชนปฏิวัติ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็กถ้าเป็นจีนเขาก็ประกาศเลยก็ต้องยอมรับทันที หรือมีชื่อเสียงจะเป็นรัสเซียอเมริกาก็แล้วแต่เขาก็อาจจะประกาศคนอาจจะยอมรับ แต่นี่เรายังเล็กเราประกาศไปว่าเป็นความถูกต้องดีงามที่สุดเขาก็ยังไม่ยอมรับเพราะว่าอัตตาของคนเรา อัตตามานะไม่ยอมรับง่ายๆ
มันเป็นรัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นปฏิวัติรัฐประหารที่ยิ่งใหญ่ เมื่อประชาชนปฏิวัติเรียบร้อยพลเอกประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ฐานะและมันก็ลงตัวอย่างพลเอกประยุทธ์ มาเป็นผู้รักษาความสงบแห่งชาติก็มารับช่วง แล้วก็ไปทำงานต่อ
ทำงานผ่านมา 4 ปีแล้วก็เรียบร้อย มีอัตราการก้าวหน้า
มาอ่านต่อ
หลังจากนั้น พลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 เวลาผ่านไปถึงปีที่ 5 ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีกว่าสิ้นปี 2557 มากมายหลายเท่าตัว
แต่กลุ่มคนที่เป็นพวกที่สูญเสียอำนาจไปเพราะคณะทหารได้ออกมาโวยวายอย่างหนักแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วฐานะของเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีปัจจุบันคือปี 2561 ดีกว่าสมัยยิ่งลักษณ์มากนักดังตัวเลขที่จะยกมาให้ดังนี้คือสิ้นปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่นักการเมืองในระบอบทักษิณต้องสูญเสียอำนาจการบริหารประเทศไปนั้นประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติ 407.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 13.237.25 ล้านล้านบาท มีประชากร 65.4 ล้านคน
ประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเทียบปี 2556 กับ 2557 โตแค่ 0.7% เท่านั้นประชากรมีรายได้ต่อหัวคนละ 13,000 เหรียญสหรัฐ หรือคนละ 422,500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 35,208 บาทต่อคน มาสิ้นปี 2561 ในยุครัฐบาล คสช. ประเทศไทยมีประชากร 67.6 ล้านคนรายได้ประชาชาติสิ้นปี 2561 ประมาณ 1.323 ทริลเลี่ยน(ล้านๆ)เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 455,400 ล้านล้านบาท รายได้ต่อหัวคนละ 19,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 617,500 บาทเฉลี่ยเดือนละ 51,458 บาท
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างปี 2560 กับ 2561 โตขึ้น 4% ไทยส่งสินค้าออกในปี 2561 ได้ถึง 236,760 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าสินค้า 222,760 ล้านเหรียญสหรัฐเทียบแล้วไทยเกินดุลชำระสินค้า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปี 2561 ค่าเงินบาทแข็งค่าคือ 1 ริงกิตมาเลเซียเท่ากับ 7.96 – 8.00 บาท บาทไทยมีค่าสูงขึ้น
เมื่อเทียบเงินบาทกับเงินตราสกุลหลัก 5 สกุลของโลกปรากฏว่าค่าเงินบาทสูงมาก 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 32.5 บาท 1 ยูโรเท่ากับ 37.5 บาท 1 ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษเท่ากับ 41.4 บาท 100 เยนเท่ากับ 29.5 บาท เมื่อนำเอารายได้ประชาชาติในปี 2557 กับ 2561 แล้วจะพบว่ารายได้ประชาชาติสมัย คสช.ดีกว่าสมัยระบอบทักษิณถึง 915.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3 เท่าตัวในเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมเต็ม 100 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเป็นอย่างมากแต่การกระจายรายได้ไม่ดีเท่าให้เกิดภาวะคนที่ร่ำรวยอยู่แล้วมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากตัวเลขของนิตยสารฟอร์บสนั้นระบุว่าไทยมีมหาเศรษฐี 1 พันล้านเหรียญสหรัฐถึง 40 ตระกูล มีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีฐานะที่ร่ำรวยที่มีรายได้ต่อปีคนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า 1 ล้านคนจากประชากร 67.6 ล้านคน
ปัญหาที่รัฐบาลคสช.ต้องแก้ไขให้เป็นผลก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ก็คือการกระจายรายได้และการใช้โครงการสวัสดิการแห่งรัฐไปสู่ประชาชนที่ยากจนที่มีประมาณร้อยละ 20 ให้เป็นผลงานที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน https://www.naewna.com/politic/columnist/38404
พ่อครูว่า...ให้คนเข้าใจสัจธรรม เช่น ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็จะสำเร็จและเป็นเศรษฐกิจที่ดีจริงๆด้วย เศรษฐกิจจะมีคนจนมากขึ้นในประเทศ แต่เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เพราะฉะนั้นคำว่าคนจนจึงยิ่งใหญ่มาก ที่จะต้องศึกษาและทำเป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่นี้ให้ได้ ชาวอโศกทำได้และยืนยันมั่นคง เพราะฉะนั้นทางลัดจะมางับหัวคนจนของประเทศต้องดูดีๆ เมื่อเจอคนจนที่ร่ำรวยเข้าจะงง คนจนที่อุดมสมบูรณ์คนจนที่พอแล้ว แต่คนที่มีแสนล้านหลายแสนล้านยังจนกระจอกอยู่เลย ยังไม่พอ ไอ้อย่างนั้นสิ ควรจะต้องให้มาเข้าห้องปรับทัศนคติ คนจนที่ไม่รู้จักพอคนนั้นมีกี่แสนล้านก็ไม่พอ นั่นแหละควรจะจับมาอบรมทัศนคติใหม่ เพราะว่า ทัศนคติของคนล้มเหลวมากเป็นภัยเป็นบาป พูดไปก็คงเข้าใจกันดี เราทำอะไรได้ดีได้วิเศษประเสริฐเพิ่มขึ้น
Pope ฟรานซิส เรียกร้องให้ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบ่งปัน ที่วาติกันซิตี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส กล่าวในประเทศในพิธีมิสซา คืนคริสต์มัสอีฟ ที่พึ่งผ่านมา เรียกร้องไห้คริสตชนทั่วโลก ใช้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น แบ่งปันและเป็นผู้ให้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นประธานในพิธีมิสซา ขอบพระคุณในคืนคริสต์มาสอีฟ ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครติดกันเมื่อวันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาสครั้งที่ 8 ตั้งแต่พระองค์รับตำแหน่งผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิก ปัจจุบันพระองค์ก็มีวัย 82 พรรษา ในบทเทศน์และระหว่างพิธีมิสซา พระสันตะปาปาฟรานซิสชาวอาร์เจนตินา กล่าวประณามการแบ่งแยกยางใหญ่ต่อระหว่างโลกที่ร่ำรวยกับโลกที่ยากจน ระบุว่าพระเยซูคริสต์ทรงเกิดมาอย่างยากจนในถ้ำเลี้ยงสัตว์ เรื่องนี้น่าจะทำให้ทุกคนได้กลับมาไตร่ตรองความหมายของสิ่งที่ควรทำ พระองค์กล่าวในบทเทศน์ว่า การบังเกิดของพระเยซูคริสต์ที่เราเหล่าคริสชน ร่วมรำลึกถึงในคืนนี้ ชี้ให้เราเห็นวิถีชีวิตใหม่ของเรา ไม่ใช่ชีวิตใหม่ที่ใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองและมัวแต่เก็บสะสมวัตถุสิ่งของต่างๆ แต่ต้องเป็นชีวิตที่แบ่งปันเพื่อให้ผู้อื่น และเป็นผู้ให้ พระองค์กล่าวว่าเราต้องไม่สูญเสียจุดยืนของตัวเราหรือโอนเอนเอียงไปตามกระแสโลก และลัทธิบริโภคนิยม เราควรจะถามตัวเองว่าฉันจำเป็นต้องมีสิ่งของวัตถุเหล่านี้ทั้งหมดจริงๆหรือ จำเป็นไหมที่จะต้องกินอาหารที่ปรุงขึ้นอย่างซับซ้อน เพียงเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งของพิเศษที่ไม่จำเป็นเหล่านี้หรือไม่ เพื่อจะได้ชีวิตที่เรียบง่ายขึ้น พระองค์กล่าวอีกว่า สำหรับหลายคนความหมายของชีวิตมาจากการครอบครองข้าวของวัตถุที่มีความต้องการไม่หยุด เราได้เห็นความโลภ ที่ไม่รู้จักเพียงพอมาแล้วมากมายในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แม้แต่ในทุกวันนี้โลกของเราเป็นโลกที่ย้อนแย้งกัน คนไม่กี่คน กินอาหารค่ำอย่างหรูหราขณะที่คนจำนวนมากไม่มีแม้กระทั่งขนมปังเพื่อประทังชีวิต
สมณะฟ้าไท ...สรุป จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:54:44 )
รายละเอียด
620106_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ บทกวีหัวใจประชาธิปไตย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Ek5sdEyAFA5bulg2uf344Bbf0IDPZOll-tHcpk85KAU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1MyBoLRUITSkfGBHEb_s00Pa7k1HCop_s
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก งานพุทธาภิเษกฯ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ก็น่าจะมีการจัดการสอบปริยัติเรื่องธรรมะ จะได้มีการทบทวนพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องธรรมะเพิ่มขึ้น ชาวอโศกมาฝึกฝนเป็นผู้รับใช้ผู้ให้ผู้เสียสละอย่างไม่มีอคติ
พ่อครูว่า...คุณดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นนักแต่งเพลงได้แสดงความเห็นมาในเฟสบุ๊ค
...ท่านทั้งหลายเอ๋ย...
...อีสานกับเหนือ..หนาวนะ ชาวบ้านไม่มีผ้าห่มเพียงพอ...ใครเป็นห่วง..
...ใต้..เพิ่งโดนปาบึกฟาด...เสียหาย แต่ก็เสียหายน้อยมาก เพราะการเตรียมการที่ดี...ใครจะรู้บ้างว่า การเตรียมการที่ดีแบบฉุกละหุกนั้น มาจากการวางแผนของใคร...
....ประเทศต้องมีเลือกตั้ง...ตามรัฐธรรมนูญ...วันไหน เลื่อนหรือไม่เลื่อน...อะไรก็ตาม...
...รู้กันบ้างไหมว่าใครอึดอัด...ไหนจะต้องห่วงใยราษฎร ไหนจะต้องเกรงใจว่า ควรจะมีพระราชพิธีตามราชประเพณีในวันไหน...
...เกรงใจประชาชน ว่าตกลงเรื่องเลือกตั้ง มันจะเอายังไงแน่...วันไหน..
...พอกำหนดวันพระราชพิธีแล้ว...ก็มีเหตุให้คนเถียงกันอีกว่า จะเลื่อนเลือกตั้งไหม หรือไม่เลื่อน ฯลฯ โดยอ้างอิงกันไปเรื่อย จะหลังวันพระราชพิธีหรือจะก่อนดี ฯลฯ...
....เจ้าเหนือหัว..ทรงเกรงใจคนไทยทุกฝ่ายมากนะ...
...แต่คนไทยที่เบาะแว้งกันนี่ เกรงพระทัยท่านบ้างไหม...
...ช่วยเพลา ๆ เรื่องบ้าบอคอแตกลงไปบ้างนะ...
พ่อครู...
มีคนเขียนมา ว่าวาระนี้ขอโอกาสชื่นชมนายกลุงตู่
1 เทิดทูลสถาบันชาติศาสนา มหากษัตริย์จริงแท้
2 มีวาทกรรมและการกระทำที่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่งคือ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
3 ลีลาอ่อนโยนและแข็งกร้าวพอเหมาะ (พ่อครูว่า...สมัยนี้ต้องใช้ลีลาแข็งกร้าวผสมด้วย ไม่ได้ขู่ แต่เราบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนเหยาะแหยะ ไม่มีเรี่ยวแรงฤทธิ์เดชนะ)
4. ไม่fake กับประชาชนไม่มดเท็จกับประชาชน
5. อดทนอดกลั้นไม่ตอบโต้กับคนชั่ว
6. แต่งเพลงเพื่อประชาชาติได้อย่างจริงใจไพเราะ โดยเฉพาะเพลงคืนความสุขให้แก่ประเทศไทย
7. มีวิสัยทัศน์อันยาวไกลวางโครงสร้างให้แก่ประเทศจากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
8. มีบุคลิกที่นิ่งและสง่างามท่ามกลางผู้นำประเทศนานาชาติ
9. มีปุริสภาวะไม่คิดเล็กคิดน้อยกระแนะกระแหน
10. มีปฏิสันถารให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างยอดเยี่ยม ในรายการเดินหน้าประเทศไทย
โดยสรุปแล้วภาคภูมิใจมากที่มีนายกชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเจ๊า
ลองฟังสถานภาพของประเทศไทยที่ถูกต้องจากดร.สมเกียรติ โอสถสภา
' ความจริงในเรื่องราวเหล่านี้…ให้คนไทย…ลูกหลานของเรา …นักเรียนของเรา…ภูมิใจในความเป็นคนไทย…ในชาติไทยของเรา… บอกเล่าให้เพื่อนต่างชาติของคุณได้ทราบ… เพื่อเขาจะได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น…เพื่อท่านและลูกหลานของท่าน…จะได้รู้จักและภูมิใจในประเทศของตนเอง และ…จะได้รู้ว่าคนรุ่นก่อนๆ…และ…บรรพบุรุษของเรา…ได้ร่วมกันสร้างประเทศนี้กันขื้นมา…ขอให้ทุกคน…มีความกตัญญูต่อประเทศชาติมากขึ้น' -ดร.สมเกียรติ โอสถสภา นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ จุฬา ชี้สถานภาพของประเทศไทยที่คนไทยควรทราบความจริงไว้ในเฟซบุ๊ก
สถานภาพของประเทศไทยที่ถูกต้อง…ที่คนไทยควรทราบความจริง ซึ่งดร.สมเกียรติ โอสถสภาเขียนไว้อย่างน่าติดตามในเฟซบุ๊กและสามารถแยกแยะข้อมูลไว้ดังนี้
1. ในบรรดาประเทศ…ที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ…เกือบ 200 ประเทศ …แต่ มีประเทศ…ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ…ที่จะเป็นสมาชิกขององค์การ การค้าโลก จำนวน 156 ประเทศ เท่านั้น…สำหรับประเทศไทย…มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่…เป็นอันดับที่ 31 ของโลก
2. ไทย…เป็นตลาดที่มีกำลังซื้ออันดับที่ 24 ของโลก…ดังนั้น…อียู และ…อเมริกาจืงกระตือรือร้น…ที่จะมาขอทำเขตการค้าเสรี …ที่เรียกว่า Free Trade Area กับไทย
3. ประเทศไทย…เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 28 ของโลก…ซื่งแสดงว่า …ถ้าประเทศไทยส่งออกไม่ได้ …หรือ มีปัญหาการส่งออก…ก็ทำให้โลกวุ่นได้เหมือนกัน… เห็นกันมาแล้ว…ในตอนที่รัฐบาลบริหารงานน้ำไม่เป็น …ในปี 2554…ที่เกิดอุทกภัยใหญ่…นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่ง…ถูกน้ำท่วม…การผลิตรถยนต์ …การผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ชะงัก …ทำให้วุ่นวายไปหมดทั้งโลก
~ เมื่อไทยเกิดวิกฤติการเงิน…ก็ส่งผลให้ลามไปทั้งเอเซีย …รัสเซีย …ยุโรปด้วย …ไปจนถืงละตินอเมริกา ……เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว…ในคราววิกฤติต้มยำกุ้ง
4. CIA แอบรวบรวมข้อมูล…เงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แล้วตะลึงว่า…ไทยมีถืง 200 พันล้านเหรียญ …อันนี้เป็นลงทุนจริงๆ …ไม่ใช่เงินในตลาดหุ้น …เป็นที่อิจฉาของประเทศใกล้เคียงมากพอสมควร
~ เวียดนาม…ได้ทุ่มสุดตัว…สร้างโรงกลั่นน้ำมัน …ปรากฏว่า…กลั่นไม่ได้เรื่อง …น้ำมันที่ได้คุณภาพต่ำ …ต่างจากฝีมือวิศวกรไทย …นักเคมีไทย …ไทยเป็น…ประเทศผู้กลั่นน้ำมันที่สำคัญของเอเชีย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
5. เทียบกันทั่วโลกแล้ว …ประเทศไทย…จัดว่า…เป็นประเทศที่การลงทุนทำได้ง่ายเป็นอันดับที่ 17 ของโลก… เท่าๆแคนาดา …และเยอรมัน …เช่น กู้เงินได้เร็ว …ก่อสร้างได้เร็ว …หาคนทำงานได้เร็ว …จดทะเบียนบริษัทได้เร็ว
6. ไทย …เป็นประเทศที่ส่งออกและนำเข้า…อันดับที่ 20 ของโลก……ประเทศไทยทำได้ไม่เลว …
7. ไทย ทำรายได้จากอุตสาหกรรม…ฐานความรู้ ความชำนาญเป็นอันดับที่ 30 ของโลก
8. ไทย เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอันดับ 17 ของโลก
9. ประเทศไทย…ผลิตสินค้าเกษตร…เป็นอันดับที่ 11 ของโลก
10. ไทย…เป็นผู้ส่งออกอาหาร…อันดับ 6 ของโลก พอๆกับเดนมาร์ก ออสเตรเลีย
11. ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยว…เข้ามาเป็นอันดับที่ 19 ของโลก
12. ไทย ขายบริการสนามบิน…ได้เป็นอันดับที่ 17 ของโลก
13. กรุงเทพและลอนดอน…แย่งกันเป็นเมืองอันดับหนึ่ง…ด้านการท่องเที่ยวของโลก …มาหลายปี …ในที่สุด…กรุงเทพได้คะแนนจากชาวต่างชาติเป็นอันดับ 1 ของโลก
14. ประเทศไทย…มีสำรองเงินตราต่างประเทศ…อันดับ 12 ของโลก สูงกว่าเยอรมัน ค่าเงินเสถียรมาก แข็งเหมือนกับเงินสวิสเซอร์แลนด์ ถือเป็น Safe Haven ของโลกด้านการเงิน… ในขณะนี้…ถือว่า…พวกเราโชคดี…ที่อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ…และ…เราจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป
15. เมื่อเดือนกรกฏาคม 2554 ธนาคารโลก…เลื่อนประเทศไทย…ขื้นสู่ประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางขั้นสูง …upper middle income country …เพราะเขาบอกว่ารายได้เข้าเกณท์มาตั้งแต่ปี 2551 …
16. ประเทศไทย…มีอัตราคนว่างงานต่ำ…เป็นอันดับ 2 ของโลก แถมยังมีคนต่างชาติมาทำงานอีกประมาณ 3.7 ล้านคน แสดงว่า…ไทยมีงานเกินจำนวนแรงงานคนในชาติ
~ การที่เรามีการทำเขตเศรษฐกิจเสรี…กับออสเตรเลีย …นิวซีแลนด์ …จีน …อินเดีย …อาเซียน …เกาหลี …รวมประชากร…ร่วม 2,000 ล้านคน …90 % ของสินค้าในกลุ่มอาเซียน…ภาษีเท่ากับศูนย์ …เมกา กับยุโรป…จืงต้องการเข้ามาร่วมมาก
17. ค่าครองชีพเมืองไทย…อยู่ที่อันดับ 81 ของโลก…ถูกกว่าพม่า… อินโดเยอะ
18. ไทยถูกจัดเป็นประเทศ…ที่น่าลงทุนอันดับ 8 ของโลก
19. ถ้าคนในโลกจะเกษียณอายุ …ผลการสำรวจบอกว่า…เมืองไทยเหมาะมาก ที่จะมาใช้ชีวิตหลังเกษียณในไทย…ในอันดับ 9 ของโลก
20. ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออก…ดิสค์อันดับ 1 ของโลก ส่งออกยาง และ น้ำตาลอันดับ 2 ของโลก…ส่งข้าวออก…เป็นที่ 6 ของโลก ส่งรถยนต์ไปขายอันดับที่ 15 ของโลก … ไทยเป็นผู้ผลิตส่งออก…หมู ไก่ ไข่ เป็ด ชั้นนำ ผัก ผลไม้เพียบ ต่อไปจะส่งดอกไม้…ตีตลาดโลก…แบบโคแวนท์ มาร์เกตของอังกฤษ
21. คนต่างชาติ…ชอบมาอยู่เมืองไทย …มาทำงานเมืองไทย… ที่พักระดับดีถูกสุดในเอเชีย …อาหารดี …โรงพยาบาลดี ทุกสถานทูตในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทใหญ่ๆ …ในเวียดนาม ลาว กัมพูชา ตะวันออกกลาง…มาใช้บริการทางการแพทย์ของไทย…การแพทย์ไทยดังมาก…อยู่ประเทศอื่น…ต้องมาใช้บริการรักษาพยาบาลในเมืองไทย …มีโรงเรียนอินเตอร์ชั้นนำหลายสิบแห่ง …เที่ยวได้ทั้งคืน …กินเหล้าได้ทั้งคืน …มีทะเลภูเขา …ป่าไม้ …มีอาหารทุกชาติ …ห้างใหญ่สุด…ให้เมียได้เดินช้อปปิ้งเป็นวันๆ… รถไฟฟ้าก็มี …เป็นเมืองของหนุ่มสาว …บรรยากาศทั่วไปปลอดภัยดีกว่าอีกหลายประเทศมาก
22. คนไทย…ต้อนรับคนทุกศาสนา…ทุกคน… มีเสรีภาพในการ…เป็นเกย์ ทอม ดี้ เลสเบี้ยน
23. ไทย มี ระบบคมนาคม…ดีกว่าจาร์กาต้า …ฮานอยเยอะ
24. ในเมืองไทย คุณหาห้องน้ำสะอาดได้ทั่วไป …เรื่องนี้สำคัญสุดๆ…สำหรับผู้หญิงทุกคน
25. สถานทูตอเมริกัน…ขนชาวอเมริกันมารับเอกสิทธิ์ทางการทูต…มาอยู่กันในไทย…มากกว่า 4,000 คน อาจมีจำนวนคนในสถานทูตอเมริกัน มากกว่าคนในสถานทูตอเมริกัน…ที่ไปอยู่ในประเทศอื่นๆก็ได้
26. คนไทยส่วนใหญ่ …มีนิสัยดี …มีกาละเทศะ …ไม่วุ่นวายเหมือนคนชาติอื่น ให้เกียรติคนต่างชาติ
27. ประเทศไทย…อากาศไม่ร้อนจัด …ไม่เย็นจัด…เหมือนประเทศอื่น
28. เมืองไทย…น่าอยู่ …น่าทำงาน …คนแพรคติคอล …ดีกว่าคนในประเทศอื่น
29. ชาวต่างชาติ …ยกย่องวัฒนธรรมไทย…ว่าสูงเด่น …เข้มแข็ง …เป็นอันดับ 8 ของโลก
~ ต้องการบอกกล่าว …ความจริงในเรื่องราวเหล่านี้…ให้คนไทย…ลูกหลานของเรา …นักเรียนของเรา…ภูมิใจในความเป็นคนไทย…ในชาติไทยของเรา… บอกเล่าให้เพื่อนต่างชาติของคุณได้ทราบ… เพื่อเขาจะได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น…เพื่อท่านและลูกหลานของท่าน…จะได้รู้จักและภูมิใจในประเทศของตนเอง และ…จะได้รู้ว่าคนรุ่นก่อนๆ…และ…บรรพบุรุษของเรา…ได้ร่วมกันสร้างประเทศนี้กันขื้นมา…
~ ขอให้ทุกคน…มีความกตัญญูต่อประเทศชาติมากขึ้น
Cr. ข้อมูลพื้นฐาน จาก ดร. สมเกียรติ โอสถสภา
พ่อครูว่า...สรุปผลว่านายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาบริหารประเทศมากกว่า 4 ปี ตอนนี้เป็นสมัยที่ 2 แน่นอน ผู้ที่จะแย่งอำนาจก็ต้องพยายามแย่ง ตามธรรมเนียมส่วนมากได้ 2 สมัย แต่ว่านายกฯตู่น่าจะเอาสักสามสี่สมัย
หัวใจประชาธิปไตย
1) คำตรัสที่ชัดแท้ ในธรรม
มี“นิยาม 5”ให้สัม- ผัสได้
เริ่ม“อุตุนิยาม”นำ เป็นหนึ่ง
และ“พืช-จิต-กรรม”ไซร้ ครบห้า“ธรรมนิยาม”
(2) ตามความตรัสรู้สุด สำคัญ
หากแม่นสัจธรรมอัน วิเศษนี้
จักรู้ลึกเท่าทัน มนุษย์และ สังคมเลย
ซึ่งไม่มีใครชี้ สัจจะได้เทียมถึง
(3) จึงยากนักจักแจ้ง สังคมคน
ศาสตร์โลกพาสับสน ซับซ้อน
โดยเฉพาะเจาะลึกกล การเมืองมั่ว นักแฮ
มีแต่เล่ห์ยอกย้อน ยากรู้ความจริง
(4) ยิ่งการเมืองโลกนั้น สุดลึก
ใช่เก่งแต่แค่นึก คิดได้
มันต้องศึกษาฝึก ลดกิเลส แท้แล
จึ่งจักจริงจิตให้ หยั่งรู้สัจธรรม
(5) ทำจิต“อิสระ”ให้ แก่ประชา
“พ้นทาส-ปลดศักดินา” มนุษย์แท้
“ประชาธิปัตติยา” เป็นสัจจ์ จริงเอย
“ขยันรับใช้-รู้แพ้- ชนะได้-ไร้ตัวตน”
(6) ผลคือ“สร้างระบอบ”ถ้วน ทันที พระพุทธเจ้าทรงมี ก่อนแล้ว
พามนุษย์สุขสวัสดิ์ศรี ในยุค พระองค์เฮย
“ศีล”ฆ่ากิเลสแผ้ว ผ่องให้ประลุธรรม
(7) พุทธสำเร็จกอบกู้ บริหาร
พหุชนะอภิบาล วิเศษฟ้า
อนุเคราะห์โลกตราบกาล จิตวิสุทธิ์ แท้เทียว
อธิปัตย์เกิดกาจกล้า จากขั้วหัวใจ
“สไมย์ จำปาแพง”
5 ม.ค. 2562
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 343 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562]
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ภูมิเช่นไรไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า...คำตรัสของพระพุทธเจ้ามีหลักที่นิยาม 5 อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ
พืชก็มีกรอบของมันระดับหนึ่ง จิตก็มีกรอบของมันระดับหนึ่ง พลังงานชีวะคือพืช เมื่อมาเป็นสัตว์ในระดับจิตนิยามก็พัฒนาขึ้น แล้วจิตนิยามขึ้นอยู่กับกรรม พืชยังไม่เป็นกรรมไม่มีเวทนา ยังไม่มีสุขมีทุกข์ไม่จองเวรจองภัยจองกรรมไม่ก่อเรื่องเป็นชาติหน้า แต่สัตว์มีชาติหน้า Rebirth มีแล้ว สะสมกรรมวิบาก นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง ไม่มีทางที่จะรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้นต้องชัดเจนในนิยาม 5 อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ
คนที่ยังไม่มีภูมิจะสอนไม่รู้โลกุตรธรรมได้ก็มี เป็นอเวไนยสัตว์ แม้แต่คนมีอนันตริยกรรมก็ยังพอมีปฏิภาณรู้ว่าดี อย่างเช่นพระเจ้าอชาตศัตรูรู้ว่าของพระพุทธเจ้านี้ดีกว่า 6 อาจารย์แน่นอน อีก 6 อาจารย์สู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่เพราะว่ามีอนันตริยกรรมที่เคยฆ่าพ่อ จึงไม่สามารถตีวงของพลังงานที่เป็นคุณธรรมแท้ของมนุษย์ เป็นบารมีของมนุษย์ออกมาได้ ก็ได้แต่เพียงว่า จ่อไว้ๆ แต่เพราะอนันตริยกรรมก็ อาตมาก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่า จะหมดวิบากเมื่อไหร่ อย่างเทวทัต เป็นต้น เขาจะหมดวิบากเมื่อไหร่ เทวทัตนี้หนักกว่าพระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพ่อ แต่เทวทัตนั้นทำร้ายพระพุทธเจ้าทำลายศาสนาพุทธ อนันตริยกรรมของพระเทวทัตนั้นปิดประตูที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย เป็นไม่ได้
หนึ่งผู้หญิง สองอนันตริยกรรม เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ผู้หญิงจะไปเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องบำเพ็ญบารมีจนกว่าจะเป็นผู้ชาย ถ้ายังเป็นผู้หญิงอยู่นั้นไม่มีทาง อย่างเจ้าแม่กวนอิม ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในพระโพธิสัตว์ตลอดกาล นี่คือนัยยะสำคัญที่เราจะต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะบอกว่ากีดกัน ศาสนาพุทธกีดกันผู้หญิงไม่ใช่ มันเป็นสัจธรรมที่สุดยอดต้องเป็นเช่นนั้น
ถามจริง พระเจ้าเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย พระเจ้าเป็นพระบิดา แล้วคุณจะมาพูดอะไร แม้แต่อีฟกับอดัม ทำไมอีฟต้องเกิดมาจากกระดูกซี่โครงซี่ที่ 7 ของอดัม อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสายเทวนิยมคุณไปแก้ไม่ได้ คุณจะมาเก่งเท่าเทียมกันให้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน คุณไปแก้พระเจ้าของคุณให้ได้เสียก่อน ผู้หญิงต้องเท่าเทียมกับอดัม แต่เธอก็เอากระดูกซี่โครงของอดัมมาสร้างเป็นผู้หญิง เขาก็รู้ตำนานเขาก็จำนน
อิตถีภาวะกับปุริสภาวะนี้เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
สมณะฟ้าไทถามว่า...ถ้าอนันตริยกรรมนี้หมดวิบากกรรมเป็นอาริยชนได้
พ่อครูว่า...หมดวิบากก็เป็นอาริยชนได้ พระเจ้าอชาตศัตรูนี้หมดวิบากก็เป็นพระพุทธเจ้าได้ในอนาคต พระพุทธเจ้ายังตรัสเลยว่า หากว่าพระเจ้าอชาตศัตรูไม่มีอนันตริยกรรมจะฟังธรรมะพระพุทธเจ้ารู้เลย แต่เพราะเขามีวิบากกรรมไปฆ่าพ่อของเขา
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลข้อ 2 คือเรื่องศักดินา
พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องมนุษย์กับสังคม ถ้าศึกษาให้ดีแล้วทุกอย่างก็คือในนั้นหมด
แม้แต่เรื่องศีลข้อ 1 ข้อเดียวถ้าศึกษาให้ลึกดีๆ
ความรู้ในเรื่องศาสตร์ทางโลกทำให้ลึกลับซับซ้อนสับสนมากมายในโลกไม่รู้เรื่องโดยเฉพาะการเมืองมันมีเล่ห์กลค่ายกลในนั้นมั่วเยอะแยะมาก ยากจะรู้ความจริง
ศักดินาหมายถึงทาสทางลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นทาสทางโลกธรรม ไม่ใช่ทาสที่เป็นตัวตนบุคคล ทาสที่เป็นจริงวันสัตว์เดรัจฉานที่มีเจ้านายเป็นเจ้าของ จะฆ่าก็ได้จะขายก็ได้ เหมือนข้าวของเหมือนสมบัติส่วนตัว ส่วนศักดินา เป็นทาสทางลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คือโลกธรรม
ศีลพระพุทธเจ้าถึงแยกศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องของสัตว์กับคน
ข้อที่ 2 เป็นเรื่องศักดินา เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นข้าวของ
เพราะฉะนั้นไม่เป็นทาสเรื่องเหล่านี้ ไม่เป็นห่วง ต้องแยก เรื่องสัตว์เป็นวิบากกรรมอย่าไปยุ่งกับเขา ถ้าไปยุ่งก็ต้องไปเกี่ยวข้อง จะต้องไปช่วยหรือคุณจะต้องไปถูกเขาแก้แค้น จะไปช่วยเขาหรือเขาจะแก้แค้นคุณ มันก็ต้องมีบวกลบมีดูดมีผลัก เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์ปล่อยเลยไปตามกรรมวิบาก ถ้าคุณจะช่วยสัตว์บ้างก็บางครั้งบางคราว ที่สมควรหรือจำเป็น สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเขาจะอยู่ในวิบากของเขาอีกนานกว่าเขาจะขึ้นมาเป็นคน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเสียเวลาเลย ให้เขาสำนึกเอง ให้เขามีวิบากแล้วสำนึกเปลี่ยนแปลงเอง เขาก็จะเปลี่ยนแปลงของเขาจริงได้ คนก็มาเปลี่ยนแปลงมาสอนคนช่วยคนให้รู้ คนจะได้ไปช่วยสัตว์อีก เพราะคนที่จะต้องมีวิบากกับสัตว์ต้องเลี้ยงสัตว์ มันมีอีกเยอะแยะเลย เคยพูดนะ จะมาฟังธรรมเพื่อเอาคุณให้รอดแต่คุณห่วงหมา มาไม่ได้เพราะไม่มีใครมาดูแลหมา คุณจะเอาตัวคุณเองหรือคุณจะเอาหมากันแน่ จะเอาตัวเองให้รอดหรือเอาหมาให้รอดแล้วคุณต้องหนักหนาสาหัสที่ตัวคุณ คุณจะอยู่นานกี่ปีตาย เอาเวลาไปช่วยมา คุณเองสูญเปล่ากับหมา จะมีบุญคุณกับหมาแล้วชาติหน้ามัน หมามันจะจำได้หรือบางทีมันก็จะมากัดคุณฆ่าคุณได้ มันไม่ได้เรื่องหรอกอย่าไปยุ่งกับสัตว์หน้าขนคนหน้าหมา
อย่าไปยุ่งกับสัตว์หน้าขนคนหน้าหมา เพราะฉะนั้นระวังพวกหน้ายื่นๆจมูกโด่งๆมันเรียกว่าคนหน้าหมานะ หน้าคนเขาได้สัดส่วนของคน
เป็นบาปมิใช่บุญเลยใน
เจตนากล่าวชื่อมันก็คือจะเอามันมาเลี้ยงเป็นบริวารเป็นวิบากซับซ้อนอีก คนเอาสัตว์มาใช้งานยังไม่ผูกพัน เท่ากับเอาสัตว์มาเลี้ยงแล้วประคบประหงมให้มันดูดดึง อาตมาเคยอธิบาย ดีไม่ดีต่อไปมันจะมาเป็นผัวเป็นเมียกับคุณในชาติต่อไปสัตว์นี่แหละ อธิบายให้ลึกๆชัดๆเรื่องการเกิดแล้วตาย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในลังกาวตารสูตร คนเราเกิดมาแล้วไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นพี่เป็นน้องกันกับสัตว์ทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นอย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เลย
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
คนสั่งฆ่าวิบากมากกว่าคนฆ่าเพราะคุณเป็นนาย ดีไม่ดีให้ค่าจ้างเป็นเนื้อนิดหน่อยแก่คนฆ่า แต่นอกนั้นของคนสั่งฆ่า บาปจึงเพิ่มเติมมากขึ้น
ข้อที่ 5 นี้ดูเบา แต่หนัก สัตว์ตายแล้วเอาสัตว์ไปทำอาหาร อาหารอย่างปราณีตเยี่ยมเลย ปรุงแต่งหลอก มาประเคนพระพุทธเจ้าและสาวกเพื่อให้ท่านยินดี เป็นกัปปิยะ จะมาลากภิกษุสาวกพระพุทธเจ้าดึงลงไปติดอาหารอย่างนี้ด้วย คุณปรารถนาเจตนาดีหรือเจตนาร้าย คุณนึกว่าเจตนาดีอยากให้ติดอาหารเนื้อสัตว์นะ เนื้อสดก็ไม่เอาแต่ปรุงแต่งมาให้ติด จริงๆแล้วเป็นอกัปปิยะไม่ควรเลย บาปแล้ว
การปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าและลดกิเลสไปมันจะไม่มีความรู้ความสามารถในระบบการบริหารปกครอง พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นกษัตริย์เป็นนักบริหารมาก่อน อาตมาก็เคยเป็นมาไม่รู้กี่ชาติแล้วพูดอย่างไม่ได้อวดตัวอวดตน บริหารมาแล้ว ขออภัยแม้แต่เป็นกษัตริย์ของไทยก็ผ่านมาแล้วแต่ไม่พูด รู้ไว้อย่าเพิ่งไปขยายความ เฉยๆไว้ก่อน หากเขาซักคุณ คุณตอบไม่ได้จะเสียหมด ถ้าซักไปถึงที่สุดตอบต่อไปไม่ได้เรียกว่าอมโป้ พูดไม่ออก ถ้าจะพูดก็ต้องเอานิ้วออกจากปาก เหมือนเด็ก เอาไว้ก่อนอันนี้
จุลศีล 26 ข้อ ปฏิบัติให้ดีไม่ถึง 26 ข้อหรอกเป็นอรหันต์ได้ เอาแค่ 5 อย่างครบ เป็นอรหันต์ได้ ศีล 3 ข้อก็เป็นอรหันต์ได้แต่ไม่บริบูรณ์ต้องมาเรียนกายวิญญัติ วจีวิญญัติที่ลึกซึ้ง
ศีลจุลศีล ปฏิบัติเป็นหลักเพื่อบรรลุส่วนตน ส่วนมัชฌิมศีล ขยายให้เป็นแนวทาง ขยายจาก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
ศีลมัชฌิมศีลคือ อธิศีลละเอียดขึ้นเป็นตัวอย่างให้จุลศีล หากคุณมีหลักจุลศีล ขยายเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ
ส่วนมหาศีลเป็นศีลองค์รวมศาสนา ไม่ใช่ของบุคคล ในศาสนาพุทธต้องไม่มีเดรัจฉานวิชาทั้งหมดในมหาศีล ถือว่าเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ดีบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ อาตมาภาคภูมิใจในชาวอโศกไม่ว่านักบวชหรือฆราวาสก็ไม่มีเดรัจฉานวิชา จึงขึ้นป้ายว่าเป็นแผ่นดินพุทธ เพราะว่าที่นี่ไม่มีเดรัจฉานวิชาไม่มีไสยศาสตร์ รู้แจ้งรู้จริงดี ไม่หลง ไม่มีไสยศาสตร์ ไม่มีเดรัจฉานวิชาเป็นสาระสัจจะที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าบริสุทธิ์ในมหาศีล
จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พระพุทธเจ้าสำทับไว้ว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งภิกษุทั้งหลาย
เถรสมาคมมีเดรัจฉานวิชา เต็มบ้อง รดน้ำมนต์ใช้น้ำใช้ไฟเป็นสื่อจุดธูปจุดเทียนอัคคียันสิญจนยันต์ เพื่อสื่อติดต่อกับวิญญาณ มันยังเป็นเทวนิยมอยู่เข้าใจไม่ได้ แม้แต่การสวดมนต์ จะให้ไปถึงคนนั้นคนนี้มันไม่ไป เสียงของคนมันจะขยายเสียงไปได้แค่ไหนเท่านั้นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก มันจะมีฤทธิ์เดชมันไม่มี ขออภัยต้องพูดให้ชัดเจน เพราะว่าต้องใช้เป็นของสังคม สวดมนต์เป็นเรื่องของสังคม ผู้ที่ชัดเจนแล้วเข้าใจดี เพราะว่าการสวดมนต์เป็นเรื่องของผู้ที่มีเชื้อเทวนิยมก็ต้องอนุโลมให้เขา เราก็ต้องรู้เรื่องอนุโลมปฏิโลม ตอนนี้กำลังพูดวิชาการอย่างบริสุทธิ์สะอาด เบื้องต้นบริสุทธิ์สะอาดแต่อนุโลมกันก็ต้องอนุโลม ไม่ได้ใจดำ นานๆก็ด่าทีไม่ได้ด่าทุกวัน คุณก็สวดทุกวัน วันละไม่รู้เท่าไหร่ อาตมาก็ไม่ได้จับมาว่าเท่าไหร่ มีแต่คุณจะไปก่อหวอดสวดเป็นล้านคนข้ามปี สร้างมิจฉาทิฏฐิให้แก่คน คุณควรจะหยุดบ้าง ไม่ต้องไปทำ เรื่องสวดมนต์มันก็ต้องยังเหลืออยู่ในโลกเป็นเรื่องอนุโลม
แม้แต่การฆ่าสัตว์ก็ตาม เราก็ต้องอนุโลมเขาที่เขาจะต้องฆ่าต้องกิน มันห้ามไม่ได้หรอกเป็นวิบาก เขาจะต้องมีวิบากฆ่าแกงกันอีกไม่รู้กี่ชาติ จะฆ่าวัวควายช้างม้าปลาปูอะไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องของกรรมวิบากที่เป็นอจินไตย กรรมกรรมวิบากเป็นอจินไตย 1 ใน 4
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ธรรมาธิปไตยในชาวอโศก
มาเรื่องการเมือง การเมือง จะเกี่ยวข้องกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมาก ไม่เกี่ยวกับสัตว์เท่าไหร่ เกี่ยวกับสัตว์ก็คือคน คนต้องรู้ว่าคนอย่างไรเป็นคนดี อย่างไรเป็นคนประเสริฐที่จะต้องรับเข้าหมู่ไม่เข้าหมู่เอามาร่วมงานกัน คุณจะต้องซับซ้อนลึกซึ้งไม่ฉะนั้นก็เละเทะไปไม่รอด
เพราะฉะนั้นในเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เข้าหาศีล
ศีล ฆ่ากิเลสแผ้ว ผ่องให้ประลุธรรม
เมื่อผู้ใดสามารถที่จะปฏิบัติธรรมจนกระทั่ง เข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านผ่านมาหมด เดี๋ยวนี้รู้กันหมดว่าประชาธิปไตยก็ตาม รู้จักธรรมาธิปไตยรู้จักโลกรู้จักอัตตา แล้วก็มีราชประชาสมาสัย พระราชาก็ร่วมประสานกับประชาชนผู้บริหารก็ร่วมประสานกับพระราชา กับประชาชน ในช่วงนี้มีจิตอาสาที่เป็นราชประชาสมาสัย เริ่มจะดำเนินบทบาทของราชประชาสมาสัย แปลว่าราชากับประชา สมะ สงบ อาศัยกันและกันเรียบร้อยดีงามเป็นอยู่ทั้งประชาชนและราชา ครบแล้วในพยัญชนะแค่นี้
ผู้ที่จะไปเป็นนักการเมืองคือผู้ที่จะไปบริหารประเทศ ช่วยพระราชา ตำแหน่งสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย 2 ขาก็คือนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตามพระปรมาภิไธย
ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงมีทั้งจิตวิญญาณและมีวัตถุโลก เป็นเทวเป็นธรรมะ 2 ครบ ประชาธิปไตยมีทั้งกษัตริย์มีทั้งประชาชน เป็น 2 เทวะครบมีกระทั่งถึงวัตถุ กษัตริย์จะให้ท่านมาลงถึงวัตถุทำไร่ไถนาทำอุตสาหกรรมของตนเองมันไม่ได้ อย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังมีโมเดลของโรงงานกสิกรรมอุตสาหกรรมอยู่ในวัง คิดดูสิ แล้วให้คนไปรับองค์ความรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องหนัก ในหลวงท่านก็หนักแล้วเรื่องวัตถุ อาตมาหนักในเรื่องนามธรรม อาตมาหนักทางธรรมะท่านหนักในทางวัตถุรูปธรรม ขออภัยที่พูดเป็นวิชาการ บางคนเขาอาจรู้สึก ทำไมต้องไปยุ่งเกี่ยวกับในหลวง แต่นี่คือการอธิบายธรรมะ แล้วธรรมะขนาดนี้ อาตมาจะต้องอธิบายขยายความยิ่งกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วประชากรโลกกำลังใส่ใจในเรื่องนามธรรม เรื่องของจิตวิญญาณยิ่งขึ้น เขาเก่งแล้วในเรื่องทางวัตถุ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านบอกว่าไม่ต้องไปเก่งทางด้านอุตสาหกรรมมาเอาทางกสิกรรม แต่ท่านจะไปตรัสอะไรได้มากไม่ได้ ต้องแบ่งหน้าที่กันไปตามฐานะ
พระพุทธเจ้าท่านมีอธิปไตยจนมีธรรมาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ธรรมาธิปไตยนี่แหละก็คือประชาธิปไตยเป็นไปเพื่อประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นพยัญชนะระบุที่ชัดเจนว่าทำประโยชน์เพื่อประชาชน คำว่าสุขเป็นเรื่องซับซ้อนที่ไม่ใช่ความสุขแบบโลกียแต่เป็นสุขโลกุตระ วูปสโมสุข หรือปรมังสุขัง ยิ่งกว่าสุขโลกีย์ทางโลก
ต้องเข้าใจสภาวะจึงต้องเข้าใจความสุขที่ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากกามคุณโลกธรรม อัตตา ต้องรู้อย่างปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติจะรู้เองเข้าใจเองเห็นเอง
พระพุทธเจ้าท่านมีประชาธิปไตย เอาคนมาเข้ารีตแล้ว คนก็มาเป็นคนไม่มีพิษภัยกับใคร ไปเป็นหมู่กลุ่มใหญ่ก็ไป เงียบสงบเหมือนตอนพระเจ้าอชาตศัตรูไปพบ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเอาคนของพระเจ้าอชาตศัตรูมาเป็นคนดีมาบวชแล้วจะเอาคืนไปไหม พระเจ้าอชาตศัตรูบอกว่ายกให้เลยยิ่งดีเลยมีแต่จัดส่งเสริมสรรเสริญ
ช่วยเหลือคนอย่างไม่ต้องใช้อำนาจปัจจัยใช้ยศศักดิ์อย่างพระพุทธเจ้า มันจึงยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ยิ่งมีคุณธรรมทางโลกุตรธรรมยิ่งมีความสูงส่ง
ผู้ที่สอนโลกุตรธรรม ราคานี้แพงกว่า ปธน.ได้ไหม นี่พูดเป็นวิชาการไม่ได้ยกตัวยกตนนะ สรุปแล้วพระพุทธเจ้ามีหมดแล้วในยุคโน้นพยัญชนะอาจไม่เหมือนในยุคนี้ อาตมาจึงได้นำมาทำได้ มีรูปแบบทำงานฟรีสาธารณโภคีกินใช้อยู่ร่วมกันกับส่วนกลางอย่างนี้ ต่อไปถ้าเผื่อว่ายิ่งขยายผลสาธารณโภคีเป็นหมู่บ้าน หลายหมู่บ้านจนเป็นตำบลสาธารณโภคีได้ ตำบลนี้มี 5 หมู่บ้าน แต่ทั้ง 5 หมู่บ้านเป็นสาธารณโภคีหมด อันนี้ได้แล้วนะชาวอโศกมีมากกว่า 5 หมู่บ้านแต่กระจัดกระจายกัน ถ้าหากรวมกันเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียวจะยิ่งดี อันจะเป็นตัวอย่างของโลก
เข้ารอบ 10 หมู่บ้านขึ้นไป มี cyclic ของตนเองแล้ว ถ้ามี 12 ถือว่ามี cyclic order ที่จะประสานกับภายนอกได้ connection relative ขยายไปอีกนี่เป็นเช่นนั้นเป็นสัจจะที่พูดรูปธรรมนามธรรมที่ขยายตัว
อาตมาไม่งงสงสัยหรอกอโศกตีไม่มีแตก มีแต่ขยายตัว เพราะความเข้าใจของโลกจะมาเอาแบบเหตุการณ์ 13 หมูป่ากันแล้ว พูดกันให้หมายถึงคุณธรรมแบบนั้น ที่ประชาชนโลกต้องมาช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนที่ได้รับพิษภัยก็ต้องมาช่วยกันอย่างนี้ ของเราช่วยได้แต่ไม่เก่งไม่มาก พูดไปก็เหมือนเตี้ยอุ้มค่อมยังไม่สง่าผ่าเผย
สมณะฟ้าไท... สังคมโลกีย์เขาช่วย 1 คนก็ดังไปทั่วโลก ของเราช่วยเกิน 2 คนนะ ไม่ได้ช่วยธรรมดานะครับ
พ่อครูว่า...เดี๋ยวหาว่าทวงบุญคุณ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทฤษฎีหลักของพุทธคือไตรสิกขา
ตอนนี้กระแสโลกรู้แล้วว่าโลกุตรธรรมมี
โลกุตรธรรมคือต้องไม่เห็นแก่ตัวสุดยอด ก็คือต้องมีอิสระเสรีภาพ เต็มที่ ต้องรับใช้คนอื่นๆยังไม่มีอคติ แล้วก็ต้องรู้ลึกว่าต้องให้ ต้องเสียสละคนอื่นอย่างไม่มี สาเปกโข ให้เป็นแบบนี้ๆ nuclear fission เลย ให้ไปแล้วหายไปเลยไม่ต้องมีโค้งกลับมาแม้แต่ 0.00000000001 ที่โค้งมาเลย แต่ภาวะจริงของจักรวาลโค้งทั้งนั้น นามธรรมมันต้องมีการโค้งอยู่แล้ว ถ้าเป็นวัตถุมันออกนอกเอกภพได้แล้วหายไปเลย เป็นเบอร์มิวด้า หายไปแล้วเมื่อไปสามเหลี่ยมนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
ศาสนาพระพุทธเจ้ามีทฤษฎีหลักคือไตรสิกขา
เป็นนักประชาธิปไตยที่ ยืนนานตราบนานเท่านาน Forever ด้วยจิตที่สะอาดไม่มีอคติ ไม่มีความขี้เกียจมีแต่ความเอ็นดูเกื้อกูล ที่เป็นอธิปัตย์ที่เป็นพลังงานเป็นอำนาจ ที่แรงกล้าจากขั้วหัวใจที่บริสุทธิ์จึงทำประชาธิปไตยนี้ให้แก่ผู้อื่นได้
ศาสนาพุทธถ้าไม่มีศีลเป็นข้อกำหนดไม่มีศีลเป็นสมาธิได้ ตกผลึกตั้งมั่นเป็นสมาธิ ศีลเป็นข้อกำหนดเช่นสัตว์ คุณเกี่ยวกับสัตว์ เกิดกิเลสก็ล้างกิเลส มันมีกามมีพยาบาทก็ล้างออก ศีลข้อ 1 นะ คุณก็เกิด อธิจิต มีอธิปัญญา มีความเจริญในการล้างกิเลส มันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงมี 2 อย่างคือแบบหนึ่งมันมากขึ้นกับแบบหนึ่งมันลดลง เราก็เห็นความไม่เที่ยง จนกระทั่งมันจางหมดดับ เห็นความดับ นิโรธานุปัสสี มีธาตุรู้ปัญญาเห็นอาการจริงว่ามันดับ เรื่องของสัตว์นี่แหละ สัมผัสกับสัตว์ตัวใดก็มีแต่ความเอ็นดูมีความเกื้อกูลหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่หาโทษภัยให้กับมันไม่ทำโทษไปให้กับมัน มันมีโทษก็เป็นวิบากของมัน ถ้าจะช่วยมันได้ก็ช่วย เจอแมลงตกในโถส้วมก็ช่วยมันหน่อยเอามันขึ้นอย่างนี้ มันก็ไม่เท่าไหร่
เจอไอ้เข้กับสิงโตมันกัดกันอยู่เราไปช่วยไอ้เข้เดี๋ยวสิงโตมันงาบเรา จะบ้าหรือมันเป็นเรื่องวิบากของมันให้มันกัดกันไป แม้แต่งูมันจะกินเขียดก็จะไปแย่งเขียด เดี๋ยวงูมันเป็นจงอาง ไปแย่งเขียดจากปากจงอางเดี๋ยวเถอะ พูดให้ชัดเจน
สรุปแล้วศีลเป็นตัวกำหนดเกี่ยวกับสัตว์ คุณทำให้บริสุทธิ์สะอาดได้ในข้อ 1 คุณจะเกิด อธิจิต มีอธิปัญญา จนมีอธิมุติ โน้มเอนไปสู่อธิวิมุติ
คุณก็เห็นของจริงเลย ว่ามันลงไปกิเลสหมดไป แล้วก็สั่งสมเป็น อเนญชาๆ คุณมีพลังงานทำพลังงานบุญ เป็นอาวุธสลายกิเลสได้กิเลสก็หมด หมดแล้วคุณจะสร้างอาวุธอีก ก็ต้องทำ อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ก็ได้จิตใจที่สะอาดเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ตั้งมั่นสั่งสม
มีพลังงานที่เป็นเหมือนลูกข่างนอนวันมีทั้งstatic dynamic เหมือนหวังเฉาหม่าฮั่นเป็นพลังงาน 2 ที่ช่วยกัน เป็นผู้สร้างพระผู้สร้างต้องมี 2 เป็นเทว มีพลังงานมี activity ต่างๆ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ จิตจะเป็นสมาธิต้องมีฌานเผากิเลสให้จิตสะอาด สั่งสมจิตสะอาดตกผลึก ฌานต้องเกิดก่อนสมาธิ สมาธิจะเรียกว่าจิตตั้งมั่นมันผ่านบุญมาแล้ว บุญไม่มีแล้วจึงเกิดสมาธิ บุญทำเสร็จงานไปแล้วสั่งสมจิตที่ตกผลึกเป็นสมาธิ
ขยายความละเอียดอย่างนี้เห็นเป็นภาพรูปธรรมที่เป็นภาพพจน์ไหม เป็นสมาธิตกผลึก สมาธิไปหลับตามันไม่ใช่เลย คุณไม่สามารถรู้อะไรไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์ ไม่เกี่ยวข้องกับของ คุณจะไปมีสมาธิของพุทธเป็นสัมมาสมาธิได้อย่างไร การไปนั่งหลับตาก็ไปสะกดจิตมีพระพรหมพระอินทร์มีรูปร่างมีวิมาน มีนิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย อยู่ในจิตของคนคนอื่นไม่รู้เรื่องด้วย
สมณะฟ้าไทสรุปจบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:55:25 )
รายละเอียด
620107_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 33
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/15ONmDCy7J1No7TOfrIMGgJACBDb5bcLBDJn7WWMgW18/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1w-S4ILfIhzz5lyxXyYnd4ys7sMusFVAy
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก เลข 7 เป็นเลขสำคัญ เลขสัมประสิทธิ์ เลขที่เป็น Coefficient จะไปสู่ที่สูงที่สุดเรียกว่า นิยตะเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว ยิ่งชัดเจนแล้ว นิยตะ นี่ก็ให้ความรู้อีกนิดนึง
วันนี้รายการสำมะปี๋ แต่ก่อนที่จะเริ่มก็มีผู้เก็บข้อมูลมาว่า มีหนุ่มฝรั่งชี้ว่า
..ศาสนาพุทธเท่านั้นที่มี คำสอน ทั้ง 19 อย่างนี้ ที่ไม่สามารถพบจากศาสนาอื่นได้
1.พระพุทธศาสนา ปฏิเสธว่า มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา
2.พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก
3.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น
4.พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร
5.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์ ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้
6.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น
7.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา
8.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน
9.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ
10.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ
11.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์ เป็นตัวอธิบายว่า เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด
พ่อครูว่า..อันนี้ลึกซึ้งมาก ถ้าคนไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีกรรมกิริยาประกอบกัน เป็นส่วนสองชิ้น ในมหาจักรวาลนี้ที่มีอะไรเกิดมาสองชิ้นแล้ว จะไม่แตกต่างกันเลย เป็นแต่เพียงไม่แตกต่างละเอียดมากจนคนแยกแยะไม่ได้ คนเราไม่สามารถแยก แม้วัตถุคนก็แยกไม่ได้ละเอียดเท่าสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่เสียง กลิ่น รส แสงต่างๆ ยังแยกสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ในบางแง่มุม
12.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท 10 และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ 10
พ่อครูว่า..นี่ก็ถูกต้องในโลกียะ เราก็ต้องมีจิตเมตตา เอ็นดูหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ต้องมีจิตที่มีพลังไปอย่างนี้กับสัตว์ทั้งปวงทุกภพทุกภูมิ
แต่ชั่วดีนั้นเป็นเพียงโลกียะ เพราะงั้นอาริยะบุคคลของพุทธจะต้องดีอย่างเดียวไม่ชั่วเลยเหมือนกันเป็นสิ่งที่เป็นสมบัติ ยังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่สูงกว่าสมบัติ ได้เป็นกรรมกิริยาเท่านั้นเรียกว่าโลกุตระ อันนั้นต้องชัดเจนว่าสิ่งที่ชื่อว่ากิเลส คืออาการพลังงานทางจิต อันนี้ไว้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงมีตัวเอกที่เรียกว่า ปุญญะ หรือบุญ แล้วก็มีพลังงานที่ไม่ตกค้างเป็นสมบัติเลยเป็นพลังงานเกิดในปัจจุบันที่ผู้ใดมีภูมิธรรมสามารถสัมผัสปรุงแต่งขึ้นมาสร้างตอนนี้ได้ ระเบิดนิวเคลียร์ที่เรียกว่าบุญของพระพุทธเจ้า เกิดอย่างเป็นนามธรรมสร้างได้แล้วทำปฏิกิริยาใช้งานทันที แม้ใช้งานได้แล้ว สู้กิเลสไม่ได้ก็มี สู้กิเลสได้บางส่วนก็มี ทำให้กิเลสดับสูญได้หมดเกลี้ยงเลยก็มีจบ คุณก็หายไปเมื่อกิเลสหมด ตราบใดที่มีกิเลสบุญก็เอามาใช้ได้ บุญเกิดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นและดับไปในปัจจุบัน
ความลึกซึ้งของคำว่าบุญไม่ใช่จะธรรมดา
ความหมายคำว่าบุญได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว บุญจึงกลายเป็นสมบัติไม่เป็นวิบัติ บุญเป็นเครื่องยนต์ที่จะสร้างสิ่งสะสม มันก็เลยคนละเรื่องคนละจุดหมายคนละหน้าที่กัน
13.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น
14.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา
พ่อครูว่า..ไม่ว่าจะสัตว์เซลล์เดียวหรือกี่เซลล์ก็ตามจะไม่ฆ่า จะฆ่าก็แต่พืช เพราะมันยังไม่มีกรรมไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ
15.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลสที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป
16.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา
17.การฝึกสมาธิ สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ
พ่อครูว่า..จริงใช้ศัพท์คำเดียวกันว่าสมาธิ เราก็พยายามจะแยกสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ แต่คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจฟังไม่ค่อยเชื่อ ก็ต้องมาศึกษาให้ดี
การเกิดย่อมมีดับ ไม่ใช่เกิดนิรันดร อยู่กับพระเจ้านิรันดร ก็คือผู้อยู่กับสวรรค์ แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่าสวรรค์ก็คือภพนรก ของศาสนาพุทธไม่จบที่ความยังมี สลายจิตวิญญาณของตนได้ สลายเป็นอุตุธาตุ แม้จะรวมตัวเป็นพีชธาตุก็ไม่ได้ สลายได้ ไปเป็นอุตุธาตุ
18.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน สรรพสิ่งในโลก จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน
19.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์ จึงต้องช่วยตนเอง เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ
~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา มากกว่าคนไทยที่อ้างว่า นับถือพระพุทธศาสนาเสียอีก ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง
เป็นบทความที่ดีค่ะ..ลองเรียนถามพ่อท่านสิคะว่า ข้อใดไม่ถูกต้องบ้างคะ..?? จาก สม.รินฟ้า
พ่อครูว่า...ทีนี้อีกอันหนึ่ง
_คนเคยเรียนที่ วสส. ชลบุรี ....(วสส.คือวิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร)
ทำไม? พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเตรียมอาหารไว้ถวายพระภิกษุที่จะมารับบิณฑบาตวันละ 500 รูป แต่มิมีการส่ง Line สื่อสารกันเหมือนในปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างลืมเตือนกัน ทำให้ภิกษุลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่พระอานนท์(ซึ่งยังมิสำเร็จอรหันต์ในขณะนั้น) รูปเดียว เนื่องจากปกติ พระภิกษุเหล่านั้นไปรับบิณฑบาตที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือบ้านของนางวิสาขา เป็นประจำทุกวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพิโรธพระภิกษุว่ารับนิมนต์แล้วไม่มา จึงเสด็จไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงติเตียนภิกษุ ฯลฯ แสดงว่า การไม่รับบิณฑบาตก็ได้ มิผิดศีลอันใดหรือเปล่าครับ?
พ่อครูว่า...ไม่ได้ผิดศีล ไม่ได้บิณฑบาตตามอาราธนาก็ไม่ผิดศีล
_สมเด็จโตที่ว่าปราบแม่นาค เป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นพระอรหันต์ไหมครับ เป็นระดับไหนครับ
พ่อครูว่า...ในหนัง หลวงปู่ไม่รู้จักนิทานเรื่องนี้ด้วย ไม่รู้ชาดกเรื่องนี้ด้วยก็ตอบไม่ได้ สมเด็จโตที่ว่าตอแหล
_นิพพานไม่ใช่อยู่ที่ดีหรือชั่ว แต่นิพพานอยู่ที่ถูกหรือผิด เรื่องดีชั่วถูกผิดเป็นเรื่องสมมติของชาวโลกสมมติสัจจะ เราเป็นคนหนึ่งของชาวโลก โลกเขาสมมติว่าอันนี้เป็นเรื่องถูกหรือผิดอันนี้ดีหรือชั่วเราก็อนุโลมตามเขา แต่สุขทุกข์นั้นเป็นปรมัตถ์ มันจิตของเราเป็นเอง มันไม่ใช่เรื่องของวัตถุโลก ไม่ใช่เรื่องขององค์ประกอบสังขารโลก มันเป็นสังขารจิตของเรา สุข ทุกข์ ทำให้สามารถพิจารณาถึงความยึดถือของตัวเองในความสุขทุกข์นั้น เหมือนจับโจรได้ ทำให้อาการ หวื่อ(ภาษาอีสาน)จะขึ้นลงของอารมณ์ จะหาถูกผิดตามอารมณ์ลดลงได้ค่ะ
พ่อครูว่า...สุขทุกข์ เป็นเรื่องเวทนาส่วนตนคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ของตนเองแท้ๆเป็นปัจจัตตัง ที่ตนเองจะต้องชัดเจน
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน static กับ dynamic แตกต่างกันอย่างไร
_น้ำมนต์..static กับ dynamic แตกต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...หลวงปู่จะอธิบายให้น้ำมนต์เข้าใจอย่างไรดี
ถ้าน้ำมนต์บอกว่าจะเอาอันนี้ให้ได้ๆจะต้องเอาอันนี้ให้ได้ ไม่ได้ไม่ยอม ก็จะเจ็บปวดใจนี่คือ static ไม่ชอบใจจะต้องร้องไห้นี่คือ Static แต่ถ้าเผื่อว่าจะเอาอันนี้ให้ได้ แม่ก็บอกว่าอันนี้ไม่ได้หรอก อันนี้คนเขาต้องใช้ เราก็ยอม ไม่ต้องเอา ยอม อย่างนี้เป็น Dynamic แต่ถ้าจะเอาให้ได้ไม่ยอม ร้องไห้เจ็บปวดอยู่อย่างนั้นอย่างนี้เป็น static เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าบอกว่า มีเหตุผล สลายให้คนอื่นได้อยู่แล้วเราไม่เอาได้ก็จบ อย่างนี้คือ Dynamic ไม่ยึดมั่นถือมั่น โอ้ เข้าท่าเหมือนกันนะ ผู้ใหญ่ได้ประโยชน์ไปตามไหมนี่
เพราะฉะนั้นผู้ยอมแพ้ผู้ให้เขาเสีย จะไปยึดถือเป็นเราเป็นของเรา นี่แหละคือ Dynamic ถ้ายึดถือเป็นเราเป็นของเราอยู่ก็คือ static ชัดขึ้นนะดีจังเลย น้ำมนต์ทำให้เกิดพยัญชนะเกิดสภาวะ ขยายให้คนอื่นเข้ารู้สภาวะ เทวะ ขึ้นไปอีก
_สิริมา...คุณเอนก เขาเขียนสารคดี วิเคราะห์เรื่องนี้ว่าตัวแม่นาคอยู่ที่พระโขนงมีจริง จะตายแล้วจะกลายเป็นผีไปหลอกใครไม่มีจริง คนที่ยืนยันคือลูกของนางนาคจริง แม่เขาไม่เคยไปหลอกใคร คนสร้างเรื่องขึ้นมาเอง เป็นงานเขียนที่เขาค้นคว้ามา ไปสัมภาษณ์ลูกนางนากเลย แม่เขาตายแล้วเขาก็จับคนมารื้อฟื้นขึ้นมาเอง ตกลงแม่นาคที่เป็นผีไม่มี
พ่อครูว่า...ตกลงคนที่ไปสร้างเรื่องคือผีหลอกคนหลอกเป็นเรื่องเป็นราวหาเงินได้เป็นล้านเลยนั่นคือผี ส่วนตัวแม่นาคตัวเขานั้นไม่เป็นผี แม้แต่ลูกเขาก็ยืนยันว่าแม่เขาไม่ใช่ผีแม่เขาตายแล้วก็เลิกแล้ว คนที่ยังยึดมั่นถือมั่นมีวิญญาณไปหลอกคนนั้นคนนี้นั้นเขาเป็นผีหลอก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์จะกลับมาเกิดขึ้นอยู่กับอะไร
_พระอรหันต์หลายรูปไม่มาเกิด แม้ว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกไว้
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าไม่ได้ระบุว่าองค์นี้มาเกิดหรือไม่ ยกตัวอย่างพระสารีบุตรมาเกิดในยุคพระพุทธเจ้าเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา แล้วพระสารีบุตรจะได้เกิดกับพระพุทธเจ้ามาก่อนที่จะเป็นพระสารีบุตรหรือไม่ ได้สั่งสมบารมีร่วมกันหรือเปล่าก็สั่งสมมาตั้งเยอะแยะแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอก ท่านไม่ได้ตรัสบอกไว้
คนที่บอกว่าพระอรหันต์ไม่มาเกิดอีกเป็นพวกอุจเฉททิฏฐิ เขายึดถือว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญ อันนี้เป็นนัยยะซับซ้อนที่เป็นสิริมหามายา
อรหันต์ที่ตายแล้วตั้งจิตไม่เกิด สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อปณิหิตตนิพพาน นิพพาน 3 นี้สูญเลย แต่ถ้านิพพาน ยังตั้งปณิหิตตะ ตั้งพุทธภูมิ ตั้งไว้ว่าจะไปสร้างบารมีต่อ ก็แล้วแต่สิทธิของท่าน ท่านจะมีจุดหมายเจตนาอะไรของท่านก็แล้วแต่ ท่านอยากจะไปเกิดเรื่องนี้ยังข้องใจอยากจะไปรู้ ดีไม่ดีไปเกิดเป็นสัตว์บางชนิด เพราะว่ามันยังไม่แน่ใจ อยากจะรู้จริงว่ามันเป็นอย่างไรก็ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นอีกทีก่อนตาย ก่อนปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือจะต่อไปอีกก็เป็นเรื่องของท่าน เรื่องตายเรื่องเกิดเป็นเรื่องส่วนตัวปัจจัตตังเป็นเรื่องของท่านจะตายหรือเกิดก็เรื่องของท่านสุดยอดเลย ใครจะไปละลาบละล้วงส่วนตัวของอรหันต์แต่ละองค์ไม่ได้ ท่านจะทำอย่างไรจะสูญเลยหรือไม่เกิดอีก เป็นแต่เพียงว่าท่านรู้จัก ลักษณะสุดยอด ของลักษณะ 4
อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
ท่านไม่อุปจยะ อีกเลย ท่านตัดสันตติ ไม่ต่อ อุปจยะไม่มี แม้แต่ชรตา อนิจจตาก็ไม่มี ถ้าต่อไปแต่ไม่พยายามเพิ่ม ไม่สร้างสัมประสิทธิ์ต่อ มันก็ ชรตา เป็นโมเมนตัมสูญหายไป
แต่กระนั้นยังมีอนิจจตาได้อีก ฮึด สร้างสัมประสิทธิ์ขึ้นในวาระใดก็เพิ่มขึ้นมาอีกต่อก็ได้ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่สุดท้าย เส้นทางเปิด ปลายเปิดให้ชรตากับอนิจจตา
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ซุนหงอคงเป็นอรหันต์หรือไม่
_หลวงปู่ครับพระถังซัมจังเป็นอรหันต์ไหมครับ แล้วซุนหงอคงเป็นอรหันต์ไหมครับ
พ่อครูว่า...หลวงปู่ไม่ไปพยากรณ์องค์ไหนไม่ว่าจะเป็นพระถังซัมจั๋งหรือคุณซุนหงอคง ตามนิยายตำนานจีน เราศึกษาเอาข้อที่พระถังซัมจั๋งไปเอาคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็เก็บรวบรวมเผยแพร่ให้ศึกษา เอาอันนั้นสิ พระถังซัมจั๋งจะเป็นอย่างไร ซุนหงอคงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปละลาบละล้วงท่าน
ถ้าจะให้อาตมาพูดให้ฟัง มันมีลักษณะหลายอย่าง ตือโป๊ยก่ายก็ตามซุนหงอคงก็ตาม
คนว่าตือโป๊ยก่ายกับซุนหงอคง อาตมาคนจะเป็นอะไร ...ซุนหงอคง ลักษณะต่างๆ เราไม่ต้องติดใจในตัวตนบุคคลเราเขา นามนั้นสำคัญไฉน ไม่ต้องติดใจอะไรพวกนั้นมากมาย เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ถ้าคุณมีข้อมูลหลักฐานพอก็จะรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณไม่มีข้อมูลหลักฐาน แต่ธรรมะนัยยะสำคัญมันลงกันตรงกันอย่างนี้อย่างนี้ คนนี้เป็นสายพระโมคคัลลานะ คนนี้มาสายพระสารีบุตร ก็มีสายศรัทธากับสายปัญญา มีเทวะ 2 สายเป็นหลัก กับอีกหลักหนึ่งก็คือ วิตกจริต สายนี้มั่วเลยวนไปวนมายาวนาน กว่าจะบรรลุธรรมสับสนไปมาไม่เรียงตามลำดับ ถ้าเรียงตามลำดับ คุณไม่ต้องสลับไปสลับมา
ยกตัวอย่างคุณจะเดินทางจากที่นี่ไปประเทศอะไรก็แล้วแต่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง คุณตั้งต้นออกจากทิศนี้ก็ตาม ถ้าตั้งใจจริงแม้ว่าไปทิศนี้มันจะอยู่ตรงนี้มันก็ต้องถึงเร็ว ถ้าคุณไม่เหลาะแหละ ถ้าตั้งทิศทางถูกมันอยู่ตรงนี้คุณไปทางนี้ก็จะถูก ไปทางอีกทางก็จะยาวมากจะเสียเวลามากแต่ก็ถึง แต่ถ้าคุณไปแล้วบอกว่าไม่ใช่แล้วกลับไปกลับมาอีก นี่แหละ ดีไม่ดีวนกลับไปกลับมา แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงเสียทีเสียเวลา นี่คือลักษณะวิตกจริต ถ้าปัญญาตรงมุ่งมั่นไม่ยึกยักก็จะเร็ว แต่ถ้ายึกยักก็จะช้าทั้งคู่
_ตามตะวัน...ในหนังสือคนจนที่มีแบบหน้าที่ 100 คำว่า พ้นอันตคาหิกทิฏฐิ 10 หมายความว่าอย่างไร
พ่อครูว่า...ค่อยติดตามฟังในอันตคาหิกทิฏฐิ 10 ที่ว่าโลกนี้มีโลกนี้ไม่มี โลกนี้ใช่หรือไม่ใช่ ชีวะมีหรือไม่มี โลกมีที่สุดหรือโลกไม่มีที่สุด โลกมีที่สุดก็มิใช่ โลกไม่มีที่สุดก็มิใช้ เทียบพยัญชนะ คนที่ไม่เข้าใจก็จะงงแล้ว ความจบในที่สุดของความเป็นโลกที่จะรู้จบความเป็นโลก หรือความไม่มีโลกไม่ใช่โลก คุณจะรู้จบคุณถึงจะรู้จบ คุณยังไม่รู้จบมันก็จะไม่จบ ความเป็นชีพความเป็นชีวะ สรีระก็อย่างหนึ่งอัตตาก็อย่างหนึ่งอะไรอย่างนี้
จะรู้โลก ความเข้าใจที่จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเช่น โลกคือความหมุน เริ่มมีสามเส้า หากมีสองเส้าหมุนไม่ได้เรียกว่าระนาบแม้จะออกมีองศา ถ้าเผื่อว่าไม่ถึง 3 มีแค่ 2 ไปอีกก็หมุนไม่ได้ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสหมุนไม่ได้ มันจะมีมุม จนกว่ามุมคุณจะหมด เมื่อมุมของคุณลดลงคุณก็จะโค้ง ถ้าองศาของมุมเกิดนิดหนึ่งก็โค้งออกไปไกลเลย ถ้าองศาน้อยมากก็จะเป็นวงรีมาก องศาของคุณเล็ก เมื่อองศาของคุณใหญ่ขึ้นวงรีของคุณก็จะกว้างขึ้น หรือไม่ตรงสนิทก็ตาม ก็จะมาหากลม จะรู้แม้แต่คำว่าโลกแม้เล็กน้อย โลกวงรี โลกวงกลม ไม่ใช่เล่นๆ
เทวนิยม อย่างตัวเลขอารบิกมีแต่เป็นเส้น 1 2 3 4 5 เลข 5 จะมีความโค้งมากขึ้นเลข 6 จะมีความโค้งมากขึ้นเลข 7กลับไปมีเหลี่ยม 8 ก็จะมีความโค้งเมื่อถึง 9 ก็ชักจะมี 2 ความโค้งบรรจบกัน แต่ถึงกระนั้น เลขอารบิก เลข 9 ก็ยังรี
แต่ ของอเทวนิยมของเอเชียเลข 1 มีจุดแล้วก็หมุน กลม 2 ก็มีอะไรมาคั่นยัก แต่ที่จริง 2 ต้องเขียนมนๆ ทางเทวนิยมจะแยกมาหาความวนไม่ค่อยได้ มันจึงช้ากว่าจะรู้จักวัฏสงสาร
_ถ้าเรากลัวอะไรเกินไป จะทำอะไรไม่สำเร็จถูกต้องไหม
พ่อครูว่า...ถูกต้อง
_อยากเรียนถามว่าพ่อท่าน มีโครงการจะสร้างสะพานที่มีความโค้งตรงไหนบ้างคะ ลูกอยากให้มีสะพานพอให้คนหรือรถจักรยานผ่านได้ตรงที่แถวบ้านคุณซึ้งบุญ
พ่อครูว่า...อาตมาระงับตนเองแแล้วนะ เมื่อจะสร้างแล้วก็เมื่อยเพราะคนจะช่วยสร้างหายาก อาตมาก็มีบารมีน้อย ไม่มีนิสัยจะไปรับบริจาคหาเงินโฆษณาอะไร มันก็เลยจะช้าก็เลยไม่อยากทำ ถ้าใครคิดว่าจะมาช่วยสร้างก็มา ตั้งคณะมา หา budget มา ตั้งคณะมา อาตมาก็จะได้ดูด้วย เอาแบบมาดู
อาตมาพยายาม เอาพลังงานมาใช้อธิบาย รวบรวมข้อมูลสาธยายทำให้มากขึ้น เรื่องสร้างนี้อาตมาว่าบ้านราช ขณะนี้เอาเถอะ มันจะไม่วิจิตรพิลึกพิลั่น คือ ถ้าใครที่รู้จักตำนานชาดก พระโพธิสัตว์ทุกองค์ จะสร้างวัตถุ จะเป็นสถาปัตยกรรม จะเป็นปฏิมากรรม ซึ่งมันจะอยู่นาน แม้แต่จะเป็นจิตรกรรมก็จะมีอยู่บ้าง แต่มันจะไม่นานเท่ากับปฏิมากรรมกับสถาปัตยกรรม เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ ที่ท่านยึดมั่นถือมั่น จะต้องสร้างวัตถุเหล่านั้นไว้ว่าเป็นหลักฐานว่าฉันเป็นโพธิสัตว์มาเกิดในยุคนี้ๆ ท่านก็ทำ แต่อาตมาผ่านมาแล้ว อาตมาจะไม่ไปสร้างนครวัดนครธม แม้แต่จะสร้างนารายณ์บรรทมสินธุ์ก็จะไม่สร้าง สร้างวัตถุเป็นภาพวาดภาพเขียนอะไร บอกแล้วว่าภาพเขียนยิ่งไม่นาน แต่ก็ยังมีอยู่ในถ้ำต่างๆก็ยังมีอยู่ในผาแต้มก็ยังมี ทางตะวันตกเขาก็มี อาตมาก็ไม่เอาแค่นั้นไม่ทำแล้ว ชีวิตนี้เรียนจิตรกรรมมาโดยตรง แต่ว่าอาตมามีงานจิตรกรรมหรืออยู่ชิ้นเดียวที่คนค้นพบ นอกนั้นสูญหายไปหมด
ที่เขา copy มาด้วย ต้นฉบับก็ไม่มีแล้ว ชื่อภาพนี้ว่า จะสิ้นโลกแล้วฤา ภาพนี้จะเน่าแหล่ไม่เน่าแหล่ แต่ทำสีที่เกือบเน่าแต่ไม่เน่านี้เก่ง จนกระทั่งเกิดสีสดใสสีเขียวมีชีวิตอยู่ ต้นไม้ใหญ่เหลือแต่กิ่งแห้ง เหลือยาสีเขียวอยู่นิดหน่อย กับกวางคู่สองตัวเท่านั้น จะสิ้นโลกแล้วฤา คนก็จะคิดยาก จะฟื้นโลกได้ยากหรือ จะถึงยุคไฟบรรลัยกัลป์แล้วหรือ
งานปั้นก็ออกแบบพระพุทธรูป 3 ปาง คือ พระพุทธาภิธรรมนิมิต สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา และองค์สมานัตตตา หรือองค์ปรองดอง แต่อาตมาไม่ได้เป็นผู้ปั้นเองคุณแสงศิลป์เป็นผู้ปั้น คนนี้ก็ประหลาดเรียนทางจิตรกรรมมา แต่มาเอาดีทางการปั้น ทั้งการเขียนก็เขียนได้ดี
ทางเข้าสู่บ้านราชฯมีน้อย หากสร้างสะพานข้ามเพิ่มได้ก็ดี ใครจะมีทุนรอนเรี่ยวแรงสร้างก็ได้ คนที่จะมาช่วยตอนนี้อาตมาอยากจะให้ช่วยสร้างเรือ ซึ่งมีทั้งเรือในน้ำและเรือบนบก
เรือบนบกคือรูปร่างเรือ แต่เอามาทำเป็นเรือนบนบก เราเรียกว่าเรือนเรือ แต่ในน้ำเราเรียกว่า เรือเรือน
เรือนเรือที่อาศัยคือ เป็นโครงสร้างของเรือ มีโครงเหล็กอยู่ข้างในยึดบ้าง อาศัยอยู่เหมือนบ้าน ถ้าสองชั้น ข้างล่างเราก็ปั้นเหมือนเรือตั้งบนก้อนหินใหญ่ อาตมาก็เลยเรียกเรือนนี้ว่า stone house เรียกภาษาแสลงอีสานว่า สิโตนเฮ้าส์
ก็ทำได้มาสองหลัง อันแรกคือที่อาจารย์เป็นต้นพักอยู่ ยังมีอีกหลายอันที่จะทำ คนที่ปั้นคือ นายพลังจิต กับนายพลังกาย พี่น้องสองคนจบมหาวิทยาลัยศิลปากรทั้งคู่ เรียนมาทางเขียนจิตรกรรม แต่ก็เสร็จแล้วมาทำการปั้น ก็ว่าจะให้ทำ stone house สิโตนเฮาส์ ใครจะมาช่วย 2 คนนี้ทำก็เชิญเลย ที่ปั้นช้างฮิปโป เต่า ก็ฝีมือสองคนนี้ เตาที่โรงครัวก็เช่นกัน
คือเราจะปิดทางเข้าที่หน้าแก้งสะโพ รถไม่ให้เข้า เพื่อให้น้ำผ่านให้ดี คนจะเล่นน้ำได้ทั่ว เพราะรถผ่านไปมา ถ้าทำได้จะเป็นแก้งสะโพ ที่กว้าง น้ำไหลไม่ต้องกังวลกับรถผ่าน เป็นที่คนเท่านั้นที่จะเดินผ่านได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน ลดการติดรสอาหาร
_ผมจะทานอาหารธรรมชาติไม่ปรุงแต่งทุกวันพระ แต่หลวงปู่เชื่อไหมครับ ว่า งานวันเด็ก มันตรงกับวันพระพอดีเลยล่ะครับ เหมือนสวรรค์จงใจกลั่นแกล้งเลยนะครับ ผมเคยปรึกษาเรื่องทำนองนี้กับสมณะรูปหนึ่ง ท่านเมตตาบอกว่า “จะกินก็ได้ แต่ลองเคี้ยวสัก 30 ครั้ง ถ้ามันยังอร่อยอีก ก็เอาอีกสัก 50 ครั้ง อะไรอีกไหม ถ้ายังอร่อยอีกก็เอา 100 ครั้ง เด็กบอกใช่เลย เคี้ยวจนเป็นน้ำ จะไม่อร่อย ผมก็รู้ว่ามันดีแต่ถ้างานวันเด็กผมตักขนมอร่อยมาคงจะเคี้ยว 30 ครั้งแน่เลย งานวันเด็กวันนี้ผมจะเสียใจทั้งชีวิตเลยทำอย่างไรดี
พ่อครูว่า...ดีเอาเลย สวรรค์แกล้งจะได้ฝึกฝน อาตมาเคยบอก คุณเคี้ยวแล้วคายใส่มือแล้วเอามาดู แล้วเอาใส่ปากไปเคี้ยวใหม่ เคี้ยวไปแล้วก็คายออกมาดู คุณจะทำได้กี่ครั้ง มันก็แหลกไปตามที่เราเคี้ยวบางทีบอกว่ามันเหมือนกับอาเจียนเลย มันก็ไม่ได้ไปไหน ถ้ามือคุณสะอาดมันก็สะอาดอยู่ดี หรือคุณจะบ้วนใส่ช้อนใส่ชามก็ได้ มันก็ไม่มีอะไรนี่ ยังไม่เลอะเทอะอะไร แต่คุณบอกว่ายังเหมือนกับอาเจียนรากหมูรากหมา มันไม่ใช่หรอกนี่มันคืออาหารที่คุณเคี้ยวให้แหลกแล้วเอามาผสมกับน้ำลายเท่านั้นเอง
ก็อดทนหน่อยสู้ๆหน่อย นี่เป็นการฝึกฝน เด็กๆพวกเราก็ได้ฝึกฝนเพราะนี่เป็นสัจธรรม นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมของพุทธ ให้พิจารณา ลดโลกียะ ลดอัสสาทะ ต่างๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
_สม.กล้าข้ามฝัน..ญาติธรรมหลายคนบอกว่า เข้ามาบ้านราชฯแล้วเกิดความทุกข์ เหตุเพราะว่า เขาได้มาฟังธรรมต่อหน้าพ่อครูแล้วเห็นงานมีมากมายคนมาเยอะเขาก็อยากมาอยู่ แต่ว่าไม่กล้าจะมาอยู่ เกรงใจเพื่อนสหธัมมิกที่อยู่ที่เดิม ที่เดิมก็มีคนอยู่จะทิ้งเขามาได้อย่างไร เขาก็รู้สึกว่าดีถ้าได้มาฟังธรรมใกล้ๆ แต่ว่าเกรงใจมิตรดีสหายดีก็เลยเกิดความทุกข์ แล้วเป็นอย่างนี้หลายคน ดิฉันถามว่าอะไรดีกว่าเขาก็บอกว่ามาแล้วก็ดีกว่าแต่ว่าตัดใจไม่ได้ ดิฉันก็ไม่กล้าพูดว่ามาเถอะเพราะเกรงใจเหมือนกัน เขารู้สึกว่าทุกคนดึงเขาไว้
พ่อครูว่า...ปัญหานี้เคยตอบมาหลายคนแล้วให้พิจารณาอย่างนี้ ที่คุณอยู่ด้วยนี้ ถ้าคุณมาแล้วเขาอยู่รอดไหม หนึ่ง พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายที่คุณจะต้องรับผิดชอบเป็นทีละคน หรือคนนอก คนนอกคุณจะไปรับผิดชอบอะไรมากมาย แต่ถ้าในแหล่งปฏิบัติธรรมของเรา คุณจะไปดูถูกเขาว่าคุณมาแล้วคุณก็มี อัตตา หากขาดเราแล้วเขาจะแย่ อย่างนั้นเลยหรือ ไม่เป็นอย่างนั้นกระมัง คุณก็ต้องดูความจริงว่าแข็งแรงขนาดนี้อยู่ได้อย่าไปอ่อนแอเกินไป พึ่งพาตนเองได้ขนาดนี้แล้ว เขาก็ต้องพึ่งตัวเองได้แล้ว คุณก็มา ถ้ามาแล้วคุณเห็นมุมที่ดีที่จะก้าวหน้า ก็เอาตัวเองให้รอดก่อน นี่คือความเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านที่เราจะต้องพิจารณาอย่างซับซ้อนลึกซึ้ง ความเป็นประโยชน์คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ถ้าไม่ถึงที่สุดแห่งตัวเองแล้วคุณต้องให้ตัวเองรอด พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก สั้นๆกระทัดรัดชัดเจน
เปรียบตนเองคือเรายังเป็นลูกผีลูกคนยังไม่บรรลุสูงสุด แต่เราเป็นห่วงคนอื่นแล้วเมื่อไหร่เราจะได้บรรลุ คุณต้องเอาประโยชน์ตนให้มีกำลังให้มีสิ่งที่ได้จบจนหมดกิจของตัวเองคุณจะช่วยคนอื่นได้เยอะเลย แต่ถ้าเอาตัวเองไม่รอด ตัวเองก็ยังไม่รอดก็ดึงกันไปดึงกันมาแล้วเมื่อไหร่มันจะได้ ตายหมู่ เอาตนเองให้รอด แล้วจะได้ช่วยคนอื่นต่อ
ไปพิจารณา อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
จำคำนี้ไว้ แล้วจะไม่ขัดแย้งกับคำว่าอัตตาหิอัตโนนาโถ โกหินาโถปโรสิยา ตนเองพึ่งตนเองได้เท่านั้นนอกจากตนเองแล้วจะพึ่งใครอื่นเขาได้
ถ้าตนบรรลุแล้ว ในศาสนาพุทธมีสภาพอนุโลมปฏิโลม คนศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วหมดตัวหมดตนไม่ใช่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน แต่จะยิ่งเห็นแก่ผู้อื่นตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็เห็นประโยชน์ต่อผู้อื่น สกิทาคามีก็หมดตัวตนไปเรื่อยๆเห็นแก่ผู้อื่นไปเรื่อยๆ อนาคามีก็ยิ่งหมดตัวตนในโลกที่หยาบแล้ว เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นมาก พระอนาคามีจะทำงานเยอะ
_ภาคใต้ ได้โดนพายุปาบึกอย่างหนัก แล้วกองทัพธรรมจะไปช่วยไหมครับ
พ่อครูว่า...ตอนนี้มีทางรัฐบาลไปช่วยอย่างดีแล้ว งานเราก็มีเยอะเราก็เลยไม่ได้ไปทำ เราเคยไปช่วยในกรณีน้ำท่วมหรือสึนามิ สนุกเลย ตอนนั้นเราไปตั้ง 700 กว่าคน สนุก ขนกันเละเทะเลย คนก็หมดท่าหมดแรงเลย แต่ละคนก็น่าสงสาร
น้ำใจที่เห็นแก่ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นกำลังหุ้นขึ้นอย่างไม่เตี้ยอุ้มค่อม ต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้ก่อน อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
_ทำไมหลวงปู่ถึงเลือกทำหนังสือคนจนแต่ไม่ทำหนังสือสัจจะคะ
พ่อครูว่า…
_ข้อด้อย 10 ข้อของหลวงปู่มีอะไรบ้างคะ (ไว้ตอบในรายการ)
_ทำอย่างไรถึงจะทำ จิตในจิตได้อย่างไร
พ่อครูว่า...การทำจิตในจิตภาษาบาลีเรียกว่ามนสิการ ต้องทำให้โยนิโสฯ ให้ถึงที่เกิดให้ถ่องแท้แยบคายละเอียดลออไปถึงที่เกิดแท้ แล้วทำให้กิเลสภายในตรงที่มันเกิด ตัวไหนที่มันเกิดแล้วเราจะให้ตายก็ต้องแยกให้ละเอียด ตัวนี้แหละจะให้มันตาย ไม่ใช่ไปทำให้จิตวิญญาณของเราตาย เนื้อแท้จิตวิญญาณไปทำให้ตาย ไม่ใช่ ต้องทำอาคันตุเก แขกจรให้ตายไป ไม่ใช่จิตเดิมแท้เราตาย เราให้ตัวปลอมที่มาในจิตเราตาย
_หลวงปู่มั่นหรือหลวงปู่ชาเป็นพระอาริยะระดับใด
พ่อครูว่า..ก็ยังพูดได้ว่าทั้งสององค์เป็นความหนักไปทางเทวนิยม หนักไปทางนั่งหลับตายังมีเทวนิยมอยู่หนัก ผู้ที่ชัดเจนแล้ว แม้จะมีสัมมาทิฏฐิว่าการนั่งหลับตาไม่ใช่ มันยังมีเชื้อติดการนั่งหลับตาเลย ไปถามท่านเสียงศีลเลย องค์อื่นก็มี ยังติดนั่งหลับตาอยู่ เพราะฉะนั้นจะต้องมีสัมมาทิฏฐิที่ชัดเจนเพียงพอ ถ้าเข้าใจให้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ
ผู้ไม่นั่งหลับตาเลยก็บรรลุอรหันต์ได้ เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาจะใช้อะไรบ้าง
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
_จะทำตัวอย่างไรกรณีเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
พ่อครูว่า...เช่นเราอยู่ในร่างผู้หญิงจะทำเป็นแข็งแรงบึกบึน หรือรูปร่างเป็นผู้ชายจะทำตัวเป็นอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงได้อย่างไร ก็ต้องทำให้พอเหมาะสมควรได้สัดส่วน อันนี้ก็ไม่รู้จะไปให้ตายตัวอย่างไร เพราะบางคนหน้าหวานก็ต้องแข็งแรงหน่อย บางคนหน้าแข็งบึกก็ทำให้อ่อนหวานหน่อยก็ต้องทำให้สมกับรูปนามลงตัว
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน ล้างกิเลสอย่างไรถึงได้เป็นผู้ชาย
_สิกขมาตุรินฟ้า...เคยได้ยินพ่อท่านว่า หากจะพัฒนาตนเองไปจนถึงขั้นสูงจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ชายเพศชาย ภิกษุณีหลายองค์บำเพ็ญบารมีจนเป็นเอตทัคคะเป็นผู้หญิงตลอดไม่เห็นจะเปลี่ยนเพศ
พ่อครูว่า...ได้ คุณจะเป็นอรหันต์ไม่ได้ขีดขั้นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แม้จะเป็นโพธิสัตว์กวนอิม เป็นแต่เพียงว่าสุดแห่งที่สุดต้องมีหนึ่งเดียวเป็นเอกบุรุษ แม้แต่เทวนิยมก็ยอมรับว่าอดัมเป็น 1 อีฟเป็น 2 สอดคล้องกันหมด ไม่ได้เป็นการกดขี่ทางเพศ สูงสุดจะเป็นผู้มีประโยชน์ทางโลกได้ จะบำเพ็ญจนกระทั่งที่เขาบอกว่าเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรคือเจ้าแม่กวนอิม ก็ทำประโยชน์สอนผู้อื่นสอนมนุษย์โลกช่วยมนุษย์โลก ให้พ้นทุกข์ได้ไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็จะปรินิพพานไปในร่างผู้หญิง หรือเป็นพระโพธิสัตว์ถึงขั้นไหนก็ตาม จะปรินิพพานในร่างผู้หญิงก็ได้ แต่เห็นว่าร่างผู้หญิงเป็นทุกข์เยอะมันมีภาระเยอะ ถ้าเกิดเป็นโพธิสัตว์แล้วต้องเกิดแล้วเกิดอีกคุณก็จะต้องเป็นผู้หญิงที่มีทุกข์ตั้งไม่รู้กี่อย่าง คุณก็เห็นว่าเป็นผู้ชายสะดวกกว่า ถ้าคุณเข้าใจมุมเหลี่ยมนี้ว่าสะดวกกว่า เป็นผู้หญิงจะมีภาระเยอะกว่า ก็เอาเป็นผู้ชาย
จริงๆแล้วผู้ชายก็มีนัยละเอียด ถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็นประโยชน์ในเรื่องจุกจิกได้เยอะ แต่ถ้าเป็นผู้ชายจะเป็นเรื่องที่เป็นหลักเป็นฐานเป็นเรื่องเป็นราวได้เยอะกว่าอย่างนี้เป็นต้นเป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องใหญ่ได้มากกว่า ผู้หญิงทำเรื่องย่อยได้มากกว่าผู้ชาย ก็เอาสิคุณจะเกิดรสนิยมของคุณจะชอบอันไหน จะบำเพ็ญเป็นผู้หญิงตลอดก็ได้ แต่บางคนบอกว่าไม่เอาจะบำเพ็ญเป็นผู้ชายคุณก็สามารถเกิดไปเป็นผู้ชายได้
เพราะฉะนั้นทำสัดส่วนให้ดี ถ้าสัดส่วนไม่ดีระวังจะเป็นกึ่งกลาง
_สิกขมาตุรินฟ้า ..ต้องล้างกิเลสส่วนใดจึงเกิดมาเป็นผู้ชาย
พ่อครูว่า..การละกิเลสก็เป็นอรหันต์แต่จะเป็นเพศหญิงเพศชายนั้นเป็นสมมติเท่านั้นเอง แล้วก็สมมุตินั้นหากลงตัวเป็นผู้ชายก็ทำประโยชน์อย่างนี้ได้มากกว่า ผู้หญิงก็ทำประโยชน์อีกอย่างได้มากกว่าคนจะชอบแบบนี้ หากชอบจุกจิก ละเอียด ผู้ชายออกไปนอกบ้าน ผู้หญิงก็อยู่ในแวดวงในบ้านอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นความซับซ้อน ผู้หญิงอยากจะเป็นใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้จะเท่าเทียมกับผู้ชายอย่างไรก็ว่ากันไป ซึ่งจะต้องศึกษาแล้วก็จะรู้ว่ามันเป็นสัจจะ ที่เราต้องรู้สัดส่วนของการผสมส่วน
_ขอคำอธิบาย ความเสียเปรียบที่สูงส่งกว่าคำว่าเสมอภาค
พ่อครูว่า...คำว่าเสียเปรียบที่สูงส่ง คำว่า เสียสละ นี้คือเราจะต้องให้แก่ผู้อื่นสละให้แก่ผู้อื่น สิ่งที่เราสละมันมีคุณค่ามันเหมาะสมกับกาละเทศะบุคคล หมู่กลุ่ม ตามสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เราดูรายละเอียดก็รวบรวมอย่างได้สัดส่วน ที่จะเสียสละยกตัวอย่างเช่น
คนจนกับคนรวย เรารวย แล้วเราก็มีพลัง มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างได้มาก แต่คนจนนี้สร้างไม่ได้มาก เราทำได้มากกว่าเขา เราก็เสียสละให้แก่เขาได้มาก เช่นแม่ มีอาหารมา 1 ก้อน แม่ให้ลูกกินเราอดทนได้มากกว่า แม่ก็สามารถสละให้ลูกได้มากกว่าที่ควร
หลักสัปปุริสธรรม 7 ประการพระพุทธเจ้าเเบ่งช้อยส์ต่างๆ คนจะต้องเข้าใจ
1. ธัมมัญญูตา (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
2. อัตถัญญูตา (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)
3. อัตตัญญูตา (รู้จักตนเอง)
4. มัตตัญญูตา (รู้จักประมาณจัดสรรสัดส่วน)
5. กาลัญญูตา (รู้จักกาลสมัย)
6. ปริสัญญูตา (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น) .
7. ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 65)
แล้วยังมีหลักมหาปเทส 4 ไม่มีในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ห้ามหรืออนุญาตเราก็ต้องใช้การพิจารณาของตัวเอง อาศัยตัวเองยังไม่มีลำเอียงไม่มีอคติแล้วตัดสินเอง มันสุดทางแล้ว มหาปเทส สุดทางแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีในสิ่งที่จะห้ามหรืออนุญาตในส่วนนี้แล้ว เราก็ต้องพึ่งตนเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อเนญชาของโพธิสัตว์
_อเนญชาภิสังขาร ของโพธิผู้บำเพ็ญ
พ่อครูว่า..อเนญชา คือต้องหลังจากสมาธิ มีสภาพสามเส้า
หนึ่ง เริ่มต้นทำให้เกิดความบริสุทธิ์เป็นองค์ธรรมอุเบกขา 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำได้แล้วก็ทำอันนี้อย่างเป็น อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง เป็นอนุรักขนาปธานทำอย่างนี่แหละ ตามองค์ประกอบดังนี้ คุณก็ทำอย่างนี้ให้เกิดจิตที่แกร่งเป็นอุเบกขา คุณก็ทำจิตอย่างนี้สั่งสมลงไปในขณะที่ทำนั้นก็จะเกิดการสั่งสม อเนญชา หรืออนุรักขณาปธาน 1 2 3 4 5 6 7 8
มันจะจับตัวผนึกกันเเข็งเเรงเรียกว่าสมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่น มันแข็งแรงตั้งมั่น ต้องเกิน 7 เกิน 9 จึงจะแข็งแรงมั่นคงจึงจะได้ 1 หน่วยถ้าเกิน 10 เกินไปอีกเป็น 20 30 40 ยิ่งปฏิภาคทวี เป็น 50 เป็น 100 จึงสั่งสมตั้งมั่นไปอีก ถ้าเป็น 1000 หรือ 10000 มันก็จะเป็นรอบไป คุณจะเอารอบอะไรที่ละ 3เส้าๆๆ ก็จะถือเป็นความตั้งมั่นที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น จิตของคุณต้องสะอาดแล้วจึงค่อยมาสั่งสม ไม่ใช่สั่งสมจิตไม่สะอาดจนตั้งมั่น ยิ่งไม่รู้เรื่อง กดข่มจิตตะพึดเลย ไม่รู้เรื่องนิ่งและหยุดอย่างเดียวอย่างนี้ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่เป็นการสั่งสมความตั้งมั่นสมาธิของพุทธเจ้าไม่ใช่สัมมาสมาธิแต่เป็นมิจฉาสมาธิ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาเปิดทุกอิริยาบถ สัมผัสทางทวารทั้ง 6 และก็สั่งสมจิตที่สะอาดยังลืมตา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ทางทวารทั้ง6 มีอุเบกขา อย่างลืมตา สั่งสมมาเรื่อยๆจึงเกิดอเนญชา ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวที่สูงขึ้นตัวจบ ท่านเรียกว่า สมาหิตะ คือ สมะ +หิตะ
สมะคือเสมอ มันก็สมบูรณ์แบบสงบ สมะแปลว่าสงบด้วย หิตะ แปลว่าประโยชน์ สามารถทำประโยชน์ตนสงบนิ่งเป็น Static แข็งแรง แล้วก็มาทำประโยชน์ต่อผู้อื่น หิตะ จึงเกิด สมาหิตะหรือสมาหิโต เสร็จแล้วสมบูรณ์แบบแล้วตั้งมั่นแล้วตรวจสอบด้วยเจโตปริยญาณ กลุ่มสุดท้ายเป็นสมาหิตะ กับอสมาหิตะ วิมุติกับอวิมุติ จึงจะเป็นอนุตรจิต ไม่ใช่สอุตรจิต ในเจโตปริยญาณคู่กับสุดท้าย คือ สอุตรจิตกับอนุตรจิต
ต้องตรวจสอบ สมาหิตะ กับวิมุติ จิตที่สงบและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแข็งแรง กับการวิมุติสะอาดอดทนเรียบร้อย ไม่ใช่เหลือเศษอวิมุติ อย่างนี้เป็นต้น คือ เจโตปริยญาณ 16 จนสุดท้าย
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
1. สราคจิต (จิตมีราคะ)
2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
ถ้ารู้สภาวะแล้วก็จะเข้าใจตรวจสอบได้จากเจโตปริยญาณ 16 สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
_หมอบอกว่าโรคซึมเศร้า เกิดจากความบกพร่องของสารเคมีในสมองผิดปกติจะถามพ่อท่านว่าจะทำจิตอย่างไรให้ชนะโรคหรือกระตุ้นให้ฮอร์โมนในสมองเกิดความสมดุล
พ่อครูว่า..ตอบ ตอบไม่ได้ มาถามผิดคน อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่ามองทางรูปธรรม มันขาดสารเคมีขาดฮอร์โมนในสมองเป็นเรื่องรูปธรรมอาตมาไม่เก่งทางสรีระไม่รู้เรื่อง คุณอ้างโจทย์มาทางวัตถุแล้วถามนามธรรมไม่ได้ จะทำส่วนพร่องทางวัตถุ ก็ไปถามผู้เชี่ยวชาญทางโน้น ทางจิตอาตมาพยายามทำของตน แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้มากตอบว่ายังตอบไม่ได้
_สมเด็จปู่วิชิตอวิชชาทำไมจึงไม่ยกมาให้กราบที่ชั้นล่างเฮือน 00 ทำไป ไปประดิษฐานอยู่ที่ชั้น 3
พ่อครูว่า...ไปกราบที่น้ำตกอีกองค์ ในบวรก็มีหลายองค์
_เด็กบุญไม่มี..ตอนก่อนที่ไม่นั่งล้อมหลวงปู่เหมือนปัจจุบัน นกชอบมาเกาะเหล็กตรงข้างบน แล้วก็ขี้ใส่พวกหนู แต่พอเปลี่ยนให้หลวงปู่มานั่งตรงกลาง ทำไมนกไม่มาขับถ่ายใส่หลวงปู่เลยค่ะ
พ่อครูว่า..บุญไม่มีชำระกิเลสไม่ได้นะ นกมันรู้จักที่ต่ำที่สูง มันก็อาจจะมีแสงเสียงมากนอกมันก็เลยหลบดีกว่าเป็นไปได้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ภาวะสองคือความเป็นหญิง
_ถ้าผู้หญิงพัฒนาตนจนที่มีปุริสภาวะ ทำความเป็นหนึ่งได้แล้ว เมื่อเกิดใหม่จะได้ร่างเป็นผู้ชายไหมคะ ถ้าเป็นผู้ชายได้ก็แสดงว่ากรรมพันธุ์หรือพลังงานจิต มีผลต่อสรีระ
พ่อครูว่า...ได้ ถ้ายังเป็นสองก็จะเป็นผู้หญิง หนึ่งนี้สิ้นสุขสิ้นทุกข์ เทวะเป็นสภาวะคู่เมื่อทำให้เป็นหนึ่งได้เราก็เลือกสุขที่เป็นโลกุตระ วูปสโมสุข ไม่ใช่สุขโลกีย์บำเรอกิเลส แต่สุขเพราะหยุดบำเรอ แต่นี่สภาวะเป็นหนึ่งไม่มีคู่ไม่มี 2 ไม่มีอะไรบำเรอ แม้สัมผัสด้วยรสทางลิ้น คุณก็สัมผัสได้รู้ถึงรสแท้ไม่ใช่รสเทียม ได้ยินเสียงก็เป็นเสียงจริง ไม่มีอร่อยชื่นใจสนุก มัน กลิ่นและเสียงก็เป็นอย่างนี้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นเช่นนี้ มันไม่มีเวทนาที่เป็นรสเก๊อัสสาทะ รสโลกียะ ต้องแยกรสโลกียะกับรสโลกุตระออก เป็นเนกขัมมะ กับเคหสิตะ คำว่าสองนี้จึงยิ่งใหญ่ที่สุด
พูดไปถึงกรรมพันธุ์ทางจิต อาตมาพยายามเข้าใจพยัญชนะที่สื่อสภาวะของคุณ กรรมพันธุ์ที่เป็นรูปธรรมทางโลกุตระไม่มี
กรรมเป็นการกระทำเป็นกิริยาไม่มีแท่งก้อนอะไรไม่มีสรีระ กรรม เช่นคุณตีหัวคน เป็นกิริยา กรรม ทำเสร็จแล้วก็หายไปไม่มีแท่งก่อน แล้วคุณจะมาให้เป็นแท่งก้อนเป็นสรีระจับตัวแล้วมาแบ่งกันมันไม่ได้ มันเป็นกรรมกิริยา กิริยาของใครของคนนั้น คุณเป็นคนทำเองก็เป็นของคนนั้น คุณตีหัวเขา อีกคนหนึ่งไม่ตีแล้วคุณก็บอกว่าเอาบาปของเราไปครึ่งหนึ่งมันได้อย่างไร กรรมพันธุ์มันแบ่งไม่ได้ สรีรพันธุ์มันแบ่งได้ เป็นตัวแท่งก้อนบุคคลเราเขาก็แบ่งได้
ทีนี้ จิต เป็นพลังงานจิตที่ไม่เป็นก้อนแท่งอะไรเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
_คนข้างนอกเวลาชีวิตตกอับ เช่น เวลาถูกไล่ออกจากงานก็โทษโชคชะตาไม่ดีโทษเทวดาลงโทษ ส่วนคนในวัดเวลาเป็นไข้เป็นอะไรนิดหน่อยก็โทษวิบากกรรม ทั้งๆที่บางทีมันก็เป็นความประมาทของเราเองทำไมต้องโทษวิบากกรรมด้วยคะ
พ่อครูว่า...ก็ตรวจสอบวิบากกรรมจริงๆหรือว่ามันเป็นเหตุปัจจัยของอะไรอย่างอื่น ถูกไล่ออกจากงานก็มีเหตุปัจจัยตั้งเยอะ ส่วนที่จะมาเรื่องของจิตก็ละเอียดขึ้นไปอีก
ก็ต้องค่อยศึกษาไป
_สังขารคือร่างกายจิตใจ ฉะนั้น สังขารต่างจากร่างกายอย่างไร
พ่อครูว่า...อันนี้แหละยาก กายมันเป็น 2 แยกกายแยกจิต อาตมาพยายามอธิบายต้องมาเข้าใจอุตุนิยาม จิตนิยาม หรือ พีชนิยามต้องเข้าใจสามเส้านี้
อธิบาย กายกับจิต สามเส้านี้ที่ต้องเกี่ยวกับเวทนา
เรายกเวทนามาอธิบาย เอาผม ขน เล็บ ฟัน หนังอธิบาย
เล็บง่ายกว่าอื่น เล็บที่ติดกับตัวคุณหากเล็บยังมีชีวะ จะออกมาได้อยู่คือยังมีชีวะพีชะ และเป็นจิต แต่ถ้ายาวออกมาแล้วไม่มีเวทนา เล็บนั้นไม่มีความรู้สึกคนตัดทิ้งได้ แต่ถ้ายังมีความรู้สึกอยู่เล็บอันนั้นยังเป็นจิตนิยาม ถ้าเล็บส่วนไหนที่ตัดแล้วไม่เจ็บเท่านั้นเป็น พีชนิยาม ตัดทิ้งไปแล้วเล็บเป็นอุตุนิยาม เป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เวทนา ศึกษาเวทนา พิจารณากายกับจิตนี้ อันที่มันไม่มีจิตเข้าไปร่วมแล้วเรียกว่าไม่ใช่กาย ไม่มีจิตใจเข้าไปร่วมรู้สึกด้วย ตัดออกมาแล้วเล็บส่วนนี้เป็น พีชะแล้วเป็นอุตุ
_อันสุดท้ายหมดเวลาแล้ว...ทำไมพระพุทธเจ้าออกบวชเมื่อเห็นเทวทูตทั้ง 4 เกิด แก่เจ็บ ตายครับ หรือว่าพระพุทธเจ้าสงสารครับ
พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าสมณโคดมหรือองค์อื่นก็ตามท่านไปเห็นเทวทูตหมายความว่าเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อมาให้เกิดความรู้ในเทวะ รู้เห็นอาการคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในวัฏสงสารของชีวิตทั้งหลายของสัตว์โลก สัตว์โลกมีเกิดมีแก่ ห้ามความแก่ไม่ได้ห้ามความเจ็บปวดความป่วยไข้ไม่ได้ จะเป็นใครก็แล้วแต่ ต้องมีเจ็บมีปวด ถ้ายิ่งมีโรคก็ยิ่งจะเจ็บมากขึ้นเพราะมีเชื้อมีเหตุ เกิดแก่เจ็บ ท่านถึงไม่ใช้คำว่าปวด มันเจ็บอย่างนั้นอย่างนี้เกิดแก่เจ็บแล้วก็ตาย ตายก็ต้องอธิบายกันอีกเยอะแยะ ตายยังเกิดอีก หรือตายแล้ววัตถุแยกกันหายไปเลยไม่รวมกันอีก
จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:58:43 )
รายละเอียด
620109_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอน โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… http://www.boonniyom.net/43795.html
รายการวันนี้ นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ปริญญาเอก ม.มหิดล กำลังทำดุษฎีนิพนธ์ ได้มาสัมภาษณ์พ่อครู ในเรื่อง โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์ กรณีศึกษา พุทธสถานราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานี
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ในสังคมเราจะได้เห็นคนที่ทำงานเพื่อคนอื่น เห็นนายกรัฐมนตรีจะทำงานเพื่อคนอื่นแล้วจะให้คนเข้าใจว่าเป็นสิ่งถูกสิ่งที่ทำเพื่อเขาเขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริง คนเขาก็วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างภาพ
พ่อครูว่า….คนเราจะสร้างภาพให้ตัวเองโดยการทำสิ่งที่ดีงาม เขาจะสร้างภาพเขาจะเจตนาสร้างภาพเพื่อให้คนยอมรับนับถือ เขาจะสร้างภาพอย่างนั้นมันเลวไหม มันเลวอย่างไร คนจะพยายามเจตนาตั้งใจที่จะทำดี ใครจะอยากให้คนเห็นว่าเราทำดีก็ไม่เป็นไร แต่เราทำกรรมทุกวินาทีทุกกรรมกิริยาที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ดี ๆๆๆๆ มันควรจะอนุโมทนาให้กัน เขาจะสร้างภาพอย่างที่ดีมันก็ดีแล้ว ทำไมจะต้องไปว่าเขา แต่ถ้าเขาทำไม่ดีมันก็ไม่ดี หรือเจตนาจะสร้างภาพเลว จะบ้าเหรอ อาตมาขอวิจัยวิจารณ์ คนเราช่างหาเรื่องมาด่ามาว่า กระแนะกระแหน จะตำหนิคนต่างๆนานา อย่างนั้นเป็นจิตใจที่เลวทราม
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าเป็นเราก็อาจจะคิดว่าจะไปช่วยมันทำไม
พ่อครูว่า...ยกตัวอย่างอาตมาไม่ได้มีจิตคิดไปสร้างภาพ อันนี้เป็นความบริสุทธิ์ใจของอาตมาเอง อาตมาหมดความชั่วความอยากประกาศตนเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ไปแล้ว อาตมาไม่มีจิตใจชั่วร้ายชั่วเลวอะไรเลย ไม่มีสาเฐยจิต หรืออยากอวดอ้างอะไรไม่มี จิตเราก็ต้องอ่านอาการจิตออก แต่จะไปโกหกคนอื่นมันก็บาปมันไม่ดี เราก็บอกความจริงไป อาตมาบอกความจริงไปหมดแล้วเขาก็ยัง กระแนะกระแหนว่ามาอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่ว่าคนเราไม่พยายามจะเข้าใจคนอื่น ถ้าหากเขาปฏิเสธสิ่งที่ดี ก็จะกลายเป็นคนไม่ได้สิ่งที่ดี โดยเฉพาะคนคิดดีๆจริงและสร้างสิ่งที่ดีจริง คุณนึกว่าคุณฉลาดนักหรือ แต่อาตมาว่า เป็นคนที่โง่สุดโง่เพราะคุณไม่รู้ว่าดีคืออย่างไรไม่รู้ว่าใจเขาสะอาดอย่างไร อาตมาไม่บ้าไปอวดอุตตริมนุสสธรรมในสิ่งที่ไม่จริงเมื่อเรามีจริง กรรมนั้นเป็นการกระทำที่เป็นอันทำ แค่เพียงคิดก็เป็นกรรมแล้ว ไปพูดอีกก็เป็นกรรม มันก็ยิ่งบาปน่ะถ้าหากเป็นบาป แล้วเรารู้ว่าเราไม่ดีแต่เราไปพูดว่าเราดีเราผิดเราทำตัวชั่วอยู่ก็ตามแล้วจะมาบอกว่าเราดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ รู้ว่าตัวเองโกหก คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก คนๆนี้จะทำชั่วได้ทุกอย่าง ไม่มีความชั่วใดที่คนนี้จะทำไม่ได้
สมณะฟ้าไทว่า...คนไทยต้องมองมิติใหม่ ว่าคนทำดีเราต้องเชียร์คนทำดี ให้เขาทำไปเลยตลอดชีวิตของเขา คนไปทำดีไม่ได้อะไรก็ได้ความเหนื่อย
พ่อครูว่า...ในพระไตรปิฎกเล่ม 36 ข้อ [80] อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน
ผู้ที่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่
ควรรังเกียจ 1
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้
[81] อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน
ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ประพฤติรังเกียจ
สิ่งที่ควรรังเกียจ
อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้มี นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ปริญญาเอก ม.มหิดล ได้มาสัมภาษณ์พ่อครู ในเรื่อง โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์ กรณีศึกษา พุทธสถานราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานี
ในปัจจุบัน สารเคมีการเกษตรถูกใช้อย่างมากมาย เป็นพิษร้ายต่อคนอย่างมาก คนจึงแสวงหาพืชผักไร้สารพิษมาบริโภคกันเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งขาดแคลนอย่างยิ่ง (พ่อครูยกตัวอย่างพืชผักไร้สารพิษที่มาประดับหน้าเวทีนี้) และแมลงไม่ค่อยกินด้วย เขาสรุปว่าเพราะว่าพืชผักเราแข็งแรงแมลงเลยไม่ค่อยกิน
คุณไพฑูรย์ว่า..ผมได้คุยกับสมณะดินไท และจะเก็บข้อมูลต่อ ได้คุยกับเครือแหมาก่อนนี้ด้วย ผมเคยมาที่นี่ตั้งแต่ปีก่อน
ผมได้ศึกษาว่าเกษตรอินทรีย์ ไม่ได้เริ่มที่บ้านเรา เริ่มที่ต่างประเทศ มีปัญหาการรบรากับบริษัทการค้าเคมีมาตลอด มีการตีความทางพุทธศาสนาอย่างไรบ้างในการเอาไปใช้ในเรื่องต่างๆ เมื่อกี้นี้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นมาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ในอโศก เร่ิมมาอย่างไร แล้วมีแนวคิดอย่างไร อุปสรรคอย่างไร มีการใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาหรือที่เรียกว่า โลกทัศน์ทางพุทธศาสนาเอามาใช้อย่างไรบ้าง
อันดับแรก มีความเป็นมาอย่างไรจึงได้มาทำการเกษตรอินทรีย์
พ่อครูว่า...ที่คุณมีโลกทัศน์ความมุ่งหมายอย่างไรด้วย อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีความรู้ชัดเจนว่าเราเป็นคน สิ่งที่สำคัญในความเป็นคน อาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วคำว่า อาหาร เครื่องอาศัยนี้เป็นสิ่งสำคัญก็คือ กวฬิงการาหาร ที่เป็นตัวต้นตัวหยาบ อาหารที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์เรียกว่า กวฬิงการาหาร
เจตนาก็คือมันเป็นเครื่องอาศัยของคน อาหารเป็นหนึ่งในโลก ถ้าไม่มีอาหารเราก็ตาย มันสำคัญจริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้เพราะเป็นปัจจัยของชีวิตสำคัญ อาวุธไม่ได้สำคัญเป็นหนึ่งในโลก หรือแม้แต่เอาเข้ามาถึงปัจจัย 4 เสื้อผ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก หนึ่งในปัจจัยสี่ อาคารที่พักที่อาศัยอยู่ในปัจจัย 4 ก็ไม่ใช่ เป็นที่หนึ่ง แต่อาหารเป็นที่หนึ่งในโลกในปัจจัยสี่ ข้าวผ้ายาบ้าน เพราะถ้าไม่มีเครื่องนุ่งห่มไม่มียารักษาโรค ไม่มีบ้านก็ยังไม่ตาย แต่ไม่มีอาหารนั้นจะตายเอา
เมื่อเห็นความสำคัญแล้ว อาตมาก็เห็นว่าสังคมนี้ทำร้ายอาหาร ที่เรานำไปกิน ไปใส่สารพิษผสมอะไรเข้าไปปรุงแต่งเลอะเทอะมาก นั่นคือต้นความคิดที่อาตมาเห็น
จึงได้มี สามอาชีพกู้ชาติ ขึ้นมา
คือ กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา
นี่คือ 3 อาชีพที่จะกู้ชาติกู้แผ่นดินกู้ประเทศกู้โลกเลย เรื่องการกสิกรรมและปุ๋ยก็ยังพอฟังขึ้น แต่เมื่อพูดถึงขยะ คำว่าขยะนี้แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ส่งเสริม มันเป็นเรื่องทำลายแล้วนะ แม้แต่สิ่งที่ส่งเสริมก็ได้ทำลายก็ได้ หากเราพลิกไปใช้ในมุมส่งเสริมก็จะไม่ใช่ขยะ หากพลิกไปใช้ในมุมที่ทำลายก็เป็นขยะ แต่คนที่อวิชชาก็ไม่รู้ในสิ่งที่ทำลาย คุณทำอย่างเจตนานึกว่าเจริญแต่แท้จริงเป็นยาพิษ เป็นสิ่งที่ทำลาย มันเป็นสิ่งที่มอมเมาอย่างนี้ก็ทำลาย รสชาติเพิ่มเติมความสวยงามเพิ่มเติมเป็นต้น เป็นสิ่งทำลายแต่เขาหลงว่าเป็นความเจริญส่งเสริมความสวยงาม แต่มันเป็นการทำลาย นี่คือนัยะลึกซึ้ง
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว อาตมาก็มองในวัตถุดิบที่เอามาประดับฉากนี้ เป็นพืชพรรณธัญญาหารที่เราทำเองทั้งนั้น ไร้สารพิษทั้งหมดและสวยงาม แต่คนที่เขาไม่ทำอย่างไร เขาพยายามใส่ยา ใช้สารเคมี เพื่อจะให้ของเขาสวย ของเขาสวยกว่าของเราเลย มีประเภทที่แมลงไม่ตอมเลยนะ
เราทำนาหอยเชอรี่ นก ปู กินบ้าง แต่สัตว์เหล่านี้มันมีเซ้นส์ ว่าไม่มีพิษมันก็มากินกว่าจะเหลือให้เรากินก็ไม่มาก สัตว์มันเอาไปกินก่อนเยอะ แต่พวกเราไม่ได้ขาดแคลนในอาหารพืชพรรณธัญญาหาร แต่กลับอุดมสมบูรณ์ ทำไมไม่ขาดแคลน อาตมาว่า พวกเราประสบความสำเร็จในการอยู่ร่วมกับสัตว์โลกไม่ต้องไปเบียดเบียนกัน เราทำ มันจะมากินบ้างแต่เราก็มีเหลือที่เราจะยืนอยู่ได้พอเหมาะ เราไม่ยิงไม่ฆ่ามัน อย่างเก่งก็ไล่มันไป เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ได้รุนแรง ที่พูดไปนี้เป็นนัยะละเอียด คนอื่นกลัวแล้วป้องกันไปหมดแต่เราไม่ทำอย่างนั้น
คุณไพฑูรย์ว่า...วันนี้พ่อท่านประสบความสำเร็จหรือไม่
พ่อครูว่า...ประสพผลสำเร็จ
คุณไพฑูรย์ว่า...ก็จะประสบความสำเร็จจะต้องเจออุปสรรคใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...แผ่นดินนี้แต่ก่อนก็ต้องมีสารพิษสารเคมีบ้าง ที่นี่เป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วม คนก็ทิ้งไม่ทำกสิกรรมที่นี่ น้ำท่วมก็เกิดการ dilute ดินก็ดีขึ้นพอควร เราดีที่ไปจับจองที่ๆคนไม่เอา เราไม่กลัวน้ำท่วม น้ำท่วมมาพืชก็ตาย ตายก็ปลูกใหม่
อาตมาจำได้เลย ฤดูน้ำท่วม ดาวเพ็ญนี่แหละ น้ำกำลังท่วมก็ยังไปดำนา พอดำเสร็จน้ำก็ท่วม เราก็รู้ว่าน้ำท่วม ท่วมตายก็ตาย เราก็ปลูกใหม่ คือเราไม่กลัวเสียอย่าง อะไรตายก็ตายอะไรเกิดก็เกิดถึงที่สุด ความเกิดความตายก็คือสามัญ เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เราก็ทำอย่างไม่กลัวเราไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย หมดไปก็ทำใหม่ในสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ไม่ต้องทำก็ไม่ทำเลยเพราะมันไม่ควรทำ ทำแล้วมันหมดไปก็ทำไม ก็อยู่กับอันนี้ เราก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร เราก็มีอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือแจกจ่ายคนอื่นได้ด้วย
สรุปว่าประสบความสำเร็จทั้งคุณภาพและความอุดมสมบูรณ์ ปริมาณมาก Quality quantity บริบูรณ์
คุณไพฑูรย์ว่า...ในหลักธรรมะที่พ่อท่านใช้ เวลาเสียหายแล้วก็ทำใหม่ แต่บางคนเมื่อเสียหายถึงขนาดฆ่าตัวตายก็มี
พ่อครูว่า...กิเลสของเขา เขาไม่รู้จักความเกิดความดับ ทุกอย่างก็หมุนเวียนระหว่างความเกิดความดับสุดท้าย มันยังไม่เกิดไม่ตายเหลือเท่าไหร่ก็ต่อเชื้อกันไป ถ้าหมดไปแล้วก็ปลูกขึ้นมาใหม่ เราไม่จำนนต่อการที่จะทำสิ่งที่เราควรจะทำ
คือคนเราโง่ เอาเวลาแรงงาน ทุนรอน ไปเสียกับสิ่งไร้สาระพุ่มเฟือย ผู้ใดรู้สิ่งฟุ้งเฟ้อเรื่องไร้สาระแล้วก็อย่าไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนกับสิ่งไร้สาระฟุ่มเฟือย เราก็มีเวลาแรงงานทุนรอนมาทำสิ่งที่เป็นสาระ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นี่คือ Economy สูงสุด
ชุดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของที่นี่
พ่อครูว่า...เราก็สรุป motto ขยายความ Economy ว่า ประโยชน์สูงประหยัดสุด นี่คือเพลงอาริยะหมายเลข 1 Economy หมายถึงการประหยัดแต่เราสูงกว่านั้น
คุณไพฑูรย์ว่า..มีหลักธรรมอะไรบ้าง
พ่อครูว่า...หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนเราคือ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะใช้อันนี้เท่านั้นทั้งหมด
1. ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ . .
3. ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา . .
4. ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน .
5. ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน
6. หิริ (ละอายต่อบาป) . 14. ตติยฌาน
7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 15. จตุตถฌาน
8. แทงตลอดในพหูสูต . (ล.13/34)
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… http://www.boonniyom.net/43795.html
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:59:15 )
รายละเอียด
620109_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอน โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… http://www.boonniyom.net/43795.html
รายการวันนี้ นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ปริญญาเอก ม.มหิดล กำลังทำดุษฎีนิพนธ์ ได้มาสัมภาษณ์พ่อครู ในเรื่อง โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์ กรณีศึกษา พุทธสถานราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานี
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ในสังคมเราจะได้เห็นคนที่ทำงานเพื่อคนอื่น เห็นนายกรัฐมนตรีจะทำงานเพื่อคนอื่นแล้วจะให้คนเข้าใจว่าเป็นสิ่งถูกสิ่งที่ทำเพื่อเขาเขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริง คนเขาก็วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างภาพ
พ่อครูว่า….คนเราจะสร้างภาพให้ตัวเองโดยการทำสิ่งที่ดีงาม เขาจะสร้างภาพเขาจะเจตนาสร้างภาพเพื่อให้คนยอมรับนับถือ เขาจะสร้างภาพอย่างนั้นมันเลวไหม มันเลวอย่างไร คนจะพยายามเจตนาตั้งใจที่จะทำดี ใครจะอยากให้คนเห็นว่าเราทำดีก็ไม่เป็นไร แต่เราทำกรรมทุกวินาทีทุกกรรมกิริยาที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ดี ๆๆๆๆ มันควรจะอนุโมทนาให้กัน เขาจะสร้างภาพอย่างที่ดีมันก็ดีแล้ว ทำไมจะต้องไปว่าเขา แต่ถ้าเขาทำไม่ดีมันก็ไม่ดี หรือเจตนาจะสร้างภาพเลว จะบ้าเหรอ อาตมาขอวิจัยวิจารณ์ คนเราช่างหาเรื่องมาด่ามาว่า กระแนะกระแหน จะตำหนิคนต่างๆนานา อย่างนั้นเป็นจิตใจที่เลวทราม
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าเป็นเราก็อาจจะคิดว่าจะไปช่วยมันทำไม
พ่อครูว่า...ยกตัวอย่างอาตมาไม่ได้มีจิตคิดไปสร้างภาพ อันนี้เป็นความบริสุทธิ์ใจของอาตมาเอง อาตมาหมดความชั่วความอยากประกาศตนเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ไปแล้ว อาตมาไม่มีจิตใจชั่วร้ายชั่วเลวอะไรเลย ไม่มีสาเฐยจิต หรืออยากอวดอ้างอะไรไม่มี จิตเราก็ต้องอ่านอาการจิตออก แต่จะไปโกหกคนอื่นมันก็บาปมันไม่ดี เราก็บอกความจริงไป อาตมาบอกความจริงไปหมดแล้วเขาก็ยัง กระแนะกระแหนว่ามาอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่ว่าคนเราไม่พยายามจะเข้าใจคนอื่น ถ้าหากเขาปฏิเสธสิ่งที่ดี ก็จะกลายเป็นคนไม่ได้สิ่งที่ดี โดยเฉพาะคนคิดดีๆจริงและสร้างสิ่งที่ดีจริง คุณนึกว่าคุณฉลาดนักหรือ แต่อาตมาว่า เป็นคนที่โง่สุดโง่เพราะคุณไม่รู้ว่าดีคืออย่างไรไม่รู้ว่าใจเขาสะอาดอย่างไร อาตมาไม่บ้าไปอวดอุตตริมนุสสธรรมในสิ่งที่ไม่จริงเมื่อเรามีจริง กรรมนั้นเป็นการกระทำที่เป็นอันทำ แค่เพียงคิดก็เป็นกรรมแล้ว ไปพูดอีกก็เป็นกรรม มันก็ยิ่งบาปน่ะถ้าหากเป็นบาป แล้วเรารู้ว่าเราไม่ดีแต่เราไปพูดว่าเราดีเราผิดเราทำตัวชั่วอยู่ก็ตามแล้วจะมาบอกว่าเราดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ รู้ว่าตัวเองโกหก คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก คนๆนี้จะทำชั่วได้ทุกอย่าง ไม่มีความชั่วใดที่คนนี้จะทำไม่ได้
สมณะฟ้าไทว่า...คนไทยต้องมองมิติใหม่ ว่าคนทำดีเราต้องเชียร์คนทำดี ให้เขาทำไปเลยตลอดชีวิตของเขา คนไปทำดีไม่ได้อะไรก็ได้ความเหนื่อย
พ่อครูว่า...ในพระไตรปิฎกเล่ม 36 ข้อ [80] อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน
ผู้ที่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่
ควรรังเกียจ 1
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้
[81] อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน
ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ประพฤติรังเกียจ
สิ่งที่ควรรังเกียจ
อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้มี นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ปริญญาเอก ม.มหิดล ได้มาสัมภาษณ์พ่อครู ในเรื่อง โลกทัศน์ทางพุทธศาสนากับการเกษรอินทรีย์ กรณีศึกษา พุทธสถานราชธานีอโศกจังหวัดอุบลราชธานี
ในปัจจุบัน สารเคมีการเกษตรถูกใช้อย่างมากมาย เป็นพิษร้ายต่อคนอย่างมาก คนจึงแสวงหาพืชผักไร้สารพิษมาบริโภคกันเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งขาดแคลนอย่างยิ่ง (พ่อครูยกตัวอย่างพืชผักไร้สารพิษที่มาประดับหน้าเวทีนี้) และแมลงไม่ค่อยกินด้วย เขาสรุปว่าเพราะว่าพืชผักเราแข็งแรงแมลงเลยไม่ค่อยกิน
คุณไพฑูรย์ว่า..ผมได้คุยกับสมณะดินไท และจะเก็บข้อมูลต่อ ได้คุยกับเครือแหมาก่อนนี้ด้วย ผมเคยมาที่นี่ตั้งแต่ปีก่อน
ผมได้ศึกษาว่าเกษตรอินทรีย์ ไม่ได้เริ่มที่บ้านเรา เริ่มที่ต่างประเทศ มีปัญหาการรบรากับบริษัทการค้าเคมีมาตลอด มีการตีความทางพุทธศาสนาอย่างไรบ้างในการเอาไปใช้ในเรื่องต่างๆ เมื่อกี้นี้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นมาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ในอโศก เร่ิมมาอย่างไร แล้วมีแนวคิดอย่างไร อุปสรรคอย่างไร มีการใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาหรือที่เรียกว่า โลกทัศน์ทางพุทธศาสนาเอามาใช้อย่างไรบ้าง
อันดับแรก มีความเป็นมาอย่างไรจึงได้มาทำการเกษตรอินทรีย์
พ่อครูว่า...ที่คุณมีโลกทัศน์ความมุ่งหมายอย่างไรด้วย อาตมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีความรู้ชัดเจนว่าเราเป็นคน สิ่งที่สำคัญในความเป็นคน อาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วคำว่า อาหาร เครื่องอาศัยนี้เป็นสิ่งสำคัญก็คือ กวฬิงการาหาร ที่เป็นตัวต้นตัวหยาบ อาหารที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์เรียกว่า กวฬิงการาหาร
เจตนาก็คือมันเป็นเครื่องอาศัยของคน อาหารเป็นหนึ่งในโลก ถ้าไม่มีอาหารเราก็ตาย มันสำคัญจริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้เพราะเป็นปัจจัยของชีวิตสำคัญ อาวุธไม่ได้สำคัญเป็นหนึ่งในโลก หรือแม้แต่เอาเข้ามาถึงปัจจัย 4 เสื้อผ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก หนึ่งในปัจจัยสี่ อาคารที่พักที่อาศัยอยู่ในปัจจัย 4 ก็ไม่ใช่ เป็นที่หนึ่ง แต่อาหารเป็นที่หนึ่งในโลกในปัจจัยสี่ ข้าวผ้ายาบ้าน เพราะถ้าไม่มีเครื่องนุ่งห่มไม่มียารักษาโรค ไม่มีบ้านก็ยังไม่ตาย แต่ไม่มีอาหารนั้นจะตายเอา
เมื่อเห็นความสำคัญแล้ว อาตมาก็เห็นว่าสังคมนี้ทำร้ายอาหาร ที่เรานำไปกิน ไปใส่สารพิษผสมอะไรเข้าไปปรุงแต่งเลอะเทอะมาก นั่นคือต้นความคิดที่อาตมาเห็น
จึงได้มี สามอาชีพกู้ชาติ ขึ้นมา
คือ กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา
นี่คือ 3 อาชีพที่จะกู้ชาติกู้แผ่นดินกู้ประเทศกู้โลกเลย เรื่องการกสิกรรมและปุ๋ยก็ยังพอฟังขึ้น แต่เมื่อพูดถึงขยะ คำว่าขยะนี้แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ส่งเสริม มันเป็นเรื่องทำลายแล้วนะ แม้แต่สิ่งที่ส่งเสริมก็ได้ทำลายก็ได้ หากเราพลิกไปใช้ในมุมส่งเสริมก็จะไม่ใช่ขยะ หากพลิกไปใช้ในมุมที่ทำลายก็เป็นขยะ แต่คนที่อวิชชาก็ไม่รู้ในสิ่งที่ทำลาย คุณทำอย่างเจตนานึกว่าเจริญแต่แท้จริงเป็นยาพิษ เป็นสิ่งที่ทำลาย มันเป็นสิ่งที่มอมเมาอย่างนี้ก็ทำลาย รสชาติเพิ่มเติมความสวยงามเพิ่มเติมเป็นต้น เป็นสิ่งทำลายแต่เขาหลงว่าเป็นความเจริญส่งเสริมความสวยงาม แต่มันเป็นการทำลาย นี่คือนัยะลึกซึ้ง
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว อาตมาก็มองในวัตถุดิบที่เอามาประดับฉากนี้ เป็นพืชพรรณธัญญาหารที่เราทำเองทั้งนั้น ไร้สารพิษทั้งหมดและสวยงาม แต่คนที่เขาไม่ทำอย่างไร เขาพยายามใส่ยา ใช้สารเคมี เพื่อจะให้ของเขาสวย ของเขาสวยกว่าของเราเลย มีประเภทที่แมลงไม่ตอมเลยนะ
เราทำนาหอยเชอรี่ นก ปู กินบ้าง แต่สัตว์เหล่านี้มันมีเซ้นส์ ว่าไม่มีพิษมันก็มากินกว่าจะเหลือให้เรากินก็ไม่มาก สัตว์มันเอาไปกินก่อนเยอะ แต่พวกเราไม่ได้ขาดแคลนในอาหารพืชพรรณธัญญาหาร แต่กลับอุดมสมบูรณ์ ทำไมไม่ขาดแคลน อาตมาว่า พวกเราประสบความสำเร็จในการอยู่ร่วมกับสัตว์โลกไม่ต้องไปเบียดเบียนกัน เราทำ มันจะมากินบ้างแต่เราก็มีเหลือที่เราจะยืนอยู่ได้พอเหมาะ เราไม่ยิงไม่ฆ่ามัน อย่างเก่งก็ไล่มันไป เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ได้รุนแรง ที่พูดไปนี้เป็นนัยะละเอียด คนอื่นกลัวแล้วป้องกันไปหมดแต่เราไม่ทำอย่างนั้น
คุณไพฑูรย์ว่า...วันนี้พ่อท่านประสบความสำเร็จหรือไม่
พ่อครูว่า...ประสพผลสำเร็จ
คุณไพฑูรย์ว่า...ก็จะประสบความสำเร็จจะต้องเจออุปสรรคใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...แผ่นดินนี้แต่ก่อนก็ต้องมีสารพิษสารเคมีบ้าง ที่นี่เป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วม คนก็ทิ้งไม่ทำกสิกรรมที่นี่ น้ำท่วมก็เกิดการ dilute ดินก็ดีขึ้นพอควร เราดีที่ไปจับจองที่ๆคนไม่เอา เราไม่กลัวน้ำท่วม น้ำท่วมมาพืชก็ตาย ตายก็ปลูกใหม่
อาตมาจำได้เลย ฤดูน้ำท่วม ดาวเพ็ญนี่แหละ น้ำกำลังท่วมก็ยังไปดำนา พอดำเสร็จน้ำก็ท่วม เราก็รู้ว่าน้ำท่วม ท่วมตายก็ตาย เราก็ปลูกใหม่ คือเราไม่กลัวเสียอย่าง อะไรตายก็ตายอะไรเกิดก็เกิดถึงที่สุด ความเกิดความตายก็คือสามัญ เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เราก็ทำอย่างไม่กลัวเราไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย หมดไปก็ทำใหม่ในสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ไม่ต้องทำก็ไม่ทำเลยเพราะมันไม่ควรทำ ทำแล้วมันหมดไปก็ทำไม ก็อยู่กับอันนี้ เราก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร เราก็มีอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือแจกจ่ายคนอื่นได้ด้วย
สรุปว่าประสบความสำเร็จทั้งคุณภาพและความอุดมสมบูรณ์ ปริมาณมาก Quality quantity บริบูรณ์
คุณไพฑูรย์ว่า...ในหลักธรรมะที่พ่อท่านใช้ เวลาเสียหายแล้วก็ทำใหม่ แต่บางคนเมื่อเสียหายถึงขนาดฆ่าตัวตายก็มี
พ่อครูว่า...กิเลสของเขา เขาไม่รู้จักความเกิดความดับ ทุกอย่างก็หมุนเวียนระหว่างความเกิดความดับสุดท้าย มันยังไม่เกิดไม่ตายเหลือเท่าไหร่ก็ต่อเชื้อกันไป ถ้าหมดไปแล้วก็ปลูกขึ้นมาใหม่ เราไม่จำนนต่อการที่จะทำสิ่งที่เราควรจะทำ
คือคนเราโง่ เอาเวลาแรงงาน ทุนรอน ไปเสียกับสิ่งไร้สาระพุ่มเฟือย ผู้ใดรู้สิ่งฟุ้งเฟ้อเรื่องไร้สาระแล้วก็อย่าไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนกับสิ่งไร้สาระฟุ่มเฟือย เราก็มีเวลาแรงงานทุนรอนมาทำสิ่งที่เป็นสาระ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นี่คือ Economy สูงสุด
ชุดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของที่นี่
พ่อครูว่า...เราก็สรุป motto ขยายความ Economy ว่า ประโยชน์สูงประหยัดสุด นี่คือเพลงอาริยะหมายเลข 1 Economy หมายถึงการประหยัดแต่เราสูงกว่านั้น
คุณไพฑูรย์ว่า..มีหลักธรรมอะไรบ้าง
พ่อครูว่า...หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนเราคือ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะใช้อันนี้เท่านั้นทั้งหมด
1. ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ . .
3. ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา . .
4. ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน .
5. ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน
6. หิริ (ละอายต่อบาป) . 14. ตติยฌาน
7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 15. จตุตถฌาน
8. แทงตลอดในพหูสูต . (ล.13/34)
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… http://www.boonniyom.net/43795.html
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:59:15 )
รายละเอียด
620111_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เราคือโพธิสัตว์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่...https://docs.google.com/document/d/1HvgLeMhcuSZBCn1zpg9gU2vma2tZGOD1n58wzkWalP0/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.https://drive.google.com/open?id=14zrXo8zA41UFy9Bs_T81Jx9xjz4lhS07
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ที่ 12 เป็นวันเด็กแห่งชาติ ก็จะเป็นครั้งแรกที่พ่อครูดำริว่า ให้ชาวบ้านราชฯ ช่วยกันจัดงานวันเด็กขึ้นที่ บวร ราชธานีอโศก ในวันเสาร์ที่ 12 ม.ค. 2561 ปกติเราจัดให้แต่เด็กภายใน แต่ปีนี้เราจะจัดเผื่อให้เด็กภายนอกที่มาเล่นน้ำตกด้วย
ชาวบ้านราชฯได้ประชุมกันอย่างเร่งด่วน เพื่อจัดงานขึ้น โดยได้สถานที่จัดคือ ลานใต้ต้นไทรข้างน้ำตกแก่งสะโพ จัดตั้งแต่ 09.00-18.00 น.ของวันที่ 12 มค.นี้
จะมีกิจกรรมเลี้ยงอาหารมังสวิรัติ เช่น ผัดหมี่โคราช ส้มตำ ฯลฯ มีขนมและน้ำหวานสมุนไพรแจกเด็กๆ มีดนตรีจากคณะศิลป์สรรฝันจริง มีการเล่นเกมส์ต่างๆ มีน้ำตกให้เล่นอย่างปลอดภัยและเย็นใจเย็นกาย
เชิญประชาชนนำบุตรหลานของท่านมาร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ราชธานีอโศกปี 2562 ได้ ในวันพรุ่งนี้
หากผู้ใหญ่ท่านใดสนใจจะนำอาหาร หรือสิ่งของมาเลี้ยงเด็กๆ หรือร่วมให้เด็กจับรางวัล ติดต่อได้ที่ คุณปะตรงเตือน 088-078-4866
ความมีชีวิตชีวามีคุณค่าจะเกิดเมื่อพวกเราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเพื่อสังคม ต่างคนต่างช่วยกันเตรียมการที่จะจัดงานเพื่อเด็ก ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา อยู่กับพระโพธิสัตว์ก็ทำให้เรามีการกระตุ้นตัวเองเพื่อจะได้ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติได้มากขึ้น
ปีนี้รู้สึก วันเลือกตั้งก็ยังไม่ได้กำหนดว่าวันไหน แต่เราเลื่อนวันพุทธาภิเษกฯไปแล้ว เราก็คงไม่เลื่อนอีก แต่จะจัดที่บ้านราชฯเหมือนเดิม ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อความสะดวกของพ่อครู ตอนนี้กำลังจะยกให้เป็นตำบลฯ มีคุ้มชุมชนต่างๆ ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา งานพุทธาฯจัด 14 ก.พ. วันวาเลนไทน์ จะจบที่ 20 ก.พ. ใกล้วันมาฆบูชา
เราเพิ่งจัดงาน เพื่อฟ้าดินผ่านไป ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 จัดงานเสร็จก็เมื่อยกันไปเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากจะเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชน
พ่อครูว่า...อาตมาก็เคยผ่านการเป็นเด็กมาทุกคนก็เคยผ่านการเป็นเด็กมา ไม่มีปัญหา ถ้ามีบารมี เด็กก็จะถูกพัดพาไปตามกรรมวิบาก เด็กที่มาอยู่ในนี้เขาจะได้ซึมซับ จะได้ถูกถ่ายเท ไหลรินเข้าไปโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว มันอยู่ใกล้ชิดก็จะถ่ายเทไหลเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ลักษณะนี้ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าออสโมซิส พระพุทธเจ้าเรียกว่ามิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก
เราอยู่กันอย่างบวร ให้ซึมซับกันไปไม่ได้แยกกัน อย่างที่เขาแยกการศึกษา เด็กก็ไปอยู่กับการศึกษา เด็กก็ไปอยู่ส่วนเด็ก คนหนุ่มสาวก็ไปในส่วนหนุ่มสาว คนทำมาหากินหาเงินหาทองก็ไปทำมาหากิน เมื่อทำมาหากินเหน็ดเหนื่อยก็ต้องเลี้ยงลูกหลานคนแก่ก็ต้องอยู่ส่วนคนแก่มันไม่เกิดความอบอุ่น ไม่มีการถ่ายทอดถ่ายเทกันอย่างสมบูรณ์แบบ
อาตมาพูดไปแล้วก็รู้สึกตนเองอธิบายยังไม่เก่งยังไม่ละเอียดลออ มันมีการถ่ายทอดซึมซับเนื่องต่อกันอย่างสวยงาม พวกเราคงจะเก่งกว่าอาตมาในการช่วยกันจัดสรร ในความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคมนี้ สองคำนี้เป็นเรื่องที่พุทธเจ้าท่านได้ศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม นอกนั้นก็เป็นเรื่องรายละเอียดทั้งหมด เช่นในสัปปุริสธรรม 7 ข้อเกือบสุดท้าย ปุคลปโรปรัญญุตา ปริสัญญุตา คือเป็นผู้เข้าใจเรื่องของหมู่กลุ่ม มีญาณปัญญา อัตตัญญุตา รู้หมู่กลุ่มที่มีซ้อนกันเล็กถึงใหญ่ แม้กลุ่มโลกียะบุคคลก็ผสมผสานในโลกุตรบุคคล
แม้โลกียบุคคล ร่างเป็นคน แต่ใจยังเป็นสัตว์ อย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งถึงสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ก็รวมกันอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าแม้แต่สัตว์ทั้งหลายก็อยู่กันอย่างมีหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่กันและกันอยู่ เป็นความลึกซึ้งความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ พอมาเป็นจิตวิญญาณแล้วจะสัมพันธ์เชื่อมต่อกันด้วยกรรม กรรมไปกับกาละ จนกว่า ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์กับผู้ไม่บรรลุธรรม ก็จะช่วยกัน ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ก็จะช่วยผู้ที่ไม่บรรลุต่อไปเท่าที่จะช่วยต่อไปได้ อรหันต์แต่ละองค์ อรหันต์บางองค์ตายแล้วไม่ต่อภพภูมิ บางองค์ก็ต่อภพภูมิไปอีกบางองค์ต่อไปจนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า บางองค์ต่อไปไม่กี่ชาติก็ล้มเลิกตนเองปรินิพพานเป็นปริโยสานอีกเยอะ ผู้จะต่อพุทธภูมิจริงๆจะมีไม่มาก มีอรหันต์ที่พยายามบ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องสามัญเป็นเรื่องยาก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน เราคือ โพธิสัตว์
เมื่อวานนี้อาตมาได้เขียน
เราคือ โพธิสัตว์
ชื่อเราคือ โพธิสัตว์ หรือสัตว์ที่มีโพธิ มีธรรมะตามที่พระพุทธเจ้า
ความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าคือ จรณะ 15 วิชชา 8
การศึกษา อบรม ฝึกฝน เพื่อให้เกิด จรณะ 15 วิชชา 8 คือ ไตรสิกขา
การปฏิบัติ ไตรสิกขา คือ เริ่มที่“ศีล”ที่เราสมาทานไป แต่ละข้อ ตามลำดับ แล้วก็สำรวมอินทรีย์ มีสติ ทำให้เกิดผลเป็นคนสันโดษ คือ คนใจพอ ก็จะ“พอ”ไปตามลำดับ โดยเริ่มจาก“พอแล้ว” ที่จะโกรธ จะเป็นภัยต่อผู้อื่น(ศีลข้อ 1) โดยสำรวมตน อย่าทำให้เด็ดขาด จนกระทั่งหยุดกาย-วาจา-ใจ ครบ วิเวก 3 เพราะโกรธ ไม่ใช่สวรรค์เลย แต่เป็นนรกแท้
พร้อมกันนั้น ก็หยุดโลภ เริ่มจาก“พอแล้ว”ที่จะทุจริตโลภ มาให้ตน และแม้เอาเปรียบ โลภมาให้ตน ถ้าตนต้องการได้ ต้องการมี ก็ทำเอง สร้างเอง ได้เอง มีเอง อย่างบริสุทธิ์
การได้มา การมีเป็นของตน ก็ไม่ใช่สวรรค์เลย(เป็นสวรรค์เก๊) แต่ก็เป็นนรกอยู่จริง เพราะเป็นนรก“คู่หู(เทฺว)”ของสวรรค์ แยกไม่ได้ ตราบที่ยังไม่ตรัสรู้ความเป็น“เทฺว”บริบูรณ์สัมบรูณ์ ผู้ตรัสรู้ความเป็น“เทฺว”แล้ว“ดับเทว”สนิท ก็สิ้นราคะในตน
ก็เป็นอัน“พอแล้ว” หมดสิ้นโมหะในตน แล้วมีตนเพียงแค่“กรรมกับกาล”
การได้มา(เป็นตน) การมีเป็นของตน(แล้วยึด) แม้จะโดยธรรมบริสุทธิ์ ไม่มีทุจริตเลย ก็เป็นเพียงอาศัยระยะที่เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตขณะนั้นๆหรือปัจจุบันนั้น แล้วก็“พอแก่การ” เสร็จลง จงปล่อยวาง(ไม่มียึด) ผ่องถ่ายให้ผู้อื่นต่อไป อย่ายึดไว้เป็นของตน ไม่เช่นนั้นมันจะตกผลึกเป็น“ตน”นิรันดร ผู้ไม่ยึดเป็น“ตน” ไม่มีราคะ จึงมีแค่สัมผัส 6 ผ่านไปกับ“กาล” ทุกอย่างมีเพียงสัมผัส 6 เท่านั้น ตามความเป็นจริงของมัน แล้ว“ตน”ก็ใช้อาศัยให้“พอแก่การ”ให้สั้นที่สุดในกาลเสมอ และจบ ชีวิตจึงมีแต่“กรรมที่สัมพัทธไปกับกาล” Karma and Time of continuum
ความเป็น“ตน”จึงมีเพียงในปัจจุบันขณะเท่านั้น ที่อาศัยในทุกๆชีวิต อันต่อเนื่องดำเนินไปกับ“กาล” จนกว่าเราจะสิ้น“กรรม”ไปจาก“กาล”
ความเป็น“ตน”ที่เสพเป็น“กาม” เสพเป็น“อัตตา” ก็จะสั่งสมใส่“วิบาก” ตกผลึกเป็น“อดีต” และเป็น“อนุสัย”ที่มี“อวิชชา”
สิ้นหมด ไม่มีการเสพเป็น“กาม”เป็น“อัตตา” ก็หมดสิ้นการมี“ภพ”มี“ชาติ”นิรันดร ด้วย“วิชชา”
จบ.
• 10 มกราคม 2562 •
ความหลง อาตมาได้เคยเขียนไว้ 5 อย่าง หลงผิด หลงลืม หลงใหล หลงตัว หลงเหลือ
อาตมานึกถึงสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่เคยทำงานโทรทัศน์ด้วยกันตอนนี้ก็ตายไปแล้ว เขาแก่กว่าอาตมา เกิด 75 เกิดเดือนมิถุนายนเหมือนกัน เขาเกิดวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อาตมาเกิดปี 2477 แก่กว่ากันเกือบ 2 ปี
ก็นึกถึงที่เคยอยู่ทำงานมาด้วยกัน เขาไปแล้ว ตาย ก็ระลึกถึงคนต่อไปที่เคยทำงานวงการบันเทิงมา อาตมาทำงานที่ไทยโทรทัศน์มา 12 ปีแล้วออกมาบวชนี่เลย ไม่ได้ไปทำงานที่อื่น ก็นึกถึงคนต่างๆ แม้คนในวงการบันเทิงก็นึกถึงคนที่ยังอยู่ มี ชาลี อินทรวิจิตร เป็นลูกศิษย์พี่ล้วน ควันธรรม ชาลีก็รู้นิสัยพี่ล้วนดี เคยต่อว่าที่เขามาอะไรกับอาตมา ชาลียังอยู่ เขาแก่กว่าอาตมา 10 กว่าปี (เขาอายุ 95 ปี)
นอกนั้นก็มี ชรินทร์ นันทนาคร อายุประมาณกัน มีสุเทพ วงศ์กำแหง แก่กว่าอาตมา 2 เดือน สมบัติ เมทะนี(อายุ 80ปี) อ่อนกว่าอาตมา 2-3 ปี ก็ยังอยู่กัน ก็ยังแข็งแรงกันดี อาตมาก็ดูสิ ใครจะไปก่อนกัน ก็ดูความเกิดความแก่ความเจ็บความตายของแต่ละคน มีวิถีชีวิตที่เป็นวิบากกรรมของใครของใคร ก็พูดกันยาก เราก็พยายามบอก อย่างนั้นเราก็เข้าใจ อาตมาไปทางบันเทิง ที่จริง อาตมารุ่งเรืองในทางบันเทิงได้มากกว่านี้ จะเป็นเจ้าหมู่คณะด้วย ไม่ได้เป็นตัวดาราเด่น แต่เป็นตัวเจ้าคณะคนขยัน เป็นผู้ที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง จะว่าไปแล้วไม่ได้เป็นตัวเด่นแต่เป็นผู้ใหญ่กว่า บริหารปกครองด้วย ที่จริงแล้วเป็นธรรมะจัดสรร ไม่ได้เจตนามาทางนี้ทีเดียวแต่ธรรมะจัดสรรไม่ให้ไปทางโน้น ธรรมะจัดสรรให้มาทางนี้ มาแล้วก็เข้าใจว่า เรามีบารมี ถ้าไม่มีบารมีจะถูกดึงไปหรือว่าอาตมาดึงตัวเองไปทางโน้นมากกว่า แล้วจะไม่ได้เรื่อง อาตมาก็เสียโอกาส
อันนี้เป็นเครื่องชี้บ่งว่าอาตมาหลุดพ้น เพราะอาตมาเจตนาจะไป แต่ธรรมะจัดสรรไม่ให้ไป จะเด่นดังในทางโลกพยายามทุกอย่าง (พ่อครูบรรยายภาพที่ทำงานโทรทัศน์)
มาดู มี sms มา
_ปุญญา ธัมมา พ่อครูจะเมตตา ให้ คำขวัญ วันเด็ก และวันคุรุ ไหมคะ
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ให้แล้ว นายกฯก็ให้คำขวัญดีแล้ว
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ชอบคำขยายความสร้างภาพมากครับ ผมก็พยายามสร้างภาพสร้างกรรมดีๆ ตลอดเวลาครับ
พ่อครูว่า..ให้ช่างภาพดีนั้นเป็นตัวเองเลย ดี นั้นติดกับตัวเองจะเป็นอัตโนมัติ จนไม่ต้องสร้างภาพแล้วมันเป็นโดยอัตโนมัติ ดีนะ คนไม่เคยสร้างภาพดีแต่สร้างภาพชั่วๆนั่นแหละแย่แล้วหลอกว่าตัวเองทำดีแต่ตัวเองไม่ทำดี มาบอกว่าจะทำดี ไม่ได้สร้างภาพมีแต่การพูดคุย แต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติไม่ได้สร้างภาพทางกายกรรมวจีกรรมให้คนอื่นเขาเห็น พูดดีแต่ไม่สร้างตัวเองไม่ประพฤติตัวเอง พูดดีแต่ตัวเองไปทำชั่วมีแต่ภาพชั่ว อย่างนี้สิ แล้วมาหลอกซ้อน ไปทำภาพชั่วแล้วมาหลอกว่าฉันทำดี เอ้ามันดีอะไรไปโกหกซ้ำอีก
_พิศมัย ชำนาญคิด · เกษตรอินทรีย์คือการพึ่งตนเองและคนปลูกต้องมีธรรมมะด้วย จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ กราบนมัสการพ่อท่านค่ะอาสา ร่วมพัฒนาชาติ
_รักธรรม สรหงษ์ · ท่านถักบุญคะ อยากให้ทุกบ้านติดแผงโซลาร์เซล พอจะเป็นไปได้ไหมคะ บ้านเราพลังงานแสงอาทิตย์เหลือเฟือ
พ่อครูว่า..อาตมาเรียกชื่อ โซล่าเซลล์ว่าไฟแดด ใครจะเรียกตามก็เรียกเป็นภาษาไทย ชัดกว่าไฟฟ้าหรือชัดกว่าโซล่าเซลล์ เอาไฟแดด
เราทำได้แต่ละคนจะติดที่บ้านก็ทำได้
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง ลูกตั้งใจจะไม่เขียนมารบกวนพ่อท่านอีก เพราะเกรงใจพ่อท่าน แต่วันนี้ขอโอกาสสักหนึ่งคำถามค่ะ ขอความเมตตาขอคำแนะนำจากพ่อท่านด้วยค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าลูกเคยบอกกับลูกสาวว่า ถ้าแม่อายุ 70 แล้ว ก็ปลูกบ้านให้แม่ด้วยเพราะแม่คงอยู่วัดทำงานอะไรไม่ได้มาก และตอนนี้ลูกอายุ 70 แล้ว ลูกสาวก็ปลูกบ้านให้แล้ว แต่ลูกไม่อยากออกไปอยู่นอกวัด ลูกเลยหาวิธีพูดกับลูกสาวเพื่อไม่ให้เขาเสียใจ เลยโกหกกับลูกสาวว่า แม่สุขภาพไม่ดียังต้องรักษาตัวอีก และแม่ไม่กล้าอยู่คนเดียว ลูกพูดอย่างนี้ผิดศีลหรือไม่ค่ะ ลูกจะพูดอย่างไรจึงจะไม่ให้ลูกสาวเสียกำลังใจ ขอความเมตตาจากพ่อท่านให้ปัญญาลูกด้วยค่ะเพราะลูกไม่อยากออกจากวัด กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
พ่อครูว่า..ก็พยายามใช้ภาษาพูด ก็ไม่เชิงผิดศีล แต่เราเอาเจตนาเป็นใหญ่ พูดแล้วซ้อนไปมาอยู่บ้าง
ก็บอกแม่อยู่วัดนี่ดีแล้วลูกเอ๋ย อยู่แล้วเจริญในทางธรรม สบายดี บ้านหลังนั้นก็ให้ลูกจัดการให้เป็นประโยชน์ต่อไปเถิด เขาก็ไม่น่าจะเสียใจอะไรมากมาย
ลูกถ้ายึดมั่นถือมั่นก็อาจจำเป็นไปอยู่ แต่มาวัดบ่อยจนลูกว่าอยู่วัดเถอะ เอาใจกันยาก ทำไมลูกไม่เข้าใจไม่ศรัทธาที่นี่เลยเหรอ ถ้าลูกศรัทธาก็ไม่น่าจะยาก
_ไร่ แทนคุณ แผ่นดิน ...โลกนี้ เต็มไปด้วย คน ไร้ ศีลธรรม มากมายนัก แต่โลกนี้ ยังยืนหยัดอยู่ได้ เพราะยังพอมีคนที่มีศีลธรรมอยู่ แม้จำนวนน้อย แต่ก็มีพลังพอที่จะช่วยต้านทานโลกนี้มิให้เสื่อมไปมากกว่านี้ คนชั่วย่อมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจ คนดีก็จะประพฤติดีทั้งกายวาจาใจ คนโง่จะหลงเชื่อคนชั่ว เพราะคนชั่ว ไม่กลัวบาปกรรม จึงใช้ เล่ห์เพทุบายหลอกลวงให้คนโง่ มาเป็นพวก
คนดี พูดตรงปฏิบัติตรง ต่อสัจธรรม ไม่และเล็มเรียกเคียง หรือหว่านล้อม ให้ใครมาเป็นพวก แต่คนมีปัญญา จะรับรู้และเข้าใจได้เอง แม้มีจำนวนน้อยก็ไม่เป็นไร ดังพุทธภาษิต ที่ทรงกล่าวไว้ คนโง่มี มากเหมือนขนโค ส่วนบัณฑิตมีจำนวนน้อยดั่งเขาโค
พ่อครูว่า…ก็ชัดเจนขึ้นไปแต่ก็ยังยากบางช่วงก็ค่อยๆทำไป
_MsMantoy... พระดูจะหัวร้อนนะท่าน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเยอะกว่าคนทั่วไปอีกนะท่าน อยู่หยั่งกับผู้บริหารบริษัทเลยนะท่าน วางท่าทีใหญ่โตหน้าดูเลยนะท่าน มืงพระจริงรึป่าวว่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้เป็นพระเขาไม่ให้เป็นพระ เขาผลักดันให้เป็นสมณะ อาตมาก็เป็นสมณะ มาใช้ภาษาโบราณถามว่าเป็นพระไหม อาตมาก็ไม่ตอบเพราะไม่ได้เป็นพระ
_Sucnat Sungsint...พวกนี่มัน คือ นิกาย มันมีความคิดอยากเป็นเอกเทศไม่ต่างจากพวกโจรสามชายแดนจังหวัดภาคใต้ มันหัวรุนแรงพยายามทำสงครามกับศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาพุทธเลย คนบอกไม่เป็นมองไม่ออก อาตมาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับใครแม้ว่าอาตมาจะทำสงครามกับสังคม มีการบริหารประเทศ อาตมาไปประท้วงเหมือนกับทำสงคราม แต่สงครามนั้นอาตมารบด้วยมือเปล่า ลบด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ ตามกฎหมายสากลโลก อาตมาชนะพวกใช้ปืนพกใช้ระเบิดเขาแพ้ไป แพ้ถึง 4 รัฐบาล รัฐบาล ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย 5 รัฐบาล รายการประท้วงด้วยการรบ นักรัฐศาสตร์ต้องศึกษา มันมีภาษาในโบรชัวร์ที่อาตมาใช้ Neo protest ด้วย สงบสันติอหิงสาซื่อสัตย์บริสุทธิ์คมลึกแม่นประเด็น เป็นการศึกษาที่ต้องใช้พฤติกรรมจริง แล้วใช้เวลาเป็นปี อยู่ในสนามรบ กลางกรุง ประกาศใช้สื่อสาร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..ตอนนี้บรรยากาศการเมืองรุนแรงพวกนี้เลยเริ่มเข้ามา ยิ่งพ่อครูเชียร์บิ๊กตู่เท่าไหร่ ก็จะมีแทรกแซงเข้ามา หลังจากเงียบเหงาไปนานก็กลับมา
พ่อครูว่า..ก็มีไม่มากเท่าไหร่ ก็ดูกันไป ขออนุญาตพวกคุณสองคนอย่ารีบตายให้ดูความจริงไป เขาสนใจศึกษานี้ดีแล้ว แม้เขาจะมองคนละขั้ว เขาก็ทำไปตามจริต ความรู้สึกของเขาเป็นนิสัย เขาก็เป็นมา เราก็ไม่ไปทำอะไรให้เขาเจ็บปวด ที่พูดนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดรุนแรงยั่วยุอะไร พูดอธิบายเรียบๆสบายๆ
เขาหาว่าพวกเราหัวรุนแรงทำสงครามกับศาสนาพุทธ เราไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาพุทธเราทำความจริง ออกไปมันจะขัดแย้งบ้างเหมือนกับการรบ มันเป็น สรณะ ประกอบเหมือนกับการทำสงคราม ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้
ส คือ ประกอบ รณะ คือการรบหรือสงคราม สรณะ ก็แปลว่าที่พึ่งที่อาศัย มันอาศัยอยู่ไม่ได้เป็นเรื่องรุนแรงดูเดือดอะไร แต่คนไม่เข้าใจก็เห็นเป็นเช่นนั้น ขอให้คุณ 2 คนรักษาชีวิตร่างกายให้ดีอย่าเพิ่งรีบตาย มีอะไรก็ comment มา อย่าไปทำผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์เขาก็แล้วกัน
_Nonsense Nonsense ดูรายการสุดสัปดาห์เนชั่นวันที่ 6 มกราคม 2562 ได้ยินคุณสนธิญาณพูดว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดายังมีรำคาญต้องหนีเข้าป่า อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับสิ้นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมุจเฉท ไม่มีเหลือแม้เล็กน้อย เพราะฉะนั้นความหงุดหงิด รำคาญใจย่อมไม่มีแน่นอน เรื่องราวในพระสูตร อย่าคิดเองหรือฟังมาจากครูอาจารย์อย่างเดียว คุณสนธิญาณควรศึกษาจากอรรถกถาด้วยจะมีรายละเอียดว่าทำไมพระพุทธเจ้าต้องทำแบบนี้ๆ และควรศึกษาพระอภิธรรมด้วย จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง คุณสนธิญาณจะพูดอะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าควรระมัดระวัง และควรศึกษาโดยละเอียดก่อนพูด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการหมิ่นพระพุทธเจ้า จะเป็นโทษกับตนเอง และคนที่หลงเชื่อคุณ
พ่อครูว่า...ก็ขอแก้แทนคุณสนธิญาณ คุณสนธิญาณไม่มีเจตนาละลาบละล้วงพระพุทธเจ้า แต่ใช้ภาษาตามภูมิของคุณสนธิญาณเท่านั้นเอง แต่แท้จริงไม่ใช่เรื่องถือสาอะไรเลย จะใช้พยัญชนะเรียกว่าหงุดหงิดรำคาญ ผู้ที่เข้าใจพยัญชนะแล้วรู้จักอาการ พระพุทธเจ้าไม่มี อาตมาขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่มีรำคาญความทุกข์ ความหงุดหงิดรำคาญนี้เป็นส่วนทุกข์อยู่ แม้อาตมา ขออภัย อาตมาไม่มี แต่อาตมาขอแก้แทนคุณสนธิญาณ เขาไม่ได้เจตนาว่าพระพุทธเจ้า แต่ใช้พยัญชนะกับสภาวธรรมมันยังไม่ละเอียดพอ ตามภูมิเท่านั้นเอง
อาตมาว่า สนธิญาณ นี้ บูชานับถือพระพุทธเจ้าสุดเกล้าสุดเศียรแน่นอน ไม่ปรารถนาละลาบละล้วงให้แปดเปื้อนเลย เป็นแต่เพียงใช้พยัญชนะยังไม่สมบูรณ์แบบนิดหน่อยเท่านั้นเอง นี่ก็ขอแก้ต่างให้คุณสนธิญาณ
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน วิพากษ์วิจารณ์ ส่อเสียด นินทา ต่างกันอย่างไร
_ชานติ กรุณาอธิบายความหมายของคำ 3 คำ นี้ว่ามีความเหมือนกันหรือความต่างกันอย่างไร
คำว่า วิพากษ์วิจารณ์ ส่อเสียด นินทา
พ่อครูว่า...จริงๆแล้ว 3 คำนี้ ความหมายมันก็คงจะต้องบอกก่อน คำว่าวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นคำกลางๆ ไม่บวกไม่ลบ ส่วนคำว่าส่อเสียดกับนินทานั้นลบแน่นอน เป็นคำไม่ควรทำ ส่อเสียดคือเอาความข้างนั้นมาพูดกับข้างนี้ อาตมาเคยปรามพวกสื่อสารมวลชน ชอบเอาความข้างนั้นมาใส่ข้างนี้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจเกิดการรบกัน อะไรที่จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นอย่าต่อดีกว่า พยายามอย่าให้เป็นความหมายทะเลาะกันเกินไป สื่อสารต้องทำหน้าที่อาตมาก็เห็นใจมันยาก คือ สื่อสารมวลชน อาตมาเคยพูดว่าบรรณาธิการนักหนังสือพิมพ์คือตัวหาเรื่องเลย ถ้าไม่มีเรื่องมันก็ไม่มีอะไรมาลงหนังสือเขา ก็ต้องให้มีเรื่อง
คำว่ามีเรื่อง ภาษาไทยนี้แรง จะมีเรื่องก็ให้เบาไม่รุกรานแต่ประมาณยาก อาตมาเข้าใจเห็นใจว่าเป็นสิ่งที่ยาก
สรุปแล้วคำว่าวิพากษ์วิจารณ์ ก็กลางๆ ส่อเสียดไม่ดี
ส่วนนินทาคือการว่าร้ายลับหลัง นินทาคือคนไม่แน่จริง ต้องพูดต่อหน้า วิพากษ์วิจารณ์กันเลย หากว่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเข้าใจผิดไม่มีปัญญาก็เสียหาย แต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้น ทำให้เกิดการแก้ไขต่อไป ก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์อย่างดี ไม่ใช่ความส่อเสียดหรือนินทา
หากไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคมก็ไม่ก้าวหน้าไม่กระเตื้อง จม ใครจะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่างเขา เราก็ไม่ว่าใครอะไร คุณอยู่ในสังคมก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย แม้แต่สังคมนี้น่าช่วยเหลือกัน แต่ยิ่งไม่บอกใครเลย บุคคลก็ไม่มีวิพากษ์วิจารณ์ใคร สังคมก็ไม่วิพากษ์วิจารณ์ใคร อันนี้อาตมาไม่เอา ไม่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมเป็นระบบเทวนิยมของฤาษีหนีเข้าป่าขุดรูอยู่ อันนี้ไม่ใช่ลัทธิพุทธ ซึ่งเป็นลัทธิที่มีประโยชน์ต่อสังคม นั่นคือความเป็นพุทธ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สิกขมาตุรินฟ้า
สมณะฟ้าไท
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า...เรื่องการตอบการโต้ มันเป็นเรื่องเจริญ แม้แต่ที่สุดมันเป็นเรื่องของสงครามก็มีความเจริญ แต่คนที่อวิชชาทำสงครามเพื่อที่จะ ข่มคนอื่น ทำร้ายคนอื่น กับคนที่จะต้องทำสงครามเพื่อที่จะให้คนอื่นได้รับความรู้ ได้รับความเข้าใจและทำให้สังคมมนุษยชาติมวลมนุษยชาติส่วนใหญ่ ได้รับผลที่ถูกต้องได้รับประโยชน์ที่ดีทำเพื่อสังคมมวลมนุษยชาติ ถ้าไม่ทำ ปล่อยให้ โดยเฉพาะพวกที่รุกราน พวกที่อวิชชา ทำแต่ฝ่ายเดียวเขาก็จะหลงตัว เขาก็จะยึดมั่นถือมั่นมันก็ยิ่งจะรุนแรง มันก็ยิ่งจะนานแสนนานเข้าไปอีก เราก็ต้านเขาบ้าง แต่ต้านโดยที่จะต้องดูตัวเอง เรามีอำนาจไปต้านเขาไหม
ทีนี้การต้านเขา เราจะต้องต้านด้วยความแรงน้อยกว่าเขา ร้ายน้อยกว่าเขา เลวน้อยกว่าเขา ถ้าเราไปต้านร้ายแรงกว่าเขา เลวมากกว่าเขา อย่างนี้เป็นต้น หมดท่าเลย เราก็ได้วิบากอันนั้นมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไปต้านแล้วเราจำเป็นต้องต้านทานไว้ แต่เราไม่ได้เลวอย่างเขาไม่ได้แรงอย่างเขา ไม่ได้ร้ายอย่างเขา อันนี้แหละ เขาเลวกว่าเยอะ ไม่ได้ร้ายอย่างเขา เขาร้ายกว่าเรามาก ไม่ได้แรงกว่าเขาเลย และ
จริงๆแล้วเทียบกันได้เลยเขาแรงกว่าเลวกว่า แม้แต่ที่อาตมาแสดงออกแรงแต่เวลาไปรบอาตมาจะเบากว่านี้อีกเยอะ แต่เวลาอยู่ตรงนี้จะแรง แต่เวลาไปรบอาตมาจะสู้ด้วยความสงบสู้ด้วยความเบา สู้ด้วยความไม่ร้ายสู้ด้วยความดี เอาความดีสู้เอาความถูกต้องสู้ จะเป็นอย่างนั้น นี่คือเครื่องมือรบของอาตมา อาตมาจะใช้ศาสตระ คำนี้ ใช้ได้ทั้งอาวุธที่จะไปรบและความรู้ เป็นเทวธัมมา ที่เป็นสองแง่ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน สยังอภิญญาผู้มาตีแตกธรรมะ 2
อาตมาตอนนี้ เห็นว่าในโลกทั้งโลก มีเทวะหรือเดวะ เป็นธรรมยิ่งใหญ่มาก แม้โลกทั้งโลกก็อยู่ที่เทวะ เขาตีไม่แตกแยกไม่ออกก็อยู่ที่เทวะ
สู่แดนธรรมว่า.. เมืองไทยยังมีเมืองหลวงชื่อว่า Dhevanakhara
พ่อครูว่า...ยังไม่เข้าใจเรื่องเทวะก็ยังต้องใช้เทวะอยู่ เทวะคือผู้สูงผู้เจริญ เทวดา โดยนัยยะสามัญจะเข้าใจอย่างนั้น เทวะ แยกคู่ไม่ได้ อย่างพุทธนี้หมดเทวะ ไม่มีคู่ มี 1 หรือ 0
หากยังมี 1 ยังมีเศษของเทวะอยู่บ้างแต่น้อยมากแล้ว พอมาถึง 0 ก็หมดทั้ง 1 2 หรือ 0
ทุกอย่างในโลกนี้คือสภาพคู่ทั้งนั้น ใครมีปัญญารู้ในสภาพคู่ธรรมะสองก็แยกออก เขาจะมารบมาทะเลาะมาดูดดื่มกันก็มี 2 อย่าง คู่ดูดกับผลัก เราไม่ต้องมีทั้งดูดทั้งผลักหมดไปหมดไป นั่นแหละเราถึงจะเจริญขึ้นจนกระทั่งสุดท้าย 0 ไม่ต้องมี แล้วเราก็รู้แล้วว่า 2 คืออะไร มากกว่า 2 คืออะไร คนเริ่มต้นทำ 2 เป็น 1 ได้ ยังมีปัญญารู้ว่าไปหลง 2 ที่จะมีสังขารสังเคราะห์ให้มีเหตุมีเรื่องมีราว มีนิทานอะไรอยู่มันยังไม่ใช่
2 ก็อยู่ร่วมกับเขาเฉยๆ อาตมาอยู่กับคนอื่นโดยไม่ได้ให้คนอื่นมาเป็นทั้ง จะมารักอาตมาหรือจะมาชังอาตมาไม่มี ไม่ได้อยู่เพื่อทั้งสองอย่าง แต่อยู่เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเท่านั้น
แล้วอาตมายังไม่มีบารมีสูงขณะที่ผู้อื่นอยู่กับปัจจุบันแล้วไม่รู้สึกระคาย อาตมาไม่ได้กระแทกกระทุ้งเขาเลยมีแต่เป็นผู้ให้เขา อย่างไม่มีอะไรระคายเคืองรุนแรงเลย อาตมาไม่มีบารมีถึงขนาดนั้น
สิ่งที่ศึกษา คำว่าธรรมะ 2 สภาวะ ธรรมะ 2 นี้ศึกษาตลอดโลกแตก แล้วคนมีจำนวนในภพ 2 นี้มาก โดยเฉพาะในยุคนี้ มีคนเข้าใจเทวะ ตีเทวะ ทำ 1 ทำ 0 ได้นั้นมีน้อยกว่ามากแต่คือผู้หลุดพ้นอยู่กับโลกได้ไม่ทำลายโลกไม่เป็นพิษเป็นภัยกับโลก
อาตมาก็จะพิสูจน์ความจริงนี้อีก ทำงานเพื่อสืบสานธรรมะพุทธเจ้าต่อไป อาตมามั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าจะเอาอาตมาตายพรุ่งนี้แล้วเท่าที่มีอยู่นี่อาตมาไม่ไว้ใจว่าจะมีเนื้อแท้โลกุตรธรรมต่อไปอีกถึง 2 พันกว่าปี มันเลยสองพันห้าร้อยปีแล้ว
พูดแล้วก็พูดอีก ทำให้เหมือนน่าหมั่นไส้ อาตมาเป็นผู้นั้นจริงๆ อาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ผู้ใดที่ยังไม่เห็นว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา ผู้นั้นก็ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิครบ เพราะว่าโลกนี้มีผู้นี้ผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นหรอก มีผู้อื่นไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นธัมมสามี เป็นการสืบทอดมาคล้ายๆกับเป็นพระบุตร พระพุทธเจ้าก็เหมือนพระเจ้า พระบุตรก็มีหนึ่งเดียวไม่มีคนที่สอง นอกจากศาสนาแต่ละศาสนาก็อ้างอิงว่าเป็นของตนเองเท่านั้น เขาก็แข่งกันแย่งกัน แต่ของศาสนาพุทธจะไม่มีแข่งแย่งอย่างนี้ ศาสนาพุทธจึงจะไม่มีสงครามศาสนา ศาสนาพระเจ้ามีสงครามศาสนา แต่ศาสนาอเทวนิยมไม่มีสงครามศาสนา เกิดมาก่อนศาสนาเทวนิยมด้วย แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีสงครามศาสนา ถ้ามันชัดเจนมันต้องจริงถ้าไม่จริงไม่ได้
อาตมาถึงบอกว่า เอาน่า ให้อายุยืนยาวไปกับอาตมาด้วยอย่าเพิ่งรีบตายไป อยู่ไปอีกอย่างน้อยสิบกว่าปี ให้อาตมาถึงร้อยก่อน คุณจะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าอยู่ได้ต่อไปอาตมาก็จะบอกให้ดูไปอีกให้ถึง 112 ปี หรือ 108 แล้วก็ 120 เป็นทีละนักษัตร แล้วไปเป็น 132 ไป 144 แล้วก็คงจะไม่เอาอีก เสวยวิมุติสุขอีก 7 ปี ก็เป็น 151 ปี
เจตนาตั้งเอาไว้มันจะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่รู้ ถ้าอาตมาทำถึง 151 ปี มีผู้รับช่วงต่อไป แต่ถ้า 151 ก็ต้องตาย ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วจะต้องเร็วไม่ช้าหรอกเพราะไม่อยากให้มันขาดช่วง กว่าอาตมาจะโต เดียงสา มาทำงาน ก็ต้องเสียเวลาอีก รีบเกิด อย่างน้อยก็ 20 ปี จะสอนคนก็คนไม่ยอมรับเด็กหรอก ต้องพ้นนิติภาวะก็พอได้ ในยุคนี้เขาจะรับพระอรหันต์ 7 ขวบ 9 ขวบ เขาไม่รับหรอก ขนาดมาประกาศ 36 ก็ยังไม่ค่อยรับ ออกมาจากจอมายาเขาก็ยิ่งรับได้ยาก
พูดถึงเหตุการณ์พรุ่งนี้ ที่นี่ เราพยายามเปิดเป็นสถานที่รับมนุษย์แล้วให้มนุษย์มาสัมผัส สิ่งที่ดีที่ควรเป็นเสนาสนะสัปปายะ เป็นบุคคลสัปปายะเป็นอาหารสัปปายะ เป็นธรรมะสัปปายะ ในสัปปายะ 4
สถานที่ก็เป็นสถานที่ควรจะต้องมาสัมผัสมาอยู่กับสิ่งแวดล้อมดินน้ำไฟลมบ้านช่องเรือนชานมีนิเวศวิทยา เป็นสิ่งที่น่าอยู่ บุคคลก็เป็นคนที่น่าอยู่ร่วม บุคคลสัปปายะ มีสิ่งที่อาศัยตั้งแต่อาหารการกิน อาหารสัปปายะ นี่ก็คือ สิ่งบริโภคอุปโภค เรื่องของการอุปโภคเราไม่ค่อยเก่งเครื่องใช้ไม้สอยเสื้อผ้าหน้าแพร เครื่องไม้เครื่องมือทางอุตสาหกรรมยังไม่เก่ง แต่ไม่เป็นไร มาเน้น บริโภค เน้นอาหารนี่แหละ เน้นเครื่องกิน เราไม่เก่งทางอุตสาหกรรมไม่เป็นไร อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าเราไม่ต้องไปเก่งทางอุตสาหกรรมก้าวหน้ามาก
ในหลวงรัชกาลที่ 9 สร้างเรือใบลำหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายในเรื่องอุตสาหกรรมเครื่องมือ แต่ทำเรื่องกสิกรรมทำมากโดยเฉพาะในสวนจิตรลดา
อาตมามาเน้นสังคมผู้คนธรรมะ แล้วผู้คนที่ว่านี้สอนจริงๆ สร้างจริงๆ ปั้นจริงๆ จนมีสังคมชุมชนคนจน พยายามจะให้เกิดเป็นตำบลเป็นหมู่บ้าน ได้เป็นหมู่บ้านบ้างแล้ว แต่กระจายไป ถ้าเป็นทางนิตินัย รวมหมู่บ้าน ให้เกิดตำบล อย่างน้อยต้องมี 7 หมู่บ้าน 9 หมู่บ้าน มีคนคิดอ่าน แบ่งบ้านราชฯได้หลายหมู่บ้าน ก็เป็นตำบลบุญนิยม เราเน้นวัฒนธรรมพฤติกรรมแบบนี้สังคมแบบนี้ ซึ่งก็จะมีการบริหารเป็นการบริหารปกครองตามระบอบทางโลก เข้ามาอย่างมีบทบาทร่วม มีกรอบวิธีของโลกมาร่วม(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..หมู่บ้านสุดชีวิตนี้ดูเหมือนจะมี 2 คน หัวหน้าหมู่บ้านกับลูกน้อง ใครจะไปอยู่เพิ่มก็ได้นะ
พ่อครูว่า...มีเรือพักชีพอยู่นะ ยังไม่มีใครอาศัยอยู่นะ เหมือนไม่มีท่าแต่พอเป็นไป
พรุ่งนี้เราจะต้อนรับ คิดว่าไม่น้อยกว่าวันนี้นะ วันนี้มาเก้ารถบัส
ทั้งทางด้านสังคมเศรษฐกิจรัฐกิจ มันต้องเกิด ตอนนี้ทางด้านการเมืองเราอาจจะช้า แต่มีบทบาทกับส่วนกลางเขาช้ากว่าหน่อยแต่ไม่เป็นไร ไปในสายของเรา เรื่องเศรษฐกิจก็ดีแล้ว เรื่องสังคมก็เป็นรูปร่างสังคมแบบนี้ไป
เศรษฐกิจเงินเป็นทางวัตถุ เขาจะเน้นไปทางเรื่องธนบัตรเป็นแก้วสารพัดนึก เราก็พยายามทำให้เห็นว่าที่นี่ถือว่าธนบัตรเป็นเรื่องเล็ก หรือเป็นสิ่งมีค่าเพชรนิลจินดาทองคำที่จะไปแลกเป็นธนบัตรได้เยอะ อะไรก็แล้วแต่ คุณจะมุกอะไรขึ้นมาเราก็ไม่ทำ เช่น พระเครื่องนี้ราคาเป็นร้อยล้านเราก็ไม่ไปมุกกับคุณ
แม้แต่การสวดมนต์ทุกวันนี้เป็นการทำลายศาสนาพุทธ พูดแล้วก็เกรงใจ ทางรัฐพิธีก็ต้องสวดแต่อาตมาก็ต้องพูด ถ้าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องลึกซึ้งมากในเรื่องการสวดมนต์ ต้องอ้างอิงหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้าหลายข้อเลย แต่คนยังเข้าใจไม่ได้ แม้จะเอาธรรมบทมาสวด แม้แต่สวดปณามคาถา กับสวดธรรมบท
ถ้าสวดประนามคาถาสวดพร้อมกันเป็นหมู่เป็นร้อยเป็นพันคนก็ได้ต่อหน้าธารกำนัล คำประนามคาถาคนแต่งขึ้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นคำแต่งขึ้นของใครก็ตามที่สามารถแต่ง เช่น พาหุง 8 มหากาฯ ภวตุสัพฯ เป็นคำประณามคาถา คุณจะสวดพร้อมกันกี่คนก็ได้ แต่อย่าสวดให้ลากเสียงอันยาว อย่าให้ใส่ทำนองเท่านั้น นี่คือนัยสำคัญซ้อน แต่นี่ผิดหมด ทั้งอย่าว่าแต่ลากเสียงยาว แต่ใส่ทำนองโหยหวนด้วย แล้วเอาไปสวดพร้อมกัน 2 คนขึ้นไปต่อหน้าประชาชน อันนี้ก็ผิดปาจิตตีย์ในมุสาวาทวรรค แต่นี่ไม่ปลง สวดแล้วนึกว่าดีหลงว่าดีด้วย แต่มันผิดอาบัติ ในปาติโมกข์
ในวินัยปิฎกเล่ม 7 ข้อ 20 จะสวดลากเสียงยาวและใส่ทำนอง ข้อ 21 เราอนุญาตสรภัญญะ แล้วก็ไปบอกว่าสรภัญญะนี้เป็นการใส่ทำนองมีทำนองเล็กน้อยก็ได้ไปอนุโลมเอง ก็ขอใช้พยัญชนะว่า พระพุทธเจ้าสุดจะรำคาญ ก็เลยบอกว่า ข้อ 21 เราอนุญาตให้สรภัญญะ
ให้ไปทำความเข้าใจในพระวินัยให้ดี ท่านห้ามสวดด้วยเสียงอันยาว ห้ามใส่ทำนอง และห้ามสวดธรรมบทพร้อมกันสองคนต่อหน้าประชาชนให้สวดได้แต่สรภัญญะ คำเสียงสั้นหรือยาวก็ต้องตามพยัญชนะ
สมณะเดินดินว่า..สรุป
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 09:59:59 )
รายละเอียด
620112_พ่อครูให้โอวาทเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562
ดาวโหลดเสียงและดูทั้งหมดได้ที่ http://www.boonniyom.net/43845.html
พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันอะไร ...วันนี้วันเด็ก ต้องให้เด็กเขาสำหรับวันนี้กำหนด 1 ปีวันเด็ก 1 วัน วันที่ 12 วันเสาร์ เขากำหนดไว้ว่าเป็นเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม จะลงเลขอะไรก็ไม่รู้ล่ะ เอาวันเสาร์เป็นหลัก เอาวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ทุกปี วันนี้มาตรงกับวันที่ 12 ขึ้น7 ค่ำเดือนยี่ ปีจอ ก็ให้อาตมาเทศน์ก่อนที่จะได้ไปสนุกกัน
ทุกคนผ่านชีวิต ต้องผ่านชีวิตที่เป็นเด็ก หลวงปู่ก็ผ่านชีวิตที่เป็นเด็กมา แต่ชีวิตที่เป็นเด็กของหลวงปู่ ค่อนข้างจะไม่เหมือนใคร เพราะว่าชีวิตเด็กของหลวงปู่นี้ เป็นเด็กที่แม้เป็นเด็กก็เอาแต่ทำงานไม่ค่อยเล่นอย่างใครเขาไม่ค่อยทำ มีแต่หาเรื่องงาน หาเรื่องที่จะเป็นงานมาทำ หรือไม่ก็ไปหาเงิน รับจ้างหาเงิน หลวงปู่เป็นเด็กอยู่ที่นี่แหละ ตกฟากอยู่ที่ศรีสะเกษ อายุขวบ 2 ขวบ ลุงเอาไปเลี้ยงเป็นลูก ลุงเป็นหมอ ก็ไปอยู่หนองคาย เรียนโรงเรียนวัดหายโศก ที่หนองคาย เรียนอยู่ป.1 ป.2 ก็ย้ายเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดตูมตาม ลุงก็ได้หอบหิ้วกันไป มียายติ๋วยายแต๋วเกิดมาแล้ว นายตุ๋ยอยู่ในท้อง ลุงย้ายจากเป็นแพทย์ที่หนองคาย แล้วไปเป็นแพทย์ที่สกลนคร ย้ายไปได้หน่อยนึงลุงก็บอกว่าไม่ไหวแล้วมีลูกหลายคน เลยบอกว่าแกกลับไปอยู่กับแม่ก่อนเถอะ ตอนนั้น 6 ขวบกว่าลุงก็ส่งคืนให้แม่ แม่ยังขายของอยู่ที่ศรีสะเกษอยู่เลย คุณยายก็บอกว่าอยู่ห่างพี่น้อง ตระกูลที่อุบล หลวงปู่เป็นเชื้อสายเจ้าเมืองของเมืองอุบลฯเลย ยายก็เลยบอกว่าไปกับยาย กลับไปบ้านเรา อย่างไรจะตายเพราะระเบิดลงทุกวัน ก็เลยกลับมาที่อุบลฯ
ยายก็บอกว่า อยู่ในจังหวัดมันมาทิ้งระเบิดกันที่ในจังหวัดมากกว่าข้างนอก ยายก็บอกว่า ไปอยู่ที่จริงๆคืออำเภอพิบูลฯ คือทวดของหลวงปู่เป็นเจ้าเมืองพิบูลฯ พี่ชายทวดหลวงปู่มาเป็นเจ้าเมืองอุบล น้องชายก็เป็นเจ้าเมืองพิบูลฯ ยายก็บอกว่าไปอยู่พิบูลฯเถอะ แต่แม่บอกว่าทำมาหากินสู้อยู่ที่วารินฯไม่ได้ เพราะว่ามีรถไฟอยู่ที่วารินฯ รถไฟไปไม่ถึงพิบูลฯ แม่ก็เลยขอยายว่า ขออยู่ค้าขายทำมาหากินที่นี่เถอะ แม่ยังแข็งแรงคล่องแคล่วทำมาหากิน ส่วนพ่อก็ไปเป็นทหารเกณฑ์ ในสงครามโลก หลวงปู่จึงเป็นเด็กและโตอยู่ที่วารินฯ โรงเรียนเทศบาลวารินฯ จบป 4 ที่นี่ แล้วไปต่อ ม. 1 ในจังหวัดอุบลฯ แล้วก็ต้องไปเรียน ม.2 ที่พิบูลฯ ที่วัดกลาง จบม.3 ที่พิบูลฯ ม.4 มาเรียนโรงเรียนสิทธิธรรมวิทยาอยู่ที่อำเภอวารินฯ เสร็จแล้วไปเรียน ม. 5 ไปเรียนที่อุบลวิทยาคม จบป. 5 แล้วไปเข้าม.6 ที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช เรียนตก ม.6 เลยอยู่ที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช 2 รุ่น เลยมีเพื่อนเยอะ เรียนม.6 ซ้ำสองปี
จบม.6 แล้วก็ไปเรียนม. 7 เข้ากรุงเทพที่โรงเรียนสีตบุตร แต่ไปเรียนม.8 รร.เทพวิทยาก็ตกเอาๆ แผนกวิทย์ ตกสองปี แต่ปีที่ 3 นี้จะซ้ำอีกก็เบื่อ ก็เดินเลาะไปมาจะไปเรียนรร.เก่าก็อย่างไรไม่รู้ ก็เลยจะไปเรียนศิลปะ ไปเวียนวนที่เพาะช่าง ศิลปากร ไปรู้จักอาจารย์รุ่นแรกๆ ตั้งแต่เป็นอนุปริญญา ยังไม่ได้ประสาทปริญญาเลย
เรียนโรงเรียนเพาะช่างก็ทำงานเลี้ยงตนเองส่งหนังสือพิมพ์เป็นต้น หาเงินเลี้ยงตัวเองไป ลงเรียนในมหาวิทยาลัยก็เป็นแต่เพียงชื่อ ไม่ได้ไปเรียนกับเขาสักเท่าไหร่นัก
อาตมานั้นความรู้ทางโลกหรือความรู้ทางธรรม เอามาใช้มาก ความรู้ทางโลกเอามาใช้เท่าที่มี ความรู้ทางรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ ความรู้ทางสังคมศาสตร์ มี ปางนี้ชาตินี้หลวงปู่ไม่ได้มาทำหน้าที่บริหารทางโลก จะมาบริหารทางรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ ทางสังคมศาสตร์นั้นไม่ต้องไป มาทำสังคมทางธรรมนี้ ผสมผสาน เป็นสังคมบวร สังคมบ้านวัดโรงเรียนที่ลึกซึ้งกว่าสังคมทั่วไป สรุปแล้วเป็นงานยาก งานที่หนัก เพราะว่าต้องผสมผสานต้องทำงานเพื่อมนุษยชาติ ให้มนุษยชาติเกิดทั้งความทำงานความสามารถ มีความเจริญทางจิตวิญญาณแล้วอยู่ร่วมกันอย่างเป็นคนชั้นสูง อาริยชาติ อาริยบุคคล หรืออาริยสังคมก็จึงได้ยาก
แต่ยากก็เป็นหน้าที่ หน้าที่หลวงปู่ต้องมาทำงานนี้ หลวงปู่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ประกาศไปแล้วว่าหลวงปู่เป็นใคร หลวงปู่เป็นคนที่จะมากอบกู้สังคม มาทำให้สังคมเป็นมนุษย์เจริญ อาริยมนุษย์อาริยชน มนุษย์ประเสริฐ ให้เป็นมนุษย์มีคุณค่าคุณงามความดี ไม่มีโทษภัยไม่มีความเสียหาย มีแต่ความดีงามอยู่ในประเทศ อยู่ในสังคมอยู่ในโลก ซึ่งจะต้องทำอย่างนั้น ก็รู้ตัวเองแล้วทำตัวเองมาจนกระทั่งทุกวันนี้คนก็ยังไม่ค่อยเชื่อ หลวงปู่เลยพยายามที่จะมีชีวิตนี่แหละ ให้อยู่ไปอีก อยู่ไปยืนยาว นานๆ พวกเราก็จะได้โตขึ้นไปหลวงปู่ก็จะอายุยาวขึ้นไปเรื่อย พวกเราโตเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา หลวงปู่ก็ยังอยู่ยังทำงานด้วย ทีนี้พวกเราก็จะมีวุฒิภาวะ มีความเจริญมีวัยวุฒิคุณวุฒิ เจริญขึ้นมารับรู้ จะได้รู้ความเป็นมนุษย์เป็นสังคมที่ดี ที่ควรจะเป็น ก็จะได้มาช่วยหลวงปู่ ตอนหลวงปู่อายุมากๆ ไม่ใช่ว่าหนีหมดนะ จำไว้นะ ใครโตแล้วจะหนีไปไม่อยู่ช่วยหลวงปู่ยกมือ
ไม่มีใครยกมือเลยนะ จะอยู่ช่วยหลวงปู่หมดนะ จำไว้ๆ หลวงปู่ต้องอาศัยพวกเรา คนที่มีความรู้ตรงกันอันเดียวกัน ความชำนาญชัดเจนอันเดียวกันก็จะช่วยกันได้ดีใช่ไหม ได้ถูกต้อง จะได้ทำงานช่วยสังคมที่เป็นสังคมประเสริฐ สังคมเจริญแบบนี้ ซึ่งโลกทั้งโลกตอนนี้กำลังโน้มเอนภาษาสมัยใหม่เรียกว่ามี Trend มาเอาอย่างที่แบบพวกเราเป็น เรียกว่า civilization แต่อังกฤษเขาไม่มีโลกุตรธรรมเป็นเทวนิยม แต่คำว่าความเจริญทางภาษาอังกฤษเรียกว่า civilized เราก็เจริญเราก็ไม่มีปัญหาอะไร เราเจริญแบบโลกุตระมันก็คือความเจริญของความเป็นมนุษย์ เจริญจนเกินความเป็นโลกียะ
โลกเขามีแต่ดีกับชั่ว แต่ของเรานี้เข้าใจดีเข้าใจชั่ว และเราก็ทำได้ดี ทำดีได้สูงกว่าเขาด้วย แต่เราไม่ไปข่มเขา ดีชั่วก็เป็นคนเหมือนกัน ช่วยเขา โดยเฉพาะคนชั่วก็ต้องช่วยมาก คนดีถึงอย่างไรก็เป็นคนดีแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับสังคม แต่ถึงไม่ดีขึ้นอีกเขาก็ดีแล้ว ส่วนคนชั่วสิ เขายังชั่วก็ทำให้เกิดภัยเกิดโทษต่อสังคมต่อตัวเอง ต้องช่วยคนชั่วให้ดีขึ้นมาก่อน เมื่อดีขึ้นมาเขาก็จะได้ดีขึ้นแล้วก็จะได้ช่วยคนต่อไป เพราะความชั่วมันทำลายสังคม ทำลายมนุษยชาติ นี่คือสภาพจริงของความจริง ที่หลวงปู่ได้พยายามอธิบายให้ถูกต้อง
ในยุคนี้ความชั่วมันก็ยังแรง ความดีที่เป็นขั้นโลกุตระ หลวงปู่ก็ต้องยืนหยัดความดีที่เป็นโลกุตระนี้ไว้อย่างสำคัญ พร้อมกันนั้นความชั่วก็จะปล่อยให้จมลงนรกไปมากเกินก็ไม่ไหวก็ต้องช่วยเขาด้วย แล้วคนก็เป็นอย่างนั้นเยอะด้วย คนดีที่เป็นคนโลกุตระยิ่งมีน้อย แต่น้อยไม่เป็นไรคนดีก็ปล่อยเขาได้ ยิ่งเป็นคนดีโลกุตระยิ่งปล่อยไปได้เลย ก็ไม่เป็นไร แต่คนชั่วสิจะแย่ จึงจำเป็นต้อง หลวงปู่จึงต้องพูดถึงความชั่วของคนชั่ว คนชั่วได้ยินได้รู้ พูดว่าจ้ำจี้จ้ำไชซ้ำซาก แรงๆ เพราะชั่วนี้พูดเบาๆก็ไม่ค่อยกระเทือนหนังหนาหนังแรด ต้องกระตุกอย่างแรงจึงจะได้ เป็นงานที่จำนนที่เลี่ยงไม่ออก ทำไมต้องว่าเขาหนักหนา ก็มันจำเป็น ถ้าไม่ทำขนาดนั้นมันก็ไม่ได้ผล เมื่อไม่ได้ผลแล้วทำไปเสียแรงงานเปล่า มันก็ต้องทำให้ได้ผล แทงหนังแรดก็ต้องแทงให้เข้า ถ้าแทงเบาก็ไม่เข้าหนังแรด
หลวงปู่พยายามทำให้ราชธานีอโศกเป็นถิ่นที่ทั้งเด็กก็ตามทั้งผู้ใหญ่ก็ตาม ก็เป็นคนเจริญ เด็กเราก็จะเป็นตัวอย่างของที่อื่นเขาด้วย เป็นตัวอย่างนำพาคนอื่นให้คนอื่นเขาเข้ามา ถ้าเรามีมวลมีหมู่กลุ่ม เด็กๆ เป็นคนเจริญเป็นคนแข็งแรงดี เด็กข้างนอกเข้ามา ก็จะมาถูกพวกเราเป็นน้ำหนักที่เป็นเนื้อแท้แข็งแรง มีรังสีแผ่ซ่านไพศาลออกไปช่วยคนอื่นเขามาเป็นอย่างที่เราเป็นได้ ไม่ใช่ว่าเราเป็นอย่างนี้แล้วอ่อนแอ คนอื่นเขาเอาแบบไม่ดีเข้ามา เพราะเราก็ถูกสลายกลายเป็นไม่ดีเหมือนเขา เราก็เลยเจ๊งเลย เราก็ต้องแข็งแรงมั่นคงแน่นหนา ไม่แปรปรวนเป็นไปตามเขา มีแต่จะเปลี่ยนเขามาเป็นเรา ไม่ใช่เราสลายเปลี่ยนแปลงไปตามเขา เพราะเขาเองเขาแย่เขาไม่ดี เราต้องคงมั่นเราต้องยืนหยัด ความดีของเราให้แข็งแรงมั่นคง ต้องฝึกฝน พูดเอาไม่ได้หรอก ต้องฝึกฝนให้เป็นคนดีที่แข็งแรงที่เจริญแน่นหนาๆมั่นคงตั้งมั่น เพื่อที่จะช่วยผู้อื่นได้ เราเองช่วยตัวเองได้แล้วก็สบาย เราก็ช่วยผู้อื่นต่อไปอีก มันก็จะเป็นสภาพที่ซับซ้อนเจริญงอกงามแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ตอนนี้อโศกมีรูปร่างความเจริญที่เรียกว่าโลกุตรธรรม เป็นอาริยบุคคล เจริญในโลกแบบโลกุตระ ไม่เหมือนโลกียะทีเดียวมันเหนือกว่าโลกียะ ก็จะนำพาไป เพราะมันทวนกระแส โลกจะเอาแต่ร่ำรวยหรูหราฟู่ฟ่า เรามาหาความพอดีความเหมาะสมไม่มากๆแล้วไม่น้อยเกินไปด้วย อุดมสมบูรณ์ แม้จนก็จนยังอุดมสมบูรณ์ไม่ได้จนอย่างกระเบียดกระเสียรจนอย่างยากแค้น จนกันอย่างลำบากลำบนไม่ใช่หรอก มีกินมีอยู่มีเล่นมีพักผ่อนพอเหมาะพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้คำว่าพอเหมาะพอดีหรือสมดุล ได้สัดส่วนที่พอเหมาะพอดี เป็นลักษณะที่ดีที่สุด ลงตัวที่สุด ยืนนานที่สุดเรียบร้อยที่สุด ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครแม้แต่ตัวเองก็อยู่กันอย่างยั่งยืนเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม เรียกว่า สันติ
ลักษณะพวกนี้เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริงแล้ว เป็นกิริยาอาการของความเป็นมนุษย์ทางกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่สัตว์โลก หรือมนุษย์ จะเป็นกัน จะต้องทำกัน ซึ่งเราก็ทำกันอยู่ ใช้ภาษาเรียกและสื่อบอกให้รู้ความจริงให้รู้จักสภาวะจริงเท่านั้นเอง
เดี๋ยวเราจะได้ไปช่วยกัน เราเป็นเจ้าภาพนะ วานนี้มี 9 รถบัส วันนี้ลองดูว่าจะมีกี่เท่าไหร่ ดาวโหลดเสียงและดูทั้งหมดได้ที่ http://www.boonniyom.net/43845.html
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:01:02 )
รายละเอียด
620113_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมะกับการเมืองเรื่องวิจัยไตรสิกขา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Dxvt60tr50WhtBfN66wakI886as_09QHDR-_ZEiqr_Y/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1NFFBvbEf5_JCWk7Z-Vn_7oJbh1yqEK-Y
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อวานเราได้จัดงานวันเด็กที่บวร ราชธานีอโศกพร้อมกับทั่วประเทศที่จัดงานวันเด็กเช่นกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เหตุใดถึงชอบดูนักข่าว โดย พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า เพราะว่าดุด้วยความรักและเป็นการดุแบบผู้ใหญ่ ไม่ได้โกรธเคืองกันจริง ๆ ส่วนคำถามที่ว่าเหนื่อยหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า เหนื่อย แต่ก็พยายามตัดเรื่องที่จะทำให้หงุดหงิดออกไป และก็มีกำลังใจจากเด็ก ๆ และผู้ปกครอง
พ่อครูว่า..มีคอมเม้นท์มาเยอะจะอ่านก่อน
คลิปเราคือโพธิสัตว์ มีความเห็นตอบกลับมา...
