@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

590921

รายละเอียด

590921_พุทธศาสนาตามภูมิ ผ่าฝีร้ายในพุทธศาสนาด้วยมีดแห่งบุญ

พ่อครูว่า…อาตมาว่าตอนนี้ถึงยุคกาลที่จะมีผู้หยิบเรื่องศาสนามาอธิกรณ์อย่างเช่นคุณไพบูลย์อย่างที่อ่านไป ก็ทำให้เกิดสำนึก ให้แก้ไขปรับปรุงก็ดูรู้สึกดีขึ้น แต่ก่อนไม่มี ถึงขั้นพูดกันว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ เขาก็ปล่อยไปเขาจะเป็นยังไงก็ ทุกอย่างในสังคมไม่มีใครเอาภาระ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าเข้าท่า แม้ที่สุดที่มีกระแสออกมาว่า

การร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีผู้ให้ข้อสังเกต ว่าไปร่างรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อศาสนาได้ยังไง แล้วมันก็ยังไง ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญเอื้อต่อศาสนาอาตมาก็ว่าวิเศษสิ เป็นความคิดที่วิเศษเลย

อาตมาว่า ในสังคมที่บริหารปกครอง ไม่ได้พยายามเน้นเรื่องคุณธรรมเรื่องของศาสนาเลย กลับไปเน้นแต่เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องกินเรื่องอยู่เท่านั้น มีแต่เรื่องโลกๆกินอยู่แย่งชิง เรื่องคุณธรรมด้านศาสนาเรื่องธรรมะไม่กระเตื้องอะไรเลย แม้จะมีกรมการศาสนา มีกระทรวงวัฒนธรรม มีองค์กรศาสนา อาตมาก็ไม่เห็นว่ามีบทบาทอย่างเหมาะควรกับสังคมเลย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามเขา เขาพยายามเอาจริงเอาจังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ศาสนาเขาจึงอยู่ได้อย่างเป็นปึกแผ่น เข้มข้นดี มีประชากรมีศาสนิกที่อยู่ในกฎเกณฑ์อยู่ในธรรมของศาสนาจึงได้ไปรอด สังคมไปรอด แต่ศาสนาพุทธของประเทศไทย อาตมาว่าน้อยไปมาก ในการที่จะให้ความสำคัญ ที่จะพยายามเอาใจใส่มีกิจกรรมมีกิจการ สัมพันธ์สัมผัสอะไร เอาตาดูหูแลของผู้ที่มีการบริหารปกครอง มันน่าจะมีอะไรขึ้นมากกว่านี้

อาตมาพูดไปนี้เขาจะหาว่า พวกศาสนาอิซึ่ม พวกธรรมะอิซึ่ม ถ้าจะว่าอย่างงั้นอาตมาก็ยินดีรับเลย เพราะเห็นว่าอย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย ประเทศอื่นๆด้วย อาตมาว่าบกพร่องทางคุณธรรม โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลก เสื่อมในทางคุณธรรม โดยเฉพาะในศาสนาพุทธของประเทศไทย อาตมาว่าเสื่อมไปเสื่อมไป จนทุกวันนี้อาตมาเห็นแล้วสลดใจจริงๆว่าไม่เหลือเชื้อของความเป็นศาสนาเลย นอกจากไม่เหลือแล้วศาสนา จึงถูกแปรรูปเปลี่ยนโฉมไม่เป็นศาสนาแล้ว กลับเป็นของเครื่องมอมเมา

มอมเมาจนเป็นจารีตประเพณี ซึ่งก็คือเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ เป็นเทวนิยม ซึ่งเต็มเรื่องนอกรีตนอกศาสนาพุทธไปเลย เป็นประเด็นหลักที่พระพุทธเจ้ามาเว้นขาด มาตั้งศีลมาเพื่อกำจัดออกไป แต่เดี๋ยวนี้หนักทางไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา หนักกว่าเจ้าของเดรัจฉานวิชาเจ้าของไสยศาสตร์เดิมซะอีก พวกนี้ทำหนักกว่าเจ้าของอีก ชาวพุทธมาพัฒนาการกลายเป็นหนักกว่า

พูดไปแล้วอาจเหมือนใส่ความหาเรื่องแต่เป็นจริง ในสังคมก็โฆษณาให้อีกไปส่งเสริมสิ่งที่นอกรีตนอกศาสนาพุทธ ขายเครื่องรางของขลัง ขายพระเครื่องอะไรที่เป็นไสยศาสตร์ เป็นเดรัจฉานวิชา ส่งเสริมเต็มรูป แม้แต่โทรทัศน์ก็เปิดให้เต็มที่ ไม่ค่อยเอาตาดูหูแลกันเลยโดยเฉพาะผู้ที่ดูแลศาสนากระแสหลัก คือเถรสมาคม ปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ ดีไม่ดีก็ร่วมมือร่วมไม้เข้าไปอีก

ถ้าเป็นคนอย่างโลกๆเขาคงบอกว่าอกกลัดหนองชีช้ำกะหล่ำปลีดองที่เห็นสภาพพวกนี้ พูดแล้วเหมือนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายต่างๆนาๆ อาตมาว่านี่พูดน้อยไปด้วยซ้ำไป คิดว่าคงไม่มีใครออกมาพูดมากเหมือนอาตมาหลอก

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86922

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfTkNDLXZPU2lZejg

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/24qo4plj1u2d/160921

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tSXx9JcKG9c&feature=youtu.be


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:12:51 )

590921

รายละเอียด

590921_พุทธศาสนาตามภูมิ ผ่าฝีร้ายในพุทธศาสนาด้วยมีดแห่งบุญ

พ่อครูว่า...ที่บ้านราชเมืองเรือ วันนี้วันพุธที่ 21 กันยายน 2559 แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีวอก เราก็มาเจรจากันต่อ พระพุทธเจ้าบอกว่าจะพูดอะไรก็ให้เป็นไปในนัยยะของความมักน้อย สันโดษ สงบ ไปสู่ความสงบระงับ ไม่ต้องไปหลงสวรรค์ปรุงแต่งสวรรค์สร้างสวรรค์ เขาจะแปลว่าไม่คลุกคลีหมู่คณะ แต่อาตมาแปลว่าอย่าไปสร้างสวรรค์ แล้วก็ปรารภความเพียรเสมอ แล้วก็พูดกันให้มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ พระพุทธเจ้าบอกว่าจะพูดกันก็ให้เป็นไปเช่นนี้ เรียกว่ากถาวัตถุ

อาตมาเห็นว่ามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็มีชีวิตพูดเป็นไปเพื่อ 10 ข้อนี้ แต่ก่อนนี้มันไม่ใช่ มันไม่ได้พูด 10 ข้อนี้เลย มันพูดไปทางโลกีย์ ออกนอกโลกนอกเรื่องไปเยอะแยะ

ก็ขึ้นต้นด้วยการอ่าน SMS วันที่ 20 กันยายน 2559

0891169xxxกาย=รูป+นาม,รูป=สิ่งที่ถูกรู้,สิ่งที่ถูกรู้นี่แหละเป็นตัวสำคัญที่จะต้องวิเคราะห์ว่าเป็นอัสสาทะหรือความจริงของสิ่งนั้น,เราจะต้องล้างตัวอัสสาทะออกจึงจะถูกต้องใช่ไหมครับ

ตอบ...เข้าท่าๆๆ แล้วคนนี้เขามองแบบองค์รวม อย่างเช่นลูกที่เห็นนี้ เรียกว่า บักคายข่าว ผิวมันเป็นเหมือนผมที่เป็นโรค สีแดงสด นึกถึงผมตอนที่อาตมาหายจากเป็นไทฟอยด์ และหายจากกาฬโรค ตอนเด็กๆ หัวโกร๋นทั้งสองครั้งเลย รอดมาได้ คุณคนนี้มองชัดมองถึงสังขารของกาย เป็นองค์รวมรูปกับนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ พระพุทธเจ้าว่า กายตถาคตเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ แล้วคนนี้มองลึกแยกแยะ อัสสาทะกับความจริงของสิ่งนั้น

เช่นเราพบเห็นบักคายข่าว จิตเราก็เกิดเวทนาสองอย่าง เวทนาหนึ่งเป็นอัสสาทะ อีกเวทนาหนึ่งก็เป็นการรู้ความจริงของสิ่งนั้น  ตาเราเห็นสีก็สีนี้ แล้วก็อ่านอาการปรุงแต่งอัสสาทะ

0872592xxxกราบนมัสการพ่อด้วยความเคารพลูกรู้ว่าบุญบารมีตัวเองยังไม่เต็มรอบขอฟังคำถามตอบจากคุณ ส ก ก แล้วกันค่ะ

0893867xxxส่งความห่วงใยไปยังผู้ประสบอุทกวาตภัยทุกที่ปลอดภัยทุกท่าน!นำหัวใจรักษ์โลกคืนธรรมชาติสมดุลสู่สิ่งแวดล้อมโลกอุดมสมบรูณ์ไร้มลพิษภาวะเพื่อชนรุ่นต่อไป!สกก.

0893867xxxร้อยปีไม่นานเลยหากมีเหมืองแร่!แต่ร้อยปีนานเกินกว่าจะมีป่าธรรมชาติ ปราการป้องกันภัยพิบัติโลก!เหยื่อโลกร้อนอันผันผวนดินฟ้าอันปรวนแปร ปีต่อไป ถ้าชนกอบโกยโลก เหยียบย่ำชนรักษ์โลกไม่หยุด!?! ประทับใจชาวอโศกคราวน้ำท่วมบ้านราชหนัก!ไม่จมทุกข์ไปกับน้ำ!แปรทุกข์เป็นสุขแปรสวนดินเป็นสวนลอยน้ำปลูกข้าวบนแพข้าว ปลูกพืชผักบนแพพืชผล!ยามพักก็โดดน้ำดำว่ายพายเรือ!สุขแบบคนจนจริงๆ!ส กก.

0893867กราบขอบคุณพ่อครูกับธรรมะอนุปุพพิกถาอยู่ในพระสูตรใด?ไม่มีในกถาวัตถุ10เป็นธรรมะที่คนมักน้อยสันโดษละกิเลสถือศีลมั่นในกุศลเจริญปัญญาพ้นกิเลสรู้แจ้งวิมุติเท่านั้นที่ปฏิบัติได้จริงถูกไหม?

0893867xxxขอบคุณบุญนิยมกับความยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจประชาธิปไตยตะวันตกกับมหาอำนาจทางพุทธเทวนิยมสวรรค์!ใหญ่โตภายใต้กิเลสที่ยิ่งใหญ่จริงจนประจักษ์พุทธชนโลกชัด!จรธ.

 

_จากไลน์ กราบนมก.พ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง ฟังท่านพูดเรื่องเด็กสัมมาสิกขา ..เด็กเหล่านั้นที่เคยเรียนจนจบและไปอยู่ข้างนอก24รุ่น ไม่น้อยเลยนะเจ้าค่ะ เขาได้ซืมซับสิ่งดีๆจากอโศกไปมากมาย น้ำใจเอื้อเกื้อหนุนที่ไม่มีในสังคมภายนอกเลย ทำไมไม่นีกถึงความหลังที่เคยได้รับและรีบกลับมาช่วยน้องๆรุ่นต่อไป พร้อมทั้งนำประสพการณ์ที่ได้รับจากภายนอกมาเล่าให้น้องๆฟัง น่าเสียดายวันเวลาดีที่เคยได้รับที่ควรจะจดจำเข้าไปในจิตใจและเกิดแรงศรัทธาในการทำความดีเป็นแบบอย่างให้กับสังคม ฟื้นฟูอโศกให้เติบใหญ่ยิ่งขี้นๆและที่สำคัญควรเป็นกำลังในการสืบสานพระพุทธศาสนาต่อไป พ่อท่านคงต้องพูดเช่นนี้ ให้สำนึกในเรื่องกตัญญู เท่าที่เคยได้ยินมาบางคนมาเพื่อเอาแต่ปย.ได้ของฟรีทั้งหมดและสำคัญอยู่กับสมณะอยูวัด พ่อแม่ไม่ห่วงไม่ต้องเสียเวลา พ่อแม่ผู้ปกครองนี่แหละค่ะ บุคคลสำคัญตัวดี ในการชี้นำเด็กๆๆ เด็กที่กลัวและเชื่อฟังจึงเป็นอย่างที่เห็นเมื่อจบ เห็นควรอบรมใจผู้ปกครองให้ตระหนักเรื่องการกตัญญุด้วยเจ้าค่ะอย่าเห็นแก่ตัวเอาแต่ปย.ส่วนตนอย่างเดียวเจ้าค่ะ ลูกเข้าใจที่ท่านพูดชัดแจ้งเลยเจ้าค่ะ กราบนมก.เจ้าค่ะ

ตอบ….อาตมาไม่ค่อยเน้นเรื่องกตัญญูกตเวที เพราะว่าเราทำนี่เป็นการให้เขา แต่การพูดเรื่องนี้เป็นเหมือนเราเรียกร้องอะไรกลับมา ก็ไม่ค่อยอยากพูด ตอนนี้ก็จบไปตั้งยี่สิบกว่ารุ่นแล้ว ก็กลับเป็นว่า กลายเป็นประเพณีว่าจบแล้วก็ออกไปเสียเลย ก็ไม่ค่อยดี ก็รู้สึกว่ามันยังน้อยไปที่กลับมา ก็คิดว่าเขาน่าจะมีสำนึกมากกว่านี้หน่อย

 

ต่อมาของคุณตุ๊ก สิริมา พาสามีไปต่างประเทศ...ขอรบกวนถามว่า...อ้างจากวันที่ 24 สิงหาคม ศกนี้

กราบนมัสการค่ะ

 

ขอรบกวนกราบเรียนถาม ว่า" อ้างจากการแสดงธรรมวันที่ 24 สิงหาคม ศกนี้หน้าศพคุณเทียนพุทธ พ่อครูเล่าประวัติตอนหนึ่งเมื่อครั้งเตรียมหาที่ปฎิบัติธรรม

 

1.คุณ"ชวน"ที่แนะนำให้พ่อครูซื้อที่สำหรับปฏิบัติธรรมก่อนไปอยู่วัดอโศการาม นามสกุลอะไรคะ" ถามเพื่อเป็นการเก็บประวัติบุคคลสำคัญเพื่อศึกษาและเป็นประวัติศาตร์ในอนาคต

2.คุณแม่บ้านที่ช่วยพ่อครูหาซื้อที่ ในที่สุดไปได้ข้อมูลที่ตลาด ตลาดแถวไหนคะ

3.คุณแม่บ้านชื่ออะไรคะ ขณะนี้อายุประมาณเท่าไร ตอนนี้ทราบหรือไม่ว่ายังมีชีวิตอยู่ไหมคะ"

 

กราบขออภัย ที่จริงคำถามข้างต้นไม่ใช่ความรู้ที่ทำให้บรรลุธรรม แต่เนื่องจาก มีเพื่อนที่ไม่ใช่ชาวอโศก ขอให้เขียนประวัติพ่อครูเท่าที่ทราบ โดยเขียนแบบนักเขียนที่มองทั้งสองมุม คือในมุมกว้าง และมุมลึกเท่าที่ได้สัมผัส และเขียนให้มีสีสันบนฐานของความจริง ประวัติของพ่อครูที่เป็นหนังสือก็มีแล้ว แต่ลองเขียนจากมุมมองของดิฉัน ด้วยวิธีของดิฉัน นี่เพื่อนขอมาค่ะ ดิฉันรับปากแบบอ้อมแอ้ม เพราะเป็นงานยาก แต่น่าจะมีประโยชน์สำหรับบุคคลภายนอกที่สนใจ จึงพยายามเก็บรายละเอียดเท่าที่สามารถ

 

เพื่อนๆของดิฉันงง จู่ๆดิฉันประกาศตนเป็นชาวอโศก และมาอยู่บ้านราชฯ ที่จริงเราโน่เกษียณแล้วหนี้สินไม่มี น่าจะพากันตระเวณเที่ยวรอบโลกให้มีความสุขแล้วเอาข้อมูลมาเขียนสารคดี แต่ ดิฉันไม่ต้องการเป็น"โมฆบุรุษ"เสียชาติเกิด มัวแต่เที่ยว ตายไปก็เสียเวลาเปล่า

 

ดิฉันทบทวนแล้วว่าศีล5ของดิฉันเข้าคุณลักษณะของการเป็น"ชาวอโศก"จึงกล้าประกาศไม่ทำให้สถาบันเสีย เรามีสถาบัน มีสังกัดแล้วต้องรักษาสถาบันด้วย'ศีล'ซึ่งได้คุ้มครองเราด้วย แม้ดิฉันอยู่ที่ขั้วโลกเหนือก็หมั่นหาเวลาศึกษาธรรม ทบทวน เพิ่มพูนองค์ความรู้เพื่อความเจริญของจิตวิญาณ ซึ่งทำให้คนข้างเคียงได้รับอานิสงส์ด้วยค่ะ

 

คำถามข้างต้นนี้ไม่รีบค่ะ ทราบว่าท่านสมณะมีภารกิจมากมายนอกจากการดูแลสุขภาพของพ่อครู

 

เราโน่ฝากคารวะพ่อครูและท่านสมณะค่ะ สุขภาพกายและจิตดีมาก ทำตามหลัก 8 อ.ครบ โดยเฉพาะที่นี่ ริมทะเลสาบ" กาลายา" Kalaya อากาศบริสุทธิ์มากค่ะ แกออกกำลังกายด้วยการไปเก็บไม้ล้มในป่าใกล้ๆบ้านมาผ่าทำฟืน เราทำอาหารด้วยการใช้ฟืน หินสามเส้าเป็นเตา ล้างภาชนะด้วยขี้เถ้า อาหารหลักที่ปรุงทานมื้อเดียว เพราะกว่าจะได้อาหารใช้เวลาราวสามชั่วโมง ทานอาหารชนิดเดียว ไม่มีเวลาทำหลายชนิด  ทานผลไม้เสริมเมื่อหิว ดื่มน้ำจากทะเลสาบ ต้องเดินลงไปตัก ได้ออกแรงพอสมควร ที่นี่เบอร์รี่ขึ้นเต็มก็เก็บเบอร์รี่ทานสดๆ

 

ไม่ใช่ทำเล่นสนุกๆนะคะ เป็นการทดลองอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด ที่จริงเราโน่สร้างบ้านหลังใหญ่(มาก)อุปกรณ์ทันสมัยครบพร้อมทุกประการ แต่เราไม่เข้าไปใช้ เราอยู่ชั้นบนของเรือนหลังเล็กขนาด 5 คูณ 7.5เมตร ใช้เป็นที่ทำงานด้วย เรามีคำถามว่า"ถ้าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า เราจะอยู่อย่างไร" เราก็อยู่ได้สบาย ได้เรียนรู้ธรรมชาติลึกซึ้งขึ้นด้วยค่ะ

 

หมอที่โรงพยาบาลในฟินแลนด์เขียนรายงานว่าแม้สุขภาพทั่วไปดีมาก แต่จำเป็นต้องผ่าตัดเจียนต่อมลูกหมาก เพราะโตผิดปกติ หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นมะเร็ง แต่นี่ยังไม่ถึงขั้นนั้น จำเป็นต้องรอคิวให้คนไข้มะเร็งผ่าก่อน เมื่อไรหมอยังไม่แจ้ง แต่คงไม่เกินเดือนตุลาคมนี้ค่ะ

 

หากมีเวลาจะปริ๊นท์จดหมายนี้ถวายพ่อครูก็ได้ค่ะ แล้วแต่ท่านพิจารณาตามควร กราบขออภัยที่รบกวนเวลา และกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

 

                                 กราบมาด้วยศรัทธาและเคารพอย่างสูง

 

                                                       หายโง่

พ่อครูว่า…อาตมาตั้งชื่อให้เขาว่าหายโง่ เขาก็ชอบ

1.คุณ"ชวน"ที่แนะนำให้พ่อครูซื้อที่สำหรับปฏิบัติธรรมก่อนไปอยู่วัดอโศการาม นามสกุลอะไรคะ" ถามเพื่อเป็นการเก็บประวัติบุคคลสำคัญเพื่อศึกษาและเป็นประวัติศาตร์ในอนาคต

ตอบ...คุณชวนไม่ได้แนะนำ อาตมาเป็นคนบอกให้ไปซื้อ ชื่อคุณ ชวนไชย เตชะศรีสุธี เป็นผู้อำนวยการสร้างหนังโทนขึ้นมา

 

2.คุณแม่บ้านที่ช่วยพ่อครูหาซื้อที่ ในที่สุดไปได้ข้อมูลที่ตลาด ตลาดแถวไหนคะ

ตอบ...ตอนนั้นอาตมาจะออกจากทางโลก ก็ไปหาซื้อที่ ไปกับคุณชวนไปหาซื้อที่ ก็หายังไม่ได้ ก็บ่นไป แล้วแม่บ้าน(ผู้ดูแลทำงานบ้าน) เขาไปจ่ายตลาด ก็ไปเปรยกับแม่ค้าที่ตลาด ว่าคุณผู้ชายกำลังหาซื้อที่สักสองไร่ แล้วถามว่าตลาดแถวไหน ก็ตลาดในซอยสวนพลู เรียกว่าตลาดสวนพลู เพราะบ้านอาตมาอยู่ที่ทุ่งมหาเมฆ

3.คุณแม่บ้านชื่ออะไรคะ ขณะนี้อายุประมาณเท่าไร ตอนนี้ทราบหรือไม่ว่ายังมีชีวิตอยู่ไหมคะ"

ตอบ...อาตมาเรียกแกว่าแม่พวง แต่อาตมาก็ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่แล้ว แต่แก่กว่าอาตมาแน่ ตอนนี้ไม่ทราบว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ทิ้งลูกสาวไว้อยู่ที่บ้าน ตอนเขามาอยู่ตั้งแต่ลูกสาวอายุ 5-6 ขวบ เป็นคนลูกติดมา ใครไม่อยากได้ไปเป็นแม่บ้าน อาตมาก็เอามา ตอนนี้ลูกสาวอายุ 60 ปีแล้วมั้ง อาตมาออกบวช 40 กว่าปีแล้ว ตอนอาตมาบวช เขาก็ตามมาอยู่ที่วัดอโศการามด้วย อาตมาปลูกกุฏิฝ่ายหญิงให้อยู่ แต่ไปๆมาๆอาตมาออกจากวัดอโศการาม เขาก็ไปไหนไม่รู้แล้ว ไม่ได้ถามไถ่ แต่ลูกสาวก็ยังอยู่

 

ทีนี้ก็อ่าน  วันนี้ (1 มิ.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ นพ.ดร.มโน เลาหวณิช อาจารย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า วันนี้ เวลา 13.30 น.พวกตนจะเข้ายื่นหนังสือคำฟ้องกล่าวหาพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ที่ได้กระทำการอวดอุตริมนุสธรรม ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยอันเป็นครุกาบัติ ต่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น และพระราชวิสุทธิเวที เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะผู้พิจารณาชั้นต้น ที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร

      

       นายไพบูลย์กล่าวว่า ได้ขอให้พระผู้ใหญ่ได้พิจารณาในพฤติกรรมของพระธัมมชโย ที่พวกตนกล่าวหาพระธัมมชโย คือ 1. การอวดอ้างว่าพบเห็นวิญญาณของนายชาติชาย โรจน์กีรติกาญจน์ อยู่สวรรค์ชั้นที่ 2 ฝากข่าวมาบอกลูกว่ามีความสุขสบายดี ขอให้ลูกทำบุญอุทิศไปให้มากๆ (ทั้งที่ข้อเท็จจริงนายชาติชายยังไม่ได้เสียชีวิต) 2. อ้างว่าพบเห็นวิญญาณของสตีฟ จ็อบส์ ไปเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา 3. เรื่องพบเห็นพุทธทาสภิกขุตกอยู่ในนรกเพราะสอนธรรมะผิดและเป็นมิจฉาทิฏฐิ เรื่องพบเห็นพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อยู่ในนรกเพราะหลงว่าตนเป็นพระอรหันต์ ธัมมชโยจึงช่วยขึ้นมาบำเพ็ญบารมีต่อที่ชั้นดาวดึงส์ และ 4. การอวดอ้างว่าตนเป็นต้นธาตุ ต้นธรรม เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งฝ่ายโปรดและฝ่ายปราบเหนือกว่าพระพุทธเจ้าธรรมดา สามารถให้ธรรมแก่ผู้ใดให้บรรลุธรรมกาย หรือปราบจับขังไว้ในตู้เซฟไม่ให้ได้ผุดได้เกิดก็ได้

      

       “เฉพาะกรณีการเทศน์และเผยแพร่อวดอ้างว่านายชาติชาย โรจน์กิรติการ ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นที่ 2 (น้าชายนายสมคะเน ยอดพราหมณ์ พยาน) แต่ข้อเท็จจริงนายชาติชายยังไม่เสียชีวิต ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระธัมมชโยกับพวกไม่มีญาณวิเศษจริง โดยนำเข้าเผยแพร่ทางเว็บไซต์ http://www.dmc.tv เมื่อวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2556 และเมื่อวันที่ 11-15 ตุลาคม 2556 เพื่อหวังเงินบริจาคจากประชาชนที่หลงเชื่อในคุณวิเศษที่ไม่มีอยู่จริง ครบองค์แห่งอาบัติปาราชิก

สิกขาบทที่ 4 และมีกรณีคล้ายคลึงคือ กรณีพระวีรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก แห่งวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ กล่าวอ้างระหว่างเทศนาธรรมว่า เคยมีเพื่อนเป็นพระอินทร์ สามารถระลึกชาติได้ และเคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยพระพุทธเจ้าตรัสว่า หลวงปู่เณรคำจะได้เป็นผู้กอบกู้ศาสนา และเวียนว่ายตายเกิดมาจนถึงยุคปัจจุบันเพื่อนำพาศาสนิกชนให้หลุดพ้น ทำให้การกระทำดังกล่าวว่าเข้าข่ายการอวดอุตริมนุสธรรม” นายไพบูลย์กล่าว

(จาก เว็บผู้จัดการ1 มิ.ย. 59http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9590000055078)

 

อาตมาว่าตอนนี้ถึงยุคกาลที่จะมีผู้หยิบเรื่องศาสนามาอธิกรณ์อย่างเช่นคุณไพบูลย์อย่างที่อ่านไป ก็ทำให้เกิดสำนึก ให้แก้ไขปรับปรุงก็ดูรู้สึกดีขึ้น แต่ก่อนไม่มี ถึงขั้นพูดกันว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ เขาก็ปล่อยไปเขาจะเป็นยังไงก็ ทุกอย่างในสังคมไม่มีใครเอาภาระ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าเข้าท่า แม้ที่สุดที่มีกระแสออกมาว่า

การร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีผู้ให้ข้อสังเกต ว่าไปร่างรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อศาสนาได้ยังไง แล้วมันก็ยังไง ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญเอื้อต่อศาสนาอาตมาก็ว่าวิเศษสิ เป็นความคิดที่วิเศษเลย

อาตมาว่า ในสังคมที่บริหารปกครอง ไม่ได้พยายามเน้นเรื่องคุณธรรมเรื่องของศาสนาเลย กลับไปเน้นแต่เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องกินเรื่องอยู่เท่านั้น มีแต่เรื่องโลกๆกินอยู่แย่งชิง เรื่องคุณธรรมด้านศาสนาเรื่องธรรมะไม่กระเตื้องอะไรเลย แม้จะมีกรมการศาสนา มีกระทรวงวัฒนธรรม มีองค์กรศาสนา อาตมาก็ไม่เห็นว่ามีบทบาทอย่างเหมาะควรกับสังคมเลย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามเขา เขาพยายามเอาจริงเอาจังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ศาสนาเขาจึงอยู่ได้อย่างเป็นปึกแผ่น เข้มข้นดี มีประชากรมีศาสนิกที่อยู่ในกฎเกณฑ์อยู่ในธรรมของศาสนาจึงได้ไปรอด สังคมไปรอด แต่ศาสนาพุทธของประเทศไทย อาตมาว่าน้อยไปมาก ในการที่จะให้ความสำคัญ ที่จะพยายามเอาใจใส่มีกิจกรรมมีกิจการ สัมพันธ์สัมผัสอะไร เอาตาดูหูแลของผู้ที่มีการบริหารปกครอง มันน่าจะมีอะไรขึ้นมากกว่านี้

อาตมาพูดไปนี้เขาจะหาว่า พวกศาสนาอิซึ่ม พวกธรรมะอิซึ่ม ถ้าจะว่าอย่างงั้นอาตมาก็ยินดีรับเลย เพราะเห็นว่าอย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย ประเทศอื่นๆด้วย อาตมาว่าบกพร่องทางคุณธรรม โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลก เสื่อมในทางคุณธรรม โดยเฉพาะในศาสนาพุทธของประเทศไทย อาตมาว่าเสื่อมไปเสื่อมไป จนทุกวันนี้อาตมาเห็นแล้วสลดใจจริงๆว่าไม่เหลือเชื้อของความเป็นศาสนาเลย นอกจากไม่เหลือแล้วศาสนา จึงถูกแปรรูปเปลี่ยนโฉมไม่เป็นศาสนาแล้ว กลับเป็นของเครื่องมอมเมา

มอมเมาจนเป็นจารีตประเพณี ซึ่งก็คือเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ เป็นเทวนิยม ซึ่งเต็มเรื่องนอกรีตนอกศาสนาพุทธไปเลย เป็นประเด็นหลักที่พระพุทธเจ้ามาเว้นขาด มาตั้งศีลมาเพื่อกำจัดออกไป แต่เดี๋ยวนี้หนักทางไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา หนักกว่าเจ้าของเดรัจฉานวิชาเจ้าของไสยศาสตร์เดิมซะอีก พวกนี้ทำหนักกว่าเจ้าของอีก ชาวพุทธมาพัฒนาการกลายเป็นหนักกว่า

พูดไปแล้วอาจเหมือนใส่ความหาเรื่องแต่เป็นจริง ในสังคมก็โฆษณาให้อีกไปส่งเสริมสิ่งที่นอกรีตนอกศาสนาพุทธ ขายเครื่องรางของขลัง ขายพระเครื่องอะไรที่เป็นไสยศาสตร์ เป็นเดรัจฉานวิชา ส่งเสริมเต็มรูป แม้แต่โทรทัศน์ก็เปิดให้เต็มที่ ไม่ค่อยเอาตาดูหูแลกันเลยโดยเฉพาะผู้ที่ดูแลศาสนากระแสหลัก คือเถรสมาคม ปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ ดีไม่ดีก็ร่วมมือร่วมไม้เข้าไปอีก

ถ้าเป็นคนอย่างโลกๆเขาคงบอกว่าอกกลัดหนองชีช้ำกะหล่ำปลีดองที่เห็นสภาพพวกนี้ พูดแล้วเหมือนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายต่างๆนาๆ อาตมาว่านี่พูดน้อยไปด้วยซ้ำไป คิดว่าคงไม่มีใครออกมาพูดมากเหมือนอาตมาหลอก

 

_มีข่าว รบกวนพ่อครูช่วยประกาศ ประชาสัมพันธ์ ดังต่อไปนี้

" ขอความร่วมมือจากศิษย์ เก่ารร.สส.สอ. ที่สำเร็จ กศ.ปี 2534-2558 มาร่วมประชุมระดมความคิดเห็น(focus group) เพื่อปรับทิศทาง การศึกษา.แบบ บ้าน วัด โรงเรียน ในวันที่ 1,9,15 และ 22 ตุลาคม 2559 ที่ พ.ส.สันติอโศก กรุงเทพมหานคร ศิษย์เก่าคนใดมีความประสงค์จะมาร่วมประชุมระดมความคิดเห็น สามารถโทร.ติดต่อได้ที่โทร. 089 522 5732 ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2559 เวลา 08.00-18.00 น.

 

พ่อครูว่า..อาตมากำลังหยิบกรณีตัวอย่างของธัมมชโยมากล่าวถึง ในข้อเขียน คนจะมีธรรมะได้อย่างไรก็มาต่อกัน….

นายไชยบูลย์ไม่เชื่อใครในประเทศไทยไม่ไว้ใจใคร ไม่ไว้ใจศาล ไม่ยกให้ใครทั้งนั้น

แม้แต่ในหลวง เขาทำตนอยู่เหนือกฏหมาย

นายไชยบูลย์ทำตน“ไม่มีเลือด(ไทย)”

ในร่าง อันเป็น“ชีวิต”ของตน  เขาจึงไม่ใช่ “คน”!! ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย

แม้จะนับว่า เป็นเลือด เขาก็มีเลือดในกรุ๊พ“คนโง่”เดียวกันกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกเขาสะกดจิตได้ ซึ่งเป็นชีวิตคนกลุ่มที่มี“วิญญาณสัตว์โอปปาติกะ”ผู้ยังไม่เจริญพวกหนึ่งเท่านั้น

“เลือด”ในร่างมนุษย์ หมายถึง ประชากรทั้งประเทศ นายไชยบูลย์แยกเอาคนเลือดโง่ๆส่วนหนึ่งไปได้ ก็เป็นเลือดสัตว์ส่วนหนึ่ง

ส่วนนั้นก็คือ “ผี-มารมายา-เดรัจฉาน-ยักษ์” ซึ่งเขาเป็นสัตว์ทั้ง 4 นี้ได้อย่างเก่งยิ่ง

“ความเป็นสัตว์ทั้ง 4” เต็มพิกัด ก็คือ เป็นจาตุมหาราชครบ“ความอยากใหญ่” ของเขาจริงๆ ยิ่งกว่าที่เขาฝัน“ต้นธาตุ-ต้นธรรม”

คำว่า“ธาตุ”ว่า“ธรรม”แบบ“ธรรมกวย” ของเขานั้นแหละ(เขาไม่รู้ความเป็น“กาย”หรอก เขา

จึงมีได้แค่“กวย”เท่านั้น ที่พูดนี่ไม่ได้ใส่ความเขาเลย)

เขาเป็นคน“มักใหญ่”(มหัปปิจฉะ) ครบทุกขบวนท่า โดยเอา“คราบภิกษุศาสนาพุทธ”ไปคลุมร่างหลอกมวลประชาชนทั้งโลก

เขาไม่ใช่“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธเลย แม้แค่เขา“ห่มสีเหลือง”นี้ก็ไม่ใช่ภิกษุพุทธแล้ว

ในวินัยห้ามไม่ให้ใช้ (วินัยบัญญัติ เล่ม 5 ข้อ 169) มีสีที่พระพุทธเจ้าห้ามใช้คือ

1.สีครามล้วน 2.สีเหลืองล้วน  3.สีแดงล้วน  4.สีบานเย็นล้วน  5. สีดำล้วน  6. สีแสดล้วน  7. สีชมพูล้วน (พตปฎ. เล่ม 5  ข้อ 169)

 

โดยเฉพาะ“ความมักใหญ่”(มหัปปิจฉะ)นั้นเขาได้ทำเต็มรูปเต็มนามจริงๆ เขาทำมาให้เห็นและเป็นอยู่บริบูรณ์ครบ“อภิชฌาวิสมโลภะ”ทั้งลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขครบเครื่อง

เมื่อยจริงๆ!!! จะต้องสาธยายอีกมาก...

เขาไม่ยอมรับ“ความรู้สึกของคนไทย (วิญญาณคนไทยที่เคารพภักดีพระเจ้าอยู่หัวของเขา) เขาเอาใจประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไปทิ้งไว้ไหน?  ที่จริงเขาหลงว่าเขามีมวลชนมาก!

แม้เขาจะเป็น“ผีบุญ”ใหญ่ ทำเพื่อหามวลชนทั่วโลกจริงๆ  เห็นพฤติจากกาย-จากใจของเขาไหม? ว่าเขาซ่องสุมประชาชนคนทุกชาติ เขาไม่เอาแค่เฉพาะคนไทยนะ เขาหว่านไปทั่วโลก เท่าที่เขาทำได้ เห็นมั้ย?

เขาเหยียดหยาม“สมอง”(รัฐบาล)ของประเทศไทย เหยียดหยาม“น้ำใจ”(เวทนา)ของประชาชนคนไทยทั้งหลายที่ต่างมีความจงรักภักดีเทิดทูนต่อ“พระเจ้าแผ่นดิน”

“ไชยบูลย์”ใหญ่มาก มักใหญ่มากจริงๆ

อาตมาอายุปูนนี้ ก็พอจะเห็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงมาบ้างแล้วล่ะ จนอายุปูนนี้ แต่ยังไม่เคยเห็นใคร ที่มี“อัตตา”ใหญ่ มักใหญ่ใฝ่สูงกันถึงขนาดนี้ เขาคบกับนายทักษิณที่มี“อัตตา”แบบเดียวกัน เป็นแฝดกันมาแท้ๆ

เขา“แพ้”ไม่ได้ เขา“ยอม”ไม่ได้ เขาไม่มีความผิด เพราะเขายิ่งกว่า“พระเจ้า”ไง!!!!!!

ที่แท้..เขามีแต่เปลือกนอกของทุกพืชทุกสัตว์ที่คลุมตัวเขาอยู่ แล้วบอกว่า“เขาดี-เขาประเสริฐ”กว่าใครๆทั้งโลก เขามีแค่เปลือกของพืช ของสัตว์เท่านั้น ที่หลอกลวง“คน”ให้หลงตายใจ ว่า เขายิ่งใหญ่ ด้วย “คุณวิเศษ”เก๊ๆ ด้วย“ความดี”ตื้นๆเท่านั้น ให้ใครๆเข้าใจว่า เขาเป็นคนผู้ยิ่งใหญ่

แต่แท้จริงเขาเป็นแค่พืชแค่สัตว์เท่านั้น เขาไม่ใช่“คน”หรอก เพราะเขา“ซื่อ”แค่พืช เขา“ฉลาด”แค่สัตว์ มี“ปัญญา”สู้คนไม่ได้ดอก 

เขาทำทีเป็นคนไม่ทำร้ายใคร เขาไม่รุกรานใคร เขาสงบ เขาหยุด เขานิ่ง โดยหลอกว่าเขาเป็น“พระ”ในศาสนาพุทธ แต่เขาไม่มีความรู้เลย แม้คำว่า “กาย”ในพุทธศาสนา

ที่เขาหลอกคนว่าเขาเป็น“ธรรมกาย”(แต่“กาย” ของพระพุทธเจ้าแท้ๆนั้น เขาไม่รู้จักเลย “ธรรมกาย”คือพระฉายาพระพุทธเจ้าจริงๆ มี“พุทธคุณ 9” ส่วนนาย

ไชยบูลย์นั้นโกหกคนแท้ๆแม้คำว่า“กาย” เขาก็โม้ว่าใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์โน่นแน่ะ!!!  ..รับไหวมั้ย?)

โดยเฉพาะคำว่า“บุญ”ที่สัมมาทิฏฐิ เขาก็“มิจฉาทิฏฐิ”เต็มบ้อง แล้วเอา“บุญ”มาทำ“บาป” มาค้ามาขาย มาเช่า มาประกันชีวิต มาเสี่ยงทาย มาเข้าตลาดหุ้น มาร่วมสหกร

เขาเอาคำว่า“บุญ”นี้แหละมาใช้“หากิน”

หลอกค้า“บุญ”ขาย“บุญ”เช่า“บุญ” แทงหวยใน“บุญ” เล่นหุ้นใน“บุญ” ประกันชีวิตไว้กับ“บุญ” เขาทำการตลาดค้า“บุญ”ได้เก่งกาจกว่าประดา“นายทุน”ในโลกทั้งหลาย เพราะเขาเอาทั้ง“กามภพ-รูปภพ-อรูปภพ”มาหลอกค้าหลอกขาย หลอกเช่า หลอกประกันชีวิต หลอกในตลาดหุ้น หลอกใน“ตลาดทุน”ที่หลง“ยึด”วิญญาณอย่างงมงายมืดบอดสนิท

เขาไม่มีความรู้สักะผีกเลยว่า...

“บุญ”ทำกิจแล้ว “บุญ”ก็หายสูญไป

“บุญ”กำจัดทั้ง“กายนอก-กายใน” ทั้ง“รูปจิต-อรูปจิต” ให้“วิบัติ”ได้สำเร็จผล

“บุญ”เป็นแค่อาวุธในการ“กำจัดกิเลส”เท่านั้น  หมดหน้าที่“บุญ”ก็หายวับไปทันที เพราะจบกิจแล้ว  “บุญ”ไม่ต้องทำหน้าที่อีก

หากผู้ใดทำให้“จิตตนกำจัดบาปหมดอกุศลจิตสิ้น  บุญก็หมดสิ้นไปด้วยทันที”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)  “บุญ”คือ กิจที่ทำ“วิบัติ”ให้กับอกุศลจิตหรือบาปของตนโดยตรง

ในสูตรที่กล่าวถึงโชติปาลมานพก็พูดเรื่องนี้ว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ ปุญญปาปปริกฺขีโณ หรือแม้พระโมคราชก็กล่าวว่าท่านเป็นผู้ที่ ปุญญปาปปริกฺขีโณ

ผู้ที่ปฏิบัติทำบุญได้ผลก็กล่าว่าได้ส่วนแห่งบุญหรือปุญญภาคิยา คือผู้ได้ส่วนแห่งบุญ

ผู้ใดทำบุญได้สำเร็จเป็นพระเสขบุคคลเพราะ ชำระกิเลสได้ แม้จะไม่หมดอาสวะเป็นสาสวะอยู่ ไม่ใช่อรหันต์ ท่านก็ตรัสว่าได้ส่วนแห่งบุญได้ผลแก่ขันธ์

คำว่าได้ส่วนแห่งบุญ แต่คนเข้าใจบุญว่าเป็นกุศลเป็นสมบัติ ก็เลยปฏิบัติบุญแล้วได้สมบัติ ซึ่งไม่ใช่เลย บุญคือส่วนที่อกุศลจิตหรือกิเลสวิบัติไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่หมดสิ้นอาสวะ เป็นสาสวะอยู่

ผู้ไม่มีปฏิภาณ ไม่มีภูมิธรรมก็ไม่รู้ว่าบุญถ้าได้นี่ คือไม่มี ถ้าทำบุญได้ชำระกิเลสได้ก็ได้ภาวะความไม่มี ไม่ใช่ทำบุญเป็นบุญได้ผลบุญแล้วมันเกิดสิ่งมี ไม่ใช่บุญมันชำระออก

คำว่าบุญ ถ้าเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ได้ ก็จะฟังคำว่าสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณไม่ได้

แล้วโอวาทปาติโมกข์ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)

อาตมาเคยตั้งข้อสังเกตุว่า ทำไมไม่ใช่ ปุญญัสสัมปทา ทำไมเป็นกุสลสูปสัมปทาล่ะ ท่านไปใช้คำว่ากุศล เป็นต้น เพราะเข้าใจคำว่าบุญไม่ถูกความหมายก็เลยเข้าใจส่วนบุญไม่ถูก ไม่เข้าใจหมดบุญหมดบาป จบแล้วเป็นผู้จิตสะอาดจะทำกรรมใดก็เป็นกุศล

บุญในพจนานุกรม ไทย บาลี อังกฤษ ฉบับภูมิพโลภิกขุแปลบุญว่า สันตานังปุนาติ วิโสเทติ เมื่อชำระกิเลสจากสันดานหมดก็เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป

 ในล.32 ข.392 ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับโชติปาลมานพ ก็ตรัสว่า ท่านเป็นผู้ ปุญญปาปปริกขีโณ

“บุญ”ไม่ใช่“วิมานสวรรค์”  “บุญ”เป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพทำลายกิเลสได้เท่านั้น  ทำลายกิเลสหมดไป  “บุญ”ก็หมด

หน้าที่ หมดตนเองไปพร้อมกันทันที ไม่มี “บุญ”นั้นอยู่ในที่ไหนอีก  “บุญ”ไม่ใช่สิ่งของหรือทรัพย์สินที่จะสะสมเพิ่มขึ้นๆได้

“บุญ”สะสมไม่ได้  “บุญ”ไม่ใช่“สมบัติ” (สิ่งที่มีในครอบครอง,สิ่งที่มีเพิ่มขึ้นๆ) แต่“บุญ”คือเครื่องมือทำ“วิบัติ”(การถึงความเสื่อม,ความสูญเสียจนหมดสิ้นไป)เท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติอื่น

ผู้ที่ทำกรรมเกิด“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา)ก็คือ การทำหน้าที่นั้น“เกิดผลชำระกิเลสบางส่วนได้บ้างแล้ว” หมายความว่า อกุศลจิตบางส่วนถูกกำจัดลงได้บ้าง(กิเลสยังไม่หมดตัวตนสิ้นเกลี้ยง) คนผู้นี้ก็เป็น“เสขบุคคล” เป็นผู้มีผลแต่ยังมี“สาสวะ”อยู่ ยังไม่หมด“อาสวะ”

กล่าวคือ เป็นผู้ที่ทำให้“กิเลส”ลดไปๆ ตามลำดับ จนกว่ากิเลสจะหมดเกลี้ยง ก็เป็นผู้“หมดสิ้นอาสวะ” ซึ่งเป็นผู้ลดไปๆๆ ไม่ใช่คนผู้ได้อะไรเป็นสิ่งเป็นอันยิ่งขึ้นๆเด็ดขาด 

ภาวะของผู้มีกรรมกิริยาที่“ได้บุญ” จะมิใช่“ได้อะไรขึ้นมาเพิ่มขึ้น” เพ่งอ่านให้ชัดคม

เพราะถ้าใคร“ทำบุญ”ได้ผล ผลของ “บุญ”คือ สูญสิ้นออกไป  “ผลบุญ”ไม่ใช่ยิ่งเกิดขึ้น ยิ่งมีเพิ่มขึ้น แต่“ผลบุญ”คือ ยิ่งลดไป-สิ้นไป-กระทั่งสูญเป็นที่สุดต่างหาก

“บุญ”ต้องสัมมาทิฏฐิ ดังว่านี้

แต่นายไชยบูลย์นั้นเขาไม่รู้เลย เขาไม่มีไหวพริบที่จะรู้ด้วยซ้ำ แม้อาตมาจะอธิบายเขาก็ไม่ฟัง แม้ฟังเขาก็ไม่เชื่อ เขา“หลงอัตตา”ของเขาเองยิ่งกว่าใดอะไรทั้งหมดในเอกภพนี้ เขามืดบอดจนเกินจะเยียวยาแล้ว

เขาฉลาดที่เขาทำนิ่งๆเงียบๆ แต่ความชั่วนั้นใหญ่หลวงเลวร้าย

เขาไม่รู้จัก“เวทนา”เลย เขาเป็นคนมืดบอดต่อ“เวทนา”สนิท แต่เขาหลง“เสพรสเวทนา”บำเรอตนอยู่นะ  เขาใจดำกับผู้อื่น

เขาจึงอำมหิตเลวร้ายที่สุด เขาทำลายคนได้อย่างไม่รู้ว่าคนมี“เวทนา” มีความรู้สึก มีทุกข์มีร้อน เพราะเขาเอง“มีเปรียบ”ได้บำเรอตน  และเขาเองก็“โง่”กับภาวะ“เวทนา”สนิทอีก ด้วย  เขาจึงเป็นคน“น่าเวทนา”สุดๆ

เขาขูดรีดคน ให้คนหมดเนื้อหมดตัวอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า“ใครจะทุกขเวทนา”เพราะหมดเนื้อหมดตัวเดือดร้อนปานใด เขาไม่รู้ไม่ชี้ เขาคือคนมืดบอดต่อ“เวทนา”ของคนอื่นอย่าง“ใจดำอำมหิต”จริงๆดังว่านี้ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ มิใช่การใส่ความหาเรื่อง

กรณีเขาอยู่ในแผ่นดินนี้ แต่ยกตนใหญ่กว่า“เจ้าแผ่นดิน”นี้ นี่สิ..เข้าข่าย“ผีบุญ”ชัด

ความเป็น“เวทนา”นี้ ผู้มีความรู้สูงขึ้น จะรู้ยิ่งว่า “เวทนา”คือ ความรู้สึกต่อการรับรู้  ซึ่งมี“รสแท้”รสเดียวเท่านั้น

ถ้ามี“รส 2”เกิดขึ้น“รส 2”นั้นคือ “รสเก๊” ที่ชาวพุทธผู้สัมมาทิฏฐิจะต้องกำจัด(ปหาน) โดยกำจัดจนสิ้นเกลี้ยง“เหตุ”ของมันทีเดียว

แต่ผู้“อวิชชา”จะหลงเป็น“รสทิพย์หรือรสสวรรค์”กัน เพราะโง่ต่อ“รสนรก”แปลงตัวหลอกคนผู้“อวิชชา”สำเร็จมาชั่วกัปป์กัลป์

พ่อครูกล่าวถึงวิปลาส เนื่องจากเรื่องของการประกาศรวมตัวศิษย์เก่าสส.สอ. เลยได้กล่าวถึงวิปลาสตามความหมายของพุทธศาสนา

วิปลาส มี 3 ระดับ คือ

       1. สัญญาวิปลาส        2. จิตตวิปลาส        3. ทิฏฐิวิปลาส

และมี วิปลาส 4 คือ

       1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง

       2. วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข

       3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน

       4.. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม

 

“รส”นี้แหละที่ชื่อว่า “เทพบุตรมาร”ที่มันเป็นลูกของ“มาร”ตัวแท้“เกิด”อยู่ในใจคนตลอดเวลาของผู้อวิชชา คลอดแล้วคลอดอีก ไม่หย่อนไม่หยุด ไม่ยอมสร่างซาลงเลยในคนยัง“โง่”ตลอดกาลนานมาชั่วกัปป์กัลป์

นายไชยบูลย์คนนี้คือผู้หลง“สวรรค์

รสทิพย์”ดังว่านี้ ไม่รู้จัก“การสะกดจิต”แต่“ทำสะกดจิต”เก่ง หลงมันหนักเพราะมันทำให้เขาได้“เสพรสทิพย์” ที่ติดตนสนิทด้วยอวิชชา เมื่อทำ“หลับตาสะกดจิต”แล้วได้เสพ“รสทิพย์”หัวปักหัวปำ จนโง่(อวิชชา)โงหัวไม่ขึ้นก็เพราะ“หลง(โมหะ)ติดรสเก๊ของโลกีย์”

จึงสะกดจิตตนเองติดหนับ แถมสะกดจิตคนอื่นเขาไปทั่ว ครอบงำคนทั้งหลายให้หลงมืดบอดดำฤษณาตามตนเองให้หนักจัดหนักหน้าขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ดังที่เห็นกัน

เขาไม่รู้เลย เขาไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“เวทนา 2”(ทฺวเยนะ เวทนายะ)หรอกว่า  อย่างไรคือ“เวทนา”รสแท้ “เวทนา”รสเก๊ “รสแท้”คือ รสเดียวกันทุกคน-ตรงกัน ไม่เชื่อลองผ่าส้มโอนี้ไปแตะลิ้นทุกคนดู แล้วดูรสแท้นะไม่ใช่รสเก๊

“รสสวรรค์หรือรสนรก” คือรสเก๊ที่แต่ละคน“อุปาทาน”เอง แล้ว“มีจริงเอง”ของแต่ละคน ปั้นขึ้นเอง จึงเป็น”อาการที่ 33” ที่ปั้นขึ้นมาหลงเอง ลมๆแล้งๆ ของใครของมัน ซึ่งไม่ใช่“รสแท้”เกิดจาก“อาการ 32”ที่มีกันทุกคนปกติ เป็นอย่างดียวกันทุกคนนั้นเลย

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:13:26 )

590922

รายละเอียด

590922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาปกิณกะ

_ถ้ามีความกลัวจะทำอย่างไรคะ มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

ตอบ...คนเรากลัวนั้นเกิดจากความไม่รู้ ถ้าเรารู้จักเสือนี่ดี เรารู้เส้นมันหมดเรารู้ใจมันด้วย ว่ามันจะไม่โกรธไม่ดุไม่เคือง มันจะเฉย มีน้ำใจ รักเราด้วยซ้ำไป ถ้าเรารู้ใจมันคนๆนี้ก็ไม่กลัวเสือ เรากลัวที่มืดเพราะเราไม่รู้ว่าที่มืดจะมีงูหรือเปล่า จะมีเสือหรือเปล่า หรือไม่ก็ มันจะมีผีหรือเปล่า กลัวงูกลัวเสือก็คงจะน้อยเพราะเราไม่ได้อยู่ในป่า แต่มืดๆนี้มักจะกลัวผี ซึ่งผีนั้นมันไม่มี ผีที่อยู่ในที่มืดจะไปหลอกคนนั้นคนนี้เด็กๆฟังไว้ มันไม่มีหรอก ที่นั่นมีแต่ตัวเองหลอกตัวเองจนไปเห็นภาพเคลื่อนไหวอย่างนั้นอย่างนี้ ภาษาวิชาการเรียกว่ามโนมยอัตตา เป็นรูปที่ปั้นขึ้นเองในใจ จนเห็นด้วยตาหรืออยู่ข้างใน เป็นของหลอกที่หลอกได้เลย เหมือนยังกับรสอร่อย ปั้นรสอร่อยมานั้นมันไม่จริง ใครปั้นขึ้นมาก็เหมือนผีนี่แหละ มันก็หลอกเราเหมือนมีจริง รสอร่อยก็เหมือนมีจริง ความกลัวก็เหมือนมีจริง ถ้าเรารู้ชัดเจนว่ามันไม่มีมันไม่ใช่ มันไม่ได้น่ากลัวอะไร ก็จะหายกลัว

ไปนอนที่เมรุ ที่ปฐมอโศกก็ไปนอนกันสบายๆ มีอาณาบริเวณปูแกรนิตอย่างดี กางเต็นท์นอนสบายๆ พวกเราเข้าใจแล้ว ก็ไม่เห็นมีพวกเราคนไหนถูกผีหลอก อาจจะกลัวนิดหน่อยแต่มันไม่ถึงกับเกิดภาพ พยายามพิสูจน์ มันกลัวอยู่บ้างแต่จะไม่เห็นตัวมันหรอก ถ้ายังเห็นอยู่เห็นภาพเห็นเสียงก็แสดงว่าเรากลัวมาก เป็นมโนมยอัตตามาหลอก ซึ่งความจริงแล้วมันไม่มี คนไหนที่กลัวมากๆให้หัดฝึกหัดพิสูจน์เลยมันจะพบว่าไม่มีหรอกใจเรามันหลอกเราเอง

อาตมาเคยบอกว่าใครกลัวผีก็ท่องคาถาอาตมาว่า แค่ตายแค่ตาย จะไปเจอผีที่ไหนก็ท่องคาถา แค่ตายแค่ตายแล้วเดินเข้าไปหาเลย มันไม่มีหรอก ดีไม่ดีก็มีเค้าแค่หม้อดำๆคลุมอยู่ที่ตอก็นึกว่าผี เดินเข้าไปก็เห็นเป็นหม้อดำๆ บางอันมีผ้าห่ม มีเศษหญ้าก็เหมือนมีผมนึกว่าเป็นผี ไปดูจริงๆไม่ไช่ ก็พิสูจน์เลยกล้าๆหน่อย คาถาอันเดียวว่าแค่ตายแค่ตาย ถ้าได้ยินเสียงก็เดินเข้าไปเลย เป็นเสียงจิ้งจกเสียงหนูก็เดินเข้าไปดู ไม่อย่างนั้นถูกหลอกกันมานาน

 

_น้องเมยค่ะ...ทำไมคนเราต้องฆ่าสัตว์ด้วยค่ะ จิตใจของคนโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยหรือคะ

ตอบ….จิตใจของคนโหดเหี้ยมอย่างนั้นจริงๆที่ไปฆ่าสัตว์มากิน ถามว่าทำไม ก็เพราะเขาไม่ได้เรียนไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียนรู้ธรรมะที่ดี ไม่เข้าใจว่าสัตว์ที่เกิดมา ทุกตัวเขามีจิตวิญญาณของเขา เขาก็รักชีวิตของเขา สัตว์ทุกตัวรักชีวิตของเขาทั้งนั้นแม้คนก็ตามก็รักชีวิตของตัวเอง สัตว์ตัวไหนถ้าจะถูกฆ่ามันก็จะหนีสุดฤทธิ์ นอกจากว่ามันหนีไม่ไหวก็จำนนให้ถูกฆ่า ถ้าเราจะฆ่ามันมันหนีทั้งนั้น นอกจากว่าเราไปหลอกให้มันตายใจ จนมันรักแล้วก็จับมันมาฆ่าเสียนี่ อันนั้นเป็นคนเลือดเย็น ทำเป็นเลี้ยงสัตว์อย่างดี แสดงความรักด้วย สัตว์นั้นตายใจหมดเลย มันก็รักคนเลี้ยงเสร็จแล้ววันร้ายคืนร้ายก็ฆ่ามันกินเลย พวกนี้อำมหิตหนักหนาสาหัสเลย เพราะไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาฝึกฝน

จิตวิญญาณที่เป็นอัตภาพตั้งแต่ก่อตัวเป็นเซลล์ของสัตว์ สัตว์เซลล์เดียว 2 เซลล์สามเซลล์ สัตว์ก็จะรู้เรื่องมีตัวตน ยิ่งตัวโต ยิ่งเซลล์มากเท่าไหร่ก็รักตัวตนมากเท่านั้น แล้วก็หวงแหน ใครอย่ามาแตะ อย่ามาทำร้าย พระพุทธเจ้าให้รู้ชีวิตเขาชีวิตเรา ศาสนาพุทธไม่ไปเบียดเบียนทำร้าย ไปรังแกสัตว์ และไม่จําเป็นแม้แต่จะเอาเนื้อสัตว์มากิน เพราะเนื้อสัตว์จริงๆแล้วไม่ใช่อาหารของคน เขาก็พยายามอธิบายว่าคนเป็นสัตว์ที่กินทั้งเนื้อและพืช มันไม่ใช่ มันเปลี่ยน DNA เป็นพันธุมาแล้ว พิสูจน์ได้ว่าเล็บนี้เป็นเล็บอย่างเล็บกีบเหมือนม้า เหมือนควาย เหมือนช้างพวกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างฟันกราม ก็เป็นแผงไว้บดไม่ใช่มีเขี้ยวแหลมคมอย่างสัตว์กินเนื้อ ที่มีกรงเล็บ อย่างสัตว์กินเนื้อ สิ่งเหล่านี้มันเหมาะสม ธรรมชาติสร้างมาลงตัวเหมาะสม คนเราเล็บ ฟันไม่ใช่แบบสัตว์กินเนื้อ ลำไส้ น้ำย่อยก็พิสูจน์กันมาหมดแล้ว ผู้รู้วิทยาศาสตร์ ว่าคนไม่ใช่สัตว์ที่กินทั้งเนื้อและพืช คนเป็นสัตว์กินพืชโดยตรงไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ

คนที่กินแต่พืชนี้จะอายุยืนยาวโดยไม่กินเนื้อเลย แม้คนที่กินเนื้อน้อยๆ กินผักพืชมากก็ยังอายุยืนยาวได้เลย อย่าไปกินเนื้อเลย กินแล้วมันก็ติด มันเป็นสิ่งเสพติด เราไม่กินเสียซะเลยก็จะได้ล้างสิ่งเสพติด กินเนื้อสัตว์นั้นเป็นการติดรส

2 นอกจากติดแล้วก็เป็นเวรภัย สัตว์แต่ละตัวมันมีวิญญาณเกาะเกี่ยว เนื้อของข้า เนื้อของข้า ตายไปแล้วก็ยังมีเนื้อของข้าอยู่นะ ใครไปกินเนื้อสัตว์นั้นเข้า มันก็จองเวรจองกรรม อยากไปหาเวรใส่ตัวทำไม ดีไม่ดีสัตว์มันจองเวรเราด้วย แล้วมันรู้เรื่องหรือ จะให้มันอภัยให้หรือ แล้วเมื่อไหร่มันจะเลิก เพราะฉะนั้นอย่าไปก่อเวร

ถ้าเลิกแล้วเราก็จะไม่ติดรสแล้วก็ไม่ก่อเวร ไปทำทำไม ไม่จำเป็นต้องกินเลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้คนกินแต่พืชไม่ต้องกินเนื้อสัตว์เลย

ในพระไตรปิฎกของเถรวาทฉบับสยามรัฐ ไม่มีชัดเจนทีเดียว แต่อาตมาเห็นว่าชัดแค่ท่านบอกว่า 1 เป็นชาวพุทธอย่าฆ่าสัตว์ 2 อย่าขายอย่าค้าขายเนื้อสัตว์อันเป็นมิจฉาวณิชชา มังสวณิชชา มังสวณิชชา เมื่อไม่ฆ่าและไม่มีการซื้อขายแล้วจะเอาที่ไหนมากินก็มีอยู่ 2 ทาง

1 ไปเก็บเดนสัตว์กินเหลือ อย่าไปแย่งมันนะ 2 สัตว์มันตายไปเอง แล้วสัตว์ที่ตายเองนั้นก็ไม่อยากจะไปกินอีกเพราะว่าอาจจะมีโรคภัย

คนเราปฏิบัติแล้วไม่ติดเนื้อสัตว์เลย ละล้างกิเลสไม่ได้ติดมันก็ไม่กิน แล้วเนื้อสัตว์ก็เป็นพวกเซลล์ที่มีโอโซนมีออกซิเจนก็มีกลิ่นคาว เนื้อสัตว์มีความคาวทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนที่อย่างเด็กๆเกิดมาแล้วยังมีเชื้อมาแต่เดิม ก็จะเหม็นคาวกินไม่ได้

ในพระสูตร สีหสูตร ก็บอกไว้ชัด ว่า ให้คนไปหาเนื้อสัตว์มาปรุงอาหารเตรียมถวายพระพุทธเจ้า แต่อเจลกะคือนักบวชนอกศาสนาพุทธก็ไปแหกปากร้องว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์อยู่ ทั้งๆที่รู้ เพื่อดิสเครดิตพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้า.ฉันเนื้อสัตว์อยู่เป็นปกติ จะไปแหกปากฟ้องร้องทำไมถ้าท่านฉันเป็นธรรมดา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์เขาเลยไปแหกปาก

เหมือนอย่างพวกเสื้อแดงที่แหกปากอยู่ตอนนี้ทางโทรทัศน์ตอนนี้มีเงินได้มาอยู่ก็ยังแหกปากไป แต่อีกหน่อยไม่มีเงินมาก็จะเลิกไปเอง ได้มาจากลูกบ้าง แม่บ้างของคุณทักษิณ

 

_เรื่องกฐินผ้าป่า

ตอบ...มันทำลายศาสนามากที่สุดเลย

กฐินก่อน… กฐินแปลว่าสดึง สดึงใหญ่ที่ทำเท่าจีวร เมื่อได้ผ้ามา เก็บผ้าบังสุกุลได้ ที่เขาทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าห่อศพ เก็บมาได้ก็เอามาต่อที่สะดึง กว่าจะครบผืน ก็ตัดแต่ละอันให้เป็นเหลี่ยมๆแล้วมาต่อกัน ให้มีเหลี่ยมเป็นผืนผ้าบ้าง เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสบ้าง ก็จะต่อได้ดีกว่า เป็นระเบียบ เย็บต่อจนกว่าจะเต็มกรอบสะดึง ทำกันหลายคน พระสงฆ์ก็ร่วมกันทำเมื่อเต็มแล้วก็เอามาจัดให้ผู้ที่เหมาะสมต่อไป เรียกว่ากฐิน ส่วนจุลกฐิน ก็คือกฐินที่เร่งรัดให้เสร็จภายในวันเดียวคืนเดียวให้เสร็จเลย จัดการให้เสร็จ ทำให้เสร็จ ในคืนเดียว แล้วก็ถวายผู้ที่เหมาะควร กฐินมีเท่านั้น

กฐินที่ท่านอนุญาตเป็นกฐินของคฤหบดี คือให้ฆาราวาสที่มีฐานะ สามารถซื้อสามารถหาผ้ามาได้ เย็บเป็นไตรจีวรเป็นชุดมาเลยอย่างสมบูรณ์แบบ หนูจะเอามาก็ตามเป็นของฆราวาสเขาทำมา แล้วเอามาถวาย เรียกว่ากฐินของคฤหบดีก็ได้เป็นต้น ก็คือการทำผ้าเพื่อที่จะให้ภิกษุ ผู้ที่ขาดแคลนผู้ที่เหมาะสมก็เท่านั้น สมัยโบราณผ้านั้นหายากจึงต้องทำ แต่สมัยนี้ไม่ต้องเสียเวลาทำเลยทั้งกฐินและจุลกฐิน ไม่ต้องทำเลยมีผ้าถวายจากฆราวาสของคฤหบดีเยอะแยะมากมายเพียงพอ ไม่ต้องไปเก็บผ้าไม่เย็บหรอกแต่คนที่เขายังอยากทำอยู่ก็มีแต่มันเสียเวลา เอาเวลาไปทำงานสร้างสรรค์อื่นๆที่มีความจำเป็นสำคัญและควรกว่านี้

ส่วนทอดกฐินนั้นทอดได้ครั้งเดียวตอนออกพรรษาถ้าเกินไปแล้วกว่า 1 เดือนก็จบ ก็ทอดกฐินไม่ได้ แต่ผ้าป่านี้ทำได้ตลอดปีตลอดชาติ

 

แล้วผ้าป่า...ผ้าป่าหมายถึงผ้าที่เขาทิ้งแล้วเป็นผ้าบังสุกุล ซึ่งเขาไม่เอาเป็นของตัวเองแล้วก็ทิ้งไว้ที่ไหนๆตามข้างทางก็แล้วแต่ ก็เอามา เอามาเย็บต่อก็เหมือนกฐิน เป็นผ้าป่าแล้วมาเป็นผ้ากฐิน แต่ผ้าป่าจริงๆแล้วก็คือเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของไม่รู้ว่าเป็นผ้าของใครจริงๆก็เลยหยิบมาใช้ ผ้าป่านี้ทำได้ตลอดปีตลอดชาติ คือผ้าที่เขาไม่มีเจ้าของเก็บตกมาเป็นผ้าบังสุกุล 100% รู้ไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ ถ้ารู้รับไม่ได้ แต่ทุกวันนี้มีเจ้าภาพนัดกันมาเลย เอามาทำเป็นพิธี แล้วกลายเป็นเงินเลยกองนี้ได้กี่แสนกี่ล้าน การทอดกฐินก็เป็นเงินไปหมด ทั้งทอดผ้าป่าด้วยกลายเป็นเรื่องหาเงิน บาป บาป บาป

ทอดกฐินคือทอดกระทะทองแดง ทอดผ้าป่าคือทอดมหานรก

เขาทำผิดแล้วก็ได้บาปถ้าทำถูกก็แล้วไป จริงๆแล้วมันไม่มีความจำเป็นเรื่องผ้า นักบวชชาวอโศกจึงไม่เกี่ยวกับทอดกฐิน ทอดผ้าป่า

ทุกวันนี้กลายเป็นตั้งกองทุนหาเงิน ผ้าป่าจึงเป็นบาปอันมหาศาล มันเหมือนกลับเอาคำว่าบุญไปหากิน เอาบุญไปหลอกหาเงิน บาปกินหัวหมดเลย

 

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=86929

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfZnA1ckcxYUtTN0E

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/63i7o3c8v6p3/160922

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/PYooT5pYigg


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:13:49 )

590922

รายละเอียด

590922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาปกิณกะ

พ่อครูว่า...ที่บ้านราชเมืองเรือ วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน 2559 แรม 6 ค่ำเดือน 10 ปีวอก วันนี้มีนักเรียนแล้วก็เปิดให้ถามคำถามได้

ก็มีของใบฟ้าเขียนมาเพื่อทบทวนเพื่อความเข้าใจในภาษากับปริยัติกับสภาวธรรม ก็ขอพูดถึงศิษย์เก่าที่จะเริ่มระดมความคิดเห็นกัน

ศิษย์เก่าสัมมาสิกขามีถึง 9 โรงเรียนเปิดมาตั้งแต่ พ. ศ. 2534 ปีนี้ พ.ศ. 2559 รวมแล้วก็ 18 รุ่นแล้ว ออกไป ผลิตออกไปเป็นหลายพันคน แม้แต่รุ่นใหม่ๆ อาตมาก็จะทำไปจนกว่าอาตมาจะตาย แม้อาตมาตายไปแล้วก็เชื่อว่ามีผู้ที่สืบสานธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ขอยืนยันว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะของมนุษยชาติของสังคม ไม่ใช่เป็นธรรมะที่แตกต่างแปลกแยกออกไปจากความเป็นมนุษย์ความเป็นสังคมเหมือนอย่างที่โลกเขาต้องการ เป็นความตรง เป็นความพิเศษ เป็นคุณธรรมขั้นพิเศษ ปฏิโสตัง ทวนกระแสกับโลกปุถุชน ที่ไปชื่นใจกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข และอยู่ในกรอบของจิตวิญญาณของอาคามี เป็นจิตวิญญาณที่วนเวียนอยู่กับความสูงและต่ำ ความสุขกับความทุกข์ ความมีมากหรือความมีน้อย นรกต่ำสุดสวรรค์สูงสุด วนเวียนอยู่ในธรรมะ 2 ตลอดกาลนาน ตราบใดที่ไม่มีภูมิปัญญาเข้าใจธรรมะที่ทวนกระแส

ที่จะเห็นเลยว่าถ้าเราขืนไปวนเวียนอยู่ในโลกียภพ ก็จะวนไปกับภพนี้ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้นในกลุ่มของพระพุทธเจ้าโลกุตระ เรียกว่าโลกุตรภูมิ การไปก่อตัวเป็นภพเป็นชาติขึ้นมานี้ sensible ละเอียดลึกซึ้งมากเรื่องภพชาตินี้

ส่วนพรหมคือความลดภพแล้ว เป็นอาริยภูมิโลกุตระแล้ว จะรู้ก่อนไม่ได้ ก็มีแต่นรกกับสวรรค์เท่านั้น และมีมนุษย์คนไหนที่อยากได้พนรกก็ไม่มี มีแต่อยากได้ภพของสวรรค์ทั้งนั้น แต่มันทำผิดเพราะมันไม่รู้อวิชชาว่าทำอย่างนี้จะสร้างภพ จะต้องมีภูมิปัญญาหรือว่าทำอย่างไรจะไม่ก่อภพได้ มันจึงไม่ก่อภพ

อาตมาพูดอย่างนี้ก็อย่าไปตกใจว่าเราจะต้องเกิดภพชาติอีก ถ้าอึดอัดขัดเคืองเกินไปจะต้องหมดภพชาติให้ได้ มันทำไม่ได้หรอกจะต้องทำไปตามลำดับไม่ต้องอึดอัดขัดเคือง เรียนรู้ไปตั้งแต่อบายภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพไปตามลำดับ ดึงดันไม่ได้ ต้องไปตามภูมิตามความจริงของเรา ถ้ายิ่งอึดอัดยิ่งทำไม่ได้ดี ให้ศึกษาไปตามลำดับอย่างละเอียดไม่ติดขัด

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าการเป็นลำดับที่ราบเรียบอย่างฝั่งทะเลเหมือนหาดทราย การอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีจึงมีอานิสงส์สูงเป็นหนึ่งเดียวของศาสนาเป็น ทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนาเลย จะมีคนทั้งระดับโลกุตรภูมิและระดับโลกียภูมิได้ ในชาวอโศกก็ยังมีระดับโลกียภูมิที่ยังเข้าสู่โลกุตระไม่ได้อีกด้วยมันจึงสมบูรณ์แบบ

ก็มีข้อความของคุณใบฟ้าที่แต่ก่อนเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ก็พบศาสนาก็เลยลาออกมาอยู่ในนี้ บอกมาว่าอยากให้อาตมาอธิบายรายระเอียดให้ฟังเรื่องของการศึกษา

 

ขั้นแรก ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แต่ขั้นต่อมาก็ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา ซึ่งคำว่าเคร่งนี้ดูเหมือนว่ายาก แต่ว่าที่จริงคนที่ทำได้แล้วไม่ยาก เก่งงานก็ทำงานได้เก่งขึ้น วิชาการก็ชำนาญ เชี่ยวชาญสูงขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนขั้นสุดท้ายศีลเต็ม คือศีลไม่บกพร่อง ศิลบริบูรณ์ สัมบูรณ์ Absolute Ultimate เข้มงานคือเก่งงานเอาภาระเต็มที่ แล้วจึงสืบสานวิชชาสืบสานความรู้สืบสานธรรมะที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าตลอดไปจนกว่าปรินิพพาน เป็นปริโยสาน

เอาไปเทียบกับธรรมะหนึ่งกับธรรมะสอง

เช่นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าจะเทียบว่า

ปริยัติ = โลกุตระ

ปฏิบัติ = โลกานุกัมปา

ปฏิเวธ =โลกวิทู

ถามมาว่าจะได้ไหม

ปริยัติ นั้น ต้องเริ่มมีจิตโลกใหม่ที่เป็น โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ การได้คุณธรรมเป็นโลกุตรจิตก็ได้ เอาไปเทียบกับปริยัติก็ได้

แล้วปฏิบัติเทียบโลกานุกัมปาก็ได้ คือเมื่อมีโลกุตรจิต เอาโลกุตระจิตมาทำกับโลกกับสังคม มาช่วยเหลือเป็นประโยชน์รับใช้โลก เป็นผู้มีประโยชน์ต่อโลกเขา

ส่วนปฏิเวธก็ครบรอบหมด เทียบกับโลกวิทูได้ รู้ทั้งเราทั้งเขา ทั้งความสัมพันธ์ของโลกแต่ละขั้นไป อย่างโสดาบันก็รู้ครบขนาดหนึ่ง สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็มากขึ้น จนเป็นโพธิสัตว์ จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ครบโลกวิทูเลย

 

แล้วพวกเราศึกษาไปทุกวันนี้อาตมาทำงานไปยังไม่ได้อะไรมากมายก็มีคนรู้โลกุตรธรรมไปตามลำดับ แล้วคนรู้โลกุตรธรรมจะไปรับใช้สังคม โลกานุกัมปา ในด้านการเมืองก็ดี ในด้านเศรษฐกิจก็ดี คนเหล่านี้จะต้องขึ้นไป ไม่ใช่ว่าอาตมาพยากรณ์ ประชาชนจะต้องการคนเหล่านี้แหละ โดยเฉพาะชาวอโศก เด็กชาวอโศกที่ออกไปนี่แหละ ที่ได้ปฏิบัติตนดีขึ้นไป ประชากรของไทยจะต้องการ พวกเราจะต้องไปทำงานให้แก่สังคม อาตมาเชื่อว่าชาวอโศกมีเด็กรุ่นใหม่

อาตมานี่แก่เกินแกง จะเป็นนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีอะไรกับเขาไม่ได้หรอกไม่ทันการหรอก แต่เด็กรุ่นต่อไปนี้แหละจะไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นนายกรัฐมนตรีอะไรต่างๆ จึงบอกว่าอย่าไปทำเป็นออกไปจากหมู่ไม่เสริมเติมความรู้ ไม่เข้ามาสร้างสรรค์เอาไว้ มันจะช้าไป มันจะไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร ควรจะต้องเข้ามารวมตัวกัน เข้ามาพยายามสืบสาน เพราะจะต้องเป็นไม่ใช่ว่าอาตมาพยากรณ์ เพราะว่าคนที่ทำงานให้แก่สังคมด้วยความบริสุทธิ์ใจมีกิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลสเลยนี่มันเป็นสัจจะ ที่โลกเขาไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าอนาคามี อรหันต์ นั้นจะเป็นนักการเมืองที่ดี ซึ่งเขาถูกครอบงำความเชื่อมานานแล้วว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องออกบวชและเป็นพระป่า อยู่เดี่ยวๆไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ซึ่งอย่างงั้นมันผิดเพี้ยนเป็นมานานแล้ว

อย่างคนที่ทำอยู่กับสังคมมีบทบาทเช่นคุณจำลอง คุณไชยวัฒน์ คนอื่นๆอีกในชาวอโศก แต่มันยังไม่มากพอ รุ่นก่อนๆนี้มีน้อยไม่มากพอ แต่ตอนนี้มีแล้วคือเด็กพวกเรานี่แหละรุ่นที่ติด chip โลกุตระไปแล้ว ให้พากเพียรขึ้น ถ้าเราไม่พากเพียรก็จะไม่มีบารมีเพิ่มขึ้นได้อย่างไร บารมีไม่ใช่เกิดจากเราซื้อตามร้านขายยา ไม่มีตามร้านสะดวกซื้อห้างขายยา มันต้องมาพากเพียรสั่งสมบารมี ต้องพยายามอย่ามองเมิน เพราะมันเป็นความจำเป็น

พวกเราที่มีเชื้อสายมี DNA ของโลกุตระ ของอาริยะแล้ว อย่าทำเป็นเล่นให้ตั้งอกตั้งใจพากเพียรตั้งใจ ใครไม่อยากได้ใคร่ดีก็มาเถิดมาช่วยเหลือโลกเขาไปก็แล้วกัน แม้เราไม่อยากแต่เราต้องมีปัญญาว่ารู้สิ่งที่ควร

เรามาฟังดูบทความอันหนึ่งก่อน เมื่อวันที่ 22 กันยายน เป็นบทความของหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับต่างจังหวัด ในคอลัมน์ผ่าประเด็นร้อน ทีมข่าวการเมือง

 

ผ่าประเด็นร้อน เพื่อแม้วควรหยุดลวงโลก เลิกอ้างประชาธิปไตยมาบังหน้า

วันพุธ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559,

ในโอกาสครบรอบ 10 ปี การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 บรรดาแกนนำขบวนการเพื่อแม้วไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อแม้ว หรือนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ต่างออกมาโจมตีการรัฐประหารขณะเดียวกันพยายามสร้างภาพอ้างประชาธิปไตยบังหน้า ทั้งๆ ที่ธาตุแท้ของขบวนการเพื่อแม้วคือธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

 

ถ้าแหล่าแกนนำขบวนการเพื่อแม้วสำนึกในสิ่งเลวร้ายที่ตัวเองทำไว้กับชาติบ้านเมืองก็ควรทบทวนพฤติกรรมด้วยการตั้งคำถามว่าทำไม 10 ปีที่ผ่านมาขบวนการเพื่อแม้วถึงถูกรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ซึ่งคำตอบก็คือเพราะขบวนการเพื่อแม้วคือต้นเหตุแห่งวิกฤติชาติตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทำสิ่งเลวร้ายหนักหนาสาหัสไว้กับแผ่นดินอย่างมากมาย

 

หากย้อนกลับไปทบทวนสาเหตุการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณครั้งแรกเมื่อปี 2549 เกิดจากเหตุผล 4 ประการคือ มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมโหฬาร มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริม มีการผูกขาดอำนาจแทรกแซงองค์กรอิสระอย่างย่ามใจ และสร้างความแตกแยกในชาติลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนจนมวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่

 

สำหรับพรรคเพื่อแม้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่ต่างจากบริษัทการเมืองจำกัดที่สส.ไม่ได้มีสถานะเป็นผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริง แต่เป็นแค่พนักงานบริษัทที่ฟังคำสั่งจากเจ้าของบริษัทคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เพียงคนเดียวเท่านั้น หรือแม้แต่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่บงการโดยอดีตนายกฯนักโทษหนีคุก

 

พรรคเพื่อแม้วยังเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทุ่มทุนและใช้ผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ซื้อกลุ่ม สส. ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศ แล้วถอนทุนบวกกำไรมหาศาล จากนั้นใช้อำนาจรัฐแผ่ขยายอิทธิพลผลประโยชน์หวังผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและทะเยอทะยานถึงขนาดเคยคิดเปลี่ยนแปลงการปครองประเทศ

 

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้วยังจัดตั้งกองกำลังก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 และเหิมเกริมถึงกับบุกโรงพยาบาลจุฬาฯและสภากาชาดไทย จนต้องมีการอพยพผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่รักษาอาการพระประชวรอยู่อย่างอลหม่าน ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลและสภากาชาดไทย เป็นเขตปลอดภัยตามหลักสากล ซึ่งพฤติการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

 

ดังนั้นขบวนการเพื่อแม้วเลิกสร้างภาพลวงโลกอ้างประชาธิปไตยปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงอันอัปลักษณ์ของตัวเองได้แล้ว เพราะทุกวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่หูตาสว่างและรู้เท่าทันเล่ห์ลิ้นพวกประชาธิปไตยจอมปลอมโดยเฉพาะจากคดีโครงการรับจำนำข้าว

 

                                                          ทีมข่าวการเมือง

 

อาตมาก็พาดพิงมาย้ำความรู้ความเห็นของสังคมสื่อสารมวลชน ตามเหมาะควรที่จะเอามาเปิดเผย

ต่อมาก็ตอบประเด็น

_จากแสงไฟธรรม

  1. ได้ข้อมูลมาว่าทางสันติอโศกทางบุญนิยมทีวีสามารถเผยแพร่บุญนิยมทีวีทางวิทยุ fm ได้แล้ว จึงขอเสนอให้ทางบ้านราชสามารถไปแพร่ทางวิทยุได้หรือไม่  ตอบ….ก็พยายามอยู่
  2. ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ในทัศนคติของข้าพเจ้า มีความเห็นว่าหากจะได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด ควรจะเป็นนโยบายระดับชุมชน คือติดตั้งในระบบส่วนกลาง และจ่ายกระแสไฟ เสริมเข้าไปในระบบไฟฟ้ากระแสหลัก คือจัดการไฟฟ้า การดูแลและการซ่อมบำรุงเป็นของส่วนกลาง จึงจะเหมาะกับระบบสาธารณโภคี     

         ตอบ...อันนี้ก็เป็นความเห็นของคุณแสงไฟธรรม แต่อาตมามีความเห็นว่าไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ อาตมามีความเห็นว่าไม่น่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับทางการ น่าจะแยกออกมา เป็นโซล่าเซลล์ของเราเอง ไม่ต้องไปเชื่อมกับทางการ ซึ่งของทางการเราก็มีใช้ ถ้าจำเป็นก็สับสวิชไปได้ ในเวลาโซล่าเซลล์เราขัดข้องหรือจำเป็นขึ้นมาก็สับสวิชไป จะอัตโนมัติหรือไม่ก็ได้ อาตมาเห็นคร่าวๆเช่นนี้นะ

_ลูกศิษย์ปัจจุบัน ผมอยากทราบว่าปีนี้น้ำจะท่วมไหมครับ

ตอบ...ตอนนี้มันก็ท่วมมาอยู่บ้างแล้ว พวกเราอยู่ท้ายน้ำ จากนั้นก็ไหลออกไปปากเซ แม่น้ำโขง

_ลูกมีข้อสงสัยเรื่องการสละทรัพย์เป็นจำนวนมาก เพื่อทำบุญตามความเข้าใจ แต่ไม่รักษาศีล โดยเฉพาะกาย วาจา ใจ จะพูดเบียดเบียนคนอื่นอยู่เสมอๆ และคนที่เสียสละคนนี้จะได้รับอานิสงส์ในข้อไหนคะ

ตอบ..ก็ขอยืนยันว่าการทำทานให้เป็นบุญอย่าไปทำทานให้เป็นบาปนี้มีแต่สำนักอโศกที่สอนกัน มันเป็นเรื่องอจินไตยเขาไปทำอกุศลในเรื่องของวาจา พูดเบียดเบียนคนอื่นก็เป็นอกุศลของเขา จะไปตีราคาไม่ได้ ไปกำหนดราคาว่าเขาพูดเช่นนี้จะบาปเท่านี้หน่วย แล้วเขาสละเงินเท่านี้จะได้เป็นส่วนกุศลของเขาเท่านี้ มันเป็นของโลกีย์ การไปพูดว่าเขามันเป็นโลกีย์ด้วย และเป็นกิเลสด้วย แต่การสละเงินโดยไม่ได้ทำใจในใจนี้เป็นโลกีย์ได้แต่กุศลไม่ได้บุญ แต่ก็ตอบรายระเอียดไม่ได้มันเป็นอจินไตย ไม่รู้ว่าคุณทำ กาย วาจา ใจอย่างไรมากหรือน้อย คิดเป็นตัวเลขไม่ได้ อยากจะรู้ก็รู้ไม่ได้เพราะอาตมาไม่มีความสามารถตอบได้ มันละเอียดเกินที่จะไปวัดค่า สรุปแล้วเรื่องของอกุศลกาย วาจา ใจ แม้มันจะเป็นบาป คุณจะไปทำทำไมเป็นอกุศล ก็พยายามลดละให้ได้

_ของป.3 มิ้งค์...ณัฏฐา ศรีหงสา ถามว่าทำไมคนเราต้องมีความโลภ โกรธหลงหรอคะ

ตอบ….คำแรกตอบได้เลยว่าทำไมยังมีโลภ โกรธ หลงก็เพราะว่ายังโง่อยู่ แล้วจะฉลาดอย่างไร จะฉลาดก็ต้องเรียนธรรมะ คำว่าฉลาดนี่มันเกิดมาจากตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้ง 6 ทวาร  ฉฬ แปลว่า 6 เกิดมาจากการสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้งหกทวารทำงานสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะนอกมีอายตนะใน แล้วก็เกิดสังขารเป็นองค์ประชุมเป็นองค์ประกอบเป็นกรรมกิริยาขึ้นมา

ผู้ที่ไม่ได้เรียนไม่รู้จักกรรมกิริยาที่ประกอบเป็นสังขารปรุงแต่งขึ้นมา มันมีกิเลสเครื่องปรุงแต่งอยู่ด้วยเท่าไหร่ ไม่ได้รู้ไม่ได้เรียนก็แก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ใดสามารถที่จะเรียนรู้กิเลสมันมีโลภ โกรธ หลงนั่นแหละ เป็นต้นตระกูลหลักของมัน

ก็ต้องมาเรียนอันนี้เมื่อเรียนแล้วก็จะสามารถจับตัวกิเลสโลภ แล้วก็กำจัด  โกรธก็ดี ก็กำจัดให้ได้ หลงก็ดีให้กำจัดให้ได้ เมื่อกำจัดได้หมดเราจึงจะเป็นผู้ที่ ไม่มี ความโลภโกรธหลง แล้วทำไมต้องมีก็คือเพราะไม่รู้และไม่ได้ศึกษาที่จะกำจัดโลภ โกรธ หลง แม้แต่หลวงปู่หลวงตา หลวงน้าหลวงยายก็มี(สิกขมาตุ) ให้ถามให้ศึกษา แล้วอ่านความจริงของเรา แม้เล็กๆน้อยๆตัวเล็กตัวน้อยก็ศึกษา สมัยพระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ในยุคนี้ก็มีได้ ไม่ต้องห่วงศึกษาให้จริง

 

_มีข่าวอาการป่วยของท่านสมณะฉันทโส เกี่ยวกับข่าวลือ…

เรื่อง อาพาธของท่านฉันทโส

 

อาการป่วยของท่านฉันทโส สมณะนาไท รายงานว่าวันนี้สุขภาพดีขึ้น เมื่อวานนี้ที่ต้องเข้าห้องไอซียู เพราะเสลดมากทำให้หายใจไม่สะดวก และที่เป็นห่วงกันว่า มีภาวะปอดติดเชื้อนั้น หมอตรวจเรียบร้อยแล้วปอดไม่มีภาวะติดเชื้อ เมื่อวานมีข่าวลือไปหลายเรื่อง เช่นกำลังเตรียมจะเจาะคอบ้าง แต่ความจริงคือเอาสายยางไปไว้ในคอเพื่อให้ช่วยหายใจได้ดีขึ้น สิ่งที่หมอขอร้องก็คือ มีคนมาเยี่ยมมาก ช่วงนี้หมออยากให้คนป่วยได้พัก ขอให้ได้ชลอการเยี่ยมออกไปก่อน

 

_เรื่องกฐินผ้าป่า

ตอบ...มันทำลายศาสนามากที่สุดเลย

กฐินก่อน… กฐินแปลว่าสดึง สดึงใหญ่ที่ทำเท่าจีวร เมื่อได้ผ้ามา เก็บผ้าบังสุกุลได้ ที่เขาทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าห่อศพ เก็บมาได้ก็เอามาต่อที่สะดึง กว่าจะครบผืน ก็ตัดแต่ละอันให้เป็นเหลี่ยมๆแล้วมาต่อกัน ให้มีเหลี่ยมเป็นผืนผ้าบ้าง เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสบ้าง ก็จะต่อได้ดีกว่า เป็นระเบียบ เย็บต่อจนกว่าจะเต็มกรอบสะดึง ทำกันหลายคน พระสงฆ์ก็ร่วมกันทำเมื่อเต็มแล้วก็เอามาจัดให้ผู้ที่เหมาะสมต่อไป เรียกว่ากฐิน ส่วนจุลกฐิน ก็คือกฐินที่เร่งรัดให้เสร็จภายในวันเดียวคืนเดียวให้เสร็จเลย จัดการให้เสร็จ ทำให้เสร็จ ในคืนเดียว แล้วก็ถวายผู้ที่เหมาะควร กฐินมีเท่านั้น

กฐินที่ท่านอนุญาตเป็นกฐินของคฤหบดี คือให้ฆาราวาสที่มีฐานะ สามารถซื้อสามารถหาผ้ามาได้ เย็บเป็นไตรจีวรเป็นชุดมาเลยอย่างสมบูรณ์แบบ หนูจะเอามาก็ตามเป็นของฆราวาสเขาทำมา แล้วเอามาถวาย เรียกว่ากฐินของคฤหบดีก็ได้เป็นต้น ก็คือการทำผ้าเพื่อที่จะให้ภิกษุ ผู้ที่ขาดแคลนผู้ที่เหมาะสมก็เท่านั้น สมัยโบราณผ้านั้นหายากจึงต้องทำ แต่สมัยนี้ไม่ต้องเสียเวลาทำเลยทั้งกฐินและจุลกฐิน ไม่ต้องทำเลยมีผ้าถวายจากฆราวาสของคฤหบดีเยอะแยะมากมายเพียงพอ ไม่ต้องไปเก็บผ้าไม่เย็บหรอกแต่คนที่เขายังอยากทำอยู่ก็มีแต่มันเสียเวลา เอาเวลาไปทำงานสร้างสรรค์อื่นๆที่มีความจำเป็นสำคัญและควรกว่านี้

ส่วนทอดกฐินนั้นทอดได้ครั้งเดียวตอนออกพรรษาถ้าเกินไปแล้วกว่า 1 เดือนก็จบ ก็ทอดกฐินไม่ได้ แต่ผ้าป่านี้ทำได้ตลอดปีตลอดชาติ

 

แล้วผ้าป่า...ผ้าป่าหมายถึงผ้าที่เขาทิ้งแล้วเป็นผ้าบังสุกุล ซึ่งเขาไม่เอาเป็นของตัวเองแล้วก็ทิ้งไว้ที่ไหนๆตามข้างทางก็แล้วแต่ ก็เอามา เอามาเย็บต่อก็เหมือนกฐิน เป็นผ้าป่าแล้วมาเป็นผ้ากฐิน แต่ผ้าป่าจริงๆแล้วก็คือเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของไม่รู้ว่าเป็นผ้าของใครจริงๆก็เลยหยิบมาใช้ ผ้าป่านี้ทำได้ตลอดปีตลอดชาติ คือผ้าที่เขาไม่มีเจ้าของเก็บตกมาเป็นผ้าบังสุกุล 100% รู้ไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ ถ้ารู้รับไม่ได้ แต่ทุกวันนี้มีเจ้าภาพนัดกันมาเลย เอามาทำเป็นพิธี แล้วกลายเป็นเงินเลยกองนี้ได้กี่แสนกี่ล้าน การทอดกฐินก็เป็นเงินไปหมด ทั้งทอดผ้าป่าด้วยกลายเป็นเรื่องหาเงิน บาป บาป บาป

ทอดกฐินคือทอดกระทะทองแดง ทอดผ้าป่าคือทอดมหานรก

เขาทำผิดแล้วก็ได้บาปถ้าทำถูกก็แล้วไป จริงๆแล้วมันไม่มีความจำเป็นเรื่องผ้า นักบวชชาวอโศกจึงไม่เกี่ยวกับทอดกฐิน ทอดผ้าป่า

ทุกวันนี้กลายเป็นตั้งกองทุนหาเงิน ผ้าป่าจึงเป็นบาปอันมหาศาล มันเหมือนกลับเอาคำว่าบุญไปหากิน เอาบุญไปหลอกหาเงิน บาปกินหัวหมดเลย

 

_ดญ.ใสเสมอ แม้นมาลัย เขียนมาถาม

1.หลวงปู่คะ ทำไมถึงมีความรักเกิดขึ้นในโลกคะ

ตอบ...ความรักมันมีถึง 10 มิติตามที่หลวงปู่เขียนไว้ให้แล้ว ความรักมิติที่แย่ที่สุดคือความรักเรื่องของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของทางเพศ เป็นกิเลสที่แย่ที่สุด กิเลสไร้ค่าไร้สาระ ยิ่งทุกวันนี้คนมันเกินมันล้นโลกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีความรักเรื่องเพศเรื่องคู่  ความรักกันนี้จึงเป็นความรักที่ไม่ต้องทำ ให้ล้างกิเลสไปเถอะ

ต่อมาเป็นความรักเรื่องลูกก็กว้างกว่า แล้วก็เรื่องญาติ ก็ดีขึ้นมากว้างขึ้นอีก กว่าแบบลูกๆ แล้วก็กว้างเผื่อแผ่ต่อไปอีกในมิตรสหาย มีประโยชน์คุณค่าสูงขึ้นๆ

แล้วก็รักต่อสังคมประเทศชาติ ก็เห็นแก่ประเทศตนเองก่อน จากนั้นจึงเห็นแก่ทุกประเทศในโลก ก็เป็นความรักที่เผื่อแผ่ ออกไปกว้างช่วยเหลือเกื้อกูลไปได้กว้างมากขึ้นก็เป็นกุศลที่มีราคา มีค่าที่สูงขึ้นจริง เป็นสัจจะ เพราะฉะนั้นเราทำได้แค่ไหนก็ประมาณในการทำ อย่าอ้าขาผวาปีกทำเกินไป

2.ทำไมคนถึงต้องตายด้วยคะ

ตอบ...ถ้าคนมีแต่เกิดมาไม่ตายแล้วโลกมันก็จะแน่นเกินไปสิ แล้วคนจะต้องแก่นะ ถ้าเกิดมาแล้วมาไม่ตายก็แก่งั่กสิ มีแต่คนแก่เต็มโลกช่วยตัวเองไม่ได้ก็ตายสิ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก เป็นธรรมชาติของเขามีอยู่แล้ว เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่อย่างงั้นมันเต็มโลกแน่นโลกทั้งหมดเลยจะต้องมีเกิดมีตาย

 

_ถ้าหนูแจกโรงบุญแล้วหนูพูดว่า ทำบุญแล้วนะทำบุญก่อนตาย แต่ขณะเดียวกันหนูก็ไม่ได้ตั้งใจทำอาหารแล้วก็ไม่ได้ล้างมือ ทำแค่ให้คนกินกันไป หนูจะได้บุญหรือเปล่าคะ

ตอบ...ถ้าทำอาหารให้คนอื่นเขากินโดยที่เราเองไม่ได้ตั้งใจทำอาหาร ยังไม่ได้ล้างมือนี้ไม่ดีนะ มันสกปรกดีไม่ดีก็มีเชื้อโรคใส่ลงไปกับอาหาร เป็นบาป ควรจะล้างมือให้สะอาด จะตั้งใจทำอาหารให้คนกินก็ดีแล้ว เรามีเจตนาที่จะทำอาหารเลี้ยงคน ไม่ต้องไปหวังว่าเราจะได้กุศล เราจะได้อะไรตอบแทนไม่ต้องไปคิด ให้ตั้งใจอย่างงั้นดีมาก ทำเพื่อที่จะให้คนเขากินแต่ควรจะล้างมือนะ

 

_พ่อท่านครับ ผมรู้สึกว่ากับข้าวโรงครัวไม่อร่อย ไม่ทราบว่าผมกิเลสหนาหรือว่ามันอร่อย จริงๆ พอจะมีหนทางแก้ไขหรือว่าให้ทำใจอย่างไรครับ รู้สึกว่ากินข้าวไม่อิ่มครับ

ตอบ...ก็แสดงว่ากิเลสหนานั้นใช่ คนอื่นเขาก็กินข้าวหม้อเดียวกับเราก็กินอิ่มได้ แสดงว่าเรากิเลสหนากว่าเขา จะอร่อยหรือไม่อร่อยคนอื่นๆ เขาก็กินได้ทำไมเรากินไม่ได้แสดงว่ากิเลสเรามากกว่าเขาแน่นอน ก็ค่อยๆเรียนรู้ลดละไป ถ้าทำได้ปุ๊ปปั๊บๆ อาตมาก็คงมีอรหนต์เต็มกระบุง มันไม่ง่ายหรอก อย่าไปอึดอัดขัดเคืองตัวเอง ว่าทำไมทำไม่ได้ ยากนัก ก็ค่อยๆทำตามลำดับ สงสัยก็ถามผู้ใหญ่ได้

 

_ถ้ามีความกลัวจะทำอย่างไรคะ มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร (พ่อครูว่า...ค่ะเป็นคำรับ คะเป็นคำถาม ต้องทำความเข้าใจให้ดีเมื่อเขียนมา)

ตอบ...คนเรากลัวนั้นเกิดจากความไม่รู้ ถ้าเรารู้จักเสือนี่ดี เรารู้เส้นมันหมดเรารู้ใจมันด้วย ว่ามันจะไม่โกรธไม่ดุไม่เคือง มันจะเฉย มีน้ำใจ รักเราด้วยซ้ำไป ถ้าเรารู้ใจมันคนๆนี้ก็ไม่กลัวเสือ เรากลัวที่มืดเพราะเราไม่รู้ว่าที่มืดจะมีงูหรือเปล่า จะมีเสือหรือเปล่า หรือไม่ก็ มันจะมีผีหรือเปล่า กลัวงูกลัวเสือก็คงจะน้อยเพราะเราไม่ได้อยู่ในป่า แต่มืดๆนี้มักจะกลัวผี ซึ่งผีนั้นมันไม่มี ผีที่อยู่ในที่มืดจะไปหลอกคนนั้นคนนี้เด็กๆฟังไว้ มันไม่มีหรอก ที่นั่นมีแต่ตัวเองหลอกตัวเองจนไปเห็นภาพเคลื่อนไหวอย่างนั้นอย่างนี้ ภาษาวิชาการเรียกว่ามโนมยอัตตา เป็นรูปที่ปั้นขึ้นเองในใจ จนเห็นด้วยตาหรืออยู่ข้างใน เป็นของหลอกที่หลอกได้เลย เหมือนยังกับรสอร่อย ปั้นรสอร่อยมานั้นมันไม่จริง ใครปั้นขึ้นมาก็เหมือนผีนี่แหละ มันก็หลอกเราเหมือนมีจริง รสอร่อยก็เหมือนมีจริง ความกลัวก็เหมือนมีจริง ถ้าเรารู้ชัดเจนว่ามันไม่มีมันไม่ใช่ มันไม่ได้น่ากลัวอะไร ก็จะหายกลัว

ไปนอนที่เมรุ ที่ปฐมอโศกก็ไปนอนกันสบายๆ มีอาณาบริเวณปูแกรนิตอย่างดี กางเต็นท์นอนสบายๆ พวกเราเข้าใจแล้ว ก็ไม่เห็นมีพวกเราคนไหนถูกผีหลอก อาจจะกลัวนิดหน่อยแต่มันไม่ถึงกับเกิดภาพ พยายามพิสูจน์ มันกลัวอยู่บ้างแต่จะไม่เห็นตัวมันหรอก ถ้ายังเห็นอยู่เห็นภาพเห็นเสียงก็แสดงว่าเรากลัวมาก เป็นมโนมยอัตตามาหลอก ซึ่งความจริงแล้วมันไม่มี คนไหนที่กลัวมากๆให้หัดฝึกหัดพิสูจน์เลยมันจะพบว่าไม่มีหรอกใจเรามันหลอกเราเอง

อาตมาเคยบอกว่าใครกลัวผีก็ท่องคาถาอาตมาว่า แค่ตายแค่ตาย จะไปเจอผีที่ไหนก็ท่องคาถา แค่ตายแค่ตายแล้วเดินเข้าไปหาเลย มันไม่มีหรอก ดีไม่ดีก็มีเค้าแค่หม้อดำๆคลุมอยู่ที่ตอก็นึกว่าผี เดินเข้าไปก็เห็นเป็นหม้อดำๆ บางอันมีผ้าห่ม มีเศษหญ้าก็เหมือนมีผมนึกว่าเป็นผี ไปดูจริงๆไม่ไช่ ก็พิสูจน์เลยกล้าๆหน่อย คาถาอันเดียวว่าแค่ตายแค่ตาย ถ้าได้ยินเสียงก็เดินเข้าไปเลย เป็นเสียงจิ้งจกเสียงหนูก็เดินเข้าไปดู ไม่อย่างนั้นถูกหลอกกันมานาน

 

_น้องเมยค่ะ...ทำไมคนเราต้องฆ่าสัตว์ด้วยค่ะ จิตใจของคนโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยหรือคะ

ตอบ….จิตใจของคนโหดเหี้ยมอย่างนั้นจริงๆที่ไปฆ่าสัตว์มากิน ถามว่าทำไม ก็เพราะเขาไม่ได้เรียนไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียนรู้ธรรมะที่ดี ไม่เข้าใจว่าสัตว์ที่เกิดมา ทุกตัวเขามีจิตวิญญาณของเขา เขาก็รักชีวิตของเขา สัตว์ทุกตัวรักชีวิตของเขาทั้งนั้นแม้คนก็ตามก็รักชีวิตของตัวเอง สัตว์ตัวไหนถ้าจะถูกฆ่ามันก็จะหนีสุดฤทธิ์ นอกจากว่ามันหนีไม่ไหวก็จำนนให้ถูกฆ่า ถ้าเราจะฆ่ามันมันหนีทั้งนั้น นอกจากว่าเราไปหลอกให้มันตายใจ จนมันรักแล้วก็จับมันมาฆ่าเสียนี่ อันนั้นเป็นคนเลือดเย็น ทำเป็นเลี้ยงสัตว์อย่างดี แสดงความรักด้วย สัตว์นั้นตายใจหมดเลย มันก็รักคนเลี้ยงเสร็จแล้ววันร้ายคืนร้ายก็ฆ่ามันกินเลย พวกนี้อำมหิตหนักหนาสาหัสเลย เพราะไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาฝึกฝน

จิตวิญญาณที่เป็นอัตภาพตั้งแต่ก่อตัวเป็นเซลล์ของสัตว์ สัตว์เซลล์เดียว 2 เซลล์สามเซลล์ สัตว์ก็จะรู้เรื่องมีตัวตน ยิ่งตัวโต ยิ่งเซลล์มากเท่าไหร่ก็รักตัวตนมากเท่านั้น แล้วก็หวงแหน ใครอย่ามาแตะ อย่ามาทำร้าย พระพุทธเจ้าให้รู้ชีวิตเขาชีวิตเรา ศาสนาพุทธไม่ไปเบียดเบียนทำร้าย ไปรังแกสัตว์ และไม่จําเป็นแม้แต่จะเอาเนื้อสัตว์มากิน เพราะเนื้อสัตว์จริงๆแล้วไม่ใช่อาหารของคน เขาก็พยายามอธิบายว่าคนเป็นสัตว์ที่กินทั้งเนื้อและพืช มันไม่ใช่ มันเปลี่ยน DNA เป็นพันธุมาแล้ว พิสูจน์ได้ว่าเล็บนี้เป็นเล็บอย่างเล็บกีบเหมือนม้า เหมือนควาย เหมือนช้างพวกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างฟันกราม ก็เป็นแผงไว้บดไม่ใช่มีเขี้ยวแหลมคมอย่างสัตว์กินเนื้อ ที่มีกรงเล็บ อย่างสัตว์กินเนื้อ สิ่งเหล่านี้มันเหมาะสม ธรรมชาติสร้างมาลงตัวเหมาะสม คนเราเล็บ ฟันไม่ใช่แบบสัตว์กินเนื้อ ลำไส้ น้ำย่อยก็พิสูจน์กันมาหมดแล้ว ผู้รู้วิทยาศาสตร์ ว่าคนไม่ใช่สัตว์ที่กินทั้งเนื้อและพืช คนเป็นสัตว์กินพืชโดยตรงไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ

คนที่กินแต่พืชนี้จะอายุยืนยาวโดยไม่กินเนื้อเลย แม้คนที่กินเนื้อน้อยๆ กินผักพืชมากก็ยังอายุยืนยาวได้เลย อย่าไปกินเนื้อเลย กินแล้วมันก็ติด มันเป็นสิ่งเสพติด เราไม่กินเสียซะเลยก็จะได้ล้างสิ่งเสพติด กินเนื้อสัตว์นั้นเป็นการติดรส

2 นอกจากติดแล้วก็เป็นเวรภัย สัตว์แต่ละตัวมันมีวิญญาณเกาะเกี่ยว เนื้อของข้า เนื้อของข้า ตายไปแล้วก็ยังมีเนื้อของข้าอยู่นะ ใครไปกินเนื้อสัตว์นั้นเข้า มันก็จองเวรจองกรรม อยากไปหาเวรใส่ตัวทำไม ดีไม่ดีสัตว์มันจองเวรเราด้วย แล้วมันรู้เรื่องหรือ จะให้มันอภัยให้หรือ แล้วเมื่อไหร่มันจะเลิก เพราะฉะนั้นอย่าไปก่อเวร

ถ้าเลิกแล้วเราก็จะไม่ติดรสแล้วก็ไม่ก่อเวร ไปทำทำไม ไม่จำเป็นต้องกินเลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้คนกินแต่พืชไม่ต้องกินเนื้อสัตว์เลย

ในพระไตรปิฎกของเถรวาทฉบับสยามรัฐ ไม่มีชัดเจนทีเดียว แต่อาตมาเห็นว่าชัดแค่ท่านบอกว่า 1 เป็นชาวพุทธอย่าฆ่าสัตว์ 2 อย่าขายอย่าค้าขายเนื้อสัตว์อันเป็นมิจฉาวณิชชา มังสวณิชชา มังสวณิชชา เมื่อไม่ฆ่าและไม่มีการซื้อขายแล้วจะเอาที่ไหนมากินก็มีอยู่ 2 ทาง

1 ไปเก็บเดนสัตว์กินเหลือ อย่าไปแย่งมันนะ 2 สัตว์มันตายไปเอง แล้วสัตว์ที่ตายเองนั้นก็ไม่อยากจะไปกินอีกเพราะว่าอาจจะมีโรคภัย

คนเราปฏิบัติแล้วไม่ติดเนื้อสัตว์เลย ละล้างกิเลสไม่ได้ติดมันก็ไม่กิน แล้วเนื้อสัตว์ก็เป็นพวกเซลล์ที่มีโอโซนมีออกซิเจนก็มีกลิ่นคาว เนื้อสัตว์มีความคาวทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนที่อย่างเด็กๆเกิดมาแล้วยังมีเชื้อมาแต่เดิม ก็จะเหม็นคาวกินไม่ได้

ในพระสูตร สีหสูตร ก็บอกไว้ชัด ว่า ให้คนไปหาเนื้อสัตว์มาปรุงอาหารเตรียมถวายพระพุทธเจ้า แต่อเจลกะคือนักบวชนอกศาสนาพุทธก็ไปแหกปากร้องว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์อยู่ ทั้งๆที่รู้ เพื่อดิสเครดิตพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้า.ฉันเนื้อสัตว์อยู่เป็นปกติ จะไปแหกปากฟ้องร้องทำไมถ้าท่านฉันเป็นธรรมดา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์เขาเลยไปแหกปาก

เหมือนอย่างพวกเสื้อแดงที่แหกปากอยู่ตอนนี้ทางโทรทัศน์ตอนนี้มีเงินได้มาอยู่ก็ยังแหกปากไป แต่อีกหน่อยไม่มีเงินมาก็จะเลิกไปเอง ได้มาจากลูกบ้าง แม่บ้างของคุณทักษิณ

 

_ในยุคพุทธกาลเมื่อมีความเห็นต่างมีความขัดแย้งและมีการปรัปวาทะกัน ฝ่ายใดมีเหตุผลถูกต้องตรงธรรม ก็จะได้รับความยอมรับจากมวลมหาชนเป็นการตัดสิน ถือว่าเป็นความมีสัญชาติแห่งความตรง(ทำสัจจะให้เป็นหนึ่งเดียว ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง) คนในยุคพุทธกาลจึงบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าคนในยุคนี้ (นอกจากคนมีบารมีเก่า )

ตอบ...ก็ใช่ด้วย คนมีบารมีเก่ามาก็สามารถที่จะรู้ทันรู้ได้เร็ว ส่วนคนไม่มีบารมีเก่าก็ต้องใช้เวลาผิดพลาดไปก่อนก็เป็นธรรมดา ผู้ที่เป็นคนอื่นถ้าอะไรถูกต้องมีความเห็นตรงกันก็จะจบ แต่ถ้าความเห็นไม่ตรงกันก็จะไม่ลงตัวกัน คนในยุคพุทธกาล จึงบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าคนในยุคนี้ เรื่องนี้มีส่วนด้วยหรือไม่ ก็แน่นอนว่าคนที่เกิดร่วมในยุคพระพุทธเจ้าก็ต้องมีบารมีมากแน่นอน การได้พบพระพุทธเจ้า การได้ฟังพระพุทธเจ้าก็ต้องบรรลุเร็วเพราะมีบารมีมาก แต่คนที่มีบารมีไม่มากมาเกิดในยุคนี้ ก็แน่นอนไม่มีพระพุทธเจ้าก็ย่อมจะช้ากว่า แค่อาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7

แล้วถ้าเรายังไม่บรรลุง่ายก็จะไม่ค่อยเอาใจใส่ก็ไม่ใช่ ก็ต้องขวนขวายเพิ่มขึ้น อาตมาก็ให้เต็มที่อยู่แล้ว ตั้งใจเต็มที่ให้เต็มที่อยู่แล้ว ผู้ที่จะมาเอาก็ควรจะทำให้เต็มที่

 

_ยุคนี้คนขาดความจริงใจที่จะแก้ปัญหา มักจะใช้ปัญญาเฉโก ยุคนี้คนฉลาด แต่หาคนบรรลุธรรมยาก ถ้าไม่เฉโกก็เป็นความโง่แท้

ตอบ...ก็เป็นจริงแต่อย่าตีกลุ่มดูถูกไปหมด อาตมาว่าตอนนี้มีคนจริงใจที่จะมาช่วยประเทศชาติอีกเยอะ อย่าพึ่งไปตีทิ้งหมดนะ

 

_คนโหดร้ายมากขึ้นทุกวัน ธรรมชาติกำลังจัดสรรชีวิตมนุษย์ ธรรมะคุ้มครองโลกได้อย่างไร/phupha 101

ตอบ...ธรรมะ คือความรู้ คือปัญญา คือญาณ จะคุ้มครองโลก คนที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจริงจึงมีใจที่จะเอื้อเฟื้อเจือจานคนอื่น เป็นจิตใจของพระพรหมมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจริงๆ ถ้าไม่จริงก็ไม่ใช่ ถ้าปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไม่เกิดเป็นจิตใจพระพรหมก็ยังไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมชาติกำลังจัดสรรด้วยก็ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ซื่อสัตย์ที่สุด จะขจัดสิ่งที่ไม่ดี เช่น น้ำมันจะสังเคราะห์ตัวมันเอง dilute ตัวเองตามธรรมชาติ จะตกตะกอนไปเป็นต้น มันทำตัวมันเอง อะไรก็ทำตัวมันเองให้สะอาดทั้งนั้นเป็นจริง ได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ รักษาสมดุลตัวเอง บางอย่างเหมือนไม่สะอาดแต่มันก็ต้องใช้แบบนั้นจะไปเรียกว่าไม่สะอาดก็ไม่ได้ มันมีหลากหลายมากมาย ของเราก็ไม่ใช่อย่างนั้นจะไปเหมือนเขาแล้วบอกว่าไม่สะอาดก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องรายละเอียดเยอะที่จะต้องศึกษา

 

_ถามว่า..แล้วที่อโศก จัดงานศพอย่างไรค่ะ คงมีแต่พระเทศน์แล้วมีเลี้ยงพระไหม แล้วคนฟังพระสวดจะบาปด้วยไหมนี่. สงสัยจัง/Tuk cat

ตอบ...อโศกจัดงานศพอย่างเรียบง่ายลองมาดูซิ ไม่เรื่องมากไม่มีพิธีเยอะไม่เปลืองอะไร มีรายละเอียด ก็มาดูกัน ไม่ใช่มีแต่พระเทศน์ ก็มีอย่างอื่นด้วย แม้แต่เดินนำกันไปเป็นขบวนนำศพขึ้นเมรุก็มี เป็นต้น ก็เดินสงบเหมือนเป็นพิธี เรียบร้อยสงบไม่กระดี๊กระด๊า เอะอะ มะเทิ่ง

คุณจะเลี้ยงพระหรือไม่ก็ได้ อะไรก็ได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก

แล้วคนที่ฟังพระสวดข้างนอกจะบาปมั้ย.. อาตมาพูดถึงเรื่องสวด การสวดทั้งหลายแหล่

การสวดมีสองแบบ 1 สวดสังคีติ 2 สวดสังคายนา

การสวดสังคีติก็คือช่วยกันสวดเพื่อให้เกิดการจดจำรักษาพระธรรมวินัยไว้ คือให้นักบวชมาท่องธรรมะของพระพุทธเจ้าไว้ จะต้องพร้อมกันก็ต้องอยู่ในหมู่ก็จะจำได้ไง เหมือนกับท่องสูตรคูณ นักเรียนก่อนจะกลับบ้านก็ท่องสูตรคูณ

หนึ่งการเอาการสวดไปสวดร้อง จะสวดคนเดียวร้องคนเดียวก็ผิด แต่ยิ่งไปสวดร้องทำนองเป็นเสียงอันยาวใส่ทำนอง หลายรูปก็ยิ่งผิด ทำให้คนติดคนชอบ ทำให้คนรู้สึกไพเราะอยากฟังทำนอง สวดให้คนติดธรรมะก็สวดไปสิ แต่การสวดให้คนติดทำนองเป็นเสียงอันยาวนี่ก็ผิด ทำให้คนติดรถเสียงสำเนียงต่างๆ แล้วร้องพร้อมกันก็เป็นวิธีการหากินของทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าท่านกันไว้หมดเรื่องที่จะเป็นบาปเป็นภัยพวกนี้ มันไม่ใช่กุศลไม่ใช่เรื่องดีหรอก การสวดสังคีติก็เพื่อจดจำรักษาไว้ในพระธรรมวินัย

2 คือการสวดสังคายนาคือสวดเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิด ก็มีองค์หนึ่งสวดขึ้น เช่นการสวดปาฏิโมกข์จะสวดธรรมบทก็ได้ สวดขึ้นคนหนึ่งแล้วหลายคนหลายองค์ที่จำได้ก็จะฟัง ถ้าอันไหนไม่เหมือนที่เราจำได้ก็ทักท้วง ถ้าหลายคนบอกว่าไม่ถูกต้องเป็นอันนี้ก็แก้ไข ก็เช็คกันว่าใครถูกกันแน่ก็รักษาความถูกต้องเอาไว้ การรักษาความถูกต้องเอาไว้ การชำระพระไตรปิฎกก็เรียกว่าสังคายนา เอาพูดรู้มาตรวจสอบกันดีๆเลยว่าถูกต้องคืออะไร

การสวดมีอยู่ 2 อย่างนี้ส่วนการที่ไปสวดร้องหากินหาเงินหาทอง สวดโหยหวนเพื่อให้เขาติดทำนองนั้นบาปทั้งนั้น คุณไปฟังตามที่เขามี ถ้าคุณรู้อยู่แล้วก็ไม่ไปหลงใหลติดเสียงไพเราะก็ไม่บาปหรอก อยู่กับสังคมก็อนุโลมเขาบ้าง ไม่เกิดกิเลสอะไร

 

_ถามคำถามเดิมค่ะ ยังไม่รับคำตอบ

พระอนาคามี มีอคติหรือไม่คะ/sayan

ตอบ...คำว่าอคติแปลว่า ไม่ไปดี หรือไปไม่ดี คือมีกิริยา อิริยาบถ หรือการกระทำ พระอนาคามี ในกายกรรม วจีกรรมนั้น ไม่มีอคติแล้ว ไม่เป็นไปทางผิดไม่ดีงามแล้วเหลือแต่ในใจตัวเอง ข้างนอกนั้นจะไม่มีเจตนาทำให้ผิดเลย สำหรับอนาคามีเป็นความบริสุทธิ์ใจ โสดาบันก็มีความบริสุทธิ์ใจระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นอนาคามีก็ไม่ทำแล้ว ถ้ายังเจตนาทำผิดอยู่ก็ไม่ใช่อนาคามี ถ้าอนาคามีไม่ทำ เหลือแต่อคติอยู่ในใจตัวเองที่ไปไม่ดี แต่ข้างนอกไม่มีแล้ว ในกามภพก็ไม่มีอคติ

_nusupatta เคยเห็นฉัพรรณรังษีที่องค์พ่อครูตอนชุมนุม เดินน้ำตาไหลพรากไปจนถึงฉลาด วรฉัตรนั่งอยู่ อย่างนี้เรียกว่าปิติใช่มั้ยเจ้าค่ะ จำได้ไม่ลืมเลย

ตอบ...ใช่ เป็นปีติ คุณจริงใจนับถืออาตมาเคารพอาตมา ก็เลยมีความหลงถึงขั้นว่า อาตมามีฉัพรรณรังษี แต่อาตมาไม่มีหรอก แต่คุณมีอุปาทานในฐานะที่คุณเคารพนับถือบูชา ก็เลยเห็นพิเศษไปบ้าง ก็จะบอกว่าผิดก็ไม่ใช่ มีความจริงอยู่ในนั้นบ้างพอสมควร แต่จะบอกว่ามีแสงจริงไหมก็ไม่มีเป็นมโนมยอัตตา ถ้าเคารพนับถือที่เกิดอย่างนี้ได้ แต่ถ้าคุณเคารพนับถืออย่างถูกสัจจะเช่นอาตมามีความดี น่าเคารพนับถือไหม ถ้ามีมากขนาดนี้ก็เหมือนราศีรังสี ก็ควรจะมี แต่จริงๆแล้วมันไม่มีหรอก มันจะมีก็เพราะว่าคุณสร้างมาเอง แต่จริงๆแล้วอาตมามีราศี ที่ไม่ได้หมายถึงแสงเท่านั้น ได้หมายถึงคุณงามความดีหมายถึงคุณค่าก็มี

ถ้าแสง คืออาภา หรือสุภา หมายถึงแสง

ถ้าเห็นอย่างคุณมันไม่ผิดหรอก อาตมาก็มีอยู่จริงและคุณก็ปลาบปลื้มสิ คนเรานับถือสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เป็นความประทับใจ แล้วน้ำตาไหลก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ มันไม่เสียหาย แต่มันเสียที่ตรงว่าน่าอาย ก็เท่านั้นเอง

_คำถาม- บุญกิริยาวัตถุ10 เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่/sayan

ตอบ...เท่าที่วิเคราะห์แล้วบุญกิริยาวัตถุของพระพุทธเจ้ามีแค่ 3 แต่อีก 7 นั้นเป็นการขยายความของพระอรรถกถาจารย์ หรือโบราณาจารย์ เพิ่มเติมในสิ่งที่ควร เท่าที่ดูแล้วก็ดีทั้ง 7 ถูกต้องใช้ได้ เป็นประโยชน์ ไม่ได้ผิดไม่ได้เสียหายอะไร ก็อย่าไปยึดติดว่าต้องเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะเอา คำสอนของผู้อื่นไม่เอา มันแคบเกินไป ไม่ได้ประโยชน์และก็ช้าด้วย อย่าไปตีทิ้งง่ายๆ อย่าไปถือดีถึงขนาดต้องเอาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าไม่เอา อย่างสำนักพระพุทธวจนะเป็นต้น เขาแคบ เราต้องใช้ปัญญาของเรา เอาอย่างในมหาปเทส

คนที่เกิดยุคนี้ไม่ใช้มหาปเทสไม่ได้ คือต้องใช้ปัญญาของเรา พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่าคำห้ามก็ไม่มีคำอนุญาตก็ไม่ ท่านไม่ได้ตรัสไว้เพราะมีเหตุปัจจัยคนละยุคเวลา เกิดมาในยุคนี้มีอันนี้ แล้วเราจะต้องตัดสินก็ต้องใช้ปัญญาของเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าตีทิ้งเลยก็ไม่ได้บางอย่าง ก็ต้องใช้ภูมิปัญญาเราตรวจสอบตามสัปปุริสธรรม 7 มาเป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา แล้วก็ตัดสินเองเรียกว่ามหาปเทส 4 เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ ก็ต้องอาศัยตัวเองตัดสิน

 

สรุป...วันนี้เราได้พูดทั้งธรรมะที่หลากหลายปกิณกะ เด็กๆฟังได้ก็ดี เด็กๆฟังไม่ไหวก็มีผสมกันไป ก็เป็นวันรวมวันที่จะตอบประเด็นต่างๆ ปกิณกะ หลากหลาย ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีความหลากหลาย วาไรตี้

สมัยก่อนมีหัวหน้าเผ่าที่คนยกให้เป็นหัวหน้าที่มีทศพิธราชธรรม ตนเองเสียสละให้ประชาชนอย่างจริงใจนั่นแหละคือประชาธิปไตย ช่วยประชาชนด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ตำแหน่งจะได้มากหรือน้อยก็เป็นเรื่องของโลก ได้มาแล้วไม่ได้ยินดีก็เป็นความสะอาดใจของเรา แต่ถ้ายังยินดีไปยึดไปติดก็เป็นโทษของเราเอง ถ้าเราไม่ได้เอาไว้ของตัวเองก็กระจายให้แก่คนอื่น หมุนเวียนเป็นธรรมชาติ ยิ่งถ้าเราบริสุทธิ์ใจไม่เอาเขายิ่งจะเอามาให้อันนี้เป็นสัจจะเลย เรื่องจริงและชัดเจนอย่างนี้คนไม่ค่อยเข้าใจ อย่างเช่นในหลวงของเรา ท่านเป็นในหลวงก็ต้องมีพระฐานะของท่าน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็สืบทอดกันมา ท่านไม่ได้มาผลาญ ก็ได้ของท่านตามบารมี ใช้ของท่านเองบ้าง เอาของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บ้างตามควร ก็จะต้องมี จะให้ท่านทำอย่างไร

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ต้องสืบทอดกันไป ท่านก็ไม่ได้ผลาญอะไร เป็นความละเอียดลึกซึ้งมาก พวกแดงฝ่ายซ้ายก็ไม่รู้สัจจะนี้ แม้แต่สิ่งที่เขาควรจะเข้าใจก็ไม่มีปัญญาเข้าใจ

เช่นท่านบอกว่าบริหารปกครองแบบคนจน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย ขณะนี้ในโลกนี้มี 200 กว่าประเทศทั่วโลกมีพระมหากษัตริย์องค์ไหนบ้างที่ตรัสแบบนี้ให้มาบริหารแบบคนจน ที่เราให้ไปนี่คือเราได้มา มีพระมหากษัตริย์ตรงไหนในโลกนี้พูดบ้าง นี่คือพระทัยจริงของพระมหากษัตริย์ของเรา ที่อาตมารับซับทราบว่าอันนี้ มันต้องระดับพระโพธิสัตว์ ท่านเป็นฐานะของกษัตริย์ด้วย เป็นโพธิสัตว์ก็ยังมีฐานะของกษัตริย์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ จึงต้องทราบเรื่องพวกนี้ คนไม่รู้ก็จาบจ้วง ก็น่าสงสาร เราก็ได้แต่บอกว่าอย่าทำเป็นเล่น กรรมเป็นอันทำ อย่าไปละลาบละล้วง เพ่งโทษพระอาริยะก็บาปนะ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:17:24 )

590925

รายละเอียด

590925_วิถีอาริยธรรม สันติฯ เศรษฐกิจบุญนิยมกับสาธารณโภคีต่างกันไฉน

คำว่า *เศรษฐกิจบุญนิยม* เป็นคำกว้าง เป็นคำรวม ซึ่งอาตมาเจตนาเรียก ให้มันต่างจากคำว่าทุนนิยม คำว่า ทุนนิยมนี้เกิดมาแล้วใครตั้งหรือใครเรียกก็ไม่รู้มันเกิดมาแล้วก็รู้กันทั่วโลก คำว่าทุนนิยมเกิดขึ้นมา

อาตมาก็เห็นว่าน่าจะได้มีคำอีกคำหนึ่งที่มันไม่ใช่ทุนนิยม มันไม่ใช่คือมันทวนกระแส อาตมาก็เลยนึกถึงคำของพระพุทธเจ้าคำว่าบุญ

คำว่า บุญ นี้เป็นภาษาไทย มาจากภาษาบาลีว่า ปุญญะ แปลว่าเครื่องชำระกิเลส

คนสามัญก็ต้องอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลเกียสุข เป็นธรรมดา จึงเรียกว่าทุนนิยม เขาไม่มีความหยุด รวยเท่าไหร่ได้ก็เอาทั้งนั้น ไขว้คว้าดิ้นรนแย่งชิง ถึงขั้นทำร้ายกัน เพื่อจะเอามาได้สมใจ ตามต้องการ มันก็เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นในโลกในสังคม

พระพุทธเจ้าท่านจึงเห็นทุกข์ เห็นความวุ่นวายเดือดร้อนในสังคมมนุษยชาติตรงนี้ ท่านจึงได้ตั้งหลักวิชาการของท่านขึ้นมา ให้รู้จักพอ

มีคำสามคำ คือคำว่า *พอ น้อย สูญ* อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ

เป็นความหมายของ ความรู้สึกของจิต อาการของจิต จิตถ้าเข้าใจคำว่าพอ แล้วก็หยุดให้มันได้ พอให้มันได้ แล้วก็น้อยลง อัปปิจฉะ น้อยลงก็ได้แล้ว เราก็พอ น้อยก็พอ จิตไม่ดิ้นรน ปวิเวกะ สงบรำงับเราก็อยู่สบาย แต่ถ้าใจเราน้อยก็พอสงบดีสุขสบาย ปวิเวกะ

อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ เป็นอาการของจิต ต้องศึกษาด้วยปัญญา ด้วยเหตุผล ว่าเราก็อยู่ได้อย่างแค่นี้ก็พอดีพอเพียงกับชีวิต ชีวิตก็สงบดี ไม่ต้องมากต้องเกิด

โลกมันก็ปลุกเรา ให้เราหลง อยากได้ อยากมี อยากเป็น แล้วก็ไปติดยึด แย่งชิงมา แล้วก็มาเสพติดเข้าไป ก็ไม่มีที่สิ้นสุดจะเป็นอย่างนั้นเลยในโลกที่ไม่ศึกษาสัจธรรม

พระพุทธเจ้าจึงสร้างจุดให้รู้จักศึกษาของตัวเองว่ามีพอ แล้วก็หยุดแล้วก็น้อยลง แล้วก็หยุด วิเวกคือหยุดสบาย ยิ่งน้อยลงก็ยิ่งเบา ชีวิตก็ยิ่งสะดวกเรียบง่าย เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ไม่มีภาระ ไม่วุ่นวาย ผู้ที่เกิดปัญญา เกิดเป็นความจริงอย่างนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำกิเลสลดลงเรื่อยๆได้ท่านเรียกว่า *บุญ*

จิตใจท่ีมีปัญญา เห็นว่าน้อยลงนี่มันดี เราก็เกิดปัญญารู้ว่ามันดี น้อยลงมันก็บอกไม่ได้แย่งชิงแล้ว เราก็ใช้ชีวิตของเราอย่างพอเพียง ก็ใช้ได้ ผู้ที่มีวัฏจักรของจิต ชีวิตเป็นอยู่อย่างนี้เรียกว่า เป็นคนมีชีวิตพอเพียง

*ประเด็นสำคัญ คือ มีจิตใจที่เป็นบุญ ชำระกิเลสได้ กิเลสก็ลดลง กิเลสก็ระงับก็หยุด มันก็มีปัญญา

 กิเลสหยุดแล้วมีความรู้ว่ากิเลสเป็นเช่นนี้ วิธีดับกิเลสด้วยการข่ม หรือว่าด้วยปัญญาเหตุผล ซึ่งจะมีปัญญาฉลาดเฉลียวจนเห็นจริง เห็นจริงมันก็ยอมก็หยุดตามที่เราเข้าใจมีปัญญานั้น ก็เกิดจิตใจที่มีพัฒนาการ จิตเจริญดีขึ้น

จิตเป็นบุญคือกิเลสสงบระงับไปได้ ด้วยการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ

คำว่าบุญคำนี้นี่แหละ มันเจริญขึ้นจน เกิดเป็นหมู่คน รวมกันขึ้นแล้วก็มีคุณธรรมที่มีบุญ ลดลงพอเพียงไปมักน้อยสันโดษลงเรื่อยๆ แล้วก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่มหมู่ มีทรัพย์สินร่วมกันกินใช้ร่วมกัน เรียกว่า *สาธารณโภคี*

จากบุญมาเป็นสาธารณะโภคี ก็มีการเจริญ ลดละกิเลสได้ก็มีสิ่งที่อุปโภคบริโภคที่เป็นสาธารณะ เป็นของกลาง เป็นของส่วนกลาง จิตเจริญจนกระทั่งไม่เห็นแก่ตัว ไม่ถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เป็นของส่วนกลางเรียกว่าสาธารณโภคี คือเป็นผู้บริโภคใช้กินส่วนกลางร่วมกัน เกิดสภาพเกิดพฤติกรรมที่เป็นจริงของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง เรียกว่า*สาธารณโภคี*

ชาวอโศกเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็เลยเกิดจริง ชาวอโศกเราเกิดมีพฤติกรรมความเป็นอยู่ของชีวิตที่เรียกว่าเป็นสาธารณโภคี ทำมาหากินได้ผลผลิตเอามารวมเป็นของส่วนกลาง

เป็นความต้องการของลัทธิที่บริหารประเทศทุกลัทธิ ที่ต้องการทรัพย์สินรายได้ของประชาชนได้แล้วก็เอามารวมเป็นของกองกลาง

ไม่ว่าจะเป็น ลัทธิประชาธิปไตย ลัทธิคอมมิวนิสต์ ถ้าลัทธิเผด็จการเลย ก็จะเป็นการบังคับ ใช้อำนาจของผู้ที่ไม่มีอำนาจใหญ่บังคับให้เอามารวมกองกลาง ถ้าผู้ที่เผด็จการนั้น ปฏิบัติบริหารปกครองประพฤติได้จนประชาชนยินดีเอามาเข้ากองกลางโดยไม่ต้องบังคับ ผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลทรัพย์สินส่วนกลางนั้นจะเป็นบุคคลเดียวหรือเป็นคณะ อย่างเช่นคอมมิวนิสต์นี้บริหารเป็นคณะ ถ้าเผด็จการฟาสซิสต์ก็เป็นคนเดียวบงการ

แต่ถ้าผู้ที่เผด็จการฟาสซิสต์ มีจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจเห็นแก่มวลประชาชน มีใจบริหารมวลประชาชนด้วยการสะพัด แจกจ่ายทรัพย์สิน อุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนอย่างได้สัดส่วนดี พฤติกรรมนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย มีระบอบเป็นใหญ่รวมอยู่ที่ศูนย์กลางคนเดียว หรืออยู่ที่คณะคอมมิวนิสต์ หรือจะเปลี่ยนคณะกันด้วยความประชาธิปไตย ก็เจตนาจะบริหารให้ประชาชนมีอยู่กินดีอยู่ดี

มันมีคนที่มีความสามารถมากหรือน้อย หรือจะมีคนพิการ มีเด็ก มีคนแก่ทำงานไม่ได้ คนหนุ่มคนสาวทำงานได้ดีมากกว่า ก็ทำเผื่อแผ่ แบ่งแจกเด็กและคนพิการ สังคมก็รู้เผื่อแผ่กันไม่เห็นจะได้ไม่เห็นแก่ตัวนั้น เป็นเนื้อหาหลักเข้าความหมายนัยยะสำคัญของความเป็นจริงของสังคมมนุษยชาติ

แต่จิตใจคนมีกิเลสเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว ไม่ได้ก็ไปบังคับกดขี่เบียดเบียนฆ่าแกงเอามาเลย เป็นโทสะ จิตใจก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามาศึกษาจิตวิญญาณให้ดีและปฏิบัติบุญคือการชำระกิเลสให้ได้จริง คนก็จะมีคุณสมบัติคุณธรรมมารวมตัวกันเป็นสาธารณะโภคี

สาธารณโภคีกับบุญนิยมมีความสัมพันธ์กันตามนัยยะที่จะมาอธิบายคร่าวๆ

สรุปคือต้องมาเรียนรู้จิตใจตัวเองแล้วมาเรียนรู้กิเลสตัวสักกายะ

แล้วเรียนรู้วิธีกำจัดกิเลส ด้วยปหาน5

1.      วิกขัมภนปหาน    (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน        (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน     (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน      (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

เมื่อปหานกิเลสได้จริง ก็เกิดบุญจริง หมดกิเลสไม่เห็นแก่ตัว ก็มีปัญญาขึ้นมาแทนที่

คนที่ไม่เห็นแก่ตัวตามระบบของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีการศึกษาที่เป็นทฤษฎีกว้างและลึกที่วิเศษ ปฏิบัติได้แล้วจะเห็นว่าไม่มีกิเลสนั้นเป็นความเจริญอย่างนี้ มีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ มีน้ำใจเผื่อแผ่เกื้อกูล

ความไม่เห็นแก่ตัวมันเป็นความเจริญอย่างนี้ คนที่ทำได้จริงเห็นจริง ประพฤติปฏิบัติได้จริง นั่นคือคนอาริยะ เป็นคนเจริญ เป็นคนประเสริฐ

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=87089

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfTG44bFUzSnVYSXc

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/3skqiwuaqq4n/160925

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/-bMJWjTwRBE


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:17:54 )

590925

รายละเอียด

590925_วิถีอาริยธรรม สันติฯ เศรษฐกิจบุญนิยมกับสาธารณโภคีต่างกันไฉน

สมณะเพาะพุทธว่า...วันนี้เป็นรายการวิถีอาริยธรรมภาคพิเศษที่จะมีผู้ร่วมซักถามประเด็นเกี่ยวกับการศึกษาร่วมด้วย ก่อนเข้าสู่รายการมีประเด็นเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องหลักการทรงงานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

"หลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

มนุษย์สามารถเข้าถึงที่สูงสุด 3 ประการคือ

1.ความดี

2.ความจริง

3.ความงาม

ในความจริงที่มีความดีและความงาม ในความดีที่มีความจริงและความงาม ในความงามที่มีความจริงและความดี

คุณธรรม คือ สิ่งกำกับจิตใจให้ปรากฏออกมาเป็นพฤติกรรมที่กำหนดได้ว่าเป็นความดี ความจริง และความงาม

คนมีคุณธรรม คือ คนที่มีเครื่องกำกับจิตใจให้การกระทำและคำพูดปรากฏออกมาเป็นความดี ความจริง และความงาม

คนไร้คุณธรรม คือ คนที่มีเครื่องกำกับจิตใจให้การกระทำและคำพูดปรากฏออกมาเป็นความเลว ความเท็จ และความอัปลักษณ์

 

หลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

"60 ปี ครองราชย์ ประโยชน์สุข ประชาราษฎร์"

(สำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 2549)

1.ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ

การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่ง จะทรงศึกษาข้อมูล รายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้องเพื่อจะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตามความต้องการของประชาชน

 

2.ระเบิดจากข้างใน

หมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนาให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน มิใช่การนำเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหมู่บ้านที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว

 

3.แก้ปัญหาที่จุดเล็ก

ทรงมองปัญหาในภาพรวม (แมคโคร) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาจะเริ่มจากจุดเล็กๆ (ไมโคร) คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ที่คนมักจะมองข้าม

"...ถ้าปวดหัวคิดอะไรไม่ออก...ต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน...เพื่อให้อยู่ในสภาพที่คิดได้..."

 

4.ทำตามลำดับขั้น

ทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนก่อน ได้แก่ สาธารณสุข ต่อไปจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพ การพัฒนาประเทศต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่ก่อนจึงค่อยสร้าง ค่อยเสริมความเจริญ และเศรษฐกิจขั้นสูงโดยลำดับต่อไป

 

5.ภูมิสังคม

การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึง (1) ภูมิประเทศของบริเวณนั้น (ดิน, น้ำ, ป่า, เขา ฯลฯ) (2) สังคมวิทยา (นิสัยใจคอของผู้คน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น)

 

6.องค์รวม

ทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม (holistic) หรือมองอย่างครบวงจร

ทรงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง

 

7.ไม่ติดตำรา

การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลม และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน

"ไม่ติดตำรา"

ไม่ผูกมัดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนไทย

 

8.ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด

ทรงใช้หลักในการแก้ไขปัญหาด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ มาแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนัก

"ให้ปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูกป่า โดยปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติ จะได้ประหยัดงบประมาณ"

 

9.ทำให้ง่าย - simplicity

ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริโดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทรงโปรดที่จะทำสิ่งยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย

"ทำให้ง่าย"

 

10.การมีส่วนร่วม

ทรงเป็นนักประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้มาร่วมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชน

"... ต้องหัดทำใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็นแม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดนั้นแท้จริง คือ การระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลาย มาอำนวยการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง ..."

 

11.ประโยชน์ส่วนรวม

" ...ใครต่อใครก็มาบอกว่า ขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เรื่อยแล้ว ส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่า คนที่ให้เพื่อส่วนรวมนั้นมิได้ให้แต่ส่วนรวมอย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเองสามารถที่มีส่วนรวม ที่จะอาศัยได้..."  (มข.2514) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญเสมอ

 

12.บริการที่จุดเดียว

ทรงให้ "ศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" เป็นต้นแบบในการบริหารรวมที่จุดเดียว เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนที่จะมาใช้บริการ จะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยมีหน่วยงานราชการต่างๆ มาร่วมดำเนินการและให้บริการประชาชน ณ ที่แห่งเดียว

"...เป็นสองด้าน ก็หมายถึงว่า ที่สำคัญปลายทางคือ ประชาชนจะได้รับประโยชน์และต้นทางของเจ้าหน้าที่จะให้ประโยชน์"

 

13.ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ

การเข้าใจถึงธรรมชาติ และต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึงปัญหาของธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ไขปัญหาป่าเสื่อมโทรม โดยพระราชทานพระราชดำริ การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก (ต้นไม้) ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยในการฟื้นฟูธรรมชาติ

 

14.ใช้อธรรมปราบอธรรม

ทรงนำความจริงในเรื่องความเป็นไปแห่งธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการ และแนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติ เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การนำน้ำดีขับไล่น้ำเสีย การใช้ผักตบชวาบำบัดน้ำเสีย โดยดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ

 

15.ปลูกป่าในใจคน

"...เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง..."

การที่จะฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตสำนึกให้คนรักป่าเสียก่อน

 

16.ขาดทุนคือกำไร

"...ขาดทุนคือกำไร Our Ioss is our gain...การเสียคือการได้ ประเทศก็จะก้าวหน้า และการที่คนจะอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้..."

หลักการคือ "การให้" และ "การเสียสละ" เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือ ความอยู่ดีมีสุขของราษฎร

"...ถ้าเราทำอะไรที่เราเสีย แต่ในที่สุดที่เราเสียนั้นเป็นการได้ทางอ้อม ตรงกับงานของรัฐบาลโดยตรง เงินของรัฐบาล หรืออีกนัยหนึ่ง คือเงินของประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดีก็ต้องลงทุน..."

 

17.การพึ่งตนเอง

การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เพื่อแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้เขาแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้เขาสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และสามารถ "พึ่งตนเองได้" ในที่สุด

 

18.พออยู่พอกิน

สำหรับประชาชนที่ตกอยู่ในวงจรแห่งความทุกข์เข็ญนั้น ได้พระราชทานความช่วยเหลือให้เขาสามารถอยู่ในนั้น "พออยู่พอกิน" เสียก่อนแล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะ ที่ก้าวหน้าต่อไป

" ... ถ้าโครงการดี ในไม่ช้าประชาชนจะได้กำไร จะได้ผล ราษฎรจะอยู่ดีกินดีขึ้น จะได้ประโยชน์ต่อไป ..."

 

19.เศรษฐกิจพอเพียง

เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งหรือภูมิคุ้มกันทุกด้าน ซึ่งจะสามารถทำให้อยู่ได้อย่างสมดุล ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง

ปรัชญานี้ได้มีการประยุกต์ใช้ทั้งระดับบุคคล องค์กร ชุมชน และทุกภาคส่วนมาแล้วอย่างได้ผล

 

20.ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน

" ...ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มากแต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ... " (18 มี.ค.2533)

 

21.ทำงานอย่างมีความสุข

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเกษมสำราญและทรงมีความสุข ทุกคราที่จะช่วยเหลือประชาชน

" ...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ... "

 

22.ความเพียร : พระมหาชนก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มทำโครงการต่างๆ ในระยะแรกที่ไม่มีความพร้อมมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น แต่พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย มุ่งมั่นพัฒนาบ้านเมืองให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข

 

23.รู้-รัก-สามัคคี

รู้ : การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีแก้ปัญหา

รัก : เมื่อเรารู้ครบด้วยกระบวนความแล้ว จะต้องเห็นคุณค่า เกิดศรัทธา เกิดความรักที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ปัญหานั้นๆ

สามัคคี : เมื่อถึงขั้นลงมือปฏิบัติต้องคำนึงเสมอว่าเราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน สามัคคีกันเป็นหมู่คณะ จึงจะเกิดพลังในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงด้วยดี

 

อยู่ที่ศาลาโยมก็นำหนังสือนี้มาถวายคิดว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับการถามตอบของนักศึกษาระดับปริญญาโทที่จะถามพ่อครู

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจ ใช้ภาษาเรียกความเป็นอยู่

เศรษฐกิจ คือ สภาพของความเป็นอยู่ของคน

คำว่า เสฏฐะ แปลว่าความเจริญ

ถ้าความเป็นอยู่เจริญดีก็ว่า เศรษฐกิจดี

ถ้าความเป็นอยู่สุดลง ขาดตอนวุ่นวาย ก็เรียกว่าเศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจเสื่อม เขาก็หมายความอย่างนั้น

คำว่า เสฏฐะ  หรือเสฏโฐ เป็นบาลี ส่วนภาษาสันสกฤตใช้ เศรษฐี หรือเศรษฐะ

คนเราความเป็นอยู่ของคนถ้าไปคำนึงแต่เรื่องวัตถุ เรื่ององค์ประกอบภายนอก แล้วเราก็ไปติดยึดเคลิ้มไปต้องการ ไปเห็นความสำคัญแต่เรื่องวัตถุภายนอก

 อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ต้องการ อันนี้ก็น่าได้น่ามีน่าเป็น เศรษฐกิจมันก็เป็นเศรษฐกิจ บวม คือพองขึ้นๆ โตขึ้นๆไม่มีหยุด

 เมื่อมันไม่มีหยุดก็เรียกว่า มันไม่รู้จักพอ มันไม่มีขีดของความพอเพียง มันโตไม่มีหยุด มันก็จะหลอกล่อ ให้เพิ่มขึ้น

*ทุนนิยม* จะหลอกล่อให้คนเกิดความต้องการอยากได้ อยากมี อยากเป็น

 แล้วคนก็เกิดอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็จะดิ้นรนไขว่คว้าหา

คนท่ีจะสร้างข้ึนมา เพื่อบริการ ตอบสนองผู้ที่ต้องการ ก็สร้างขึ้นมา

ผู้ที่ต้องการก็จะแสวงหา ก็ต้องซื้อ จะต้องจ่ายทรัพย์สินไปอีกเยอะ

มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ โดยไม่ศึกษาจิตที่จะพอเพียง จิตที่จะหยุดเสียที จิตรู้จักหยุดขีดที่จะต้องการต่อไป

เศรษฐกิจพอเพียง คือเศรษฐกิจที่รู้จักขีดของจิตใจที่รู้จักพอ ภาษาบาลีเรียกว่าสันตุฏฐิ หรือสันโดษ คือความใจพอ

แต่เขาไปแปลเป็นภาษาไทยว่า ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ คืออนุโลมให้คนไถลเข้าใจผิด ใครที่ร่ำรวยมีมากมาย ก็ต้องพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ทั้งนั้นแหละ ไปถามบิลเกตต์เลย เขาร่ำรวยแล้วเขาพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ไหม ถามเด็กๆดูก็ได้

ซึ่งแปลแบบนี้คือ พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ นี้ไม่ได้เป็นไปตามความหมายของสันโดษเลย มันสอนให้คนเข้าใจว่าร่ำรวยเท่าไหร่ก็ได้ ก็เราพอใจเท่านี้แหละ

สันตุฏฐินี้ จะมีตัวเจริญกว่า คือมักน้อย สันตุฏฐิคือใจพอ

เขาก็แปลไปว่า พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

อาตมาก็ประท้วงว่ามันผิดความหมาย มันต้องแปลว่าใจพอมีความเพียงพอ พอแล้วก็ลดให้น้อยลงไปอีก อัปปิจฉะ มักน้อยลงอีก

 ผู้ที่สามารถ พอแล้วน้อยลงอีกได้ก็จะเจริญ ตรงตามในหลวงที่ตรัสไว้ว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา หรือ ถ้าจะบริหารสังคมหรือปกครองประเทศต้องปกครองประเทศหรือบริหารด้วยแบบคนจน นี่คือพระราชดำรัส คือคำตรัสของในหลวงซึ่งเรามาออกอากาศอยู่เป็นประจำ

เป็นความหมายที่ลึกซึ้งๆ เป็นโลกุตรธรรม ไม่เหมือนความหมายของคนสามารถ เป็นการทวนกระแสเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ที่มีวรรณะ 9 *

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 

ในหลวงท่านมีความรู้ มีพระปรีชาญาณในสัจธรรมโลกุตระ ท่านก็เอามาตรัสให้แก่ผู้รับใช้ ข้าราชการผู้บริหารต่างแต่ก็เข้าไม่ถึงท่าน เข้าใจไม่ถึงท่าน

อาตมาก็รับช่วงมาทำให้เกิดความจริงความเจริญ ซึ่งพระองค์ท่านตรัสมานานแล้ว แต่มันอืดยิ่งกว่าเรือเกลือ ไม่ค่อยได้ผลไปไหนต่อไหนเลย 

อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ ในหลวงท่านก็เป็นโพธิสัตว์ก็มีพระปรีชาญาณ มีพระปัญญาธิคุณในเรื่องของทิศทางความเจริญของอาริยธรรมบุคคล ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัส

เมื่อท่านตรัสออกมา อาตมาก็ต้องพยายามขานรับเต็มตัวเลย แล้วท่านก็ใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง เป็นภาษาสื่อให้เข้าใจ

ความหมายก็คือ ให้รู้จักพอ

*พอคืออะไร?* ในภาษาไทย พอ* คือไม่เอาอีกแล้ว ไม่ได้อยากเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

ก็คือพอ ใจคนนั้นไม่เป็น ไม่อยากมีอีกแล้ว พอเท่านี้แล้วไม่เอาอีกแล้ว ไม่เอาคืนอีกแล้ว แต่มันไม่เป็น มันก็เลยไม่พอเพียง จะพูดให้ตายอย่างไรก็ไม่เข้าถึงสภาวะความเป็นจริงอันนี้

อาตมามาขยายตอนนี้ไปถึงการศึกษา นักการศึกษา นักวิชาการก็หันมาสนใจ ได้ศึกษา แต่อาตมาตั้งข้อสังเกต ว่าเขาไม่ตื่นตัว ซึ่งน่าจะตื่นตัวมากกว่านี้ น่าจะตื่นตัวเรื่องพอเพียงก่อนตื้นๆ ตื่นน้อยๆตื่นเล็กๆ มันน่าจะตื่นเต้น อันนี้น่าสนใจนะ มันเป็นแม่เป็นเชิงที่ทวนกระแสมนุษยชาติกัน

ความเจริญของเขานั้นไม่พอนะ ทุนนิยมหรือว่าเศรษฐกิจ maximize profit  เขาไม่มีพอ ไม่มีหยุดนะ ได้อีกมากเท่าใดเขาก็ไป บานออกเป็นปากกรวยไป เขาไม่มีขีดความพอเลย มันก็เลยไม่มีความยับยั้ง เมื่อไม่สะดุดตรงนี้ แล้วไม่ศึกษาความเป็นจริง ว่าทำไมต้องพอ พอแล้วมันจะเจริญได้อย่างไร เขาไปเอาแนวความคิดว่าเจริญ คือใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด รวยไม่มีที่สิ้นสุด มากไม่มีขีดจำกัด เขาเอาอย่างนั้นเลย

ซึ่งไม่ตรงกับแนวคิดของพระพุทธเจ้าและลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อย่างอาตมา อย่างในหลวงก็มีพระปรีชาญาณตรงกับพระพุทธเจ้า อาตมานำร่องตรงนี้ก็มีการศึกษาในมหาวิทยาลัยเข้ามาเพิ่มเติมขึ้นได้เรื่อยๆ

วันนี้ก็มี น.ส.แก้วบุญเกื้อ ศรีลิขิตตานนท์ เรียนที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปริญญาโท สาขาการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน

 

วิทยานิพนธ์เรื่อง : ศึกษาความสัมพันธ์ของการรับรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับความผูกพันธ์ต่อองค์กรของชาวบุญนิยมราชธานีอโศก

 

ขออนุญาตส่งประเด็นคำถามที่เป็นข้อสงสัยในงานวิจัยค่ะ

 

1. แนวคิดเศรษฐกิจบุญนิยมกับแนวคิดเศรษฐกิจสาธารณะโภคีเป็นอย่างไร และมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร

2. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(3 ห่วง 2 เงื่อนไข) มีความสอดคล้องหรือแตกต่างจากเศรษฐกิจบุญนิยมอย่างไร (ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่ามีความเชื่อมโยงจากเงื่อนไข คุณธรรม)

 

มีคำสองคำ คือเศรษฐกิจทุนนิยมกับเศรษฐกิจสาธารณโภคี มันแตกต่างกันอย่างไร เกี่ยวโยงกันอย่างไร หมุนรอบเชิงซ้อนกันอย่างไร

ขยายความตามพยัญชนะ ให้ไปสู่สภาวะจริง

คำว่า *เศรษฐกิจบุญนิยม* เป็นคำกว้าง เป็นคำรวม ซึ่งอาตมาเจตนาเรียก ให้มันต่างจากคำว่าทุนนิยม คำว่า ทุนนิยมนี้เกิดมาแล้วใครตั้งหรือใครเรียกก็ไม่รู้มันเกิดมาแล้วก็รู้กันทั่วโลก คำว่าทุนนิยมเกิดขึ้นมา

อาตมาก็เห็นว่าน่าจะได้มีคำอีกคำหนึ่งที่มันไม่ใช่ทุนนิยม มันไม่ใช่คือมันทวนกระแส อาตมาก็เลยนึกถึงคำของพระพุทธเจ้าคำว่าบุญ

คำว่า บุญ นี้เป็นภาษาไทย มาจากภาษาบาลีว่า ปุญญะ แปลว่าเครื่องชำระกิเลส

คนสามัญก็ต้องอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลเกียสุข เป็นธรรมดา จึงเรียกว่าทุนนิยม เขาไม่มีความหยุด รวยเท่าไหร่ได้ก็เอาทั้งนั้น ไขว้คว้าดิ้นรนแย่งชิง ถึงขั้นทำร้ายกัน เพื่อจะเอามาได้สมใจ ตามต้องการ มันก็เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นในโลกในสังคม

พระพุทธเจ้าท่านจึงเห็นทุกข์ เห็นความวุ่นวายเดือดร้อนในสังคมมนุษยชาติตรงนี้ ท่านจึงได้ตั้งหลักวิชาการของท่านขึ้นมา ให้รู้จักพอ

มีคำสามคำ คือคำว่า *พอ น้อย สูญ* อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ

เป็นความหมายของ ความรู้สึกของจิต อาการของจิต จิตถ้าเข้าใจคำว่าพอ แล้วก็หยุดให้มันได้ พอให้มันได้ แล้วก็น้อยลง อัปปิจฉะ น้อยลงก็ได้แล้ว เราก็พอ น้อยก็พอ จิตไม่ดิ้นรน ปวิเวกะ สงบรำงับเราก็อยู่สบาย แต่ถ้าใจเราน้อยก็พอสงบดีสุขสบาย ปวิเวกะ

อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ เป็นอาการของจิต ต้องศึกษาด้วยปัญญา ด้วยเหตุผล ว่าเราก็อยู่ได้อย่างแค่นี้ก็พอดีพอเพียงกับชีวิต ชีวิตก็สงบดี ไม่ต้องมากต้องเกิด

โลกมันก็ปลุกเรา ให้เราหลง อยากได้ อยากมี อยากเป็น แล้วก็ไปติดยึด แย่งชิงมา แล้วก็มาเสพติดเข้าไป ก็ไม่มีที่สิ้นสุดจะเป็นอย่างนั้นเลยในโลกที่ไม่ศึกษาสัจธรรม

พระพุทธเจ้าจึงสร้างจุดให้รู้จักศึกษาของตัวเองว่ามีพอ แล้วก็หยุดแล้วก็น้อยลง แล้วก็หยุด วิเวกคือหยุดสบาย ยิ่งน้อยลงก็ยิ่งเบา ชีวิตก็ยิ่งสะดวกเรียบง่าย เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย ไม่มีภาระ ไม่วุ่นวาย ผู้ที่เกิดปัญญา เกิดเป็นความจริงอย่างนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำกิเลสลดลงเรื่อยๆได้ท่านเรียกว่า *บุญ*

จิตใจท่ีมีปัญญา เห็นว่าน้อยลงนี่มันดี เราก็เกิดปัญญารู้ว่ามันดี น้อยลงมันก็บอกไม่ได้แย่งชิงแล้ว เราก็ใช้ชีวิตของเราอย่างพอเพียง ก็ใช้ได้ ผู้ที่มีวัฏจักรของจิต ชีวิตเป็นอยู่อย่างนี้เรียกว่า เป็นคนมีชีวิตพอเพียง

*ประเด็นสำคัญ คือ มีจิตใจที่เป็นบุญ ชำระกิเลสได้ กิเลสก็ลดลง กิเลสก็ระงับก็หยุด มันก็มีปัญญา

 กิเลสหยุดแล้วมีความรู้ว่ากิเลสเป็นเช่นนี้ วิธีดับกิเลสด้วยการข่ม หรือว่าด้วยปัญญาเหตุผล ซึ่งจะมีปัญญาฉลาดเฉลียวจนเห็นจริง เห็นจริงมันก็ยอมก็หยุดตามที่เราเข้าใจมีปัญญานั้น ก็เกิดจิตใจที่มีพัฒนาการ จิตเจริญดีขึ้น

จิตเป็นบุญคือกิเลสสงบระงับไปได้ ด้วยการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ

คำว่าบุญคำนี้นี่แหละ มันเจริญขึ้นจน เกิดเป็นหมู่คน รวมกันขึ้นแล้วก็มีคุณธรรมที่มีบุญ ลดลงพอเพียงไปมักน้อยสันโดษลงเรื่อยๆ แล้วก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่มหมู่ มีทรัพย์สินร่วมกันกินใช้ร่วมกัน เรียกว่า *สาธารณโภคี*

จากบุญมาเป็นสาธารณะโภคี ก็มีการเจริญ ลดละกิเลสได้ก็มีสิ่งที่อุปโภคบริโภคที่เป็นสาธารณะ เป็นของกลาง เป็นของส่วนกลาง จิตเจริญจนกระทั่งไม่เห็นแก่ตัว ไม่ถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เป็นของส่วนกลางเรียกว่าสาธารณโภคี คือเป็นผู้บริโภคใช้กินส่วนกลางร่วมกัน เกิดสภาพเกิดพฤติกรรมที่เป็นจริงของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง เรียกว่า*สาธารณโภคี*

ชาวอโศกเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็เลยเกิดจริง ชาวอโศกเราเกิดมีพฤติกรรมความเป็นอยู่ของชีวิตที่เรียกว่าเป็นสาธารณโภคี ทำมาหากินได้ผลผลิตเอามารวมเป็นของส่วนกลาง

เป็นความต้องการของลัทธิที่บริหารประเทศทุกลัทธิ ที่ต้องการทรัพย์สินรายได้ของประชาชนได้แล้วก็เอามารวมเป็นของกองกลาง

ไม่ว่าจะเป็น ลัทธิประชาธิปไตย ลัทธิคอมมิวนิสต์ ถ้าลัทธิเผด็จการเลย ก็จะเป็นการบังคับ ใช้อำนาจของผู้ที่ไม่มีอำนาจใหญ่บังคับให้เอามารวมกองกลาง ถ้าผู้ที่เผด็จการนั้น ปฏิบัติบริหารปกครองประพฤติได้จนประชาชนยินดีเอามาเข้ากองกลางโดยไม่ต้องบังคับ ผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลทรัพย์สินส่วนกลางนั้นจะเป็นบุคคลเดียวหรือเป็นคณะ อย่างเช่นคอมมิวนิสต์นี้บริหารเป็นคณะ ถ้าเผด็จการฟาสซิสต์ก็เป็นคนเดียวบงการ

แต่ถ้าผู้ที่เผด็จการฟาสซิสต์ มีจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจเห็นแก่มวลประชาชน มีใจบริหารมวลประชาชนด้วยการสะพัด แจกจ่ายทรัพย์สิน อุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนอย่างได้สัดส่วนดี พฤติกรรมนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย มีระบอบเป็นใหญ่รวมอยู่ที่ศูนย์กลางคนเดียว หรืออยู่ที่คณะคอมมิวนิสต์ หรือจะเปลี่ยนคณะกันด้วยความประชาธิปไตย ก็เจตนาจะบริหารให้ประชาชนมีอยู่กินดีอยู่ดี

มันมีคนที่มีความสามารถมากหรือน้อย หรือจะมีคนพิการ มีเด็ก มีคนแก่ทำงานไม่ได้ คนหนุ่มคนสาวทำงานได้ดีมากกว่า ก็ทำเผื่อแผ่ แบ่งแจกเด็กและคนพิการ สังคมก็รู้เผื่อแผ่กันไม่เห็นจะได้ไม่เห็นแก่ตัวนั้น เป็นเนื้อหาหลักเข้าความหมายนัยยะสำคัญของความเป็นจริงของสังคมมนุษยชาติ

แต่จิตใจคนมีกิเลสเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว ไม่ได้ก็ไปบังคับกดขี่เบียดเบียนฆ่าแกงเอามาเลย เป็นโทสะ จิตใจก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามาศึกษาจิตวิญญาณให้ดีและปฏิบัติบุญคือการชำระกิเลสให้ได้จริง คนก็จะมีคุณสมบัติคุณธรรมมารวมตัวกันเป็นสาธารณะโภคี

สาธารณโภคีกับบุญนิยมมีความสัมพันธ์กันตามนัยยะที่จะมาอธิบายคร่าวๆ

สรุปคือต้องมาเรียนรู้จิตใจตัวเองแล้วมาเรียนรู้กิเลสตัวสักกายะ

แล้วเรียนรู้วิธีกำจัดกิเลส ด้วยปหาน5

1.      วิกขัมภนปหาน    (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) .

2.      ตทังคปหาน        (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน     (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน      (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

เมื่อปหานกิเลสได้จริง ก็เกิดบุญจริง หมดกิเลสไม่เห็นแก่ตัว ก็มีปัญญาขึ้นมาแทนที่

คนที่ไม่เห็นแก่ตัวตามระบบของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีการศึกษาที่เป็นทฤษฎีกว้างและลึกที่วิเศษ ปฏิบัติได้แล้วจะเห็นว่าไม่มีกิเลสนั้นเป็นความเจริญอย่างนี้ มีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ มีน้ำใจเผื่อแผ่เกื้อกูล

ความไม่เห็นแก่ตัวมันเป็นความเจริญอย่างนี้ คนที่ทำได้จริงเห็นจริง ประพฤติปฏิบัติได้จริง นั่นคือคนอาริยะ เป็นคนเจริญ เป็นคนประเสริฐ

ทุกวันนี้อาตมาพาทำ เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายใหม่ ซึ่งเป็นความผิดเพี้ยนมานานแล้วกิเลสมันเห็นแก่ตัวมาบังคับ แล้วคนเข้าไปเป็นทาสกิเลส ไปหลงกิเลสแย่งชิง เอารูปแบบบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนมาหลอกคนอื่นให้ตนเองได้มา มีมากมายหลากหลายวิธีการ จิตสร้างความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ก็เลยกลายเป็นสังคมแบบนี้ สังคมที่กิเลสไม่ลด แล้วก็มาสร้างวิธีการเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวมากมายหลากหลาย คนไม่รู้เท่าทันก็กลายเป็นเหยื่อ ตามระบบทุนนิยม ที่เป็นความรวยไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับที่สำนักใหญ่ธรรมกายเขาสอนกันว่ารวยไม่มีจบไม่มีสิ้นโดยไม่มีพอ ตรงกันข้ามกับศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นการทำลายศาสนาพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นซาก สำหรับลัทธิธรรมกาย ของธัมมชโย อย่างนี้เป็น อาตมาพูดอย่างเป็นหลักวิชาการยกตัวอย่างให้ชัด

 

อ.กรองทองซักต่อ….ที่เป็นประเด็นที่จะต้องขออนุญาตสัมภาษณ์พ่อท่าน ก็เพราะว่าจากการศึกษางานเขียน 2 เล่มของพ่อ เล่ม 1 พูดถึงเศรษฐกิจบุญนิยม อีกเล่มหนึ่งพูดถึงเศรษฐกิจสาธารณโภคี

เศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีอยู่เรื่องของ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

 

ผู้วิเคราะห์กันเลยนำมาวิเคราะห์ว่าหลักบุญนิยมของพ่อท่าน แตกหน่อมาจากคุณธรรม ซึ่งก็จะได้เชื่อมโยงไปสู่สามห่วงเหมือนเดิม เพราะว่าแม้แต่ท่านอาจารย์ประเวศ วะสี ก็กล่าวข้อสรุปปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 7 ประการ

ข้อ 1 พอเพียงสำหรับทุกคนทุกครอบครัวไม่ใช่เศรษฐกิจแบบทอดทิ้งกัน

ข้อ 2 จิตใจพอเพียงทำให้รักและเอื้ออาทรผู้อื่นได้ คนที่ไม่พอจะรักคนอื่นไม่เป็นและจะทำร้ายมากกว่าที่จะรัก

 ข้อ 3 สิ่งแวดล้อมพอเพียงการอนุรักษ์และเพิ่มพูนสิ่งแวดล้อมทำให้ยังชีพและทำมาหากินได้ เช่นการทำเกษตรผสมผสานซึ่งได้ทั้งอาหารและสิ่งแวดล้อม และได้ทั้งเงิน

ข้อ 4ชุมชนเศรษฐกิจเข้มแข็งพอเพียงการรวมตัวกันเป็นชุมชนจะทำให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจง่าย เช่นปัญหาสังคมปัญหาความยากจนและปัญหาสิ่งแวดล้อม

ข้อ 5 ปัญญาพอเพียงมีการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติและปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ข้อ 6 อยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมพอเพียง วัฒนธรรมหมายถึงวิถีชีวิตของกลุ่มชนที่สัมพันธ์อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ดังนั้นเศรษฐกิจจึงควรสัมพันธ์กับการเติบโตขึ้นจากพื้นฐานของวัฒนธรรม จึงจะมั่นคง ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจของจังหวัดตราด ขณะนี้ไม่มีการกระทบกระเทือนจากฟองสบู่แตกไม่มีคนตกงานเพราะจน ก็อยู่บนพื้นฐานของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดี

และข้อ 7 มีความมั่นคงพอเพียง ไม่ใช่วูบวาบเดี๋ยวจน เดี๋ยวรวย แบบกระทันหัน เดี๋ยวตกงานไม่มีกินไม่มีใช้ ถ้าเป็นแบบนั้นมนุษย์ก็จะทนไม่ไหว ความผันผวนเร็วเกินไปทำให้สุขภาพจิตผิดเพี้ยนรุนแรง ฆ่าตัวตายหรือติดยาเสพติด เศรษฐกิจก็จะไม่มั่นคง

ถ้ามาดูประเด็นการให้ความหมายของท่านอาจารย์ประเวศ วะสี ของเราตรงประเด็นทั้งหมด แต่ว่าความที่พ่อท่านได้เขียนตำรามี 2 เล่ม ในวิถีพุทธและสาราณียธรรมได้กล่าวว่า เศรษฐกิจบุญนิยม และเศรษฐกิจพอเพียง ฟังดูชื่อนี้ใหญ่ทั้งคู่ก็เลยยังงงอยากทราบขอบข่ายของสองอย่างนี้

 

พ่อครูว่า…*คำว่าสาธารณโภคี *

เป็นพฤติกรรมที่ปฏิบัติแล้วจะเป็นเช่นนั้น เป็นอย่างไร ?

ก็เป็นสาธารณะ กับมีผู้บริโภค

การมีผู้บริโภค จะบริโภคแบบของส่วนกลางเรียกว่า *สาธารณโภคี *เป็นพฤติกรรมที่เป็นเช่นนั้นได้

ที่เป็นเช่นนั้นได้ เพราะมันเกิดบุญ คือชำระกิเลสตนได้จริง เมื่อคนปฏิบัติกำจัดกิเลสได้จริง ก็ลดความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เหมือนทางโลกที่ครอบงำมอมเมาหลอกล่อให้อยากได้ อยากมี อยากเป็น แบบไม่มีที่สิ้นสุดได้

เมื่อทำให้จิตใจลดกิเลสได้ โดยมีปัญญา อย่างที่หมอประเวศ ว่า จะแจกแจงเป็นอีก 7 ข้อหรือร้อยข้อก็ได้ สำหรับเหตุผลทางสังคมวิทยา ก็เอาแง่ต่างๆมาอธิบาย มาตั้งภาษาร้อยเรียงเท่าไหร่ก็ได้ อย่าง 7 ข้อของหมอประเวศ มีอยู่ 2 ข้อที่อาตมาจับได้ว่า ถ้าทำความสำคัญ 2 ข้อนี้ อีก 5 ข้อจะขยายไปอีก 10 ข้อหรือ 100 ข้อก็ได้ ก็จบ

ความสำคัญ 2 ข้อก็คือข้อ 5 และข้อ 7

ข้อ 5 คือปัญญา  ข้อ 7 คือ จิตเจโตตั้งมั่นแข็งแรงมั่นคง

ศาสนาพระพุทธเจ้าให้เรียนอย่างเข้าเป้าแล้วค่อยขยายไป แต่ปัญญากับเจโตก็เป็นหลักฐานแท้ ขยายไปอีกก็กระจายเยอะ ศึกษากันอาจจะสับสนวุ่น แล้วไม่ได้มาปฏิบัติ ถ้าเรามาปฏิบัติเสีย มาเรียนรู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งให้ปฏิบัติเป็น เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

เบื้องต้น เรียนรู้สิ่งที่ที่เราติด คืออบายมุข ที่เป็นสวรรค์หลอกหรือคือนรกอันเดียวกัน เป็นขิฑฑาปโทสิกะ อารมณ์รื่นเริงสนุกสนานเพลิดเพลินอะไรอร่อยที่เป็น

หลงว่าเป็นเทวดา แท้จริงคือนรก ถ้ารู้ความจริงแล้วรสอร่อยมันไม่มีหรอก มันเป็นอุปทานที่เราปั้นขึ้นมา แล้วเราไปหลงอาการ หลงสภาพแบบนั้นจนติดยึดอยู่

สรุปแล้ว ถ้ามาเรียนรู้ให้เกิดปัญญา จิตนั่นแหละโง่ มันอวิชชา ก็มาแก้ไขให้มีปัญญา ว่าสิ่งที่เราหลงติดยึดเป็นสวรรค์เก๊ ประพฤติเป็นจาตุมหาราชิกา

พอได้มาเสร็จก็เป็นดาวดึงส์

แล้วก็อยากให้อยู่นานๆเป็น ยามา

อะไรๆที่ได้ เมื่อมาเสพแล้วเท่าไหร่ๆก็จะต้องมีความหยุด คือดุสิต

แต่พวกที่โง่จะไม่ยอมหยุดจะต่อไปเรื่อยๆ

แล้วพวกที่ไม่หยุดก็จะทำเก่งต่อไปได้เรื่อยๆ สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเองเรียกว่า นิมมานรดี

จนกระทั่งเกิดกลุ่มหมู่บริวาร มาช่วยกันสร้างลัทธิสวรรค์

ด้วยความปรนิมมิตวสวัตตี

หยิบเอาตัวอย่างของธัมมชโยหรือธรรมกายมาอธิบายสวรรค์ 6 ชั้นนี้ได้อย่างดี ดูเหมือนไม่รุนแรงแต่อำมหิตโหดร้าย โดยใช้คำพูดของเขา เป็นภาษาหว่านล้อมว่า ปิดประตูนรก ทุ่มสวรรค์เต็มเลย มีเท่าไหร่ทุ่มสุดตัวเลยไม่ต้องมีอะไรอีก

ซึ่งเขาอํามหิตจริงๆในภาษาคำพูดของเขา ให้คนทำทานแบบเทกระบะหมดตัว แล้วถือว่าเป็นบุญใหญ่ได้วิมานได้สวรรค์

ซึ่งจิตใจเจตนาของเขาต้องการปอกลอกคน เขาต้องการได้มาจากคนทุกคน เมื่อเขารู้ คนมาเทกระบะหมดแล้วก็ต้องดิ้นรนต่อ ใช้สมรรถนะไปทำงานต่อเขาก็ไปดูดมาอีก คนเราไม่งอมืองอเท้าหรอก

ส่วนคนที่หมดสมรรถนะจะทำงานต่อแล้ว จะไปฟ้องร้องอะไรเขาก็ไม่ได้ ก็หมดเนื้อหมดตัวฆ่าตัวตายไปบ้าง เขาก็ไม่ดูแล ต้องให้ดอกเตอร์มโนมาเปิดเผย

สรุปแล้วเกิดจากจิตใจที่หลง พอต้องการ ต้องได้ ต้องมี ต้องเป็นมากมาย เอามาเสพชื่นใจพอใจรื่นเริงสบาย ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นอารมณ์เก๊ สุขขัลลิกะ ซึ่งคนเข้าใจยาก มาเรียนรู้ไม่ค่อยได้ แล้วก็ไม่ยอมเลิก

แต่ก็ไม่พยายามแบ่งทำ ปฏิบัติอะไรที่ควรเลิกก่อน เช่น พื้นฐานศีล 5 พระพุทธเจ้ากำหนด ตั้งแต่จิตใจที่อำมหิตจากไปฆ่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างเป็นกลางๆ เรื่องฆ่าสัตว์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ เอามีดเอาปืนไปฆ่าทีเดียว

แต่การฆ่าโดยการแย่งสมบัติเขามา ก็คือการฆ่า ด้วยเฉกา ฉลาดมากซับซ้อนหลอกคน

ส่วนปัญญาเป็นความฉลาดที่รู้ทันพวกเฉโก เดี๋ยวนี้กลับเป็นว่าความฉลาดที่อำมหิต ดี  ความฉลาดโง่ๆ ที่เป็นของเก๊ที่ไม่จริง

คำว่า ฉลาด คือมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ทวาร ที่มีการสัมผัสรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส

ถ้าเห็นก็อยากได้ หูได้ยินก็อยากได้ ลิ้นได้เสพรสก็อยากได้

ถ้ายังไม่ได้แล้วไปแย่งเขามาได้ แล้วเรียกว่า ฉลาด ซึ่งนั่นเป็นความผิด*

เป็น จาตุมหาราช เป็นจาตุมหาราช ที่ไปแย่งเขา

เป็นจาตุมหาราช แบบ

1.จอมภูติผี 2.จอมมารมายา 3.จอมยักษ์ 4. จอมเดรัจฉาน

นี่คือ 4 จอมกัณฑ์มหาราชยิ่งใหญ่

ในการที่จะเป็นผี จอมภูติ จอมมารมายาคือตัวหลอก เล่เห์เหลี่ยมเล่ห์กลเยอะ จอมยักษ์ อำมหิต โหด. จอมเดรัจฉาน

สี่อย่างนี้ นี่คือพฤติกรรมจากจิตสี่อย่าง แล้วมันก็แย่งชิง อำมหิตโหดร้ายฆ่าแกงให้ได้มาสมใจ พอสมใจก็ชอบใจ เป็นอาการที่ 33 ที่เรียกว่าดาวดึงส์ เป็นอารมณ์พอใจได้เสพสุขบำเรอความต้องการ

ในองคาพยพของมนุษย์นั้นมีแค่ 32 อาการ ส่วนอาการที่ 33 นี้เป็นอาการที่ ปรุงขึ้นมาเอง

ไอ้คนนี้ชอบอย่างนี้เป็นสุข ไอ้คนอย่างนี้ไม่ชอบอย่างนี้ ก็ไม่เป็นสุข มันเป็นที่จิตใจของคน

ยกตัวอย่าง เช่นบางคนชอบกินแก้วมังกร ได้มาก็เป็นสุข ส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ชอบเลย ไม่เข้าท่าสู้ลองกองไม่ได้ มันก็ต่างคนต่างยึดติด ต่างคนต่างมีอารมณ์ไปเอง เป็นของใครของมัน ส่วนจะไปอยาก ไปชอบแบบไหน ได้มาอย่างที่ชอบก็ดีใจ ไม่ได้อย่างที่ชอบก็ไม่ดีใจ ก็มีความคิดอยู่แค่นี้

อารมณ์สมใจได้ก็ดูด ไม่ได้ก็ผลัก เป็นอารมณ์ที่เกิดจากอุปาทาน

พระพุทธเจ้าให้มาแก้ประเด็นนี้ ไม่ให้มีอารมณ์โง่ๆ ให้เห็นความจริงว่าแก้วมังกรก็เป็นเช่นนั้น มีเนื้อ มีกลิ่น มีรส เป็นเช่นนั้นเอง

จิตเรา ไปชอบหรือไม่ชอบมัน ซึ่งมันเป็นอารมณ์อุปาทาน เป็นกิเลส

*คนที่ทำให้กิเลสหมดไป ก็มีความรู้แต่ว่าแก้วมังกรมีสี มีกลิ่น มีรส เช่นนี้ ทุกคนสัมผัสก็เหมือนกับคนนี้หมด ไม่ว่าจะไทยจีนฝรั่งหรือแขกมาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นสัมผัสก็เหมือนกัน

แต่อารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบก็จะต่างกัน อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ของแต่ละคนสร้างขึ้นมาติดยึดขึ้นมาเอง

ถ้ารู้ความจริงแต่เพียงอย่างเดียวก็จะรู้ว่าลูกของแก้วมังกรเป็นอย่างนี้รสหรือสัมผัสก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนมีประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนกัน เป็น*ธรรมะหนึ่ง

*ส่วนผู้ใดมีธรรมะ 2 ก็เป็นความโง่ เป็นความอวิชชา เลิกไม่ได้ก็แตกหน่อต่อเนื้อ ขยายองค์ประกอบแตกจาก 6 อย่างนี้ไปหลอกล่อคนอีกเต็มโลกเป็นล้านๆเลย คนก็เลยมีหลากหลายสิ่งที่ตนเองชอบ ต่างกันนิดๆหน่อยๆพิสดารไปอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือเรื่องเลอะเทอะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วมาสอนให้เลิก

แล้วมารู้แต่ความจริงอย่างนี้ทุกคนก็ไม่ต้องไปหลงที่เขาหลอกกันเป็นล้านๆอย่าง เลิกมาได้ลดมาได้รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีสิ่งที่เป็นของปลอมของหลอกก็เป็นอรหันต์ จะเหลืออยู่เท่าไหร่ก็ลดลง ลดลงให้ได้ ก็มีพลังงานสร้างสรรค์หรือไม่ไปปรุงมอมเมาตามที่ถูกหลอก ไม่ไปเปลืองผลาญกับสิ่งที่เป็นผิวเผินตกแต่งประดับประดาหลอกล่อกัน ชีวิตก็ง่ายขึ้นเป็นแก่นสารมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะไม่แย่

ชาวอโศกก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียง จึงไม่มีเรื่องของการปรุงแต่งอะไรมากมายเหมือนกับโลก ชาวอโศกหยุดแล้วแต่เค้าสิยังไม่หยุดกัน ก็เหลือแต่ของตัวเองมาลดน้อยลงให้แต่ละคนเป็นอรหันต์ได้เท่านั้นเอง ก็มาสร้างเศรษฐกิจที่เป็นเนื้อแท้เป็นสาระ เป็นธาตุอาหารที่มาเลี้ยงร่างกายเลี้ยงชีวิตจิตใจ เป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค และมีบริขารที่ประกอบอาศัยไปตามโลกเขาพอสมควร เศรษฐกิจของชาวอโศกที่ทำตามพระพุทธเจ้าจึงเป็นเศรษฐกิจไม่ไปกับโลกเขา รู้จักจุดที่พอแล้ว พอเพียงแล้ว ก็ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องบุญได้ชำระกิเลสออกได้จริง จึงเกิดปัญญาและเกิดจิตใจที่มันจบ มันพอแล้ว ไม่อยากได้อีก ปัญญามันมี รู้ว่ากิเลสหมดแล้วจบแล้ว เรียนรู้กับโลกเขาได้ด้วย ว่าเขามีพิสดารหลอกล่อกัน ก็จะรู้ทันกับเขา มีโลกวิทู ดูมุมเหลี่ยมของโลกแล้วก็ไม่หลงไปตามโลก

เอาแต่สาระที่เป็นความพอเพียงความพอเหมาะ นี่คือกรอบของความหมาย ที่ในหลวงท่านตรัสมา จะแบ่งเป็นกี่เงื่อนไขหรือก็ตาม

 

พอประมาณก็ต้องมีเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องพอ มันพอแล้วมันจริงไหม พอแค่นี้ก็อยู่ได้แล้วก็แข็งแรงก็สมบูรณ์ ก็รู้ว่าบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องมีอะไรเพิ่มขึ้นอีกมัน มีเหตุมีผล รู้จักประมาณขนาดน้อยหรือมาก อย่างมีเหตุมีผล ทำได้ก็เกิดเป็นภูมิคุ้มกัน ทำได้ที่จิตใจตัวเอง

สมณะเพาะพุทธว่า...คำกล่าวถึง 7 ข้อของหมอประเวศที่พ่อท่านเน้นว่ามีปัญากับเจโต แต่กรณีสามข้อนี้

3 ห่วง คือ ทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้

 ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ  ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล ที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง

ห่วงที่หนึ่งและสองคือปัญญา ห่วงที่สามคือเจโต

ก็มี สามเส้า และมีปัญญาและเจโต เป็นสองในหนึ่ง หรือสองในสาม

พอประมาณเป็นรูปธรรม ส่วนมีเหตุผลเป็นนามธรรม เป็นเชิงฉลาดจากภายใน จริงๆถ้าเราสามารถมีความพอประมาณบวกมีเหตุมีผลได้ เขียนเป็นสมการว่า

พอประมาณ+มีเหตุมีผล=มีภูมิคุ้มกันในตัวเอง

พ่อครูว่า...ของไอสไตน์ก็มีสามเส้า E=mc2 หรือกลับกันว่า

มีภูมิคุ้มกันในตัวเอง(E) = พอประมาณ(m)+มีเหตุมีผล(c)

 

ทุกอย่างเป็นธรรมะ 2 แล้ว มีอีกอันหนึ่งเป็นตัวผู้รู้

สามเส้านี้ถ้าผู้ใดสามารถแยกได้เป็นพลังงานสามอย่าง

หนึ่ง พลังงานของตัวเองเป็นผู้รู้ i

ส่วนอีก 2 อย่างคือ  she กับ he คือ s กับ h มีอีกสองเส้า รวมเป็น ish เป็นสามเส้าที่ใครสามารถควบคุม 3 เส้านี้ได้อย่างสมดุลคนนั้นก็จบ

สามเส้านี้เป็นพลังงานในระดับของ พีชนิยาม

เป็นพลังงานที่สร้างตัวตน ครบ self ยังไม่ไปเอาพลังงาน 3 ตัวนี้เกิดเป็นพลังงานอื่นอีก มันเป็นพลังงานรวมตัว ish

สามอย่างนี้(ish)รวมกันอยู่ในพีชนิยาม ในวงวัฏฏะ พีชะที่เป็น self

ยังไม่มี selfish ไม่เปลี่ยนพลังงานที่ออกไปเป็น 4 ไม่ไประรานใคร ไม่ไปแย่งชิงกับใคร เป็นความสงบ

สมณะเพาะพุทธว่า...พ่อท่านจึงสอนว่าพระอรหันต์ก็คือพีชะ

พ่อครูว่า  มีพลังงานที่เกินออกมาเป็นความสะอาด

เป็นส่วนเหลือคือจิตนิยาม จึงเอาพลังงานจิตนิยามนี้มาสร้างสรรค์แบบ พีชะ แล้วรู้จักความเป็นคน มีการปรุงแต่งสังขารให้ได้คนครบบริบูรณ์

เป็นปัญญาที่รู้จักการไม่ระรานอะไร ไม่ไปอยากได้เพิ่มขึ้น งอกเพิ่มออกไป ก็จะได้ตัวเต็มๆของ 32 องคาพยพที่แข็งแรงบริบูรณ์ ไม่ต้องมีอาการ 33 เป็นความพอดีของความเป็นตัวตนของเรา

ปัญญาทำจิตใจเป็นเช่นนี้ได้ จึงกลายเป็นพีชะที่มีพลังงานส่วนเหลือเป็นจิตนิยาม ก็เอามาสร้างสรรเผื่อแผ่ผู้อื่น

 คนเรานั้นชีวิตเรา ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายหรอกเหมือนยอดหญ้า

ความเหมือนหรือต่างของสองอันนี้(พีชนิยาม จิตนิยาม)

 

ผู้ที่สามารถทำตนเองให้เกิดบุญ บุญนิยม เป็นลัทธิเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถชำระกิเลสได้ เมื่อคนชำระกิเลสได้จึงเกิดจำนวนคน เกิดมาเป็นสังคมเกิดมาเป็นชุมชน

เป็นชุมชนที่มีปัญญามีเจโตที่เป็นบุญ กิเลสลดได้และมีปัญญารอบรู้ ว่าสิ่งใดเฟ้อเกินก็ไม่เอา คือชำระกิเลสได้ ก็เป็นคนชนิดที่จิตใจสะอาด มีปัญญารู้สิ่งที่เฟ้อเกิน เป็นคนที่มีจิตใจพอเพียง กิเลสคือสิ่งที่เฟ้อเกินความจำเป็นที่แท้จริงของชีวิต นั่นคือกิเลส

 เมื่อรู้จักความพอดีพอเพียง คนเหล่านี้ก็มาอยู่รวมกันเป็นสังคม แล้วมีพลังงานสร้างสรรค์ได้เยอะ เกินกว่าที่ตนเองกินใช้

ความห่วงแหนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ที่เป็นส่วนที่เกินจะไปแลกเอาอย่างอื่นมาให้แก่ตัวเอง ก็จะมีปัญญาเข้าใจว่า เอามารวมกันดีกว่า สร้างสรรค์เป็นสังคมที่สงบเรียบร้อยดี จึงมารวมกันเป็นผู้บริโภค ทั้งอุปโภคและบริโภค รวมกันเป็นส่วนกลาง เป็นสาธารณะ จึงเกิดสาธารณโภคี ของคนที่มีคุณสมบัติชำระกิเลสได้

บุญ คือสิ่งที่ทำวิบัติ บุญสำเร็จกิเลสก็หมดไปหายไป บุญก็หายไปด้วย

เมื่อกิเลสหมดไป ก็นำไปสู่ความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว

แล้วสาธารณโภคีก็เกิดเป็นโดยอัตโนมัติ

คนที่จะเข้าสู่สังคมสาธารณโภคีได้สำเร็จ จะต้องได้ผลสำเร็จจากการชำระกิเลส หรือปุญญะให้ได้เสียก่อน

พ่อครูว่า...ผู้ที่ยังชำระไม่ได้ก็ต้อง มีปัญญา มีความยินดี มีฉันทะ มารู้ว่าเราต้องมาลดละ มีปัญญานำร่องไปก่อน ก็มีความยินดีนำร่องมาก่อน ว่าอย่างนี้ดีแล้วก็เต็มใจที่จะมาก็จะลดกิเลสได้ มาเรียนรู้ว่าท่านพาทำอย่างนี้ ตามหมู่ ตามกลุ่มไปก่อน

สมณะเพาะพุทธว่า...ตามที่ได้ฟังคุณแก้วบุญเกื้อกับคุณกรองทองอธิบาย และฟังพ่อครูฟังว่า บุญเป็นเรื่องส่วนตน ส่วนสาธารณโภคีเป็นเรื่องส่วนรวม

 

พ่อครูว่า... บุญเป็นเรื่องส่วนตนจริงๆ

บุญเป็นเรื่องของวิบัติไม่ใช่เรื่องของสมบัติ วิบัติทำให้หมดไปไม่มี

ส่วนสมบัตินั้นคือ สะสม

บุญไม่ใช่สมบัติไม่ใช่เรื่องสะสม

บุญคือพลังงานมีหน้าที่กำจัดกิเลส

ผู้ที่ทำบุญได้ผ่อนชำระกิเลสได้ส่วนหนึ่ง แต่กิเลสยังไม่หมดเรียกว่า ผู้ที่ได้ส่วนบุญ ส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา

กิเลสมี 100 ทำได้แค่ 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็คือส่วนหนึ่ง

การได้ที่ว่านั้นคือ อย่างที่ในหลวงว่า การได้ก็คือเราเสีย เสียเท่าไหร่ได้เท่านั้น กิเลสมันเสียไป มันชิบหายไป มันหมดไป นั่นคือบุญสำเร็จ มีแต่ 0 กับวิบัติ

เมื่อกิเลส100 เมื่อชำระได้ 20 ก็เหลือ 80 ถ้าชำระได้หมด 100 กิเลสและ บุญก็หมดไปด้วยอัตโนมัติเลย ถึงเรียกว่าเป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ

บุญไม่มีหน้าที่อื่น นอกจากชำระกิเลสตนเท่านั้น

กรรมกริยาของพระอรหันต์จึงไม่มีบาปแล้ว ไม่ต้องทำบุญอีก

กรรมกริยาที่เหลือจึงมีแต่กุศล กุสลสูปสัมปทา

 

สมณะเพาะพุทธว่า...บุญเป็นเรื่องส่วนตน กุศลเป็นเรื่องส่วนรวม 

พ่อครูว่า...ต้องเป็นนักสร้าง นักทำให้กิเลสฉิบหาย ทำบุญได้สำเร็จไปเรื่อยๆ จนทำบุญเสร็จหมดก็ อปุญญะ ไม่เกิดบุญอีกเพราะบาปหมดแล้ว งานหมดแล้ว จึงเป็นคนปรุงแต่งแต่กุศล อปุญญะตัวนี้คนแปลผิดแปลว่า บาป เลยวนไปวนมา บาปกับบุญไม่มีขั้นของโลกุตระ

โลกุตระทำบุญ จนหมดบาปก็ไม่ต้องทำบุญอีก

อันที่สามอเนญชาภิสังขาร คือการปรุงแต่งของการทำให้ไม่มีบุญไม่มีบาป

คืออุเบกขา  นี่คือ หมดอัตตา หมดกามแล้ว เรียกว่าอุเบกขา

ผู้ที่เข้าขั้นอุเบกขาจึงเกิด อเนญชาภิสังขาร จึงปรุงแต่งแล้วก็เกิดการสั่งสมความมั่นคง แข็งแรง ตกผลึกด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ในธาตุวัตถุวิภังค์

 

ปริสุทธา คือ บริสุทธิ์

ปริโยทาตา คือการบริสุทธิ์นั้นแล้วทำงานกับสังคม สัมผัสกับเหตุที่เคยทำให้เกิดกิเลส ก็ไม่เกิดกิเลส ยังขาวรอบบริสุทธิ์ผุดผ่องได้ตามเดิม

 จิตมุทุ แววไว อ่อนง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ จิตหัวอ่อน รู้เร็วทั้งเชิงปัญญาเจโตก็ปรับได้เร็ว

จิตจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ จึงทำงานได้อย่างดี เรียกว่ากัมมัญญา

รวมความแล้ว ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา จิตก็ยังปภัสสราอยู่

เจริญด้วย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ขึ้นไปเรื่อยๆ สั่งสมตกผลึกไปเรื่อยๆ

ก็ยิ่งตกผลึกสั่งสมเป็นความเจริญทั้งห้านี้เป็น impact ของ input process output outcome ใน system analysis

สมณะเพาะพุทธว่า ปุญญาภิสังขาร คือเสขบุคคล

ส่วน อปุญญาภิสังขารคืออรหันต์ ส่วนอเนญชาภิสังขารคือโพธิสัตว์ ซึ่งต่อเนื่องจากอรหันต์

 

อ.กรองทองยิ่งได้ศึกษาความรู้ของพ่อท่าน ก็ยิ่งรู้สึกว่าจะต้องมาร่วมอยู่ด้วยกับพ่อท่านแล้ว ซึ่งทุนนิยมนั้นไปไม่รอดแล้ว

ขอสรุปความเข้าใจที่ได้ฟังวันนี้ เมื่อกลุ่มชนรวมตัวกัน ก็ต้องมีการอุปโภคบริโภค มีการแบ่งปันกัน

ผู้ที่ทำหน้าที่แบ่งปัน ถ้ามีคนเดียวก็ได้เผด็จการ แต่ถ้าแจกจ่ายเป็นกลุ่มให้ทั่วถึง แล้วไม่เห็นแก่ตัวเลยก็เรียกว่าประชาธิปไตย

ถ้ามีกิเลสไปแย่งชิงมา โดยการเกิดโทสะ สังคมก็เดือดร้อน

แต่ถ้าเป็นบุญนิยมก็จะเกิดจากการประหารกิเลส บุญนิยมจะเกิดจากการประหารกิเลสก่อน จะลึกกว่า ไม่เห็นแก่ตัว

การที่คนจะมาปฏิบัติบุญนิยมได้ จะต้องเริ่มจากเมตตาทางกาย ทางวาจาทางใจ แล้วก็รับเฉพาะส่วนที่น้อยที่สุดที่จำเป็นที่เหลือก็จุนเจือสังคมกลายเป็นสาธารณโภคี 

ส่วนคำว่าบุญนิยมนี้เป็นระบบอีกระบบหนึ่ง ซึ่งต่างจากระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตย ถ้าเห็นแก่ตัวเอาเข้ากับตัวเองมากที่สุด เป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่จริง

ถ้ามีการลดละกิเลส เอาแต่เฉพาะส่วนที่จำเป็นจริงๆที่เหลือก็จุนเจือสังคม

ส่วนสาธารณโภคีเป็นพฤติกรรมที่คนได้ปฏิบัติจนชนะกิเลส ให้หยุดความอยากมีอยากเป็น โดยที่คนอื่นเขามีไม่สิ้นสุด แต่ว่าผู้ที่ปฏิบัติจนชนะกิเลสเหล่านี้ มีความสิ้นสุดในการอยากมีอยากเป็นเอาแต่เพียงพอดีจึงมาแบ่งปันเป็นสาธารณโภคี ก็ขออนุญาตเรียกตรงนี้ว่า เศรษฐกิจสาธารณโภคี

ส่วนบุญนิยมนั้นเขาเรียกว่า ระบบบุญนิยม

พ่อครูว่า...บุญนั้นถ้าจะเป็นตัวลึกก็จำกัดไปว่า เป็นการกำจัดกิเลส เพราะฉะนั้นตัวนี้เป็นตัวลึก บุญนิยมเป็นตัวลึก

ส่วนสาธารณโภคีนั้นเป็นตัวกว้าง เครื่องอุปกรณ์ของการอุปโภคบริโภค เป็นส่วนกลาง เป็นองค์ประกอบหยาบ ทั้งวัตถุทั้งกรรมกิริยา ทั้งจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณที่ได้ชำระกิเลสเรียกว่าบุญ จึงไปจัดการกับเครื่องอุปโภคบริโภคเหล่านั้นได้อย่างดีไม่มีความลำเอียง ไม่มีความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย มีปัญญารู้จักสาระ ก็ไปจัดการสาธารณะโภคี

ในประชาธิปไตยมีคณะบริหาร คณะบริหารที่ไม่ลำเอียงแล้วก็จัดสรรสิ่งที่ได้ส่วนกลางให้แก่ประชาชนอย่างถูกต้อง เป็นสัดส่วนที่ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย นั่นก็คือความหมายอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงชื่อว่าประชาธิปไตยที่จริงก็คือสาธารณโภคี

 แต่คนที่ไปทำสาธารณโภคีนั้น ถ้ามีจิตใจที่มีกิเลสไม่มีบุญ ไม่ได้ชำระกิเลสออก คนนั้นๆคนเหล่านั้นแหละไปจัดการกับเครื่องอุปโภคบริโภคที่เป็นสาธารณะนั้น เมื่อมีกิเลสก็จึงจัดการอย่างลำเอียง ให้แก่คนนั้นคนนี้

ที่ลำเอียงร้ายคือเอาเข้าข้างตัวเอง โลภมาให้แก่ตัวเอง เป็นหลัก เพราะฉะนั้นการเมืองหรือการบริหารใดๆ ที่จิตใจไม่สำเร็จในการปฏิบัติบุญ ไม่สำเร็จในการชำระกิเลส จึงเป็นการปฏิบัติประชาธิปไตยที่ล้มเหลว ล้มเหลวมาแต่ไหนแต่ไร เพราะไม่ลดกิเลสก็กู้ประเทศไม่ได้

การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ การประพฤติที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ มีแต่บานปลาย และเป็นการศึกษาที่ไม่ลดกิเลส มันก็จะมีแต่เรื่องเลวร้ายบานปลายไปเรื่อยๆ กอบกู้ให้ประเทศไทยอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้หรอก

หัวใจสำคัญของการบริหาร ก็ต้องจัดการการศึกษาให้ลดกิเลสให้ได้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีประชากรนับถือศาสนาพุทธกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาสามารถที่จะจัดการศึกษาให้มีการลดกิเลสสำเร็จ ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชาขึ้น

อาตมาพาคนมาศึกษาศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แล้วก็ได้มวลคนเหล่านั้น ที่ลดกิเลสจนมาเป็นสาธารณโภคีได้สำเร็จนี่ไง

มีปรากฏสภาวะจริง มีกลุ่มคนมีพฤติกรรมจริง เป็นสาธารณโภคีจริง ปฏิบัติลดกิเลสกันตลอดเวลาเป็นหมู่มวล สอนกันตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ไปเรื่อยๆ เริ่มต้นทำมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ก็เห็นว่าการประพฤติอย่างที่พาทำนี้มีผลต่อมวลมนุษยชาติ ก็อยากให้ผู้บริหาร (พูดแล้วเหมือนอวดใหญ่อวดโต) ก็ยืนยันว่ามาทำอย่างที่อาตมาพาทำนี้ไม่ได้เป็นของอาตมาหรอก เพราะมันเป็นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ได้หน้าเท่านั้นเอง อาตมาเป็นเพียงจับกังแบกลังทองของพระพุทธเจ้า

แต่เขาหาว่าอาตมาทำผิดเอาธรรมะของพุทธเจ้ามาเสียหาย ต้องทำอย่างที่กระแสหลักนำเสนอถึงว่าช้า แต่อาตมาว่ามันผิด ทำอย่างที่อาตมานั้นถูก อาตมาก็พยายามแก้ประเด็นที่ผิดในสังคม ตั้งแต่บวชกับกระแสหลักพ. ศ. 2513 - 2517 ทำแล้วก็เห็นว่าแก้ไขไม่ได้แน่ จนพ.ศ. 2518 ก็จึงปรึกษากับหมู่ภิกษุชาวอโศก ว่าทั้งหมดเราลาออกจากคณะบริหารนี้เถอะ เรามาบริหารกันเอง เราเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างที่เราเข้าใจก็มาทำอย่างเราก็แล้ว จึงได้ตัดสินมีมติตกลงเราขอแยกเป็นนานาสังวาส อาตมาบวชได้ 5 ปี ก็ประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคมมาบริหารตัวเอง มีลายลักษณ์อักษร ชื่อเจ้าคณะอำเภอเจ้าคณะจังหวัดรับไปแล้ว ก็ยอมรับว่าอาตมาเป็นนานาสังวาส ตั้งแต่พ. ศ. 2518 แต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ. 2532 ไม่รู้มหาเถรสมาคมไปกินตีนหมี ไปกินดีเสือจากไหน ดึงอาตมากลับเข้าไปในมหาเถรสมาคมอีกแล้วจะชำระอาตมาให้อาตมาสึก ลาออกมา 14 ปีก็อยู่เป็นสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้มันเป็นโมฆะ

สมณะเพาะพุทธว่า...เหมือนเราเลิกเช่าบ้านนี้ไปแล้ว 14 ปีปรากฏว่าเจ้าของบ้านเพิ่งมาไล่เราออก ไปบอกประชาชนว่ายังเช่าบ้านเราอยู่ ต้องออกไปจากบ้านเรานะ

พ่อครูว่า...เราเคยเช่าบ้านหลังนี้อยู่แล้วรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ไม่น่าอยู่แล้วเราก็เลยออกไป ลาออกไปแล้ว ปรากฏว่าคุณก็มาบอกว่ามาไล่เราอีก หลังจากนั้น 14 ปี ซึ่งตามหลักนานาสังวาสแล้วมาฟ้องร้องกันไม่ได้ จะมากล่าวปฏิกโกสนาได้ ค้านแย้งอย่างแรงอย่างจังได้ แต่อย่าอธิกรณ์ อย่าไปฟ้องร้อง ว่ากันด้วยปากหอก มันเป็นทางออกทางเดียวที่จะสื่อความจริง ใครจะสื่อว่าด้วยจิตที่โกรธเกลียดชังก็แล้วแต่ แต่ใครไม่ได้ถือว่าด้วยจิตใจโกรธเคือง ไม่ชอบใจอะไรอย่างเช่นอาตมานี้ ไม่มีจิตใจโกรธเคือง ไม่เห็นด้วยก็กล่าวคัดค้านด้วยหลักฐาน พูดอย่างมีน้ำหนัก พยัญชนะสำเนียง นัจจะคีตะวาทิตะแรงๆก็ว่าได้ แต่จิตใจไม่ได้โกรธอะไรก็เป็นคุณสมบัติส่วนตัว อาตมาว่าอาตมาไม่มี คนจะไปรู้ใจอาตมาได้อย่างไร ก็ต้องสื่อให้รู้ว่าไม่ถูก

ที่สื่อออกมาทุกวันนี้ ก็แล้วแต่ใครลำเอียงไปทางไหน เอียงไปทางนับถือมหาเถรสมาคมที่เขานับถือกันมาเป็นร้อยปี โพธิรักษ์มาแค่ 40 กว่าปี คนไม่เชื่อก็ได้ แต่อาตมาก็ยังมุ่งมั่นว่ามันยาก ยังแก้กลับกันได้ เอาพระไตรปิฎกมาขยายอธิบายว่าสิ่งที่ถูกเป็นเช่นนี้ ทางโน้นนี่ผิด

คนได้ปักใจเถรสมาคมว่า เป็นรากฐานของศาสนาพุทธ ขึ้นมานั้นเป็นเรื่องผิดอาตมาก็รู้ได้ว่าทำยาก เพราะว่าคนไม่มีปรโตโฆษะ ไม่ยอมรับฟังคนอื่น ซึ่งคนก็น่าจะเชื่ออาตมา เพราะอาตมาอ้างอิงจากพระไตรปิฎก แต่ท่านก็ไม่ อาจจะขยายความออกไปบ้าง แต่เมื่อมีคนที่เขาเชื่อถือไปแล้วปักใจไปแล้ว ก็ยากมากที่จะแก้ความรู้สึกความรู้ของเขาที่ปักมั่น ใครที่มีจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นฟังแล้ว ก็จะรู้ว่ามีเหตุผลหลักฐาน คนที่มีปฏิภาณเข้าใจก็จะมีบ้าง

กว่าจะคลายได้อาตมาว่างานนี้เหนื่อย แต่เหนื่อยก็กัดฟันสู้  ไม่ขอตายง่ายๆ ไม่ขอแก่ง่ายๆ ทุกวันนี้ไม่ยอมแก่นะ มีแต่ตัวเลขของอายุไปเรื่อยๆก็ช่างมัน พยายามจะแข็งแรงทั้งพลังงานจิตใจและร่างกาย ร่างกายแก่นะแต่จิตใจของอาตมาไม่มีแก่เลย จิตใจเต็มล้น ออกจะไฮเปอร์ด้วยซ้ำ

สรุปแล้ว อยากรู้ว่าสาธารณโภคีกับบุญนิยมต่างกันอย่างไร ก็แยกแจกให้ฟังเป็นประเด็นให้ฟัง

บุญนิยมเป็นความหมายลึก เป็นความหมายเฉพาะบุคคล เป็นลัทธิ บุญอิซึ่ม เป็นหน่วยงานที่มีทฤษฎี ที่จะกำจัดกิเลสเรียกว่าบุญ มาศึกษาและกำจัดกิเลสให้ถูกต้องก็จะเรียกว่าบุญ

เมื่อคนชำระกิเลสได้ ก็มาเป็นหลักเป็นแก่นของสาธารณโภคี

ผู้ที่เริ่มศึกษาหรือศึกษาไปแล้วชำระกิเลสได้บ้าง มาก กลางหรือน้อยก็ตาม ที่เห็นดีเห็นด้วยก็จะมารวมกันกับผู้ที่ชำระได้แล้ว ผู้ชำระได้มาก ผู้ชำระได้กลาง กับผู้ชำระได้น้อย หรือยังชำระไม่ได้ ก็ตามมารวมกันมาเป็นผู้ที่ปฏิบัติร่วมกันโดยหลักสาธารณโภคี มีเครื่องอุปโภคที่อาศัยกินใช้ร่วมกัน ด้วยความเป็นระบบสาธารณะ ไม่ยึดติดเป็นของตัวของตน

มีการบริหาร เศรษฐกิจสาธารณโภคีจึงเป็นการบริหารของส่วนกลาง อย่างมีคณะกรรมการ มีคณะบริหาร มีสมณะ มีนักบวช มีสิกขมาตุ เป็นที่ปรึกษาแล้วมีคณะกรรมการเป็นผู้ช่วยกันบริหาร ก็ทำกันมาได้เป็นระบบสาธารณะโภคีจนถึงทุกวันนี้

และคนในระบบสาธารณะอื่นอีก ที่ตั้งขึ้นเป็นชุมชน จนกระทั่งเป็นหมู่บ้านทางนิตินัย อย่างเช่นราชธานีอโศกศีรษะอโศก เป็นต้น หมู่ 10 ตำบลบุ่งไหม

ส่วนที่ศีรษะอโศกก็เป็นหมู่ที่ 15 ตำบลกระแชงใหญ่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีผู้ใหญ่บ้านมี อบต.มีคณะบริหารกันเหมือนชุมชนทั่วไป

 มีเนื้อหาสาระที่บริหารกันโดยอิสระเสรีภาพ จะเป็นทางการก็ว่าไป

แต่พฤตินัยแท้ๆ แล้วเป็นสาธารณโภคี ประชากรในหมู่บ้านนั้น คนที่เป็นสมาชิกหมู่บ้านนั้นทำงานฟรี

ทำงานฟรีคือ ทำงานอยู่ในหน่วยงานของหมู่บ้าน คือฐานงานต่างๆ ซึ่งเป็นฐานงานส่วนกลางของหมู่บ้าน ผู้จะไปอยู่ในนั้นก็ไปช่วยงาน ทุกคนช่วยงานแล้วไม่ได้รับรายได้อะไรเลย ได้ผลงานผลผลิตให้ส่วนกลาง ทั้งหมด

สรุปคือทำงานแล้วส่วนได้รายได้เข้าสู่ส่วนกลาง เท่ากับเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นประชาธิปไตยที่เสียภาษี คนในสมาชิกสังคมสาธารณโภคีนี้เป็นประชาธิปไตยถึงขั้นทำงานแล้วให้แก่ส่วนกลางหมดเลย ไม่ยักเอาไว้เป็นของตนเอง นั่นคือสาธารณโภคี เสียภาษี 100 เปอร์เซ็น เหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์ เหนือชั้นกว่าประชาธิปไตย และแน่นอนเหนือชั้นกว่าเผด็จการได้แน่

สมณะเพาะพุทธว่า...คำถามที่ถามมาก็ได้รับการอธิบายอย่างละเอียดพิสดาร มีกองทุนในสาธารณโภคีปรากฏในสรรค่าสร้างคนว่า

1 กองกลางสงฆ์ (กิจของสงฆ์)

2 กองกลางทุก(ทุกอย่าง)

3 กองกลางสุข(สุขภาพ)

4 กองการศึก(ศึกษา)

5 กองกลางสื่อ

6 กองการค้า 

7 กองการสาได้แก่สาธารณะเพื่อสังคม

 

ส่วนผู้บรรลุบุญนิยม

ลักษณะของผู้บรรลุบุญนิยม

1) จะเป็นคนประหยัด มีชีวิตที่เรียบง่ายสมถะ ไม่เป็นคนเผาผลาญทำลาย ไม่ทำตัวหรูหราฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย

2) เป็นคนมักน้อยกล้าจน เสียสละอยู่เสมอๆ ไม่เอาเปรียบใครๆ

3) เป็นคนใฝ่ศึกษา สร้างสรรค์ สร้างสมรรถนะและขยัน แต่กินน้อยใช้น้อย ไม่สะสม มีแต่สะพัดออก

4) เป็นคนทำงานอย่างตั้งใจ กล้าขาดทุนให้แก่ผู้อื่นและสังคม ด้วยความเห็นแจ้งความจริงว่า ผู้ขาดทุนคือผู้มีกำไรแก่ชีวิตตนเอง หรือคือผู้มีประโยชน์ มีคุณค่าแก่ผู้อื่นอย่างถูกสัจจะ

5) เมื่อปฏิบัติธรรมได้สูง ยิ่งจะเป็นผู้สร้างสรร ขยัน อดทน เสียสละ สะพัดออก ไม่สะสม

ถึงขั้นสูงสุดก็คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนที่เห็นแก่ตัวเหลืออยู่เลยอย่างสัมบูรณ์ อันติมะ

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:18:28 )

590926

รายละเอียด

590926_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ถอดหัวโขนรู้ความจริงตามความเป็นจริง

อ.กุ้งว่า...หัวโขนใส่แล้วต้องถอด แต่ว่า บางคนไม่ยอมถอด ตำแหน่งหน้าที่ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้หลายคนหน้าที่ก็หายไป แต่กิเลสบางคนก็ติดยึดยศตำแหน่งที่เคยสวมหัวโขนไว้ คนใหม่ก็ใส่หัวโขนใหม่ มาเต้นใหม่

พ่อครูว่า...ก็ต้องมาศึกษาธรรมะจริงๆ คนยึดติดอันนั้น หัวโขนนั้นไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันไม่ใช่ตัวเรา คำว่าตัวเราคือความเป็นจริง เช่นตากระทบรูปอัน ก็รู้อันนี้ไม่มีอารมณ์ที่ 2 การที่เขาให้ตำแหน่งเรา คือให้เราไปทำงานให้แก่ทุกคน คนที่ทำงานราชการก็ให้ไปรับใช้ตามหน้าที่ ที่เขาให้ทำ หน้าที่ของตนคือหน้าที่ที่จะต้องมีชีวิต แต่หน้าที่ที่เป็นข้าราชการ  ใบสมัครแล้วเขาก็รับหน้าที่ให้ทำหน้าที่ หน้าที่นั้นไม่ใช่หน้าที่ของเรา นั่นแหละคือหัวโขน หน้าที่นี้เขาเห็นว่าเรามีความรู้ความสามารถที่จะทำงานหน้าที่นี้ได้

ยกตัวอย่าง หน้าที่จะให้ไปทำไม้ให้เป็นไม้จิ้มฟัน คนๆนี้มีความสามารถ เขาก็จ้างให้ทำไม้นี้เป็นไม้จิ้มฟัน เราก็ทำหน้าที่นี้ มันไม่ใช่งานของเราเหมือนเขาสวมหัวโขนให้เรา เพราะเรามีความสามารถทำไม้เป็นไม้จิ้มฟันได้ เขาก็ให้ทำ แต่ชีวิตจริงๆ ของเราคือชีวิตที่จะยังชีพที่ดี ดำเนินไปยังชีพไปเหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันก็ออกไปทำงานที่ตัวมันเอง แล้วก็หากินของมันเอง แต่คนที่ยกตัวอย่างเป็นข้าราชการ จะได้กินก็จะต้องได้เงินจากการรับจ้าง ยกตัวอย่างเป็นคนมีความสามารถทำไม้ให้เป็นไม้จิ้มฟัน ก็ต้องทำงานจะได้รับเงินเอามา ก็เอาเงินซื้อข้าวกิน มันไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ไปหากินโดยตรงเลย วัวจะออกกินหญ้าก็ไปเดินไปหาหญ้ากินโดยตรง มันไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนคน แต่คนมันซับซ้อนหลายชั้น ยิ่งเป็นนายทุนก็ซับซ้อนหลาย

มันเป็นสิ่งที่ไม่สั้น ไม่ตรงแท้ เป็นความซับซ้อนที่มีคนอื่นมาร่วมแฝง มาแบ่งตัด หัวกะทิ ส่วนอะไรที่ควรจะได้เต็มๆไปบ้าง หรือเอาไปหมดด้วยซ้ำไป เอาเศษเอากากมาให้เรา

ชีวิตของคนเรา เราไปทำงานหรือว่าทำหน้าที่อะไร โดยเราไม่รู้ตัวว่า อันนั้นคือหน้าไปทำให้เขา แต่หน้าที่ๆแท้จริงเราคือต้องมีสิ่งที่ยังชีพ มีปัจจัย 4 ให้แก่ชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเราไม่ได้ไปหลงกับหัวโขนนั้น ที่ยกตัวอย่าง ถากไม้ให้เป็นไม้จิ้มฟันนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือว่าอันนี้ทำให้เราได้ชื่อเสียงลาภยศ รับตำแหน่งสูงขึ้น ก็เป็นคนดูแลให้เขาถากไม้เป็นไม้จิ้มฟัน ก็เป็นหัวโขนที่เท่ห์ขึ้นใหญ่ขึ้น แล้วได้ราคาเพิ่มขึ้นด้วยนะซับซ้อนไปใหญ่เลย ก็เลยหลงว่ามีอำนาจสั่งการได้ เราไม่ต้องทำเอง สองได้เงินมากขึ้นกว่าเก่า หัวโขนก็เลยอ้วนพองขึ้นเรื่อยๆได้ด้วย

อ.กุ้งว่า...ชาวอโศกที่ดำเนินงาน การดำเนินชีวิตแบบบุญนิยมนี้ไม่มีเกษียณ ไม่มียศศักดิ์ตำแหน่งมีแต่การเสียสละแรงกายแรงใจร่วมกันเอาเป็นของกองกลางดูมันต่างกัน เป็นคนละมิติเลย

พ่อครูว่า..มันคนละขั้วเลย พวกเรานี้เข้าใจแก่นสารของชีวิตเหมือนสัตว์มันก็ทำมาหากินให้ชีวิตมันอยู่ส่วนอันอื่นที่เป็นของเคียงข้างมันเกี่ยวเนื่องกับคนอื่นๆ เกี่ยวกับลาภยศสรรเสริญพอกเข้าไปอีกมากมาย เป็นหัวโขนที่พอกเพิ่มขึ้น

 

_พ่อท่านคะ ความรู้สึกของคนที่เป็นพระโสดาบัน และเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไร

ตอบ...ตอบตัวต้นก่อนเลย ความรู้สึกของพระโสดาบัน นั้นคือ ผู้ที่มีตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจสัมผัสอะไรแล้ว ก็รู้ว่าอันนี้เป็นโลกีย์ อันนี้เป็นโลกุตระ รู้ใจตน เมื่อสัมผัสแล้วรู้ว่าใจตนเป็นโลกีย์ รู้ว่าใจที่เป็นโลกุตระก็จะทวนกระแสกัน รู้จุดของความเป็นกระแสโลกีย์ก็เป็นโสดาปัตตมรรค เมื่อปฏิบัติธรรมให้จิตใจลดกิเลสได้ก็เริ่มเป็นโสดาปัตติผลในสิ่งที่สัมผัสนั้นๆ  และสิ่งที่สัมผัสเป็นของตื้นของหยาบๆ ที่ไม่ควรเกิดกิเลสกับมัน เห็นคนเล่นไพ่ก็ใช่ เฉยๆกับมัน เป็นต้น ถ้าเห็นคนเล่นไพ่แล้วจะไปอยากเล่น มันก็ไม่ควร มันเป็นอบายมุข ก็ต้องคอยลดละ ใช้ประหาร 5 คือการเริ่มต้น  เมื่อลดได้กับกิเลสใดก็เป็นปัตติผล ของกิเลสนั้น เช่นคนโกงห้าหมื่นล้าน อภิมหาบรมอบายมุข ก็ไม่รู้ว่าไปโกงได้มากนั้นบาปฉิบหาย รู้แล้วก็เลิก โสดาบันนั้น รู้ว่าโกง 1 บาทก็ชั่วแล้วก็จะเลิก ต้องสำนึกจริงๆ จึงเป็นโสดาบัน แล้วก็จะเลิกทำ จิตใจของคนเป็นโสดาบันนั้น สัมผัสแล้วรู้ว่าเรายังอยากจะโกงก็ไม่ทำ ข้างนอกนั้นไม่โกงแน่นอน แต่ในใจจะมีอยาก ก็ต้องลดละไป แต่ไม่ใช่อนาคามีนะ เพราะว่าชั่วหยาบ

โสดาบันอยากได้ อยากทำ แต่กดข่มได้ไม่ทำได้ ยิ่งมีปัญญาไม่เอา ไม่ทำได้ นี่คือโสดาบันแท้

อรหันต์ ….สัมผัสอันนี้ ใช้เงินอย่างที่ว่า อย่าว่าแต่ห้าหมื่นล้านเลย บาทเดียวอรหันต์สัมผัสแล้วก็เฉยๆ แน่นอนสัมผัสบาทเดียวก็เฉยสิ ต่อให้สัมผัสห้าหมื่นล้านแล้วมีช่องทางโกงได้ เราเอาไปใส่ในงบลับ เอาคนเดียวก็ได้ เพราะเรามีอำนาจมาก เป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่ทำเลย แต่โสดาบันห้าหมื่นล้านจะทนไม่ไหวเอา

การจะสัมผัส ก็ขอสำทับว่า สัจจะของพระพุทธเจ้าต้องสัมผัสของจริง ต้องปฏิบัติอ่านใจที่สดๆว่า ใจนั้นเฉยต่อสิ่งที่ควรอยากได้ อยากมี อยากเป็น และไม่ผลักด้วย การผลักอยู่ก็ไม่เต็มบริบูรณ์

 

_จิตขี้เกียจมีวิธีแก้อย่างไร

ตอบ...ความขี้เกียจเป็นอบายมุขข้อใหญ่ คนจะหมดความขี้เกียจได้นะ อาตมาเข้าใจเรียนรู้จักตัวเอง กว่าจะหมดความขี้เกียจนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ มีแต่คนบังคับให้อาตมาพัก หาว่าขยันเกินไป อาตมาก็งงว่า ขยันเกินไปตรงไหน อาตมาทำงานไม่ทันด้วยซ้ำ ก็ทำซะสิ อาตมาทำได้ เขาก็หาว่าโอเวอร์โหลดซะแล้ว ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดอย่างเช่นท่านเดินดินเป็นต้น องค์อื่นไม่ต้องพูดถึง ท่านไม่ได้แกล้งว่า แต่อาตมาว่าทำไม ยังหนุ่มแน่น แบบนี้มันดูถูกว่าคนแก่นี่นา

สรุปคือคนขี้เกียจ คือคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง เราต้องพยายามไม่เห็นแก่ตัว ต้องพยายามสร้างสรรค์เสียสละ ต้องรู้ว่าคนเราต้องมีกรรมกิริยาสร้างสรรค์เสียสละ คนนั้นคือคนไม่ขี้เกียจ แต่ถ้าสร้างสรรค์แล้วเอาผลผลิตไปตั้งค่าแรง ถ้าผลผลิตไปขายเอากำไรมากๆ นั้นไม่ดี

 

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=87111

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efb1Z4enc1VTVVeDg

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5hjpgu6kmvgt/160926

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:19:01 )

590926

รายละเอียด

590926_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ถอดหัวโขนรู้ความจริงตามความเป็นจริง

อ.กุ้งว่า…วันนี้เราอยู่ที่พุทธสถานปฐมอโศก ตรงกับวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2559 ตรงกับแรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีวอก พ่อครูจะอยู่ไปถึงร้อยห้าสิบเอ็ดปี วันนี้มาดูพ่อครูดูหนุ่มขึ้นจริงสิ พิสูจน์ได้ พุทธศาสนาเป็นของที่พิสูจน์ได้ไม่ใช่สิ่งที่ลึกลับ เป็นวิทยาศาสตร์ เดือนนี้เป็นเดือนกันยายน เป็นเดือนสิ้นสุด อายุราชการของข้าราชการ แต่พ่อครูไม่มีเกษียณ โดยทั่วไปอายุ 60 ปีก็เป็นวัยที่เกษียณ ตรงนี้ อยากซักถามพ่อครู ให้ขยายความถึงศีลข้อที่ 5 สุราเมระยะมัชชะปมาทัฏฐานาเวรมณีสิกขาปะทังสะมาทิยามิ

ที่ผ่านมาพ่อครูได้พูดถึงเรื่องความซ้ำซาก บางครั้งซ้ำเท่าไหร่กิเลสก็ยิ่งหนาขึ้น ทำให้เบื่อหน่ายมากขึ้นท้อแท้มากขึ้น คนจะเกษียณ ไม่ต้องตื่นมาทำงานไปทำงานอีกแล้ว แต่สิ่งที่พ่อครูสอนว่าจะต้องอยู่ต่อไป เอาคำซ้ำซากนี่แหละมาตีให้เป็นประโยชน์ ให้คิดเชิงบวก

บางคนเดือนนี้ก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง สถานการณ์ประเทศไทยตอนนี้มีเรื่องเกี่ยวกับโฆษณาที่เกี่ยวกับทศกัณฐ์ เป็นการพูดถึงหัวโขนที่ใส่แล้วก็เอามาเต้นๆแล้วก็ถอดออก ซึ่ง ไม่ใช่ความเป็นจริง ความเป็นจริงนั้นอยู่ที่โลกุตรธรรม การไปรับตำแหน่งใหม่ก็เหมือนกับการใส่หัวโขนเต้นไปตามโลก

พ่อครูได้พูดถึงการชิมผลไม้ชนิดหนึ่งมันมีรสของความแท้ แต่มันมีรสที่ไม่แท้อยู่ด้วย หัวโขนที่คุณได้สวมนั้นมันเป็นความแท้จริงหรือไม่ จะมีมิติมุมมองอย่างไรไม่ให้เกิดความมัวเมา

 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ฟังดูหลายเรื่อง ที่พูดมา ก็ขอขยายความที่เอ่ยถึงสุรา เขาก็แปลแค่ว่าน้ำเมา ซึ่งเป็นความเพี้ยนในศาสนามานานแล้ว แม้แต่จะมีหลักฐานอธิบายว่าสุราก็คือความเมา แต่ไม่แปลว่าความเมา กลับไปแปลว่าน้ำเมา คือสุรา แล้วเมืองไทยก็ตั้งชื่อน้ำเมาว่าสุรา ไปเข้าใจว่าน้ำสุรา ก็คือน้ำเมา ดื่มเข้าไปแล้วทำปฏิกิริยากับประสาทของคนถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์สะกดเอา จนประสาทใช้งานไม่ได้ สติตก ไม่เต็ม ไม่รู้สึกตัว ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ตัวเองถูกอำนาจของกิเลสในอนุสัยขึ้นมาทำงานเต็มที่ กลับกลายเป็นคนเลอะเทอะไป แสดงอะไรที่เป็นกิเลสดิบๆสดๆต่างๆนานา เป็นความเสียหายของคนนั้น ที่ไปดื่มน้ำเมาแล้วทำได้ เป็นความเสื่อมความตกต่ำ

ประเด็นของศีลข้อที่ 5 มันหมายถึงความเสพติด ศีลข้อที่ 1  2 และ 3 เป็นกายกรรม ศีลข้อที่ 4 เป็นวจีกรรม ศีลข้อที่ 5 เป็นมโนกรรม ถ้ารู้จักการประมาณค่าสัจจะชัด แล้วก็เลิกไปตามลำดับ กาย วาจา ใจต้องเลิกเป็นพื้นฐานเบื้องต้นไม่ออกอาการหยาบทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม คำว่าสุราแปลว่า กล้า แปลว่าแรง

อบายมุขคือ สิ่งที่ควรจะเลิก จิตใจควรเลิกเสพติดอย่างแรง อะไรที่มันรุนแรงกับเราความเสพติดนั้นมันมาก อันนั้นแหละเราเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่เราไปเสพติด ท่านก็ยกตัวอย่างเช่น อบายมุข ที่แปลว่าสุรา คือน้ำเมาก็เป็นสิ่งเสพติด ในอบายมุข ทั้ง 6 ถ้าไปเสพติดก็เป็นความต่ำ เป็นเรื่องเสื่อมเสียแล้ว อย่าไปเสพติดสิ่งเหล่านั้น แปลสุราว่าคือน้ำเมาไม่ผิดแต่ไม่ครบ

ความประพฤติที่หยาบต่ำ ที่เลว ที่หยาบต่ำเป็นอบายมุขทั้งนั้น เช่นการโกงการทุจริตก็เป็น อบายมุข ควรเลิกควรตัด เป็นต้น

ในความหมายของธรรมะต่างๆ ผ่านมาถึง 2600 ปีแล้ว ความเพี้ยน ความผิดในคำบรรยายต่างๆผ่านมานานแล้ว ความเพี้ยนผิดมีมาก จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความถูกเลย มันวนรอบจนความผิดกลายเป็นความถูก ความถูกกลายเป็นความผิดเลย

การไปหลงผิดว่าศาสนาพุทธปฏิบัติธรรมต้องไปออกสู่ป่า หรือการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นความผิด ที่ตรงกันข้ามกันเลยกับศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกวิทู รู้จักโลกรู้จักสังคม แต่กลับไปสอนให้หนีจากโลกจากสังคม ไปเข้าป่า เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน

เขาไปแปลพระบาลี ไปเป็นไทย เป็นความเพี้ยน ทั้งที่ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ สมาธิลืมตาพร้อมไปด้วยสัมผัสทั้ง 6 มียืนยันในพระไตรปิฎกหลายแห่ง ต้องมีสัมผัสอยู่พร้อมในปัจจุบันตื่นรู้ เขาก็ฟังไม่ขึ้น อาตมาพูดเท่าไหร่

_มีคนถามมาว่า วัดพุทธในประเทศไทย ในบางวัดยังมีการสอนกันว่าเอาสติอยู่กับตัว รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ทำเพียงเท่านี้ก็ไปนิพพานได้ หรือไม่ก็บริกรรมพุทโธ แล้วพุทโธจะผุดขึ้นในจิตของเราจะได้พุทโธเป็นอย่างไรแล้วรู้เอง แล้วพ่อครูบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ต้องไปด้วยกัน แต่คนไทยยังหลงอีกเยอะ

บุญคือการชำระกิเลสให้หมดจากจิตสันดาน อรหันต์คือผู้สิ้นบุญสิ้นบาป และพระอรหันต์วัดจานบินที่เป็นผีบุญคืออย่างไรคะ

 ความจริงที่ว่าอย่าส่งจิตออกนอกมีความถูกต้องบ้างหรือไม่ ถ้าทำจิตภายในไม่ส่งออกไปให้จัดการกับกิเลสภายในของตัวก็น่าจะใช่หรือเปล่า

ตอบ...อันหลังนี้น่าจะเข้าท่า ให้มาจัดการกิเลสที่เป็น อกุศลจิตภายในของเรา อันนี้เป็นเจตนาเลยใช่เลย เราต้องรู้จักตัวกิเลส พระพุทธเจ้าให้อ่านปัจจุบันธรรม ของความจริงปัจจุบันคือ ตากระทบรูปแล้วอ่านก็ไปถึงจิตใจว่า ในจิตใจมีอาการชอบหรือชัง ความชังก็คือการอยากทำลาย ความชอบคืออยากเข้ามา แทนที่จะสัมผัสแล้วรู้ความจริง ว่ารูปอันนี้ใหญ่หรือเล็ก สีเป็นสีอะไรตามสภาพความเป็นจริงของมัน ไม่ว่าใครสัมผัสก็จะรู้เห็นเหมือนกันอย่างนี้ตามที่มันมีมันเป็น นั่นคือความเป็นจริงตามความเป็นจริง คือปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง เรียกว่าปัญญา แต่ถ้าเกินจากปัญญาแล้วก็มีสิ่งที่เข้าไปร่วมกลุ่ม ว่าอย่างนี้เราชอบหรือไม่ชอบ อาการเราชอบหรือไม่ชอบนี่แหละ เป็นอาการผี จะเรียกว่าผีบุญก็ได้ บุญคือการชำระ แต่นี่คือกลับไปผูกพันชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่ได้ชำระเลย แล้วเขาก็ไม่ได้สอนชัดเจนว่าให้เรียนรู้อันนี้ ได้ลดกิเลสอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบนี้

ถ้าเราไม่เรียนรู้ตัวนี้และพยายามให้ระงับ ตรวจที่ไม่ใช่ของจริงไม่ใช่ปัญญาจริง มันเกินไปเป็นชอบหรือไม่ชอบ มาเรียนรู้ให้ลดละเลิก อาการของจิตที่ไม่ชอบหรือชอบนี้ให้ได้ ต้องทำซ้ำทำเสมอ ทำให้บ่อย เพราะตาเราก็ต้องเห็น หูก็ต้องได้ยินเสียง จมูกก็ต้องได้กลิ่น ลิ้นต้องรับรสเสมอเราต้องวิเคราะห์วิจัยกิเลสให้ออก

ต้องพิจารณาว่าความจริงแล้วสิ่งที่เราสัมผัส ตาเห็นรูปนี้ อันนี้มันจริงอยู่หลัดๆ ตาเราก็กระทบนี้ แต่ที่มันปรุงแต่งว่าชอบหรือไม่ชอบ นั่นแหละคือของไม่แท้ คือของที่จะพาเราทุกข์ การชอบหรือไม่ชอบนี้มันจะพาเราเป็นทุกข์ และมันไม่มีตัวตน แต่ตาเรากระทบนี้สัมผัสอยู่นี้เป็นความจริงกว่า ทุกคนก็เห็นเหมือนกันมีเหมือนกัน แต่ที่มันเกิดขึ้นมาปลอมนี้ คือความชอบหรือไม่ชอบเป็นความปลอม

สมมุติว่าสัมผัสส้มโอ อาตมาสัมผัส ถ้าอาตมามีความชอบ อาตมาก็เกิดอารมณ์ชอบ คุณเองก็สัมผัสส้มโอเหมือนกัน แต่คนไม่ชอบส้มโอ ความชอบหรือไม่ชอบเป็นของปลอม คุณก็ไม่ชอบ อาตมาก็ชอบ แต่ความจริงส้มโอก็เป็นส้มโอ เห็นเหมือนกันอย่างนี้

มันเป็นการเกิดที่ไม่เที่ยงแท้ เดี๋ยวมันเกิดแล้วก็หายไปแต่ตาคุณก็ยังสัมผัสอยู่ คุณก็จะเห็นของจริงอยู่อย่างนี้ แต่อารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบมันแปรปรวนคุณควรเปลี่ยนแปลงไป อารมณ์อย่างนั้นทำให้เกิดความทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วทุกข์นี้ มันไม่เที่ยงแท้ มันคืออนัตตาไม่มีตัวตนจริง เป็นอารมณ์ที่คนสร้างขึ้นมาเอง

คนหนึ่งชอบคนหนึ่งไม่ชอบ ก็สร้างขึ้นมาเองทั้งคู่ อาการสัมผัสที่จริงก็จริงทั้งคู่ ท่านให้เรียนอันนี้ แล้วเลิก ให้เรียนอนิจจังทุกขังอนัตตา

แต่การเป็นนักสะกดจิต ดับความรับรู้นั้นไม่ได้เรียนรู้กับของจริง สมาธิแบบหลับตาสะกดจิตเป็นของลัทธิอื่นที่มีมาประจำโลกนี้ มีมาตลอดกาล ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิดก็ไม่มีสมาธิแบบพระพุทธเจ้า ขออภัย ถ้าอาตมาไม่เอาความจริงนี้มาย้ำอีก ซึ่งจะย้ำไปตลอดตายจนกว่าอายุ 151 ปี เขาก็จะเข้าใจว่าหลับหูหลับตาปฏิบัตินี้เป็นของศาสนา อาตมาว่าอาตมามาทำหน้าที่นี้

อ.กุ้งว่า...ถ้าจะศึกษาพุทธแท้ๆ ต้องมาล้างสิ่งที่เคยเข้าใจและไปยึดมั่นไว้ ก็ต้องเททิ้งไปแล้วมาศึกษาใหม่

ผมเคยศึกษาบทที่ 1 คืออายตนะ

พ่อครูว่า..สฬายตนะหรือฉฬายตนะ ที่มันเพี้ยนมาเป็นคำว่าฉลาด แท้จริงคือฉฬายตนะมีอายตนะรู้รอบทั้ง 6 ทวาร แต่ไปไปปิดทวาร รู้อยู่ทวารเดียวนั้นไม่รู้รอบแล้ว ที่พูดมานานถึง 40 กว่าปีแล้ว วันนี้ก็พูดให้คิดว่าศาสนาพุทธมีสัจจะเช่นนี้

พูดทวนซ้ำซาก ตากระทบเห็นรูปนี้ ตอนนี้ศึกษาตาก่อน ตาเห็นรูปเห็นส้มโอเห็นข้าวโพด เห็นของจริง และเป็นความจริงตากระทบเป็นปัจจุบันธรรม มีรูปมีนาม เป็นธรรมะ 2 ทุกคนถ้ามีตาที่ไม่เพี้ยน ก็เห็นเหมือนกันหมด ทุกคนที่มีตามาสัมผัสก็รู้เหมือนกัน นี่คือความจริง แต่จิตใจที่ไปรู้เพิ่มเติม รู้แถมขึ้นมาเป็นอารมณ์ 2 อารมณ์จริงก็คืออันนี้ เห็นเหมือนกัน ถ้าเกิดอารมณ์สองขึ้นมา อารมณ์นั้นแหละที่จริงไม่ควรให้มี ผู้ที่ดับอารมณ์นี้ได้ก็ไม่มี

การจะดับได้ต้องไปตามหาเหตุ ที่เราไปหลงเชื่อตามๆ กันมา ไปยึดถือเป็นอุปทานไว้ ท่านให้ไปสัมผัสและก็เรียนรู้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นมันไม่แท้ มันอนิจจัง อนัตตาเป็นเหตุแห่งทุกข์ ความชอบความชังนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่จริง อนัตตา มันไม่มีตัวตนเลย

 

อ.กุ้งว่า...เราเคยสัมผัสและรับติดยึดเป็นอุปาทานไปแล้ว แล้วก็มานึกทีหลังว่ามันเป็น สุขขัลลิกะแล้ว เป็นสุขเท็จแล้ว พอเราปอกเปลือกออกมาจินตนาการว่าอร่อยเราก็กิน พอกินแล้วมันไม่เหมือนที่เรายึด มีอุปาทานไว้มันก็ไม่ชอบ แต่ถ้าเรากินแล้วชอบรู้ตัวทีหลังก็ค่อยคิดได้ว่าสุขเท็จ

ถ้าไม่มีจริงสอนไม่ได้อย่างนี้แน่ ผมเชื่อใจมั่นใจ ตั้งแต่สมณะ พ่อครู คนในอโศกมีระดับอาริยะ พ่อครูเคยใช้คำว่าแม้แอบก็ไม่แอบเสพ

พ่อครูว่า..แอบคือสำนวนจิตเรายังแลบเลียเสพอยู่ คือใช้สำนวนว่า แอบ มีอาการเสพอยู่บ้าง ทั้งที่มันแรง ก็ไม่เอาแล้ว แต่มีแอบเล็มลิ้มเลียในใจอยู่

อ.กุ้งว่า..ถ้าเห็นไตรลักษณ์นี้ชัดก็ไม่แอบเพราะเท่าทันผัสสะ 

 

พ่อครูว่าว่า...ต้องเรียนรู้สึกปฏิบัติให้มีกำลังความรู้ ความเห็น มันเป็นกำลังเป็นอำนาจเป็นตัวเองที่รู้อย่างนี้ ไม่ไปแวบรู้อย่างอื่น ให้มันรู้ตรง ไม่รู้ผิดเพี้ยน พยายามฝึกฝนเข้าไป โดยให้เห็นความจริงว่าเราเข้าใจหรือยัง เข้าใจแล้วก็ต้องฝึกให้เป็นอย่างนั้น ด้วยการให้จิตใจเราไม่ต้องมีอาการอย่างที่เราจะไม่เอา ให้มีอาการอีกอย่างที่เราจะเป็น แล้วต้องเข้าใจว่า ทำไมเราต้องไปเห็นอย่างนั้น มันเป็นจริงอย่าง ที่เราว่าไม่จริง มันไม่จริงอย่างไร ก็ต้องพยายามเห็นว่า มันไม่จริงอย่างไรวิเคราะห์วิจัย

ยกตัวอย่างซ้ำ ตาที่กระทบส้มโอ ใครๆที่มาเห็นก็เห็นเหมือนกัน จะเรียกว่าเป็นสัญญา เป็นเวทนา มันก็ตรงกันว่าเป็นอย่างนี้ แล้วเวทนาหรืออารมณ์ มันเป็นอารมณ์ซ้อนขึ้นมา มันมีอารมณ์ 2 คืออารมณ์ชอบ ผิวดีสวยท่าทางรสมันน่าจะหวานดี มันก็เป็นอารมณ์ที่เพี้ยน มันเป็นอารมณ์ไม่จริง ทำไมเราไม่เอาอารมณ์เดียว คืออารมณ์ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) โดยการทำอารมณ์ที่ไม่แท้ให้หมดไป ให้กลายเป็นอารมณ์ที่แท้อย่างเดียว

ต้องเอาปัญญามาพิจารณาตามนี้ ทำซ้ำๆ ทำย้ำๆ ว่าจริงมันคืออันเดียว อีกอันมันเป็นอารมณ์เก๊ อารมณ์ชอบไม่ชอบ มันเป็นอารมณ์ผี ต้องพิจารณาฝึกฝนไป ก็จะเข้าใจความจริงตามนี้ นี่คือการทำเอกกัคคตาจิตของพุทธ ทำจนมันเป็นได้ มันเป็นอารมณ์เดียวของจิต นี่คืออรหัตตผล ไม่มีอารมณ์แฝง มีอารมณ์เดียวเลยไม่มีอะไรผิดเพี้ยน เป็นหนึ่ง นี่แหละอารมณ์อรหันต์

อ.กุ้งว่า...พระอรหันต์จึงเป็นคนที่ชื่อไม่มีความซับซ้อนแฝงอะไร

พ่อครูว่า..อันนั้นเป็นอารมณ์ที่ผิดเพี้ยนเป็นความโง่ ต้องรู้ความจริงอย่างเดียว ต้องอย่าให้มีอารมณ์ที่แฝงหลอกนี้เกิด ด้วยปัญญาก็ได้ แต่การกดข่มนั้นไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ต้องอ่านอารมณ์ที่แฝงมาเป็นตัวไม่แท้ มันเป็นอนัตตา ถ้ามันไม่มีแล้วตาคนก็เห็นรูปอย่างเดียวกันหมด รู้สึกรับรู้เหมือนกันหมด เป็นปัญญาที่แท้เห็นความจริงตามความเป็นจริง อาตมาว่าอาตมาอธิบายได้ชัดง่ายและจบ

อ.กุ้งว่า...ฟังแล้วทำให้นึกถึงการที่คนที่นี่ไม่ต้องใส่ใจกับคำพูด คำติฉินนินทา  เราเห็นเป็นสัจธรรม เราเข้าถึงสัจธรรม เราไม่เสแสร้ง การถูกติฉินนินทาว่าร้ายให้กล่าว ก็ไม่ระคายเคืองในอารมณ์ตน อารมณ์ก็จะไม่ขึ้นไม่ลง

หัวโขนใส่แล้วต้องถอด แต่ว่า บางคนไม่ยอมถอด ตำแหน่งหน้าที่ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้หลายคนหน้าที่ก็หายไป แต่กิเลสบางคนก็ติดยึดยศตำแหน่งที่เคยสวมหัวโขนไว้ คนใหม่ก็ใส่หัวโขนใหม่ มาเต้นใหม่

พ่อครูว่า...ก็ต้องมาศึกษาธรรมะจริงๆ คนยึดติดอันนั้น หัวโขนนั้นไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันไม่ใช่ตัวเรา คำว่าตัวเราคือความเป็นจริง เช่นตากระทบรูปอัน ก็รู้อันนี้ไม่มีอารมณ์ที่ 2 การที่เขาให้ตำแหน่งเรา คือให้เราไปทำงานให้แก่ทุกคน คนที่ทำงานราชการก็ให้ไปรับใช้ตามหน้าที่ ที่เขาให้ทำ หน้าที่ของตนคือหน้าที่ที่จะต้องมีชีวิต แต่หน้าที่ที่เป็นข้าราชการ  ใบสมัครแล้วเขาก็รับหน้าที่ให้ทำหน้าที่ หน้าที่นั้นไม่ใช่หน้าที่ของเรา นั่นแหละคือหัวโขน หน้าที่นี้เขาเห็นว่าเรามีความรู้ความสามารถที่จะทำงานหน้าที่นี้ได้

ยกตัวอย่าง หน้าที่จะให้ไปทำไม้ให้เป็นไม้จิ้มฟัน คนๆนี้มีความสามารถ เขาก็จ้างให้ทำไม้นี้เป็นไม้จิ้มฟัน เราก็ทำหน้าที่นี้ มันไม่ใช่งานของเราเหมือนเขาสวมหัวโขนให้เรา เพราะเรามีความสามารถทำไม้เป็นไม้จิ้มฟันได้ เขาก็ให้ทำ แต่ชีวิตจริงๆ ของเราคือชีวิตที่จะยังชีพที่ดี ดำเนินไปยังชีพไปเหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันก็ออกไปทำงานที่ตัวมันเอง แล้วก็หากินของมันเอง แต่คนที่ยกตัวอย่างเป็นข้าราชการ จะได้กินก็จะต้องได้เงินจากการรับจ้าง ยกตัวอย่างเป็นคนมีความสามารถทำไม้ให้เป็นไม้จิ้มฟัน ก็ต้องทำงานจะได้รับเงินเอามา ก็เอาเงินซื้อข้าวกิน มันไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ไปหากินโดยตรงเลย วัวจะออกกินหญ้าก็ไปเดินไปหาหญ้ากินโดยตรง มันไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนคน แต่คนมันซับซ้อนหลายชั้น ยิ่งเป็นนายทุนก็ซับซ้อนหลาย

มันเป็นสิ่งที่ไม่สั้น ไม่ตรงแท้ เป็นความซับซ้อนที่มีคนอื่นมาร่วมแฝง มาแบ่งตัด หัวกะทิ ส่วนอะไรที่ควรจะได้เต็มๆไปบ้าง หรือเอาไปหมดด้วยซ้ำไป เอาเศษเอากากมาให้เรา

ชีวิตของคนเรา เราไปทำงานหรือว่าทำหน้าที่อะไร โดยเราไม่รู้ตัวว่า อันนั้นคือหน้าไปทำให้เขา แต่หน้าที่ๆแท้จริงเราคือต้องมีสิ่งที่ยังชีพ มีปัจจัย 4 ให้แก่ชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเราไม่ได้ไปหลงกับหัวโขนนั้น ที่ยกตัวอย่าง ถากไม้ให้เป็นไม้จิ้มฟันนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือว่าอันนี้ทำให้เราได้ชื่อเสียงลาภยศ รับตำแหน่งสูงขึ้น ก็เป็นคนดูแลให้เขาถากไม้เป็นไม้จิ้มฟัน ก็เป็นหัวโขนที่เท่ห์ขึ้นใหญ่ขึ้น แล้วได้ราคาเพิ่มขึ้นด้วยนะซับซ้อนไปใหญ่เลย ก็เลยหลงว่ามีอำนาจสั่งการได้ เราไม่ต้องทำเอง สองได้เงินมากขึ้นกว่าเก่า หัวโขนก็เลยอ้วนพองขึ้นเรื่อยๆได้ด้วย

อ.กุ้งว่า...ชาวอโศกที่ดำเนินงาน การดำเนินชีวิตแบบบุญนิยมนี้ไม่มีเกษียณ ไม่มียศศักดิ์ตำแหน่งมีแต่การเสียสละแรงกายแรงใจร่วมกันเอาเป็นของกองกลางดูมันต่างกัน เป็นคนละมิติเลย

พ่อครูว่า..มันคนละขั้วเลย พวกเรานี้เข้าใจแก่นสารของชีวิตเหมือนสัตว์มันก็ทำมาหากินให้ชีวิตมันอยู่ส่วนอันอื่นที่เป็นของเคียงข้างมันเกี่ยวเนื่องกับคนอื่นๆ เกี่ยวกับลาภยศสรรเสริญพอกเข้าไปอีกมากมาย เป็นหัวโขนที่พอกเพิ่มขึ้น

อ.กุ้งว่า...ในการพอเพียงและพึ่งตัวเอง ตอนนี้นโยบายของรัฐก็กำลังดีขึ้น ผมก็จะต้องไปเกี่ยวเนื่องกับการทำแนวประชารัฐ ในหลักของประชารัฐ มีหลักการอยู่ 5 ข้อ ข้อสำคัญข้อหนึ่งคือการทำธุรกิจไม่แสวงหากำไร ซึ่งเข้าเป้าของที่นี่เลย มีเงินที่ระดมมาเป็นกองกลาง ให้จัดการ โดยไม่ต้องขายแข่งกัน แต่จะต้องนำพาชุมชนให้ดำเนินไป  ไม่มีการเอากำไรมาแบ่งกันตามหุ้น แต่เอาผลกำไรกลับมาขยายกิจการต่อไป ซึ่งเป็นระบบคิดที่เหมือนกับบุญนิยม ที่ที่นี่มีอยู่แล้วเป็นตัวแบบที่ประสบความสำเร็จด้วย แต่เพียงใช้ศีลเป็นหลัก

พ่อครูว่า...การคิดวิธีการนั้นดี แต่มันจะบานปลาย เพราะคนที่มาทำนั้นไม่คำนึงถึงการตัดกิเลส เป็นการไปทำตามวิธีการที่ออกแบบมาแล้วทำอย่างนั้น ให้เกิดการไม่รับส่วนกำไรมากเกินกว่า จะได้เอาเงินที่เป็นส่วนเกินนี้มาทำอะไรต่ออีก แล้วหมาไปเห็นขี้จะไปห้ามไม่ให้มันกินขี้ได้หรือไม่ มันแอบกินขี้แน่ๆ ดีไม่ดีมันกินต่อหน้าด้วย ไม่เหลือหรอก คือสรุปแล้วเป็นวิธีที่ออกแบบมาแล้วทำไม่สำเร็จผลหรอก มันไม่เป็นอย่างที่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นหรอก มันจะสูญเสียแล้วเกิดการทุจริตอีกเยอะแยะ

มันต้องตรงเป้าว่ามาเรียนรู้การตัดกิเลส ถ้าตัดกิเลสได้จะสำเร็จผล ถ้าคนยังมีกิเลสแล้วไปทำแบบนั้น เขาก็เอาที่ออกแบบมาไปทำตามกิเลสไม่เหลือหรอกทุน มันจึงเป็นเรื่องทุกวันนี้ ต้องชดใช้คืนกันกี่พันล้านกี่แสนล้าน

อ.กุ้งว่า..ข้อสังเกตของพ่อครูคือให้ดูแลกิเลสของคนที่จะมาร่วม

พ่อครูว่า...การให้การศึกษาของคนแล้ว ถ้าไม่ลดกิเลสเท่ากับสร้างอาวุธใส่มือ ศาสตราแปลว่าอาวุธ แล้วเอาอาวุธไปขี้โกง เข่นฆ่า แย่งชิง ทำชั่วกันทั้งหมด อาตมาถึงสรุปว่า การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศนี้ อาตมาเห็นทั้งโลก มีการศึกษา และมีการศึกษาที่ห่างออกจากศีลธรรม ห่างออกไปจากการลดกิเลส แต่เป็นการศึกษาที่เสื่อมไปมากมาย เป็นการศึกษาที่สอนให้คนเอาเปรียบโลก ใครได้การศึกษาสูงก็คือ คนได้เปรียบ

อ.กุ้งว่า...มีคนที่อยู่กำแพงเพชรถามมาว่า บุญนิยมคือปริยัติ สาธารณโภคีคือตัวปฏิบัติ ความพอเพียงคือปฏิเวธใช่ไหม

พ่อครูว่า...ถ้าเข้าใจว่าบุญนิยมคือทฤษฎีเป็นหลักปฏิบัติ แล้วก็มาปฏิบัติให้เป็นผล แล้วเป็นสาธารณโภคี แล้วไปสรุปว่าสาธารณโภคีคือเศรษฐกิจพอเพียง อาตมาก็พอ หยวนได้ ว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นผลสำเร็จของสังคม อย่างชาวอโศกเป็นเศรษฐกิจพอเพียงทั้งนั้น คือคำว่าพอ

พอตรงไหน พอตรงที่ว่า ชาวอโศกเป็นขั้นสาธารณโภคีเต็มๆ คือทำงานอยู่ในชุมชนแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด ใจเราที่ไม่เอาคือความพอ ทำแล้วเอาเข้ากองกลางหมด ดังนั้นสาธารณโภคีนั้นยิ่งใหญ่กว่าความพอเพียงด้วยซ้ำ ให้อาตมาเข้าใจว่าสังคมเราพอเพียง ก็สงบ สังคมใดบริหารปกครองต้องการให้สังคมสงบทั้งนั้น ไม่มีเรื่องวุ่นวาย ให้ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างทำอย่างประสานงานกันไป เชื่อมโยงกันไปแล้ว ไม่ต้องทะเลาะแย่งชิงกัน ไม่ต้องมีเรื่องราว คนนั้นได้มาก คนนั้นได้น้อย คนนี้ถูกคนนี้ผิดมันก็ถูก ต้องการเป้าหมายใหญ่กว่า อโศกทำได้แล้ว ทำได้แล้วว่าให้ทุกคนสูญหมด ไม่ต้องมี ได้มากหรือน้อยก็ไม่ทะเลาะ ถึงเวลาให้กินก็กิน ถึงเวลาทำงานก็ไปทำ ถึงเวลาไปนอนก็นอน ถึงเวลาทำงานก็ทำ จะทำงานรวมก็รู้ จะทำงานบางอย่างส่วนตัวก็ไป อาตมาภาคภูมิใจที่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาทำจนได้ผล

อ.กุ้งว่า...ถ้ามีเอกกัคตาจิตปฏิเวธนั้นออกมาให้เห็นผลเลย

พ่อครูว่า...ความจำเป็นนั้นบางคนไปสร้างให้คนหลงว่าเป็นความจำเป็นเช่นการแต่งหน้าตา หลอกสำเร็จว่าสวยด้วย ก็มีนัก creative เกิดขึ้นมามากมายในโลกจึงเป็นภาระหนักเติมขึ้นมาได้เรื่อยๆ

อ.กุ้งว่า...ส่งเสริมให้กิเลสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พ่อครูว่า...ก็เอามาอวดกันเสริมกิเลสเพิ่มขึ้นด้วย ให้โง่ ให้ถูกหลอกเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ

อ.กุ้งว่า...ถ้าเข้าถึงสาธารณโภคีหลักบุญนิยมจริงๆ จะเข้าถึงโลกะวิทู เข้าสู่ธรรมะที่แท้จริง เช่นดูส้มโอนี้  ของจริงคือต้องทำอยู่ทำกินกันเป็น

พ่อครูว่า...อาตมาพาตั้งโรงเรียนมีเด็กมาเรียน ทุกวันนี้เด็กในโรงเรียนของเรา เด็กจะต้องไปปลูกข้าว จะต้องไปทำงานเกี่ยวข้าว ต้องไปทำนา เป็นเจตนาที่ดึงมาจากที่พาให้ นักเรียนหรือเด็กเฟ้อไปไกล สังคมทุกวันนี้เอาเวลาไปตามหาโปเกม่อน จะบ้าหรือ เสียเวลาเสียแรงงานเสียทุน ที่ควรจะเอามาทำข้าวกิน เอามาทำงานที่เป็นสาระ เช่นที่เรา พากันมาฝึกที่เป็นสาระ ที่เป็นจริงกว่า

อ.กุ้งว่า...หลักสูตรของสัมมาสิกขานี้ทำก่อนรัฐบาล ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้นะ

พ่อครูว่า... เป็นสาระของชีวิตที่ชัดเจนกว่า ขออภัยที่พูดไม่ได้ยกตัว ชาวอโศกที่ให้การศึกษาเป็นโรงเรียนกว่า 20 ปี นโยบายมีวิธีการนั้น ล้ำหน้ากว่าของที่อื่นไปเยอะแล้ว ไกลมาก ขอพูดสัจจะความจริงหน่อย อาตมาคิดอ่านสร้างโรงเรียน เอาเด็กมาสอนมาเรียน ตั้งหลักการศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา ให้เขาได้รับศีลธรรม 40% ทำงาน 35% วิชาการตามหลักสูตรของกระทรวง 25% เราก็สอนให้เด็กรู้เท่าที่เขากำหนดมาไม่ให้ตกหล่น 25% นี้เท่ากับ 100 ของที่อื่นเขา เด็กที่อื่นเขาเรียนวิชาการกลับบ้านก็ไปทำการบ้านเรียนวิชาการ 100% ของเราที่เรียนอยู่นี่ก็ให้เขาเรียนรู้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เท่ากับเด็กที่เดินอยู่ข้างนอก แต่เราแถมให้เขาเป็นงานด้วย ให้มีศีลธรรมเพิ่มเติมให้แก่เด็ก

อาตมาตั้งโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ ทำหน้าที่ช่วยรัฐบาลในการให้การศึกษาแก่เยาวชน เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ให้การศึกษาแก่เยาวชน ทำอย่างไม่ได้ด้อยกว่าหลักสูตร ที่รัฐกำหนด แต่แถม เยาวชนให้มีคุณสมบัติอย่างที่ว่า โดยเจตนาเลย ไม่สร้างโรงเรียนมาเพื่อหาเงินทอง ให้อาสาสมัครมาสอนเพื่อสร้างเด็กนักเรียน เด็กที่ดีๆก็ทนได้ เรียนจบม.6 เด็กที่สู้ไม่ไหว เขารู้ว่าข้างนอกไม่ต้องหนักหนาสาหัสเช่นนี้ เช้าก็ไปเข้าห้องเรียนไม่ต้องทำงานกัน ไม่ต้องคำนึงถึงศีลแล้วทำอะไรคุณครูก็สอนไปแล้วก็กลับมาที่บ้านแค่นี้

ที่พูดนี้อธิบายให้ฟังถึงเนื้อผ้าเนื้อหา ว่าเราก็สร้างเด็กทำให้เยาวชน ให้แก่ประเทศชาติ เราไม่ได้ไปหาเงินทองอะไรจากเด็กเลย เด็กที่มาเรียนที่นี่ไม่ได้เสียเงินเลย ปัจจัยสี่ให้เขา ตั้งแต่เด็กจนโต พูดไปก็เกรงใจขออภัยเหมือนพูดทวงบุญคุณ มีเจตนาเช่นนี้ทำเช่นนี้ อาตมาภาคภูมิใจที่ทำสิ่งนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ขออภัยที่เหมือนโม้โอ้อวด แต่อาตมาว่าอาตมาพูดความจริง ผู้ที่อาสาสมัครมาช่วยนี้ขอบคุณจริงๆ เปิดมาเก้าโรงเรียนมา 20 กว่า ปีแล้ว

อ.กุ้งว่า...เป็นการให้เข้าสู่สัจธรรมนะครับ

พ่อครูว่า...พูดไปคนก็ไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆ แต่เจตนาอย่างนั้นให้เข้าสู่สัจธรรม

_ที่มีคนถามมาว่า วัดพุทธในประเทศไทย ในบางวัดยังมีการสอนกันว่าเอาสติอยู่กับตัว รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ทำเพียงเท่านี้ก็ไปนิพพานได้ หรือไม่ก็บริกรรมพุทโธ แล้วพุทโธจะผุดขึ้นในจิตของเราจะได้พุทโธเป็นอย่างไรแล้วรู้เอง แล้วพ่อครูบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ต้องไปด้วยกัน แต่คนไทยยังหลงอีกเยอะ บุญคือการชำระกิเลสให้หมดจากจิตสันดาน อรหันต์คือผู้สิ้นบุญสิ้นบาป และพระอรหันต์วัดจานบินที่เป็นผีบุญคืออย่างไรคะ ความจริงที่ว่าอย่าส่งจิตออกนอกมีความถูกต้องบ้างหรือไม่ ถ้าทำจิตภายในไม่ส่งออกไปให้จัดการกับกิเลสภายในของตัวก็น่าจะใช่หรือเปล่า

ตอบ...ที่อาตมาพาทำนี้คือทำเข้าหาสัจธรรม แต่ที่คุณพาทำนี้ออกนอกสัจธรรม ประเทศชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ก็ควรจะมีคุณธรรมทั้งนั้น อาตมาก็เดินเข้าหาสัจธรรมคุณธรรม คุณก็มาช่วยกันทำหน่อยสิ คุณเห็นนี้ดีแล้ว แต่คนอื่นหาว่าอาตมาทำนอกทาง แต่อาตมาไม่แคร์หรอก ว่าไปเถิด อาตมาจะทำสิ่งนี้ ชาตินี้อาตมาเกิดมาทำสิ่งนี้ขอยืนยัน

อ.กุ้งว่า...มีผู้หลักผู้ใหญ่ฟังรายการนี้ ก็ขอบคุณที่ฟังรายการธรรมะพ่อครู ทุกคนก็บอกว่าดี แต่ทำไมคนบางคนไม่กล้าเผยแพร่ต่อ

พ่อครูว่า…เป็นความซวยของมหาเถรสมาคม ที่มาตีอาตมาทิ้ง แล้วไม่กล้าแก้กลับ อาตมาไม่มีหัวโขนมีแต่หัวแท้ พูดจริงๆจังๆ เขาก็หาว่าอีก

วัดไหนก็สอนแต่ว่าอย่าเอาจิตออกนอกตัว ให้นั่งสมาธิ ทำจิตสงบ แล้วนิพพานจะปรากฏเอง อาตมาย้ำหนักเลยว่าอย่างนั้นมันผิด ตอกหัวตะปูด้วยฆ้อน 10 ปอนด์ อาตมาทำงานมา 46 ปีแล้ว แต่เถรสมาคมไม่ยอมรับว่าตนเองผิด คณะก่อนที่ทำนี้ไม่ค่อยเหลือแล้ว แต่คณะใหม่นี้ก็ไม่ได้เป็นคนทำอาตมาหรอก แต่แก้กลับได้ไหม เอาตามอาตมาก็จะได้แก้ไขได้

_แล้วบอกว่าอรหันต์คือผู้สิ้นบุญสิ้นบาป และพระอรหันต์วัดจานบินที่เป็นผีบุญคืออย่างไรคะ

ตอบ..ก็คือผีบุญ บุญคือการชำระกิเลสไม่ใช่กุศล คำว่าบุญนี้เข้าใจผิดไปมาก เอามาทำมาค้าขายหมด เอาบุญไปทำมาหากิน วัดไหนก็ทำแบบนี้

อาตมาว่ายังเป็นกุศลอยู่มากว่าในพจนานุกรมบาลีไทย ยังมีฉบับภูมิพโลภิกขุ คำว่าปุญญะ ท่านธัมมปาละ แปลว่า สันตานังปุนาติวิโสเทติ อาตมาว่าวิเศษมาก อาตมาก็หยิบจากนั้น ไม่มีพจนานุกรมฉบับอื่นที่เก็บตกไว้ได้ สุดยอดเลย อาตมาจึงเอามาขยายผล อาตมาพูดเองใครไม่เชื่อน้ำยาก็ต้องหยิบจากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาขยาย ว่าบุญคือ แปลว่าสิ่งที่ชำระกิเลส

บุญไม่ได้หมายถึงกุศล เพราะว่าถ้าบุญหมายถึงกุศล ผู้เป็นอรหันต์ แต่ท่านยังมีกรรมกิริยา ท่านก็ต้องทำกรรมเป็นบุญต่อ แต่นี่ไม่ใช่ แล้วมีพยัญชนะว่า ปุญญปาปปริกขีโณ ก็มี แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าท่านเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป มีอรหันต์พระโมฆราชก็ยืนยันว่าท่านเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป มันเกือบหมดที่อ้างอิงแล้ว ถ้าหมดก็เพี้ยนไปแล้ว

อาตมาเอามาขยายจากหลักฐานว่า ผู้ปฏิบัติบุญมีผลเป็นส่วนบุญในพระไตรฯล.14 ข้อ 257  ท่านตรัสว่าผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ แม้ไม่สิ้นอาสวะก็เป็นสาสวะคือได้ส่วนแห่งบุญ เป็นเสขบุคคล เป็นปุญญภาคิยา ได้ส่วนของบุญเป็นผลแก่ขันธ์ทั้ง 5​ ก็ลดความยึดมั่นเป็นส่วนๆ ผลก็ได้ลดกิเลสไป การได้ส่วนบุญเขาก็เข้าใจว่าไปปฏิบัติในวัดนั้นวัดนี้ ได้ส่วนบุญแล้วส่งส่วนบุญไปให้คนตายได้

ส่วนบุญคือการวินาศ ทำให้กิเลสฉิบหายไปได้ ทำให้หมดไป ทำให้ไม่มี เมื่อส่วนบุญที่ได้คือส่วนทำให้กิเลสลดไปได้ กิเลสมีร้อยหน่วยทำออกไปได้สิบหรือยี่สิบหน่วย ส่วนที่ลดกิเลสได้ นั่นคือส่วนบุญ

สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว ทำทุกกรรมเป็นกุศลไม่ต้องทำบุญแล้ว

มีคนเอาบุญไปหลอกกัน ว่าเป็นสมบัติ ไปหลอกให้คนมาเอาบุญ ได้บุญ แล้วอวดตนว่าเป็นผู้รู้ มีวิมานอยู่เฟสสองเฟสสาม ผู้ใดตายไปได้เป็นเทพบุตรสุดหล่อ ได้วิมานใหญ่ โม้แหลกอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ปาราชิกไม่รู้กี่ตลบกี่ครั้งแล้วนายคนนี้ ครอบงำความคิดได้ มีคนตกเป็นบริวารเต็มมหาเถรสมาคมเลย เวรของประเทศไทยจริงๆ ไม่ได้ใส่ความเลยว่า ธัมมชโยคือผีบุญตัวแท้

1 ซ่องสุมคน 2 ทำให้คนมานับถือถูกหลอกมาก 3 ไม่นับถือกฎหมายไม่ทำตามกฎหมาย นี่คือผีบุญเต็มสภาพ ทำไมกฏหมายบ้านเมืองไม่จัดการ อาตมาปรารถนาดีให้ปราบคนทำร้ายต่อมนุษยชาติประเทศชาติเสีย อย่างน้อยก็เอาเขาไปติดคุกมัดไม้มัดมืออย่ามาทำอย่างนี้ ที่มาเผยแพร่เชื้อโรคร้ายมากต่อมนุษยชาติ จะให้เขามาทำ นี่พูดด้วยใจจริง ไม่ได้เกลียดชังเขานะ ถ้าเขาหยุดก็ไม่เพิ่มบาปตัวเอง เอาแค่ขังคุกตลอดกาลก็จบ

_ความจริงที่ว่า อย่าส่งจิตออกนอกก็มีส่วนถูกหรือเปล่า เพราะว่าพวกเรากระทบสัมผัสก็ต้องจัดการกับกิเลสภายในถูกไหม

ตอบ...คุณเข้าใจความหมายนี้ดีถูกต้องแล้ว อย่าให้อกุศลจิตออกไปมีบทบาทมีอำนาจ เอามันอยู่ภายในและทำลายมันให้ได้ถูกต้อง

 

_ทำไมต้องมีพระอรหันต์ 9 รูปด้วยคะ มีมากหรือน้อยกว่านั้นได้ไหม

ตอบ...เป็นเรื่องอจินไตย ธรรมะ 9 นี้คือความเต็ม ของความมี ถ้าเป็น 10 แล้วมันสูญก็ได้นะ 9 นี้หมายถึงความเต็ม  ทั้งโลกก็นับเลข 1-9 ​แล้ว จะ10 หรือ0

ถ้าอาตมามีพระอรหันต์ 9 รูปก็เต็มแล้วในความได้ความมีความเป็น

 

_ถ้าเราเจอคนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อารมณ์แปรปรวน เราควรคิดอย่างไรและวางตัวกับคนคนนั้นอย่างไร

ตอบ...ก็ดูตัวเอง ไปเจอกับคนอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คุณจะช่วยเขาได้ไหม ถ้าคุณช่วยไม่ได้ก็ห่างไปไกลๆ เดี๋ยวโดนอารมณ์ดีอารมณ์ร้ายเข้าให้ ลำบาก คุณช่วยเขาไม่ได้ แต่ถ้าคุณช่วยเขาได้แน่ ก็ต้องช่วยเขา อย่างเช่นอาตมามาทำงานกับพวกอารมณ์ดีอารมณ์ร้ายนี่แหละ ทุกวันนี้ยากจริงๆ อาตมาก็พอช่วยได้ แต่อาตมานั้นอยู่ยงคงกระพัน คืออารมณ์ดีอารมณ์ร้ายนั้นทำอะไรอาตมาไม่ได้

 

_จิตขี้เกียจมีวิธีแก้อย่างไร

ตอบ...ความขี้เกียจเป็นอบายมุขข้อใหญ่ คนจะหมดความขี้เกียจได้นะ อาตมาเข้าใจเรียนรู้จักตัวเอง กว่าจะหมดความขี้เกียจนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ มีแต่คนบังคับให้อาตมาพัก หาว่าขยันเกินไป อาตมาก็งงว่า ขยันเกินไปตรงไหน อาตมาทำงานไม่ทันด้วยซ้ำ ก็ทำซะสิ อาตมาทำได้ เขาก็หาว่าโอเวอร์โหลดซะแล้ว ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดอย่างเช่นท่านเดินดินเป็นต้น องค์อื่นไม่ต้องพูดถึง ท่านไม่ได้แกล้งว่า แต่อาตมาว่าทำไม ยังหนุ่มแน่น แบบนี้มันดูถูกว่าคนแก่นี่นา

สรุปคือคนขี้เกียจ คือคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง เราต้องพยายามไม่เห็นแก่ตัว ต้องพยายามสร้างสรรค์เสียสละ ต้องรู้ว่าคนเราต้องมีกรรมกิริยาสร้างสรรค์เสียสละ คนนั้นคือคนไม่ขี้เกียจ แต่ถ้าสร้างสรรค์แล้วเอาผลผลิตไปตั้งค่าแรง ถ้าผลผลิตไปขายเอากำไรมากๆ นั้นไม่ดี

 

พ่อครูว่า...ที่บ้านราชฯฝนตกฟืนเปียก คนหาฟืนมาเผาศพ คือคุณไทเทิดธรรมก็บ่นว่าหาฟืนยาก ก็เป็นคนมีน้ำใจ คนอื่นถ้ามาช่วยกันก็แบ่งเบาภาระ แล้วตอนนี้ศพมาเผาต่อเนื่องเรียงกันหลายศพก็เลยบ่นว่า ฟืนหายาก ก็เห็นใจ เข้าใจขอบคุณ

อ.กุ้งว่า..เห็นอาช่วยบุญก็คิดว่าเป็นตำแหน่งพิเศษ สัปเหร่อ

พ่อครูว่า...สัปเหร่อคนไม่อยากทำ คือคนกลัวผีและรังเกียจ หรือธุระไม่ใช่ ไม่ได้เงิน ก็ไม่ทำ แต่ของเรามีคนช่วยทำ อาตมาภูมิใจที่ทำให้พวกเรามาอาสาโดยไม่ต้องจ้างทำ อาตมาว่าทำได้ผลสำเร็จ อาตมาไม่ได้รับหน้าที่ตามราชการ แต่อาตมาทำหน้าที่สร้างคนให้ชาติให้สังคม โดยไม่ต้องเห็นแก่เงินทอง อาตมาว่าทำได้สำเร็จนะ

 

_มีคำถามของ ด.ช.นโม พ่อท่านครับ เมื่อก่อนตอนเข้ามาที่สัมมาใหม่ๆ ผมยึดตัวตนที่เรียกว่าศีลมาก แล้วส่วนใหญ่ก็มักเป็นเช่นนั้น ศีลจึงกลายเป็นเครื่องมือจับผิดกันโดยมองข้ามตัวเองไม่มีสติ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาถึงรู้สึกว่าการรักษาศีลเช่นนี้ไม่ได้ประโยชน์ จนวันหนึ่ง ผมก็ได้ยินคำพูดหนึ่ง ที่ผมรู้ว่าประโยชน์มันได้น้อยจริงๆคือ “ศีลมีไว้ดูตัวเองไม่ได้เอาไว้จับผิดผู้อื่น” แล้วการที่จะเป็นมิตรที่จะช่วยเตือนกันได้ ควรเตือนกันอย่างแบบไหน ที่ไม่ให้สติออกนอกตนครับ แล้วการที่เราดูตนเองก่อนคนอื่น ถ้าเราฝึกแบบนี้ก็กลายเป็นการยึดหรือเปล่าครับ

ตอบ...ไม่ยึดเราก็ทำหน้าที่ๆเรามีศีลปฏิบัติยึดอย่างสมาทาน ไม่ได้ยึดอย่างอุปาทาน ยึดอย่างเอาหลักมาทำของเรา

_แล้วการที่เรามีจิตมั่นคง แต่สังคมที่เราอยู่ด้วยกลับไม่มั่นคง มีโลกีย์มากกว่า เราเลยต้องเล่นละครไปกับเขา โดยดูจิตที่เราจะไม่ไปกับเขา ไม่ผิดใช่ไหมครับ มีบทกวีมาด้วย

ไม่ขอหวังภพใดในชาติหน้า      ไม่ขอว่าชนะใครในภายหลัง

ไม่ขอมุ่งผูกเวรเป็นกองคลัง       ไม่ขอหวังอนาคตได้ตอบแทน

เมื่อทำงานแล้วหวังหยั่งลงจิต     นั่นแหละโซ่ตรึงติดจิตหวงแหน

เมื่อทำทานแล้วหวังสาขาแดน    หวังแก้วแหวนเงินทองกองอนันต์

นี่คือภพที่พุทธสอนให้ล้าง บรรลุว่างวางจิตไม่ผิดผัน

มีสติตามรู้จิตทั่วทัน                    ทั้งนี้นั้นเพื่อตนและชนเอย

ผมเข้าใจและเรียบเรียงถูกหรือเปล่าครับ

 

ตอบ...ก็ถูกแล้วละเอียดดี นโมนี้มีธรรมะที่เกินผู้ใหญ่อยู่เยอะ

 

_หลวงปู่คะ ที่หลวงปู่บอกว่าหลวงปู่เคยเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าหลวงปู่ชื่ออะไรคะ

ตอบ...อย่าไปพูดไม่เอา เขาไม่พูดกัน มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่น พูดกันเล่นนั้นมันเสียหาย อย่างเช่นหลวงปู่จะบอกอะไรไปก็ต้องเกิดคุณค่าประโยชน์ ต้องรู้ว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด ก็ขอกำชับว่าอย่าเอาไปพูดต่อ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปคุยโม้โอ้อวด เรารู้แล้วเราก็ทำอะไรที่ควรจะเป็นควรจะดี จะเชื่อถือไม่เชื่อถือก็ไม่เป็นไร เราก็ทำตามที่เราเชื่อ

 

_พ่อท่านคะ ความรู้สึกของคนที่เป็นพระโสดาบัน และเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไร

ตอบ...ตอบตัวต้นก่อนเลย ความรู้สึกของพระโสดาบัน นั้นคือ ผู้ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสอะไรแล้ว ก็รู้ว่าอันนี้เป็นโลกีย์ อันนี้เป็นโลกุตระ รู้ใจตน เมื่อสัมผัสแล้วรู้ว่าใจตนเป็นโลกีย์ รู้ว่าใจที่เป็นโลกุตระก็จะทวนกระแสกัน รู้จุดของความเป็นกระแสโลกีย์ก็เป็นโสดาปัตตมรรค เมื่อปฏิบัติธรรมให้จิตใจลดกิเลสได้ก็เริ่มเป็นโสดาปัตติผลในสิ่งที่สัมผัสนั้นๆ  และสิ่งที่สัมผัสเป็นของตื้นของหยาบๆ ที่ไม่ควรเกิดกิเลสกับมัน เห็นคนเล่นไพ่ก็ใช่ เฉยๆกับมัน เป็นต้น ถ้าเห็นคนเล่นไพ่แล้วจะไปอยากเล่น มันก็ไม่ควร มันเป็นอบายมุข ก็ต้องคอยลดละ ใช้ประหาร 5 คือการเริ่มต้น  เมื่อลดได้กับกิเลสใดก็เป็นปัตติผล ของกิเลสนั้น เช่นคนโกงห้าหมื่นล้าน อภิมหาบรมอบายมุข ก็ไม่รู้ว่าไปโกงได้มากนั้นบาปฉิบหาย รู้แล้วก็เลิก โสดาบันนั้น รู้ว่าโกง 1 บาทก็ชั่วแล้วก็จะเลิก ต้องสำนึกจริงๆ จึงเป็นโสดาบัน แล้วก็จะเลิกทำ จิตใจของคนเป็นโสดาบันนั้น สัมผัสแล้วรู้ว่าเรายังอยากจะโกงก็ไม่ทำ ข้างนอกนั้นไม่โกงแน่นอน แต่ในใจจะมีอยาก ก็ต้องลดละไป แต่ไม่ใช่อนาคามีนะ เพราะว่าชั่วหยาบ

โสดาบันอยากได้ อยากทำ แต่กดข่มได้ ไม่ทำได้ ยิ่งมีปัญญา ไม่เอา ไม่ทำได้ นี่คือโสดาบันแท้

อรหันต์ ….สัมผัสอันนี้ ใช้เงินอย่างที่ว่า อย่าว่าแต่ห้าหมื่นล้านเลย บาทเดียวอรหันต์สัมผัสแล้วก็เฉยๆ แน่นอนสัมผัสบาทเดียวก็เฉยสิ ต่อให้สัมผัสห้าหมื่นล้านแล้วมีช่องทางโกงได้ เราเอาไปใส่ในงบลับ เอาคนเดียวก็ได้ เพราะเรามีอำนาจมาก เป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่ทำเลย แต่โสดาบันห้าหมื่นล้านจะทนไม่ไหวเอา

การจะสัมผัส ก็ขอสำทับว่า สัจจะของพระพุทธเจ้าต้องสัมผัสของจริง ต้องปฏิบัติอ่านใจที่สดๆว่า ใจนั้นเฉยต่อสิ่งที่ควรอยากได้ อยากมี อยากเป็น และไม่ผลักด้วย การผลักอยู่ก็ไม่เต็มบริบูรณ์

อ.กุ้งว่า...ถ้าจิตเราเอกัคคตาจิต เราสัมผัสแล้วเห็นความจริงตามความเป็นจริงก็ไม่ต้องมากดข่มปหานเลย พ่อครูสอนแรกสัมผัสแล้วเห็นสัมผัสนั้นมีอารมณ์เดียวไม่มีสองแล้ว

พ่อครูว่า...ไม่ต้องเลย จิตใจมันเป็นหนึ่งเดียว เอกกัคคตาเลย ที่บอกว่าจิตเป็นอันเดียวคือตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลงเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)นั่นคือเป็นสมาธิบริบูรณ์เป็นเอกัคคตาจิต

เอกกัคตาจิตเป็นอย่างไร?

 

เอกกัคตาจิตไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วจับจิตอย่างเดียว นั้นไม่ใช่ของพุทธเลย จิตเอกัคคตา คือจิตแข็งแรงต่อผัสสะ ไม่มีสอง เป็นเวทนาอันเดียว อย่างลืมตาสัมผัสมีความรู้แท้จริง มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีดูดไม่มีผลักไม่มีรักไม่มีชัง

พระพุทธเจ้าขยายว่านิพพานจะมีลักษณะ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ท่านตรัสไว้ใน(พตฎ. เล่ม 30   ข้อ 658-659)

จิตนิพพานนั้นเที่ยงแท้ สภาวะจิตที่เป็นนิพพานนี้เที่ยง คนไปแปลง นิพพานเที่ยงแท้ว่า เป็นอัตตาอีก ซึ่งไม่ใช่  มันอนัตตาต่างหากที่เที่ยง ไม่ใช่อัตตาเที่ยง เขาว่า นิจจังก็ต้องสุขัง อัตตาอีก จะไปเล่นคำอีกเลอะเทอะ

ถ้าพูดว่านิพพานเที่ยงก็รู้แล้วว่าคนพูดไม่ได้มีธรรมของพระพุทธเจ้า เขาว่านิพพานเป็นอัตตา นิพพานนั้นเที่ยง คนนั้นโมเมแล้ว

คนที่รู้ธรรมะจริง จะพูดว่านิพพานเป็นอัตตาไม่ได้ แต่ถ้าพูดว่านิพพานเที่ยงก็ค่อยมาพูดกัน คุณทำนิพพานได้ตลอดกาลตลอดไปนะ จะถูกกระแทกอย่างไรก็ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ทำได้จริงๆก็เป็นอรหัตผล

คนที่อธิบายอภิสังขาร 3 คือปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ปุญญาภิสังขาร คือชำระกิเลสให้ได้ ผู้ใดอภิสังขารให้กิเลสลดได้ เป็นปุญญาภิสังขาร เมื่อทำได้จนอปุญญะ คือไม่เกิดบุญอีกได้แล้ว อภิสังขารไปก็ไม่เป็นบุญแล้ว เป็นแต่กุศล ผู้นี้จึงเกิดอเนญชาภิสังขาร คือยิ่งตั้งมั่นแข็งแรงไม่หวั่นไหว ตกผลึกเต็มรูปในคุณภาพที่ทำได้ เป็นอนุรักขณาปธาน สะสมเป็นองค์คุณอุเบกขายิ่งขึ้นๆ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นขั้นรักษาผลนิพพาน

แต่ไม่เข้าใจในอภิสังขาร 3 นี้ ก็ไปแปล ปุญญาภิสังขารว่าเป็นบุญ แต่อปุญญาภิสังขาร ก็แปลว่าการปรุงแต่งที่เป็นบาป คนแปลเช่นนี้รู้เลยว่าไม่รู้จักบุญ บาป ยิ่งไปอเนญชาภิสังขารก็ไม่รู้สภาวะแท้เลย ว่าไปตามภาษา

อ.กุ้งว่า...วันนี้เป็นธรรมส้มโอ ...ฟังวันนี้เหมือนเคยได้ฟัง แต่การเข้าถึงสภาวะก็เปลี่ยน ติดตามพ่อครูไปเรื่อยๆ พ่อครูบอกว่าจะอยู่ไปอีกยาวไกล ผมก็ต้องไปทบทวนว่าทำอย่างไรจะอยู่ได้ยาวไกลไปกับพ่อครู...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:19:26 )

590927

รายละเอียด

590927_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

_แล้วคนเราเกิดมาทำไมทำไมคนเราถึงต้องตาย

ตอบ...อันนี้เป็นของจริงที่ไม่มีอะไรเลยเกิดมาแล้วจะไม่ตาย แล้วทำไมคนเราจึงต้องเกิดเพราะคนเราโง่ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นสัตว์ เป็นจิตนิยาม มีพลังงานระดับตัวตน แต่ก็รักตัวตน จะยังไม่รู้จักการดับ ก็เกิด ตามอายุของสัตว์แต่ละชนิด สัตว์บางชนิดนั้นอายุเป็นล้านปีคือไวรัส

สรุปคือเมื่อไม่รู้ก็เกิดมาเป็นจิตนิยาม อย่างอุตุก็เป็นของมันนานมากกว่าจะพัฒนามาเป็นพีชะ มันจะได้รอบของมันเอง โดยที่มันเองก็ไม่รู้ตัวเองที่จะต้องพัฒนามา แล้วมาเป็นจิตนิยามอีก มันไปตามยถากรรม พอมาเป็นจิตนิยามสัตว์ไหนก็ไม่อยากตาย ให้มีสวรรค์ 6 ชั้นนี้ให้นานๆ จนกว่าจะมาเป็นโลกุตระ

คนที่จะตายก็ถึงเวลาต้องไป แต่คนที่รู้จักตายอย่างไม่เกิด ตายเลิกไปเลยนั่นคือการปรินิพพาน

 

_ดูกรนาคิตะ อาหาร ที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมมีอุจจาระและปัสสาวะเป็นผล นี้เป็นผลแห่งอาหารนั้น ความรักมีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาส ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่รักแปรปรวนเป็นอื่นเป็นผล นี้เป็นผลแห่งความรักนั้น ความเป็นของปฏิกูลในอสุภนิมิต ย่อมตั้งอยู่แก่ภิกษุผู้ขวนขวายการประกอบตามอสุภนิมิต นี้เป็นผลแห่งการประกอบตามอสุภนิมิตนั้นความเป็นของปฏิกูลในผัสสะ ย่อมตั้งอยู่แก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในผัสสายตนะ 6 อยู่ นี้เป็นผลแห่งการพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในผัสสายตนะนั้นความเป็นของปฏิกูลในอุปาทาน ย่อมตั้งอยู่แก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นความเกิด และความดับในอุปาทานขันธ์ 5 นี้เป็นผลแห่งการพิจารณาเห็นความเกิดและความดับในอุปาทานขันธ์นั้น ฯ

 

_คำถามจากดญ.ดูแลและดญ.หน้าต่าง..ความรักสิบมิติเป็นอย่างไรคะ เราเกิดมาทำไมคะ แล้วทำไมคนเราต้องตาย

ตอบ...ความรักสิบมิติ ก็อธิบาย

ความรักมิติที่ 1 เป็นความรักระหว่างเพศ ในโลกนี้มีเรา 2 คน เป็นเมถุน ไม่เห็นกับใครเลยเห็นกับเราสองคน เป็นความเห็นที่คับแคบเป็นความรักที่คับแคบ ไม่มีคุณค่าไม่มีประโยชน์เลยตามมา แม้มีลูกก็ไม่เห็นแก่ลูกเห็นแก่สองคน พระพุทธเจ้าเคยอธิบายจนกระทั่งถึงว่า สองคนนี้มีลูกแล้วก็เดินไปด้วยกัน เมื่อเดินทางไปเสบียงหมด เสร็จแล้วฆ่าลูกตัวเองกิน เพื่อที่จะไปสู่จุดที่ต้องการ

เป็นเรื่องของเพศเป็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่องของราคะหลงอยู่ตรงนั้น

ความรักมิติที่ 2 มีลูกก็รักลูกเผื่อแผ่แก่ลูก แต่ยังแคบอยู่ให้ลูก

ความรักมิติที่ 3 ให้กับญาติ กว้างขวางเผื่อแผ่ให้แก่พี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายลูกหลานเหลน แต่คนอื่นๆที่ไม่ใช่สายเลือดก็ไม่เห็นแก่เขา ขี้เหนียวรักแค่นี้ ก็ยังไม่สูง

ความรักที่ดีที่ 4 ก็ขยายเพิ่มมิตรสหาย เพื่อผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน

ความรักมิติที่ 5 ขยายไปสู่สังคม ไปสู่รอบกว้าง จนถึงระดับประเทศ

ความรักมิติที่ 6 เป็นระดับประเทศ

ความรักมิติที่ 7 เป็นความรักระดับจักรวาลระดับพระเจ้า ระดับที่เพื่อทุกคน ไม่รักเว้นแม้แต่สัตว์ เป็นความรักที่ไม่จำกัด หาประมาณไม่ได้

ความรักไม่ติดที่ 8 เป็นความรักของพุทธ คือจะต้องรู้หมดในระดับที่ 1 ถึง 7 และพัฒนาตนเองให้สูงมาเป็นลำดับ ถ้าของศาสนาเทวนิยมเขาขึ้นสูงแล้วก็ลงต่ำ แต่ของพุทธนั้นไม่ลงต่ำ ไม่ถอยหลังกลับ

ความรักมิติที่ 9 โพธิสัตวภูมิ

ความรักมิติที่ 10 เหมือนกับความรักของพระเจ้ารักทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นคนที่จริงมีการประพฤติปฏิบัติจริง แต่ของศาสนาเทวนิยมนั้นพระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นไอเดียลิสท์ เป็นความนึกคิดไม่มีตัวจริงมาปฏิบัติได้ แต่ของพุทธะนั้นมีตัวจริง

 

_คนเราเกิดมาผ่านการเกิดตายมานานมากๆ สั่งสมในสัญญา เวลาออกมาก็เรียกสัญชาติญาณ ดีก็ออกมา ชั่วก็ออกมา คนไม่รู้ตัวว่าทำชั่วนี้อาการหนักมาก บางคนรู้แต่ห้ามไม่ได้ก็เลยทำ แต่ที่ทำส่วนใหญ่ไ่ม่รู้ตัว แล้วทำแล้วก็รู้สึกตัว แต่ที่ชั่วหนักคือทำไม่รู้ตัว ผ่านไปแล้วคนบอกมันก็ไม่สำนึกไม่รู้ว่าชั่ว เขากลับเห็นว่าดีจะตาย กูได้ทั้งลาภ ยศ เสพกาม อัตตา ได้อำนาจบาทใหญ่ข่มเหง เหมือนอย่างธัมมชโย คนฆ่าตัวตายเหมือนยิ่งลักษณ์ เอาข้าวไปจำนำคนผูกคอตายเป็นสิบคน บอกว่าหนูไม่รู้ มันอำมหิตมาก ไม่รู้สึกรู้สาจริงๆ ขณะนี้ถามหน่อย คุณว่ายิ่งลักษณ์นี้รู้สึกตัวหรือยัง...ยัง

ถ้าเขายอมรับความผิดจะเบาลงอีกเยอะควรจะเอ็นดูเขา จะยกให้เขา แต่นี่เขาจะยกให้ได้อย่างไร

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=87126

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfZjFzYmJoSUtJdkk

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/11u7wv8f405r/160927_

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่:
https://youtu.be/L20YFQxqAMM


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:19:50 )

590927

รายละเอียด

590927_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

พ่อครูว่า...ที่สันติอโศก วันนี้วันอังคารที่ 27 กันยายน 2559 แรม 11 ค่ำเดือน 10 ปีวอก ผ่านแรม 10 ค่ำเดือน 10 มาเมื่อวานนี้ วันเวลาก็ผ่านไปผ่านไป ใครที่สำคัญในกาละเวลาแล้ว ทำกาละเวลานั้นเป็นกรรมให้ดีให้เจริญคนนั้นก็ไม่สูญเปล่าในการเกิดมาเป็นคน

คนเราเกิดมาเป็นชีวิตอยู่ในสังคม ก็อยู่ในกาละที่มีกรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม ชีวิตคนเราเกิดมาสำคัญที่สุด คือกรรมกับกาละ ถ้าใครไม่รู้จักจัดการกรรมของเราให้เป็นกรรมที่ยิ่งใหญ่ มีทั้งบุญและกุศล

บุญ คือกรรมที่สามารถกำจัดกิเลสได้ กุศลก็เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสมมติสัจจะ ส่วนบุญนั้นเป็นปรมัตถสัจจะ ผู้ใดทำได้ครบเป็น 2 ส่วน อุภยัตถะ ผู้นั้นกำไรๆๆ

อาตมาเกิดมาในยุคนี้ขอกล่าวว่า ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้จะต้องนำสัจจะนี้กลับคืนมาให้ได้ เพราะว่าคำว่าบุญได้ถูกชาวพุทธเราทำลายไปอย่างชัดเจนแล้ว หมดค่า เอาไปเป็นเหตุปัจจัยในการหลอกลวงผู้อื่นทำลายศาสนาพุทธเสียยับเยิน เอาไปหลอกเป็นความหมายทางด้านสมบัติ ซึ่งมันผิด

บุญมีคุณลักษณะด้านวิบัติ ทำความทำลาย มนุษย์มีความเลวร้ายอันใด คุณก็มีหน้าที่จัดการ จึงเรียกว่าผู้ใช้บุญถูก ทำบุญเป็น บุญนั้นเป็นสัจจะที่แท้จริงเป็นผู้มาปราบมารที่แท้จริง

คนที่เอาบุญไปหลอกมนุษยชาติเป็นมารตัวจริง แล้วมาอ้างว่าตัวเองจะมาปราบมาร นี่คือความเสื่อมสุดๆของยุคสมัย อาตมาจึงได้เรียกว่าจะมาปราบมารวันนี้ แต่ไม่ได้ปราบอย่างผู้ร้าย จะมาปราบอย่างผู้ดี ใช้สัจจะในการปราบอย่างเดียว

มาถึงยุคนี้ศาสนาของพระพุทธเจ้าผ่านมา 2559 ปี เสื่อมมาเกือบหมด เกือบไม่เหลือเชื้อของความเป็นพุทธ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีล เรื่องทาน เรื่องสมาธิเรื่องปัญญาเรื่องวิมุติผิดหมด จึงจำเป็นต้องมากู้กลับเอาสิ่งที่ถูกต้องกลับคืน สิ่งที่ผิดแล้วก็ต้องเลิก

ก็ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อยก็สามารถปฏิบัติได้ มาเกาะกลุ่มกันมาเอง น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน แล้วมีผู้ปฏิบัติตาม อาตมาพานำ ตั้งแต่ตัวคนเดียว ควงดาบอยู่ตั้งนาน ที่รำดาบนี้เป็นพระราม รำวืดๆอยู่ตั้งนาน จนกว่าจะมีผู้รู้ผู้เห็นมารวมตัวกัน

อาตมาจริงๆก็ได้สร้างกองทัพธรรมขึ้นมา โดยที่อาตมาปางนี้ชาตินี้ เป็นผู้นำที่อยู่เบื้องหลังตลอดมา จริงๆอาตมาเป็นประธานกองทัพธรรมแต่ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานกองทัพธรรมเลย  นี่เป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องสัจจะ

เป็นการพิสูจน์ว่าจิตอาตมาจะมั่นคงไหมจะ ริษยาไหม ไหมจะชิงดีชิงเด่นไหม อาตมาเองต้องทดสอบ เป็นโจทย์ให้อาตมาทดสอบ เชื่อไหมว่าอาตมาสอบผ่านมาถึงวันนี้แล้ว ถือว่าครึ่งอายุแล้วนะ 82 ย่าง 83 ปี ก็จะพยายามไปอีกครึ่งอายุเพื่อที่จะทำงาน มันยาก

เป็นยุคปลายภัทรกัปป์ นับตั้งแต่ตรงนี้ แล้วก็ไปสู่ปลาย ปลายก็เสื่อม เริ่มต้นก็ดีๆๆๆ ดีแล้วก็เสื่อม มาถึงปลายสุดก็เสื่อม อาตมาจะเป็นผู้ส่งท้ายเก็บเพชรพุทธ นี่ขึ้นมาปัด แล้วก็นำขึ้นหิ้งใหม่ มันถูกย่ำยีทำลายไป เสียหมองไปหมด แต่เพชรนี้ไม่มีใครทำลายได้ แข็งที่สุด ทรงสภาพแวววาว เป็นเพชรที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีเสื่อมง่ายๆ แข็งมาก แต่ว่าถูกย่ำยีหมองหม่น ถูกกลบ ถูกปลอมแปลง ก็ต้องเอามาคืน

มาถึงยุคนี้ เป็นยุคซับซ้อนคือ คนเรามีสัญญา คนจะเกิดในยุคแต่ละกัปป์ จะวนเวียนแต่ละยุคพอสมควร พวกเราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ก็วนเวียนสร้างสัญญา หรือว่าสร้างสัญชาติญาณ สร้างความจำที่มีทั้งความดีความชั่ว มีทั้งถูกและผิด มีโลกีย์และโลกุตระ สำหรับพวกคุณมีโลกุตระอยู่ในสัญญา อยู่ในสัญชาตญาณก็เลยมาทางนี้ได้

แค่คนไทยเกือบเจ็ดสิบกว่าล้าน ในยุคของจอมพลป.ยังไม่ถึงยี่สิบล้านแค่ 18 ล้านคนแพร็บเดียวเกือบเจ็ดสิบล้าน มาถึงยุคนี้คนที่มี DNA ของพุทธ จะมาเกิดในกลุ่มพุทธ นอกจากคนที่มีวิบากลำบากถูกเตะไปเกิดในดินแดนที่เป็นศาสนาเทวนิยมก็จะลำบากมาก ถ้าคุณไม่มีบาปมากก็จะเกิดมาวนเวียนอยู่ในกลุ่มพุทธ คุณจะชั่วจะเลวอย่างไรก็ตาม เมื่อ DNA ของคุณเป็นพทธ คุณก็จะต้องมาวนเวียนอยู่ในนี้ มารับวิบากอยู่ในนี้ แม้คุณจะเป็นพุทธที่ชั่วก็ตาม ก็จะอยู่ในนี้ เป็นสัจจะที่ซับซ้อน พูดไปเป็นอจินไตยเข้าใจยาก ก็ค่อยๆอธิบายสู่ฟังไปทีละเล็กทีละน้อย

วันนี้ตั้งใจจะพูดถึงปัจจุบันธรรมของสังคมขณะนี้ ที่กำลังเกิดการปฏิรูป กำลังจะเปลี่ยนแปลงประเทศโดยมีสำนึก มีสำเหนียก และตั้งใจจะพัฒนาสังคม โดยพฤติกรรมของสังคมจะเป็นผู้บริหารผู้นำ หรือในระดับ ผู้รู้ในสังคม เข้าใจแล้วที่อาตมาสรุปว่า การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ เขาพอเข้าใจแล้วแต่มันยังปรับยังไม่ได้

เขาจะมาบีบบังคับให้ถือศีล 5 ทำไม่ได้ แต่โรงเรียนของเรานี้ทำได้นะเด็กเล็กๆ ก็ทำได้เป็นสังคมที่ถือศีล 5 ละอบายมุขไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตั้งแต่เริ่มต้นทำมาก็มีผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ แล้วศีล 5 ของพวกเรานี้เป็นศีล 5 ที่จริงๆ ไม่ใช่ศีล 5 แบบที่สมเด็จช่วงทำ ตั้งหมู่บ้านศีล 5 เขาทำไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันจะต้องมีบุคคลจริง ถ้าไม่มีบุคคลจริงก็เล่นลิเกใส่ชุดแล้วก็ถอดทิ้ง แล้วไม่รู้ว่าชุดเอาไปทิ้งที่ไหน เขาเอาชุดศีล 5 มาให้ใส่แล้วก็ถอดออกใส่ได้ครั้งเดียวหายไปเลย

ในศีล 5 นี้มีทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมครบพร้อม

ศีลข้อที่ 1 2 3 เป็นกายกรรม คำว่า กายะ นี้คลุมทั้งกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมด้วย ส่วนวจีกรรมก็มีแต่วจีกับมโน เพราะว่ามโนกรรมเป็นประธาน

สามข้อแรกเป็นกายกรรม ศีลข้อที่ 4 เป็นวจีกรรม ศีลข้อที่ 5 มีมากที่สุดคือมโนกรรม ต้องแบ่งไปอีกเป็น 3 ชั้น ทำรวดเดียวไม่ได้ เป็นสุรา เมระยะ มัชชะ สามขั้น

ในศีล 5 คลุมไว้หมดเลยกาย วาจา ใจ

อ่าน sms ของวานนี้ก่อน

SMS วันที่ 26 กันยายน 2559

0893867xxxอ.ดร.ฯพูดถูกที่พวกเราต้องฟังธรรมะเดิมๆซ้ำๆ เพราะ จิตคนเราวนเวียนอยู่กับวัฎฏะจักรเดิมซ้ำๆซากๆอยู่กับเรื่องเดียว คือกิเลสที่หลง ติดอยู่กับโลกธรรมตลอดชีวิต! ขอบคุณคำถามเด็กสัมมา ทำให้ได้คำตอบพ่อครูถึงอารมณ์ร้ายวาจาดุดันขึงขังแต่เปิดเผยจิตใจปรารถนาดีแท้ต่อทุกคน ยังดีกว่าคำพูดของคนบางคนเหมือนผลไม้กวนที่มีรสเค็ม? เอามาจากวลีโลก! ขอบคุณบุญนิยมกับธรรมมือของคนที่เอื้อเฟื้อประโยชน์สุข คือมือที่มีอำนาจโดยธรรม วาจาของคนปรารถนาดี คือวาจาที่มีสัจธรรมแท้จริง!จรธ.สกก .

 

_เราอยู่ในยุคที่...

...ความจริงไม่มีวันเป็นข่าว แต่ความเท็จถูกเสพอย่างจริงจัง ...คนเป็นไม่มีค่า แต่คนตายคือชีวิตจิตใจ ...คนชั่วแต่มีตังค์สมควรเป็นผู้นำมากกว่าคนดีแต่จนเพราะมีคุณธรรม ...สังคมบังคับให้ยอมรับความวิปริต แต่ความคิดที่มีจริยธรรมถูกมองว่าล้าหลัง ...ให้ท้ายคนไม่มีจุดยืน เพราะกลัวว่าคนจริงจะทำให้ชีวิตตัวเองวุ่นวาย ...บูชาสิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่ไม่เคยคิดจะเหลียวแลผู้ให้ชีวิตตน

...เห็นดีเป็นชั่วชั่วเป็นดี ขาวเป็นดำ ดำเป็นเทา ทำให้ไม่สงสัยเลยว่าทำไมชาวโลกียะ จะมีมากกว่าชาวโลกุตตระ/buyago

 

_กราบนมัสการท่านค่ะ  ตอนนี้โยมมาอยู่สวิตฯต้องดูรายการจากเน็ต ถ้าปกติอยู่พัทยาจะติดตามจากเคเบิ้ลทิพย์มณี ค่ะ/Sompratana

 

_จากไลน์ คุณดีชัด

กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ได้ติดตามฟังพ่อครูมา ตั้งปี 2527 ไปเจอโครงสร้างชุมชนปฐมอโศกครั้งแรกก็ใช่เลย นี่ชุมชนอาริยะเมืองพระศรีอารย์ ฟังพ่อครูเทศน์ ย้ำ ซ้ำ ๆ ด้วยความรื่นเริง ตอนนี้ได้เปิด พตปฎ.อ่านมีความเข้าใจชัดขึ้น แต่ยังไม่มีสภาวะที่จะเข้าถึงในแต่ละความหมาย อย่างคำว่า กาย หมายถึง จิต มโน และวิญญาณ กายสภาพที่เป็นจิต กับกายที่เป็นสภาพ มโน แตกต่างกันตรงไหน ส่วนกายที่เป็นสภาพวิญญาณก็เข้าใจ วิญญาณเป็นธาตุรู้ และคำว่า รูป ใน พตปฎ.มี 3 ลักษณะ  1.รูปที่เห็นได้และกระทบได้ (จากตา)  2.รูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ (ผัสสะจาก หู จมูก ลิ้น กาย) 3.รูป ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ (ผัสสะจาก มโน)  และได้อ่าน พตปฎ ได้ความกระจ่าง จากการฟังเทศน์จากพ่อครู กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ครับ

ตอบ...นี่ก็ดี มีการตอบรับ หลายคนแนะนำเพิ่มเติมให้อาตมา ก็ขอบคุณจริงๆ เพราะบางทีอาตมาก็ค้นคว้าไม่ทัน เอามาให้อาตมาก็ได้เจาะลึก ไม่หมดง่ายๆหรอก

ทีนี้ก็ มีผู้ส่งมา จากพระไตรปิฎก เล่ม22 ข้อ43 และพระไตร เล่ม11 ข้อ346

 

3. อิฎฐสูตร พระไตรปิฏก ล.22 ของ 43

[43] ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า ดูกรคฤหบดี ธรรม 5 ประการนี้น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก 5 ประการเป็นไฉน คืออายุ 1 วรรณะ 1 สุขะ 1 ยศ 1 สวรรค์ 1 ดูกรคฤหบดี ธรรม 5 ประการนี้แล น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก ฯ    

ธรรม 5 ประการนี้ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก เรามิได้กล่าวว่าจะพึงได้เพราะเหตุแห่งความอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งความปรารถนา ถ้าธรรม 5ประการนี้ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก จักได้เพราะเหตุแห่งความอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งความปรารถนาแล้วไซร้ ในโลกนี้ ใครจะพึงเสื่อมจากอะไร

ดูกรคฤหบดี อริยสาวกผู้ต้องการอายุ ไม่ควรอ้อนวอนหรือเพลิดเพลินอายุ หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุ อริยสาวกผู้ต้องการอายุ พึงปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่ออายุ เพราะปฏิปทาอันเป็นไปเพื่ออายุที่พระอริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้อายุ อริยสาวกผู้นั้นย่อมได้อายุที่เป็นของทิพย์ หรือเป็นของมนุษย์ อริยสาวกผู้ต้องการวรรณะ ไม่ควรอ้อนวอนหรือเพลิดเพลินวรรณะ หรือแม้เพราะเหตุแห่งวรรณะ อริยสาวกผู้ต้องการวรรณะ พึงปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อวรรณะ เพราะปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อวรรณะ ที่อริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้วรรณะ อริยสาวกนั้นย่อมได้วรรณะที่เป็นของทิพย์ หรือเป็นของมนุษย์ อริยสาวกผู้ต้องการสุข ไม่อ้อนวอนหรือเพลิดเพลินสุข หรือแม้เพราะเหตุแห่งสุข อริยสาวกผู้ต้องการสุขพึงปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อสุข เพราะปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อสุขที่อริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สุข อริยสาวกนั้นย่อมได้สุขที่เป็นของทิพย์หรือของมนุษย์ อริยสาวกผู้ต้องการยศ ไม่ควรอ้อนวอนหรือเพลิดเพลินยศ หรือแม้เพราะเหตุแห่งยศ อริยสาวกผู้ต้องการยศ พึงปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อยศเพราะปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อยศที่อริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ยศอริยสาวกนั้น ย่อมได้ยศที่เป็นของทิพย์ หรือของมนุษย์

อริยสาวกผู้ต้องการสวรรค์ ไม่ควรอ้อนวอนหรือเพลิดเพลินสวรรค์ หรือแม้เพราะเหตุแห่งสวรรค์อริยสาวกผู้ต้องการสวรรค์ พึงปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อสวรรค์ เพราะปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อสวรรค์ ที่อริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สวรรค์  อริยสาวกนั้นย่อมได้สวรรค์ ฯ

ชนผู้ปรารถนาอายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูงและความเพลินใจ พึงทำความไม่ประมาทให้มากยิ่งขึ้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาทในการทำบุญ บัณฑิตผู้ไม่ประมาทแล้วย่อมยึดถือประโยชน์ทั้งสองไว้ได้ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน และประโยชน์ในสัมปรายภพ ผู้มีปัญญา ท่านเรียกว่าบัณฑิต เพราะบรรลุถึงประโยชน์ทั้งสองนั้น ฯ

                              จบสูตรที่ 3

พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าผู้ไปได้ภพ ภพที่มีด้วย ลาภยศสรรเสริญ ด้วยเกียรติ ได้อายุ วรรณะ เกียรติ ยศ สวรรค์ อาการของจิตที่มีความชื่นใจสบายใจเป็นดาวดึงส์ซึ่งเป็นภพเก๊ ภพที่ 33 แต่เมื่อเป็นมนุษย์มันก็สบายใจ ก็ได้อาศัย

 

มาอ่านสูตรที่ 2 ต่อ ล.11 ข้อ [346]              

ทานุปบัติ 8 อย่าง

1. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้ายาน ดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เป็นทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาเห็นกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล ผู้เพรียบพร้อมพรั่งพร้อม ได้รับการบำรุงบำเรอด้วยกามคุณห้าอยู่ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอเบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของกษัตริย์มหาศาลพราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูงย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ

2. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็นทานแก่สมณะ หรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่า พวกเทพเหล่าจาตุมหาราชิกา มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเหล่าจาตุมหาราชิกา เขาตั้งจิตนั้นไว้อบรมจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ

3. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้ายาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เป็นทานแก่สมณะหรือพราหมณ์เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่า  พวกเทพเหล่าดาวดึงส์มีอายุยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพเหล่าดาวดึงส์ เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลวมิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแลเรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลายความตั้งใจของผู้มีศีล ย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ

ในภพทั้ง 6 คือ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ก็เป็นภพทั้งสิ้น แต่พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาดับภพจบชาติ ไม่มีใครปรารถนาจะได้ภพของนรก แต่ทำไมพระพุทธเจ้าบอกว่าคนนั้นตกนรกมากกว่าขึ้นสวรรค์ทำไม ไม่มีใครสักคนเดียวต้องการนรก มันจะเอาสวรรค์ 6 ชั้นนั้นให้ได้

ก็มุ่งมั่นจะได้กัน ทั้ง 6 ภพ ส่วนพรหมคือต้องดับทั้ง 6 ภพนี้แหละคือพรหม แล้วมันจะดับภพทั้งหมด ก็ดับผิด ก็เลยกลายเป็นนรก ส่วนคนที่ไม่รู้ไปหลงสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นอันนั้นแน่นอนก็เต็มไปด้วยภพชาติๆๆซ้ำซ้อนๆๆตกผลึกหนาเปรอะไปเรื่อย

เมื่อมาดูแล้วเข้าใจแล้วก็มาปฏิบัติจบภพจบชาติ ก็มาเป็นเพราะ แต่ดันไปเข้าใจดับภพจบชาติผิดๆ  เช่น

_มีจม.ว่า...กราบพ่อครูอธิบายคำสอนนี้เขียนมาให้พ่อครูเต็มๆเพราะวันก่อนเขียนมาแต่ว่า อย่าส่งจิตออกนอกอันนี้เขียนมาให้อธิบายคำสอนนี้เติมเต็มว่า

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งที่สุดให้มันรู้ออกมาจากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบทำจิตให้มันเกิดอารมณ์อันเดียว

อย่าส่งจิตออกนอกให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเองให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธพุทโธอยู่นั่นแหละ

แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักคำว่าพุทโธนั้นเป็นอย่างไรแล้วรู้เองเท่านี้แหละไม่มีอะไรมากมาย

หลวงปู่ดุลย์ อตุลโล

ก็น่าจะถูกที่ว่าทำอารมณ์ให้เป็นหนึ่งและประโยคอื่นพ่อครูจะเห็นอย่างไร

ตอบ... ก็ขออธิบายว่านี่คือความหลงผิด มันมีทิศอยู่สองทิศทางใหญ่ ซึ่งออกมารู้คือของพระพุทธเจ้า ส่วนพวกไม่ให้รู้คือของพวกฤาษีต่างๆ ดับสนิท สงบนิ่ง ไม่มีสองไม่นึกไม่คิดอะไร นี่คือที่สุดของที่สุด จะมีพิธีใดๆที่เขาจะทำให้ได้เขาก็คนนี้ คนเหล่านี้จึงไม่มีภาวะธรรมะสอง ที่จะมีanalysis จะมีแต่hypnosis   จะต้องรู้ธรรมะ 2 ที่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ขยายไปยกกำลังเพิ่มเติมขึ้นได้เรื่อยๆ

การนั่งสงบจิตสงบนิ่งนี่แหละคือเขาคิดว่าเป็นพรหม แต่ยิ่งทำยิ่งดำยิ่งมืด แล้วเขาก็คิดว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นโชคดีเรียกว่าสุภะ แต่เป็นกิณหะได้ดำมืด เรียกสุภกิณหพรหม

สุภกิณหะคือการสะกดจิต แล้วยังมีพวกสะกดจิตที่ใช้เลขภายนอกอีกอย่างธรรมกาย สะกดจิตแล้วเอามาผนวกกับความสว่างภายนอก มีความรู้สึกสงบสว่างสวยงามหรูหราและอยู่ในภพดับ คำอธิบายข้างนอกเป็นสิ่งที่สุภาพระเบียบเรียบร้อย ตัวอย่างของธรรมกายเป็นของตื้นตื้นเอามาหมดแล้ว ใหญ่โตหรูหรา เป็นระเบียบเรียบสะอาด สะอาด หอมหวลพริ้งพราวฟุ้งฟริ้งไปหมดเลย รูปภาพมากมาย เขาเสี่ยงโชคดีมากฉากไว้หลอกคน ไม่มีรู้สึกว่าทำให้รู้สึกว่านี่ขาวใสนะ

แต่เสร็จแล้ว เป็นจาตุมหาราชิกา + ดาวดึงส์ + ดุสิต + ยามา +นิมมานรดี +ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นเทวดาหน้า 6 ภพ

ในมนุษย์มีมีโทษติด 2 อย่างคือ อย่างแรกคือโทษของความระริกระรี้รื่นรมย์  คือขิฑฑาปโทสิกะ อีกอย่างหนึ่งชื่อพวกที่หลงยึดอยู่ในจิต เป็นมโนปโทสิกะ สะกดจิตดำแต่ทำจิตเป็นโทษ ส่วนพวกขิฑฑาปโทสิกะ เป็นพวกระริกระรี้รื่นเริงเบิกบาน

พวกสว่างนี้เปิดข้างนอก เอาหมดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหลอกลวงได้ก็จึงใช้ความฉลาดของโลกะวิทู แต่เป็นความฉลาดที่ใช้แบบโลกียะ มีตัวกูของกู มีความเป็นใหญ่ มหัปปปิจฉะ บานเป็นปากกรวยไม่มีหยุด ธรรมกายเขาไม่มีหยุดจะขยายผลไปต่างประเทศอีกเยอะ แต่ตอนนี้เขาไล่ทันแล้วก็รอแต่จังหวะเมื่อไหร่จะได้เห็นขาโต

พวกมโนปโทสิกะ คือพวกทำดับจิตหมดรวมเลย อีกพวก ขิฑฑาปโทสิกะ จะเป็นพวกหลงระเริง จะใหญ่บานปลายไปมาก เขารู้ว่าหยาบ เขาจะไม่เอาความหยาบความเปื้อน เราก็ไม่อยากได้ด้วย ใครก็ไม่ต้องการหยาบ อโศกยังดูหมองๆ แต่ของเขานี้ดูขาวสะอาดสว่างสงบ สุภาพ เรียบร้อย ก็เข้าใจง่าย ใครก็โอ้โหว่าอย่างนี้คือผู้ดี

ผู้ที่ตั้งจิตน้อมไปทางจตุมหาราช คือน้อมใจไปในสิ่งที่เลว หรือ จะน้อมใจไปดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ก็น้อมใจไปในส่ิงที่เลวทั้งนั้น

 

8. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็นทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่าพวกเทพที่นับเนื่องในหมู่พรหม มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพที่นับเนื่องในหมู่พรหม เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล สำหรับคนที่ปราศจากราคะ ไม่ใช่สำหรับคนที่ยังมีราคะ ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้ เพราะปราศจากราคะ ฯ

 

คือเข้าใจว่าต้องทำจิตให้สะอาด ว่างจากภพ แต่เมื่อไปประพฤติปฏิบัติเข้ากลับเป็นการกระทำที่ตั้งภพไว้ สังเกตพวกเราไหมว่าเผลอไหม มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

อยู่ไหม?

 

_คำถามจากดูแลและหน้าต่าง..ความรักสิบมิติเป็นอย่างไรคะ เราเกิดมาทำไมคะ แล้วทำไมคนเราต้องตาย

ตอบ...ความรักสิบมิติ ก็อธิบาย

ความรักมิติที่ 1 เป็นความรักระหว่างเพศ ในโลกนี้มีเรา 2 คน เป็นเมถุน ไม่เห็นกับใครเลยเห็นกับเราสองคน เป็นความเห็นที่คับแคบเป็นความรักที่คับแคบ ไม่มีคุณค่าไม่มีประโยชน์เลยตามมา แม้มีลูกก็ไม่เห็นแก่ลูกเห็นแก่สองคน พระพุทธเจ้าเคยอธิบายจนกระทั่งถึงว่า สองคนนี้มีลูกแล้วก็เดินไปด้วยกัน เมื่อเดินทางไปเสบียงหมด เสร็จแล้วฆ่าลูกตัวเองกิน เพื่อที่จะไปสู่จุดที่ต้องการ

เป็นเรื่องของเพศเป็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่องของราคะหลงอยู่ตรงนั้น

ความรักมิติที่ 2 มีลูกก็รักลูกเผื่อแผ่แก่ลูก แต่ยังแคบอยู่ให้ลูก

ความรักมิติที่ 3 ให้กับญาติ กว้างขวางเผื่อแผ่ให้แก่พี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายลูกหลานเหลน แต่คนอื่นๆที่ไม่ใช่สายเลือดก็ไม่เห็นแก่เขา ขี้เหนียวรักแค่นี้ ก็ยังไม่สูง

ความรักที่ดีที่ 4 ก็ขยายเพิ่มมิตรสหาย เพื่อผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน

ความรักมิติที่ 5 ขยายไปสู่สังคม ไปสู่รอบกว้าง จนถึงระดับประเทศ

ความรักมิติที่ 6 เป็นระดับประเทศ

ความรักมิติที่ 7 เป็นความรักระดับจักรวาลระดับพระเจ้า ระดับที่เพื่อทุกคน ไม่ละเว้นแม้แต่สัตว์ เป็นความรักที่ไม่จำกัด หาประมาณไม่ได้

ความรักไม่ติดที่ 8 เป็นความรักของพุทธ คือจะต้องรู้หมดในระดับที่ 1 ถึง 7 และพัฒนาตนเองให้สูงมาเป็นลำดับ ถ้าของศาสนาเทวนิยมเขาขึ้นสูงแล้วก็ลงต่ำอีก แต่ของพุทธนั้นไม่ลงต่ำ ไม่ถอยหลังกลับ

ความรักมิติที่ 9 โพธิสัตวภูมิ

ความรักมิติที่ 10 เหมือนกับความรักของพระเจ้ารักทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นคนที่จริงมีการประพฤติปฏิบัติจริง แต่ของศาสนาเทวนิยมนั้นพระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นไอเดียลิสท์ เป็นความนึกคิดไม่มีตัวจริงมาปฏิบัติได้ แต่ของพุทธะนั้นมีตัวจริง

_แล้วคนเราเกิดมาทำไมทำไมคนเราถึงต้องตาย

ตอบ...อันนี้เป็นของจริงที่ไม่มีอะไรเลยเกิดมาแล้วจะไม่ตาย แล้วทำไมคนเราจึงต้องเกิด เพราะคนเราโง่ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นสัตว์ เป็นจิตนิยาม มีพลังงานระดับตัวตน แต่ก็รักตัวตนก็จะต้องเกิด จะยังไม่รู้จักการดับ ก็เกิด เกิดอย่างไรก็ต้องตายตามอายุของสัตว์แต่ละชนิด สัตว์บางชนิดนั้นอายุเป็นล้านปีคือไวรัส

สรุปคือเมื่อไม่รู้ก็เกิดมาเป็นจิตนิยาม อย่างอุตุก็เป็นของมันนานมากกว่าจะพัฒนามาเป็นพีชะ มันจะมีพลังงานที่ได้รอบของมันเอง โดยที่มันเองก็ไม่รู้ตัวเองที่จะต้องพัฒนามา แล้วมาเป็นจิตนิยามอีก มันไปตามยถากรรม พอมาเป็นจิตนิยามสัตว์ไหนก็ไม่อยากตาย จะพัฒนาตัวเองให้ยามาๆๆ จะพัฒนาให้ใหญ่โตขึ้นไป  ให้มีสวรรค์ 6 ชั้นนี้ให้นานๆ จนกว่าจะรู้ตัว จนกว่าจะมาเป็นโลกุตระ

คนที่จะตายมันถึงเวลาต้องตาย แต่คนที่รู้จักตายอย่างไม่เกิด ตายเลิกไปเลยนั่นคือการปรินิพพาน

 

_ล.22 10. นาคิตสูตร

          [30]พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระนาคิตะว่า ดูกรนาคิตะ ก็พวกใครส่งเสียงอื้ออึงอยู่นั้น คล้ายพวกชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระนาคิตะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านอิจฉานังคละเหล่านั้น พากันถือของเคี้ยวของฉันเป็นจำนวนมาก มายืนประชุมกันที่ซุ้มประตูด้านนอก เพื่อถวายพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฯ

     พ. ดูกรนาคิตะ เราไม่ติดยศ และยศก็ไม่ติดเรา ผู้ใดแลไม่พึงได้ตามความปรารถนาไม่พึงได้โดยไม่ยาก ไม่พึงได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งสุขอันเกิดแต่เนกขัมมะ สุขอันเกิดแต่วิเวกสุขอันเกิดแต่ความสงบ สุขอันเกิดแต่ความตรัสรู้ ที่เราพึงได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากนี้ ผู้นั้นพึงยินดีสุขที่ไม่สะอาด สุขในการนอน และสุขที่อาศัยลาภ สักการะ และการสรรเสริญ ฯ

     นา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคทรงรับ ขอพระสุคตจงทรงรับบัดนี้ เป็นเวลาที่พระผู้มีพระภาคจะทรงรับ พระผู้มีพระภาคจักเสด็จไปทางใดๆ พราหมณ์และคฤหบดีชาวนิคมและชาวชนบท ก็จักหลั่งไหลไปทางนั้นๆ เหมือนเมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกลงมา น้ำก็ย่อมไหลไปตามที่ลุ่ม ฉันใดพระผู้มีพระภาคจักเสด็จไปทางใดๆ พราหมณ์และคฤหบดีชาวนิคมและชาวชนบทก็จักหลั่งไหลไปทางนั้นๆ ฉันนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะศีลและปัญญาของพระผู้มีพระภาค ฯ

     พ. ดูกรนาคิตะ เราไม่ติดยศ และยศก็ไม่ติดเรา ผู้ใดแลไม่พึงได้ตามความปรารถนา ไม่พึงได้โดยไม่ยาก ไม่พึงได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งสุขอันเกิดแต่เนกขัมมะ สุขอันเกิดแต่วิเวก สุขอันเกิดแต่ความสงบ สุขอันเกิดแต่ความตรัสรู้ ที่เราพึงได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่อยาก ได้โดยไม่ลำบากนี้ ผู้นั้นพึงยินดีสุขที่ไม่สะอาด สุขในการนอน และสุขที่อาศัยลาภ สักการะและการสรรเสริญ ดูกรนาคิตะ อาหาร ที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมมีอุจจาระและปัสสาวะเป็นผล นี้เป็นผลแห่งอาหารนั้น ความรักมีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาส ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่รักแปรปรวนเป็นอื่นเป็นผล นี้เป็นผลแห่งความรักนั้น ความเป็นของปฏิกูลในอสุภนิมิต ย่อมตั้งอยู่แก่ภิกษุผู้ขวนขวายการประกอบตามอสุภนิมิต นี้เป็นผลแห่งการประกอบตามอสุภนิมิตนั้นความเป็นของปฏิกูลในผัสสะ ย่อมตั้งอยู่แก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในผัสสายตนะ 6 อยู่ นี้เป็นผลแห่งการพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในผัสสายตนะนั้นความเป็นของปฏิกูลในอุปาทาน ย่อมตั้งอยู่แก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นความเกิด และความดับในอุปาทานขันธ์ 5 นี้เป็นผลแห่งการพิจารณาเห็นความเกิดและความดับในอุปาทานขันธ์นั้น ฯ

                          จบปัญจังคิกวรรคที่ 3

                         _________________

(พ่อครูว่า..อย่างเรื่องอาการคัน คันก็เกา ยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันยิ่งเกา  ถ้าเรามีเหตุให้คันก็เกา แต่เรามีสมมุติอุปาทานว่าสัมผัสเสียดสีแล้วเป็นสุขก็ฉันเดียวกัน)

คนที่วางของหยาบได้ ภายนอกได้เป็นอนาคามี ข้างนอกไม่ละเมิดแล้ว ก็ยังมีอุปาทาน มีเวทนา ที่ปรุงแต่งจากสังขาร เวทนากับสังขารนี้อันเดียวกัน แต่สังขารนี้มันครบพร้อม คุณติดสังขารก็ติดในเวทนาด้วย

คุณกำจัดเหตุปัจจัยของเวทนานั่นแหละแล้วสังขารจะลดลงด้วย ปฏิบัติที่เวทนานั้นแหละสังขารจะลดลงด้วยโดยมีตัวสัญญาเป็นตัวที่ทำหน้าที่กำหนดรู้ ได้หรือไม่ได้ ถูกหรือไม่ถูกและจำ  สัญญานี้ไม่ได้ดิบดีอะไรกับเขาหรอกไม่เป็นตัวตนเป็นรสชาติอะไร แต่สัญญาก็เป็นความสามารถ ติดได้ จะต้องบอกเลิกสัญญาตัวสุดท้าย สัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ

วิญญาณคือ เจตสิกสาม คือเวทนาสัญญาสังขาร เมื่อลดความติดยึดได้ก็ลด อุปาทานใน รูป รูปาทานักขันโธ เวทนูปาทานักขันโธ สัญญูปาทานักขันโธ สังขารูปานักขันโธ วิญญูปาทานักขันโธ  ตามที่ท่านที่เป็นจับกังแบกลังทองท่องกันมา

 

ยุคนี้เป็นยุคปลายภัทรกัปป์ มนุษย์ก็เกิดมาสั่งสมบารมีวนเวียนไป มีธรรมะสองที่เป็นเหตุปัจจัยมี action reaction สัมผัสแล้วเกิดอันที่สาม ถ้าไม่เกิดสัมผัสไม่เกิดอันที่สาม อย่างไอสไตน์ค้นพบสองอย่าง อีกอันจัดการไม่ได้คือสิ่งที่สาม คือคุมไม่ได้กลายเป็นนิวเคลียร์ ระเบิด ทางโลกเขายังทำไม่ได้ แต่ทางนามธรรมพระพุทธเจ้าทำได้ ไม่ให้ระเบิด ถ้าเราสามารถรู้แม้นามธรรม เรารู้นิวเคลียร์ก็ควบคุมนิวเคลียร์ได้ เขาก็คุมได้จึงทำระเบิดได้ แต่จะทำไปทำไมล่ะ ระเบิดมันทำลาย เพราะฉะนั้นทางโน้นก็เอาไปเป็นประโยชน์ในการทำลายกัน

ทางโลกนั้นลดปฏิกิริยานั้นเขาไม่ทำแต่ของพระพุทธเจ้านั้นทำ ทำแล้วจะเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ ทำแล้วจะมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลมนุษยชาติ

คนเราเกิดมาผ่านการเกิดตายมานานมากๆ สั่งสมในสัญญา เวลาออกมาก็เรียกสัญชาติญาณ ดีก็ออกมาเป็นดี ชั่วก็ออกมาเป็นชั่ว คนไม่รู้ตัวว่าทำชั่วนี้อาการหนักมาก บางคนรู้แต่ห้ามไม่ได้ก็เลยทำ แต่ที่ทำส่วนใหญ่ไ่ม่รู้ตัว แล้วทำแล้วก็รู้สึกตัว แต่ที่ชั่วหนักคือทำไม่รู้ตัว ผ่านไปแล้วคนบอกมันก็ไม่สำนึกไม่รู้ว่าชั่ว เขากลับเห็นว่าดีจะตาย กูได้ทั้งลาภ ยศ เสพกาม เสพอัตตา ได้อำนาจบาทใหญ่ ข่มเหงคนอื่น เหมือนอย่างธัมมชโย คนฆ่าตัวตายเหมือนยิ่งลักษณ์ เอาข้าวไปจำนำคนผูกคอตายเป็นสิบคน บอกว่าหนูไม่รู้ มันอำมหิตมาก ไม่รู้สึกรู้สาจริงๆ ขณะนี้ถามหน่อย คุณว่ายิ่งลักษณ์นี้รู้สึกตัวหรือยัง...ยัง

ถ้าเขายอมรับความผิดจะเบาลงอีกเยอะคนจะเอ็นดูเขา จะยกให้เขา แต่นี่เขาจะยกให้ได้อย่างไร

คนไม่รู้จะทำโดยสัญชาตญาณแต่คนที่รู้จะใช้สัญญาณในการกำหนดหมาย แล้วทำตามบารมีของปัญญา ในภัทรกัปป์ก็มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ตอนนี้ถึงปลายแล้ว  แล้วห้าพันปีจะหมดดี แล้วไปสู่กลียุค ไปสู่สิ่งที่คำนวณไม่ได้ อธิบายให้ฟังไม่ได้ในพุทธันดร คือช่วงเวลาที่ไม่มีพุทธศาสนา ธรรมกายเอาไปอธิบายว่า ยุคที่มีพุทธศาสนาว่าเป็นพุทธันดร

พวกเราจะช่วยกันพัฒนาอันนี้ไปอีกห้าร้อยปีจะดีขึ้นๆ จนเป็นพลังงานคุณความดีของมนุษยชาติพลังงานนี้เต็มจะช่วยมนุษยชาติไปอีก จนกว่าศาสนาจะหมดไปใน 5,000 ปี ขณะนี้อยู่ในวาระเจริญ จะมากอบกู้ให้คุณงามความดีเจริญไปจนกว่าจะเต็ม อีก ห้าร้อยปี เต็มแล้วก็จะค่อยเสื่อมไป จนกว่าห้าพันปี จะถึงกลียุค จับยอดหญ้ามาก็เป็นดาบฟันกันเลย คนกินคนกันอย่างหน้าเลือดเลย เราคิดไม่ออก ไม่รู้จะคิดไปทำไม ชั่วๆอย่างนั้น เราไม่ต้องไปเกิดยุคนั้นก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ ไม่เห็นจะเสียดายอย่างไรเลย

ตอนนี้ความเสื่อมของสังคมมีมากจัด  แล้วเขาไม่รู้สึกรู้สากันได้อย่างไร หรือว่าเขาแกล้งโง่หรือเปล่า?