_Narong Suraphatkornpapha.... นี้ ยังไม่ใช่ ลักษณะ การแสดงธรรมของบัณฑิต ในอริยวินัย ของพระสุคต คือ
สุคตวินโย. ยังมิใช่ ผู้แจ้งในอริยสัจณาน. เหตุเพราะ
ยังไม่รู้ ถึง ไม่แทงตลอดในอริจทั้งสี่ประการ. นั้นเอง
จึงแสดงสัทธรรม ปฏิรูป อันเป็นทองเทียมเช่นนี้.
โพธิสัตว์ ยังเป็นสัตว์ที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ความรู้ใน
อริสัจจสี่แต่งอย่างใด.
ดังนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวมา
เราไม่รับรอง และไม่คัดค้านคำของท่านเดี๋ยวไปเทียบ
กับ ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสแล้ว เราจะกล่าว
ถ้าท่านทำเช่นนั้นได้จริง
เราก็อนุโมธนา กับท่านด้วย
ว่าท่าน ลดกิเลส ได้หมดแล้ว.
สาธุ. สาธุ. เราไม่รับรอง
และไม่คัดค้านในคำของท่าน.
แต่ในครรลองแห่งธรรมที่ ท่าน
แสดง เราขอบอกว่า. ยังไม่ใช
บัณฑิต. ในเรื่องการแสดงธรรม
เพราะมีคำ ฟุ่มเฟือย เยาะ.
ถ้าเป็นบัณฑิตในธรรมวินัย. ที่
เป็น. อาริยสาวโก. แล้ว. ไม่
สมารถรับฟังธรรมทีแสดงได้.
เพราะมันไม่ใช่ คำสอนขอวพระพุทธ เพียว. มีคำฟุ่มเฟือยเยาะ. ธรรมที่. อาจารย์ ท่านแสดงเหมาะกับ. อสุตตวา ปุถุชเนนะ มากกว่า. เพราะ ถ้า อาริยสาวโกแล้ว. คำสอนอาจารย์. จะเป็น
อนุตตรย 6 ประการ. มิใช่สัทธรรมแท้. ไม่เหมาะสำหรับผู้ละสังโยชน์. 3 ได้แล้ว. และราคะ
โทสะ โมหะ เบาบาง. เพราะฟังแล้ว อกุศล เกิด. เพราะมิใช่ธรรม คือ สุตตะ. ถึง เวทัลละ
และไม่ใช่ ธรรม สุคตวินโย
เราเห็นแล้ว. แต่ยัง ไม่ใช่.
อนุตตริยะ. ครับท่านผู้เจริญ.
ในทำนอง แห่งธรรม ของอโศก. เราได้เห็นแล้ว. แต่ยังไม่ตรง อินทรียของเรา. ท่านจะทำอะไรก็ทำไป ท่าน. แต่ไม่ใช่กิจที่เราจะไปสำคัญให้การศึกษา. เพราะทำกิจอะไร. ทานอะไร. ไม่ทานอะไร. ก็ตายเรียบ. เราจึงไม่เสียเวลากับกืจของปุถุช. ทิฏฐิ ของปุถุชน.
ที่ท่านเรียกว่า กิเลส. นั้นเอง
แต่เป็นกิเลส แบบปุถุชน. ยังไม่อาจพ้นไปจากทุกข์ได้
ส่วนเรา ทำกิจของ. อริยคือพึ่งตนพึ่งธรรม. คือ มีศิลอันเป็นอริย
มีสาธิ อันเป็นอริย. มีปัญญา อันเป็นอาริย. และ มีวิมุติ อันเป็นอริย
เราไม่คุย เรื่องโลก เรื่องคนตายไปแล้ว. เรื่องพระราชา. เราไม่คุย
เราทำกิจ คือ. เป็นผู้ตามเห็นกายในกานอยู่เป็นประ เป็นผู้ตามเห็นเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู้เป็นประจำ. เป็นผู้ตามเห็นธรรมในใธรรมอยู่เป็นประจำ. เราเป็นฟ้าที่คำราม แล้วในตก.
_Cr. นพดล ประเสริฐกาญจนา ว่าด้วยเรื่องของคนที่ศีลเสมอกัน
“นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”
--------------
เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง(แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง) และไม่มีตัวตน (อนัตตา) สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”
กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ 2 ส่วน คือ
1. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”
2. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน” เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์” ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า นามนั้นประกอบด้วย ความรู้สึก (เวทนา), ความจำ (สัญญา), ความคิด (สังขาร), การรับรู้ (วิญญาณ)
ข้อดีของสัจธรรมก็คือ เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคนคนนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตาม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะเรายังมี “กายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา
“คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”
เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น
ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรายังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป และวิธีการสลัดตนให้หลุดพ้นจากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี (พ่อครูว่า...ต้องมีความอยากเป็นตัวเริ่ม คนไม่มีความอยากเลยก็คือคนที่มีแต่จะเน่าไปเรื่อยๆ)
“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง อะไรก็ว่าไป
ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอคนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”
(พ่อครูว่า การอธิบายพลความลักษณะแบบนี้คือสายศรัทธา คือปล่อยให้มันเกิดเองอย่างนี้จะช้านานกว่าสายปัญญา การปล่อยให้เป็นอัตโนมัติเป็นเองคือสายศรัทธา คุณจะออกจากโลกต้องไม่ให้จมไปกับกฏแรงดึงดูดของโลก)
ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก”(พ่อครูว่า ความอยากคือ dynamic ความรู้คือ static ส่วนความรู้สึกคือ ตัวกลาง) แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สมาธิคือจิตตั้งมั่นในความไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี ศีล บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก สมาธิ บอกระดับความสุขสงบเย็น ปัญญา บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง
ขอย้ำอีกสักครั้ง “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน” ตามระดับคุณธรรมที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา
พ่อครูว่า...ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี ใช่ แต่ทานไม่ใช่แต่โอบอ้อมอารีย์ แต่ทานอย่างไม่มีอะไรโค้งกลับมาหาตัวเองเลย ทานผู้ใดที่มีเส้นโค้งมาหาตน แม้มีองศานิดเดียว ทานนั้นยังมีเราแม้แค่ .0000001 ทานจะมีองศาโค้งไกลมากอ้อมจักรวาลกว่าจะมาหาตน ทานนี้ต้องไม่มีสาเปกโขอย่างในทานสูตร อ่านสัก 500 เที่ยว อ่านอย่างไตร่ตรองนะ ไม่ใช่อ่านลวกๆอ่านครบ 500 เที่ยวแล้วจะชัดเจน ทานสูตรไม่ยากแต่ครบ บอกสวรรค์ 6 ชั้น( ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง)
การทำทานเป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 ผู้ที่ทานแล้วได้ผลโลกุตระคือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ต้องทำใจในใจอย่างไรอย่าไปสร้างภพชาติต้องการอะไรมาเป็นเราเป็นของเรา ทานไม่มีตัวเราของเราเลย ทานไม่มีภพชาติ ทานอย่าง 0 มีอานิสงส์แต่ทานนั้นมีโค้งมาหาตนแม้ .00001 ก็ยังไม่เป็นอานิสงส์
ศีลนี่ก็อธิบายยากกว่าทาน เพราะศีลมีสองสภาพ ทานมีสภาพเดียวได้ ทานมี 0 เลยได้แต่ศีลมี 2 สภาพเสมอ ต้องมี หนึ่งหลักเกณฑ์กับการปฏิบัติ หรือมีบัญญัติกับสภาวธรรม ต้องมีศีลกับบุคคล บุคคลต้องเป็นเวไนยสัตว์
สมาธิคือจิตตั้งมั่นในความไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หากมีสุขมีทุกข์สะสมเป็นสมาธิจิตตั้งมั่นไม่ได้ จะเหลือสุขนิดนึงก็ไม่ได้ เพราะว่าสมาธิคือการสั่งสมจิตสะอาดให้ตกผลึก จิตที่ไม่มีสุขมีทุกข์ คนเราจะเข้าใจว่าทุกข์คืออะไรสุขคืออะไร นี่แหละยากที่สุดในโลก
สุขทุกข์เป็นเทวเป็นคู่หูกันแยกไม่ออกถ้าจะดับดับทั้งคู่ไม่มีไม่มีทั้งคู่ ถ้ามีอยู่ตัวใดตัวหนึ่งก็ยังมีอีกตัวหนึ่งแฝงมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว คุณต้องรู้ให้ได้ว่ามันมีแฝง
สุขนี้เหมือนคนธรรพ์ ที่เป็นหมัดอยู่ในขนพญาครุฑ แอบเสพ กินเศษกามของพญาครุฑ แย่งพญาครุฑกินโดยไม่ให้รู้ตัวพวกนี้พวกลักลอบ
สมาธิไม่ใช่แค่ความสุขเย็น สมาธิหมายถึงจิตที่ตั้งมั่น ไปเปิดพจนานุกรมเล่มไหนก็ได้ การไปแปลว่าความสุขเย็นนั้นเป็นของแถม จริงๆแล้วแปลว่าความตั้งมั่นของจิต แล้วจิตอะไรที่ตั้งมั่น ก็คือจิตใจที่สะอาดจากความสุขความทุกข์สะอาดจากอวิชชา
ปัญญา นั้นเป็นความเข้าใจและอยู่เหนือโลก คำว่ากายคำว่าบุญ คำว่าปัญญา คำว่าสมาธิ คำเหล่านี้ต้องย้ำไปอีกนานจนกว่าจะอยู่ 151 ปีเลยนะ มันสงสารยังไม่กระจ่าง เรายังไม่เก่งพูดให้เขาเข้าใจยังไม่ได้
ขอย้ำอีกสักครั้ง “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน” ถูกแล้ว อย่างชาวอโศกมาเพราะยินดีมาร่วมกันหากไม่ยินดีมาก็อย่ามาเสียเลยไม่สำเร็จ ในมูลสูตร 10 มีว่าไว้
_บทความคล้ายๆพวกนี้มีเยอะมาก ดูเผินๆคล้ายใช่อย่างที่พ่อครูสอน แต่จริงๆแล้วมีความแตกต่างที่เป็นนัยสำคัญ จึงใคร่ขอโอกาสว่า ถ้ามีบทความเข้าท่าอย่างนี้เข้ามา จะขออนุญาตถวายให้ช่วยวิเคราะห์ เพราะคนในสังคมส่วนใหญ่จะเข้าใจเช่นนี้ บางทีเราก็งงว่าใช่หรือมิใช่ ...หนึ่งฟ้า
_วราวุฒิ พลจันทร์ ..เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ ยกตน ข่มคนอื่น การให้คือการเอา การเอาคือการให้ พอแล้วครับคนโง่เท่านั้นล่ะที่ดูไม่ออก
(เป็นความเห็นจาก ผู้ชมวิดีโอชุด อโศกกับการชุมนุมแนวใหม่ Neo protest ตอน3)
พ่อครูว่า..คุณฉลาดเลยดูออกนะ คนโง่ดูไม่ออกทั้งนั้น ก็เลยไม่เอาไม่เป็นไร อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้แสวงหาอำนาจเลยจริงๆ สอนก็ฟังดีๆเถอะ สอนประชาธิปไตยไม่ใช่การแสวงหาอำนาจ แต่อำนาจนั้นประชาชนยกให้เอง เขายกให้เราก็ไปรับเสียด้วยซ้ำ เราก็เลยลอยเองเพราะเขายกประชาชนเขายก แล้วมันก็มีพลังงานคั่นไว้ด้วยนะ ไม่แตะเนื้อต้องตัวเรา เราก็เลยลอยขึ้นตามที่เขายกมันเป็นอย่างนั้น มันยากที่จะเข้าใจ
เป็นการปฏิวัติรัฐประหารโดยประชาชนที่กองทัพทำเราทำ ขออภัยนิดนึง ทางด้านคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ กปปส. กองทัพธรรมออกมาเป็นตัวต้นตัวหลักก่อน แล้ว กปปส. คุณสุเทพทางสามเสนก็มา เขามีพลจัดตั้งเยอะ ต่อเนื่องกับเรา คนก็เลยมาอย่างยิ่งใหญ่เราเองไม่มีแรงเท่าคนสุเทพ มาร่วมกันเลยกลายเป็นพลังงานประชาชนเต็มที่เลย กปปส.เลยใหญ่ แต่แท้จริงจุดก่อตัวคือกองทัพธรรม เป็นจุดเล็กๆขาวใสในขอบฟ้ากว้าง แล้วค่อยๆมารวมกันเป็นพลังงานใหญ่ เราไม่ได้ปฏิเสธว่าพลังงานเกิดจากพวกคุณ ถ้าปล่อยให้พวกเราอย่างเดียวป่านนี้ มันจะชนะไหมนี่ ประท้วง 40 กว่าปีก็คงจะไม่ชนะหรอก แต่ก็เพราะอย่างนี้แหละมันเกินความจริง ต้องรวมกันอย่างนี้แหละอย่าไปทิ้งกัน ศึกษาให้ดี neoprotest อย่างที่พวกเราจะเป็นประวัติศาสตร์ทางรัฐศาสตร์ จะเป็นตัวอย่างที่ต้องใช้ศึกษาและพัฒนาการให้เป็นมนุษย์แบบนี้ ตราบใดที่ยังมีการใช้ความสงบเป็นหลักเกณฑ์ ไม่ใช้อาวุธใช้ความจริงเป็นตัวจัดการให้ชนะ เพราะฉะนั้นคนที่ชนะก็จะชนะด้วยความจริง ยอมรับด้วยความจริงก็จบ ไม่เช่นนั้นไม่มีเสร็จเรียบร้อย มีความจริงเท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ความบริสุทธิ์สะอาด จะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง
_SMS วันที่ 11 ม.ค. 2562
_ธารร่มธรรม ทำร่มทาน · คนที่เขาไม่เข้าใจย่อมคิดทำสงคราม ตรงข้ามกับพ่อครูมีแต่สงเคราะห์ด้วยจิตที่เมตตาเปี่ยมล้นต่อทุกคนทุกสรรพสิ่ง
_สายันต์ ธนานันท์ · อยากทราบว่าจะดูผลการสอบ วบบบ.ได้ที่ไหนคะ
_ถุงเงิน ปิ่นแก้ว · โลกนี้ คนไม่ดี ประพฤติชั่วล้วนมากมาย เด็กๆต้องฝึกฝนในทางดีทางถูก เราไขความจริง เพื่อให้เขาพึ่งพิง รู้ทุกข์ รู้สุข เราต้องเป็นหลักน่าา แข็งแรงๆๆ
ความเห็นต่อคำเทศน์ เราคือโพธิสัตว์ของพ่อครู
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ประกาศตัวเองว่าบรรลุอรหัน บรรลุญาณ เเต่เวลาชุมนุม กปปส ไปทุกครั้ง
_Chon Kyun6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
@สุรชาติ // เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้ร่ม วางใจให้เป็นกลางๆอย่างแท้จริง อย่าเพิ่งชอบ อย่าเพิ่งชัง วางความเชื่อเก่าๆที่เคยฟังเคยจำ ว่าการเมืองเป็นเรื่องเลวร้าย
(พ่อครูว่า..การเมืองเป็นเรื่องดี การเมืองที่โพธิรักษ์ทำเป็นเรื่องดี แต่คนเอาการเมืองไปทำเพื่อล่าโลกธรรม อัตตา ก็เลยทำให้เป็นเรื่องเลว การเมืองโลกียะเป็นเรื่องชั่ว ต้องชัดเจน 1. มีการเมืองชั่ว 2. การเมืองโลกุตระ ไม่ได้เห็นแก่ตัวเพื่ออำนาจลาภยศ แต่ทำเพื่อให้ประชาชนมีสุขจริง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจบริสุทธิ์สะอาด หานักการเมืองอย่างนั้นให้เจอ มีนะ หรือที่โพธิรักษ์รับรองแม้ไม่สะอาดหมดแต่ก็ดีกว่า
ตอนนี้มีผู้สมัครใจไปคนหนึ่ง ไปเข้าพรรคคุณสุเทพ ช่วยคุณสุเทพ ไม่บอกชื่อนะ ไปช่วยอย่างมีใจอยากช่วย ก็ไม่มีปัญหาอะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่พวกเราก็ไปยังไม่ได้ ไปช่วยคุณสุเทพก็ยังไม่ได้ ไปช่วยคุณไพบูลย์ แม้คุณชวน ชูจันทร์ก็ไปไม่ได้มาก)
-----------
ศึกษากันดีๆ มันมีนัยสำคัญ แม้คำตรัส เช่น “ในที่ประชุมใดไม่มีสัตบุรุษ ที่ประชุมนั้นไม่ชื่อว่าสภา ชนเหล่าใด ไม่พูดเป็นธรรม ชน เหล่านั้น ไม่ชื่อว่าสัตบุรุษ” นี่ก็เป็นหัวใจสำคัญ ที่ลึกซึ้งของประชาธิปไตย
“อปริหานิยธรรม 7 ...หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ...พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจ ที่พึงทำ ...ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ถือปฏิบัติมั่นตาม วัชชีธรรม(หลักการ)ตามที่วางไว้เดิม ... ฯลฯ” อันเป็น วิธีของสภา ใช้ องค์ประชุม เป็นวิธีการ ระดมมันสมองร่วมกัน ใช้นิติบัญญัติเป็นหลัก นี่ก็เป็นการเมืองประชาธิปไตย ชัดๆ “อธิกรณสมถะ 7” ก็คือ หลักนิติศาสตร์อันสำคัญที่เป็นประชาธิปไตยยิ่งยอด ไม่ว่าจะเป็นสัมมุขาวินัย ยิ่งเป็นสติวินัย ยิ่งสุดยอด ไม่ว่าอมูฬหวินัย ที่ไม่เอาผิดกับคนบ้า ไม่ว่าการตัดสินตามจำเลยสารภาพ ปฏิญญาตกรณะ หรือแม้แต่ หลักการตัดสินกัน ด้วยคะแนน เสียงข้างมาก คือ เยภุยยสิกา ก็เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่งมั้ย ตัสสปาปิยสิกาก็ดี ติณวัตถารกวินัยก็ดี ล้วนเป็นวิธีการ นิติศาสตร์ อันเป็น ประชาธิปไตย ที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างมา แต่ยุคโน้นแท้ๆยิ่งเรื่อง”นานาสังวาส” นี่ยิ่งเป็นการให้อิสระเสรีขั้นสูงสุดสำหรับสิทธิมนุษยชนทีเดียว เป็นบัญญัติหลักการอันยิ่งใหญ่ ที่เปิดทาง ให้มนุษย์ แยกกันปฏิบัติ ด้วยทางออกสุดท้าย เมื่อต่างเกิดความเห็น อันสุดวิสัยในสิทธิ แห่งความคิดความเชื่อของคน ซึ่งแสดงถึง พระปัญญาธิคุณ ในเรื่องของ ประชาธิปไตย ที่สูงส่งลึกล้ำ ยิ่งยอดที่สุด นี่คือ การเมืองของพระพุทธเจ้า เป็นแบบวิธีของสังคม ของบ้านของเมือง ที่พระองค์บัญญัติไว้ ให้แก่มวลมนุษย์
-----------
ถ้าติดตามและศึกษาจริงๆ กลุ่มสันติอโศก ตื่นตัวและเข้าร่วมประท้วงในทางการเมือง มานานแล้ว นับจริงจังคือเรื่องต่อต้านอุตสาหกรรมเบียร์เข้าตลาดหุ้น ต่อต้านกฏหมายทำแท้ง และจากการได้เข้าไปสัมผัสจะพบว่าการชุมนุมของพวกเขาจะทำด้วยความสงบ มุ่งมั่นและอดทน และหยัดยืนเป็นแกนหลักทำให้กลุ่มอื่นได้รับประโยชน์
-----------
ปัญหาการเมืองมีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แม้แต่ในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากๆ พระศาสดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังต้องมีปัญหาการเมือง ในฐานะพุทธศาสนิกชน เราจึงควรรู้เท่าทันด้วยสติและมองปัญหาการเมืองด้วยปัญญา ไม่ปล่อยใจให้หม่นหมองตามไปด้วย เป็นเสมือนจุดเย็นที่อยู่กลางเตาหลอม
-----------
ในต่างประเทศ ที่มีพุทธศาสนา พระสงฆ์คือผู้นำจิตวิญญาณ และเข้าคัดค้านอำนาจการเมืองที่ชั่วร้าย ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของปถุชนคนสามัญที่ใช้เป็นเวทีแย่งชิงหาผลประโยชน์ใส่กลุ่มพวกพ้องแต่ถ่ายเดียว ในพม่าอย่างนี้พระสงฆ์คือแกนนำ
ในทิเบตพระสงฆ์เป็นผู้บริหารเมือง ก่อนที่จีนจะเข้ายึดครอง จนองค์ทะไลลามะต้อง ลี้ภัยและเรียกร้องอย่างสงบต่อนานาชาติ
_Nchyut Doisaket 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
@Chon Kyun อ่านแล้วกูวุ่นวายจริงๆครับ ส่วนตัวคงดูจิตตัวเองก็พอแล้ว
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Chon Kyun เปิดใจกว้างเเล้วพิจารณาดีเเล้ว การเมืองมันมีอะไรมากกว่านี้ ถ่าพระเล่นการเมืองเเบบนี้อย่างกะพระอิสระที่อยู่ไหนคุกที่พึงออกมาละ บ้านเมืองมีเเต่ฉีบหายหมด สั่งการ์ดกะทืมคนเห็นต่างเเบบนี้เเรกว่าพระเหรอ ใครจับกรวยโดนเเบบนี้เรียกว่าพระเหรอ ประกาศตัวเองเป็นพระอรหัน บรรบุโสดาบัน เเบบนี้เหรอครับ ถ่าจะประกาศว่าจะเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติโดยบรรญัติไหนรัฐธรรมนูญ เเบบนี้ที่เค้าเรียกว่า ทำเพือประเทศชาติ เเต่นี้ไม่มีเลยออกมาประท้วงการเมืองเเบ่งฝักฝ่ายกันชัดเจน
พ่อครูว่า...อย่าดูถูกการเมืองพระพุทธเจ้าก็ทำเพื่อประชาชนมาตลอดในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทำเพื่อประชาชนมาตลอด แต่คุณเข้าใจการเมืองเพียงเสี้ยวหนึ่งแค่คนไม่จริงใจคนทุจริตคนไม่เข้าท่าก็ถูก อันนั้นเป็นการเมืองบ้าบอ แต่การเมืองที่ดีที่ประเสริฐนั้นเขามี ถ้าโลกไม่มีการเมืองที่ประเสริฐแล้วจะอยู่ไปทำไม การเมืองคือพลเมือง หากไม่เอาคุณก็ต้องอยู่ไปกับสิงสาราสัตว์ไม่ต้องอยู่กับพลเมือง นี่คือความจริง คุณเห็นอย่างนี้คุณต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่อย่างนั้นมันไม่ใช่
ผู้ที่อยู่เหนือการเมืองขี้หมาพวกนั้นได้ก็จะพยายามเข้ามาช่วยปราบการเมืองพวกนั้นให้ได้ด้วยความสงบ นี่คือของพุทธ ชาวพุทธยังไม่มีสงครามศาสนา ยืนยันมา 2500 กว่าปีแล้ว แต่ศาสนาอื่นเขามีสงครามกันเอง เช่นสงครามครูเสด 200 กว่าปี
_Chon Kyun5 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ แสดงว่าไม่ได้ศึกษาจริงๆหรือหาข้อมู่ลจริงๆ จึงเอาไปเทียบกับพุทธอิสระ และใช้มุมมองนิยามความเข้าใจเก่าว่าการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องเลวร้าย พระผู้มีศีลไม่ควรเข้าเกี่ยวข้อง ควรพิจารณาว่าที่กลุ่มนี้ไปเกี่ยวข้องไปทำอย่างไร ทำอย่างพุทธอิสระหรือไม่ ตรองดู ถ้าไม่มีกลุ่มนี้ไปคัดค้านเรื่องที่ไม่ถูกไม่ต้องในหลายๆเรื่อง สังคมจะอยู่อย่างไร ถ้าผู้รู้ผู้มีศีลมีธรรม ไม่ออกมาแสดง มาชี้ว่านี่ผิด นี่ถูก และเขาก็ทำอย่างสงบ คนละรูปแบบกับพุทธอิสระ
ลองไปดูชุมชนของเขา คำสอนของเขาให้ดีๆ เขาสอนให้คนลดละและปฏิบัติได้จริง จนถึงแก่นจิตวิญญาณ จึงรวมกลุ่มสร้างเป็นชุมชนพุทธได้อย่างแท้จริง มีบ้าน วัด โรงเรียนอยู่พร้อมในชุมชนเดียวกัน สอนให้คนลดละไม่สะสม ลองดูวัดทั่วไปในไทยนี้เถิดสอนคนอย่างไร สอนตามหลักพุทธแท้จริงหรือไม่ เห็นแต่กลายร่างเป็นพราหม์ไปเสียหมดแล้ว ทุกสิ่งอย่างมีแต่พิธีกรรม จุดธุปจุดเทียน สวดมนต์เรียไร อ้อนวอนบ่วงสรวง ทรงเจ้าเข้าผี ทำนายผูกดวง เจิมบ้านเจิมรถ ทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ วัดก็มีแต่พิธีกรรมหาเงินหากิจกับชาาวบ้าน เหล่านี้ล้วนคือกิจหรือคำสอนพุทธองค์หรือไม่
_Chon Kyun 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@Nchyut Doisaket นั่นก็เป็นบุคคลประเภทหนึ่งที่พุทธองค์ตรัสไว้ว่า บางคนอาจบรรลุธรรมแล้วก็หลีกเร้นกาย ไปสงบแต่ผู้เดียว แต่พุทธองค์ทรงสรรเสริญคนที่บรรลุแล้ว(ได้ประโยชน์ตนแล้ว) กลับมาช่วยเหลือโปรดสัตว์โลก(ประโยชน์ท่าน) รื้อขนสัตว์ให้ได้พบพระธรรม นั่นคือกิจโพธิสัตว์
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Chon Kyun เเล้วเหตุการปัจจุบันนี้ละครับ ทำไมถึงไม่ออกมา บ้านเมืองทุกวันนี้เเย้มากๆยุคเผด็จการทหารอะไรก็เเพง คนตกงานเยอะมาก เศรษกิจเเย้มาก ทำไมถึงไม่ออกมา ก็เพราะว่าต่างฝ่ายต่างเลือกข้างอย่างชัดเจน ฝ่ายกูถูกเสมอ เเบบนี้ใช้ไหม
พ่อครูว่า...สถิติเราก็เอามาอ่าน อันนี้เอาข้อมูลเก่ามาพูด เราก็ว่าเศรษฐกิจดีนี่ ก็ต่างคนต่างมอง สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตมอีกคนตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย
_รมย์ รําเพย
ดูๆแล้วโพธิรักเข้าข่ายสังฆเภทดูเป็นแบบโลกๆดูยังยึดติดในวัตถุดูเป็นองกรหนึ่งที่อาศัยศัทธราชาวพุทธสนองอุดมการส่วนตัวครับถ้าโพธิรักไม่เป็นอรหันอนันตริยกรรมแน้นอนใกล้ถึงเวลาแล้วครับ
พ่อครูว่า...อาตมาแน่ใจว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมาไม่เป็นอนันตริยกรรมแน่นอน ส่วนอาตมาไม่ได้ทำสังฆเภท พวกเขาแยกอาตมาต่างหาก ทำสังฆเภท อาตมาทำนานาสังวาส แต่เขาก็ทำเป็นอัปเปหิ พวกคุณทำโมฆะ ทำอาบัติ ผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ากัน
_Vin Buddhamind 17 hours ago
ท่านคือพระที่แท้จริงสาธุ สาธุ สาธุ คนเรามีปัญญาพอควรที่จะแยกแยะได้ว่าใครดีใครชั่ว เวลานี้ก็ทุกๆคนก็คงจะเห็นแล้วว่าใครผิดใครถูก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพระไม่ใช่บวชมาเพื่อทำตามความเห็นใครๆหรือพวกใด พระบวชมาเพื่อหาหนทางหลุดพ้น อย่างน้อยก็บำเพ็ญเพื่อลบล้างกิเลสในใจตน
_Wekar Bigboy 13 hours ago
ทองคำบริสุทธิ์ย่อมต้องถูกเผาถูกหลอมมาก่อน พระที่ดีต้องมีปัญญาเข้าใจโลกเช่นท่านพระครู น่ายินดีน่าเคารพนับถือจริงๆ สาธุ
_ชีวิตนี้ ก็มีเท่านี้แหละ 13 hours ago
พระสงฆ์คือผู้ที่บวช สละความยึดติดเพื่อเดินทางไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การจัดระเบียบให้อยู่ตรงนั้น ทำตรงนี้ คือการยึดติด จะทำอะไรกับพระต้องคิดให้จงหนัก ส่วนคนที่อ้างตัวว่าเป็นพระ แต่มายุ่งเกี่ยวการเมือง แสดงว่ายังสมัครใจที่จะอยู่กับการยึดติด แถมยังประกาศตัวเองเป็นพระอรหันต์ บอกตรงๆ ทุเรศว่ะ
พ่อครูว่า...ก็ความเห็นของคุณ แต่แสวงหาให้ดี ติดตามให้ดีอดทนเอาหน่อย
_songs& art of life. 11 hours ago
วิถีส่วนตัว ไม่ใช่วิถีทาง ปฎิบัติตามรอยพุทธองค์ง่ายที่สุด ตรงที่สุด ไม่งั้นเราจะเรียกพระพุทธเจ้าหรือ ถ้าผิดจากพุทธองค์ อย่าเรียกตนะว่าพุทธ จงตั้งขึ้นใหม่ชื่อใหม่ นุงห่มแบบใหม่ ไม่ดีกว่าหรือ เมื่อมันใจว่าดีพอ
พ่อครูว่า...อาตมาก็มานุ่งห่มใหม่นะ ไม่เหมือนเถรสมาคม มั่นใจว่าดีพอด้วย นุ่งห่มไม่เหมือนสีจีวรไม่เหมือนการกินการอยู่ไม่เหมือน คิ้วก็ไม่โกน
_派 派 (อ่านว่า hade แปลว่าสีสด) 10 hours ago
ท่านปฏิบัติของท่านก็ถือว่าดีแล้วไม่ได้เบียดเบียนใครพวกที่ดูถูกดูแคลนท่านทำอะใรบ้างมีจิตใจคับแคบดูแคลนคนอื่นนี่ละเขาว่ากิเลสในใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน อรหันต์จิตว่างแบบพุทธ
_คลิปไม้ร่มถามเรื่องระลึกชาติ...มีคนคอมเมนท์ว่า...noonny bye 8 hours ago
เจ้าสำนักไม่รู้ สาวกก็ยังถามอยู่ได้ แถมบอกอีกว่า พระอรหันต์ ที่เคยเกิดร่วมกัน พันกว่ารูป เมื่อ สองพันปีก่อน กลับมาเกิดช่วยงานในชาตินี้อีก เหนื่อยใจแทนสาวกแต่ละคน ทั้งศิษย์ ทั้ง อาจารย์ พอๆกัน บาป ด้วยกันทั้งคู่ ลวงโลก อวดอุตริมนุษยธรรม " ผู้บรรลุอรหันต์ ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้( มนุษย์ นรก สวรรค์ ) อีก " พระพุทธเจ้า และ พระ อริยสงฆ์ ท่านก็ยืนยันเช่นนั้น เฮ้อ เหนื่อยใจกับพวกนี้จริงๆ แถมเจ้าสำนักท่าน ยังกล้าประกาศตนต่อ หน้าผู้คนอีกว่า " เราเป็นพระ อรหันต์ แบบปฏิสัมภิทา " ซ่ะงั้น ถ้ามีคนกล้าประกาศแบบนี้ ไม่ต้องกราบท่านอีกน่ะ ลวงโลกครับ " ผู้ บรรลุอรหันต์ หมดสิ้นซึ่งกิเลส จิตสะอาด บริสุทธิ์ มีสติสัมปชัญยะสมบูรณ์ พร้อม ไม่มีความต้องการสิ่งใด จิตว่าง " ถ้ายังประกาศว่าตนคือ พระ อรหันต์ แสดงว่า จิตไม่ว่าง ในจิต ยังมีเจตนา มีเหตุและผล มีความต้องการ " นั่นก็ยืนยันได้ว่า ผู้ประกาศตนว่า เป็นพระ อรหันต์ ย่อมไม่ใช่พระ อรหันต์ ผู้ที่จะบอกได้ว่าใครเป็นพระ อรหันต์ มีแต่ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ผู้บรรลุอรหัตผล จิตท่านว่าง ท่านก็ดำรง อยู่ในกายที่มีชีวิต ด้วยจิตที่ว่างนั้น ย่อมไม่มีความนึกคิดที่จะประกาศตนให้ใครรู้ ว่าท่านเป็นพระ อรหันต์ อันนั้นแหล่ะคือ พระ อรหันต์แท้ๆ นับแต่โบราณกาล ครั้งเมื่อ พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู๋ ก็ไม่มีพระอรหันต์ ผู้ใดประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีแต่พระศาสดา ที่คอยบอกเป็นนัยๆว่า ท่านผู้นั้น บรรลุธรรม เป็น พระอรหันต์ เอวังก็มีด้วยเท่านี้
พ่อครูว่า...เจตนามี 3 อย่าง 1 เจตนาในกาม 2 เจตนาในภพ 3 เจตนาในวิภวภพ
ความอยากในวิภพ คือตัณหาของพระพุทธเจ้า พระอาริยะ เป็นภาษาสิริมหามายา นี่สุดยอด ในเรื่องความรู้แม้แต่สิริมหามายา อาตมาก็ไขความ ติดตามให้ดีคุณจะเห็นนักมายากลที่ยิ่งใหญ่พูดเหมือนตลกแต่ชัดเจนสำหรับผู้มีภูมิถึง ผู้ที่มีภูมิไม่ถึงจะเมาหมัดเลย
สิริมหามายา ทำไมพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แม่ถึงชื่อสิริมหามายา แล้วตัวเองชื่อสิทธัตถะ คือ อัตถะ + สิทธะ คำว่าสิทธะคือความสำเร็จ อัตถะคือเนื้อหา
สิทธะคือตัวรูป Static อัตถะคือนามคือ Dynamic
พลังงานสูงสุดก็มี 2 อย่างนี้ Static กับ Dynamic ถ้าไม่มี 2 อย่างนี้ก็สูญเลยเลิกเลยทุกอย่าง ถ้ายังไม่เลิกก็ต้องพูดด้วย Static กับ Dynamic ตลอดกาลนาน มีรูปมีนาม
ไปอ่านโลหิจสูตรให้ดี ว่า โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
พ่อครูว่า..อาตมากำลังพูดอยู่ตอนนี้ก็จิตว่าง คุณมีกล้องส่องดูได้เลยขยายดูกี่ล้านเท่า ว่าอาตมาจิตว่าง ส่วนจิตว่างกับความนึกคิดนั้นต่างกัน ยิ่งมีความนึกคิดได้รวดเร็วแววไวด้วย
ไปอ่านดูใหม่เลย พระอรหันต์หลายรูปก็บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อย่างพระพักกุละเป็นต้น
_คลิปเราคือโพธิสัตว์ มีความเห็นตอบกลับมา...
_Narong Suraphatkornpapha.... นี้ ยังไม่ใช่ ลักษณะ การแสดงธรรมของบัณฑิต ในอริยวินัย ของพระสุคต คือสุคตวินโย. ยังมิใช่ ผู้แจ้งในอริยสัจณาน. เหตุเพราะ ยังไม่รู้ ถึง ไม่แทงตลอดในอริจทั้งสี่ประการ. นั้นเอง จึงแสดงสัทธรรม ปฏิรูป อันเป็นทองเทียมเช่นนี้.
โพธิสัตว์. ยังเป็นสัตว์ที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ความรู้ในอริสัจจสี่แต่งอย่างใด.
ดังนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวมาเราไม่รับรอง และไม่คัดค้านคำของท่าน. เดี๋ยวไปเทียบกับ ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสแล้ว เราจะกล่าว
_สื่อธรรมะพ่อครู สมณะโพธิรักษ์...... ความเข้าใจว่า โพธิสัตว์คือปุถุชน มีกล่าวในพุทธวจนะ บทไหน ลองหามาให้ทราบหน่อยสิ ธรรมวินัยบทไหนที่กล่าว เช่นนั้น ...เป็นความเข้าใจผิดของท่านเองที่กล่าวว่า โพธิสัตว์คือปุถุชน คำว่าโพธิ คือ การตรัสรู้ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน โพธิสัตว์ คือ สัตว์โลกที่ได้ตรัสรู้ อาริยสัจ คือผู้พ้นทุกข์แล้วสิ้นเชิง คือ พระอรหันต์ที่ตั้งจิตต่อพุทธภูมิ บำเพ็ญเพื่อไปเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป นี่คือนิยาม ของโพธิสัตว์
พ่อครูว่า...อย่างน้อยจะสู่ความตรัสรู้ต้องมีอัญญะ ดังเช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่เกิดอัญญาขึ้นเป็นครั้งแรกของศาสนาพุทธ ไม่มีใครอธิบายได้อย่างอาตมาหรอก คนๆนี้เป็นคนแรกที่เริ่มเกิดได้ มีห้าคนแต่คนนี้เกิดอัญญาได้ก่อน แล้วอธิบายต่อไปอีก คนอื่นๆจึงเกิดตามมา
คนส่วนใหญ่ติดในพยัญชนะ แต่เนื้อหาสาระสภาวะยังไม่เกิด
เวลาหมดก็ขอฝากไว้ก่อน
สมณะฟ้าไท...สรุป
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:01:31 )
รายละเอียด
620114_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 34
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1xZDucjFpmKHLVxlzl9_8H9B_FNNQ1Y8mDkHiOXzL_w8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1twZyUZ4U4UrZv28OckHBEmB8D-fcZS3X
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
ก่อนจะเริ่มตอบปัญหา ก็เอา sms มาอ่าน และสลับกับตอบปัญหาสด
SMS วันที่ 13 ม.ค. 2562 (รายการวิถีอาริยธรรม)
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน โลกโลกียะไม่อาจมองเห็นคุณค่าของพ่อครู
_3867โลกกระแสหลักเชื่อบ่เชื่อพ่อครูเป็นโพธิสัตว์? จะมีคนศรัทธาพ่อครูกี่มากน้อย? แต่สากลโลกก็เชื่อใจลูกศิษย์โพธิรักษ์ให้รางวัลลุงจำลองฯผู้ว่าฯแมกไซไซ!เชื่อถือหมอใจเพชรชูเกียรติบัตรหมอเขียวเพชรเอเซียศิษย์เอกโพธิรักษ์ฯ
พ่อครูว่า...เป็นนัยซับซ้อน ประเด็นแรกคือ ความรู้ของชาวโลกคือโลกียะทั้งสิ้นยังไม่เข้าถึงความรู้ทางโลกุตระเลย ความรู้ทางโลกุตระ ที่จะเข้าถึงโลกุตระได้ จะต้องมีความรู้ในจุดนี้ ที่บอกว่าโลกสากลเชื่อใจลูกศิษย์โพธิรักษ์ ให้รางวัลหมอเขียว คุณจำลอง ทำไมไม่ให้โพธิรักษ์ ไปให้ลูกศิษย์เท่านั้น โพธิรักษ์นั้นทั้งแสดงธรรมทั้งพามาปฏิบัติธรรม เป็นหมวดเป็นหมู่เป็นหมู่บ้านเป็นชุมชนเป็นพฤติกรรมสังคมเลย ทำไมไม่ให้รางวัลโพธิรักษ์ มาให้รางวัลแค่คุณจำลองหมอเขียว ทำไม ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นแสดงว่า ความเป็นศิษย์ ไม่ว่าจะเป็นคุณจำลองหรือหมอเขียว ไปได้รางวัลมันไม่ใช่เรื่องของความเป็นลูกศิษย์โพธิรักษ์ แต่ไปได้รางวัลสำหรับเข้าตาโลกสากลเขา ของคุณจำลอง ของหมอเขียว นี่แหละเป็นประเด็นซับซ้อนลึกซึ้ง เป็นประเด็นที่เป็นสิริมหามายาอย่างมากเลย
สิริมหามายาคือโลกกลับตาลปัตรดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เห็นมีเป็นไม่มี เห็นไม่มีเป็นมี กลับกันไป กลับกันมา เขาจะหมุนจะงงแล้วคิดว่าไม่ใช่ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาเป็นสิริมหามายาที่ให้กำเนิดสิทธัตถะ คนจะรู้จักสิทธัตถะรู้จักพระพุทธเจ้าแท้ๆ ต้องศรัทธาสิริมหามายา คนใดที่ยังไม่ศรัทธาสิริมหามายายังไม่มีปัญญาพอที่จะศรัทธาสิริมหามายา แน่นอนจะเห็นสิทธัตถะไม่ได้ จะบูชาเคารพสิทธัตถะไม่ได้ จะไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจ คนที่รู้จักสิริมหามายาดีจึงจะรู้จักสิทธัตถะ ภาวะสิริมหามายาเป็นผู้ให้กำเนิดสิทธัตถะ
อาตมาเองอาตมาเป็นคนไม่มีตัวตน คนจะเข้าใจนับถือยกย่อง อาตมาไม่มีปัญหาเลย แต่อาตมามีหน้าที่ดูแลธรรมะแสดงธรรมะ คุณจำลองหรือหมอเขียวเข้าใจก็มาเอาได้ จนคุณจำลองบอกว่าจำลองวันนี้ได้ดีเพราะอโศก แต่หมอเขียวก็ไม่รู้จะพูดอะไรบ้างก็แล้วแต่ยอมรับนับถือโพธิรักษ์เป็นอาจารย์อยู่ ลูกศิษย์หมอเขียวก็ยอมรับนับถือโพธิรักษ์เป็นอาจารย์อยู่ เช่นหมอเขียว อาตมาได้ยินจากปากคนอื่นว่า หมอเขียวก็บอกว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 แล้วรับอาตมาว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ไม่มีปัญหาไม่แปลกอะไรก็ทำงานแล้วก็มีผลงานอะไรออกมาก็ดี ใช้ได้ ก็ทำให้คนเข้าใจสัจธรรมไปตามลำดับอยู่
คนที่มีภูมิปัญญาก็จะชัดเจนรู้ได้ เพราะฉะนั้นในเถรวาทหรือในศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นเถรวาท 100% ไม่รู้จักโพธิสัตว์ แล้วบอกว่าโพธิสัตว์เป็นปุถุชน อาตมามายืนยันว่าโพธิสัตว์เป็นปุถุชนไม่ได้ ต้องเป็นอาริยะเป็นอรหันต์มาก่อน ต้องมีภูมิธรรมโพธิตั้งแต่โสดาบันเป็นเรื่องแรกก็เป็นโสดาบันโพธิสัตว์คือ โพธิสัตว์ระดับ 1
ต้องมีอรหัตตผลของโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาก็สาธยายตามภูมิ อาตมาแจกแจงธรรมะ อาตมาพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้มาพูดเพื่อให้คนเชื่อ หรือ อยากให้คนเชื่อหรือบังคับให้คนเชื่อ หว่านล้อมให้คนเชื่อ ไม่มี อาตมามีหน้าที่พูดความจริงให้จริงที่สุด ส่วนแต่ละคนจะมีภูมิปัญญาเห็นว่าอันนี้เป็นความจริงน่าได้น่ามีน่าเป็นก็เอาเอง หรือคุณเห็นว่าเป็นความจริงแต่ไม่เอา ก็เรื่องของเขา เขาเห็นว่าอันนี้ดีอันนี้จริง แต่เขาไม่เอา ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครที่เห็นว่าดีจริงก็เอา คนเห็นว่าไม่ดีแน่นอนเขาก็ไม่เอาหรอก ก็ถ้าไม่จริงแน่นอนเขาไม่เอา ต้องเป็นคนที่เห็นว่าดีเห็นว่าจริงเขาถึงจะเอา ไม่เห็นว่าดีไม่เห็นว่าจริงเขาไม่เอาหรอก ใครจะเอาหรือไม่เอาถ้ามาไม่มีปัญหาอาตมามีหน้าที่ที่จะรับผิดชอบสาธยายไป ต้องให้จริง และก็พยายามจะให้คนเข้าใจให้ได้ อันนี้ก็มีด้วย เท่าที่พยายามสามารถได้
อาตมาเก่งสาธยายได้เพียงเท่านี้ อาตมาทำให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ได้เท่านี้ อาตมาไม่เก่งกว่านี้ ไม่พยายามจะทำให้ยาก แต่ธรรมะพระพุทธเจ้ามันยาก ท่านตรัสว่าธรรมะของท่านนั้น
คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สันตา สงบพิเศษคือสงบยังดิ้นแรงไม่ใช่สงบอย่างหยุดง่าย ไม่ใช่ แต่เป็นสงบที่หมุนเร็วแรง เหมือนลูกข่างกินน้ำจั้น ลูกข่างนอนวัน เร็ว นิ่ง ถ้าไม่เร็วได้ขอบเขต ลูกข่างไม่นิ่ง ลูกข่างที่หมุนและเร็วได้นิ่งนั้นเพราะสามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงได้ จึงหยั่งลงได้ มันคือความสงบของศาสนาพุทธ ความสงบของศาสนาพุทธคือความสงบที่เร็วและแรง ไม่ใช่ความสงบที่หยุดนิ่งเฉยช้าไม่ใช่เบา ไม่ใช่เลย
สมณะแปลว่าผู้สงบ เถรสมาคมเขาให้มานะ อาตมาไม่ได้ตั้งเอง สัจธรรมเป็นเรื่องที่ต้องเป็นเช่นนั้นมันต้องเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ในสังคมประเทศไทยเขาไม่เรียกพระเป็นสมณะหรอกเขาเรียกพระ อย่างนี้เขาเรียกภิกษุ ไม่ได้เป็นสมณะหรอก แต่เอาไปเอามา เรามากลายเป็นสมณะ เขาให้ นี่มันคือความลงตัวเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้
สงบของศาสนาพุทธเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสในใจ คือไม่มีตัวที่ทำให้ไม่สงบ กิเลสคือตัวที่ทำให้ไม่สงบ กิเลสเป็นตัวที่ทำให้คนไม่สงบ คนที่หมดกิเลสแล้วจึงเป็นคนสงบ อาตมาประกาศไปหมดแล้วว่าตนเองเป็นอรหันต์อาตมาจึงสงบ
คนเห็นว่าอาตมาไม่สงบเพราะเขารู้ไม่ได้ อุตส่าห์บอกก็ยังไม่รู้ ยังไม่เชื่อถือ สันตาคือสงบ สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตอะไรที่ตั้งมั่นก็คือจิตใจที่สะอาดปราศจากกิเลสตั้งมั่นเป็นแกน Static ที่แข็งแรง ยิ่งแข็งแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งหมุนได้เร็วเท่านั้น เพราะมีคู่ Static กับ Dynamic สัมพันธ์กัน สัมพัทธ์กันอย่างแข็งแรง แกนจึงแข็งแรงมากจึงหมุนได้เร็วอาตมาจึงแรงได้มากเร็วได้บ้าง แสดงธรรมเร็วไม่คิดช้าเลยเดี๋ยวนี้ค่อยยังช้าหน่อย แต่ก่อนที่แสดงธรรมวัดมหาธาตุ เรียกว่าแสดงจนพอเราลงจากเวที ไอ้หนุ่มบอกว่า มันชิบหายเลยหลวงพี่แต่พูดให้ช้าหน่อยฟังไม่ทันเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ญาณ 16) ตอน ฝึกปล่อยวางอย่างญาณ 16
_ใจแก้ว...ก่อนมาอยู่บ้านราชฯ อยู่ที่สันติฯ เป็นคนแพ้คาเฟอีน ในกาแฟ ดื่มไปตอนเที่ยงหลังอาหาร แต่ตลอดคืนตาค้างไม่ได้นอนถึงสว่าง เสร็จแล้วก็เลยกังวล ผ่านไปวันหนึ่งไม่ได้หลับ ตอนกลางวันก็ทำงานอีก คืนที่สองถึงได้หลับ แต่ไม่ยอมแพ้ อีกอาทิตย์หนึ่งก็ไปลองอีก ทำไมใจเราสู้อำนาจคาเฟอีนไม่ได้ เสร็จแล้วพอจะนอนก็ตาค้าง จิตกังวลอีก แต่พอวางจิตได้ไม่กังวล จิตก็วางได้นอนได้
คนเราพออายุมากใกล้ตายจิตวางไม่ได้ แต่หากเราสะสมจิตปล่อยวางได้บ่อยๆตอนเราจะทิ้งร่างจะวางได้ง่ายขึ้นไหม
พ่อครูว่า...ได้ หากเราฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวจะเกิดญาณปัญญารู้ ท่านใช้คำว่าทำใจในใจ โยนิโส มนสิกโรติ เราทำใจในใจของเรา ฝึกใจของเราทำอย่างนี้ เราจะรู้ว่าเราฝึกใจในใจทำใจในใจได้ไหม การทำใจในใจขณะตื่นรู้มีอะไรกระทบสัมผัสเราก็ได้ปรับใจของเราถ้าทำได้เก่งก็เรียกว่ามีอภิสังขาร ทำใจแยกกิเลสกำจัดกิเลสได้เรียกว่าปุญญาภิสังขาร ค่อยๆทำไป ถ้าเราทำใจเฉยๆไปก็เป็นเพียงสมถะ ก็ทำให้ชำนาญได้เหมือน แทนที่จะวางเพียงสมถะเท่านั้น จริงๆแล้วคนเรามันมีสมาธิในตัวทั้งนั้น แต่หัดรู้สภาวะอาการในจิต ว่าจิตมันวางเพราะเรามีปัญญารู้ อ๋อมันเป็นอย่างนี้มันก็วางก็ปล่อยเอง อย่างนี้เรียกว่าเป็นจิตที่เป็นญาณปัญญาแท้ เรียกว่า โสฬสญาณ ในข้อมุลจิตตุกัมมยตาญาณ ญาณเปลื้องปล่อยด้วยความรู้ ก่อนจะถึง ก็มีการเห็นโทษภัยเปลื้องปล่อยไปตามลำดับ
ในญาณ 16 เราจะชัดเจนเลย
1. นามรูปปริเฉทญาณ ญาณจำแนกรู้รูป-รู้นาม และ . นามก็เปลี่ยนเป็น“รูป” ให้ถูกรู้อีก ว่ายึดครอง? . . .
2. ปัจจยปริคคหญาณ ญาณรู้ปัจจัยของการยึดถือ มั่น ครอบครองมั่น หลงเอารูปทั้งหลายมายึดจนเที่ยง .
3.สัมมสนญาณ ญาณรู้เห็นรูป-นามของกิเลสตัณหา ซึ่งยังวนๆ อยู่อย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่เที่ยง
4. (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ
5. (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย .
6. (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป
7. (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย
8. (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย . .
9. (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา) .
10. (7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง . การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้ ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น .
11. (8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย . . .
12. (9)สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7. ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ
13. โคตรภูญาณ ญาณรู้หัวต่อ ตัดโคตรขึ้นสู่อาริยภูมิ. .
14. มัคคญาณ ญาณรู้ภาวะของอริยมรรคแต่ละขั้นๆ
15. ผลญาณ ญาณรู้ผลสำเร็จแห่งการเป็นพระอาริยะ
16. ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ทบทวนตรวจสอบ มรรคผล และบริบทแห่งความสำเร็จทุกอย่าง .
พตปฎ. ล.31 ข.1 ปฏิสัมปภิทามรรค
ขุ.ปฏิ.31/มาติกา/1-2 และ วิสุทธิ.3/206-328
อาตมาพูดนี้ รู้สภาวะหมดทั้ง 16 ญาณ แต่ว่าจำพยัญชนะไม่ได้เท่านั้น ญาณ 16 ก็มาจาก ญาณ 72 ที่เทศน์ลึกซึ้งมาก ไปแค่ 16 อย่างก็เป็นอรหันต์ได้ไม่มีปัญหา
_สิริมา..มีเพื่อนของดิฉันที่เป็นนักวิชาการขอหนังสือคนจนที่มีแบบดิฉันก็ส่งไปให้ ขอถามว่าถ้าจะมีชื่อผู้แต่งอยู่ที่ปกหลังได้หรือไม่ ถ้าเวลาพิมพ์หนังสือครั้งต่อไปให้มีชื่อผู้แต่งอยู่ที่ปกหลังด้วยได้ไหม
พ่อครูว่า...ได้ แต่พวกเราไม่ค่อยสำคัญมั่นหมายเท่าไหร่
_สิริมาว่า ทุกครั้งที่หมอเขียวจะแสดงธรรมก็กราบนมัสการไหว้ครูถึงพ่อครูทุกครั้ง
พ่อครูว่า..หมอเขียวก็ชัดเจนไม่ได้เสแสร้งอะไรหรอกที่จริงมันก็คือความจริงที่คนเข้าใจได้ยาก หมอเขียวเขาก็เป็นของเขาจริงของเขาแต่คนเข้าใจได้ยากแม้ว่าชาวอโศกก็ยังไม่ยกให้เรายังติดใจว่าไม่ใช่ ความจริงเขาก็เป็นของเขาไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่พวกเราก็ อย่างว่าแหละ ตัวตนมันมีอัตตามานะของแต่ละคนอยู่บ้าง
ในโลกก็มีสัจจะของมันเยอะที่อธิบายหรือชี้บอก อย่างอาตมาบอกอาตมาเป็นโพธิสัตว์นั้นไม่ง่าย อาตมาก็จำเป็นที่ต้องพูด นอกจากพูดถึงว่าเป็นโพธิสัตว์แล้ว ทางสายกระแสหลักเขาก็ไม่ประหลาดใจ เขาไม่ติดใจอะไรมากเพราะเขาว่าโพธิสัตว์คือปุถุชนไม่ได้เป็นอาริยะ แต่เมื่อประกาศเป็นอรหันต์เขาจะถือ อาตมาก็ต้องพูดให้ชัดให้ครบ อธิบายไปแล้วว่าถ้าจะเป็นโพธิสัตว์นั้นจะต้องเป็นอรหันต์มาก่อน ถ้าไม่มีเชื้อโพธิมาก่อนจะมาเป็นโพธิไม่ได้ ต้องตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป ถ้าไม่มีอคติจะเข้าใจ อาตมาอธิบายไปหมดแล้ว อธิบายเป็นลำดับ เป็นเนื้อหาเชื่อมต่อกัน ขยายความลึกซึ้งไปวนไปวนมาสารพัด ก็น่าจะเข้าใจได้แต่เขาก็เข้าใจไม่ได้ ก็แล้วแต่
_วันก่อนพ่อครูไปเยี่ยมแม่ค้าที่เฮือน บวร เดินถึงร้าน ชาคาฮารี พ่อครูเดินแล้วมองหน้าเจ้าของร้าน ก็คิดในใจว่า อาหารไม่ได้มอมเมา ราคาก็เอาตามจิตอาสามาแนะนำ ให้ได้บรรลุธรรมอาริยสมบัติเป็นโลกุตระเสียก่อนแล้วมีรูปแบบเป็นชายก่อนด้วยจึงจะโปรดผู้อื่นได้ เห็นว่าคนยุคนี้เป็นคนยุคนรกแตกมาเกิดคงทำไม่ได้ ยกให้โพธิสัตว์องค์นี้ก็แล้วกัน เพราะเห็นว่าโลกมนุษย์คือแดนคนตาย สัตว์ตาย เกิดเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น ความตายมันไม่ได้ยินดีในการสร้างอะไรที่มากเกิน
สิ่งทำไม่ได้คือพูดดีทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร สิ่งที่พูดไม่คิดทำให้มิตรกลายเป็นศัตรู
_อธรรมคืออะไร
พ่อครูว่า...ธรรมะแปลว่าสิ่งที่ทรงไว้ สิ่งที่มีอยู่แล้วก็ทรงไว้ในจิต ถ้าไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีธรรมะ แล้วคุณจะเป็นสิ่งที่ดีด้วยที่ทรงไว้ ธรรมะจึงหมายถึงสิ่งที่ดีที่ทรงไว้ในจิตมนุษย์ ดีเป็นระดับเท่าที่คนจะสามารถรู้ได้ว่าอันนั้นคือธรรมะ อธรรมคือสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ควรทรงไว้
อาตมาอธิบายลึกไปอีกว่า สิ่งที่ทรงไว้นั้นคือธรรมะ สิ่งที่ไม่ได้ทรงไว้นั่นคืออธรรม ก็หมายถึง 0 คือไม่มีอะไร
_หลวงปู่บอกข้อด้อยของหลวงปู่ได้ไหมคะ 10 ข้อ
พ่อครูว่า….“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ
อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร .... เช่น
1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน
2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง
3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆอะไรทำนองนั้น
4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้ ที่อ่อนแอ ล้มเหลวอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง
5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่
6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นบริวาร
7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง
8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ
9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูง จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน
10. เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง คือตำหนิคนที่ควรติ จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า
และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง
_หลวงปู่จะเขียนหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม 2 อีกกี่หน้าคะ
พ่อครูว่า....ก็คิดว่าจะจบแต่ได้แต่คิดแต่เขียนแล้วเจาะลึกวนไปวนมา บางทีพูดซ้ำซากแต่ความซ้ำซากนั้นไม่ได้เท่าเดิมมีความเจาะลึกขยายในนั้น อันนี้ยากจะรู้ คนจะรู้เข้าใจตามได้ยาก ก็เลยตอบไม่ได้ว่าเขียนอีกกี่หน้า
_หลวงปู่ช่วยเขียนให้มันสนุกนิดหน่อยนะคะ(อ่านแล้วง่วงนอน)
พ่อครูว่า...ต้องเอาวิญญาณเชิญยิ้มมกจ๊กมาสิงกระมัง ก็รับไว้พิจารณา
สื่อธรรมะพ่อครู(ญาณ 16) ตอน วรรณะ 9 กับ อวรรณะ 6
_น้ำมนต์...วรรณะ 9 กับ อวรรณะ 6 แตกต่างกันอย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า...วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ในหลวงร.9 เอาคำว่า ใจพอมาใช้ เป็นเศรษฐกิจพอเพียง คือเศรษฐกิจใจพอเศรษฐกิจมีความพอ ทุกวันนี้ใจคนพอไม่เป็นไม่มีความพอ มีแต่ความตรรกะได้มากเท่าไหร่ก็เอา ยิ่งจะหลงระเริงได้มากๆๆ ไม่เคยพอ เช่น เราหาเงินได้ ยังเหลืออีกเท่านี้พอแล้ว ถ้าเราทำได้มากกว่านี้ก็ทำ แต่สะพัดออกไป ถ้าคนทำเช่นนี้ได้เศรษฐกิจเจริญ ชาวอโศกเป็นคนพัฒนาเศรษฐกิจได้มาก แล้วทำตนช่วยประเทศชาติให้มีเศรษฐกิจดีที่สุดเพราะมาเป็นคนจนมาเป็นคนไม่สะสมเป็นคนใจพอ มีน้อยๆก็พอ จนกระทั่งในชาวอโศก 0 บาทก็พอทำงานฟรีไม่ต้องมีรายได้เลยอยู่สบาย มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งที่สูงส่ง ในสังคมในความเป็นมนุษย์โลกแล้วมันเป็นไปได้ไม่ได้พูด โก้ๆ พูดสัจธรรมพูดความจริงว่าคนมาทำเช่นนี้ได้ยาก
สันโดษ เป็นคนใจพอแล้วเป็นคนขัดเกลาสัลเลขะขัดเกลา กายกรรมที่ไม่ดี มันบกพร่อง วจีกรรมตนเอง ปรับปรุง จิตตนเองไม่ดีก็ขัดเกลา ธูตะด้วยศีล ด้วยข้อกำหนดที่พระพุทธเจ้ากำหนดมาเป็นลำดับ ศีลที่ปฏิบัติได้แล้วไม่เคร่ง ศีลที่ยังปฏิบัติไม่ได้แล้วตั้งใจปฏิบัติให้เคร่ง ศีลข้อที่ 1 คนทำไม่ไหวก็เคร่ง ศีลข้อที่ 2 คนทำไม่ไหวก็จะเคร่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็ไม่เคร่ง คือธูตะ ทำให้ศีลเป็นสามัญปกติทำตนเองบรรลุธรรม
ปาสาทิกะคือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติแล้วขัดเกลากายวาจาใจได้ดีแล้วพัฒนาดีแล้ว มันถึงมีอาการที่น่าเลื่อมใส อาการทางกายวจี โดยเฉพาะที่ใจก็น่าเลื่อมใส อย่างเช่นอาตมา คนเลื่อมใสเพราะอาการทางใจอาตมาน่าเลื่อมใสมาก แต่คนไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไม่ค่อยเลื่อมใสเพราะไม่เข้าใจอาตมาไม่รู้ใจอาตมา เข้าใจใจอาตมาไม่ได้ กายกรรมของอาตมาอาจจะบกพร่องมีข้อด้อยเยอะ แต่ใจสูงส่ง พูดเหมือนยกตน แต่ไม่ได้มีจิตอยากอวดโอ่สาเฐยจิตอยากอวดโอ่ ไม่มี นี่พูดความจริงเป็นสัจจะ อาตมารู้ว่ากิเลสนี้คืออะไรแล้วอาตมาไม่มีอย่างแข็งแรงด้วย คนที่ฟังอย่างมีปัญญาดีจะเข้าใจได้รับประโยชน์ เป็นคนมีธูตะ ปาสาทิกะ
ไม่สะสมเงินทองกองกิเลสไม่สะสมอะไรอีกแล้ว ข้าวของข้างนอกไม่สะสมภายในก็ไม่สะสมกิเลสอีกแล้วหมด 0 เป็นอปจยะ และเป็นคนยอดขยันวิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ใครเห็นก็เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรตลอดเวลาไม่เป็นคนเฉื่อยแฉะ ไม่เป็นคนที่ปล่อยเวลาเปล่าแต่เป็นคนที่ปรารภความเพียรขยันหมั่นเพียรทำงานเสมอ ไม่ทรมานตนด้วย รู้จักการเพียรรู้จักการพัก นี่เป็นวรรณะ 9
ส่วน อวรรณะ 6 มี
1. เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
2. บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
3. มักมาก (มหัปปิจฉะ)
4. ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
5. เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
สังคนิกะคือคลุกคลีกับสวรรค์ พยัญชนะตรง แต่เขาไปแปลว่า ไปคลุกคลีกับคณะ สังสัคคะหรือสังคณิกะ คือแทนกันได้ไวยพจน์กัน คือไม่ปรุงแต่งสวรรค์ไม่ปรุงแต่งกับคณะคือกองกิเลส สัคคะคือสวรรค์ ผู้ที่ไม่มีสวรรค์ไม่เอาสวรรค์ ไม่ปรุงแต่งสวรรค์คืออะไร อรหันต์ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ผู้ที่ยังมีสวรรค์ก็ต้องมีนรก เพราะสวรรค์กับนรกเป็น dualism สวรรค์นรกคือเหรียญสองด้านคือคู่หู สวรรค์นรกคือ เทวะ แยกกันไม่ได้
ชาวเทวนิยมคือผู้ที่ตีเทวไม่แตก แต่ศาสนาพุทธนั้นตีแตกสวรรค์นรก ตีแตกธรรมะ 2 ไม่ยึดติดธรรมะ 2 ทำให้เป็นธรรมะ 1 ธรรมะศูนย์ได้จึงมีนิพพาน แล้วก็อนุโลมอยู่กับธรรมะ 2 อยู่กับธรรมะ 1 อยู่กับธรรมะ 3 4 5 6 7 8 9 จนถึง Infinity ได้ เพราะยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ เป็นเรื่องสูงสุดทางด้านจิตวิญญาณ
แต่เขาไปแปลว่าไปคลุกคลีกับหมู่คน เขาก็ไม่ให้คลุกคลี ปลีกเดี่ยวไป แต่เขาเข้าใจเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ของพุทธนั้น ไม่ว่าจะคลุกคลีอยู่กับหมู่ชนแต่จิตของคุณไม่มีกิเลสไม่มีเพื่อน 2 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคมเป็นศาสนาไม่ปลีกเดี่ยว การปลีกเดี่ยวนั้นไม่ทำให้เป็นอรหันต์ได้หรอก พยัญชนะกับสภาวะนี้เป็นสภาพสิริมหามายา ก็ยืนยัน ไม่มีอะไรดีเท่าเอาอย่างอาตมานี่แหละ เป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์เป็นผู้ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง อยู่กับหมู่คณะนี้โดยไม่หนีจากคณะ แต่จิตอสังคณิกะ คือจิตอาตมาอิสระเสรีโดดเดี่ยวไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดกิเลสในจิตได้ ให้เกิดความเลอะเทอะในจิตได้ อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
_น้อมยอดธรรม...วันที่เรามาสอบว.บบบ. ก่อนมาดิฉันว่าจนแล้ว แต่พออยู่ไป ไม่รู้กิเลสก็เลยยังหวง เวลาเราค้าขาย ปากเราให้แต่ใจเราไม่ให้แต่ ปัจจุบันนี้ ฟังพ่อครูรู้เรื่อง ทุกวันนี้เราขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ ได้แล้ว ทุกวันนี้จิตดิฉันก็ยิ่งรวยใครจะมาเอาอะไรเอาได้เลย พอไปทำงานฐานไหนก็ตาม
พ่อครูว่า...คนที่พอ เรามีห้าบาทเราก็พอแล้ว แต่เราไม่ขี้เกียจมันก็จะมีแต่เพิ่มขึ้น แต่คนขี้เกียจไม่รู้จักพอมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีเป็นร้อยล้านแสนล้านก็ไม่พอ พวกนี้มันจนไม่จบสิ้น ก็ไม่รู้จักพอ รวยไม่รู้จักรวย พวกที่จนแต่รู้จักพอ อยู่รวมกันก็มีการเฉลี่ยแบ่งแจกกันอย่างดี พูดไปแล้วก็ชื่นชมกับสังคมอโศก ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าสอนได้มรรคผล เป็นเรื่องสุดยอดจริงๆ ทางเถรสมาคมเขาก็น่าจะชัดเจนเขาก็ศึกษา แต่เขาก็ทำบาปให้แก่ตัวเองคือมาด่าออกมาปฏิเสธอโศกเอาไว้ แล้วคาคอตนเอง ก็จะมารับก็ได้ แต่ไม่เป็นไรไม่เสียหน้าหรอกมาทางนี้เถอะไม่เสียหน้าอะไร เราไม่ได้ติดใจว่ามารับทางนี้แล้วเราจะผยอง แต่ไม่มา รับรองเราเข้าไปของเราได้อย่างนี้
พวกที่ต่อต้าน ตอนนี้ก็ตายไปเสียส่วนใหญ่ เหตุการณ์ผ่านไปหลายสิบปีคนรุ่นหลังก็ไม่รู้หรอก ว่าทางเถรสมาคมเขากระทืบอโศกไว้ แต่ปรากฏว่ามีคุณธรรมของพระโมคคัลลานะฆ่าไม่ตาย ฆ่าอย่างไรก็ฟื้นได้ไม่ตาย อันนี้พูดสัจธรรมแท้ เป็นอมตบุคคล สัจธรรมฆ่าไม่ตายก็เลยยืนหยัดมา และบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
อาตมาจะไปสวดธรรมะพระพุทธเจ้าอมตะบุคคลไม่มีใครทำลายได้ อาตมาจะยืนยันไปจะอยู่ให้ยาวนานหน่อย สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆเกิดขึ้นในไทย เป็นแต่เพียงจะรอดูว่าต่างประเทศจะมารับรองหรือมายอมรับอโศกก่อน หรือ กระแสหลักในประเทศจะไม่ยอมรับก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ตื่นรู้ชาคริยาไม่ปรารถนาสะลึมสะลือ
_เมฆทิพย์…ทำไมพ่อครูยังนอนไม่สนิท
พ่อครูว่า...อาตมาฝึกตื่นทุกชั่วโมงมานานเป็นสิบปี การตื่นทุกชั่วโมงไม่เสียหาย แต่คนทั้งหลายบอกว่าคงนอนไม่พอ อาตมาตื่นทุกชั่วโมงนั้นอาตมาพักได้พอเพราะว่าฝึกมาตื่นก็เป็นตื่นหลับก็เป็นหลับได้อย่างรวดเร็ว เวลาหลับแล้วก็ปล่อยวางได้ เราก็ตื่นได้รวดเร็วเพราะไม่ติดหลับ แต่คนที่ตื่นแล้วหลับก็ไม่ค่อยลงได้ง่ายๆอันนี้เสียแน่นอน แต่คนที่ฝึกแล้วตื่นหลับหลับตื่นสบายมาก คนที่ติดในความหลับก็เป็นคนหลงรสของความหลับคือ รสสะลึมสะลือมันอร่อย คุณไปรักษาความสะลึมสะลือเอาไว้ทำไม อย่าไปเกรงใจมัน ตื่นแล้วสดใสเลยอย่าไปเกรงใจมัน อร่อยๆขี้หมาเป็นอุปาทานมันไม่มีความจริงหรอก ฝึกได้ ใส่ทิ้งตัวสะลึมสะลือได้ก็จะตื่นแล้วก็เป็นตื่นหลับก็เป็นหลับ ความสะลึมสะลือมันหายไปก็คือการกำจัดถีนมิทธะ
แต่ก่อนอาตมาฝึกตีกังสดาลทุกชั่วโมงแต่ตอนหลังเขาริบไป อาตมาไม่มีปัญหาจะหลับก็หลับได้
_แก้วบุญ….หลวงปู่อายุเท่าไหร่
พ่อครูว่า...อายุ 85 หยกๆจะ 86 หย่อนๆแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน จะอยู่ในอโศกต้องอยู่อย่างมีสรณะ
_การอยู่ที่นี่ยากเป็นเพราะอะไร เหตุผลระหว่าง กิเลสกับสิ่งแวดล้อมแรงกดดันต่างๆ
พ่อครูว่า...เหตุปัจจัยหลักก็คือกิเลส มันเรียกร้องอะไรต่างๆนานาสารพัด แต่อยู่ที่นี่จะได้ขัดเกลากิเลส คนที่ไม่เจตนาอยู่ที่นี่ไม่ยินดีอยู่ที่นี่ ไม่เห็นว่าที่นี่ดี จะไม่ทนอยู่หรอก เพราะฉะนั้นเด็กๆที่มาอยู่ที่นี่ พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ให้มาอยู่เรียนที่นี่ ก็เห็นว่าที่นี่ดี เด็กก็จะค่อยๆเข้าใจเพราะเห็นว่า มันดี 1.พ่อแม่ก็ให้มาอยู่ จำนน 2.อยู่ไปก็มีส่วนดี จนมีบางคนว่าที่นี่ดีก็ไม่มีปัญหาต่อสู้กับกิเลสตนเองเท่านั้นก็สบาย ผู้ใดรู้ว่าที่นี่ดี วางใจได้เลยต่อสู้กับกิเลสตัวเองให้ได้ ไม่ต้องไปกังวลอะไร ที่นี่ดีแต่ถ่ายเดียว ไม่เลวลงเลย
อยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นั้นมีอิสระเสรีภาพมากกว่า แต่เด็กจะมีผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ส่งมา เท่านั้นเอง เขาเองยังเด็กอยู่ ก็เป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ที่จะต้องจัดสรร ผู้ใหญ่เป็นอิสระเสรีจะมาหรือจะไป ก็ตัวใครตัวมัน
ไม่ต้องไปขยายความถึงเหตุที่มีแรงกดดัน มีการบังคับอะไรมันก็เป็นการมอง กิเลสมันเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจว่า ที่นี่มีความปรารถนาดี จริงนะไม่ได้ พูดเล่น เป็นความปรารถนาดี อาจจะเป็นว่าบางคนเป็นครูบาอาจารย์มีหน้าที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน อาจจะยังไม่มีภูมิธรรมสูง ไม่ได้มีการอบรมสั่งสอนที่อบรมอย่างสมบูรณ์แบบบ้างมีการบกพร่อง ถ้ามีอะไรที่เรารู้สึกว่ามากไปก็บอกผู้ใหญ่ บอกสมณะบอกสิกขมาตุ บอกว่าอาการที่มีอย่างนี้อาจจะบอกชื่อหรือไม่บอกชื่อก็ได้ ทางด้านผู้ดูแลสมณะสิกขมาตุ ก็จะไปจัดการต่อ มันเป็นธรรมดาของสนามรบที่เรียกว่าสรณะ
ส คือการประกอบ รณะ แปลว่ารบ สรณะแปลว่าที่พึ่งอาศัย ที่นี่เป็นสนามรบจริง สนามรบกับกิเลสจริง
_ดินดอน...ในหมู่บ้านเรามีความเป็นพี่เป็นน้องสูง แต่เมื่อคนมากขึ้นก็จะมีความแตกต่างกันมากขึ้นก็เลยอาจประมาณผิดไป วันนี้ผมกับนักเรียนชาย ม.1เอาข้าวสารไปให้เทศบาล เวลาขากลับ ขับรถแล้วได้พบเห็นแกนนำที่เคยเป็นปัญหากับเรา ผมก็คิดว่า เป็นโอกาสดีที่น่าจะได้ให้ข้าวสารกับเขา หาโอกาสผูกมิตรยาก เราก็คุยกับนร.ว่าดีจะไปผูกมิตรกับเขาแต่เอาไปให้แล้วมีภาพที่สะดุดคือ เขาว่า เขาอยากกลับมาทำนาในที่สาธารณะ ซึ่งมันก็ไม่เชื่อมกับความเป็นมิตรเท่าไหร่ ผมคิดว่ามันเลยขั้นตอนไปหน่อย เราน่าจะผูกมิตรก่อนแล้วค่อยลงมือทำ รู้สึกว่าผมพลาดไปในการเอาข้าวไปให้ ประมาณไม่ได้
พ่อครูว่า...ก็ต้องฝึก สัปปุริสธรรม 7 ให้มากขึ้น เป็นธรรมดาธรรมชาติที่เขาต้องการ แต่ในเรื่องที่ศาลพิพากษาไปแล้ว คุณก็เลยไม่ได้ทำจะทำอย่างไรได้ เราพูดไม่ได้มาก
ที่สาธารณะอันนี้อยู่ในขอบเขตของราชธานีอโศกด้วย คุณเองอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาละลาบละล้วงในหมู่บ้านนี้ได้อย่างไร
_ถ้าเราถูกขโมยของไปแล้วเราไปเจอของที่ถูกขโมยแล้วเราขโมยกลับ จะผิดศีลหรือไม่
พ่อครูว่า...ถ้าแน่ใจว่าของๆเรามีเครื่องหมายมีชื่อของเราจริงเราก็ขอยึดกลับได้ถ้าเราไปเจอ ไม่ได้ผิดศีลอะไรเพราะเป็นของของเรา หรือจะบอกผู้ใหญ่ให้เอาคืนก็ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ผลงานด้านการศึกษาของพ่อครู
_ไพศาล ศรีอำนวยไชย: พระอรหันต์แบบพ่อครู ยากที่คนทั่วไปเข้าถึง แม้แต่กระผมก้อไม่เชื่อจึงมาปฏิบัติตามสิ่งที่พ่อพาทำ ไม่ใช่เรื่องพูดสนุก พ่อครูเป็นอรหันต์หรือโพธิ์สัตว์ หรือไม่ ผมไม่มีประเด็นเชื่อมั่น ไม่ท้าทาย ครับ
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของปัจจัตตังส่วนบุคคล บางทีก็บรรยายของตัวเองออกมาให้ชัดได้ยาก อาตมาก็พูดแล้วพูดอีกอาตมาไม่มีปัญหาเรื่องที่ใครจะรู้สึกอย่างไรเป็นเรื่องส่วนบุคคล อาตมามีหน้าที่จะยืนยันความจริงให้คนรู้ จึงรวมว่ามายืนยันความจริงอธิบายความจริงแล้วพยายามจะให้คนรู้ อธิบายความจริงให้เป็นความรู้ที่คนจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจึงมีคนที่ดูได้อย่างพวกคุณปฏิบัติไปก็ได้มรรคผล ค่อยทยอยกันมา
อาตมาว่า หมู่บ้านนี้จะมีพลเมืองสัก 1000 คนก็จะเจริญมาก ประกาศมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึง 500 คนหมู่บ้านนี้ ถ้าหากนับนักเรียนด้วยก็ 400 กว่าคน
เด็กที่อยากมาเรียนที่นี่ก็มี แต่ผู้ใหญ่อยากจะให้เรียนข้างนอก แต่ก็อยากจะเรียนข้างในนี้ จนผู้ใหญ่บอกว่าที่นี่มีอะไรดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เลยยอมให้อยู่ต่อไป แต่ถ้าคนบังคับลูกมากก็แน่นอนต้องเอาออกไป เราก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นแหละ ยินดีต้อนรับ
อาตมาทำงานอาตมาก็ช่วยประเทศชาติ ให้การศึกษาแก่เยาวชนก็เอามาใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้บกพร่องของกระทรวง ออกไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้เกียรตินิยมก็มี พิสูจน์มาแล้วเป็นสามสิบปี ออกไปแล้วไม่รู้กี่รุ่นไม่มีปัญหา
แต่เราเห็นข้อบกพร่อง เห็นการเรียนการศึกษาทั่วโลกแยกเด็กออกจากสังคม ไปเรียนในกล่อง เช้าขึ้นไปก็เข้าห้องเรียน จบกลับบ้านก็ทำการบ้าน เช้าก็ไปโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาล จนกระทั่งจบปริญญาเอก การศึกษาของเขาจึงไม่รู้จักสังคม เราจึงมาแก้ให้เป็นการศึกษาแบบบวร ให้รู้จักว่าสังคมที่ควรอยู่เป็นอย่างไร มนุษยชาติเป็นอย่างไร เราก็มีสิ่งที่ให้เรียนตามหลักสูตร สังคมมนุษยชาติเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคุณธรรม เราจึงครบพร้อมเลยในโรงเรียน เรามี บ้าน วัด โรงเรียน คุณธรรมคือวัด บ้านก็คือสังคม โรงเรียนคือการศึกษา ให้อยู่ในนี้ซึมซับกัน ออสโมซิส กัน แล้วก็อยู่ร่วมกัน มีชีวิตในสังคมทำงานไปเด็กกับผู้ใหญ่ทำงานอย่างคู่เคียงกัน บางอย่างที่เด็กทำได้ก็ให้ทำ ผู้ใหญ่ทำบางอย่างที่เด็กทำได้ก็ให้ทำเด็กของเราจึงแข็งแกร่ง จบแล้วจึงได้ทั้งความรู้ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา
ศีลธรรมก็มี งานก็ทำเป็น วิชาการก็ได้อย่างของเขา ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา เราจึงเห็นว่าการศึกษาเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวนี้กระแสทางกระทรวงศึกษาธิการก็รู้สึกว่าจะเปิดรับแต่เขาทำไม่ได้มาก เช่น ครูที่มีศีล 5 เป็นต้นไปเขาก็จำนนเลย ข้อนี้ข้อเดียวเขาก็ทำไม่ได้แล้ว แต่ของเราคุณครูมีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล ทำไงได้ พวกเราทำได้ ก็ทำไปเรื่อยๆ
_บุญเลี่ยง พันธ์เจริญ · คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นคนไม่ได้ศึกษามายากที่จะเข้าใจได้ ทั้งที่ธรรมทั้งหมดอยู่ตัวเราเท่านั้น
_วางสุข จึงสิ้นทุกข์ · เพราะมีคนกิเลสหนาปัญญาทราม จึงต้องมีพระพุทธเจ้า จึงต้องมีพระโพธิสัตย์ จึงต้องมีพ่อท่าน
พ่อครูว่า...คุณมีสุขอยู่ก็มีทุกข์อยู่ คุณมีทุกข์อยู่ก็มีสุขอยู่ คุณหมดสุขหมดทุกข์จึงจะไม่มีทุกข์มีสุข แต่ศาสนาเทวนิยมยอมจำนนบอกว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ได้เรียนรู้ว่าอาการสุขทุกข์คืออะไร ก็คือเวทนาคือเจตสิกของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเหตุที่ทำให้สุขให้ทุกข์ ก็คือกิเลส กำจัดกิเลสได้ก็หมดสุขทุกข์ เป็นพระอรหันต์
พระอรหันต์ทำทุกอย่างเป็นกุศลไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้วจิตใจว่างสบาย โลกจะเป็นอย่างไรก็รู้โลกเขาได้ เขาจะสุขทุกข์อย่างไรก็มีปัญหา ท่านมีจิตใจที่อยู่เหนือยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้อย่างสูงสุด
_รักธรรม สรหงษ์ · ใครจะว่าอย่างไรก็ว่ากันไป ปัญญาของคนเราไม่เท่ากัน บุญบารมีก็ไม่เท่ากัน จึงมองเห็นสิ่งเดียวกันแตกต่างกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน จิตคือประธานเป็นอย่างไร
_เฉลิมชัย ล้อลีลา จิตอะไรเป็นประธานควรกล่าวให้ชัดเจน ครับ
พ่อครูว่า... สมาธิเป็นประมุข
สมาธิมีความคล่องแคล่วปราดเปรียว ยิ่งกว่าลูกข่างนอนวันแล้วนิ่งด้วย เร็วมากด้วยแล้วยิ่งนิ่งมากด้วย นั่นคือจิตมีสมาธิ ทุกวันนี้คนเข้าใจสมาธิไม่ได้ เข้าใจว่าสมาธิต้องไม่พูดแรง แต่สมาธินั้นมีอำนาจมีอธิปไตยอยู่เหนือจะทำให้เร็วให้แรงจะให้ช้าอย่างไรก็ได้ อาตมาเป็นเจ้าของสมาธิ แล้วใช้สติกับปัญญาเป็นประธานอยู่ทุกวันนี้ อาตมาต้องเอาตัวเองเป็นหลักเพราะเปิดเผยไปหมดแล้วไม่ได้อำพราง ใครไม่เชื่อเขาก็ไม่ฟังอาตมาหรอก ไม่เชื่อแต่มาฟังอาตมาก็พอจะรู้เรื่อง ถ้าหากดูภาพเดียวแล้วบรรยายก็ยังได้ แต่อันนี้ภาพเคลื่อนไหวด้วยจะรู้ละเอียดซับซ้อนอีก มีความเป็นสิริมหามายากลับไปกลับมาพยัญชนะกับสภาวะมันสลับกัน พูดอย่างนี้หมายถึงอันนี้พูดอันนี้หมายถึงอันนี้ พูดคำว่าใช่หมายถึงไม่ใช่ พูดคำว่าไม่ใช่หมายถึงคำว่าใช่ คุณจะทันสิ่งเหล่านี้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
ถามว่าอะไรเป็นประธาน ประมุขก็คือประธานอยู่แล้วมีสมาธิเป็นประมุข ตั้งแต่เริ่มต้นจะต้องมีสมาธิที่เป็นประธาน สัมมาทิฏฐิก็เป็นประธาน เมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว ครบสัมมาทิฏฐิ 10 ถึงจะมีจิตที่สะอาดปราศจากกิเลสตกผลึกตั้งมั่น ถึงจะเรียกว่าสมาธิ
อะไรเป็นประธาน ประธานคือจิตที่เป็นสมาธิเป็นประมุขเริ่มต้นปฏิบัติจะต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานมีความรู้อีก 9 ข้อ ใน 10 ข้อของสัมมาทิฏฐิ แล้วเป็นประธานที่จะรู้ว่า
1. ทานทำอย่างไรจึงจะทำให้จิตเข้าสู่มรรคผล
2. ปฏิบัติเห็นโทษอย่างไรจึงทำให้จิตเข้ามรรคผล
3. ปฏิบัติทานกับศีลแล้วจิตใจจะได้มรรคผลอย่างไรบ้าง
4. จะปฏิบัติทานหรือศีลก็เกิดจากกรรมทั้งนั้น
5. รู้จักโลกนี้คือโลกโลกียะ โลกเก่าที่เคยเป็น
6. รู้จักโลกหน้าคือโลกโลกุตระ
7. จะมีแม่
8. จะมีพ่อ
9. ทำให้เกิดโอปปาติกะ จิตใจเกิดบรรลุผลที่เกิดจากพ่อแม่ทำให้เกิดโลกุตรจิต ศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ อธิศีล อธิปัญญาทำให้เกิดอธิจิตเจริญขึ้นไป เป็นปัจจัยที่มีวิมุติ คุณจะต้องเข้าใจกระบวนการของสิ่งเหล่านี้
ศีลกับปัญญามีกระบวนการทำให้จิตเข้าถึงวิมุติได้อย่างไร ศีลกับปัญญาจะขัดเกลาเหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้าให้สะอาดขึ้นได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงมีเหตุมีผลมีเหตุปัจจัย จะทำให้เกิดสมาธิ สมาธิคือจิตใจที่สะอาดตกผลึก ก่อนจะทำให้สมาธิเป็นจิตสะอาด ก็ต้องสร้างด้วยศีลและปัญญา จะไปแยกสมาธิคือไปนั่งหลับตาโดยไม่มีศีลไม่มีปัญญา ปัญญาจะต้องลืมตาด้วย ถ้าหลับตาเข้าไปมีแต่สัญญา หลับตาไม่เรียกว่า ธาตุรู้ที่เกิดจากปัญญา หลับตาไปรู้อะไรในใจไม่มีปัญญามีแต่สัญญา จึงลำบากมากเลยสำหรับพวกที่หลับตาเข้าสมาธิบอกว่าสมาธิเจริญ แล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมา เขาบอกอย่างนั้น ปัญญามันโผล่ขึ้นมาไม่ได้มันต้องมีเหตุปัจจัยต้องมีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์มีสมาธิปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะมีอินทรีย์พละเกิดขึ้น ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258
อาตมาอธิบายสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
ใครได้เจอคนนั้นแล้วมีลักษณะอย่างที่มีก็ได้มีสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 จนอาตมาประกาศตนเองว่าเป็นสมณะพราหมณ์ในข้อนี้ อาตมาเกิดมาไม่มีอาจารย์หรือมีศิษย์ร่วมสำนักอาจารย์ใดที่อาตมาได้ไปศึกษาธรรมะ อาตมารู้เอง สอนธรรมะที่ผ่านมา 50 ปีก็เป็นของตนเองแล้วมันขัดแย้งกับคนทั้งหมดด้วย พูดว่าอย่างนั้นเลย โดยเฉพาะคณะใหญ่ ที่ใดผิดเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฐิไปหมดแล้วไม่เหลือของพุทธ ขออภัย ไม่เหลือเชื้อของโลกุตรธรรมแล้ว อาตมาก็เลยต้องสอนและบรรยายโลกุตรธรรมอย่างนี้ ในคณะใหญ่เขาจะสอนโลกุตรธรรมยังจะยากเลย เพราะสอนแล้วขัดแย้ง ไปไม่ได้ ที่สำคัญผู้ที่จะรู้โลกุตรธรรมในหมู่ใหญ่นั้นก็หายาก เขาไม่มั่นใจในโลกุตรธรรมของตนเอง แต่อาตมามั่นใจในโลกุตรธรรมของตนเอง อย่าอคติปฏิเสธอาตมาเลย
_กล้าตรง...พระพุทธเจ้าสอนว่าเพื่อนที่ดีที่สุดก็คือสติของเราเอง สติหมายถึงโยนิโสมนสิการใช่หรือไม่
พ่อครูว่า...จะแปลอย่างนั้นก็ได้คือเราทำใจในใจของเราให้ถ่องแท้ถูกต้องเหมาะควร ก็คือการควบคุมสติของตนให้ครบ แล้วปฏิบัติตามสติสัมปชัญญะ ปัญญาและความรู้ที่คุณมีที่เป็นสัมมาทิฏฐิของคุณ
ก็มีพยัญชนะที่บอกองค์ธรรมให้ไปปฏิบัติตามให้เกิดสภาวะได้ อาตมาเข้าใจปฏิบัติได้และอธิบายให้คุณได้ทั้งนั้นแหละ เอาจิ๊กซอว์ตัวนั้นตัวนี้มาต่อได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลต้องมีทั้งสมมุติและปรมัตถ์
_ปุญญา ธัมมา ศีล เป็นปรมัตสัจจะนั้น เข้าใจ เป็น สมมุติ ด้วย ไม่เข้าใจ
พ่อครูว่า...ข้ามขั้นนะ ที่จริง ศีล เป็นบัญญัติที่เอามาปฏิบัติและเกิดปรมัตถ์ เกิดอธิจิตด้วยอธิปัญญา อธิจิตที่สมบูรณ์เรียก อธิมุติแล้วเป็นอธิวิมุติ
คนที่ปฏิบัติศีลก็จะเข้าถึงปรมัตถ์ คนที่ปฏิบัติศีลไม่เข้าถึงปรมัตถ์คนนั้นไม่รู้จักศีล ทุกวันนี้ไม่รู้จักศีลกันแล้ว ปฏิบัติศีลไม่มีมรรคผลไม่มีปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงจิต แล้วอธิบายสอนกันว่าจิตนั้นควบคุมกายวาจา ส่วนสมาธินั้นคุณไปหลับตาปฏิบัติ แยกธรรมะพระพุทธเจ้าออกจากกัน ศีล สมาธิ ปัญญาออกจากกัน ตัดส่วนสมาธิไปอย่างหนึ่ง ศีลกับปัญญาก็ไปอีกอย่างหนึ่ง
ศีลควบคุมกายกับวาจา ปัญญาก็เลยกลายเป็นตรรกศาสตร์ ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาเขาว่าอย่างนั้น ซึ่งมันไม่มี นั่งหลับตาแล้วไม่มีปัญญามีแต่สัญญา สัญญาทั้งหมดจะอยู่ในทิฏฐิ 62 นั่งหลับตาเจโตสมาธิจะเกิดทิฏฐิได้ 62 ไม่มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ไม่มีนิพพานได้ในปัจจุบัน เพราะคุณหลับตาแล้วอยู่แต่ในอดีตกับอนาคต ปัจจุบันจะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยขณะนี้ในปัจจุบัน ปัจจุบันต้องมี อาโลกะ ถ้าจะเป็นสัญญาต้องเป็นสัญญาที่ตื่นมาอยู่กับโลก อาโลกสัญญา สัญญาที่มีแสงสว่าง คือโลกที่มีแสงพระอาทิตย์แสงสว่าง คือโลกที่เปิดมีจักษุดวงตาเปิด จะตรัสรู้ของพุทธเจ้าต้องมีจักษุญาณปัญญาวิชชาแสงสว่าง ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ว่าเราตรัสรู้ด้วย จักษุปัญญาญาณวิชชาอาโลกะ คนจะตรัสรู้นั้นหลับตาหมดทางปฏิบัติไปสู่ความบรรลุธรรมเลยเป็นของเดียรถีย์
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเดียรถีย์ก็เต็มไปหมด ท่านก็มาฟื้นคืนปฏิบัติแบบพุทธ เมื่อผ่านไป2600กว่าปีก็กลับกลายเป็นแบบเดียรถีย์อีกเต็มบ้านเต็มเมือง อาตมาก็ต้องมาฟื้นกอบกู้เพราะว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา พูดอย่างหมดตัวหมดตนไม่ได้เล่นลิ้นภาษาพูดจากสัจจะอย่างเดียว มันน่าเห็นใจน่าสงสาร อาตมาพูดเหนื่อยก็รู้ว่าเหนื่อย รู้ว่ายาก
หากพระพุทธเจ้ามาสอนคนก็นับถือท่านตรัสอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ส่วนโพธิรักษ์นั้นมาปางนี้เป็นปางที่ยาก เพราะเขาทั้งหมดได้หลงผิด ไปยึดถือความผิดมาเป็นความถูก อาตมาก็ต้องบอกว่าสิ่งที่เขาไปยึดว่าเป็นความถูกนั้นมันผิด เอาความถูกมากลบคืนความผิดให้ได้ เขาไม่เชื่อ เพราะว่าอาตมารูปไม่หล่อพ่อไม่รวยไม่มีความรู้ทางโลก ครูบาอาจารย์ก็ไม่มี ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ไม่มี กำพลอยจริงๆ
การปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งสมมุติและปรมัตถ์ เป็นเทวะ คำว่าเทวะจึงยิ่งใหญ่ที่สุด คนเราต้องมี 2 มีธาตุรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ จะเป็นวัตถุ หรือพีชะก็ตาม ก็มีอีกอันหนึ่ง เมื่อมีธาตุรู้เป็นจิตนิยาม ต้องมีรูปประกอบด้วยกับนาม คือจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมาว่าอาตมาอธิบายธรรมะนี่มันพิศดารมาก อธิบายขยายความไป คนฟังไม่ได้ก็หาว่าพูดเละเทะเรื่อยเปื่อย ก็น่าเห็นใจเขา แต่ความจริงแล้วอาตมาขยายความได้ทุกอย่าง มันก็เลยเยอะ อาตมาเคยเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นเศรษฐีบ้านนอก มีทุกอย่างเลยเพชรนิลจินดา ที่มันเป็นเครื่องทรงต่างๆเขามีหมด ยิ่งกว่าลังทรัพย์สมบัติของมหาเศรษฐี มันเยอะเหลือเกิน เป็นหมวดหมู่จับกันไม่ติดมันปนเปกันเละเทะ เป็นเศรษฐีบ้านนอก ไม่ได้เรียบเรียงรวบรวมไม่ได้เอามาจัดหมวดหมู่อะไรเลย พูดไปอธิบายไปก็เลยเยอะ อาตมารู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ก็พยายามจัดหมวดหมู่อธิบายอยู่เหมือนกัน แต่มันมากจนรู้สึกว่าน่าเห็นใจคนอื่นเขา เขาก็เลยจัดหมวดหมู่ไม่ไหว อาตมาพยายามจัดหมวดหมู่เหมือนกัน ตอนนี้พยายามอธิบาย ศีล สมาธิ ปัญญาให้เป็นหมวดหมู่ให้ได้เข้าใจให้ง่าย
ตั้งแต่ ศีลแล้วอธิบายว่าจะเกิดสมาธิอย่างไร ยกตัวอย่างศีลข้อ 1 แต่ไม่ค่อยไปข้อ 2 ข้อ 3 สักที ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ทั้งปวงอยู่อย่าไปทำร้ายสัตว์ สัตว์ เราเกิดมามีวิบากต่างคนต่างอยู่ ตัวเราเองก็รู้กรรมของตัวเอง เรากระทำกรรมของเราโดยที่เรียกว่า ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์มนุษย์ ก็ให้เขามาเรียนรู้ ศีลข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ต่อไป ส่วนสัตว์ที่เป็นเดรัจฉาน LA ในสัตว์ที่สอนไม่ได้ก็ปล่อยไป เราก็มาสอนผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์พูดกันรู้เรื่อง
สำหรับศีลข้อที่ 2 ที่เกี่ยวกับข้าวของ เรื่องของสัตว์ปล่อยไปให้เป็นวิบากกรรม แม้แต่อเวยไนยสัตว์เราก็ปล่อยไป ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของที่เป็นพืชพรรณธัญญาหารด้วย มันไม่มีจิตวิญญาณ มันเป็นชีวก็จริงแต่เป็นแค่ธาตุรู้ที่มีสัญญากับสังขาร
เขาอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้หรอกเพราะไม่เข้าใจสภาวะ อาตมามีสภาวะและก็รู้พยัญชนะก็เลยบอกเขาไปได้ละเอียด สิ่งที่ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นวัตถุหรือเป็นข้าวของเป็นพืชที่ไม่ใช่ของๆเราอย่าไปยึดถืออย่าไปเอาของๆเขา ถ้าอยากมีของเรา เราก็ทำเอง หรือเป็นของที่เป็นสิทธิ์ของเราเป็นมรดกคุณก็มีสิทธิ์ก็ว่ากันไป บางทีวิสาสะก็อย่าไปวิสาสะนัก พวกเราสาธารณโภคีก็อย่าไปถือวิสาสะมากนะ เห็นจักรยานว่างอยู่ก็อย่าไปเอาไป เจ้าของมาก็บอกว่าจักรยานไปไหนมันมากไป อย่าว่าแต่จักรยานเลยอย่างอื่นมันมากมาย
เพื่อนอาตมาคนหนึ่ง ตื่นเช้ามาก็แปรงสีฟัน เพื่อนก็บอกว่านั่นมันแปรงของกู เพื่อนก็บอกว่าอะไรวะขอยืมสีก็ไม่ได้ เพื่อนอาตมาเจ้าวัลลภกับเจ้าบุญส่ง อาตมาก็ขำ ไอ้นี่ก็พาซื่อจริงๆ แปรงฟันของเขาไม่มีเห็นแปรงอยู่ในห้องน้ำก็จับมาสี เพื่อนก็ว่าของเขาเอามาสีได้ไง เขาก็ว่ายืมก็ไม่ได้
จบ...
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:02:06 )
รายละเอียด
620116_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ หยุดปฏิบัติการ IO โลกียะพาฉิบหาย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Bh4oq-w6W4KDYs1AldCOVSYV3aKPEf54rN1Wwh23NlQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1nRGTqhs8k9UEK709CUfzsJI5O4DxjVLc
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ต้นปีมีข่าวที่โหดร้ายเกิดขึ้นในประเทศไทย เช่นข่าวฆาตกรฆ่าพ่อเลี้ยงแล้วข่มขืนแม่อีก หรือฆาตกรฆ่า 5 ศพยกครัว อย่างนี้เป็นต้น
ตอนนี้มีญาติธรรมเก่าแก่ชื่อรจนา ก็กำลังจูงจักรยานข้ามถนน รถก็มาชน แน่นิ่งไป สามวันแล้วไม่ฟื้น หมอบอกหากถอดสายออกก็เสียชีวิต หัวใจเต้นแต่ความรับรู้ไม่มีแล้ว ยากที่การแพทย์ทันสมัยมากทำให้ตัดสินใจไม่ได้
วันนี้ก็มีอุบัติเหตุเด็กนักเรียนม.1 ของสัมมาสิกขาราชธานีอโศกถูกไฟฟ้าช็อต ตอนนี้ก็ได้เสียชีวิตแล้ว ความตายอยู่กับเราในทุกฝีก้าว เราเองยังมีโอกาสจะได้ฟังธรรม ยังได้ปฏิบัติธรรมทำชีวิตเราให้มีคุณค่าประโยชน์
พ่อครูว่า...เจริญธรรมวันครู ที่จริงก็เป็นวันครูได้ทุกวันแหละถ้าเราเป็นนักเรียน เพราะว่าการเป็นนักเรียนที่ดีที่สุด อาตมายังเป็นนักเรียนเลย
อ่าน smsก่อน
SMS วันที่ 14 - 15 ม.ค. 2562
...เนื่องในโอกาส “วันครู” วันนี้ มีหลายท่านกราบพ่อครูมาทาง ไลน์ และเฟสบุ๊ค ด้วยครับ...
_4208กราบนมัสการพ่อครูค่ะ เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันครูที่โลกสมมุติ ลูกน้อมระลึกถึงพระคุณของพ่อครู ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้กับลูก ทำให้ลูกสามารถก้าวสู่โลกุตระได้ ถ้าลูกไม่ได้มาเจอพ่อครู ชีวิตก็คงอยู่กับโลกีย์ เวียนว่ายอยู่กับกิเลส หาความสงบ และเสียสละไม่เป็น เพราะไม่รู้จักคำว่าจน เดี๋ยวนี้ลูกรู้แล้วค่ะที่พ่อครูพาพวกเรามาจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ มันดีจริงๆ สุดท้ายลูกขอน้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงที่ทำให้ลูกมีสัมมาทิฏฐิที่ถูกตรง และกล้าจนได้ จาก "ดาวพิมพ์ฟ้า"
พ่อครูว่า...อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าโลกุตระคืออะไร มีคนจำนวนมากที่ศึกษาศาสนาแต่ไม่รู้จักโลกุตระหรือโลกียะ คนศึกษาศาสนาจึงจะรู้ว่ามีความแตกต่าง 2 อย่างนี้ เข้าใจแล้วสามารถก้าวเข้าสู่โลกุตระได้ เข้าใจแล้วเชื่อว่าตัวเองทำให้จิตวิญญาณก้าวเข้าสู่โลกุตระได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่อาตมาเข้าใจว่าเป็นผลสำเร็จของอาตมาอย่างหนึ่ง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ไม่ใช่ศาสนาอย่างที่กลุ่มใหญ่เขาทำกันตอนนี้ เป็นโลกียะและเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นศาสนาไสยศาสตร์ออกนอกรีตเยอะมากมาย น่าเสียดาย
เป็นการตอบรับที่อาตมาเผยแพร่ธรรมะแล้วทำไมรายงานผลมาเช่นนี้ก็ใช้ได้ ไม่สูญเปล่า จะได้มากได้น้อยจะได้จริงแค่ไหนก็แล้วแต่ อย่างน้อยเขาก็ต้องมีความเข้าใจอยู่บ้างที่พูดมาขนาดนี้ ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกตรงตามพยัญชนะที่พูดมาทุกอย่างแล้ว ถ้าเข้าใจเช่นนี้นิพพานเป็นที่หวังได้
_นันทมนัส สิริจิตราภรณ์ · สมณะบรรยายมีAction ทำให้ไม่เบื่อ รอชมตั้งแต่ประมาณหกโมงเย็น เกือบครึ่งชั่วโมง ไม่ขึ้นเตือนหน้าFace สายเจโตต้องควรเพิ่มการซักถาม สอบถาม สภาวะ ...คนชม online ณ บัดNow! 13 คน
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ชาวพุทธควรจัดงานคริสต์มาสไหม
_0938 พ่อท่านคิดว่าพวกเราควรจัดงานวันคริสมาสไหมคะ เห็นจัดที่สันติ
พ่อครูว่า...จัดก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร ทุกศาสนาศาสดาพาให้เจริญทั้งนั้น ศาสนาเทวนิยมเข้าใจในวงกรอบโลกียะแต่ก็ทำให้ดีเท่าที่จะมีภูมิปัญญา พากเพียรประพฤติดี คงคุณความดีให้นานเท่านาน ซึ่งตรงนี้แหละ มันเป็นไปไม่ได้มันค้างอยู่ไม่ได้มันต้องเลื่อนไหลมาตกต่ำลง ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อไป เพราะมันดีแล้วก็จะชินชาแฉะแล้วลงต่ำลงไป กิเลสมันก็เตรียมตัวจากที่มันเคยชินชา มันก็ไปยินดีกับความเป็นกิเลสความเป็นรสชาติรสโลกียะ ได้ลาภยศสรรเสริญ จากโลกียะอีก
มันซ้อน คนดีมีความสามารถมีสมรรถนะมีความฉลาดเฉลียวแบบโลกียะ แม้มันจะเฉื่อยชามันก็ยังมีความชำนาญ มีสมรรถนะที่ดีในตัวเยอะ มันก็จะได้ ได้แล้วก็จะชะล่าใจ ก็มีการเสพติดแล้วตกต่ำไปหมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ เพราะไม่ได้รู้จักสัจจะที่เป็นกิเลส ว่าเราไปโลภยินดีกับไม่ยินดี ยินดีในโลกที่บำเรอความได้ความมีความเป็นของโลกีย์ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่รู้จักโลกธรรม ก็เลยต้องวนเวียนเป็นสุขเป็นทุกข์คู่กันไม่มีจบ เป็นเทวนิยมเป็น 2 ต้องมีจิตต้องรู้โลกุตระ ต้องเรียนรู้ล้างกิเลสในเจตสิก มีปัญญาไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลกที่วนเวียน จบที่โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่วนเวียนอีกเลย ไม่สูงต่ำไม่ดีไม่ชั่วกับเรา
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ผ่านพระอรหันต์มา เข้าใจแล้วก็ช่วยเขา เจตนาเป็นคนที่ไม่ต้องขึ้นต้องลง จิตของเราไม่วนเวียน จิตเป็นอุเบกขาปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีแต่คุณสมบัติ 5 ประการที่เจริญขึ้นเป็นอเนญชาภิสังขาร เป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นเท่าไหร่ก็เข้าใจตัวนี้ดีมากขึ้นเท่านั้น จะอยู่กับโลกที่หยาบและแรงจะอนุโลมปฏิโลม จะไปคลุกกับโลกต่ำแค่ไหนเราก็ไม่เสียท่า จิตของเราก็ไม่มีกระเทือนไม่มีแวบวาบหวั่นไหว จิตใจจะยิ่งแข็งแรงยิ่งจะสู้ได้ นี่คือสัจจะความจริงที่อาตมามีในตนแล้วเอามาอธิบายให้ฟัง
คณะใหญ่เขาผิดเพี้ยนไปกันมากแล้ว อาตมาทำอยู่คนเดียว ไม่ได้หรอก ถ้าจะมาทำงานมา 40 ปีมี 20 คนก็ไม่ไหว ทำไม่ออก มันไปไม่ได้หรอก แต่นี่มันก็ยังมีเป็นร้อยเป็นพันก็ยังพอเป็นไป นี่มันเป็นสัจจะ แม้จะอยู่อย่างนี้เราก็รู้ เหนื่อยหนักหนาแน่นอน พวกเราเป็นคนส่วนน้อยแล้วทวนกระแสใจกิเลสด้วย เราอยู่รอดถึงขนาดทุกวันนี้หนักหนา
ทีนี้ศาสนาเทวนิยมเขาก็มุ่งหมายดี ไม่ต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน คุณจะส่งเสริมอะไรเล็กๆน้อยๆก็ได้ แต่ถ้าไปทำเสียเต็มที่เลย คนก็จะสงสัย คุณเป็นเทวนิยมหรือเป็นอเทวนิยมกันแน่เขาก็จะสงสัย เพราะจริงๆแล้วอเทวนิยม ไม่ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้คนไปติดอยู่กับเทวนิยม เพราะคนติดยึดในเทวนิยมก็ไม่ออกนอกกรอบโลกีย์ก็วนใน cyclic order ไม่มีเจริญไปกว่านี้
วงวนโลกียะไม่จบไม่เลิกแต่โลกุตระนั้นจบเลิกลดความวนไปจนสูญได้ รู้จักอัตภาพรู้จักความเป็นจิตนิยามที่สมบูรณ์ จนกระทั่งรู้ความปรุงแต่งของจิตนิยาม ปรุงแต่งเป็นธรรมะ 2 ทำให้เป็น 1 รักษาสภาพ 1 ให้แข็งแรง หรือทำให้เป็น 0 ทำให้ไม่เหลือสภาพปรุงแต่งก็ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ อยู่ไปก็มีแต่ความบริสุทธิ์สูญเฉยกลาง แล้วจิตใจของเราจะยิ่งแข็งแรงและเก่งควบคุม static ได้ดี กลุ่มพลังงานบวกลบในนิวเคลียสในจิตของเราได้ดีให้เร็วหมุนได้เร็ว เปลี่ยนแปลงได้เร็วแข็งแรงเป็นแก่นแกนได้ดี เหมือนลูกข่างหมุนเร็วกินน้ำจั้น นิ่ง มันแข็งแรงเป็นมุทุภูตธาตุ โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็รับมือได้ไวความรู้เร็วทั้ง เจโตและปัญญา ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโดยเสียหาย มีปฏิภาณปัญญามีความหวังดีปรารถนาดีเร็ว ช่วยคนอื่นได้เร็วขึ้น ควบคุมไม่ให้ผิดพลาดมาให้เสียหายได้ดียิ่งขึ้น จิตก็จะยิ่งประภัสสรแจ่มใสไปเรื่อยๆนี่คือองค์ธรรม 5 ข้อของอุเบกขา
เป็นแต่เพียงว่าคุณจะจัดอะไร อย่างงานวันวิสาขบูชา เราไม่ได้จัดอะไรมาก หากเราจัดวิสาขบูชาเราก็จะไปเสริมโลกุตระให้ดีขึ้น แต่ถ้าไปจัดงานคริสมาสคุณจะไปเสริมโลกียะจะทำอย่างไร อาตมาก็แปลความว่าคุณจะจัดรื่นเริงบันเทิงอย่างนั้นไม่เข้าท่า วันคริสต์มาสคุณจะบันเทิงเริงรมย์มันไม่ใช่แบบนั้นของเขา งานจริงๆของเทวนิยมเขาก็ระลึกถึงพระเจ้า สายของอิสลามเขาก็ทำพิธีกรรม ทางศาสนาคริสต์ก็มีพิธีมิสซา นั่นก็คืองาน แต่การร่าเริงเล่นหัวมันเป็นการหาเรื่องของคน เป็นการฉุดให้เสื่อมต่ำลง
ที่สันติฯจัดคริสมาสต์ทำไม นี่พูดไม่ให้มันแรงแล้วนะ สรุปแล้วจะไปจัดทำไม
_อำภา รื่นใจดี · ความเมตตามีได้โดยไม่ประมาณ แต่กรุณาต้องมีขอบเขตมีประมาณเพราะคนเรามีกิเลส มีศีล มีธรรม ต่างกัน คนโบราณจึงสอนเราด้วยสุภาษิตชาวนากับงูเห่า เพื่อให้เราระวังตัวจะได้ไม่เดือดร้อนภายหลัง ที่ผ่านมาชาวอโศกก็เดือดร้อนกับพวกเขามาแล้วใช่ไหมคะเจ็บแล้วต้องจำ แต่ไม่ใช่อาฆาต ค่ะ
พ่อครูว่า...ถูกต้องแล้วก็ประมาณก็รู้แล้วทำไป ยกตัวอย่างชาวนากับงูเห่าก็ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน อย่ามุ่งแต่รู้บัญญัติของสภาวะจนไม่ใส่ใจปฏิบัติสภาวะ
_จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง
กราบขอโอกาสอีกครั้งค่ะ ขออนุญาตกราบเรียนถามเรื่อง กามราคะ ผิดถูกอย่างไรขอความเมตตาพ่อท่านช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
1. ผู้หญิงคนแก่ และ ผู้ชายคนแก่ อายุ 80-90 ปี มองเห็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่อ่อนวัยกว่า แล้วพูดออกมาเป็นวจีกรรมว่า
สวยหรือหล่อ อย่างนี้ เรียกว่ายังมีกามภพในวัยแก่ ถูกต้องหรือไม่คะ
พ่อครูว่า..จริงๆแล้วคนสวยหรือหล่อเป็นคนซวยเพราะเป็นเหตุให้คนมาปองรักก็คือปองร้าย เขาอยากได้ไปเป็นของเขา เราก็ควรเป็นเรา เขาเอาเราไปเป็นเขาได้อย่างไร มันลึกซึ้งอย่างนี้ธรรมะ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ดีแล้วก็จะไม่พูดสวยหล่อออกมามากมาย แต่จะพูดตามสังคมศาสตร์บางครั้งบางคราวที่ประนีประนอมไปกับสังคมบ้าง อันนี้ก็อย่าไปตีความที่คลุม ว่าคนนี้จะต้องมีกิเลสเสียทีเดียว ยังไม่น่าจะไปยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นเสียทีเดียว
2. ถ้าเห็น แต่ไม่พูดออกมาเป็นคำพูด แต่มีความรู้สึกอยู่ข้างในใจ ว่า สวย หล่อ ไม่แสดงอะไรออกมาให้เห็น แม้แต่แววตา
เก็บอารมณ์ได้ดีมาก อย่างนี้เรียกว่า ยังมีรูปภพ ในวัยแก่ ใช่หรือไม่คะ
3. กามภพ รูปภพ เรื่องผู้หญิงผู้ชายไม่เอาแล้ว แต่เสพสุขอยู่กับงานที่เราชอบ และเสพสุขอยู่กับความเป็นส่วนตัว
อย่างนี้เรียกว่า อรูปภพ ใช่หรือไม่คะ
4. อาสวะ เป็นกิเลสละเอียด แต่สามารถแตกตัวให้โตขึ้น ถ้าประมาท ลูกสงสัยคำว่า อนุสัย เป็นสัญญาที่ไม่มีกิเลสปน
หรือว่า เป็นสัญญา ที่มีกิเลส ที่เป็นละอองธุลี ที่เห็นได้ยาก และล้างสัญญาในเรื่อง กามผู้หญิงผู้ชายได้อย่างไร
ขอพ่อท่านยกตัวอย่าง เป็นรูปธรรมด้วยค่ะ ลูกอยากจะให้กิเลสตัวนี้ เป็นสูญ
กราบขอความเมตตาชี้แนะด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่ง
พ่อครูว่า...รูปภพคือส่วนเหลือของกาม ถ้าอรูปภพไม่มีกามแล้วมีแต่มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เป็นกิเลสของอัตตาตัวท้าย
ถามว่า อนุสัยเป็นสัญญา ที่มีกิเลส ที่เป็นละอองธุลี ที่เห็นได้ยาก และล้างสัญญาในเรื่อง กามผู้หญิงผู้ชายได้อย่างไร
ที่ถามมา ถามเรื่องความละเอียดในบัญญัติ ผู้ที่มีสภาวะแล้วจะไม่เขียนมาให้ยากจะอ่านกิเลสในตัวเองแล้วแยกแยะออกได้ อันนี้ไม่ใช่กามกับอัตตา สองฝั่งใหญ่ ถ้าละเอียดเข้าไปหากาม รูปราคะ อรูปราคะ หากเลยไป มานะ อุทธัจจะ อวิชชา คนที่มีสภาวะจะไม่ถามละเอียดไปถึงตรงนี้ นี่ถามรายละเอียดอย่างนี้มาแปลว่าไม่มีสภาวะอย่าถามมากเลยคุณจะงงในบัญญัติมาก คุณจะไปละเอียดอยู่ที่ภาษาแล้วนึกว่ามันมีความลึกซึ้ง ไปกับภาษามากเกินไป เอาพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสังโยชน์ก็เพียงพอแล้ว
หรือเมถุนสังโยค ก็บอกไว้ มีอะไรต่างๆที่จะต้องการแตะต้องสัมผัสนวดฝั้น หรือไม่ก็มีสายตากระทบด้วยสายตาก็ยินดี หรือว่าได้ยินเสียงกระซิกกระซี้ก็ยินดี ไปจนไม่มีแล้วก็มีมะลังมะเลือง จนถึงเมถุนสังโยค ไม่มีอะไรแล้วก็ยังกรุ่น ท่านใช้พยัญชนะว่าเทวะ คือกามเทพ เพราะเทวะก็ไปทางกาม ถ้าอัตตาจะไปทางตัวตน
การจะยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมมันไม่มีหรอก มันเป็นอรูปธรรม แล้วไปยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรม คุณเล่นแต่ในพยัญชนะคุณไม่มีสภาวะ รูปราคะก็ไปข้างในแล้วจะให้เป็นรูปธรรม
คล้ายๆบอกว่าจะขี้นะ อย่าให้อะไรออกมาจากตูด ตดก็ไม่ได้นะ อย่ามีอะไรออกมาจากตูดแม้แต่ตดก็ไม่ได้ แล้วจะขี้อย่างไร คนเล่นแต่พยัญชนะแต่สภาวะมันไปอย่างที่พูดมันไม่ได้ อย่าไปติดในพยัญชนะมากเกินไป
อาตมาอธิบายละเอียดเกินไปทำให้คุณเป็นคนติดยึดเกินไป ต่อไปคงไม่เอาอย่างละเอียดเอาอย่างหยาบไปก่อนนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน จะพัฒนาตนได้ต้องรู้ความชั่วในตนก่อน
ขออ่าน คอลัมน์กวนน้ำให้ใสของสารส้มเขาก่อน เรื่อง
Good Monday IO ของทักษิณ
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ผู้ต้องคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดา และหลบหนีหมายจับคดีทุจริตประพฤติมิชอบของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกหลายคดี
(พ่อครูว่า...คนเราหากรู้ข้อด้อยหรือความชั่วของตนเองนิดนึงก็คือเราจะได้พัฒนาขี้นนึดนึง แต่คนเราหากไม่รู้ว่าตนมีความชั่วอะไรบ้างนี่ก็เป็นคนแย่ที่สุด ทั้งที่ความชั่วของเขาก้อนเบ้อเร่อก็ยังไม่รู้ อาตมาเองทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีความด้อยอยู่ คุณรู้ความด้อย 1 ก็จะได้แก้หนึ่ง อันนี้คุณมีหนึ่งก็ไม่รู้หนึ่ง คุณมีร้อยก็ไม่รู้ว่ามีร้อย แต่คุณก็นึกว่าคุณไม่มีความด้อยเลยด้วยซ้ำ จบเห่
อาตมาเข้าใจเรื่องของเศรษฐกิจไม่เหมือนที่เขารู้กัน อาตมารู้ตามพระพุทธเจ้า อาตมาพาพวกเราทำ เราจบเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาวอโศก อาตมา จบสบายแล้วเป็นสาธารณโภคี พวกเราอยู่ในนี้เป็นแกนของสาธารณโภคีเป็นสนามแม่เหล็กของเศรษฐกิจสาธารณโภคี ใครเข้ามาที่นี่ไม่ต้องพูดมาก จะถูกดัดถูกปรับถูกพลังงานสนามแม่เหล็กเศรษฐกิจสาธารณโภคี คุณเป็นเหมือนโมเลกุลหนึ่งโยนเข้ามาในสนามแม่เหล็ก มันก็จะต้องถูกจัดเรียงตามสนามแม่เหล็ก
สนามแม่เหล็กของเศรษฐกิจสาธารณโภคีชาวอโศก มีพลังงาน ใครเข้ามาที่นี่ไม่พูดมากอยู่ไปก็จะรู้เอง คนที่มีปฏิภาณจะรู้ว่าที่นี่น่าอยู่ ที่นี่เป็นแดนที่น่าอยู่ ทั้งเศรษฐกิจบุญนิยม สังคมบุญนิยมการเมืองบุญนิยม คือ บุญนิยมแปลว่ากำจัดกิเลส ทางเศรษฐกิจก็กำจัดกิเลสทางการเมืองก็กำจัดกิเลสทั้งสังคมก็กำจัดกิเลส จึงเป็นสังคมบุญนิยม
ใครมาอยู่ที่นี่แล้วจะรู้ว่าที่นี่เขาขัดเกลา สัลเลขะ กายกรรม วจีกรรม ที่มีกิเลสเป็นตัวการ โดยเฉพาะใจที่มีกิเลสเป็นตัวการจบในตัวเลย เมื่อได้รับฟังอธิบายคนยินดีจะล้างกิเลสก็จะมาเอา ส่วนคนที่มาฟังที่พูดอย่างนี้แล้วเขาบอกว่าดีแต่ไม่เอา เขาก็ไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นการคัดเลือกคนอยู่ในนี้ โดยสัจจะของมัน ที่จะได้ลงตัวอย่างดี
จะเป็นคำว่าเศรษฐกิจสังคมรัฐศาสตร์การเมืองก็ตาม อาตมาได้ทำในสังคมชาวอโศกให้ลงตัวเป็นสนามแม่เหล็ก อาตมาจึงไม่ต้องพูดอะไรมาก ท่านทั้งหลายช่วยกันบรรยายช่วยกันรับผิดชอบบริหาร อาตมาก็ปลดเกษียณ สบาย แต่ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมอีกถึง 151 ปี
(โยมว่า อย่างไรก็นิมนต์อยู่ สมณะว่าพวกเรายังไม่ดีพอ)
เรื่องที่คุณทักษิณพูดเขาพูดเท่พูดเก๋พูดโก้
ความจริงแล้วปัญหาเศรษฐกิจสังคมมันเรื่องปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ได้แยกกัน เศรษฐกิจดีแล้วสังคมจะไม่ดีไม่ได้ เศรษฐกิจดีสังคมก็จะดีการเมืองก็จะดี มันไม่ขัดแย้งกันหรอก มันจะช่วยกันให้เจริญมันเนื่องกัน การจะแยกให้เด็ดขาดเป็นอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าดูในแง่มุมย่อย จริงๆแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้คนเป็นอยู่สุขมีความสงบ มีอยู่ไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัว นี่คือการสรุปง่ายๆ มีอิสระเสรีภาพมีความสงบสันติภาพดี เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวช่วยเหลือกันอย่างมีอิสระ ช่วยกันทำให้ภาษาอย่างนี้อย่างเป็นจริง อาตมาว่าพวกเราเป็นได้
เป็นได้โดยอัตโนมัติแล้ว แต่ละคนรู้แล้วทำตนให้เหมาะสม
อาตมาถึงได้สบายใจที่ทำงานมา เกือบ 50 ปีนี้ ทำงานได้ผลสำเร็จแล้ว ยังทำงานได้มากกว่านี้อีก จะมีอัตราการก้าวหน้าในตัวของมัน มีคนรู้เพิ่มขยายเพิ่มอีก แต่มันไม่เร็วแล้ว มันช้ามันเต็มแล้ว หาเพิ่มอีกได้ยากแล้ว เพราะคนอื่นๆ ฐานเขายาก เราคัดหัวกะทิเข้ามาได้ขนาดนี้ นอกนั้นก็เข้าไม่ได้เลย ไม่เอาเลย กับอยู่ชายเฟือย ก็เข้าไม่ได้ มันเหมือนเป็นชั้นๆๆๆ)
ล่าสุด คิกออฟการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ ด้วยการจัดรายการ Good Monday
น่าจะเรียก IO ของทักษิณ
1. ทักษิณโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ค Thaksin Shinawatra
อ้างว่า “Good Monday รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกกับดร.ทักษิณ ชินวัตร เกิดขึ้น เพราะผมเสียดายเวลา 12 ปีที่อยู่ในต่างประเทศ ได้เห็นความเจริญและความล้าหลังของหลายประเทศในโลก ได้พูดคุยกับผู้นำประเทศทั้งปัจจุบันและอดีตผู้นำทางธุรกิจ นักวิชาการ นักเทคโนโลยีทั่วโลก จึงอยากจะมาเล่าสู่พี่น้องคนไทยทุกคน ที่ทุกวันจันทร์เราตื่นมาทำงานเราอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำมาหากินทุกวันนี้ มันยังดีอยู่ไหม ต้องปรับเปลี่ยนอะไร เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน... ผมจะพยายามมาพบกับท่านให้ได้ในทุกวันจันทร์ที่ Good Monday”
พูดง่ายๆ ว่า เป็นรายการทอล์ก เดี่ยวไมโครโฟน เหมือนสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั่นแหละ
โดยครั้งแรก ทักษิณได้พูด (คลิปเสียง) เรื่อง “รู้ให้ทันเพื่อรับมือกับโลก 2020” เศรษฐกิจโลกในปี 2019 และ 2020 ที่จะกระทบกับรายย่อย เรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ก็มีเรื่องระบบการเงินโลก เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ เรื่องว่ามนุษย์จะมีอายุยืนยาวขึ้น สังคมไทยต้องเตรียมสังคมของคนสูงอายุไว้ ฯลฯ
ทักษิณบอกว่า “…วันหลัง ถ้าวันจันทร์ไหนผมว่าง ผมจะมาพูดกับพี่น้องสักครั้งนึง อาจจะเป็นจันทร์เว้นจันทร์ หรือว่าบางจันทร์ก็อาจจะติดกันแล้วแต่นะครับจะพยายามเล่าอะไรให้ฟังให้เป็นความรู้ดีกว่านะครับ เรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ก็ไม่ค่อยอยากเสียเวลาพูด เราพูดกันแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตพวกเราดีกว่า....”
2. เนื้อหาสาระที่ทักษิณนำมาพูด ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้ง หรือใหม่สดอะไรเลย
เป็นเรื่องที่มีคนพูดกันมาเยอะแยะ หลายคนให้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง และสะท้อนความรู้เท่าทันจริงๆ มากกว่า
แต่ที่น่าสนใจ และ “รู้ทันทักษิณ” คือ อะไร?
วาระแอบแฝงที่เลือกเคลื่อนไหวในช่วงนี้ (ช่วงก่อนงานพระราชพิธีและการเลือกตั้ง) คืออะไร?
การเลือกแสดงบทบาทผู้รู้เท่าทันโลก เสมือนปราศรัยสร้างภาพลักษณ์ฝ่ายเดียว แสดงวิสัยทัศน์ สวยๆ หล่อๆ อาบน้ำแต่งตัวเท่ๆ แต่ความเป็นจริงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร? “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ทิ้งปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจไว้แค่ไหน? สร้างภาระหนี้สินจากโครงการทุจริตจำนำข้าวมโหฬารขนาดไหน? แล้วจริงๆ เจ้าตัว บงการใช้นักเคลื่อนไหว นักเลือกตั้ง ประเภทที่ไม่ได้ห่วงใยประเทศชาติส่วนรวมจริงๆ เลยอย่างไร?
3. ในความเป็นจริง ความสำเร็จทางธุรกิจของทักษิณ ล้วนแต่ได้มาจากสัมปทานผูกขาด
อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเอง เอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขัน
คนละเรื่อง คนละโลก คนละวิธีการกับที่พยายามพูดจาให้ตัวเองดูดีอยู่ในวันนี้ทั้งสิ้น
ตอนมีอำนาจรัฐ ผ่องถ่ายเงินออกไปไว้ต่างประเทศจริงๆ เท่าไหร่?
พอพ้นจากอำนาจรัฐไปแล้ว ก็ไปทำธุรกิจอะไรประสบความสำเร็จบนเวทีโลกบ้าง?
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน เคยเขียนบทความกะเทาะเปลือกของทักษิณไว้อย่างถึงแก่น กระชากหน้ากากที่พยายามสร้างภาพว่าตนเองเป็นนักประชาธิปไตย เป็นนักธุรกิจโลกเสรีอย่างหมดเปลือก
บางประเด็น ที่ ดร.สมเกียรติตีแผ่ไว้ เช่น
3.1 “ตัวผมเองรู้จักคุณทักษิณมาตั้งแต่แรกเริ่ม ครั้งที่ผมเป็นนักข่าวโทรทัศน์ในวัยหนุ่ม และคุณทักษิณก็กำลังเป็นนักธุรกิจที่กำลังไต่เต้าขึ้นสู่ความมั่นคงทางธุรกิจ ขยายอำนาจเข้าสู่การเมือง ตอนนั้นคุณทักษิณร่ำรวยมากขึ้นจนสังคมเห็นผิดสังเกต ผมยกมือลุกขึ้นถามในที่ประชุมตอนที่ฟังคุณทักษิณบรรยาย โดยถามว่า “คุณทักษิณ คุณร่ำรวยมากแล้ว ทำไมจึงไม่จัดระบบ และงบประมาณของบริษัท เอไอเอส และบริษัท ชินคอร์ป แบ่งเงินเพื่อการวิจัยและพัฒนาไว้บ้างสัก 2–3 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินรายได้ของบริษัท อย่างเช่น บริษัทสำคัญในโลกเช่น บริษัท ซัมซุง ในเกาหลีใต้ ที่ตอนนั้นเริ่มโดดเด่น”
คุณทักษิณ ตอบผมว่า “อาจารย์ เอาเงินไปวิจัยเพื่อให้นวัตกรรมได้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นของตัวเองมันสิ้นเปลืองมาก ไม่คุ้มกัน” นั่นคือคำตอบของคุณทักษิณ
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ส.เดินดินว่า..คนไทยลืมง่าย ตอนเลือกตั้งก็หลงคารมเขาไปหมด พอเลือกเสร็จก็มาไล่เขาอีก เจอคนพูดอย่างทักษิณนี้คนไทยก็ตายหลงหมด
คำตอบนี้ทำให้ผมไม่คิดว่าคุณทักษิณจะสร้างอาณาจักรธุรกิจอุตสาหกรรมอะไรให้เป็นอนาคตทางนวัตกรรมระบบเศรษฐกิจของไทย ผมจึงไม่เห็นว่าคุณทักษิณจะมีคุณค่าอะไรมากไปกว่าคนมีเงินมากธรรมดาๆ เท่านั้น”
3.2 “..ตอนที่คุณทักษิณพยายามจะเอาสัมปทานไอบีซี เคเบิลทีวี จาก อสมท. ตอนนั้นผมทำงานร่วมอยู่กับ อสมท แต่จนแล้วจนรอดคุณทักษิณก็ยังไม่ได้สัมปทานแถมเทคโนโลยีตัวเองก็ไม่มี ต้องไปให้บริษัทเคลียร์วิว จากฮาวาย มาร่วมทุนด้วย มาวันหนึ่งคุณทักษิณก็เชิญผมไปนั่งคุยด้วย กินข้าวขาหมูราชวัตรที่สำนักงานใหญ่ของไอบีซี อาคารหลังเล็กๆ ย่านราชวัตร คุณทักษิณ ถามผมตัวต่อตัวว่า “ผมคิดอย่างไร ถ้าตัวเองอยากจะเข้าไปเป็นผู้อำนวยการ อสมท. เสียเอง”
คุณทักษิณต้องการเข้าไปจัดการเอาสัมปทาน ไอบีซี จาก อสมท. ให้เป็นตัวของตัวเองอย่างง่ายๆ ตอนนั้นผมเป็นผู้สื่อข่าว และผู้ประกาศข่าว ในฐานะบริษัทเอกชนเล็กๆเข้าร่วมงานกับช่อง 9 อสมท. ซึ่งผมเดาว่าคุณทักษิณต้องการให้ผมร่วมเป็นพวกด้วย
ผมตอบคุณทักษิณไปว่า “คุณทักษิณ คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้ คุณจะเอาสัมปทานจาก อสมท และจะเข้าไปเป็นผู้อำนวยการ อสมท เสียเองอย่างนี้ ไม่ได้”
คุณทักษิณตอบว่า “ถ้างั้น ผมให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แล้วก็จะได้ตั้งคนที่ไว้ใจได้เป็นผู้อำนวยการ อสมท จะได้จัดการเอาสัมปทานมาให้ ไอบีซี ของชินคอร์ป และคุณทักษิณ ให้ได้ แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ผมนี่ทึ่งในขีดความสามารถในการทุจริตแบบไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายของคุณทักษิณจริงๆ”
3.3 “...คุณทักษิณ โดยบริษัท ชินคอร์ป ก็เข้าไปซื้อหุ้นสถานีโทรทัศน์ไอทีวี จาก 10 เปอร์เซ็นต์ พยายามให้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่กฎเดิมห้ามไม่ให้ใครถือหุ้นเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณทักษิณก็แก้ไขกฎเกณฑ์จนทำได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ มันเหลือติดอยู่ที่ว่าค่าสัมปทานไอทีวีนั้น จะต้องจ่ายให้กับรัฐแพงมากถึง 2.5 หมื่นล้านบาท ในช่วง 30 ปี คุณนิวัฒน์ บุญทรง ซึ่งปัจจุบันชื่อ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล
รมว.พาณิชย์ และเป็นเพื่อนนักเรียนทุนอเมริกัน รุ่นเดียวกับผม ถือว่าเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยเป็นวัยรุ่นไปต่างประเทศรุ่นเดียวกัน
ตอนนั้นคุณนิวัฒน์ เป็นผู้บริหารบริษัท ชินคอร์ป ของคุณทักษิณ คุณนิวัฒน์ก็ชวนผมเข้าไปทำงานที่ ไอทีวี ผมก็รับงานเพราะอยากบริหารสถานีข่าว เพราะในชีวิตนี้ก็ไม่มีโอกาสเลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ แต่ว่าผมก็ตื่นเต้นดีใจ รับงานที่เพื่อนเสนอให้ เป็นรองผู้อำนวยการ ไอทีวี สายงานข่าว ถือว่ามีอำนาจมากถ้าได้ทำงาน เพราะคุมข่าวเกือบทุกเวลานาทีทาง ไอทีวี ผมได้เงินเดือนจากคุณทักษิณ 200,000 บาท รถยนต์ประจำตำแหน่ง 1 คัน ราคา 2 ล้านกว่าบาท
แต่ได้รับคำสั่งว่าผมจะต้องทำข่าวไอทีวี คุมข่าวไอทีวี ช่วยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ให้ชนะคุณสมัคร สุนทรเวชให้ได้ ผมในฐานะผู้บริหาร ไอทีวี จะต้องกันไม่ให้ข่าวคุณสมัคร ออกใน ไอทีวี มากกว่าข่าวของคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่งสังกัดพรรคไทยรักไทย
ในวันใดที่ผมทำข่าวคุณสมัครมากกว่าคุณหญิงสุดารัตน์ ผมจะถูกเรียกไปเตือนให้ตรวจสอบเทป แล้วก็บ่นว่า ทำไมผมจึงทำอย่างนั้น แล้วผมก็ถูกขอว่า ผมต้องช่วยพรรคไทยรักไทย ต้องช่วยคุณทักษิณ ซึ่งกำลังไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไอทีวีจะต้องทำข่าวช่วยคุณทักษิณให้ขึ้นครองอำนาจทางการเมืองให้ได้ อันนี้คือคำสั่งจากคณะกรรมการบริหารบริษัท ชินคอร์ป และ ไอทีวี บอกกับผม ต้องการให้นายเขา ไม่ใช่นายผม นายเขา เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เขาบอกว่า ผมไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจของไอทีวี ไม่ต้องกลัวว่าไอทีวีจะขาดทุน เพราะจะแบ่งงบโฆษณา 50 เปอร์เซ็นต์จากบริษัท ชินคอร์ป มาส่ง ไอทีวี เป็นประจำ แต่ทำอะไรก็แล้วแต่ช่วยคุณทักษิณ เดี๋ยวเอาเงินชินคอร์ป มาใส่โฆษณา 50 เปอร์เซ็นต์ทั้งระบบ ที่เหลืองบชินคอร์ป งบโฆษณาอีก 50 เปอร์เซ็นต์ จะกระจายไปใช้กับสื่อมวลชนทั้งประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายเพื่อนฝูงสื่อมวลชนทั้งหมดให้ดูแลคุณทักษิณให้ดี
นี่คือความจริงของระบอบทักษิณยุคเริ่มแรก...”
4. นั่นแค่บางส่วนบางตอน ใครสนใจใคร่รู้ โปรดไปหาอ่านฉบับเต็มได้
กระชากหน้ากากคนบางคน ได้เฉียบคมนัก
สุดท้าย การเลือกเคลื่อนไหวรอบใหม่ ก่อนงานพระราชพิธีสำคัญ ก่อนเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ IO หรือ Information Operation ยุทธการทางข้อมูลข่าวสารครั้งใหม่ของระบอบทักษิณ แม้ตั้งชื่อว่า Good Monday แต่แต่ทำให้นึกถึง Black Monday (คือเหตุวิกฤติ 19 ต.ค. 1987 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวลงวินาศสันตะโร) โดยกรณีการเคลื่อนไหวของทักษิณอาจไม่ใช่สัญญาณเหตุตลาดหุ้นแต่อาจเป็นตลาดการเมืองและการเคลื่อนไหวที่น่าจะมาเป็นขบวน มาเป็นชุดๆ จับตาดู ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ทั้งบนดินและใต้ดิน
ระวังอย่าให้กระทบเสถียรภาพของประเทศไทยเราหลังจากนี้
สารส้ม
พ่อครูว่า...คุณทักษิณฉลาดจะใช้เหตุการณ์ต่างๆมาประกอบเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ต้องการอำนาจ มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดเหลือเกิน เขามีไม่น้อยแล้วนะ ไม่เมื่อยหรืออย่างไร ถูกด่านะ ทำไม เลิกให้ตนถูกด่าก็จะดี แต่ก็ยังทน ถูกด่าก็ไม่ว่า กูได้เงินได้อำนาจ อำนาจก็ถดถอยลง แต่เงินทองเขา อาตมาว่าดอกเบี้ยของเขาคงเหมือนน้ำก๊อก 3 นิ้ว
โลกที่สมมุติธนบัตร ที่เป็นกระดาษมาเขียนตัวเลขใส่ สมัยโบราณเรียกว่าตั๋วแลกเงิน เช่นสมมุติว่าเรามีเงิน 100 บาท คุณก็เอากระดาษให้คนอื่นมาทวง 100 บาทนี้ได้ เงินธนบัตรในประเทศเช่นเงินดอลลาร์ พิมพ์ออกไปแต่ละฉบับ ใครถือเอาไว้ก็ไปทวงเอาเงินจากประเทศอเมริกาได้ ถ้าหากคนในโลกนี้เอาเงินดอลลาร์ไปทวงเอาเงินคืนจากอเมริกาขณะนี้ ถามว่าอเมริกาจะมีเงินให้แก่คนเหล่านั้นครบไหม (ไม่)
ในประเทศจะต้องมีหลักฐานมีทรัพยากรของประเทศ ทรัพยากรของรัฐ จะเป็นทองคำจะเป็นทองดำ จะเป็นอะไรที่มันมีค่าก็แล้วแต่เป็นทรัพยากรหลักของรัฐ ที่มีค่ามากก็เป็นหลักประกันของประเทศ ถ้าคุณจะเอาเศษกระดาษมาคืนเราก็เอาสิ่งเหล่านี้คืนให้คุณได้เพราะฉันมี แต่ทีนี้ไม่มี มีแต่อะไรมีแต่ขี้ขยะ ดีไม่ดีจะมีหนี้สินซ้ำซ้อน อเมริกามีหนี้สินมากที่สุดในโลก
อาตมาจึงไม่รู้สึกว่าโลกนี้มันสุจริตเลย เงินดอลลาร์อเมริกา เป็นเงินดอลล่าร์เป็นเศษกระดาษเช็ดก้นที่ไร้ราคาที่สุด แต่เขารักษากัน เมืองไทยยังขนาดว่า 1 ดอลลาร์เท่ากับ 30 กว่าบาท ประเทศอื่นก็ยังยอม เอาอัตราของดอลลาร์มาเป็นอัตรากลางพูดกัน ทั้งที่มันล้มเหลวแล้วธนบัตรเปื้อนตัวเลข เป็นตัวแลกเงินที่ไร้ค่า แต่เขาก็สามารถสร้างภาพลวงอันนี้ในโลก รักษาสถานะอยู่ได้ นี่คือโลกที่ล้มเหลว โลกที่โง่เง่า
สม.กล้าฯ
ส.ฟ้าไท
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน แก้เศรษฐกิจสำเร็จแน่ถ้าคนมีอรหัตตผล
พ่อครูว่า...
ก็พาดพิงมาถึงธรรมะบ้าง จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจการเมืองก็เป็นเรื่องสังคมมนุษยชาติ จะเรียกว่าเศรษฐกิจการเมืองก็เป็นเรื่องของธรรมะ ธรรมะนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาบอกว่าอย่าเอาธรรมะมาวุ่นวาย คนที่พูดอย่างนี้เป็นคนที่ไม่มีปัญญาปฏิภาณ อย่าเอาธรรมะไปยุ่งกับเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่วงการโจรวงการทุจริตก็ต้องเอาธรรมะไปช่วย เอาสัจธรรมเอาสิ่งที่ดีงามสิ่งที่จะต้องแก้ไขได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมะโลกุตรธรรม ที่เหนือชั้นกว่าโลกียธรรม อย่างชัดเจน ซับซ้อน
อย่างโลกียะอันนี้คือดี อันนี้คือสูง ศาสดาทุกองค์ก็พยายามสอนให้ดีให้มั่นคงให้ยืนหยัด อย่าตกลงมาชั่วอย่าตกต่ำ รักษาสถานะอันนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ว่ามันไม่ได้ ดีให้ตายยังไงก็ต้องวนเข้ามาหาความชั่ว เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่ถือดีและชั่วหมด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่เอาดีและชั่วเป็นหลัก ไม่ได้ขัดแย้งเรื่องดีและชั่ว ดีก็ดี ชั่วนั้นอย่าไปเป็น แต่มันไม่ถาวร แล้วมันก็ไม่จบ มันไม่ยั่งยืนเลยว่า คนๆนี้จะไม่เอาเรื่องนั้นเป็นตัวหลัก
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ไม่ใช่ตรัสรู้เรื่องดีเรื่องชั่ว เห็นว่าเรื่องนี้ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องดีชั่วเยอะ และยิ่งใหญ่กว่านั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คือสุขกับทุกข์นั้น เป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เดาเอาไม่ได้ สุขกับทุกข์นี้มีพยัญชนะของโลกว่าเทวะ หรือ ทเว ที่แปลว่า 2
คนในโลกนี้จมอยู่ในคำว่า สอง อย่างแก้ไขไม่ได้ จึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ตกแก้ปัญหาการเมืองไม่ตก ทำให้สังคมสงบเย็นสุขสำราญเบิกบานใจไม่ได้ แต่ของชาวพุทธเข้าใจตัวนี้เอาตัวนี้มาแก้ไขความสุขความทุกข์จนไม่ต้องสุขต้องทุกข์ ไม่ต้องเป็นเทว รู้จักเทวะดีรู้จักพลังงานอันนี้ดี พลังงานเทวะคือพลังงานที่หลงความสุขความทุกข์ แต่จริงๆคนเราไม่หลงความทุกข์หรอกแต่หลงความสุข แต่ไม่รู้ว่าความสุขนี้มีคู่หูที่แกะไม่ออกเป็นเหรียญ 2 ด้าน มันต้องอยู่ด้วยกัน คุณเอาความสุขคุณก็ต้องเอาความทุกข์ ศาสนาพุทธจึงไม่เอามันทั้งสุขและทุกข์ฆ่าเทวะทิ้ง ไม่มีเทวะเลยนะยิ่งใหญ่กว่าเทวะที่ใหญ่ที่สุด เพราะใหญ่อย่างไรกูก็ไม่เอาสิว่ะ นี่พูดภาษาคนสภาวะธรรมจริงๆก็เป็นเช่นนั้น
พลังงานอย่างหนึ่งคือเทวดา เทวดาเป็นสภาวะพลังงานจิตวิญญาณที่เป็นเทวดา หมายใจว่าเทวตาคือผู้อยู่ในกามภพกามเทพเป็นเทวที่มีความเสพ เช่นดาวดึงส์เป็นต้น คือเป็นสภาวะ แล้วแม้เรียนรู้สภาวะเหล่านั้น ว่า ศาสนาพุทธตรัสรู้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามันเป็นของเก๊ทั้งหมด ก่อนจะเป็นดาวดึงส์ได้ต้องเป็นจตุมหาราช
จตุมหาราชก็คือยอยักษ์เขี้ยวใหญ่ มารที่ต้องไปต้นที่ขูดรีดมาจากคนอื่นหมด แย่งได้แล้วก็หลงว่าเป็นความสุขคือดาวดึงส์ แล้วก็อยากให้มันอยู่ยาวนาน ยามา ได้มีความสุขเพราะว่าเป็นเจ้าแห่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ได้มาแล้วก็มีความสุขเป็นดาวดึงส์ ตาวติงสา แล้วจะให้อยู่ยาวนานเรียกว่ายามา เสร็จแล้วด้วยสัจธรรมธรรมชาตินั้นความสุขความทุกข์มันก็จะมีความพักยกเป็น อทุกขมสุขบ้าง ก็ไม่ยอมดุสิตา แม้เมื่อยก็ให้คนอื่นช่วย ทีนี้ เนรมิต หรือมันทำด้วยหยาบไม่ได้ก็ทำละเอียด เรียกว่า นิมมานรดี เนรมิตเองสร้างเอง นักข่าวกว่านั้นตัวเองเนรมิตไม่พอก็ให้คนอื่นมาเนรมิตช่วยด้วย เลยกลายเป็นโลกที่บ้าเองสร้างเองเป็นอุปาทานเรียกโดยศัพท์ว่า นิรมาณกาย แล้วคนก็ไปรู้สัมโภคการบริโภคร่วมกัน บริโภคสวรรค์แบบนี้ร่วมกันหมดเลยอยู่ในโลก ในโลกที่เป็นเทวะหลงสุขทั้งนั้นแต่ทิ้งทุกข์ไม่ออก
พระเจ้าที่บอกว่าเป็นเจ้าของความสุขแล้วจะสั่งให้คนอื่นลงนรก ตัวเองมีแต่สวรรค์คนนี้หลงตัวหลงตน จะเป็นเทวดาเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหนก็หลงตัวหลงตนว่าเป็นคนสั่งสวรรค์เป็นเจ้าของสวรรค์ สิ่งเหล่านี้เป็นอาทิสมานกาย พระเจ้าก็เป็นอาทิสมานกายไม่มีใครเห็น สวรรค์ที่เป็นความสุข นรกคือความทุกข์ คุณเห็นของคุณเองทั้งนั้น คุณหลงว่าเป็นความสุขให้ความสุขมีนิรันดรพระเจ้าคือผู้อยู่ที่ในแดนสวรรค์นิรันดร เป็นเจ้าของสวรรค์ แต่ศาสนาพุทธตีทิ้งทั้งสวรรค์และนรกจึงรู้จักความจริง
เพราะมารู้ว่าจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ ที่มันมีสุขมีทุกข์มีเวทนาสุขทุกข์ เจาะเข้าไปถึงจิตวิญญาณมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วเรียนรู้อย่างละเอียดด้วยนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ กับรูป 28 ในปัจจุบันนี้ ด้วยการกระทบสัมผัสเป็นตัวรู้ มีปสาทรูป โคจรรูป เกิดอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ ล้างอิตถีภาวะให้เหลือแต่ปุริสภาวะ
ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่หมดปัญหาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ หมดปัญหาเรื่องเศรษฐกิจอย่างเช่นชาวอโศกเราเป็นได้ หมดปัญหาเรื่องรัฐกิจการเมือง หมดปัญหาเรื่องสังคม สังคมที่สุขสำราญเบิกบานใจหมดปัญหา
พูดแล้วก็น่าชื่นใจตัวเองที่ได้รู้จักทฤษฎีพระพุทธเจ้าและนำทฤษฎีพระพุทธเจ้าเอามาประกาศอธิบายพวกเราก็เข้าใจแล้วมาเอา จนเกิดเป็นหมู่มวล เป็นสังคมกลุ่มมันก็ได้สังคมกลุ่มเล็กๆ สังคมชาวอโศกอยู่กันอย่างนี้ มีเศรษฐศาสตร์ขั้นสูงสุดเป็นสาธารณโภคี การเมืองก็อยู่กันอย่างไม่ต้องบริหารเพราะช่วยกันบริหารในตัว รู้หน้าที่ ไม่ต้องบังคับอะไรกันมากมายไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน ไม่ต้องสั่งการอะไรด้วยซ้ำ บอกกันนิดหน่อย ถ้าจะบอก ไม่บอกก็รู้สำนึกกันเองว่าควรจะทำอะไร ทำแล้วก็มีการสร้างสรรค์มีผลผลิตมีพฤติกรรมการงานที่จะเป็นหน้าที่การงาน ก็ต้องใช้แรงงานทำแบกยกหาม การผลิตจะต้องปลูกผัก ต้องซ่อมแซมต้องทำอะไรต่างๆก็ทำกันไป ที่เป็นสัมมาอาชีพ
งานที่เราใช้เลี้ยงชีพอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างละเอียดว่างานอาชีพที่สูงสุดคือการพ้นมิจฉาชีพ 5 ชาวอโศกก็ทำได้
กุหนา ขี้โกง ลปนาก็ขี้โกหกหลอกลวง เนมิตกตาก็ยังเสี่ยงภัยอยู่ ก็ต้องค่อยๆพัฒนาการไปตามลำดับ งานอาชีพที่ยังต้องเสี่ยงไม่บริสุทธิ์ จนกระทั่งแต่ละคนสามารถสบายแล้วอาชีพที่เราทำ ทำอาชีพอย่างนี้กับหมู่กลุ่มสบายก็อยู่กับหมู่กลุ่ม ไม่มอบตนในทางที่ผิด นิปเปสิกตา ก็พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 4
มิจฉาชีพข้อที่ 5 ทำงานฟรี สบายอยู่กับหมู่กลุ่ม ทำงานฟรีอยู่กับหมู่กลุ่มสาธารณโภคีไม่แลกเปลี่ยนเอาคืนมาแล้วพ้นจากมิจฉาชีพ 5 ข้อ
คนถามพวกเราเราก็ต้องตอบว่า อาชีพ พวกเราจะบอกว่าอาชีพนักปฏิบัติธรรม ก็เป็นคำตอบที่ถูกนะ ถ้าจะให้เรียกว่าอาชีพสาธารณโภคี เขาไม่เข้าใจแน่ เถรสมาคมยังไม่เข้าใจ โลกก็ไม่รู้เลย อาชีพนี้มีด้วยหรือ อาชีพสาธารณโภคี เป็นนวัตกรรม พระพุทธเจ้าค้นพบมาแล้ว ค้นพบแล้วเอามาให้คนปฏิบัติมีได้เป็นได้ เป็นพฤติกรรมสังคมสาธารณโภคี ไม่ได้พูดปากเปล่า ยถาวาที ตถาการี ตถาวาที ยถาการี (ล้ำยุคทุกสมัย) ของพระพุทธเจ้าจึงไม่เก่า
คนที่โง่ที่สุดอยู่ในที่นี้ก็เข้าใจสิ่งนี้ได้แล้ว ไม่มีใครโง่กว่านี้เลย
(คุณอู๊ดว่า ตอนนี้บ้าอีกครับ)
พ่อครูว่า...อาตมาก็สงสารประเทศไทยที่มีพุทธธรรม แต่ก็ได้ผิดเพี้ยนเหมือนกลองอานกะ คนไม่รู้จักแล้วแต่ก็เรียกกลองอานกะเรียกพุทธ แต่ไม่เหลือเศษซากของพุทธเลย อาตมาก็บอกว่า พุทธเป็นเช่นนี้แต่เขาก็ตีทิ้งไปหมดเลย บอกว่าที่มีนั้นมันเป็นเศษของพุทธเท่านั้น มีแต่พิษภัย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะในยุคนี้มันรู้ได้ยาก อาตมาคิดว่าต้องใช้เวลาความอุตสาหะมากเลย ถึงคิดว่าจะพยายามรักษาชีวิตร่างกายให้อยู่อย่างเดียว เพื่อจะได้ทำให้คนเข้าใจได้มากกว่านี้
จะได้เป็นเนื้อแก่นของศาสนาพุทธที่จะได้ยืนยาวไปจนถึง 5000 ปีของพุทธกัปป์ของศาสนาพุทธ (พ่อครูหยิบใบโกศลที่เขาเพาะให้ออกรากในจอกน้ำมา) เขาก็เอาต้นทองอโศกมาเพาะ ที่จริงชื่อทองอุไร แต่เราซื้อมาจ่ายเงินแล้วเราเรียกทองอโศกได้
พูดถึงธรรมะแล้วยังมีผู้มาเข้าใจธรรมะเอาธรรมะโลกุตระที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ผยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เราก็ยังได้บัณฑิตมาไม่น้อยในยุคนี้ ที่อาตมาทำให้พวกเราเป็นบัณฑิตที่แท้จริงได้ในสังคม มันเป็นการช่วยประเทศชาติทั้งการเศรษฐกิจรัฐกิจ สังคมกิจ
เช่นอาตมาพาพวกคุณมาจน นี่เป็นการช่วยเศรษฐกิจชั้น 1 เลย แต่ทาง ดร.สมคิดจะพาคนไปรวย อาตมาว่าจ้างคุณก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ตก แต่อาตมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกแล้วสำเร็จแล้วสบายแล้ว เรียบร้อยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะอะไร เพราะมาเป็นคนจนที่มีแบบ เป็นคนจนที่สำเร็จ เป็นคนจนที่ลงตัวแล้ว จนอย่างไร จนอย่างมีปัญญา รู้ว่าความจนนี้เป็นความประเสริฐ ความจนไม่ใช่ความตกต่ำ ความจนไม่ใช่ความเสื่อม ความจนไม่ใช่ความโง่ คนที่จะเอาแต่รวยรวยๆนั่นต่างหากโง่
เพราะคนที่เอาแต่รวยๆๆ หาทางเอาเปรียบแล้วก็ได้เปรียบสังคมอยู่เรื่อย ให้ใช้ปัญญานิดนึง คนที่มีชีวิตอยู่ในสังคมมีแต่เอาเปรียบ หาทางเพื่อได้เปรียบ แล้วก็ได้เปรียบไม่มีที่สิ้นสุดเขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว ...ชั่ว
อาตมาว่าไปถามโลกให้เขาคิดดีๆ เขาก็ตอบได้นะ
คนที่ไม่เอาเปรียบเขาแต่เป็นคนมาเสียสละให้แก่โลกให้แก่คนอื่น เรามีสิทธิ์ที่จะเอาเปรียบ มีสิทธิ์ที่จะได้เปรียบ มีความรู้ความสามารถ มีความขยันมากกว่าเขา เราก็ขยันอยู่อย่างนี้แล้วทำอย่างมีความสามารถมีความรู้ทำอย่างนี้ แต่เราเอาไว้น้อยๆเรียกว่าจนไม่สะสมไว้มาก อปจยะ มีพอกินพอใช้อุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดแคลนไม่ทรมานตน เหลือก็สะพัดให้คนอื่น ขายก็ขายให้ถูก ถ้าหากขายไม่ได้ก็แจกเลย เราทำอย่างนี้จริงๆ นี่แหละคือคนที่แก้ปัญหาให้แก่สังคมด้านเศรษฐกิจจบแล้ว คนที่เศรษฐกิจดีการเมืองก็จะดี ภาระบริหารง่ายไม่ได้เป็นภาระของผู้บริหาร
ไม่ก่อโทษภัยให้แก่สังคมการเมืองก็ดี สังคมก็อยู่อย่างอบอุ่นผาสุข สุขสำราญเบิกบานใจ มันดีหมดเลย เมืองไทยผู้บริหารน่าจะฟังอาตมาบ้าง เพราะว่าไม่ได้เอาลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข
คนที่ทำเศรษฐกิจดีการเมืองก็ดีสังคมก็ดีเหมือนอย่างชาวอโศกทำเศรษฐกิจดี การบริหารเราก็ดี เพราะมันถึงจิตที่รู้ตัวการ ตัวการที่เห็นแก่ตัว ตัวการที่ยังไม่รู้จักกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสไม่ออกจริง พวกเรากำจัดกิเลสออกได้จริงๆเป็นคนจริง คนไม่รู้หรอกว่าพวกเราเป็นอรหันต์กันเยอะ
อรหันต์ที่มีเศษกิเลสเท่านั้นเอง หมดอาสวะแต่ยังเหลืออนุสัยเท่านั้นเอง เขาเข้าใจอาสวะอนุสัยไม่ได้ พวกเราจึงเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสงบใช้ได้ เป็นเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะอาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ จริงๆ สัปปายะแปลว่าสบายในภาษาไทยนั้นเอง เป็นความเจริญ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์คุณค่าสัปปายะ เป็นความเจริญความสบายความสงบสุขทุกอย่าง
อาตมาถ้ามาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าและเกิดมรรคผลเป็นอาริยธรรมโลกุตรธรรมสําเร็จผลจริงเป็นสังคมกลุ่ม หากมหาเถรสมาคมไม่ดันทุรัง เข้าใจแล้วร่วมมือกับอาตมา จะเร็วจะก้าวหน้าได้ไวด้วย แต่ตอนนี้ก็ดูก้าวหน้า ทางรัฐบาล ทางการ มีบางคน พยายามเชื่อมโยงเชื่อมต่อมาหาพวกเรา อยากจะให้พวกเราไปร่วม เราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เรามีเกียรติปานนั้น ก็จะพยายามเชื่อมต่อไป เราไม่ได้บุกรุกนะ แล้วเราก็ไม่ได้พยายามขวนขวายที่จะไปดันตัวเองเข้าไป ถ้าท่านมาเราก็ยินดีที่จะเชื่อมต่อและประสานกันไป แต่ก็ต้องระวังอย่าให้ผู้ที่รู้สึกรังเกียจเราอยู่ เขาจะรู้สึกว่าเรามาเยี่ยมพื้นที่ แต่ถ้าเขาไม่ว่ากระไรแม้จะแลบเข้าไป ก็ไม่เป็นไรต้องระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ไม่อยากให้เกิดความระหองระแหง ทำไปอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้จริง
อาตมาภูมิใจที่พวกเราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ได้ ไม่ต้องยึดถือในตัวตนแพ้ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องไปชนะทำไม ความแพ้นี่แหละเราจะเป็นผู้รับใช้ เธอเป็นคนเสียสละไม่ใช่เป็นคนเสียหาย เสียสละนี่แหละดีแล้ว เรารู้สาระสัจจะความหมายของคุณธรรม คุณธรรมเป็นคนเสียสละ เป็นคนยอมแพ้เป็นคนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันชัดเจนที่สุดไม่ได้พูดปากเปล่ามันเป็นเรื่องจริง
น่าสงสารสังคมประเทศชาติที่เป็นเมืองพุทธแท้ๆ ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์เอาคำเหล่านี้มาตรัสคนก็ไม่กระเตื้อง ใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงคนก็ยากเข้าใจ ใช้คำว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็ยังไม่เข้าใจ นักเศรษฐศาสตร์นักบริหารของประเทศก็ไม่กล้า จะพากันมาขาดทุนนั่นแหละคือเรากำไร ถ้าให้มาจนนี่แหละคือการเจริญ การให้พาไปรวยมันเป็นความเสื่อมไม่เจริญ จริงๆแล้วที่พูดนี้ไม่ต้องเป็นประเทศเจริญ ในหลวงท่านได้ตรัสอย่างชัดเจน เราไม่ต้องเป็นประเทศเจริญ แต่เราก็พอมีพอกินพอใช้ของเรา เพราะอะไร GDP เราไม่ต้องเอาจากประเทศอื่นมาเป็นของเรา เราไม่ต้องไปขูดรีดเอาเกินจากประเทศอื่น ถึงจะเป็น GDP ที่แท้ นักเศรษฐศาสตร์ก็เข้าใจไม่ได้
GDP ที่เป็นโดเมสติกเป็นของภายในเรา เพราะฉะนั้นเราเองสร้างของเราเองพึ่งพาตนเองรอดกินเหลือ มีเกินกินเกินใช้ นี่คือ domestic ที่เป็นผลผลิต Gross เนื้อแท้ที่เป็นสิ่งผลิตซื้อขายในประเทศไทยก็มีการสะพัดอย่างใช้ได้เหลือเฟือ เราก็เลยเอาส่วนเหลือเฟือในประเทศเรา ถ้าจะไปเกี่ยวข้องกับประเทศอื่นสินค้าไปขายให้แก่ประเทศอื่น เราขายให้ต่ำกว่าขายในประเทศ นี่คือเศรษฐกิจเราเจริญ ในประเทศเราก็ขายขนาดนี้แล้วแบ่งกินแบ่งใช้เราก็พอกินพอใช้ เราจะขายให้ต่างประเทศเราก็ขายให้ต่ำกว่าราคาในประเทศ หรือว่าแจกต่างประเทศได้นี่คือประเทศเจริญทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าประเทศใดที่ของตนเองในประเทศตนเองก็ไม่พอกินพอใช้ ต้องไปเอาเปรียบเอารัด ใช้อำนาจบาตรใหญ่ใช้การขี้โกงด้วยแทคติกต่างๆ เอาเปรียบจากประเทศอื่นขึ้นมาให้แก่ประเทศไทย อันนั้นถือว่าเป็นเศรษฐกิจดีขี้หมา เป็นประเทศที่มี GDP ดี อย่างนั้นมันไม่ใช่ รายได้มวลรวมของคุณเอาของคนอื่นมารวมเป็นโดเมสติก ขี้โกง คุณเอาของภายนอกมารวมได้อย่างไร มาตีกินว่าเป็นของภายใน
อาตมาพูดหลายทีแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ใดก็ไม่อธิบายอย่างอาตมาพูด
ส.เดินดิน สรุปจบ
วันนี้คำถามพ่อครู ถามนั้นน่าใจหาย พ่อครูว่า สบายอย่างนี้ก็ตายได้แล้ว...
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:02:42 )
รายละเอียด
620118_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนรู้เทวะคือธรรมะ 2 ให้ถึงอนัตตา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1plPQCAaJBoOv1BJGvf3LN-VDn-7Wsf564CnnTwjPgGs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1xUAP-GJTCUvO3aLrlpzYYzuo6BxcJPFi
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ”
ครั้งที่ 36 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 18 - อาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
วันนี้ก็มีผู้เสียชีวิตรายหนึ่งที่บ้านราชฯ ชื่อโยม จันทร์เพ็ญ เป็นญาติธรรม ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ปี 2517 เป็นแม่ของคุณแหม่ม ไอดิน จะเผาวันอาทิตย์เวลา 14:00 น
หัวใจของประชาธิปไตยที่พ่อครูกล่าวไว้มี 1. มีอิสระเสรีภาพ 2.ไม่มีตัวตน 3. มีปัญญา และต้องเป็นผู้ขยันรับใช้ มีแต่ให้ ไม่มีอคติ
พ่อครูว่า...คุณใบฟ้าก็เป็น FC ที่เหนียวแน่นตลอด พ่อครูเป็นเหมือนจอมทัพของกองทัพธรรม ลูกๆเป็นเหมือนทหารกล้า กองทัพจะทรงพลังที่สุดได้อย่างไรหากขาดจอมทัพผู้นำโลกุตระ ที่สูงเยี่ยมสุดยอดไร้ผู้ใดเปรียบ ณ กาละนี้ ดังนั้น จึงขอกราบอาราธนาให้พ่อครูได้โปรดอนุรักษ์ ดำริที่มุ่งมั่นในการขยายอายุขัย ตราบถึง 151 ปีดังเดิมเถิดค่ะ มวลมหาอวิชชายังรายล้อมลูกๆเหลือคณานับ เฉกเช่นขนโคกับเขาโค การขยายอุดมการณ์อโศกเพื่อมนุษยชาติให้เป็นรูปธรรมอย่างสมบูรณ์ รับพลังแห่งพุทธธรรมที่จะส่งผลต่ออายุพระพุทธศาสนาอีก 2000 ปีนั้น ต้องการจอมทัพผู้นำพาอย่างสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า...ขอให้อาตมากัดฟันอยู่ไป กระเสือกกระสนถูลู่ถูกังไป ก็จะมีเด็กที่มีเชื้อสาย ยังรอหนุ่มสาวที่มีเชื้อสาย แต่เขาก็อยู่ข้างนอก เขาว่าไม่ทิ้งหรอกแต่ก็ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ได้แต่ร้องเพลงรอ เอาละ ก็ไม่เป็นไร จนกว่าจะมาก็มากัน ถ้าเผื่อว่า ราชธานีอโศกมีคนถึง 2000 เมื่อไหร่ นี่พันหนึ่งยังไม่ถึงนะ มันน่าจะได้เป็นตำบลบุญนิยม ซึ่งจะมีหมู่บ้านสัก 10 หมู่บ้าน ก็มีคนฟอร์มๆกันอยู่ พยายามก่อหวอดกันมาก็เป็นไปตามธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ทัศนคติ กับ สัมมาทิฏฐิ
_จากปุญญา ธัมมา... ทัศนคติ กับ สัมมาทิฏฐิ ต่างกัน หรือ เหมือนกันคะ
พ่อครูว่า..ทัศนคติ คือความคิดความเป็นธรรมดา เป็นความคิดองค์รวมหรือเป็น จิต อคติมโนคติ เป็น Concept ธรรมดา แต่สัมมาทิฏฐินั้น ภาษาอังกฤษยังไม่มี ยังไม่รู้เรื่องสัมมา ทิฏฐิคือความคิดความเห็น ลักษณะทฤษฎี ที่จริงก็มาจากภาษาสันสกฤตว่าทฤษฎี ถ้าเป็นภาษาบาลีก็บอกว่าเป็นทิฏฐิ หรือ theory มีหลักเกณฑ์หลักการไปตามนั้น โลกๆเขาก็มีทิฏฐิทฤษฎี แต่ที่เป็นสมานั้นเป็นของเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านก็มีนิยาม ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็จะมีความรู้ 10 หลัก สัมมาทิฏฐิ 10 จะเป็นตัวตัดสิน ว่าถ้าใครมีความรู้ชัดเจนในทิฐิทั้ง 10 นี้ เอามาใช้ได้อธิบายได้ขยายความได้ พาประชาชนปฏิบัติมีคุณสมบัติคุณธรรม มีคุณลักษณะตรงตามทิฐิ 10 นี้ได้ ผู้นั้นคือสยังอภิญญา มีความรู้พิเศษในระดับที่มีของตนเอง ข้ามภพชาติมา ไม่มีครูบาอาจารย์ก็ได้ จะมีครูบาอาจารย์ก็ได้ มีของตนเองเป็นปัจจัตตังจนถึงขั้นเป็นสยังอภิญญา แล้วเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะและเป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นคุณธรรมคุณสมบัติที่สูงส่งไปตามลำดับ
ทัศนคตินั้นยังอยู่ในกรอบของโลกียธรรม ส่วนสัมมาทิฏฐินั้นเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช่ความรู้ทั่วไป ติดตามไปแล้วจะเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ 10
1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง) รู้จักการทาน คนที่ทำทานแล้วมีผล การทำทานนั้นผลเป็นคุณเป็นโทษผลดีผลชั่วก็ได้ สำคัญก็คือมีผลเป็นโลกุตระ ไม่ใช่ผลแต่แค่โลกียะ อย่างนี้เป็นต้น การทำทานแล้วมีผลเป็นโลกุตระ คือทำทานแล้วสามารถมนสิการเป็น ทำใจในใจของตนเองให้ไม่มีภพชาติ ให้ก็คือให้ไม่ใช่จะเอา ไม่ใช่ต้องการอะไรขึ้นมา ทำใจได้ว่าใจของเราไม่มีสาเปกโข ไม่มีความหวังจะได้อะไรตอบแทน ต้องรู้อาการจิตของตัวเองที่จะไม่มีเส้นโค้งอะไรให้กับตัวเอง ไม่มีความต้องการไม่มีความปรารถนามาให้ตัวเลย นั่นคือการทำทานที่ให้อย่างเป็นโลกุตระเต็มที่มีผล ถ้ายังโค้งนิดหน่อย ไม่กี่องศาแต่ไกลมากกว่าจะกลับมามันก็อาจจะดีอยู่บ้าง แต่เป็นโลกียะอยู่ ถ้าเป็นโลกุตระนั้นต้องไม่โค้ง นอกจากไม่โค้งแล้วต้องตรงอย่างถาวร ตรงอย่างไม่มีที่จะสะดุดไปโค้งที่ใดเลย กระทบกระแทกกับโลกียะข้างหน้าก็ไม่โค้ง นั่นคือโลกุตระที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือการโยนิโสมนสิการ
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) คือวิธีปฏิบัติจะต้องเป็นสัมมา ต้องอ่านจิต อ่านอาการจิตแล้วลดกิเลสได้ ถึงจะเป็นผู้ที่มี อัตถิ ยิฏฐัง
3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) คือผลของการปฏิบัติทาน ศีล ทานภาวนา ศีลภาวนา เกิดผลเป็นโลกุตระ ยังบกพร่องเท่าใดก็แล้วแต่ แต่ต้องเป็นผลโลกุตระที่แท้ หุตัง สามอย่างนี้คือบุญกิริยาวัตถุ 10 สามข้อแรก คือของพระพุทธเจ้าแท้
ผู้ที่ปฏิบัติได้ก็จะเกิดข้อที่ 4
4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วมีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) กรรมเป็นของของตน ตนเองต้องเป็นทายาทของกรรม แต่ละชาตินั้นกรรมพาเกิดพาเป็นทั้งนั้น กรรมสะสมเป็นตระกูลเป็นเผ่าพันธุ์ของตนเอง กรรมจึงเป็นทั้งสงคราม เป็นทั้งที่พึ่งอาศัยของเรา มีสรณะ และสุดท้ายไม่ต้องทำสงครามแล้ว อรณะ เอาชนะตลอดกาล ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้วจะทำสงครามชนะตลอดกาล อาจจะพลาดพลั้งแต่ก็ยังรบต่อจนชนะ ถ้ายิ่งเก่งเป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นเป็นอรหันต์สูงขึ้น ก็ยิ่งรบชนะไปเรื่อยๆ ไม่มีแพ้ ดูเหมือนจะแพ้ แต่ที่สุดแห่งที่สุดคือชนะ ทุกอย่างไม่ได้เกิดจากGod แต่เกิดจากกรรมที่พาเป็นไปทั้งนั้น
5. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ แปลว่าโลกนี้ คือโลกโลกียะ โลกเก่าๆที่มนุษย์สัตว์โลกวนเวียน
6. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ คือโลกอื่นจากโลกโลกียะ แยกโลกนี้โลกหน้าได้ แยกโลกโลกียะโลกุตระได้ อธิบายได้ และพาปฏิบัติได้ โลกโลกุตระต้องรู้จักกิเลส ลดกิเลสได้ รู้จักเวทนาในเวทนา โดยเฉพาะเวทนา 108 มโนปวิจาร 18 แยกตามเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา ที่เป็นตัวหลักของเวทนา 108 ถ้าผู้ใดแยกไม่ได้จับสภาวะของเคหสิตเวทนาไม่ได้ แล้วทำเนกขัมสิตเวทนาไม่ได้ คนนั้นก็ยังไม่ใช่โลกุตระ ยังไม่มีทางปฏิบัติให้เป็นจิตที่เป็นคนโลกใหม่ ผู้ใดที่ทำจิตให้เป็นคนโลกใหม่ได้จึงจะเป็นโลกุตระบุคคล ก็จะรู้จักอยังโลโก ปโรโลโก และอธิบายได้ จะต้องรู้จักสัตว์ทางจิตวิญญาณ
7. มารดา มี (อัตถิ มาตา)
8. บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) ไม่ใช่สัตว์ที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา จะเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ ที่เกิดจากการมีสภาวะของพ่อและแม่ เกิดจากการกระทำของกรรมตัวบุคคลแต่ละบุคคลทำกรรมของตนเอง มีแต่ผู้ที่รู้สอนบอกปฏิบัติเองก็จะเกิดเป็นโลกใหม่ โลกุตรธรรม ได้
สัตว์โอปปาติกะ ก็จะมีผู้ช่วยให้เกิดหมายถึงพ่อและแม่ ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่ทางร่างกายแต่เป็นพ่อแม่ทางธรรมะ ซึ่งเป็นสภาวะที่เรียกว่าอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ รวมกันทั้ง 2 อย่างทำให้เกิดจิตที่เป็นตัวเราพัฒนาขึ้น เช่นศีลกับปัญญา ช่วยกันเหมือนมือล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ช่วยกันเพื่อจะปั้นลูกขึ้นมา ทำให้ลูกเกิด ศีลข้อ 1 ศีลเป็นแม่ แล้วก็ปัญญารู้จักการปฏิบัติ ปฏิบัติศีลเป็นอย่างนี้ สัมผัสกับสัตว์แล้วต้องอ่านจิตของเรา จิตของเรามีเมตตาจะไปฆ่าหรือไม่ เราก็ทำลายกิเลส ที่เป็นอกุศลจิต ทำได้ทำได้ก็คือปัญญาที่รู้จริงและก็ทำให้กิเลสตาย จึงเรียกว่าปัญญาเป็นตัวทำลายกิเลส ปัญญาอันยิ่ง เป็นพลังงานร่วมกับปุญญะ เป็นเทวะ ทำให้กิเลสตายหรือลดจางคลายลงเรื่อยๆส่วนแห่งบุญจนดับสนิทได้
พยัญชนะที่พูดเป็นภาษา ผู้ที่ปฏิบัติได้สภาวธรรมตรงกับภาษานี้ได้ ก็จะได้เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ คุณจะรู้ของคุณเอง คุณรู้ผิดก็ผิดนะ คุณรู้ถูกก็เป็นของคุณไม่มีใครกำหนดได้เลย คุณเป็นผู้พิพากษาเอง พิพากษาผิดเพี้ยนก็เป็นเอง พิพากษาถูกต้องก็ถูกตรงเป็นสัจจะที่มันลึกซึ้งไม่มีใครช่วยใคร ตนเองพึ่งตัวเองช่วยตัวเองจนตนเองต้องชัดจริงได้ของตนเองจริงเลย มันลึกซึ้งเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ
เพราะฉะนั้นก็จะรู้ว่า อื่นๆที่เป็นแม่เป็นพ่ออีกมีเยอะ อะไรเป็นเชิงของอิตถีภาวะก็คือแม่ ปุริสภาวะก็คือพ่อ ให้เกิดโลกุตระจิต บรรลุไปเรื่อยๆ เป็นพระโสดาบัน สกิทาฯ อนาคาฯ
ท่านถึงเรียกว่าจิตที่จะเป็นโอปปาติกะจิตแท้จริงก็คืออนาคามีเป็นต้นไป นอกนั้น ต่ำกว่านั้นก็ยังจะพ่ายแพ้ต่อโลกเป็นโลกียะรส ยังแลบเลียรสโลกีย์ อนาคามีก็ไม่แลบเลียรสโลกีย์ภายนอก จะมีภายในก็อ่อนแรงโลกีย์แล้ว ออกมาข้างนอกไม่ได้ คนนี้ก็จะเหมาะสมไปทำงานบริหารประเทศเพราะคนนี้ไม่เห็นแก่ตัว ทำงานโดยเห็นแก่ผู้อื่นแม้จะเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ส่วนตัว
ผู้ที่สามารถรู้จริงเป็นจริงในสภาวะทั้ง 9 นี้ผู้นั้นก็จะเป็น สมณพราหมณ์ในข้อที่ 10
10.สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
อาตมาเองประกาศตนเป็นคนในข้อที่10 เป็นสยังอภิญญา ไม่ได้เอาความรู้นี้มาจากอาจารย์คนใดในชาตินี้ ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องอะไร มีความรู้ของตัวเองมาแต่ชาติปางก่อนสะสมมา ใครเชื่อก็แล้วแต่ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่ คนเชื่อก็ได้ประโยชน์คนไม่เชื่อก็เสียประโยชน์ไปไม่มีปัญหาเราก็ทำงาน อยากให้คนมาสมัครใจมีฉันทะมีความยินดีเอง พอใจเองมาเอา
สื่อธรรมะพ่อครู(ไตรลักษณ์) ตอน รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พระพุทธเจ้าสอนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พยัญชนะก็รู้กันทั้งนั้น แต่สภาวะล่ะ สภาวะที่เป็นวัตถุมันไม่เที่ยงมันไม่คงที่มันเปลี่ยนแปลงไป ก็เห็นได้ง่าย บางอันก็อยู่นานกว่าจะละลาย เราตายไปแล้วมันก็ยังอยู่ อยู่เป็นพันปีหมื่นปี วัตถุบางอย่าง เราตายหลายรอบแล้วมันก็ยังไม่ละลายหายไปก็ได้ แต่ที่บอกว่าจะต้องอ่านให้เห็นความไม่เที่ยงจริงก็คือในจิตเรา
จิตเราไม่เที่ยง เหลาะแหละ เดี๋ยวก็ไปเสพโลกีย์เดี๋ยวก็ตลบตะแลงเป็นโลกุตระ แต่คนที่ไม่รู้โลกุตระเลยก็ไม่เข้ามาหาทางโลกุตระ แต่คนที่ไปเสพโลกียะไม่เข้าฐานโลกุตระก็จะวนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะมีปัญญามีธาตุรู้ ที่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างโลกียะกับโลกุตระ มันสวนกระแสกัน คนนี้จะไปเอารวยคนนี้จะมาจน คนนี้อร่อยด้วยรูปอย่างนี้ คนนี้ไม่เอาแล้วรสอะไรมันติดยึด ก็ลดลง เสียงอย่างนี้กลิ่นอย่างนี้รสอย่างนี้อะไรอย่างนี้ คนได้ติดในลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข
ก็จะมีความรู้เรียกว่าปัญญาว่าเราติดในโลกีย์ แล้วเราก็ทำออก เรียกว่าเนกขัมมะ แล้วเราก็หลุดออกมาได้จริง จนกระทั่งมีกาละเวลาตกผลึก จนกระทั่งชัดเจนแล้วเราก็ไม่เอา เราก็เห็นใจโลกเขาอย่างไม่ได้ข่มเบ่ง ไม่ได้ไปซ้ำเติมอะไรเขาหรอก แต่ก็บอกให้รู้ว่ามันยังต่ำมันยังไม่เจริญนะมันยังจะทุกข์ร้อน ก็มีวิธีการพูดสิ่งที่ต้องกดก็กดข่มก็ข่ม นิคคัณหะ แต่ไม่กดไม่ข่มคืออะไรมันยาก แต่ผู้สามารถรู้กายวิญญัติ วจีวิญญัติหรือมโน อาการเคลื่อนไหวของนัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็จะอ่านออกว่า อาการเคลื่อนไหวอย่างนี้มันเป็นโลกียะอยู่ อาการเคลื่อนไหวอย่างนี้มันเป็นโลกุตระอยู่ก็จะอ่านที่ใจของเรา
อาการมันจะกลับกันเลย ดูเหมือนแรง เหมือนโกรธมีแรง แต่ใจไม่มีเลยมีแต่สงสาร อย่างนี้คนอ่านไม่ได้ มันเป็นสภาวะสิริมหามายา
อ่านอาการ ตามด้วยอาการอย่างกาลามสูตร แล้วมาตีความว่าเราเป็นอย่างนั้น คนนั้นก็น่าสงสาร คนนั้นยึดถือตามอาการ บอกว่าอาการอย่างนั้นคืออาการโกรธ อาการเป็นโลกียะอยู่ เขาก็ตีความตามอาการ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่าอย่าไปยึดติดตามอาการ โดยเฉพาะอาการภายนอก คุณไปหยั่งรู้อาการภายในจิตของเขาได้อย่างไร ซึ่งยากมาก ยิ่งเป็นคนที่สามารถ เห็นอาการความไม่เที่ยง อาการเหล่านี้ถ้าไปติดยึดอยู่เห็นมันเที่ยง มันก็จะมีทุกข์มีสุข เป็นเทวะ
ปีนี้อาตมาเพิ่งตีแตกเรื่องเทวะ บวชมาทำงานศาสนาตั้งแต่ 13 นี่มัน 62 แล้วนะ 49 ปีแล้ว มันไม่ใช่น้อยๆ กว่าจะเอาเทวะธรรมะ 2 มาขยายความก็ต้องทำงานมา 49 ปี ผ่านมากว่า 4 นักษัตรแล้ว ใคร จะหาว่าอาตมาหลงใหลคลั่งไคล้ ในศาสนาพุทธก็แล้วแต่ อาตมาว่าศาสนาพุทธยังสูงขึ้นกว่านี้ได้อีก ใครจะเห็นว่าอาตมาหลอกก็แล้วแต่ ใครจะเห็นว่าจริงก็แล้วแต่
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน เรียนรู้อัตตา 3
ต้องรู้อัตตา 3
1. การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)
2. การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)
3. การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้ หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา ปฏิลาโภ) .
(โปฏฐปาทสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 302)
อาตมาเอาข้อเขียนในนสพ.เราคิดอะไรฉ.341 มา
ฉบับ 340 ที่ผ่านมาเรากำลังสาธยายถึงตอนที่ว่า
ผู้ทำ“อนัตตา”ได้แน่แท้ จึงคือผู้“สุดสูง”(อันติมะ,ultimate)เท่านี้เท่านั้นสำหรับ“จิตนิยาม” ที่มีความเป็นที่สุดแห่ง“มนุสโส”ในโลก
“อนัตตา”จึงเป็น“จุดสำเร็จ”ของชีวิตแต่ละคน ในความเป็นคนผู้ที่ไปสู่“สูง”สู่“สุด”ได้
เรายกให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้“สุดสูง”ที่ทรงรู้-ทรงมี เพราะเป็นผู้ทรงค้นพบ“อนัตตา”
ผู้มีมิตรดีสหายดีจะเร็ว ทั้งผู้สูงผู้เท่าเราผู้ต่ำกว่าเรา ก็จะช่วยเราได้ในบางเหลี่ยม อย่าไปหลงว่าตนรู้หมดรู้รอบอย่างนั้นจะช้า บางทีเด็กไม่เดียงสาแสดงเราก็เลยเห็นความโค้งของเราเลย เด็กคนนี้สอนเรา เด็กมันซื่อสะอาด เราก็อ่านของตนเองออก เราแท้ๆยังโค้ง ยังสู้เด็กสะอาดกว่าเราไม่ได้เลย เขาไม่รู้มากแต่เขาซื่อตรง แต่ละคนได้จากเด็กไม่น้อย แล้วเด็กที่ซื่อตรงต่อสิ่งที่ดีจะเป็นครูของเรา เด็กมีความซื่อสัตย์มีความซื่อตรงจริงจังของเขาจะให้ประโยชน์แก่เราเยอะ
“อนัตตา”จึงเป็นสภาวะเป้าหมายแท้
ผู้บรรลุธรรมสูงสุดก็คือ ผู้ทำ“อนัตตา”ให้เกิดในจิตตนสำเร็จ แล้วเห็นด้วย“ปัญญา”
ผู้นี้ก็คือ ผู้บรรลุธรรม“สูงสุด” จบกิจ
ผู้เข้าถึง“อนัตตา”แล้ว จะเรียกว่าเป็นผู้บรรลุธรรม บรรลุนิพพาน บรรลุวิมุติ บรรลุนิโรธ บรรลุสุญญตา บรรลุทุกสรรพสิ่ง บรรลุอรหัตตผล บรรลุเป็นอรหันต์ เป็นผู้พ้นทุกขอาริยสัจ ฯลฯ อะไรต่างๆก็ว่าไป ก็คือผู้จบกิจ
พยัญชนะนั้น เรียนกันจบตำรา จบนักธรรม จบปริญญา กันมากมายเท่าไรก็ได้
คนนั้น ติดอยู่ที่พยัญชนะ หรือติดอยู่ที่ภาษา หรือติดอยู่ที่บัญญัติ กันมากเหลือเกิน
ศึกษากันหัวผุหัวพัง จบปริญญาเอก จบเปรียญ 9 กันมาก แต่ไม่มีผลลึกลงไปถึง“สภาวะ”หรือไม่มีผลลึกลงไปถึง“เนื้อแท้ของสัจธรรม”นั้นๆกันสักเท่าไหร่
บางคนก็พูดจิตเจตสิกรูปนิพพาน แต่สภาวะจริงไม่มี รูป คำหลังนี้ละเอียดกว่าจิตเจตสิก คือรูปในจิตแล้ว แต่ว่าเพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “สภาวะ” เช่น ที่พูดกันว่า รูปธรรม-นามธรรม ก็ดี จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ก็ดี ขันธ์ 5 (รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) ก็ดี รูป 28 (มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24) ก็ดี นาม 5 (เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ) ก็ดี อีกมากมายนับไม่ถ้วน
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีที่จะเรียนรู้ได้ครบทั้งหมด โดยวิธีเรียนและปฏิบัติสุดยอด เมื่อยังไม่ได้หมดก็ได้ไปตามลำดับ สำเร็จผลไปตามลำดับ พ้นทุกขสัจไปตามลำดับ หรือบรรลุอาริยบุคคลไปตามลำดับ นั่นคือ เรียนรู้ด้วย“ธรรมะ 2”ที่เรียกว่า เทฺว ธัมมา
โดยทำ“เทฺว ธัมมา”ให้เป็น“เอกธัมม”ได้สำเร็จ ที่สุดทำ“เอกธัมม”ให้เป็น“0” จึงจบ ความเป็น“เทฺว”หรือ“เทฺว ธัมมา”คือ “ธรรมะ 2” ถูกรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ด้วย“ปัญญา” สัมบูรณ์แบบ
พุทธจึงเป็นศาสนาที่มี“นิพพาน”หรือมี“0”คือ“สุญญ” หรือบรรลุ“อนัตตา”ด้วย“ปัญญา”แท้จริงอยู่เพียงศาสนาเดียวในโลก
“ปัญญา”คือ ความรู้ขั้นโลกุตระ จึงเป็น ความรู้ขั้น“อาริยะ”ทั้งรู้ ทั้งตีแตก“เทฺว” ไม่เหมือน“ความรู้”ทั่วไปที่สากลโลกปุถุชนมีกัน
พุทธเป็นศาสนาที่ตีแตกแยกแยะ(dis-tinguish)ความเป็น“เทฺว”ได้ จึงได้ประโยชน์จาก “เทฺว”หรือ“ธรรมะ 2”ถึงขั้นบริบูรณ์สัมบูรณ์
ผู้“ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ความเป็น“เทฺว” จึงจำนนอยู่กับ“เทฺว”นิรันดร เป็นลัทธิหรือศาสนา“เทฺวนิยม”อยู่อย่างนั้น มีกันมากทั่วไปตกอยู่ใต้อำนาจ หรือมีความรู้อยู่สูงสุดเพียงเท่าที่“เทฺว”ที่ตนจัดการอะไรไม่ได้เลยนี้“มี”กันอยู่เท่านั้น ดิ้นไม่หลุด ไม่มีอิสระไม่ทะลุ ไม่หลุดพ้น ไม่ลอยตัว ไม่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระเสรีสัมบูรณ์ “ติดกัก”หรือ“สูงสุดชงัก”อยู่เพียงแค่นั้น
ไม่มีความรู้ในระบบ“วงวน”ที่หมุนเวียนอยู่อย่างเป็นระเบียบบริบูรณ์ตามสามัญของ“วงวน”ทั้งหลาย นั่นคือ ไม่มี cyclic order แล้วตีแตกระบบนี้ไม่เป็นทาสระบบนี้ ออกนอกโลกเก่าได้แล้ว
เพราะยังไม่รู้จักความเป็น“เทฺว” แยก แยะ“เทฺว”ไม่ออก ไม่รู้เท่าทัน ที่สำคัญไม่สามารถทำ“ธรรมะ 2”หรือ“เทฺว”ให้เป็นอื่นไปได้ จึง“อยู่เหนือ(อุตตระ)”ทุกสรรพสิ่งไม่ได้
ซึ่งผู้“อยู่เหนือ(อุตตระ)”สรรพสิ่งนั้น คือ พระเจ้า หรือ “เทฺว”ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งที่สุด
เริ่มแรกจึงต้อง“รู้จักเทฺว”กันเสียก่อน แล้วจึงจะเรียนรู้ให้“รู้แจ้งเทฺว” ก็จะ“รู้จริงเทฺว” ได้ถ้วนบริบูรณ์สัมบูรณ์สัมมาทิฏฐิแน่แท้
แม้แต่อบายเป็นสิ่งที่ใหญ่สำหรับคนบางคน แต่ก็เป็นสิ่งที่เล็กนิดเดียวเรื่องจ้อยมากเลย แต่คุณไปตกเป็นทาสมันใหญ่ บังคับคุณเบ้งเลย แต่คนที่พ้นแล้วว่าเรื่องขี้ผงไปลุ่มหลงอยู่ได้ หยาบจะตายชัก มันจัดจ้านในทางโลก เหลวเละในทางโลกแต่มันใหญ่สำหรับคุณเหลือเกินคุณต้องยอมมันเป็นทาสมัน สัตว์นรกตัวนี้ สัตว์นรกที่ต่ำที่สุด แต่สำหรับคุณนั้นมันใหญ่จนคุณเป็นทาสมัน ไม่ยอมกระดิกออกเลย บูชาเคารพ ความชั่วนี้ อย่างมโหฬารเลยเป็นใหญ่เบ้งเลยแต่คนอื่นโธ่เอ๋ย ชั่วขนาดนั้นยังไม่รู้ตัวหยาบต่ำขนาดนั้นยังไม่รู้ตัว
เหมือนเราเห็นของทักษิณ เขาบูชาสิ่งนี้เขาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสิ่งนี้ ถ้าเขาปล่อยสิ่งนี้ไปเขาจะเจริญมากแต่เขาปล่อยไม่ได้ เราเข้าใจใจเขาว่าเขาปล่อยไม่ได้ อาตมาว่าร่างกายชาตินี้ตายไป ชาติหน้าจะไม่สิทธิ์ได้รวยอย่างนี้ ให้โกงให้ตายก็ไม่ได้เท่านี้ ฉลาดแกมโกงอย่างนี้ จะลดลง ฉลาดแกมโกงได้หนักมากเลยในชาตินี้คุณ สมแล้วที่ไปจบด๊อกเตอร์ทางอาชญาวิทยา ความรู้ทางด้านโจร เลยออกมาเป็นโจรเสียเอง เป็นโจรที่ยิ่งใหญ่มาก จนคนในโลกประเทศต่างๆยังรู้ไม่ทันยังยกย่องทักษิณ อาตมาก็จะดู ทักษิณจะมีอิทธิพล พอที่สีจิ้นผิงจะยอมรับไหม จะดูภูมิสีจิ้นผิงจะรู้เท่าทันทักษิณไหม ถ้าสีจิ้นผิง ยอมรับทักษิณ ก็ได้รู้ว่าสีจิ้นผิงเอ้ย อื่นก็เหมือนกันชาติไหนก็แล้วแต่ก็ดูกันไป แต่ตอนนี้แน่นอนมอนเตเนโกรดูไบยอมเขา อีกหลายที่จะยอมเขาอยู่ แม้แต่อังกฤษ นี่เราวัดค่าภูมิธรรมของแต่ละสังคมประเทศได้อย่างนี้ ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ดูถูกดูแคลนตรงนั้นตรงนี้ ต้องขออภัยจริงๆมันเป็นวิชาการเป็นความรู้ที่ต้องศึกษาโลก ศึกษาโลกทั้งโลกให้รู้ความเป็นโลก อะไรคือสัจจะที่ดีจริงไม่ดีจริงต้องศึกษา เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าตัวเองที่ยิ่งใหญ่ โดยที่ไม่รู้ตัว ศึกษาดีๆ จะได้รู้ว่าตัวเองที่แพ้ใหญ่ในความเป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์นรกตัวใหญ่เหลือเกิน น่าสงสารน่าสังเวชใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาหลงเขาทำของตัวเองแล้วทำได้ด้วย เป็นสัตว์นรกตัวใหญ่ แล้วหลงภูมิใจในความเป็นสัตว์นรกตัวใหญ่ แล้วเมื่อไหร่จะฟื้นจะตื่นกันนี่
นอกจากจะหลงตัวเองแล้วยังถูลู่ถูกังลากต่อไปอีก แทนที่จะยอมรับเลิกเสียจะวางมือเสีย ไม่เลย ไม่เลย เห็นความซับซ้อนของความหลง ความหลงคือความโง่ที่ซับซ้อนโง่ หลงซับหลงซ้อนด้วยความโง่ที่ซับซ้อน น่าสังเวชใจ ที่อาตมาเสียเวลาพูดเพราะมันเป็นปรากฏการณ์จริงตัวจริงของมนุษยชาติ พฤติกรรมก็ยังอยู่ศึกษาต่อได้อยู่ นอกจากเขาทำคนเดียวไม่พอยังชักชวนญาติโกโหติกา ไปด้วยกันอีกพรรคพวกอีก ตอนนี้รู้สึกว่าพรรคพวกจะรู้ตัวลดลงบ้างแล้ว แต่แน่นอนญาติโกโหติกาก็ยังเกาะติดไปด้วยกัน เพราะว่าการจะมาเป็นญาติกันได้ ทำไมเป็นญาติกันโดยไม่มีเชื้อชั่วด้วยกันไม่ง่ายหรอก เพราะว่ามีเชื้อชั่วด้วยกันจึงเป็นญาติกันมา กว่าจะไปนับญาติกันใหม่ เราไปเอาญาติทางธรรมดีกว่า ธรรมพันธ์ุพฤติกรรมของเราดีกว่า
ทางสรีระเป็นสมมุติ แต่ทางปรมัตถ์สูงกว่า มีฤทธิ์แรงอำนาจที่จะหลุดพ้นจากวัตถุ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม โดยควบคุมกรรมนิยามตนจึงทรงซึ่งธรรมะอันใหม่ ไม่ใช่ทรงไว้ซึ่งตระกูลเก่าทำแบบเก่า
อาตมาพยายามใช้พยัญชนะอธิบายสภาวะ
อย่าไปนึกว่าตัวเองสูงตัวเองเก่งตัวเองใหญ่ก่อน เรามาเรียนรู้เป็นลำดับไปจากคู่ที่ 1 จากสิ่งที่ต่ำที่สุด เอาอันแรกเสียก่อน เรียนให้ดีให้รู้เทวะคู่นี้ แล้วเราจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นอบายมุขของเราเอง สัตว์ที่เราโง่เราต่ำตัวนี้ ต้องเข้าใจให้ได้ว่าอันนี้เป็นสัตว์ต่ำ เราเองเป็นสัตว์นรกสัตว์อบายตัวนั้น เราจะต้องเลิกละหลุดพ้นให้ได้เราจะต้องศึกษาให้รู้ตัวตนของสัตว์นรกตัวนั้นจริง แล้วเราจะหลุดพ้นออกมาอย่างไร มีวิธีอุบายเครื่องออกอย่างไร ปฏิบัติให้หลุดพ้น จนกระทั่งหลุดพ้นได้ ก็จะเห็นว่ามันไม่เที่ยงแท้ไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้มันลดลงได้จริง มาเป็นอันใหม่ไม่ได้ไปชั่วอย่างเก่าไม่ได้ไปจัดจ้าน หลงเลอะอย่างเก่า ก็จะทำได้ตกผลึกลงมาจนกระทั่งสมบูรณ์แบบได้ หลุดพ้นจนสมบูรณ์เต็มตัวได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลสมาธิปัญญาที่มีลำดับอันน่าอัศจรรย์
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีปฏิบัติที่สุดวิเศษ ที่มีจุดเริ่มต้น และมีขั้นต่อไป จนถึงที่สุดจบได้จริง ครบรอบถ้วน หมด“ติดกัก” ไม่มี“ความสะดุดชงัก” เพราะลาด ลุ่ม ลึกไปสู่ที่สูงที่สุดแห่งความสุด เป็นลำดับได้สัมบูรณ์จากพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ปหาราทสูตร พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงความสัมบูรณ์ได้สุดยอด ครบ 8 ข้อใหญ่
พุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้
ปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่
พระพุทธเจ้า : มี 8 ประการ ปหาราทะ
8 ประการ เป็นไฉน?
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด(อนุปุพพนินโน) ลุ่ม(อนุปุพพโปโณ)ลึกลงไปโดยลำดับ(อนุปุพพปัพภาโร) หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่(นายตเกเนว ปปาโต) ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา(สิกขา)ไปตามลำดับ มีการกระทำ(กิริยา)ไปตามลำดับ มีการปฏิบัติ(ปฏิปทา)ไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ)
ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำไปตามลำดับ(อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพพปฏิปทา) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ) นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ 1 (ปฐม อัจฉริโย อัพภุตธัมโม) ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
เช่นอาตมาขยายศีล 3 ข้อแรก ศีลข้อ 1 เราทำได้ชัดเจนเห็นผล แม้แต่ศีลข้อ 2 หมายถึงอุตุนิยามพีชนิยามไม่มีจิตวิญญาณ เป็นของ ต่างจากสัตว์คือไม่มีการจองเวรจองกรรมไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ แต่กับของคุณก็อย่าทุจริต ไม่ว่าจะวัตถุข้าวของเงินทองเพชรนิลจินดา แม้แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ที่มันไม่ใช่ของเรา อย่าไปเอามาเป็นของเรา แน่นอน โดยการปล้นจี้ฆ่าแกงมันมา ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา หรือจะใช้เล่ห์ด้วยวิธีใดก็ตาม
กุหนา สมัยโบราณเจงกิสข่านก็ฆ่าแล้วเอามาเลย ทั้งแผ่นดินทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งคนสัตว์ ในยุคใหม่ซับซ้อน ใช้ลปนา ใช้คำพูดวาทกรรมโวหารเหมือนอย่างสมัยนี้ ไม่ใช่ฆ่าเองแต่สั่งให้คนฆ่าตายไม่รู้กี่ศพ ยังชำระคดีไม่หมดเลย ใช้อำนาจปัจจัยเป็นผู้สั่งฆ่า ตามกฎหมายผู้สั่งฆ่านั้นรับโทษมากกว่าอีก มีทั้งการฆ่าตัดตอน ฆ่าคู่ปฏิปักษ์ด้วยไม่รู้สีรู้สา เป็นปรากฏการณ์จริงฟีโนมีน่า ที่เกิดในปัจจุบัน ยกตัวอย่างมาได้ ความอัศจรรย์ข้อที่ 1 ผู้ที่ยังไม่รู้ไม่เคยเห็นมายังไม่มีเลยแน่นอน จะไม่สามารถหลุดพ้นได้
คำว่า ลาด ลุ่ม ลึก ไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นั้นก็คือ ลำดับของการศึกษา(สิกขา)ก็ดี ลำดับของการประพฤติที่ได้ทำกันจริงๆ(กิริยา)ก็ดี และลำดับของวิธีการแห่งปฏิบัติทั้งหลาย(ปฏิปทา)ก็ดี ล้วนดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม ดีมาก ไม่สะดุดตะปุ่มตะป่ำ ไม่ขรุขระ ไม่อีโหลกโขลกเขลก ไม่กลับไปกลับมา ไม่ต่ำตกวูบแล้วก็พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด หกคะเมนตีลังกาอย่างไม่เป็นท่า หรืออะไรอย่างนั้น แต่เป็นระบบระเบียบเรียบราบดี ไม่วุ่นวนสับสนไปมา เดี๋ยวกลับหน้า เดี๋ยวกลับหลัง
นั่นคือ หลักเกณฑ์สำคัญหลักแรกยิ่งใหญ่คื อ “ศีล-สมาธิ-ปัญญา”
ปัญญาเป็นความฉลาดที่มีพลัง พลังนั้นเรียกว่า ปุญญะ จะเป็นพลังบุญพลังของบุญ ปัญญาทำให้เกิดพลังงานของบุญ ปัญญาเป็นนาม ปุญญะคือรูป เป็นเครื่องหั่น กิโยติน ถ้าเป็นเปาบุ้นจิ้นก็คือเครื่องประหารหัวสุนัข
ศาสนาพุทธทุกวันนี้กลับกลายเป็นนิยมการหลับตา ออกป่าเขาถ้ำ
ยุคเทคโนโลยี่สมัยนี้ ขนาดNostradamus ยังบอกว่า ต่อไปจะรบด้วยท่อนเหล็กเสียงดัง ยุคนี้เครื่องมือมันเหลือเกิน ใช้สัญญาณที่มองไม่เห็นเลย
“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้ จะปฏิบัติได้ผล“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา-อธิมุตโต”ไปตามลำดับ และเกิด“วิมุตติ”ไปเป็นขั้นๆ เป็นเรื่องๆ
เมื่อผลของ“ศีล”นั้นทำให้“จิต”สะสมผลได้“อธิจิตตั้งมั่น”เข้าขั้น“สมาธิ”ครบรอบต้น “อธิปัญญา”ก็รู้แจ้งรู้จริงในผลที่สั่งสมตกผลึกเป็น“สมาธิ”รอบต้นนั้นไปตามลำดับ
จนกระทั่ง “ศีล”ข้อนั้นปฏิบัติจนมีผลทำให้“จิต”สะอาดบางจางจากกิเลสไปเรื่อยๆ และควบแน่นเข้าๆ กระทั่ง“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นกลาง” และที่สุด“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นปลาย”เรียกว่า “วิมุตติ” ก็จะมี“อธิปัญญา” ตามรู้ใน“อธิ”ต่างๆทั้งหมดนั้นๆไปด้วยตลอด จนที่สุดกิเลสหมดเกลี้ยงก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า“กิเลสเกลี้ยง”ด้วย“อธิปัญญา”(หรืออภิปัญญา)นั่นเอง เรียก“ผล”สุดท้ายนั้นว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ”ใน“สมาธิ”นั้นๆ สมาธิเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ตาม
เช่นเรื่องไม่เกี่ยวกับสัตว์ พวกเราไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ไม่กินไม่เลี้ยง ได้เป็นสมาธิอย่างสูงเลยเป็นความตั้งมั่นของผล อธิ ขั้นวิมุติญาณทัสนะ พูดแล้วก็ชัดเจนพวกเราไม่มีจิตที่จะไปอะไรกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ยิ่งสัตว์ใหญ่เราไม่เกี่ยวข้องได้เลย ไดโนเสาร์เราก็มีแต่รูปปั้น รูปปั้นช้างก็มีฮิปโปก็มี เราจะเกี่ยวกับจุลินทรีย์ มันกว่าจะพัฒนามาก็อีกไกล กว่ามันจะพัฒนามาเราก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ไม่งั้นก็ไม่ได้ จะไปกินยาเข้าไปจะไปฆ่าเชื้อโรคฆ่าจุลินทรีย์ ไม่ได้ พยาธิก็ไม่ต้องถ่าย สัตว์จุลินทรีย์ก็ไม่ได้ นี่พวกเชนสุดโต่ง เขาไม่กินยาให้จุลินทรีย์มันฆ่าเราตายไปพร้อมกับมันเลยพวกเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุติ-วิมุตติญาณทัสสนะ”นั้นคือ “กระบวนการ(process)”ที่เป็น “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ)” สอดซ้อนสานกันไปอย่างเป็นระบบ ลาด ลุ่ม ลึก ละเอียดราบเรียบอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
สมณะฟ้าไทสรุป...จบ
จบวันนี้
ถ้าผู้ปฏิบัติมี“กระบวนทัศน์(paradigm)”ที่มี“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”และปฏิบัติ
เป็นลำดับเข้าขั้น“สัมมาทิฏฐิ”ตาม“ทฤษฎี”(ทิฏฐิ)ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”พระพุทธเจ้า
ซึ่งจะเกิดผลจากการปฏิบัติไปตามลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก สนิทเนียน แนบแน่น(อัปปนา) แน่วแน่(พฺยัปปนา) ปักมั่น(เจตโส อภินิโรปนา)ไปตาม“กระบวนการ”ของ“สังกัปปะ 7”
และการอบรมศึกษาฝึกฝนก็เป็นขั้นๆไปตาม“ศีล”ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือลงมือปฏิบัติศีล จากสำรวมทางกายกรรมภายนอก แล้วเกิดผลทางจิตเป็นอธิจิตไปตามศีล อันมีกำหนดขั้นตอน ข้อ 1-2-3-4-ฯลฯ...เป็นต้น
ไม่ใช่ ไม่มี“ศีล” แต่“ศีลนี้แหละทำให้เกิด“อธิจิต” เกิด“อธิปัญญา” และเกิด“อธิมุติหรืออธิโมกข์(จิตเจริญโน้มไปสู่ทางสูงขึ้นๆ)”ไปตามลำดับ กระทั่งเกิด“วิมุตติญาณทัสสนะ” กล่าวคือ กายกรรมก็เจริญ วจีกรรมก็เจริญไปตามลำดับ เพราะมี“จิต”เจริญเป็นประธานอยู่ข้างในแท้ๆที่บงการ“กาย-วาจา”ให้ดีขึ้นๆ เพราะแน่นอน“จิต”นั้นแหละที่เจริญก่อนตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง”ไง ผู้ปฏิบัติเองจะรู้ได้ด้วยตัวเองแท้ๆ
เห็นไหมว่า มันไม่ใช่“เจโตสมาธิ”ที่ปฏิบัติด้วยวิธี“หลับตา”แล้วหลงผิดกันไปว่า จะบรรลุอรหันต์กันด้วยทางลัดทางตรงกันเลย(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ) โดยไม่เกี่ยวอะไรกับ“ศีล”กับ“ปัญญาภายนอก” ดังที่นักปฏิบัติ “หลับตา”ทั้งหลายปฏิบัติกันนั้นเป็นอันขาด
หรือไม่ก็มี“ศีล” ปฏิบัติศีล แต่ปฏิบัติแบบมีทิฏฐิว่า“ศีล”จะควบคุมกายกับวาจาเท่านั้น ส่วน“สมาธิ”ก็ไป“หลับตา”ปฏิบัติต่างหาก “ศีล-สมาธิ-ปัญญา”ไม่ได้“ปฏิสังเคราะห์(synthesis)”กันเลย แยกกันไปทำคนละส่วน
“จิตวิญญาณ”ก็“จิต”อยู่ที่“วิญญาณ”ไป ส่วน“พยัญชนะ”ก็อยู่ที่“บัญญัติ”ไป “สภาวะกับพยัญชนะ”ไม่มีโอกาสร่วมรู้-ทำสัมพันธ์ หรือร่วมสังเคราะห์อะไรกันเลย
“จิตวิญญาณ”นั้นคือ“เทฺว”ในตัวคน คือ “ธรรมะ 2”คือ“สภาวะของธาตุรู้”ที่ตนรู้ตนได้
แต่“เทฺวนิยม”เป็นเหมือนวัตถุ ตนเองคิดอะไรไม่เป็น ตัว“เทฺว”ในตัวคนนั้นเป็นได้แค่“ลูกทาสแห่งแท่งความรู้ที่สำเร็จรูป”เท่านั้น
“เทฺวนิยม”ทั้งหลาย“ตีอัตตาตัวเอง” ไม่แตก แยกไม่ออก จำนนอยู่กับคำสั่งตายตัว
ทั้งๆที่เป็น“จิตวิญญาณของเราเอง” เป็น“จิตวิญญาณ”ที่สามารถ“รู้”อะไรต่ออะไรแยกย่อยออกไปอีกหลากหลายมากมายมหาศาลได้ นับไม่ถ้วน แต่ถูกจำกัดไว้เสียแล้วว่า อย่าเชียวนะ! ต้องอยู่ในกรอบ เชื่อ “เทฺว”ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ คือ “พระเจ้า”เท่านั้น
ชาว“เทฺวนิยม”ทั้งหลายจึงไม่มีทฤษฎี-ไม่มีวิธีปฏิบัติที่จะทำให้จัดการกับความเป็น “ธรรมะ 2”หรือ“เทฺว”ในตนได้หลากหลายเลย ไม่มีกระบวนการของ“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา” จนเกิด“วิมุติ-วิมุตติญาณทัสสนะ”เป็นไปตามลำดับ จึงไม่สามารถได้รู้ความจริงตามความเป็นจริงไปตามลำดับ เป็นอันขาด
การได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของอะไรต่ออะไรต่างๆสารพัด ด้วย“การสัมผัสของตนเอง”ทั้งหลายนี้ด้วยตนเอง จึงทั้งรู้ทั้งทำให้เกิดเองเป็นเองได้อย่างสุดวิเศษ ซึ่งมันน่าอัศจรรย์ เพราะมันลาด ลุ่ม ลึก ไปตามลำดับชนิดที่เดาเอาไม่ได้เลย มันต้องมี“ของจริง”กันจริงๆ จึงจะได้สัมผัสถึงความเรียงลำดับที่เรียบราบสุดวิเศษนี้ ว่าเป็นจริงเช่นใด? ไม่มีอะไรขรุขระ หรือวุ่นไปวนมา กันไฉน? มันจึงทั้งสูงสุด(ultimate) ทั้งสัมบูรณ์(absolute) นี่ก็เป็น“ธรรมะ 2”ครบครันอีกคู่หนึ่ง
เพราะปฏิบัติด้วยทฤษฎี“ธรรมะ 2”หรือ “เทฺว”นี้แล อย่างลาด ลุ่ม ลึก ไปตามลำดับ
จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจากความเป็น“เทฺว” ทั้งหลาย ได้เป็นลำดับๆ จนหมดสิ้น กระทั่งถึง“เทฺว”สูงสุด ที่เรียกกันว่า “พระเจ้า”ได้จริง
“ความรู้ที่วิเศษยิ่งใหญ่”โลกุตระฉะนี้แล ที่“พยัญชนะ”ใช้คำว่า “ปัญญา” ส่วน“สภาวะ”ก็เป็นเนื้อแท้ใน“โลกุตระ” ซึ่ง“สภาวะ”ที่“ปัญญา”สามารถ“รู้”ได้นั้นไม่ใช่อะไร คือ “ธาตุรู้ที่วิเศษยิ่งใหญ่”ที่คนทุกคนถ้าเรียนรู้เป็นสัมมาทิฏฐิจะสามารถ“หยั่งรู้”ความเป็น“เทฺว”ทั้งหลายทั้งหมด แยกแยะได้ ตี“เทฺว”แตกออกไปเป็น“ธรรมะหลากหลาย”ได้ จึงเป็น“ความรู้”ขั้นโลกุตระ และจุดสำคัญที่ตีแตก แยกออกเป็นแกนหลักตัวยิ่งใหญ่ของการเรียนรู้“จิตวิญญาณ”
ทั้งหลายได้หมดต่อไป ก็คือ เวทนา นี่เอง เป็นฐาน แก่นสำคัญ ที่ทำแล้วช่วยแก้ปัญหาทั้งตนเอง และสังคมได้แท้จริงไปทันที จึงเริ่มต้นกันที่“เวทนา 2” แล้วทำเวทนา 2 นี้ให้เป็น“เวทนา 1”ได้ และลึกล้ำสูงขึ้นเป็น“0” ก็จะสามารถรู้“ทุกสิ่งทุกอย่าง”ได้ทั้งหมด
ความสามารถจัดการ“เวทนา” จากที่เป็น “ธรรมะ 2”ให้เป็น“ธรรมะ 1”และ“0”ได้ปานฉะนี้เรียกว่า ความสามารถของ“โลกุตรธรรม”
“ธรรมะ 2”ก็ดี “โลกุตระ”ก็ดี เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อันจะเกิด
อยู่ในวัฏฏสงสารของเอกภพ หรือเกิดอยู่ใน“กรรมกับกาล”นี้เอง ซึ่งรู้ได้ด้วยทฤษฎี“เทฺวธัมมา ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ”[หลักธรรมะ 2 นี้แล หากทำเวทนา 2 ให้เป็นธรรมะ 1 แล้ว จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในธรรมะ 2 ทั้งหลายได้จากต้นถึงที่สุด]
“โลกุตระ”จึงเป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ที่สามารถจัดการกับ“เทฺว”สำเร็จแท้
“เทฺว”ที่เป็นพยัญชนะ บัญญัติ แปลว่า 2
“เทฺว”ที่เป็นสภาวะ คือ “จิตวิญญาณ”
“จิตวิญญาณ”นี้ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งจริง
แต่ผู้มี“ปัญญา”จะไม่หลงยึดว่าเป็น“ตัวเรา”
หรือเราเท่านั้นที่“รู้”เป็นหนึ่ง หลงตนว่าใหญ่สุด
ผู้มี“ความรู้”ทาง“พยัญชนะ”ในความเป็น“ธรรมะ 2” แต่ไม่สามารถมี“ปัญญา”หยั่งรู้เข้าไปถึงความเป็น“จิตวิญญาณ”จริงๆได้ ก็เพราะ“เทฺว”หรือ“ธรรมะ 2”นี้แหละ ที่บรรดา“เทฺวนิยม”ทั้งหลาย“ตีไม่แตก-แยกไม่ออก” ก็เลยต้องจำนนอยู่กับ“ความเป็นเทฺว”ที่จับตัวเป็น“ก้อนเดียว”ที่ได้แค่“ก้อนรูปธรรม” หรือมีแต่“พยัญชนะ” มีแต่“ภาษา-บัญญัติ”เท่านั้น
จึงติดยึดแข็งทื่ออยู่กับ“เทฺว” ขยายเป็น“ความรู้”ในความเป็น“2 (เทฺว)”กันไม่ได้ แยก “ความเป็น 2 (เทฺว)”ออกเป็น“1”ก็ไม่ได้ เขามี“เทฺว”อยู่แค่“บัญญัติ” อยู่แค่“พยัญชนะ” เข้าไม่ถึง“สภาวะ” แยกสภาวะไม่ออก ตีไม่แตก จึงจำนนต้องอยู่กับ“เทฺว”ที่เป็น“ธรรมะ 2”นิรันดร ด้วย“ความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน,อภินิเวส)” เป็น“อวิชชา”ที่ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทอยู่
จิตวิญญาณยังคงความมี“อวิชชา”อยู่ ยังไม่มี“วิชชา”ไง! ยังวนอยู่ในโลกียภูมิ
จิตวิญญาณของคนผู้นี้นี้จึงยังไม่พัฒนาออกนอก“โลกเก่า”ไปมีธาตุรู้ชนิด“อื่น”(อัญญะ) ที่แตกต่างเป็นคนละภูมิไปจาก“โลกียภูมิ” จึงยังไม่มี“อัญญธาตุ”ที่จะเป็นรากฐานพัฒนาขึ้นเป็น“อัญญา(ความรู้แบบโลกุตระ)”ได้ จึงไม่มี“ความรู้”ชนิดใหม่ที่เป็น“โลกุตรภูมิ”
“ความรู้”จึงยังไม่เข้าขั้น“ปัญญา”ที่จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงคือตีแตกในความเป็น “ธรรมะ 2”หรือ“เทฺว”ได้ แต่อย่างใดเลย
ชาว“เทฺวนิยม”ทั้งหลายจึงมี“ธรรมะ 2” ที่ตีไม่แตกนี้ และอยู่กับ“ธรรมะ 2”นี้ด้วย
ความจำนนแท้ๆ เพราะ“ไม่รู้ธรรมะ”ขั้นนี้ ไม่รู้“อัตตาหรืออาตมัน”ได้มากยิ่งไปกว่านี้
เช่น ไม่รู้“อัตตา”ที่ตนเองยังยึดมั่นถือมั่นอยู่แท้ ยังแยกไม่ออก ตีไม่แตก ซึ่งคนเราสามารถกำจัดความยึดมั่นถือมั่นใน“อัตตา”นี้ได้จริงๆ และกำจัด“อัตตา 3”ในจิตได้หมดสิ้น(โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา) ไม่เหลือเป็นเราเป็นของเราสิ้นสนิท จึงเจริญสูงสุดแห่งที่สุดได้แท้ แต่กลับ“หลงผิด”ซ้ำอีกว่า “เทฺว”นี้ยิ่งใหญ่สุดๆเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดจึงยึดมั่นถือมั่นแน่น ยิ่งว่า สูงสุดแล้ว ตีไม่แตกแล้ว แยกไม่ได้แล้ว ยอมแค่นี้แล้ว ที่แท้ก็แค่ยังเป็น“โลกียภูมิ”อยู่
ไม่เชื่อว่า ตีแตก-แยกแยะ(distinguish) “ธรรมะ 2 (เทฺว)นี้ได้ ไม่เชื่อว่า ใน“ธรรมะ 2”
ของความเป็น“เทฺว”นั้นจะยังมี“ความเป็นจิตวิญญาณ”ที่สามารถ“รู้ยิ่งเห็นจริง”ในความเลิศประเสริฐยอดที่“เทฺว”นั้นยังมีภาวะเป็น“อััตตา(อาตมัน)”ให้ศึกษาและจัดการ(อภิสังขาร)”
ด้วยปัญญาให้เป็น“ธรรมะ 1”หรือ“0”ได้อีก
ชาว“เทฺวนิยม”ผู้ยังไม่ยอมศึกษาค้นคว้าเรื่อง“จิตวิญญาณ”ต่อไปอีกแล้ว ชนิดที่ยึดมั่นถือมั่น“เทฺว”แน่น ตีไม่แตก-แยกไม่ออก ไปนิรันดร ก็มีคนที่เป็นอยู่จริง ก็เห็นกันได้ทั่วไป ดังที่เป็นกัน ยืนยันอยู่มากมายในโลก
ผู้เริ่มเรียนรู้“ธรรมะ 2”ของความเป็น“จิตวิญญาณ” จะเริ่มรู้ความเป็น“จิตวิญญาณ”ไป
ตั้งแต่ต้นได้ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจาก“ของจริง-ความจริง”ของตนในตนนี้แหละ ตั้งแต่ต้น เป็นลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก ลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ จึงสามารถเรียนรู้“จิตวิญญาณ”ซึ่งก็คือความเป็น“เทฺว”ได้บริบูรณ์และสัมบูรณ์ครบสุดสูงสุดได้ด้วย“ปฏิจจสมุปบาท”บ้าง ด้วย“โพธิปักขิยธรรม 37”บ้าง ด้วย“จรณะ 15 วิชชา 8”บ้าง หรือด้วยสูตรนานาต่างๆมากมายของพระพุทธเจ้านั้นแล ตามแต่ใครใช้เหมาะ ซึ่งรวมลงในหลักการศึกษาสุดยอดคือ ไตรสิกขา อันมี“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้เอง
“ไตรสิกขา” การศึกษา 3 เส้า หรือการศึกษาที่มี“องค์ 3”คือ “ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้แล เป็นการศึกษาทั้งต้นและเป็นทั้งที่สุด ยิ่งใหญ่สุดๆในพุทธ จงเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิเถิด
พระอรหันต์นั้น ชื่อว่า ศีลบุคคล เป็นต้น หมายความว่า อรหันต์นั้นคือ บุคคลที่“มีศีล” ของพระพุทธเจ้า ชนิดที่เป็น“อธิศีล-อธิจิต-อธิมุต-อธิปัญญา-วิมุติญาณทัสสนะ”กันแน่แท้
เช่น “องค์ 3”คือ“3 เส้า”หรือ“ISH”ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา” โดยเริ่มต้นจริงๆคือ“ศีลข้อ 1”นั้น พระพุทธเจ้าจัดเป็นเรื่องต้น และเป็นเรื่องสุดท้ายด้วย ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“จิตนิยาม”สัมบูรณ์ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดแน่นอน ที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับ“สัตว์”
“องค์ 3”หรือ“3 เส้า”หรือ“ISH”ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นั้น ก็ต้องศึกษาปฏิบัติไปตามลำดับ ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ที่มี“สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ)” อันเป็นระบบระเบียบอย่างน่าอัศจรรย์
“องค์ 3”หรือ“3 เส้า”หรือ“ISH”ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้เป็น“กระบวนธรรม”ที่ต้องศึกษากันอย่างสำคัญสุขุมคัมภีรายิ่ง
I(ไอ) คือ ตัวเราเองเป็นประธาน
S(she) คือ ตัวเขาที่เป็นเพศหญิง(อิตถีภาวะ)
H(he) คือ ตัวเขาที่เป็นเพศชาย(ปุริสภาวะ)
“3 เส้า”นี้เกี่ยวกับ“จิตวิญญาณ”ทั้งนั้น หรือเป็นเรื่องของ“สัตวโลก” เป็น“จิตนิยาม” ขั้นเวไนยสัตว์ ที่พัฒนาถึงมนุษย์โลกุตระด้วย
เพราะ“สัตว์”คือ ภาวะของ“จิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นภาวะที่สูงกว่า“พีชนิยาม”แล้ว
“ศีล”ข้อ 1 พระพุทธเจ้าจึงเริ่มกันที่“สัตว์” สังเกตกันดีๆพิจารณากันลึกๆเถิด ศีลข้อ 1 นั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรื่อง“สัตว์” เป็นข้อต้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญญูเรื่อง“ธรรมนิยาม 5” จึงเห็นเรื่อง“ชีวิตสัตว์”ว่า มีความสำคัญยิ่งขนาดไหน มันเริ่มต้นและที่สุดกันเชียวนะ ในความเป็น“สัตว์”เพราะมันเกี่ยวกับ“ธาตุรู้”ที่จะรู้ยิ่งได้ถึงขั้น“ปัญญา”นะ!
คนทุกคนก็มีจิตวิญญาณเป็นประธาน พระพุทธเจ้าก็เป็น“คน”ที่มีจิตวิญญาณเป็นประธานเช่นเดียวกัน ไม่ต่างกันเลยในข้อนี้
ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทำจิตวิญญาณได้ เราหรือทุกคนก็มีสิทธิ์ทำได้เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ถ้าคนผู้นั้นสามารถสั่งสมบารมี พากเพียรไปจนเท่าเทียมหรือเหมือนพระพุทธเจ้าที่สามารถฝึกอบรมตนจัดการกับ“จิตวิญญาณ”ให้ดีสุด เจริญสูงสุด เท่าที่คนหรือมนุษย์จะพากเพียรสั่งสมบารมีเอาได้
ซึ่งต้องใช้เวลาหลายล้านชาติเท่านั้นเอง หรือเว้นแต่ตัวคุณนั่นแหละ ไม่สามารถสั่งสมบารมีให้ได้ ให้ถึงที่สุดแห่งที่สุดนั้นเอง
“ธรรมนิยาม 5”นั้นมี“จิตนิยาม”นี้แลที่เป็น“ระดับกลาง”ของ“ธรรมนิยาม 5”ทีเดียว
ซึ่ง“จิตวิญญาณ”นี้แหละที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอุตุนิยาม-พีชนิยาม และกรรมนิยาม-ธรรมนิยามได้ และจัดการกับทั้ง 4 นิยามนั้นได้อย่างเก่งกาจ สุดฉลาดควบคุมบริหารจัดการ“อยู่เหนือ” 4 นิยามนั้นได้จริงๆ
อุตุนิยามก็ดี พีชนิยามก็ดี ที่เป็นเรื่องของดินน้ำลมไฟ วัตถุธรรมทั้งหลาย หรือแม้จะเป็นชีวะขั้นพืช ทุกวันนี้คนสุดฉลาดเฉลียวควบคุมบริหารจัดการเป็น“นาย”มันกันไปได้ทั้งโลกอย่างเป็นเรื่องสามัญสาธารณะแล้ว
แต่“กรรมนิยาม”กับ“ธรรมนิยาม”นั้น เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งยิ่งใหญ่มากสุดๆ ซึ่งมีศาสนาพุทธนี้แหละที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“กรรม”เป็น“วิบาก” และจัดการ
กับ“กรรม”และเรื่อง“ธรรม” เป็นเรื่องเอกในศาสนาทีเดียว [“กรรมวิบาก”นี้เป็นอจินไตยเชียวนะ]
ศาสนาอื่นเพราะขี้เกียจจะจัดการตน เอง หรือไร? ก็เลยปล่อยให้“พระเจ้า”เป็นผู้จัดการให้เสียเลยหรือเปล่า ก็ไม่รู้!!! หรือเพราะเชื่อเด็ดขาดว่า “ตัวเองเป็นผู้จัดการตนเองทุกกรรมกิริยาของเราเองไม่ได้จริง” ต้อง“พระเจ้า”เท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นผู้จัดการเรา เราไม่มีสิทธิ์แท้จริงเลย ...ก็ไม่รู้ได้
ถ้าไม่เป็นไปดังว่านี้ คนผู้ใดก็ตาม มันก็ต้องเชื่อว่า “กรรม”หรือ“การกระทำ”ให้ชีวิตตนเองขึ้นสวรรค์ หรือเป็นไปดี(กุศล) เป็นไปเลว(อกุศล) หรือจะทุกข์-จะสุข-จะไม่ทุกข์ไม่สุขเลย ก็ตัวเองนี่แหละเป็นผู้“กระทำ”ให้ตนเองเป็นไปทั้งสิ้น ไม่มีใครจะมาทำให้เรายิ่งใหญ่ไปกว่าเราเป็นเด็ดขาดแน่นอนที่สุด “ไม่มีอำนาจ”ใดจะมาทำให้เราเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ได้ยิ่งกว่าเรา“ทำเอง”ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 581 ว่า “ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน(กัมมัสกะ) เป็นทายาทของกรรม(กัมมทายาท) มีกรรมเป็นกำเนิด(กัมมโยนิ) มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์(กัมมพันธุ) มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย(กัมมปฏิสรณา) กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้(กัมมัง สัตเต วิภชติ) หรือในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 282 ว่า “โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม(กัมมุนา วัตตตี โลโก) หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม(กัมมุนา วัตตตี ปชา) สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเครื่องผูกพัน(กัมมนิพันธนา สัตตา) เหมือนกรรมกงวงล้อรถที่วิ่งหมุนไปอยู่(รถัสสาณีว ยายโต)
ดังนั้น ผู้สัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธได้แท้จริง จึงชัดเจนตัวเราเองนี่แหละรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า กรรมจำแนกสัตว์(กัมมัง สัตเต วิภัชชติ) หรือสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม(กัมมุนา
วัตตตี โลโก)เป็นต้น ไม่ใช่เป็นไปตามพระเจ้าแน่
“สัตวโลก”จึงเป็นไปตาม“กรรม”ที่ตนทำจริงๆ ไม่มีอะไรจริงเท่าพลังกรรมเป็นอันขาด
ศาสนาพุทธจึงมี“กรรม”เป็นใหญ่ที่สุด ไม่ใช่มี“พระเจ้า(God)”เป็นใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่า“กรรม”ของเราเองเป็นแน่แท้ คนในศาสนาพุทธจึงจัดการตนเองให้“พ้นทุกขอาริยสัจ”ได้สำเร็จจริงๆแท้ๆ และมีสติสัมปชัญญะปัญญาจัดการกับ“กรรม”ด้วยตนเองเต็มสัมบูรณ์ ไม่ต้องไปห่วงกังวลว่าจะมี“อำนาจแฝงของพระเจ้า”คอยซุกอยู่ในจิต และแซกแซง“การกระทำ”ของเราอยู่เสมอ
ศาสนาพุทธจึงมี“อิสระเสรี”สุดๆตลอดกาล ศาสนาเดียวในโลก เพราะไม่มี“พระเจ้า” เฝ้าเป็น“นาย”นิรันดรอย่างที่“เทฺวนิยม”มีกัน
ศาสนาพุทธจึงสามารถมีนิพพานได้ ก็ด้วย“กรรม”และกับด้วย“ธรรม”นี้เอง(กรรมกับ
ธรรมก็คือธรรมะ 2 คือเทฺว) จึงเป็น“โลกุตรธรรม” ที่“อยู่หนือ(อุตตระ)”ภาวะที่เป็น“เทฺว”หรือภาวะ แห่ง“ความมี”อย่างเป็นนิรันดรเช่นกัน ได้แท้“นิรันดร”ใน“เทฺว”ที่เป็น“พระเจ้า” คือ “ความมี”ที่ตีไม่แตก แยกไม่ได้อยู่ชั่วกาลนาน เพราะมี“อัตตา”ตราบนิรันดรอยู่จริง แต่“นิรันดร”ใน“อเทฺว”ที่เป็น“นิพพาน” คือ “ความไม่มี”ที่ตีแตก แยกได้ ก็นิรันดรนะ เพราะไม่มี“อัตตา”ไปตราบนิรันดรได้แท้ ซึ่งตรงกันข้ามกันคนละขั้ว “ดำกับขาว”ที่ลัทธิ“เทฺวนิยม”หมดสิทธิ์ที่จะมีนิพพาน” เพราะมี“พระเจ้า”เป็นปรมาตมันไปนิรันดร
ยิ่งในความมี“อิสระ”สูงสุด “เทฺวนิยม”ยังตกอยู่ใต้อำนาจ“พระเจ้า” จะทำตนเองให้สูง
เป็นที่สุดตามที่ตนต้องการ ด้วย“กรรม”ของตนเอง นั้นทำไม่ได้ ตนยังต้องต่ำกว่า“พระเจ้า”อยู่
ส่วน“อเทฺวนิยม”นั้นทำตนเองให้เป็นที่สุดเท่าใดๆตามที่ตนต้องการด้วยกรรม”ของตนเองได้ แม้จะทำให้เท่า“พระพุทธเจ้า”ก็มีสิทธิ์ จึงมี“อิสระ”สูงสุด ด้วยประการฉะนี้แล
เพราะ“กระทำเอง”ได้ด้วยตนเองจริง ไม่ต้องให้ใครมาบงการ หรือมาจัดการให้ จึงมีความเป็นใหญ่ใน“ตนเอง”เต็มที่สุด
ศาสนาพุทธจึง“จัดการ(อภิสังขาร)ตนเอง” ให้เป็นไปได้ด้วย“การกระทำ(กรรม)ของตน เอง” ชนิดที่มีผลสำเร็จจริงยิ่งใหญ่เป็นลำดับขั้นตอน อย่างน่าอัศจรรย์ ก็เพราะจัดการ(อภิสังขาร)กับเทฺว”คือ“ธรรมะ 2”นี้แลแท้ๆ ได้จริงๆ
ซึ่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ธรรมะ 2”อันเป็น“เทฺว” และจัดการกับความเป็น“เทฺว”ได้ชนิดที่สามารถตีแตกแยกภาวะที่เป็น“โลกียธรรม” กับขั้นภาวะที่เป็น“โลกุตรธรรม”ได้จริงอย่างมีปรากฏการณ์(phenomenon)ในคนสำเร็จจริง
จึงมี“นิพพาน”จริงได้สำเร็จ วิเศษแท้
ส่วน“เทฺวนิยม”นั้นหมดสิทธิ์ที่จะรู้แม้แค่เริ่ม“รู้จัก”นิพพาน ดังนั้นจะ“รู้แจ้ง-รู้จริง” นิพพานก็เป็นอันไม่ต้องกล่าวกันต่อไปได้เลย
พุทธทำลายกำแพงแห่งความเชื่อที่เชื่อว่า “จิตวิญญาณ”เป็น“อัตตา”นิรันดร และล้มล้างความยึดมั่นถือมั่นว่า “จิตวิญญาณ”ของมนุษย์อยู่ใต้ความบงการของ“พระเจ้า”ไปสิ้น
พุทธจัดการ“จิตวิญญาณ”ของตนเอง ได้เองด้วย“กรรม”ของตนเอง ไม่ใช่ God
อิสระเสรีดียอดมั้ยล่ะ?
เพราะความเป็น“จิตวิญญาณ”มันก็อยู่ที่เรา เราเป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ” เราเป็นเจ้าของ“กรรม” เราเป็นเจ้าของ“การกระทำ”
อะไรจะใหญ่ยิ่งไปกว่า“จิตวิญญาณ”ในความเป็นมนุษย์ คุณเป็นมนุษย์หรือเปล่า..หา!
มนุษย์นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับ“ธรรมนิยาม 5”ทั้งหลายมั้ยล่ะ? เกี่ยว..ใช่มั้ย?
โดยเฉพาะ “จิตนิยาม”นั้นสำคัญสุดเป็น“แกนกลาง”ของความเป็นมนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์ทรงรู้ยิ่งว่า “จิตนิยาม”
หรือความเป็น“สัตว์”นั้น มันมี“กรรม”ที่สั่งสมเป็น“วิบาก”กันจริง จองเวรจองกรรมกัน มันต้องเกิด-ต้องตายมาใช้หนี้วิบากกันให้เป็นทุกข์ทรมานกัน ด้วยอวิชชาของสัตวโลก จึงไม่จบ
“อุตุนิยาม”ยังไม่เป็น“ชีวะ” มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุขแน่ เพราะมันเป็นวัตถุดินน้ำไฟลม
แม้แต่“พีชนิยาม”ซึ่งเริ่มเป็น“ชีวะ” คือ “พืช” ก็ยังไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ชีวะขั้น“พืช”ยังไม่มี“กรรม” ไม่มี“วิบาก” ยังรักไม่เป็น ยังชังไม่เป็น ก็ยังไม่จองเวรจองกรรมกัน เพราะพืชยังไม่มีรักกัน พืชยังไม่มีชังกัน พืชมีแต่ผสมพันธุ์กันได้ แต่ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่มี“กาม”
พืช จึงเป็น“ชีวะ”ที่มันไม่สุข ไม่ทุกข์
“ไม่สุข-ไม่ทุกข์”นี้แหละคือ “อาการของจิต”หรือ“ความรู้สึก”ที่สำคัญที่สุดของชีวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และได้นำมาให้คนศึกษา พากเพียรทำ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น“ชีวะ”เหมือนกันกับ“พืช”ที่มีคุณสมบัติ “ไม่สุข-ไม่ทุกข์”ให้ได้ ดั่งที่ชีวะ“พืช”มันเป็น
ซึ่ง“พืช”ก็เป็น“ชีวะ” “คน”ก็เป็น“ชีวะ”
คนนั้น“จิตนิยาม”ถือว่าสูงกว่า“พืช”นะ!
แต่ทำไม..จึงโง่กว่าพืช “มีสุข-มีทุกข์”ล่ะ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:03:25 )
รายละเอียด
620120_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ยอดหัวใจในการปฏิบัติของศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1hcTolSrfBttBBJZhIWepoZ0JzCI9OufqdXZE665PA04/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1FEvc3pFna59yZiZWQMs4dlR-sWzyeiv3
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีศพของยายจันทร์เพ็ญ มาตั้งที่ศาลาเฮือนสูญศูนย์ เมื่อวานก็มีญาติธรรมที่เสียชีวิต คือคุณยายรจนา
การจัดงานศพของชาวอโศกเป็นงานศพที่เรียบง่ายและรวดเร็ว ไม่เสียเงินเสียทองเสียเวลา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ชุมชนที่มีสภาวะมรรคมีองค์ 8
พ่อครูว่า...ชาวอโศกประสบผลสำเร็จในคุณภาพที่วัดได้ ตรวจสอบวัดได้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้ามีสัมมาอาชีพบริสุทธิ์ สะอาด พ้นมิจฉาชีพ 5 พ้นจากมิจฉากัมมันตะ 3 มีสัมมาวาจา พ้นจากมิจฉาวาจา 4 มีสัมมาสังกัปปะ พ้นจากมิจฉาสังกัปปะ 3
อาชีวะ 5 คือ
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
เป็นคนรู้จักและทำสัมมาอาชีวะสัมมากัมมันตะสัมมาวาจา
เป็นคนรู้จักสังกัปปะ 7 ปฏิบัติรู้จักทำจิตให้ออกจากกาม พยาบาท และถึงขั้นออกจากวิหิงสา พยัญชนะเหล่านี้ ชาวอโศกปฏิบัติเข้าถึงสภาวะเหล่านี้ ไม่ใช่แค่มีบัญญัติภาษาเท่านั้น มีสภาวะที่ให้เป็นจริงได้ เข้าถึงเทวะ เข้าถึงความเป็น 2 มีทั้งรูปและนาม มีทั้งสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ มีทั้งบัญญัติและสภาวะ พูดแม้เร็วก็ไม่งง เหมือนสิริมหามายามีมุทุภูตธาตุ นี่คือสัจจะที่ชาวอโศกบรรลุธรรมพวกนี้ได้ นี่คือสิ่งที่ยืนยันพิสูจน์
อ่าน sms ก่อน
SMS วันที่ 17-18 ม.ค. 2562
_3867กราบขอบพระคุณพ่อครูอ่านเราคิดอะไรให้ฟังให้คนไม่ได้รับหนังสือฯได้ฟังชดเชยสาธุ!ได้รู้เรื่องการบ้านไร้อบาย การเมืองปลอดทุจริต!เกษตรไร้สารเคมีกสิกรรมปลอดสารพิษ!ทุนนิยมไร้ผูกขาดปชธต.ปลอดคอรัปชั่นด้วยเราคิดอะไร?ให้เราคิดดีพูดดีทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ต่อทุกสรรพสิ่งสาธุ
เราคิดอะไร?ฉบับที่พ่อครูอ่านเดือนมกราฯฤาเปล่า?ถ้าใช่?ทำไมผู้น้อยยังไม่ได้รับ?จนบัดนี้ฉบับธันวาปี61ที่ คุณใบแก้วบอกว่าส่งมาให้ 2-3 ครั้งก็ยังไม่ถึงผู้รับสักเล่มเดียว!ที่ได้รับเป็นฉบับพฤศจิกา61ซ้ำกัน!สมาชิก340
คิดถึงตอนคุณศีลสนิทเป็นผู้รับใช้บริการฯส่งเราคิดอะไร?ได้รับตรงเวลาช้าเร็วบ้าง แต่ก็สม่ำเสมอทุกเดือน! มีปัญหาอะไรติดต่อสอบถามก็ตอบรับทันทีบริการทันใจ!คุณศีลสนิทไปไหน ?
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ปัญญาคือธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่
_7680 ผมเริ่มจะเห็นแล้วว่า "ปัญญา" ที่แท้นั้น มันจะเห็นความจริงตามที่เป็นจริงของมันเอง โดยไม่ต้องพยายามใช้สมองไปบีบเค้นหรือปั้นแต่งถ้อยคำสวย ๆ หรู ๆ ออกมาเลย ผมขอน้อมนำคำสอนพ่อครูที่จะปฏิบัติศีลให้แข็งแรงตั้งมั่นยิ่ง ๆ ขึ้น และมั่นใจว่าเราจะมีปัญญาเห็นสัจจะยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับเอง
พ่อครูว่า...ปัญญานี่เป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทีเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆแม้แต่ในชาวพุทธไม่ง่าย มันเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งกว่าสัญญา
1 มันเป็นธาตุรู้ที่เกิดจาก อัญญา
2 มันเป็นธาตุรู้ที่รู้รอบรู้ลึกซึ้งซับซ้อน รู้รอบถ้วน เป็นต้น มันรู้ทั้งรูปทั้งนาม หยาบ กลาง ละเอียด โดยเฉพาะมันรู้พร้อมทั้งภายนอกและภายใน สัญญาก็รู้ได้ภายใน ภายนอกจะไม่รู้ ภายนอกได้อย่างฉาบฉวย การกำหนดสัญญาเป็นเรื่องความเร็ว ปัญญาเป็นธาตุที่เร็วและรอบถ้วน ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่รู้ได้ยากมาก กว่าปัญญาจะเกิดได้อย่างไร
ปัญญาจะถือว่าเป็นปัญญาสมบูรณ์คือหลังจากต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 ครบ แล้วเกิดผล เกิดผลรู้รอบ รู้จนเป็นวิมุติญาณทัสนะเป็นต้น ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ แล้วถึงขั้นวิมุตติญาณทัสสนะ นี่คือคุณสมบัติของปัญญา
ปัญญามีส่วนสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่า จะเป็นปัญญาได้ต้องมี 2 ตัวนี้คือ 1 ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 2 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีองค์ธรรม 6 ปัญญาเจริญยิ่งเป็นปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์มีสัมมาทิฏฐิแล้วต้องเดินตามมรรคมีองค์ 8
ปัญญาที่ไม่ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์แปดไม่ได้ มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ครบกระบวน และก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ หรือไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ความรู้ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะมีทิฐิที่ไม่สมบูรณ์
เช่นทำทาน ทำอย่างไรถึงจะมีผลต้องมีปัญญาตรวจสอบ ตรวจสอบจิตเจตสิกรูปนิพพาน ปรมัตถธรรม ว่าจิตเรามันเป็นอย่างไร สัมผัสแล้วทานแล้วมันจะเอาหรือเปล่า มันจะแลบเลียเป็นภพชาติหรือให้ไปแล้ว 0 ไม่มีภพชาติ จิตไม่มีสาเปกโขเลย
ต้องรู้ว่าจิตไม่มี สาเปกโขเป็นอย่างไร ไม่มีท่าทีต่อเนื่องจากการให้ให้แล้ว 0 สูญไปเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ตรงอย่างไม่มีโค้งไม่มีองศาโค้งเข้ามาหาตัวเอง นั่นคือการให้ที่มีคุณสมบัติเป็นผลสูงสุดไห้อย่างซื่อสัตย์สุจริต ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ให้ ไม่มีเอา ไม่มีโค้งมาเอานิดหนึ่งหรือมากก็ไม่มี
ปฏิบัติศีลพรตก็รู้ว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดผล เป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระ เป็นการละกิเลสและตัวตน ต้องรู้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติให้ชัดเจน รู้ว่าจิตของตนได้รับผล ว่าเป็นผลที่จิตของเราได้ลดกิเลส ปฏิบัติและจิตใจลดกิเลสจริง ทาน ศีล สะอาดจากกิเลส ได้ผลเป็นหุตัง เกิดผลเจริญในจิตใจเกิดจาก สุกตทุกฏานัง ทุกกรรมได้บันทึกผลเป็นวิบาก นี่คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 4
ข้อที่ 5 อยังโลโก ข้อที่ 6 ปโรโลโก รู้จักโลกที่หมุนเวียนไม่ไปหาโลกุตระ ชาวเทวนิยมจะวนอยู่ในโลกเก่าโลกียะ ไม่รู้จักโลกโลกุตตระคืออะไร ปฏิบัติธรรมและจิตของเราออกจากโลกเก่าบ้างไหม ปโรโลโก คือโลกอื่นโลกต่างจากโลกเก่านี่แหละ เป็นโลกที่แยกไปมีอัญญา อัญญะ หรือมีปรนิมิต อยู่ในโลกต่างดาวเราอยู่ในโลกโลกียคือโลกนี้ นี่พูดเป็นรูปธรรมไม่ใช่ว่ามีลูกโลกอีกโลกหนึ่ง แต่ก่อนอยู่ในโลกโลกียะเละเทะ เป็นลูกน้องให้เขาปั่นหัว พยายามจะเป็นนายทางโลกในโลกียะรวยในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สั่งสมวนเวียนในโลกีย์หลงว่าได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขยิ่งใหญ่ ชาติหน้าก็จะต้องยิ่งใหญ่
แต่นี่เรารู้ตัวแล้วไม่เอา เลิกทางนั้น มาปฏิบัติประพฤติเพื่อที่จะล้างกิเลสเก่าที่เราไปโลภมา เป็นโรคด้วยนะ อยู่ในโลกเก่าก็เป็นโรค เรามารักษาโรค ที่เป็นเชื้อโรคโลกีย์ จนเป็นอริยบุคคลเป็นโสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์ อาตมาไม่มีพูดเล่นนะว่าพวกเรานี้เป็นอาหารกันหลายคน แต่ไม่รู้ตัววน เพราะมันไม่ชัด วน ได้แล้วสะอาดแล้วก็ทำเลอะใหม่ แม้ชาวอโศกนี้แหละมีเยอะ ไม่รู้ที่จบ ไม่รู้ที่สุดแล้ว ยังไม่แม่น
ขอยืนยันพวกเรานี้เป็นอรหันต์หลายคน แต่ไม่รู้ที่จบ ก็เลยเลอะ ไม่รู้ที่จบวนไปเลอะใหม่มาล้างใหม่ เรียกว่าไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ชัดเจน
ถ้าชัดเจนแล้วจะเป็นลำดับที่ราบลุ่มเหมือนฝั่งทะเล อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะพูดจริง ที่อื่นไม่มีเลยที่จะมารู้เรื่องอย่างนี้โสดาบันไม่มี มีแต่อรหันต์เก๊ อรหันต์เดา ไม่มีโสดาบันสกทาคามีอนาคามี เขาอาจจะพูดบ้าง เขาพูดถึงปุถุชนแล้วเป็นอรหันต์เลย เขาจะไม่รู้ลำดับไม่รู้ขั้นตอน นี่ไม่ได้ดูถูกเขานะมันพูดถูก คือเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันน่าเศร้าใจศาสนาพุทธมันเสื่อมจนกระทั่งมันไร้คุณธรรมไร้สาระของพุทธ ไร้ความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถ มีปัญญา กำหนดรู้ต่างๆได้ คำว่าปัญญานี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นโลกุตระที่แท้จริง ปัญญาคือความฉลาดที่เป็นโลกุตระที่แท้ ไม่ได้เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ที่เรียกว่า เฉกาหรือเฉโก เพราะบาลีสองคำนี้ เฉกาหรือปัญญา มันหมายถึงความฉลาด 2 ชนิด คำว่าปัญญาของพระพุทธเจ้าหมายถึงความฉลาดที่เป็นโลกุตระที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความฉลาดนั้น เป็นความรู้ที่ฉลาดออกจากโลกโลกีย์ แต่ชาวโลกีย์ทั้งหลายเทวนิยมทั้งหมด ไม่มีปัญญามีแต่ เฉโกอย่างเดียวมีแต่ความฉลาดทางโลกีย์อย่างเดียวไม่ได้ออกจากโลกโลกีย์ ถึงไม่มีปัญญา แต่ขโมยเอาพยัญชนะคำว่าปัญญาไปเรียกคำว่าฉลาด
ฉลาดโลกีย์ก็คำว่าปัญญาไปเรียก คำว่าปัญญาจึงถูกดึงไปใช้เลอะเทอะ แล้วไปยินดีในคำว่าปัญญาแต่คำว่า เฉโกหายไปหมด คนฉลาดเดี๋ยวนี้ไม่เรียกว่าคนมี เฉโก แต่ไปเรียกปัญญาหมด เพราะรู้คำว่า เฉโก เป็นคำไม่ดี มันไม่มีศักดิ์ศรี ส่วนปัญญานั้นมีศักดิ์ศรีก็เลยเอาปัญญานั้นไปใช้แทนหมด คนหลงพยัญชนะก็เอามาใช้เลอะเทอะหมด
คำว่าปัญญาจึงต้องมาเรียนดูให้ดีทำความสำคัญมั่นหมายให้ชัดให้ดี คนมีปัญญาจึงไม่ใช่คนธรรมดา เป็นอริยบุคคล เป็นโลกุตรบุคคล คนปุถุชน ฉลาดเป็นศาสดาก็ไม่สามารถที่จะเป็นผู้มีปัญญาได้ จะเป็นฉลาดอัจฉริยะขนาดไหน ไม่มีทาง ไปหาทางหลุดพ้นได้ คือไม่รู้จักเนื้อแท้ของสภาวะกิเลส จับตัวกิเลสไม่ได้ จะเอาจริงเอาจังทำให้กิเลสลดได้ เห็นกิเลสมันลดได้ วิราคานุปัสสี เห็นกิเลสมันดับนิโรธานุปัสสี จนกระทั่งทบทวนให้มันดับสนิทไม่ฟื้นได้ปฏินิสสัคคานุปัสสี มีญาณปัญญาเห็นความจริงตามความเป็นจริงที่กล่าวมานี้หมดแล้วทำได้จริง ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่จริง
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครู กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุเจ้าค่ะ (ขอแสดงความเสียใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องเนตรด้วยคะ)
พ่อครูว่า...จัดการฌาปนกิจไปแล้ววันนี้ก็จะฌาปนกิจโยมจันทร์เพ็ญ คนหนึ่งอายุ 13 อีกคนอายุ 79 ก็ว่าไป นี่ก็จะมาอีกคนรจนา ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลอยู่ จะเอามาทางนี้หรือไปทางโน้นก็แล้วแต่ญาติเขา
_หลำ มงคลอินทร์ · แค่ได้เห็นก็เป็นสุข ด้วยความจริงเป็นที่ตั้ง สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้พ่อท่าน จงแข็งแรงยิ่งๆขึ้น ค่ะ
พ่อครูว่า...ก็ดีเห็นอาตมาแล้วเป็นสุขถ้าเห็นและเป็นทุกข์ก็คงจะแย่
_ถามแทนคนใหม่..1 การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธแท้ เราสามารถสะสมบุญได้หรือไม่ 2 การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลสามารถส่งถึงผู้ที่ล่วงลับได้หรือไม่
พ่อครูว่า…
_คุณคณิต..กระผมมีมานะทิฐิว่าตนได้พบธรรมะเอก และกระผมก็มุ่งหมายอยากจะให้เป็นพระเอกในโลกทีเดียว เทพีเสรีภาพ หวังสร้างให้มนุษยชาติมี อจินกรรมถึงธรรมะนี้ แล้วมนุษยชาติจะเจริญดุจกระผม กลับหลังที่จะทวนกระแสพระพุทธองค์
พ่อครูว่า..ตีความได้ว่าคนนี้ก็ยังรู้ตัวเองว่ามีมานะทิฐิถือดีไปหน่อย ได้พบธรรมะเอกแล้วอยากให้ทำมั้ยเอกเป็นเทพีเสรีภาพ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอะไร
_คุณเฉลิมชัย ล้อลีลา พระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้ออะไรด้วยปัญญาอะไรชั้นปัญญาที่ตรัสรู้มีกระบวนการอะไรครับ เป็นเรื่องพุทธ- วิสัยอจินไตยใช่ไหมคะ ยังมีบทละครสมมติที่จิตวิญญาณเขียนขึ้นมาด้วย นี้คือธรรมะอนุตตรธรรมอยู่เหนือโลกุตตระส่วนกรรมเกิดทีหลัง ขอให้พ่อครูอธิบายด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...ถามลึกเกินไป อาตมาคงไม่อธิบาย ที่จริงอาตมาตอบได้หมด แต่มันถามแบบอมความไปทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้ออะไร อาตมาได้บอกไปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้อเรื่องสุขเรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เรื่องดีชั่ว เพราะดีชั่วนี้รู้กันมากก็รู้กันหมด เทวนิยมหรือว่าศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่องดีเรื่องชั่วทั้งนั้น แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วให้เลิกจากความสุขความทุกข์ให้ได้ นี่คืออริยสัจของศาสนาพุทธ นี่คือหัวข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอะไร เป็นปัญญาโลกุตระ ปัญญาที่ไม่เหมือนคนในโลกที่ใครๆจะมี เพราะฉะนั้นในโลกนี้ไม่มีใครมีปัญญาเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าค้นพบอันนี้แล้วเลิกสุขเลิกทุกข์ เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่มีทางสิ้นความสุขสิ้นความทุกข์และจะหลงความสุขความทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะความสุขความทุกข์เป็น dualism
ความสุขความทุกข์เป็นเหมือนเหรียญสองด้านเหมือนคู่ที่แกะออกจากกันไม่ออก คนหลงความสุขแต่ความทุกข์นั้นมันก็ติดอยู่กับคนนั่นแหละ ด้วยคุณทำทีเป็นไม่รู้ มันแยกไม่ออก แต่เขาตีสองอันนี้ไม่แตกแยกอันนี้ก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ตีมันทิ้งหมดเลยทั้งสุขทั้งทุกข์ไม่เอาไว้ทั้งสอง
หมดทั้งสุขและทุกข์ก็จบ หมดทั้งสุขและทุกข์นี้คือหัวใจศาสนาพุทธ ตรัสรู้อะไรตรัสรู้ความสุขความทุกข์มีปัญญาอะไรปัญญารู้ความสุขความทุกข์ ชั้นปัญญาที่ใช้ตรัสรู้เป็นขั้นตอนอย่างไรคือธรรมะทั้งหมดของพระพุทธเจ้าใช่ทั้งนั้น กระบวนการทุกกระบวนการ เป็นเรื่องพุทธพิสัยเป็นเรื่องอจินไตยใช่ไหม ก็ใช่ เป็นเรื่องพุทธพิสัยเป็นเรื่องอาจินไตยที่เดาไม่ได้ แต่จะตามรู้เป็นลำดับไปได้เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย
ยังมีบทละครสมมติที่จิตวิญญาณเขียนขึ้นมาด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(บุญ) ตอน การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธ
_ของคนที่ถามแทนคนใหม่ การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธแท้เราสามารถสะสมบุญได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนเสื่อมไปทั้งหมด กล่าวได้อย่างนั้น เอาคำว่าบุญเป็นตัวยืนยัน คำว่าบุญ ปุญญะ คำนี้รู้ได้ยากมากเลย ว่ามันคืออะไร เป็นอย่างไรมีคุณสมบัติแค่ไหน ยากมาก
ปุญญะเป็นพลังงาน ที่อาริยบุคคลสร้างขึ้นที่จิต สร้างพลังงานขึ้นมาในปัจจุบันนั้น บุญนอกปัจจุบันไม่มี บุญนอกจากปัจจุบันไม่มี บุญเกิดได้ในปัจจุบันเท่านั้น จบปัจจุบันในกาละใดไม่มีบุญอยู่ ถามว่าบุญจะสะสมได้ไหม...สะสมไม่ได้เลย คนที่ยังหลงสะสมบุญอยู่นั่นคือคนที่งมงายอยู่ตลอดกาล ยังเข้าใจบุญไหม เข้าใจบุญไม่ได้แล้วจะมาสร้างบุญได้อย่างไร..ก็ไม่ได้ ผู้ที่สร้างบุญให้เกิดได้ก็ต้องรู้จักบุญที่ถูกต้องแท้จริงว่า มันหมายถึงสภาวะทำอย่างไร หมายถึงสภาวะที่เกิดในจิตปัจจุบัน พลังงานที่สร้างขึ้นมาทำอะไรสร้างขึ้นมาล้างกิเลสกำจัดกิเลส บุญนี้เป็น one way Traffic บุญนั้นเดินทางเดียว ฆ่ากิเลสอย่างเดียว นอกจากอย่างอื่นไม่ทำเลย ไม่แวะทำเลยมีหน้าที่เดียว เอกังเสนะ หนึ่งเดียว เอกเดียว ฆ่ากิเลสหน้าที่เดียวไม่มีหน้าที่อื่นเลย
ผู้ใดสามารถประกอบพลังงานจิตขึ้นมาแล้วทำให้กิเลสลดได้กำจัดกิเลสออกได้ แม้จะลดไม่หมดได้เป็นส่วนบุญ ได้นี่คือเสีย กิเลสถูกฆ่าไป เช่นฆ่ากิเลสไป 10 ไม่ได้อะไรมาเลยนะ คำว่าส่วนบุญคำนี้เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่มันได้แต่ไม่ได้
ได้ทำสำเร็จ แต่ไม่ได้อะไรมา ได้อะไร...ได้กิเลสหายไป ได้กิเลสหมดไปจากจิต มันไม่ได้ แต่มันได้ผล เพราะผลเป็น 0 คือไม่ได้อะไร นั้นคือสภาวธรรมที่ใช้ภาษาไขให้ฟัง
ผู้ที่ทำบุญถูกต้องของความเป็นพุทธ ทุกวันนี้หาไม่ได้เลย แต่ทุกวันนี้เข้าใจบุญว่าคือกุศล กุศลคือสมบัติสะสมอาศัยไว้ดี พระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่สันโดษในกุศล เราหมดบุญ
ปุญปาปปริกขีโณ เราเป็นผู้หมดบุญหมดบาป มีพระพุทธเจ้าทำได้มีพระอรหันต์ทำได้ แต่ว่ากุศลไม่มีหมด ขนาดพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังไม่สันโดษในกุศล ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ยังไม่หยุดเลย
ถ้าเข้าใจคำว่าบาปและบุญถูกต้องทำให้ถูกต้องก็เป็นอรหันต์ได้ในชาติใดชาติหนึ่ง อาจจะในชาตินี้ก็ได้ถ้าถูกต้องสัมมาทิฎฐิ ก็เป็นพวกใกล้ต่อนิพพาน หากไม่สัมมาทิฏฐิก็จะไม่รู้อีกกี่ล้านชาติ แม้จะเป็นผู้รู้ทางศาสนาใช้ความรู้ทางศาสนาหากินอยู่ ที่จริงก็เป็นบาปทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นคนเข้าใจผิดไปจากสิ่งที่ถูกต้อง สอนให้คนพากันผิดก็เป็นบาป ทำให้ผิดไปจากสัจจะพระพุทธเจ้ามาน่าสงสารเขาไม่รู้ตัว อย่างเช่นธัมมชโย น่าสงสารมาก
เอาคำว่าบุญมาหลอกล่อตีความว่าจะต้องเป็นสมบัติวิมานเฟส 4 1234 หลอกให้คนตะกละอยากได้ภพชาติ กิเลสหนาเตอะเท่าไหร่ ยุคนี้คนโง่มากเลย ถูกธัมมชโยหลอกให้เป็นบริวารได้ คนไทยน่าสงสารทางธรรมะถูกธัมมชโยหลอก ทางโลกก็ถูกทักษิณหลอก เทียบกันไม่ได้เลยว่าสองคนนี้ใครจะมีนรกใหญ่กว่ากัน เขางมงายก็นึกว่าเขาได้สร้างสวรรค์ทั้งคู่ เขาก็เลยแข่งกันยังไม่ตัดสิน ยังวิ่งสร้างนรก- ต่อไป
พลังงานที่กำจัดกิเลสได้นั่นแหละบุญ กำจัดนิดหน่อยก็ได้ส่วนแห่งบุญ กำจัดหมดสิ้นอาสวะแล้วก็หมดบุญ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทุกองค์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ผู้ใดไม่เข้าใจความหมายและสภาวะจริงของบุญ คนก็จะยิ่งอยากได้บุญ หาบุญมาใส่ตัว คนนั้นเป็นคนงมงายไม่รู้เรื่อง บุญเป็นเครื่องมือฆ่าแล้วเอามาไว้ทำไม ไม่ได้ฆ่าอะไรนอกจากฆ่ากิเลสแก่ตัวเอง แสดงว่าตนเองมีกิเลสอยู่จึงเอาเครื่องมือฆ่ามาไว้กับตัว ถ้าหากทำถูกวิธีกิเลสนั้นก็มาอยู่ในตัวคุณอีกแล้ว บุญมีลักษณะจริงที่ทำหน้าที่เสร็จแล้วก็จบกิจไม่มีอยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลถึงผู้ตายหรือไม่
_การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลสามารถส่งถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้หรือไม่
พ่อครูว่า...อาตมาจะตอบง่ายๆสั้นๆก่อนว่า...การกรวดน้ำ คุณจะส่งอันหนึ่งให้ไปถึงวิญญาณอีกอันหนึ่ง คุณจะทำอย่างไร เราปลูกบล็อคเคอรี่หรือดอกกะหล่ำ อันนี้สวยจังเลย เอาไปต้มไปแกงก็ถวายพระ ไหว้เสร็จแล้วก็ส่งให้ผู้ตายด้วย ก็กรวดน้ำ ยะถาวาริวะหา ถามว่าดอกกะหล่ำหนีออกจากท้องพระไปแล้วก็ไปหา ย่าและยายที่ตายไปไหม เป็นอุจจาระเศษเหลือออกไปในส้วมเท่านั้น ไม่ไปเด็ดขาด
เอานี่เลย อาตมากินแกงดอกกะหล่ำแล้วเสร็จแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วมันจะเข้าท้องคุณไหมนี่สวดไปเลยร้อยจบ จะออกจากท้องอาตมาไปเข้าท้องคุณไหม พูดกันให้ถึงถึงอย่างนี้ ก็จะได้เลิกเชื่อสิ่งงมงายแล้วนี่เสียที กรวดน้ำไม่ใช่ของศาสนาพุทธ มันเป็นเดรัจฉานวิชาและงมงายอยู่ในศาสนาพุทธอยู่ได้ ใครทำอยู่ก็ยังงมงายอยู่ทั้งนั้น ใครเลิกได้มีความกล้าหาญมาก อาสโภ ไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับเรื่องไม่ได้เรื่องแล้วปล่อยให้นายทุนหากิน เอาวิธีการสร้างหลอกล่อล้วงกระเป๋าคุณอยู่นั่นแหละ ทำเป็นมีพิธีการอยู่ในสังคมหลอกล่อกันอยู่นั่นแหละ มันเป็นขายขี้หน้าพระพุทธองค์ ตัวเองโง่แล้วก็ยังบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าอีก
พระพุทธเจ้าสอนว่ากรรมเป็นของของตน คุณจะทำทาน จะเป็นแกงดอกกะหล่ำกับสับปะรดกล้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณได้ทานสิ่งนี้ก็คือคุณจะได้สละให้ก็เป็นกุศลของคุณ แล้วการทานนั้นถ้าคุณมีสัมมาทิฏฐิ ทานแล้วก็ทำเป็นจิตว่างก็ไม่เอาอะไรคืนเลย ก็เป็นการชำระกิเลสของคุณ แต่ถ้าหากทำทานแล้วยังอยากจะได้ก็ไม่เป็นบุญ แต่มีส่วนกุศลเป็นความดี คุณเสียสละวัตถุข้าวของให้ ก็เป็นกุศล เป็นวิบากดีได้ แต่คุณทำจิตของคุณให้เป็นบุญได้ไหม การให้กับการเอามันไม่เหมือนกันเลย ตรงกันข้ามกันด้วย
สภาวะ คือการให้ แต่จะต้องเอา สภาวะคงงง ให้หรือเอากันแน่ สภาวะก็เลยงงเจ้าของที่ทำ การให้แต่จะเอา ก็ต้องตกลงกันว่าเจ้าของจะให้นะ
คำว่าให้กับเอาเป็นธรรมะ 2 คนตีธรรรมะ 2 ไม่แตก แค่นี้คือพวกเทวนิยม
ยิ่งสุข ยิ่งทุกข์ ยิ่งไม่รู้ พระพุทธเจ้าแยกความสุขความทุกข์ก่อน มันเป็นอุปาทาน สุขแบบหนึ่งก็หาย แต่ทุกข์นั้นสั่งสมใส่อนุสัย คุณจะเป็นอย่างนี้จะได้อย่างนี้จะมีอย่างนี้สั่งสมไป แล้วมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็แสวงหา จำไว้ให้ลึกเลยว่าไม่ลืมๆๆๆ ข้ามภพชาติไม่รู้กี่ชาติก็จำอยู่นั่นแหละจะเอาให้ได้เป็นตัวกูของกูไม่รู้จักวาง
ศาสนาพุทธจึงชัดเจนในเรื่องสภาวะธรรมโดยเฉพาะเรื่องธรรมะ 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(แสงอรุณทั้ง 7) ตอน ปฏิบัติเป็นลำดับด้วยสุริยเปยยาลสูตร
มาต่อที่ อ่าน ข้อเขียน เราคิดอะไร
จากพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ปหาราทสูตร พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงความสัมบูรณ์ได้สุดยอด ครบ 8 ข้อใหญ่
พุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้
ปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่
พระพุทธเจ้า : มี 8 ประการ ปหาราทะ
8 ประการ เป็นไฉน?
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด(อนุปุพพนินโน) ลุ่ม(อนุปุพพโปโณ)ลึกลงไปโดยลำดับ(อนุปุพพปัพภาโร) หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่(นายตเกเนว ปปาโต) ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา(สิกขา)ไปตามลำดับ มีการกระทำ(กิริยา)ไปตามลำดับ มีการปฏิบัติ(ปฏิปทา)ไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ)
ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำไปตามลำดับ(อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพพปฏิปทา) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ) นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ 1 (ปฐม อัจฉริโย อัพภุตธัมโม) ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
คำว่า ลาด ลุ่ม ลึก ไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นั้นก็คือ ลำดับของการศึกษา(สิกขา)ก็ดี ลำดับของการประพฤติที่ได้ทำกันจริงๆ(กิริยา)ก็ดี และลำดับของวิธีการแห่งปฏิบัติทั้งหลาย(ปฏิปทา)ก็ดี ล้วนดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับราบรื่น เรียบ ร้อย ง่ายงาม ดีมาก ไม่สะดุดตะปุ่มตะป่ำ ไม่ขรุขระ ไม่อีโหลกโขลกเขลก ไม่กลับไปกลับมา ไม่ต่ำตกวูบแล้วก็พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด หกคะเมนตีลังกาอย่างไม่เป็นท่า หรืออะไรอย่างนั้น แต่เป็นระบบระเบียบเรียบราบดี ไม่วุ่นวนสับสนไปมา เดี๋ยวกลับหน้า เดี๋ยวกลับหลังนั่นคือ หลักเกณฑ์สำคัญหลักแรกยิ่งใหญ่คือ “ศีล-สมาธิ-ปัญญา” (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ส.ฟ้าไท แทรก
สมาธิของพระพุทธเจ้ายิ่งเร็วยิ่งแรงยิ่งนิ่งยิ่งสงบ คำว่าสมาธิจึงไม่ใช่ยิ่งเมายิ่งอ่อน ยิ่งแข่งยิ่งแน่นไม่ใช่ แต่สมาธิของพวกนั้นเป็นสมาธิที่มีพลังงานมหาศาล
“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้ จะปฏิบัติได้ผล“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา-อธิมุตโต”ไปตามลำดับ และเกิด“วิมุตติ”ไปเป็นขั้นๆ เป็นเรื่องๆ 1.เมื่อผลของ“ศีล”นั้นทำให้“จิต”สะสมผลได้“อธิจิตตั้งมั่น”เข้าขั้น“สมาธิ”ครบรอบต้น “อธิปัญญา”ก็รู้แจ้งรู้จริงในผลที่สั่งสมตกผลึกเป็น“สมาธิ”รอบต้นนั้นไปตามลำดับ จนกระทั่ง “ศีล”ข้อนั้นปฏิบัติจนมีผลทำให้“จิต”สะอาดบางจางจากกิเลสไปเรื่อยๆ และควบแน่นเข้าๆ กระทั่ง“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นกลาง” และที่สุด“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นปลาย”เรียกว่า “วิมุตติ” ก็จะมี“อธิปัญญา” ตามรู้ใน“อธิ”ต่างๆทั้งหมดนั้นๆไปด้วยตลอด จนที่สุด อะไรจะมาหักล้างอีกไม่ได้เลย
ไม้ร่มส่งกวีมาแทรกว่า...
วันครูบุญ-คุณค่ามาแต่เหตุ
ให้น้องเนตร เปิดทางสว่างไสว
จันทร์เพ็ญเดินเจ็ดก้าวให้เข้าใจ
เป็นของใฝ่ของขวัญวันให้พ่อครู
ท่านเดินดินเปิดฟ้าตาวิเศษ
พ่อท่านเทศน์ลูกเทิดเปิดตาหู
อโศกสุดกิ่งเรียวเกี่ยวตาดู
อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับ
พ่อครูต่อ...กิเลสหมดเกลี้ยงก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า“กิเลสเกลี้ยง”ด้วย“อธิปัญญา”นั่นเอง เรียก“ผล”สุดท้ายนั้นว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ”ใน“สมาธิ”นั้น“ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุติ-วิมุตติญาณทัสสนะ”นั้นคือ “กระบวนการ(process)”ที่เป็น “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ)” สอดซ้อนสานกันไปอย่างเป็นระบบ ลาด ลุ่ม ลึก ละเอียดราบเรียบอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
ถ้าผู้ปฏิบัติมี“กระบวนทัศน์(paradigm)”ที่มี“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”และปฏิบัติเป็นลำดับเข้าขั้น“สัมมาทิฏฐิ”ตาม“ทฤษฎี”(ทิฏฐิ)ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”พระพุทธเจ้า
ผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องมี 7 อย่างนี้ก่อน
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[135] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
พระอาทิตย์นั้นเปรียบเสมือนมรรคมีองค์ 8 คนจะเห็นพระอาทิตย์ได้ต้องเห็นแสงอรุณก่อน แสงอรุณนั้นก็คือ 7 ข้อสุริยเปยยาล
ถ้าไม่มี 7 ข้อนี้ถ้าปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็จะไม่สามารถเกิดได้ เพราะไม่สามารถทำใจในใจโยนิโสมนสิการได้ คุณต้องศึกษาทฤษฎีปริยัติจากผู้รู้ที่เป็นมิตรสหายดีเป็นสัตบุรุษของคุณ คุณกลับตาบอดเห็นสมณะที่เป็นสัตบุรุษ เป็นพวกนอกรีต ไปเห็นพวกอสัตบุรุษเป็นพวกมิตรดีสหายดี ไม่เจ๊งวันนี้แล้วจะไปเจ๊งวันไหน ศาสนาพุทธจึงน่าสงสาร ไปยินดีกับอสัตบุรุษ ไปปฏิบัติศีลพรตอย่างสีลัพพตปรามาส ศีลทุกวันนี้ก็ไม่มี มีแต่ศีล 227 ไม่มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีแต่เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด ไม่เป็นศาสนาพุทธเลย พูดแล้วน่าสังเวชใจทำไมเป็นอย่างนี้ ศาสนาพุทธถึงได้ล้มเหลว อาตมาจึงเหลือใจจริงๆ มันอัดอั้น จะพูดก็ไม่ออกได้แต่กรอกตา มันไม่เหลืออะไรอยู่ในใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ยอดหัวใจในการปฏิบัติของศาสนาพุทธ
ยอดหัวใจในการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธหัวใจของการปฏิบัติอยู่ที่สัมมาสังกัปปะ อยู่ที่การปฏิบัติสังกัปปะ 7 ถ้าไม่สามารถรู้จักสังกัปปะ 7 แล้วก็เรียนรู้แยกเวทนา 108 ไม่เป็น โดยเฉพาะ แยกเคหสิตเวทนา กับเนกขัมสิตเวทนา เป็นธรรมะ 2 ข้อสำคัญคู่เอก จิตของเราสัมผัสแล้วจับรู้ ในสัมผัสกับมันมี กามผสมไหม แขกจรตัวนี้ อาคันตุเก จับตัวกิเลสกามหรือพยาบาท แล้วทำออกเนกขัมมะได้ ทำให้กิเลสออกไปจากใจได้
พิจารณาให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนหรอก พูดภาษาเพราะนะง่าย แปลจากภาษาบาลีว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา แต่คุณจะเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสนี่มันก็ไม่เที่ยง จิตเองก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับ กิเลสมันก็เกิดดับเกิดดับแต่คนไปยึดถือให้มันอยู่ มันไม่เที่ยงก็ไปยึดถือให้มันเที่ยง มันไม่อยู่ก็เอามันอยู่ มันไม่ใช่ตัวตนก็เอามันมาเป็นตัวตน ทำไมมันถึงดื้อจริงนะคน เคยดื้อไหม เดี๋ยวนี้ยังดื้ออยู่หรือเปล่า แล่วกัน โอ้ย หัดลดลงบ้างหรือเปล่า ..ลด ก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็ยังชั่วอยู่ดี
ที่พูดนี้มันดูง่ายๆ แต่ชัดขึ้นไหม ปฏิบัติแล้วเราต้องอ่านจิตของเรากระทบสัมผัสแล้วเราต้องอ่านจิตในจิต แล้วทำจิตในจิตของตน ให้จิตมีมุทุภูตธาตุ สัมผัสรู้แล้วแยกแยะได้เร็วมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เร็ว แยกกิเลสได้จัดการกิเลสทันที จัดการกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้กิเลสลดลงได้ด้วยปัญญา การกดข่มมันเป็นอัตโนมัติของแต่ละคนทุกคน ถ้าไม่กดข่มกิเลสรับรองเรี่ยราด ไม่ว่าขี้โลภอยากได้ราคะ หรือโกรธ มันออกมาประจานเต็ม คนกดข่มตามธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันไม่สงวนท่าทีก็เอาออกมาก็เรื่องของสัตว์ แต่คนยังมีองค์ประกอบต่างๆ ไม่ได้ปล่อยออกมาหมดหรอก ไม่ว่าจะเป็นความโกรธความโลภหรือราคะ
แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่เรียนรู้และกำจัดพวกนี้ มันก็มีแต่สะสมหนาขึ้นเรียกว่าปุถุชน คนที่ปุถุชนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองมีกิเลสหนาอยู่ทุกวินาที เติมราคะโทสะโมหะหนาไปเรื่อย เพราะเขาไม่ระมัดระวัง ขนาดเราระมัดระวังยังไม่ง่าย พวกที่ไม่ปฏิบัตินี่น่าสงสาร แล้วเขาไม่รู้ตัวสะสมความโลภสะสมราคะโทสะ อยู่ตลอดเวลาเลย เขาไม่รู้ น่าสงสารไหม นี่คุณเห็นใจโพธิสัตว์ไหม โพธิสัตว์รู้เห็นจริงๆมันน่าสงสาร อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะว่า อาตมาสงสารคนที่เป็นอย่างนี้ พูดอยู่ตลอดเวลา ที่ทำอยู่นี้ก็เหนื่อยนะ มันก็ยากด้วย แล้วทำไมมันถึงดื้อดึงจัง แต่มันก็ต้องทำเพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้
ถ้าหากพระโพธิสัตว์ไม่เห็นใจแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แต่อาตมาเห็นใจ โดยตั้งจิตว่าจะพยายามพากเพียร ถ้าเราพากเพียรขึ้นก็จะสะสมบารมีขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า ก็เอาเถอะคนเราเกิดมาเป็นคนนั้นสูงสุดได้สูงสุดเท่าพระพุทธเจ้า จะเสียชาติเกิด เราเกิดมาในชาตินี้เราเป็นคนให้ถึงสูงสุดเหมือนพระพุทธเจ้าให้ได้อยากเป็นกันไหม แล้วตั้งจิตกันไหม
เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว ถ้าคนที่ได้ภูมิอรหันต์แล้ว คือคนที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลยแยกธาตุไปเป็นอุตุนิยามไม่เป็นจิตนิยามได้แล้ว แต่ยังไม่แยกจะทำต่อ นี่คือโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทไม่รู้เรื่อง เขาตีทิ้งเป็นปุถุชนแล้วเอาโพธิไปใส่ไว้ตรงไหน โพธิคือความตรัสรู้ โพธิสัตว์ก็คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงจึงรู้ลำดับนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ถึงระดับ 7 จึงได้รู้ลำดับดีพอสมควร แล้วลำดับที่อาตมาจะต้องไปอีกจึงรู้ล่วงหน้าพอสมควร
ที่ จะต้องยืนยันเพราะว่าคนถูกหลอกให้ไปเชื่อถืออรหันต์เก๊ไปหมด พูดนี้ไม่ได้หลงตัวหลงตนแต่ก็ต้องยืนยัน ถ้าคุณไม่เชื่อก็ต้องตามพิสูจน์ คุณไปพิสูจน์อรหันต์เก๊น่าเสียดายเวลาทุนรอนจะตาย คุณเอาเวลาแรงงานทุนรอนมาศึกษาอรหันต์จริงบ้างสิ แต่เขาไม่เอา ไปเสียเวลากับอรหันต์เก๊กัน เมื่อไหร่จะหยุดเสียที
เขาไม่รู้ว่าอรหันต์จริงคืออะไร อรหันต์จริงเขาสอนกันว่าจะต้องนิ่งใบ้ไม่นิคคัณเห ไม่ติมีแต่ชม แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการตำหนิ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด จะทำกับเธอเหมือนช่างปั้นหม้อที่ทำกับดินที่ยังเปียกอยู่ หรือความชั่วหรือกิเลสของเราเหมือนไฟที่ไหม้อยู่บนศีรษะควรรีบเอาออก ความดีมันก็อยู่กับเราไปมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นต้องรีบเอากิเลสหรือไฟที่ไหม้ศีรษะออก ต้องตำหนิแล้วตำหนิอีก กระนาบแล้วกระหน่ำอีก เรื่องดีนั้นยังชะลอไปได้ แต่เรื่องไม่ดีนี้ต้องรีบร้อน ท่านพูดและยกตัวอย่างอย่างนี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะทำยังไงอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะห้ามอาตมาไม่ให้ด่าคนนี้เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
ซึ่งจะเกิดผลจากการปฏิบัติไปตามลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก สนิทเนียน แนบแน่น(อัปปนา) แน่วแน่(พฺยัปปนา) ปักมั่น(เจตโส อภินิโรปนา)ไปตาม“กระบวนการ”ของ“สังกัปปะ 7”
และการอบรมศึกษาฝึกฝนก็เป็นขั้นๆไปตาม“ศีล”ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือลงมือปฏิบัติศีล จากสำรวมทางกายกรรมภายนอก แล้วเกิดผลทางจิตเป็นอธิจิตไปตามศีล อันมีกำหนดขั้นตอน ข้อ 1-2-3-4-ฯลฯ...เป็นต้น
ศีลข้อที่ 1 นั้นสัตว์แต่ละตัวเขาก็มีวิบากของเขา เรามีหน้าที่ช่วยเขาในสิ่งที่ดี ถ้าเขาจะร้ายก็อย่าไปส่งเสริม บอกความร้ายในสิ่งที่เขามีแล้วให้เขาจัดการความร้ายเอาออกให้ได้ เมื่อพูดถึงความร้าย คนที่มีอัตตามานะก็จะโกรธ เมื่อยจริงๆไม่มีทางเลี่ยง ขี้บนน้ำบนบกก็ไม่ได้ขี้บนอากาศก็ตกมาบนบกอีก ผิดไปหมด
ต้องให้ปฏิบัติทีละคู่ เทวะ แยกรูปแยกนาม
รูปกับนามคือ 1 สิ่งที่เป็น object กับ 2สิ่งที่เป็น Subject
Subject คือตัวรู้ object คือตัวที่ถูกรู้หรือถูกกระทำจัดการ เราต้องจัดการกับจิตของเราเองแล้วเราก็เป็นธรรมะ 2 แต่ศาสนาเทวนิยมแยกเทวไม่ออกแยกธรรมะ 2 แยกรูปแยกนามไม่ออก โดยเฉพาะตนเองนั้นมีธรรมะ 2 แต่ไม่รู้ นิ่งเลย เอาตัว 2 นี้เป็นหนึ่งเดียว แต่ตีไม่แตกแยกไม่ออกก็เลยไม่รู้ว่ามันมีอะไรหลากหลายมากมายเยอะแยะ ทีละคู่แยกได้เป็นล้านๆคู่ คุณก็จะรู้ทุกอย่างเลย แต่เราก็รู้ทีละคู่จึงเรียกว่าเป็นลำดับอย่างราบลุ่ม แต่เทวนิยมตีไม่แตกจึงกลายเป็นเทวคู่ เป็นหนึ่ง แล้วก็ไม่เรียนรู้หนึ่งนี้เลย แล้วยกให้ 1 นี้เป็นยอดสูงสุดอยู่ไหนก็ไม่รู้บันทึกออกมาเรียกว่าตำราแล้วให้ประกาศก prophet ประกาศ แล้วอย่าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องเชื่ออันนี้หมด แยกแยะวิจัยไม่ได้ ทำตามทุกอย่างหมด ควบคุมอิสระเสรีภาพ ศาสนาเทวนิยมจึงเป็นศาสนาทาส100% เป็นทาสพระเจ้า คำสั่งพระเจ้าต้องทำตาม เป็นอาชญา command บังคับ ขออภัยพูดนี้ไม่ได้ว่าหรือดูแคลนแต่สาธยายวิชาการความจริง แต่ถึงเวลาแล้ว โลกกำลังแสวงหาความรู้มีอยู่ อเทวนิยมแยกตัวเองออกได้ ทำให้ตัวเองเป็นหนึ่งก็ได้ทำให้เป็น 0 ก็ได้ พระอรหันต์โพธิสัตว์ก็อยู่กับ 1 หรือ 0
1 คือบทบาทอาศัยให้มี ยังไม่สูญเป็นปรินิพพานปริโยสาน ก็ยังทำงาน เพื่อให้คนอื่นทำ 1 หรือ 0 ได้อีก เป็นผู้ที่สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าไป ด้วยการให้อิสระให้สิทธิ์คิด ไม่ใช่ให้เชื่ออย่างเดียวโดยไม่มีวิจัยวิจาร เห็นต่างก็ได้สุดยอดประชาธิปไตย คนเชื่ออย่างนี้ก็พิสูจน์ของตัวเองไป ก็บอกว่าของเราถูก คุณก็บอกว่าของคุณถูก ต่างคนต่างพิสูจน์เป็นนานาสังวาสไม่มีการทะเลาะกันไม่ไปทำร้ายทำลายกัน เขาเชื่ออย่างนั้นก็ให้เขาทำอย่างนั้น แต่เราบอกว่ามันไม่ถูกนะ เราก็มีสิทธิ์ จริงใจ ก็บอกว่าอย่างนี้ถูกกว่า อย่างนั้นเราก็รู้แล้วพิสูจน์มาแล้ว จะแยกแยะ 2 ออกมาเป็น 1 จนกระทั่งทำ 0 ได้ ทำได้จนกระทั่งชำนาญ อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ชำนาญมาสอนอย่างนี้พูดไป ตกผลึกเป็นอเนญชา เป็นธาตุนิพพานที่สั่งสอน อเนญชา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ระดับ 7 นี้ก็แข็งแรงในคุณสมบัติ 5 อย่างนี้มากพอ ไม่มีอะไรทำลายได้แล้ว
เวทนาเป็นธรรมะสอง คือสุขกับทุกข์ หัวใจศาสนาพุทธสอนตรงนี้ไม่ใช่สอนที่ดีหรือชั่วที่เป็นสมมติ จะสุขหรือทุกข์นี้เป็นปรมัตถ์ ในการเรียนรู้ทุกข์เราจะรู้องค์ประกอบที่เป็นกระบวนการเกี่ยวข้องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆรวมกันหมดเลย
เมื่อเราสามารถวิจัยธรรมะ 2 นี้ออกแล้วก็ล้างตัวกิเลสที่เป็นตัวเลวร้ายมาก มันทำร้ายทั้ง ปรมัตถ์และสมมุติ มันไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ถ้าเรามาเรียนรู้สุขทุกข์และลดความสุขความทุกข์มันจะทำลายตัวกิเลส เพราะกิเลสทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ เมื่อทำให้หมดสุขหมดทุกข์ก็จะทำให้ดีและชั่วดีขึ้นด้วย แต่จะไปทำร้ายแต่ดีแล้วชั่วนั้นไม่ถูก คุณไม่มีวันที่จะสามารถแก้ไขจิตวิญญาณได้สำเร็จสะอาดสมบูรณ์ เพราะ สุขทุกข์เป็นเวทนา ดีชั่วนั้นแล้วแต่เขาจะสมมติ ประเทศนี้ถือว่าดี อีกประเทศถือว่าชั่ว มันก็ไม่ตรงกันหรอก สมมุติคนละอย่างกัน ดีชั่วเป็นสมมติ แต่ในปรมัตถ์ ความสุขความทุกข์นั้นเหมือนกันหมด ที่เหมือนกันเพราะว่ามีการยึดถือ ภาษาสิริมหามายา คุณยึดถืออะไรเพราะคุณชอบ คุณได้ตามที่คุณยึดถือคุณก็มีความสุข เมื่อคุณยึดถืออะไรแล้วคุณไม่ชอบ คุณได้มาคุณก็ไม่สุข
เฉพาะบุคคลทุกคนไม่ว่าชาติไหนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแต่เรียกด้วยบัญญัติคนละอย่าง คนยึดถืออะไรว่าเป็นสิ่งที่คุณชอบได้มาสมใจก็เป็นสุข ถ้าได้มาไม่ตรงสเปค คุณก็เกิดทุกข์
เพราะฉะนั้นสุขทุกข์อยู่ที่อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ที่ยึดถือไว้ในกองอนุสัยอาสวะ เคลื่อนตัวมาให้รู้เป็นความยึดมั่นถือมั่น ตื้นขึ้นมาก็เป็นตัณหา ยึดมั่นถือมั่นว่ากูต้องได้อย่างนี้เปิดขึ้นมามีตา หู จมูก ลิ้น กายผสมกับลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็มี specification หมดแล้วว่ากูจะต้องได้อย่างนี้ ได้ลาภอย่างนี้ ได้ยศอย่างนี้ ยศตำรวจไม่เอาเอายศทหารหรือข้าราชการ เอายศแบบทางโลกแบบฆราวาสก็แล้วแต่ โดยไม่รู้รายละเอียดพรุ่งนี้ไม่ได้ศึกษา ถ้าหากรู้แล้วซะก็ไม่ต้องไปแย่ง เราทำความสุขความทุกข์ให้หมดไปจากจิตแล้ว มันจะรู้ดีรู้ชั่วไปในตัว เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดความสุขความทุกข์แล้วจะไม่ทำอะไรชั่ว จะทำแต่ดี เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ยึดถือในสุขและทุกข์จะรู้จักกรรมวิบาก ไม่สั่งสมโดยเฉพาะสุขทุกข์ก็ไม่สั่งสม ก็เรียนรู้อยู่กับสมมุติ พระอรหันต์มีชีวิตอยู่กับสมมติเท่านั้น หมดความสุขความทุกข์แล้ว ท่านก็อยู่กับสมมุติโลก อันนี้เขาสมมติว่าดี เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม เขาจะสมมติว่าอันนี้ชั่ว จะเห็นว่าดีก็แล้วแต่ หากไม่ทำตามเขา เขาก็ไล่ออกจากประเทศ เพราะวัฒนธรรมกฎหมายเขาก็เป็นอย่างนั้นไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ
อย่างคนชั่ว ขี้โกงอยู่ในประเทศไทยโกงสมบัติชาติในประเทศ เสร็จแล้วประเทศนี้ก็ประกาศไปให้ประเทศอื่นรู้ ประเทศอื่นก็ฟัง คนนี้มันไม่ดี มันไม่ดีจริงหรือเปล่ามันเป็นการเมืองหรือเปล่า เขาก็จะต้องพยายามทดสอบ เขารู้มันไม่ดีจริงๆเขาก็ไม่เอาด้วย ไม่ดีตรงกันนะไม่ดีเพราะอะไรมันโกงชาติโกงประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนคนโกงชาติโกงประเทศก็ถูกไล่ออกไปทั้งนั้น ตอนนี้คนโกงชาติโกงประเทศทางนี้ก็ประกาศไป ประเทศไหนๆเขาไม่ค่อยเชื่อ ยังไม่เชื่อทีเดียวว่ามันจะเป็นการเมืองหรือเปล่า จนกระทั่งความจริงปรากฏว่ามันใช่นะเป็นคนโกงชาติโกงประเทศ ตอนนี้ชาติอื่นที่เขาไม่ค่อยเชื่อ จะค่อยๆเชื่อและไม่ค่อยให้เข้าประเทศแล้ว แต่เขาก็มีอำนาจเงิน ประเทศที่จะต้องง้อเงินเขาอยู่ก็พูดไม่ออก ต้องยอม คนที่มันโกงเงินไปได้และใช้อำนาจเงิน จึงเชื่อถืออำนาจเงินมากเหลือเกิน แล้วมันก็ซับซ้อน เรียนอาชญาวิทยามาได้ก็เลยเก่ง เลยกองเอาไว้เยอะ ใส่แบงค์ไว้ เลยมีอำนาจใหญ่ เพราะลักษณะของทุนนิยมมันช่วย เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนมันก็ออกดอก นี่คือระบบทุนนิยมมันเก่งในโลกก็เลยใช้ระบบทุนนิยมนี้อยู่ได้สบาย ไปด้วยสัจจะนี้แล้วเขาทำกรรมชั่วและบาป โกงก็ยังไม่รู้ว่าโกงแล้วยังไปรุกรานจุกจิกวุ่นวาย
ถ้าหากทักษิณหยุดตอแยประเทศไทยทักษิณอยู่สบาย เขาไม่ว่าอะไรหรอก บาปใครบุญมันก็โง่ไปก็แล้วแต่ เขาก็จบ แต่นี่คุณตอแยเอง เพราะฉะนั้นลูกหลานของคุณก็อยู่ไม่สุขด้วยต่อไปในอนาคตขอบอก คุณเป็นคนหาเรื่องให้ลูกของคุณเดือดร้อนนะ ถ้าคุณหยุด ลูกคุณอยู่ในประเทศไทยสบาย ถ้าคุณไม่หยุดนะ หลานคุณอยู่ก็ไม่สบายในประเทศไทย บอกให้ ด้วยความปรารถนาดีนะคุณทักษิณ จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ศึกษาได้เลย เป็นปรากฏการณ์ที่มีจริงในโลกให้ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งศึกษา
ทุกวันนี้กำลังถึงโหมดเลือกตั้ง เอาล่ะสิไม่ยอมปล่อยมือ
ถ้าทักษิณปล่อยมือ พวกที่ยังอยู่ข้างทักษิณในนี้จะอ่อนแรงมากเลย บ้านเมืองจะสงบ ถ้าหากทักษิณปล่อยมือมา บ้านเมืองจะสงบอย่างเห็นๆ แต่กระนั้นก็ตาม เพราะฝีมือของประเทศไทยทำให้คนในประเทศเข้าใจตัวทักษิณได้มากขึ้นจึงวางจากทักษิณไปเยอะ โพลต่างๆก็ออกมา หมัดเล็นกำลังวิ่งออกไปหาที่เกาะใหม่ เพราะว่าน้ำยาทักษิณนี้น้ำยาชักหมดอายุแล้ว มันไม่มีฤทธิ์แรงมันอ่อนแรง มันมีเยอะก็ตามแต่มันจะหมดฤทธิ์ เพราะอะไร
เพราะสัจธรรมของประเทศไทยพิสูจน์ ประชาธิปไตยจริง พวกประชาธิปไตยเก๊บอกว่านี่เป็นเผด็จการ รัฐประหารทหารมาเผด็จการเอาไปบริหารอยู่ทุกวันนี้เป็นการบริหารของเผด็จการ แต่เขาเป็นประชาธิปไตยต้องเอาเลือกตั้ง อาตมาก็พูดตั้งไม่รู้เท่าไหร่ว่า ที่นี่คือประชาธิปไตย คุณประยุทธมาเป็นผู้บริหารไม่ใช่เผด็จการ แต่มาบริหารเพราะรับหน้าที่สืบทอดจากประชาชนได้ปฏิวัติ ปฏิวัติรัฐบาล 4 รัฐบาล รัฐบาลของสมัครสมชายยิ่งลักษณ์ ทักษิณ เรียบร้อยประชาชนเมืองไทยประชาชนปฏิวัติแต่เข้าใจได้ยาก ก็เป็นการปฏิบัติอย่างสากลไม่ใช้อาวุธใช้ความจริงเป็นตัวยืนยัน จนรัฐบาลพ่ายแพ้ไปจากความจริงอย่างเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามมาก เมืองไทยจึงเป็นเมืองประชาธิปไตยร้อยพันหมื่นแสนล้านเปอร์เซ็นต์ เหมือน psi ชัดล้านเปอร์เซ็นต์
ในปัจจุบันนี้เมืองไทยเป็นเมืองประชาธิปไตยล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วก็พัฒนา มาบริหาร 4 ปี จบ 1 เทอมแล้ว กำลังจะขึ้นเทอมที่ 2 อาตมาว่ารากฐานที่ได้บริหารมา 4 ปีนี้มีรากฐานที่ดีแล้ว ดำเนินต่อไป 4 ปีนี้จะเป็นเครื่องบอกว่าประเทศไทยคนไทยตาสว่างไหม คนที่เขาตะโกนหาว่าเขาเป็นประชาธิปไตย หาว่ารัฐบาลที่บริหารเป็นพวกเผด็จการ แต่ที่แท้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนปฏิวัติมาแล้วให้พลเอกประยุทธ์เป็นผู้บริหารเป็นนายกรัฐมนตรี ทำงานไป ประชาชนก็ยังเห็นว่าทำงานเข้าตา ในจำนวนนายกฯ 29 คนผ่านมา นายกฯพลเอกประยุทธ์นี้เข้าตาประชาชนมากที่สุด โพลก็แสดงชัดเจน ต่างประเทศก็ยอมรับพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯประเทศไทย ไปที่ไหนก็ตามก็เป็นนายกฯประเทศไทย เท่าเทียมกับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิประธานาธิบดีหรือคอมมิวนิสต์ ยังเหลือประเทศเกาหลีเหนือ ยังไม่คิดอ่านจะไปไม่มีความจำเป็นต้องไปวุ่นวายกับเกาหลีเหนือ ให้อเมริกาเขาตอแยเอง อเมริกาต้องหาวิธีการ อาตมารู้วิธีการของเขา มันไม่ใช่เรื่องระเบิดนิวเคลียร์อย่างเดียวมันมีอะไรมากกว่านั้น ที่มาขึ้นก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ก็ทำไปตามประสาไม่รู้เรื่องอะไร
อาตมามีความจริงอย่างเดียวใครจะว่าอย่างไรอาตมาสู้ด้วยความจริง อาตมา เทกระบะความจริงออกมาให้หมดเท่านั้น สู้จนหมดหน้าตักความจริงก็จบ
สมณะฟ้าไทสรุป...จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:04:21 )
รายละเอียด
620120_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ยอดหัวใจในการปฏิบัติของศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1hcTolSrfBttBBJZhIWepoZ0JzCI9OufqdXZE665PA04/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1FEvc3pFna59yZiZWQMs4dlR-sWzyeiv3
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีศพของยายจันทร์เพ็ญ มาตั้งที่ศาลาเฮือนสูญศูนย์ เมื่อวานก็มีญาติธรรมที่เสียชีวิต คือคุณยายรจนา
การจัดงานศพของชาวอโศกเป็นงานศพที่เรียบง่ายและรวดเร็ว ไม่เสียเงินเสียทองเสียเวลา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ชุมชนที่มีสภาวะมรรคมีองค์ 8
พ่อครูว่า...ชาวอโศกประสบผลสำเร็จในคุณภาพที่วัดได้ ตรวจสอบวัดได้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้ามีสัมมาอาชีพบริสุทธิ์ สะอาด พ้นมิจฉาชีพ 5 พ้นจากมิจฉากัมมันตะ 3 มีสัมมาวาจา พ้นจากมิจฉาวาจา 4 มีสัมมาสังกัปปะ พ้นจากมิจฉาสังกัปปะ 3
อาชีวะ 5 คือ
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
เป็นคนรู้จักและทำสัมมาอาชีวะสัมมากัมมันตะสัมมาวาจา
เป็นคนรู้จักสังกัปปะ 7 ปฏิบัติรู้จักทำจิตให้ออกจากกาม พยาบาท และถึงขั้นออกจากวิหิงสา พยัญชนะเหล่านี้ ชาวอโศกปฏิบัติเข้าถึงสภาวะเหล่านี้ ไม่ใช่แค่มีบัญญัติภาษาเท่านั้น มีสภาวะที่ให้เป็นจริงได้ เข้าถึงเทวะ เข้าถึงความเป็น 2 มีทั้งรูปและนาม มีทั้งสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ มีทั้งบัญญัติและสภาวะ พูดแม้เร็วก็ไม่งง เหมือนสิริมหามายามีมุทุภูตธาตุ นี่คือสัจจะที่ชาวอโศกบรรลุธรรมพวกนี้ได้ นี่คือสิ่งที่ยืนยันพิสูจน์
อ่าน sms ก่อน
SMS วันที่ 17-18 ม.ค. 2562
_3867กราบขอบพระคุณพ่อครูอ่านเราคิดอะไรให้ฟังให้คนไม่ได้รับหนังสือฯได้ฟังชดเชยสาธุ!ได้รู้เรื่องการบ้านไร้อบาย การเมืองปลอดทุจริต!เกษตรไร้สารเคมีกสิกรรมปลอดสารพิษ!ทุนนิยมไร้ผูกขาดปชธต.ปลอดคอรัปชั่นด้วยเราคิดอะไร?ให้เราคิดดีพูดดีทำดีด้วยใจบริสุทธิ์ต่อทุกสรรพสิ่งสาธุ
เราคิดอะไร?ฉบับที่พ่อครูอ่านเดือนมกราฯฤาเปล่า?ถ้าใช่?ทำไมผู้น้อยยังไม่ได้รับ?จนบัดนี้ฉบับธันวาปี61ที่ คุณใบแก้วบอกว่าส่งมาให้ 2-3 ครั้งก็ยังไม่ถึงผู้รับสักเล่มเดียว!ที่ได้รับเป็นฉบับพฤศจิกา61ซ้ำกัน!สมาชิก340
คิดถึงตอนคุณศีลสนิทเป็นผู้รับใช้บริการฯส่งเราคิดอะไร?ได้รับตรงเวลาช้าเร็วบ้าง แต่ก็สม่ำเสมอทุกเดือน! มีปัญหาอะไรติดต่อสอบถามก็ตอบรับทันทีบริการทันใจ!คุณศีลสนิทไปไหน ?
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ปัญญาคือธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่
_7680 ผมเริ่มจะเห็นแล้วว่า "ปัญญา" ที่แท้นั้น มันจะเห็นความจริงตามที่เป็นจริงของมันเอง โดยไม่ต้องพยายามใช้สมองไปบีบเค้นหรือปั้นแต่งถ้อยคำสวย ๆ หรู ๆ ออกมาเลย ผมขอน้อมนำคำสอนพ่อครูที่จะปฏิบัติศีลให้แข็งแรงตั้งมั่นยิ่ง ๆ ขึ้น และมั่นใจว่าเราจะมีปัญญาเห็นสัจจะยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับเอง
พ่อครูว่า...ปัญญานี่เป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทีเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆแม้แต่ในชาวพุทธไม่ง่าย มันเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งกว่าสัญญา
1 มันเป็นธาตุรู้ที่เกิดจาก อัญญา
2 มันเป็นธาตุรู้ที่รู้รอบรู้ลึกซึ้งซับซ้อน รู้รอบถ้วน เป็นต้น มันรู้ทั้งรูปทั้งนาม หยาบ กลาง ละเอียด โดยเฉพาะมันรู้พร้อมทั้งภายนอกและภายใน สัญญาก็รู้ได้ภายใน ภายนอกจะไม่รู้ ภายนอกได้อย่างฉาบฉวย การกำหนดสัญญาเป็นเรื่องความเร็ว ปัญญาเป็นธาตุที่เร็วและรอบถ้วน ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่รู้ได้ยากมาก กว่าปัญญาจะเกิดได้อย่างไร
ปัญญาจะถือว่าเป็นปัญญาสมบูรณ์คือหลังจากต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 ครบ แล้วเกิดผล เกิดผลรู้รอบ รู้จนเป็นวิมุติญาณทัสนะเป็นต้น ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ แล้วถึงขั้นวิมุตติญาณทัสสนะ นี่คือคุณสมบัติของปัญญา
ปัญญามีส่วนสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่า จะเป็นปัญญาได้ต้องมี 2 ตัวนี้คือ 1 ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 2 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีองค์ธรรม 6 ปัญญาเจริญยิ่งเป็นปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์มีสัมมาทิฏฐิแล้วต้องเดินตามมรรคมีองค์ 8
ปัญญาที่ไม่ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์แปดไม่ได้ มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ครบกระบวน และก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ หรือไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ความรู้ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะมีทิฐิที่ไม่สมบูรณ์
เช่นทำทาน ทำอย่างไรถึงจะมีผลต้องมีปัญญาตรวจสอบ ตรวจสอบจิตเจตสิกรูปนิพพาน ปรมัตถธรรม ว่าจิตเรามันเป็นอย่างไร สัมผัสแล้วทานแล้วมันจะเอาหรือเปล่า มันจะแลบเลียเป็นภพชาติหรือให้ไปแล้ว 0 ไม่มีภพชาติ จิตไม่มีสาเปกโขเลย
ต้องรู้ว่าจิตไม่มี สาเปกโขเป็นอย่างไร ไม่มีท่าทีต่อเนื่องจากการให้ให้แล้ว 0 สูญไปเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ตรงอย่างไม่มีโค้งไม่มีองศาโค้งเข้ามาหาตัวเอง นั่นคือการให้ที่มีคุณสมบัติเป็นผลสูงสุดไห้อย่างซื่อสัตย์สุจริต ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ให้ ไม่มีเอา ไม่มีโค้งมาเอานิดหนึ่งหรือมากก็ไม่มี
ปฏิบัติศีลพรตก็รู้ว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดผล เป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระ เป็นการละกิเลสและตัวตน ต้องรู้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติให้ชัดเจน รู้ว่าจิตของตนได้รับผล ว่าเป็นผลที่จิตของเราได้ลดกิเลส ปฏิบัติและจิตใจลดกิเลสจริง ทาน ศีล สะอาดจากกิเลส ได้ผลเป็นหุตัง เกิดผลเจริญในจิตใจเกิดจาก สุกตทุกฏานัง ทุกกรรมได้บันทึกผลเป็นวิบาก นี่คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 4
ข้อที่ 5 อยังโลโก ข้อที่ 6 ปโรโลโก รู้จักโลกที่หมุนเวียนไม่ไปหาโลกุตระ ชาวเทวนิยมจะวนอยู่ในโลกเก่าโลกียะ ไม่รู้จักโลกโลกุตตระคืออะไร ปฏิบัติธรรมและจิตของเราออกจากโลกเก่าบ้างไหม ปโรโลโก คือโลกอื่นโลกต่างจากโลกเก่านี่แหละ เป็นโลกที่แยกไปมีอัญญา อัญญะ หรือมีปรนิมิต อยู่ในโลกต่างดาวเราอยู่ในโลกโลกียคือโลกนี้ นี่พูดเป็นรูปธรรมไม่ใช่ว่ามีลูกโลกอีกโลกหนึ่ง แต่ก่อนอยู่ในโลกโลกียะเละเทะ เป็นลูกน้องให้เขาปั่นหัว พยายามจะเป็นนายทางโลกในโลกียะรวยในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สั่งสมวนเวียนในโลกีย์หลงว่าได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขยิ่งใหญ่ ชาติหน้าก็จะต้องยิ่งใหญ่
แต่นี่เรารู้ตัวแล้วไม่เอา เลิกทางนั้น มาปฏิบัติประพฤติเพื่อที่จะล้างกิเลสเก่าที่เราไปโลภมา เป็นโรคด้วยนะ อยู่ในโลกเก่าก็เป็นโรค เรามารักษาโรค ที่เป็นเชื้อโรคโลกีย์ จนเป็นอริยบุคคลเป็นโสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์ อาตมาไม่มีพูดเล่นนะว่าพวกเรานี้เป็นอาหารกันหลายคน แต่ไม่รู้ตัววน เพราะมันไม่ชัด วน ได้แล้วสะอาดแล้วก็ทำเลอะใหม่ แม้ชาวอโศกนี้แหละมีเยอะ ไม่รู้ที่จบ ไม่รู้ที่สุดแล้ว ยังไม่แม่น
ขอยืนยันพวกเรานี้เป็นอรหันต์หลายคน แต่ไม่รู้ที่จบ ก็เลยเลอะ ไม่รู้ที่จบวนไปเลอะใหม่มาล้างใหม่ เรียกว่าไม่เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ชัดเจน
ถ้าชัดเจนแล้วจะเป็นลำดับที่ราบลุ่มเหมือนฝั่งทะเล อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะพูดจริง ที่อื่นไม่มีเลยที่จะมารู้เรื่องอย่างนี้โสดาบันไม่มี มีแต่อรหันต์เก๊ อรหันต์เดา ไม่มีโสดาบันสกทาคามีอนาคามี เขาอาจจะพูดบ้าง เขาพูดถึงปุถุชนแล้วเป็นอรหันต์เลย เขาจะไม่รู้ลำดับไม่รู้ขั้นตอน นี่ไม่ได้ดูถูกเขานะมันพูดถูก คือเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันน่าเศร้าใจศาสนาพุทธมันเสื่อมจนกระทั่งมันไร้คุณธรรมไร้สาระของพุทธ ไร้ความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถ มีปัญญา กำหนดรู้ต่างๆได้ คำว่าปัญญานี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นโลกุตระที่แท้จริง ปัญญาคือความฉลาดที่เป็นโลกุตระที่แท้ ไม่ได้เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ที่เรียกว่า เฉกาหรือเฉโก เพราะบาลีสองคำนี้ เฉกาหรือปัญญา มันหมายถึงความฉลาด 2 ชนิด คำว่าปัญญาของพระพุทธเจ้าหมายถึงความฉลาดที่เป็นโลกุตระที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความฉลาดนั้น เป็นความรู้ที่ฉลาดออกจากโลกโลกีย์ แต่ชาวโลกีย์ทั้งหลายเทวนิยมทั้งหมด ไม่มีปัญญามีแต่ เฉโกอย่างเดียวมีแต่ความฉลาดทางโลกีย์อย่างเดียวไม่ได้ออกจากโลกโลกีย์ ถึงไม่มีปัญญา แต่ขโมยเอาพยัญชนะคำว่าปัญญาไปเรียกคำว่าฉลาด
ฉลาดโลกีย์ก็คำว่าปัญญาไปเรียก คำว่าปัญญาจึงถูกดึงไปใช้เลอะเทอะ แล้วไปยินดีในคำว่าปัญญาแต่คำว่า เฉโกหายไปหมด คนฉลาดเดี๋ยวนี้ไม่เรียกว่าคนมี เฉโก แต่ไปเรียกปัญญาหมด เพราะรู้คำว่า เฉโก เป็นคำไม่ดี มันไม่มีศักดิ์ศรี ส่วนปัญญานั้นมีศักดิ์ศรีก็เลยเอาปัญญานั้นไปใช้แทนหมด คนหลงพยัญชนะก็เอามาใช้เลอะเทอะหมด
คำว่าปัญญาจึงต้องมาเรียนดูให้ดีทำความสำคัญมั่นหมายให้ชัดให้ดี คนมีปัญญาจึงไม่ใช่คนธรรมดา เป็นอริยบุคคล เป็นโลกุตรบุคคล คนปุถุชน ฉลาดเป็นศาสดาก็ไม่สามารถที่จะเป็นผู้มีปัญญาได้ จะเป็นฉลาดอัจฉริยะขนาดไหน ไม่มีทาง ไปหาทางหลุดพ้นได้ คือไม่รู้จักเนื้อแท้ของสภาวะกิเลส จับตัวกิเลสไม่ได้ จะเอาจริงเอาจังทำให้กิเลสลดได้ เห็นกิเลสมันลดได้ วิราคานุปัสสี เห็นกิเลสมันดับนิโรธานุปัสสี จนกระทั่งทบทวนให้มันดับสนิทไม่ฟื้นได้ปฏินิสสัคคานุปัสสี มีญาณปัญญาเห็นความจริงตามความเป็นจริงที่กล่าวมานี้หมดแล้วทำได้จริง ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่จริง
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครู กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุเจ้าค่ะ (ขอแสดงความเสียใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องเนตรด้วยคะ)
พ่อครูว่า...จัดการฌาปนกิจไปแล้ววันนี้ก็จะฌาปนกิจโยมจันทร์เพ็ญ คนหนึ่งอายุ 13 อีกคนอายุ 79 ก็ว่าไป นี่ก็จะมาอีกคนรจนา ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลอยู่ จะเอามาทางนี้หรือไปทางโน้นก็แล้วแต่ญาติเขา
_หลำ มงคลอินทร์ · แค่ได้เห็นก็เป็นสุข ด้วยความจริงเป็นที่ตั้ง สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้พ่อท่าน จงแข็งแรงยิ่งๆขึ้น ค่ะ
พ่อครูว่า...ก็ดีเห็นอาตมาแล้วเป็นสุขถ้าเห็นและเป็นทุกข์ก็คงจะแย่
_ถามแทนคนใหม่..1 การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธแท้ เราสามารถสะสมบุญได้หรือไม่ 2 การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลสามารถส่งถึงผู้ที่ล่วงลับได้หรือไม่
พ่อครูว่า…
_คุณคณิต..กระผมมีมานะทิฐิว่าตนได้พบธรรมะเอก และกระผมก็มุ่งหมายอยากจะให้เป็นพระเอกในโลกทีเดียว เทพีเสรีภาพ หวังสร้างให้มนุษยชาติมี อจินกรรมถึงธรรมะนี้ แล้วมนุษยชาติจะเจริญดุจกระผม กลับหลังที่จะทวนกระแสพระพุทธองค์
พ่อครูว่า..ตีความได้ว่าคนนี้ก็ยังรู้ตัวเองว่ามีมานะทิฐิถือดีไปหน่อย ได้พบธรรมะเอกแล้วอยากให้ทำมั้ยเอกเป็นเทพีเสรีภาพ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอะไร
_คุณเฉลิมชัย ล้อลีลา พระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้ออะไรด้วยปัญญาอะไรชั้นปัญญาที่ตรัสรู้มีกระบวนการอะไรครับ เป็นเรื่องพุทธ- วิสัยอจินไตยใช่ไหมคะ ยังมีบทละครสมมติที่จิตวิญญาณเขียนขึ้นมาด้วย นี้คือธรรมะอนุตตรธรรมอยู่เหนือโลกุตตระส่วนกรรมเกิดทีหลัง ขอให้พ่อครูอธิบายด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...ถามลึกเกินไป อาตมาคงไม่อธิบาย ที่จริงอาตมาตอบได้หมด แต่มันถามแบบอมความไปทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้ออะไร อาตมาได้บอกไปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้หัวข้อเรื่องสุขเรื่องทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เรื่องดีชั่ว เพราะดีชั่วนี้รู้กันมากก็รู้กันหมด เทวนิยมหรือว่าศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่องดีเรื่องชั่วทั้งนั้น แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วให้เลิกจากความสุขความทุกข์ให้ได้ นี่คืออริยสัจของศาสนาพุทธ นี่คือหัวข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอะไร เป็นปัญญาโลกุตระ ปัญญาที่ไม่เหมือนคนในโลกที่ใครๆจะมี เพราะฉะนั้นในโลกนี้ไม่มีใครมีปัญญาเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าค้นพบอันนี้แล้วเลิกสุขเลิกทุกข์ เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่มีทางสิ้นความสุขสิ้นความทุกข์และจะหลงความสุขความทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะความสุขความทุกข์เป็น dualism
ความสุขความทุกข์เป็นเหมือนเหรียญสองด้านเหมือนคู่ที่แกะออกจากกันไม่ออก คนหลงความสุขแต่ความทุกข์นั้นมันก็ติดอยู่กับคนนั่นแหละ ด้วยคุณทำทีเป็นไม่รู้ มันแยกไม่ออก แต่เขาตีสองอันนี้ไม่แตกแยกอันนี้ก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ตีมันทิ้งหมดเลยทั้งสุขทั้งทุกข์ไม่เอาไว้ทั้งสอง
หมดทั้งสุขและทุกข์ก็จบ หมดทั้งสุขและทุกข์นี้คือหัวใจศาสนาพุทธ ตรัสรู้อะไรตรัสรู้ความสุขความทุกข์มีปัญญาอะไรปัญญารู้ความสุขความทุกข์ ชั้นปัญญาที่ใช้ตรัสรู้เป็นขั้นตอนอย่างไรคือธรรมะทั้งหมดของพระพุทธเจ้าใช่ทั้งนั้น กระบวนการทุกกระบวนการ เป็นเรื่องพุทธพิสัยเป็นเรื่องอจินไตยใช่ไหม ก็ใช่ เป็นเรื่องพุทธพิสัยเป็นเรื่องอาจินไตยที่เดาไม่ได้ แต่จะตามรู้เป็นลำดับไปได้เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย
ยังมีบทละครสมมติที่จิตวิญญาณเขียนขึ้นมาด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(บุญ) ตอน การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธ
_ของคนที่ถามแทนคนใหม่ การทำบุญที่ถูกต้องของชาวพุทธแท้เราสามารถสะสมบุญได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนเสื่อมไปทั้งหมด กล่าวได้อย่างนั้น เอาคำว่าบุญเป็นตัวยืนยัน คำว่าบุญ ปุญญะ คำนี้รู้ได้ยากมากเลย ว่ามันคืออะไร เป็นอย่างไรมีคุณสมบัติแค่ไหน ยากมาก
ปุญญะเป็นพลังงาน ที่อาริยบุคคลสร้างขึ้นที่จิต สร้างพลังงานขึ้นมาในปัจจุบันนั้น บุญนอกปัจจุบันไม่มี บุญนอกจากปัจจุบันไม่มี บุญเกิดได้ในปัจจุบันเท่านั้น จบปัจจุบันในกาละใดไม่มีบุญอยู่ ถามว่าบุญจะสะสมได้ไหม...สะสมไม่ได้เลย คนที่ยังหลงสะสมบุญอยู่นั่นคือคนที่งมงายอยู่ตลอดกาล ยังเข้าใจบุญไหม เข้าใจบุญไม่ได้แล้วจะมาสร้างบุญได้อย่างไร..ก็ไม่ได้ ผู้ที่สร้างบุญให้เกิดได้ก็ต้องรู้จักบุญที่ถูกต้องแท้จริงว่า มันหมายถึงสภาวะทำอย่างไร หมายถึงสภาวะที่เกิดในจิตปัจจุบัน พลังงานที่สร้างขึ้นมาทำอะไรสร้างขึ้นมาล้างกิเลสกำจัดกิเลส บุญนี้เป็น one way Traffic บุญนั้นเดินทางเดียว ฆ่ากิเลสอย่างเดียว นอกจากอย่างอื่นไม่ทำเลย ไม่แวะทำเลยมีหน้าที่เดียว เอกังเสนะ หนึ่งเดียว เอกเดียว ฆ่ากิเลสหน้าที่เดียวไม่มีหน้าที่อื่นเลย
ผู้ใดสามารถประกอบพลังงานจิตขึ้นมาแล้วทำให้กิเลสลดได้กำจัดกิเลสออกได้ แม้จะลดไม่หมดได้เป็นส่วนบุญ ได้นี่คือเสีย กิเลสถูกฆ่าไป เช่นฆ่ากิเลสไป 10 ไม่ได้อะไรมาเลยนะ คำว่าส่วนบุญคำนี้เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่มันได้แต่ไม่ได้
ได้ทำสำเร็จ แต่ไม่ได้อะไรมา ได้อะไร...ได้กิเลสหายไป ได้กิเลสหมดไปจากจิต มันไม่ได้ แต่มันได้ผล เพราะผลเป็น 0 คือไม่ได้อะไร นั้นคือสภาวธรรมที่ใช้ภาษาไขให้ฟัง
ผู้ที่ทำบุญถูกต้องของความเป็นพุทธ ทุกวันนี้หาไม่ได้เลย แต่ทุกวันนี้เข้าใจบุญว่าคือกุศล กุศลคือสมบัติสะสมอาศัยไว้ดี พระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่สันโดษในกุศล เราหมดบุญ
ปุญปาปปริกขีโณ เราเป็นผู้หมดบุญหมดบาป มีพระพุทธเจ้าทำได้มีพระอรหันต์ทำได้ แต่ว่ากุศลไม่มีหมด ขนาดพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังไม่สันโดษในกุศล ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ยังไม่หยุดเลย
ถ้าเข้าใจคำว่าบาปและบุญถูกต้องทำให้ถูกต้องก็เป็นอรหันต์ได้ในชาติใดชาติหนึ่ง อาจจะในชาตินี้ก็ได้ถ้าถูกต้องสัมมาทิฎฐิ ก็เป็นพวกใกล้ต่อนิพพาน หากไม่สัมมาทิฏฐิก็จะไม่รู้อีกกี่ล้านชาติ แม้จะเป็นผู้รู้ทางศาสนาใช้ความรู้ทางศาสนาหากินอยู่ ที่จริงก็เป็นบาปทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นคนเข้าใจผิดไปจากสิ่งที่ถูกต้อง สอนให้คนพากันผิดก็เป็นบาป ทำให้ผิดไปจากสัจจะพระพุทธเจ้ามาน่าสงสารเขาไม่รู้ตัว อย่างเช่นธัมมชโย น่าสงสารมาก
เอาคำว่าบุญมาหลอกล่อตีความว่าจะต้องเป็นสมบัติวิมานเฟส 4 1234 หลอกให้คนตะกละอยากได้ภพชาติ กิเลสหนาเตอะเท่าไหร่ ยุคนี้คนโง่มากเลย ถูกธัมมชโยหลอกให้เป็นบริวารได้ คนไทยน่าสงสารทางธรรมะถูกธัมมชโยหลอก ทางโลกก็ถูกทักษิณหลอก เทียบกันไม่ได้เลยว่าสองคนนี้ใครจะมีนรกใหญ่กว่ากัน เขางมงายก็นึกว่าเขาได้สร้างสวรรค์ทั้งคู่ เขาก็เลยแข่งกันยังไม่ตัดสิน ยังวิ่งสร้างนรก- ต่อไป
พลังงานที่กำจัดกิเลสได้นั่นแหละบุญ กำจัดนิดหน่อยก็ได้ส่วนแห่งบุญ กำจัดหมดสิ้นอาสวะแล้วก็หมดบุญ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทุกองค์เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป ผู้ใดไม่เข้าใจความหมายและสภาวะจริงของบุญ คนก็จะยิ่งอยากได้บุญ หาบุญมาใส่ตัว คนนั้นเป็นคนงมงายไม่รู้เรื่อง บุญเป็นเครื่องมือฆ่าแล้วเอามาไว้ทำไม ไม่ได้ฆ่าอะไรนอกจากฆ่ากิเลสแก่ตัวเอง แสดงว่าตนเองมีกิเลสอยู่จึงเอาเครื่องมือฆ่ามาไว้กับตัว ถ้าหากทำถูกวิธีกิเลสนั้นก็มาอยู่ในตัวคุณอีกแล้ว บุญมีลักษณะจริงที่ทำหน้าที่เสร็จแล้วก็จบกิจไม่มีอยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลถึงผู้ตายหรือไม่
_การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลสามารถส่งถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้หรือไม่
พ่อครูว่า...อาตมาจะตอบง่ายๆสั้นๆก่อนว่า...การกรวดน้ำ คุณจะส่งอันหนึ่งให้ไปถึงวิญญาณอีกอันหนึ่ง คุณจะทำอย่างไร เราปลูกบล็อคเคอรี่หรือดอกกะหล่ำ อันนี้สวยจังเลย เอาไปต้มไปแกงก็ถวายพระ ไหว้เสร็จแล้วก็ส่งให้ผู้ตายด้วย ก็กรวดน้ำ ยะถาวาริวะหา ถามว่าดอกกะหล่ำหนีออกจากท้องพระไปแล้วก็ไปหา ย่าและยายที่ตายไปไหม เป็นอุจจาระเศษเหลือออกไปในส้วมเท่านั้น ไม่ไปเด็ดขาด
เอานี่เลย อาตมากินแกงดอกกะหล่ำแล้วเสร็จแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วมันจะเข้าท้องคุณไหมนี่สวดไปเลยร้อยจบ จะออกจากท้องอาตมาไปเข้าท้องคุณไหม พูดกันให้ถึงถึงอย่างนี้ ก็จะได้เลิกเชื่อสิ่งงมงายแล้วนี่เสียที กรวดน้ำไม่ใช่ของศาสนาพุทธ มันเป็นเดรัจฉานวิชาและงมงายอยู่ในศาสนาพุทธอยู่ได้ ใครทำอยู่ก็ยังงมงายอยู่ทั้งนั้น ใครเลิกได้มีความกล้าหาญมาก อาสโภ ไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับเรื่องไม่ได้เรื่องแล้วปล่อยให้นายทุนหากิน เอาวิธีการสร้างหลอกล่อล้วงกระเป๋าคุณอยู่นั่นแหละ ทำเป็นมีพิธีการอยู่ในสังคมหลอกล่อกันอยู่นั่นแหละ มันเป็นขายขี้หน้าพระพุทธองค์ ตัวเองโง่แล้วก็ยังบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าอีก
พระพุทธเจ้าสอนว่ากรรมเป็นของของตน คุณจะทำทาน จะเป็นแกงดอกกะหล่ำกับสับปะรดกล้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณได้ทานสิ่งนี้ก็คือคุณจะได้สละให้ก็เป็นกุศลของคุณ แล้วการทานนั้นถ้าคุณมีสัมมาทิฏฐิ ทานแล้วก็ทำเป็นจิตว่างก็ไม่เอาอะไรคืนเลย ก็เป็นการชำระกิเลสของคุณ แต่ถ้าหากทำทานแล้วยังอยากจะได้ก็ไม่เป็นบุญ แต่มีส่วนกุศลเป็นความดี คุณเสียสละวัตถุข้าวของให้ ก็เป็นกุศล เป็นวิบากดีได้ แต่คุณทำจิตของคุณให้เป็นบุญได้ไหม การให้กับการเอามันไม่เหมือนกันเลย ตรงกันข้ามกันด้วย
สภาวะ คือการให้ แต่จะต้องเอา สภาวะคงงง ให้หรือเอากันแน่ สภาวะก็เลยงงเจ้าของที่ทำ การให้แต่จะเอา ก็ต้องตกลงกันว่าเจ้าของจะให้นะ
คำว่าให้กับเอาเป็นธรรมะ 2 คนตีธรรรมะ 2 ไม่แตก แค่นี้คือพวกเทวนิยม
ยิ่งสุข ยิ่งทุกข์ ยิ่งไม่รู้ พระพุทธเจ้าแยกความสุขความทุกข์ก่อน มันเป็นอุปาทาน สุขแบบหนึ่งก็หาย แต่ทุกข์นั้นสั่งสมใส่อนุสัย คุณจะเป็นอย่างนี้จะได้อย่างนี้จะมีอย่างนี้สั่งสมไป แล้วมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็แสวงหา จำไว้ให้ลึกเลยว่าไม่ลืมๆๆๆ ข้ามภพชาติไม่รู้กี่ชาติก็จำอยู่นั่นแหละจะเอาให้ได้เป็นตัวกูของกูไม่รู้จักวาง
ศาสนาพุทธจึงชัดเจนในเรื่องสภาวะธรรมโดยเฉพาะเรื่องธรรมะ 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(แสงอรุณทั้ง 7) ตอน ปฏิบัติเป็นลำดับด้วยสุริยเปยยาลสูตร
มาต่อที่ อ่าน ข้อเขียน เราคิดอะไร
จากพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ปหาราทสูตร พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงความสัมบูรณ์ได้สุดยอด ครบ 8 ข้อใหญ่
พุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้
ปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่
พระพุทธเจ้า : มี 8 ประการ ปหาราทะ
8 ประการ เป็นไฉน?
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด(อนุปุพพนินโน) ลุ่ม(อนุปุพพโปโณ)ลึกลงไปโดยลำดับ(อนุปุพพปัพภาโร) หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่(นายตเกเนว ปปาโต) ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา(สิกขา)ไปตามลำดับ มีการกระทำ(กิริยา)ไปตามลำดับ มีการปฏิบัติ(ปฏิปทา)ไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ)
ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำไปตามลำดับ(อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพพปฏิปทา) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(นายตเกเนว อัญญาปฏิเวโธ) นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ 1 (ปฐม อัจฉริโย อัพภุตธัมโม) ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
คำว่า ลาด ลุ่ม ลึก ไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว นั้นก็คือ ลำดับของการศึกษา(สิกขา)ก็ดี ลำดับของการประพฤติที่ได้ทำกันจริงๆ(กิริยา)ก็ดี และลำดับของวิธีการแห่งปฏิบัติทั้งหลาย(ปฏิปทา)ก็ดี ล้วนดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับราบรื่น เรียบ ร้อย ง่ายงาม ดีมาก ไม่สะดุดตะปุ่มตะป่ำ ไม่ขรุขระ ไม่อีโหลกโขลกเขลก ไม่กลับไปกลับมา ไม่ต่ำตกวูบแล้วก็พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด หกคะเมนตีลังกาอย่างไม่เป็นท่า หรืออะไรอย่างนั้น แต่เป็นระบบระเบียบเรียบราบดี ไม่วุ่นวนสับสนไปมา เดี๋ยวกลับหน้า เดี๋ยวกลับหลังนั่นคือ หลักเกณฑ์สำคัญหลักแรกยิ่งใหญ่คือ “ศีล-สมาธิ-ปัญญา” (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ส.ฟ้าไท แทรก
สมาธิของพระพุทธเจ้ายิ่งเร็วยิ่งแรงยิ่งนิ่งยิ่งสงบ คำว่าสมาธิจึงไม่ใช่ยิ่งเมายิ่งอ่อน ยิ่งแข่งยิ่งแน่นไม่ใช่ แต่สมาธิของพวกนั้นเป็นสมาธิที่มีพลังงานมหาศาล
“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นี้ จะปฏิบัติได้ผล“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา-อธิมุตโต”ไปตามลำดับ และเกิด“วิมุตติ”ไปเป็นขั้นๆ เป็นเรื่องๆ 1.เมื่อผลของ“ศีล”นั้นทำให้“จิต”สะสมผลได้“อธิจิตตั้งมั่น”เข้าขั้น“สมาธิ”ครบรอบต้น “อธิปัญญา”ก็รู้แจ้งรู้จริงในผลที่สั่งสมตกผลึกเป็น“สมาธิ”รอบต้นนั้นไปตามลำดับ จนกระทั่ง “ศีล”ข้อนั้นปฏิบัติจนมีผลทำให้“จิต”สะอาดบางจางจากกิเลสไปเรื่อยๆ และควบแน่นเข้าๆ กระทั่ง“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นกลาง” และที่สุด“ตั้งมั่น”เป็น“ขั้นปลาย”เรียกว่า “วิมุตติ” ก็จะมี“อธิปัญญา” ตามรู้ใน“อธิ”ต่างๆทั้งหมดนั้นๆไปด้วยตลอด จนที่สุด อะไรจะมาหักล้างอีกไม่ได้เลย
ไม้ร่มส่งกวีมาแทรกว่า...
วันครูบุญ-คุณค่ามาแต่เหตุ
ให้น้องเนตร เปิดทางสว่างไสว
จันทร์เพ็ญเดินเจ็ดก้าวให้เข้าใจ
เป็นของใฝ่ของขวัญวันให้พ่อครู
ท่านเดินดินเปิดฟ้าตาวิเศษ
พ่อท่านเทศน์ลูกเทิดเปิดตาหู
อโศกสุดกิ่งเรียวเกี่ยวตาดู
อรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับ
พ่อครูต่อ...กิเลสหมดเกลี้ยงก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า“กิเลสเกลี้ยง”ด้วย“อธิปัญญา”นั่นเอง เรียก“ผล”สุดท้ายนั้นว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ”ใน“สมาธิ”นั้น“ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุติ-วิมุตติญาณทัสสนะ”นั้นคือ “กระบวนการ(process)”ที่เป็น “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ)” สอดซ้อนสานกันไปอย่างเป็นระบบ ลาด ลุ่ม ลึก ละเอียดราบเรียบอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
ถ้าผู้ปฏิบัติมี“กระบวนทัศน์(paradigm)”ที่มี“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”และปฏิบัติเป็นลำดับเข้าขั้น“สัมมาทิฏฐิ”ตาม“ทฤษฎี”(ทิฏฐิ)ของ“ศีล-สมาธิ-ปัญญา”พระพุทธเจ้า
ผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องมี 7 อย่างนี้ก่อน
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[135] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
พระอาทิตย์นั้นเปรียบเสมือนมรรคมีองค์ 8 คนจะเห็นพระอาทิตย์ได้ต้องเห็นแสงอรุณก่อน แสงอรุณนั้นก็คือ 7 ข้อสุริยเปยยาล
ถ้าไม่มี 7 ข้อนี้ถ้าปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็จะไม่สามารถเกิดได้ เพราะไม่สามารถทำใจในใจโยนิโสมนสิการได้ คุณต้องศึกษาทฤษฎีปริยัติจากผู้รู้ที่เป็นมิตรสหายดีเป็นสัตบุรุษของคุณ คุณกลับตาบอดเห็นสมณะที่เป็นสัตบุรุษ เป็นพวกนอกรีต ไปเห็นพวกอสัตบุรุษเป็นพวกมิตรดีสหายดี ไม่เจ๊งวันนี้แล้วจะไปเจ๊งวันไหน ศาสนาพุทธจึงน่าสงสาร ไปยินดีกับอสัตบุรุษ ไปปฏิบัติศีลพรตอย่างสีลัพพตปรามาส ศีลทุกวันนี้ก็ไม่มี มีแต่ศีล 227 ไม่มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีแต่เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด ไม่เป็นศาสนาพุทธเลย พูดแล้วน่าสังเวชใจทำไมเป็นอย่างนี้ ศาสนาพุทธถึงได้ล้มเหลว อาตมาจึงเหลือใจจริงๆ มันอัดอั้น จะพูดก็ไม่ออกได้แต่กรอกตา มันไม่เหลืออะไรอยู่ในใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ยอดหัวใจในการปฏิบัติของศาสนาพุทธ
ยอดหัวใจในการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธหัวใจของการปฏิบัติอยู่ที่สัมมาสังกัปปะ อยู่ที่การปฏิบัติสังกัปปะ 7 ถ้าไม่สามารถรู้จักสังกัปปะ 7 แล้วก็เรียนรู้แยกเวทนา 108 ไม่เป็น โดยเฉพาะ แยกเคหสิตเวทนา กับเนกขัมสิตเวทนา เป็นธรรมะ 2 ข้อสำคัญคู่เอก จิตของเราสัมผัสแล้วจับรู้ ในสัมผัสกับมันมี กามผสมไหม แขกจรตัวนี้ อาคันตุเก จับตัวกิเลสกามหรือพยาบาท แล้วทำออกเนกขัมมะได้ ทำให้กิเลสออกไปจากใจได้
พิจารณาให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนหรอก พูดภาษาเพราะนะง่าย แปลจากภาษาบาลีว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา แต่คุณจะเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสนี่มันก็ไม่เที่ยง จิตเองก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับ กิเลสมันก็เกิดดับเกิดดับแต่คนไปยึดถือให้มันอยู่ มันไม่เที่ยงก็ไปยึดถือให้มันเที่ยง มันไม่อยู่ก็เอามันอยู่ มันไม่ใช่ตัวตนก็เอามันมาเป็นตัวตน ทำไมมันถึงดื้อจริงนะคน เคยดื้อไหม เดี๋ยวนี้ยังดื้ออยู่หรือเปล่า แล่วกัน โอ้ย หัดลดลงบ้างหรือเปล่า ..ลด ก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็ยังชั่วอยู่ดี
ที่พูดนี้มันดูง่ายๆ แต่ชัดขึ้นไหม ปฏิบัติแล้วเราต้องอ่านจิตของเรากระทบสัมผัสแล้วเราต้องอ่านจิตในจิต แล้วทำจิตในจิตของตน ให้จิตมีมุทุภูตธาตุ สัมผัสรู้แล้วแยกแยะได้เร็วมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เร็ว แยกกิเลสได้จัดการกิเลสทันที จัดการกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้กิเลสลดลงได้ด้วยปัญญา การกดข่มมันเป็นอัตโนมัติของแต่ละคนทุกคน ถ้าไม่กดข่มกิเลสรับรองเรี่ยราด ไม่ว่าขี้โลภอยากได้ราคะ หรือโกรธ มันออกมาประจานเต็ม คนกดข่มตามธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันไม่สงวนท่าทีก็เอาออกมาก็เรื่องของสัตว์ แต่คนยังมีองค์ประกอบต่างๆ ไม่ได้ปล่อยออกมาหมดหรอก ไม่ว่าจะเป็นความโกรธความโลภหรือราคะ
แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่เรียนรู้และกำจัดพวกนี้ มันก็มีแต่สะสมหนาขึ้นเรียกว่าปุถุชน คนที่ปุถุชนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองมีกิเลสหนาอยู่ทุกวินาที เติมราคะโทสะโมหะหนาไปเรื่อย เพราะเขาไม่ระมัดระวัง ขนาดเราระมัดระวังยังไม่ง่าย พวกที่ไม่ปฏิบัตินี่น่าสงสาร แล้วเขาไม่รู้ตัวสะสมความโลภสะสมราคะโทสะ อยู่ตลอดเวลาเลย เขาไม่รู้ น่าสงสารไหม นี่คุณเห็นใจโพธิสัตว์ไหม โพธิสัตว์รู้เห็นจริงๆมันน่าสงสาร อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะว่า อาตมาสงสารคนที่เป็นอย่างนี้ พูดอยู่ตลอดเวลา ที่ทำอยู่นี้ก็เหนื่อยนะ มันก็ยากด้วย แล้วทำไมมันถึงดื้อดึงจัง แต่มันก็ต้องทำเพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้
ถ้าหากพระโพธิสัตว์ไม่เห็นใจแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แต่อาตมาเห็นใจ โดยตั้งจิตว่าจะพยายามพากเพียร ถ้าเราพากเพียรขึ้นก็จะสะสมบารมีขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า ก็เอาเถอะคนเราเกิดมาเป็นคนนั้นสูงสุดได้สูงสุดเท่าพระพุทธเจ้า จะเสียชาติเกิด เราเกิดมาในชาตินี้เราเป็นคนให้ถึงสูงสุดเหมือนพระพุทธเจ้าให้ได้อยากเป็นกันไหม แล้วตั้งจิตกันไหม
เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว ถ้าคนที่ได้ภูมิอรหันต์แล้ว คือคนที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลยแยกธาตุไปเป็นอุตุนิยามไม่เป็นจิตนิยามได้แล้ว แต่ยังไม่แยกจะทำต่อ นี่คือโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทไม่รู้เรื่อง เขาตีทิ้งเป็นปุถุชนแล้วเอาโพธิไปใส่ไว้ตรงไหน โพธิคือความตรัสรู้ โพธิสัตว์ก็คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์จริงจึงรู้ลำดับนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ถึงระดับ 7 จึงได้รู้ลำดับดีพอสมควร แล้วลำดับที่อาตมาจะต้องไปอีกจึงรู้ล่วงหน้าพอสมควร
ที่ จะต้องยืนยันเพราะว่าคนถูกหลอกให้ไปเชื่อถืออรหันต์เก๊ไปหมด พูดนี้ไม่ได้หลงตัวหลงตนแต่ก็ต้องยืนยัน ถ้าคุณไม่เชื่อก็ต้องตามพิสูจน์ คุณไปพิสูจน์อรหันต์เก๊น่าเสียดายเวลาทุนรอนจะตาย คุณเอาเวลาแรงงานทุนรอนมาศึกษาอรหันต์จริงบ้างสิ แต่เขาไม่เอา ไปเสียเวลากับอรหันต์เก๊กัน เมื่อไหร่จะหยุดเสียที
เขาไม่รู้ว่าอรหันต์จริงคืออะไร อรหันต์จริงเขาสอนกันว่าจะต้องนิ่งใบ้ไม่นิคคัณเห ไม่ติมีแต่ชม แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการตำหนิ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด จะทำกับเธอเหมือนช่างปั้นหม้อที่ทำกับดินที่ยังเปียกอยู่ หรือความชั่วหรือกิเลสของเราเหมือนไฟที่ไหม้อยู่บนศีรษะควรรีบเอาออก ความดีมันก็อยู่กับเราไปมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นต้องรีบเอากิเลสหรือไฟที่ไหม้ศีรษะออก ต้องตำหนิแล้วตำหนิอีก กระนาบแล้วกระหน่ำอีก เรื่องดีนั้นยังชะลอไปได้ แต่เรื่องไม่ดีนี้ต้องรีบร้อน ท่านพูดและยกตัวอย่างอย่างนี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะทำยังไงอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะห้ามอาตมาไม่ให้ด่าคนนี้เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
ซึ่งจะเกิดผลจากการปฏิบัติไปตามลำดับ ลาด ลุ่ม ลึก สนิทเนียน แนบแน่น(อัปปนา) แน่วแน่(พฺยัปปนา) ปักมั่น(เจตโส อภินิโรปนา)ไปตาม“กระบวนการ”ของ“สังกัปปะ 7”
และการอบรมศึกษาฝึกฝนก็เป็นขั้นๆไปตาม“ศีล”ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือลงมือปฏิบัติศีล จากสำรวมทางกายกรรมภายนอก แล้วเกิดผลทางจิตเป็นอธิจิตไปตามศีล อันมีกำหนดขั้นตอน ข้อ 1-2-3-4-ฯลฯ...เป็นต้น
ศีลข้อที่ 1 นั้นสัตว์แต่ละตัวเขาก็มีวิบากของเขา เรามีหน้าที่ช่วยเขาในสิ่งที่ดี ถ้าเขาจะร้ายก็อย่าไปส่งเสริม บอกความร้ายในสิ่งที่เขามีแล้วให้เขาจัดการความร้ายเอาออกให้ได้ เมื่อพูดถึงความร้าย คนที่มีอัตตามานะก็จะโกรธ เมื่อยจริงๆไม่มีทางเลี่ยง ขี้บนน้ำบนบกก็ไม่ได้ขี้บนอากาศก็ตกมาบนบกอีก ผิดไปหมด
ต้องให้ปฏิบัติทีละคู่ เทวะ แยกรูปแยกนาม
รูปกับนามคือ 1 สิ่งที่เป็น object กับ 2สิ่งที่เป็น Subject
Subject คือตัวรู้ object คือตัวที่ถูกรู้หรือถูกกระทำจัดการ เราต้องจัดการกับจิตของเราเองแล้วเราก็เป็นธรรมะ 2 แต่ศาสนาเทวนิยมแยกเทวไม่ออกแยกธรรมะ 2 แยกรูปแยกนามไม่ออก โดยเฉพาะตนเองนั้นมีธรรมะ 2 แต่ไม่รู้ นิ่งเลย เอาตัว 2 นี้เป็นหนึ่งเดียว แต่ตีไม่แตกแยกไม่ออกก็เลยไม่รู้ว่ามันมีอะไรหลากหลายมากมายเยอะแยะ ทีละคู่แยกได้เป็นล้านๆคู่ คุณก็จะรู้ทุกอย่างเลย แต่เราก็รู้ทีละคู่จึงเรียกว่าเป็นลำดับอย่างราบลุ่ม แต่เทวนิยมตีไม่แตกจึงกลายเป็นเทวคู่ เป็นหนึ่ง แล้วก็ไม่เรียนรู้หนึ่งนี้เลย แล้วยกให้ 1 นี้เป็นยอดสูงสุดอยู่ไหนก็ไม่รู้บันทึกออกมาเรียกว่าตำราแล้วให้ประกาศก prophet ประกาศ แล้วอย่าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องเชื่ออันนี้หมด แยกแยะวิจัยไม่ได้ ทำตามทุกอย่างหมด ควบคุมอิสระเสรีภาพ ศาสนาเทวนิยมจึงเป็นศาสนาทาส100% เป็นทาสพระเจ้า คำสั่งพระเจ้าต้องทำตาม เป็นอาชญา command บังคับ ขออภัยพูดนี้ไม่ได้ว่าหรือดูแคลนแต่สาธยายวิชาการความจริง แต่ถึงเวลาแล้ว โลกกำลังแสวงหาความรู้มีอยู่ อเทวนิยมแยกตัวเองออกได้ ทำให้ตัวเองเป็นหนึ่งก็ได้ทำให้เป็น 0 ก็ได้ พระอรหันต์โพธิสัตว์ก็อยู่กับ 1 หรือ 0
1 คือบทบาทอาศัยให้มี ยังไม่สูญเป็นปรินิพพานปริโยสาน ก็ยังทำงาน เพื่อให้คนอื่นทำ 1 หรือ 0 ได้อีก เป็นผู้ที่สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าไป ด้วยการให้อิสระให้สิทธิ์คิด ไม่ใช่ให้เชื่ออย่างเดียวโดยไม่มีวิจัยวิจาร เห็นต่างก็ได้สุดยอดประชาธิปไตย คนเชื่ออย่างนี้ก็พิสูจน์ของตัวเองไป ก็บอกว่าของเราถูก คุณก็บอกว่าของคุณถูก ต่างคนต่างพิสูจน์เป็นนานาสังวาสไม่มีการทะเลาะกันไม่ไปทำร้ายทำลายกัน เขาเชื่ออย่างนั้นก็ให้เขาทำอย่างนั้น แต่เราบอกว่ามันไม่ถูกนะ เราก็มีสิทธิ์ จริงใจ ก็บอกว่าอย่างนี้ถูกกว่า อย่างนั้นเราก็รู้แล้วพิสูจน์มาแล้ว จะแยกแยะ 2 ออกมาเป็น 1 จนกระทั่งทำ 0 ได้ ทำได้จนกระทั่งชำนาญ อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ชำนาญมาสอนอย่างนี้พูดไป ตกผลึกเป็นอเนญชา เป็นธาตุนิพพานที่สั่งสอน อเนญชา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ระดับ 7 นี้ก็แข็งแรงในคุณสมบัติ 5 อย่างนี้มากพอ ไม่มีอะไรทำลายได้แล้ว
เวทนาเป็นธรรมะสอง คือสุขกับทุกข์ หัวใจศาสนาพุทธสอนตรงนี้ไม่ใช่สอนที่ดีหรือชั่วที่เป็นสมมติ จะสุขหรือทุกข์นี้เป็นปรมัตถ์ ในการเรียนรู้ทุกข์เราจะรู้องค์ประกอบที่เป็นกระบวนการเกี่ยวข้องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆรวมกันหมดเลย
เมื่อเราสามารถวิจัยธรรมะ 2 นี้ออกแล้วก็ล้างตัวกิเลสที่เป็นตัวเลวร้ายมาก มันทำร้ายทั้ง ปรมัตถ์และสมมุติ มันไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ถ้าเรามาเรียนรู้สุขทุกข์และลดความสุขความทุกข์มันจะทำลายตัวกิเลส เพราะกิเลสทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ เมื่อทำให้หมดสุขหมดทุกข์ก็จะทำให้ดีและชั่วดีขึ้นด้วย แต่จะไปทำร้ายแต่ดีแล้วชั่วนั้นไม่ถูก คุณไม่มีวันที่จะสามารถแก้ไขจิตวิญญาณได้สำเร็จสะอาดสมบูรณ์ เพราะ สุขทุกข์เป็นเวทนา ดีชั่วนั้นแล้วแต่เขาจะสมมติ ประเทศนี้ถือว่าดี อีกประเทศถือว่าชั่ว มันก็ไม่ตรงกันหรอก สมมุติคนละอย่างกัน ดีชั่วเป็นสมมติ แต่ในปรมัตถ์ ความสุขความทุกข์นั้นเหมือนกันหมด ที่เหมือนกันเพราะว่ามีการยึดถือ ภาษาสิริมหามายา คุณยึดถืออะไรเพราะคุณชอบ คุณได้ตามที่คุณยึดถือคุณก็มีความสุข เมื่อคุณยึดถืออะไรแล้วคุณไม่ชอบ คุณได้มาคุณก็ไม่สุข
เฉพาะบุคคลทุกคนไม่ว่าชาติไหนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแต่เรียกด้วยบัญญัติคนละอย่าง คนยึดถืออะไรว่าเป็นสิ่งที่คุณชอบได้มาสมใจก็เป็นสุข ถ้าได้มาไม่ตรงสเปค คุณก็เกิดทุกข์
เพราะฉะนั้นสุขทุกข์อยู่ที่อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ที่ยึดถือไว้ในกองอนุสัยอาสวะ เคลื่อนตัวมาให้รู้เป็นความยึดมั่นถือมั่น ตื้นขึ้นมาก็เป็นตัณหา ยึดมั่นถือมั่นว่ากูต้องได้อย่างนี้เปิดขึ้นมามีตา หู จมูก ลิ้น กายผสมกับลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็มี specification หมดแล้วว่ากูจะต้องได้อย่างนี้ ได้ลาภอย่างนี้ ได้ยศอย่างนี้ ยศตำรวจไม่เอาเอายศทหารหรือข้าราชการ เอายศแบบทางโลกแบบฆราวาสก็แล้วแต่ โดยไม่รู้รายละเอียดพรุ่งนี้ไม่ได้ศึกษา ถ้าหากรู้แล้วซะก็ไม่ต้องไปแย่ง เราทำความสุขความทุกข์ให้หมดไปจากจิตแล้ว มันจะรู้ดีรู้ชั่วไปในตัว เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดความสุขความทุกข์แล้วจะไม่ทำอะไรชั่ว จะทำแต่ดี เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ยึดถือในสุขและทุกข์จะรู้จักกรรมวิบาก ไม่สั่งสมโดยเฉพาะสุขทุกข์ก็ไม่สั่งสม ก็เรียนรู้อยู่กับสมมุติ พระอรหันต์มีชีวิตอยู่กับสมมติเท่านั้น หมดความสุขความทุกข์แล้ว ท่านก็อยู่กับสมมุติโลก อันนี้เขาสมมติว่าดี เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม เขาจะสมมติว่าอันนี้ชั่ว จะเห็นว่าดีก็แล้วแต่ หากไม่ทำตามเขา เขาก็ไล่ออกจากประเทศ เพราะวัฒนธรรมกฎหมายเขาก็เป็นอย่างนั้นไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ
อย่างคนชั่ว ขี้โกงอยู่ในประเทศไทยโกงสมบัติชาติในประเทศ เสร็จแล้วประเทศนี้ก็ประกาศไปให้ประเทศอื่นรู้ ประเทศอื่นก็ฟัง คนนี้มันไม่ดี มันไม่ดีจริงหรือเปล่ามันเป็นการเมืองหรือเปล่า เขาก็จะต้องพยายามทดสอบ เขารู้มันไม่ดีจริงๆเขาก็ไม่เอาด้วย ไม่ดีตรงกันนะไม่ดีเพราะอะไรมันโกงชาติโกงประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนคนโกงชาติโกงประเทศก็ถูกไล่ออกไปทั้งนั้น ตอนนี้คนโกงชาติโกงประเทศทางนี้ก็ประกาศไป ประเทศไหนๆเขาไม่ค่อยเชื่อ ยังไม่เชื่อทีเดียวว่ามันจะเป็นการเมืองหรือเปล่า จนกระทั่งความจริงปรากฏว่ามันใช่นะเป็นคนโกงชาติโกงประเทศ ตอนนี้ชาติอื่นที่เขาไม่ค่อยเชื่อ จะค่อยๆเชื่อและไม่ค่อยให้เข้าประเทศแล้ว แต่เขาก็มีอำนาจเงิน ประเทศที่จะต้องง้อเงินเขาอยู่ก็พูดไม่ออก ต้องยอม คนที่มันโกงเงินไปได้และใช้อำนาจเงิน จึงเชื่อถืออำนาจเงินมากเหลือเกิน แล้วมันก็ซับซ้อน เรียนอาชญาวิทยามาได้ก็เลยเก่ง เลยกองเอาไว้เยอะ ใส่แบงค์ไว้ เลยมีอำนาจใหญ่ เพราะลักษณะของทุนนิยมมันช่วย เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนมันก็ออกดอก นี่คือระบบทุนนิยมมันเก่งในโลกก็เลยใช้ระบบทุนนิยมนี้อยู่ได้สบาย ไปด้วยสัจจะนี้แล้วเขาทำกรรมชั่วและบาป โกงก็ยังไม่รู้ว่าโกงแล้วยังไปรุกรานจุกจิกวุ่นวาย
ถ้าหากทักษิณหยุดตอแยประเทศไทยทักษิณอยู่สบาย เขาไม่ว่าอะไรหรอก บาปใครบุญมันก็โง่ไปก็แล้วแต่ เขาก็จบ แต่นี่คุณตอแยเอง เพราะฉะนั้นลูกหลานของคุณก็อยู่ไม่สุขด้วยต่อไปในอนาคตขอบอก คุณเป็นคนหาเรื่องให้ลูกของคุณเดือดร้อนนะ ถ้าคุณหยุด ลูกคุณอยู่ในประเทศไทยสบาย ถ้าคุณไม่หยุดนะ หลานคุณอยู่ก็ไม่สบายในประเทศไทย บอกให้ ด้วยความปรารถนาดีนะคุณทักษิณ จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ศึกษาได้เลย เป็นปรากฏการณ์ที่มีจริงในโลกให้ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งศึกษา
ทุกวันนี้กำลังถึงโหมดเลือกตั้ง เอาล่ะสิไม่ยอมปล่อยมือ
ถ้าทักษิณปล่อยมือ พวกที่ยังอยู่ข้างทักษิณในนี้จะอ่อนแรงมากเลย บ้านเมืองจะสงบ ถ้าหากทักษิณปล่อยมือมา บ้านเมืองจะสงบอย่างเห็นๆ แต่กระนั้นก็ตาม เพราะฝีมือของประเทศไทยทำให้คนในประเทศเข้าใจตัวทักษิณได้มากขึ้นจึงวางจากทักษิณไปเยอะ โพลต่างๆก็ออกมา หมัดเล็นกำลังวิ่งออกไปหาที่เกาะใหม่ เพราะว่าน้ำยาทักษิณนี้น้ำยาชักหมดอายุแล้ว มันไม่มีฤทธิ์แรงมันอ่อนแรง มันมีเยอะก็ตามแต่มันจะหมดฤทธิ์ เพราะอะไร
เพราะสัจธรรมของประเทศไทยพิสูจน์ ประชาธิปไตยจริง พวกประชาธิปไตยเก๊บอกว่านี่เป็นเผด็จการ รัฐประหารทหารมาเผด็จการเอาไปบริหารอยู่ทุกวันนี้เป็นการบริหารของเผด็จการ แต่เขาเป็นประชาธิปไตยต้องเอาเลือกตั้ง อาตมาก็พูดตั้งไม่รู้เท่าไหร่ว่า ที่นี่คือประชาธิปไตย คุณประยุทธมาเป็นผู้บริหารไม่ใช่เผด็จการ แต่มาบริหารเพราะรับหน้าที่สืบทอดจากประชาชนได้ปฏิวัติ ปฏิวัติรัฐบาล 4 รัฐบาล รัฐบาลของสมัครสมชายยิ่งลักษณ์ ทักษิณ เรียบร้อยประชาชนเมืองไทยประชาชนปฏิวัติแต่เข้าใจได้ยาก ก็เป็นการปฏิบัติอย่างสากลไม่ใช้อาวุธใช้ความจริงเป็นตัวยืนยัน จนรัฐบาลพ่ายแพ้ไปจากความจริงอย่างเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามมาก เมืองไทยจึงเป็นเมืองประชาธิปไตยร้อยพันหมื่นแสนล้านเปอร์เซ็นต์ เหมือน psi ชัดล้านเปอร์เซ็นต์
ในปัจจุบันนี้เมืองไทยเป็นเมืองประชาธิปไตยล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วก็พัฒนา มาบริหาร 4 ปี จบ 1 เทอมแล้ว กำลังจะขึ้นเทอมที่ 2 อาตมาว่ารากฐานที่ได้บริหารมา 4 ปีนี้มีรากฐานที่ดีแล้ว ดำเนินต่อไป 4 ปีนี้จะเป็นเครื่องบอกว่าประเทศไทยคนไทยตาสว่างไหม คนที่เขาตะโกนหาว่าเขาเป็นประชาธิปไตย หาว่ารัฐบาลที่บริหารเป็นพวกเผด็จการ แต่ที่แท้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนปฏิวัติมาแล้วให้พลเอกประยุทธ์เป็นผู้บริหารเป็นนายกรัฐมนตรี ทำงานไป ประชาชนก็ยังเห็นว่าทำงานเข้าตา ในจำนวนนายกฯ 29 คนผ่านมา นายกฯพลเอกประยุทธ์นี้เข้าตาประชาชนมากที่สุด โพลก็แสดงชัดเจน ต่างประเทศก็ยอมรับพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯประเทศไทย ไปที่ไหนก็ตามก็เป็นนายกฯประเทศไทย เท่าเทียมกับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิประธานาธิบดีหรือคอมมิวนิสต์ ยังเหลือประเทศเกาหลีเหนือ ยังไม่คิดอ่านจะไปไม่มีความจำเป็นต้องไปวุ่นวายกับเกาหลีเหนือ ให้อเมริกาเขาตอแยเอง อเมริกาต้องหาวิธีการ อาตมารู้วิธีการของเขา มันไม่ใช่เรื่องระเบิดนิวเคลียร์อย่างเดียวมันมีอะไรมากกว่านั้น ที่มาขึ้นก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ก็ทำไปตามประสาไม่รู้เรื่องอะไร
อาตมามีความจริงอย่างเดียวใครจะว่าอย่างไรอาตมาสู้ด้วยความจริง อาตมา เทกระบะความจริงออกมาให้หมดเท่านั้น สู้จนหมดหน้าตักความจริงก็จบ
สมณะฟ้าไทสรุป...จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:04:21 )
รายละเอียด
620121_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ตอนที่ 35
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Deqw0VY5oTYBzNkrNmvupwWErxXF3NZbu5cJ-VKDAZQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1utOpEzhSMonKetrrsbz9Rsv0tAk6CXgv
พ่อครูว่า...วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เดี๋ยวขอโอภาปราศรัยกับ sms
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ความเห็นแก่ตัวสัมพันธ์กับความโกรธอย่างไร
_ปุญญา ธัมมา “คนเห็นแก่ตัวโกรธง่ายและโกรธเร็ว แล้วก็ลืมยาก เลิกโกรธยาก มันโกรธง่ายและโกรธเร็ว แล้วมันก็ลืมยาก คือหายโกรธยาก ความเห็นแก่ตัวยังมีอยู่เท่าไรมันก็โกรธอยู่เพียงนั้น โกรธอยู่เท่านั้น” #พุทธทาส
คำถามคือ ความเห็นแก่ตัว สัมพันธ์ กับ ความโกรธ อย่างไร
พ่อครูว่า...จะซอกแซกรู้ภาษา และสภาวะทุกคำเลยนะ ไม่คิดเองบ้างเลย ไม่พยายามทำความเข้าใจเองบ้างเหรอช่วยอาตมาหน่อย ให้อาตมาสบายทุกตัวทุกคู่เลย ละเอียดละเอียดอะไรอย่างนี้ พยายามรู้ช่วยตัวเองหน่อยนะ
ความเห็นแก่ตัวสัมพันธ์กับความโกรธอย่างไร คำตอบ ความโกรธก็เป็นจิต ความเห็นแก่ตัวก็เป็นจิตวิญญาณทั้งคู่ ความโง่มันก็มีทั้งความเห็นแก่ตัวและมีทั้งความโกรธ มันก็อยู่ในจิตวิญญาณต้องสัมพันธ์กันหมด บางทีมันอาจจะต้องมีอันนั้นอันนี้คั่น เช่น
ความเห็นแก่ตัว ความรัก ความโกรธ มาคั่น พอเห็นแก่ตัวไม่ได้ตามความรักมันก็โกรธ มันก็สัมพันธ์กัน ลักษณะความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่ได้ ความรักอันนี้ถ้าไม่ได้สนใจตัวมันก็เลยโกรธอะไรอย่างนี้ ลีลา พฤติบทของจิตวิญญาณทั้งนั้น แต่ละอาการ มากมายก่ายกองต้องเรียนรู้มันให้ทันใช้พยัญชนะเป็นตัวสื่อ ทุกวันนี้อาตมาขยายความ พยัญชนะกับสภาวะธรรม โดยเฉพาะสภาวะจิตวิญญาณยากมากเลย เรียนรู้อันนี้ศาสนาพุทธ ตีแตกเทวะ คู่สภาวะกับพยัญชนะ จิตวิญญาณก็แตกไปเยอะ เป็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน
ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยคนถ้ารู้ความโกรธความรักความเห็นแก่ตัวและเราก็ไม่ให้มี เราอยู่เหนือมัน มันเป็นตัวมายาที่เราอาศัยทั้งนั้น อาศัยชั่วขณะที่เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถ้าคุณรู้อะไรที่สามารถตัดได้มันก็ดับได้มันก็ไม่มีที่เรา เมื่อดับได้ทุกตัวก็เป็นอรหันต์
เราย่นย่อที่โลภโกรธหลง หรือราคะโทสะโมหะ ลีลาสภาวะพวกนี้หมดไปจริงๆก็เป็นอรหันต์
อธิบายแค่นี้ก่อนละกัน ช่วยอาตมาทำความเข้าใจหน่อย มาถามอาตมามาก ก็ไม่โตสักที เป็นเด็กไม่เดียงสาอยู่เรื่อย ทีน้ำมนต์เขาก็ยังพอหยุดเลย
_น้ำมนต์..คนจะมีธรรมะได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ก็เรียนจากหลวงปู่จากพี่น้องปู่ย่าตายายแล้วก็เอาไปปฏิบัติมันก็จะได้ธรรมะ เราจะแยกออก ธรรมะกับอธรรม เราก็เอาแต่ของดีไม่เอาของไม่ดีก็จะได้ธรรมะ เข้าใจไหม
_มีรายงานมา...ด้วยความห่วงใยในกระแสโลกโซเชียลในแวดวงอโศกขณะนี้ ผู้ที่ตามกระแสอยู่ก็มีการลุ้นเรื่องการจัดสรรพื้นที่ ของสันติอโศก มีอยู่ไม่ถึง 20 ไร่ดี มีสิบกว่าไร่ประมาณเอา ทั้งหมดรวมกันในกทม.ก็มีสันติอโศกเป็นหน่วยกลาง
การจัดสรรพื้นที่สันติอโศกที่กำลังมีย้ายหน่วยงานองค์กร มีการลดขนาดและการใช้สอยพื้นที่ร่วมกันมีการประชุมใหญ่ทุกหน่วยงาน ช่วยกันคิดและจัดสรรหาทางออกไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ประชุมกันในหน่วยงานส่งตัวแทนประชุมกันระหว่างหน่วยงาน จนกระทั่งวันนี้วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 การจัดสรรก็ลงตัวพอสมควร ทุกคนได้ประโยชน์จากกระแสการเคลื่อนตัวขณะนี้ ความเป็นพี่น้องความสำนึกของการแบ่งปัน การใช้พื้นที่ร่วมกันการจัดสรรการใช้งาน (พ่อครูว่า...จิตใจเราได้ฝึกฝนการไม่ยึดถือตัวตน เราสูญก็ได้ ทำให้ง่าย)
อาคารส่วนหน้าของสันติอโศกทุกส่วนถูกนำมารวมกันเพื่อแบ่งสรรปันส่วนสำหรับพื้นที่ที่จะต้องถูกทุบอาคารทิ้ง (พ่อครูว่า..คือเรามีเรื่องที่คนหาเรื่องเขาตะกละจะเอาเงินมาก อาตมาก็ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ แล้วก็ไม่แล้วฟ้องร้องมาอีกเราก็ต้องสู้คดี)
จะมีการทุบอาคารส่วนหน้าทิ้งและมีการทำเป็นโครงการปฐพีพุทธ ทำให้ชาวสันติอโศกต้องรวมหัวกัน Brainstorm ชมร.ที่กิจการกำลังมีผลเจริญ ทั้งของที่ขายมาก จิตอาสาก็มีเข้ามาช่วยงานมากจึงต้องปรับกันมากหน่อย มีการจัดสรรแบ่งปันกันในหน่วยงาน สละออกตามที่พ่อครูสอน เมื่อได้คุยถึงเหตุผลการได้หรือไม่ได้พื้นที่กัน มีผู้ที่ต้องใช้งานมีหมวกหลายใบยิ่งต้องอธิบายมาก ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ และมีข้อกฏหมายด้วย
ที่สุดชมร.ที่เป็นองค์กรสำคัญ ถูกแบ่งออกเป็นครัวมาจัดที่ศาลา ทำให้รื้อฟื้นบรรยากาศเก่าที่ครัวก็อยู่ที่ศาลา ส่วนหน้าร้านก็จัดสรรอยู่ หลังจากนิมนต์ท่านสมณะเทศน์ถึงอนิจจังก็จิตใจดี แต่พอกลับมาวิเคราะห์ก็ถูกความคิดที่ต้องการความส่วนตัวและคิดถึงอนาคต ก็จะเกิดกังวล ต้องร้องหาคนช่วย บางทีก็คิดถึงให้พ่อครูมาตัดสิน
ก็ขอเป็นกำลังใจให้เด้อ
ส่วนท่านสมณะชัดแจ้งที่ข่าวว่าท่านหายใจไม่สะดวกต้องไปรพ.ด้วยอาการหัวใจกำเริบก็ขอกราบนิมนต์ท่านงดให้บริการเรื่องนาฬิกา
จากการสอบถามท่านสมณะสิริเตโชก็มั่นใจว่า ชาวสันติอโศกจะสอบผ่าน
พ่อครูว่า...เราก็ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง
_ขอให้พ่อท่านอนุญาตให้ใช้ธรรมะคีตะไปเปิดที่อาคารบวร ชาวแม่ค้าที่มาแจกจ่ายซื้อของจะได้ยินธรรมะบ้าง และให้แนวคิดกับเขา เพราะที่นั่นคนไม่น้อยแต่ละวัน
พ่อครูว่า...ก็เอาสิ ไม่ยากใครจะไปดูแล อย่าให้ดังมากนัก หรือบางทีก็เบาไป
_หลวงปู่ครับที่นกแสกมันร้อง แล้ววันรุ่งขึ้นจะมีคนตายเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับหลวงปู่
พ่อครูว่า...ไม่จริง นกแสกมันก็ร้องของมันทุกวัน
_หลวงปู่คะ หมอเขียวเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 จริงหรือเปล่าคะ ทำไมหมอเขียวต้องประกาศโพธิสัตว์ทั้งที่น่าจะเป็นพระสมณะหรือกษัตริย์
พ่อครูว่า...โพธิสัตว์อยู่ในร่างของฆราวาสหรือร่างของสมณะก็ได้ ไม่จำกัดตามวิบากบารมีที่เหมาะควร จริงหรือไม่ก็ติดตามศึกษา ถ้าจะให้แต่หลวงปู่บอกๆๆ ก็ไม่เก่งหรอก รู้แล้วก็ไม่เอาใจใส่ ถ้าหากไม่รู้ก็ต้องศึกษาเอาใจใส่ว่าระดับ 1 2 3 4 5 คืออะไร
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อนิยตโพธิสัตว์นี้ยาวนาน จนกว่าจะเป็นระดับที่ 7 นิยตโพธิสัตว์จึงจะเที่ยงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แต่ก็รีไทร์ได้นะ ตนเองจะรีไทร์หรือไม่ก็อยู่ที่ตนเอง แต่ขนาดเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
ถามว่าเป็นระดับ 5 จริงหรือเปล่าก็เป็นไปได้ ให้ศึกษาเอา
ทำไมหมอเขียวประกาศตน ทั้งที่ควรเป็นสมณะนักบวชหรือกษัตริย์ ก็ไม่ใช่ต้องเป็นนักบวชเท่านั้น ฆราวาสก็เป็นได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรจะหายเบื่อทำงาน
_แก้วบุญ...เวลาหนูทำงานแล้วจะเบื่อ แล้วเมื่อไหร่จะหายเบื่อ
พ่อครูว่า...เบื่ออะไร?...เวลาทำงานเราต้องดูผลงาน ทำงานแล้วมันเกิดสิ่งที่ดีงามสิ่งที่ถูกต้องไหม ถ้ามันเกิดสิ่งที่ถูกต้องดีงามจะไปเบื่อมันทำไม ถ้าไปทำงานใดก็แล้วแต่เป็นงานที่เสียหายงานไม่ได้เรื่องไร้สาระ งานมันไม่ดีไม่เข้าท่าเราก็ควรเบื่อควรเลิก แต่ถ้างานใดเป็นคุณค่าเป็นงานดีทำให้เกิดสังคมมนุษยชาติที่ดีตัวเราก็เจริญดี ให้มีความขยันมีความเชี่ยวชาญชำนาญให้มีความรู้ทางธรรม ช่วยทำขึ้นไปอย่างนี้เป็นต้น ถ้างั้นอย่างนี้มันก็น่าทำ ก็เกิดเป็นคน จนเราเป็นอรหันต์สูงสุดสำหรับการเป็นคนแล้ว จะต่อไปอีกก็ยังได้ เราก็เจริญไปเรื่อยๆ ทำงานมันทำให้เราเจริญ หากไม่ทำงานไปนั่งหลับตาหนี คนนี้เสื่อมเน่าไม่นานก็ตาย ตายแล้วตกนรกไปอีก เพราะไม่ได้เพิ่มภูมิเจริญขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรจะถือศีล 5 ได้
_หลวงปู่ครับ อานิสงส์ของการ
1. ถือศีล 5 มีอะไร? 2. ทำอย่างไรเราจะถือศีล 5 ได้ครับ
พ่อครูว่า...ถือศีล 5 มีอานิสงส์เป็นถึงพระอรหันต์ได้เลย ถ้าเข้าใจในความลึกละเอียดหมุนรอบเชิงซ้อน
หลวงปู่เคยเขียน ศีลข้อที่ 1 ทำให้จิตใจเราหลุดพ้นจากอาสวะได้เลย ศีลข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ก็เหมือนกัน ในศีล 3 ข้อนี้สามารถปฏิบัติจนเป็นอรหันต์ได้เลย ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับคน ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของทั้งวัตถุและพืช ข้อที่ 3 เกี่ยวกับการสัมผัส กามคุณ 5 เรื่องอัตตาเอามาให้แก่ตน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเป็นกามคุณ 5
เรียนรู้ศีล 3 ข้อใหญ่ เป็นอรหันต์ได้ ก็ติดตามฟังให้ดีๆ
ศีล 5 ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ 2 ไม่ลักทรัพย์ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของของเรา 3 เรียนรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย เกี่ยวกับกามคุณ 5
ข้อที่ 4 เกี่ยวกับวาจา ที่เกิดจาก 3 ข้อแรก ละเอียดก็อยู่ที่ในศีลข้อที่ 5 เป็นเรื่องของจิตของเราข้างใน เป็นเรื่องโง่เป็นเรื่องเมา เราโง่เราไม่รู้คือเรื่องเมาไม่เข้าใจมัวเมางมงายเลอะเทอะ ก็ต้องทำให้จิตมันสะอาดสว่างมีปัญญา แข็งแรง มันก็จะทำให้เกิดกายกรรมหรือวจีกรรมที่ไม่ผิดพลาดได้
2. ทำอย่างไรเราจะถือศีล 5 ได้ ก็อยู่ในนี้ไปในราชธานีอโศก พาปฏิบัติธรรมทำใจสบายๆอะไรก็สบายๆที่นี่พาไปดีทั้งนั้น อยู่ในมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อยู่ในนี้แหละทำศีล 5 ได้ อยู่ที่อื่นทำศีล 5 ไม่ได้หรอก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศีล 5 ปฏิบัติอย่างไรให้เกิดมรรคผล
_พลเรือตรีมินท์...จะดำเนินชีวิตอย่างไรที่จะได้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและมีประโยชน์
พ่อครูว่า...ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เรียนไตรสิกขา เรียนรู้ปฏิบัติจริงจะได้มรรคผลมรรคผลแท้ มันมีอานิสงส์เป็นสิ่งวิเศษอย่างไรประเสริฐเลิศยอดอย่างไร จะรู้จริงๆจะเห็นของจริงได้
_เวลาหนูไปงานศพแล้ว พอไปดูหน้าศพ บางครั้งก็ไม่ฝันร้ายบางครั้งก็ฝันร้าย แต่ฝันแค่คืนสองคืนก็หายแล้ว แต่มางานศพพี่เนตร พี่เขาตายไป 6 วันแล้ว หนูก็ฝันร้ายถึงพี่เนตรทุกคืนค่ะ หนูควรจะทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ก็นึกถึงความจริงพี่เนตรก็ตายไปแล้วไปตามวิบาก ในอนาคตจะมาเกี่ยวข้องมีประโยชน์ร่วมกันอีก มีอะไรที่จะรังสรรค์ร่วมกันอย่างไรก็มีอีก หรือเขาจะมีวิบากไม่มาเกิดที่นี่ก็ได้ แต่อาตมาว่า ภูมิธรรมอย่างเนตรมาเกิดในที่นี้แน่ เขาเกิดมาอีกก็มาเจอกันอีกไม่เป็นไรวางใจไม่ต้องไปอะไรกับเขา จะไปคิดในทางฝันร้ายทำไมคิดในทางไม่ดีทำไม คิดในทางที่ดีจะฝันดี คิดถึงพี่เนตรในทางที่ดี มีอะไรที่ดีเคยทำงานร่วมกันมีประโยชน์ร่วมกันก็ว่ากันไป อย่าไปคิดถึงสิ่งร้าย
_ใจแก้ว...ตอนที่ย่อยธรรมะเมื่อวานก่อน สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า ให้ทุกคนฝึกพูดบ้างเผื่อจะช่วยพ่อท่าน แต่คนก็บอกว่ากลัว เห็นไมค์ก็สั่น ขอบคุณดินนากับอุ๊ เขาลากไปวิเคราะห์ข่าววิปัสสนา คนเรามีอสุรกาย ก็กลัวโลกธรรม กลัวพูดไม่ดี เสร็จแล้วเราก็อยากบอกว่าที่บ้านราชฯควรฝึกเหมือนกัน ถ้าทุกคนช่วยก็จะแบ่งเบาพ่อท่าน พ่อท่านจะได้รู้ภูมิธรรมของลูกด้วย ไม่ต้องยาวมากก็ได้ พอดีก็เดี๋ยวนี้ก็พอได้ เข่งเคยเป็นลูกศิษย์เจ้าแม่กวนอิม สวดมนต์เช้าเย็นแล้วก็หลงเสียงตัวเองแต่งตัวสวยได้ทำอาหารกินร้อน ใครมาก็ต้อนรับดีพูดจาดีแต่กิเลสมันไม่ออก เมื่อมีอายุมากขึ้นมาเจอสันติอโศก พ่อท่านสอนว่าไม่ใช่ตรงนั้นก็มาเปลี่ยนจิตตนเองที่นั่นสันติอโศกก็ยกย่อง เลยมีผัสสะเยอะ ตอนใหม่ๆก็รู้สึกว่าทำไมเขาว่า ว่ามอมเมาขาใหญ่เถ้าแก่เนี๊ยบ้าง ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเจอแบบนั้น …
พ่อครูว่า...อาตมาปางนี้ไม่ต้องไปถึงแบบนั้น อาตมาเอาเวลามาทำงาน ไม่ต้องไปเป็นคนรวยไม่ต้องไปมีโลกธรรมมาก ถ้าไปแล้วมันจะเสียเวลา ที่จริงอาตมาไม่เจตนามาทางนี้ ไปทางโลกก็ตั้งใจจะไป ทางบันเทิงธุรกิจ ก็จะตั้งบ.หัวใจสีชมพู รวบงานสื่อสารไว้หมดเลย ถ้ารวบมาหมด แกรมมี่ก็ไม่ได้เกิด RSก็ไม่เกิดหรอก เพราะอาตมาเริ่มต้นก่อน จะเริ่มแล้วตั้งบริษัทแล้ว ทำหนังโทนได้ทุนมา ทำลายสถิติด้วย แล้วมีที่ทางที่พี่ชายของท่านซาบซึ้ง สิริเตโช ฟอร์มกัน มีหนังที่พล็อตเรื่องเสร็จ พระเอกชื่อนายหิน ชื่อเต็มคือนายมหินทร์ เป็นนักอุดมคติ เป็นคนที่มีธรรมะ ชื่อเรื่องว่า “คน” หมายเลข 1 หมายเลข 2 หมายเลข 3 นายหินเป็นคนมีเชิงคิด เปิดตัวมาเป็นคนกวาดถนน นอนกลดนอนไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็มาเจอแฟนที่ทิ้งโลกีย์มา สืบสาวราวเรื่อง แต่เขาเป็นคน shut in เป็นคนเขียนบทส่ง จบป.โทเมืองนอกมาแต่หน้าฉากเป็นคนกวาดถนน พล็อตไว้หมด แต่มาบวชเสียก่อน
ขนาดมาบวชแล้วคุณชวนก็พยายามเข็นจะให้ทำ แต่ไปไม่ออก คุณชวนก็เลยไม่ได้ทำ คุณเปี๊ยกก็ไปต่อไม่ไหวเรื่องนี้ เขาก็ไปดังของเขา คุณชวนก็เข้ากับเปี๊ยกไม่ได้อีก เป็นเรื่องเก่า มันจะมาทางนี้ก็ต้องมาทางนี้กัน
เป็นเรื่องที่อาตมาเองยิ่งเชื่อกรรมวิบาก หากอาตมาไม่มาธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมก็หายไปแน่นอน พวกนี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ไปอยู่ในนรก อันนี้เรื่องจริง แต่เพราะอาตมาขึ้นมาทำ แล้วก็เรียกให้พวกเราที่มีเชื้อมีบารมีวิบากเก่าก็สิ่งใดเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ต้องเรียกร้องมากด้วย แต่ถึงจะมีจริงอย่างไรต้องมีจิตใจที่ขวนขวายพากเพียร จะไปปล่อยปละละเลยแล้วแต่มันจะเป็นไม่ได้ เราต้องมีความขวนขวายอุตสาหะพากเพียรละเอียดลออทำงาน จะปล่อยตามยถากรรมไม่ได้ ที่จะปล่อยแล้วเป็นได้คือเราต้องมีบารมีแล้วเป็นเองเป็นตถตา แต่เราต้องขวนขวายของเราเองว่าอันนี้มีความก้าวหน้ามีความพัฒนา ต้องเพิ่มเติมเข้าไป ไม่เช่นนั้นมันไม่เดิน เพราะฉะนั้นความขวนขวายพัฒนาพากเพียรต้องมีอยู่เสมอ เรียกว่าจะต้องพัฒนาก้าวหน้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเราไม่สันโดษในกุศล ในเรื่องโลกีย์เรื่องโลกก็ตาม ก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีที่เป็นกุศล
_เนตร..ถ้าเราไม่ได้โมโห แต่เขาคิดว่าเราโมโห จะอธิบายอย่างไร จะเป็นน้ำเสียงและสีหน้าที่เขามองตอนนั้นหนูเพิ่งจะตื่น เขาก็คิดว่าหนูโมโห หนูพูดหน้านิ่งๆ
พ่อครูว่า...เขามองจากอะไรที่เราโมโห เขาเรียกว่าอ่านตามอาการ เดาใจเลย คำนวณตามอาการข้างนอกกายกรรมวจีกรรม แล้วก็ตีความว่า เขาโกรธเขาโมโหเขาไม่ชอบใจ เหมือนอย่างหลวงปู่ เขาอ่านตามอาการเขาก็เดาผิด เพราะอาการแสดงออกหยาบ ทำไมถึงต้องทำก็อธิบายไปแล้ว เราก็รู้ว่าเราไม่มี อันนี้ต้องระมัดระวังว่าบางทีเราก็อาจจะมีได้ จริงๆแล้วเราโมโหหรือไม่ อาการโมโหเป็นอาการอยู่ในใจ ถ้ามันไม่มีเลยแสดงว่าเขาอ่านตามอาการ เราก็บอกความจริงว่าเราไม่ได้โมโห เขาไม่เชื่อก็แล้วแต่เขา
สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส) ตอน ดูจิตวิปลาสได้อย่างไร
_หลวงปู่คะ จิตวิปลาสจะต้องทำอย่างไรให้ดูออกคะ
พ่อครูว่า...ต้องเข้าใจคำว่าวิปลาสให้ดี วิปลาสคือจิตมันเพี้ยนมันผิดไปจากความจริง มันผิดไป มันเพี้ยนได้อะไรบ้าง
กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้ วิปลาส พตปฎ.เล่ม 31/526
ก. วิปลาสด้วยอำนาจจิต และเจตสิก 3 ประการ คือ
1. วิปลาสด้วยอำนาจสัญญาผิด เรียกว่า สัญญาวิปลาส
2. วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปลาส
3. วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า ทิฏฐิวิปลาส
สัญญาวิปลาสบ่อยก็ทำให้ทิฏฐิวิปลาสแล้วทำให้เกิดจิตวิปลาสต่อไปได้
หลวงปู่มีภาวะสิริมหามายา กลับไปกลับมาได้ มันเร็วมากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างเร็ว จนคนตามไม่ทัน
ข. วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
1. วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
2. วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
3. วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน เห็นความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน
4. วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม (เขียนว่า พิปลาส ก็มี)
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน เราจะเลิกกลัวความตายได้อย่างไร
_เราจะเลิกกลัวความตายได้อย่างไร
พ่อครูว่า...เราก็ต้องเห็นความจริงของความตาย แล้วมีใครจะไม่ตายยกมือขึ้น แม้จะเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องตาย เกิดมาเป็นมนุษย์ได้เป็นพุทธเจ้าก็สูงสุดแล้วก็พอแล้ว ชีวิตคนจะมีแต่ดีแต่ดีแล้วจนเป็นพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ก็ดีไปเรื่อย ทำงานกับมนุษยชาติมาเป็นล้านปี นับเอาพฤติกรรมชีวิตไม่ถ้วนมันเมื่อยน่าเบื่อ ดูอย่างไรแล้วสังคมมนุษยชาติก็มีแค่นี้ คนก็หลงอยู่อย่างนี้ ก็ต้องช่วยเขาอีก ช่วยไปเท่าไหร่ก็ไม่จบมันนิรันดร เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทุกองค์ก็จบได้ เป็นแต่เพียงเราจะให้สูงสุดเท่าที่มนุษยชาติเกิดเป็นจิตนิยามหน่วยหนึ่งอัตภาพหนึ่ง มันจะสูงสุดได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้สุดยอดแล้ว แค่อยากจะเป็นก็เป็น ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ พากเพียรเอา ถ้าใครเห็นว่า เป็นโพธิสัตว์มาขนาดนี้ ถึงระดับ 7 น่าเบื่อจริงๆ แต่ก็พยายามเห็นใจและมีปณิธานจะช่วยพุทธเจ้าให้ต่ออายุศาสนาถึง 5,000 ปี มีเงื่อนไขอะไรบ้างก็พยายามไปให้ถึงที่สุด
หากไม่มีปณิธาน รับปากพระพุทธเจ้ามา 2 ตนเองก็ไม่คิดว่าจะต้องถึงความสูงสุดของคนไม่ได้ ตอนนี้ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว
จะเลิกกลัวความตายต้องเห็นความจริงว่าทุกอย่างวนเวียนเกิดและตาย จะทำความรู้ให้เลิกกลัวความตายได้ ก็ต้องมีปัญญาแจ้งชัด ว่าอ๋อ สุดท้ายตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกองค์ก็จบที่ตาย ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าจบที่เกิด แต่จบที่ตายแล้วก็เลิกสลายถ้าตัวเองออกไปเป็นอุตุนิยาม ไม่กลับมาเป็นจิตนิยามเป็นต้น เลิกเป็นจิตนิยาม สลายได้สลายเป็นจะมีส่วนเหลือพีชะบ้างก็ให้ดีที่สุด
พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเหมือนพวงมะม่วงตกมาแตกกระจายแล้วไม่เป็นพวงมะม่วงอีกแล้ว บางลูกก็แตกไปเน่าเละ บางลูกก็จับอยู่ที่ขั้วแต่จะกลับไปเป็นพวงมะม่วงพวงเดิมไม่ได้แล้ว เหลืออุตุธาตุ ดินน้ำไฟลม แต่จะรวมตัวเป็นจิตนิยามอีกไม่ง่าย โดยธาตุธรรมชาติ หากไม่มีตัวช่วยให้เกิดศึกษา เอาธาตุมาส่งเสริมให้เป็นจิตนิยาม แม้ปุถุชนก็เอาสังเคราะห์ให้เป็นอาริยบุคคล เป็นจิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยามทรงไว้
สรุปความตายเป็นที่สุดแห่งที่สุดแม้แต่เป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นเป็นอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีที่สุดที่จะเลิกวนเวียน ต้องวนเวียนทุกข์สุขขึ้น สวรรค์ลงนรกอยู่อย่างนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน พุทธบริษัทคืออะไร
_พุทธบริษัทคืออะไร
พ่อครูว่า...พุทธบริษัทคือกลุ่มหมู่ของชาวพุทธ เป็นกลุ่มหมู่แท้ อาตมาแยกเป็นสาม
1. พุทธศาสนิกชน 2. พุทธมามกะ 3. พุทธบริษัท
พุทธศาสนิกชนคือคนที่เกิดมามีชื่อว่าเรานับถือศาสนาพุทธ จะเชื่อตามตระกูลเชื้อแถว บัญญัติสำมะโนครัวตามสมมุติบัญญัติ คนไทยก็ได้ชื่อพุทธศาสนิกชนเยอะ
ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติพากเพียรในพุทธศาสนาให้เกิดมีผลประโยชน์ขึ้นมาก็ตั้งใจทำ ปฏิญาณตนเข้ามาตั้งใจ เรียกว่าพุทธมามกะ ตั้งใจปฏิญาณจะถือศีล 5 ศีล 8 แล้วปฏิบัติ จนกระทั่งปฏิบัติแล้วเกิดมีมรรคผล ได้มรรคผลจึงจะเป็นพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา เรียกว่าพุทธบริษัท 4
เพราะฉะนั้นพุทธบริษัท คืออาริยบุคคล
พุทธมามกะ คือผู้ตั้งใจศึกษาให้บรรลุอริยะ
ส่วนพุทธศาสนิกชน มีแต่ชื่อว่าเราเป็นพุทธ ดีไม่ดี ศาสนาพุทธใครแตะไม่ได้ด้วย ไม่เข้าท่า แต่ยึดถือพุทธเท่านั้นอย่างสีลัพพตุปาทาน ยึดถือตามจารีตประเพณีเท่านั้น จนกว่าจะปฏิบัติพ้นสีลพพตปรามาส พ้นสักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา แต่ไม่เอาจริง พวกนี้หางช้างติดพวยกา เอาตัวช้างออกจากพวยกาแล้วแต่เหลือหางนิดเดียวติดที่พวยกา ได้ แค่นี้ทิ้งไม่ได้อยู่อย่างนั้นไม่ทำให้สะเด็ดคือสีลัพพตปรามาส ไม่เอาจริงล้างกิเลสออกไป
_พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นรุกขเทวดาด้วยหรือไม่
พ่อครูว่า..คนไม่รู้ อาตมายืนยันว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยไปเป็นรุกขเทวดา เพราะท่านเป็นสายปัญญา แต่คนที่อวิชชาเทวนิยม ไปติดยึดว่าต้นไม้ของฉัน บ้านของฉันเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์เป็นตุ๊กแกเฝ้าบ้าน ตามตำนาน ในพระไตรปิฎกมีพระที่ตายไปแล้วก็ติดยึดในจีวรของฉันเกิดไปเป็นเล็นในจีวร นี่คือพวกอวิชชาพาเกิด แต่ผู้ที่ไม่มีอวิชชา อาตมานี่ปัญญาธิกะ ไม่ไปเป็นรุกขเทวดา แต่คนที่เขายึดถือก็ไปเป็นรุกขเทวดา แต่ไม่มีผลอะไรกับคนทีมีปัญญารู้แล้ว ว่ามันไม่จริงหรอก คนจะไปยึดเป็นต้นไม้ของตนได้ แต่อาตมาสมัยเล่นไสยศาสตร์ก็ตัดต้นไม้ใหญ่ที่เขาไม่กล้าตัดมามากแล้ว คือมันรู้หมดแล้วเข้าใจแล้ว
สรุปคือผู้อุปาทานว่ามีก็มี แต่ผู้หมดอุปาทานก็ไม่มีแล้ว
มันเป็นได้นะอุปาทาน มันเป็นดินน้ำไฟลมจับตัวเป็นก้อนก็ได้แล้วแต่อุปาทานแรงไหม คนที่บอกว่ามีฤทธิ์เดชเสกเป่าอะไรได้ก็ยัง คนที่จิตตกเป็นทาสถูกสะกดจิตก็มี
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน อรรถกถาคืออะไร
_อรรถกถาแปลหมายความว่า
พ่อครูว่า..อรรถกถาหมายถึงอาจารย์รุ่นหลังที่ไม่ใช่เถระ
อาจาริยวาทกับอรรถกถาจารย์นี้อันเดียวกัน และเถรวาทะกับอาจาริยวาท คนละอย่าง
อาจารย์คือผู้ศึกษารุ่นหลังจากพระพุทธเจ้า หากพระในสมัยพระพุทธเจ้าเราเรียกเถรวาท
เถระที่มาพูดเรียกเถรวาทะ รุ่นที่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ส่วนรุ่นไม่ได้เกิดกับพระพุทธเจ้าเอาคำสอนอาจารย์รุ่นหลังขยายความเรียก อรรถกถาจารย์
เถรวาทคือรุ่นติดกับพระพุทธเจ้ารับวาทะมาต่อ ที่มีคณะพุทธวจนะเอาแต่คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ของพระเถระไม่เอา พวกนี้ทำวงแคบให้แก่ตัวเอง โดยเฉพาะซวย เพราะพระสมณโคดมไม่อธิบายธรรมะมาก พระสมณโคดมอธิบายใบไม้กำมือเดียวแล้วท่านปรินิพพานไปแล้ว เพราะท่านเบื่อมาก ท่านเป็นพระสมณะที่สอนมานานมากกว่า บางพระพุทธเจ้าสอนคนทีละ 80000 คนบรรลุได้ พระสมณโคดมท่านสอนมามากแล้ว พระอานนท์ไม่อาราธนานิมิตที่พระพุทธเจ้าให้ ท่านก็ไปแล้ว อาตมาเข้าใจจิตวิญญาณพระพุทธเจ้า อาตมาก็เบื่อเหมือนกัน ปัญญาธิกะ
สรุป อรรถกถาจารย์คืออาจาริยวาท
_หนูอยากรู้ว่าคนตายแล้วไปไหน
พ่อครูว่า...จิตวิญญาณของคนที่ไม่เป็นอรหันต์ก็จะไปตามวิบาก แม้แต่เป็นพระอรหันต์ตายแล้วเกิดมาอีกก็มีวิบากอยู่ แต่เป็นวิบากที่ดี วิบากที่ไม่ดีทำโทษภัยกับท่านไม่ได้ มีบ้างแต่น้อยแต่เบา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีวิบาก พระเทวทัตมากลิ้งหินทับพระบาทให้ห้อพระโลหิต หรือนางจิญจมาณวิกามากล่าวร้ายเป็นต้น หนักที่สุดก็คือหินทับพระบาท อาตมาอาจถูกแรงกว่าก็ได้ชาตินี้ถือว่าแก๊สน้ำตานี้แรงสุด ชาตินี้เจอนะ ก็ไม่ท้าทาย เราเลือกไม่ได้ ต้องอยู่ที่กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วไม่เอาไม่ได้ ถึงเวลาก็จะออกบทบาทมา
_เอื้องนิ่ม..การที่คนอื่นตัดสินว่าเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้โดยที่เราไม่ได้เป็น แล้วเราควรจะอธิบายเขาหรือไม่หรือปล่อยเลยตามเลย
พ่อครูว่า…เราก็ตรวจตัวเองว่าเราไม่ได้เป็น ตรวจความจริงว่าเราเป็นอย่างที่เขาว่าไหม ถ้าเราไม่เป็นทั้งกายกรรมวจีกรรมโดยเฉพาะมโนกรรมไม่ได้เป็น เราก็บอกเขาดีๆว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราก็บังคับเขาไม่ได้ หลวงปู่ก็บอกอย่างที่ว่า แต่เขาจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ จบที่ความจริง
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน ความตายมีกี่ชนิด
_หลวงปู่ครับ..ความตายมีกี่ชนิดครับ
พ่อครูว่า..คู่หนึ่ง มีสองตายห่ากับตายโหง ตายห่าคือตายจากโรค ตายโหงคือตายจากอุปัทวเหตุ
อีกคู่คือ ตายจากกิเลสกับตายทางร่างกาย ตายทางร่างกายใครก็ต้องตาย พระพุทธเจ้าก็ต้องตาย และปรินิพพานเป็นปริโยสานไป แต่อรหันต์ที่ตั้งจิตต่อหรือคนไม่เป็นอรหันต์ก็ต้องมาเกิดต่ออีก ไปตามกรรม บิดพริ้วกรรมไม่ได้
การตายการเกิดทางจิตวิญญาณกับการตายทางร่างกาย การตายทางจิตวิญญาณต้องดับเหตุ รู้เหตุแห่งความชั่ว เราดับได้
พระอรหันต์ท่านดับเหตุเป็นแล้ว แต่ท่านไม่ดับเหตุของท่าน ท่านก็เกิดต่อ เกิดต่อแล้ววิบากของท่านก็ท่านไม่ทำวิบากชั่วอีก แต่ที่ของเก่าท่านก็มาเล่นงานได้อย่างพระพุทธเจ้าก็มีพระเทวทัต นางจิณจมาณวิกา ช้างนาฬาคิรีเป็นต้น ก็มาทำร้ายแต่มันเบาลงๆๆไปเรื่อยๆ
เมื่ออรหันต์ พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานสูญไปแล้วกรรมที่ติดตาม ไม่มีตัวอัตภาพที่จะไปเล่นงานแล้วก็ฟาวล์ไป ยกเลิกไปเพราะไม่มีคู่กรณี คู่กรณีสลายอัตภาพทิ้งก็เลยยกเลิกกรรม
ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็มีแต่กรรมดี ส่วนกรรมชั่วตามไม่ทันแน่นอน มันไม่หายนะ กรรมชั่วเรายังอยู่แต่วิ่งไล่ตามไม่ทัน มันตามมาเราก็ตายไปแล้ว แต่ไม่หายไปอยู่ในคลังความจำ แต่วิบากชั่วจะตามเหมือนหมาไล่เนื้อแต่มันตามไม่ทันเพราะอรหันต์หยุดชั่วทำแต่ดี หมาไล่เนื้อเลยตามไม่ทัน สุดท้ายอรหันต์พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานทิ้งกรรมพวกนี้ไว้เด๋อไปเลย
กรรมไม่มีสูญ แต่เลิกกรรมปัจจุบันที่ไม่ดี ทำแต่ดีก็กุศลเป็นกำแพงกั้นหมาไล่เนื้อหรือวิบากไม่ดีไม่ให้มาถึงได้ง่ายเท่านั้นเอง วิธีของพระพุทธเจ้าถึงลึกซึ้งที่สุดเลย
สรุปตายร่างกายกับตายทางจิตวิญญาณ จะตายทางร่างกายกับจิตวิญญาณด้วยก็มีแต่อรหันต์กับพระพุทธเจ้าทำได้ แต่คนอื่นก็ตายได้แต่ร่างกาย แต่จิตวิญญาณไม่สามารถตายได้
_ผมไปที่วัดป่าแห่งหนึ่งผมสังเกตคนเอาผักผลไม้สดไม่ผ่านไฟ อะไรที่ลงดินแล้วงอกได้ ก็ทำกัปปิยะ พระจะถามว่า กัปปิยังกโรหิ ทำให้สมควรแล้วหรือยัง คือทำลายเชื้อไม่ให้งอกได้ โยมก็จะบอกว่า กัปปิยังภันเต ก็คือทำแล้ว ถ้าพระไม่ทำก็ถือว่าอาบัติพรากของเขียว ผมรู้สึกว่าธรรมวินัยข้อนี้ฟั่นเฝือจะกินอะไรก็ยาก
พ่อครูว่า..พืชที่จะทำลายเปลือกแล้วมันจะงอกไม่ได้ก็ว่าไป แต่พืชที่ทำลายเปลือกแล้วมันก็ยังออกได้ต้องให้ทำลายต่อ แต่ต้องให้ฆราวาสเป็นผู้ทำลายนะ ไม่ใช่สมณะไปทำลาย เดี๋ยวนี้บางคนเอาใบโกสนมาเพาะให้งอกได้ มันจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ มันเกิดได้ทางใบ ทางราก ทางหัว ก็ต้องทำลายตรงนั้น จริงๆแล้วมันไม่เข้าใจก็มักง่ายไม่ครบหรอกก็ว่ากันไป ก็เอาเถอะ แม้ว่าจะอาบัติเพราะไปพรากพืชต่างๆ
พืชเองมันก็ไม่มีพยาบาท แต่อย่าประมาท พระพุทธเจ้าให้รู้จักชีวะ เตือนตน ผู้เป็นสมณะอย่าประมาทแม้ชีวะของพืชที่มันงอก มันอาจงอก และพัฒนามาจนเป็นจิตนิยามได้ท่านแถมให้ เราก็ต้องรู้ว่าอย่ากังวลเรื่องพืชมาก ไม่งั้นต้องไปกินดิน เป็นไส้เดือนไป มันก็เกินไป ก็เอาแต่พอควร
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน พระพุทธเจ้าตายมีเหตุหรือไม่
_เกิดมาได้ไม่นานก็ตายมีบุญหรือไม่เพราะไม่ได้สร้างวิบากเพิ่ม
พ่อครูว่า...เกิดมาไม่นานแล้วตาย แต่ว่าวิบากของเราในชาตินี้ คนที่จะตายเร็ว เกิดมามีวิบาก เช่นมีโรคภัยตายห่าแล้วก็ทรมานกับโรคภัยแต่คนบางคนอายุไม่ยาวแต่ไม่ตายด้วยโรคห่าแต่ตายด้วยอุปัทวเหตุ ที่มีเหตุปัจจัยของมัน เป็นปัจจัยปัจจุบันหรือวิบากก็ได้ที่เราเป็นไป ก็ต้องตาย ส่วนผู้ที่ถือว่าธรรมชาติคนก็ไม่ควรตายโหง ควรตายโดยโรคหรือไม่มีโรคแต่ตายด้วยสงบก็สูงสุด
อย่างพระพุทธเจ้านี้ท่านไม่ได้ตายด้วยโรค ท่านไม่ได้ตายด้วยอุปัทวเหตุแต่ท่านสร้างเหตุให้ตาย ท่านก็กินเห็ดพิษสุกรมัทวะเพื่อให้รู้ว่าทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าจะว่าไปท่านฆ่าตัวตาย แต่ท่านจะตายโดยไม่มีเหตุไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าองค์นี้เองอันนี้เป็นหลักคืออาริยสัจ 4 มีเหตุ ท่านจะตายเองก็ได้แต่ท่านต้องการทำให้มีเหตุ อาตมาจึงซาบซึ้งเหตุมาก อธิบายเหตุมากมายซับซ้อนลึกซึ้ง
_พวกเราทุกคนเคยตายมาก่อนใช่ไหม ตายแล้วไปไหน
พ่อครูว่า...ไม่ต้องถามเลย เคยตายมาไม่รู้กี่ล้านๆชาติ แต่ไม่เข็ด หากมันรู้ก็จะเข็ด มันจะตายซ้ำๆๆ
สรุปแล้วเคยตายมาแล้วทั้งนั้น ตายแล้วไปตามวิบากกรรมของตน
_ถ้าหนูดื้อจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า...หนึ่ง ถูกตีด้วยเมตตา หากเขาไม่เมตตาก็วิบาก แต่ถ้าแม่หรือผู้ปกครองตีด้วยเมตตาก็โชคดี ของเรามีกติกาเลยว่า ไม่ให้คุรุที่เป็นคู่กรณีเป็นผู้ตีเด็ก เพื่อไม่ให้เกิดจิตพยาบาทต่อกันซับซ้อน ให้กรรมการกลางตี
_ยายพลังพร...ครั้งก่อนไปที่หินผาฟ้าน้ำก็ได้คติธรรมมา มีสติคืนมาเต็มร้อย...สิ่งที่ย้อนไม่ได้คือเวลา สิ่งที่หนีไม่ได้คือความตาย สิ่งที่เชื่อไม่ได้คือสุขภาพชีวิต สิ่งที่มองไม่เห็นคือใจคน สิ่งที่ตนอดทนที่สุดคือใจตนเอง อนาคตเป็นเรื่องที่ต้องคิด ชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา ปัญหาเป็นเรื่องต้องแก้ไข จิตใจเป็นเรื่องที่ต้องระวัง
_หายโง่...งานรับรางวัลเพชรแห่งเอเชีย เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา หมอเขียวได้กล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งความว่า ตามหลักแพทย์วิถีธรรมที่นำมาจากพระพุทธเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เราได้ศึกษาบุคคลทั้ง 3 เป็นหลัก อนึ่งที่หอประชุมมีภาพพ่อครู เป็นภาพเขียนขนาดใหญ่ในอิริยาบถต่างๆ ทำให้รู้ว่าหมอเขียวเคารพพ่อครูเป็นครูบาอาจารย์
พ่อครูว่า..มารายงานก็รับซับซาบ
สื่อธรรมะพ่อครู(แสงอรุณทั้ง 7) ตอน อัตตาในแสงอรุณ 7
_ขอได้โปรดอธิบายแสงอรุณ 7 ข้อที่ 5 ความเป็นธรรมด้วยตน อัตตสัมปทา
พ่อครูว่า...แสงอรุณสุริยเปยยาล 7
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
ถ้ายังไม่สามารถเข้าใจในความรู้ 7 ข้อนี้ดีพอสมควร ถ้าไม่เข้าใจเลยใน 7 ข้อนี้ มาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็สูญเปล่า
อย่างข้อ 1 คุณก็ไม่รู้ว่าควรจะมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดียกตัวอย่างพระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นมิตรดีของเธอภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากบอกว่าไม่เชื่อคุณก็ไม่มีมิตรดีสหายดี โพธิรักษ์บอกว่า เป็นสยังอภิญญาเป็นมิตรดีนะ คนไม่เชื่อก็ไม่มาเอา แต่ถ้าคุณเชื่อคุณก็มาเอา ยิ่งคุณมีจิตยินดีตามข้อ 2 ก็ยิ่งดีแล้วอาตมาก็สอนศีล ไม่เหมือนที่เขาอธิบายกันด้วยนะ คุณก็ศึกษาตาม ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ทุกวันนี้ไม่มีศีลก็โมฆะบุรุษเยอะเลย เขาก็เรียนศีลเป็นที่ต้นแต่เขาทิ้ง มันเผินไม่เชื่อเพราะไม่ฟังสัตบุรุษ
ข้ออัตตา ต้องเรียนรู้อัตตา ความเป็นตัวตนมีอยู่ 3 อย่าง
1. การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)
2. การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)
3. การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้ หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา ปฏิลาโภ) .
(โปฏฐปาทสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 302)
แล้วก็ไม่ชัดเจนในอัตตาและกามก็ล้มเหลวเลย จึงจะต้องมาเรียนรู้อัตตาอย่างสำคัญ
คนจะอธิบายกามและอัตตาได้ โลกความวนของอัตตาและกามได้ก็ต้องมีสยังอภิญญา แม้ไม่สยังอภิญญาแต่เป็นสัตบุรุษแท้เป็นโพธิสัตว์ระดับรองลงไป ก็ยังดี แต่ถ้ามีสยังอภิญญาก็ดีใหญ่ ในยุคนี้ ท่านมีของท่านมากพอไม่ต้องพึ่งใคร ท่านพึ่งตนได้ เป็นปัจเจก สยังอภิญญา แล้วก็จนกลายเป็นสยัมภู สูงสุด ก็มีที่ไปที่มา
สรุปแล้ว ค่อยๆเรียนรู้ปฏิบัติตั้งแต่อัตตาแรกคือ
โอฬาริกอัตตาเกี่ยวกับข้างนอก ตื้นสุดคืออบาย ต่อมาคือกามคุณโลกกาม ลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข หรือขั้นรูป รสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านก็ลดลงมาตามลำดับ ก็จะเข้าใจโอฬาริกอัตตา จนลาภยศสรรเสริญภายนอกเราก็ไม่ติดใจ
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ไม่ติดใจ อย่างไรก็พอได้ รูปสวย กลิ่นหอม สัมผัสเสียดสีจนถึงรากราคะ
รากราคะ เป็นเรื่องการเกิดการตายสืบต่อเผ่าพันธุ์ เรื่องเมถุนเป็นเรื่องหยาบ พระพุทธเจ้าสอนเมถุนถึง 7 ชั้น
1. ยินดีการขัดสี ลูบไล้ ให้อาบน้ำ และนวดฝั้นจากมาตุคาม รู้สึกปลื้มใจ
2. กระซิกกระซี้เล่นหัว สัพยอกกับมาตุคาม แล้วปลื้มใจ
3. เพ่งจ้องดูตา(ฟาดเนตร)กับมาตุคาม แล้วปลื้มใจ
4. ได้ฟังเสียงมาตุคามหัวเราะ ขับร้อง ร้องไห้อยู่ข้างนอกฝา-นอกกำแพง แล้วปลื้มใจ
5. ตามนึกถึงการหัวเราะ พูดเล่นหัวกับมาตุคามในกาลก่อน แล้วปลื้ม-สุขใจ
6. ได้เห็นคฤหบดี หรือบุตรแห่งคฤหบดี ผู้เอิบอิ่มพรั่ง- พร้อมด้วยกามคุณ 5 บำเรอตนอยู่ แล้วปลื้ม-สุขใจ
7. ประพฤติพรหมจรรย์โดยตั้งปรารถนาเพื่อเป็นเทพเจ้า หรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งไว้ แล้วปลื้ม-สุขใจ
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 47)
โอฬาริกอัตตาคือกามภายนอก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเสียดสีภายนอกเราก็ไม่ติดใจ ไม่ต้องแตะต้องสัมผัส นวดฝั้น หากจะนวดรักษาก็ตามความจริงไม่เกิดติดใจอะไรก็ต้องมีภูมิปัญญารู้ละเลิก สรุปแล้วสัมผัสจะต้องไปนอกอย่างไรก็ไม่เกิดจิตที่มีอะไรอยู่ภายในเป็นราคะ รูปราคะ คุณก็ต้องอ่าน ถ้าระริกระรี้แรง แสดงว่าภายนอกเผลอไม่ได้นะ ถ้าไม่แล้วมีนิดหน่อยก็จะรู้ว่า ราคะ รูปราคะ เบาบาง เหลือน้อย อรูปราคะก็จะน่าไว้ใจกว่ารูปราคะ หมดอรูปราคะ โน้นก็ยังมี มานะ ถือดี เรื่องรสจะเป็นเชิงเมถุน สัมผัสเสียดสีเกิดไคลแมกซ์เฉยๆแล้วไม่ยินดีแล้ว แต่มีไคลแมกซ์ในความดี บางคนชื่นใจมากน้ำตาไหลกระโดดโลดเต้น
ก็ต้องลด มานะ อติมานะ แต่ไม่ใช่เมถุนแล้ว หรือจะเรียกว่าเสพเมถุนกับความดี เราเป็นสิริมหามายาภาษากับสภาวะ แต่คุณยังมีความชื่นใจมีความยินดีมีรสติดยึด ความดี ก็รู้ว่า ในความดีมีมุทิตาจิต ก็รู้แล้วว่าเราได้ทำสิ่งดี เรื่องดีก็สำเร็จจบแล้ว ก็รู้ความดีแล้วเลิกจบ ไม่ได้มีรสก็เลิกวาง
เมตตาคือต้องการให้เขาได้ดี กรุณาก็ช่วยเขาให้พ้นทุกข์สุข ตามชั้นไหนก็สำเร็จผลมุทิตารู้ว่าดีแล้ว และจิตไม่ติดยึดก็อุเบกขา
เราก็จะมีสภาวะว่าเรามีฐานนี้แล้วไม่ติดยึดในเรื่องเหล่านี้แล้วก็จะรู้อาการต่างๆสัมผัสสัมพันธ์กรรมกิริยากับมนุษย์โลก
ถ้าเรารู้อัตตาดีแล้วก็อย่าทำให้ผิดเพี้ยนไปจากสัมมาทิฏฐิ 10 หรือทิฏฐิ 2 ทิฏฐิ 6 เป็นต้น โดยเฉพาะสัมมาทิฏฐิ 10 หรือทิฏฐิ 6 ของปัญญา
แล้วปฏิบัติ ยังมีกรรมกิริยาอาการงานเปิดลืมตา สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็จะต้องมี ทิฏฐิ 6 ปัญญาปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ เกิดธาตุรู้ที่รู้เป็นผลปัญญาเป็นปัญญินทรีย์จบเป็นปัญญาพละ
_บุญรุ่ง...เคยข้องใจมานานแล้ว นานมาแล้วฝันว่า เห็นคนเดินฉับๆเข้ามาพร้อมตะกร้ากับเสียม เขาว่าอยากฟังสวดอีก ดิฉันก็ว่าจะสวดให้ฟัง เขาบอกว่า ถ้าวันเสาร์มาเจอกันได้ไหม เมื่อวันเสาร์ไม่ได้ไปตามนัด ไปหาหมอเข้าทรง ตอนนั้นรักษาข้อเท้า เขาบอกว่าเขาชื่อ พรหมจรรย์ สีหราช อยากจะฝากอะไรดีๆไว้กับดิฉัน เขาบอกว่าอะไรหายไปก็ให้เรียกเขา ต่อมาดิชั้นอะไรหายก็เรียกหาเขาก็ได้คืน ครั้งสุดท้ายแหวนของพ่อบ้านหลุดลงไปในน้ำ หมอดูบอกว่าอยู่ตรงนี้แหละ เขาไปงมก็ไม่เห็น เมื่อดิฉันเรียกหาเขา บอกว่าแม่พรหมจรรย์เอ๋ยมาช่วยหน่อย แหวนตกในสระน้ำนี้ขอให้ได้เถอะ พวกนั้นหาหมดแล้วไม่เจอ แต่ตอนหลังมีคนหนึ่ง งมหอยมา บอกว่าเอาหอยไปเผากินแต่เด็กก็เห็นว่าหอยคาบแหวนทองไว้
เคยถามสมณะ ท่านว่าเป็นอุปาทานเป็นจิตของเราเอง แต่เห็นเขาเดินฉับๆมามาจากถ้ำเฝ้าไหเงินไหทองให้อยู่ ท่านก็ว่าเป็นจิตเราอุปาทานเรา ดิฉันก็ยังติดใจว่าอะไรกันแน่
พ่อครูว่า..สรุปว่ามีความพยายามตามหา ถ้าคุณไม่ตามหามันจะได้ไหมแหวน หอยจะคาบมาได้อย่างไร แล้วใครโยนขึ้นมา ก็คือเขางมได้ก็โยนมาเป็นธรรมดาแล้วพอดีกับติดอยู่กับหอย อาตมาว่าหอยไม่กินแหวนหรอก แล้วก็ไม่เคยเจอเขาเลย
อาตมาว่า เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้โยนทิ้งดีกว่าอย่าเอามาเป็นภาระเป็นเรื่องวุ่นวายเลย ถามอาตมาก็ตามอธิบายไม่ทัน
พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เอานิยายอะไรกับเรื่องฝัน ไม่ปรับอาบัติด้วย แต่คุณก็ไปเอาเรื่องฝันมาเป็นเรื่องราวอีก
_ปหาน 5 ให้ถึงตถตา จิตที่เป็นเทวดา สมาธิที่ลึกกว้าง
พ่อครูว่า...ขอต๊ะไว้เหลืออีก 2 นาที
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นั่งหลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธ
_แม่หนูฝากถาม … 1 การนั่งสมาธิหลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธเพราะอะไรคะ
พ่อครูว่า...เพราะหลับตาเป็นเรื่องอยู่ในภพอย่างเดียวมีแต่สัญญาไม่ครบความเป็นภายนอกภายในที่เป็นมนุษย์สามัญธรรมดา ที่จะมีธรรมะ 2 ที่เรียกว่ากายคำว่ารูปนามก็ดี ไปนั่งหลับตาเป็นการฝันเพ้อไปได้สร้างรูปเรื่องอะไรขึ้นมาเองได้ไม่มีใครรับรอง ถ้าลืมตาปฏิบัติมีคนอื่นเป็นเครื่องยืนยัน เป็นหลักฐานเรียกว่ากายสักขี มีรูปนามคือกาย หลักฐานพยานยืนยัน แล้วพระพุทธเจ้าย้ำยืนยันว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย กายสักขีหากไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ไม่ชัดเจน ไม่สมบูรณ์พระพุทธเจ้าก็ไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์ได้
ทวาร 5 ตัดไปเลย การนั่งหลับตา คนเราต้องครบ 6 ทวารจึงเต็มแต่ไปตัดทวารนอก คุณก็รู้ของคุณภายในคนเดียวคนอื่นไม่รับรองด้วยได้ แต่ก็สามารถไปสร้างอุปาทานหมู่ครอบงำคนอื่นได้อีก พระพุทธเจ้าบอกว่าให้มายืนยันกันด้วยลืมตาเปิดเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางทวารทั้ง 5 ใครมาสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกก็รู้ด้วยกันไม่ต้องพูดกันยาว นี่คือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก
การนั่งหลับตาสมาธิเป็นเรื่องที่คนติดหนักจริงๆ เป็นเรื่องยากมากที่จะพูดกันรู้เรื่องเพราะมันติด แล้วก็เพ้อเจ้อไปตามเรื่อง ผู้ที่ชัดเจนแล้วไม่สับสนไม่ยากเย็นอะไรก็เข้าใจเรื่องนี้เข้าใจได้ มาลืมตาปฏิบัติเสีย ถ้าหลับตาแล้วมันง่ายขึ้น จะตรวจสอบเป็นเตวิชโชก็ไม่ยาก แต่คุณไม่ลืมตา พูดให้ตายคุณก็ไม่เข้าใจสมบูรณ์แบบ หลับตาปั้นคิดเอาเองของตนไปได้หมดในภพ แต่เรื่องยืนยันภายนอกนี้ชัดเจนไปตามลำดับ
2. ทำตัวอย่างไรถึงจะเป็นหนุ่มตลอดเวลา
พ่อครูว่า..ไม่ตอบล่ะ ให้ติดตามอาตมาดูจะทำให้หนุ่มตลอด แต่ก็ทำได้แค่นี้แหละ จะให้เหมือนอายุ 20 เลยก็ไม่ได้ เอาตามอย่างนี้ แต่ก็น่าจะฟื้นได้บ้าง ดูอาตมาอายุ 100 จะเป็นอย่างไร
จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:04:57 )
รายละเอียด
620123_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สีสันชีวิต การเมืองเรื่องของธรรมะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1_yzm3-xfLhBQr_H3xb208QDOkf3UwmohZbtW8fKErYM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1ZwlUnjF6ANs4GkuQ_GqHp9wO3ldYrlwS
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธ 23 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมาแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะมีการหาเสียงได้ จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน มีการกำหนดให้วันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันที่มีการเลือกตั้ง ดูเหมือนว่าไม่กระทบงานพุทธาฯของเรา เราก็ยังกำหนดวันงานเราคือ 14-20 ก.พ. 2562 เริ่มวันวาเลนไทน์ จบเกือบวันมาฆบูชา คือ 19 ก.พ.
ในงานศพยายจันทร์เพ็ญ พ่อครูให้อนุสสติแก่พวกเราว่า ยังไม่มั่นใจว่าหมู่มวลของพวกเราจะสามารถยังให้ศาสนาไปจนถึง 5,000 ปี ถ้าย้อนไปดูธรรมะตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ พ่อครูลงรายละเอียดธรรมะมากยิ่งขึ้น อย่างเราฟังธรรมวินัยพระพุทธเจ้ามีความลาดลุ่มอันน่าอัศจรรย์ มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย
ศีลข้อที่ 1 แต่ก่อนเอาแค่ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ตอนนี้เพิ่มคือมีใจเอื้อเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ลดละความโกรธ หากเข้าใจและปฏิบัติเนื้อหาของศีลแล้วปฏิบัติไปตามลำดับ การเป็นอรหันต์ก็ไม่ยาก วันๆหนึ่งเรามีจิตเอื้อเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง
ศีลข้อที่ 2 จะลดความโลภ ศีลข้อที่ 3 ลดกามคุณ 5
ฟังธรรมมา 30 กว่าปี ตอนนี้พ่อครูพยายามทำให้ง่ายขึ้นมากเลย
พ่อครูว่า…มาอ่าน sms
_นพ พร .....จนสำเร็จแล้ว แล้วไปเป่านกหวีดทำไม ไหนบอกจนสำเร็จแล้วงัยมันไม่โกหกชาวบ้านหรือ หลักฐานมันคาหนังคาเขา ถ้ายังมีข้ออ้างอยู่แก้ตัวอยู่ ก็แสดงว่าโกหก ตามรู้ไม่เท่าทัน กิเลสที่อยู่ในใจตัวเอง ขอบคุณมากที่รับฟัง
พ่อครูว่า...ก็จนแล้วเป่านกหวีดไม่ได้หรืออย่างไร ไม่ได้แก้ตัวหรือโกหก เอาน่าติดตามดีๆ คุณก็เข้าใจพยัญชนะบัญญัติของคุณแล้วตีความตามแต่คุณคิด เช่นการเป่านกหวีดคุณก็ปั้นไปตามที่คุณมีโลกจินตา เราคิดตามคุณไม่ไหว ขอยอมไม่รู้ยอมโง่ เพราะอาตมาไม่มีอจินไตยตามคุณได้ ตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกจินตา
สมณะเดินดินว่า..เป่านกหวีดคงหมายความว่าไปเล่นการเมือง กับกปปส.
พ่อครูว่า...การเมืองใน Concept ของคุณกับอาตมามันไม่เหมือนกัน concept การเมืองของอาตมาคือการช่วยเหลือมนุษยชาติแต่เราจนสำเร็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความคิดของเธอกับความคิดของเรามันคนละอย่าง ก็จบ
_ชอง ไคยุน....ขออนุญาตแลกเปลี่ยน
1. ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณชาวทิเบต ยุ่งแต่กับการเมืองกับจีนทั้งชีวิต ทำไมทั้งโลกยกย่อง พระทิเบตชุมนุมประท้วงรัฐบาลเรียกร้องปกครองตนเอง ท่านมหาตะมะคานธีชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอังกฤษ ชุมนุมอย่างสันติอหิงสาแบบนี้ผิดหรือไม่ ถือว่าเป็นคนเลว? หรือท่านมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่ได้รับรางวัลสันติภาพเคเนดี รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ทั้งๆที่พาคนชุมนุมต่อต้านรัฐเรื่องการแบ่งแยกสีผิว ชุมนุมเรียกร้องต่างๆ
ดังนั้นอย่าเอาแค่คำว่า "การเมือง" ที่คนเข้าใจในแต่ภาพลบเพราะนักการเมืองเลว มายัดเหยียดว่าถ้าเกี่ยวข้องกับแบบนี้แล้วแสดงว่าเลวแบบเดียวกัน อย่างนี้มันตื้นเขินเกินไป เขาไปทำแบบสงบ อหิงสา นุ่มนวล ลองคิดดูถ้าในเครือข่ายที่ชุมนุมแต่ละครั้งไม่มีกลุ่มอโศก การชุมนุมส่วนใหญ่จะสงบเรียบร้อย ไม่ใช้ความรุนแรงแบบนี้ไหม
2. แน่นอนในคราว กปปส. มันมีหลายกลุ่ม กลุ่มที่แจ้งวัฒนะที่มันรุนแรง เพราะพวกเขาไม่มีผู้นำที่เป็นอรหันต์จริงๆ เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามกระทำก่อน ผู้นำก็พากระทำรุนแรงตอบโต้ มันก็รุนแรง แต่มีไหมทางกลุ่มสันติอโศกที่ชุมนุมในทำเนียบ ถูกยิง M79 ร่วมๆ 4-5ครั้ง แล้วคุณเห็นเจ้าสำนักท่านนี้เดินนำหน้าพาลูกศิษย์ไปตอบโต้หรือเปล่า จากการไปสังเกตก็เห็นแต่บอกให้อดทน ให้สงบ
3. คุณฟังดีๆที่เขาพูด เขาต้องการทำการเมืองแบบสกปรกให้สะอาด บริสุทธิ์เพื่อทุกคน ไม่เช่นนั้นพระพม่าที่ออกมาประท้วงรัฐบาลทหารก็คงผิดหมดทั้งประเทศเพราะมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในมุมมองแบบตี้นๆของคุณ
4. ถ้าคุณเปิดใจสักนิด ลองไปเปิดดูคลิปคำสอน(ในช่องนี้ก็ใส่ไว้มากมาย) วัตรปฏิบัติของชาวอโศก การใช้ชีวิตในชุมชน เรื่องพวกนี้คุณเคยเห็นในวัดทั่วไปไหม ไม่มีผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน ไม่จุดธูปเทียนกราบไหว้ต้นไม้ ก้อนหิน วัวออกลูกห้าขา ไม่มีตู้รับบริจาคเรี่ยไร ฯลฯ แล้วถามว่าเขาเอาเงินมาจากไหนสร้างโน่นนี่นั่นมากมาย ก็เพราะเขาสอนคนให้ลด ละ กิเลส จนบรรลุกันตามลำดับขั้นตอน จนละทางโลกๆ มาอยู่รวมกันเป็นชุมชน ถึงแม้ไม่ได้มีจำนวนมาก แต่เขาก็ทำงานแล้วนำเข้าเป็นกองกลาง น้อยมากที่จะเก็บส่วนตัว คุณลองนึกตามง่ายๆบริษัท ธุรกิจที่ไม่ต้องมีต้นทุนค่าแรง กำไรมันจะมากแค่ไหน เขาทำโรงงานปุ๋ยอินทรีย์จากเล็กๆวัตถุดิบบางส่วนก็มาจากชุมชนตัวเอง ขายถูกแต่ก็ยังมีกำไร เพราะคนงานทำงานฟรี(ไม่มีการบังคับแบบคอมมิวนิสต์ด้วย เพราะทุกคนเข้าใจ บรรลุแล้ว ไม่เก็บสะสมส่วนตนแล้ว มีแต่จะเสียสละช่วยเหลือสังคม) เขามีบริษัทขยะ เขามีร้านอาหารมังสวิรัต และลูกศิษย์ลูกหาที่บริจาคกันเยอะแยะ ก็เอาเงินมาทำส่วนกลาง อันนี้ก็เหมือนกับทุกวัด ต่างแต่ไม่เข้าบัญชีเจ้าอาวาสหรือพระ
5. คุณต้องลองเปิดใจ อย่ายึดติดคำว่า "การเมือง" แบบที่เคยเห็นแต่ภาพลบ แล้วก็เหมาเอาว่าใครก็ตามที่ยังยุ่งเกี่ยวถือว่าไม่ดี แต่ถ้าลองพิจารณาดีๆแบบไม่อคติลำเอียง การเมืองที่สะอาดอบริสุทธิ์มีแต่คนมีศีลมีธรรม(ถึงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์) อย่างน้อยๆมันก็จะทำให้บ้านเมืองพัฒนาขึ้น นักการเมืองเลวๆที่แอบแฝงหาผลประโยชน์ก็จะไม่กล้า เพราะรู้ว่าคำจับตามองอยู่ ไม่ใช่ประชาชนประเทศการเมืองเป็นเรื่องสกปรก ฉันบรรลุแล้วฉันจะไม่เอาตัวไปเกลือกกลั้ว ซึ่งยิ่งคิดแบบนี้ยิ่งผิดเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ คุณบรรลุแล้ว คุณแยกแยะถูกผิดได้แล้ว นั่นแหละคุณต้องเขาไปยุ่ง เข้าไปชี้นำว่าเฮ้ย! ทำอย่างนี้ผิดนะ ไม่ถูกนะ คนผิดมันก็จะเกรงกลัว ไม่ใช่บรรลุแล้วหนีไปนั่งหลับตาอยู่ในป่าในถ้ำ ศึกษาธรรมของพุทธให้ดีๆ เมื่อทำประโยชน์ตนแจ้งแล้วบรรลุแล้ว ไม่ถวิลหาสะสมเป็นของตนแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็เพียรทำกิจเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ท่าน เพื่ออุ้มชูจรรโลงสังคม ทำตัวอย่างให้สังคมได้เห็นว่าธรรมของพุทธเป็นอกาลิโก ไม่ว่ายุคไหน คนปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาก็บรรลุ โสดา สกิทา อรหันต์ พระปัญเจกฯ ... ไปเรื่อยๆ ตามลำดับได้ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ในพระไตรปิฏกเท่านั้น
_คมสัน แสงศรี....
ไม่รับเงินเอาตังที่ใหนมาสร้างโน่นสร้างนี้มันต้องอยู่แบบสมถะ
พ่อครูว่า...พวกนี้พวกรูเดี่ยว เอาไปใส่ในรูอยู่คนเดียวเลย
_ชอง ไคยุน...เขาอยู่กันเป็นชุมชน คนที่ลด ละ กิเลสได้จนหมดตัวหมดตัว ก็ละทิ้งทางโลกมาอยู่ชุมชน แต่ยังไม่บรรลุระดับสูงถึงขั้นบวชได้ ก็เป็นฆราวาสถือศีล 5 ศีล 8 ตามลำดับ แล้วอยู่ในชุมชนก็ทำงานส่วนกลาง ทุกอย่างเข้าส่วนกลางหมด ไม่มีสังคมแบบไหนทำได้อย่างนี้ ขนาดคอมมิวนิสต์ยังพังเลยเพราะนั่นใช้ระบบบังคับกัน แต่นี่ใช้แนวทางพุทธ สอนให้คนเข้าใจชีวิต ลด ละ เลิกตัวตนได้หมด จึงมาอยู่รวมกันแบบเข้าใจ ไม่ได้ถูกบังคับ คนที่มาคือคนที่พร้อมละทางโลกแล้ว(ไม่สะสมส่วนตัว) พร้อมจะช่วยเหลือโลกแต่ถ่ายเดียว เขาสะสมและสร้างกันมา 30-40 ปี ไม่ใช่นายทุนใหญ่มาอุดหนุน และกฏเกณฑ์การบริจาคก็เคร่งครัด คนทั่วไปเขาไม่รับ ต้องคนที่มารู้จักเรียนรู้แนวทางของเขาก่อน ชุมชนเขาสร้างกันเอง ไปดูจริงๆหลายอย่างก็ทิ้งร้างเพราะค่อยๆสร้าง ตามกำลังที่มี แต่ส่วนใหญ่เขาทำเกษตรฯ เก็บขยะ ลองหาดูคลิปในช่องยูทูปบุญนิยมทีวี มีเยอะแยะไม่ได้ลึกลับอะไร ไม่เชื่อก็ไปดูด้วยตัวเองที่แต่ละชุมชน ลองคบคุ้นดูจะเข้าใจว่าพวกเขาเป็นอย่างไรโดยส่วนใหญ่
พ่อครูว่า...พวกเรานี้ไม่ต้องตกใจเลย เราเป็นได้ในทิศทางนี้ ทุกคนจะเจริญได้กว่านี้อีกไหม ..ได้ คุณจะจนลงไปกว่านี้ได้อีกไหม ...ได้ คุณจะมีกำลังวังชาขยันหมั่นเพียรสร้างสรรมากกว่านี้ได้ไหม ...ได้ เรามีแต่ทิศทางที่จะหมดศูนย์ได้มากกว่านี้และสร้างสรรได้มากกว่านี้ ภาษาบัญญัติว่าจน แต่สภาวะธรรมนั้นรวย พวกนี้จน แต่รวย เป็นภาษาสิริมหามายาภาษาเทวะ คนที่ไม่เข้าใจภาษาสิริมหามายาก็จะตีไม่แตก เขาจนจริงๆแต่เขามีมาก ต้องนิยามความจนคือเขามีไม่มาก ตัวเขาเองไม่เอาไว้มาก แต่เขาสร้างสรรไว้มากจึงเกิดผลผลิตเยอะแยะมากมาย และเขาก็ไม่เอาไว้ที่ตัวเองมากไม่ยึดถือ เขาก็สะพัดออก แต่พวกที่เอาแต่กอบโกยเข้าหาตัวเองคนนี้จนชิบหาย มีแสนล้านก็จนชิบหายคุณจะจนไปถึงไหนคนนี้ สงสัยตายคา ระวังรวยไม่กระจายเลย พวกนี้ตายคาความรวยเยอะ แล้วเขาก็เป็นหนี้ คนพวกนี้เป็นหนี้ ก็มีแต่เอาของคนอื่นเอาเปรียบคนอื่นด้วยแล้วไม่พยายามใช้หนี้ เขาก็เลยยิ่งเป็นหนี้หนักซับซ้อน ศึกษาให้ดีสัจจะมันซับซ้อนอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ยึดความไม่ยึดคืออย่างไร
_คุณกวดวิชา ..... ผมได้ดูคลิปแล้ว ขอแสดงความคิดเห็นแบบนี้นะครับ...
"ยึดความไม่ยึด = ยึด ?"
จะรู้ได้งัย ?
ตนเท่านั้นที่รู้ ?
รบกวนผู้รู้ทุกท่าน...ช่วยไขประเด็นนี้ให้ผมหน่อยนะครับ ขอบคุณมาก
พ่อครูว่า...อาตมาไม่รู้นะว่าคุณกวดวิชาจะเข้าใจอย่างไร เพราะเข้าใจได้สองนัย ยึดความไม่ยึด=ยึด
ยึด คำหนึ่ง ความไม่ยึด อีกคำหนึ่ง
แล้วเอาความยึดคูณความไม่ยึด ถ้าเช่นว่า ความไม่ยึดอัน1 x 2 ก็=ความไม่ยึดนี้ทบลงไป 2 เท่า ก็เท่ากับยึดได้เก่ง ทีนี้ไขความว่าได้ยึดอะไร ก็ยึดความไม่ยึด เช่นยึด 0 เป็นต้น เขาก็จะยึดความ 0 ได้แน่นยิ่งกว่าเก่า ok ชัดไหม จบนะ
ถ้าเผื่อว่าคุณไม่ชัดเจนในความเป็นเทวะสับสนพยัญชนะกับสภาวะก็จะวน อาตมาพูดจนจบก็จบ พูดอีกก็วน แต่คนที่เข้าใจแล้วจะพูดไปอีกเท่าไหร่ก็จบได้ จะจบที่ความยึดหรือจบที่ความไม่ยึดก็ได้ทั้งนั้นเลยเชื่อไหมพวกเราไม่งง จบอะไร ก็ยึดในความไม่ยึด ยึดในความไม่ยึดให้ยิ่งขึ้น จะพูดไปอย่างไรก็ไม่งงเพราะมันชัดเจนในสภาวะ จะวนเป็นสิริมหามายาเกิดแล้วเกิดอีกกี่รอบ เหมือนนักมายากลอันนี้มีอันนี้ไม่มีอันนี้มี อันนี้ไม่มี อันนี้มา อันนี้ไม่มา อันนี้ไม่มา นี่มา จะสลับเร็วไวอย่างไรก็ทัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ความอร่อยไม่อร่อยเกิดจากการปรุงแต่ง
_กวดวิชา....ขอถามเพิ่มเติมนะครับ สมมุติวว่า นาย ก. กินกระเพราไก่แล้วรู้สึกอร่อย โดยนาย ก ถือความอร่อย ณ ขณะนั้น ตามประสบการณ์ของตน แต่ในขณะเดียวกันนาย ก ก็รู้ชัดว่าความอร่อยหรือไม่อร่อยไม่ได้มีอยู่จริง เพราะความอร่อยกำลังพึงพิงตัวกระเพราไก่ ซึ่งกระเพราไก่ก็เป็นเพียงของซึ่งถูกประกอบขึ้นจากองค์ประกอบต่างๆ ของมัน สรุปก็คือ ความอร่อยและไม่อร่อยเป็นเพียงผลพลอยได้ของการปรุ่งแต่ง แบบนี้ นาย ก เห็นตามความเป็นจริงมั้ยครับ...และความอร่อยของนาย ก จะเป็นโทษต่อนาย ก มั้ยครับ รบกวนตอบข้อสงสัยให้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับผม
พ่อครูว่า...เห็น และความอร่อยก็เป็นโทษไหม คุณกวดวิชาเข้าใจชัดเจนแล้วถามซ้ำ อาตมาช่วยตัดสิน ตกลงนาย ก. รู้ว่าสองสิ่งนี้เกิดจากการปรุงแต่ง ผัดกะเพราไก่ มีกะเพราและไก่และบริวารอีกเยอะแยะ ปรุงเข้า เสร็จแล้ว มันก็เป็นกะเพราไก่ที่คุณทักมา คนกิน เข้าใจแล้วว่าเป็นกะเพราไก่ รสมันจะเป็นอย่างไร เจ๊กฝรั่งแขก ลิ้นไม่พิการก็เหมือนกันหมด ประสาทได้กลิ่น ลิ้นได้รสเหมือนกันหมด ใครแยกอร่อยไม่อร่อย เป็นอุปาทานส่วนตัว ความยึดถือว่าอร่อยหรือไม่อร่อยเป็น 2 แท้จริงคือรสกะเพราไก่อย่างเดียว คุณกินกะเพราไก่จานนี้มันก็อย่างนี้ ใครมากี่คนๆรสมันก็อย่างเดิม แต่ความเห็นนั่นแยก คุณยึดว่านี้ตรงกับสเปค อีกคนบอกว่าไม่ตรงกับสเปค คนนี้ก็เกิดความชอบคนนี้ก็เกิดความไม่ชอบ ไอ้นั่นต่างหากล่ะที่เป็นความเลอะเทอะ ยึดมั่นถือมั่นตาม specification ของคุณเอง ที่คุณยึดถือมั่นหมายว่าต้องได้แบบนี้ตามสเปคของคุณ ยึดถืออยู่ที่จิตของคุณ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ที่จิตของคุณ แล้วมันก็ตรงกับที่คุณยึดมั่นถือมั่นคุณก็ชอบ ถ้าไม่ตรงคุณก็ไม่ชอบ ความชอบหรือไม่ชอบเป็นสองที่คุณตีไม่แตกเป็นเทวะที่คุณตีไม่แตกแยกไม่ออกและคุณก็ไปยึดเอา 1 ใน 2 คุณก็ไม่เข้าใจ ว่าคุณเป็นคนไม่เข้าใจ 2 และเป็นคนไม่เข้าใจ 1
ถ้าคุณเข้าใจ 1 มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง 2 นี่คือจิตของคุณที่มีกิเลสแต่ละคน ต่างมีความยึดมั่นถือมั่นกันคนละอย่างก็เป็น 2 เป็น 4 เป็น 5 เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นแยกไปได้ ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ชอบมากไม่ชอบมาก ชอบน้อยไม่ชอบน้อย รายละเอียดต่างกันไป มีลำดับอะไรได้อีกเยอะแยะ
_ไอไลค์ คุณ...
ขอเตือนก่อน...
คลิปวิถีการดำเนินชีวิตของชาวชุมชนมีให้ดูในช่องยูทูบบุญนิยมทีวี
ลองศึกษาดู แล้วจะทราบว่าเงินทอง สิ่งก่อสร้างทั้งหลายใครอยู่เบื้องหลัง
รู้แล้วจะยิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่าทำได้อย่างไร แล้วจะยิ่งค้นหาข้อมูลไปเรื่อยๆจนถึงบางอ้อ
รู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว หลายคนถูกสมณะรูปนี้ล้างสมองไปเรียบร้อย หลายคนถึงกับทิ้งอาชีพทางโลกไปใช้ชีวิตที่ชุมชนอโศก ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ บางคนอาจเคยได้ยินแต่ชุมชนหมู่บ้านพลัม ที่เมืองนอกของหลวงพ่อติชนัทฮัน ถ้าคุณยังรักความสนุกสนานทางโลก สะสม กักตุน รื่นเริงบันเทิงใจดีอยู่ ไม่มีความทุกข์เลย ขอจงอย่าได้หลงเข้าไปเรียนรู้เป็นอันเด็ดขาด เพราะท่านจะไม่เชื่อว่าสังคมแบบพุทธยังมีอยู่จริงๆในยุคสมัยนี้ ที่คนอยู่ร่วมกัน ทำงานเข้าส่วนกลางแบบไม่ต้องถูกบังคับอย่างคอมมิวนิสต์ ถือศีล 5 ทั้งชุมชน มันคนละขั้วกับสังคมทั่วไป จนคนเข้าใจได้ยาก จึงมองว่าพวกเขาบ้า หรือสุดโต่ง แต่กลับลืมมองชีวิตโลกๆ ปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ วนสนุกสนานกับการดื่มเสพ หมุนไปวนมาของตนเอง เราโดนมาแล้ว
_กช ชกร...ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ คนศึกษาคบคุ้นจริงถึงจะทราบข้อมูลจริงและศรัทธาจริง น่าสงสารคนส่วนมาก ที่ไม่รู้จริงในสิ่งที่เห็นกลับรีบกล่าวหาว่าไม่ดี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะวิบากของแต่ละคน ต้องมีซักวัน ซักชาติที่เขาเข้าใจ เริ่มจากเราตอนแรกรู้จักแค่หมอเขียว ศึกษาไปมารู้จักอาชัยรู้จักอาจารย์ไม้ร่ม รู้จักคุณโจนจันได ว่าอยู่ในสายกลุ่มเดียวๆกัน ซึ่งทุกท่านที่รู้จักในยูทูปล้วนเจตนารมณ์เดียวกัน แค่การสื่ออาจจะคนละแบบ และวันนี้พึ่งได้รู้จักได้เห็นพ่อครู เป็นบุญยิ่งนัก สาธุๆๆ
_NNNJ family ....สันติอโศก ลัทธิพุทธสุดโต่ง ประกาศตนเป็นอรหันต์ เอาพระไตรปิฎกมาบังหน้า ขาดความเข้าใจ ผู้หญิงหัวอ่อนเข้าวัดไหนก็หลงไหลวัดนั้นแหละ ผมเข้าใจ...ทางที่ดีจงพยายามศึกษาพระธรรมวินัยด้วยตัวเอง หมั่นเพียรในการใช้ปัญญา จะดีกว่ามาศรัทธาพวกปอกลอกศาสนาอย่างนี้.... พระสงฆ์ที่เป็นศากยบุตรจริงๆของพระพุทธเจ้าต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก สั่งสอนธรรมก็ต้องสอนให้ตรงตามหลักกาาร ตรงจุด คือเรื่อง ทุกข์ในโลก จะมาสร้างอาณาจักรลัทธิเหมือนธรรมกาย แล้วบอกทำตามพระพุทธเจ้า...มันน่าสมเพช แต่ก็ยังดี ที่สันติอโศก มันก็ยอมรับว่าเป็นลัทธิใหม่แนวพุทธ นั่นหมายถึง มันไม่ได้ทำตามหลักพระธรรมวินัยทุกอย่าง ...อย่าสักแต่เชื่อ ศรัทธา มองความดีแบบโลกๆเลย ศาสนานี้พระพุทธเจ้าคือผู้นำทาง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า พวกนี้ก็ไม่มีผ้ากาสาวะหากินหลอกลวงด้วยคำว่า กูบรรลุธรรม หรอก......
พ่อครูว่า...อาตมาขอยอมรับว่าอาตมากำลังปอกลอกศาสนาเพราะศาสนานั้นถูกขี้หมาทับถมหุ้มห่อเราก็มาลอกขี้หมาออก อาตมาไม่ได้ปอกลอกอย่างที่เขาปอกลอกกัน ตอนนี้เหลือแต่ของเน่าในศาสนาพุทธ ส่วนอาตมาก็ปอกลอกอีกชนิดหนึ่ง นี่คือธรรมะ 2 อธิบายคำว่าปอกลอก 2 นัยยะ
อาตมายึดถือพระไตรปิฎกในการสอน ให้ตรงตามหลักการพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง แต่แค่สันติอโศกกับธรรมกายต่างกันคุณยังไม่มีดวงตาเลย คุณยังมีแต่ตาบอดๆ สันติอโศกกับธรรมกายต่างกันคนละฟากฟ้ากับเหวคุณยังจับมารวมกันเลย น่าสังเวชหนอ
เราไม่แย้งไม่เถียงไม่ถกละ คนนี้น่าจะยังอีกนาน NNN น่าจะอ่านว่าหนาได้ ให้เขาติดตามศึกษาไปก่อน
_พันธ์ศักดิ์ นครศรี...สวัสดีครับ ผมศึกษาในสำนักวัดสามแยก อาจารย์เกษม ดวงแพงมาต เมื่อสึกแล้วท่านได้เล่าว่า ท่านหลงวิมุตเข้าใจว่าตัวเองเป็นอรหันต์ หลงในความสว่างจ้ากว่า 20 ปี เมื่อความสว่างจ้านั้นหมดอานุภาพ จึงรู้ตัวว่า ไม่ใช่ อรหันต์ จึงประกาศลาสิกขา และท่านบอกว่า ท่านเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา และต่อเอาพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า นี่เป็นกรณีศึกษา อยากเล่าให้ฟังครับผม
พ่อครูว่า...ใช่ นี่เป็นกรณีศึกษาที่ยังไม่รู้ทาง แต่ก็ยังดี ตนเองหลงแสงสว่างจ้าก็รู้ตัว ถอนตัว แต่เข้าใจผิดไปอีกว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์แล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้าโดยที่เป็นปุถุชนธรรมดา เห็นเลยว่าน่าสงสารคนที่ยังเข้าใจผิดว่าตนเองเข้าใจว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่เข้าใจว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นตามลำดับตั้งแต่ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เข้าใจว่าจะต้องมีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์อย่างนี้ เข้าใจว่าปุถุชนบำเพ็ญไปจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเลย โดยไม่มีลำดับของโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ พระพุทธเจ้าสอนอยู่ตรงไหนนะธรรมะของท่านไม่มีลำดับ อยู่ก้นเหวแล้วบรรลุสู่ยอดฟ้าเลยเป็นไปได้อย่างไร ให้ศึกษาดีๆ
_นายคิด กะจิ๊ดรวย....จำสมัยเรียนพระพุทธศาสนาได้มั้ย มีบทหนึ่งท่านกล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงไปห้าม(ปรางห้ามญาติ)ศึกระหว่างเครือญาติของพระองค์ สมณะโพธิลักษณ์เลยถือเอาบทนั้นว่า"พระพุทธเจ้าทรงเล่นการเมือง" เลยเดินตาม โดยที่ไม่ศึกษาให้ละเอียดก่อนว่าเหตุที่พระองค์ทำอย่างนั้นเพราะเหตุไร คิดเพียงแต่ว่า"การเมือง
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้ถือคนเดียวคนอื่นถือมาก่อน อาตมาก็ขออธิบายนิดนึงว่า อาตมา เข้าใจว่าการเมืองคือการเมือง การเมืองไม่ใช่การป่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพัฒนาคนเมือง ไม่ใช่ศาสนาป่าไปพัฒนาคนในป่า การปฏิบัติก็ปฏิบัติกับสังคมมนุษย์ แล้วก็ลืมตา สังคมมนุษย์สามัญไม่หนีจากมนุษย์ไม่เข้าไปในป่า ที่มีมนุษย์อยู่น้อย แล้วปฏิบัติลืมตาเกิดศีลสมาธิ ปัญญา วิมุติ ไม่ใช่หลับตาแล้วเกิดศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ โดยวิธีหลับตานั้นไม่ใช่ แต่ด้วยวิธีลืมตามีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ มีแสงสว่างจากพระอาทิตย์สะท้อนถึงเราเรียกว่าโลกที่มีแสงอาทิตย์ อาโลกะ เป็นความตรัสรู้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านตรัสว่าตถาคตปฏิบัติโดยมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชา อาโลกะ ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดีในรายละเอียดจะได้ไม่ตกหล่น
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์....เเล้วทำไมไปชุมนุมกับม็อบทุกครั้ง วิ่งหนี้เเก๊สน้ำตาละ นี้ขนาดคือโพธิสัตว์นะเนี้ย
พ่อครูว่า...คุณไปทำความเข้าใจว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ไม่มีความรู้สึก โดนแก๊สน้ำตาแล้วเฉยๆคนก็ต้องไปศึกษาให้ดีก่อน โพธิสัตว์ก็มีความรู้สึกเพราะไม่ใช่พีชนิยาม อุตุนิยาม แล้วไม่ใช่คนสะกดจิตคนเก่งจนไม่รู้สึกอะไร อย่างพระเวียดนามที่นั่งให้คนเผานิ่งเลย อย่างนั้นก็เก่ง เราไม่เอาแบบนั้นเพราะเป็นเพียงพรหมลูกฟัก กลิ้งไปอย่างไรก็ได้ อย่างนี้พาซื่อไม่เอาศาสนาพุทธไม่ใช่อย่างนี้
_ชอง ไคยุน... คุณสุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ เอาที่ไหนมาบอกว่าถ้าเป็นโพธิสัตว์แล้วจะต้องไม่กลัวแก๊สน้ำตา... อย่าบอกนะว่าฟังเขามาว่าโพธิสัตว์ต้องหายตัวได้ เหาะได้ ดำดินได้ แบบที่ในพระอภิธรรมเปรียบเทียบเป็นบุคลาธิษฐาน ถ้าอ่านพระอภิธรรมแล้วเชื่อว่ายักษ์ มาร เทวดา สัตว์นรก เปรต มีจริง ก็คงไม่ต้องอธิบายแล้ว แต่ถ้าเข้าใจว่า เปรต สัตว์นรก เทวดา สิ่งเหล่านี้คือการเปรียบเทียบระดับชั้นความละเอียดของจิตใจ ถ้าอย่างนั้นพอจะคุยกันได้ เคยเห็นไหมคนที่มีจิตใจเป็นสัตว์นรก ก็ข่าวเร็วๆนี้ไงที่ยิงเมีย+ครอบครัวตาย 5 ศพ ฯลฯ คนที่มีใจเป็นเปรตก็มีเยอะแยะ พวกนี้เขาเรียกบุคลาธิษฐาน ถ้าอ่านพระไตรปิฎกฉบับพระอภิธรรมต้องตีให้แตก หรือเอาง่ายๆไปหาดูคลิปการ์ตูนเรื่องพระยามิลินจะพอเข้าใจธรรมะของพุทธแท้ๆ (ไม่ใช่พวกพระเกจิ สักยันต์ ทำน้ำมนต์ ฟันแทงไม่เข้า หนังเหนียวปืนยิงไม่ออก)
พ่อครูว่า...พูดไปจะไปกระทบพระเกจิที่เขากำลังจะเผาสรีระ ที่ไปทำเดรัจฉานวิชา แต่ก็ได้เงินมาบริจาคก็ดีอย่างนึง แต่ทำให้คนหลงเดรัจฉานวิชาคนนี้บาปซ้ำซ้อน อาตมาไม่ได้ว่าหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อทำ บาปย่อมตกอยู่กับหลวงพ่อ อาตมาอธิบายสัจธรรม โดยหลวงพ่อไม่เจตนาก็เป็นกรรมเป็นวิบาก ต้องศึกษาความรู้ในอีกเยอะชาตินี้ทำให้คนงมงายอีกเป็นล้าน โพธิรักษ์เทศน์ไปจะตาย คนก็ยังไม่เชื่อถือเท่าไหร่แต่คนนั้นพูดคนงมงายเยอะ พูดไปเดี๋ยวคนพวกนั้นก็จะไปเพ่งโทษอาตมา อาตมาไม่ค่อยไว้ใจเพราะเขาจิตใจไม่ค่อยสงบยึดติดแรง พูดมากๆเดี๋ยวต้องไปมีชีวิตใหม่ ชีวิตนี้อาตมายังแข็งแรงอยู่ อย่าเพิ่งเอาชีวิตอาตมาเลยนะ
_กระบี่ไร้ตา เมื่อคนไร้หัวใจ....
ใครเชื่อสันติอโศก เชื่อธรรมกาย พากันหลงทางละครับ สันติอโศกตั้งตนเป็นนักบวชตั้งตนเป็นพระเป็นสมณะขึ้นเองด้วยอัตตาและทิฏฐิมานะเต็มหัวใจ จริงไม่จริงลองตรองดูเถอะ
พ่อครูว่า...อาตมาแต่ก่อนเป็นพระ แต่เขาไม่ให้ใช้แล้ว ตกลงกันไปมาว่าจะให้ใช้คำไหนก็มีคุณจรวย เปรียญ9 ก็หามาให้ใช้คำว่า สมณพราหมณ์ พูดโทรศัพท์มากับอาตมาก็ได้คำนี้มา พระไม่ให้ใช้ก็ได้คำว่าสมณะก็ไม่ได้ตั้งเอง
คำว่า อัตตา คุณเข้าใจแค่ไหน แล้วทิฏฐิมานะ คุณไปศึกษาคำว่าอัตตาและทิฏฐิมานะให้ดีเถอะ
สิกขมาตุรินฟ้า สรุป
สมณะฟ้าไท
สมณะแสนดิน
พ่อครูว่า...คนที่พูดมา ที่ชื่อ chon Khyun คนออกความเห็นว่า น่าจะอ่านว่า จนขึ้น
เข้าท่านะ คือเขาพัฒนาการตนเองให้จนขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงมันน่าจนลง รวยลง ไม่ค่อยเข้าท่า ต้องรวยขึ้น แต่จนน่าจะจนลง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิกับจักร 4 ปัญญาวุฑฒิ 4
_มีด.ญ.น้ำมนต์...ที่เป็นนักถามมือเอก..เขาชื่อใสกลางเพ็ญ โพธิ์ใบ ถามมาว่า สมาธิหลับตากับสมาธิลืมตาต่างกันอย่างไรคะหลวงปู่
พ่อครูว่า...เด็ก 6 ขวบของชาวอโศกถามกันอย่างนี้แล้วเด็ก 6 ขวบข้างนอกจะถามกันไหม ขยันถามจริงๆเด็กหญิงน้ำมนต์ เอ้าฟังนะด.ญ.น้ำมนต์
สมาธิหลับตาหมายความว่าเขาจะปฏิบัติให้จิตใจเขาเกิดสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น ในในการนั่งหลับตาแล้วก็สะกดจิตเข้าไป แล้วก็เกิดผล จิตเขาก็จะจดจ่อแข็งแรงชำนาญตั้งมั่นได้นานๆๆ จนข้ามชาติ ชาติหน้าก็ยังชำนาญติดอยู่ที่ตัวเองว่าเข้าใจธรรมะพุทธเจ้าแต่ล้างไม่ออกง่ายๆก็มีอีกเยอะ ในพวกเราก็ยังมี นี่คือสมาธิหลับตานั่งสะกดจิตหลับตาแล้วตกภพ ให้จิตเป็นหนึ่งไป แล้วก็เข้าใจผิดอีกว่า เมื่อหลับตาจิตเป็นหนึ่งแข็งแรงเรียกว่าสมาธิได้ที่แล้ว จะเกิดปัญญา โพล่งขึ้นมาเอง ตัวนั้นโดยพยัญชนะก็ไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นสัญญา
เขาแยกความเป็นสัญญากับปัญญา แยกกันไม่ได้ ปัญญาไม่มีในภวังค์ ปัญญาจะเกิดได้ต้องเป็นปัญญาที่มีจักษุปัญญา ญาณวิชชาแสงสว่าง (อาโลกะ) วิธีปฏิบัติต้องมีมรรคมีองค์ 8 มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีมรรคมีองค์ 8 แล้วมีสัมมาทิฏฐิโดยเฉพาะสัมมาทิฏฐิ 10 จะต้องปฏิบัติครบองค์ธรรมสามเส้านี้ จะเกิดได้เป็นปัญญาต้องมีมิตรดีสหายดีแนะนำโดยจะเกิด อัญญธาตุ โดยมีการสืบทอดจากผู้รู้ แต่ถ้าจะเกิดเองเป็นเองแล้วนี่ยากมาก มากจนกระทั่งเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะต้องไปคิดว่าจะต้องเกิดอัญญาเองหรืออัญญธาตุให้แก่ตนเองได้ ควรจะต้องฟังจากสัตบุรุษ ถ้าไม่ฟังจากสัตบุรุษรับรองว่าไม่ได้เกิดง่ายๆ
มีสูตรอยู่ 2 สูตรที่พอขยายความได้คือ จักร 4 กับ ปัญญาวุฒิ 4 มีสองอันนี้
จักร 4 นั้นคือ
1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .
2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .
3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม) จะสามารถจัดการกับอัตตาของตนเองได้
4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย) (พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 31)
ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้ก็จะเกิดจักรที่หมุน แล้วก็กำจัดกิเลสฆ่ากิเลสได้ลดกิเลสได้ด้วยปุญญะ เกิดสั่งสมเป็นของเก่า ปุพเพ จักร 4 จะเกิดจากต้นทุนของเราที่มีอยู่บ้างเมื่อมาพบกับสัตบุรุษที่มีภูมิ ในถิ่นที่เหมาะควรนั้นมีสัตบุรุษและได้ศึกษาได้ฟังสัตบุรุษ คุณก็จะจัดการกับอัตตาของคุณได้ดีทำได้ถูกต้อง ลดละกิเลส แม้ที่สุดตนเองหมดกิเลสก็อาศัยอัตตาได้ดี
ส่วน ปัญญาวุฑฒิ 4 (ความเจริญด้วยปัญญา)
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม) เมื่อฟังสัตบุรุษแล้วคุณจะสามารถโยนิโสมนสิการ เป็นสุริยเปยยาลข้อที่ 7 จะสามารถทำใจในใจเป็น ได้ถ่องแท้ถูกต้องแก้ไขถึงเหตุ สัมภวะ ต้นเหตุกิเลสแล้วจัดการกิเลสถูกตัวมัน จึงเป็นผู้ที่จัดการใจในใจของตนทำใจในใจของตน อย่างถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิดได้
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) คุณก็จะเจริญด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นลำดับ อย่างลาดลุ่มน่าอัศจรรย์
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
การต่างกันของผู้ที่สามารถเกิดการเจริญต้องมีสัตบุรุษต้องมีปัญญา อย่างอาตมาเป็นสัตบุรุษพูดไปอย่างชัดเจนบอกว่ายังไม่ได้อวดตัวตนพูดไปด้วยความจริง อาตมาก็บอกให้มาลืมตาปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญา เพราะว่าปัญญาจะเกิดไม่ได้ในการหลับตาไม่มีจักษุ ไม่มีปัญญา ไม่มีญาณ ไม่มีวิชชา ไม่มีแสงสว่างอาโลก ลืมตามีแสงพระอาทิตย์ให้เห็นเกิดการผัสสะเกิดปัญญาอย่างแท้จริง ถ้าคุณไม่เข้าใจองค์ 5 แห่งปัญญาและมีครบ คุณจะต้องเปิดไม่ใช่ตาบอดต้องมีจักษุ คุณจะมีปัญญา แล้วจะเป็น ญาณ แล้วมีวิชชา คุณต้องลืมตาอยู่ในโลกที่มีแสงสว่าง อาโลก มีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่อย่างนี้ไม่ใช่หลับตา
คุณหลับตาก็ไปมืดอยู่ในภวังค์ มันย้อนแย้งจากคำสอนพระพุทธเจ้าหมดเลย อาตมาถึงบอกว่าใครไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมออกนอกเขตศาสนาพุทธตลอดกาล มันไม่มีในนัยยะของศาสนาพุทธเลย อาตมาพูดอย่างแรงพูดอย่างตัดขาด แต่ในยุคพระพุทธเจ้าต้องเห็นใจถ้าไปพูดแบบตัดขาดคนจะไม่ไปศึกษาของท่านเลย เพราะคนติดยึดเข้าป่าหมด ขนาดเป็นพระพุทธเจ้านะ ถ้าเป็นโพธิรักษ์คนก็เลิกหมด อาตมาไปแก้ไขเขาไม่ได้หรอกในยุคนั้น แต่ในยุคนี้คนมีความเป็นพุทธมีรากเหง้าเป็นพันปี ก็ยังเข็นไม่ค่อยไปเหมือนกับเข็นครกขึ้นเขา หรือเข็นเขาขึ้นครกด้วย
ถ้าเข็นครกขึ้นเขาก็ยังกระดิก แต่ยังถ้าเข็นเขาขึ้นครกยากแสนยากเลยก็ต้องทำ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจจะที่อาตมาขยายความไปเรื่อยๆฟังดีๆแล้วจะได้ปัญญาได้ความฉลาดในโลกุตระ
คำว่าปัญญานี้ก็เพี้ยนไปจนอาตมามารื้อฟื้น พยัญชนะตั้งแต่ อัญญะ อัญญา ปัญญะ ปัญญา
ดญ.น้ำมนต์ สมาธิลืมตาก็ทำอย่างที่หลวงปู่พาทำนี่แหละ
_อยากจะอ่านอันนี้ สีสันชีวิตที่เขามาสัมภาษณ์
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน สีสันชีวิต การเมืองเรื่องของธรรมะ
คุณใหม่เสมอ: การเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ หลายพรรคเริ่มเปิดแนวคิด อุดมการณ์ นโยบายของแต่ละพรรคออกมาแล้ว เพื่อเสนอว่าสิ่งที่พรรคจะทำเพื่อประชาชนมีอะไรบ้าง และการโยกย้ายไปอยู่พรรคต่างๆของอดีตสส. อีกทั้งมีพรรคใหม่เกิดขึ้นมากมาย พ่อครูมีความเห็นอย่างไร
พ่อครู: เหตุการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการแย่งชิงชัยชนะ ตามความคิดที่แต่ละคนยึดถือ ซึ่งจะเอาชนะได้นั้นเขาจะต้องมีอำนาจในการบริหารพรรคของตนเอง โดยใช้พลังยึดอำนาจมา ไม่ว่าจะเป็นจากคนจากสิ่งแวดล้อมหรือเหตุปัจจัยใดๆที่จะช่วยสนับสนุนให้มีอำนาจ เขาเอาทั้งนั้น แม้โกงอำนาจซื้ออำนาจ
พูดชัดๆก็คือ เขารู้ไม่ได้ว่านักการเมือง ไม่ใช่นักแย่งอำนาจ แต่คือ ผู้อภิบาลประชาชน ทำงานช่วยประชาชน มากกว่าบริหาร เพราะคำว่า“บริหาร”ไม่ชัดเจน เท่ากับคำว่า“อภิบาล” ซึ่งชัดเจนกว่าในนัยของการปกครองที่ชื่อว่าประชาธิปไตย ทำงานช่วยเหลืออุ้มชูประชาชน ให้เป็นสุขอยู่ดีกินดี มากกว่าการบริหารที่หมายถึงการจัดการและการควบคุม
นักการเมือง จึงคือนักอภิบาล ไม่ใช่นักแย่งอำนาจ เมื่อเข้าใจสัจจะนี้ผิดทั้งในภาษาทั้งในพฤติกรรมจริง เขาก็ต้องทำผิด แทนที่จะไปอภิบาลเขากลับไปล่าอำนาจให้ตัวเอง ไปแก่ง แย่ง เขาก็ฆ่าตัวเองนั่นแหละ นักการเมืองพวกนี้ฉลาดน้อย หรือแปลตรงๆก็โง่มาก แต่ถ้าเขาเข้าใจ เขาทำจริง เขา“ขยันรับใช้ประชาชน” และ“มีแต่ให้-ไม่มีอคติ” นี่เป็นหลักการใหญ่ แต่ถ้าไม่ได้ทำงานจริง ทำเล่นๆก็ดราม่ากันเท่านั้น คนจริงต้องทำงานจริง ยกตัวอย่างที่ซ้อนพฤติกรรมจริง อาตมากล้าพูดได้ว่า อย่างนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทำงานอยู่ขณะนี้เป็นการบริหารอย่างอภิบาล ไม่ได้สร้างอำนาจ ใครจะเข้าใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของแต่ละคนนะ แต่อาตมาเห็นว่าพลเอกประยุทธ์คือ นักการเมืองที่ประพฤติการเมืองได้ถูกต้อง
แต่การที่คนยุคนี้สับสนระหว่าง“พยัญชนะ”กับ“พฤติกรรมจริง” เพราะถูกกิเลสพาไปทำสิ่งที่ผิดแล้วเห็นว่าถูกก็เลยพากันพัง ไม่เกิดผลดีต่อชาติและประชาชน เพราะฉะนั้นตอนนี้จะเรียกว่าการเมือง หรือหน้าที่ของประชาชนหรือผู้มีตำแหน่งที่ต้องประพฤติกันอยู่ในสังคมประเทศ แม้แต่สังคมของบ้านช่องเรือนชานก็ตาม ก็คือทุกคนมีสามัญสำนึก และพยายามกระทำตาม
“หน้าที่”เป็นสามัญธรรมดาอยู่แล้ว
เช่นบ้านนี้ คนเป็นพ่อเป็นแม่เราก็ไม่ต้องไปแต่งตั้ง เพราะเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว หน้าที่ของพ่อแม่ลูก หน้าที่ของคนใช้ หน้าที่คนทำงานด้านต่างๆก็ไม่ต้องแต่งตั้ง คนที่รู้สัจจะโดยภูมิปัญญาลึกๆเขาก็ประพฤติจริงตามที่เขารู้ การแสดงออกของแต่ละคนจึงคือความจริงของแต่ละคนทั้งนั้น เท่าที่อาตมาดูการเมืองไทยขณะนี้แล้วรู้สึกดี นายกประยุทธ์ ถ้าเปรียบเทียบนายกฯที่เรามีมา 29 คน อาตมาว่านายกฯประยุทธ์บริหารแบบอภิบาล “ขยันรับใช้-มีแต่ให้-ไม่มีอคติ” คนที่ประพฤติอย่างนี้ เข้าตาอาตมา ใช้ได้ทีเดียว นายกฯคนอื่นๆที่ผ่านมาไม่ได้ขยันขนาดนี้ หรือขยันแต่ไมได้รับใช้จริง มาเป็น“นาย-ยก”เกินไป ไม่เป็น“นาย-ก.”ที่เหมือน“นาย-ข.นาย-ค.”ทั้งหลาย มันต่างกันมาก ลีลาต่างกัน สังเกตดูก็ได้ นายกฯที่ผ่านมาแต่ละคน ใครที่สนุกสนานกับประชาชนมากที่สุด มีอารมณ์ร่วม เป็นกันเอง ไม่ถือตัว นายกฯ ประยุทธ์ ขยันรับใช้จริงๆไม่เบ่งไม่ถือตัวมีแต่ทำงานร่วมประสานกันสนิทเนียน
นายกฯประยุทธ์มีแต่ให้ จนถูกตู่ว่า ใช้ประชานิยมหาเสียงเหมือนทักษิณ เอาใจประชาชนสารพัด คือเขาต้องบริหาร ก็ต้องกระจายทรัพยากร แบ่งเฉลี่ยให้ผู้ที่ยังขาดแคลน เขาทำถูกอยู่แล้ว เขาไม่ลำเอียง“ไม่อคติ-มีแต่ให้”และให้ได้ถูกต้อง คือ ให้ชนิดที่มุ่งให้เกิดคุณค่าประโยชน์ในการให้นั้น ให้อย่างไม่มีองศา ให้เป็นเส้นตรง จะเห็นว่า นายกฯประยุทธ์ ไม่มีใครครหานินทาว่านายกฯมาทำงานเพื่อเอา หรือมีร่องมีรอยว่าแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ให้ตนเอง ให้พวกพ้อง ก็ยังไม่เห็น แต่แน่นอนทำงานอย่างมีคณะที่ต้อง“ร่วมมือกัน”ให้เป็น“พลังรวม”ที่มีประสิทธิภาพ อันนี้ลึกล้ำมากที่ต้องมีวิจารณาญาณกันจริงๆ
ตอนนี้ พลเอกประยุทธ์ไม่บอกว่าตนเองเข้าพรรคไหน พรรคไหนที่จะให้นายกประยุทธ์อยู่ก็ต้องทำให้พลเอกประยุทธ์ชอบ พลเอกประยุทธ์ก็ต้องใช้วิจารณญาณเอง ขอยืนยันว่าพรรคต่างๆต้องทำให้ตนเองดีมีความขยันรับใช้มีแต่ให้ไม่มีอคติคุณก็จะได้พลเอกประยุทธ์ไป ถ้าอยากเป็นนักคิดอย่างนี้ไม่ได้อันนี้ถูก ถ้าพลเอกประยุทธ์อยากจะเป็นนายกฯคิดอย่างนี้ไม่ออกหรอก จะได้รีบเข้าพรรคที่คะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดเลย ง่ายๆอย่างนี้ ใครก็คิดออก แต่นายกประยุทธ์มีความคิดลึกซึ้งกว่านั้น
อาตมามองว่า นายกฯตู่มีการระมัดระวังรักษาตนเองสูงเหมือนกัน เขาเป็นทหารที่ไม่อยากด่างพร้อย อยากให้คนไม่เสีย“ความนับถือ”เป๊ะๆตามที่เขายึดถือฝึกฝนมา นัยยะนี้มันซ้อนลึกมาก ทำให้เขาระมัดระวังอยู่พอตัวซึ่งทำได้ดีมาก เทียบกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ใครจะห้ามจะว่าจะด่าก็ไม่ฟังเสียงใคร ส่วนนายกฯประยุทธ์นิดหน่อยก็ไม่ให้ผิด ไม่ให้ถูกมองว่าเขาบกพร่องอะไร ซึ่งตรงข้ามกัน เขารับฟังเสียงประชาชนอย่างสำคัญทีเดียว
สรุปแล้วอาตมาว่า ประเทศไทยขณะนี้กำลังไปดี อย่าไปฟังเสียงโหวกเหวกว่า นายกฯตู่ เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มีเฟคนิวส์ทุกวัน โซเชี่ยลมีเดี่ยโจมตีทุกวัน มันก็เป็นวิธีการของพวกที่ต้องการดิสเครดิตนายกฯตู่ พวกที่อยากสร้างอำนาจให้ตน คนไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยยังมาก รู้แต่“ประชาธิปไตยโลกีย์” ยังไม่รู้จัก“ประธิปไตยโลกุตระ” ยังไม่พ้นอัตตา คนอวิชชายังมีมาก กูถือฝ่าย กูก็ยึดฝ่าย คนฉลาดโลกีย์ก็หลอกได้เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสามัญทั่วโลก
ซึ่งทุกวันนี้คนไทยผ่านการสัมผัสประชาธิปไตยโลกุตระที่พระเจ้า อยู่หัวร. 9 ทรงสร้างนำทางมาถึง 70 ปี ได้รับเนื้อหาโลกุตระมากันถึง 70 ปี ซึ่งเป็นเรื่อง“ทวนกระแสโลกีย์” เช่นท่านทรงประกาศให้ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ให้บริหารประเทศแบบคนจน โดยใช้พยัญชนะว่า“เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งล้วนเป็นภาษาโลกุตระของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น คนไทยส่วนใหญ่ได้รับเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมจากการทรงงานหนักของพระองค์มาตลอด 70 ปี จึงปรากฏผล“ความรัก”ของประชาชนคนไทยที่รัก“โลกุตรธรรม”ของพระองค์แล้วเกิด“ระเบิดรัก”ออกมาเมื่อพระองค์สวรรคต เป็นปรากฏการณ์ที่ยืนยันความจริงที่ไม่มีใครอาจหาญแสร้งสร้างขึ้นมาได้ มันเป็น“ความจริงอันยิ่งใหญ่”ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ยุคนี้ ประกาศ“พฤติกรรมวิเศษ”ที่รัก“ประ ชาธิปไตยโลกุตระ”นี้ขึ้นให้แก่โลกได้เห็นเป็นขวัญตาขวัญใจ ตามเป็นจริงที่ผ่านมาพ.ศ. 2559 นั้น
คุณใหม่เสมอ: พรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคใหญ่ในขณะนี้ก็มีนโยบายสนับสนุน นายกฯตู่ เป็น นายกรัฐมนตรี
พ่อครู: สำหรับพรรคพลังประชารัฐ แต่แรกที่สร้างพรรคนี้ขึ้นมามีคนเข้าใจเอาเองว่าก็เพื่อเป็นฐานของ พลเอกประยุทธ์ ส่วนความจริงนายกฯตู่ จะได้ตกปากรับคำจากพรรคนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้จริงกันหรอก แต่นายกฯตู่ ก็ยังระวังตัวอยู่ คือไม่รับและไม่ปฏิเสธ จะเห็นได้ว่า นายกฯตู่ไม่ได้ผลีผลามอะไร เพราะฉะนั้น พรรคพลังประชารัฐ อาจจะเป็นมิตรดีสหายดีของนายกฯตู่ก็ได้ เราก็ยังไม่รู้ เพราะจริงๆนั้นกฎหมายยังลึกซึ้งในเรื่องนี้อยู่นะ
คุณใหม่เสมอ: พรรคนี้ในอนาคต อาจจะเป็นพรรคใหญ่เป็นฐานเสียงให้ พลเอกประยุทธ์
พ่อครู: ถ้าเป็นอาตมาเองนะ อาตมาไม่เข้าพรรคพลังประชารัฐ และไม่เข้าพรรคไหน เพราะรัฐธรรมนูญมีไว้แล้ว ให้มีนายกฯจากคนนอกพรรคการเมืองได้ คนไทยทุกวันนี้ก็มีภูมิโลกุตระพอประมาณแล้ว เมื่อเห็นว่าทางเลือกที่ดี น่าจะไม่ต้องไปเข้าพรรคไหน เราทำงานให้เป็น“ประชาธิปไตยโลกุตระ”ไปให้เต็มภูมิที่จริงที่สุดให้ได้เท่านั้น เราจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราได้เป็นนายกฯอีก ก็แสดงว่าเราเป็นนายกฯตัวจริง ถ้าเขาเลือกตั้งกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็มาโหวตกัน ให้นายกฯตู่ เป็น นายกรัฐมนตรี ก็แสดงว่า นายกฯตู่เป็นนายกฯจริง ก็จะทำงานสะดวกมากเลย มันได้อีก 2 ชั้นเลย
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ ยิ่งเลือกตั้งแล้ว แต่ละพรรค เห็นว่าใครก็ไม่เหมาะสม ตกลงต้องคานอำนาจกันเอง แล้วก็มีคนเสนอ นายกฯตู่เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าแบบนี้ก็ยิ่งลอยลำ จะเป็นกี่ปีล่ะ แต่เส้นทางนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่เราคิด อาตมาว่าลึกๆแล้ว นายกฯตู่เป็นคนมองอะไรได้ลึก ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้จะดีกว่าไหม ตอนนี้มันยังไม่ชัดเจน ยังมีคนหาว่านายกฯตู่ยึดอำนาจมาก็ยังมีอยู่มากเลย ทั้งๆที่เมืองไทยมีประชาธิปไตยเจริญยอดเยี่ยมถึงขั้น“ประชาชนปฏิวัติหรือประชาชนทำรัฐประหาร”ได้สวยงามเหลือเกิน เรียบร้อย สงบ ไม่มีอาวุธ ปฏิวัติด้วยการเอา“ความจริง”เป็นอาวุธปราบ เอา“มวลประชาชน”จริงๆเป็นกำลัง จึงราบรื่นที่สุดในโลกจริงกันแท้ๆ เกิดจริงเป็นจริงแล้ว นักรัฐศาสตร์เรียนมาหัวผุหัวพังยังมอง“ความจริง”ของประชาธิปไตยบริบทนี้ไม่ออกกันเลย
แม้เห็นว่านายกฯตู่ทำงานมา 4 ปี ก็ยังตะโกนโหวกเหวกๆว่าเป็นเผด็จการ อย่างนี้ก็เห็นกันอยู่ ใช่มั้ย? จริงๆแล้วนายกฯตู่ทำงานมา 4 ปี นี่ก็ครบเทอมแล้ว ความเป็น“ประชาธิปไตย”ก็แสดงชัดยิ่งขึ้นๆ และในสังคมโลกประเทศต่างๆก็มีท่าทีดีมาก แสดงว่า“เข้าใจเนื้อแท้ของประชาธิปไตย”ได้ลึกซึ้งขึ้นๆแล้ว จึงยอมรับนายกฯตู่ ดังที่เห็นและเป็นอยู่ คนไทยส่วนใหญ่ก็แสดง ออกพอเห็นกันอยู่ว่ายังยอมรับนายกฯตู่ ในเมืองไทยทุกอย่างก็เจริญจริงอย่างเห็นๆ โดยเฉพาะใช้หนี้ที่คนในรัฐบาลก่อนๆ“ขี้กองโตไว้ ”ให้ต้องเช็ดล้าง ก็ทำได้ดีกันขนาดนี้แล้ว นั่นแสดงว่ามีฝีมืออยู่จริง ผู้มีปัญญาโลกุตระจะมองออก นายกฯคนนี้มีฝีมือขนาดนี้ เทียบกับ 28 รัฐบาลมาก็ไตร่ตรองหาความจริงกันให้ลึกรอบ หาได้ง่ายนักหรือนายกฯที่มีฝีมือขนาดนี้ “กี่รัฐบาล”มาแล้ว กี่นายกฯมาแล้ว 80กว่าปีแล้วนะที่มีประสบการณ์กันมา ถ้ายังไม่มีใครที่แสดงตัวออกมาให้เห็นชัดๆว่า“เหนือกว่านายกฯตู่” ก็ไม่น่าเสี่ยงน่า!!! จะเอาประเทศไทยเป็นหนูลองยาตัวแล้วตัวเล่ากันจนไม่มีปัญญาได้“ยา”มาใช้กันบ้างเลยหรือ?
อาตมาว่าคนไทยทุกวันนี้มีคน“โลกุตรธรรม”กันจริงๆแล้วนะ และไทยนี่แหละจะเป็นประเทศ“โลกุตระ”พาโลกไปสู่สุขสงบเป็น“คนจน”ที่ไม่มีหนี้ คนจนมหัศจรรย์ที่พออยู่พอกินอุดมสมบูรณ์มีเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้ เป็นอยู่สำราญเบิกบานใจกันจริงๆ
คุณใหม่เสมอ: พรรคเพื่อไทย ถามว่าจะเลือกใคร ระหว่างคนที่ให้สิทธิ์ให้เสียงแก่ประชาชนในการที่จะหย่อนบัตรเลือกตั้ง อยากได้คนไหนเป็นนายกฯก็ผ่านทางสส.ในพรรคที่ท่านชอบ นี่คือ ประชาธิปไตยที่นานาชาติยอมรับ เพราะเป็นการบริหารประเทศผ่านตัวแทนของประชาชน หรือถ้ายังอยากอยู่ภายใต้เผด็จการภายใต้การนำของทหารที่ใช้อำนาจ ม.44 กดขี่ประชาชนและนานาอารยประเทศก็ไม่ยอมรับ ประชาชนจะเลือกใครระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการทหาร
พ่อครู: อาตมาเลือกเอาอย่างพลเอกประยุทธ์ 100% และอาตมาว่า เลือกได้ดี ถูกต้อง พลเอกประยุทธ์ข บริหารได้ดีกว่าพรรคที่ได้รับเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วย อาตมาเห็นว่าประชาธิปไตยที่มีอยู่ในโลก ที่เอาการเลือกตั้งเป็นเรื่องหลัก ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีองค์ประกอบของข้อมูลหลักการอะไรๆที่จะเป็นประชาธิปไตยที่เป็น“ธรรมาธิปไตย”มาจากจิตใจของประชาชนเลยนั้น เป็นแค่วิธีการระเบียบแบบแผนที่พยายามให้ง่ายที่สุดเร็วที่สุดเท่านั้น มันผิวเผิน ตื้น ง่าย ไม่ลึกล้ำอะไรเลย วิธีการที่มีการเลือกตั้งโดยหาคนขึ้นมาบริหารแบบนี้นั้นมันเป็นวิธีสุดท้าย แต่เนื้อแท้ที่สำคัญกว่าคือ จิตใจของประชาชนสมาชิกของประเทศ เขายินดียอมรับจากการประพฤติการกระทำ ถ้าใครยังไม่ได้ประพฤติ ไม่ได้กระทำเราก็ไม่รู้ แต่อย่าง พลเอกประยุทธ์ท่านได้ทำแล้ว ประพฤติมาสี่ปี เทอมหนึ่งแล้ว เป็นเวลาไม่น้อย ท่านก็ได้แสดงออกแล้ว ผู้มี“ปัญญา”จริง โดยเฉพาะ“มีภูมิโลกุตระ”จะประจักษ์ชัด เห็นแจ้งได้ ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์กันไป
อาตมาก็จะดูว่า ประชาชนไทยจะมีปัญญารู้จักความเป็นประชาธิปไตยได้ดีอย่างที่อาตมาคาดไหม เพราะ ประชาธิปไตยของทั่วโลกกับประชาธิปไตย อย่างที่อาตมาว่านั้นมันต่างกันหลายอย่าง เพราะความเข้าใจของอาตมาเกี่ยวกับประชา ธิปไตยนั้น ไม่เป็นอย่างที่นักรัฐศาสตร์ทั่วไปเข้าใจ เช่น อาตมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยสุดยอด ประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร อาตมาก็ได้แต่สรุปภาษาว่า ประชาธิปไตยนั้นนายกต้องเป็นผู้ขยันรับใช้-มีแต่ให้-ไม่อคติ คือไม่เห็นแก่ตัว-ไม่เห็นแก่พรรคพวก-สร้างความอิสระให้แก่มนุษยชาติ-มีปัญญาขั้นโลกุตระจริง
ที่จริงก็มีอีกหลายหลักการ และสอง-สามหลักการนี้ก็ชี้สถานะของความจริงสามเส้าได้ชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่“ขยันรับใช้-มีแต่ให้-ไม่มีอคติ” หรือว่า การบริหารต้อง“มีอิสระ-ไม่มีอัตตาตัวตน และต้องมีภูมิปัญญาในการบริหารอย่างเพียงพอ” นี่คืออีกสามลักษณะที่อาตมาบัญญัติ คือเน้นสถานะของความจริงที่จะเป็นประชาธิปไตย โดยมีพฤติกรรม มีจิตวิญญาณ มีปัญญาว่าต้องเป็นอย่างนี้มันถึงจะเป็นคนอย่างนี้จริง จึงจะเกิดพลังสร้างสรรจริง และจะบริหารได้ดีจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้ เมื่อรวมหลักการสามเส้าทั้ง 2 อย่างนี้ก็รวมเป็น 6 คืออาตมาได้สรุปลักษณะแท้ของ ประชาธิปไตยคืออะไร กับพฤติกรรมจริงของคนที่สอดคล้องลงกันกับที่อาตมาเข้าใจ สรุปผลได้ว่า พลเอกประยุทธ์ทำได้เข้าหลักเกณฑ์ เป็นนักประชาธิปไตยทั้ง 6 หลักการที่อาตมาว่ามาอย่างเป็นที่น่าพอใจ
การหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็กมาก เป็นประชาธิปไตยขั้นเด็กๆ เราต้องดูที่เนื้อใน ดูที่พฤติกรรมจริงของผู้ทำงานจริง ถ้ายังไม่ประพฤติ เราก็ไม่รู้ได้ว่าเขาเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน ทำจริงแค่ไหน เมื่อเราเห็นเนื้อแท้พฤติกรรมของเขา ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง ผู้ที่มีหลักเกณฑ์หลักการของประชาธิปไตยก็จะรู้ได้ อย่างเดียวกันกับอาตมาที่รู้หลักการประชาธิปไตยที่มีหลักสามเส้า สองหมวด นี้เป็นต้น แล้วยังมีหมวดอื่นๆอีกนะ
คุณใหม่เสมอ: มีข้อมูลจากแหล่งข่าวทั้งที่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือว่า นายกฯตู่ ไม่มีความสามารถ บริหารเศรษฐกิจไม่ดี ปกครองแบบทหาร เป็นต้น
พ่อครู: ที่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนทั้งโลกเข้าใจว่าเศรษฐกิจดี คือเราได้เปรียบคนโดยกอบโกยเอาทรัพย์สินให้ตัวเองมากๆ ได้เปรียบคนโดยได้กอบโกยดูดเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของเราได้มากแล้วถือว่าตน ครอบครัวและประเทศมีเศรษฐกิจดี คนที่มีความคิดเช่นนี้เป็นความคิดของคนชั่ว
ส่วนเศรษฐกิจดีที่แท้ คือผู้ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวและบริหารประเทศ เป็นผู้สร้างสรรด้วยปัญญา กระทั่ง 1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองได้มีกินมีใช้ อุดมสมบูรณ์ 3.ขยันทำให้มากจนเกินกินเกินใช้ 4.และสะพัดให้คนอื่นได้ ตัวเองไม่ต้องกักตุนไว้ ไม่ต้องกอบโกย ตนเองไม่ต้องมีมาก ประมาณให้ดี ไม่ให้ติดขัด มีกินมีใช้อาศัยคล่องตัวสมดุล นี่คือ เศรษฐกิจดี ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น ไม่เบียดเบียนใครเลย และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย
ถ้าเราเองยังสะสมมากอยู่ก็คือเรายังได้เปรียบอยู่ จนกระทั่งเกิดหลักเกณฑ์วิธีการของทุนนิยมสามานย์ คนเป็นนายทุนมีเงินเป็นก้อนโต มีแต่เพิ่ม ไม่มีจุด“พอ” สังคมโลกจึงฉิบหายตรงนี้ ความคิดผิดๆชั่วๆก็อย่างนี้แหละ คือผู้ทำลายเศรษฐกิจสังคมที่เลวร้าย
ส่วนความคิดดีๆ เก่งๆ มีสมรรถภาพพอสร้างสรรจิตใจหรือปัญญาของคน ไม่กินมากไม่ใช้มาก ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่สุรุ่ยสุร่าย รู้ปัจจัยชีวิต รู้จักกินใช้ตามควร ที่เหลือก็สะพัดแจกจ่ายแก่คนที่ควรเกื้อกูล อย่างนี้ จึงเป็นสัจจะแห่งความถูกต้อง แต่เพราะเข้าใจสัจจะแห่งความถูกต้องไม่ได้ ตนตกเป็นทาสความโลภ เห็นแก่ได้อยู่ มันจึงเละเทะเดือดร้อนวุ่นวายอยู่อย่างนี้
คุณใหม่เสมอ: ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเศรษฐกิจดีคือ เงินในกระเป๋าฉันมีมาก ฉันค้าขายอะไร ก็มีเงินเข้ามาเยอะแยะ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ค้าขายได้น้อยเงินในกระเป๋าน้อยลง ไปกู้เงินก็จ่ายดอกเบี้ยสูง และมองว่าไม่มีการใช้จ่ายจากประชาชนมาหมุนเวียน
พ่อครู: ใครก็ตามถ้าอยากศึกษา เรื่องเศรษฐกิจที่ดี มาเอาสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงเลย ชาวอโศกดำเนินชีวิตตามเศรษฐ ศาสตร์แบบพระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี ขั้นยอด คือทำงานฟรีจนพ้นมิจฉาชีพ 5 ของพระพุทธเจ้า ใช้ของส่วนกลางซึ่งเลยขีดที่โลกเข้าใจ คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ สังคมนิยมก็สู้เราไม่ได้ ประชาธิปไตยก็สู้เราไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเผด็จการ ซึ่งเป็นระบอบเศรษฐกิจชั้นยอด อยู่สบาย ไม่แย่งไม่ชิง สร้างสรร เผื่อแผ่ เกื้อกูลเลี้ยงดูบำรุงกัน มีความสงบเรียบร้อยมีน้ำใจ เป็นพี่เป็นน้อง มีอิสรเสรีภาพ-ภราดรภาพ-มีสงบสันติ-มีสมรรถภาพ-มี บูรณภาพ-มีสุญญภาพ-มีสุนทรียภาพ
ชาวอโศกมีครบ 7 ภาพ นี่คือสุดยอดแห่งสังคมที่พัฒนามาได้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาระบบเศรษฐกิจที่ยังลงตัวไม่ได้สักที เพราะคุณไม่แน่ชัด คุณไม่มีเป้าไม่มียอด ไม่มีจุดจบ ไม่มีความเป็นไปได้ที่ลงตัว อย่างชาวอโศกนี่พอ พอที่ไหน พอที่ใจ ก็“ใจพอ”นี่แหละเป็นยอดที่ในหลวง ร.9 ตรัสย้ำให้ “พอเพียง” เศรษฐกิจต้องให้พอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจตะกละที่ไม่เคยพอ อย่างที่คุณจะเอาแต่รวยๆ ต้องให้ประชาชนร่ำรวย ประเทศเราต้องร่ำรวยกว่าประเทศอื่น อะไรอย่างนี้ มันผิด มันเป็นไปไม่ได้ด้วย มันเป็นเพียง“สมบัติผลัดกันชม” แย่งกันไปแย่งกันมา ไม่รู้จบ ถ้าเรารู้จักพอ ทำตัวเองให้รู้จักพอ มีใจพอ สร้างสรร ขยัน เพียร แล้วก็เหลือกินเหลือใช้ สะพัดให้คนอื่นๆได้ ก็จบแล้ว
คนเราพึ่งตนเองรอด มีพอกินพอใช้ เหลือพอให้แจกจ่ายแบ่งปัน สร้างสรรแต่สื่งดีๆ เช่น อาหารไร้สารพิษ ไม่มีสิ่งมอมเมา เป็นต้น เน้นสร้างสิ่งดีๆ มันจบ มันถึงที่สุดของพฤติกรรมมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว
ทุกวันนี้อาตมาสบายใจที่อาตมาทำการเมืองคือสร้างสรรมนุษย์ให้เข้าใจทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้วมีคนจำนวนหนึ่ง เช่น ชาวอโศกเป็นต้น นำไปประพฤติไปทำ เกิดชุมชนหมู่บ้านที่แท้จริง คนเหล่านี้มาอย่างอิสรเสรี เขามาเอง มาเป็นสมาชิกชุมชน ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครหลอก ล่อลวงเขามา เราเพียงเสนอความจริง เขาเห็นดีเห็นงามเขาก็มาเอง เช่น เขาสมัครใจมาจน มาเสียสละ ไม่เอาเปรียบเอารัด สุดท้ายเขาก็ขยันสร้างสรรมีปัญญา สร้างแต่สิ่งที่มีคุณค่า ไม่มอมเมา อยู่ในศีลในธรรมเป็นต้น
คุณใหม่เสมอ: พวกเราหลายคนไม่อยากให้พ่อครู เชียร์ พลเอกประยุทธ์ ขนาดนี้ เป็นห่วงว่าเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเชียร์คุณทักษิณ ชินวัตร
พ่อครู: อาตมายึดถือปัจจุบัน อาตมาไม่กลัวหรอกถ้าในอนาคต พลเอกประยุทธ์จะขบถ ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ปัจจุบันนี้ เขาดีอยู่ แล้วอาตมาก็มั่นใจมากหน่อยว่าท่านจะยั่งยืนคงทน คนอื่นอาจจะกลัว แต่คุณจะไม่ให้เกียรติใครเลยหรือว่าคนๆนี้น่าจะยั่งยืนคงทนในความดี คุณจะไม่ให้เกียรติใครแล้วคุณจะไปหวังกับใครได้สักคนล่ะ อาตมาก็เอาปัจจุบันที่อาตมาสบายใจ ถ้าเขากบฏเมื่อไหร่อาตมาก็ไม่เอาด้วยแน่ อาตมาจะโง่ทำไม อาตมาก็เห็นอย่างที่คุณเห็น เขาขบถอาตมาก็ไม่เอา อาตมาไม่ใช่คนที่หลงบ้ายึดมั่นถือมั่นชนิดที่ไม่รู้จัก“กรรม” ไม่รู้จัก“กาล”
แรกๆ คุณทักษิณ อาตมาก็เชียร์ พอเขาขบถอาตมาก็กระหน่ำเขาเหมือนกัน อาตมาจะไปไว้ท่าทำไม ว่าแต่ก่อนเคยเชียร์เขา แล้วเดี๋ยวนี้มาถล่ม ก็เขาเปลี่ยนไป อาตมาก็ต้องเปลี่ยนด้วยตามสัจจะที่เป็นจริง คุณทำดีๆๆๆๆอยู่อาตมาก็เชียร์ๆๆๆ คุณทำเสีย เป็นขบถเมื่อไหร่อาตมาก็ถล่มคุณแหละ
คุณใหม่เสมอ: พ่อครูเชียร์ท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นไหมว่าลูกๆชาวอโศกต้องสนับสนุนตาม
พ่อครู: ควรนะ เพราะอาตมาว่าลึกๆของคนไทยไม่ชอบเชียร์คนดี แต่ชอบด่าคนชั่ว และบางคนไปเลือกคนชั่ว นี่ก็โง่ซ้อน คนไทยไม่เหมือนคนต่างประเทศที่เขาเชียร์คนดี คนไทยจึงขาดการสนับสนุนคนดี อาตมาจึงพยายามเชียร์ให้มากเพราะมันขาด มันน้อย อาตมาก็เติมสิ่งที่ขาดให้แก่สังคม อาตมาผิดตรงไหน
อาตมาชัดเจน อาตมาแม่นยำว่าอันนี้ควรเชียร์ ก็เชียร์ เมื่อควรติอาตมาก็ติ อาตมาไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่ามันจะถาวร อาตมายืนยันอยู่ในฐานปัจจุบันมากสุด ตอนนี้ถ้าเขาดีอาตมาก็เชียร์ ถ้าเขาเสียอาตมาก็ตำหนิ อาตมาจะไว้หน้าตัวเองทำไม เราต้องไว้หน้าสัจจะ เขาเปลี่ยนไปแล้ว ก็ตามสัจจะเลย ใครจะว่า แต่ก่อนเชียร์ทำไมตอนนี้มาถล่ม ก็เขาไม่เหมือนเดิมก็ต้องถล่มซิ อาตมาจะเสียอะไร แต่คุณเข้าใจไม่ได้เพราะไปยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าเชียร์ใครแล้วว่าต้องเชียร์ให้ตลอดซิ อาตมาไม่ใช่คนแบบนั้น อาตมาเอาปัจจุบันเป็นหลัก นายกฯตู่ปัจจุบันยังเชียร์ได้อยู่ แต่อนาคต เฮ้ย...คุณกบฏแล้ว ชัดเจนแล้ว แน่นะ เราก็ถล่มเขาได้ เว้นแต่ถ้าเขาเป็นแค่เพียง“ขาแพลง”ชั่วคราว เราต้องระมัดระวังตรงนั้น ถ้าเขาแค่ขาแพลงก็อย่าเพิ่งถล่มก่อน เพราะซ่อมได้ แต่ถ้าเขาขบถจริงเราก็ต้องเปลี่ยน อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
คุณใหม่เสมอ: มีโครงการล่าสุดที่สร้างความฮือฮา คือการช่วยเหลือของคณะรัฐมนตรีผ่านทางบัตรสวัสดิการหรือบัตรคนจนที่จัดงบก้อนโตให้ประชาชน กลุ่มนี้คนละ 500 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ และช่วยเหลือผู้สูงอายุในการเข้ารับการรักษาพยาบาล เป็นต้น
พ่อครู: เหนือชั้นกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค พลเอกประยุทธ์ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องดี ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้อยู่ในสถานะที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องช่วยประชาชน ส่วนคนร่ำรวยที่เอาเปรียบเอารัด จะไปช่วยทำไม นี่เขาก็กำลังจะออกกฎหมายขูดภาษีจากคนรวยๆมากๆมาใช้กับโครงการเหล่านี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารบ้านเมืองไม่ผิดหรอก อาตมาเห็นด้วยกับโครงการนี้
ถามจริงๆ คนจนเขาอยากจนมั้ย เขาอยากมีสมรรถภาพความสามารถมากมั้ย เขาอยากแน่นอน แต่เขาเป็นได้แค่นั้น ทั้งโอกาสทั้งสมรรถนะที่เขาอยากฉลาด อยากมีความสามารถแต่เขาได้แค่นั้น คนเรามีข้อจำกัดของแต่ละคนจริงๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อตอนนี้เขาเป็นอย่างนี้ คือเขายังจน และถ้าอาตมามีหน้าที่สร้างเศรษฐกิจให้ดีก็ต้องเฉลี่ยทรัพยากรให้มีทั่วถึงกัน นี่เป็นหลักประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ก็ใช้หลักอันนี้แหละ ยกเว้นหลักของเผด็จการที่มุ่งจะกอบโกยเป็นของกูให้มากที่สุด แต่ประชาธิปไตยหรือ คอมมิวนิสต์ก็ตาม ใช้หลักเดียวกันคือพยายามเฉลี่ยให้เสมอภาคมากที่สุด เป็นหลักเกณฑ์สากล
คุณใหม่เสมอ: แต่ใช้งบประมาณตั้งแปดหมื่นล้านบาท บางคนว่าการช่วยอย่างนี้ไม่ยั่งยืน เพราะหลังจากนั้น ประชาชนก็จะขอเงินเพิ่มอีกๆๆ
พ่อครู: ก็รัฐจะแชร์ได้เท่าไหร่ก็แชร์ไปสิ ก็ของส่วนกลางจะกักจะตุนไว้ทำไม ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าไปพูดว่ายั่งยืนไม่ยั่งยืน รัฐต้องสะพัดไปตามควร การพัฒนาประเทศนั้นเขาต้องสะพัดเงินออกมา ไม่กักตุนไว้ คนที่ไม่แชร์ออกมาจากกองกลาง กักตุนไว้ก็คือคนทำงานไม่เป็น เป็นคนกักตุน การกักตุนคือ การทำลายเศรษฐกิจ นี่คือ เศรษฐศาสตร์ขั้นอนุบาล
ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เงินที่เอามาใส่ลิ้นชักไว้เฉยๆ มันก็ไม่มีราคา ไม่ว่าจะเป็นเงินกี่ล้านก็ตาม มันเท่ากับเศษกระดาษ แต่ถ้ามันเดินสะพัดเป็นธนบัตรจะมีราคา เกิดค่าขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้น จึงต้องสะพัดให้ได้อย่างถูกต้องอย่างดี รัฐบาลเขาทำถูกแล้วตามหลักเศรษฐกิจ นี่เป็นเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเลย เคลื่อนที่เมื่อใดเมื่อนั้นแหละเกิดการสะพัด กระดาษเปล่าที่กำหนดค่าไว้ก็มีค่าตามนั้นทันที แล้วคุณจะไปกักตุน แช่นิ่งไว้ทำไม
ข้อสำคัญคุณต้องแชร์ให้ถูกต้องและให้คนที่ควรให้ คนที่ไม่ควรให้ คุณก็อย่าไปให้เขา ถ้าให้คนที่ถูกต้องแล้วตามหลักบริหารสามัญ มันผิดอะไร คนจนเขาก็ได้รับบริการ ได้รับความช่วยเหลือก็เป็นวิธีการบริหารที่ถูกต้องแล้ว
คุณใหม่เสมอ: ท่านนายกฯบอกว่าอย่ามองเป็นการโฆษณาหาเสียง งานนี้ได้ประชุมมาเป็นปีแล้ว แต่มันมาบรรจบลงช่วงนี้พอดี
พ่อครู: ก็ถูกต้องแล้ว ไม่ได้หาเสียง แต่คุณไปมองในแง่ของการหาเสียงเอง จริงๆแล้วถ้าเขาหาเสียงที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง เราควรให้เสียงไหม ที่ว่าเขาหาเสียงก็คือคำพูด แต่ที่เขาทำอย่า งนี้คือการกระทำที่ควร ทีนี้การกระทำนี้ถูกต้องไหม และเขาควรได้เสียงมั้ยล่ะ ไปว่าเขาหาเสียง ไม่ต้องหามันได้เองก็ถูกต้อง คุณทำไม่ได้คุณริษยาเขาหรือ คุณไปหาเสียงไปซื้อคน แต่เขาไปให้คนจนที่ควร ไม่ใช่ไปซื้อเขาไว้ ใครหาเสียงมากกว่ากัน
คุณซื้อคนมาเป็นพรรคพวก กับคนนี้เอาไปแจกคนจนคนที่ควรได้ ใครถูกต้องกว่ากัน แจกคนยากจนถูกกว่าแน่ใช่ไหม เขาทำถูกแล้วแต่คุณเข้าใจไม่ได้ แล้วไปเชื่อคำโฆษณาตามความคิดของเขา คุณก็ไม่ฉลาด คุณถูกครอบงำทางความคิด เช่น เขาโฆษณาว่าพวกเขาเป็นประชาธิปไตย ๆ ทั้งๆที่เขาเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่า ประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้ง ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย นั่นมันตื้นที่สุด
คุณใหม่เสมอ: สิ่งที่พ่อครูได้พยายามต่อสู้เรื่อง 3 อาชีพกู้ชาติหรือสร้างชาติ ได้แก่ ปุ๋ยสะอาด กสิกรรมธรรมชาติและขยะวิทยา ณ ตอนนี้มีแนวโน้มในทางที่ดี มีคนว่ากสิกรรมไร้สารพิษจะเป็นทางออกของประเทศไทยและเป็นการช่วยประชาชนให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วย
พ่อครู: คำว่าปุ๋ยสะอาดก็มีคนเข้าใจมากขึ้น แต่ก่อนมีแต่ปุ๋ยเคมี เดี๋ยวนี้กระเตื้องขึ้นเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม จึงต้องเอาจุดเด่นจุดเอกของเราเป็นตัวสาระของประเทศ เราไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม เราทำแค่พออาศัยพอเป็นไป เราไม่ต้องเด่นทางนั้นตามที่ในหลวง ร. 9 ตรัสไว้ เราก็เอากสิกรรมของเราให้เป็นหนึ่ง ให้เป็นของดีราคาถูก ปริมาณมาก เกื้อกูล ขายถูก เรียกว่าแย่งตลาดโลกเลย ที่จริงไม่แย่งหรอก มันเป็นไปตามสัจธรรมเพราะของเรามากต้องรีบระบายออกรีบขายถูกให้คนได้เอาไปบริโภค จะปล่อยให้เน่าอยู่ทำไม ต้องเร่งทำ เขาก็ได้ของดีราคาถูกไปกินไปใช้ สิ่งเหล่านี้แหละที่เมืองไทยโชคดีมาก ไม่มีอะไรสำคัญเท่าอาหารเพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นการผลิตอาหาร ปุ๋ยสะอาดกับกสิกรรมธรรมชาติก็คืออาหาร
คุณใหม่เสมอ: ขณะนี้ทางราชการให้ความสำคัญเกี่ยวกับกสิกรรมไร้สารพิษถึงขั้นประกาศว่าอำเภอบางแห่ง และบางจังหวัดให้เป็นพื้นที่กสิกรรมไร้สารพิษ
พ่อครู: ถูกต้อง ดีมาก สนับสนุน 100% ให้คะแนนเต็ม แต่ละบวรของชาวอโศกนั้นมีผักไร้สารพิษ อาตมาว่าครบทุกหน่วย และได้สะพัดกระจายไปภาคต่างๆได้ครบ ผลิตให้เยอะ ให้เราพอกินพอใช้ พอเหลือก็กระจายออกไปที่ต่างๆ
คุณใหม่เสมอ: สิ่งนี้สู้กับประเทศอุตสาหกรรมได้ไหม
พ่อครู: ไม่สู้ เราแค่ทำจุดเด่นของเรา เราจะไปสู้กับอุตสาหกรรมเขาทำไม เราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว พวกเขาต้องพึ่งกสิกรรมที่เราเด่น เราไม่ต้องสู้ แต่เราจะช่วยเขาเพราะเขาต้องมาพึ่งเรา เราอาศัยใช้เทคโนโลยีของเขาบ้าง เรารู้ว่าสู้เขาในเรื่องนั้นไม่ได้หรอก เราไม่สู้ แต่เราจะเกื้อกูลเขาช่วยเหลือเขาในส่วนที่เราเด่น แล้วเราก็มีอาหารคือปัจจัยของชีวิต อุตสาหกรรมทำเครื่องใช้แม้แต่อาวุธยุทธภัณฑ์ เราไม่แคร์หรอก ส่วนช้อนจานชาม ไม่มีของต่างประเทศมาเราก็สร้างมาใช้เองได้เป็นปัจจัยสำคัญ รถราเราไม่มีเราก็ทำเกวียนขึ้นมาใช้ก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องยนต์กลไกบ้าง ทุกวันนี้ก็มีความรู้กันแล้ว เมืองไทยเราก็มีความรู้ทางสร้างเครื่องยนต์กลไก วิศวะต่างๆ พออาศัยได้อยู่ ไม่จำเป็นต้องวิเศษวิเสโส ขณะนี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้วไม่ต้องไปข่มเบ่งแย่งตลาดเขา ที่แข่งกันทุกวันนี้ก็เพื่อจะรวย จะหาคนมาอุดหนุนสินค้าเรา แล้วเราจะรวย มันก็เท่านั้น แม้เราทำได้ดีแล้วแต่ไม่รวยก็ได้สะพัดมาให้คนได้อาศัยดำรงชีวิตตามความจำเป็นได้พอเหมาะพอดีแล้ว จะต้องไปเก่งไปโก้ไปรวยกว่าเขาทำไม
คุณใหม่เสมอ: คนไทยควรใช้วิจารณญาณในการเลือกนักการเมืองอย่างไร
พ่อครู: เอาสัจจะของตนเอง มีภูมิเท่าไหร่ล่ะ ที่เราจะรู้ว่าในหมู่ผู้ประกวด มีคนไหนที่ดีจริงๆ แต่ละคนก็ต้องใช้วิจารณญาณของตนเอง จะไปบังคับความฉลาดความรู้ของคนไม่ได้หรอก เราจะกำหนดไม่ได้หรอก คนยิ่งมีความรู้ความฉลาดเท่าไหร่ก็ใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสิน นอกจากคนที่ยอมเป็นทาสให้เขาซื้อตัว ยอมให้เขาครอบงำแล้วไปเลือกเขา ก็ช่วยไม่ได้ คุณจะเป็นอิสระเสรีในตัวคุณเองหรือเปล่าหรือคุณจะกลายเป็นทาสให้เขาซื้อให้เขาบงการ ก็เลือกเอา
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:10:25 )
รายละเอียด
620125_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะกับการเมืองคือเรื่องทำเพื่อเศรษฐกิจดี
อ่านต่อหรือดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1H2CgY-2b5otSzHdAsruEfxbfu6P8qi4fOJWaSIb9gUQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=1611TJBvtpDJhV-qjD5qRRgRDLBDhNhEh
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ชีวิตคนเราไม่ว่าจะเป็นคนโลกียะหรือคนโลกุตระก็อยู่กับความสัมพันธ์ แม้ว่ามาฟังธรรมก็เป็นเรื่องซ้ำซาก พ่อครูได้เขียนบทเพลงแห่งความซ้ำซากไว้ถึง 10 หมายเลข
ความซ้ำซาก หมายเลข 1
ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (เซ็ง) หรอก!
แต่แท้จริงเป็นการสร้าง “ความปกติ”
และความถาวร มั่นคง สถิตเสถียร
ให้เกิด ให้เป็นขึ้นมา ต่างหาก
ดังนั้น . . . . .
ผู้ไม่พยายามเพียรกระทำความซ้ำซาก
ในสิ่งในเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่ง
จึงคือ . . . . .
ผู้จะไม่ถึงความสำเร็จกิจนั้นๆ ได้เลย
แล้ว “ความยากลำบาก” ใดๆ
ก็จะเป็น “ความง่าย” สบายเบา
ไม่ได้เป็นอันขาด.
10 ก.ค. 2523
(“แสงสูญ” ฉบับที่ 11/2525 : กีฬาเอ๋ย)
และมีที่พ่อครูได้เขียนไว้เมื่อ 29 ส.ค. 2520
รู้จัก “จิตของตน” ที่มันมีลักษณะได้ปลดปล่อยแล้วว่า เบา เบิกบานแจ่มใส เพราะได้ปลดได้วางอารมณ์ที่เป็นอกุศลนี้ได้ และเราจะเป็นอยู่ให้มี “ฐานจิต” เช่นนี้ให้ได้เสมอๆ ดังนั้น เมื่อไม่มีอกุศลจิตใดๆเลยเราก็จะสบายผ่องใส มีปัญญาดีเสมอ และถ้ามีผัสสะที่ก่อให้เกิดอกุศลจิตใดๆไม่ว่ามากหรือเล็กน้อย ก็จะต้องให้จางคลายหรือปละปล่อยสลัดออก ให้มาอยู่ในฐานจิตที่สบายผ่องใสนั้นให้ได้ ..สมณะโพธิรักษ์ 29 ส.ค. 2520
เอาไว้ให้เราตรวจสอบ ถ้าเราเป็นอย่างที่พ่อครูพูดนี้ได้ก็จะดี
พ่อครูว่า...เริ่มต้น เอาเรื่องที่อาตมาจะต่อคำสัมภาษณ์ของคุณใหม่เสมอ วณิชวิทย์ เขาสัมภาษณ์อาตมาในคอลัมน์ สีสันชีวิต เรื่อง การเมืองเรื่องธรรมะ ในหนังสือเราคิดอะไร อาตมาเอามาอ่านให้ฟังก่อนที่จะหนังสือออก อ่านไปได้ส่วนหนึ่งเดี๋ยวจะต่อ แต่ก่อนจะอ่านก็ขอเอาข่าวเรื่องนี้มาอ่านก่อน
แม้ว-ปู” พี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยอ่วม อียูสกัดเส้นทาง-เสี่ยงถูกจีนอายัดทรัพย์!! 25 ม.ค. 2562 03:46 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่าเปิดศักราชใหม่ไม่ค่อยโสภานัก สำหรับสองพี่น้องที่ถูกบรรดาผู้สนับสนุนเชิดชูสถาปนาให้เป็นต้นแบบ หรือ “ผู้นำ” ฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งที่ตลอดชีวิตการทำธุรกิจและการเมือง มีแต่เรื่องถูกกล่าวหา หรือข้อหาทำธุรกิจผูกขาดสัมปทาน และทุจริตซื้อเสียง ใช่แล้วกำลังพูดถึง ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เวลานี้ทั้งคู่ต่างหลบหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศ
จากรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศที่มีการนำเสนอรายงานประจำปีของสหภาพยุโรป หรือ อียู ที่แจ้งเตือนให้ประเทศสมาชิกเพิ่มความเข้มงวดในการออกใบอนุญาต “วีซ่าทอง” (Goldden Visa) โดยเตือนให้ทุกประเทศได้รับรู้กันทั่ว ว่า มันถูกนำไปฉกฉวยประโยชน์โดยบุคคล หรือพวกองค์กรอาชญากรรมต่างๆสำหรับการฟอกเงิน คอร์รัปชัน และ เลี่ยงภาษี ที่สำคัญ ในรายงานดังกล่าวมีการอ้างอิงตัวอย่างกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าวนี้จากประเทศมอนเตเนโกร จากการใช้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อแลกกับการได้ถิ่นพำนักและสิทธิพิเศษบางอย่าง
ในรายงานยังยกตัวอย่างกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์คนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาฉ้อโกงเงินหลวงและได้วีซ่าทองจากประเทศเดียวกันด้วย
ขณะที่ “น้องสาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เริ่มมีชะตากรรมที่ไม่ค่อยโสภามากขึ้น หลังจากก่อนหน้าเมื่อวันก่อน เพิ่งมีรายงานจากสื่อจีน ว่า ถูกถอดถอนพ้นตำแหน่งประธานบริษัทท่าเรือแห่งหนึ่งในเมืองซัวเถาประเทศจีน ทั้งที่เพิ่งซื้อกิจการได้ไม่ถึง 1 เดือน และตามมาด้วยการที่ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้ประกาศยกเลิกการถือหนังสือเดินทางของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยมีการเชื่อมโยงกันว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้หนังสือเดินทางที่ว่าอ้างสิทธิ์พลเมืองของกัมพูชาใช้เป็นเอกสารในการซื้อหุ้นและจัดตั้งบริษัทท่าเรือดังกล่าว โดยล่าสุด ชื่อของประธานบริษัทถูกเปลี่ยนเป็นคนจีนแล้ว
อย่างไรก็ดี เรื่องราวยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมานี้เอง มีสื่อของฮ่องกงอย่าง “แอปเปิล เดลี” ได้รายงานรายละเอียดเพิ่มเติมเข้ามาอีกว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบริษัทบริหารท่าเรือของเมืองซัวเถา อาจเป็นเพราะทางรัฐบาลจีนสงสัยว่าจะมีการพัวพันกับการทุจริตและเชื่อมโยงไปถึงหุ้นส่วนชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง ซึ่งสื่อ “แอปเปิล เดลี” ของฮ่องกง ระบุว่า มีความสนิทสนมกับ “ครอบครัวชินวัตร” มานาน รวมไปถึงสนิทสนมกับครอบครัวของ อดีตประธานาธิบดี “จอร์จ บุช” ของสหรัฐฯอีกด้วย
ซึ่งหากปะติดปะต่อเรื่องราวแล้ว ก็พอมองเห็นภาพ เพราะก่อนหน้านี้ หากจำกันได้ในยุคที่ ทักษิณ ชินวัตร ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มักมีข่าวเกี่ยวพันกับเรื่องธุรกิจน้ำมันข้ามชาติที่ครอบครัวของบุชทำอยู่บ่อยครั้ง และล่าสุด เมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวเปิดโปงออกมาทางเพจผู้สนับสนุนของครัวชินวัตร ก็พยายามออกมาแก้ต่าง โดยพยายามเชื่อมโยงให้เห็นเครดิตว่ามีครอบครัวของ “จอร์จ บุช” เข้ามาซื้อหุ้นด้วย
แต่กลายเป็นว่าเป็นการ “มัดตัวเอง” ไปโดยปริยาย เพราะสื่อฮ่องกงเพิ่งมาขยายความในวันถัดมาว่า นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ที่เป็นหุ้นส่วนกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในบริษัทท่าเรือซัวเถานี้ เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตเลี่ยงภาษี ซึ่งนอกจากสนิทสนมกับครอบครัวชินวัตรแล้ว ยังสนิทกับครอบครัว จอร์จ บุช อีกด้วย และยังเคยบริจาคเงินสนับสนุนการหาเสียงในช่วงหยั่งเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำนวนหนึ่งมาแล้วอีกด้วย
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากรายงานข่าวในกรณีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นที่ทราบกันว่าในยุคของ “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนในยุคปัจจุบันที่รณรงค์ปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง และหากรายงานข่าวดังกล่าวเป็นความจริง มันก็เป็นไปได้ว่าจะมีการสอบสวนตามมา และมีโอกาสที่จะถูก “อายัดทรัพย์” เอาไว้ก่อนก็เป็นไปได้เหมือนกัน และงานนี้ “ไม่ธรรมดา” กว่าที่คิดเสียแล้วก็ได้
เอาเป็นว่าเมื่อเริ่มศักราชใหม่ทั้งสองพี่น้องที่ถูกยกให้เป็น “ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตย” อาจจะตกที่นั่งลำบาก เพราะทั้งสหภาพยุโรปก็กำลังมีท่าทีเข้มงวด นี่ยังมาเจอกับเรื่องราวในจีนที่น่าหวั่นไหวอีก มิหนำซ้ำ ยังมีรายงานเข้ามาอีกว่า ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังไต่สวนคดีระบายข้าวจีทูจีล็อตสองอีก ที่ระบุว่า จะสาวไปถึง 3 พี่น้องในครอบครัวนี้ คือ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่เวลานี้ยังไร้ร่องรอย เหมือนกับถูกกระหน่ำเข้ามาทุกทิศทางเลยทีเดียว!!
เรื่อง
1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .
2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .
3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม)
4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 31)
จะอ่าน คอลัมน์ สีสันชีวิตต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจดีในสมัยนายกฯประยุทธ์คืออะไร
คุณใหม่เสมอ มีข้อมูลจากแหล่งข่าวทั้งที่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือว่า นายกฯตู่ ไม่มีความสามารถ บริหารเศรษฐกิจไม่ดี ปกครองแบบทหาร เป็นต้น
พ่อครูว่า จะบอกว่านายกตู่ฯไม่มีความสามารถก็ไม่ใช่ บริหารมาตั้ง 4 ปีแล้ว บริหารดีด้วย ตามประสาอาตมา อาตมาเป็นนักรัฐศาสตร์ข้ามชาติมา
พ่อครู ที่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนทั้งโลกเข้าใจว่าเศรษฐกิจดี คือเราได้เปรียบคนโดยกอบโกยเอาทรัพย์สินให้ตัวเองมากๆ ได้เปรียบคนโดยได้กอบโกยดูดเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของเราได้มากแล้วถือว่าตน ครอบครัวและประเทศมีเศรษฐกิจดี คนที่มีความคิดเช่นนี้เป็นความคิดของคนชั่ว
ส่วนเศรษฐกิจดีที่แท้ คือผู้ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวและบริหารประเทศ เป็นผู้สร้างสรรด้วยปัญญา กระทั่ง 1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองได้มีกินมีใช้ อุดมสมบูรณ์ 3.ขยันทำให้มากจนเกินกินเกินใช้ 4.และสะพัดให้คนอื่นได้ ตัวเองไม่ต้องกักตุนไว้ ไม่ต้องกอบโกย ตนเองไม่ต้องมีมาก ประมาณให้ดี ไม่ให้ติดขัด มีกินมีใช้อาศัยคล่องตัวสมดุล นี่คือ เศรษฐกิจดี ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น ไม่เบียดเบียนใครเลย และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย
เศรษฐกิจดีคือในประเทศสร้างผลผลิตได้อย่างพอกินพอใช้ไม่ขาดแคลน อยู่รอดได้ แต่เขาก็พยายามบอกว่าตอนนี้เศรษฐกิจฉิบหายคนจน การเป็นคนจนไม่ได้เป็นเครื่องหมายว่าคือเศรษฐกิจไม่ดี แต่อโศกเป็นคนจน แต่เศรษฐกิจดี นักรัฐศาสตร์ทั่วไปจะเข้าใจได้ยาก ชาวอโศกปฏิบัติตนจนเป็นคนจนได้สำเร็จ ทำให้เศรษฐกิจดี ฟังเข้าใจกันไหม จงมาศึกษา เศรษฐกิจดีนี่คนต้องมาจน อาตมาไม่ได้บ้า แต่ถ้าว่าอาตมาระวังจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพร.9 นะ เพราะพระองค์ท่านตรัสว่าให้มาบริหารแบบคนจน
อโศกเรามีเศรษฐกิจดีต้องมาเป็นคนขาดทุน คนจน คนบรรลุธรรมทางเศรษฐกิจคือคนที่เสียเปรียบเสียสละให้แก่สังคมได้ คนเอาเปรียบคนอื่นมาแล้วบอกตนมีเศรษฐกิจดีนี้ ไม่ใช่เลย คุณต้องเสียเปรียบเสียสละให้สังคมได้จึงเป็นคนเศรษฐกิจดี
ขอยืนยันว่าอย่างน้อยที่สุดชาวอโศกทำให้เศรษฐกิจประเทศดีได้ส่วนหนึ่ง ยิ่งในยุคนายกฯตู่ยิ่งทำได้ดี การบริหารเศรษฐกิจของนายกฯตู่นี้บริหารได้ดี ขณะนี้กำลังใช้หนี้กองโตที่รัฐบาลก่อนทำไว้ได้เรื่อยๆแล้ว ขอยืนยันว่านายกตู่กำลังดำเนินไปได้ดี ควรต้องบริหารต่อไปอีกให้นานกว่านี้ เพราะแต่ละรัฐบาลทำหนี้สะสมมามาก
การทำให้หนี้หมดไปเมื่อวันใดที่นายกฯตู่ประกาศได้ว่าประเทศไทยหมดหนี้แล้ว แต่คงยากเพราะว่าสะสมหนี้มาเยอะเหลือเกิน
นายกฯตู่ตอนนี้ก็พูดว่าตนเคยเป็นทหาร แต่ตอนนี้เป็นนักการเมือง
นายกฯตู่มีความเป็นนักการเมือง นักการทหาร นักบริหาร ชัดเจน แต่ก่อนก็พูดว่าตนสนใจการเมืองแต่ตอนนี้บอกว่าตนเป็นนักการเมืองแล้ว คือเข้าใจรับผิดชอบคำพูดตนเอง ต้องเข้าใจว่า คนไหนพูดพล่อยๆสุ่มสี่สุ่มห้าไป
แล้วมาบอกว่าปกครองแบบทหาร แต่อาตมาว่าไม่ได้ปกครองแบบทหาร ความหมายที่เขาตู่นายกฯตู่ว่าปกครองแบบทหาร อาตมาขอยืนยันว่า ไม่มีลักษณะการปกครองแบบทหาร คนเข้าใจกันทั่วว่า ทหารจะปกครองแบบอาชญา command
แต่นายกฯตู่บริหารแบบประชาธิปไตยมีอิสรเสรีภาพดี ดูสิเขาตะโกนโหวกเหวกก็น่าจับปิดปาก แต่ว่าก็ให้ทำได้ในรัฐบาลนายกฯตู่ จริงๆแล้วควรเตือนควรบอกบ้างว่า พูดแบบนั้นมัน fake news เอาเรื่องที่ไม่จริงมากล่าวก็ขายขี้หน้า ผู้รู้มีภูมิก็จะรู้ว่าพูดไม่ถูก มาว่าเขาโดยไม่เป็นจริงแสดงถึงความไม่มีภูมิ ความจริงเลย
ตอนนี้เขาก็แหย่ดูว่า นายกฯตู่จะเข้าพรรคไหน อาตมาก็เคยบอกว่าอย่าไปเข้าพรรคไหน เพราะรัฐธรรมนูญให้นายกฯคนนอกเป็นนายกฯได้ เมื่อเลือกตั้งเสร็จ ส.ส.ต่างๆ ส.ว.ต่างๆก็มายกมือว่าให้ใครเป็นนายกฯ แต่ถ้าเลือกนายกฯตู่ได้เป็นนายกฯอีกก็จะสง่างามมาก แต่ถ้านายกฯตู่อยากเป็นนายกฯต่อก็ต้องไปเข้าพรรคที่มีแนวโน้มจะได้เสียงข้างมาก อาตมาว่านายกฯตู่ไม่เข้าพรรคเพื่อไทยแน่ และเขาไม่เอาด้วยหัวเด็ดตีขาด แม้พรรคอื่นยินดีอ้าแขนรับนายกฯตู่ อาตมาก็ว่าอย่าไปเข้าพรรคไหนเลย
ต้องมั่นใจในตนไม่เข้าพรรคไหนเลย ถ้าไม่เข้าพรรคก็ดูจะไม่มีคะแนนเสียงไม่มั่นใจจึงต้องเข้าพรรค แต่ถ้าไม่เข้าพรรคไหนก็เป็นคนน่าภาคภูมิใจเลย ถ้าได้เป็น
สมณะฟ้าไทว่า...ก็คือวางใจได้ไม่ได้เป็นก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข้าพรรคไหน
พ่อครูว่า...เรื่องความสามารถบริหารก็ทำได้ดี เรื่องอื่นก็ทำได้ดี
คุณใหม่เสมอ มีข้อมูลจากแหล่งข่าวทั้งที่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือว่า นายกฯตู่ ไม่มีความสามารถ บริหารเศรษฐกิจไม่ดี ปกครองแบบทหาร เป็นต้น
พ่อครูว่า จะบอกว่านายกตู่ฯไม่มีความสามารถก็ไม่ใช่ บริหารมาตั้ง 4 ปีแล้ว บริหารดีด้วย ตามประสาอาตมา อาตมาเป็นนักรัฐศาสตร์ข้ามชาติมา
พ่อครู ที่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนทั้งโลกเข้าใจว่าเศรษฐกิจดี คือเราได้เปรียบคนโดยกอบโกยเอาทรัพย์สินให้ตัวเองมากๆ ได้เปรียบคนโดยได้กอบโกยดูดเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของเราได้มากแล้วถือว่าตน ครอบครัวและประเทศมีเศรษฐกิจดี คนที่มีความคิดเช่นนี้เป็นความคิดของคนชั่ว
ค่ารวมส่วนรวมของประเทศแล้วเศรษฐกิจดี ไม่เห็นมีใครอดอยากมากมายอะไรเลย
ส่วนเศรษฐกิจดีที่แท้ คือผู้ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวและบริหารประเทศ เป็นผู้สร้างสรรด้วยปัญญา กระทั่ง 1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองได้มีกินมีใช้ อุดมสมบูรณ์ 3.ขยันทำให้มากจนเกินกินเกินใช้ 4.และสะพัดให้คนอื่นได้ ตัวเองไม่ต้องกักตุนไว้ ไม่ต้องกอบโกย ตนเองไม่ต้องมีมาก ประมาณให้ดี ไม่ให้ติดขัด มีกินมีใช้อาศัยคล่องตัวสมดุล นี่คือ เศรษฐกิจดี ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น ไม่เบียดเบียนใครเลย และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย
ถ้าเราเองยังสะสมมากอยู่ก็คือเรายังได้เปรียบอยู่ จนกระทั่งเกิดหลักเกณฑ์วิธีการของทุนนิยมสามานย์ คนเป็นนายทุนมีเงินเป็นก้อนโต มีแต่เพิ่ม ไม่มีจุด“พอ” สังคมโลกจึงฉิบหายตรงนี้ ความคิดผิดๆชั่วๆก็อย่างนี้แหละ คือผู้ทำลายเศรษฐกิจสังคมที่เลวร้าย
ส่วนความคิดดีๆ เก่งๆ มีสมรรถภาพพอสร้างสรรจิตใจหรือปัญญาของคน ไม่กินมากไม่ใช้มาก ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่สุรุ่ยสุร่าย รู้ปัจจัยชีวิต รู้จักกินใช้ตามควร ที่เหลือก็สะพัดแจกจ่ายแก่คนที่ควรเกื้อกูล อย่างนี้ จึงเป็นสัจจะแห่งความถูกต้อง แต่เพราะเข้าใจสัจจะแห่งความถูกต้องไม่ได้ ตนตกเป็นทาสความโลภ เห็นแก่ได้อยู่ มันจึงเละเทะเดือดร้อนวุ่นวายอยู่อย่างนี้
คุณใหม่เสมอ ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเศรษฐกิจดีคือ เงินในกระเป๋าฉันมีมาก ฉันค้าขายอะไร ก็มีเงินเข้ามาเยอะแยะ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ค้าขายได้น้อยเงินในกระเป๋าน้อยลง ไปกู้เงินก็จ่ายดอกเบี้ยสูง และมองว่าไม่มีการใช้จ่ายจากประชาชนมาหมุนเวียน
พ่อครู ใครก็ตามถ้าอยากศึกษา เรื่องเศรษฐกิจที่ดี มาเอาสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงเลย ชาวอโศกดำเนินชีวิตตามเศรษฐศาสตร์แบบพระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี ขั้นยอด คือทำงานฟรีจนพ้นมิจฉาชีพ 5 ของพระพุทธเจ้า ใช้ของส่วนกลางซึ่งเลยขีดที่โลกเข้าใจ คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ สังคมนิยมก็สู้เราไม่ได้ ประชาธิปไตยก็สู้เราไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเผด้จการ ซึ่งเป็นระบอบเศรษฐกิจชั้นยอด อยู่สบาย ไม่แย่งไม่ชิง สร้างสรร เผื่อแผ่ เกื้อกูลเลี้ยงดูบำรุงกัน มีความสงบเรียบร้อยมีน้ำใจ เป็นพี่เป็นน้อง มีอิสรเสรีภาพ-ภราดรภาพ-มีสงบสันติ-มีสมรรถภาพ-มี บูรณภาพ-มีสุญญภาพ-มีสุนทรียภาพ
ชาวอโศกมีครบ 7 ภาพ นี่คือสุดยอดแห่งสังคมที่พัฒนามาได้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาระบบเศรษฐกิจที่ยังลงตัวไม่ได้สักที เพราะคุณไม่แน่ชัด คุณไม่มีเป้าไม่มียอด ไม่มีจุดจบ ไม่มีความเป็นไปได้ที่ลงตัว อย่างชาวอโศกนี่พอ พอที่ไหน พอที่ใจ ก็“ใจพอ”นี่แหละเป็นยอดที่ในหลวง ร.9 ตรัสย้ำให้ “พอเพียง” เศรษฐกิจต้องให้พอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจตะกละที่ไม่เคยพอ อย่างที่คุณจะเอาแต่รวยๆ ต้องให้ประชาชนร่ำรวย ประเทศเราต้องร่ำรวยกว่าประเทศอื่น อะไรอย่างนี้ มันผิด มันเป็นไปไม่ได้ด้วย มันเป็นเพียง“สมบัติผลัดกันชม” แย่งกันไปแย่งกันมา ไม่รู้จบ ถ้าเรารู้จักพอ ทำตัวเองให้รู้จักพอ มีใจพอ สร้างสรร ขยัน เพียร แล้วก็เหลือกินเหลือใช้ สะพัดให้คนอื่นๆได้ ก็จบแล้ว
พิสูจน์ได้ด้วยการสร้างคนให้มีจิตวิญญาณวรรณะ 9 เป็นคนชั้นสูง the Classical
ยิ่งเป็นคนมีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนเจริญเป็นตัวอย่างอาริยบุคคล เป็น idol ของคนในโลก เป็นคนศิวิไลซ์ที่เป็นตัวอย่างของมนุษย์โลกนะ คนมีภูมิปัญญาจะเข้าใจว่า พวกนี้มีพฤติกรรมเจริญ อยู่อย่างสร้างสรรมีน้ำใจมีจิตวิญญาณสูงประเสริฐมีพฤติกรรมสังคมสุดยอด
เป็นคนมีสัมมาทิฏฐิ 10
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
5. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
6. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
7. มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
8. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
เขาไม่เชื่อว่า สมณะโพธิรักษ์เป็นพระอรหันต์เป็นอาริยะหรอก แต่เขาไปเชื่อพระเกจิสายหลับตา สายเล่นฤทธิ์เดชอย่างพระที่กำลังจะเผากันอยู่นี่ มันน่าสงสารสังเวช อาตมาจำเป็นต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ แต่เขาไม่เข้าใจงมงายกัน
ชาวอโศกเป็นคนแก้ปัญหาเศรษฐกิจตก สำเร็จแล้ว เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ได้
สม.กล้าข้ามฝัน
สม.รินฟ้า
ส.แสนดิน
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน สุขโลกียะกับสุขโลกุตระต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...มีคำถามของด.ญ.ใสกลางเพ็ญ(น้ำมนต์) โพธิ์ใบ เขาเขียนมาแน่ ด.ญ.อายุ 6 ขวบ...ถามว่า สุขแบบโลกีย์ กับสุขแบบโลกุตระ แตกต่างกันอย่างไรคะ
ตอบกันได้ไหม...ได้ นั่นแน่ มาตอบแทนอาตมาหน่อย
อยากโลกีย์คือสุขอย่างบำเรอกิเลส เราอยากได้อย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็ได้มาสมใจของเราก็เป็นสุข สุขฉะนี้นี่ฤาจะลืมๆ
สุขแบบโลกุตระ สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง คือจิตวางๆกลางๆ จิตไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั่นแหละคือสุขแบบโลกุตระ
ขยายความแค่นี้น่าจะจบแล้วนะ แต่จะขยายความก็ไปอีกเยอะ
ชาวโลกียะเขาสุขไม่มีจบไม่มีพอ เลอะเทอะเข้าใจยาก คนที่จะมีจิตยินดีมีฉันทะ สุขแบบไม่สุขไม่ทุกข์
ยอดหัวใจของศาสนาพุทธคือเลิกสุขเลิกทุกข์ได้ คืออาริยสัจ 4 เข้าใจว่าสุขคืออัลลิกะ ทุกข์คือความเป็นอัตตา นรก
จริงๆก็เรียนรู้เทวะ สุข ทุกข์เป็นคู่สอง เรามีชีวิตอาศัยอยู่ไป ผู้เป็นอรหันต์แล้วจึงอยู่กับความไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุขหรืออุเบกขา จะเข้าใจจิตเราเป็นอุเบกขา อย่างอาตมาเป็นต้น จะเข้าใจว่า อ๋อ ชีวิตก็อยู่กับไม่สุขไม่ทุกข์ จิตเป็นกลางบริสุทธิ์จากสุขทุกข์
ปริสุทธา ปริโยทาตาจะมีเหตุปัจจัยสัมผัสอย่างไรจิตก็บริสุทธ์
จิตมุทุก็ยิ่งมีความเร็วในการรู้ รู้เล่ห์กลของโลก จิตเราก็ปรับไปกับโลกได้อย่างดี สบาย จึงอยู่กับโลกอย่างกัมมัญญา มีการงานที่ดีเหมาะควร กับสังคม ทุกเวลา ตลอดเวลาจิตก็ประภัสสร
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
อาตมาประกาศตนเป็นอรหันต์เพราะว่าทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าแล้ว เพราะเขาไม่เป็นอรหันต์จริง ไม่มีใครกล้า อาสโภแล้ว ทุกวันนี้จึงมีแต่อรหันต์เดา เป็นนักไสยศาสตร์เล่นฤทธิ์นั่งสะกดจิตหลับตานิ่งออกป่าเขาถ้ำ อย่างหลวงพ่อเกษมเป็นต้น ก็ซวยสิ อาตมาก็สงสารศาสนาพุทธ จะซวยไปหนัก อาตมาจึงต้องประกาศว่าอรหันต์เป็นแบบนี้ไม่ต้องไปเดา เอาพระไตรปิฎกมาเปิด แล้วจับความจากพระไตรปิฎกมาเลยว่า อย่างอาตมานี้ ไม่มีคุณลักษณะตรงกับอรหันต์ตรงไหน นอกจากคุณจะไม่เข้าใจ อรหันต์มาอวดตัวตนไม่เป็นอรหันต์ มาบอกว่าตนเองบรรลุก็คือผู้ไม่บรรลุ ใครพูดใครสอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น ในโลหิจสูตรบอกไว้ว่า ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วไม่บอกคนอื่นหรือบอกไม่ได้ ผู้นั้นเข้าใจแบบนั้นก็มีคติที่ไปเป็นเดรัจฉานกับนรก
อ่านคำสอนถ้าไม่แตก เรียนมาจบเปรียญ 9 จบด๊อกเตอร์ทางศาสนาด้วย แต่ก็ไม่เข้าใจ อาตมาขออภัยที่พูดไม่ไว้หน้าพูดแข็งพูดแรง พูดไม่บันยะบันยัง ขอยืนยันว่าพูดตรงพูดถูกต้องพูดไม่ผิด อาตมารับรองว่าอาตมาจริงอย่างนั้น
ในยุคนี้เป็นยุคที่ยากมากเลย เพราะศาสนาผ่านมา 2600 กว่าปีเสื่อมมากแล้ว เสื่อมจนน่าสังเวชใจ เสื่อมจนกระทั่งแก้ไขแล้ว นิ่มๆไม่กระเทือนหรอก ต้องถูกกระแทกกระทุ้งอย่างนี้ ถ้าพูดดุด่าคนนั้นคนนี้กระเทือนเข้าท่า แต่ถ้าพูดดีเขาก็ไม่ฟัง ต้องพูดอย่างนี้ถึงฟัง ไอ้นี่ด่ากูนี่หว่า เขาก็ต้องฟัง ไอ้นี่ด่าอาจารย์กูนี่หว่าต้องฟัง อาตมาก็ว่าไม่สวยไม่ค่อยดี ข้อด้อยแต่ก็ต้องจำเป็นต้องทำอย่างนี้ ตามเหตุการณ์โลกที่เป็นอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน จักร 4 และ ปัญญาวุฑฒิ 4
อาตมาสบายใจที่ ทำเศรษฐกิจก็ดีทำการเมืองก็ดี สร้างมนุษย์ให้เข้าใจทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่ง เช่นชาวอโศกเป็นต้น นำไปประพฤติปฏิบัติธรรมจนได้มรรคผล แล้วก็มาอยู่รวมกัน
1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .
2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .
3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม)
4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 31)
เอามาอยู่รวมกัน พวกคุณที่มารวมกันเพราะเห็นว่าสถานที่ที่ควรมาอยู่ คนที่มีภูมิปัญญาจริงจึงจะมาอยู่ เพราะที่นี่มีสัตบุรุษด้วย จะมีดวงตารู้ว่า ที่นี่มีสัตบุรุษ ไม่ใช่เฉพาะอาตมาด้วย เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูกต้อง สัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า มีมรรคผลก็ตามลำดับ แล้วก็เป็นคนที่ ท่านแปลอัตตสัมมาปณิธิว่า เป็นผู้ที่ตั้งตนไว้ชอบ จริงๆแล้วมันลึกซึ้งกว่านั้น ในคำว่า อัตตสัมมาปณิธิ
ปณิธิคือตั้งจิตเอาไว้ เพื่อให้เข้าถึงอัตตา แล้วถูกต้องสัมมา ไปรู้อัตตาแล้วจัดแจงอัตตา กำจัดอัตตาตนเองให้ได้จึงเรียกว่าจักร 4 เพราะในศาสนาพุทธถ้าตนเองมีอัตตาก็ต้องกำจัดอัตตาเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจึงมีปัญญา ปุพเพกตปุญญตา ได้ล้างกิเลสไปก่อนแล้วได้ทำบุญมาแล้วแต่ก่อนเก่า คือเคยชำระกิเลสมาได้แล้ว การแปลบาลีของอาตมาไม่ได้แปลตามพยัญชนะไวยกรณ์ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์.. แต่อาตมาแปลตามสภาวะที่อาตมามี เป็นคนที่ได้กำจัดกิเลสเสร็จแล้วจึงทำจักร 4 ได้สำเร็จ เป็นคนที่อยู่ในที่ที่เหมาะสม คบหาสัตบุรุษเพื่อรู้จักอัตตาแล้วกำจัดอัตตาจริง จนมีวิมุต ถึงจะมาอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมดังนี้
เมื่อเป็นผู้ที่เป็นอย่างนั้นแล้วก็มาต่อภูมิ เป็นปัญญาวุฑฒิ 4
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
รู้จักคบหาสัตบุรุษแล้วก็มานั่งฟังธรรมที่เป็นโลกุตระ ฟังไม่ง่ายแต่ก็มีคนมานั่งฟัง มีกันมาสมบูรณ์ดี คุณก็ฟังไปพลางก็ทำใจในใจไปด้วย ฟังธรรมจึงได้ธรรมะด้วย มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการพร้อม นี่คือธัมมานุธัมมปฏิปัตติ การฟังธรรมก็ได้ปฏิบัติธรรม การอยู่ในนี้ก็ได้ปฏิบัติธรรม ทำงานอาชีพก็ได้ปฏิบัติธรรม ทำกรรมการงานต่างๆก็ได้ปฏิบัติธรรม มีสัมมากัมมันตะ ได้ลดละวิสาสะ พูดก็ได้ลดละมิจฉา 4 แม้แต่จะนึกคิดอยู่นี่ ลองถามตัวเองที่นึกคิดกันตลอดเวลา เรามีความนึกความคิด เราได้รู้สึกว่าเราได้อ่านจิตตัวเอง ในความคิดนึกว่าเราได้ทำสังกัปปะ 7 บ้างไหม
อ่านจิตว่าตอนนี้เรามีกิเลสเกิดเราได้ทำให้กิเลสลดลง มีสังกัปปะ 7 ละมิจฉา 3 กามพยาบาท สูงไปเป็นอนาคามีก็ละ วิหิงสา ที่เป็นอุทธัมภาคียะสังโยชน์ หรือบรรลุอรหันต์แล้วก็จะรู้
อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเรามาอย่างมีอิสระเสรีภาพ ไม่มีใครมาบังคับหลอกลวง หรือประเหลาะให้มา มาแล้วจะได้อย่างโน้นอย่างนี้ อย่างมาเป็นสมณะอาตมาบอกว่ามาบวชนี่มาตายนะ ไม่ได้มาพาเป็นคนเอาเปรียบเอารัดนะ มาที่นี่จะเป็นคนเสียเปรียบพูดตรงๆบอกชัดเจน มาที่นี่ถ้าไม่ขยันงอมืองอเท้าขี้เกียจเขาไม่ให้อยู่นะ ที่นี่เขาเหล่กันจริง ใครมาอยู่แล้วเลี่ยงไปมาก็จะถูกเหล่ แม้แต่พวกเราเจ็บป่วยก็ขี้เกรงใจก็ต้องคอยดู ส่วนคนขี้เกียจ เขาก็จะรู้ชัดเจน คนที่ถึงเป็นคนเจริญเป็นคนถูกคัดเลือกมา คนภูมิต่ำๆไม่เข้ามาหรอก มาที่นี่โดนว่าก็จะไปแล้ว ถ้ารู้ว่าคนไหนถูกว่าคือเขาช่วยเราคนนั้นรู้แล้วก็จะอยู่ที่นี่ต่อไป นิคคัณเหนิคหารหัง ปัคคัณเหปัคคัณหารหัง
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน พ่อครูเชียร์ใครขึ้นอยู่กับอะไร
คุณใหม่เสมอ พวกเราหลายคนไม่อยากให้พ่อครู เชียร์ พลเอกประยุทธ์ ขนาดนี้ เป็นห่วงว่าเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเชียร์คุณทักษิณ ชินวัตร
พ่อครูว่า...อาตมาเคยเชียร์ทักษิณ แต่เชียร์ไม่นาน เขาก็แสดงตัวออกมา อาตมาก็ถล่ม ทุกวันนี้ถล่มหนัก ถ้าคุณประยุทธ์ต่อไปทำเสียอาตมาก็ถล่มเหมือนกัน อาตมานิคคัณเหนิคหารหัง ปัคคัณเหปัคคัณหารหัง ชมคนที่ควรชม ติคนที่ควรตำหนิ แล้วทุกวันนี้คนที่ควรจะชมมีมากหรือน้อยก็มีน้อย แล้วจะให้ทำอย่างไรมันเลี่ยงไม่ออก แต่คนที่ต้องตำหนินั้นมีมาก เห็นใจหน่อย ขันจอหว่อนะ
อาตมาก็ชมตามจริงตามเวลา อาตมายึดถือปัจจุบัน แต่ไม่ต้องกลัวหากอนาคตพล.อ.ประยุทธ์ขบถก็ต้องว่าต้องติ แต่เขาทำดี เป็นนายกคนที่ทำงานเข้าตาประชาชนก็เลยต้องชม ทำงานมา 5 ปีแล้วเขาก็บ่นว่ามันเหนื่อยมันหนัก จะทำได้ดีขนาดนี้นะ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
แล้วคุณทักษิณเขาทำดีไม่นานเขาก็แสดงตัวว่าไม่ดี
จริงๆแล้วอาตมาว่าเมืองไทยนี่ไม่ชอบเชียร์คน ชอบแต่ด่าคน ไม่ต้องเอาใคร อาตมายังไม่เชียร์เลย อาตมาเป็นคนดีนะ ทำไมไม่กล้าเสียคนดี ยิ่งคนที่มีฐานะทางสังคมมาเชียร์คนก็จะเอาด้วยตามเข้าใจตาม แต่นี่ไม่ทำ อาตมามั่นใจว่าพลเอกประยุทธ์ดีอาตมาก็เชียร์ อย่าห้ามเลย
พ่อครู อาตมายึดถือปัจจุบัน อาตมาไม่กลัวหรอกถ้าในอนาคต พลเอกประยุทธ์จะขบถ ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ปัจจุบันนี้ เขาดีอยู่ แล้วอาตมาก็มั่นใจมากหน่อยว่าท่านจะยั่งยืนคงทน คนอื่นอาจจะกลัว แต่คุณจะไม่ให้เกียรติใครเลยหรือว่าคนๆนี้น่าจะยั่งยืนคงทนในความดี คุณจะไม่ให้เกียรติใครแล้วคุณจะไปหวังกับใครได้สักคนล่ะ อาตมาก็เอาปัจจุบันที่อาตมาสบายใจ ถ้าเขากบฏเมื่อไหร่อาตมาก็ไม่เอาด้วยแน่ อาตมาจะโง่ทำไม อาตมาก็เห็นอย่างที่คุณเห็น เขาขบถอาตมาก็ไม่เอา อาตมาไม่ใช่คนที่หลงบ้ายึดมั่นถือมั่นชนิดที่ไม่รู้จัก“กรรม” ไม่รู้จัก“กาล”
แรกๆ คุณทักษิณ อาตมาก็เชียร์ พอเขาขบถอาตมาก็กระหน่ำเขาเหมือนกัน อาตมาจะไปไว้ท่าทำไม ว่าแต่ก่อนเคยเชียร์เขา แล้วเดี๋ยวนี้มาถล่ม ก็เขาเปลี่ยนไป อาตมาก็ต้องเปลี่ยนด้วยตามสัจจะที่เป็นจริง คุณทำดีๆๆๆๆอยู่อาตมาก็เชียร์ๆๆๆ คุณทำเสีย เป็นขบถเมื่อไหร่อาตมาก็ถล่มคุณแหละ
คุณใหม่เสมอ พ่อครูเชียร์ท่านประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นไหมว่าลูกๆชาวอโศกต้องสนับสนุนตาม
พ่อครู ควรนะ เพราะอาตมาว่าลึกๆของคนไทยไม่ชอบเชียร์คนดี แต่ชอบด่าคนชั่ว และบางคนไปเลือกคนชั่ว นี่ก็โง่ซ้อน คนไทยไม่เหมือนคนต่างประเทศที่เขาเชียร์คนดี คนไทยจึงขาดการสนับสนุนคนดี อาตมาจึงพยายามเชียร์ให้มากเพราะมันขาด มันน้อย อาตมาก็เติมสิ่งที่ขาดให้แก่สังคม อาตมาผิดตรงไหน
อาตมาชัดเจน อาตมาแม่นยำว่าอันนี้ควรเชียร์ ก็เชียร์ เมื่อควรติอาตมาก็ติ อาตมาไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่ามันจะถาวร อาตมายืนยันอยู่ในฐานปัจจุบันมากสุด ตอนนี้ถ้าเขาดีอาตมาก็เชียร์ ถ้าเขาเสียอาตมาก็ตำหนิ อาตมาจะไว้หน้าตัวเองทำไม เราต้องไว้หน้าสัจจะ เขาเปลี่ยนไปแล้ว ก็ตามสัจจะเลย ใครจะว่า แต่ก่อนเชียร์ทำไมตอนนี้มาถล่ม ก็เขาไม่เหมือนเดิมก็ต้องถล่มซิ อาตมาจะเสียอะไร แต่คุณเข้าใจไม่ได้เพราะไปยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าเชียร์ใครแล้วว่าต้องเชียร์ให้ตลอดซิ อาตมาไม่ใช่คนแบบนั้น อาตมาเอาปัจจุบันเป็นหลัก นายกฯตู่ปัจจุบันยังเชียร์ได้อยู่ แต่อนาคต เฮ้ย...คุณกบฏแล้ว ชัดเจนแล้ว แน่นะ เราก็ถล่มเขาได้ เว้นแต่ถ้าเขาเป็นแค่เพียง“ขาแพลง”ชั่วคราว เราต้องระมัดระวังตรงนั้น ถ้าเขาแค่ขาแพลงก็อย่าเพิ่งถล่มก่อน เพราะซ่อมได้ แต่ถ้าเขาขบถจริงเราก็ต้องเปลี่ยน อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
คุณใหม่เสมอ มีโครงการล่าสุดที่สร้างความฮือฮา คือการช่วยเหลือของคณะรัฐมนตรีผ่านทางบัตรสวัสดิการหรือบัตรคนจนที่จัดงบก้อนโตให้ประชาชน กลุ่มนี้คนละ 500 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ และช่วยเหลือผู้สูงอายุในการเข้ารับการรักษาพยาบาล เป็นต้น
พ่อครู เหนือชั้นกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค พลเอกประยุทธ์ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องดี ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้อยู่ในสถานะที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องช่วยประชาชน ส่วนคนร่ำรวยที่เอาเปรียบเอารัด จะไปช่วยทำไม นี่เขาก็กำลังจะออกกฎหมายขูดภาษีจากคนรวยๆมากๆมาใช้กับโครงการเหล่านี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารบ้านเมืองไม่ผิดหรอก อาตมาเห็นด้วยกับโครงการนี้
ถามจริงๆ คนจนเขาอยากจนมั้ย เขาอยากมีสมรรถภาพความสามารถมากมั้ย เขาอยากแน่นอน แต่เขาเป็นได้แค่นั้น ทั้งโอกาสทั้งสมรรถนะที่เขาอยากฉลาด อยากมีความสามารถแต่เขาได้แค่นั้น คนเรามีข้อจำกัดของแต่ละคนจริงๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อตอนนี้เขาเป็นอย่างนี้ คือเขายังจน และถ้าอาตมามีหน้าที่สร้างเศรษฐกิจให้ดีก็ต้องเฉลี่ยทรัพยากรให้มีทั่วถึงกัน นี่เป็นหลักประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ก็ใช้หลักอันนี้แหละ ยกเว้นหลักของเผด็จการที่มุ่งจะกอบโกยเป็นของกูให้มากที่สุด แต่ประชาธิปไตยหรือ คอมมิวนิสต์ก็ตาม ใช้หลักเดียวกันคือพยายามเฉลี่ยให้เสมอภาคมากที่สุด เป็นหลักเกณฑ์สากล
คุณใหม่เสมอ แต่ใช้งบประมาณตั้งแปดหมื่นล้านบาท บางคนว่าการช่วยอย่างนี้ไม่ยั่งยืน เพราะหลังจากนั้น ประชาชนก็จะขอเงินเพิ่มอีกๆๆ
พ่อครู ก็รัฐจะแชร์ได้เท่าไหร่ก็แชร์ไปสิ ก็ของส่วนกลางจะกักจะตุนไว้ทำไม ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าไปพูดว่ายั่งยืนไม่ยั่งยืน รัฐต้องสะพัดไปตามควร การพัฒนาประเทศนั้นเขาต้องสะพัดเงินออกมา ไม่กักตุนไว้ คนที่ไม่แชร์ออกมาจากกองกลาง กักตุนไว้ก็คือคนทำงานไม่เป็น เป็นคนกักตุน การกักตุนคือ การทำลายเศรษฐกิจ นี่คือ เศรษฐศาสตร์ขั้นอนุบาล
ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เงินที่เอามาใส่ลิ้นชักไว้เฉยๆ มันก็ไม่มีราคา ไม่ว่าจะเป็นเงินกี่ล้านก็ตาม มันเท่ากับเศษกระดาษ แต่ถ้ามันเดินสะพัดเป็นธนบัตรจะมีราคา เกิดค่าขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้น จึงต้องสะพัดให้ได้อย่างถูกต้องอย่างดี รัฐบาลเขาทำถูกแล้วตามหลักเศรษฐกิจ นี่เป็นเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเลย เคลื่อนที่เมื่อใดเมื่อนั้นแหละเกิดการสะพัด กระดาษเปล่าที่กำหนดค่าไว้ก็มีค่าตามนั้นทันที แล้วคุณจะไปกักตุน แช่นิ่งไว้ทำไม
ข้อสำคัญคุณต้องแชร์ให้ถูกต้องและให้คนที่ควรให้ คนที่ไม่ควรให้ คุณก็อย่าไปให้เขา ถ้าให้คนที่ถูกต้องแล้วตามหลักบริหารสามัญ มันผิดอะไร คนจนเขาก็ได้รับบริการ ได้รับความช่วยเหลือก็เป็นวิธีการบริหารที่ถูกต้องแล้ว
คุณใหม่เสมอ ท่านนายกฯบอกว่าอย่ามองเป็นการโฆษณาหาเสียง งานนี้ได้ประชุมมาเป็นปีแล้ว แต่มันมาบรรจบลงช่วงนี้พอดี
พ่อครู ก็ถูกต้องแล้ว ไม่ได้หาเสียง แต่คุณไปมองในแง่ของการหาเสียงเอง จริงๆแล้วถ้าเขาหาเสียงที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง เราควรให้เสียงไหม ที่ว่าเขาหาเสียงก็คือคำพูด แต่ที่เขาทำอย่า งนี้คือการกระทำที่ควร ทีนี้การกระทำนี้ถูกต้องไหม และเขาควรได้เสียงมั้ยล่ะ ไปว่าเขาหาเสียง ไม่ต้องหามันได้เองก็ถูกต้อง คุณทำไม่ได้คุณริษยาเขาหรือ คุณไปหาเสียงไปซื้อคน แต่เขาไปให้คนจนที่ควร ไม่ใช่ไปซื้อเขาไว้ ใครหาเสียงมากกว่ากัน
คุณซื้อคนมาเป็นพรรคพวก กับคนนี้เอาไปแจกคนจนคนที่ควรได้ ใครถูกต้องกว่ากัน แจกคนยากจนถูกกว่าแน่ใช่ไหม เขาทำถูกแล้วแต่คุณเข้าใจไม่ได้ แล้วไปเชื่อคำโฆษณาตามความคิดของเขา คุณก็ไม่ฉลาด คุณถูกครอบงำทางความคิด เช่น เขาโฆษณาว่าพวกเขาเป็นประชาธิปไตย ๆ ทั้งๆที่เขาเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างว่า ประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้ง ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย นั่นมันตื้นที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(สามอาชีพกู้ชาติ) ตอน ทำไมสามอาชีพจึงสามารถกู้ชาติได้
คุณใหม่เสมอ สิ่งที่พ่อครูได้พยายามต่อสู้เรื่อง 3 อาชีพกู้ชาติหรือสร้างชาติ ได้แก่ ปุ๋ยสะอาด กสิกรรมธรรมชาติและขยะวิทยา ณ ตอนนี้มีแนวโน้มในทางที่ดี มีคนว่ากสิกรรมไร้สารพิษจะเป็นทางออกของประเทศไทยและเป็นการช่วยประชาชนให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วย
พ่อครู คำว่าปุ๋ยสะอาดก็มีคนเข้าใจมากขึ้น แต่ก่อนมีแต่ปุ๋ยเคมี เดี๋ยวนี้กระเตื้องขึ้นเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม จึงต้องเอาจุดเด่นจุดเอกของเราเป็นตัวสาระของประเทศ เราไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม เราทำแค่พออาศัยพอเป็นไป เราไม่ต้องเด่นทางนั้นตามที่ในหลวง ร. 9 ตรัสไว้ เราก็เอากสิกรรมของเราให้เป็นหนึ่ง ให้เป็นของดีราคาถูก ปริมาณมาก เกื้อกูล ขายถูก เรียกว่าแย่งตลาดโลกเลย ที่จริงไม่แย่งหรอก มันเป็นไปตามสัจธรรมเพราะของเรามากต้องรีบระบายออกรีบขายถูกให้คนได้เอาไปบริโภค จะปล่อยให้เน่าอยู่ทำไม ต้องเร่งทำ เขาก็ได้ของดีราคาถูกไปกินไปใช้ สิ่งเหล่านี้แหละที่เมืองไทยโชคดีมาก ไม่มีอะไรสำคัญเท่าอาหารเพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นการผลิตอาหาร ปุ๋ยสะอาดกับกสิกรรมธรรมชาติก็คืออาหาร
คุณใหม่เสมอ ขณะนี้ทางราชการให้ความสำคัญเกี่ยวกับกสิกรรมไร้สารพิษถึงขั้นประกาศว่าอำเภอบางแห่ง และบางจังหวัดให้เป็นพื้นที่กสิกรรมไร้สารพิษ
พ่อครู ถูกต้อง ดีมาก สนับสนุน 100% ให้คะแนนเต็ม แต่ละบวรของชาวอโศกนั้นมีผักไร้สารพิษ อาตมาว่าครบทุกหน่วย และได้สะพัดกระจายไปภาคต่างๆได้ครบ ผลิตให้เยอะ ให้เราพอกินพอใช้ พอเหลือก็กระจายออกไปที่ต่างๆ
คุณใหม่เสมอ สิ่งนี้สู้กับประเทศอุตสาหกรรมได้ไหม
พ่อครู ไม่สู้ เราแค่ทำจุดเด่นของเรา เราจะไปสู้กับอุตสาหกรรมเขาทำไม เราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว พวกเขาต้องพึ่งกสิกรรมที่เราเด่น เราไม่ต้องสู้ แต่เราจะช่วยเขาเพราะเขาต้องมาพึ่งเรา เราอาศัยใช้เทคโนโลยีของเขาบ้าง เรารู้ว่าสู้เขาในเรื่องนั้นไม่ได้หรอก เราไม่สู้ แต่เราจะเกื้อกูลเขาช่วยเหลือเขาในส่วนที่เราเด่น แล้วเราก็มีอาหารคือปัจจัยของชีวิต อุตสาหกรรมทำเครื่องใช้แม้แต่อาวุธยุทธภัณฑ์ เราไม่แคร์หรอก ส่วนช้อนจานชาม ไม่มีของต่างประเทศมาเราก็สร้างมาใช้เองได้เป็นปัจจัยสำคัญ รถราเราไม่มีเราก็ทำเกวียนขึ้นมาใช้ก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องยนต์กลไกบ้าง ทุกวันนี้ก็มีความรู้กันแล้ว เมืองไทยเราก็มีความรู้ทางสร้างเครื่องยนต์กลไก วิศวะต่างๆ พออาศัยได้อยู่ ไม่จำเป็นต้องวิเศษวิเสโส ขณะนี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้วไม่ต้องไปข่มเบ่งแย่งตลาดเขา ที่แข่งกันทุกวันนี้ก็เพื่อจะรวย จะหาคนมาอุดหนุนสินค้าเรา แล้วเราจะรวย มันก็เท่านั้น แม้เราทำได้ดีแล้วแต่ไม่รวยก็ได้สะพัดมาให้คนได้อาศัยดำรงชีวิตตามความจำเป็นได้พอเหมาะพอดีแล้ว จะต้องไปเก่งไปโก้ไปรวยกว่าเขาทำไม
ถ้าข้าวราคาแพงนี่คนตายนะ แต่อุตสาหกรรมราคาแพงก็ไม่ทำให้คนตาย แต่มันทำให้คนมีเสียเยอะ มักง่าย ใจร้อน และฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแต่ กสิกรรมนี้สร้างมาไม่ทำให้คนเสียหายแต่อย่างใด
พระพุทธเจ้าสอนคนให้รู้จักตัวเองให้เป็นคนอาริยะเป็นคนศรีวิไลซ์ เจริญสูงก็เป็นอาริยบุคคลเป็นโลกุตระบุคคลที่แท้จริง ถึงจะช่วยโลกช่วยสังคมได้ มันไม่แปลกเลยที่คนจนจะช่วยมนุษยชาติ ส่วนคนรวยนั้นไม่ได้ช่วยมนุษยชาติหรอก ขอยืนยัน พูดสั้นๆลัดๆ คนรวยไม่ได้ช่วยมนุษยชาติ ยิ่งรวยก็ยิ่งหาทางเอาเปรียบกอบโกย เหมือนอย่าง CP ตัวเอง ดูดเอาๆแล้วมาอ้างว่าต้องทำอย่างนี้ๆ
ถ้าเผื่อว่า มีความเข้าใจอย่างนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง ตนเองฉลาดอย่างหัวหน้า CP นี่ก็ตาม ก็แจกงานแจกอะไร ตัวเองก็ไม่ต้องรวย เป็นคนจน แต่ให้ผู้บริหารเข้าใจอย่างนี้ทุกคนที่เป็นนักบริหารอย่ารวย ให้คนที่อยู่ชั้นล่างรวย นั่นคือนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง จะเป็นเจ้าของกิจการเจ้าของโรงงานเจ้าของบริษัทอะไรก็แล้วแต่ สร้างแล้วให้ตนเองเป็นคนจน ตนเองลดลง แจกให้แก่คนชั้นล่างแก่ลูกน้องให้คนชั้นล่างได้รับมากๆ ส่วนคนที่มีกินมีอยู่พอแล้วก็ทำตนเองให้เป็นคนมีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนชั้นสูง ไม่ใช่คนที่มี อวรรณะ 6
1. เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
2. บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
3. มักมาก (มหัปปิจฉะ)
4. ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
5. เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
อาตมาเกิดมาในชาตินี้ภาคภูมิใจที่นำเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้คนปฏิบัติจนเป็นโลกุตระบุคคล มีผู้ที่ยังไม่กล้าเปิดเผยแต่เห็นดีเห็นงามแล้วปฏิบัติตามก็มีอีกเยอะ เพราะอาตมาเป็นคนที่สังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว เขาจะมาพูดว่าทำตามอาตมานั้นไม่ได้ เพราะถูกสังคมไทยที่เป็นสังคมซวย ประกาศเอาไว้แล้วว่าคนดีคนถูกต้องเป็นคนไม่ดี แล้วประกาศว่าตัวเองที่เป็นคนไม่ดีเป็นคนดี มันเป็นอย่างนั้นจริง ตนเองจะล่าลาภยศสรรเสริญ เป็นพราหมณ์มหาศาล ทุกวันนี้เขาก็เป็นพระมหาศาลกันอยู่แล้ว เขาก็ถูกด่าโดยไม่รู้ น่าได้ น่ามีน่าเป็น พวกวิปลาส 4 เป็นผู้เห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความไม่มีตัวตนว่าเป็นตน เห็นสิ่งที่ไม่น่ามีว่าน่ามี เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี ก็ครบครันเลยใน 4 วิปลาส
จึงกลายเป็นคนทิฏฐิ สัญญา จิตวิปลาส
สมณะฟ้าไท...สรุปจบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:11:03 )
รายละเอียด
620127_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศาสนาพุทธพ้นจากความเห็นสุดโต่งในอันตคาหิกทิฏฐิ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/17gTlKcVsPHAvcObUMIirTtLuvoTHhlvlP25nJpIglwU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1qvXO62F6CtHKTgC4fn0BpvOZrG0lDAE5
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำเดือนยี่ปีจอ ตอนนี้ถ้าเราดูข่าวก็จะมีแต่เรื่องหาเสียงเขาหาเสียงประมาณเดือนเศษก็ได้มาเป็นส.ส.เป็นตัวแทนประชาชนเป็นรัฐมนตรีมาดูแลความเป็นอยู่ของพวกเรา มาบอกเราแค่เดือนกว่าๆมันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นว่าจะได้ทำอะไรที่เป็นการเสียสละเพื่อประชาชน พวกเขาเข้าไปแล้วทำไม่ดีเราก็ต้องปวดหัวเมื่อยที่จะไปไล่รัฐบาลที่ไม่ดีอีก
คนที่เป็นนักการเมืองคือผู้ที่ทำงานเสียสละเพื่อประชาชนได้บุคคลที่เราเห็นว่าท่านได้เสียสละเพื่อประชาชนมาตลอดก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพ เป็นตัวอย่างนักการเมืองที่เสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
พ่อครูว่า...ฟ้าไทพูดถึงเรื่องการเมืองหรือเรื่องธรรมะ การเมืองก็ดีเรื่องธรรมะก็ดีมันก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องของมนุษย์ พูดแล้วก็พูดอีกพูดซ้ำอยู่นั่นแหละ ถ้าการเมืองคนจะไปทำงานการเมืองมันไม่มีธรรมะแล้วมันจะเป็นการเมืองที่ดีได้อย่างไรพูดกันแล้วพูดกันอีกก็เข้าใจชัดเจน เพราะฉะนั้นคนที่แสดงพูดว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองคนนี้นั้นพูดอย่างง่ายเห็นแก่ตัว ทั้งเป็นคนโง่และเห็นแก่ตัว กูจะทำชั่วก็ปล่อยให้กูทำชั่ว เห็นแก่ตัวที่จะเป็นคนโง่ โง่ในการทำชั่วคนอื่นจะช่วยไม่ให้ทำชั่วก็โง่บอกว่าอย่ามาช่วยกู เป็นความโง่ยกกำลัง ความชั่วก็ยกกำลัง คนพวกนี้ ตัวเองมีกะจิตกะใจจะไปช่วยว่าอย่าชั่วมากกว่านี้ ดันทุรังเตือน เขาจะห้ามจะไม่ใยดีจะไม่สนใจก็ช่างเถอะ ปิดปากไม่อยู่ รับรอง
นักการเมืองต้องทำให้เกิดธรรมะจึงเป็นนักการเมืองที่ดี นอกจากคุณไม่อยากเป็นนักการเมือง จะอยากเป็นนักตะกละตะกลาม หรือว่าทำเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงชีพตนได้ อย่างร่ำรวย โกงก็จะเอา เป็นแหล่งหาเงินก้อนโตในประเทศ มีทั้งอำนาจมีทั้งทรัพย์สินที่จะต้องจัดการ เพราะฉะนั้นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม ไปอย่างนี้ อย่างน้อยก็กินตามน้ำไป ดีไม่ดีกินทวนน้ำอีก คนเรามีกิเลสเห็นแก่ตัว ไม่เคยกลัวความชั่วความดี
สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน ข้อบ่งชี้อีกข้อของความเสื่อมของพุทธ
เดี๋ยวอ่านคอลัมน์คุณกาแฟดำ สุทธิชัยหยุ่น Title ว่าความเป็นอมตะของหลวงพ่อคูณ
งานพิธีพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่พระเทพวิทยาคม หรือ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ” เป็นกรณีพิเศษ เป็นโอกาสที่ได้รำลึกถึงความเป็นอัจฉริยะของท่าน(พ่อครูว่า..ชื่อของหลวงพ่อคูณเขาก็มองว่าเป็นอัจฉริยะอย่างหนึ่งแต่ไม่ใช่อาริยะ)
ภาพนี้ผมกับคุณสุภาพ คลี่ขจาย มีโอกาสสัมภาษณ์หลวงพ่อคูณเป็นพิเศษเมื่อ 23 ปีก่อนที่วัดบ้านไร่ เป็นการสนทนาธรรมที่ยังได้สาระด้วยภาษาธรรมดาๆ
แม้จะออกอากาศในรายการ “Nation News Talk” มานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนถามหาอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ล่าสุดผมเข้าไปเช็กใน YouTube มีคนมาดูกว่า 2 ล้าน views แล้ว ท่านผู้ใดสนใจยังสามารถเข้าไปชมได้เสมอ เพราะคำสอนของท่านเป็นอมตะ คนยุคไหนสมัยใดก็สามารถจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ (พ่อครูว่า...คนในโลกเขาจะดูเรื่องอย่างนี้ หลวงพ่อคูณมีเจตนาให้คนรับประโยชน์ คนก็จะได้รับประโยชน์อย่างนั้น สนใจต้องการได้นิยมชมชื่นแบบหลวงพ่อคูณ มันหมายถึงอะไร
มันหมายถึงความเป็นคนทุกวันนี้จะเอาแต่อย่างนี้ แต่อย่างที่อาตมาให้นี้ไม่เอา ไม่สน นี่มันเป็นเรื่องของ พีนอมินอล status quo เห็นปัจจุบันว่าเป็นอย่างนี้อยู่ ว่า คนเรายากมากที่จะให้หลุดออกมาจากเดรัจฉานวิชา หลวงพ่อคูณไม่มีอะไรเลยนอกจากเดรัจฉานวิชาในชีวิตทั้งชีวิต เป็นเรื่องนอกรีตของศาสนาพุทธ 100% เอาอะไรมาเป็นตัวที่ทำให้คนนิยม สละสิ่งที่ได้มา ให้เป็นประโยชน์ต่อคนนั้นคนนี้ หลวงพ่อคูณก็อาศัยกินใช้เลี้ยงชีพ ในสิ่งที่ตัวเองได้รายได้ผ่านมาจากการบริจาคการซื้อพระเครื่อง อะไรเยอะมากเลย แล้วหลวงพ่อคูณก็บริหารเงินเหล่านี้ด้วยวิธีการบริจาค ปริมาณเยอะมันได้เยอะ เพราะว่าคนโง่มันเยอะ หลงใหลได้ปลื้มอย่างนี้ก็เอาเงินมาซื้อแท่งพวกนี้ ขายจนกระทั่งราคาเป็นแสน เอาขี้หมาทาสีมาเป็นก้อน ขออภัยที่อาตมาพูดสัจจะความจริง อาตมาไม่ได้เกรงใจ ไม่ไว้หน้าใครด้วย พูดสัจธรรมเพื่อทำให้มันชัดเจน เพราะว่ามันเสียเวลาไม่มีเวลาที่จะไปแนะนำแล้วก็ต้องต่อจิ๊กซอไปจนกว่าจะถึงเรื่องให้มันราบรื่นหน่อย มันต้องจับคอตีเข่าเลย จึงรู้สึกรุนแรง
ขออภัยนะศาสนาพุทธเสื่อมจนคนนิยมชมชื่นแบบนี้ พูดก็พูดอีกขออภัยอย่างมาก อย่างที่อาตมาพูดมันเป็นโลกุตรธรรมเป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ แต่คนไม่เอา แล้วจะไปเอาอย่างนั้น อาตมาจึงเหลือใจจริงๆ มันเกินจะพูดเกินจะทำอะไรเกินจะบรรยายสุดจะบรรยาย หรือจะแสดงออกมา เหลือใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาให้เกิดสะดุดหรือฉุกคิดว่า ถ้าไม่งมงายจนกระทั่งไม่โงหัวขนาดนั้น
อย่าว่าแต่หลงเดรัจฉานวิชาเลย ในระดับสมาธิก็งมงายในสมาธินั่งหลับตา แล้วไปนั่งสมาธิกัน เป็นของทิ้งที่พระพุทธเจ้าอุบัติพุทธศาสนาขึ้นมา ท่านก็จัดการเลย ท่านตีทิ้งนั่งหลับตา พระไตรปิฎกเล่ม 9 ตั้งแต่พระสูตรแรก ก็บอกไว้เลย ทั้ง 13 สูตรในล.9 รวมทั้งปัจจัยเนื้อหาสาระและอื่นๆจนครบ
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เหลือเค้าเดิมเลย บริหารกันอย่างไสยศาสตร์อันไม่มีในยุคพระพุทธเจ้าเลยเอามาใส่ในศาสนาพุทธ ในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มีจารีตประเพณีขนาดนี้ที่เอามาปรุงแต่งกันเป็นจารีตและพิธีกรรม ให้สังเกตดูว่าวิธีการในศาสนาพุทธ กระแสหลักกับชาวอโศกเทียบกันดู อย่างกับก้นเหวกับฟากฟ้าเลย เราก็มีพิธีกรรมอยู่ในกรอบขอบเขตที่ไม่ได้เสียเวลาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
ถามที่เขาเป็นอยู่ไม่ได้ขึ้นมาอยู่ขอบเขตของศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระเลยมันเป็นโลกียะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วโลกียธรรมควรจะดีกว่านี้ พวกเราก็มีโลกียธรรม น่าสังเวชใจอย่างมากเลย อาตมาเกิดมาในยุคนี้ ก็มาพยายามนำเอาธรรมะ วันนี้ไม่พูดแล้วเรื่องการเมือง ขอพูดถึงเรื่องธรรมะลึกๆ ธรรมที่แรงและหนัก
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน อันตคาหิกทิฏฐิ 10
อาตมาจะพูดถึงเรื่องของอันตคาหิกทิฏฐิ 10 พูดชื่อนี้คนก็กุมขมับแล้ว
อันตะคือ สุดโต่ง มีคนที่ยึดถือความสุดโต่ง10 ประเด็น
แบ่งสามหมวดได้ คือโลก อัตตา ความเป็นสัตว์
ความเป็นสัตว์ความมีชีวะที่อยู่ในโลกยังไม่ตาย
เข้าใจว่าสัตว์ตายไปแล้วยังมีอยู่ก็คือสุดโต่ง สัตว์ตายแล้วไม่มีอยู่ก็คือสุดโต่ง สัตว์ตายแล้วมีอยู่และไม่มีอยู่ก็สุดโต่งไปอีกอย่างหนึ่ง
ตายแล้วจะมีอยู่ก็ไม่ใช่จะไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ก็อีกอย่าง
มีมุมที่คนยึดถือต่างกัน
ความเป็นโลกนั้น ยึดถือว่าโลกนั้นเที่ยง ยึดถือว่าโลกนั้นไม่เที่ยง ยึดถือว่าโลกนั้นมีที่สุด ยึดถือว่าโลกนั้นไม่มีที่สุด ก็อีก 4 มุม
ส่วนอัตตากับสรีระ อัตตาก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น เหมือนกัน
ส่วนโลก นั้น โลกเที่ยงโลกไม่เที่ยงโลกมีที่สุดโลกไม่มีที่สุด
อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง — the ten erroneous extremist views) คือเห็นว่า
1. โลกเที่ยง (The world is eternal.)