ผู้ที่ตั้งใจมารวมตัวกันกอบกู้มนุษยชาตินั้น เอาไปทิ้งไม่ได้ ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไปอีกนาน พลังงานคุณค่าของโลกุตรธรรมนี้สูงกว่าโลกียธรรมกัลยาณธรรมหลายต่อ อย่างกัลยาณธรรมมันระดับบวก อย่างเก่งก็ได้แค่คูณ แต่ในระดับของโลกุตระนั้นมันยกกำลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยกกำลังล้านๆๆๆ ไม่มีที่สิ้นสุดไม่ทัน โลกียะอย่างไรก็ไม่ทัน มันได้อย่างเก่งก็บวกและคูณ จะเอามาคูณกันอย่างไรก็แค่ระนาบเดียว แต่ยกกำลังนี้มันทบกัน โลกียะอย่างไรก็ไม่ทัน

การกอบกู้สังคม คุณสมบัติของโลกุตระจึงสามารถกอบกู้ได้แม้คนไม่มาก แต่พลังงานนั้นยกกำลังจึงได้ ชั่วก็ไม่หยุด แต่ดีนั้นทับทวี ความสงบสยบความรุนแรงได้ ขณะนี้มีผลแล้ว ความสงบสยบความรุนแรงได้

ในสังคมไทยที่ปฏิบัติกันทุกวันนี้เป็นตัวอย่างของโลก ปฏิวัติก็ใครเลียนแบบยาก ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ เสร็จเลย ยึดอำนาจโดยใช้คำพูดเพียง 7 คำ

ถ้าไม่ยอมดื้อก็ต้องยิงเลย แต่นี่ไม่เกิดเลย ลอกเลียนไม่ได้หรอก แล้วพอมาบริหาร เขาก็ยังบอกว่า รัฐประหาร โลกไม่รับรองหรอก แต่ผ่านมาไม่กี่ปี มหาอำนาจในโลกก็ยอมรับรองแล้ว เพราะยุคนี้เป็นยุคปัญญา จะเป็นอเมริกาก็ตาม ขอบอกว่าทำอย่างไทยไม่ได้ แต่อเมริกามีปฏิภาณปัญญารู้ว่าอย่างนี้ดี แต่แม้รู้ก็เหมือนอนันตริยกรรม คุณเป็นอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะอเมริกาอนันตริยกรรม ทำเกินไป แต่เขามีปัญญาก็เลยยอม  ประเทศไทยจึงทำได้ ประเทศอื่นๆก็ต้องยอมตาม แม้ไม่ยอมตาม ก็จะยอม อเมริกานั้นซับซ้อนเหมือนธัมมชโย อเมริกานี้มหัปปิจฉะเขาไม่รู้ตัวเอง และที่สำคัญเขาเป็นประชาธิปไตรขาเดียว ไม่มีสิทธิ์พัฒนาทางจิตวิญญาณไม่มีสืบสันตติวงค์ ไม่มีกฏมณเฑียรบาล ในพระประยูรญาติจะดื้ออย่างไรก็ออกนอกกรอบไม่ได้ แต่ในพวกประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีการสั่งสมเป็นกอบเป็นกำไม่เป็นเชื้อประยูรญาติไม่เคารพพี่น้องปู่ย่าตายาย

เพราะฉะนั้นเขาจึงลบหลู่จิตวิญญาณไม่มีสิทธิ์ทำพลังงานที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดีงามบริสุทธิ์ ไม่มีทางเขาทำไม่ได้

ประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีจิตวิญญาณเป็นรากฐานไปไม่รอด คอมมิวนิสต์เขาดูถูกจิตวิญญาณดูถูกศาสนา จึงใช้กรรมวิธีแบบโลกๆ ในยุคที่ผ่านมานี้ เจ็บสิบกว่าปีก็หมดแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เกาหลี บ้าๆบอๆอยู่เจ้าเดียว

ประเทศจีนใหญ่โตก็แปลงรูปหมดแล้ว ลาวก็แปลงรูปหมดแล้ว โซเวียตก็แปลงรูปหมดแล้ว ไม่เรียกประชาธิปไตยก็เรียกสาธารณรัฐประชาธิปไตย กล้อมแกล้มไป มีอัตตาไม่ยอมเป็นประชาธิปไตยตามเลย แต่พฤติกรรมมาเรื่อยๆ ดึงไม่อยู่ เพราะประชาธิปไตยแท้นั้นอิสรเสรีภาพ

ประชาธิปไตยที่อิสรเสรีภาพ ต้องมีจิตวิญญาณมีคุณธรรมกำกับ ถ้าไม่มีก็เป็นฮิปปี้ บำเรออัตตาบำเรอกิเลสเต็มที่ ใครจะทำอะไรก็ช่างกูจะสุขของกูไม่มีสมมุติสัจจะก็ไม่ได้

ขณะนี้ ในเรื่องของความฉลาด ก็ฉลาดไปหมดไม่ว่าคนชั่วคนดี ทุกคนมาสั่งสมฉลาด แต่ฉลาดชั่วหรือฉลาดดีเท่านั้น ทุกคนมาใช้ฉฬายตนะ คือตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้งนั้น แต่ชั่วก็ฉลาด ดีก็ฉลาด แต่ถ้าดีอย่างไม่มีอัตตาตัวตน ฉลาดสร้างสรรอย่างไม่มีเสพไม่ติดกามติดอัตตา ไม่บำเรอกาม ไม่บำเรออัตตา ถึงเป็นสัจจะ ความฉลาดจึงเป็นฉลาดที่ไม่มีตัวตน ไม่ทำอะไรเพื่อตัวเอง แต่ทำความดีเพื่อสังคมได้ เราเองยังไม่ตาย เราก็ทำ แม้จะเป็นพระอรหันต์นั้นก็รู้ว่าจะต้องตายแต่ไม่ต้องฆ่าตัวตายก็มีเวลาเหลือมีชีวิตอยู่ไปทำประโยชน์กับผู้อื่นต่อ หนึ่งไม่สร้างอัตตาต่อ สองทำกุศล เป็นสิ่งที่อาศัย

อย่างอาตมาไม่เรี่ยไรเลยก็อยู่ได้ แต่คนอื่นเขาเรี่ยไรกันจะตายก็ไม่พอ อย่างหมู่บ้านราชธานีอโศก ตั้งมาไม่กี่ปีมีสมบัติมากมายของส่วนกลาง แต่ว่าของเขาตั้งหมู่บ้านมาเป็นร้อยปีกลับไม่มี ก็ไม่มีปัญญา ..บอกคนงานที่เขามาทำงานแล้วรับค่าจ้างจากเรา ก็บอกเขาว่า ถ้าเราจะเอาเงินจากคนอื่น เช่นคนมาเล่นน้ำตกเราก็ค้าขายกับคนเหล่านี้ได้อย่างไม่โกงด้วย แต่เราไม่เอา ให้เขามาพักผ่อนกัน ก็บอกคนงานว่าที่นี่ไม่เอาเปรียบใคร คุณมาทำงานก็ได้ค่าจ้างจากเลือดเนื้อของคนที่นี่ เสียสละให้พวกคุณ คุณได้เงินทองของเราไปนี่ แต่อาตมาพูดโจ่งแจ้งกับเขาไม่ได้ แต่พูดกับพวกคุณได้ อาตมาว่าเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องก็ยากจริงๆ ที่จะให้เขาเข้าใจ

ทีนี้พวกเขามาพวกเราก็อยากทำสาธารณโภคี อาตมาก็ได้จากบริจาคพวกเราเองบ้างแต่มันคุ้มได้อย่างไร เรากำลังสร้างบ้านแปลงเมืองด้วย ทั้งให้เขาด้วย เดาไม่ได้ แต่เป็นจริง เราอธิบายยังยากเลย เรารู้อยู่แล้วยังอธิบายยากเลยว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่สุดยอด ยากมาก

สรุปแล้วประเทศไทยกำลังจะมีสิ่งที่เกินเชื่อ เป็นสิ่งที่เป็นโลกุตระปลายภัทรกัปป์จะเกิดที่แผ่นดินไทย และแผ่นดินไทยจะเป็นหลักแหล่งตั้งต้นให้แก่โลก พุทธศาสนาในโลกนี้ที่เป็นโลกุตระนั้นก็มีประเทศไทยนี่แหละ แล้วแต่ตัวบุคคลเป็นคนจริงไหม มีพฤติกรรมจริงไหมของโลกุตรธรรม ...ก็มีจริง

อันนี้จะเกิดให้แก่โลก คุณเชื่อไหมว่าอาตมาไม่เคยน้อยใจหรือเสียใจที่คนในระดับบริหารในระดับที่มีอำนาจไม่เคยมายอมรับอาตมาเลย ไม่มีแม้นิดน้อยที่น้อยใจก็ทำอย่างสบายใจ อาตมาก็พอใจ แม้เท่านี้ก็ทำเท่านี้อาตมาก็พอใจแล้ว อาตมาจะอยู่ไปอีก 151 ปีจะทำอย่างนี้ไปก็สบายสบายเห็นความเจริญเท่านั้นก็จบแล้ว อาตมาไม่ต้องไปเป็นนั่นเป็นนี่ ทุกวันนี้ก็ถูกบำเรอจนจะตายอยู่แล้ว ใครเอาผ้านวมอะไรมาให้อาตมานอน ใครเป็นคนคิด ไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง มาคราวนี้ ที่จริงอาบัตินะ มันหนาเกินนิ้ว

อาตมาเปิดเผยอะไรไปนี่ ไม่ได้อยากอวดโอ่แสดงอะไรเพื่อให้คนมานับถือ เพราะว่าถ้าจะเปิดเผยก็ทำมานานแล้วไม่ต้องรอถึงสามสิบสี่สิบปีหรอก ตอนนี้จิตวิญญาณคนไทยกำลังลึกซึ้งเป็นของจริง พระเจ้าอยู่หัวเราเป็นโพธิสัตว์จริง ครองราชย์ยาวนานกว่าใครจริง แล้วพระจริยวัตรท่าน ใครตำหนิได้หรือ ก็เป็นจริงของไทย เป็นสิ่งยืนยันสัจจะ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งสมมุติไม่ใช่สิ่งบังเอิญ แต่มีอจินไตยที่ลึกกว่านั้นที่ทำไมท่านต้องไปเกิดในอเมริกาไม่ขอพูดมากกว่านี้ ท่านไปเกิดอเมริกาเพราะอเมริกาเป็นข้อเทียบ

ในหลวงท่านตรัสว่า อย่าไปยินดีกับตำราพวกนั้น ปิดมันเสีย อาตมาว่าท่านตรัสมานี่ ท่านบอกว่าเป็นการก้าวหน้าที่ถอยหลังอย่างน่ากลัว เป็นสำนวนสุภาพที่ลึกซึ้งมาก ผู้ที่ใช้ภาษาอันเรียบร้อยชัดเจน แต่ผู้รู้รู้ได้

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:20:24 )

590928

รายละเอียด

590928_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดอุตริมนุสธรรมที่จริงใจตามภูมิ

มีผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ ทำวิจัยถามมา จากทิดเดิมแท้

นมัสการครับ  ผมกำลังเขียนงานวิจัยระหว่างที่เรียน มจร.วัดมหาธาตุ

อยากจะถามพ่อท่าน เรื่องที่พ่อท่านเคยสอนว่า…..

ชาวพุทธที่ถือศีล 5 ได้ ถือว่า บรรลุระดับ โสดาบัน

ศีล8 ระดับสกิทาคามี

ศีล10 ระดับอนาคามี

แต่ไม่มีหลักฐานพระไตรปิฎกรับรอง

ฝากถามพ่อท่านได้ไหมครับว่า รู้มาจากไหน เพื่อนำไปเขียนงานวิจัยต่อนะครับ..

ตอบ...รู้มาจากไหน? อาตมาก็ต้องรู้มาจากพระพุทธเจ้าแน่นอน แล้วก็ประมวลมาสรุปผลได้อย่างนั้นว่า...

ผู้บรรลุ ศีล 5 จะเป็นพระโสดาบัน ศีลห้าเป็นฐานของพระโสดาบัน

ศีลแปด เป็นฐานของสกิทาคามี สิ้นสุดก็เป็นฐานของอนาคามี

 จนกระทั่งจุลศีล 26 ข้อ ก็เป็นฐานของอรหันต์ เกินศีล 10 ไปแล้วบรรลุอรหันต์ตอนไหนก็ได้แล้วแต่บารมี

การรู้ได้นั้นก็เพราะว่า เรามีสิ่งนั้นแล้ว

การรู้ที่เป็นความจริงกับการรู้ที่ไม่เป็นความจริง เป็นตรรกะ เป็นต้น

 ซึ่งตรรกะนั้นอาจเป็นความจริงได้หรือไม่ได้ ก็ได้

ผู้ที่สามารถมีความรู้ที่เป็นความจริง...

นามธรรมหรือปรมัตถธรรมในระดับโลกุตระ เราพูดว่าโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์เป็นความรู้ระดับโลกุตระ

*ขอบอกว่าที่อาตมารู้นี้เป็นความรู้ของโลกุตระจริงๆ

จริงๆแล้วจะรู้มาจากใครจากไหนก็แล้วแต่ อาตมาอธิบายได้ไหมล่ะ

อาตมาอธิบายโลกุตระของโสดาบัน ศีล 5 เป็นโสดาบันก็อธิบายไปแล้ว

 ศีลแปดเป็นฐานของสกิทาคามี สิ้นสุดก็เป็นฐานของอนาคามี ก็อธิบายไปแล้ว

แล้วอธิบายไป พวกคุณเอาไปทำได้ผลได้มรรคผลหรือไม่ ก็ได้ ก็เป็นการยืนยัน เอหิปัสสิโก ว่าคุณเป็นจริง เป็นอาริยบุคคลจริง มั่นใจว่าใช่ ว่าได้

ผู้ฟัง ผู้รู้ เข้าใจ ผู้รู้จริง ฟังแล้วก็จะรู้ว่าที่พูดนี้ถูกหรือไม่ ใช่หรือไม่ใช่

ส่วนผู้รู้จริง จะรู้อีกว่าคนที่อธิบายกล้อมแกล้มนี้ ไม่ถูกหรืออธิบายเก่งฉิบหายเลย แต่ผู้ที่มีความรู้จริง จะรู้ว่าคนนี้โม้ เป็นของไม่จริง มันจะมีความสับสนไม่ลงตัว ไม่เข้าเป้า อยู่ในนั้นให้เรารู้

เมื่อเราดูเนื้อหาสาระ ยิ่งพูดมากยิ่งจับได้มาก ขี้โม้มากๆ ก็จับได้ง่าย ที่อธิบายกล้อมแกล้มรู้ได้ยากกว่า ที่เขาจับไม่ได้ เพราะว่าพูดจนคนงง ร้อยเรียงหรือสลับไปมา

แต่คนที่รู้จริงจะรู้ว่าพูดสับปลับกลับกลอกเลอะเทอะ ยิ่งพูดเก่งยิ่งจับได้ง่าย อย่างธัมมชโยนี่ จับได้ง่ายตื้นเขิน

ทำไมอาตมารู้ อาตมารู้แล้ว ก็เป็นสัญญาของอาตมา ฟังเข้าใจนะ รู้แล้วก็สั่งสมในสัญญา

เพราะในมนุษยชาตินั้น  นามธรรม มันก็จะมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นหลัก มันบรรจุอยู่ในสัญญานั้น

แม้เกิดมาแล้วยังไม่รู้ตัว ก็เป็นสัญชาตญาณมันก็พาเกิดตามสัญญาเก่า เกิดสัญชาตะ เป็นญาณเป็นปัญญา อาจจะความรู้พิเศษกว่าคนอื่นแต่ก็เป็นสัญญาของตนนะมากน้อยก็แล้วแต่  มันมาเกิด โดยที่ตัวเราเองยังไม่รู้ตัว มันก็ต้องเป็น

 

คุณมีโลกียะก็เป็น สัญชาตญาณ

คนมีโลกุตระจริงเป็นอาริยะจริง ก็ต้องมีเป็นสัญชาตญาณ มากน้อยก็แล้วแต่ จะแสดงออกโดยไม่รู้ตัวก็มี ยิ่งรู้ตัวก็ยิ่งไม่มีปัญหา

**เพราะฉะนั้นอาตมาจะแสดงออกตั้งแต่ยังไม่ค่อยรู้ตัวดี จนกระทั่งมารู้ตัวก็ยิ่งชัดเจน  ยิ่งมั่นใจแน่นอน ก็เป็นสัญญาหรือสัญชาตญาณของตน ซึ่งอาตมาก็บอกว่าของอาตมานั้นระดับสยังอภิญญา

ซึ่งอาตมาเคยอธิบายขยายว่ามี  5. ขั้น คือ…..

1.ปัจจัตตัง                                    2. ปัจเจก              3. สยังอภิญญา

 4.ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ                  5.    อนุตรสัมมาสัมพุทธะ

ก็เป็นคุณธรรมคุณวิเศษที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อมีจริง ซึ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมา ก็จะต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วต้องรู้คุณรู้โทษของความผิดความถูกแน่นอน และถ้าคนที่ไม่เป็นอาริยะมันก็จะห่ามๆเพราะ….

1.ไม่รู้ถูกหรือผิดที่แท้        2.แล้วจะไม่มั่นใจในกุศล อกุศล

แต่คนที่เป็นโสดาบันจะรู้จักบาปบุญ ก็กลัวแล้ว

ผู้ที่เป็น อรหันต์ ถึงอย่างไรก็ไม่ทำบาปเด็ดขาด

ขนาดโสดาบันยังกลัวบาปแล้ว สกิทาฯก็กลัวมากกว่าอีก อนาคามี กลัวบาปมาก ทำแล้วก็เป็นของตัวเอง เอาไปสุขสั้นก็ไม่ได้ นอกจากว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยก็เลยต้องทำเพราะคุณยังทำไม่ได้ ลดไม่ได้

 แต่ถ้ามันได้อย่างเด็ดขาดแล้วจะไปทำ ทำไม? ใช่มั้ย?เพราะ….

1.อัตตา ก็ รู้แล้ว ลดละล้างได้แล้ว แล้วจะไปหวงแหนอัตตาอีกทำไม?จะไปเอาอัตตามาอีกทำไม

 2. มันเห็นเป็นทุกข์แล้วด้วย นอกจากคุณทำได้ แล้วก็มีปัญญาด้วย มีปัญญาชัดเจนด้วย ไม่ใช่ปัญญาอย่างเบลอๆ เหมือนโลกียะ เพราะฉะนั้นมันจะไม่ทำบาปโดยสัจจะของมัน

ยิ่งผู้มีคุณสมบัติขั้นอรหันต์แล้ว รับรองได้เลยว่า ไม่ทำบาปทั้งปวงเด็ดขาด ยิ่งเกินอรหันต์ไปแล้วจะทำมั้ย?ก็ไม่ทำแน่ เป็นขั้นตอนตามลำดับที่เป็นความจริง

โสดาบัน คือผู้ที่มั่นคงในสัจธรรมแล้ว คนนี้มีศีล 5 ไม่โกหก แล้วคนที่โกหกนี้ทุจริตได้ง่าย ทำสุจริตก็ง่ายกว่าที่พระพยอมบอกว่า บุหรี่นี้จะหยุดยากอย่างไร?แค่เปิดปากมันก็หลุดแล้ว โกหกได้ยังง่ายกว่านี้อีก จะเลิกบุหรี่ลดบุหรี่ก็แค่วางปล่อยปากบุหรี่ก็หลุดไปแล้ว ก็พยายามอธิบาย

แต่โกหกนั้นหลุดง่ายกว่าบุหรี่หลุดจากปาก บางทีไม่ต้องเปิดปากก็โกหกได้แล้ว ยิ่งพูดออกไปชัดๆเร็วเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่ใครจะชำนาญโกหก

พระโสดาบันไม่เอาของคนอื่น เพราะรู้ว่าพลังงานนี้เป็นบาป

เรื่องกามก็ลดลงตามลำดับ ผัวเดียวเมียเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านเท่านี้ วาจาไม่โกหก ใจก็ลดลงในสุรา เหลือเมรยะมัชชะไป เป็นขั้นเป็นตอน

โสดาบัน เป็นเบื้องต้นมีความบริสุทธิ์ทางกายวาจา

ผู้ที่เป็นโสดาบันจะเข้าใจพลังงานของจิต รู้ในความเป็นอัตตา ที่สั่งสมมา กี่ล้านชาติ แล้วจะทำไปอีก ทำไมถึงโง่อย่างนี้ เป็นโสดาบันไม่ได้ โสดาบันไม่ได้โง่อย่างนี้  โสตะแปลว่ารู้แล้ว

สรุปแล้ว อาริยะพื้นฐานเป็นศีล 5 รู้ทั้งกาย วาจา ใจ

โสดาบันหากไม่รู้จักกาย เป็นสัมมาทิฏฐิ คือธรรมะสอง ธรรมะของรูปและนาม ไม่ใช่ภายนอกอย่างเดียว และต้องสัมผัสกับของหยาบ โสดาบันจะสัมผัสอบายนะ ถ้าไม่มีสัมผัส ก็ไม่รู้ว่าจะล้างตรงใหน มันล้างไม่ได้

 

ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น ว่านั่งหลับตา คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ที่หยิบมานี้ ที่เขาอธิบายว่า...

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนี้คือความรู้ที่ลึกซึ้งที่สุด สายหลับตาเขาสอนว่า ถ้านั่งสงบแล้ว แล้วปัญญาจะเกิดเอง

 ถ้าหากคุณมีปัญญา ในคลังขั้นที่เป็นสยังอภิญญาของคุณ คุณมีตั้งแต่ปัจเจกแล้ว คุณนั่งสงบ มีเหตุปัจจัยพอสมควรมันก็ขึ้นมา

พระพุทธเจ้ากว่าจะไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านก็นั่งมานาน แล้วนั่งเก่งกว่าคนอื่นด้วย แต่มันก็ยังไม่ขึ้น จะระลึกชาติจะเป็นอย่างไรและก็ยังไม่ถึงรอบที่มันจะขึ้น จนกว่าจะถึงรอบเวลานั่งแล้วก็ถึงยามหนึ่งยามสองยามสาม ก็ขึ้นมา

ฉันเดียวกัน ถ้าผู้ใดมีอยู่ในตัวเอง แล้วไปนั่งหลับตามันก็จะขึ้นมา โดยไม่ใช่การใช้ตรรกะ ไม่ได้เพ้อเจ้อ เพราะคุณมีในสัญญาเก่าของคุณ

แต่คุณก็จะขึ้นเท่าที่คุณมี ถ้ามันไม่มี มันขึ้นมาก็เป็นการปรุงแต่งเอง เป็นเรื่องอะไรไม่รู้ โมเมมา หลอกกันไป ก็ปั้นเรื่องบ้าบอ หลอกตัวเองด้วย ว่าเป็นจริงอีก

ถ้าขึ้นเองก็ของคุณเองที่มี ถ้าไม่มีแล้วอะไรจะมาขึ้น จะบอกว่าเป็นปัญญาก็ใช่ แต่ได้แค่นั้น เท่าที่ของคุณมี ก็ดีเท่าที่คุณมี

แต่จะนั่งจนตาย ถ้าหากคุณไม่มี ก็จะไม่ได้เพิ่มอีก จะนั่งจนตายก็ได้เท่าเก่า

 แต่ถ้ามาเรียนรู้ปฏิบัติลืมตาก็จะได้ทั้งของเก่าและของใหม่ ซึ่งของใหม่จะมีเพิ่มขึ้น

แต่ถ้าไม่มี ถึงจะรู้ก็จะดักดานเท่าที่เป็นกบในกะลาครอบ จึงไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างกบในกะลา

พระพุทธเจ้าสอนโลกกว้างอย่างโลกะวิทู ท่านไม่ได้สอนให้รู้แต่ในกะลา พอแล้วลูกเอ๊ย

พวกนั่งหลับตานั้น ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรือง(เหลือง)ดำรง(ดำลง) ก็เพราะเราทั้งหลาย ฟังให้ชัด มันร้องเหลืองร้องดำลงจริงๆ เหลืองสูตรเข้าขั้นที่มันจะตายแล้วนะ แล้วถ้าดำก็เลิกเลย

ผู้ปฏิบัติสายหลับตาออกป่า ปลีกเดี่ยว เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อหมู่มวลส่วนน้อย

ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ศาสนาพุทธนั้นเป็นไปเพื่อคนหมู่มาก วิธีปฏิบัติก็คือให้รู้จากน้อยไปมาก แล้วจะไปปฏิบัติกับคนที่น้อยน้อยแล้วหนีเข้าป่าจะได้หรือ เป็นความสับสนไปสับสนมา

ขอสรุปว่า ศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อคนส่วนมาก เป็นศาสนาสังคม ไม่ใช่ศาสนาของคนหนีออกป่า แต่ในยุคที่คนจะเข้าป่า หลงเข้าป่าอย่างยุคนี้ก็ต้องมี

แล้วยุคของอาตมา ก็เลยมีขนาดนี้ออกป่าแล้วหลงไปปฏิบัติในป่า

ในยุคของพระพุทธเจ้ายิ่งดิ่งดับลึกกว่านี้อีก ออกป่ามากกว่านี้อีก

ท่านก็เลยจำเป็นอนุโลมช่วยคนในป่าก่อน ให้คนในป่าตื่นรู้ มาสัมผัสอายตนะ 6

คนปฏิบัติต้องสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า โดยใช้หลัก….

วิญญาณ 6       อายตนะ 6        ผัสสะ 6      เวทนา 6      ตัณหา 6

อุปาทาน 4 .     ภพ 3               ชาติ 5

ท่านก็ใช้หลักสูตรท่านให้คนปฏิบัติ คนเหล่านี้มาปฏิบัติลืมตาก็จะได้รู้ความจริงว่า ไปปฏิบัติในป่านั้นเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธตามอัมพัฏฐสูตร ไปหลงหาอาจารย์ในป่า ในป่าไม่มีชามมีจานหรอก มีแต่ใบไม้รองกิน ต้องมาหาจานในเมืองนี่

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=87132

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYlB4RHdESXNMY2c

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5l2aaujqx0v9/160928

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/oIH7hMSmywg


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:21:01 )

590928

รายละเอียด

590928_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดอุตริมนุสธรรมที่จริงใจตามภูมิ

พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 28 กันยายน 2559 ที่บ้านราชฯ แรม 12 ค่ำเดือน 10 ปีวอก วันนี้วันที่ 28 

พวกเราคึกคักกันที่อุทยานบุญนิยม เตรียมงานกันสนุกสนาน เตรียมงานเทศกาลกินเจซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม แต่พวกเรานี้เตรียมมานานแล้ว ก็ยังมาคึกคักกันเต็มที่ อาตมาว่า แล้วของพวกเราไม่เหมือนที่อื่น มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ชัดๆเลย ที่มาเห็นดีเห็นงามในการไม่ต้องไปกินเนื้อสัตว์ และก็มีน้ำใจที่เข้ามาช่วยเหลือ ร่วมมือร่วมใจแสดงออกให้ชาวโลก ประชาชนต่างๆ ได้รับบริการ ได้เลี้ยงดู ได้รู้ได้เห็น ได้เข้าใจ จนได้บรรลุว่า คนเราไม่กินเนื้อสัตว์ได้เป็นสิ่งประเสริฐ ดีอย่างไร มีกะจิตกะใจ มีเจตนามาเสียสละ เหน็ดเหนื่อยก็ไม่ว่า เสียสละอย่างเต็มใจ

อาตมาได้พิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้แล้ว มันก็เป็นยุคกาล ที่ใกล้กลียุคเข้ามาแล้ว คนมัน... อาตมาขอใช้ภาษาซับซ้อนว่า …...

คนมันโง่จัด และมันฉลาดจัดจ้านจริงๆเลย

ทุกวันนี้ คือคนที่โง่ ก็โง่ดักดาน คนโง่นี้มีความฉลาด แต่เอาความฉลาดไปแสดงจัดจ้าน ออกมาซับซ้อนมาก สังคมก็เลยสอนยากเพราะความซับซ้อน คนไม่มีภูมิปัญญาจริงๆ ไม่แม่นในสัจธรรมก็จะยาก

*แต่ถึงอย่างไรก็ตามปลายภัทรกัปป์แล้ว เข้ายุคที่ศาสนาพุทธก็จะมีผลและมีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ ถือว่าเป็นงวดสุดท้ายแล้ว

ที่อาตมาใช้คำว่า งวดสุดท้าย คือศาสนาพุทธของพระสมณโคดมมีอายุห้าพันปี ตอนนี้เลย 2500 ปีมาแล้ว ก็เสื่อมไปมาก แล้วเราก็จะต้องเอาเนื้อหาสาระ สัจจะ ของธรรมะใส่เข้าไปในมนุษย์ เพื่อให้อยู่ในจิตใจมนุษย์เท่าที่มีจำนวนเหลืออยู่ในวัฏกัปป์ตอนนี้

คนจะเวียนวน เชื้อชีวิตเดียวก็จะเวียนวนไปอีกนาน ผู้ได้ก็จะได้ ผู้ไม่ได้ก็จะเป็นตัวร้าย ในหนังต้องมีพระเอกและผู้ร้ายเป็นธรรมชาติ เพราะว่า โลกต้องมี ธรรมะสองเสมอ มีดำมีขาวเสมอ เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ(ธรรมะที่ทรงความเกิดอยู่)

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ยังมีเชื้อที่จะสามารถพัฒนาการให้เจริญได้ขึ้นไปอีกประมาณห้าร้อยปีเป็นอันมาก ก็ลบไปสักห้าสิบปี ก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะถึงยอดความเจริญ ก็จะได้คนในวัฏกัปนี้ ของภัทรกัปป์นี้ เจริญวนเวียนเกิดตายในภัทรกัปป์นี้ เพื่อจะได้เชื้อจำนวนหนึ่งที่เป็นต้นทุนที่จะทำให้ เป็นโลกุตระบุคคล เนื้อแท้ธรรมะพระพุทธเจ้าในสังคมปลายภัทรกัปนี้ ไปสุดสิ้นในภัทรกัปป์นี้ ก็จะหมดจบพุทธศาสนาหมดเกลี้ยงเลย

เลยจากห้าร้อยปีจากนี้ไปก็จะขึ้นสู่ยอดสุดแล้ว ก็จะค่อยๆเสื่อมลง องศาตอนขาขึ้นจะความชันสูง แต่องศาตอนขาลงจะองศาน้อย ลาดไป เพราะมีความเข้มข้นในการช่วยคนไปในยุคนี้ เหมือนโลโก้ของบริษัทเดินหน้าฝ่ามหาสมุทรนี้ (เป็นรูปสามเหลี่ยม)

อาตมาได้เปิดเผยตัวเองมามากมาย มากแล้ว มาถึงวันนี้ไม่ใช่น้อยแล้ว

ว่าอาตมา มายังไง เป็นใคร?

การหมุนเวียนของธาตุอัตภาพ ตั้งแต่เป็นชีวะ ไปเป็นจิตนิยามสัตว์เซลล์เดียว หมุนเวียนมาไม่รู้กี่ล้านปี จนมาเป็นคน ก็ใช้เวลาไม่รู้กี่ล้านๆๆปี นับไม่ได้ คนที่เป็นเวไนยสัตว์จึงจะสามารถพัฒนาตนเองต่อไปได้

แล้วสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงอัตภาพของจิตนิยามที่สูงสุดคือ*อรหันต์ แล้วจะเป็นที่สูงสุดจริงๆ คุณมีสิทธิ์ที่จะเลิกความเป็นอัตภาพของตน สลายไปเลยได้ สูงสุดของความเป็นอรหันต์ คือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คุณเกิดมาเป็นมนุษย์นี้สูงสุดในแง่โลกีย์ก็เป็นแค่ กัลยาณชน

อย่างเก่งก็เป็นศาสดาของศาสนาเทวนิยม

ซึ่งไม่รู้จักการเลิกเกิด ไม่รู้จักการทำลายจิตนิยาม

 คนเกิดมาก็วนเวียนกลับไปกลับมา เป็นอาคามี*ตลอดกาล

 จนกว่าจะมีเชื้อโลกุตตระ จะเริ่มต้นโลกุตตระอย่างไรแค่ไหน

 

มีผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ ทำวิจัยถามมา จากทิดเดิมแท้

นมัสการครับ  ผมกำลังเขียนงานวิจัยระหว่างที่เรียน มจร.วัดมหาธาตุ

อยากจะถามพ่อท่าน เรื่องที่พ่อท่านเคยสอนว่า…..

ชาวพุทธที่ถือศีล 5 ได้ ถือว่า บรรลุระดับ โสดาบัน

ศีล8 ระดับสกิทาคามี

ศีล10 ระดับอนาคามี

แต่ไม่มีหลักฐานพระไตรปิฎกรับรอง

ฝากถามพ่อท่านได้ไหมครับว่า รู้มาจากไหน เพื่อนำไปเขียนงานวิจัยต่อนะครับ..

ตอบ...รู้มาจากไหน? อาตมาก็ต้องรู้มาจากพระพุทธเจ้าแน่นอน แล้วก็ประมวลมาสรุปผลได้อย่างนั้นว่า...

ผู้บรรลุ ศีล 5 จะเป็นพระโสดาบัน ศีลห้าเป็นฐานของพระโสดาบัน

ศีลแปด เป็นฐานของสกิทาคามี สิ้นสุดก็เป็นฐานของอนาคามี

 จนกระทั่งจุลศีล 26 ข้อ ก็เป็นฐานของอรหันต์ เกินศีล 10 ไปแล้วบรรลุอรหันต์ตอนไหนก็ได้แล้วแต่บารมี

การรู้ได้นั้นก็เพราะว่า เรามีสิ่งนั้นแล้ว

การรู้ที่เป็นความจริงกับการรู้ที่ไม่เป็นความจริง เป็นตรรกะ เป็นต้น

 ซึ่งตรรกะนั้นอาจเป็นความจริงได้หรือไม่ได้ ก็ได้

ผู้ที่สามารถมีความรู้ที่เป็นความจริง...

นามธรรมหรือปรมัตถธรรมในระดับโลกุตระ เราพูดว่าโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์เป็นความรู้ระดับโลกุตระ

*ขอบอกว่าที่อาตมารู้นี้เป็นความรู้ของโลกุตระจริงๆ

จริงๆแล้วจะรู้มาจากใครจากไหนก็แล้วแต่ อาตมาอธิบายได้ไหมล่ะ

อาตมาอธิบายโลกุตระของโสดาบัน ศีล 5 เป็นโสดาบันก็อธิบายไปแล้ว

 ศีลแปดเป็นฐานของสกิทาคามี สิ้นสุดก็เป็นฐานของอนาคามี ก็อธิบายไปแล้ว

แล้วอธิบายไป พวกคุณเอาไปทำได้ผลได้มรรคผลหรือไม่ ก็ได้ ก็เป็นการยืนยัน เอหิปัสสิโก ว่าคุณเป็นจริง เป็นอาริยบุคคลจริง มั่นใจว่าใช่ ว่าได้

ผู้ฟัง ผู้รู้ เข้าใจ ผู้รู้จริง ฟังแล้วก็จะรู้ว่าที่พูดนี้ถูกหรือไม่ ใช่หรือไม่ใช่

ส่วนผู้รู้จริง จะรู้อีกว่าคนที่อธิบายกล้อมแกล้มนี้ ไม่ถูกหรืออธิบายเก่งฉิบหายเลย แต่ผู้ที่มีความรู้จริง จะรู้ว่าคนนี้โม้ เป็นของไม่จริง มันจะมีความสับสนไม่ลงตัว ไม่เข้าเป้า อยู่ในนั้นให้เรารู้

เมื่อเราดูเนื้อหาสาระ ยิ่งพูดมากยิ่งจับได้มาก ขี้โม้มากๆ ก็จับได้ง่าย ที่อธิบายกล้อมแกล้มรู้ได้ยากกว่า ที่เขาจับไม่ได้ เพราะว่าพูดจนคนงง ร้อยเรียงหรือสลับไปมา

แต่คนที่รู้จริงจะรู้ว่าพูดสับปลับกลับกลอกเลอะเทอะ ยิ่งพูดเก่งยิ่งจับได้ง่าย อย่างธัมมชโยนี่ จับได้ง่ายตื้นเขิน

ทำไมอาตมารู้ อาตมารู้แล้ว ก็เป็นสัญญาของอาตมา ฟังเข้าใจนะ รู้แล้วก็สั่งสมในสัญญา

เพราะในมนุษยชาตินั้น  นามธรรม มันก็จะมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นหลัก มันบรรจุอยู่ในสัญญานั้น

แม้เกิดมาแล้วยังไม่รู้ตัว ก็เป็นสัญชาตญาณมันก็พาเกิดตามสัญญาเก่า เกิดสัญชาตะ เป็นญาณเป็นปัญญา อาจจะความรู้พิเศษกว่าคนอื่นแต่ก็เป็นสัญญาของตนนะมากน้อยก็แล้วแต่  มันมาเกิด โดยที่ตัวเราเองยังไม่รู้ตัว มันก็ต้องเป็น

 

คุณมีโลกียะก็เป็น สัญชาตญาณ

คนมีโลกุตระจริงเป็นอาริยะจริง ก็ต้องมีเป็นสัญชาตญาณ มากน้อยก็แล้วแต่ จะแสดงออกโดยไม่รู้ตัวก็มี ยิ่งรู้ตัวก็ยิ่งไม่มีปัญหา

**เพราะฉะนั้นอาตมาจะแสดงออกตั้งแต่ยังไม่ค่อยรู้ตัวดี จนกระทั่งมารู้ตัวก็ยิ่งชัดเจน  ยิ่งมั่นใจแน่นอน ก็เป็นสัญญาหรือสัญชาตญาณของตน ซึ่งอาตมาก็บอกว่าของอาตมานั้นระดับสยังอภิญญา

ซึ่งอาตมาเคยอธิบายขยายว่ามี  5. ขั้น คือ…..

1.ปัจจัตตัง                                    2. ปัจเจก              3. สยังอภิญญา

 4.ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ                  5.    อนุตรสัมมาสัมพุทธะ

ก็เป็นคุณธรรมคุณวิเศษที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเมื่อมีจริง ซึ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมา ก็จะต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วต้องรู้คุณรู้โทษของความผิดความถูกแน่นอน และถ้าคนที่ไม่เป็นอาริยะมันก็จะห่ามๆเพราะ….

1.ไม่รู้ถูกหรือผิดที่แท้        2.แล้วจะไม่มั่นใจในกุศล อกุศล

แต่คนที่เป็นโสดาบันจะรู้จักบาปบุญ ก็กลัวแล้ว

ผู้ที่เป็น อรหันต์ ถึงอย่างไรก็ไม่ทำบาปเด็ดขาด

ขนาดโสดาบันยังกลัวบาปแล้ว สกิทาฯก็กลัวมากกว่าอีก อนาคามี กลัวบาปมาก ทำแล้วก็เป็นของตัวเอง เอาไปสุขสั้นก็ไม่ได้ นอกจากว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยก็เลยต้องทำเพราะคุณยังทำไม่ได้ ลดไม่ได้

 แต่ถ้ามันได้อย่างเด็ดขาดแล้วจะไปทำ ทำไม? ใช่มั้ย?เพราะ….

1.อัตตา ก็ รู้แล้ว ลดละล้างได้แล้ว แล้วจะไปหวงแหนอัตตาอีกทำไม?จะไปเอาอัตตามาอีกทำไม

 2. มันเห็นเป็นทุกข์แล้วด้วย นอกจากคุณทำได้ แล้วก็มีปัญญาด้วย มีปัญญาชัดเจนด้วย ไม่ใช่ปัญญาอย่างเบลอๆ เหมือนโลกียะ เพราะฉะนั้นมันจะไม่ทำบาปโดยสัจจะของมัน

ยิ่งผู้มีคุณสมบัติขั้นอรหันต์แล้ว รับรองได้เลยว่า ไม่ทำบาปทั้งปวงเด็ดขาด ยิ่งเกินอรหันต์ไปแล้วจะทำมั้ย?ก็ไม่ทำแน่ เป็นขั้นตอนตามลำดับที่เป็นความจริง

 

หนึ่ง ความจริงที่รู้แล้วเป็นจริงได้ เป็นอุภโตภาค ...

ผู้ที่เป็นเจโตวิมุติ แต่ไม่เป็นปัญญาวิมุติ

หรือเป็นทิฏฐิปัตตะยังไม่ถึงปัญญาวิมุติ แล้วเริ่มเป็นทิฏฐิปปัตตะ ได้เป็นกายสักขี ได้เป็นปัญญาวิมุติ

รู้มีทิฏฐิปปัตตะคือ เข้าถึงความรู้นั้น เมื่อเข้าถึงความรู้นั้นได้ ก็ทำให้สำเร็จได้ทั้งนอกและใน จะตกหล่นไม่สมบูรณ์บ้างก็ทำให้เป็นสักขีทั้งนอกและใน เรามีครบแล้ว ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

กายสักขีเป็นปัญญาวิมุติ เหลือเศษเจโต สิ้นอาสวะแล้วเหลืออนุสัยส่วนเหลือ โดยสามารถรู้ว่า สังโยชน์ 10 แต่คั้นเข้าไปอีกเหลืออนุสัย 7 ก็เหลือส่วนละเอียดของอนุสัยที่ไม่หยาบอย่างอาสวะแล้วเป็นของอรหันต์ จนสิ้นอนุสัยอีก7 ครบ

อาตมาจะรู้ความต่างของอาสวะกับอนุสัย ก็เป็นความรู้ของอาตมา คุณฟังขึ้นไหม ? อาสวะ 10​ อนุสัย 7 เป็นต้น ปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์     อาสวะสิ้นหมด แต่เหลืออนุสัยเศษส่วนสุดท้าย

สย สยังคือตัวเรา สว สย สกะ คือตัวเรา

อนุ แปลว่าน้อย ละเอียด น้อย เล็ก ตามรู้ไม่ได้หรือตามรู้ได้ยาก เป็นตัวปลาย ยังเหลือตัวตน อนุ ตัวท้ายตัวปลายก็เอาให้หมด

อาตมามีความรู้อันนี้ ก็เอารู้ที่เป็นความจริง สยังอภิญญาของอาตมา ไม่ได้อ่านมาจากตำราไหน มันมีสัญญาของอาตมา

คุณฟังไปแล้ว แม้อธิบายความต่างของอาสวะกับอนุสัยฟังขึ้นไหม โมเมไหม?

ก็ฟังได้มีหลักฐานว่า ถ้าเรามีขีดนี้ ถ้าคนสูงพอสมควร มีสภาวธรรมอาสวะอนุสัยจะรู้ คนมีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่า สิ่งที่อาตมาเอามาพูดนี้ ถ้าอาตมาไม่มีสยังอภิญญาเป็นของตัวเอง หรือโม้เอา ก็ฟังไม่เข้าท่า ตลกนี่หว่า คุณจะพอมีปฏิภาณรู้ แต่ถ้าคนที่ฟังแล้ว เขามีปฏิภาณไหวพริบจะรู้ เป็นต้น

อาตมาก็มีภูมิอย่างอาตมา ทีนี้ทำไมไม่มีหลักฐาน คุณดูตามหลักฐาน ทุกวันนี้ก็ดูจากคนในยุคนี้ ไม่มาก ปลายภัทรกัปป์ ผู้รู้บันทึกไว้ แม้แต่ในเถรวาทนี่ บันทึกน้อยที่สุดแล้ว จะมีอรรถกถาช่วยบันทึกไว้บ้างก็ไม่มากแล้ว เพราะเป็นปลายภัทรกัปป์แล้ว ตรวจสอบแล้ว พอฟังได้ไหมอย่างที่อาตมาเสนอ เป็นอตักกาวจรา คาดเดาไม่ได้ เป็นอุตริมนุสธรรม คุณวิเศษจริงๆ

อาตมารู้ บาปบุญ อาตมาจะทำบาป เพราะโม้อวดเก่ง ว่าอันนี้ดีวิเศษให้คนว่าเราเก่งประเสริฐเลิศเลอ อาตมาว่ากิเลสนี้หยาบมากแล้ว

 ตั้งแต่คบหาอาตมามา อาตมามีลักษณะแสดงความอยากโก้ อยากเด่น อยากอวดเก่งบ้างไหม?

อาตมาไม่ได้อยากเด่นดังอะไรเลย ถ้าอาตมาอยากอวดเก่ง ก็อวดตัวตนว่าเป็นอะไรมามากมาย

 อาตมาก็ค่อยๆทยอยเปิดเผย เพราะถึงเวลากาละแล้ว มีหลักฐานมีเค้าพอจะตามไปได้ ไม่ใช่อาตมาไม่มี แต่ไม่ได้เปิดเผย เป็นต้น

ยังไม่เปิดเผยก็ยังมีอีกนะ แต่รับรองว่าอาตมาหยิบหลักฐานยืนยันได้ตลอดเวลา ทุกเรื่องที่บอกว่าอาตมาเป็น อาตมามี มาแต่เดิม  

เป็นสยังอภิญญา เป็นของที่ตนเองมีอภิญญาอันนั้น รู้ยิ่ง รู้จริง

สิ่งที่เป็นความรู้จริงที่นำมาให้คนพิสูจน์ ก็เพราะตนเองมีภูมิธรรมอันนั้นของตนจริง

 ถามว่าอาตมาเอามาจากไหน? รู้มาจากไหน ก็รู้จากสยังอภิญญาของตนเอง สัญญาของอาตมาเอง ที่มีจริงไม่ได้พูดเพื่อโก้ๆ แต่เน้นอธิบายส่วนที่ควรอธิบายให้ฟัง ฟังขึ้นไหมล่ะ

โสดาบัน จะเป็นคนอย่างไร?

 เข้าเนื้อเรื่องเลย ยุคนี้จะมีคนจริงเป็นโสดาบันเข้าไปทำงานบริหาร เป็นข้าราชการมีคุณธรรม แม้เป็นนักธุรกิจจะเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์เหมือนกัน ที่ทำก็เพื่อช่วยโลก ให้เป็นโลกใหม่โลกุตระ ไม่ใช่โลกียะ จะปรากฏต่อไป

มันมีมาแล้วที่พวกเราทำ แต่ตอนนี้จะขยายผลออกไปไปสู่ประเทศไทย ถึงยุคประเทศไทยเปิดใจรับ อาตมาเชื่อว่าในอีก 60 กว่าปีที่อาตมาพยายามดันตัวเองไปให้ถึง 151 ให้ได้เหลืออีก  68 ปี อาตมาว่าจะเห็นพฤติกรรมสังคมประเทศไทย ว่ามีอริยบุคคลตั้งเเต่ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ขึ้นไปเป็นผู้บริหารปกครองบ้านเมือง

แม้ที่สุดจะทันได้ดูว่ามีอรหันต์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ แต่จะมีอาริยบุคคลขึ้นไปเป็นลำดับ มันจะเจริญไปอีกจนกว่า 500 ปี ก็จะทำให้สังคมได้รับความเป็นจริง ให้เป็นสังคมตัวอย่าง ไม่ได้เจตนาจะอวดอ้าง แต่มันจะต้องเป็นจะต้องมีอะไรทิ้งไว้ในปลายยุคภัทรกัปนี้

อาตมานำของพระพุทธเจ้า ที่เป็นโลกุตระทำเป็นอาริยะ เป็นศิวิไลซ์ ที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นความเจริญ นี่แหละเรียกว่าความเจริญสูงสุดของมนุษยชาติ เจริญเป็นโลกุตระ

ส่วนโลกียะหรือกัลยาณธรรมไม่เจริญเท่านี้หรอก มันไม่บริสุทธิ์ใจ ไม่รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน มันแบ่งเวทนา 108 ไม่ออก แยกเคหะสิตเวทนา แยกอาการของพลังงานจิตโลกีย์เคหสิตะ กับอาการของพลังงานจิตที่เป็นเนกขัมมะสิตะเวทนา เข้ากระแสโลกุตระ มันแยกอาการนี้ไม่ออก มันไม่รู้จักเพศของพลังงานเหล่านี้ ไม่รู้ลิงคะของพลังงานความต่างเหล่านี้

แต่โลกุตระตั้งแต่โสดาบันเริ่มรู้แล้ว จึงทำให้ตนได้ ถ้าคุณอ่านอาการนี้ไม่ถูกต้อง จะเป็นโสดาบันได้อย่างไร คุณอาจจะเข้าใจปริยัติ เป็นองค์ประกอบเป็นทฤษฎีที่จะปฏิบัติ ก็ได้ความเป็นมรรค เส้นทางปฏิบัติ หรือแม้แต่ตรรกะความหมายของอันนี้

*แต่ถ้าจิตใจคุณยังไม่มี ว่าเราทำได้เป็นเนกขัมมสิตเวทนา อาตมาใช้คำว่าคุมเคร่ง ฌาน 1 จนทำได้ดี ไม่ต้องคุมเคร่งวิตกวิจาร มันดีขึ้นได้ จนไม่ต้องกังวล คล่องตัวทำได้ดีเรื่อยๆ มีพลังงานปีติ สุข เอกัคคตา เก่งขึ้นเจริญขึ้น ปีติก็ลดลงไป เป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง

ไม่ต้องจำ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องสังวรระวังเคร่งคุมเลย มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าทำได้จริงก็ยิ่งเป็นพลังงานที่เสริม ศีลแปดเป็นฐานของสกิทาคามี ศีลสิบก็เป็นฐานของอนาคามี เป็นอเนญชาภิสังขาร เจริญแน่วแน่ แนบแน่นปักมั่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา สัจจะจะเป็นอย่างนั้น

 

โสดาบัน คือผู้ที่มั่นคงในสัจธรรมแล้ว คนนี้มีศีล 5 ไม่โกหก แล้วคนที่โกหกนี้ทุจริตได้ง่าย ทำสุจริตก็ง่ายกว่าที่พระพยอมบอกว่า บุหรี่นี้จะหยุดยากอย่างไร?แค่เปิดปากมันก็หลุดแล้ว โกหกได้ยังง่ายกว่านี้อีก จะเลิกบุหรี่ลดบุหรี่ก็แค่วางปล่อยปากบุหรี่ก็หลุดไปแล้ว ก็พยายามอธิบาย

แต่โกหกนั้นหลุดง่ายกว่าบุหรี่หลุดจากปาก บางทีไม่ต้องเปิดปากก็โกหกได้แล้ว ยิ่งพูดออกไปชัดๆเร็วเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่ใครจะชำนาญโกหก

พระโสดาบันไม่เอาของคนอื่น เพราะรู้ว่าพลังงานนี้เป็นบาป

เรื่องกามก็ลดลงตามลำดับ ผัวเดียวเมียเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้านเท่านี้ วาจาไม่โกหก ใจก็ลดลงในสุรา เหลือเมรยะมัชชะไป เป็นขั้นเป็นตอน

โสดาบัน เป็นเบื้องต้นมีความบริสุทธิ์ทางกายวาจา

ผู้ที่เป็นโสดาบันจะเข้าใจพลังงานของจิต รู้ในความเป็นอัตตา ที่สั่งสมมา กี่ล้านชาติ แล้วจะทำไปอีก ทำไมถึงโง่อย่างนี้ เป็นโสดาบันไม่ได้ โสดาบันไม่ได้โง่อย่างนี้  โสตะแปลว่ารู้แล้ว

สรุปแล้ว อาริยะพื้นฐานเป็นศีล 5 รู้ทั้งกาย วาจา ใจ

โสดาบันหากไม่รู้จักกาย เป็นสัมมาทิฏฐิ คือธรรมะสอง ธรรมะของรูปและนาม ไม่ใช่ภายนอกอย่างเดียว และต้องสัมผัสกับของหยาบ โสดาบันจะสัมผัสอบายนะ ถ้าไม่มีสัมผัส ก็ไม่รู้ว่าจะล้างตรงใหน มันล้างไม่ได้

 

ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น ว่านั่งหลับตา คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ที่หยิบมานี้ ที่เขาอธิบายว่า...

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนี้คือความรู้ที่ลึกซึ้งที่สุด สายหลับตาเขาสอนว่า ถ้านั่งสงบแล้ว แล้วปัญญาจะเกิดเอง

 ถ้าหากคุณมีปัญญา ในคลังขั้นที่เป็นสยังอภิญญาของคุณ คุณมีตั้งแต่ปัจเจกแล้ว คุณนั่งสงบ มีเหตุปัจจัยพอสมควรมันก็ขึ้นมา

พระพุทธเจ้ากว่าจะไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านก็นั่งมานาน แล้วนั่งเก่งกว่าคนอื่นด้วย แต่มันก็ยังไม่ขึ้น จะระลึกชาติจะเป็นอย่างไรและก็ยังไม่ถึงรอบที่มันจะขึ้น จนกว่าจะถึงรอบเวลานั่งแล้วก็ถึงยามหนึ่งยามสองยามสาม ก็ขึ้นมา

ฉันเดียวกัน ถ้าผู้ใดมีอยู่ในตัวเอง แล้วไปนั่งหลับตามันก็จะขึ้นมา โดยไม่ใช่การใช้ตรรกะ ไม่ได้เพ้อเจ้อ เพราะคุณมีในสัญญาเก่าของคุณ

แต่คุณก็จะขึ้นเท่าที่คุณมี ถ้ามันไม่มี มันขึ้นมาก็เป็นการปรุงแต่งเอง เป็นเรื่องอะไรไม่รู้ โมเมมา หลอกกันไป ก็ปั้นเรื่องบ้าบอ หลอกตัวเองด้วย ว่าเป็นจริงอีก

ถ้าขึ้นเองก็ของคุณเองที่มี ถ้าไม่มีแล้วอะไรจะมาขึ้น จะบอกว่าเป็นปัญญาก็ใช่ แต่ได้แค่นั้น เท่าที่ของคุณมี ก็ดีเท่าที่คุณมี

แต่จะนั่งจนตาย ถ้าหากคุณไม่มี ก็จะไม่ได้เพิ่มอีก จะนั่งจนตายก็ได้เท่าเก่า

 แต่ถ้ามาเรียนรู้ปฏิบัติลืมตาก็จะได้ทั้งของเก่าและของใหม่ ซึ่งของใหม่จะมีเพิ่มขึ้น

แต่ถ้าไม่มี ถึงจะรู้ก็จะดักดานเท่าที่เป็นกบในกะลาครอบ จึงไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างกบในกะลา

พระพุทธเจ้าสอนโลกกว้างอย่างโลกะวิทู ท่านไม่ได้สอนให้รู้แต่ในกะลา พอแล้วลูกเอ๊ย

พวกนั่งหลับตานั้น ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรือง(เหลือง)ดำรง(ดำลง) ก็เพราะเราทั้งหลาย ฟังให้ชัด มันร้องเหลืองร้องดำลงจริงๆ เหลืองสูตรเข้าขั้นที่มันจะตายแล้วนะ แล้วถ้าดำก็เลิกเลย

ผู้ปฏิบัติสายหลับตาออกป่า ปลีกเดี่ยว เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อหมู่มวลส่วนน้อย

ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปเพื่อ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ศาสนาพุทธนั้นเป็นไปเพื่อคนหมู่มาก วิธีปฏิบัติก็คือให้รู้จากน้อยไปมาก แล้วจะไปปฏิบัติกับคนที่น้อยน้อยแล้วหนีเข้าป่าจะได้หรือ เป็นความสับสนไปสับสนมา

ขอสรุปว่า ศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อคนส่วนมาก เป็นศาสนาสังคม ไม่ใช่ศาสนาของคนหนีออกป่า แต่ในยุคที่คนจะเข้าป่า หลงเข้าป่าอย่างยุคนี้ก็ต้องมี

แล้วยุคของอาตมา ก็เลยมีขนาดนี้ออกป่าแล้วหลงไปปฏิบัติในป่า

ในยุคของพระพุทธเจ้ายิ่งดิ่งดับลึกกว่านี้อีก ออกป่ามากกว่านี้อีก

ท่านก็เลยจำเป็นอนุโลมช่วยคนในป่าก่อน ให้คนในป่าตื่นรู้ มาสัมผัสอายตนะ 6

คนปฏิบัติต้องสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า โดยใช้หลัก….

วิญญาณ 6       อายตนะ 6        ผัสสะ 6      เวทนา 6      ตัณหา 6

อุปาทาน 4 .     ภพ 3               ชาติ 5

ท่านก็ใช้หลักสูตรท่านให้คนปฏิบัติ คนเหล่านี้มาปฏิบัติลืมตาก็จะได้รู้ความจริงว่า ไปปฏิบัติในป่านั้นเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธตามอัมพัฏฐสูตร ไปหลงหาอาจารย์ในป่า ในป่าไม่มีชามมีจานหรอก มีแต่ใบไม้รองกิน ต้องมาหาจานในเมืองนี่

 

สรุปแล้วท่านก็อนุโลมปฏิโลม คนมันหลงยุคอย่างนั้นมันมี

ท่านเองก็ไปหลงอยู่ในป่าตั้ง 6 ปี ท่านเลยต้องสอนคนในป่าก่อน

คนที่บรรลุแล้วอยู่ในเมือง ถ้าสงสัยก็ไปพิสูจน์อยู่ในป่า ว่าเราจะหลงป่า จะติดป่าไหม จะฟุ้งซ่าน ไปหาป่าไหม

คนที่รู้อย่างที่อาตมาพูด จะไม่สับสนอย่างเช่น พระอุบาลี ขอพระพุทธเจ้าออกป่า พระอุบาลีเป็นพระเมืองไม่ใช่พระป่า

พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด พระพุทธองค์ตรัสว่า... 

ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก  ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว   ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลง(ติดป่า) หรือจักฟุ้งซ่าน(ในโลกธรรม) เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้  คือ จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

ผู้ที่มีมรรคผลอย่างน้อยเป็นอนาคามีจึงจะไปสู้ได้ ก็จะไปป่าได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงอนาคามีก็ติดป่าได้ อย่างเช่นโสดาบันหรือสกิทาคามี แล้วแต่จมอยู่ในนั้นนานเท่านาน จะเป็นเหมือนนางวิสาขาเลย เป็นผู้ที่ยินดีในสิ่งที่ตนติด แต่นางวิสาขา ไม่ได้ติดป่า แต่ติดเอร็ดอร่อย พริ้งพราย นานมาก

ผู้ที่สอนให้นั่งหลับตา อย่างหลวงปู่ดุลย์ ก็เป็นผู้ที่มีบารมี แต่ก็ยังมีมิจฉาบ้างก็อย่างนั้นแหละ หลวงปู่ดุลย์เคยเอาหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักทั้งดุ้นเลยไปใส่ในหนังสือของท่าน พออาตมาท้วงไปเขาก็ถอดออก ที่พูดนี้ไม่ได้ไปข่มท่านนะ ขออภัย

ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาคนป่าหรือคนหมู่น้อย แต่เป็นศาสนาของคนเมืองเป็นคนหมู่มาก ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดก็ตาม ศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาของคนหมู่มากกับคนเมืองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในยุคไหน เป็นศาสนาคนเมืองทั้งสิ้นไม่ใช่ศาสนาคนป่าไม่ใช่ศาสนาของคนหมู่น้อยไม่ใช่ แต่เป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก

แม้แต่ยุคนี้จะมีคนจำนวนน้อย แต่ก็จะปลูกกระแสเอาไว้มาก ทิ้งไว้ให้คนในยุคนี้ ใส่สัญญาเอาไว้ แม้แต่คนเป็นอเวไนยสัตว์ก็จะรับใส่ไว้ในสัญญา

หรือแม้แต่คนอนันตริยกรรมก็จะใส่ในสัญญา จนกว่าจะหมดที่ บาปกรรมก็จะเอามาใช้ได้

เข้าสู่โสดาฯศีล 5 สกิทา ศิล 8

 

โสดาบันรู้จักกายของโลกียะกับโลกุตระชัดเจน

โดยอ่านอาการจิตของตนเป็น มีอาการหรือความรู้สึก อ่านได้ อ่านออก ว่าอาการลีลาอย่างนี้ว่าเป็นโลกียะ เป็นเคหสิตเวทนา

เช่นเป็นอารมณ์ของความสุขเป็นความชอบ มันเป็นรสของโลกีย์ อ๋อ!นี่คือรสโลกีย์

เมื่ออารมณ์โลกีย์จางคลายลดลง ก็เป็นเนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา เมื่ออาการสุข ชอบ จางคลายก็ต้องอ่านออก

 ถ้าใครสามารถดับได้เลย เช่นเคยติดรสลองกอง เคยติดรส ต่อมาเราปฏิบัติได้สัมมาทิฏฐิ ก็จะลดความดูดดึงไป สกิทาฯก็ลดไปอีก

 อนาคามี จะลดลงไปมากแล้ว ลดลงจนไม่มีก็จะสัมผัสรู้

สัมผัสเมื่อไหร่ก็อ่านของจริง หากไม่สัมผัสก็ได้แต่เดา

แต่ถ้าสัมผัสของจริงเมื่อไหร่ ก็จะรู้ได้อ่าน สัมผัสของจริงมีทั้งนอกและใน

เป็นเหตุปัจจัยเป็นรูปเป็นนาม ชัดชัดๆจริงๆ ก็จะรู้อย่างบริบูรณ์

คุณจะเกี่ยงทำไม ถ้าจะมาดูของจริงให้ครบ ถ้ารู้ของจริงให้ครบทำไมไม่เอา

ถ้าคุณลืมตาปฏิบัติจะเป็นความจริงที่ครบกว่า ฟังขึ้นไหม

ถ้าหลับตาปฏิบัติจะรู้ความจริงไม่ครบ

สรุปแล้วโสดาบันเอาเกณฑ์ของศีล 5 เท่าที่คุณมี สิ่งรองรับของคุณว่าอยู่แค่นี้ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือลาภยศสรรเสริญ เราจะตัดเขตแค่ไหน ความเป็นอบายมุขของใครของมัน

ตัวอย่าง เช่นโสดาบัน คนนี้ถ้าโกงทุจริตขนาดนี้ไม่เอา แต่โสดาบันนั้นจะไม่โกง แต่จิตใจนั้นมันยังเสียดายก็แล้วแต่

โสดาบันอย่างหยาบจะอาลัยอาวรณ์ก็ว่าจะโกง ก็ดี แต่ไม่กล้าโกง

เพราะมีหิริโอตตัปปะ กลัวบาปกรรมที่เป็นของจริง จะไม่ทำ

มีพลังงานที่จะไม่ทำชั่วนั้นได้จริงๆ แม้ในใจมันจะยังมี เสียดายเงินอย่างไรก็จะไม่ทำ

เช่นอาตมาเคยถามคน ว่าชาตินี้คุณโกรธคนนี้มากเลย มันทำให้คุณโกรธมากจริงๆ

โกรธมากสุดที่เลย คุณจะกล้าฆ่าเขาไหม หลายคนรู้ตัวเลยว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่กล้าฆ่าเขา

พวกเรานี้เป็นผู้ชายโดนผู้หญิงตบหน้าต่อหน้าธารกำนัล คุณหินไท มองผู้หญิงแล้วก็เฉยๆไม่กล้าต่อว่า ไม่กล้าตบตอบ จิตใจไม่กล้ารุนแรง คนนั้นเป็นผู้หญิง ตบต่อหน้าธารกำนัล ถ้าคนที่ยังมีสิ่งที่ตอบโต้อยู่ก็บอกว่า ถ้าตบมาอย่างนี้ไม่ตบตอบก็ไม่ใช่คนละ

คนไม่ตบตอบไม่โกรธตอบไม่ใช่คน แต่คนไม่โกรธเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาเป็นอาริยบุคคล

สกิทาคามี จะมีภูมิธรรมรู้ว่า นั่นยังหยาบ ยังหลงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะลดลงอีก ในความหมายที่สอนว่า ตั้งแต่ศีล 8 เป็นรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส เป็นเรื่องใหญ่โต วิภูสนัฏฐานา ก็จะจางลงลดลง

 แต่คนที่รู้ความจริงโลกุตระ ไม่ใช่ว่าไม่รู้โลกียะ คนที่รู้โลกุตรธรรมได้แล้วยิ่งรู้โลกียะได้ดี แต่อยู่เหนือโลกียะได้

จึงไม่จำเป็นต้องหนีอยู่ด้วยกันนี่แหละ อนุโลมให้เขาได้ก็อนุโลม ถ้าอนุโลมไม่ได้ ก็อย่าอวดดี

เปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนคนตกบ่อ ตัวเองถ้าไม่มีรากฐานมั่นคงที่จะดึงคนขึ้นมาได้ ก็อย่าอวดดี เขาจะดึงคุณหัวทิ่มบ่อลงไปตายด้วย คนฉลาดจะรู้จักประมาณ อย่าไปอวดดี คนที่มีอัตตาตัวตนก็จะประมาณได้

 

ในหลักการทฤษฎีของพระพุทธเจ้า รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสขั้นต่อไป โสดาบันก็หยาบใหญ่ สกิทาคามีก็หยาบรองจากโสดาบัน จะประมาณของตนเอง ก็เป็นศีล8

ศีล 10 คำว่า อุจจาสยนมหาสยนา คำว่า “สย”ก็เอามาเป็นตนของตน คำว่าอภิหรือมหาก็คือใหญ่ อะไรหยาบใหญ่ก็ลดลงๆ เวรมณีคือเว้นขาด

*คำว่า  อุจจาสยนมหาสยนา เป็นคำทีบอกความหมายยิ่งกว่าสกิทาคามีขึ้นไป etc. ให้รู้ไปถึงอนาคามีถึงอรหันต์ก็ประมาณเอง

เลยศีล 10 ไปแล้ว ข้อ  อุจจาสยนมหาสยนา  เป็นหลักที่จะใช้ในการเอามาเป็นมาตรวัดของตนเอง เกินนั้นขึ้นไปรายละเอียดก็ใช้ปัญญาญาณของตนเอง

สี่ขั้นนี้  นี่คือศีล 5 โสดาฯ ศีล 8 สกิทาฯ ศีล 10 ก็อนาคาฯ เลยถึงอรหันต์ ก็ศีลสูงกว่านั้น หรือจะเอาโอวาทปาติโมกข์ทั้งหมด

คนทำจริงจะรู้อีก แม้ศีลที่ยังเหลือเศษเล็กน้อย แม้จะไม่ได้อยู่ในบัญญัติของพระพุทธเจ้าก็ตาม

สังโยชน์ก็ตามหรืออนุสัยก็ตาม อนุสัยคือสิ่งที่เหลือรอบลึกเข้าไปอีก ไม่เหลืออบายแล้ว ในอนุสัย 7 ไม่มีขั้นอบายแล้ว ไม่มีกามภพหยาบแล้ว เป็นภวราคะ ภวตัณหาไปเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีสภาวะ อย่างอาตมา จึงเอาสภาวะนั้นมากำหนดอย่างจริงใจมั่นใจมาบอกว่า

โสดาบัน โสดาบันเป็นฐานที่เอาศีล 5 มาตรวจสอบ

สกิทาคามี เอาศีล 8 มาตรวจ

อนาคามีเอาศีล 10 มาตรวจสอบ สูงกว่านั้นก็เป็นอรหันต์

จะฟังขึ้นไหม ตามมาตรวัด เกณฑ์กำหนด อันนี้แหละ ก็เอาไปปฏิบัติได้

นี่คือคำถามของทิดเดิมแท้ ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่องค์ เถรวาทรวบรวมมานิดเดียว มหายานก็รวบรวมมากกว่านี้บ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ ที่ไม่มากนั้นเพราะมีความซับซ้อนเยอะ เพราะพระสมณโคดมสอนแค่ 45 ปี พระพุทธเจ้าบางองค์สอนอยู่เป็นแสนปี คำสอนจะมีน้อยหรือมากกว่ากันเท่าไหร่เทียบได้ไหม

พระพุทธเจ้าบางองค์สอนถึงแปดหมื่นปี ส่วนพระสมณโคดมสอนอยู่แค่ 45 ปีเอง เพราะฉะนั้นจะมีเท่าไหร่กันเชียว

ขออภัยเทียบกับตัวเองบ้าง แล้วอาตมาเป็นโพธิสัตย์ยังมีที่ต้องสะสมความรู้ในวัฏสงสาร อาตมาระดับ 7 ก็ต้องรู้ขึ้นไปอีก บอกได้เลยว่ามากกว่าที่พระสมณโคดม ตรัสไว้ใน 45 ปีนี้ พอฟังขึ้นไหม?

อาตมารู้โลกวิทูที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มากกว่าที่ท่านตรัสไว้ 45 ปี

แล้วที่ท่านสอนมา 45 ปีคนเก็บเอาไว้หมดไหม บางอย่างอาตมารู้ ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ก็มี ยกตัวอย่างง่ายๆ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ไม่มีในพระไตรปิฎกของเถรวาท ในมหายานจะมีไหมไม่รู้

แต่ในเกจิอาจารย์นั้นมีที่ตามหาบันทึกไว้ มีอรรถกถาจารย์บันทึกไว้ ของพระพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรค ก็เป็นโบราณาจารย์

แต่อาตมาสัมผัสแล้วว่าเป็นของพุทธแท้ๆ เป็นของพระพุทธเจ้าแน่นอน แล้วอาตมาอธิบายได้ ปฏิบัติได้ด้วย ตามจริงใจตามภูมิ ก็อธิบายให้พวกคุณเรียนรู้อยู่ พยายามแจกแจงอธิบายให้ฟัง

ถ้าคุณแยกภาวะธรรมสอง บวกหรือลบ พลังงานหรือสสาร นิวเคลียร์ฟิวชันหรือนิวเคลียร์ฟิชชัน ถ้าไม่มีสภาวะธรรมก็แยกไม่ออก

นิวเคลียร์ฟิวชั่นกับเป็นพลังงานที่เล็กที่สุดแล้ว แม้จะเรียกว่าฟิวชั่น เป็นพลังงานที่เป็นจุดเดียวเข้มข้นเลยนะ

กับนิวเคลียร์ฟิชชันที่เป็นพลังงานกระจายออกไปบางเบาไกลห่าง มีสองทิศทาง แล้วเล็กด้วยกันทั้งคู่ แต่เป็นพลังงานที่ต่างกันคนละขั้ว

คนที่จะเข้าใจแล้วรู้ได้อธิบายได้ และสามารถจะทำลักษณะนี้ แยกอาการของจิตเรา มาเป็นพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็นพลังงานที่เราจับได้

สังขิตตังจิตตัง เป็นจิตที่จับตัวเป็นกลุ่มได้ เป็นถีนังมิทธังหรือสังขิตตังจิตตัง

แต่อีกขั้วเป็นวิขิตตังจิตตัง อุทธัจจะ กระจายออกไปจับไม่ติด

ถ้าจับไม่ได้ก็ปล่อยทิ้งไป เท่าที่จับได้เป็นฟิวชั่นจับได้เท่าไหร่ก็เอามาใช้ เพื่อจะมาเป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์ เพื่อมาเป็นประโยชน์ในการวิจัย

ที่ในพระบาลีเรียกว่า วิตก วิจาร

วิตก คือ จิตเริ่มดำริมา คุณจับสภาวะนี้ได้ แล้วแยกออกว่า…

 มีกามหรือพยาบาท มีพลังงาน 2 ที่เป็นอกุศลจิตผสมอยู่ในจิตที่ดำริขึ้นไหม คุณสามารถมีค่า คุณมีญาณปัญญาอ่านออกว่ามี…

กามาสังกัปปะหรือกามวิตก เป็นสสังขาริกังของกามผสมอยู่นะ ปรุงแต่งมาด้วย ก็คั้นเอากามออกให้ได้ เอาตัวที่เป็นอาการของกามออกให้ได้ ให้ได้เพียวๆนะ อย่าไปดับธาตุจิตทั้งหมด ก็จัดการชำระกำจัดกาม เมื่อชำระได้

คุณจะไม่สงสัย ไม่กังวลวิตก ที่แปลนัยภาษาไทยว่า กังวล ด้วยการอ่าน พฤติ จาระ อาการของมัน ว่าอาการสงัดจากกาม อาการกามมันหายไปจากจิตเรา มันบางเบา มันไม่มีอาการ มันไม่มีชั่วคราว มันนานๆมาที หรือหายไปนานไม่มาแล้วก็จะอ่านของจริงของคุณออก

จะเห็นจาระ พฤติของกามไม่มี ก็จะหมดวิตก หมดสงสัย หมดวิตกหมดวิจาร

จาระก็ของจริง ตักกะที่ต้องวิตก ดำริในกามก็ถูกกำจัดล้างหมด

ก็เป็นธาตุจิตสะอาดบริสุทธิ์จะไม่ต้องสงสัยในวิตกวิจาร แสดงเป็นภาษา วาจาโวหารว่า วิตกวิจารดับไป ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร

ก็คือหมดวิตกวิจารในเหตุปัจจัยอันนี้ กิเลสกามอันนี้

ตัวอย่างเช่น  ชอบลางสาด ลองกองนี้ เห็นอาการของกาม อ่านอาการแม้ที่สุดคือราคะ

กามคือภายนอกหยาบ

เหลือข้างในเป็น *รูปราคะ อรูปราคะ* ก็รู้ว่าอาการนี้ไม่มีในใจเราแล้ว ยังเหลือรูปราคะ อรูปราคะก็กำหนดให้ชัดแม่น มันไม่มีแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกวิจาร อาการของมันชัดแล้วสะอาดบริสุทธิ์เกลี้ยงแล้ว

ไม่มีอาการกามราคะแล้ว รูปราคะ อรูปราคะก็ไม่มีแล้ว คุณต้องรู้ด้วยญาณของคุณ

คนหลอกตัวเองอย่างเบลอยังไม่ชัด ก็ต้องหลอกตัวเอง

 แต่ถ้าชัดเจนในตัวเองก็จะรู้ความจริง พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองนี้

พระพุทธเจ้าไม่ถือผิดคนที่หลงตัวเองนึกว่าตัวเองได้แล้วแต่ไม่ได้ ทั้งที่จริงใจนึกว่าตัวเองหมดแล้วเป็นอรหันต์ แต่ที่จริงยังมีกิเลสพระพุทธเจ้า ก็ไม่เอาผิดกับคนหลง

**แต่คนเสแสร้งหลง โกหกซ้ำซ้อนพระพุทธเจ้าเอาปาราชิกเลย โกหกซ้ำซ้อนในเรื่องของปรมัตถธรรมไม่ได้

ความจริงก็คือความจริง ความรู้ก็คือความรู้ ในระดับที่ว่ามา

 

พูดถึงจตุพร พวกที่หลอกคนว่าพวกผมนี้เป็นพรหมพันธุ์นะ เป็นพันธุ์ที่บริสุทธิ์นะ มีอยู่ 2 คน มหาระแบบ กับจตุพร ระแบบมาจัดการอาตมา จตุพรไปทางการเมือง พี่ชายคือมหาระแบบหันหน้ามาจัดการอาตมา เป็นพรหมตัวปลอมสองตัว เพราะมหาระแบบนี้ชงเรื่องให้สมเด็จพระสังฆราชเซ็นชื่อมาเล่นงานอาตมา สมเด็จพระสังฆราชก็เลยบอกว่าทำไมไม่ตรวจให้เรียบร้อย แล้วมาให้เราเซ็นให้พระโพธิรักษ์สึก อาตมาไม่ได้โกรธได้เกลียด มันเป็นวิบาก

คนฟังก็ชัดเจนว่าต้องมีสิ่งดังนี้ ไม่ได้อวด ไม่ได้ต้องเกลียดชัง แล้วมันต้องเจอ ถ้าไม่เจอก็ไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่เจออย่างอาตมา ไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 ที่จะต้องเจอ

เมื่อเจอแล้วใจก็จะต้องไม่หวั่นไหว ต้องมั่นคง เจอแล้วอย่างนี้แหละใช่ แล้วอาตมาจะไปกลัวทำไม ก็มันใช่น่ะ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาไม่อยากพูด พระโมคคัลลานะก็ต้องเจออย่างท่านพระโมคคัลลานะ อาตมาก็ต้องเจออย่างนี้แหละ นี่คือสัจจะที่ลึกซึ้งละเอียดลออ

สรุปแล้ว ยุคนี้เป็นยุคที่กำลังจะเกิดโลกุตรธรรมให้แก่โลก ในช่วงปลายภัทรกัปป์นี้ แล้วจะหยั่งลงในประเทศไทยไม่เคลื่อนไม่เลื่อนไปหาประเทศไหนอีก จนกว่าโลกลูกนี้แตก แต่พอภัทรกัปป์นี้หมดไป ก็จะเป็นภัทรกัปป์อันใหม่ จะเป็นพุทธันดรก่อน เป็นธรรมดาของโลกที่จะมีการหมุนเวียนในมหาจักรวาล

ในตอนนี้เมืองไทยเป็นชมพูทวีป เป็นแดนที่จะเกิดมนุษย์อาริยะ ที่จะต้องทำงานนี้ขึ้นให้แก่มนุษย์ ภัทรกัปป์ตอนปลายนี้ จะมีจริงให้เห็น อย่าพึ่งรีบด่วนตายไปก่อน

คุณจะอยู่ได้จะต้องทำใจให้ดี ก็ต้องกำหนด อย่าขี้เกียจออกกำลังกาย แต่อย่าออกกำลังกายจนเวอร์ทรุดเสื่อม ต้องใช้ 8 อ. ต้องรักษาขันธ์

จะเรียกว่ากายขันธ์ก็ได้ แต่กายต้องไม่ขาดนอกกับใน

เชื่อว่าถ้าอาตมาไม่เกิดมาในยุคนี้ แม้คำว่า”กาย”นี้ก็อธิบายไม่ได้

คำว่า กายก็จะสูญ คำว่าสัมมาสมาธิก็จะสูญ คำว่า บุญก็จะสูญ ไปจากสัจธรรมไม่ต่อมาถึงยุคนี้ และเป็นมิจฉาสมาธิแน่นอน

คนที่ฟังเข้าใจว่า สัมมาสมาธิคืออะไร?

 สัมมาสมาธิ คือสมาธิลืมตา ที่มีชีวิตเป็นสามัญ มีจิตใจที่เป็นsupra concentration ทำให้สมาธิเกิดในจิตได้ ขณะทำงานอาชีพเป็นสัมมาอาชีวะ ถ้าเกิดจิตใจตัวที่เป็นsupra concentration ที่ไม่ใช่ meditation ที่ไปหลับตาสะกดจิต

สัมมาสมาธิ เป็น Supra concentrate ในขณะลืมตา*

มีสติสัมปชัญญะมีปัญญา  มี …….

สัมปชัญญะ =  ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้

สัมปชานะ    =  รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ     =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ   =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

 

ความเป็นของพิเศษ supra concentration คือ...

ขณะที่ทำอาชีพ   ก็ต้องเป็นสัมมาอาชีวะ

 ขณะที่ทำการกระทำก็ต้องเป็นสัมมากัมมันตะ

 ขณะที่พูด        ก็ต้องเป็นสัมมาวาจา

ขณะที่คิด.       ก็ต้องเป็นสัมมาสังกัปปะ

 ก็จะเกิดเป็น สัมมาสมาธิ ที่จะปฏิบัติตามมรรคทั้ง 7 องค์นี่แหละ

 เป็นสัมมาสมาธิ การปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ก็ต้องมีสัมโพชฌงค์ มีโพชฌงค์ 7 หรือขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37

หรือโพชฌงค์ 7 ปฏิบัติธรรมต้องมี analysisไม่ใช่มีแต่ Hypnosis ซึ่งไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ฝรั่งฟังแค่สองคำนี้ก็จะพอรู้ ในคนที่ศึกษา

คนที่มีสมาธิลืมตาจึงทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำงานอาชีพ ทำกัมมันตะ ทำสังกัปปะ ทำวาจา

ก็เป็นคนที่มีจิตตั้งมั่นไม่มีกิเลสเป็นเจ้าเรือนตามฐานะ โสดาบัน สกิทาคามีก็เก่งขึ้น อนาคามีก็ยิ่งดีขึ้นอีก อรหันต์ก็ยิ่งหมดเลย เป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นอีกก็จะดีขึ้นอีก โพธิสัตว์มีไม่น้อยในเมืองไทยนี้ ตอนนี้ทำงานไปตามฐานะ

อีกหน่อยก็คงจะมีคนที่อวดเป็นโพธิสัตว์ใหญ่กว่าอาตมามาหาหรอก แล้วก็จะได้รู้ว่าใครใหญ่จริง แต่คนเราหลงได้ ถ้าเขาไม่หลง เขารู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้ใหญ่กว่าอาตมา อาตมาก็จะคบหาตามควร ไม่มีปัญหาอะไร เพราะอาตมาเชื่อกรรมวิบาก ใครทำอะไรก็ของใครของมัน

มาพูดถึงปัจจุบัน ต่อไปสังคมไทยจะมีอาริยะในระดับโลกุตระ Inter civilization แบบโลกุตระ เป็นspecial civilize ไม่ใช่ general civilization เป็นsupra civilization

การศึกษาของไทยต่อไปจะเป็น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เน้นคุณธรรมไม่ต้องเอาความรู้แบบในตำรามากแบบในหลวงตรัส ในหลวงท่านจะบอกว่ามาเอาแบบพุทธก็ไม่ได้ เพราะในหลวงเป็นพ่อของคนไทยทุกคนมีทั้งศาสนาอื่นด้วย ท่านก็บอกว่าปิดตำรามาเอาแบบนี้แหละ อลุ่มอล่วย มีสามัคคีกัน มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ อย่างนี้แหละ มาปฏิบัติให้เกิดจิตเจตสิกอันนี้ มันเป็นฐานสาราณียธรรม ให้เกิดเป็นสาธารณโภคีอย่างที่นักบริหารเขาต้องการ

สาธารณโภคี คือต้นตระกูลใหญ่ของคอมมิวนิสต์ เป็นการทำงานเพื่อมนุษยชาติที่แท้จริง จัดการคนที่เป็นนายทุนออกไป เอามาแบ่งแจกเผื่อแผ่กันให้หมด ทั่วถึง คนที่ยังไม่หมดตัวตนก็จะเผื่อแผ่ไม่หมด ก็ต้องให้แก่ตัวเองและพวกพ้องมากกว่า

อย่างธัมมชโย หากไม่ยอมรับความผิดดึงดัน จะยิ่งมีวิบากหนัก

การโกหกปกปิดแล้วไม่ได้บอกใครเลย ในความปกปิดนั้นคือความจริงว่าคุณมีความชั่วอยู่ คือมีการโกหก คุณพูดกับคนอื่นถ้าเขาถามตรงๆ เขาถามว่าคุณโกหกใช่ไหม คุณเองก็ว่าโกหกต่อว่าไม่ใช่ ทั้งๆที่ใช่ก็บอกว่าโกหกตรงๆ แต่ถ้าไม่โกหกตรงๆก็จะหาคำโวหารเลี่ยงไป ก็คือความยืดหยุ่นของตนเอง ถ้าไม่เปิดเผย คนอื่นจะจับโกหกต่อไป แล้วคุณจะต้องโกหกต่อไปอีกกี่ทบๆ เพราะต้นทุนคุณโกหกแล้ว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้เปิดเผยเสีย ถ้าเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัล ก็จะไม่มีอะไรปิดบังก็จะจบ แต่ถ้าโกหกต่อหรือเปิดเผยเพียงบางส่วนก็ไม่จบ

ถ้าคุณโกหกแล้วไม่เปิดเผยมันก็ซับซ้อนเป็นบาปซ้ำซ้อนทุกๆอาการที่จะเกิดที่มีกรรมกริยาแก่กัน แล้วจะสั่งสมเวรนี้ไปถึงไหนกันจ๊ะ

ในการปลงอาบัติของพระพุทธเจ้าจึงให้สารภาพความผิดซะ อาตมาดีใจอยู่ว่า ตอนนี้มีสมณะของเรา อยู่กรรมเพราะว่ามีความผิดก็เลยเอามาเปิดเผยต้องอยู่กรรม แล้วท่านก็อยู่กันไปอีกหลายปี ตอนนี้ก็มีสองรูป รูปอื่นๆก็พ้นไปแล้ว อาตมาก็ยังดีใจว่าพวกเราใจถึง ต้องการความบริสุทธิ์ มีองค์หนึ่งก็ต้องอยู่อีกห้าปี อีกองค์หนึ่งอยู่มาหลายปี เหลือไม่ถึงปี คือแสดงถึงความใจถึงว่าต้องการความบริสุทธิ์ตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ในยุคนี้มันมีของจริงอย่างนี้ แล้วทางโลกนั้นปาราชิกเละเทะ หมกกันอยู่อย่างนั้น อาตมาถึงบอกว่าอยู่ไม่ได้ต้องลาออกมา

ลาออกมาก็ยังดึงอาตมาเข้าไปยำเละอีก ท่านทำผิดเสร็จแล้วก็ไปหลอกชาวบ้านอีก เป็นบาปซ้ำซ้อนไหม กรรมเป็นอันทำ ไม่ใช่ของว่าทำแล้วไม่เอาก็ไม่ได้ เอาลิขวิดลบเอาก็ไม่ได้

มีลึกซึ้งถึงขั้นที่ว่าผู้ที่ทำสังฆเภทยังเป็นอนันตริยกรรม แต่ผู้ที่ทำสังฆเภทที่ไม่บาป มีอยู่

การทำสังฆเภทที่ไม่บาปทำอย่างไร ประกอบไปด้วย

1 ทำโดยตนเองไม่รู้ก็ตาม ไม่รู้ตัวแล้วก็ทำไป แต่มันถูกต้องตามสัจจะ ตนเองไม่รู้ว่าตนเองทำสังฆเภท แต่ก็ไม่เป็นบาปอนันตริยกรรม หรือทำสังฆเภทโดยคนอื่นเขาเข้าใจเราว่าเราทำสังฆเภท คนเข้าใจว่าอย่างนั้นแต่ตัวเราเองรู้ว่าเราไม่ได้ทำสังฆเภท แล้วที่ทำนั้นมันเป็นสัจธรรมด้วย อย่างนี้เป็นการทำสังฆเภทที่ไม่เป็นบาปไม่เป็นอนันตริยกรรม อย่างนี้เป็นต้น

อย่างเช่นอาตมาลาออกมา เขาก็เอาคำว่าสังฆเภทมาว่าทำไม เขาก็เลยซ้ำ เขาใช้วาจาว่าอาตมาสังฆเภท เขาก็มีวิบากแล้วนะ เขาว่ายังไม่รู้ว่าจะมาสังฆเภทจริงหรือเปล่าก็เป็นบาปแล้ว ถ้ารู้อยู่ว่าอาตมาไม่ได้ทำสังฆเภทแล้วก็มาว่าอาตมาเภทสังฆเภท มาประกาศต่อสังคมเลย มาอัปเปหิอาตมาอีก เอาธรรมยุติและมหานิกายมารวมกันทำสังฆกรรมอีกที่ผิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้า คนที่ทำก็ตายไปหลายคนแล้วยังเหลืออยู่ไม่มากไม่รู้ท่านจะฟังอาตมาไหม ถ้ารู้แล้วว่าทำผิดก็แก้กลับเสีย

ที่มาเปิดเผยนี้เป็นเรื่องอภิธรรมไม่ใช่เรื่องตื้นๆ แม้แต่คำว่ากาย ที่เอามาเปิดเผย คำว่าบุญ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ

ถ้าอาตมาจะย้ำเป็นการอวดตัวอวดตนว่า ถ้าไม่ใช่อาตมามาเปิดเผย แค่คำว่า กาย บุญ สัมมาสมาธิ ตั้งแต่อาตมาไม่เอามาประกาศ แล้วต่อจากนั้นไป ความถูกต้องจะกลับฟื้นขึ้นมาได้ไหม ถ้าอาตมาไม่เอาความจริงนี้มาไข นี่อาตมาไม่ได้เอามาอวดตัวตน แต่อาตมาต้องมาเปิดเผยอันนี้ ที่ย้ำนี้ย้ำความจริงไม่ใช่อวดตัวตน

อาตมาพูดไปแล้วว่าอาตมานี่ รับพระบัญชามาที่จะต้องมากอบกู้สิ่งที่ผิดพวกนี้คืนมา ถ้าไม่รู้จักคำว่ากายจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร

 กายกลิ แปลว่า อาการจิตที่เป็นกิเลสเป็นโทษในองค์ประชุมของกาย เป็นตัวโทษภัยเป็นอาการพลังงานจิต ที่เป็นโทษภัยมันก็คือตัวกิเลส คุณก็เข้าใจ กายกลิ ไม่ได้

เช่นลึกเข้าไปอีก กายกลิ เขาแปลว่า … แต่จริงๆคือองค์ประชุมของกิเลสในรูปนาม นี้

ให้จับเอาตัวโทษนี้ ตัวโทษนั้นมี 2 อย่างคือ ขิฑฑาปโทสิกะกับ มโนปโทสิกะ ถ้าไม่รู้โทษก็เป็นโลกีย์ ร้อยเปอร์เซ็นต์

โทษของฝ่ายอัตตาคือ มโนปโทสิกะ  กิลมถะ คืออัตตา

ส่วนโทษของฝ่ายกามคือขิฑฑาปโทสิกะ คือความเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินรื่นเริงใจเป็นบาปเป็นโทษ คืออัสสาทะ เป็นรสของความเพลิดเพลินพอใจมี 2 โทษภัยเท่านี้แหละ

กาย ชคือองค์ประชุมรูปกับนาม ถ้าไม่รู้จักกาย แล้วกายกลิก็ไม่รู้ จะไปรู้นามธรรมในจิตได้อย่างไร จะไปพิจารณา ปฏิบัติ กายานุปัสสนา กายคตาสติ กายอะไรต่ออะไรก็ไม่ได้ผล คุณจะไปเอาความหมายของคำว่ากายไปปฏิบัติได้อย่างไร

หรือไปเข้าใจคำว่า บุญ คือ สมบัติก็เลยเป็นอย่างทุกวันนี้

ทั้งที่บุญ ก็คือ วิบัติแท้ๆ ทำให้กิเลสฉิบหายแล้วมันก็จบมันก็หมด

บุญ คือปหาน 5* ก็จะเอาปหาน 5 ไปทำเท่านั้น ทำเสร็จแล้วจบ ไม่มีภพที่เกิดจากบุญ

แต่ที่เขาสอนให้ทำบุญแล้วสั่งสมภพ อย่างนายไชยบูลย์พูด ก็เลอะเทอะกันใหญ่ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น การศึกษาของเมืองไทยจะเปลี่ยนไป จะหันมาเอาคุณธรรมมากขึ้น แล้วมีคุณธรรมในระดับโลกุตระไปตามลำดับ จึงเกิดการศึกษา ที่จะสร้างอาริยบุคคลได้ เมื่อการศึกษาสร้างอาริยบุคคลได้ เป็นการศึกษาที่ลดกิเลสได้ ก็จะกู้ประเทศได้ แต่ถ้าการศึกษาไม่ลดกิเลส มันจะเพิ่มกิเลส คนที่เพิ่มกิเลสจะไปกู้ประเทศได้อย่างไร

ตอนนี้ตื่นกันแล้ว จะเริ่มต้นเป็นไปได้ ใครที่จะหยุดพัฒนาตนเองบ้างก็ยกมือขึ้น ไม่มีใครหลงยกมือสักคน …..ใครจะพัฒนาตนเองต่อยกมือขึ้น ก็ต้องพัฒนาตนเองแน่นอน ใครจะพัฒนาแล้วต่อไปจะได้รวยลาภยศสรรเสริญยกมือขึ้น ไม่มีอะไร ใช้ได้

เราจะไม่ตกใจหวั่นไหวว่า เราจะไม่รวยลาภยศสรรเสริญ ก็จะเข้าใจ แล้ว แม้มันจะเหลือเศษของกิเลสในใจอยู่บ้าง แต่ความเข้าใจหรือทิฐิมันชัดแล้ว มีสัมมาทิฏฐิแล้ว ทำสัมมาปฏิบัติต่อไป

อาตมาทำงานชาตินี้ วันดวล ควงดาบ จนทุกวันนี้มีพลพรรค มีกองทัพธรรมน้อยๆ กองทัพธรรมจะมีค่านิยมมีคนนิยม เพิ่มขึ้นไป แบบไม่ต้องหวัง อาตมาไม่หวัง แต่เราทำ ไม่หวังแต่เราทำ ทำสิ่งที่ตรงที่ถูกต้องนี่แหละทำไป เท่านั้นแหละ จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:22:06 )

591002

รายละเอียด

591002_วิถีอาริยธรรม อุทยานบุญนิยม บุญญาวุธ 7 ชั้น

สรุปคือคนต้องเป็นผู้รู้ดีกว่าสัตว์ คนจะต้องไม่ฆ่าสัตว์

คนสูงสุดจะยอมให้สัตว์ฆ่า แต่จะไม่ฆ่าสัตว์ เพราะวิบากอยู่ที่มัน เราก็จบวิบาก ไม่ต่อ เราจบวิบากแล้วก็มีเวลาสูง ถ้าไม่จบวิบากเราไม่มีเวลาสูญ สัตว์มันฆ่าก่อนเรา สัตว์ก็ไม่ถึงนิพพาน แต่เราถูกฆ่า เราก็ถึงนิพพานก่อนสัตว์ แต่ถ้าคุณจะไม่เอานิพพานก็แล้วแต่ แต่เราจะเอานิพพาน ก็จบ ผู้ที่รู้จุดจบจุดสูญอย่างนี้แท้ๆ จึงไม่สร้างวิบากต่อ

ผู้ที่เจริญคือผู้เสียสละ ผู้ยอมแพ้ ผู้ยอมตาย คือผู้ที่ไม่มีตัวตน

ผู้ที่ยอมตายคือผู้ที่ไม่มีตัวตน ผู้ที่ไม่ยอมตายคือผู้ที่มีตัวตน ต่อและต่อและต่อต่อไป

 

พ่อครูว่า….สัตว์มันมีชีวิตไหม? มันอยากตายไหม? แล้วคนก็มีแนวคิดเชิงฉลาดว่า คนฆ่าสัตว์โดยเจาะจงเจตนา (สัญจิจจะ) การฆ่าสัตว์ ถ้าสัตว์เดรัจฉานฆ่ากันเอง เสือฆ่ากวางแล้วเหลือเนื้อ เนื้อนั้นพระพุทธเจ้าว่าเป็นปวัตมังสะก็กินได้ สัตว์มันทิ้งแล้วเอาเดนสัตว์มากินได้ไม่มีวิบากต่อ

แต่ถ้าพิสูจน์เลยว่าเสือกินอยู่ยังไม่อิ่ม เราไปแย่งมัน เสือมันจะเอาตายเลย มันกำลังหิวตะกละอยู่ เข้าไปแย่งสิ นอกจากคุณจะแน่ฆ่าเสืออีกทีก็ได้เนื้อนั้น แต่คุณฆ่าเสือก็มีวิบากกับเสือต่ออีก

มีนัยที่คิดได้ว่า สัตว์นั้นมีชีวิต (ปาโณ) ในองค์ 5 ของเจตนาในเจตนา

องค์ 5 คือ

1. ปาโณ สัตว์มีชีวิต

2. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต

3. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า

4. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า

5. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

แม้ฆ่าแล้วมันไม่ตายแต่คุณไม่หยุดพยายามจนมันตาย แล้วจะเถียงอย่างไร นี่คือความเฉลียวฉลาดของคนที่จะหาประเด็นละเอียดละออได้สารพัด

พลังงานการกินเนื้อสัตว์ก็ซ้อนในพลังงานของสัตว์ สัตว์มันก็มีอัตตาของมัน แล้วสัตว์มันพูดรู้เรื่องไหม มันจะสั่งสมความแค้น ความไม่ชอบใจ หรือความรัก สัตว์มันก็สั่งสมความรักความแค้นของมัน สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้ตัวมัน แต่มันสั่งสมแน่ สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้จักการปล่อยวาง มันก็สั่งสอนทั้งความแค้นหรือความรัก

คุณไปทำให้สัตว์มันสั่งสมความแค้นจะน้อยหรือมากก็แล้วแต่ สัตว์มันก็ไม่รู้จะออกฤทธิ์แค้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันก็กัดก็ต่อสู้ ถ้ามันเต็มไปด้วยความแค้น สัตว์มันก็อวิชชา ไม่ฟังหรอก อย่าไปทำให้มันสั่งสมความแค้น แม้แต่การดูด เอามันให้เกิดความรักก็ไม่ดีอีก ปล่อยให้สัตว์มันเป็นไปตามวิบาก อย่าไปฆ่ามันมากิน อยากไปเชื่อมต่อสายวิบากกับมัน คุณกินแต่พืชก็พอแล้ว สุดแห่งที่สุด

คุณเชื่อไหมคนไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่เกิดจนตายมีอายุยืนยาวได้ ถ้าเชื่อก็ลองสิ กินแต่พืชไม่ต้องกินเนื้อสัตว์เลย อายุยืนยาวกว่าคนกินแต่เนื้อ ไม่กินพืชผัก เอามาเทียบเคียงกันก็ได้ ใครจะอายุยืนยาวครับ กล้าท้าพิสูจน์เลย เอาคนที่อยู่ทางเอสกิโม มาแข่งกับพวกหรรษากันดู เอสกิโมอายุยี่สิบกว่าก็ตาย อายุยาวมากสุดก็สี่สิบกว่าปี ค่าเฉลี่ยอายุแค่ 27 ปี แต่พวกหรรษาอายุร้อยกว่าก็มี

สมณะฟ้าไทว่า... สัตว์ที่กินเนื้อสัตว์จะอายุสั้นกว่าพวกสัตว์ที่กินแต่พืช

พ่อครูว่า...แม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็ค้นคว้าพิสูจน์แล้ว

พลังงานของพืชนั้นปลอดภัย พลังงานของสัตว์นั้นไม่ปลอดภัย เชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็ช่าง

เรายืนอยู่ในฐาน ที่เราไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต แม้จะถูกหลอก อาตมาในชาตินี้ถูกหลอกให้ไปกินเนื้อสัตว์อยู่ตั้งสามสิบกว่าปี กว่าจะมาปฏิบัติธรรมแล้วเลิกได้ อาตมาก็รู้เองว่าปฏิบัติธรรมนี้ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์ ยังไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีสำนักที่จะเป็นไปเรียนเลย ก็เลยต้องรู้เอง ก็มีฐานความรู้ของตัวเองเพราะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ทำมาจนขนาดนี้ จะมีพวกเรามาร่วมสร้างสรรค์ไปในทิศทางนี้

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่http://www.boonniyom.net/?p=87144

 

หรืออัพเดทtext ได้ที่…https://drive.google.com/open?id=1IK1SHeWdWvLLwQcXmKkh9jBqvd8_TT0tkdMPQnsCVus

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efb3ZRY0hITHZKZ2M

หรือที่นี่…http://www.filefactory.com/file/5ddx6216e8z5/161002

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่...http://youtu.be/8YFqlFHOPhE


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:22:41 )

591002

รายละเอียด

591002_วิถีอาริยธรรม อุทยานบุญนิยม บุญญาวุธ 7 ชั้น

สมณะฟ้าไทว่า….เจริญธรรมท่านผู้ชมที่อยู่ที่อุทยานบุญนิยมกับทางบ้านทุกคน วันนี้รายการวิถีอาริยธรรมก็ได้สัญจรมาที่อุทยานบุญนิยม วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2559 ขึ้น 1 คำ่เดือน 11 ปีวอก เป็นวันเกิดของมหาตมคานธีด้วย เรามาสัญจรจัดที่อุทยานบุญนิยม ที่เป็นร้านขายอาหารมังสวิรัติตอนนี้ก็ขายเจ เป็นมหกรรมการกินเจ ไม่เหมือนร้านอาหารเลย ไม่เคยเห็นว่าร้านไหนจะมีคนมากินอาหารเจมากเท่าร้านนี้ เดินบิณฑบาตฝ่าคนเข้าไปยังยากเลย คนแน่นร้าน เป็นสิ่งที่ดี มหัศจรรย์ว่าคนอีสานมากินเจกันเป็นจำนวนมาก

ได้ยินพ่อครูว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด คาดไม่ถึงจะเป็นไปได้ แต่เป็นไปแล้วเป็นอจินไตย คิดเอาไม่ได้ ว่าอีสานจะขายดีกว่ากทม. ความจริงหน้าสันติอโศกน่าจะขายดีกว่า ปกติที่นี่ก็ขายดีอยู่แล้ว เป็นเรื่องน่าประหลาด ที่สำรวจเขาบอกว่าร้านนี้มันเล็กไปตอนเทศกาลกินเจ เราจะไปหาที่ตรงไหนได้ มีอยู่แค่นี้ แต่ที่ใหญ่ๆคือที่ราขธานีอโศก ในอนาคตอาจไปจัดงานเจที่ราชธานีอโศก รับได้เป็นพันเป็นหมื่นคน ยิ่งจัดตลาดอาริยะสามวันแต่งานเจนี่จัดเป็นสิบวัน ถ้าคนไปเป็นหมื่น คนจะมาช่วยกันแต่คาดเดาเอาไม่ได้

วันนี้พ่อครูจะนำเสนอเรื่องการกินอาหารเจ มีคนย้อนแย้งว่ากินเจไม่เห็นได้บุญกินเนื้อสัตว์ไม่เป็นบาป อ้างพระเทวทัต มาขอให้พพจ.ออกกฏให้พระไม่กินเนิื้อเป็นต้น แต่เขาก็อ้างเพื่อจะกินเนื้อสัตว์ให้ได้นั่นเอง แต่เรานี่เห็นใจสัตว์ว่าเราเอาชีวิตสัตว์มาต่อชีวิตเราเราก็ไม่อยากทำ ตอนเด็กอาตมาทุบหัวปลาดินกระแด่วๆ เราก็สะดุดใจ เขาก็บอกว่าต้องกินก็ต้องทำต่อ แต่พอมีดบาดเรานิดเดียวเราก็เจ็บแล้ว เมื่อมาพบชาวอโศก พ่อครูนำพาเรากินมังสวิรัติก็กินเลย

เราเห็นเหตุผลข้อสำคัญคือเราเห็นใจสัตว์อื่นที่ต้องตาย เหมือนคลิปเด็กต่างประเทศที่เขาบอกว่าไม่อยากกินสัตว์เพราะสัตว์ต้องตายมันก็มีชีวิต มันน่ารัก มันเป็น people ทำให้เห็นว่าเราไม่น่าเอาชีวิตสัตว์มาต่อชีวิตเรา ตามหลักสรีระวิทยาเราก็เป็นสัตว์กินพืช เทียบตั้งแต่เล็บ การดื่มน้ำ ฟัน ลำไส้เป็นสัตว์กินพืชทั้งนั้น เล็บเราเหมือนควาย ไม่ได้ดื่มเหมือนหมา หมามันใช้ลิ้นตวัดกินน้ำ แต่ควายมันดูดน้ำกิน ลำไส้ก็คล้ายควาย อยู่เป็นหมู่เหมือนควาย กลิ่นตัวคนก็น้อยกว่ากลิ่นตัวหมา เขาก็ยอมรับ ว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืชจริง

และเรื่องสุขภาพ ก็ดีขึ้น พิสูจน์ได้ว่าชาวอโศกกินมังสวิรัติก็แข็งแรง พ่อครูจะพิสูจน์ว่าจะอยู่ไปถึง 151 ​ปี ใครจะอยู่ดูต่อก็ได้ อาตมาจะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าร้อยปีจะคลานมาไหม น่าพิสูจน์ว่าถ้าพ่อครูถึง 151 ปีได้ ตอนนั้นพิสูจน์ได้ พ่อครูกินมื้อเดียวด้วย แล้วชาวอโศกมีเป็นร้อยคนอายุร้อยปี ได้ก็น่ามหัศจรรย์แล้ว ในร้านอุทยานมีคนอายุ 100 ปีมาขายมังสวิรัติร้อยคน จะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องพูดเรื่องมังสวิรัติเลย มาดูคนเหล่านี้ได้เลย

 

มังสวิรัติเป็นเรื่องลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณอย่างไร เรื่องมังสวิรัติทำให้เราบรรลุธรรมได้เลย จนถึงที่สุด

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันตองหนึ่ง ขึ้น 1 ค่ำเดือน 11 ปีวอก เป็นวันสามเส้าของเลข 1 เรื่องที่เขาจะเถียงกันว่ากินสัตว์ไม่กินสัตว์ อาตมาก็ว่า อาตมาจบแล้ว จะกินแต่พืชผักนี่แหละ ส่วนใครจะกินเนื้อสัตว์ก็เป็นความเชื่อของเขา เขาไม่เห็นเลย ก็เลยต้องกิน แต่คนที่เห็นแล้วว่าการกินเนื้อเป็นเรื่องต่อวิบากกับสัตว์แม้แต่เอาเขาเข้าปากเป็นรูปธรรม ก็เอาเขาตายอยู่แล้ว แล้วสัตว์มันบอกว่าเอ็งตาย แล้วข้าจะกิน คุณยอมไหมล่ะ ข้าจะอยู่เอ็งก็ต้องตายคนจะยอมสัตว์ไหมล่ะ แชร์กันไปมากเลยตอนนี้มันกำลังรุ่งเรือง อาตมาก็พยากรณ์ว่าเมืองไทยจะเป็นแหล่งอาริยธรรมหรืออารยธรรม ศิวิไลซ์ ที่จะนำพาโลก ไปในอนาคตไม่ว่าจะด้านรูปธรรมหรือนามธรรม โดยเฉพาะนามธรรมจะนำเขาไปก่อน เดี๋่ยวนี้ก็นำเขาไปแล้วคนไม่เชื่อหรอกว่าเมืองไทยกำลังนำ

เช่นตอนนี้ความเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดเมืองไทยนำ อามาเคยบอกว่าพระพุทธเจ้าคือยอดนักประชาธิปไตยสุดยอดแห่งคอมมูน สุดยอดแห่งเผด็จการ เป็นสุดยอดประชาธิปไตย ไม่บกพร่องเลย จะเลือกในระบอบไหนก็แล้วแต่ รับรองว่าสุดยอดทุกอย่าง

สมณะฟ้าไทว่า..แสดงว่าคนดีแล้วทุกอย่างจะรวมอยู่ที่นี่

พ่อครูว่า...เป็นเรื่องปริยัติพยัญชนะ แต่อยู่ที่พฤติกรรมที่มีแต่เห็นแก่ผู้อื่นอย่างจริงใจไร้อคติ

อาตมาเอาบุญญาวุธหมายเลข 1 คือมังสวิรัติ การไม่กินเนื้อสัตว์นี่อาตมาเอาเป็นหมายเลข 1 นำมา เจริญรุ่งเรืองมาเรื่อยๆ

อันดับ 2 คือตลาดอาริยะ

อันดับ 3 คือกสิกรรมไร้สารพิษ

ถ้าสามเส้านี้อาหาร ตลาด กสิกรรม สามเส้านี้จะกลับกัน อาหารมังสวิรัติเป็นที่หนึ่ง แต่ตลาดอาริยะกับกสิกรรมนั้นจะกลับกัน มองตื้นๆว่ากสิกรรมน่าจะเกิดก่อนตลาดอาริยะ แต่กลับกัน คนจะไปซื้อแล้วขอ คนนี้มีสองอย่างแต่คนสร้างมีคนเดียวคนปลูกมีคนเดียว แต่คนซื้อกับคนขอก็มีสองแล้ว

อันดับ 4 สุขภาพบุญนิยม

อับดับ 5 การศึกษาบุญนิยม

อันดับ 6 การสื่อสารบุญนิยม

เป็นอีกสามเส้า

อันดับ 7 การเมืองบุญนิยม

ถ้าสองเส้าแรกได้แข็งแรง การเมืองจะแข็งแรง

 

 

มาเข้าสู่มังสวิรัติหรือไม่กินเนื้อสัตว์ ก็เถียงกันไม่รู้จบ เขาก็แชร์กันมา เรื่องนี้แชร์กันตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ขอตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องในโซเชียลมีเดียมีเรื่องจริงน้อยมากแล้วก็อ้างอิงกันมา หากพ่อครูจะตอบอธิบายก็ดีครับ แต่ขอยกเว้นการกล่าวถึงบุคคลก็ได้ครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้….

 

ลึกซึ้ง...การกินเจ ไม่ใช่การทำบุญ การกินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่การทำบาป

 

เรื่อง "การบริโภคเนื้อสัตว์"

 

วิสัชนากันในวงการนักบวชและฆราวาสในระดับสูงเลย  ว่า การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆ ไม่ได้บุญ

 

อธิบาย คือ เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด (จิตนาการ) ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า เปรียบได้กับเรา นั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วคิด (จิตนาการ) ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆ คิดๆ ไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง

 

ถ้าอยากได้บุญ เราต้องช่วยชีวิตสัตว์ มี 2 ข้อ คือ

 

1.ช่วยชีวิตมันโดยการไถ่ชีวิต ซื้อสัตว์ที่กำลังถูกฆ่านำมาปล่อย

2.เมตตาสัตว์ไม่ทำร้ายมัน อย่างนี้เป็นบุญ

 

แต่การกินเจ บุญไม่เกิด เพราะ

เราไม่ได้ลงมือกระทำจริง (ช่วยชีวิตสัตว์) เป็นเพียงแต่คิดไปเอง

(พ่อครูว่า…พวกนี้นัตถิกทิฏฐิ)

 

พระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์

พระพุทธเจ้าปฎิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า

1. เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น

2. พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย (พ่อครูว่า เอาขี้หมาใส่จานมาก็ต้องกินเป็นต้นหรือ?)

3. อนุญาตในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน

4. อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้ตาย อย่าสนใจมาก

(พ่อครูว่า เขาตัดนามธรรมทิ้งเลย คำว่ากายเขาไม่เข้าใจ พวกนี้ไม่รู้จักพลังงานจิตที่เป็นตัวการหลัก ตั้งแต่พีชะนิยาม มาเป็นจิตนิยามเขาไม่มีความรู้ ยังจมในจิตนิยามอยู่)

 

การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่ การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็น (พ่อครูว่าบุญหมายถึงอาการชำระกิเลสเท่านั้น ทำเสร็จบุญก็หมดไปหายไป ทำหน้าที่กำจัดกิเลสบุญก็หมดก็จบ)

บุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง คือ

1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

4. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่

5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ

6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ

7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ

8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม

9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม

10.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง

เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ 10 วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผัก

เป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กิน

พืชตลอดชีวิต ไม่กินเนื้อสัตว์เลย

 

พ่อครูว่า….สัตว์มันมีชีวิตไหม? มันอยากตายไหม? แล้วคนก็มีแนวคิดเชิงฉลาดว่า คนฆ่าสัตว์โดยเจาะจงเจตนา (สัญจิจจะ) การฆ่าสัตว์ ถ้าสัตว์เดรัจฉานฆ่ากันเอง เสือฆ่ากวางแล้วเหลือเนื้อ เนื้อนั้นพระพุทธเจ้าว่าเป็นปวัตมังสะก็กินได้ สัตว์มันทิ้งแล้วเอาเดนสัตว์มากินได้ไม่มีวิบากต่อ

แต่ถ้าพิสูจน์เลยว่าเสือกินอยู่ยังไม่อิ่ม เราไปแย่งมัน เสือมันจะเอาตายเลย มันกำลังหิวตะกละอยู่ เข้าไปแย่งสิ นอกจากคุณจะแน่ฆ่าเสืออีกทีก็ได้เนื้อนั้น แต่คุณฆ่าเสือก็มีวิบากกับเสือต่ออีก

มีนัยที่คิดได้ว่า สัตว์นั้นมีชีวิต (ปาโณ) ในองค์ 5 ของเจตนาในเจตนา

องค์ 5 คือ

1. ปาโณ สัตว์มีชีวิต

2. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต

3. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า

4. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า

5. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

แม้ฆ่าแล้วมันไม่ตายแต่คุณไม่หยุดพยายามจนมันตาย แล้วจะเถียงอย่างไร นี่คือความเฉลียวฉลาดของคนที่จะหาประเด็นละเอียดละออได้สารพัด

สรุปคือคนต้องเป็นผู้รู้ดีกว่าสัตว์ คนจะต้องไม่ฆ่าสัตว์

คนสูงสุดจะยอมให้สัตว์ฆ่า แต่จะไม่ฆ่าสัตว์ เพราะวิบากอยู่ที่มัน เราก็จบวิบาก ไม่ต่อ เราจบวิบากแล้วก็มีเวลาสูง ถ้าไม่จบวิบากเราไม่มีเวลาสูญ สัตว์มันฆ่าก่อนเรา สัตว์ก็ไม่ถึงนิพพาน แต่เราถูกฆ่า เราก็ถึงนิพพานก่อนสัตว์ แต่ถ้าคุณจะไม่เอานิพพานก็แล้วแต่ แต่เราจะเอานิพพาน ก็จบ ผู้ที่รู้จุดจบจุดสูญอย่างนี้แท้ๆ จึงไม่สร้างวิบากต่อ

เขายกตัวอย่างอีกว่า เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง 5 ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ 1 เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

 

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า

 

“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”

“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

 

การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้ ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย

 

หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า

(พ่อครูว่า...เขาว่ากันว่าหลวงปู่แหวนเป็นอรหันต์แต่อาตมาว่าไม่เห็นเป็นอรหันต์ยังสูบบุหรี่มวนโต หรือว่ามหาบัวก็ยังกินหมากติดหมากอยู่ก็ไม่เป็นอรหันต์หรอก)

 

"ไอ้วัวควายกินหญ้าอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

 

พ่อครูว่า...ก็มาวิจัยโดยความห็นของอาตมา คนที่เข้าใจความวนของวัฏฏะ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด จนกระทั่งตายแล้วไม่ต้องเกิดอีกมันจบอย่างไร มันจะจบอย่างนี้ ในความรู้ของพระพุทธเจ้า เรื่องของธาตุในโลกมีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศวิญญาณ

ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศเป็นฟิสิกส์ ไม่ใช่ชีวะ ดินน้ำไฟลม มีสี่จะต่อเชื่อมระกว่างอากาศเป็นสัตว์ที่เป็น primary cell มีความรู้สึกรับรู้เป็นอัตโนมัติ เป็น Tertiary แล้วเป็นสี่ ขึ้นมา มันไม่เชื่อมต่อ จะวนในวัฏฏสงสารของมัน พอเริ่มเป็นชีวะแรกคือน้ำ

จากร้อนๆมาเย็นลงมาจับตัวเป็นก้อนแห้งๆ แล้วต้องมีน้ำอีกซ้อนอีก สรุปชั้นนี้ว่า เริ่มต้นจากดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ จะเริ่มมีชีวะอันที่หนึ่ง เข้ามาเริ่มเป็นอันที่ 4 อันที่ 5 ดิน น้ำ ไฟ ลมอากาศ เป็นอันที่ 4 ตรวจเชื้อที่มีวิญญาณในความรู้สึกเป็นอันที่ 5 มาต่อ

จากดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ไม่เกิดความรู้สึก ดิน น้ำ ไฟ ลม คือสามเส้าแท้ แล้วมีอากาศว่างๆ จนมีอีกอันหนึ่งมาต่อเป็นอันที่ห้า จะเป็นชีวะมีความรู้ตัวเอง เป็นพีชะ มันยังไม่ขยายออก ไม่เป็นชีวะที่จะเป็นภัยต่อใคร จนกว่าจะเป็นถึงขั้น 7

ถ้าคันที่ 5 เป็นดินน้ำไฟลมอากาศ แล้วมีชีวะเป็นพีชะ

อาตมาอธิบายพีชะแค่สาม แต่ตอนนี้เป็นห้า จนกว่าจะเป็น 6 เป็น 7 จึงมีเวทนา พีชะไม่มีเวทนามีแต่สัญญา สังขาร มีแต่พลังงานดูด แม้ผลักก็ไม่ผลัก อันไหนไม่ใช่ก็ไม่เอา ถ้าใช่จึงเอา เป็นตัวเองเท่านั้นไม่เอา นี่คือพลังงานละเอียดๆเข้าไปจะเป็นเช่นนั้น

เป็นสัตว์ก็เริ่มต้นเอา ถ้าไม่ให้ก็แย่ง กูจะเอาน่ะ ไม่ให้หรือ? ก็แย่ง นี่คือสัตว์จะแรงขึ้นเรื่อยๆ จากพืชมันไม่แย่ง พอเป็นสัตว์จะแย่ง พอเป็นคนนี่แย่งยิ่งกว่าสัตว์ คนดุและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์ที่ว่าเหี้ยมแล้ว

ฆ่าสัตว์ที่โหดเหี้ยมจริงๆ แต่คนนี้ร้ายกว่าสัตว์เข้าไปอีก เหี้ยมจนมอม้าหายเลย ม เป็นลักษณะจิตวิญญาณ แห่งจิตวิญญานเลยในภาษาบาลี

สัตว์มีความรู้สึกแต่พีชะมีแต่ความรู้ที่เป็นตัวตนเป็นสาม พอเป็นสี่ ห้า หก เจ็ด เป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวเลย ถ้าเป็นแปดหรือเก้าถ้าไม่เจริญก็ร้ายที่สุดเลย แต่ถ้าเจริญจะเป็น แปด เก้า แล้วสิบหรือสูญ เป็นพัฒนาการของสิ่งที่ดีหรือชั่ว แล้วจะสลับกันไปสลับกันมา

ผู้ที่เจริญคือผู้เสียสละ ผู้ยอมแพ้ ผู้ยอมตาย คือผู้ที่ไม่มีตัวตน ผู้ที่ยอมตายคือผู้ที่ไม่มีตัวตน ผู้ที่ไม่ยอมตายคือผู้ที่มีตัวตน ต่อและต่อและต่อต่อไป

ถ้าผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น นี่คือผู้ไม่จบ เขาก็จะชนะของเขาตลอดกาล คนเก่ายึดมั่นถือมั่นอย่างนี้จริง เมื่อยึดถือตัวเองอย่างนี้ ยึดมั่นถือมั่นว่าข้าจะต้องได้จะต้องชนะข้าจะต้องรวย ข้าจะต้องใช้อำนาจความรวยนี้ไปซื้อไปจ้างไปบังคับผู้อื่นให้มาเป็นลูกน้องเป็นบริวาร พวกนี้ไม่แน่จริงทั้งนั้น ให้เขามาเป็นบริวารเองเขาเต็มใจมาเป็นบริวาร ให้เขานับถือกราบไหว้เอง เขามากล้าตายแทนโดยไม่ต้องจ้างวานอะไรเลย อย่างนั้นแน่กว่าไปจ้างเขา ให้เขามาเองเขามาตายแทนเราเองนะ ให้มันได้อย่างนั้นสิ

เริ่มตั้งแต่ดิน น้ำ ไฟ ลมที่ไม่มีความรู้ตัว แล้วก็ได้มารู้ตัวโดยไม่ไปเบียดเบียนใครเลยก็อยู่ในขั้นที่ดี เมื่อเริ่มเบียดเบียนคนอื่นแย่งคนอื่น ทำร้ายคนอื่นก็เริ่มชั่วลงๆ เราก็เริ่มมาเป็นมีแต่เพียงตัวเรา เราช่วยคนอื่นตายก็ตายไม่ตายก็ไม่ตาย คนที่ไม่ยอมจบแต่ยอมตาย คนนี้ก็ไม่มีภัยต่อใคร มีแต่ยอมตายเพื่อผู้อื่นแม้แต่จะไม่ยอมจบ

คนนี้แม้จะไม่ยอมจบยังขอเกิดวนเวียนอยู่ แต่ไม่ทำร้ายใคร ตลอดกาลนานอย่างเช่นพระอวโลกิเตศวร หรือปางหนึ่งก็คือเจ้าแม่กวนอิม หรือเจนี่แหละ มีนิทานของเจ้าแม่กวนอิมเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้ที่มีเมตตาอย่างไม่มีประมาณตัวเองตายเท่าไหร่กี่ครั้งก็ยอม ยังไม่ยอมหยุดจะเกิดมาช่วยคน เหมือนพระอวโลกิเตศวรตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายแต่ไม่ทำร้ายใคร มันเป็นที่สุดแห่งที่สุดแล้ว ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่น แล้วก็วนไปๆ

อาตมาก็เคารพอวโลกิเตศวร ที่ท่านจะอยู่นิรันดร เป็นตรรกะและเป็นความจริงที่สุดแล้วไม่มีอะไรจะพูดต่อ เป็นผู้ที่จะมีอยู่ในวัฏสงสารไม่ยอมสูญแต่เป็นพลังงานที่ไม่เป็นภัยต่อใคร

พระอวโลกิเตศวรยังมีซ้อนที่มีปางร้ายอยู่ ในปางดีก็มี เช่นเจ้าแม่กวนอิมก็เป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร ปางร้ายก็มี กาลีอะไรเป็นต้น

สรุปแล้ว ใครทำอะไรก็แล้วแต่ กรรมเป็นของคนนั้น เป็นเหตุปัจจัยของคนนั้นที่คนนั้นจะทิ้งไม่ได้ ไม่เอาไม่ได้แบ่งใครก็ไม่ได้ กรรมเป็นของของตน กัมมัสกตา ตนต้องรับผลของกรรมตน ต้องรับมรดกกรรมของตนเอง แล้วต้องรับอย่างไม่เอาส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ ไม่เอาหมดก็ไม่ได้ ต้องรับของตัวเองหมดแล้วแบ่งใครก็ไม่ได้ด้วย โดยสัจจะเป็นของตนอย่างบริบูรณ์เลย

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

 

การทำกรรม เช่นพยักพะเยิดก็เป็นกรรม กะพริบตาก็ละเอียดกว่าอีก หายใจเข้าออกก็เป็นกรรมที่ละเอียดเข้าไปอีก เป็นรายละเอียดที่ปฏิบัติเข้าไปจะรู้ว่าตัวเองจบที่ไหน

 

มาเข้าสู่ยุคปัจจุบันขณะนี้ความหยาบหรือความละเอียดก็ตาม กำลังอยู่ในสภาวะความดีหรือพอเพียง ประเทศไทยเรามีพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์ที่พอดีและพอเพียง ท่านก็ประทานสิ่งที่พอดีพอเพียงมาเป็นทฤษฎี อาตมาก็เอามาอธิบายในฐานะทางนามธรรม ทางด้านวัตถุธรรมก็มีอีก 2 คือ ชื่อประยุทธ์

มีสองประยุทธ์ ประยุทธ์คนหนึ่งอยู่ทางศาสนาเลย อธิบายเป็นพยัญชนะทางศาสนาสุดยอดแล้ว อีกคนมีพฤติกรรมทางสังคมเป็นประยุทธ์ อร่อยเลิศ จันทร์โอชา ยังไม่ถึงกับตะวันโอชา ถ้าจันทร์โอชานี้พอดีเลย มันร้อนแรงไปหน่อยพระอาทิตย์ เป็นนัยยะอันลึกซึ้งไม่ได้พูดเล่นนะ อาตมามีประยุทธ์สอง ไพบูลย์สอง เป็นต้น อาตมาใช้ของอาตมาเอง คนอื่นอย่ามาเอาอย่างด้วย

แม้แต่ในหลวงก็มีสองในหนึ่ง และหนึ่งในสองของท่านเอง ในหลวงท่านมีความรู้เป็นพลังงานเจโตและปัญญา ภูมิแปลว่าปัญญา พละแปลว่ากำลังสองในหนึ่งของท่านเอง ตรงนี้ชาตินี้ชื่ออื่นไม่ได้ ต้องชื่อภูมิพล เพราะมีธรรมสองในหนึ่งในตัวพระองค์เอง ท่านก็จบตรงนี้อาตมารับช่วงต่อ พล.อ.ประยุทธ์รับช่วงต่อ ท่านพรหมคุณาภรณ์รับช่วงต่อ เป็นลูกโซ่รับช่วงต่อตลอดนิรันดร เป็นความลงตัวพอดีทุกอย่าง

พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะต้องมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นคู่อัครสาวก เป็นอื่นไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ต้องลงตัวทุกอย่างไม่มีความบังเอิญ บำเพ็ญบารมีต่อเนื่องกันมา คุณเองก็ร่วมบารมีกับผมไปอีก ที่นั่งหน้าสลอนตรงนี้ จะไปร่วมกับท่านสมณโคดมไม่ได้แล้วเพราะท่านปรินิพพานไปแล้ว ในยุคนี้เราก็ร่วมกับในหลวงและพระโพธิรักษ์ และพระโพธิรักษ์ก็ร่วมกับทุกคนอีก ร่วมกับพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา รวมกับท่านประยุทธ์ ปยุตโต ร่วมกับคุณไพบูลณ์ นิติตะวัน ร่วมกับท่านพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา

เป็นตัวจริงต้องมีนามจริงรูปจริง ลงตัว ผู้ที่มีภูมิปัญญา ตามภูมิอาตมารู้ว่านี้ใช่ เป็นสยังอภิญญา ไม่ใช่สยัมภูนะ

แม้แต่เสฐียรพงษ์ วรรณปกก็มีแค่ปกที่ยั่งยืน  มีแต่ปกเป็นวรรณะ มีแต่พงษ์ที่ตั้งอยู่แค่ปกเป็นผิว

แต่ไม่ได้หมายความว่า อาตมาจะขาดจากเสถียรพงษ์ วรรณะปกนะ เสฐียรพงษ์ก็อยู่ในฐานะของเขา อาตมาก็อยู่ในฐานะอาตมา จริงๆแล้วอาตมาเป็นพี่เขา เสฐียรพงษ์เป็นคนอุบลนะ

เป็นพลังงานบทบาทของธรรมะสอง เกิด action reaction ตลอด และเกิดองค์ที่ 3   ISH มี I she he มีปุริสภาวะ อิตถีภาวะ จะขัดแย้งไม่ลงตัวกันและควบคุมด้วย I ถ้าควบคุมได้ก็ดี แต่ควบคุมไม่ได้ก็เป็นระเบิดปรมาณู ถ้าควบคุมได้ก็เอามาใช้ได้ดี เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น ส่วนที่เป็นนิวเคลียร์ฟิชชันใช้ไม่ได้ ก็ปล่อยไป แต่จำนวนนิวเคลียร์ฟิวชั่นเป็น 2 นิวเคลียร์ฟิชชันหนึ่งเป็นหนึ่ง ถ้ามีองค์ปาง 8 มาช่วยจะลงตัว แต่มีปาง 5 มาช่วยก็เห็น แต่ปาง 6 ไม่ชัด แต่ปาง 4 นี้เห็นอยู่ ปาง 5 คืออนุโพธิสัตว์ ปาง 6 คืออนิยตโพธิสัตว์

สรุปอีกทีว่าในโลกนี้การเมืองกับการบ้าน การเมืองกับการธรรมะ มันแยกการเมืองออกจากธรรมะ แยกธรรมะออกจากการเมืองไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมะ 2 ผู้ที่แยกก็มีเชิงเอาเปรียบมีเชิงได้เปรียบก็จะแยก ถ้าไม่ได้เปรียบก็จะไม่แยก

ถ้าเขาไม่ได้เปรียบก็จะแยกเอามันออกไป ถ้าเขาจะได้เปรียบจากมันก็เอามารวมกัน นี่คือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลก

การเมืองกับธรรมะนี้ ผู้รู้นั้นจะไม่แยกจากกันต้องพยายามผสมส่วนไปกันด้วยดี การเมืองกับธรรมะต้องมีลักษณะต่างกันโดยตัวของมันเอง แต่มันก็จะต้องช่วยกันไปด้วยกัน ใครสามารถทำให้มันไปด้วยกันช่วยกันได้ คนนั้นแหละเป็นเจ้า เจ้าแห่งธรรมะสอง เป็นผู้ควบคุมธรรม 2 ให้เกิดพลังงาน เกิด action reaction เกิดปฏิกิริยาอยู่ตลอดเวลา จะเกิดพลังงานเกิดผลงาน เป็นพระเจ้าตัวจริง สามารถควบคุมได้ สัมผัสแตะต้องได้ด้วย ถ้าควบคุมไม่ได้ก็เป็นพระเจ้าตัวปลอม

ต้องควบคุมได้และเอาไปใช้งานได้ จึงเป็นพระเจ้าที่สั่งจริง รู้แล้วสั่ง ถ้าได้แต่สั่งแล้วไม่รู้ก็เป็นพระเจ้าตัวปลอม ได้แต่สั่งแต่ไม่รู้ แต่ผู้ที่รู้จักประมาณแล้วสั่งการ ประมาณอย่างพอเหมาะ แล้วไม่ประมาท ไม่ให้ over ให้ได้สมดุล และสุดยอดจริงๆ คือสมดุลอย่างน้อยไว้ และมีส่วนเหลือที่จะ spare คอยไว้สนับสนุนทีหลังอีก จะไม่ให้หมดเนื้อหมดตัว ถ้ามีเกิด ถ้ามีตายไปเลยไม่มีเหลือ เท่าไหร่ก็ให้หมดได้ แต่ถ้ามีเกิดอยู่ก็เหลือไว้ของตัวเอง ไม่ใช่ไปยักของคนอื่นมาให้เป็นหนี้นะ

 

ผู้ที่สามารถรู้ในการขยักไว้ให้แก่ตัวเองได้คือผู้มีปัญญา ไม่ได้ไปเอาของใคร ส่วนผู้ที่ยักเอาไว้อย่างมีเล่ห์เหลี่ยม โดยใช้การปล่อยออกไปอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม ถ้าไปแย่งชิงไปทำร้ายผู้อื่นเอามาให้แก่ตัวเองซ้อนอีกที คนนี้ซ่อนเชิง ว่าให้คนอื่นเอามาให้แก่ตัวเอง อย่างเช่นธัมมชโย ทำให้คนอื่นไม่รู้ทันเลย ขนาดว่าที่สมเด็จพระสังฆราชยังไม่รู้ทันเลย จริงไหมคนนี้ ไชยบูลย์ ว่าที่สมเด็จพระสังฆราชจึงเป็นลูกน้องเลย แล้วหนเหนือหนใต้แค่นั้นจะไปเหลืออะไร ด้วยประการทั้งพวงเลย

ลักษณะอย่างธัมมชโยเขาเรียกว่า  Hidden Tiger Claws คือเสือซ่อนเล็บ

อ.เป็นต้นเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษ….

“ Hidden Tiger Claws”

Cruel Tiger Roaing loudly in the thick Forest

Looking for it’s food to eat

Small animal givig their meat

This is the way of Tiger’s life.

 

อ.เป็นต้นเขียนโคลงเป็นภาษาไทยมาด้วย

 

“ซ่อนเขี้ยวพยัคฆ์คม”

1. เสือคำรามกู่ร้อง                    ก้องไพร               

เสือสัตว์ส่อนิสัย                         ดุร้าย

เสือซ่อนเล็บข้างใน                   ไล่ขบ กัดเฮย

เสือมนุษย์สัตว์โลกละม้าย           ซ่อนเขี้ยว พยัคฆ์คม

 

2. แผ่เมตตาสนั่นทั้ง                  เมืองไทย          

กระหึ่มกังวาลไกล                     สุดหล้า

เสียงสะเทือนทุ่งสะท้านไพร      พงพฤกษ์ พนาเฮย

เสียงฝากดินฝากฟ้า                   พุทธเฟ้อ เพ้อฝัน

 

3.โรงฆ่าสัตว์ก่อสร้าง                ทำไม              

ฆ่าสัตว์บูชาใคร                        อนาถแท้

สำนึกพุทธอยู่ไหน                     ในจิตสูเอย       

ลิ้นไม่เลิกอร่อยแล้                     สัตว์ล้วน ตายโหง

 

4.สามร้อยหกสิบห้า                   ทิวา                 

สูเสพสัตว์มังสา                          อร่อยไซร้

สัตว์โลกเชื่อวาจา                      ว่าพุทธจริงฤา     

ฝากโหดฝากเหี้ยมให้                สุดห้าม เสน่หา

 

5.ถึงเทศกาลบอกเจ้า                 กินเจ               

หยุดสุขหยุดสรวลเส                  บาปสร้าง

งดเหล้างดฮาเฮ                         สู่ปาก เหวแฮ        

หยุดโอดหยุดเอ่ยอ้าง                 อวดโอ้ อึงคะนึง

 

6.เพื่อนสัตว์เอยอุ่นเอื้อ              อบอวล         

หมดทุกข์หมดกำสรวล               โศกเศร้า

เชิญชาวพุทธทั้งมวล                 ในโลก          

ปลุกจิตเมตตาเจ้า                      แจ่มแจ้ง เจรจา

1 ตุลาคม 2559

เป็นต้น นาประโคน

 

เช่นอาตมาเมตตานายไชยบูลย์ด่าเช้าด่าเย็น ไม่ได้ด่าอย่างหยาบคาย แต่ด่าแรง ด่าถูก เท่ากับถูกหน้าแงนะ แค่แตะเบาๆ ก็แรงเพราะมันถูกกลางแสกหน้า

 

ในเมืองไทยตอนนี้ธรรมะกับการเมืองกำลังเชื่อมกัน นักการเมืองย่อมมีความรู้ทางด้านธรรมะน้อยกว่านักธรรมะแน่นอน ถ้าไม่ใช่นักธรรมะที่ไปช่วยการเมือง แต่ผู้ที่ช่วยอย่างรู้ดีจะเสนอแนะชี้ทางบอก ผู้ที่ฉลาดรู้เป็นนักการเมืองก็จะฟังนักธรรมะ นักธรรมะก็ไม่ใช่แต่พูด อาตมาจะต้องทำ อย่างอาตมาพาทำ เช่นพาทำไม่ฆ่าสัตว์ 2 ไม่เอาเงินของใคร อาตมาพามาทำงานไม่เอาเงินของใคร อย่างซับซ้อนหลายชั้น

อาตมาสร้างหมู่บ้าน ยกตัวอย่างที่ราชธานีอโศก ก็ยังสร้างบ้านแปลงเมือง ยังปรับภูมิทัศน์ต่างๆ ยังก่อร่างสร้างตัวอยู่พอสมควร พร้อมกันนั้นก็มาทำงานหาเงิน อย่างเช่นอุทยานบุญนิยม สหกรณ์บุญนิยม ค้าขายก็ขายอย่างถูก ถูกกว่าตลาด เอาให้น้อย เรียกว่า มักน้อย อัปปิจฉะ เราก็จะไม่มักมากเกินใคร เราจะมักน้อยกว่าเขาทั้งนั้น

ในราชธานีอโศก ก็ยังตั้งหลักตั้งฐาน มีเงินหมุนเวียนน้อย มีคนไปทำมาหากินรับจ้างในราชธานีอโศก เขาก็ยังรับเงินค่าจ้างอยู่ เราก็บอกเขาว่า ที่บ้านราชนี้กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็น ก็ไม่เอาเปรียบใคร ได้มาก็เอามาให้พวกคนที่มารับจ้าง คุณก็เอาไปเลี้ยงครอบครัว

ตอนนี้เรามีน้ำตกผาแหงน เรากำลังทำหินน้ำไหล แก้งไทฌาน ต่ออีก ตอนนี้ท่านคมคิดจะทำหินน้ำไหล แล้วมีแก้งไทฌานต่อไปอีก

คนจะมาดูน้ำไหลโขดหิน มีร้านอาหารขายของราคาถูก เราก็กำลังสร้างซ้อนไป เขามาทำงานก็เห็นว่าเราไม่ได้หาเงิน ใครจะมาดูผาแหงน ถ้าจะขายของเอาเงินจากเขาก็ได้ คนจะมากราบพระพุทธรูปใหญ่ พระพุทธาภิธรรมนิมิต ให้มาปิดทองเอาดอกไม้มาหาเงินก็ได้ แต่เราไม่ได้หาเงินแบบนี้ มันเป็นเดรัจฉานวิชา ซ้อนอยู่ในศาสนาพุทธ เราไม่ทำ เราก็ได้เงินมาน้อย แล้วทุกคนมาเอาเงินไปแล้วทำช้า มาทำงาน อย่างอู้กินบ้อ งานก็ไม่ทำให้เสร็จ เราก็แย่เหมือนกัน ก็บอกให้เขารู้ตัว ช่วยเราหน่อยเถอะ ถ้ามาอู้งาน คุณดีขึ้นหรือเลวลง นิสัยคุณเสีย นิสัยคุณเลว เราไม่อยากให้คุณชั่วลง ไม่อยากให้คุณเสื่อม ก็อยากให้คุณเจริญ มีน้ำใจ ขยัน เสียสละ ต่างคนต่างเสียสละ ถ้ามีแต่คนเสียสละก็จะเจริญ เขาเอาเปรียบไปก็มีส่วนบาป ไม่ได้เอาบาปมาขู่แต่เป็นสัจจะของกรรม

 

พลังงานการกินเนื้อสัตว์ก็ซ้อนในพลังงานของสัตว์ สัตว์มันก็มีอัตตาของมัน แล้วสัตว์มันพูดรู้เรื่องไหม มันจะสั่งสมความแค้น ความไม่ชอบใจ หรือความรัก สัตว์มันก็สั่งสมความรักความแค้นของมัน สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้ตัวมัน แต่มันสั่งสมแน่ สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้จักการปล่อยวาง มันก็สั่งสอนทั้งความแค้นหรือความรัก

คุณไปทำให้สัตว์มันสั่งสมความแค้นจะน้อยหรือมากก็แล้วแต่ สัตว์มันก็ไม่รู้จะออกฤทธิ์แค้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันก็กัดก็ต่อสู้ ถ้ามันเต็มไปด้วยความแค้น สัตว์มันก็อวิชชา ไม่ฟังหรอก อย่าไปทำให้มันสั่งสมความแค้น แม้แต่การดูด เอามันให้เกิดความรักก็ไม่ดีอีก ปล่อยให้สัตว์มันเป็นไปตามวิบาก อย่าไปฆ่ามันมากิน อยากไปเชื่อมต่อสายวิบากกับมัน คุณกินแต่พืชก็พอแล้ว สุดแห่งที่สุด

คุณเชื่อไหมคนไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่เกิดจนตายมีอายุยืนยาวได้ ถ้าเชื่อก็ลองสิ กินแต่พืชไม่ต้องกินเนื้อสัตว์เลย อายุยืนยาวกว่าคนกินแต่เนื้อ ไม่กินพืชผัก เอามาเทียบเคียงกันก็ได้ ใครจะอายุยืนยาวครับ กล้าท้าพิสูจน์เลย เอาคนที่อยู่ทางเอสกิโม มาแข่งกับพวกหรรษากันดู เอสกิโมอายุยี่สิบกว่าก็ตาย อายุยาวมากสุดก็สี่สิบกว่าปี ค่าเฉลี่ยอายุแค่ 27 ปี แต่พวกหรรษาอายุร้อยกว่าก็มี

สมณะฟ้าไทว่า... สัตว์ที่กินเนื้อสัตว์จะอายุสั้นกว่าพวกสัตว์ที่กินแต่พืช

พ่อครูว่า...แม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็ค้นคว้าพิสูจน์แล้ว

พลังงานของพืชนั้นปลอดภัย พลังงานของสัตว์นั้นไม่ปลอดภัย เชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็ช่าง

เรายืนอยู่ในฐาน ที่เราไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต แม้จะถูกหลอก อาตมาในชาตินี้ถูกหลอกให้ไปกินเนื้อสัตว์อยู่ตั้งสามสิบกว่าปี กว่าจะมาปฏิบัติธรรมแล้วเลิกได้ อาตมาก็รู้เองว่าปฏิบัติธรรมนี้ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์ ยังไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีสำนักที่จะเป็นไปเรียนเลย ก็เลยต้องรู้เอง ก็มีฐานความรู้ของตัวเองเพราะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ทำมาจนขนาดนี้ จะมีพวกเรามาร่วมสร้างสรรค์ไปในทิศทางนี้

อาตมาไม่กลัวว่าจะน้อยลง เพราะคนไทยไม่มาก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ง้อ คนต่างชาติก็จะมา อย่างน้อยคนจีน คนลาว  ไม่ได้กังวลไม่ได้กลัวเพราะคนในยุคนี้เป็นยุคแห่งปัญญาเขาแสวงหาความสูงจริงทั้งนั้น ในความเป็นมนุษย์ ก็จะรู้ว่าอันไหนสูงที่จริง ถ้าจะมาไม่สูงจริงสูงยิ่ง เขาก็ไปหาที่สูงยิ่งกว่าอีก เราไม่เคยเรียกร้องไม่หวานหรอก ไม่และเล็มเลียบเคียง เราบอกความจริงด้วยความเป็นจริงให้เต็มๆ ใครจะมีภูมิปัญญา มาเอง มาด้วยปัญญาตัดสินเอง วินิจฉัยเอง

อย่างนี้เราจะได้ของจริง ถ้าเราไปอ่อย ไปหลอกไปปะเหลาะมา ก็ได้คนโง่ อาตมาไม่นิยมสะสมฝูงควาย อาตมาสะสมแต่ฝูงคน ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างควายว่าไม่ฉลาดเท่าคน

อาตมารู้ความซับซ้อนที่ต้องเสียเวลาหลายเที่ยว เอาแบบเที่ยวเดียวให้เสร็จดีกว่า มาก็มาเองอยู่ก็อยู่เอง อยู่ได้ก็อยู่ไป อยู่ไม่ได้ก็ไปเอง ดีไม่ดีจะอยู่ให้ได้ แต่ถ้าคุณร้ายกว่าเกณฑ์ของเขา เขาก็ไล่คุณออกเอง

ทุกวันนี้สัจจะมันซ้อน อาตมาก็ไม่อยากจะบอกว่าอาตมาเป็นใคร ให้คุณดูเองดีกว่า จะได้รู้อย่างปัญญา บอกได้ว่า ในเมืองไทยเนี่ยจะมาเกิดมาตั้งหลายรอบอย่างเป็นพระโพธิสัตว์ ก็มาช่วยประเทศชาติไปเรื่อย มันยังไม่ตลอดรอดฝั่ง เราจะต้องนำประเทศไทยให้เป็นชมพูทวีป ให้เป็นดินแดนที่มีพุทธศาสนาเป็นแกนของโลก ที่จะนำพาไป อาตมารับผิดชอบอีกแค่สองพันปี ให้มีธรรมะที่สงบ สะอาดสว่าง สุภาพเรียบร้อย ให้ดียิ่งกว่านี้ไป แล้วจะให้ค่อยมีเนื้อสามเส้านี้ลงไป อีก 2 พันกว่าปีเศษๆมันจะหมด อาตมาก็รับผิดชอบตรงนี้ เพราะอาตมาเป็นลูกพระสมณโคดม ก็รับผิดชอบของพ่ออาตมาเท่านั้นแหละ ไม่บังอาจเอื้อม ไปเอาของปู่ย่าตาทวด หรือของใครก็ไม่รู้มาด้วยไม่ไหว

พลังงานของที่อาตมาจะทำก็ประมาณขนาดนี้ ทำเท่าที่จะทำได้เกินกว่านี้ไม่เอา เอาให้พอเหมาะได้ขนาดนี้ก่อน ซึ่งอาตมาก็เห็นอัตราการก้าวหน้าของสิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน ยังไม่เป็นระดับคุณหรือระดับยกกำลัง ยังเป็นระดับบวก แต่บวกเลขสูงพอสมควรเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงขั้น Geometric แค่ Arithmetic ​อาตมาทำเต็มแรงมันก้าวหน้าไปได้อยู่ ที่อ้างอิงมานี้ไม่ได้โมเม

งานทางด้านการเมืองก็ทำไป ทางด้านธรรมะอาตมาก็รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องอ้างอิงยืนยันได้ มีตัวตนบุคคลจริง Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา ในบรรดาศาสตร์ทั้งหลาย Phenomenologyกำลังขึ้นมากกว่า  Phylosophy หรือ Epistemology คือจะมีธรรมะสองปรากฏ จนเกิดการวนเป็นสามเส้า cyclic order เป็นวงวนพอดี จะไม่เสื่อมถอยมีแต่ก้าวหน้า เพิ่มเป็นสี่ ห้า หก เจ็ด ต่อไป จะเกิดสมทบเป็นอีกเส้าต่อไปอีก เป็นซับซ้อนหมุนวนขยายผลไป ขณะนี้จะขยายผล ต่อไปถึงอีกสองพันห้าร้อยปี เหมือนเด็กที่อายุมากขึ้น จนอายุสามสิบก็ถือว่าค่อยเสื่อม แต่ถ้าบูรณะดีสี่สิบก็เริ่มเสื่อมหรือบูรณะดี ก็ห้าสิบ หกสิบ อย่างอาตมาจะขอพากเพียรไปถึง 151 ปีจึงขอเริ่มเสื่อม ตอนนี้ก็ช่วยอาตมาทำงานไม่ให้เริ่มเสื่อมนะ

อาตมาใช้ความรู้ของพระพุทธเจ้ามา อายุไขของอาตมา 72 ปีเท่านั้นแต่เดิม แต่ก็ยังรู้สึกว่าตายยังไม่ได้ ก็เลยเพิ่มอายุขัย เพิ่มพลังงานของตัวเองเสริมขึ้นมา โดยใช้ความรู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องที่วิเศษ มันทำได้เกินกว่าสามัญ ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เขาก็ต่ออายุคนได้ เขาใช้โภชนาการต่ออายุได้ อาตมาต่ออายุของอาตมาได้เหนือชั้นกว่าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขออภัยที่คุยทับ

อาตมาทำเกิน 72 ปีจนอายุได้ 82 ปีย่าง 83 ปีแล้ว หนุ่มขึ้นกว่าเก่า ยังหนุ่มไม่จบจะหนุ่มไปอีกหลายรอบ อาตมาไปอีก20 ปีก็แค่ร้อยแล้วจะไปอีก 151 ปีจะเริ่มทรุดได้อย่างไร ตอนนี้ยังเสื่อมไม่ได้ ก็ต้องพยายามช่วยตัวเองที่จะไม่เสื่อมนอกจากตนเองจะช่วยแล้ว พวกคุณก็ช่วยด้วยนะอย่าให้มันโอเวอร์ในส่วนที่ไม่ควร โอเวอร์

เรื่องของพลังงานที่สูงสุดก็คือ เอามาผสมมารวมกันจากพลังงานอุตุนิยามมาเป็นพีชะนิยาม ความเป็นจิตนิยามคือสัตว์จากจิตนิยามเป็นสัตว์มาเป็นอเวไนยสัตว์

เป็นเดรัจฉานที่สอนไม่รู้เรื่อง จะกระทั่งสอนรู้เรื่อง เป็นเวไนยสัตว์ สั่งสอนโลกุตรธรรมได้ โลกุตรธรรมคือ ธรรมะไม่มีตัวตน ธรรมะไม่เห็นแก่ตัว

อาตมากำลังอธิบายโสดาบันเริ่มเข้ากระแส จะต้องอ่านอาการของจิตเราให้เป็น อาการอย่างนี้เข้ากระแสเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล

 จะอ่านอาการจิตของเราว่าอย่างนี้อาการจิตเป็นความโกรธ อาการเป็นความโลภต้องแยกให้ออก นี่มันโลภแรงแล้วนะ นี่มันโกรธแรงแล้วนะ จะต้องทำให้เบาลงกว่านี้ จนกว่ามันจะไม่แรงกว่านี้อย่างไรๆ เราก็ไม่โกรธได้ ก็จะรู้ขีดของตัวเอง ว่าเราค่อยยังชั่วแล้ว มันไม่โกรธแรงกว่านี้ แม้จะมีการยั่วยวนกระแทกอย่างแรงขนาดนี้ เขาบอกว่าโดนขนาดนี้ไม่โกรธไม่ใช่คนแล้วนะ

ก็เป็นพระอาริยะแล้ว พระอาริยะไม่โกรธจริงๆแบบนี้ อ่านพลังงานจิตเหล่านี้ให้ได้มันอยู่ในใจเรา ตั้งแต่มัน ทุกข์หรือสุข เอาหรือให้

การให้แล้ว เอาวัตถุให้ ให้วัตถุไป ให้กุ้งฝอยแล้วก็หลอกเอาปลากะพงเขามา กุ้งฝอยตกปลากะพง ให้เศษเนื้อเพื่อได้เนื้อทั้งตัวไหม เราต้องรู้ตัวเองว่าทำอย่างนั้นก็ยังเชื่ออยู่ อย่างเช่นธัมมชโยหรือทักษิณ ให้กุ้งฝอยหรือเศษเนื้อข้างเขียงไปเพื่อจะได้เนื้อมาทั้งตัว ก็หลอกกันตะพึดตะพือ คนไหนทำก็บาปของเขาเราไม่ทำก็ไม่เป็นบาป คนไหนจะหยุดการกระทำที่เป็นบาปเป็นภัยนี้ได้ไหม

อาตมาว่าคนที่จะมารวมกัน ว่าอยู่อาศัยร่วมกันพัฒนากันไป อาตมาว่าครบพร้อมแล้วนะ

 

การเมืองตอนนี้กำลังเอาธรรมะเข้าไปใส่การเมือง การเมืองเองร่างรัฐธรรมนูญก็เอาธรรมะเข้าไปใส่ จนมีนักกฎหมายว่า ร่างรัฐธรรมนูญทำไมต้องคำนึงถึงศาสนา อาตมาว่าฟังแล้วคนพวกนี้จะเอามันไปปล่อยป่าเสีย (ภาษาอีสานว่าเอาไปโผด)

คนที่ไม่รู้เขาก็รบกวน newsand บางครั้ง ให้มีคุณธรรมศาสนา ดันมาบอกว่า เอาศาสนามาในรัฐธรรมนูญทำไม คนพวกนี้ยังป่าเถื่อนอยู่ มันส่อถึงความเจริญถ้ารัฐธรรมนูญมีธรรมะมีคุณธรรม นี่คือสิ่งที่เกิดในเมืองไทย แม้แต่ในอินโดจีนที่รวมกัน จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ยุโรปหรือตะวันตกต้องเข้ามาที่นี่ ประกาศที่นี่จะเป็นดินแดนแห่งคุณธรรม เป็นดินแดนแห่งปัญญาชน ปัญญาชนไม่ใช่เฉกาชน

เฉกาชน ผู้คนใช้ความฉลาด เอาเปรียบสัตว์โลก คนที่มีปัญญา จะมีความเสียสละ ไม่เอาเปรียบต่อโลก คือเป็นผู้ที่เป็นมนุสโส เป็นเทวดาแท้ อุบัติเทพวิสุทธิเพท

เมืองไทยกำลังเจริญด้วยมังสวิรัติ และจะเจริญด้วยตลาดอาริยะต่อไป เป็นตลาดอาริยะที่ดำเนินการเพื่อการขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ถ้าเมืองไทยไม่มีในหลวงที่ตรัสเรื่องนี้ว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ประเทศไหนก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ ตลาดอาริยะคืนตลาดขาดทุนไม่มีการเอาเปรียบ ต่อไปจะเป็นกสิกรรมไร้สารพิษ ในเมืองไทยเราจะทำมาให้กินให้พอ เพื่อจะช่วยประเทศข้างเคียงประเทศที่อยู่ไกลออกไปได้

ต่อมาก็เป็นสุขภาพบุญนิยม ก็จะขึ้นมาเป็นลำดับ จึงจะเกิดการศึกษาซึ่งจะเกิดการสื่อสาร ศึกษาให้รู้แล้วเอาไปสืบสานให้รู้กัน เอาไปใช้จึงเป็นการเมือง

บุญญาวุธ 7 ชั้นกำลังขึ้นเรื่องอาหาร เมืองไทยต่อไปจะมีสินค้า มีผลผลิต ไปไล่แจกประเทศตะวันตกให้เขาวิ่งหนีเลย คนเราไม่กินเหล็กกินผาแต่ต้องกินผักกินพืช ต้องเป็นนักกสิกรรมจะเก่งทางอุตสาหกรรมอย่างไรก็กินไม่ได้หรอก เก่งคอมพิวเตอร์กินก็ไม่ได้ มันจะอยู่รอดไหม เมื่อทำสมบูรณ์แบบจะเป็นการเมืองบุญนิยม การเมืองเป็นองค์รวมของมนุษยชาติ

การเมืองเป็นการทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ไม่ได้ทำเพื่อเห็นแก่ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อรายได้ ไม่ใช่เพื่อพรรคพวก นักการเมืองจริงๆจะต้องเป็นผู้อาสา มีจิตอาสา ทำงานรับใช้ประชาชนจริง ไม่ใช่มาเป็นคนขี้หลอก มากินน้อยใช้น้อย มีคณะบริวารมีพรรคพวก อาตมามีพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่ไม่เคยไปหลอกอาละวาดใครเลย มีแต่ทำดีอย่างเดียว จนเขาบอกว่าทำไมไม่ขยายผลพรรคเพื่อฟ้าดินออกไปมากๆ ก็ทุกคนยังไม่ทำตามอาตมาบอก จะขยายออกได้อย่างไร ถ้าคุณทำตามก็จะขยายออก

ต้องมาทำแบบพรรคเพื่อฟ้าดินแล้วจะเป็นอย่างนี้ได้ นี่เป็นเรื่องซ้อน เป็นเรื่องลึกซึ้งๆที่ คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

มีรูปร่างของการเมืองธรรมะ รูปธรรมที่ชัดเจนในเมืองไทยเป็นต้นธาตุต้นธรรมของอาริยะ ของศิวิไลเซชั่น เป็นต้นธาตุต้นธรรมของโลกุตระ ที่จะได้แผ่พลังงานออกไปสู่มวลมนุษยชาติ ต่อๆไป

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบายบุญญาวุธ 7 หมายเลขได้สอดคล้องกันอย่างยิ่ง เราทำอาหารมังสวิรัติต้องขายถูกจึงไปรอด โดยเฉพาะขายขาดทุนจะไปรอด พอขายได้ ก็ต้องทำวัตถุดิบให้ไร้สารพิษ ทำแล้วสุขภาพจะดี ทำแล้วเป็นการศึกษา ก็จะสื่อสารออกไปให้คนรู้ สมบูรณ์เป็นการเมืองบุญนิยม ตอนนั้นจะมีอรหันต์เป็นนายกรัฐมนตรี

เราไปติดต่อกับเขาเมื่อไหร่ เราต้องเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ใครก็จะรีบมาติดต่อเรา

คนที่เกิดมาสูงสุดจะยอมให้สัตว์ฆ่า แต่ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นประเด็นที่น่าคิด ว่าแต่ก่อนทำไมเราต้องยอมให้เขาฆ่า (อย่างพระโมคคัลลานะ พอเกิดปัญญาจะยอมให้เขาฆ่า) คนดียอมแพ้ยอมตายได้ คนชั่วไม่ยอมแพ้ไม่ยอมตาย

พ่อครูว่าพ่อครูเกิดมาเป็นโพธิสัตว์ในประเทศไทยนี้หลายชาติแล้ว...พ่อครูว่าต่อไปจะรู้เอง คนเราจะมีลีลาในกรรมของตนเอง

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:28:15 )

591009

รายละเอียด

591009_วิถีอาริยธรรม อุทยานบุญนิยม พลังงานโสดาบันกับการไม่กินเนื้อสัตว์

แค่คิดก็ไม่ควรคิดแล้วที่จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจตนาเลยที่จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งบาป ถ้าเสือฆ่าเก้งแล้วมันกินเหลือก็ไม่เป็นไร ไม่มีเจตนา แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกฆ่าโดยคน ซึ่งคนเป็นมนุสโส เป็นผู้มีจิตใจสูงไม่ควรจะไปฆ่าสัตว์ คนนั้นฉลาดกว่าสัตว์ใด จะฆ่าไดโนเสาร์ก็ได้ มันฉลาดกว่าสัตว์ใดๆ จะไปทำร้ายเขาทำไม เพราะเป็นผู้ที่เหนือเขาอยู่แล้ว คนไม่พึงไปฆ่าสัตว์ใด

คนที่ฆ่าสัตว์อย่างเจาะจง ตั้งใจฆ่าเลยจึงมีบาปที่ยกกำลัง ตามองค์ 5 ของปาณาติบาต  1 สัตว์มันมีชีวิต  2 คนก็รู้ทั้งรู้ว่าว่าสัตว์มีชีวิต 3 มีเจตนาฆ่า เป็นจิตที่เลวแล้ว 4 พยายามฆ่าลงมือฆ่า 5 สัตว์มันตายลงตามความพยายามนั้น เป็นความอำมหิต 5 ชั้น สัตว์ตายแล้วก็มีมิจฉาทิฐิ ได้เนื้อสัตว์ที่มิจฉาทิฏฐิมาก็บอกว่า สัตว์นั้นตั้งแต่มันถูกฆ่า

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

เอาของชั่วเลวยกกำลังสี่นี้มาถวายพระพุทธเจ้า หรือถวายสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นขั้นที่ 5 เห็นหรือไม่ว่ามีความโง่อยู่ถึงกี่ชั้น แล้วมีความบาปถึงกี่ชั้น จึงเป็นอกัปปิยะ คือความไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะคิดจะทำเช่นนี้ เป็นคนหรือเปล่า ทำไมคิดอย่างนี้ นึกออกไห

 

สักกะแปลว่าของเรา กายคือรูปกับนาม สิ่งที่ถูกรู้คือรูป เป็นวัตถุตั้งแต่อุตุนิยามหรือพีชนิยามหรือจิตนิยามที่ถูกรู้คือรูป นามธรรมหรือจิตวิญญาณเราไปกำหนดรู้มันได้ ไปรู้ก้อนหินเป็นรูปฟักข้าว เป็นรูปสัตว์หรือไม่รู้จิตวิญญาณของตัวเองสิ่งนั้นคิดถูกรู้เป็น object ตัวธาตุรู้แท้ๆเป็น subject เป็นประธานสิ่งที่ถูกรู้เป็นกรรมหรือobject มันมี 2 อย่างคือรูปกับนาม

คือผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ต้องมีสองอย่าง ธาตุดินกับดิน 2 ก้อนมาแตะต้องกันมันก็ไม่มีทางรู้ พีชะมันก็มีธาตุรู้ส่วนหนึ่ง มีพลังงานที่เป็นธาตุใดๆ ลองกองมันก็จะต้องได้ธาตุใดๆมาปรุงแต่งให้เหมาะกับมัน พีชะก็มีแต่สัญญากับสังขาร จำได้ว่าธาตุใดมันจะเอาธาตุใดมันไม่เอา แล้วเอามาปรุงแต่งสังขารเป็นกลไกตามชีวะของมันปรุงแต่งเป็นลองกองเป็นลูกตาลเป็นฟักข้าวเป็นมะนาวโห่ ปรุงแต่ง ไปตาม ISH ของมันสามเส้า

ถามว่าที่ไม่ได้ฆ่า แต่ไปซื้อที่เขาฆ่ามาทำอาหารเป็นบาปไหม ก็เป็นบาปในการร่วมมือกันเป็นคณะ เอาบาปกันไปคนละก้อนเลย

ขอว่าอีกหน่อยคุณเอาเปรียบไหม คนให้เขาฆ่าเขาก็เป็นบาปแล้ว คุณไม่ได้ฆ่าเอาเปรียบเขามาอีกไหม ไม่ฆ่าเองแต่ให้คนอื่นเขาฆ่าและเป็นบาปเองตัวเองจะไม่เอาบาป มันก็เป็นบาปไหม คนเอาเปรียบคนนี้ชั่วหนักไหม

สมณะฟ้าไทว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้กินถ้าได้เห็นได้ยิน ได้สงสัยว่าถูกฆ่ามา แต่สัตว์ที่ตลาดมันถูกฆ่ามาอยู่แล้ว

พ่อครูว่า..สักกาย เป็นสังโยชน์ข้อแรกที่มันปรุงแต่ง อาการของมันเป็นอาการชั่ว นับไปเลย อธิบายศีล 5 ข้อที่

1.ฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์แล้วเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยคน มันบาปซับซ้อนอยู่ในตัว คุณเองก็เอาเนื้อสัตว์นั้นมา แล้วคุณก็มากิน มันซับซ้อนที่ว่า เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน คนเขาก็ไม่เชื่อง่ายๆ ก็กินกันมาไม่รู้กี่ล้านปีแล้ว หลงกินกันมาสืบทอดกันมา แต่เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน เนื้อสัตว์เป็นอาหารของสัตว์เดรัจฉาน คนนั้นกินพืชก็พอแล้ว หรือกินอุตุ เช่นเกลือ วิตามิน ธาตุต่างๆที่ไม่ใช่พืชเป็นอุตุนิยาม คนก็กินพีชนิยาม อุตุนิยาม มันไม่มีเวรภัยอะไร เพราะมันมีแต่สัญญากับสังขาร ยิ่งอุตุก็มีแต่สังขาร ไม่มีความรู้ ไม่กำหนดรู้อะไรได้ มีพลังงานดูด ผลักเป็นเชิงฟิสิกส์เท่านั้นเอง

ดิน ไฟ ลม สามเส้าก็เป็นอุตุแท้ๆ ถ้าน้ำนี้เริ่มเป็นตัวตั้งต้นชีวะแล้ว

พอเริ่มต้น ข้อ 1 ศีล ข้อ 1 สัตว์ก็เป็นชีวิต พืชก็มีชีวิต อุตุไม่มีชีวิต คุณต้องรู้สามอย่างนี้ว่าต้องต่างกันอย่างไร คุณต้องแยก differency อันนี้ออก ถ้าแยกความต่างนี้ไม่ออกก็ไม่รู้ความจริง

ต้องแยกออกว่าอย่างนี้คืออุตุ อย่างนี้คือพีชะ อย่างนี้คือจิต มันเป็นสามเส้า แล้ว 2 อย่างนี้อุตุ มันไม่รู้ตัว มีผลักมีดูด มีนิวเคลียร์ฟิวชั่นหรือฟิชชั่น เท่านั้นเอง มันแตกกันหรือรวมตัวกันก็เท่านั้นเอง ในโลกนี้ก็มีพลังงาน 2 อย่างนี้ แตกกัน ต่างคนต่างอยู่

สรุปแล้วต้องรู้ว่าชีวะในระดับในตัวเราต้องมีพื้นฐาน และระดับอุตุ แล้วมีพีชะ พีชะเริ่มมีสัญญากับสังขาร ส่วนอุตุมีแต่สังขารไม่มีธาตุรู้ แล้วแต่ยถากรรมของมัน พอมาเป็นพีชะจะมีสัญญา รู้ว่าอันไหนเอาอันไหนไม่เอา แล้วไม่ไปทำลายอันที่มันไม่เอาก็ปล่อยไป ไม่ทำร้ายใคร อันนี้พระพุทธเจ้าเอามาให้คนสร้างพลังงานให้แก่ตัวเอง เป็นสามเส้า แล้วไม่เป็นภัยกับสิ่งใด

เมื่อคุณได้อ่านพลังงานของตัวเอง ว่าเป็นภัย เป็นโทษ เป็นพิษของตัวเอง คุณอ่านออกว่าสามเส้านี้ถ้ามันเกิดเป็นภัย เป็นโทษก็ต้องเลิก อย่าทำ ทำแค่นี้ นั่นสามารถที่จะทำสภาพของพลังงานในระดับพีชะของตนได้ แต่พลังงานนี่แยกแยะมีผลักดูดได้สูงของจิตคนก็ยังอยู่ เป็นประสิทธิภาพของคนผู้นั้น ซึ่งมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า เป็นความปลอดภัยของตัวเอง แล้วไม่ทำร้ายคนอื่น นี่คือคุณสมบัติอันวิเศษของ มนุสโส ของอาริยะ ที่เริ่มตั้งแต่ อย่าไปทำร้ายชีวะใด รู้ความเป็นชีวะ โสดาบันรู้ชีวิตเขาชีวิตเรา อย่าไปทำร้ายชีวิตเขา นี่คือความเป็นโสดาบันเบื้องต้น

รู้จักองค์ประชุมของรูปนามที่เกิดสามเส้าของธาตุ สามเส้าของธาตุที่เป็นพีชะเท่านั้นก็โอเค แต่ถ้าเป็นจิตนิยามมี 4 แล้วก็อย่าไปทำ ถือว่าเป็นสัตว์แล้ว แล้วรู้ความลงตัว cyclic order เป็นสามเส้าอันอื่นมันไม่เอา เป็น self ที่มี Ish แต่ไม่เป็น selfish ไม่เอามาเกี่ยวกัน ใน self มี Ish ในตัวมันเอง

ในภาษาไทยไม่มีเรื่องนี้แต่ในอังกฤษมี ish และบาลีก็มี แต่ภาษาไทยไม่เก่าแก่พอจะมีภาษาแบบนี้

ในโสดาบันจะต้องรู้สักกายะของตัวเอง คือองค์ประชุมของรูปนาม ที่เป็นภัยเป็นพิษต่อผู้อื่นแล้ว มันเกินสามเส้า ที่ออกไปรังแกผู้อื่นเป็นตัวที่ 4 โสดาบันจะรู้

โสดาบันจะยังไม่รู้ดีทีเดียว แต่จะรู้แค่ลักษณะพลังงานที่มีเวทนา พลังงานของเวทนาที่เป็นเคหสิตเวทนา กับเนกขัมสิตเวทนา

เนกขัมมสิตะคือต้องลดพลังงานที่เห็นแก่ตัวลงไป ตัวใดก็ตามที่เป็นกิเลสเอามาเป็นตัวเราของเรา ตัวใดตัวหนึ่งตัวนั้นชื่อเรียกว่าอบาย สำหรับแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คนนี้มีตัวใหญ่ คนนี้มีตัวน้อย แต่เป็นภัยกับเรา คุณจับตัวใดได้ตัวนั้นคืออบายจิต (พ่อครูไอ สมณะฟ้าไทจึงแทรกเสริม ให้พ่อครูได้พัก)

พ่อครูว่า...ที่อธิบายไปนี้เป็นภูมิที่ไม่ใช่โสดาบันเป็นอย่างเดียว แต่เป็นภูมิโพธิสัตว์ด้วยซ้ำ

ทีนี้สัตว์เอาเฉพาะที่โสดาบันจะรู้พลังงานที่เป็นชีว ที่แยกออกเป็นจิตนิยามกับพีขะนิยาย ธรรมบูชานิยามกับจิตนิยาม โสดาบันยังไม่รู้ก็พลังงานที่รวม ว่าพลังงานที่เอามารวมตัวเป็นสัตว์แล้วอย่าไปทำลายเขา ไปกินแต่พืชก็เพราะโสดาบันจะแยกได้แต่พืชกับสัตว์ พืชกับสัตว์มีเวรมีภัยเป็นรูปร่างเป็นตัวสัตว์แล้ว โสดาบันแยกออกระหว่างความเป็นพืชกับสัตว์ เพราะฉะนั้นโสดาบันจะชัดเจนว่าไม่กินสัตว์

โสดาบันที่เริ่มรู้จะเป็นตัวที่เคร่งที่สุด โสดาบันจะรู้ว่านี้เป็นสัตว์จะไม่กิน นี่คือโสดาบันตัวแท้ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์จะไม่เอาเข้าปากเลยตายเป็นตาย เราเป็นแค่โสดาบัน ถ้าไปเติมเนื้อสัตว์เข้าไปก็ต้องไปอีกยาวนานเป็นเวรภัย

ถ้าเป็นภูมิที่สูงขึ้น ก็จะอนุโลมได้ แต่โสดาบันยังไม่มีต้นทุนที่ดีพอ จะไปอนุโลมได้อย่างไร ไม่มีต้นทุนพอจะอนุโลมผู้อื่นได้

เพราะฉะนั้นโสดาบัน จะแยกความเป็นพืชกับสัตว์ได้อย่างหยาบๆ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=87436

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfV2ZMbWhaN2N5U3c

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1i2fconn6bkb/161009

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:28:55 )

591009

รายละเอียด

591009_วิถีอาริยธรรม อุทยานบุญนิยม พลังงานโสดาบันกับการไม่กินเนื้อสัตว์

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้รายการวิถีอาริยธรรมก็สัญจรมาที่อุทยานบุญนิยม วันนี้เป็นวันที่ 9 ของเทศกาลกินเจ ถ้ากินต่อไปได้ก็ดี ตามหลักมหายาน เทศกาลกินเจเขาแปลว่าอุโบสถ แปลว่าจะต้องอยู่ในศีลในธรรม โดยทั่วไปกินอาหารไม่เกินเที่ยงวัน คนต้องมีศีล ตำนานบอกว่าชาวจีนต้องต่อสู้กับชาวแมนจู ก็เลยเอาธรรมะต่อสู้ด้วยการนุ่งขาวห่มขาวกินเจ แต่สุดท้ายก็แพ้เขา ก็เลยสืบทอดเจตนารมณ์ต่อ ว่ากินเจไปทุกปี ที่จะชนะมารในตัวเอง ทุกวันนี้คนไทยก็ยังมีปัญหาเรื่องการกินเจ บอกว่าเป็นชาวพุทธ ไปกินมังสวิรัติหรือกินเจได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สั่งสอน คนเขาเข้าใจเช่นนั้น ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็กินสุกรมัทวะ เขาบอกว่าเป็นเนื้อหมูอ่อน แต่ตามหลักเขาก็บอกว่าเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่หมูชอบกิน เขาก็บอกว่าไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น ไม่สงสัยก็กินได้ แต่จะกินได้อย่างไรเพราะว่าสัตว์แต่ละชนิดที่เราไปซื้อมา ก็ต้องถูกฆ่าจากโรงฆ่าสัตว์ ไม่สงสัยว่าจะถูกฆ่าได้อย่างไร

มีน้ำปั่นผักขายด้วย ตอนแรกเราใส่น้ำตาล ก็ว่าคนจะกินไม่ได้ แต่ต่อมาคนขายบอกว่าไม่ต้องใส่น้ำตาลเพราะทำลายสุขภาพ คนกินกำหนดคนขาย เขาก็เลยออกใน facebook ว่า น้ำปั่นผักไม่อร่อย แต่แท้จริงแล้วเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ คนที่มีคุณธรรมจะกินอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ได้กินไปเพื่อรสอร่อย แสดงว่าคนกินกำหนดคนทำ กำหนดคนขาย

เหมือนกับในชีวิตของเรา ร้านมังสวิรัติของเราไม่มีใครนำเอาเนื้อสัตว์มาขาย และคนที่นี่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ถ้าคนที่นี่กินเนื้อสัตว์ก็จะมีเนื้อสัตว์เข้ามาขาย ถ้าในหมู่บ้านราชธานีอโศกมีคนกินเนื้อสัตว์คนก็ต้องเอาเนื้อสัตว์มาขายเรา แต่ถ้าเราไม่กินซะอย่างคนเขาก็ไม่เอามาขายให้เรา ก็ไม่ต้องฆ่ามาให้เรากินเสียเวลาเสียเงินเสียทอง คนกินเป็นคนสำคัญ ถ้าเราเลิกกินเสียอย่างก็ไม่มีใครเอามาให้เรากินหรอก ชีวิตอาตมาก็ไม่ค่อยมีใครเอาเนื้อสัตว์มาให้กิน ไม่มีใครมาชวนมากินเนื้อสัตว์ เพราะฉะนั้นถ้าเราเลิกกินซะอย่างก็สำเร็จหมดเลย นโยบายของพ่อครู ที่บอกว่าอาหารมังสวิรัติเป็นผลจากบุญญาวุธหมายเลข 1 จึงเกิดผลสำเร็จ ถ้าเราเลิกกินซะอย่างโรงฆ่าสัตว์ก็เจ๊ง ผงชูรสก็เช่นกันถ้าเราเลิกกินโรงงานก็เจ๊ง ถ้าในโลกนี้คนเลิกกินเนื้อสัตว์หมดเลยโลกนี้ก็เป็นสันติภาพไม่เสียเลือดเนื้อเลย ขนาดสัตว์ยังไม่ฆ่าจะไปฆ่าคนได้อย่างไร

ถ้าเรากินและเป็นบาปทำลายตัวเองเป็นวิบากกับตัวเองจะกินแต่ทำไม ถ้าคนจะเลิกกินอย่างไรให้เกิดบุญแก่ตัวเอง ในการชำระกิเลสตัวเองให้ได้ทำอย่างไร วันนี้พ่อครูจะมาวินิจฉัยรายละเอียดเรื่องนี้ให้เราแน่ชัดว่าเลิกกันไปเลยนะเนื้อสัตว์

พ่อครูว่า...อาตมานำเรื่องของมังสวิรัติ คือการกินอาหารที่ ไม่มีเนื้อสัตว์ มังสะแปลว่าเนื้อสัตว์ มังสวิรัติคือไม่กินเนื้อสัตว์เลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ที่มีชีวิตในระดับชีวะนิยาม พืชก็เป็นชีวิตชนิดหนึ่ง แต่พืชเป็นพีชนิยาม ไม่ใช่จิตนิยาม ก็เอารายละเอียดคำสอนของพระพุทธเจ้ามาขยายความ พระพุทธเจ้าท่านรู้จักพลังงาน ในระดับ อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมมนิยาม

พระพุทธเจ้าไขความละเอียดของพลังงานถึงระดับนิวเคลียร์ฟิวชั่น นิวเคลียร์ฟิชชั่น ที่แตกออกมาจากนิวเคลียส เป็นพลังงานบวกพลังงานลบ

บวกคือปุริสภาวะ ลบคืออิตถีภาวะ พระพุทธเจ้ารู้สูงกว่าไอน์สไตน์ อาตมาก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ทั้งที่ในอดีตเคยเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ แต่เรียนเคมีสอบได้ 10 คะแนนจาก 100 คะแนน อาจารย์ที่สอนคือศาสตราจารย์ดอกเตอร์สตางค์ มงคลสุข แต่ลูกศิษย์ไม่เอาไหน สอบได้น้อยก็เลยมาเรียนทางอักษรศาสตร์ แต่เมื่อมาเรียนของพระพุทธเจ้า แล้วก็รู้ว่ามันเกี่ยวพันกันทุกอย่างพลังงานเป็นตัวตั้ง

พลังงานเป็นปฏิกิริยาของการเคลื่อน Action reaction การเคลื่อนของของ 2 สิ่ง จะเล็กขนาดไหนขนาดพลังงานลม พลังงานไฟ พลังงานบวก พลังงานลบ มีพลังงาน 2 สิ่งเกิดปฏิกิริยากันเป็น action reaction คือสภาพเริ่มต้นที่มีปฏิกิริยาพลังงานขึ้นมา ท่านเรียกว่า พลังงานรูป พลังงานนาม เป็นธรรมะ 2 ที่กระทบกันแล้วเกิดปฏิกิริยาเป็นพลังงานใหม่ขึ้นมา ถ้าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเฉยก็ไม่มีพลังงานอะไร แต่ถ้ากระทบกันก็เกิดพลังงานขึ้นมา แรงหรือเปล่า ก็แล้วแต่ เมื่อเกิดพลังงานใหม่ขึ้นมาเรียกว่า ปฏิ แปลว่าย้อนทวน เป็น action reaction เป็นอันที่ 3 ขึ้นมา

ลักษณะอันที่ 3 ขึ้นมา ถ้าอยู่ในระดับของอุตุนิยาม ก็อยู่ในระดับของพีชะนิยามมีแรงเคลื่อน เป็นการหมุนเวียน cyclic order หมุนเวียนได้สมดุลไม่ออกไปไหน เกิดแรงงานขึ้น เป็นพีชะขึ้นมา แล้วเกิดองศา เป็นสามเส้า สามเส้านิดๆก็ออกองศาเล็กน้อย แต่ถ้าองศามากขึ้นก็เป็นพลังงานเพิ่มขึ้นอีก

 

ทำไมเราต้องมาละเว้นไม่กินเนื้อสัตว์ ขอสรุปเลยว่าถ้าเรากินเราก็ต้องฆ่า ถ้าเราไม่ฆ่า หรือพระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าคนไม่ฆ่าสัตว์ หรือสัตว์ไม่ตายด้วยน้ำมือคน เนื้อสัตว์นั้น ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีบาป เนื้อสัตว์ที่ไม่ถูกฆ่าโดยคน สัตว์ มันตายเอง หรือสอง สัตว์มันถูกรถชนหรือ สัตว์มันฆ่ากันเองตาย หรือเนื้อสัตว์ที่เป็นเดนสัตว์กิน สัตว์กินเหลือ มีสองอย่างคือ 1.เดนสัตว์กิน 2.สัตว์ตายเอง เป็นปวัตตะมังสะ เนื้อสัตว์สองอย่างนี้พระพุทธเจ้าอนุญาตให้กินได้เพราะไม่ได้ตายด้วยการถูกคนฆ่า

การใส่บาตรพระโสดาบัน 1 ครั้ง  ก็มีกุศลกว่าใส่บาตรพระปุถุชน 100 ครั้ง

การใส่บาตรพระสกิทาคามี 1 ครั้ง  ก็มีกุศลกว่าใส่บาตรพระโสดาบัน 100 ครั้ง

การใส่บาตรพระอนาคามี 1 ครั้ง  ก็มีกุศลกว่าใส่บาตรพระสกิทาคามี 100 ครั้ง

การใส่บาตรพระอรหันต์ 1 ครั้ง  ก็มีกุศลกว่าใส่บาตรพระอนาคามี 100 ครั้ง

การใส่บาตรพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง  ก็มีกุศลกว่าใส่บาตรพระอรหันต์ 100 ครั้ง

เป็นลำดับของค่าที่เป็นสัจจะ

 

ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ 5 ประการ

          [60] ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่ 1 นี้ สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่ 2 นี้ ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่ 3 นี้ สัตว์นั้นเมื่อกำลังถูกเขาฆ่า ย่อมเสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่ 4 นี้ ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก

ด้วยเหตุประการที่ 5 นี้ ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการนี้.

 

พูดถึงตรงนี้นึกถึงอดีตที่เป็นฆราวาส ต้องไปหาเนื้อ T bone คือเนื้อข้างกระดูกสันหลัง มาย่างกิน ต้องมีกรรมวิธีย่างอีก นี่คือกระบวนการ คนที่โง่กว่าคนที่โง่ที่สุด อาตมาเจอมาแล้ว เป็นมาแล้ว

 

แค่คิดก็ไม่ควรคิดแล้วที่จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจตนาเลยที่จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งบาป ถ้าเสือฆ่าเก้งแล้วมันกินเหลือก็ไม่เป็นไร ไม่มีเจตนา แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกฆ่าโดยคน ซึ่งคนเป็นมนุสโส เป็นผู้มีจิตใจสูงไม่ควรจะไปฆ่าสัตว์ คนนั้นฉลาดกว่าสัตว์ใด จะฆ่าไดโนเสาร์ก็ได้ มันฉลาดกว่าสัตว์ใดๆ จะไปทำร้ายเขาทำไม เพราะเป็นผู้ที่เหนือเขาอยู่แล้ว คนไม่พึงไปฆ่าสัตว์ใด

คนที่ฆ่าสัตว์อย่างเจาะจง ตั้งใจฆ่าเลยจึงมีบาปที่ยกกำลัง

 ตามองค์ 5 ของปาณาติบาต 

1. สัตว์มันมีชีวิต 

2. คนก็รู้ทั้งรู้ว่าว่าสัตว์มีชีวิต

3. มีเจตนาฆ่า เป็นจิตที่เลวแล้ว

4. พยายามฆ่าลงมือฆ่า

5. สัตว์มันตายลงตามความพยายามนั้น เป็นความอำมหิต 5 ชั้น สัตว์ตายแล้วก็มีมิจฉาทิฐิ ได้เนื้อสัตว์ที่มิจฉาทิฏฐิมาก็บอกว่า สัตว์นั้นตั้งแต่มันถูกฆ่า

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

เอาของชั่วเลวยกกำลังสี่นี้มาถวายพระพุทธเจ้า หรือถวายสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นขั้นที่ 5 เห็นหรือไม่ว่า มีความโง่อยู่ถึงกี่ชั้น แล้วมีความบาปถึงกี่ชั้น จึงเป็นอกัปปิยะ คือความไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะคิดจะทำเช่นนี้ เป็นคนหรือเปล่า ทำไมคิดอย่างนี้ นึกออกไห

สมณะฟ้าไทว่า...แค่คิดจะฆ่าก็บาปแล้วแล้วไปกินอีกจะยิ่งบาปขนาดไหน

พ่อครูว่า...แล้วมีเจตนาให้ ตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ไปยัดเยียดให้ท่านติดเนื้อสัตว์อีก มันบาปกี่ชั้น เป็นเจตนาชั่วของคน แล้วจะทำกับคนที่ตนเองยกย่องด้วย เป็นความหลงผิดที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่แท้จริงเป็นสิ่งชั่ว นี่คือความโง่อันเเสนโง่ของคน นึกว่าเป็นสิ่งที่สุดประเสริฐ แต่เป็นสิ่งที่เลวสุดๆ

สมณะฟ้าไทว่า…ทำไมพระพุทธเจ้าอนุญาตให้กินเนื้อที่ สัตว์กินเหลือได้

พ่อครูว่า..อนุญาตให้กินได้เพราะว่าสัตว์มันมีเวรภัยของมันเอง แต่คุณอย่าไปแย่งมันนะ ถ้าจะแย่งมัน ก็จะผูกเวรกับมัน แต่ถ้าเป็นของที่มันทิ้งแล้วก็ไม่มีเวรภัย แต่นี่เขาเอาความเปื้อนไปเปื้อนพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรเปื้อนท่านได้อีกแล้ว

 

มีคำถามของทิดเดิมแท้ถามมาว่า…

ในพระไตรปิฎกไทยเถรวาท  จะแยกภูมิโสดา สกิทา  อนาคา อรหันต์ ตามหลักสังโยชน์10 เป็นส่วนใหญ่  แต่มีข้ออธิบายที่ปฏิบัติได้ยาก ก็คือ สังโยชน์ข้อแรก คือ การละ สักกายทิฐิ (ที่อธิบายว่า ต้องลดละตัวตนให้ได้นั้น น่าจะละเอียดสูงเกินไปสำหรับ ฐานโสดาบัน ใช่ไหมครับ )

เรื่องนี้ เคยได้ยินพ่อท่านอธิบายว่า  สักกายะ คือ กิเลสตัวใหญ่  ตัวหยาบๆ ที่เป็นตัวการใหญ่ ซึ่งโยงไปถึงเรื่อง กิเลสหยาบใหญ่ในยุคปัจจุบัน ก็คือ กิเลสอบายมุข 6 นั่นเอง ใช่ไหมครับ ??

อยากให้พ่อท่าน กรุณา แจกแจง อธิบายละเอียด ในการปฏิบัติลดละ สังโยชน์ 3 กับ การปฏิบัติศีล 5  เป็นมิติที่เป็นการสอดร้อย สอดคล้องกันไปอย่างไร  แล้วจะบรรลุโสดาบันได้จริง  ( เพื่อเอาไว้ ถอดเนื้อหา เป็นตำราพาทำปฏิบัติ..  ต่อไปด้วยนะครับ ??

ตอบ…

สักกะแปลว่าตัวตน กายคือพลังงานองค์ประชุมของรูปนาม องค์ประชุมรูปนามในตัวเราคือสักกายะ แต่คนเดี๋ยวนี้จบเปรียญ จบดอกเตอร์  ไม่รู้จักคำว่ากาย เขานึกว่ากายคือวัตถุ เป็นมหาภูตรูป ไม่ได้เข้าใจว่ากายคือเน้นถึงจิตมโนวิญญาณ ดีที่ยังมีเหลือเชื้อในพระไตรปิฎกที่บอกว่า ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

มีคำถามแทรกมาว่าสงสัยว่าถ้าเราไม่ได้ลงมือฆ่าเองแต่ไปซื้อเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามาไปทำอาหารถวายพระจะบาปไหม 

ตอบไปก่อนเลยว่าบาป คําสอนพระพุทธเจ้าไม่ให้ขายไม่ให้ค้า เป็นมิจฉาวณิชชา เป็นการค้าขายที่เป็นบาป 5 ประการ

1.      การค้าขายอาวุธ      (สัตถวณิชชา)

2.      การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา)

3.      การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา)

4.      การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)

5.      การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177)

แม้แต่สัตว์ที่เป็นๆก็ไม่ค้ากัน แล้วจะเอาไปค้าขายมันบาป สัตว์ตายเอามาขายก็บาป

สักกะแปลว่าของเรา กายคือรูปกับนาม สิ่งที่ถูกรู้คือรูป เป็นวัตถุตั้งแต่อุตุนิยามหรือพีชนิยามหรือจิตนิยามที่ถูกรู้คือรูป นามธรรมหรือจิตวิญญาณเราไปกำหนดรู้มันได้ ไปรู้ก้อนหินเป็นรูปฟักข้าว เป็นรูปสัตว์หรือไม่รู้จิตวิญญาณของตัวเองสิ่งนั้นคิดถูกรู้เป็น object ตัวธาตุรู้แท้ๆเป็น subject เป็นประธานสิ่งที่ถูกรู้เป็นกรรมหรือobject มันมี 2 อย่างคือรูปกับนาม

คือผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ต้องมีสองอย่าง ธาตุดินกับดิน 2 ก้อนมาแตะต้องกันมันก็ไม่มีทางรู้ 

พีชะมันก็มีธาตุรู้ส่วนหนึ่ง มีพลังงานที่เป็นธาตุใดๆ ลองกองมันก็จะต้องได้ธาตุใดๆมาปรุงแต่งให้เหมาะกับมัน

พีชะก็มีแต่สัญญากับสังขาร จำได้ว่าธาตุใดมันจะเอา ธาตุใดมันไม่เอา แล้วเอามาปรุงแต่งสังขารเป็นกลไกตามชีวะของมัน ปรุงแต่ง เป็นลองกอง เป็นลูกตาล เป็นฟักข้าว เป็นมะนาวโห่ ปรุงแต่ง ไปตาม ISH ของมันสามเส้า

ถามว่าที่ไม่ได้ฆ่า แต่ไปซื้อที่เขาฆ่ามาทำอาหารเป็นบาปไหม ก็เป็นบาปในการร่วมมือกันเป็นคณะ เอาบาปกันไปคนละก้อนเลย

ขอว่าอีกหน่อย คุณเอาเปรียบไหม?  คนที่ให้เขาฆ่า เขาก็เป็นบาปแล้ว คุณไม่ได้ฆ่า คุณเอาเปรียบเขามาอีกไหม? ไม่ฆ่าเองแต่ให้คนอื่นเขาฆ่าและเป็นบาปเอง

ตัวเองจะไม่เอาบาป มันก็เป็นบาปไหม? คนเอาเปรียบคนนี้ชั่วหนักไหม?

สมณะฟ้าไทว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้กิน ถ้าได้เห็น ได้ยิน ได้สงสัยว่าถูกฆ่ามา แต่สัตว์ที่ตลาดมันถูกฆ่ามาอยู่แล้ว

พ่อครูว่า..สักกาย เป็นสังโยชน์ข้อแรกที่มันปรุงแต่ง อาการของมันเป็นอาการชั่ว นับไปเลย อธิบายศีล 5 ข้อที่…..

1.ฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์แล้วเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยคน มันบาปซับซ้อนอยู่ในตัว คุณเองก็เอาเนื้อสัตว์นั้นมา แล้วคุณก็มากิน มันซับซ้อนที่ว่า เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน คนเขาก็ไม่เชื่อง่ายๆ ก็กินกันมาไม่รู้กี่ล้านปีแล้ว หลงกินกันมาสืบทอดกันมา แต่เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน เนื้อสัตว์เป็นอาหารของสัตว์เดรัจฉาน

คนนั้นกินพืชก็พอแล้ว หรือกินอุตุ เช่นเกลือ วิตามิน ธาตุต่างๆที่ไม่ใช่พืชเป็นอุตุนิยาม คนก็กินพีชนิยาม อุตุนิยาม มันไม่มีเวรภัยอะไร เพราะมันมีแต่สัญญากับสังขาร

ยิ่งอุตุนิยามก็มีแต่สังขาร ไม่มีความรู้ ไม่กำหนดรู้อะไรได้ มีพลังงานดูด ผลักเป็นเชิงฟิสิกส์เท่านั้นเอง

ดิน ไฟ ลม สามเส้าก็เป็นอุตุนิยามแท้ๆ

ถ้าเมื่อมีน้ำ นี่เริ่มเป็นตัวตั้งต้นชีวะแล้ว

พอเริ่มต้น ข้อ 1 ศีล ข้อ 1 สัตว์ก็เป็นชีวิต พืชก็มีชีวิต

อุตุนิยามไม่มีชีวิต คุณต้องรู้สามอย่างนี้ว่าต้องต่างกันอย่างไร คุณต้องแยก differency อันนี้ออก ถ้าแยกความต่างนี้ไม่ออกก็ไม่รู้ความจริง

ต้องแยกออกว่าอย่างนี้คืออุตุ อย่างนี้คือพีชะ อย่างนี้คือจิต มันเป็นสามเส้า แล้ว 2 อย่างนี้อุตุ มันไม่รู้ตัว มีผลักมีดูด มีนิวเคลียร์ฟิวชั่นหรือฟิชชั่น เท่านั้นเอง มันแตกกันหรือรวมตัวกันก็เท่านั้นเอง ในโลกนี้ก็มีพลังงาน 2 อย่างนี้ แตกกัน ต่างคนต่างอยู่

สรุปแล้วต้องรู้ว่าชีวะในระดับในตัวเราต้องมีพื้นฐาน และระดับอุตุ แล้วมีพีชะ พีชะเริ่มมีสัญญากับสังขาร ส่วนอุตุมีแต่สังขารไม่มีธาตุรู้ แล้วแต่ยถากรรมของมัน พอมาเป็นพีชะจะมีสัญญา รู้ว่าอันไหนเอาอันไหนไม่เอา แล้วไม่ไปทำลายอันที่มันไม่เอาก็ปล่อยไป ไม่ทำร้ายใคร อันนี้พระพุทธเจ้าเอามาให้คนสร้างพลังงานให้แก่ตัวเอง เป็นสามเส้า แล้วไม่เป็นภัยกับสิ่งใด

เมื่อคุณได้อ่านพลังงานของตัวเอง ว่าเป็นภัย เป็นโทษ เป็นพิษของตัวเอง คุณอ่านออกว่าสามเส้านี้ถ้ามันเกิดเป็นภัย เป็นโทษก็ต้องเลิก อย่าทำ ทำแค่นี้ นั่นสามารถที่จะทำสภาพของพลังงานในระดับพีชะของตนได้ แต่พลังงานนี่แยกแยะมีผลักดูดได้สูงของจิตคนก็ยังอยู่ เป็นประสิทธิภาพของคนผู้นั้น ซึ่งมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า เป็นความปลอดภัยของตัวเอง แล้วไม่ทำร้ายคนอื่น นี่คือคุณสมบัติอันวิเศษของ มนุสโส ของอาริยะ ที่เริ่มตั้งแต่ อย่าไปทำร้ายชีวะใด รู้ความเป็นชีวะ โสดาบันรู้ชีวิตเขาชีวิตเรา อย่าไปทำร้ายชีวิตเขา นี่คือความเป็นโสดาบันเบื้องต้น

รู้จักองค์ประชุมของรูปนามที่เกิดสามเส้าของธาตุ สามเส้าของธาตุที่เป็นพีชะเท่านั้นก็โอเค แต่ถ้าเป็นจิตนิยามมี 4 แล้วก็อย่าไปทำ ถือว่าเป็นสัตว์แล้ว แล้วรู้ความลงตัว cyclic order เป็นสามเส้าอันอื่นมันไม่เอา เป็น self ที่มี Ish แต่ไม่เป็น selfish ไม่เอามาเกี่ยวกัน ใน self มี Ish ในตัวมันเอง

ในภาษาไทยไม่มีเรื่องนี้แต่ในอังกฤษมี ish และบาลีก็มี แต่ภาษาไทยไม่เก่าแก่พอจะมีภาษาแบบนี้

ในโสดาบันจะต้องรู้สักกายะของตัวเอง คือองค์ประชุมของรูปนาม ที่เป็นภัยเป็นพิษต่อผู้อื่นแล้ว มันเกินสามเส้า ที่ออกไปรังแกผู้อื่นเป็นตัวที่ 4 โสดาบันจะรู้

โสดาบันจะยังไม่รู้ดีทีเดียว แต่จะรู้แค่ลักษณะพลังงานที่มีเวทนา พลังงานของเวทนาที่เป็นเคหสิตเวทนา กับเนกขัมสิตเวทนา

เนกขัมมสิตะคือต้องลดพลังงานที่เห็นแก่ตัวลงไป ตัวใดก็ตามที่เป็นกิเลสเอามาเป็นตัวเราของเรา ตัวใดตัวหนึ่งตัวนั้นชื่อเรียกว่าอบาย สำหรับแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คนนี้มีตัวใหญ่ คนนี้มีตัวน้อย แต่เป็นภัยกับเรา คุณจับตัวใดได้ตัวนั้นคืออบายจิต (พ่อครูไอ สมณะฟ้าไทจึงแทรกเสริม ให้พ่อครูได้พัก)

พ่อครูว่า...ที่อธิบายไปนี้เป็นภูมิที่ไม่ใช่โสดาบันเป็นอย่างเดียว แต่เป็นภูมิโพธิสัตว์ด้วยซ้ำ

ทีนี้สัตว์เอาเฉพาะที่โสดาบันจะรู้พลังงานที่เป็นชีวะ ที่แยกออกเป็นจิตนิยามกับพีชนิยาย ธรรมนิยามกับจิตนิยาม โสดาบันยังไม่รู้พลังงานที่รวม ว่าพลังงานที่เอามารวมตัวเป็นสัตว์แล้วอย่าไปทำลายเขา ไปกินแต่พืช ก็เพราะโสดาบันจะแยกได้แต่พืชกับสัตว์ พืชกับสัตว์มีเวรมีภัยเป็นรูปร่างเป็นตัวสัตว์แล้ว โสดาบันแยกออกระหว่างความเป็นพืชกับสัตว์ เพราะฉะนั้นโสดาบันจะชัดเจนว่าไม่กินสัตว์

โสดาบันที่เริ่มรู้จะเป็นตัวที่เคร่งที่สุด โสดาบันจะรู้ว่านี้เป็นสัตว์จะไม่กิน นี่คือโสดาบันตัวแท้ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์จะไม่เอาเข้าปากเลยตายเป็นตาย เราเป็นแค่โสดาบัน ถ้าไปเติมเนื้อสัตว์เข้าไปก็ต้องไปอีกยาวนานเป็นเวรภัย

ถ้าเป็นภูมิที่สูงขึ้น ก็จะอนุโลมได้ แต่โสดาบันยังไม่มีต้นทุนที่ดีพอ จะไปอนุโลมได้อย่างไร ไม่มีต้นทุนพอจะอนุโลมผู้อื่นได้

เพราะฉะนั้นโสดาบัน จะแยกความเป็นพืชกับสัตว์ได้อย่างหยาบๆ

 

แล้วคำถามทิดเดิมแท้ว่า กิเลสหยาบใหญ่ในยุคปัจจุบัน ก็คือ กิเลสอบายมุข 6 นั่นเอง ใช่ไหมครับ ??

ตอบ... การจะไปติดการละเล่น การบันเทิงเริงรมย์ การพนัน ไปคบมิตรชั่ว ไปเกียจคร้าน ก็อบายมุขหยาบ แต่นี่ก็ไม่ใช่อบายมุข 6 ทีเดียวแต่เป็นเรื่องของชีวิตหรือชีวะ

 

_แล้วสัมพันธ์กับสังโยชน์ 3 อย่าง การปฏิบัติศีล 5 เป็นมิติที่เป็นการสอดร้อยหรือสอดคล้องกันอย่างไร

พ่อครูว่า..ตกลงศีล 5 ขอพูดถึงศีลข้อ 1 คือเกี่ยวกับชีวิต คือสัตว์ ศีลข้อ 2 เกี่ยวกับวัตถุไป เอาข้อ 1 ของศีล 5 นี้ก่อน

สังโยชน์ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส

1. สักกาย คือองค์ประชุมของธรรมะสองที่ยึดว่าเป็นเราคือสักกายะ อ่านสภาวะให้ได้ คุณฟังอาตมาเข้าใจพยัญชนะความหมายแล้ว ก็ไปอ่านอาการธรรมะสองที่ปรุงแต่ง เป็นอบายหมุนเวียนเสพอบาย เป็นสุข-ทุกข์ ก็อ่านอาการองค์รวมให้ได้ ว่ากิเลสตัวไหนที่คุณจะตัด ต้องหยุดต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ จะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ต้องเลิกให้ได้ คุณเอาตรงนี้ก่อน

2. วิจิกิจฉา อ่านสภาวะนามธรรมตรงนี้ให้ชัดเจนอย่างไม่สงสัยว่า อันนี้ใช่แล้ว พลังงานอย่างนี้แหละ คือตัวเหตุแท้เป็นสมุทัยอริยสัจ แยกสมุทัยอริยสัจเฉพาะพลังงานที่เป็นเหตุตัวนี้ให้ชัด อย่าไปเหมาเข่ง แยกพลังงานในจิตให้ออก…

... ว่าเรามีอกุศลจิตตัวนี้ กับปัจจัยอันนี้ เช่น จะต้องแยกว่าทำไมเราถึงติดแต่ลองกอง ไม่ติดผลตาล มีผลตาลมา ไม่กินก็ได้ไม่ติดแต่ว่า ลองกองมานี่ต้องกินให้ได้ อย่าไปเหมาเข่ง ต้องเอาให้เฉพาะตัวนี้ให้ได้ นั่นคือชัดเจนไม่มั่วนะ

เมื่อจับสักกายะได้อย่างพ้นวิจิกิจฉา แน่ชัด ของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีแพะ พ้นความสงสัยลังเลย

3.ศีลพรต (สีลัพพตปรามาส) คือวิธีการ วิธีปฏิบัติ เมื่ออ่านตัวกิเลสได้แล้ว คุณเริ่มฆ่าตัวนี้ วิธีฆ่ามี 5 อย่าง ปหาน 5

1.      วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) วิธีการกดข่มจะไม่ถาวร ต้องใช้สัมปัชชลติเป็นพลังงานไฟ(ฌาน)ที่เข้าไปสลายกิเลสให้ได้ ต้องมีอุณหภูมิสูง มีพลังงานสัมปัชชลติเป็นไฟโหม อันนี้จะต้องทำลายพันองศาก็ต้องทำความร้อนพันองศา ถ้าเหนียวมากก็ต้องใช้พลังงานมาก พันองศาไม่ทำลายก็ต้องใช้สองพัน สองพันไม่ทำลายก็ต้องใช้ห้าพันองศา บางอย่างติดมานานก็ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก

พลังงานปัญญานี้เป็นหนึ่ง สติสัมปชัญญะ

สัมปชัญญะ =  ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้

สัมปชานะ    =  รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ     =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ   =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)

สัมปฏิเวธะ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด(ในรอบนั้น)

 

2.      ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.      สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.      ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.      นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65)

 

พลังงานปัญญาจึงเป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สลายไฟราคะ เพราะฉะนั้นไฟฌานหรือไฟปัญญา สัมปัชชลิตะ ต้องเหนือกว่าไฟกิเลส

วิธีปฏิบัติเรียกว่าศีลพรต ก็ต้องรู้ว่าวิกขัมภนะได้อย่างนี้ถ้าทำด้วยพลังปัญญา เป็นครั้งคราวได้ อย่างนี้ก็เป็นตทังคปหาน  คุณต้องจำไว้ ว่าประสิทธิภาพปัญญาเป็นเช่นนี้ ก็ต้องทำซ้ำ อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำให้มากๆ ทำให้บ่อย พ้นสีลัพพตปรามาสแล้ว ทำเป็นแล้ว ก็ต้องทำต่อไป ให้มากให้บ่อย ทำอย่างปฏิปัสสัทธิปหาน ทำทวนทำซ้ำ ทำให้มาก จนเด็ดขาด สมุจเฉทปหาน จนเกือบเป็นอัตโนมัติ ก็ทำจนเป็นอัตโนมัติได้ ไม่ต้องควบคุมจัดการ เป็นของมันเองเรียกว่าตถตา อัตโนมัติเองเลย ตัววัตถุนี้ธาตุนี้มาแตะก็จัดการได้ ทั้งรู้และจัดการได้เป็นอุภโตภาค ไม่ต้องไปจัดการเลยสมบูรณ์แบบแล้ว เป็นนิสรณปหาน เป็นปหานตัวสุดท้ายเลย

จนสำเร็จ นิสรณะแปลว่าไม่ สรณะแปลว่า ทำการรบ นิ ที่ไม่ต้องสรณะคือไม่ต้องทำการรบ เพราะชนะเด็ดขาดแล้ว นิสรณะ ไม่ต้องทำการรบอีกแล้ว ส คือการทำการประกอบการ รณะ คือรบ นิสรณะคือหยุดรบ เพราะชนะเด็ดขาด นี่คือปหาน 5 คุณเคยทำได้อย่างนี้ไหม รวมห้าอย่างนี้คือ บุญ

ให้มีพลังงานเด็ดขาดประสิทธิภาพสมบูรณ์ ต้องทำสมุจเฉทปหานให้เป็นปฏิปัสสัทธิปหาน ให้สงบเรียบร้อย ให้เด็ดขาด ทำเด็ดขาดได้ก็ทำทวนปฏิปัสสัทธิทำให้สงบได้เช่นนี้จนนิสรณะ ไม่เกิดอีกแล้วเป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ถ้าแค่สังโยชน์ 3 ของโสดาบัน

ถ้าสักกายะ ชัดในองค์ประชุมรูปนามของกิเลสตัวเองไม่มั่ว

สองชัดเจนแท้เลยว่า ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่องเด็ดขาดชัดเจน ไม่สงสัย ไม่วิจิกิจฉา แล้ววิธีการกำจัดกิเลส คือปหาน 5 ถ้าชัดเจนก็ลงมือทำ

คุณอาจขยายปหาน 5 อย่างที่อาตมาขยายไม่ได้ ในโสดาบัน แต่ก็พยายามฝึก วิกขัมภนะ สองตทังคะ เข้าใจให้ได้ว่า วิกขัมภนะเป็นสมถะวิธี ส่วนตทังคะเป็นวิปัสสนาวิธี ทำไปจนเกิดความเด็ดขาด ถ้ามีประสิทธิภาพสูงพอ ทำได้แน่ชัดเด็ดขาด ไม่มีอะไรบกพร่องเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เป็นอาญาสิทธิ์เลย ก็สั่งสมเป็น ปฏิปัสสัทธิ คือสงบอย่างทำทวน พหุลีกัมมัง ทำให้มากจนเป็นเอง เป็นตถตา นิสรณะ ไม่ต้องฝึกฝนไม่ต้องพยายามอีกแล้ว เป็นของมันเองเลย

โสดาบัน อธิบายอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ แต่ฟังปริยัติได้ ฟังไป จนตัวเองก็มีเนื้อยาแล้วเอาฉลากยาไปใส่ ถ้าเอาเนื้อก่อนแล้วค่อยเอาสลากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ไปใส่ แต่ถ้ามีแต่สลากไม่มีเนื้อก็แย่

พ้นวิจิกิจฉา คือไม่มีผิดพลาด ผิดเพี้ยน คม แม่น ตรง ในสักกายะตัวนั้นที่เป็นตัวแท้ ไม่ใช่แพะ ที่คุณต้องจัดการให้ได้ นี่คือ สังโยชน์ 3

แม้คุณไม่มีสภาวะก็พอฟังได้ สำหรับคนมีไหวพริบก็ไปลองทำดูของตนเอง ทำแล้วจะเกิดปัจจัตตลักษณ์ได้ เป็นของตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิติ เป็นปัจจัตตังที่ให้ตนเองรู้เองได้

เมื่อมีมากขึ้นก็จะเป็น ผู้ที่เจริญขึ้นตามลำดับ จากโสดาบันก็เป็นสกิทาคามีเป็นอนาคามีขึ้นไป แล้วถามว่าสอดร้อยกับความเป็นศีล 5 อย่างไร

อธิบายเป็นของโสดาบันที่แยกสัตว์กับพืชออก กินพืชนั้นไม่มีภัยกับตน คนที่รู้แล้วว่า คนสามารถกินดินกินพืชได้ก็กิน ก็อยู่รอดได้ไม่ต้องกินสัตว์ ถ้าคุณสามารถกินดินไม่ต้องกินพืชก็อยู่รอดก็ทำสิ อาตมายังไม่บังอาจเลย อาตมายังไม่อยากเป็นไส้เดือน ยังไม่ไปแย่งไส้เดือนหรอก หรือเป็นไวรัสบางอย่างกินพืชกับกินดิน กินพืชได้ก็กิน ไม่กินสัตว์ไม่เอาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสัตว์

ธาตุวิญญาณเป็นสิ่งที่แสนรู้มาก ธาตุวิญญาณของอาริยะ จะสามารถรู้พฤติกรรมของวิญญาณ พฤติกรรมของพีชะ ของอุตุได้ เมื่อสามารถรู้วิญญาณ วิญญาณนี่จองเวรจองกรรม แก้แค้น วิญญาณ ดูดหนัก รักหนัก ชังหนัก หรือชังกันอย่างร้ายกาจได้ พลังงานพีชะไม่รักไม่ชัง คนเป็นอารยะทำให้พลังงานตนเป็นพีชะ คือไม่เป็นภัย เป็นโทษกับใครเลย คนเป็นอาริยะมีจิตนิยาม มีพลังงานเหลือไม่ไปทำร้ายคนอื่น พลังงานที่เอาไปทำร้ายคนอื่นได้ก็ต้องใช้พลังงาน แล้วพลังงานที่ไปทำร้ายคนอื่นต้องเหนือกว่าคนอื่น ไม่งั้นเขาเอาคุณแบนนะ

พลังงานที่คุณเหนือเขา แต่ไม่ไปทำร้ายเขา พลังงานจิตนิยามส่วนเกินที่มีไม่ไปทำร้ายเขา แต่เอาไปช่วยเหลือคนอื่น เกื้อกูลคนอื่นด้วย นี่คือพลังงานประเสริฐ

คนที่รู้ว่าพลังงานเรามีส่วนเกิน เราใช้แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนเกินที่จะเอาไปช่วยคนอื่นจึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐในโลก สัตว์ที่เป็นเดรัจฉานทำไม่เป็น แต่คนที่เป็นอเวไนยสัตว์ ก็ทำไม่เป็น คนที่เป็นเวไนยสัตว์จึงเป็นคนที่อนุเคราะห์ช่วยเหลือโลก โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

การที่จะเอาพลังงานเจโตและปัญญาอย่างนี้ไปใช้ได้ จึงเป็นความรู้ของศาสนาพุทธ มีฟิสิกส์มีเคมีอยู่ในนี้ Biology ก็อยู่ในนี้ หมดครบแล้ว

ผู้ที่ทำได้เบื้องต้น เรียกว่าเป็นโสดาบัน ทำได้มากขึ้นก็เป็นสกิทาคามี สกิทาฯมาจากสักกะหรือตัวตน ทำได้มากขึ้นจนถึงรอบอนาคามีก็เป็นตัวเองเต็มรูป เป็นอัตโนมัติของตน cyclic order ของตน อสังหิรัง ไม่มีใครตีแตก ไม่มีใครสลายประสิทธิภาพสูงสุดนี้ของตัวเราได้ แม้แต่คนที่มีพลังงานสูงกว่าเรา แต่ท่านก็เป็นพลังงานสูงส่งที่ไม่ทำร้ายเรา ไม่ทำร้ายใคร ท่านไม่ทำร้ายมาตั้งแต่เดรัจฉานแล้วท่านจะมาทำร้ายใครได้อีก หรือจะให้อรหันต์ไปทำร้ายอรหันต์ได้อย่างไร ก็จะไม่ทำแน่มีขีดที่ไม่ทำต่ำกว่านี้อีกแล้ว

ขีดเขต ความเจริญที่แท้จริงจึงเจริญด้วยประการฉะนี้

โสดาบันก็ทำแค่พลังงานสัตว์ ถ้าศีลข้อ2 เป็นศีลที่เกี่ยวกับอีกชิ้นหนึ่งของคนอื่นอีก เกี่ยวกับวัตถุ ที่ไม่ใช่ของเราเป็นสิทธิของคนอื่นเราไม่มีสิทธิ์ เขาเป็นชีวะ ถ้าไปแยกพืชก็ไม่จองเวรกับคุณ ถ้าไปแจ้งกับสัตว์มันก็เริ่มจองเวรแล้ว คนรู้โทษภัยรู้จักเอาตัวรอดก็ไม่ไปแย่งกับสัตว์หรอก คนที่รู้ตัวเอาตัวรอดปลอดภัยก็ไม่ทำร้ายคนอื่น

สรุปแล้วโสดาบันเอาแค่ขีดสัตว์ วัตถุของคนอื่นในศีลข้อ 2 อย่าเพิ่ง ตกลงโสดาบันปลอดภัยแต่แค่ความเป็นสัตว์ ความเป็นอุตุหรือความเป็นพืชของคนอื่น ก็อย่าเพิ่งเลย ถ้าสูงกว่าโสดาบัน จึงไปเกี่ยวกับวัตถุของคนอื่น

วัตถุนั้นไม่มีวิญญาณ แต่เจ้าของวัตถุนั้นมีวิญญาณนะ เป็นอิทับปัจจยตา ต้องรู้สันตติ หรือ continuum อย่าไปต่อสันตติ ตัดมันเสีย เอาขนาดของตนเองให้เต็มที่ ถ้าจะเชื่อมต่อต้องรู้ว่าตัวเองมีต้นทุนที่จะไม่พลาด มีอย่างเหลือเฟือ ถ้าไม่มีเหลือเฟือพอก็อย่าทำ

ผู้ที่รู้วิธีการที่จะใช้พลังงานตัวเองอย่างทบต้น จึงจะใช้พลังงานตัวเองอย่างไม่มีวันหมด ก็มีอยู่ 100 ก็อย่าใช้ทั้งหมด 100 ใช้ไป 90 ก็ยังประมาท ใช้ไป 80 ก็ยังต้องเก่งเลย ใช้แค่ 70 ก็พอดี เจียมตัวไว้เผื่อพอไว้ดีกว่า อย่าประมาท

การสะสมพลังงานให้แก่ตัวเอง จนกระทั่งเป็นสิ่งที่เสถียร สิ่งที่มีพลังงานเสถียรมันไม่ใช่ธรรมดานะกว่าจะได้ ถ้าพลาดพลั้งไปแต่ละทีก็เท่ากับโครงสร้างที่ทำมาพังลง ก็ต้องมาเพิ่มเติมกัน สรุปแล้วก็อย่าประมาท อ่อนน้อมถ่อมตน และมักน้อยไว้ก่อน อย่าไปมักมาก

คนไหนที่มีจริตมักมาก คนนั้นอาตมาไม่คบหรอก จริตมักมากมีแต่ตายอย่างเดียว บานทะโร่ไป ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต

จงอยู่กับความน้อยเถิด คนที่อยู่กับความน้อยอยู่กับความจนเกี่ยวกับ อัปปิจฉะ อย่าไปอยู่กับมหัปปิจฉะ อย่างคุณทักษิณอย่างคุณธัมมชโย ที่ให้เอามาเป็นตัวอย่าง ก็จนใจที่ต้องใช้ตัวอย่างนี้ เพราะเป็นตัวอย่างที่ดีที่เลวจัดแล้ว ที่จะได้เอามายกตัวอย่าง ไม่สามารถหาที่เลวกว่านี้ได้อีกแล้ว ก็จึงขอบคุณไง แต่ก็อยากให้เขาเปลี่ยนเหมือนกัน

(พ่อครูตำหนิคุณทักษิณกับธัมมชโย) พ่อครูว่า...ที่ตำหนิ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ควรตำหนิ จะตำหนิคนอื่นก็ไม่รู้ชัดเท่า เท่าที่รู้ ใครมีตัวอย่างทีดีกว่านี้ก็บอก อาตมาจำนนที่ต้องยกตัวอย่างนี้ ก็เห็นใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร

ย้ำไปถึงพลังงานสามเส้า I S H เป็นภาษาอังกฤษ  I คือตัวเรา แต่ S H คืออีกสองหน่วยที่ไม่ใช่ตัวเราเป็น อิตถีภาวะและปุริสภาวะ แต่ว่าอยู่ในองค์ประกอบเดียวกัน ตัวเราคือ นปุงสกลิงค์ เป็นธาตุตัวสูงสุดที่สามารถควบคุมอิตถีลิงค์กับปุงลิงค์นี้ได้ ใน cyclic order หน่วยหนึ่งมีสามเส้าเท่านี้ คือ I และ she กับhe ตัว I นี้สามารถแยก he กับ she ได้ ตัว I จึงสามารถใช้ อิตถีภาวะ คือ she และ ปุริสภาวะคือ he ได้

ส่วนใดที่ใช้ได้คือนิวเคลียร์fusion เป็นธาตุหนัก รู้ธาตุใดที่เป็นธาตุเบาเป็นฟิวชั่นใช้ไม่ได้ก็ปล่อยออกไปเป็นไอโซโทป พุ่งออกไป หรือจะกลับมา

จะเป็น ดาวฤกษ์ที่สามารถควบคุมดาวเคราะห์ได้ ถ้าเป็นอุกกาบาตมากระทบก็ไม่สะเทือนไม่หวั่นไหว ต้องเป็นดาวฤกษ์ของตัวเองได้

อาตมาไม่เก่งทางอย่างอื่นฟิสิกส์ เคมี หรือ Biologyแต่ยอมรับว่าเก่งทางพุทธธรรมหรือทางธรรมะ ใครเก่งกว่าอาตมาก็เป็นพี่ จะเป็นพี่จริงอาตมาก็จะโชว์ แต่ถ้าเป็นพี่หลอกจะฉีกชี้ ถ้าเป็นพี่จริงจะยกย่อง เราจะได้ช่วยกัน ถ้าพี่จริงมีเนื้อเดียวกันช่วยกันสร้างสรร

สรุปแล้วโสดาบันเอาแค่ศีล 5 แล้วเอาแค่เกี่ยวกับสัตว์ ไม่เอาที่เกี่ยวกับวัตถุ เอาแค่ตัวเองแล้วเกี่ยวกับสัตว์ เป็นข้อจำกัดของโสดาบันอีกทีหนึ่ง

โสดาบันจะไม่ข้ามขั้น คือจะเอาแค่ความเป็นสัตว์ ให้รู้สิ่งที่เป็นความแตกต่างที่ไม่ใช่ตัวเรา เหมือนพีชะที่เอาแต่ตัวเอง โสดาบันก็เอาแค่ตัวเองก่อน แล้วมีอย่างหนึ่งคือ ภาษาคำพูด โสดาบันจะไม่โกหกคนอื่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่โกหกทั้งทั้งที่รู้ว่าตัวเองโกหกนั้น ไม่มีความชั่วใดที่คนนี้จะทำไม่ได้

สมณะฟ้าไทสรุป ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:29:28 )

591010

รายละเอียด

591010_พ่อครูให้โอวาทประชุมสรุปงานเทศกาลถือศีลกินเจ ปี 2559

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกคนก่อนเพราะว่า งานของเราเป็นงานใหญ่ งานใหญ่ที่ว่าคือการเสียสละ เหน็ดเหนื่อย เราไม่ได้จ้างวาน ไม่ได้จ่ายเงินทองเงินที่ไหนไหนเขา อาตมาว่าคนที่ใดไหนจะทำอย่างเราก็ลอกเลียนไม่ได้ เขาเลียนแบบไม่ได้ง่ายๆ เรามาทำถึงทุกวันนี้ยิ่งสนิทเนียนในขึ้นอีกเยอะ

แต่ละคนได้สังเกตการณ์ ก็เห็นว่าก้าวหน้าขึ้นเจริญขึ้น อันนี้เป็นพัฒนาการที่แท้จริง อีกอันหนึ่งก็ต้องขอขอบคุณศิษย์เก่า อาตมาว่าอาตมาได้ให้สติศิษย์เก่าไปบ้างในการเทศนา ศิษย์เก่าก็คงจะได้รับฟังรับรู้ฉุกคิดขึ้นมาบ้าง ก็น่าจะตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ก็ดูต่อไปว่าปีนี้ได้ขนาดนี้ ปีต่อต่อไปจะพัฒนาขึ้นใหม่ หรือว่าจะม้วนเดียว ปีหน้าก็เป็นแบบเดิมหรือเปล่า ก็ดูต่อไป

เรื่องที่อาตมาเห็นว่างานของเรางานเทศกาลถือศีลกินเจ มันแน่น ชุลมุนเยอะ และอาตมาว่า น่าจะมีพวกที่เป็นทุจริตชนไม่น้อยเลย อาตมาว่าเราสูญเสียกับทุจริตชนก็สูญเสีย เราก็ไม่กระไร แต่เป็นช่องทางให้คนชั่วลง ไม่ดีเลย จะทำอย่างไรจะป้องกันได้ พวกเราเองก็ดูแลไม่ทั่วถึง อาตมาว่างานต่อไป ไปติดต่อขอตำรวจมาสักงานละ 5 คนได้ไหม ผู้ใหญ่บ้านไปติดต่อมาก่อนเลย ปรารภให้ฟัง ว่างงานของเราเป็นงานใหญ่ของจังหวัดเลยนะในแต่ละปี ก็จะขอรบกวนช่วยเหลือหน่อยได้ไหม มันกล้าอุ้มฟักทองไปเป็นลูกนี่มันเกินไป เอาฟักทองยัดเข้าใส่ในเสื้อก็เกินไปนะ แล้วพวกที่เป็นถุงๆไม่ต้องห่วงหรอกในแต่ละวัน อาตมาว่าไม่น้อย อาตมาว่ามีไม่น้อยคนที่จะเทียวมาเอาวันละหลายเที่ยว เราก็ไม่ห่วงแหนเท่าไหร่ แต่คนที่จะชั่วลงมันไม่ดี จัดงานแต่ละทีทำให้คนชั่วลงอีกเยอะมันขัดกับเจตนารมณ์ของเราอีกมาก

ไปติดต่อตำรวจมาในแต่ละงานแล้วให้ตำรวจไปเดินไม่ใช่อยู่แต่หน้าร้านให้อยู่หัวร้านในร้านท้ายร้าน ให้เขารู้ว่ามีตำรวจจะมาจับเจ้านะ แม้เขาจะไม่กลัวเท่าไหร่แต่ก็ยังดี ถ้าจับได้สักคนสองคนก็จะได้เป็นตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่อย่างนั้น ทำไม่ได้ เห็นมาหลายปีแล้ว ก็เห็นมีทุจริตชน ก็รู้แล้ว หน้านี้ เขาเคยทำก็จะมาอีกอาตมาว่าไม่ดี แก้ไขกันเถิด

นอกนั้นก็พูดกันมาทั้งนั้นแล้ว ดูค่าเฉลี่ยของการพูดแล้วให้คะแนนว่าก้าวหน้าพัฒนาขึ้นซึ่งจะเป็นจริง เป็นแต่เพียงว่า อย่าเหลิง อย่าประมาท มันดีแล้วก็ต้องทำให้ดียิ่งขึ้นยิ่งขึ้น อย่างน้อยมีความชำนาญการรู้เหลี่ยมมุมอะไรเป็นอะไรก็จะเข้าร่องรอยเร็วขึ้น ลงตัว เข้าฝัก ก็เป็นจริง

อาตมาว่ามันจะไม่เล็กลงหรอก มันจะใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆแหละ ตอนนี้ก็ยิ่งทางอำเภอทางจังหวัด ยื่นมือเข้ามาทำอะไรต่ออะไร ก็จะดี เราก็ร่วมมือเลย โดยเฉพาะเรามีโทรทัศน์ด้วยเขาก็อยากได้แน่ เราก็ไม่เสียหลายเราก็ทำอยู่แล้วในแต่ละปี ถ้าเป็นทางการไปเลยจะได้เป็นข่าวคราว สื่อสารไปกว้างแผนที่จะโฆษณาเฉพาะของตัวเองก็โฆษณางานเจให้ทางจังหวัด ก็ดูดีนะ เราจะโฆษณาแต่ร้านตัวเองก็ดูไม่ดีอาตมาว่าอย่างนี้เป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นใช้ได้ อย่างนี้เป็นความก้าวหน้าที่เราต้องศึกษา และปฏิบัติประพฤติ  ก็ขอขอบคุณพวกเรา อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร ….เจริญธรรม


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:30:33 )

591011

รายละเอียด

591011_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิจัยคำวิจารณ์อย่างอรหันต์

วิจัยคำวิจารณ์

Natthapong Yodkad8 เดือนที่ผ่านมา

การบอกว่าตนเป็นพระอรหันต์นั้นอยากทราบว่า บอกไปเพื่ออะไร  บอกแล้วได้อะไร มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะต้องให้คนอื่นรุ้ว่าเป็นหรือไม่เป็น เพราะถึงรู้ไปก็ไม่ช่วยให้มีอะไรดีจะมีก็แต่ คนมาหลงไหลในตัวบุคคลแทนที่จะไปหลงไหล ในธรรมที่ตถาคต ตรัสไว้ดีกว่าไหมครับ นี้คือเหตุที่ควรจะบอกไหม ว่าตนคือ อรหันต์ ถึงเป็น อรหันต์จริง ก็ควรจะใช้ความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นเผยแผ่ธรรม ให้ผู้มีอวิชาอยู่ มีตาเห็นธรรมตาม จะดีกว่า ประกาศตนว่าเป็นอรหันต์ ให้คนมาหลงไหลหรือศรัทธาในตัวบุคคต แบบนี้จะดีกว่าไหม

พ่อครูว่า...คำตอบของอาตมาก็คือบอกให้ทราบ ให้คนรู้ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ บอกแล้วได้อะไร บอกแล้วได้คำด่า จากผู้ที่เขายึดถือ ถ้าผู้ที่ไม่ยึดถือจะไม่ด่า พูดที่เขายึดถือในความรู้ของตัวเองเขาถือว่าศาสนาของเขาจะต้องปกป้องคุ้มครอง ต้องไม่ให้ใครมาพูดผิด ที่พูดผิดก็คือผิดจากที่เขารู้ พูดผิดไปจากความเห็นของเขา เพราะฉะนั้นเมื่อพูดผิดไปจากความเห็นของเขา เขาก็นึกว่าอาตมาผิด เป็นความผิดอย่างร้ายแรงมาก เขาก็จะด่าให้ ที่เอามาอ่านวันนี้มีอีกเยอะนะ ด่าหยาบคายมากใน social media ก็ด่าหยาบคาย อาตมาอ่านแล้วก็เข้าใจเขา ไม่ได้ไปรู้สึกเสียใจหรือดีใจที่เขาด่า ก็นึกถึงสงสารเขา เวทนาเขา เขาก็ช่างด่าโดยที่เขาไม่รู้ว่าผิดหรือถูก อาตมาก็รู้ว่าที่เขาด่าอาตมานั้นเป็นบาป ที่พูดไปเป็นการข่มเขาอีกก็จะไม่พูด

ก็ตอบอีกทีว่า ที่บอกไปคือให้เกิดประโยชน์ บอกไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าอรหันต์จริงๆนั้น คือคนอย่างอาตมา ที่ประกาศกันว่าเป็นอรหันต์ ทั้งหลายที่ประกาศกันอยู่ในยุคนี้ อาตมาขอยืนยัน ขออภัยอย่างมาก พูดด้วยความจริงใจและมั่นใจว่า ที่พูดนี้ถูกต้อง อรหันต์ต่างๆที่เขาประกาศตัวเอง ที่คนไทยหรือคนชาวพุทธเราไปเข้าใจว่าเป็นอรหันต์ก็ตาม เป็นของเก๊กันทั้งนั้น เพราะปฏิบัติไม่อยู่ในร่องรอยของพระพุทธเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ แค่ประเด็นเดียว คือการนั่งหลับตาสะกดจิต แล้วบอกว่าตนเองบรรลุอรหันต์ก็เป็นเรื่องที่ผิดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย การนั่งหลับตาสะกด ลืมตาปฏิบัตินี้เป็นเอกปฏิบัติอย่างมรรคมีองค์ 8

อาตมาเอามหาจัตตารีสกสูตรมายืนยัน เขียนหนังสือเป็นหนังสือสมาธิพุทธภาค 1 นั่นคือสัมมาสมาธิของพระพุทธ อาริโยสัมมาสมาฏิมรรคต้องปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์จึงธิจะเกิดสัมมาสมาธิ แล้วเขาอธิบายกันที่ไหน

สัมมาทิฏฐิ 10 ก็ไม่อธิบายกัน ทำทานอย่างไรถึงจะเกิดผลก็ไม่พูดกัน แล้วกลับประพฤติทำทานอย่างได้บาปได้นรกในวงการศาสนาพุทธด้วย เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ต้องชมในสิ่งที่ควรชม แต่สิ่งที่ควรตำหนินั้นมีมากมายเสียหายร้ายแรงจึงต้องแก้ไขก่อน

ที่บอกไปเพื่อให้รู้ว่าอรหันต์จริงๆนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจเลย และที่ต้องบอกก็เพราะว่า ที่ไม่บอกกันนั้น เป็นศาสนาแห่งการเดา ศาสนาอมพะนำ ก็เดาว่า พระองค์นี้จะเป็นอรหันต์หรือเปล่านะ ไปถามก็ไม่ได้เพราะจะไม่บอก ไปเข้าใจกันว่าบอกไม่ได้ นอกจากบางองค์ บอกเองก็มีหลายองค์ บอกเป็นทีๆ บอกเป็นนัยๆ ว่าตนเป็นอรหันต์ซึ่งก็เก๊ทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดไหนอภินิหารปัจจเวก 10 ข้อ ข้อที่ 10 บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอาริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้วจักไม่เป็นผู้เก้อยากในกาลภายหลัง

คือสะดุดไม่กล้าหาญหรือมังกุ ลำบากตะขิดตะขวงใจ ไม่แน่ใจของตนว่าเป็นจริงหรือเปล่านะ จะพูดได้ไม่เต็มที่ไม่เต็มคำ เรียกว่ามังกุ ความหมายทั้งหมดก็คือว่า เมื่อเรียนธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรมเป็นอาริยธรรมบ้างใหม ถ้าบรรลุแล้วมีคุณวิเศษ ไม่ว่าจะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีหรืออรหันต์ ถ้ามีใครถามว่าบรรลุหรือไม่ เธอถึงเวลาควรเปิดเผยที่เหมาะสมจะกล้าเปิดเผย จะมังกุไหม หรือจะไม่กล้า ไม่สนิทใจ ตะหงิดใจ ไม่จริงใจ ไม่สะอาด ไม่มั่นใจ ไม่เต็มใจ

อย่างเช่น อาตมาที่บอกไปก็มั่นใจจริงๆเต็มใจจริงๆไม่มีความมังกุ เป็น นมังกุ เป็นสัจจะความจริง และประเด็นที่อาตมาเห็นควรจะบอกอย่างยิ่งก็เพราะว่า อาตมาได้ทำงานศาสนามาพอสมควร ได้บรรยายธรรมะมา ทุกคนก็คงจะได้รับข้อมูลแม้แต่ตัวเองก็ต้องยืนยันตัวเองมาตลอดถึง 40 ปีแล้ว ก็ไม่ได้บอกตัวเองว่าเป็นหรือเปล่า บรรลุหรือเปล่า ทุกคนก็ยังเดาๆเก็งๆกัน อาตมาก็ว่าบอกย้ำไปสักทีว่าเป็น เป็นอรหันต์ ว่างั้นเถอะจะได้เลิกเดาเลิกสงสัย ถ้าตัวเองบอกแล้วไม่ต้องไปคาดคะเนอะไร ก็จะได้ชัดเจนว่าอย่างนี้หรือ คนอย่างนี้หรือ มีกายกรรม มีวจีกรรม มโนกรรมอย่างนี้หรือ มีอาชีวะอย่างนี้หรือ คืออรหันต์

อาตมายืนยันว่าประกาศอย่างคิดว่าเหมาะควรแล้ว 40 ปีนะขอประกาศทีเถอะ เพราะถ้าไม่ประกาศก็ไม่ย้ำยืนยันว่าอรหันต์เป็นเช่นนี้ เพื่อยืนยันสภาวะ phenomenol ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นเช่นนี้ ที่คนเขาประกาศกันนั้นไม่ใช่ เพราะฉะนั้นจะต้องมาพิสูจน์ยืนยันด้วยการคบคุ้นศึกษา รวบรวมหลักฐานว่าสมณะโพธิรักษ์เป็นอย่างนี้ หรือมีองค์รวมเป็นอย่างไรว่าอรหันต์เป็นเช่นนี้

องค์อื่นที่ประกาศเป็นอรหันต์ก็เช่นกัน ท่านก็มีองค์ประชุมเหตุปัจจัยต่างๆพฤติกรรมหลักฐานที่ท่านแสดง รวมแล้วประมวลแล้ว ท่านจะประกาศเมื่อไหร่ก็ตาม ในส่วนของท่าน ท่านก็ประกาศ ก็ให้รู้กันไปว่าอย่างนั้นหรืออย่างนี้อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่

ก็ขยายความอีกว่า ผู้ที่เข้าใจว่าอรหันต์จะต้องนิ่งๆเงียบๆ นี่คือความเข้าใจของศาสนาพุทธทุกวันนี้ พระอรหันต์จะต้องไม่ไปว่าใครหรือไปตำหนิใคร ท่าทางจะต้องสุภาพเรียบร้อย ไม่วิจัยวิจารณ์อะไรใคร แล้วจะต้องเป็นพระป่า จะต้องหนีไปจากสังคมไม่ไปวุ่นวายกับสังคม ไม่วุ่นวายกับการเมือง ไม่วุ่นวายกับพฤติกรรมสังคมที่เขามีอะไรกัน เขาจะโกงกันฉิบหายในบ้านเมืองก็อย่ามายุ่ง ไปอยู่ป่าหลับหูหลับตาอย่างเดียว คนจะตายโหงตายเหวอย่างไรอย่าไปยุ่ง

อาตมาก็ว่า ความคิดนึกคิดที่อย่างนั้นมันเป็นความวิบัติ มันมิจฉาทิฏฐิตีลังกากลับไปไกล ความเห็นและทิฏฐิของอาตมา คือพระอรหันต์หรือพระอาริยะ โดยเฉพาะพระอรหันต์ ยิ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมากอบกู้ศาสนาจะต้องเอาภาระ ชาวพุทธทั้งหลาย อาตมาจะต้องมาดูแล แล้วอาตมาก็มาทำงานแล้ว ตั้งแต่บวช ตอนบวชก็ทนอยู่ 5 ปี 2513-18 ตอนปี 2518 อาตมาทนอยู่ไม่ได้เพราะเน่า อาตมาทนอยู่กับกองปลาเน่าไม่ได้ จึงขอลาออกมาเป็นนานาสังวาส

อาตมาก็เห็นว่า เถรสมาคมนี้อาตมาสังฆกรรมด้วยไม่ไหว หนึ่งอาตมาทำด้วยไม่ได้ สองอาตมาเป็นพระผู้น้อย ทำอะไรไม่ได้ พิสูจน์มาแล้วไม่มีผู้รู้หรือมีผู้ใหญ่ส่งเสริมเลยอย่างที่อาตมาทำ มีแต่กลั่นแกล้ง อาตมาก็เลยขอนานาสังวาสตามธรรมวินัย แต่วันดีคืนร้ายเถรสมาคมก็ดึงอาตมาเข้าไปแล้วประกาศอัปเปหิ ไล่ออกจากวงการศาสนาพุทธ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่อาตมาหมด ก็ตอแหลทั้งนั้น ขออภัยที่พูดตรงจริงๆ เป็นความตกต่ำ ต่ำช้ามาก

อยากทราบว่าบอกเพื่ออะไร  เพื่อให้รู้ความจริงเพื่อเป็นการศึกษาโดยเห็นว่าสมควรจะบอก บอกแล้วจะได้อะไร ก็ได้คำด่า ถ้าคนที่ไม่เข้าใจจะด่าอาตมาอย่างมาก ไปตรวจดูใน social media อาตมาไม่ได้อะไร คนชมไหม ก็ไม่มีชม แต่มีคนศรัทธาอยู่ คนชมก็ชมในใจ ไม่มีใครกล้าชม เพราะคนเหล่านั้นกลัว

คุณก็ไม่กล้าชมออกสื่อสาธารณะ ขืนไปชมก็อาจถูกด่า คนไม่ชมอาตมามีแต่ติ ถล่มทะลาย ความเห็นของคุณ ว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยนั่นก็เป็นความคิดเห็นของคุณ แต่อาตมาเห็นว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพื่อยืนยันความจริง เป็นหลักฐานยืนยันเพื่อศึกษาเปรียบเทียบ ไม่ได้อวดเพราะอยากดัง อยากใหญ่ อยากข่ม ก็พูดบอกเพื่อให้เอาไปศึกษา มันเป็นประโยชน์จริงสำหรับผู้ที่ศึกษา นอกจากคนที่มีอคติไม่ยอมรับตีทิ้งก็แล้วไป แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาก็ได้ประโยชน์ แต่จะมีน้อยคน เพราะว่าที่ต้องพูด อาตมามาปางนี้เป็นปางอาภัพที่ต้องพิสูจน์สัจธรรม ว่า ธัมโมหเวรักขติธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ไม่ต้องไปสอบเอาเปรียญมาแล้วเพื่อจะแสดงธรรม แต่แสดงธรรมอย่างหมาหัวเน่า เป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีอลังการอะไรเลย ไม่มีปริญญาตรี โท เอก ไม่มีเปรียญ 123 ไม่มีบัญญัติในสมบัติต่างๆที่เป็นเครื่องประกอบว่าเป็นอะไรต่ออะไร ในทางโลก เป็นยศตำแหน่ง ไม่มีสักอย่าง

มีแต่สัจจะความจริงที่เอามาบรรยายมาประพฤติ อาตมาประกาศไปนี่ ควรไหม? ...ผู้ชมตอบว่าควร

เขาว่าเพราะบอกไปไม่มีอะไรดีเลยหรือ ก็ถามว่าพวกคุณเป็นอย่างไร ทำให้พวกคุณมั่นใจขึ้นบ้างไหม ทำให้ยืนยันว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆขึ้นบ้างไหม หลักอาริยะหรืออรหันต์เป็นเช่นนี้นะ ไม่ใช่แค่โสดาฯ สกิทาฯนะ แต่นี่อรหันต์นะ ปรมัตถ์สูงสุดเลยนะ มีรายละเอียดมีความลึกซึ้ง ก็จะมีอะไรดีแน่นอน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=87961

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfeE03cC1yZkZHLVU

หรือที่นี่...http://www.filefactory.com/file/3djvnlj073d9/161011

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่...

https://www.youtube.com/watch?v=ipqwjNZ9up8


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:31:11 )

591012

รายละเอียด

591012_เทศน์ก่อนฉัน ศีรษะอโศก วิจัยคำวิจารณ์อย่างอรหันต์ ตอน 2

Kpg orn1 เดือนที่ผ่านมา

เคยเป็นลูกศิษย์ท่านสิบกว่าปี ตอนนั้นอายุน้อย คิดว่าท่านใช่ แม่เราไม่ชอบท่าน แม่บอกว่าพระอะไรเอาแต่ด่าคนอื่น (วันนั้นพาแม่ไป ท่านด่าคนเยอะจริงๆในวันนั้น นักการเมืองบ้าง นักบริหารบ้าง) แต่เราก็ยังไปฟังท่านเทศน์บ่อย ตอนนี้ลาแล้วเพราะเราว่าแม่พูดถูกหลังจากที่เราได้เจอะพระที่เราคิดว่าเป็นพระอาริยะ(ไม่ได้หมายถีงอรหันต์นะ) ตัวจริงแล้ว (หลังจากเสาะหามานานและลองศึกษาจากพระระดับที่คนนับถือกันมากๆหลายรูป ทั้งสายป่า สายเมือง) ไม่ได้จะว่าอะไรใครนะ ตอนนี้เราว่าท่านโพธิรักษ์ไม่ใช่อ่ะ แต่ไม่ได้ดูถูกอะไรนะ เราก็ศิษย์เก่า. แล้วแต่จะเชื่อละกัน

ตอบ...อันนี้อาตมาเข้าใจนะ แต่ก่อนนี้อาตมาแสดงความสงบทางรูปธรรมมาก แต่ตอนนี้จิตอาตมาก็ปลอดจากกิเลส แต่ก็กลายเป็นว่า หลายคนไม่สะดุ้งสะเทือนและไม่ใส่ใจ ก็เลยต้องทำให้เกิดความสนใจ เหมือนต้องตีฉิ่งฉาบ เป็นวิธีการสามัญธรรมดาที่จะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น

แล้วก็มีประเด็นที่อาตมาแสดงออกถึงคุณสมบัติ อาริยธรรม โลกุตรธรรม แสดงสภาพสภาวะของอุตริมนุสธรรม คือธรรมะที่เหนือมนุษย์ เมื่อแสดงออกไปแล้วพูดออกไปแล้ว ดีไม่ดีก็ออกมาประทับตราว่า อาตมาเป็นอย่างนี้เป็นอย่างที่อาตมาพูด ยถาวาทีตถาการี อาตมาพูดอย่างนี้ก็ทำอย่างที่พูดนี่แหละ ทำอย่างนี้ก็พูดอย่างนี้ ตถาการี ยถาวาที ทำอย่างนี้ก็พูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้นี่แหละ เขาก็บอกว่าเราเป็นตามที่เราพูด คนก็หาว่าอวดตัวตน อาตมาใช้คำว่า หาว่า คือไม่จริง ที่เขาพูดเป็นการหาว่า คือไม่จริง เพราะความจริงคืออาตมาพูดถูก พูดอย่างนี้แล้วก็เป็นอย่างนี้จริงๆ คืออาตมาเป็นอาริยะ ก็บอกอย่างที่อาตมาเป็น เขาก็หาว่าอาตมาอวด ความจริงแล้วอาตมาคอนเฟิร์ม อาตมายืนยันต่างหาก ไม่ได้ไปอวด ฟังภาษาให้เข้าใจ ให้ฉลาดหน่อย ถ้าอวดก็ยืนยันไม่ได้เพราะอาตมาไม่เป็น คนอวดมีเยอะ แต่เขาไม่ได้ยืนยันตัวเอง เขาอ่านและท่องจำมาแล้วมาพูด คุณว่าคุณทำได้ไหม เขาบอกว่าท่านไม่ให้พูดไม่ให้บอก คำว่าท่านไม่ให้บอกไม่พูดนี้ คนไหนพูดตกนรกทุกคน คนที่พูดว่าถ้าบรรลุธรรมแล้วไม่ให้บอก ซึ่งผู้ใดพูดอย่างนี้มีคติ 2 ทาง คนที่บอกว่าผู้บรรลุแล้วไม่ควรไปบอกผู้อื่น ผู้ใดพูดอย่างนี้มีคติ 2 ทางคือ ไม่ไปตกนรก ก็เป็นเดรัจฉาน อาตมาไม่ได้พูดเองนะ อาตมาเอา โลหิจสูตรมาอ้างอิงเลย

พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358

[358] ดูกรโลหิจจะ  ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า

โลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียว ไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล

ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่า เป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อเมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคนที่บรรลุธรรมแล้วบอกใครไม่ได้ อันนี้คือเรื่องเลวร้ายมาก เพราะเป็นการปิดกั้นไม่ให้ผู้บรรลุนั้นบอกหรือประกาศว่า เราพูดอย่างนี้เราก็ทำอย่างนี้ เราพูดอย่างนี้ได้เราทำอย่างนี้ได้ เราทำอย่างนี้ได้แล้วก็พูดตามที่เราทำได้ เมื่อไปปิดกั้นคนที่เขาเป็นจริงอย่างนี้ ยถาวาทีตถาการี ยถาการีตถาวาที เป็นเรื่องที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม โดยเฉพาะคนที่เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ที่ยอมรับนับถือกันในศาสนาพุทธในสังคมและมักกล่าวผิดอย่างนี้ ความเสื่อมก็เกิดขึ้น เขาก็ต้องมีคติตามกรรม ก็ได้วิบากอย่างนั้นจริงไม่ไปนรกก็เป็นเดรัจฉาน 2 ทางนี้ ก็ช่วยไม่ได้ กรรมใครก็กรรมมัน

ก็ต้องมากอบกู้ศาสนาก็ทำมา 30-40 ปีก็มีผลได้ อย่างน้อยก็พวกคุณเข้ามาใส่ใจคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นสาระ ก็มาเอา ตั้งใจสนใจ แรงงานอื่นกิจการอื่นมีก็เห็นความสำคัญน้อยกว่า ก็สละสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าไม่สำคัญ ก็ขออนุโมทนาสาธุกับคนที่เห็นอย่างนั้น

อาตมาเห็นว่าผู้บรรลุธรรมนั้นควรบอก ก็เอาสิ่งที่มีจริงเป็นจริงมาบอก นอกจากบอกแล้วก็ย้ำไปอีกว่า อาตมาทำได้นะ อาตมาเป็นจริงนะ ไม่ใช่มาถึงก็มาอวดก่อนเลย 

อาตมานั้นกว่าจะประกาศตัวเองว่าเป็นอาริยะเป็นอันนั้นอันนี้ ก็ใช้เวลา 30 ถึง 40 ปี กว่าจะพูด เมื่อมาพูดเขาก็หาว่าพูดผิด ไม่ใช่ธรรมะที่เขาศึกษา ก็ใช่แล้ว เพราะสิ่งที่ควรศึกษากันนั้นไม่เป็นอารยะ ที่คุณศึกษากันเป็นแค่โลกีย์ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี่คือแก่นสารของศาสนาพุทธ

ธรรมะโลกีย์นั้น ศาสนาอื่นก็สอนกันเยอะแยะ เป็นกัลยาณธรรม ต่างจากอาริยธรรม อาริยธรรมนั้นเป็นธรรมะดี แต่เป็นโลกีย์ วนอยู่กับการชั่วดี

 แต่ที่เราปฏิบัตินั้น ไม่วนเวียนรู้จักเหตุของการชั่ว แล้วเลือกเหตุ ดับเพลิงแห่งความชั่ว แล้วดับเหตุของความยึดติดความดี ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจ ให้เรารู้ว่าเราเลิกทำชั่วได้ เมื่อเลิกทำชั่วได้ก็ไม่ดีใจ ไม่ฟูใจ อย่างนี้เป็นโลกุตระ จิตทำเหตุให้ดับได้ แล้วตนเองไม่ฟูใจซ้อนได้ ดับเหตุแห่งชั่วได้

ศาสนาพุทธไม่ใช่แค่ทำดีหรือทำชั่ว ถ้าดับตัวกิเลสที่เป็นเหตุได้จริงคนผู้นั้นก็หยุดทำชั่วใดใดได้เลย ทำแต่ดี แล้วทำดีอย่างไม่หลงดีไม่ดีใจด้วย ทำดีอย่างฟรีๆ เต็มใจที่จะทำดีอย่างฟรีๆ แม้แต่คนชั่วจะมาต้านไม่ให้ทำดีก็จะทำ แต่จะทำอย่างระมัดระวัง ไม่ไปทะเลาะวิวาทกับเขา

ผู้ที่บรรลุโลกุตรธรรม บรรลุอาริยธรรม บรรลุอุตริมนุสธรรม ควรบอกอย่างยิ่ง แต่คนทุกวันนี้ ผู้รู้ผู้ที่เป็นอยู่ในสังคมถือว่าเป็นอาจารย์ที่สอน กลับบอกว่าไม่ควรบอกไม่ควรพูด อย่าบอกอย่าพูด ค้านแย้งกับอาตมา อาตมาก็ขอบอกว่าพูดอีกครั้งอย่างนั้นผิด เอาพระไตรปิฎก โลหิจสูตรไปอ่านดีๆ

พระพุทธเจ้าพูดในยุคท่าน ที่โลหิจพราหมณ์เป็นหัวหน้านะ เหมือนเจ้าคุณเหมือนสมเด็จในสมัยนี้แหละ ก็พูดผิดไปบอกว่าตัวเองก็รู้แล้วอย่าไปบอกใคร ก็เพราะไม่บอกคนถึงไม่รู้ แล้วก็เดา 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงเป็นศาสนาด้นเดาเอาว่าคนนี้เป็นอรหันต์เป็นอาริยะ คนก็เลยหลอกคนอื่นได้สำเร็จว่าตนเองเป็นอาริยะ เพราะไม่ได้ให้คนที่ดีจริง รู้จริง และทำจริงประกาศตัวเอง คนอื่นจะได้เห็นมาใกล้ชิด มาคบคุ้น จะได้ซึมซับว่าความจริงเป็นเช่นนี้หรือ จะได้ชัดเจน ทั้งการพูดอย่างนี้แล้วประพฤติอย่างนี้ว่าเป็นอย่างนี้เองอรหันต์เป็นอย่างนี้เองหรือ อรหันต์เป็นอย่างโพธิรักษ์นี้หรือ จะได้ชัดเจน

พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า อย่าไปตัดสินตามอาการท่าทีที่เราเห็นหรือคนอื่นบอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 10 ข้อว่าอย่าเชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ ต้องเชื่อเมื่อมาคบคุ้นใกล้ชิดมาศึกษามาตรวจสอบมีหลักฐาน

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...http://www.boonniyom.net/?p=88015

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfSzNnZm9YRmJKVTg

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1f1p11sc5en/%20161012

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://www.youtube.com/watch?v=R4aAV6Tycd0

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:32:05 )

591012

รายละเอียด

591012_เทศน์ก่อนฉัน ศีรษะอโศก วิจัยคำวิจารณ์อย่างอรหันต์ ตอน 2

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธ 12 ตุลาคม 2559 ที่ศีรษะอโศก ขึ้น 11 ค่ำเดือน 11 ปีวอก วันนี้สัญจรมาที่ศีรษะอโศก แปลว่าหัว ในหัวมีขี้เลื่อยหรือมีสมอง คนที่บรรจุไว้ด้วยสมองไม่ได้บรรจุไว้ด้วยขี้เลื่อย จะรู้ว่าอะไรสำคัญอะไรเป็นสาระ สิ่งที่เป็นสาระคือสาระ สิ่งที่สำคัญ คือความสำคัญ ชีวิตน่าจะสนใจสิ่งที่เป็นสาระสิ่งที่เป็นความสำคัญ คนที่มีศีรษะมีแต่ขี้เลื่อยก็จะไม่รู้จัก จะไม่เห็นความสำคัญในความสำคัญ ไม่เห็นสาระในสาระ ไม่เอาสาระ เป็นคนไร้สาระ ชีวิตก็น่าสงสาร ชีวิตไร้สาระ เป็นชีวิตที่ไม่มีแก่นสาร ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังมีโทษ เป็นคนทำโทษภัยให้แก่มนุษยชาติ ให้แก่ตัวเอง ที่เลวร้ายที่สุดคือทำกิเลสของตัวเองให้โตขึ้นใหญ่ขึ้น ปุถุ ภาษาบาลีเรียกว่าอ้วนโต ใหญ่ หลาย มโหฬารด้วย กว้างด้วยหนาด้วย ทุกมิติเลย ปุถุแปลว่า มีน้ำหนักมีพลังของกิเลสมากขึ้น แรงขึ้น หนาขึ้น คนลักษณะนี้มีเยอะน่าสงสารไม่เอาถ่าน

อาตมาออกบวชทำงานมา 46 ปีแล้ว เปิดเผยเอาธรรมะพระพุทธเจ้าเอาสาระยิ่งใหญ่ของชีวิตนี้มาชักชวน ชักนำบอกแจ้งให้รู้ตัวสำนึกแค่ได้ยินได้ฟัง ไม่สนใจ 46 ปีแล้วก็ยังได้น้อยเต็มที ยาก ซึ่งมันเป็นเครื่องชี้บอกว่าคนทุกวันนี้ถูกครอบงำด้วยกิเลสไปเรียบร้อย แล้วก็ถูกกิเลสปิดบัง สำนึก ปิดบังความรู้ ไม่สะดุ้งสะเทือนเลย อาตมาว่าอาตมาพูดแรงนะ กระทุ้งกระแทกแรง ขนาดนั้นยังไม่สะดุ้งสะเทือนไม่รู้สึกรู้สา ซึ่งมันน่าสมเพชเวทนา ไม่เข้าใจในสาระสัจจะ ที่พูดไปไม่ได้ถอดใจ แปลกใจอยู่อย่างว่าผลได้น้อยเกินกว่าควร มันก็น่าจะท้อถอยแต่นี่ทำมาเกือบจะ 50 ปีแล้ว แต่ไม่ท้อแท้ รู้สึกว่าใจเราดีเหมือนกัน

มันหมายความว่าอย่างไร 46 ปีก็ได้เท่าที่มี ได้น้อยกว่าที่ควรมาก แล้วทำไมอาตมาไม่ท้อแท้ แม้แต่น้อยก็ยังไม่ท้อ มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าอาตมามีปัญญา ขออภัยนี่ไม่ได้ชมตัวเอง พูดความจริงตามเนื้อผ้า เป็นวิชาการ มันหมายความว่า อาตมามีปัญญามีความเข้าใจ ถึงสถานะ ของยุค

ยุคนี้คนกิเลสหนา เมื่อชัดเจนแล้ว คนกิเลสหนาจะไปกระตุ้นจะไปกระแทกอย่างไร เราก็หนักเหนื่อย แต่ถึงอย่างไรอาตมาก็ไม่หยุดที่จะกระแทกกระทุ้ง เพราะที่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำนี้เป็นสิ่งประเสริฐสิ่งที่ดี มาทำให้คนลดละหน่ายคลาย มีกิเลสน้อยลงลดความยื้อแย่งกับคนอื่น เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างผู้อื่น จึงไม่ท้อ

มันจะถูกต่อต้านโต้กลับ ถูกด่ากลับ ด่าหยาบคาย ก็ยิ่งรู้ชัดว่าใช่แล้วยุคนี้ เป็นยุคที่เสื่อมมาก คนไม่ไว้หน้าแม้แต่ธรรมะ แล้วเขาไม่รู้จักธรรมะด้วย ด่าธรรมะ ด่าผู้มาเปิดเผยธรรมะ แสดงว่าคนนั้นโง่จริงๆ ด่าผู้มาประกาศธรรมที่มีเจตนาดีปรารถนาดีเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ แต่เขาไม่รู้ ไม่เห็น กลับทำเป็นเรื่องเลวร้ายแล้วด่าอีก แสดงถึงความโง่ซ้ำซ้อน ก็ยากลำบาก

แม้จะยากอย่างไร อาตมาปฏิญาณตนเองเป็นโพธิสัตว์มาหลายชาติ มาถึงชาตินี้ก็มาทำงานทำหน้าที่ต่ออย่างมุ่งมั่น ไปในทิศทางที่เจริญ เดินทางเป็นโพธิสัตว์ ไม่มีถอย ใครจะว่าอย่างไรก็รับฟัง อะไรที่ไม่ถูกต้องก็แก้ไข อะไรที่ดีเขามาว่าผิดๆ ก็เข้าใจเขาแล้ว จะไปบีบบังคับให้คนเข้าใจไม่ได้หรอก จะบังคับให้คนรู้คนเข้าใจคนไม่มาว่าเรามันบังคับไม่ได้ ก็เป็นความเห็นความเลวของเขา ก็ต้องทำ

อาตมาได้นำคำวิจารณ์ต่างๆในสื่อสาร Social media เอามาที่เขาวิจัย เอามาวิจารณ์ซ้อนอีกที ไม่ได้คัดเอามาทั้งหมดที่จ้วงจาบหยาบคายไม่มีสาระ ก็ไม่ได้เอามา ด่าสาดเสียเทเสียก็ไม่ได้หยิบมาใช้ เอาอันที่มีเหตุมีผลมีสาระมาอธิบาย

เอามาวิจารณ์เมื่อวานนี้คนก็ชอบกันก็คนชอบการปะทะ ถ้าเรียบร้อยคนก็ไม่ชอบ อาตมาก็จับเคล็ดอันนี้ได้ ก็เลยแสดงวิธีการที่อาจจะปะทะกันเพื่อเป็นจิตวิทยาสังคม

 

Kpg orn1 เดือนที่ผ่านมา

เคยเป็นลูกศิษย์ท่านสิบกว่าปี ตอนนั้นอายุน้อย คิดว่าท่านใช่ แม่เราไม่ชอบท่าน แม่บอกว่าพระอะไรเอาแต่ด่าคนอื่น (วันนั้นพาแม่ไป ท่านด่าคนเยอะจริงๆในวันนั้น นักการเมืองบ้าง นักบริหารบ้าง) แต่เราก็ยังไปฟังท่านเทศน์บ่อย ตอนนี้ลาแล้วเพราะเราว่าแม่พูดถูกหลังจากที่เราได้เจอะพระที่เราคิดว่าเป็นพระอาริยะ(ไม่ได้หมายถีงอรหันต์นะ) ตัวจริงแล้ว (หลังจากเสาะหามานานและลองศึกษาจากพระระดับที่คนนับถือกันมากๆหลายรูป ทั้งสายป่า สายเมือง) ไม่ได้จะว่าอะไรใครนะ ตอนนี้เราว่าท่านโพธิรักษ์ไม่ใช่อ่ะ แต่ไม่ได้ดูถูกอะไรนะ เราก็ศิษย์เก่า. แล้วแต่จะเชื่อละกัน

ตอบ...อันนี้อาตมาเข้าใจนะ แต่ก่อนนี้อาตมาแสดงความสงบทางรูปธรรมมาก แต่ตอนนี้จิตอาตมาก็ปลอดจากกิเลส แต่ก็กลายเป็นว่า หลายคนไม่สะดุ้งสะเทือนและไม่ใส่ใจ ก็เลยต้องทำให้เกิดความสนใจ เหมือนต้องตีฉิ่งฉาบ เป็นวิธีการสามัญธรรมดาที่จะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น

แล้วก็มีประเด็นที่อาตมาแสดงออกถึงคุณสมบัติ อาริยธรรม โลกุตรธรรม แสดงสภาพสภาวะของอุตริมนุสธรรม คือธรรมะที่เหนือมนุษย์ เมื่อแสดงออกไปแล้วพูดออกไปแล้ว ดีไม่ดีก็ออกมาประทับตราว่า อาตมาเป็นอย่างนี้เป็นอย่างที่อาตมาพูด ยถาวาทีตถาการี อาตมาพูดอย่างนี้ก็ทำอย่างที่พูดนี่แหละ ทำอย่างนี้ก็พูดอย่างนี้ ตถาการี ยถาวาที ทำอย่างนี้ก็พูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้นี่แหละ เขาก็บอกว่าเราเป็นตามที่เราพูด คนก็หาว่าอวดตัวตน อาตมาใช้คำว่า หาว่า คือไม่จริง ที่เขาพูดเป็นการหาว่า คือไม่จริง เพราะความจริงคืออาตมาพูดถูก พูดอย่างนี้แล้วก็เป็นอย่างนี้จริงๆ คืออาตมาเป็นอาริยะ ก็บอกอย่างที่อาตมาเป็น เขาก็หาว่าอาตมาอวด ความจริงแล้วอาตมาคอนเฟิร์ม อาตมายืนยันต่างหากไม่ได้ไป ฟังภาษาให้เข้าใจให้ฉลาดหน่อย ถ้าอวดก็ยืนยันไม่ได้เพราะอาตมาไม่เป็น คนอวดมีเยอะ แต่เขาไม่ได้ยืนยันตัวเอง เขาอ่านและท่องจำมาแล้วมาพูด คุณว่าคุณทำได้ไหม เขาบอกว่าท่านไม่ให้พูดไม่ให้บอก คำว่าท่านไม่ให้บอกไม่พูดนี้คนไหนพูดตกนรกทุกคน คนที่พูดว่าถ้าบรรลุธรรมแล้วไม่บอกชื่อ ผู้ใดพูดอย่างนี้มีคติ 2 ทาง คนที่บอกว่าผู้บรรลุแล้วไม่ควรไปบอกผู้อื่น ผู้ใดพูดอย่างนี้มีคติ 2 ทางคือ ไม่ไปตกนรกก็เป็นเดรัจฉาน อาตมาไม่ได้พูดเองนะ อาตมาเอา โลหิจสูตรมาอ้างอิงเลย

พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358

[358] ดูกรโลหิจจะ  ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า

โลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียวไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล

ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามกเพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อเมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคนที่บรรลุธรรมแล้วบอกใครไม่ได้ อันนี้คือเรื่องเลวร้ายมาก เพราะเป็นการปิดกั้นไม่ให้ผู้บรรลุนั้นบอกหรือประกาศว่า เราพูดอย่างนี้เราก็ทำอย่างนี้ เราพูดอย่างนี้ได้เราทำอย่างนี้ได้ เราทำอย่างนี้ได้แล้วก็พูดตามที่เราทำได้ เมื่อไปปิดกั้นคนที่เขาเป็นจริงอย่างนี้ ยถาวาทีตถาการี ยถาการีตถาวาที เป็นเรื่องที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม โดยเฉพาะคนที่เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ที่ยอมรับนับถือกันในศาสนาพุทธในสังคมและมักกล่าวผิดอย่างนี้ ความเสื่อมก็เกิดขึ้น เขาก็ต้องมีคติตามกรรม ก็ได้วิบากอย่างนั้นจริงไม่ไปนรกก็เป็นเดรัจฉาน 2 ทางนี้ ก็ช่วยไม่ได้ กรรมใครก็กรรมมัน

ก็ต้องมากอบกู้ศาสนาก็ทำมา 30-40 ปีก็มีผลได้ อย่างน้อยก็พวกคุณเข้ามาใส่ใจคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นสาระก็มาเอา ตั้งใจสนใจ แรงงานอื่นกิจการอื่นมีก็เห็นความสำคัญน้อยกว่า ก็สละสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าไม่สำคัญ ก็ขออนุโมทนาสาธุกับคนที่เห็นอย่างนั้น

อาตมาเห็นว่าผู้บรรลุธรรมนั้นควรบอก ก็เอาสิ่งที่มีจริงเป็นจริงมาบอก นอกจากบอกแล้วก็ย้ำไปอีกว่า อาตมาทำได้นะ อาตมาเป็นจริงนะ ไม่ใช่มาถึงก็มาอวดก่อนเลย อาตมานั้นกว่าจะประกาศตัวเองว่าเป็นอาริยะเป็นอันนั้นอันนี้ เพราะใช้เวลา 30 ถึง 40 ปีกว่าจะพูด เมื่อมาพูดเขาก็หาว่าพูดผิด ไม่ใช่ธรรมะที่เขาศึกษา ก็ใช่แล้ว เพราะสิ่งที่ควรศึกษากันนั้นไม่เป็นอารยะ ที่คุณศึกษากันเป็นแค่โลกีย์ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ เป็นอาริยะนี่คือแก่นสารของศาสนาพุทธ

ธรรมะโลกีย์นั้น ศาสนาอื่นก็สอนกันเยอะแยะ เป็นกัลยาณธรรม ต่างจากอาริยธรรม อาริยธรรมนั้นเป็นธรรมะดี แต่เป็นโลกีย์ วนอยู่กับการชั่วดี

แต่ที่เราปฏิบัตินั้นไม่วนเวียน รู้จักเหตุของการทำชั่ว แล้วเลือกเหตุ ดับเพลิงแห่งความชั่ว แล้วดับเหตุของความยึดติดความดี ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจ ให้เรารู้ว่าเราเลิกทำชั่วได้ เมื่อเลิกทำชั่วได้ก็ไม่ดีใจ ไม่ฟูใจ อย่างนี้เป็นโลกุตระ จิตทำเหตุให้ดับได้ แล้วตนเองไม่ฟูใจซ้อนได้ ดับเหตุแห่งชั่วได้

ศาสนาพุทธไม่ใช่แค่ทำดีหรือทำชั่ว ถ้าดับตัวกิเลสที่เป็นเหตุได้จริง คนผู้นั้นก็หยุดทำชั่วใดใดได้เลย ทำแต่ดี แล้วทำดีอย่างไม่หลงดีไม่ดีใจด้วย ทำดีอย่างฟรีๆ เต็มใจที่จะทำดีอย่างฟรีๆ แม้แต่คนชั่วจะมาต้านไม่ให้ทำดีก็จะทำ แต่จะทำอย่างระมัดระวัง ไม่ไปทะเลาะวิวาทกับเขา

ผู้ที่บรรลุโลกุตรธรรม บรรลุอาริยธรรม บรรลุอุตริมนุสธรรม ควรบอกอย่างยิ่ง แต่คนทุกวันนี้ ผู้รู้ผู้ที่เป็นอยู่ในสังคมถือว่าเป็นอาจารย์ที่สอน กลับบอกว่าไม่ควรบอกไม่ควรพูด อย่าบอกอย่าพูด ค้านแย้งกับอาตมา อาตมาก็ขอบอกว่าพูดอีกครั้งอย่างนั้นผิด เอาพระไตรปิฎก โลหิจสูตรไปอ่านดีๆ

พระพุทธเจ้าพูดในยุคท่านที่โลหิจพราหมณ์เป็นหัวหน้านะ เหมือนเจ้าคุณเหมือนสมเด็จในสมัยนี้แหละ ก็พูดผิดไปบอกว่าตัวเองก็รู้แล้วอย่าไปบอกใคร ก็เพราะไม่บอกคนถึงไม่รู้ แล้วก็เดา  ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงเป็นศาสนาด้นเดาเอาว่าคนนี้เป็นอรหันต์เป็นอาริยะ คนก็เลยหลอกคนอื่นได้สำเร็จว่าตนเองเป็นอาริยะ เพราะไม่ได้ให้คนที่ดีจริงจะรู้ทำจริงประกาศตัวเอง คนอื่นจะได้เห็นมาใกล้ชิด มาคบคุ้นจะได้ซึมซับว่าความจริงเป็นเช่นนี้หรือ จะได้ชัดเจน ทั้งการพูดอย่างนี้แล้วประพฤติอย่างนี้ว่าเป็นอย่างนี้เอง อรหันต์เป็นอย่างนี้เองหรือ อรหันต์เป็นอย่างโพธิรักษ์นี้หรือ จะได้ชัดเจน

พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า อย่าไปตัดสินตามอาการท่าทีที่เราเห็นหรือคนอื่นบอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 10 ข้อว่าอย่าเชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ ต้องเชื่อเมื่อมาคบคุ้นใกล้ชิดมาศึกษามาตรวจสอบมีหลักฐาน

สุชีลา สาครเย็น 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)

ไม่มีพระอริยะองค์ใดในพระพุทธศาสนานี้   ประกาศตนเป็นพระอรหันต์....เว้นแต่พระพุทธเจ้า...การประกาศตนเป็นพระอรหันต์เป็นอาบัติตามพระวินัย  การเป็นอริยะพระอรหันต์  เป็นปัตจัตตัง   รู้ได้เฉพาะตน....แยกให้ถูก....ว่าเราเป็น  โลกียะ  หรือ โลกุตระ...มันห่างกันนะ....คนละทางเลย  ก็มีสมณะบางรูปที่หลงทางเข้าใจผิด  ไม่ว่าจะมีเจโตหรือไม่มี...ไม่ว่าสายไหน....ไม่มีการประกาศตนเป็นอรหันต์....ในสมัยพุทธการก็มีแบบนี้คือ.พระเทวทัต......ไม่ได้ว่าใครนะ.....แต่อยากจะบอกให้รู้เป็นธรรมทาน...

ตอบ…ธรรมทานของคุณเป็นธรรมทานที่ผิด ที่เข้าใจว่าผู้รู้แล้วบรรลุแล้วประกาศตนเองเป็นอรหันต์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มาถึงวันนี้ก็เสื่อมแล้ว เขาเข้าใจผิดว่า ผู้บรรลุแล้วอวดหรือบอกไม่ได้ ก็เห็นผลว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อม เพราะครูบาอาจารย์สอนกันอย่างนี้มันเสื่อม เพราะฝีมือคุณนี่แหละ

แต่ถ้าไม่ระมัดระวังประกาศ ผิดบุคคล ผิดหมู่กลุ่ม ผิดเหตุการณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ควรประกาศก็ถูกต้อง อาตมาได้ระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา นี่ก็คือสิ่งที่ค้านแย้งมาเรื่อยๆ

 

Phanu 168 7 เดือนที่ผ่านมา

เป็นธรรมดาของผู้ผิวเผิน ที่จะตำหนิด้วยทิฏฐุปาทานของตน ผมระลึกได้ว่าผมเห็นพ่อครูสมณโพธิรักษ์ครั้งแรก เม.ย. 50 ช่อง5 ตอนนั้นท่านแสดงธรรมพูดถึงตาทิพย์ ผมเปิดผ่านไปเจอแล้วก็ฟังได้10วินาที แล้วก็เปลี่ยนไปช่องที่ต้องการ ผมก็พูดตำหนิในใจตาทิพย์ตาเทิพอะไร ? ทำไม?มาพูดเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ หลังจากนั้น ก.พ. 52 ผมติดจานดาวเทียมแล้วก็เปิดไปเจอช่องFMTV(ตอนนี้เป็นช่องบุญนิยม)ของชาวอโศก แล้วก็มีโอกาสได้เปลี่ยนไปดูหลายครั้งจนได้รู้ว่า ตาทิพย์มันไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ จริงๆมีอีกมาก แต่ขี้เกียจพิมพ์เพราะปกติก็ไม่พิมพ์ความเห็น แล้วแต่บุญของแต่ละคนก็แล้วกัน ที่จะเจอความจริง

ตอบ....คนนี้ใช้เวลาถึง 11 ปีกว่าจะเข้าใจขึ้นว่าไม่ได้อย่างที่เราเคยเข้าใจ ตีทิ้งง่ายๆ ก็ดีแล้ว อนุโมทนา

 

พุทธภูมิ กรรมการเป็นกลาง 8 เดือนที่ผ่านมา

บอกว่า เป็นอรหันต์ อีกทีบอก ว่าเป็น พระโพธิสัตว์ ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผมงง พระอชิตะ ในครั้งพุทธกาล ยังไม่สำเร็จ อรหันต์ นะครับ เป็นได้เเต่ก็ไม่เป็น เพื่อสั่งสมบารมีเพิ่ม เพื่อจะ เป็น ระดับ พระพุทธเจ้า องค์ต่อไป ผมงงกับท่านจริงๆ

ตอบ...คุณงงของคุณเอง เพราะไปรับคำสอนมาผิดๆ ก็เลยเชื่อฟังเขา ให้ฟังอาตมาดีๆ น่าจะหายงง คือพระอชิตะ อาตมาไม่มีปัญหาที่ท่านจะตั้งจิตสู่พุทธภูมิ ที่ท่านจะต้องไปบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ถ้ายังไม่บรรลุพุทธภูมิหรือเป็นพระพุทธเจ้าก็จะไม่หยุด

การหยุด คือเป็นอรหันต์ คือจบกิจ ผู้นั้นไม่ต่อพุทธภูมิ ตายแล้ว ก็ปรินิพพาน ก็ถูก ไม่ผิด

ทีนี้พระอชิตะจะต่อพุทธภูมิจึงไม่ยอมบรรลุอรหันต์ ตรงนี้ไขความที่อรหันต์ อรหันต์ที่จะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่กิจตนท่านจบแล้ว ท่านศึกษากิจผู้อื่นต่อไป อาตมาก็บอกว่าตนเองจบกิจตัวเองแล้ว ประกาศว่าอาตมาจบเป็นอรหันต์แล้ว และอาตมากำลังศึกษาเพื่อจะทำประโยชน์ต่อผู้อื่น มารื้อขนสัตว์ เรียกว่าโพธิสัตว์

ที่เข้าใจว่าเป็นอรหันต์แล้วประกาศตัวเองไม่ได้ แม้จะเป็นอรหันต์ แล้วจะต่อภูมิเป็นโพธิสัตว์ก็บอกใครไม่ได้ ก็พากเพียรเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป แต่เราเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ แต่เถรวาทก็เลยเข้าใจว่า เป็นโพธิสัตว์นั้นเป็นอาริยะหรือเป็นอรหันต์ไม่ได้

เพราะเถรวาท เข้าใจและสอนว่า ถ้าขืนบรรลุเป็นอาริยะ ตนเองย่อมบรรลุเป็นโสดาบัน อย่างต่ำที่สุดของพระโสดาบันคือ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน เป็นขั้นต่ำของโสดาบันที่บอกว่าเกิดมาอีก 7 ชาติ จะต้องรู้เป็นอะไร?

 เพราะสัตตะแปลว่า 7 จะอยู่ในอัตราโสดาฯ เจ็ดรอบ แต่เขาแปลว่าเจ็ดชาติ

เขาเข้าใจว่าเป็นการเกิดทั้งตัวตนบุคคลทางท้องแม่ คนนี้จะต้องเป็นบรรลุอรหันต์อีก 7 ชาติ เมื่อเป็นโสดาบันแล้ว เป็นอย่างน้อย ชาติที่ 7 จะต้องบรรลุอรหันต์

แล้วเข้าใจผิดซ้ำซ้อนอีกว่าเป็นอรหันต์แล้ว ตายจากชาตินั้นจะต้องสูญ ต่ออะไรไม่ได้ คนที่เกิด 7 ชาติ จะบรรลุเป็นอรหันต์ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะจะเกิดได้อีกแค่ 7ชาติ ดังนั้นอย่าเป็นโสดาบันเชียว ไม่อย่างนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ นี่คือมิจฉาทิฏฐิของเถรวาท เลย ปิดประตูเป็นโพธิสัตว์

เมื่อปิดประตูโพธิสัตว์ ก็มีแต่สัตว์มาประกาศศาสนา เพราะคุณปิดประตูโพธิสัตว์คือผู้ที่มีภูมิแล้ว ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อนุโพธิสัตว์อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ โพธิสัตว์จึงไม่มี เพราะคุณจะถือว่าโพธิสัตว์คือปุถุชน คุณจะไม่ฟัง

2 คุณก็ได้ฟังผู้ประกาศศาสนาที่ไม่ใช่อรหันต์ เพราะคุณปิดประตูโพธิสัตว์ไม่ให้เกิด เสร็จผม แต่ผมไม่ใช่อรหันต์ แม้ที่สุดอนาคามีก็ไม่มี สกิทาคามีก็ไม่มี โสดาบันก็ไม่มี ได้โพธิสัตว์คือสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่ใช่ผู้ที่บรรลุธรรมะสอนคุณ คุณกวาดโพธิสัตว์ทิ้ง เท่ากับกวาดอรหันต์ทิ้ง พระโพธิสัตว์ก็คืออรหันต์ในตัว

อาตมาประกาศตัวเองว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์ และประกาศซ้ำอีกว่าจะเป็นผู้ที่มากอบกู้ธรรมะในยุคนี้ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้ามากอบกู้ ไม่ได้อวดตัวอวดตนที่ผิด แต่แสดงของจริง เพราะถ้าเลื่อมใสศรัทธาในธรรมก็จะศรัทธาเพิ่มขึ้น คนที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาก็ต้องเอาไปพิจารณาเพิ่ม ส่วนคนที่มีอคติก็จะเกลียดโกรธและตีทิ้งเลย

มีสามแบบ พวกที่ศรัทธาก็จะศรัทธาเพิ่มขึ้น พวกที่กลางๆก็จะได้เพิ่มขึ้น ส่วนพวกที่ไม่ได้อยู่แล้วก็จะไม่ได้ชัดขึ้น มีคติเพิ่มขึ้น ก็จะมี 3 ช้อยส์

พระพุทธเจ้าเคยแสดงธรรมให้คนร้อยแปดสิบคน ผู้ฟัง 60 รูป ฟังแล้วเป็นอรหันต์ อีก 60 รูป ฟังแล้วก็ได้ประโยชน์ มาบวชเลยมีศรัทธาเพิ่มขึ้น อีก 60 รูปฟังแล้วอาเจียนเป็นโลหิตเลย

ขนาดพระพุทธเจ้าประกาศก็ยังมีสามช้อยส์นี้เลย ขนาดพระพุทธเจ้ายังเป็นอย่างนี้แล้วอาตมาเป็นใคร จะได้สักกี่คนก็ได้น้อยแต่อาตมามั่นใจว่าแสดงธรรมนี้ได้ 2 อย่างแรกนี้ด้วย ก็จำนนที่จะต้องเลือกเอา 2 ทิ้งเอา 1 ก็สงสารแต่บังคับไม่ได้เขาโลหิตร้อนออกจากปากเอง

แต่ที่น่าหดหู่ใจก็คือจำนวนคนที่ถูกครอบงำทางความคิด ถูกสะกดจิตให้เชื่อตามอย่างที่ท่านสอนกันผิดๆว่าคือสิ่งที่ถูก อันนี้คือสิ่งที่น่าสังเวชใจ น่าสลด น่าสงสาร

อาตมาว่าอาตมาได้นำสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ มาประกาศ ที่คนส่วนใหญ่ที่ยึดถือกันแล้วเป็นสิ่งที่ผิด พูดด้วยความเอ็นดูเมตตา ไม่ได้ลบหลู่ดูถูกดูแคลนด้วย

ที่คุณคนนี้พูดว่า ไม่มีใครประกาศให้คนอื่นเป็นอรหันต์นอกจากพระพุทธเจ้านั้น คุณไปอ่านให้พระไตรปิฎกดูให้ดี ตอนที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้วจะมีการสังคายนาครั้งแรก เขาก็รอพระอานนท์กัน ถ้าพระอานนท์บอกว่าตนเองเป็นอรหันต์แล้ว เขาก็จะต้องปรับอาบัติพระอานนท์สิ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์ก็ไม่ได้ ไม่ได้ทำงานและมีอีกเยอะที่ท่านบอกว่า เราจบกิจแล้ว แม้ไม่ได้พูดว่าตนเองเป็นอรหันต์ซึ่งไม่ค่อยพูดกันเท่าไหร่แต่พูดว่าเราจบกิจ เราสิ้นแล้วซึ่งราคะโทสะโมหะก็พูด ซึ่งใช้แทนกันได้ว่าเป็นอรหันต์นั่นแหละเป็น synnonyme สมัยพระพุทธเจ้าใครบรรลุแล้วก็บอกกัน

ท่านถามกันว่าบรรลุอรหันต์หรือเปล่า ท่านก็บอกว่าบรรลุแล้ว สำหรับคนที่บรรลุ เพราะท่านไม่ได้มีกิเลสอยากอวด อาตมาก็ไม่ได้พูดด้วยกิเลสอยากอวด แต่ท่านเข้าใจไม่ได้ เพราะยึดถือว่าใครประกาศว่าตนเองมีของดี และประกาศถือว่าตัวเองไม่มีของดี คุณบัญญัติเองว่าผู้ใดเป็นอาริยะคือเป็นอรหันต์ ประกาศตนเองก็คือคนที่ไม่มีอาริยะ ไม่เป็นอรหันต์ เท่ากับคนไม่มีของดี

ขอบอกว่าที่คุณศึกษามานั้นผิด ให้ไปศึกษาใหม่ ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่บอกว่าเป็นอรหันต์ แต่คนอื่นท่านบอกตนเองมีอีกเยอะแยะ เป็นการประกาศตนตามพระวินัย

ที่คุณพูดว่าการประกาศตนเป็นอรหันต์เป็นอาบัติตามพระวินัย การประกาศอรหันต์ไม่เป็นอาบัติตามพระวินัยต่างหาก แต่คุณเองพูดก็ไม่ผิด คุณพูดก็ถูกในคนที่ไม่เป็นอรหันต์และประกาศตนเองเป็นอรหันต์ก็ผิดพระวินัย แต่คนที่บรรลุอรหันต์แล้วประกาศตนเองว่าเป็นอรหันต์นั้นไม่ผิด

การเป็นอรหันต์นั้นเป็นปัจจัตตังก็ถูกต้อง ตนเองจะรู้ตนเองว่า กิเลสคืออย่างนี้ อาสวะที่เหลือคือส่วนกิเลสขั้นปลายเหลือคืออย่างนี้ หมดก็รู้ของตน เป็นปัจจัตตัง จะมีญาณทัศนะวิเศษ มีอธิปัญญา รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ว่ากิเลสมีอินทรีย์อ่อนลง แล้วหมดแล้ว ไม่มีชีวิตของกิเลสแล้ว อ่านอาการที่มีชีวิต ว่าพลังงานนี้คือพลังงานระดับพีชะ นี้คือพลังงานอุตุนิยาม เป็นพลังงานดินน้ำไฟลม ธาตุที่ไม่เกิดชีวะ ผู้มีปัญญาใช้แยกแยะออก มันต่างกับ พลังงานพืชอย่างไรมีลิงคะ ต่างกับพลังงานในระดับจิตนิยาม อย่างไร พลังงานแบบพืชนั้นไม่เป็นโทษภัยกับใคร มี cyclic order ของตน ตั้งแต่ของตนเองเอาธาตุที่มีประโยชน์แก่ตัวเองมา อันไหนไม่มีประโยชน์ก็ไม่เอา พืชไม่ไปรบราฆ่าฟันแย่งชิงกับใคร อาการพลังงานพวกนี้ผู้ที่มีตาทิพย์ มีญาณทัศนะวิเศษ จะอ่านอาการเหล่านี้ของใจตัวเองออก ถึงแยกธาตุ ที่เป็นอุตุนิยามออก แยกธาตุ ที่เป็นพีชนิยาม ที่สำคัญคือแยกธาตุ ที่เป็นพีชนิยามกับจิตนิยามออกได้ ลดความทะเลาะทำร้าย เป็นพิษภัย เป็นโทษกับคนอื่นได้ ที่เป็นจิตเลวเป็นพลังงานเลวได้ เลิกพลังงานนั้นได้ มาเป็นพลังงานแบบพีชนิยาม เป็นอริยบุคคลสามารถทำพลังงานของตัวเอง จากจิตนิยาม ที่เป็นโทษเป็นภัยไปทำร้ายคนอื่น หยุดได้หมด เอาพลังงานนั้นมาแปลงเป็นพลังงานช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ มาเป็นพลังงานไม่ทะเลาะวิวาท มาเป็นสังคหะ ไม่เอาวิวาทะ เป็นอวิวาทะ ทำจิตในจิต เป็นมนสิกโรติ ทำใจในใจตนได้จริงๆ คนนั้นคือคนทำใจในใจได้เป็น มีโยนิโสมนสิการ ทำไปถึงที่เกิด เอาเหตุปัจจัยที่เป็นพิษภัยออก ได้สำเร็จ นี่คือคนบรรลุธรรม เป็นอย่างนี้

ที่คุณบอกมาอาตมาอธิบายเป็นปัจจัตตัง อาตมานะ ไม่ได้พูดตามตำราแต่พูดตามสภาวะ ไม่ได้อวดตัวตน แต่พูดความจริง ตถาการี ยถาวาที อาตมาเป็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้นตามจิตที่อาตมาทำได้

อย่างที่คุณพูดว่าโลกุตระกับโลกียะห่างกัน แต่แม้แยกกันเกือบไม่ออกอาตมาก็แยกได้นะ อย่าว่าแต่ห่างกันเลยมันง่าย แยกได้ ที่คุณสุชีราบอกมา ว่าไม่มีสายไหนประกาศตนเป็นอรหันต์หรอก ที่ไม่ประกาศตนเพราะบางคนไม่มีภูมิจริง ไปอ้างว่าในสมัยพุทธกาลมีพระเทวทัตที่อวดประกาศ ก็ประกาศว่าตนมีโลกียฌาน

ผู้ที่เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์จะมีสัปปุริสธรรม 7 ไม่ประกาศอย่างชุ่ยๆ ท่านจะประกาศตนอย่างไม่ให้เสียของ จะมีการประมาณ

พระอชิตะ ที่มาประกาศ ท่านก็รู้กันว่าพระโพธิสัตว์คือผู้ที่จบอรหันต์แล้วมาต่อพุทธภูมิ ถ้าจะประกาศอีกทีก็ต้องประกาศว่าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะบอกว่าพระอชิต ไม่ประกาศ ก็คือไม่ประกาศอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่ประกาศตนเองเป็นอรหันต์ก็ไม่เป็นไรเพราะในยุคนั้นพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระพุทธเจ้ายังเป็นผู้ดูแลควบคุม ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นต้องตัดสินตัวพิพากษา เพื่อที่จะให้ความรู้ธรรมะ แต่ในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว สมณะโพธิรักษ์ต้องมารับผิดชอบ ก็เลยต้องมาบอกทุกระดับมา 46 ปีแล้ว ไล่เรียงมาทุกระดับ แต่คุณไม่ตั้งใจฟังให้ดีถึงได้ต่อว่าเลย อาตมาก็สงสารคุณ

 

ธนิตา รำไพกุล2 เดือนที่ผ่านมา

ผู้ใดดีก็ดี ผู้ใดมีแต่ให้ก็ดี ล้วนไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นอรหันต์
ถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวว่า แม่ชีเทเรซ่าบรรลุอรหันต์ มหาตมะ คานธี บรรลุอรหันต์ ได้หรือไม่

ตอบ...แม่ชีเทเรซาไม่ได้บรรลุอรหันต์ เอาคำว่าบุญไปใช้เป็นนักบุญก็ใช้ผิด เพราะบุญคือการชำระกิเลส ศาสนาใดธรรมวินัยใดไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีสมณะที่ 1 2 3 4 ไม่มีอะไร เอาคำว่าบุญไปใช้ก็ผิดๆ แม่ชีเทเรซาเป็นผู้ให้ผู้เสียสละนั่นเป็นโลกียธรรม น่าเคารพนับถือ มหาตมะคานธีก็น่าเคารพนับถือ ในกัลยาณธรรมที่สอนคน ที่ปฏิบัติต่อมวลชน เป็นปรากฏการณ์จริง ได้ประพฤติปฏิบัติในชีวิตของแต่ละคน กว่าจะเสียชีวิตก็อายุ 80 กว่า ก็น่าอนุโมทนาสาธุ แต่ประเด็นสำคัญคือไม่ใช่โลกุตรธรรม นี่คือประเด็นสำคัญ

ประเด็นโลกียะกับโลกุตรธรรม มันแยกกันตรงนี้

โลกียธรรม มีดีมีชั่ว ประพฤติดี ไม่ทำชั่ว ชำระจิตให้ผ่องใส นี่คือโอวาทปาติโมกข์ แต่คนที่ชำระจิตให้ผ่องใสอย่างเรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ จับตัวอาการจิตเจตสิกของกิเลส และมีวิธีการกำจัดกิเลส ให้ดับสนิทได้จริง อันนี้เป็นความรู้ขั้นโลกุตระ โลกียะไม่มี โลกียะไม่มีญาณหยั่งรู้เข้าไปในจิตในจิต กายในกาย เวทนาในเวทนา หรือธรรมในธรรม ที่เป็นพีชนิยามหรือจิตนิยามธรรม แล้วสร้างกรรมนิยาม ทำใจในใจของตนเองจนเข้าข่ายโลกุตรธรรม ทำให้อาการพลังงานจิตเป็นโลกุตระธรรม คนที่ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักจิต อ่านจิตแยกจิตไม่ได้ เช่นแยกกุศลกับอกุศลอาจจะพอได้

แต่แยกอกุศลที่มันเป็นอาการลีลาของกิเลส เป็นราคะ  สราคะ สโทสะ สโมหะเป็นเช่นนี้ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ เป็นเช่นนี้ มันทำให้กิเลสลดลงได้ อาการราคะโทสะโมหะ เข้าใจดี ทำให้ลดลงได้ ก็รู้จักอาการจิตเช่นนี้จริง มีเจโตปริยญาณ 16 มีสังขิตตังจิตตัง ในสายถีนมิทธ เป็น fussion ส่วนอีกสายเป็นวิกขิตตังจิตตัง เป็นสายอุทธัจจะ เป็น fission เป็นไอโซโทปที่กระจาย อันไหนจับได้ที่เป็นอกุศลก็ทำลาย ถ้าทำลายได้ให้ดีขึ้นจริง ก็เรียกว่าเป็น มหรรคตะ ทำไม่ได้ก็เป็นอมหรรคตะ เสร็จแล้วก็ทำให้ดียิ่งขึ้น เป็นสอุตตรังจิตตัง แม้ไม่ถึงอนุตตรังจิตตังก็ทำอีก ทำสองขั้ว เจโตทำให้เป็นสมาหิตัง ไม่ได้เป็นอสมาหิตัง ทำให้เป็นวิมุติหรืออวิมุติถ้าทำไม่ได้ ทำให้เจริญสมบูรณ์แบบต่อไป

คุณอาจเรียกว่าอาตมาบังอาจ แต่อาตมาอธิบายอย่างองอาจ แกล้วกล้า อาสโภ

ผู้ใดสามารถแยกแยะอ่านอาการจิตออกว่า อันนี้เป็นโลกียะ อันนี้เป็นโลกุตระ แล้วทำให้เราลดท่านี้เกิดได้จริงจนสูงสุด ฐานนิพพานหรืออุเบกขา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา

สาธุที่ฟังสิ่งเหล่านี้อย่างไม่รำคาญ คนอธิบายโลกุตระไม่ให้ซ้ำซากนี้หายาก แต่โลกีย์นั้นซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย เดี๋ยวก็สนุกสนาน เดี๋ยวก็ไปรวย น่าเบื่อ หลงอยู่ได้ พูดอย่างแรงๆ พวกที่ไปหลงโลกีย์อาตมาดูถูก อาตมาไม่ยกย่องหรอก ที่พูดอย่างนี้ อาตมาเคยหลงบ้าหลงเมา ออกมาแล้วรู้ว่าอย่างนี้ดีกว่า ที่เคยหลงมาเยอะ ออกมาได้ก็อยากให้คนออกมาบ้าง มันสุดยอด

ถ้าเป็นแม่ชีเทเรซาหรือ คานธีนั้นต่างกัน เทเลซ่าเป็นเทวนิยม 100% แต่คานธีมีภูมิธรรมเป็นโพธิสัตว์ คานธีมีความเป็นโลกุตระอยู่ในตัว แต่ปางของคานธีต้องไปทำหน้าที่อย่างนั้น อาตมาเป็นโพธิสัตว์ถึงได้รู้

 

Fjkk cbm Hjkl cnn3 เดือนที่ผ่านมา

เพิ่งผ่านโสดาบันก็รีบประกาศเป็นอรหันต์เสียแล้ว ใจร้อนจริงๆ

ตอบ...อาตมาใช้เวลาตั้งนานกว่าจะประกาศอรหันต์นะ

ก็ทบทวนประวัติศาสตร์ อาตมาประกาศ ตอบเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าคณะจังหวัดก็ทำการตรวจสอบอาตมา ท่านส่งคนมาถามว่าอาตมา มาทำไม อาตมาก็บอกว่ามาเผยแพร่ธรรมะ ท่านก็ว่าอาตมามีธรรมะเท่าไหร่จะมาเผยแพร่ ท่านดูถูกอาตมาเลย มาถึงก็มาจาบจ้วงดูถูกเลย อาตมาก็เลยตอบอย่างถ่อมตนว่า ถ้าเป็นโสดาฯ สกิทาฯ ผมก็ผ่านแล้ว อย่างน้อยก็อนาคามีก็ทิ้งไว้ตรงนี้หรืออาจเกินก็ได้

อาตมาประกาศโสดา สกิทา ปี 2518 พึ่งประกาศเป็นอรหันต์ในปี 2558 ทิ้งห่างกันตั้ง 39 ปี อย่าหาว่ารีบ จะหาว่าใจร้อนจริงไม่ได้นะ

 

Chayaphol Samlee3 เดือนที่ผ่านมา

เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายครับ

 

Chaiyo Kedbanglai1 ปีที่ผ่านมา

ผมไม่ได้เถียงแทนหลวงปู่นะครับ แต่ก่อนผมเองไม่มีศรัทธาในท่านจริงๆ ออกจะเฉยๆและคิดไปในทางลบ จนเมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับคำว่า สันติอโศก จริงๆ
จากที่สัมผัสมา ด้วยสติปัญญาไตร่ตรอง สันติอโศก เป็นอะไรที่ สัมผัสและเข้าใจถึงธรรมะได้ดี ครับ ชีวิตผมเบาบางเรื่องของกิเลสลงไปมากเลย เข้าใจพระธรรมคำสอนได้ลึก เกิดเป็นปัญญาติดตัวเลย ส่วนตัวยังไม่เคยรู้สึกว่าถูกหลอกนะ ฝากถึงท่านที่ไม่ได้ศรัทธาครับ ว่าอย่าได้ว่ากล่าวติเตียนหลวงปู่ด้วยอคติของคุณๆเลยนะจะเป็นการทำบาปโดยไม่รู้เสียเปล่า บาปที่ไม่ได้ใช่ปัญญาหรือการพิจารณาด้วยประการใดๆจริงๆไตร่ตรอง แล้วพูด เขียน พิมพ์ เพื่อวิจารณ์ไปในทางเสียหาย บางเรื่องมนุษย์เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ความเป็นอรหันต์ของท่าน ผมเองก็มองไม่เห็นหรือรู้หลักเกณฑ์หรอกครับว่าต้องเป็นเช่นไรจึงเป็นอรหันต์ จะต้องพูดอย่างไร หรือมีแสงอะไรเปล่งออกมาหรือไม่ แต่ผมมั่นใจที่สุดว่าท่านเป็นพระแท้ ทั้งนอกและใน ปฎิบัติดีชอบ กราบไหว้ได้เต็มๆศรีษะและหัวใจองค์หนึ่ง การนับถือศาสนาพุทธหรือพระอริยะสงฆ์ สักหนึ่งองค์ ส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็นเลย ที่เราจะต้องนับถือเพียงแต่พระสงฆ์หรือวัด ที่สังกัดกรมพระพุทธศาสนาเท่านั้นครับ เพราะ การสังกัดหรือไม่สังกัด นั้นบอกไม่ได้หรอกครับว่าเป็นของจริงหรือไม่จริง ผู้ที่จะบอกได้ว่าจริงหรือไม่คือตัวเราเอง ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยขณะจิตที่มีอคติน้อย พิจารณาด้วยตนเองให้ถี่ถ้วน ฝากไว้เพียงเท่านี้ขอบคุณครับ

 

พาเพลิน จัยเรา10 เดือนที่ผ่านมา

ผิดประเพณี ผิดระเบียบ อวดตน ไม่สำรวม ไม่รู้จักแนวทางที่แท้จิง อวดอ้าง
เวทนาแท้ พ่อครูอารัย คัยเป็นผู้บวชไห้ ทำสังฆกรรมเป็นไหม หรือแค่อวดอ้าง รู้ศาสนาพิธีป่าว ปฏิหารไม่มีทางเกิดขึ้น ต่อคนที่อวดอ้าง ไม่จักระเบียบแห่งสงฆ์

#เชื่อในพระไตรปิฏก ไม่เชื่อมึงโพธิรัก

ตอบ…ก็มีลักษณะอย่างนี้เยอะอาตมาไม่แปลก คนฟังธรรมะอาตมาแล้วฟังไม่เข้าใจ ฟังแล้วไม่เชื่อไม่ศรัทธาเลื่อมใส ไม่แปลกใจ จริงตามที่อาตมาคาดคะเนและรู้มาว่าศาสนาเสื่อมมามากแล้ว ไปเข้าใจมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าใจคนชั่วเป็นคนดี ไปเข้าใจคนผิดก็เป็นคนถูกเยอะจริง เมื่ออาตมาแสดงธรรมะที่เป็นสัจธรรม สังคมที่มีคนที่ไม่เข้าใจธรรมะมีมาก ก็ต้องแสดงการสะท้อน แสดงเอฟเฟคทีฟ ออกมาอย่างนี้แน่นอน มันเป็นสัจจะความจริง มันเป็นการชี้บอกความจริงอย่างชัดเจนต่างหาก ทำไมมันจริงขนาดนี้ จริงอีหลี ตั๋ว มันจริง จริงๆนะคำโกหกนี่  คือคำโกหกนี้มันจริงๆๆๆ จริงๆๆตั๋ว

 

Teeram Gmail1 ปีที่ผ่านมา

 ปฏิสัมภิทา คือ ความรู้แตกฉานในธรรม 4 อย่าง ได้แก่  ในเหตุ 1 ในผล 1 ในภาษา 1
          ในปฏิภาณ 1   ซึ่งปุถุชน ไม่มีปฏิสัมภิทา แต่พระอริยบุคคลเท่านั้นที่มีปฏิสัมภิทา
          จากที่ได้อ่านในพระสูตรอังคุตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม 1 ภาค

พระอรหันต์น่าจะมีอยู่ในยุค 1000 ปีแรก หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเท่านั้นนะครับ

พ่อครูว่า นี่เป็นสิทธิของคุณคนนี้ ก็น่าสงสารให้เป็นทิฐิเสียเถอะ พระพุทธเจ้าว่าตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากอรหันต์ ต่อมาพิจารณาว่าปัจจุบันนี้มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถูกต้องตามธรรมมีอยู่ไหม ถ้ามีอยู่ตราบใดตราบนั้นโลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนั้นอย่าไปกล่าวลบหลู่ อย่าไปกล่าวตีทิ้งหรือย้อนแย้งคำของพระพุทธเจ้าสิ

 

(อ่านต่อ)...จากข้อความที่ท่านกล่าว พอจะสรุปย่อ ๆ ดังนี้
          1. ในยุคแรก    เป็นการอันตรธานของอธิคม  คือเริ่มเสื่อมตั้งแต่ ปฏิสัมภิทา ก่อนแล้วหมดผู้ที่มีอภิญญาต่อมาจึงถึงการเสื่อมของวิชชา 3 จนกระทั่งไม่มีพระอรหันต์  พระอนาคามี พระสกทาทาคามี เหลือแต่พระโสดาบัน และเมื่อพระโสดาบันองค์สุดท้ายสิ้นชีวิต  ท่านเรียกว่าอันตรธานแห่งอธิคม

พ่อครูว่า ศาสนาพุทธยังไม่อันตรธานอย่างที่คุณว่า พระอรหันต์ยังมีอยู่ ขอแทรกถ้าจะมาทำอรหันต์ไม่เกิดในยุคนี้ศาสนาพุทธจะไม่ครบ 5000 ปี เพราะตอนนี้เพิ่งผ่านไป 2559 ปี ยังเหลืออีกสองพันกว่าปี ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมจึงจะหมด เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผู้ที่จะมาสืบทอดต่อเนื้อธรรมะของพระพุทธเจ้าให้มีอรหันต์อีก แม้แต่พระพุทธเจ้าเปิดเผยสอนศาสนามา 2600 กับปียังมีความเสื่อมขนาดนี้ ถ้าไม่มีการต่อเชื้อไปอีกสองพันกว่าปี จะไปเหลืออย่างไรก็จะไม่ถึง 5,000 ปี ไม่ถึงแน่ ขอให้อาตมาต่ออายุศาสนาเถิด อย่าห้ามกั้นเลย

อาตมาเคยอธิบายว่า ช่วงที่อาตมามาเปิดเผยสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ ก็พยายามทำให้มากที่สุด เข้มข้นที่สุด ให้เป็นเนื้อหาสัจธรรมที่แน่นที่สุดเพื่อจะเป็นหัวเชื้อที่จะนำพาสร้างคนให้เป็นอาริยบุคคลหรือเป็นอรหันต์ต่อไปอีกได้ เพราะฉะนั้นอาตมาทิ้งเชื้อนี้ไว้ เชื้อนี้ก็จะขึ้นแล้วเสริมสร้างต่อไปอีกให้ถึง 5,000 ดังโลโก้ของบริษัทเดินหน้าฝ่ามหาสมุทร อาตมาจะทำอีกห้าร้อยปี จึงจะหยุดสร้าง อาศัยแต่หัวเชื้อนี้ต่อไปอีก จนกว่าศาสนาพุทธครบห้าพันปี

อาตมาเป็นนักวิชาการทางศาสนาพุทธ ขอเบ่งทับเปรียญธรรมด็อกเตอร์ที่มีปริยัติผิดเพี้ยน ที่ท่านมอบปริญญาเอกเป็นเปรียญ 9 อาตมาไม่ได้เจตนาจะข่ม แต่ให้มาสังเกตการณ์ มาเอาความจริงนี้ไปบ้าง

จะไม่อธิบายอันตรธาน 5 นี้มากนัก
           2. ในยุค ที่ 2   ท่านเรียกว่า  ปฏิปัตติอันตรธาน  คือพระภิกษุ  ไม่สามารถทำให้ฌาน วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน บังเกิดได้ จึงพากันรักษาเพียงปาริสุทธิศีล     จนในตอนท้ายๆ ของยุค   รักษาได้เพียงศีลปาราชิกเท่านั้น  เมื่อภิกษุองค์สุดท้าย ที่ยังรักษาศีล อยู่ได้เสียชีวิตถือว่าหมดยยุคของ ปฏิปัตติอันตรธาน
           3. ในยุคที่ 3    ท่านเรียกว่าปริยัตติอันตรธาน  คือยังมีบาลีและอรรถกถาอยู่ แต่ผู้คนศึกษาให้เข้าใจน้อยลง    ไม่สงเคราะห์พระภิกษุ    ไม่เข้าใจในอรรถ  จำได้แต่บาลี ต่อมาเริ่มลืมบาลี     พระอภิธรรมถูกลืมก่อน   เหลือพระสูตรน้อยลงจนเหลือแต่เรื่องราว ชาดกเท่านั้น จนกระทั่งเหลือคาถา 4 บทสุดท้าย  แล้วก็สิ้นสุดยุค ปริยัติติอันตรธาน
           4. ในยุคที่ 4 ท่านเรียกว่า  ลิงคอันตรธาน    หรืออันตรธานแห่งเพศ คือ  เป็นยุคสมัยที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจธรรมแล้ว  แต่ยังมีภิกษุที่ถือบาตรและภาชนะเที่ยวไป ไม่มีการนุ่งห่มจีวรให้ถูกต้อง นานๆ เข้าพระภิกษุเหล่านี้ก็ตัดจีวรให้สั้นเข้าเหมือนชาวบ้าน  และต่อมาก็ใช้ผ้ากาสายะผูกเข้าที่ข้อมือ  หรือมัดไว้ที่ผมเป็นเครื่องหมายว่าเป็นภิกษุ   พากันมีลูกเมียทำการงานเหมือนชาวบ้าน    จนกระทั่งไม่เห็นประโยชน์ของการทำเครื่องหมายแห่งเพศบรรพชิต โยนผ้าทิ้งเสียเรียกว่า สิ้นยุคของ ลิงคอันตรธาน
           5. ยุคสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะอยู่ในโลกนี้    ท่านเรียกว่า    ธาตุอันตรธานท่านอธิบายว่าเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ที่โพธิบัลลังก์  เรียกว่า กิเลสปรินิพพาน  เมื่อพระพุทธองค์ดับขันธ์ที่ กรุงกุสินารา   ท่านเรียกว่า ขันธ์ปรินิพพาน    ต่อมาเมื่อศาสนาเสื่อมลงจนใกล้ครบ 5,000  ปีหลังจากนั้น     ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับการสักการะ  ด้วยกำลังอธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ก็เคลื่อนย้ายไปอยู่ในที่ ๆ มีการสักการะ แล้วไปรวมอยู่ที่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว  จากนั้นจะแสดงปาฏิหาริย์  เรียกว่า  ธาตุปรินิพพานมีเทวดาในหมื่นจักรวาลมาประชุมกันหมด มีเปลวเพลิงที่ สรีรธาตุ พลุ่งไปถึงพรหมโลกหมู่เทพยดาพากันมาสักการะ     พระสรีรธาตุก็อันตรธานไป เป็นอันสิ้นยุคพระศาสนา

พ่อครูว่า….คนที่แยก กาย เวทนา จิต ธรรม ตามลงไปจับอกุศลเหตุได้ คือสมุทัย แยกกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ไม่ออก ไม่รู้ธรรมในธรรม หากแยกความต่างของอาการจิตไม่ออก อ่านจิตเจตสิกไม่ได้ ศาสนาพุทธก็หมด สุญโย อันตรธานแน่ อาตมาจึงต้องมาขยาย กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

ต้องแยกกายคือธรรมะ 2 นี้ให้ชัด แล้วสามารถปฏิบัติกายในกาย จะมีสิ่งที่ทรงอยู่ เป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระ คุณสามารถแยกออก แล้วสามารถทำลายเหตุแห่งโลกีย์ได้จริง จึงเป็นผู้เข้าถึงเวทนาในเวทนา เป็นผู้เข้าถึงจิตในจิต เพราะเข้าถึงธรรมในธรรม สามารถทำให้โลกียธรรมมาเป็นโลกุตรธรรม

อย่างอาตมาที่พูดบรรยายเพราะว่าทำได้ แล้วมีสภาวธรรมจริง ก็เอาสภาวธรรมนี้มาอ่านเป็นภาษา แล้วอธิบายสู่พวกเราทำ อธิบายเป็นภาษาไทย เป็นสำนวนของอาตมาว่า ธรรมะเป็นเช่นนี้ ธาตุขันธ์เป็นเช่นนี้
        

Theera Theerapipattanapothiwong1 ปีที่ผ่านมา

ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดพยากรณ์ความเป็นพระอรหันต์ของตน  หน้าทึ่ในการพยากรณ์ มรรค  ผล  เป็นหน้าที่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น...  พ่อท่าน บ่รู้กะครับ

ตอบ...ก็ไม่ผิด หน้าที่พยากรณ์เป็นของพระพุทธเจ้าแต่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้รู้ก็ต้องมาพยากรณ์ไม่อย่างนั้นก็เป็นศาสนาเดา ถ้าคุณจะเชื่อพระพุทธเจ้าองค์เดียวไม่เชื่อพระอริยอื่นอื่นเลยคุณก็เป็นคนที่คับแคบ พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็นปริโยสานแล้ว คุณก็หมดท่าสิ ถ้าอรหันต์อื่นจะมาพยากรณ์คุณก็ไม่เชื่อคุณก็ตัดประโยชน์ตนเอง เสียประโยชน์ตนเองไป ก็น่าเสียดาย

 

Thanom Thi.1 ปีที่ผ่านมาหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาแล้วหล่ะ ใครจะบอกได้ ใครจะพยากรณ์  หรือ เดากัน

มีข้อมูลจากบทไหนของพระไตรปิฎกว่า "หน้าที่ในการพยากรณ์ มรรค ผล เป็นหน้าที่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น " อยากรู้ครับ ว่า สิ่งที่คุณพูด มีที่มาที่ไป ไม่ใช่พูดลอยๆ

Darm Pirlo1 ปีที่ผ่านมา

+Thanom Thi. ท่านเคยเห็นภิกษุทั่วไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้จะเป็นอรหันต์มั้ยล่ะอีกอย่างพระพุทธเจ้าเคยพยากรณ์ว่าพระอานนท์จะสำเร็จอรหันต์ในชาตินี้ซึ่งก็คือชาติที่เกิดมาเป็นพุทธอุปัฐฐากนั่นไง

Thanom Thi.1 ปีที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)

 ถ้าพระอรหันต์ เกิดเอง ??