2. โลกไม่เที่ยง (The world is not eternal.)
3. โลกมีที่สุด (The world is finite.)
4. โลกไม่มีที่สุด (The world is infinite.)
5. ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น (The soul and the body are identical.)
6. ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง (The soul is one thing and the body is another.)
7. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก (The Tathagata is after death.)
8. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก (The Tathagata is not after death.)
9. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็ใช่ ไม่เป็นอีก ก็ใช่ (The Tathagata both is and is not after death.)
10. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็มิใช่ ย่อมไม่เป็นอีก ก็มิใช่ (The Tathagata neither is nor is not after death.)
ศาสนาพุทธมีการเรียนรู้เรื่อง rebirth ศาสนาอื่นไม่มีการเรียนรู้เรื่องนี้ ศาสนาอื่นตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า นอกจากพระเจ้าจะให้ใครลงนรกก็อีกเรื่องหนึ่ง ส่วนสัตว์อนาคตนั้นมีหลายนัยยะ แต่แล้วก็ยังมีอยู่ได้แล้วย่อมไม่มีอยู่ ตายแล้วมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ ก็ไม่ใช่
ก็เลยแยกกันไป มาเรียนรู้กับความเป็นสัตว์ ก็คือเรียนรู้สัตว์โอปปาติกะ เพราะความเป็นสัตว์ที่เป็นร่างกายมีสรีระนั้นไม่ยาก การตายหรือไม่ตายทางสรีระนั้นใครก็รู้ มันง่ายไม่ต้องไปเรียนหมอ ไม่ต้องไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาก็รู้ ใครตายก็รู้แล้ว คนที่สลบแต่ยังไม่ตายก็อาจจะแยกลำบากหน่อย แต่ถ้าเรารู้ว่าสลบก็ยังมีลมหายใจนะ แต่ถ้าตายแล้วไม่มีลมหายใจเลยมันก็รู้ได้ไม่ยาก
ผู้ที่เรียนรู้จักทำให้สัตว์โอปปาติกตายเรียบร้อยตั้งแต่สรีระร่างกายเรายังไม่ตาย ทำให้จิตวิญญาณนั้นตายได้แล้ว จะให้เกิดก็ได้เป็นอมตะบุคคล ไม่ใช่อมตะแบบหลวงพ่อคูณ อันนั้นอม-ตะ ไม่ใช่อมตะ
เป็นผู้ที่อยู่เหนือความเกิดความตาย อยู่ในมูลสูตรข้อที่ 9 ตายก็ได้ไม่ตายก็ได้ ตายแล้วจะให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หรือจะตายจะไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ อย่างอาตมานี้ อาตมาเป็นอมตะบุคคลแล้ว อาตมาสบายใจมากที่ได้เปิดเผยไปแล้ว ไม่ต้องมังกุ อุทธัจจะเก้อเขินอะไร อาตมาเป็นแล้วก็พูดโดยซื่อจริงใจ
เพราะต้องเกิดต่อไปอีกเพราะว่าตั้งปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต ตอนนี้ก็เป็นโพธิสัตว์ ระดับ 7
อาตมา รู้วิธีที่จะตายอย่างนั้นได้ แต่ยังไม่อยากตายตอนนี้ เกิดมาหลายล้านชาติแล้วลงทุนไปเยอะแล้วไม่ถอย
อยู่ที่เรียนรู้ความเป็นสัตว์แล้วก็ทำให้สัตว์ตายได้จนสนิท พระอรหันต์สามารถทำให้สัตว์โอปปาติกะตายได้ ทั้งสรีระทั้งชีวะทั้งความเป็นอัตภาพ สมรรถภาพหมดเลยไม่เหลือ แยกธาตุเป็นอุตุธาตุ พีชธาตุ เจตนาแยกธาตุให้เป็นอุตุธาตุไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าเหมือนพวงมะม่วงที่ตกมาแล้วแตกกระจายพวงมะม่วงนั้นก็จะไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ อาจจะมีที่ติดอยู่กับขั้วไม่แตกกระจายไปหมด แต่นอกนั้น 10 ลูก 20 ลูกแตกกระจายไปหมด มันก็จะไม่รวมมาให้เป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วอย่างนี้เป็นต้น ดั่งปรินิพพานเป็นปริโยสานดับความเป็นโลกความเป็นอัตตาความเป็นสัตว์ได้หมดเลย
โลก ถ้าจะพูดถึงโลกวัตถุก็คือ โลกลูกที่เป็นวัตถุ เป็นโลหะธาตุไม่ใช่ ดาวบางดวง ชีวะเกิดไม่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม โลกลูกใดที่เหมาะสมให้เกิดชีวะได้ พ้นจากพีชนิยามมาเป็นสัตว์จิตนิยาม ก็เริ่มต้นเป็นอัตตา พืชมันก็ยึดตามสัญญาสังขารปรุงแต่ง
ส่วนสัตว์มีขันธ์ 5 ครบ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ศาสนาพระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้โลก อัตตาความเป็นสัตว์ จนมีพลังงานสามารถละลายอัตตาจนกลายเป็นอุตุนิยาม ส่วนของโลกไป แม้จะมีเศษของพีชนิยามก็เติมตัวเป็นจิตนิยามไม่ได้อีกแล้ว
ผู้ใดที่เรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์แล้วก็ล้างจิตวิญญาณ จิตเจตสิกต่างๆให้หมดความสุขหมดความทุกข์ได้ ผู้นั้นจะอยู่เหนือโลก เหนืออัตตา เหนือความเป็นสัตว์ มีความเฉลียวฉลาดมีภูมิธรรมมีปัญญา
ปัญญานี้เป็นคำที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียว แต่ศาสนาอื่นก็เอาไปใช้ จนกลายเป็นความหมายถึงความฉลาดทั่วไปซึ่งผิด ปัญญานี้ใช้ความเฉลียวฉลาดที่ผิด แต่ก็ไปห้ามเขาไม่ได้ เราไม่สามารถบัญญัติคำอื่นที่ดีกว่าปัญญาได้
ปัญญาคือความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่เป็นสิ่งวิเศษ ที่คนไม่สามารถรู้ได้ง่ายๆ จะเกิดปัญญาได้จะต้องมี อัญญธาตุ ยังไม่มีใครมาอธิบายรายละเอียดของธรรมะตรงนี้ ศาสนาของพระพุทธเจ้ายืนยาวมา 2500 กว่าปี ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 2607 ปี แล้ว
ศาสนาอื่นสอนความดีความชั่ว ศาสนาพุทธก็ถือว่าต้องทำดีเป็นเรื่องสามัญ พยายามพากเพียรให้ดี ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หรอก ปราชญ์คนอื่นในโลกก็รู้ได้ มันไม่เที่ยงหรอกในยุคนี้สมมุติอย่างนี้ ประเทศนี้สมมติอย่างนี้
สุข ทุกข์ ยิ่งใหญ่มาก เป็นความยึดถือที่ผิด เป็นการอุปาทานหลงไปในเรื่องลมๆแล้งๆแล้วเอามาแย่ง แย่งสุขกัน สุขในการได้ลาภยศสรรเสริญ ได้รับอำนาจบาตรใหญ่ ได้คำสรรเสริญเยินยอ สุขในการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็หลงว่าเป็นสุข เพราะฉะนั้นมันจึงเป็น อัตตาหมดเลย เป็นการยึดถือตัวตน
อัตตาตัวเราต้องการกาม ไม่มีตัวตนก็ไปอยากได้กามคุณ 5 ไม่ได้ อยากได้โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รวมทั้งหมดก็คือ กาม ได้ภายนอกแล้วสั่งสมเป็นภายใน
พระพุทธเจ้าถึงมาสอนให้ล้างข้างนอกออกหมดก่อน การล้างภายนอกออกหมด แล้วก็ไม่ได้หนีจากการสัมผัสภายนอก ศาสนาพุทธนั้นอยู่เหนือไม่ได้อยู่หนี จะมีความแรงหนักหนาสาหัสอย่างไรเราก็อยู่เหนือ ทำอะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถสร้างความหวั่นไหวในจิตของเราได้ เห็นโลกทั้งโลก อะไรก็แล้วแต่ ก็คือสิ่งที่คนปั้นแต่งขึ้นมา มันไม่ทำให้เราประหลาดอะไร ไม่ได้เห็นจะต้องน่าได้น่ามีน่าเป็น อะไรที่เราควรได้ควรมีคนเป็น อะไรที่เราไม่ควรได้ควรมิควรเป็นจะไปหอบมาทำไมเสียเวลา เสียแรงงานเสียทุนรอน มีเท่านี้ก็สบายแล้ว ถ้าหากร่างกายเรามีน้อยแค่นี้ก็แข็งแรงอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง อยู่กันอย่างสะดวกสบายดี แล้วจะไปหอบมาทำไม ที่จะต้องมาดูแลรักษาป้องกัน กลัวไฟไหม้ กลัวตกน้ำ กลัวโจรปล้น
สิ่งเหล่านี้มันรวมทั้งโลกเลยที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และก็เพราะอัตตาตัวเองโง่ ไม่ได้เรียนรู้อัตตาจนตีแตก ว่าคนเรามันไปมีอุปาทานตัณหา ก็ล้างอุปาทานตัณหาหมด ก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง อยู่สัมพันธ์กันไปอย่างพอเหมาะพอควร อยู่กันอาศัยกันไปในชีวิต
อาตมาทำงานมาจะ 50 ปีแล้ว ทำมาตั้งแต่พ.ศ. 2513 ตอนนี้ปี พ.ศ. 2562 ประมาณ 49 ปีแล้ว ไม่ใช่น้อยแล้ว มีพวกเราที่เข้าใจสัจธรรมของโลกเข้าใจอัตตาความเป็นสัตว์ พวกเรายังมีความเป็นสัตว์ เป็นพรหมสัตว์ เป็นเทวะสัตว์ ไม่เป็นสัตว์นรกไม่เป็นมาร ไม่เป็นสัตว์ชั้นต่ำ
เทวะ แปลว่าความเจริญความสูง
อาตมาเขียนไว้ตอนกลางคืน
เทวะ คำนี้ ในสามัญสำนึกของคนทั้งหลาย หมายเข้าไปถึงความเป็นเทพ หรือความเป็นเทวดา หรือพระเจ้า เทพเจ้า ไม่ได้อยู่ตื้นเขินเพียงความเป็นคน แต่จะหมายถึงนามธรรมขั้นจิตวิญญาณทีเดียว คำว่าเทวนี้จึงยิ่งใหญ่นิรันดร์กาล โดยเฉพาะความเป็นมนุษย์
ในห้วงแห่งความหมายเหมือนของคนทั่วไป คำว่าเทวซึ่งหมายถึงความเจริญความดีงามความสูงส่งหมายถึงสัตว์สวรรค์ ไม่ว่าในชาวโลกีย์หรือชาวโลกุตระ ก็จะมีนัยยะเบื้องต้นดังกล่าว เทพหรือเทวะนี้
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับคำว่า บาป หรือผี หรือ หมายถึงสัตว์ชั่วสัตว์นรกอะไรพวกนี้
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับคำประชดประชันที่บอกว่าเป็นคนขั้นเทพ ภาษาซึ่งเละเทะไปหมดเลย
อาตมาเองรู้สึกว่า จริงๆแล้วในโลกยังหมุนเวียนอยู่ในความเป็นมนุษย์ มีคำว่าเทวยิ่งใหญ่ครองโลก มีแต่ศาสนาพุทธตีแตกในเรื่องความเป็นเทว ที่เป็นสภาวะคู่ เทวะแปลว่าสอง สิ่งที่ตีไม่แตก 2 นี้ก็จะอยู่นิรันดร ศาสนาพระพุทธเจ้าตีแตก 2 ทำให้เป็นหนึ่งได้ และไม่เกิด คุณอยู่โสดจริงๆ อยู่เดี่ยว ไม่เกิดเลยคุณทำเกิดไม่ได้ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็แล้วแต่เป็นหญิงเดี่ยวชายเดี่ยวตายไม่ต้องเกิดได้ ศาสนาพุทธทำให้เป็นหนึ่งได้และทำให้เป็น 0 ได้ นี่คือความยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะฉะนั้น ทำให้เกิดความเป็นศูนย์และเป็นศูนย์ที่นิรันดรได้ ไม่มีการเวียนกลับมาอีก ไม่วนเวียนกลับมามี อัตภาพหรืออาตมันได้อีก ส่วนเทวนิยมนั้นปรมาตมันหรืออาตมันนิรันดร
ศาสนาพุทธทำให้ 0 ได้ อาตมาทำให้สูญได้แต่อาตมายังไม่สูญจะอยู่ไปอีก คุณตามให้ไปตลอดก็แล้วกันอีกกี่ชาติก็ไม่รู้ ถ้ายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็ยังไม่สูญ จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็บอกเหมือนบอกอานนท์เราจะตายแล้ว พระอานนท์ก็บอกว่าตายยังไม่ได้พระเจ้าข้า แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราปลงอายุสังขารแล้ว เราทำนิมิตให้เธอทักท้วงถึง 16 ครั้ง แต่เธอก็ไม่ทักท้วงเลย หมู่สงฆ์ก็เลยปรับอาบัติ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นิยาม 5 อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ นี้ก็สุดยอดแล้ว นักวิทยาศาสตร์ทางไบโอโลจี Epistemology ขนาดไหนก็แล้วแต่ ก็ไม่สามารถรู้เท่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าให้เอาเรื่องสุขเรื่องทุกข์มาศึกษามันเป็นเรื่องที่จุดชนวน คนเรามันวิ่งหาสุขอย่างเดียว แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป สุขมันไม่มี มันเป็นของหลอก เป็นอัลลิกะ ของอุปาทานว่ามี การเกิดขึ้นตั้งอยู่จึงเป็นทุกข์ หากสูญซะ หรือรับกระทบในโลกคุณก็สามารถ มีวสวัตตี มีอำนาจจิตที่ไม่ให้เกิดการหวั่นไหวในการกระทบ คือนิ่งกลางไม่มีอันตา ไม่มีปลายในอันตคาหิกทิฏฐิ
อันตา แปลว่าปลาย ฝ่าย ไม่ไปหาฝ่ายไหนเลย กระทบอย่างไรก็กลาง แข็งแรงอยู่อย่างนั้น เป็นผู้ที่ไม่มีโศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส
ผู้ที่เรียนรู้มีวิชาในปฏิจจสมุปบาท ได้เรียนรู้ สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะเวทนา ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ จึงเป็นผู้พ้น โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส
พวกเราได้คบ รู้จักอาตมามาบางคน 40 กว่าปี ที่สูงสุด นอกนั้น 30 10 20 ไม่ถึง 10 บางคนที่พบอาตมายังไม่ถึง 10 ปียกมือขึ้นซิ แม้จะไม่ถึง 10 ปีก็ตาม เท่าที่อาตมาสอนศาสนามาเกือบ 50 ปี เคยเห็นอาตมา โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ไหม ...ไม่เคย
อาตมาอาจจะไป นั่งโศกเศร้าอยู่ในห้องน้ำก็ได้นะ..
ในหลวง มีข่าวว่าทรงรำพึงอยู่ที่ศิริราช ...ว่า เราไปทำอะไรให้เขา เขาถึงมาว่า
ฟังแล้วมันเศร้าใจจริง คนทำไมมืดบอดจนกระทั่งไม่รู้อะไร ในหลวงท่านแสดงรูปธรรมและชัดมาก ในสิ่งที่สุดประเสริฐตลอดพระชนม์ชีพ เป็นผู้ที่ไม่มีตัวตน ทำงานรับใช้มวลชนมาตลอด การเมืองและธรรมะอันเดียวกันตลอด พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) สุดยอด
ส่วนอาตมาคนมองไม่ออกว่าเสียสละเพื่อสังคม อาตมาเป็นราษฎรเป็นคนติดดิน เป็นคนคลุกขี้เลย คืออาตมาไม่ได้นึกว่า อาตมาทำสิ่งที่คนเขาไม่แสดงออก สามัญสํานึก ว่าอันนี้มันแรงมากไป แต่อาตมาไม่ถึงหยาบ แต่แรงไม่ไว้หน้า ไม่มีมารยาท อาตมาแสดงอย่างนั้นจริง เพราะว่าไม่ต้องการที่จะปกป้องความบริสุทธิ์สะอาดให้เข้าใจอย่างนั้นอย่างเดียว อาตมาเป็นสุดNude สุดเปลือย ไม่มีอะไรปิดบังเลยต้องการอย่างนั้นจริงๆไม่รู้ใครจะเข้าใจความหมายที่อาตมาหมายถึง อย่างจริงใจ แต่อาตมาหมายถึงอย่างนั้นจริง
เพื่อความง่ายไม่มีอะไรแอบแฝงมัวหมองเลยสะอาดง่ายชัดทุกอย่างเลย เจตนาของอาตมาเป็นอย่างไร แต่คนไม่เข้าใจหาว่าอาตมาพูดอย่างไม่มีมารยาท พูดไม่อ้อมค้อมพูดตรงเกินไป พูดอย่างเปลือกเปลือยทำให้ง่ายแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจกันอีก ไม่รู้จะทำอย่างไร
_คุณใบฟ้าถามมา
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ
“ อันตคาหิกทิฎฐิ 10” ดิฉันเข้าใจแบบนี้กราบขอความถูกต้องด้วยค่ะ
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ
“ อันตคาหิกทิฎฐิ 10” ดิฉันเข้าใจแบบนี้กราบขอความถูกต้องด้วยค่ะ
1. โลกเที่ยง = โลกนิโรธ
2. โลกไม่เที่ยง = โลกสมุทัย
3. โลกมีที่สุด = ปริโยสาน
4. โลกไม่มีที่สุด = สันตติ (โพธิสัตว์)
5. อัตตาอันนั้น สรีระก็อันนั้น = อุตุ พีชะ นิยาม
6. อัตตาก็อย่าง สรีระก็อย่าง = จิต - กรรม - ธรรมะ นิยาม
7. สัตว์ตายแล้ว ยังมีอยู่ = โสดา - สกทาคามี ภูมิ
8. สัตว์ตายแล้ว ย่อมไม่มีอยู่ = ภูมิ อรหันต์
9. สัตว์ตายแล้ว ทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ = อนาคามี ภูมิ
10. สัตว์ตายแล้ว จะมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ = โพธิสัตวภูมิ(สิริมหามายา)
กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้า
ใบฟ้า นาวาบุญนิยม (พฤ. 24 มกราคม 2562 12.20 น.)
SMS วันที่ 25 มกราคม 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู)
พันธุ์ พอเพียง · มีเรือไม้ยาว 4 เมตร จะมอบให้บ้านราชครับ อยู่ผักไห่อยุธยา ถ้ารถบวรไหนผ่านช่วยมารับด้วยครับ โทร 081 839 0423 ลุงเฮง ครับ
นพดล ทองโคตร · ข้าฯ น้อย เห็นชอบขอรับขอเชียร์ลุงตู่เป็นนายกที่ดีกว่าคนอื่นๆที้เคยเป็นมา. ขอรับ
มาสู่อันตคาหิกทิฏฐิ 10 แม้ยากก็ต้องอธิบาย
อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง
1. โลกเที่ยง = โลกนิโรธ พ่อครูว่า อันนี้ก็ยังไม่น่าจะได้ แต่ที่จริงอธิบายเป็นก็ถูกหมด คำว่าเที่ยงคือนิรันดร แต่คุณใบฟ้าบอกว่าคือโลกนิโรธ ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็คือโลกนิโรธเที่ยงแล้วก็ถูกต้องพระอรหันต์ขึ้นไปดับความวนของโลกได้แล้ว โลกความวนคือโลกียธรรม โลกธรรม ที่เป็นอรหันต์แล้วโลกธรรมโลกียธรรมก็มีอยู่เป็นธรรมดา ตราบเท่าที่มีสัตว์โลกเกิดมาเป็น อเวไนยสัตว์ก่อนก็มีอวิชชาก่อนทั้งนั้น หลงอยู่ภายใต้อำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุขทั้งนั้น ความวนของโลกมันก็เที่ยงแต่มันไม่นิโรธ
หากจะบอกว่าโลกเที่ยงคือโลกนิโรธก็ได้หากเป็นพระอรหันต์ จะบอกว่าไม่เที่ยงก็ได้
2. โลกไม่เที่ยง = โลกสมุทัย พ่อครูว่า...คล้ายกับโลกเที่ยงคือโลกนิโรธ แต่โลกไม่เที่ยงก็คือโลกสมุทัย มีเหตุอยู่ต้องดับเหตุจึงจะทำให้เกิดความเที่ยง ก็เข้าใจได้ คุณต้องดับสมุทัยหมดจึงมีโลกนิโรธ
3. โลกมีที่สุด = ปริโยสาน พ่อครูว่า..คือทำให้โลกนี้มีที่สุด ไม่หมุนไม่เวียนวน เป็นที่สุด ปริโยสานแปลว่าที่สุดมันก็ใช่ โลกมีที่สุดคือปริโยสานสำหรับพระอรหันต์ แต่ในโลกที่เป็นโลกิยะธรรมดามันก็ไม่มีที่สิ้นสุด
4. โลกไม่มีที่สุด = สันตติ (โพธิสัตว์) พ่อครูว่า...เป็นโพธิสัตว์รู้จักสันตติ รู้จักจุดต่อ สันตติหมายถึงที่ที่จะเชื่อมต่อ จะต่อหรือไม่ต่อโพธิสัตว์สามารถต่อก็ได้ไม่ต่อก็ได้ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าโลกไม่มีที่สิ้นสุด มีจุดสันตติ และคนที่มีจิตวิญญาณที่ทำได้จะต่อก็ได้ หรือจะมีที่สุดก็ได้ไม่ต่อก็ได้ ไม่สันตติ จะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หากจะเอาตายตัวนั้นไม่ได้ อยู่ที่เข้าใจเพราะฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าตัวเราเองเป็นผู้ตัดสินเอง
5. อัตตาอันนั้น สรีระก็อันนั้น = อุตุ พีชะ นิยาม พ่อครูว่า….อันนี้อธิบายได้ยากกว่าอันก่อนๆมาก อัตตากับสรีระแยกกันไม่ได้ เมื่อเกิดมาเป็นจิตวิญญาณ สรีระมันไม่มีความเป็นอัตตาหรอก
สรีระคนตายมันไม่เหลืออัตตา หรืออย่างเก่งมีจิตยึดมั่นถือมั่น ตายแล้วไม่เน่าก็เลยเกิดพีชธาตุไม่ยอมตาย ยังยึดพลังงานไว้เป็นตัวตน เหลือพลังงานในโมเมนตัม
มนุษย์พืชเขาให้ท่ออาหารเข้าไปแม้ว่าไม่มีจิตวิญญาณรับรู้ไม่มีเวทนาแล้วแต่มันมีสัญญา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เหมือนโยมรจนา ถูกรถชน หัวใจยังเต้นอยู่แต่ว่าไม่มีจิตวิญญาณแล้ว
พ่อครูว่า...หากว่าจิตวิญญาณไม่มี co-efficient พุ่งขึ้นมาให้เป็นจิตวิญญาณได้แล้ว ก็ให้อาหารกับสังขารสรีระนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัยก็ตาย
สรีระ จริงๆเป็นธาตุภายนอก เป็นดินน้ำไฟลม มารวมกันกับอัตตา พีชะไม่เป็นจิตวิญญาณ พีชะเป็นพลังงานระดับพีชะเท่านั้น เรียกอัตตาไม่ได้ แต่ว่าสัตว์โลกมันมีอัตตานะ การแยกกายแยกจิต ต้องมาเรียนรู้กรรมฐานแรกของภิกษุ
พระพุทธเจ้าให้พิจารณากรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผมขนเล็บฟันก็ภายนอก หนังก็มีส่วนภายนอก ที่มันไม่รับรู้สึกได้ต่อเนื่องกับความรู้สึกได้ สามชั้น
การแยกกายแยกจิตนี้จึงยากมาก หากใครแยกได้ จะรู้จักการตายการเกิดที่ลึกซึ้ง
เล็บคน...เล็บมันมีส่วนที่เราตัดออกจากที่มันยาวออกมาแล้ว ผมก็เช่นกัน มันไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกอะไร นั่นเรียกว่าไม่ใช่กายของเราเด็ดขาดเลย เพราะมันไม่มีจิตร่วมเลย
ทีนี้ กายส่วนที่ไม่ได้ตัดออกไป แต่มันพ้นประสาทของเราแล้ว อันนี้ก็ไม่ใช่กายแล้วแต่มันมีชีวะ เป็นพีชนิยาม ที่ตัดออกไปก็หมดชีวะ เป็นอุตุ เปื่อยเน่าเป็นดินน้ำไฟลมไป มันไม่มีอาหารเลี้ยงแล้วก็จะเป็นดินน้ำไฟลมไป
ส่วนที่ยังอยู่กับร่างกายเรายังมีธาตุรู้ยังมีวิญญาณร่วม กายต้องมีจิตวิญญาณร่วม ถ้าไม่มีก็ไม่ถือว่าเป็นกาย
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า กายนั่นคือจิต มโน วิญญาณ แต่ทุกวันนี้ในภาษาไทยกายหมายถึงเพียงร่างกาย สรีระ
คำว่าบุญ คำว่ากาย คำว่าสมาธิ ทุกวันนี้ในศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว
กาย เป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิบัติที่จะอธิบายต่อ ความหมายของคำสำคัญที่ผิด ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมมี 37 เขารวมหมวดอีก 9 คือบุคคล 8+นิพพาน1
แต่โลกุตระที่เราจะเรียนรู้มี 37 ตั้งแต่เริ่มต้นข้อแรกคือกายในกาย
กายก็เนื่องไปเป็นเวทนา หากแยกรูปนามไม่ออก จากรูปนามเชื่อมต่อมาเป็นความรู้สึกหรือเวทนาเข้าใจเหตุปัจจัยมันไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถเรียนรู้ไปจนถึงตัณหาอุปาทานแล้วดับตัวเหตุตัวใหญ่นี้ คุณก็ไม่มีทางปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมหลับตาไม่มีผัสสะไม่เกิดเวทนา โมฆะจากศาสนาพุทธเลย คุณไม่มีกายให้ปฏิบัติ กายต้องมีภายนอกจากภายนอกเป็นกาย กายเป็นเทวะ ธรรมะ 2
พระอรหันต์สัมผัสแล้วไม่เกิดปัญหาไม่เกิดอุปทาน เวทนาก็มีแต่เวทนาแท้
ต้องแยก เนกขัมมะกับเคหสิตะ เวทนา แล้วจะทำใจในใจของตนเองให้ออกจากกิเลสเป็นเนกขัมมะได้อย่างไร ต้องกำจัดแต่เคหสิตะ ไม่ใช่ไปกำจัดจิตทั้งหมดเลย จิตใจเป็นของดีแต่ไปทำลายมันได้อย่างไร
เจโตปริยญาณ 16 สราคะ สโทสะ สโมหะ ทำให้ลดได้เป็น วีตราคะ วีตโมหะ วีตโทสะ คุณทำได้ในจริตของคุณเป็นเจโตเป็นสังขิตตจิต ส่วนปัญญาเป็นวิกขิตตจิต แต่ละจริตก็ต้องรู้ตัวเองจะให้ไปในทางใดทางหนึ่ง เจโตจะกดข่มแรงก็แน่นไปตีไม่แตกสักทีดึงไม่ออกสักที ก็ต้องเปลี่ยนแปลง จนเอาตัวเหตุออกได้
ได้ดีก็เรียก มหัคตะ ทำไม่ได้ก็อมหคตะ
ให้เจริญต่อไปได้ สอุตรจิต
ทำได้เจริญสูงสุดเป็นอนุตรังจิตตัง
สมาธิสมบูรณ์ คือสมาหิตะ ไม่สมบูรณ์ อสมาหิตะ
ทำได้หลุดพ้นหมดเป็นวิมุติ ทำไม่ได้เป็นอวิมุติ
_อาอู๊ดถามว่า...เจโตกับปัญญา จะต้องไปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะเอารวมกันได้
พ่อครูว่า...ได้รวมกันได้ อย่างดีด้วย ผสมผสานดี คุณต้องใส่สีเทา แต่ถ้าใส่ถุงมือข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งขาวนั้นร่วมกันไม่ได้ มันต้องรวมกันให้ได้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องใส่สีเทาทั้งคู่ มันตลกใส่ถุงมือข้างหนึ่งขาวข้างหนึ่งดำ
เจโตปริยญาณ 16 เข้าใจไม่ยาก
กายในกาย ทุกอย่างก็ปฏิบัติกายในกายไปตลอดเวทนาในเวทนาไปตลอด กายนั้นเน้นภายนอกแต่ไม่ขาดภายใน
เวทนาก็ไม่ขาดภายนอก เวทนาต้องมีผัสสะต้องมีกาย ผัสสะ 6 ทวารร่วมกัน 5 ทวารนอกรวมกับทวารใน ทำงานร่วมกันตลอดเวลา
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน อุปาทายรูป 24 นาม 5
ที่นี้มาอธิบายอุปาทายรูป 24 พอมาถึง ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ก็เป็น 10 แต่เวลาทำงานแล้วพอกระทบสัมผัสเป็นภาวรูปเหลือ 9 แล้วมันหายไปไหน 1
เพราะว่าตาหูจมูกลิ้นกาย เวลาคุณจะสัมผัสก็มีใจร่วมด้วยทั้งหมด เมื่อสัมผัสแล้วเสร็จ กายนี่ก็คือใจ ใจก็คือกาย สัมผัสนอกสัมผัสในก็คืออันเดียวกัน กายเลยแหว่งไปครึ่งหนึ่ง กายเป็นทั้งภายนอกทั้งภายใน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นทั้งภายนอกทั้งภายในก็รวมเป็นหนึ่ง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตัวกายก็นับเอาใจด้วย อันเดียวกัน ก็เลยเหลือ 9
หากคุณเป็นคนตาย คุณมีแต่กายไม่มีใจ คุณก็เหลือแต่ร่างภายนอก 5 ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก ใจไม่มี แต่ถ้าคุณไม่เอาภายนอกเลย คุณเหลือแต่ใจ ภายนอกไม่รับรู้เลย ก็เป็น 9 อยู่
ไม่ต้องอธิบายภาษามาก พวกเราก็ทำได้อยู่ แต่โดยพยัญชนะภาษา เอามาอธิบายให้ชัดเจนครบครันเท่านั้นเอง
ในอุปาทยรูป พระพุทธเจ้าตรัสถึง รูปมี 28 นามมี 5
เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ในการปฏิบัติไม่ต้องไปท่องพระอภิธรรมเจตสิก 89 52 จำก็ยากตายชัก พระพุทธเจ้าให้มาใส่ใจในรูปที่ 28 ส่วนพวกรู้พยัญชนะเก่ง แต่ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าได้เนื้อแล้วไปเอาสลากมาแปะก็สบาย
รูป 28 กับนาม 5 นี้สำคัญ
ไม่ใช่ นามหมายถึงเจตสิก 52 89 ไม่ได้ พวกนั้นเมาหมัด ถ้าคุณปฏิบัติรูป 28 นี้ไม่ได้ไม่มีทางบรรลุ
รูป 28 หมายถึงโลก กับอัตตารวมกันแล้วเป็นสัตว์โลกในนี้ ตามอันตคาหิกทิฏฐิไม่โต่งไม่แยกไปทางใดทางหนึ่ง ต้องมาสังเคราะห์สังขารกันในนี้
เริ่มต้น มหาภูตรูป 4
คนก็เริ่มต้นต้งแต่ปสาทรูป 5 คือที่มีระบบประสาททำงานได้ที่ ตาหูจมูกลิ้นกายโคจรรูป 4 คือมันออกไปทำงาน โคจรไปสัมผัสจึงจะเกิดภาวะรูป 2
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายครบ 5 เช่นคนตาบอดเป็นต้น ก็ไม่สามารถรู้ครบ
รูปนี้ มันครบกว่าทุกอย่าง เสียง กลิ่น รสก็เรียกว่ารูป คือเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้แล้ว หูไปสัมผัสเสียงก็คือเรียกว่ารูป ไปสัมผัสกลิ่น รส ก็เรียกว่ารูป
เมื่อปสาทรูป โคจรรูปทำงานก็เป็นภาวะ
ภาวะ จะมี 2 เสมอ อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ คนไม่ได้แยกอิตถีภาวะกับปุริสภาวะออกแล้วทำ อิตภีภาวะให้เป็นปุริสภาวะ ทำให้เป็นหนึ่งได้ก็หมดสุขหมดทุกข์ สัมผัสก็ไม่มีเวทนาเก๊เกิด ไม่มีอะไรมาร่วมปรุงให้เกิดเวทนาเก๊ มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริง
ถึงต้องปฏิบัติที่ภาวะรูป 2 จับอาการให้ได้ที่ หทยรูป ไม่ได้อยู่ที่สมองไม่ได้อยู่ที่หน้าไม่ดีอยู่ที่หัวใจสูบฉีดโลหิต ไม่ได้อยู่ที่กระเพาะไม่ได้อยู่ที่ปลายเท้า อยู่ที่กำหนดความรู้สึกตรงไหนได้ เวลามันผัสสะ แล้วรับรู้ความรู้สึกภายใน ตากระทบรูปก็รู้ที่ตา กระทบกลิ่นก็ได้กลิ่น หทยรูป จึงบอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน มันเกิดอาการรับรู้ความรู้สึกที่ตรงนั้นก็คือ หทยรูป ไม่มีสถานที่ไม่มีที่กำหนด แต่อยู่ในองคาพยพ อยู่ในคูหาสยังของเรา แล้วต้องมีปสาทรูปด้วยประสาทต้องทำงาน หากประสาทไม่ทำงานก็เป็นมนุษย์พืช
การปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะภายนอกก็โมฆะ
หลับตามีประโยชน์ 4 อย่าง
1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
ศาสนาพุทธไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ พระอรหันต์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ ดับสุขดับทุกข์ได้ เทวนิยมนี้อยากได้ความสุข แล้วถือว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของความสุข แล้วเป็นเจ้าของตลอดด้วย ถ้าเกิดว่าคนใดคนหนึ่งเกิดทุกข์ขึ้นมาก็ถือว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่พระเจ้าสู้ซาตานไม่ได้ ซาตานจะแทรกแซงมาให้คนเป็นทุกข์ ซาตานมันเก่งกว่าพระเจ้าเหนือกว่าอำนาจพระเจ้าทำให้คนเป็นทุกด้าน ส่วนของศาสนาพุทธนั้นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตัวเองทำเองทั้งนั้นอย่าไปโยนขี้หมาใส่พระเจ้า ความสุขความทุกข์อะไรก็พระเจ้า พระเจ้าอะไรจะมาใจร้ายขนาดนั้นทำให้คนทุกข์ ศาสนาพุทธถึงชัดเจนที่สุดเลยว่า ไม่ต้องพระเจ้าหรอก กรรมการกระทำของตัวเราเองทั้งสิ้น
1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
ต้องแก้ที่ตัวเราเอง ศาสนาพุทธแก้กรรมของตัวเอง ทำกรรมให้บริสุทธิ์อย่าเป็นอกุศลเลย เมื่อไม่ทำกรรมอกุศลเลยก็ไม่มีบาปก็จบ แข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลงด้วย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
มีวสวัตตี มีอำนาจเหนือจิตเราแข็งแรงจัดการจิตใจเราเองได้ จบในตัว เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องรบกวนพระเจ้า และไม่ต้องอาศัยอำนาจพระเจ้า
สูงกว่าพระเจ้าที่ต้องการแต่สุข ติดสุข แต่สู้ซาตานไม่ได้เพราะยังจะต้องเกิดความทุกข์อยู่ ขออภัยที่เปรียบเทียบกับศาสนาเทวนิยม ศาสนาพุทธทำลายซาตานผีมารชั่วได้หมดเลย
จากที่เราตรัสรู้แล้วจะไม่มีวิบากใหม่เกิดอีกเลย วิบากบาป เหมือนหมาไล่เนื้อที่จะวิ่งตามมา ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วทำแต่กุศลอย่างเดียวจนวิบากบาปไล่ตามมาไม่ทัน
บุญไม่ขยันเท่าหมาป่า แต่บาปนี้ขยันไล่ล่า ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะขยันกว่าลูกหนี้เสมอ
ศาสนาพุทธหมดทุกข์หมดทุกเรื่องขายความความเป็นเทวะ มีแต่ความเป็นเทวะจนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เทวนิยมไม่หมดสุขหมดทุกข์ได้จึงเป็นภาวะคู่ ยังไม่มีอิสระเสรีภาพยังมีภาวะคู่ตลอดกาล เรื่องความสุขความทุกข์จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธนั้นหมดทุกข์หมดทุกข์โดยอิสระลอยตัว และยิ่งจะรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ในโลกกรรมอันใดที่เกิดความทุกข์นั้นไม่ทำเลยกรรมอันใดที่เกิดความสุขนั้นก็เข้าใจและอยู่เหนือได้ด้วย ไม่เกิดสุขไม่เกิดทุกข์ได้ เพราะเมื่อเกิดความสุขก็ต้องเกิดความสุข ไม่มีใครอยากจะเอาความทุกข์แต่มันเป็นเทวะมันขาดกันไม่ได้มีสุขก็ต้องมีทุกข์ เมื่อเราดับสุขดับทุกข์ได้ก็ไม่มีภาวะคู่ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธจึงเข้าใจเทะวเข้าใจพระเจ้า ว่าคนที่ยังตกอยู่ในอำนาจพระเจ้าก็ต้องเชื่อพระเจ้าเพราะพระเจ้าสอนให้มีความดีความสุขก็ดี แต่ว่าศาสนาพุทธดีก็ทุกข์ได้ชั่วก็ทุกข์ได้ มันเกี่ยวกันนะ เพราะมันโง่เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึง 1. หยุดความโง่เลยความดีก็ทำแต่ความชั่วไม่ทำ 2. ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขเลย อยู่เหนือทุกข์เหนือสุขดับเหตุแห่งทุกข์ เราจัดการกรรมของเราเอง
สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง โอวาทปาติโมกข์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเข้าใจไม่ได้ง่ายๆผู้ที่ทำจริงได้จึงจะชัดเจน แม้แต่ประเด็นที่ว่า สัพพปาปัสสอกรณัง ทำไมไม่สัพพอกุสลาธัมมา ทำไมไม่เอาคู่กับ กุสลสูปสัมปทา
บุญเป็นวันเวย์ บาปก็วันเวย์แต่เอามาเรียก ซินโนนีมไวพจน์กับอกุศลเท่านั้นเอง
บาปหมดบุญก็หมด กรรมที่เหลือก็เป็นแต่กุศล ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาป
คำว่าบุญหากเข้าใจเป็นกุศลก็หมดเลย ไปเข้าใจว่า ที่จริงบุญคืออาวุธร้ายอันหนึ่งฆ่ากิเลส แต่เข้าใจว่าบุญคือขนมอร่อยก็เลยเจ๊งเลย บุญ อาวุธร้าย ฆ่าบาปให้หมด ก็ไม่มีบุญแล้วแต่ไปเข้าใจบุญว่าเป็นขนมปังอร่อย คุณเลยสร้างบุญไม่ถูก สร้างพลังงานจิตไม่เกิดบุญเกิดแต่กุศลเป็นขนมปังอร่อยร่วมกันเป็นโลกียะสร้างแต่กุศล ไม่เป็นโลกุตรธรรมเพราะความเข้าใจคำว่าบุญนั้นผิดด้วยประการฉะนี้ศาสนาพุทธจึงไม่มีเนื้อ โลกุตระ
สมณะฟ้าไท สรุปจบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:11:49 )
รายละเอียด
620128_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 36
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1yFGJ3xqalQXK7vbYOheqqxAwwaDbDJv24M06oYwX8XA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1zMfTlBKDD20pG1de-v0JyFHSierHsNSQ
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
SMS วันที่ 27 ม.ค. 2562 (วิถีอาริยธรรม)
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน โลกุตระย่อมเหนือกว่าโลกียะ
_3867ผู้น้อยเคยเห็นภาพหลวงพ่อคูณ(ขณะ มีชีวิต)วัยชรานั่งรถเข็นช่วยตนเองไม่ ได้โดยมีลูกศิษย์ประคองมือให้จับสายสิญจน์เพื่อปลุกเสกพระเครื่อง!ตอน นั้นสังคมวิพากษ์วิจารณ์วัดที่มีปรศิษย์เหลือบไรปะปน!กระทำไม่เหมาะสม!โยมที่เคยกราบหลวงพ่อคูณสอนด้วย ไม้โขกหัวให้มีชีวิตด้วยสติสมบรูณ์!
พ่อครูว่า….ก็มีคำสอนที่ดี ทำดีอย่าทำชั่วนะ คำสอนพวกนี้เป็นคำสอนที่เป็นของกัลยาณชน ซึ่งต่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้รู้ทุกข์รู้สุขรู้จิตใจรู้กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ไม่ใช่คำสอนที่กว้างรวมหลวมๆ สามัญสำนึกใครก็สอนได้ให้ต้องเป็นอาจารย์ใหญ่ศาสดาก็สอนได้ ซึ่งมันก็มีทั่วไป พระพุทธเจ้าท่านสอนสิ่งที่ไม่เหมือนเขาที่เขาสอนแล้วก็ซ้ำซากปนเปท่านก็สอนสิ่งที่มันพิเศษดีกว่าเหนือกว่าสูงกว่าเป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระ
อาตมาก็จะสอนโลกุตระแล้วก็จะว่าโลกียะ เหมือนมีเชิงลบหลู่ ข่ม แต่ไม่ใช่ เพราะโดยความจริงแล้วมันเป็นความจริงว่าโลกียะมันต้องต่ำกว่าโลกุตระ พูดทีไรมันก็ต้องมีนัยยะที่สูงกว่าเสมอ เพราะโลกุตระนั้นรู้ทั้งโลกียะสามัญรู้แล้วทำตนเองให้เจริญขึ้นสูงขึ้นกว่านั้นแล้วก็ต้องรู้ทฤษฎีที่จะเข้าหาปรมัตถ์ทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม กายกรรมวจีกรรมก็มาจากจิตวิญญาณสั่งให้กายและบัญชีทำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไปแก้ที่ต้นทางที่จิตใจที่ปรมัตถ์ซึ่งมันมีเหตุก็คือกิเลสตัณหาอุปทานอกุศลจิตที่มีโลภโกรธหลงเป็นต้นแล้วก็ลดละตัวนั้น เมื่อลดละได้ก็จะเกิดภูมิปัญญา ผู้ที่สามารถลดกิเลสได้ปัญญาก็จะเกิดโดยธรรมชาติ ได้เพราะอะไร
ปัญญาจะเกิดด้วยธรรมชาติได้เพราะว่าธรรมชาติของธาตุรู้ ถ้ามันเหมือนกับเพชรเหมือนกับกระจกไม่มีอะไรมาบังมันก็จะเห็นไม่ชัด เมื่อเอาที่เป็นความเปื้อนออกมันก็ใสกระจ่างชัดเป็นสิ่งที่ง่ายธรรมดาแต่มันจะเป็นอย่างนั้นมันเป็นปัญญาโดยธรรมชาติเลย เมื่อทำให้กิเลสออกจากจิตจิตใจจึงเป็นธาตุรู้ที่ใสขึ้นกว่าเก่า ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตหลับตาแล้วปัญญาจะเกิดไม่ใช่มันต้องรู้กิเลส ทำลายกิเลสได้
พูดอย่างไรก็จะไปข่ม มันเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเราพูดสิ่งที่สูงกว่าก็เลยเหมือนไปข่มคนที่ไม่สูง คนก็รู้สึกเหมือนถูกข่ม ขออภัย ก็ทำตนให้สูงขึ้นจะได้มาข่มอาตมาไง อาตมาก็จะไม่ถือสาหรอก
_พ่อครูฯเป็นนักบวชชาวมังสวิรัติที่สุขสวัสดิภาพปลอดภัยโลกียะที่โชคดีที่สุดในพุทธสยามที่ไม่มีอำนาจลาภยศสักการะสรรเสริญโลกียะสุข จึงรอดพ้นภัยปรศิษย์เหลือบไรที่ชอบหากินกับผลปย.วัดมิชอบ! ศิษย์แวดล้อมพ่อครูจึงปลอดภัยด้วยจิตอาริยะชนคนพอเพียง!สาธุ
_น้อมอภัย · คุณรจนา ก็เหมือนกบค่ะ กบถูกผ่าทั้งตัว หัวใจก็ยังเต้นอยู่ค่ะ ตอนเรียนวิทย์ อาจารย์ให้ผ่ากบ ดูการทำงานของอวัยวะ หัวใจกบเต้นตลอดทั้งร่างแหลกแล้วค่ะ
_นันท์มนัส · อากาศเย็น พ่อครู ข้างในสวมเสื้อ อุ่นแขนยาว
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตรวจภูมิอาจารย์ที่มีโลกุตระ
_สุชาดา · อโศกอยู่ไกลไปอีกฟากฟ้าหนึ่งที่เค้าตามไปไม่ถึง
พ่อครูว่า...ก็ต้องสอนโลกุตระ แต่คนไม่เข้าใจโลกุตระก็สอนไม่ได้ อย่างเช่นหลวงพ่อคูณไม่ใช่โลกุตระอะไรแต่เป็นพระที่ดีมีคุณสมบัติความเมตตาแต่ไม่มีโลกุตระ ถ้าหากหลวงพ่อคูณรู้โลกุตระจะสอนโลกุตระได้ดีเพราะมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ แต่คนที่มาล้วนแต่มีภูมิโลกียะ มีเดรัจฉานวิชาด้วยเยอะ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ประมาทที่หลวงพ่อคูณจะมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะและลงใหลได้ปลื้มถ้าเป็นสิ่งงมงาย คนเหล่านั้นไม่มีภูมิปัญญา ที่พูดนี้เป็นภาษาวิชาการ อันนี้สูงกว่า อันนี้ต่ำกว่าพูดอย่างชัดๆไม่ได้เกรงใจไม่ได้ไว้หน้า ไม่ได้ไปนึกถึงว่าจะไปกระทบใคร แต่ไขสัจธรรม พูดเนื้อหาสัจธรรมให้ง่าย ใครจะเข้าใจผิดว่าไปดูถูกคนนั้นคนนี้ไปว่าคนนั้นคนนี้ ไปข่ม ดูถูกคนนั้นคนนี้ก็แล้วแต่อาตมาก็ยอมรับให้เขาเข้าใจผิด แต่อาตมาไม่มีจิตตัวนี้ อาตมาพูดการกระทำมันหาคนพูดสัจธรรมโดยที่ไม่ติดในตัวตนบุคคลเราเขาที่เป็นปรมัตถ์พูดแต่สภาวะธรรมตรงๆเอาบัญญัติภาษามาใส่ในสภาวะ อธิบายไป คนฟังอาตมาหัวไม่ถึงพูดง่ายๆ ก็เลยตำหนิและดูถูกอาตมาไป อาตมาบอกแล้วว่าอาตมาเป็นคนไม่มีมารยาทเพราะว่าอาตมามีเวลาไม่มาก ถ้าหากลากสังขารตัวเองไปอีก 151 ปีก็อีกแค่ 60 กว่าปีที่อาตมาจะอยู่ แล้วอาตมาจะทำงานได้แค่ไหนกันเชียว ในขณะที่สิ่งที่มันได้ผิดเพี้ยนมันไม่เจริญมันจะต้องช่วยให้มันถูกต้องขึ้นมาใหม่ใช้เวลา 50 60 ปีแต่ที่เขาทำลายไปเป็นเวลานับพันปี จนไม่เหลือเชื้อของศาสนาพุทธแล้ว ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาโลกียชนธรรมดาแต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ เป็นศาสนาที่มีนิพพานเป็นศาสนาที่พัฒนาจิตวิญญาณเป็นหลักแล้วจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เจริญกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอย่างพร้อมไปช่วยเหนือชั้นด้วย
เช่น การแก้ปัญหาสังคม คุณจะมองไปในแง่เศรษฐศาสตร์ในแง่รัฐศาสตร์ในแง่สังคมศาสตร์ก็ตาม การแก้ปัญหาสังคมพัฒนาแก้ปัญหาสังคมตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นการแก้ปัญหาโดยที่ทฤษฎี นี้คือทฤษฎี พาคนมาจน ทำให้คนมาจนให้ได้จริงๆ นี่เป็นการแก้ปัญหาของอาตมาแก้ปัญหาสังคมเศรษฐกิจแก้ปัญหาการเมือง มันได้หมดเลย
การแก้ปัญหาของอาตมามีจุดสำคัญคือจะต้องมาเป็นคนมีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าหรือตามศาสตร์พระราชารัชกาลที่ 9 ของราชวงศ์จักรีนี่แหละ อาตมาจะไม่แก้ปัญหาด้วยการพาคนไปรวยเด็ดขาด ไม่ได้พูดเล่น และอาตมามั่นใจว่ามีความรู้ด้วย มั่นใจว่าพาคนไปมันแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเมืองสังคมไม่ได้ คนทั่วโลกนี้ ขออภัยเขาจะต้องพยายามให้คนไปรวย
ทำให้คนมาจนมารู้จักความจนอย่ากลัวความจน แล้วมีชีวิตอยู่เป็นคนจนใครมาทำตัวให้เป็นคนจนจนเข้าใจมีปัญญาแล้วไม่ต้องไปแย่งความรวยกับใครเลยคนๆนี้ช่วยปัญหาเศรษฐกิจให้สังคมและประเทศชาติแล้ว แต่ว่าหากอยากจะรวยหาทางเอาเปรียบดีไม่ดีคนดีไม่ดีขึ้นเอาเปรียบมันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม คนที่ไม่มีปัญญามีแต่กิเลสเต็มหน้าเต็มตัวถ้าจะทำไปอย่างนั้นเพราะฉะนั้นต้องลึกซึ้งไปถึงสัจธรรม
จะทำให้สังคมเจริญคนเจริญคืออย่างไร คือต้องทำคนให้มารู้จักความจน อย่าไปกลัวเลยความจน ความจนเป็นความพิเศษความประเสริฐ พระพุทธเจ้าจนหรือรวย ท่านจน
ท่านอยู่ในฐานะของกษัตริย์มีสมบัติพัสถานมีบัลลังก์ แล้วท่านก็มาเปลี่ยนเป็นรองพระบาทก็ไม่ใส่ ดำเนินพระบาทเปล่า ชุดก็เป็นผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านเสแสร้ง หรือท่านทำอย่างไม่เต็มใจ ท่านทำด้วยเต็มใจของท่าน ท่านทำอย่างสบายทำแล้วไม่ได้ฝืนด้วย
พวกเรามาจนสำเร็จและความดีดดิ้นความจะต้องไปแย่งที่เป็นปัญหาสังคมในพวกเรานั้นลด นี่คือการแก้ปัญหาสังคมประเทศแล้ว แต่ว่ามีความขยันสร้างสรรค์ แล้วมีปัญญารู้ด้วยว่าอะไรที่เป็นสิ่งควรสร้าง อะไรควรทำอะไรขึ้นมา อะไรที่ไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนเราไม่ไปทำ ของเป็นพิษภัยด้วยเราก็ไม่ทำ เราก็เอาเวลาทุนรอนแรงงานมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
อาตมาพาทำได้จริง จะบอกว่าไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ก็ไม่ได้ใช้ อาตมาก็ไม่มีจิตที่อยากจะอวดด้วย ไม่มีสาเฐยจิตอยากอวดอ้าง มันไม่มีจิตตัวนี้
จิตเป็นจริงอย่างนั้นก็พูดให้ฟังเขาก็หาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรมอีก
ก็ยืนยันได้ว่าปริมาณอุตส่าห์ทำเป็นสิ่งประเสริฐเหนือมนุษย์เหนือธรรมดามันเป็นได้นะคนสมัยนี้ก็มีได้อาตมาเป็นตัวอย่าง อย่าเดา บอกแล้วเป็นของจริงอย่าไปเดาว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอาริยะนั้นอย่าไปเดาเขาเลย อย่างเช่นหลวงพ่อคูณ บอกว่าเป็นพระอาริยะอย่างนี้ ยังอยู่ในส่วนที่อาตมาไม่เห็นว่าเป็นพระอาริยะเลย ในคำสอนที่หลวงพ่อคูณปฏิบัติ แล้วไปทำเดรัจฉานวิชาทำไม อบายมุขสิ่งที่หยาบ
โลกุตระของพุทธเจ้านั้นรู้ก่อนเลยที่จะพ้นจากสิ่งที่อยากทำเดรัจฉานวิชาเป็นอบายมุขมันมีขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย
อย่าไปเอาพระอรหันต์ที่เคี้ยวหมากปากเปรอะอยู่ เป็นอรหันต์ไม่ได้หรอก จับตามองว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่หรอก มันเป็นสิ่งที่หยาบก็ไม่รู้จะเป็นพระอาริยะได้อย่างไร เพราะเสพติดก็ไม่รู้ว่าตัวเองเสพติดอบายขั้นต่ำ เป็นสิ่งภายนอกขั้นต่ำก็ยังไม่รู้เลยมันน่าอายก็ยังไม่รู้ ถ้าหากปฏิบัติอย่างมีลำดับมันจะมีความอัศจรรย์ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ซึ่งมันสับสน เอาต้นเป็นปลายเอาหัวเดินต่างตีน
อาตมาจะไม่แก้ปัญหาด้วยการพาให้คนไปรวยเด็ดขาด นี่คือการแก้ปัญหาการเมืองเศรษฐกิจสังคมทั้งโลกเลย ถ้าหากประเทศเราพาคนมาจนได้ อย่างที่ในหลวงตรัสว่าเราไม่บริหารประเทศแบบคนรวย เราบริหารประเทศแบบคนจน อาตมาก็เห็นใจเหมือนกันว่าคนเข้าใจไม่ได้ นักบริหารแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกวันนี้ ถ้าไม่กล้าพูดตามในหลวง ว่าจะแก้ปัญหาแบบคนจน แต่ในหลวงท่านเป็นในหลวงแท้ๆท่านยังกล้าพูดเลยต่อหน้าประชากรโลก
เมืองไทยควรเข้าใจประเด็นนี้ก่อนเพราะมันเป็นหัวใจเลยต้องให้แก้ปัญหาแบบคนจน จะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจการเมือง คนเข้าใจแล้วจะไปวุ่นวายทำไม มีแต่จะไปช่วยบ้านเมืองไม่เป็นปัญหาแก่บ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านการบริหาร รัฐบาลที่มาบริหารที่ดีอย่างพลเอกประยุทธ์ก็บริหารดีเราก็ส่งเสริม เราทำการเมือง หรือจะพูดว่าเล่นการเมืองก็ตาม เราก็ส่งเสริมสำหรับคนดี ถ้าหากใครบริหารไม่ดีอย่างเช่นทักษิณกับนอมินีเราก็ออกไปประท้วงเราไล่ไป ไม่ได้ดูดาย เราก็เป็นพลเมืองที่ดีและมีความรู้จากพระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นศาสนาสังคมไม่ใช่ศาสนาป่าเถื่อน ที่ไม่มีประโยชน์ต่อมวลชนแต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
พระพุทธเจ้าสอนเป็นอย่างไร ในหลวงเราก็เป็นโพธิสัตว์ สอนมาตลอด ท่านทรงงาน เป็นตัวอย่างให้ดู รับใช้ประชาชน ติดดิน อดทน เสียสละทุกอย่าง มักน้อยสันโดษเป็นคนมีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 ถูกต้องทุกอย่างเลย
เราก็ต้องพยายามเสริมสร้างสิ่งที่พระพุทธเจ้า สิ่งที่ในหลวงได้ตรัสไว้ทรงงานไว้ มีพระจริยวัตรไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างมาตั้ง 70 พรรษา ในขณะที่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน โลกุตระต้องพ้นความเป็นเทพ
_ถุงเงิน ปิ่นแก้ว · โสด..แปลว่าไม่มีเกิด อัตภาพของจิตวิญญาณพ้นทุกข์พ้นสุข..หลุดพ้นความเป็นขั้นเทพ
พ่อครูว่า...ทั้งโลกตีไม่แตกในความเป็นเทพหรือเทวะ ที่แปลว่า 2 ส่วนสภาวะเขาหมายความว่า มันเป็นความสุขเป็นสวรรค์ แล้วก็เข้าใจไปเป็น จิตวิญญาณอัตภาพ เป็นสิ่งที่ดีเป็นแต่ความสุขเป็นแต่ความเจริญ มีความหมายไปทางโลกียสุขเป็นโลกียธรรม ดีและเจริญ
เจริญด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขด้วยโลกธรรม เสื่อมลาภ ยศ ไม่เอา นินทาไม่เอาทุกข์ไม่เอาแต่ไม่เอาไม่ได้ เพราะว่าความทุกข์กับความสุขเป็นของคู่กัน ศาสนาพุทธสอนให้เลิกสุขและทุกข์ พ้นจากความสุขความทุกข์ให้ได้ ขั้นแรกเริ่มจากสิ่งที่เสพติดเบาๆจัดจ้านอบายมุข สิ่งที่เป็นสิ่งเสพติดการพนันจัดจ้านทางบันเทิงโดยรวมการละเล่นอะไรก็แล้วแต่ คนที่มีปัญญารู้แล้วก็เลิกจนหมดรส หมดความสุขหมดความทุกข์กับอบายมุข พ้นได้เป็นลำดับที่หนึ่งเราก็จะรู้จะเห็นสัจธรรมว่าจิตหลุดพ้นเป็นอย่างนี้ แม้จะเป็นโลกขั้นต่ำที่สุดแล้ว โลกขั้นอบายเราก็หลุดพ้นมาได้ ก็มีตัวอย่าง มีความเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิเป็นโมเดล เป็นตัวอย่าง เราจะรู้จักมันเป็นอย่างนี้ เรายังติดต่อกับโลกกามคุณรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ยังติดอยู่อีกเยอะ เราก็เรียนรู้ที่จะล้างกิเลสพวกนี้ออกไปอีกจนไม่สุขไม่ทุกข์ เราจะมีหรือไม่มีก็เข้าใจแล้ว เราก็ควรจะอยู่กับฐานที่ไม่ต้องไปแย่งชิงกับโลก มาอยู่กับความมักน้อย อัปปิจฉะสันตุฏฐิ แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้ามันยังมากอยู่ก็ขัดเกลา สัลเลขะ สร้างสรรค์ขยันและแจกจ่ายแก่โลกเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ มันมีไม่มาก แต่อุดมสมบูรณ์เพราะมีใจพอ หลุดพ้นได้ ไม่ได้ยากเย็นอะไร
คำว่าเทวะหรือเดวะ คำเดียวนี้ยิ่งใหญ่มาก สายเทวนิยมที่เป็นเทวอยู่กับเทพอยู่กับความเป็น 2 ตีไม่แตกในเทวะ มีสุขมีทุกข์วนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ศาสนาพุทธหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นคนอีกชนิดหนึ่ง พูดแล้วก็ข่มโลกีย์อย่างที่ว่านี้ มันดีกว่าเหนือกว่าจริงๆ พูดสัจจะไม่ได้ไปข่มอะไรหรอก แต่เลี่ยงไม่ออก สิ่งที่อยู่เหนือก็ต้องข่มสิ่งที่อยู่ใต้
_จรูญลักษณ์ ศรัทธาพ่อครูดูและฟังธรรมของพ่อครูตลอดมา10กว่าปีแล้วค่ะ และกินเจมาเกือบ10ปี จะครบ10ปี วันที่18สค.62ค่ะ ถ้าโลกนี้มีแต่สัตว์ ก็จะไม่กินมันอีก ยอมตายค่ะ มั่นใจในคำสอนของพ่อครู ตอนนี้กำลัง จัดสรรเวลาเพื่อจะไปอยู่กับหมู่ชาวอโศก
พ่อครูว่า… มาเลย welcome
_พิกุล คนที่เขียนมาต่อว่า พ่อท่าน และชาวอโศก ฟังดูแล้ว เขาไม่รู้ธรรมะของแท้ของจริง เขาไปตามภูมิที่รู้และเชื่อแบบผิดๆ ตามเถรสมาคม สอนเรามาตลอด แมนได้เจอได้ฟังของจริงแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจ แสดงว่าเขาต้องฟังต้องดูบุญนิยมทีวีอยู่ เขาต้องดูต้องฟังบ่อยๆซ้ำๆซ้ำๆสักวันถ้าเขามีบุญบารมีเก่ามาบ้างเขาอาจจะเข้าถึงธรรมะที่ถูกต้องของแท้ของจริงได้ ขอบคุณพ่อท่านที่ตอบได้ชัดเจนและถ่อมตนไม่ตอบโต้ท่านนี่แหละของจริง ของแท้ ดิฉันฟังพ่อท่านเกือบทุกวัน ไม่หวั่นไหวเลยกับคําติต่อว่าพวกนี้ ...เชื่อมั่นศรัทธา และจะเดินตามท่านแน่นอน ขอเวลาอีกนิด ขอเคลียร์อะไรให้ลงตัวก่อนจะตามไปแน่นอนขอบพระคุณค่ะ
_กราบเรียนแจ้งข่าว จากหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร ..(พ่อครูว่าจะให้หยุดก็ไม่ยอมหยุดบอกให้เลิกเถอะก็ไม่ยอมเลิก) เผยแพร่เนื้อหาสาระด้วยเอกลักษณ์ ไร้มายา เข้มคุณค่า ยืนยงมาจนถึงปีที่ 25 แล้ว คณะผู้ทำงานสำนักพิมพ์กลั่นแก่น พร้อมใจสนับสนุนพาณิชย์บุญนิยมระดับ4 (แจกฟรี) ดังนั้น เราคิดอะไรตั้งแต่ฉบับที่ 343 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป จะไม่เก็บค่าสมาชิกรายได้ใดๆอ่านกันฟรี ท่านใดประสงค์จะสมัครสมาชิกใหม่(ฟรี)แจกเลย ส่งให้ถึงบ้านฟรี
พ่อครูว่า...อาตมาบอกความลับหลังไมค์ให้ฟัง จริงๆแล้ว หนังสือพิมพ์เราคิดอะไร จะไปคิดทุนการทำมันอยู่ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นแม้แค่ค่าสมัครสมาชิกก็มีนิดหน่อย ก็ไม่ถึงรายได้จากการโฆษณา แม้แต่รายได้จากการซื้อหนังสือ หนังสือเราคิดอะไรไม่ได้ขายซะมากหรอกแจกมากกว่าขาย เราแจกมากกว่าขายแล้วก็อยู่ได้ เบื้องหลังอยู่ได้เพราะอะไร เพราะทำอุปกรณ์การแพทย์ จนซื้อตึกที่ดินบ้านได้เลย เอารายได้มาทำหนังสือ เปิดเผยอุปกรณ์การแพทย์นั้นคืออะไรก็คือขวดดีท็อกซ์กับสายดีท็อกซ์ หน่วยที่ทำชื่อฟ้ารินขวัญ เพราะฉะนั้นเลิกเลยที่จะขาย ให้ฟรีเลยดีกว่า แจกเลย ตกลงแต่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ก็เชิญ ที่คุณใบแก้ว สำนักพิมพ์กลั่นแก่น 644 ซอย นวมินทร์ 44 ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม บึงกุ่ม 10240 เบอร์โทรศัพท์ 086 4867868
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน พ่อแม่คู่แรกเกิดมาได้อย่างไร
_ด.ญ.น้ำมนต์(ใสกลางเพ็ญ)..พ่อแม่คู่แรกเกิดมาได้อย่างไร
ตอบ...เกิดมาได้เพราะพระเจ้าสร้างชื่ออดัมกับอีฟ ….ตอบ หลวงปู่ไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกไว้ ท่านว่าเราไม่รู้ที่ต้นของการเกิดโลก ในสิ่งที่เป็นนิยาม 5 ท่านแยกเป็น
อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
ธรรมะสองก็คือสภาวะที่จะเกิดจากพ่อและแม่ แต่คู่แรกท่านไม่รู้ พิสูจน์ไม่ได้ท่านก็ไม่เอามายืนยันพิสูจน์เราใช้สิ่งที่พิสูจน์ได้สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าเรารู้ธรรมะ 2 ทำให้เกิดลูกได้ที่สุดอยู่คนเดียวเป็นโสด สามารถรู้อุตุธาตุ พีชธาตุ ทำให้จิตวิญญาณสลายเป็นอุตุนิยามหรือมีพีชนิยามนิดหน่อยแต่ก็ไม่สามารถรวมเป็นจิตนิยามได้อีกแล้ว ก็จบ ท่านไม่ได้ไปเสียเวลาหาที่ต้น
เปรียบกับคนคนหนึ่งถูกลูกศรเสียบ คนจะช่วยรักษา จะเอาลูกศรออก เขาก็ไม่ยอมต้องให้รู้ก่อนว่าใครเป็นคนยิงมีลูกศรอาบยาพิษอะไรอยู่แล้วมีที่ต้นมาจากไหนคนนี้ก็มัวแต่เสียเวลาหาที่ต้น ตายก่อน คนเราเกิดมาเป็นคนแล้วไม่ต้องไปย้อนหาว่าเรามาเกิดจากสิ่งใดอันดับแรก แต่ให้แก้ปัญหาความทุกข์ที่ไปยึดถือผิดความไม่รู้ การเกิดความทุกข์ความสุข ตั้งแต่ระดับต่ำสุดคืออบายมุขที่ไปหลงเสพติดคือ เมื่อล้างได้ก็จะต่อไปที่กามภพ รูปภพจนกระทั่งล้างหมดทุกภพภูมิ เลิกยึดถือได้ก็สลายจิตนิยามได้ หรือจะให้เกิดอยู่ก็ได้ ทำให้กิเลสที่เป็นเหตุให้หมดไปจะรู้ตัวต้นรู้จักพ่อรู้จักแม่ ที่เป็นจิตวิญญาณ เมื่อมีจิตวิญญาณแล้วก็จะรู้ตัวตนบุคคลเราเขาเอง
พูดเป็นภาษาว่า พระเจ้าสร้างอีฟกับอดัมแต่คนเป็นไม่ได้ แต่นี่พูดเป็นพ่อแม่ อิตถีภาวะปุริสภาวะ ก็ปฏิบัติได้ไม่ต้องมีคู่ก็ไม่ต้องมีลูกก็เป็นโสดได้ เป็นปุริสภาวะ หมดสุขหมดทุกข์ไม่ต้องไปตามหาที่เกิด
พ่อแม่คือพระเจ้าสร้างการเกิด ต้นตอจิตวิญญาณที่สร้างการเกิด ทำลายอันนี้ได้เท่ากับรู้จักพระเจ้า จบเลย เพราะฉะนั้นจะไปตามหาที่เกิดตามหาพระเจ้าจินตนาการอย่างเดียวเลย แต่นี่สัมผัสอาการ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณได้หมดเลย รู้ทฤษฎีทำให้เกิดก็ได้ทำให้ตายก็ได้ ทำให้เกิดดีทำให้สูญก็ได้
อาตมาไม่มีปัญหาเลย เราอยากจะอยู่ก็อยู่ เราอยากจะสูญก็ทำได้พระเจ้าทำอะไรแก่เราไม่ได้ด้วย ศาสนาเทวนิยมตายไปแล้วต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าเป็นใครเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
ศาสนาพุทธตีแตกสุขทุกข์ทำให้สูญได้ รู้แยกธาตุได้ด้วย ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ที่เขาแยกธาตุวัตถุแต่นี่แยกธาตุนามธรรม มันก็หมดความเป็นชีวะหมดทุกข์สุข หมดวิญญาณ
ศาสนาพุทธจึงเข้าใจวิญญาณจะอยู่เป็นวิญญาณเทวะพระอวโลกิเตศวรเป็นโพธิสัตว์ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะอยู่นิรันดรเพื่อทำประโยชน์แล้วท่านก็ไม่ทำโทษภัยอะไรอีกแล้ว เป็นจิตวิญญาณดีสูงสุดแล้วมีหลักประกันแล้วคุณจะเกิดเป็นมนุษย์อีกกี่ชาติ อย่างอาตมาจะอยู่ต่อไปก็ได้ พระอวโลกิเตศวรมีปณิธานว่าจะช่วยคนให้ปรินิพพานไปหมดก่อนตนเองถึงจะปรินิพพานไป
อาตมาขอบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวก็ไปแล้วไม่เอาอย่างพระอวโลกิเตศวร ทุกวันนี้ก็สอนจะทำให้คนสืบทอดศาสนานี้เราได้แล้วก็ต้องกตัญญูต่อศาสนา เราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานสูญไปก็ได้แล้ว แต่เราก็มาสืบทอดสิ่งที่ประเสริฐเป็นความกตัญญูของท่านสืบต่อสิ่งที่ประเสริฐให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมันไม่ได้เป็นความเสียหายอะไรและมีความเหน็ดเหนื่อยเราก็พัก เราไม่พักเราไม่เพียร
_รักธรรม...จะขอรายงานสิ่งที่ได้ทำประโยชน์ผ่านสื่อถึงพล.อ.ประยุทธ์
พ่อครูว่า..ไม่เอา...ตอนนี้เราปรารถนาดีเจตนาดีเท่านี้ เราก็ช่วยผู้ที่ท่านทำงานต่อไป
_หนึ่งฟ้า...ขอเรียนถามพ่อครูเพื่อสร้างบรรทัดฐานชาวอโศกเท่าที่ดิฉันเข้าใจ เข้าใจว่ามีคนสองกลุ่ม หนึ่งฆราวาสทั่วไป ไปมาปกติหรือช่วยในชุมชน อีกกลุ่มหนึ่งคือคนวัด ตั้งแต่อาคันตุกะจร ประจำ อยู่ในที่ส่วนกลางแล้วยกฐานะเป็นอารามิก อารามิกา ปะ กรัก นาค เณร สมณะ สิกขมาตุ
พ่อครูเคยเขียนไว้ว่า ชาวอโศกมีปกติ ถือศีลเป็นปกติ ถ้าทานอาหารมังสวิรัติไม่มีอบายมุข
ดิฉันได้รับคำกล่าวว่าเป็นคนนอก ดิฉันไม่เข้าใจ ถ้าจะแยกเป็นกรรมการกับไม่กรรมการแต่หากใช้คำว่าคนนอกคนใน ดิฉันไม่เข้าใจ และไม่ใช่แค่ดิฉันมีคนอื่นอีกด้วยถูกเรียกแบบนี้ มีบางคนเป็นชาวอโศกมา 40 ปี หลายคนได้ข้อหาชนิดนี้ เลยไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร จะได้อธิบายให้คนอื่นเข้าใจ
พ่อครูว่า...คุณก็จบ Doctor มันน่าจะมีความเข้าใจ เรื่องกิเลสของคนมันก็มีแน่ ก็ต้องเข้าใจเขาและยอมให้เขา ถึงอย่างนั้น แม้คนเรานั้นจะไปเป็นกรรมการของชุมชน เขาก็มีเพิ่มแค่นั้นก็น่าจะเข้าใจเขา เพราะฉะนั้นถ้าคุณเองไม่ได้ติดใจไม่ได้ไปถือสาอะไร อย่างที่คุณก็ได้ช่วยชาวอโศกช่วยหมู่บ้านนี้มาเยอะแยะ แค่หางช้างติดพวยกาแค่นี้จะไปติดใจอะไร จะต้องแหมไม่ได้รับสิ่งนั้นนี้
อาตมาไม่ได้อยากอธิบายละเอียด มันจะฉีกหน้าคุณ ฉีกหน้าเรื่องอะไร คือนิสัยกิริยาคุณมันไม่ต้องใจคนอื่นเยอะ แต่คุณแก้ไม่ได้มันเป็นวาสนาคุณ ต้องมีที่มาที่คุณจะไม่ได้รับการยอมรับแม้จะให้สิทธิ์เป็นคนใน ทั้งๆที่ที่ดินคุณก็เป็นคนยกให้เป็นคนแรก คุณเป็นคนเริ่มต้นอะไรอีกตั้งเยอะแยะ เขาไม่ได้ทำทุกวันเลยแต่คุณต้องยอมรับ อาตมาไม่อยากพูดหรอกว่ามันเป็นเรื่องของวิบากคุณด้วย วาสนาของคุณด้วย คนแก้วาสนาไม่ได้ วิบากก็ไปแก้ไม่ได้เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องเป็นอย่างนี้
อาตมามีวิบาก ขนาดอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยังมีวิบากขนาดนี้ถูกต่อต้านคุณเห็นไหม เถรสมาคมควรจะยอมรับอาตมาอย่างเต็มรูปก็ยังไม่ได้ อาตมายังไม่เห็นจะน้อยใจหรือต่อว่าเลย
ถ้าคุณเข้าใจอย่างอาตมาก็ช่วยตอบด้วย
_สุดคำฟ้า...กำหนดการรับกลดของพี่ม.6 เมื่อไหร่คะ
พ่อครูว่า...หลวงปู่ไม่ได้ไปกำหนดกับเขาตอนนี้หลวงปู่วางงานพวกนี้แล้ว ประมาณหลังงานปลุกเสกฯตลาดอาริยะ
_ใจดิน...น้องภูมิพุทธ...เมื่อวานตอนเช้าเขาอุ้มขวดใหญ่ใส่ลูกปูสองตัว บอกว่ามีคนจับให้ก็รีบอุ้ม จะเอาไปเลี้ยง ปรากฏว่าพี่ป้าน้าอาเห็น ก็บอกว่า จะมีวิบากโดนขัง คุยไปมาน้องภูมิเปลี่ยนใจ อุ้มลูกปูมาปล่อย ทีนี้อารามดีใจมาก พอตอนเย็น เขาซนมาก ยายเอาไม่อยู่ ก็เลยจับขังในห้อง ปิดล็อคประตูเลย ภูมิก็ร้องว่า ช่วยด้วย ย่าๆๆ ก็เลยอดไม่ได้ นำมาเรียนพ่อครูค่ะ
พ่อครูว่า...ทันตาเห็นเลยวิบากนี้ ไปขังปู เลยถูกย่าจับใส่กรงเลย
_ไปหาสำนักเจ้าแม่บงกช ทันใดนั้นเจอทางสามแยก เจอผู้หญิงคนหนึ่งท่านอุทานออกมาพร้อมเสียงดังว่า นี่ละหรือ นกมันบอกมาให้เก็บเห็ด แล้วพ่อท่านว่าผู้หญิงคนนั้นอธิษฐานอะไรเกี่ยวกับดิฉันหรือเกี่ยวกับนก
พ่อครูว่า...อ่านที่คุณเขียนมาชักรู้สึกว่าแม่บงกชไม่ปกติแล้วนะ อยู่ในภพมากตกภพ ที่จะสื่อสารกับคนไม่รู้เรื่องแล้ว ก็ตอบไม่ได้ที่ถามมา
_คำว่าพ่อครู มาจากพ่อแม่ครูอาจารย์หรือเปล่า เพราะหลวงปู่มีคุณสมบัติเป็นได้ทั้งพ่อแม่ครูอาจารย์
พ่อครูว่า...พ่อครูนี้จำไม่ได้แล้วว่าเกิดตอนไหน(มีโยมบอกว่าช่วงสอบว.บบบ.) ตอนนั้นมีใบปัญญาบัตร
_หลวงปู่หายเหนื่อยหรือยังครับ ชาวอโศกปฏิบัติบูชาได้เต็มที่หรือยัง
พ่อครูว่า..เหนื่อยแล้วก็พักก็หายเหนื่อย ออกกำลังใช้พลังงานก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา ไม่ใช่อุตริเหนื่อยแล้วไม่พักก็บ้ากันพอดี แล้วตอบแทนอาตมาว่าปฏิบัติบูชาได้เต็มที่หรือยัง ...ยัง
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน ทำไมมีความรักแล้วถึงทุกข์
_ทำไมเวลาคนเรา มีความรักแล้วถึงทุกข์
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีรัก 100 ก็ทุกข์ 100 มีรักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่งไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลยแต่อาตมาชื่อรัก และอาตมาก็ไม่ทุกข์ เพราะเข้าใจรักก็เลยเขียนความรัก 10 มิติ คือคุณสมบัติจิตวิญญาณ ความรักคือการเผยแผ่เกื้อกูลถ้าเป็นความรักเรื่องกามก็แคบ รักแค่พ่อแม่ลูกก็แคบ ก็รักแค่ญาติก็กว้างขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากขึ้น จะกลายเป็นความเกื้อกูลเมตตาเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นไปเรื่อยๆ ความรักที่เห็นแก่ตัวที่สุดคือความรักระหว่างคู่เมถุน บางคนลูกก็ไม่เอา เอาแต่คู่ บางทีฆ่าลูกด้วยมันแย่จริง คนทุกวันนี้จิตใจต่ำมาก หากเข้าใจจิตวิญญาณก็ควรจะทำให้เป็นความรักที่กว้างขึ้น จนกระทั่งเรามีพลังงานในความเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกว้างจนกระทั่งเราไม่เหลือตัวเราเลย เป็นมิติที่ 6 7 8 9 สูยขงขึ้นไปเรื่อยๆนั่นแหละเป็นพลังงานแห่งความเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ ความรักจริงๆไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวและไม่ใช่แคบแค่เสพรสกาม ได้สมใจก็สุข ไม่สมใจก็ทุกข์ สุดท้ายแม้ทำเป็นเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ก็ทำ
โลกทุกวันนี้มีประชากรเกือบ 8,000 ล้านแล้ว คนมันมากเกินไป ไม่ต้องไปเพิ่มเติมอีกตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติท่านก็ลดการมีลูก คือ กำหนดคุมกำเนิด แต่ไม่ได้แบบบังคับ ใครมาสมัครใจคุมกำเนิดท่านก็ถือว่าดี ท่านคุมกำเนิดด้วยศีล 8 ถ้ามีศีล 5 ก็ผัวเดียวเมียเดียวมีขั้นตอนให้ ถ้าสำส่อนเละก็ไม่ดี
ใครมาถือศีล 8 ก็เป็นโสด ถือว่าเป็นบัณฑิต คนใฝ่เมถุนมีคู่แน่นอนจิตย่อมเศร้าหมอง จะสะอาดเบิกบานร่าเริงตลอดก็ไม่ได้ เพราะมันต้องกระทบอยู่
เราจะรู้ทำจิตใจให้เป็นความรักที่สูงขึ้น อย่างเช่นอาตมาเข้าใจความรักลึกซึ้ง อาตมาชื่อรัก แล้วก็รู้จักทำใจให้เป็นความรัก 10 มิติ ไม่ใช่เขียนอย่างตรรกศาสตร์ แต่เขียนอย่างเอาสภาวะมาเรียงร้อยออกมา อาตมาถึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาตินี้อาตมาต้องมาชื่อว่ารัก ทั้งที่ชื่อแรกคือ สไมย์ ชื่อที่สองคือมงคล(สมเด็จติสโส อ้วน) ตั้งให้ ท่านเป็นอาจารย์ของลุงอาตมา ต่อมาอาตมาก็มาเปลี่ยนเป็นชื่อรัก
ชาวอโศกเรามีความรักมิติที่สูงมิติที่ 8 มิติที่ 9 รักกันอยู่กันอย่างโดยค่าเฉลี่ยในชาวอโศกเป็นคนโสด คนที่ไม่ได้ก็แต่งงานก็มีผัวเดียวเมียเดียว ตามฐานะของแต่ละคน ทำตนให้ได้รับคำสอนของพระพุทธเจ้าตามลำดับ ในชุมชนของเราชาวอโศกมีคนเป็นคนโสดเยอะ นอกนั้นก็แม้จะไม่โสดก็พยายามตั้งตนให้เป็นคนโสดก็สำเร็จไปเป็นคน
เรื่องนี้เทวนิยมก็ไม่เข้าใจ คนมาทำปริญญาเอกศาสนาพุทธเป็นคนฝรั่งก็ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ทำไมต้องมาห้าม คนทำป.เอกนะ ถาม ก็บอกว่า ศาสนาพุทธไม่เหมือนกับศาสนาเทวนิยมเพราะตีแตกความเป็นคู่จนกระทั่งถึงนิพพาน จึงพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องในศาสนาเทวนิยมว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ เขาก็หาว่าเป็นไปไม่ได้เป็นเพียงตรรกะ ไม่เข้าถึงจิตวิญญาณ แต่ศาสนาพุทธนั้นเข้าใจจิตเป็นอย่างดี เข้าใจพระเจ้าไม่ต้องให้พระเจ้ามาประทานความเป็นสวรรค์นรกตั้งแต่ตอนเป็นๆก็ไม่มีสวรรค์เป็นนรกเป็นอรหันต์ก็หมดสวรรค์หมดนรก เพราะเขาตีไม่แตกเทวะ ที่เป็นพระเจ้าใหญ่ของสวรรค์ และสั่งให้ลงนรกด้วย เลยเป็นนายทุนใหญ่ของสวรรค์ แต่ศาสนาพุทธชัดเจนเทวะ หมดสุขหมดทุกข์อยู่อย่างปรมังสุขังคือยิ่งกว่าสุข ไม่มีรสโลกีย์ ทางลาภ ยศ สรรเสริญ กามคุณ อัตตา ก็รู้สิ่งที่เกิดที่มีที่เป็นตามเหตุปัจจัยไม่ต้องมีสุขทุกข์อะไร
_บารมี 10 ทัศคือหนทางการสู่อรหันต์หรือไม่ (ท่านสม.ผุสดีอธิบายบ่อย)
พ่อครูว่า...บารมี 10 ทัศมันก็เป็นทางบรรลุอรหันต์จริงๆแล้วก็เป็นทางบรรลุสู่พระพุทธเจ้าด้วย ทาน ศีล ภาวนา เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
_ข้อวัตรปฏิบัติสมัยแดนอโศกมีอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า...เอาแค่ตอนนี้ก็พอแล้ว อาตมาจำไม่ได้ด้วย ตอนโน้นเคร่งครัดมาก เดินนี่นิ่งไม่เงยหน้าเลย สุขุม สำรวม แต่ก่อน เดี๋ยวนี้อย่างกับลิง
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน กระดูกเป็นพระธาตุได้อย่างไร
_เรื่องของพระธาตุ ไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความเป็นอริยะ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์สาวกก็มีกระดูกเป็นพระธาตุถมเถไป แล้วพระธาตุมันเกิดจากอะไร
พ่อครูว่า...ธาตุ ก็เอามาเรียกกระดูกของคนที่ตายแล้ว ก็มีแคลเซี่ยมเป็นหลัก ปฏิกิริยาของแคลเซี่ยม เมื่อถูกต้องกับความร้อนความเย็น กับพลังงาน สายเจโตเทวนิยมก็สะสมพลังงานเย็น ก็ทำให้กระดูกจับตัวกันได้ บางทีจับเป็นเม็ดมันๆเหมือนมุก เป็นธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ พระธาตุเอามายืนยันความเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ แต่ก็ได้บ้างสำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติเย็นและร้อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะได้เป็นพระธาตุมาบ้าง แต่ทีนี้เกิดเป็นเม็ดๆมันๆเหมือนเพชรพลอยมีสีสันด้วย ถ้าอย่างนั้นเป็นพวกฤาษีหนักก็จะเป็น ซึ่งไม่ใช่เครื่องสืบสานอรหันต์เลย แต่ขี้ตู่กันมากหลงใหลเลอะเทอะ ไม่รู้จะยืนหยัดอย่างไรก็เลยอาศัยพวกเหล่านี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อย่าไปเอาใจใส่เรื่องอื่นเลย
แต่ทำไมอาตมายังรับสภาพอยู่แล้วบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้า อาตมาอยู่ตามโลกสมมุติก็ต้องมีเครื่องอะไร เคยอธิบายมามากแล้ว แน่ใจอย่างไรว่าเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องไปแน่ใจ แน่ใจว่าไม่ใช่ก็ได้แต่เราก็กราบเคารพได้ แม้แต่พระพุทธรูปเราก็กราบก็ได้ เขาเอาดินข้างส้วมมาปั้นเราก็ยังกราบไหว้ แต่อันนี้เป็นสิ่งที่แทนพระพุทธเจ้าถ้าเป็นจริงก็ดีไป เราก็เอาที่คําสอนพระพุทธเจ้าที่เราจะฝึกฝนศึกษา ก็อยู่ที่สมมุติว่าอันนี้เป็นวัตถุอุปกรณ์อันหนึ่งที่จะใช้ เราก็รู้ความหมายมันเท่านั้นก็จบแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาก็ทำตามอนุโลมด้วยกับเขาที่ไม่เข้าใจสัจธรรมนักยังยึดถืออยู่ อาตมาไม่ได้ให้ทำพิธีการเสียเวลากับมันมากมาย พิธีกรรมที่ทำมากมาย จุดไฟไหม้อาคารเยอะแยะ อาตมาไม่ได้ใช้เดรัจฉานวิชชา ไม่ได้ทำนอกรีตพระพุทธเจ้าเลย เขาทำนอกรีต อาตมาก็ว่าเขาเสียหายศาสนา ขายขี้หน้าจัง แต่เราก็มาทำถูกต้องยืนยัน สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนแต่เขาก็หาว่าเรานอกรีตอีก
_การทำงานคือการได้ลดกิเลส เกิดจากการทำหน้าที่ แต่คนเห็นแก่ตัวและขี้เกียจ มักจะพูดว่าไม่มีเวลาและขี้เกียจหมายความว่าอย่างไร ทำให้พ่อครูเกิดความลำบากใจไหม
พ่อครูว่า...ก็ไม่ได้ลำบากใจ แต่ก็ช่วยบอกกัน ให้เขาแก้ไข ถ้าขี้เกียจก็สั่งสมความไร้สาระความไม่มีคุณค่าเขาก็เพิ่มกิเลสเราก็ควรบอกเขาบ้าง จริงๆแล้วพวกเราหาคนขี้เกียจได้น้อย แต่มีบ้างก็ค่อยบอกเตือนกัน
_จิตสะอาดใจสบาย เกิดจากอาหาร 4 ผู้เจริญแล้วคือผู้บริหารผู้บริการและช่วยดูแลแก้ปัญหาพึ่งพาตนเองได้แล้วใช่หรือไม่ การบริหารต้องเอาจิตวิญญาณเป็นตัวตั้งไม่ได้วัตถุเป็นตัวตั้ง
พ่อครูว่า...ก็ใช้จิตวิญญาณแต่ว่าก็มีการบริหารวัตถุไปร่วมกันไม่มากไม่น้อยให้พอดี
_ผู้หญิงกับทอมรักกันมันผิดไหมคะ
พ่อครูว่า...ผิด แม้แต่ผู้หญิงกับผู้ชายก็ยังผิดในที่นี้ หากเขาจะรักกันในวัย ฐานะที่จะรักกันได้ไม่สำส่อนก็ว่ากันตามฐานะ แต่ถ้าเลิกกันได้ดีกว่า ที่นี่มีคนคู่น้อยมีคนโสดเยอะ อย่าไปใส่ใจไปหา เพราะว่าในอนุสัยจิตเรามันมีมาแต่เดรัจฉานแล้ว ความเป็นคู่จึงเป็นความยากที่จะถอดถอน การถอดถอนให้จิตใจเราไม่มีอาการกามจึงเป็นความยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์โลก ยิ่งยุคนี้สมสมัย แปลว่าไม่จำเป็นต้องมีลูกไปสู่ต่อเผ่าพันธุ์ หลายคนที่นี่เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงมาดูแลเยอะแยะไม่ต้องกลัวจะไม่มีลูก ให้เลี้ยงเด็กให้ดีเถอะ ที่นี่มีเด็กให้เลี้ยง ที่นี่ ที่ไม่ดีก็จะมาอยู่ไม่ได้ด้วยเพราะเป็นดินแดนที่เป็น ปฏิรูปเทสวาโส พูดโดยโลกว่าบุญไม่ถึงมาอยู่ไม่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อยากฆ่าสัตว์เป็นภาวะของสัตว์นรก
_ผู้ที่มีจิตมุ่งมั่นจะทำอะไรให้สำเร็จดังใจทุกอย่าง กับ การอยากฆ่าสัตว์เป็นปุริสภาวะหรือไม่
พ่อครูว่า...อยากปฆ่าสัตว์ก็ไม่ใช่ปุริสภาวะแล้ว
การตั้งใจให้ได้ตามเป้าหมายที่จะให้สำเร็จมันก็เป็นเป้าหมาย คนมีเป้าหมายทำเป้าหมายแล้วรู้เหตุปัจจัยทำให้เกิดผลตามเป้าหมายได้ให้ถูกต้องก็แล้วกัน ไม่ต้องอยากได้นิพพานเลยแต่คุณศึกษาเหตุและทำเหตุให้ถึงนิพพาน
เราอยู่ในฐานะของโสดาบันก็ยังไม่ได้ จะไปเอาสกิทาคามีพระอนาคามีก็ต้องศึกษา ให้เอาระดับโสดาบันก่อน ทำไปตามขั้นตอน คุณก็จะถึงเป้าหมายเอง ศึกษาพอรู้ทิศทางสำคัญต้องดูตัวเองแล้วทฤษฎีแต่ละขั้นตอน เราอยู่ในฐานะนี้เราก็ทำตามฐานะให้ตรงแล้วเราก็จะก้าวหน้าอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไปตามลำดับ คุณจะเร็วแล้วได้จริง แต่ถ้าหากรู้มากแล้วทำไม่ได้ก็จะไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรวุ่นวายเละเทะไปหมดเลย
อยากฆ่าสัตว์ เป็นสภาวะของสัตว์นรกนะ
สัตว์มันก็คือสัตว์มีชีวิตมีวิบากของเขา จะเป็นสัตว์เซลล์เดียวหรือกี่ล้านเซลล์ก็ตามเขาก็มีวิบากของเขา เราก็หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง อย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เลย สัตว์ที่มายุ่งกับเราเราก็เอาไปปล่อย อย่างนกพิราบ สัตว์ที่เป็นพิษเราก็เอาไปปล่อย แต่ถ้ามันไม่เกี่ยวกับเราๆก็ให้มันอยู่ไป มันจะทุกข์จะร้อนบ้าง หากเราจะช่วยมันได้ก็ช่วยมันบ้าง เราจะช่วยมันเมื่อไหร่ก็ร่วมวิบากกับมันทันที วิบากกรรมเป็นอันทำมันเป็นเรื่องอจินไตย
ดูที่คนดีกว่า เราก็ร่วมวิบากมาเยอะ ช่วยกันแค่นี้ก็เหลือแหล่ เพราะฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานปล่อยไปได้เลยอย่าไปยุ่งกับมัน มันเป็นวิบากของมัน เราก็พยายามดูให้มันเป็นไปตามสัตว์โลกมันก็น่าเวทนา หรือคำว่าน่าสงสาร
เวทนาคือรู้สึก สงสารคือความหมุนเวียนไม่รู้จบ คนถ้าช่วยคนแล้วคนจะไปช่วยคนและสัตว์ คนที่อยากช่วยสัตว์ก็ดีเราก็อยากช่วย แต่เราไม่มีเวลาพอหรอกเกิดมา 100 ปีก็ตายไม่พอที่จะไปช่วยสัตว์หรอก ช่วยคนที่น่าสงสารก็มีเยอะแล้ว จะอ้าขาผวาปีกอะไรมากมายไร้ขอบเขตเสียเวลาเปล่า
สรุป อย่าไปอยากฆ่าสัตว์ หากมันเป็นภัยก็เอามันออกไป
_อ้วน...ท้าวความไปตอนปีใหม่ ตอนนั้นทำเอกสารหาย แต่สุดท้ายหน้าแตกอยากเอาปี๊บคลุมหัว คือไปสัญญาผิด นึกว่าหาย แต่จริงๆแล้วอยู่ที่บ้าน จะถามว่า...ความจำหากอายุมากก็จะเสื่อม อยากถามว่า เชื่อมั่นใน 8 อ. จะช่วยได้ไหม
พ่อครูว่า...ถูกวิธีแล้ว คุณรู้วิธีแต่ไม่แน่ใจเท่านั้นเอง
_น้อมยอดธรรม...เรื่องความซ้ำซาก ต้องให้ได้ดั่งใจอย่างนี้ในสิ่งที่ไม่ดีก็มีความซ้ำซากเยอะ แต่ในปัจจุบันนี้มาฟังธรรม ก็ทำให้รู้สติรู้ตัวรู้ใจอ่านใจเป็น เพราะว่าได้ฟังธรรมซ้ำซากจากสัตบุรุษทั้งหลาย ยิ่งมีความยินดีเหมือนว่าเราติดเลย ฟังไปแล้วมันได้ไปทีละนิดละหน่อยแต่เราถือว่าซ้ำซากยิ่งดี แล้วขอถามพ่อครูว่า...ฟังธรรมซ้ำซากพาพ้นทุกข์แล้วได้พ้นนิวรณ์ 5 ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า..นิวรณ์ 5 มีกาม พยาบาท ตกภพ ฟุ้งซ่าน สงสัย
_เกื้อกูล ...อยากให้กำลังใจพี่หนึ่งฟ้า เห็นใจพี่เขาเลย พี่เขามาก็สั่งๆๆ แต่ไม่นานมานี้ ดิฉันเห็นความน่ารักของพี่เขานะ ที่เขามีความไม่ถือตัวทั้งที่เราเป็นคนกระจอก
พ่อครูว่า...ถ้าหากเราไม่ชอบใครเราก็มองสิ่งที่ดีของเขาเสมอ หลายสิ่งที่เขาดีเราก็ทำไม่ได้อย่างเขา แล้วอ่านอาการจิต เราอย่าไปมองสิ่งที่ไม่ชอบ บางทีสิ่งไม่ดีนิดเดียวก็ไปกลบสิ่งที่ดีมีเยอะของเขาซวยเลย คนเราด้วยธรรมชาติก็จะมีทั้งสิ่งดีและสิ่งที่ชั่ว เราสามารถบอกเขาให้แก้ไขก็บอกไปบอกไม่ได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลกันไปในฐานะของคนระดับเดียวกัน หรือถ้าเป็นเด็กเล็ก เราก็บอกด้วยเมตตา การจะไปมองสิ่งไม่ดีแล้วทำให้ใจเราหมองก็อย่าไปทำ
_วันนี้คุณแม่โทรมาบอกว่าพ่อครูเทศน์ดีมากเลย แบบนี้ถึงเป็นศาสนาที่แท้จริง
พ่อครูว่า...ถูกแล้วหากคุณรับรอง ก็ดี อาตมาก็อนุโมทนาสาธุด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ครูตีเด็กจะบาปไหม
_คณะอาที่เอาไม้เรียวตีก้นเด็กจะบาปไหม คนเหลาไม้เรียวรับวิบากด้วยไหม
พ่อครูว่า...คนทำไม้เรียวมาตีคงไม่โหดร้าย หากโหดร้ายก็ไม่ทำอย่างนั้นก็เอาไม้ที่ไหนได้ก็ตีเลย หากเขาเหลาไม้มาก็คงปรารถนาดีที่จะตีให้เกิดความดีขึ้น
แต่ถ้าตีด้วยความโกรธก็จะเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ได้เรื่อง หากโกรธแล้วจะตี ก็รู้ให้ทันด้วยความโกรธทำความโกรธให้หาย เย็นเสียก่อน แล้วก็คิดจะตี
ยิ่งคิดจะตีก็ต้องพูดให้รู้เรื่องว่าอย่าโกรธกันนะ ตีเพราะเหตุอะไร เหมือนกับคนที่ได้รับการตัดสินให้จำคุกก็ต้องให้เข็ดหลาบอันนี้ก็ตีให้เข็ดหลาบ พูดให้มีเหตุมีผลพวกนี้ เราจะเป็นคนที่มีเหตุมีผลทำอะไรมีหลักฐานมีกฎเกณฑ์ ที่นี่ นี่ อาตมาถึงบอกว่าครู หากเด็กคนไหนต้องทำโทษถึงตี ที่นี่ให้ตีเด็กได้ แต่ถ้าครูเป็นคู่กรณีกับเด็กก็อย่าให้ตีเด็กให้คนอื่นตีแทน มันจะเป็นกฎเกณฑ์ที่ดีมากเลยแล้วกิเลสคุณก็ไม่เพิ่มด้วย ใครมาว่าไม่ได้ด้วย จะบอกว่าโรงเรียนไม่ให้ตีไม่ได้ ต้องมีตี แต่ตีต้องมีเหตุผลหลักเกณฑ์
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน การทำใจในใจกับการปล่อยวางต่างกันอย่างไร
_การทำใจในใจกับการปล่อยวางต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...การทำใจในใจของเราจะทำให้อาการใจมีการปล่อยวาง ก็ต้องดูว่าอาการปล่อยวางต้องทำอย่างไร อาการปล่อยวางก็ตรงกันข้ามกับอาการที่ยึดติด ใจมันอย่าไปดูดดึงเหนี่ยวรั้งติดยึด อาการตามพยัญชนะ ห่วงหาอาวรณ์ก็คือไม่ปล่อย เราต้องรู้อาการจิต หากเราได้ทำใจของเราให้รู้ตามอาการเหล่านั้น จนใจหมดอาการเหล่านั้นก็คือการปล่อยวางหมดจากความยึดติดถือสาอะไรอย่างนี้
การทำใจในใจ คือการปฏิบัติธรรมยิ่งใหญ่ ภาษาบาลีคือมนสิกโรติ คำนามคือมนสิการ กิริยาคือมนสิกโรติ เป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง คนที่ทำใจในใจไม่เป็นก็หมดหวังที่จะปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ เพราะว่าศาสนาต้องเข้าถึงใจแล้วทำใจในใจให้ได้ เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการจึงจะสามารถทำใจในใจได้ ถ้าคุณไม่มีโยนิโสมนสิการไม่มีความถ่องแท้ไม่มีความเฉลียวฉลาดพอที่จะรู้ใจในใจแล้วทำใจในใจให้ถูกต้อง ตามความหมายว่าคุณจะปล่อยวางเป็นต้น จะทำใจให้เกิดเมตตาจะทำใจให้เกิดความเอ็นดู ทำใจให้เกิดความเสียสละไม่หวงแหนไม่ขี้เหนียว ดีใจที่ให้ ก็แล้วแต่พยัญชนะมันจะบอกสภาวะ เราก็ต้องเข้าใจทั้งพยัญชนะและสภาวะแล้วทำให้ถูกต้องทั้งสภาวะที่ตรงกับความหมายของพยัญชนะนั้น พยัญชนะกับสภาวะเป็นเทวเป็นคู่ ผู้ใดที่ทำคู่นี้ให้ลงตัวแล้วทำให้เป็นผลสำเร็จได้ ผู้นั้นจะเป็นเทวดาจริง คือผู้เจริญ
_ถ้ามีคนไม่ปกติมาด่ามาว่าเรา ควรใช้เจโตและปัญญาใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ใช่ ..คนที่มาด่าอาจจะพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ค่อยมีเหตุผลไม่ค่อยเข้าใจกันได้ง่าย มาด่ามาว่าเรา เขาเป็นคนไม่ปกติก็จะไปถือสาได้อย่างไร
จบ...
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:12:33 )
รายละเอียด
620130_พบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA
พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี เจริญธรรม ดีมากที่ได้พบกัน พบกันอาตมาก็ไม่มีอะไรเลยเงินทองทรัพย์สมบัติไม่มี ให้ได้แต่ความเข้าใจ เท่าที่อาตมามีความเข้าใจเท่าไรก็ทำความเข้าใจที่อาตมามี อาตมาก็แบ่งความเข้าใจที่อาตมามีให้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน แนวคิดการทำชุมชนของพ่อครู
_ดร.พิชาย_ช่วยเล่าความเป็นมาของชุมชนให้ด้วยครับ
พ่อครูว่า...อาตมาไม่มีฝีมือจะทำเลยแต่ว่าเกิดโดยอัตโนมัติก็คืออัตโนมัติ อาตมามีความเข้าใจไม่บังอาจเรียกว่าความรู้เท่าไหร่ เพราะที่อาตมามีความเข้าใจแต่ไหนแต่ไร พัฒนาความเข้าใจมาทุกวันนี้ก็พยายามพัฒนาความเข้าใจของตัวเองต่อไป คิดว่าจะต่อไปจนถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
ภาษาบัญญัติที่บอกว่าโพธิสัตว์คืออะไร โพธิคือความรู้ อาตมาก็สะสมความเข้าใจให้เป็นโพธิ จนเดี๋ยวนี้ก็คือรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับ 7 อย่างนี้เป็นต้น เป็นความจริงที่อาตมาพูดไปโดยไม่ได้ มังกุ ไม่ได้อุทธัจจะ ไม่ได้สะทกทะเทือนสะท้าน ใครจะเข้าใจยังไงก็ช่างเถอะแต่อาตมาพูดความจริงเต็มรูปให้ง่ายที่สุดชัดที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายมาก
ที่บอกว่าเป็นอะไรมาได้อย่างนี้ อาตมาก็ทำตามความเข้าใจของอาตมาว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ก็ทำ มีเจตนารมณ์ก็ทำไปเท่าที่ตัวเองจะทำได้อย่างดีที่สุดบริสุทธิ์ที่สุดมีคุณค่าที่สุด เท่าที่จะมีปฏิภาณวิจารณญาณที่ทำได้อัตโนมัติ ถือกรรมการกระทำเป็นถึงความยิ่งใหญ่ แล้วจัดการกรรมการกระทำของเราให้มั่นใจที่สุด เท่าที่เรามีภูมิที่จะเข้าใจรู้ได้
อาตมาถึงจะเห็นผลที่เราทำตามความเข้าใจตามภูมิของเราก็มีผลออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ อาตมาก็เลยทำอย่างนั้นมาตลอด ส่วน by product ผลที่ตามมา ก็ใช้ปฏิภาณตัวเองดูว่ามันก็ดี แต่มันก็ยังไม่ดี มันยังมีดีกว่านี้อีก ก็ต้องทำต่อไป ก็รู้สึกว่าทำดียังไม่พอก็ต้องทำดีให้มากต่อไป อาตมาก็เลยเป็นคนตะกละไม่พอ แต่ตะกละความดี
เช่น อาตมายืนยันว่าคนมาจนนี้ดีกว่ารวย อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้เล่นคารมภาษานะ เมื่อทำแล้วก็ได้ผลจริงซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนอื่นเขาเป็นกัน อาตมาอธิบายเศรษฐศาสตร์
เสฏฐะ หรือเศรษฐศาสตร์คือความเจริญ ภาษาอังกฤษก็คือประหยัดน้อยลงเท่าไหร่ได้อยู่ได้ดี อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วยิ่งน้อยเราก็ยิ่งเห็นความเป็นคุณค่าของเรา เราเป็นผู้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้มากขึ้นมันก็ยิ่งชัด อาตมาก็ทำอย่างนี้ไม่ได้หยุด จนเกิดผลเป็นรูปธรรมเป็นเป็นชุมชนเป็นวัตถุ จนกลายเป็นอาณาจักรขึ้นมามีชุมชนชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วไป 10 20 30 กลุ่มกระจายอยู่ในทั่วประเทศ เพราะมันมีทิฏฐิสามัญญตาศีลสามัญญตา มีความเป็นความเข้าใจตรงกันไม่ได้แยก ก็เลยเป็นองค์รวมที่เกิดผล มีอัตราการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
นี่คืออาตมาที่พออธิบายได้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
สำคัญที่สุดคือโพธิ หรือความรู้ ซึ่งไม่ได้เป็นความรู้แบบโลกที่แบบโลกโลกีย์ส่วนใหญ่ก็เป็นมา เป็นความแตกต่าง นอกจากแตกต่างแล้วยังทวนกระแสที่เขาเป็นอีก คนเขาไปรวยเรามาจน เขามีมากเรามีน้อย คนเขาเสียสละได้ยากเราเสียสละได้มาก มันทวนกระแสทุกอย่าง คนเรามันไปกระแสที่ผิดพลาดจึงต้องทำขึ้นด้วยเรื่อยๆมาอย่างนี้มันเจริญขึ้น เห็นจริงๆตามที่อาตมามีภูมิปัญญาจะเห็น จึงทำอย่างมั่นใจ และให้ตรงอย่างแสนบริสุทธิ์ไม่มีอะไรแฝงปนเปื้อน ไม่มีอะไรที่จะเป็น hidden Agentaได้อยู่ ตรงที่สุด อาตมาจึงสรุป motto ว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
_ดร.พิชาย_เท่าที่ผมทราบมา ชุมชนชาวอโศกจะมี 3 ส่วนคือบ้านวัดโรงเรียน ใน 3 ส่วนนี้มีความสัมพันธ์กันในแง่มุมใดบ้าง
พ่อครูว่า...ที่พูดมาเมื่อกี้นี้ว่า ไม่ใช่ว่าอาตมาไปจัดการมีหลักเกณฑ์หมวดหมู่ขั้นตอนไม่ใช่ อาตมาไม่ได้เจตนาไม่ได้เก่งทั้งนั้นเลย แต่อาตมาตามรู้ทีหลังว่า สภาวะทุกอย่างนี่นะ ทุกวันนี้อาตมาแหม พูดแล้วก็ขออภัยที่ต้องพูดตรงนี้ อาตมาตีแตกตั้งแต่คำว่า 2 เทวธัมมา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60
คู่ที่เอามาแยกคือเวทนา จับคู่ของเวทนา แล้วเรียนรู้เวทนาคือความรู้สึกของมนุษยชาติ ความรู้สึกสุขทุกข์เป็น 2 แยกสุขแยกทุกข์ให้ออกให้ชัด แต่ที่จริงมันแยกไม่ได้ 2 ก็คือหนึ่งหนึ่งก็คือสองอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมเขาตี 2 ไม่แตก พระพุทธเจ้ามาตี 2 ให้แตกแยกเป็นหนึ่ง แล้วมันก็สลับไปสลับมา จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้ ยิ่งละเอียดยิ่งเร็วไปดูไม่ทัน ยิ่งละเอียดยิ่งรู้ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยกลายเป็นสภาพที่ ยิ่งละเอียดแล้วยิ่งไว ยิ่งเร็ว ยิ่งรู้ไม่ชัดรู้ไม่ทัน สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนนักเล่นกลนักมายากล แต่เป็นนักมายากลที่จริงไม่ใช่กลเลย แต่มันเร็วมันไวมันละเอียด วิธีรู้ทันว่ามันปรุงแต่งกันอยู่สังขารกันอยู่สังเคราะห์กันอยู่ ก็แยกได้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไร คนที่รู้ว่าอะไรคืออะไรจะไม่สับสนทำงานกันอย่างชัดเจนไม่สับสน แต่คนที่ไม่รู้ แล้วมันอยู่ร่วมกันอย่างไร อยู่กันได้อย่างไร ยิ่งเห็นความต่าง ของสิ่งที่มันอยู่ด้วยกัน แล้วมันอยู่ด้วยกันได้อย่างไรเมื่อรวมอยู่ได้อย่างไร ใครจัดการในสามเส้า คือจะมี 1 เป็นประธาน 2 เป็นอีก สองสภาพบวกกับลบ อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ สองนี้ก็สภาพตลอดกาลที่มีประธานจัดการควบคุมได้ ควบคุมให้เป็นประโยชน์ได้อย่าให้มาทะเลาะกัน หรือแม้จะขัดแย้งกัน จะเป็นสภาพที่มีแรงทดมี resistance เกิดพลังงานขึ้นมาโดยคุณไม่รู้ตัวก็ตามก็ใช้คุณได้ คุณจะทะเลาะกันแต่เราเอาพลังงานของคุณมาใช้ประโยชน์ได้ โดยที่คุณจะทะเลาะกันก็ทะเลาะกันอย่างอย่าแตกแยกเลยทีเดียว ทะเลาะให้เกิดพลังงานปฏิกิริยาแล้วเราก็พลังงานนั้นมาใช้
นี่ คนที่สามารถรู้อย่างนี้แล้วทำอย่างนี้มันไม่มีทางจะแยกไปไหน แล้วได้ผลจากปฏิกิริยา Action Reaction + - อย่างนี้ ตลอดกาลนาน นี่คือ สิ่งที่สุดยอดที่ผู้รู้สามารถจะนำสิ่งนี้มาใช้ตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่พลังงานสสารวัตถุ หรือคน 2 คนขึ้นไปวัตถุ 2 ชิ้นขึ้นไปจนกระทั่งถึงนามธรรม จนกระทั่งถึงความคิดของคนสองคน เอามารวมกันผสมให้เป็นประโยชน์ให้ได้ นี่คือความสามารถ
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน จะอยู่กับธรรมะ2 ที่มีความต่างอย่างไร
_ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นสามารถรักษาวัฒนธรรม เช่น ใส่เสื้อม่อฮ่อม กับการขยายตัว แล้วก็มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ การใช้รถแบคโฮ เรื่องการทำงานด้านอื่น ให้ผู้ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ก็ไม่ได้ใช้ควาย แต่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ แล้วภูมิปัญญาพื้นบ้านกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ฉันอาจจะมีการใช้มือถือใช้รถแม็คโคร จะมีการบูรณาการเทคโนโลยีสองส่วนนี้ได้อย่างไร ระหว่างดั้งเดิมกับแบบสมัยใหม่
พ่อครูว่า..มันบอกไม่ได้เลยนะไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัดแต่มันเกิดโดยปฏิภาณ รู้ว่าสิ่งที่ควรสิ่งนี้ยังไม่ควร หรือบางทีสิ่งนี้ควรเอามาใช้แล้วควรได้แต่เราไม่มีทุนรอนบารมีเอามาใช้ได้ ก็เป็นหมาเห่าเครื่องบิน เราก็ใช้เท่าที่มี มันก็ได้เท่าที่เรามีบารมีมีสิ่งที่พอเป็นต่อไป ก็ได้ มันก็แหม อาตมาย่นย่อเข้าให้เห็นว่า คือคนเรานี่ อาตมาย่นย่อเป็นภาษาว่า คนเรามีเจตนา เข้าใจคำว่าเจตนาให้ได้ว่า เรามีขีดจิตที่มุ่งหมายเจตนา แต่อย่าอยาก
อาตมามีmotto อันหนึ่งว่า มีเจตนาแต่ใหญ่ๆ เจตนาคือเรารู้ทางเดินจิตที่มุ่งไปจะให้ทำอะไรเป็นอะไรเรารู้เรามีเจตนา แต่อย่าผลักดันด้วยความตะกละตะกราม อยากได้ คุณเรียนรู้ว่า แล้วคุณจะทำอย่างไรมันถึงจะได้คุณก็ต้องศึกษาเหตุ ศึกษาต้นทางแห่งการได้ แล้วผสมส่วนจัดการเหตุนี้ให้สมบูรณ์ ถ้ามันถูกสัดส่วนก็ได้ผล ศึกษาเหตุให้ดี อย่าไปคำนึงถึงผล เราอาจจะพอมีอนาคตตังสญาณ มีความรู้นำหน้าว่า ผล มันควรจะเป็นอย่างนี้นะ แล้วเราก็มารู้ว่าคนมันเป็นอย่างนี้มันจะมาจากเหตุอะไร พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุเรื่องผลอิทัปปัจจยตาปัจจยาการ ถ้าหากว่าเราดับเหตุทุกอย่างก็จบ มันจะเจริญหรือเสื่อมก็อยู่ที่ 2 อย่างนี้คือเหตุและผลเท่านั้น
เหตุและผลพระพุทธเจ้าย่นย่อที่อาริยสัจจะ อาตมาไม่ใช่อารยะ กับอริยะ ซึ่งเป็นคำที่เสียไปแล้ว
ขณะนี้อาตมาจบได้สูงสุดแล้วอาจจะมีสูงสุดกว่านี้อีกว่า ความสุขความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนมากคนจะเรียนรู้เรื่องความดีความชั่วแต่ไม่มาเรียนรู้เรื่องเวทนาคือความสุขความทุกข์พระพุทธเจ้าจับจุดตรงนี้ได้ให้มาแก้ไขความสุขความทุกข์
คนบำบัดสุข บำบัดทุกข์นี้ เข้มข้นด้วยสัจจะยิ่งกว่าดีชั่ว คนทุกวันนี้ยึดถือแต่ดีชั่วเป็นสมมติสัจจะ แต่ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องที่จริงกว่า
มาเรียนรู้อาการอารมณ์ตรงนี้ให้ได้ ซึ่งมันยากมากที่จะแยกความสุขความทุกข์ให้ได้ ความสุขความทุกข์เป็นเหรียญคู่แยกกันไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงไม่ได้แยก ศาสนาพุทธจะเอาสุขมาทำลายจะเอาทุกข์มาทำลายก็ได้มันก็หายไป เพราะมันแยกกันไม่ได้ ความรู้กับความสุข ทำลายจะต้องทำลายมันทั้งคู่ ทำลายได้ก็คือหายไปทั้งสุขทั้งทุกข์ ศาสนาพุทธจึงไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อทุกขมสุข หรืออุเบกขา
คนจะมีความสุขความทุกข์อย่างไรก็เพราะอารมณ์ของคุณยึดเอง แค่ อย่างนี้ว่าสวย คนนี้บอกว่าสวยจัง อีกคนนึงบอกว่าไม่เอาไม่สวย แต่มันคืออันเดียวกันนะ แต่อารมณ์ของคนสองคนเขาทะเลาะกัน เราก็รู้ว่าคนทะเลาะกันแต่เราก็รู้ความจริงตามความจริงว่าอันนี้มันอันเดียวกัน แล้วคุณต่างคนที่ทะเลาะกันก็คือต่างคนต่างยึดถือ ต่างคนต่างเห็นว่าอันนี้ถึงจะใช่อันนี้ถึงไม่ใช่ คนก็เลยแยกเป็น 2 แต่ที่จริงอันนี้มันอันเดียวคุณกระทบสัมผัสอันนี้อันเดียวกัน คนร้อยคนสัมผัสก็อันนี้อันเดียวกันนั่นหนึ่งเดียวไม่มีสอง แต่คุณแยกไปได้เป็นอนันต์
เราก็ตามไปรู้ทันกับเขาไม่ได้หมดหรอก ที่เขาคิดกันมันหลายมุมเหลี่ยมเรียกว่าโลกจินตา เป็นความคิดแบบโลกอะไรก็คิดได้ไม่มีวันจบ คนที่เขาไปงมงายกับคำว่าศิลปะ เขาจะต้องมีแง่มุมที่แตกต่าง แล้วก็โปรโมท ความแตกต่างของเราว่าดีกว่าสูงกว่าแปลกกว่านี่คือศิลปินบ้าบอเลอะเทอะ คิดความแตกแยกอะไรออกเป็นอัตตาผู้เป็นเจ้าของ มีอัตตาในตัว มันแปลกไปจากความอื่น นี่คือความเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ศิลปะศิลปินทุกวันนี้เละเทะหมด หาสาระไม่ได้เลย จับจุดที่เป็นสาระไม่ได้ ศิลปะก็เลยกลายเป็น ศิลเปรอะเลย
อะไรที่เอามาพอใช้งานได้เป็นครั้งคราวเหมาะสมกับอันนี้ กาละนี้ เหตุปัจจัยนี้ status quo ปัจจุบันธรรมอันนี้ ปัจจุบันธรรมอะไรที่เล็กที่สุดน้อยที่สุดได้ประโยชน์มากที่สุดสูงสุดก็จบ
สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน แก้ปัญหาความเสื่อมของศาสนาพุทธ
_ดร.พิชาย_ขออนุญาตถาม เกี่ยวกับสังคมไทย คือสงฆ์ไทยมีประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกเยอะแยะมุมของพ่อท่านมอง จะมีแนวทางที่ควรปฏิบัติหรือแก้ไขยังไง
พ่อครูว่า...อาตมาว่าอาตมาเห็นครบเท่าที่อาตมามีภูมิว่า ทุกวันนี้ศาสนาพุทธน่าสงสารมาก เพราะมันไปหลงเอาความผิดว่าเป็นความทุกข์ จะว่าหมดก็หมด เกือบหมด อาตมาเลยจำเป็นต้องยืนยันตนเองว่า ถูกมันอยู่ที่อาตมาคนเดียว เพราะมันเห็นว่าของคนอื่นเขาผิด ใครก็มีอัตตาว่าตัวเองก็แน่ตัวเองก็หนึ่ง หลายคนก็เรียนมาเกิดมาก่อนอาตมายึดถือนี้ครูบาอาจารย์ อาตมาโผล่มาบอกว่าครูบาอาจารย์ก็ไม่มีสำนักไหนก็ไม่มี แล้วเอามาจากไหน อาตมาบอกว่าเอามาจากของตัวเองชาติก่อนๆเท่าที่มีเอามาทำเอามาเปิดเผย ซึ่งมันก็ไม่เหมือนกับที่ท่านผิดไปหมดแล้ว อาตมาพูดแบบนี้บอกว่าถูกมันก็เลยต้องขัดแย้งอยู่ตลอด อาตมาก็เลยพิสูจน์ยืนยันจนมีผู้รู้มาเอาตามมาทำตามมาตายตาม อยู่ที่นี่ 30-40 ปีแล้ว
อาตมาก็ยืนยันว่า 1 ตรวจสอบเท่าที่มีหลักฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ ใช้อันนี้เป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้เกือบหมดอาจจะมี Error เล็กๆ แต่แท้ๆแล้วใช้ได้ ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ อาตมาทำงานมาก็ยิ่งเห็นผลว่ามีอัตราการก้าวหน้าพอใช้ได้ทีเดียว จนขณะนี้เท่าที่อาตมาใช้ปฏิภาณของอาตมาว่า กระแสความนิยม Trend ของความพอใจที่จะรับมาหาโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าเยอะขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระแสอะไรต่ออะไรที่กำลังเกิดนี้ เช่น กระแสอย่าง
อาตมายืนยันว่าในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์ท่านทรงพระจริยวัตรเป็นโลกุตรธรรมตลอดมา แต่คนเข้าใจไม่ได้บางคนก็เข้าใจได้ คนไม่เข้าใจก็ไม่ได้รังเกียจชัดเจน แต่คนที่เข้าใจได้ชัดเจนก็ลึกขึ้น โดยเฉพาะคนไทย
ที่อาตมาเรียกว่า ระเบิดรัก bomb of love ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต คนไทยรวมเป็นหนึ่งเขารักอะไร รักในตัวในหลวงหรือ เขารักความหล่อ ความรวย จะว่าความเก่งความสามารถก็ซ้อนคือ คุณธรรมความดี ลึกๆของชาวไทยมีธาตุตัวนี้ในจิต มีอยู่แล้วเป็นรากเหง้า อนุสัยอาสวะ คำว่าอนุสัยอาสวะนี้ไม่ได้เป็นคำเสียทีเดียว เป็นสิ่งที่ตกผลึกในก้นบึ้งของจิต มันแสดงตัวออกมาเมื่อมีการสัมผัสกระทบ มีปฏิกิริยาว่าอย่างนี้ใช่ จึงเกิดตื่นตัวเมื่อในหลวงสิ้น เขารู้ว่าเป็นคุณค่าที่สูงมากและหายากหาในใครไม่ค่อยได้ ได้ที่ในหลวง เช่น ท่านตรัสมาเป็นพยัญชนะว่า
ต้องบริหารประเทศแบบคนจน ต้องมาขาดทุนอย่าไปเอากำไร จะไปเอาเปรียบเรารัดต้องให้ต้องเสียสละ แต่ท่านเป็นนักปฏิบัตินักธรรมท่านไม่ใช่นักอธิบายแยกแยะขยายความ คนก็เลยเข้าใจแค่รูปธรรมเสียส่วนใหญ่ ไม่เป็นปฏิภาณความรู้พยัญชนะบัญญัติที่จะขยายต่อไป อาตมาเลยเป็นภาระที่จะมาขยายสิ่งเหล่านี้
อาตมายกอ้าง ว่า โพธิสัตว์มีใครบ้าง เช่นบอกว่าไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ คานธีเป็นโพธิสัตว์ ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ เป็นต้น อาตมาอ้างไปก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความรู้ทางโพธิภูมิ ก็ยังอธิบายเท่าที่ได้แต่ก็อ้างอิงยืนยันขยายความไปเรื่อยๆ มีหลักฐานที่ไอน์สไตน์เขียนจดหมายถึงลูกเรื่อง Bomb of love
ที่จริงแล้วอาตมาก็ไม่ชัดเจนว่า เห็นจดหมายของไอน์สไตน์ก่อนเกิดในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต แต่เมื่อเกิดพฤติกรรมสังคมมนุษยชาติ เป็น Bomb of love 13 ตุลาคม 59 อาตมาก็ชัดเจน ไอน์สไตน์ อาตมาก็เชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์ตามภูมาตามาคนก็จะงง โพธิสัตว์อะไร ยังไปทำที่วัตถุเท่านั้นไม่ได้มาเน้นนามธรรม อาตมาก็อธิบายไม่ค่อยออก ที่จัดเจน หลายอย่างที่ไอสไตน์รู้อาตมาก็รู้ บางอย่างอาตมาก็รู้ก่อน บางอย่างไอสไตน์ก็รู้ก่อน ก็เลยรู้ว่าเป็นคนตระกูลเดียวกัน อาตมาถึงบอกว่าไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์คนอื่นฟังก็จะงง
ในหลวงท่านทำอย่างเป็นรูปธรรมมหาศาล อาตมาทำอย่างเล็กเท่าขี้ฝอย แต่ทำทางนามธรรม ต้องขอบพระคุณในหลวงอย่างมากที่ท่านทำมาก่อนเป็นจริง ก็ต้องขยายต่อไปให้มีองค์ประกอบรูป และนาม เกิดจากจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง
สรุป รูปธรรมที่อาตมาสร้างด้วยนามธรรมที่สั่งให้อาตมาทำ ใช้เป็นพลังงานที่ทำอะไรต่ออะไร ก็ยังไม่เป็นหลักฐานรูปธรรมที่เพียงพอ อาตมาก็เลยคิดว่ายังตายไม่ได้ อาตมารู้ว่าอายุขันธ์อาตมา 72 ปี แต่ก็รู้ว่าตายไม่ได้นะ ต้องใช้ความรู้ที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า มาเสริมพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient เป็นพลังงานเสริมให้มีอัตราการก้าวหน้าในระดับคูณขึ้นไป ไม่ใช่แค่บวกนะ ต้องคูณหรือยกกำลัง ทำให้ได้ มันถึงจะเกิดพลังปฏิภาคทวีก้าวหน้าไปได้ ไม่อย่างนั้นถูกอันอื่นดึงไปไม่ออก เหมือนจรวดจะออกนอกโลกต้องมีพลังงานและตั้งทิศทางให้ถูกต้องจึงหลุดพ้นได้ เท่าที่ประมวลพลังงานในตนเองได้เท่าที่มีทวัตติงสาการ อาการ 32 นี้ไปได้
อาตมาทำมาได้จนถึงอายุ 84 ปี กึ่งหนึ่ง นักษัตร 12 ปีผ่านมาแล้วอาตมาถึงบอกว่าเอาเพิ่มอีก หากปฏิภาคทวีทับทวีไปก็จะมากขึ้นต้องทำ 12 ต่อไปอีกหลายทบ 151 ปีคือโกลของอาตมา
_ดร.พิชาย_วิธีการที่พ่อครูได้ใช้เพิ่มอัตราทวีคูณได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ไม่เก่งอธิบาย เราไม้ได้ปิดบังความรู้นะ อาตมาทำอยู่นี่พวกเราทำความเข้าใจแล้วมาตามวิเคราะห์วิจัยร่วมกันสาธยายถกกันเพื่อให้แตกความรู้ มีการสื่อสารโทรทัศน์ช่องนี้ เราก็ไม่ได้นิ่ง เรารู้เราก็สาธยาย ถกกันวิจัยกันให้ร่วมแสดงออก
_ขอกราบเรียนถามว่าที่มีรูปพระนั่งในกะลาครอบ ที่จุดนิทรรศการ คือฤาษี
พ่อครูว่า...ก็หมายความว่าฤาษีทั้งหลายแหล่เทวนิยมทั้งหลายอยู่ในกะลาครอบ ยังไม่ออกมาจากกะลาครอบ เหล่าเทวนิยม เหล่าที่จะตีคู่สองไม่แตก ออกมาไม่ได้ ยึดอันนี้เป็นหนึ่ง ยึดแล้วห้ามใครแตะด้วยนะต้องเอาตามนี้ด้วยนะ command ศาสนาเทวนิยมเป็นศาสนาแห่งการบังคับ Command ก็เลยอยู่กับอันนี้ตายตัวนิรันดรตีไม่แตกเจตนาไม่ให้ใครตี เขายึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นตลอด ใครจะมาแตกแยกอย่างไร แล้วมันจะแยกได้จริงหรือ เขาก็ไม่ยอม ก็ต้องปล่อยเขาไปห้ามเขาไม่ได้ก็เขายึดถืออย่างนั้น ของใครก็ของใคร
ต้องมาเรียนทีละคู่ เทวะ นี่แหละ แล้วจะมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 มันเป็นอัตราการก้าวหน้าที่มี ปฏิภาคทวี ได้ลำดับอย่างสวยงามไม่ใช่ไม่เป็นลำดับ อาจจะมีมุมเหลี่ยมบ้างต่างๆนานาได้หลากหลาย แต่เหมือนดอกไม้งามที่ได้สัดส่วน
สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ชีวิตหลังความตายของสันติอโศกเชื่ออย่างไร
_น้องเขาขับรถตู้ผ่าน ศาลาเฮือนสุดชีวิต ก็เลยอยากรู้ว่า ชีวิตหลังความตายของสันติอโศกนั้นมีความเชื่ออย่างไร สมมุติว่าเราไม่ได้ไปถึงนิพพานทุกคน คนที่เหลือเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า
พ่อครูว่า...อันนี้นี่นะ คนตายแล้ว เทวนิยมตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าไม่มีอะไรต่อ ยืนยันเองไม่ได้ยืนยันว่ามีสวรรค์กับนรกแล้วแยกแยะไม่ออกโยนให้กับพระเจ้ามีสิทธิองค์เดียว ท่านจะชี้นรกก็ของท่านเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าไปอยู่กับพระเจ้าก็ถือว่าไปสวรรค์ เป็นความโมเม ที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงอย่างไร
ต้องเอาสิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้ร่วมกัน เรียกว่าความรู้สึก เราสามารถพูดให้ตรงกันได้รู้ร่วมกันได้ เช่น เห็นสีนี้ก็คือสีเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนไทย จีน ฝรั่ง แขก สัจจะมีหนึ่งเดียวแต่เห็นแตกแยกกันไปว่า อันนี้ชอบอันนี้ไม่ชอบอันนี้ชอบน้อยอันนี้ชอบปานกลาง นับระดับไม่ถ้วนความแตกต่าง เพราะฉะนั้นความจริงมันมีหนึ่งเดียว ทุกคนสัมผัสแล้ว
หนึ่ง แต่ ส่วนความเห็นแตกแยกนั้นมีเป็นล้าน เราประมาณไม่ได้ เราก็จะเอาหนึ่งเดียวเป็นหลัก ถ้าแยกกันแล้วอยู่ร่วมกันได้ก็อยู่ร่วมกันไป ศาสนาพุทธไม่ได้จบที่ตายแล้วสูญ ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าแล้วขยายอะไรไม่ออก พระเจ้าเท่านั้นจะสั่งจะบันดาล ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมีตายแล้วเกิด Rebirth นับชาติไม่ถ้วน เกิดจากการกระทำกรรมของแต่ละคน
กรรม ถ้าจะพูดกับชาวพุทธด้วยกันก็คือ กรรมนี้ยิ่งใหญ่กว่า God ภาวะกรรมเป็นการกระทำของมนุษยชาติ ส่วน God นั้นไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือไม่อย่างไรแต่ก็ฝากคำสอนมากับปกาศก มาขยายความให้มนุษยชาติเท่าที่ประกาศกหรือพระบุตรนั้นมีความรู้หรือขยายได้ จริงๆแล้วพระบุตรนั่นแหละคือพระเจ้าเอง แต่พระบุตรไม่รู้ว่า ไอ้ ความรู้นี่คืออะไร
ความรู้นี่ก็คือสัญญาความจำความรู้ของตัวเอง แต่เมื่อเขาไม่รู้ไม่แน่ใจ ตัวเองรู้ขนาดนี้เชียวหรือ เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรไม่สามารถเชื่อตัวเองได้อย่างเด็ดขาดแน่แท้ ในตัวพระบุตร และพระเจ้าก็อยู่ที่ไหนไม่รู้สมมุติเป็นนิรมาณกาย เป็นกายที่ทุกคนรู้ว่ามีอันใดอันหนึ่ง แล้วก็สร้างเอง พวกที่มีทัศนวิสัยตรงกันก็พูดกันรู้เรื่องว่าเป็นอย่างนี้หรือ รวมกันใหญ่เลยก็เลยกลายเป็นอุปาทานหมู่ รู้ร่วมกันตรงกันแต่เป็นของสมมติที่ต่างคนต่างไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้นะเห็นความจริงนี้ได้เลย ความเป็นกายที่มี นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นด้วยกัน ต่างคนต่างสร้างเป็นนิรมาณกาย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่อาตมากำลังขยายความ ขออภัยหลายคนมาฟังนี้คงไม่รู้เรื่องที่อาตมาพูดนี้ แต่อาตมาบอกบัญญัติตอนนี้อาตมาไม่ได้บัญญัติเอง เป็นของเดิมที่ท่านได้อธิบายมา
คนเราโดยรูปที่ต้องตายต้องมีที่เผา คือเฮือนสุดชีวิต ศาสนาพุทธมีที่เผาศพก็จะได้จบ บางคนบอกว่าเผาแล้วเหลือขี้เถ้าอาจยึดถืออยู่ก็เอาไปลอยน้ำทิ้งไปเลยให้หายไปไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
ชีวิตหลังความตาย อยู่ที่วิบากกรรม กรรมของตนเองต้องเป็นของเรา กัมมัสกตา จะทำด้วยกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เล็กละเอียดเท่าใดก็ตามก็เป็นของคุณ คุณจะเอาไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ คือ พิสูจน์กันง่ายๆ คนคนนี้ตีหัวคนนี้ แล้วบอกว่า ไม่ดี คนอื่นเอาไปหน่อย แบ่งกรรมของการตีหัวคนไปให้หน่อย ถ้าคนเขาจับก็แบ่งให้ครึ่งนึง มันได้ที่ไหน กรรมของคนทำคนเดียวคนอื่นไม่ได้รู้ด้วยเลย แล้วจะยกให้ แม้จะรู้ร่วมเขาก็ไม่ได้ทำ เขารู้ว่าคุณทำแต่เขาก็ไม่ได้ทำ แค่กฎหมายเขาก็ไม่ได้เอาผิด นอกจากคุณเป็นคนสั่ง คนสั่งถือว่าเป็นต้นตอมากกว่าคนทำด้วย
สรุปแล้วกรรมเป็นของๆตน กัมมัสกตา ใครทำเป็นของของคนคนนั้น พ่อแม่ทำก็แบ่งให้ลูกไม่ได้ ลูกทำก็ยกให้พ่อแม่ไม่ได้ ไม่มีพินัยกรรมใดยกให้ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าละเอียดลออขนาดนี้ กรรมจึงสำคัญมาก ทุกอย่างไม่ใช่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สั่งให้เราทำเราเองต้องรับผิดชอบกรรมของเราเองทุกเม็ด หยาบกลางละเอียด บรรจุซองเท่าละอองธุลีอย่างไร แล้วไม่ระเหิดระเหยด้วย ไม่ขาดหกตกหล่น เป็นของเราทั้งสิ้น กรรมมีอิทธิพลต่ออัตภาพของเราทั้งสิ้น
คนตายแล้วก็แล้วแต่จะเชื่อ เชื่อว่าไปอยู่กับพระเจ้าก็คือโยนให้กับพระเจ้า ความจริงแล้วศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่ กรรมนี้ดำเนินไปตลอดนิรันดร คุณไม่สามารถรู้แจ้งจบได้จนไม่สามารถทำให้เหตุปัจจัยของกรรมทั้งหลาย ไม่มีผลต่อตัวเราอีกแล้ว คือมันไม่มีผลที่จะทำให้ตัวเราเองตกต่ำอีกแล้ว มีแต่ดี แล้วเราก็ไม่ยึดดีนี้เป็นของเราอันนี้สูงสุด ถ้าเรายังมี have เรานี่แหละเป็นเจ้าของมี Behavior ขึ้นมาเมื่อไหร่ของเราเองหมด เราทำเองเป็นของเราเอง ไม่มีใครได้แบ่งให้เราได้เลย นี่คือศาสนาพุทธ แล้วจะออกผลต่อคุณเองจนกระทั่งคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุ
คำว่าแยกธาตุ มีอุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ กรรมธาตุ ธรรมธาตุ โดยแยกเป็นนิยาม 5 หน่วยใหญ่นิยามใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
อุตุคือดินน้ำไฟลมที่ไม่ใช่พีชะเลย เริ่มเป็นพีชะมันก็ไม่มีความรู้สึกยึดถือเจ็บปวด จองเวรจองกรรมไม่มีความรักความชังมันยังไม่มี มันจึงไม่มีเวรมีกรรมไม่มีวิบากอะไรต่อ มันมีแต่ตัวมันเกิดต่อชีวะมันได้ก็ต่อ หากต่อไม่ได้ก็สูญ แต่มาเป็นจิตนิยามนอกจากต่อทางวัตถุไม่ได้แต่มาต่อทางนามธรรม
แล้วจิตนิยามขึ้นอยู่กับกรรม จิตเป็นเจ้าของกรรม กรรมมันจะเกิดอะไรขึ้นมาจิตก็เป็นตัวแปรตามตัวกำหนด จิตหรือวิญญาณ จิตเป็นปัจจุบันที่ใช้งาน วิญญาณเป็นธาตุรู้ที่ครบถ้วนหมด เมื่อมาแยกเป็นจิตเจตสิก เป็นเจตสิก 52 อีก 89 อภิธรรมเรียนจนเฟ้อ ไม่เข้าหาสภาวะจริงก็เลยไม่ได้แก้ไขตนเองก็เลยหลงนิพพานเป็นพยัญชนะ อัตวาทุปาทาน
_ดร.พิชาย_ธรรมะคืออะไร?
พ่อครูว่า...ธรรมะคือสิ่งที่ทรงอยู่ทรงไว้ ส่วนที่ทรงอยู่นี้แจกเป็นจิต เป็นรูป เป็นนามได้อีก คำว่าจิตคือธาตุรู้ ส่วนธรรมะนั้นเป็นธาตุที่เป็นเองคือรูปธาตุ ส่วนนามธรรมคือ dynamic
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน จิตตานุสสติกับธัมมานุสสติ
_ดร.พิชาย_จิตตานุสสติ กับธัมมานุสสติคืออะไร?
เราพิจารณารูปนาม สิ่งที่ได้ในตัวเราเป็นแกนหลัก ให้แกนเคลื่อนแกนลบเป็นตัวที่ตรวจสอง ยิ่งแกนนิ่งยิ่งตรวจสอบได้ไว หากไม่นิ่งก็เป๋เลย ต้องได้สัดส่วน หากแกนตั้งไม่แข็งแรงพอก็เละ หากแกนตั้งแข็งเกินไปก็ไปไม่ออก มันแน่นเทอะทะ ไปด้วยกันไม่ได้
คู่ นามรูป บวกลบ ต้องได้สัดส่วนพอเหมาะจึงเจริญไปพร้อมกันก้าวหน้าได้สัดส่วนพอเหมาะตลอดไป
การพิจารณาจิตกับธรรม ถ้าแยกเป็นภาษา จิตมันเป็นองค์รวมของนาม ธรรมะเป็นองค์รวมของรูป ธรรมะคือ static จิต คือ dynamic
อาตมาอธิบายแยก ธรรมะ กับธาตุ คู่สุดท้าย พระเจ้ารู้จักแต่ธรรมไม่รู้จักธาตุ
ธรรมนี้แยกเป็นธาตุได้แยอะ แต่เทวะพระเจ้ามีแต่ธรรมะ แล้วอย่าให้ตีแตก เลยไม่กระดิกเลยเป็นคำตาย เหมือนบาลีที่เป็นภาษาที่ตายแล้ว
สรุปว่า พระเจ้ามีแต่พระธรรม พระเจ้าไม่มีพระธาตุ คนในศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักพระธาตุ แล้วกระดูกมาเป็นพระธาตุได้อย่างไร ทางเทวนิยมพระเจ้าไม่รู้เรื่อง ยิ่งเป็นนามธรรม
วิญญาณธาตุ กับวิญญาณธรรมต่างกันอย่างไร
วิญญาณธาตุคือ static วิญญาณธรรมคือ dynamic
_ถ้ากรรมเป็นของของเรา แล้วกุศลกรรมที่อุทิศไปให้คนอื่นจะได้หรือไม่ ให้คนที่ล่วงลับไปแล้วย่อมไม่ได้ หลายที่ๆสร้างกระบวนการทำบุญอุทิศให้นี้
พ่อครูว่า...คุณก็รู้อยู่ในที พูดออกมาตัวเองชักรู้ว่าพูดถูกแล้ว ก็เราเป็นคนทำก็คือกรรม คนอื่นไม่ได้ทำด้วย แล้วมันจะไปได้อย่างไร คุณก็ขี้ตู่เอาเท่านั้นเอง
ก็บอกแล้วเขาไม่ได้ร่วมทำกับคุณแล้วจะให้เขาแบ่งให้ได้อย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน แผ่เมตตาคืออะไร
_ที่พระพุทธองค์บอกว่าให้แผ่เมตตา
พ่อครูว่า..แผ่เมตตาก็ต้องเข้าใจว่า แผ่คืออะไร เมตตาคืออะไร
เมตตาคือปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ปรารถนาให้เขามีสุข ก็เป็นความต้องการของ คุณแผ่เมตตา คุณอยากให้เขามีสุข คนอื่นก็ไม่ได้เกิดอาการนี้ทางจิตเขาเลยคุณจะไปยัดเยียดให้เขาได้อย่างไร คุณบอกให้เขาสงสารคน แต่เขาไม่สงสารคุณจะไปบังคับได้ไหม คนก็บอกว่าแผ่เอาความเห็นใจฉันมีเยอะเลย คนนั้นก็บอกว่าเรื่องอะไรฉันไม่ได้สงสารด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ถ้าคนบังคับก็ได้ แต่จิตใจของเขาทำเป็นไหม ทำให้เกิดความสงสาร ทำให้เกิดอาการสงสารนี้เขาทำเป็นไหม ถ้าเขาทำไม่เป็นเขาก็รับปากว่าสงสารก็สงสาร แล้วมันจะได้เรื่องอะไร ก็เขาทำจิตของเขาไม่เป็น
สรุปว่าแผ่เมตตาก็คือการเป็นพยัญชนะให้ทำทางรูปธรรม อย่างน้อยก็วจีกรรม พูดกันว่าทำอย่างนี้นะ สงสาร แต่จิตวิญญาณ ธาตุสงสาร สงสารนี้คือขยายความว่าต้องการให้เขาเกิดความไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ยากไม่ลำบากให้เขาพ้นจากอันนี้ นี่คือความสงสาร
อาการจิตของคุณมี แต่คุณไปบอกว่าแผ่เมตตา คุณสงสารมีจิตใจต้องการให้เขาเป็นแบบนี้ต้องการให้เขาไม่ทุกข์แบบนี้ ให้เขาเป็นสุข แต่ถ้าเขาชังน้ำหน้าจะตายเขาก็ไม่ทำ แต่เขาอาจรับปากว่าแผ่ก็แผ่ แต่จิตทำไม่เป็นมันก็ไม่เกิด
_พวกเราศึกษาเรื่องการพัฒนาสังคม ส่วนทางพ่อท่านคิดเห็นเรื่องที่ศาสนาพุทธจะเกื้อกูลอย่างไรต่อการปกครองสังคมไทย
พ่อครูว่า...ขอพูดสั้นๆ อาตมาเป็นนักปกครองบริหาร ตั้งแต่เกิดมาทำงานศาสนาอาตมาไม่มีตัวตน บริหารให้มนุษย์ชาติเจริญขึ้น จะ 50 ปีแล้วได้ผล แค่ก็ยากมาก อาตมาใช้ทฤษฎีเอาของพระพุทธเจ้ามาใช้ทั้งนั้นแหละ แล้วของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ของพระเจ้าที่อาตมาเอามาใช้เหมือนกับของในหลวงที่ท่านทำ อาตมาทั้งพาทำและอธิบาย ในหลวงท่านทำแล้วอธิบายคนเข้าใจไม่ได้มาก คนเลยทำตามไม่ค่อยได้แต่อาตมาอธิบายได้คนทำตามได้ แต่อาตมาไม่มีบารมีเท่าในหลวง ในหลวงพูดนิดหน่อยคนก็ทำตาม อาตมาพูดเป็นล้านครั้งคนถึงจะค่อยทำตามบ้าง อาตมาต้องพิสูจน์ตนเองจนคนเชื่อถือๆๆ จึงต้องพยายามอายุยืนยาวให้มากหน่อย คุณจะได้ Appreciate กับอาตมาบ้างในอนาคต
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:13:13 )
รายละเอียด
620130_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1k30gH4opLwuaD6TPXFOmUf7gyHTlH_TJDFLzUiX1Q3o/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=12RYX6-uKYeSm4ww7A3QMilEyZEsWF231
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เรามีศพมาตั้งอยู่ในศาลาด้วย พ่อครูจะได้แสดงธรรมหน้าศพด้วย เป็นลูกชายยายธรรมนูญ ก่อนหน้านี้มีน้องสาวยายธรรมนูญ มาวันนี้ก็พอดีลูกๆยายได้มางานศพป้า เขาเห็นว่าที่เราจัดงานศพเรียบง่ายดี ลูกก็คิดว่าน่าจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้พ่อ ลูกได้ดูแลพ่อมา จ7 ปีที่พ่อนอนติดเตียง ต้องใช้ความพยายามในการดูแลอย่างมาก พรุ่งนี้จะได้ทำพิธีฌาปนกิจกัน
ตอนนี้ข่าวที่ออกกันมากคืองานศพของหลวงพ่อคูณ ทุกช่องต้องพูดถึง ทุกสื่อก็กล่าวถึง พ่อครูบอกว่างานศพมีดัชนีสังคมที่ดีขึ้น ม.ขอนแก่นพยายามไม่ให้เกิดการเรี่ยไรกัน การจะเอากระดูกหลวงพ่อคูณต้องล็อกกุญแจสี่ห้าชั้นกันคนเอาไปทำเครื่องรางของขลัง พ่อครูประเมินว่าภาพรวมของประเทศดีขึ้น
หลวงพ่อคูณก็รู้ตัวสั่งว่า ถ้าตัวเองตายเมื่อไหร่ให้รีบเอาไปที่มหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ให้จัดงานศพที่เรียบง่ายที่สุด แสดงว่าหลวงพ่อคูณก็รู้เหมือนกันว่าถ้าตายที่วัดจะทำให้ยุ่งมากเพราะประชาชนจะวุ่นวายมาก ท่านก็ไม่ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น
แล้วเอ๊ะ พ่อครูจะเป็นอย่างไร (พ่อครูว่า...อย่าเพิ่งคิดน่ามันไม่เที่ยง อาจมีวิธีการสมัยใหม่ให้ทำกัน) ยกเรื่องนี้ ให้แง่คิดว่า พ่อครูคงไม่เป็นเช่นนี้ ไม่ถึงขนาดนี้
เมื่อเช้านี้พ่อครูว่า บ้านราชฯให้ทำสองอย่างคือทำองค์ประกอบของเสนาสนะให้ดี ไม่ว่าจะเป็นข้าวผ้ายาบ้าน สถานที่ และทำจิตให้มีโลกุตระให้แน่น ตอนนี้มีพี่น้องหมุนเวียนกันมาร้านพิสูจน์จิตอาสา ที่จริงเราขายต่ำกว่าทุน มีคนเช็คราคาเปรียบกับกรุงเทพฯแต่เราขายถูกกว่ามาก ทำอย่างไรให้เกิดโลกุตระให้แน่น
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 28 ม.ค. 2562 (สำมะปี๋ซี่วิต)
_นันท์มนัส · คนดู ผ่านเฟส 30
_ปาลิตา ทองสุขนอก · ขอโอกาสถามว่า ถ้าเราไม่ใช่ชาวอโศกขอเป็นชาวบุญนิยมได้มั๊ยเจ้าคะ อยากเป็นชาวบุญนิยมมากกว่าเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ
พ่อครูว่า...บุญนิยมคือ ผู้ที่ทำจิตให้รู้จักกิเลส แล้วสร้างพลังงานจิตตนให้ประหารละกิเลสได้ เหมือนกับสร้างระเบิดปรมาณู ที่มีแต่พลังงานจิต ระเบิดทำลายกิเลสได้หมดแล้วระเบิดก็หายไป ทุกวันนี้เข้าใจบุญไม่ได้ก็ไปสั่งสมบุญ เหมือนกับสั่งสมระเบิดมากแล้วนึกว่าตัวเองมีความดีงาม แท้จริงแล้วตัวเองมีกิเลสมากขึ้นต้อง สร้างระเบิดปรมาณูไว้ให้แก่ตัวเองมาก มันตรงข้ามกับสัจจะสภาวะความหมาย อันนี้สิทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม เดี๋ยวนี้ก็มีคำว่า กาย คำว่าเทวะ มันได้ทำให้สัจธรรมผิดเพี้ยนไปหมด
บุญนิยม หมายถึงลัทธิหรือหมู่ชน ถ้าหมายถึงคนก็หมายถึงคนที่เข้าถึงบุญ อย่างนิยมะ คือเที่ยงแท้ทำลายกิเลสได้ แม้จะไม่ใช่ชาวอโศกแต่ศึกษาบุญนิยมให้ได้มรรคผล
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นั่งเพ่งลมหายใจไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูครับ เนื่องจากผมได้ฟังธรรมจากยูทูปของท่านคึกฤทธิ์ ท่านบอกว่ามรรคมีองค์ 8 แบ่งเป็นสามหมวด 2 หมวดแรกคือศีล 3 หมวดกลางคือสมาธิ 3 หมวดหลังคือปัญญา ถ้าจะปฎิบัติต้องย่นย่อให้เหลือ1 คืออานาปานสติ ให้นั่งเพ่งลมหายใจเข้าออก ไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้ามาในจิตใจ ใครทำได้ในขณะนั้นแสดงว่าปฎิบัติมรรค 8 ได้สมบูรณ์ทุกข้อ เพราะการนั่งทำต้องใช้ความเพียรเป็นอันมากเป็นสัมมาวายามะ ครับ
ผมข้องใจมากๆเพราะท่านว่าเป็นพุทธวจนะ ผมจึงกราบรบกวนเวลาพ่อครูช่วยตอบให้ผมกระจ่างด้วยครับ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงครับ
พ่อครูว่า...ถ้าเป็นดังที่ว่านี้ ท่านคึกฤทธิ์ก็คือเข้าป่าลงนรกแล้ว ผิดทั้งหมดทั้งมวลเลย แค่จะบอกว่ามรรคมีองค์ 8 นี้คือนั่งลง กำหนดลมหายใจเข้าออกนั่งสมาธิก็ผิด เพราะสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281 พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัมมาสมาธินั้นเกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ นี่คือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ของชาวพุทธทั้งหมด นั่งสะกดจิตดูลมหายใจเข้าออกก็เป็นวิธีของเดียรถีย์ที่ทำกันในยุคโน้น
ในยุคพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องอนุโลม ที่บอกว่านั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นก็เป็นการกระทำของผู้ที่ทำผิดทั้งหลาย สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีใครทำถูกเลย การนั่งสมาธิของเขาคือการสะกดจิต นั่งหลับตาสมาธิไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติทั้งหมด จักขุมาปรินิพโพติ ต้องมีปัญญาอย่างลืมตาไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่ใช่เลยคนยึดมั่นถือมั่น แต่อาตมาก็ประกาศไปเขาก็ว่าอาตมาทำผิด
มรรคองค์ 8 ไม่ได้หลงผิดไปนั่งหลับตาแล้วสรุปว่าให้นั่งเพ่งลมหายใจเข้าออกไม่ให้มีจิตใจเข้ามาให้ดูแต่ใจ แต่ศาสนาพุทธนั้นให้จิตใจเรารับรู้ทางทวารภายนอกและภายใน ไม่ใช่ไปปิดประตูให้ไม่ให้อะไรเข้าเลยไม่ใช่
ในพระไตรปิฎกบอกว่าเหมือนปิดประตูรูเหี้ย 5 ประตู แล้วไปดูที่ทวารใจประตูเดียว อธิบายไปดูเหมือนจะดีนะ แต่ว่า อาตมาก็ยกหลักฐานที่ในพระไตรปิฎกมีอีกมากมายหลายสูตร ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติแบบลืมตาแล้วจะเกิดวิมุต วิมุตติญาณทัสสนะไปตามลำดับ ให้สัมผัสแล้วจิตใจคนก็ไม่เกิดกิเลสกามพยาบาทจนกระทั่งไม่เกิดวิหิงสา สัมผัสข้าวของเงินทองสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย และกิเลสมันจะเกิดเป็นเวทนา คุณก็ไปหลงเวทนาเก๊ ที่ได้เสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
3 ข้อใหญ่ของศีลนี้แหละปฏิบัติให้ถูกเป็นโลกุตระ มันครบแล้ว อย่างลืมตาปฏิบัติ อาตมาพูดมาจะ 50 ปีแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ท่านคึกฤทธิ์ก็ยึดถือศรัทธาปิฎก แต่การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องลืมตาปฏิบัติยังมีโพธิปักขิยธรรม 37 จนสามารถจับตัวเป็นธรรมะ 2 พิจารณาจัดการกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมให้กิเลสลดลงไป ไม่ใช่ไปทำมั่ว แต่ให้ทำทีละคู่ ปฏิบัติลืมตา ตั้งแต่ข้าวของทรัพย์สินเงินทองสัมผัสกับสัตว์สัมผัสกับคน
สัมผัสกับวัตถุหรือสัมผัสกับพืช จะเกิดกิเลสเอาเปรียบเอารัดอยากได้ ก็ลดกิเลสไป และสัมผัสในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่เกิดสุขกับทุกข์ ส่วนศีลข้อ 4 ข้อ 5 ข้อยืนยันในศีลข้อที่ 1 2 3 จะปฏิบัติกายกับวาจาได้จะต้องมีใจปฏิบัติด้วย คนปฏิบัติแบบศาสนาพุทธลืมตาปฏิบัติ ใจก็ต้องลืม ให้พ้นจากความเมาหลง สุราเมระยะมัชชะ เมาอย่างหยาบกลางละเอียด
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน ศาสนาพุทธจะไม่มีการหลอกลวง
_รารา ลาลา....คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็พูดไปเรื่อย....โพธิรักษ์ไม่ได้บวชในพุทธศาสนา..บวชเอง ตั้งลัทธิเอง..บอกว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์..ถามจริงๆในพุทธกาลมีเจ้าลัทธิมากมาย..ที่พยายามที่จะหาทางหลุดพ้น..แต่ไม่สำเร็จ..สุดท้าย.ต้องออกบวชในพุทธศาสนา..จึงสาเร็จเป็นพระอรหันต์สาวก..ยกตัวอย่าง.ชฎิลสามพี่น้อง..มีอุรุเวลกัสสะปะ..คยากัสสะปะ.นทีกัสสะปะ..สามคนนี้มีบริวารเป็น1000คนอ้างตัวว่าเป็นพระอรหันต์..จนสุดท้ายพระพุทธเจ้าทรงทรมาน..ด้วยฤทธิ..จึงยอมขอบวชเป็นลูกศิษย์แบ้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์....แล้วโพธิรักษ์บวชเอง..ตั้งลัทธิเอง..มีด้วยเหรอที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์..555ตลก..เลิกหลอกลวงคนโง่ๆได้แล้ว..ยังไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจใหม่..นรกนะครับ..กันอะไรครับ..หันซ้ายหรือขวา..ว่าจะไปทางไหนดี..
พ่อครูว่า...อาตมาขอยืนยันว่าไม่สามารถหลอกลวงคนโง่ได้ คนโง่นั้นอาตมาไม่ไปหลอกลวงเขาอยู่แล้ว อาตมาจะหลอกลวงคนมีปัญญา อาตมาไม่มีสิทธิ์ไปหลอกลวงคนโง่อาตมาหลอกไม่เป็น อาตมาจะหลอกคนมีปัญญาได้เท่านั้น แต่คนมีปัญญาจะฟังอาตมา ว่าท่านไม่ได้หลอกลวง ท่านพูดจริง ส่วนคนโง่นั้นเลิกเลยจะว่าอาตมาหลอกลวง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีปัญญา คนมีปัญญาจึงจะฟังอาตมารู้ได้ ส่วนคนโง่นั้น เชิญนิรันดรต่อไป คนโง่ จะอยู่กับความคิดเดิมของเขา เขาจะปฏิเสธสิ่งที่ต่างจากที่เขายึดมั่นถือมั่นแล้ว
โชคดีที่ ชฏิลทั้งหลาย ไม่เหมือนคุณคนนี้ คุณเข้าใจไม่ได้หรอกว่าอาตมามีธรรมะมาเอง ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 เป็นผู้รู้เองสยังอภิญญา แล้วอาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นคนนั้น คนที่เชื่อ เข้าใจดีก็ไม่ปฏิเสธ
ข้อ 10 นี้ท่านบอกว่า...สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) คนไหนตาดีก็จะเห็น อัตถิโลเก ก็จะเห็น
ถ้าอาตมาไม่พูดแล้วใครจะมาพูดแทนอาตมา
_ฮาปากอน 44 ....อรหันตรวจเลือดไม่ได้ ดูดออกแข็งเป็นพระธาต ใครทำเลือดออกตกนรกอีกกรรมเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน คำสอนจากสยังอภิญญาพาบรรลุจริง
_พีบอย แล็บ....ต่อให้ท่านโพธิรักษ์มรณะภาพไปอีกร้อยปี คำสอนของท่านพุทธทาส ก็ยังคงอยู่ แต่คำสอนของท่าน อีกร้อยปีก็ไม่มีใครจำได้
พ่อครูว่า…อาตมานี่อวดดีไม่ได้อวดเก่ง อาตมาเทียบนั้นเพราะอาตมาเป็นผู้เที่ยง ของท่านพุทธทาสคุณก็ศึกษาเอาเถอะ ส่วนของอาตมาก็มั่นใจว่าชัดเจนในตัวอาตมา อาตมาเองอธิบายได้ มากกว่าท่านพุทธทาส อธิบายได้ละเอียดกว่าท่านพุทธทาส อาตมาไม่ได้ตีทิ้งอภิธรรมด้วย เพราะท่านพุทธทาสไม่มีอภิธรรมเข้าใจพระอภิธรรมไม่ได้ เพราะว่าพระอภิธรรมเป็นสุดยอดธรรมะของพระพุทธเจ้า อธิบายจิตเจตสิกอย่างอาตมาท่านอธิบายไม่ได้ แล้วท่านก็เลยตีทิ้งเพราะท่านไม่รู้เรื่อง แค่นี้ก็หมายถึงว่าท่านพุทธทาสนั้นไม่ได้สามารถที่จะเป็นพระอาริยะขั้นที่เข้าถึงอรหันต์ อาจจะพอรู้ในความหมายของสัจธรรมศาสนาระดับหนึ่ง จะบอกว่ามีขั้นตอนก็มีขั้นตอน อาตมาไม่เปรียบเทียบ แต่จะบอกคนอื่น ว่าท่านพุทธทาสนั้นเป็นพระโสดาบันเท่านั้น เป็นผู้ที่ศรัทธาศาสนาพุทธดีและก็เป็นผู้ที่ชัดเจนในความไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเลยเถิด มีความชัดเจนแต่เลยเถิด ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เลยไม่ได้อะไร แต่ได้ที่ว่าศาสนาพุทธมีวิธีอย่างนี้มีอนัตตามีจิตว่าง มีความสุญญตาเข้าใจแต่เข้าไม่ถึงสภาวะจริง ไม่รู้รายละเอียดในเวทนาในเวทนาไม่รู้ในเวทนา 108 ทำจิตในจิตทำเวทนาในเวทนา โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 ทำไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเมื่อท่านตีทิ้งสิ่งที่เป็นยอดหัวใจศาสนาพุทธ แล้วท่านจะเอาความเป็นพุทธไว้ตรงไหน ท่านก็ได้แต่พื้นฐานที่ศรัทธาศาสนาพุทธ
แต่สักกายะทิฐิท่านพุทธทาสก็ยังไม่รู้ กาย คืออะไร ธรรมกายท่านพุทธทาสเข้าใจถูกหรือยัง
กาย แปลว่า จิต มโน วิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
คำว่ากาย อาตมาแยกให้รู้มูลกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มีทั้งส่วนเปลือกที่ไม่ใช่กาย แล้วส่วนไหนเป็นจิต ส่วนไหนเป็นอุตุ
เล็บ ส่วนที่หลุดออกไปจากร่างแล้ว ผมหลุดออกไปจากร่างแล้ว แน่นอนมันก็ไม่ใช่กายใครก็รู้ แต่ส่วนเล็บที่ติดกับตัวเราแล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บ ฟันที่เป็นภายนอกก็ไม่เจ็บ ที่ไม่เจ็บก็ยังมีส่วนที่มีชีวะอยู่ได้ แต่ไม่เจ็บ แต่มีชีวะขั้นพีชะ
พีชะ ไม่มีเวทนาไม่มีความเจ็บปวด จึงต้องศึกษาว่าส่วนเหล่านี้ ตัดออกไปแล้วว่าไม่ใช่กาย แต่กายต้องมีจิตร่วมด้วย เป็นสามระดับง่ายๆ หากพิจารณากายในกายไม่ถูกก็ไม่เข้าใจเวทนาในเวทนาเพียงพอ จนสมบูรณ์แบบ เวทนา 108 จิตในจิตซึ่งแยกเป็น มโนปวิจาร เพื่อแยกและทำให้ได้ผลในเจโตปริยญาณ 16
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
1. สราคจิต (จิตมีราคะ)
2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .
16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
แล้วก็ทำให้ทรงไว้เป็นธรรมะ หากแยกแยะ กาย เวทนา จิต ธรรม จะไปสามารถปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เข้าใจไม่ได้ก็จะปฏิบัติไม่ถูกไปตลอด เข้าใจแล้วจึงปฏิบัติถูกต้องไปตลอด เป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจศึกษา อาตมาขออภัยที่ต้องวิจารณ์แม้แต่ท่านพุทธทาส หรือใครก็แล้วแต่ อาตมาพูดลดเลี้ยวไม่เป็นพูดอย่างประนีประนอมไม่เป็น อาตมาเป็นนักขวานผ่าซาก ก็เลยยากแต่ก็ต้องทำ คัดเลือกเอาคนที่เห็นว่าคนนี้เป็นคนแท้มั่นใจพูดสัจจะ ไม่เสียเวลาเลียบเคียง พูดเปรี้ยงๆเลย แค่นี้ก็เมื่อยแล้ว
_สม.กล้าข้ามฝัน สม.รินฟ้า ส.ฟ้าไท ส.แสนดิน
มาต่อที่มาจนอย่างนี้แหละ มันยากมาก คำว่าจนกับคำว่าร่ำรวยนี่แหละคือคำว่าสุขคำว่าทุกข์นี่แหละ ที่เป็นอริยสัจที่จะต้องเรียนรู้ ไทยโพสต์วันที่ 28 คอลัมน์ สถานการณ์โลก โดยชาญชัย คุ้มปัญญา
เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความร่ำรวยของไม่กี่คน 27 มกราคม พ.ศ. 2562
เป็นประจำทุกปีองค์การอ็อกซ์แฟม (Oxfam International) จะนำเสนอรายงานความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจคู่ขนานกับการประชุมผู้นำเศรษฐกิจของโลก (World Economic Forum) ที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ รายงานฉบับล่าสุดตั้งชื่อว่า ‘Public good or private wealth?’
ความเหลื่อมล้ำเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเพราะปัญหานี้ร้ายแรงขึ้นทุกวัน ทำให้คนในสังคมแตกแยก ทางออกคือต้องสร้างระบบเศรษฐกิจที่เกื้อการุณย์ต่อมวลมนุษย์ด้วยกัน (Human Economy)
ข้อมูลจากธนาคารโลกล่าสุดระบุว่า ปัจจุบันประชากรโลก 3,400 ล้านคน อยู่ด้วยเงินต่ำกว่า 5.5 ดอลลาร์ต่อวัน (ราว 176 บาท) ผลลัพธ์คือทุกวันนี้เด็ก 262 ล้านคนไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ละวันมีผู้เสียชีวิตราว 10,000 คน เพราะไม่ได้รับการรักษาพยาบาล เอื้อให้เกิดรัฐบาลอำนาจนิยม บั่นทอนประชาธิปไตย บั่นทอนสิทธิมนุษยชน สถิติอาชญากรรมสูงขึ้น คนเครียดและป่วยทางจิตมากขึ้น
ผู้หญิงมักเป็นกลุ่มที่เหลื่อมล้ำมากที่สุด แม้กระทั่งในหมู่ประเทศยากจน ผู้หญิงมักเป็นคนที่ยากจนสุดๆ เหลื่อมล้ำมากสุด เหตุผลง่ายๆ เพราะผู้ชายเป็นผู้ปกครองและเขียนกติกาที่ให้ตัวเองได้ประโยชน์ สตรีเพศจึงมักถูกทอดทิ้ง ได้รับการเหลียวแลเป็นคนท้ายๆ การปรับลดบริการสาธารณะ ลดภาษีเศรษฐี ผู้หญิงจะได้รับผลกระทบก่อนและเสียหายมากกว่าทุกคน
ข้อมูลระดับโลกพบว่า หญิงมีรายได้ต่ำกว่าชายร้อยละ 23 (ในงานเดียวกัน) ชายมีทรัพย์สมบัติมากกว่าหญิงถึงร้อยละ 50
ประเด็นน่าคิดคือ หญิงต้องทำงานบ้านเลี้ยงดูบุตรหลาน ดูแลคนชรา โดยไม่ได้รับค่าแรง ขาดการเหลียวแลจากรัฐ ถ้าสตรีได้รับการดูแลจากรัฐดีกว่านี้จะลดการละเมิดทางเพศ ลดการกดขี่ทางเพศได้มากมาย
ความจริงอีกข้อคือ เด็กเก่งเด็กฉลาดมีอยู่ทุกที่ทั่วโลก แต่ไม่ใช่ทุกคนได้รับการดูแลอย่างสมควร ขาดโอกาสเรียนต่อ ผลคือความสามารถของเด็กไม่ได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้นไป เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าในหลายประเทศลูกคนรวยเท่านั้นที่ได้โอกาสทางการศึกษาสูงสุด เด็กหญิงในประเทศเคนยา 1 ใน 250 คนเท่านั้นที่ได้ศึกษาต่อในระดับมัธยม
ส่วนสุขภาพคือ สิ่งที่ต้องซื้อด้วยเงิน คนจ่ายได้มากกว่าจะได้รับการดูแลรักษาพยาบาลที่ดีกว่า คนยากจนจึงมักมีอายุสั้น เด็กในครอบครัวเนปาลที่ยากจนเสียชีวิตมากกว่าลูกคนรวยถึง 3 เท่า
นี่คือสภาพความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำของสังคมที่เกิดขึ้นและพบเห็นดาษดื่น
Universal public services:
การเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างทั่วถึง (Universal public services – เช่น เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี ไฟฟ้า น้ำประปา) เป็นรากฐานของสังคมเสรีและยุติธรรม (free and fair society) เพียงแค่รัฐบาลดูแลเอาใจใส่ให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการสาธารณะ มีมาตรการช่วยเหลือทางสังคมอย่างทั่วถึงจะช่วยเพิ่มความเท่าเทียมได้ทันที ได้ประชากรที่มีการศึกษา สุขภาพดีตั้งแต่เด็ก สังคมมีเสรีภาพจริง ไม่มีใครถูกบีบคั้นให้ทำผิดกฎหมายเพราะว่า “จน”
(พ่อครูว่า...การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แบบคนจนนี้ อาตมาภูมิใจที่นำเอาธรรมะพุทธเจ้ามาให้เราศึกษาได้สำเร็จ สบายอยู่ในหมู่กลุ่มชุมชนของเรา ช่วยเศรษฐกิจได้มาก ทั้งที่พวกเรานั้นจนไม่ได้ไปตะกละแย่งความรวยกับเขา พวกผู้บริหารประเทศมองไม่ออกหรอกถ้ามองออกก็จะเอาไปเป็นโมเดลอธิบายและให้คนได้ศึกษา เพราะมันมีสังคมจริงพฤติกรรมจริงการเป็นอยู่จริงเลี้ยงชีวิตจริง มาสัมผัสมาศึกษามันได้กว่ามานั่งท่องอ่านกันอยู่ หัวผุหัวพัง มันได้เร็วได้จริงกว่าลึกซึ้งกว่า ที่พูดนี้ไม่ได้เรียกร้อง แต่เขายังไม่เข้าใจในจุดสำคัญตรงนี้)
การใช้งบประมาณเพื่อการนี้ย่อมดีกว่าใช้งบประมาณแก้ปัญหาอันเนื่องจากสังคมไร้เสถียรภาพ เมื่อคนมีงานทำย่อมไม่คิดปล้นใครกิน ทุกคนใช้ชีวิตเป็นสุขตามสมควร เปิดโอกาสให้ประเทศพัฒนาก้าวหน้ากว่าเดิม
(พ่อครูว่า...ถ้ามาจนกันมาก gap ระยะห่างระหว่างความจนคนรวยจะน้อยลงเรื่อย ส่วนจะให้คนไปรวยนั้น Gap ระยะห่างระหว่างคนจนกับคนรวยนั้นจะยิ่งมากขึ้นไม่มีวันจบ ถ้าให้คนเข้าใจว่าต้องมาจน Gap ช่องว่างจะลดลงเรื่อยๆ หากมาศูนย์ด้วยกันเหมือนกันนี้ก็จะไม่มีช่องว่างเลย ความร่ำรวยกับความจนนั้นไม่ได้เป็นเหตุแท้ของความสุขความทุกข์เลย คุณว่าคุณทักษิณเป็นสุขไหม มีทุกข์ไหม...ทุกข์ เขามีเงินมากไปไหนก็จ่ายได้ สบายมาก แต่เขาทุกข์หรือสุข...คุณไปหยั่งรู้ได้อย่างไร เขา pretender เสแสร้ง อกไหม้ไส้ขม … ไม่ใช่สิริมหามายาแต่นี่นรกมหามายา เป็นยอดอวิชชามากมาย ไม่ใช่สิริมหา มันคนละเรื่องกัน)
รายงานจากอ็อกซ์แฟมชี้ว่าแทบทุกประเทศมีนโยบายลดความเหลื่อตมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน แต่หากจะแก้อย่างจริงจังและได้ผลควรกำหนดเป้าหมาย แผนระยะต่างๆ และแผนปฏิบัติงาน (action plan) ที่ชัดเจน และให้สอดคล้องกับ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน“ (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ พร้อมกับแนวทางต่อไปนี้
ประการแรก ใช้นโยบายดูแลสุขภาพฟรี ทุกคนได้รับการศึกษาและบริการสาธารณะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เลิกนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชน ให้เงินบำนาญ เบี้ยดูแลเด็ก ช่วยเหลือปกป้องทางสังคมแก่ทุกคนโดยไม่แบ่งแยกหญิงชาย
ประการที่ 2 หญิงที่ทำงานบ้านเลี้ยงดูบุตรหลานดูแลคนชราถือว่าเป็นการทำงานประเภทหนึ่ง รัฐบาลต้องดูแลหญิงเหล่านี้ดั่งคนทำงาน สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างน้ำประปา ไฟฟ้า การดูแลเด็กได้โดยง่าย เพื่อไม่ต้องเสียเวลากับงานเหล่านี้ (เช่น ต้องเดินไปหาบน้ำไกลหลายกิโลเมตร เสียเวลาหลายชั่วโมง)
ประการที่ 3 เลิกลดภาษีแก่เศรษฐีและกิจการเอกชนขนาดใหญ่ หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลหลายประเทศมุ่งปรับลดภาษีคนมั่งคั่งร่ำรวยกับกิจการเอกชนขนาดใหญ่ เป็นนโยบายที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้มีฐานะดีเสียภาษีต่ำกว่าที่ควร
เหล่านี้เป็นแนวทางที่ทุกรัฐบาลปฏิบัติตามได้ และเป็นวิธีลดความเหลื่อมล้ำที่ได้ผลจริง
อภิมหาเศรษฐีพันล้านช่วยได้ :
นับจากวิกฤติการเงินเมื่อปี 2008 จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะ 10 ปีเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว ปีที่แล้วเพียงปีเดียวพวกมหาเศรษฐีพันล้านสร้างความมั่งคั่งเพิ่มถึง 900,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 2,500 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ในขณะที่ความมั่งคั่งของกลุ่ม
(พ่อครูว่า..พวกเรานี้เลิกเรื่องรวยเรื่องจนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ได้เลย ยอดความทุกความเลวร้ายที่สุดในโลกคือความสุขความทุกข์หรือความรวยความจน นี่แหละคือปัญหาหลักใหญ่ของมนุษยชาติที่โง่ต่อไป โง่ต่อความรวยความจนโง่ต่อความสุขความทุกข์ ที่ไปขึ้นอยู่กับความรวยความจน พุทธศาสนานั้นความรวยความจนเรื่องที่ของมาจนกันอย่างเสมอภาค จะลดช่องว่างยิ่งสูงเท่ากันหมดก็ยิ่งหมดช่องว่าง แล้วก็รู้ด้วยว่าจนก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์สบาย ความสุขความทุกข์หมด ไม่ต้องไปแย่งความรวยความจนอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องไปมีรวยอะไรอีกสบาย นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ หมดปัญหาความสุขความทุกข์ความมีโทษภัยอะไรต่อสังคมอีกไม่มี นักเศรษฐศาสตร์จะฟังอาตมาบ้างไหมนี่
ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์มาบริหารให้คนเป็นคนจน เอาแบบคนจน เขาฟังไม่เข้าใจ ช่างน่าสงสารประเทศ ในหลวงท่านก็ไม่จู้จี้จุกจิก แต่โพธิรักษ์ที่กัดไม่ปล่อย ได้ทีละห้าหกคนก็เอา แต่จะพยายามไม่ตายง่ายๆดูสิว่าอาตมานอนแบ่บๆแล้ว จะพูดได้อย่างนี้ไหม พูดฉอดๆๆได้อย่างนี้ไหม)
คนยากจนที่สุด 3,800 ล้านคน ลดลงร้อยละ 11 เห็นชัดว่าคนรวย-รวยขึ้น คนจน-จนลง
นอกจากนี้ ความมั่งคั่งกระจุกตัวกว่าเดิม อภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด 26 คนของโลกมีทรัพย์สินเงินทองเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรโลกหรือ 3,800 ล้านคน (นับจากคนยากจนที่สุดขึ้นมา) จากปีก่อนที่จะต้องรวม 43 อภิมหาเศรษฐีจึงจะเทียบเท่า
ถ้าอภิมหาเศรษฐีพันล้านยอมเสียภาษีเพิ่มอีกนิดเพียงร้อยละ 0.5 จากทรัพย์สินของพวกเขา เด็ก 262 ล้านคนจะได้ไปโรงเรียน ผู้ป่วย 10,000 คนในแต่ละวันจะไม่เสียชีวิตเพราะได้รับการรักษาพยาบาล (หรือราว 3.6 ล้านคนต่อปี)
ปัญหานั้นมีอยู่และบรรเทาได้ถ้ายอมเสียสละ ลดความเห็นแก่ตัว อภิมหาเศรษฐีจ่าย ภาษีมากกว่าเดิม เก็บภาษีผู้รับมรดก (Inheritance Tax) ภาษีทรัพย์สิน (Wealth Tax) เพียงเท่านี้รัฐจะมีงบประมาณสำหรับการบริการสาธารณะอย่างทั่วถึง และมีเหลือสำหรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
และหากสามารถแก้การทุจริตคอร์รัปชัน การเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่างๆ รัฐจะมีงบประมาณเพื่อพัฒนาประเทศในทุกด้าน
จะมีนักการเมือง พรรคการเมือง หรือผู้ปกครองคนใดที่จะดำเนินนโยบายลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างจริงจัง นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองมีเรื่องนี้หรือไม่
(พ่อครูว่า...อาตมาทำได้แล้วนะไม่ได้หาเสียง ปกครองชาวอโศกให้ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยคนจนได้แล้ว)
ไม่มีประโยชน์ที่ดีแต่พูด แต่ไม่ทำจริง : (พ่อครูว่า...ใช่ แต่เราเอง พูดอย่างไรทำอย่างนั้นทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที)
ทุกวันนี้มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนอยู่ภายใต้รัฐใดรัฐหนึ่ง ไม่มีใครสามารถอยู่แยกโดดเดี่ยว รัฐหรือรัฐบาลมีหน้าที่รักษาความมั่นคงปลอดภัยจากอันตรายทั้งภายในและนอกประเทศ รักษาความยุติธรรมในสังคม ให้ความช่วยเหลือพลเมืองผู้ยากไร้ เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีรัฐหรืออยู่ใต้อำนาจรัฐบาลต่อไป พลเมืองทุกคนพร้อมให้ความร่วมมือและเอาใจช่วยหากรัฐบาลทำหน้าที่เพื่อสังคมส่วนรวม
องค์การอ็อกซ์แฟมรายงานว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาแทบทุกรัฐบาลมีนโยบายแก้ไขความยากจน (พ่อครูว่า...การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลคือทำให้คนมาจน อย่าไปแก้ไขปัญหาโดยการทำให้คนไปรวย มันเป็นไปไม่ได้ แต่ให้เขาเข้าใจความจนและเป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียรคนจนมหัศจรรย์คนจนที่ขยันสร้างสรรเสียสละ
เขาเรียนมาหมดแหละ แต่เขาทำไมไม่จัดการบริหารตามที่เขาเรียนมา อาตมาก็งง
ในทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์ที่เขาเรียนมาไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เขาไม่จริงจังเพราะเขาเกรงใจตัวเอง ตัวเองเป็นไม่ได้ก็เลยพูดอย่างเกรงใจตัวเอง พูดไปแล้วกลัวจะทำไม่ได้ ก็เลยเขียนไว้อย่างหลวม แต่ว่าอาตมาไม่เอาอย่างหลวม )
ทำให้จำนวนคนยากจนลดน้อยลง แต่ปัญหายังคงอยู่และมีปัญหาใหม่ และเช่นเดิมที่แทบทุกรัฐบาลมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำแต่ยังทำน้อยเกินไป แก้ปัญหาช้าเกินไป เหตุเพราะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองไม่ได้ให้น้ำหนักมากเพียงพอ เกิดคำถามว่ารัฐบาลกำลังบริหารประเทศ “เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความร่ำรวยของไม่กี่คน”
รัฐบาลจะยอมรับหรือไม่ ยอมรับมากน้อยเพียงไร ความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียมกำลังก่อตัวเป็นปัญหาหนักขึ้นทุกวัน เราเห็นการประท้วงในหลายประเทศ แม้ในประเทศที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้ว กรณีร้ายแรงสุดคือเกิดขั้วต่อต้านรัฐบาลแบบสุดโต่ง นำสู่ความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้ อาจกลายเป็นชนวนสงครามกลางเมือง คนชาติเดียวกันเข่นฆ่ากันเองด้วยอาวุธสงคราม ต่างชาติเข้าแทรก เมื่อถึงเวลานั้นประเทศยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นรัฐล้มเหลว ประชาชนนับแสนเสียชีวิต นับล้านต้องอพยพลี้ภัยกลายเป็นผู้ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร บ้านเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง เหตุเพราะผู้มีอำนาจปกครองในปัจจุบันไม่ตระหนัก ไม่ยอมรับปัญหา ไม่คิดหรือไม่กล้าลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง.
------------------------
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บริหารแบบคนจนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
พ่อครูว่า...อ่านแล้วมาดูหัวข้อที่ว่า “เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความร่ำรวยของไม่กี่คน” เราฟังความที่เขาพูดมาแล้ว แล้วหันกลับมาดูปรากฏการณ์จริงของพวกเรา อาตมาเป็นผู้พาทำบริหาร พวกเรายินดีที่จะเข้ามาอยู่ในชุมชนสังคมนี้ เพื่อให้อาตมาบริหารแล้วเป็นสังคมที่มีพฤติกรรมกลุ่ม เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความร่ำรวยของคนไม่กี่คน ...ส่วนรวม
คุณพูดได้อย่างสบายใจ พูดได้อย่างเต็มปากพูดได้อย่างจริง แล้วมันเป็นได้ไหม ...เป็นได้ สรุปว่าเราแก้ปัญหาคนจนแก้ปัญหาคนรวยสำเร็จ ทำไมหนอ รัฐบาลหรือคณะบริหารไม่มาดูอย่างนี้บ้าง อาตมาว่าเราได้ทำอย่างสอดคล้องกับในหลวงตรัส รัชกาลที่ 9 ท่านทรงพระจริยวัตรและทำอย่างนี้ด้วย มาทำแบบคนจนขาดทุนเสียสละนี่แหละเราได้เราให้ เราขาดทุนนี่แหละเรากำไร ท่านตรัสจริง แล้วประพฤติจริง
เมืองไทยมีในหลวงที่เป็นตัวอย่างอันประเสริฐนี้ แต่ผู้บริหารดูไม่ออกรับสนองพระราชดำรัสนั้นมาประพฤติปฏิบัติไม่ได้ แม้จะกล้าพูดอย่างท่านก็ยังพูดไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจและไม่เชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ประพฤติได้สำเร็จ อาตมาขอยืนยันว่าไปแก้ปัญหาสังคมเศรษฐกิจ แบบพาไปรวย ตั้งหน้าตั้งตาจะรวยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าคนที่จะไปรวยนั้นเขาจะไม่พอ มันแก้ไม่ได้แก้ยาก เป็นวัวพันหลัก ไม่มีวันจบ นิรันดร นักเศรษฐศาสตร์นักเศรษฐกิจทั้งหลายต้องแก้ปัญหาใหม่ ต้องทำแบบในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้คนมาจน ไม่ต้องทำให้คนไปรวย
จะทำอย่างไรให้คนมีความรู้และยอมเสียสละเหมือนพวกเรา เสียสละมันไม่ได้ชั่วเอาเปรียบมันชั่วทำไมคนถึงโง่ไปเอาอย่างนัก มองเห็นในโลก ทำไมคนมุ่งหมายที่จะไปโง่และประพฤติปฏิบัติชั่วอย่างนี้ เอาชูชกมาเป็นเครื่องบูชา ชูชกก็ยังไม่รุนแรง ตะกละอย่างเดียวไม่ใช่เล่เหลี่ยมมากมายตะกละอย่างเดียว แต่คนทุกวันนี้เป็นชูชกด้วยแล้วมีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนที่จะเอาเปรียบคนอื่นอย่างไม่ให้เขารู้ตัวแล้วหลงผิดด้วยว่า เอ็งจะได้ แต่ที่จริงเอ็งถูกปอกลอกล้วงตับกินไส้ นี่คือความฉลาดเฉโกของคนที่สร้างระบบวิธีกฎเกณฑ์แบบนี้อยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นต้องทำให้คนรวยนี่แหละ ไม่ดี ต้องทำให้คนเป็นคนจนนี่แหละจะสละออกไม่เอาเปรียบ จะบริหารอย่างไรต้องให้คนจนมาเสียสละมาเรียนรู้ที่เป็นสัจจะ แล้วลดความรวยลดความเอาเปรียบ เราโง่มานานไปรวยมันชั่ว แต่มาจนจึงเป็นความประเสริฐดีงามแล้วจนอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ จนอย่างไรจึงไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อโลก จนอย่างไรจึงเป็นประโยชน์สร้างสรรค์มีคุณค่าอย่างจริงด้วย
อย่างพวกเราวัน ๆหนึ่งมีแรงงานมีความรู้ความสามารถความขยันก็ทำเป็นผลผลิตออกไป แล้วก็ไม่ได้จู้จี้จุกจิกบังคับอะไรกันมากมาย เราก็สร้างสรรแล้วกินใช้อยู่แค่นั้น ทำตลาดอาริยะก็แจกจ่ายไป อาตมาสร้างอาคารบวร เป็นตลาดประชารัฐ ก็ไม่ค่อยมีคนมาทำ ก็มีพวกเราบางเจ้ามา เราไม่ได้ขายส่ิงฟุ่มเฟือยคนก็ไม่ค่อยนิยม ขายเฉพาะคนที่ขาดแคลน คนที่ต้องการจริง คนที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยก็หลอกกันไปเรื่อยๆโง่ซับซ้อนที่ถูกหลอกกันไปจ่ายทรัพย์แล้วไปรีดจากคนอื่นเพื่อจะเอามาซื้อให้นำสมัยแบรนด์เนม อวดโง่กัน สังคมเป็นสังคมคนโง่คนชั่ว มันเป็นอย่างนั้น
คุณจะมาอวดความโง่ความชั่วทำไม แล้วจ้างคนโง่คนชั่วมาโปรโมทให้โง่กันมากๆ ชั่วกันมากๆ จะโง่ไปถึงไหน?
ต้องบอกความจริงให้รู้ตัวแล้วแก้ไขปรับปรุง ไม่เช่นนั้นก็จะบอกเบาๆว่าทำดีอย่าทำชั่วนะลูกเอ้ย เขาพูดมาเป็นล้านปีแล้วทวดเอ๋ย สอนแบบนั้นใครก็สอนได้ แต่การตำหนิคนให้คนไม่ทำชั่วนี้ไม่มีใครทำกันมาก อาตมานี้กล้าทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน แก้ปัญหาได้จริงแท้ต้องแก้ที่สุขหรือทุกข์
ปัญหาสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าได้ชี้ประเด็นสุดยอดคืออาริยสัจ ท่านให้แก้ปัญหาอันนี้ท่านไม่ให้แก้ปัญหาที่ดีหรือชั่ว ดีหรือชั่วเป็นเรื่องโลกียะ แต่ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องโลกุตระ เป็นเรื่องเวทนาที่มีความหลงในสุขในทุกข์ข์ แล้วไม่รู้ว่าความสุขความทุกข์นี้เป็นเทวเป็นคู่แฝดกัน คุณมีความสุขก็ต้องมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าให้เลิกเลยให้อยู่เหนือความสุขความทุกข์ นี่คือแนวคิดของศาสดา มีพระพุทธเจ้าที่คิดและตรัสรู้เรื่องนี้ก่อน แล้วเอาเรื่องนี้มาแก้ปัญหา นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่รัฐกิจที่ยิ่งใหญ่ แก้ปัญหาสังคมที่ยิ่งใหญ่
สุขทุกข์นั้นเกิดที่ใจที่เวทนา ท่านให้จับจุดสำคัญของจิตวิญญาณที่มีเวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ แล้วก็เรียนรู้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี่แหละ เวทนาเป็นสุข ทุกข์ สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้แล้วเรียนรู้เจตนาของจิต เวทนาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ ต้องมีอาการอารมณ์จริง ไปหลับตาไม่มีเวทนาจึงให้เรียนรู้ จะนั่งทำสมาธิให้จิตหยุดนิ่งอย่างนั้นเดียรถีย์คนนอกศาสนาพุทธสอน ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาไม่มีฐานให้ปฏิบัติได้
อาตมาพูดอย่างนี้จะมีอาจารย์ทางศาสนาท่านไหนฟัง ถ้าฟังแล้วชัดเจนจะได้เอาไปปฏิบัติ เลิกจากการนั่งหลับตาสมาธิ
ในสติปัฏฐาน 4 ในจรณะ 15 ก็ไม่มีการนั่งหลับตา เพราะมีศีล สำรวมอินทรีย์ ถ้าขาดสำรวมอินทรีย์ 6 ศาสนาพุทธหายไปหมดแล้ว ไม่มีผัสสะ 6 ศาสนาพุทธสูญไปแล้ว จึงไม่เหลือศาสนาพุทธแล้วในประเทศไทย ขอพูดเลยว่า พูดไม่ผิด ขอยืนยันเลย
สรุปลงที่เป้าหมายที่ คนศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจสุขทุกข์ได้ เป็นคนหมดปัญหาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วก็มาทำสิ่งที่ควรทำดีและชั่ว คนที่หมดปัญหาเรื่องทุกข์แล้วก็จะ ทำดีไม่ทำชั่ว ทำให้ทุกข์อริยสัจนั้นดับไปความสุขที่เป็น อัลลิกะก็หมดไปด้วย
ท่านไม่เคยเรียกสุขอาริยสัจ แต่ทุกข์นี้เป็นอวิชชา ความโง่ คนประเสริฐถึงจะรู้อริยสัจ ต้องมีโลกุตรปัญญาจึงจะสามารถที่จะเรียนรู้ทุกข์แล้วเลิกความทุกข์ได้ สุขก็หมดไปด้วย เพราะทุกข์สุขเป็นเหรียญสองหน้า ดับอันใดอันหนึ่งก็ไม่ได้
ธรรมะ 2 เรื่องความสุขความทุกข์จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ศาสนาเทวนิยมตีคู่นี้ไม่ออกจึงไปยกให้ว่าเจ้าของความสุขคือพระเจ้า ศาสนาพุทธทำลายความสุขความทุกข์ได้ แล้วเป็นผู้บัญชาการเองเลย ศาสนาพุทธบอกอย่าไปยุ่งกับพระเจ้า เราดับสุขดับทุกข์ได้ในตัวเอง สามารถสลายจิตวิญญาณได้ด้วย เราดับจิตวิญญาณของเราเอง
ศาสนาเทวะ เลิกสุข ทุกข์ไม่ได้ แต่ชาวพุทธทำได้ ยังจิตเราให้เป็นไปในอำนาจได้ มีโลกุตรธรรมได้แล้วอยู่ไป จะอยู่เป็นคน เราเป็นพระเจ้าที่จะให้เกิดให้ดับเองจะอยู่นานเป็นพระอวโลกิเตศวรที่ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เชิญ แต่อาตมาไม่สงสัย จะอยู่จะตายจะปรินิพพานตอนไหน แต่อาตมาจะยังไม่ดับวิญญาณไม่แตกสลายเป็นอุตุธาตุ ยังไม่ทำ ยังจะทำงานสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้านี้ไปต่อเพื่อให้ไปถึง 5,000 ปี
อาตมาเข้าใจทุกอย่างที่พูดและทำจริงอย่างที่พูดนี้ตลอดเวลา ที่ต้องยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ถูกต้อง ไม่ได้มีจิตอยากอวดเบ่งข่มไม่ได้อวดดีอะไร อาตมาพูดความจริงอย่างเดียว ยืนยันความจริงในศาสนาตอนนี้ที่มีแต่การเดาหลงผิดยึดถือผิด ผู้ที่บรรลุก็บอกว่าบรรลุผู้ที่ไม่บรรลุก็บอกว่าไม่บรรลุ เอาให้ชัด อย่ามาเหนียมอายเก้อเขิน ไม่ต้อง ยุคนี้ยุคอะไรแล้ว การหลอกลวงมันเยอะแล้ว คุณมาพูดจริงบ้างสิ อย่าไปหลอกลวงคนให้เก่งกันเลยโง่ฉิบหาย เป็นคนหลอกคนได้เก่งนึกว่าตนเองดี โอ้ คุณหลอกคนได้เก่งเท่าใดคุณก็ชั่วได้เท่านั้น อาตมาไม่เอาหรอก หลอกคน มาพูดแต่ความจริงๆๆ แม้เรามีส่วนหลอกลวงพรางเราก็ไม่เอาไม่ทำ คนไปหลอกคนอยู่นี่ชั่ว แต่พูดตรงจริงก็หาว่าหลอก คนตรงคนจริงมาพูดจริงใจไม่เชื่ออีก จะเอาอะไรกันอีก
พูดกระแทกอย่างนี้คนถึงจะเข้าใจถ้าพูดเบาๆไม่กระแทกคนก็บอกพูดอะไรนะ ต้องพูดให้รู้สึกเหมือนถูกขุดขึ้นมา กูชั่วก็มาขุดกูอีก กูก็ว่ากูดีพอสมควรอีก ยังขุดความชั่วของกูมาพูดได้อีก คนดีมีน้อยแล้ว และมาอยู่ในหมู่ตนเองหมด ก็ชมตัวเองอีก จึงยากจริงๆเลย
จะด่าคนชั่วก็เยอะ ด่าไปก็ถูกคนชั่วเขาหนัก จะชมคนดีก็มาอยู่ที่พวกตัวเองอีก ก็เลยเหมือนว่าชมพวกตัวเอง อีก
สมณะเดินดิน...สรุปจบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:13:50 )
รายละเอียด
620201_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สนามรบการเมืองไทยกำลังเจริญไปด้วยดี
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1W3VGfzc6lTF8-HLfUJlNTMHhDJDWheLOW0qVlZGDucU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1cCLpai8_aS2nWeDCeYCfs-CyNs341Oi-
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ก็ใกล้จะถึงวันงานพุทธาภิเษกของชาวอโศก เริ่มต้นวันที่14 กุมภาพันธ์ จบในวันที่ 20 กุมภาพันธ์
ตอนนี้การเมืองก็คึกคัก เขาอยากเป็นสส.กัน แต่ประชาชนก็ต้องดูคนที่เสียสละจริงใจ เป็นผู้รับใช้เป็นผู้ให้เป็นผู้ไม่มีอคติอย่างไร
พ่อครูว่า...เราจะขึ้นต้นพูดเรื่องการเมืองก่อน มีคุณสุทิน วรรณบวร อาตมาติดตามเสมอ ได้ข้อมูลดีๆลึกๆ ชัดเจนดี
เรื่องของทักษิณนั้น คนไทยเป็นคนมีเมตตา หากเป็นประเทศอื่นเขาประหารฆ่าทิ้งแล้ว อย่างเกาหลีเหนือเป็นต้น แต่ประเทศไทยปล่อยไปตามวิบาก
ทวนกระแสข่าว สุทิน วรรณบวร วันพฤหัสบดี ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562
Bad Monday เรื่องถูกเทที่ทักษิณไม่อยากเล่า
มาอ่านคอลัมน์ของคุณเปลว สีเงิน ในไทยโพสต์ ที่ให้คุณผักกาดหอมเขียนแทน ก็เขียนได้ดีมาก ชื่อเรื่อง ทำไม 'ลุงตู่' ต้องอยู่ต่อ? 30 มกราคม พ.ศ. 2562
เป็นไปตามคาด
4 รัฐมนตรี
อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
และกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
ลาออกไปเรียบร้อย พร้อมคำอวยพรจาก นายกฯ ลุงตู่
....ขอให้ประสบความสำเร็จและคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก.....