ตอบ...ทุกวันนี้เลยมีแต่พระอรหันต์ที่เดาเอา อาตมาไม่เอา จะเอาพระอรหันต์จริงที่แจ้งชัด ไม่เอาพระอรหันต์เดา เพราะฉะนั้นอาตมาจะบรรยายลักษณะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หรืออาตมามีปฏิภาณรู้ก็ดี จะอธิบายแยกแยะไปหมด แยกแยะแล้วเป็นยถาวาที ก็พูดยืนยันอีกว่าเป็นตถาการี อาตมาเป็นอย่างที่พูด อรหันต์เป็นเช่นนี้อาตมาก็เป็นเช่นนั้น อาสภิวาจา กล่าวคำอย่างแกล้วกล้าอาจหาญเช่นนี้แหละ คุณจะฟังไหวไหม จะโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากหรือไง ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก

ที่เอาคำวิจารณ์ต่างๆมาวิจัยให้ฟัง เพื่อซ้อนย้อนแย้ง นักวิจัยวิจารที่มีเยอะ ก็เป็นเจตนาที่ดีที่หยิบมาวิจัยให้คนได้ขบคิดว่าอะไรผิดหรือถูก จะได้พิพากษาตัดสินตามที่เรามีภูมิธรรม เรามีเท่าไหร่ก็ตัดสินเอา อาตมามีภูมิเท่าไหร่ก็ใช้ตามที่อาตมามีอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจ พยายามที่จะไม่ให้ผิด พยายามพูดบอกหาหลักฐาน เพื่อประกาศออกไปไม่ให้ผิดพลาด คนจะได้รับสิ่งที่ถูกต้อง อาตมาระมัดระวังเพราะถ้าเป็นเรื่องที่ผิด อาตมาก็เป็นบาป อาตมาอยากได้บาปไหม คุณว่า อาตมาไม่ได้ มาโซคิส ถึงขนาดนั้น ว่าตนเองได้ชั่วได้เจ็บปวดนี้มัน มันส์ดี ไม่ได้เป็นคนมาโซคิสขนาดนั้น หรือแม้แต่มีจิตซาดิสม์ เห็นคนเจ็บปวดแล้วมันอาตมาก็ไม่มี

ก็ขอสรุปคำวิจารณ์ที่หยิบมาวิจัย ให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายต่างพยายามแสดงออกมาวิจารณ์ออกมา ก็ดี ด้วยเจตนาดีก็มี ดูเจตนาไม่ดี พูดออกมาอย่างแดกดันประชดประชัน ด่าอย่างสาดเสียเทเสียบ้าง ตีทิ้งไป ก็ไม่เป็นไร วิเคราะห์สิ่งที่เป็นเจตนาดีเป็นสาระ

ขอย้ำ เป็นการประกาศอีกครั้ง ประกาศว่าอาตมานั้น เป็นผู้ที่นำเอา DNA ของพระพุทธเจ้ามา พระสารีบุตร เป็นองค์ 1 ก็เป็นองค์ที่สืบทอด DNA ของพระพุทธเจ้า สืบทอดมาถึงขั้นมีพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นองค์ที่ 2 นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาสืบทอด ท่านมีวิบากระยะหนึ่งที่ต้องเผชิญ ที่ต้องไปฆ่าคนเพราะเป็นค่านิยมสังคมว่าเป็นกษัตริย์ ต้องล่าอาณานิคม ท่านก็แสดงเดช มีฤทธิ์ เก่ง ก็ไปทำตามที่ค่านิยมสังคมมนุษยชาติธรรมดาสามัญ ก็เลยต้องไปมีวิบากฆ่าคนเยอะ แล้วท่านก็มาสำนึกว่าเป็นเรื่องที่ผิด เมื่อท่านสำนึกได้ก็จบก็เลิก ลิงลมอมข้าวพองผ่านไปก็เลิก ตั้งแต่สำนึกได้จนศาสนาพุทธตั้งขึ้นใหม่ ท่านตั้งขึ้นอีกครั้ง ศาสนาพุทธก็สืบทอด DNA ศาสนาพุทธมา ก็ต่อทอดถึงเมืองไทย พ่อขุนรามคำแหงก็สืบทอด DNA ของศาสนาพุทธตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ มาถึงอาตมาก็เป็นโพธิสัตว์รูปหนึ่งที่มารับช่วง DNA ของพระพุทธเจ้า ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชนำมาสืบทอดเอาไว้นั้นมาสืบทอดต่ออีก อันหนึ่ง อาตมาทำผิดหรือครับ ผิดไหมครับ อาตมาไม่ได้ทำผิดใช่ไหม เมื่อไม่ได้ทำผิดก็ตั้งใจฟัง อย่าอคติ อย่าตีทิ้ง อาตมา พูดไปก็ไม่ได้บังคับใครหรอก กรุณาอย่าตีทิ้งอาตมาเลย ได้โปรดเถอะ พยายามลองฟังดูบ้าง เผื่อจะมีอะไรที่ดีมีประโยชน์แก่ตนเอง อาตมาทำหน้าที่นี้จริง มาเป็นผู้สืบทอด DNA ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง อาตมาไม่มีสิทธิ์พูดให้ใครเชื่อ แต่อาตมามีสิทธิ์ที่จะพูดความจริงด้วยความจริงใจและปรารถนาดี ไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับใครแต่ก็ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่แสวงหาสิ่งที่ดี ก็ขอให้ผู้ที่ประสงค์ดี แสวงหาสิ่งที่ดีนั้นได้รับแต่สิ่งที่ดีที่ควรจะได้ในทุกคนเถิด….เจริญธรรม


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:32:36 )

591013

รายละเอียด

591013_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันมหาวิปโยคของชาวไทยในสองรัชกาล

พ่อครูเทศนาไปถึงประมาณ 19.00 น. จึง มีประกาศจากสำนักพระราชวัง

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น

 

แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสดี ที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี

 

สำนักพระราชวัง

13 ตุลาคม 2559

 

จากนั้นทุกคนได้ดูแถลงการณ์จากนายกฯประยุทธิ์ และดูสารคดีเฉลิมพระเกียรติ ต่อ

 

พ่อครูเทศน์ให้คนภายในศาลาเฮือนศูนย์สูญปิดท้ายว่า…

 

การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมชาติ ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงได้

 

ก็ในประเทศไทยในหลวงพระองค์นี้เป็นในหลวงที่เป็นที่รักของประชาชนมาก ในประเทศต่างๆที่คนในประเทศจะมีจิตวิญญาณ รัก คือผูกพันลึกซึ้ง บูชาเทิดทูน เพราะว่าในหลวงพระองค์นี้ท่านทรงงานมาก และทรงงานอย่างเป็นที่ประจักษ์ของชาวโลก อาตมาว่าในต่างประเทศก็มีประเทศที่มีในหลวงมีพระมหากษัตริย์ ข่าวคราวเท่าที่สดับตรับฟัง ก็ไม่เห็นประเทศไหนมีกษัตริย์ที่ทรงงานอย่างประเทศของเรา เด่นชัดเหนือกว่ากษัตริย์องค์ใดในโลก มีพฤติกรรมมีพระจริยวัตรต่างๆที่เราเอามายืนยันได้ทั่วประเทศ ในประเทศของท่านทั่วประเทศ ท่านทรงเสด็จ ทรงงานทั่วประเทศ ซึ่งอาตมาว่าไม่มีกษัตริย์ที่มีพระจริยวัตร ทรงงานกับราษฎร ทรงงานของประเทศหนักขนาดนี้ เท่าที่อาตมามีภูมิปัญญา ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้กว้างขวางที่จะรู้เหนือกว่านี้

ไปเสด็จป่าเขาลำเนาไพรไปหมด ที่มีประชากรประชาชนไทยอยู่ เหมือนพระพุทธเจ้าที่ไปโปรดคนไปทั่ว ในที่ลึกซึ้งที่สุดอาตมาว่าไม่มีใครรู้ เหมือนอาตมารู้ คือท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มีภูมิธรรมของพระโพธิสัตว์ ซึ่งคำตรัสของท่าน เป็นปรัชญาชัดเจนว่าบริหารประเทศด้วยแบบคนจน หรือลึกลงไปคือต้องมาเป็นคนขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา และแบบคนจน อาตมาถือว่าเป็น The great word เป็นพระราชดำรัสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทรงพระแกล้วกล้าชัดเจน ประกาศออกมาได้ว่า ต้องบริหารด้วยแบบคนจน ประเทศไหนใครผู้บริหารประเทศที่ต้องมาบริหารประเทศแบบคนจน คนเราจะให้ประเทศเป็นแบบคนจนแล้วจะอยู่อย่างไร มันต้องมีความลึกซึ้งในความรู้ ในพระปัญญาธิคุณ มีอย่างชัดเจนว่าแบบคนจนก็คือภาษา ชัดๆอยู่แล้ว ก็มาทำตัวให้จน ต้องมาเป็นคนจนกัน อย่าไปแย่งร่ำรวย ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมากน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต

แต่คนไทยกลับรับลูกของท่านไม่ได้ ท่านส่งลูกมา แต่รับสิ่งนี้ไม่ได้ เอามาขยายผล เอามาปฏิบัติ เอามาประพฤติไม่ได้ แต่พวกเรานี้ประพฤติอยู่แล้ว เราก็ขยายผลอยู่ ขนาดนั้นสังคมก็มองไม่เห็นอยู่ เพราะเราทำตามตรงพระราชดำรัส จนกระทั่งพวกเรามาตั้งนามสกุลจนกัน คนก็ยังไม่รู้สึกรู้สาว่าทุกชาวอโศกนั้นสนองพระราชดำรัสจริง ก็ไม่เห็นสังคมโดยนักวิชาการผู้รู้ที่ไหนมาสนองคำตรัสพระราชดำรัสที่ว่าปรัชญาอันนี้ มาเอาแบบคนจนนี้ไม่มีเลย ไม่มีสะท้อนตอบรับเลย เงียบสนิท no respond

ก็ยาก เป็นการชี้บ่งแสดงให้เห็นถึงภูมิธรรมของคน พุทธศาสนิกชนทั่วไปคือนักรัฐศาสตร์ก็ตาม ฟังแล้วไม่กระดิกหูในเรื่องนี้ ไม่มีใครโดดเด่นสามารถเอาปรัชญาอันนี้มาขยายผลมาทำงานในสังคมให้เห็นเด่นชัด ไม่เห็นมีเลย

ก็น่าสงสารประเทศ ที่มีพระเจ้าอยู่หัวทรงพระปัญญาธิคุณขนาดนี้  ทรงแบบอย่างถึงขนาดนี้ แต่ผู้ตามรอยพระยุคลบาทไม่ได้ มันน่าเศร้าใจประเทศชาติ

 

จบ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1dQ5RlqhMW5aZC-mqYqJgXUU_mOOSec882CZvrw54Zpo

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfNGxXX01scUFWdFU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/6h2dl8fdnrwt/161013

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:32:59 )

591013

รายละเอียด

591013_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันมหาวิปโยคของชาวไทยในสองรัชกาล

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่บ้านราชฯเมืองเรือ วันนี้ก็มีนักเรียนมาร่วม เป็นวันที่เราจะได้ให้ถามปัญหากัน ก่อนจะเริ่มรายการก็มีคำเชิญชวนให้เข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เราได้จัดถึงครั้งที่ 15 แล้ว เชิญให้มาปฏิบัติธรรมกัน เดือนละครั้ง คนข้างนอกก็มาร่วมน้อยเหลือเกิน ใครได้ยินได้ฟังก็เชิญเข้ามาร่วมกันได้ เอาธรรมะใส่ใจกันบ้าง พรุ่งนี้วันศุกร์ก็จะได้ย้ำถึงความควรหรือความไม่ควรว่าชีวิตควรได้อะไรในชีวิต ไปถูกหลอกกันเสียมากกว่า เห็นนรกสวรรค์เห็นสวรรค์เป็นนรกกัน ที่เราพยายามพากันแนะนำไปในทางที่ดีสื่อสารธรรมะอันสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ไม่มีภูมิปัญญากันเลยคนไทยเอ้ย ที่พูดนี้ว่าหนักว่าแรงมากนะ จะรู้สึกสะดุ้งสะเทือนกันหรือไม่ก็ไม่รู้

เชิญร่วมกิจกรรมค่ายสัมมาอาริยมรรค  เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

ครั้งที่ 15  ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 14 - อาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559

ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)

พบกับกิจกรรมตามหลักสัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8 โดยหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

_ฟังวิถีอาริยธรรมสดและถามปัญหาจากพ่อครู

_สนทนาธรรมกับสมณะสิกขมาตุเป็นกลุ่มย่อย

_ใส่บาตรสมณะ สิกขมาตุ

_ฝึกสัมมาอาชีวะ ตามหลักสัมมาอาริยมรรค มีองค์ 8

สนใจเข้าค่าย ติดต่อร้านอุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลฯ หรือที่ inbox เฟสบุคกองทัพธรรมFP หรือโทรฯ คุณมิ่งหมาย มุ่งมาจน 085-9254783 หรือ คุณชญาดา 087-4437865

 

มีคำถามแรก

_คุณใบฟ้า มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่พุทธบริษัท 4 ในพุทธกาลจะมาสืบทอดสืบสานศาสนาในแต่ละยุคสมัยจะมาร่วมสืบสานศาสนากับนิยตโพธิสัตว์ในยุคกาลนี้

ตอบ...ถามล้วงลึกให้ระลึกชาติ อาตมาก็ไม่นิยมทำด้วยเรื่องอย่างนั้น ถ้าพูดไปแล้วมีไหม คนที่ร่วมสมัยนั้นมีแน่นอน แต่เขาก็ไปตามวิบากของเขา เขาก็แสดงส่วนที่เขาแสดง แสดงออกตามวิบากของเขาแต่ละคนๆ เป็นอจินไตยที่ยากจะตอบ อาตมาได้เปรยระบุคนไปบ้างแต่ไม่ระบุตรงๆ ว่าชาตินี้เป็นคนนั้นคนนี้ มีร่วมไหม มีร่วมโดยนัยที่จะมารวมเป็นปึกแผ่นอย่างพระพุทธเจ้าที่จะมาประกาศศาสนา มีอสีติสาวก 80 รูป มีอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ที่ได้สั่งสมบารมีร่วมกับท่านมาของพระพุทธเจ้าในครบพร้อม ของอาตมานั้นมีบ้าง แต่ไม่ได้เป็นปึกแผ่นเพราะอาตมาไม่ได้เป็นผู้สร้างศาสนาไม่ได้เป็นผู้มีบารมีปานนั้น ก็เคยเปรยปราย

แต่ที่จริงเคยย้ำแล้วว่า ปางนี้ชาตินี้อาตมาออกมาทำงานศาสนา เป็นการทำงานศาสนาในบทเรียนของอาตมา บทเรียนนั้นคือคนเดียวเลย ควงง้าว ควงทวนคนเดียว คนอื่นก็กระปริบกระปรอย ไม่ชัดไม่เด่น ก็เป็นการแสดงธรรม สอดคล้องกับอาตมาบ้าง ช่วยนิดๆหน่อยๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวเป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ แต่ผู้มีปฏิภาณเท่านั้นจะรู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องสอดคล้องกัน เป็นทางเดียวกัน อ๋อ โพธิรักษ์ ชี้ทิศทางแบบนี้คนนี้พูดเหมือนหรือเข้าทางของพระโพธิรักษ์แฮะ

ขออภัยขอกล่าวอย่างที่ในหลวงท่านตรัส นั่นแหละคืออันเดียวกับอาตมา ในหลวงกับอาตมามาร่วมกันแน่นอน แต่คนไม่กระดิกหูเลย ต้องมาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นั่นแหละคือพระพุทธศาสนา 100 เปอร์เซ็น แต่มันยืนยัน ยืนยันอะไร ยืนยันว่าทุกวันนี้ชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชน แม้จะเป็นผู้ที่อยู่ในกระแสหลักของพุทธศาสนา ไม่กระดิกหูเลย ไม่กระเตื้องเลย มีแต่ไปหลงเอาแบบคนรวย ไม่มาขาดทุนมีแต่จะเอาเปรียบเป็นอย่างนั้นจริงๆเลย

ต้องมาเอาแบบเศรษฐกิจพอเพียง ความสันโดษคืออะไร ความพอเพียง ใจพอคืออะไร แต่เขาไปแปลสันโดษว่า ยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ มันก็พอใจในสิ่งที่ข้ามีความรวย ข้ามีเท่านี้ก็พอใจในความรวยของข้า ถ้ารวยเพิ่มขึ้นอีกก็พอใจในความรวยของข้าอีก แทนที่จะมาเรียนรู้เพื่อลดละหน่ายคลายสิ่งเหล่านั้น ซึ่งมันเพี้ยนผิดเลอะเทอะไปหมดเลย

อาตมากล่าวขึ้นมาก็อธิบายพาดพิงไปแล้วว่า จะมีคนที่มาอย่างนั้นไหม ก็มีแต่ไม่เป็นปึกแผ่นอย่างพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้อาจเอื้อม อย่างในหลวงท่านก็องค์หนึ่งในยุคนี้ที่ยืนยันได้ ว่าท่านตรัสเนื้อหาสาระของสัจจะ ธรรมะพระพุทธเจ้านั่นแหละคือโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าคืออาริยธรรม

อาริยะจะต้องมามักน้อยสันโดษมีวรรณะ 9 เป็นคนชั้นสูง The classes ไม่ใช่ The masses คือคนพื้นๆปุถุชน แต่นี่คือ The classes  มีวรรณะ 9  (พตปฎ. ล.1  ข.20)

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  เป็นอาการของอาริยบุคคล

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ไม่ใช่เที่ยวไปสะสมเงินทองสมบัติพัสถาน ต้องสละออก ตั้งแต่วัตถุไปจนกระทั่งถึงนามธรรมเป็นสำคัญ ที่จริงแล้วเน้นนามธรรม

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) เป็นคนปรารภความเพียรเสมอ นี่คือ  The classes ชั้นแห่งความเจริญ จะเรียกว่าศาสนาพุทธแบ่งชั้นวรรณะ ก็ไม่ใช่อันนั้นแบบความหมายนั้น แต่เป็นฐานะชั้นแห่งผู้เจริญผู้ประเสริฐ วรรณะ 9 ของพพจ.

ศาสนาพุทธนั้นเป็นไปเพื่ออันนี้ ท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม1เลยข้อ20 ในพระวินัยปิฎก

ตอนนี้มันเสื่อมจนกระทั่งไม่รู้จะว่าอย่างไร ว่าจนไม่ไว้หน้ากัน ก็เกรงใจนะ ความรู้สึกลึกๆของอาตมา จริงๆนะเกรงใจ เพราะเขาใหญ่ เขาเป็นที่เคารพนับถือบูชา เขาต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นฐานของสังคมด้วย อาตมาก็เป็นคนกระจอกมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีที่ไปที่มา ไม่มีหลักมีฐาน ไม่มีอลังการ ไม่มียศศักดิ์อะไร

กล่าวมาโดยไม่ได้ทนนะ อุตสาหะหรือน่าเบื่ออะไร กล่าวอย่างไม่ได้ยาก ไม่ได้ทนอะไร กลับเต็มใจตั้งใจ อุตสาหะพากเพียรมากล่าว ที่กล่าวนี้กล่าวมา 46 ปีแล้วที่มาทำหน้าที่นี้ ตั้งแต่ออกจากทางโลกมาทำงานหน้าที่เปิดเผยธรรมะอันเป็นสัมมาทิฐิที่สามารถปฏิบัติจนเกิดสัมมาปฏิเวธเป็นธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

อาตมาเป็นจอมยุทธกระบี่เดียวดาย มือกระบี่ว้าเหว่ อาตมาเชื่อว่า พูดมา สี่สิบกว่าปีเขาฟังแล้ว ก็เห็นดีแล้วตอนแรกอาจว่าไม่ใช่ แต่อาตมาเอาพระไตรปิฏกมาอธิบาย ผู้ที่ไม่มีอุปทาน ยึดมั่นในทิฏฐุปาทานเกินไป ก็จะฟังได้ ส่วนอัตวาทุปาทานนั้นยิ่งกว่ายึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวเอง คือแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้จักอัตตาตัวเอง ยึดในเปลือกคือวาทะ ไม่ได้รู้จักอัตตาจริง แล้วยึดมั่นถือมั่น ส่วนกามุปาทาน ปุถุชนก็ยึดมั่นในกามทุกคน ไม่ละเว้นแม้แต่พระ ที่เป็นพระอยู่ทุกวันนี้ก็ยึดกามุปาทานกันเยอะ ไม่ได้ศึกษาลดละ

สัจจะของพระพุทธเจ้ามีแต่กามกับอัตตา สองอย่างนี้ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรศาสนาพุทธนั้นให้เรียนรู้ กามสุขขัลลิกะ กับอัตตกิลมถะ แล้วก็ล้างสองอย่างนี้ให้หมด ไม่มีแล้วก็เป็นกลางหรือมัชฌิมา

ทางปฏิบัติคือมรรคมีองค์ 8 เรียกว่าปฏิปทาให้เอาไปปฏิบัติแล้วจะเกิดมัชฌิมา เกิดความเป็นกลาง ก็เลยเอามารวมกันว่ามรรคมีองค์ 8 คือ ทางปฏิบัติเพื่อมัชฌิมา ก็เลยรวมว่าเป็นทางสายกลาง คำว่าทางสายกลางก็ชี้บอกแต่ทาง แต่ไม่มีผลเลย ปฏิปทาคือมรรค  มัชฌิมาคือผล เขาแปลแค่มรรค แต่ไม่เข้าใจผล เพี้ยนไปจากผล

จิตที่มันเป็นกลางแล้ว มีอุเบกขาเป็นฐานกลางฐานว่าง ว่างจากสองข้าง ไม่มีโสมนัสไม่มีโทมนัสก็คืออุเบกขา นี่คือกลาง นี่คือมัชฌิมา แต่ไม่รู้จักก็เลยเพ้อเจ้อถึงจิตว่างจิตกลาง ไม่อยู่ในมรรคที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นตรรกะหมดเลย ในจิตที่วาง จิตที่เป็นกลาง ก็เป็นตรรกะไปหมดเลย ไม่อยู่ในหลักมรรคมีองค์ 8 เลย มันก็เลยไม่มีความบรรลุไม่มีผล

ในพระสูตร เตวิชสูตร ที่แสดงถึงยุคพระพุทธเจ้าว่า คำสอนมีเยอะ คือพราหมณ์มหาศาลมีเยอะ แล้วมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ท่องบทมนต์สาธยายบทมนต์ เยอะแยะ แต่เป็นปทปรมะหมด เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนยุคที่พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนา ศาสนาก็เพี้ยนไปหมดแล้ว ที่จริงแล้วศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธนั้นมันอันเดียวกัน แต่ศาสนาพราหมณ์มันเพี้ยนไปจากพุทธจนกลายเป็นเทวนิยม แล้วศาสนาพราหมณ์ก็คือสำนวนที่ท่านตรัสว่า เป็นสหายแห่งพรหม

คำว่าเป็นสหายแห่งพรหมก็คือนิพพาน คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีทั้งเทวดาไม่มีทั้งสัตว์นรก เป็นจิตที่พ้นจากเทวดาและนรก เรียกว่าพรหม

ย้อนถึงทานสูตรที่อาตมาได้ขยายความ

ท่านตรัสว่า ทำทานอย่างไรจึงมีผลมีอานิสงส์ แล้วทำทานอย่างไรจึงมีผลไม่มีอานิสงส์

ก็คือการทำทานอย่างทำใจในใจไม่เป็น ไม่รู้จักภพไม่รู้จักชาติ เพราะฉะนั้นทำทานแล้วตั้งจิตใจที่สร้างภพชาติ ก็เลยไม่มีอานิสงส์ แล้วมีผลเป็นผลนรก และผลของสวรรค์เก๊ ได้สวรรค์เก๊ แต่ได้นรกแท้ๆ

เพราะทำทานแล้วจิตใจตั้งหวัง (สาเปกโข) แล้วจิตผูกพันในผลทาน ปฏิพัทจิตโต แล้วสั่งสม สันนิธิเปกโข ไปสู่ชาติหน้า เป็นสวรรค์วิมาน อย่างที่สอนกันว่าตายไปแล้วจะได้ไปอยู่สวรรค์เฟส 3 หรือเฟส 2 ก็จมอย่างนั้น เถรสมาคมก็เป็นลูกน้องของธรรมกายเป็นสาวกธรรมกายไปหมด แม้แต่ผู้ที่จะขึ้นเป็นสมเด็จสังฆราชองค์ ต่อไปก็เป็นสาวกของธรรมกายไปหมด นี่เป็นว่าที่สังฆราช ดูเหมือนใหญ่กว่า แต่ที่แท้นั้นเป็นบริวารของธัมมชโย เป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจจริงๆ

ตำหนิจนกลายเป็นดูถูกหนักหนาสาหัสไปแล้ว ตำหนิสิ่งควรตำหนิ จนดูถูกดูแคลน ก็ยังไม่กระเตื้องไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ยังไม่ปรับตัวยังไม่เปลี่ยนแปลง ว่าทางถูกเป็นเช่นนี้ส่วนอันนั้นเป็นทางที่ผิด ก็ไม่มีใครกล้าหาญ ไม่มีใครแกล้วกล้าอาจหาญ มีแต่คนตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ สำหรับสังคมพุทธทุกวันนี้

มีคนพูดเหมือนกันว่าทำไมโพธิรักษ์ถึงได้บังอาจพูดว่าเขาไปหมด บางคนก็บอกว่าพระองค์นี้มีแต่ด่าพระศาสนา คือแปลเจตนารมณ์ของอาตมาไปจนเสียหาย ซึ่งอาตมากำลังพูดความจริง ประกาศความจริงว่า ผู้ที่ดำเนินการศาสนานั้นน่าตำหนิก็ตำหนิ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ที่จะชมนั้นก็ไม่ค่อยมีเพราะในวงการศาสนานั้นผิดเพี้ยนไปเสียมาก ก็พูดมาเกือบห้าสิบปีแล้ว ถึงวันนี้แล้วก็ดูหยาบแรง แต่อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะพูดดีมานานแล้ว ตั้ง สี่สิบกว่าปีแล้ว วันนี้เลยกลายเป็นคนจะบอกว่า ปากปลาร้า เขาก็ใช้ว่าผู้หญิง

_จิตของอาริยะขั้นต่ำ ผมมั่นใจว่าไม่มีจิตฆ่าสัตว์เด็ดขาด และไม่มีจิตใจคิดกลั่นแกล้งคนอื่นให้เสียหายแม้แต่วัตถุที่ผู้อื่นดูแลให้เสียหาย

ตอบ..จิตของอาริยะโสดาบัน มีศีล 5 เป็นศีลพื้นฐานขั้นต่ำ ครบในลักษณะเบื้องต้นของพฤติกรรมมนุษย์

กายมี 3 ข้อแรก ข้อ 4 วจีกรรม ข้อ 5 มโนกรรมก็ครบแล้วในธรรมะพระพุทธเจ้า ผู้ที่เป็นอารยะเบื้องต้น ถือว่าเข้าข่ายอารยชนบริสุทธิ์ในศีล 5 บริสุทธิ์แล้วจะไม่ละเมิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ว่าพระโสดาบันนั้นเป็นผู้ที่ไม่ละเมิดศีล 5แม้แต่ชีวิตจะหาไม่ คือเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ฆ่าสัตว์แม้สัตว์จะฆ่าเรา ให้มันฆ่าเราได้ ถ้าคุณเป็นคนแล้วหนีไม่ได้ สัตว์มันฆ่าคุณก็ตายฟรี แต่โสดาบันจะไม่ฆ่าสัตว์ ก็หนีและเลี่ยงเอาอย่าให้สัตว์มันฆ่า

ส่วนศีลข้อ 2 ไม่มีจิตใจคิดกลั่นแกล้งคนอื่นให้เสียหายแม้แต่วัตถุที่ผู้อื่นดูแลให้เสียหายส่วนวัตถุที่เขาดูแลอยู่ เราก็ไม่ไปมีสิทธิ์ที่จะไปดูแลวัตถุนั้น ไปจัดการ ให้เขาจัดการดูแลก็เป็นสิทธิของเขา ก็ถูกต้อง

ส่วนศีลข้อ 1 อย่าฆ่าสัตว์ ลดโทสะ ศีลข้อ 2 ต้องลดโลภะ คือของที่ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีหน้าที่ยุ่งเกี่ยวละเมิดละลาบละล้วงไปเอาของเขามาเป็นของเรา เราไม่ทำ

ศีล 5 เป็นการบ่งบอกถึงความเจริญพื้นฐานของคน ของพระพุทธเจ้า  ในสังคมชาวอโศกถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ เป็นสังคมมีศีล ศีลพื้นฐานคือศีล 5 อาตมาเองก็นำพามาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ชุมชนชาวอโศกของเราทุกชุมชน ผู้ที่เป็นสมาชิกชุมชนจะต้องถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ จะถือศีล 8 หรือศีล 10 เจริญขึ้นกว่าก็ไม่เป็นปัญหา

ข้อหนึ่ง มีเหตุผลที่จะต้องฝึกฝนตนให้เป็นผู้ที่ลดละ โทสะ ไม่ลุแก่อำนาจโทสะของตน ถ้าจิตมีอาการอยากฆ่า แล้วเจตนาฆ่าเลย โดยองค์ปานาติบาตครบ

1 สัตว์มีชีวิต 2 รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 3 คิดจะฆ่า 4 พยายามฆ่า 5 ฆ่าได้สำเร็จ สัตว์ตาย ครบองค์แห่งการฆ่า ปานาติบาต ทำให้ชีวิตสัตว์ตกล่วงคือตาย

ถ้าครบ 5 ข้อนี้ก็คิด 100% ในศีลข้อที่ 1

ผู้ใดที่มีเจตนาไม่ฆ่าสัตว์ แต่ถ้าเผลอก็ไม่ได้เจตนา แต่จะบอกว่าบาปไหมก็บาป แต่จะบอกว่าเป็นอกุศลจิตก็ไม่มีอกุศลจิต เพราะจิตไม่ได้เจตนา แต่มันมีเหตุปัจจัยเผลอหรือไม่รู้ตัว ฆ่าสัตว์ เช่นเดินไปเหยียบสัตว์ ตัวที่เหยียบได้

 

วันมหาวิปโยคของชาวไทยในสองรัชกาล

มีประกาศจากสำนักพระราชวัง

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น

 

แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสดี ที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี

 

สำนักพระราชวัง

13 ตุลาคม 2559

 

จากนั้นทุกคนได้ดูแถลงการณ์จากนายกฯประยุทธิ์ และดูสารคดีเฉลิมพระเกียรติ ต่อ

 

พ่อครูเทศน์ให้คนภายในศาลาเฮือนศูนย์สูญปิดท้ายว่า…

 

การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมชาติ ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงได้

 

ก็ในประเทศไทยในหลวงพระองค์นี้เป็นในหลวงที่เป็นที่รักของประชาชนมาก ในประเทศต่างๆที่คนในประเทศจะมีจิตวิญญาณ รัก คือผูกพันลึกซึ้ง บูชาเทิดทูน เพราะว่าในหลวงพระองค์นี้ท่านทรงงานมาก และทรงงานอย่างเป็นที่ประจักษ์ของชาวโลก อาตมาว่าในต่างประเทศก็มีประเทศที่มีในหลวงมีพระมหากษัตริย์ ข่าวคราวเท่าที่สดับตรับฟัง ก็ไม่เห็นประเทศไหนมีกษัตริย์ที่ทรงงานอย่างประเทศของเรา เด่นชัดเหนือกว่ากษัตริย์องค์ใดในโลก มีพฤติกรรมมีพระจริยวัตรต่างๆที่เราเอามายืนยันได้ทั่วประเทศ ในประเทศของท่านทั่วประเทศ ท่านทรงเสด็จ ทรงงานทั่วประเทศ ซึ่งอาตมาว่าไม่มีกษัตริย์ที่มีพระจริยวัตร ทรงงานกับราษฎร ทรงงานของประเทศหนักขนาดนี้ เท่าที่อาตมามีภูมิปัญญา ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้กว้างขวางที่จะรู้เหนือกว่านี้

ไปเสด็จป่าเขาลำเนาไพรไปหมด ที่มีประชากรประชาชนไทยอยู่ เหมือนพระพุทธเจ้าที่ไปโปรดคนไปทั่ว ในที่ลึกซึ้งที่สุดอาตมาว่าไม่มีใครรู้ เหมือนอาตมารู้ คือท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มีภูมิธรรมของพระโพธิสัตว์ ซึ่งคำตรัสของท่าน เป็นปรัชญาชัดเจนว่าบริหารประเทศด้วยแบบคนจน หรือลึกลงไปคือต้องมาเป็นคนขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา และแบบคนจน อาตมาถือว่าเป็น The great word เป็นพระราชดำรัสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทรงพระแกล้วกล้าชัดเจน ประกาศออกมาได้ว่า ต้องบริหารด้วยแบบคนจน ประเทศไหนใครผู้บริหารประเทศที่ต้องมาบริหารประเทศแบบคนจน คนเราจะให้ประเทศเป็นแบบคนจนแล้วจะอยู่อย่างไร มันต้องมีความลึกซึ้งในความรู้ ในพระปัญญาธิคุณ มีอย่างชัดเจนว่าแบบคนจนก็คือภาษา ชัดๆอยู่แล้ว ก็มาทำตัวให้จน ต้องมาเป็นคนจนกัน อย่าไปแย่งร่ำรวย ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมากน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต

แต่คนไทยกลับรับลูกของท่านไม่ได้ ท่านส่งลูกมา แต่รับสิ่งนี้ไม่ได้ เอามาขยายผล เอามาปฏิบัติ เอามาประพฤติไม่ได้ แต่พวกเรานี้ประพฤติอยู่แล้ว เราก็ขยายผลอยู่ ขนาดนั้นสังคมก็มองไม่เห็นอยู่ เพราะเราทำตามตรงพระราชดำรัส จนกระทั่งพวกเรามาตั้งนามสกุลจนกัน คนก็ยังไม่รู้สึกรู้สาว่าทุกชาวอโศกนั้นสนองพระราชดำรัสจริง ก็ไม่เห็นสังคมโดยนักวิชาการผู้รู้ที่ไหนมาสนองคำตรัสพระราชดำรัสที่ว่าปรัชญาอันนี้ มาเอาแบบคนจนนี้ไม่มีเลย ไม่มีสะท้อนตอบรับเลย เงียบสนิท no respond

ก็ยาก เป็นการชี้บ่งแสดงให้เห็นถึงภูมิธรรมของคน พุทธศาสนิกชนทั่วไปคือนักรัฐศาสตร์ก็ตาม ฟังแล้วไม่กระดิกหูในเรื่องนี้ ไม่มีใครโดดเด่นสามารถเอาปรัชญาอันนี้มาขยายผลมาทำงานในสังคมให้เห็นเด่นชัด ไม่เห็นมีเลย

ก็น่าสงสารประเทศ ที่มีพระเจ้าอยู่หัวทรงพระปัญญาธิคุณขนาดนี้  ทรงแบบอย่างถึงขนาดนี้ แต่ผู้ตามรอยพระยุคลบาทไม่ได้ มันน่าเศร้าใจประเทศชาติ

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:39:08 )

591014

รายละเอียด

591014_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปรากฏการณ์พลังแห่งแผ่นดินของปวงชนชาวไทย

พ่อครูว่า..เจริญธรรมทุกๆคน โดยเฉพาะผู้มาเข้าคอร์ส ครั้งที่ 15 ณ ราชธานีอโศกนี้ วันนี้วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2559 เพิ่งจะผ่านวันที่ 13 ตุลาคม 2559 มาหยกๆ เหตุการณ์กำลังอุบัติร้อนๆ วันนี้ขึ้น 13 ค่ำเดือน 11 เมืองไทยเรากำลังมีทั้งรูปธรรม และนามธรรม ที่เป็นปรากฏการณ์ แสดงให้ชาวโลกรู้ ชาวโลกเขาเห็น ให้สัมผัส โดยเฉพาะทางนามธรรมทางด้านจิตวิญญาณ มันมีลักษณะจริง แล้วก็มีตัวบุคคลยืนยันด้วยพร้อมกับจิตวิญญาณ อย่างในหลวงร. 9 ในพระบรมโกศของเราที่สิ้นไปนี้ มีทั้งรูปและนาม มีทั้งสภาพตัวตนบุคคลและพระจิตวิญญาณ แสดงถึงวิญญาณอันสูงส่ง มีพระกรุณาธิคุณ มีพระบริสุทธิคุณต่างๆ ซึ่งเป็นเนื้อแท้ของ เจโต ของจิตจริงๆ แสดงออกมาตลอดเวลา 70 ปี คนได้รู้ได้เห็นมา เป็นหลักฐานยืนยัน แล้วก็นำพา พระองค์ก็มีพระจริยวัตรของพระองค์ไป ไม่ได้หาเสียงไม่ได้โฆษณา ไม่ได้ไปหลอกไม่ได้ไปหว่านล้อม ไม่เลียบเคียงให้คนอื่นเขามาช่วย อย่างโฆษณา ก็เป็นไปตามธรรม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ปรากฏการณ์นั้นยืนยันอย่าง คนที่มีปัญญามีปฏิภาณสามารถ เข้าใจได้ วัดจิตวิญญาณมีพลังอำนาจมีพลังมีอธิปไตย มีจริงๆ มี soverignty อย่างแท้จริง

ประชาธิปไตยขาเดียว คือประชาธิปไตยที่ไม่มีการสั่งสมทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะทางธรรม ที่สืบทอด DNA ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะเข้าใจดีเอ็นเอทางจิตวิญญาณ

DNA ที่เขาใช้กันในทางฟิสิกส์หรือชีววิทยา เป็นเพียงสรีรพันธุ์ ได้ทาง Biology ถ่ายทอดทาง genetic ต่างๆ ถ้าเราแยกสภาพของ ธาตุวัตถุกับนามธรรม อาตมาได้อธิบายไปถึงแยก ธาตุ จิตวิญญาณ ตั้งแต่วัตถุเป็นอุตุ จนมาเป็นสสารที่มีชีวะ เบื้องต้นเป็นชีวะ มีธาตุรู้มีสัญญา สังขาร แต่พลังงานยังไม่ถึงขั้นเป็นวิญญาณ มีแค่สัญญากับสังขาร ยังไม่มีเวทนา ก็เป็นชีวะ ก็ได้อธิบายตามภูมิปัญญาอาตมา ก็ได้เท่านี้ แต่รู้ตัวว่ามันยังอยู่ในก้นบึ้งของสัญญาเก่าอยู่เยอะ ขึ้นมายังไม่หมด ก็ค่อยๆขึ้นมา ที่มีขึ้นมาเรื่อยๆนี้เยอะ ที่ไม่มีในหลักฐานตำนานประวัติศาสตร์บันทึกไว้ ที่อาตมาพูดนี้มีหลายอย่างเป็นอจินไตย เพื่อให้มีผู้มีปัญญาสามารถศึกษาได้ต่อไป ไม่ได้พูดอย่างอยากอวดโอ่ ถ้าจะพูดเช่นนั้นก็พูดมานานแล้ว

จนอาตมาประกาศว่ามีดีเอ็นเอที่สืบทอดจากพระสารีบุตร แต่อาตมาไม่ใช่พระสารีบุตรนะทุกวันนี้ แต่อาตมาใช้ DNA ที่เป็นนามธรรมนั้นพัฒนามาแล้ว มาอาศัยใช้ในร่างนั้นวิญญาณก็แยกไป  แต่วิญญาณนั้นมีพัฒนาการก็เชื่อมต่อ ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ เลื่อนไหลเชื่อมต่อดีเอ็นเอพระสารีบุตร จนกระทั่งถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งก็มีหลักฐานยืนยัน ว่ามันมีวิบากต่อมา ไม่ใช่มีแต่ตำนานประวัติศาสตร์ ทั้งพระสารีบุตรและพระเจ้าอโศกมหาราชจนกระทั่งมาเป็นพ่อขุนรามคำแหงก็มีประวัติศาสตร์ อาตมาก็มีประวัติศาสตร์เป็นปัจจุบัน ยังมีอีกนะ ฟังไว้ก็ได้ อาตมาไม่ได้อวด จะบอกให้ทราบเพื่อศึกษา แต่อย่าเพิ่งอะไรมากมาย จำแต่ภาษาเอาไว้ก่อน

มีตะวันทับฟ้า กับเดือนเด่นฟ้า ใครจะเป็นใคร คอยติดตาม ตอนนี้ไม่อธิบายมาก

 

FB Mk Mapace

เรื่องราวนี้ควรถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ไทย วันที่ 13 ต.ค.2559

 

" ในขบวนรถไฟ ขากลับจากทำงาน ผู้คนโดยสารค่อนข้างแน่น ทั้งนั่งและยืน

แต่ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ คาดว่าคงรอฟังข่าวข่าวนึงอยู่เหมือนกัน

สักครู่นึง มีพี่ที่นั่งตรงข้าม ก้มดูโทรศัพท์ และเริ่มร้องไห้...

เราและคนที่เห็น ต่างก็ดูโทรศัพท์กันทันที

.. ประกาศจากสำนักพระราชวัง ฉบับนั้น มันบีบหัวใจคนไทยเหลือเกิน

ทั้งพระมหากรุณาธิคุณ และ ความจงรักภักดี แล้วหลายๆ คนบนรถไฟก็เริ่มก้มหน้าร้องไห้ น้ำตาไหล จมูกแดง เสียงสะอื้น ปนกัน

สักพัก มีพี่คนนึงยื่นมือไปจับมือป้าอีกคนที่กำลังร้อง น้าสองคนที่ไม่รู้จักกัน ตบไหล่ปลอบใจกัน

กลุ่มคนหลายๆ วัย จับมือกันและร้องไห้  พี่ผู้ชายคอยยื่นกระดาษทิชชู่ให้แก่ทุกคนที่ร้องไห้เสียใจ

แม้แต่คุณป้าที่นั่งข้างเรา ก็ยื่นมือมาจับแขนเรา พร้อมทั้งบอกเราว่า "ท่านเหนื่อยมามากแล้วลูก"

เราและป้าก็ต่างก้มหน้าสะอื้น โดยที่ไม่รู้จักเลยว่าใครเป็นใคร เป็นคนที่ไหน

ในใจขณะที่กำลังเสียใจอยู่นั้น ก็คิดขึ้นได้ว่า มีคนตั้งเท่าไหร่พยายามจะทำให้คนไทยแตกแยก

แต่ 'พระองค์' เดียวนั้น สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยนั้น  หยิบยื่น 'ความอารี' ให้กันได้แบบนี้

พระองค์รักเรา เราต่างก็รักพระองค์สุดหัวใจ ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นนั้น

มันทำให้เรา ส่งต่อ ความรักให้กันได้แบบที่เห็นนี้ เป็น 'ภาพที่แสนงดงาม' ภายใต้วันที่มืดมนนี้

หวังเพียงพระองค์ทรงได้ทอดพระเนตรว่า คนไทยของพระองค์ทุกคน "รักพระองค์มากขนาดไหน"

เราทุกคนต่างรู้เต็มหัวใจ ว่าเราต่างโชคดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ได้อาศัยบนแผ่นดินนี้ มีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลก ไม่ว่าจะมีชีวิตอีกกี่ครั้ง

ขอเป็นเศษดินเล็กๆ ใต้ฝ่าพระบาทเช่นนี้ ทุกชาติไป

รักพระองค์ ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย...

13 ตุลาคม 2559.

 

เดลินิวส์

ฟรีทีวี"งดละครไม่มีกำหนด ร่วมไว้อาลัย"ในหลวง"

"ฟรีทีวี" ร่วมมือตามประกาศ กสทช. งดละครและรายการรื่นเริงไม่มีกำหนด เพื่อร่วมไว้อาลัย "ในหลวง" สวรรคต...

 

เฟสบุคประกาศ !! ยุติการแสดงโฆษณาในประเทศไทยชั่วคราว ถวายความอาลัยการสวรรคตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

มีกองสลาก งดการถ่ายทอดสดการจับสลากล็อตเตอรี่อีกด้วย

พ่อครูว่า...อาตมาคิดว่ากองสลากคงจะยุบได้สักวันหนึ่ง แต่มันยังมีคนที่แหงบๆๆๆในนั้นด้วยสักวันหนึ่งคงถูกปราบ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1psUpV7zLHc9xdVvPb5RWhkdi1PcyqoibJixCiCXAsSI

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfYzBTWmpHZlBENGc

 

หรือที่นี่....

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:39:38 )

591014

รายละเอียด

591014_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปรากฏการณ์พลังแห่งแผ่นดินของปวงชนชาวไทย

พ่อครูว่า..เจริญธรรมทุกๆคน โดยเฉพาะผู้มาเข้าคอร์ส ครั้งที่ 15 ณ ราชธานีอโศกนี้ วันนี้วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2559 เพิ่งจะผ่านวันที่ 13 ตุลาคม 2559 มาหยกๆ เหตุการณ์กำลังอุบัติร้อนๆ วันนี้ขึ้น 13 ค่ำเดือน 11 เมืองไทยเรากำลังมีทั้งรูปธรรม และนามธรรม ที่เป็นปรากฏการณ์ แสดงให้ชาวโลกรู้ ชาวโลกวง slot machineเขาเห็น ให้สัมผัส โดยเฉพาะทางนามธรรมทางด้านจิตวิญญาณ มันมีลักษณะจริง แล้วก็มีตัวบุคคลยืนยันด้วยพร้อมกับจิตวิญญาณ อย่างในหลวงร. 9 ในพระบรมโกศของเราที่สิ้นไปนี้ มีทั้งรูปและนาม มีทั้งสภาพตัวตนบุคคลและพระจิตวิญญาณ แสดงถึงวิญญาณอันสูงส่ง มีพระกรุณาธิคุณ มีพระบริสุทธิคุณต่างๆ ซึ่งเป็นเนื้อแท้ของ เจโต ของจิตจริงๆ แสดงออกมาตลอดเวลา 70 ปี คนได้รู้ได้เห็นมา เป็นหลักฐานยืนยัน แล้วก็นำพา พระองค์ก็มีพระจริยวัตรของพระองค์ไป ไม่ได้หาเสียงไม่ได้โฆษณา ไม่ได้ไปหลอกไม่ได้ไปหว่านล้อม ไม่เลียบเคียงให้คนอื่นเขามาช่วย อย่างโฆษณา ก็เป็นไปตามธรรม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ปรากฏการณ์นั้นยืนยันอย่าง คนที่มีปัญญามีปฏิภาณสามารถ เข้าใจได้ วัดจิตวิญญาณมีพลังอำนาจมีพลังมีอธิปไตย มีจริงๆ มี soverignty อย่างแท้จริง

ประชาธิปไตยขาเดียว คือประชาธิปไตยที่ไม่มีการสั่งสมทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะทางธรรม ที่สืบทอด DNA ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะเข้าใจดีเอ็นเอทางจิตวิญญาณ

DNA ที่เขาใช้กันในทางฟิสิกส์หรือชีววิทยา เป็นเพียงสรีรพันธุ์ ได้ทาง Biology ถ่ายทอดทาง genetic ต่างๆ ถ้าเราแยกสภาพของ ธาตุวัตถุกับนามธรรม อาตมาได้อธิบายไปถึงแยก ธาตุ จิตวิญญาณ ตั้งแต่วัตถุเป็นอุตุ จนมาเป็นสสารที่มีชีวะ เบื้องต้นเป็นชีวะ มีธาตุรู้มีสัญญา สังขาร แต่พลังงานยังไม่ถึงขั้นเป็นวิญญาณ มีแค่สัญญากับสังขาร ยังไม่มีเวทนา ก็เป็นชีวะ ก็ได้อธิบายตามภูมิปัญญาอาตมา ก็ได้เท่านี้ แต่รู้ตัวว่ามันยังอยู่ในก้นบึ้งของสัญญาเก่าอยู่เยอะ ขึ้นมายังไม่หมด ก็ค่อยๆขึ้นมา ที่มีขึ้นมาเรื่อยๆนี้เยอะ ที่ไม่มีในหลักฐานตำนานประวัติศาสตร์บันทึกไว้ ที่อาตมาพูดนี้มีหลายอย่างเป็นอจินไตย เพื่อให้มีผู้มีปัญญาสามารถศึกษาได้ต่อไป ไม่ได้พูดอย่างอยากอวดโอ่ ถ้าจะพูดเช่นนั้นก็พูดมานานแล้ว

จนอาตมาประกาศว่ามีดีเอ็นเอที่สืบทอดจากพระสารีบุตร แต่อาตมาไม่ใช่พระสารีบุตรนะทุกวันนี้ แต่อาตมาใช้ DNA ที่เป็นนามธรรมนั้นพัฒนามาแล้ว มาอาศัยใช้ในร่างนั้นวิญญาณก็แยกไป  แต่วิญญาณนั้นมีพัฒนาการก็เชื่อมต่อ ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ เลื่อนไหลเชื่อมต่อดีเอ็นเอพระสารีบุตร จนกระทั่งถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งก็มีหลักฐานยืนยัน ว่ามันมีวิบากต่อมา ไม่ใช่มีแต่ตำนานประวัติศาสตร์ ทั้งพระสารีบุตรและพระเจ้าอโศกมหาราชจนกระทั่งมาเป็นพ่อขุนรามคำแหงก็มีประวัติศาสตร์ อาตมาก็มีประวัติศาสตร์เป็นปัจจุบัน ยังมีอีกนะ ฟังไว้ก็ได้ อาตมาไม่ได้อวด จะบอกให้ทราบเพื่อศึกษา แต่อย่าเพิ่งอะไรมากมาย จำแต่ภาษาเอาไว้ก่อน

มีตะวันทับฟ้า กับเดือนเด่นฟ้า ใครจะเป็นใคร คอยติดตาม ตอนนี้ไม่อธิบายมาก

อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นอะไรที่มีหลักฐาน มีสิ่งบ่งบอกสืบทอด แล้วมีลักษณะที่เราอ่านได้ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ มีลักษณะอย่างนี้ เดียวกัน มีพัฒนาการด้วย ไม่ใช่ของลอยลมไม่เชื่อมต่อ เวิ้งว้างขาดวิ่น ไม่มีอะไรที่สามารถอ้างอิงเชื่อมโยงต่อติด มันไม่ใช่ มันมีคุณลักษณะมีสภาพ สภาวะต่างๆ

เป็นเรื่องที่อาตมาให้การศึกษา ที่พูดนี้ให้การศึกษาไม่ได้มาครอบงำ ผู้ที่ศึกษาได้มีภูมิปัญญาของตัวเองพอเข้าใจได้ จะรู้ว่าเป็นเหตุเป็นผลน่าเชื่อถือ คุณก็เป็นของคุณ หลายคนฟังแล้วตามที่อาตมาพูดนี่แหละ ฟังแล้วก็มันน่าเชื่อถือตรงไหน ก็เป็นของเขาเหมือนกัน อาตมาไม่มีปัญหาหรอก อาตมามีหน้าที่ที่จะให้ข้อมูลหลักฐานความจริง บันทึกความจริง ถ้าไม่จริงเป็นบาป

อาตมาพัฒนาการทางธรรมะมา ก็ไม่โง่สร้างบาปใส่ตน อาตมาว่าอาตมาโง่เสร็จแล้ว ใครจะทำก็แล้วแต่ แต่อาตมารู้แล้ว ไม่โง่ต่อ แล้วอาตมาก็เชื่อว่ากรรมเป็นอันทำ แค่คิดก็เป็นอันทำแล้ว ยิ่งทำครบกาย วาจาใจ นัจจะคีตะวาทิตะ พลังงานนั้นยิ่งควบแน่นตกผลึก ผนึกแน่นเลย ก็เป็นเรื่องสัจจะของมัน

ขอสรุปว่าพลังงานทางด้านจิตวิญญาณ มีพลังงาน มีประสิทธิภาพ มีผลทางธรรม ขณะนี้ยกตัวอย่างอย่างปัจจุบันทันด่วน ใครไปบังคับมนุษยชาติร้องไห้กันทั่วบ้าน ขณะนี้ เป็น crying world ร้องไห้กันไม่หยุดนะทั่วโลกเลย ไม่ใช่ในเมืองไทยเท่านั้น ไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น

เป็นเรื่องสัจจะยืนยันว่ามีพลังที่แท้จริง เป็นพลังงานที่ลึกซึ้งสุดจะบรรยาย ยืนยันเป็นปัจจุบัน phenomenon ที่ใหม่สดที่สุด ตอนนี้มี continuum ให้เห็นต่อไป ปัจจุบันหลัดๆก็ยังมี อนาคตก็ยังไม่สิ้น ยังมีพลังงานที่เป็นพฤติกรรมต่อเนื่อง ยังไม่สลายไปเลย ยังสดใหม่อยู่เลยให้เห็น ยังยืนยันได้อยู่เลย

อาตมาจึงย้ำว่า การเมืองที่เป็นการเมืองขาเดียว ไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณไม่มีดีเอ็นเอทางจิตวิญญาณที่สืบทอดกันอย่างแท้จริงมันไม่ใช่ของจริง ที่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นสภาพพลังงานที่ได้สะสมบารมี ขาเดียวไม่ปะติดปะต่อไม่มีหลักการ ไม่มีทฤษฎีอะไรเลย ประชาธิปไตยขาเดียวจากคนสะเปะสะปะ ใครจะมีอำนาจทางผู้คน อำนาจทางเงิน อำนาจคน มันไม่เหมือนอำนาจทางธรรม

อาตมาว่า อาตมาพยายามอธิบายว่าประชาธิปไตยขาเดียวไม่ได้ครึ่งหนึ่งของประชาธิปไตยสองขาเลย ความประเสริฐของประชาธิปไตย.ขาเดียวไม่ได้สูงส่งลึกซึ้งมีคุณค่าจริงจังอย่างประชาธิปไตยสองขาเลย

ขณะนี้มีสิ่งนี้เป็น phenomenon อ้างอิงได้เลย ของในหลวงในพระบรมโกศนี่แหละ เพราะท่านมาเป็นตัวแบบปรากฏการณ์จริงในยุคปลายภัทรกัปป์ ที่มันกลียุคแล้ว จะหมดสิ้นยุคของพระพุทธศาสนา เรื่องของคุณธรรมโลกุตระมันก็เต็มที่แล้ว แล้วจะหยุดพัก หมดใน 5000 ปีของพระสมณโคดมนี้ไป ก็จะเข้าสู่พุทธันดร คือช่วงที่ว่างจากศาสนาพุทธ

สมีไชยบูลย์ ไปอธิบายพุทธันดรว่า คือยุคที่มีพุทธศาสนา อย่างนี้เป็นต้น ก็อธิบายได้สองอย่างนี้เท่านั้น คือ พุทธ + อันตร คือในระหว่างพุทธ คือในระหว่างพุทธ ผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญาจริงก็จะบอกว่า เป็นขณะที่มีพระพุทธศาสนา ซึ่งมันคนละเรื่อง ไม่ใช่ พุทธันดรคือช่วงที่ไม่มีพระพุทธศาสนา

ซึ่งมี 2 นัยยะ คือ 1.เป็นยุคที่ไม่มีความทุกข์ร้อนไม่จำเป็นต้องมีพุทธศาสนามาช่วย ไม่เป็นโรคก็ไม่ต้องอาศัยยา ยาก็ไม่จำเป็นต้องมี ไม่จำเป็นต้องให้ศาสนาพุทธมาช่วย ยังไม่ถึงเวลา

                   2.เป็นยุคที่เลวร้ายจนพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่เสียของ มนุษย์มีความเลวร้ายความชั่วจะตีทิ้ง อย่างยุคนี้ก็ตีทิ้งเสียมาก คนมีภูมิปัญญามีน้อยนัก แต่อาตมาไม่มีท้อแท้ อาตมายังภาคภูมิใจด้วยซ้ำ อย่างน้อยนี่เทศน์ก็มีจำนวนคนฟังไม่ต่ำกว่าห้าคน หรือไม่ต่ำกว่าห้าสิบ หรือไม่ต่ำกว่าห้าร้อย ยิ่งออกอากาศก็มีไม่ต่ำกว่าห้าร้อยก็ใช้ได้แล้ว ไม่ได้คุยโม้อวดเก่ง อวดรู้อวดวิเศษ ไม่มี อาตมาว่าได้ข้ามพ้นสิ่งเหล่านั้นมาจริงๆ ทำงานมา เกือบสี่สิบปี ก็ตรวจสอบประเมินผลกันเอง ว่าจริงเท็จแค่ไหน

 

ลองมาอ่านดู จิตวิญญาณของคนที่เกิดในขณะนี้ ตามเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ กันดู

 

FBหนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ

นี่คงเป็นการรายงานข่าวที่เจ็บปวดและยากยิ่งที่สุดแล้วในชีวิตของการเป็นนักข่าว และคุณทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ได้อย่างดีที่สุดแล้ว ขอชื่นชมนะคะ

 

Soraya Sinjit นายกก็ร้องไห้ค่ะ ทีมงานใช้เวลาในการตัดต่อนานเพราะลุงตู่ก็ร้องไห้

 

Nuchy Khongjitngam เสียงสั่นนะ ตอนอ่านชื่อท่าน กลืนน้ำลายเอื๊อกนึง แล้วประกาศคำที่พวกเราไม่อยากได้ยิน มือนี่กุมแน่นสุดในชีวิตแน่ๆ เราแค่ฟังยังร้องหนักมาก ขอชื่นชมค่ะ

ปณิดา จำปากุล ตอนฟังแถลง นั้งอยู่กันครบเลยแม่ พ่อ แฟน ลูกชาย พอภาพตัดมา นักข่าวสวมชุดดำ แม่เช็ดน้ำตา หันมามองหน้ากัน เราเข้าไปในห้องเปิดทีวีตัวเอง นั่งร้องไห้นานมากๆ แฟนก็เงียบ เงียบนานมาก จนตอนนี้ ยังไม่มีใครคุยอะไรกันเลย

Wanwan Gosalawit  6 โมงกว่าๆเรานั่งกินข้าวที่ร้าน พอแถลงการณ์เริ่มมาจอเป็นสีดำ ทุกคนในร้านเงียบหมดต่างคนต่างมองหน้ากัน บอกตรงๆข้าวที่สั่งมากินเกือบไม่ลง จุกที่คอพยายามกลืนน้ำลายกลั้นเอาไว้ พุดไม่ออกบอกไม่ถูก

 

Bowey Bow ดูอีกช่อง นักข่าวหญิงจะอ่านประกาศ รู้เลยว่าเธอจะร้องไห้ กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นักข่าวชายเลยอ่านแทนค่ะ เรากับสามีร้องไห้โฮกอดกันแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:40:29 )

591015

รายละเอียด

591015_พ่อครูพบคนงานบ้านราชฯ

พ่อครูว่า...อาตมามีเจตนาช่วยสร้างคน แล้วให้คนไปช่วยสร้างคนให้คนไปช่วยสร้างคน ไม่ใช่สร้างคนให้ไปเอาเปรียบคน แต่พยายามที่จะมาช่วยสอน ช่วยบอกกล่าวให้เป็นคนที่จะลดความเห็นแก่ตัวบทความเอาเปรียบ สรุปชัดๆก็คือลดกิเลส แล้วจะได้เป็นคนที่ใจกว้างเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลไม่เห็นแก่ตัวช่วยเหลือคนอื่น พระอรหันต์คือคนที่ช่วยเหลือคนอื่น พระอรหันต์คือคนที่ล้างตัวตน ล้างตัวตนกิเลสที่เห็นแก่ตัวจนหมดความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัวจริงๆไม่มีตัวตน ไม่มีแม้แต่ความเป็นตัวเอง จะมีชีวิตอยู่ทำงานเพื่อผู้อื่นไป ตัวเองจะอยู่จะกินจะได้จะเป็นไม่มีสะสมสมบัติ จะกินจะอยู่ก็ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ แล้วเราก็รับใช้เขาไป อรหันต์คือผู้รับใช้มนุษยชาติ ไม่ต้องการเอาเปรียบใครมีแต่ให้ มีแต่เป็นผู้เสียสละรับใช้ผู้อื่น นี่คือความเป็นพระอรหันต์ที่แท้จริง

อาตมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ามาเป็นอย่างที่ว่ามาเป็นผู้รับใช้มนุษยชาติ ที่อาศัยอยู่เขาให้อยู่เรือหรืออาศัยให้คนเขาช่วย คนนั้นคนนี้ก็จะช่วยเพราะอาตมาไม่ได้เอาเขาจึงช่วย เพราะไม่เช่นนั้นไม่ไหวแรงอัดมา คนก็ช่วยสารพัด คนนั้นคนนี้ช่วยคนละไม้คนละมือ แบ่งเบางานที่อาตมาทำอยู่ไป

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสรุปง่ายๆว่าเป็นธรรมะที่ ทำให้คน หมดความเห็นแก่ตัวอย่างเกลี้ยงสนิท และก็เป็นคนที่เห็นแก่คนอื่นทำงานเพื่อคนอื่น แล้วเขาจะเลี้ยงไว้ คนอย่างนี้ไม่มีใครเขารังเกียจ จะให้อยู่ในบ้านตัวเองเลยเพราะท่านเป็นคนรับใช้ทำงานเพื่อผู้อื่นจริงๆ ไม่เบียดเบียนไม่ข่มใครไม่เอาเปรียบใคร จิตใจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

หมู่บ้านราชธานีอโศกไปหมู่บ้านคนจน จนแต่ไม่ได้เอาเปรียบใครไม่ไปขูดรีดใคร หรือแม้แต่ค้าขาย พวกเราไปทำงานค้าขาย ทำโรงปุ๋ย ทำอะไรต่างๆนานา ปลูกผักพืช ที่ปลูกผักพืชเอาไปขาย ไปขายอาหารก็ขายอย่างถูกจานละ 10 บาท 15 บาท 20 บาท ที่อื่นเขาขาย 30 บาท 40 บาท 50 บาท เป็นต้น

ก็ขายโดยที่ไม่พยายามขูดรีดจากสังคม ไม่ตั้งราคาให้เกินหรือเท่ากับราคาสังคม ตลาดเขาขายกัน 15 บาท 50 บาท เราจะขาย 8 บาท 7 บาท ไม่ขาย 15 บาทอย่างเขา อย่างเก่งก็ 10 บาท เขาขาย 50 เราก็ขาย 30 อย่างนี้เป็นต้นเป็นเจตนาของพวกเราให้ขายราคาต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอย่างสูง

พวกเรามีเกณฑ์

1 ต่ำกว่าราคาตลาด 2 เท่าทุน 3 ขาดทุน 4 แจกฟรี

เราจะขายราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือไม่ก็ขายเท่าทุนบางอย่างก็ขายให้ขาดทุนไว้ เราจึงมีการจัดตลาดอาริยะจะหาสินค้าที่พวกเราจำเป็นต้องกินต้องใช้ทำเป็นตลาดเอามาขายแล้วขายให้ขาดทุนจากที่เห็นแล้วว่าเราขายขาดทุนจริงๆค่าโสหุ้ยไม่คิด ที่ทำอยู่นี่

อันนี้เป็นเรื่องของการฝึกฝนตัวเองมาลดละกิเลสลดละความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มาเป็นคนมากน้อยเป็นคนประหยัดเป็นคนเสียสละเป็นลักษณะจริงของพวกเราเพราะฉะนั้นหมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อว่าหมู่บ้านคนจน ไม่ใช่หมู่บ้านคนรวยเลยนะ หมู่บ้านนี้ไม่มีสิทธิ์จะรวย แต่คนข้างนอกเขามองว่าหมู่บ้านนี้อุดมสมบูรณ์ ดูสิมีคนมาทำงานกี่คนที่บ้านราชฯ ที่มานี่ยังมาไม่หมดนะ ตั้งเกือบสองร้อยคน แล้วก็ต้องจ่ายเงินจริง ทั้งที่เราไม่มีรายได้ คนในหมู่บ้านนี้ทำงานฟรีกันทุกคน

ในชุมชนชาวอโศกเราทุกคนทำงานมีรายได้เข้ามาบ้าง อย่างเช่นการขายปุ๋ย ก็ได้เงินเอาเข้ากองกลางทุกคน พวกเราที่ทำงานอยู่ในโรงปุ๋ยทุกคนแม้แต่อาตมาก็ไปช่วยทำงานช่วยเข็นปุ๋ยเท่าที่จะมีแรงงานทำได้ไม่ผิดพระวินัย คนทำงานที่อุทยานบุญนิยมเป็นร้านค้าข้างนอกขายได้เท่าไหร่เงินนั้นก็เข้ากองกลางหมด คนที่ไปทำงานไม่มีใครรับรายได้ งานเทศกาลกินเจที่ผ่านมามีคนไปทำงานประมาณ 400 คน ที่ไปช่วยงานขายงานทำอาหาร ประมาณ 400 คนทุกปี เป็นร้านใหญ่

พวกเรามาฝึกฝนเป็นคนที่สร้างการให้ ไม่สร้างการเอา เป็นคนชั้นสูง คนที่จะเอามีแต่มักได้โลภมากเป็นคนชั้นต่ำ คนที่โลภมากจนถึงขั้นโกงทุจริตปล้นจี้ ฆ่าแกงคือคนชั่ว แต่คนที่มีแต่ให้ช่วยเหลือคนอื่นนี่คือคนดี

เราต้องเรียนรู้สำนึกฝึกฝนตัวเองเกิดมามีชีวิตกินอยู่หลับนอน มีชีวิตไปสุดท้ายก็ตายเฉยเฉยๆ ไม่ได้พัฒนาชีวิต โดยเฉพาะไม่ได้พัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จิตวิญญาณอยู่ในร่างกายของเรา เกิดมาชาติหนึ่งเราไม่ได้พัฒนา ดีไม่ดีมีแต่ขี้โลภอยากได้มากขึ้น ขี้โกงทุจริต จิตวิญญาณเราอาศัยร่างนี้มีชีวิต 80 ปี 90 ปีแล้วตาย อาศัยร่างนี้ตายไปคิดถึงยามเราก็ตกต่ำมีกิเลสหนาชั่วตายไป เสียดายชาติเกิด เกิดมาได้ร่างกายนี้แทนที่จะได้ฝึกฝนให้จิตวิญญาณเรามีกิเลสลดลง เห็นแก่ตัวน้อยลง มีแต่เสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ไม่เอาเปรียบเอารัด ไม่มีกิเลสเห็นแก่ตัว แทนที่จะได้ใช้ร่างกายฝึกฝนจิตวิญญาณตัวเรา จิตวิญญาณเราคือตัวจริงตายแล้วตัวนี้จะไปเกิด ถ้าจิตวิญญาณไม่ดีจะเกิดในท้องหมาท้องสัตว์นรก

ที่มาพูดนี้ให้ตัวเรารู้สัจจะความจริงบ้าง อาตมาอยากให้พวกเรา มีเวลาฟังธรรมะ อาตมาจะสอนธรรมะบ้างได้ไหม ….อาตมาไม่อยากบังคับนะ แต่จะมามีความปรารถนาดีอยากให้คุณได้รับสิ่งที่ดี คุณได้รับเงินไปเลี้ยงชีวิตก็ดีแล้วแต่จิตวิญญาณคุณน่าจะดีขึ้น อาตมามาสอนนี้ไม่เอาค่าสอนนะ อาตมาเป็นครูสอนฟรี เป็นแต่เพียงพวกเรามีใจเป็นนักเรียนบ้างไหม อาตมาจะสอนฟรี พวกเรามาทำงานก็ยินดีให้ค่าจ้างไม่ว่ากัน สำหรับอาตมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วอาตมาทำงานฟรีไม่เอาเงินจากใคร ไม่ไปเทศน์เอาตังค์ อย่างที่พระท่านทำ อาตมาไม่เอา เป็นบาป ใครจะไปเทศน์เอาเงินรับค่าจ้างกัณฑ์เทศน์พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน มีแต่สอนให้ลดละเสียสละไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ให้ไปช่วยเหลือเขา ไปเป็นผู้ให้ สัจจะพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนั้น

ทีนี้คนเรา อาตมาขอพูดความจริง คนเรามันมีความขี้เกียจกับมีความเห็นแก่ตัว มีความเห็นแก่ได้ จึงทำให้คนเรามักจะ 1 ขี้เกียจก็ไม่ค่อยอยากจะทำ 2 เห็นแก่ตัว ก็จะไม่ให้คนอื่น 3 เห็นแก่ได้ ก็จะไปหาช่องทางเอาเปรียบ รวมแล้วคนขี้เกียจเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ 3 อย่างนี้คือคนขี้โกงผู้อื่น

รวมแล้วก็เลี่ยงขี้เกียจได้ค่าจ้างแล้วแต่ไม่ทำงานเต็มที่คือขี้เกียจเห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็ดีกว่าเอาแต่ได้ ก็เลยกลายเป็นลักษณะอย่างนี้ สรุปแล้วก็คือเป็นคนเอาเปรียบผู้จ้าง อาตมาอธิบายสัจธรรมโดยไม่ได้ว่าพวกคุณน่ะ

ถ้าพวกเราเป็นอย่างนั้นก็เป็นคนไม่เจริญ ก็ไม่อยากให้พวกเราเป็น อยากให้มาทำงานก็ให้เจริญด้วยให้ขยันหมั่นเพียรมีน้ำใจ สร้างสรรค์เสียสละ

พวกเรามีใครมากินอาหารที่มีบ้าง ที่นี่ไม่มีอาหารเนื้อสัตว์มีแต่อาหารที่ทำจากพืชผัก เป็นอาหารเป็นลาบเป็นก้อยก็มีแต่เป็นจากพืชผักไม่มีเนื้อสัตว์ ใครยังไม่กล้าก็เชิญอยากจะกินข้าวกินน้ำก็มากินได้ไม่มีปัญหา เราอยู่เหมือนพี่เหมือนน้องสร้างจิตวิญญาณให้ทุกคนแบบนั้น อยากจะพูดอยากจะบอกอธิบายให้ได้ฟังสิ่งที่ดีๆเป็นธรรมะที่จะพาเราเจริญ เกิดมาเป็นคนแล้วก็ควรจะเรียนรู้ธรรมะพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตจิตวิญญาณลดกิเลส จิตวิญญาณมันเจริญประเสริฐเป็นอริยบุคคล เป็นคนที่มีน้ำใจเป็นคนที่เสียสละเป็นคนที่ไม่มาเปรียบเอารัด เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยมนุษยชาติช่วยสร้างสรรค์ช่วยทำงานให้แก่โลกและสังคมให้แก่คนอื่นไป เราก็มีชีวิตอาศัยกินใช้ก็แต่เพียงกินใช้ให้ชีวิตเราแข็งแรงสุขภาพดี มีชีวิตอยู่ไปกับโลกนานๆ จะมีประโยชน์เป็นคนมีประโยชน์และสังคมแก่โลกนานๆ ก็เท่านั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในการเกิดมาเป็นคน

อาตมาก็ถามไปแล้วว่า จะพอเป็นไปได้ไหมว่าเราน่าจะมีวันที่มาฟังธรรมกันบ้าง คราวละ 1 ชั่วโมง ในแต่ละครั้งที่มาฟัง จะเดือนละ 1 ครั้ง จะ 15 วันหนึ่งครั้ง อาทิตย์หนึ่งครั้งหนึ่ง ใครคิดว่าไม่เอา ไม่ฟังมีไหม เอาบอกจริงๆได้

ก็ถามนิดนึง อาตมาก็แก่กว่าพวกคุณ ไม่มีใครแก่กว่าอาตมานะ อาตมา 83 ขึ้นแล้ว

อาตมาก็คิดว่า หนึ่งอาตมาเรียนรู้ทางธรรมะ มั่นใจว่าตนเองมีธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็จะมาเอามาอธิบายสู่ฟัง ...ถามนิดนึง ใครไม่ได้นับถือศาสนาพุทธยกมือ ขออภัยนะ อาตมาขออธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าหน่อยก็พยายามฟังบ้างก็แล้วกันไม่มีอะไรเสียหาย

อาตมาอยู่ทางโลกไม่ได้เดือดร้อนอะไรก็ชนะโลกอยู่ ทำมาหากินมีรายได้ ไม่เหนื่อยหรอก ก่อนอาตมาออกบวชเมื่อ 40 กว่าปี อาตมาออกบวชแล้ว 46 ปีอาตมาทำมาหากินอยู่มีรายได้เกินกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขาธรรมดา เช่นนายกรัฐมนตรี มีเงินเดือนหมื่นกว่าบาท อาตมาตอนนั้นเงินเดือนก็หลายหมื่นบาท 20000  , 30000 บางเดือน 40000 บาทแล้วอาตมาก็เงินเดือนมากกว่านายกรัฐมนตรีตอนนั้น ชีวิตทางโลกไม่ได้เดือดร้อนตกต่ำ อาตมามาอยู่ทางธรรมมานี่เห็นว่าเป็นเรื่องตกต่ำ ถ้าอาตมาอยู่ทางโลก ก็แย่งรายได้จากโลกเขา อาตมาก็เลยเลิกทำงานทางโลก ออกมาทำงานทางธรรมะ ไม่ได้เอาเงินจากทางโลกเลยทำงานฟรีมาตลอด 46 ปี ไม่มีรายได้ส่วนตัวเลย ทำงานไม่น้อยกว่าเก่า ทำงานไม่เคยมีวันหยุดเสาร์วันอาทิตย์ จนคนพยายามบอกให้นอนให้พักให้หยุด อายุ 80 กว่าแล้วนะ คอยควบคุมดูแล ออกจะขยันเกินจนเขาต้องดูแลให้นอนพักหน่อย มันเป็นจริง จิตไม่ได้เกียจคร้านอะไร ไม่มีมานั่งเพลินทอดอารมณ์ไปไม่มี

ได้ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงได้นำธรรมะพระพุทธเจ้านั้นมาอธิบายเผยแพร่ ทุกวันนี้ ตั้งใจมาทำงาน เผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นหลัก เป็นของชีวิตไปจนกว่าจะตาย ทุกคนที่มาอยู่ในชุมชนทำงานไม่มีใครมีรายได้ อาตมาว่าประสบผลสำเร็จทำให้คนที่ชอบไปทำงานทั้งโลกก็มีรายได้ไปแย่งเงินจากโลกเขา แต่นี่มาทำงานฟรี ไม่มีรายได้

ตอนนี้มาปลูกผักก็ได้ผลผลิตแรงงานนำสู่โลกสู่สังคม ออกไปให้สังคมได้กินใช้ ถ้าเป็นวัตถุก็เป็นแรงงาน เป็นครูก็สอนฟรีให้เด็กได้รับการศึกษาเหมือนกับโรงเรียนที่รัฐบาลรับผิดชอบ จะต้องมีโรงเรียนสอนเด็ก ให้เด็กได้รับการศึกษา ที่นี้เราก็ตั้งโรงเรียนและก็สอนเด็กให้ได้รับการศึกษา สอนฟรีด้วย ที่นี่สอนแล้วเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำดูแลด้วยแล้วไม่ได้เสียค่าเทอมให้โรงเรียนกินอยู่หลับนอนอยู่ที่นี่แล้วก็เรียนหนังสืออยู่ที่นี่ สอนให้จบม.6เรียนต่อจบปริญญาตรีโทเอกกันไม่รู้เท่าไหร่ ที่นี่ทำงานช่วยสังคมประเทศชาติ ไม่ได้ทำงานเพื่อล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

ทั้งหมู่กลุ่มส่วนรวมของหมู่บ้านนี้ อาตมาทำมาหลายหมู่บ้าน ชุมชนชาวอโศกมีในประเทศไทยหลายสิบหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้เป็นระบบสาธารณโภคีคนในหมู่บ้านทุกคนเป็นสมาชิกที่นี่ทำงานฟรี อยู่กินส่วนกลางใช้ร่วมกันกินร่วมกัน ไม่มีใครแบ่งแยกไป อย่างนี้เป็นต้น

นี่มีอยู่กันกี่หมู่ คนงานรายวันบ้านราชฯมีอยู่ 5 กลุ่ม ผู้รับเหมาก่อสร้างมี 16 กลุ่ม ส่วนคนรับค่าจ้างรายวันมี 5 กลุ่ม อย่างกับเมืองใหญ่เลย ปานซาอุดฯ ทั้งที่เป็นหมู่บ้านคนจนไม่ใช่คนรวยเลย เป็นเรื่องเหลือเชื่อนะ น่างง ธรรมะพระพุทธเจ้า คนจนอุ้มชูคนรวยได้คนรวยได้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ แต่พวกเราคนจน เต็มแล้ว มีพอแล้วมีเหลือก็เอามาแจกคนอื่น เป็นลักษณะที่แปลก ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้

ทรัพย์ศฤงคารวัตถุแท่งก้อนเครื่องไม้เครื่องมือในที่นี้ เป็นของส่วนกลางไม่มีของส่วนตัว ก็เลยดูว่ามีเยอะ หมู่บ้านอื่นมองมาหมู่บ้านนี้บอกว่า บ้านราชฯนี้สร้างมาไม่กี่ปี ทำไมมีข้าวของมีเครื่องไม้เครื่องมือมีอาคาร หมู่บ้านไหนมีศาลาใหญ่อย่างนี้ มีหมู่บ้านไหนบ้าง ?

12 หมู่บ้านของตำบลบุ่งไหม หมู่บ้านไหนมีศาลาใหญ่อย่างนี้  ของบุ่งไหมแต่ละหมู่บ้านมีศาลาส่วนกลางเท่ากันหมด แต่ของที่นี่ส่วนกลางก็ทำได้ใช้อะไรร่วมกัน มีโรงเรือนส่วนกลาง หมู่บ้านไหนมีสาธารณสุขใหญ่โฮ่งปัวใหญ่เท่าที่นี่บ้าง ที่นี่มีแบคโฮ 200 400  800 มีรถตักเอวอ่อน ขออภัยที่พูดไม่ได้คุยทับถม แต่สื่อให้ดูให้เห็นองค์รวม ของคนที่ร่วมไม้ร่วมมือสร้างสรรค์ได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นองค์รวมที่มีน้ำหนักมีเนื้อมีหนัง เป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ เพราะแต่ละคนเสียสละก็เลยเอามารวมส่วนกลางก็เลยมีเนื้อหา แทนที่แต่ละคนจะแบ่งเอาไปกินใช้ไปเที่ยวเตร่ไปละลายที่ไหนแต่ที่นี่ไม่ เพราะคนที่นี่ไม่มีอบายมุขไปเที่ยวไปเสียหายเพราะเขาปฏิบัติธรรม ที่นี่ไม่มีเหล้าสักขวดหรือบุหรี่สักมวน เพราะสิ่งนั้นให้เรารู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ป่วยการไม่มีสาระ เราไปติดเสพตามสังคมเขาหลอกเราก็เลิกได้ เลิกได้ก็ไม่เห็นตาย คนดูดยาแข็งแรงกว่าคนไม่ดูดไหม แล้วไปดูดทำไม ถ้าไม่แข็งแรง คิดให้ดีเลิกได้เลิก เป็นถุงลมโป่งพองเป็นอะไรต่างๆก็รู้กัน กิเลสมันอยากไปติดเสพมันก็เท่านั้น การเลิกดูดยาเลิกกินสิ่งเสพติดแต่ละอย่างเลิกเหล้า เลิกบุหรี่เลิกซื้อหวยได้ไหม อยากถูกเป็นล้านอย่างนี้ เราอย่าได้เสี่ยงเลย ทำมาค้าขายสร้างสรรค์ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเรานี้เถอะ

ถ้าคุณไปได้เงินจากหวยมา คุณเป็นหนี้ทางสัจธรรม เท่ากับคุณกู้เงินมาแล้วเสียเงินดอก เงินที่ได้จากหวยมาเหมือนเงินกู้เสียดอก ไม่ใช่เงินฟรี เท่ากับยืมเงินมาเหมือนเล่นแชร์ คนเล่นแชร์ก็เอาเงินไปรวมกองกลาง  กองสลากกองเงินได้แต่ละงวดเป็นร้อยล้านเป็นพันล้านขายสลากกินแบ่ง แต่มาแบ่งให้คนที่ถูกกินเล็กๆน้อยๆ 20 ล้าน นอกนั้นตักตวงไปกินแทนร้อยล้านพันล้าน มันถึงไม่ยอมเลิกประเทศไทย เพราะมันดูดเอาเงินคนไปแสดงถึงฐานะของรัฐบาล ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ รัฐบาลต้องไปพึ่งพาเงินจากกองสลาก รัฐบาลยังไม่กล้าเลิกกองสลาก เพราะยังต้องอาศัยเงินจากกองสลากอยู่ ก็เลยไม่กล้าเลิก ถ้ารัฐบาลไหนบริหารประเทศแล้วเลิกกองสลากได้เมื่อนั้นประเทศไทยจะเจริญ ฟังไว้

ถ้ารัฐบาลไหนสามารถเลิกกองสลากยุบกองสลากได้รัฐบาลนั้นทำให้ประเทศเจริญให้บริหารประเทศไปตลอดเลย เป็นรัฐบาลที่เก่งมากแข็งแรงมากกล้าหาญมาก สามารถยุบกองสลากได้ รัฐบาลไหนทำได้ เยี่ยมมาก ก็จะรอดูรอดูมาแปดสิบกว่าปี ยังไม่เห็นทีท่าว่าจะลดได้

ขออภัยที่รบกวนเวลาของเราหลายคน ถือว่าอาตมาบอกแล้วนะ ขอเวลามาฟังธรรม แม้อาตมาไม่ว่างก็ให้สมณะมาเทศนา ขอเวลาเดือนละ 1 ครั้งนะ ใครได้แสดงธรรมสิ่งที่ควรแสดงให้พวกเราบ้าง ถือว่าให้แก่พวกเรามาทำงานช่วยเหลือที่นี่ก็แล้วกันนะ สำหรับวันนี้ก็แค่นี้ก็แล้วกันนะ ขอบคุณทุกคน….

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:41:10 )

591016

รายละเอียด

591016_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปรากฏการณ์ Crying world

พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 16 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 เป็นวันออกพรรษา เราก็จะได้ปวารณาออกพรรษากัน จริงๆแล้ว นักบวชของพุทธไม่มีออกพรรษาหรอกมีแต่เข้าพรรษา ออกก็มีแต่ปวารณา คือให้ติเตียนกันได้ด่ากันได้ ขณะนี้บรรยากาศของโลกเป็นบรรยากาศของ Crying world เป็นบรรยากาศของการสดสลดพิร่ำพิไลของโลก ที่พูดว่าของโลก มันเป็น vibration ของวิญญาณ ของspirit สั่นสะเทือนถึงกันหมดแล้วทั่วโลก อ่านจาก phenomenon ที่ปรากฏจริงขณะนี้ว่า คนๆหนึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยซึ่งมีพระจิตวิญญาณเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ศึกษามาทางธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อรื้อขนสัตว์ลูกๆ ช่วยสรรพสัตว์

ในปางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศพระองค์นี้ ท่านบำเพ็ญบารมี พระมหาชนก กับพระเตมีย์ ท่านทรงงาน แทบไม่กินไม่นอน ตลอดเวลา นั่นคือความเป็นบารมีของพระมหาชนก เป็นความอุตสาหะวิริยะพากเพียร ว่ายในมหาสมุทรที่ไม่เห็นฝั่งก็ว่าย มั่นใจว่าทิศทางนี้เป็นทิศทางที่ถูกจะถึงเมื่อไหร่หรือไม่ถึงเมื่อไหร่ก็พากเพียรอย่างเดียว เต็มที่ยังไม่กังวล

ส่วนคำว่า เตมีย์ใบ้ คือพูดน้อยตรัสน้อยตรัสเพียงสั้นๆจะเห็นได้ ไม่พูดซ้ำซากพูดแล้วก็แล้วไป ใครฟังทันก็ทันไม่ทันก็แล้วไป จะมีภูมิปัญญาเห็นได้ รู้ได้เอาด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะท่านต้องรีบ เหมือนอาตมาก็ต้องรีบทำ เป็นยุคใกล้กลียุค

อาตมาขยายนามธรรม ส่วนในหลวงท่านขยายรูปธรรมไปทั้งโลก

 

ในปัจจุบันนั้นอาตมาได้ย้ำว่าประชาธิปไตยแท้ต้องเป็นประชาธิปไตยสองขา มีทั้งพลังงานจิตนิยามและอุตุนิยาม รวมกันขาเดียว เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยรู้เรื่องจิตเจตสิก ไม่มีการสืบทอด DNA ของจิตวิญญาณ DNAไม่ใช่สรีรพันธ์ุ แต่คือกรรมพันธ์ุเป็นเชื้อสายทางกรรมกริยาของแต่ละคน จนเกิดผลสั่งสมเป็นพลังงานจิตวิญญาณ

ที่เกิดผลทั่วโลกขณะนี้ ยืนยันได้ว่าเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ขอย้ำว่าประเทศไทยคือประชาธิปไตยสองขา ดีที่สุดในยุคภัทรกัปนี้ที่มีปรากฏการณ์จริง ผู้บริหารจริง เป็นจิตวิญญาณของประเทศชาติ คือพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อันนี้เป็นตัวจริง เป็น Phenomenon พระองค์บริหารประเทศจนคนรับสัมผัสได้ ตราตรึงจิตวิญญาณได้ เคารพนับถือบูชาได้ ไม่ได้เคารพนับถือเพราะถูกหลอกลวงล่อลวง  และเล็มหาเสียง ไม่ใช่เลย เพราะคนเห็น คนรู้ คนเข้าใจ คนซาบซึ้งด้วยจิตใจของแต่ละคน ตามภูมิปัญญาของแต่ละคน เป็นอิสระเสรีภาพที่สุด

 

มีผู้ส่งบทความของนักข่าวต่างประเทศ ชื่อ Michael Yon มา คุณแหม่ม พราวพุทธ แปลมาให้ว่า...

The body of His Majesty the King BumibolAdulyadej, has passed away.  His Loving Soul is with us now.

แม้ว่าสรีระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  จะได้จากเราไปแล้ว   แต่ขณะนี้ดวงวิญญาณของพระองค์ท่านยังทรงอยู่กับพวกเรา

With sad heart I write these words.  I was told by sources close to His Majesty King BumibolAdulyadej that he passed away one hour ago, about 14:15 Thailand time.  As I write these words, it has not yet been announced, but when you read these words, it will have been officially announced.

ข้าพเจ้าเขียนคำเหล่านี้ด้วยความเศร้าใจอย่างยิ่ง  แหล่งข่าวซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  แจ้งข้าพเจ้าว่าพระองค์ทรงเสด็จสวรรคตประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว  ประมาณ 14.15 น.  ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศไทย   ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้  ยังไม่มีแถลงการณ์  แต่ตอนที่ท่านอ่านบทความนี้คงจะได้มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแล้ว

On one level, there is not much to say other than that one of the greatest leaders in history graced us for so long.  He is the Father of Thailand.  He was a champion of peace, freedom, and prosperity, and a good friend to America and to American people.  His Majesty is loved by many Americans.

ในแง่หนึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องพูดมาก  นอกไปจากว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ทรงให้เกียรติใช้ชีวิตร่วมกับพวกเรามาเป็นเวลายาวนาน  ท่านเป็นพระบิดาของประเทศไทย  เป็นผู้ต่อสู้เพื่อความสงบ ความเสรีภาพ  ความเจริญรุ่งเรือง  และทรงเป็นเพื่อนที่ดีของประเทศอเมริกาและชาวอเมริกัน  พระองค์ทรงเป็นที่รักของคนอเมริกันเป็นจำนวนมาก

Americans normally do not like Kings, but King Bhumibol is a great exception.  Those who studied him grew to respect him, then to like him, and finally to share in the love for the King of Kings.  The love for His Majesty is so immense that it could fill the Gulf of Thailand.

ปกติชาวอเมริกันมักจะไม่ค่อยชอบกษัตริย์ต่างๆแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  ทรงเป็นข้อยกเว้นที่พิเศษอย่างยิ่ง  ใครที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ท่านก็เริ่มเคารพพระองค์ท่าน  เริ่มชอบพระองค์ท่าน  และในที่สุดก็เริ่มรักพระองค์ท่าน  ผู้ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์  ความรักที่มีต่อพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไพศาลจนสามารถนำไปบรรจุได้เต็มอ่าวไทย

Thais are among freest people on earth, thanks to His Majesty.  He brought his millions of sons and daughters very far, and he taught lessons and brought inspiration to foreigners such as me.

ชาวไทยจัดว่าเป็นคนที่มีอิสรเสรีภาพกลุ่มหนึ่งในโลกใบนี้  ซึ่งเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงของเรา  พระองค์ทรงนำพาลูกๆของพระองค์ท่านนับล้านคนก้าวไปไกล  ทรงสอนและเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวต่างชาติอย่างผม

He was a musician, and good, and his photography was excellent.  Highly educated, he visited every corner of this great country, into the deepest jungles to help villagers, into the mountains, out to the islands, down the rivers.  He went everywhere.  His Majesty was a man of the people.  He wanted to see with his own eyes, and he did.

พระองค์เป็นนักดนตรีที่เก่ง  เป็นช่างภาพที่ยอดเยี่ยม  เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูง  พระองค์ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนทุกพื้นที่ของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้  ทรงเสด็จไปในป่าที่ลึกที่สุดเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน  ทรงข้ามภูเขา  แม่น้ำลำธาร  แม้แต่เกาะต่างๆก็ทรงเสด็จไปด้วย  พระองค์เสด็จไปทุกที่  เพราะพระองค์เป็นคนของประชาชน  พระองค์ต้องการเห็นทุกอย่างด้วยพระเนตรของพระองค์เอง  และท่านก็ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ 

Finally his body was worn out.  We wish his body had lived to 110 but his body wore out.  He spent it working for Thailand.  But this is not the end.  Only his body is gone.  His Majesty is more alive now than ever before.

แต่ในที่สุดสรีระของพระองค์ก็เหนื่อยล้า พวกเราอยากให้พระองค์ท่านอยู่กับเราถึง 110 ปี  แต่สรีระของพระองค์อ่อนล้าหมดแรง  เพราะพระองค์ท่านได้ใช้มันในการทำงานเพื่อประเทศไทย  แต่ทุกอย่างคงไม่จบลงแค่นี้  สรีระของพระองค์ท่านเท่านั้นที่จากพวกเราไป  แต่พระองค์ทรงอยู่กับพวกเราในขณะนี้  มากเสียยิ่งกว่าในช่วงที่ผ่านมา

Now that he is free from the cage of flesh, his soul is alive and free to walk in every town and village, in every home, in every heart, all at once.  I am alone but I feel him here beside me, looking over my shoulder.  He is right here.  He is with you, with me, with us.

ขณะนี้พระองค์ทรงเป็นอิสระจากเนื้อหนังทางกาย  วิญญาณของพระองค์ท่านจึงมีอิสระที่จะไปได้ทุกที่  ทุกบ้าน  และอยู่ในหัวใจของเราทุกคนพร้อมๆกัน  ผมอยู่คนเดียวแต่ผมรู้สึกว่าพระองค์ท่านทรงอยู่ข้างๆผม กำลังมองข้ามไหล่ของผม  พระองค์ทรงประทับอยู่ตรงนี้  ทรงประทับอยู่กับคุณ  กับผม  กับพวกเราทุกคน

It will be a great honor for the Thai people around the world, and foreigners who love Thailand, to come together today, and remember his teachings on peace, self-reliance, freedom of religion, equality for women and for all.  And to be like bamboo.  Know when to stand strong, and when to bend with the winds that often challenge our roots.  His Majesty always taught unity.

จะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง  ที่คนไทยทั่วโลก  และชาวต่างชาติที่รักประเทศไทย  จะมารวมตัวกันในวันนี้และจดจำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับความสงบ  การพึ่งตนเอง  เสรีภาพในการนับถือศาสนา  และความเสมอภาคสำหรับสตรีและของทุกคน  และที่ท่านทรงสอนให้เราทำตัวเสมือนไผ่ลู่ลม  รู้ว่าเมื่อใดควรตั้งมั่น  เมื่อใดควรลู่ไปตามสายลมที่ท้าทายรากฐานของเรา  พระองค์ทรงสอนให้เราสามัคคีกัน

We must remember that His Majesty always taught peace and unity.  Peace, unity, and compassion.

พวกเราจะต้องจดจำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเราเสมอ  นั่นก็คือ  ความสงบและความสามัคคี  ความสงบ-ความสามัคคี-และความเมตตากรุณา

And now I will wear the black shirt, and mourn for his family, for all Thais around the world.  But also rejoice that His Majesty the King is free from suffering, and is now everywhere at once, a free soul bringing love, peace, and unity, to every heart he touched, and the unborn heart he will touch in the future.

ต่อจากนี้ผมจะใส่เสื้อสีดำ  เพื่อแสดงความเสียใจร่วมกับพระประยูรญาติของพระองค์ท่านและชาวไทยทุกคนทั่วโลก  แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกยินดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว  และทรงประทับอยู่ทุกๆที่ในเวลาเดียวกัน ทรงเป็นพระวิญญาณที่อิสระซึ่งมอบความรัก  ความสงบ  และความสามัคคี ให้แก่หัวใจทุกดวงที่เคยสัมผัสและประทับใจในพระองค์ท่าน แม้แต่คนที่จะเกิดในอนาคตก็จะได้รับความประทับใจในพระองค์ท่านเช่นกัน

Should we cry that his body is gone, or celebrate that he lived and remains with us?  The answer is both.  After period of a mourning, there should be a great celebration for his life and soul, and for all his millions of family around the world, including foreigners he touched.

พวกเราควรจะร้องไห้เพราะสรีระของพระองค์ได้จากเราไปแล้ว  หรือควรจะเฉลิมฉลองที่ท่านเคยดำรงชีวิตอยู่และยังคงอยู่กับพวกเรา  คำตอบคงจะเป็นทั้งสองอย่าง  หลังจากที่ได้ไว้อาลัยสักระยะหนึ่งแล้ว  ควรจัดให้มีการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่  สำหรับชีวิตและจิตวิญญาณของพระองค์ท่าน  สำหรับครอบครัวนับล้านของพระองค์ท่านที่อยู่ทั่วโลก  ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติที่ท่านได้สัมผัส

Loved by millions, Rest in Peace, your Majesty King BhumibolAdulyadej, Father of Thailand.

ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  ผู้ทรงเป็นที่รักของคนนับล้าน ทรงพักอย่างเป็นสุขเถิด

We love you.

พวกเรารักท่าน

Michael Yon

Chiang Mai, Kingdom of Thailand

ไมเคิล ยอน  เชียงใหม่  ประเทศไทย

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1Kv3dhJrnFEBuixUGlmEfjHtXXKy0Q2a0EEYTIStgMZA

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfZngwdHFkaExRNkU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/7izmkz6mecfz/161016

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....https://www.youtube.com/watch?v=LJqWJ3A13ms

 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:41:36 )

591016

รายละเอียด

591016_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปรากฏการณ์ Crying world

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559 ขึ้น 15 ค่ําเดือน 11 เป็นวันตรงกับวันออกพรรษา สมณะภิกษุก็จะได้ออกจากวัดได้ไปจาริกได้ ในระยะนี้ก็เป็นช่วงที่เป็นเรื่องโศกเศร้าของทั้งโลกเลย เป็นเรื่องซาบซึ้ง เมื่อวานนี้มีผู้หญิงจะไปลงนามถวายสักการะ แต่ก็เข้าไปไม่ได้ คนไปสัมภาษณ์เขาก็ทำให้รู้สึกซาบซึ้ง พระโพธิสัตว์เกิดมาโลกนี้ก็ดีขึ้น แม้จะตายไปโลกนี้ก็ดีขึ้นทำให้ประเทศไทยสามัคคีมากขึ้น เสียสละมากขึ้น มีคนแจกอาหารฟรี ให้นั่งรถฟรี  จิตอาสาช่วยกันเก็บขยะ ทำให้คนเสียสละมากขึ้น ใครทำชั่วตอนนี้ถือว่าผิดเวลา ประชาชนจัดการเลย ทำให้รู้สึกว่าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์รักผู้อื่นทำเพื่อผู้อื่น

พระโพธิสัตว์ที่อยู่ใกล้พวกเราก็คือพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เกิดมาเพื่อผู้อื่นไม่ได้ทำเพื่อตัวท่านเอง แม้แต่สุขภาพท่านเป็นโรคประจำตัว ไออยู่เป็นประจำ เป็นผู้ที่น่าเคารพกราบไหว้ พ่อครูจึงบูชาพระพุทธเจ้าอย่างมาก เจอพระโพธิสัตว์อย่างซาบซึ้งขนาดนี้ถ้าเราได้เจอพระพุทธเจ้าจะซาบซึ้งขนาดไหน ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพานคนเกลือกกลิ้งสยายผมเอาหัวตีดิน แม้ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเสด็จสวรรคตก็มีคนแสดงออกให้เห็น เราอยู่กับพ่อครู อยากให้ท่านอยู่กับเราตลอดไปของไม่ได้ เราก็ต้องทำความดีในขณะที่ท่านยังอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีกำลังใจที่จะทำความดีเพิ่มขึ้น ลดละกิเลสเพิ่มขึ้น ปรารภความเพียรเพิ่มขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพ่อครูจะไปเมื่อไหร่ พ่อครูบอกว่าจะอยู่ไปร้อยห้าสิบเอ็ดปี ในหลวงบอกว่าจะอยู่ไปถึง 120 ปีก็อยู่ไม่ถึง อาตมาก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าท่านจะอยู่ถึง 151 ปีหรือไม่ พ่อครูก็พยายามที่จะอยู่ให้ถึง แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เราอยู่เพื่อปฏิบัติตนทำความดีตลอดเวลาที่อยู่กับท่านหรือไม่

ศาสนาคือปัญญาและวิญญาณของชาติ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์มองประชาธิปไตยและการเมืองไว้เกี่ยวกับการเมืองและประชาธิปไตยไว้

มองปรากฏการณ์ประชาธิปไตยและพุทธศาสนาที่กำลังจะเจริญรุ่งเรืองเอาไว้ว่า

“ตอนนี้กำลังจะลงมติรับหรือไม่รับรธน. อาตมาก็ขอออกความเห็นของอาตมาว่าคณะรัฐบาลบริหารประเทศมา 29 คณะแล้ว อาตมาเกิดทันประชาธิปไตยที่เริ่มเมื่อพศ.2575

เพราะอาตมาเกิดพศ.2477 ตอนแรกยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร เป็นประชาธิปไตยลอกเลียน

ขออภัยเป็นประชาธิปไตย “ ดัดจริต” ทำเละเทะมาจนทุกวันนี้ จึงค่อยเข้ารูปรอยไปเรื่อยๆ

 

รัฐบาลชุดปัจจุบันก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ และเป็นประชาธิปไตยแบบ “ไทย ๆ” ต้องเน้นตรงนี้อย่านึกว่าไม่ดีนะ

ประชาธิปไตยแบบไทยนี้คือประชาธิปไตยแบบพุทธ เป็นประชาธิปไตยสองขามีทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ สรุปว่าประชาธิปไตยแบบพุทธนี้ เป็นแบบที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีได้และเมืองไทยยังเป็นเมืองพุทธด้วย เราก็เป็นประชาธิปไตยด้วย มีแกนพุทธมาตลอด

มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้งที่สุดที่ยั่งยืน เพราะจิตมันเป็นจริงมาเสียสละจริงอดทนแข็งแรงเป็นไปเพื่อ “ประโยชน์และความสุขแก่มหาชนเป็นอันมาก”(พหุชนหิตายะพหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ จริง)

รัฐบาลที่บริหารอยู่ในขณะนี้ เป็นตัวอย่างปรากฏจริงให้เห็นดีมากเลยต้องขอบคุณพล.อ.ไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยกไว้ และขอบคุณอีกหลาย ๆ คนไทยเราตอนนี้มีบุคคลจริงที่จะทำการเมืองแบบพุทธเป็นประชาธิปไตยสองขาที่มีทั้งกษัตริย์และมีโครงสร้างประกอบกันคณะนี้ที่ทำงานอยู่ก็ทำงานช่วยกันตามแต่ละหน้าที่ โดยองค์รวมแล้วอาตมาให้คะแนน80-90% เลย

ขณะนี้ประชาธิปไตยต่างประเทศยังตามไม่ทันหรอก

หลายประเทศหลงประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีกษัตริย์ ขาดจิตวิญญาณ อย่างอเมริกาทำเอาวัตถุและโครงสร้างภายนอกเป็นที่ตั้งไม่ได้เกิดจากแกนจิตวิญญาณเป็นที่ตั้ง

แต่ไทยเราสั่งสมจิตวิญญาณมายาวนานกว่า ในอนาคตศาสนาพุทธจะรุ่งเรืองขึ้นอีก  ผู้มีปัญญาเห็นของจริงก็จะมาเอาไปใช้”

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 16 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 เป็นวันออกพรรษา เราก็จะได้ปวารณาออกพรรษากัน จริงๆแล้ว นักบวชของพุทธไม่มีออกพรรษาหรอกมีแต่เข้าพรรษา ออกก็มีแต่ปวารณา คือให้ติเตียนกันได้ด่ากันได้ ขณะนี้บรรยากาศของโลกเป็นบรรยากาศของ Crying world เป็นบรรยากาศของการสดสลดพิร่ำพิไลของโลก ที่พูดว่าของโลก มันเป็น vibration ของวิญญาณ ของspirit สั่นสะเทือนถึงกันหมดแล้วทั่วโลก อ่านจาก phenomenon ที่ปรากฏจริงขณะนี้ว่า คนๆหนึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยซึ่งมีพระจิตวิญญาณเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ศึกษามาทางธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อรื้อขนสัตว์ลูกๆ ช่วยสรรพสัตว์

ในปางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศพระองค์นี้ ท่านบำเพ็ญบารมี พระมหาชนก กับพระเตมีย์ ท่านทรงงาน แทบไม่กินไม่นอน ตลอดเวลา นั่นคือความเป็นบารมีของพระมหาชนก เป็นความอุตสาหะวิริยะพากเพียร ว่ายในมหาสมุทรที่ไม่เห็นฝั่งก็ว่าย มั่นใจว่าทิศทางนี้เป็นทิศทางที่ถูกจะถึงเมื่อไหร่หรือไม่ถึงเมื่อไหร่ก็พากเพียรอย่างเดียว เต็มที่ยังไม่กังวล

ส่วนคำว่า เตมีย์ใบ้ คือพูดน้อยตรัสน้อยตรัสเพียงสั้นๆจะเห็นได้ ไม่พูดซ้ำซากพูดแล้วก็แล้วไป ใครฟังทันก็ทันไม่ทันก็แล้วไป จะมีภูมิปัญญาเห็นได้ รู้ได้เอาด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะท่านต้องรีบ เหมือนอาตมาก็ต้องรีบทำ เป็นยุคใกล้กลียุค

อาตมาขยายนามธรรม ส่วนในหลวงท่านขยายรูปธรรมไปทั้งโลก ก็ไปด้วยกัน อาตมาก็พูดไปก็ยังไม่ถ้วน ความมีวิปลาสผิดพลาดอยู่บ้าง วิปลาสนั้นจิตกับทิฏฐิไม่วิปลาส แต่สัญญานั้นวิปลาส กำหนดหมายไม่แม่น จริงๆทิฏฐิก็ยังไม่ร้อยเต็มของอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แต่จิตเต็มร้อย สัญญาบกพร่องในปัจจุบันนั้นอาตมาได้ย้ำว่าประชาธิปไตยแท้ต้องเป็นประชาธิปไตยสองขา มีทั้งพลังงานจิตนิยามและอุตุนิยาม รวมกันขาเดียว เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยรู้เรื่อจิตเจตสิก ไม่มีการสืบทอด DNA ของจิตวิญญาณ DNAไม่ใช่สรีรพันธ์ุ แต่คือกรรมพันธ์ุเป็นเชื้อสายทางกรรมกริยาของแต่ละคน จนเกิดผลสั่งสมเป็นพลังงานจิตวิญญาณ

ที่เกิดผลทั่วโลกขณะนี้ ยืนยันได้ว่าเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ขอย้ำว่าประเทศไทยคือประชาธิปไตยสองขา ดีที่สุดในยุคภัทรกัปนี้ที่มีปรากฏการณ์จริง ผู้บริหารจริง เป็นจิตวิญญาณของประเทศชาติ คือพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อันนี้เป็นตัวจริง เป็น Phenomenon พระองค์บริหารประเทศจนคนรับสัมผัสได้ ตราตรึงจิตวิญญาณได้ เคารพนับถือบูชาได้ ไม่ได้เคารพนับถือเพราะถูกหลอกลวงล่อลวง  และเล็มหาเสียง ไม่ใช่เลย เพราะคนเห็น คนรู้ คนเข้าใจ คนซาบซึ้งด้วยจิตใจของแต่ละคน ตามภูมิปัญญาของแต่ละคน เป็นอิสระเสรีภาพที่สุด

ความลึกซึ้งอันนี้ มนุษย์กำลังแสวงหาทุกคน แสวงหาจุดที่สูงสุดดีที่สุด ก็ถึงคราวที่มีปรากฏการณ์ชิงมีคนจริง มีจิตวิญญาณที่ประเสริฐสุดยอดจริง และคนก็มีภูมิปัญญาเห็นเองรู้เอง ถึงไม่มีที่ขีดคั่นเลยไม่ว่าชาติไหนประเทศไหน ไม่ว่าศาสนาใด เทวนิยมหรืออเทวนิยมก็เปิดหมดแล้ว ชัดเจนขึ้นมาเป็นปัญญาแล้ว ไม่ใช่มีแต่เจโต ก็ยอมรับนับถือ

เรื่องของปัญญา เรื่องธาตุรู้ที่รู้สัจธรรม ที่ประเสริฐสุดคืออะไร สอง รูปธรรม ของสังคมเป็นสาธารณโภคีในประเทศไทย มีความเป็นจริงของเศรษฐกิจแบบสาธารณะโภคี คอมมูนแบบสาธารณะโภคี หรือประชาธิปไตยแบบสาธารณะโภคี

ประชาธิปไตยแบบสาธารณะโภคี คืออะไร คือคนทำงานอยู่ในสังคมนี้เสียภาษี 100 เปอร์เซ็น โดยไม่บังคับ ไม่มีกฎเกณฑ์อะไร แต่คนเต็มใจเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์เอง มีรูปแบบสภาวะเมื่อเกิดสาธารณะโภคีแล้ว บริหารสาธารณะโภคีอย่างไร ในชาวอโศก

เป็นความซับซ้อนมาก ในกลุ่มชาวอโศก ทางด้านนามธรรม รู้ไหมว่า นำมาทำเป็นสิ่งละเอียดลึกซึ้งมากกว่ารูปธรรม พวกคุณพอรู้ได้ไหม นามธรรมในชาวอโศกที่สูงสุดอยู่ในร่างของใคร ...อยู่ในร่างของอาตมา

 แล้วมันมีอยู่ในร่างอาตมา แล้วอาตมาเป็นคนเบ่ง แอคอาร์ทใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเปล่า ก็พูดไว้ละไว้ในฐานที่เข้าใจ อาตมาพยายามทำอย่างที่พูด เพื่อให้สอดคล้องกับระบบของพระพุทธเจ้าที่เป็นพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในพระบรมโกศนี้ท่านสละพระวรกายของท่านไปแล้ว ไม่มีแล้ว อาตมายังเหลืออยู่ อาตมาจะต้องทำต่อในส่วนที่ท่านทำไปแล้ว ต่อไป เพราะฉะนั้นอาตมาจะต้องแสดงตัว พูดระบุไปในอนาคตอีก ก็พยายามอย่ามีอคติ ว่าจะมาพูดเพื่อให้ได้ใหญ่โต ให้คนมาศรัทธาเคารพนับถือ เจตนาอย่างนี้ไม่มี

ถ้าอาตมาพูดผิดก็โกหก เป็นบาปนะ อาตมาก็ไม่ทำบาปใส่ตัวเอง

มีผู้ส่งบทความของนักข่าวต่างประเทศ ชื่อ Michael Yon มา คุณแหม่ม พราวพุทธ แปลมาให้ว่า...

The body of His Majesty the King BumibolAdulyadej, has passed away.  His Loving Soul is with us now.

แม้ว่าสรีระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  จะได้จากเราไปแล้ว   แต่ขณะนี้ดวงวิญญาณของพระองค์ท่านยังทรงอยู่กับพวกเรา

With sad heart I write these words.  I was told by sources close to His Majesty King BumibolAdulyadej that he passed away one hour ago, about 14:15 Thailand time.  As I write these words, it has not yet been announced, but when you read these words, it will have been officially announced.

ข้าพเจ้าเขียนคำเหล่านี้ด้วยความเศร้าใจอย่างยิ่ง  แหล่งข่าวซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  แจ้งข้าพเจ้าว่าพระองค์ทรงเสด็จสวรรคตประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว  ประมาณ 14.15 น.  ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศไทย   ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้  ยังไม่มีแถลงการณ์  แต่ตอนที่ท่านอ่านบทความนี้คงจะได้มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแล้ว

On one level, there is not much to say other than that one of the greatest leaders in history graced us for so long.  He is the Father of Thailand.  He was a champion of peace, freedom, and prosperity, and a good friend to America and to American people.  His Majesty is loved by many Americans.

ในแง่หนึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องพูดมาก  นอกไปจากว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ทรงให้เกียรติใช้ชีวิตร่วมกับพวกเรามาเป็นเวลายาวนาน  ท่านเป็นพระบิดาของประเทศไทย  เป็นผู้ต่อสู้เพื่อความสงบ ความเสรีภาพ  ความเจริญรุ่งเรือง  และทรงเป็นเพื่อนที่ดีของประเทศอเมริกาและชาวอเมริกัน  พระองค์ทรงเป็นที่รักของคนอเมริกันเป็นจำนวนมาก

Americans normally do not like Kings, but King Bhumibol is a great exception.  Those who studied him grew to respect him, then to like him, and finally to share in the love for the King of Kings.  The love for His Majesty is so immense that it could fill the Gulf of Thailand.

ปกติชาวอเมริกันมักจะไม่ค่อยชอบกษัตริย์ต่างๆแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  ทรงเป็นข้อยกเว้นที่พิเศษอย่างยิ่ง  ใครที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ท่านก็เริ่มเคารพพระองค์ท่าน  เริ่มชอบพระองค์ท่าน  และในที่สุดก็เริ่มรักพระองค์ท่าน  ผู้ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์  ความรักที่มีต่อพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไพศาลจนสามารถนำไปบรรจุได้เต็มอ่าวไทย

Thais are among freest people on earth, thanks to His Majesty.  He brought his millions of sons and daughters very far, and he taught lessons and brought inspiration to foreigners such as me.

ชาวไทยจัดว่าเป็นคนที่มีอิสรเสรีภาพกลุ่มหนึ่งในโลกใบนี้  ซึ่งเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงของเรา  พระองค์ทรงนำพาลูกๆของพระองค์ท่านนับล้านคนก้าวไปไกล  ทรงสอนและเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวต่างชาติอย่างผม

He was a musician, and good, and his photography was excellent.  Highly educated, he visited every corner of this great country, into the deepest jungles to help villagers, into the mountains, out to the islands, down the rivers.  He went everywhere.  His Majesty was a man of the people.  He wanted to see with his own eyes, and he did.

พระองค์เป็นนักดนตรีที่เก่ง  เป็นช่างภาพที่ยอดเยี่ยม  เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูง  พระองค์ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนทุกพื้นที่ของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้  ทรงเสด็จไปในป่าที่ลึกที่สุดเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน  ทรงข้ามภูเขา  แม่น้ำลำธาร  แม้แต่เกาะต่างๆก็ทรงเสด็จไปด้วย  พระองค์เสด็จไปทุกที่  เพราะพระองค์เป็นคนของประชาชน  พระองค์ต้องการเห็นทุกอย่างด้วยพระเนตรของพระองค์เอง  และท่านก็ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ 

Finally his body was worn out.  We wish his body had lived to 110 but his body wore out.  He spent it working for Thailand.  But this is not the end.  Only his body is gone.  His Majesty is more alive now than ever before.

แต่ในที่สุดสรีระของพระองค์ก็เหนื่อยล้า พวกเราอยากให้พระองค์ท่านอยู่กับเราถึง 110 ปี  แต่สรีระของพระองค์อ่อนล้าหมดแรง  เพราะพระองค์ท่านได้ใช้มันในการทำงานเพื่อประเทศไทย  แต่ทุกอย่างคงไม่จบลงแค่นี้  สรีระของพระองค์ท่านเท่านั้นที่จากพวกเราไป  แต่พระองค์ทรงอยู่กับพวกเราในขณะนี้  มากเสียยิ่งกว่าในช่วงที่ผ่านมา

Now that he is free from the cage of flesh, his soul is alive and free to walk in every town and village, in every home, in every heart, all at once.  I am alone but I feel him here beside me, looking over my shoulder.  He is right here.  He is with you, with me, with us.

ขณะนี้พระองค์ทรงเป็นอิสระจากเนื้อหนังทางกาย  วิญญาณของพระองค์ท่านจึงมีอิสระที่จะไปได้ทุกที่  ทุกบ้าน  และอยู่ในหัวใจของเราทุกคนพร้อมๆกัน  ผมอยู่คนเดียวแต่ผมรู้สึกว่าพระองค์ท่านทรงอยู่ข้างๆผม กำลังมองข้ามไหล่ของผม  พระองค์ทรงประทับอยู่ตรงนี้  ทรงประทับอยู่กับคุณ  กับผม  กับพวกเราทุกคน

It will be a great honor for the Thai people around the world, and foreigners who love Thailand, to come together today, and remember his teachings on peace, self-reliance, freedom of religion, equality for women and for all.  And to be like bamboo.  Know when to stand strong, and when to bend with the winds that often challenge our roots.  His Majesty always taught unity.

จะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง  ที่คนไทยทั่วโลก  และชาวต่างชาติที่รักประเทศไทย  จะมารวมตัวกันในวันนี้และจดจำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับความสงบ  การพึ่งตนเอง  เสรีภาพในการนับถือศาสนา  และความเสมอภาคสำหรับสตรีและของทุกคน  และที่ท่านทรงสอนให้เราทำตัวเสมือนไผ่ลู่ลม  รู้ว่าเมื่อใดควรตั้งมั่น  เมื่อใดควรลู่ไปตามสายลมที่ท้าทายรากฐานของเรา  พระองค์ทรงสอนให้เราสามัคคีกัน

We must remember that His Majesty always taught peace and unity.  Peace, unity, and compassion.

พวกเราจะต้องจดจำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเราเสมอ  นั่นก็คือ  ความสงบและความสามัคคี  ความสงบ-ความสามัคคี-และความเมตตากรุณา

And now I will wear the black shirt, and mourn for his family, for all Thais around the world.  But also rejoice that His Majesty the King is free from suffering, and is now everywhere at once, a free soul bringing love, peace, and unity, to every heart he touched, and the unborn heart he will touch in the future.

ต่อจากนี้ผมจะใส่เสื้อสีดำ  เพื่อแสดงความเสียใจร่วมกับพระประยูรญาติของพระองค์ท่านและชาวไทยทุกคนทั่วโลก  แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกยินดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว  และทรงประทับอยู่ทุกๆที่ในเวลาเดียวกัน ทรงเป็นพระวิญญาณที่อิสระซึ่งมอบความรัก  ความสงบ  และความสามัคคี ให้แก่หัวใจทุกดวงที่เคยสัมผัสและประทับใจในพระองค์ท่าน แม้แต่คนที่จะเกิดในอนาคตก็จะได้รับความประทับใจในพระองค์ท่านเช่นกัน

Should we cry that his body is gone, or celebrate that he lived and remains with us?  The answer is both.  After period of a mourning, there should be a great celebration for his life and soul, and for all his millions of family around the world, including foreigners he touched.

พวกเราควรจะร้องไห้เพราะสรีระของพระองค์ได้จากเราไปแล้ว  หรือควรจะเฉลิมฉลองที่ท่านเคยดำรงชีวิตอยู่และยังคงอยู่กับพวกเรา  คำตอบคงจะเป็นทั้งสองอย่าง  หลังจากที่ได้ไว้อาลัยสักระยะหนึ่งแล้ว  ควรจัดให้มีการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่  สำหรับชีวิตและจิตวิญญาณของพระองค์ท่าน  สำหรับครอบครัวนับล้านของพระองค์ท่านที่อยู่ทั่วโลก  ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติที่ท่านได้สัมผัส

Loved by millions, Rest in Peace, your Majesty King BhumibolAdulyadej, Father of Thailand.

ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช  ผู้ทรงเป็นที่รักของคนนับล้าน ทรงพักอย่างเป็นสุขเถิด

We love you.

พวกเรารักท่าน

Michael Yon

Chiang Mai, Kingdom of Thailand

ไมเคิล ยอน  เชียงใหม่  ประเทศไทย

 

อาตมาตั้งปณิธานที่จะอยู่ไปถึงร้อยห้าสิบเอ็ดปี ก็มีแต่ความพยายาม และความพยายามจะอยู่ไปถึงหรือไม่

ก็อธิบายธรรมะกัน มีข้อเขียนเปรียบเทียบของอาตมาไว้ เรื่องในประเทศไทยที่มีฝ่ายดำฝ่ายขาว

เราฝ่ายขาว สำนักจานบินคือฝ่ายดำ ขออภัยที่เอาท่านมาเป็นการศึกษา ท่านได้กุศลนะ ขอบอก

 เรากำลังพูดถึงนายไชยบูลย์(ธัมมชโย) เจ้าสำนักจานบิน“ธรรมกรวย”(อันว่า“กรวย”คำนี้ หมายถึง รูปทรง“กรวย” ที่มันมีปากบานออกไปไม่มีวันจะสิ้นสุดการยาวยื่นบานออกไป เพราะมันตรงกับ“ความรู้และความจริง”ของสำนักนี้นั่นเอง) เราอาศัยรูปลักษณ์ของ“กรวย”ที่ปากยื่นปากยาวออกไปๆๆๆๆๆ ไม่มีที่สิ้นที่สุด แบบ“น็อนสต็อป”(nonstop)ทิ้งคำว่า“กาละเวลา”กันไปเลย

ที่อาตมาพูดนี้ ไม่ใช่เป็นการประชดประชันอะไร แต่เป็นการพยายามใช้ภาษาให้สื่อความหมายตรงสภาพที่สุด ให้ตรงสภาวธรรมทุกชนิด ถึงจุดแท้ เท่านั้นเองเพื่อการศึกษา ตั้งใจศึกษากันดีๆ

เพราะความเป็น“กรวย”นั้นมันไม่ใช่ “กาย” มันตรงกันข้ามกับคำว่า“กาย”ของพระพุทธเจ้า 360 องศาชัดแท้ทีเดียว ทั้งรูปร่างของความเป็น“กรวย”มันก็แสดงรูปลักษณ์มีปากบานยืดยาวออกไป และสามารถที่จะบานออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อันตรงกันกับพฤติลักษณะที่ชาวสำนักจานบินปฏิบัติประพฤติกันอยู่อย่างยิ่ง

และความเป็น“กรวย”ของชาวจานบินก็ไม่มีความเป็น“นามธรรม”อยู่ในความเป็น“กาย”เลยสักน้อยด้วย

กล่าวคือ สำนักจานบินนี้ ประพฤติปฏิบัติกันอย่างมี“ทั้งรูปร่างทั้งวิญญาณ”ลักษณะเข้าข่ายความเป็น“กรวย”เท่านั้น ซึ่งภาษาที่ใช้คือ“กรวย”นี้ มันมีทั้งสำเนียงใกล้คำว่า“กาย”ด้วย จึงใช้นำมาให้เทียบได้ง่ายดี ว่า “กรวย”นั้นไม่ใช่“กาย” หรือ“กาย”นั้นก็ไม่ใช่“กรวย”ดอกนะ

แต่สภาวะของความเป็น“กรวย”กับความเป็น“กาย” มันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่จะใช้ชี้ให้เห็นได้ดี ว่ามันเกี่ยวกับ“รูป”ของความเป็น“กรวย” และมันเกี่ยวกับ“นาม”ความเป็น“กาย”ได้ชัดครบดีด้วยจะได้สำนึกสำเหนียกว่า จริงๆนั้นที่สำนักจานบินกำลังปฏิบัติตนและได้ผลเป็นอยู่คือ“กรวย” หรือคือ“กาย”กันแน่

ในความเป็น“กาย”ของชาวจานบินปฏิบัติอยู่นั้นเขาได้แค่วัตถุที่มีแต่“ร่าง”(สรีระ)อันประกอบด้วยดินน้ำไฟลมที่เป็น“มหาภูต 4”เท่านั้น มันไม่มีการเรียนรู้“ธาตุรู้”(นาม)ร่วมอยู่ด้วยเลย ซึ่งมหาภูต 4นั้นประชุมปรุงแต่งกัน(สังขาร)อยู่เป็น“กรวย” มันจึงเป็นได้แค่“อุตุนิยาม” อันเป็นองค์ประชุมของดินน้ำไฟลมไม่ใช่“กาย”อย่างสัมมาทิฏฐิในความเป็นศาสนาพุทธเลย 

เพราะการปฏิบัติกับความเป็น“กาย”ของชาวจานบิน หรือชาวพุทธสำนักอื่นๆทั้งหลาย ซึ่งเป็นเบื้องต้นที่สุดในการปฏิบัติของพุทธนั้น ยังหลงความใหญ่-ความรวย-ความสวยงามของวัตถุภายนอกอยู่ ดังจะเห็นได้ว่า การศึกษาและปฏิบัติของชาวจานบิน และสำนักชาวพุทธอื่นทั้งหลาย หาได้มีการเรียนรู้ตาม“โพธิปักขิยธรรม 37”ไม่ ซึ่งต้องมีทั้ง“วิตก-วิจาร-วิจัย”(analyze)กันเป็น “3 เส้า”ที่เริ่มตั้งแต่“กายในกาย”เป็นต้นไป

วิตก คือ จิตที่เริ่มก่อ เริ่มดำริขึ้นมา

วิจาร คือ พฤติหรืออาการที่จิตเป็นอยู่

วิจัย คือ แยกแยะอาการของจิตให้ได้

ดูกันให้ดีเถิด สำนักจานบินและชาวพุทธยุคนี้ทั้งหลาย ไม่มีดังว่านั้นแต่อย่างใด

เพราะการปฏิบัติที่จะให้เกิดความเป็น “สมาธิ”ของสำนักจานบิน“ธรรมกรวย” หรือในสำนักชาวพุทธทั้งหลายแม้ในเมืองไทย ก็ปฏิบัติแบบ“สะกดจิต”(hypnotize)กันถ่ายเดียวทั้งนั้น ไม่เรียน“กาย” ซ้ำมิหนำเข้าใจผิดความเป็น“กาย”เป็นแค่“อุตุนิยาม”เสียอีก

รายละเอียดของ“รูป 28”ก็ไม่เรียนรู้ จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ในความเป็นรูป 28” อย่างละเอียดบริบูรณ์ครบครันก่อน ซึ่งเป็นภายนอก เบื้องต้น เพราะสอบตกตั้งแต่ปฏิบัติอย่าง“ไม่มีสัมผัสภายนอก”มาแต่ต้น

เห็น“ความมหัศจรรย์”ของความเป็นลำดับ ที่ราบเรียบ ลาดลุ่ม เหมือนฝั่งทะเล ไม่โด่ไม่เด่ ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ตะปุ่มตะป่ำ ไม่โขลกเขลก ไม่ขรุขระ ไม่สะดุด ไม่เหลือจุด ไม่เหลือเศษละอองธุลี สีสัน หม่นมัวใดเลย  

ขาวผ่อง สะอาดสนิท ใสสว่างวามประกาย สยายราสี มีฉัพพัณณครันครบ 6

สะอาด-สว่าง-สงบ-สุภาพ-สัมบูรณ์  

ส่วน“กาย”คือ การมีทั้ง“รูป”ทั้ง“นาม” เป็น“ธรรมะ 2” ที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นเจาะเข้าที่“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” เป็นสำคัญในการปฏิบัติ(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230)แล้วปฏิบัติกันตามแบบ“ระบบวิจัย”(analysis system) อันมี“3 เส้า”ของ“สติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4” ซึ่งปฏิบัติสะสมกระบวนการทั้งหลายด้วย“สติสัมปชัญญะ”(อันมีสัมปชานะ-สัมปาเทติ-สัมปชลติ ฯลฯ)ต่อเนื่องกันไปให้เต็มครบ โดยมีสำรวมอินทรีย์ 6-และมีฉันทะ,วิริยะ,จิตตะ,วิมังสา ร่วมเต็มขบวน จึงจะเป็นไปตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “แต่ตถาคตเรียก‘ร่างกาย’อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง” นั้นได้ถูกต้องจริง

ฉะนี้เอง การปฏิบัติธรรมที่ผู้อบรมฝึกฝนเรียนรู้เข้าไปที่“กาย”นั้นจะต้องหมายเอา“ในภายใน”ของความเป็น“กาย”หรือธรรมะ 2 จะต้องเรียนรู้“ใน”องค์ประชุมของรูปกับนาม ที่เรียกว่า“กาย” ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงลึกละเอียด “ใน”ความเป็น“รูป 28”กับ“นาม 5” ก็ต้องเรียนรู้กันที่“จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง”

ซึ่งการพิจารณา“รูป 28” อันหมายถึงสภาวะที่“ถูกรู้”(object)และผู้กำลังปฏิบัตินั้นจะต้องเรียนรู้ด้วย“นาม 5”อันจะสามารถเป็น“ตัวธาตุรู้”(subject) ซึ่งได้แก่ “เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ”

หรือแม้“รูป 28”ที่เป็น“ภาวะถูกรู้” (object) ก็

 

เป็นสภาวะของ ปัญจสาขา….โมเมพาวัดเขารูปกับนามเกิดการเคลื่อน(โคจรรูป)กับปสาทรูปเกิดปฏิกิริยากระทบกัน เกิดปฏิฆสัมผัสโส เกิดภาวรูป 2 เป็นอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เราต้องแยกแยะและทำอิตถีภาวะให้เป็นปุริสภาวะ

เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ คือให้ศึกษาเวทนา 2 ศึกษาเวทนาให้เป็นกรรมฐาน ไม่ใช่เอาลูกหิน ลูกแก้ว ขี้หมู ขี้หมาอย่างอื่นไปเป็นกรรมฐาน

รู้ความจริงตามความเป็นจริง นี่เรียกว่ามือนะ นี่เรียกว่า งวงตาล ตอนนี้ต้นตาลของบ้านราชฯมีเยอะ เราก็มีผู้ชำนาญเรื่องตาลกันก็เอามาให้อาตมาได้ฉันไม่ว่าจะเป็นลูกตาลหรือน้ำตาล เราก็รู้หนึ่งเดียวเป็นอารมณ์นี้ ส่วนอารมณ์อื่นที่จะมีชอบหรือไม่ชอบ ก็เป็นอาการเก๊ อารมณ์เก๊ ไปชอบ ไม่อยากได้ ไม่ชอบไม่อยากได้ ไม่ชอบหนักก็เผา ก็ทำลายมันเลย ก็ไม่เอา อาการนอกจากหนึ่งไม่เอา เอาอาการเป็นปัญญาหนึ่งเดียว รู้ความจริงตามความเป็นจริง เมื่อทำอาการแฝงเก๊ออกได้ จนจิตสะอาดก็เหลือปุริสภาวะ การทำอันนั้นก็ต้องรู้ตั้งแต่ ทหยรูป ชีวตรูป

แล้วก็รู้องค์ประกอบของสิ่งที่อาศัย รวมเรียกว่าอาหารรูป เริ่มต้นตั้งแต่กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวที่กินเข้าไปในปากและลิ้นก็เกิดรส ก็อ่านที่รสอาหาร เปรี้ยวหวานมันเค็ม มีกลิ่นมีรส มีเสียงมีสัมผัส เกิดอารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์แท้อารมณ์เดียว มันมีอารมณ์ที่เป็นเท็จที่ไม่แท้เพิ่มขึ้นมาอย่างไร อร่อยหรือไม่อร่อย ชอบหรือไม่ขอบไม่อา ไม่มีไม่อร่อยหรืออร่อย เป็นเรื่องยาก แต่เรียนรู้ได้เป็นจริง

รสอาหารมาแตะลิ้นก็รับรู้กลางๆให้ได้ ไม่อยากได้หรือไม่อยากได้ มีอันนี้ก็ดูว่ามีวิตามิน ธาตุอาหารที่อาศัยได้ดีไหม ถ้าบกพร่องไปก็อย่าดิ้นมากนัก วันหลังค่อยเติม แต่ถ้าขาดมาก ขาดธาตุเหล็กมาก็ค่อยบอก ก็แล้วไป แต่นี่มันมีมาให้เราอยู่ตลอด วิตามินเกลือแร่ไม่ขาดหรอก ยิ่งพวกเรามีสร้างสรรเยอะอยู่แล้วไม่ต้องกลัวขาด มีแต่กลัวจะเกิน

สรุปแล้วเราต้องรู้จัก หทยรูป ตรงไหนที่เราอ่านอาการออกไม่มีสีสัน รูปร่างหรือที่อยู่ คนก็บอกว่าอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 หรือเหนือสะดือ 2 นิ้วอยู่กลางกายคำว่ากลางกาย ไม่ใช่กลางพุงของคุณเนื้อตัวของคุณ ก็ได้ตามหลวงพ่อสด ลูกศิษย์ลูกหาก็เลยนั่งสะกดจิต นิ่งอยู่กับเหนือสะดือสองนิ้ว จะเอาไม้บรรทัดไปวัดก็ไม่ได้ต้องประมาณเอาโมเมเอาว่าเหนือสะดือสองนิ้ว เป็นการกำหนดแบบสมถะทั้งนั้นเลย ก็รู้รูป 28 ไม่ได้ ขยายไม่ได้ ไม่มีสภาวะ

เมื่อเรากำหนดรู้ได้ในหทยรูป  ก็ต้องมารู้ชีวิตรูป ที่เคลื่อนไหวเกิดจาก รูปเสียง กลิ่นรส สัมผัสเสียดสี เย็นร้อน อ่อนแข็ง ทั้งหมด 5 นั้นแล้วก็มีข้างใน รูปจิต อรูปจิต เอาไว้ก่อน อธิบายทีหลัง

สามารถละล้างได้ จนไม่เหลือเหตุปัจจัยที่เป็นเศษ ดับในส่วนที่เป็นอกุศลส่วนที่ไม่ต้องการดับให้สนิท จบในองค์ประกอบที่คุณทำได้ด้วย ปริเฉทรูป

สุดท้ายจบปริเฉทรูป ก็มีนามธรรมกำหนดเป็นกายวิญญัติวจีวิญญัติ ตามที่คุณจะมีบารมีแสดงออกได้ กายวิญญัติ วจีวิญญัติจึงรวมไว้ใน วิการรูป 5  อยู่ข้างในก็ได้ออกมาข้างนอกก็ได้

อากาสธาตุ คือว่างจากกิเลส คือเป็นกลาง อันเดียวกันอากาศกับความว่างหรือกลางๆว่างๆ ก็ synnonyme คือไวพจน์กัน อากาศ หรือว่าง หรือกลางๆ อันเดียวกัน

เมื่อเราทำได้ครบผ่านปริเฉทรูป ก็ทำกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แล้วก็รู้อีกสาม ในวิการรูปคือ จิตที่ลหุธาตุ มุทุธาตุ กัมมัญญธาตุ

ลหุธาตุคือมันเบา เราใช้ว่าเบาแค่นี้แต่มีพลังแรง ตามบารมีของคน เคยดูหนังกำลังภายไหม กระดิกเบา ๆ ก็ตายแล้ว

มุทุธาตุคือ แววไว คล่องทั้งเจโตและปัญญา รู้ก็เร็ว ปรับได้ก็เร็ว จึงเรียกว่าจิตหัวอ่อน เป็นปัญญาที่ไว มันเป็นเองเลย ปรับให้เป็นอย่างใดก็ได้เร็ว ให้ได้ทุกขนาด บารมีมากก็ปรับได้มาก บารมีน้อยก็ปรับได้น้อย เหมือนรถมีแค่สามเกียร์หรือรถมีห้าเกียร์หรือรถมีสิบเกียร์ก็ละเอียดได้มาก ถ้าเอาสิบเกียร์ไปให้คนขับไม่เป็นก็พังเลย เข้าไม่ถูกจังหวะก็คว่ำเลย

รู้จักลหุธาตุ มุทุธาตุจึงกำหนด กัมมัญญธาตุ คือกรรมกิริยาที่กำหนดประมาณอย่างพอเหมาะ จึงเป็นกัมมัญญตา เป็นความพอเหมาะพอดี sufficience คือความพอดีพอเพียง คือกัมมัญญตา คือ sufficience ใครมีภูมิธรรมลึกซึ้งก็พอดีได้มากไม่มี overlab คมแม่นชัดไม่เหลื่อม

คนที่มีคุณสมบัติคุณธรรมคุณวิเศษ จะปรับเปลี่ยนได้เร็วมากทำให้เบาให้เป็นการเหมาะควรแก่งาน วิการรูปคือ ลหุธาตุ มุทุธาตุ กัมมัญญธาตุ

สมณะฟ้าไทว่า...บางทีพ่อครูตัดสินตามข้อมูล ถ้าข้อมูลใหม่มาก็ตัดสินใหม่ได้ แต่พวกผมนี่ยังติดภพ เอาอันเก่าอยู่ไม่ยอมเปลี่ยนก็มี

พ่อครูว่า...ก็นาทีที่แล้วเป็นสาม แต่มีอีกหนึ่งมาอีกก็ต้องเอาเป็นสี่ แต่ในฐานะพวกคุณก็ต้องยึดไว้ก่อนในเบื้องตัน เมื่อเข้าใจได้เพิ่มขึ้นจึงเปลี่ยน

ลักขณรูป 4 คือ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา

4 อย่างนี้จะอยู่กับตัวคุณตลอดคุณ จะให้เกิดก็เป็น อุปจยะ คุณคือพระเจ้า ถ้าจะไม่ให้เกิดก็ไม่ต้องมี สันตติ คือไม่ต่อพลังงานก็หยุด แต่ถ้าจะต่อ แม้คุณต่อมันก็ชรตา อนิจจตาได้

จนกว่าจะมีภูมิที่เหนือกว่า 8 คือได้ 8 เต็มแล้วจึงบอกว่าได้ 9 ถ้าคุยเกินตัวจริงจะเสีย ถ้าเราคุยน้อยกว่าที่มีก็ไม่เสียหาย ถ่อมตนไว้น้อยไว้อย่าอวดดีมากจะเจอดี พระพุทธเจ้าท่านบารมีมากเต็มแล้วไม่มีใครตามทัน ไม่เป็นฐานะที่จะมีพระพุทธเจ้าของพระองค์อุบัติพร้อมกันหรือใกลกัน

ที่เอาธัมมชโยที่อาตมามั่นใจว่าเป็นสมีมาอธิบาย เพราะว่าเข้าใจร่วมกันได้ง่าย เป็นตัวอย่างที่เลว

อย่างในหลวงในพระบรมโกศของเราก็เป็นตัวอย่างที่ดีเอาไว้ศึกษา

อย่างธัมมชโยนี่เป็นตัวอย่างที่เลวที่ใช้ศึกษาดีมาก ที่หลอกคนให้สร้างสวรรค์วิมาน อย่างออกแบบรถหัวปลีมานี่ อาตมาว่าใกล้กับคำว่าอัปรีย์นะ

จริงๆแล้วเขาก็ไม่อยากทำแต่เขาอวิชชาหลงผิด อาตมาก็เลยต้องบอกว่าหยุดเถอะ ดิ้นอย่างไรไม่หลุดหรอก ข้างนอกเขารู้หมดแล้ว แต่คุณอยู่ในรูก็ไม่รู้ตัว เขาก็ต้องทำตามธรรมภิบาล คุณทำผิดมาเองก็จำเป็นต้องรับ

ในภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน ถ้าสูงขึ้นก็เป็นก้นหอยยกยอดขึ้น วนซ้ายขวาแต่สูงขึ้น แต่ของคุณวนซ้ายขวาๆแล้วต่ำลงไป มันเป็นแบบปากกรวยด้วยไม่ใช่ก้นหอย เลยไม่รู้จะจบตรงไหน อย่างธรรมกรวยนี่ มันเป็นปากกรวย ไม่มีที่จบ

อาตมาว่าถ้าธัมมชโยยอมเสียนี่ จะยกวงการสงฆ์วงการศาสนาขึ้น ยกหินออกได้ จากที่หินทับหญ้าไว้ จะมีอะไรเจริญงอกงามขึ้น  ท่าเอาแต่นั่งทับของเสียเอาไว้ จะมีแต่เน่าเหม็นทะลุขึ้นก็จะสะอาดไม่ได้   เขาไม่หวังให้คุณทำความสะอาดเอง ขอให้ลุกขึ้นเถิดถ้าเขาเองไม่ยอมอยู่อย่างนี้ เขาไม่อยากจะทำแรง ถามจริงๆเขาทำแรงได้ไหมก็ทำได้ เขาเมตตาคุณเท่าไหร่ ทำไมคุณถึงได้โง่เง่านักหนา เขาไม่ทำแรง คือเขากรุณาปราณีคุณมากเลยนะ เขามีสิทธิ์จะทำแรงได้นะ จับใส่กุญแจแล้วก็เดินจูงเข้าตารางเขาทำได้ แต่เขาไม่อยากหยาบคาย เขาให้เกียรติคุณเพื่อให้คุณสำนึกเขาให้ยอมโดยดี แต่คุณกลับโง่ไม่รู้จักเกียรตินั่นแหละ จะโง่ไปอีกครับ

ที่เขาไม่กล้าทำนั้นคือเขาไม่อยากทำหยาบ แต่สักวันหนึ่งเขาต้องทำใช่ไหม หรือไม่เขาก็ล็อคคุณไว้ ข้างนอกเขาก็กวาด คนอื่นไม่มีใครดึงดันเท่าไชยบูลย์ ลูกศิษย์ก็ไม่ดึงดันเท่า คนอย่างนี้เขาก็ต้องทิ้งคุณไว้คนเดียวหรือไม่ก็เก็บกวาดคนพวกนี้ไป เขาไม่ดึงดัน แล้วคุณจะเหลือคนเดียว ฟังไว้ ที่สุดแห่งที่สุด ข้าวก็จะไม่มีกิน ก็ลองดู

โดยนัยยะของสัจธรรมวิบาก อกุศล จะน้อยลงถ้าคุณรีบทำ แต่ไม่รีบทำ กาละวิบากจะทับถมยกกำลัง ไม่ใช่แค่บวกหรือคูณ ในกรรมอนันตริยกรรม กรรมปาราชิกนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

 และในรอบ 360 นี้มันหมายถึง ยิ่งกว่า 180 องศาอย่างซับซ้อนนะ คือมันมี“ความหมุนวนไปอีก”หลายรอบต่อหลายรอบยิ่ง ความตรงกันข้ามที่เรียกว่า 360 องศาจึงหมายความว่า มันตรงกันข้ามชนิดที่“หมุนรอบเชิงซ้อน”(ปฏินิสสัคคะ = ความหลงผิดว่าสวรรค์ แต่ไม่ใช่สวรรค์อย่างวนกลับไปกลับมา) กันกลับไปกลับมาอีกรอบแล้วรอบเล่า หลายรอบมาก วนไปกลับไปกลับมา จนคนจับ“จุดที่ถูกต้องตรงแท้”ไม่ได้ง่ายๆเลย

ความเป็น“กรวย”นี้แหละ คือภาวะแท้ๆทั้งหมดประดามีของทั้ง“ความรู้และความจริง”ของ“สมีไชยบูลย์”ที่เขาพยายามเผยแพร่ครอบงำสังคม เขาตั้งใจครอบงำโลกทั้งโลกปานนั้นเลย เขาประพฤติปฏิบัติจริงๆ เพื่อให้เกิดให้เป็นตามที่เขามุ่งหมาย“อยากใหญ่” อาตมาว่าความอยากใหญ่เขามากกว่าโอบาม่า มากกว่าปูติน แล้วพยายามทำให้ตัวเองใหญ่ด้วย

นายไชยบูลย์เขา“อยากใหญ่”(มหิจฉะ)ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีประมาณเป็น“กรวย”ปากบานไปไม่มีที่สิ้นสุด-หาที่สุดมิได้(อัปปมัญญา)

จึงขอนำคำว่า“กรวย”นี้มาใช้แทนคำว่า “กาย”  เพื่อชี้ให้ชัดเจนขึ้นในการศึกษานี้

ซึ่ง“ความรู้และความจริง”ทั้งหมดของ“ธรรมกรวย”นี้มันตรงกันข้ามกับความเป็น “ธรรมกาย”ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมกาย”นั้นเป็นชื่อของพระองค์ ซึ่งหมายถึง “พุทธธรรม”ของพระองค์ครบ“ธรรมะ 2”(รูป+นาม)

กายคือธรรมะสองที่เป็นรูปกับนาม ถ้ามีแต่รูปก็ไม่มีสิทธิ์รู้ได้ จิตวิญญาณที่ไม่เป็นหนึ่งก็สัมผัสกับสิ่งใดก็ไม่รู้ เพราะนามนั้นไม่มีประสิทธิภาพรู้ได้ แต่จิตวิญญาณที่บรรลุจะรู้ถึงนิยามชีวิตทั้ง 5 นี้ได้

ส่วนพวกจิตวิญญาณที่ไม่รู้อย่างธัมมชโยก็ปั้นสวรรค์วิมานให้คนหลงงมงาย รู้จักกันตัวเองไว้ด้วยว่า นี่คือ ร.ร.ฝันในฝัน ตื่นมาลืมตาหาวหนึ่งที ฝันเป็นตุเป็นตะ รู้ทุกอย่าง สัมชานมุสาวาท กันไว้ก่อนว่าเป็นฝันในฝัน ตนไม่รับผิดชอบนะ แล้วก็มีคนหลงเชื่อมาก แล้วเอาคำว่าพูดว่าฝันไปนี่ไปยืนยันกับศาล ไม่ใช่จริงนะแต่คนไปเชื่อเอง แล้วศาลจะยอมไหมนี่ เขาก็บอกว่าเขาเป็นครูไม่ใหญ่นะ ใช้พยัญชนะกันไว้หมดเลย เลวสุดๆ ขอพิพากษานะ สัมปชนมุสาวาทซ้อนไม่รู้กี่ชั้น ใช้พยัญชนะยืนยันตัวเองว่าไม่ได้โกหก แต่กลับโกหกสุดโกหก อาตมาว่าเลยโกหกแล้ว มันคือโกเจ็ด น่ากลัวกว่าโกหกนะ

สรุปว่า สมีไชยบูลย์เขาเห็น“ภพเทวดา 6” เป็น“สวรรค์”อย่างมั่นจิตปักใจ แต่โดยสัจจะมันคือ“นรก”จริงๆ คือ“ของเก๊”แท้ๆ

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในช่วงแรก ใครได้อ่านที่ว่าตอนที่ท่านทรงพระประชวรก็เอาแผนที่มาส่งงานในโรงพยาบาลอีก ทำให้เห็นเลยว่าโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติอย่างแท้

พ่อครูพูดถึงธรรมกรวย คือทำชั่วในวงกว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เลวไม่สิ้นสุด เพราะธรรมกรวยทำให้คนหลงผิดได้มากเหมือนภูเขาใหญ่ พ่อครูเลยต้องมาช่วยจัดการ พ่อครูยังได้สอนรูป 28 ให้พวกเราได้ลึกซึ้งขึ้น ต้องรู้วิตก รู้วิจาร และรู้วิจัย

วิตก คือ จิตที่เริ่มก่อ เริ่มดำริขึ้นมา

วิจาร คือ พฤติหรืออาการที่จิตเป็นอยู่

วิจัย คือ แยกแยะอาการของจิตให้ได้ทำให้เหลือแต่ปุริสภาวะทำให้อิตถีภาวะกลายเป็นปุริสภาวะต่อไป จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:43:02 )

591017

รายละเอียด

591017_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำดีจนคนตาบอดเห็นได้

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ อาตมาประกาศว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ คนก็ไม่เข้าใจกัน ไม่รู้เรื่องว่าพระโพธิสัตว์คืออะไร แต่ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ท่านตรัส เราก็เอาของท่านมายืนยัน ท่านมั่นพระทัยอย่างนี้ สังคมประเทศชาติหมู่กลุ่มต้องอยู่แบบคนจน แต่มีนัยสำคัญที่ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดไม่เหลือ มีเหลือพอแจกจ่ายให้คนอื่นบ้าง ไม่มากมาย ไม่หรูหราไม่มากเกิน

เป็นคุณสมบัติพิเศษของมนุษยชาติของสังคม ขณะนี้สังคมโลกขานรับคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง sufficiency ใจมันพอ ไม่ต้องเอามากกว่านี้แล้ว มีสิ่งที่จะเป็นไปได้ เป็นองค์ประกอบที่รวมกันอยู่ ไม่ใช่อยู่คนเดียว อยู่กับมวลชนจำนวนมากด้วย อย่างเช่นพระเจ้าอยู่หัว ส่งแสดงให้ปรากฏ กับมวลหมู่มาก แต่ละคนไม่ต้องมาประจบประแจง แต่ก็เข้าใจต่างศึกษาเอาไปปฏิบัติ มาได้ถึงขนาดนี้ ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ อาตมาว่าหายใจโล่งขึ้นเยอะเลย อาตมาก็ตั้งอกตั้งใจจะทำงานต่อไป ทำงานให้เป็นปึกแผ่นเพื่อมวลมนุษยชาติในยุคปลายภัทรกัปป์ จวนกลียุคสมบูรณ์แบบแล้ว ขณะนี้ เราก็พยายามจริงๆ ที่จะสร้างความเป็นจริงว่ามนุษย์ควรอยู่กันอย่างนี้ อยู่กันอย่างช่วยกัน เริ่มต้นไม่ต้องหมู่มากขอให้จริงเถอะ ไม่ต้องมาก เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนมีสมรรถนะสร้างสรรค์ แข็งแรง ไม่เหยาะแหยะ อย่างที่เราเป็น

ทุกวันนี้ถึงขั้นที่เคยพูดเอาไว้ ต้องพยายามทำให้คนตาบอดเห็นได้ ทุกวันนี้ก็มีแล้ว มีคนตาบอดมายืนยัน น้องพัทธนันท์ มายืนยันบอกว่าเห็นในหลวงนะ มาร้องเพลงออกอากาศไง

 

รวมศิลปิน – ในหลวงของแผ่นดิน

คำร้อง วิเชียร ตันติพิมลพันธ์

ทำนอง/เรียบเรียง สราวุธ เลิศปัญญานุช

 

มอง เห็นพระเจ้าอยู่หัว

ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง

ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง

พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ

 

มอง พระผู้ทรงเมตตา

เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล

เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวังพระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ

ยึดเหนี่ยวอยู่ภายในว่าวันพรุ่งนี้ยังมีหวัง

 

ในหลวงของแผ่นดิน

หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่

หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน

ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน

 

ในหลวงของแผ่นดิน

ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน

ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง

ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

 

ในหลวงของแผ่นดิน

ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน

ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง

ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

 

แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ

มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม

 

ในหลวงของแผ่นดิน

หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่

หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน

ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน

 

ในหลวงของแผ่นดิน

ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน

ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง

ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

 

แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ

มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม

 

 

เป็นองค์ประกอบที่รวมตัวกันทั้งรูปและนาม ทั้งวัตถุ ทั้งอาการ ของมนุษยชาติ solution ของมัน บวกลบคูณหารออกมาแล้วได้ยอด impact total เป็นคำตอบ คำตอบอะไร?

แม้แต่ประเด็นว่าทำไมต้องเป็นคนตาบอดมาร้องว่ามองเห็น แค่นี้ก็เป็นอจินไตยแล้ว คนมีตั้ง 70 ล้านคนในเมืองไทย ทำไมจะต้องมาร้องเพลงนี้ต้องเป็นคนตาบอด แล้วมาร้องว่ามองเห็นนะ มันอะไรกันนักกันหนา คนตาดีหายไปไหนกันหมด ต้องเป็นคนตาบอดมาร้องว่ามองเห็น..มองเห็นอะไร

ตอนนี้แสงสว่างกำลังเกิด ทั่วโลกกำลังมองเห็น ชัดเจนขึ้นได้ด้วย ก็เหลือแต่ว่าสั่งสมเหตุปัจจัย การที่เรารู้ด้วยปัญญา ทำเหตุให้ชัดเจน ให้แม่นชัด ไม่ผิดเพี้ยน ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลกในที่สุด ตั้งใจเลย ขอบคุณหนูพัทธนันท์ มาร้องเพลงให้พวกเราฟัง แต่เจ้าตัวคงไม่รู้

 

สังเกตไหมว่าคนที่จะมาทำงานบริหารเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมมักจะเป็นศิลปิน จะต้องมีอารมณ์ศิลปิน เพราะศิลปะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ความรู้ก็คือความรู้เป็นศาสตร์ไม่ใช่ศิลปะ คนจะมีความรู้มากเท่าไหร่แต่ไม่มีศิลปะก็คลี่กระจายออกมาไม่ได้ อภิสังขารออกมาให้เป็นผลต่อมนุษยชาติไม่ง่าย

ศิลปะนี้ถูกหลอกมามากจากตะวันตก เป็นเทวนิยมไม่เข้าใจศิลปะ แล้วศิลปะต้องมีปรมัตถสัจจะ มีทั้งวิญญาณประกอบด้วย ที่ไม่ใช่วิญญาณแบบลึกลับแบบเทวนิยม ที่ลึกลับเอามาพิสูจน์ไม่ได้ ให้มนุษย์อื่นรับรู้ร่วมด้วยไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องที่ลึก อัตวาทุปาทาน เป็นอัตตาที่รู้ได้ด้วยบัญญัติ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยปรมัตถสัจจะและสมมุติสัจจะทั้งภายนอกและภายใน มาสอดร้อยยืนยันชัดเจน

ในความเป็นความรู้และศิลปะ อันสูงส่งนี้ ของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะ 2 ทั้งภายนอกและภายใน ปรมัตถสัจจะและสมมุติสัจจะ 2 อย่างนี้ก็จะมีบทบาทแพร่ไปทั่วโลก ศาสนาที่เป็นเทวนิยมก็จะค่อยๆเรียนรู้ จะได้รับประโยชน์ขึ้นไป

ศาสนาพุทธสามารถรู้เทวนิยม และสามารถรู้ถึงอเทวนิยมด้วย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มีหนูน้อยเขียนตัวหนังสือตัวเท่าหม้อแกงถามมาว่า

_ได้ยินว่าเมื่อคนตายไปแล้วจิตวิญญาณจะไปเกิดทันที แล้วถ้าเป็นจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว วิญญาณของพระองค์ท่านจะไปเกิดทันที ที่วิญญาณออกจากร่างหรือไม่

ตอบ...ฟังดีๆ จิตวิญญาณเป็นสภาวะ ที่เรียกด้วยภาษาว่าอัตตภาพ ยังไม่สูญสลาย ยังมีความเป็นอยู่ ยังไม่แยกส่วนที่ไม่เหลือจิตนิยามแล้ว กลายเป็นอุตุหมดเลย เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่

เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

พ่อครูว่า...ก็แสดงว่า ชีวะไม่เหลือแล้ว พีชะก็ไม่เหลือ กลายเป็นอุตุไปหมดแล้ว เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม หมดแล้ว จิตนิยามหมดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พลังงานระดับพีชะก็ไม่เหลือ กลายเป็นอุตุไปหมดเลย ตัวตนของพระโพธิสัตว์ก็ไม่เหลือ

ถามว่าพระโพธิสัตว์เมื่อสิ้นชีพแล้ว จิตวิญญาณของท่านจะไปเกิดทันทีที่วิญญาณออกจากร่างหรือไม่ ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ใดตั้งจิตตายไปแล้วเป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็ไม่เกิดทันที ถามว่า จะไปเกิดไหมก็ไม่มี แต่ถ้าพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นจะต่อภพต่อภูมิไปอีกอยู่ก็จะเกิดทันที ถามว่าไปเกิดที่ไหน ไปเกิดที่สงบที่สุด จึงอยู่ที่ชื่อภพว่า ดุสิต คือภพที่อาศัยสงบที่สุด เป็นสันตุสิต ที่สันติที่สุด สงบที่สุด ก็ใช้พยัญชนะว่างั้น แต่อยู่ที่ไหนอธิบายไม่ได้ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีหลักแหล่ง แต่เป็นสภาวะละเอียดเกินกว่าจะพูด ไม่มีใครจับได้ ยิ่งเป็นจิตวิญญาณของผู้ที่ละเอียดสูงสุด ก็เป็นอจินไตย ท่านก็อยู่ของท่าน ถึงเวลาที่ท่านจะออกมา เช่น ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า รอวาระจะเกิดท่านก็อยู่ที่ดุสิต หรือแม้แต่พระโพธิสัตว์ ที่ทางมหายานเดาว่าอยู่ที่พุทธเกษตร ท่านก็บอกว่าอยู่รวมกันที่นั่น เป็นอจินไตย พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่พูด เพราะว่าเกินกว่าที่จะพูด แล้วท่านก็รู้กัน คนอื่นจะงง ท่านก็รู้กันแต่ท่านไม่พูดให้คนอื่นฟัง ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังงานไปพูด ไม่จำเป็น คนอื่นฟังก็อยากรู้อีก อธิบายไปก็เมื่อย เพราะคนไม่สามารถเข้าใจได้ อาจพูดผ่านเป็นบัญญัติให้คนศึกษาเป็นทาง road map ไม่พูดบ่อย

ตอบว่า ถ้าท่านต่อพุทธภูมิก็เกิดทันที แล้วจะอยู่ไหน ก็อยู่ที่แดนสงบ คือดุสิต ส่วนผู้ที่ท่านไม่ต่อแล้วก็สูญ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1ozGY9D_fEBJQWuf9silzAf2G2OswSRqRbBvwh2LMHDQ

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfUm85Rk1XYkhJVTA

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/3bygp63uhtr5/161017

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

https://youtu.be/FzvwsquaC_0


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:43:26 )

591017

รายละเอียด

591017_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำดีจนคนตาบอดเห็นได้

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 แรม 1 ค่ำเดือน 11 ปีวอก เราก็มาฟังสาธยายธรรมกันต่อ การสาธยายธรรม ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ก็อบอุ่นใจขึ้นเยอะ ก็ได้บรรยายมา 46 ปีแล้ว เดี๋ยวนี้บรรยายถึงเรื่องบุญเรื่องของจิต เรื่องความสัมผัสรับรู้ทางจิตวิญญาณเผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ อาตมาประกาศว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ คนก็ไม่เข้าใจกัน ไม่รู้เรื่องว่าพระโพธิสัตว์คืออะไร แต่ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ท่านตรัส เราก็เอาของท่านมายืนยัน ท่านมั่นพระทัยอย่างนี้ สังคมประเทศชาติหมู่กลุ่มต้องอยู่แบบคนจน แต่มีนัยสำคัญที่ เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดไม่เหลือ มีเหลือพอแจกจ่ายให้คนอื่นบ้าง ไม่มากมาย ไม่หรูหราไม่มากเกิน

เป็นคุณสมบัติพิเศษของมนุษยชาติของสังคม ขณะนี้สังคมโลกขานรับคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง sufficiency ใจมันพอ ไม่ต้องเอามากกว่านี้แล้ว มีสิ่งที่จะเป็นไปได้ เป็นองค์ประกอบที่รวมกันอยู่ ไม่ใช่อยู่คนเดียว อยู่กับมวลชนจำนวนมากด้วย อย่างเช่นพระเจ้าอยู่หัว ส่งแสดงให้ปรากฏ กับมวลหมู่มาก แต่ละคนไม่ต้องมาประจบประแจง แต่ก็เข้าใจต่างศึกษาเอาไปปฏิบัติ มาได้ถึงขนาดนี้ ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ อาตมาว่าหายใจโล่งขึ้นเยอะเลย อาตมาก็ตั้งอกตั้งใจจะทำงานต่อไป ทำงานให้เป็นปึกแผ่นเพื่อมวลมนุษยชาติในยุคปลายภัทรกัปป์ จวนกลียุคสมบูรณ์แบบแล้ว ขณะนี้ เราก็พยายามจริงๆ ที่จะสร้างความเป็นจริงว่ามนุษย์ควรอยู่กันอย่างนี้ อยู่กันอย่างช่วยกัน เริ่มต้นไม่ต้องหมู่มากขอให้จริงเถอะ ไม่ต้องมาก เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนมีสมรรถนะสร้างสรรค์ แข็งแรง ไม่เหยาะแหยะ อย่างที่เราเป็น

ทุกวันนี้ถึงขั้นที่เคยพูดเอาไว้ ต้องพยายามทำให้คนตาบอดเห็นได้ ทุกวันนี้ก็มีแล้ว มีคนตาบอดมายืนยัน น้องพัทธนันท์ มายืนยันบอกว่าเห็นในหลวงนะ มาร้องเพลงออกอากาศไง

 

รวมศิลปิน – ในหลวงของแผ่นดิน

คำร้อง วิเชียร ตันติพิมลพันธ์

ทำนอง/เรียบเรียง สราวุธ เลิศปัญญานุช

 

มอง เห็นพระเจ้าอยู่หัว

ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง

ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง

พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ

 

มอง พระผู้ทรงเมตตา

เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล

เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวังพระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ

ยึดเหนี่ยวอยู่ภายในว่าวันพรุ่งนี้ยังมีหวัง

 

ในหลวงของแผ่นดิน

หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่

หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน

ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน

 

ในหลวงของแผ่นดิน

ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน

ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง

ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

 

ในหลวงของแผ่นดิน

ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน

ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง

ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

 

แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ

มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม

 

ในหลวงของแผ่นดิน

หล่อรวมให้เม็ดดินทรายกลายเป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่

หยดน้ำ หยาดเหงื่อพระองค์หยดลงที่ไหน

ทุกข์ร้อนจะพลันสลายทุกข์ภัยจะไม่อาจแผ้วพาน

 

ในหลวงของแผ่นดิน

ทรงเป็นที่รักและที่พึ่งพิงให้เราแสนนาน

ตั้งแต่เล็ก จนโตจำได้ทุกอย่าง

ใต้ร่มพระบริบาล สุขสราญด้วยความร่มเย็น

 

แผ่นดินนี้คือบ้าน คือแดนสวรรค์ แสนสุขใจ

มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม

 

 

เป็นองค์ประกอบที่รวมตัวกันทั้งรูปและนาม ทั้งวัตถุ ทั้งอาการ ของมนุษยชาติ solution ของมัน บวกลบคูณหารออกมาแล้วได้ยอด impact total เป็นคำตอบ คำตอบอะไร?