ส่วน นายกฯ ลุงตู่ ก็ชัดเจนขึ้นมาอีกขยัก
...เดี๋ยวจะไปบอกว่าจะเป็นนายกฯ คนใน คนนอก วุ่นวายไปหมด ถ้าอยู่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ...
ก็เป็นอันว่า ไม่มีนายกฯ ก๊อกสอง ไม่มีนายกฯ คนนอก
อยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง เลือกรอบเดียวรู้ดำรู้แดงกันไปเลย
เป็นนายกฯ คนใน!
แต่ตอนนี้อยู่ต่อ ไม่ลาออก
และน่าจะเป็นคำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดของนายกฯ ลุงตู่ ถึงการอยู่ต่ออย่างไรไม่ผิดกฎหมาย
“.....เมื่อเขามาเชิญผม ผมก็ต้องพิจารณาอย่างที่ว่า และขอเวลาสักนิดในการพิจารณา ว่าผมควรจะอยู่หรือไม่อยู่ชชจ ควรจะทำต่อหรือไม่ทำต่อ
ถ้าทำต่อจะทำอะไร มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
มันมีเวลาให้ผมตัดสินใจ เพราะเขาบอกแล้วว่า ถ้าจะต้องมีการเสนอรายชื่อนายกฯ ในช่วง 4-8 ก.พ.นี้ ผมก็จะพิจารณาในช่วงนั้น ก็จะรู้กันตอนนั้นว่าอยู่หรือไม่อยู่
อย่าเพิ่งเร่งรัดอะไรผมมากนักเลย
รวมถึงเรื่องบทบาทของผม ได้มอบหมายในที่ประชุมวันนี้ ขอให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องช่วยไปหารือฝ่ายกฎหมายของเรา กฤษฎีกาและหารือกับ กกต.ให้เกิดความชัดเจน
ไม่ว่าจะการเยี่ยมประชาชน
การประชุม ครม.นอกสถานที่
แม้กระทั่งการพูดจาในวันศุกร์ ผมก็จะถามเขาหมด ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางการเมืองต่อไปในการทำผิดกฎหมาย ผมต้องรอบคอบ การตัดสินใจของผม...”
คือ...ถ้าเล่นในข้อกฎหมายคงยาก
แต่พรรคการเมือง มวลชนที่เคลื่อนไหว ก็ไม่ลดละ ยังมีเสียงตะโกนบอก "บิ๊กตู่" ออกไปจากทุกตำแหน่งที่มี
ออกหมดมันก็สะใจดี
หลังสะใจ...เอาไงต่อ
ให้ "บิ๊กป้อม" รักษาการตำแหน่งนายกฯ และตำแหน่งหัวหน้า คสช.
เอามั้ย?
ถ้าบอกว่าไม่! แล้วจะเอาใคร
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
เดี๋ยวก็มีคนไม่ปลื้มอีก
อ้างเหตุผลได้สารพัด เศรษฐกิจแย่ คนจนเยอะเพราะ "สมคิด" ไร้ฝีมือ
ตามใจนักเลือกตั้งมันไม่จบ!
สถานการณ์วันนี้ ใครมีหน้าที่อะไร ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปให้ดีที่สุด แบบนั้นจะเป็นผลดีต่อประเทศโดยรวม
ถ้าไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อก็ไปจับปากกาฆ่าเสีย
ไปตัดสินกันในวันเลือกตั้ง
มัวดึงแข้งดึงขาตอนนี้ สุดท้ายกลายเป็นก่อปัญหาเพิ่ม
คนในพรรคตระกูลเพื่อ รวมไปถึงมวลชนเพื่อตระกูลชินวัตร หากจะเคลื่อนไหวอะไร ควรคำนึงถึงสิ่งที่ตัวเองทำในอดีตบ้าง
จำวันที่มวลมหาประชาชนเรียกร้องให้ "ยิ่งลักษณ์" ลาออกหรือเปล่า
เกาะเก้าอี้เป็นตุ๊กแก
อ้างมาจากการเลือกตั้ง ยกประชาธิปไตยกลบคอร์รัปชัน
แล้วเป็นไง
ถูกรัฐประหาร
อยากให้มันย้อนกลับมาอีกหรือ?
การเมืองเกิดสุญญากาศในยุคไร้ คสช. ไร้รัฐบาลรัฐประหาร ต้องบอกไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น
แล้วหัดเรียนรู้ไว้ด้วยว่า โลกปัจจุบัน วิธีการเข้าสู่อำนาจมันซับซ้อนมากขึ้นทุกที
วันนี้ ชาติมหาอำนาจนิยามการเข้าสู่อำนาจ หลุดจากตำราไปไกลแล้ว
ที่เวเนซุเอลา คือตัวอย่างของ หลักกู
สถานการณ์คร่าวๆ มี 2 รัฐบาลขึ้นมาซ้อนกัน
จาก 2 ขั้วการเมือง
คล้ายๆ กับการเมืองไทย
แต่สิ่งที่คนไทยควรจะศึกษา และจดจำไว้คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีแขกรับเชิญจากภายนอกเข้ามาแทรกแซง
เสี่ยงเกิดสงครามกลางเมือง
อย่างที่เวเนซุเอลากำลังถูกชาติมหาอำนาจมะรุมมะตุ้มอยู่
ฝั่งที่สนับสนุนประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร มี จีน รัสเซีย เม็กซิโก และตุรกี
ส่วนฝ่าย ฮวน ไกวโด ผู้นำฝ่ายค้าน ที่ตั้งตนขึ้นนั่งตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี มี สหรัฐ หลายชาติในแถบลาตินอเมริกา
และชาติในยุโรป สเปน เยอรมนี ฝรั่งเศส และ อังกฤษ
เหตุผลการเข้าแทรกแซงของชาติในยุโรปเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก
อ้างว่า มีแนวโน้มตึงเครียดและเสี่ยงต่อการนองเลือด จากความขัดแย้งของ 2 ขั้วการเมืองในเวเนซุเอลา
แล้วไปสนับสนุน "ฮวน ไกวโด"
มีคำถามว่อนไปทั่วโลก
ชาติมหาอำนาจอเมริกา ยุโรป กำลังสนับสนุนให้มีการรัฐประหารในเวเนซุเอลาใช่หรือไม่
ถ้าไม่ใช่...เรียกว่าอะไร?
คุ้นๆ ว่าคล้ายกับ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1/2557
หลังรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีแถลงการณ์เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ออกมา
รายละเอียดบอกว่า
"....ตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตปริมณฑล และพื้นที่ต่างๆ ของประเทศหลายๆ พื้นที่ เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง
และเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัว จนอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวมนั้น
เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี เช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา
ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทั่วทุกฝ่าย
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ
ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เวลา 16.30 น.เป็นต้นไป...."
ไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่มีความคล้ายกัน
อเมริกา ยุโรป ถือหางฝ่ายค้านชิงอำนาจ
ไม่ต่างสนับสนุนทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มีอยู่แล้ว และมาจากการเลือกตั้ง อ้างต้องแทรกแซงเพราะเวเนซุเอลาจะนองเลือด
คสช.ทำรัฐประหาร
เพราะการเมืองสองขั้วขัดแย้ง
มีประชาชนล้มตาย
และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฝ่ายการเมืองจัดการสถานการณ์ไม่ได้
แต่ อเมริกา ยุโรป บอกว่า คสช.ทำไม่ถูก
ขัดหลักประชาธิปไตย
แล้วตัวชี้วัดว่าเป็น ประชาธิปไตย หรือไม่ คืออะไร?
คือความต้องการของชาติมหาอำนาจ
หรือประชาชนในชาติที่ด้อยกว่า
นี่คือสิ่งที่คนไทยต้องเรียนรู้ ชีวิตจริงกับตำราบางครั้งไม่ได้ไปด้วยกัน (พ่อครูว่า..ชีวิตจริงก็คือสภาวะกับตำราก็คือพยัญชนะ)
การเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากทุกตำแหน่ง ก็ควรคิดให้รอบคอบว่า ให้อยู่ต่อจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่กับออกไปเดี๋ยวนี้ อย่างไหนเป็นประโยชน์กับภาพรวมของประเทศมากกว่ากัน
หรือจะให้เกิดสุญญากาศ แล้วเรียกแขกมาอีก.
ผักกาดหอม
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์ที่สุดประเสริฐ
พ่อครูว่า...เห็นไหมถึงความตื้นเขินของนักการเมืองอเมริกา ไม่ได้มองถึงความดีความชั่วเลย รู้จักแต่ majority rule ไม่รู้จัก minority right เอาแต่กฎหมายบัญญัติหลักเกณฑ์ยึดถือง่ายๆพื้นๆ คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น แต่จุดสำคัญคือ right คือความถูกต้อง ของคนส่วนน้อยหรือสิทธิมนุษยชน เขาเข้าใจไม่ได้ เขาจะเอากฎระเบียบเอาพยัญชนะ มาข่มสภาวะ ทั้งๆที่สภาวะเป็นสิ่งยิ่งใหญ่กว่า
ประเทศไทยก็มีอะไรดีๆเยอะแยะที่เขาจะมาปล้นเอาด้วย ทรัพยากรธรรมชาติเยอะแยะ นี่คือสงครามโลก สงครามสังคม สงครามโลกครั้งที่ 3 นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ง่ายๆหรอก อาตมายืนยัน เพราะทุกคนรู้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิด โลกจะระเบิดแน่ เพราะว่าเทคโนโลยีมันรุนแรงมาก ประเทศแต่ละประเทศก็รู้แล้ว ก็จะปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้
เรื่องของที่อ่านบทความของคุณผักกาดหอมตั้งแต่ประเด็นแรกที่อาตมาต๊ะไว้ก่อน เกี่ยวกับเรื่อง เศรษฐกิจแย่เพราะคนจนเยอะ ประเด็นนี้อาตมาก็ต้องทำหน้าที่ทำงานเพื่อพิสูจน์ยืนยันว่า คำว่าความจนหรือคนจนของมนุษยชาติ มันไม่ใช่ความด้อยไม่ใช่ความต่ำไม่ใช่ความไม่ประเสริฐ มันเป็นความสูงส่ง มันไม่ใช่ความจำเลยไม่ใช่ความด้อย มันเป็นความภาคภูมิใจ มันเป็นความประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ ความจนนี้คนยังเข้าใจได้ยากมาก อาตมาเคยพูดกันหลายทีว่าคนไปรวยคือคนชั่ว พูดง่ายและชัด ขอยืนยันว่าพูดความจริง ไม่ได้พูดทับถม หรือดูถูกดูแคลนแต่มันเป็นจริง เพราะในชีวิตเราไม่ควรเป็นคนรวย เกิดแล้วตายอีกก็ไม่ควรเป็นคนรวยในสังคมโลก ควรเป็นคนจนที่มีความสุข คนจนอุดมสมบูรณ์มีสมรรถนะมีความขยันหมั่นเพียร เป็นคนจนที่เสียสละเป็นประโยชน์เป็นผู้ให้แก่ผู้อื่นได้ นั่นมันอยู่รอดแล้ว
วัตถุสมบัติโดยเฉพาะเงินทองคุณก็ไปกอบโกยใส่ตัวเองมากๆคนมันหลงธนบัตร คนอื่นลำบากยากเย็นอย่างไร ไม่มีธนบัตรมาใช้ มันเป็นคนไม่ค่อยฉลาด ก็เลยติดขัด สังคมมนุษยชาติก็เดือดร้อนไปหมด ประเด็นแค่กอบโกยเอาเงินมากักไว้ที่เรา หรือที่คนยึดถือว่าจะไปเป็นกระฎุมพี หรือคนรวย ไม่ใช่เศรษฐีที่แปลว่าผู้ประเสริฐ เขาจะเอาแต่คนรวยเป็นกระฎุมพี คนในประเทศแต่ละประเทศ กอบโกยดูดเอาเงินไปไว้ก็รวยกระจุก แล้วปล่อยให้จนกระจาย แล้วคนจนที่ไม่ได้มีความรู้
อย่างชาวอโศกเป็นคนจนที่มีความรู้ มีสมรรถนะ มีปัญญา มีสิ่งที่ดีงามจริงใจ อยู่เหนือเป็นโลกุตรจิต อย่างนี้แหละเป็นคนประเสริฐที่เหนือโลกที่คนเข้าใจได้ยาก เพราะฉะนั้นชาวอโศกก็มาเป็นคนจน สมัครใจมาจน มาเป็นคนจนอย่างสมบูรณ์แบบ มาเป็นคนจนที่พิสูจน์ให้เป็นยอดคนจนให้ได้ นี่เป็นคนจนที่ดีที่สุด แล้วก็ไม่ได้เป็นคนจนที่โง่งมงาย แต่เป็นคนจนที่มีสมรรถนะขยันหมั่นเพียรสร้างสรรไม่เป็นภาระสังคม เป็นผู้ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วยมีส่วนเกินส่วนเหลือขยันหมั่นเพียร ทำแต่สิ่งที่เป็นสาระไม่เสียเวลาแรงงานทุนรอนไปทำสิ่งไร้สาระ ทำแต่สิ่งที่มีสาระอันควร จะทำสมกับสมัยสมยุคด้วย รู้จักการเลือกสรรว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไรสิ่งที่มันเกินไปไม่ทำด้วย
สรุปแล้วคุณจะมีภูมิปัญญาที่แท้จริงในความเป็นมนุษย์ในความเป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นการเป็นคนจนอาตมาถึงบอกว่าอาตมายังตายไม่ได้ง่ายๆ เพราะความจนเป็นสิ่งที่ประเสริฐแต่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ พวกที่จบด็อกเตอร์หรืออภิด็อกเตอร์ Post Doctor มาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะเข้าใจไม่ได้ อาตมาจึงต้องอยู่อธิบายให้เขาเข้าใจ
อย่าไปเข้าใจผิด ถ้าหากการบริหารประเทศอย่างประเทศไทย ผู้บริหารประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เข้าใจแล้วก็บอกกับสังคมหรือว่า เรามาศึกษาความจนกันเถอะและมาเป็นคนจนกัน อย่าไปแย่งกันรวยเลยประเทศจะได้มีเศรษฐกิจที่ดี ถ้าหากนักบริหารเศรษฐกิจของประเทศพูดอย่างนี้นะ อาตมาโล่งใจเลย ตายตาหลับ แต่นี่ต้องร้องเพลงรอ
สมณะฟ้าไทว่า..ถ้าหากนายกฯประกาศตนว่าเป็นคนจนก็คงจะเจริญ
พ่อครูว่า...ในหลวงเราได้ตรัสไว้ บอกแก่แขกต่างชาติต่อโลกที่มาถามว่าบริหารแบบไหน ท่านก็ตรัสว่า แบบคนจน ท่านก็ขยายความต่ออีกนิด เขาก็ยังงงๆ ท่านสรุปว่าเราเสียนั่นแหละเราได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เป็นเรื่องยากมากที่จะให้คนมาจน จนอย่างมีความสุขมีประโยชน์คุณค่า จนอย่างไม่ได้เบียดเบียนเป็นพิษเป็นภัยกับใครเลยไม่เป็นภาระกับสังคม
ถ้าเผื่อว่าเข้าใจประเด็นนี้ไม่ได้ง่ายๆ ก็คงจะต้องมาให้การศึกษากัน ต่อไปเรื่อย
ตามภูมิอาตมามองเห็นว่าเมืองไทยยังไปดี การรบในเรื่องการเมืองแบบนี้ ก็รบกันไปแต่อาตมาดูตามภูมิปัญญาของอาตมาว่า ข้อมูลหลักฐานพฤติกรรมของแต่ละบุคคล ที่เป็นตัวละครของนักการเมือง ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ อาตมาว่ามันใช้ได้เป็นลิเกก็ลิเกที่น่าชม ถ้าเป็นงิ้วก็อยู่ที่น่าทัศนา เป็นเรื่องราวนิทานลิเกละคร กำลังแสดงบทบาทกันอยู่นี้ก็น่าชม น่าศึกษาอย่าละสายตา มันดีมากเลยทีเดียวมันมีของจริง นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องมุกขึ้นมา
ต่างคนต่างแสดงตามภูมิของแต่ละคนตามความยึดถือความฉลาดความโง่ ก็ต่างแสดงออกมา อาตมาว่าไม่มีใครเขาออมมือ แสดงออกมาเพื่อจะแพ้ แสดงให้เห็นว่าจะต้องชนะด้วยดีด้วยความจริงใจ อาตมาเห็นชัดเจนอย่างนี้ว่า
ขณะนี้เมืองไทยมีสนามรบการเมืองและกำลังมีการรบการเมือง ในการรบชุดหนึ่งคือการเลือกตั้ง เป็นสนามเป็นชื่อเรื่อง เรื่องอะไรก็คือเรื่องเลือกตั้ง กำลังจะถึงวันเลือกตั้งคือเดือนหน้า คือ 24 มีนาคม 2562 ก็ต้องศึกษาให้ดีดูลิเกละครงิ้ว ของโลก ที่เป็นจริงมีเหตุนิทานปัจจัยสมุทัยและจะมีผลกระทบอย่างไร impact
system analysis เหตุ (input) นิทาน (process) สมุทัย (output) ปัจจัย (outcome)
ทุกอย่างก็เกิดจากความเป็นจริงของมนุษย์ที่มีสงครามและสังคม อาตมาขอยืนยันว่าอย่างไรประเทศไทยก็ไม่เหมือนเวเนซุเอลา
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน GDP ที่แท้จริง
โลกยังไม่เข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจยังไม่เข้าใจเรื่อง GDP พยัญชนะมันยืนยันชัดเจนว่า D คือโดเมสติก คือของภายใน Gross คือรายได้องค์รวม ของภายใน ได้องค์รวมออกมาของภายใน คุณกล่าวว่าของภายในต้องเกิดจากผลผลิตของคนภายในที่ทำขึ้นมาเป็นเลือดเป็นเนื้อของคนภายใน แต่ GDP ของคุณไปกวาดเอาเปรียบจากภายนอกประเทศ เอาของไปขายแล้วโก่งราคาได้สูงเท่าไหร่ Maximize profit ได้กำไรมากเท่าไหร่ก็ชอบใจเท่านั้น แล้วก็ไปเอาสิ่งที่ดูดของคนอื่นมารวมเป็น domestic เป็นรายได้องค์รวมของภายในเรา
แต่คุณกอบโกยเอาจากภายนอกมาได้มากกว่าที่สร้างภายในเองด้วยซ้ำ แล้วก็บอกว่า โดเมสติก มันไม่จริง แน่จริงคุณต้องสร้างเองเป็นผลผลิตของคนเอง แล้วขายยังขาดทุนด้วยคุณยังมีรายได้องค์รวมมีมาก อย่างนี้ต่างหากเรียกว่า GDP แท้ อาตมาอธิบายไปอย่างนี้ดร.ทางเศรษฐศาสตร์จะพอเห็นว่าอาตมานี้พูดมีท่าไหม หรือว่าพูดไม่ได้เรื่อง แต่อาตมาว่า พูดตามภูมิ ชัดเจนอยู่นะ
อย่างชาวอโศกเรานี่ ทุกวันนี้คนก็ยังงงเลย คนงานอยู่ในนี้เอาเงินมาที่ไหนมาจ่ายให้เขา เขาก็สร้างช้าๆ รับเงินรายวันไป ขออภัยอาตมาพูดจริงๆว่าสุดทน คือเลี้ยงไข้ อู้ไปแต่ละงาน ท่านคมคิด ท่านด่วนดี ใจดีกันจริงๆเลย แต่อาตมาเป็นผู้ดูแล ก็รักษาที่จะไม่ให้เป็นหนี้จากภายนอกก็เก่งช พวกเราก็ช่วยกันถมมา อาตมาก็ว่า เข้มงวดกวดขันกันหน่อย คนงานที่มาอู้ก็จะเลวลงด้วยนะ ไม่คุ้มค่าแรงงานเขาก็เป็นหนี้ เป็นหนี้ทางธรรมด้วยเพราะว่าทำงานไม่สมราคาที่ได้ มันโกงในที นิสัยก็เลวลง เป็นหนี้ทางธรรม ไม่ควรปล่อยให้เขาซวย คือช่วยเขาหน่อยไม่ต้องพูดแรง ก็มีศิลปะในการพูดหน่อย อาตมาก็เคยเรียกเขามาคุย แต่ก็ไม่เก่งพูด ก็ถือว่าเป็นวิบากเราที่ต้องหาให้พวกเราไป พวกเราช่วยอาตมามาก็พอมีบารมี แต่มันเดือดร้อนเมื่อไหร่ก็คงต้องบอกหยุด เราไม่กู้หนี้ยืมสิน การเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
สรุปคือคนข้างนอกเขาไม่เชื่อหรอกว่าที่นี่ไม่มีกองทุนอุดหนุน เขาก็มองไม่ออก อาตมาก็ให้เชิญคนมาขุดค้นเลยว่าใครเป็นนายทุนหนุนหลัง กองทุน อาตมาว่า ตั้งแต่ทำงานมาจะมีคนบริจาคที่ละล้านนับหัวได้เลย ไม่กี่ทีหรอก ชีวิตอาตมาทำงานศาสนามา มีคนมาทำทานบริจาคกับอาตมาด้วยเงินก้อน ทีเดียว 5 ล้าน ยังไม่เคยมี มี 4 ล้านก็มี จวน 5 ล้าน หรือมี 5 ล้านก็ไม่ทีเดียว บางคนรวมแล้วถึง 7 ล้าน แต่ทีเดียวมีครั้งละ 4 ล้าน ห้าล้านไม่มี นอกนั้นเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านทั้งนั้นอยู่มา 40 50 ปี ยังไม่มีใครกล้าทุ่มให้อาตมา ว่าไว้ใจ อาตมาไม่ไปซื้อทอฟฟี่กิน อาตมาเคยพูดว่า อาตมาจะไม่เอาเงินที่เขาบริจาคมาใช้เพื่อส่วนตัวแม้จะป่วยจะตายก็จะเอาเงินไปรักษาก็ไม่ใช้ ไม่เอาเงินที่เขาบริจาคมาเพื่อส่วนรวมมารักษาเพื่อส่วนตัว แม้ว่าจะป่วยหนักต้องใช้เงินรักษา ก็ยอมตาย เข้าใจนะ
อาตมาตั้งใจอย่างนั้นจริงๆเลยจะพิสูจน์ ว่าอาตมามีบารมีแค่นั้นก็แค่นั้น อาตมาว่าพวกเราจะช่วย อาตมากล้าที่จะตายถ้าไม่มีจริงๆ อาตมาเดาผิด ไม่มีใครกล้าจะสละปล่อยให้อาตมาตาย อาตมาก็ตาย ไม่มีปัญหาหรอกอาตมาเข้าใจการตายการเกิดของชีวิต
สมณะฟ้าไทว่า...คิดง่ายๆว่าคนที่รองลงไปจากพ่อครูเขายังไม่ยอมให้ตายเลย มันเป็นไปไม่ได้แล้วไม่มีใครยอมได้
พ่อครูว่า...มันอาจต้องแพง ต้องใช้เงินเป็น 10 ล้านอย่างนี้
มันเข้ามาถึงเรื่องธรรมะ...ตกลงปิดเรื่องของการเมืองก่อน
สม.กล้าฯ ส.เดินดิน…
พ่อครูว่า...มาดู sms
_จากสส.ฐ. เหตุใดขณะที่ศรัทธาใครบางคน แต่เมื่อได้รับการบอกกล่าวจากคนผู้นั้น บางครั้งเรากลับทำแข็งขืนไม่เชื่อ
พ่อครูว่า..ตอบ อัตตาของคุณ คนก็ศรัทธาและอัตตามานะของคุณ คุณก็เชื่อประมาณหนึ่ง แต่คุณยังหลงว่าตัวเองมีส่วนที่ถูกที่ดีกว่า เอาล่ะ ยกให้ในส่วนที่เราศรัทธาเราเชื่อแต่ส่วนอื่นเราถูกอยู่นะ
-ทำไมพระพุทธเจ้าถึงตั้งมงคล 38 ขึ้นมา
พ่อครูว่า..มงคล 38 ท่านไล่ลำดับมาตั้งแต่ความดีแบบกัลยาณชน จนถึงโลกุตระ แต่ซับซ้อนลึกซึ้งมาก ซับซ้อนหมู่ 3 หมู่ 4 ในนั้นเยอะมาก อาตมาเคยจะเอามงคล 38 มาขยายความบอกตรงๆว่าทำไมยังไปไม่ไหว เพราะว่ามันครบครันหมด ทั้งโลกียทั้งโลกุตระซับซ้อนสอดคล้องกัน ซับซ้อนขึ้นจนลึกถึงที่สุด อาตมาเคยทำหนังสือ อาริยชาติ คนอยากให้อาตมาทำอีก อาตมาก็ขอพักไว้ก่อน มงคล 38 นี้เป็นพุทธวิสัย อาตมายังไม่บังอาจที่จะไปล่วงล้ำความละเอียดความหมุนรอบเชิงซ้อน สรุปแล้วมงคลคือสิ่งที่พาไปสู่ความประเสริฐ แต่ละระดับ นำพาไปจนจากโลกียะถึงโลกุตระ มันไม่ง่าย พูดอย่างหยาบก็ได้ ก็พูดอยู่แล้วอยู่ในมงคล 38 เป็นแต่เพียงว่าชี้ว่าอันนี้เข้าข่ายอันนี้ แต่ก็รวมอยู่แล้ว เรื่องมงคล 38 แม้แต่ความซับซ้อนของโลกียะที่เดี๋ยวขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่ละชาติซับซ้อน มีเหตุปัจจัยให้สังเคราะห์กัน ในหมวด 3 หมวด 4 สังเคราะห์กันจนครบ 38 ก็ขอวางไว้ก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำกสิกรรมขัดแย้งกับศีลหรือไม่
-การทำกสิกรรมทำให้ศีลข้อแรกด่างพร้อย ทำให้บริสุทธิ์ในศีลได้ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า...การทำกสิกรรมคือการทำพืชพรรณธัญญาหาร จะบอกว่าทำให้ศีลข้อที่ 1 ด่างพร้อยก็เป็นได้ แต่คุณไม่ทำกสิกรรมเลย คุณจะกินดิน ไม่กินพืช เพราะว่าแม้แต่จะไปทำพืชก็จะทำให้สัตว์ตาย กินดิน ดินก็มีสัตว์อีก แล้วคุณจะกินอะไร กินอากาศก็มีไวรัสอยู่ คือมันละเลียดเกินไปมันมากเกินไปจนอยู่ไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราจะต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ ส่วนใดของร่างกายชีวิตส่วนน้อยมันจะเป็นวิบากซ้อน อาตมานี่ยอมเสียสละที่จะมีวิบากเพื่อส่วนใหญ่ อย่างเช่นไปว่าเขาตำหนิเขา ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ มันก็มีวิบากแต่มันต้องยอมรับวิบากนั้น เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ถึงต้องทำไม่ฉะนั้นมันก็ไม่ได้เพราะว่ากรรมเป็นอันทำ กรรมมีราคาทั้งนั้น มากน้อยเป็นแต่เพียงว่า ราคาของกุศลของเราคุ้มไหม จะไม่ให้เกิดราคาที่เป็นอกุศลเลย ยากเพราะว่ามันเป็นคู่หูกัน เป็นเทวะ อธิบายแค่นี้ก็แล้วกัน ไม่มีทางเลือกหรอกต้องช่วยกันจะต้องเป็นแปลว่า แต่ว่ากุศลของเรามากกว่าอกุศล แล้วมันต้องถึงวันที่จบชนะ กุศลอกุศลไม่กระไร เป็นสิ่งที่เราจะอาศัยทุกข์สุขส่วนโลกุตรธรรมนั้นไม่ขึ้นอยู่กับกุศลอกุศลมันขึ้นอยู่กับการรู้จักกิเลสทำลายกิเลสสร้างพลังงานจิตให้เป็นตัวกำจัดกิเลสให้ได้ โลกุตระมันอยู่ตรงนี้ต่างหากเล่า
ถ้าสามารถทำให้หมดได้คุณเลิกเลย จบ อัตภาพ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แม้คุณจะมีอกุศลอีกเท่าไหร่มันก็ทำอะไรคุณไม่ได้ พระอรหันต์บางองค์ทุกข์ทรมานกระจอกงอกง่อยเป็นขอทาน แต่ท่านบรรลุอรหันต์แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จบ แต่กุศลอกุศล อรหันต์ที่เป็นอรหันต์ที่สร้างอกุศลมา ท่านก็ต้องมีวิบากเยอะแต่ท่านเป็นอรหันต์ แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ก็จบ ไม่มีอัตภาพที่ต้องไปรับทุกข์รับสุขอีกแล้ว วิบากที่จะเป็นสมบัติผลัดกันชมอีก ก็ไม่มี กุศลอกุศลเป็นวิบากสมบัติผลัดกันชมแต่ละชาติที่คุณต้องมาเสวยมรดกกรรมของคุณ
_จรูญลักษณ์... เป็นพระคุณค่ะ ลูกขอเป็นลูกพ่อครูและขอพึ่งบารมีพ่อครูทุกๆชาติ ตราบนิพพานค่ะ ลูกขอบารมีพ่อครู ลูกมีความตั้งใจ มานานแล้วเวลาที่ขอไว้ใกล้แล้วค่ะ
พ่อครูว่า..ใกล้แล้วนี่ให้มันสั้นหน่อยนะ
_ฟังคำบ่นของ ดร. ว่า อยู่มา 40 ปี แล้ว ยังห้ามทำงานนั่นนี่ เป็นคนนอกบ้าง อะไรบ้าง ลูกเข้าใจค่ะ คนที่อยู่หมู่กลุ่มอโศก ก็มีหลายระดับและแต่ละคนก็มีวิบาก ของตัวเองเหมือนพ่อครูบอก ว่าดร. น่าจะเข้าใจ ไม่น่าถาม ลูกคิดว่าดร. เข้าใจ แต่อยากให้คนที่พูด ได้ทบทวนสิ่งที่ตนเองพูดว่าคนอื่น ว่าควรหรือไม่ควร
พ่อครูว่า..อันนี้เป็นความเข้าใจของคนคนนี้ ก็เสนอความเห็นมา คนที่เกี่ยวข้อง มีสิ่งที่พาดพิงของใครก็แล้วแต่ก็เพิ่งสำนึกเอาก็แล้วกัน แม้ไม่พาดพิงเรา แต่เรามีพฤติกรรมและทำสิ่งที่เขาว่านี่อยู่ก็เป็นการศึกษาที่จะได้ประโยชน์
_จากลูกที่ยังไม่ชัดเจน......พ่อครูมีความเห็นที่ชัดเจนอย่างไรเกี่ยวกับการขอแยกหมู่บ้าน เพราะองค์ประกอบของหมู่บ้านเราไม่เพียงพอที่จะแยกหมู่บ้านและตั้งตำบล แม้ว่าจะมีกฎหมายพิเศษแต่มันก็เป็นสิ่งที่เป็นข้อยกเว้นและต้องใช้กลไกพิเศษการดำเนินงานพิเศษที่ต้องไปฟอร์ซหรือกดดันทางข้าราชการเขา เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแยกหมู่บ้านหรือตั้งเป็นตำบล พ่อครูมีความเห็นชัดเจนในเรื่องนี้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า...อาตมาก็ปรามๆไปแล้วว่าเอาเถอะน่า ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยเพราะตัวเราก็เท่านี้ มองในแง่ลึกมันก็มีแง่ดีแต่มันก็หืดขึ้นคอ เพราะเหตุปัจจัยมันไม่เต็มที่เพราะมันจำบ่ม เหตุปัจจัยยังไม่ครบครัน จะไปเร่งให้มันสุกเร็วให้มันถึงเวลาไปนวดไปเค้นกัน มันก็ไม่ดีมันก็ไม่สวยมันก็ยาก อาตมาว่า ให้พากเพียรที่เรา ทำพวกเราให้เป็นโลกุตระชนเป็นอาริยชนถ้าได้มากๆสูงๆเร็วๆ อันนี้เป็นสัจจะ อันนี้แหละจะเร็วก็จะได้จะดีก็จะได้มันก็จะเป็นไปเอง มาที่เราสรุปแล้วคำตอบ พัฒนาเราให้เป็นอาริยธรรม สร้างอาริยธรรมในแต่ละคนให้ยิ่งขึ้นเทอญ จบนะ
_ปนันทภุชงค์ สามหมอปุรคิณก์ ...วันหนึ่งท่านบอกว่าเป็น นิยะตะโพธิสัตว์ ระดับ 7 ฮ่าๆๆๆๆ แสดงว่าได้รับพุทธพยากรณ์ และจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน วันนี้เหตุใดมาบอกว่าเป็นอรหันต์เสียแล้ว ฟังดูขัดแย้ง เคยได้ยินว่ามีพระอรหันต์ตุ่ม พระอรหันต์ย่านไทร ท่านผู้นี่ก็คงจะเป็นพระอรหันต์เดาอย่างที่ตัวเองว่าเป็นแน่แท้ ตามหลักกฎหมาย คำว่าสำคัญผิด คือ คิดไปเอง และท่านผู้นี้ก็คิดไปเองและคิดไปไกลมาก ไกลจากพุทธธรรม เข้ารกเข้าพงเข้าดงเข้าป่าไปเลยทีเดียว ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่คงไม่ตรัสเรียกว่า โมฆะบุรุษ หรอกหนาคงจะทรงเรียกว่า ดูก่อนอลัชชี เป็นแน่แท้
พ่อครูว่า…อลัชชีคือคนหน้าไม่อาย...อาตมาก็ขอพูดตรงๆนะว่า คุณยังไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเท่าไหร่หรอก โดยเฉพาะธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรม ขออภัยคุณยังอ่อนยังน้อยยังด้อยอยู่มาก แม้แต่ขั้นตอนของการเป็นอริยบุคคลตามลำดับ ขั้นต้นของความเป็นอรหันต์ คุณก็ไม่รู้ แม้แต่ขั้นต้นของโพธิ หรือโพธิสัตว์คุณก็ยิ่งยังไม่เข้าใจเลย เพราะฉะนั้นก็คงจะพูดอะไรโดยที่อาตมาพูดคุณไม่ฟังคุณไม่เชื่อหรอก ก็ขออ่านพระไตรปิฎกก็แล้วกัน
อ่านจากพระไตรปิฎกให้คุณฟังนิดหน่อย คุณจะพอเข้าใจตามที่ว่านี้ได้บ้างไหม
อาตมาอาจจะทำอะไรที่ผิดพลาดแต่เป็นอาบัติที่ไม่หนัก เป็นปาจิตตีย์ ไม่มีวิบากติดตัวหนัก สารภาพเสียก็ได้ แต่ถ้าอาบัติปาจิตตีย์มีมากมันก็สะสมเป็นก้อนก็ได้ อธิบายไปก็จะยาก ขอผ่านไปก่อน
พ่อครูว่า..ขออธิบายอย่างอาตมาเป็นนิยตะ คือโพธิสัตว์ที่ไม่เสื่อมแล้ว อาตมาได้รับพยากรณ์อะไรต่างๆก็พูดมาแล้ว แต่พูดไปคุณก็จะยิ่งไม่เชื่อขออภัยอย่าพึ่งอาเจียนออกมาก็แล้วกัน
เอกกมาติกา
(บุคคล 1 จำพวก)
[7] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย
บุคคลผู้ที่มิใช่พ้นแล้วในสมัย
บุคคลผู้มีธรรมกำเริบ
บุคคลผู้มีธรรมไม่กำเริบ
บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม
บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม
บุคคลผู้ควรโดยเจตนา
บุคคลผู้ควรโดยตามรักษา
บุคคลผู้ที่เป็นปุถุชน
โคตรภูบุคคล
บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว
บุคคลมิใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว
บุคคลผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล
บุคคลผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล
ลัดไปเลยนะ…...ไปตรงกลางๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
บุคคลผู้ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต
บุคคลผู้ชื่อว่า ปัญญาวิมุต
บุคคลผู้ชื่อว่า กายสักขี
บุคคลผู้ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ
บุคคลผู้ชื่อว่า สัทธาวิมุต
บุคคลผู้ชื่อว่า ธัมมานุสารี
บุคคลผู้ชื่อว่า สัทธานุสารี
บุคคลผู้ชื่อว่า สัตตักขัตตุปรมะ
บุคคลผู้ชื่อว่า โกลังโกละ
บุคคลผู้ชื่อว่า เอกพีชี (ต้องใช้พลังงานพิเศษจึงเป็นอรหันต์ได้)
บุคคลผู้ชื่อว่า สกทาคามี(อย่างไรในชาตินั้นก็เป็นอรหันต์ได้เพราะภูมิถึงแล้ว)
บุคคลผู้ชื่อว่า อนาคามี
บุคคลผู้ชื่อว่า อันตราปรินิพพายี
บุคคลผู้ชื่อว่า อุปหัจจปรินิพพายี
บุคคลผู้ชื่อว่า อสังขารปรินิพพายี
บุคคลผู้ชื่อว่า สสังขารปรินิพพายี
บุคคลผู้ชื่อว่า อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
บุคคลผู้ชื่อว่า โสดาบัน
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
บุคคลผู้ชื่อว่า สกทาคามี
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล
บุคคลผู้ชื่อว่า อนาคามี
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล
บุคคลผู้ชื่อว่า อรหันต์
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล (*สจฺฉิกิริยาย ปฏิปนฺโน อรหา อรหตฺตผลสจฺฉิกิริยาย ปฏิปนฺโน ฯ)
เอกกมาติกา จบ
ดูแล้ว ชอบกล สกิทาคามีทำไมอยู่สูงกว่าอนาคามี การสลับไปสลับมาเป็นสิริมหามายา สลับกลับขั้วกัน อาตมายังไม่เก่งพอจะอธิบายได้มีความรู้ไม่พอ
สกทาคามีก็มีสองรอบ ซ้อนกัน เป็นสกิทาคามีที่สูงกว่าอนาคามี
คุณอย่างเพิ่งตัดสินเอาอย่างตื้นๆไม่รอบต้องพยายามศึกษาให้ดีต่อไปอีก
_จิราสัก บัวชุม.คนไทยพระไทยแปลกมากชินโตญี่ปุ่นมีลูกเมียกลับยอมรับเขาว่าเป็นพระทั้งๆที่เสพกามขาดจากพระ ส่วนพระปฏิบัติดีแต่เอาอารมณ์ไม่ชอบของตัวเองเป็นเกณฑ์ เก่งกว่าพุทธเจ้ากันจังผิดวินัยพุทธองค์ก็ให้แก้ไขได้ปลงอาบัติฝึกตัวเองไปไม่ใช่บวชบุปก็บรรลุเลยเมื่อไหร่ละ
พ่อครูว่า…จริง พระเถรสมาคมยอมรับพระญี่ปุ่น อาตมาจึงอยู่ด้วยไม่ได้
_คันทรีโร๊ด ..ทำไมต้องเบียดเบียนผุ้อื่นด้วยครับหรือรับไม่ได้พระพุทธทาส ภิกขุมีคนยอมรับนับถือมากกว่า ท่านต้องเหนือกว่าทุกคนเลยเหรอครับ ท่าน ด้วยความเคารพครับ
พ่อครูว่า…ก็แสดงว่า วิจารณ์ ว่าอาตมาว่าต้องเหนือกว่าคนอื่นด้วยหรือ อาตมาขอพูดความจริงว่าอาตมาเหนือกว่าท่านพุทธทาส ไม่ได้เบียดเบียนนะอันนี้พูดความจริงใจไม่ได้อยากเบ่งข่ม บอกสัจธรรมและให้ไปศึกษา ท่านพุทธทาสก็เสียไปแล้วตอนนี้อายุ 85 อาตมาตอนนี้ยังไม่ตายก็คงจะอายุมากกว่าท่านแน่ ก็ติดตามดูความจริงนะ
อาตมาไม่ต้องไปข่มหรอก คนที่ต่ำกว่าอาตมา ทำมาพูดความจริงมันก็ไปข่มสัจจะที่ท่านเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ท่านพุทธทาสไม่เอาอภิธรรม แม้แต่ท่านอธิบายคำว่าธรรมชาติ แล้วก็บอกว่าธรรมชาติคือธรรมะ ก็ใช่ส่วนหนึ่งเป็นธรรมะแต่มันมีชาติ แค่ธรรมะก็ไม่ใช่ธรรมชาติแล้วแค่พยัญชนะก็ไม่ใช่แล้ว สมการนี้ไม่ถูกต้องแล้ว
อาตมาทำงานเพื่อปรารถนาให้ความรู้สึกจะทำเพิ่มขึ้นไม่ได้ไปอวดใหญ่โตอะไรแต่อาตมาไม่มีเวลา อาตมาไม่เป็นคนที่ต้องใช้เวลาลดเลี้ยวไปมามันไม่ทัน ขอพูดสัจจะตรงๆ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำผิดจากที่ตั้งใจ อาตมาจะมีลักษณะอย่างนี้ตลอดเวลาเพราะในยุคนี้ต้องทำอย่างนี้ขอเปรียบเทียบกับคาแรคเตอร์ของนายกตู่ คล้ายกับอาตมาทำได้เลยเหมาะสมกับยุคนี้ นายกตู่มีบารมีมากกว่าอาตมาพูดแล้วเขาหยุด แต่อาตมาทางธรรมะนี้คนไม่รู้ มันมีความลึกและรู้ยาก อาตมาพูดแล้วไม่มีประสิทธิภาพ
พูดแล้วไม่เป็นอาญาสิทธิ์เท่าบิ๊กตู่
_วัตนา ทองสุข ....เข้าไป ถึงกับตาลึง พึงตะลึง นี้มันอาณาจักร หลาย100 ล้าน มีโรงงานปุ๋ย มีเครื่องจักรระดับเจ้าสัว
พ่อครูว่า…จริง อาณาจักรใช้เงินหลายร้อยล้าน ที่นี่มี แบคโฮ 800 ซึ่งมีสองตัวในเมืองไทย แบคโฮ 400 200 ก็มี แล้วยังมีเล็กๆน้อยๆอีก แน่นอนว่าคุณจะต้องตะลึง เพราะเราบอกว่าเราเป็นคนจน แต่ดูแล้วมันย้อนแย้งเป็นสิริมหามายา เป็นคนจนมหัศจรรย์ที่แปลกประหลาดจริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องสามัญปกติที่เข้าใจได้ง่ายๆ ก็ขอให้ค่อยๆศึกษากันดีๆก็แล้วกัน ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงก็ติดตามต่อไป มันน่าทึ่ง น่าตาลึง พึงตะลึงจริงๆ เพราะคนจนพวกนี้จนจริงๆแต่มีส่วนอุดมสมบูรณ์จริงๆด้วย
บอกให้นิดนึงว่าคนที่นี่ส่วนบุคคลเขาจน แต่ส่วนรวมเขาอุดมสมบูรณ์ มีพอใช้ทีเดียว
เพราะฉะนั้นถ้าคุณเปรียบเทียบโดยองค์รวมของหมู่บ้าน หมู่บ้านองค์กรนี้ส่วนร่วมอุดมสมบูรณ์ หมู่บ้านอื่นเขาแยกย่อยไปเป็นตัวกูของกูในแต่ละหมู่บ้าน เขามีวิธีการเป็นตัวกูของกูกันเพราะฉะนั้นเขาจะอุดมสมบูรณ์ส่วนกลางไม่ได้มาก
ทฤษฎีตัวกูของกูนั้นจนอย่างกระจอก แต่ทฤษฎีที่ไม่มีตัวกูของกูนั้นจนอย่างมหัศจรรย์ จนอย่างเรารวยมหาศาล เป็นเรื่องที่ศึกษากันให้หัวแตกมันต่างกันจริง เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันอีกนานเรื่องของคนจนแต่อยู่กันอย่างเป็นผู้ประเสริฐช่วยสังคมช่วยเศรษฐี ช่วยคนอื่นๆช่วยโลกด้วย อาตมาถึงบอกว่ามันต้องอยู่พิสูจน์เรื่องนี้กันให้สำคัญเลย เพราะว่ามันไม่ได้ยืนยันกันง่ายๆต้องมีรูปธรรม ยืนยันกับโลกเขา คนยังไม่ค่อยเชื่อแต่คนที่มาคลุกคลีกับที่นี่จริงๆจะรู้ได้ อาตมาต้องใช้สำนวนว่าต้องทำให้คนตาบอดเห็นได้
_คู่บุญ แชนแนล...เอาพระไตรปิฏกมาอ้าง สอนแต่ทางที่ผิด พระกรรมฐานท่านสั่งสอนกันมาไม่ใช่แบบนี้แล้วครับ พระที่ท่านทรงอัธทรงธรรมท่านไม่พูดแบบนี้หรอกคร้าบ ธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงมอบไว้ให้ก็อยู่ในใจเราทุกคนนี่แหละครับ ยิ่งปฏิบัติยิ่งขัดเกลากิเลสออกจากใจ ธรรมของพระองค์ก็จะผุดขึ้นมาเอง นี่บวชมาแล้วไม่ปฏิบัติก็เอาแต่กิเลสมาพูดเพราะตัวท่านเองไม่ปฏิบัติ ท่านก็พูดแบบผู้รู้ที่มองไม่เห็น
พ่อครูว่า...ธรรมของพระองค์ก็จะผุดขึ้นมาเอง ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้พูดขึ้นมาเอง ศาสนาพุทธสอนให้ทำเหตุแล้วผลจะเกิด ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้าที่บอกว่าทำไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วธรรมะจะเกิดขึ้นมาเองปัญญาจะเกิดขึ้นมาเองธรรมะจะเกิดขึ้นมาเอง อันนั้นเป็นคำสอนของเดียรถีย์ของใครก็ไม่รู้
อาตมาไม่ได้ปฏิบัติแบบของคุณปฏิบัติการที่มันมิจฉาทิฏฐิ แต่ว่าอาตมานี่แหละปฏิบัติสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาปฏิบัติ ขอยืนยัน อาตมาก็กำลังพูดกิเลสและกิเลสก็มันอยู่ที่พวกคุณนั่นแหละอาตมากำลังฆ่ากิเลส ที่คุณก็ไม่รู้ตัวว่ามี อาตมาก็บอกว่าให้คุณรู้ตัวว่ากิเลสมีในตัวคุณตรวจตัวเองเสียบ้าง
คุณต่างหากคือผู้รู้ที่มองไม่เห็นคุณบอกว่าคุณเป็นผู้รู้แต่คุณไม่เห็นหรือตาบอดด้วย ขออภัยพูดสั้น เวลาหมดแล้ว
_ริสา.. เพี้ยน...มือห้านิ้วยังไม่เสมอกัน..ดอกไม้ในโลกยัง หลากสี.....คนยังไม่เสมอกัน.....เจ้าลัทธิมานะทิฎฐิ....ต้องกูถูก ต้องกูใหญ่...ใอ้รักษ์เพี้ยน..
_สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ ..สมองหมา การทอดผ้าป่าสามัคคี เป็นการร่วมใจ ช้วยกันสร้างวัตถุภายไหนวัดเช่น โบสถ์. ศาลา เมรุ ตามวัดที่ถุระกันดาน ประชาชนจึงช้วยกันตั้งก่องพาป่าสามัคคีขึ้นมา เพือกันสร้างวัด
พ่อครูว่า...จำเริญๆเถิดเจ้าประคุณอาตมาพูดต่อคุณจะจุก
ส.ฟ้าไทว่า...สรุปจบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:14:48 )
รายละเอียด
620203_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1dJ3bwg2hmbYMiecyEMffSBkWLxBYsRuzCTPPpEEB2fw/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=10Ueex1ct67Q-YP_kXa4OhcBFjykGtlSt
สมณะฟ้าไทว่า…อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ..พ่อครูพาทำสังคมที่พึ่งพาตนเองได้และเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นได้ ช่วยเหลือมนุษยชาติตามกำลังเท่าที่จะทำได้
พ่อครูว่า...มาอ่านคอมเม้นท์ ที่ส่งกันมามีตั้งแต่สุภาพจนถึงหยาบมาก เป็นยุค globalization ทุกอย่างไม่มีอะไรปิดกั้นสื่อสารถึงกันหมด ก็เลยมีอะไรอะไรให้ดูได้อย่างนี้
_คลิปบ้านราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี ยอดวิว477,716 ครั้ง( 26 ม.ค.62) มีคอมเม้นท์ที่น่าสนใจ
_ยุทธนา ศรีโยธา เคยไปหลายครั้งแต่ไม่ได้ไปดูอะไรหรอกไปรับคนแก่กลับบ้านพูดตรงเลยนะครับคนที่มาอยู่ที่มีแต่คนที่ไม่มีทีไปบางคนก็ไม่เต็มบาทมีบ้านไห้อยู่เป็นส่วนตัวแต่ดูแล้วจะอยู่คนเดียวบางหลังก็ผู้หญิงบางหลังก็ผู้ชาย อีกอย่างที่ไม่เห็นด้วยคือมีโรงงานในวัดตื่นเช้ามาพระต้องลงไปทำงานใจจริงถ้าไม่กลัวว่าจะผิดวินัยคงจะไม่ไปบินทบาดหรอกเพราะวัดนี้มีครัวทำอาหารกินเองตรงๆไม่ควรเป็นวัด ที่ทางแถวนั้นวัดนี้ด็ซื้อไว้ไกล้จะหมดแล้ว หน้าจะปิดแล้วสร้างเป็นโรงงานซ่ะ และอีกอย่างเค้าจะปลูกฝังไห้เด็กรุ่ยใหม่ที่ไปอยู่ที่นั่นเป็นคนเห็แก่ตัวไม่ยุ่งกับคนภายนอกสุดท้ายก็ไปใหนไม่ได้ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปสรุปวัดนี้อยากสร้างองกรค์ส่วนตัวมากเกินไป
พ่อครูว่า...สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตมอีกคนตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย
_Thara Anuyotha ผมเคยเข้าไปศึกษาอยู่ช่วงระยะเวลาสั้นๆนะ ชอบแนวทางบางอย่างเท่านั้น แต่คำสอนบางอย่างรับไม่ได้จริงๆอ่ะ เคยถกเรื่องคำสอนหลักธรรมะบางอย่างกับลูกศิษย์สายนี้บางคน กับทั้งรับฟังโดยตรงจากพระโพธิรักษ์ ขอบอกเลยว่า ศรัทธาไม่ลง(ไม่เต็มที่)จริงๆ
_DC หากคุณเป็นคนธรรมดาทั่วไป ได้ไปสัมผัสพื้นที่ตรงนี้ บอกได้เลยว่าขนลุก ทุกคนจะมองหน้าคุณแปลกๆ ไม่ยอมให้พูดคุยด้วยและเดินหนีจากคุณไปแบบเร็วที่สุด ที่แต่งตัวคล้ายพระ จะต้องเรียกว่าลัททิ แต่งตั้งกันขึ้นมาเอง ซึ่งสมเด็จพระสัฆราช ท่านบอกว่าจะเรียกคนเหล่านี้ว่าพระไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่พระจริงๆนั่นเอง ทุกอย่างถูกหลอมรวมด้วยแนวความคิดและแนวปฤิบัติของพวกเขา ซึ่งถือเป็นจุดหลักของลัทธินี้ เจ้าของคือจำลอง ศรีเมือง ขึ้นชื่อว่านักการเมืองทุกอย่างมันคือการวางแผนครับ เขาคิดล้ำลึกกว่านั้นมาก เป็นสถานที่ฟอกเงินได้เป็นอย่างดีมากๆคับ ถ้ามองในมุมธุรกิจ ลงทุนและผลิตทุกอย่าง โดยไม่มีการจ้างพนักงาน แต่คอสของการเลี้ยงดูถูกมาก เพราะทุกคนต้องทานมังสวิรัตครับ พูดไปก็ยิ่งยาว
_arven arven อย่าพูดเลย...ต้องการสร้างลัทธิของตัวเอง ผู้มีศีลย่อมไม่ยุ่ง ฆราวาส อันนี้ทำหมดเลย ทำทั้งปุ๋ย เหมือนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมย่อมๆ มันเป็นกิจของสงฆ์ตรงไหน เสร็จแล้วก็มาถ่ายคลิปไม่รับเงินเพื่อโปรโมทตัวเอง ไม่มีเงินจะเอาอะไรมาสร้าง ที่เห็นในคลิปเอาอะไรมาสร้างถ้าไม่ใช่เงิน อย่ามาตอแหล
_kanyanee disthab เห็นสร้างอะไรๆ ตั้งใหญ่โต นี่หรือพอเพียง
_Rattana Teaja คนไปอยู่บอกเลยโง่ บ้านเช่า ทำงานแลกข้าว ไม่มีเงินเดือน เด็กที่พ่อแม่ส่งไป ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ไปอยู่มาแล้วปีนึง
_kanyanee disthab ความหมายคืออะไร ชาวราชธานีอโศก ทำเหมือน จะแยกเป็นประเทศอีก 1ประเทศเลยเนอะ
_Chaiyapoom Cha สัดซื้อบ้านแต่ไม่ได้โฉนด ระบบคอมมิวนิสต์ชัดๆ ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง
_Pudpichaya Thongsom ถามตรงๆ..เขาเอาทุนที่ไหนมาสร้างอ่ะ แล้วเขาจะสร้างให้ใหญ่โตไปทำไม แล้วมันจะพอเพียงยังไง
_Seree Arter เวลาสอนมันจะเม้มปากใส่อารมณ์เต็มที่ กูถูกคนเดียวคนอื่นผิดหมด
มานะ เขาฉกรรจ์กิจ อโศก เขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เบื้องลึก โดยการเอาศาสนาบังหน้า แต่จุดประสงค์จริงๆแล้ว เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ แอบแฝงเข้ามา โดยอาศัย ศาสนา เป็นเหยื่อล่อ
_Yoyo A เด็กๆที่นี่ได้เรียนหนังสืหรือป่าวนะ หรือมีครูสอนในนั้นเลย
_พงศ์วรินทร์ sug คำถามคือการขุดคลองแบบนี้ต้องขออนุญาติก่อนมั้ย
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แนวคิดแบบคนจนนั้นคนมีภูมิจึงเข้าใจได้
พ่อครูว่า...ก็ขอตอบตรงๆว่าสังคมยุคนี้มันเป็นสังคมที่เป็นอบาย ลงไปสู่จุดต่ำ ต่ำแบบหลงอบาย หลงความฟุ้งเฟ้อหรูหรา หลงความสวยงดงาม คือหลงไปอีกทิศทางสุดโต่ง จัดจ้าน ไม่ว่าจะเป็นความหรูหราใหญ่โตงดงาม ร่ำรวยมั่งมี แย่งกันแบบนั้นหมด เป็นโลกธรรมจัดจ้าน หมดทั้งโลก เป็นแต่เพียงคนที่อดอยากคนที่ไม่มีมากก็อยากได้แบบนั้น มีแนวคิดอยากรวยอยากหรูหราใหญ่โต แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ก็เลยต้องจำนนเท่านั้นเองก็เลยยอมจน จนอย่างจำนน แต่ผู้ที่รวยก็ยังมีน้อยผู้ที่จนก็ยังมีมาก ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยจึงห่าง ห่างเป็นระดับ แต่ถ้ามาจน ก็จนเสมอกัน ช่องว่างจะน้อยจะมีมากน้อยกว่ากันก็นิดๆหน่อยๆ แต่จะมาหาความจนกัน
เศรษฐศาสตร์ที่คนหมู่ใหญ่พยายามมาจนกันให้ได้มาก แล้วก็มีปัญญารู้ว่าความจนนั้นเป็นความประเสริฐ คนที่จนนี้เป็นคนประเสริฐเป็นประโยชน์เป็นคนที่ไม่เป็นภาระ เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรอย่างที่เราเป็น มีอยู่มีกินรู้จักความพอไม่ไปสุรุ่ยสุร่ายเลยเถิดจนเกินไป รู้จักเขตความพอและเป็นผู้มักน้อยสันโดษ คนที่ปฏิบัติตามได้ตรงกับธรรมะพระพุทธเจ้านี้อย่างที่เราเป็นกันได้ เป็นตัวอย่างที่ขัดแย้งกับค่านิยมสังคมโลกที่ตอนนี้ถูกครอบงำ ถูกมอมเมาให้อยากไปเป็นแบบโลกียะที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเป็นอบาย เขาก็เลยรู้สึกแบบนี้เพราะมีค่านิยมยึดมั่นถือมั่นแบบนี้ พวกเรามาพูดแบบนี้เขาก็เลยขัดแย้ง คนที่หลงผิดมันมีมาก คนที่ยึดติดมีมาก มันก็เลยอย่างนี้ เขาก็มีพวกมาเยอะ รับรองกัน คอมเม้นสนับสนุนกันเลยเพราะเป็นค่านิยมเดียวกัน เจตคติเดี๋ยวกัน มโนคติเดียวกัน ไปทิศทางเดียวกัน ที่เป็นอบายโลกธรรมฟุ้งเฟ้อจัดจ้าน เขาไม่รู้ว่าผิดนะ แต่พวกเรามาบรรลุธรรมมาเห็นว่าทิศทางมักน้อยสันโดษ ทิศทางมีวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายเป็นคนมักน้อยเป็นคนสันโดษเป็นคนยากจนเป็นคนที่มีจิตใจพอเพียง เป็นคนที่มีศีลขัดเกลาตนเอง มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นคนไม่สะสมเป็นคนยอดขยัน ขยันเสมอ เป็นคนที่เข้าหลักเกณฑ์ของวรรณะ 9 เป็นคนชั้นสูงเป็นคนคลาสสิค เป็นผู้มีคลาส มีชั้นวรรณะ จึงเป็นความเข้าใจที่ยากมากเพราะเขาจะเห็นอย่างที่เขาเห็นแสดงออกมา
อาตมาจึงพยายามแสดงตำหนิวิจัยวิจารณ์ความไม่ถูกต้องความตกต่ำที่เป็นกันอยู่มากมันก็มีมากและมีเยอะอาตมาก็ใช้เวลามามากแล้ว เกือบ 50 ปีแล้ว วันนี้ก็เลยตั้งใจว่า ต่อไปนี้อาตมาก็จะหยุดแล้ว จะหยุดตำหนิติเตียน จะหยุดว่าอะไรต่ออะไรเขา เพราะว่าไปแล้วคนที่พอมีปัญญา ไม่มีอัตตามานะมากนัก ไม่มีอคติอะไรมากนักมันก็พอรับได้ พากเพียรไปตามทำอยู่แล้วก็จะมีคนจำนวนหนึ่ง ส่วนคนที่เป็นอเวไนยยสัตว์คนที่สอนไม่ได้แล้ว ก็คงต้องวางมือปล่อยให้เขาเป็นไปตามวิบากกรรมยถากรรมของเขา จริงๆมันเป็นความโหดร้ายนะที่อาตมาพูดนี้ เหมือนอาตมาโหดร้าย แต่ก็ยอมเพราะว่ามันน่าจะเพลาแล้ว เขาต่อต้านก็ทำร้ายจิตใจเขาเองเขาไม่ควรต่อต้านในสิ่งที่อาตมาปรารถนาดีความเจตนาดีที่จะให้เขา แต่เขาเข้าใจไม่ได้ มันก็ได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นก็เลยตั้งใจที่จะหยุดตำหนิติเตียน จะตั้งหน้าตั้งตามาอธิบายธรรมะ ธรรมะที่อธิบายก็จะเป็นธรรมะที่ลึกเราก็ยิ่งไม่ได้อะไรเลย ก็จะมีคนที่ได้คือคนที่มีภูมิตั้งใจฟังเพราะเป็นภูมิโลกุตระ ก็ต้องทำอันนี้แม้ใครจะเห็นว่าเห็นแก่ตัวเห็นแก่พวกมันเท่านั้น มันพูดไม่ให้กูรู้เรื่องก็แล้วแต่ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะมันสุดทางแล้วอาตมาก็จะทำอย่างนี้บ้าง เพราะว่าพยายามแล้วพูดให้เขาเข้าใจรู้ตัวตำหนิเขาก็เลยดูแรงดูลึก ดูมาก เพราะว่ามันขยายความมากขึ้นก็เลยยิ่งเห็นความชั่วที่มากขึ้น เขาก็จะทนไม่ไหวอีก
อาตมาตำหนิติเตียนมามากขนาดนี้ เขาไม่มาตีเอาหัวแตกไม่มาทำร้ายก็ดีแล้ว ก็ลองๆอ่านอีกหน่อย มันไม่หมดหรอกนะ สิบกว่าหน้า
620203_คอมเม้นต่อพ่อครูในคลิปที่ส่งไปในยูทูป 1-3 วันที่ผ่านมา
ช่องยูทูป https://www.youtube.com/channel/UCAzbQnHRFqRpEotXoninDXg/videos?view_as=subscriber
555พระอรหันเป็นแบบนี้เองหันซ้ายหันขวามากกว่ามั้ง555
คาม เอือน 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สาธุค่ะถ้ากลับไปไทยเมื่อไหร่จะหาเวลาไปทำบุญกับพ่อครู่น่ะค่ะสาธุขอให้มีบุญวาสนาถึงบารมีพ่อครูด้วยเถอะค่ะ.สาธุ สาธุ สาธุ
ท่านเป็นพระที่น่าเคารพองค์หนึ่งเลยล่ะท่านสอนเหมือนพ่อหลวงร.9ทำให้กับประเทศชาติเลยตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสอนให้คนพึ่งพาตนเองดีกว่าจะหวังให้คนอื่นมาช่วยเราฝ่ายเดียวสาธุ
สาธุถ้าท่านเป็นพระนักพัฒนาตามรอยพ่อหลวง แบบพอเพียงหวังพึ่งพาตนเองอย่าหวังให้คนอื่นมาช่วยอย่างขอทานกราบสาธุท่านค่ะ
นี่สิพระที่บวชไม่หวังลาภยศสรรเสริญเป็นพระโดยแท้ตามรอยพระพุทธเจ้าโดยแท้ไม่เหมือนพระทั่วไปที่บวชแค่สวมผ้าเหลืองก็ว่าเป็นพระแต่ไม่น่ากราบไหว้
เบสท์ เจนชีวิน 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สังคมที่มีแต่การร่วมมือร่วมใจ ชอบมากครับ
ชัย มีชัยภูมิ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ไอ้ควายพ่อมึงตายมีไอ้ส้นตีนอรหันเหี้ยอะไร (พ่อครูว่าขออภัยที่อ่านพูดตรงๆตามที่เขาเขียนมา)
ทอง สยาม 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
นาๆสังวาสบ้านมึงสิ กูถามว่าพ่อคนเดียวกันไหม จบ
คนอุบลพื้นที่เขาไม่ชอบมึงหรอกหันตูดแค่มึงมีเงินชื้อที่เท่านั้นเองมีแต่พวกมึงทั้งนั้น
เปรตมาเจอกันไม่ใช่สิ สัตว์นรกมาเจอกัน ผูดไม่หยุดปากเลยหันตูด
สุรชาติ ชุ่มเพ็งพันธุ์ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สัตติอโศก ถุยๆๆ
มึงอะเป็นได้เเค้ขี้ข้าจำลองละ ถึงเวลาก็ไปชุมนุม วิ้งหนี้เเก๊ซน้ำตาได้เเค้นั้นละ ประกาศตัวเองบรรลุโพธธิสัตร์ บรรลุพระอรหันต์เเค้นี้ก็นรกมากเเล้วละ
เเละที่มึงบอกพระที่นั้งหลับตาเป็นพระอรหันต๋เก๋ มึงหมายถึงพระพุทธเจ้าด้วยใช้ไหม หมายถึงหลวงปูมั่นด้วยใช้ไหม เพราะพระพุทธเจ้าก็นั้งหลับตาเหมื่อนกัน
กูละตลกเเสดงสอนคนอื่น ตัวเองยังไม่ชุมนุมกับ กปปส อยู่เลย
คือว่าไม่ได้เศษเสี้ยวไหนศอกเล็บของหลวงพ่อท่านพระพุทธทาษเลย
วิชิตชัย ทองวันดี 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ท่านคือพระอรหันต์จริงหรือครับ
Songwit Booncharoen 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เรียกว่า พ่อครู น่าจะเรียก ท่านราชครู ฟังดูดีกว่าอีกครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ปัญญาวิมุติกับพระพุทธเจ้านั้นต่างกัน
กำธร พิมพ์ภัค 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้นจะมีอะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเหตุที่แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะกับภิกษุปัญญาวิมุตติ. …
ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นผู้รู้มรรค (มคฺคญฺญู) เป็นผู้รู้แจ้งมรรค (มคฺควิทู) เป็นผู้ฉลาดในมรรค (มคฺคโกวิโท) ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสาวกทั้งหลายในบัดนี้ เป็นผู้เดินตามมรรค (มคฺคานุคา) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง ภิกษุทั้งหลาย นี้แหละเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเหตุที่แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะกับภิกษุปัญญาวิมุตติ.
พ่อครูว่า...คำสอนของพระพุทธเจ้าบทนี้มีความลึกซึ้ง ขอยืนยันว่าอาตมาคือผู้ปัญญาวิมุติ ซึ่งมีความแตกต่างจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้อุบัติผู้รู้แจ้งมรรควิธี รู้แจ้งแล้ว แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้แจ้งตาม ส่วนภิกษุผู้เป็นปัญญาวิมุติ ไม่ได้รู้เอง ต้องรับฟังมาจากของพระพุทธเจ้าและเอามาปฏิบัติตามจนบรรลุเป็นปัญญาวิมุติ นี่คือข้อแตกต่างของพระพุทธเจ้ากับปัญญาวิมุติ เพราะฉะนั้น
ยุคสมัยนี้ผู้เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่มี มีแต่มิจฉาทิฏฐิ ฟังความรู้ที่เป็นมรรค เป็นผลของพระพุทธเจ้าไม่ออก แต่ไปเข้าใจมิจฉามรรค-มิจฉาผล เช่นไปเข้าใจว่าพระอรหันต์ในยุคนี้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นอรหันต์เก๊ ปฏิบัตินั่งหลับตาก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่ออาตมาเป็นปัญญาวิมุติมาพูดขึ้นในยุคนี้มันก็ขัดแย้งกับทิฏฐิอื่น แล้วเขาก็บอกว่า เอาสิ่งที่ผิดของเขาว่านั่นเป็นของพระพุทธเจ้า เขาเห็นว่าความแตกต่างระหว่างปัญญาวิมุติคืออาตมากับพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้ากับอาตมาที่เป็นปัญญาวิมุตินี้แตกต่างกันตรงที่พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ในมรรค แล้วเอามาสอน อาตมาไม่ได้เป็นผู้ที่ตรัสรู้มรรค แต่ปฏิบัติตามมรรคจนบรรลุ แต่เขาเข้าใจมิจฉาทิฏฐิในมรรคในผลไปแล้วว่า คือของพระพุทธเจ้าเขาเลยเห็นว่าสิ่งที่อาตมาปฏิบัตินั้นผิด แต่แท้จริงอาตมาเหมือนกับพระพุทธเจ้าเขายึดถือผิด นี่คือความลึกซึ้งที่ยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นคุณ กำธร คัดเอามาจากพระไตรปิฎกอ่านให้ฟัง ก็เลยเห็นว่าคุณคนนี้ลึกซึ้งที่นำพาสูตรที่ลึกซึ้งนี้มาให้อาตมาอธิบายสู่ผู้ที่ลึกซึ้งให้ฟัง ส่วนผู้ที่ตื้นก็เข้าใจได้แค่นั้นเอง อาตมาพูดนี้พูดตามสัจจริง
นายดำดี ดำดูดี 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ดูกิริยา ก็คงจะพอดูออกกันนะทุกท่าน ว่าใครคือพระใบลานเปล่า
พ่อครูว่า...อาตมาเป็นคนหลุกหลิก ไม่สำรวมกิริยาท่าทาง จริงใจก็บอกไปตามปกติให้เป็นสามัญเป็นคนไม่ดัดจริต ไม่ต้องมีดราม่าติ๊กไม่ต้อง เต๊ะท่า ทำเป็นผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน แสดงออกไปให้มันตรงๆตาม นัจจะ คีตะ วาทิตะ นัจจะ คือ ท่าทางลีลา ถ้าท่าทางลีลาที่เป็นกิเลสก็จะแสดงอีกอย่าง แสดงท่าทีบู๊แหลก หรือคีตะก็เล่นเพลงมอมเมา คีตะคือสุ้มเสียงสำเนียง วาทิตะคือภาษาคำพูดที่เลือกเฟ้นมา ผู้ด่าก็เลือกมา พวกมิจฉาทิฏฐิอบายมุขก็เฟ้นมาอย่างหนึ่ง ส่วนคนดีก็เฟ้นอีกแบบ ส่วนพวกปรุงแต่งแบบฟรุ้งฟริ้งก็อีกแบบ คนที่จะแสดง นัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็แสดงตามภูมิ อาตมาก็แสดงตามภูมิ
บุญเติม 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ท่านเอาสมมุติมาคุยเรื่องสมมุติแล้วจะเข้าถึงวิมุติได้อย่างไร ธรรมมะคือของว่าง ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่กี่ยวกับตัวตนคนสัตว์สิ่งของ นั่นแหละคือธรรมมะ
พ่อครูว่า...คุณเอาภาษาของพระพุทธเจ้ามาพูด แต่เข้าใจกันคนละอย่าง คุณเข้าใจกับอาตมามันคนละอย่างกัน ธรรมะคือของว่าง ที่จริงถ้าคุณไปอ่าน จูฬสุญญตสูตร ศาลานี้ว่างจากช้าง ก็ต้องมีเหตุปัจจัยให้ว่าง ถ้าหากว่างอย่างไม่มีเหตุปัจจัยมันเป็นมิจฉาทิฐิ ว่างเปล่าว่างอย่างไม่มีเหตุปัจจัยไม่เข้าใจธรรมะ 2 ไม่เข้าใจเทวะอันลึกซึ้งที่เป็นธรรมะ 2 ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นอกุศล แต่เป็นกุศลนั้นไม่ว่าง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเราไม่สันโดษแม้กุศล ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ว่างจากกุศล ท่านมีแต่สะสมกุศลด้วยซ้ำไปกุศลก็เพิ่มขึ้น ท่านมี สัพพปาปัสสะอะกะระณังกุสะลัสสูปะสัมปะทาแล้ว สิ่งเหล่านี้คนเข้าใจธรรมะไม่ครบก็จะเป็นแบบนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน สมณพราหมณ์ผู้มาเปิดเผยสัมมาทิฏฐิของพุทธ
พวกท่านนี่เค้าเรียกว่าตะแบงสุดๆ ท่านพูดเหมือนท่านนี่เก่งรุ้ธรรมคนเดว สมแร้วที่เค้าขับออกเถระสมาคม ถ้าท่านเกิดยุคเดียวกับพระพุทธเจ้าเชื่อเหลือเกินว่าท่านก้อต้องเห็นแย้งกับพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้ากว่าจะบรรลุยังต้องใช้อานาปาณสติ ในการทำสมาธิ เจริญสติหรือะไรก้อแร้วแต่ แสดงว่าพวกคุนก้อว่าพระพุทธเจ้าอรหันต์เก๊หราาาาาาไอ้ควาย
มาเจอคลิปนี้กูหายสังสัยเรย...เอ้ย มั่วแน่นอน ไปข้างๆคูๆ
สำเร็จได้โดยไม่มีการ วิปัสนา กรรมฐาน ผมไม่เชื่อหรอก ยิ่งอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่นั่งสมาธินี่ยิ่งมั่วไปใหญ่แร้วโอ้ยเนาะ
ผมก้อไม่รู้ธรรมะหรอกคับ แต่ผมว่าที่พุดกันนี่มั่วสุดๆๆๆๆๆ
พ่อครูว่า...ขอขยายความนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้า เมื่อท่านบวชก็เห็นแต่คนนั่งสมาธิ ลิงลมอมข้าวพอง คุณเข้าใจความหมายนี้ยาก ท่านก็เลยต้องไปนั่งสมาธิ แต่ท่านนั่งไปท่านก็ไม่ได้บรรลุอะไรสักอย่าง ไปนั่งกับอาฬารดาบส อุทกดาบส จนกระทั่งวันสุดท้ายวันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็นั่งของท่าน แต่การนั่งอันนี้ คนทั้งหลายที่ไม่เข้าใจละเอียดพอ จะไม่รู้ว่าท่านนั่งอานาปานสติ อะไร?
ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านนั่งท่านก็ไปตรวจสิ่งที่ท่านมีท่านได้แล้วมีแล้วในสัญญาไม่ได้สร้างปัญญา ท่านไม่ได้ตรัสรู้ด้วยการนั่ง แต่เขาไปเรียกด้วยหวัดๆว่า ท่านตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตอนที่ท่านนั่งหลับตาเข้าไป แต่ความจริงแล้วท่านนั่งเข้าไปตรวจสอบอดีตที่ท่านสั่งสมสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งแต่ยามสองยามสามท่านก็รู้แล้วว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านสำรวจตรวจสอบตัวเองเสร็จจนรู้แน่ใจว่า สิ่งที่เราได้ทำมาแล้ว เราทำครบแล้วเราเป็นพระพุทธเจ้า จะบอกว่าท่านตรัสรู้ ท่านก็รู้ตอนนั้นในร่างเจ้าชายสิทธัตถะ รู้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วแต่ก่อนมา จะเรียกอันนี้ว่าตรัสรู้ท่านก็ตรัสรู้มาแล้ว มาก่อน ท่านไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมอะไร การไปนั่งหลับตาปฏิบัติตามฤาษีเป็นทางผิดตั้ง 6 ปี ท่านออกมาอยู่ในป่าปฏิบัติตามแบบ ลิงลมอมข้าวพอง เขาพาปฏิบัติ ท่านก็ทำได้อย่างอุกฤษฏ์เกินกว่าเขาที่เขาทำมาด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้บรรลุอะไร ท่านก็มานั่งตรวจสอบ ยามหนึ่งยามสองยามสาม รู้ว่าเราได้ปฏิบัติมาครบหมดแล้ว ท่านก็รู้ตัวเองว่าท่านนี่แหละเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะบอกว่าท่านตรัสรู้ท่านก็คือรู้ตัวเอง ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะท่านได้ตรัสรู้มาแล้ว ฟังให้ดีอย่าใส่อคติฟังให้ดีเหมือนกับเทน้ำออกจากถ้วยเป็นถ้วยที่ว่างแล้ว
อันนี้ จะเรียกว่าท่านตรัสรู้ ท่านก็ทบทวนรู้ของเก่า ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย แล้วที่ท่านปฏิบัติธรรมมา 6 ปีมันปฏิบัติทางที่ผิด ท่านก็ได้เล่ามาแล้วว่า 6 ปีที่ท่านปฏิบัติไม่ใช่วิธีที่ถูกทุกอย่าง นั่งหลับตาก็ดี ทำการทรมานร่างกายต่างๆทุกอย่างแบบที่เขาพาทำกันออกป่าเขาเข้าถ้ำ แบบนี้มันผิดทั้งนั้น
คนที่มีปัญญาก็คงจะพอเข้าใจ จะยากมากเลย ในยุคพศ. 2560 กว่า ศาสนาพระพุทธเจ้ามันเสื่อมไปจนเกือบหมด อาตมาจึงจำเป็นต้องบอกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา ผู้นั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 มากอบกู้คืนมา
เช่น
อาตมาอธิบายตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ 9 ข้อ อาตมาเป็นผู้ที่อยู่ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10 เป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
ในยุคนี้จะมีใครมาอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ได้ยังอาตมา
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) คนในยุคนี้ทำทานแล้วมีแต่จิตใจจะขี้โลภเพิ่มขึ้น แล้วไม่ได้ทำจิตที่ลดกิเลส มีแต่อยากได้แลกกลับมามากขึ้น คุณให้ไปล้าน แต่ขอแลกกลับมา1 บาทก็มีกิเลสตัวตนกลับมา 1 บาท ทำไมไม่ให้ทานไป 1 ล้านก็ไม่ต้องเอาคืนเลยแม้แต่บาทเดียว ทำไมไม่ให้แบบหมดตัวตน อย่างนั้นแปลว่าคุณทานไม่เป็น เพราะว่าไม่มีใครอธิบายให้คุณฟังแบบนี้ใช่ไหม
อาตมาอธิบายว่าทำทานแล้วจิตใจจะมีผลคือการลดกิเลส แต่นี่โอ้โห จะเอากลับคืนมามากมาย มันก็ไม่มีผล มีแต่มีผลคือหนาไปด้วยกิเลส โลภะ ทำทานเอากลับมาอย่างไม่มีขีดจำกัด มีใครอธิบายอย่างอาตมาไหม นี่คือผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ข้อที่ 10
2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) ในการปฏิบัติข้อปฏิบัติธรรมแบบผิด ไปนั่งหลับตาปฏิบัติอาตมาอธิบายสมาธิที่เป็นสมาธิของพระอริยะเป็นมรรคมีองค์ 8 ในมหาจัตตารีสกสูตร ก็ไม่รู้กันแม้แต่ใน พรหมชาลสูตร ว่าไว้ ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เวทนาที่เป็นเวทนาเก๊ ไปหลงสุขขัลลิกะ ก็ไม่รู้ว่าต้องทำเวทนาเก๊ให้หมดไป เหลือแต่เวทนาแท้ที่เป็นเวทนาหนึ่งเดียว แล้วทำให้เป็นศูนย์ได้ วิธีปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติเวทนา 108 แล้วใครขยายความ มรรคเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่อาตมา
ขออภัยคนที่มีอคติจะหมั่นไส้ แต่คนที่ไม่มีอคติฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสัง ลภเตปัญญัง
คุณฟังอาตมามีอคติก็ไม่มีฉันทะ ฟังไม่เข้าใจ เพราะว่าโลกุตรธรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่ของยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ต้องฟังอย่างเปิดเลยไม่มีอะไรต้าน ต้องมีฉันทะมีความยินดีพอใจที่จะฟัง ถ้าไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้
เพราะฉะนั้นแม้แต่สัมมาทิฏฐิข้อที่ 2 ที่เป็นวิธีปฏิบัติ อาตมาก็ขอวิจัยให้ฟังว่าวิธีปฏิบัติปฏิปทาของพุทธเจ้า ที่เขาทำกันทุกวันนี้มันล้มเหลวหมดแล้วมันวิปริตผิดทาง มันเพี้ยนไปหมดแล้ว ศาสนาพุทธวิกฤตหมดแล้ว มันฝังรากหยั่งลึกลงหมดแล้ว จึงได้แก้ไขยาก อาตมาจึงต้องรักษาอายุให้ยืนยาวไปถึง 151 ปี ต่อไปจะไม่ว่าต่อ ไม่ติเตียนมาก ก็ขออธิบายเนื้อหาสาระธรรมะต่อไปดีกว่า
พระพุทธเจ้าทำอานาปานสติอย่างสัมมาทิฏฐิ คือให้นั่งนี่แหละแต่อย่าทิ้งภายนอก แม้จะหลับตาก็ต้องมีความรู้สึกอยู่กับลมหายใจมีภายนอกอยู่ ตาก็หลับ หูไม่ได้ยิน แต่ว่าต้องรู้สึกลมหายใจภายนอกอยู่เสมอ จริงๆแล้วไม่ต้องไปเหลือแต่ทวารเดียวคือลมหายใจเข้าออกมันปิดทวารอีก 5 อย่าง มันกลายเป็นทำให้สติเหลือนิดเดียว ไม่ครบ 6 ทวาร ก็เลยน้อย คุณทำให้ตัวเองได้น้อยมีผลน้อยโดยการหลงผิดอย่างนี้เป็นต้น คนที่ฟังด้วยดีก็จะชัดเจน
อานาปานสติถึงไม่ใช่วิธีนั่งหลับตา อานาปานสตินั้นจะต้องมีสติปัฏฐานอยู่ด้วย พิจารณากายในกายเวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรมรู้จักการเดินการก้าวการกินการเคี้ยวการอุจจาระปัสสาวะ หมดทุกอย่าง จึงจะเรียกว่าปฏิบัติอานาปานสติถูกต้องครบถ้วน จะไปนั่งหลับตานั้นเป็นพวกที่ผิด เพราะศาสนาพระพุทธเจ้านั้นหลับตาไม่ได้
แม้แต่แค่หลักธรรมพระพุทธเจ้าวิชชาจะระณะสัมปันโน ในจรณะ 15 นั้น
1. มีศีล มีศีลจะต้องสัมผัสกับสัตว์กับคนกับข้าวของกับตาหูจมูกลิ้นกาย จึงจะปฏิบัติศีลได้ ศีลนั้นการปฏิบัตินั่งหลับตาไม่มีศีล
2. อันนี้เป็นอปัณกปฏิปทา ถ้าไม่มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตาชาคริยานุโยคะ ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ไม่มีสัมผัสกับคนกับสัตว์กับของไม่มีการตื่นรู้ตัวจากกิเลส ก็เป็นการปฏิบัติผิดไปจากการปฏิบัติธรรมที่ไม่ผิดของพระพุทธเจ้า 3 ข้อนี้
เพราะฉะนั้นอปัณณกปฏิปทาต้องมีสัมผัสทั้ง 6 ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ต้องเรียนรู้เรื่องกินเรื่องใช้ที่เกี่ยวข้องสัมผัสอยู่ ต้องมีความตื่นเต็มเป็นชาริยาหรือโยคะ ถ้ามันไม่ตื่นมันเข้าไปในภวังค์มันไม่ตื่น ดีไม่ดีมันหลับไปเลย ตกในภพถีนมิทธะ ต้องตื่น ขนาดตื่นมีดวงตาลืม หูก็ได้ยินฟัง ถ้าหากสติสัมปชัญญะของคนไม่ครบเต็มร้อย สติคุณก็ยังไม่ครบเลย ต้องให้ตื่นเต็มมีสติทั้งนอกทั้งใน อย่างนี้เป็นต้น
ฟังธรรมะให้ดีอาตมาอธิบายครบทั้งพยัญชนะและสภาวะ มีคนตำหนิว่าตามามีแต่พยัญชนะไม่มีสภาวะ แต่คุณต่างหากตามไม่ถึงสภาวะที่อาตมาพูดเป็นพยัญชนะออกไป
นี่เขาก็บอกมาเขาก็น่าสงสารเขาหัวเราะเยาะอาตมามา คนที่มองอาตมาไม่ออกคือคนที่ …..นัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
คือคุณเกิดมาในโลกนี้แล้วไม่เห็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เหมือนกามนิตที่คุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนที่บ้านช่างปั้นหม้อ บอกว่าศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่แสดงตัว จนรุ่งเช้าก็บอกว่าคุยธรรมะเมื่อคืนนี้ดีจังเลยที่ได้คุยกับท่าน โอกาสครั้งหน้าพบกันอีก ยังจะขอลาท่านไปหาพระพุทธเจ้าก่อน นี่คือกามนิต ที่แปลว่าผู้มีกามตลอดกาล นิจจัง น่าสงสาร
แม้ว่าอาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่อาตมาก็คือ สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็น สยัง อภิญญา พูดอย่างไม่มีสาเฐยจิต ไม่มีจิตใจอยากอวด แต่เป็นสิ่งที่เปิดเผย มันสมควรจะพูดแล้วก็พูด
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชุมชนบุญนิยมสร้างจากคนจนมหัศจรรย์
ฮิปปี้ คงกวี 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เรี่ยไรเงินคนมาเปนพันๆล้าน..มาสร้างมาขื้อ..กินอยุ่อย่างราชา..ประพฤติตนยังกะ..คนเสียสติ
พ่อครูว่า...คนพูดใส่ความอาตมาไม่เคยไปเรี่ยไรใคร คนที่จะมาบริจาคคือคนภายใน แล้วคนภายนอกที่จะไม่ใช่สมาชิกแท้ แม้แต่คนภายนอกจะมาบริจาคไม่อยู่ในกติการับได้ คือมาคุยมาพบปะมาวัดครบ 7 ครั้ง อ่านหนังสือจนเข้าใจแนวทางของเราก่อน เราก็ไม่รับ ต้องแน่ใจว่าเป็นคนที่เข้าใจแนวทางอโศกจึงจะรับ ที่ว่าเป็นพันล้านนี้ คุณก็ประมาณเอา เพราะมันเห็นเป็นก้อนโต มันเห็นเป็นมวลรวม
เพราะที่นี่เงินทุกบาททุกสตางค์ได้มาไม่เข้าพกเข้าห่อตัวเอง แต่เอามารวมกันจึงเหมือนก้อนโตแต่ไม่โตหรอกไม่มากหรอก มีแต่เลือดของปูเท่านั้นที่มารวมกันมันเลยดูมากดูเยอะ นี่แหละคือหลักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ทุกคน ทำตัวให้เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนที่ไม่เอามาก ทำได้มากๆก็บริจาคให้คนอื่น ตัวเองมีน้อยแล้วก็พอ แล้วก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ ละกิเลสไป ให้ตัวเองบรรลุแล้วมีอาการน่าเลื่อมใสแล้วอย่าไปสะสม พวกเราเป็นคนไม่สะสมได้สำเร็จแต่เสียสละสร้างสรร แล้วเอามารวมกันมันจึงมีมากที่กองกลางที่ส่วนรวม
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสว่าเอาแบบคนจน เอาอย่างพระพุทธเจ้า แต่ท่านเป็นในหลวงก็เลยตอบไม่ได้ว่าเอาแบบพระพุทธเจ้า เพราะคนไทยมีหลายศาสนา ถ้าบอกว่าเอาแบบพระพุทธเจ้าก็เลยจะไปกระทบศาสนาอื่น ท่านเป็นในหลวงตรัสแบบนั้นไม่ได้ แต่ว่าอาตมาเป็นสาวกพระพุทธเจ้าพูดได้เต็มที่
เราเป็นคนจนที่รวย แต่ไม่เอาไว้เป็นของตัว ส่วนที่เหลือที่เกินก็เอาไปให้กองกลางให้กองกลางบริหาร นี่แหละคือหลักเศรษฐศาสตร์ของประเทศชาติ สอนคนให้มาจนเลย สอนคนให้ขยันหมั่นเพียร สอนคนให้มักน้อยสันโดษ สอนคนให้รู้จักประโยชน์เพื่อผู้อื่น ว่ามันเป็นคุณค่าเป็นความประเสริฐ การเสียสละเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ควรทำ การไปขี้โลภกอบโกยกักตุนและเอาเปรียบเอารัด มันไปไม่รอด เอาแต่รวยนั่นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ฟังอาตมาบ้าง พยายามทำความเข้าใจให้ดี ผู้บริหารประเทศทางเศรษฐกิจก็ตาม เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็หนีไม่พ้นจากชีวิตคนหรอก เสฏฐะเสฏโฐ แปลว่าความเจริญ ที่จริงแล้วคนที่มีร่ำรวยเงินทองไม่เรียกว่าเศรษฐีหรอก มันมีคำศัพท์อีกเยอะแยะเช่นคำว่ากระฎุมพี คนตะกละตะกลาม โลภ มันไม่ใช่เศรษฐี เศรษฐีคือคนจนคือคนประเสริฐ พยัญชนะกับสภาวะมันสับสนปนเปกัน เข้าใจกันยังไม่ค่อยได้ จึงยากมาก
เพราะฉะนั้นในอโศกของเรา อาตมาขอสรุปว่าอโศกของเราสมบูรณ์ แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สมบูรณ์ แก้ปัญหาทางการเมืองก็สมบูรณ์ บริหารการอย่างไม่บริหาร ทำหน้าที่ของตนไปช่วยกันไปไม่ต้องไปบังคับกดขี่ ให้มีอิสรเสรีภาพลดอัตตาตัวตนไป ทุกคนก็มาสร้างปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาดและอยู่กันอย่างเป็นมนุษย์เจริญ เป็นมนุษย์ คลาสสิค มีวรรณะ 9 นี่คือสุดยอดของคนแล้ว อาตมาถึงบอกว่าทำงานให้แก่สังคมมนุษยชาติ อาตมาบอกไปก่อนแล้ว ว่าอาตมาบรรลุผลแล้วทำให้เกิดความเข้าใจมีผลตามธรรมะพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติตนเป็นผู้มีวรรณะ 9 สำเร็จมีสาราณียธรรม 6 ใช้ได้ดีแล้ว
เพราะฉะนั้นประเทศไทยผู้บริหารจะมาดูตัวอย่างนี้ก็ได้ มันไม่ใช่ทฤษฎีของอาตมาหรอก แต่เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องบอกว่ามาเอาอันนี้แล้วจะเป็นทฤษฎีของโพธิรักษ์ ไม่ต้องไปคิดว่าอาตมาจะไปทวงว่าเป็นทฤษฎีอาตมา ไม่ใช่หรอก แต่เป็นของพระพุทธเจ้าอาตมาก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า คนที่มีอิสระเสรีมาฟังแล้วเข้าใจตามได้ก็มาทำตามก็ได้ไป คนที่ไม่เชื่อไม่ทำตามก็ไม่ได้ เขาก็มีชีวิตที่ลำบากลำบนของเขาไปตามประสา แต่ว่าพวกเรานี้ความทุกข์ก็น้อยลงจนไม่มีทุกข์เลยก็ได้แล้ว ก็จนสำเร็จแล้วด้วย ใครจะไม่จนงุบงิบบ้างก็ไม่เป็นปัญหา
ไม่ได้ไปโลภโมโทสันแย่งชิงกอบโกยจากสังคม อาตมาทำสำเร็จแล้วโดยสอนคนกลุ่มหนึ่งของคนไทยให้ไปอย่าไปแย่งสมบัติส่วนกลางของเขา เราสร้างสรรให้ได้เถอะ สร้างสรรแล้วแจกจ่ายสะพัดให้คนอื่น เราเอาไว้แต่น้อยด้วย อาตมาช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติแล้ว ดร.ทางเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายเข้าใจไหม ให้ที่อื่นหมู่บ้านอำเภอจังหวัด ในประเทศมาทำอย่างที่อาตมาพาทำนี่สิ แล้วสอนให้คนทำอย่างที่อาตมาพาทำ คุณจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเมืองสังคมสำเร็จ จะเป็นสังคมที่เป็นอยู่สุขอยู่กันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าไม่มีมากแต่อุดมสมบูรณ์ เหลือกินเหลือใช้ ของดีด้วย สิ่งที่จะต้องเสียเวลาแรงงานทุนรอนที่จะต้องไปทำสิ่งที่ไม่ควร มันเสียกำลังแรงงานทนร้อน 3 อย่างนี้ อาตมาว่ามนุษย์ต้องฉลาดเท่าทันอย่าให้ไปสูญเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ อย่าไปสูญเสียแรงงาน กับสิ่งไร้สาระ อย่าไปเสียทุนรอนกับสิ่งไร้สาระ หรือสิ่งที่ไม่มีสาระดีพอ เอาเวลามาใช้กับสาระที่ดีพอ เอาแรงงานมาใช้กับสาระที่ดีพอ เอาเวลาแรงงานทุนรอนของคุณที่มีมาใช้กับสิ่งที่มีสาระอันดีพอดีกว่า
เข้าใจให้ได้แล้วคุณจะเป็นนักเศรษฐกิจที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า Economy ซึ่งแปลว่าประหยัด พวกเรานี้เป็นพวกประหยัดไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราฟู่ฟ่าฟุ้งเฟ้ออะไรเลย กินพอควรแล้วก็อยู่ในดินแดนที่กินน้อยใช้น้อยไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราฟู่ฟ่า แต่ส่วนรวมนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ อย่าว่าแต่ส่วนรวมที่เรามีกินมีใช้แล้วให้คนอื่นมาแบ่งกินใช้อาศัยได้ เพราะว่า เราอยู่อย่างเหลือเฟือ เอาส่วนที่เหลือมาสร้างที่พักที่อยู่ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้เด็กเล็กๆมาเล่น อยากให้ผู้ใหญ่มาเล่นด้วย
ที่นี่จะมีร้านค้าประชารัฐจะเป็นดินแดนถิ่นประชารัฐ ที่ประชาชนทั้งหลายแหล่ ได้มาอาศัยพักผ่อนหย่อนใจ หรือจะมาซื้อมาขายมาแลกเปลี่ยน มาได้ แม้จะบอกว่ามาขอกินข้าวกับลูกหน่อย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่นี่ไม่ได้ขี้เหนียวไม่ได้หวง แต่มามากเกินก็ไม่ไหว เราเป็นคนไม่สะสมจนกระทั่งมาเท่าไหร่ก็เลี้ยงได้หมด แต่มันเป็นสังคมตัวอย่างมนุษย์ชุมชนตัวอย่าง ที่ว่ามีพฤติกรรมสังคมแบบนี้สิ เขาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน
ไพบูลย์ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ศาสนาอะไรฟังแล้วงง อธิบายเข้าใจยากฟังพุทธวจนครั้งเดียวเข้าใจเลยอย่ามัวเสียเวลากับพระรูปนี้เลย
ต่อลาภ ปลั่งปรีชา 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ควายแม่งมึงดีคนเดียวสมแล้วที่เขาขับไล่มึง
พ่อครูว่า..เขาว่า เถรสมาคมไล่ แต่ที่จริงเราประกาศลาออกก่อนตั้งแต่พ.ศ 2518 เสร็จแล้ว เป็นการประกาศนานาสังวาสซึ่งเขาก็ยอมรับด้วย แต่ต่อมาเขาก็ดึงเราเข้าไปร่วมแล้วบอกว่าประกาศไล่ออก ปกาศนียกรรม อย่างนี้มันขัดแย้งกับตัวเอง ทั้งที่มันเสร็จไปตั้งนานแล้ว เขาไปกินยาผิดหรืออย่างไร แล้วตัวเองก็อาบัติ เพราะเรื่องมันสำเร็จไปแล้วรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมามันก็เป็นอาบัติ เถรสมาคมก็เป็นอาบัติทำอะไรก็โมฆะไปหมด เพราะว่าเราทำนานาสังวาสสำเร็จไปก่อนแล้ว เสร็จแล้วเขาก็เอาธรรมยุตและมหานิกายมารวมกันประกาศปกาสนียกรรมอาตมาก็เป็นการผิดพระธรรมวินัย ทำไมไม่ไดเขาก็ไม่รู้ ทั้งที่เป็นพระหมู่ใหญ่ นี่แหละมันน่าสงสารประเทศไทย มหาเถรสมาคมหมู่ใหญ่ ไม่เดียงสาต่อธรรมวินัย มันก็น่าสงสาร อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่พูดมากก็ไม่ได้ อาตมาก็พูดอย่างมีหลักการ เอาพระวินัยพระไตรปิฎกมายืนยันเขาก็หาว่าอวด แล้วจะทำอย่างไรกันเล่า
จารุวัฒน์ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เริ่มแรกไม่เห็นนุ่งห่มแบบนี้ พอนานๆไปซักเริ่มเนียนๆ
นคินทร์ ภูริพงษ์ 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เวลาจะพิสูจน์ทุกสิ่ง
สายสุดา 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา
พระขี้กาก
มาลาศรี 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ท่านเอย ย่าพึ่งด่วนสลุบจิตของผู้อื่นว่ายังติดอยู่กับโลก หรือหลุดพ้นแล้ว ระดับจิตของท่านย่ามาเทียบเท่ากับ ระดับจิตของท่านอาจารย์พระพุธทาส. ระดับจิตของท่านยังยุ้งเยิงอยู่กับโลกมากนัก
ทาน อาร์ 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เหมือนฟังคนกำลังนั่งนินทาผู้อื่นลับหลัง..ยกยอพวกพ้องตน
ริสา สรรค 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ว่าไป. เพี้ยนไป...ใอ้นั่งรอบๆ มีเมียป่ะ...มันเพี้ยน..ตลกๆๆๆ
อรเหย..โครตตลก...เพี้ยน. บ้า.
กูดูใอ้รักษ์..ดูความเพี้ยน. ดูมาดเจ้าลัทธิ...ว่าไปๆ. ข้างๆคู....อรเหย...อรหอย...หันหน้าหันหลัง....เพี้ยนๆ..กูเข้าใจคนเดียว กูรํูคนเดียว...เพี้ยนดี เนาะรักษ์.
ขนาดโยมยังไม่มีท่าทางเครพมันเลย..ดีโยมไม่เอาตีนพาดหัวโล้น..ใอ้. อรเหย...ถุย..
เข้าสมาธิไ่ใด้ ไม่รู้เรื่องเหล่านี้...รู้แต่เรื่องเพี้ยน...วิชาเกิน.....โม้..ดีแล้วที่เขาขับออกจาก เถระสมาคม เพราะมันเพี้ยนไง...อรหอย...อรเหย..เพี้ยน..
FOR TRUTH 2559 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เป็นอรหันต์แล้วไม่บอกใครเลย แม้จะมีคนถามหรือคนที่ควรบอกควรสอนแนวทาง คนๆนั้นไม่ใช่อรหันต์ แต่คือคนคิดว่าตัวเองเป็นอรหันต์มีของดีแล้วทำทีเป็นไม่บอกใคร
พ่อครูว่า...แสดงว่าคนคนนี้เข้าใจว่าคนที่เต๊ะท่า จริงๆแล้วอรหันต์คือคนไม่เต๊ะท่า ถ้ายังเต๊ะท่าอยู่ไม่ใช่อรหันต์ คนที่เต๊ะท่าอยู่นั้นมีเยอะ อาตมาเป็นคนไม่เต๊ะท่า
คำว่าเต๊ะท่าคำเดียวก็กินขาดแล้ว คนเต๊ะท่าเป็นพระป่าเป็นพระบ้านเป็นพระที่สำโรง แต่พระรัก รักษ์พงษ์ พระโพธิรักษ์มันไม่สำรวมเลย ไม่เต๊ะท่า ก็เข้าใจ
คีร่า คาร์เกอร์ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ถามเรื่องนาฬิกา ยี่สิบห้าเรือนให้ฟังหน่อย
ผมเหนื่อยกับการนั่งยกหางกันเองของพวกท่านเหลือเกิน พยายามจะจับหลักจับเกณฑ์ ก็ไม่มี ผมชอบสันติอโศกตอนที่ท่านสู้กับรัฐในต้นๆ นั้นดูแล้วสบายตา ดูลึกซึ้ง กล้าหาญในธรรม ตอนนี้ เที่ยวติผู้นั้นผู้นี้กระทบกระแทกยกตัวดีจนเกินงาม
สอนตามแบบท่านไปถ้ามันดีจริงคนมีปัญญาเขาจะพิจารณาเอง เท่าที่ฟังมาหลายคลิปก็ยังไม่มีอะไรที่มันพิสดารพอจะบอกว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมา
พ่อครูว่า...อาตมาก็คงจะเพลา จะพูดธรรมะมากหน่อยแต่ก็ต้องกระทบตัว เพราะว่าจะถูกตัวเขาเองมาก ก็ต้องบอกล่วงหน้าไว้หน่อยนะ
สยาม เทรดเดอร์ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
รุ้ไหมทำไมพระอรหันต์ท่านนิ่ง เพราะท่านถูกฝึกสมาธิมาอย่างหนัก ท่านเลยยิ่งนิ่ง ไม่พูดเยอะ
พ่อครูว่า...อาตมาจะบอกคุณคนนี้ว่า อรหันต์คือคนที่ยิ่งแคล่วคล่องเร็วไว ถ้าคนนิ่งนี้คือคนที่กำลังจะเป็นเหน็บชา และกำลังจะเป็นง่อย จะเป็นอัมพาตนั่นคืออรหันต์นิ่ง พระอรหันต์ นั้นจะต้องมีองค์คุณอุเบกขา 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มีกายปาคุญญตา ทำงานได้อย่างเร็วคล่อง เร็วจนคุณจับไม่ติดด้วย
อย่างอาจารย์เกษม เขมโก ที่นั่งหลับตานิ่ง อยู่ป่าช้าไตรลักษณ์ สุสานไตรลักษณ์ แล้วเข้าใจว่าอย่างนั้นเป็นอรหันต์ ซึ่งน่าสงสารมาก ถ้าหากพระอรหันต์มีอย่างนั้นเต็มเมืองแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร พูดก็ไม่พูดนะ อาจารย์เกษม เขาเรียกหลวงพ่อเกษม วันๆเอาแต่นั่งหลับตาคนก็มานั่งเฝ้าท่าน นี่คือยกตัวอย่างง่ายๆ นอกนั้นก็มีที่เอาแต่ไม่พูดเอาแต่นิ่ง ก็ควรสอนสิ คนยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งต้องสอนมากสอนหนัก
ธรรมจักร วงษ์บัวงาม 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สนทนาธรรมดีกว่าครับโพธิปักขิย มรรคแปด วิสุทธิ7และอื่นๆมีให้สนทนาเยอะคุยเรื่องทหารพระดูทหารช้อมรบก็ผิดศีลแล้ว นี่พระสนับสนุนทหารฟุ้งช่านแล้ว
พ่อครูว่า...ขอบคุณ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูผู้มาอธิบายหัวใจศาสนาพุทธ
สุรศักดิ์ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ผมฟังคำเทศของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ (จากการเรียบเรียงของลูกศิษย์)พระอาจารย์ทั้ง 2 ล้วนแล้ว สังขารร่างกายเเปรเป็นพระธาตุทั้งหมด คำเทศคำสอนทั้งท่านอาจารย่ทั้งหลาย ที่ร่างกายแปรเป้นพระธาตุ ผิดกันเลยกับคำสอน ของ คนบ้า หากบรรลุธรรมจริง ผมขอดูพระธาตุของพ่อครูหน่อยได้ไหมครับ ท่านไม่พุดเรื่องปฏิบัติ ไม่พุดอาการของจิต
ใครๆก้พุดได้ทั้งนั้น พระที่ท่านปฏิบัติจริงไม่มายุ่แบบติดสุขแบบนี้หลอกครับ ปัจัย4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เสนาสนะ ยารักษาโรค แค่นี้ แต่ทีดู ในที่ ที่ท่านยุ่เขาเรียกปัจจัย100หรือเปล่า พระอรหันย์บ้าอะไรเจ้าลัทธิเดียรถีย่มากกว่านะผมว่า หากสำเร็จธรรมจริง ขอดูพระธาตุที่ออกมาจากกายท่านหน่อยซิครับ
มึงไม่พิจารณากายไม่ทางหลอกที่จะออกจากกามหลอก มึงนี้มันหลงตัวเองจริงๆคำสอนแม่งบ้าบอคอแตกเห้ย ปฎิบัติแบบมึงนี้นะ อยู่ในที่หรุหราอลังการนี้นะเจริญละพ่อคุณสมณะ หนังสือใครๆก้อ่านแล้วจำได้ พูดได้เห้อสมณะ
แม่งขายของขายยากันทำสหกรห์ข้างหน้าอโศกมึงกูเห้นมา2ที่ละ อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบล พวกมึงอยู่แบบสบาย หรูหราอลังการ อีกหน่อยเลือกตั้งมา เดี่ยวก็ไปปิดสนามบินอีก อรหันบ้านมึงดิ มึงแหกตาดูบ้าง พวกเดียรถีย์
พ่อครูว่า...ใส่จะอธิบายอาการจิตเท่าอาตมาบ้าง อาจารย์เสาร์อาจารย์มั่นรับรองว่าแจกแจงเจตสิกอย่างอาตมาไม่ได้ ไม่เคยเห็นมหาบัวบันทึกไว้ อาจารย์เสาร์บันทึกไว้ โดยเฉพาะแยกเคหสิตะ เนกขัมมะ 18 ซึ่งเป็นจุดแยกโลกียะกับโลกุตระ อาจารย์มั่นอาจารย์เสาร์รู้หรือ ขออภัยนะพูดเหมือนข่ม อ.มั่น อ.เสาร์ อาตมาเห็นใจคนที่นับถือท่าน อาตมาก็เห็นว่าท่านปฏิบัติดี แต่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทางพระพุทธเจ้าอันนี้ต่างหากที่สำคัญ ถ้าคุณปฏิบัติอย่างฤาษีชีไพรคุณก็มีดี อาจารย์มั่นอาจารย์เสาร์มีความดีแบบนั้น เป็นพระนอกรีตของพระพุทธเจ้าท่านมีมากแบบนั้นอาตมายอมรับ แต่ในศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิท่านไม่มีอันนี้ ฟังให้ชัดแล้วเอาไปเรียนดูให้ดี ไม่เช่นนั้นคุณจะหลงทางอย่างนี้ไปตลอดตายนิรันดร แล้วจะเป็นเทวนิยมไปตลอด เพราะว่าอาจารย์เสาร์อาจารย์มั่นก็ยังไม่พ้นจากความเป็นเทวนิยม เพราะเข้าใจเทวะหรือธรรมะ 2 ไม่ได้ แยกแยะธรรมะ 2 คือ “ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง” (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ไปอ่านให้ดีแล้วไปตีแตกหัวใจของศาสนาพุทธให้ได้ เทวธัมมา อาตมาขยายความอย่างพิสดารแล้วแล้วเอามาให้พวกเราปฏิบัติได้ด้วย พวกเรามีธรรมะ 1/0 บรรลุธรรมแล้ว แล้วคนก็เข้าใจไม่ได้ว่าผู้บรรลุธรรมคือชาวอโศก
เพราะเขาเข้าใจผิดว่าจะต้องเป็นพระอรหันต์แบบที่เขาเดากันเอา อรหันต์เดา อาริยะเดา คำสอนทิฏฐิเดาๆ แต่อาตมาบอกอย่าเดา เอาของจริง มาสัมผัสเรียนรู้อย่างแท้ให้เข้าใจอย่างมีจักษุเปิด จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ มาเรียนรู้อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้เลย ตามคำตรัสพระพุทธเจ้าจะต้องรู้ด้วยจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกอย่างลืมตา ไปนั่งหลับตานั้นไม่มีทางได้ มันเป็นความนอกรีต มันไม่ใช่ทาง
การนั่งหลับตามีอุปการะ
1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
การนั่งหลับตาปฏิบัติมันผิดทางพระพุทธเจ้าไม่มีการปฏิบัติที่ไม่ผิดของพระพุทธเจ้าคือ อปัณกปฏิปทา ไม่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8
จรณะต้องมีศีล มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วจิตใจจะเกิดศรัทธา หิริ โอตะปะ วิริยะ สติ ปัญญา แล้วจะเกิดฌาน 1-4
เกิดมาพร้อมศีล อปัณกธรรม สัทธรรม 7 จะเกิดฌาน ลืมตา เป็นพลังงานไฟเผากิเลส ฌานไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตา หลับตามีแต่สัญญาไม่มีปัญญา ฌาต้องมีปัญญา ในหลับตาไม่มีปัญญาเกิด ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ
ต้องเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ถ้าหากเอาแต่นั่งหลับตา พูดก็ไม่พูด คิดก็ไม่คิดอันนี้ไม่มีปัญญาหรอกมีแต่สัญญา สัญญากับปัญญานั้นต่างกัน
อาตมาสอนให้ไม่ติดสุขติดทุกข์ เอาแค่ปัจจัย 4 และบริขารเท่านั้น
กายคุณเข้าใจว่าอย่างไร คุณเข้าใจแยกออกไหมในอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ธรรมนิยาม มีอาจารย์คนไหนอธิบายให้เข้าใจแยกแยะนิยามทั้ง 5 นี้ออกไหม อาตมาอธิบายทั้งสภาวะและพยัญชนะ
ภาษาเขาก็หยาบเขียนมาผิดๆถูกๆ
แกงโชจิ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อรหันต์หรอ ไม่สำรวม อ้างไปทั่ว
พิษณุ 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อรหันเหี้ยไรแบบนี้อวดอ้างตัวเอง
ลิส คาสโส 18 ชั่วโมงที่ผ่านมา
คำว่าอรหันต์หรือว่าไม่อรหันต์มันก็ไม่สำคัญเพราะว่าถ้าถึงธรรมมันไม่มีอาไรสำคัญทั้งสิ้นถ้ายังสำคัญมันก็เป็นแค่เปลือก
พ่อครูว่า...คนนี้ลึกซึ้งเลยเถิด ต้องรู้ความสำคัญในความสำคัญหากเลยเถิดไปไม่มีอะไรสำคัญก็แย่เลย
ถ่ายทุกอย่าง ถ้าคว้ากล้องทัน 18 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ตลก...จังสรุปคุณถูกที่สุดเนอะมนุยษ์ขี้เหม็นอย่างคุณมีแต่วิจารณ์ไปทั่ว
ปราการ คงบัว 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา
มองตัวเองก่อนค่อยติคนอื่นครับ.กระจกซื้อมาใว้บ้าง.
บักควยสะพายบาตรก็ผิดละ
พ่อครูว่า...มองตัวเองอ่านความเป็นเทวะของตัวเองให้ออกความเป็น 2 ในตัวเองให้ออก แล้วทำให้เป็น 1 เป็น 0 ได้ อาตมาทำได้แล้วแวะมาบอก ถ้าหากมองความเป็นเทวะตัวเองไม่ออกยังเป็นเทวนิยมยังตีเทวะไม่แตก หากแยกไม่ออก คุณก็จะหยุดแค่นั้น โดยเฉพาะแยกแยะเนกขัมมะ กับเคหสิตเวทนา คุณแยกธรรมะ 2 อันนี้ไม่ออกไปเวทนา 2 นี้ไม่ออก แล้วทำให้เวทนาเป็นเนกขัมมะจนสมบูรณ์แบบ ออกจากกาม ออกจากโทสะ ออกจากวิหิงสา
กัณลิญา หล้าฤทธิ์ 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา
พระแบบนี้มาทางบ้านฉันไม่ได้กินข้าวเด้อไม่สำรวม ไม่ได้โลกสวยจ้า
นัชชล ศรีมาต 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ตอนนี้ยางพาราโล19 20 21 บาท มึงหดหัวทำไมวะ ไอ้ขี้ขลาด
จารุวัฒน์ 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
ถ่ายคลิปตลอดเวลาเพื่ออะไร
นัชชล ศรีมาต22 ชั่วโมงที่ผ่านมา
กูฟังเสียงมึงไม่มีความไพเราะเลยวะ นรกซะเยอะเลยไอ้เวร มึงขาดความเป็สสงฆ์นานแล้ว อวดอุตริมนุษธรรมเป็นพระอรหันต์ ฝากอาจารย์ไม้ร่มเอากีตาร์ฟาดหัวแม่งที แม่งบ้าเกินคน ยางโล80จะเอา100 ทีสามโลร้อยละเงียบกริว กลัวไอ้ตู่อะดิ กระจอกวะ
ชิขนมตังเม2 น่าจะได้ยินข่าวดีเร็ววันนี้
ลุงไม้ร่มเอากีตาร์หรืออูคูเลเล่ห์ฟาดหัวแม่งทีดิ รำคานก็ไม่ต้องตอบสิวะ มีอารมณ์อะไรของมึง ลุงจัดแม่งเลยไหนๆเพลงพี่ไม่ได้ดักเจ้า ก็เอามาทุบๆถูๆอยู่ละ #แม่งไอ้อรหอย
เสื่อมว่ะ ไม่คิดว่าจะอยู่หรู มึงก็บอกลุงไม้ร่มไปดิ "กูไม่อยากตอบไปไกลๆส้นตีน" ยังมีอารมณ์รำคานอยู่เลย สู้เณรยังไม่ได้ #ปีศาจสุราแอร์เย็นป่ะ
บาปมันหนากรรมมันหนักทั้งปิดสนามบิน ปิดทำเนียบ ยางโล80ไม่เอา จะเอาสามโลร้อย มันขี้ขลาด ป่วยและทำกรรมหนักกับประเทศ
พ่อครูว่า...เราไม่ได้ไปปิดสนามบิน แต่เราไปทำให้ไม่เกิดความรุนแรง เมื่อไม่มีความรู้มากพอก็เลยพูดไปสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วจะให้เราไปช่วยคนกรีดยางอีก ตั้งหลักให้ดีหน่อยเถอะตัวเอง
มิสเตอร์โลโซ39 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อิอิ เมื่อหลายปีก่อนเคยเห็นพวกท่านไปกราบท่านพุทธทาสคู้ๆอยู่ที่สวนโมกข์
พ่อครูว่า...ไม่เห็นเป็นไรท่านพุทธทาสก็มีส่วนดีที่กราบได้ แล้วอาตมาก็วิจารณ์ส่วนที่ผิดของท่านพุทธทาส อาตมาก็ไม่มีอคติอะไรสิ่งที่ควรติก็ควรตีสิ่งที่ไม่ควรติจะชมเราก็ชม นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง คุณไปยึดถือว่าอาจารย์ของคุณไม่ควรจะมีใครไปติมันก็เป็นความยึดถือของคุณเอง
เพชรพิงดิน อุ่นศรี 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สมณะชาวอโศกแสดงธรรมได้เข้าใจง่ายถูกตรงดีมากค่ะ.หนูติดตามฟังธรรมจากพ่อครูมาตั้งแต่ปี42แล้วเข้าใจได้ดีค่ะ/พระข้างนอกทั่วไปเสื่อมมากค่ะหาแต่เงิน.ศีลธรรมไม่มีจะเห็นได้ว่าเวลาไปวัดทั่วไปไม่เห็นมีพระไหนมาเทศน์สอนดีๆให้เข้าใจง่ายเลยค่ะ./พระชาวอโศกสอนดีมากค่ะ.^_^
ไอ้นี้ก็พร่ามอยู่ได้ ตัวกูของกู วิปลาศแล้ว รีบไปหาครูบาอาจารย์ กราบขอให้ท่านเมตตาแก้ไขเถอะ เดี๋ยวมันจะเป็นมากกว่านี้
เซอร์ปิโก้ โอ้โหเฮะ 1 วันที่ผ่านมา
พระไร ยุ่งการเมือง ไปสมัครลงการเมืองเถอะไป แถไปเรื่อย
อย่าพล่ามเลยไอ้รักษ์ มั่วไปหมด
ไม่ต่างจากธรรมกายหรอก ไม่ชอบทั้ง 2 อวดอุตริ บ้าบอ.
บอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง กุยังเห็นไปเป่านกหวีดยุเลย กองทัพธรรม จำไม่ได้เหรอวะครับ?
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กฐินผ้าป่าประเพณีที่ผิดเพี้ยน
อดิศักดิ์ 1 วันที่ผ่านมา
ผ้าป่าในปัจจุบันคือกันร่วมใจสร้างสิ่งดีๆในแก่ ศาสนา นี้หรือผู้ว่าตัวเองบรรลุยังติดอยู่กับวัตถุอยู่เลย
พ่อครูว่า...ใครติด ผ้าป่าก็ดี กฐินก็ดี ทุกวันนี้เป็นยุคนาโนแล้ว เรื่องของผ้าแต่ก่อนนี้มันหายาก ต้องไปเอาผมคนมาถักใส่ มาทอใส่ ไปเอาแฝกเอาอย่างอื่นมาทอ แต่ทุกวันนี้มันมีเยอะแยะแล้วเรื่องของผ้า ผ้าป่าคือผ้าที่เขาทิ้งแล้วผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ แต่ทุกวันนี้ใครจะไปจองพระป่าเป็นเจ้าของได้กี่กอง เป็นการทำลายพระวินัยพระพุทธเจ้าหมดแล้ว
กฐินในโบราณก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงิน กฐินคือสะดึงที่เย็บผ้า ก็ให้เย็บไป แต่ต่อมามีนางวิสาขาก็สงสารที่ต้องไปเก็บผ้าบังสุกุลมาเย็บ ก็เลยขออนุญาตให้พระพุทธเจ้าทอดกฐินได้ปีละครั้ง นอกจากนั้นไม่ได้ ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องการหาเงินไปหมด เป็นบาป และบาป ทั้งนั้นเลย พูดไปก็มีแต่เรื่องที่ไปตำหนิคนอื่นท่าน
ปนันทภุชงค์ สามหมอปุรคิณก์ 1 วันที่ผ่านมา
นี้เรียกว่า อันธพาโล ทั้งมืดทั้งบอด ผู้ถามๆ เข้าทางอาจารย์ ผู้อาจารย์ก็พูดไปเรื่อยสำคัญผิดคิดไปเอง รอบข้างก็เออออห่อหมกเข้ารกเข้าพงเข้าดงเข้าป่า ฟังๆ ก็น่าขัน เหมือนเรื่องพระเทวทัตหลอกลวงพระบวชใหม่เห็นปานนั้น
นิวัต บัวแมน 1 วันที่ผ่านมา
ดูสภาพบทสนทนาในคลิปนี้ เหมือนวิถีชาวบ้าน คือนั่งนินทา คนอื่น แค่นั้นเอง ท่านั่ง ไม่สำรวม จีวรไม่นุ่งห่ม เหมือนสภากาแฟมากกว่า
หมูบิน ออนเดอะร็อค 1 วันที่ผ่านมา
อวดอุตริชิบหายไอ้โล้น ฮุคกวย
เอ็นเอสเจ 1 วันที่ผ่านมา
บักส้นตีน
มนเอสเอ็น 1 วันที่ผ่านมา
พระอะไรว่ะพูดแขวะยุ่ได้...ถ้าเปนผมจะไห้ลองพ่อเวรมาทำดองให้ดู..กริยาพระน่าจะสำรวม..ใส่ผ้าใบ..เสื้อเสื้อ..ในพระไตปิฏกเขียนบอกพ่อเวรพระไวเหรอ...พวกอาบัติ....ดูอ.สำรวมกว่าพวกพ่อเวรพระอีก
สากิจ 1 วันที่ผ่านมา
ไม่ใช่พระหรอก...แค่เศษข้าวที่หมักหม่มในวังน้ำล้างบาตรขอพระปกติๆนี่แหละ
ทอง พระหนองบัว 1 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
คนที่บอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์นั้นแหละตัวกิเลส
นัท เอ็น 1 วันที่ผ่านมา
เลิกบ้าได้แล้ว
อรหันต์ไม่เป็นอย่างนี้
ที รัชทา 1 วันที่ผ่านมา
พระอริยะที่ท่านไม่พูดออกไป เพราะถ้าพูดออกไปแล้วคนฟังก็จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1.คนที่เชื่อ คนเชื่อแล้วออกปฏิบัติตามพวกนี้มีน้อยมาก แต่กลุ่มใหญ่จะมาหวังโน้นหวังนี้ก่อความวุ่นว่ายแก่ท่านพวกนี้กลุ่มใหญ่เลยก่อเวรกรรมให้ตัวเอง 2.คนที่ไม่เชื่อ ไม่เชื่อแล้วอยู่เฉยๆพวกนี้พอทน อีกพวกไม่เชื้อแล้วประมาทก่อเวรกรรมให้กับตัวเองไม่รู้ตัวนี้พวกนี้เยอะ พระอริยะท่านจะบอกแก่คนที่ท่านพิจารณาแล้วว่าพอบอกพอสอนได้ คือคนกลุ่มที่เชื้อแล้วปฏิบัติตาม สวนคนกลุ่มอื่นๆซึ่งเป็นคนสวนใหญ่ท่านจะไม่บอกไม่พูดออกไปเพราะมีแต่ทางเสีย
พ่อครูว่า...คนที่เปิดดูคือผู้สนใจ คนเปิดดูที่ไม่สนใจไม่ฟังก็มี ส่วนคนอีกกลุ่มนึงก็คือดูแล้วกูทนไม่ได้ กูจะด่าก็มี
กระบี่ไร้ตา เมื่อคนไร้หัวใจ 1 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
ผู้ที่ท่านได้บรรลุพระอรหันต์จริงๆท่านมีแนวทางการดำเนินให้ได้มาเป็นขั้นเป็นตอน เป็นลำดับลำดามา มีปฏิปทาอย่างชัดเจน ท่านจะบอกหรือไม่บอกว่าเป็นว่าเป็นพระอรหันต์ปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติคำสอนท่านก็บอกในตัวอยู่แล้ว ถ้าท่านจะบอกเป็นคำพูดท่านก็พูดเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติพูดเพื่อให้กำลังใจแกคนยืนยันถึงมรรคผลของผู้ปฏิบัติจริงจังย่อมได้รับผล แต่ในกรณีของโพธิรักษ์อรหันต์มโนมั่ว ไม่มีร่องรอยเครื่องดำเนินมาเลย บวชก็บวชผิดบวชเอง มีมิจฉาทิฏฐิไปอีกแบบหนึ่ง เหมือนพระเทวทัตจะให้พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามไม่ให้พระภิกษุสามเณรเถรชีกินเนื้อนั้นแหละ ทำไมพระองค์ถึงไม่บัญญัติตามพระเทวทัตละ?...เพราะพระองค์ได้บัญญัติเรื่องการฉันการกินเนื้อของพระและชาวพุทธไว้อยู่แล้วที่จะไม่เป็นบาปกรรม คือ 1.ไม่ให้ฆ่าเอง 2.ไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่า 3.ไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์นั้น.เมื่อเราไปเจอเนื้อที่ตายแล้วที่ไหนก็สามารถซื้อหานำมาทำอาหารได้ ทำไปถวายพระได้ไม่เป็นบาปกรรมใดๆ นี้หลักการของพระพุทธองค์ท่านวางไว้แล้ว พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าชีวิตพระเป็นอยู่ด้วยชาวบ้าน ควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่ายไม่เลือกกินเลือกฉัน ที่คือสิ่งที่ถูกตามประโยคที่ว่า กินเนื้อก็ไม่เป็นบาป กินเจก็ไม่เป็นบุญ ถ้ากินเจได้บุญและทำให้บรรลุคุณวิเศษได้จริงวัวควายก็คงได้บรรลุก่อนคนไปนานแล้ว ถ้ากินเจเพื่อสุขภาพอันนี้ฟังได้ ...มีปัญญาก็พิจารณาเอาเนาะ ใครอยากโง่ก็เชิญได้ตามสบาย ตัวของเราไม่มีใครบังคับ สมัครใจฉลาดก็ได้ สมัครใจโง่ก็ได้
พ่อครูว่า...ให้พิจารณาเองใครอยากฉลาดหรือโง่ก็สมัครใจได้จะกินเจหรือกินเนื้อ จะมาพูดมามากแล้วไม่มาเสียเวลาพูดอีก
สุทธิพงษ์ ศรีทัมพวา 1 วันที่ผ่านมา
กลุ่มลัทธินี้ต้องเรียกว่าเดียรถีย์ ถ้าจะมีคนบอกว่าเขาก็ทำประโยชน์นั่นนี่ ขอบอกเลยว่าที่กลุ่มนี้ทำเพราะอะไรถ้าไม่ใช่มีฐานคนคอยสนับสนุน เป็นธรรมดาเมื่อเคยได้ผลประโยชน์จะยอมเสียหรือ? ถ้ามีโอกาสอยากให้ชาวพุทธได้ลองอ่านธรรมวินัย ทั้งในและนอกปาฏิโมกข์ดูสักครั้ง แล้วจะตัดสินใจได้ง่ายๆเลย ว่าอะไรคือของจริง
ครูทู Channel 1 วันที่ผ่านมา
เหมือนชุมชนในฝันที่ทุกคนมีความเชื่อความมุ่งมั่นและวิถีชืวิตเดียวกัน น่าอยู่ค่ะ
อสูรน้อย ค่อยรัก 1 วันที่ผ่านมา
พวกอะโศกคงโดนล้างสมองไปหมดล้ะ โดยเฉพาะ ไม้ร่ม หนักกว่าเพื่อน5555
นิค นา 1 วันที่ผ่านมา
ใครคือ อุปัชฌาย์ ของแก่ หรือ..? ศิษย์ใครหรือ
อีนูอีนู 1 วันที่ผ่านมา
อรหัน หรือ อรเหลียว อลัชชี.ไม่ถือพระธรรมวินัย.ไม่ปาราชิกหรอก.คนบ้าจะพูดอะไรก็ได้
ทินกร พากุล 1 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
ไปตายเถอะ ท่านคือตัวปัญหาของศาสนาจริงๆ วันๆไม่ทำอะไรแทนที่จะหมั่นสวดมนต์ภาวนา มีแต่มานั่งนินทาคนอื่น
พ่อครูว่า…แม้แต่เรื่องสวดมนต์อาตมาก็วิเคราะห์วิจัยแล้ว ขอยืนยันว่าพระอาบัติเพราะสวดมนต์นี้เยอะแยะ สวดมนต์ที่สวดแบบผิดอาบัติเขาไม่รู้กันแล้ว เช่นสวดลากเสียงยาว ใส่ทำนองเป็นต้น
ถาปกรณ์ 44 1 วันที่ผ่านมา
บักอรหันใหญ่ กูหล่ะสมเพส พวกเองจะเลิกก็เลิกสิ พวกกูจะทำ
ไปอ่านมาแล้วเอามาสอนเนี้ยนะ แล้วบอกบรรลุ เขาต้องทำสมาธิ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช้แบบท่าน
พ่อครูว่า...ก็ขอยืนยันว่าไปนั่งหลับตาสมาธินั้นไม่มีทางบรรลุ
อินดี้ อินดี้ 1 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
ผมจะสรุปให้นะครับ ในปฐพีนี้ท่านโพธิรักษ์เป็นอรหันต์องค์เดียว นอกนั้นเก๊คับ จริงหรอ!!?? หูยยย สาธุจังเลยย ชอบๆๆๆ ดูละบันเทิงดี
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:18:57 )
รายละเอียด
620204_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 37
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1t8YbAXQ_Mb6ywIdxKpK98PvyBWoyASV6Tm6hFGRRcOY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1mxMOyNyoSyv_Xf29OqsloGnp7NxqXVvu
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ศาสนาพุทธยิ่งใหญ่เพราะทำลายสุข ทุกข์
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก รายการสำมะปี๋ อะไรก็ได้ โลกทุกวันนี้เราต้องมาเลือกทอง ร่อนทองจากกองขี้ ก่อนจะถามอะไร ก็ขอประเด็น
ศาสนาพุทธยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะว่าค้นพบความสุขความทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด เละเทะ ที่สุด แล้วเขาก็หลงความสุขความทุกข์นิรันดร
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกอาริยสัจ เทวนิยมศาสนาไม่รู้จักโลกุตระ ไม่รู้จักทุกข์สอนให้รู้แม้เป็นสุข แต่มันก็เป็นเพราะเขาออกจากทุกข์ไม่ได้ ก็เพราะว่าเขาไม่เห็นทุกข์ตอนนี้ นี่แหละความสุขความทุกข์เป็นภาวะคู่ เทวะ ศาสนาเทวนิยมตีคู่สุขทุกข์ไม่ออกแล้วแยกให้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่ได้
ศาสนาเทวนิยมได้แต่กดข่ม หาวิธีทำให้ทุกข์หมดไปให้ได้นานที่สุด โดยเฉพาะไม่เข้าใจในเรื่องโลกียะ นึกว่าความสุขนั้นมันคือความดี จริงๆแล้วไม่ใช่ ความชั่วก็ทุกข์ได้ความดีก็ทุกข์ได้ ความชั่วก็สุขได้ ความดีความชั่วไม่ใช่ความทุกข์ความสุข
ความทุกข์ความสุขเป็นภาวะคู่ภาวะแยกไม่ออก จะจัดการให้หมดความทุกข์ต้องจัดการทั้งสุขด้วย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้เขาก็ตีทุกข์สุขไม่แตก ไปหลงเอาแต่สุข ยังไม่ชัดเจนว่าสุขเป็นอัลลิกะ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป จะดับทุกข์นั้นต้องดับที่เหตุ พระพุทธเจ้าท่านดับทุกข์เลยดับที่เหตุ จนหมดเหตุ ปัจจัย ดับจนกระทั่งมันไม่เหลือหลอเลย ดับเหตุแห่งทุกข์ต้องเข้าใจสุขให้ได้ ดับเหตุแห่งทุกข์ก็ยังไม่รู้สุข
สุขคือความหลอก ไม่เที่ยง สุขนั่นแหละคือความทุกข์ จริงๆแล้วความสุขไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ไม่มีตัวตนของสุข ทุกข์ก็ไม่มี เรียกว่าพ้นเทวะ ดับเทวะ ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงไม่มีเทวะ อเทวนิยมพ้นความเป็นเทวะทั้งมวล
พูดไปแล้วเหมือนข่มไปทำลายเทวะ เขานึกว่าพระเจ้าคือเจ้าของสวรรค์นรก เขาไม่เข้าใจว่าสุข ทุกข์เป็นอาริยสัจ ศาสนาพุทธก็ไม่ยากเพราะมันอย่างเดียวกัน ดับมันไปหมดเลย นี่คือเคล็ดลับสู่การดับความสุขความทุกข์
คุณไปหลงความสุขใน อบายมุข สิ่งเสพติดในขั้นต่ำ หยาบต่ำ เราไปหลงเราควรเลิกเรื่องนี้มันเลว จัดจ้าน ไม่น่าจะไปเสียเวลากับมันแล้ว มีปฏิภาณรู้แล้วเรียนรู้อันนั้นเลย อ๋อมันเป็นความยึดติด มันไม่มีจริง อนัตตา จริงๆแล้วมันเป็นตัวทุกข์ต่างหากมันแปลงร่างเป็นเทวบุตรมาร
_สม.เป็นหญิง...สืบเนื่องเรื่องที่พ่อครูประกาศเรื่องสุข ทุกข์ เคยได้อ่านหนังสือว่า สมัยพุทธกาล มีเด็กกำลังเล่นลูกข่าง ภิกษุเดินผ่านไป เด็กก็ถามว่าทุกข์เกิดจากอะไรเกิดจากอะไร ภิกษุก็ตอบว่า สุขเกิดจากทุกข์ ความทุกข์เกิดจากความสุข เด็กคนนั้นเมื่อได้สั่งแล้วก็แลบลิ้นให้ แล้วกลับไปเล่นลูกข่างต่อ ก็มาฟังที่พ่อท่านประกาศต่อคนทั่วไป เขาก็คงเหมือนเด็กได้ฟัง เมื่อมีผู้ได้บอก ว่ารู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ สุข แต่เขาก็เหมือนเด็กที่เล่นลูกข่าง
พ่อครูว่า...บางคน ไม่ต้องเอาใครหรอก คุณไพศาล พืชมงคลบอกว่าทำไม พระยสะฟังธรรมพระพุทธเจ้ากัณฑ์เดียวก็เป็นพระโสดาบัน กัณฑ์ที่ 2 ก็เป็นอรหันต์ แต่เราอ่านพระไตรปิฎกไม่รู้กี่เที่ยวทำไมไม่บรรลุโสดาบันเสียที หรือพระพาหิยทารุจริยะ ฟังธรรม ไม่กี่ประโยคก็ได้เป็นพระอรหันต์ คนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่ฟังแล้วรู้ได้ทันทีก็เพราะว่าสั่งสมบารมีมาก่อนแต่ชาติไหน ค่อยเพิ่มบารมีมา ในชาตินี้ได้พบสัจธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ยิ่งแน่นอน ก็บรรลุได้เร็ว พบกับสัตบุรุษผู้รู้ อย่างเช่น อาตมา ขออภัยไม่ได้พูดอวดตัวตน อาตมาพูดสัจธรรม อาตมาเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ก็ไม่ได้อวดตัวตน แต่คนเข้าใจไม่ได้
เพราะฉะนั้นเรื่องสุขเรื่องทุกข์เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ขอย้ำว่าพระพุทธเจ้าศาสดาเรื่องสุขเรื่องพวกนี้แหละจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อไหร่จะเสนอเรื่องความดีความชั่ว ที่เป็นสมมติสัจจะ
สม.เป็นหญิงว่า...เขาไม่ทราบเหตุแห่งทุกข์สุข ยกตัวอย่างเรื่องขนมจีน คนติดขนมจีน
พ่อครูว่า...คนที่ไม่ติดขนมจีนก็ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นสุขไปกับขนมจีน ขนมจีนก็คือขนมจีน บางคนกินข้าวดีกว่ากินขนมจีน คำว่าอุปาทาน ไม่ได้ติดยึดแค่ขนมจีน บางคนติดปลาร้าของหมักเน่า บางคนว่าของเน่าไม่เอาเลย แต่บางคนว่าชั้น1 เลย มันก็เป็นการติดยึด จะบอกว่ามันเป็นโทษหรือเป็นคุณนั้นอีกต่างหาก อะไรมากไปมันก็เป็นโทษ บางอย่างเป็นของหมักดองก็เป็นธาตุที่ดีได้ ใครที่ขาดธาตุไหน ขาดธาตุเน่า ธาตุสด ก็เอาไปใส่ให้สมดุล เป็นสัจจะที่ต้องศึกษา แต่สุข ทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ความเป็นจริงจะได้สมบูรณ์หรือถูกต้อง มันขาดมันเกินก็ต้องเพิ่มต้องลดอย่างนี้ไม่ใช่หรอก ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องของจิตที่ไปติดยึดอุปาทานคุณไปปั้นเอง
สมมุติเองแล้วก็สุขทุกข์เองคุณหลงตัวตนว่ามันเที่ยง สุขมันต้องเป็นยามา คือให้เวลาสุขมันนานไม่พัก ดุสิตจะพักก็ไม่ยอมพัก ดาวดึงส์ยามาดุสิต ต้องสุขตลอดเวลาให้อยู่นานๆ ไม่ต้องพรากจากนิรันดร
เข้าใจสุขทุกข์ให้ได้แล้วไม่ต้องสุขทุกข์เลย จิตไม่ต้องมีอาการสุขเลยก็ไม่มีทุกข์หรือไม่มีทุกข์เลยก็ไม่มีสุข มันเป็นเหรียญคนละหน้า มันเป็นสภาพซ้อนอยู่เป็น hidden agenda สภาวะซ้อนอยู่ เป็นคู่หู
_เปรมบุญ พฤกษาวัฒนา...ก่อนจะเข้ามาอยู่กับอโศกเป็นพธม.ฟังธรรมพ่อครูไม่รู้เรื่อง แต่พอมาอยู่บ้านราชฯ เริ่มเข้าใจ หากเราอยู่ข้างนอกก็ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่อง แต่มาอยู่ที่นี่ก็ทำได้อย่างพ่อครูสอน ทำให้ใจเย็นขึ้น ตนเป็นคนสายโทสะ ตอนนี้ทำงานมีผัสสะมา แต่คิดว่าความถูกความผิดไม่มี ก็ยอมให้ได้
พ่อครูว่า...เราอยู่ในฐานนี้ สุข ทุกข์มันไม่ใช่เรา ความจริงโดยสมมติสัจจะ คุณอย่าไปเปิดเผยว่าถูกผิดนั้นไม่มีนะ สมมุติที่เขายึดถือมันยังมีอยู่ ถ้าคุณไม่เอาด้วยมันไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่ได้
_เปรมบุญ...บางทีเราค้านเขาไม่ได้ก็ยอม
พ่อครูว่า...บางทีว่าอย่างเรามันดีกว่า แต่เขายึดถือว่าแบบเขามันดีกว่า หรือยึดว่าผิดก็ตามหรือกลุ่มส่วนใหญ่จะเอาอย่างนั้นเราก็ต้องอนุโลม เราก็รู้ว่าคนนั้นเข้าใจอย่างนั้น อาตมาพยายามพูดยืนยันว่า ไปนั่งหลับตาสมาธิมันไม่ใช่ การปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติมรรค 7 องค์แล้วจะเกิดผลสมาธิ
ในพระสูตรแรกๆ พรหมชาลสูตร ปฏิบัติศีล มีสำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ อันเป็นอริยะ มีความสันโดษอันเป็นอาริยะ
_เปรมบุญว่า...เคยปฏิบัตินั่งหลับตามาก่อน
พ่อครูว่า อาตมาก็เคยนั่งหลับตาปฏิบัติสมาธิมาก่อน จนถึงอายุ 36 ก็ค่อยฟื้นคืนความรู้ของพุทธขึ้นมา เพราะในยุคนี้ ความรู้ศาสนาพุทธนั้นที่ถูกต้องมันได้เลือนหายไปหมดแล้วอาตมาก็เลยต้องมารื้อฟื้นคืน มั่นใจว่าที่อาตมาพูดมาถูกต้องแต่ท่านหลงผิดกัน พูดมาเกือบ 50 ปีแล้วคนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจก็มีแต่คุณนี้แหละมาเข้าใจและปฏิบัติได้ การนั่งหลับตาปฏิบัติก็เป็นผู้อุปการะบ้าง แต่มันไม่ใช่ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหันต์
_เปรมบุญ ...โชคดีที่ได้มาอยู่ที่นี่แล้วได้ฟังแล้วทำตามที่พ่อครูเทศน์สอน
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน อยู่กับความเห็นที่แตกต่างอย่างเข้าใจ
_ สืบเนื่องจากsms พ่อครูที่อ่านเมื่องวาน ฟังแล้วรู้สึกไม่ดี มันเศร้าลึกๆว่า ทำดีขนาดนี้ยังโดนขนาดนี้ คุยกับศีลสนิทเขาว่า คนอื่นที่ไม่เข้าใจเราก็เป็นธรรมดา ให้ทำใจเถอะ แต่ว่าพวกเราต่างคนเป็นคนใน อยู่ในนี้มานานแต่ก็ด่าว่ากันเองพวกเถียงกันเอง อัตตามานะใหญ่ในนี้บางคนเพ่งโทสถึงสมณะ บางคนเพ่งโทสมีอัตตามานะ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำใจและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ที่นี่มีหลายอย่างให้เรียนรู้ ลูกก็ตาสว่างขึ้น เมื่อได้ฟังคุณศีลสนิท ความเศร้าลึกๆก็หายไป รู้สึกขอบคุณมิตรดีสหายดีแบบศีลสนิทมาก พ่อครูเห็นด้วยไหมว่า พวกข้างนอกที่ไม่เข้าใจพวกเราน่ากลัวกว่า ข้างในที่ไม่เข้าใจกันเอง
พ่อครูว่า...ใน Social Media ที่คอมเม้นมาว่าอาตมามีเยอะเลย (หลวงปู่ ว่า เด็กชายโนอาห์ที่ส่งเสียงดังว่าให้คุยเบาๆหน่อย) ก็น่ากลัวทั้งคู่ ข้างในก็น่ากลัวอีกแบบ ข้างนอกก็น่ากลัวอีกแบบ เข้าใจให้ได้ว่าเขาเข้าใจอย่างที่เขาเข้าใจ ดีไม่ดีเขายึดมั่นถือมั่น ส่วนเราสิมารู้ว่าเรายึดของเรามากไปหรือเปล่าใครมาแตะไม่ได้หรือเปล่าอนุโลมกันไมได้เลยหรือเปล่า ถ้าเราเห็นว่าอันนี้ดี ยึดถือแต่คนมาแตะต้องลบหลู่ตีทิ้งเขาเข้าใจอย่างนั้น อย่างอาตมาไม่ได้ถือสา แต่สงสารเขา เพราะอาตมาเป็นคนรู้เป็นคนดีเป็นคนสูงไม่ควรมาด่าว่า แต่เขาไม่รู้เขาก็มาลบหลู่ ด่าให้เลย เขาไม่ได้นับถือ ก็เป็นธรรมดาจะไปห้ามเขาได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจความจริงนี้ได้ แน่จริงคุณก็ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าคนดีจริงแล้วเขาก็ยอมรับ เขาไม่ดูถูกเราแล้วไม่มาว่าเราแล้ว เคารพนับถือเราด้วยอาตมาก็ต้องพยายามทำอย่างนั้น เขาจะด่าจะว่าอยู่ก็ไปว่าเขาไม่ได้หรอก เราเองต่างหากไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจความจริงความถูกต้อง ให้เขาเข้าใจสิ่งนี้ว่ามันดีเขาเข้าใจไม่ได้ น่าสงสารที่เขาเข้าใจความดีจริงนี้ไม่ได้ อย่างอาตมานี้ดีจริง แต่เขาเข้าใจไม่ได้เรื่องเขาด่าอาตมาอีกด้วย มันน่าสงสาร
เราเป็นความดีจริง แต่เขากลับเห็นว่าเราเป็นผู้ที่ผิดเป็นที่ไม่ถูกต้องมันก็น่าสงสาร จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ เขาตีทิ้งความดีลบหลู่ความดี รับเอาสิ่งที่ไม่ดีมาเป็นสิ่งที่ดี แล้วมันไม่น่าสงสารหรือ ไปรับเอาสิ่งที่เป็นพิษภัยมาใส่ตัวเอง เราก็อยากจะช่วยเขาได้อย่างไรดี เขาไม่รู้จักพิษภัยแล้วออกจากพิษภัย แต่เขากลับไปติดยึดความมีพิษมีภัยนั้น เราก็บอกว่าอย่างนั้นเป็นพิษภัยอย่าไปยึดติดเลยอย่าไปยึดถือเลยวางเสียเลิกเสีย เขาก็มาด่าว่าเราไม่รู้จักของดี เหมือนกลับไปบอกว่าหนอนอยากกินขี้ หนอนก็บอกว่าไอ้นี่ไม่รู้อะไรขี้มันของดีจะตาย
เราเอาความดีไปให้ เขาก็บอกว่ามันไม่ใช่มันเป็นชั่วเห็นดีเป็นชั่ว เขาแปลความชั่วว่าเป็นความดี แล้วจะไปทำอย่างไร เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก เราบอกว่านั่งหลับตาเป็นสิ่งที่ผิด เขาก็บอกว่าเราหน้าโง่ไปทำลายสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดีเขาอีก จะไปถือสาเขาไม่ได้หรอก เขามีภูมิรู้แค่นั้น เหมือนหนอนต้องกินขี้ ไม่ได้ด่าว่าเขานะ
อาตมาไม่เคยโกรธใครที่มาดูถูกดูแคลนหรือด่าหยาบคาย คนที่ด่ามามันก็บอกถึงสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล คนที่ด่าได้ต้องเป็นคนชั้นหนึ่ง คนที่ด่าไม่ออกก็อีกชั้นหนึ่ง คนด่าแล้วก็สะใจด้วยทั้งคำด่าก็หยาบ-ใจก็หยาบด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา
อย่าไปรู้สึกไม่ดีกับ สิ่งที่เขาไม่รู้จักสาระ-ผิดสาระ-ไร้สาระ เราก็ต้องพยายามให้เขารู้สาระ เหนื่อยก็ต้องทำ
_เมื่อวานหนูได้ฟังรายการวิถีอาริยธรรม มีคนว่าประณามหลวงปู่มากมาย ขณะฟังหนูรู้สึกโมโห แล้วหัวร้อน รู้สึกกินอยู่ไม่สุขเลยค่ะ อยากทราบว่าหลวงปู่รู้สึกอย่างไรคะ
เมื่อมีผัสสะแบบนี้มากระทบหลวงปู่ทำใจในใจได้อย่างไร เวลาที่หนูท้อหนูเจอผัสสะ หนูจะได้ยกหลวงปู่เป็นไอดอล ประจำใจของหนูค่ะ ...จากกาแฟหมา
พ่อครูว่า..ก็ต้องศึกษาฝึกฝน ส่วนทำอย่างไรจะทำใจได้ หลวงปู่พูดความจริง พยัญชนะภาษาที่พูดไปนี้หลวงปู่พูดความจริงทั้งนั้นทั้งภาษาและจิตใจ ตลอดเวลา ส่วนใครจะฟังเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา หลวงปู่ยืนยันว่าหลวงปู่มีแต่เรื่องจริง พูดก็จริงใจก็จริง ไม่มีพูดข้างนอกไม่จริงข้างในจริงหรือพูดข้างนอกไม่จริงข้างในจริง หลวงปู่ต้องฝึกหัดเสมอแล้วเรียนรู้จะทำจริง ตัวเรายึดถือทั้งนั้น ยึดถือเขาด่าเราเขาว่าเราสุขเราทุกข์ เขาว่าเราดีเราชั่ว เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันก็มี 2 เทว ความต่ำกับความสูงความดีกับความชั่วความสุขกับความทุกข์ความมากความน้อย ความสูงความต่ำอะไรก็แล้วแต่ เราก็ฟังความจริงว่า ขณะนี้เขาพูดเรื่องต่ำขณะนี้เขาพูดเรื่องสูง เขาพูดเรื่องความดีกับพูดเรื่องความชั่ว เขาพูดเรื่องความสุขความทุกข์ มองเข้าไปสู่สัจจะอันนั้น แล้วเราก็ร่วมไปกับเขา คนนี้เขาพูดเรื่องสุข ความสุขคืออะไร นี่คือเขายึดถือที่เขามุ่งหมาย ถ้าความสุขอันนี้ควร เขาหมายถึงว่านี่คือความสุข มันเป็นความเข้าใจของเขาหรือเขาจะยึดถืออยู่บ้าง สิ่งที่เขาไม่ยึดถือก็มี เราก็รู้ฐานจิตเขาเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง กว่าจะรู้ได้และเข้าใจปล่อยให้เป็นไปตามสัจจะ หรือจะอนุโลมกับเขา เขาจะอยู่ในฐานนี้ ฐานะเขาแค่นี้ เราก็ปฏิบัติร่วมกับเขา แล้วเราจะรู้ว่าที่มันสุขกว่านี้มีไหมความสูงกว่านี้มีไหม เราจะมีศิลปะอย่างไรทำให้เขาเข้าใจว่าอย่างนี้มีความสูงขึ้นไปกว่าที่คุณยึดถืออยู่แล้วให้เขาเห็นดีว่าควรจะทำอย่างนี้ ได้อย่างนี้แหละ หลวงปู่ทำอย่างนี้ตลอดเวลาและช่วยคนให้ทำอย่างนี้ คนที่ใช่ไม่ได้พูดกันไม่ได้ก็ตามจริงเราทำให้เขาเข้าใจไม่ได้เราก็ต้องยอม
_ประเด็นคำด่าที่คนข้างนอก เข้าใจพ่อท่านไม่ได้ เพราะความยึดติดความไม่รู้ อย่างมากก็มาทดสอบเวทนา(ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพมากสุดเศียรเกล้าถูกด่า) เมื่อคุณว่าอาจารย์ที่เราเคารพ เราก็ฟังเขาทดสอบ เราจะหวั่นไหวไปกับคำด่าไหม เราก็รู้ว่าเขาไม่เคารพ เขาเชื่อว่าเราผิดเราต่ำ ทีนี้คุณคนนี้ว่าแต่แปลกใจที่คนในแท้ๆที่อาศัยกินใช้ในนี้ อาศัยเป็นที่ฝึกฝนเรียนรู้ธรรมะโลกุตรธรรมที่หาครูที่วิเศษเช่นนี้ได้ ไม่รู้กี่ชาติจะได้เจอเช่นนี้ พอถูกทดสอบความยึดถือกับสอบตกกันระนาว ฆราวาสบางคนกว่าจะเอาประโยชน์ตนได้และกว่าจะยอม ให้หมู่ได้ สมณะผู้ใหญ่ต้องเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีกนี่สิ น่าแปลกกว่า ...ยายน้ำหมาก
พ่อครูว่า...พวกเราลึกซึ้งกัน ในนี้เขาไม่กินหมากกันแล้ว ไม่ทาลิปสติก ไม่แต่งตัวจัดจ้าน
_SMS วันที่ 1 ก.พ. 2562 (รายการพุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู)
_0015มหาจำลองมีโอกาสขึ้นรับตำแหน่งอย่างมหาเธร์ ของมาเลเซีย บ้างหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...อาตมาไม่รู้
_กระแสหลวงพ่อคูณเป็นประชาธิปไตยเหมือนเช่นกรณีหมูป่าหรือไม่ /อย่างไรครับ
พ่อครูว่า...หลวงพ่อคูณมีคนมีจิตยินดีไปร่วม แล้วยินดีในพฤติกรรมไหนของหลวงพ่อคูณ
หลวงพ่อคูณ 1 ท่านเป็นพระภิกษุของชาวพุทธ ภิกษุของชาวพุทธย่อมไม่ทำเดรัจฉานวิชา แต่หลวงพ่อคูณเป็นพระที่บวชมาแล้วไปเรียนเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์มาหนัก แล้วทำไสยศาสตร์เป็นอาจารย์วิชา ให้คนชาวไทยที่ติดอยู่ในเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์มายินดี พอยินดีแล้วหลวงพ่อคูณก็มีศิลปะฉลาด คนที่มายินดีมานับถือ ก็ได้เงินทองมา ได้ทรัพย์สินจากไสยศาสตร์ แล้วก็เลยเอาเงินทองที่ได้จากเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ เอาไปทำทาน เอาไปบริจาคทำสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ของสาธารณชนให้เห็นได้ชัดเจน คนก็เห็น แต่ภายในนั้นก็คือ ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า เป็นการอาศัยฟอกเงิน หลวงพ่อคูณก็เอาส่วนหนึ่งไปใช้สร้างวัตถุอะไรก็แล้วแต่ ทั้งวัตถุที่เป็นเครื่องรางของขลังก่อสร้างวัตถุ มีทั้งนอกรีต แม้แต่ที่สุด สร้างสิ่งใหญ่โตก็ปนกันในนั้น ทีนี้คนก็แยกไม่ออก
สิ่งที่ดีของหลวงพ่อคูณทำได้มากเพราะขายได้มากได้เงินทองมาก ก็เลยมีเอาไปสร้างได้มาก ส่วนที่เป็นเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ก็มากมันก็เลยเลอะไปหมดเลย ความจริงแล้วศาสนาพุทธต้องไม่มีเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ เพราะฉะนั้นก็เลยแยกไม่ออก ทีนี้สิ่งที่ทำเหล่านั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ แต่เป็นความดีในการเอามาบริจาค แม้แต่การทานหรือการบริจาค อาตมากล้าพูดได้ว่าหลวงพ่อคูณก็ไม่สามารถทำใจในใจของตนเอง ให้ไม่มีสาเปกโข คือไม่มีภพชาติทานแล้วสูญ อาตมาเข้าใจว่าไม่ผิด(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ว่าหลวงพ่อคูณจะเข้าใจเรื่องภพชาติได้สมบูรณ์หรือเข้าใจมนสิกโรติอย่างอาริยะอย่างโลกุตระ ทำใจในใจไม่มีสันตติของภพชาติ ไม่มีสันตติของสวรรค์
สวรรค์ชั้นตื้นต่ำหรือมากอย่างไรก็มีในนั้น อาตมาเชื่อว่าหลวงพ่อคูณแยกสวรรค์นรกไม่ออก โดยเฉพาะยังมีสวรรค์ ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก อรหันต์ต้องไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก การจัดสร้างเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์มันเป็นอบายมุข อริยบุคคลจะไม่สร้าง เริ่มต้นเป็นพระโสดาบันก็ไม่สร้างเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์แล้ว แต่ยังติดในสวรรค์อยู่ เพราะฉะนั้นที่จะเป็นไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชานั้นเป็นขั้นต้น เป็นอบายมุข เพราะฉะนั้นยังคลุกอยู่กับอบายมุข แล้วเอามาเป็นรายได้เป็นเงินทองจากอบายมุขไสยศาสตร์ให้คนมานับถือ เสริมพลังงานให้คนไปผสมกันสร้างขึ้น เป็นการอวดอ้างความใหญ่ ทางรูปร่างของความนับถือมันก็ดูใหญ่
ยิ่งไปสร้างนกหัสดีลิงค์ แล้วก็เผาทิ้งไปสูญเสียเวลาทุนรอนแรงงาน เป็นจารีตประเพณีที่เลอะเทอะหลงใหญ่โตหรูหรา หลงอุจจาสยนมหาสยนา หนักหนาสาหัสมากมาย เป็นเรื่องน่าสงสารของศาสนาพุทธ ที่ไม่รู้ทิศทางแล้วไปยินดีส่งเสริมกัน อาตมาจึงยากที่จะพูดให้คนชัดเจนเข้าใจ
แต่กรณีหมูป่า ประเด็นที่คนทั้งโลกนิยมก็คือเขาแสดงน้ำใจกันมีการเสียสละ ทั้งหมูป่าและหลวงพ่อคูณมีการสละทรัพย์ศฤงคารเหมือนกัน แต่แฝงไปกับความหยาบ แต่หมูป่าเป็นนามธรรมเยอะกว่าแฝงไปกับชีวิตคน คนมันกำลังจะตายไม่มีทางออก คนก็เลยมาหาทางช่วยกัน ของหลวงพ่อคูณ เอาเงินที่เป็นบาปเป็นอบายมุขมาสร้าง เขาไปเข้าใจว่าหลวงพ่อคูณทำสิ่งที่เป็นกุศล ส่วนเรื่องบุญล้างกิเลสนั้นไม่มีอยู่แล้วสำหรับหลวงพ่อคูณ มีแต่เจริญไปในทางโลกีย์ไม่เป็นไปทางโลกุตระ พอมีบัญญัติภาษาว่า วาง ว่างบ้าง แต่ได้แค่ภาษาจิตจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย พูดไปแล้วเหมือนไปข่มหลวงพ่อคูณ แต่เป็นการพูดสัจจะ
_ส่วนประชาธิปไตยหมายความว่าเสียสละให้แก่ประชาชน หลวงพ่อคูณเสียสละให้แก่ประชาชนจะเหมือนกับกรณีหมูป่าไหม อย่างไร?
พ่อครูว่า...ไม่เหมือนกันหลวงพ่อคูณเป็นเรื่องของวัตถุเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ แต่เรื่องของหมูป่าไม่มีเดรัจฉานวิชาไม่มีไสยศาสตร์ เป็นเรื่องการช่วยชีวิต คนกำลังตกอยู่ในมุมอับกำลังจะตายก็เลยต้องสู้ชีวิต ไม่มีเรื่องของไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา แต่เป็นเรื่องทั่วไปสากลทั่วโลกเข้าใจหมด ทั่วโลกจึงมาช่วย กระแสของหมูป่าซึ่งเกิดขึ้นเพราะน้ำใจของคนในโลกเข้ามาร่วมมันจึงยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ มันต่างกันคนละโลกเลย จะไปเทียบเรื่องหลวงพ่อคูณกับเรื่องของหมูป่า ไม่ได้ คนนิยมชมชื่นหมูป่านั้นถูกต้อง ส่วนคนที่นิยมหลวงพ่อคูณนั้นไม่ใช่เลย เพราะมีความแฝงอยู่ทั้งนั้นเลยกับไสยศาสตร์และเดรัจฉานวิชา ทำมาแล้วได้ผลของการเอาไปทำทานเป็น by product ที่เป็นผลพลอยได้ แต่สาระแท้นั้นคือเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ คนที่มาเคารพนับถือหลวงพ่อคูณจึงเป็นการเคารพในเดรัจฉานวิชาและไสยศาสตร์ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะสละออกการให้ มันถูกเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์กลบหมด
อาตมาท้า หาก หลวงพ่อคูณสร้างพระเครื่องมา 2 อย่าง พระเครื่องอย่างหนึ่งเจริญในลาภยศสรรเสริญ พระเครื่องอีกอย่างหนึ่งให้มาล้างกิเลส แล้วคิดว่าคนจะซื้อพระเครื่องแบบไหน แต่หลวงพ่อคูณสร้างพระเครื่องให้มาล้างกิเลสไม่เป็นหรอก
อาตมาสร้างพระเครื่องให้มาล้างกิเลส แต่พระเครื่องของอาตมาไม่มีรูปร่างเลย คนก็เลยไม่มาอุดหนุน เป็นวัสดุที่หาได้ยากเป็นนามธรรมให้ล้างกิเลส ถ้าหากเอาไปได้ก็จะล้างกิเลสได้เลย เป็นพระทรงเครื่องด้วยที่อาตมาแจก
_3867พ่อครูฯมองเห็นคำพูดส่อเจตนาฯกรรมกิริยาส่อความจริงฯผู้นำทุกพรรคการเมือง!ดูออกลุงตู่เป็นนักการเมืองใบปฏิรูปประเทศดีตรงที่ทุกผลงานข้ารองบาท4เหล่าทัพฯทุกหมู่เหล่าฯคืนความสุขให้ประชาชนในชาติพ้นทุกวิกฤติภัยอย่างจริงใจจริง สาธุ!กองหนุนลุงตู่
_น้าใจ ..การปล่อยวางจากความติดยึดต่างๆตอนที่ร่างกายเรายังดีๆอยู่ จะมีผลต่อการทิ้งร่างตอนที่เรากำลังจะตายมั้ยคะ เคยเห็นคนที่เจ็บป่วยมากๆ ร่างกายก็เน่าเหม็นแล้ว ก็ยังมีชีวิตอยู่กับทุกข์เวทนาของตัวเอง ไม่ยอมตายสักที เห็นแล้วรู้สึกน่ากลัว ถ้าเราฝึกปลดปล่อยจากสิ่งต่างๆมันจะทำให้เราทิ้งสังขารเราได้ง่ายใช่มั้ยคะ
พ่อครูว่า…ใช่แล้ว อาตมาเคยไปโปรดคนที่ป่วย ร่างกายเป็นมะเร็งเน่าเฟะเหม็น ลูกหลานก็สงสาร อยากให้ตาย แต่ก็อย่างไรก็ไม่รอดแต่ก็ไม่ยอมตาย เจ้าตัวก็รู้ที่ยังไม่ยอมตายเพราะห่วงลูกชายคนโตไปติดยาเสพติด ก็ห่วงจะทำอย่างไร ไม่ยอมตายสักที อาตมาก็ไปโปรด ไปพูดสารพัดให้ปล่อยวาง จนยอมตาย
พูดแล้วก็น่าเกลียดน่ากลัว พูดให้คนตาย เหมือนปาราชิกเลย พูดแล้วเขาก็วางขันธ์ ตายไป แต่เป็นเรื่องปฏินิสสัคคะเป็นเรื่องสิริมหามายา จริงๆแล้วโปรดให้ตายนั้นถ้าจะเอาอาบัติไปพูดให้เขาตายนั้นผิดอาบัตินะ แต่มันสมควรและมันก็จะต้อง ต้องพยายามด้วยซ้ำไป มันเป็นยิ่งกว่ามนุษย์พืชแล้ว มันทรมานทรกรรมก็ต้องพยายามพูดให้เขาเข้าใจวางขันธ์ ปลดที่เขายึดติด พูดให้รู้ว่าลูกเขามาแค่อาศัยเกิด ก็ยากกว่าจะยอมวาง
ที่ถามมาคือต้องฝึกวางก็ใช่
_ปุญญา ธัมมา ความอดทน..และ..ทัศนคติ เป็นสิ่งสำคัญ..ที่เราควรพึง..ปฏิบัติ..ต่อกัน ฝากถามเปนคลิป ช่วงเช้า หรือ สัมมะปี๋ ค่ะ
พ่อครูว่า…คุณพูดความเห็นของคุณมาแล้วแต่คุณไม่ได้ถามอะไรอาตมามา ก็ดี ทั้งความอดทนและเรียนรู้ทัศนคติ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่รู้หรือว่าทักษิณบริหารประเทศสู้นายกฯตู่ไม่ได้
_ใบฟ้า กราบนมัสการ พ่อครูด้วยเศียรเกล้า ฯ กราบเสนอบทความจากใจค่ะ ใบฟ้า น.(F.C.)
“พ่อครูและลุงตู่”: ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่พ่อครูได้ “บันลือสีหนาท” ถึง ความเป็นสมณะพราหมณา ผู้มี สยํ อภิญญา, พระอรหันต์,พระโพธิสัตว์ระดับ 7 และรับหน้าที่สืบสานพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปีอย่างชัดแจ้ง ไม่มํกุ ในห้วงเวลานี้ก็เกิดปฏิกิริยาการตอบสนองในเชิงลบ มากกว่าที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ทั้งจำนวนที่ดาหน้าและความเข้มหยาบ เนียน ตามคุณภาพของความ “เฉโก” คะเนว่า น่าจะมี เบื้องหลัง เบื้องลึกทางด้าน “ศาสนจักร” หรือ ทางด้าน “การเมืองสามานย์” ดิฉันมิอาจฟันธง…
แต่สิ่งที่ได้ศึกษาเรียนรู้ คือ สภาวะ ของ “ Invisible Man ” ของพ่อครู ความเมตตา กรุณา อโกธะ สงบเย็นเป็นปกติ ชนิดที่ผู้นั้นๆต้องรับชะตากรรมแบกถาดอาหารเน่าบูด(อวิชชา) กลับไปเป็นของตนได้ของแถมพกไปคือโทษภัย 1 ใน 11 ประการตามสัจจะ !
ทางด้านนายกลุงตู่ก็มีวรยุทธอย่างที่พ่อครูชมชื่น ผลบุญกุศลตลอด 4 ปีที่เพียร “คืนความสุขให้เธอประเทศไทย” ก็เป็นที่ประจักษ์ ดังแจ้ง ผลงานของประเทศติดอันดับโลก น่ายกย่อง เชิดชู ผู้นำ และผู้ร่วมงานทุกฝ่ายทุกระดับ เป็นยุคสมัยที่คำว่า “บูรณาการ” และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดดเด่น และเป็นรูปธรรม จริงๆ เป็นคนดี ทีสมควรสนับสนุนให้ปกครองบริหารประเทศต่อๆๆไปอย่างยิ่ง ดังนั้นในด้านตรงข้ามห้วงเวลานี้เช่นกัน คำโกหกที่บิดเบือนเปลี่ยนสีก็จะระดมพ่นใส่ทวีขึ้น
พ่อครูว่า...คนไม่รู้เขาไม่รู้ว่าที่ทำนี้ชั่วและผิดเขาก็ทำ ก็น่าสงสารให้เขาแสดงออกมาเถอะ เราก็จะได้รู้ความจริงตามความเป็นจริงน่าสงสาร อาตมาก็มาช่วยคนพวกนี้ให้เลิกโง่เสีย แล้วมาช่วยกัน อาตมานี้สุดสงสารเขา อาตมาลูกนอกพระอภัยนะ
จะเห็นได้ว่าอาตมาไม่เคยแสดงอาการโกรธคนมาด่าทอจะหยาบคายอย่างไร อาตมาไม่เคยไปโกรธเขาเลย อาตมาไม่ได้โกรธ ใจมันเข้าใจด้วยปัญญาแล้ว
1. คุณโกรธคุณก็โง่กว่าคนโง่ 2. คุณโกรธคนชั่วคุณก็ชั่วกว่าคนที่คุณโกรธ 3. คุณโกรธคนบ้าคุณก็บ้ากว่าคนบ้า 4 คุณโกรธคนเมาคุณก็เมากว่าคนเมา
เขาโง่ ชั่ว บ้า เมาก็ต้องรู้ว่าคนเหล่านี้น่าช่วย คนโง่จัดก็ต้องช่วยเขาโง่จัดชั่วหนักก็ต้องด่า ด่าหนักบ้างเบาบ้าง เพื่อให้เขารับได้ เขาจะรับได้ขนาดไหนล่ะก็ต้องให้ทั้งนั้น เราจะได้รู้ว่าเขารับได้ขนาดไหน?
พ่อครูว่า...ยิ่งคนนิยมนายกฯตู่มาก แต่คนอื่นที่เขาต้องการอำนาจ เขาก็หาเรื่องใส่ความนายกตู่ เขามัวเมาในตัวตน เขาไม่รู้เลยว่า คุณทักษิณไม่ได้เท่าขี้ฝุ่นนายกตู่ เขาหลงนึกว่าตัวเองทำเศรษฐกิจรุ่งเรือง ขี้หมา จะเอาประเทศไปขายทั้งประเทศ แต่เขาก็หลับหูหลับตากันไปทำ พูดอย่างน่าเกลียด ทั้งที่ไม่ได้เป็นจริงเลย
ตอนนี้ จะเห็นได้ว่าคนออกจากพรรคเพื่อไทยกันมากเหมือนเห็บออกมาจากหมาที่กำลังใกล้ตาย แต่ทักษิณฉลาด แต่แกก็จนแต้ม เพราะว่ามีลูกเต้าเหล่าหลานอยู่ในประเทศ จริงๆแล้วทั้งแกและน้องสาวหมดสิทธิ์กลับประเทศเพราะว่าหนีคดีที่พิพากษาเข้าคุกแล้วหรือคดีที่รอพิพากษาอีกเยอะ เจ้าตัวก็รู้ ก็เลยไม่น่าจะกลับประเทศ แต่เขาก็ให้ลูกหลานเขาครอบงำคนไทยต่ออีก นี่คือเขาจำนนต้องทำส่วนตัวเขาหกสิบกว่าแล้ว ทั้งสองพี่น้องตายอยู่ต่างประเทศแน่นอน ตอนนี้เขมรก็ไม่เอาด้วยทั้งที่เขมรคบหาเขามานาน เขมรก็เหมือนกันรู้ว่าเห็บวิ่งออกมาจากตัวหมา ที่พูดนี้ขออภัยไม่ได้ดูถูกใคร อาตมาเอามาใช้เป็นตัวอย่าง อาตมาก็ต้องขอบคุณ
_ขอนายกลุงตู่ได้โปรดหนักแน่นดังแผ่นดิน(ภูมิพล)ด้วยธรรมะที่ถูกตรงด้วยเทอญ สาธุๆๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ความเบื่อในร่างกับเบื่อในจิต
_ฝากฟ้า...อยากถามสักกายะ เรื่องความเบื่อ มันฝังอยู่ในจิต พอมาเจอพ่อครูก็หายเบื่อไปหน่อยแต่ก็กลับมาอีก พยายามแก้ความเบื่อด้วยการไปทำงานเสียสละ แต่ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็ไม่สลายความเบื่อ แต่ช่วงเวลาของการที่เราได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่นี่มา 40 กว่าปี อารมณ์เบื่อเหล่านี้ ทำให้เราเข้าถึงความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น
ปกติแล้วเวลาเรามีสุขที่มันจะเปลี่ยนความเบื่อได้แต่เมื่อเราเข้าถึงความสุขที่มันไม่จริง อารมณ์เบื่อมันก็ขึ้นมาอีก พอประสบการณ์นี้ มันมีมากขึ้น จนถึงจุดที่ว่า อารมณ์เบื่อพ่อท่านบอกว่ามันไม่มีแล้วมันไม่เที่ยง เราก็พิจารณาถึงตรงนี้ แต่ในที่สุดแล้ว อารมณ์ตรงนี้มันค่อยผ่อนคลายลง จากความเบื่อจนจุกอก ถ้าเราไม่มีสติปัญญา มันก็คลายไป
ตอนแรกเราเบื่อเพราะว่าไม่สมหวัง แต่เรามีสัมมาทิฏฐิมากขึ้น การเสพก็ไม่ถึงจุดสูงสุดที่เราเสพ เราเข้าใจแล้วก็เหลือความเบื่ออยางเดียว เราก็รู้ว่ามันเกิดจากอวิชชา มันก็เบื่อน้อยลงแต่ไม่หมดไป อยากถามพ่อท่านว่า เวลามันเบื่อ มันไม่มีผัสสะ แต่มันเบื่อ
พ่อครูว่า..คุณเองรู้อาการเบื่อของคุณ ความเบื่อที่ละหน่ายจางคลายคือนิพพิทา
คุณต้องเข้าใจความจริงว่าคนเบื่ออะไรแท้ๆ เท่าที่ฟัง คุณบรรยายมา เข้าใจว่าคุณเบื่อชีวิต ชีวิตมันจะอยู่ไปทำไม คุณต้องรู้จักบุญคุณของความมีชีวิต ถ้าคุณไม่มีขันธ์ 5 คุณไม่สามารถที่จะมาดูอะไรต่ออะไรที่จะครบพร้อม จนมีนิพพิทาญาณ ความเบื่อมันมีเช่นนี้
ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 บอกว่ากายคือจิตมโนวิญญาณ ที่ว่า ความเบื่อในร่างกายนั้นเห็นกันได้ง่าย แต่ความเบื่อของจิตนั้นเห็นกันได้ยาก คนไม่รู้ว่าจิตคืออะไร จิตนี่แหละคือตัวแทนของประธานทุกอัตภาพ ที่เราจะต้องมาเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้เจอความน่าเบื่อก็ดีแล้ว คุณเกิดมาได้ร่างนี้ก็เลยได้อาศัยร่าง ถ้าคุณเกิดมาแล้วไม่มีร่าง มันก็เรียนรู้ไม่ได้ คุณก็ต้องมาได้ร่างแล้วก็ต้องรู้บุญคุณของร่าง คนจึงได้อาศัย เห็นมันน่าเบื่อ จิตก็อาศัยร่าง ร่างเป็นคันธโภให้จิตอาศัยเพื่อเรียนรู้การสัมผัส คุณสัมผัสอะไรมันก็น่าเบื่อทั้งนั้น
คุณรู้แล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องเกิดปัญญาญาณ มันน่าเบื่อก็จะเกิด มุลจิตุกัมมยตาญาณ มันปลดเปลื้องออก เรารู้ว่าร่างนี้น่าเบื่อแล้ว เราก็รู้ว่าจิตก็น่าเบื่อ คุณก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อมีความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็จำนนว่า เราจะต้องอยู่กับมันอาศัยมันนี่แหละอาศัยร่างนี้มันไปให้เห็นความจริงยิ่งขึ้น สักวันก็ต้องตาย ก็เข้าใจให้ได้ว่าจิตก็อาศัยไตรลักษณ์มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์แล้วมันก็ไม่มี จบที่อนัตตา ชัดเจนก็ตายด้วยอนัตตาก็สูญ ขณะนี้คุณยังมีอยู่นะต้องอาศัยสิ่งที่มีคือร่างนี้ คุณอาศัยสิ่งที่เรียนรู้เป็นสังขารคนอื่นเขายึดถืออุปาทานต่างๆ คุณก็เรียนรู้ว่าคนอื่นมันมีไม่เหมือนเรา หรือมีเหมือนเรา เราเข้าใจแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่น ก็จะมีปฏิภาณรู้จักคนอื่นเพิ่มเติมขึ้นอีก อันนี้พูดถึงนัยยะของโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ด้วยแล้วก็ต้องอาศัยร่างเวียนมาเกิดอีกอาตมาเบื่อเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่ามีหน้าที่ต้องมาต่อภพภูมิศาสนาพุทธ อาตมาถึงเบื่อไม่ได้ง่ายๆ ร่างจะมีทุกข์บ้าง อาตมาไม่มีโรคประจำตัวเลย โรคความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือด ปวดตรงนั้นตรงนี้ มีอะไรต่ออะไร ลุกก็โอยนั่งก็โอย อาตมาไม่มีพวกนี้สักอย่าง นอกจากมีวิบากที่การไอ แต่ไอแรงอย่างไรก็ไม่เจ็บคอ ต้องไอแรงด้วยเพราะมีเสมหะเป็นเหตุต้องกำจัดออก ต้องไอ ถ้าไม่เคลื่อนก็ต้องไอ ดูเหมือนน่ากลัว
อาตมาก็เห็นคุณค่าของความมีชีวิตร่างกายนี้เพื่อทำประโยชน์และศึกษา คุณเข้าใจบุญคุณของการมีชีวิตร่างกาย อาศัยตัวเราจะได้ศึกษา คุณไม่สวยนี่ดีแล้ว
_ฝากฟ้า...ทุกวันนี้ฟังธรรมพ่อ เพราะคนโจมตีมา ก็เราเห็นถึงความเมตตา ทำให้เรามีพลังงานขับเคลื่อนมีชีวิตอยู่มีเป้าหมายทำให้เรามีความสุขที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเราชาวอโศกได้ประโยชน์จากพ่อท่านมาก
พ่อครูว่า..อนุโมทนา
_ถ้าสมมุติว่าหนูอยู่ในภพ ของตัวเองอยู่และมีเพื่อนๆมากวนใจอย่างเช่น คุยโน่นบอกนี่ห้ามอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้หนูออกจากภพของตนเองได้โดยไม่โกรธเพื่อนๆให้เป็นบาปติดตัว
พ่อครูว่า..เราต้องมีใจกรุณาเมตตา เพื่อนๆเขามา มาพูดมาคุย เขาปรารถนาดี คนที่คุยกับเรา เขาต้องการเป็นเพื่อนกับเรา ทำประโยชน์แก่กันและกัน คนเขาห้ามอย่างโน้นอย่างนี้ก็เป็นความปรารถนาดีจากคนที่มาห้าม ก็ดี ก็ต้องมองในแง่ดีกับเขา อย่างหลวงปู่เขาด่าเรา เขาคงไม่อยากให้เราทำชั่ว เราก็ตรวจตัวเองว่าเรามีสิ่งใดชั่วอีก ก็แก้ไข
_ด.ญ.น้ำมนต์...ทำอย่างไรหนูจะเลิกยึดได้คะหลวงปู่
พ่อครูว่า...ยึด ภาษาบาลีว่า อุปาทายติ เป็นคำนามของอุปาทาน
หนูเข้าใจอาการยึดเป็นอย่างไรใจหนู...บอกหลวงปู่สิ...มันจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ใช่ไหม จะเอาอย่างใจใช่ไหม นี่แหละยึด เราก็เอาล่ะไม่ต้องเอาขนาดนั้นก็ได้ เอาขนาดนี้ก็ได้หรือไม่ต้องเอาเลยก็ได้ ระวังว่าเราจะไปเอาอย่างใจอะไรบ้าง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เดรัจฉานวิชชาคืออะไร
_ด.ญ.แก้วบุญ...เดรัจฉานวิชาคืออะไร
พ่อครูว่า...เดรัจฉานวิชาก็คือความรู้ที่จะไม่ใช่ความรู้ที่พาให้ลดกิเลส เช่นความรู้ที่จะทำให้หาเงินทองได้มากลาภยศสรรเสริญมากนี่คือเดรัจฉานวิชา วิชาที่ไม่ใช่เดรัจฉานวิชาก็คือวิชา ที่รู้จักกิเลสรู้จักเหตุของกิเลส รู้จักลดกิเลส รู้จักวิธีปฏิบัติให้ลดกิเลส นี่คือวิชา
ถ้านอกจากสิ่งที่รู้จักกิเลสรู้จักเหตุของกิเลส แล้วดับกิเลสได้ ถ้านอกจากความรู้นี้แล้วก็เป็นเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น
ชีวิตต้องอาศัยเดรัจฉานวิชาที่ให้กินให้อยู่ให้ใช้อยู่ก็ต้องอาศัยบ้าง แต่ถ้าจะเป็นเดรัจฉานวิชาที่หยาบแล้ว มันไม่ใช่จารีตประเพณี ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้ทำ แม้แต่ในศีล ก็ไม่เคยอ่านกันว่าห้ามทำ เช่นจะต้องรดน้ำมนต์ ในมหาศีล
_เมื่อวานได้ฟังธรรมพ่อครู เขาด่าว่ามา อารมณ์เหมือนกับทะเลที่เจอพายุปาบึก เมื่อก่อนก็คงม้วนแขนเสื้อท้าตีเขาแล้ว แต่ฟังไปฟังมาสำนวนที่ติมาเหมือนมีวอร์รูม ถ้าไม่รู้จริงๆก็น่าสงสาร แต่ถ้ารับจ้างมาก็น่าสงสาร เพราะว่าค่าจ้างไม่คุ้มค่ากับวิบากที่ได้เลย ก็ต้องแผ่เมตตาค่ะ ไม่ถามแต่ขอเล่าความในใจค่ะ
_นักรบธรรม...ที่เมื่อวานพ่อครูอ่านคอมเม้นท์แล้วพวกผม กับคนข้างนอก เขาได้เห็นแบบอย่างพ่อครูที่สามารถมีอาการนิ่งสงบแล้วตอบโต้ไปอย่างไม่หวั่นไหว แต่อันนี้ก็ทำให้เกิดศรัทธายิ่ง แต่มีคำถามที่ว่า...เห็นพ่อครูขับรถ
พ่อครูว่า...ไม่ได้ขับมานานแล้ว วันนี้ก็ไม่ได้ขับ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำไมคนเราต้องโกรธด้วย
_ทำไมคนเราถึงต้องมีความโกรธด้วยคะ ทำไมเวลาคนเราเวลาโกรธต้องตัวร้อนเหมือนไฟด้วย
พ่อครูว่า...ที่ต้องโกรธเพราะยังโง่อยู่เรายังไม่รู้ คนที่โกรธอยู่คือคนที่โง่อยู่ทั้งนั้น คนที่หายโง่ก็จะไม่โกรธ หลวงปู่ไม่เคยโกรธ เพราะหลวงปู่เลิกโง่แล้ว ก็ไม่โกรธ โกรธแล้วมันเป็นอย่างไรก็มันร้อนอย่างที่พูดนี้ ดีนะที่รู้ว่ามันร้อน ร้อนใจต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันนิ่งไม่ได้ จิตมันอยู่นิ่งไม่ได้ มันไม่อยู่สุขมันไม่ว่างมันไม่ดี เพราะฉะนั้นคนโง่ก็ทำอยู่
คนรู้แล้วแต่มันยังเป็นมีอาการอยู่ แต่ก็ต้องฝึก รู้อาการ อาการโกรธก็เป็นเวทนา อาการรักก็เป็นเวทนา เรียนรู้อาการไม่โกรธไม่รักไม่ทุกข์ไม่สุข
จิตคุณต้องเข้าใจอาการเหล่านี้และเป็นสัจธรรมจริง จิตมันเกิดอาการว่างหรือมันไม่ว่าง มันรักหรือมันชัง มันมีความทุกข์หรือมันมีความสุขมันมีความโกรธหรือความโลภ คุณก็อ่านอาการเหล่านี้ออก คุณจะไปโง่ให้มันมีทำไมแล้วก็หยุด ความเป็นจริงที่มันไม่ต้องมีความโลภความรัก ความโกรธความหลง
รู้จักว่าเราทำเหตุนี้แล้วผลมันก็จะตามมาเป็นอย่างนี้ เรารู้แล้วทำแต่เพียงนี้ เรารู้เหตุนี้แล้วก็ทำเหตุมันก็ได้ผลอย่างนี้ เราก็จะทำดีไม่ทำชั่วแต่สุขทุกข์ ต้องทำที่อาการจิต ดีหรือชั่วนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความสุขความทุกข์ ความชั่วเกิดความสุขความทุกข์ก็ได้ ความดีเกิดความสุขหรือความทุกข์ก็ได้
ความดีกับความชั่วนั้นคนละตระกูลกับความสุขความทุกข์ ความดีความชั่วนั้นเรียนรู้ว่าเราต้องทำดีอยู่ในโลก ทำแต่ดีอยู่ในโลก รู้สมมุติโลกให้ได้ ส่วนความสุขความทุกข์นั้นเป็นปรมัตถ์ในจิตของคุณ คุณต้องรู้อาการสุขอาการทุกข์ของคุณมันเป็นอาการที่เลวทั้งคู่ ต้องทำอาการให้มันพ้นจากความทุกข์ความสุขให้ได้ นี่คือคนพ้นจากเทวดาพ้นจากเทวะ ดับเทวะเรียกว่า อเทวะ
คนที่รู้จักอาการสุขอาการทุกข์เป็นอย่างนี้ คนไปหลงอาการสุขแต่ความสุขนั้นมันต้องมีความทุกข์แฝงอยู่ แต่คุณไม่รู้คุณก็จะเอาแต่สุขแต่ไม่เอาทุกข์มันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชัดในเทวะ ฉะนั้นค่าความเป็นเทวะในตัวเองหมดไปเลย ศาสนาพุทธจึงเป็นอเทวนิยมไม่มีสุขไม่มีทุกข์
แล้วเข้าใจด้วยว่าความสุขความทุกข์คืออะไร มันเป็นสมมติสัจจะที่คุณไปหลงมันทั้งนั้น คนไปหลงเมื่ออยู่กับทุกข์ พวกนี้พวกซาดิสม์หรือมาโซคิส คนไปหลงกับความสุขนี่คือพวกโรแมนติกอิซึ่ม คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
คนที่อยู่เหนือความสุขความทุกข์ ทำให้จิตไม่มีความสุขความทุกข์ได้แล้วเรียกว่าเป็นบริสุทธา แม้ว่าจะกระทบกับสิ่งที่เคยทำให้เกิดความสุขความทุกข์กระทบเท่าไหร่ก็ไม่เกิดความสุขความทุกข์ก็ยิ่งเก่ง จิตมุทุภูตาดัดได้เร็วไว้ เร็วจนกระทั่งทำไม่ทันเลย แต่ไม่เกิดเลยสุขทุกข์เลย เร็วกระทบปั๊บก็สูญ จิตเร็วกว่าแสงมาก ไม่โกรธไม่โลภ เร็วจนเรื่องโกรธโลภหายไป เร็วจนมองไม่เห็น เรียกว่ามุทุภูตธาตุ
จิตนี้ไม่โลภไม่โกรธจึงทำกัมมัญญา ทำกรรมการงานดีหมดเลย เพราะว่าจิตไม่มีอคติกับโลภโกรธหลงเลย จิตก็เลยประภัสสรตลอดกาลนาน นี่คือองค์ 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ปภัสสรา
ที่อาตมาอธิบายได้เพราะว่ามีสภาวะนั้นในตัว ไปค้นเลยว่า อรรถกถาจารย์อาจารย์ที่ไหนแม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้อธิบายอย่างอาตมา อาตมาอธิบายอย่างไม่ใช่ภาษาวิชาการ จิตของอาตมาถ้าจะเรียกว่าสุขก็ยิ่งกว่าสุขเป็นปรมังสุขัง แข็งแรงนิรันดร จะเห็นได้ว่าเขาด่าอะไรมา อาตมาก็ไม่ได้เสแสร้ง กดข่ม คนที่ด่าอาตมามา เชิญ คุณด่าได้มันก็แสดงความหยาบความร้ายแรงของคุณมาเท่านั้นเอง คุณไม่ทำให้อาตมาหวั่นไหววูบวาบ เพราะว่าจะมาบรรลุธรรมนี้แล้ว ไม่ได้อวดอุตตริมนุสสธรรมแต่มันเป็นความจริงตามความเป็นจริง อาตมาสบายใจที่พูดสัจธรรมใครจะหาว่าอวดตัวก็ศีรษะใครศีรษะมันอาตมาไม่ได้ถือสาเลย
_ตอนแรกเห็นรูปปั้นพ่อครูก็สะดุดว่าคือใคร แต่พอเห็นรูปของในหลวงที่ศาลาสีมาอโศกก็ยอมรับ และยิ่งได้สัมผัสกับชาวอโศก ในงานตลาดอาริยะที่สีมาฯก็อุทานว่าเราสามแม่ลูกรอดแล้ว ก็ได้พาลูกมาเรียนกับอโศก ขอบพระคุณที่ให้แสงสว่างแก่ชีวิตค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน เจอปุ๊บรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร
_อยากถามหลวงปู่ว่า..การที่เราเจอใครสักคนครั้งแรกแต่เราก็เกิดความไม่ชอบเลยทั้งที่เราก็ไม่เคยเจอเขามาก่อน มันเกี่ยวกับชาติที่แล้วไหม
พ่อครูว่า...หากมันไม่มีเหตุอะไรมาก่อนเลยสัมผัสแรก คนนี้เราก็เกิดความชัง ไม่ชอบใจเลย มันก็มีเหตุมาทั้งนั้นมันก็เป็นเหตุมาจากชาติก่อน เพราะว่าในชาตินี้เราไม่เคยเจอเขามาเลย ถ้าพบครั้งแรกโดยไม่รู้จักกันเลยก็ต้องถือว่าเป็นชาติก่อน แต่ถ้าเป็นเพราะว่าเราไม่ชอบใจคนนี้แล้วเขาก็เป็นเพื่อนกับคนนี้ เราก็เกิดความชังก็ได้ เป็นเหตุปัจจัยในปัจจุบันหรือเปล่า ถ้าหากเหตุปัจจัยในปัจจุบันไม่มีเลย ก็โยนให้อดีตชาติ
_นอกเหนือจากความรู้สึกที่ไม่ชอบแล้วความรู้สึกชอบก็ด้วยหรือเปล่า เป็นความรู้สึกแบบพี่น้องเช่น น้องคนนี้ชอบจัง
พ่อครูว่า...เราเจอคนนี้เราก็รักเลย ...เวรทั้งคู่ วางเลย รักก็อย่าไปรัก ชังก็อย่าไปชังเลิกมันทั้งคู่เลย อย่าไปหาเรื่องแก้ตัวเลย เป็นพี่น้องก็ระวัง หรือรักอย่างเคารพยกย่องบูชาก็มี มาเรียนรู้ความรัก 10 มิติ
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน วิธีพิจารณาไตรลักษณ์ในเวทนาเก๊
_สุวิดา...เคยอ่านหนังสือพ่อครูที่เขียนเรื่องเหตุ ปัจจัย ก็มานึกถึง เวลาเราถูกลูกธนูยิง เราต้องรีบมารักษาแผลตัวเอง ก็เลยสรุปว่า เหตุก็คือเวทนาเก๊ ถูกหรือไม่
พ่อครูว่า...ใช่ กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา เป็นเวทนาสองที่เป็นความสุขความทุกข์แล้วก็ตามหาเหตุของความสุขความทุกข์เหตุก็คือตัณหาอุปาทาน
อุปาทานคือกิเลสที่เคยฝังไว้ก่อนแล้วมาออกบทบาท อุปาทานคือ static แล้วออกบทบาทเป็นตัณหาคือ Dynamic มีความเคลื่อนไหว มันมาจากเหตุทั้งนั้นแล้วจับเหตุให้ได้ที่มามันเป็นต้นตออันนี้ ไม่กามก็พยาบาท เราก็ต้องพิจารณา กามในใจเราเกิด พยาบาทเกิดในใจเรานะ
ถ้ามันมีเราก็พิจารณา มันจะมีอยู่ในเราทำไมเอ็งจะมาอาศัยเราแสดงอาการ เอ็งเป็นแค่อาคันตุกะเป็นแขกจรไม่ใช่ตัวเราของเรา เอ็งคือตัวกาม พยาบาท มันไม่มีตัวตนเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่มาจองเวรในจิตเราเข้ามาหาจิตเราอยู่เรื่อย เราก็อย่าให้มันเข้ามา บอกมัน เอ็งเป็นผีอย่ามาหลอกฉันเลยเอ็งไม่มีตัวตนหรอก เข้าใจในกฎไตรลักษณ์ มันมาแล้วมันก็ต้องไปอยู่ดีมันไม่อยู่กับเราตลอดกาลหรอก แล้วมันก็เป็นเหตุให้เราต้องทุกข์ต้องสุข ถ้าหมดไปจากเรา มันก็ไม่ต้องสุขต้องทุกข์ เอ็งไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาในไตรลักษณ์ให้ชัดอยู่เรื่อยๆ คุณจะเก่งในการเห็น มันไม่เที่ยงมันเป็นความทุกข์มันไม่มีตัวตน พิจารณา 3 อันนี้ใหญ่ๆให้เห็นว่ามันไม่เที่ยงจริงๆแล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์แห่งสุข พูดให้ครบ พูดแต่เหตุแห่งทุกข์มันไม่ครบสักที จะไปไว้หน้ามันเลยความสุขอะไรนั่น เสร็จแล้วคุณก็จะรู้ว่าเมื่อมันไม่มีความสุขความทุกข์แล้ว มันก็ไม่มีตัวตน ตัวตนของเทวะ เพราะฉะนั้นคุณฆ่าเทวะได้คุณก็มีนิพพานคุณก็เป็นศูนย์ คนไม่มีเทว คุณไม่มีความรักความชังคนไม่มีความสุขความทุกข์คนก็ 0 ศาสนาพุทธมีความสูญอย่างนี้ อย่าไปประนีประนอมกับเทวะอยู่
หากอยู่กับสุข คนนี้แบ่งให้สุขได้ก็ยกให้เป็นพระเจ้าเป็นเทว ไม่อยากได้ความสุขก็ต้องไปขอจากพระเจ้าคือเทว นี่คือความยึดติดในพระเจ้า พระเจ้าก็เลยกลายเป็นสถาบันใหญ่แห่งจิตวิญญาณ คนจะต้องไปขอความสุขจากพระเจ้าเท่านั้น ความสุขความทุกข์มันอยู่ในตัวเราเราต้องพิสูจน์ว่ามันไม่มีในจิตก็ได้ ไม่มีเทวะได้ เมื่อมันไม่ติดยึดอะไรไม่สุขไม่ทุกข์แล้วก็เป็นนิพพานคุณก็จะตาย 0 ได้ไม่มีภพชาติไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า
หากเลือกที่จะอยู่กับสุขมันก็มีแต่สุขโลกียะแวดล้อมด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หรือไม่ก็สะกดมันไว้ อยู่กับสุขว่างๆอยู่กับเทวะเหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่เมื่อหมดฤทธิ์ที่สะกดไว้มันก็ไปตามวิบาก เหมือนกับคนอดเหล้าเข้าพรรษา ออกพรรษาก็กินเหล้าหนักกว่าเก่า
_เมื่อก่อนหนูมาวัดก็จะห่วงกลับบ้าน แต่ตอนนี้เมื่ออยู่บ้านก็ห่วงจะมาวัดเพราะว่าอยู่บ้านแล้วไม่มีประโยชน์อะไรชีวิตนี้จะไม่หาอะไรเพิ่มให้แก่ตัวเองอีกแล้ว เป็นสภาวะสิริมหามายาไหม
พ่อครูว่า...ใช่
_ชื่อ บรรพต มีความหมายทางธรรมหรือไม่
พ่อครูว่า...บรรพตแปลว่าภูเขา ภูเขามันเคลื่อนยากหากไปยึดมั่นถือมั่นเหมือนกับพวกเขาก็เสร็จเลย หากคุณมั่นคงในสัจธรรมอยู่ในธรรมะที่ดีอย่างกับพวกเขานั้นดีอย่างนี้เป็นต้น
_คนที่ลงชื่อฟังธรรมได้บุญไหมครับหลวงปู่
พ่อครูว่า...ได้กุศล แปลว่าบุญนั้นต้องได้จากการลดกิเลส ถ้าฟังธรรมแล้วกิเลสเราลดก็ได้
จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:19:45 )
รายละเอียด
620206_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1vt4k_g3w_4iHd7wXBE9KDBWVMzqD02052FKkOia7oYg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1uo0JVCerQ9PuF88wy7K-mDJt-S36hldU
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก อีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะเข้าสู่งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 43 ตอนนี้ดูเหมือนว่างานทุกงานจะโฟกัสที่บ้านราชฯ ทำให้เร่งวันเร่งคืนทุ่มเททุกอย่างให้เกิดการพัฒนาทั้งบุคคลและสถานที่
ตอนนี้ยอดจองคอนโดฯ ใกล้เคียงความเป็นจริงแล้ว พวกที่มาอยู่น่าจะเป็นชาวโลกุตระ ก็จะให้มาออกความเห็นว่าจะเอาแบบไหน
อาตมาก็คิดว่า นึกถึงบางศาสนาก็ต้องไปแสวงบุญไกล ของเราไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น แต่รวมระยะทางในการเดินทางของพวกเราก็มากเหมือนกัน เราก็จะได้มาเพิ่มเติมฝึกฝน
พ่อครูว่า..ก่อนอื่นก็ปราศรัยกับ sms ก่อน มีเขียนด่ามาก็เยอะ มันไม่เป็นประเด็นก็เลยไม่เอามาเท่าไหร่ไม่เป็นสาระ เป็นเรื่องไร้สาระเสียจน แล้วแสดงตัวเองด้วย หยาบคาย ตัวเองเป็นคนต่ำขนาดไหน สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมันก็เป็นไป สังคมก็ดูตามพยัญชนะกับสภาวะ 2 อย่าง บางคนก็แสดงออกทางพยาบาท ก็พ่วงทางสภาวะให้เห็นให้รู้อย่างที่ขณะนี้ ประเทศไทยมีคนจะเปลี่ยนชื่อเป็นทักษิณกับยิ่งลักษณ์ (สม.กล้าฯว่าเปลี่ยนชื่อเป็นทักษิณ 11 คนเปลี่ยนชื่อเป็นยิ่งลักษณ์ 4 คน ) มันแสดงให้เห็นถึงคนไทยเรานี่ ในด้านของการเมือง เขาเรียกว่าพวกเขาเป็นพวกประชาธิปไตย แสดงออกให้เห็นถึงภูมิรู้ของคนมันต่ำสุดขีดแล้ว
ในต้นไม้ต้นหนึ่งมีแก่น มีเนื้อมีกระพี้มีเปลือก มีสะเก็ด แต่อันนี้ไม่มีแม้สะเก็ด มีแต่ขี้ขยะที่อยู่ข้างต้นไม้ ไม่ได้เป็นอะไรของต้นไม้เลย ไม่มีสักอย่างเลยของต้นไม้ รวมแล้วเป็นขี้ขยะของต้นไม้เต็มไปหมด มันแสดงให้เห็นเลยว่า คนมันไม่เป็นตัวตนไม่มีความคิด เป็นความหลงใหลคลั่งไคล้ติดยึดขนาดหนัก คือ จะเรียกว่าโง่ยกกำลังสิบก็น้อยไป เห็นได้ว่า อาตมาขอพูดอย่างเปิดอกเลยว่า หนังสือพิมพ์วันนี้ก็บอกว่า…
มีคนไปถามพลเอกประยุทธ์ ว่าจะเป็นนายกฯต่อไปไหม แล้วก็มีเสียงบอกว่า ถ้าตอบว่าจะเป็นก็จะมีคำถามต่อมา จะเป็นแล้วจะเป็นในบัญชีพรรคไหน ลุงตู่ก็กั้นหมดเลยไม่ให้ถาม แต่เปิดใจว่า ถ้าเป็นต่อ จะทำให้ดีที่สุด เพราะว่ายังมีอะไรให้ทําอีกเยอะ นี่เป็นคำตอบที่น่าจะพอไขความ อาตมาก็ยิ่งรู้ลึกในใจของท่านว่ามีอีกเยอะ งานที่จะทำ แล้วท่านทำงานมา 4-5 ปีมีผลเข้าตามาก อยากให้ทำต่อไปอีก ทนไปเถอะแม้จะเหนื่อย
ที่อาตมาทำงานกู้ศาสนามาเกือบ50 ปี ซึ่งศาสนาได้สูญเสียไปหมดแล้ว จนเขาหาว่าอาตมาเป็นพวกอวดดีรู้คนเดียวมันใหญ่มาจากไหน ก็น่าสงสารเขาเห็นใจเขา อาตมาพูดถูกทุกอย่างแต่เขาเข้าใจอาตมาไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าในโลกนี้มีคนดี เช่น พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาใน โลก ท่านดีที่สุดสูงที่สุด ท่านพูดได้เต็มพระโอษฐ์ ศาสนามันเสื่อมสุดแล้วต้องมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ อาตมาเกิดมาในยุคครึ่งศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธได้เสื่อมจะบอกว่าหมดแล้วก็ เท่าละอองธุลีนิดหน่อย ที่มันเหลือเชื้ออยู่ อาตมาก็อยู่ในลักษณะที่เห็น นัยยะเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเห็น แต่อาตมามาอยู่ในครึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธ ครึ่งหนึ่งก็เท่ากับเต็มรูปโดยโลกุตระ แต่ครึ่งหนึ่งของศาสนานั้นเหลือโลกียะครึ่งหนึ่ง แล้วเป็นโลกียะที่เลอะเทอะ เต็มไปด้วยอบายมุข เดรัจฉานวิชชา ส่วนโลกุตระนั้นสูญแล้ว อาตมาจึงจำเป็นต้องมาด่า เดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ 2.ต้องกู้โลกุตระขึ้นมาใหม่ เพราะมันไม่มีเชื้อแล้วอาตมาต้องเอาเชื้อมาปลูกขึ้นมาใหม่มันไม่ง่ายนะ เชื้อมันขาดไปแล้ว เชื้อของโลกุตระศาสนาพุทธมันขาดไปแล้ว เหลือแต่โลกียะ แล้วเป็นโลกียะที่เละเทะเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชากับไสยศาสตร์ ถ้าเป็นโรคก็เรียกว่าโรคที่เลยขั้นโคม่าแล้ว เหลือแต่ให้ต่อสายช่วยหัวใจถ้าถอดสายให้อาหารออก ร่างนี้ก็ตายแล้วนานแล้ว เหลือแต่ให้หัวใจเต้นอยู่และให้ท่ออาหาร มันถึงหนักหนาสาหัสจริงๆ
ก่อนจะไปสู่ sms ก็ย้ำอีกว่า ขอร้องเถอะลุงตู่ อย่างไรจะไปฟังเสียงนกเสียงกาไม่ใช่แต่ว่า มันเป็นเสียงสัตว์ที่ร้าย เป็นเสียงร้องโหวกเหวกๆอย่าไปฟังไม่ต้องนำพาเลย ตั้งหน้าตั้งตาเห็นประโยชน์ที่ควรทำ ขณะนี้อาตมาว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก ไม่ได้พูดอย่างบ้าบอคอแตกไม่ได้พูดอย่างงมงายไม่มีสติสัมปชัญญะ และไม่ใช่พูดอย่างไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตย อาตมานี้รู้เรื่องการบริหารประเทศมาไม่รู้กี่ชาติ และก็เคยบริหารมาไม่รู้
จึงรู้หมดเลยในระบบของประชาธิปไตยเผด็จการ ขออภัยพูดใหญ่โต แต่อาตมาพูดเรื่องจริง อาตมาพูดเรื่องจริงแต่คนไม่เชื่อถือเลย ก็น่าสงสารเขา แต่อาตมาจำเป็นต้องพูดถึงสัจจะสาระพูดถึงเนื้อแท้ของสภาวะ คนเหล่านั้นจะมาดึงอาตมาก็เสียประโยชน์เขาถึงทำอาตมา ขออภัยไม่นำพาเสียงนกกาเสียงสัตว์เหล่านั้น อาตมาไม่ได้ฟังให้เสียเวลา อาตมาย่อมรู้ความจริงอันนี้ ก็ขอย้ำอีกก่อนจะจากว่า
นายกฯตู่อย่าออกจากการเป็นนายกฯเพราะท่านยังไม่แก่ ท่านทำไปได้อีก อาตมาอายุ 85 ก็ยังทนทำ พยายามทำอยู่ ท่านช่วยประเทศไทยหน่อย ทนทำหน่อย พยายามพากเพียร อย่าใจเสาะ(ขออภัย)ให้แข็งแรงๆ ช่วยประเทศไทยหน่อย อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆถึงพูดด้วยความจริงใจ ไม่อย่างนั้นอาตมามองไม่เห็นเลย มันยิ่งกว่าเสือสิงห์กระทิงแรด มันไม่ใช่แล้วนกกามันไม่ใช่ เสือสิงห์กระทิงเเรดก็ไม่ใช่ มันยิ่งกว่าสัตว์พวกนั้นน่ะ
_SMS วันที่ 4 ก.พ. 2562 (สำมะปี๋ซี๋วิต)
_5515น้อมกราบนมัสการพ่อท่าน เมื่อวานลูกเครียดมากนอนไม่หลับเลยลูกยอมรับว่ายังโง่อยู่ โกรธมากไม่อยากให้พ่ออ่านข้อความที่เข้ามาด่าหยาบคายมากใส่ท่าน ตัดทิ้งไปเลยได้ไหมคะ
พ่อครูว่า...ตัดทิ้งไปเลยเราจะไม่รู้ว่าโลกลูกนี้มันเบี้ยวไปขนาดไหน ก็เราอยู่ในโลกเราก็จะบอกโลกว่า โลกมีขนาดนี้แล้วนะ เราก็ฝึกเสีย ถือว่าตัดทางใจว่าพวกมีหยาบคายไม่รู้ที่ต่ำที่สูงด่าทอ โง่เง่าได้ขนาดนี้ คุณก็จะได้รู้ว่าโลกมันขนาดนี้แล้ว
_จั่นจาง นิตยา · นานแล้วเคยได้ยินลูกศิษย์หลวงพ่อคูณเถียงกันเรื่องสร้างเหรียญ รุ่น 5 รุ่น 6 ว่าตัวเองอยากเอารุ่นไหนสร้างก่อนสร้างหลังตั้งแต่ได้ยินมาครั้งนั้น แล้วเห็นหลวงพ่อคูณสูบบุหรี่ก็เลยเฉยๆ แล้วได้ยินลูกศิษย์เถียงกันเรื่องรายได้ยิ่งหมดศรัทธาค่ะ
ที่ไหน สิ่งไหนที่เรายังไม่รู้ หรือยังรู้ไม่จริงอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าสิ่งนั้นดี หรือสิ่งนี้ดี แชร์แล้วเพื่อน ๆ ช่วยกันรับชมหน่อยนะคะ ว่าชีวิตของกลุ่มชาวอโศกเค้าอยู่กันได้อย่างไรโดยไม่ต้องเพิ่งสิ่งจอมปลอมเหมือนที่คนข้างนอกเสาะแสวงหากัน
นี่ถ้าลูกศิษย์เค้าดูเค้าต้องว่าว่าหลวงพ่อเค้าศักดิ์สิทธิ์ อยู่ๆเสียงหาย 5555
_คอยไท ไมตรีวงษ์ · ผมว่าพวกที่เห่าๆอาจเป็นคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียวแต่อาจใช้หลายๆชื่อมาโจมตีพ่อครูครับสิ้นเดือนนี้ผมจะลางาน3วันไปบ้านราชคับ
_เอสบี ลา · กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพ ครับ คนที่ชงคำถาม ให้พ่อครูกล่าวถึงพระรูปอื่น ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ภูมิธรรมไม่ถึงเข้าใจพ่อครูผิด คนชงคำถามบาปไหม ครับ
พ่อครูว่า...ไม่บาปหรอก คุณหาเรื่องจัง คุณพูดอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ได้รู้อะไรดีๆสิ
_ปาลิตา ทองสุขนอก · ในฐานะลูกศิษย์ทางไกลหนูเหนื่อยแทนพ่อครูจัง ถ้าเป็นหนู หนูจะไม่ยุ่งกับพวกมันเลย ทุกครั้งที่พ่อครูเริ่มกล่าวถึงพระวัดอื่น ๆ รวมทั้งหลวงพ่อคูณของหนูด้วย หนูว่าถ้าพ่อครูไม่ด่า ในประเทศไทยก็ไม่มีใครด่าแล้วเจ้าคะ เหนื่อยแทน ทางคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ท่านไม่มีผลงาน นอกจากเงินทอนวัด ทีมลุงตู่เท่านั้น เจ้าคะ น้อมกราบนมัสการอย่างซูฮก จริง ๆ เจ้าคะ
พ่อครูว่า...จริงถ้าอาตมาไม่ด่าก็ไม่มีใครด่าแล้ว เพราะด่าอย่างไรก็ไม่ถึงจุดที่เขาเสื่อม
_SMS วันที่ 5 ก.พ. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ : สันติอโศก)
_8788 หลวงปู่ครับ "ที่พัก" ของ "จิตวิญญาณ" และ "กาย" อยู่ ณ "ที่ใด" ดีที่สุดครับ.
พ่อครูว่า…ตอบสั้นๆ “ปัจจุบัน” จบ ไม่ว่าที่พักของจิตวิญญาณหรือกายก็อยู่ที่ปัจจุบัน
_ต้นแก้วศรันยา พุทธสอน · กราบขอบพระคุณท่านสิริฯพูดเรื่องทุกข์มีสภาวะพอดี
_นพ พร 8 นาทีที่ผ่านมา….ไหนบอกเป็น อหันต์อยู่หยกๆ วางใจเป็นกลางๆ ไหนมาประจบฆารวาส อย่างนี้ละ .....โผล่น้ะท่านน้ะ
พ่อครูว่า...เขาคอยจับผิด อ๋อ อาตมาเชียร์ลุงตู่เขาก็ว่าประจบ อาตมาเชียร์แต่ไม่ได้ประจบ อาตมาไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกีย์สุขอะไรจากลุงตู่เลย นี่คือไม่ได้ประจบ แต่ว่าอาตมาชมคนที่ควรชมตำหนิคนที่ควรตำหนิ ปัคคัณเห ปัคคหารหัง นิคคัณเห นิคคหารหัง คุณมองภาษากิริยาในมนุษย์ประจบคุณก็มองไม่ออกว่าคืออะไร แล้วมาหาว่าอาตมาประจบ เพราะฉะนั้นภูมิธรรมของคุณยังต่ำมากที่จะมาวิจารณ์อาตมา คุณยังไม่ถึงที่จะมาวิจารณ์อาตมา
_นพ พร...คำตอบของท่านมันก็ถูก แต่มันถูกไม่หมด เหมือนตาบอดคลำช้าง เรื่องนี้ต้องร่ายกันยาว โลภ โกรธ หลง มันเกี่ยวเนื่องกันหมด ต้องฝึกสติ ผู้รู้ รู้แล้วปล่อยๆ มันมีอยู่แต่เราไม่เอามัน คนธรรมดาที่ชอบปฏิบัติ
พ่อครูว่า..ภาษาคุณอวดตัวว่าเป็นผู้รู้ แต่คุณยังอีกนาน บ่นแต่แค่ภาษาพยัญชนะไม่ไปถึงสภาวะได้แค่อัตตวาทุปาทาน ส่วนทิฏฐุปาทาน กามุปาทาน สีลลัพพตุปาทาน คุณก็ยังเข้าไม่ถึงเพราะได้แค่อัตตวาทุปาทานได้แค่พยัญชนะภาษาวนอยู่อย่างนี้ ทิฏฐิก็ยังไม่ถึง กามก็ยังไม่เข้าใกล้เลย เต็มเขรอะไปหมดกามและทิฏฐิ คุณมีอยู่เต็ม ไปศึกษาให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน เอาเงินจากที่ไหนมาสร้างอโศก
_พระวุฒิชัย ปภาโส 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา
แล้วพ่อท่านเอาเงินไหนมาสร้างตลาดในอโศกคับ ผิดไหมที่ทำมองแต่คนอื่นผิดท่านไม่ผิดบ้างเหรอ เอาเงินไหนมาสร้างอโศกละคับ ไม่ทอดแต่ได้เยอะกว่าทอด
พ่อครูว่า...แค่ความจริงที่ว่าทอดผ้าป่าทอดกฐินคุณก็ยังมองไม่ออกว่าคืออะไร แต่ที่นี่ชาวอโศกไม่มีการทอดผ้าป่าทอดกฐินเลยสักครั้งเดียว ตั้งแต่อาตมาทำงานศาสนามา เคยพยายามจะมีทอดกฐินอยู่ครั้งหนึ่ง พยายามทำ แต่เห็นแล้วว่ามันไม่ได้เรื่องตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันนี้ คนไทยเรื่องทอดกฐินทอดผ้าป่า จริงๆแล้วคือผ้า แต่เขาไม่มีความรู้สักอย่างทอดกฐินก็ไม่รู้เรื่องทอดผ้าป่าก็ไม่รู้เรื่อง ก็เลยทอดกฐินผ้าป่ายังได้นรกกันอยู่ทุกวันนี้ คนที่ทอดกฐินผ้าป่าอยู่ในศาสนาพุทธก็ได้สร้างนรก- ให้แก่ตัวเองทั้งพระและฆราวาสร่วมกันสร้างนรก- กันอยู่ทั้งสิ้น ขอยืนยัน เพราะว่าเลิกได้แล้ว
ผ้าป่าเป็นผ้าที่ไม่รู้จักเป็นผ้าบังสุกุลเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว พระท่านเห็นเป็นของทิ้งแล้วก็ไปขอมาใช้ นี่คือพระป่า เดี๋ยวนี้ไม่มีหรอกผ้าป่ามีแต่ผ้าที่สมมติกัน ยิ่งกฐิน คือสะดึง ไม่มีพระที่ไหนเขาทำสะดึงกันแล้ว แล้วก็เก็บเอาผ้าบังสกุลหรือผ้าป่า เอามาเย็บที่สะดึง จนเต็มพื้นเป็นถ้าเอามาใช้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วสักอย่าง มันไม่ได้หมายถึงเงินทองเลย แต่ทุกวันนี้พูดถึงผ้าป่าพูดถึงกฐินก็คือเงินทอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องนอกศาสนาพุทธนอกรีต ฉุดให้ศาสนาพุทธ ฉิบหาย เพราะทอดผ้าป่าและกฐิน ขอยืนยัน
และเราก็ไม่เคยทอด แล้วถามว่า เอาเงินไหนมาสร้างอโศก … เงินที่อาตมาเอามาสร้างก็ได้มาจากเงินของคนชาวอโศก อาตมาจะไม่รับเงินคนนอก ถ้าไม่สัมผัสกับชาวอโศกดีพอไม่เคยเข้าวัดถึง 7 ครั้งไม่เคยอ่านหนังสือชาวอโศกถึง 7 เล่ม คุณจะมาบริจาคกันไม่ได้ที่นี่ไม่รับ เงินที่นี่คือเลือดสดๆของชาวอโศกทั้งนั้น แม้มีน้อยแต่ก็พอ เพราะว่าอาตมาไม่มีเงินทอนวัดไม่มีคอรัปชั่นไม่มีคอมมิชชั่น ไม่มีเลย บริจาคมาเท่าไหร่ก็มาทำงานให้ชาวอโศกเต็มๆมันจึงดูมาก แต่เพราะทางโลกเขามีการคอรัปชั่นคอมมิชชั่นมีเงินทอนอะไรอีก เงินมันเอามาทำทานล้านหนึ่ง เหลือเข้าวัดสักประมาณ 100 หนึ่ง นอกนั้นโกงกันไปหมด นอกนั้นบาปทั้งนั้นขี้โกงกิน ร้ายกาจกว่าชาวโลกด้วย ชาวโลกเขายังมีกฎเกณฑ์แต่ที่วัดนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ ส่วนมากเจ้าอาวาสวัดจัดการหมดเลยอย่างเช่นธัมมชโยเป็นต้น หรือวัดอื่นๆส่วนใหญ่เลย เขาจะมีกรรมการตั้งไว้ มุกไว้ แต่จริงๆแล้วเจ้าอาวาสก็จัดการทำเป็นเขียนเสือให้วัวกลัวเป็นคณะกรรมการ แต่เสร็จแล้วเจ้าอาวาสจัดการเองหมด ถ้าจะจับอาบัติปาราชิกเรื่องเงินแล้วศาสนาพุทธไม่เหลือสักวัด ปาราชิกทุกวันเพราะใช้เงินผิดประเภทแค่ 5 มาสก 1 บาทก็ปาราชิกแล้วเพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลย การไปจัดการวุ่นวายเรื่องเงิน
นอกจากเจ้าอาวาสไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องเงินเลย ปล่อยให้ฆราวาสจัดการเลย ท่านองค์นี้ก็รอดอยู่ในวัด ไม่ยุ่งกับเงินเลยปล่อยคนอื่นเขาจัดการ ส่วนผู้ที่ทำเป็นพระก็ปาราชิก ฆราวาสก็ได้บาปไหม
ในอโศกมีเงินที่ไหนมาสร้างจากคนที่เอามาบริจาคให้ แล้วพวกเราไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือสิกขมาตุไม่มีใครรับเงินเลยสักองค์เดียวในชาวอโศก แล้วเป็นที่รู้กัน เพราะคนที่จะเอาเงินมาบริจาคคนนอกไม่มีสิทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้นเงินก็ไม่มีจากคนนอก มีแต่สมาชิกที่เป็นชาวอโศกมาทำ เพราะฉะนั้นชาวอโศกก็จะไม่ไปบริจาคที่อื่นนอกจากอาตมา เพราะเขารู้ว่าอาตมาคือพานทอง เอามาใส่แล้วอาตมาก็ทำให้บริสุทธิ์ไม่ได้ผิดอะไรเลย นี่เป็นเรื่องสุดยอดของการทำให้ถูกต้องพระธรรมวินัย เรื่องไม่เกี่ยวกับเงิน แล้วก็ถามว่าจะต้องใช้เงินไหม แน่นอนเราก็ต้องใช้เงิน ไม่ใช้เงินไม่ได้ ในยุคพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องใช้เงิน แต่ขนาดนั้นก็ยังใช้ เขาก็ยังมีผู้บริหารมีมัคนายก หรือว่ามีไวยาวัจกรจัดการ เขาก็จะมีตามระบบธรรมวินัย
เพราะฉะนั้นมันจึงผิดทั้ง กาละยุค และเหตุปัจจัยในยุคนี้ เหตุปัจจัยในยุคนี้ไม่ใช้เงินเลยทำอะไรไม่ได้เพราะเงินเป็นแก้วสารพัดนึกที่จะทำงาน ในยุคนี้ แต่ความบริสุทธิ์ของผู้ที่ใช้เงินนั้น อโศกขอยืนยันว่า นักบวชชาวอโศกไม่แปดเปื้อนเรื่องเงินทองไม่ปาราชิก แม้แต่นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ก็ไม่มี ส่วนอาตมานั้นขอรับรองว่า อาตมาบริสุทธิ์สะอาดจึงทำให้นักบวชของชาวอโศกสะอาดอยู่ได้ ถ้าหากอาตมาไม่สะอาดนักบวชชาวอโศกก็เอาอาตมาตายแน่ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอย่างนี้ มันเป็นการแสดงความบริสุทธิ์สะอาด สักครั้งให้ผู้ฟังที่ไม่อคติฟังได้ดีถ้าตั้งใจฟัง เพราะฉะนั้นอย่ามาเพ่งโทษเรื่องเงินทอง เพราะอาตมาข้ามพ้นเรื่องเงินทอง สะอาดบริสุทธิ์
_KIE THE SKY 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
ข้าพเจ้าเห็นคนเขาด่าท่านมาเยอะแล้ว ขอตั้งแง่ให้แก้ธรรมเพื่อจรรโลงโลกเป็นกุศลสักนิดเทิด
1. ก่อนจะกล่าวอ้างพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้ววิพากษ์ว่าพระพุทธทาสว่าสอนไม่ถูก ไม่รู้แก่นแท้ แล้วท่านเองนั่นดูตนหรือยังว่ายืนอยู่ถูกต้อง สมควรแก่การกราบไหว้ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดีงามตามพระธรรมวินัยหรือยัง
พ่อครูว่า…ตอบข้อนี้ก่อน แน่นอน อาตมาก็ต้องตรวจต้องดู ก่อนจะพูดไปว่าอาตมาเหนือกว่าท่านพุทธทาส อาตมาก็ต้องรู้ว่าทั่วไปนี้ คำพูดเป็นนายตัวเองนะ คนฟังเขาเอามาย้อนได้ เมื่อมาย้อนเราแล้วเราไม่จริงเราก็เน่า อาตมาก็ขอยืนยันว่าอาตมารู้มากกว่าท่านพุทธทาส มีภูมิธรรมมากกว่าท่านพุทธทาสในยุคนี้ ผ่านมากว่าครึ่งพุทธกาล ของศาสนาพระสมณโคดม อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมากอบกู้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็มี 2 องค์ คือในหลวงรัชกาลที่ 9 กับอาตมา ตามที่โบราณอาจารย์ท่านว่าไว้ จะมี 2 องค์มากอบกู้ศาสนา อันนี้เรื่องจริง เพราะฉะนั้นคุณศึกษาให้ดีแล้วก็จะรู้ว่าความจริงเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ทางด้านสถานะของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ก็ทำไป ทำเป็นทางรูป ส่วนอาตมาทางนามธรรมก็ทำไป ก็บอกความจริงให้ฟังไปให้รู้ แล้วก็ต้องพูดว่า ไม่มีใครจะมาบอกหรอกถ้าไม่ใช่อาตมา ความจริงอันนี้ไม่มีใครมีภูมิถึงจะมาพูดได้ นอกจากอาตมา ก็พอแค่นี้ยิ่งพูดยิ่งจะยกตัวเองสูงขึ้นไปใหญ่มันเป็นความจริง ยุคนี้มี พ่อครูว่า...อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ในยุคนี้ต้องมีผู้รู้จริงที่เป็นสยัง อภิญญามาแสดงตัว ถ้าใครเป็นก็มาแสดงตัวว่าเหนือกว่าอาตมาทำสิแสดงสิ คนจริงต้องเปิดเผยไม่ได้มีมังกุ อุทธัจจะ หรือสาเฐยะ แต่สบายๆ
เหมือนกามนิตไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็ฉันใด คนที่สัมผัสอยู่ อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้วไม่ใช่แค่คืนเดียวเหมือนกับกามนิต คุณฟังอาตมาเกือบ 50 ปีคุณก็ไม่รู้เหมือนกับกามนิต เพราะว่าไม่มีภูมิปัญญาจะรู้ได้ พูดไปนี้ไม่ได้ด่าว่าหรือข่มคุณ แต่พูดตามสัจธรรมความจริงตามความเป็นจริงขออภัยเหมือนอาตมาไปกดขี่ดูถูก แต่ไม่ใช่หรอก อาตมากำลังพูดสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้ไปดูถูกอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน อโศกมิใช่นิกายแต่เป็นนานาสังวาส
2. นิกายที่ท่านเองดำรงอยู่เรียกว่าพุทธศาสนาจริงหรือ หรือลอกพุทธศาสนามาแล้วก่อก๊ก ก่อนิกายขึ้นมาใหม่ แยกสังฆ์ออกตานทิฏฐิตน โดยอาศัยเนื้อหนังของพระพุทธองค์หากิน
พ่อครูว่า...ขอยืนยันคุณมีภูมิเท่าไหร่มาตรวจสอบได้เลยศาสนาพุทธเหลือโลกุตรธรรมอยู่ที่อโศก ในเถรสมาคมไม่มี พูดให้ชัดเลย มีคนที่รู้ผิวเผินบ้าง แล้วเขาไม่สามารถที่จะรวมกลุ่มทำให้เกิดโลกุตรธรรมขึ้นมาได้ เช่น ท่านพุทธทาส ท่านรู้โลกุตรธรรมอย่างผิวเผินไม่สามารถสร้างกลุ่มที่เป็นโลกุตรธรรมได้ ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสมีแต่อัตตวาทุปาทาน พูดด้วยภาษาวิชาการแค่นี้
และจริงที่สุดที่อโศกคือพุทธศาสนา เราไม่ใช่นิกาย คนที่ไม่เข้าใจคำว่านิกายอย่าเอาคำว่านิกายมายัดใส่อาตมา คุณพูดโดยไม่รู้ก็บาปเอง คุณเอาคำว่านิกายมาใส่อาตมา ถือว่าคุณแยกนิกายเอง อาตมาไม่ได้ทำนิกายแต่อาตมาทำนานาสังวาสตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2518 มีหลักฐานยืนยัน อาตมาทำตามพระธรรมวินัยทำตามหลักศาสนาพระพุทธเจ้า แต่คุณไม่มีภูมิรู้ถึง ถ้าคุณรู้ถึงก็จะรู้ว่าทำตามพระธรรมวินัย แต่เถรสมาคมไม่รู้จักนานาสังวาสแล้วก็ทำการโมฆะ มาไล่อาตมา ทั้งที่อาตมาประกาศนานาสังวาสแล้ว วันดีคืนร้าย พ.ศ.2532 ก็มาดึงอาตมาไปทำปกาสนียกรรมอีก เป็นการโมฆะทั้งนั้นเลย ทำการผิดพระธรรมวินัย ที่กระแสหลักทำกับอาตมามันแสดงถึงว่าไม่มีความรู้เรื่องศาสนาแม้แต่พระธรรมวินัยอย่างอื่นแค่นี้ ก็ยังผิดเลย จะไปเอานิยายอย่างไรกับเถรสมาคม
แต่มันต้องเป็นเช่นนั้นมันจำนนเพราะกระแสหลักทั้งประเทศทำผิดอย่างนี้ และอาตมาเห็นความผิดแล้วไม่ให้อาตมาพูดจะมีอะไรเหลือ จะมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันของศาสนาพุทธขึ้นมาอีกเล่า ฟังดีๆ เปิดใจอย่างเป็นกลางและฟังให้ชัด อาตมาไม่ได้พูดด้วยความหลงตัวตน อาตมาพูดสัจจะ
ศาสนาที่อาตมาทำนี้ไม่ใช่นิกาย แต่เป็นแบบนานาสังวาส แค่คำว่านิกายนี้คุณก็ไม่รู้แล้วเอาคำว่านิกายมายัดใส่อาตมาคุณก็ทำอนันตริยกรรม
อาตมาไม่ได้แยก อาตมาออกเป็นนานาสังวาส
แล้วหาว่าอาตมาเอาศาสนาพุทธมาทำมาหากิน ที่ไหนเล่า อาตมาเอาศาสนาพุทธมาล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุขที่ไหน อาตมาทำตามสัจจะไม่มีโลกธรรมมีแต่โลกุตรธรรม คุณก็ไม่รู้ว่าโลกุตรธรรมกับโลกียธรรมต่างกัน แล้วก็มาว่าอาตมา ไปศึกษาให้ดีแล้วค่อยตั้งท่าให้ดีแล้วค่อยมาว่าอาตมา คุณยังไม่มีภูมิธรรมจะว่าไป อาตมาว่าคุณยังไม่มีฐานอะไรที่จะมีสิทธิ์มาว่าอาตมาคุณไม่มีความรู้ทางศาสนาพุทธเลยสักขี้ผง
3. คำว่า"วัด" ในพระวินัยมีขนาดเท่าไหร่ พระสงฆ์ควรจับต้องเงินทองหรือ ควรมีวิหารอยู่เยียงราชาหรือ ควรประกอบกิจเยี่ยงฆราวาสหรือ ควรเที่ยวยุ่งเหยิงเรื่องการเมืองหรือ ท่านศึกษาจากพระวินัยเล่มไหน
พ่อครูว่า…คุณก็ได้พูดเหมือนคนที่ไม่ประสีประสา อาตมาเข้าใจและรู้ทุกอย่างไม่ว่าวินัยอาตมาก็รู้เรื่องเงินทองอาตมาก็รู้ดีเรื่องวิหารอาตมาก็รู้ดี อาตมารู้ดีรู้จักทั้งนั้นเรื่องการเมือง อาตมาศึกษาจากพระธรรมวินัยที่เป็นวินัย 8 เล่ม ไม่ได้ศึกษานอกจากนี้ แล้วคุณล่ะศึกษาจากอะไร เอากรรมการโลกมาสอบวินัยธรรมวินัยแข่งกันไหมคุณกับอาตมา จริง คุณอวดดีทั้งที่คุณไม่มีดีจะอวด
สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ) ตอน เจ้าชายสิทธัตถะออกป่า 6 ปีเป็นทางที่ผิด
4. ในขณะที่ท่านวิพากษ์พระพุทธทาส ตอนนี้ท่านยังนั่งในห้องแอร์เอาขาไขว่ห้าง มีคอมพิวเตอร์ใช้ นั่งกระดิกนิ้ว ไปไหนมาไหนพระถือโทรศัพท์ถ่ายวิดีโอ ในขณะที่ท่านพระพุทธทาสอยู่ในป่าโมกข์มีกุฏิเก่าๆ อาศัยอยู่กับดินและเอากรรมฐานเป็นลมหายใจ แต่ท่านกลับนั่งสูดแอร์เย็นสบาย
พ่อครูว่า…ท่านพุทธทาสก็มีอะไรดีที่ถูกต้องอยู่บ้างแต่ท่านยังวนอยู่
อันนี้เป็นเรื่องร่วมสมัย เป็นเรื่องของบรรยากาศเป็นเรื่องของโลกที่เปลี่ยนไปอะไรหลายอย่าง คนก็มาอนุเคราะห์อาตมาไปตามควร อาตมาพยายามฝืนสังขารรักษาร่างกาย ทวัตติงสาการ อาการ 32 ให้มันสดให้มันเป็นไปให้เสื่อมช้า เพื่อจะทำงานต่อไป ไม่ใช่ว่าอาตมาอยากอยู่สบายเสพอะไรต่ออะไร แม้แต่เอาคอมพิวเตอร์มาใช้ อาตมาก็ไม่ได้เอาไปใช้เรื่องอื่นนอกจากมาทำงานศาสนา เมื่อยแสนเมื่อย ก็มีเครื่องทุ่นแรงบ้าง คุณยังเข้าใจองค์ประกอบกระบวนการที่เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันตามควร คุณไม่รู้จักมหาปเทส สัปปุริสธรรม 7 ประการเลย
แม้แต่ที่คุณบอกว่าท่านพุทธทาสอยู่ในป่า แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเมืองไม่ใช่ศาสนาอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าออกป่า ผิดไป 6 ปี ท่านก็เข้าเมืองไปโปรดพระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้น เข้าหาเมืองในทุกแห่ง คุณไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ดี แม้แต่พระราชวังก็อยู่ใกล้ป่าเพราะยังไม่เจริญเท่าไหร่ อย่างเช่นเขาคิชฌกูฏกับพระราชวังของพระเจ้าอชาตศัตรู ก็อยู่ใกล้กันนิดเดียว พอมีคนท้วงพระเจ้าอชาตศัตรู ที่ท่านจะไปหาพระพุทธเจ้า คนก็บอกว่าใกล้จะมืดแล้ว ชีวกโกมารภัจจ์ ก็แนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้าว่าอยู่ในเขาคิชฌกูฏนี่เอง เมื่อพูดจบพระเจ้าอชาตศัตรูก็ยกพลไปหาเลย ม้าห้าร้อยช้างห้าร้อย ยังมืดก็ไปได้ ไปเห็นพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่าองค์ไหนคือพระพุทธเจ้า อยู่ปนกันไปหมด เป็นนิทานเป็นบรรยากาศที่อธิบายครบพร้อม แต่คุณไม่มีภูมิที่จะมารู้เรื่องแบบนี้เลย การออกป่านั้นเป็นทางพิษของศาสนาพุทธอยู่ในอัมพัฏฐสูตร ในพระสูตรที่ 3 ของพระไตรปิฎกเล่ม 9 แนะนำให้คุณไปอ่าน คุณยังไม่มีภูมิอะไรจะมาตำหนิจะมาได้เลย ท่านพุทธทาสออกมานั้นยังหลงทิศทางขอยืนยัน ศาสนาพุทธไม่ใช่เป็นศาสนาคนป่าอยู่ป่า คนนี้เข้าใจว่าป่าและออกป่ากันมันผิดหมดแล้ว ผิดทิศทางของศาสนาพุทธที่ต้องอยู่ในเมือง การออกป่านี้เป็นการหลงผิดไป 6 ปี พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า….
เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.32 ข.392)
พ่อครูว่า...ท่านไม่ได้บรรลุด้วยการปฏิบัติผิด อย่าง 6 ปีนั้นเลย แล้วบอกว่าเป็นพระกรรมฐานไปอยู่ในป่าอย่างนั้นอย่างนี้เป็นทางผิดหมดเลย มันผิดจนไม่รู้อาตมาจะทำอย่างไร ไม่พูดกันก็ไม่รู้
ถ้าคุณไปเข้าใจว่าท่านพุทธทาสสูงกว่าอาตมา แย่เลยศาสนาไปไม่ออก พูดความจริงไม่ได้ยกตนข่มท่านพุทธทาส ส่วนท่านพุทธทาสนั้นกำลังบำเพ็ญกำลังเริ่มรู้เริ่มเข้าใจแล้วก็มาแสดงตน ถ้าจะว่าไปแล้ว ศาสนาเทวนิยมจะบอกว่าท่านพุทธทาสเป็นคนมากล่าวคำว่าโลกุตระ เหมือนแบ๊บติส พูดมาก่อน ประกาศก่อน นำทางพระศาสดา ว่า พระบุตรจะมาอุบัติแล้วนะ คล้ายๆกับท่านพุทธทาสมากล่าวเรื่องโลกุตระก่อน แล้วโพธิรักษ์ก็จะมาเปิดเผย แล้วสยังอภิญญาคืออาตมาจะเอาโลกุตระมาเปิดเผยก็คืออาตมา วันนี้เปิดเผยอะไรมากมาย คนที่ฟังไม่ได้โลหิตร้อนออกจากปากก็ระวัง คนที่ฟังไม่ไหวแล้วจะสึกออกไปจะมีไหมนี่
(อู๊ด ฆราโว...หากใครมาลบหลู่ศาสนา ศีรษะจะแตกเป็น 7 เสี่ยงนะ)
พ่อครูว่า...คุณพูดถูกแล้วโดนอาตมาเข้าไปอีกก็จะคิดมากเลย
5. ทำไมท่านต้องตีกรอบอาวาสไว้ใหญ่โตมีเนื้อที่เป็นร้อยเป็นพันไร่ไม่ต่างจากวัดพระธรรมกายเลย เท้าท่านก็ยังติดโคลนแต่ปากท่านบอกว่าท่านสะอาด
พ่อครูว่า…อาตมาเองอาตมาขอขยายความว่า ทำไมอาตมาต้องสร้างขนาดนี้ ธรรมะสร้างให้เป็นบวร บ้านวัดโรงเรียน อาตมาก็ต้องทำขึ้นมาหมดเพื่อให้เกิดสิ่งที่ถูกต้อง บ้านควรจะเป็นบ้านอย่างนี้ วัดควรเป็นวัดอย่างนี้ โรงเรียนควรเป็นโรงเรียนอย่างนี้ เพราะว่าโรงเรียนทุกวันนี้ก็พาลงนรกไปหมดแล้ว วัดก็พาลงนรก บ้านก็มีแต่ความทุกข์ความเสื่อม อาตมาจึงต้องทำโมเดล สิ่งนี้ เพราะฉะนั้นเนื้อที่แค่พันกว่าไร่มันน้อยไป อย่าเอาอาตมาเปรียบเทียบกับวัดพระธรรมกาย วัดพระธรรมกายนั้น แม้แต่ที่ดินต่างๆเขาก็จดชื่อบุคคลจะเป็นใครก็แล้วแต่ ที่เขาไม่ได้จดบัญชีเป็นของนิตินัยเป็นของรัฐ แต่เนื้อที่ของที่นี่แม้จะมีพันกว่าไร่ก็จดทะเบียนเป็นนิตินัยเป็นของประเทศเป็นของชาติเป็นของส่วนกลาง จะไม่เป็นของบุคคลอย่างเช่นธรรมกายเลย แค่นี้คุณก็ไม่รู้ในเรื่องพฤตินัยของธรรมกายกับอโศก แค่นี้คุณเข้าใจไม่ได้แล้วคุณก็ต้องไปศึกษาให้ดีก่อนมาตำหนิอาตมา
6. คำว่าธรรมดากับวิเศษมันอันเดียวกัน คำว่าเรียบง่ายกับพิสดารก็เป็นอันเดียวกัน ถ้าเข้าถึงคำว่าธรรมดาและเรียบง่ายได้ก็เข้าถึงธรรม มองเห็นความวิเศษและพิสดาร แต่ท่านกลับบวชนานกล้าไปด้วยทิฏฐิแข็งกระด้าง หลงโลกหลงธรรม ถ้าเป็นพระแท้จริงต้องได้รับการเคารพบูชาจากศรัทธาชาวพุทธทั้งประเทศอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ท่านเองทำอาณาเขตอยู่เยี่ยงราชาแล้วบอกว่าตนคือสมณะได้อย่างไร พระต้องประกอบสัมมาชีพเยี่ยงฆราวาสหรือ
พ่อครูว่า…ก็ขอยืนยันว่าคนไทยทุกวันนี้จะเคารพอย่างเช่นหลวงพ่อคูณท่านพุทธทาส หรือพระอะไรอีกเยอะแยะ ที่เป็นอรหันต์ เก๊ ก็ต้องไปเคารพอย่างนั้นแหละ แต่คนที่รู้ว่าอรหันต์จริงคือใครจะมีจำนวนน้อยอย่างที่เป็นอยู่ อย่างชาวอโศกนี้เท่านั้น เป็นเรื่องจริงไม่ได้ประหลาดใจอะไร คุณมาพูดว่าถ้าเป็นพระแท้จะต้องได้รับความเคารพบูชาจากฆราวาสอย่างบริสุทธิ์ใจมากมาย ขนาดสมัยพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรไปเจอพระพุทธเจ้า ก็ไปบอกอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร ว่าไปหาพระพุทธเจ้ากันไหม อาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็ถามว่าจะไปหาพระพุทธเจ้าทำไม บอกว่าเราอยู่ทางนี้ดีกว่า สัญชัยก็ถามว่า ในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า พระสารีบุตรก็บอกว่าคนโง่มีเยอะกว่า คนฉลาดมีน้อย สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็บอกว่าให้ไปอยู่กับคนฉลาดก็แล้วกันเราจะอยู่ช่วยคนโง่ที่มีเยอะแยะ เราจะช่วยคนส่วนมากดีกว่า ส่วนคนฉลาดก็ไปอยู่กับคนฉลาดเถอะมันก็ถูกต้องแล้ว ชาวอโศกก็ต้องมีจำนวนน้อยชาวโลกก็ต้องมีจำนวนมาก ไม่เห็นเข้าใจผิดแต่อย่างใด คุณพูดอย่างสับสนวนเวียนไปมา คุณพูดนะ มันถูกแล้วชาวอโศกเป็นไปตามสัจธรรม
คุณว่า พระที่แท้จริงต้องได้รับการเคารพบูชาจากทั้งประเทศ เพราะว่าประเทศไทยศาสนาพุทธได้เสื่อมไปแล้ว นี่อาตมาทำนี้ก็ยังมีคนตาดีรู้จักโลกุตรธรรมมีจำนวนหนึ่งเป็นจำนวนพันเท่านี้ ในคน 67 ล้านคน
คุณว่าอาตมาอยู่อย่างราชา อาตมาไม่ได้ประกอบอาชีพอย่างฆราวาส มีแต่สอนให้ฆราวาสประกอบสัมมาอาชีพ ทำอาชีพมี 5 ประการ
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
อาตมาสอนจนชาวอโศกพ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 อย่าง แล้วคุณรู้ 5 อย่างนี้ไหม แล้วบอกว่าอาตมาทำงานฆราวาส แต่ไม่ใช่หรอก อาตมาสอนให้ฆราวาสมาทำสัมมาชีพต่างหาก แล้วมีที่ไหนในเถรสมาคมที่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานไม่เอาเอาลาภแลกลาภ เขาอย่างน้อยก็ทำงานเพื่อโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญ คุณฟังดีๆแล้วจะเข้าใจว่าธรรมะนี้ลึกซึ้งนักไม่ใช่เรื่องตื้น คุณไม่รู้อะไรดีแล้วเอามาพูดกับอาตมา ขออภัยอาตมาพูดข่มคุณหนัก ในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกันก็ต้องขออภัยที่ต้องพูดสัจจะ คุณเป็นฝุ่น อาตมาไปข่มก็ไม่ถูกหรอก
7. ถ้าท่านออกจากห้องแอร์ได้เมื่อไหร่ นอนติดดินได้เมื่อไหร่ ค่อยวิพากษ์พระพุทธทาส
พ่อครูว่า...คุณเคารพท่านพุทธทาสก็ยังดีกว่าไปเคารพเกเฬวรากที่ยิ่งกว่าท่านพุทธทาส
8. พระดีย่อมรู้คุณความดี ไม่จาบจ้วงพระอาวุโสผู้มีเกียรติคุณต่อแผ่นดิน ยิ่งถ้าท่านเป็นพระอรหันต์จริง(หรือ) ก็ย่อมรู้ว่าสิ่งไหนควรพูดสิ่งไหนไม่ควรพูด สิ่งไหนที่ควรอวดโอ้ ปากท่านบอกท่านไม่ได้อวดอุตริ แต่การกระทำท่านแสดงชัดเจนว่ามีความรู้เหนือท่านพุทธทาส ทั้งที่ความรู้และคุณความดีท่านยังลอกมาจากหนังสือพระพุทธทาส
#ฝากลูกศิษย์ท่านช่วยตอบไขข้อสงสัยข้าพเจ้าด้วยเพื่อเป็นธรรมทานด้วยเทอญ
พ่อครูว่า...ที่ไหน? อาตมาไปลอกจากหนังสือท่านพุทธทาสที่ไหน แต่ก็ยังอุตส่าห์พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน ลูกศิษย์ลูกหาตอบก็เหมือนกับอาตมาตอบนั่นแหละ จะหนักกว่าอาตมานะ อาตมาพูดบันยะบันยัง ถ้าหากให้ลูกศิษย์ตอบอาการคุณจะหนักกว่านี้นะ
_Gana Naga 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ผมใช้ธรรมมะหลายอย่างเพื่อดับความโกรธ แต่ก็ไม่สำเร็จจนผมมาใช้ธรรมที่ว่า หยุดคิดปรุงแต่งในสิ่งทั้งปวง ความโกรธก็ไม่เกิดกับผม ในที่ที่ไม่มีความคิด ย่อมไม่มีความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความหลง ความฉลาด ความโง่ ถ้าคุณสามารถหยุดกระบวนการความคิดไม่ให้การขึ้นได้ นรก สวรรค์ ย่อมไม่มี
พ่อครูว่า...คุณจะมืดไปอีกนาน หากคุณไปดับความคิดและไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริงอะไรเลย สวรรค์นรกอะไรคุณก็ไม่รู้ ชั่วก็ไม่รู้ดีก็ไม่รู้ ฉลาดหรือโง่ก็ไม่รู้ แต่เฉพาะความทุกข์ความสุข คุณก็ไม่รู้จักความสุขความทุกข์อะไรเลย ศาสนาพุทธนั้นตรัสรู้ในเรื่องความสุขความทุกข์ ความสุขเป็นของเก๊ความทุกข์เป็นเรื่องของความลึกซึ้งที่คนหลงสะสมไว้ในอาสวะอนุสัย ก็มาเรียนรู้ที่ความทุกข์ที่มีเหตุแห่งทุกข์ก็มีธรรมะ 2 คือเทวะ แล้วก็ตีธรรมะ 2 ให้แตก จนกระทั่งรู้ว่าความสุขมันคืออาการอย่างนี้ความทุกข์มันคืออาการอย่างนี้
ทั้งสุข ทุกข์ เทวะ มันเป็นเรื่องติดๆทั้งสิ้น คนที่หมดเทวะก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ จึงจะรู้แจ้งรู้จริง ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่นึกไม่คิดอะไรเลย มันก็โง่ดักดาน ดานดัก ดักดานอีกไม่รู้กี่กัปป์ ไม่คิดไม่เรียนรู้อะไรเลยก็ผิดถนัด
ศาสนาพุทธเมื่อรู้แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างมีทุกอย่าง ความผิด ความสุข ทุกอย่างในโลกมีหมด ก็รู้ทั้งผิดและถูกรู้ทั้งดีและชั่ว แต่ก็ยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้ เอาตามความจริงในปัจจุบัน ใครยึดเราก็รู้ว่าเขายึด ก็สอนให้เขาไม่ต้องยึด สิ่งนี้ควรเป็นควรอาศัย สิ่งที่ไม่ดีไม่ควรอาศัยคุณก็อาศัยสิ่งที่ดี แม้แต่สิ่งที่ดีก็ไม่ได้ยึดถือเป็นตัวตนของเรา คุณต้องอยู่กับฐานความจริง ไม่ทำความชั่วใดๆ จิตใจคุณลดกิเลสหมดเป็นบุญ บุญทำลายกิเลสหมด คุณก็หมดบุญก็อยู่กับกุศล แต่กุศลไม่มีบาป
คนใดที่ยังบอกว่า แปล สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง บอกว่าละชั่วประพฤติดีทำใจให้ผ่องใส คนนั้นยังไม่เข้าถึงโลกุตระ ศาสนาพุทธนั้นหมดบาปหมดบุญ ชีวิตจริงอยู่แต่กับกุศลเท่านั้น สร้างกรรมทุกอย่างก็มีแต่กุศล คุณก็ยังเข้าใจกุศลกับบุญยังไม่ได้ แยกกุศลกับบุญไม่ออก ให้ไปศึกษาให้ดี กุศลเป็นโลกียะ บุญเป็นโลกุตระ
บุญเป็นวันเวย์มีทิศทางเดียวไม่มีโค้ง ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าแล้วหายสูญไม่มีเลย ปริกขีโณ บุญทำงานเสร็จก็หายไป บาปหมดบุญก็หมดไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ หากเข้าใจคำว่าบุญไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่มีทางบรรลุธรรม
_keera kager 1 วันที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
พอเขาฝึกนั่งหลับตาให้ใจว่างท่านก็ว่า พอจะตายให้ทำใจว่าง มันว่างได้จังได ธรรมชาติของใจมันปรุงทุกขณะ มันต้องฝึกหัดมาแต่ยังกายมีกำลัง อาคารที่อยู่ที่นั่งที่นอนท่าน เงินทั้งนั้น คงไม่ได้ผลิตใช้เองแน่ พอวัดวาอื่นเขาจัดกิจกรรมทอดผ้าป่า หาทุนจัดสร้างจัดซื้อให้วัดวาก็ไปว่าเขาหารายได้ ในขณะที่ตัวท่านมีเพียบพร้อม ทั้งบ้าน ที่หลับ ที่นั่ง ทีวี คอมพิวเตอร์ หรูหรา จะไปจะมาก็มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง
พ่อครูว่า...เออ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร คนที่จับผิด ขี้บนน้ำก็ผิดขี้บนอากาศก็ผิดขี้บนบกก็ผิด ผิดทุกอย่าง อาตมาก็ตอบอะไรคุณได้คุณบอกว่าผิดหมด ก็พักเสียก็แล้วกัน
ในฐานะที่คุณเห็นความผิดของอาตมาหมด คุณก็จะไม่เห็นความถูกของอาตมาที่มีอยู่มากเลย เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ความถูกอะไรของอาตมา คุณก็ไปทางที่ชอบของคุณเถอะ ก็คุณชอบทางไหนก็ไปทางนั้น คุณมาทางนี้ไม่ได้หรอก
อาตมาก็พูดอธิบายสัจธรรมกับคนที่มีปัญญาและเข้าใจว่าอันนี้เป็นทางที่ชอบ เขาก็มาทางนี้ ส่วนคุณเห็นแล้วว่ามาทางนี้ไม่ใช่ทางที่ชอบ คุณก็ไปทางที่ชอบของคุณก็จบนะ คุณก็ไปทางของคุณอาตมาก็จะมาทางอาตมา ที่สุดมันก็ต้องแยกทางกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสหลักสุดท้าย ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันคนละทาง นี่เป็นที่สุดแห่งที่สุด แยกเป็นนานาสังวาส เราไม่เป็นนิกาย ใครไปสร้างนิกายคนนั้นเป็นอนันตริยกรรม อาตมาขอยืนยันว่าอันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง นิกายคืออะไร นานาสังวาสคืออะไร อาตมามีภูมิรู้เรื่องธรรมวินัย
ตั้งแต่แรก อาตมาก็แยกนานาสังวาส ตั้งแต่พ.ศ. 2518 อาตมาก็ทนอยู่กับ เถรสมาคม อาตมาบวชตั้งแต่พ.ศ. 2513 อยู่กับเถรสมาคมมา 5 ปี อาตมาก็เลยประกาศตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ประกาศนานาสังวาส เป็นลายลักษณ์อักษร ต่อหน้าสงฆ์ทั้ง 180 รูปที่วัดหนองกระทุ่ม มีหลักฐานทั้งนั้น เถรสมาคมก็ยอมรับ จนมีหลักฐานว่า
เราไปซื้อตั๋วรถไฟ เขาไม่ลดราคาให้พระชาวอโศก เราก็บอกว่าเป็นพระ เขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นพระเถระสมาคม เขาก็ทำหนังสือไปถามเถรสมาคม เถรสมาคมจึงตอบ มาทางผู้อำนวยการการรถไฟ ว่า ใช่ พระชาวอโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองของเถรสมาคม แสดงว่าเขารับรู้ว่าอาตมาแยก ไม่ได้อยู่ในการบริหารปกครองของเขาแล้ว ตอนนั้นประมาณพ.ศ. 2522 มีหนังสือตอบจากทางเถรสมาคมไปถึงผู้ว่าการรถไฟ
แต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ. 2532 เขาก็ดึงอาตมาเข้าไปอยู่ในเถรสมาคมอีก การกระทำของเขาก็เป็นโมฆะ แล้วยังไม่พอ ไปเอามหานิกายกับธรรมยุตมารวมกันเพื่อทำประกาศนียกรรม มหานิกายกับธรรมยุตเป็นพระที่ต่างนิกายกัน ถ้าหากเอามาทำพิธีของสงฆ์ร่วมกันก็จะเป็นการผิดพระธรรมวินัย เป็นการโมฆะแต่เขาก็ทำ อาตมาก็ได้แต่เป็นผู้ถูกกระทำเป็น object ไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นผู้ถูกกระทำตลอดมา อาตมาก็ยอมรับให้เขากระทำ ที่พูดนี้ไม่ได้โวยวายแต่พูดอธิบายสัจธรรมไม่ได้หาเรื่องอะไรหรอก แต่พวกคุณมาขุดคุ้ย ฟื้นฝอยหาตะเข็บอาตมาก็เลยพูดไปตามสัจจะความจริงเท่านั้น
พ่อครูว่า…
_มีด.ญ.ใสกลางเพ็ญ โพธิ์ใบ...พยายามคัดตัวหนังสือมา ...พูดแล้วก็นึกถึงสมัยก่อน กำลังทำหนังกันอยู่ ทำตัวหนังสือเป็นโลโก้ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของหนัง จะทำตัวหนังสือ font แบบไหน อาตมาก็ออกความคิดว่าเอาตัวหนังสือของเด็ก ที่ไม่ประสีประสา ยังเด็กเลย ลายมือของเด็กมันสวยอย่างเด็กๆ เขาก็พยายามคัดลายมือของเขา เขาคิดคำถามเองนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร
3ถามว่า ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร
พ่อครูว่า...อยากจะให้ผู้จบเปรียญ 9 จบดอกเตอร์ทางศาสนาพุทธมาตอบหน่อยนะ มันไม่ใช่ง่าย และก็ถามหยั่งลึก ขนาดผู้ใหญ่ที่ศึกษาทางศาสนาพุทธ ก็ยังไม่รู้ คำว่าฌาน ทุกวันนี้ผิดเพี้ยนไปแปลว่าเพ่ง แต่ยังดีนะ ยังมีการแปลว่า ไฟ เพลิง แต่ส่วนมากก็ไปเพ่งให้จิตสงบไปโน่น คือเอาสิ่งที่ผิดมาใช้เป็นคำแปลใน พจนานุกรมบาลีไทย
ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร ถ้าเข้าใจว่าไฟคือ อุณหธาตุ เตโชธาตุ ธาตุร้อนสลายกิเลสได้ กิเลสก็เป็นไฟราคะโทสะโมหะ ฌานคือพลังงานจิตที่ผู้สามารถมีกระบวนการในจิตปรุงแต่ง ให้เกิดพลังงานจิตที่เรียกว่าเป็นเตโชธาตุ ที่จะเป็นไฟ ที่เหนือชั้นที่มีปัญญา เป็นไฟที่เข้าใจสัจธรรมเหนือชั้นกว่า ราคะโทสะโมหะ จึงทำให้พลังงานไฟที่สร้างขึ้นมาจากผู้ที่มีพลังงานจิตทำใจในใจ มนสิการ ให้เกิดพลังงานนั้น พลังงานนั้นประกอบด้วยปัญญา
ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อที่ 35
ไฟฌาน เป็นไฟที่มี พลังงานพิเศษ มีปัญญาประกอบ ปัญญาคือโลกุตรธรรม ไม่มีใครมาอธิบายพยัญชนะบาลีเหมือนอย่างอาตมาอธิบายหรอก อาตมาพูดความจริงไม่ได้คุยตัว อย่ามาอคติกับอาตมามากเลย โลกนี้มีพระโพธิสัตว์สยังอภิญญาเกิดก็พูดให้ฟังดูบ้างลองฟังดูบ้าง
ฌานคือพลังงานไฟร้อน เมื่อไฟฌานร้อนกว่าไฟราคะโทสะโมหะที่เป็นไฟกิเลสมันก็ทำลายได้ เพราะมันมีฤทธิ์อำนาจมากกว่า อย่าเรียกว่าร้อนกว่าเลย มีฤทธิ์มีอำนาจมากกว่าไฟกิเลส มากกว่าราคะโทสะโมหะ เพราะมันมีปัญญามีความรู้ยิ่งรู้จริง มันก็เลยฆ่าราคะโทสะโมหะที่เป็นกิเลส ถามว่าทำลายกิเลสได้อย่างไร ได้เพราะผู้ที่ทำมีภูมิที่เป็นฌาน สร้างพลังงานที่เป็นพลังงานจิตที่เป็นฌานได้
ฌาน ไม่ใช่เรื่องที่จะแบบเร่งให้เกิดพลังงานสงบพลังงานนิ่งเย็น ไม่ใช่ แต่เป็นพลังงานแรงร้อน พลังงานที่เกิด มุทุภูตธาตุ แรงเร็ว เหมือนกับความเร็วต้องมีความเร็วที่สูงกว่าจึงจะชนะกิเลสนี้ได้ จึงทำลายราคะโทสะโมหะได้
การจะสร้างได้หรือไม่ได้ก็ต้องอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ ต้องรู้ว่ามีพลังงานราคะ เดือดเท่านี้องศา เสร็จแล้วเราก็สร้างพลังงานที่เป็นพลังงานกลพลังงานไฟฌาน ก่อนจะเป็นบุญก็ต้องพลังงานไฟฌาน ที่จะมีฤทธิ์ทำลายพลังงานราคะโทสะโมหะได้ เมื่อทำลายได้ ก็เกิดพลังงานที่เรียกว่าบุญ
ฌานเกิดก่อนบุญ ฌานเกิดก่อนการทำลาย ทำลายกิเลสได้แล้วกิเลสก็หมดไปจากจิต จิตก็สะอาด แล้วจิตสะอาดนั้นถึงจะตกผลึกลงไป เมื่อตกผลึกจิตสะอาด ถึงจะเรียกว่าสมาธิ
สมาธินั้นเกิดไกลจากฌานตั้งเยอะ ต้องผ่านบุญก่อนจึงจะมีสมาธิ ผ่านจากปัญญาจึงเป็นสมาธิ ฟังให้ดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา
สมาธิที่เป็นจิตสมาธิที่เกิด เกิดจากโครงสร้างของ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แล้วจึงจะเกิดการชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสแล้วจากกระบวนการของ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จึงจะได้จิตที่สะอาดปราศจากกิเลสตกผลึกลงเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิไม่ได้เกิดอยู่ในตัวกลาง แต่กระบวนการ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ทำงานกันเสร็จ มีผล ผลนั้นจึงจะเรียกว่าบุญ ไม่ใช่ผลทีเดียวแต่เป็นฤทธิ์ กระบวนการอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปรุงแต่งทำงานกำจัดกิเลสได้ด้วยความบุญ จิตก็สะอาดขึ้น ตกผลึกควบแน่นเข้าก็ตั้งมั่น จึงเรียกจิตนี้ว่า สมาธิ ไม่ใช่จิตไปนั่งเพ่งให้เย็น นั่นเป็นมิจฉาสมาธิ เป็น Meditation ของเดียรถีย์ของคนทั่วไป ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้เพ่งอย่างนั้น สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์
มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ .
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
5. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
6. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
7. มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
8. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
ผู้ที่เป็นสัตบุรุษจะอธิบายสัมมาทิฏฐินี้ได้ ผู้ที่ไม่ใช่สัตบุรุษแท้ อธิบายก็ผิดๆถูกๆอธิบายไม่ชัด อธิบายไม่ได้พิศดารหรอก แต่อาตมาอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 นี้ได้
คุณก็ดูตรงนี้สิว่าอาตมาเป็น หรือไม่ ก็จริง เพราะว่าอาตมาอธิบายได้และเอามายืนยันให้ปฏิบัติได้ผลจริงด้วย คุณจะบอกว่าจะมาไม่ใช่โพธิสัตว์ สยัง อภิญญา ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนเขาไม่รู้อย่างอาตมารู้เขาก็อธิบายไม่ได้แล้วพาให้ปฏิบัติเกิดมรรคผลไม่ได้ แต่อาตมาทำได้ แล้วคุณก็มาว่า อาตมาพาทำไม่ได้ แล้วมันคืออะไร
คุณไม่มีดวงตารู้ว่าคนจริงคนมีภูมิความรู้เป็นอย่างไร อาตมาไม่ได้พูดปากเปล่า โดยทั่วไปแล้วไม่ได้พาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็มีมรรคผลเกิด จนเกิดมีกลุ่มขึ้นเป็นคณะเป็นหมู่ชนเป็นสังคมโลกุตระ ชาวอโศก เป็นแดนอาริยะเป็นแดนโลกุตระ มีบุคคลที่พ้นมิจฉาชีพ 5 พ้นกัมมันตะ 3 พ้นวาจา 4 พ้นมิจฉาสังกัปปะ 3 ได้จริงๆ
พ้นมิจฉา ของพุทธเจ้าตรัสไว้ทำให้เกิดเป็นสัมมาได้จริง อธิบายได้ อยากดูตรงไหนก็มาถามดีๆ ถามอย่างประชดก็ได้ เอาของพระพุทธเจ้ามาถามเถอะ แต่ถ้าคุณไปคิดเองแล้วแต่มันก็คงตอบไม่ได้ เป็นคำถามนอกจากพระพุทธเจ้า เอาคำถามในพระพุทธเจ้ามาถามอาตมาอาตมาจะอธิบายให้ฟัง บางอย่างอาตมาก็ไม่รู้ ยังรู้ไม่ครบไม่ถ้วนเป็นของพระพุทธเจ้าก็ตอบไม่ได้ อันไหนที่อธิบายได้ก็จะอธิบายให้ฟัง อาตมาไม่ได้อวดดีว่าเป็นพระพุทธเจ้าว่ารู้หมด อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังเหลือระดับ 8 ระดับ 9 อีก อาตมาก็รู้ตัวไม่ได้อวดดีอะไร และก็บอกความจริง คนไม่เชื่อก็พิสูจน์ไป ทำความเข้าใจว่ามันใช่ไหม บางคนยกให้อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 อาตมาก็ว่าอย่าเพิ่ง อาตมาขอทำงานไปก่อน จะมาขึ้นชั้น ให้มันเป็นเอง อาตมาก็ไม่ขนาดนั้น
ฟังดีๆนะ ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ ด.ญ.น้ำมนต์ ไฟฌานคือพลังงานจิตที่มีพลังงานไฟความร้อนไปสลายพลังงานไฟราคะโทสะโมหะ ก็สรุปให้ เข้าใจไหม….เข้าใจ อาตมาว่าอาตมาประสบความสำเร็จนะให้เด็กหญิงน้ำมนต์เข้าใจได้ แล้วคนที่จบด็อกเตอร์เปรียญ 9 เข้าใจอย่างนี้ได้ไหม
(คุณอู๊ด ฆราโว ...ผมคิดว่าไฟฌานที่สลายไฟกิเลส ผมว่าไฟมันจะลุกมากกว่าเดิม)
พ่อครูว่า...อาตมาจะเอาเรื่องที่เตรียมไว้
ตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องเทวะเรื่องของภพชาติ
ฉบับที่ 342 เรายังพูดถึงเรื่อง“ภพ”กันอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ชาวพุทธทั้งหลายได้ทำ“สมาธิ”
ผิดขั้นตอนของการปฏิบัติไปอย่างสำคัญมาก มันตรงกันข้ามกับคำสอนพระพุทธเจ้านั่นคือ ไปยึดถือเอาการ“หลับตา”ปฏิบัติแล้วหลงผิดสนิทใจว่าจะเกิดผล“สัมมาสมาธิ”ซึ่งหลงผิดกันตั้งแต่เริ่มต้นไปทีเดียว จาก“กามภพ”ขั้นต้น ก็ยึดผิดทำผิดกันแล้ว
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่“ภพ”ในโลกมีตั้ง 6 ภพ” คือจะตัด“ภพ”ทิ้งไปตั้ง“5 ภพ”
ที่เป็น“กามภพ”ภายนอกอันคนหลงติดยึด“กามคุณ 5”นี้สาหัส ทั้งหยาบทั้งหนาทั้งแน่น และเป็นเบื้องต้นด้วยซ้ำ แล้วจะหลงเผิน ไม่นำพา ไม่จัดการก่อนไปเป็นลำดับๆ โดยเริ่มกันที่“หยาบ”ก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วจึง“กลาง” ขั้นสุดถึงจะ“ละเอียดที่เป็น“ปลาย”ไปหลงผิด ไปเอาแต่“ภายใน” โดยมักง่ายเกินไป รวบเอาแต่“ปลาย”แค่นั้นเป็นจบ
หลงไปว่า ถ้าทำแต่ภายในนี่แหละแล้วมันจะจัดการจบได้หมด ซึ่งผิดถนัดเลยหลงตนเองว่า“ยิ่งใหญ่”ตนเป็นประธานใหญ่ แต่ตีแตกแยกแยะ“ตัวเอง”ไม่ได้ ว่า “ยิ่งใหญ่”นั้นยิ่งใหญ่เพราะอะไร? ไฉน?มี“พลังงาน”อะไร?บ้าง? ทำงานปรุงแต่งหรือ“สังขาร”กันอยู่อย่างไร?
ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ที่ตนเป็นอยู่ ไม่ได้ฉะนี้นี่เองคือ ความไม่รู้ของ“เทฺว”ที่ยัง“โง่”หรืออวิชชาหรือยังไม่รู้จัก“เทฺว”จริงๆซึ่งตัวประธานนี่แหละจะฉลาด รู้ว่า ต้องจัดการแบ่งย่อย“พลังภายนอก ”เอาทีละส่วนทีละขั้น ทำให้สะอาดจากกิเลสไปตามลำดับ จึงจะได้“ความฉลาด”ตัวแท้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งจิตที่ไม่สะอาดและทั้งจิตที่สะอาดแท้ แล้ว “ตัวประธาน”ก็จะได้“จิตสะอาด”จากภายนอกนั้นๆเป็นพลังรวมกันเข้ากับ“จิตเดิมที่เป็นตัวสะอาดตั้งต้น”ไปเป็นลำดับๆ มีแรงเพิ่มขึ้นช่วยให้“จิต”ตนเองก้าวหน้าอย่างประณีต มีลำดับน่าอัศจรรย์ เยี่ยมยอดที่สุด
ผู้ทำให้มัน“สังขาร”กันเจริญขึ้นได้จึงเริ่มตั้งแต่“ปุญญาภิสังขาร” นั่นคือ สามารถปรุงแต่งจิตตนเองอย่าง“อภิ”ด้วย“บุญ”คือ “ปุญญ”นี่เอง กำจัดกิเลสได้จริงอย่างเก่งขั้น“โลกุตรภูมิ”เรียกว่า“อภิสังขาร” เป็นการผลิต“พลังงานบุญ”ขึ้นในจิตได้สำเร็จ จึงฆ่ากิเลสออกไปจากจิตตนได้แท้ไปตามลำดับๆ
จิตอภิสังขารนี้อยู่ในขั้นที่ 2 นี้เป็น สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง ไม่ต้องล้างกิเลสแล้วไม่ต้องอาศัยเครื่องมือบุญแล้ว การกระทำจึงมีแต่กุศล กุศลไม่ใช่บุญ กุศลคือสมบัติ กรรมที่ทำต่อไปจึงมีแต่กุศล พระอรหันต์เป็นต้น หรือแม้แต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็มีที่ทำกุศลได้ มีบาปที่หมดไปเป็นส่วนๆ เป็นลำดับๆ
จนกระทั่งหมดสิ้น“อาสวะ”ลง ก็ไม่ต้องใช้“พลังงานบุญ”กันอีก ก็เท่ากับเป็นคน
ผู้“สิ้นบุญ”หรือ“หมดบุญ”เพราะหมดสิ้น“บาป”ในตน บาลีว่า“ปุญญปาปปริกฺขีโณ” ก็เป็นคน“ไม่ต้องมีบุญ”กันต่อไปอีกที่บาลีว่า“อปุญญ” คือ “ไม่มีบุญ” ซึ่งมิใช่“บาป”นะ!
จิตที่สั่งสมความสะอาดปราศจากกิเลสเป็นสมาธิที่เรียกว่าเป็นความ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ กระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรม
คนที่มาฟังอาตมาหากเป็นพวกชาเต็มถ้วยก็ไม่เข้า แม้เทชาทิ้งแล้ว ถ้วยคุณก้นรั่วก็รับไปไม่ได้อีก
พูดมาถึงเทวะก็มาไกลมากแล้ว เพราะในโลกนี้มีสองศาสนาคือเทวนิยมและอเทวนิยม การรู้เทวะที่เป็นธรรมะสองแล้วแยกแยะได้ที่ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ไม่ว่าศาสนาใดในโลกที่เป็นเทวนิยมก็ตีไม่แตกในเวทนา 2 นี้ เขาจะไม่รู้ความสุขความทุกข์เพราะเขาตีธรรมะสองนี้ไม่แตก ตกลงมีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่รู้จักความสุขความทุกข์ และมีวิธีทำจิตใจให้ไม่ต้องมีความสุขความทุกข์ เป็นอุเบกขา จนสร้างอุเบกขาได้นั่นแหละคือฐานของนิพพาน เป็นฐานภูมิธรรมที่ไม่มีเทวไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นอุเบกขา เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตอุเบกขาแล้ว โลกธรรมไม่มี จึงอยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข ลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข ทำอะไรชาวพุทธที่บรรลุอรหันต์นี้แล้วไม่ได้
อาตมาอยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข พูดความจริง แต่อาศัยพยัญชนะสื่อสารให้เป็นสัจธรรม อาตมาไม่ได้เอาตัวตนไปเกี่ยวข้องเพราะไม่มีตัวตนแล้ว พูดแต่ธรรมะเพียวๆ
อาตมาไม่มีโลกธรรมแล้วเงินทองมาหาอาตมาก็ทำตามควร อะไรควรรับหรือไม่รับ คนจะเอาเงินมาบริจาค มาทำทานกับอาตมา เป็นคนที่ไม่รู้จักอาตมาเท่าไหร่หรอก คนที่จะมาบริจาคต้องรู้กติการู้จักอาตมาดี ไม่ต้องห่วงหรอกว่าอาตมาจะไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
คนจะทำทานอาตมาเขาก็ต้องไว้ใจอาตมา แล้วอาตมาก็เอามาทำงานศาสนาจริง พวกเราดูเหมือนมีอะไรมาก อันนี้เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ อะไรที่ดูเหมือนมีมากมีครบ มีความบริบูรณ์ มีเศรษฐกิจดีเพราะอะไร เพราะว่าทุกคนในนี้ต่างเสียภาษี 100% ให้ส่วนกลางเงินก็ต้องรวมกันมี ไม่มีใครคอรัปชั่นคอมมิชชั่น จึงเป็นเนื้อหนังที่ชัดเจนแต่มันไม่ใหญ่หรอกมันเล็ก มันเป็นโมเดลอย่างย่อ เป็นโมเดลตัวอย่าง เป็นความสวยงามถูกต้องวิจิตรพิสดารจริงๆ ไม่โตไม่ใหญ่แต่เป็นของจริงเป็นความสดสวยบริสุทธิ์สะอาด
ที่ชมอาตมายังชมไม่ครบ ที่จริงคุณติคุณว่าแต่คุณชมว่าเรามีมากมีหรูหรา แต่คุณชมไม่ครบ ชมผิดพลาด ไปศึกษาให้ดี จะชมทั้งทีมีภูมิหน่อย เสียศักดิ์ศรีคนชม อาตมาก็เห็นว่า อินโนเซ้นท์ จัง ไปศึกษามาใหม่ อาตมามีธรรมะสนุกไม่ได้โกรธเคืองหรอก อาตมาถึงไม่แปลกหรอกถ้าเกิดมาชาตินี้ทำงานศาสนาต้องถูกด่า มันยิ่งยืนยันว่าเขามาด่าอาตมาทั้งที่อาตมาถูก แต่ที่จริงเขาด่าผิดมันก็ถูกต้องแล้ว คนที่เห็นคนถูกคือคนผิดนั่นแหละคือคนถูก หมดเวลา
ส.เดินดินว่า…..สรุปจบ ปราชญ์ย่อมเห็นความผิดของคนผิดว่าถูกแล้ว ส่วนคนโง่ย่อมเห็นความถูกของคนถูกว่าผิด
คำว่า “อปุญญ”เป็นพลังงาน ที่ทำงานแล้วสลาย ไม่มีเหลือวนกลับไปกลับมาอีก
ถ้าเป็นเช่นนั้น“ความสิ้นบุญสิ้นบาป”คือ “ปุญญปาปปริกฺขีโณ” ก็มีไม่ได้กันสักที “ความจบกิจ”ก็ไม่มีกันเลย นิพพตานก็มีไม่ได้
เพราะทำ“บุญ” แล้วก็วนมาเป็น“บาป”ที่ไปหลงแปล“ปุญญ”ว่า“บาป”กันอยู่อีก
เลยไม่มีนิพพานบริบูรณ์สัมบูรณ์กัน คนผู้“ทำพลังงานจิตเป็นบุญ”ได้อย่างสัมมาทิฏฐิก็จะสามารถมีพลังงานนั้นกำจัดกิเลส แล้วก็จะเกิดมี“จิตสะอาด”จากกิเลสขึ้นเป็นส่วนๆ เรียกว่า “ส่วนบุญ” คือ ปุญญภาคิยา นับเป็น“เสขบุคคล”ไปตามลำดับ
การมี“ส่วนบุญ”จึงไม่ได้หมายความว่า“มีอะไรสะสมขึ้นในจิต” แต่เป็น“การหมดออกไปจากจิต” คือ“ล้างจิตส่วนบาป”ออกไปต่างหาก เป็น“การเสียไป”แท้ๆ
ทำ“ความรู้-ความเข้าใจ”คือ ทิฏฐิให้ดีๆเมื่อ“บุญ”กำจัดกิเลสออกไปจากจิตได้ “พลังงานจิต”ก็จะเจริญทับทวีเพิ่มขึ้นๆเพราะจะมี“พลังจิตสะอาด”จากกิเลสที่เป็น“ปัญญา”ขั้น“วิมุตติญาณทัสสนะ”รวมกันเติมพลังช่วยกันจัดการกับภายนอกอีกที ออกมาช่วยภายนอกที่จะทำให้สะอาดได้อีกขั้นต่อไป จิตสำเร็จนั้นรวมเข้าไปหา“จิตสะอาดภายใน”แล้วอีกๆๆต่อไปตั้งแต่หยาบ-กลาง-ละเอียดหมุนซ้อนชั้นมีระบบ ไม่ยอกย้อนสับสนวกวนกลับไปกลับมาเสียเวลาแน่ จึงเจริญเรียงต่อกันเป็นลำดับๆลาด ลุ่ม ลึก ราบเรียบเหมือนฝั่งทะเลอย่างน่าอัศจรรย์ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และยืนยันเรื่องนี้ไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109
ส่วนผู้“มิจฉาทิฏฐิ” ยังเป็น“เทฺวนิยม”นั้นจะมีความหลงผิดทั้งลำดับต้น-กลาง-ปลาย ผิดทั้งหยาบ-กลาง-ละเอียด ผิดทั้งที่ไม่รู้จัก“ภพ” จึงกำจัด“ภพ”ไม่ครบครันถ้วนรอบ เพราะไม่“ดับภพ”ที่เป็น“เทฺว”ไปทีละคู่ๆ โดย“ดับ”กันถึง“ดับเหตุนั้นๆ”ด้วยทีเดียว จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เหตุและเป็น“ปัจจัย”กันและกันของ“เทฺว”ทั้งหลายหรือ “สังขาร”ทั้งหลาย ไล่เรียงขั้นต้น-กลาง-ปลายซึ่งเป็นอิทัปปัจจยตาหรือปัจจยาการ(เพราะเหตุนั้นจึงเกิดผลนี้ เพราะผลนี้กลับไปเป็นเหตุให้แก่ผลนั้น เสริมกันและกันยิ่งๆขึ้น) เป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสัคคะ) เติมต่อกันไปตลอดสายของ“ปฏิจจสมุปบาท”
เช่น มีความรู้คือ“วิชชา”ที่ตรงกันข้ามกับ“อวิชชา” เพราะถ้า“ความรู้-ความฉลาด”
ขั้น“โลกียภูมิ”ก็ยังเป็น“อวิชชา” มันกลับขั้วกันกับ“โลกุตรภูมิ”ที่เป็น“วิชชา”ซึ่งสำคัญมาก
มัน“ทวนกระแสกัน(ปฏิโสตัง)”มีความเห็นกลับกันคนละขั้ว เดินทางก็หันหลังชนกันนะ แล้วต่างเดินตรงมุ่งออกไปก็คนละทิศทีเดียว
เป็นต้นว่า “ความรู้-ความฉลาด”แบบโลกียะนั้นเป็นความรู้-ความฉลาดที่ใช้ภาษาว่า“เฉโกหรือเฉกะ[ถ้า“เฉกา”ก็เป็นพหูพจน์]”ส่วน“ความรู้-ความฉลาด”แบบโลกุตระนั้นเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่พระพุทธเจ้าใช้ภาษาว่า “ปัญญา-ญาณ-วิชชา”
“ปัญญา-ญาณ-วิชชา”นี้เป็น“3 เส้า” ที่มีลำดับ“ความรู้-ความฉลาด”ของโลกุตระ
ผู้มี“ปัญญา-ญาณ-วิชชา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สิ่งนั้น-ภาวะนั้น”ต้องมี“องค์ธรรม 5”ด้วย คือ มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก” ตามหลักฐานยืนยันที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด
ใน“ธัมมจักกปวัตตนสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 4 ข้อ 13 เป็นต้น) และสูตรอื่นๆอีกมากมาย
ความมี“จักษุ”และ“อาโลก”นี้เองที่เป็นเครื่องยืนยันชี้บ่งว่า “ความรู้-ความฉลาด” นั้นจะเป็นแบบพุทธสัมมาทิฏฐิ หรือไม่?
“ความรู้-ความฉลาด”ของโลกียะ หรือของชาว“เทฺวนิยม”นั้นจะเกิดจาก“สมาธิ”ที่ “หลับตา”ปฏิบัติ ชัดเจนมั้ยว่า ไม่มี“จักษุ” และไม่มี“อาโลก” เพราะ“เทฺวนิยม”ยืนยันว่า “สมาธิ” คือ “ความที่จิตเป็นหนึ่งขณะสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภายในที่ตนหลับตาปฏิบัติ”
เมื่อจิตเป็น“สมาธิ”ดีได้ที่แล้ว ก็จะมี “ความรู้-ความฉลาด”โผล่ผั้วะขึ้นมาเอง [ไม่มีเหตุ-ไม่มีปัจจัย ไม่มีที่ไปที่มา ของเหตุของปัจจัยเลย] ซ้ำกลับยืนยันว่า “ปัญญา”หรือ“ความรู้-ความฉลาด”แบบเทฺวนิยมนั้นจะเกิดได้ ต้อง“หลับตาได้สมาธิ”ขั้นลึก “ปัญญา”จึงจะเกิด เพราะยึดมั่นถือมั่นว่า“สมาธิ”คือภาวะจิตที่สะกดเข้าไปใน“ภพ”ภายในคือภวังค์ของตน จึงจะเรียกว่า “สมาธิ” แล้วจึงจะเกิด“ปัญญา”ในภายในขณะที่มี“สมาธิหลับตา”นั้นได้ เห็นมั้ยว่า มันคนละทิศคนละทางกันเลยกับการมี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก” ก็ยืนยันได้อยู่ชัดๆอย่างนี้
“จักษุ” หมายถึง ลืมตา มีดวงตาเปิดๆ ไม่ใช่ไปเอาแต่“หลับตา” มีดวงตาปิดๆ
“อาโลก” หมายถึง “โลกสว่าง”ที่มีแสงพระอาทิตย์สาดส่องมาถึงได้ เรา“ลืมตา”
เห็นแจ้งโลกที่มีแสงสว่าง ซึ่งไม่ใช่“หลับตา” อยู่กับ“โลกมืด” หรือ“โลกที่ตาหลับลงไปไม่เห็นแสงพระอาทิตย์”กันแล้ว หรือโลกที่เราเองไม่รับแสงอาทิตย์แล้ว หรือเราเองไม่เปิดตารับแสงอาทิตย์เอง
“ความรู้-ความฉลาด”ของพุทธที่เป็นโลกุตระเป็น“อเทฺวนิยม” กับของ“เทฺวนิยม” ซึ่งแม้แต่ชาวพุทธที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ตาม จึงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญอยู่มากมาย
สำหรับชาว“เทฺวนิยม”ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ไม่ได้นั้น ไม่ชื่อว่ามี“จักษุ” ไม่เข้าเกณฑ์ที่เป็น“อาโลก” ดังที่ได้สาธยายมา ..ชัดนะ!
ความหมายของ“จักษุ”กับ“อาโลก”จึงเป็น“ธรรมะ 2”ที่สำคัญต่อความเป็นสัจจะ” ปานฉะนี้คือ“ความรู้-ความฉลาด”ของพุทธที่เป็นโลกุตระและสัมมาทิฏฐินั้นต้องมี“จักษุ”และมี“อาโลก”ครบ“องค์ 5 (จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก)” ดังที่ได้อ้างอิงหลักฐานยืนยันมานั้น
แต่“เทฺวนิยม”ไม่มี“จักษุ”ไม่มี“อาโลก” ยังเป็นโลกียะ จึงเรียก“ความรู้”นี้ว่าเป็น “ปัญญา”ไม่ได้ เพราะ“องค์ประกอบ”ไม่ครบ
ก็ต้องเรียกว่า“เฉโก”หรือ“เฉกะ-เฉกา” เท่านั้น เพราะเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ไม่มี“ธรรมะ 2”คู่สำคัญคือ“จักษุ-อาโลก”
“จักษุ”กับ“อาโลก”ที่เป็นธรรมะ 2 คู่นี้สำคัญมากอย่างนี้เอง เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่า มิติแห่ง“ความรู้-ความฉลาด”ในมนุษย์นั้นจะขาด“จักษุ”ที่หมายถึง “ทวารรู้ภายนอกของมนุษย์(ทวาร 5)” ไม่ได้ นี้ 1
“จักษุ”นี้เป็นตัวแทน“ทวารทั้ง 5” ได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย ซึ่งทวารอื่นๆทั้ง 5 นั้นก็ทำหน้าที่ของตนๆเช่นกัน นัยะเยี่ยงเดียวกัน
โดยเน้นชัดๆว่าต้องมีภายนอกสัมผัสอยู่“รู้เห็น”ของ“จิตวิญญาณ” ซึ่งต้องมี‘ทวาร
ทั้ง 5 ทำงานอยู่อย่างสำคัญเป็นปกติธรรมดาสามัญ ทำหน้าที่“ผู้รู้” เป็น“ประธาน(subject)”
นี้คือ ส่วนหนึ่งของ“ธรรมะ 2”
กับอีกส่วนหนึ่ง คือ “อาโลก” ที่หมายถึง“รูป” หรือ“สิ่งที่ถูกรู้(object)” ซึ่งต้องมีโลกภายนอกอันประกอบด้วย“โลกที่มีแสงพระอาทิตย์กระทบโลกสว่างอยู่ และมีวัตถุอื่นที่“สัมผัส”รู้ได้ทั้งหลายด้วย ไม่ใช่เข้าไปอยู่ในภายในที่มืดๆ หรือ“หลับตา”อยู่ในภพ เท่านั้น ไม่มีแสง ไม่มีวัตถุที่ถูกรู้ให้สัมผัสเลย
คำว่า “จักษุ”กับ“อาโลก”ใน“องค์ 5”ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“การรู้แจ้งเห็นจริง” หรือ“การตรัสรู้”ของพระองค์จะต้องมี“ครบพร้อมทั้ง“องค์ 5 (จักษุ-ญาณ-ปัญญา-วิชชา-อาโลก)” ที่ทำหน้าที่อยู่อย่างเต็มหน้าที่ด้วยนะ
ไม่เช่นนั้น ไม่ถือว่า เป็น“สัจจะ”สัมบูรณ์
เห็นมั้ยว่า “จักษุ”กับ“อาโลก” ซึ่งจับคู่เป็น“ธรรมะ 2” คู่นี้สำคัญยิ่งใหญ่แค่ใด
คำว่า“เทฺว” ที่หมายถึง“ธรรมะ 2”หรือเป็น“ภาวะคู่”ในอะไรต่ออะไรต่างๆนั้นจึงมีความพิสดารลึกล้ำหลากหลาย มากมายมิติ ล้นเหลือนัยะที่วิเศษสุดจริงๆ ซึ่งต้องมีพร้อมทั้ง“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก”จึงเป็นผู้“ตรัสรู้”ที่เป็นความรู้เรียกได้ว่า“โพธิ” ด้วยประการอย่างนี้
“โพธิ” จึงไม่ใช่“ความรู้”สามัญปุถุชน แต่หมายถึง ความรู้ขั้น“ปัญญา-ญาณ-วิชชา”
แม้แต่“ญาณ”กับ“ปัญญา” ธรรมะ 2
คู่นี้ก็คือ “ความรู้”ขั้นโลกุตระ ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ ว่าเป็น“คู่ทำงาน”ช่วยกัน สลับกันทำความเจริญ ซึ่งศาสนาพุทธเป็นต้นตอแท้ๆ
ความรู้ที่ช่วยกันให้เจริญขึ้นได้แล้วนี้เรียกว่า “ญาณ” [มาจาก“ธาตุอัญญะ”แล้วมาเป็น “ญาหรือญาณ”เป็นลำดับๆ] “ญา”ก็ร่วมกันกับ “ปัญญา” ทำงานสร้างความเจริญเพิ่มขึ้นไปได้อีกก็เรียกว่า “ญาณ” และได้รู้เจริญต่อไปอีกก็กลับไปเรียกว่า“ปัญญา” ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า ใครสูงกว่าใคร เหมือนมือ 2 มือช่วยกันทำงานให้สำเร็จได้บริบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ฉันใด “ญาณ”กับ“ปัญญา”ก็เจริญขึ้นฉันนั้น
ส่วน“วิชชา”นั้นคือ ความรู้องค์รวม หรือความรู้รวบยอด ที่เจริญแต่ละรอบๆ
ศาสนาพุทธมีหลักการศึกษา“3 เส้า”
เรียกว่า “ไตรสิกขา” คือการศึกษา“หลักใหญ่”
โดยมี“องค์ 2”ของ“ธาตุ”และ“ธรรม”ที่สังขาร หรือสังเคราะห์กันให้ศึกษาอยู่เสมอเรียกว่า“รูป”กับ“นาม”เป็นต้น หรือ“สมมุติ” กับ“ปรมัตถ์” หรือธรรมคู่อื่นๆมากมาย ฯลฯ
แล้วตีแตกแยกแยะ“ธาตุ”หรือ“ธรรม”
นั้นๆได้ และทำให้เหลือ“ธรรมะ 1“ กระทั่งทำให้“ธาตุ”หรือ“ธรรม”นั้นเป็น“0”สำเร็จผลจบ
❆ เก่าสมัย ใหม่เสมอ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:21:44 )
รายละเอียด
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน จิตอุเบกขาคือจิตบริสุทธิ์ที่เล็กสุดเร็วสุดประโยชน์สุด
พ่อครู : ยุคนี้มันยากที่คนจะรู้ความจริง เข้าใจความจริง หรือจะเชื่อความจริง ยากจริงๆนะ อยู่กันอย่างไม่มีความจริง เพราะว่ามันไม่เจอความจริงกัน มันนานจนกระทั่ง ไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ! อันนี้ความจริงเหรอ? ไม่แน่ใจ นานไม่เจอความจริง ก็เลยไม่รู้ว่า แล้วมันจะเป็นความจริงเหรอ เขาว่ามันจริง จริงเหรอ? ก็ท้าให้พิสูจน์ ท้าให้ยืนยัน ท้าให้ทำอย่างนี้สิ แล้วคุณจะรู้ว่าจริง
คุณรู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ อาการไม่สุขไม่ทุกข์ คุณอ่านอาการจิตของคุณให้เป็นสิ มันก็มีความจริงของมันในตัวนั้น ถ้าอาการไม่สุขไม่ทุกข์ อาการมันเป็นยังไง อาการกลางๆ มันไม่ผลักมันไม่ดูด อาการเฉยๆ กลางๆแล้วก็รู้ชัด รู้เจน รู้แจ๋วอยู่
ไม่ใช่ว่ามันมืด อาการกลางๆแต่ว่าไม่รู้เรื่อง ไม่มีการสัมผัส ไม่ใช่
สัมผัสจนรอบ สัมผัสจนไม่มีมุมที่จะไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ ให้เห็นว่ามันคลาย มันเฉย นิ่งๆ ยิ่งกว่าลูกข่างนอนวัน นิ่ง คุณก็สัมผัสอาการของคุณดูสิ เราก็มีภาษาอธิบายให้คุณฟังถึงนามธรรมขนาดนี้แหละ ไปทำเอา มันก็เป็นนามธรรมของคุณเอง นามธรรมในระดับ
1. ตัววิ่งของคุณต้องเร็วที่จะรู้นาม
2. ตัวหยุดคุณต้องเล็ก ตัวหยุดของคุณต้องเล็ก มันก็มี static กับ dynamic สองอัน จุด 2 จุด เท่านี้แหละ ถ้าคุณรู้ได้ว่า มันนิ่งเล็กที่สุด นิ่ง จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะเห็นเลย ไม่มีอะไรที่จะกระดิก ไม่มีอะไรที่จะมี กับความเร็วของคุณที่สัมผัสสิ่งที่ไม่มีนี่นะ คุณต้องสัมผัสกันให้ได้ ความเร็วกับความเล็ก ทั้งสองอย่าง ต้องสัมผัสกันให้ได้ ว่าสุดแล้ว คุณก็รู้ว่า จุดจบมันอยู่ตรงนี้ รู้จริงคุณก็รู้ความจริงของคุณ เพราะเวลาจะรู้ความจริงของเรามันเป็นนามธรรม มันก็อยู่ในสภาพจิต จิตในจิตเท่านั้นเอง
ส. ดินไท : ในระหว่างที่มันยังไม่สุขไม่ทุกข์เนี่ย มันก็ยังมี ยังทุกข์อยู่ มียังทุกข์อยู่บ้าง
พ่อครู : คุณก็ต้องเลือกต้องมีเหตุ มีปัจจัย อย่างที่จุฬสุญญตสูตร พระพุทธเจ้าว่า จนกว่ามันจะไม่มีเลยแล้ว ไม่มีเลยแล้วก็คือ สิ่งที่ไม่มีเลยนั่นแหละ ความหมายของคำว่า ภาษาใช้คำว่า ไม่มีเลย ก็คือไม่มีที่เล็กและเร็วที่สุดที่ผมพูดแล้วไง เป็นเทวะสุดท้าย เป็นธรรมะสองสุดท้าย แล้วคุณก็ต้องมีสภาพหนึ่งที่คุณจะรู้ ในขณะที่คุณจะไปรู้ คุณก็คือเอาความเร็วไปรู้ความเล็ก เอาความเร็วไปรู้ความเล็ก
พ่อครู : คุณเอง คุณยังไม่ได้ ยังไม่ได้ตัวอย่างความหมด ในขั้นอบายของโสดาบัน มันหมดมันเป็นความหมดอย่างนี้จริงเหรอ แม้ขั้นอบายมันก็ยังหยาบอยู่ใช่ไหม แต่มันหมด มันหมด แล้วมันก็ไม่ มันจะฟื้น คุณก็รู้ว่า มันจะฟื้น แล้วคุณก็ทำให้ไม่ฟื้น จนกระทั่ง มันก็นาน มันก็ฟื้นมาอีก อ๋อ.. มันไม่ฟื้น ทำมันอีก จนกระทั่งมันไม่ฟื้น ไม่ฟื้นๆ โอ้โห จนกระทั่งคุณลืมเลยว่า ไม่ฟื้นมาตั้ง 30 40 50 จนอายุถึงบัดนี้แล้ว มันก็ไม่ฟื้น จนคุณอายุเท่านี้แหละ มันก็ยังไม่ฟื้นเลย เท่าที่ทำมา มันไม่ฟื้นละ คุณก็แน่ใจว่ามันไม่มาอีกแล้ว จนกว่าคุณจะอายุยาวไปอีกเท่าเดิม เท่าที่อยู่มาแล้ว มันไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามันไม่ฟื้น
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:22:38 )
รายละเอียด
620208 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/19heZyyuW6J-3AAEo9ON9mCs6T58Vv7RESENYneAQsHY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1wggjU1Z4Dd6KE3WvaWKyF8mEagNBAfLj
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว แต่ก็ไม่เท่ากับบรรยากาศการเมืองที่ร้อนฉ่า แต่ถ้าลดละกิเลสของคนได้ปัญหาก็จะถูกแก้ไปโดยปริยาย เพราะคนจะลดละตัวตนแล้วทำเพื่อผู้อื่นก็จะทำให้ปัญหาลดลง ถ้าคนยังเห็นแก่ตัวอยู่ก็คือที่พ่อครูบอกไว้ว่า คนที่เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา ทำร้ายสังคมได้อย่างร้ายแรงอันตรายที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน โลกุตรธรรมคือเหนือสุขเหนือทุกข์
พ่อครูว่า...ก็มาดูความเห็นของsms มีทั้งแสดงชอบใจและไม่ชอบใจ แต่ที่ไม่ชอบใจหยาบคายมากเราก็ไม่อาจเอามาอ่านออกได้ เขาก็แสดงออกสะใจตนตามกิเลสเขา สะใจกิเลสโกรธก็ได้แสดงออกให้หยาบคายรุนแรงก็แสดงออกให้เห็นว่าคนๆนี้ยากจะแก้ไข ตกต่ำหนักรุนแรง แสดงออกถึงจิตเขา มันทำให้แสดงคำพูดกิริยากายออกมาอย่างนั้น
อาตมาไม่สามารถแสดงธรรมกับสิ่งที่คนเขาไม่รับฟัง หรือสิ่งที่คนเขารับฟังแล้วไม่เกิดความเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ ใช่หรือไม่ใช่ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง พูดง่ายๆ แสดงธรรมกับต้นเสาต้นไม้หัวตอ อาตมาแสดงไม่เป็นและไม่คิดว่าจะต้องไปแสดงอย่างนั้น จะต้องแสดงกับผู้ที่มีภาวะตอบรับ แม้จะตอบรับกันอย่างแรง ที่มันตอบรับกันอย่างแรงเพราะอะไร
เพราะความเห็นที่เราแสดงนี้มันเป็นเรื่องของโลกุตรธรรม อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องโลกุตรธรรม ซึ่งโลกุตรธรรมทุกวันนี้มันหายไปแล้ว มันไม่มีอยู่ในสังคมศาสนาพุทธแล้ว อาตมาพูดความจริงนะขอยืนยัน ทีนี้ถ้าเผื่อว่า โลกุตรธรรมได้หายไปจากศาสนาพุทธก็เท่ากับศาสนาพุทธเสื่อมแล้วหมดแล้ว เพราะศาสนาพุทธคือศาสนาที่มีโลกุตรธรรม ไม่ใช่โลกียธรรม ที่มีอยู่ทั่วโลกเป็นศาสนาที่มีอยู่ทั่วโลกที่ไม่รู้เรื่องทุกข์เรื่องสุขกันอย่างสมบูรณ์แบบ และสามารถดับความสุขความทุกข์หมดไปได้ ไม่มี ศาสนาไหนก็ไม่มีนอกจากศาสนาพุทธ นี่คือหัวใจของศาสนา
สุข ทุกข์ เป็นเทวะ เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง dualism ที่คนแยกไม่ออก คนหลงต้องมีสุข ไม่เอาทุกข์ นี่คือสภาวะของสามัญปุถุชนโลกีย์ของทุกศาสนาด้วย เป็นแต่เพียงมีความสุขให้ดีอย่าไปมีความสุขแบบชั่ว หรือแม้แต่จะทุกข์ก็ทุกข์ให้ดี อย่าไปทุกข์อย่างชั่ว
พุทธชี้ว่าเป็นโลกุตระไม่ใช่อยู่ที่ดีกับชั่ว ดีชั่วเป็นแค่โลกียะเป็นแค่สมบัติ ส่วนความสุขความทุกข์เป็นวิบัติ ศาสนาพุทธทำให้ความสุขความทุกข์สูญหายชิบหายไปหมดเลย นี่คือศาสนาพุทธ คนที่จะพูดอย่างอาตมานี้ดูเหมือนเป็นคนบ้าแน่นอน เป็นคนพูดอยู่อีกโลกหนึ่ง ทุกวันนี้บอกแล้วว่าโลกุตระไม่มีแล้ว เขาก็ฟังแล้วก็บอกว่ามาจากต่างดาวไม่ตรงสมมุติของเขา
แบบโลกีย์จะมีความสุขความทุกข์ก็แบบโลกีย์ ส่วนของพุทธนั้นมันไม่มีสุขทุกข์มันเกินกว่าสุขทุกข์แล้ว ที่พูดความสุขความทุกข์อยู่ในโลกก็พูดอย่างลำลองตามที่เขาสมมุติกันเท่านั้นเอง พูดไปกับเขาเพราะเขาเองอยู่ในโลกนี้ ไม่รู้เรื่องหรอกกับคนโลกโลกุตระ คนที่ไม่มีปัญญาเข้าใจเรื่องความสุขความทุกข์และมีความชัดเจน ว่าอ๋อ เราต้องออกจากความสุขความทุกข์ที่เป็นโลก วนสุข ทุกข์ ในโลกอบาย สุขทุกข์อยู่ในการติดกาแฟก็สุขทุกข์ไปจนตาย สุขทุกข์อยู่ในการเล่นไพ่ สุขทุกข์อยู่ในการเมาในอำนาจอย่างทักษิณ ทำจนกระทั่งพิลึกพิลือ อาตมาถึงบอกว่าโลกจินตา เกิดมาชาตินี้ยังได้เห็น คนมีความคลั่งไคล้จนกระทั่งตั้งชื่อเป็นคนนี้ มันเป็นไปได้นะ ชาตินี้เกิดมาได้เห็น มีไหมประเทศไหนจะมีอย่างนี้ มีแต่ในประเทศไทยนี่แหละบ้าบอคอแตก ทำได้อย่างนี้ คือมันโง่ได้ที่จริงๆจึงทำได้ สุดๆเลย สุดกูไม่รู้ไม่ชี้ กูคลั่งไคล้คนนี้จะชั่วอย่างไรก็ช่าง ไปหลงใหลคลั่งไคล้กับสัตว์นรกใครจะว่าอย่างไรก็ช่างกูก็เห็นเป็นสวรรค์ของกู
โลกนี้จึงต้องพูดกันอย่างชัด จัดๆ แรงๆ มันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพูดจัดๆชัดๆแรงๆ เพราะโง่หนัก จนต้องใช้วิธีนี้ที่มันหนักและแรง เพื่อแก้ประเด็นที่มันติดยึด มันหลงมันคลั่งก็แก้ไม่ออกแก้ไม่ได้ แล้วมันก็น่าสงสารนะ อย่างหมอรักษาคนนี้ต้องใช้ยาแรงไม่อย่างนั้นมันตายทันทีเลย มันโคม่าแล้ว จะต้องให้คนเขาตำหนิ หรือว่าต้องให้มอร์ฟีนก็ต้องจำนน อาตมาถึงยอมที่จะมีข้อด้อยถึง 10 ข้อ จำนนที่จะมีข้อด้อยดังนั้นอยู่ ถ้าไม่เช่นนั้นทำงานไม่ได้ ถึงเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด ก็พูดกันไป
คือโลกุตระนั้นมันไม่มีแล้วตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร พตป.เล่ม16 ข้อ 672 ตอนนั้นศาสนาพุทธก็ยังไม่เสื่อมไปท่านก็พยากรณ์ไว้ก่อนแล้ว ว่าต่อไปนี้ ในอนาคตข้างหน้า ศาสนาพุทธจะไม่เหลือโลกุตระเลย เปรียบเหมือนกลองอานกะ ที่ประกอบไปด้วยเนื้อไม้ หนัง เส้นสายอะไร องค์ประกอบของตัวกลองนี้ แล้วชื่อว่ากลองอานกะ พอมาถึงยุคที่มันหมดแล้วก็เท่ากับกลองอานกะมันไม่เหลือเนื้อไม้ เส้นเอ็นไม่เหลือที่ใช้เป็นองค์ประกอบของกลองอานกะ ไม่เหลือเลย ฉันเดียวกัน สัจธรรมที่เป็นพุทธเป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามันไม่เหลือแล้ว แล้วคนที่ศึกษาศาสนาพุทธก็ศึกษาตามแกนที่มีเป็นกลองปลอมๆ แล้วนึกว่าเป็นของแท้ เขาก็เอาเป็นเอาตายศึกษากันด้วยนะ
พออาตมาเอาของแท้ กลองแท้ของศาสนาพุทธขึ้นมา อาตมาพูดไปแล้วว่าเป็น สยังอภิญญา มากอบกู้ศาสนาพุทธ พูดไปถึงเป็นพระธรรมิกราช 1 ใน 2 ที่มากอบกู้ศาสนาพุทธ อีกองค์หนึ่งก็คือในหลวง เขาก็หาว่ายกตนเทียบเท่าในหลวงอีก อาตมาก็อ้างอิงหลักฐาน
พวกเราเป็นสังคมโลกุตระที่เอาพระสูตรต่างๆไม่ว่าจะเป็นสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 วรรณะ 9 เราก็ทำได้ตามพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ของพระพุทธเจ้า แต่ทางโน้นเขาไม่มีเลยทั้งกระแสหลักไม่มีเลย ผู้มีดวงตาอย่างพวกคุณ หรือคนที่เขาไม่มา แต่เขาเห็นรู้แล้วว่าถูกเขาก็ไม่มา ส่วนคนที่เข้าใจไม่ได้ เราก็ย้ำตอกลิ่มเข้าที่หัวเขาอีก เขาก็ยิ่งเจ็บปวด เหมือนด่ากูอีกแล้วเขาก็ว่าเราควรหยุด แต่เราก็ด่าเพิ่มอีก เขาก็ยึดมั่นถือมั่น อาตมาก็ยิ่งต้องย้ำยืนยันความถูกต้อง แต่คุณยิ่งยึดคุณยิ่งเจ็บ อาตมาจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ติแล้วติอีก เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ไว้
_SMS วันที่ 6 ก.พ. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู)
_5025พ่อท่านนี่แหละสุดยอดที่สุด
_8788กราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่ตอบคำถามครับ.
_ນາງ ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ · ນະມັດສະການພໍ່ທານສຸດຍອດທີ່ສຸດສຸຖຸ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:26:36 )
รายละเอียด
620210_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตอบปัญหาประชาธิปไตยจนกว่าจะไร้อัตตา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1vKN0u1HRccYoiiCQMGlEsBaz-Li3hk_brlvw5UR45BM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=12heL5nSZVt13oNP3LlbFQSUKUqXmgxR6
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก งานพุทธาภิเษกฯปีนี้จะมีกิจกรรมเปลี่ยนแปลงจากเดิมหลายอย่าง รวมถึงอากาศที่มีความเปลี่ยนแปลงได้สูง ซึ่ง การเมืองไทยตอนนี้ก็มีเหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงมากเช่นกัน
พ่อครูว่า...มาฟัง sms ก่อน ก็คงได้ใช้ sms นี่แหละเป็น guide นำการเทศน์
SMS วันที่ 8 ก.พ. 2562
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน วังวนการเมืองเรื่องเลือกตั้ง
_3867พ่อครูคงยินดีที่ลุงตู่ตอนรับแคนดิเคตเป็นนายกให้พ.การเมืองใหม่!แต่คงทำใจโยนิโสมนสิการไปด้วยแหงม!กลับไปวังวนเลือกตั้งอีกแหล๊ว!นมัสการ สาธุ!กบสิ้นโศก
พ่อครูว่า...คำว่าวังวนเลือกตั้ง มันเป็นวังวน เรื่องการเลือกตั้งเรื่องของการเมืองไทยตอนนี้ เป็นการเมืองที่สวยงามที่สุดแล้ว เป็นการบริหารด้วยความเป็นประชาธิปไตย อาตมาเป็นคนให้คะแนนเอง การบริหารที่เป็นประชาธิปไตยสวยงามมากที่สุดเท่าที่รัฐบาลที่มีนายกมา 29 คน คนนี้บริหารเป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุด
วังวนการเมือง เป็นสมบัติผลัดกันชมระหว่างผู้ที่แจ้งอำนาจมาบริหาร ประชาธิปไตยนั้นประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วไปลงคะแนนให้คนไปทำหน้าที่แทน ตอนนี้มีโพลที่ออกมา ก็ใช้โพลนี่แหละ โพลของประชาชนก็เจตนาเก็บคะแนนเสียงของกลุ่มประชาชน ขณะนี้มีโพลตั้งหลายเจ้า ได้คะแนนเสียงนายกตู่ชนะทิ้งห่างคนอื่นทั้งนั้นเลย นี่ก็เป็นประชาธิปไตยแล้วไม่ต้องไปลงคะแนนเสียงก็ได้ ประชาชนมีมันสมอง ประชาธิปไตยที่ให้คนไปลงคะแนนเสียงนั้นก็คือประชาชนในประเทศไม่มีมันสมอง ก็เลยต้องไปเอาคะแนนเสียงจากประชาชนทุกคน คนที่ไปลงคะแนนเสียงนั้นมีที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก มันถูกนายทุนเจ้าอำนาจหาวิธีที่จะซื้อเสียง อิทธิพลเพื่อที่จะได้เสียงให้แก่ตัวเองคลุมไว้หมดแล้ว สร้างเครือข่ายวิธีการไว้หมดแล้ว อเมริกาเองเป็นตัวดีเลยที่เห็นชัด มีนายทุนมาบงการ พวกนายทุนก็เอาทุนไปจ้างคนทำแบบนี้ไว้ตลอดเวลา ได้โอกาสดีก็ขึ้นมาสมัครเป็นอันนี้ ถึงขั้นสูงสุดก็มาสมัครเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นกลวิถีเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องของจิตวิญญาณตัวจริง ประชาชนไม่ได้ใช้อิสระเสรีภาพความรู้ความสามารถตามความเห็นของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ มันตกอยู่ใต้อำนาจเงินทองและอำนาจที่เขาสร้างองค์ประกอบไว้ ขณะนี้ทักษิณได้ทำอำนาจนั้นไปทั้งอำนาจเงินและอำนาจอื่น เขาจบทางด้านอาชญวิทยามา เก่งจริง ก็เลยกลายเป็นตัวอาชญากรตัวสำคัญ เพราะเขาเก่งทางอาชญากรรมเขาเรียนดอกเตอร์ทางนี้มาก็เลยเอามาใช้ซะเอง เลยเป็นอาชญากรเลย ทุกวันนี้ก็เป็นอาชญากรเข้าประเทศก็ไม่ได้ เขาทำสำเร็จ ตามที่เขาเองไปเรียนมาแล้วก็เอามาใช้ แทนที่จะเอามาปราบอาชญากรก็เลยสร้างตัวเองเป็นอาชญากรเองของโลกเลย
การเลือกตั้งเป็นเรื่องวนเวียนของสังคมประเทศนั้นที่ประชาชนไม่มีปัญญาพอที่จะใช้กระแสความรู้สึกร่วมกันแล้วรู้แล้วว่าคนไหนควรจะมาเป็นผู้บริหารที่จะเป็นนายก ขณะนี้ประเทศไทยใช้วิจารณญาณใช้สามัญสำนึกใช้พฤติกรรมทางกายวาจาใจ เห็นร่วมกันว่าพลเอกประยุทธ์เป็นคนเหมาะสม ก็ถูกแล้ว ประเทศไทยขณะนี้เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้วโดยสัจธรรมของมันเอง คนนี้ก็บอกว่ากลับไปวังวนการเลือกตั้งอีกแล้วก็ใช่ วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไปเรียกร้องกับพวก งากๆๆ พวกนั้น เป็นพวกที่กระหายจะได้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ประชาธิปไตยอะไรหรอก แล้วหลงตัวเองว่าประชาธิปไตยต้องมีเลือกตั้ง ไม่มีเลือกตั้งเป็นเผด็จการไม่ได้รู้ในรายละเอียดของสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอะไรต่างๆที่เป็นองค์ประกอบ ไม่รู้เลย รู้แต่เลือกตั้ง...ไม่ใช่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกนี้ Go to hell ดิ่งหัวลงนรกอย่างเดียว
เราเองอาตมาถึงบอกว่าไม่ต้องเลือกตั้งหรอก บริหารไปก็ยังดีอยู่ ประเทศไทยขณะนี้สงบเรียบร้อย การเมืองก็ไปได้ดี มีแต่พวกลิ่วล้อที่ร้องจ๊ากๆๆอยู่เท่านั้นเอง ไม่ใช่พวกปากหอยปากปูด้วย แต่ปากฝุ่นละอองธุลี อาตมาพูดความจริงไม่ใช่ประชดประชัน คือมันเสียเวลา บ้านเมืองจะไปได้ดีอยู่แล้ว ก็วางRoadmap ไปเถอะ เพราะฉะนั้นถ้าจะไม่ต้องเลือกตั้งเลยก็เลื่อนไปเรื่อยๆก็แล้วกัน ไม่ต้องไปเลือกตั้งหรอก บริหารไป เขาจะร้องก็ร้องไป สักวันคงหมดเสียงร้อง คือเขาจะเอาแต่อำนาจตนเองไม่ดูพฤติกรรมสังคม พฤติบทที่ได้ผลออกมา
_3867 พ่อครูไม่สงสัยกับคำติคำด่าคำวิจารณ์ของคนช่างสารพัดอคติเลยฤา? พวกนั้นเก่งจริงทำให้พ่อครูสาละวนอยู่กับคำอคติแตกต่างต่อต้านอโศกได้เต็มรายการ!จนข้ามเหตุบ้านการเมืองงานศาสนาสำคัญๆกับปย.สุขปวงชนไปได้ทุกรายการ!
พ่อครูว่า…อาตมาต้องให้ประโยชน์เขาบ้าง อย่าปล่อยทิ้งเขาเลยมันใจดำ เพราะเขาโง่เขาไม่รู้ความจริง ก็ต้องให้รู้ความจริงบ้าง ไปเข้าใจว่าเขาทำถูกแล้วหรือว่าอาตมาไม่รู้เรื่องอะไร เป็นพวกลัชชี เป็นพวกหน้าด้านตำหนิไปแล้วก็เฉย อาตมาก็ไม่ใช่พวกอลัชชี ติมาก็ไม่รู้ว่าเขาด่าว่า ดีไม่ดีด่าแรง ด่าหยาบขนาดนี้ยังหน้าหนา ไม่รู้อีกก็เสียคน ก็ต้องตอบรับเขาบ้าง ไม่ตอบรับเขาเราก็เสีย ไม่ตอบรับเขาเราก็ใจดำไม่มีเมตตาที่จะศึกษาอะไรเลย
จริง เสียเวลาไปกับพวกนี้ คุณจะเอาแต่ประโยชน์ของคุณได้อย่างไรก็ต้องให้เขาบ้าง ไม่ตอบรับอะไรเขาเลยก็ไม่ได้ก็ต้องต่อไปบ้าง ตอบรับคุณก็ตอบรับอยู่แล้วก็ตอบรับเขาบ้างสิ
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง ยิ่งได้ฟังคนที่แสดงภูมิมาต่อว่าพ่อครู มันชั่งน่าสงสารนัก ครับเขาเข้าใจไม่ได้จริงๆ พระที่แท้ที่ดีในความรู้สึกของพวกเขาคือ พระที่มีหน้าที่แค่ตื่นขึ้นกวาดลานวัด แล้วบิณฑบาต ฉันเสร็จก็จำวัดหรือไม่ก็ไปนั่งทำจิตให้สงบ คนมานิมนต์ก็ไปสวดรับซองเงินกลับวัด เงินไม่พอไช้ก็ต้องออกไปเรี่ยไร ทำกฐิณผ้าป่า ให้ศีลให้พรเป็นภาษาต่างประเทศ เวลาอยากได้บุญก็ไปไหว้พระ 9วัดเอาทองไปปิดพระเอาเงินไปชื้อบุญจากพระเท่านี้เพียงเท่านั้นพอ ส่วนพระที่สอนแยกดีชั่วถูกผิด ที่จำเป็นจ้องตำหนิสิ่งที่ไม่ถูกเขาจะไม่เชื่อเลย เพราะเขาถูกครอบงำความดิดได้สำเร็จแล้ว ว่าพระดีต้องไม่อวดตัวไม่ตำหนิไม่ว่าไครๆครับ
พ่อครูว่า…สุขทุกข์เป็นเรื่องยอดของศาสนาพุทธ เรื่องดีเรื่องชั่วเป็นเรื่องสมมติสัจจะ ศาสนาทั้งหลายก็แยกความดีความชั่วได้
ความดีความชั่วไม่เที่ยง ชนหมู่นี้นับอันนี้ว่าดี ว่าชั่ว ไม่เที่ยง อีกหมู่หนึ่งก็นับอีกอย่างหนึ่ง แต่ส่วนความสุขความทุกข์นั้นเป็นความยึดถือของคนว่าเที่ยงทั้งนั้น คนที่เรียนรู้สุขทุกข์แล้วเลิกความสุขความทุกข์ได้หมด ก็คือโลกุตรธรรม ดีชั่วยังเป็นโลกียธรรม ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นโลกุตรธรรม ฟังความรู้นี้เพิ่มเติมไว้ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธไม่มีปัญหาเรื่องดีเรื่องชั่ว ความรู้แบบโลกๆก็รู้ แต่ความสุขความทุกข์นั้นต้องใช้ความรู้ขั้นปัญญาโลกุตระ เพราะฉะนั้นความรู้ความฉลาดทุกวันนี้ จะหาความรู้จักความสุขความทุกข์และเห็นว่าความสุขความทุกข์เป็นเรื่องหลอกเป็นเรื่องอุปาทาน เป็นเรื่องไม่มีจริง อนิจจังทุกขังอนัตตา มันไม่ใช่สุขหรอกมันอัลลิกะของหลอก แต่ความทุกข์จึงเป็นอริยสัจ ความรู้ที่ประเสริฐจึงจะรู้จักทุกข์แล้วล้างเหตุแห่งทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องคู่กันเป็นเรื่องเทวะ ศาสนาพุทธนั้นรู้จักสุขรู้จักทุกข์แล้วดับหมดเลยทั้งสุขและทุกข์ หายไปเลยเลิกสูญหมดจึงไม่มีเทวะ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนา อเทวะ ด้วยประการฉะนี้
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพและศรัทธาเจ้าค่ะ(ลูกเป็นห่วงบ้านเมือง)
พ่อครูว่า…การปฏิบัติธรรมที่ไม่สนใจบ้านเมืองเลย อาศัยแผ่นดินอยู่แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลือแผ่นดินเลย กินอยู่ให้รอดชีวิตไปจนตายก็พอแล้ว คุณเป็นคนเห็นแก่ตัวจัดที่สุดเลย มีแต่ตัวกูของกู ใครจะเป็นอย่างไรกูอยู่รอดของกูคนเดียว พวกนี้พวกเดียวกับพวกเชน ศาสนาที่อยู่แบบมักน้อยไม่เบียดเบียนใคร แต่อยู่ตัวคนเดียว มักน้อยสันโดษอยู่ไปตามธรรมชาติเบียดเบียนธรรมชาติเท่านั้น แน่จริงไม่ต้องเบียดเบียนแม้แต่ธรรมชาติสิ คุณก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่ดี อาตมาก็ต้องอธิบายให้ถึง ขยายความให้ชัด
_พระวุฒิชัย ปภาโส ...พ่อท่านครับ ถ้าในเมืองไทยพระทั่วประเทศสึกเพราะว่าพ่อท่านว่าปฎิบัติผิดไม่ถูกต้อง วัดร้างทั่วประเทศญาติโยมเขาจะอยู่กันยังไงครับ พุทธศาสนาจะเป็นยังไงต่อไป พ่อท่านเองคิดแค่ว่าคนศัทธาแต่อโศกเหรอคับ คนที่เกลียดชังอโศกก็มีนะคับ เพราะตัวพ่อท่านเองไปยุ้งกับการเมือง ถ้าท่านว่าพระสำนักอื่นผิด ผมก็จะว่าท่านผิดเหมือนกัน
พ่อครูว่า…คือคิดเรื่อง impossible เป็นไปไม่ได้ แต่แสนรู้ว่าคนเกลียดชังอโศกก็มี ล้านรู้ก็ได้ แต่เขาชังอาตมาเพราะว่าอาตมาไปยุ่งกับการเมือง แต่ความเห็นความรู้มันต่างกันความรู้ของคุณกับความรู้ของอาตมามันคนละความเห็นคนละความรู้ มันก็ต้องไม่ตรงกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ปรมาณู 2 หน่วยเกิดขึ้นมามันก็มีความแตกต่าง มันไม่มีอะไรเหมือนกันเปี๊ยบ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาหรอกคุณเห็นต่างก็เป็นธรรมดา คุณก็ย่อมเห็นต่างได้ คุณจะไปเห็นตรงกันกับอาตมาครบนี่สิยาก เพราะมีนัยะละเอียดอีกเยอะ
_คาย เดอะ สกาย ผมฟังคลิปมาได้ครึ่งคลิปก็ได้เห็นและได้ฟังพระรูปนี้พูดปดไปเยอะแล้ว อดไม่ได้ที่จะตอบเม้นท่านสักหน่อยต่อให้ท่านเป็นพระอาวุโสโอเคมาจากไหนก็เถอะเมื่อมีการจาบจ้างล้วงเกินพระศาสนาที่เป็นพุทธมหานิกายของประเทศไทยก็ตอ้งขอตำหนิติชมท่านสักนิด
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ตอบปัญหาเรื่องกฐินผ้าป่าและการรับบริจาคเงิน
1. เรื่องประเพณีการถวายผ้าป่าทอดกฐินนั้นเป็นประเพณีเก่าที่สืนสันดานมาจากพุทธกาล ผ่านมาจนวันนี้ก็25สตวรรษ ย่อมมีการหลุดร่วงเปลือกในออกไปบ้างแต่ประเพณีก็ยังดำรงอยู่..
(พ่อครูว่า…ไม่ใช่ประเพณีที่ดีที่สืบทอดกันมาอย่างถูกต้องเลยทำกันได้บาปทั้งนั้น ประเพณีที่เน่าแล้วไม่ควรดำรงอยู่ไว้เลย ผ้าทุกวันนี้มีมากเฟ้อไปแล้ว ต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ว่าไม่ควรแล้ว ไม่ควรมีแล้ว เลิกได้ เพราะฉะนั้นคนที่งมงายก็งมงายไป ส่วนพวกอาตมาเลิกงมงายแล้วเป็นพวกมีปัญญาส่วนพวกไม่มีปัญญาก็งมงายต่อไป) เพื่อเป็นการดำรงพระศาสนาไว้เป็นการดีมิใช่หรือ (พ่อครูว่า…ไม่ใช่เป็นการดำรงศาสนาแต่เป็นประเพณีออกนอกรีตเน่าเฟะไปหมดแล้ว ขออภัยที่พูดตรงๆอย่าไปยึดติดกันจนงมงายกลายเป็นพูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เป็นการดำรงศาสนาเลย ฟังให้ดีจะได้ปัญญา) ท่านก็พูดถูกว่าสมัยก่อนมันหาผ้ามาทำยากกว่าสมัยนี้ สมัยนี้มันหาง่ายก็เลยใช้เงินตราเข้ามาแทนเพื่อการง่าย วันก่อนยังเห็นท่านไปบิณฑบาตรรับซองปัจจัยมาใส่อังษะตัวเองเลย (พ่อครูว่า…ถูกอาตมารับมาแต่ไม่ได้รับมาเอามาใช้เพื่อตัวเองเลย แม้แต่จะเอาไปซื้อยาเพื่อรักษาตัวเองก็ไม่ซื้อ แม้หิวใกล้จะตายแล้วจะต้องเอาเงินไปซื้ออาหารมากินก็จะไม่ซื้อไม่ทำแบบนั้น อาตมารู้ว่าทำนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวกูของกู ทุกวันนี้จำนนอยู่ว่าต้องใช้เงินในการสร้างศาสนวัตถุ พิธีการศาสนาอะไรต่างๆก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ยิ่งอาตมาทำสาธารณโภคีต้องรวมเงินไว้กองกลางเพื่อให้เป็นสังคมสาธารณโภคี ที่อยู่กันอย่างสวยสุด เป็นสังคมสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าที่สวยสด มันมีสาราณียธรรม 6 เพราะจิตใจมีพุทธพจน์ 7 อาตมาพูดอย่างมีอ้างอิงธรรมะ ไม่ได้พูดลอยๆตามความเห็นตัวเอง ศึกษาให้ดีแล้วจะได้ความจริง) แล้วอย่างนี้ท่านผิดใหม่ละ (พ่อครูว่า…อาตมารับเงินมานี้ไม่มีอาบัติไม่ผิดไม่เสียหาย) ในซองนั้นคงไม่ใส่ 50สตางค์หรอกนะ (พ่อครูว่า…บางทีเป็นหมื่นเป็นแสน) ต้องเกินบาทหนึ่งอยู่แล้ว ท่านก็ต้องอาบัติมิใช่หรือ พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้มีอาบัติ ขออภัยพูดให้สุดเลย ดีไม่ดี หมู่สงฆ์อาตมายกสติวินัยให้อาตมาแล้วด้วย อาตมาเป็นพระอรหันต์ อาตมามีความจริงใจซื่อสัตย์เพียงพอ พูดไปนี้คุณจะพอรู้เรื่องไหมตามหลักธรรมะพระพุทธเจ้าเลยนะ อาตมาทำอย่างสูงสุดตามหลักธรรมะพระพุทธเจ้าเลยนะ คุณจะเข้าใจได้ไหม หากคุณยังไม่เข้าใจก็ฟังไว้อาตมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม) หรือว่าวัดท่านทำได้วันอื่นทำผิดพระวินัยหมดทั่วประเทศ พ่อครูว่า…มันมีนัยยะมิติที่ต่างกันนะ แล้วท่านว่าวัดทั่วประเทศไทยรับเงินปราชิกหมด (พ่อครูว่า…อาตมาว่าเอากันจริงๆ ปาราชิก เพราะว่าทำผิด นอกจากพระบางรูปท่านไม่ยุ่งเรื่องเงิน องค์ที่ยุ่งกับเงินส่วนใหญ่ปาราชิกทั้งนั้น แค่ 5 มาสก แค่บาทหนึ่งปาราชิกแล้ว) ท่านไปเรียนพระธรรมวินัยเล่มไหนมา (พ่อครูว่า… 8 เล่ม) ว่าการรับเงินเกิน1บาทขึ้นไปปราชิก ในปราชิก4มันมีว่าด้วยเรื่องการรับเงินด้วยหรอท่าน ท่านว่าพระธรรมกายผิดแล้ววัดท่านหละใหญ่โตเป็นพันๆไร่ (พ่อครูว่า…อาณาจักรธรรมกายแค่ที่ไม่เอาเข้าเป็นส่วนกลางเป็นมูลนิธิให้เป็นของรัฐ แล้วเขาก็บริหารเป็นส่วนตัวเป็นมูลนิธิควบคุมประธานมูลนิธิทั้งหมดมันซ้อนอยู่ ไปดูรายละเอียดสิ ส่วนของอโศกพวกเราเอาเข้าเป็นมูลนิธิเป็นสมาคมทุกอย่างเป็นของรัฐหมด แต่ที่ของธรรมกายหรือที่ดินธรรมกายนั้นเป็นของส่วนตัวโดยเป็นของมูลนิธิที่มีคนควบคุมใช้เป็นส่วนตัวทั้งหมด) พระวินัยเล่มไหนสอนท่านหรือท่านอาศัยศาสนาพุทธแล้วฉีกแขนขาพระพุทธเจ้าออกมาหากินเป็นลัทธิตัวเอง ให้พระประกอบอาชีพเยี่ยงฆราวาส พ่อครูว่า…ที่ไหน คุณมาดูที่นี่ คุณพูดตื้นว่า ถ้าประกอบอาชีพเยี่ยงฆราวาส แต่ฆราวาสที่นี่ประกอบอาชีพเยี่ยงพระเลย คือพ้นมิจฉาชีพ 5 ได้เลย ฆราวาสประกอบอาชีพเยี่ยงพระ แต่คุณไม่รู้เรื่องเลยมาบอกว่าฆราวาสประกอบอาชีพเยี่ยงพระ คุณเข้าใจผิด เอาหัวเดินต่างตีนไปเลย) ทำธุระกิจเปิดโรงงานใหญ่โต พ่อครูว่า…โรงงานที่เปิดมีฆราวาสเป็นตัวหลัก พระที่ไปช่วยงานไม่ได้เป็นตัวหลัก ยกตัวอย่างไปขุดดินฟันหญ้า พระท่านก็รู้ว่าพระวินัยไม่ให้ทำ แต่ท่านก็ไปเป็นเรี่ยวแรง ท่านไม่ได้ไปขุดทำอย่างที่คุณว่า มีบางครั้งพระบางองค์ก็ไปช่วยโดยจำนนเป็นครั้งคราวไม่อย่างนั้นปล่อยไปก็เสียของ เสร็จแล้วท่านก็รู้ด้วยเจตนาโดยสติท่านก็ไปปลงอาบัติเพราะสุดวินัย มีบ้าง บางครั้งคราว แต่ไม่ใช่ทำอย่างไม่รู้วินัยเละเทะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง error เล็กน้อยเกินวินัยเหลือวิสัยก็ช่วยบ้าง) มีวิหารก่อสร้างไม่ต่างจากวังหลวง ท่านกล้ากล่าวโทษพระรูปอื่นว่าอาบัติแต่มองไม่เห็นความผิดตัวเองแม้เส้นผมบังก็ยังไม่มีตามองเห็นตัวเอง..ผมฟังมาหลายคลิปดูจริยาวัตรพระรูปนี้มาหลายคลิปไม่มีความน่าเลื่อมใสเลย ทั้งคำเทศสอน การเดินบิณฑบาตร ไม่เหมือนพระอาวุโสเกจิที่รู้ธรรมปฏิบัติธรรม เป็นแต่เพียงพระหลวงตาธรรมดาที่นอนในห้องแอร์จิบกาแฟนั่งขาไขว้ห้าง (พ่อครูว่า…อาตมานั่งไขว่ห้าง ทุกอย่างบรรยายความจริงเปิดเผยหมดถ่ายให้คุณดูไม่มีอะไรปิดบัง ที่อาตมาจิบนี้ไม่ใช่กาแฟนะแต่เป็นปัสสาวะ พออาตมานั่งแล้วเขาก็เอาปัสสาวะหนึ่งแก้วให้จิบ นานๆทีมีคนเอากาแฟมาถวาย เป็นคนจรไม่รู้เรื่องนานๆที แต่ว่าทุกวันที่ดื่มคือน้ำเยี่ยว ที่อาตมาดื่มทุกวัน แค่นี้คุณก็ไม่รู้เรื่องรายละเอียดขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแก แต่ขอนั่งไขว่ห้างหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร มีบ้าง แต่น้อย ส่วนมากนั่งขัดสมาธิ แค่นี้ก็ไม่ได้ ขอหน่อย) แล้วกล่าวจาบจ้วงพระรูปอื่นที่ไม่ใช่ลัทธิของตน (พ่อครูว่า…ไม่ได้จาบจ้วง แต่เจตนากล่าวตำหนิเพราะมันควรตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิก็ควรตำหนิตามคำสอนพระพุทธเจ้า ที่จะขนาบแล้วขนาบอีกตำหนิแล้วตำหนิอีกตามคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาทำหน้าที่ตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง เพราะลัทธิที่ทำกันมันผิดเลยต้องตำหนิ แต่ใช้ชื่อศาสนาพุทธเขาก็ใช้เหมือนกับเรา ถ้าคนมาใช้ชื่อศาสนาพุทธเหมือนกับเรา เราก็ต้องตำหนิ เพราะปลาตัวเดียวเน่าก็เน่าทั้งข้อง อาตมาก็ต้องรักษา)พระที่มีธรรมสูงเขาไม่พูดปดเพ้อเจ้อหรอกท่าน พ่อครูว่า…คุณไปหลงคำเพ้อเจ้อเป็นเรื่องจริงแต่อาตมาไม่มีการพูดปดไม่มีเพ้อเจ้อ แต่คุณก็ไปหลงคำที่เขาพูดปดที่เพ้อเจ้อว่าเป็นคำจริง) ที่พระบางรูปต้องการให้ญาติโยมบริจาคเงินนั้นก็เป็นการสงเคราะห์ชาวโลก(พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาคงเปิดโอกาสให้ญาติโยมบริจาคเงินเพื่อสังเคราะห์ชาวโลก) นอกเหนือจากบำเพ็ญธรรมแล้ว เช่นหลวงพ่อคูณ หลวงตามหาบัวเป็นต้น (พ่อครูว่า…คุณก็ไปมองรูปหยาบเท่านั้นเพราะอาตมาไม่ได้ไปสร้างภาพแบบมหาบัวอย่างหลวงตาคูณอาตมาทำอย่างไม่หยาบเท่านั้นเลยทำอย่างละเอียดแต่คุณก็เห็นเป็นเรื่องหยาบ จริงๆแล้วไม่ผิด หลวงพ่อคูณได้เงินมาแล้วก็เอาไปสร้างการกุศลทางวัตถุช่วยชาติ แต่อาตมาไม่ได้ทำใหญ่ทำมากมาย แล้วเอารูปใหญ่ๆอย่างนั้นมาประกอบอลังการของตัวเองเพื่อโชว์ออฟ ว่าฉันยิ่งใหญ่ หาเงินเข้าคลังอย่างมหาบัว ไม่ได้ขายพระเครื่องหลอกให้คนงมงายเยอะแล้วเอาเงินมาบริจาคอะไรต่ออะไร ซึ่งมันเป็นการโชว์ความฉลาดเฉโก แบบโลกๆที่เอามาสร้างภาพให้แก่ตัวเอง อาตมาข้ามพ้นจากการสร้างภาพให้แก่ตัวเองแล้ว มีแต่เรื่องตำหนิสิ่งผิดบอกสิ่งถูกเรื่องการสร้างภาพอาตมารังเกียจ เลิกมานานแล้ว คุณเข้าใจอาตมาไม่ถูกต้อง ไม่งั้นคุณต้องหลงผิดอย่างนี้ไปอีกนาน) แต่ท่านเหล่านี้ก็ไม่เคยยึดมั่นในทรัพย์ ไม่ยึดในวัตุถุทาน (พ่อครูว่า…ก็เป็นความดีของมหาบัวของหลวงพ่อคูณที่ไม่ยึดมั่น แต่รู้ไหมว่า มหาบัวหรือหลวงพ่อคูณทำทานแล้วไม่ได้ขาดจิตจากสาเปกโข ยังมีความหวังที่เป็นภพชาติ มหาบัว หลวงพ่อคูณจะรู้จักอาการจิตที่เป็นสาเปกโขไหม ท่านจะทำทานแล้วสูญ มันจะมีไหม เอามาคุยเขื่องตลอด แม้ไม่คุยเองลูกศิษย์ลูกหาก็เอามาคุย คือมีลีลาที่จะให้ตัวเองเด่นให้ตัวเองดี รักษาท่าทางลีลา นัจจะคีตะวาทิตะให้ตนเองเด่นอีกเยอะ ส่วนอาตมาไม่รักษา ส่งเสียงสำเนียงภาษาเพื่อให้ตัวเองเด่นตัวเองโก้ อาตมาไม่มีตัวตน ใครจะว่าดีหรือไม่ดีอาตมาก็หลุดพ้น อาตมาไม่มีตัวตน เข้าใจให้ดี อาตมาเป็นพระที่ไม่มีตัวตนก็ไม่แคร์หรอกว่าคุณจะว่าอาตมา ด่างพร้อยอย่างไร อาตมาพ้นแล้วจากสิ่งเหล่านี้อาตมาพูดความจริง ก็ศึกษาให้ดีๆ) ท่านเป็นแต่เพียงสะพานบุญเพื่อยังประโยชน์แก่ชาวโลกเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติอย่างนี้คือ (พ่อครูว่า…อาตมาก็ปฏิบัติอย่างนี้อย่างพระพุทธเจ้า แต่อาตมาว่ายังหลวงตาบัว หลวงพ่อคูณไม่ใกล้เคียงอาตมา อาตมาใกล้เคียงพระพุทธเจ้ามากกว่าหลวงพ่อคูณ คุณเทียบมีส่วนจะว่าหลวงพ่อคูณมหาบัวสะพัดออก แต่นัยยะที่จะละเอียดถึงขั้นจิตวิญญาณถึงขั้นที่จะหมดภพชาตินั้นศึกษาดู)
1. เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็เสร็จกิจทางธรรมเรียกว่าโลกุตตระธรรมล้วงไปแล้ว
2.บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกเพื่อโปรดชาวโลก เช่นการเทศ การสอนให้ถวายทาน ละความตระหนี่ การบริจาคเพือ่ส่วนรวมเป็นการช่วยเหลื่อเพื่อนมนุษย์ ...แต่พระรูปนี้กลับทำเพื่อลัทธิตัวเองทั้งนั้น หามาเพื่อพวกพ้องตัวเอง (พ่อครูว่า… ถามว่าใครได้เงินเบี้ยบาทจากอาตมาบ้าง...ก็ไม่มี คนจะมาบริจาคให้ชาวอโศกนั้นไม่ใช่คนทั่วไปจะมาบริจาคได้ง่าย ต้องมีกติกาที่จะมาบริจาคได้ จึงเป็นผู้ที่ต้องเป็นสมาชิกมาบริจาค จึงมีเงินมาบริจาคไม่มากแล้วก็ใช้เงินนี่แหละบริหารในระบบสาธารณโภคี จะเข้าใจแล้วคนแต่ละคนต้องศึกษาให้ดี ให้เกิดจิตวิญญาณที่มีอัญญธาตุหรือมีปัญญา แล้วจะเข้าใจสิ่งที่อาตมาพาทำนี้ได้) แถมยังกำหนดกฏเกณฑ์บ้าๆของการบริจาคทาน สมัยพระพุทธเจ้าแค่คิดจะให้ก็ได้บุญแล้ว แต่วัดท่านต้องอ่านหนังสือเจ็ดเล่มบ้าบออะไร นี่ถ้าลูกศิษย์โดนรถชนใกล้ตายจะขอบริจาคเลือดคงไม่ต้องมาปฏิบัติตามกฏเกณฑ์บ้าบออะไรแบบนี้คนเจ็บตายก่อนพอดี..ตัวท่านเองนั่นแหละมีปัญหา(พ่อครูว่า…คนก็ไปตรวจสอบปัญญาของคุณให้ดีว่าปัญญาของคุณมีปัญหาหรือเปล่า หรือว่าปัญญาของอาตมาเป็นปัญหา) ความคิดท่านนั่นแหละขวางโลกขวางธรรม (พ่อครูว่า…ใช่อาตมาของโลกจะมาขวางธรรมะที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ) มองสิ่งธรรมดาไม่ออก มองความเป็นจริงไม่เป็น(พ่อครูว่า…คุณดูถูกอาตมามาก อาตมานี่แหละนักมองความจริงเป็นและมองความจริงออกและถูกต้อง) จึงนึกมโนเอาเอง อ่านหนังสือเอาเอง(พ่อครูว่า…แล้วอาตมาจะเอาตาคนอื่นมาได้อย่างไร) แล้วก็ถือปฏิบัติแบบผิดๆสอนแบบผิดๆ มายึดมั่นกับสิ่งที่ตนคิดหรือทิฏฐิ ตัวนี้แหละที่ท่านยึดมั่นไม่ปล่อย(พ่อครูว่า…เอ้า มันต้องสรุปตรงที่ว่าความเห็นของคุณกับความเห็นอาตมามันต่างกันแล้ว)
...คำพูดใดก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม คำพูดนั่นย่อมไม่ดี (พ่อครูว่า…ใช่คำพูดใดที่ทำให้สังคมแตกแยกไม่ดี แต่ถ้าคำพูดที่วินิจฉัยว่าทำให้คนรู้ว่าอันนี้ดีอันนี้ชั่ว ให้คนเขารู้จักเข้าใจชัดเจนถูกต้อง อันนี้เป็นความแยกดีแยกชั่ว แยกถูกต้องไม่ถูกต้องอย่างชัดเจน จึงเป็นคำพูดที่ดีมาก ส่วนคนที่พูดให้เกิดความแตกแยกนั้นใช่ พูดโดยไม่ถูกต้อง แต่คนที่รู้แล้วทำให้ถูกต้องผู้นั้นย่อมมีดีมากๆ)
ถ้าเป็นความคิดของผู้ใด ผู้นั้นย่อมเป็นคนไม่ดี
#มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่พูดไม่ดีแล้วบอกอ้างว่าตนคิดดีหวังดี (พ่อครูว่า...เอ๊ะใครหว่าคุณหรืออาตมา คุณเอง ยังไม่กล้ายืนยันมั่นใจเองว่าคุณพูดถูกคุณพูดดีคุณยังไม่กล้าเต็มที่เลย แต่อาตมากล้า อาตมาจะไม่พูดผิด จะไม่เอาคำผิดสิ่งผิดมาพูด เอาแต่ความสุข แม้แต่ความผิดที่ผิดก็ว่าผิด เหมือนว่าคุณผิดก็ว่าผิดไม่ปนเป คุณต้องเรียนรู้ความเป็นเทว ความเป็น 2 นี่เอง ความสุขความผิดนี้มันเร็วเป็นสิริมหามายา รวมทั้งสมมุติและปรมัตถ์ เมื่อไหร่ จะเอาที่สมมุติจะเอาที่ปรมัตถ์มันลึกซึ้ง)
_Dtvn Fybn แล้วที่ออกไปเดินม็อบ นกหวีด มันคือ อะไร ห่อผ้าอยู่แท้ๆ อายผ้าที่ใส่บ้าง อย่าไปว่าวัดอื่นเขา เอาแค่ตัวเองให้มันดีก่อน ความรู้ท่าน ผมเคารพ แต่การกระทำ มันไม่ใช่
พ่อครูว่า…คุณต้องศึกษาอีกเยอะเลยว่าศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อมนุษยชาติ ก็ต้องช่วยคน อาตมาภาคภูมิใจที่ได้ช่วยสำเร็จโดยไล่รัฐบาลที่เป็นทรราชออกไปสำเร็จถึง 4 รัฐบาล และ รัฐบาลที่ 5 ที่ยังวกเวียนไปมาว่าตนเองจะเป็นทรราชหรือไม่ คือประชาธิปัตย์ ก็ไปไล่ถึง 5 รัฐบาลช่วยประเทศไทยเอาไว้รอดพ้นมาได้จริง ด้วยความสงบ ไม่มีอาวุธถูกต้องตามทำทุกอย่าง นี่เป็นบันทึกประวัติศาสตร์หรือศาสนาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เรียบร้อยดีมากเลยไม่อย่างนั้นจะเกิดกลียุคเกิดการฆ่าแกงกัน แล้วอาตมาภาคภูมิใจที่เห็นประสิทธิภาพของความสงบมันสยบความรุนแรงได้ ซึ่งอันนี้แหละคนไม่มีภูมิปัญญาพอจะมองออก ว่านี่คือสุดยอดอาวุธวิเศษของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมืองไทยใช้สำเร็จเมืองอื่นใช้ไม่ได้เอาความสงบสยบลูกปืนไม่ได้ มีเมืองไทยเท่านั้นทำได้ จึงเป็นประชาธิปไตยที่สูงสุดยอดแล้ว
มีมวลประชาชนแล้วไม่มากเท่าไหร่ด้วยนะ เข้าไปแสดงความสงบสยบความรุนแรงได้ยืนยันอยู่แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย ไปนอนไปกินกลางถนนอยู่เป็นปี ซึ่งสุดยอดเลย ศึกษาให้ดีแล้วคุณจะรู้จักรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์การเมืองที่เยี่ยมยอด
คนมาหาว่าอาตมาหอบผ้าอยู่แท้ๆคงหมายถึงผ้าจีวรบอกว่าอายผ้าที่ใส่บ้าง แล้วอาตมาจะไปอายทำไมเมื่อจะมาทำสิ่งที่ประเสริฐทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม คุณน่ะไปว่าพระที่ไปห่อหุ้มไปเอาโน่น คุณไม่มีความรู้จะไปว่าพระผิดแต่ไปว่าพระถูกอีก ศึกษาให้ดีก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ตอบปัญหา ฌาน สมถะ และปัสสัทธิ
_นอน นาม ...ฌานไม่ใช่ตัวที่บรรลุมรรคผลได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ใช้เป็นแค่อุบายธรรมล่อจิตให้สงบเป็นสมาธิเท่านั้นตามพระธรรมคำสอนของพระศาสดา
พ่อครูว่า…คุณพูดว่าฌานไม่ใช่ตัวบรรลุมรรคผลนั้นถูกต้อง แต่ไปบอกว่าใช้เป็นอุบายเครื่องล่อ ให้สงบ เป็นสมาธิเท่านั้น แล้วมาขี้ตู่คำสอนพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นตามพระธรรมคำสอนพระศาสดา พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเช่นนี้
ฌานคือพลังงานไฟ ไม่ใช่ตัวล่อแต่เป็นตัวประหารเลย ฌานเป็นตัวที่มาก่อนบุญ
ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายให้ดีอาตมาเอาทั้งรูปและนามมาอธิบาย
พลังงานฌาน หรือพลังงานที่มีประสิทธิภาพถึงกับบุญ บุญเป็นพลังงานสุดยอดเหมือนปรมาณู ที่ระเบิดตูม พลังงานปรมาณูก็จัดการทำลาย สิ่งที่จะทำลายคือกิเลส เมื่อบุญทำลายกิเลส ระเบิดมันก็ทำลายกิเลสได้ส่วนหนึ่งก็ตามได้ 2 ส่วนก็ตามหรือได้หมดก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของประสิทธิภาพของบุญ ส่วนฌานคือพลังงานที่รวมกัน แต่ละคนสร้างฌาน สมณะนักบวชสร้างพลังงานจิตให้เป็นพลังงานฌานที่จะมีพลังงานมีประสิทธิภาพไปสลายกิเลส มันต้องมีความรู้เลือกเฟ้นเอาตัวกิเลสมาทำลายนะ ให้มีประสิทธิภาพแปลงเป็นพลังงานไฟ ฌานเป็นพลังงานไฟที่เป็นไฟที่สูงกว่าไฟราคะโทสะโมหะ มีประสิทธิภาพสลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ขอยืนยันว่าไม่มีอาจารย์คนไหนตอนนี้มาอธิบายเหมือนกับอาตมา
อาตมาอาจพูดแรงเหมือนอวดตัวตน ขออภัย แต่ต้องยืนยัน เพราะไม่มีใครมาช่วยอาตมาอธิบายเลย อาตมาอธิบายจนเมื่อย
ฌาน ไม่ใช่ตัวที่บรรลุมรรคผลได้ถูกต้อง แต่เป็นการใช้เป็นเครื่องอุบายล่อจิตนั้นไม่ถูกต้อง นี่คือความไม่รู้แล้วใช้ภาษา อาตมาก็เข้าใจตามที่คุณเขียนมา มันไม่ใช่เครื่องล่อจิตให้สงบ แต่ฌานและบุญเป็นตัวกำจัดกิเลส จิตที่ตายจากกิเลสแล้วก็สงบสะอาดตกผลึกลงเป็นสมาธิ ไม่ใช่อุบายเครื่องล่อมาให้สงบ ล่อออกมามันจะสงบได้อย่างไรออกมาเฉยๆ
คุณไปเอาจิตของคุณ เอาตัวจิตคุณไปหยุดพลังงาน แต่พลังงานมันจะต้องเคลื่อนไหว พลังงานมันมีพลังงานตัวยึดกับตัวเคลื่อน เป็นพลังงานธรรมชาติที่เรียกว่า รูปมันก็หยุด นามมันก็เคลื่อนไหว สองตัวนี้คุณต้องแยกให้ออก พลังงานหยุดก็เป็นตัวแกนพลังงานตัวที่เคลื่อนไหวก็เป็นตัววิ่ง พลังงานสูงสุดก็ต้องมีอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ธาตุอุเบกขานี้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส แม้จะทำงานกระทบสัมผัสอย่างไรก็ยังบริสุทธิ์ ปริโยทาตา มุทุ เป็นพลังงานที่เร็วไว รักษาตัวเองได้ แล้วสามารถขจัดสิ่งที่เป็นพิษภัยอีกได้ด้วยมุทุภูตธาตุ จึงเป็นพลังงานที่กัมมัญญา ทำงานได้ดีเหมาะควรที่สุด ทำงานแล้วก็ยังประภัสสรอยู่
นี่คือคุณสมบัติของอุเบกขา 5 ประการ ที่อาตมาอธิบายด้วยภาษาไทยไม่มีใครมาขยายความอย่างอาตมานี้ดอก คุณมองอาตมาอย่าดูถูกอาตมา เปิดใจรับฟังอาตมาบ้าง อาตมาเป็นสัตบุรุษพูดตรงๆไม่ได้อวดตัวอวดตนยกตัวยกตนอะไร อาตมาเป็นผู้รู้ธรรมะจริง เป็นผู้ที่สืบทอดรับอาสาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า พูดไปหลายครั้งหลายคราวแล้ว อาตมาพูดไปอย่างไม่มีจิตอยากอวด สาเฐยจิต พูดไปด้วยจิตบริสุทธิ์ จะหาคนที่ดีสะอาดบริสุทธิ์ในยุคนี้เท่าอาตมาไม่ได้หรอก ขออภัยพูดใหญ่โตแต่อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ได้ขนาดนี้แหละ
แต่ในยุคนี้มันมีแต่อาตมาเป็นสยังอภิญญาคนเดียว ใครก็ไม่กล้าพูดหรอกว่าเขาเป็น สยังอภิญญา ถ้าเขาไม่จริงอาตมาจริงจึงกล้าพูด คุณว่าไม่จริงก็เอาพระไตรปิฎกมาตรวจกันเลยว่าตรงไหนที่มันผิดเพี้ยน ยืนยันกันที่พระไตรปิฎก ไม่เช่นนั้นไม่มีอะไรเป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยันใช่ไหม จะไปยืนยันกับพระเจ้าตัดสินก็ไม่ได้เพราะอาตมาเป็นศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาพระเจ้า ต้องมีสิ่งยืนยันได้
สมถะเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น วิปัสสนากรรมฐานเป็นแนวทางฝึกให้เกิดปัญญาบรรลุมรรคผล พิจารณารูปนามในตัวเองก็คือสติปัฏฐาน 4 ที่พระศาสดาตั้งไว้ดีแล้ว ตั้งสติไว้ที่กายดูที่กาย พอเวทนาเกิดขึ้นมาตั้งสติไว้ที่เวทนา (ตรงนี้ต้องมีอานิสงฆ์จากการฝึกสมถะกรรมฐานถึงจะมีกำลังผ่านไปได้) ตั้งสติไว้ที่เวทนา จนเห็นจิตขึ้นมาตั้งสติไว้ที่จิต จนเห็นธรรมขึ้นมาตั้งสติไว้ที่ธรรม พิจารณารณาดูจนรู้แจ้งจนเกิดปัญญารู้แจ้งทำลายกิเลส
พ่อครูว่า...คุณบอกว่าสมถะเป็นเพียงทางผ่าน ครูบาอาจารย์ที่เขาปฏิบัติการเป็นแค่สงบอย่างสมถะ คุณต้องเข้าใจให้ได้ระหว่างคำว่าสมถะกับปัสสัทธิ ความสงบด้วยสมถะนั้นเป็นธรรมชาติ คนเราทุกคนก็มีพลังงานกดข่ม คุณต้องมาเรียนรู้ ปหาน 5 ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีรายละเอียดที่ครบถ้วนได้ ผู้ที่มีวิปัสสนาเต็มที่แล้วไม่ต้องใช้สมถะก็ได้ คุณก็พอรู้มีอะไรที่ถูกต้องบางส่วน
จะต้องรู้สภาวะของกายคืออะไร กายถ้าไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ได้เลย เป็นแค่อุตุนิยามไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ แม้แต่เป็น พีชนิยาม ต้องรู้ว่ากายที่ไม่ใช่กาย แต่เป็นอุตุนิยาม เป็นธาตุดิน น้ำไฟ ลมแล้ว คุณต้องแยกกายแยกจิตให้ได้ในมูลกรรมฐาน 5 อธิบายแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ก็ไม่ออกแล้วจึงทำ กรรมนิยาม ธรรมนิยามไม่ได้ เพราะแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ในกรรมฐาน 5 นั้นอุปัชฌาย์ต้องให้กรรมฐาน 5 ตอนบวช แต่เมื่อพิจารณาไม่ถูกก็ไปพิจารณา ก้าวหนอย่างหนอ การเคลื่อนไหวของกายวาจาใจ ไปเข้าใจผิดอย่างนั้นไม่ใช่เป็นการแยกธาตุ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม เดี๋ยวนี้ไม่มีไม่พูดถึงด้วย ซึ่งมันจะหมดแล้วศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าน่าสงสาร
การจะไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม หากว่ากายคุณก็ไม่รู้แล้วก็จะเป็นปฏิบัติอย่างไร เวทนาก็ไม่รู้อีก แล้วไม่เรียนรู้เวทนา 108 จึงไม่เรียนรู้เวทนาเป็นกรรมฐาน แล้วไปสอนกรรมฐานเป็นกสิณ 40 ก็เป็นการอยู่กับสมถะแค่นั้นเป็นเทวนิยม Meditation ไม่ได้เกิดเป็น Supra Concentration สมาธิแบบของพุทธไม่มีแล้ว
กายนั้นไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียวแต่ให้แยกแยะธรรมะสองในนั้นด้วย อะไรผิดอะไรถูกอะไรควรอาศัยอะไรควรเอาอะไรไม่ควรเอา ก็ควรเอาสิ่งที่ไม่ดีออก อาศัยสิ่งที่ควร แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวเราของเราเราอาศัยแค่นั้นไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราตัวเราแต่เราต้องอาศัยพ่อเรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตชีวาเป็นเหตุยังเป็นโลกสมุทัยอยู่ ยังไม่ใช่โลกนิโรธเสียทีเดียว
ตรงนี้ต้องมีอานิสงฆ์จากการฝึกสมถะกรรมฐานถึงจะมีกำลังผ่านไปได้ ...อันนี้คุณพูดภาษามา โก้ แต่จะเข้าใจได้ถึงขนาดไหน คุณกล่าวว่านั้นไม่ได้มี โพชฌงค์ 7 ในการพิจารณาเลย เอาแต่ตั้งใจแล้วมันก็จะได้อย่างนั้นมันไม่ได้หรอก ต้องมี สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ไปตามลำดับ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ตอบปัญหาเรื่องนานาสังวาส
_สาย บุญ นานาสังวาส คือสังวาสไม่เสมอกันใช้ไหม คือศีลไม่เสมอกันใช้ไหม
และธรรมยุตกับมหานิกาย ศีลเสมอกันไหมแล้วสังวาสมันต่างกันตรงไหน
ท่านผู้รู้ ชี้แจงด้วย
พ่อครูว่า...สังวาส แปลว่าร่วมกันอยู่ นานา แปลว่าแตกต่าง
ต่างกันกับคำว่านิกายก็คือแยกกันอยู่เลยคนละนิกายแล้ว ไม่ร่วมกันเลย นี่คือแยกนิกาย
ส่วน นานาสังวาสนั้นไม่ได้แยกขาดนิกาย
อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่พ.ศ 2518 เพราะอยู่ด้วยมา 5 ปีไม่ไหว มันต่างกัน อาตมาไม่ได้แยกนิกาย แต่ผู้ใดมาต่อว่าจะมาแยกในกายผู้นั้นได้อนันตริยกรรมเอง อาตมาไม่ทำนิกาย
นานาสังวาสนั้นมันไม่เหมือนกันทีเดียว ลงกันเป๊ะไม่ได้ ศีลไม่เสมอกัน
นานาสังวาสนั้นจะมี 1. ศีลไม่เสมอกัน 2. ข้อปฏิบัติคนละอย่างกัน เช่น เราไม่กินเนื้อสัตว์แต่คุณกินเนื้อสัตว์ เราไม่ใช้เงินแต่เขาต้องใช้เงิน อย่างนี้เป็นต้น อะไรอีกหลายอย่างที่ต่างกันมาก 3. ความเข้าใจความเห็นความรู้ การอธิบายธรรมะคนละอย่าง เราอธิบายอย่างนึงเขาอธิบายอย่างนึง อย่างนี้คือนานาสังวาส
แม้แต่ ธรรมยุตกับมหานิกาย ในหลวงรัชกาลที่ 4 ท่านก็ประกาศนานาสังวาส ศีลไม่เสมอกัน แล้วนานาสังวาส ก็คือพุทธร่วมกันแต่มีความต่างคือนานา แต่ถ้าไปแยกจนกลาย เป็นนิกายก็มีอนันตริยกรรม
เพราะฉะนั้นไม่ควรจะเรียกธรรมยุติกนิกาย หรือมหานิกาย เอาคำว่านิกายมาใส่มันก็เป็นอนันตริยกรรม แต่ทุกวันนี้เขาก็พยายามปรับพฤติกรรมให้เข้ากันได้ แต่มันก็เข้ากันได้ในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าที่แยกไว้เป็นนานาสังวาส ลงสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ แต่ร่วมกันในส่วนที่ร่วมกันได้มันก็มีอยู่ ที่พระพุทธเจ้าอธิบายไว้นานาสังวาสมีเยอะ อันไหนร่วมกันได้เราก็ร่วมกัน แต่ส่วนการทำสังฆกรรมนั้นร่วมกันไม่ได้
มีสังฆกรรมที่รวมกันไม่ได้เช่นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ คนนี้ยังมีเงินยังไม่สละออก ก็จะร่วมลงปาฏิโมกข์ที่เป็นสังฆกรรมกับเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระข้างนอกมา พระองค์นี้สละออกไปแล้วไม่ใช่แค่สละเอาไว้เฉยๆนะ แต่ให้คนอื่นไปเลยคุณไม่มีแล้ว ไม่ยึดถือว่าอันนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่ใช่ฝากเอาไว้อย่างนี้ยังไม่ได้ ต้องให้ไปเลยไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา สละออกไปเลย อย่างนี้คุณถึงจะมาร่วมปาติโมกข์กับเราได้เป็นต้น
า
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ตอบปัญหาสำหรับผู้สงสัยในไตรสิกขา
_เอซุส เวสเกต
...กราบขอบพระคุณท่านพ่อครูและลูกศิษย์ท่านพ่อครูมากครับที่เมตตาสนทนาตอบกลับมา ซึ่งทำใหผมได้เข้าใจในปฏิปทาของท่านพ่อครูขึ้นอีกมากครับ เป็นพระคุณอย่างสูงครับที่ท่านอนุเคราะห์กลับมา...ก่อนอื่นกระผมอยากจะขอขมาขออโหสิกรรมจากพ่อครูอีกสักรอบก่อนนะครับเพื่อความสะบายใจ กราบขออภัยจริงๆครับสำหรับวาจาคำหยาบที่กระผมได้ล่วงเกินท่านพ่อครูไป ...ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะครับกระผมเป็นพระบวชใหม่ มีความเข้าในพระพุทธศาสนาน้อยอยู่มาก การปฏิบัติก็มีเพียงพื้นฐานคือการรักษาศีล ด้านสมาธิและปัญญากระผมยังมีน้อยอยู่มากครับ เมื่อเทียบกับสิ่งที่พ่อครูได้ตอบกลับมาแล้วนั้นผมนี้รู้ตัวเลยครับว่าผมยังห่างไกลจากท่านพ่อครูอีกมากมายหลายชั้นนักครับ นับว่าเป็นบุญวาสนาของผมมากครับที่ได้มีโอกาสสนทนากับท่านแล้วท่านได้เมตตาสนทนาตอบกลับผมมา กระผมได้ลองอ่านดูแล้วครับรอบนึ่ง ...รู้สึกยินดีและไม่ยินดี และรู้สึกเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในคำตอบของท่านพ่อครูอยู่หลายข้อหลายจุดอยู่เหมือนกันครับ ...ถ้ามีโอกาสมีเวลาอีกกระผมก็อยากจะขอสนทนากับท่านพ่อครูอีกได้ไหมครับ ...เฟสบุคผมชื่อ "ประสิทธิ์ พลจันทร์ "ครับ ถ้ามีเวลาก็ลองแอดเพื่อนมาสนทนาธรรมกันได้นะครับ กราบขอบพระคุณในความเมตตาอีกครั้งนะครับ
พ่อครูว่า...อาตมาพูดไปนี้ก็คงมีคนไปตอบแน่นอน อาตมาไม่เป็นแอด ก็ขอพูดกับคุณนิดนึงว่า ผมกำลังศึกษาศีล พื้นฐานคือการรักษาศีล แต่คุณว่า ด้านสมาธิกับปัญญายังมีน้อยอยู่ก็ดีมาก
เดี๋ยวจะอธิบายเรื่องศีล เพราะว่า ศีล สมาธิ ปัญญา คืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
มีศีลต้องปฏิบัติศีลให้เกิดอธิขึ้นมาเป็นสมาธิเสมอๆ จนอธิจิตนี้ทำให้กิเลสลดกิเลสดับได้ แล้วจิตก็ตกผลึกลงเป็นสมาธิ ตั้งมั่นขึ้นไปเรื่อยๆ ปัญญานั้นเป็นยาดำ ปัญญาจะรู้ในการช่วยให้ศีลให้จิต ให้เกิดผล ปัญญาเหมือนพ่อศีลเหมือนแม่ อธิจิตเหมือนลูกเป็นสัตว์โอปปาติกะ
แม่ พ่อ สัตว์โอปปาติกะ คือ ศีล จิต ปัญญา นี้ ทำให้จิตบริสุทธิ์ตกผลึกเป็นสมาธิ คุณก็มีรู้จักมีปัญญาวิมุติไปได้เรื่อยๆ นี่คือกระบวนการของธรรมะ
สิ่งที่คุณศึกษาอยู่นั้นคืออะไร ศีล คือหัวข้อแต่ละข้อ ที่ผู้ศึกษาก็จะต้องใช้ศีลนั้นขัดเกลากิเลส เช่น ศีลข้อที่ 1 ก็ดี ศีลข้อที่ 2 ก็ดี ศีลข้อที่ 3 ก็ดี ศีลข้อที่ 4 ข้อที่ 5
ปฏิบัติศีลต้องมีผัสสะ มากระทบ ปฏิบัติศีลไม่ใช่ชำระแค่กายวาจาแต่ต้องชำระให้ถึงจิตที่สำคัญ ถึงจะเกิดอธิ คุณไปชำระแต่กายวาจาจะไม่เกิดอธิจิต ศีลทำให้เกิดอธิจิต มีปัญญา มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์แยกแยะเอากิเลสออกไป เพราะพิจารณาด้วยความเป็นจริงว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนอะไร
พลังงานของปัญญาหรือพลังงานของบุญก็จะสลายกิเลสความยึดมั่นถือมั่นไปได้เรื่อยๆ จนเกิดมรรคผลไปตามลำดับ ศีล ทำให้เกิดอะไร
ศีล ทำให้เกิดอธิจิตอธิปัญญาจนเกิดอธิวิมุต จนเกิดวิมุตติญาณทัสสนะไปตามลำดับอยู่อย่างนี้ตลอดกาล ถ้าไม่มีศีลคุณก็ทำมั่ว ไปทำสมาธิเลย ไม่มีปฏิบัติตามลำดับที่เป็นธรรมะ 2 หนักเข้าก็แยกเอาศีลไปปฏิบัติต่างหาก สมาธิเข้าไปนั่งหลับตาเอา ปัญญาก็ไปเรียนเปรียญ 9 ไปเรียน ดร. ไปเรียนธรรมะตรีโทเอก มันคนละเรื่องกันเลย มันไม่เป็นกระบวนการไม่เป็นเรื่องที่ช่วยกัน เหมือนล้างเท้าด้วยเท้าเหมือนล้างมือด้วยมือ ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย นี่คือมันได้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนก็เลยไม่ได้ผลไม่รู้เรื่อง
เพราะฉะนั้นอาตมาขอเจาะเข้าไปถึงเรื่องศีลแม้จะซ้ำซากน่าเบื่อก็ตาม
ศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราไม่ฆ่าสัตว์ ละ เว้น จากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอายมีความเอ็นดูมีกรุณามีความหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
ในการปฏิบัติศีลข้อที่ 1 นั้น คุณก็มีตากระทบกับสัตว์สัมผัสกับสัตว์แล้วคุณก็ไม่ฆ่า ละการฆ่า เว้นการฆ่า จะอ้างว่าฆ่ามากิน ฆ่ามาทำประโยชน์ ฆ่าเพราะทำให้เกิดพิษภัยอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้นไม่ฆ่าสัตว์ให้ปล่อยไปตามวิบากของเขา ละการฆ่า วางเครื่องมืออาวุธศาสตรา วางจิต
ถ้าจะไปเบียดเบียนสัตว์ด้วยวิธีใดๆโดยเฉพาะการฆ่านั้นแน่นอนหยาบและแรงให้มันตาย เราก็ไม่ฆ่าไม่ทำให้เกิดแบบไม่ทำให้เกิดการเบียดเบียน แม้จิต ถ้าคิดจะไปทำร้ายอะไรเขา เช่นในชีวกสูตร ว่าไว้ ว่า การกล่าวว่า ไปเอาไก่โต้งไปเอาควายตัวนั้นมา คุณกล่าวโดยมีเจตนาในจิตว่า สัตว์เหล่านี้คุณจะมีเจตนาให้เขาไปจับแล้วฆ่า ฆ่าเสร็จแล้วคุณก็จะไปถวายภิกษุ หรือพระพุทธเจ้า แก้ขวย แล้วยังมีความลามกอีกว่า อยากให้พระพุทธเจ้าอยากให้ภิกษุยินดีเป็นกัปปิยะในอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์อีก อันนี้ก็บ้าไม่รู้จักว่าเป็นความบาปซับซ้อน นี่คือในชีวกสูตร 5 เป็นเรื่องที่เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย ในการฆ่าสัตว์แล้วเอาไปถวายภิกษุหรือพระพุทธเจ้าฉัน
แค่บอกว่า ไปจับสัตว์ตัวนั้นมา มีจิตใจมุ่งไป อุทิศ คือมุ่งหมายไป ไปจับมาเพื่ออะไร คุณบาปตั้งแต่ตั้งต้น
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
ในข้อที่ 5 นี้บาปไม่มีอะไรเหลือแล้ว บาปเต็มบ้อง บาปสมบูรณ์แบบ ในบรรดาบาปที่มีทั้งหลายแหล่ประมวลไว้ในข้อที่ 5 นี้ ในความอำมหิตโหดร้ายของมนุษยชาติ
แล้วไปอ้างว่า ใน 5 ข้อนี้แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าใครไม่เห็นไม่ได้ยิน ไม่สงสัย ในการฆ่าสัตว์นี้ แต่เขาไปเบี้ยวบาลีว่าด้วยระบุเฉพาะบุคคล ที่จริงรวมแล้วคือเจตนาของคนฆ่า ระบุเฉพาะในเจตนาฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ว่าไประบุเฉพาะบุคคล อย่าเบี้ยวบาลี
สัญจิตจะ ปาณัง ชีวิตา โมโรเปตุง
สัญจิตจะแปลว่าเจตนา โมโรเปตุง แปลว่าฆ่า
หากว่าเจตนาเอามาเลี้ยง ก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ 5 ข้อนี้ แต่นี้เจตนาอย่าง 5 ข้อนี้ นี่แหละเป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมาก ชัดเจนไหม ในสัจจะ
คืออ่าน พระไตรปิฎกไม่แตก แล้วมีกิเลส ไปอธิบายเนื้อสัตว์เพื่อให้เข้าปากตัวเอง เดี๋ยวเขาจะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ก็เลยต้องอธิบายอย่างนี้เป็นบาปอย่างมากเลย ใครสนับสนุนส่งเสริมให้ตัวเองต้องกินเนื้อสัตว์อย่างนี้ เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย
จิตไม่มีความเอ็นดู ไม่มีความละอายเลย กินเนื้อสัตว์ยังไม่ละอายเลย พวกเรานี้ละอายมากจนไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเอ็นดู กรุณาเพราะหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เพราะปฏิบัติตามสิ่งที่พุทธเจ้าอธิบายอย่างละเอียดนี้
มันต่างกันไหม คนที่มีจิต สุขุม ประณีต มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันก็จะต่างกับพวกไม่มีจิตแบบนี้
คนที่ไม่มีจิตที่ละอายเอ็นดูต่อสัตว์ก็จะกินเนื้อสัตว์ แล้วลึกซึ้งกว่านั้นมันเป็นวิบากร่วมกัน อันนี้เป็นเรื่องอจินไตยในกรรมวิบาก เป็นเรื่องที่ยากแก่การอธิบาย ผู้ที่มีปัญญาพ้นอจินไตยข้อกรรมวิบากแล้ว ยืนยันเด็ดขาดไม่กินเนื้อสัตว์
เพราะสัตว์เขาก็มีชีวิตเหมือนกับเรา เรากินแค่พืชพรรณธัญญาหารก็พอแล้วมันไม่มีวิบากบาปไม่มีวิบากบุญ พืชผักมันเป็น พีชนิยาม ส่วนสัตว์มันเป็นจิตนิยาม เมื่อเอาไปกินมันก็จะพยาบาทเราได้ สัตว์มันไม่รู้เรื่องหรอกเมื่อฆ่าเมื่อกินมันมันก็พยาบาททั้งนั้นแหละ จะไปห้ามไม่ให้พยาบาท มันก็ไม่รู้เรื่องกับเราหรอก
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ใครทำให้เกิดประชาธิปไตย
พ่อครูว่า...ขอพูดถึงเรื่องการเมืองหน่อย ตอนนี้เรื่องที่ไม่เคยเกิดมันก็เกิดเรื่องที่ไม่เคยมีมันก็มี ต้องมีพระราชโองการขึ้นมา เพื่อยุติเรื่องนี้ อย่างไรมันก็แยกไม่ออกแยกไม่ได้ว่าท่านก็คือเชื้อพระวงศ์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ส่วนทางด้านฆราวาสประชาชนทั่วไป ดันไปเปลี่ยนชื่อเป็นทักษิณเปลี่ยนชื่อเป็นยิ่งลักษณ์กัน โอ้โห เกิดมาชาตินี้ได้ดูได้เห็น สิ่งบ้าบอที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิดให้ดู คนเรามันคลั่งไคล้เต็มที่
อาตมาบอกว่า คุณเอาทักษิณไปตั้งชื่อเป็นคุณคุณไม่ได้เศษเสี้ยวของทักษิณหรอกอย่าไปทำอวดดีเลย คุณโง่ไม่ได้เท่าทักษิณ คุณบ้าดีเดือดและเลวไม่ได้เท่าทักษิณ คุณเอาชื่อไปปักตัวเองเท่านั้นเอง เหมือนแกะ ไปเอาหนังหมาป่ามาหุ้มตัวเองแต่ยังไงก็เป็นหมาป่าไม่ได้ ไปเอาชื่อทักษิณยิ่งลักษณ์มา
แล้วไม่มีปัญญารู้เลยว่าไปเอาหนังหมาป่ามาห่มตัวทำไม ไม่มีปัญญาถึงขั้นนี้เลยในประเทศไทยคิดดูเอา อาตมาว่ามันดีอย่างหนึ่งมันแสดงออกถึงความโง่เง่าในคนที่ไม่มีปัญญามาก ว่า นี่เราเผลอไปโง่เง่าขนาดนี้เหรอถึงจะได้ดูตัวเอง คนที่ไม่รู้เรื่องงมงายก็คงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง ส่วนคนที่รู้ตัวก็จะรู้ว่าโอ้เรายังไม่ได้โง่ขนาดนี้ ใช้ได้ จะได้เป็นตัวอย่าง
พูดมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องขอบคุณผู้ที่สร้างเรื่องแบบนี้มาเป็นเครื่องเตือนใจ ก็เขาอุตส่าห์เสียสละ แต่เขานึกว่าเขาทำเท่ห์นะเขาไม่ได้นึกว่าเขาเสียสละหรอก แล้วไปสมัคร ส.ส.ด้วยแล้วเชื่อว่าคนไทยจะต้องเลือกเพราะเราชื่อทักษิณ เพราะฉะนั้นคนไทยโง่บัดซบจะต้องไปเลือกทักษิณนี่แหละ จะต้องไปเลือกยิ่งลักษณ์นี่แหละเข้าสภา โง่ เข้าไป
มันก็เห็นถึงพฤติกรรมมนุษย์ในยุคนี้ วาระนี้ เห็นว่า อำนาจปัจจัยของทักษิณของยิ่งลักษณ์มันมีอำนาจบาตรใจครอบงำคนจนกระทั่งเป็นผู้ที่ ทาสผู้ปล่อยไม่ไปได้สนิทสนมกลมเกลียวจริงๆ..โอ้โห.. มันจะมีสิ่งนี้อยู่อีกเท่าไหร่ก็มีตัวอย่างให้เราดู คนที่มีปฏิภาณปัญญาบ้างก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้ดีก็แล้วกัน
เข้าสู่ความจริง ของหัวใจประชาธิปไตย หรือใครทำให้เกิดประชาธิปไตย
อาตมาไม่อ่านกลอนแล้ว
สรุปว่าหัวใจประชาธิปไตยนั้นจะต้องเป็นผู้ที่รู้จักความเป็นทาสจนพ้นทาส เกิดจากศักดินา ให้เกิดความเป็นอิสระแก่ประชาชนมวลมนุษยชาติ
ทุกวันนี้คนก็ยังไม่พ้นความเป็นทาสในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข เป็นทาสอำนาจมหาอำนาจ เป็นทาสเงินทองเข้าของเพชรนิลจินดา เป็นศักดินา ก็ต้องปลดความเป็นศักดินา ที่ไปเบ่งข่มดูถูกดูแคลน
ผู้ที่ได้ยศศักดิ์มาจะด้วยกำเนิดด้วยสมมติด้วยวุฒิความรู้ก็ตามด้วยศักดิ์ขึ้นมา ผู้ที่ได้ศักดินาขึ้นมาคือผู้ที่มีความประเสริฐนั้นจะลดตัวลดตนไม่เบ่งข่ม ไม่ใช้ความรู้ไม่ใช้กำเนิดวุฒิ ไม่ใช้อะไรที่ได้มาในตัวมันมีจริง แต่ไม่ใช้สิ่งที่เหนือกว่า เอาอันนั้นมากดข่มเอาเปรียบเอารัด ทำให้มาเบียดเบียนผู้อื่น มีแต่สิ่งที่ดีที่ตัวเองมีนั้นมาช่วยผู้อื่น อย่างนี้คือ หัวใจประชาธิปไตย
ปลดศักดินา ปลดความเป็นทาสนั่นรู้ง่าย ประชาธิปไตยที่เป็นสัจจะนั้น ตัวผู้ปฏิบัติประชาธิปไตยเองก็คือ
1.เป็นผู้รับใช้ ขยันรับใช้ ขวนขวายรับใช้ รับใช้ใครก็คือรับใช้ประชาชน ไม่ได้เพื่อพวกพ้องหรือเพื่อตัวเองแน่นอน แต่ทำเพื่อประชาชน อย่างบริสุทธิ์สะอาด แล้วรู้แพ้รู้ชนะ อ๋อ อันนี้แพ้ มันแพ้ตรงไหนมันบกพร่องไม่ถึงชนะตรงไหน ไม่ได้ถือว่าการแพ้การชนะเป็นเครื่องตัดสิน อันนี้แพ้มันไม่บริบูรณ์ตรงไหนก็ทำให้บริบูรณ์ อันนี้ชนะแล้วสำเร็จก็รู้แพ้รู้ชนะไร้ตัวตน นี่คือหัวใจประชาธิปไตย
ขยันรับใช้ ปลดแอกความเป็นทาสศักดินา เป็นอิสระ ขยันรับใช้ รู้แพ้รู้ชนะ ไร้ตัวตน นี่คือหัวใจประชาธิปไตย
ถ้าทำได้อย่างที่ว่านี้ รู้จักอิสระสร้างอิสระให้แก่กันพ้นทาสปลดจากศักดินา แล้วก็เป็นคนทำงานรับใช้ รู้แพ้รู้ชนะแล้วก็ไม่มีตัวตน คนผู้นี้แหละ เป็นผู้ที่จะสร้างผลสร้างประโยชน์ให้แก่ระบอบประชาธิปไตยทันที
พระพุทธเจ้าทรงมีระบอบนี้มาเก่าแล้ว
พามนุษย์สุขสวัสดิ์ศรี ในยุค พระองค์เฮย
พระพุทธเจ้าแม้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็สามารถประกาศระบอบของท่านได้ พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นก็มีภูมิธรรมที่สูงทั้งนั้นเลย ยอมให้ท่านสร้างรัฐของท่านได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าสร้างแล้วทำให้คนเป็นคนดี นี่คือสุดยอดแล้วไม่มีอะไรต้านทาน
“ศีล”ฆ่ากิเลสแผ้ว- ผ่องให้ประลุธรรม
เพราะฉะนั้น ผู้ที่บรรลุได้ก็เพราะศีล เป็นตัวหลักใหญ่ของศาสนาพุทธ แล้วฆ่ากิเลสได้จริง ศีลฆ่ากิเลสได้จริงศีลจึงสำเร็จผล
ศีล ถ้าหากเข้าใจผิดไปกำหนดแค่กายวาจานั้นผิด ศีล จะต้องฆ่ากิเลส แต่ละข้อต้องฆ่ากิเลส จึงจะเกิดวิมุตศีลจึงจะบริบูรณ์ ไม่เช่นนั้นไม่บริบูรณ์ไม่บรรลุธรรม
เพราะฉะนั้นด้วยของศีลสมาธิปัญญา ศีลเกิดแล้วปัญญาเป็นตัวช่วยแล้วทำจิตให้กิเลสลด สั่งสมตกผลึกเป็นสมาธิ
ทำได้ เป็นเรื่องจริงใจเป็นเรื่องวิสุทธิ เป็นเรื่องสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเรื่องใสสะอาดเป็นเรื่องถูกต้องเป็นวิสุทธิ เป็นเรื่องวิเศษมหัศจรรย์ ชาวอโศกเป็นพวกคนมหัศจรรย์เพราะเป็นคนพิเศษเป็นคนที่มีความจริงอันล้ำเลิศเพราะทำให้ศีลกำจัดกิเลสได้จริง ที่อื่นทำให้ศีลกำจัดกิเลสไม่ได้ ศีลข้อปฏิบัติแค่กายวาจา ส่วนสมาธิก็ไปปฏิบัติหน้าเอา มันก็เลยแยกส่วนไม่ครบศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้า
พุทธสำเร็จกอบกู้ บริหาร
พหุชนะอภิบาล วิเศษฟ้า
*อนุเคราะห์โลกตราบกาล จิตวิสุทธิ์ แท้เทียว
อธิปัตย์ประชากล้า แกร่งท้นใจไท
อธิปัตย์ประชา คือพลังอำนาจในประชาชนทุกคนแกร่งกล้า ท้น เต็มใจคือสุดยอด นี่คือหัวใจประชาธิปไตย
ทีนี้ใครทำให้เกิดประชาธิปไตย
ใคร?ทำให้เกิดประชาธิปไตย
1) “ระบอบ”จักเกิดได้ โดยใคร
สะเปะสะปะทำกันไป ไป่แจ้ง
ว่า“ประชาธิปไตย” ไฉนถูก แท้วา
โลกจึ่งเพี้ยนล้วนแล้ง สัจจไร้ไกลลิบ
(2) “อธิปไตย”ศัพท์นี้ คือ“อำนาจ”
เรื่อง“โลก”ต้องฉลาด รอบรู้
“อัตตา”ยิ่งเด็ดขาด กำจัด มันเลย
อำนาจ“ธรรม”เกิดกู้ กอร์ปด้วย“องค์ 3”
(3) ถามหน่อยโลกยุคนี้ รู้ทัน กระนั้นฤา
เห็นสับสนพัลวัน ซับซ้อน
“อัตตา-โลก”บ่รู้กัน สักอย่าง
จึ่งต่างเล่ห์ยอกย้อน แย่งยื้อประจัญบาน
(4) ยิ่ง“การเมือง”ยุคนี้ วิปริต(ผิดเพี้ยน)
ต่าง“ฉลาดโลกีย์”คิด เบี่ยงบ้า
ชาติจึ่งเกิดวิกฤต(อันตราย) ประชาธิป- ไตยแฮ
ซึ่ง“อัตตา”คนจัดกล้า บ่รู้ทำ“กรรม”
(5) หากทำ“อิสระ”ให้ มวลประชา
“พ้นทาส-ปลดศักดินา” มนุษย์แท้
“ประชาธิปัติยา” จึ่งจัก จริงเอย
“ขยันรับใช้-รู้แพ้- ชนะได้-ไร้ตัวตน”
(6) “ประชาชน”เป็นผู้มอบ ให้เรา ใช่ข่มใช่แย่งเขา นั่นบ้า
เราสละมิใช่เอา ตรงสัจ “ธรรม”เทอญ
หากวิศิษฏ์วิเศษฟ้า ชนะร้อยเปอร์เซ็นต์
(7) เป็น“การเมือง”วิสุทธิ์ซึ้ง เบ็ดเสร็จ
คล้าย“เผด็จการ”แต่เด็ด กว่าล้ำ เพราะ“อิสระ”ครบ“เคล็ด- วิชชา”จาก พุทธแล
Unity of diversity ย้ำ หนึ่งพร้อมพลังหลาย
“สไมย์ จำปาแพง”4 ก.พ. 2562
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 344 ประจำเดือนมีนาคม 2562]
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธก็รักอิสระ ประชาธิปไตยในโลกก็รักอิสระ ถ้าเราสามารถสร้างอิสระให้เกิดได้จริงเป็นจริงในสังคมมนุษยชาติ Unity of diversity
Unity แปลว่าเป็นหนึ่ง
พร้อมกันรวมกันเป็นหนึ่งกับ Diversity
ความเป็นหนึ่งกับความเป็นความหลากหลาย ร่วมกันอยู่ One For all All for one ก็คือ Unity of diversity ย้ำ เป็นหนึ่งพร้อมพลังหลาย มีหนึ่งร่วมกับพลังงานที่หลากหลาย One For All All for one แต่มันยังมี error ไม่ใช่แค่พวกปากปูปากหอย แต่เป็นปากเศษสวะต่างๆ มันก็เลยมีปากเศษสวะ ง้องแง้ง บ็องๆๆ อยู่บ้าง ปากหมูปากหมา มันก็ต้องมีเป็นธรรมดา จะให้ไม่มีเศษ Error เหล่านี้ในโลกก็ไม่ได้ ทุกอย่างมันก็มีสิ่งที่แฝงอยู่ไม่เช่นนั้นไม่เกิดทศนิยม ถ้าไม่มี resistance เหล่านี้ทศนิยมไม่เกิดทุกอย่างนิ่งก็ตายไปไม่ออก ต้องมีพวกนี้ แล้วพวกนี้น่ารำคาญนะ แต่อย่าไปเตะมันก็แล้วกัน น่ารำคาญก็ปล่อยให้มันเห่าหอนไป อย่าไปเตะมันก็แล้วกันไม่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเอ็นดูก็แล้วกัน
สมณะฟ้าไท...สรุป จบ
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:27:50 )
รายละเอียด
620211_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 38
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1pxRSx8pY7oMht7a8gimgUZGg0MKa6iNK9XDFUyYq85U/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1w80mkgKWPILHPUopk6hdEKec5MBwqtaW
พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ปีกุน ปีหมูนักรบ รบกันจัง ก่อนที่จะได้พูดให้ถามให้ตอบ อาตมาก็จะต้องตอบ sms
_SMS วันที่ 10 ก.พ. 2562 (วิถีอาริยธรรม)
_2166เมื่อวันศุกร์พ่อท่านตอบSMSดุจดั่งจู่ล้งควงทวนบนม้าขาว แต่วันอาทิตย์นี้พ่อท่านดุดันดั่งดาบดำของโป้อั้งเซาะ พ่อท่านกำลังควงทวนมันๆ
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ค่อยถนัด สามก๊ก เคยอ่านตั้งแต่เป็นนักเรียนเท่านั้น พูดชื่อตัวละครก็ไม่ค่อยรู้เลย ส่วน โป้อั้งเซาะ ก็ยิ่งไม่รู้เลย มองไปในแง่ให้ได้ประโยชน์ จะใช้สำนวนภาษาบู๊ๆหนังจีนก็ได้
_3867มวลชนคนรักช.ศ.กษ.ขอน้อมรับพระ บรมราชโองการในร.10ฯน้อมจงรัก ใส่เกล้าฯน้อมภักดีใส่กระหม่อมฯตาม พระราชขัตติยะประเพณีฯขอน้อมเทิด ทูนสถาบันศูนย์รวมดวงใจไทยฯตามกฎหมายรธน.ตราไว้สูงสุดอยู่เหนือการเมืองฯเหนือเกล้าฯเหนือกระหม่อมฯ!ราษฎรใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ฯ
_Pop Tuesday · วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กุมภาพันธ์ มี รายการ วิเคระห์ข่าว วิปสนา หรือเปล่า ครับ
พ่อครูว่า…ที่นี่ขึ้นอยู่กับอนิจจัง
_อำภา รื่นใจดี · นิกายเกิดขึ้นมาจากกิเลสของคน เมื่อกิเลสเกิดในแต่ละคน ก็แยกย้ายกันไปตั้งนิกายเป็นของตนเอง แต่ยังอาศัยชื่อพุทธเป็นหลักเกาะ แต่พระพุทธศาสนาที่เป็นของแท้ของพระพุทธเจ้าไม่มีนิกายไม่เป็นนิกาย ปัจจุบันนี้ลูกออกจากนิกายทั้งหลายเหล่านั้นมาแล้ว คงเหลือแต่การปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ แต่ยังคงเคารพพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ประชาชน ประเทศชาติ เราจึงเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตลอดเวลา เขียนมาเพื่อเปิดสมองคนที่ยังหลงทางกับนิกายต่าง ๆ ติดกับนิกาย ได้มีดวงตา
เห็นธรรมของพระพุทธองค์นะ ไม่ใช่เห็นธรรมของพระด๊อกเตอร์ นักเปรียญ 8 เปรียญ 9 เอวัง
พ่อครูว่า...อาตมา การแยกนิกายมีขอบเขตในการแยกแค่ไหนตามธรรมวินัยอาตมาเข้าใจ เพราะฉะนั้นอาตมาจะไม่ทำเด็ดขาดเลยที่จะทำให้ตัวเองแยกนิกาย จะแยกมาแค่นานาสังวาส จะไม่แยกขนาดนิกายเป็นอันขาด จะทำถึงแค่นานาสังวาส แต่ผู้ที่เขาตั้งใจ จะแยกนิกายก็เรื่องของเขา จะด้วยความรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ แม้จะรู้แต่เขาก็จะแยกก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะแยกนิกายนั้นเป็นอนันตริยกรรม มีกรรมหนัก ต้องทำใช้หลายล้านชาติ หนัก เป็นเรื่องนรก เป็นเรื่องทุกข์ทรมานหลายล้านชาติ
เพราะฉะนั้น คนไม่เข้าใจก็เอาคำว่านิกายมาใส่ อาตมาทำนานาสังวาส เขาก็บอกว่าเป็นนิกาย อาตมาไม่ได้ทำอย่างที่เขาว่า แต่เขามาบอกคนอื่นให้หลงผิดตาม ก็เป็นบาปทั้งนั้นซึ่งมันผิด อาตมาเป็นคนดีแล้วคนอื่นทำให้คนเข้าใจว่าเป็นคนชั่ว เขาทำผิดไหม เขาก็ได้รับบาปนั้นไปอย่างนี้เป็นต้น คนนี้เขาก็เขียนมาด้วยความปรารถนาดี
_วิหคเหิน จอมยุทธไร้นาม... วิมุตติ 2 คือ ความหลุดพ้นด้วยสมาธิและปัญญา ได้แก่ เจโตวิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิต ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ ปัญญาวิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้นด้วยปัญญา ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา ความหลุดพ้นแห่งจิตจากจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง นอกจากนี้ยังมี วิมุตติ 5 มีความหมายเดียวกับ นิโรธ 5
พ่อครูว่า…คนนี้สภาวะยังไม่ค่อยชัดได้แค่ภาษา ก็ดูเหมือนมันถูก แต่ถ้าไปเจอภาวะสิริมหามายาจะงง ตอนนี้ก็พยายามจะจับให้มันถูกฝาถูกตัวไปตามลำดับ
นัยยะลึกซึ้งนั้น วิมุติเป็นปัญญา นิโรธเป็นเจโต นิโรธแปลว่าดับ วิมุติแปลว่าหลุดพ้น ผู้หลุดพ้นนั้นจะหลุดพ้นด้วยความรู้ นิ แปลว่าไม่มี นิโรธะคือไม่มีอะไรโผล่เลย ซึ่งมันมีความหมายโดยพยัญชนะสภาวะกลับกันไปกลับกันมาก็ค่อยๆเรียนไป ดีศึกษาไป
_สมใจ .." แต่ก่อนโยมจะกลัวผีมาก เวลานอนจะต้องซุกหน้าไว้กับหมอนข้าง เวลาลงบันไดบ้านก็ต้องวิ่งอย่างเร็วเพราะความกลัว อีกทั้งกลัวจิ้งจก ตุ๊กแก หนอน ไส้เดือน และอื่นๆอีกมากมาย ปัจจุบันความกลัว เรื่องพวกนี้ได้หายไป จนรู้สึกว่าไม่ได้เป็นปัญหากับเรา แต่มันก็ยังมีอีกเยอะแยะที่มันทำให้เรายังกลัวอยู่ โยมรู้สึกว่า"ความกลัว"เป็นสิ่งที่"น่ากลัว" เพราะมันทำให้เราทรมาน ทำอย่างไรเราถึงจะละความกลัวจากสิ่งที่เรายังกลัวอยู่ได้คะ"
พ่อครูว่า…อาตมาเคยกลัว เป็นความกลัวจริงๆเกิดอยู่ในชีวิตตั้งแต่เป็นฆราวาส ยังไม่ได้มีความรู้ทางธรรมตั้งแต่เด็ก 1. กลัวความตาย เห็นเขาแห่ศพไม่ได้กลัวจริงๆเลย กลัวศพ ก็จะตายเหมือนอย่างศพ นั่นก็ครั้งหนึ่ง
2. อีกครั้งหนึ่งโตแล้วทำงานทำการที่โทรทัศน์แล้ว กลัวจะเป็นมะเร็งตาย กลัวหนักหนาเลยกลัวจะเป็นมะเร็งตาย
อันหนึ่งกลัวตายเพราะตาย อีกอันนึงกลัวตายเพราะโรค กลัวเจ็บ นี่เป็นสัญญา มันเหมือนพระพุทธเจ้าไปเจอคนเกิดแก่เจ็บตาย ก็เป็นสัญญาณ เป็นเทวทูต เป็นทูตแห่งความตาย อาตมาก็มีอันนี้ก็เล่าความจริงให้ฟัง ตั้งแต่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยังเป็นลิงลมอมข้าวพองยังเป็นคนโลกๆจะมีอารมณ์แบบโลกๆตามที่เขาครอบงำ แต่ความจริงของตัวเราเองนั้นแหละที่เราเป็นนั้น เราเป็นใครมีความจริงความรู้อะไรแค่ไหนยังไม่ขึ้น ยังไม่เป็นตัวตนที่เราเคยเป็นเก่า ตั้งแต่ปางก่อน ยังไม่ขึ้นมา จนกระทั่งได้ผ่านเหตุการณ์ กาละเวลาก็เลยมาสัญญาเตือนให้เราปฏิบัติธรรมะสนใจธรรมะมันก็บรรลุขึ้นมาเอง เพราะว่าอาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีสำนักไม่มีใครสอน เพราะใครก็สอนไม่ได้เพราะเขาได้ทำผิดมาก่อนหมด ในโลกยุคนี้ อาตมาถึงขั้นถึงคราวที่ต้องมีเป็นของตัวเอง สยังอภิญญา เกิดขึ้นปฏิบัติแล้วก็ได้บรรลุเองก็เลยชัดเจนเลิกทางโลกแล้วก็มาบวช ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ 50 กว่าปีแล้ว มาจนป่านนี้ก็มั่นใจ ทุกวันนี้ก็ยิ่งมั่นใจเพราะของเก่ามันก็ขึ้นมาอีกมาก เพราะอาตมาจะพูดยืนหยัดยืนยันปักมั่นแน่นอน จริงๆไม่ได้ต้องการโอหัง แต่ต้องการปักหลักเน้นย้ำ ว่าอย่างนี้แหละ แน่นอน จึงต้องแสดงออกสำเนียงสุ้มเสียงภาษาท่าทีเพื่อยืนยันความจริง ไม่มีคลอนแคลนไม่มีหวั่นไหวไม่มีเอนเอียงเลย เป๊ะๆๆอยู่ ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรแล้ว ต้องการเท่านั้น มันเป็นหนึ่งเดียวไม่มีอะไรเปลี่ยนไม่มีอะไรเพี้ยน เปรี้ยงๆๆ หนึ่งเดียว มันจึงดูหนักดูแรงเหมือนยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มีปัญหา
_สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของบาปคืออะไรครับหลวงปู่
พ่อครูว่า...สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของบาป ฟังให้ดี ใครก็ตามดูของตัวเอง สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของบาป ใช้คำว่าบาป บาปแปลว่าความเลวร้าย คืออะไร ดูที่ตัวเองอ่านของตัวเองพฤติกรรมกายวาจาใจของเรา ที่เราเป็นเรามีแล้วตรวจของเราเองนั่นแหละ อะไรที่เราเห็นว่าอันนี้หยาบต่ำที่สุดชั่วที่สุดของเราแล้ว อันนั้นแหละคือบาป ตัว 1 ตัวที่ 1 ที่คุณจะต้องรีบจัดการ มันมีอยู่ในตัวเราก็ต้องรีบเอาออก เรียกอีกศัพท์หนึ่งว่าอบาย อบายมุข อบายภูมิ
อบายแปลว่าไม่เจริญ ถ้าอบายมุข ก็คือหัวหน้าของความไม่เจริญ ต้องจัดการก่อนในตัวเราของเราไม่เท่ากันหรอกในแต่ละคนคนละมุมคนละเรื่อง อะไรของเราที่เราเห็นว่าอันนี้มันเลวร้าย เดือดร้อนไม่ดี เบียดเบียน เป็นความเสียหายอยู่ในโลกก็เอาอันนั้นออกก่อน
_ทำไมต้องปฏิบัติธรรมครับ
พ่อครูว่า...คำว่าธรรมะ หมายความว่าความดี คำว่าธรรมะหมายถึงสภาวะสิ่งที่รวมกันขึ้นมา ธรรมะคือสิ่งที่ทรงอยู่ แล้วสิ่งที่ทรงอยู่นั้นถ้าแยกธรรมะเป็นธาตุ
ธาตุกับธรรมะ ธาตุคือ 1 ธรรมะคือ 2 ในโลกนี้มี 1 กับ 2 ที่ต้องเรียน
ถ้าจะเรียกผู้บรรลุธรรมสูงสุดก็จะเป็น 0
ทีนี้ถ้าจะเอา 0 มารวมกันเป็นสองก็จะมี 0 กับ 1
ถ้าเป็น 1 คุณจะยืนอยู่ที่ 1 หรือ 0 แต่ถ้า 00 คือคุณปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่เหลือธาตุอะไรเลย ธาตุเหลือ 1 ก็ยังมีอยู่ ถ้าเป็นธรรมะก็ยังมี 2 ถ้ายังเหลือแค่ธาตุเดียว มันก็หายไปหมดเลย เพราะฉะนั้นทำไมต้องปฏิบัติธรรมะ
ธรรมะคือสิ่งที่มันจะเริ่ม 2 หรืออีกศัพท์หนึ่งว่า เทวฺ ศัพท์ที่ชัดเจน คือ เทวธัมมา ถ้าเป็นธรรมะก็คือทรงไว้เป็นคู่ ใช้คำว่า เทวธัมมา เอามาศึกษาให้เหลือ 1 จนกว่าจะทำให้ 1 เป็น 0 นอกนั้นก็นับไม่ถ้วน แล้ว คุณจะต้องวนเวียนอยู่กับความหลากหลาย คุณไปรู้ทั่วไปทั้งหมดไม่ได้ หรือคนสร้างมาอีกเพิ่มเรียก โลกจินตา ไปตามมันหมดไม่หวาดไหวไม่มีจบ ก็เอาที่เราเองเรารู้แล้วเอามาศึกษาได้แล้วทำให้จบ จบไปทีละเรื่อง จะรู้ว่า ที่แท้จริงมีแต่เทวธัมมาปรุงแต่งกันอยู่ คุณก็ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น
_ทำไมคนเราต้องมีศีลครับหลวงปู่ ผมสงสัย
พ่อครูว่า...ต้องปฏิบัติศีลให้เกิดธรรมะ เราจะมีธรรมได้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เรียกว่าศีล ทำให้เกิดธรรมะ ทำทีละคู่เป็นลำดับ ไม่อย่างนั้นสับสน
_หลวงปู่พูดได้กี่ภาษาครับ
พ่อครูว่า...อาตมาพูดได้แค่สองภาษา ไทยกับลาว แต่อังกฤษไม่เก่ง เรื่อง conversation ไม่เก่ง เป็นเรื่องอจินไตยอย่างหนึ่ง ถ้าหากเก่งเรื่อง conversation ก็จะต้องไปรับแขกพูดคุยกับต่างชาติอีก มีคนที่พูดภาษาต่างชาติเก่งกว่าอาตมาอยู่แล้วก็มาช่วยอาตมาไปเอาสาระเนื้อหาแท้เนื้อแท้ไป อาตมาทำงานทางนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้แค่ไหนจะลากสังขารไปถึง 151 ปี ตอนนี้ 100 ยังไม่ถึงเลย หลายผู้หลายคนก็ยังลุ้นว่าจะถึงหรือ ไม่เป็นไรอาตมาได้พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยที่จะต่ออายุด้วยสัมประสิทธิ์หรือ coefficient
E=C(mc2+A)
พลังงาน coefficient จะใช้ต่ออายุทั้งรูปธรรมนามธรรมได้ทั้งนั้น แต่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่จะเอาพิสูจน์ทางวัตถุ ถ้าพิสูจน์ทางวัตถุเขาจะเพิ่มจาก mc2 ของไอน์สไตน์
E=C(mc2+A) เป็นสูตรที่เพิ่มจากของไอน์สไตน์มา ในอนาคตพวกเราจะอธิบายได้ตอนนี้อาตมาไม่เสียเวลาอธิบาย
_ทำไมหลวงปู่จะต้องตั้งบวรด้วยครับ
พ่อครูว่า...ที่ต้องตั้งบวรเพราะว่ามันต้องมีทั้งสถานที่ มีทั้งบุคคล มีทั้งพฤติกรรมสังคมมีการงานการกระทำของสังคม เรียกว่ามิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นสัปปายะ 4 มีทั้งสถานที่มีทั้งบุคคลมีสิ่งที่อาศัยและมีธรรมะ เรียกว่าสัปปายะ 4 เป็นความเจริญทุกอย่างก็เลยต้องสร้าง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ประโยชน์ของการนั่งเจโตสมถะ
_นั่งเจโตสมถะเพื่ออะไรครับหลวงปู่
พ่อครูว่า...อันนี้ถามดี เจโตคือจิต นั่งแล้วก็ทำจิตของเราให้เกิดสมถะ ที่แปลว่าความสงบ สมถะ เป็นภาษาความสงบทั่วไป ที่เป็นความสงบแบบโลกีย์ แต่จะใช้ความสงบแบบโลกุตระต้องใช้คำว่าปัสสัทธิ เจโตปัสสัทธิ แต่ก็ไม่ต้องพูด เพราะถ้าเป็นโลกุตระแล้วปัสสัทธิก็เข้าใจ รวมแล้วคือจิตสงบตั้งมั่น รวมเป็นปัสสัทธิ
ก็เหลือแต่เจโตสมาธิที่เขาพูดเขาทำกัน อันนั้นยังไม่ใช่โลกุตระ วิธีปฏิบัติก็เป็นการสะกดจิต หลับตา นิ่งได้เจโตสมถะ ไปอยู่ในภพได้ก็เรียกว่าเจโตสมถะ อยู่ข้างใน ซึ่งมีรายละเอียดได้ ขณะที่นั่งทำให้จิตสงบก็ไม่มีกิเลสกวน แม้แต่เจโตสมถะของพวกที่ปฏิบัติสมาธิที่ไม่ใช่โลกุตระก็ยังไม่มีกิเลสกวนในตอนนั้นนะ เพราะฉะนั้นจะใช้ประโยชน์ได้ให้สงบสบาย