แม้แต่ประเด็นว่าทำไมต้องเป็นคนตาบอดมาร้องว่ามองเห็น แค่นี้ก็เป็นอจินไตยแล้ว คนมีตั้ง 70 ล้านคนในเมืองไทย ทำไมจะต้องมาร้องเพลงนี้ต้องเป็นคนตาบอด แล้วมาร้องว่ามองเห็นนะ มันอะไรกันนักกันหนา คนตาดีหายไปไหนกันหมด ต้องเป็นคนตาบอดมาร้องว่ามองเห็น..มองเห็นอะไร

ตอนนี้แสงสว่างกำลังเกิด ทั่วโลกกำลังมองเห็น ชัดเจนขึ้นได้ด้วย ก็เหลือแต่ว่าสั่งสมเหตุปัจจัย การที่เรารู้ด้วยปัญญา ทำเหตุให้ชัดเจน ให้แม่นชัด ไม่ผิดเพี้ยน ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลกในที่สุด ตั้งใจเลย ขอบคุณหนูพัทธนันท์ มาร้องเพลงให้พวกเราฟัง แต่เจ้าตัวคงไม่รู้

 

สังเกตไหมว่าคนที่จะมาทำงานบริหารเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมมักจะเป็นศิลปิน จะต้องมีอารมณ์ศิลปิน เพราะศิลปะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ความรู้ก็คือความรู้เป็นศาสตร์ไม่ใช่ศิลปะ คนจะมีความรู้มากเท่าไหร่แต่ไม่มีศิลปะก็คลี่กระจายออกมาไม่ได้ อภิสังขารออกมาให้เป็นผลต่อมนุษยชาติไม่ง่าย

ศิลปะนี้ถูกหลอกมามากจากตะวันตก เป็นเทวนิยมไม่เข้าใจศิลปะ แล้วศิลปะต้องมีปรมัตถสัจจะ มีทั้งวิญญาณประกอบด้วย ที่ไม่ใช่วิญญาณแบบลึกลับแบบเทวนิยม ที่ลึกลับเอามาพิสูจน์ไม่ได้ ให้มนุษย์อื่นรับรู้ร่วมด้วยไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องที่ลึก อัตวาทุปาทาน เป็นอัตตาที่รู้ได้ด้วยบัญญัติ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยปรมัตถสัจจะและสมมุติสัจจะทั้งภายนอกและภายใน มาสอดร้อยยืนยันชัดเจน

ในความเป็นความรู้และศิลปะ อันสูงส่งนี้ ของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะ 2 ทั้งภายนอกและภายใน ปรมัตถสัจจะและสมมุติสัจจะ 2 อย่างนี้ก็จะมีบทบาทแพร่ไปทั่วโลก ศาสนาที่เป็นเทวนิยมก็จะค่อยๆเรียนรู้ จะได้รับประโยชน์ขึ้นไป

ศาสนาพุทธสามารถรู้เทวนิยม และสามารถรู้ถึงอเทวนิยมด้วย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มีหนูน้อยเขียนตัวหนังสือตัวเท่าหม้อแกงถามมาว่า

_ได้ยินว่าเมื่อคนตายไปแล้วจิตวิญญาณจะไปเกิดทันที แล้วถ้าเป็นจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว วิญญาณของพระองค์ท่านจะไปเกิดทันที ที่วิญญาณออกจากร่างหรือไม่

ตอบ...ฟังดีๆ จิตวิญญาณเป็นสภาวะ ที่เรียกด้วยภาษาว่าอัตตภาพ ยังไม่สูญสลาย ยังมีความเป็นอยู่ ยังไม่แยกส่วนที่ไม่เหลือจิตนิยามแล้ว กลายเป็นอุตุหมดเลย เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่

เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

พ่อครูว่า...ก็แสดงว่า ชีวะไม่เหลือแล้ว พีชะก็ไม่เหลือ กลายเป็นอุตุไปหมดแล้ว เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม หมดแล้ว จิตนิยามหมดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พลังงานระดับพีชะก็ไม่เหลือ กลายเป็นอุตุไปหมดเลย ตัวตนของพระโพธิสัตว์ก็ไม่เหลือ

ถามว่าพระโพธิสัตว์เมื่อสิ้นชีพแล้ว จิตวิญญาณของท่านจะไปเกิดทันทีที่วิญญาณออกจากร่างหรือไม่ ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ใดตั้งจิตตายไปแล้วเป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็ไม่เกิดทันที ถามว่า จะไปเกิดไหมก็ไม่มี แต่ถ้าพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นจะต่อภพต่อภูมิไปอีกอยู่ก็จะเกิดทันที ถามว่าไปเกิดที่ไหน ไปเกิดที่สงบที่สุด จึงอยู่ที่ชื่อภพว่า ดุสิต คือภพที่อาศัยสงบที่สุด เป็นสันตุสิต ที่สันติที่สุด สงบที่สุด ก็ใช้พยัญชนะว่างั้น แต่อยู่ที่ไหนอธิบายไม่ได้ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีหลักแหล่ง แต่เป็นสภาวะละเอียดเกินกว่าจะพูด ไม่มีใครจับได้ ยิ่งเป็นจิตวิญญาณของผู้ที่ละเอียดสูงสุด ก็เป็นอจินไตย ท่านก็อยู่ของท่าน ถึงเวลาที่ท่านจะออกมา เช่น ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า รอวาระจะเกิดท่านก็อยู่ที่ดุสิต หรือแม้แต่พระโพธิสัตว์ ที่ทางมหายานเดาว่าอยู่ที่พุทธเกษตร ท่านก็บอกว่าอยู่รวมกันที่นั่น เป็นอจินไตย พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่พูด เพราะว่าเกินกว่าที่จะพูด แล้วท่านก็รู้กัน คนอื่นจะงง ท่านก็รู้กันแต่ท่านไม่พูดให้คนอื่นฟัง ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังงานไปพูด ไม่จำเป็น คนอื่นฟังก็อยากรู้อีก อธิบายไปก็เมื่อย เพราะคนไม่สามารถเข้าใจได้ อาจพูดผ่านเป็นบัญญัติให้คนศึกษาเป็นทาง road map ไม่พูดบ่อย

ตอบว่า ถ้าท่านต่อพุทธภูมิก็เกิดทันที แล้วจะอยู่ไหน ก็อยู่ที่แดนสงบ คือดุสิต ส่วนผู้ที่ท่านไม่ต่อแล้วก็สูญ

 

คำว่า ภพ ในปฏิจจสมุปบาท มีอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ

ธรรมะในระดับที่อาตมากำลังขยายความนี้ ดีที่มีหลักฐาน บัญญัติภาษาที่เอามาอ้างอิงยืนยัน ต่อกันสอดร้อยกันเป็นจิ๊กซอว์เป็นอิทัปปัจยตาได้อย่างไม่งง เป็นไปได้ตามลำดับ ก็ขออนุญาตนายไชยบูลย์มาเป็นตัวอย่างประกอบการอธิบายมีดำมีขาวจะได้อธิบายได้ดี ก็ขอบคุณล่วงหน้า

 เรากำลังพูดถึงนายไชยบูลย์(อดีตธัมมชโย) เจ้าสำนักจานบิน“ธรรมกรวย”(อันว่า“กรวย”คำนี้ หมายถึง รูปทรง“กรวย” ที่มันมีปากบานออกไปไม่มีวันจะสิ้นสุดการยาวยื่นบานออกไป เพราะมันตรงกับ“ความรู้และความจริง”ของสำนักนี้นั่นเอง) เราอาศัยรูปลักษณ์ของ“กรวย”และเป็น“กรวย”ที่มีปากยื่นปากยาวออกไป อย่างไม่สิ้นไม่สุด แบบ“น็อนสต็อป”(nonstop)ทิ้งคำว่า“เวลากาละ”กันไปเลยทีเดียว

ซึ่งการปฏิบัติธรรมของพุทธที่เป็น “โลกุตระ”นั้น ต้องมีทั้ง“วิตก-วิจาร-วิจัย”(analyze)กันเป็น“3 เส้า”ที่เริ่มตั้งแต่“กายในกาย” เป็นต้นไป

วิตก คือ จิตที่เริ่มก่อ เริ่มดำริขึ้นมา

วิจาร คือ พฤติหรืออาการที่จิตเป็นอยู่

วิจัย คือ แยกแยะอาการของจิตให้ได้

ดูกันให้ดีเถิด สำนักจานบินและชาวพุทธยุคนี้ทั้งหลาย ไม่มีดังว่านั้นแต่อย่างใด

เพราะการปฏิบัติที่จะให้เกิดความเป็น “สมาธิ”ของสำนักจานบิน“ธรรมกรวย” หรือในสำนักชาวพุทธทั้งหลายแม้ในเมืองไทย ก็ปฏิบัติแบบ“สะกดจิต”(

รายละเอียดของ“รูป 28”ก็ไม่เรียนรู้ จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ในความเป็นรูป 28” อย่างละเอียดบริบูรณ์ครบครันก่อน ซึ่งเป็นภายนอก เบื้องต้น เพราะสอบตกตั้งแต่ปฏิบัติอย่าง“ไม่มีสัมผัสภายนอก”มาแต่ต้น

พวกที่ท่องอภิธรรมกันคล่อง ไปสอบได้กันก็ไม่เข้าถึงสภาวะ แต่อาตมามีสภาวะ ก็ยังไม่คัดภาษาออกมา แต่มันเป็นหมวดๆจำไม่ยากหรอก

เห็น“ความมหัศจรรย์”ของความเป็นลำดับ ที่ราบเรียบ ลาดลุ่ม เหมือนฝั่งทะเล ไม่โด่ไม่เด่ ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ตะปุ่มตะป่ำ ไม่โขลกเขลก ไม่ขรุขระ ไม่สะดุด ไม่เหลือจุด ไม่เหลือเศษละอองธุลี สีสัน หม่นมัวใดเลย  

ขาวผ่อง สะอาดสนิท ใสสว่างวามประกาย สยายราสี มีฉัพพัณณครันครบ 6

สะอาด-สว่าง-สงบ-สุภาพ-สัมบูรณ์  

ส่วน“กาย”คือ การมีทั้ง“รูป”ทั้ง“นาม” เป็น“ธรรมะ 2” ที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นเจาะเข้าที่“จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” เป็นสำคัญในการปฏิบัติ(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230)แล้วปฏิบัติกันตามแบบ“ระบบวิจัย”(analysis system) อันมี“3 เส้า”ของ“สติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4”

สัมมัปธาน 4 มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนปธาน อนุรักขณาปธาน ด้วยอิทธิบาท ต้องยินดีพอใจในการปฏิบัติ ได้ก็ยินดี ปีติ แต่ปีติแรงไปเสียพลังงาน พอชินชาก็ไม่ตื่นเต้น ใครรู้ทันก็ลดเร็ว ใครไม่รู้ทันก็นาน คนศึกษารู้แล้วก็ไม่ยึดไว้นาน แน่นะก็ไม่ต้องใช้พลังงานนี้ พลังงานยินดีทำให้คุณทำงานได้ดีนะ ถ้าไม่ยินดีทำอะไรไม่สำเร็จ ความยินดีปีติ ทำให้มีแรง ถ้าไม่ยินดีไม่ปีติอะไรเลย ไม่มีแรงสร้างสรรบุกบั่นอะไรเลย มันจึงสำคัญ​ เมื่อเรารู้ชัดก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้แพร่ไปเป็นผรณาปีติ ให้มันแทรกละเอียดไปทุกส่วน ไม่มีเอกเทศไหนที่พลังงานปีติเราจะไม่แพร่ไปถึง ผรณาคือเบาบางอยู่ทั่วไปแทรกลึก เราต้องเข้าใจ

1.      ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.      ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.      โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.      อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.      ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

อุพเพงคาปีตินี้แรง ทำให้เหนื่อยเสียพลังงาน ต้องลดลงให้เป็นผรณาปีติ

ต้องรู้ว่าปีติเราได้เป็นครั้ง ขุททกาปีติ แล้วได้เป็นนานเท่าไหร่ ขณิกาปีติ ได้แล้วหยั่งลงสั่งสมลงเป็นโอกกันติกาปีติ  แต่ถ้าเป็นอุพเพงคาปีตินี้มากไปไม่ไหว ต้องลดลง ต้องให้เป็นผรณาปีติ ไม่ใช่ไม่มีปีติ แต่ให้ปีติบางเบาแทรกไปทุกเอกเทศ

เหมือนช่างสรงสนาน จะทำน้ำอาบ เอาจุนสี กระจายทั่วน้ำ แล้วให้คนอาบ เหมือนจะทำไม้ไผ่ จะเอาจุนสีใส่ ก็แช่น้ำจุนสี เอาไม้ไผ่สดไปตั้ง น้ำที่ผสมจุนสีจะซึมซับเข้าไป ไม้ไผ่จะดูดเอาจุนสีไปถึงยอดไผ่เลย ต้นไผ่มีพลังงานโตไวมาก

 

ซึ่งปฏิบัติสะสมกระบวนการทั้งหลายด้วย“สติสัมปชัญญะ”(อันมีสัมปชานะ-สัมปาเทติ-สัมปชลติ ฯลฯ)ต่อเนื่องกันไปให้เต็มครบ โดยมีสำรวมอินทรีย์ 6-และมีฉันทะ,วิริยะ,จิตตะ,วิมังสา ร่วมเต็มขบวน จึงจะเป็นไปตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “แต่ตถาคตเรียก‘ร่างกาย’อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง” นั้นได้ถูกต้องจริง

ฉะนี้เอง การปฏิบัติธรรมที่ผู้อบรมฝึกฝนเรียนรู้เข้าไปที่“กาย”นั้นจะต้องหมายเอา“ในภายใน”ของความเป็น“กาย”หรือธรรมะ 2 จะต้องเรียนรู้“ใน”องค์ประชุมของรูปกับนาม ที่เรียกว่า“กาย” ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงลึกละเอียด “ใน”ความเป็น“รูป 28”กับ“นาม 5” ก็ต้องเรียนรู้กันที่“จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง”

ซึ่งการพิจารณา“รูป 28” อันหมายถึงสภาวะที่“ถูกรู้”(object)และผู้กำลังปฏิบัตินั้นจะต้องเรียนรู้ด้วย“นาม 5”อันจะสามารถเป็น“ตัวธาตุรู้”(subject) ซึ่งได้แก่ “เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ”

ในปฏิจจสมุปบาท ล. 16 ท่านแจกไว้ [14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ   รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

ในรูป 28 มี ปสารูปทำปฏิกิริยากับโคจรูป เกิดภาวรูป 2 คือเวทนา 2 ก็ต้องทำให้อิตถีภาวะนี้ กลายเป็นปุริภาวะเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ท่านก็ย่นย่อ เรียนรู้นามรูปได้ที่กรรมฐานคือเวทนา 108 ไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานในการปฏิบัติ ยืนยันไว้ชัดในพรหมชาลสูตร

ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนาเป็นฐานปฏิบัติ แต่ไปเข้าใจกรรมฐานไปเพ่งกสิณดินน้ำลมไฟอะไร เลยไม่เข้าถึงปรมัตถ์ กรรมฐานต้องมีเวทนาเป็นหลักในพรหมชาลสูตร คือเว้นผัสสะเสียแล้วจะรู้สึกได้ ไม่เป็นฐานที่จะปฏิบัติได้ ความรู้สึกก็คือเวทนา

พระพุทธเจ้าท่านเปิดเผยธรรมะท่ามกลางการปฏิบัติของพวกฤาษี สะกดจิตเข้าไปภายในไม่มีผัสสะ ไม่มีกรรมฐานที่ปฏิบัติแล้วจะไม่บรรลุธรรมเลย เพราะไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจให้เกิดเวทนา การกระทบสัมผัสกับของจริงก็เกิดความสุขหรือความทุกข์ที่จริง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่กระทบ เช่นกล้วยนี่ คนเห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรสสัมผัสบางคนก็กินให้มีเสียงด้วยก็ได้จึงอร่อย เมื่อไม่มีสัมผัสจริงแล้ว แต่คุณยังจำความรู้สึกนั้นได้สุขนั้นได้ ก็ไม่มีความจริง มันเป็นสิ่งที่คุณสมมุติไว้ อุปาทานไว้ เหมือนหมาแทะกระดูก ซึ่งต่างคนต่างสมมุติกันไปว่าสวยต่างกันอย่างไร ฝรั่งไทยจีนแขกก็สมมุติต่างกันไป ต่างสมมุติที่เมื่อตกลงกันว่าอย่างนี้ ถือว่าถูกต้อง อันนี้ไม่ถูกต้องก็สมมุติกัน คนที่ไม่ได้สมมุติด้วย ก็ไม่เอาด้วยกัน คนสมมุติด้วยกันก็เอาด้วยกัน 

ภาวรูป 2 นั้นผู้ที่ไม่หมดกิเลส ก็ต้องมีกิเลสให้กำจัดไปตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนเป็นอรหันต์ เกิดมาก็มีธาตุจิตที่เป็นอนุสัย ของพระอรหันต์ เป็นสยะ เป็นตัวตน เป็นตัวเราเป็นสยังอภิญญา เป็นจิตที่สะอาดแล้ว มันยังไม่แข็งแรง เกิดมาก็ถูกพลังงานโลกครอบงำให้บ้าไปตามมัน คนไม่แข็งแรงกว่าจะรู้ตัวก็นาน พระพุทธเจ้าก็ตั้ง 29 ปี อาตมาปาเข้าไปตั้ง 36 ปี อาตมาเรียกภาวะที่ถูกโลกครอบงำว่า ลิงลมอมข้าวพอง หลงไปตามมัน กว่าจะเป็นตัวของตัวเอง กว่าอนุสัย สยังของเราจะตื่นมารู้ แล้วให้ได้ใช้งานก็เสียเวลา ขออภัยไม่อวดดีอะไร แต่เป็นการศึกษา

หรืออย่างพระพาหิยะฯ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์  ท่านมีภาวะของท่านแล้วแต่ก็ยังไม่รู้ตัว พอมาเจอพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟัง 4 ประโยคก็บรรลุธรรมแล้ว พระยสะฟังเทศน์ 2 กันฑ์   ส่วนอาตมากว่าจะรู้ตัวก็ 36 ปี พระยสะก็ไม่นาน อาตมามาปฏิบัติอยู่ประมาณ 3 ปีกว่าจะชัดถึงลาออกมาทำงานนี้ รู้ตัวตอนแรก อาตมาไม่รู้ตัวอะไรมากมาย ไม่รู้เนื้อหา กว่าจะดึงเอาสยังอภิญญาของตัวเองมาได้ กว่าจะรู้ตัวอะไรอีกก็ระลึกมาเรื่อย มาถึงทุกวันนี้เปิดเผยอะไรมาก แต่คงจะมีเปิดเผยต่อไปในอนาคต

มีหทยรูป ชีวิตรูป อหารรูป

อาหารคือเครื่องอาศัย ความเป็นชีวะ ชีวิต ของอิตถีภาวะ เราจับอาการนั้นได้ที่ไหนนั่นแหละคือหทยรูป คำว่า ห คือ คือความจริง คำว่า ย คือตัวเรา คำว่า ท คือบทบาท อยู่ตรงไหนก็ตรงนั้น เรามีญาณอ่านรู้ ไม่มีสถานที่ ไม่มีแหล่ง ไม่มีรูป ไม่มีตัวตนสภาพ แต่คุณรู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็คือที่อาตมาอธิบายไป คุณก็ไปกำหนดหมายความต่าง ต้องพยายามฝึกฝนญาณปัญญาของตน ให้รู้สิ่งที่ถูกรู้ หทยรูปเป็นนามธรรม เป็นจิตเจตสิก ก็ต้องแยกอกุศลจิต ณ ตรงนั้น หทยรูป มันมีชีวิตของอิตถีภาวะอยู่นะ

อาการของสตรีเพศ ถ้าศึกษาจากคำข้าว อาหารรูปก็ศึกษาได้ดีมาก ในโภชเนมัตตัญญุตาหรือมัตตัญญุตาจ ภัตสมิง เป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องกินข้าว ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมันจะต้องมีให้คนเรียนรู้สัมผัสกระทบสัมผัส ต้องกินข้าวอย่างน้อยวันละครั้ง มันเป็นอุปกรณ์ที่จะต้องปฏิบัติได้ ชีวิตคนจะต้องกินจะต้องมี อย่างอื่นนั้นปัจจัยอื่นยังไม่จําเป็นเท่า ยังห่าง

ต่อจากนั้นก็มี ผัสสาหาร เจตนาหาร วิญญาณาหาร

เจตนามี 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ต้องทำกามตัณหาให้หมดก่อนแล้วเหลือ ภวตัณหาแยกเป็นรูปกับอรูป เมื่อรูปภพหมดอรูปภพหมดก็เป็นวิภวภพ ก็เป็นเจตนาบริสุทธิ์คือวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่มีภพใช้ทำงานไปตั้งแต่อรหันต์ เป็นโพธิสัตว์จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ใช้วิภวตัณหาเป็นเครื่องทำงาน

ผู้ที่ยังไม่บริสุทธิ์ก็มีกามตัณหาและภวตัณหาก็เรียนรู้ที่จะล้างมัน เมื่อล้างหมดก็เป็นวิภวตัณหา

อาหารรูป เป็นเครื่องอาศัย จนถึงอาหาร 4 ทำให้บริสุทธิ์เรียบร้อยเป็นวิภวตัณหา จบ คนเข้าสมบูรณ์แบบ จบปริเฉทสุดท้ายเป็นปริเฉทรูป

ก็สามารถใช้กายวิญญัติ วจีวิญญัติทำงานกับโลกได้ดีขึ้น จะทำให้กายวิญญัติ กับกายกรรมเท่าไหร่ เบาแรง มากหรือน้อย นาน หรือเร็วไว ก็กำหนดได้ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

ก็ประมาณให้เกิดผลอย่างไม่ประมาท ท่านจะไม่อวดดีใช้เกินความจริงของตนเอง จะประมาณไว้ ถ่อมตนไว้ น้อยไว้ พระพุทธเจ้าถึงเตือนว่าเป็นอรหันต์แล้วระวังนะ ลาภ ยศ สรรเสริญ​ สักการะเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดนะ ประมาณไม่ดีก็ระวังเถอะ แม้อรหันต์ขีณาสพ

เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ผิดพลาดได้ไหม ก็ผิดพลาดได้ ระวังนะ เจ็บของพระอรหันต์ไม่เจ็บธรรมดา ท่านถึงบอกว่าอันตรายแสบเผ็ด ถ้าประมาทแสบเผ็ดแน่ แต่ถึงอย่างไรท่านไม่มีเจตนา เป็นความประมาทของท่านก็มีวิบากไป

พระอรหันต์เสียหน้า คือคนระดับสูงเสียหน้ากับคนข้างล่างเสียหน้าต่างกันไหม ก็เช่นกัน อรหันต์เสียหน้านั้นยิ่งกว่าเป็นสัจจะ จะบอกว่าท่านมีอุทธัจจะ แต่ท่านก็จะรู้สิ่งดีสิ่งควร ท่านก็ไม่ควรทำให้บกพร่องมันเป็นสัจจะ บกพร่องอย่าทำท่านจะระวังของท่าน ไม่มีใครประมาทหรอก พระพุทธเจ้าถึงยกสติวินัยให้อรหันต์เพราะเจตนาท่านบริสุทธิ์ทุกตัว ไม่เจตนาให้ผิด แต่พลาดได้บกพร่องได้ ท่านไม่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์จริงๆ พระพุทธเจ้าถึงยกสติวินัยให้อรหันต์ ไม่เช่นนั้นไม่รํ้แล้ว แล้วอรหันต์ท่านก็สำนึกของท่านทุกองค์ ความแสบเผ็ดของอรหันต์จึงยิ่งกว่าผู้ใหญ่ที่ผิดพลาด สำนวนไทยว่าอย่าขี้กองใหญ่ให้เด็กเห็น

เด็กเห็นว่าผู้ใหญ่ยังขี้อยู่หรือ เด็กจะพาซื่อว่าผู้ใหญ่ไม่มีของเสียหรอก ไม่ขี้หรอก เด็กไม่รู้เดียงสาจะคิดเช่นนั้น เด็กมันงง ไม่รู้หรอก เขานึกว่าผู้ใหญ่ไม่เล่นขี้หรอก ผู้ใหญ่ไม่มีของสกปรกเหมือนเด็กๆ สำนวนคำพังเพยว่าอย่าขี้กองใหญ่ให้เด็กเห็น ผู้ใหญ่จะระวัง เหตุการณ์บ้านเมืองนี้กำลังข้น คอยดู โดนัล ทรัมป์สิ เขามีที่เสียเยอะ ถ้าไม่ทุจริตก็แพ้แน่ พยากรณ์ไว้ พูดตามสัจจะ

ก็ต้องทำไปทีละกรอบ ทีละปริเฉท ทีละ content ทีละ context อย่าไปทำเกิน ทำมากไป ทำสำเร็จแล้ว ก็สามารถใช้กายวิญญัติวจีวิญญัติออกมาทำประโยชน์ ให้มีประโยชน์ตนท่านอยู่กับสังคม วิญญัติคือความเคลื่อนไหวที่คุณจะประมาณ เป็นกายกรรมวจีกรรม จะเอาพลังงานออกมาอย่างไร วิญญัติจึงอยู่ในวิการรูป 5 ต้องจัดการวิการรูปข้างในก่อน จะประมาณเท่าไหร่ ให้ลหุ มุทุ กัมมัญญา

นี่แหละต้องประมาณวิญญัติของกาย ของวจีให้แรงเท่าไหร่ ชาตินี้กายวิญญัติอาตมาไม่เคยไปขีดข่วนทำร้ายใคร แต่วจีวิญญัติอาจแหลมบ้าง แรงบ้าง ทื่อบ้าง ก็จัดการเท่าที่จะมีมุทุภูตธาตุ ให้ออกมาเป็นวจีสังขาร ไม่ใช่วจีกรรม

วจีสังขารอยู่ในสังกัปปะ 7  มีอยู่ในจิต ออกมาเป็นบทบาทข้างนอกเป็นวจีกรรม วจีสังขารคือจะประมาณวจีวิญญัติ กะจะเอาเท่าไหร่ ผ่านตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มันเร็ว แต่คนเก่งก็จับทัน ไม่ใช่ว่าจะสังขารไปหมดแต่จะประมาณ อรหันต์ขึ้นไปท่านไม่ใช้พลังงานหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ทำหมดเนื้อหมดตัว เพราะผิดพลาดได้ ผิดพลาดก็แสบเผ็ดนะ

สุดท้ายลักขณรูป อีก 4  คุณจะเกิดอีกก็ให้อุปจยจะทำงาน แล้วจะต่อก็สันตติ แต่ถ้าไม่ต่อก็หยุดสันตติ ก็เป็นชรตาอนิจจตา แต่ถ้าคุณแม้จะเกิดแล้วต่อ อะไรที่เกิดมาแล้วสุดท้ายก็ต้องชรตา อนิจจตาอยู่ดี ถ้าจะให้เกิดอุปจยะก็ต้องเสริมพลังงานนี้ต่อไป

พระพุทธเจ้าว่าเมื่อวิญญาณหยั่งลงในครรภ์ ถ้าไม่มีพลังงานใส่ให้ต่อไปพลังงานนี้ก็ขาด เหมือนทศนิยม ถ้าคุณให้ทศนิยมมาหนึ่งก็เป็น .01 ถ้าไม่ต่อเป็น .02 ต่อก็ไม่ต่อก็จะชรตา อนิจจตาต่อ มันไม่เที่ยงนะ แต่คุณเองจะเสริมพลังงานหรือไม่ก็อยู่ที่คุณ ถ้าเสริมก็จะมีพลังงานต่อไป ทศนิยมก็จะหมุนต่อไป แต่ถ้าไม่เพิ่มก็ชรตาสุดท้ายก็จบสูญ

ถ้าเป็น 1 แล้วต่อ 1 ต่อไปก็อยู่แค่นี้ แต่ถ้าให้เป็น 2   3  4 ก็มีการก้าวหน้าโตขึ้น แต่ถ้าไม่ต่อก็จะค่อยๆเสื่อมและสูญไปในที่สุด พลังงานถ้าไม่มีอะไรหยั่งลง กุมารหรือกุมาราจะเกิดได้ไหม..ก็ไม่เกิด ต้องมีพลังงานเสริมจึงจะต่อ

อย่าประมาท ไม่ทำเกินพลังงานที่ตนเองมี ต้องประมาณของตน ตนเองไม่อยากใหญ่ ไม่ได้อยากอวดอะไร ก็ไม่ต้องทำเกิน อาตมาก็กำลังทำให้เจริญต่อไป

โปรดติดตามอย่ากระพริบตา จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:43:57 )

591018

รายละเอียด

591018_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปรากฏการณ์พลังความดีของในหลวง

ไทยเรามีแบบนี้ เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มักน้อย ทั้งที่ประเทศไทยจะโลภโมโทสันกว่านี้ได้ แต่ประเทศไทยแบ่งแจกกันได้ อลุ่มอล่วยกันได้ เห็นได้สังคมประเทศไทยตอนนี้ มีการแสดงน้ำใจสังคหะกันมากเลย เป็นผลสะท้อนของคุณธรรมของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต คนพวกนี้ก็แสดงออกว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวให้ไว้ กระจายออกไปเต็มไปหมด ตั้งแต่คนจนยันคนมีฐานะดีในสังคม เป็นการสะท้อนตอบ ว่าสมเด็จพ่อของเรา ตั้งแต่พระองค์ทรงพาบริหารจนเสด็จสวรรคต ประชาชนของท่านได้อะไรไปจากท่านหรือเปล่า ก็ได้ไปอย่างชัดเจนอย่างที่เห็น มีไหมประเทศไหนที่จะมีสิ่งดีๆอย่างนี้ เหตุการณ์อย่างนี้

อาตมาเองไม่เก่งทางรัฐศาสตร์ ประชาธิปไตย 2 ขาแบบของพระพุทธเจ้านี้ มีลักษณะของพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)เป็นลักษณะที่ใช้บอกยืนยันความเป็นประชาธิปไตย เป็นคุณธรรมรับใช้ปวงชน โลกานุกัมปายะ รับใช้ปวงชน มีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่คนไทยมี แสดงออกอยู่ ถึงเวลาวาระสำคัญก็แสดงออกมาอย่างขณะนี้

ประชาธิปไตยสองขานี้ยิ่งใหญ่ อาตมาว่า สมมุตินะ ประเทศที่มีประชาธิปไตยขาเดียว ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีตายลง ถึงแก่อนิจกรรม ชาวประชากรของประเทศ จะเกิดผลสะท้อนตอบอย่างประเทศไทยไหม จะหาได้ไหม ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว จะหาได้ไหม ประชาธิปไตย 2 ขา ที่เขามีพระมหากษัตริย์กันในแต่ละประเทศ แม้แต่กษัตริย์เขาสิ้นพระชนม์ ในประเทศเขา ก็จะไม่เหมือนประธานาธิบดีถึงแก่อนิจกรรมหรอก ประเทศที่มีประชาธิปไตย 2 ขาเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ กับประเทศที่มีประธานาธิบดีสิ้นชีพลง ประชาชนจะมีความรู้สึกต่อเบอร์ 1 ของประเทศเขาไม่เหมือนกัน นี่คือประชาธิปไตยสองขา กับประชาธิปไตยขาเดียวมีความต่างกันอย่างนี้

โดยเฉพาะผู้นำประเทศที่เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมอย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ จะมีตัวอย่างให้ดูในสังคมโลกกี่ประเทศ ฝรั่งถึงมองบอกว่า คนไทยนี้เป็นอะไรของมัน มันร้องไห้กันทั้งบ้านทั้งเมืองได้อย่างไรร้องไห้กันอย่างไม่ได้เสแสร้ง

ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว ความลึกซึ้งของจิตใจที่เทิดทูนบูชา จะไม่มี จิตใจที่รักเทิดทูนบูชาในคุณงามความดี จะไม่มี เขาจะไม่รู้จักจิตใจตัวนี้ อาตมาได้ยกตัวอย่างไปแล้ว ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว เบอร์ 1 ของประเทศเขาสิ้นชีพในขณะอยู่ในวาระเลย จะไม่เหมือนอย่างเรา ของเรา ความรู้สึกของประชากรในประเทศจะไม่รู้สึกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นฝรั่งบางคนถึงอุทานว่า คนไทยมันเป็นอย่างไร มันเป็นอะไร นั่นแหละคือการแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่มีจิตตัวนี้ เขาไม่รู้จัก เขานึกไม่ออก ว่าเป็นได้ถึงอย่างนี้หรือ จะมีปฏิภาณดูออกว่าเคารพเทิดทูนบูชาเป็นอย่างไร เขาจะนึกไม่ออก เขาจะได้แต่เดาๆไม่ซาบซึ้ง ส่วนฝรั่งคนที่ร้องไห้ด้วยเขามีจิตตัวนี้แล้ว

การสร้างสรรค์ทางจิตวิญญาณ ในหลวงของเราได้ทรงพระจริยวัตร ปลูกฝัง พฤติกรรมพฤตินัย ที่คนรับได้ ออกมาจากพระทัยของพระองค์ จนตลอดพระชนม์ชีพมา เป็นสิ่งที่ชัดเจนมีมาก จนกระทั่งปฏิเสธไม่ได้

อาตมาว่า มีใครไปแอบ เห็นไหมว่า ฝ่ายแดงเขาร้องไห้กันบ้างไหม อยากรู้เหมือนกัน เอาความคิดเปิดดูกันบ้างไหม กิเลสมันอาจแสดงตัว แต่ลึกๆเขายอมรับว่าคนนี้มีธรรมะมีปัญญาญาณ แต่ฝ่ายแดงที่ดีใจเลย ช่างศีรษะมันเถอะ พวกฝ่ายแดงที่เป็นเช่นนั้นน่ะนะ

สิ่งนี้เป็นเรื่องของความจริงทางจิตวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เหตุการณ์เช่นนี้เกิด เขานึกไม่ออกว่าจะเกิด สะทกสะท้าน ร้องไห้ โดยที่นึกไม่ถึงเลย ว่าเราจะได้ osmosis สิ่งประเสริฐของท่านไว้ขนาดนี้เชียวหรือ เขาจะไม่รู้ตัว แต่พอมีเหตุการณ์เช่นนี้ เราก็ร้องไห้เหมือนกันก็จะมี จะรู้ตัวว่า ตนเองเป็นคนไทย ได้รับพลังแห่งคุณค่าอันประเสริฐของในหลวงซับเข้าไปไว้โดยไม่รู้ตัวเท่าไหร่ พอมาถึงเหตการณ์นี้ถึงได้รู้ตัวเองว่า เราก็รักสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นเหมือน คนที่ไม่มีปัญญารับสิ่งดีงามนี้กันนี้ได้ก็มีอยู่ในใจ ไม่มีน้ำหนักไม่มีความรู้สึกอะไรก็ธรรมดา

นี่เป็นธรรมะเป็นการตรวจระดับคุณค่าคุณธรรม มนุษย์ที่มีจิตใจเปิดรับคุณค่าคุณธรรมแล้วก็เข้าไปประทับใจ ประทับไว้ในใจทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็สั่งสมลงไป จนกระทั่งถึงเวลาวาระเหตุการณ์สำคัญ ก็แสดง เอฟเฟคของความจริงอันนั้นออกมา ที่ร้องไห้มีหลายคนก็ไม่คิดว่าตนเองจะร้องไห้ก็มีเยอะนะ คือไม่รู้ตัวเองหรอก ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้

คนที่พ่อแม่เสียชีวิตไม่ร้องไห้ก็มีเยอะ แต่ในหลวงสิ้นพระชนม์กลับร้องไห้ มีไหม เห็นไหมว่ามันต่างกัน โดยสัจจะเป็นเช่นนั้น พวกนักตะแบงก็จะบอกว่ามันเอาอย่างกัน มันเป็นค่านิยมหมู่ พากันไป หมู่เขาร้องไห้ก็ร้องไห้ตามก็พูดได้ แต่ธรรมดาสามัญใครจะมาร้องไห้เล่น คนเราไม่มีใครอยากร้องไห้ให้คนอื่นเห็นหรอก นอกจากพวกดารานักแสดง

 

อาตมาทำงานมา 46 ปีแล้ว ก็ยิ่งเห็นความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเหนื่อยหน่ายท้อแท้ รู้สึกระอา ควรวางมือควรเลิกก็ไม่ แต่กลับยิ่งเห็นว่าจะทำอย่างไรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรมันถึงจะดีกว่านี้ ให้มนุษยชาติได้รับรู้เห็นถึงความสำคัญเอาใจใส่หันมาเอาสิ่งนี้ อาตมารู้ตัวเองว่าเราไม่เก่ง พยายามทำงานมาตั้ง 46 ปีแล้ว ก็ไม่น้อยเลย เผยแพร่มีโทรทัศน์ถ่ายทอดออกไป สู่สังคมภายนอก ก็ไม่รู้สึกว่า เขาจะเห็นความสำคัญ ว่าน่าสนใจ จะหันกลับมาสนใจมากขึ้นอย่างมีรูปธรรม อย่างเห็นเลยว่า มีคนสนใจเข้ามาเยอะ ไม่ถึง

แต่ในหลวงทรงเผยแพร่ โดยการกระทำของพระองค์ พระจริยวัตรของพระองค์เอง ท่านเผยแพร่ด้วยการกระทำ แต่อาตมาเผยแพร่ด้วยการพูด การบรรยายขยายความที่ละเอียดลึก แต่ไม่ค่อยได้ผลสู้พระโพธิสัตว์อย่างในหลวงไม่ได้

พูดด้วยความจริงว่าพระองค์เป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็เป็นพระโพธิสัตว์แต่อาตมาทำงานสู้ท่านไม่ได้ ท่านทรงงานมา 70 ปี มีผลเลิศให้เห็น ให้คนด้วยศรัทธาได้เข้าใจในแนวลึกมากเลย อย่างเป็นธรรมะ เป็นคุณธรรม ที่คนรักบูชาในหลวงก็ด้วยคุณธรรมที่ท่านทรงประพฤติ คำสอนด้วยการประพฤติการกระทำ นั่นคือธรรมะที่พระองค์ประพฤติปฏิบัติด้วยพระจริยวัตรตลอดที่พระองค์ทรงมาตลอด 70 พรรษา เป็นธรรมะทั้งนั้น

ธรรมะที่พระองค์ประพฤตินั้นเป็นของมนุษย์ธรรมดา และเป็นธรรมะหรือเป็นพฤติกรรมของสังคม ที่ควรจะต้องทำอย่างนั้น เช่น ท่านตรัสว่า ท่านเป็นนักบริหาร บริหารอยู่ในพระหน้าที่ของพระองค์ บริหารบ้านเมืองจริงๆ มีผลที่ยอดเยี่ยม ทำให้คนเข้าใจ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยแต่ประเทศอื่นๆก็เข้าใจ นี่คือประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ ประชาธิปไตยสองขา ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยเฉยๆ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว

เรื่องนี้อาตมาเห็นความลึกซึ้งมาก แต่ขยายความไม่ออก ไม่เก่ง ไม่สามารถขยายถึงความวิเศษ ของประชาธิปไตยที่ผู้บริหารมีจิตวิญญาณ นอกจากจะมีพฤติกรรมภายนอกได้อย่างมีจิตวิญญาณ เป็นหลัก มโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมยา บริหารด้วยพระจิตวิญญาณอย่างนั้น จึงเกิดผลออกมาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เป็นผู้บริหารที่เข้าใจชัดเจนแล้วเคารพนับถือชัดเจนมากอีกองค์หนึ่งคือ กษัตริย์จิกมี่ เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์ภูฏาน พระองค์ทรงชัดเจนว่า การบริหารประเทศต้องเอาแบบนี้ อย่างที่ในหลวงของเราทำ แล้วทำก็ทรงประกาศตามพระราชดำรัสที่เรามาเปิดออกอากาศมาบริหารแบบคนจน ท่านตรัสถึงการบริหารประเทศด้วย เพราะมีรัฐมนตรีประเทศเกาหลีมาทูลถาม ว่าจะบริหารประเทศอย่างไร ท่านก็ตรัสตอบว่าให้บริหารแบบคนจน ชัดๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร

แล้วท่านก็กลับขยายความว่าบริหารแบบก้าวหน้าที่เขามุ่งไปสู่ความร่ำรวย แต่พระองค์ท่านไม่ตรัสถึงคำว่าร่ำรวย ตรัสถึงคำว่าก้าวหน้านั้นเป็นการถอยหลัง และเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย การก้าวหน้าแบบนั้นมันไม่ดี ซึ่งนักรัฐศาสตร์ นักวิชาการผู้รู้ปราชญ์ทั้งหลายในประเทศ ที่ทำหน้าที่บริหารเป็นข้าราชการ ข้าราชบริพารทั้งหลายแหล่ น่าจะซาบซึ้งอันนี้ แล้วได้เอาอันนี้มาขยายความ แล้วก็นำมาปฏิบัติ สนองพระราชดำรัส ศึกษาจริงให้เข้าใจชัดเจน

ท่านพยายามตรัส 1 เศรษฐกิจพอเพียง 2 แบบคนจน 3 ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

3 วลีนี้ ให้บริหารอย่างเศรษฐกิจพอเพียง ประพฤติแบบเศรษฐกิจพอเพียง บริหารแบบคนจน ประพฤติแบบคนจน บริหารกันอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ประพฤติอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ถ้าผู้ใดเข้าใจและกระทำได้ ประพฤติอย่างเป็นผู้ขาดทุนอยู่ในสังคม ผู้นั้นประพฤติยังผู้ขาดทุน ผู้นั้นถึงจุดหมาย ขาดทุนนั้นคือคนอย่างไร ขาดทุนนั้นคือคนที่ทำงานได้ค่าแรงงานน้อยกว่าควร ทำงานลงไปแล้วเสร็จ ให้ผู้ที่ให้แก่คนที่จะได้รับประโยชน์ไป ให้เขาได้รับประโยชน์ได้มากกว่าที่เราเอาคืนมา นั่นคือขาดทุน แล้วเราประพฤติอย่างนั้นเราอยู่ได้ด้วย

คนฟังแล้วฟังยาก ฟังแล้วไม่ค่อยขึ้น นึกไม่ออกว่าจะอยู่อย่างไรถ้าเขาไม่ลึกซึ้งพอ แล้วเขาไม่รู้ว่าคนที่ขาดทุนนี้คืออย่างไร เป็นความผิวเผินของเขา ว่าขนาดนี้เขาได้กำไรมากแล้ว เขากำไรมากแล้วเขายังไม่ค่อยพอเลย เขายังรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยพอ ด้วยจิตใจของเขา นี่คือจิตขี้โลภ จิตใจเห็นแก่ได้มากๆเห็นแก่ตัวมนุษยชาติเป็นอย่างนั้นมีลักษณะจิต อย่างนี้ เรียกเต็มๆว่า อภิชฌาวิสมโลภะ มีอัตตาพุ่งเพ่งไปข้างหน้า โดยที่ไม่มองเข้าหาตัวเอง มีความตะกละตะกรามด้วยความโลภ

คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ จริงๆ จนเข้าใจคุณสมบัติวิเศษ เป็นคนที่มีชีวิตขาดทุนได้ ลองมองย้อนเข้ามาหาตัวเองสิ ชาวอโศกทั้งหลาย

ทุกวันนี้ในชีวิตของพวกเราแต่ละคนๆ เราทำงานไหม ก็ทำงาน เราทำงานแล้วเรารับเอาสิ่งแลกเปลี่ยนคืนมาให้แก่ตัวเอง มากกว่าควรไหม ก็ไม่

อาตมาก็เห็นอย่างนั้น พวกเราทำสำเร็จ พวกเราประพฤติปฏิบัติมีกรรมกริยา ทำการงานทุกวันก็ไม่ได้เกียจคร้าน วันเสาร์วันอาทิตย์ก็ไม่ได้หยุดเหมือนข้างนอก จริงๆแล้ว วันเสาร์วันอาทิตย์นั้นงานหนักด้วย แทนที่จะได้หยุดพักผ่อน แต่งานกลับมากกว่าวันธรรมดาด้วยซ้ำ ทำเสร็จเป็นรูปธรรมแล้วเป็นวัตถุ เป็นรูปร่างเลย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราก็มาสะพัดออกไป มันเป็นการสะพัดแรงงาน ไม่ได้อยู่ที่เอามามากเป็นรูปแล้วสะพัด แต่เป็นสิ่งที่เราควรจะได้เอามา แต่เราไม่เอา

การที่เราไม่เอานั่นแหละ คือการสละออกไป ไม่โลภ เช่นยกตัวอย่างรูปธรรมชัดๆ เราไปทำงานค้าขาย เราทำอาหารขายอยู่ในตลาด อยู่อุทยานบุญนิยม เราขายในราคาตลาดมันควร 20 บาทหรือ 35 บาท ต่อชาม แต่เราเอาเพียง 15 บาท ชามละ 20 บาทอย่างสูง ข้างนอกนั้นบางที 50 บาทด้วย จำนวนที่เราไม่ได้เอาเท่าเขานั่นแหละ คือการขาดทุน เป็นขั้นต้นง่ายๆ

เป็นบุญนิยมคือค้าขายขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็คือ

1. ต่ำกว่าราคาตลาด

2. เท่าทุน

3. ต่ำกว่าทุน

4. แจกฟรี

ของเราก็ชัดเจนแนววิธีคิด เราขายต่ำกว่าราคาตลาด ก็เป็นหลักฐานบ่งบอก เห็นอยู่ การขายเท่าทุน ถ้าคิดไปอย่างละเอียดแล้ว เราขายต่ำกว่าทุนนะ ถ้าไปเอาในรูปของสามัญปกติ วันหนึ่งๆคนของเราไม่พอ ก็เลยออกไปทำงานที่อุทยานบุญนิยม โดยมีคนน้อย ทั้งที่ควรจะมีคนมากกว่านี้ ถ้ามีคนมากกว่านั้นจะขายได้ดีกว่านี้ แต่มันมีความจำกัดก็เลยได้เท่านั้น ถ้ามีคนมากพอแล้วช่วยกันบริหารช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล ช่วยกันสร้างสรรค์ ให้เป็นร้านค้าที่ครบวงจร ตามที่ร้านเขาทำกันอย่างทางโลก ของเราทำการด้วยใจสมัครไม่ได้มีการตลาดการจัดการ ให้ครบพร้อม ให้เห็นแล้วน่าเข้ามาอุดหนุน กลับไม่ได้ไปเร่งรัดในจุดนั้น

แต่รวมๆแล้วแม้แต่รูปธรรม เราขายต่ำกว่าราคาตลาด เราขายเท่าทุนนี้ แท้จริงแล้ว เราขายต่ำกว่าทุน เพราะร้านอย่างนี้ราคาค่าตัวคนทำงานตามธรรมดานั้นจะแพง เขาทำงานอยู่กับร้านเงินเดือนควรจะแพงกว่า แต่เราไม่ได้ตั้งราคาเลย เราก็ประมาณเอา อัตราเงินเดือนควรจะแพงกว่า แต่เราก็ทำขนาดนี้ ก็เลยให้เป็นเหมือนเราให้ราคาของชาวบุญนิยม แต่แท้จริงเราขาดทุนให้แก่ทางทุนนิยมอีกเยอะ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1y_dbpWF9PSxaBg83ZggMwQdXDLf2Ct7seISFMDOzY8s

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdDRSdUp1MzZVSGs

 

หรือที่นี่.... https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdDRSdUp1MzZVSGs

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:44:30 )

591018

รายละเอียด

591018_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปรากฏการณ์พลังความดีของในหลวง

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559 แรม 2 ค่ำเดือน 11  นร.ว.นบเรียนมาถึงทุกวันนี้ เราเริ่มเปิดเรียนเดือนกรกฎาคม 2557 จะเข้าปีที่ 3 แล้ว ถ้าครบ 5 ปีจะต้องจ่ายใบปัญญาบัตร ก็มีผู้ที่ใส่ใจรับฟังเรียนรู้ที่อาตมาเอามาเทศน์ก็พอได้ไม่ขี้เหร่นัก ไม่โหรงเหรง ในแต่ละคราวๆ

การเรียนรู้ธรรมะ ทุกวันนี้ อาตมาเห็นความไม่ใส่ใจของมนุษยชาติทั่วโลกเลย ไม่ใส่ใจเรื่องของคุณธรรมความเป็นมนุษยชาติ กิเลสมันเจริญ เรื่องของมนุษยชาติเรื่องของสังคมเรื่องของประเทศ มีจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าเป็นคำสัตย์จริง ที่จริงที่สุด แต่คนก็ไม่ค่อยใส่ใจศึกษา ได้แต่ท่องจำออกไปสอบไปเรียน แต่ไม่ซาบซึ้ง ไม่ชัดเจน ในความหมายที่ชัดเจนตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

อาตมาทำงานมา 46 ปีแล้ว ก็ยิ่งเห็นความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเหนื่อยหน่ายท้อแท้ รู้สึกระอา ควรวางมือควรเลิกก็ไม่ แต่กลับยิ่งเห็นว่าจะทำอย่างไรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรมันถึงจะดีกว่านี้ ให้มนุษยชาติได้รับรู้เห็นถึงความสำคัญเอาใจใส่ หันมาเอาสิ่งนี้ อาตมารู้ตัวเองว่าเราไม่เก่ง พยายามทำงานมาตั้ง 46 ปีแล้ว ก็ไม่น้อยเลย เผยแพร่มีโทรทัศน์ถ่ายทอดออกไป สู่สังคมภายนอก ก็ไม่รู้สึกว่า เขาจะเห็นความสำคัญ ว่าน่าสนใจ จะหันกลับมาสนใจมากขึ้นอย่างมีรูปธรรม อย่างเห็นเลยว่า มีคนสนใจเข้ามาเยอะ ไม่ถึง

แต่ในหลวงทรงเผยแพร่ โดยการกระทำของพระองค์ พระจริยวัตรของพระองค์เอง ท่านเผยแพร่ด้วยการกระทำ แต่อาตมาเผยแพร่ด้วยการพูด การบรรยายขยายความที่ละเอียดลึก แต่ไม่ค่อยได้ผล สู้พระโพธิสัตว์อย่างในหลวงไม่ได้

พูดด้วยความจริงว่าพระองค์เป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็เป็นพระโพธิสัตว์แต่อาตมาทำงานสู้ท่านไม่ได้ ท่านทรงงานมา 70 ปี มีผลเลิศให้เห็น ให้คนด้วยศรัทธาได้เข้าใจในแนวลึกมากเลย อย่างเป็นธรรมะ เป็นคุณธรรม ที่คนรักบูชาในหลวงก็ด้วยคุณธรรมที่ท่านทรงประพฤติ คำสอนด้วยการประพฤติการกระทำ นั่นคือธรรมะที่พระองค์ประพฤติปฏิบัติด้วยพระจริยวัตรตลอดที่พระองค์ทรงมาตลอด 70 พรรษา เป็นธรรมะทั้งนั้น

ธรรมะที่พระองค์ประพฤตินั้นเป็นของมนุษย์ธรรมดา และเป็นธรรมะหรือเป็นพฤติกรรมของสังคม ที่ควรจะต้องทำอย่างนั้น เช่น ท่านตรัสว่า ท่านเป็นนักบริหาร บริหารอยู่ในพระหน้าที่ของพระองค์ บริหารบ้านเมืองจริงๆ มีผลที่ยอดเยี่ยม ทำให้คนเข้าใจ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยแต่ประเทศอื่นๆก็เข้าใจ นี่คือประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ ประชาธิปไตยสองขา ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยเฉยๆ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว

เรื่องนี้อาตมาเห็นความลึกซึ้งมาก แต่ขยายความไม่ออก ไม่เก่ง ไม่สามารถขยายถึงความวิเศษ ของประชาธิปไตยที่ผู้บริหารมีจิตวิญญาณ นอกจากจะมีพฤติกรรมภายนอกได้อย่างมีจิตวิญญาณ เป็นหลัก มโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมยา บริหารด้วยพระจิตวิญญาณอย่างนั้น จึงเกิดผลออกมาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เป็นผู้บริหารที่เข้าใจชัดเจน แล้วเคารพนับถือชัดเจนมากอีกองค์หนึ่งคือ กษัตริย์จิกมี่ เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์ภูฏาน พระองค์ทรงชัดเจนว่า การบริหารประเทศต้องเอาแบบนี้ อย่างที่ในหลวงของเราทำ แล้วทำก็ทรงประกาศตามพระราชดำรัสที่เราเอามาเปิดออกอากาศมาบริหารแบบคนจน ท่านตรัสถึงการบริหารประเทศด้วย เพราะมีรัฐมนตรีประเทศเกาหลีมาทูลถาม ว่าจะบริหารประเทศอย่างไร ท่านก็ตรัสตอบว่าให้บริหารแบบคนจน ชัดๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร

แล้วท่านก็กลับขยายความว่าบริหารแบบก้าวหน้าที่เขามุ่งไปสู่ความร่ำรวย แต่พระองค์ท่านไม่ตรัสถึงคำว่าร่ำรวย ตรัสถึงคำว่าก้าวหน้านั้นเป็นการถอยหลัง และเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย การก้าวหน้าแบบนั้นมันไม่ดี ซึ่งนักรัฐศาสตร์ นักวิชาการผู้รู้ปราชญ์ทั้งหลายในประเทศ ที่ทำหน้าที่บริหารเป็นข้าราชการ ข้าราชบริพารทั้งหลายแหล่ น่าจะซาบซึ้งอันนี้ แล้วได้เอาอันนี้มาขยายความ แล้วก็นำมาปฏิบัติ สนองพระราชดำรัส ศึกษาจริงให้เข้าใจชัดเจน

ท่านพยายามตรัส 1 เศรษฐกิจพอเพียง 2 แบบคนจน 3 ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

3 วลีนี้ ให้บริหารอย่างเศรษฐกิจพอเพียง ประพฤติแบบเศรษฐกิจพอเพียง บริหารแบบคนจน ประพฤติแบบคนจน บริหารกันอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ประพฤติอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

ถ้าผู้ใดเข้าใจและกระทำได้ ประพฤติอย่างเป็นผู้ขาดทุนอยู่ในสังคม ผู้นั้นประพฤติอย่างผู้ขาดทุน ผู้นั้นถึงจุดหมาย

ขาดทุนนั้นคือคนอย่างไร?

- ขาดทุนนั้นคือคนที่ทำงานได้ค่าแรงงานน้อยกว่าควร

-ทำงานลงไปแล้วเสร็จ ให้ผู้ที่ให้แก่คนที่จะได้รับประโยชน์ไป ให้เขาได้รับประโยชน์ได้มากกว่าที่เราเอาคืนมา นั่นคือขาดทุน

-แล้วเราประพฤติอย่างนั้นเราก็อยู่ได้ด้วย

คนฟังแล้วฟังยาก ฟังแล้วไม่ค่อยขึ้น นึกไม่ออกว่าจะอยู่อย่างไรถ้าเขาไม่ลึกซึ้งพอ แล้วเขาไม่รู้ว่าคนที่ขาดทุนนี้คืออย่างไร? เป็นความผิวเผินของเขา ว่าขนาดนี้เขาได้กำไรมากแล้ว เขากำไรมากแล้วเขายังไม่ค่อยพอเลย เขายังรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยพอ ด้วยจิตใจของเขา นี่คือจิตขี้โลภ จิตใจเห็นแก่ได้มากๆเห็นแก่ตัว มนุษยชาติเป็นอย่างนั้นมีลักษณะจิต อย่างนี้ เรียกเต็มๆว่า อภิชฌาวิสมโลภะ มีอัตตาพุ่งเพ่งไปข้างหน้า โดยที่ไม่มองเข้าหาตัวเอง มีความตะกละตะกรามด้วยความโลภ

คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ จริงๆ จนเข้าใจคุณสมบัติวิเศษ เป็นคนที่มีชีวิตขาดทุนได้ ลองมองย้อนเข้ามาหาตัวเองสิ ชาวอโศกทั้งหลาย

ทุกวันนี้ในชีวิตของพวกเราแต่ละคนๆ เราทำงานใช่ไหม?  ก็ทำงาน เราทำงานแล้วเรารับเอาสิ่งแลกเปลี่ยนคืนมาให้แก่ตัวเอง มากกว่าควรไหม? ก็ไม่

อาตมาก็เห็นอย่างนั้น พวกเราทำสำเร็จ พวกเราประพฤติปฏิบัติมีกรรมกริยา ทำการงานทุกวันก็ไม่ได้เกียจคร้าน วันเสาร์วันอาทิตย์ก็ไม่ได้หยุดเหมือนข้างนอก จริงๆแล้ว วันเสาร์วันอาทิตย์นั้นงานหนักด้วย แทนที่จะได้หยุดพักผ่อน แต่งานกลับมากกว่าวันธรรมดาด้วยซ้ำ ทำเสร็จเป็นรูปธรรมแล้วเป็นวัตถุ เป็นรูปร่างเลย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราก็มาสะพัดออกไป มันเป็นการสะพัดแรงงาน ไม่ได้อยู่ที่เอามามากเป็นรูปแล้วสะพัด แต่เป็นสิ่งที่เราควรจะได้เอามา แต่เราไม่เอา

การที่เราไม่เอานั่นแหละ คือการสละออกไป ไม่โลภ เช่นยกตัวอย่างรูปธรรมชัดๆ เราไปทำงานค้าขาย เราทำอาหารขายอยู่ในตลาด อยู่อุทยานบุญนิยม เราขายในราคาตลาดมันควร 20 บาทหรือ 35 บาท ต่อชาม แต่เราเอาเพียง 15 บาท ชามละ 20 บาทอย่างสูง ข้างนอกนั้นบางที 50 บาทด้วย จำนวนที่เราไม่ได้เอาเท่าเขา นั่นแหละ คือการขาดทุน เป็นขั้นต้นง่ายๆ

เป็นบุญนิยมคือ ค้าขายขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็คือ

1. ต่ำกว่าราคาตลาด

2. เท่าทุน

3. ต่ำกว่าทุน

4. แจกฟรี

ของเราก็ชัดเจนแนววิธีคิด เราขายต่ำกว่าราคาตลาด ก็เป็นหลักฐานบ่งบอก เห็นอยู่

การขายเท่าทุน ถ้าคิดไปอย่างละเอียดแล้ว เราขายต่ำกว่าทุนนะ ถ้าไปเอาในรูปของสามัญปกติ วันหนึ่งๆคนของเราไม่พอ ก็เลยออกไปทำงานที่อุทยานบุญนิยม โดยมีคนน้อย ทั้งที่ควรจะมีคนมากกว่านี้ ถ้ามีคนมากกว่านั้นจะขายได้ดีกว่านี้ แต่มันมีความจำกัดก็เลยได้เท่านั้น ถ้ามีคนมากพอแล้วช่วยกันบริหารช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล ช่วยกันสร้างสรรค์ ให้เป็นร้านค้าที่ครบวงจร ตามที่ร้านเขาทำกันอย่างทางโลก ของเราทำการด้วยใจสมัครไม่ได้มีการตลาดการจัดการ ให้ครบพร้อม ให้เห็นแล้วน่าเข้ามาอุดหนุน กลับไม่ได้ไปเร่งรัดในจุดนั้น

แต่รวมๆแล้วแม้แต่รูปธรรม เราขายต่ำกว่าราคาตลาด เราขายเท่าทุนนี้ แท้จริงแล้ว เราขายต่ำกว่าทุน

เพราะร้านอย่างนี้ราคาค่าตัวคนทำงานตามธรรมดานั้นจะแพง เขาทำงานอยู่กับร้านเงินเดือนควรจะแพงกว่า แต่เราไม่ได้ตั้งราคาเลย เราก็ประมาณเอา อัตราเงินเดือนควรจะแพงกว่า แต่เราก็ทำขนาดนี้ ก็เลยให้ เป็นเหมือนเราให้ราคาของชาวบุญนิยม *แต่แท้จริงเราขาดทุนให้แก่ทางทุนนิยมอีกเยอะ*

(พ่อครูไอ ...บอกว่าร่างกายสมบูรณ์ขึ้นอ้วนขึ้น แต่ไอมากขึ้น ไม่แห้งผอมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้น้ำหนักเกือบ 55 กก.แล้ว ชั่งตอนเช้าๆนะ)

อาตมาก็พยายามทำร่างกายให้แข็งแรงให้หนุ่มแน่นขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่พยายามให้มันทรุด เพราะจะต้องพากเพียรทำงานที่ยาก ทำงานมาสี่สิบกว่าปีคนก็ยังไม่เข้าใจ

ที่อาตมาทำงานอธิบายนี้ เพื่ออธิบายให้เข้าถึงความเป็นกิเลสเป็นหลัก  แต่คนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องกิเลส ไม่ค่อยอยากรู้กิเลส

1.ให้รู้กิเลส

2.ให้พยายามกำจัดกิเลส ทำอย่างไรจะพูดอย่างไรให้กำจัดกิเลสได้

3. ผลของการรู้กิเลสและกำจัดกิเลสได้ มันเป็นชีวิตอย่างไร? ชีวิตของคนเป็นสุขสงบดี เจริญอย่างไร?

มันเป็นความเจริญที่น่าได้ น่ามี น่าเป็นไหม?หรือว่าเราควรจะเจริญอย่างโลกๆ ชีวิตมีกิเลสหนาขึ้น มีลาภยศสรรเสริญมากขึ้น มีความสุขด้วยกัน มีความสุขด้วยอัตตาพอกพูนทวีขึ้น มันเป็นความสุขของคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างที่อาตมาพาทำที่เรียกว่าโลกุตระ

เขาก็ทำอย่างสามัญ แล้วสำนักธรรมะเกือบหมดเลย ทั้งหมดไม่ได้สอนอย่างอาตมา เช่น เขาสอนให้ปฏิบัติถึงนิพพานเพื่อจะทิ้งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่ไม่ได้สอนอย่างอาตมา เขาสอนให้ไปนั่งหลับตาแล้วก็ทิ้ง เรื่องลาภ ยศสรรเสริญ ให้ห่างไกลอย่าไปยุ่งเกี่ยว ง่ายๆ แล้วก็สะกดจิตไว้ว่าอย่าไปคิด อย่าไปอยากได้อยากมี สะกดความอยาก สะกดตัณหาเฉยๆ เป็นวิธีการชั้นเดียวตื้นๆ กดข่มไว้ ไม่ได้มาทำอย่างอาตมาพาทำ ที่มีการทำอาชีพในการทำงาน มีการพูด มีการสังเคราะห์จิต ด้วยสังกัปปะ 7

มีสังเคราะห์จิต anyalyze แต่เขาสอน hypnotize ทั้งนั้นเลย แม้แต่สำนักสอนศาสนา เป็นวิทยาลัยของศาสนาพุทธ เช่นมหามกุฏราชวิทยาลัย ก็แยกเรื่องโลก แต่เรื่องปฏิบัติธรรมต้องมานั่งหลับตาอีกแหละ เขาแยกให้มีสองส่วน ส่วนทางโลกๆก็รู้ เราอย่าไปขี้โลภ อย่าแย่งชิงเขาหยาบคาย

แต่ก็ยังมีฐานของลาภ ยศ สรรเสริญ มีชั้นวรรณะแบบทางโลกเขา เป็นแต่เพียงมาประยุกต์ ไม่ได้ต่างกันหรอก

มียศชั้นสรรเสริญ มีเงินเดือน อำนาจทางสังคม ผู้ใดจะเป็นพลเมืองของศาสนา ผู้ใดจะเข้าสู่ระดับราชการ

ทางศาสนาก็มีเหมือนข้าราชการ ก็ไปอยู่ในทำเนียบของผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ที่ตั้งขึ้นมาทุกปี เหมือนกัน

แล้วเขาก็ไม่เข้าใจ ฝ่ายที่เป็นผู้ปฏิบัติที่เขาบอกว่าเป็นพระปฏิบัติ กับพระบริหาร

ถ้าพระบริหารก็คือทำแบบโลกๆ

เป็นพระปฏิบัติเขาก็ไปนั่งหลับตาอย่ามายุ่งมารู้กับอาชีพอะไร ไม่เอาการงานอะไร เป็นนักปฏิบัติประพฤติปฏิบัติหลับตาหยุดนิ่ง นั่นคือการพากเพียร ให้หนีให้หยุดอย่าไปยุ่งอะไร ปฏิบัติเฉยๆไม่ต้องไปคิด นั่งหลับตา ก็อย่าให้มีความคิดให้นั่งนิ่ง

อ่านหนังสือไทยโพสต์ คอลัมน์ศาสนาเขาสิ ของอ.บูรพา บอกว่าอย่าให้มีความคิด ถ้ามีความคิดแล้วไม่เป็นสมาธิ สมาธิต้องไม่มีความคิดและ เขาเข้าใจไปอย่างนั้นเลย เขาไม่ให้คิด ไม่คิดแล้วจิตจะเป็นสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญา ปัญญาจะขึ้นมาเอง ถ้าคิดขึ้นมาแล้วมีผลนั้นไม่ใช่ปัญญา ซึ่งไม่ใช่เลย แต่ปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจาก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ เป็นพลวัตของ 6 องค์นี้ ปัญญาจะเกิดอย่างนั้น ไม่มีสอนไว้ที่ไหนว่าปัญญาจะเกิดจากการนั่งนิ่ง แต่ท่านก็ตรัสว่าจิตเป็นสมาธิแล้วจะเกิดปัญญา แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ ท่านก็ตรัสในมหาจัตตารีสกสูตร

เวลาปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติมาทั้ง 7 องค์ แล้วจะเกิดผลไปตามลำดับ ปฏิบัติอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ปฏิบัติสังกัปปะ 7 แล้วก็ทำอาชีพทำอาชีวะ สัมผัสแล้วมีอะไรทำให้เราเกิดมิจฉาอาชีวะ 5 ทำให้เกิดมิจฉากัมมันตะ 3  มิจฉาวาจา 4 (โกหก หยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ) มิจฉาสังกัปปะ 3  คือ กาม พยาบาท วิหิงสา

ก็ทำมิจฉาให้เป็นสัมมาให้ได้ในการปฏิบัติอย่างลืมตา มีสัมผัสเป็นปัจจัย การไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัยนั้นไม่ใช่การปฏิบัติของพุทธเลย

การปฏิบัตินั่งหลับตา ไม่มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธเลย อาตมาพูดเหมือนคนบ้า เขาไม่ได้คิด ไม่ได้ทำแบบนี้เลย เขาฟังไม่ได้ เขาว่าโพธิรักษ์นั้นสุดโต่งเกินไป หลายคนที่เป็นครูบาอาจารย์ทางธรรมะของศาสนาพุทธก็บอกว่าเข้าใจ ปฏิบัติจะต้องมีการอาชีพ การกระทำการงานต่างๆ มีการพูด ตามมรรคมีองค์ 8 มีการวิจัยวิจารณ์ต่าง ก็เข้าใจ แต่ก็จะต้องทำอย่างพอสมควร ทำสัมมาชีพก็คืออย่าไปทุจริต สัมมากัมมันตะก็คืออย่าไปทุจริต สัมมาวาจาคืออย่าไปทุจริต สัมมาสังกัปปะก็อย่าไปทุจริต ก็เท่านั้น ไม่ได้มีความลึกซึ้งละเอียดลออ อย่าไปทำผิด ตามที่ตนเองนึกว่าผิด

ไม่ได้ลงลึก มิจฉาอาชีวะ 5 เริ่มต้น กุหนาคืออะไร ทุจริตแบบกุหนาคือหยาบสุดแล้ว การโกงประเทศชาติ ทั้งข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง แต่ก็ไปโทษแต่ข้าราชการการเมือง แต่ข้าราชการการประจำโกงกันตะพึดตะพือ หาทางโกงกินอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันล้มเหลวเลย

สัมมาชีพนั้นแม้แต่ข้าราชการก็ไม่ได้เป็นตัวอย่าง ขอให้ไปสำรวจว่ามีกรมกองไหนที่ไม่มีการทุจริตในราชการ ของประเทศ นี่คือความล้มเหลวของคุณธรรมมนุษยชาติและประเทศ ส่วนเอกชนนั้นโกงได้ก็เป็นโกงทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับ ส่วนข้าราชการนั้นเดี๋ยวเขาไล่ออก ส่วนเอกชนก็ทำไปตามประสาโกงกันส่วนมาก

แล้วคนสอนศาสนาก็ไม่เน้นจี้สู่พฤติกรรมของมรรคองค์ 8 ที่เป็นหัวใจศาสนา แต่ไปพูดถึงสังคมองค์รวม พฤติกรรมสังคม ว่าจะไปเป็นโลกๆบานปลายไปจนกระทั่งไม่ควรแล้ว มันหยาบแล้ว ปรุงแต่งหยาบเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอาชีวะกัมมันตะ พฤติกรรม หรือวาจา ยิ่งแนวคิด การที่จะระมัดระวังความคิด รู้จักวิธีทำสังกัปปะ 7

จิตมีสติสัมปชัญญะ แล้วมีผัสสะเป็นปัจจัย ก็เกิดสภาพของสังขาร สภาพรูปนามปรุงแต่งกันขึ้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเป็น ก็รู้จักสังขาร

กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารอ่านสังขารเป็น ผู้ที่อวิชชาก็ไม่รู้จักสังขาร เมื่อไม่รู้จักสังขารก็จับจิตวิญญาณไม่เป็น ไม่รู้จักจิตวิญญาณ ต่อจากนั้นไปก็แยกนาม แยกรูปไม่ออก  ยิ่งเลยไปถึงอายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ อย่าไปพูดถึงเลย ไม่รู้เรื่อง

ระบบปฏิกิริยาลูกโซ่ของปฏิจจสมุปบาท เป็นเหตุปัจจัยเป็นปัจจัยอาการของกรรมการกระทำของเราก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาพยายามเอามาอธิบายให้เกิดความรู้  วิชชา รู้สังขาร

สังขารมี กายสังขาร อธิบายไปถึง จิตสังขาร แต่ก็ยังไม่ได้ลงลึกถึงจิตสังขาร อย่างเอาเจตสิก 52 เจตสิกอื่นๆ แต่ไม่ได้ลงลึก อยู่แค่กายสังขาร ก็อธิบายถึงจิต มโน วิญญาณ แล้วเกิดการเรียนรู้วิจัยไปถึงสังขาร เรียนรู้วจีสังขาร พวกเราก็ไม่งง พวกเราไม่งงว่า สังขารก็คือเรียนรู้วิญญาณ แล้วแยกวิญญาณเป็นนามรูป

ก็คือ อยู่ที่กายสังขารอยู่ทั้งนั้น กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ แล้วแยกวิญญาณเป็นนามรูป จากนามรูปก็มีอายตนะ มีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะอายตนะก็ไม่มี เมื่อหมดผัสสะอายตนะก็ไม่ตั้งอยู่ในที่ใด อายตนะจะเกิดก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยคือผัสสะ อายตนะเกิดโดยไม่มีผัสสะไม่ได้

อายตนะเกิดก็เกิดเวทนา แล้วแยกเวทนา เมื่อมาเรียนรู้ดูที่เวทนาเพราะเวทนาเป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธ คนที่ไม่เรียนรู้เวทนาก็ไปเรียนรู้แบบโบราณแบบฤาษี มีกรรมฐาน 40

ตั้งแต่สูตรแรกของพระสูตรคือพรหมชาลสูตรก็บอกว่า เว้นผัสสะเสียแล้วจะรู้สึกได้นั้น ไม่เป็นฐานที่จะมีได้ พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติอย่างมีเวทนาเป็นกรรมฐานให้อ่านความรู้สึก ไม่ใช่เอากรรมฐานคือกสิณ ให้จิตจดจ่อ กสิณ ดินน้ำลมไฟ แม้แต่กสิณลมหายใจเข้าออก

พระพุทธเจ้าก็สอนอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออก ถ้าเรียนรู้เป็นองค์รวมของกาย จะต้องมีสติเรียนรู้ลมหายใจคือกาย ที่ยังมีสัมผัสนอกเป็นกาย ตาหูจมูกลิ้นก็ไม่รับรู้แล้ว แต่ยังเหลือที่ลมหายใจอยู่ ที่ต้องรับรู้อยู่

พระพุทธเจ้าอธิบายอานาปานสติควบคู่กับสติปัฏฐาน 4 เขาก็พิจารณากายไม่เป็น จึงพิจารณา กายสังขารังปัสสัมภยัง คือทำให้กายสงบรำงับไม่ได้

หนึ่ง กายสังขารังปฏิสังเวที ต้องเรียนรู้ความเป็นกายสังขาร มันมีภายนอกด้วยและภายในด้วย สัมผัสปรุงแต่งกันอยู่ แม้จะมีลมหายใจก็ยังมีข้างนอกและข้างใน ถ้ายังสัมผัสภายนอกทั้งหกทวาร ก็ยิ่งมีกายสังขารให้เราสัมผัสได้ชัด ปฏิบัติได้ดีที่สุด เพราะจะเห็นมากเห็นครบ เขาก็ไม่เข้าใจ

กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ในอานาปานสติก็เน้นการวิจัยลึกถึงกายสังขาร จิตสังขารให้สงบรำงับ ปัสสัมภยัง ทั้งกายสังขาร และจิตสังขาร ทำให้สงบ สงบของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้กดข่ม hypnotize แต่เป็นการสงบอย่าง analyze สงบอย่างมีวิตก วิจาร วิจัย แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปหมด

เหมือนกับในสมัยพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องอนุโลมให้เขามาก เพราะคนไม่มีพื้นฐานศาสนาพุทธ ก็ต้องพูดอย่างอนุโลม ตีทิ้งอย่างเช่นอาตมาพูดนี้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสท่ามกลางที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีตำราหลักฐานของศาสนาพุทธเลย มีแต่เรื่องสะกดจิตล้วนๆ เป็นเทวนิยมล้วนๆ  ท่านก็ต้องประนีประนอม แต่ของอาตมานี้ยังมีของศาสนาพุทธอยู่ ก็พูดได้อย่างไม่ไว้หน้า ถ้ามีพื้นฐานกันอยู่แล้ว แต่ไปหลงผิด ไปหลงผิดระบบที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แล้วคิดเอามิจฉาทิฏฐิเป็นมิจฉาปฏิปทา อาตมาก็เดินเข้ามาสู่สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ

เอาพระสูตรไหนมายืนยันก็ยังบื้อ ดื้อตาใส หรือโง่ตาใส

 

_ช่วงงานเจ ณ จุดล้างจาน มีชายคนหนึ่งเล่าว่าตนเคยฟังธรรมะพ่อครูมานานมาก แต่ปัจจุบันนี้ ปฏิบัติเกี่ยวกับสายของท่าน อสิตะ แล้วเขาเชื่อว่า สายของเขาบรรลุธรรมได้ แต่เขาให้ค่าว่า สายของพ่อครูบรรลุเร็วกว่า ดิฉันไม่ได้เห็นว่า เทวดา 6 ชั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัย ดิฉันก็ถามว่าเทวดาคืออะไร ผีคืออะไร เขาก็บอกว่าผีคือกิเลส เขาว่า เป็นความรู้ที่ได้จากพ่อครู ดิฉันจึงบอกว่า มันยากที่จะอธิบายเพราะเราเข้าใจต่างกัน แล้วเล่าต่อว่าเช่นคำว่า กาย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคือจิต มโน วิญญาณ เขาก็พูดต่อว่า ไม่ใช่ Body ใช่ไหม? คุณเนียนใจเลยตอบว่า ใช่

เห็นเขามีกิริยาว่าไม่เข้าใจ ดิฉันจึงตัดบทว่า มีในพระไตรปิฎกเล่ม 16 พ่อครูเคยตอบว่าเรามีพระพุทธเจ้าคนละองค์กัน เขาก็นิ่ง แล้วก็ลากลับ

เพราะเขาเข้าใจว่าตนเองก็บรรลุธรรมได้จึงไม่เปิดใจรับฟังผู้อื่น ไม่มีปรโตโฆษะและจะทำโยนิโสมนสิการก็จะยาก ขอพ่อครู อธิบายเขตแบ่งแยกโลกียะกับโลกุตระให้ฟังอีกครั้งหนึ่งค่ะ (งานเจปีนี้ ผู้ใหญ่มาล้างจานล้างใจมากกว่าเด็กและมีผู้ใหญ่มาสนใจคุยธรรมะด้วย)

ตอบ...การแบ่งโลกิยะกับโลกุตระนั้นแบ่งได้ตรงที่เวทนา เวทนา 108 โดยเฉพาะเวทนา 18 ...18 ที่เป็นเคหสิตตะ กับ 18 ที่เป็นเนกขัมมะ แบ่งโลกียะกับโลกุตระได้ตรงนี้ ถ้าไม่สามารถอ่านเวทนาตรงนี้ แล้วแยกเวทนาตรงนี้ออก แยกเป็นเคหสิตตะ กับ เนกขัมมสิตตะ ไม่ออกก็แยกโลกียะกับโลกุตระไม่ได้ ผู้มีปัญญาผู้มีจิตใจ วิตก วิจาร วิจัย มี analyze ออก

ก็แยกกาย คือจิตมโนวิญญาณ ก็คือนามธรรม ส่วนที่จะปฏิบัติก็คือเวทนา ในพรหมชาลสูตร หากไม่มีเวทนาก็ไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติ กรรมฐานคือเวทนา 108

ก็ต้องเข้าใจอาการของเคหสิตตะ อาการโลกียะ ถ้าทำให้จิตเจตสิก ไม่ว่าจะเกิดอาการตั้งแต่ เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18

ตั้งแต่ตากระทบรูป แล้วเกิดเวทนา3 เวทนา 5

เวทนา 3 มีสุข ทุกข์ เฉยๆ แล้วสุขมาก หรือน้อยทุกข์มาก หรือน้อย แล้วรู้ลึกถึง อุเบกขา รู้น้ำหนักเวทนาต่างๆเป็นอินทรีย์ เป็นเวทนา 5 สุขินทรีย์ (นอกและใน) ทุกขินทรีย์ (นอกและใน) แล้วก็อุเบกขินทรีย์

จาก สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ จาก 6 ทวารก็รู้อาการเวทนาทั้งหมด ตั้งแต่ เวทนา 2 กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา แยกอย่างละเอียดไป แต่ที่จริงคืออธิบายทั้งนอกและใน จะเป็นโสมนัสหรือโทมนัส สุข ทุกข์แล้วมีอินทรีย์เท่าไหร่แล้วเกิดทางทวาร 6 นี้แหละ ไล่ภายนอกคือสุข ทุกข์ อุเบกขา ส่วนภายในก็มีโสมนัส โทมนัส

พระอนาคามีไม่มีสุข ทุกข์ ภายนอกเป็นกามภพ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงไม่มีอาการสุข ทุกข์ มีแต่โทมนัส โสมนัสภายใน สำหรับอนาคามี

ถ้าไม่สามารถอ่านภายในออกแล้วแยกเคหสิตตะ กับ เนกขัมมสิตตะ ว่ามีอาการต่างกันอย่างไร ถ้าแยกกันนี้ไม่ได้ก็ไม่รู้จักโลกียะกับโลกุตระ ต้องอ่านใจในใจ แล้วก็ทำการมนสิการ ให้จริง ให้ถ่องแท้ ให้ชัดเจน ให้โยนิโส ให้ลงไปถึงที่เกิด ลงไปถึงจุดอาการเกิดของมัน ว่านี่แหละคือตัวการ มันเป็น เคหสิตตะ ทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์แบบโลกียเป็นแบบนี้ ทำให้อาการมันลดลง แม้แค่วิกขัมภนปหานแค่กดข่มก็รู้ แต่วิธีที่คุณปฏิบัติแล้วเกิดปัญญาเป็นวิปัสสนาญาณ ดูแล้วว่าหลายครั้งหลายคราวแล้ว มันไม่เคยอยู่กับร่องกับรอยเลย มันไม่เคยเป็นอย่างเดิมเลย มันไม่เที่ยง แล้วก็พาเราทุกข์ตลอด

คนไหนที่เข้าใจว่าทุกข์นั่นแหละคือสุข

สุขนั่นแหละคือตัวหลอกตัวสำคัญ มันทำให้เราทุกข์ สุขมันคือของเก๊ ทุกข์ท่านบอกว่าเป็นอาริยสัจ เป็นของจริง ส่วนสุขนั้นคือของเก๊เป็นสุขัลลิกะ นรกคือของจริง คนที่ปฏิบัติ ไม่ได้เรียนรู้ปฏิบัติให้จิตลดความติดยึดได้ตายไปแล้วก็ลงนรกทั้งนั้น

สวรรค์จะเกิดเมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัย ก็ชอบใจ ถ้าสุจริต ถ้าไม่ได้ก็แย่ง ไม่ขอไม่ซื้อก็แย่งขโมย ปล้นเอา ได้มาก็สุข ได้สมใจก็สุข ก็สุข ณ บัดนี้ แต่ถ้าจิตเฉยๆไม่มีผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายมันก็มีแต่ อนุสัยคือนรก ถ้าจะบอกว่าสุขแล้วคุณมีผัสสะตรงไหน มีแต่อนุสัยอยากได้ แต่มันไม่มี ให้อยากได้ทางตา หู จมูก ลิ้นกายมันก็ไม่มีให้ เมื่อตายแล้วไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็มีแต่จะดิ้นเอาตัณหาก็คือนรก แส่หาด้วยตัณหา พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีแต่แส่หาด้วยตัณหา คืออาการของจิต

พระไตรฯล.9   [51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น.

 

ผู้ใดไม่ได้เรียนรู้อย่าง ชานโต ปัสสโต แต่กลับไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นเป็น อชานโต อปัสสโต ก็เป็นความดิ้นรนแส่หาของคนมีตัณหาทั้งนั้น เพราะอัตตายังมีเที่ยง คุณจะต้องเป็นอย่างที่คุณเข้าใจ ถ้าได้อันนี้มาได้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็จะได้อาการอย่างนี้ ได้มาแล้วสมใจ ตามสมมติตามที่ยึดถือ ตามที่มีอุปทานยึดติดไว้ คุณก็จะเป็นสุข แต่ทำไม่ได้คุณก็จะเป็นทุกข์

ถ้าคุณไม่ได้เรียนรู้จนกระทั่งมี ชานโต ปัสสโต มีวิชชา เมื่อไม่รู้จิตใจของคุณก็จะมีแต่แส่หาหรือสรุปว่ามีแต่ตัณหา ดิ้นรนไปตามตัณหา

จิตใจที่มีแต่ภายในไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายจะมีแต่ดิ้นรนมีแต่ตัณหา ก็ดิ้นรนไปสินั่นแหละคือสภาพที่คืนนรก

เขาสอนธรรมกันก็เป็นสังคมศาสตร์ แต่อย่างอาตมาสอนนี้มันมีน้อยคน จนเขาไม่นึกว่าการสอนอย่างนี้เป็นการสอนศาสนา แล้วเขาก็ว่า อาตมาสอนแบบสุดโต่ง แล้วที่เขาว่าเช่นนั้นคือเขาฟังไม่รู้เรื่อง แล้วอาตมาก็เอาภาษาของศาสนามาใช้ เป็นการเข้าถึงสภาวะปรมัตถ์ เขาก็ว่าอาตมาพูดลึกไปสุดโต่งไป ที่จริงนี่เขาชมอาตมา แต่เขาเข้าใจว่า เขาติอาตมา เขาว่าพูดอย่างนี้คนไม่รู้เรื่องพูดทำไม

อาตมาก็พยายามพูดให้เกี่ยวกับการกระทบข้างนอก เช่นมีลาภ ยศ สรรเสริญ มีทำอาชีพไปโกงกินอย่างไร ก็พูดถึง แล้วก็พาพวกเราทำงานสังคม พาทำงานอาชีพ ไม่ให้มี กุหนา ลปนา อย่างต่ำก็มี เนมิตกตา ที่แปลว่าเสี่ยง แต่ถ้าในพระไตรปิฎกว่าตลบตะแลง คือการปฏิบัติที่ยังไม่ได้ว่าจะได้ ใครก็ตามที่ปฏิบัติอาชีพแล้ว แต่คุณยังทำไม่สำเร็จ เช่นคุณไม่กุหนา ลปนาแล้ว ไม่โกงไม่ล่อล่วง ไม่โลภ ไม่โทสะจัด แล้วมาทำอาชีพเลี้ยงชีพชอบ

อย่างน้อยก็เอาหลักการพื้นฐานมายืนยันว่า

1 ไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยการฆ่าสัตว์

2 ไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยการเอาของที่ไม่ใช่ของของตน โดยวิธีการที่ทุจริตขี้โกงที่ขโมยใช้เล่ห์เหลี่ยมที่จะเอามาให้ได้โดยทุจริตเราก็ไม่ทำ

3 มีชีวิตก็ไม่ได้มีราคะจัดจ้าน

4 ไม่ไปโกหก

5 ไม่ไปมีอบายมุข ในชาวอโศกไม่ไปเสพอบายมุข เสพสนุกสนาน ชาวอโศกไม่ใช่แค่ขั้นสุราที่ไม่มี แต่ขั้นเมรยะเราก็ไม่มี

การจะสนใจ พอใจ ยินดี เพลิดเพลินได้เต้นแร้งเต้นกา ได้เสพสัมผัสอย่างทางโลกเขา ก็ไม่มีในชาวพวกเรา

จริงๆแล้วคุณภาพของชาวอโศกมีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน ขั้นระดับสังคมอนาคามีภูมิ ยิ่งเราบอกว่าเราเป็นชาวสาธารณโภคี เป็นคนที่ไม่ยึดติดในบ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์สินศฤงคาร เป็นอนาคามี อโศกเราทำได้ จึงเป็นสังคมอนาคาริกชน มันเป็นระดับคุณภาพแบบคอมมูน ที่ชาวคอมมิวนิสต์เขาทำไม่ได้ แต่เราทำได้อย่างประชาธิปไตย อย่างอิสระเสรีด้วย เป็นสังคมคอมมิวนิสต์แบบเปิด คุณมาเองคุณไม่เอาคุณก็ไปเอง ออกไปออกมาได้ ไม่มีม่านไม้ไผ่ไม่มีม่านเหล็ก เดินออกเข้าได้  ถ้าเข้ามาก็อยู่ในหลักเกณฑ์ถ้าไม่เข้ามาจะไปสำมะเลเทเมาจะบ้าบอข้างนอกก็แล้วแต่อิสระ แต่ถ้ามาในนี้ก็อยู่ตามหลักเกณฑ์ของที่นี่ เหมือนกับคุณไปอยู่ในประเทศไหนก็ต้องเอาตามกฎหมายของประเทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการ ก็ต้องไปตามประเทศนั้นๆ มันเป็นสากล คุณสมบัติคุณภาพคุณธรรมในชาวอโศกเป็นคุณสมบัติระดับอนาคาริกชนเป็นคุณธรรมในระดับสูง

อาตมาก็ภูมิใจที่ได้นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย ให้มาอย่างสมัครใจ จนเกิดสังคมกลุ่มหมู่ชาวอโศก มีสัมมาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะอยู่ในนี้ พาทำงานตั้งแต่ตั้งสังคม ตั้งหมู่บ้าน หมู่บ้านแรกปี 2527 มาถึงปีนี้ก็ครบ 32 ปี เป็นหมู่บ้านอนาคาริกชนจนในประเทศเขารู้จัก

ในจังหวัด แต่ละจังหวัดที่มีชุมชนชาวอโศกอยู่จังหวัดเขาก็รู้ แต่เขาเข้ามาร่วมไม่ได้ แต่เขาก็มาทำอะไรไม่ได้ สำหรับคนที่มีภูมิปัญญาก็จะยินดี สำหรับคนที่ไม่มีภูมิปัญญาก็จะไม่ยินดี เมื่อมาเทียบเคียงกับเขา เขาไม่มีคุณธรรมแบบนี้ก็ไม่อยากให้มี เพราะมันเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบกับ เป็นธรรมชาติของคน แต่ถ้าคนที่มีภูมิปัญญาพอ ก็จะบอกว่าดี แต่ของเรานั้นยังไกลเขาอยู่ เขาก็เลยไม่มาร่วมไม้ร่วมมือไม่มาประสาน มันต้องอาศัยเวลามากด้วย

คนเรากลัวสิ่งดีสิ่งประเสริฐ เขาบอกว่าผีกลัวพระไม่อยากเข้าใกล้ เป็นสัจจะธรรมดา เราก็เป็นคนเหมือนเขา ทุกวันนี้เราก็เข้าสังคมไปกับเขา ก็พอได้ พอเป็นไป ยังไม่ประสานสนิทเนียน เพราะถ้าเราไปร่วมกับเขา เราก็จะไม่ทำตามแบบเขาด้วย จะให้เขามาทำอย่างเราก็ยาก มันก็เลยกลายเป็นโด่เด่ ไปข่มเขา เขาเลยไม่อยากให้ไปร่วมกับเขา จะให้เขามาก็ไม่ได้ แต่จะให้เราไปร่วมเราไปเสมอ แต่เขาไม่กล้าเชิญเท่าไหร่

จริงๆแล้วเขายอมรับว่าของจริง ใครเคยได้ยินไหมว่ามีผู้รู้เขากล่าวว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงก็คืออโศกนี่แหละ ถ้าพูดไปแล้วจะกลายเป็นยกตัวยกตนมากก็เกรงใจ เพราะทุกวันนี้ก็พูดเหมือนกับการตีทิ้ง ยกตัวยกตนลบหลู่เขา ก็เพราะเป็นสัจจะจึงต้องพูดต้อง นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิแล้วชมสิ่งที่ควรชม แล้วการจะชมก็ไม่มีทางเลี่ยงที่จะหาตัวอย่างอย่างเช่นพวกเรานี้ มันหนีไม่พ้นถ้าพูดว่าดีก็เหมือนกับชมตนเอง ถ้าพูดชั่วก็เหมือนกลับไปด่าคนอื่น แล้วมันก็มากด้วยนะ

คำว่าดีนี้ เป็นความดีในระดับโลกุตระ ไม่ใช่ความดีในระดับกัลยาณธรรม ในสังคมมีกัลยาณธรรมนั้นเยอะอยู่พอสมควรจึงจะอยู่ได้ ในประเทศไทยนี้มีกัลยาณธรรมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นเขาเยอะกว่าเขามาก มันมีกลุ่มคนที่แสวงหาอำนาจ ที่ newsand อยู่บ้าง แล้วกวนหนักด้วยจึงดูเหมือนมีมากและแรง และกวนไม่หยุดมีกองหนุนด้วยอยู่เบื้องหลัง แต่องค์รวมของประเทศไทยนั้นดีกว่าประเทศอื่นเกือบทั้งหมด

ถ้าจะให้พูดตามภูมิรู้ของอาตมา ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศใดๆทั้งหมด เพราะผู้ที่เป็นแบบอย่างของประชาธิปไตยที่ดีที่เยี่ยม ชื่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศของเรานี้แหละ เป็นนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก ซึ่งมันมีคนไทย ที่ต้องการอำนาจ จนจะตีทิ้งในหลวงของเรา

คนไทยมีทิฏฐิสามัญตา ยินดีกับการประพฤติปฏิบัติอย่างในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา นี่แหละคือนักประชาธิปไตย ท่านบริหารท่านทรงงาน ท่านบอกเลยว่า ให้ทำอย่างไร เข้าหลักของศาสนาพุทธ เอาแบบวรรณะ 9 มาขยายได้อีก

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

นี่คืออาริยะคือ the classes ไม่ใช่แบบ masses ชุมชนที่ไม่มีวรรณะ 9 คืออวรรณะ 6

ไทยเรามีแบบนี้ เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มักน้อย ทั้งที่ประเทศไทยจะโลภโมโทสันกว่านี้ได้ แต่ประเทศไทยแบ่งแจกกันได้ อลุ่มอล่วยกันได้ เห็นได้สังคมประเทศไทยตอนนี้ มีการแสดงน้ำใจสังคหะกันมากเลย เป็นผลสะท้อนของคุณธรรมของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต คนพวกนี้ก็แสดงออกว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวให้ไว้ กระจายออกไปเต็มไปหมด ตั้งแต่คนจนยันคนมีฐานะดีในสังคม เป็นการสะท้อนตอบ ว่าสมเด็จพ่อของเรา ตั้งแต่พระองค์ทรงพาบริหารจนเสด็จสวรรคต ประชาชนของท่านได้อะไรไปจากท่านหรือเปล่า ก็ได้ไปอย่างชัดเจนอย่างที่เห็น มีไหมประเทศไหนที่จะมีสิ่งดีๆอย่างนี้ เหตุการณ์อย่างนี้

อาตมาเองไม่เก่งทางรัฐศาสตร์ ประชาธิปไตย 2 ขาแบบของพระพุทธเจ้านี้ มีลักษณะของพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)เป็นลักษณะที่ใช้บอกยืนยันความเป็นประชาธิปไตย เป็นคุณธรรมรับใช้ปวงชน โลกานุกัมปายะ รับใช้ปวงชน มีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่คนไทยมี แสดงออกอยู่ ถึงเวลาวาระสำคัญก็แสดงออกมาอย่างขณะนี้

ประชาธิปไตยสองขานี้ยิ่งใหญ่ อาตมาว่า สมมุตินะ ประเทศที่มีประชาธิปไตยขาเดียว ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีตายลง ถึงแก่อนิจกรรม ชาวประชากรของประเทศ จะเกิดผลสะท้อนตอบอย่างประเทศไทยไหม จะหาได้ไหม ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว จะหาได้ไหม ประชาธิปไตย 2 ขา ที่เขามีพระมหากษัตริย์กันในแต่ละประเทศ แม้แต่กษัตริย์เขาสิ้นพระชนม์ ในประเทศเขา ก็จะไม่เหมือนประธานาธิบดีถึงแก่อนิจกรรมหรอก ประเทศที่มีประชาธิปไตย 2 ขาเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ กับประเทศที่มีประธานาธิบดีสิ้นชีพลง ประชาชนจะมีความรู้สึกต่อเบอร์ 1 ของประเทศเขาไม่เหมือนกัน นี่คือประชาธิปไตยสองขา กับประชาธิปไตยขาเดียวมีความต่างกันอย่างนี้

โดยเฉพาะผู้นำประเทศที่เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมอย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ จะมีตัวอย่างให้ดูในสังคมโลกกี่ประเทศ ฝรั่งถึงมองบอกว่า คนไทยนี้เป็นอะไรของมัน มันร้องไห้กันทั้งบ้านทั้งเมืองได้อย่างไรร้องไห้กันอย่างไม่ได้เสแสร้ง

ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว ความลึกซึ้งของจิตใจที่เทิดทูนบูชา จะไม่มี จิตใจที่รักเทิดทูนบูชาในคุณงามความดี จะไม่มี เขาจะไม่รู้จักจิตใจตัวนี้ อาตมาได้ยกตัวอย่างไปแล้ว ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว เบอร์ 1 ของประเทศเขาสิ้นชีพในขณะอยู่ในวาระเลย จะไม่เหมือนอย่างเรา ของเรา ความรู้สึกของประชากรในประเทศจะไม่รู้สึกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นฝรั่งบางคนถึงอุทานว่า คนไทยมันเป็นอย่างไร มันเป็นอะไร นั่นแหละคือการแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่มีจิตตัวนี้ เขาไม่รู้จัก เขานึกไม่ออก ว่าเป็นได้ถึงอย่างนี้หรือ จะมีปฏิภาณดูออกว่าเคารพเทิดทูนบูชาเป็นอย่างไร เขาจะนึกไม่ออก เขาจะได้แต่เดาๆไม่ซาบซึ้ง ส่วนฝรั่งคนที่ร้องไห้ด้วยเขามีจิตตัวนี้แล้ว

การสร้างสรรค์ทางจิตวิญญาณ ในหลวงของเราได้ทรงพระจริยวัตร ปลูกฝัง พฤติกรรมพฤตินัย ที่คนรับได้ ออกมาจากพระทัยของพระองค์ จนตลอดพระชนม์ชีพมา เป็นสิ่งที่ชัดเจนมีมาก จนกระทั่งปฏิเสธไม่ได้

อาตมาว่า มีใครไปแอบ เห็นไหมว่า ฝ่ายแดงเขาร้องไห้กันบ้างไหม อยากรู้เหมือนกัน เอาความคิดเปิดดูกันบ้างไหม กิเลสมันอาจแสดงตัว แต่ลึกๆเขายอมรับว่าคนนี้มีธรรมะมีปัญญาญาณ แต่ฝ่ายแดงที่ดีใจเลย ช่างศีรษะมันเถอะ พวกฝ่ายแดงที่เป็นเช่นนั้นน่ะนะ

สิ่งนี้เป็นเรื่องของความจริงทางจิตวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เหตุการณ์เช่นนี้เกิด เขานึกไม่ออกว่าจะเกิด สะทกสะท้าน ร้องไห้ โดยที่นึกไม่ถึงเลย ว่าเราจะได้ osmosis สิ่งประเสริฐของท่านไว้ขนาดนี้เชียวหรือ เขาจะไม่รู้ตัว แต่พอมีเหตุการณ์เช่นนี้ เราก็ร้องไห้เหมือนกันก็จะมี จะรู้ตัวว่า ตนเองเป็นคนไทย ได้รับพลังแห่งคุณค่าอันประเสริฐของในหลวงซับเข้าไปไว้โดยไม่รู้ตัวเท่าไหร่ พอมาถึงเหตการณ์นี้ถึงได้รู้ตัวเองว่า เราก็รักสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นเหมือน คนที่ไม่มีปัญญารับสิ่งดีงามนี้กันนี้ได้ก็มีอยู่ในใจ ไม่มีน้ำหนักไม่มีความรู้สึกอะไรก็ธรรมดา

นี่เป็นธรรมะเป็นการตรวจระดับคุณค่าคุณธรรม มนุษย์ที่มีจิตใจเปิดรับคุณค่าคุณธรรมแล้วก็เข้าไปประทับใจ ประทับไว้ในใจทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็สั่งสมลงไป จนกระทั่งถึงเวลาวาระเหตุการณ์สำคัญ ก็แสดง เอฟเฟคของความจริงอันนั้นออกมา ที่ร้องไห้มีหลายคนก็ไม่คิดว่าตนเองจะร้องไห้ก็มีเยอะนะ คือไม่รู้ตัวเองหรอก ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้

คนที่พ่อแม่เสียชีวิตไม่ร้องไห้ก็มีเยอะ แต่ในหลวงสิ้นพระชนม์กลับร้องไห้ มีไหม เห็นไหมว่ามันต่างกัน โดยสัจจะเป็นเช่นนั้น พวกนักตะแบงก็จะบอกว่ามันเอาอย่างกัน มันเป็นค่านิยมหมู่ พากันไป หมู่เขาร้องไห้ก็ร้องไห้ตามก็พูดได้ แต่ธรรมดาสามัญใครจะมาร้องไห้เล่น คนเราไม่มีใครอยากร้องไห้ให้คนอื่นเห็นหรอก นอกจากพวกดารานักแสดง

ยิ่งเหตการณ์นี้ร้องอย่างจริงใจ ไม่ละอาย เปิดเผยเลย อาตมาว่าอาตมาเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณลึกๆนี้ เป็นสุดยอดการสั่งสมคุณค่าคุณธรรมอันประเสริฐวิเศษ โดยปฏิภาณของคนธรรมดาก็พอรู้ว่าอะไรดีอยู่ อะไรไม่ดี อะไรประเสริฐ อะไรไม่ประเสริฐ อย่างเช่นในหลวง ท่านทรงพระจริยวัตรของพระองค์ คนก็อ่านออก ว่าท่านทรงงาน พระจริยวัตรทั้งหมดแสดงมาถึง 70 ปี ท่านไม่พูดมากแต่ท่านทำ คนรับพระจริยวัตรท่านได้ ซึ่งต่างจากอาตมาที่ทำกับพวกเรา ทำงานที่เป็นงาน โดยเฉพาะมาเป็นนักบวชด้วย จึงทำกัมมันตะ อาชีวะไม่ชัดเจนเหมือนฆราวาส อาตมามีแต่พูดเป็นวาจาเป็นหลักจึงไม่เหมือนในหลวงที่ท่านทรงพฤติมากกว่าวาจา วาจาท่านไม่มาก แต่ท่านทรงงาน ทรงพฤติมากมาย มันจึงชัด จึงมาก เป็นรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ แต่อาตมามีแต่พูด ไม่ค่อยได้ทำมาก แล้วพบอยู่ในวงแคบกับพวกเราและมีข้อจำกัดของนักบวช ที่จะไปทำกัมมันตะเลยยิ่งน้อยลงอีกอยู่ในวงแคบอีก

คนจึงไม่ยอมรับเพราะเอาแต่พูด เหมือนบอกว่ามันดีตรงไหน เหมือนอาตมาทำไม่ได้ มันเป็นข้อจำกัดที่ต่างกัน เอามาศึกษาไม่ได้เพื่อเปรียบเทียบ ถึงอย่างไรอาตมาทำงานทางโลกก็ไม่มีหน้าที่การงานที่กว้างและหนักเหมือนพระองค์ เพราะไม่ได้รับผิดชอบถึงขนาดนั้น แล้วขอบเขตความประพฤติกับสังคมอาตมาแคบกว่ามาก ถ้าอาตมาไปเล่นการเมืองก็จะมีหน้าที่กว้างมีบทบาทได้ แต่อาตมาไม่ได้สนใจการเมืองเลย ตั้งแต่เป็นฆราวาส

เพราะการเมืองนั้นของเมืองไทยไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว อาตมาจึงไม่สนใจ แล้วค่อนข้างจะ ไม่อยากจะพูดว่ารังเกียจ อาตมาในชีวิตไม่เคยไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลยสักครั้ง ตั้งแต่เป็นฆราวาสมา 36 ปี และไม่พูดเรื่องการเมืองด้วยตอนเป็นฆราวาส เกือบจะไม่รู้ว่าใครเป็นรัฐมนตรีด้วยซ้ำ ไม่สนใจทำมาหากินไป

แต่มาบวชแล้ว พูดและก็พาออกประท้วงด้วย เขาบอกว่าพระอะไรมาเล่นการเมือง เรื่องนี้จริงๆน่าวิเคราะห์วิจัยน่าศึกษา

ตอบสั้นๆให้ฟัง ในวาระที่อาตมาเป็นฆราวาสนั้นยังไม่ออกจากภพลิงลมอมข้าวพอง ที่เห็นแก่ตัว สังคมมันบอกอาตมาอย่างนั้น ให้เป็นคนอย่างนั้นก็เลยทำตามสังคมโลกีย์ พออาตมาตื่นแล้วจากโลกีย์ ตื่นจากลิงลมอมข้าวพอง เป็นโพธิรักษ์จึงต้องตื่นมารู้เอาใจใส่มนุษยชาติ นำพามนุษยชาติไปในทางที่ดี จึงทำงานมา 46 ปี ไม่เคยท้อ หาทางที่จะทำอย่างไรบอกกันเตือนกัน จนคนหาว่าอาตมาด่า ชมก็ไม่ชม ขนาดนี้ ยังด่าไม่หมด คนเดียวก็ยังด่าไม่หมดด้วย

อาตมาเจาะถึงพฤติกรรมที่มีจิตเป็นประธานของสังคมกลุ่ม อาตมาออกมาทำงานจากทางโลกมา 36 ปีก็ยังไม่เป็นหมันมีเชื้อสืบสานสืบทอด .

ก็ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจ  ว.นบ.เรา ย่างปีที่สามแล้ว ก็จะต้องต่อไปอีกเรื่อยๆ ดูว่าถึงปีที่ห้าจะเหลือกี่คน จะเพิ่มขึ้นไหม จะลดลงหรือคงที่เท่าเดิมก็ดูกันเมื่อถึงปีที่ห้า

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:45:00 )

591020

รายละเอียด

591020_เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ค่ายพระไตรปิฏกแฟนพันธุ์แท้ ครั้งที่17 รุ่นอภินิหารแห่งพุทธะ

สัจธรรมกำลังยืนยันสัมผัสได้ คนตาบอดเห็นได้ อาตมาตั้งข้อสังเกต ว่าทำไมคนที่จะมาร้องเพลงว่า มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว น.ส.พัทธนันท์ ที่เป็นคนตาบอดมาร้องเพลงนี้ซาบซึ้งกันทั่วประเทศ

มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว มองเห็นคนตาบอดมองเห็น แต่คนตาดีไม่มาร้อง ร้องมีพลัง ไม่มีเพี้ยนด้วย เพลงปราบเซียนนะ มีแฟลต มีชาร์ป คนแต่งก็เก่ง อาตมาเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องชม เพลงอาตมาก็มีแฟลต มีชาร์ป เยอะเพลงในหลวงก็มีเยอะ อาตมาตอนนี้วางเรื่องเพลงแล้ว มีเพลงสุดท้ายที่แต่งคือเพลงสมรรถภาพ

มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม…..

อาตมาแต่งเพลง สี่ ภาพ สันติภาพ ภราดรภาพ อิสรเสรีภาพ สมรรถภาพ และบูรณภาพ ไม่สำเร็จ แต่งบูรณภาพไม่ได้ ได้แค่สี่ มันมีห้าภาพ ที่อาตมารวบรวมเอาไว้

ตอนนี้ทั่วโลกยอมรับการรับแล้ว เป็นธรรมะ ความรู้และความจริงที่เป็นได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว มี 2 อย่างนี้ทั้งความรู้และความจริง เป็นธรรมะระดับสัจธรรม  the classes ของพระพุทธเจ้าสอนไว้มี 9 วรรณะ

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ) ไม่ใช่มักง่าย เหมือนหมูเหมือนหมา

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) ตรงข้ามกับทุโปสะที่เข็นยากสร้างยาก เลี้ยงยาก อย่างกลุ่มธัมมชโย

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 

ประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีการสืบสันตติวงค์ ไม่มีมณเฑียรบาล ไม่มีประยูรญาติ ที่สืบทอดมาไม่ใช่ชาติเดียว อาตมาประกาศแล้วว่าอาตมามี  DNA  ทางจิตวิญญาณสืบทอดมาจากพระเจ้าอโศกมหาราช พ่อขุนรามคำแหง พระสารีบุตร แค่นี้ก็เหลือกินแล้ว มีอีกเยอะแยะ แต่เอาแค่สาม ไม่ได้พูดอย่างอวดดิบอวดดี ถ้าจะอวดดี อาตมาพูดไปนานแล้ว ไม่ได้พูดเพราะอยากอวดดีอวดเด่น แค่สามชื่อ อาตมามี DNA พระสารีบุตร แล้วมาสืบต่อเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วก็มาต่อพ่อขุนรามคำแหง

อาตมาไม่ได้โมเมด้นเดา ถ้าอยากคุยก็คุยมานานแล้ว อาตมาพูดยุคนี้จะมีคนชัดเจนเชื่อได้ มีต้นทุนความรู้ของตัวเอง ไม่ถูกครอบงำก็จะมีปัญญาเชื่อได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องพูดเอาเหมือนธัมมชโย เป็นต้นธาตุต้นธรรมใหญ่สุด

ขณะนี้โลกกำลังรู้แล้วว่าธรรมะอันเป็นนามธรรม แม้แต่พวกประชาธิปไตยขาเดียว ซึ่งลบหลู่นามธรรม ยิ่งเป็นคอมมิวนิสต์ก็ตีทิ้งนามธรรมเลย  คอมนิสต์ก็เลยล้มหายไปเยอะ เหลือแต่พวกเศษของคอมมิวนิสต์ เขารู้แล้วว่านามธรรมสู้ประชาธิปไตยสองขาไม่ได้ ในโลกนี้รูปแบบประชาธิปไตยสองขาที่เป็นต้นแบบคืออังกฤษ เป็นต้นแบบการประกาศประชาธิปไตยมาในโลก ใหญ่กว่า มีอาณานิคมมากวกว่าไทยเยอะ แต่ทำไมมาเกิดในเมืองไทย ไม่ใช่ความบังเอิญ ใครอยากจะเอาไปก็เอาไปสิ เอาคุณสมบัติคุณธรรมอย่างนี้ไปได้

คนที่มีวรรณะ 9 มักน้อย สุภระ เลี้ยงง่าย สุโปสะพัฒนาให้เจริญได้ง่าย อัปปิจฉะ มักน้อย กล้าจน สันตุฏฐิ ใจพอ เป็นตัวกลาง หรือสันโดษ พอ ความพอ แค่นี้พอ มากกว่านี้สะพัดออก มีเผื่อไว้พอ จะไม่กลัวอดไม่กลัวตายไม่กลัวลำบาก ความลำบากสร้างสมรรนะสร้างปัญญา อุปสรรคนั้นสร้างปัญญาสมรรถนะ แต่อย่าห่าม อุปสรรคเกินคุณก็ตาย พระพุทธเจ้าว่า ต้องตั้งตนบนความลำบากกุศลกรรมเจริญยิ่ง

ผู้ที่มีความมักน้อยมีความพอและสัลเลขะ มีการขัดเกลา สิ่งที่ตนเองมีความบกพร่องไม่ดี ก็เรียนรู้ขัดเกลาออก คนที่ยังไม่เป็นอรหันต์ก็ขัดออกไป แม้แต่จะเป็นอนาคามีก็ขัดเกลาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ข้างในออก

สัลเลขะจนมีอาการน่าเลื่อมใส แสดงกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ปรุงแต่งจากภายในเป็นวจีสังขาร แล้วออกไปข้างนอก

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นสามเส้า ทำงานร่วมกับ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นสองเส้า สังเคราะห์ออกมาเป็นวจีสังขาร เป็นวจีแล้ว บางอย่างก็มีบัญญัติ ก็ออกมาได้เลย ถ้าไม่มีก็บัญญัติออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรม ผู้ที่สามารถขัดเกลาเป็นสัลเลขะ ก็แสดงออกมาเหมือนเคร่ง ผู้ได้แล้วไม่เคร่ง เพราะทำได้แล้วไม่เคร่งไม่เกร็งไม่เครียด ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 แต่คนที่ทำยังไม่ได้ก็เคร่งคุม ใหม่ๆนี้ยากต้องทำได้จนชิน และชา

คำว่าชินแปลว่าชนะ คำว่า ชา แปลว่ารู้ในภาษาบาลี ชินชา=ชนะอย่างมีความรู้  แต่เมื่อเป็นภาษาไทยไปแล้วคือทนได้ โดยไม่ต้องทนแล้ว แต่ไม่ใช่ซื่อบื้อไม่รู้เรื่อง แต่โดยเนื้อหาชินชาคือชนะโดยสัจธรรม

ผู้ที่มีศีลเคร่ง ธูตะ เป็นผู้มีต้นทุน ออกมาเป็นอาการ ปาสาธิกะ คืออาการน่าเลื่อมใส่ทั้งกายกรรม วจีกรรม ที่คุณสามารถรู้ได้ อย่างในหลวงเรามีอุตสาหะวิริยะ ใครไม่ทำเราทำคนเดียวไม่ติดยึด ไม่มีชั้นวรรณะ แต่พระองค์ก็ทำโดยไม่ไว้พระองค์ พระองค์ต้องทำอย่างเหมาะตามฐานะ แต่พวกฝ่ายซ้ายก็จะทำให้เสมอภาค ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ จะต้องดึงมาหาตัวเองให้ต่ำ ว่าต้องให้เหนือกว่าทำไม​ ก็เพราะว่าคุณเป็นคนต่ำจริงน่ะ แทนที่จะเชิดชูบูชาคนสูง แล้วพัฒนาตนเองให้สูงตาม แต่นี่กลับดึงคนสูงให้ลงมาหาคนต่ำ

ต่อไปจากนี้เป็นตัวไขความ อปจยะ คือไม่สะสม เป็นคนไม่สะสมทั้งวัตถุทรัพย์ทั้งกิเลส มีแต่สละออก ไม่สะสมวัตถุและกิเลส การไม่สะสมวัตถุ จนเป็นสาธารณโภคียิ่งใหญ่กว่าคอมมูนหรือคอมมิวนิสต์ ที่ให้เป็นองค์รวมแต่เป็นการบังคับด้วยกลุ่มคน ไม่อิสรเสรีภาพ แต่ประชาธิปไตยที่เป็นคอมมูนสาธารณโภคีนี้ให้มาด้วยปัญญาของตนเอง ไม่มีการหาเสียงหรือบังคับแต่อย่างใดเลย

วิริยารัมภาะคือขยันอยู่เสมอไม่ขาดตอนต่อเนื่อง ถ้าควรพักก็พัก ถ้ามีสิ่งที่ควรทำก็ทำ สุดยอด เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่านิพพานเป็นอย่างไรสั้นๆ พระพุทธเจ้าตอบว่า เราไม่พักเราไม่เพียร นั่นแหละเราข้ามโอฆสงสารแล้ว อนายูหัง อปัฏฏิฐัง สองคำนี้ ….จบวรรณะ 9 the classes พวกเรามาพากเพียรให้เป็นคนมีวรรณะ 9 นี้ ไม่ใช่วรรณะแบบ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทร จัณฑาล  อย่างนั้น ยุคนี้

_มีคำถามมา จะเป็นไปได้ไหมในยุคของรัชกาลที่ 10 จะเป็นยุคของชาวศิวิไลซ์ โดยมีคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้นำให้ธรรมจักร นี้หมุนไปได้ในยุคนี้

ตอบ...ได้แน่นอน มี “เจตนา” แต่อย่า “อยาก” จง “พากเพียร” ให้เต็ม “บริสุทธิ์”...​ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1-dwdLc_CLa1tKzsxDqaVZdNC65hLf-pgvYDiTO9XvwQ

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfTHp5ZEJVSFdQLXc

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/1ktrasgmch1x/161020

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:45:31 )

591020

รายละเอียด

591020_เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ค่ายพระไตรปิฏกแฟนพันธุ์แท้ ครั้งที่17 รุ่นอภินิหารแห่งพุทธะ

พ่อครูว่า...ขณะนี้ อาตมาเป็นกระแส พวกคุณก็เป็นแรงเคลื่อน อาตมาเป็นบวกพวกคุณก็เป็นลบ

วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2559 แรม 4 ค่ำเดือน 11 เป็นตัวสี่ออกมาจากสามเส้า

ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่พัฒนาตัวเองก้าวหน้าขึ้นมา ก็ได้รับหน้าที่ ได้รับความมอบหมายเพื่อจะมีสิทธิในการประพฤติ ในการกระทำในกรอบขอบเขตกว้างขึ้นเจริญขึ้นไปตามลำดับ

 

โดยเฉพาะพวกเราสายธรรมก็มีปรมัตถสัจจะด้วย ส่วนทางโลกก็มีทางวัตถุ หรือทางชีววิทยา ส่วนทางเรามีจิตเข้าไปร่วมรู้ มีสติ สัมปชัญญะ ปัญญา เข้าหลักธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นธรรมะสอง ถ้าเป็นสาม ก็เป็นสามเส้า จะเกิดการสังเคราะห์

อุตุนิยามจะมีสองธาตุ ไม่มีตัวที่สองเกิด เซลล์เริ่มต้นจะมี nich เป็นห้องว่างหรือโพรง แล้วจะเริ่มมี primary cell ในห้องว่างนี้ พอเริ่มต้นพัฒนาการมีตัวที่จะเกิดจากสองแล้ว เริ่มมามีคุณสมบัติอันที่สามมา

ถ้าทางฟิสิกส์จะ เริ่มต้นตั้งแต่ hydrogen oxygen เป็นธาตุลม ไฟ แล้วเกิดธาตุน้ำเป็นสามเส้า ธาตุน้ำที่เกิดขึ้นมา จะเป็นชีวะหรือไม่ก็ได้ ในภาษาบาลีคือ กลละ ตัวต้นรากเหง้าเลย ตัว ก แล้วมี ลล ถ้า กล ก็คือ กล คือแรงงาน ตั้งแต่แรงในระนาบไป ถ้า กลล คือกลเป็นสามเส้า เป็นภาษาอังกฤษก็คือ ish เป็นตัวที่ต่างกันเป็นลิงค หรือเพศ คือเพศหญิง she เพศชาย he แล้วมี i เป็นตัวควบคุมสั่งการ เป็น ish คือพีชนิยม มันไม่ไประรานใคร ไม่ออกไปข้างนอก ก็อยู่ในตัวมันสะสมพลังงานขึ้นมา ถ้าล้นเกินจะเป็นสี่ เป็นทศนิยม ตั้งแต่ 01 01 03 04 หรือ 001 002 003 004 ไปเรื่อยๆ

จะมีความเหมือนและต่าง ผู้รู้ชัดจะแยกแยะ และ breed พันธ์ได้ เราสามารถรู้ความเหมือนหรือต่างได้ คนที่เรียนรู้พลังงานต่างๆในมหาจักรวาลนี้ได้ ถ้านิ่งไม่เกิดอะไร พอเคลื่อนก็เกิดพลังงาน ถ้าสามารถรู้พลังงานอุตุนิยาม พีชนิยามจิตนิยาม จนองค์รวมสามเส้าเป็นกรรมนิยาม แล้วสั่งสมเป็นธรรมนิยาม รวมตัวเป็น fusion หรือรวมครบนิวเคลียส เป็นสามเส้า ซึ่งจะต่างกัน ish มีพลังงานเต็มตัว i she he จะเต็มตัว นิวเคลียสเต็มตัว มีแรงระเบิดเป็นพลังงานนิวเคลียร์แตกตัวเป็น fission รวมตัวเป็น fussion ที่แตกตัวเป็น fission ออกไปไม่มีโค้งกลับมาเลยก็จะมีแรงมาก อันไหนโค้งกลับก็แรงลดลง ถ้ามีบูมเมอแรงมาหาตัวกลาง ก็เป็นวงวนของตัวตนอีก จะวงวนไกลเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เส้นโค้งจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตพลังงาน

พลังงานเกิดจะมีสภาพสองอย่าง protoplasm กับ cytoplasm อาตมาเองไม่เก่งทางภาษาวิทยาศาสตร์ ก็ค่อยๆเก็บมาสื่อให้พวกเราเข้าใจ อาตมาก็รู้สภาพธรรมะแท้ๆ เป็นตัวแก่นสาระ

พวกเราเป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่จะเชื่อมต่อสิ่งที่อาตมาทำ กลุ่มที่อาตมาทำเป็นกลุ่มแกนและกว้าง ส่วนพวกเราจะเป็นกลุ่มที่เล็กและกระจายได้กว้างเป็น cytoplasm พวกอาตมาเป็นทั้ง protoplasm และ cytoplasm จะมีplasma เกาะรอบ ทำงานร่วมกันไป

ยุคนี้เป็นยุคสังคมโลกที่จิตวิญญาณมีบทบาท เหตุการณ์ทางจิตวิญญาณอย่างพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง คือในหลวงเรา ท่านแสดงบทบาทพูดน้อย แม้แต่กลุ่มอาตมาก็พูดมากกว่าทำ โดยเฉพาะอาตมานี่พูดจัง พูดว่า ด่าเขาด้วย ด่าแรงขนาดนี้ เขายังไม่รู้สึกตัวเลย แข็ง แน่น ไม่รับรู้สึกอะไรได้ง่าย มันด้านจนอาตมาไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร เลยเอาโง่กับด้านรวมกันเป็น ง่านโด้ หรือโด้ง่าน ทั้งที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว แทนที่จะแก้ไขปรับปรุง แต่ไม่ทำ คือโด้เต็มรูป ง่านเต็มรูป นี่มันเป็นลักษณะที่รูปธรรม ที่มาจากนามธรรมที่มันง่านโด้ ก็เลยออกรูปธรรมอย่างที่เห็น สุดยอด ผยอง ถือดีถือตัว ยิ่งใหญ่ แพ้ไม่ได้ ครบกระบวนการสิ่งที่ต่ำที่สุด ที่พูดไปนี้คือด่าเขานะ คุณฟังออกไหม ก็ต้องขออภัย ไม่ได้ด่า แต่อธิบายสัจธรรม อธิบายธรรมะ อย่าไปเอาอย่างเด็ดขาด เสียเวลาจมกับวิบากมันนานเกินไป ก็เราเรียนรู้แล้ว ก็ไม่ต้องเป็นอย่างเขา

ขณะนี้สังคมโลกยุคปลายภัทรกัป อีกสองพันกว่าปีก็ไม่เหลือ คนที่มีบารมีเท่านั้นจะรอด คนไม่มีบารมีก็ไม่รอด ใครมีวิบากก็ไปเกิดในยุคนั้น ใครไม่อยากมีวิบากไปเกิดยุคนั้น ก็เรียนให้รอด ให้หลุดพ้นได้ จะได้ออกจากวงจร พวกคุณมาอยู่ในวงจรการพัฒนาไปสู่อาริยชนแล้ว ใช้คำว่า อาริยะ ไม่เรียกอารยะหรืออริยะ อาตมาขอใช้คำว่าอาริยะ คือเอาอารยะผสมกับอริยะ

เพราะอารยะเป็นการเจริญทางโลกๆ รูปธรรมโลกีย์ ส่วนทางอริยะก็เจริญทางนามธรรม แต่ยึดมั่นถือมั่นออกนอกรีตเป็นเดียรถีย์ไปหมด ของพุทธก็เพี้ยนเป็นอริยะปลอมไปหมด ก็เลยใช้พยัญชนะเป็นอาริยะ

สัจธรรมกำลังยืนยัน สัมผัสได้ คนตาบอดเห็นได้ อาตมาตั้งข้อสังเกต ว่าทำไมคนที่จะมาร้องเพลงว่า มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว น.ส.พัทธนันท์ ที่เป็นคนตาบอดมาร้องเพลงนี้ซาบซึ้งกันทั่วประเทศ

มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว มองเห็น คนตาบอดมองเห็น แต่คนตาดีไม่มาร้อง ร้องมีพลัง ไม่มีเพี้ยนด้วย เพลงปราบเซียนนะ มีแฟลต มีชาร์ป คนแต่งก็เก่ง อาตมาเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องชม เพลงอาตมาก็มีแฟลต มีชาร์ป เยอะเพลงในหลวงก็มีเยอะ อาตมาตอนนี้วางเรื่องเพลงแล้ว มีเพลงสุดท้ายที่แต่งคือเพลงสมรรถภาพ

มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม…..

อาตมาแต่งเพลง สี่ ภาพ สันติภาพ ภราดรภาพ อิสรเสรีภาพ สมรรถภาพ และบูรณภาพ ไม่สำเร็จ แต่งบูรณภาพไม่ได้ ได้แค่สี่ มันมีห้าภาพ ที่อาตมารวบรวมเอาไว้

ตอนนี้ทั่วโลกยอมรับการรับแล้ว เป็นธรรมะ ความรู้และความจริงที่เป็นได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว มี 2 อย่างนี้ทั้งความรู้และความจริง เป็นธรรมะระดับสัจธรรม  the classes ของพระพุทธเจ้าสอนไว้มี 9 วรรณะ

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ) ไม่ใช่มักง่าย เหมือนหมูเหมือนหมา

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) ตรงข้ามกับทุโปสะที่เข็นยากสร้างยาก เลี้ยงยาก อย่างกลุ่มธัมมชโย

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 

ก็ไม่มีใครมาครอบงำความคิด เราพิจารณาด้วยปัญญาของเราเอง จะมีเหตุปัจจัยมาก็เป็นรอง ตัวเราเป็นหลัก ถ้าเราสัมผัสแล้ว เราไม่เอาก็อยู่ที่เรา แต่ถ้าเป็นจริงแล้วจะมีปัญญารับติดว่าใช่ กลุ่มพวกเรา พวกอาตมาจะสร้างสิ่งที่กว้างและลึก ส่วนพวกเราจะเป็นพวกที่นำหน้าทำต่อไป จะรับสืบต่อไปเอาไปปฏิบัติ จะได้อย่างไรแค่ไหน ก็ไม่ได้กระดี๊กระด๊าหวือหวา ก็ทำไป อนุโมทนาสาธุที่ได้เอาชีวิตมาทางนี้ แจกปลอกแขนจิตอาสา ก็เป็นเครื่องหมาย ตามวิธีการของทางโลก ไม่มีสิทธิอำนาจหน้าที่ ที่เราอนุมัติกัน มันเป็นวิธีการของสังคมมนุษยชาติ ก็ค่อยค่อยเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

อาตมายังนึกเสียว่า พวกคุณจะเป็นกลุ่มที่จะสร้างอระหันต์ 9 รูปขึ้นมา อาตมาบอกว่าถ้าได้อรหันต์ 9 รูป จะพาให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าไปถึง 2000 500 กว่าปีได้ครบ พวกคุณจะได้เป็นพระอรหันต์

อาตมาอธิบาย บุคคล 7

สัทธานุสารี เป็นแกนเจโต ส่วนธัมมานุสารีเป็นแกนปัญญา

ตั้งแต่อุตุนิยาม ทำตัวเองไม่ได้ต้องถูกเหตุปัจจัยภายนอก สะสมตั้งแต่ธาตุดิน โลหะ มีความควบแน่น มีประสิทธิภาพ หลายเชิง ถ้าโลหะก็มีทองคำสูงสุด ถ้าแก๊สก็จะมีอย่างอื่น มันก็ร่วมกันช่วยกัน พอถึงยุคกาล

ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กไม่ยิ่งใหญ่ด้านอุตสาหกรรม ทางวิทยาศาสตร์สู้เขาไม่ได้ สู้สิงคโปร์ไม่ได้ ไม่ต้องเทียบกับจีนหรือประเทศอื่นๆเลย แต่เราก็มีดีทางนามธรรม

นามธรรมจึงหยั่งลงในประเทศไทย พลเมืองเราก็แค่หกสิบล้าน ประเทศข้างเคียงมีประชากรมากกว่า

อุตุนิยามไม่เป็นตัวของตัวเองเลย แต่พีชนิยามเริ่มมีตัวเอง แต่ไม่ไปทำร้ายใคร เป็นพลังงานองค์รวมชีวะ และชีวะนี้ไม่เป็นพิษภัย มีแต่ประโยชน์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอาพลังงานจิตนิยามที่มีพลังมากกว่าพีชะ แต่ว่ามันไปเสีย ไปโง่ ก็ทำให้เป็นพลังงานสะอาดดี แล้วเอามาใช้ โดยพีชะก็มีอยู่ อุตุก็ยังมีอยู่

อะไรเป็นพีชะ อะไรเป็นอุตุ ก็มีจิตควบคุม เป็นคนควบคุมจัดการองค์รวมให้ตามที่ประสงค์อย่างซื่อสัตย์ จึงเป็นพลังงานช่วยมวลสรรพสิ่ง ทั้งสรรพสัตว์ได้

ตอนนี้ความรู้กำลังเกิดขึ้น กำลังกระจายและเป็น อาตมามายุคนี้ก็ได้ทำเต็มที่สุดที่ของภูมิรู้ ไม่ได้มีการยั้งไว้ แต่เอาออกไปทำเต็มที่โดยประมาณ เพราะการทำแบบประมาณ คือไม่ทำหมดต้นทุน เพราะถ้าพลาดจะเสีย ถ้าทำแบบนี้ไม่ประมาท แม้พลาดต้นทุนก็ไม่เสีย ยังพอเก็บหอมรอมริบเอาคืนมาได้

ที่นี่ก็อนุโมทนาสาธุ ในสังคมคนไม่เข้าใจเรื่องของอรหันต์โดยเรื่องของอนาคามีแล้ว

คนที่เป็นแกนศรัทธา สัทธานุสารี ก็แสวงหาสัจธรรม ปฏิบัติได้เป็นสัทธาวิมุติ แต่สายธัมมานุสารี ปฏิบัติก็เป็น ทิฏฐิปัตตะ พอเป็นแล้ว ทางสายเจโตหรือสัทธา จะเป็นกายสักขี เป็นสภาพองค์รวมสิ่งที่เป็นไปได้

อย่างในหลวง ร.9 เราแสดงกายสักขีเต็มองค์ พระจริยวัตรของพระองค์คนรับได้ แม้ที่สุดในองค์กรสหประชาชาติและองค์กรของโลก เข้ามาร่วมก็เพราะว่าชัดเจน เห็นได้ รู้ได้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้คือเป็นวรรณะ 9 the classes เลี้ยงง่าย บำรุงงาน มักน้อย ไม่ต้องมาก มีน้อยก็พอ ไม่ประมาทเกินพอ

ด้วยคำตรัสของในหลวง คือเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ขาดไม่เกินสมบูรณ์สมดุล ซึ่งอธิบายโดยพยัญชนะ โดยวัตถุรูปธรรมก็ง่าย แต่พระองค์ก็เน้นให้มาทำแบบคนจน แล้วมี ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา นี่คือ The Great word ของในหลวง เป็นคำวิเศษ

เศรษฐกิจพอเพียงก็เอาที่ประมาณไว้ ส่วนลักษณะที่ชี้ชัดก็คือ แบบคนจนต้องอยู่ในลักษณะแบบคนจน ขยายความก็คือ ต้องมาขาดทุน คนเรานั้นก็คิดว่าขาดทุนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร คนเขาขาดทุนแล้วจะอยู่ไม่ได้ แต่คนมีความรู้ก็บอกว่าขาดทุนแล้วจะอยู่ได้ 1 เรามีความขยันและสมรรถภาพ ก็ทำงาน ถ้าขยันใช้เฉยๆ แต่ไม่ทำงานก็ไม่มีอะไรเกิด แม้จะมีความรู้และสมรรถภาพสูง แต่ไม่ได้ทำงานก็ไม่มีประโยชน์เกิด

ต้องมีสามเส้า 1 ต้องมีความรู้ 2 ต้องมีสมรรถภาพ 3 ต้องมีการทำงานให้เกิดการเคลื่อนไหว เกิดบทบาทลีลา  มีกลละ มีกล ออกไปจึงเกิดผล

คนที่ทำงานมีสมรรถนะและมีความรู้สูง มีพลังงานมาก มีแรงงานมาก ก็ทำเต็มที่ แล้วเป็นคนไม่สะสมเป็นคนมักน้อย เป็นคนพอแล้ว มีเหลือก็สะพัด แล้วไม่ประมาทมีสำรองไว้คงคลัง ให้อยู่ได้

สรุปแล้วเป็นคนมีส่วนเหลือส่วนเกิน เพราะมีสมรรถภาพ และมีความรู้ และมีการทำงาน จึงมีผลผลิต มีแรงงาน มีส่วนเกิน เหลือใช้ เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนมักน้อยไม่ฟุ้งเฟ้อ จึงมีส่วนเหลือ คนที่มีความสามารถ มีคุณธรรม จะมีความสามารถ มีความรู้ที่ผลิต และสร้างมีผลงานมีสิ่งที่เกิดขึ้นเหลือ เกินที่ตนเองกินใช้

เราทำได้1000 หน่วย เราเองอาศัยกินใช้แค่สองร้อยหน่วย แล้วอีก 800 หน่วย ก็เอาไว้เหลือไว้คงคลังสามร้อย คุณก็เอาห้าร้อยนี้ไปขาดทุนให้สังคม คุณกินใช้แค่สองร้อย คุณมีเผื่อพอไว้อีกสามร้อย สำหรับขาดเหลือ แต่คุณสมรรถภาพสร้างได้ พัน ก็ให้คนอื่นได้ชักเนื้อให้คนอื่นได้ก็อยู่ได้ คนที่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจคำว่าขาดทุนอย่างโลกีย์อย่างง่ายๆตื้นๆ เขาก็ไปไม่ออก แต่พวกเราเข้าใจแล้วจึงมีรูปธรรมได้จริง

พวกคุณเป็นรูปของหนุ่มสาว กำลังแล่น พวกอาตมานี่มันยู่ยี่ไปหน่อยแล้ว คนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ หน้าที่ของพวกคุณต้องนำหน้า ต้องแสดงบทบาทต้องทำงานให้เต็มที่ คนจะไปทำงานกับสังคมเป็นพระอาริยะเป็นอรหันต์ พิสูจน์เลยว่าฆราวาสจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่จะไม่เป็นประธานาธิบดี พระธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเป็นประชาธิปไตยสองขา มีนามกับรูป

ประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีการสืบสันตติวงค์ ไม่มีมณเฑียรบาล ไม่มีประยูรญาติ ที่สืบทอดมาไม่ใช่ชาติเดียว อาตมาประกาศแล้วว่าอาตมามี  DNA  ทางจิตวิญญาณสืบทอดมาจากพระเจ้าอโศกมหาราช พ่อขุนรามคำแหง พระสารีบุตร แค่นี้ก็เหลือกินแล้ว มีอีกเยอะแยะ แต่เอาแค่สาม ไม่ได้พูดอย่างอวดดิบอวดดี ถ้าจะอวดดี อาตมาพูดไปนานแล้ว ไม่ได้พูดเพราะอยากอวดดีอวดเด่น แค่สามชื่อ อาตมามี DNA พระสารีบุตร แล้วมาสืบต่อเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วก็มาต่อพ่อขุนรามคำแหง

อาตมาไม่ได้โมเมด้นเดา ถ้าอยากคุยก็คุยมานานแล้ว อาตมาพูดยุคนี้จะมีคนชัดเจนเชื่อได้ มีต้นทุนความรู้ของตัวเอง ไม่ถูกครอบงำก็จะมีปัญญาเชื่อได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องพูดเอาเหมือนธัมมชโย เป็นต้นธาตุต้นธรรมใหญ่สุด

ขณะนี้โลกกำลังรู้แล้วว่าธรรมะอันเป็นนามธรรม แม้แต่พวกประชาธิปไตยขาเดียว ซึ่งลบหลู่นามธรรม ยิ่งเป็นคอมมิวนิสต์ก็ตีทิ้งนามธรรมเลย  คอมนิสต์ก็เลยล้มหายไปเยอะ เหลือแต่พวกเศษของคอมมิวนิสต์ เขารู้แล้วว่านามธรรมสู้ประชาธิปไตยสองขาไม่ได้ ในโลกนี้รูปแบบประชาธิปไตยสองขาที่เป็นต้นแบบคืออังกฤษ เป็นต้นแบบการประกาศประชาธิปไตยมาในโลก ใหญ่กว่า มีอาณานิคมมากกว่าไทยเยอะ แต่ทำไมมาเกิดในเมืองไทย ไม่ใช่ความบังเอิญ ใครอยากจะเอาไปก็เอาไปสิ เอาคุณสมบัติคุณธรรมอย่างนี้ไปได้

คนที่มีวรรณะ 9 มักน้อย สุภระ เลี้ยงง่าย สุโปสะพัฒนาให้เจริญได้ง่าย อัปปิจฉะ มักน้อย กล้าจน สันตุฏฐิ ใจพอ เป็นตัวกลาง หรือสันโดษ พอ ความพอ แค่นี้พอ มากกว่านี้สะพัดออก มีเผื่อไว้พอ จะไม่กลัวอด ไม่กลัวตาย ไม่กลัวลำบาก ความลำบากสร้างสมรรนะ สร้างปัญญา อุปสรรคนั้นสร้างปัญญาสมรรถนะ แต่อย่าห่าม อุปสรรคเกินคุณก็ตาย พระพุทธเจ้าว่า ต้องตั้งตนบนความลำบากกุศลกรรมเจริญยิ่ง

ผู้ที่มีความมักน้อย มีความพอ และสัลเลขะ มีการขัดเกลา สิ่งที่ตนเองมีความบกพร่องไม่ดี ก็เรียนรู้ขัดเกลาออก คนที่ยังไม่เป็นอรหันต์ก็ขัดออกไป แม้แต่จะเป็นอนาคามีก็ขัดเกลาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ข้างในออก

สัลเลขะจนมีอาการน่าเลื่อมใส แสดงกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ปรุงแต่งจากภายในเป็นวจีสังขาร แล้วออกไปข้างนอก

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นสามเส้า ทำงานร่วมกับ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นสองเส้า สังเคราะห์ออกมาเป็นวจีสังขาร เป็นวจีแล้ว บางอย่างก็มีบัญญัติ ก็ออกมาได้เลย ถ้าไม่มีก็บัญญัติออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรม ผู้ที่สามารถขัดเกลาเป็นสัลเลขะ ก็แสดงออกมาเหมือนเคร่ง ผู้ได้แล้วไม่เคร่ง เพราะทำได้แล้วไม่เคร่ง ไม่เกร็ง ไม่เครียด ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 แต่คนที่ทำยังไม่ได้ก็เคร่งคุม ใหม่ๆนี้ยากต้องทำได้จนชิน และชา

คำว่าชินแปลว่าชนะ คำว่า ชา แปลว่ารู้ในภาษาบาลี ชินชา=ชนะอย่างมีความรู้  แต่เมื่อเป็นภาษาไทยไปแล้วคือทนได้ โดยไม่ต้องทนแล้ว แต่ไม่ใช่ซื่อบื้อไม่รู้เรื่อง แต่โดยเนื้อหาชินชาคือชนะโดยสัจธรรม

ผู้ที่มีศีลเคร่ง ธูตะ เป็นผู้มีต้นทุน ออกมาเป็นอาการ ปาสาธิกะ คืออาการน่าเลื่อมใส่ทั้งกายกรรม วจีกรรม ที่คุณสามารถรู้ได้ อย่างในหลวงเรามีอุตสาหะวิริยะ ใครไม่ทำเราทำคนเดียวไม่ติดยึด ไม่มีชั้นวรรณะ แต่พระองค์ก็ทำโดยไม่ไว้พระองค์ พระองค์ต้องทำอย่างเหมาะตามฐานะ แต่พวกฝ่ายซ้ายก็จะทำให้เสมอภาค ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ จะต้องดึงมาหาตัวเองให้ต่ำ ว่าต้องให้เหนือกว่าทำไม​ ก็เพราะว่าคุณเป็นคนต่ำจริงน่ะ แทนที่จะเชิดชูบูชาคนสูง แล้วพัฒนาตนเองให้สูงตาม แต่นี่กลับดึงคนสูงให้ลงมาหาคนต่ำ

ต่อไปจากนี้เป็นตัวไขความ อปจยะ คือไม่สะสม เป็นคนไม่สะสมทั้งวัตถุทรัพย์ทั้งกิเลส มีแต่สละออก ไม่สะสมวัตถุและกิเลส การไม่สะสมวัตถุ จนเป็นสาธารณโภคียิ่งใหญ่กว่าคอมมูนหรือคอมมิวนิสต์ ที่ให้เป็นองค์รวมแต่เป็นการบังคับด้วยกลุ่มคน ไม่อิสรเสรีภาพ แต่ประชาธิปไตยที่เป็นคอมมูนสาธารณโภคีนี้ให้มาด้วยปัญญาของตนเอง ไม่มีการหาเสียงหรือบังคับแต่อย่างใดเลย

วิริยารัมภาะคือขยันอยู่เสมอ ไม่ขาดตอนต่อเนื่อง ถ้าควรพักก็พัก ถ้ามีสิ่งที่ควรทำก็ทำ สุดยอด เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่านิพพานเป็นอย่างไรสั้นๆ พระพุทธเจ้าตอบว่า เราไม่พักเราไม่เพียร นั่นแหละเราข้ามโอฆสงสารแล้ว อนายูหัง อปัฏฏิฐัง สองคำนี้ ….จบวรรณะ 9 the classes พวกเรามาพากเพียรให้เป็นคนมีวรรณะ 9 นี้ ไม่ใช่วรรณะแบบ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทร จัณฑาล  อย่างนั้น ยุคนี้

_มีคำถามมา จะเป็นไปได้ไหมในยุคของรัชกาลที่ 10 จะเป็นยุคของชาวศิวิไลซ์ โดยมีคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้นำให้ธรรมจักร นี้หมุนไปได้ในยุคนี้

ตอบ...ได้แน่นอน มี “เจตนา” แต่อย่า “อยาก” จง “พากเพียร” ให้เต็ม “บริสุทธิ์”...​ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:46:08 )

591021

รายละเอียด

591021_เทศน์ก่อนฉัน ค่ายพระไตรปิฏก แพทย์วิถีธรรม ตัดรอบความหลุดพ้น

เรื่องผี คือจิตวิญญาณและอุปาทาน ข้างนอกที่ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส สัมผัสแล้วตาก็เห็นเป็นรูปเลย ลักษณะที่ตาเห็นรูปเลย เป็นภาพหลอน ทางหมอทางแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบ เขาว่าไม่มีจริง ก็ใช้จิตวิทยาแก้ไขรักษาไปเรียกว่า Visual hallucination มีตาหลอน แล้วก็มีหูแว่ว Auditory hallucination พวกนี้เป็นโรคจิต Psychosis พวกหมอ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็รู้ ของทางพุทธศาสนาก็รู้เป็นของไม่มีจริง ท่านเรียกว่าโอฬาริกอัตตา เห็นเป็นรูปร่าง มีเสียง มีกลิ่นไหม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นน้ำหอม แบบนี้บอกว่าคนตายชอบใช้

เป็นของไม่มีจริงแล้วหรอกกันสมมติเข้าไปว่ามีจริง อาตมาเคยเรียนวิทยาศาสตร์ก็เรียนสะกดจิตว่าเป็นอย่างไร hypnotize สะกดจิตแล้วก็สามารถสั่งจิตใจเขาได้ครอบงำจิตเขาได้ เช่น บนโต๊ะนี้ไม่มีอะไรเลยนะ เราก็สั่งให้เขาไม่เห็นอะไร เราก็บอกว่าลองหยิบขวดสีน้ำตาลบนตัวนี้ เขาก็จะควานไป เพราะเขาไม่เห็น ถ้ามือไปโดนขวดนี้ตกแตกเลยได้ ก็เขาไม่เห็นทั้งที่มีแสงกระทบวัตถุแล้วเข้าไปสู่เรตินาของเขา แต่จิตเขาไม่รับรู้เห็น นี่คือสะกดจิตให้จิตมีอุปาทานว่าสิ่งที่มีอยู่แท้ๆแต่ไม่เห็น ก็ทำได้ จึงเป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องแท้ ผีจึงเป็นความเท็จทั้งหมด

ผีคือความเท็จ ก็ยังไม่ใช่การปั้นให้เป็นรูปร่าง แต่คนที่ไปปั้นให้เป็นรูปร่างมีอุปาทาน ให้เห็นผีเป็นตัวเป็นตนมาหลอก ถามว่าใครเคยเห็นมาแล้วในชีวิตนีสัมผัสทางตาเลย ….มีหนึ่งคน

มีคนที่เห็นน้อยมาก เรียกว่ามีอุปาทานเยอะ มีโอฬาริกอัตตา เรียกว่าอยาบใหญ่ มาจากจิต เรียกว่ามโน จริงๆคือมโนมยอัตตา สำเร็จเป็นตัวตนข้างนอก เรียกว่าโอฬาริกอัตตา ปั้นเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสข้างนอกให้เห็นเลย เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบสัมผัส 7 สีได้เลย ทั้งๆที่มันไม่มี คนอื่นไม่ได้รับด้วย แต่ตนเองไม่อยู่คนเดียว นี่คือจิตใจเป็นได้ คือโอฬาริกอัตตา

แต่มโนมยอัตตาก็อยู่ภายในจิตตน ไม่ออกมาข้างนอก อันนี้เป็นได้เยอะกว่า

มโนมยอัตตาที่จัดจ้านก็คือโอฬาริกอัตตา

พอคุณสัมผัส อ้า วันนี้ได้กินขนมอันนี้อร่อย เกาะเกิดรสอร่อยขึ้นในจิต รสอร่อยนั่นคือ สิ่งที่เรียกว่าผี เป็นรสชาติที่ไม่มีจริง คนอื่นที่ไปกินขนมอันนี้แล้วเขาไม่ชอบ ไม่มีอุปาทานด้วย บอกว่าไม่ได้เรื่อง เขาก็ได้ผีที่เป็นผีน่ากลัว เป็นผีที่ไม่น่าชอบใจ ส่วนคนที่ชอบใจก็ได้ว่าผีที่น่าชอบใจ เรียกผีตัวนั้นว่าเทวดาเป็นอารมณ์หลอก อารมณ์สมมุติ เป็นอารมณ์ที่คุณสร้างขึ้นเอง  เป็น psychosis เป็นโรคจิต

คนที่เป็นปุถุชน ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรืออนาคามี เมื่อกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วเกิดชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นผีหรือเป็นเทวดา หรือรู้สึกกลางเฉยแบบไม่ใช่เนกขัมสิตะ แต่เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา คือไม่รู้หรือว่าสะกดจิตได้เก่ง นั่งสมาธิเก่ง สัมผัสแล้วเฉย เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา

คนมีแบบเคหสิตอุเบกขาเวทนาเป็นโลกีย์ ส่วนเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาเป็นอาริยบุคคล ไปตามลำดับ ลดได้ก็มีปีติ เป็นอาการอารมณ์ทางจิต อารมณ์ทางจิตเป็นกรรมฐานที่ศาสนาพระพุทธเจ้าให้ศึกษา

ทุกวันนี้ ผิดเพี้ยนในเรื่องกรรมฐานไปเยอะ ไปยึดถือเอากสิณ 40 เป็นกรรมฐาน ไปจดจ่อจดจ้องให้จิตเราติดยึด นิ่งเป็นอุเบกขา ซึ่งเป็นเรื่องของอรรถกถาจารย์ที่ไปรวบรวมมาด้วยความไม่รู้ ทำให้จิตใจหยุดคิดหยุดปรุงแต่งอยู่กับกสิณอันนั้น ไม่ได้เกิดภูมิปัญญา วิเคราะห์วิจัย ในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์ คือเรื่องของเวทนาเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้เลย

ในเวทนาพระพุทธเจ้าสอนให้แยกแยะออกเป็น 108 เวทนา

เวทนาพวกนี้คือกรรมฐานทางจิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตร ท่านยืนยันว่าการปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะถึงมีเวทนา มีกรรมฐาน ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ คือไม่มีฐานปฏิบัติหากปราศจากเวทนา (ในพระไตรปิฎกแปลว่า ไม่มีฐานที่จะมีได้)

 

สมมุติว่านี่เป็น apple ผิวสวยรูปงาม เมื่อสัมผัสจิตใจก็เกิดความต้องการตามที่สมมติไว้ ต้องมีรูปอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ เมื่อมาแตะลิ้น ก็บอกว่ารสอย่างนี้แหละ ต้องหวานพอประมาณอย่างนี้ ไม่เปรี้ยวไปไม่หวานไปก็จะชอบ คุณก็มีผีเกิดขึ้น แล้วหลงว่าผีนั้นเป็นเทวดา เป็นเทวดาเก๊ เป็นสุขเท็จ เป็นอารมณ์วิตถาร อารมณ์ไม่จริง ถ้า apple รูปนี้ คนสัมผัสแล้ว ได้สัมผัสแตะลิ้นด้วย เกิด

1 รู้รสแท้ ว่ารสapple มันเป็นแบบนี้ ไทย จีน แขก ฝรั่ง ลาว ที่มีประสาทสัมผัสดีก็รู้ว่าเป็นรสแท้รสเดียว เป็นรสชาติของแอปเปิ้ล ใครมาแตะก็รสนี้รสเดียว นั่นคือรสจริง แต่คนที่มีอุปาทานว่าชอบ นั่นคือรสชาติของผี เป็นสมมุติว่าเป็นเทวดาคือรสเก๊ ส่วนคนไม่ชอบก็บอกว่าเป็นผี นี่คืออุปาทานของปุถุชนของคนโง่ใครไม่เคยมียกมือขึ้น (ใครไม่ยกโกหกอาตมา)

ใครทำรสเก๊นี้ออกจากจิตได้ คือฐานนิพพาน ง่ายไหม ...ทำให้ได้

ถ้ากดข่มไม่ให้มีก็ได้ ชั่วคราวไม่ถาวร แต่ถ้าเกิดด้วยปัญญาว่ามันอนัตตา เป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็เพราะไปหลงมัน ก็เลยเป็นภาระ เราเลิกมันได้ก็เป็นปัญญาสว่าง ไม่ต้องมีอารมณ์นี้ หายจากจิตก็นิพพาน นี่คือการไขนิพพานแล้วนะ

(ถามว่าใครไม่เข้าใจยกมือ? ก็ไม่มีสักคนที่ไม่ยกมือ)

ฐานอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขา ด้วยภูมิปัญญา ล้างความยึดติดด้วยภูมิปัญญา ไทย จีน ฝรั่ง ก็สัมผัสได้รสเดียวกัน ส่วนความชอบหรือไม่ชอบ ชอบมากชอบน้อย ไม่ชอบมากหรือไม่ชอบน้อย ก็ไม่มี

ถ้าเกิดชอบมากหรือน้อยก็เกิดเหตุปัจจัยที่ชั่วหยาบ ก็มีการแย่งชิงกันได้ต่อไป มีความเฉกา คือไม่ฉลาด คือไม่เท่าทันทวารทั้ง 6 เรียนรู้ฉฬายตนะ แล้วไม่ขึ้นไม่ลง รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ชอบไม่ชัง รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาการผี อาการเทวดาเก๊ ไม่เกิดในจิตใจคนนั้น คือคนมีนิพพานในจิต เป็นคน เป็นคนมีนิโรธ เป็นคนมีนิพพาน

แปลเป็นดูให้ดี จะเกิดการรู้ว่าการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ชอบไม่ชังได้ ก็เป็นฐานนิพพานเรียนรู้เป็นอาริยะบุคคลไปได้เรื่อยๆ แต่ก่อนก็มีสุขมีทุกข์ ไม่ว่าจะสัมผัสทางตา หู จมู กลิ้น กาย ตอนนี้ไม่เหลือ เป็นเอกสโมสรณาภวันติ ไม่มีธรรมะ 2 มาปนเปื้อนเลยไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีอยากได้หรือไม่อยากได้ อันนี้สัมผัสแล้วถ้าควรได้ก็เอา ไม่ควรได้ก็ไม่ต้องออก เราควรเอามาใช้หรือไม่กับชีวิตเรา ไม่ได้มีการอยากแบบโลกีย์ ที่ท่านเรียกว่าสสังขาริกัง ของเจตสิก 52 มีสิ่งปรุงแต่ง เพราะมีตัวนำเป็นกิเลสนำ เมื่อไม่มีกิเลสนำก็เป็นอสังขาริกัง

คนที่ได้ฐานนิพพานก็จะ รู้เท่าทันผี หรือเทวดาเก๊ เป็นอุบัติเทพ และวิสุทธิเทพ ซึ่งเทวดามีสามอย่างนี้

จากสมมุติเทพที่สุขทุกข์ไปกับภายนอกก็ไม่มีแล้วเป็นอุบัติเทพและวิสุทธิเทพต่อไป สัมผัสกับแอบเปิลแล้วไม่สุขทุกข์ได้ อนาคามียังมีอยู่ภายใน คุณต้องอ่านละเอียดให้รู้ส่วนที่เหลือ เสสะ เหลือรูป ร่องรอยนี้ ก็ดับให้หมด ดับเกลี้ยงรูปราคะ อรูปราคะ ไม่มีมานะ หรือเศษละออง เป็นอุทธัจจะ เป็นอรูปแล้วตรวจสอบว่าเหลือรายละเอียดอีกไหม ก็หมดอุทธัจจะ ก็พ้นอวิชชาสวะ เราก็รู้แล้วก็เป็นได้ทำได้ด้วย มีวิมุติญาณทัสสนะเป็นอุภโตภาควิมุติ

ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบนั้น โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1K9lAIF2mxNWX5XlyDKYKWsxurYF5DEcORjpnKp7Xi_E

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfN1NoVE5XM0dfNU0

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/5df89x4xwobj/161021

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:46:38 )

591021

รายละเอียด

591021_เทศน์ก่อนฉัน ค่ายพระไตรปิฏก แพทย์วิถีธรรม ตัดรอบความหลุดพ้น

พ่อครูว่า..วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2559  แรม 5 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ค่ายพระไตรปิฎกชาวแพทย์วิถีธรรม ที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร

วันนี้อาตมาโคจรมาถึงนี่ ที่สวนป่านาบุญ เป็นโชคดีของอาตมาที่ได้มาที่นี่ โชคดีคืออาตมาจะได้พบกับกลุ่มหมู่ที่แม้จะนำหน้าด้วยเรื่องสุขภาพ แต่ของหมอเขียวนี่ใช้หลักทางจิตวิญญาณเป็นตัวนำ เป็นเรื่องที่ดีที่สุดและถูกต้อง

อาตมาเคยมาทุกที ก็ได้มาบรรยายธรรมะ อาตมารับหน้าที่รับผิดชอบหน้าที่นี้อย่างแท้จริง คนอื่นก็จินตนาการคาดเดาอย่างไรก็แล้วแต่ คุณไม่ใช่อาตมาก็จะเข้าใจประมาณหนึ่ง

ความจริงเป็นธรรมะสอง มีสมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ ปรมัตถ์คือเนื้อแท้เนื้อจริงสูงสุด คือ บรม(ยิ่งใหญ่) + อัตถะ (เนื้อหาแก่นสาร) ก็อยู่ที่ภูมิธรรมของคนที่จะเข้าถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ แต่ละคนสามารถสร้างภูมิธรรมเข้าถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ได้ ถึงรูปธรรมและนามธรรมอันยิ่งใหญ่ ขั้นกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ

ผู้ที่ศึกษารู้ครบ รูปธรรมและนามธรรม ภายนอกภายในก็จะรู้ครบ ภายในศึกษาได้ยากกว่าภายนอก ต้องศึกษาภายนอกไปก่อนจะศึกษาภายใน คนไม่รู้พลังงานอันนี้ก็เข้าใจคนละแง่มุม คนเข้าใจผี ต่างกันไปตามแต่ละแง่มุม ศาสนา แม้แต่ศาสนาเดียวกันก็เข้าใจไปสารพัด เทวดาก็อย่างหนึ่ง ผีก็อย่างหนึ่ง

ผีคือจิตวิญญาณไม่ดี เทวดาคือจิตวิญญาณที่ดี ในความดีก็มีแบบโลกีย์ที่ไม่ได้ล้างความเป็นผีไปติดอยู่ที่ความมี ยังไม่มีความหมดสิ้นก็เป็นโลกีย์ เมื่อมาเรียนรู้วิธีการเรียนภพที่ถูก ต้องล้างไปตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ

กามภพคืออย่างไร ความชั่วในกามภพคืออะไร ตนเองหยุดชั่วในกามภพทั้งหมดก็เป็นอนาคามีชน ไม่ทำชั่วภายนอก เหลือแต่ภายในเป็นรูปภพ อรูปภพ ก็ล้างต่อ เป็นพระอรหันต์ก็ครบบริบูรณ์ ก็อยู่กับโลกที่มี กามภพ เราไม่ติดยึดก็ไม่สุขทุกข์กับเขา อันไหนเราไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก็ทิ้งไป ก็ได้แต่ว่าเขา ตำหนิเขาไป เราไปช่วยเหลือเขาก็ไม่ได้ แต่ก็จำเป็นต้องตำหนิให้รู้ว่าเป็นสิ่งชั่วสิ่งต่ำหยาบ เพื่อไม่ให้คนไปหลงกลเกินไป ผู้ไม่รู้ก็ช่วยไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป

เรื่องจิตวิญญาณยังเข้าใจกันไม่ได้ 1เรื่องผี 2 เทวดา 3 พรหม

ผีคือความเคลื่อนไหวของจิตที่ยังมีความชั่วจิตที่ไม่ดีเป็นอกุศล เป็นมารหรือผีก็อันเดียวกัน

เทวดา คือเทวดาที่เสพสุข ได้มามากก็สุข ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เสพสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นอุปาทานทั้งสิ้น ไม่ได้เสพสุขสมใจ ก็เป็นเทวดาทางโลกีย์ ก็ยิ่งสะสมเป็นอัตภาพ อัตตาที่หนามากขึ้น แน่นมากขึ้น ก็ยิ่งเสพสนุก อร่อย เพลิดเพลิน ในความพอใจนั้น คนที่เสพอร่อย สนุกในสวรรค์เพลิดเพลิน กิเลสก็ยิ่งหนายิ่งขึ้น เป็นปุถุชนแปลว่ามโหฬาร แปลว่าใหญ่แปลว่ามาก มีแต่กิเลสที่หนาขึ้น ไม่มีเว้นวรรค คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก คนหลงสวรรค์ คือคนที่สร้างนรก สร้างความหนาให้แก่กิเลสตัวเองมากขึ้น คือคนที่หลงสวรรค์ แล้วแสวงหาสวรรค์มาเสพ เสร็จแล้วก็ติดเป็นภพ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ล้างภพจบชาติ ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ให้หมดความติดยึดภพในจิต ต้องหมดไปตั้งแต่เทวดาโลกีย์

เทวดาโลกีย์ เรียกว่าสมมุติเทพ เทวดาโลกุตระ เรียกวิสุทธิเทพ ถ้าหมดกิเลส เรียกว่าพรหม

เทวดา มาร พรหม สามคำนี้ ย่นย่อไว้ คนไม่รู้ก็นึกว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่มันไม่มี มันเป็นสุญญตา ผีเราทำให้หมดไปได้จริง เทวดาโลกีย์ที่หลงติดสวรรค์เอร็ดอร่อยบำเรอจิตสมใจ มันไม่มีจริง เป็นอุปาทาน

เมื่อมาเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ต้องหมั่นล้างกิเลส กิเลสลดลงเขาเรียกว่าเป็นอุบัติเทพ เกิดเป็นเทวดาชนิดใหม่ เป็นเทวดาโลกุตระ เป็นจิตวิญญาณที่สะอาด จิตวิญญาณที่หลุดพ้นจากโลกโลกีย์ไปเรื่อยๆ อุบัติคือเกิดอยู่ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ เกิดให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์สะอาดขึ้น บริสุทธิ์ที่สุดเป็นวิสุทธิเทพ ก็เป็นเทวดาชั้นพรหม ในภาษาพวกฮินดู พราหมณ์ คือสูงสุด คือพรหม ของพุทธก็คือวิสุทธิเทพ ไม่ติดยึดภพภูมิต่างๆ แต่คนทั่วไปจะติดสุขเท็จเป็นกามภพเป็นสุขปลอม คนที่ไม่ได้ล้างกิเลสก็เห็นว่ามันมีจริง เห็นรูปสวยก็ซาบซึ้งใจ ได้เสียงเพราะอย่างนี้ ก็ซาบซึ้งใจตามที่เราชอบ ได้กลิ่นอย่างนี้เราพอใจ รสอย่างนี้เราพอใจ สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็งเราก็พอใจ สัมผัสอย่างนี้ดีอร่อย มีความเพลิดเพลิน

อาการที่เป็นความรู้สึกอย่างนี้ ต้องทำให้จางคลาย จนจิตใจเราไม่มีอารมณ์ ติดสุขอย่างนั้น ที่เคยมีอยู่ทุกคน ในคนอวิชชา จนเกิดจิตใจที่เป็นอุเบกขา เป็นฐานของนิพพานว่างจากรสโลกีย์รส สูญจากโลกีย์ เหลือแต่รสแห่งความจริง มันไม่มีว่าสีแดงอย่างนี้เราชอบหรือไม่ชอบ ต้องสีแดงเฉทนี้เราถึงชอบก็ไม่มี เฉทนี้อ่อนหรือจัดไป ก็เอียงไปหาเฉทที่เราชอบ แดงเลือดนก แดงคาไมล์ แดงสคาร์เลท เราก็ยึดตามที่ตัวเองละเลียด

คนยิ่งละเลียดก็ยิ่งติดยึดเยอะ คนไม่ติดยึดมากก็ง่าย คนเรื่องมากเท่านั้นก็ไม่ได้เท่านี้ก็ไม่ได้ เป็นคนเรื่องมาก ถ้าไม่เรื่องมากก็เป็นคนไม่ลำบาก เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนสบาย แต่คนเราไม่หาทางสบายให้แก่ตัวเอง กลับหลงใหลเข้าใจผิดเรื่องที่มีไม่มีตัวตนเป็นมีตัวตน

ตัวตนพระพุทธเจ้าเรียกว่าอัตตา แบ่งเป็นสามอย่าง โอฬาริกอัตตาคือหยาบใหญ่ข้างนอก ผสมปรุงแต่งเป็นตัวตน อันต่อมาเรียกว่า มโนมยอัตตา เป็นรูปภายในจิต หรือรูปอัตตา มีรูปภาพในใจเรา ไม่ได้ออกมาข้างนอก มีอาการชัดเจน เป็นรูป คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เป็นมโนมยาอัตตาสมมุติในใจเราเอง เช่นในใจเราเห็นผี เป็นผีตาโบ๋ แขนยาว น่าเกลียด เป็นผีเปรต ผีกระสือ ตาโปน อะไรก็ไม่รู้ ก็เนรมิตสร้างกันไป ซึ่งมันไม่มีจริงเลย แต่ไปหลอกว่ามีตัวมีตน มีรูปร่าง จนคนอื่นที่ถูกครอบงำทางจิตเห็นรูปร่างไปด้วยเลย คนที่เห็นเป็นรูปร่างผีแล้วกลัว ก็ถือว่าซวย แต่คนที่เห็นรูปร่างผี แล้วไม่กลัวเขาก็ถือว่าเก่ง สามารถปั้นรูปร่างแต่ฉันไม่กลัว ก็จะไปกลัวอย่างไรเพราะตนเองปั้นเอง จะเก่งอะไร ตนเองปั้นเอง แล้วทำให้หายไปเอง แล้วมาอวดเก่งอีก มันก็ดีตรงที่มันหายไปได้ ไม่น่าติดยึดถืออยู่แล้วกลัว แต่นี่ไม่กลัวถือว่าตนเองเก่ง นี่เรียกว่าไสยศาสตร์หรือเดรัจฉานวิชชา ถือ ว่าเป็นคนเก่ง ปราบผีได้ แล้วก็เป็นหมอผี

อาตมามีบทความในหนังสือเนชั่นรายสัปดาห์ คอลัมน์ไฮไลท์มายา หมอผี ละครวิทยาศาสตร์สยองขวัญ

ถ้ามีเรื่อง ‘ความตาย’ การตั้งคำถามเรื่อง ชีวิตหลังความความตาย และไม่ว่าชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร มีอยู่จริงหรือไม่ ทว่าจินตนาการของมนุษย์ ก็อาจสร้างชีวิตของเขาและเธอขึ้น และมีชื่อเรียกไปต่างๆ นานา

เรื่องผีเป็นเรื่องที่คนทั้งโลกตั้งแต่โบราณมา มีเรื่องเล่าต่างๆนานาน่ากลัวแตกต่างกันไป ไม่ต้องไปดูอย่างอื่น เอาแค่ประเภทของผีไทย ก็ยาวเหยียดเป็นหางว่าวเลย เพียงแต่ผี ปีศาจ อสูรกายในบางประเภท เราอาจจะไม่ค่อยพูดถึงนักเท่านั้นเอง

ผีมีหลายมิติ แต่ส่วนใหญ่เราจะรู้จักแต่ในมิติสยองขวัญ น่ากลัวหรือไม่ก็ตลกโปกฮาไปเลย แต่ไม่เคยมีใครอธิบายถึงที่มาที่ไป (พ่อครูว่า...คนนี้ไม่พบโพธิรักษ์ ไปดูถูกได้อย่างไรว่าไม่มีใครอธิบาย ตนเองไม่มีภูมิปัญญาบารมี ถึงว่าไม่มีใครอธิบาย)

พลังงานที่เกิดมาตั้งแต่อุตุนิยาม เป็นพีชนิยามมันไม่มีผี แต่พอเป็นจิตนิยามโง่เป็นเลย เห็นผี พลังงานชั่วพลังงานกิเลสคือผี

แม่นาคพระโขนงเต็มเรื่องเล่าในแนวสยองขวัญ มีหลายเวอร์ชั่น เล่ากันไม่รู้เบื่อ ดูผีปอบผีกระสือ จะดูน่ากลัวก็มาจากละครโทรทัศน์เรื่องปอบผีฟ้า เรื่องกระสือ หรือจะเอาตลกก็ปอปหยิบ

ตอนนี้ซีรีย์หมอผีที่ออนแอร์จาก pptv ที่มีคุณหญิงแมงมุม ถือว่าเป็นความพยายามมองในอีกมิติหนึ่ง กล่าวคืออย่างน้อยๆ ผีแต่ละประเภทก็มีที่ไป เรียกว่าแนววิทยาศาสตร์แฟนตาซีสยองขวัญ มีผู้กำกับถึง 3 คน ผีแต่ละประเภทจะจบในตอน อาจจะมีผีบางประเภท มีเรื่องราวมากก็จบบริบูรณ์ใน 2 ตอน ไม่เกินกว่านี้ ราศีแต่ละประเภทก็มีเรื่องราวรายละเอียดในตำนาน และมุมทางวิทยาศาสตร์ ผีที่กล่าวไว้ในซีรีย์เรื่องนี้ เช่นโหงพราย ปู่โสมเฝ้าทรัพย์หรือเสือสมิง กระสือก็มี 2 ตอน พรายน้ำก็มี 2 ตอน ผีเปรต ผีตานี ผีถ้วยแก้ว ผีป่า ผีตาโบ๋ ผีทะเล ก็มี 2 ตอน ผีตายทั้งกลมหมอผีก็ 2 ตอน เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของผีๆเท่านั้นเอง หมอผีเป็นบทประพันธ์ของหม่อมเจ้าชาตรี เฉลิมยุคล (พ่อครูว่า หลอกกันไปหลายชั้นเลย ไปเขียนเรื่องผีอีกก็หลอกกันซ้ำเข้าไปอีก ต้องเลิก)

มีทั้งหมด 70 ตอน  มี 2 ชม.ต่อตอน ออนแอร์จาก pptv ทุกวันพุธและพฤหัสมีความยาว 90 นาทีต่อตอน ผลิตในนามของศรีคำรุ้งโปรดักชั่น หมอผีเป็นสมญานามของอาจารย์วิเศษ แสดงโดยวสุ แสงสิงแก้ว ผอ.สถาบันฯ หน้าที่คือค้นหาความจริงที่อยู่เหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี แต่ค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณและรอบรู้เรื่องไสยศาสตร์ คณะทำงานในกลุ่มนี้ประกอบด้วยอาคม (เจสัน ยัง) อดีตนายตำรวจผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์และนักแม่นปืน  อีกคนหนึ่งแสดงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญมีเครื่องมือจับผี  อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต ศึกษาด้านจิตวิทยา รายการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคน ด้วยการสะกดจิต

จอนห์นี่ เป็นคนแสดง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาสากล และมีคนแสดงเป็นผู้ชำนาญการด้านคอมพิวเตอร์ เป็นกลุ่ม paranormal research จะทำการศึกษากรณี เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับทั้ง 20 ตอนของซีรี่ส์เรื่องนี้

ยกตัวอย่างเรื่องผีถ้วยแก้วอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า การที่นิ้วกดบนถ้วยแก้วเป็นเวลานาน ร่างกายจะเกิดการอ่อนล้า ทำให้นิ้วมือเกิดการสั่น โดยอิสระ แล้วการสั่นนี้ทำให้แก้วเคลื่อนที่ไปได้ หรือกรณีที่มีชายคนหนึ่งได้ใช้กรณีของ auto erotic จนถึงแก่ความตายที่ดงกล้วย โดยมีเบื้องหลังว่า นางตานีถูกขุดขึ้นมาจากที่ฤาษีคนหนึ่งถ่ายทอดให้ฟัง คนที่เป็นผัวของนางตานีจะผอมไปโดยลำดับ กลับหักลำที่ คนที่เป็นฤาษีกลับไปทำลับๆล่อๆที่ดงกล้วยเสียเอง

แต่ละตอนก็จะให้อารมณ์ที่ต่างกันไป อาคมกับการตายของขวัญข้าวที่ถูกปูเงื่อนงำไว้ แต่ละตอนดูแล้วจะเกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ใช้ CG ช่วย แต่ละตอนมีการสร้างผีขึ้นมาใหม่ design ใหม่ทั้งหมด (พ่อครูว่า ยิ่งบาปหนัก โง่หนัก ทำบาปไม่รู้ตัว จะเอาแต่สนุกตื่นเต้น เพื่อเงินทอง )

ในแต่ละตอนแล้วต้องดีไซน์ผีขึ้นมาทั้งหมด เราต้องมานั่งศึกษากันประชุมกันว่าจะปรับตรงไหน จะดีไซน์ตรงไหนจะเล่นอะไรกันอีก หรือจะให้ออกมาอย่างไร อย่างเช่น พรายน้ำ เราก็จะอิงจากลักษณะรูปร่างของพรายน้ำที่คนไทยรู้จักกันดี ดารามาปรับให้น่าสนใจ เจ๋งมากขึ้นอีก พรายน้ำของเราจะไม่ใส่เสื้อทั้งตัว (พ่อครูว่าเอากามมาล่ออีก ของเก่าเขาปิดบางส่วน แต่นี่เปลือยหมด คือประกอบด้วยกิเลสกามกับกิเลสในภวภพ ก็งมงายกันไป ไม่มีเซนเซอร์ ประเทศเลยเสียหาย ไม่มีความรู้กัน)

พรายน้ำจะไม่ใส่เสื้อผ้า ผมยาวถึงตาตุ่ม ตัวเป็นเมือกทั้งตัว แล้วจะมีลูกพรายน้ำอีก เป็นเหมือนเยลลี่น้ำ พวกนี้ทำยากมาก เมื่อคุยกับผู้กำกับเสร็จ เราก็ไปคุยกับ CG ว่าเราอยากจะได้แบบนี้ เห็นเขาพรีเซ้นต์กันเอามาให้ดู และปรับแก้กันไป

ละครเราเป็น remake แต่เรากลับให้เป็นสมัยใหม่ มี CG ทำให้เนียนมากขึ้นสามารถ create ผีให้ออกมาเป็นแบบแปลกๆได้มากขึ้น ทำให้งานน่าดูมากยิ่งขึ้น ว่าไปแล้วซีรีย์หมอผี มีความแตกต่างไปจากละครทั่วไป จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนชม เป็นงานใหม่ๆที่แตกต่างไปจากงานที่คุณหญิงแมงมุมได้ทำมา

พ่อครูว่า...อาตมาเจอบทความนี้ ก็เห็นว่าถูกครอบงำทางจิตเลอะเทอะ

เรื่องผี คือจิตวิญญาณและอุปาทาน ข้างนอกที่ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส สัมผัสแล้วตาก็เห็นเป็นรูปเลย ลักษณะที่ตาเห็นรูปเลย เป็นภาพหลอน ทางหมอทางแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบ เขาว่าไม่มีจริง ก็ใช้จิตวิทยาแก้ไขรักษาไปเรียกว่า Visual hallucination มีตาหลอน แล้วก็มีหูแว่ว Auditory hallucination พวกนี้เป็นโรคจิต Psychosis พวกหมอ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็รู้ ของทางพุทธศาสนาก็รู้เป็นของไม่มีจริง ท่านเรียกว่าโอฬาริกอัตตา เห็นเป็นรูปร่าง มีเสียง มีกลิ่นไหม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นน้ำหอม แบบนี้บอกว่าคนตายชอบใช้

เป็นของไม่มีจริงแล้วหรอกกันสมมติเข้าไปว่ามีจริง อาตมาเคยเรียนวิทยาศาสตร์ก็เรียนสะกดจิตว่าเป็นอย่างไร hypnotize สะกดจิตแล้วก็สามารถสั่งจิตใจเขาได้ครอบงำจิตเขาได้ เช่น บนโต๊ะนี้ไม่มีอะไรเลยนะ เราก็สั่งให้เขาไม่เห็นอะไร เราก็บอกว่าลองหยิบขวดสีน้ำตาลบนตัวนี้ เขาก็จะควานไป เพราะเขาไม่เห็น ถ้ามือไปโดนขวดนี้ตกแตกเลยได้ ก็เขาไม่เห็นทั้งที่มีแสงกระทบวัตถุแล้วเข้าไปสู่เรตินาของเขา แต่จิตเขาไม่รับรู้เห็น นี่คือสะกดจิตให้จิตมีอุปาทานว่าสิ่งที่มีอยู่แท้ๆแต่ไม่เห็น ก็ทำได้ จึงเป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องแท้ ผีจึงเป็นความเท็จทั้งหมด

ผีคือความเท็จ ก็ยังไม่ใช่การปั้นให้เป็นรูปร่าง แต่คนที่ไปปั้นให้เป็นรูปร่างมีอุปาทาน ให้เห็นผีเป็นตัวเป็นตนมาหลอก ถามว่าใครเคยเห็นมาแล้วในชีวิตนีสัมผัสทางตาเลย ….มีหนึ่งคน

มีคนที่เห็นน้อยมาก เรียกว่ามีอุปาทานเยอะ มีโอฬาริกอัตตา เรียกว่าอยาบใหญ่ มาจากจิต เรียกว่ามโน จริงๆคือมโนมยอัตตา สำเร็จเป็นตัวตนข้างนอก เรียกว่าโอฬาริกอัตตา ปั้นเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสข้างนอกให้เห็นเลย เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบสัมผัส 7 สีได้เลย ทั้งๆที่มันไม่มี คนอื่นไม่ได้รับด้วย แต่ตนเองไม่อยู่คนเดียว นี่คือจิตใจเป็นได้ คือโอฬาริกอัตตา

แต่มโนมยอัตตาก็อยู่ภายในจิตตน ไม่ออกมาข้างนอก อันนี้เป็นได้เยอะกว่า

มโนมยอัตตาที่จัดจ้านก็คือโอฬาริกอัตตา

พอคุณสัมผัส อ้า วันนี้ได้กินขนมอันนี้อร่อย เกาะเกิดรสอร่อยขึ้นในจิต รสอร่อยนั่นคือ สิ่งที่เรียกว่าผี เป็นรสชาติที่ไม่มีจริง คนอื่นที่ไปกินขนมอันนี้แล้วเขาไม่ชอบ ไม่มีอุปาทานด้วย บอกว่าไม่ได้เรื่อง เขาก็ได้ผีที่เป็นผีน่ากลัว เป็นผีที่ไม่น่าชอบใจ ส่วนคนที่ชอบใจก็ได้ว่าผีที่น่าชอบใจ เรียกผีตัวนั้นว่าเทวดาเป็นอารมณ์หลอก อารมณ์สมมุติ เป็นอารมณ์ที่คุณสร้างขึ้นเอง  เป็น psychosis เป็นโรคจิต

คนที่เป็นปุถุชน ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรืออนาคามี เมื่อกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วเกิดชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นผีหรือเป็นเทวดา หรือรู้สึกกลางเฉยแบบไม่ใช่เนกขัมสิตะ แต่เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา คือไม่รู้หรือว่าสะกดจิตได้เก่ง นั่งสมาธิเก่ง สัมผัสแล้วเฉย เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา

คนมีแบบเคหสิตอุเบกขาเวทนาเป็นโลกีย์ ส่วนเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาเป็นอาริยบุคคล ไปตามลำดับ ลดได้ก็มีปีติ เป็นอาการอารมณ์ทางจิต อารมณ์ทางจิตเป็นกรรมฐานที่ศาสนาพระพุทธเจ้าให้ศึกษา

ทุกวันนี้ ผิดเพี้ยนในเรื่องกรรมฐานไปเยอะ ไปยึดถือเอากสิณ 40 เป็นกรรมฐาน ไปจดจ่อจดจ้องให้จิตเราติดยึด นิ่งเป็นอุเบกขา ซึ่งเป็นเรื่องของอรรถกถาจารย์ที่ไปรวบรวมมาด้วยความไม่รู้ ทำให้จิตใจหยุดคิดหยุดปรุงแต่งอยู่กับกสิณอันนั้น ไม่ได้เกิดภูมิปัญญา วิเคราะห์วิจัย ในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์ คือเรื่องของเวทนาเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้เลย

ในเวทนาพระพุทธเจ้าสอนให้แยกแยะออกเป็น 108 เวทนา

เวทนาพวกนี้คือกรรมฐานทางจิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตร ท่านยืนยันว่าการปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะถึงมีเวทนา มีกรรมฐาน ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ คือไม่มีฐานปฏิบัติหากปราศจากเวทนา (ในพระไตรปิฎกแปลว่า ไม่มีฐานที่จะมีได้)

เว้นจากผัสสะเสียแล้ว เขาเหล่านั้นจะรู้สึก ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ คือรู้สึกแต่เรียนรู้เรื่องกรรมไม่ได้ แยกอกุศลกรรม กุศลกรรมไม่ได้ หรือทำให้โลกียธรรมมาเป็นโลกุตรธรรมไม่ได้ ชาวพุทธอย่าได้ไปหลงกสิณ 40 ที่อรรถกถาจารย์รวบรวมไว้ อันนั้นเป็นของนอกศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐาน แล้วเรียนรู้ให้ถึง 108 เข้าใจอาการอารมณ์ของจิต ตั้งแต่อารมณ์สอง กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา

เวทนา 3 มี สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

เวทนา 5 สุขภายนอก ทุกข์ภายนอก โสมนัส(ภายใน) โทมนัส(ภายใน) อุเบกขินทรีย์ นี่คือสภาพอารมณ์ที่รู้สึกได้ ทั้งภายนอกและภายในหรือเฉยๆ ภายนอกโสมนัส/โทมนัสมากหรือน้อย ภายในโสมนัส/โทมนัสมาก หรือน้อย หรือไม่สุขไม่ทุกข์ กลางๆ เรียกว่าอินทรีย์ 5

เวทนา 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง 6 ทวาร

เวทนา 18 คือเวทนา 6 ที่จะมีสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นได้ทั้งสามอย่างนี้ ก็รวมเป็น 18 คนไม่รู้ก็เป็นเคหสิตะ 18 ขึ้นๆลงตามความรู้สึก ที่ตรงอุปาทานก็สุขไม่ตรงก็ทุกข์ บางทีเฉยๆเซ็งๆ อย่างเคหสิตอุเบกขา

ที่จะแยกนักปฏิบัติธรรมเป็นอาริยะรหรือไม่เป็นอาริยะ จะเป็นพระโสดาบันหรือไม่ ต้องมีญาณปัญญาอ่านเวทนาในเวทนา แยกเคหสิตอุเบกขา กับเนกขัมสิตอุเบกขา

เนกขัมมะคือสุขก็ลดได้ ทุกข์ก็ลดได้ ด้วยปัญญา ไม่ใช่กดข่ม เมื่อลดได้สุขก็ไม่จริง ทุกข์ก็ไม่จริง ทำให้มันลดได้เป็นโลกุตระ คุณอ่านเวทนาให้ออก ต้องเอาจริง มีสัมผัสสะเป็นปัจจัย แล้วอ่านอารมณ์ได้ว่าเป็นโลกีย์ มีชอบใจหรือไม่ชอบใจกำลังทุกข์ก็อ่านว่ามันมีอุปาทาน

สมมุติว่านี่เป็น apple ผิวสวยรูปงาม เมื่อสัมผัสจิตใจก็เกิดความต้องการตามที่สมมติไว้ ต้องมีรูปอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ เมื่อมาแตะลิ้น ก็บอกว่ารสอย่างนี้แหละ ต้องหวานพอประมาณอย่างนี้ ไม่เปรี้ยวไปไม่หวานไปก็จะชอบ คุณก็มีผีเกิดขึ้น แล้วหลงว่าผีนั้นเป็นเทวดา เป็นเทวดาเก๊ เป็นสุขเท็จ เป็นอารมณ์วิตถาร อารมณ์ไม่จริง ถ้า apple รูปนี้ คนสัมผัสแล้ว ได้สัมผัสแตะลิ้นด้วย เกิด

1 รู้รสแท้ ว่ารสapple มันเป็นแบบนี้ ไทย จีน แขก ฝรั่ง ลาว ที่มีประสาทสัมผัสดีก็รู้ว่าเป็นรสแท้รสเดียว เป็นรสชาติของแอปเปิ้ล ใครมาแตะก็รสนี้รสเดียว นั่นคือรสจริง แต่คนที่มีอุปาทานว่าชอบ นั่นคือรสชาติของผี เป็นสมมุติว่าเป็นเทวดาคือรสเก๊ ส่วนคนไม่ชอบก็บอกว่าเป็นผี นี่คืออุปาทานของปุถุชนของคนโง่ใครไม่เคยมียกมือขึ้น (ใครไม่ยกโกหกอาตมา)

ใครทำรสเก๊นี้ออกจากจิตได้ คือฐานนิพพาน ง่ายไหม ...ทำให้ได้

ถ้ากดข่มไม่ให้มีก็ได้ ชั่วคราวไม่ถาวร แต่ถ้าเกิดด้วยปัญญาว่ามันอนัตตา เป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็เพราะไปหลงมัน ก็เลยเป็นภาระ เราเลิกมันได้ก็เป็นปัญญาสว่าง ไม่ต้องมีอารมณ์นี้ หายจากจิตก็นิพพาน นี่คือการไขนิพพานแล้วนะ

(ถามว่าใครไม่เข้าใจยกมือ? ก็ไม่มีสักคนที่ไม่ยกมือ)

ฐานอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขา ด้วยภูมิปัญญา ล้างความยึดติดด้วยภูมิปัญญา ไทย จีน ฝรั่ง ก็สัมผัสได้รสเดียวกัน ส่วนความชอบหรือไม่ชอบ ชอบมากชอบน้อย ไม่ชอบมากหรือไม่ชอบน้อย ก็ไม่มี

ถ้าเกิดชอบมากหรือน้อยก็เกิดเหตุปัจจัยที่ชั่วหยาบ ก็มีการแย่งชิงกันได้ต่อไป มีความเฉกา คือไม่ฉลาด คือไม่เท่าทันทวารทั้ง 6 เรียนรู้ฉฬายตนะ แล้วไม่ขึ้นไม่ลง รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ชอบไม่ชัง รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาการผี อาการเทวดาเก๊ ไม่เกิดในจิตใจคนนั้น คือคนมีนิพพานในจิต เป็นคน เป็นคนมีนิโรธ เป็นคนมีนิพพาน

แปลเป็นดูให้ดี จะเกิดการรู้ว่าการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ชอบไม่ชังได้ ก็เป็นฐานนิพพานเรียนรู้เป็นอาริยะบุคคลไปได้เรื่อยๆ แต่ก่อนก็มีสุขมีทุกข์ ไม่ว่าจะสัมผัสทางตา หู จมู กลิ้น กาย ตอนนี้ไม่เหลือ เป็นเอกสโมสรณาภวันติ ไม่มีธรรมะ 2 มาปนเปื้อนเลยไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีอยากได้หรือไม่อยากได้ อันนี้สัมผัสแล้วถ้าควรได้ก็เอา ไม่ควรได้ก็ไม่ต้องออก เราควรเอามาใช้หรือไม่กับชีวิตเรา ไม่ได้มีการอยากแบบโลกีย์ ที่ท่านเรียกว่าสสังขาริกัง ของเจตสิก 52 มีสิ่งปรุงแต่ง เพราะมีตัวนำเป็นกิเลสนำ เมื่อไม่มีกิเลสนำก็เป็นอสังขาริกัง

คนที่ได้ฐานนิพพานก็จะ รู้เท่าทันผี หรือเทวดาเก๊ เป็นอุบัติเทพ และวิสุทธิเทพ ซึ่งเทวดามีสามอย่างนี้

จากสมมุติเทพที่สุขทุกข์ไปกับภายนอกก็ไม่มีแล้วเป็นอุบัติเทพและวิสุทธิเทพต่อไป สัมผัสกับแอบเปิลแล้วไม่สุขทุกข์ได้ อนาคามียังมีอยู่ภายใน คุณต้องอ่านละเอียดให้รู้ส่วนที่เหลือ เสสะ เหลือรูป ร่องรอยนี้ ก็ดับให้หมด ดับเกลี้ยงรูปราคะ อรูปราคะ ไม่มีมานะ หรือเศษละออง เป็นอุทธัจจะ เป็นอรูปแล้วตรวจสอบว่าเหลือรายละเอียดอีกไหม ก็หมดอุทธัจจะ ก็พ้นอวิชชาสวะ เราก็รู้แล้วก็เป็นได้ทำได้ด้วย มีวิมุติญาณทัสสนะเป็นอุภโตภาควิมุติ

ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบนั้น โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

ผู้ที่ปฏิบัติอย่างที่กล่าวไปนี้ ก็จะเป็นผู้บรรลุธรรมได้ในชีวิตนี้ ไม่ต้องเป็นชีวิตหน้า ถ้าทำได้ศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้บรรลุแล้วจะมีความ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีนิรันดร (แต่ถ้ามีนิรันดรเป็นเทวนิยม) เมื่อทำให้ไม่มีได้ในทุกปัจจุบัน อนาคตก็ต้องไม่มีไปด้วยอย่างแน่นอน คือความไม่มีนั้นเที่ยง แต่ไม่ใช่ความมีนั้นเที่ยง ศาสนาพุทธเที่ยงในความไม่มีกิเลสอีก แต่ปุถุชนเที่ยงแท้ในความหลอก เป็นเทวดา เป็นผี ตามอุปาทาน แก้ไม่หายล้างไม่ออก ชาตินี้ชาติหน้ายิ่ง ทำให้อวิชชามากขึ้นๆ คนไม่ได้ศึกษาก็เติมกิเลสให้หนามากขึ้น

คำว่าหนานี้ยิ่งกว่าใหญ่ โต อ้วน คำว่าหนานี้เป็นมิติที่โตไปทุกด้าน ทุกมิติ รวมแล้วเป็นความหนา แล้วมีความแน่นในตัวด้วย มากได้แล้วแถมแน่นอีกด้วย เอาไหม?...ไม่เอา

อาตมาจะอ่านไลน์ของผู้ที่น่าสงสารในความเข้าใจผิด จากวาทินทร์ภิกขุ

 

…...มีครูบาอาจารย์ส่งไลน์มาให้อ่าน. กราบสาธุๆๆ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:47:11 )

591022

รายละเอียด

591022_เทศน์ก่อนฉัน ศรีโคตรบูรณ์อโศก พัฒนาความดี(ศรี)ให้ถึงราก(โคตร)

อาตมาขอบอกชัดๆว่าเมืองไทยกำลังเป็นจุดศูนย์กลางของโลก อาตมายืนยันว่าอาตมาเข้าใจถูก อาตมาเข้าใจว่า สังคมโลกสองร้อยกว่าประเทศก็พอรู้กระแส ว่าสังคมเขาอยู่เย็นเป็นสุข มีความเป็นอยู่อย่างไร จิตวิญญาณของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร มีมุมเด่นหรือด้อยอย่างไร แต่ละชาติ อาตมาศึกษามาทางธรรมะสามารถแยกแยะความแตกต่าง ลิงคะ ของสิ่งเหล่านี้ได้ ใครดูดีกว่าใคร ใครเข้าที ใครด้อยกว่าใครก็มองออก มองระนาบตื้นๆก็ไม่เท่าไหร่ แต่มีหลายชั้นซ้อนกัน

เช่นสังคมอเมริกาเป็นสังคมโง่ซ้อนฉลาด คนโลกๆมองว่าฉลาดนำโง่ แต่อาตมามองว่าโง่นำฉลาด อธิบายเป็นวิชาการ ไม่ได้โกรธเกลียด

เป็นสังคมเสพติดผิวเผิน ในเรื่องกามและอัตตา ในจิตวิญญาณมนุษย์แยกได้สองอย่าง คือกามกับอัตตา เรียกว่าสองข้างอันตาของแต่ละฝ่าย พระพุทธเจ้าตรัสสูตรแรกของธัมมจักกัปปวตสสูตร กามสุขขัลลิกกับอัตตกิลมถานุโยค

อาตมาเข้าใจอเมริกาทั้งที่ไม่เคยไป ฟังจากข้อมูลก็เข้าใจมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด เขาเป็นสังคมมอมเมา ครอบงำให้หลงติดรสกาม คือสัมผัสภายนอกแล้วหลงเสพเป็นรสเรียกว่ากาม และหลงติดอัตตาควบแน่นยึดติดเป็นตัวกูของกู เขามีทั้งสองอย่างหนัก อาการหนักทั้งคู่ ของอเมริกานั้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่ประสีประสาเรื่องจิตวิญญาณ ระบบประชาธิปไตยไม่ได้สืบทอดทางจิตวิญญาณ ไม่มีสืบสันตติวงค์ สืบสัตติวงค์ต้องสืบทอดคุณธรรมทางจิตวิญญาณกันเป็นหลัก พระเจ้าแผ่นดินต้องอยู่ในหลักประชาธิปไตยด้วย ถ้าไม่อยู่ในหลักประชาธิปไตยก็เป็นเผด็จการ เอาแต่ใจตัวเองเป็นเอกเลย นอกนั้นข้าเผด็จการเอาหมดก็ไปไม่รอด อย่างนั้น ยิ่งการศึกษาทุกวันนี้เขารู้กันแล้วว่าอย่างนี้ไม่เอา ต้องให้ไปด้วยกันมาด้วยกัน win win​เป็นธรรมะสองที่ไม่ยึดตนเป็นใหญ่ เผื่อแผ่เกื้อกูล ยิ่งใครเป็นคนเสียสละ เอาน้อยให้คนอื่นมาก แต่ตนเป็นอยู่สุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง ใจก็พอจริงๆ ใจเราก็ไม่มีปัญหา ใจเราสันตุฏฐีธรรม มี sufficience หรือ enough พอ

มีใจพอ คืออาการใจว่าเรามีเท่านี้ก็พอจริงๆ มากเกินกว่านี้ก็แบ่งคนอื่นไปโดยไม่หวงแหน ไม่ติดใจเลย ให้โดยไม่คิดว่าเราต้องมีบุญคุณติดไปกับการให้ ถ้าเรายังให้แล้วมีติด เป็นบุญคุณเป็นความเป็นของเราไปกับอันนั้นด้วย คือความชั่วเลว คนนั้นมีการทำจิตในจิตแบบนี้ คืออาการชั่วของคนนั้น

พระพุทธเจ้าสอนว่าจะให้หรือทาน ต้องไม่ทานอย่างมีติดยึด อย่าไปหวังต่อไปจากนั้น คำว่า หวัง ท่านใช้คำว่า สาเปกโข คำว่า  สา = สิ่งใดสิ่งนั้น อันใดอันนั้น ถ้านอกไปจากอันใดอันนั้นก็ชั่วเลย ถ้า สา มันหมายถึงอย่างอื่น หมายถึงไปข้องแวะอย่างอื่น ท่านแปล สา ว่าคือ หมา คือสุนัขเลย ละเอียดอย่างนั้น

คำว่า สาหุ คำว่าหุ คือสิ่งจริง สิ่งที่มีมาในโลก มีอย่างบริสุทธิ์สะอาด สาหุ แปลว่าดี แต่สาเปกโข คือดี แต่มีตัวไม่ดีปนมาแล้วแปลว่ามีหวัง มีอาการของจิตอยากได้อะไรกลับมาให้แก่ตัวเองอีก แบบนี้เรียกว่าชั่ว ชั่วตัวแรกเรียกว่าเทวดา

เทวดา อยู่ในโลกนี้มีสี่ทิศ จาตุมหาราช เทวดาสี่ตัว ไม่เรียกองค์นะ คือสัตว์นรก ทีนี้คนก็เข้าใจผิดซับซ้อน นึกว่าตนมีอำนาจได้มาดังใจดังประสงค์ มันเป็นตัวกูของกูขึ้นมา ได้มาให้แก่ตัวเองยิ่งใหญ่ ก็โง่ซ้อนโง่

จาตุมหาราชจึงยิ่งใหญ่มาให้ตนเอง คนไม่รู้นึกว่าจาตุมหาราชคือเทวดายิ่งใหญ่ แต่คนเบียดเบียนคนอื่นเป็นจิตวิญญาณเลว อกุศล เราก็ต้องเรียนรู้อาการหรือพลังงานที่มีลีลาดึงดูดแก่ตนเอง เรียนรู้ทิศทางพลังงาน เรารู้ว่าเรามีพลังงานดูดเป็นแม่เหล็กดูด ถ้าใครสามารถจัดการพลังแม่เหล็กของตนให้ เป็นกลาง neutron อันใดดีก็พากเพียรเอามา ไม่มีดูดเลย ไม่ดูดไม่ผลัก เป็นพลังงานสูงสุด และมีพลังงานปัญญา รู้อะไรควรไม่ควร สูงสุดก็รู้มหาปเทส 4

ก็อยากสำทับลงในศรีโคตรบูรณ์ อย่างไรมาเป็นรูปร่างมีเชื้อชีวิตินทรีย์ แล้วมีสิ่งลงหลักปักธาตุ เป็นพีชธาตุ อุตุธาตุ แล้วก็เหลือคน ก็มีคน ที่เป็นจิตธาตุ อุตุธาตุ ธาตุของจิตวิญญาณสัตว์เป็นอเวไนยสัตว์ แต่เราเป็นคนเป็นเวไนยสัตว์ที่สอนได้ พวกอเวไนยสัตว์คือพวกที่สอนสัจธรรมไม่ได้

พวกเราศรีโคตรบูรณ์ บูรย์ คือขยายเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าบูรณ์คือความเต็ม พวกเราพัฒนามาให้เต็มได้แล้วก็จะขยายผลไปเรื่อยๆ ถามหน่อยว่าคนที่เป็นตัวหลักที่มีอยู่แล้วทั้งแหล่งน้ำ ดิน ที่ลงต้นไม้ต่างๆ ต้นไม้แก่น พืชล้มลุก เป็นรูปร่างมาแล้ว น้ำก็มีอ่างเก็บน้ำชลประทาน น้ำมีตลอดปี มีปลาบึกด้วย

อยากให้พวกเราไตร่ตรองให้ดี ตอนนี้เราต้องต้อนรับสังคมที่ตื่นรู้ว่าควรไปทางทิศไหน คนตาบอดเห็นได้แล้ว เข้าใจแล้วเปิดผอบอวิชชาแล้ว นางโมราออกจากผอบแล้ว ทำให้ดีนะ ถ้าไม่เป็นโจรแย่งนางโมรานะ ต้องเป็นพระเอก ตอนนี้มันแย่งโมรากันนะ แต่ความเจริญของสังคมยุคนี้ ไม่เป็นสังคมแบบฆ่าแกง มันจะทำสังคมโลกแบบที่ทำกันมาสองครั้ง ที่จริงเขาไม่อยากให้เกิด คิดว่าเขากลัวจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 กัน เพราะมันเก่งทำอาวุธมากขึ้น มันจะล้างหมดเลยแป๊บเดียวไม่ช้าไม่นาน อาศัยช่วงโอกาสเท่านั้นเอง

ถ้ามันจะเกิดก็แรงสุดแต่ไม่เกิดก็ไม่เกิด อย่ากังวลว่าจะเกิด เกิดก็เป็นวิบาก ที่อยากเตือนพวกเราก็คือ จะถือว่าเร่งรัดพวกเราบ้างก็ใช่ ถ้าเผื่อว่าพอเป็นไปได้ ให้เข้ามาเถอะ สถานที่เราก็รู้แล้วว่าทางการเขาถ้าเราทำอย่างมีพฤติการณ์เป็นสังคม เขาก็มีปัญญาจะส่งเสริม ไม่มากั้นขวาง ถ้ามาได้อยากให้พวกเรามาร่วมกลุ่มกัน คนใหม่ก็มา คนเก่าอาตมาว่าเป็นทางเจริญ อยู่ในกาละที่เราจะต้องรู้ก่อนเขามันจะสะดวก แต่ถ้ารู้ทีหลังต้องแย่ง เราลงหลักปักฐานก่อนเขา ด้วยเรารู้ว่าควรก็เร่งกันหน่อย แม้ไม่ใช่คนย่านนี้ก็ตาม แต่เราเป็นสาธารณโภคี คนที่อื่นก็มาได้ด้วย มาตั้งใจศึกษาฝึกฝน อาตมาพาทำอย่างธรรมะพระพุทธเจ้าแท้จริง ทำด้วยความให้เจริญ ไม่ต้องข่มเบ่งทำร้ายใคร มีแต่เกื้อกูลเราจะเจริญยิ่งใหญ่ก็เพื่อเกื้อกูลคนอื่นไม่ใช่ไปทางร้ายเบียดเบียนเลย

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=13BJ9Z_fXiEp-b3W6jUcmfYHiRi2aKmNJQO6WsNk_GDo

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdUo0RUNoMDM0d0k

หรือที่นี่...http://www.filefactory.com/file/uzm41dbdjr1/591022

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่...

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:47:46 )

591022

รายละเอียด

591022_เทศน์ก่อนฉัน ศรีโคตรบูรณ์อโศก พัฒนาความดี(ศรี)ให้ถึงราก(โคตร)

กลุ่มศรีโคตรบูรณ์อโศก...ก่อตั้ง พศ.2540 กิจกรรมปีนี้ได้ทำนา อยู่ที่ทุ่งท่าบ่อ 35 ไร่ ข้าวพันธุ์ปทุม ทุกปีน้ำท่วม แต่ปีนี้ไม่ท่วม ก็ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยดี อีกแห่งหนึ่งทำ 25 ไร่ ข้าวพันธุ์ปทุม ใช้ปุ๋ยชีวภาพ และจ้าวเจ็งฉีดพ่น ได้ผลผลิตงามดี นอกจากนั้นทางชุมชนได้ทำการเพาะเห็ดเป็นอาชีพหลัก เห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดนางรม เห็ดขอนขาว ในช่วงอากาศเย็นได้ผลผลิตวันละ 300-400 กิโลกรัม ช่วงร้อนได้ 100 กิโลกรัมต่อวัน จำหน่ายกิโลกรัมละ 60 บาท ปลูกแตงกวา แตงโม ปีนี้ปลูกมันแกวตะเภาไว้ส่วนหนึ่ง ปีที่แล้วปลูกได้ผลดี

ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ และสั่งปุ๋ยงอกงามจากบ้านราชฯมาจำหน่าย มีเกษตรกรนำไปใช้เป็นจำนวนมากพอสมควร ปีที่แล้วสั่งปุ๋ยงอกงามมาจำหน่ายถึง10รถพ่วง นอกจากเพาะเห็ดแล้ว ได้มีการสานตะกร้า ไปจำหน่ายที่ตลาดอาริยะ และส่งไปขายที่ปฐมอโศกตอนจัดตลาดอาริยะ

มีการถือศีล 8 ทานอาหารมื้อเดียว 8 คนในช่วงเข้าพรรษา มีการอบรมเกษตรและสหกรณ์ อบรมปีละ 120 คน มีงบประมาณจากรัฐบาลมาจัดสรรให้ ผ่านไปด้วยดี มีผู้มาศึกษาดูงานจากโรงเรียนต่างๆ เพื่อเป็นแบบอย่างในการทำเกษตรอินทรีย์แบบยั่งยืน เราได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมผู้ถือศีล 5 เคร่งครัดของรัฐบาลด้วย สภาฯจังหวัดขอเอาชื่อไปเข้าโครงการด้วย

ด้วยแรงจูงใจจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้ให้สมณะที่ปรึกษามา คือท่านสมณะถ่องแท้ ท่านได้เอื้อเฟื้อพวกเราเหมือนพ่อคนหนึ่ง ชี้แนะพวกเรา ให้แรงจูงใจพวกเรา ก็ขอกราบนมัสการขอบพระคุณท่านถ่องแท้ไว้ด้วยครับ

พ่อครูว่า…วันนี้วันเสาร์ที่ 22 ตค.2559 แรม 6 ค่ำเดือน11 วันนี้เราอยู่ที่ศรีโคตรบูรณ์ เป็นอาวาสสถาน ที่นี่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2540 ถึงวันนี้ก็ 19 ปี ชุมชนเราบางแห่งมีนานกว่า 20 ปีก็ไม่เจริญเท่าที่นี่ ที่มีองค์ประกอบวิวัฒนาการ ด้านต่างๆ สัมมาอาชีพ ที่นี่ก็มีอะไรขึ้นไป กสิกรรมเป็นข้าวเป็นพืช อุตสาหกรรมก็มีทำน้ำ ทำสบู่ ทำเครื่องใช้เครื่องสอยต่างๆ เป็นของจำเป็นไม่ใช่เรื่องฟุ้งเฟ้อ ที่มอมเมากันครอบงำกันเยอะ แต่พวกเราสามารถช่วยกัน ศรีโคตรบูรณ์ก็พัฒนาได้ดี แต่ดีกว่านี้ยังได้ไหม ...ได้

อาตมาขอบอกชัดๆว่าเมืองไทยกำลังเป็นจุดศูนย์กลางของโลก อาตมายืนยันว่าอาตมาเข้าใจถูก อาตมาเข้าใจว่า สังคมโลกสองร้อยกว่าประเทศก็พอรู้กระแส ว่าสังคมเขาอยู่เย็นเป็นสุข มีความเป็นอยู่อย่างไร จิตวิญญาณของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร มีมุมเด่นหรือด้อยอย่างไร แต่ละชาติ อาตมาศึกษามาทางธรรมะสามารถแยกแยะความแตกต่าง ลิงคะ ของสิ่งเหล่านี้ได้ ใครดูดีกว่าใคร ใครเข้าที ใครด้อยกว่าใครก็มองออก มองระนาบตื้นๆก็ไม่เท่าไหร่ แต่มีหลายชั้นซ้อนกัน

เช่นสังคมอเมริกาเป็นสังคมโง่ซ้อนฉลาด คนโลกๆมองว่าฉลาดนำโง่ แต่อาตมามองว่าโง่นำฉลาด อธิบายเป็นวิชาการ ไม่ได้โกรธเกลียด

เป็นสังคมเสพติดผิวเผิน ในเรื่องกามและอัตตา ในจิตวิญญาณมนุษย์แยกได้สองอย่าง คือกามกับอัตตา เรียกว่าสองข้างอันตาของแต่ละฝ่าย พระพุทธเจ้าตรัสสูตรแรกของธัมมจักกัปปวตสสูตร กามสุขขัลลิกกับอัตตกิลมถานุโยค

อาตมาเข้าใจอเมริกาทั้งที่ไม่เคยไป ฟังจากข้อมูลก็เข้าใจมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด เขาเป็นสังคมมอมเมา ครอบงำให้หลงติดรสกาม คือสัมผัสภายนอกแล้วหลงเสพเป็นรสเรียกว่ากาม และหลงติดอัตตาควบแน่นยึดติดเป็นตัวกูของกู เขามีทั้งสองอย่างหนัก อาการหนักทั้งคู่ ของอเมริกานั้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่ประสีประสาเรื่องจิตวิญญาณ ระบบประชาธิปไตยไม่ได้สืบทอดทางจิตวิญญาณ ไม่มีสืบสันตติวงค์ สืบสัตติวงค์ต้องสืบทอดคุณธรรมทางจิตวิญญาณกันเป็นหลัก พระเจ้าแผ่นดินต้องอยู่ในหลักประชาธิปไตยด้วย ถ้าไม่อยู่ในหลักประชาธิปไตยก็เป็นเผด็จการ เอาแต่ใจตัวเองเป็นเอกเลย นอกนั้นข้าเผด็จการเอาหมดก็ไปไม่รอด อย่างนั้น ยิ่งการศึกษาทุกวันนี้เขารู้กันแล้วว่าอย่างนี้ไม่เอา ต้องให้ไปด้วยกันมาด้วยกัน win win​เป็นธรรมะสองที่ไม่ยึดตนเป็นใหญ่ เผื่อแผ่เกื้อกูล ยิ่งใครเป็นคนเสียสละ เอาน้อยให้คนอื่นมาก แต่ตนเป็นอยู่สุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง ใจก็พอจริงๆ ใจเราก็ไม่มีปัญหา ใจเราสันตุฏฐีธรรม มี sufficience หรือ enough พอ

มีใจพอ คืออาการใจว่าเรามีเท่านี้ก็พอจริงๆ มากเกินกว่านี้ก็แบ่งคนอื่นไปโดยไม่หวงแหน ไม่ติดใจเลย ให้โดยไม่คิดว่าเราต้องมีบุญคุณติดไปกับการให้ ถ้าเรายังให้แล้วมีติด เป็นบุญคุณเป็นความเป็นของเราไปกับอันนั้นด้วย คือความชั่วเลว คนนั้นมีการทำจิตในจิตแบบนี้ คืออาการชั่วของคนนั้น

พระพุทธเจ้าสอนว่าจะให้หรือทาน ต้องไม่ทานอย่างมีติดยึด อย่าไปหวังต่อไปจากนั้น คำว่า หวัง ท่านใช้คำว่า สาเปกโข คำว่า  สา = สิ่งใดสิ่งนั้น อันใดอันนั้น ถ้านอกไปจากอันใดอันนั้นก็ชั่วเลย ถ้า สา มันหมายถึงอย่างอื่น หมายถึงไปข้องแวะอย่างอื่น ท่านแปล สา ว่าคือ หมา คือสุนัขเลย ละเอียดอย่างนั้น

คำว่า สาหุ คำว่าหุ คือสิ่งจริง สิ่งที่มีมาในโลก มีอย่างบริสุทธิ์สะอาด สาหุ แปลว่าดี แต่สาเปกโข คือดี แต่มีตัวไม่ดีปนมาแล้วแปลว่ามีหวัง มีอาการของจิตอยากได้อะไรกลับมาให้แก่ตัวเองอีก แบบนี้เรียกว่าชั่ว ชั่วตัวแรกเรียกว่าเทวดา

เทวดา อยู่ในโลกนี้มีสี่ทิศ จาตุมหาราช เทวดาสี่ตัว ไม่เรียกองค์นะ คือสัตว์นรก ทีนี้คนก็เข้าใจผิดซับซ้อน นึกว่าตนมีอำนาจได้มาดังใจดังประสงค์ มันเป็นตัวกูของกูขึ้นมา ได้มาให้แก่ตัวเองยิ่งใหญ่ ก็โง่ซ้อนโง่

จาตุมหาราชจึงยิ่งใหญ่มาให้ตนเอง คนไม่รู้นึกว่าจาตุมหาราชคือเทวดายิ่งใหญ่ แต่คนเบียดเบียนคนอื่นเป็นจิตวิญญาณเลว อกุศล เราก็ต้องเรียนรู้อาการหรือพลังงานที่มีลีลาดึงดูดแก่ตนเอง เรียนรู้ทิศทางพลังงาน เรารู้ว่าเรามีพลังงานดูดเป็นแม่เหล็กดูด ถ้าใครสามารถจัดการพลังแม่เหล็กของตนให้ เป็นกลาง neutron อันใดดีก็พากเพียรเอามา ไม่มีดูดเลย ไม่ดูดไม่ผลัก เป็นพลังงานสูงสุด และมีพลังงานปัญญา รู้อะไรควรไม่ควร สูงสุดก็รู้มหาปเทส 4

ก็อยากสำทับลงในศรีโคตรบูรณ์ อย่างไรมาเป็นรูปร่างมีเชื้อชีวิตินทรีย์ แล้วมีสิ่งลงหลักปักธาตุ เป็นพีชธาตุ อุตุธาตุ แล้วก็เหลือคน ก็มีคน ที่เป็นจิตธาตุ อุตุธาตุ ธาตุของจิตวิญญาณสัตว์เป็นอเวไนยสัตว์ แต่เราเป็นคนเป็นเวไนยสัตว์ที่สอนได้ พวกอเวไนยสัตว์คือพวกที่สอนสัจธรรมไม่ได้

พวกเราศรีโคตรบูรณ์ บูรย์ คือขยายเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าบูรณ์คือความเต็ม พวกเราพัฒนามาให้เต็มได้แล้วก็จะขยายผลไปเรื่อยๆ ถามหน่อยว่าคนที่เป็นตัวหลักที่มีอยู่แล้วทั้งแหล่งน้ำ ดิน ที่ลงต้นไม้ต่างๆ ต้นไม้แก่น พืชล้มลุก เป็นรูปร่างมาแล้ว น้ำก็มีอ่างเก็บน้ำชลประทาน น้ำมีตลอดปี มีปลาบึกด้วย

อยากให้พวกเราไตร่ตรองให้ดี ตอนนี้เราต้องต้อนรับสังคมที่ตื่นรู้ว่าควรไปทางทิศไหน คนตาบอดเห็นได้แล้ว เข้าใจแล้วเปิดผอบอวิชชาแล้ว นางโมราออกจากผอบแล้ว ทำให้ดีนะ ถ้าไม่เป็นโจรแย่งนางโมรานะ ต้องเป็นพระเอก ตอนนี้มันแย่งโมรากันนะ แต่ความเจริญของสังคมยุคนี้ ไม่เป็นสังคมแบบฆ่าแกง มันจะทำสังคมโลกแบบที่ทำกันมาสองครั้ง ที่จริงเขาไม่อยากให้เกิด คิดว่าเขากลัวจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 กัน เพราะมันเก่งทำอาวุธมากขึ้น มันจะล้างหมดเลยแป๊บเดียวไม่ช้าไม่นาน อาศัยช่วงโอกาสเท่านั้นเอง

ถ้ามันจะเกิดก็แรงสุดแต่ไม่เกิดก็ไม่เกิด อย่ากังวลว่าจะเกิด เกิดก็เป็นวิบาก ที่อยากเตือนพวกเราก็คือ จะถือว่าเร่งรัดพวกเราบ้างก็ใช่ ถ้าเผื่อว่าพอเป็นไปได้ ให้เข้ามาเถอะ สถานที่เราก็รู้แล้วว่าทางการเขาถ้าเราทำอย่างมีพฤติการณ์เป็นสังคม เขาก็มีปัญญาจะส่งเสริม ไม่มากั้นขวาง ถ้ามาได้อยากให้พวกเรามาร่วมกลุ่มกัน คนใหม่ก็มา คนเก่าอาตมาว่าเป็นทางเจริญ อยู่ในกาละที่เราจะต้องรู้ก่อนเขามันจะสะดวก แต่ถ้ารู้ทีหลังต้องแย่ง เราลงหลักปักฐานก่อนเขา ด้วยเรารู้ว่าควรก็เร่งกันหน่อย แม้ไม่ใช่คนย่านนี้ก็ตาม แต่เราเป็นสาธารณโภคี คนที่อื่นก็มาได้ด้วย มาตั้งใจศึกษาฝึกฝน อาตมาพาทำอย่างธรรมะพระพุทธเจ้าแท้จริง ทำด้วยความให้เจริญ ไม่ต้องข่มเบ่งทำร้ายใคร มีแต่เกื้อกูลเราจะเจริญยิ่งใหญ่ก็เพื่อเกื้อกูลคนอื่นไม่ใช่ไปทางร้ายเบียดเบียนเลย

ตอนนี้ถ้าเข้าใจแล้วนี่คือโอกาส อาตมามองสิ่งใดดีหรือไม่ดี พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้สัปปุริสธรรม 7 อาตมาก็ใช้ตามภูมิ มองเนื้อแท้ อัตตัญญุตา องค์ประกอบเรียกธัมมัญญุตา เป็นธรรมะสอง มีองค์ประกอบเป็นตัวที่สาม ถ้าสองอันนี้อันหนึ่งเป็นวัตถุ อีกอันก็เป็นนามเรียกอันที่สามว่า ตัวเรา อัตตัญญุตา แล้วจัดสรร จัดแบ่ง ให้ดีเรียกว่ามัตตัญญุตา คือการประมาณให้ดี ให้ได้สัดส่วนให้ดี อย่าประมาท ประมาณประเมินให้ดีอย่าประมาท ประมาณดีแล้วเผื่อแผ่สู่วงใหญ่ ปริสัญญุตา ปุคคลปโรปรัญญุตาตามหมู่กลุ่ม ตามโอกาส ปริสัญญุตา ท่านตรัสไว้ชัดแล้วแต่ก็มีเกินจากที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้   สิ่งเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าจะประมวลไว้หมด เกินกว่านั้นก็ใช้มหาปเทส  ต้องใช้ความรู้ของเราด้วยความซื่อสัตย์เป็นหลักเลย

  1. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า  สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร 

สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

  2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า  สิ่งนี้ไม่ควร

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร 

สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย

3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า  สิ่งนี้ควร 

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร

สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย 

4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า  สิ่งนี้ควร 

หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร 

สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. (พระไตรฯ ล.5  ข.92)

อาตมาทำงานมา พวกเราก็คงพอรู้แล้วว่าอาตมาเป็นใคร คนมีปัญญาก็รู้ว่าใช่อย่างไร ทุกอย่างมีที่มาที่ไป อิทัปจยตา มีความต่อเนื่องอะไรๆที่พอเปิดเผยพอบอกกันได้ หรือบางอย่างไม่รู้ก็บอกไม่ได้ หรือบางอย่างรู้ไม่ถึงเวลาก็ยังบอกไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลา

ชื่อที่นี่ก็ดี ศรีก็ดี โคตรก็ดี คำว่าศรีก็คือความดี โคตรก็คือต้นเลย จะดีหรือไม่ดีก็มีเท่าที่คุณมี ก็โง่เท่าที่คุณฉลาด  ฉลาดเท่าที่คุณโง่ ดีเท่าที่คุณชั่ว ชั่วเท่าที่คุณดี ไม่มีมากกว่านั้น จะพลิกแพลงไปนอกจากสิ่งที่เราไม่ ไม่ได้

เราได้แล้วเป็นโคตรแล้ว ศรีคือสิ่งที่จะเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ   จะสั่งสมเป็นเหง้าเป็นราก ศรีกับโคตรก็คือรูปกับนามเป็นธรรมะสอง อย่างหนึ่งเป็นศรีไม่เสื่อมหรือทราม จึงพยายามพัฒนาต่อให้ศรีนี้ดีเป็นตระกูลใหญ่ โดยการเสริมสิ่งดีไปเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่ต้องคิดเรื่องข้างนอก โดยเฉพาะเรื่องเงิน เราจะไม่ต้องห่วงเรื่องไม่มีเงิน ขอให้ทำเนื้อแท้ ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ขอให้สดไว้ โลกทรมานด้วยระบบสินเชื่อ ทรมานทรกรรมกันมากแล้ว ไม่ต้องทำแบบเชื่อ สด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง ไม่เอา ทำให้ได้ ทำได้แล้วรับรองไม่ทุกข์ ไม่ทรมาน ไม่ลำบากลำบน สดเราสดได้เท่าใดเท่านั้นอย่างดีได้แค่หนุน ไม่หนุนได้ยิ่งดี

หนุนคือในระบบพวกเราไม่มีดอกเบี้ย แต่หนี้ต้องมีดอกเบี้ย ของเรามีแต่อุดหนุนกัน ยืมกันได้เราเรียกว่าเกื้อกัน ไม่ใช่การกู้ เป็นภาษาที่ใช้ในหมู่เรา

ที่นี่ค่อนข้างมีความเป็นจริงของศรีโคตรของรากและความดี เป็นธรรมะสองเป็นแล้วดีแล้ว อยากให้พัฒนาขึ้น ให้ตั้งตนบนความลำบาก คนบุกเบิกต้องเหนื่อยแน่ ในหลวงเหนื่อยไหม ก็เหนื่อย แต่คนยกย่อง คนทำตามในหลงฉลาดหรือโง่ ก็ฉลาด เราต้องอยู่กับนัยฉลาดไม่โง่

ลักษณะทำ  1 2 3 4 มีเกิดผลอย่างไรก็เข้าใจกันแล้วว่าต่อเนื่องไปช่วยคนอื่นอย่างไร พลังงานเป็นหลักต่อเนื่อง ฟิสิกส์ ชีววิทยา มาพุทโธโลยี่ เกิด phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา ที่สังเคราะห์ปรุงแต่งเป็นองค์ประกอบลักษณะธรรมที่ครบองค์ ในยุคปลายเข้าใกล้กลียุคที่จะฆ่ากันเลย ก็มีธรรมะอันดีคือพวกเราจะพยายามรู้กันไปศึกษากันไป

อาตมาอธิบายให้พวกเราเข้าใจศีล ทาน

ศีลคือหลักทำการสังเคราะห์กิเลสจากจิต ทานก็คือทำการสังเคราะห์กิเลสจากจิต  แต่เป็นลักษณะปลายของพฤติกรรม อาการให้ แต่ให้แล้วมีเยื่อใยสันตติต่อมีเรามีหวัง ไม่ขาด ท่านเรียกว่าสาเปกโข ทำทานแล้วพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าให้มีหวังว่าจะได้เป็นเรา ยังมีเราอยู่ คือตัวหวังนั้น พลังงานละเอียดพวกนี้คนไหนอ่านได้ ทำทานแล้วไม่ต้องมีอาการพลังงานหวังเลย คนนั้นคือผู้ทำจิตในจิตลงตัวที่สุด เป็นลักษณะธรรมสูงสุด คนทำทานแล้วไม่มีหวังเลย ก็สุดยอดคนไม่รู้ก็สั่งสมความหวังเป็น ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) คือต่อเนื่อง จากต่อเนื่องเป็น สันนิธิเปกโข สั่งสมเลย เป็นเนื้อเป็นตัวต่อเป็นชาติหน้าเลย อิมัง  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ

วิทยาศาสตร์ที่เจริญได้โนเบลก็ไม่เข้าถึงจิตวิญญาณ คนตัดสินโนเบลก็ได้ทางวัตถุหรือฟิสิกส์ ไม่เข้าถึงจิตวิญญาณ ก็เป็นตามสัจจะ แต่พวกเราได้เลื่อนได้เลยมาจนไม่เกี่ยวข้องเลย เขาไม่มีปัญญาให้รางวัลเราหรอก เราไม่ต้องอยากแย่งเลย เราทำสิ่งที่นำหน้าไป สัจจะสร้างสรร ตนก็เจริญ ผู้อื่นได้ประโยชน์ด้วย เป็นอุภโตภาค เป็นอุภยถะ

ตอนนี้ไม่มีใครปฏิเสธพฤติกรรมในหลวงเรา เป็นสิ่งยืนยันได้เลย ประเทศกว่าสองร้อยกว่าประเทศที่ฉลาดแล้ว เขารู้หมดแล้วว่าอะไรเกิดในสังคมโลก คนๆหนึ่งที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินประเทศที่ไม่ใหญ่โตแต่ไม่เล็กเกินไป แต่พระองค์มีพฤติกรรมที่สุดยอดในโลก กระเทือนโลกให้ Crying world คือร้องไห้หรือสะเทือนใจทั้งโลก ปริมาณคนส่วนใหญ่รู้แล้ว เรารู้แล้วอย่าช้าเอาเพลงสมรรถภาพไปร้อง

มาเถอะมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม คนจะเก่งคอมพิวเตอร์วัตถุอย่างไรก็ต้องกินผักพืช เราได้แต้มต่อ หอบเสียมมีดพร้ามาก็ได้แต้มต่อเป็นอาวุธที่เหนือเขา เอ็งมีคอมพิวเตอร์อาวุธเยี่ยมยอด แต่ข้ามีข้าวกับผัก ใครจะตายก่อนกัน คนทำวัตถุเก่งอย่างไร เก่งคอมพิวเตอร์อย่างไร แม้จะเก่งพยายามทำหุ่นยนต์ robot แต่ก็ทำให้มันมีวิญญาณไม่ได้หรอก ทำวัตถุให้เป็นวิญญาณไม่ได้ ต้องให้วิญญาณไปทำวัตถุได้ พวกเราทำวัตถุให้เป็นวิญญาณได้เพราะวัตถุที่เราทำนั้นคืออาการ อาการนี่เราเรียกว่าวัตถุ สูงสุดแล้ว อาการของจิตนิยามหรืออาการของพีชนิยามเราก็รู้แล้วเอามาเสริมเติม อาการพีชะใช้มาเสริมจิตนิยามร่วมกัน ความรู้นี้เป็นความรู้สูงสุดเป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาก็พัฒนามาเป็นเจ็ดแล้วเจริญเป็นระดับแปดแล้ว แต่ปางนี้จะไม่พูดแปด ปางหน้า ใครจะตามฟังก็ไปฟังต่อ ใครจะพัฒนาไปเป็นแปดได้ก่อนอาตมาก็เชิญ​ คนพัฒนาไปก็จะทำให้เจริญ

พวกเราอย่าแบ่งฆราวาสกับนักบวชเกินไป อย่าเพิ่งบอกว่าฆราวาสจะมีภูมิธรรมสูงไม่ได้ เป็นอรหันต์ไม่ได้ พวกเราจะมาบวชก็มาได้ ศาสนาพุทธคนมาบวชก็เป็นฆราวาสก่อน นักบวชต้องมีฆราวาส เป็นศาสนาสังคม ท่านตรัสไว้เลยว่า นักบวชคือผู้มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ท่านห้ามเด็ดแม้แต่พืชผัก ถึงมีก็เอามากินไม่ได้ นักบวชของพุทธต้องพึ่งฆราวาส ฆราวาสก็ต้องรู้ว่าต้องส่งเสริมท่าน ถ้าคุณจะมีภูมิถึงมาบวชก็มาได้ แต่ถ้าไม่บวชก็ทำงานได้ดีกว่าก็ได้

อาตมามั่นใจว่าเอาสิ่งจริงมาแจกกัน ให้คนทำให้ได้ ในสังคมมันมีเท่านี้แหละ ถ้าพวกเราไม่เริ่มต้นไม่พากเพียรอุตสาหะมันก็จะช้า ถามจริง อยากให้สังคมเจริญช้าไหม ไม่มีใครโง่หรอก แต่เราอยากเร็วหรือใจเราอยากเร็วโดยไม่มีเหตุปัจจัยจะเร็วได้ไหม? ก็ไม่ได้ มันต้องมีตัวจริง อาตมาก็บอกไว้เลยว่าเมืองไทยจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นฆราวาสที่เป็นอรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์ จะระดับไหนก็พวกคุณนี่แหละที่มีเนื้อแท้ อาจยังไม่เกิดหรือเกิดมาแล้วก็ได้ อาตมาทำนายไม่ได้ แต่มันไม่มีใครนำหน้า มีแต่พวกเรานำหน้า ไม่มีผิดหรอก พากเพียรเรียนรู้ไปฝึกไปจะได้ไปทำงานจริง

คนที่ทำงานไปโดยไม่สนใจใครจะด่าว่าอย่างไร อาตมาเคยพูดที่ในหลวงอาตมาเรียบเรียงมาว่า คนที่อวิชชา หลงผิดอยู่ หรือเรียกโมหะ มิจฉาทิฏฐิเพราะอะไร? เพราะหลงภพ

ไปหลงภพ และหลงทิฏฐิ คนที่รู้จริง รู้ทั้งรู้แต่ไปโกหก หรือไปหลอกเขา ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างนายไชยบูลย์ คนๆนี้มีสัมปชานมุสาวาท รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ถูกแต่โกหกซ้ำไปอีก มันไม่หยุด โกหกแล้วก็โกหกต่อไปอีก และกล้าโกหกอย่างหน้าตาเฉยด้วย มันโกหกอย่างหน้าด้านๆด้วย โกหกทั้งๆที่รู้ว่าเป็นสิ่งโกหก คนทำสัมปชานมุสาวาท จึงมีวิบากเป็นมหานรกจกเปรตอเวจีเลย เพราะกรรมชั่วซับซ้อนเป็นปฏิภาคทวี กลับไปกลับมา ปฏิภาคด้านลบมากขึ้น ทับทวีดอกถมทบต้น

อาการจาตุมหาราชคืออาการแย่ง แย่งอย่างแรงด้วย เพราะแย่งเบาก็แย่งไม่ได้จึงต้องแย่งแรงจึงมีโทษหนัก นั่นคือจาตุมหาราช เราไม่ทำอาการนี้ให้เกิดในจิตเลย คนไหนทำได้ก็ปลอดพ้น

ผู้ไม่มีภูมิปรมัตถสัจจะไม่รู้หรอกว่าภพคือจิต จิตของคุณเองที่ทำเองด้วย โง่ ด้วยโมหะหลงผิดแล้วเกิดเป็นภพเอ็งของเอ็ง มีแต่หลงงมงายกับรสสวรรค์ ที่เป็นของเก๊ ภพที่คนมีอุปาทาน คนจะรู้ว่าภพคือต้องยึด อุปาทานคือการยึด ภพสวรรค์ ภพอร่อย หรือสนุกเพลิดเพลินพอใจยินดีเป็นโลกียารส ก็จะต้องมีอุปาทานตลอด มุ่งมั่นจะเอาสวรรค์ คนๆนี้ก็จะพัฒนาภพสวรรค์ 6 หรือเทวดา 6 ชั้นนี้

เทวดา 6 ชั้นคืออาการ อาการอันแรกคือ

จาตุมหาราช คือแย่งเขามา แย่งได้ก็ดีใจ เป็นดาวดึงส์ (ตาวติงส์คืออาการ 33) ในคนมีอาการของตัวเอง อาการ 32 อาการตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนน้ำเหลืองน้ำเลือด ถึงอวัยวะภายใน ทุกองคาพยพที่รวมตัวในสัตว์โลกสูงสุดมี 32 อาการ นี้

แต่คนโง่ไปตั้งอาการที่ 33 ขึ้นมาเอง ตั้งเองลมๆแล้งๆ เป็นอาการที่ 33 ใส่ฮาร์ดดิสก์ไว้ จำไว้ แม้ไม่รู้เรื่องแต่จำไว้ก่อน ใครไม่หลงอาการ 33 คืออย่างน้อยอนาคามีเป็นต้นไป ไม่มีอาการรสชาตินี้แล้วเหลือแต่ภายในหากล้างภายในหมด รูปจิต อรูปจิตดับหมดได้ ได้ก็เป็นอรหันต์

คุณธรรมอย่างนี้ไม่แบ่งนักบวชหรือฆราวาส ฆราวาสก็เอาคุณธรรมนี้ไปได้ แล้วจะทำงานได้มากกว่านักบวช ไปเป็นนายกรัฐมนตรีก็ทำงานกับสังคมได้เต็มนามธรรมบริบูรณ์ จึงให้ฆราวาสทำ มาถึงยุคนี้แล้วฆราวาสไปไหนก็ได้ ต้องมีหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวแบบให้โลก แต่ถ้าให้นักบวชเป็นจะเกี่ยงกันเพราะนักบวชมีหลายศาสนา แต่ฆราวาสไม่มีรูปแบบก็เท่ากันหมด ทำได้เลย เมื่อไปเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีตัวอย่าง ขณะนี้สังคมได้เกิดพระเจ้าแผ่นดินตัวอย่างคือ พระภัทรมหาราช ต่อไปจะมีฆราวาสเป็นนายกรัฐมนตรีตัวอย่าง

ผู้ที่มีคุณธรรม มีสิ่งจริงในตัวเองมากพอจึงเป็นตัวอย่าง มันต้องมีไม่เช่นนั้นไปถึงกลียุคไม่ได้ ไม่งั้นก็ขาดก่อน คนรู้แล้วจึงยอมไม่ได้ เขาอยู่ในฐานะที่เป็นได้ก็จะเป็น จะเป็นตัวเล็กหรือเปล่าไม่รู้

ประชาธิปไตยสองขาที่มีทั้งอุตุนิยามและจิตนิยมม ประชาธิปไตยที่มีสองขา จึงสมบูรณ์พร้อม ประชาธิปไตยปลายกลียุค เป็นประชาธิปไตยตัวอย่างจนกว่าจะล้างโลก จะเป็นสัจจะจริงๆ พฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีประชาธิปไตยสองขาที่เยี่ยมจริงคนจะยอมรับ เพราะถ้าสภาวะ 1 ก็ไม่เคลื่อนที่ แต่ถ้าเคลื่อนก็ต้องมีสถานที่ใหม่ จากจุดเริ่มต้นไม่กระดิก แต่ถ้าแค่หายใจก็เป็นสภาวะแล้ว ยิ่งถ้าเคลื่อนที่เป็นระนาบเป็นสอง พอมีสามก็มีองศา องศาน้อยก็อ่านยากดูยาก เริ่มเป็นวงรีที่มีองศาน้อยมาก ยิ่งมีองศามากขึ้นก็ดูได้ง่ายขึ้น จนกว่าจะเป็นวงกลม

มาถึงนามธรรมจิตวิญญาณมนุษย์รู้ว่าเมตตาคืออะไร ต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์คือเมตตา แล้วลงมือช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ก็คือเป็นสุข หรือสปายะ ก็มีสุข ทุกข์หรือกลางๆ ผู้ใดทำให้กลางๆได้ จะทำให้ทุกข์หรือยากก็ได้ อย่างอาตมานี่ทำตนเองให้ยากนะ ในขนาดที่อาตมาทำได้ ถ้ายากเกินก็ทำไม่ได้ ใช้ภาษาแทนว่าทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก แต่ก็ต้องทน ทนก็คือยาก แล้วคุณว่าอาตมาทนไหม ก็ต้องทน ไม่ทนไม่ได้ แต่ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก

ผู้ใดทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบากก็ต้องทน แต่ทนได้เท่าที่เราเต็มที่แล้ว ทำได้เท่าที่เราทำเต็มที่

ผู้ใดอ่านอาการแยกอาการที่จะเอามาบำเรอตนกับไม่บำเรอตน หรือไม่ทรมานกับทรมานตน มีสามเส้า

หนึ่งบำเรอตน สองทรมานตน สามไม่บำเรอไม่ทรมานตน

ทำให้ไม่บำเรอไม่ทรมานตนให้ได้เท่าที่จะมีตัวกำหนดรู้ได้คือสัญญา คมชัดตรงแม่นถูก สัญญาคือไม่ทนไม่บำเรอกลางๆ ทุกคนก็ทำจริงๆจังๆ ส่วนใครจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับความรู้

คำว่าภพ มีสวรรค์กับนรก ใครก็ไม่ต้องการภพนรก แต่คุณก็ได้ทำนรกให้แก่ตัวเอง มันไม่รู้หรอก ไม่รู้รอบก็เลยทำนรกให้แก่ตัวเอง มันสุดวิสัยแล้วนะ คุณก็ยังโง่ ก็เลยทำนรกเพราะคุณหลงว่าเป็นสวรรค์ ถ้ารู้แล้วมีแรงพอจะไม่ทำ จะไปทำทำไมล่ะ แต่เพราะคุณ หนึ่งไม่รู้ก็เลยทำ หรือรู้แต่แรงสู้ไม่ได้ก็ต้องทำ

ภพนรกที่ท่านผู้รู้แปลว่าที่ไปเกิดและเสวยความทุกข์ของสัตว์ผู้ทำบาป อันไม่มีความสุขความเจริญ ​แต่เพราะไม่รู้จักภพนรก ผู้นั้นจึงทำเหตุ เหตุอะไรก็คือการกระทำ ก็ทำใจในใจของตนเองที่เป็นประธานให้เกิดนรก  คือใจไม่รู้หรือแม้รู้ก็สู้พลังงานสัตว์นรกไม่ได้ จึงทำตนเองอย่างสุดวิสัยอย่างนี้เรียกว่าอวิชชา

อกุศลหรือกรรมไม่ดีก็เป็นวิบาก ภพนรกที่คุณต้องได้เพราะคุณทำเอง คุณสู้ไม่ได้เองเลยทำอกุศลกรรมของตน แล้วจะให้ผลกรรมเป็นของคนอื่นได้อย่างไร ของใครก็ของใคร พ่อเอาไปให้ลูกก็ไม่ได้ ภพเป็นของของตน กรรมเป็นของของตน

ให้ศึกษาฝึกฝนอ่านรู้อย่างพินิจจริงๆ จึงอาจสามารถหยั่งรู้ใจ หยั่งรู้กรรม ใจคือรากเหง้ากรรม คือพฤติกรรมที่ต่อจากใจ ต้องทำให้สัมมา สัมมานี้ขยายจากคำว่า สมะ

สมะ ถ้า สมม คำว่ามม หรือ มมังเป็นแกนจิต คนสามารถรู้พยัญชนะอันนี้หมายถึงอันนี้ ก ข ค ฆ ง ตัว งะ คืองกเงิ่น งี่ เง่า เป็นต้น ส่วน ฆ คือตัวเกาะกันแน่น ส่วน ค คือตัวเคลื่อน โคจรหรือคมนาคม คือพลังงานเคลื่อน

ตัว ก คือตัวเริ่มต้นอะไรทั้งสิ้นเลย จะมีก็เป็น กะ ส่วนไม่มีก็คือ ขะ คือ ข ถ้า ก กับ ข คบกันก็เกิดเป็น ค แล้วมี ฆ เป็นตัวสี่แต่ ฆ ยังไม่ฉลาดเป็น ง ก็คือ งกเงิ่น งุ่มง่าม โง่เง่า งอกเงิน งง  งาม เงิน ไปเรื่อยๆ

แล้วใครยังหลงเงินหลงงามอยู่ นรกเป็นที่หวังได้ เชิญๆ ต้องให้มันง่ายๆ จะได้งามๆ

คนยุคนี้เป็นคนอวิชชามากกว่าคนมีวิชชา แต่ก็มียุคที่คนมีวิชชามากกว่าคนมีอวิชชาก็มี แต่ยุคนี้เป็นเช่นนี้ จึงมีคนสั่งสมนรกใส่ตนมากว่าคนบรรลุอาริยภูมิ ยุคนี้คนที่ดีจึงต้องมีพลังมีน้ำหนักเหมือนปรอท จึงถ่วงคนอวิชชาที่มีมากเหมือนโฟมที่เบากว่าได้

ต้องเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ  10

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) คือตัวจิตที่ต้องให้อย่างไม่มีหวังเลย  แม้แต่ทำ ทานศีลปัญญาก็เพื่อให้เกิดการทาน

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

ทำให้ออกจากโลกนี้คือโลกปุถุชนโลกีย์มาเป็นโลกโลกุตระ ถ้าทำเหตุปัจจัยก็ต้องรู้ว่าทำอย่างไร ทำได้ก็เป็นหุตัง ก็ต้องรู้อาการที่เป็นสัตว์ อาการที่เป็นแม่เป็นพ่อ เป็นธรรมะสาม 

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) คืออิตถีภาวะ

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)คือปุริสภาวะ

9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) ลูกที่เจริญกว่าพ่อแม่เรียกว่าอภิชาติบุตร เป็นนปุงสกิลิงค์ จะทำได้ต้องมีจิต แววไว มุทุภูตธาตุ จิตหัวอ่อนรู้ก็เร็ว ตัดก็เร็ว เร็วทั้งเจโตและปัญญา แคล่วคล่อง ความเจริญของมุทุธาตุนี่แหละจะเจริญเป็นสามเส้าของ 6

คือตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นวจีสังขารา

ต้องมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เป็นสามเส้า จะเกิดได้ต้องมีมัคคังคะ ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ โดยต้องมีสติสัปชัญญา สัมปัชชลติ ฯ ใช้พลังงานเหล่านี้สลายตัวชั่วให้ได้สำเร็จ เป็นพลังงานตัวปัญญา ฉลาดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

เริ่มต้นปฏิบัติมรรค 7 องค์ มีอาชีพ การกระทำ การพูด การคิด ตัวตรรกะ ตัวสังกัปปะจึงควบคุมทั้งหมด จัดสรร ตัวไหนชั่วละออก ตัวไหนดีทำเอา ตัวสัมมาทิฏฐิเจริญจากมรรค 7 องค์ ก็ต้องมีธัมมวิจัย analysis จึงเลือกเอาธรรมะหนึ่งจากธรรมะสองได้ ได้ดีองค์รวมก็ส่งไปเป็นปัญญา เสร็จแล้วองค์สาม ธัมมวิจัย สัมมมาทิฏฐิ มัคคังคะก็ส่งผลให้เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต่อไปอีก

เจริญขึ้นสั่งสมเป็นปัญญาที่ฉลาดอย่างโลกุตระ เป็นปัญญินทรีย์มีกำลังเพิ่มขึ้นจนมีกำลังเต็มเป็นปัญญาพละ เกิดจากสัมมาทิฏฐิ ธัมมวิจัย มัคคังคะ คนไปนั่งหลับตาสมาธิ ก็ไม่มีทางได้ผล เพราะมีแต่การสะกดจิต มีแต่ hypnotize มีแต่หยุดไม่มีการแยกแยะ แต่ของพุทธนั้นทำอย่างมี analysis มีพลังงานปัญญาที่สิ่งไม่ดีมาใกล้ไม่ได้ จะสลายด้วยพลังปัญญาเลย มุทุภูตธาตุคือจิตที่ทำได้แล้วเร็วไว แววไวด้วย สิ่งไม่ดีก็สละออกเร็ว

_มีคนถามว่า การกรวดน้ำเป็นยัญพิธีอย่างไร

พ่อครูว่า...ทินนังคือทานจบแล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว จบแล้ว ผู้ใดทำทานสำเร็จผลแล้ว ยิตถังคือพิธีหรือวิธีที่จะทำให้ทำทานสำเร็จ เป็นองค์ประกอบเหตุปัจจัยเป็นพิธี ทำแล้วให้คุณ มีตัวพลังงานจิตนิยามที่ให้อย่างไม่มีสาเปกโข คือให้โดยพลังงานสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีแวบต่อเลย สาเปกโขคือแวบออกไป เมื่อไม่มีแวบออกไปเลย คือให้อย่างบริสุทธิ์

การหยาดน้ำคือมีการใช้น้ำจูงนำไปให้คนอื่นได้ คุณก็ทำอย่างมีอาวรณ์ คนที่ทำอะไรเพื่อคนๆหนึ่ง คนนั้นมีความเป็นตัวตนจำเพาะ คนๆหนึ่งที่จะให้ ก็เป็นส่วนของเรา แต่ถ้าไม่มีคนๆหนึ่ง ให้ทุกคนเป็นเนื้อเดียวกันเป็นหนึ่งไม่มีสอง ก็คือคนไม่มีเราของเรา คนที่ทำอะไรก็ไม่มีสิ่งสองเลย คนนี้คือเป็นคนสูญ แต่คนที่ทำแล้วมีแวบอยู่เป็นสองก็ไม่หมดตัวตน คุณจะต้องให้โดยที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของสองเลย เป็นหนึ่งได้จริงๆ จึงจะไปหาสูญ ถ้ามีแวบก็เริ่มจากสอง การพูดนี่เป็นการบอกวิธีให้คุณไปทำ

อาตมาแสดงแรงงาน แข็งแรงนะเหนื่อยนะ พูดทั้งแรงลงน้ำหนักสำเนียงออกไม้ออกมือ ผู้ใดไม่มีพลังงานแวบเลย ผู้นั้นเดินทางไปหาสูญ แต่ถ้ามีแวบจะเดินทางไปหาสอง สาม สี่ไปเรื่อย คุณก็ทำเท่าที่สามารถจับรู้ได้จับทัน คนไหนละเอียดได้มากเท่าใดก็ทำเอา ฝึกฝนเอาก็ทำได้เพิ่ม

แม้แต่จะต่อจากน้ำไปหาใครก็ตามก็ไม่หาสูญ แต่ถ้าไม่ต้องการไปหาสิ่งอื่นเลยก็ไม่ตอ้งอาศัยน้ำ ไม่ต้องอาศัยไฟ อัคคียัญ ก็ไม่เป็นสอง ถ้าอาศัยอยู่ทั้งน้ำทั้งไฟ หรืออย่างอื่นก็จะไม่เป็นหนึ่ง ไม่เป็นศูนย์ พวกที่มีสองจึงเรียกว่าพวกเมถุน คือยังขาดคู่ไม่ได้ ขาดคู่ไม่ได้จึงจะจมไปอีกนานนนนนนนนนน

ใครพึ่งตนเองให้รอดแล้ว มีพลังงานเอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง คือผู้ที่ไปรอด ผู้ใดมีเมถุน ทำหนึ่งไม่ได้ต้องเป็นสองสามสี่ไปเรื่อยๆ ผู้ใดทำหนึ่งได้ นอกจากพึ่งตนเองได้ยังให้คนอื่นพึ่งได้อีก ก็หมดคำพูดแล้ว คนพึ่งตนเองรอดแล้วทำให้คนอื่นได้อีก ก็จบในสองความหมายนี้แล้ว คุณเลือกได้แล้ว นี่คือสัจจะในธรรมะสอง ธรรมะสาม ธรรมะหนึ่ง

คุณจะอยู่อย่างหนึ่งหรือสองหรือสามก็ ควรทำให้หนึ่งนี้ควบคุมสองได้ สร้างผลผลิตเป็นสาม ก็มีปิรามิด ก็เพิ่มสี่ห้าหกเป็นสองปิรามิด ก็เพิ่มปิรามิดไป เรื่อยๆ

ในขณะนี้จงรีบมารวมตัวกัน อาตมาบอกว่าแกนอโศกเราจะสามารถรวมตัว แล้วจะสร้างเนื้อ (มังสะ) เนื้อแท้สัจธรรม ในอิทธิบาทมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ให้ยินดี ถ้าใครมีตัวยินดี อาตมาจะไม่บังคับคนมีจิตไม่ยินดี หมู่กลุ่มคนที่จับตัวได้แล้ว มันจึงเป็นของจริงที่สร้างสรรร่วมกัน ทำให้เกิดสิ่งวิเศษนี้ได้ ถ้าไม่มีคนมารวมทำอย่างผู้รู้มีฉันทะ คนมีฉันทะมาเลย แล้วต้องเพียร วิริยะ จิตตะ คือพลังงานที่คุณมีเท่าไหร่โถมใส่ให้หมด คือจิตตะ พลังงานที่ยินดีแล้วเพียรแล้ว เหลือพลังงานเท่าไหร่โถมไปในความเพียรนี้ให้หมด เป็นจิตตะ จิตตัวนี้ยินดีแล้วเพียรแล้ว ขยันแล้ว เหลืออีกเท่าไหร่โถมใส่ให้หมด จึงได้เนื้อแท้คือมังสะ

ฉันทะ วิริยะ จิตตะ สามหน่วยนี้ทำให้เกิดสี่ คือ มังสะ คือ ม - อัง - สะ สามเส้านี้ อังคือวงวน ,สะ คือตัวกูของกู , ม คือจิต

เริ่มศรีโคตรบูรณ์ ศรีแปลว่าดี โคตรคือรากเหง้า บูรณ์คือเต็ม  เป็นสามเส้าอีก ทั้งดีทั้งรากเหง้า เอาให้เต็ม แต่ถ้าดีเอาแต่รากเหง้าก็ได้ แต่รากอยู่นะ รากมันมีในนัยสองอัน หนึ่งรากปักดิ่ง อีกอันคือของเสียเน่าเหม็น รากอาเจียนกับรากหยั่งเกิดคุณจะเอาอันไหน? รากอาเจียนเป็นเพื่อนของอาจม

รากนี่คือ รากหยั่งเกิด root เหง้า เราสามารถทำอย่างเข้าใจ ใช้ภาษาสื่อสภาวะ ที่นี่ศรีโคตรบูรณ์ ชื่อนี้มีมาก่อน เอามาตั้งชื่อที่ของตน (เป็นอาณาจักรเก่าของนครพนม) เป็นอจินไตย รู้แล้วก็มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม

ในอนาคตเราจะทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี การทำก็เก่งการรักษาถนอมอาหารก็จะดี การขนส่งให้เร็วที่สุดก็จะมีต่อไป อีกหน่อยทำเสร็จส่งทางจรวดไป โลกหมุนมาจรวดก็ไปที่นั่น ไม่ต้องรอเวลาอีกนาน ความเน่าของพืชไม่ทันความเร็วของพืชหรอก พืชคือการสังเคราะห์โลก คือความเร็วของแรงเหวี่ยง ในยุคข้างหน้าไม่มีปัญหาเลย เรามีสินค้าก็ส่งไปกับจรวดเลย

ตอนนี้รวมตัวกันได้เลย อาตมาไม่รู้ตัวมาก่อนจะพบสามเส้าของ ศรี -โคตร -บูรณ์ ครบสัมบูรณ์เลย อยู่ตรงนี้ เริ่มต้นเถิดเป็นนิมิต เครื่องหมายบอก คุณและอาตมาก็ไม่รู้ตัว แต่พอรู้แล้วควรหรือไม่ควรตามมหาปเทส ใครควรก็รวมตัวกันเข้ามาเพราะความจริงมันต้องเกิด

อาตมากล้าพูดได้ว่าทั่วโลกจะมีพูดอย่างนี้ไหมในวินาทีนี้ขณะนี้...ไม่

เป็นสัจจะที่ไม่ต้องบอกมันเกิดของมัน สิ่งใดเกิดโดยไม่เจตนาสิ่งนั้นจริง ถ้าเจตนาแต่ไม่อยากด้วยก็จริง แต่สิ่งใดไม่เจตนาแต่เกิดได้ก็จริง

อาตมาได้ใช้ภูมิปัญญาตัดสินสิ่งที่ควร ที่ใช่แล้วลงตัว ให้เราใช้เป็นนิมิตตัดสิน ถ้ามันไม่ลงตัวอันนี้ก็ไม่ใช่ ก็พากเพียรต่อไปอีก

สรุปว่า คนที่ทำดี แต่ยังไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ เพียรต่อไป เพียรต่อไป สาธุ เจริญธรรม….

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:48:41 )

591023

รายละเอียด

591023_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก การได้รับใช้คือวิธีคลายทุกข์

สมณะเดินดินว่า...คำถามที่ว่าพ้นทุกข์ได้อย่างไร คนไปสนามหลวงบอกว่า ได้ไปที่สนามหลวงก็ได้กำลังใจได้คลายทุกข์ได้มากเลย ประโยชน์ของการได้พบพระโพธิสัตว์คือได้ความพ้นทุกข์ คนที่คิดถึงคนอื่นจะไม่ทุกข์เท่าไหร่ แต่คนที่ไม่คิดถึงแต่ตัวเองจะทุกข์มากกว่า คนคิดถึงคนอื่นจะไม่มีเวลาทุกข์

พ่อครูว่า...สรุปได้ว่า ใครเกิดความทุกข์ในใจขึ้นมา ให้หาทางไปรับใช้ผู้อื่น จะคลายทุกข์...พ่อครู 23 ต.ค. 2559

 

          _มีเรื่องที่มีคนถามมาว่า"ทำอย่างไร ให้คลายทุกข์จากความรู้สึกสูญเสียในหลวง" ค่ะ  หลายๆคนในกลุ่มอุโบสถศีลขอมาค่ะ บอกว่า มันรู้สึกไม่คลายซักที บีบหัวใจ ประมาณนี้ค่ะ

ตอบ...ใครที่เกิดความทุกข์ความเสียใจอยากจะร้องไห้ก็แสดงออกให้เต็มที่ร้องไห้ให้เต็มที่ เพราะเราเสียใจในสิ่งที่ควรเสียใจ ก็ควรจะแสดงออกถึงความเสียใจ ในสิ่งที่ไม่น่าเสียใจคุณยังถูกหลอกให้เสียใจได้เลย แต่นี่คือสิ่งที่ควรเสียใจใช่ไหม คนที่ไม่เสียใจนี่สิ คือคนที่ไม่รู้จักความจริงไม่มี มหาปเทส 4 ไม่รู้สิ่งควรในสิ่งที่ไม่ควร และไม่รู้สิ่งที่ควรในสิ่งที่ควร คุณควรเสียใจในสิ่งที่ควร

แม้แต่คนต่างประเทศ เขายังมาร่วมเสียใจด้วยทั้งที่เขาเป็นคนต่างประเทศ คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า ขอถามย้ำ ทั่วโลกแต่ละประเทศแสดงความเสียใจทั้งนั้นยกเว้นคนชั่วที่ไม่รู้จักความเป็นจริง ในสำนวนโวหาร วาทกรรม ที่ว่า แม้แต่ฟ้าก็ร้องไห้ แม้แต่พระอาทิตย์ก็ยังสลด แม้แต่ใบไม้ใบหญ้าทั้งหลายก็สีสันซีดเซียว อะไรก็แล้วแต่ พรรณาโวหารต่างๆ ซึ่งเป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ อาศัยพยัญชนะอาศัยภาษาคำพูด ออกมาให้คนได้รับซับซาบว่า นี่มันคั้นออกมาจากความรู้สึกสุดๆในจิตนะ นักวาทกรรมนักศิลปศาสตร์ นักอักษรศาสตร์พยายามสรรหาคำพูดมาสื่อความจริงในใจ

การแก้ความรู้สึกก็ไม่ต้องเหนียมอาย ไม่ต้องยักไว้ ร้องไห้เลย มันเป็นสิ่งที่ควร คนร้องไห้กับผู้ที่ควรร้องไห้ คุณได้เสียสิ่งที่ประเสริฐออกไปจริงๆ มันถึงขั้นจิตวิญญาณ ท่านประชวรเราก็ยังเสียใจเลย นี่ท่านสวรรคตลง คุณไม่ร้องไห้วันนี้คุณจะไปร้องไห้วันไหน พูดจริงๆ เลยนะ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมารู้ความจริงในสิ่งที่เป็นสัจจะ อาตมายังสะเทือนสะท้านใจเลย จริงๆ คือ ไหว หวั่นไหว จิตไหวน่ะ นึกออกไหม จิตไหวในแง่เชิงเศร้าโศก ปริเทว สะเทือนถึงขั้นโทมนัส

จะคลายทุกข์อย่างไร เมื่ออยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมา ไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังอะไร ใครจะไปรู้สึกน่าเกลียดน่าชังกับคนที่ร้องให้ในกรณีนี้ คนที่จิตใจชั่วเท่านั้นที่จะพูดอย่างนี้จะรู้สึกเช่นนี้ คนโง่เง่าเท่านั้นที่จะรู้สึกเช่นนี้ คนที่มีจิตแบบนี้คือคนจิตชั่ว ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เป็นคุณค่าประเสริฐที่สูญเสียไป คุณไม่อาลัยอาวรณ์ คุณไม่เกิดการเสียใจ คุณไม่โง่คุณก็ชั่วหรือคุณทั้งชั่วทั้งโง่ พูดจากความสัจจะความจริงไม่ได้ไปว่าใคร

เหตุการณ์นี้เป็นเหุตการณ์ที่จะเกิดอีกนานมากในแต่ละยุคหรือกาละที่จะเกิดความสะเทือนเลื่อนลั่น ฟ้าร้องไห้พวกเขาไหวสะเทือน ใบไม้ต้นไม้ซีดสลดหมด

ก็สิ่งที่เกิดคราวนี้ มันเป็นการส่อแสดงคนทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่บอกว่าไม่ค่อยเป็นมิตรสหายดีกับประเทศไทย ยังแสดงความรู้สึกออกมา แสดงเป็นอักษร แสดงเป็นสื่อออกมาของผู้ใหญ่ เขาเขียนข่าวไว้ มันมีไว้

ถ้าคุณได้แสดงออกไปก็จะรู้สึกคลาย ไม่ใช่เรื่องน่าอายเพราะเป็นสิ่งที่ควร อาตมาว่าได้อธิบายสัจจะทุกอย่างแล้วนะ คุณไปร้องไห้กับคนพูดหยาบๆ คนชั่วตาย แต่ใครจะไปร้องไห้ถ้าคนชั่วตาย มันสมควรไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้นคนที่ดีที่สุดแล้วสวรรคต แม้แต่คำเรียกตายก็ไม่ใช้ ใช้คำยกย่องเชิดชู ผู้ที่ไม่เสียน้ำตาเลยก็มี 2 อย่างคือชั่วและโง่

ก็ต้องพยายามปฏิบัติธรรมถึงจะคลายทุกข์ คนที่ไม่มีอาการ โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ก็ต้องเป็นคนมีวิชชา ต้องปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ต้องมีเงื่อนไขกำกับว่าต้องมีสัมมาทิฏฐิด้วย หากผู้ใดปฏิบัติได้ถูกต้องก็จะไม่ตกในห้วงของ โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ

การแสดงออกถึงทุกข์อย่างเก่งก็ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ใช่ว่าแสดงออกโดยการไปทำร้ายทุบตี นั่นก็บ้าเกินไป  ผู้ที่จะคลายทุกข์ได้ต้องมีหลักของพระพุทธเจ้า

ในองค์ธรรมที่จะไม่ให้เกิด โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ต้องปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติที่จิตถึงคลายทุกข์

อาตมาบอกได้ว่าอาตมาไม่ได้ทุกข์กรณีนี้ เหตุการณ์ที่ในหลวงต้องไปเพราะอายุขัยของท่านก็ 89 แล้ว ตัวเลข 89 เป็นธรรมะสอง เป็นฐานรองรับความสมบูรณ์แล้ว มีทั้งขั้นตอนและความจบอยู่ในตัว สิ่งที่เป็นอยู่ ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม(โลกุตระ) จะได้ใกล้ชิดในหลวงอีกในปางที่ท่านจะอุบัติขึ้นมาต่อไป ติดตามไปจะได้ร่วมอีกในอนาคต คนอายุน้อยๆจะโชคดี คนอายุมากก็จะเหมือนอชิตดาบส ที่ร้องไห้เมื่อพบเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพบแล้วก็กราบกุมารน้อยเลยแล้วร้องไห้ ทั้งที่เป็นดาบสเจ้าคณะ แต่เพราะว่าอายุมากแล้วเลยร้องไห้ พระเจ้าสุทโธทนะเลยบอกว่าทำไมถึงร้องไห้ น่าจะดีใจ ดาบสก็เลยบอกว่าที่ร้องไห้ก็ดีใจและเสียใจไปด้วย คือตนเองอายุมากแล้ว ก็จะอยู่ไม่นานนัก ไม่ได้ทันอยู่ฟังท่านประกาศธรรมะ ก็เลยร้องไห้

สิ่งต่างๆพวกนี้ สิ่งที่ควร ขนาดเป็นนักปฏิบัติธรรมขั้นใหญ่ก็กราบและร้องไห้เลย ไม่ผิดประหลาดอะไร ผู้ที่จะไม่ร้องไห้ได้ ก็ต้องมีพลังจิตอย่างแท้จริง พลังจิตอย่างมีปัญญา ศาสนาของพระพุทธเจ้าบรรลุทั้ง เจโตและปัญญา จิตเป็นได้จริง และปัญญาก็รู้ชัดเจน

ในเหตุการณ์นี้ ผู้ที่บรรลุพลังปัญญา จะระงับความร้องไห้ได้มากกว่าคนสายเจโต คนสายเจโตจะร้องไห้มากกว่าสายปัญญา สายปัญญาจะมีพลังกว่าสายเจโต  ปัญญานั้นรู้ได้มากกว่า คนที่เสแสร้งปัญญา ก็พอกันกับเจโต ไม่มีพลังยับยั้งหรอก นี่เป็นความหมายของนัยปัญญากับเจโต สื่อให้ฟัง

 

เหตุการณ์ของสาธารณโภคีเกิดทั่วประเทศไทย ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ในต่างจังหวัดก็มี แม้แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็พยายามจัดกัน จะเป็นพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก ที่ไหนก็เกิดการแจกอาหาร

วันนี้ชาวอโศกเราจะไปแจกอาหารใครไม่ไปยกมือ

ใครมีวัตถุดิบเตรียมไว้ ใครมีรถมีราเตรียมไว้ สถานที่กำลังติดต่อกันอยู่ ได้เมื่อไหร่พร้อมเมื่อไหรก็ไป หมุนเวียนกัน เราเคยชุมนุมมาแล้ว เป็นปี เราไม่มีใครตาย เกือบปี 309 วัน (ตอนแรกจำผิด) คราวโน้นเราไปลักษณะปราบ เหน็ดเหนื่อยเกือบตาย แต่คราวนี้คงไม่มีใครยิงเราหรอก

อยากจะขยายว่าความคุณความดี ความประเสริฐ มันยิ่งใหญ่กว่า โทษ เรื่องร้ายแรงแย่งชิง เบ่งอำนาจโหดร้ายต่างๆ มันทำแล้ว เราก็เลยต้องไปปราบ ไปสู้ ไปต้าน ขออภัย ขอพูดชัดๆเลย อย่าหาว่าคุยเลย อาตมานำพาพวกเราไปชุมนุมประท้วง

ชุมนุมครั้งล่าสุดอาตมาถึงขนาดบัญญัติลงไปว่าเป็นการชุมนุม Neoprotest มีลักษณะของ สงบ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น

เขาจะฆ่ากัน เขาจะรุนแรงกันใช้ปืนใช้ระเบิด เราออกไปทำให้สงบ เพราะเรามีประเด็นเดียว เราไปทำงานให้เกิดความสงบ เอาความสงบมาสยบความรุนแรง อาตมาก็ขอบอก คนไม่เข้าใจว่าเอาอะไรมาทำ เราก็บอกว่าเราเอาความสงบ เรามีดินน้ำลมไฟมีข้าวมีแกงประดามี ก็มารวมกัน เอามาให้เกิดพฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรม เราก็บอกว่าอย่ารุนแรง อย่าโหดร้าย อย่าฆ่าแกงกัน ให้ประนีประนอมกันมีอะไรก็พูดกัน ประสานกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้ได้ ต่อไปแสดงความรู้ความเห็นความเข้าใจความเป็นไปได้ แม้แต่พฤติกรรมจริงทางกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม มีวัตถุดิบข้าวของก็เอาไปช่วยกันเสียสละ ที่สำคัญคือเราก็ไปประท้วงประท้วงและประท้วง ให้คนสำนึกคนเข้าใจให้หยุดในสิ่งที่ไม่ดีที่ร้ายแรง ที่เอาชนะคะคาน เราทำแล้วจนผ่านมาทุกวันนี้ ถามว่าสำเร็จไหม ...เอาความสงบไปสยบความรุนแรงสำเร็จ แน่นอนว่ามีความสูญเสียบ้าง แม้แต่ที่สุดคนต้องตาย มีการเสียสละชีวิตบ้าง เสียวัตถุบ้าง แสดงออกในการทานการให้การช่วยเหลือคน เกิดผล

 

สมณะเดินดินว่า...พวกสายฤาษีก็บอกว่าไปทำให้ไม่สงบ แต่พวกสายฮาร์ดคอร์ก็บอกว่าเราไม่ออกไปลุยเอาแต่นั่งเฉยๆ

เราระงับการยั่วยุทั้งหลาย หลายอย่างแสดงถึงความยับยั้งความรุนแรงได้สำเร็จ เป็นผลสำเร็จที่เราเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแสดงต่อสาธารณชน สาธารณชนรับได้ นี่คือความสำเร็จของผู้ประพฤติธรรมะของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยแล้วดีไหม

เพราะฉะนั้นท่านทำดีแล้ว อนุโมทนาสาธุ เราก็จะได้ออกไปตาม ท่านนำเราไปแล้วดีแล้วล่ะเราจะได้ออกไปทำตามท่านบ้าง late better than never. นะ ขออภัยนะ พวกเราต้องอย่าไปแสดงความใหญ่ เราอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการ อย่าแสดงออกเบ่ง อะไรเป็นอันขาด ท่องไว้

อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ...คะแนนเต็ม 10  ให้ 11 เลย

อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ จำไว้เลยไปทำงานนี้ อย่าไปแสดงลักษณะฉันเป็นเจ้าของ พาทำ เป็นผู้รู้ ต่างๆนานา อย่าให้เกิด อาจมีคนแสดง เราก็เข้าใจ มันเป็นกรรมวิธีเกิดขึ้นที่จะปฏิบัติเป็นบทเรียนบทใหม่ บทเรียนนี้ จะต้องจัดการ เป็นรูปเรื่องรูปลักษณ์ที่ต่างจากเดิมนะ

สมณะเดินดินว่า...มีคนบอกว่า ผบ.ชน.ให้ข่าวว่า มิจฉาชีพช่วงนี้ก็ไม่ปรากฏ แสดงว่าพวกโจรก็รู้กาลเทศะ

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ที่ความดีงามที่มีราศีรังสี มีอำนาจให้คนชั่วทำชั่วไม่ออก คนชั่วจิตอ่อนลง คนชั่วน้ำตาไหล อาตมาเชื่อนะว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น ขอพูดให้ชัดว่าคนฝ่ายแดงหลายคน ไม่พูดถึงคนที่มีเชื้อชั่วบริบูรณ์ แต่คนที่ ไม่ใช่เชื้อชั่วถาวร มีเชื้อชั่วที่บริบูรณ์ ก็ไปตามลาภยศสรรเสริญเท่านั้น อาตมาว่า พวกแดงน้ำตาซึมร้องไห้ ไม่น้อย นั่นแหละให้คุณรู้ตัวว่าพวกคนไม่ใช่พวกนั้นให้ถอนตัวออกมา ปล่อยเขาไปถ้าเขามี DNA ชั่วรุนแรง มันเปลี่ยนยากแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ใช่บอกเลยว่าฝ่ายแดงคนใด เหตุการณ์ครั้งนี้ ในหลวงเสด็จสวรรคตคราวนี้ ใครร้องไห้ที่เป็นฝ่ายแดง รู้ตัวไว้เสร็จด้วยว่า พวกคุณไม่ใช่พวกแดง คุณเป็นพวกถูกหลอกให้อยู่กับพวกแดง ให้เขาจิกหัวใช้ให้ออกมาซะ ที่พูดนี้เป็นสัจจะของจิตวิญญาณ

สมณะเดินดินว่า...คำถามที่ว่าพ้นทุกข์ได้อย่างไร คนไปสนามหลวงบอกว่า ได้ไปที่สนามหลวงก็ได้กำลังใจได้คลายทุกข์ได้มากเลย ประโยชน์ของการได้พบพระโพธิสัตว์คือได้ความพ้นทุกข์ คนที่คิดถึงคนอื่นจะไม่ทุกข์เท่าไหร่ แต่คนที่ไม่คิดถึงแต่ตัวเองจะทุกข์มากกว่า คนคิดถึงคนอื่นจะไม่มีเวลาทุกข์

พ่อครูว่า...สรุปได้ว่า ใครเกิดความทุกข์ในใจขึ้นมา ให้หาทางไปรับใช้ผู้อื่น จะคลายทุกข์...พ่อครู 23 ต.ค. 2559

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1YP8ddKpnlAOeTylJ75CDY47bd09pokg_zI7ZoUW1wuo

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfQ1JjM1otMlREQlU

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/yr91bpnk56z/161023

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:49:15 )

591023

รายละเอียด

591023_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก การได้รับใช้คือวิธีคลายทุกข์

สมณะเดินดินว่า….วันนี้เป็นรายการวิถีอาริยธรรมที่สันติอโศก หลังจากกลับจากการสัญจรภาคอีสาน ภาค 2 ไปที่สวนป่านาบุญของคุณหมอเขียว มีคนมากันมากกว่า 500 คน หมอเขียวใช้เรื่องสุขภาพเป็นตัวนำให้คนมาปฏิบัติธรรม คนมาเพราะว่าอยากจะรักษาโรคทางร่างกาย แต่พ่อครูประกาศว่าจะรักษาโรคทางจิตใจคือโรคกิเลสคนกลับมาไม่มากเท่า หมอเขียวประกาศให้มาเข้าค่ายพระไตรปิฎก ซึ่งต้องมาฟังพระไตรปิฎก คนก็ยังมามาก

แล้วพ่อครูก็ไปที่ศรีโคตรบูรณ์ ก็สะดุดชื่อ ศรีคือความดี โคตรคือรากเหง้า บูรณ์คือความเต็มบริบูรณ์ ไปที่ 2 นี้พวกเด็กสื่อบ่นกันว่ามีของมาฝากเต็มแน่นรถเลย มีผลละหมากรากไม้อยู่ที่นี่อุดมสมบูรณ์ มีดินน้ำไฟลมรอบล้อมอย่างอุดมสมบูรณ์ สมชื่อศรีโคตรบูรณ์ เป็นชื่อของอาณาจักรเก่า

แต่วันนี้จะมีอะไรยิ่งกว่าที่ศรีโคตบูรณ์อีก พ่อครูได้เตรียมเอกสารมาสื่อให้พวกเราฟัง

พ่อครู... วันนี้ 23 ตุลาคม เป็นวันสำคัญของประเทศไทยวันหนึ่งเป็นวันปิยมหาราช พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงถือว่าเป็นวันปิยมหาราชเพราะว่ารัชกาลที่ 5 เป็นรัชกาลที่ได้รับการเทิดพระนามว่ามหาราชองค์หนึ่ง ในจำนวนมหาราชทั้งหมดเท่าที่ได้กำเนิดเกิดมาในประดาคนไทยเรานี้ ที่มีพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่รัชกาลที่1มามาจนถึงรัชกาลที่ 9 ก็มีตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ก็นับเป็นมหาราชองค์ที่ 1 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือพระปิยะมหาราช เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ มีผู้ทูลเกล้าถวายท่านแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประชาชนน้อมเกล้าถวาย ตอนยังทรงอยู่ท่านก็ว่าอย่าเพิ่งเลย แต่การถวายพระนามมหาราชประชาชนเป็นผู้ถวาย ไม่ใช่ตั้งเอง ถวายว่าเป็นพระภัทรมหาราช ถวายตั้งแต่ปี 2539

สิ่งเหล่านี้เกิดจากความเป็นจริง ของพระจริยวัตรของในหลวง พระเจ้าแผ่นดินแต่ละพระองค์ ท่านมีพระจริยวัตรที่ประชาชน ที่เป็นราษฎรของพระองค์ เขาจะต้องรู้ เขาจะต้องเห็น มันเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาตั้งแต่โบราณกาล คือคนเป็นสังคมหมู่กลุ่มก็มีหัวหน้า เป็นสัตว์โขลง ต้องมีหัวหน้าโขลง สัตว์ก็จะมีเช่นกันโดยปริยายเป็นสามัญ จะสามารถเป็นตัวนำ เป็นการรู้กันมันมีเซ้นส์ของมัน ถ้ายิ่งเป็นคนก็จะมีปฏิภาณความรู้มีปัญญา ที่จะสามารถกำหนดรู้ว่าอะไรมันดี อะไรประเสริฐ

คำว่าดี คำว่าประเสริฐ อาตมาสรุปรวมลงไปได้

2 คำใหญ่ๆ คือ

1. ความไม่เห็นแก่ตัวจริงๆเลย โดยที่กิเลสไม่มี พระอรหันต์ขึ้นไปไม่มีกิเลสไม่มีตัวตน นั่นคือคุณความดีงามของมนุษยชาติอันประเสริฐ

2. ประพฤติทำงานเพื่อประชาชน

คนไม่เห็นแก่ตัวแต่ไม่ทำงานการเพื่อประชาชนมันก็ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์อะไรแก่มนุษยชาติ คนทำงาน พยายามจะช่วยมนุษยชาติแต่มีกิเลสอย่างเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะทุกวันนี้ มีความเห็นแก่ตัวเยอะได้รู้ว่าการทำงานเพื่อประชาชนเป็นความดีความประเสริฐ นัยสำคัญที่ควรทำ ก็ใช้นัยสำคัญอันนี้ หลอกประชาชนว่าจะมาทำงานเพื่อประชาชน แต่ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้กิเลสมี มีความเฉลียวฉลาด เฉกา หลอกลวงแล้วทำการณ์ในสังคมทุกวันนี้ พฤติกรรมอย่างนี้เรียกกันในประเทศทุกประเทศในขณะนี้ ว่า ประชาธิปไตย

คำว่าประชาธิปไตยคือความดีงามความประเสริฐของพฤติกรรมในระบอบ ระบบ ระแบบ เป็นทฤษฎีหลักของมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยที่เป็นคนดีคนประเสริฐสูงสุด เป็นคนที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวจริงๆ จิตใจหมดกิเลสสิ้นสนิท ไม่มีกลับกลอกอีกเลยมีแต่ความจริงใจ ไม่มีกิเลสอีกเลย คือ 1

2. ทรงงาน พระพุทธเจ้าทำงานรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง

สองเส้านี้แหละ ไม่มีความเห็นแก่ตัวกับรับใช้ประชาชน รวมเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบครบ ทั้งความมีอำนาจ เป็นสาม

1. คือโลกาธิปไตย 2. คืออัตตาธิปไตย 3. ธรรมาธิปไตย

ความเหนือโลกาธิปไตยและอัตราที่ต่อไปคือความหมายของ ความดีความประเสริฐอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 ประการ

สามารถกำหนดรู้ความควรของหมู่บุคคลเรียกว่า  ปริสัญญุตา ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศหรือรัฐ แล้วเป็นสังคมรวมเป็นมวลแต่ละกลุ่ม  เอเซียนก็รวมกลุ่มกัน ในปริสัญญุตาในแต่ละมวลมีแต่ละบุคคล

ปุคคลปโรปรัญญุตา แต่ละบุคคลมีความดีความประเสริฐในแต่ละบุคคลมากหรือน้อย เมื่อมวลหรือ ปริสัญญุตา มวลประชาชนแต่ละกลุ่ม มีบุคคลแต่ละคนได้ประพฤติปฏิบัติจนมีคุณธรรม ได้ประพฤติปฏิบัติเป็นสังคมอาริยะ จะซ้อนแทรกอยู่ในแต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชน แต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัด แต่ละภาค แต่ละประเทศ ก็จะเกิดความจริง ความจริงของคนแต่ละคนที่มีความดีความประเสริฐจริงๆถึงรากเหง้า เป็นคนกิเลสก็ไม่เห็นแก่ตัว

นัยความไม่มีกิเลสของพระพุทธเจ้า เป็นนัยยะความไม่มีกิเลสที่มีธรรมะ 2 คือมีทั้งจิตใจที่ไม่มีกิเลสจริงๆและมีทั้งปัญญาที่รอบรู้จักสัปปุริสธรรม 7 คือรู้เนื้อแท้ของความดีแท้ๆ เรียกว่าอัตถะ

เนื้อแท้ของความดีคืออะไร องค์รวมของกลุ่มหมู่ที่เป็นค่าเฉลี่ย เรียกว่าธัมมะ ธัมมัญญุตา ดูค่าเฉลี่ยอันนั้นเรียกว่ามัตตัญญุตา คือการประมาณ รู้แม้กระทั่งตัวเราในหมู่นั้น ตัวเราก็เท่านี้ อัตตัญญุตา

อย่างอาตมาก็มีความจริงของอาตมาที่จะแสดง เป็นธรรมะโลกุตรธรรมและอารยธรรมจริงๆ ด้วย แต่คนในยุคนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ไว้ ในยุคต่อไปศาสนาพุทธจะเสื่อม คนจะไปนิยมในภาษาคำพูดโลกที่พูดเพราะๆสนใจเป็นไปเพื่อกิเลสอันไหนพูดให้ถูกกิเลสคน คนก็สนใจอันนั้น ส่วนคำพูดที่ขัดเกลาขัดกิเลสคนจะไม่ค่อยฟัง

อาตมาบรรยายธรรมะโลกุตรธรรมอารยธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ คนก็จะไม่ฟัง มาฟังกันน้อย ไม่สนใจเท่าไหร่ ตรงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเครื่องชี้บอกว่าสังคมในยุคนี้เสื่อมมากแล้ว

ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าจึงทำให้อาตมายิ่งต้องพากเพียรอุตสาหะ เพราะอาตมาเห็นความจริง ไม่พากเพียรก็น่าสงสารพวกเขา ไม่พากเพียรก็ไม่ได้เราต้องพากเพียรเพราะเราจะไปบังคับใครไม่ได้ ต้องพากเพียรจนคนสะดุดใจว่านี้น่าสนใจ น่าจะมีอิทธิบาทน่าจะทุ่มโถมใจ น่าจะพากเพียรเอามากกว่าที่ไปหลงใหลลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่มันไม่ใช่ความดีความประเสริฐความงดงามของมนุษยชาติเลย

แต่ต้องช้าแน่นอน เพราะคนมีกิเลสหนาเกินแล้ว อาตมาจึงต้องพากเพียรอุตสาหะไม่ท้อถอย เพราะอาตมาตั้งปณิธานมีจิตเป็นโพธิสัตว์มานานแล้ว อาตมาทำมา 46 ปียังได้ผลไม่เท่าไหร่ ก็ได้ผลมาระดับหนึ่งแค่นี้ แต่จะมาเห็นตามภูมิปัญญาที่มีตาทิพย์ ของอาตมาเอง เห็นว่า มีผลเพิ่มเติมขึ้นอยู่ และผลต่อต้าน แต่ก่อนนี้มีการต่อต้านมาก หนัก จะเอาถึงตายเลย แต่ตอนนี้เขาหมดแรงข้าวต้มก่อนอาตมา

แม้กระทั่งที่สุดอาตมาก็ขอพูดความจริงว่า อาตมาฝืนอายุขัย อายุขัยอาตมามี 72 ปี ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ อาตมามีสิทธิ์ที่จะพูดความจริง อาตมาไม่โกหกคน อาตมาไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับให้ใครเชื่อ ไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับให้คนเข้าใจ ความเข้าใจ ความเชื่อของแต่ละบุคคลเป็นของใครของมัน ทุกคนก็ฉลาดเท่าที่ตนเองโง่ คนก็โง่เท่าที่ตนเองฉลาด ข้อวินิจฉัยเอาเอง จะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่ อาตมามีหน้าที่ที่จะไขความจริง อย่างระมัดระวัง ไม่เอาความผิดความไม่ถูกต้องออกไป ทุกวันนี้ก็มีผิดพลาดบ้างส่วนใหญ่ก็เป็นสัญญาวิปลาส จิตกับทิฏฐิไม่วิปลาสแล้ว

จิตไม่วิปลาส เป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้วไม่มีจิตวิปลาส ส่วนทิฏฐิวิปลาสนั้นไม่มีแล้วตั้งแต่โสดาบัน เข้ากระแส โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ

วันนี้ก็จะประกาศให้พวกเราทำงาน แต่กองทัพธรรมเรานี่ช้าไปแล้วต๋อย เขาไปยึดพื้นที่หมดแล้ว แต่พวกเราได้ไปเจอท่านพลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ท่านเจอหน้าพวกเราก็บอกว่า ทำไมกองทัพธรรมไม่มากับพวกเขาเลย เราหน้าแหกเลย ตายๆๆ ทำไมเราช้าอย่างนี้

ก็เลยต้องมาบอกว่าให้เตรียมตัว พรุ่งนี้ (จะทันไหม) ทันเมื่อไหร่ก็เอา เป็นการให้สัญญาณ ว่าเราจะออกไป ไปทำตาม ที่คนไทยได้ตื่นตัว

อาตมาเป็นการเผลอก็ได้ เผลอชื่นชมกับคนไทย เผลอชื่นชม เห็นว่าลักษณะสาธารณโภคีเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย เจ้าพระคุณเอ๋ยก็ไล่แจกกันไป ใครจะเอาอะไรมาแจก โอ้โห ใครไม่เคยแจกก็มาแจก ใครขี้เหนียว ก็หายเหนียววันนี้ ขี้ยุ่ยกันคราวนี้ เป็นลักษณะธรรม

จึงเห็นความจริงว่าเมืองไทย มีการเห็นแก่มวลชนเห็นแก่สังคม การแสดงออกของประชาชนที่แสดงออกนี้ เป็นการบูชาเคารพกตัญญูกตเวที ในเรื่องของการเสียสละของสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช ก็มาแสดงความให้ สละ ความไม่เห็นแก่ตัว แต่ก่อนนี้คนเราก็อาจจะไม่มีทานมีน้ำใจ แต่เมื่อถึงวาระนี้ บางคนอาจจะขี้เหนียวด้วย ก็จะยอม ถวายเป็นพระราชกุศล เขาทำเขาได้กุศลของเขานะ แต่เขาก็ไม่ยอมให้ จนกระทั่งถึงวาระสำคัญนี้จึงยอมให้ มันเป็นพลังเป็นน้ำหนักของภาวะเคารพเทิดทูนกตัญญูกตเวทีต่อสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สุดยอด

อาตมาก็เลยบอกว่า ต้องขอขอบคุณท่านพลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ท่านมากระตุก ถ้าไม่มากระตุกก็เพลินในการชื่นชม อาตมาก็เผลอไปว่า ทำไมเราไม่ไปทำ เห็นคนอื่นเขาทำ ตอนนี้ก็แย่งที่กันอยู่ เราก็จะไปขอสถานที่เรามั่งเถอะ เราจะปักหลักถาวรด้วยนะ แต่ก่อนนี้เราไปชุมนุมไล่ปราบ เราก็ทำ แต่ตอนนี้จะไปชุมนุมแสดงออกซึ่งน้ำใจของคนไทย ของพวกเราชาวกองทัพธรรม ไปกตัญญูกตเวทีต่อพระเจ้าแผ่นดิน องค์พระโพธิสัตว์ ที่อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ อาตมาพูดจริง ใครเป็นโพธิสัตว์อาตมาก็รู้และขานชื่อขานนามกันอยู่ เราจะไปร่วมกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ ใครจะไปยกมือ นานนะ...

ก็เหมือนกับที่เราไปปักหลักชุมนุมทำไม่ได้ผลเราก็เลิก 359 วัน อาตมานิยมเลขคี่ แต่ถ้าเป็น 3579 ก็ครบเลย เพราะฉะนั้นเราไปเสริม 7 อาตมานี่คือ 7 อาตมาจะไปเสริม 359 ให้ครบ เป็น 3579 ไม่ได้ใบ้หวยนะ

วันนี้เป็นวันที่ 23 ตุลาคมซึ่งตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมในปี 2453 ชื่อวันปิยมหาราช เมื่อ 106 ปีก่อน วันจันทร์ อังคาร ….อาทิตย์ตรงกันหมดเลยในเดือนนี้ ตุลาคม 2559 กับ ตุลาคม 2453 เราก็รำลึกถึงพระเจ้าอยู่หัว ร.5 เราทำพิธีการทุกปี ทำมาตลอด ในปฏิทิน สุริยคติ ตรงกันหมดเลยก็มีคนตั้งข้อสังเกต เป็นความลงตัว

การลงตัวที่จะเป็นหนึ่งเดียวซ้ำกัน คือจากหลากหลายมาเป็นหนึ่งหรือสองได้ ไม่ใช่บังเอิญ แต่มีเหตุปัจจัยพร้อมมากมาย ทำไมพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน วันเดียวกันหมด แล้วอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่มีแผ่นดินไหวตอนเกิดหรอก แต่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์อย่างพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติมีแผ่นดินไหว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นอย่างนี้ทุกพระองค์ที่จะอุบัติขึ้นมา

การลงตัวกันทั้งรูปทั้งนามทั้งเหตุปัจจัยองค์ประกอบต่างๆพร้อม ผู้มีญาณทัศนะวิเศษก็พอรู้องค์ประกอบ จึงบอกได้ว่าอันนี้คืออันนี้ ไม่ใช่พยากรณ์ เป็นเหตุปัจจัยเป็นความรู้ยิ่งของแต่ละท่าน ว่านี้คือหนึ่งบวกหนึ่งบวกสองก็คือ 4 ท่านจะรู้องค์รวมเลยตอบได้ตรง

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านเห็นโกลิตะกับอุปติสสะ เดินมาก็บอกว่าคือคู่พระอัครสาวกซ้ายกับขวามาแล้ว คนนี้คือสารีบุตรคนนี้คือโมคคัลลานะก็บอกชื่อได้เลย

ของเราแม้จะช้าไปนิดหนึ่งให้พลตำรวจเอกอัศวินมาสะกิด ก็ขอบคุณ แล้วเราก็จะนัดแนะ ไปตั้งเต๊นท์ เราก็แจกอาหารเก่ง หนึ่งในตองอูเหมือนกันจนพลตำรวจเอกอัศวินยังรู้กิตติศัพท์เลย ก็เลยบอกว่าทำไมเราไม่มา เราก็ช้าไปหนึ่งก้าวเพราะฉะนั้นก็รีบเลย ก็บอกกันให้รู้ตัว

คำว่าสาธารณโภคีเปิดวงกว้าง คือเราไม่ตีกรอบ เช่น ถ้าเราเอาแบบพวกเรา เช่นงานโรงบุญ 5 ธันวาฯ เราไม่เปิดรับบริจาคจากคนอื่น เราถือว่าเราเทิดทูนบูชาโดยเสด็จพระราชกุศลในการทำกุศล ไปแจกอาหารมังสวิรัติ ทำกันทั้งเดือนธันวาคมเลย เราไม่เรียกโรงทาน เราเรียกโรงบุญ แจกอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก เราทำกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525

เราเคยตั้งเต๊นท์แจกอาหารมังสวิรัติที่ลานพระรูป ลือลั่นจนตั้งแต่บัดนั้น เราก็ทำกันมา เรื่องของการให้ทานอาหารมันเป็นเรื่องหลัก เป็นเรื่องยินดี ทางอินเดียตั้งโรงทานกันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรมเป็นการแสดงออกในน้ำใจของคน ที่อยากเอื้อเฟื้อเจือจานช่วยเหลือกัน ซึ่งเป็นความดีความประเสริฐของมนุษยชาติ ซึ่งลงที่คำว่า ทาน ให้

อะไรก็ตาม พฤติกรรมใดในโลก มารวมกันตรงที่การทานการให้ คนเราเป็นสัตว์โลกเหมือนเดรัจฉาน เดรัจฉานเราจะให้อะไรมันก็ให้อาหาร ถ้าเอาเพชรเอาทองคำไปให้มันมันก็ไม่เอา เอาปริญญาบัตรไปให้มันมันก็ไม่เอา ต้องอาหารที่มันกิน ไปเอาหญ้ามาให้โง่ก็ไม่ได้ต้องเอาเนื้อไปให้มันมันจะเอาเลย เพราะฉะนั้นการให้อาหาร กวฬิงการาหาร จึงเป็นต้นทางของการให้ตั้งแต่เริ่มสัตว์ไปจนถึงคนเลย

อาหารที่เป็นหนึ่งในโลกคือกวฬิงการาหาร ตั้งแต่โลกียะถึงโลกุตระ คุณสามารถเรียนรู้การลดกิเลสได้ในอาหารการกิน เรียกเกิดภาษาองค์รวมว่าโภชเนมัตตัญญุตา หรือมัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง ภาษาว่าโภชเนมัตตัญญุตาเป็นภาษาในจรณะ 15 คือการปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อคือ สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ 3 ข้อนี้ถ้าผู้ใดเรียนรู้ในพฤติกรรม 3 อย่างนี้ แนวปฏิบัติอย่างมีภูมิปัญญา จะลดกิเลส ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าหลักการของพระพุทธเจ้าทางพุทธศาสนา หรือพุทธศาสตร์ บรรลุสูงสุดเป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าปฏิบัติอยู่ในกรอบนี้ไม่มีผิด

แต่ถ้าปฏิบัติต่างไปจากหลักสามเส้านี้ เช่นไม่มีการสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่มีการพิจารณาจากอาหาร กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร กิเลสอยู่ในนั้นหมด คุณจบกิเลสแล้วก็ยังต้องกินอาหารไม่เลิก คุณไปปฏิบัติกับอบายมุขต่างๆ ก็ไม่ต้องมีมันตลอดชาติตัดขาดจนตายเลยก็ได้ แม้กามเป็นอนาคามีชนก็เลิกเลย ไม่ต้องสุขทุกข์กับมัน ยิ่งเป็นอรหันต์ก็หมดรูปภพ อรูปภพ

ผู้ใดไม่รู้จักการพิจารณาจากอาหาร อาตมาเคยถูกพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ว่าอาตมาว่า ดูถูกอาตมา ว่า พระอะไรมาประกาศว่าบรรยายธรรมะขั้นโลกุตระ เอาแต่พูดเรื่องกิน ตะกละตะกรามเรื่องกิน ไม่ไปนั่งสมาธิ เขาไม่ประสีประสากับศาสนาพุทธเลย

อาตมาก็รู้สึกสงสารชาวพุทธประเทศไทย ที่ไม่รู้จักจัดการ การเสพรสการสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่ตนเองเสพติด เช่นยังสัมผัสติดน้ำปานะ ก็ไปหลงว่าพระองค์นี้คืออรหันต์ ติดน้ำปานะยังรู้ยากกว่าติดหมากพลูบุหรี่ อย่างหลวงปู่แหวน ไม่ได้ลบหลู่แต่พูดวิชาการ เป็นปรากฏการณ์วิทยาอ้างอิงได้ ไม่ได้ลบหลู่ คืออาตมาเคารพในความมักน้อยสันโดษ ที่ฤาษีดาบสก็ทำด้วย อย่างหนักคือพวกเชน มักน้อยสันโดษผ้าก็ไม่นุ่ง โกนผมไม่ใช้มีดโกน ถอนเอาเลือดโทรมหัวเลย พุทธสู้เรื่องมักน้อยสันโดษของเชนไม่ได้ จึงเอาประเด็นเรื่องความมักน้อยสันโดษมาตัดสินความเป็นอรหันต์ไม่ได้ แล้วที่ยังติดยึดหมากพลูบุหรี่อยู่ก็ไปนับถือกันว่าเป็นอรหันต์ ท่านสงบได้ แต่ไม่ได้บรรลุวิปัสสนาญาณของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ได้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีการสัมผัสทางออกทวารครบ ไม่มีศีล เป็นเบื้องต้นในจรณะ 15 ไม่มีอปัณกปฏิปทา 3 ไม่มีสำรวมอินทรีย์ 6 ในภาคปฏิบัติ แต่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ อาตมาพูดมา 46 ปีพวกนั่งหลับตายังไม่ตื่นรู้เลย ไม่เข้าหูไม่เข้าใจแน่ไม่ต้องพูดถึงการเข้าถึงเลย ตัดทิ้งไป ไม่ได้แน่

ผู้ไม่มีจรณะ ไม่มีศีล ไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีชาคริยานุโยคะ แล้วจะเกิดศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา คือสัทธรรม 7 ในจรณะ 15 และมี ฌาน 1-4 รวมแล้ว เป็นจรณะ 15

ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าตั้งอยู่ในร่องในรอยของจรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือวิชชาจรณสัมปันโน ซึ่งเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้จรณะ 15 ก็ไม่มี มีกระปริดกระปรอย ไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่เป็นเนื้อหา ขาดวิ่นตกหล่น จึงไม่เกิดผลอันควรจะได้ในการปฏิบัติ

อาตมาได้พูดไปแล้วว่า แม้แต่เถรสมาคมก็เสื่อมไปแล้ว ถ้าเถรสมาคมมีสัมมาทิฏฐิมีพลวัตอยู่สังคมก็จะไม่เป็นอย่างนี้ แต่นี่ไม่มีน้ำยาแล้ว

พ่อครูไอ ...ส.เดินดินเสริมว่า พ่อครูเปิดประเด็นเรื่องการรับบริจาคไว้ยังไม่จบ

พ่อครูว่า...คราวนี้เราจะรับบริจาคจากคนอื่นภายนอกด้วยเหมือนเมื่อมีเหตุการณ์ที่เราต้องไปทำงานกับองค์รวมของประเทศ อย่างเช่นที่เราไปชุมนุมครั้งที่แล้วเราก็เปิดกว้าง เราจะปักหลักแจกอาหารหรือบริการต่างๆ ด้วยทุนรอนของชาวอโศกเองเราไม่พอ ไม่ทัน เราจึงเปิดกว้างเพราะกรอบของการปฏิบัติเป็นเช่นนั้น คราวนี้ก็เช่นกัน เราจะแจกอาหาร อย่างน้อยทำสองอย่างคือ 1 แจกอาหารมังสวิรัติ 2 เก็บขยะ แม้แต่กระทั่งดูแลอุจจาระ เราจะมีส้วม ไปด้วย เข้าไปปักหลักชุมนุมประท้วงจนเรามีฝีมือในการสร้างส้วมพราวรุ้ง

ในบารมี 10 ทัศ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน

หมวดแรกคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา คือประพฤติให้มีศีลเป็นหลักแล้วชำระกิเลสออกแล้วก็มีปัญญา คือต้องทำสามอย่างคือ ศีล เนกขัมมะ ปัญญาเพื่อให้เกิดการทาน เอากิเลสออก

หมวดสองคือ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน คือวิริยะกับขันติ ให้ครบสัจจะ ทั้งสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ จะย่อหย่อนเมื่อไหร่ก็ตั้งจิตตั้งอธิษฐานให้เกิดพลัง เสริมทัพหลวงคือทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ทัพเสริมคือ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน

ทั้งทัพหลวง ทัพเสริมทำให้เกิด เมตตา กับ อุเบกขา

ผู้ที่มีสาธารณโภคีมีเมตตา (มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม) อุเบกขาทำให้เกิดลาภโดยธรรม ลาภธัมมิกา เพื่อมนุษยชาติ ในสาราณียธรรม 6

มีสาธารณโภคี จะเกิดการแสดงสาธารณโภคีที่เป็นลาภโดยธรรม คนที่เป็นทายกก็ได้ลาภ คนที่เป็นปฏิคาหกก็แสดงออก การแจกอาหารคือพฤติกรรมของผู้ให้ ไล่แจกเลย เหนื่อยก็จะไม่เหนื่อย เพราะมีใจที่จะให้ ผู้รับก็รับด้วยอิ่มใจ

 

แล้วผลที่ว่านั้นคนเข้าใจไม่ได้ ขออภัยไม่ได้พูดทวงบุญคุณอะไร อาตมาถูกด่าว่า นักปฏิบัติธรรมขี้หมาอะไรออกไปยุ่งกับการเมืองเขา ออกไปประท้วงไม่ใช่หน้าที่ของนักปฏิบัติธรรม จะเป็นตัวเชื้อให้เกิดความรุนแรงวุ่นวาย ถูกของเขา แต่ผิดตรงที่ว่าหน้าที่ของนักปฏิบัติธรรมต้องไปทำให้เกิดความไม่วุ่นวาย ให้เกิดความสงบ ก็คือคุณไม่กล้าออกไปใช่ไหม

สมณะเดินดินว่า...พวกสายฤาษีก็บอกว่าไปทำให้ไม่สงบ แต่พวกสายฮาร์ดคอร์ก็บอกว่าเราไม่ออกไปลุยเอาแต่นั่งเฉยๆ

เราระงับการยั่วยุทั้งหลาย หลายอย่างแสดงถึงความยับยั้งความรุนแรงได้สำเร็จ เป็นผลสำเร็จที่เราเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแสดงต่อสาธารณชน สาธารณชนรับได้ นี่คือความสำเร็จของผู้ประพฤติธรรมะของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยแล้วดีไหม

เพราะฉะนั้นท่านทำดีแล้ว อนุโมทนาสาธุ เราก็จะได้ออกไปตาม ท่านนำเราไปแล้วดีแล้วล่ะเราจะได้ออกไปทำตามท่านบ้าง late better than never. นะ ขออภัยนะ พวกเราต้องอย่าไปแสดงความใหญ่ เราอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการ อย่าแสดงออกเบ่ง อะไรเป็นอันขาด ท่องไว้

อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ...คะแนนเต็ม 10  ให้ 11 เลย

อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ จำไว้เลยไปทำงานนี้ อย่าไปแสดงลักษณะฉันเป็นเจ้าของ พาทำ เป็นผู้รู้ ต่างๆนานา อย่าให้เกิด อาจมีคนแสดง เราก็เข้าใจ มันเป็นกรรมวิธีเกิดขึ้นที่จะปฏิบัติเป็นบทเรียนบทใหม่ บทเรียนนี้ จะต้องจัดการ เป็นรูปเรื่องรูปลักษณ์ที่ต่างจากเดิมนะ

สมณะเดินดินว่า...มีคนบอกว่า ผบ.ชน.ให้ข่าวว่า มิจฉาชีพช่วงนี้ก็ไม่ปรากฏ แสดงว่าพวกโจรก็รู้กาลเทศะ

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ที่ความดีงามที่มีราศีรังสี มีอำนาจให้คนชั่วทำชั่วไม่ออก คนชั่วจิตอ่อนลง คนชั่วน้ำตาไหล อาตมาเชื่อนะว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น ขอพูดให้ชัดว่าคนฝ่ายแดงหลายคน ไม่พูดถึงคนที่มีเชื้อชั่วบริบูรณ์ แต่คนที่ ไม่ใช่เชื้อชั่วถาวร มีเชื้อชั่วที่บริบูรณ์ ก็ไปตามลาภยศสรรเสริญเท่านั้น อาตมาว่า พวกแดงน้ำตาซึมร้องไห้ ไม่น้อย นั่นแหละให้คุณรู้ตัวว่าพวกคนไม่ใช่พวกนั้นให้ถอนตัวออกมา ปล่อยเขาไปถ้าเขามี DNA ชั่วรุนแรง มันเปลี่ยนยากแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ใช่บอกเลยว่าฝ่ายแดงคนใด เหตุการณ์ครั้งนี้ ในหลวงเสด็จสวรรคตคราวนี้ ใครร้องไห้ที่เป็นฝ่ายแดง รู้ตัวไว้เสร็จด้วยว่า พวกคุณไม่ใช่พวกแดง คุณเป็นพวกถูกหลอกให้อยู่กับพวกแดง ให้เขาจิกหัวใช้ให้ออกมาซะ ที่พูดนี้เป็นสัจจะของจิตวิญญาณ

_มีเรื่องที่มีคนถามมาว่า ทำอย่างไรให้คลายทุกข์ มีกลยุทธ์หรือวิธีการอย่างไร สำคัญเหมือนกัน ที่จะให้เกิดรู้สึกคลายได้

อยากให้มีเทศน์เรื่อง "ทำอย่างไร ให้คลายทุกข์จากความรู้สึกสูญเสียในหลวง" ค่ะ  หลายๆคนในกลุ่มอุโบสถศีลขอมาค่ะ บอกว่า มันรู้สึกไม่คลายซักที บีบหัวใจ ประมาณนี้ค่ะ

ตอบ...ใครที่เกิดความทุกข์ความเสียใจอยากจะร้องไห้ก็แสดงออกให้เต็มที่ร้องไห้ให้เต็มที่ เพราะเราเสียใจในสิ่งที่ควรเสียใจ ก็ควรจะแสดงออกถึงความเสียใจ ในสิ่งที่ไม่น่าเสียใจคุณยังถูกหลอกให้เสียใจได้เลย แต่นี่คือสิ่งที่ควรเสียใจใช่ไหม คนที่ไม่เสียใจนี่สิ คือคนที่ไม่รู้จักความจริงไม่มี มหาปเทส 4 ไม่รู้สิ่งควรในสิ่งที่ไม่ควร และไม่รู้สิ่งที่ควรในสิ่งที่ควร คุณควรเสียใจในสิ่งที่ควร

แม้แต่คนต่างประเทศ เขายังมาร่วมเสียใจด้วย ทั้งที่เขาเป็นคนต่างประเทศ คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า ขอถามย้ำ ทั่วโลกแต่ละประเทศแสดงความเสียใจทั้งนั้นยกเว้นคนชั่วที่ไม่รู้จักความเป็นจริง ในสำนวนโวหาร วาทกรรม ที่ว่า แม้แต่ฟ้าก็ร้องไห้ แม้แต่พระอาทิตย์ก็ยังสลด แม้แต่ใบไม้ใบหญ้าทั้งหลายก็สีสันซีดเซียว อะไรก็แล้วแต่ พรรณาโวหารต่างๆ ซึ่งเป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ อาศัยพยัญชนะอาศัยภาษาคำพูด ออกมาให้คนได้รับซับซาบว่า นี่มันคั้นออกมาจากความรู้สึกสุดๆในจิตนะ นักวาทกรรมนักศิลปศาสตร์ นักอักษรศาสตร์พยายามสรรหาคำพูดมาสื่อความจริงในใจ

การแก้ความรู้สึกก็ไม่ต้องเหนียมอาย ไม่ต้องยักไว้ ร้องไห้เลย มันเป็นสิ่งที่ควร คนร้องไห้กับผู้ที่ควรร้องไห้ คุณได้เสียสิ่งที่ประเสริฐออกไปจริงๆ มันถึงขั้นจิตวิญญาณ ท่านประชวรเราก็ยังเสียใจเลย นี่ท่านสวรรคตลง คุณไม่ร้องไห้วันนี้คุณจะไปร้องไห้วันไหน พูดจริงๆ เลยนะ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมารู้ความจริงในสิ่งที่เป็นสัจจะ อาตมายังสะเทือนสะท้านใจเลย จริงๆ คือ ไหว หวั่นไหว จิตไหวน่ะ นึกออกไหม จิตไหวในแง่เชิงเศร้าโศก ปริเทว สะเทือนถึงขั้นโทมนัส

จะคลายทุกข์อย่างไร เมื่ออยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมา ไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังอะไร ใครจะไปรู้สึกน่าเกลียดน่าชังกับคนที่ร้องให้ในกรณีนี้ คนที่จิตใจชั่วเท่านั้นที่จะพูดอย่างนี้จะรู้สึกเช่นนี้ คนโง่เง่าเท่านั้นที่จะรู้สึกเช่นนี้ คนที่มีจิตแบบนี้คือคนจิตชั่ว ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เป็นคุณค่าประเสริฐที่สูญเสียไป คุณไม่อาลัยอาวรณ์ คุณไม่เกิดการเสียใจ คุณไม่โง่คุณก็ชั่วหรือคุณทั้งชั่วทั้งโง่ พูดจากความสัจจะความจริงไม่ได้ไปว่าใคร

เหตุการณ์นี้เป็นเหุตการณ์ที่จะเกิดอีกนานมากในแต่ละยุคหรือกาละที่จะเกิดความสะเทือนเลื่อนลั่น ฟ้าร้องไห้พวกเขาไหวสะเทือน ใบไม้ต้นไม้ซีดสลดหมด

ก็สิ่งที่เกิดคราวนี้ มันเป็นการส่อแสดงคนทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่บอกว่าไม่ค่อยเป็นมิตรสหายดีกับประเทศไทย ยังแสดงความรู้สึกออกมา แสดงเป็นอักษร แสดงเป็นสื่อออกมาของผู้ใหญ่ เขาเขียนข่าวไว้ มันมีไว้

ถ้าคุณได้แสดงออกไปก็จะรู้สึกคลาย ไม่ใช่เรื่องน่าอายเพราะเป็นสิ่งที่ควร อาตมาว่าได้อธิบายสัจจะทุกอย่างแล้วนะ คุณไปร้องไห้กับคนพูดหยาบๆ คนชั่วตาย แต่ใครจะไปร้องไห้ถ้าคนชั่วตาย มันสมควรไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้นคนที่ดีที่สุดแล้วสวรรคต แม้แต่คำเรียกตายก็ไม่ใช้ ใช้คำยกย่องเชิดชู ผู้ที่ไม่เสียน้ำตาเลยก็มี 2 อย่างคือชั่วและโง่

ก็ต้องพยายามปฏิบัติธรรมถึงจะคลายทุกข์ คนที่ไม่มีอาการ โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ก็ต้องเป็นคนมีวิชชา ต้องปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ต้องมีเงื่อนไขกำกับว่าต้องมีสัมมาทิฏฐิด้วย หากผู้ใดปฏิบัติได้ถูกต้องก็จะไม่ตกในห้วงของ โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ

การแสดงออกถึงทุกข์อย่างเก่งก็ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ใช่ว่าแสดงออกโดยการไปทำร้ายทุบตี นั่นก็บ้าเกินไป  ผู้ที่จะคลายทุกข์ได้ต้องมีหลักของพระพุทธเจ้า

ในองค์ธรรมที่จะไม่ให้เกิด โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ต้องปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติที่จิตถึงคลายทุกข์

อาตมาบอกได้ว่าอาตมาไม่ได้ทุกข์กรณีนี้ เหตุการณ์ที่ในหลวงต้องไปเพราะอายุขัยของท่านก็ 89 แล้ว ตัวเลข 89 เป็นธรรมะสอง เป็นฐานรองรับความสมบูรณ์แล้ว มีทั้งขั้นตอนและความจบอยู่ในตัว สิ่งที่เป็นอยู่ ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม(โลกุตระ) จะได้ใกล้ชิดในหลวงอีกในปางที่ท่านจะอุบัติขึ้นมาต่อไป ติดตามไปจะได้ร่วมอีกในอนาคต คนอายุน้อยๆจะโชคดี คนอายุมากก็จะเหมือนอชิตดาบส ที่ร้องไห้เมื่อพบเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพบแล้วก็กราบกุมารน้อยเลยแล้วร้องไห้ ทั้งที่เป็นดาบสเจ้าคณะ แต่เพราะว่าอายุมากแล้วเลยร้องไห้ พระเจ้าสุทโธทนะเลยบอกว่าทำไมถึงร้องไห้ น่าจะดีใจ ดาบสก็เลยบอกว่าที่ร้องไห้ก็ดีใจและเสียใจไปด้วย คือตนเองอายุมากแล้ว ก็จะอยู่ไม่นานนัก ไม่ได้ทันอยู่ฟังท่านประกาศธรรมะ ก็เลยร้องไห้

สิ่งต่างๆพวกนี้ สิ่งที่ควร ขนาดเป็นนักปฏิบัติธรรมขั้นใหญ่ก็กราบและร้องไห้เลย ไม่ผิดประหลาดอะไร ผู้ที่จะไม่ร้องไห้ได้ ก็ต้องมีพลังจิตอย่างแท้จริง พลังจิตอย่างมีปัญญา ศาสนาของพระพุทธเจ้าบรรลุทั้ง เจโตและปัญญา จิตเป็นได้จริง และปัญญาก็รู้ชัดเจน

ในเหตุการณ์นี้ ผู้ที่บรรลุพลังปัญญา จะระงับความร้องไห้ได้มากกว่าคนสายเจโต คนสายเจโตจะร้องไห้มากกว่าสายปัญญา สายปัญญาจะมีพลังกว่าสายเจโต  ปัญญานั้นรู้ได้มากกว่า คนที่เสแสร้งปัญญา ก็พอกันกับเจโต ไม่มีพลังยับยั้งหรอก นี่เป็นความหมายของนัยปัญญากับเจโต สื่อให้ฟัง

ผู้ปฏิบัติธรรมที่เรียนรู้สัมมาทิฏฐิของพุทธเจ้าแล้ว ตามหลักปฏิจจสมุปบาท โพธิปักขิยธรรม 37 เรียกว่าโลกุตระธรรม 37 เมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดโลกุตรธรรม 9

มีสติปัฏฐาน 4 มีอิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4

สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน สํารวมอินทรีย์ 6 เป็นหลักปฏิบัติจนประหารกิเลสได้ ตามความพากเพียรอุตสาหะ ปฏิบัติได้ผล ภาวนาปธาน แล้วมีอนุรักขนาปธานรักษาผลสั่งสมไปเรื่อยๆ ให้อเนญชา ใครสัมมาทิฏฐิจริง เกิดโพธิปักขิยธรรมจริงจะเกิด โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ….อรหัตตมรรค อรหัตตผล ในพระไตรฯ ล.31 ข.620 โลกุตระ 46

ก็ต้องขอพูดสิ่งที่ดีที่จะเอามาบอก สิ่งใดไม่ดีไม่เอามาบอก อาตมากลัวบาป

_มีคนเขียนมา...เป็นบุญของหนูที่ได้กราบพ่อท่านเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกหนูเคยได้กราบพ่อท่านในตอนชุมนุม ประทับใจเพลงที่พ่อท่านแต่ง เช่นฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ตั้งแต่ 40 กว่าปีก่อน ตอนเรียนอยู่เป็นนักเรียน อยากถามพ่อท่านว่า เหตุที่มาของบทเพลง ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง

ตอบ...อาตมาเอาเพลงมาเกี่ยวข้อง เพลงเป็นเรื่องลึกซึ้ง ศาสนาพุทธไม่ให้พระร้องเพลง แต่ยุคนี้ไม่ไหวต้องใช้เพลง ต้องใช้ในพิธีการ ต้องให้พระร้องเพลง เพราะพระร้องเพลงได้ดีกว่าคนร้องเพลง เลยต้องให้พระร้องเพลงกัน อาตมาก็ปรามก็ว่า อย่าไปร้องเพลงด้วยเสียงอันยาว พระพุทธเจ้าห้าม แต่ก็เข้าใจยุคสมัย ว่าต้องใช้เป็นเรื่องคลายบรรยากาศ อารมณ์ พระไปร้อง (ขออภัยสวดมนต์) สวดด้วยเสียงอันยาว อาตมาไม่เก่งเท่า อาตมาเคยเป็นนักร้องรุ่นเดียวกับสุเทพ วงค์กำแหง ก็พูดกันอย่างเพื่อนๆกันได้ เอ็งข้า กูมึง(แต่อาตมาไม่ถึงกับพูดกู)ได้ ก็รู้อยู่ว่าเป็นภาษาจริงใจ

เพลงนี้ นัยยะ คือพระเอกเป็นคนต่ำ นางเอกเป็นคนสูง คือคนรวยมีฐานะมียศชั้น แต่พระเอกเป็นคนบ้านนอก เดินทางมาในกรุงกับรถไฟ อาตมาก็แต่งเพลงรถไฟด้วย อาตมาก็เอามาแต่งเป็นเพลง เขาว่าฟ้าสูง แต่อาตมาแต่งนี้มีนัยโลกุตระ ตอนนั้นปฏิบัติธรรมแล้ว พ.ศ.2512 ตอนนั้นอาตมาเป็นดารา รัก รักษ์พงษ์นะ ก็แต่งเสื้อขาวนุ่งขาสั้น เดินเข้าเดินออกโรงหนังเฉลิมไทย ตอนนั้นจะลาออกอยู่แล้ว

ที่อาตมาแต่งมีนัยยะของโลกุตระโดยไม่รู้ตัว ซับซ้อนลึกซึ้งตรงที่ว่าจิตที่อิสระแล้ว มันเหนือชั้นกว่าต่ำกว่าสูง แต่มันรู้ดี มันเหนือกว่าต่ำกว่าสูง มันรู้จักระดับต่ำและสูง ก็สามารถเข้าออกไปมาได้ตลอด อยู่กับความต่ำและสูงได้หมดโดยโลกุตรธรรม

หัวใจมันกล้า แดนฟ้าต่ำ ดินสูงได้ไม่นึกกลัว

ในอัลบั้มเพลง ความลับของฟ้าก็มีคำว่าฟ้าอยู่ในนั้น หมดทุกเพลงทั้ง 12 เพลง

 

_สิกขมาตุเทียนคำเพชรถามว่า ชีวิตนี้ถ้าไม่ได้มาพบพ่อท่านและไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางนี้ดิฉันก็คงจะมีแต่ความโศกเศร้าว้าเหว่วังเวง (ไม่ใช่แบบอยากมีคู่นะคะ)ว่าชีวิตนี้ เมื่อจากโลกนี้ไปจะมีอะไรเป็นที่พึ่ง ดิฉันได้บ้างแล้วที่พึ่งอันนั้น ทันทีที่ทราบข่าวการจากไปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใจหาย ในการจากของพระองค์ แต่เราไม่เสียใจ เพราะท่านได้บำเพ็ญบารมีมาเหน็ดเหนื่อยหนักหนามากแล้ว ควรแล้วที่ท่านจะได้พัก แต่ท่านก็ได้สร้างสมบัติให้มากมายไว้แก่มวลชนประเทศนี้และประเทศอื่นด้วย งานของพระองค์ต้องการคนสืบต่อ ประเทศชาติจึงจะเจริญ แต่การสืบต่อนั้นถ้าเป็นคนปุถุชนคงเห็นว่าไปได้ไม่เท่าไหร่ เพราะจะไม่ทำแบบคนจนและเสียสละอย่างต่อเนื่อง คงจะให้พ่อท่านได้นำพาพวกเราไปทำต่อ (ไม่กล้าเขียนอะไรลึกๆที่จิตคิด เดี๋ยวจะกลายเป็นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) งานต่อไปของพ่อท่าน คงต้องหนักวันนั้น จิตคิดเห็นเลยว่างานของพระองค์ท่านเป็นงานของพระโพธิสัตว์ เมื่อท่านจากไปงานของพระโพธิสัตว์ที่ยังเหลือก็คงจะต้องหนัก เป็นอันว่าดิฉันโชคดีที่ได้อยู่ตรงนี้ขอร่วมงานด้วยจิตที่มุ่งมั่นเต็มที่ค่ะ

พ่อครูว่า...ใครจะมีจิตมุ่งมั่นเหมือนสิกขมาตุเทียนคำเพชรยกมือ

สมณะเดินดินว่า...คำถามที่ว่าพ้นทุกข์ได้อย่างไร คนไปสนามหลวงบอกว่า ได้ไปที่สนามหลวงก็ได้กำลังใจได้คลายทุกข์ได้มากเลย ประโยชน์ของการได้พบพระโพธิสัตว์คือได้ความพ้นทุกข์ คนที่คิดถึงคนอื่นจะไม่ทุกข์เท่าไหร่ แต่คนที่คิดถึงแต่ตัวเองจะทุกข์มากกว่า คนคิดถึงคนอื่นจะไม่มีเวลาทุกข์

พ่อครูว่า...สรุปได้ว่า ใครเกิดความทุกข์ในใจขึ้นมา ให้หาทางไปรับใช้ผู้อื่น จะคลายทุกข์...พ่อครู 23 ต.ค. 2559

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:54:36 )

591024

รายละเอียด

591024_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของประเทศไทย

คุณเปลว สีเงินว่า.."คนรุ่นใหม่" จะโตไปพร้อมคำว่า "ไทยกับสถาบัน".

พ่อครูว่า ...อาตมาก็ต่อเลยว่า ไทยกับสถาบันต้องอยู่เป็นคู่กันตลอด และขอยืนยัน ประชาธิปไตยสองขาก็คือ ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์

ขออภัยไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่พูดเป็นวิชาการ พระมหากษัตริย์บางพระองค์ไม่ได้ทรงทศพิธราชธรรมก็ไม่ได้รับการนับถือใช่ไหม พระจริยวัตรของท่านไม่ดีงาม ประชาชนก็ไม่เคารพยกย่อง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่มีทศพิธราชธรรม มีพระจริยวัตรประเสริฐวิเศษเป็นอาริย เป็นสิ่งที่เป็นโลกุตระธรรม ดังเช่นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ของเรา ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาก็บอกมาตอนต้น อาตมาก็หยิบพระราชดำรัสของพระองค์ว่าทรงดำริ และดำรัสเช่นนี้อาตมาก็ขยายความจนเหนื่อย วันนี้ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ (ภาษาอีสานว่า ไคแน) แล้วล่ะ

ประชาธิปไตยนี้เกิดตราคำว่าประชาธิปไตย Democracy ที่ประเทศอังกฤษเป็นต้นตำรับ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นต้นแบบต้นระบอบของประชาธิปไตย เสร็จแล้วมันก็มาพลิกแพลงด้วยคน ด้วยอัตตามานะของเขา เป็นกิเลสของคน เขาแยกตัวมา เอาอย่างประวัติศาสตร์ของอเมริกัน คนอเมริกันไปแย่งแผ่นดินของอินเดียนแดงเขา มีการบริหารแบบสหรัฐ แต่ละรัฐก็ปกครองตนเองตามประชาธิปไตยแบบของ โดยไม่มีรวม ที่จริงมันดีนะ แต่โดยลักษณะของสังคมกว้าง คนมาก ในประดาคนมากนั้น โดยเฉพาะกาละยุคที่ใกล้กลียุค มันมีคนหยาบคนชั่วมาก ถ้าจะเอาคนชั่วเป็นประมาณ เอาความมากเป็นประมาณ แต่ความมากของคนนั้นมันหยาบต่ำ กิเลสมากใกล้กลียุค เอาความมากมาใช้ไม่ได้ อย่างไรประชาธิปไตยขาเดียวก็ไม่ได้เรื่องใช้ไม่ได้

ประชาธิปไตยขาเดียวหรือสองขา หรือเผด็จการก็ได้ หมายความว่า พ่อขุน หรือว่า เป็นพ่อเมือง เป็นเจ้าเมือง เป็นหัวหน้าเผ่า คนเดียวมีสิทธิ์ขาดมีอำนาจใหญ่คนเดียว เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชแต่มีทศพิธราชธรรมมีอาริยบุคคล ท่านก็บริหารเหมือนลูกเหมือนหลาน อย่างเช่นพ่อขุนรามคำแหงเป็นต้น ส่วนมากก็เป็นพระโพธิสัตว์บริหารเหมือนครอบครัว เป็นสาธารณโภคีทั้งประเทศ อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นสาธารณโภคี มีความต่อเนื่องปฏิสัมพัทธ์เป็นระดับอย่างน่ามหัศจรรย์ เชื่อมร้อยกันอย่างสวยงาม

ในประเทศไทยนี้ถ้าเป็นสถาบันท่านจะมีกฎมณเฑียรบาล ก็คือกฎหมายเฉพาะในสถาบันชั้นสูง ในสถาบันกษัตริย์นั้นเอง เป็นกฎระเบียบหลัก ทุกประยูรญาติ เชื้อสายพระวงศ์ทั้งหมด ต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ถ้าไม่ประพฤติก็ต้องมีระเบียบให้ปลดออกอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นการสืบสายสันตติวงศ์ของผู้ที่ต้องอยู่ในระเบียบความงดงาม ความประเสริฐ เป็นคุณธรรมประมวลไว้หมดแล้ว จึงเป็นบุคคลที่จะเกิดในสายนั้น อยู่ใน DNA นั้น ในสรีรพันธ์ุ ไม่ใช่กรรมพันธ์ุนะ ผู้สืบสายพันธุกรรม ก็ต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาลทั้งสิ้น จะไปทำตามกิเลสทั้งหมดไม่ได้ สืบสานมาตลอดทุกประเทศเหมือนกันหมด

สรุป ผู้ที่เป็นสายสถาบันก็คือผู้ปกครองประเทศ บริหารประเทศ ถ้าเป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ถ้าเป็นเผด็จการไม่มีขาเดียวก็เป็นเผด็จการ อย่างคุณธรรม

เพราะฉะนั้นสิ่งที่สมบูรณ์ด้วยกฎระเบียบจิตวิญญาณที่จะถูกหล่อหลอมพัฒนาการ มันมีการสืบต่อ มันมีการคัดเลือก มันจะต้องคัดเลือกทั้งสายแล้วชาตินี้ชาติหน้า ออกมาสืบสายทั้งสรีรพันธ์ุและกรรมพันธ์ุ

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=132wwcgiV5DZCP5InshikInYtw9_-1W-jcqsPMZRQngg

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfeW13enA0b0lvd1U

หรือที่นี่...http://www.filefactory.com/file/15nyjoin72yb/161024

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่...

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:00:39 )

591024

รายละเอียด

591024_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของประเทศไทย

ส.เดินดิน ...ร่วมจัดรายการกับพ่อครูด้วย เป็นผู้ช่วยเมื่อพ่อครูไอ

พ่อครูว่า...วันนี้ก็คิดว่าจะได้ขยายความคำว่าประชาธิปไตย 2 ขา เป็นประชาธิปไตยที่มีทั้งรูปและนาม ไม่ใช่มีแต่วัตถุไม่มีนาม สัตว์โลกนั้นต้องมีธรรมะสอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้อย่างนี้ เทวธัมมา แม้แต่วัตถุเองยังมี 2 เลย แม้แต่ไอน์สไตน์ อย่างสุดท้ายแกก็ค้นพบสองอย่างพลังงานกับสสาร สองอย่าง E=mc2 ถ้าใครสามารถทำตัวเองให้เร็วกว่าแสงได้คนนั้นรู้อดีตเลย ไอน์สไตน์แกก็พูด แสงมันได้เร็วเท่านั้น ใครจะเร็วกว่าแสงไม่ได้ก็ได้เท่านั้น

ก่อนจะได้อธิบาย Amazing ฟีโนมีน่า หมายความว่าเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ปรากฏการณ์ปัจจุบันนี้ รวมแล้ว amazing ไปทั่วโลกเลยนะ ไม่ใช่แค่ในเมืองไทย

ก่อนจะได้พูดอันนั้นก็ขอได้เอา sms มาก่อน

 

SMS วันที่ 23 ตุลาคม 2559 (รายการวิถีอาริยธรรม)

0818557xxxกราบนมก.พ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ท่านเหมือนนินจาเลยนะเจ้าคะ..แว็บโน่น..มุกดาหาร.อีกวัน..นครพนม..เช้านี้ที่สันติอโศก..แว็บๆๆๆน่าดูชม..ท่านถนอมสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ..

ส.เดินดินถาม ความเกี่ยวเนื่องในหลวงกับพ่อครู...พ่อครูว่า...อาตมากับในหลวงนั้นเกี่ยวโยงกันมาหลายชาติแล้ว แต่จะไม่พูดมาก เอาเท่าที่รู้เท่านั้น แต่แม้จะรู้คนอื่นก็ไม่ได้ตามรู้กับอาตมา ก็ไม่อยากจะพูดสักเท่าไหร่ ในอนาคตอันควรถ้ามีเหตุจะพูดก็จะพูด

0893867xxxตอนพ่อครูปฎิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ท่านเรียกว่าNEO PROTESTโดยสงบสันติอหิงสาเสนอความรู้ความจริง!ไม่มุ่งแพ้ชนะไม่รุนแรงไม่หยาบคาย!ยกระดั บการต่อสู้สู่วิถีอาริยชน!มวลญตธ.เสริมกองทัพธรรม

0893867xxxคำว่า"พ่อ"ยิ่งใหญ่ในตัวอยู่แล้วมีมากมายในทุกคนแต่พ่อฯที่ทรงคุณงามความดีทุ่มเทสละกายใจให้แผ่นดินทั้งโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกล้วนแซ่ซ้องสดุดีมีเพียง1เดียวคือพ่อหลวงฯของปวงไทย!สกก.

ตอบ...คำว่าพ่อเป็นลักษณะปุริสภาวะ ตอนนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องยอมรับกันจริงๆ ไม่ใช่พูดลอยลม แต่เป็นปรากฏการณ์ให้เห็นจริงๆ กำลังเกิดอยู่ เป็นปัจจุบันเลย

0809879xxxขอร้องไห้เถอะค่ะเพราะที่สุดของที่สุดแล้วในความสูญเสียและไม่มีวันได้กลับคืนมา

ตอบ...อาตมาก็บอกแล้วว่าให้ร้องไปเลยไม่ต้องอั้นไว้ มันเป็นความจริงของความจริง จะไปปิดบังอำพรางกระมิดกระเมี้ยนทำไม ถ้าเราร้องไห้กับสิ่งที่ดีเสียดายกับสิ่งที่ดีที่จากไป มันเป็นความผิดหรืออย่างไร แต่ก็อย่าเพิ่งหมดหวังว่าไม่มีวันได้กลับคืนมา ยังมีวันกลับคืนมาได้ อย่าไปไหนเสีย ทำ DNA ของตัวเองให้มั่นคงแข็งแรงเป็นอันนี้ มาเป็นอารยะอันนี้ด้วย ไม่ไปไหนเสียแน่อนาคต เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ คุณเองก็ตั้งปณิธานโพธิสัตว์ไปด้วยสิจะไปไหนเสีย

0893867xxxคนไทยที่ยังหลงงมงายอยู่กับระบอบปชธต.ใบเก่ายังไม่ รู้สึกตัวอีกฤา?ถ้าระบบทุน การม.ข้าฉ้อราษฎ์ทุกรบ.ที่ คิดว่าเก่งดีหนักหนาทำ ไมจึงทำไทยเสียดินแดนปราสาทเขาพระวิหารในรัชสมัยร.9ใครตอบได้ไหม?อดีตมวลชนทวงคืนแผ่นดินพ่อฯร่วมกทธ.

ตอบ...ขออภัยประชาธิปไตยใบเก่า อาตมาเอาลงโถส้วมแล้วชักโครกแล้วด้วย และต้องถามข้าราชการที่ทำหน้าที่ ก็ผ่านไปไม่ต้องโวยวายอะไรมาก

 

_จากไลน์ขี้สงสัย ถามมาว่า เมื่อดีเอ็นเอถึงระดับอรหันต์ชัดแล้ว ครั้นต่อเชื้อมาในชาติใหม่ ภพภูมิใหม่ ไฉน ต้องมาลิงลมอมข้าวพอง จนต้องสร้างวิบากฆ่าคนอีกตั้งมากมายนับหมื่นนับแสน กว่าจะตื่นขึ้นมาเพื่อต่อภพภูมิด้านคุณธรรมเป็นนิยตโพธิสัตว์ต่อไป…

ตอบ...ฟังดีๆ เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วมั่นคงแน่นอนเกิดมาแล้วทำไมต้องทำบาปทำชั่ว ให้เป็นวิบากซ้อนอีกทำไม? อันนี้อาตมาก็อธิบายได้เท่านี้ โดยใช้คำว่าลิงลมอมข้าวพอง คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็คือ การละเล่นชนิดหนึ่งที่ปิดตาคน แล้วให้นอนหมอบให้คนเขย่าให้เวียนหัวเลย ร้องเพลงลิงลมอมข้าวพอง เขย่าจนแน่ใจว่าคนนี้มึนแน่นอน ตาก็ปิดด้วย เหมือนถูกโลกมอมเมาเอา แล้วก็ไปไล่จับคน ถ้าไล่จับใครได้คนนั้นก็เป็นลิงลมอมข้าวพองต่ออีก เป็นการเล่นชนิดหนึ่ง

คนที่เป็นอรหันต์แล้วเมื่อเกิดมาในโลก คนที่มีบารมียังไม่ถึงจะถูกสนามแม่เหล็กของโลกเหนี่ยวนำ สนามแม่เหล็กของตนไม่แข็งแรงพอ กระแสลาภ ยศสรรเสริญ โลกีย สุข กาม ของโลกเหนี่ยวนำ จนกว่าฐานของตนเอง ค่อยๆตั้งตัว ตั้งได้ทุกคน แต่พลังตนเองน้อยก็ต้องนาน และพลังใหม่เราสามารถสร้างได้แข็งแรงไหม เป็นอจินไตยอีกเยอะ เช่นว่าในการเกิดใหม่เขามีวิบากที่จะมาร่วมกับชีวิตเขาจะมาช่วยเขา หรือเกิดมาปางนี้จะมีผู้เกิดมาทอนเขาอีก แล้วใครจะไปนับถ้วน มีอย่างอื่นอีก เอาแน่ไม่ได้ ตัวแปรมีเยอะ ใครก็ไม่อยากเสียท่าเสียเวลา แต่วิบากบังคับ ใครก็ตามหนีวิบากไม่ได้ ไม่มีใครอยากแปดเปื้อนให้คนอื่นมาว่าอีกหรอก แต่มันสุดวิสัยก็ต้องเกิด แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่อาตมาเองหรือแม้คุณเอง ก็มีสิ่งสุดวิสัย ขนาดท่านที่สูงกว่าอย่างพระพุทธเจ้ายังต้องมี อาตมาก็ต้องมีคุณเองก็ต้องมีแน่ ทำให้เราประมาทไม่ได้ เล่นไม่ได้มันเป็นของจริง กรรมเป็นอันทำ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าอกุศลหรือบาปแม้น้อยอย่าทำเสียเลย เพราะทำแล้วมันเป็นของจริงไม่เอาไม่ได้

สมณะเดินดินว่า...ตัวอย่างองคุลิมาล เป็นอรหันต์แล้วก็ทำไมต้องฆ่าคน พระพุทธเจ้าพูดนิดเดียวก็หยุดได้

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสแค่นั้น ก็เติมเต็ม เป็นอจินไตย เมื่อ DNA ของอรหันต์ชัดแล้ว ชาติต่อไปมีวิบากอาจต้องฆ่าคน อย่างองคุลิมาลหรือพระเจ้าอโศกมหาราช แต่เมื่อรู้ตัวก็ต้องแก้ ด้วยการทำกุศล อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทำกุศลที่ดีที่สุด คือทำคนให้เป็นอาริยะ เป็นงานยอดเยี่ยมที่สุด

แล้วถามว่า ทำไมต้องเสียเวลาแต่ใครก็ไม่อยากเสียเวลา แต่คนไม่มีภูมิปัญญาก็ต้องซักไซ้ไล่เรียง บังคับคนให้ฉลาดไม่ได้ นั่นแหละวิจิกิจฉาจึงมีทั้งในอาสวะ และในอนุสัย แต่วิจิกิจฉาที่ซ้อนนี้ เป็นอนุสัยได้เป็นตัวหลังได้ ในอาสวะ ก็อยู่ในตัวตน ในสังโยชน์ 7 อยู่ตัวที่ 3 ในอนุสัยอยู่ตัวที่ 4 ในอาสวะอยู่ตัวที่ 2

 

_คุณบุญเรือง แย้มน้อย กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูคะ ถ้าจิตของคนเราตาย แล้วเกิดในทันที แล้วอาการ 33 เวลาเราไม่มีร่าง ที่พ่อครูเคยเทศน์จะเกิดตอนไหนคะ?