2. สงบแล้วจิตใจมันก็นึกคิดปรุงแต่งสร้างความรู้ที่ละเอียดได้มากขึ้น ทางนามธรรมได้ละเอียดเยอะ ฟุ้งซ่านก็ได้เยอะ
3. เอาพลังงานทางเจโตสมถะไปทางฤทธิเดช แบบโลกียะ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้ารังเกียจไม่เอาเลย ในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์
ประโยชน์ของการฝึกสมาธิแบบสะกดจิตให้สงบ (เจโตสมถะ)
1.ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2.ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3.เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
4.สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
เตวิชโชตรวจสอบจิตเราว่ากิเลสตัวไหนหมดได้นานขนาดไหน มั่นใจขนาดไหน
_ทำไมเราต้องลดกิเลส และเราเกิดมาเพื่ออะไร
พ่อครูว่า...เราเกิดมาเพื่อบรรลุเป็นอรหันต์เพื่อจะพ้นทุกข์พ้นสุข แต่เราไม่รู้ก็เลยหลงวนเวียนเกิดตายตายเกิดในโลกีย์อีกนานนับชาติ มีสุข ทุกข์ ต่ำสูงอยู่อย่างนั้น
_คำว่าจิตสำนึกคืออะไรครับ
พ่อครูว่า...ความสำนึกแปลว่าระลึกรู้ ความรู้สึกก็แปลว่าลึกรู้ แต่ความสำนึกนี้และลึกแล้วรู้ดีรู้ชั่ว แล้วก็สำนึกว่าเราดีชั่วแล้วเราก็แก้ไขเป็นสิ่งที่ดี อันนี้คือความสำนึก แต่ความรู้สึกนั้นยังไม่แบ่งแยกกันนี้เลยยังเป็นความรู้สึก เรารู้สึกตัว เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จบ ความรู้สึก ยังไม่แยกไม่มีวิภัชวาที
รูปยังไม่มีเวทนา พอมีการกระทบแล้วมีความรู้สึกจึงเรียกว่าเวทนา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำอย่างไรจะอดทนต่อสิ่งที่อดทนได้ยาก
_น้ำผึ้ง...เราจะทำอย่างไรถึงจะอดทนต่อสิ่งที่อดทนได้ยาก
พ่อครูว่า..เราก็จะต้องศึกษาฝึกฝน สิ่งที่ทนไม่ได้น้ำหนักกว่าทนได้ยาก ทนได้ยากนี้ยังพอได้อยู่นะ แต่ถ้าทนไม่ได้ คือหนัก ทำอย่างไรจะให้ทนได้เราต้องเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ ก็คือปฏิกิริยาการกระทบ มันมากระทบกับเราเราก็รู้ว่าอันนี้มันแรงมันร้ายมันหนักสุดทน
ถ้าเราเองเราฝึกเราสร้าง ความทนได้ของเราจะด้านไหนก็แล้วแต่ ฝึกได้เท่าไหร่เราได้เท่านั้น ถามว่าอย่างไรจะทำได้ ก็คือฝึกความทนให้ทนได้มากขึ้น แล้วเราก็จะทนได้ ถ้าไม่ฝึกเราก็เรียนรู้สิว่ามันไม่ใช่แค่ทน แต่ด้วยปัญญา ว่าอันนี้มันคืออันนี้เท่านี้เอง อย่างนี้อันนี้แรงอันนี้ร้ายอันนี้สุดทางจริงๆแล้วเราทนไม่ได้ ทนไม่ได้ที่สุดก็คือต้องตาย เราก็ตายเพราะมันทนพิษบาดแผลไม่ได้ ทนความเลวร้ายไม่ได้ ทนต่อสิ่งที่มันจะต้องยึดถืออยู่เป็นชีวะไม่ได้ ความเป็นชีวะก็ต้องขาด จะทำอย่างไรจะต้องทนได้ก็ต้องเรียนรู้ มันมีปฏิกิริยา 2 สิ่ง ถ้าอยากจะให้มันอยู่เราก็ต้องทนให้ได้ ถ้าเราทนไม่ได้เราก็ต้องแยกไป เท่านั้นเอง ถ้าเกิดทนได้ด้วยเจโตปัญญาก็จะทนไปเรื่อยๆจนกระทั่งหายไปเอง ทนไม่ได้มันก็สลาย ถ้าด้วยปัญญามันก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง อ๋อ อันนี้เรียกว่าร้อน อันนี้เรียกว่าแรง อันนี้เรียกว่าหนัก มันก็คือเช่นนั้นเอง ภาษาบาลีเรียกว่าตัดอัตตา ก็จะเกิดความรู้จริงๆเลยเมื่อสองอย่างมากระทบกันแรงที่สุดหรือหลายอย่างก็ตาม มากมายก็ตามมาประเดประดัง สุมรวมกันตรงนี้ เรียกว่าความเลวร้ายมาสุมรวมตรงนี้ทีเดียวเลย เราก็จะอยู่ดูมัน จิตปัญญามันรู้ว่าทุกสิ่งมันรวมอยู่เรียกว่าสังขาร ถ้าเราอยากจะรู้มันเราจะไม่ยอมตายเราไม่ตายแล้วเราก็จะต้องเรียนรู้ ถ้าไปรู้อย่างร้อนมันรู้อะไรไม่ได้หรอก ความฉลาดมันจะมีฤทธิ์อำนาจสลายความที่เรายังไม่ตาย สลายความที่ยังไม่ตาย มันก็ยังไม่สลายมันก็ไม่ตายมันก็ยังอยู่ ตามที่เราจะทนอยู่ แต่ทนได้นะคุณยังไม่ยอมสลาย ก็หมดภาษาแล้ว เอาไปทบทวน
_นงค์...วันนี้นงค์ตั้งใจจะมาพูดถึงคนที่เขาว่าพ่อครู นงค์รู้สึกว่าจะเห็นใจเขา จะเล่านิทานตัวเอง ตอนนั้นหนูเรียนหนังสืออยู่ชั้นม 4 คิดว่าจะทำอย่างไรไม่ทุกข์ ในพระไตรปิฎกก็จะบอกว่า เป็นอรหันต์ให้ได้ ก็เลยหาหนังสือมาอ่านนั่งสมาธิ ต่อมาโตขึ้นก็ไปหาอาจารย์เพื่อเรียนนั่งเจโตสมถะ แต่เมื่อฝึกไปก็จะได้สภาวะว่า แม้ร่างตายไปแต่จิตก็ยังอยู่ มีตัวที่ว่าเนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของเราก็ผุดขึ้นมา ก็เลยไม่กินเนื้อสัตว์ก็จะกินเจเขี่ยมาตลอด ไปวัดที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่พอมาเจออีกวัดหนึ่งก็บอกว่าดีกว่าวัดเดิม แต่มาเจออโศกก็ ยังไม่เห็นว่ามีวัดอื่นดีกว่าวัดอโศก หลวงปู่พุทธทาสว่า ธรรมะคือธรรมชาติ แต่ต่อมาหนูก็รู้ว่าธรรมะคือเหนือธรรมชาติ แต่หนูนั่งแล้วมีสภาวะอีกหลายอย่าง คนเขานั่งก็คงได้สภาวะเหมือนหนูเช่นกัน พอมารู้จักอโศกหนูก็เข้าใจ สรุปว่า ศาสนานี้สันทิฏฐิโก คนที่สงสัยพ่อครูให้มาเถอะ แล้วจะเป็นปัจจัตตัง
พ่อครูว่า..ก็มีคนที่รู้แล้วช่วยผ่อนหนักผ่อนเบาให้อาตมา คือรู้แล้วในโลกุตระก็จะช่วยบรรเทาให้ไปเรื่อยๆ ก็ดี ขอบคุณ
สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน เอกังสวาทีคืออะไร
_สิริมา...ดิฉันได้เรียนรู้จากที่คุณเอซุส เวสเกตุ เขียนมาวิจารณ์พ่อครู พ่อครูมีเมตตาอธิบาย ทำให้ดิฉันเรียนรู้การตอบข้อกล่าวหา และรู้ว่าดีชั่วเป็นเพียงโลกีย์ สุข ทุกข์เป็นเรื่องโลกุตระ พ่อครูอธิบายอย่างวิภัชวาที กราบนิมนต์พ่อครูอธิบาย เอกังสวาที
พ่อครูว่า..เอกังสวาที คือพวก วันเวย์ คือพวกเดียวตีสองไม่ออก ทั้งที่โลกนี้คุณต้องรู้สองแล้วจะตีแตกสองได้ มีตัวเองกับรู้มันมีสอง แต่คนไม่รู้ตัวเองมีแต่ตัวเองไม่มีรู้ มีแต่ว่าตัวเองรู้แต่ไม่รู้ตัวเอง ในตัวเองสูงสุดคือ 1 คือยึด เพราะฉะนั้นเมื่อตัวเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ตัวเอง ตัวเองก็ไม่รู้ตัว แต่รวมแล้วเป็นหนึ่ง ยึดหนึ่ง คนที่เทวนิยมสายเทวะ เขาจะสูงสุดได้เท่าที่เขารู้ สมมุติว่าสูงสุดนั้นคือพระเจ้าก็จะบันทึกความรู้สูงสุดพระเจ้า จะเอามาเผยแพร่กับคนก็คือต้องมีคนเผยแพร่ แต่คนที่เผยแพร่ก็ไม่รู้ว่าตนเองรู้ จะลัทธิไหนก็แล้วแต่ ศาสดาไหนก็แล้วแต่สูงสุดของเขาแค่นั้น คนนับถือก็ได้สูงสุดเท่าศาสดา สูงสุดเท่าที่ตัวเองไม่รู้ตัวเอง
ส่วนพุทธนั้นรู้ทั้งตัวเองและรู้ของอีกหลายศาสนาที่ยึดตัวเอง คนที่ยึดตัวเองจะไม่รู้อีกหลายศาสนา ผู้รู้ที่ไม่ยึดตัวเองเป็นได้ทุกศาสนา รวมศาสดร์ที่มี ใครจะว่าเราไม่มีก็ไม่เป็นไร เรามีเท่าองค์นี้สูงกว่าหรือต่ำกว่าก็ไม่เป็นไร สรุปว่าเราจะมีเท่าที่ทุกคนมีและเกินกว่านั้น
เพราะศาสดาที่ยึดเอกังสวาทีจะไม่รู้จักสอง คือรู้เท่าที่เขามี เขาตีกรอบแค่นั้น คนนับถือศาสนาแบบเทวนิยมก็จะได้แค่นั้นไม่มีภูมิต่อไปอีกได้
ใครมีศาสดามากองค์ก็ยังดี แต่คนบอกว่าไม่ยึดศาสนาแต่จะรู้ทุกศาสดาคนนั้นจบ
_หนูอยากจะถามว่าทำไมเราต้องเรียกว่าชมพูทวีปทั้ง 7 ไม่ได้เป็นชมพูค่ะ แต่เป็นสีขาว
พ่อครูว่า...อันนี้เป็นเรื่องเอานามธรรมมาปนกับรูปธรรม
สีชมพู ทวีปทั้ง 7 เป็นรูปธรรมที่ย่ิงใหญ่ แต่สีชมพูบอกสีอันเดียวก็เลยเอามาปนกันว่า ทวีปเป็นสีชมพู อย่าเอามาปนกันเลย
ต้องศึกษาความวนของเลข 7 หลวงปู่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็จะรู้ 1-7 รู้ความซับซ้อนลึกซึ้ง คุณต้องมีเท่าอาตมาถึงจะรู้ได้เท่า
สื่อธรรมะพ่อครู(กตัญญู) ตอน การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุด
_การตอบแทนบุญคุณแม่หาเงินมาแล้วก็เอาไปให้แม่ถูกหรือผิดครับ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ถูกต้อง
พ่อครูว่า... ไม่ผิด ที่ทำ แต่ต้องทำตนเองให้เจริญ เป็นคนดี นี่คือ การตอบแทนบุญคุณแม่ที่ดีที่สุดเป็นคนดีให้สูงสุดเป็นพระอาริยะเป็นอรหันต์ได้นั่นแหละคือสุดยอด แล้วต่อไปก็จะได้ช่วยพ่อแม่ได้เพราะเป็นอรหันต์แล้วจะมีภูมิปัญญา อย่างน้อยเราก็ประพฤติดีจนแม่ต้องเห็นกายกรรมวจีกรรมของเราเป็นอย่างนี้แม่ก็จะรู้สึกว่าลูกเรามีสิ่งที่ดี นอกจากแม่จะมีภูมิโลกียะที่เลวร้ายเห็นความดีเป็นความชั่วเห็นความถูกเป็นความผิดอันนั้นก็เป็นเรื่องของแล้วแต่วิบากกรรมของใครของมัน หนักเข้าถ้าคุณมีวิบากแบบนี้แม่กับตัวคุณเองก็จะต้องต่างคนต่างอยู่ในอนาคต แต่ถ้าแม่ไม่มีวิบากเลวร้ายขนาดนั้นแม่ก็จะมีจังหวะที่จะมีสิ่งที่จูงนำก็จะเห็นว่าเราเจริญ จะนับถือเชื่อฟังลูกเลยจะปฏิบัติตามลูก
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ทำอย่างไรให้น้องหายกรี๊ด
_ถ้าน้องดื้อ กรี๊ด จะทำอย่างไรให้น้องหายกรี๊ดคะ
พ่อครูว่า...เราก็มีเมตตาเราก็ต้องดูว่าแล้วเขากรี๊ดนั้นเรื่องอะไร เขาต้องการที่จะได้ดั่งใจเป็นอย่างไร ถ้ามันไม่ดีเราก็ต้องห้ามเขา ก็ปล่อยให้เขากรี๊ดจนเขาเมื่อยจนเขาหมดเสียงไปเอง แต่ถ้าเราบอกเขาได้อธิบายได้ว่าอย่าไปทำอย่างนี้ อธิบายเขาได้เขาก็จะหยุด แต่ถ้าอธิบายแล้วเขาหยุดไม่ได้ก็ปล่อยให้เขากรี๊ดไปจนกว่าจะหมดแรง ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
_มีเด็กวัยที่ต้องนั่งอยู่ต่อหน้าหลวงปู่ สนใจถึงขั้นอยากจะบวชเราควรจะสนับสนุนให้กำลังใจอย่างไรพ่อแม่เด็กไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เพราะอยู่บ้านนอนดึกดื่นอยู่กับเกมค่ะ ดิฉันคิดว่าเด็กอาจจะมีบารมีมากกว่าเด็กทั่วไป
พ่อครูว่า..ก็ค่อยๆบอกเขา ให้เขารู้ว่าถ้าอยากจะบวชก็ต้องใส่ใจธรรมะมากกว่าเกม เขาจะค่อยๆเข้าใจ ถ้าเขามีจิตอยากบวชก็จะลดเรื่องเกม แต่ถ้าเขาไม่อยากบวชก็จะไปเล่นเกมมากกว่า แม่ก็คงอยากให้มาบวชมากกว่าติดเกม ก็ต้องหาวิธีให้เขาเข้าใจว่าการบวชนั้นดีกว่าการไปเล่นเกม
_ทำไมสมณะต้องโกนหัวด้วยครับปล่อยยาวๆไม่ได้หรือ
พ่อครูว่า...ในระบบของนักบวชมีสองอย่าง หนึ่งโกนหัวกับไว้ผมไม่โกนเลย กับตัดบ้างไม่ตัดบ้าง มี 3 อย่างเท่านั้นแหละ ใครจะยึดถือแบบไหนก็ศีรษะใครศีรษะมัน
อย่างหลวงปู่ก็เคยไว้ผมไม่โกนเลย เป็นพราหมณ์ มุ่นผม ความรู้ก็คือความรู้รูปแบบก็คือรูปแบบ จะสลับไปสลับมาก็ได้จะไว้ผมหรือไม่ไว้ผมก็ได้
_สันติภาพโลกคืออะไร ในสังคมโลกขณะนี้จะเกิดขึ้นได้ไหม ตอนไปกราบพระแม่บงกช ขณะนั่งฟังสวดมนต์อยู่ ตาก็มองดูหลังคา ช่างสวยงามแข็งแรง ทันใดนั้นกระเบื้องหลังคาก็เลื่อนไหลลงมา 1 แผ่น นั่งสวดมนต์กันเยอะก็ไม่มีใครพูดอะไรพอดิฉันกลับมาที่พัก มีคนหนึ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่ก็มาถามว่าคุณไปเยี่ยวที่ก้อนหินหรือเยี่ยวใส่ท่อน้ำ เพราะว่าจะถึงห้องน้ำแล้ว เขาว่าที่นี่น้ำลายก็ไม่ให้ถ่ม คือเขาว่าเพราะไปเยี่ยวกระเบื้องเลยถล่ม
พ่อครูว่า...สรุปแล้วคิดตามไม่ไหว ลัทธิอย่างนี้ก็ยึดถือไปแล้วคนก็ว่าขลัง เป็นความพาซื่อถือให้มั่นคง เพราะคนเรามันเหลาะแหละมาก ก็ต้องฝึกซื่อๆในเบื้องต้น ส่วนมากสกปรกเลอะเทอะปนเปกันก็ต้องยึดถือให้เป็นหนึ่งอย่างนี้ แต่เขาก็ยึดถืออีกเยอะแยะ สรุปรวมแล้วมันยึดเอาหลายอย่างลดลงมารวมเป็นหนึ่ง ต้อง 1 อย่างนี้ตามลำดับ มันก็ค่อยๆลดลงมาเป็นขั้นตอน
_ด.ญ.เพ็ญ...ถ้าเราเห็นเพื่อนเล่นกันแล้วที่ภูผา บอกว่าไม่ให้เล่นแล้วแต่เราอยากเล่นมากๆ ทำไงดีคะ
พ่อครูว่า..ก็เชื่อพี่เขาเถอะ พี่เขาหวังดี อย่าดื้อมาก
สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน อภิธรรมคือโลกุตระ
_พิมพ์เพชรรุ้ง...ก่อนจะมาฟังธรรมพ่อครูก็สนใจอยากศึกษาอภิธรรม ก็ไปถามพระอาจารย์กรรมฐาน ท่านก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจอภิธรรมเพราะเอาไว้สอนเทวดาเท่านั้น ตอนนั้นลูกก็เชื่อเพราะว่าตามประวัติพระพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดาที่ดาวดึงส์และมีการสวดแต่ในงานศพเท่านั้น แต่ตอนนี้ก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น ก็อยากบอกพวกที่มาว่าพ่อครูว่าตอนนี้ลูกก็เข้าใจอภิธรรมเพิ่มขึ้นจากการฟังธรรมพ่อครู
พ่อครูว่า...พระอภิธรรมแปลว่าธรรมะที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งเป็นโลกุตรธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งไปตามลำดับ ผู้ใดที่เข้าใจเรื่องอภิธรรม คือเข้าใจโลกุตรธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งไปตามลำดับได้ โลกุตรธรรมคือธรรมะที่รู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดได้ ผู้ที่รู้อันนี้ก็จะชัดเจนเรื่องอภิธรรม เราเริ่มต้นอ่านอาการกิเลสได้ทำให้กิเลสลดได้ก็เริ่มมีอภิธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้ภาษาเรียกว่าโลกุตระก็ดี เรียกว่าอภิธรรมก็ดี ผู้ที่รู้จักสภาวะรู้จักสาระก็เรียกว่า รู้โลกุตรธรรม คนที่มีสภาวะอย่างนี้จะไม่ดูถูกอภิธรรม
แต่คนทุกวันนี้ยึดโลกุตระดีแต่ไม่เอาอภิธรรม เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดไป อย่างท่านพุทธทาสตีทิ้งอภิธรรม คือแสดงให้เห็นว่าได้แต่พยัญชนะ จริงๆแล้วโลกุตรธรรมก็คืออภิธรรม เร่ิมตั้งแต่โสดาปัตติมรรค แต่ท่านพุทธทาสชัดเจนโลกุตระและมักน้อยสันโดษ แต่ศาสนาเชนสูงสุดเรื่องมักน้อยสันโดษแต่ไม่ชัดเจนโลกุตรธรรม
แต่โลกุตรธรรมนั้นแยกกิเลสจากจิตได้ลดกิเลสก็ได้ เริ่มต้นก็เป็นพระโสดาบันจนเป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามีก็หมดกิเลสภายนอก ทำกิเลสภายในหมดอีกก็เป็นพระอรหันต์ ขออภัยที่พาดพิงถึงท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสเป็นคนที่เอาคำว่าโลกุตรธรรมมาเปิดเผยก็ขอบคุณท่านพุทธทาสมาก ซึ่งเป็นคำที่ยิ่งใหญ่แม้แต่ว่าท่านจะไม่เข้าใจชัดเจนในโลกุตรธรรมอย่างปนเปในเรื่องโลกียธรรม แต่ท่านก็เป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษลงไป แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องโลกุตรธรรมอภิธรรม ท่านบอกว่าฉีกพระไตรปิฎกทิ้งถึง 60 เปอร์เซ็นต์เป็นพระอภิธรรมเม็ดมะขาม แสดงว่าท่านไม่เข้าใจคำสอนเรื่องนี้ ท่านบอกว่าฉีกทิ้งไป 60% คือใช้ไม่ได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งในพระไตรปิฎกนั้นมีทั้งโลกียะและโลกุตระ อาศัยสามัญของโลกียะด้วยและโลกุตระด้วย คือ ตัวตนบุคคลเราเขา มาอธิบายธรรมะ แต่ท่านแยกไม่ออกสักอย่าง แต่โดยสามัญ อะไรดีอะไรชั่วเขาก็อธิบายได้แม้แต่ทักษิณก็อธิบายความดีความชั่วได้ ธัมมชโยก็อธิบายความดีความชั่วได้ แย่กว่าคนสองคนนี้ก็อธิบายความดีความชั่วได้ เพราะฉะนั้นเรื่องความดีความชั่วไม่มีปัญหาแต่เรื่องโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าดีชั่ว
สื่อธรรมะพ่อครู(อุปกิเลส) ตอน ลดกิเลสเป็นสุขจะได้บาปไหม
_ความสุขเป็นบาป ถ้าคนลดกิเลสได้แล้วมีความสุขเป็นความสุขแบบไหนคะ บาปหรือไม่บาป
พ่อครูว่า…คนลดกิเลสได้ก็เป็น ความสุขแบบว่างๆ ความสุขแบบไม่มีสุขทุกข์ มันว่างจากความสุขที่เราเคยสุข ว่างจากทุกข์ที่เราเคยทุกข์เป็นคู่กัน
ความสุขที่ว่าง ความว่างเป็นความสุข ความสุขที่ว่างจากความสุขความทุกข์ ก็คือมันละเอียดบางเบา มันสะดวกมันง่ายมันสะอาดกว่าความสุขความทุกข์ที่เป็นโลกีย์
สุข ทุกข์ เป็นสิ่งที่คู่กันกลับไปกลับมาเป็นคู่หูที่แยกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่แยกสุขทุกข์ไม่ได้คือแยกคู่ตัวสำคัญคือสุขพวกนี้ไม่ได้จึงเป็นเทวอยู่ตลอดกาล แล้วต้องมีความสุขความทุกข์จนกว่าจะรู้ว่าความสุขนี้มันหยาบต่ำ โลกีย์หยาบต่ำก็ล้างเหตุปัจจัยหยาบได้ ก็จะรู้สภาวะของความหยาบ สูงกว่านั้นละเอียดกว่านั้นก็ล้างอีก คุณก็จะค่อยๆเหลือน้อยลงละเอียดขึ้นความรู้ที่จะสูงขึ้น
คนที่ศึกษาการปรุงแต่งของโลกได้มากมายที่หลอกให้สุขทุกข์ ต้องได้ต้องมีน่าได้น่ามีน่าเป็นเราก็ยิ่งรู้จักว่าเป็น โลกจินตา create นักออกแบบหาเรื่องสร้างปรุงแต่งไปอีก มันไม่มีจบหรอก ปรุงแต่งให้พิสดารออกไปอีกเหมือนที่เขามีมาแล้วหรือมันลืมแล้วก็เอามาปรุงแต่งใหม่อีก ซึ่งมันก็ได้แต่เรื่องปรุงแต่งเท่านั้นเอง ผู้ที่รู้ทันแล้วที่เราติดเรายึดเราก็ไม่ติดยึดเราก็เอาไว้อาศัยเท่านั้น ให้ชีวิตไม่หนักหนายากเย็นอาศัยเพียงเท่านี้ก็เหลือแล้ว
เหลือส่วนที่เราไม่ต้องมีส่วนเกินพอแล้ว เรามีเราก็เอาออกไปให้คนที่ติดยึดใช้ต่อ เราก็ใช้สิ่งที่เบาไม่หนักไม่หนา เหมือนอย่างที่พวกเราเป็น รู้จักสาระเท่าที่พอเป็นพอไป ทุกวันนี้ก็อนุโลมให้คนอื่นเขาบ้างเพื่อจะให้คนอื่นเขามาที่นี่ เพื่อเราจะแคะล้างสิ่งที่เขาเขรอะขระอยู่ออกไปบ้าง เราให้เขามาก็เพื่อให้เขาเรียนรู้ลดละ แต่ที่มันมากเกินกว่าเหตุที่เราจะรับได้ก็ไม่ให้เข้ามาเพราะที่นี่เรามีสิทธิ์ทางนิตินัย มีสิทธิทางวัฒนธรรมอีกหลายอย่าง โดยไม่ต้องไปรุนแรง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรให้เกิดปัญญา
_ทำอย่างไรที่จะทำให้ตนเองมีปัญญา
พ่อครูว่า..คำว่าปัญญาเป็นความรู้ทางโลกุตระ คือรู้กิเลส ล้างกิเลสได้ ไม่รู้จักกิเลสก็เป็นปัญญาตัวแรก รู้วิธีลดกิเลสก็มีปัญญาเพิ่มขึ้น แล้วก็ทำให้เกิดปัญญามาล้างกิเลสได้ จนมันล้างกิเลสได้ยิ่งจะมีปัญญาเพิ่มขึ้นอีก จนกิเลสมันดับจริงปัญญาก็ยิ่งมากขึ้นอีก ทำอย่างนั้นอีก เมื่อกิเลสลดได้แล้ว ทำอย่างนี้กิเลสลดได้เรารู้เราก็ทำซ้ำ อาเสวนา ทำซ้ำ ทำแบบนี้กิเลสลดได้ ทำเข้าไปได้อีกแฮะ ทำครั้งต่อไปมันก็ได้ก็เรียกว่าเป็นภาวนา ทำให้ซ้ำตามที่มันเกิดผลได้อย่างนี้ ภาวนาคือทำซ้ำที่เกิดผลได้ เกิดผลดี สิ่งที่เกิดผลได้ผลดีนี่แหละทำให้ซ้ำไปเรียกว่าภาวนา ทำซ้ำมากเรียกพหุลีกัมมัง มันก็จะตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์ถาวร
_ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมแต่เสื่อมจนคนคิดว่าเป็นเทวนิยม ส่วนหนึ่งถ้ามาคบคุ้นกับพ่อครูก็จะแก้ความคิดที่มิจฉาทิฏฐิได้ไหม
พ่อครูว่า...ถ้าไม่โง่ดักดานหนักก็จะได้ แต่ถ้าโง่หนักดักดานก็ไม่ได้ก็จะถอยไป แล้วถ้าได้แล้ว เขาเชื่อว่าอาตมาเป็นผู้ที่สืบทอดโลกุตระแท้ถ้าเขาเชื่ออย่างนี้อาตมาว่าคนนี้มีหวังได้ เพราะว่าอาตมาไม่ได้หยุดก่อนในการสอนให้ความรู้ แล้วพวกเราก็จะมีเพื่อนฝูงที่เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอาริยบุคคลอีกเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อมาอยู่ในหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อาหารดีธรรมะดีอยู่อย่างนี้ คุณไปไหนไม่รอดหรอกคุณต้องได้แน่นอน อันนี้พระพุทธเจ้ารับรองไง สถานที่ดี บุคคลดี อาหารดี คือเครื่องอาศัยทั้งหลายดี ธรรมะดี เป็นสัปปายะ 4 คุณก็มาตกในสนามแม่เหล็กของสิ่งดีๆ อย่างนี้
ถ้าคุณเป็นเหล็กอ่อนไม่ใช่เหล็กกระด้างที่ดัดอย่างไรก็ไม่ได้ อย่างนั้นคุณก็กระเด็นไปเอง เพราะคุณมากระด้างในวงนี้ คุณก็ต้องกระเด็นไป คุณอยู่ไม่ได้หรอก แต่ถ้าคุณเป็นเหล็กอ่อนไม่ใช่เหล็กกระด้างเข้ามาอยู่ในนี้นะ สักวันหนึ่งคุณก็เข้าสู่ทิศทางโลกุตระ นี่เป็นสัจจะธรรมะเลย
_หนูอยากถามว่าคนจนที่มีแบบมันเป็นอย่างไร อยากถามรายละเอียดว่าศีลมีรายละเอียดมากแค่ไหน
พ่อครูว่า...ตอบคำเดียว คนจนที่มีแบบคือพวกชาวอโศก คนที่มีศีลก็คือพวกชาวอโศก
_คนจนที่มีแบบ คือคนจนที่มีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรรได้มากแต่เอาไว้น้อยให้คนอื่นให้มาก เป็นคนจนที่มีประโยชน์คุณค่าเป็นคนจนที่ไม่เบียดเบียนใครมีความสร้างสรรขยันเพียรและสร้างแต่สิ่งที่มีประโยชน์ไม่สร้างสิ่งที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์ หมู่ฝูงเราใครคิดสร้างสิ่งที่ไม่มีประโยชน์คุณค่าของเราจะห้ามเลย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าก็ช่วยกันสร้างพวกเราจะมีปัญญามีความเฉลียวฉลาดที่จะรู้สิ่งที่ควร สิ่งที่ไม่ควรไม่ทำ ทำแต่สิ่งที่ควร
_จะทำอย่างไรกับพวกที่เล่นในขณะที่หลวงปู่กำลังเทศน์อยู่
พ่อครูว่า..ปล่อยให้ตกนรกไป หลวงปู่เหนื่อยนะอธิบายธรรมะนี่ แต่คนเขายังเล่นอยู่เขาก็จะโง่ถ้ายังซนยังคุยยังเล่น แต่ถ้ารู้ว่าไม่ดีที่เล่นก็จะหยุดก็จะตั้งใจฟัง ทำไมถึงยังเล่นอยู่ก็คือโง่ ถ้าเขารู้ว่าโง่เขาก็จะไม่คุยเล่นเขาก็จะฟัง ใครที่เอาแต่เล่นก็จะโง่ดักดานไป
_ทำไมคนเราต้องใส่ร้ายผู้อื่น ทำให้คนอื่นผิดใจกันคะ
พ่อครูว่า..โง่ จะไปใส่ร้ายทำไมความจริงไม่ต้องไปใส่ร้าย พูดความจริงในสิ่งที่เขามีมันก็เหลือแหล่แล้ว หลวงปู่เทศน์วันนี้เหนื่อยที่ต้องพูดความไม่ดีของคนอื่นให้เขารู้ตัว หลวงปู่เมตตาอย่างมากเลย ต้องมีศิลปะมีความประมาณพูดแค่ไหนเพื่อให้เขารู้ด้วยเมตตา ไม่ใช่พูดถล่มทลายซ้ำเติมให้เขา แบบนั้นไม่ต้องทำหรอก คนที่เขาตกต่ำมันมีเยอะเราก็ช่วยเขาขึ้นมาเถอะ เราพูดด้วยเมตตาพูดอย่างดี เพื่อให้เขารู้ตัวให้เขาแก้ไขปรับปรุงตัวเองมาให้เป็นคนดีให้ได้
_หนูรู้สึกว่าตั้งแต่เข้ามาเรียนที่สัมมาสิกขา พอหนูกลับบ้านไปเขาก็รู้สึกว่าดีขึ้น หนูเป็นคนที่เถียงแม่บ่อย แต่เมื่อเข้ามาเรียนแล้วปิดเทอมไปหนูก็พยายามเถียงให้น้อยลงค่ะ
ตอนแรกหนูคิดว่ามาสัมมาสิกขาไม่ค่อยโอเคสำหรับหนูเพราะหนูอยากเป็นหมอ อยากตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวไม่สนใจเรื่องศีล แต่เมื่อเข้ามาที่นี่เขาทำให้หนูเป็นคนดีมากขึ้นด้วยค่ะ ทั้งศีล การงานและการเรียนค่ะ หนูจึงตั้งใจว่าในอนาคตหนูต้องเป็นหมอที่มีศีลมีธรรมให้ได้ค่ะที่ภูผาฟ้าน้ำเขาเคร่งศีลมากๆค่ะหนูเลยรู้สึกว่าหนูสามารถขัดเกลาได้ละเอียดครบถ้วนเลยค่ะ
พ่อครูว่า...ดีตั้งใจ
_แก้วบุญ...ทำไมต้องทำงานคะ
พ่อครูว่า...เป็นคนนี่นะ สูงกว่าสัตว์เดรัจฉานไหม...สูงกว่าใช่ไหม เดรัจฉานมันทำงานไหม...มันก็ทำงาน อย่างน้อยก็ต้องทำงานหากิน ไปทำงานที่มันจะได้กิน แล้วคนนี่สูงกว่าสัตว์ แต่ถ้าคนไม่ทำงานแม้แต่จะหาให้ตัวเองกินจึงเป็นคนที่ต่ำกว่าสัตว์ ถ้าอยากต่ำกว่าสัตว์ก็ไม่ต้องทำงาน ถ้าไม่อยากต่ำกว่าสัตว์ก็ต้องทำงาน เอาแค่นี้นะ อย่าไปต่ำกว่าสัตว์คือไม่ทำงาน
_น้ำมนต์...ทำอย่างไรหนูจะเลิกกามได้คะหลวงปู่
พ่อครูว่า..ไปติดไปอยากได้อะไรคะ หนูไปติดอะไร?...เช่นอยากได้ตุ๊กตา มันเป็นกามถูกต้อง เราก็พอแล้ว ตุ๊กตาไม่ต้อง ตุ๊กตามันเป็นของเล่น เราไปสร้างของจริงดีกว่าไปปัดกวาดเช็ดถูไปช่วยทำงานเด็ดผักไปช่วยทำงานส่วนนั้นส่วนนี้ที่พวกเราทำมีเยอะแยะไป อย่างนั้นดีกว่าตุ๊กตา ตุ๊กตาเป็นของเล่นนานเข้าก็เปื้อนและเน่า เคยมีตุ๊กตาเน่าบ้างไหมไม่ซักเสียทีเหม็นเน่านั่นแหละมันก็ของเล่นเอง เพราะฉะนั้นสร้างของที่ดีดีกว่าอย่าไปอยากได้ตุ๊กตา เราก็หมดงาน เรามาสร้างสิ่งที่ดีกว่าตุ๊กตา ไม่จำเป็นต้องอยากได้ตุ๊กตามาหรอก
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำลายรังปลวกบาปไหมคะ
_ถ้าบ้านบ้านหนึ่งมีรังปลวกในบ้านแล้วเราต้องการจะทำลายรังปลวก จะบาปหรือเปล่าคะ ถ้าบาปแล้วเราให้คนอื่นทำให้ด้วยการสั่งซื้อยา กับเราทำลายเองบุคคลไหนจะบาปกว่ากันคะ
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องยากมากเลยเรื่องนี้ไม่รู้จะตอบอย่างไร
เรื่องบาปนี้ถ้าเผื่อว่าเราไม่หวงแหนเกินไป เราก็ปล่อยให้ปลวกมันกินแล้วเราก็ไปสร้างที่อื่นแล้วกันไม่ให้ปลวกมันมาเดี๋ยวนี้มีน้ำยากันปลวกได้ก็เอาแค่นั้น แต่ถ้ามันบอกว่าไม่มีทางไปแล้วยังใดจะต้องอยู่คุณก็ต้องอยู่กับมัน จนกว่ามันจะกินจนมันเลิกกิน เหลือเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นมันจำนวนไม่มีทางไป แต่ทุกวันนี้พอมีทางไปขยับได้
ถ้าเราไปบอกให้คนอื่นทำให้ จะเป็นบาปที่คนทำหรือคนบอก ก็คนบอกให้ไปทำจะบาปกว่านะ เราก็ถ้าบอกคนอื่นก็บาป เราก็เสียสละทำเองดีกว่า หากเราจะทำ แต่ถ้าเราจะไม่ให้ปลวกตาย หรือให้ตายน้อยที่สุด สุดวิสัยจำนนจำเป็นก็ทำ แต่ถ้าเห็นว่าเลี่ยงได้ก็ทำ เป็นคนไม่น่าจะฉลาดน้อยกว่าปลวก เดี๋ยวนี้มีวัสดุที่กันปลวกด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปฏิบัติไปตามลำดับจะเร็วกว่าสงสัยมาก
_ทำไมถึงมีโลกและมีสิ่งมีชีวิต สมถะและวิปัสสนาต่างกันอย่างไร ทำไมพระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนจนและดีอย่างไร ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันผิดแต่เรายังทำอยู่จะเป็นอย่างไรเราจะแก้มันอย่างไร ทำไมโลกนี้ต้องมีคำว่ารักค่ะทั้งที่มันทำให้คนเราต้องเสียหลายๆอย่างไปในเวลาเดียวกัน
พ่อครูว่า...อาตมาว่า หนูคนนี้ยังมีคำถามอีกมากกว่านี้ ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละคำถามอย่าไปสงสัยมากเกินไป สิ่งใดที่เรายังไม่รู้มันยากเกินทิ้งมันไว้ก่อน สิ่งใดที่พอดูได้ก็เอาสิ่งนั้นมาเรียนรู้ก่อนแล้วเราก็จะค่อยๆรู้เพิ่มขึ้นไปค่อยๆเก็บสิ่งที่เราไม่รู้นั้นมารู้ทีหลังเรียนรู้ทีหลังตามลำดับอย่างนี้จะมีโอกาสรู้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาถามมากไปหมดมันก็ตายก่อนที่จะได้รู้อะไรแท้ๆชัดเจน ต้องรู้ให้จบทีละคู่แล้วไปเรียนรู้คู่ที่ 2 3 4 5 ไปเรื่อยๆ อย่าไปหาแต่จะรู้อะไรเยอะแยะพอดีไม่ได้รู้กันสักที คิดจะหาสิ่งที่อยากรู้มาใส่ตัวเองรับรองตายก่อนแน่ไม่ได้รู้อะไรหรอกเพราะมันไม่ได้รู้อะไรเลยมีแต่เรื่องอยากรู้ก็ไปหาแต่เรื่องอยากรู้เรื่องมันนับถ้วนที่ไหนเล่าเรื่องอยากรู้ มันมีไม่หมดหรอกในโลก เพราะฉะนั้นเรียนรู้สิ่งที่ควรรู้ที่สำคัญอันนี้ทำความเป็นทุกข์ความความลำบากให้แก่เรามาก เรียนรู้แล้วเลิกจากความลำบากเหตุแห่งความลำบากเหตุแห่งความทุกข์นี้ให้ได้ก่อนว่านี้ได้แล้วก็จะค่อยๆเรียนรู้อันอื่นอีกที่มันทำทุกข์ให้แก่เรา ก็จะเหลือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์อีกน้อยลงเรื่อยๆอย่างนี้มีหวังจะหมด
_คนที่มีวรรณะ 9 คือคนจนที่มีแบบ ใช่ไหม
พ่อครูว่า..ใช่แล้ว วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) คนที่มีคุณสมบัติตามวรรณะ 9 จึงเป็นคนที่เจริญเป็นคนจนที่มีแบบ
_พุทธาภิเษกคืออะไร
พ่อครูว่า...อภิเษกแปลว่าสร้าง พุทธาภิเษกแปลว่าสร้างคนให้มีคุณธรรมที่เป็นพุทธคนจะต้องมาเรียนรู้มาทำความเข้าใจและปฏิบัติจึงเกิดเป็นคนที่มีคุณธรรมของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เจริญเป็นโลกุตรธรรมอาริยธรรมไปได้เรื่อยๆเรียกว่าอภิเษก ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงพุทธาภิเษกครั้งที่ 43
_น้อมยอดธรรม...วันนี้ลูกค้าถามว่าทำไมต้องหยุดร้านอีกหลายวัน ดิฉันก็บอกว่าไปงานพุทธาภิเษกฯ ที่ไม่ได้ปลุกเสก อิฐหินดินปูนค่ะ วันนี้มีเพื่อนมาชวนไปหาเสียงกับปานรุ้ง ดิฉันเลยบอกว่าดิฉันเรียนแค่ป.4 แต่มีศีล วันนี้ก็เลยไปกับปานรุ้ง ไปหน้าราชภัฏ ฟังเขาบรรยาย แต่ทำไมดิฉันไม่ตื่นเต้นไปกับเขาด้วยจิตใจเราก็ใช้เฉยๆสบายๆ
พ่อครูว่า...คือมันรู้ว่า เราเองไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องไปเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ก็เลยไม่รู้สึกอย่างไรก็เป็นธรรมชาติ มันไม่สนุกกับเรามันไม่ถนัดเราก็ไม่เอา ก็ไม่เป็นไรงานอื่นก็มี
จริงๆแล้วงานการเมืองนั้นมีความลึกซึ้ง งานการเมืองที่จะต้องเข้าไปแย่งฐานะตำแหน่งหน้าที่ ขณะนี้ชาวอโศกยังไม่ได้อยู่ใน กาละนั้น ยังมีมวลไม่พอ คนยังเข้าใจการเมืองโลกุตระการเมืองอาริยะไม่ได้ ชาวอโศกเป็นนักการเมืองขั้นโลกุตระแต่มีมวลยังไม่พอ และคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยเขาก็ยังไม่มีความรู้การเมืองโลกุตระเพียงพอ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่ใช่กาละ ไม่ใช่ยุคสมัยที่พวกเราจะเข้าไปมาก แต่ก่อนนี้พวกเราก็ไปทำงานการเมือง ไปประท้วงช่วยโลกช่วยสังคมประเทศชาติ ไล่รัฐบาลไปตั้ง 4-5 รัฐบาลพวกเราก็ทำอย่างจริงใจเป็นการเมืองที่อาตมาเป็นคนรู้และเข้าใจอย่างดี ก็พาไปทำจนได้ผลไปแล้ว โดยได้ผลสวยงามมาก เอาความสงบไปไล่ความรุนแรงไปไล่รัฐบาลที่เขาจะรุนแรง เห็นไหมเขายิงเขาระเบิดเขาฆ่า แต่เราก็พยายามใช้ศิลปะใช้ความรู้ เอาความจริงกับความรู้ไปยับยั้งเขา มันเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งวิเศษที่อาตมาพาทำแล้ว โลกเขาก็รับได้สังคมส่วนใหญ่ก็รับได้จึงมาร่วมมือจึงมาเป็นพลังรวมอำนาจจนทำให้เขาขัดข้อง ทำให้เขาไม่สะดวกทำให้เขาทำรุนแรงไม่ได้ เขาทำได้ก็อย่างที่เห็น จนกระทั่งสู้ความสงบไม่ได้ จนกระทั่งเขาต้องแพ้ออกไปเลย ทุกวันนี้เป็นสัมภเวสีอยู่ในประเทศไม่ได้ เขาก็ทำตัวเองจนเขาอยู่ไม่ได้ ก่อนจะถึงน้องสาวก็เอานอมินีสมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งถึงยิ่งลักษณ์ อนาคตต่อไปสมชายจะอยู่ในประเทศไทยได้หรือไม่ก็ไม่รู้ยังเป็นลูกผีลูกคน ยิ่งลักษณ์นั้นกลับมาไม่ได้แล้วอาการหนักกว่า โดยเฉพาะแค่โทษก็มากปีกว่าพี่ชายแล้วยังมีคดีต่างๆอีกเยอะ อย่างไรก็ตายนอกประเทศแน่นอน แต่เขาก็ดันทุรังจะต้องสร้างอำนาจเพื่อกลับมาอย่างเท่ในเมืองไทย มีคนเขาบอกว่า แพ้แล้วล่ะพี่ แต่ก่อนนี้เนวินบอกว่าจบแล้วนาย แต่เขาก็ไม่เชื่อ เขาจะดิ้นไปจนกระทั่งเขาไม่ตายก็ต้องดิ้นจนตาย เพราะเขายึดมั่นถือมั่นจริงๆ อัตตามันเหนียวแน่น ยากที่เขาจะเปลี่ยนแปลง แต่เขาไม่มีแรงเพียงพอหรอก
แต่ก็อย่าประมาทไป ทำสิ่งที่ดีๆที่บริสุทธิ์นี้แหละจะชนะทุกสิ่งได้ เมืองไทยอาตมาก็ชื่นใจอนุโมทนาสาธุว่าเป็นเมืองไม่โหดร้าย ไม่ทารุณอยู่อย่างอะลุ่มอล่วย สวยงามที่สุดในโลก
_ทำไมทุกคนในบวรต้องมาเชื่อมโยงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
พ่อครูว่า..เพราะว่าทุกคนมีปัญญาจึงมาอยู่ร่วมกันมาขัดเกลากันมารวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นสิ่งที่ดีกว่า
_หนังสือคนจนที่มีแบบ ทำไมไปเรียกว่าคนจนที่เป็นแบบ
พ่อครูว่า...คำว่ามี เป็นสิ่งที่ภาษาสื่อบอกว่า สิ่งลงหลักปักแหล่ง เป็น นี่กำลังทำตัวเอง แต่ มี นั้นมีแล้ว เป็น ก็คือเป็นกิริยา ส่วนมีนี้ คือ have มีแล้ว หรือว่า must be ก็แล้วแต่มันต้องเป็น ถ้า have มันมีแล้ว มีคือตัวได้ผลแล้วลงตัวบ้างแล้ว ส่วนเป็นคือกำลังดำเนิน
_ความรักทำให้คนเราตาบอดแต่ทำไมคนเรายังรักอยู่
พ่อครูว่า...ก็เพราะโง่อยู่ ก็ทำให้ตนเองตาบอด ก็ตอบง่ายๆอย่างนี้ คนที่ทำได้แล้ว จริงๆความรักมี 10 มิติ เรียนรู้ทำความรักให้มิติสูงขึ้น จนตาสว่างดี ไม่รักแบบตาบอดไม่มีสาระ แต่รักอย่างมีประโยชน์คุณค่าเสียสละต่อผู้อื่น
_การเมืองและศาสนาเป็นเรื่องเดียวกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...การเมืองคือเรื่องของคน ศาสนาก็เรื่องของคน คนที่จะดีที่สุดจะเรียกว่าการเมืองก็ต้องทำให้เป็นคนดีสุด ประโยชน์สุด เจริญที่สุด การเมืองก็เช่นกันก็ต้องมาเรียนนัยละเอียดของพยัญชนะ เป็นคนดี ประโยชน์ เสียสละ เจริญแล้วทำให้ได้ตามความหมาย ในองค์ประกอบแล้วทำให้สำเร็จ
_หลวงปู่เคยบอกว่าจะไม่ให้มีความรัก แล้วถ้าไม่มีความรักแล้วจะมีคนสืบต่อธรรมะหลวงปู่ได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ความรักมิติที่สูงขึ้นไปอย่างไรล่ะเราเลิกมิติที่ต่ำก็จะใช้เวลาแรงงานทุนรอนมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า ได้มากขึ้น ก็ทำไปตามลำดับจะได้ประโยชน์ไปตามขั้้นตอน ทำได้ก็ดี คนยังไม่ได้ก็ให้เขาเรียนรู้สูงขึ้นมา แต่คนยังไม่ได้ก็ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ มีศีล 5 ส่วนใครจะศีลสูงกว่านั้นอีกก็ยิ่งดี พยายามมีศีลสูงขึ้นไปตามลำดับ
_การที่เราลดกิเลสตัวใหญ่ได้ เช่นการนอนหลับ จะทำอย่างไรจะลดได้
พ่อครูว่า..การติดการนอนหลับ หลับดีๆ ไม่ให้ติด หลวงปู่เคยอธิบายให้อ่านอารมณ์ นอนนี่ติดความสะลึมสะลือ มันมันส์จังเลย แต่ถ้าตื่นใสสว่างไปกับโลก สติเต็มไม่ต้องมีสะลึมสะลือไม่ติดหลับ ถ้าเราติดมันก็ไม่ตื่นเต็มไม่มีสติเต็ม มันมันส์ดีกับสะลึมสะลือคุณก็จะติด ให้ตื่นเต็มอย่าไปนึกว่า สะลึมสะลือ มันดี เมื่อไหร่ สะลึมสะลือ ก็ต้องตื่นเต็มๆไว้ แต่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับก็หลับให้สนิท อย่าไปติดสะลึมสะลือ อยู่อย่างนั้น รู้ความสะลึมสะลือในหลับ รู้ความสะลึมสะลือในตื่น คือหลับและตื่นอย่าติดสะลึมสะลือ ก็อย่างนั้นแหละ รู้ตัวเองเมื่อไหร่สะลึมสะลือ ก็ไม่เอา อาตมาได้เคล็ดอันนี้ คุณตัดทิ้งไปเลยสะลึมสะลือ แม้ตอนหลับก็ใส ตื่นก็ใส ไม่มีสะลึมสะลือ แยกคำว่าความสะลึมสะลือ กับความใสในอารมณ์ให้ได้ ถ้าแยกแล้วดับสะลึมสะลือให้หมด หลับก็ใสตื่นก็ใสหมด
_มาหินผาฯได้ไหมครับหลวงปู่เพราะที่หินผาไม่มีสมณะเลย
พ่อครูว่า...ตอบไปไม่ได้เพราะงานทางนี้มีความสำคัญและมากกว่า หากไปหินผาตอนนี้ไม่คุ้ม หลวงปู่เลยอยู่ที่นี่คุ้มกว่า
_นักรบธรรม...ขอฝึกพูดครับ พูดถึงเรื่องปัญญาที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ต้องมีศีล สมาธิปัญญา ดูที่ตัวเองหากเกิดอาการกิเลส โลภโกรธ หลง จะทำให้เราโง่ที่สุด ทำอะไรไม่เป็นเรื่องเป็นราว สารพัดที่จะไม่ดี จะถามคือ ผมเชื่อว่า การได้มาอยู่ใกล้กับพ่อครูท่าน มันเป็นสุดยอดของวิถีชีวิตในชาตินี้ ผมจะถามว่าที่พระพุทธเจ้าตรัส ยุคกึ่งพุทธกาล นี้จะไปถึงห้าพันปีหรือเปล่าหากไม่มีพ่อครู
พ่อครูว่า...จับไม่ได้เลยว่าจะถามอะไร
_เข้มข้น..กรณีเป็นเดือนแห่งความรัก พ่อครูปรารถนาให้พวกเรากตัญญูต่อพ่อครูอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ก็ปฏิบัติธรรมตั้งใจให้ตนเองเจริญโลกุตรธรรมไปทับทวีมากขึ้นเถอะ นี่คือการกตัญญูที่ดีที่สุด
_หนูควรทำอย่างไรจึงฟังเทศน์ได้ จับใจความรู้เรื่อง
พ่อครูว่า...ก็ตั้งใจฟังให้รู้เรื่อง สิ่งใดรู้แล้วก็เอาไปปฏิบัติได้ผลก็จะเป็นฐานให้เราฟังรู้เรื่องมากขึ้นๆ นี่คือสิ่งที่ตอบได้
เวลาหมดแล้ว
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:29:33 )
รายละเอียด
620213_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ หลักฐานว่าพ่อครูคือผู้สยังอภิญญา IF NOT HIM THEN WHO. IF NOT NOW THEN WHEN.
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1FStXldEo_1LlSXHGoeucaBlIb2KX5eDsVTIJuc4Cuas/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1JGR3xL0yOB5NrTsRNlRzWbNzycBq6Tns
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 9 ค่ำเดือน 3 ปีกุน เลข 13 เป็นเลข Lucky Number มีเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมืองหลายเรื่อง เป็นวันที่กกต.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความยุบพรรคไทยรักษาชาติ อันนี้เป็นข่าวใหญ่ที่กลบข่าวแกนนำพันธมิตร ถูก ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุก 8 เดือนในคดียึดทำเนียบรัฐบาล มีหลายคนบอกว่า ลุงจำลองไม่น่าจะติดคุกตอนอายุเยอะเลยว่าจะเสียเกียรติประวัติ แต่เราดูแล้วว่าน่าจะเป็นเกียรติประวัติมากกว่า ดูจากชีวิตมหาตมะคานธี ก็ติดคุกเข้าออกคุก อยู่หลายครั้ง หนังชีวิต จบด้วยแกนนำแต่ละคนไปเป็นรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรี แบบนี้เป็นหนังไทยไม่มีอะไรจะต้องลุ้น แต่ถ้าจบด้วยการต่อสู้ด้วยการเสียสละ แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตที่ลุงได้ทำคุณงามความดีมาตลอด ตอนท้ายยังต้องเสียสละต่อไปอีก
บางคนบอกว่าระบอบทักษิณหมดไปแล้วก้าวข้ามไปได้แล้ว แต่เรื่องจริงคือเรายังต้องไปกันต่ออีก เมืองไทยยังคงไม่สามารถสงบต่อไปได้ ตราบใดที่กระบวนการบ่อนทำลายบ้านเมืองยังมี และจะมีผู้กล้าออกมาต่อสู้ยอมเสียสละแม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิต ก็ต้องรับผลในการต่อสู้นี้ คิดว่าสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประวัติศาสตร์
ชีวิตเคยนึกถึงตอนพ่อครูและพวกเราได้เข้าไปให้กำลังใจแกนนำอยู่ในทำเนียบรัฐบาล สมณะก็ไปนั่งล้อมแกนนำ คืนนั้นแกนนำก็มีเวลาคุยธรรมะกับพ่อครู นั่งกันจนสว่างรอตำรวจจะลุยเข้ามา ในยามวิกฤตอย่างนั้นเห็นได้อย่างหนึ่งว่า แต่ละคนก็มีปฏิภาณรู้ว่าไม่มีอะไรดีกว่าการคุยธรรมะ ในยามวิกฤตจริงๆของชีวิต มันก็ทำให้ทุกคนต้องหาทางออก ถ้าทุกคนสบายกันหมดคงไม่มีใครคิดหาทางออกเท่าไหร่ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะดีก็ได้ที่แต่ละคนต้องมาลุ้นว่าจะทำให้เราไม่ทุกข์ได้อย่างไร
พ่อครูบอกวิบากท่านดี ชาตินี้ท่านไม่เคยทำร้ายใครไม่เคยเตะใครสักคน พาพวกเราไปชุมนุมก็ไม่มีเรื่อง โดนคดีทางการเมืองนั้น ศาลชั้นต้นก็ยกฟ้องตอนที่เราไปผิดพระราชบัญญัติความมั่นคง ไปปิดถนน แต่ศาลชั้นต้นก็ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องตามศาลชั้นต้นและไม่ให้ฏีกาอีก
ประวัติพ่อครูทานอาหารมังสวิรัติวันละมื้อตั้งแต่ทำงานโทรทัศน์ เป็นโฆษกโทรทัศน์ก็ทานอาหารมังสวิรัติวันละ 1 มื้อ เมื่อออกบวชแล้ว ขณะที่หนังกำลังดัง แฟนก็มี ตอนนั้นมีโลกธรรมมีแฟนแต่ก็มาออกบวช เมื่อออกบวชแล้วก็มาช่วยมนุษย์ เขาก็จะไปเทียบกับเกจิต่างๆว่า ต้องบำเพ็ญไม่ยุ่งกับใคร มันก็เป็นคนละภาวะ เขาเอาช่วงที่บำเพ็ญมาเทียบกับช่วงที่สลัดคืนมันก็ตรงกันข้ามกัน สิ่งที่พ่อครูพูด ไม่ว่าจะเป็นธรรมะก็ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของคนสามัญทั่วไป แม้แต่เรื่องประชาธิปไตย ท่านถิรจิตโตก็บอกว่า จะมีพ่อครูพูดคนเดียวหรือเปล่าว่าประชาธิปไตยไทยกำลังไปได้สวย นายกคนนี้ดีกว่านายกอีก 28คน อันนี้ก็ไม่มีใครพูด แม้แค่รูปธรรมของประชาธิปไตย ไม่ต้องพูดถึงโลกุตรธรb รมเลย ก็จะไปกันคนละอย่าง พวกฝ่ายค้านบอกว่านายกฯควรหยุดพูดได้แล้วแต่นายกฯก็บอกว่า ต้องพูดต่อไปเพื่อทำความเข้าใจประชาชน พ่อครูก็คงต้องพูดต่อไปเช่นกัน เพราะเป็นเรื่องที่ยากมาก
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ธรรมะการเมืองเรื่อง หรม.ครน.
พ่อครูว่า...การเมืองกับธรรมะเรื่องเดียวกัน คุณเป็นคน จะอยู่ในเมืองหรือจะอยู่ในป่าก็แล้วแต่ คุณก็ต้องมีธรรมะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นธรรมะกับการเมือง มันจะแยกกันไม่ได้ จริงๆก็แยกได้ถ้าคุณจะแยกไปแบบศาสนาเชน หนีเข้าป่าเลย เดี่ยวๆแก้ผ้าโทงๆ กินนอนขี้เยี่ยว เสร็จแล้วก็รอวันตาย อดทนไม่เอาอะไรสักอย่าง เป็นแต่เพียงว่าไม่กลั้นใจตายเท่านั้น ปล่อยให้ตายตามธรรมชาติ แหม ก็มีตัวอย่างของลัทธิแบบนี้สุดโต่ง
ชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นชีวิตที่ประโยชน์สูงประหยัดสุด ประหยัดสุดก็ไม่ได้หมายความว่าสุดโต่งไปอย่างศาสนาเชนที่กล่าวไปแล้ว แต่ประหยัดยังได้สัดส่วน เหมือน หรม. ครน.ที่เขาคำนวณกันอย่างได้สัดส่วน แม้จะเป็นการคูณก็มีตัวคูณที่ร่วมน้อย แม้จะหารก็หารได้ แต่ก็พยายามให้ได้มาก ในความหมายของคณิตศาสตร์แท้ก็จำเพาะเอาแต่ตัวเลขตัวคูณร่วมน้อยตัวหารร่วมมาก แต่ในความหมายของสัจธรรมแล้ว หรม.กับครน.นี้มันลึกซึ้ง
คูณ หมายถึงการเพิ่มอัตราการก้าวหน้ามากกว่าบวก การคูณก็อย่าตะกละตะกราม คูณให้เป็น Coefficient สัมประสิทธิ์ที่ได้อัตราส่วนที่ไม่เร่งกันไป เรียกว่าคูณร่วมน้อย แต่ให้มันก้าวหน้าไปเป็นปฏิภาคทวี จนอะไรอะไรก็วิ่งไม่ทัน มีแต่อัตราส่วนที่จะคูณอะไรก็วิ่งไม่ทัน หนักเข้าก็ต้องมาเป็นยกกำลังมันก็จะเร็วเกินไป เพราะฉะนั้นในการเพิ่มต้องดูแลคนอื่นดูแลองค์รวมดูแลเพื่อนฝูงด้วยเป็นต้น
หาร หมายความว่าทำลายตัดออกตัดลง แต่ไม่ใช่ตัดออกมากเข้าเลยไม่ก้าวหน้าไม่มีเหลือเชื่ออะไรเลยศูนย์เลย อันนั้นก็หมายความว่าจะทำ 0 แต่ทีนี้เราไม่ได้ทำศูนย์แต่เราทำให้ได้สัดส่วนไปได้ดี หรือให้ไปยังมีการก้าวหน้าอย่างคูณร่วมน้อยหรือหารร่วมมากให้เป็นไปอย่างก้าวหน้าอย่างดี ทรง อยู่อย่างดีและนานได้สัดส่วนที่พอเหมาะอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นความหมายที่ขยายความจะทำให้พิสดารให้แตกต่าง
คณิตศาสตร์ก็เอาแต่ตัวเลขคูณหารไปใช้งานทางคณิตศาสตร์มิติเดียว แต่ความหมายทางธรรมนั้นมันลึกซึ้ง
_SMS วันที่ 11 ก.พ. 2562 (สำมะปี๋ชี๋วิต)
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูทำการบ้าน ในครอบครัว!ทำการเมืองในชุมชน!ทำการศาสนาในบวรสุขสงบพอเพียงด้วยธ.วรรณะ9ตามรอยคำสอนพ่อฯร .9ฯ ดับฝุ่นกิเลสควันอัตตาพ้นทุกขวิกฤติภัยรุนแรงลามโลกธ.สาธุ!คนโลกเงียบ!
พ่อครูว่า...ดีฟังแล้วก็สรุปผลมา
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพและศรัทธา ที่พึ่งทางใจของลูกนอกอโศก (ทั้งทางธรรมและทางโลก)หวังพึงพระบารมีในหลวง ร.9 ร. 10 พร้อมทั้งบารมีพ่อครู บารมีท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ บารมีในการบำเพ็ญศิลปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของญาติธรรมชาวอโศกทุกท่าน ปกป้องบ้านเมือง เจ้าค่ะ
_นรสิงห์ · มีกุศลวันหน้าจะ.ไปรวมกลุ่มชาว.. อโศกครับ
_ปิ๋ม สวีเดน คิดถึงพ่อท่านค่ะแต่ช่วงนี้ลำบากกับการทำมาหากินปลดหนี้ปลดสินเลยไม่ได้มีสมาธิในการเขียนข้อความมาร่วมรายการทางทีวีที่พ่อท่านแสดงธรรม
ดิฉันก็ลำบากสุดๆค่ะ ก็ไม่โทษใครหรอกค่ะ พยายามปลอบใจตัวเองว่าปัญหาเราสร้างขึ้นมาเองค่ะ เจออุปสรรคในการทำงานก็พยายามทำจิตทำใจให้สงบค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะพยายามตั้งใจเขียนข้อความมาถึงพ่อท่านค่ะซาบซึ้งในความกรุณาของพ่อท่านที่จะสอนคนให้เป็นคนดีและกอบกู้ศาสนาพุทธโดยการปฏิบัติอย่างเต็มจิตเต็มใจเป็นเวลา 48 ปี
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ตอบปัญหา concept ความเป็นพระอรหันต์
_เอซุส เวสเกต (พระประสิทธิ์ พลจันทร์)
วันนี้กระผมว่าง กระผมขอโอกาสสนทนากับพ่อครูสัก 2-3 คำถามนะครับ
...เรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยและมองว่าท่านพ่อครูยังหลงสำคัญตนผิดอยู่นะครับ ก็คือ ที่ท่านบอกว่า พระหลายๆรูป มีเถระสมาคมบ้าง หลวงตามหาบัวบ้าง พุทธธาตุบ้าง หลวงพ่อคูณบ้าง เหล่านี้เป็นต้น เป็นพระเก๊ เป็นอรหันต์เก๊ ท่านพ่อครูเอาอะไรมาเป็นมาตฐานในการชี้วัดตัดสินว่า พระองค์ไหนเก๊ พระองค์ไหนแท้ครับ?
...และที่ท่านพ่อครูบอกว่าตัวท่านเองเป็นพระอรหันต์นั้น พ่อครูมีหลักฐานยืนยันในเป็นอรหันต์ของตนเองไหมครับ ยกตัวเอย่างเช่น ...ถ้าทางโลกียธรรม =ก็อุปมาว่า เมื่อนักเรียนนักศึกษาที่เรียนจบหลักสูตรในสถาบันของตนๆแล้ว ทางคณะอาจารย์ในสถานับนั้นๆก็จะได้มอบใบประกาศนียบัตรเป็นเครื่องยืนยันว่านักเรียนนักศึกษาคนนี้จบจากสถาบันนั้นๆมาจริงๆ เมื่อนักเรียนนักศึกษาคนนั้นนำวุฒิการศึกษาคือใบประกาศนียบัตรไปยืนแสดงให้ผู้คนทั่วไปหรือบริษัทห้างร้างต่างๆดู เมื่อผู้คนทั่วไปหรือบริษัทห้างร้านต่างๆเหล่านั้นเขาตรวจสอบสืบค้นข้อมูลที่นักเรียนนักศึกษาเหล่านั้นนำมาแสดงแล้ว ปรากฏว่าจบมาจริงสามารถสืบกลับไปหาสถาบันต้นตอที่นักเรียนนักศึกษาเหล่ากล่าวอ้างมาในตอนยื่นใบสมัครงาน เขาจึงยอมรับนับถือและรับเข้าทำงาน อย่างนี้้ป็นต้นครับ...ถ้าทางโลกุตรธรรม=ก็ต้องมีครูบาอาจารย์รับรองให้ ผู้คนทั่วไปได้รับรู้ก็ให้การยอมรับนับถือ อย่างเช่นพระในสมัยพัทธกาลคือ พระอัญญาโกญฑัญญะที่ท่านได้ฟังธรรมจักรกัปปวัตสูตรจากพระโอฏฐ์พระพุทธเจ้าแล้วได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันแล้ว พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยปัญญาญาณ จึงทรงตรัสรับรองการบรรลุธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะนั้นว่าถูกต้องจริงในท้ายที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตนสูตรนั้นในทันทีถึง 2 ครั้งซ้อนว่า "อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติฯ เรื่องพระอัญญาโกณฑัญญนี้มีหลักฐานกล่าวไว้มากมายในหนังสือต่างๆทั้งหนังสือเรียนธรรมบทบาลี มนต์พิธี แม้พระไตรปิฎกก็กล่าวไว้ ซึ่งหนังสือเหล่านี้ชาวพุทธทั่วไปถึงทั่วโลกให้การยอมรับว่าเป็นหนังที่มีเนื้อหาสาระเมื่อปฏิบัติตามอย่างถูกขั้นตอนแล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง (แม้แต่องค์สมเด็จพระสังฆราชก็ยังให้การยอมรับในหนังสือเรียนเหล่านี้ถ้าไม่เชื่อกระผมถ้ามีเวลาว่างก็นิมนต์ลองเดินทางไปสอบถามท่านเองโดยตรงก็ได้ครับ เพราะว่าตอนนี้พระสังฆราชเป็นพระรูปเดียวในประเทศไทยที่พ่อครูยอมรับว่าเป็นพระดี) อย่างนี้เป็นต้นครับ ...แล้วท่านพ่อครูมีใครเป็นผู้ให้การรับรองความเป็นอรหันต์ของท่าน เหมือนหรือคล้ายๆ กับพระพระอัญญาโกณฑัณญะ บ้างไหมครับ ช่วยแสดงหลักฐานเป็นพยานบุคคลที่สาธุชาวพุทธส่วนใหญ่ให้การยอมรับนับถือมาให้ดูสักคนหน่อยครับ เพื่อคนที่เขายังไม่รู้จะได้รู้ ร่วมถึงผมด้วย ถ้ามีหลักฐานพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือได้จริงมายืนยันกระผมคิดว่าจะมีผู้คนอีกมากหันไปศรัทธาและปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านครับ รวมถึงกระผมด้วยนะครับ
...วันนี้คงจะพอแค่นี้ก่อนนะครับโอกาสหน้าค่อยสนทนากันใหม่ครับ ...ถ้าพ่อครูมีเวลาว่างก็ช่วยตอบให้กระผมและชาวพุทธทั้งหลายได้หายข้องใจในความเป็นอรหันต์แท้ของท่านด้วยครับ...กราบขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูงครับผม...หากมีถ้อยคำใดๆที่ไม่สุภาพจาบจ้วงลบหลู่ท่านพ่อครู ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ...กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ
พ่อครูว่า…อ้อ อโหสิอยู่แล้ว คุณพูดสุภาพดีด้วยซ้ำไป คนพูดแรงอาตมาก็อโหสิทุกคนไม่ได้ติดใจถือสาพยาบาทใคร เพราะความพยาบาทไม่มีจริงๆ อาตมาหยุดพยาบาทเด็ดขาดมานานแล้ว เรื่องพยาบาทอาตมาไม่มี ก็สบาย
ประเด็นที่คุณเอซุส เวสเกตุ จับประเด็น คือ อาตมาเป็นอรหันต์ตามความรู้ของท่านประสิทธิ์ พลจันทร์ ว่า อรหันต์ต้องเป็น Concept อย่างที่ท่านเข้าใจ ซึ่งอาตมาก็ต้องขออธิบายตรงนี้ว่าความเข้าใจของท่านเรื่องพระอรหันต์นั้น ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ยังมีความผิดเพี้ยนอยู่ในความเข้าใจเรื่องอรหันต์ มันเป็นเชิงเทวนิยม ออกนอกทิฐิออกนอกทฤษฎีออกนอกระบบ ออกนอกคำสอนพระพุทธเจ้า ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่น้อยจนถึงมาก และมันมากจนกระทั่งเกือบจะไม่เหลือเชื้อ อาตมาขอใช้คำว่าเกือบ ที่จริงมันไม่เหลือแล้วล่ะ มันมีแต่ในตำราว่ามีโลกุตรธรรม อาตมาก็มาฟื้นโลกุตรธรรมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ต่อไปโลกุตรธรรมจะหายไปจะเหลือแต่คำสอนที่ไพเราะเพราะพริ้งประโลมโลก เหมือนกับกลองที่แต่เดิมเรียกว่ากลองอานกะ แต่ว่า เมื่อเวลาผ่านไปกลองนั้นก็ไม่เหลือเนื้อเดิมอีกแล้วเป็นเนื้อใหม่เปลี่ยนไปหมดแต่ยังชื่อเรียกว่ากลองอานกะอยู่ อาตมาก็ต้องมาฟื้นคืนความรู้เก่าที่เคยหายไปแล้ว
ก่อนอื่นก็ลองวางเรื่องที่คุณเข้าใจมาแต่เดิมนั้นทิ้งไปเสีย ให้ศึกษาปฏิบัติตั้งแต่ศีลสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ ที่อาตมาพยายามอธิบายให้ฟังไปเรื่อยๆ ก็จะทบทวนศีลสมาธิปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ และเรื่องพิสดารอีกเยอะแยะ และก็วนมาหาศีลอีกแต่ก็มีความลึกซึ้งเพิ่มขึ้นมีคนที่อธิบายไปตามลำดับก็ฟังคนอื่นด้วย ไม่ใช่ฟังแต่อาตมา
ประเด็นสำคัญคือ ขณะนี้ศาสนาพุทธผ่านมากว่าครึ่งแล้ว 2600 กว่าปี มันไม่เหลือเชื้อของศาสนาพุทธแท้จริงแล้วแม้แต่ทางเถรสมาคมท่านพุทธโฆษาจารย์
ท่านพุทธโฆษาจารย์ หรือ ท่านประยุทธ์ ปยุตโต คนเขาก็นับถือกัน แต่ก็มีเนื้อที่อาตมาบอกไปกับทั่วไปแล้วว่ามีเรื่องที่ท่านเข้าใจผิดอีกหลายอย่าง อันนี้ก็ไม่ได้รื้อฟื้นไม่ได้เตรียมตัวมาพูดถึงท่าน ประยุทธ์ ปยุตโต ตอนนี้ท่านเป็นสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ก็เหลืออีกตำแหน่งเดียวก็ขึ้นเป็นสังฆราชเท่านั้น แต่ก็มีธรรมเนียมเรียงตามอาวุโสอีก อาตมาก็ไม่ได้ไปวุ่นวายทางระบบเถรสมาคม ส่วนระบบของอาตมานั้นไม่มีใครขึ้นมาเป็นสังฆราช มีแต่พระธรรมดา อาตมาก็เป็นพระธรรมดาไม่มีสังฆราชไม่มีเจ้าคุณ ที่เขาเรียก พ่อครู ไม่ใช่ตำแหน่งชั้นพระครูนะ เขานับถือว่าเป็นพระหรือสมณะอายุมาก เป็นพ่อ แล้วมาสอนเป็นครูก็เลยเรียกพ่อครู
ประเด็นสำคัญคืออาตมา กว่าอาตมาจะประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ก็เป็นพศ. 2558 อาตมาทำงานมาแล้วตั้งแต่ 2513 จนถึง 2558 ก็ถึงได้ประกาศชัดเจน ส่วนข้างในก็พอรู้กัน ส่วนที่ประกาศเป็นสาธารณะนั้นก็คือมีนาคม 2558 ไม่ใช่ว่าอาตมาจะมาประกาศเล่นๆ ที่จะประกาศยังอยากอวดโอ่ แต่เพราะถึงเวลาวาระเท่านั้น แม้แต่อาตมาประกาศว่าตนเป็นสยังอภิญญา ที่ท่านพยากรณ์ไว้ ไม่ว่าในโลกยุคไหนหรือยุคนี้ที่คนอยู่มีศาสนาพุทธนี่แหละ คุณนับถือเป็นพุทธศาสนิกชน ทั้งโลกนี้คุณเป็นพุทธ คุณเห็นไหมในโลกนี้มีใครที่เป็น สยังอภิญญา แล้วมีอัตถิโลเก คือมีไหมที่เป็น เป็นสมณะพราหมณ์ผู้เป็น สยังอภิญญา มาประกาศโลกนี้ โลกหน้า อาตมาก็อธิบายหมด เรื่องโลกนี้ โลกหน้า เรื่องสัตว์เรื่องชีวะ ก็มีคนฟังแล้วก็เข้าใจปฏิบัติตามได้ผลอย่างแจ่มแจ้ง สัจฉิกัตวา อย่างแจ่มแจ้งรู้ยิ่ง ด้วยตน มาประกาศ ปเวเทนตีติ และก็ยังตั้งใจจะไม่ตายง่ายๆ พยายามหาวิชาหนังเหนียว จะอยู่ไปอีกเพื่ออธิบายต่อไป เพราะคนยังเข้าใจยังไม่ได้มาก ไม่ได้อยากอยู่ไปเพื่อได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เหนื่อย อยู่ต่อไปก็เหนื่อย ทำงาน แต่เพื่อประโยชน์ของผู้ที่เป็นมนุษยชาติทั้งหลายควรจะได้รู้ได้ปฏิบัติเอา ไม่ใช่เพื่อมาแลกลาภจากคุณ คุณได้ความรู้จากอาตมาแล้วก็จะได้มานับถืออาตมาต้องได้รับยศสรรเสริญหรือมายกย่องอาตมาไม่ใช่นะไม่มี อาตมาไม่ได้กำหนดเอาอย่างนี้ ส่วนใครจะกตัญญูกตเวทีรู้สึกว่าเป็นคุณค่า จะให้ความนับถือยกย่องตอบแทนบูชาก็แล้วแต่ จะไม่นับถือไม่บูชาก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ อาตมาไม่ได้ยึดติดไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด ส่วนใครที่จะให้สิ่งที่เหมาะสมดีและสมควรก็ไม่เป็นไรก็เป็นความดีของคุณ
กว่า อาตมาจะประกาศตัวเองว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา คนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีหลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎก อยู่ในมหาจัตตารีสกสูตร อาตมาก็ขยาย จนทำมหาจัตตารีสกสูตร เป็นหนังสือเรื่องสมาธิพุทธเล่มต่อเท่านี้ ยังไม่ละเอียดด้วยซ้ำไปจะมีเล่ม 2 อีก แต่มันคงข้ามพ้นที่จะรวมเล่ม 2 แล้ว เพราะว่ามีเล่มอื่นที่ละเอียดกว่าสมาธิพูดอีก อาตมาพิมพ์หนังสือออกไปจำนวนเลยกว่าล้านเล่มแล้ว เลยร้อยเรื่องแล้ว ก็พิมพ์แจกไปเยอะแยะ หากรวมหนังสือพิมพ์เราคิดอะไรก็คงถึงสองล้านเล่มแล้วกระมัง
ที่อาตมาพูดออกไปไม่อยากอวดตัวไม่ได้เบ่งตัวเองไม่ได้หลงตัวเอง แต่ต้องย้ำยืนยัน ก็ว่าศาสนาพุทธได้ถูกกลบเกลื่อน จนคนที่บรรลุธรรมบอกไม่ได้พูดไม่ได้ เดาเอา มันเป็นศาสนาอาริยะเดาหรืออรหันต์เดา มันเป็นอย่างนั้น เขาพูดไว้เลยว่าผู้ที่บรรลุแล้วมาบอกตัวเองว่าตนเองบรรลุก็คือผู้ไม่บรรลุ ซึ่ง เป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับ โลหิจสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง” (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
จึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดความจริงยืนยันให้ชัดเจน ดีนะที่มีหลักฐานเหล่านี้ให้อาตมาอ้างอิงไม่อย่างนั้นอาตมาหนักมากเลย เป็นกุศลของอาตมา
ที่อาตมา จำเป็นจะต้องพูดเพราะว่า เขาไม่รู้ว่ามันมีจริงๆหรือคนที่จะบรรลุอรหันต์ คนบรรลุจริงๆมันเป็นอย่างไร แล้วทีนี้คนบรรลุมันก็ไม่ได้เป็นดัง Concept ของคนทั่วไปเข้าใจ ความคิดองค์รวมของคนทั่วไปเข้าใจเป็นมิจฉาทิฐิ เข้าใจว่าพระอรหันต์จะต้องนั่งบื้อแข็งไม่พูดไม่จา ของจริงต้องนิ่งใบ้ พูดได้ไม่ใช่ของจริง อะไรอย่างนี้ แล้วจะต้องนิ่งกระดุกกระดิกไม่ได้ อาตมาต้องเอาหลักฐานต่างๆนานามาอ้างอิงยืนยันว่าศาสนาพุทธนะ ยิ่งบรรลุ จิตยิ่งทำให้เกิดกาย เป็นกายที่คล่องแคล่วว่องไวรวดเร็ว จิตจะมีพลัง คนที่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้าจิตใจจะยิ่งทำให้กายคล่องแคล่วว่องไว จะเป็นกายของเวทนาก็ว่องไว สัญญาสังขารก็ว่องไว แน่นอนว่าวิญญาณก็เป็นชื่อรวมของเวทนาสัญญาสังขาร
เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมแล้วจิตใจจะคล่องแคล่วว่องไว พยัญชนะเรียกว่า กายปาคุญญตา
จะเป็นความคล่องแคล่วว่องไวของกาย เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ จะเป็น กายมุทุตา
กายจะมีประธานของจิตเรียกว่าจิตมุทุ คือจิตหัวอ่อน แต่ไม่ใช่อ่อนนิ่ม เป็นความอ่อนอย่างแข็งแรง ไม่มีภาษาไทยจะพูด แล้ว แต่เรียกว่าจิต มุทุ
จิตมี มุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต แต่เขาไปแปลกันว่าจิตอ่อน มันก็เลยไม่ตรงกับความเป็นจริง ในความเป็น มุทุจิต ซึ่งเป็นจิตที่แข็งแรงเพื่อป้องว่องไวมีประสิทธิภาพสูง สามารถมีความเร็วไวทั้งทางด้าน Static และ dynamic จิตมีความแข็งแรงมากจะวิ่งก็รวดเร็วคล่องแคล่ว มีทั้งพลังบวกและพลังลบที่ จัดเร็วไว แข็งแรงสุดยอด เพราะฉะนั้นจึงมีพลังงานที่ทำงานได้ดีมาก
คนไทยในศาสนาพุทธทุกวันนี้อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ นี่ไม่ได้คุยตัวเองนะ พูดความจริงให้ฟังกัน ถ้าใครอธิบายได้ดีกว่าอาตมา พาให้อาตมาไปกราบเคารพหน่อย แล้วอาตมาจะได้เรียนรู้จากท่าน เป็นภันเตที่อาตมาต้องคารวะต้องเคารพ ก็จะได้อาราธนาท่านเชิญท่านช่วยอาตมาด้วย ก็ยิ่งดีสิ อาตมาก็ยิ่งสบาย มีผู้รู้ยิ่งกว่าอาตมา อาตมาก็ได้แต่ประกาศว่าใครเป็นผู้พี่ก็ประกาศตัวมามาอธิบายให้น้องฟังหน่อย อาตมาพูดไปหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นสรุปแล้วที่อาตมาต้องประกาศตัวเองเพื่อยืนยันให้รู้ว่า อาตมาอธิบายไม่ได้หรอก และไม่ทำท่าทางท่าทีลีลา ที่สมบูรณ์แบบ ที่เหมาะสมกับยุคสมัย
ก็ยาก เพราะอายุนี้มันต้องแสดงอย่างนี้แหละ ยิ่งกว่ายุค Hard Rock ต้องแสดง นัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่านแปลนัจจะว่าแค่ท่าทางฟ้อนรำ คีตะคือเพลง วาทิตะคือคำกล่าวที่ตกแต่งประดิษฐ์ประดอย ซึ่งแต่อย่างนั้นก็ไม่ผิดแต่เป็นความตื้น แต่นัยยะลึกซึ้งของท่าทีลีลา นัจจะที่แรงหรือเบาที่สุภาพเรียบร้อยก็ได้
คีตะ สุ้มเสียงสำเนียง จะตกแต่งมากมายก็ได้หรือเป็นสุ้มเสียงสำเนียงที่ถูกต้อง มีรัสสระหรือทีฆสระให้ถูกต้อง อาจจะมีที่ต้องเน้นเสียงบ้าง แต่ก็ไม่ต้องเป็นเพลงอย่าง คีตะ
ทิตะคือ เฟ้นคำ ที่เหมาะสมมาใช้ บางคำเหมือนคำหยาบ แต่ไม่ใช่ เป็นคำที่เหมาะสมกับเหตุปัจจัยที่สื่อสารคำนี้แล้วมันจะรู้ได้ชัด เป็นประโยชน์ ไม่ได้มีความหยาบในหัวใจเลย แต่พยัญชนะคนที่ยึดถือใช้กันว่าเป็นคำหยาบ ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นก็เลยบอกว่าคุณอย่ามาใช้คำหยาบ เราก็บอกว่าเรามาใช้ในสภาวะที่แม้จะเป็นคำหยาบแต่มันไม่หยาบ นี่เป็นเรื่องของสิริมหามายาเป็นความสลับกันรวดเร็ว เหมือนกับการพูดกลับกันไปกลับกันมา อันนี้ยิ่งยากเลยในเรื่องสิริมหามายา อาตมาก็ขยายความจนพวกเราเข้าใจแล้ว และก็สร้างประโยชน์ทำประโยชน์อะไรได้แล้วศึกษาได้เป็นภาษาคำนี้สื่อว่าคืออะไร อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาพูดนี้ ไม่ได้เพื่อแก้ตัวโดยให้คนมาเคารพนับถือ แต่ขยายความให้มันลึกซึ้งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ยังไม่ได้ซึ้งก็จะได้ประโยชน์ แต่ผู้ใดที่เพ่งโทษมีอคติในใจก็ไม่มีปัญหาหรอกแน่นอนฟังไม่ขึ้นแน่นอนทำอะไรไม่ได้ แต่สำหรับผู้ที่ตั้งใจศึกษา สุสสูสังละภะเตปัญญัง ตั้งใจฟังด้วยดีจะเกิดความรู้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง
ก็ขอยืนยันอีกอันหนึ่งว่า ความเป็นอรหันต์ของอาตมานั้นที่พระประสิทธิ์สงสัยมา ตรงกับตำราไหม ก็ตรง ตรงที่สุด โดยเฉพาะรากฐานของตำรา ไม่ใช่คนยุคใหม่อรรถกถาจารย์เขียน ขยายความที่ผิดเพี้ยนไปเรื่อย จนกระทั่งกลายเป็นอรหันต์เก๊ ที่อาตมาใช้ศัพท์ เป็นอรหันต์เดา อรหันต์เก๊ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆอาตมาก็เลยสุดสงสารจึงต้องมายืนยันความจริง
อาตมาแสดงท่าทีลีลาออกไปตลอด กายวิญญัติ วจีวิญญัติ จากมโนเป็นประธาน ขอยืนยันว่าอาตมาผสมส่วนให้เป็น นัจจะคีตะวาทิตะ ที่ปรุงแต่งออกไปยังได้สัดส่วนจัดสรรองค์ประกอบดี เหมาะสมที่จะสื่อสารให้คนรับฟังแล้วเข้าใจทันที ได้มีความลึกและมากเท่าที่อาตมาจะเก่ง ไม่ต้องการอวดดีจะเห็นว่าเหมาะสมกับกาละเทศะทุกอย่าง ไม่ต้องการทำโชว์ว่าไอ้นี่เพราะไอ้นี่สวยไอ้นี่สุภาพไอ้นี่แรงดีให้ดีได้สัดส่วน ที่มันเป็นแบบนิยมสะใจแบบของคนโลกนับถือ ไม่ใช่ แต่ประมาณที่ทำออกไปทุกกายวิญญัติ วจีวิญญัติ จากมโนเป็นประธาน สื่อสารให้คนรับได้เข้าใจได้ดีที่สุดลึกที่สุดสมบูรณ์ เจตนาอย่างนี้ไม่มีอื่นเลย
เพราะฉะนั้นจะไปเอาท่าทีลีลาของอาตมานั้นก็อาจจะไม่ตรง แต่ไม่ผิดหรอก เพราะท่าที่ลีลาแรงก็ได้ แต่คุณจะไปเอาท่าทีลีลาของพระพุทธเจ้า มาเทียบกับอาตมามันคนละยุค พระพุทธเจ้าจะตรัสนั้นแต่ละคนนิ่งหมดเลยเพราะบารมีท่านเยอะ แต่อาตมาพูดอะไรคนไม่เชื่อเกือบทั้งนั้น ส่วนพระพุทธเจ้าตรัสอะไรคนเชื่อคนนิ่งหมดเลย ส่วนอาตมาพูดนั้น คนไม่เชื่อหมดเลยไม่นิ่งหมดเลย แกว่งเสี้ยนเลยไม่ได้เรื่องอย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็แสดงการส่ายหัวให้ดูด้วย ก็ดูเหมือนไม่สุภาพ แต่อาตมาก็สื่อสารให้เข้าใจเท่านั้นเอง จึงยากถ้าคุณจะถือด้วยอาการ แล้วเอาอาการนั้นมาตัดสินเป็นเครื่องประกอบตาม กาลามสูตร คุณไปยึดถือว่าถ้าเป็นอาการอย่างนี้มันไม่ใช่มันก็ผิดหมด มันคนละกาละเวลา
สรุปแล้วอาตมาจะทำให้รู้ความจริงว่าดูอาตมาให้นานๆให้ครบให้มาก จุดสำคัญก็คือ อาตมาไม่มีกิเลส ไม่มีความต้องการมาให้เป็นตัวตนเพื่อตัวตน
1. ไม่มีกิเลส 2. ไม่มีตัวตน 3. ไม่มีทิฏฐิลามกที่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนไม่มี เอาแค่ 3 ประเด็นนี้ก็พอ
3 ประเด็นนี้ถ้าคุณเข้าใจแล้วคุณติดตามศึกษาอาตมา อาตมาไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอาตมาไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เอาแค่ 3 ประเด็นนี้ คุณมาคอยตรวจสอบอาตมาเลยกี่วันกี่เดือนกี่ปีมา 3 ประเด็นนี้คุณให้เป็นอาริยะเป็นอรหันต์ได้ไหม สะอาดบริสุทธิ์ใน 3 ประเด็นนี้ เอาง่ายๆสั้นๆ ไม่มีตัวตนไม่มีกิเลส ไม่เพื่อลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเลย เอาแค่ 3 ประเด็นนี้อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่มี ไม่มีเพื่อลาภยศ ไม่มีที่ทำด้วยกิเลสไม่ได้ทำเพื่อตัวตน ถ้าไม่มีจริงๆบริสุทธิ์สะอาดแค่ 3 ประเด็นนี้คุณให้เป็นอรหันต์ได้ไหม
แต่อาตมาเขียนไว้ถึง 12 ประเด็น อาตมาเขียนจากของตัวเอง
คุณลักษณะ 12 ของ พระอรหันต์ผู้มีอิสระยิ่ง .
1. เป็นคนหมดทุกข์ (ดับทุกข์อริยสัจ)
2. เป็นคนไม่มีภัย
3. เป็นคนมีคุณค่า
4. เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว
5. เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
6. เป็นคนมีเมตตาจริง
7. เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้
8. เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว
9. เป็นคนทำแต่กุศล
10.เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว
11. เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน
12. เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์
อุเบกขามีองค์ธรรมคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธา เป็นจิตที่บริสุทธิ์จากโลกธรรมจากกิเลส
ปริโยทาตา บริสุทธิ์อย่างนั้นแหละแม้จะปรุงแต่งไปเปื้อนกับโลกจะมีผัสสะกับโลกกระทุ้งกระแทกกระเทือนอย่างไรจิตก็ยังบริสุทธิ์อยู่อย่างเดิมอย่างเดิม จะทำงานแปดเปื้อนขนาดไหนเราก็ประมาณของเราเองเราก็ยังสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสเหมือนเดิม
มุทุ จิตเร็วไวหัวอ่อนรู้ไว ง่ายต่อการดัด รวดเร็วคล่องแคล่ว มีความแข็งแรงปราดเปรียว
กัมมัญญา ท่านแปลว่า สละสลวย เหมาะควรแก่การงาน หมายความว่าเป็น อัญญา ซึ่งอัญญาคือ ปัญญาทางโลกุตระ เป็นการกระทำการงานที่ประกอบด้วยปัญญาโลกุตระ การงานของคนๆนี้จึงมีแต่โลกุตระไม่เป็นโลกียเลยและเป็นกุศลเท่านั้น ไม่เป็นบาปเป็นบุญด้วยสุดท้ายเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มีบาปไม่มีบุญ
ปภัสสรา จะทำงานอยู่กับโลกอย่างไรจิตก็ไม่หม่นหมอง มีเเต่ผ่องแผ้วอยู่อย่างนั้นตลอดกาล
นี่เป็นคุณสมบัติ 5 ประการ ที่ อาตมามีของตนเองจึงมาพูดได้อย่างถนัดใจ เพราะมีของตัวเองอ่านจิตตัวเองออกมาพูดให้คนอื่นฟัง มันก็ถนัดใจสบายๆ ไม่ได้มาลอกเลียน
อาตมาเป็นคนไม่มีบุญ สิ้นบุญหมดแล้ว ตอนนี้ไม่ขยายเรื่องบุญ แต่งานนี้จะขยายเรื่องบุญอย่างสำคัญ
ส่วนกรรมใดก็ไม่มีอกุศลมีแต่กุศล บาปบุญนั้นสิ้นหมดแล้ว ทำแต่กุศล
อาตมามีประโยชน์ตนครบแล้วหมดแล้วประโยชน์ตนไม่มีอีกแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องทำให้ตนอีกแล้ว ประโยชน์ของตนเองไม่ต้องทำมีแต่ทำให้คนอื่นเท่านั้น
เป็นคนมีนิพพานสัมบูรณ์ Absolute อย่างนี้เป็นต้น นี่เขียนออกมาจากคุณลักษณะของตัวเอง และมาเป็นพระอรหันต์มีคุณค่าอย่างนี้ ถ้าคุณลักษณะอย่างนี้ คุณมาตรวจสอบเลยจะใช้เวลากี่ปีกี่เดือนก็ได้เชิญเลยไม่มีปัญหา เอหิปัสสิโกเชิญมาดูได้ ถ้าครบ 12 ข้อนี้คงจะอนุโลมได้ว่าเป็นอรหันต์ แต่ถ้ามีพิเศษอีกคนก็มาดูถ้าเห็นด้วยก็ใช่ ถ้าบอกว่าต้องไปนั่งหลับตา แสดงฤทธิ์เหาะได้อะไร อย่างนั้นไม่ใช่เครื่องแสดงอรหันต์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น จัดแสดงแบบฤาษีชีไพรแบบเทวนิยมอะไรต่างๆนานา อย่างที่เป็นกัน อย่างที่เก่งทางโลกียะ ไม่ใช่เก่งทางโลกุตระ อย่างนั้นก็ต้องมาพูดกันให้ถูกต้อง
นั่นคือความแสดงตัวเป็นอรหันต์ ที่สำคัญมาก คือแสดงตัวว่าเป็นอรหันต์แต่ไม่ใช่อรหันต์ธรรมดาแต่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นสยังอภิญญา
ผู้ที่จะเป็นสยังอภิญญา โพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 5 ยังไม่ใช่สยังอภิญญา ยังต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ แต่ในชาตินี้อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ก็ต้องขยายความ
ที่คุณบอกว่าจะต้องมีอาจารย์ต้องได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักไหน แต่อาตมาไม่มี ชาตินี้ไม่มีใครให้ประกาศนียบัตรอาตมาได้ ขออภัยที่ต้องพูดคำนี้ ไม่มีใครสอนอาตมาได้ เพราะอาตมามีความรู้เหนือกว่าผู้ที่เขาจะมาสอนอาตมา เพราะฉะนั้นอาตมาในชาตินี้จึงไม่มีใครให้รางวัลอาตมาได้ ไม่มีใครให้รางวัลอาตมาได้ เพราะคนจะให้รางวัลก็ต้องมีความรู้ดีว่าอย่างนี้ควรให้รางวัล แต่ความรู้ที่อาตมามีเขาไม่รู้ และเขาจะมาให้อาตมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ตกอกตกใจไม่แปลกใจเลยว่าชาตินี้ไม่มีรางวัลเลยสักอันเดียว
คนอื่นทำงานมา 40 50 ปีเช่นท่านเสียงศีล องค์หนึ่งของพวกเราได้รับรางวัลมาตั้งเยอะแยะแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นเป็นลูกศิษย์อาตมาได้รางวัลเยอะแยะ แต่อาตมาไม่มีทางได้รางวัลหรอก เพราะเขาไม่มีปัญญาจะมาให้รางวัลเอาทำอะไรได้ อาตมาไม่ได้ตกใจไม่ได้แปลกใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วยืนยันความถูกต้องแล้ว ไม่มีใครให้รางวัลอาตมาได้เป็นอันขาด แต่พวกคุณจะให้ อาตมาจะเอาไปทำไม ก็คุณมาให้อาตมา อาตมาเก็บไม่ไหวหรอก มีร้อยคนพันคนหมื่นคนแสนคนก็แล้วแต่อาตมาจะไปหอบเอามาทำไม
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเป็นคนที่ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีลูกศิษย์ร่วมสำนัก เมื่อไม่มีครูบาอาจารย์ก็ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง อาตมาก็เป็นอาจารย์เองสอนคนอื่นด้วย อาตมามีแต่ลูกศิษย์ไม่มีครูบาอาจารย์ มันพูดเหมือนผยองมากเหมือนหน้าหมั่นไส้จริง อาตมาเข้าใจและเห็นใจเหมือนกัน แต่ต่อมาจำเป็นต้องพูดต้องเปิดเผย
ไม่ได้เปิดเผยง่ายๆ หลายสิบปีจนกว่าจะประกาศว่าตนเองเป็น สยังอภิญญา เป็นคนผู้นี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาตมาเป็นคนลำดับที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10 ก็แค่นี้ก็แล้วกัน
ถ้าอาตมาเป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
ถ้าอาตมาเป็นผู้ที่เป็นข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะอธิบายอีก 9 ข้อได้
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ทานแล้วต้องทำใจในใจอย่างไร โยนิโสมนสิการอย่างไร ซึ่งคำว่าโยนิโสมนสิการนี้คนเขาก็ไปแปลแค่ว่าทำใจให้แยบคาย แต่อาตมาแปลว่า การทำใจในใจอย่างมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผล และให้ถึงที่เกิด คือโยนิโส เป็นความรู้ความเห็นที่แยกแยะละเอียดลออถูกต้องของแท้ลงไปถึงที่เกิด โยนิโสฯ คำว่า โยนิโสมนสิการนี้อาตมาก็ต้องตามไปขยายความ ในสัมมาทิฏฐิ 2 ในอวิชชาสูตร 10 เป็นต้น คำว่าโยนิโสมนสิการเขาก็เข้าใจไม่ถูกต้องได้ง่ายๆ
คุณจะโยนิโสมนสิการเป็น ขยายความคำว่าโยนิโสมนสิการเป็นถูกต้องและทำเป็นทำได้ผล ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แม้แต่ในสุริยเปยยาลสูตร(ว่าด้วยแสงอรุณทั้ง 7) โยนิโสมนสิการก็เป็นตั้งข้อที่ 7
คุณโยนิโสมนสิการเป็นตั้งแต่แสงเงินแสงทองทั้ง 7 คุณต้องทำให้ได้ก่อนจึงจะมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้ได้ผล ถ้าคุณทำอันนี้ไม่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ คนมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก่อนจะพบแสงเงินแสงทองทั้ง 7 ประการนี้
แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน สุริยเปยยาล (เล่ม 19 ข.129 - 136)
[129] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . . ดูรายละเอียดมิตรดี -> .
[131] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[132] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[133] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[135] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
ตั้งแต่มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีอย่างชาวอโศกนี้ และก็มีศีลสัมปทา ชาวอโศกนี้มีแสงเงินแสงทองทั้งนั้น มีศีลสัมปทาปฏิบัติศีลให้เกิดเป็นมรรคเป็นทางปฏิบัติไปตลอด ทุกชุมชนชาวอโศกต้องปฏิบัติศีลทุกคน
มีฉันทสัมปทา ทุกคนที่มาที่นี่มีความยินดีมาทั้งนั้นไม่ยินดีอย่ามา แม้คุณยินดีไม่เท่าไหร่จะมาทดสอบสุดท้ายคุณก็ยินดีที่จะอยู่ได้ แม้คุณไม่ยินดีเท่าไหร่ คุณมาทดสอบศึกษาแล้วไม่ยินดีคุณก็ต้องออกไปแน่ ฉันทะ คุณไม่เกิดไม่มีทางอยู่ได้ เพราะฉะนั้นฉันทะจึงสำคัญ ถ้าหากฉันทะตัวนี้ไม่มี คุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่างไรให้ตายก็ไม่เกิดมรรคผล
อัตตสัมปทา ต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องอัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
คือตั้งแต่ภายนอกหยาบใหญ่ ทำได้แล้วก็ทำ มโนมยอัตตา แต่ไม่ได้ทำอย่างหลับตาเลยทำอย่างอื่น มีจักษุญาณปัญญาวิชชาแสงสว่าง อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้าขยายความอ้างอิงยืนยันทุกกระบวนการ
เมื่อรู้เข้าใจอัตตา 3 ดีก็มาดับอัตตา 3 คุณเกิดเป็นพระอรหันต์ ต้องเข้าใจอัตตาให้ดีเป็นแสงเงินแสงทองก่อนแล้วจึงจะมีทิฏฐิสัมปทา มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น
คุณต้องมีกระบวนการวิธีทิฏฐิความเข้าใจ สัมปทาคือวิธีการ ต้องเป็นวิธีการที่ถูกต้อง หรือจะเรียกว่าพ้นสีลัพพตุปาทาน พ้นทิฏฐิความรู้ความเห็นเข้าใจที่เป็น อุปาทาน แค่ทิฏฐุปาทาน ต้องพ้นอุปาทานพวกนั้นมา นอกจากกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทานแล้วต้องพ้น อัตตวาทุปาทาน
ทุกวันนี้ส่วนใหญ่คนเป็นอัตตวาทุปาทาน ยังไม่เข้าถึงอัตตาเลย ปฏิบัติได้แค่ภาษาวาจา เรียกว่าอัตตาเป็นบัญญัติเท่านั้นเอง ยังไม่เข้าถึงตัวสภาวะธรรม
เทวะ มีสภาวะกับพยัญชนะ เขายังอยู่แค่พยัญชนะหรือบัญญัติส่วนใหญ่เลยยังเข้าถึงสภาวะของอัตตาจริง เทวะสองนี่ ยังไม่ค่อยได้กันเลย ยังไม่ค่อยเป็นกันเลยอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ แม่คุณจะรู้หมดแล้วถึง 4 5 ข้อแล้ว แต่ข้อที่ 6
ถ้าคุณยังประมาทอยู่ คุณรู้แล้วแต่ยังรอและประมาทไม่เอาจริงเอาจัง จ้างคุณก็ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ ต้องมีความพากเพียรเพียงพอเอาใจใส่เพียงพอ ตั้งอกตั้งใจศึกษาปฏิบัติ ไม่ประมาท พ้นจากความประมาท อัปปมาทสัมปทา และสำคัญที่ข้อ 7
โยนิโสมนสิการ อาตมาใช้ศัพท์ง่ายๆ ต้องโยนิโสมนสิการเป็น หาก โยนิโสมนสิการเป็น คุณยังเข้าใจไม่ถูกต้องเลยทำไม่เป็น คุณไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เท่าไหร่ให้ตายก็ไม่ได้ และการปฏิบัติมรรคมีองค์8ก็ไม่ได้ปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิด้วย นี่ก็อีก ปฏิบัติมรรค
ทั้งเจ็ดองค์แล้วจึงจะเกิดข้อที่ 7 เป็นสมาสมาธิ นี่ก็ต้องอธิบายอีกยาวนาน
นี่เขาก็ขึ้นตัวหนังสือในจอว่า ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐินั้นจะต้องมี
1. ปรโต จ โฆโส จ (การได้ฟังสัจจะมุมอื่นจากผู้รู้อื่นๆ หรือจากบัณฑิตอื่น จะไม่ติดยึดแต่ภูมิรู้เดิมๆ ของตน)
2. โยนิโส จ . มนสิกาโร (ปรับใจ ปฏิบัติกระทำใจให้ละเหตุแห่งการเกิดกิเลสที่ใจ กระทำใจละให้เป็น ให้ถ่องแท้ ให้หยั่งลงไปถึงแดนเกิด คือ สมุทัย ที่ใจ) . . .
สัมมาทิฐิย่อมมีเจโตวิมุติ มีปัญญาวิมุติเป็นผล และเป็นอานิสงส์ โดยมีองค์ 5 คือ สัมมาทิฐิอันมีศีลอนุเคราะห์แล้ว สุตะอนุเคราะห์ สากัจฉาอนุเคราะห์ สมถะอนุเคราะห์ และ วิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว (พตปฎ. เล่ม 12 ข้อ 497)
การฟังคนอื่นนั้นไม่ใช่ฟังแบบอาบน้ำกลัวเปียก เป็นชาล้นถ้วย เทชาเข้าไปอย่างไรก็ไม่เข้า ต้องตั้งใจฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังละภะเตปัญญัง วางความรู้เก่าๆ คุณจึงจะฟังของใหม่จนกระทั่งเข้าใจ จึงจะทำการโยนิโสมนสิการเป็น เข้าใจมีทิฏฐิที่ถูกต้องดีเลย เข้าใจถูกต้องแน่จึงจะเอาไปปฏิบัติได้เป็นอาหาร ในอวิชชา 10 ประการ
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ แต่ถ้าไปคบอสัตบุรุษก็ไม่สามารถได้ฟังสัทธรรมก็จะไปทำขั้นต่อไปไม่ถูก
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
ในตัณหาสูตร …
1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ..ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ .
5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น)เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ..ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่อาตมาเป็นสยังอภิญญาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ในยุคนี้ ถ้ามีใครยิ่งกว่าจะมา อาตมาไม่ได้ท้าทายอวดดีอยากแข่ง อาตมาก็อยากพบ อาตมาไม่ได้ปิดทางว่าอาตมายิ่งใหญ่ในยุคนี้ แต่มันก็เป็นอย่างนั้น อาตมาพูดไป ก็ไม่ได้ปิด แต่ก็พูดความจริงว่าเพื่อนในยุคนี้มีคนยิ่งใหญ่กว่าอาตมาอีกก็มาแสดงตัวสิ แล้วมาร่วมกัน ถ้าคนที่เข้าใจตรงกันสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติเป็นความเข้าใจอันนี้เดียวกัน เป็นธรรมะพุทธเจ้าอันเดียวกันมันจะไปขัดแย้งทำไมกันมันก็จะดีใจ จะไม่ริษยากันหรอก สัจธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมอาริยะไม่ริษยากัน เป็นสิ่งที่ดีก็จะมาช่วยกันทำงาน ช่วยกันสร้างสรรทำประโยชน์แก่มนุษยชาติจะไม่เกี่ยงในความใหญ่โต ก็ยอมรับว่าท่านเป็นพี่เราเป็นน้อง ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราเป็นพี่ พูดเป็นน้องก็ต้องรู้ว่าตนเองเป็นน้องมันก็เป็นสัจจะ มันมีปัญญาเป็นสัตว์จะไม่มีอัตตามานะมีกิเลสเข้ามาแข่งกันแข่งดีแข่งเด่น อย่างนั้นมันไม่ใช่อยู่แล้ว จะมีหนึ่งเดียวกันจะลงตัวกันไม่ขัดแย้งกัน ถ้ายังขัดแย้งกันอยู่เถียงกันอยู่ไม่ใช่สัจจะ
แม้ที่สุด ถ้ามี 2 คนใดคนหนึ่งยังยืนหยัดยืนยันว่าของตนเองถูก คนผู้ที่เป็นผู้ถูกแท้จะยอมแพ้คนนี้ เพื่อความสงบเรียบร้อยเพื่อปล่อยให้เขาเป็น อัตตาไปเลย จะไปบังคับได้อย่างไรว่าเขาไม่มีความรู้ มีแต่จะตกลงอนุโลมให้แก่เขาไป หนักเข้า เมื่อต่างคนต่างทำประสานกันไม่ได้เข้ากันไม่ได้ก็อยู่กันอย่างนานาสังวาสก็จบ ไม่ต้องทะเลาะกันไม่ต้องตีกันอยู่ตามกฎระเบียบตามแบบที่เรายึดถือ อย่างอาตมาอยู่กับเถรสมาคมอยู่กับธรรมกายอยู่กับธรรมยุตอาตมาก็อยู่สบาย เป็นพุทธเดียวกัน อะไรที่เป็นความผิดอาตมาก็ต้องยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ผิดอาตมาไปบิดเบี้ยวความผิดความถูกไม่ได้ต้องพูดความตรง ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้เปิดเผยความจริงสัจจะ
สรุป
1. อาตมาเป็นอรหันต์มีหลักฐานต่างๆ การยืนยันปฏิบัติมีหลักสิบสองอย่าง และให้คนมาปฏิบัติจนคนก็ชัดเจนไม่ได้งมงายหลงผิดได้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีพวกเราที่เป็นฐานรับรอง ไม่ใช่เอาประกาศนียบัตรไม่ใช่เอาอาจารย์มารับรอง ไม่เอาครูสำนักเก๊ อาจารย์เก๊ ที่ไม่จริงมาออกปริญญา ที่นี่ไม่มีใบปริญญาบัตร แต่เรามีของจริงเป็นอาริยบุคคลจริงเป็นเมืองอาริยบุคคลจริง คนก็มาพิสูจน์ได้เป็นมวลเป็นหมู่เป็นหนึ่งเดียวกัน
แม้แต่หลักธรรมอื่นที่เป็นสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มีวรรณะ 9 สิ่งต่างๆพวกนี้อาตมาหยิบมายืนยันเยอะแยะ แม้แต่ซะมันพูดกันไปทุกคนก็พูดกันไปอย่างมักน้อยสันโดษมาจนกัน กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
หรือ เอาหลักธรรมวินัย ตามหลักตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ
1. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)
2. เป็นไปเพื่อความพรากสัตว์ออก (วิสังโยคะ) . . .
3. เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ) . .
4. เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) .
5. เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)
6. เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ) .
7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ) .
8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)
นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
(สังขิตตสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 143)
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ปฏิบัติ ให้เกิด ศีลเคร่ง องค์แห่งธูตะ อย่างพวกเรา ปฏิบัติจนมีศีลเพ่งไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ใช้เงินทองอย่างนี้เป็นต้น แต่พวกเราปฏิบัติแล้วไม่ได้เคร่งอะไรปฏิบัติได้แล้วก็สบาย ผู้มีปัญญาจึงจะเริ่มใส่ใจอาการของพวกเรา พวกไม่มีปัญญาจะบอกว่าไม่ใช่ ผู้มีปัญญาจะบอกว่าอย่างนี้เป็นความจริงใจ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอย่างนี้เป็นจริงใจ สะอาดบริสุทธิ์ จะเห็นอาการที่น่าเลื่อมใส
เป็นคนขยันอยู่เสมอไม่มีคนขี้เกียจ หาคนขี้เกียจยาก(กุสีตะ โกสัชชะ) คนที่อยู่ที่นี่ถ้าขี้เกียจจะถูกเหล่ คนขี้เกียจเป็นคนตกต่ำเป็นอบายมุข พวกเราก็จะช่วยกันให้พัฒนาขึ้น
สรุปแล้ว ต้องศึกษาให้ดี คุณไปเอาอรหันต์ที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่มา
2. คุณยังไม่มั่นใจว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา สำหรับคุณ เอซุส เวสเกตุ
สมณะเดินดินว่า...แล้วพ่อครูจะหาอาจารย์ที่ไหนมารับรอง
พ่อครูว่า...ก็ไม่มี เพราะมีของเก่ามาแต่ชาติก่อนเป็นสัจจะจากพระพุทธเจ้า จริงๆแล้วอาตมาอวดหนัก เป็นคนชื่อนั้นชื่อนี้ในยุคพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไปอาตมาไม่อยากพูดมาก พูดแล้วคนไม่นับถือหรือจะหมั่นไส้ก็เลยไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่ก็คงจะต้องพูดในอนาคตถ้าจำเป็นหรือสมควร แต่ตอนนี้ยังไม่พูดหรอก เคยพูดไปแล้วก็สะเทือนเลื่อนลั่น อะไรต่างๆนานา
อาตมาจริงๆก็พูดยากด้วย เพราะว่าอาตมาจำความเป็นชาติเก่าอันนั้น จนจะซอกแซกมีในตำนานถามอาตมาตั้งชื่ออยู่ในตำนานอาตมาก็จำไม่ได้ อาตมาจะอธิบายได้ถูกอย่างไร สิ่งที่จำได้ก็คือเนื้อหาสาระมันตรงกันไหมล่ะ มันตรงถูกต้องอะไรก็ได้
สมณะเดินดินว่า สยังอภิญญาคือต้องไม่มีคนอื่นรับรอง
พ่อครูว่า...สยังอภิญญาต้องไปมีคนอื่นรับรอง อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบไม่มีคนอื่นรับรอง สยังอภิญญา มาเกิดในชาติใดไม่มีคนรับรองหรอก สยัง ชื่อของตัวเอง อภิญญาคือความรู้ยิ่ง คุณไม่เชื่อว่ามีชาติก่อน คุณก็พูดกันไม่รู้เรื่องเพราะคุณไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณเชื่อว่ามีบารมีที่สั่งสมกันมาแต่ก่อนชาติต่อๆกันมา แล้วอาตมากว่าจะสะสมมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นั้นมาเป็น ล้านๆชาติ แต่จะมาจำเรื่องล้านชาติมันไม่ได้
สมณะเดินดินว่า..ก็มีพวกเรารับรองได้ไหมครับ
พ่อครูว่า...ก็มีพวกเรามีหลักฐานใดพระไตรปิฎกรับรองว่าข้อนั้นข้อนี้ตรงกันไหม คนจะรับรองอาตมาต้องมีภูมิรู้เหนือกว่าอาตมา หรือว่ารู้จักอาตมาจริงๆจึงรับรองอาตมา หรือจะให้พวกคุณออกใบอะไรให้อาตมา คุณก็ออกได้ใช่ไหม
หมู่สงฆ์ของอาตมาก็รับรองให้อาตมาเป็นอรหันต์มีสติวินัยแล้ว ซาวเสียงหมู่สงฆ์ก็ยกให้ ไม่มีคนแย้ง หมู่สงฆ์ก็ยกให้โดยเอกฉันท์ไม่มีใครขัดแย้งอาตมาเลย ขออภัยที่เปิดเผยเป็นเรื่องวินัยเป็นเรื่องของสัจจะ เราทำตามพระวินัยหมดทุกอย่างไม่ได้พูดเล่น อาตมาไม่มีอาบัติแล้วเพราะว่ามีสติวินัยหมู่สงฆ์ ยกให้แล้ว นอกจากอาตมาจะใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่อนุโลมปฏิโลมอยู่ เหมือนกับแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก จะทำอย่างไรเหมือนกับลูก แล้วจะเอาเรื่องเลอะเทอะเหล่านั้นมาตีราคาต่อมาว่าเป็นแม่ที่เหมือนกับเด็กอยู่ไม่ได้ คุณก็ต้องดูเหตุปัจจัยประกอบ
สมณะเดินดินว่า...ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า สยังอภิญญา ต้องเป็นผู้ที่อธิบายรายละเอียดโลกนี้โลกหน้าได้
พ่อครูว่า...อาตมาก็อธิบายโลกหน้าโลกนี้ โลกหน้าที่เป็นโลกของภูมิธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมในระดับที่เข้ากระแส โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ถ้าหากว่าพูดกันไม่รู้เรื่องก็มีหลักฐานเหล่านี้มาขยายความไปให้ติดตามดู
สมณะเดินดินว่า...ถ้าเขาหาสยัมภูมาพบพ่อครูได้ก็ยิ่งดี
พ่อครูว่า...ถ้าได้สยัมภูก็ยิ่งดี แต่ว่ามันเป็นไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่มีพระพุทธเจ้าที่จะมาเกิดใกล้กันในยุคแค่สองพันห้าพันปี ก็มีแต่พระโพธิสัตว์นี่แหละที่จะมาสืบสานศาสนาต่อหรือโพธิสัตว์องค์อื่นก็แล้วแต่
สมณะเดินดินว่า...ก็เขาติดใจว่า จะมีอาจารย์ที่ไหนมารับรอง
พ่อครูว่า...อาตมาเป็นสยังอภิญญา จะมีใครรับรองได้ล่ะ ก็ต้องไม่มีใครรับรอง คนจะรับรองอาตมาก็ต้องเป็นสยัมภู หรือเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะคือท่านมีภูมิที่เป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ท่านไม่ประกาศทำงานสร้างศาสนา ท่านจึงไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ติดทำเนียบในโลก แต่ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณ เท่ากันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ท่านไม่ได้สร้างศาสนาของท่านเลย คนเข้าใจไม่ได้ไปแปลว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธะว่าคือผู้ที่สอนคนไม่ได้ ก็แม้แต่พระโสดาบันก็ยังสอนคนได้ คนที่ต่ำกว่าโสดาบันก็ยังสอนผิดเพี้ยนมีเยอะแยะ ศาสนาพุทธนั้นต้องสอน ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธคือศาสนาคนใบ้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนานักสอน เป็นศาสนาที่มีพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อนุสาสนีแปลว่าคำสอน อ้างทั้งพยัญชนะและทุกอย่างแล้ว จะต้องอ้างไปอีกเยอะ อ้างอิงนะไม่ใช่อ้างอวด
พระประสิทธิ์ก็พอขนาดนี้ก็แล้วกัน ติดตามไปอาตมาขออนุโมทนาสาธุ คุณตั้งใจฟังก็ได้รับปัญญาไปเรื่อยๆ
_Apple Apple ผู้ใดด่าหลวงพ่อแสดงว่ากำลังฟังหลวงพ่อเทศอีกหน่อยก็เชื่อหลวงพ่อและฉลาดขึ้น
พ่อครูว่า…คนนี้ตัดสินแล้วว่าดีแล้ว เขาด่าอาตมา ก็คือเขากำลังฟังเทศน์อาตมาอยู่ นอกจากคนตีทิ้งไม่ฟังเลยก็จบ แต่ถ้าคุณยังฟังอยู่ๆๆ ก็ดี ให้ขยันฟังก็แล้วกัน
ด่าถูกแปลว่ายังฟังอยู่ แต่ถ้าด่าผิด ยกเมฆมาด่า ถ้าอย่างนั้นสำนวนไทยเรียกว่าด่าอย่างสาดเสียเทเสีย เอาอะไรมาสาด อาตมาก็สาดต่อเท่านั้นเอง ด่าอย่างมีหลักฐานอ้างอิงก็ไม่มีปัญหา
_นาโพนกลางสวน ...อรหันต์หรือไม่ คุณลองปฏิบัติดู เอาให้จบสักเรื่อง ถ้าคุณเป็นปุถุขนคนโลกๆทั่วไป ก็ลองลดความอ้วนดูนะครับ ลองอาหารแคลอลี่สูงรับประทานอาหารมีประโยชน์งดทานอาหารมื้อเย็น ง่ายๆแค่นี้ แล้วคุณจะเห็นกิเลสหิวข้าวตอนเย็นอยากโน้นอยากนี่ คุณจะเห็น คุณลองทำ ง่ายๆแค่งดอาหารเย็นทำได้ไหม ถ้าทำได้ทำซ้ำและทำตลอดไปเพื่อสุขภาพ ทำได้ข้อหนึ่งแล้วก็เอาอย่างอื่นมาปฏิบัติ เลิกบุหรี่ เลิกเหล้า เลิกแต่เนื้อแต่งตัว เลิกไปเรื่อยๆเลิกสิ่งที่ไม่ดีที่ผิดศิลทำได้แล้วทำซ้ำให้มั่นคงแข็งแรงตลอดไปตลอดชีวิต แล้วคุณจะรู้เห็นดิเลสมันเป็นของยากมากที่จะชนะ ชนะกามคุณได้ไหม ยากมากๆวิญูชนเท่านั้นที่จะรู้จะเห็น ใครไม่เคยฝึก อย่าพึ่งมาเพ่งโทษชาวอโศกเลย มันเป็นบาปต่อตัวคุณเอง ชาวอโศก=วิญญูชน สาธุๆ
_อภิรัตน์ ปัญญามีปัญหามากๆครับ..พระพุทธเจ้าอนุญาติให้สงฆ์รับผ้าตามบารมีของตัว..พระพุทธเจ้าก๊ทรงรับผ้าเนื้อดีจากพระนางปชาบดีโคตมีน่ะ..ส่วนผ้าแย่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตก็คือผ้าห่อศพหรือผ้าบังสกุลน่ะ...เฮ้ออนุญาติต่ำสุด..เพราะบารมีทางโลกน้อย..ไอ้พวกเคร่งไปทางเทวทัตกับพวกนักบวชชีเปลือย...พวกเดียร์ถี..กลับเอาภาวะต่ำสุดมาบังคับเป็นมาตรฐาน..ตัวเองโง่ปฎิบัติก็ยังเป็นจริต..แต่ชอบโกยบาปไปติเตียนคนอื่น...เสริมอีกนิด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าถ้าดูรวยจน. คนนั้นจะไม่นับถือพระพุทธเจ้า..เพราะปัจจัยสี่ กษัตริย์ต่อแถวถวาย...แต่ถ้าคนนั้นดูการประพฤติปฎิบัติ..และการเผยแผ่ธรรม สองข้อนี้คนๆนั้นถึงจะนับถือว่าพระพุทธเจ้าทำสองข้อนี้ได้ดีสุด..อย่ามาอวดว่าเป็นพระดีโดยแค่ใส่จีวรเก่าๆ ผุๆพังๆเลยครับ. ปัญญาอ่อนมันหลอกได้แต่คนโง่..เท่านั้น
พ่อครูว่า…อ้าว ติดตามไปหน่อย อดทนติดตามไปมากๆนะ อาตมาไม่ขยายความหรอกตอนนี้
_บ้านเล็กเมืองน้อย...กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่มีการดำรงชีวิตอย่างพึ่งพาอาศัยกัน แต่นิสัยสันดานของมนุษย์ คืออุปสรรค ด้วยมีเหตุปัจจัยแวดล้อมตามธรรมชาติอันเป็นโลกียธรรมที่แตกต่าง อีกทั้งความต่างของประสบการณ์ที่หลากหลาย มนุษย์จึงไม่เหมือนกัน
ส่วนสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ที่มีเหมือนกันนั้น กลับสร้างความร้าวฉานยิ่งกว่า
เพราะได้วิวัฒนาการเป็นความเห็นแก่ตัว ทำให้มนุษย์หันมาเอาเปรียบกัน
การกดขี่แย่งชิง ได้สร้างความขัดแย้งให้ร้อนรุ่มไปทั่วทุกหัวระแหง เกิดเป็นสงครามที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ความทุกข์ยากที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน มันแสนสาหัสกว่าภัยธรรมชาติมากนัก
ศาสดาเอกทั้งหลายของโลก ต่างถือกำเนิดขึ้นมา ภายใต้สภาวการณ์ของทุกขภาวะเช่นเดียวกันนี้
นั่นชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเข้ามามีบทบาท ช่วยแก้ปัญหาตรงไหน?.......ให้แก่มนุษย์และสังคม
เนื่องจากเล็งเห็นถึงต้นตอของปัญหา ที่เกิดจาก การมีอิสรเสรีภาพมากเกินไปอย่างไร้ขอบเขตของมนุษย์ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่อิสรเสรีภาพที่แท้จริง….
แต่คือการเป็นทาสของเทวะ ซึ่งมีสภาวะจิต 2 ชนิด ที่ครอบงำ บงการจิตใจของมนุษย์อยู่โดยไม่รู้ตัว คือ…สุขในสวรรค์โดยพระเจ้า และ ทุกข์ในนรกจากซาตาน
ศาสดาจึงได้บัญญัติข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐาน เพื่อควบคุมความประพฤติ ทางกาย วาจา และใจ ให้ตั้งอยู่ในความดีงาม
เป็นกติกาข้อห้ามที่ใช้แก้ปัญหาขั้นพื้นฐานหลักๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความสงบสุข และ ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกันในสังคม
บทบัญญัติได้กลายเป็นศีลธรรมประจำใจ เตือนสติมนุษย์ ให้เกิดการยับยั้งชั่งใจ ให้มีอิสรภาพอยู่ในขอบเขตโดยไม่ละเมิดผู้อื่น สังคมจึงได้บรรเทาความทุกข์ร้อนลงได้
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคิดบูชาไฟเช่นมนุษย์ในยุคหิน… ได้เปลี่ยนศาสดาผู้ล่วงลับทั้งหลายให้กลายเป็นผู้วิเศษที่ทรงอิทธิฤทธิ์ ลืมเลือนตำนานของยอดคน ที่มีเลือดเนื้อเช่นคนทั่วไป ผู้นำพามนุษย์ให้พบกับอิสรเสรีภาพที่แท้ ผู้ปลดแอกมนุษย์ให้พ้นความเป็นทาส จากทั้งโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย
เมื่อความดีงามในศีลธรรมถูกละเลย ความเป็นเหตุเป็นผลของศาสนา จึงต้องพ่าย แก่รากเหง้าแห่งอวิชชา ทำให้ศาสนากลายเป็นเพียงอาภรณ์ของ ผู้มิจฉาทิฏฐิ ที่มุ่งสงบนิ่งอย่างมืดบอด… ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่ออกว่าจะมีประโยชน์กับตน…ไม่ขัดเกลากิเลสลดอัตตา… กลับสะสมบุญ สนองตัณหา ถึงกับแสวงหาโลกธรรมเพาะสร้างปรมาตมันขึ้นเป็นอัตตา ไม่สนพหุชนหิตายะ ไม่รู้จักโลกกานุกัมปายะอีกต่อไป ศาสนาจึงกลับกลายเป็นเทวะอย่างเต็มรูปแบบ พระเจ้า..อยู่เหนือเหตุและผลอีกครั้ง… สวรรค์นรกจึงถูกสร้างขึ้นใหม่
"ความกลัว" ถูกใช้เป็นอาวุธอันทรงพลังที่สุดของพระเจ้าอีกเช่นเคย
การเพิ่มบุญ หรือลดบาป ได้ตกเป็นภารกิจที่ "Agent ของพระเจ้า" เท่านั้นจะบันดาลให้ได้ ผูกขาดสวรรค์นรกไว้เพียงแค่ ในศาสนจักร
ความกลัวตกนรก และกลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ จึงกลายมาเป็นหัวใจของศาสนา ซึ่งคอยกักขังอิสรเสรีภาพ ที่ศาสดาเคยมอบไว้ให้แก่มนุษย์
ระเบิดพลีชีพ, การเหยียดผิว หรือแม้แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ….จึงเกิดขึ้นในนามของพระเจ้า
เมื่อความกลัว…ทำให้ข้ออ้างกลายเป็นเหตุผล ดีชั่วจึงเป็นเพียงสมมุติ ที่ถูกกำหนดโดยผู้สร้างนรกสวรรค์
อย่างที่ศาสนจักรในยุคมืด เคยยึดครองยุโรปทั้งทวีปในยุคกลางมาแล้ว
ทุนนิยมจึงลงขัน สร้างนรกสวรรค์เพื่อครองโลก แล้วสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของพระเจ้าก็ถือกำเนิดขึ้นที่ Hollywood เป็นสถาบันอันทรงอิทธิพลสูงสุดในโลก มีโรงงานสร้างเวทนาเทียม ที่แจกรางวัล Academy Award กันทุกปี 90กว่าปี ที่ Hollywood พยายามควบคุมบงการกำหนดหมายของมนุษย์ จนกำหนดดีชั่วในโลกปัจจุบันได้สำเร็จ เป็นผู้อำนวยการสร้างนรกสวรรค์แก่มนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ กำหนดสุขทุกข์ครบวงจรแก่มนุษย์บนโลก ให้ปรุงแต่ง ให้ยึดตาม โดยมีผลประโยชน์มหาศาลทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มีทั้งผู้สนับสนุนอย่างเปิดเผย และแอบกอบโกยอย่างซ่อนแฝง โยงใยกันทั้งโลก
การจะกอบกู้อิสรเสรีภาพที่แท้จริงคืนแก่มนุษย์ ในแบบที่ศาสดาได้เคยทำ… โดยให้มนุษย์พึ่งตนเอง มีจิตใจเข้มแข็ง ต่อต้านสิ่งชั่วร้ายในตนเองได้ เพื่อให้มนุษย์พ้นทุกข์ ให้หมดสุขแบบโลกีย์ หยุดเบียดเบียนไม่เห็นแก่ตัวให้สังคมสุขเย็น มีพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เป็นโลกานุกัมปายะ ได้นั้น จำต้องทำลายเทวะ!!!
แล้วผู้ที่จะทำลายเทวะได้นั้น ต้องมีวิชาแท้ สามารถนำคำสอนตามสูตรต้นตำรับของพระพุทธองค์ มาอธิบายได้อย่างที่มี รูปและนามตรงกัน
เป็นดั่งบุคคลในสัมมาทิฏฐิ 10… พ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้มีสยังอภิญญา ผู้มากอบกู้พุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ ในยุคที่ภูเขาแห่งความเสื่อม ใหญ่เกินกว่าเส้นผมจะบังได้
แต่ยังมีผู้ที่กังขา ต่างก็ทอดตาควานหาทั่วแผ่นดิน งมหาเข็มในมหาสมุทร แต่ที่แท้ปักอยู่ยอกอกของตัวเอง
ฉะนั้นลองนั่งนิ่งๆ หลับตาแบบที่ถนัด แล้วถามใจตัวเองอย่างยุติธรรมจริงๆว่า "ถ้าไม่ใช่พ่อท่าน แล้วจะเป็นใคร?"!!!
แต่การจะให้สัมมาทิฏฐิ แก่มนุษย์ที่ยึดเทวะ จะทำพหุชนอัตถายะ ให้เห็นอนิจจัง เข้าใจอนัตตา
แล้วดับ สวรรค์นรก ทำสัจจะให้เป็น 1 เดียว ตรงกันทั้งสมมุติสัจจะ และปรมัติสัจจะ
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับคนอายุยาว....วัย 85 ปี จะแบกไหว….ถ้าไม่มี ผู้ช่วย
เพราะต้องสู้กับ Hollywood เจ้าแห่งโลกมายา ที่คุม Fashion ของโลกทั้งใบ
ความช่วยเหลือในตอนนี้จึงมีค่ามากกว่า น้ำตาที่จะหลั่งตอนพ่อท่านไม่อยู่แล้ว
"ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะมาเมื่อไหร่?"!!!
ทำอะไรกันอยู่... ถ้าวางก่อนได้... มาร่วมแรงร่วมใจกันก่อนได้มั้ย?
มาช่วยพ่อท่านสร้าง bomb of love ลูกที่ 2 ให้สำเร็จ… เพื่ออีก 66 ปีข้างหน้า….
ศรัทธาจะได้ขจรขจาย นำพาศีลธรรมกลับมาสู่มวลมนุษย์
พ่อครูว่า...งานพุทธาภิเษกฯ ปลุกเสกฯ 2 งานใหญ่ของเรา เป็นการสรุปรวบรวมเหมือนสอบไล่ใหญ่ของเรา 2 ครั้ง แต่ละปีๆ ผู้ใดที่พยายามมาได้ วางไม้วางมือจากงานธุรกิจ งานประจำตัวของตัวเองบ้าง จริงนะ อาตมาพูดแล้วเหมือนกับอาตมาคลั่งไคล้ Crazy ศาสนา Crazy เรื่องของธรรมะมากเกิน จริงๆแล้วไม่ใช่ อาตมาไม่ใช่ Crazy คลั่งไคล้หลงใหลอะไรหรอก อาตมาเห็นว่ามันเป็นสัจจะจริงๆว่าธรรมะนี่แหละเป็นที่พึ่งได้
ทำหน้าที่เป็นโลกุตรธรรมเป็นที่พึ่งได้ของตน แล้วเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้อย่างดีวิเศษที่สุด จริง มาปฏิบัติให้บรรลุธรรมได้มรรคผลที่แท้จริงเถอะ อย่างที่เราทำสำเร็จแล้วเป็นขั้นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี)
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย(ทิฏฐิสามัญญตา) (ล.22 ข. 282-283)
พวกเราพิสูจน์สาราณียธรรม 6 ได้สำเร็จ มีวรรณะ 9
จะมีสาราณียธรรม 6 ต้องมีจิต
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) ถึงว่าจะไปช่วยเหลือกันอย่างไร ไม่ใช่อยู่ที่ตัวคนเดียวใครจะเป็นอย่างไรช่างหัว กูสบายกูสุขแล้วคนเดียว อย่างนั้นเป็นการเห็นแก่ตัวสุดๆ หากตนมีแรงงานพลังงานก็ระลึกถึงไปช่วยคนอื่น
2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) สังคหะนี่ยิ่งใหญ่ที่สุด
5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) ชาวอโศก 30-40 ปีแล้วไม่ได้ทะเลาะวิวาทกัน
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) ตีแตกยาก
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
สมณะเดินดิน...สรุปจบ IF NOT HIM THEN WHO IF NOT NOW THEN WHEN
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:30:43 )
รายละเอียด
620214_พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 43 และนำปฏิญาณ ศีล 8
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/13flPvdu3L3LxcyB22wPTIPgy6jU7U3z-PCr2qLASF4k/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1l3aviwgFkcneSDl7IEEnTPqGjK4p1Nun
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ความรู้ที่เลยกรอบโลกียะ
พ่อครูว่า...วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 3 ปีกุน วันนี้วันวาเลนไทน์ เป็นวันที่ระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ ที่เผื่อแผ่ความรักไปกับมวลมนุษยชาติ เป็นนักบุญรับใช้ช่วยเหลือประชาชนในเรื่องคุณงามความดีต่างๆ คือ สัจจะจริงๆแล้วสิ่งที่ดีที่ประเสริฐที่สุดก็คือการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติรับใช้มวลมนุษยชาติ ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างกว่านี้ จะเป็นชาติศาสนามนุษย์เผ่าพันธุ์ใดก็ตาม อันนี้ตรงกันหมด เป็นแต่เพียงว่าแนวลึกที่จะรู้ กรอบของความยึดถือ กรอบของความรู้
ความรู้ที่เลยกรอบของโลกียะไปไม่ได้อันหนึ่ง ในโลกียะก็เอากรอบแค่นี้ๆ เขาถือว่าดี อันนี้ถือว่าชั่ว เกินนี้ไม่เอา แม้ที่สุดเกินที่เขาจะรู้ได้ที่เป็นโลกุตระ ส่วนโลกุตระต้องดูอันนี้และรู้โลกียะถ้วนรอบด้วย ทั้งสองอย่าง เสร็จแล้วก็ช่วยเหลือมนุษยชาติอย่างไม่มีตัวตน
ที่สำคัญคือโลกียะยังไม่รู้จักตัวเองยังไม่รู้จักตัวตน ยังยึดตัวตน หนึ่งมีความรู้มาก สองมีความเก่งมีความสามารถมากที่จะช่วยผู้อื่นได้ และยึดถืออันนั้นเป็นตัวเราของเรา ยึดถือในความรู้ความสามารถที่เราได้ช่วยผู้อื่นได้ และเราก็ไปยึดในคุณค่า ยึดถือในประโยชน์ที่เราได้ทำนั้นเป็นเราเป็นของเราอยู่ มันก็เลยเป็นภพเป็นชาติ สำหรับตัวเราเอง
เพราะฉะนั้นในทางเทวนิยม อัตตาไม่ได้ศึกษาอย่างสะอาดบริสุทธิ์ในพลังงานที่เป็นอาการของจิตวิญญาณ ศึกษา โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา หรืออัตตาในกามภพ รูปภพ อรูปภพ อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้ศึกษานัยยะละเอียดพวกนี้ ก็ไม่สามารถกำจัดสิ่งเป็นนามธรรมเป็นขั้นอรูปได้
ศาสนาทั่วไปจะรู้ในอาตมัน ขยายไปเป็นปรมาตมัน คือ บรม อัตตา คำว่าปรมะ ก็มาสนธิกับอัตตาก็คือปรมาตมัน คนยึดดีใหญ่ แม้จะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเรา ช่วยเหลือเขาได้จริง สูงกว่าเขา เก่งกว่าเขา มีกำลังทำได้มากกว่าเขา ช่วยเขาได้จริง แต่ยังยึดถือนามธรรม เป็นตัวกูของกูเป็นภพเป็นชาติอยู่ ถ้าในความละเอียดลออเราก็ยังยึดอยู่ คนรู้และเข้าใจรายละเอียดสภาวะเหล่านี้ดี ก็จะจัดการวาง ซึ่งวางไม่ง่าย ถึงขั้นเป็นอาสวะอนุสัย มานานุสัย คืออนุสัยตัวสุดท้าย อันสุดท้ายจริงๆคืออวิชชานุสัย แต่ตัวรองลงมาคือมานานุสัย
เริ่มต้นงาน พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 42 เริ่มวันนี้ พฤหัสบดีที่ 14 ถึงวันพุธที่ 20 ณ บวร ราชธานีอโศก
เริ่มต้นก็มีกวี อาจารย์เป็นต้น นาประโคน ก็เขียนกวีมาว่า
ดารารายแวดล้อม จันทรา
จันทร์แจ่มสุริยา ส่องให้
น้ำได้พึ่งนาวา เสื่อพึ่ง ป่าไพร
ธรรมชาติ เอื้อกันไซร้ คู่เวิ้ง จักรวาฬ
การเมืองเพื่อรับใช้ พลเมือง
นี่แหละคือการเมือง ที่แท้
การเมืองห่าโกงเมือง มิใช่ การเมือง
อดีตนักการเมืองแล้ ปากอ้า สวาปาม
ร้อยห้าสิบเอ็ดตั้ง ปณิธาน
พ่อจะละสังขาร พ่อแล้ว
สัมประสิทธิ์สืบสาน จิตมุ่งมั่นจริง
เกิดแผ่นดินพุทธแผ้ว ผ่องพื้นพุทธพงศ์
อ.เป็นต้น นาประโคน
สื่อธรรมะพ่อครู(พรหมวิหาร 4) ตอน ทำความดีแล้วให้วางดี
พ่อครูว่า...วันนี้วันวาเลนไทน์วันแห่งความรัก พวกเรามีความรักระลึกถึงในคุณลุงจำลอง ศรีเมือง ไหม...มี ตอนนี้ก็ไปรับวิบาก ต้องติดคุกตอนแก่ มันก็เป็นวิบากที่เราเองจัดสรรไม่ได้ ร่วมกับเพื่อนอีก 5 ท่าน
มีคนตั้งคำถามคาใจสงสัยมา ว่า คุณลุงจำลอง ได้มอบความรักความปรารถนาดีให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ แต่ได้รับการตอบแทนด้วยการติดคุก ด้วยข้อกล่าวหาบุกรุกสถานที่ราชการ ทำความเสียหายให้เกิดแก่ต้นหญ้าในสนาม ทำให้ต้นหญ้าเสื่อมทรุดโทรมต้องติดคุก คนอะไรทำได้แม้แต่ต้นหญ้า เขาให้เกียรติยกย่องคุณจำลองมาก ว่าเป็นคนที่ไปทำลายต้นหญ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นผิดนะ แม่ต้องตี เธอทำผิดไปทำร้ายต้นหญ้าฉัน พูดให้ชัดๆ แสดงนัจจะคีตะวาทิตะ คนฉลาดจะเข้าใจจะรู้ว่า คนเรามันละเลียดกันขนาดนี้ จะเอาเรื่องเอาราวกันขนาดนี้ แล้วทีคนทำเลวทำร้ายทำชั่วขนาดหนักยังทำอะไรไม่ได้ ยิ่งคนหนีไปก็ทำอะไรก็ไม่ได้ ก็ทำเอาๆ กระไรหนอใจ ช่างกระไรหนอใจ ได้ทำความเสียหายให้แก่ต้นหญ้าฯลฯ ที่แม้จะระมัดระวังอย่างยิ่งยวดมากขนาดไหนมันก็เสื่อมแน่ๆ เพราะว่าคนเป็นพันเป็นหมื่นก็ต้องเสื่อมสลายลงแน่ หากต้องรองรับคนขนาดนั้นและยาวนาน
มีผู้กล่าวว่าโทษครั้งนี้เบาสุดแล้วนะในแวดวงผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม เบาสุดคือทำดีมากกว่าชั่วหนักหนา ทำดีมาเยอะแยะ แค่ต้นหญ้าแค่นี้ปลูกคืนก็ได้
เรื่องข้อมูลเหล่านี้พ่อครูให้คำแนะนำแก่พธม. กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนดีทำดีแต่ได้รับผลลบกลับมา พธม.บ้างคน ถึงกับบอกว่าสังคมลืมเราแล้ว ลืมสิ่งดีๆที่เรามอบให้แล้ว เราควรทำใจอย่างไรจึงคลายความเสียใจในการหมดกำลังใจทำดี เมืองต่อไปคะ
พ่อครูว่า...เมื่อกี้ก็พูดจบไปแล้ว ว่า เราทำความดีอย่าไปยึดถือความดี ทำดีแล้วพอ ให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เมตตาคือ ความมีน้ำใจที่เห็นคนตกทุกข์ก็อยากจะช่วย อยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์นั้นจริงๆ หรือให้เขามีสุข เป็นจิตต้องการจะช่วย เมตตา
กรุณา ลงมือกระทำช่วย ช่วยอย่างมีศาสตร์มีศิลป์ ช่วยให้ดีที่สุดด้วยจนเขาพ้นทุกข์พ้นร้อน พ้นจากความลำบากลำบนนั้นได้ เขาพ้นมาแล้วก็ดี เราได้ช่วยเขาสำเร็จ จบ
มุทิตา จิตก็รู้ความดีนั้นจบสำเร็จผล ถ้าไม่จบในความดียังมี สาเปกโข ยังมีต่อไปเป็นความปลื้มใจดีใจก็เป็นภพเป็นชาติทั้งสิ้น เป็นจิตที่มีความชอบมีความยินดี เป็นขิฑฑาปโทสิกา จิตชื่มชมยินดีเป็นโทษชนิดหนึ่ง ในคำสอนพระพุทธเจ้ามีคำสอนที่เป็นโทษย่อลง 2 อย่างคือ ขิฑฑาปโทสิกะกับมโนปโทสิกะ
ขิฑฑาคือยินดีในความรื่นเริงพอใจ ที่เป็นโทษ แม้จะยินดีในสิ่งที่เราทำดีก็เป็นภพเป็นชาติมีโทษ ต้องไม่มีจึงจะตัดขาดภพชาติได้หมด รู้สิ่งนี้เราได้ทำดีก็ดีแล้วจบ ไม่ต้องมีอาการ ฟูใจ ถ้าทำได้จิตก็เป็นมุทิตา ไม่ต้องมีต่อ เมื่อไม่มีต่อก็อุเบกขา จบที่อุเบกขา วาง ว่าง ปล่อย ปริสุทธา จะทำอีกมากเท่าไหร่ก็ยัง ปริโทยาตา ทำแบบนี้ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ไม่มีอื่น เราก็จะเป็นคนหมดภพชาติตลอดกาล แล้วมีจิต มุทุ กัมมัญญา จิตก็ยิ่งปภัสสรา ยิ่ง ประภัสสร มีรังสีราศี aura ครบ 6 ฉัพพรรณรังสี ครบแสงหกชั้น อย่างนี้เป็นต้น
เราจะเข้าใจภาษาที่อาตมาสื่อไปนี้ไปถึงนามธรรมที่เป็นรายละเอียด เข้าใจให้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้อย่าให้เกิดเป็นภพชาติขึ้นไปในจิต จิตของเราไม่มีภพชาติในรายละเอียดสิ่งเหล่านี้จึงสำเร็จถึงจะบริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะทำงานให้แก่สังคมจะต้องรู้รายละเอียดในการติดภพในการสร้างภพชาติ ถึงจะเป็นอรหันต์ เป็นผู้ที่สูงสุด
รหะ แปลว่า ความลึกลับ ไม่รู้ มันยึดถือ เป็นหลุมดำเบอร์มิวด้า เข้าไปแล้วมืดไปหมดเลยในหลุมดําเบอร์มิวด้า เปรียบเทียบกับวัตถุเป็นเช่นนั้นเมื่อตกเข้าไปในหลุมดำนี้แล้ว ตัวเองก็ไม่รู้ตัวเองหายไปคนอื่นก็ไม่รู้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าไปทำความมืดให้แก่ตัวเองปานฉะนั้น อยู่ในวัฏสงสารให้เชื่อกรรมวิบากก็รู้กรรมวิบาก
อย่างอาตมานี้ ทุกวันนี้มีวิบากประมาณนี้แหละ เทศน์ด้วยความหวังดีเหน็ดเหนื่อยลงทุนลงแรง ต้องทำแรงด้วยไม่เช่นนั้นไม่ได้ผลเพราะคนมันหยาบกร้าน ใช้ภาษาว่าหน้าด้าน
มันจะต้องให้ได้สมสัดส่วน ไม่เช่นนั้น ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก ต้องแรง จนมีพลังงานเกินกว่าความด้าน ทะลุกำแพงที่ด้านหนานั้นได้ มันจำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นพลังงานที่จะไปสลายพลังงานที่แข็งแรงขนาดนั้นด้านหนาขนาดนั้นไม่มีพลังงานที่แข็งแรงกว่ายิ่งกว่าแล้วจะไปทำลายได้อย่างไร มันเป็นไฟท์บังคับ เมื่อเหตุปัจจัยมันมีขนาดนี้
ไม่ใช่คำแก้ตัว เพราะในยุคนี้เป็นยุคศาสนาพุทธได้หมดแล้ว หมดโลกุตรธรรม ศาสนาพุทธจะบอกว่าเป็นศาสนาโลกุตรธรรมเท่านั้นก็ได้แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีโลกียะ และสามารถดีได้สูงสุดด้วย และเกินกว่าดีที่สุดของโลกธรรมนั้นเป็นโลกุตรธรรมที่วิเศษ ที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่รู้ พูดไปแล้วเหมือนจะอวดตัวตน เบ่งข่ม ดูถูกคนอื่นเขาเสียไม่มี มันก็เป็นภาษามองได้อย่างนั้นแต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ในยุคนี้แล้วเป็นยุคของคนฉลาด อาตมาไม่ได้พูดอย่างเห็นแก่ตัวยกตนข่มท่าน ไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น แต่มีความหมายถึงสัจจะที่แท้จริง
เพราะฉะนั้นในยุคนี้ก็พูดให้หมดเปลือกพูดให้ครบ อย่างอาตมานี้ต้องมาพูดในลักษณะหมดเปลือกให้ครบไม่บันยะบันยังไม่เหลืออะไรเอาไว้ อาตมานี่ดารานู้ด ชั้น 1 ของมหาจักรวาล ไม่ใช่แค่ในโลกด้วย เปลื้องเปลือยหมดไม่เหลือล่อนจ้อน พูดไม่ได้ยับยั้ง ไม่มัวหมองอะไรไว้เลย เกลี้ยงเกลา เต็มรูปร่างเต็มตัวไม่เหลือซอกมุมอะไรเอาไว้ให้ลับให้มัวหมองพราง เห็นครบ นอกจากคุณตาถั่วของคุณเอง แต่ถ้าคุณตาดีคุณก็จะเห็นเพราะว่าไม่ได้พูดในที่มืดในที่ลับ แต่พูดในที่แจ้งที่สว่าง เปิดเผย และใช้แสงสว่างช่วยกระจายไปทั่วโลกใช้ดาวเทียม
เพราะฉะนั้นก็ให้กำลังใจผู้ได้รับวิบากนี้อยู่ หากเชื่อกรรมวิบากแล้วไม่มีปัญหา อาตมาทำทุกอย่างด้วยความจริง ทดสอบความจริงของเราให้ถูกต้องที่สุด ทำความจริงของเรานี้ให้ถูกต้องที่สุด เอาความจริงเป็นหลัก เมื่อถูกแล้วทำออกไป คนอื่นๆก็เป็นคนตัดสินให้ราคา เราไม่มีสิทธิ์ให้ราคาตัวเองหรอก คนอื่นเขาให้ราคา เขาให้ราคาเราถูกก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าราคาของเรามันสูงกว่าที่เขาให้ เราก็เหลือราคานั้น แต่ถ้าราคาของเรามันต่ำ แต่เขาให้ราคาแพง เราก็เป็นหนี้เขาสิ ซวยไหม
เพราะฉะนั้นเขาให้ราคาเขาต่ำทั้งที่เรามีแพงมีสูงกว่านั้นเราก็เหลือราคาไว้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าเสียใจเลยฟังให้ดีให้ชัด แต่ท่านก็คงไม่ได้ฟังแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็พูดให้พวกเราเข้าใจ คิดว่าต่อกันแล้วอายุอ่อนกว่าอาตมาปีเดียว คบกันมา จะไม่รู้ว่าอาตมานั้นเห็นใจอยู่นะ ก็แล้วไปเถอะ บอกให้มาอยู่นี่ก็ยังไม่มา ที่ทางก็เตรียมไว้ จะพักหลังไหนก็เอาได้เลย จะเอาแบบสูงใหญ่ที่สุดก็ได้เฮือนศูนย์สูญ แค่กวาดก็แย่แล้ว
ก็เป็นเรื่องของสังคมประเทศชาติที่เราได้ช่วยกัน เราได้ทำสิ่งที่ดีที่เสียสละให้แก่กันและกันก็จบ ทำดีที่สุดด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอะไรซ่อนแฝงเป็นความร้ายเลยสักนิด มีแต่ความปรารถนาดีเท่าที่ความรู้ที่เรามี เรารู้เท่านี้ เรารู้ว่าเราปรารถนาดีแต่มันมีส่วนร้าย เกิดขึ้นผสมผสานไปแต่เราไม่รู้เราโง่ เราไม่ต้องการให้ความร้ายมันเกิดเลย แต่ด้วยความโง่ความด้อย อ่อนด้อยของเรา มันทำให้อันนั้นเกิดมันก็สุดวิสัย เราจึงระมัดระวังเจตนาไม่ให้มีความร้ายความด้อยความไม่เข้าท่าอะไรออกไปเลย เท่านั้นแหละโดยเจตนาสูงสุดเรานั้นมีแต่ความปรารถนาดีด้วยความตั้งใจดี มีแต่ความรู้ที่จะทำสิ่งที่ดีนี่ออกไป ก็ที่เราสามารถที่อาตมาจะใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ประมาณ อาตมาว่าจบแล้ว ส่วนคนอื่นจะเข้าใจอย่างไรหรือผลจะออกมาอย่างไร เราไม่รู้ในรายละเอียดของวิบาก วิบากเป็นเรื่องอจินไตยเราคิดไม่ออกบวกลบคูณหารไม่ได้เลย สัจจะของกรรมวิบาก มัน solution ของมันเองมันทำการบวกลบคูณหารสังเคราะห์สังขารของมันเองเสร็จเรียบร้อยยิ่งกว่าเครื่องคิดเลข หรือคอมพิวเตอร์ขนาดละเอียดที่สุด แต่วิบากกรรมมันไม่มีผิดพลาดบวกลบคูณหาร solve ออกมา ยิ่งกว่าพระเจ้าคำนวณอย่างไม่มีอะไรลำเอียงมีคติอย่างเป็นสัจธรรม ออกมา ไม่มีใครหลบเลี่ยงพ้น อาตมาก็มีวิบากเท่าที่อาตมามีบารมีชาตินี้ก็เท่านี้ ของใครก็แล้วแต่ อาตมาก็ได้แต่แสดงความเห็นใจก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้มากกว่านี้ ด้วยความจริงใจก็เท่านั้น ต่างคนก็ต่างทำงานในหน้าที่ วิบากเป็นของตัวเองกรรมเป็นของของตน เราทำแล้วก็สั่งสมเป็นกรรมของเรา
กรรมช่วยเราให้เราอาศัยกัมมทายาท เราทำแล้วต้องรับมรดกของกรรมทุกหน่วยทุกปรมนู ไม่มีระเหิดระเหย อยู่ครบแล้วออกฤทธิ์เดชของมัน ตามที่มันจะต้องใช้ แล้วมันใช้ไปตามกาละ วิบากของแต่ละคนไม่ได้เอามาใช้ขณะเดียวหมด มันใช้เป็นตามกาละสะสมเหตุปัจจัย ตามสัดส่วน และทั้งความเหมาะสมของปริสัญญุตา กลุ่มสังคม ซึ่งแต่ละคนมีส่วนประกอบองค์ประกอบทั้งนั้น กลุ่ม 3 คนก็มีองค์ประกอบของ 3 คนวิบากของ 3 คน มีกลุ่มเป็น 5 คน 100 คน 10 คนพันคนล้านคน มันก็ตามสัจจะนี้ทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องที่จะคิดได้ไม่ง่ายเลย จะบวกลบคูณหารในเหตุปัจจัยต่างๆ ตั้งแต่อุตุนิยามพีชนิยามจิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
อาตมาว่า อย่างน้อย เชื่อในคำสอนพระพุทธเจ้า หรือจะเชื่อว่าอาตมานำคำสอนพระพุทธเจ้าเอามาขยายความอธิบายถูกต้องก็เชื่ออาตมาบ้างก็ได้ ส่วนใครไม่เชื่อนั้นก็แน่นอนเขาไม่เอาอยู่แล้ว มีปัญหา ก็เท่าที่คนไหนรับก็ตาม แล้วรับก็ไม่ได้ไปตู่ท้วงว่าเป็นของอาตมาแต่เป็นของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ยึดถือเป็นของท่าน แต่เป็นของส่วนกลางในมหาจักรวาลนี้ มันเป็นธรรมะที่มีอยู่แล้วโดยสามัญ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเกิดมาท่านก็มีของท่านมา เพราะว่าท่านมีมาแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ก่อนสอนมาท่านก็รับมาจากพระพุทธเจ้าสอนแล้วก็เอามาสร้างเอามาปฏิบัติจนบรรลุได้ก็เป็นของเราเราก็เอาสิ่งที่เรามีเราได้เราเป็นนี่แหละ ออกมาเผยแพร่แจกจ่าย ให้ผู้อื่นได้รับเอาไปใช้เอาไปอาศัยเอาไปประพฤติปฏิบัติเอาไปทำได้อีก เป็นสัจจะ
อาตมาจึงโอ้โห เป็นโพธิสัตว์ได้พิสูจน์สิ่งเหล่านี้มาจนถึงตอนนี้ปาง 7 เป็นปางนิยตะ เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้ไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันก็ไม่ใช่น้อย อาตมาก็พูดไปตามความเชื่อที่เขาไม่เชื่อเขาก็หมั่นไส้ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อถึงเวลาอาตมาก็พูดเหตุผลให้เหมาะสมเพราะทุกวันนี้มีแต่อรหันต์เดา เก๊ อาตมาก็บอกอรหันต์จริง ท่านก็มาตรวจสอบดูว่ามันจริงหรือไม่จริง ใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสิน อาตมาก็คงได้แต่ยืนยันความจริงเทกระบะความจริงออก อาตมาไม่มีอะไรสู้ไม่มีอะไรที่จะทำ เท่ากับความจริงที่เราทำหมดความจริงแล้ว อาตมามีหน้าที่นำความจริงของอาตมาหมดออกไป ไม่ไปพูดความจริงของใคร ไม่ไปยืมความจริงของใครมา ไม่เอา
มีแต่ไปหลอก ความจริงของคนอื่นมานั้นก็ไม่ดีเป็นคนหลอก แค่เอาความจริงของอาตมามาใช้ก็เหลือใช้ อาตมายังใช้ความจริงออกไปยังไม่หมดคุณเชื่อไหม เพราะฉะนั้นติดตามพิสูจน์ความจริงให้ดี
อาตมาเคยพูดว่าชมพูทวีปย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้ว ธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นชาวเนปาลอินเดีย ต่อมาก็ได้โยกย้ายเชื้อชาติสัญชาติ ทุกวันนี้แม่หรือพ่อของศาสนาอยู่ที่เมืองไทย ครบทั้งพ่อและแม่เป็นเทวะพ่อแม่ต้องมีคู่ 2
อาตมาศึกษาพลังงานสัมประสิทธิ์ให้เป็นพลังงานที่มีตัวแปร ในระดับขั้น คูณไม่ใช่แค่ระดับบวก มันมีอัตราก้าวหน้าสามอย่างคือ บวก คูณ ยกกำลัง ก็ต้องเป็นขั้นคูณหรือยกกำลัง แต่ถ้าระดับยกกำลังมันจะมากไปมันไม่เป็นประโยชน์สูง ก็ต้องใช้อย่างครน. คูณร่วมน้อย ถ้าคูณในระดับยกกำลังมันมากไป จึงต้องคูณร่วมให้น้อยที่สุด ถ้ามากกว่านี้มันจะ over พยายามทอนลงให้มากที่สุด แต่ก็ให้ได้ประโยชน์ หารร่วมทอนออกให้มากสุดแต่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด นี่ไม่ใช่แค่นัยยะคณิตศาสตร์นะ เขาเป็นตัวเลข แต่อันนี้เป็นนัยยะละเอียดกว้างขวางกว่าคณิตศาสตร์ เป็นภาษาธรรมะที่เป็นรูปเป็นนาม ไม่ใช่แค่สังขยาเลขเท่านั้น หลายคนพยายามเข้าใจ บางคนก็ยังเข้าใจไม่ชัดเจนบางคนก็ยังไม่เข้าใจก็ศึกษาติดตามต่อให้เข้าใจ
เราเกิดมาในยุคไหนก็ต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องเด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว มันเป็นรีเลชั่น เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกันกันหมดในมหาจักรวาลนี้ เป็นแต่เพียงว่าเราจะรองรับความถี่ frequency ของมันไม่ได้ กระทบเป็นโดมิโนต่อกันไปไม่ได้ คุณมีประสาทสามารถรับได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น พูดถึงเรื่องดอกไม้คุณก็รู้ถึงเรื่องดวงดาว พูดถึงเรื่องดวงดาวคุณก็สามารถรู้ลึกถึงดอกไม้ได้ มันจะเป็นเช่นนั้นตามบารมี ตามแต่ละบุคคลที่จะสามารถเป็นจริงมีจริง
อาตมาก็มีคนเขาห้าม หรือพอได้แล้วไหมที่จะไปตำหนิคน อาตมาว่า อาตมามันเลิกตำหนิไม่ได้หรอก เพราะว่าอาตมารู้จักข้อบกพร่องรู้จักข้อผิดเยอะมากกว่าใครๆ ถ้าอาตมาไม่พูดถึงข้อผิดแล้วนั้น เขาจะหลงผิดว่าเขาถูกอยู่ มันเป็นความอำมหิตของอาตมา อาตมาทำไม่ได้ อาตมาต้องเมตตาต้องช่วยเหลือผู้อื่น รู้อยู่แท้ๆก็ปล่อยเขามันเป็นการใจดำอำมหิตเกินไปอาตมาทำไม่ได้ อาตมาต้องพูดต้องบอกเขา
อาตมาจึงจำเป็นจำนนเลี่ยงไม่ออกที่จะต้องตำหนิ
ฟังอีกที เพราะอาตมารู้ข้อผิดที่พวกคุณไม่รู้หรือคุณจะหลงว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกด้วย อาตมาจึงต้องฉีกหน้า เปิดเผย ความรู้ที่มันพรางไม่รู้กี่ชั้น อาตมาก็ฉีกจนเมื่อย มันพรางหลอกจนคุณหลงเชื่อ อาตมาจำเป็น ขันจอหว่อไหม เห็นใจอาตมาเถิดเห็นใจบ้าง มันก็หลอกพรางลวงกันเยอะมากเลย อาตมาก็พูดอีก คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไป ลอกชั้นที่เขาหลอกคุณสลับไม่รู้กี่ชั้นกับกี่ชั้น คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะ ลอก ออกมาจนถึงเนื้อแท้
อาตมารู้ชั้นเหล่านั้น ชั้นแห่งความขี้หลอกซับซ้อนที่มันหลอกกันไม่รู้กี่ซับซ้อน อย่างธัมมชโยนี่ โอ้โห แล้วมันมหาศาล คนมันติดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมากไหม ธัมมชโยเอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาหลอกคนไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น จนคนเหล่านั้นเป็นทาสผู้ที่ปล่อยไม่ไปอยู่ขณะนี้ก็ยังงมงายอยู่เลย แล้วด่าอาตมามาด้วยนะ นี่มีไลน์มาด่า พวกนั้นพวกลูกน้องธัมมชโย ด่ามาหนักหนาสาหัสเลย ซึ่งอาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติคนด่าเพราะเขาไม่รู้ เขาได้รับวิบากหากเขาว่าอาตมานะ แต่ไม่อยากจะพูดเดี๋ยวจะหาว่าไปขู่เขา แต่สัจจะมันเป็นเรื่องจริง คุณมาด่าสิ่งสูงจริงเช่นพระพุทธเจ้า (นกส่งเสียงดัง)
นกฟังยังดื้อด้านขนาดนี้แล้วคนงมงายก็จะไม่ดื้อด้านได้อย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน เมืองไทยคือเมืองที่จะเผยแพร่เชื้อโลกุตระ
สัจธรรมของโลกทุกวันนี้ อาตมาก็ขอต่อที่พูดค้างไปว่า ชมพูทวีปเป็นคำที่ไม่ได้พูดเล่นลิ้นโมเมอะไร แต่เป็นสัจจะโลกุตตระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นได้ย้ายมาอยู่ที่นี่
พูดอีก อย่าอ้วกอย่าหมั่นไส้ ห้ามด้วยนะ เพราะอาตมาเป็นสยังอภิญญาที่นำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมากล่าวในยุคนี้ ถ้าอาตมาไม่เอามาพูด คุณอย่าไปหลงติดสวรรค์ 6 ชั้นจะมีใครมาพูด นั่นมันนรก 6 ชั้น นรกกับสวรรค์มันเป็นเทวคู่เดียวกันที่หลอกว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของเทวเป็นเจ้าของสวรรค์เป็นเจ้าของนรก เทวะตีแตกตรงนี้
เทวะคือ จิตวิญญาณของผู้รู้ รู้แล้วว่าสวรรค์คืออะไร นรกคืออะไร เราเป็นผู้สร้างของตัวเองทั้งสิ้น กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท โดยไม่รู้ว่านรกสวรรค์เป็นของคู่คุณไปติดอะไรไม่ได้ทั้งคู่คุณต้องเลิกทั้งสวรรค์และนรกทั้งคู่ พระพุทธเจ้าสมณะโคดมสอนแต่เรื่องนรก สอนเรื่องมารเรื่องผี สอนแต่เรื่องโทษภัยให้กลัว อาตมาก็มาสอนเพิ่มอย่าไปกลัวแต่สอนนรก จริงนรกน่ากลัว แต่สวรรค์สิน่ากลัว มันไม่กลัวสวรรค์กัน อันนี้สิถึงสอนยากกว่าให้กลัวนรก ความสุขนี่มันไม่กลัว สวรรค์สิเป็นเรื่องที่หน้ามืดตามัว จมอยู่เป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป
เป็นอัลลิกะ ความหลอกความเท็จ อัลลิกะคือหลอกเท็จ สัขขัลลิกะคือสุขเท็จ
พวกเราเข้าใจแล้วการไปหลงสุขในของหลอกของต่ำหยาบ ก็ของแต่ละคน ก็ล้างสิ มันเป็นอนิจจัง มันมีความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนี่สิของจริง มันไม่มีตัวตนจริงเลย
นี่ยังหน้าด้านตั้งอยู่นะ มันทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่แล้วยังหน้าด้านตั้งอยู่ ถ้าทำได้อันนี้มันก็ไม่มีมันหายไป ก็เท่านี้ ถ้าทำหายไปได้อะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นภพชาติ หรือที่คุณยังเสพสุขทุกข์อยู่ หากดับมันได้จริงหมดไปแล้ว แต่ก่อนอาตมาชอบต้มมะระแกงจืดกับไส้เครื่องในไก่ (พ่อครูหยิบมะระขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
แต่ก่อนเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์พักอยู่ในซอยแถวราชวัตร อาตมาก็ต้องแวะร้านนี้ พอเชฟเห็นก็รู้แล้ว ไม่ช้าก็ส่งมา แกงจืดน้ำใสเครื่องในไก่มะระสดมาเลย กินมันอยู่อย่างนั้น อร่อยๆๆ กินได้เป็นปีๆ แต่นอกจากจะมะระแกงสดแล้ว ก็ยังมีน้ำปลาพริกมะนาวใส่ถ้วยต้องมีด้วยนะ อย่างนี้เป็นต้น เอาล่ะไม่ต้องพูดยาวเรื่องนี้
อาตมาก็รู้แล้วเดี๋ยวนี้ เขาก็แกงมาให้กินแต่ไม่มีใส่เครื่องในไก่ เขาก็เอาเต้าหู้เอาเห็ดเอาอะไรสารพัดที่จะมาแทน เนื้อสัตว์ พยายามทำให้เหมือนมาเลย อาตมาก็กิน แต่รสชาติอร่อยมันหายไปไหน มันหายไปจริงๆ พิสูจน์ความจริงของพระพุทธเจ้าและอาตมาถึงไม่ได้โหยหา จำได้ว่ารสชาติแต่ก่อนมันเป็นอย่างนั้นแต่เดี๋ยวนี้มันไม่มี มันก็เป็นรสชาติของมะระ มะระอันนี้สดดี มะระตอนโน้นก็ยังจำได้อยู่เลยว่าไม่สดไม่งามอย่างนี้หรอก แต่ถ้าเป็นขนาดนี้อย่างนี้ เมื่อก่อนอาตมาคงไปทำงานที่โทรทัศน์ ก็คงวกมากินแกงมะระที่นี่ แต่ก็ไม่ได้มา
นี่ก็เป็นมะระไร้สารพิษเป็นเนื้อหาสาระเป็นสารที่เป็นสาระประโยชน์ มันมีอยู่ครบครันมากด้วย
อาตมาเอง อาตมาเกิดมาในชาตินี้ได้นำสาระสัจจะของพระพุทธเจ้า มาสอนมาบอกมาเปิดเผยให้พวกเราได้รับสาระสัจจะพวกนี้ได้ถึงขนาดนี้ จนยืนยันประกาศตัวเองว่าเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า และยืนยันพูดไปแล้วว่าอาตมาเป็นผู้ที่ได้ตกปากรับคำพระพุทธเจ้ามาแล้ว ว่า อาตมาจะต้องมาสืบทอดอันนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาพูดความจริงก็จบ แล้วอาตมาก็มาทำจริง ยิ่งทำอาตมาก็ยิ่งเห็นหลักฐานข้อมูลในยุคที่แม้ว่ามันจะแล้ง ไร้ โลกุตรธรรมจริงๆ มันก็ยังเกิดมาได้ จนคนตั้งข้อสังเกตว่า อาตมานี้มีใครเป็นครูบาอาจารย์ อาตมาก็เหลือแต่ตำราพระไตรปิฎก อ่านพระไตรปิฎกเหมือนกันได้ แต่เขาตีพระไตรปิฎกไม่แตก ไปเข้าใจผิดเพี้ยนเขาเบี้ยวบาลีด้วย อาตมาก็ดึงกลับมาอีกมันหลายชั้นเลย เขาก็ยังไปเชื่อคนที่เบี้ยวบาลีคนที่เพี้ยน
เช่น คำว่า กาย คำว่าสมาธิ คำว่าบุญ
เอาแค่คำว่า บุญ คำว่าเทวะ เป็นต้น
เทวะ แปลว่า 2 พยัญชนะก็แปลว่า 2 สภาวะมันก็แปลว่า 2 เวลามาทำงานแล้ว หยิบอะไรขึ้นมาพูดอีกอันนึงมาเป็นเงา พอพลิกมาดูอีกอันก็เป็นเงา กลับไปกลับมาเป็นสิริมหามายา คนเข้าใจอันนี้ไม่ได้ อาตมาพยายามขยายความอันนี้ ต้องพยายามต่อไปให้เก่งขึ้นไปอีก แล้วพวกคุณต้องเก่งช่วยอาตมาด้วย อาตมาไม่เก่งเท่าไหร่แต่คุณเก่งก็ช่วยอาตมาได้ อาตมาเอาของคุณมาใช้อีก ก็เลยเก่งช่วยกันทับทวี ตกลงคุณก็เก่งอาตมาก็เก่ง เก่งช่วยกันไปเรื่อยๆ มันก็เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติต่อไป
เพราะฉะนั้นขณะนี้เมืองไทยเป็นเมืองที่จะมีเชื้อของโลกุตระ ที่จะเพาะแพร่ กระจายไปสู่มวลมนุษยชาติ
จะเห็นได้ว่านิมิตหมายที่มันเกิด เขาเข้าใจโลกุตรธรรม ที่ ขออภัยที่ต้องพูด ธรรมิกราชองค์หนึ่งได้แสดงออกมาแล้ว ด้วยพระจริยวัตรทางรูปธรรม ซึ่งพระองค์ทำหน้าที่นั้น จน 70 ปีหลัก 7 ด้วย ผ่านไปแล้ว
อาตมา ขออภัย อาตมาก็คือธรรมิกราชรูปหนึ่งแต่มาเกิดในปางที่ ต้องเป็นธรรมิกราชที่ต้องพิสูจน์เนื้อธรรมะยิ่งกว่า ทางรูปธรรมรู้ง่ายกวา แต่ทางนามธรรมน้นรู็ได้ยากกวา และนามธรรมนั้น พิสดารละเอียดลออบอกชี้อธิบาย ได้ละเอียดลออมากกว่า รูปธรรมมันตีไม่ค่อยแตก อาตมาก็มาเพิ่มมาขยายสิ่งนี้ ให้มากขึ้น นี่เป็นหน้าที่ของอาตมาต้องทำ อาตมาก็ต้องตั้งใจทำพากเพียรทำ ยังได้ไม่มากนัก ไม่พอ อาตมาจึงจำเป็นต้องพยายามรักษาสังขารร่างกายให้มันแข็งแรงให้ทำได้ไปอีกนาน ฝืนอายุขัยมา
อาตมาว่า อาตมาอายุขัย 72 อันนี้ไม่ได้เดาเอา อาตมามั่นใจ แต่คนรู้ด้วยยากอาตมาก็ไม่รู้จะยืนยันอย่างไร แต่อาตมาก็พิสูจน์ ด้วยการเพิ่มสัมประสิทธิ์ในพลังงานทางจิต พยายามออกมา ทำให้เป็นสูตรภาษาทางวิทยาศาสตร์ E=C(mc2+A)
ไอน์สไตน์ ใช้ E=mc2 E คือพลังงาน M คือ matter ต่างๆ C คือ ความเร็วของแสง เป็นสิ่งที่เร็วที่สุดแล้ว ถ้าคุณสร้างพลังงานจิตให้เร็วกว่าแสง คนธรรมดาก็เร็วกว่าได้ ยังไม่ต้องไปถึงขั้นสร้างพลังงานให้เร็วยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง Neil Armstrong แกเคยไปดวงจันทร์ เสร็จแล้วแกกลับมาอยู่โลก คนก็ถามว่าพระจันทร์เป็นอย่างไร คุณไปเหยียบพระจันทร์เป็นอย่างไร มีคนถามอาร์มสตอง แน่นอนเขาก็ต้องส่งจิตไปถึงที่ที่ตัวเองเคยไป ไปสัมผัส ก็เหมือนกับคุณฝันคุณคิดอยู่ในภพ เป็นสัญญา เป็นการใช้สัญญากำหนดหมายไปที่ตรงนั้น อาร์มสตรองก็ใช้เวลาไปอยู่ตรงนั้นเพื่อย้ำความเข้าใจตัวเอง ว่าเราเคยสัมผัสมาจริงๆตรงนั้น Armstrongก็ต้องอธิบายให้ฟังได้ นึกไปถึงตรงนั้น ส่งจิตไปเดินทางหาตรงนั้นแล้วจิตก็เดินทางกลับมา ในความเร็วของจิตนั้นเดินทางเร็วกว่าแสง เพราะแสงกว่าจะเดินทางจากนี่ไปดวงจันทร์ใช้เวลาต้องเท่าไหร่.. 1.23วินาที แล้วจิตมันเร็วกว่าวินาทีเป็นไหนๆ ก็ตอบได้ว่าเป็นอย่างนี้อย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น
สัจจะต่างๆที่อาตมาเอามายืนยันพิสูจน์ได้ จนกระทั่งสามารถที่จะสร้างสูตรสำเร็จ
E=C(mc2+A) ตัว A คือ mc2
ถ้าบวก A ไปเรื่อยๆ คือ mc2 บวกกันไปเรื่อยๆก็จะเป็นคูณแล้วก็ยกกำลัง
A+A+A+A ก็เป็น A2 แล้วก็ทดมาเป็น C อย่างนี้เป็นต้น จะคิดสูตรให้สูงให้มากกว่านี้ก็ได้ แต่ C แค่นี้ก็มากเมื่อยแล้ว ใครจะคิดเพิ่มขึ้นต่อไปก็แล้วแต่ในอนาคต คิดให้แค่นี้ก็ร้อนหัวแล้ว ต่อไปในอนาคตทางรูปธรรมเขาก็จะเอาสูตรนี้ไปใช้ได้ ถ้าเกิดว่าสำนักงาน nobel prize สามารถเข้าใจสูตรนี้ได้เขาจะให้รางวัล nobel prize กับอาตมา ถ้าเขาสามารถเข้าใจสูตร C(mc2+A) ถ้าเขาเข้าใจสูตรนี้ได้จริงๆ เขาก็เอาไปพิสูจน์เอาไปปฏิบัติ เขายอมรับก็ต้องให้ nobel prize อาตมานี่เป็นสัจจะอาตมาไม่อยากได้ก็ตาม
เหมือนแต่ก่อนที่เราก็มีความรู้เขียนเรื่องราวไปประกวด เพลงไปประกวดก็ไม่เคยได้รับรางวัลสักเจ้า แต่เขาได้รางวัลที่ 1 เอามาเทียบกับเราเขาก็ไม่รู้รายละเอียดชัดเจนเท่ากับเรา ทำไมเราไม่ได้ สุดท้ายก็มาเข้าใจว่ากรรมการ ไม่มีภูมิรู้ให้รางวัลอาตมาได้ กรรมการไม่รู้ว่าอันนี้คืออะไรแล้วจะให้คะแนนอย่างไร แต่ถ้ากรรมการรู้ก็จะรู้ว่าอันนี้มันเหนือกว่าอันนี้แน่นอนก็จะให้ เขาต้องให้ กรรมการต้องสุจริต แต่นี่เขาไม่รู้เรื่องก็เลยให้ไม่ได้
พูดถึงเรื่องนี้แล้วชีวิตอาตมาเคยได้รางวัล 1 ครั้ง พูดแล้วจะหัวเราะก็ไม่ออก จะร้องไห้ก็ไม่เชิง เคยเล่ามาหลายทีแล้ว
อาตมาแต่งเพลง คุณล้วน ควันธรรม แกอายุมากกว่าอาตมาก็เรียกพี่ล้วน อาตมาตอนนั้นไม่มีที่พักมาอาศัยคุณล้วนอยู่ เลี้ยงลูกให้เขาเป็นเหมือนแม่บ้านให้เขา เพราะว่าแม่บ้านของแกหนีแล้วทิ้งลูกไว้ให้แกเลี้ยง อาตมาชื่อแป๊ก เขาประกวดการแต่งเพลง อาตมาเป็นเด็กในบ้าน แต่ก็แอบส่งเพลงประกวด ใช้นามปากกาว่า ยุบลรัตน์ ที่จริงเขาตัดสินไปแล้วให้เพลงอีกเพลงหนึ่งเป็นที่1 แต่เมื่อมีของอาตมาไปอีกอัน เขาก็ว่าดี จึงให้ที่1 สองอันเลย
ถ้าอาตมาไม่ดีเท่า แล้วจะต้องมาคำนึงไหม มันต้องดีเท่าหรือดีกว่าอันเก่า แต่เขาปักใจไปแล้ว ต้องร้องเพลง ลงเรือน้อยลอยวน ...บัวตูมบัวบาน
สุดท้ายตัดสินให้ชนะทั้งคู่ เขาก็ต้องเสียรางวัลสองอัน อาตมาก็เป็นคนจัดการรางวัลเอง อาตมาทำเสร็จสลักชื่อเสร็จ อาตมาก็เก็บรางวัลนี้ไว้ที่อาตมาแล้ว เขาก็บอกหลายทีว่าทำไมคนนี้ไม่มารับรางวัลเสียที สุดท้ายอาตมาก็ต้องพูดว่า พี่ล้วน คนนี้ผมเองครับ..เขาก็ตอบมาว่า ไอ้เหี้ย ทำให้กูเสียเงิน นี่คือ ได้รางวัลกับเขาทั้งที นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องตลกอะไร
อาตมาก็ว่า วาสนาเรา เอาล่ะ เล่าไปจะหมดเวลา
เรื่องสัจจะเรื่องพลเมืองเรื่องมนุษยชาติจะต้องมีพฤติกรรมองค์ประกอบชีวิตมีพฤติกรรมกายวาจาใจ มีจิตวิญญาณเป็นหลัก มีธาตุรู้ที่รู้ถึงขั้นโลกุตรธรรม รู้ถึงขั้นโลกียธรรม ก็รู้ขั้นความดี กัลยาณธรรม ต่ำกลางสูงไปอย่างแท้จริง แล้วเราก็พยายามที่จะสรรหา แล้วเราก็พยายามที่จะเป็นตัวของตัวเอง ที่จะสูงสุดดีสุดให้ได้ ตามความรู้ตามความพยายามของคน ด้วยความบริสุทธิ์ใจของเรา
ต้องขอบคุณมากสำหรับพวกเรา คนที่จะเอาชีวิตมาพากเพียรในโลกุตรธรรมมันไม่ง่าย แม้ในโลกียธรรมยังไม่ง่าย ได้โลกุตรธรรมนั้นคัดเลือกคน ข้าม ออกนอกกรอบของโลกียะมาเป็นโลกุตระมันไม่ใช่ง่าย มันเป็นคนทวนกระแสแล้ว อยู่บนลาภยศสรรเสริญโลกียสุข โดยไม่ได้ไปแย่งชิง ไม่ได้ไปเป็นตัวแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขของผู้อื่นอีก และไม่ได้ไปลบหลู่ลาภยศสรรเสริญโลก ของใคร ถ้าทำสุจริตไม่ลบหลู่ แต่ถ้าทำอย่างไม่สุจริต ต้องเหยียบย่ำ
อาตมาต้องทำ ถ้าไม่ทำ ไม่มีใครกล้าเท่าอาตมา ขออภัย ในยุคนี้คนพูดถูกต้องขออภัย แต่คนพูดผิดโทษชั่วเขาไม่เห็นขออภัย
เมืองไทยมีสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ในหลวงไม่ตรัสอะไรมาก แต่โพธิรักษ์ต้องพูด ต้องพูดอย่างมากอย่างหนัก ซ้ำซาก ยาวยืดยาด ต้องอย่างนั้นด้วย เพราะมันยุคนี้ ยุคด้านหนา โด้ง่าน
โด้ ง่าน คือมาจาก ด้าน บวก โง่ ผันไปเป็นโด้ง่าน
ง่านนี้ยิ่งกว่าโง่ยกกำลัง โด้นี้ยิ่งกว่าด้านยกกำลัง แต่ไม่ติดตลาดก็ไม่เป็นไร
อาตมาจึงจำเป็นต้องเอาสาระธรรมเหล่านั้นมาประกอบเป็นพยัญชนะที่เขาใช้ให้รู้กันนี่แหละ แล้วจับฝาจับตัวให้มันถูกฝาถูกตัว เวลาจะมาพูดอธิบายต่อ เมื่อเวลามันต้องทดแทนให้เร็วเข้า มันก็รู้ได้ยาก เพราะฉะนั้นคนที่มีปฏิภาณปัญญา มุทุภูตธาตุ จิตวิญญาณเร็วก็จะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เหมือนนักเล่นกลสลับไปสลับมา คนที่หมุนสมองไม่ทันสมัย กลับไปกลับมา เมาแล้วก็ไม่รู้เรื่องก็หาว่าเราพูดไม่เป็นพูดไม่ถูกก็ไม่เป็นไร ก็เลยจำเป็นจะต้องเอาเท่านี้
จะได้ถล่มเทวะ เพราะว่าเทวะครองโลก ทำให้โลกอุดตัน
โลกไม่เกิดความรู้รอบ โลกไม่เกิดการทะลุทะลวงทุกอย่าง มีการอุดตันปิดกั้น หรือโลกเอาแต่ความมืดมาใส่ ก็จำเป็นจะต้องเอาแสงสว่างมาใส่อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาว่าอาตมารู้ อาตมาอยู่ในโลกสว่าง อยู่ในที่ไม่มีอะไรปิดกั้น Globalization แล้วอาตมาทะลุทะลวงโลกต่างๆ เท่าที่อาตมารู้ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจำเป็นจะต้องมาปลูกฝังทางนี้ แล้วพวกเราก็มาช่วยกันขยายผลให้มากขึ้น
เมืองไทยมีเชื้อโลกุตระแล้ว จึงเกิดการแพร่หลายมีแม่มีพ่อแล้วจะมีลูกทางโอปปาติกโยนิ ให้เกิดการแพร่ลูกหลานของโลกุตรธรรมขึ้นมาในตัวบุคคล ในตัวมนุษยชาติขึ้นไปให้ยิ่งขึ้น แล้วก็จะมีพฤติกรรมของมนุษยชาติเป็นพฤติกรรมสังคม เป็นพฤติกรรมของชาติประเทศขึ้นมาๆ กระจายไปสู่โลกก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองด้วยโลกุตระสัจจะขึ้นในอนาคต
เราก็มาปฏิญาณตนในงานพุทธาภิเษกครั้งที่ 43
[พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ 3 จบ ก่อน]
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 43 นี้
ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญ ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่
ปาณาติปาตา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม
อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ เลิกละความโลภ เลิกละความเห็นแก่ตัว
อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม
มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ
เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม
สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดในภวอัตตภาพทั้งปวง
วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ
นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้และของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดิดประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิดประดอย
อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่
ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม
ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ
ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้
เวลาบันทึก 19 มีนาคม 2563 ( 10:31:34 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name