ตอบ...อันนี้ก็เดายาก คนตายไปแล้ว แต่อนุสัยของคุณยังมี ถ้ามีแล้วยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็ยังไม่แรงเท่าไหร่ เพราะมันก็เด้งออกมาบรรเทาได้ ไปยึดติดใหม่ก็ดิ้นใหม่ แต่ตายไปแล้วไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายเลย คนที่ติดยาดิ้นอย่างไรตอนไม่ได้ยา คนติดยามันหน้ามืดตามืด ฉันเดียวกัน ตายไปแล้วก็มืดหน้า ไม่มีตาหูจมูก ลิ้น กายอีก ซ้ำซ้อน อย่าเล่นกับวิบากนะจ๊ะ พอเข้าใจนะ

สรุปอีกที ในอนุสัยมันคือสิ่งที่คุณไม่รู้ คนรู้ว่ามันมีจริงทั้งที่มันไม่จริง เป็นลมๆแล้งๆ นึกว่ามันมี เหมือนคุณคิดว่ารสอร่อยมันมีความสนุกสนานมันมี ความอร่อยนี่มันวิเศษจริงๆ ถ้าคุณล้างมันได้คุณจะเห็นว่ามันหลอกจริง มันเป็นของไม่มีตัวตนจริง แต่ก่อนนี้ถ้าได้เหตุปัจจัยครบก็ได้อร่อยทุกทีสนุกทุกที แต่เมื่อคุณได้ล้างไปแล้ว เหตุปัจจัยแม้มันจะมีอยู่ การกระทบสัมผัสก็มี แต่อารมณ์นั้นมันหายไปแล้ว มันไม่มีแล้ว คนนี้จึงมีปัจจัตตังของตัวเอง เป็นตถตา คนอื่นไม่ได้รู้ด้วย ของเราเป็นอย่างนี้ มีเป็นอย่างนี้ ไม่มีเป็นอย่างนี้ เราบอกคนอื่น ถ้าคนอื่นไม่มีเหมือนกันกับเรา เราพูดเหตุปัจจัยข้างเคียงก็เข้าใจแล้ว แต่คนที่ยังเป็นไม่ได้ พูดไปก็ยังบอกว่ามีไม่หายอีก ก็เป็นธรรมดา อันนี้เป็นสุดทางแล้ว สุดวิสัยแห่งความจริง คุณอยากได้คุณต้องทำให้ถึง ฝึกจริงแล้วก็ลดแล้วคุณก็จะรู้เอง

สมณะเดินดินว่า...อนุสัยนี้คืออาการที่ 33 ของคนอวิชชา หรือโมหะหลงอยู่ พ่อครูเคยบอกว่าจิตมีสามชั้น ติดสำนึก จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก เวลาตายแล้ว จิตจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึกก็ยังอยู่

พ่อครูว่า… เมื่อตายไปก็มี จิตใต้สำนึก(sub conscious) จิตไร้สำนึก(un conscious) มันไม่รู้ตัวว่าอยาก ล้างก็ไม่ได้ คนที่รู้เคยฝึกมาก็รู้ว่าความอยากมันเป็นอย่างนี้ต้องโดนอย่างนี้ คนที่มีบารมีบ้างแล้ว มีสิ่งที่ได้บ้างแล้ว ก็จะรู้ว่าเล่นไปหาอะไร เราเคยหยุดไปแล้ว ก็ระงับได้อีก ส่วนคนไม่เคยไม่รู้เรื่องเลย มันไม่มีการละเวลาที่จะจบเลย ดิ้นไปไม่หยุดจนกว่าจะหมดแรงดิ้น แล้วก็พักหรือหมดแรงดิ้นแล้วก็ต้องหยุดเอง พอมีแรงก็ดิ้นใหม่เหมือนเก่า

วันนี้อาตมาเจ้าบทความของคุณเปลวสีเงิน วันนี้แหละ

 

เรื่อง ปรากฏการณ์ 'บอกอนาคตชาติ'

 

12 วันแล้ว....นับจากวัน "ฟ้าคืนสู่ฟ้า" ลองทบทวนกันดูซิว่า เราเห็นอะไรบ้าง?

 

นอกจาก "รัก-อาลัย" ทั้งจากชาวไทยและชาวโลกแล้ว

 

ยังมีอะไรอีก?

 

"รักสามัคคี-ทำดีเพื่อพ่อ" เห็นเป็นรูปธรรม นั่นไง

 

แล้วอะไรอีก?

 

(พ่อครูว่า วันนี้ไปที่สนามหลวงมีคนเอาน้ำขวดมาให้เด็กเรา ด.ญ.ดูแลกับน้อง แล้ว ด.ญ.ดูแลไม่รับ แต่น้องรับ และต่อมาด.ญ.ดูแลก็รับ เพราะแกพยายามยัดให้เด็กเรา พอเด็กเรารับเท่านั้น คนให้ก็ร้องไห้ ดีใจ เราทำได้สำเร็จมันตื้นตันกว่าคนได้รับอีก สำหรับคนให้นี่ แกมีสองขวด แกก็ได้ให้สองขวด ก็ร้องไห้ซะสองอิ่มเลย เป็น amazing phenomena น่างึด น่ามหัศจรรย์ เป็นเรื่องจิตวิญญาณทั้งสิ้นเลย)

 

คนเป็นแสนๆ เฉพาะสนามหลวง รวมเป็นล้านๆ จากทั่วประเทศ ร่วมร้องเพลง "สรรเสริญพระบารมี" เป็นปรากฏการณ์โลก นั่นไง

 

แล้วอะไรอีก?

 

คนเป็นแสนๆ ต่อวัน "ผู้ให้" มากกว่า "ผู้รับ" เป็นปรากฏการณ์โลก นั่นไง

 

แล้วอะไรอีก?

 

นอกจากตั้งจิต "ทำดีเพื่อพ่อ" แล้ว อีกส่วนหนึ่ง ยังเหมือนตั้งจิต "เลิกทำชั่วเพื่อพ่อ" ด้วยเหมือนกัน

 

จะเห็นช่วงนี้.......

 

บ้านเมืองสงบ-เรียบร้อย ไม่มีอาชญากรรมร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น แม้กระทั่งการ ฉก-ชิง-วิ่งราว ก็แทบไม่ปรากฏ

 

ในหมู่คนไทยกว่า 65 ล้านคน......

 

เหลือ "เศษคน" แค่ไม่กี่เศษ "นับหัว-นับชื่อ" ได้ ที่ซุกอยู่นอกประเทศ ก่อกรรมทุราจาร

 

เป็นไฟเผา "โคตรเหง้า-เผ่าพงศ์" ตัวเอง!

 

ถ้าจะแจกแจงทั้งหมด เกรงว่าโลกจะไม่มีเวลาให้ถึงขนาดนั้น

 

เอาเป็นว่า สิ่งดีทั้งหลาย.......

 

ที่สะท้อนจากคนไทย-ประเทศไทย ออกไปเป็น "ปรากฏการณ์โลก" เวลานี้ สรุปได้คำเดียว คือ

 

"รัก"!  (พ่อครูว่าอาตมาถึงต้องมาเขียนความรัก 10 มิติ ไปหาอ่านดูได้)

 

เป็นรัก "ตามรอยพ่อ" ที่ถูกทาง

 

"รักแบบพ่อ" คือ......."รักต้องให้"

 

ให้ความเมตตาผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น ให้ความปรารถนาดีผู้อื่น เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้ผู้อื่น

 

รักแบบนี้แหละ คือ "รักสามัคคี" ตามที่พ่อสอน

 

เป็นรักทำให้ชาติรอด พี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกันทุกคนรอด ตามพระบรมราโชวาท ที่ว่า

 

"......... ถ้าหากเมืองไทยไม่ใช้ความสามัคคี ไม่เห็นอกเห็นใจกัน ไม่อะลุ้มอล่วยกัน ไม่มีวันที่จะมีชีวิตรอดได้"

 

แต่ยังมีอีกสิ่ง ที่ผมถอดรหัส "รักตามรอยพ่อ" นั่นคือ ด้วย "เมล็ดพันธุ์แห่งรัก" ที่พ่อเพาะไว้

 

จะแตกโตเป็น "อนาคตสังคมชาติ" น่าตื่นตา-ตื่นใจ จนสามารถพูดด้วยความมั่นใจเกินร้อยได้ว่า.......

 

ด้วยกล้าพันธุ์ "ลูกพ่อหลวง"

 

ประเทศไทยในอีก 15-20 ปีข้างหน้า จะยิ่งใหญ่เป็นเอกลักษณ์ และมากมายด้วยความหมาย "ไทยรุ่งเรือง มั่งคั่ง"

 

ปัจจุบัน พวกอ้างประชาธิปไตยล้มชาติ เท่าที่เห็นอยู่

 

จะเหลือค่า 2 อย่าง ระหว่างปุ๋ยคอก กับการ์ตูนขายหัวเราะ!

 

ฉะนั้น นับแต่นี้ .....

 

ใครก็อย่าไปเสียเวลาด้วยการให้ค่ากับบุคคลประเภท "เปลี่ยนระบอบ-ล้มสถาบัน" อยู่เลย

 

เพราะวันนี้...เห็นชัด จะพูดว่า "ในรอบร้อยปี" ก็ไม่ผิด จากปรากฏการณ์

 

"อาสาทำดีเพื่อพ่อ"!

 

คำนี้ใครตั้ง......?

 

ไม่มีใครตั้ง หากแต่ "ความรัก" ของลูกที่มีต่อ "พ่อ" ผลิดอกกตัญญู-กตเวทีขึ้นกลางจิตสำนึกแต่ละคน

 

จนเป็นปรากฏการณ์ งาน "พระบรมศพ" คนเป็นแสนๆ ที่มา ไม่ได้มาเป็นแขก แต่มาประหนึ่งเจ้าภาพ

 

ต่างคนต่างช่วยเหลือ ต้อนรับ ดูแลซึ่งกันและกัน

 

นอกจากเป็นเจ้าภาพร่วมแล้ว ยังมาเป็นแรงงาน "ช่วยงาน" พระบรมศพโดยไม่มีใครเรียกร้อง และไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ

 

แต่ละคน สามารถทางไหน ทำอะไรได้ ช่วยอะไรได้ เสนอตัว "อาสาทำดีเพื่อพ่อ" ทันที

 

กระทั่งมอเตอร์ไซค์ รถแท็กซี่ รถเมล์ รถโดยสาร ล้างถ้วย-ล้างจาน เก็บกวาดถนน เดินเก็บขยะ แจกน้ำ แจกยา แจกอาหาร ปฐมพยาบาลคนเจ็บป่วย โบกรถ ทำป้าย ฯลฯ

 

ไปทางไหนๆ มีแต่น้ำใจ มีแต่ให้ มีแต่อาสา มีแต่ช่วยเหลือ มีแต่ความรัก-ความสามัคคี ทุกคนพี่น้องไทย "ลูกพ่อหลวง" ด้วยกันทุกคน

 

ด้วยสำนึกในสิ่งที่พ่อเพียรสร้างให้ลูกมา 70 ปี

 

"กตัญญู-กตเวที" จึงเป็นความงดงามที่ "คนทั้งโลก" ทึ่ง ในความหมายว่า "ทำไม คนไทยจึงรัก-เทิดทูน-บูชา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ได้มากมายขนาดนี้?

 

ไม่เคยปรากฏ....

 

นิสิต นักศึกษา ในชุดสถาบัน จากหลายๆ สถาบัน รวมใจมากันเอง อาสาทำดีเพื่อพ่อ

 

ถือถุงดำเก็บขยะตามถนน ตามท้องสนามหลวง

 

สละเงินกันเอง ซื้อขนม ซื้อยา ซื้อพัด ซื้อน้ำ มาแจกจ่าย ฯลฯ

 

ไม่เคยปรากฏ....

 

นักเรียนอาชีวะ หรือที่เรียก "นักเรียนช่างกล" จะประกาศ "เลิกตีกัน" ถาวร ด้วยจิตสำนึกของแต่ละคน โดยไม่มีใครบังคับ นับแต่นี้ไป

 

ไม่เคยปรากฏ....

 

นักเรียนมัธยม ในชุดนักเรียน จะรวมตัว-รวมกลุ่ม "มากันเอง" เป็นจิตอาสา ทำทุกอย่าง เสิร์ฟน้ำ-เสิร์ฟอาหาร เดินเก็บขยะ ช่วยคนเฒ่า-คนแก่

 

ไม่เคยปรากฏ.....

 

ชาวบ้านเป็นรายบุคคล ทำขนมมาจากบ้านบ้าง ซื้อหายาดม-ยาหม่องบ้าง

 

เรียกว่าใครมีอะไร ก็หอบติดตัวมาช่วยงานพระบรมศพ ว่างั้นเถอะ

 

ไม่เคยปรากฏ....

 

จะมีคนมาตั้งโรงทานมากมายขนาดนี้ ถึงขนาดว่า มาถวายสักการะพระบรมศพกันเป็นแสนๆ คนในแต่ละวัน

 

แต่คนรับ...แพ้คนให้!

 

จนพูดได้ยินไปทั้งโลกว่า.....มางานพระบรมศพพ่อ ไม่ต้องเอาตังค์มาซักบาท ก็กินอิ่ม-นอนหลับได้สบาย

 

ไม่เคยปรากฏ.....

 

ศิลปิน นักแสดง ทุกหมู่เหล่า จะมาร่วมพี่น้องประชาชนเป็นน้ำหนึ่ง-ใจเดียวกัน มาช่วยงานกัน ชนิดไม่มีใครห่วงสวย หรือกรีดจริต

 

และไม่เคยปรากฏ..........

 

เด็ก 3-4 ขวบ จะร้องไห้ สะอึก-สะอื้น เมื่อทราบข่าว "ในหลวง" สวรรคต พลางร้อง

 

"อยู่กับหนู...อย่าทิ้งหนูไป"!

 

นี่คือภาพกว้าง ที่ผมตามดูจากข่าวแต่ละวัน และเมื่อสรุปปรากฏการณ์ดังว่าทั้งหมด สิ่งตกผลึก คือ

 

ไม่น่าเชื่อ แต่จริงที่ปรากฏแล้ว คือ.......

 

เยาวชนไทย ตั้งแต่ 3-4 ขวบ จนไปถึง 19-20 ปี

 

ทั้งที่วัยนี้ ไม่มีโอกาสได้เห็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และ "สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ" ทรงบุกป่าฝ่าดง ดูแลสุข-ทุกข์ราษฎร ทั้งแผ่นดิน เหมือนที่รุ่นพ่อ-แม่เคยเห็นก็ตาม

 

ผู้ใหญ่มักพูดกันว่า........

 

"คนรุ่นใหม่" ไม่เอาสถาบัน

 

"คนรุ่นใหม่" ไม่รู้จักในหลวง

 

"คนรุ่นใหม่" มองว่า ประเทศไม่จำเป็นต้องมีระบบกษัตริย์

 

แต่จาก 12 วัน ที่ผ่านมา เห็นชัด......

 

ที่พูดกันนั้น "ผิดหมด"!

 

ไม่อยากใช้คำว่า "ผู้ใหญ่ มองเด็กผิด"

 

แต่อยากใช้คำว่า "ผู้ใหญ่เมื่อวาน" ใช้จิตสำนึกทาสและความคิดแยกแยะต่ำ ไปประเมิน "เด็กวันนี้"!

 

ในจำนวนพสกนิกรนับแสนๆ ปรากฏว่า "คนรุ่นใหม่" ในสถานะต่างๆ ทั้งสถานะนักเรียน นักศึกษา และในอาชีพ-การงานอื่นๆ

 

มาร่วมงานถวายสักการะพระบรมศพ มาเป็น "จิตอาสา" ทำดีเพื่อพ่อ มากจนถมทับ "คนรุ่นอดีต" จมหาย

 

เทียบง่ายๆ เมื่อครั้ง กปปส.ชุมนุม ด้วยมวลชน 3-5 ล้านคน มีเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซักหมื่นก็ยาก

 

แต่งานพระบรมศพพ่อ เยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็น "หน่ออนาคต" โดดเด่น-สะดุดตามาก

 

และทุกคนรู้.......

 

ขึ้นชื่อว่า "วัยรุ่น" ถ้าไม่เต็มใจ-ไม่สมัครใจ อย่าหวังจะได้เห็นเช่นนี้ และที่สำคัญ ผมแอบปลื้มเอามากๆ

 

เยาวชนแต่ละคน พอนักข่าวสัมภาษณ์....

 

คำพูดจากใจ "จะฉาดฉาน ชัดเจน" เข้าถึงแก่นนำมาซึ่งศรัทธาใน "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

 

ด้วยรับรู้ใน "สิ่งที่พ่อสร้าง"

 

และนั่น ทำให้พวกเขาทั้งหลาย ออกมาเป็น "จิตอาสา" ตอบแทนพระคุณพ่อ

 

คนรุ่นใหม่ "รู้จัก-เข้าใจ" คำว่าในหลวง

 

และ "รู้จัก-เข้าใจ" ว่า.......

 

ความเป็นไทยกับระบบกษัตริย์ ต้องอยู่ด้วยกันจึงจะเป็นประเทศไทย!

 

ผมดูทิศทาง "อนาคตประเทศ"

 

จากบทบาท-ทัศนคติ "คนรุ่นใหม่" วันนี้ บอกได้คำเดียว "หมดห่วง-สบายใจ"

 

"คนรุ่นใหม่" จะโตไปพร้อมคำว่า "ไทยกับสถาบัน".

 

พ่อครูว่า อาตมาก็ต่อเลยว่า ไทยกับสถาบันต้องอยู่เป็นคู่กันตลอด และขอยืนยัน ประชาธิปไตยสองขาก็คือ ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์

ขออภัยไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่พูดเป็นวิชาการ พระมหากษัตริย์บางพระองค์ไม่ได้ทรงทศพิธราชธรรมก็ไม่ได้รับการนับถือใช่ไหม พระจริยวัตรของท่านไม่ดีงาม ประชาชนก็ไม่เคารพยกย่อง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่มีทศพิธราชธรรม มีพระจริยวัตรประเสริฐวิเศษเป็นอาริย เป็นสิ่งที่เป็นโลกุตระธรรม ดังเช่นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ของเรา ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาก็บอกมาตอนต้น อาตมาก็หยิบพระราชดำรัสของพระองค์ว่าทรงดำริ และดำรัสเช่นนี้อาตมาก็ขยายความจนเหนื่อย วันนี้ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ (ภาษาอีสานว่า ไคแน) แล้วล่ะ

ประชาธิปไตยนี้เกิดตราคำว่าประชาธิปไตย Democracy ที่ประเทศอังกฤษเป็นต้นตำรับ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นต้นแบบต้นระบอบของประชาธิปไตย เสร็จแล้วมันก็มาพลิกแพลงด้วยคน ด้วยอัตตามานะของเขา เป็นกิเลสของคน เขาแยกตัวมา เอาอย่างประวัติศาสตร์ของอเมริกัน คนอเมริกันไปแย่งแผ่นดินของอินเดียนแดงเขา มีการบริหารแบบสหรัฐ แต่ละรัฐก็ปกครองตนเองตามประชาธิปไตยแบบของ โดยไม่มีรวม ที่จริงมันดีนะ แต่โดยลักษณะของสังคมกว้าง คนมาก ในประดาคนมากนั้น โดยเฉพาะกาละยุคที่ใกล้กลียุค มันมีคนหยาบคนชั่วมาก ถ้าจะเอาคนชั่วเป็นประมาณ เอาความมากเป็นประมาณ แต่ความมากของคนนั้นมันหยาบต่ำ กิเลสมากใกล้กลียุค เอาความมากมาใช้ไม่ได้ อย่างไรประชาธิปไตยขาเดียวก็ไม่ได้เรื่องใช้ไม่ได้

ประชาธิปไตยขาเดียวหรือสองขา หรือเผด็จการก็ได้ หมายความว่า พ่อขุน หรือว่า เป็นพ่อเมือง เป็นเจ้าเมือง เป็นหัวหน้าเผ่า คนเดียวมีสิทธิ์ขาดมีอำนาจใหญ่คนเดียว เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชแต่มีทศพิธราชธรรมมีอาริยบุคคล ท่านก็บริหารเหมือนลูกเหมือนหลาน อย่างเช่นพ่อขุนรามคำแหงเป็นต้น ส่วนมากก็เป็นพระโพธิสัตว์บริหารเหมือนครอบครัว เป็นสาธารณโภคีทั้งประเทศ อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นสาธารณโภคี มีความต่อเนื่องปฏิสัมพัทธ์เป็นระดับอย่างน่ามหัศจรรย์ เชื่อมร้อยกันอย่างสวยงาม

ในประเทศไทยนี้ถ้าเป็นสถาบันท่านจะมีกฎมณเฑียรบาล ก็คือกฎหมายเฉพาะในสถาบันชั้นสูง ในสถาบันกษัตริย์นั้นเอง เป็นกฎระเบียบหลัก ทุกประยูรญาติ เชื้อสายพระวงศ์ทั้งหมด ต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ถ้าไม่ประพฤติก็ต้องมีระเบียบให้ปลดออกอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นการสืบสายสันตติวงศ์ของผู้ที่ต้องอยู่ในระเบียบความงดงาม ความประเสริฐ เป็นคุณธรรมประมวลไว้หมดแล้ว จึงเป็นบุคคลที่จะเกิดในสายนั้น อยู่ใน DNA นั้น ในสรีรพันธ์ุ ไม่ใช่กรรมพันธ์ุนะ ผู้สืบสายพันธุกรรม ก็ต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาลทั้งสิ้น จะไปทำตามกิเลสทั้งหมดไม่ได้ สืบสานมาตลอดทุกประเทศเหมือนกันหมด

สรุป ผู้ที่เป็นสายสถาบันก็คือผู้ปกครองประเทศ บริหารประเทศ ถ้าเป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ถ้าเป็นเผด็จการไม่มีขาเดียวก็เป็นเผด็จการ อย่างคุณธรรม

เพราะฉะนั้นสิ่งที่สมบูรณ์ด้วยกฎระเบียบจิตวิญญาณที่จะถูกหล่อหลอมพัฒนาการ มันมีการสืบต่อ มันมีการคัดเลือก มันจะต้องคัดเลือกทั้งสายแล้วชาตินี้ชาติหน้า ออกมาสืบสายทั้งสรีรพันธ์ุและกรรมพันธ์ุ

อาตมานี่ก็เป็นกษัตริย์มาหลายยุค แต่ทำไมชาตินี้ปางนี้อาตมาเกิดมาเป็นหมากลางตลาด เดี๋ยวไขความ

อาตมาปางนี้เกิดมาพิสูจน์ในทางธรรม จะต้องพิสูจน์ธรรมะอย่างไม่มีอลังการ รูปไม่หล่อพ่อไม่รวย คุณวุฒิต่างๆไม่ต้องเอามาจากไหน เอามาจากธรรมะเดิม อยู่ในคลังสัญญาของตัวเอง อยู่ในบารมีของตัวเองที่ได้สั่งสมมาแล้วของจริง ของนอกๆไม่เห็นมี ดึงมาใช้ในของตัวเองหมดเท่าที่จะมีความสามารถเพื่อพิสูจน์สัจธรรม โดยไม่ต้องอาศัยอะไรเข้าไปช่วย พิสูจน์อย่างเพียวๆ อาตมาถึงรู้ว่าเหนื่อยก็ยอม ยากก็ยอม เพราะอาตมาเข้าใจจริงว่าต้องพิสูจน์ เกือบห้าสิบปี อาตมาว่า อาตมามี progression ratio อยู่นะ อัตราความก้าวหน้าของความเจริญทางอาริยธรรม มันมีความก้าวหน้าได้ ไม่ต้องใช้วิธีแบบโลกๆ ใช้ใบปริญญา ประกาศนียบัตร ใช้ศิษย์พี่ศิษย์น้องครูบาอาจารย์ ใช้ยศศักดิ์ก็ไม่ต้องมี ใช้อาริยธรรมเพียวๆ  อาตมากล่าวไม่ผิด ใช้อาริยธรรม เพื่อพิสูจน์ ไปรอดได้ แม้ว่าไม่มีมากมาย แต่เข้าเกณฑ์ อย่างในหลวงท่านตรัสว่า เราก็ไม่รวยแต่เราอยู่ได้ มันจะเป็นอย่างนั้นโดยหลักเศรษฐศาสตร์ เขาไม่สะสมเงินคงคลังไว้มากหรอก เมื่อมีเงินสะสมก้นถุงไม่มากเขาเรียกว่าคนจน มีก็สะพัดออก

หนึ่งเงินก้นถุงน้อย  สองไม่ run shot ไม่ขัดข้อง ไปได้เรื่อยๆต่อเนื่อง สามไม่เป็นหนี้ สี่ไปได้คล่องตัว ได้เร็วสมบูรณ์สวยงามอุดมสมบูรณ์พอ อาตมาก็ว่าอโศกไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นะไม่เล็กเกินไป แต่ว่าไม่ใหญ่จนกระทั่งเกินการณ์ แต่กระนั้นเขาก็ยังว่าทำใหญ่อีก ก็ในหมู่เราเองก็ยังมีว่ากันอยู่ มันมีความซับซ้อน อธิบายยาก ต้องมาสัมผัสภายในจะเข้าใจ

สรุปแล้วอาตมาว่าประชาธิปไตยขาเดียวที่เขามีตัวอย่าง ไม่มีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณหรือทางธรรมะเป็นหลัก แต่เขาเอาทางวัตถุ เขาเอาทั้งเปลือกนอกเป็นหลัก เปลือกนอกไม่มีอำนาจควบคุมดูแลมันไม่มีภูมิปัญญา มันไม่มีความเฉลียวฉลาดซับซ้อนแก้ไขสถานการณ์หรือจัดการ โดยเฉพาะวัตถุต่างๆ มันไม่มีเมตตา มันไม่รู้จักเมตตา ไม่รู้จักกตัญญูกตเวที อนุโลมปฏิโลม วัตถุมันไม่รู้เรื่อง ให้มันตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก็ไม่ได้ จิตวิญญาณจึงเป็นเรื่องตัดสินสิ่งที่เกินกว่าวัตถุจะรู้ได้มากมาย

ในสังคมมนุษย์ที่เป็นสัตว์มีชีวิตจิตวิญญาณ ก็จะต้องใช้อาศัยจิตวิญญาณอันประเสริฐ เป็นตัวดูแลควบคุม หรือบริหาร สรุป ประชาธิปไตย 2 ขาดีที่สุด กว่าประชาธิปไตยขาเดียวหรือไม่มีขาเลย คือคอมมิวนิสต์มันไม่มีประชาธิปไตยมันไม่มีขา แต่ประชาธิปไตยขาเดียวก็อย่างอเมริกา หรือบางที่ก็ไม่ใช้ชื่อประชาธิปไตยแต่พฤติกรรมอันเดียวกัน

อาตมาเองพูดเรื่องการเมือง พูดเรื่องรัฐศาสตร์ อาตมาไม่มีภาษา technical term ที่เขาเรียนกัน ทฤษฎีต่างๆ อาตมาพูดไม่ได้ แต่อาตมารู้ความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น ตั้งแต่ปางก่อน ภาษาบัญญัติตั้งแต่ปางก่อน พอมาชาตินี้เขามีศัพท์ตามที่เขามี อาตมาไม่มีก็พูดไม่เหมือน อาตมาแม้จะเอาภาษาวิชาการเขามาอธิบายไม่ตรงนัก เขาก็เล่นงานอาตมาอยู่ ดีไม่ดีบางคนรู้ผิดจากสภาวะแท้ด้วย แล้วสมมุติผิด ก็หาว่าอาตมาพูดผิดจากเขา ก็จะเหมือนได้อย่างไร อาตมาอธิบายให้ถูก ภาษาจะว่าอย่างไรก็ช่างศีรษะ

มาพูดถึง amazing phenomena คือปรากฏการณ์ที่น่าชื่นใจน่าประหลาดใจมันเป็นไปได้ยังไง อาตมาว่าปีนี้ ก็จะมีงานพระบรมศพไปอีก คนต่างประเทศก็จะเข้ามา มันยังไม่ค่อยแพร่กระจายไปเพราะคนเขายังไม่ค่อยรู้ตัว (คนว่าฝรั่งเศสตีพิมพ์ไปทั่ว) แล้วฝรั่งเศสนี่แหละเรียกร้องหาสถาบันกษัตริย์ให้กลับคืนมา แสดงว่าเขาเริ่มลืมตา มีชาคริยาแล้ว (มีคนบอกว่า นักฟุตบอลต่างประเทศยืนไว้อาลัยให้ด้วย) สิ่งเหล่านี้บังคับกันไม่ได้ ยิ่งเป็นกลุ่มใหญ่ และเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อประเทศชาติด้วยไม่ใช่เรื่องธรรมดา

สัจจะความจริงของสัจจะ คือสิ่งที่ดีจริง ประเสริฐจริง ซึ่งมันลึกซึ้งๆซับซ้อนเกินกว่าคนโลกีย์จะเดา เช่นมาเป็นคนจน ไม่ต้องมีทรัพย์ศฤงคารอะไร...

ถามคำตื้นๆ ถ้าอาตมาไปสะสมเงินทอง พวกคุณจะเคารพไหม….หลายคนบอกว่าไม่เคารพ นี่อาตมาบอกเรื่องตื้นๆนะ ไม่ต้องคิดลึกอะไร

ถ้าอาตมาไปสะสมเงินทอง เป็นพระนี่แหละ คุณก็ไม่เคารพหรอก คนที่มาบวชเป็นพระภิกษุแล้วจะเป็นอาริยะหรือไม่เป็นอาริยะ ไปสะสมเงินทองคุณก็ไม่เคารพทั้งนั้น เพราะในศีลและวินัยของพระมาให้สะสมเงินทอง ตั้งแต่เป็นสามเณรก็ไม่ให้สะสมแล้ว แม้จะเป็นพระอาริยบุคคลถ้าสะสมเงินทองเขาก็ไม่เคารพ คุณจะพยายามพากเพียรไม่ให้มีเงินทอง อดทนเอาลำบากลำบนหน้านองน้ำตา แม้ไม่บรรลุ คนก็เคารพ แต่ถ้าคุณไปละเมิดเขาก็ไม่เคารพแล้ว

และมีความซับซ้อนถ้าภิกษุมาบวช ไม่ได้บรรลุอาริยะ สะสมเงินทองก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าบรรลุเป็นอาริยะแล้วสะสมเงินทอง ก็กระไร พระไม่ได้บรรลุก็เหมือนคนติดฝิ่นไม่มีก็จะตายเอง ตำรวจเองยังพกฝิ่นให้นักโทษที่ลงแดงจะตายต่อหน้าต่อตาให้พออยู่ได้แต่ไม่ใช่มอมเมา ไม่เช่นนั้นประสาทมันช็อตจะตายเอา ไม่เช่นนั้นก็เหมือนหมอใจดำช่วยได้ก็ไม่ช่วย

ผู้ที่อยู่ในฐานะสูง พูดผิดนิดหน่อยก็เป็นมาก ควรจะมีวุฒิภาวะสูงก็มาทำอย่างนี้มันไม่เหมาะสม ในการโกหกของคนธรรมดาบาปก็เท่าหนึ่ง แต่ถ้าเป็นอาริยะมาโกหกก็บาปมากกว่ายิ่งเอาอุตริมนุสธรรม คุณวิเศษมาโกหก ก็ยิ่งเป็นอนันตริยกรรม

ขอยกตัวอย่างสมีไชยบูลย์ ขนาดอาจารย์มั่นไปผิดเรื่องกามก็ยังบอกว่าตายไปเป็นหมาห้าร้อยชาติ แต่นี่เรื่องอุตริมนุสธรรม บาปมันแพง อกุศลกรรมกินหัว คนเรามันไม่รู้

อย่างอาตมานี่นะ ...ตั้งใจฟังอย่าถือสานะ คืออาตมาตอนหนุ่มในยุคหนึ่ง ก็มีเพื่อนพาไปซ่อง แล้วมันก็เสียค่าบริการไปตั้งพันกว่าบาท ตอนนั้นเงินไม่ใช่น้อยๆนะ พันกว่าบาท อาตมาก็เสียดายเงินไปให้เงินกับเรื่องอย่างนี้ มันเห็นคนละค่าเลย เหมือนอย่างเสี่ย ให้เงินให้ทองให้บ้านให้รถ อย่างเศรษฐีใหญ่ มันเห็นแก่อย่างนั้น มันก็กล้าเสีย แต่เราไม่เห็นอย่างนั้นเราเอาเงินไปทำอย่างอื่นได้ประโยชน์อีกตั้งเยอะ การสัมผัสเสียดสีมันเหมือนกับการเกา คุณมีเชื้อโรคก็คันก็เกาได้สัมผัสสุดยอดแล้วระดับนั้นเกินกว่านั้นจะแสบ การเกาก็คือการสัมผัส ถ้ามันมีเชื้อโรคกิเลสก็จะบอกว่ามันส์ ก็เท่านั้นก็ถึงสุดยอดก็เท่านััน เลยไปกว่านั้นคุณก็ไม่ทำแล้ว เลยกว่านั้นก็อักเสบเป็นแผล อย่าไปเสียเวลา ทุนรอน แรงงานเลย  ความสูญเสียทั้งหมดมีสามอันนี้

เวลามีเท่ากันทุกคนนะ แรงงานทางกาย แรงงานทางปัญญาของใครของมันคุณไปเสียมันทำไม ทุนรอนทรัพย์สินก็แล้วแต่ ไปเสียกับสิ่งไร้สาระทำไม ถ้ามีปัญญาแล้วเลือกได้ เช่นจะเล่นไพ่ หรือทำอบายมุขต่างๆ ไม่ต้องไปมีรสชาติกับสิ่งเหล่านั้นเลยเป็นของต่ำ คนที่เลิกได้จะเห็นว่ามันเป็นรสชาติที่ตัวเองไปถูกครอบงำว่ามันมีรสชาติจริง เท่านั้นเอง ทุกอย่างเลย ไปยึดถือว่ามันมีรสชาติ แต่จริงๆมันไม่มี คนไปยึดถือมันเอง

ถ้าคุณล้างได้จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ เป็นคุณอภิวิเศษคุณธรรมอุตริมนุสธรรมเกินกว่าสามัญปุถุชนที่จะเป็น  ปุถุชนกัลยาณธรรมคือพวกที่รู้สามัญว่าอะไรดี กดข่มไม่ทำสิ่งไม่ดีได้ แต่ไม่ได้ล้างกิเลสเป็นกัลยาณชน

กัลยาณชนกับอารยชนต่าง ต่างกันที่กัลยาณชนกดข่มได้ ไม่แสดงกิริยาวาจาที่หยาบได้ แต่ไม่ได้ล้างเหตุ จิตเจตสิกที่เป็นตัวการใหญ่ คุณไม่ได้เรียนรู้ไม่ได้รู้จัก เทวนิยมไม่ได้เรียนรู้อย่างแท้จริง อเทวนิยมนั้นให้เรียนรู้อาการลิงค นิมิต อุเทส กำหนดเครื่องหมายในจิต ตั้งแต่นอกจนเข้าไปถึงนามธรรม ถึงเวทนา จนถึงพลังงานจิตนิยามเรียกว่าจิตในจิต ตัวกิเลสเป็นอกุศลจิต คุณก็ต้องรู้จักอาการให้ได้ มันไม่มีรูปร่าง เส้น เสียง สี แสง มันเป็นอาการเคลื่อนไหวคุณก็จับได้ แล้วคุณก็ฆ่าถูกตัว จนมันจางคลายลดลงกระทั่งมันเหลือน้อย จนกระทั่งดับสนิท นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

เป็นสัจธรรมที่ท้าให้มาพิสูจน์ได้ มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ในยุคนี้เมืองไทยเป็นชมพูทวีป จะมีคุณสมบัติคุณธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นในมนุษยชาติ  โดยเฉพาะในเมืองไทย เพราะมีทฤษฎีเกิดจึงเป็นระบบที่เป็นองค์ประกอบหลักฐานต่างๆจะอยู่ในประเทศไทยนี้ไป จนกว่าจะสิ้นศาสนาพุทธ ของสมณโคดม อีกสองพันกว่าปี

ในประชาธิปไตยที่เป็นพุทธ จะมีอริยบุคคล โดยเฉพาะในยุคพระพุทธเจ้าเป็นไม่ได้ เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นโสดาบัน ได้แค่นั้น เท่าที่มีหลักฐาน เหมือนนายกรัฐมนตรี (ปธน.ไม่ได้เป็นปชต.ขาเดียว ต้องเป็นปชต.สองขาเท่านั้น) จะมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี แม้กระทั่งกษัตริย์เป็นอริยบุคคลถึงขั้นอรหันต์ได้ จนกว่าจะสิ้นอีกสองพันกว่าปี ในประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้เป็นการพยากรณ์ แต่เป็นการพูดตามหลักวิชาการ ถ้าจะมาก็ไม่รู้ว่าใคร แต่พูดตามหลักวิชา

จะมีนายกรัฐมนตรีมีรัฐมนตรีเป็นอรหันต์เป็นอนาคามี ถ้าคนเป็นอรหันต์เป็นอนาคามีแน่นอน จะไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีอคติ และยังซื่อสัตย์จัดสรรเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์รัฐกิจสังคมศาสตร์สังคมกิจอย่างเสมอภาค อย่างได้สัดส่วนมีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปเทส 4 มีหลักเกณฑ์ในการบริหารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะอยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข อยู่อย่างดีงามเลย เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ ของสิ่งที่จะต้องเกิด และควรเกิดไหม.. ต้องเกิดเพื่อยืนยันความจริงของศาสนา

_สู่แดนธรรมว่า มีเพื่อนบอกว่า ผู้เป็นอนาคามีนั้นมีหน้าที่ทำกิเลสของตัวเองให้หมดจนเป็นอรหันต์

ตอบ...เขาไม่เข้าใจอาริยะของศาสนาพุทธ แต่เขาเข้าใจเป็นแบบฤาษีชีไพร ได้แบบใดก็เพราะคนไม่เข้าใจสัจธรรม คุณไปหลงเอาทฤษฎีของฤาษีดาบสที่หลงอยู่ในป่า ได้แต่อัตตา ไม่ได้เป็นแม้แต่โสดาบัน ซึ่งไม่มีหลักเกณฑ์เบื้องต้น แม้แต่โสดาบัน ไม่รู้จักสังโยชน์ 3 ได้ปฏิบัติมาเป็นเบื้องต้นของโสดาบัน ไม่มีหลักเกณฑ์แกนของโสดาบัน ที่จะพัฒนาขึ้นอีก ถ้าแกนดี ก็ยิ่งพัฒนาความหมุนให้คล่องตัวมากขึ้น มีเหตุปัจจัยได้มากขึ้นจะยิ่งเร็ว เป็นความคิดที่ทวนกระแสอย่างนั้น มันไปแล้วยิ่งมืด ๆ แต่นี่ยิ่งไปยิ่งสว่าง ๆ แสดงว่าที่ถามมานี้ งมงายมืดไม่รู้กี่ชั้น

 

สมณะเดินดินว่า..เหลือเวลาอีก 20 นาทีอยากให้พ่อครูสื่อสารถึงต่างจังหวัดที่จะมาทำโรงบุญ

พ่อครูว่า...การแสดงออกว่าของเหลือคนมาน้อยกว่า มันเป็นการแสดงออกถึงผู้เสียสละมากกว่าคนมารับ คนเสียสละมากกว่าคนมารับการเสียสละ มันหมายถึงความเจริญหรือความเสื่อม เรื่องวัตถุก็คือวัตถุ ทำมาใหม่สร้างใหม่ได้ แต่จิตวิญญาณแบบนี้ราคาแพงกว่านะ มันเห็นได้ มีได้ มันน่าให้มี ให้เห็นได้ด้วยซ้ำไป

สมณะเดินดินว่า...ถ้าไปแจกแล้วไม่พอ มีแต่จะฆ่ากันตายเพราะแย่งกัน

พ่อครูว่า...เอาให้ชัดถ้าเอาไปแจกแล้วมันเหลือ ต้องใส่ถังเอาไปทิ้งเพราะเน่าเสีย แต่พวกเราฝึกฝนแล้ว ไม่ทำให้เน่าเสียเลอะเทอะ เอาไปหมักเป็นจุลินทรีย์หมุนเวียนมาใช้อีกครั้ง มีความรู้หมุนเวียนสร้างสรรค์ได้ เราเอาขี้มาทำข้าว เอาข้าวมาทำขี้ หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น

เรื่องเล็กเลย เอาใส่ถุงไปให้กินที่บ้าน แต่ก็มีความรู้ละเอียดว่า อย่าให้เสียหาย เอาแต่พอดี คำตรัสของสมเด็จพ่อเราถึงได้ปรากฏว่า พอเพียง พอเหมาะ พอดี มากไปจริงๆก็ไม่ดี เกินไปหรือเหลือไปก็ไม่ดี แต่มันเหลือนี้มันดีกว่าขาดไม่ใช่หรือ เพราะเราเองก็เป็นคนขยันมีความรู้ความสามารถก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ ขอให้พวกเราอย่าขาดแคลนก็แล้วกัน

พวกฝรั่งมาอยู่เมืองไทยก็บอกว่า เมืองไทยไม่มีใครตายเพราะอดหรอก เมืองอื่นเขาปล่อยให้อดตายได้ ดีไม่ดีหลอกให้ออกนอกประเทศ ไม่งั้นเป็นศพเน่าในประเทศ แต่เมืองไทยเราไม่มี อย่างอาจารย์ประมวลได้พิสูจน์ว่าไม่ตายหรอก ข้อสำคัญ ขอให้เราเป็นคนดี

พอรู้ว่าเป็นคนดีเท่านั้นนะ ไม่มีใครเขารังเกียจหรอก ต่อให้คนจนด้วยกัน คนจนแล้วไปเจอคนดี ไปเจอคนขาดแคลน อาจารย์ประมวลก็เล่าให้ฟังแล้ว

สังคมไทยมีวัฒนธรรม แม้แต่ DNA เชื้อหรือ Genetic ของคนไทยมันก็วนเวียนในคนไทย มันเป็นเชื้อทางจิตวิญญาณด้วย คนที่มีวิบากเกิดเป็นเชื้อชาติ ถ้าคุณไม่ชั่วถึงที่  ไม่มีวิบากตายไปแล้ว ต้องไปเกิดในดินแดนที่แร้นแค้นลำบาก ไปเกิด เอธิโอเปียหรือปาปัวนิวกินี มันไม่ไปหรอก ใครไม่เชื่อก็ลองทำชั่วหนักๆสิ จะได้ไปเกิดอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่ตกต่ำไปเรื่อยๆ

เพราะแม้บาปในปางนี้ก็เห็นแล้ว แล้วจะมีอะไรชูให้เขาขึ้นมา ชาตินี้ก็หนักแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาถูกด่าถูกย่ำถูกยี มีแต่ถูกรังเกียจ ทั้งที่เขาน่าจะมีเกียรติ แล้วชาติหน้าเขาจะเป็นอย่างไร ในเมื่อทุนที่ดีมีน้อย ถ้าคุณมีอาริยธรรมจะมีค่าสูงกอบกู้ได้มาก พระพุทธเจ้าว่า ค่าการทำทานกับโสดาบันก็มีค่ามากว่าทำทานอย่างนิจทานคือทำทานอย่างประจำ  ถ้าทำทานกับโสดาบันหนึ่งครั้งดีกว่าทำนิจทาน 100 เท่า

ทำทานกับ สกิทาคามี 1 ครั้งก็ มีค่ามากว่าทำทานกับ โสดาบัน 100 ครั้ง

ทำทานกับ อนาคามี 1 ครั้งก็ มีค่ามากว่าทำทานกับสกิทาคามี 100 ครั้ง

ทำทานกับ อรหันต์ 1 ครั้งก็ มีค่ามากว่าทำทานกับ อนาคามี 100 ครั้ง

ทำทานกับ อนิยตโพธิสัตว์ 1 ครั้งก็ มีค่ามากว่าทำทานกับ อรหันต์100 ครั้ง

…..

โพธิสัตว์ก็ไม่ใช่แบบมหายานที่ไม่บรรลุธรรม พระพุทธเจ้าที่ยังไม่ประกาศอรหันต์ จะเป็นพระเวสสันดร หรือสุเมธดาบสก็ตาม ก็เป็นโพธิสัตว์ในระดับต่างๆ ก็มีความเที่ยงแท้ ได้รับการพยากรณ์ อย่างเช่นสุเมธดาบส ก็ได้รับการพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดมต่อไป สัจจะเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเดา ผู้รู้ย่อมรู้ ผู้เข้าใจย่อมเข้าใจ

อาตมาที่มากล่าวระบุบุคคล เอาเหตุปัจจัยแม้กระทั่งชื่อ อาตมาต้องชื่อว่ารัก แต่ถ้ารักที่ระดับไม่ประเสริฐก็มี ระดับหยาบก็มี ขยายตามมงคล 38 ก็ได้แต่ขยายตามความรัก 10 มิติ อาตมาว่าขยายง่ายกว่า แล้วทำปรมัตถ์ตามความรัก 10 มิติก็จะมีขั้นตอน มีบันไดให้เขยิบฐานะขึ้นไปได้ ที่พูดนี้มีหลักไม่ใช่ไร้สาระ ไม่มีหลัก

แต่ความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธนั้นเป็นไปอย่างน่าอเนจอนาถ ตั้งแต่คำว่ากายก็เข้าใจไม่ได้ จนกระทั่งไปให้สมีไชยบูลย์เอาคำว่ากายไปหลอกคน เขาไม่รู้จักธรรมกาย กายผีอย่างนั้นเละเทะยังหลอกว่าเป็นธรรมกาย

คำว่ากายอาตมาก็อธิบาย คำว่าบุญอาตมาก็อธิบาย คำว่าเฉกา เฉโก กับคำว่าปัญญาก็ต้องอธิบาย สมาธิก็ต้องอธิบายอยู่แล้ว

คนเราเฉลียวฉลาดได้ แต่เฉลียวฉลาดอย่างโลกีย์ก็เฉลียวฉลาดที่จะเอาเปรียบเอารัด ในพจนานุกรมของราชบัณฑิตแปลเฉกาว่าฉลาดแกมโกง ในด้าน กาม อัตตา เป็นความฉลาดที่ทำให้กิเลสตนเองหนาขึ้น เรียกว่าปุถุชน คุณจะฉลาดเท่าไหร่ก็สร้างกิเลสตนเองให้หนาขึ้นนี่คือฉลาดนะ แม้แต่คนเคยพ่ายแพ้ แม้ตอนนี้ชนะมาบ้าง แต่ก่อนเอาเปรียบเขาฉลาดแบบนั้น เราก็รู้แล้วว่า ความฉลาดแบบไหนที่ไม่ควรทำ พวกคุณก็ทำมาทั้งนั้น เมื่อรู้แล้วก็เลิกทำ มาฉลาดแบบมีปัญญาก็รู้ว่ามีเหตุปัจจัยแบบนี้ มีทิศทางไปแบบนี้ แบบไม่เอาเปรียบเรารัดใคร ไม่ไปติดยึดแบบโลก ฉลาดเนกขัมมะ ออกมาจากโลกีย์ แต่ฉลาดแบบโลกๆ คือหนาขึ้นติดยึดขึ้นกับโลกีย์

คุณจะเห็นว่าอาการจิตของตนเองเป็นแบบนี้ มีทิศทางของเรา ยิ่งคุณได้จริงมีของจริงก็จะยิ่งเชื่อ ไม่ได้เชื่อใครแต่เชื่อผลธรรม อุตริมนุสธรรมที่เรามี คนที่มีเหมือนกันพูดนิดเดียวก็จะรู้ร่วมกันได้ การรู้ร่วมกันด้วยข้อสมมติ การรู้ของตัวเองด้วยความปรมัตถ์ คนที่มีทั้งสัจจะแบบสมมติและสัจจะแบบปรมัตถ์ก็จะรู้ร่วมกันได้

เช่นคุณอร่อยกับแบบนี้ สนุกกับแบบนี้คนเดียวแล้วจะบอกว่าปรมัตถ์ คุณจะอธิบายให้คนอื่นอร่อยแบบคุณสนุกแบบคุณมันไม่ได้

สมณะเดินดินว่า...อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติมีแต่ของเจ๊ลั้งคนเดียว วันนี้เจ๊ลั๊งก็แจกจนเดินเซแล้วกว่าจะเสร็จก็เที่ยงคืน ไม่รู้จะไปได้กี่วัน เราก็ไปสมทบไม่ให้เจ๊ลั๊งหนักเกินไป

วันนี้พ่อครูได้อ่านกวีของท่านจันทร์ให้ฟัง

พ่อครูว่า…กลอนนี้ชื่อ “เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น”

 

ไก่ตัวหนึ่งเมามัน หมายมั่น

ว่าตนเองเก่งกาจขนาดนั้น

ก็ตนขันตะวันขึ้นทุกครั้งครา

 

หลงตนเองเก่งกาจขนาดไหน

หลงคนใหญ่เกินตนเป็นคนบ้า

หลงตัวกูไม่รู้ตัดตรองอัตตา

หลงปัญญาคับแคบว่าแยบคาย

 

อาตมาซาบซึ้งกวีบทนี้ของท่านจันทร์จริงๆ คือไก่มันหลงตัวเองว่ามันมีอำนาจว่าพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้นะถ้ามันไม่ขัน ไก่มันบ้าว่ามันเองใหญ่จริง

สมณะเดินดินว่า...อาหารมังสวิรัติของเราระดับติดดิน เราก็ต้องไปแบบอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ เราไม่ได้ร่ำรวยแต่เรามีน้ำใจ เมื่อเช้านี้บรรยากาศดีมาก เราไปช่วยเจ้าอื่นเขายกของ เป็นภาพที่น่าซาบซึ้ง เราไปแจกของ แต่เราก็ยินดีช่วยคนอื่นให้บรรลุเป้าหมายได้ เหมือนไปหาพี่หาน้อง เมื่อเช้าไปเจอพระเถรสมาคมก็โฆษณาให้เรา ไม่เป็นเรื่องแตกแยก แต่ทำเพื่อในหลวง ไม่ได้เป็นความแตกแยก แม้แต่เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ก็บอกว่าเราเป็นลูกพ่อหลวงเดียวกัน ทุกคนมาด้วยน้ำใจ จุดของเราคือต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ที่กองทัพธรรมพึงมี...

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:01:17 )

591025

รายละเอียด

591025_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ หัวเชื้อคุณค่าความดีของมนุษย์

ตอนนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองที่มาจากจิตวิญญาณที่แสดงออกกันเต็มบ้านเต็มเมืองไทยขณะนี้ อยากจะไปดูเป็นพฤติกรรมเข้มข้นจริงๆก็ไปดูสิ เปรอะเต็มสนามหลวงเลยพฤติกรรมนี้ มีแต่คนแสดงออกที่น่าซาบซึ้งใจ คำว่า “ให้”คำเดียวมันไม่พอ

ขนาดวันเซ็นลงนามถวายอาลัยคนยังมากขนาดนี้ แล้วถ้าเปิดเคารพพระศพอีกก็คนจะมากกว่านี้อีกเยอะ

พฤติกรรมนี้เรียกว่า หัวเชื้อคุณค่าของความเป็นคนของความเป็นมนุษย์ ที่มีต้นแบบมาจากพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงพระจริยวัตร คนรับรู้ได้ทั่วไป ชัดเจน

พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงงานทรงพระจริยวัตรอย่างที่คนอ่านรู้ได้ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงงานมากว่า 70 ปีเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานหนัก ท่านก็ไม่ได้ประกาศให้ใครรู้แล้วท่านก็ทรงประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นของท่านเอง ท่านก็ทรงประพฤติปฏิบัติของท่านเองไปเฉยๆ ไม่ได้ประกาศบอกกล่าว ไม่ได้โฆษณาหาเสียง มันก็รู้ก็เห็นกัน มนุษย์ไม่ใช่คนตาบอด ตอนนี้กล่าวได้ว่าคนตาบอด หนูพัทธนันท์ ตาบอด ก็บอกว่ามองเห็นพระเจ้าอยู่หัวทั้งที่ตนเองตาบอด

เป็นนิมิตหมายที่คนตาบอดมาประกาศให้โลกรู้ว่าฉันมองเห็น ฉันมองเห็นพระเจ้าอยู่หัวของไทย มองเห็นแล้วก็ซาบซึ้งบรรยายไปตามเนื้อเพลง ในหลวงของแผ่นดิน

มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางความมืดมัว แล้วตัวคนมองเห็นนอกจากมืดมัว แล้วตนเองยังตาบอดอีกต่างหาก มันซับซ้อนกี่ชั้น มาร้องเพลงว่าเห็นในหลวงแล้ว อีกเพลงหนึ่ง“เพลงยิ้มสู้” ทรงพระราชนิพนธ์ให้แก่คนตาบอด ให้คนตาบอดให้หัดร้อง คนตาบอดก็ร้องยิ้มสู้ๆ จนตอนนี้คนตาบอดเห็นแล้ว ก็มาบอกประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่า หนูเห็นแล้วๆ เห็นอะไร เห็นในหลวง เห็นทิพยธรรม เห็นธรรมทิพย์ของในหลวง อาตมาหยิบมาพูดตามประสาอาตมา เป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นของจริง ตถตา เป็นความจริงเช่นนั้นเอง ใครมองความจริงออก

มันจึงทำให้อาตมายิ่งมั่นใจว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีสิ่งที่ประเสริฐอันนี้แหละ ในหลวงของเราได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ได้ทำกิจนั้นไว้เสร็จแล้ว เป็นเวลายาวนาน 70 ปี มีสิ่งประเสริฐทิ้งไว้ให้แก่มวลชนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ถ้าใครรู้ไม่มีสงวนลิขสิทธิ์ด้วย นำไปประพฤติปฏิบัติตามคำสอนตามที่พระองค์ท่านนำทำมาก่อนด้วย แต่ละหน้าที่แต่ละฐานะ ทำไปตามหน้าที่ของตัว ท่านเองก็ทรงหน้าที่ของท่าน เราแต่ละคนก็มีหน้าที่ตามสุจริตกรรมของเรา ตามโอวาทปาติโมกข์ของพระพุทธเจ้า สัพพปาปส อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ก็สมบูรณ์แบบ จบ

(พ่อครูไอ) สมณะเดินดินว่า...พ่อครูเกริ่นกล่าวทานสูตร อาตมาคิดว่าทานสูตรไม่ใช่ไปว่าเฉพาะธรรมกาย แต่พวกเราเองด้วย ทานอย่างไรจะหมดตัวหมดตน พฤติกรรมของในหลวง 70 กว่าปีก็คือการให้อย่างสมบูรณ์ณรงค์โดยไม่ต้องหาเสียง เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ต่อมาถึงประชาชน ถ้าชาวอโศกได้ทำทานอย่างในหลวงบ้าง ทำโดยไม่ต้องคิดว่าจะมีใครมายอมรับเราไหม จะมีใครจะมาชื่นชมเราไหม ทำไปอย่างเดียว ก็จะมีอานิสงส์ อย่างที่พ่อครูยกตัวอย่างคุณชัช อุบลจินดาให้ฝรั่งเหยียบหลังไม่ถึงห้านาที แต่ว่าเขาทำอย่างไม่ได้หวังอะไร ก็น่าซาบซึ้งมากแล้ว

พ่อครูว่า...คุณชัช ให้ฝรั่งเหยียบหลังขึ้นจากโคลนแล้วก็ไม่ได้รอรับแม้คำขอบคุณ ขับเรือไปเลย

สมณะเดินดินว่า...ชาวอโศกเราก็ควรจะทำทานยังไม่ต้องหวังว่าจะได้อะไรกลับคืนเลย เหมือนอย่างที่ในหลวงทรงงานมาตลอดเจ็ดสิบกว่าปี ในหลวงไม่ได้มีสำนักประชาสัมพันธ์ของในหลวงเลย ทรงทำมาตลอด 70 ปี เป็น big bang ที่ประชาชนไทยรับรู้ได้

 

 

จะเป็นดินน้ำไฟลม พืช สัตว์คน หรือกรรมกิริยาของคน (ตัวดีทำให้เราเกิดสุขทุกข์ได้ดีนัก) เมื่อเกิดอาการก็แยกแยะธรรมะสอง รู้ว่าตัวไหนคือตัวแท้ ตัวไหนคือตัวเทียม คนแยกตัวแท้กับตัวเทียมได้คือคนมีญาณทิพย์ ตาทิพย์ หูทิพย์รู้ทิพย์ได้ แยกได้ ว่าอันหนึ่ง เป็นของจริง อีกอันคือของเทียม ก็ทำกายเวทนาจิตธรรมก็แยกแยะเวทนา 2 อันหนึ่งเป็นเวทนาแท้อีกอันเป็นเวทนาเทียม

เวทนาแท้คือสมมุติสัจจะที่ทุกคนรับรู้ได้เหมือนกันหมด แต่อีกเวทนาที่เทียมคือเกิดชอบหรือไม่ชอบ

ก็รู้ทั้งสองอย่างเลย สมมุติว่าขวดน้ำหวานนี้ หรือขวดน้ำชาสัมผัสแล้วเกิดรู้สึกชอบ ถ้าแตะแล้วมันหวาน หวานคือรสแท้ ส่วนอาการชอบ ว่าหวานอย่างนี้ชอบ ต้องกับรสนิยม ชอบ หรือสัมผัสแตะแล้วไม่ชอบไม่ต้องกับรสนิยมหวานอย่างนี้ไม่ชอบ รสแท้คือ หวานนั้น รสเทียมคือชอบหรือไม่ชอบ ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบก็คือเวทนาเทียม เวทนาแท้คือรู้สึกหวานคุณมาแตะรสนี้ก็รับรสได้เหมือนกันหมดทุกคน แต่ที่ชอบหรือไม่ชอบคือรสเทียมอุปาทานของเป็นกิเลสชอบใครชอบมัน ถ้าแยกแยะอาการชอบหรือไม่ชอบเหตุมาจากไหน เกิดจากสมมุติไว้ในใจไปถูกหลอกว่าต้องตรงสเปคที่ตนชอบ เมื่อแตะแล้วไม่ตรงอุปาทานก็ไม่ชอบ ต่างกันคนอื่นด้วย อันนี้เป็นของเทียม พพจ.ว่าตัวนี้แหละที่ทำให้ทุกข์หรือสุขต้องกำจัดเหตุไม่ให้เกิดทุกข์หรือสุข พระอรหันต์นี้มีรสเดียว

คนติดกาแฟก็ลดเลิกกาแฟ คนติดอันไหนก็เลิกอันนั้น อาตมาพาพวกเราเลิดเนื้อสัตว์ อันอื่นไม่ค่อยได้พาทำ เพราะมันตีกินให้เลิกได้หลายอย่าง และตัดวิบากเรื่องโทษภัยกับสัตว์ด้วย เราไม่ต้องมีวิบากไปฆ่ามากิน ไปผูกคอมันมาหรือไปฆ่าใส่เข่งหรือกรงมา พยายามฆ่า หรือฆ่าจนตายแล้วเอามาทำอาหารกินอีก

ผู้ที่ไปมีของจิรงไม่มีของเก๊ของเทียมเลย รูปเทียมรสเทียมกลิ่นเทียม สัมผัสเทียมอะไรก็แล้วแต่ ถ้าสามารถเข้าใจแล้วลดเหตุได้ก็เกิดปัญญา รู้ว่าของไม่จริง

สรุปตรงนี้ว่าอนัตตาคืออะไร คือหมดจากของปลอมของเก๊ทั้งหลายนั่นเอง

สมณะเดินดินว่า..แต่ก่อนนี้กลิ่นปลาทูได้กลิ่นแล้วก็ชอบมากเลย เป็นรสเทียม แต่ตอนนี้ได้กลิ่นแล้วก็คาว เราก็เบาลงได้เยอะกับสิ่งที่เราฝังไว้เป็นสิ่งเทียมที่เราติดกลิ่นแล้วก็คาว เราก็เบาลงได้เยอะกับสิ่งที่เราฝังไว้เป็นสิ่งเทียมที่เราติด

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1mKajkinHHiHU-C-w0qL-giG4ecHMNsHs5iX6CiOqb3k

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35Efb0EwZFE3TllKclk

หรือที่นี่...http://www.filefactory.com/file/2s0vz10fnrqx/161025

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่...

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:01:56 )

591025

รายละเอียด

591025_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ หัวเชื้อคุณค่าความดีของมนุษย์

สมณะเดินดินว่า..ในช่วงนี้ พ่อครูก็คงจะมาเก็บบทสรุป ที่สนามหลวง ที่มีปฏิกิริยา Chain reaction ของ A bomb of love. ที่ไอน์สไตน์พูดไว้เกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่คนเอาทฤษฏีไอน์สไตน์ไปฆ่ากัน แทนที่จะมาช่วยเหลือกัน ในหลวงเราก็ทำระเบิดแห่งความรักนี้มา70 ปี จนเกิดผล ให้เห็นที่สนามหลวง เดิมที่สันติอโศกจะทำข้าวต้มมัด สองพันกว่ามัดก็เป็นหลายพันมัดได้ วันนี้จะทำเป็นมันต้มแทน ที่สนามหลวงมีการทำอาหารแจกอาหาร มีผลข้างเคียงอาจทำให้ต้นมะขามที่สนามหลวงตาย เราเองถ้าจะหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะโฟม หันมาใช้กระทงใบตองได้ ง่ายและไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย  ฝากคนต่างจังหวัดถ้าใครจะมาก็ฝากเอาใบตองมาฝากคนกรุงเทพด้วย

ที่สนามหลวงคนกำลังมีปิติแจกอาหารแจกข้าวของกัน เรากำลังจะดึงมาสู่ชีวิตที่สมดุล ในหลวงเราบอกว่าประเทศไทยจะอยู่ได้ต้องมีความพอเพียงความสมดุลเป็นหลัก วันนี้พ่อครูจะมาได้อธิบายรูปธรรมนามธรรมที่ปรากฎให้พวกเราได้

พ่อครูว่า...ที่สันติอโศก วันนี้วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2559 แรม 9 ค่ำเดือน 11 ปีวอก วันแต่ละวันผ่านไปๆเหตุปัจจัยต่างๆก็เกิดขึ้นสังคมที่มีพฤติกรรมหรือพฤติกรรมสังคม ก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เสมอๆ ในเมืองไทยขณะนี้มีปรากฏการณ์เกิดขึ้น ที่อาตมาเรียกว่า amazing ฟีโนมีนอน เป็นปรากฏการณ์ที่น่าตะลึง น่าทึ่ง น่ามหัศจรรย์

น่าทึ่ง น่ามหัศจรรย์คือ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากจิตวิญญาณเป็นประธานจริงๆ ซึ่งมันตกผลึก ใครจะเจตนาสั่งสมหรือไม่สั่งสมก็ตามแต่จิตวิญญาณได้รับการตกผลึก จะรับการสั่งสมเอาสิ่งที่ดีๆ เป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าปลื้มใจ ถ้าไปเก็บเอาสิ่งที่ดีๆ ซึ่งพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า อันเป็นกุศลธรรม อันยิ่งใหญ่ กุศลธรรมในระดับโลกุตระ คือในระดับที่เป็นการแสดงออกที่ไม่เห็นแก่ตัว มันเป็นสาราณียธรรม  คือเป็นธรรมะอันระลึกถึงกัน (สาราณียะ)

ตอนนี้มันก็เกิดความจริง ใต้ก้นบึ้งของจิตวิญญาณคนที่ได้ซึมซับเอาสิ่งที่เป็นกุศลกรรมนั้นไว้ คนเรานี่มันรักดีกันทุกคน มันอยากได้ดี ประทับใจก็จะประทับไว้ ด้วยตัวเองจะรู้สึก รู้ทันหรือไม่ทันก็ตามใจ แต่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ คำว่ามนุสโสคือผู้ที่มีจิตสูง มันดูว่าอะไรดีหรือชั่ว จะหลงผิดอย่างไรก็จะรู้ ก็จะเก็บเอาสิ่งที่เป็นกุศลจิตที่ประเสริฐ และจิตที่ไม่เห็นแก่ตัว ที่ไม่มีตัวตนคือโลกุตรจิต

จิตที่เป็นการแสดงออกการเสียสละการให้ ตอนนี้เราจึงเห็นพฤติกรรมของการให้ ที่มันประทุออกมา อาตมาพูดตรงตรงเลยว่า แทบน้ำตาซึมเลย พฤติกรรมเล็กๆน้อยๆที่เจอ

อาตมาก็ไปเจอที่สนามหลวงไปเดินดู ไปสัมผัสดูเหตุการณ์ ของจริงต่างๆนาๆของเขา ก็เดินดูไป เด็กของเราตามไปมีด.ญ.ดูแลกับน้องศีล  เขาก็เดินตามไปเขาฝึกเป็นผู้สื่อข่าวมีกล้องตามไป เสร็จแล้วไปเจอผู้ชายคนหนึ่งมีน้ำขวดมาสองขวด มาถึงก็ยื่นให้ดูแล ดูแลก็ไม่เอา เขายื่นมาถูกตัวเลย ศีลก็เลี่ยงไม่เอา เขาก็พยายามยัดเยียดให้อยู่นั่นแหละ อาตมาเห็นเขาให้ด้วยน้ำใสใจจริง เขาไม่ใช่คนแต่งตัวดีอะไรหรอก ค่อนข้างดูโทรมด้วยซ้ำ ซึ่งดูแลเห็นแล้วก็คงรู้สึก แต่คนแต่งตัวดีๆ เด็กเรา Innocent ก็อาจจะรับ อาตมาก็ดูกิริยา เขาไม่ได้ให้สัญญาณอะไร ดูแลก็คงพอมีปฏิภาณ เขาพยายามยื่นให้ ดูแลก็จำนนรับให้ ศีลก็รับให้ พอรับให้เขาเท่านั้นผู้ชายคนนี้ก็ร้องไห้เลย คุณนึกดูเลยว่าคืออะไร? พอดูแลเขารับ เขาก็ร้องไห้

เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ยากมากเลย จิตใจลักษณะเช่นนี้ มันเป็นลักษณะหลั่งการเสียสละหลั่งการให้ พฤติกรรมของสังคมไทยมันเป็นโรคระบาดแห่งการให้ จะเห่อหรือ fever การให้ อาตมาว่าไม่ใช่โรค หรือfever แต่เป็นความจริงใจที่ประทุออกมา ต่างคนต่างจะไปให้ สังคมจึงเต็มไปด้วยการให้ ก็จะมีการให้ไปให้มาให้กลับคืน ให้กันไปให้กันมา ก็ดีใจ ปลื้มใจประทับใจที่เราได้ให้ มันเป็นปรากฏการณ์ที่ ยิ่งใหญ่มาก วิเศษมาก คำตอบคำเดียวว่าการให้เป็นความดีงาม

ดีงามคือ สาหุ เป็นเรื่องดี ด้วยประการใดๆทั้งนั้น กิริยาการให้ เป็นรูปแบบการให้เลย จะจริงใจหรือไม่จริงใจแต่รูปแบบการให้มันดีแล้ว ถ้ายิ่งจิตใจได้ให้ด้วยจริงใจก็สมบูรณ์แล้ว

สรุปแล้วธรรมะต่างๆคนเรามาปฏิบัติธรรมเพื่อการให้อย่างเดียว ในบารมี 10 ทัศ จะปฏิบัติ ทาน ศิล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน ลงท้ายด้วยเมตตากับอุเบกขา ตัวประพฤติแท้ ก็คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา สี่ตัวแรก จะบอกว่า คำว่า ทาน คือตัวแท้ ให้ ประพฤติศีล วิธีการปฏิบัติ การปฏิบัติศีลพรต จะมีหลักปฏิบัติใดๆก็เพื่อจิตมันให้ ถ้าจิตมันให้ได้ก็คือเนกขัมมะ ฝึกอ่านเอาความโลภออก  เอาความเป็นตัวกูของกูออก เอาไปให้ เนกขัมมะต้องมีปัญญารู้ว่า ชีวิตนี้เป็นคนให้เถอะ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ใจไม่ต้องมีความขี้เหนียวหวงแหน หรือต้องการสิ่งตอบแทน ไม่ต้องเลย

สรุปแล้วธรรมนี้ ถ้าศึกษาฝึกฝนก็เพื่อจะเป็นคนให้ พระอรหันต์ทุกพระองค์ คือพระผู้ให้ คือผู้ให้ ผู้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น พระอรหันต์มาเป็นผู้ที่ไม่ต้องมีอะไร หมดเนื้อหมดตัว หมดตัวหมดตน ทรัพย์สมบัติวัสดุก็พอมีอาศัยใช้สอย แม้แต่อาหารก็ไม่สะสม ตื่นเช้าขึ้นมาเราจะยังชีพได้ด้วยอาหารก็พอนิดหน่อย เดินไปบิณฑบาต ถือบาตรที่ใส่อาหาร เดินไปไม่ได้ขอนะ เป็นวัฒนธรรมที่สมบูรณ์แบบแล้ว คนเห็นก็ให้ท่านได้อาหารเลี้ยงชีวิตไว้ ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น โดยที่เราเองก็เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่สะสม ชีวิตมีวรรณะ 9 เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นผู้ที่ขัดเกลา มีศีลเคร่ง มีอาการน่าเลื่อมใส ไม่สะสม อปจยะ และขยันเสมอ วิริยารัมภะ

งานหลักของพระอรหันต์หรือผู้บรรลุธรรมสูงสุด คือบอกความจริงเปิดเผยความจริงอธิบายความจริงแจกจ่าย เผยแพร่ความจริงให้คนได้รู้ความจริง ให้คนได้ประพฤติปฏิบัติความจริง มาเป็นผู้ให้เหมือนพระอรหันต์

ถ้าบุคคลใดสังคมใดมีแต่การให้มากกว่าการเอา มีแต่คนอยากให้ มีแต่คนไม่ทำเพื่อตัวเอง ทำแล้วก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ทำแล้วก็เอามารวมกันกินแจกจ่ายเกื้อกูลกันไป สังคมแบบนี้เป็นสังคมประเสริฐสังคมสูงสังคมคนเจริญ เคยเห็นสังคมแบบนี้ไหมเอ่ย เห็นไหม?

มีแรงงานทำผลผลิต ใช้เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคใช้สอยร่วมกันไป ไม่หวง ไม่แหน แบ่งแจกเกื้อกูลกัน เป็นสาธารณโภคี พฤติกรรมของสังคมแบบนี้เคยเห็นบ้างไหมสังคมแบบนี้ ที่ไหนที่ไหน ...ที่อโศก ….ชาวอโศกอยู่ไหน?

ชุมชนชาวอโศกเราเป็นสังคมที่ปฏิบัติธรรม อาตมาได้ละทิ้ง การมีชีวิตอย่างคนทางโลก คือการทำมาหากิน ละทิ้งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กาม อัตตา แค่นั้น จนอาตมาปฏิบัติได้บรรลุธรรมก็จึงเลิกจากการมีชีวิตแบบอย่างนั้น ออกมาตั้งแต่พ. ศ. 2513 จนถึงวันนี้ ก็ 46 ปีเข้าไปแล้ว ก็ยิ่งมั่นใจเต็มใจ ว่าการมีชีวิตอย่างนี้ดีแล้วถูกแล้ว ดีกว่าการมีชีวิตแบบโลกๆ ถ้าอาตมาอยู่ทางโลกก็แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ กับเขาได้อยู่นะไม่ได้พ่ายแพ้ เป็นตัวแย่งเอาทรัพย์สินในสังคมเดือนหนึ่งไม่ใช่น้อย

ตอนนั้นก็กำลังจะตั้งบริษัทหัวใจสีชมพู ที่จะเป็นบริษัทเป็นบันเทิงธุรกิจสื่อสารมวลชน มีทั้งแสดง แต่งเรื่อง เพลง วาดภาพ ถ่าย จะรวบรวมไว้ยิ่งกว่าแกรมมี่ อาร์เอส รวมกันเลย รวมสื่อสารมวลชนบันเทิงธุรกิจเอาหมด แต่เสร็จแล้ว เมื่อมาปฏิบัติธรรมก็รู้ว่าบาปกินหัวเปล่าๆจึงเลิก โดยไม่ได้สงสัยลังเล ออกมายังเด็ดเดี่ยว ก่อนออกมานี่ทรัพย์สินเงินทองก็แบ่งให้น้องๆ คนอื่นก็มาเอา แม้แต่เด็กมุสลิมก็แบ่งให้ แล้วก็ออกมา โดยไม่เหลืออะไรไว้ ยังเซ็นกระดาษเปล่าให้น้องๆว่า ว่าถ้ามีอะไรตกหล่นก็เอาไปได้เลย บอกเขาไว้

สรุปแล้ว อาตมาว่า ชีวิตชาตินี้ ที่มาเป็นโพธิรักษ์ ทำงานอยู่ทุกวันนี้ อาตมาว่าอาตมาเป็นคนสมบูรณ์แบบ ไม่ได้ยกย่องตนเองอะไรนะ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และออกมาประกาศเพื่อให้คนมาเป็นแบบนี้ ที่เรียกกันว่าเป็นอริยบุคคล จะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อรหันต์ ก็ตามแต่ ตามแต่ละขั้นตามแต่ละฐานะ อาตมาก็มาเป็นคนอย่างนี้ได้ แล้วก็มาเผยแพร่ประกาศอธิบายเพื่อให้คนอื่นๆทั้งหลายที่เป็นมนุษย์มาเป็นคนอย่างนี้กันเถอะ

ตอนนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองที่มาจากจิตวิญญาณที่แสดงออกกันเต็มบ้านเต็มเมืองไทยขณะนี้ อยากจะไปดูเป็นพฤติกรรมเข้มข้นจริงๆก็ไปดูสิ เปรอะเต็มสนามหลวงเลยพฤติกรรมนี้ มีแต่คนแสดงออกที่น่าซาบซึ้งใจ คำว่า “ให้”คำเดียวมันไม่พอ

ขนาดวันเซ็นลงนามถวายอาลัยคนยังมากขนาดนี้ แล้วถ้าเปิดเคารพพระศพอีกก็คนจะมากกว่านี้อีกเยอะ

พฤติกรรมนี้เรียกว่า หัวเชื้อคุณค่าของความเป็นคนของความเป็นมนุษย์ ที่มีต้นแบบมาจากพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงพระจริยวัตร คนรับรู้ได้ทั่วไป ชัดเจน

พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงงานทรงพระจริยวัตรอย่างที่คนอ่านรู้ได้ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงงานมากว่า 70 ปีเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานหนัก ท่านก็ไม่ได้ประกาศให้ใครรู้แล้วท่านก็ทรงประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นของท่านเอง ท่านก็ทรงประพฤติปฏิบัติของท่านเองไปเฉยๆ ไม่ได้ประกาศบอกกล่าว ไม่ได้โฆษณาหาเสียง มันก็รู้ก็เห็นกัน มนุษย์ไม่ใช่คนตาบอด ตอนนี้กล่าวได้ว่าคนตาบอด หนูพัทธนันท์ ตาบอด ก็บอกว่ามองเห็นพระเจ้าอยู่หัวทั้งที่ตนเองตาบอด

เป็นนิมิตหมายที่คนตาบอดมาประกาศให้โลกรู้ว่าฉันมองเห็น ฉันมองเห็นพระเจ้าอยู่หัวของไทย มองเห็นแล้วก็ซาบซึ้งบรรยายไปตามเนื้อเพลง ในหลวงของแผ่นดิน

มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางความมืดมัว แล้วตัวคนมองเห็นนอกจากมืดมัว แล้วตนเองยังตาบอดอีกต่างหาก มันซับซ้อนกี่ชั้น มาร้องเพลงว่าเห็นในหลวงแล้ว อีกเพลงหนึ่ง“เพลงยิ้มสู้” ทรงพระราชนิพนธ์ให้แก่คนตาบอด ให้คนตาบอดให้หัดร้อง คนตาบอดก็ร้องยิ้มสู้ๆ จนตอนนี้คนตาบอดเห็นแล้ว ก็มาบอกประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่า หนูเห็นแล้วๆ เห็นอะไร เห็นในหลวง เห็นทิพยธรรม เห็นธรรมทิพย์ของในหลวง อาตมาหยิบมาพูดตามประสาอาตมา เป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นของจริง ตถตา เป็นความจริงเช่นนั้นเอง ใครมองความจริงออก

มันจึงทำให้อาตมายิ่งมั่นใจว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีสิ่งที่ประเสริฐอันนี้แหละ ในหลวงของเราได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ได้ทำกิจนั้นไว้เสร็จแล้ว เป็นเวลายาวนาน 70 ปี มีสิ่งประเสริฐทิ้งไว้ให้แก่มวลชนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ถ้าใครรู้ไม่มีสงวนลิขสิทธิ์ด้วย นำไปประพฤติปฏิบัติตามคำสอนตามที่พระองค์ท่านนำทำมาก่อนด้วย แต่ละหน้าที่แต่ละฐานะ ทำไปตามหน้าที่ของตัว ท่านเองก็ทรงหน้าที่ของท่าน เราแต่ละคนก็มีหน้าที่ตามสุจริตกรรมของเรา ตามโอวาทปาติโมกข์ของพระพุทธเจ้า สัพพปาปส อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ก็สมบูรณ์แบบ จบ

(พ่อครูไอ) สมณะเดินดินว่า...พ่อครูเกริ่นกล่าวทานสูตร อาตมาคิดว่าทานสูตรไม่ใช่ไปว่าเฉพาะธรรมกาย แต่พวกเราเองด้วย ทานอย่างไรจะหมดตัวหมดตน พฤติกรรมของในหลวง 70 กว่าปีก็คือการให้อย่างสมบูรณ์ณรงค์โดยไม่ต้องหาเสียง เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ต่อมาถึงประชาชน ถ้าชาวอโศกได้ทำทานอย่างในหลวงบ้าง ทำโดยไม่ต้องคิดว่าจะมีใครมายอมรับเราไหม จะมีใครจะมาชื่นชมเราไหม ทำไปอย่างเดียว ก็จะมีอานิสงส์ อย่างที่พ่อครูยกตัวอย่างคุณชัช อุบลจินดาให้ฝรั่งเหยียบหลังไม่ถึงห้านาที แต่ว่าเขาทำอย่างไม่ได้หวังอะไร ก็น่าซาบซึ้งมากแล้ว

พ่อครูว่า...คุณชัช ให้ฝรั่งเหยียบหลังขึ้นจากโคลนแล้วก็ไม่ได้รอรับแม้คำขอบคุณ ขับเรือไปเลย

สมณะเดินดินว่า...ชาวอโศกเราก็ควรจะทำทานยังไม่ต้องหวังว่าจะได้อะไรกลับคืนเลย เหมือนอย่างที่ในหลวงทรงงานมาตลอดเจ็ดสิบกว่าปี ในหลวงไม่ได้มีสำนักประชาสัมพันธ์ของในหลวงเลย ทรงทำมาตลอด 70 ปี เป็น big bang ที่ประชาชนไทยรับรู้ได้

พ่อครูว่า...มาดู sms กัน

SMS วันที่ 24 ตุลาคม 2559
          0893809xxxยึดติดในขันธ์ห้าเป็นทุกข์ ขันธ์ห้าทุกข์สุดทนเพราะความโลภ อาหารโปรดรสเลิศ ผ้าแพรพรรณพร้อมพรั่งยังติว่าไม่พอ ปล่อยอารมณ์ความอยากไม่หยุดยั้ง ลงโลกันต์เมื่อสิ้นลมสู่แดนทุกข์ "รู้จักพอ ก็เป็นสุขได้ การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นพื้นฐานของความสุข ใฝ่ความดีนั้นเป็นเรื่องสุขที่สุด"

 

0833208xxxชีวิตจะสั้นยาวไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญต้องรู้ว่าทำไมเราต้องเกิด?และเกิดมาทำไม?แล้วจะดำรงอยู่อย่างไร? ยามมีชีวิตอยู่ทำเรื่องชั่วร้ายขายชาติแสวงหาประโยชน์ส่วนตนทำร้ายปวงชน เช่น"โจโฉ" เวลานี้ผ่านไปนับพันปียังมีแต่คนแช่งด่าสาปแช่งไม่สิ้นสุด
          พ่อครู..ทำไมเราต้องเกิด? เพราะอวิชชา และเกิดมาทำไม? ..ทำงาน

แล้วจะดำรงอยู่อย่างไร? ...คนเราต้องเรียนรู้เหตุ และกำจัดเหตุ เมื่อกำจัดเหตุนั้นได้ ก็จะเกิดมาอย่างรู้ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาอย่างทำงานโดยไม่มีกิเลส ง่ายดีไหมตรรกะ แต่ถ้าเรียนรู้ปรมัตถ์ เรียนรู้กิเลส ถ้ามีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ แล้วกำจัดกิเลสตามพระพุทธเจ้า คนเรามีกิเลสลดจะยิ่งมีแต่วิริยารัมภะ มีวรรณะ 9

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

จะเป็นคนที่มีพลัง 4 คือ ปัญญาพละ วิริยพละ อนวัชชะพละ สังคหะพละ ขยันหมั่นเพียรทำงานเพื่อผู้อื่น สังคหะ เป็นคนที่มีพลัง มีอายุวรรณะ สุข โภคะ พละ คนที่จะได้อายุก็ต้องมีอิทธิบาท จะได้วรรณะก็ต้องมีศีล คนจะได้สุขก็ต้องมีฌาน คนจะได้โภคะก็ต้องมีพรหมวิหาร 4 คนมีกำลังคือพละ ต้องมีวิมุติ ก็จะเกิดพลัง

มีพลังแล้วจะเป็นพลัง 4 คือมีพลังปัญญา  ทำกรรมกิริยาด้วยปัญญา ด้วยวิริยะ เพื่อเกื้อกูลผู้อื่นเป็นสังคหะ แล้วจะไม่มีภัย 5

1.      อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)

2.      อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ)

3.      ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม) .

4.      มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย) ไม่กลัวตาย

5.      ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน ฯ)

(พลสูตร  พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 209)

คำสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นจริงได้ทั้งสิ้น (พ่อครูไอ)

สมณะเดินดินว่า...ในพลัง 4 อาตมาดูคำสอนในหลวง บอกว่า คำสอนศาสนาที่ท่านชอบที่สุดคือ วิริยะ อย่างคำว่า วีรชนคือผู้มีความกล้า ต้องกล้าทำความดี กล้ายืนหยัด คำศัพท์ทางศาสนาที่ในหลวงชอบคือวิริยะ อย่างพระมหาชนก แหวกว่ายในมหาสมุทรอย่างไม่เห็นฝั่งเป็นต้น

อย่างการกอบกู้ประเทศ ก็ไม่เห็นฝั่งเลย ดีว่าอาตมามากับพ่อครูจึงเห็นฝั่งบ้าง แต่ในหลวงเราทำอย่างไม่เห็นฝั่งจริงๆ แต่ท่านตรัสว่า ท่านชอบคำว่าวิริยะมากที่สุด

พ่อครูว่า...อาตมาเห็นฝั่งแล้วก็มาชี้ทาง ส่วนในหลวงทรงเป็นผู้ประพฤติให้เห็น  แม้ไม่เห็นฝั่งก็ต้องทำพากเพียร ท่านทรงบำเพ็ญในปางนี้มีสองอย่างคือ มหาชนกกับเตมีย์ใบ้ อย่างเตมีย์ไม่พูดเลย แล้วท่านไม่พูดมาก แต่ละคำๆที่ตรัสออกมา

 

0893867xxxธ.สาธารณโภคีอันพ่อครูสอนทำให้มวลชนประพฤติปฏิบัติตามทศพิธราชธรรมอันมีทาน,ศีล,ปริจาคะ,อาชวะ,มัทวะ,ตบะ,อักโกธะ,อวิหิงสา,ขันติ,อวิโรธะได้ แต่นักโกงกินเมืองทำไม่ได้เพราะแม้แต่คำสัตย์ปฏิญาณฯก็รักษาไว้ไม่ได้แล้วจะรักษาปย.ช.ปชช.ได้อย่างไร? คนซื่อสัตย์จริงจะทำทานการเสียสละ,ศีลประพฤติดีงาม,ปริจาคะสละส่วนตนเพื่อส่วนรวม,อาชวะซื่อตรงสุจริต,มัทวะสุภาพอ่อนโยน,อักโกธะไม่โกรธ,    อวิหิงสาไม่เบียดเบียน,ขันติอดทน,อวิโรธะหนักแน่นเที่ยงธรรมได้ไม่ยาก! ธรรมะอันพอดีพอเพียงพอประมาณ!คนซื่อรู้พอทำได้ไม่ยาก!คนคดไม่รู้พอทำไม่ได้ง่าย!


          0844497xxxชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ วันนี้เราเป็นมนุษย์ พรุ่งนี้จะไปเป็นอะไรยากที่จะรู้ เวลานี้เป็นเวลาดี เป็นโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรม "เกิดพันครั้งผ่านหมื่นเคราะห์ได้ร่างคน เพราะชาติก่อนสร้างความดีจงเข้าใจ ในชาตินี้ไม่ถนอมร่างตนไว้จะรอเมื่อไหร่ได้ร่างคืน"

ตอบ...วันหนึ่งๆ ส่วนมากไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่เป็นเปรตอสุรกาย เดรัจฉาน หรือเป็นเทวดาเก๊ ไม่เป็นเทวดาจริงหรอก ถ้าไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ เทวดาคนปุถุชนมีแต่เทวดาเก๊ เทวดาสมมุติเทพ แต่เทวดาจริงคือ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ

เทวดาอยู่ที่จิตวิญญาณ ​นอกจิตวิญญาณไม่มีเทวดา ผู้ใดอ่านจิตวิญญาณตน จับจิตวิญญาณตนเองได้ทุกเมื่อ แล้วสามารถทำให้จิตวิญญาณของตนเป็นเทวดาถาวร เป็นอุบัติเทพหรือวิสุทธิเทพ ถ้าทำได้แน่นอนคนนั้นก็สมบูรณ์แบบ มาเรียนรู้แล้วจะรู้

เมื่อได้ร่างเป็นมนุษย์ ต้องทำจิตให้เกิดเป็นวิสุทธิเทพได้ ถาวร ยั่งยืน เที่ยงแท้ไม่มีเปลี่ยนแปลงให้ได้ นั่นคือสุดยอด


          0847354xxxธรรมะก็คือหลักสัจจธรรม ธรรมะก็คือชีวิต ธรรมก็คือหนทาง "ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจละห่างแม้ชั่วขณะ ที่ละห่างได้นั้นมิใช่ธรรมะ" น่าเสียดายที่คนเราพากันหลงผิดอยู่ใน สุรานารีพาชีกีฬาบัตร ถูกชื่อเสียงความรักความผูกพันร้อยรัดจนดิ้นไม่หลุด

ตอบ...รู้กันดีๆทั้งนั้น ก็พากเพียรเอา คือผู้ที่สนใจธรรมะที่อาตมาเทศนา ที่แสดงออก sms มาเป็นผลตอบรับก็อย่างนี้ ก็ขอบคุณ

ในโลกนี้มี 6 ภพเท่านั้นแหละ ที่เขาว่าเป็นภพสวรรค์ คนก็ต้องการภพสวรรค์ทั้งนั้น ไม่มีใครอยากได้ภพนรก เหมือนคนซื้อหวย เพื่อจะได้ แต่เสร็จแล้วจริงๆก็เสีย คนกี่คนซื้อหวยเพื่อจะได้ทั้งนั้น แต่สุดท้ายคุณคือคนที่เสียที่จะได้ก็ไม่กี่คน เป็นเรื่องการพนัน แต่เรื่องนี้เป็นการศึกษา มนุษย์ไม่ศึกษาเรื่องนี้ น่าเสียดายที่ได้ร่างคนมา แต่ไม่เอาเวลามาศึกษาเรื่องนี้

ขนาดคนมาศึกษาปฏิบัติธรรม เขามีลัทธิศาสนาเยอะแยะ พยายามที่จะศึกษา อบรมปฏิบัติเพื่อให้ได้สวรรค์ แต่เสร็จแล้วกลับยิ่งได้ภพชาติ ติดยึดเหนียวแน่น ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนล้างภพจบชาติ ไม่ได้ยึดติดสวรรค์เลย แต่ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้เสื่อมไปจนกระทั่งหลงสวรรค์แล้วหลอกกัน เอาบัญญัติศาสนาพุทธมาใช้ผิด โดยเฉพาะคำว่าบุญ

บุญ มีคุณลักษณะของการทำวิบัติอย่างเดียว ทำเสร็จแล้วจบ ไม่มีหน้าที่ทำสมบัติ ทำวิบัติอะไร ก็ทำวิบัติให้แก่บาปอกุศล ใครมีบาปมีอกุศล จงใช้บุญนี้กำจัด บุญมีลักษณะเดียวคือกำจัดบาป กำจัดอกุศล ใครที่ไม่มีบาปอกุศลแล้วไม่ต้องใช้บุญ ไม่ต้องมีบุญ อย่างพระอรหันต์นี่เป็นคนหมดบุญ

พวกเราฟังก็เข้าใจ แต่คนไม่มีพื้นฐานก็ฟังไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าพระอรหันต์ไม่มีบุญ ไปเอาที่ไหนมาพูด ก็ตอบให้ฟังว่า เอามาจากพระพุทธเจ้า

ศาสานาพุทธก็กู้ไม่กลับ เพราะมีสำนักใหญ่ที่จะไปค้าขายบุญ เอาบุญไปค้าขายเป็นสินค้าที่ใหญ่ยิ่ง เอาบุญไปขายเยอะแยะเลย แล้วก็ได้บาปเละเลย พ่อค้าบุญทั้งหลายแหล่

เพราะบุญเป็นโลกุตระ บุญไม่ใช่โลกีย์เลย  บุญเป็นโลกุตระทั้งแท่งเลย ไม่เป็นโลกียะสักเล็กสักน้อยเลย

คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักบุญเลย ไม่รู้ส่วนแห่งบุญ ปุญภาคิยา คนปฏิบัติธรรมสัมมาทิฏฐิเข้ากระแส ก็ได้ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เรียกว่าทำบุญเป็นแล้ว คือฆ่ากิเลสได้ฆ่ากิเลสได้ส่วนหนึ่ง ก็ได้บุญส่วนหนึ่ง 

คนก็เข้าใจเป็นโลกียะได้ส่วนแห่งบุญเรียกว่าได้อะไร แต่แท้จริงคือได้เสียส่วนแห่งบุญคือการได้เสีย ไม่มีสิ่งที่จะได้มา ทำได้ผลได้ประโยชน์ของบุญคือได้เสียทำให้พินาศ ทำให้วิบัติ ทำให้ฉิบหาย ทำให้หมดไป ทำให้สลายไป ทำให้สูญหายไป

ทุกวันนี้อาตมามีหน้าที่ขยายความและกู้กลับจากสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธเจ้าตรัส พูดมา 46 ปีเขาก็ไม่สนใจเท่าไร อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าเขาจะไปฟังแต่คำไพเราะที่ประโลมใจเป็นคำโลกๆ ไม่ฟังคำที่จะพาให้กิเลสลด ซึ่งเขาจะไม่ฟัง


          0833046xxx ปัญญา หมายถึง สติที่ออกมาจากจิตใจอันดีงาม ที่สั่งให้ทำการความคิดนั้น เป็นแค่เปลือกนอกของปัญญาเท่านั้น ปัญญาต้องผ่านการฝึกฝน ผ่านความยากหนึ่งครั้ง ก็จะเพิ่มพูนขึ้นหนึ่งครั้ง ปัญญาจึงไม่ใช่ความฉลาด เล่ห์เพทุบาย กลโกง ชั่วครู่หนึ่งที่ขาดปัญญา ก็เกิดความหลงเข้าครอบงำ
          “อริสมันต์” เคยพูด “ขวดแก้วคนละใบ” เผากรุงเทพฯ วันนี้บ้านถูกไฟไหม้ เป็นกรรมสนองใช่มั้ยครับ
          ตอบ...เท่าที่อ่านแล้วก็ว่าคุณคนนี้เป็นคนศึกษานะ (พ่อครูอ่านคำถามนี้อีกรอบ) คงหมายถึงว่าปัญญาต้องมีสติ แล้วก็ออกมาจากจิต ปัญญาจะเป็นส่วนหนึ่ง น่าจะบอกว่าต้องมีสติแล้วปัญญาจะเป็นตัวสั่งการ ส่วนความคิดจะต่างจากปัญญา

ปัญญาแท้จริงคือโลกุตรธรรม และปัญญาคือความฉลาดด้วย แต่ปัญญาที่ฉลาดแบบโลกีย์คือเฉกาหรือเฉโกหรือเฉกตา คำว่าเฉโกจึงขายไม่ออก เพราะคนรู้ว่าเป็นความฉลาดที่ไม่สุจริต เป็นความฉลาดที่มีกิเลสประกอบ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตแปลว่าความฉลาดแกมโกง คนก็ไม่ชอบคำนี้ ความฉลาดที่ใช้คำว่าเฉกามาเรียกจึงไม่ติดตลาดจนลืม แม้ไทยก็เอามาใช้ เอามาจากบาลี (พ่อครูไอ)

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เป็นสิ่งน่าคิดที่พ่อครูบอกว่าสวรรค์ไม่มีจริง ปุถุชน ต้องการสวรรค์มาก แต่สิ่งที่เขาได้ คือได้สวรรค์ลวง คือปุถุชน ยกตัวอย่างง่ายๆ ดูปุถุชนเขามีสุขมาก เขาไปกินเหล้ากินหมูก็สุขได้สวรรค์ แต่ยิ่งสวรรค์มากเท่าไหร่ก็คือต้องลงนรกมากขึ้น เพราะจะได้กิเลสฝังในอนุสัยอาสวะ มากขึ้น

น่าเสียดายที่คนไม่ให้ความสำคัญต่อการศึกษาสัจธรรมที่จะมาล้างกิเลส วันนี้มีคนมาฟังธรรมมากกว่าปกติ เป็นบารมีในหลวงด้วย

พ่อครูว่า...ขยายความคำว่าปัญญาให้ชัดขึ้น ถ้าเข้าใจแล้วเราจะปฏิบัติธรรมได้มากกว่า ปัญญาบอกแล้วว่าคือโลกุตระ 

เฉกา หรือเฉโก ความรู้กระทำความฉลาด สร้างความฉลาดให้แก่ตัวเองอย่างไม่มีทฤษฎีพระพุทธเจ้า คนที่มีพลังงานปัญญามากขึ้น คือ ปัญญา เมื่อมีพลังปัญญาเพิ่มขึ้นเป็นปัญญินทรีย์ สูงสุดเป็นปัญญาพละ ปัญญาจะเกิดได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นสูตรไว้

ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ (องค์แห่งมรรคทั้งหมด) ที่จริงปฏิบัติ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ปฏิบัติอย่างนี้แล้วจะเกิดปัญญา เพราะฉะนั้นอยู่ดีๆปัญญาจะเกิดเองไม่ได้ ต้องปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิถูกต้อง ต้องปฏิบัติองค์ 3 คือ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ให้ถูกต้อง

การไปนั่งหลับตาสมาธิ นั่งหลับตาให้ตายอย่างไรก็ไม่เกิดปัญญา เพราะไม่ได้มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ไม่มีอาชีพ ไม่มีการคิด ไม่มีการพูด สะกดจิตบอกว่าไม่ให้คิดอีก ปัญญาไม่ได้เกิดจากการคิด เขาก็ให้นั่งหลับตานิ่งสะกดจิตจุดให้นั่งสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง พระพุทธเจ้าก็สอนว่าทุกอย่างมาแต่เหตุ แต่ที่กลับสอนว่ามันจะเกิดเอง ให้นั่งสมาธินิ่งให้ดับสนิทแล้วปัญญาจะเกิดเอง

ในจิตใจที่นั่งหลับตาเข้าไปมีแต่สัญญาไม่มีปัญญา การนั่งหลับตาสมาธิ ในพรหมชาลสูตรท่านตีทิ้งว่ามีแต่ทิฏฐิ 62 ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น อยู่ในพระสูตรเล่ม1 เลย ก็ต้องอ่านสูตรที่ 1 ก่อนเลย ท่านก็ตีทิ้งไว้หมด แต่เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ไม่มีความเข้าใจสมบูรณ์

ก่อนอื่นก็ต้องรู้ก่อนว่าปัญญาไม่ใช่เฉกา และปัญญาไม่ใช่โลกียะ แต่ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติธรรม ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน

สัมมาทิฏฐิ คือต้นทางเป็นประธาน ต้องมาศึกษาให้สัมมาทิฏฐิก่อน ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ปฏิบัติมรรค 8 ไม่เป็นหรอก เขาพูดมรรค 8 กันแต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติเป็น และถ้าไม่ได้เจอแสงอรุณ 7 ก่อนก็ปฏิบัติมรรค 8 ไม่ได้ผล

ตามอวิชชาสูตร

1.      การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2.      การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)

3.      ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4.      การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ 

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น)เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ นิวรณ์ 5

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ อวิชชา

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62)

เพราะไม่คบสัตบุรุษไม่มีมิตรดีไม่มีแสงอรุณ 7

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

เพราะสอนผิดๆมานานเรื่องการนั่งหลับตาสมาธิ พพจ.อุบัติมาเขาก็นั่งสมาธิหลับตากันหมด ไม่มีสมาธิแบบ supraconcentration แบบพพจ.เลย ทุกวันนี้ก็ปฏิบัติผิดเพี้ยนไม่เป็นสัมมาสมาธิของพพจ.เลย ในมหาจัตตารีสกสูตร ก็ว่าไว้

เมื่อคุณมีมรรค 7 องค์ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน สัมมาทิฏฐิข้อแรกคือการทำทาน ก็รู้ว่า ทำทานอย่างไม่มีการ

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

ถ้าทำทานอย่างมีสี่ข้อนี้ก็เป็นการสั่งสมภพชาติ หากทำทานไม่สัมาทิฏฐิก็โยนิโสมนสิการไม่ได้ ทำให้ลงไปถึงที่เกิดคือจิต ทำให้จิตเกิดอุบัติเทพ เป็นอาริยะ ทำให้กิเลสลดก็คือการเกิด

เมื่อสามารถปฏิบัติมรรค 7 องค์ ทำให้เกิดธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือ analyze ถ้าไม่มีธัมมวิจัยมีแต่ hypnotize คือสะกดจิต อันนั้นไม่ใช่ธรรมะของพพจ.เลย พพจ.ท่านก็มาแก้กลับ

ในขณะมีการทำงานอาชีพสามัญอยู่ คณก็มีการตื่นอยู่มีสติสัมปชัญญาะ มีสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็จะเกิดภาวรูป เกิดปรากฏการณ์ในจิต คุณก็อ่านภาวะจิต ที่จะเกิดภาวะสอง คือปุริสภาวะกับอิตถีภาวะ คุณต้องทำให้เป็นหนึ่งเป็นปุริสภาวะ ทำให้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ขณะทำการงานอาชีพ มีกรรมกิริยามีสัมผัสต้องอ่านภาวะจิตที่เป็นธรรมะสองได้ มีสิ่งที่ถูกรู้กับสิ่งที่เข้าไปรู้ ส่ิงที่ถูกรู้ที่เป็นนามธรรมก็รู้ได้ สิ่งที่จะต้องรู้เป็นกรรมฐานคือฐานปฏิบัติคือ เวทนา ถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีฐานให้ปฏิบัติได้เลย กรรมฐานของนักปฏิบัติธรรมชาวพุทธคือเวทนา หากแยกเวทนาไม่ออก เข้าเป้าสำคัญคือ มโนปวิจาร 18

คุณแยกเคหสิตเวทนา 18 ไม่ออก ว่าต่างกันกับเนกขัมสิตเวทนา 18 มันเกิดจากต้นฐานของตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีกระทบสัมผัส เกิดรูปนาม เกิดเวทนา เป็นอารมณ์ความรู้สึก เกิดมาเป็นโลกียะ คือเคหสิตเวทนา เป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องรู้เป็นองค์รวมเรียกว่า กายในกาย กายในกายนี้ที่จริงคือจิต ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

จะเป็นดินน้ำไฟลม พืช สัตว์คน หรือกรรมกิริยาของคน (ตัวดีทำให้เราเกิดสุขทุกข์ได้ดีนัก) เมื่อเกิดอาการก็แยกแยะธรรมะสอง รู้ว่าตัวไหนคือตัวแท้ ตัวไหนคือตัวเทียม คนแยกตัวแท้กับตัวเทียมได้คือคนมีญาณทิพย์ ตาทิพย์ หูทิพย์รู้ทิพย์ได้ แยกได้ ว่าอันหนึ่ง เป็นของจริง อีกอันคือของเทียม ก็ทำกายเวทนาจิตธรรมก็แยกแยะเวทนา 2 อันหนึ่งเป็นเวทนาแท้อีกอันเป็นเวทนาเทียม

เวทนาแท้คือสมมุติสัจจะที่ทุกคนรับรู้ได้เหมือนกันหมด แต่อีกเวทนาที่เทียมคือเกิดชอบหรือไม่ชอบ

ก็รู้ทั้งสองอย่างเลย สมมุติว่าขวดน้ำหวานนี้ หรือขวดน้ำชาสัมผัสแล้วเกิดรู้สึกชอบ ถ้าแตะแล้วมันหวาน หวานคือรสแท้ ส่วนอาการชอบ ว่าหวานอย่างนี้ชอบ ต้องกับรสนิยม ชอบ หรือสัมผัสแตะแล้วไม่ชอบไม่ต้องกับรสนิยมหวานอย่างนี้ไม่ชอบ รสแท้คือ หวานนั้น รสเทียมคือชอบหรือไม่ชอบ ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบก็คือเวทนาเทียม เวทนาแท้คือรู้สึกหวานคุณมาแตะรสนี้ก็รับรสได้เหมือนกันหมดทุกคน แต่ที่ชอบหรือไม่ชอบคือรสเทียมอุปาทานของเป็นกิเลสชอบใครชอบมัน ถ้าแยกแยะอาการชอบหรือไม่ชอบเหตุมาจากไหน เกิดจากสมมุติไว้ในใจไปถูกหลอกว่าต้องตรงสเปคที่ตนชอบ เมื่อแตะแล้วไม่ตรงอุปาทานก็ไม่ชอบ ต่างกันคนอื่นด้วย อันนี้เป็นของเทียม พพจ.ว่าตัวนี้แหละที่ทำให้ทุกข์หรือสุขต้องกำจัดเหตุไม่ให้เกิดทุกข์หรือสุข พระอรหันต์นี้มีรสเดียว

คนติดกาแฟก็ลดเลิกกาแฟ คนติดอันไหนก็เลิกอันนั้น อาตมาพาพวกเราเลิดเนื้อสัตว์ อันอื่นไม่ค่อยได้พาทำ เพราะมันตีกินให้เลิกได้หลายอย่าง และตัดวิบากเรื่องโทษภัยกับสัตว์ด้วย เราไม่ต้องมีวิบากไปฆ่ามากิน ไปผูกคอมันมาหรือไปฆ่าใส่เข่งหรือกรงมา พยายามฆ่า หรือฆ่าจนตายแล้วเอามาทำอาหารกินอีก

ผู้ที่ไปมีของจิรงไม่มีของเก๊ของเทียมเลย รูปเทียมรสเทียมกลิ่นเทียม สัมผัสเทียมอะไรก็แล้วแต่ ถ้าสามารถเข้าใจแล้วลดเหตุได้ก็เกิดปัญญา รู้ว่าของไม่จริง

สรุปตรงนี้ว่าอนัตตาคืออะไร คือหมดจากของปลอมของเก๊ทั้งหลายนั่นเอง

สมณะเดินดินว่า..แต่ก่อนนี้กลิ่นปลาทูได้กลิ่นแล้วก็ชอบมากเลย เป็นรสเทียม แต่ตอนนี้ได้กลิ่นแล้วก็คาว เราก็เบาลงได้เยอะกับสิ่งที่เราฝังไว้เป็นสิ่งเทียมที่เราติด

พ่อครูว่า...ที่อาตมาอธิบายไปสารพัด ขยายความไปต่างๆเกิดจากความรู้ความเข้าใจ จากภูมิธรรมที่เอามาอธิบาย ต่างจากอาจารย์อื่นที่ท่านไม่ค่อยสอนอ่านจิต บอกว่าพระปฏิบัติก็ไปนั่งสะกดจิต ได้แต่หยุดจิตดับจิต เอาทางลัดไม่ได้สอนให้อ่านจิต ได้แต่หยุดดับจิตบอกว่าเป็นนิโรธ เป็นเรื่องมักง่าย เรื่องง่ายๆ มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้รอบรู้แบ่งมาทำแต่ละเรื่องก็ไม่เป็น ไม่ได้วิจัยสัจธรรมแท้ๆ ได้แต่สะกดจิตลูกเดียวอาตมาก็ถล่มเรื่องสะกดจิตหนัก

การปฏิบัตินั่งสะกดจิต meditation บังคับให้จิตนิ่งคือการสะกดจิตไม่ได้เป็นระบบการศึกษาของศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธสอนให้มีสัมผัสเป็นปัจจัยหากเว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีฐานหรือไม่มีกรรมฐานในการปฏิบัติธรรม

สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก จะเกิดสุขทุกข์ก็อยู่ที่กรรมแต่ว่าไม่มีกรรมการสัมผัสเลยไม่มีเวทนาเป็นกสิณ ที่ไม่ใช่กสิณแบบสะกดจิตนะ แต่ให้วิจัยด้วยไม่ใช่เกาะเวทนาให้นิ่งแต่ให้ตีแตกเวทนา ให้วิจัยเวทนาด้วย ตั้งแต่เวทนา 2

(แบ่งเป็น 2 เวทนา  ได้แก่..)

-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ  (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)

-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ  (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป)

แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่.. 

สุขเวทนา

ทุกขเวทนา .  .

อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์  อุเบกขา).

(แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)

จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา

โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู

ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก

ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น

กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย

มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

เวทนา 18 คือ เวทนาทางทวาร 6 ที่มีสุข ทุกข์อุเบกขา เป็นเวทนา 18 แล้วเวทนา 18 ที่แบ่งเป็น เนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา อีก สองทางเป็นเวทนา 36

เช่นคุณได้ดื่มน้ำหวานชอบใจชื่นใจเป็นสุข โสมนัสทางโลกีย์ พอเราดื่มแต่เราลดเหตุแห่งกิเลสได้เป็นเนกขัมสิตเวทนาก็ยินดีพอใจที่ได้ลดกิเลสได้แต่รสของโลกียะกับโลกุตระนั้นต่างกัน อย่างหนึ่งกิเลสหนาอ้วนขึ้นแต่อีกอย่างกิเลสลดลงผอมลง

ครบ 108 เวทนา โดยกาละทั้งสาม ได้แก่ . . .

เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นอดีตทั้ง 36 ก็สูญแล้ว

เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นปัจจุบัน 36 ก็สูญอยู่

เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นอนาคต 36 ก็สูญอีก  .

(ปัญจกังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 18   ข้อ 412-424)

 

สมณะเดินดินว่า...นึกถึงเพลงของคุณทิพวรรณร้องว่าเป็นเพียงความรู้สึกแต่คนเราก็ติดยึดตรงเวทนานั้น บางทีพวกเรากำลังประชุมกันมีเหตุผลมากมายเถียงกันแต่พ่อครูเดินมาก็บอกว่าอ่านเวทนากันไหม? พวกเรามีเหตุผลมากมายแต่เป็นคนน่าเวทนาที่ไม่รู้จักเวทนากัน ว่าเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจกันแล้วนั่นเอง


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:02:48 )

591026

รายละเอียด

591026_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ อย่างไรคือพอเพียงตามพ่อ

ยกตัวอย่างบุคคลเปรียบเทียบ อย่างน้อยก็นายชัยบูรณ์ สิทธิผล เป็นสมีแล้วแกไม่ได้รู้ แบบสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์จะมาตั้งแชร์ลูกโซ่แบบนี้ ยังอยู่ในมิจฉาชีพเลย ไม่รู้ตัว ทำอย่างโง่ๆ ฉันเดียวกันกับนักการเมืองที่ตั้งกลุ่มกันตอนนี้ ยังไม่สำนึก ยังผลัดกันพรรคที่มีหัวหน้าอวิชชา แล้วก็รวนประเทศไทย แย่งให้เป็นไปตามทิฏฐิของเขาจะให้เป็นตามระบบของเขา ซึ่งเป็นระบบมิจฉา เป็นระบบที่ไม่เจริญ ยังไม่ยอมนะ แล้วยังหวังอยู่ว่าการเลือกตั้งจะมีเร็วๆนี้ แล้วเขาเคยใช้กลไกของการเลือกตั้งนี้ โดยใครที่เขาซื้อไว้ ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของเขา มีจำนวนเพียงพอแล้วมาก บอกว่าเลือกตั้งแล้วส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้ เอาใครไม่รู้ที่มาจากขุมไหนก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาจากไหนไม่รู้หาเสียง 49 วันก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วสำแดงเดชเสียหายทำฉิบหายไปไม่รู้กี่ล้าน 5 แสนล้าน เขาก็ หยวนให้ ให้ใช้คืนแค่สามหมื่นห้าพันล้านเท่านั้น เขาหยวนให้ขนาดนี้แล้วก็ไม่รู้จักบุญคุณเลย เห็นแก่ตัวหนัก แล้วคุณปู้ยี่ปู้ยำประเทศกี่แสนล้าน ประเทศไทยเข้าใจดีแล้วตอนนี้

อาตมาก็ไม่อยากพูดให้ลงโทษเขาแรงกว่านี้ ก็สงสารเมตตา แต่ทำไมไม่รู้สึกบ้างนะ อาตมาว่าถ้าเขาอ่อนกว่านี้จะดีกว่านี้นะ คนไทยมีเมตตานะ

ขณะนี้เขายังหวังว่าจะมีเลือกตั้งเร็วๆ แล้วอำนาจเครือข่ายเขาตั้งไว้ถ้ามีการเลือกตั้ง เขาเชื่อมั่นว่าจะมีสมาชิกในทีมของเขาได้มากพอที่จะยึดสภาได้อีก แล้วเขาจะมีอำนาจบริหารประเทศต่อไปอีก คนไทยจะยอมไหม ถามอีกเป็นครั้งที่ 2 คนไทยจะยอมให้ทีมของทักษิณมาได้อำนาจบริหารอีกไหม ถามเป็นครั้งที่ 3 คนไทยจะยอมให้คณะทักษิณเป็นหัวหน้า เลือกตั้งคราวนี้ แล้วจะยึดอำนาจรัฐสภาเป็นหัวหน้ารัฐบาลบริหารประเทศอีกไหม จะยอมไหม ...ไม่ยอม

อาตมาว่าตอนนี้กระแสของสัมมาทิฏฐิ กระแสของจิตวิญญาณโลกุตระกระจายไปมากแล้วในพื้นภูมิประเทศไทย ตอนนี้เข้มข้นอยู่ที่สนามหลวงนอกนั้นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงส่งรังสีรัศมีโลกุตระมาบริหารประเทศอย่างแบบคนจน ต้องมาเป็นคนขาดทุน เพราะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่พระองค์อยู่ในฐานะของพระเจ้าแผ่นดิน มีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่พระองค์ก็ได้มาตามควรตามบารมีของพระองค์ มีผู้ที่ให้โดยเสด็จพระราชกุศล พอที่จะหมุนเวียนใช้ทำงาน

ท่านก็ใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์และผู้เสด็จโดยพระราชกุศลทำไป อาตมาก็ว่าท่านทำไปโดยสุดยอดแล้ว ที่ท่านทำไป คนเราไม่เข้าใจก็พูดไปเลอะเทอะสารพัด รายละเอียดพวกนี้ ผู้รู้จึงเข้าใจจริง จะไปใส่ไคร้ใส่ความตีไข่ใส่เรื่องแล้วคนก็หลงเชื่อ ตอนนี้สื่อสารไปเร็วก็เลยครอบงำได้ คนก็หลงโง่ คนโง่มีเยอะก็เลยยาก แต่กระนั้นก็ตาม พลังงานของโลกุตระธรรม อารยธรรมก็มีอัตราการก้าวหน้าจริงในประเทศไทย อาตมาตราไว้แล้วว่าประเทศไทยคือชมพูทวีป คือแดนที่จะมีโลกุตรธรรมมีอารยธรรม สายศาสนาพุทธ เกิด ณ ที่นี้ จะมีลักษณะคุณธรรมของโลกอุตตระทำเป็น กลุ่มเป็นก้อนเป็นพลังงานเกิดบทบาทสังคมสูงขึ้นเจริญขึ้นไปอีก จะเจริญไปอีก สืบสานไปอีกจะเจริญสูงสุดในอีก 450 ปี จึงค่อยลดพลังงานลง

เหมือนคนหนุ่มสาวเจริญวัย ถึงสูงสุดแล้วค่อยเสื่อมลง ตามองค์ประกอบตามธรรมชาติ นอกจากคุณจะบำรุงไว้ได้ ก็จะอยู่ได้นานขึ้น ความรู้ทางแพทย์และวิทยาศาตร์และเราใช้จิตวิญญาณช่วยด้วย ใครที่อยู่ไปนานๆกับอาตมายกมือขึ้น

 

คำว่าเต็มใจทำ มันมีลักษณะที่ธรรมะพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเอาไว้ คือ แบบคนจน สะเทือนเลื่อนลั่นโลกเลย แต่ใครไม่กล้าตำหนิพระเจ้าอยู่หัว ว่าท่านตรัสอะไร ให้มาเอาแบบคนจน แล้วคนจะอยู่ได้อย่างไร เขารู้แต่ว่าจนอยู่ไม่ได้ แต่ความจนนี้คือไม่สะสมเงินทองทรัพย์ศฤงคารเป็นของตัว อยู่กับหมู่กลุ่มเป็นสาธารณโภคี คนกินช่วยกันใช้ ยังไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ผลาญพร่า จึงอยู่ในลักษณะพอเหมาะพอดี เหลือก็เอามาสร้างสรรค์ต่อและเผื่อแผ่ผู้อื่น จึงเป็นคุณลักษณะที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่มีสติปัญญา ของอย่างนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และมีพฤติกรรมอย่างนี้อยู่ได้ก็อยู่ได้ สบายด้วย แล้วมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าสบายแล้วก็ดีด้วย ไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร มีแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกด้วย

คนมีความเฉลียวฉลาดแบบนี้ จึงได้เต็มใจมาเอา มาเต็มใจจน มาตั้งใจจนและมุ่งมาจน จนให้จริงจังเลย จนจนสำเร็จ แล้วอยู่กันอย่างแบบคนจน แล้วคนจนไม่มีปัญญารู้จักโลกรู้จักสังคม รู้จักพฤติกรรมของสังคมว่าอะไรดีอะไรชั่วอะไรดีอะไรประเสริฐอะไรเสื่อมทรามก็รู้ได้ชัด แล้วก็สร้างให้เกิดแต่สิ่งที่ดี ช่วยกันกำจัดสิ่งที่ไม่ดี ช่วยกันยับยั้งระงับ ก็มีอย่างนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไร

ประเทศที่เลวร้ายก็ทำตัวเองเป็นเจ้าอำนาจ เรียกว่ามหาอำนาจ คนที่มีจิตงมงายอยากจะได้แบบเขา เอาอย่างเขา ไม่เข้าใจโลกุตระก็ไปสยบยอมเป็นบริวาร คนก็ไปเป็นบริวารพวกนั้นมาก เป็นสามัญปุถุชน เพราะเป็นยุคที่ใกล้กลียุคก็ไม่แปลกที่คนจะไปเป็นแบบนั้นมาก พระพุทธเจ้าก็บอกไว้ว่าใกล้กลียุคจะเป็นอย่างนี้ใกล้โลกจะแตกแล้ว ก็จะมาช่วยคนที่มีภูมิปัญญา มาเอาแบบนี้ได้ ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น อาตมาไม่เอาเกินความจริง การพยายามเกินไป ไปหาวิธีล่อหลอกแล้วได้คนมาไม่จริง เพราะถ้าใช้วิธีหลอกก็จะได้คนโง่มา คนที่มากับความหลอกนั้น คือคนฉลาดหรือคนโง่ ก็คนโง่ทั้งนั้น อาตมาไม่เอา ขนาดเอาคนฉลาดมาขนาดนี้ก็ยังเข็นกันจะแย่ ถ้าเอาคนที่โง่มาก็ยิ่งไม่ไหว

ที่มีภูมิปัญญาจริงตรงกันเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็มาศึกษามีหลักเกณฑ์ปฏิบัติกันอย่างนี้ อย่างน้อยมีศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็มีศีลสามัญญตา คือหลักเกณฑ์ว่าไม่กินเนื้อสัตว์นะ ไม่มีอบายมุขนะ อย่างต่ำถือศีล 5 เกินกว่านี้ก็ยิ่งดี ยินดีต้อนรับมาอยู่ในศีล มาปฏิบัติไปสู่ทิศทางที่สอดคล้องด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางคือนิพพาน

เข้าสู่เนื้อหาของสิ่งที่เกิดขณะนี้ ที่พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงพระราชทานเรื่องให้ปฏิบัติแบบเศรษฐกิจพอเพียง sufficiency คือพอ อธิบายใจก็คือใจพอทั้งที่ศัพท์นี้ของอังกฤษจะเป็นโลกุตระหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เอามาอธิบายได้ ใจเราก็พอ วัตถุเราก็มีแค่นี้ก็พอ ดูแค่นี้ก็พอ  เหลือจากนี้ก็สะพัดออกไป ให้อ่านอาการใจเรา ใจเราได้เท่านี้ ได้อาการที่เหน็ดเหนื่อย แค่นี้ก็พอ หรือเราสามารถอนุโลมเราได้ว่า เรายินดี ถ้ามากกว่านี้เราจะเสื่อมทางปรมัตถ์ จะเกินเขตที่เราจะดึงไว้อยู่ กลายเป็นอุพเพงคาปีติ จะแรงไป เสียหายต้องหยั่งลงพอประมาณ ถึงขีดนี้คุณต้องหยุดอย่าให้มากกว่านี้ ภาษาที่ท่านกำหนดไว้ก็คือ อภิปโมทยังจิตตัง ให้จิตร่าเริงยินดีประมาณใดประมาณหนึ่งของแต่ละคน ไม่ใช่ทำจิตหม่นหมองเศร้าสร้อย ทำจิตให้ร่าเริงเบิกบาน แต่อย่าให้ร่าซ่า คือเกินขีดให้น้อยไว้ อย่าให้ไปเสพติดอาการ อย่างพวกหลงใหล อบายมุขติดกีฬา เส้นสมองจะแตกตาย เป็นพลังงานที่อัดแน่นเกินไปอีกหน่อยเส้นสมองจะแตก เส้นเลือดในสมองจะแตกตาย ถึงขั้นสรีระระเบิด แม้แต่ไม่ถึงขั้นนั้นการเป็นนามธรรมก็ขาดตอน ตายได้ทันทีช็อคได้

sufficiency ความพอเพียงทำอย่างไรเราจะทำให้ใจของคนพอเพียง มีสันตุฏฐีธรรม ภาษาอังกฤษเรียกว่า sufficiency คือมีขีดพอ พอแล้วมันหยุดไม่เอาต่อ วัตถุก็ไม่เอาต่อ จิตก็ไม่เกิดอยากได้ต่อ เรียกว่าพอเพียง ใจที่พอเรียกว่า สันโดษหรือสันตุฏฐี

กิเลสไม่มีพลังที่ต้องการเอาเพิ่มจากนี้ ไม่มีกิเลสที่จะเอาเพิ่มจากนี้ เป็นอาการของพลังงานทางจิต ทฤษฏีที่จะเรียนรู้ศึกษาฝึกฝนอบรมให้จิตใจของเรา ให้เกิดจริงเป็นจริง ให้มันพอ เอาน้อยๆก็ได้ ไม่ต้องเอามาก ให้ความจริงเหล่านี้เกิดได้ ให้ศึกษาพุทธศาสนาจากสัมมาทิฏฐิ ด้วยการเรียนรู้ ธาตุรู้ เวทนา สัญญา สังขาร

สัญญา กับปัญญา สัญญาเป็นการกำหนดหมาย รู้ได้ ต้องมีคุณสมบัติรู้ รู้ชัด รู้การเสื่อมหรือเจริญ รู้กิเลสรู้การกำจัดกิเลส มันลดลงจริงๆ รู้อินทรีพละของมัน ว่ามันเบาบางลงหรือมากขึ้น มีสติปัญญาอ่านออกด้วยความเข้าใจเฉลียวฉลาดที่รู้อันนี้ สัญญาจะสั่งสมเป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นประธาน เป็นต้นทุนอันแรก

พอไปปฏิบัติมัคคังคะ ในมรรค 7 องค์ ปฏิบัติในขณะทำกรรมกิริยาการพูดการคิด ก็ต้องสามารถทำธัมวิจัยอ่านอาการจิต ขณะทำงานอาชีพเลี้ยงชีวิตเลี้ยงครอบครัว ก็สามารถวิจัยแยกแยะ อกุศลจิต คือจิตในจิต แล้วอ่านได้อย่างคมชัดแม่นไม่ผิดเพี้ยนไม่แปดเปื้อนอย่างอื่น

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1hEAPhdvhR3MfVjW_2jRbhf9AtxZpQNlvU0pU6Ils1xU

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfcVg1eTJqWXBORXM

หรือที่นี่...http://www.filefactory.com/file/7l5hzpb7no8d/161026

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่...

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:03:19 )

591027

รายละเอียด

591027_พุทธศาสนาตามภูมิสันติฯ บุคคล 7 ที่ไม่ตกกระแสความเจริญ

สมณะเดินดินว่า...ในช่วงแรกก็ขอสื่อสารเรื่องโรงบุญ ที่ผ่านมามีการบริจาคข้าวโพดจากจันทบุรี พรุ่งนี้ก็จะมีกลุ่มแพทย์วิถีธรรม และมีอีกกลุ่มที่จะมาวันที่ 31

คือ ข่าวล่าสุด ชาวบ้าน ช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องมาจากสมัยอดีตได้รับทุกข์แสนสาหัสจากน้ำท่วมซ้ำๆ ในพื้นที่ จากแม่น้ำที่เชี่ยวกราก จึงมีพระราชดำริจากองค์ในหลวงให้สร้างเขื่อนแม่งัด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และสามารถผันน้ำจากเขื่อนมาใช้ในการเกษตร สร้างอาชีพให้กับชาวบ้านมากมาย หนึ่งในนั้นคือ บ้านช่อแล ที่มีชื่อเสียงในการปลูกกล้วยหอมทอง ตอนที่สร้างเขื่อนสำเร็จแล้ว พระองค์ท่านตรัสกับประชาชนว่า "ต่อไปนี้น้ำจะไม่ท่วมแล้วนะสร้างเขื่อนให้แล้ว"

นับจากนั้นมา ชาวบ้านจึงสามารถใช้ที่ทำกิน อุดมสมบูรณ์มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ชาวบ้านจึงรวมตัวกันนำผลผลิต คือกล้วยหอมทองมาแจกในวันที่ 31 ตุลาคม จำนวน 2 ตัน แต่ชาวบ้านไม่รู้จะติดต่อขอแจกอย่างไร? จึงเดินเรื่องผ่านกำนัน กำนันก็ช่วยเต็มที่ แต่ไม่สามารถรับปากได้ว่าจะได้แจกที่ไหน จึงขอความอนุเคราะห์มาทางกองทัพธรรม อายลศิริช่วย ก็ได้รับความเอื้อเฟื้อจากกองทัพธรรม แบ่งเต็นท์ให้แจกร่วมกัน และทางราชการก็เอื้อเฟื้อให้รถทหารนำทีมมาส่งกล้วยให้ที่ท้องสนามหลวง ขนส่งให้จากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพ ชาวบ้านลงขันออกค่าน้ำมันรถกันเอง จากหัวใจของข้ารองบาทชาวเหนือ

เมื่อกี้นี้ดูข่าวก็มีชาวเขาจะขนผักมาให้ที่สนามหลวง 20 ตัน มีสิ่งดีงามเกิดทั่วประเทศ แต่ กทม.เริ่มประสบปัญหาที่แก้ยาก คือขยะที่สนามหลวงมีวันละ 80 -100 ตันต่อวัน พวกเราก็พยายามรณรงค์ทำกระทงใบตอง เมื่อวานเป็นวันแรกที่ใช้กระทงใส่อาหารไปแจก ก็ดูว่าได้รับความนิยมเพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้น เป็นการปฏิรูปประเทศไปในตัว มีสายน้ำใจที่ไหลกันมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทั้งหมดนี้ถ้าเราฟังธรรมจากพ่อครู ซึ่งพ่อครู จะบอกว่าทั้งหมดมาจากจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง (พ่อครูบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้) ให้เราทำด้วยความรู้ ความเข้าใจ ก็จะทำให้การกระทำเป็นไปอย่างยั่งยืนยาวนาน แต่ถ้าทำโดยไม่มีปัญญารู้ก็จะไม่ยาวนาน พ่อครูจะมาถอดรหัสให้พวกเราเข้าใจความแยบคายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

พ่อครูว่า….วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2559 แรม 11 ค่ำเดือน 11 ปีวอก

ประเด็นแรกที่อาตมาจะขอพูดและติงนิดหนึ่ง คือมีทั้งความจริงและความเท็จ ในขณะนี้อย่างพวกเรามีคนมองไปในแง่ลบว่า พวกเรานี่โหนกระแส ก็ขอยืนยันว่าตั้งแต่ทำงานสัจธรรมนี้ ไม่มีการโหนกระแส และไม่แสดงเป็นตัวนำก่อนเสมอ แต่จะไปยืนยันภายหลังเสมอ ทำมาตลอด ก่อนจะได้เข้าสู่เรื่อง ก็จะตอบ sms ก่อน

SMS วันที่ 26 ตุลาคม 2559

0819435xxxเมื่อพ่อท่านพูดภาษาอังกฤษ อยากให้สะกดด้วยจะนำไปหาคำแปล-เขียนได้ถูกต้องครับ

0893867xxx!พ่อครูจะไปจัดเทศน์เผยแพร่ปรัชญาพอเพียงจากทศพิธราชธรรมในพ่อหลวงฯกล่อมเกลาใจปวงชนที่โรงบุญฯสนามหลวงด้วยฤาเปล่า?

_ตอบ ถ้ามีเหตุปัจจัยต้องไปเทศน์ก็จะไป เพราะเทศน์มาแล้วสนามหลวงหรือบนถนนบนสะพาน ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว

0893867xxxเห็นกองทัพคนใจบุญ กับลูกไทยทั้งมวล ณ.สนามหลวง

การน้อมถวายอาลัยร.9 ก่อเกิดธรรมพุทธพจน์ 7 ประการ อันมหัศจรรย์ใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว! ธรรมะพุทธพจน์ 7 ประการ พ่อครูเคยกล่าว มี...

สาราณียะ, ปิยกรณะ, ครุกรณะ, สังคหะ,อวิวาทะ,สามัคคียะ,เอกีภาวะ!

อาจเรียกมวลกลางกรุงฯ นี้ว่า พสกนิกรเอหิปัสสิโกได้ไหม?

ตอบ…ขยายความพุทธพจน์ 7 **

1. สาราณียะ คือ ระลึกถึงกัน อย่างพระพุทธเจ้านี้ตื่นนอนมาก็ระลึกแล้วว่าจะไปช่วยใครดี พระพุทธเจ้านอนวันละสี่ชั่วโมง อาตมานี้นอนอย่างท่านไม่ได้ พักไม่พอ เพียรเกินไม่ได้ ตาย อาตมายังไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็รู้สาราณียะ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเห็นแก่ตัว แต่เป็นศาสนาสาราณียธรรม ระลึกถึงกันช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ปลีกเดี่ยวไม่ช่วยเหลือใคร

2.ปิยกรณะ คือความรัก เป็นความรักระดับสูง อาตมาขยายไว้ถึงความรัก 10 มิติ อาตมาให้ใช้เป็นหนังสือเรียนในนักเรียนสัมมาสิกขาฯ

3. ครุกรณะ การรู้จักการเคารพคารวะ ด้วยสมมุติ ด้วยความจริง ด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือเคารพโดยสมมุติ เช่นพระพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า คนมาบวชก่อน ต่อให้เป็นภิกษุปุถุชน คนมาบวชทีหลังก็ต้องกราบ เพราะสมมุติเป็นผู้พี่ แม้คุณธรรมสู้พระอรหันต์ไม่ได้

4. สังคหะ คือการสงเคราะห์เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ เจือจาน ตอนนี้แพร่หลายกันจนมากเกินด้วยซ้ำ ระเนระนาดเลย น้ำใจ กระจายกันไม่หวาดไม่ไหว แจกจ่ายกันเต็มที่เลย มีน้ำใจ

5. อวิวาทะ ไม่ทะเลาะวิวาท เห็นไหม ไม่มีเลย พวกนักเลงหัวไม้หายไปไหนหมด หายเงียบ นี่เป็นเรื่องอิทธิพลคุณงามความดีที่สูงพอ มันกำราบข่มความชั่วให้หยุดได้เลย ไม่ต้องทำอะไรเขา เขาสำนึกได้เอง ความจริงในสัจธรรมนี้สุดยอด

6. สามัคคียะ

7. เอกีภาวะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

เป็นจิตที่เกิดจริง ไม่ได้เสแสร้ง เกิดจากการอบรมจิต จนเป็นในจิตผู้นั้นเอง เป็นตถตา เลย

 

_0833208xxx สรรพสิ่งทั้งหลาย ทางโลกโลกีย์ที่เห็นได้ด้วยตาได้ยินด้วยหูสัมผัสได้ด้วยกาย เป็นของปลอม แม้แต่กายสังขารของเราก็หาได้จีรังยั่งยืนถาวรไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วก็แตกสลายไป เราควรเข้าสู่หนทางในการบำเพ็ญธรรมด้วยความตั้งใจจริงจะผ่านพ้นความทุกข์ยากทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่งร่ำรวยทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆ ล้วนไม่ยั่งยืนย่อมจะต้องสูญสลายไปในที่สุด สิ่งที่น่าจดจำเอาไว้ก็คือ เราทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้ด้วยมือเปล่าและเราก็จะจากโลกนี้ไปโดยไม่สามารถเอาอะไรไปได้เช่นกัน ทุกข์ระทมใจ,ลิงโลดใจสนุกสนาน,โกรธ,เกลียด,กลัวฯลฯ จนเกินเหตุ สามารถทำลายสติสัมปชัญญะและความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วของจิตใจเราได้ เราควรทำทุกอย่าง (ความดีโดยชอบธรรม) ด้วยความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน ตั้งมั่นอยู่ในความสำรวมและมีสติ แสดงออกอย่างถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ พ่อครูชี้ธรรมทางตรงลงสู่จิต อันจะช่วยให้เราสามารถพัฒนาความคิดที่ดีแก่ชีวิต และปรับปรุงความสัมพันธ์อันดีต่อทุกคน และสังคม ในขั้นสูงขึ้นไปจะช่วยยกระดับจิตใจเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต และรู้แจ้งในสรรพสิ่ง สามารถคลายความยึดติดในตัวตน เรียนรู้ในวิถีธรรมที่จะนำไปสู่ "ทางแห่งแสงสว่าง"

ตอบ...มีเหตุปัจจัยที่ค่อยๆกระเถิบขึ้นมา เป็นอัตราก้าวหน้าของสัจธรรม ที่มีคนได้เห็น ได้สัมผัส ที่ชาวอโศกเผยแพร่ออกไปเป็นล้านคน เป็นอัตราก้าวหน้าอย่างมาก

 

0847354xxx เรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ เกิดและตายนี่แหละ การสร้างสมแต่เพียงบุญกุศล โดยไม่รู้หลักความจริงในสรรพสิ่งคือ " สัจธรรม " ย่อมไม่สามารถนำเราไปพ้นจากวัฏฏสงสารได้ เมื่อใดที่คนเราได้รู้สัจธรรมจริง ชี้ทางหลุดพ้นให้แก่ตนนี้แล้ว จึงจะตายอย่างสงบหมดความอาลัยอาวรณ์ในชีวิต

ตอบ...ก็พูดถูก เข้าใจกันขึ้นมา จะมีนักธรรมะปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ  บางที่ก็งงๆว่าคนนี้ทำไมแสดงออกธรรมะได้ ทั้งที่เคยได้รับการดูถูกมาก่อน แต่ก่อนนี้ไม่น่าจะใช่เลย

สมณะเดินดินว่า..ตอน กปปส.ก็เจอกำนันสุเทพ เป็นต้น

พ่อครูว่า...จะมีอีก เหมือนเจอองคุลิมาลไง

สมณะเดินดินว่า..ตอนนี้ก็มีเรื่องต้องลุ้นไป มีคนแปลอาการไอของพ่อครูว่า...อรหันต์ๆๆๆ

พ่อครูว่า...ต่อไปจะเอาบทความของคุณกมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม ในนสพ.แนวหน้าวันที่ 26 คอลัมน์ เลียบ วิภาวดีขาเข้า

โหนกระแส

จาก “ภาพข่าวที่ยิ่งใหญ่” เป็นภาพของชาวไทยทั้งประเทศได้ร่วมกันแสดงออกถึง “ความจงรักภักดี” และ “สุดอาลัยอย่างลึกซึ้ง” ต่อ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ที่เสด็จสู่สวรรคาลัย จนแพร่ไปทั่วโลกนั้น ถือเป็น “ปรากฏการณ์พิเศษ” ที่ไม่เคยปรากฏในโลกมาก่อน

 

ที่ว่าเป็น “ปรากฏการณ์พิเศษ” เพราะเป็นภาพของมวลมหาประชาชนที่ร่วมกันแสดงออกถึง “ความรัก ความภักดีและความอาลัย” อย่าง “ท่วมท้น ยิ่งใหญ่ อัศจรรย์” จนกลายเป็น “กระแส” ที่ผู้คนทุกภาษาชาติต่างมองดูปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยสายตา “ตกตะลึง”

 

การที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศต่าง “มอบหัวใจ”ให้แก่ในหลวงอย่างพร้อมเพรียงทั่วหน้าเช่นนี้ เพราะ “พระองค์ท่านคือ พ่อของแผ่นดิน” ที่ตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ ได้ทุ่มเทหัวใจประกอบภารกิจทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่พระองค์ทรงรักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีนักวิชาการและผู้ใหญ่ที่มีโอกาสใกล้ชิดพระองค์ท่านได้เปรียบเทียบไว้ว่า “พระองค์ทรงหายใจออกมาเป็นประชาชนและเพื่อประชาชน” นั่นเอง

 

ในขณะที่ชาวไทยกว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ต่างจงรักภักดีต่อในหลวงอย่างไร้เงื่อนไข แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ทุกอย่างในโลกย่อมมีเรื่องเหลือเชื่อแทรกปน” จึงมี “กลุ่มบุคคลแค่หยิบมือเดียว” เคยมีพฤติกรรมแสดงออกถึงความอาจเอื้อม

 

บุคคลกลุ่มดังกล่าวคือ “กลุ่มการเมืองเลือกข้าง” ที่เคยออกมาปลุกระดมมวลชน เพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมืองของพวกตน โดยกล่าวปราศรัยล่วงละเมิดต่อสถาบันอย่างจาบจ้วง

 

ครั้นวันนี้ เมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ประชาชนผู้จงรักภักดีทั้งประเทศต่างออกมาแสดง “ความอาลัย” ต่อ “พ่อของแผ่นดิน” อย่างมืดฟ้ามัวดิน ชนิดไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในประวัติศาสตร์โลกมาก่อน นอกจาก “ที่ประเทศไทยเท่านั้น” ได้ทำให้กลุ่มการเมืองเพียงหยิบมือเดียวที่เคยล่วงละเมิดต่อสถาบัน ถึงกับ “ช็อกในพลังจงรักภักดีของประชาชนชาวไทย”

 

เพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟจงรักภักดี แกนนำของกลุ่มการเมืองดังกล่าว จึงได้ออกมา “โหนกระแส” แสดงความจงรักภักดีเช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ

 

การออกมา “โหนกระแส” ครั้งนี้ จะเกิดจากความจริงใจเพราะ “สำนึกได้” หรือเป็นแค่ “เล่นละครการเมือง” ให้สมบทบาทเท่านั้น “จอมกลับลำ 360 องศา” ต่างรู้ซึ้งถึงความรู้สึกภายในของตนได้ดีที่สุด

 

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

 

พ่อครู...คนที่เคยทำชั่วมาแล้ว แต่ต่อมาแสดงออกว่าตนเองกลับใจแล้ว คนก็เลยว่า จริงหรือเปล่า? มาตอนนี้ก็โหนกระแสได้ดีด้วย อาตมาเองไม่ได้โหนกระแสใดๆมาตั้งแต่ต้น สองอาตมาทำงานนี้ อาตมาแสดงมาแต่ต้น พ.ศ.2513 ในหลวงยังไม่ได้ตรัสเลย อาตมาพาคนมาจน ก็ทำตามสัจธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาบอกอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็มาประกาศว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างในหลวงมีพระปัญญาธิคุณ เรื่องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไม่ได้เล่นลิ้นนะ เราเสียสละด้วย เราเต็มใจขาดทุนนะ เรารู้ว่าการขาดทุนเป็นเรื่องประเสริฐ​ ขาดทุนเราให้เขานี่แหละ แต่ทำอย่างไม่ลำบากตนเองเป็นอัตกิลมถะ เราก็อยู่ได้พอดี แต่เราขาดทุนได้ เสียสละได้

* หลักของเศรษฐศาสตร์บุญนิยมหรือสาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ขาดทุนได้ แล้วขาดทุนนี้คือกำไรด้วย เป็นสัจจะย้อนสภาพที่ไม่ใช่กลับไปกลับมา แต่เป็นตามเหตุปัจจัย

อาตมาทำงานอย่างโพธิสัตว์ในกรอบนี้มานาน แต่ต่อมาก็ขยายว่า อรหันต์กับโพธิสัตว์อันเดียวกัน แล้วต้องเป็นอรหันต์ก่อนด้วยซ้ำ

อรหัตตะ คือได้อัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว จะเต็มในรอบไหน ก็ได้อรหันต์ในรอบของเรา เป็นอรหันต์แล้ว จากนั้นก็เป็นโพธิสัตว์

โสดาบัน  ก็มีอรหัตตผลในระดับของโสดาบัน

สกิทาคามี ก็มีอรหัตตผลในสกิทาคามี

อนาคามี  ก็มีอรหันต์ในอนาคามี

อรหันต์ในอรหันต์นั้น เป็นที่สุดได้ เพราะหมดกิเลสในอาสวะได้

สูงไปกว่านั้นก็ดับกิเลสในอนุสัยได้

สายปัญญาหมดกิเลสในอาสวะก็เป็นอรหันต์ได้

สรุปแล้วอาตมาไม่ได้โหนกระแส ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งคนเมือง ไม่ได้เป็นศาสนาของคนป่า คุณจะเข้าใจการเมืองอย่างไรก็แล้วแต่

การเมือง อาตมาก็นิยามไว้ 10 อย่าง ก็ทำมาก่อน ตั้งแต่เปิดเผยตัวว่า ต้องออกไปการเมือง ตั้งแต่ พ.ศ 2549 อาตมาเปิดตัวออกมาชุมนุมการเมือง คนก็ถือสา ก็เขายึด ก็ยังว่าอาตมา อาตมาก็ไม่ว่ากระไร ตามที่อาตมาจริงใจ ทำมาจนเห็นผล เป็นอจินไตย

แม้คุณเข้าใจแล้ว มีของตนเองก็บรรลุเข้าถึงในสัจจะที่อาตมานำมาขยายความก็ขอขยายต่อ สิ่งที่นำมาพูดเป็นภูมิธรรมของอาตมาที่มีมา แม้แต่เรื่องโพธิสัตว์ 10 ระดับ อาตมาก็นำมาพูด ทั้งที่ไม่มีไหนพูดกัน

มหายานเขานับถือโพธิสัตว์มากกว่าอรหันต์ แต่ก็ไม่มีใครได้ยินว่า มีโพธิสัตว์ 10 ระดับอย่างที่อาตมาพูด เขาก็หาว่าพูดเอง อาตมาก็มีของตนเองเลยมาพูด ก็ศึกษาสิ ว่าจริงอย่างไร? ถ้าอาตมาทำผิดก็บาปของอาตมาเอง แม้ทุกวันนี้ก็ยังมีโรควิบากเลย

ถ้าอาตมาจะโหน ก็จะโหนทำไม อาตมาว่า อาตมามีพอตัว ที่จะไม่ต้องโหนกระแสใคร ขออภัยที่ต้องพูดเช่นนี้ อาตมาเปิดเผยตามสัจจะ พูดไปเพื่อเป็นการศึกษา

คนเจ็ดระดับ   (ทักขิเณยยบุคคล 7)

ศรัทธา แยกไว้สองบุคลิกหรือสองแกนจิต คือแกนศรัทธา กับแกนปัญญา

ท่านเรียกว่า ศรัทธาจริตกับปัญญาจริตหรือพุทธิจริต

 

ธัมมานุสารี คือสายปัญญา

สัทธานุสารี คือสายศรัทธา

ทั้งสองสายก็แสวงหา สายปัญญาจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เป็นสัมมาทิฏฐิตรงกว่า ฐานของศรัทธาที่เจอสัมมาทิฏฐิ กับสายของปัญญาที่เจอสัมมาทิฏฐิ

ธัมมานุสารีจึงถือว่าเหนือกว่าสัทธานุสารี

สัทธานุสารี พอได้สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติได้วิมุติต้นก็เรียกว่า สัทธาวิมุติ

ส่วนธัมมานุสารี สายปัญญาก็บรรลุทิฏฐิปัตตะ เป็นบุคคลที่สี่(4)

บุคคลต่อไปคือกายสักขี จากสัทธานุสารี มาเป็นสัทธาวิมุติ

*กายสักขี ถือว่าระดับ 5 มีองค์ธรรมครบธรรมะสองแต่ไม่มีปัญญา*

กายสักขี คือคนไม่ได้สมบูรณ์ครบภพภายนอก พวกนั่งหลับตามีกายสักขี แต่ได้ใจนะ มีอาสวะบางอย่างดับได้ ก็ได้แค่นั้น

ระดับ 6 ปัญญาวิมุติ คือดับอาสวะสิ้น หมดสิ้นอาสวะ ผู้ที่จะถือว่าเป็นอรหันต์ได้ ก็นับตั้งแต่อาสวะสิ้น

กายสักขีพระพุทธเจ้าไม่นับเป็นอรหันต์ เพราะยังไม่สิ้นอาสวะ มีเพียงอาสวะบางอย่างสิ้น

ปัญญาวิมุติต้องดับอนุสัยสิ้น เป็นอุภโตภาควิมุติ จึงเป็นผู้เป็นอรหันต์สูงสุดเป็นบุคคลที่ 7 ก็จะสลับกันไปกันมา

 

อาตมานี่สายปัญญา ไม่ใช่แกนเจโต จึงสามารถอธิบายได้เก่ง สายเจโตอธิบายไม่เก่ง แต่ปัญญาก็อธิบายฟุ่มเฟือย สายเจโตจะอธิบายกระทัดรัด อย่างท่านเดินดิน สายเจโต ออกมาได้ขนาดนี้ก็เจริญแล้ว คือมันเป็นเวลาที่เป็นไป คนที่ช่วยๆกันมา ท่านเดินดิน ท่านดินไท ท่านแสนดินนี่เป็นต้น เป็นรายละเอียดสัจจะ แม้แต่คนที่ชื่อดินหรือชื่อฟ้า อาตมารู้ของอาตมา อยู่ในอาณาจักรของอาตมาหรือเปล่า ก็ว่าของอาตมาไป

ในสัจธรรมที่เป็นปรากฏการณ์ ทุกวันนี้เป็นปรากฏการณ์ใหญ่ของโลกในปลายกลียุค มีความเจริญให้ศึกษา

แต่พอถึงกลียุค ความเจริญไม่มีให้ศึกษานะ มีแต่ความเลวร้ายสารพัด ความเจริญอาริยะโผล่ไม่ได้เลย มันเหี้ยมมาก แล้วจะล้างโลกไป จนอีกนาน ไม่มีใครบังคับเขา แต่เป็นโดยสัจจะของกิเลสและวิบากของเขา

ขณะนี้ สัจจะที่อาตมาอธิบาย อย่าไปปักใจเชื่ออาตมาโดยง่าย อย่าทิ้งก็แล้วกัน ตามพิสูจน์หรือท้าพิสูจน์ไป ตามจับผิดไป อาตมายินดีให้จับผิด

 ถึงเวลาแย้งก็แย้งเลย อาตมายินดี เพราะการแย้งเป็นการขัดเกลา อันไหนตอบได้ก็ตอบ อันไหนเกินภูมิก็ตอบไม่รู้ ไม่อาย อาตมาไม่มีอัตตา ก็ทำอย่างนั้นพิสูจน์กันไป

ในยุคนี้ ที่อาตมาจะพูดว่า ในหลวงพระองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ แต่อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับไหน และไม่กล้าพูดว่าท่านกับอาตมาใครเป็นพี่หรือน้อง ก็ติดตามอย่ากระพริบตา ใช้ปัญญาญาณตนเองพิสูจน์ไป

สัจจะเหล่านี้มีจริงในประเทศไทย อาตมาไม่ได้พูดเล่นในหลวงไม่ได้พูดเล่น ขณะนี้มีคนกล้าพูดว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ ในคนไทยกล้าพูดกันแล้ว แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็พูดว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ หรือหลายคนก็พูด

เป็นสัจจะที่ค่อยๆเกิดขึ้น คนที่เกิดภูมิปัญญาตอนนี้ ที่อ้างอิง ที่ถ่ายทอดไปขึ้นเป็นแสนวิว(view ) ล้านวิว(view )ได้อย่างไร? อาตมาพยายามดูว่า มีคนมานั่งฟัง ห้าคน สิบคน ยี่สิบคนแล้ว สังเกตสิว่าคนมาฟังอาตมาเทศน์ เริ่มต้นคนน้อย แต่พอจะเลิกคนมากขึ้นๆ

อโศกเราเริ่มต้นมีคนน้อย ธรรมกายมีคนมากหรือน้อย? ก็ให้ดูไป ไม่ต้องไปดูไบ

ดูว่าต่อไป มากจะน้อยหรือที่นี่น้อยจะมากหรือเปล่า? ติดตามได้เลย ที่พูดไปไม่ได้ท้าทาย เพราะเมืองไทยมีปัญญาแล้ว ไม่ใช่คนโง่ คนโง่ก็ตื่นตัวขึ้นเรื่อยๆ คอยดูไป

นี่คือสัจจะที่น่าศึกษา ชีวิตเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ขันธ์ 5 ได้องคาพยพ อาการ 32 อาตมามาเปิดเผย อาการที่ 33 เขาก็ว่าไปตีทิ้งเทวดาเขา

อาตมาก็ว่าเทวดาเก๊ๆ ก็ควรตีทิ้ง อาตมายืนยันแล้ว คนที่เข้าใจได้ด้วยภูมิธรรมของตน ว่าตนเองเคยหลงเทวดาเก๊มาแล้วทั้งนั้น เรียกว่าสวรรค์ทั้งนั้น โง่เสร็จหรือยัง? …

คนที่หมดแล้ว ไม่มีรสโลกีย์ ก็รสโลกีย์ก็คือเทวดา รสอร่อย ขิฑฑาปโทสิกะ รสเพลิดเพลิน หรืออัสสาทะ รสที่เป็นโทษ อย่างนั้น ใครในพวกเราหรือผู้มีภูมิธรรม เราเลิกได้แล้วแม้สัมผัสอยู่ กระทบกระแทกก็ทำอะไรเราไม่ได้

เมื่อกระทบแล้วเราก็มีจิตที่ นิจจัง(เที่ยงแท้)  ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน)

 อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน)อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

จะรู้ว่าแต่ก่อนเราหลงเทวดาเก๊ ทำไมชื่นใจจริง แต่ตอนนี้จืดๆเฉยๆ กลางๆไม่ผลักไม่ดูด เป็นอุเบกขาฐาน เป็นฐานนิพพาน ไม่ผลักไม่ดูด ไม่สุข ไม่ทุกข์ นี่คืออาการอารมณ์ของวิมุติ อารมณ์นิพพานนิโรธ คืออุเบกขา

ขอถามหน่อยว่าใครมีแล้วบ้าง?..จะเริ่มต้นก็ตามใครมีบ้าง…?
เข้าใจความเป็นกลาง เขาก็เข้าใจไม่ถูก ไปเข้าใจว่าเป็นกลาง คือเข้าข้างใครไม่ได้ นั้นไม่ใช่

ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี ไปอยู่กับหมู่บัณฑิต ไม่ใช่เข้าข้างใครไม่ได้ มิตรดี สหายดี สั่งคมสิ่งแวดล้อมดี คือทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ไม่กระมิดกระเมี้ยนเลย

คนที่กระมิดกระเมี้ยน คือคนไม่กล้า หรือมิจฉาทิฏฐิ ว่าเป็นกลางคือไม่เข้าข้างใคร ไม่ใช่เลย เป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี ไปอยู่กับหมู่ดีหมู่บัณฑิต ที่ส่งเสริมกันให้เจริญ แต่คุณจะอยู่ข้างนอกก็เชิญเข้ามา  มันจะช้านะ

 คุณคนเดียวไม่มีใครช่วย ไม่มีสนามแม่เหล็ก คุณก็ช้า ดีไม่ดีอาจตกร่วงด้วย หรือถูกพลังแม่เหล็กฝ่ายชั่วดึงไปอีก คุณแน่จริงไหม แต่ถ้าอยู่ในหมู่นี้เราช่วยกัน ดึงไป ไม่ได้ง่ายหรอก

สายศรัทธา เมื่อได้บรรลุก็จะได้  สัทธานุสารี  สัทธาวิมุติ กายสักขี

สายปัญญา เป็น ธัมมานุสารี ทิฏฐิปัตตะ และปัญญาวิมุติ เป็นสามเส้า

สายปัญญาจะเจริญก่อน ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ

แต่อุภโตภาควิมุตินั้น เท่ากันทั้งเจโตและปัญญา มีน้ำหนักเท่ากัน แต่สายปัญญาจะนำจะเร็วไปก่อน

ไม่ใช่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะ ใครว่าในหลวงอยู่สายปัญญาหรือสายสัทธา อาตมาจะไม่ตัดสิน ให้ศึกษาไป นี่เป็นการศึกษา อาตมารู้ มั่นใจว่าอาตมารู้ไม่ผิดด้วย

ตอนนี้สรุปแล้วเมืองไทยก็อยู่ในยุคใกล้กลียุค ในภัทรกัปป์ของศาสนาพระสมณโคดม จะสิ้นสุดในห้าพันปี ตอนนี้เหลืออีกสองพันกว่าปี

อาตมาก็ประกาศว่าตนมาสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อาตมาองค์เดียวนะ อย่างในหลวงก็มาสืบสาน หรือพวกเราหลายคนก็มาช่วยกันสืบสาน แม้ไม่ใช่โพธิสัตว์ชั้นสูง เป็นโพธิสัตว์โสดาบันก็มาช่วยสืบสาย โพธิสัตว์สกิทาคามี มีชีวิตยุคนี้ก็ช่วยกัน พัฒนากันในหมู่ไม่ได้แยกกันเป็นอุภยัตถะ ประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่านไปในตัว ไม่ได้แยกกัน

ตอนนี้มีเหตุการณ์จริง บุคคลจริง อาตมาก็อธิบายไปตามภูมิ อาจมีสัญญาวิปลาสได้บ้าง  แต่จิตกับทิฏฐิไม่วิปลาส ความรู้ก็ไม่วิปลาส ถ้าจิตวิปลาสก็เข้าโรงพยาบาลโรคจิตแล้ว แล้วมีเรือนชื่ออโศก 2 ที่นั่นด้วยนะ คำว่าอโศกก็อจินไตยไม่อยากพูดมาก ทำไมอาตมาต้องไปเกิด(บวช)ที่วัดอโศก แล้วทำไมต้องควงทวนที่ลานอโศก ตักกศิลาวัดมหาธาตุ แล้วทำไมต้องตั้งชื่อพวกเราว่า อโศก แล้วมีอโศกอีกไม่รู้กี่อย่าง เป็นอจินไตย

มันเป็นสิ่งที่ยาก ขอเปิดเผยอย่างอาตมาว่า อาตมาเป็นราม ก็มีนัยหลายอย่าง อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจปักหลัก มหาวิทยาลัยรามคำแหง เราก็ไปเผยแพร่ที่รามคำแหงไม่รู้กี่ปี อะไรต่างๆนาๆก็มีเรื่องอีก อาตมาเล่นไสยศาสตร์ ตอนนั้นก็เป็นองค์ราม เป็นเรื่องอจินไตยที่ไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไป แต่ทุกอย่างจะลงตัวทั้งรูปและนามไม่ผิดพลาด พระพุทธเจ้าท่านบอกพยากรณ์เลยว่า คนนี้จะไปเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปมีอัครสาวกชื่อนั้นๆ

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมชื่อพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ทำไมมีแต่ภาษาบาลี จะเป็นภาษาละตินไม่ได้หรือ

ขอไขความว่า ตะวันตกนี้จะช้า ประวัติศาสตร์ที่จะอ้างอิง ในฟากฝั่งของเอเชียจะเกิดคุณธรรมได้อย่างนี้ มีเหตุปัจจัย ได้ที่เส้นศูนย์สูตร อุดมสมบูรณกว่า ตะวันตกไม่อยู่ที่ศูนย์สูตร มีเหตุปัจจัยครบที่เอเชีย แต่ที่ตะวันตกมันเหตุปัจจัยไม่ครบ ปลูกพืชก็ไม่ดีเท่า มีน้ำแข็งมาก กินเนื้อสัตว์มาก อายุก็ไม่ยืนยาว แล้วที่บอกว่าคนจะอายุยืนแปดหมื่นปีได้ไม่ต้องคิดหรอก? ทำไมชื่อต้องเป็นบาลีด้วย ก็มีเหตุปัจจัยที่อาตมาได้เปิดเผยไป ใครฟังได้ก็ฟัง ใครฟังไม่ได้โลหิตร้อนพุ่งจากปากก็ได้ หรือว่าใครฟังคราวนี้แล้วก็บอกว่าเสียเวลา คือลาสิกขาไปก็ช่วยไม่ได้ แต่คนที่ฟังแล้ว ก็ว่าเข้ามาบวชเลย แม้ไม่ได้บวช ไม่ได้เข้ามาก็เข้ามาเลย ก็เป็นเรื่องของตรงนี้แหละ ในพวกตรงกลางตัวใครตัวมัน คนจะบรรลุอรหันต์ก็มีได้

นี่คือสัจธรรม ในบุคคล 7 มีนัยยะ เหตุปัจจัยมีเชื้อ DNA ของศรัทธาก็อย่าง

ของปัญญาก็อย่าง

คำว่า DNA นี้ใช้แทน อาตมาอธิบายว่า DNA เปลี่ยนได้ เปลี่ยนจาก ชั่วมาดี จากโลกีย์มาเป็นโลกุตระ

การจะเปลี่ยน DNA จากโลกีย์มาเป็นโลกุตระ ต้องเข้าใจอาการของพลังงาน ตั้งแต่พลังงานฟิสิกส์ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ(ช่องว่าง) ช่องว่างไมมีอะไรเลย พอเริ่มต้นมีอะไรขึ้นมาก็เป็นดิน พอเคลื่อนก็เป็นลม เรียกโดยภาษาพยัญชนะว่าลม การเคลื่อนที่จากนิ่งดิ่งหยุดคือดิน พอเคลื่อนก็เป็นลม

หรือมีพลังงานในตัวเองที่จะเกิดรวมตัวหรือขยายตัว จะมีตัวหรือไม่มีตัวใช้พลังงานเรียกว่าไฟ หนึ่ง รวมตัว สองเคลื่อนที่ จึงเรียกทางภาษาว่า Quantum กับ Photon ของพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า สังขิตตังกับวิกขิตตัง

สังขิตตังคือรวมตัว เรียกในฟิสิกส์คือ Fusion ส่วนสลายตัวเรียกว่า Fission

ตัวสลายกระจาย ออกไปเรียกวาธาตุเบา ที่รวมตัวเรียกธาตุหนัก ที่กระจายจะเป็นไอโซโทปกระจายหายไป จากหนักแน่นไปสลายหายไป

จากดินเคลื่อนที่เป็นลม หรือพลังงานรวมตัวเป็นไฟ พอเริ่มมันเป็นชีวะจะเป็นน้ำ สามเส้าที่ไม่เป็นชีวะเลยคือ ดิน ลม ไฟ อยู่ตัวไม่เป็นชีวะเลย ถ้าจะขยับก็อยู่ตรงนี้ ในพระอาทิตย์มีแต่ดิน ลม ไฟ ไม่มีสิทธิ์เป็นชีวะ อุณหธาตุแรงเกินไปธาตุไฟแรงเกินไป แต่เมื่อมีเริ่มมาปรับเป็นชีวะก็ต้องเกิดน้ำ จากดิน ลม ไฟ มาเป็นน้ำ จากนั้นก็เป็นกลละ เป็นprimary cell เกาะกับดิน หนึ่งธาตุ แยกตัวเป็นสองก็ติดอยู่ แต่พอมาเป็นสามก็ดิ้นในวงวน แต่ไม่หลุดออกมา หรือแยกเป็นสองตัวก็เป็น secondary cell จนเป็นสาม tertiarycell จนมาเป็นสี่ quaternary cell ไปเรื่อยๆ

ผู้ที่รู้พลังงานแต่ละระดับ อ่านออกเข้าใจได้ จึงหยิบมาใช้ได้ ไม่สับสน ขนาดอาตมาก็ยังสัญญาวิปลาสเลย คนอ่านออกก็แยกได้ว่า  อย่างไรคืออุตุ อย่างไรคือพีชะ

เป็นพีชะนี้ถ้าอยู่ในกรอบของตนจะไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนา

เมื่อเป็นพีชะแล้ว เริ่มจากธาตุน้ำ เป็นชีวะแค่พีชะ ซึ่งกว่าจะพัฒนาการจากพีชะไปเป็นจิตก็นานมาก ไม่ใช่เร็ว อีกนาน

พลังงานที่ก่อเกิดในตัวมันเอง ก็เกิดจากพลังงานอันอื่นมาเป็นอีกอัน อย่างธาตุดินมันไม่เป็นตัวของตัวมันเลย ลม น้ำ คน พัดพามันไป มันไม่เป็นตัวของตัวมัน ส่วนพืชนั้น  เป็นตัวของมันเอง แต่มันก็ยึดเป็นตัวของมันเองไม่ได้

เหมือนกับพูดว่า oxygen มันจุดไฟติดแต่ไม่ติดไฟ  ตัวมันเองไม่ติดไฟเอง แต่มันช่วยให้ไฟติด

ตัวพีชนิยามมันเป็นตัวของมันเอง แต่ยึดตัวมันเองไม่ได้ หลงตัวมันเองไม่ได้

เมื่อเป็น ish ​เป็น สามเส้าแล้ว  โดยมี i (ฉัน)เป็นประธาน มีสองอย่างนี้เป็นตัวร่วม ร่วมแล้วมีภาวะสองอย่าง อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ มีประธานคือ i มีหวังเฉา หม่าฮั่นเป็น she กับ he มีท่านเปาคือ i

พลังงานเหล่านี้เป็นสัจจะ ไม่ได้เอาเรื่องเพ้อเจ้อมาพูดให้ฟัง คนที่ศึกษาสัจธรรมจะอ่านออก แยกกายแยกจิตได้ กายคือองค์ประชุมสอง จิตคือเป้าหมายที่คุณต้องทำต้องศึกษา ทำจากองค์สอง แล้วทำให้เป็นเอก แล้วคุมสองให้ได้

ธาตุสองธาตุมีประธานน้ำ จนเป็นสาม เป็นสี่...ไปถึง เจ็ดก็มีสามเส้า ถึงเจ็ดแล้วห้ามให้เจริญไม่อยู่เรียกว่า นิยตะ เป็นภูมิที่สัมโพธิปรายนะ เจริญไม่หยุด

ถ้าจะเอามุมกลับ คนเสื่อมไปถึง เจ็ด ก็ห้ามไม่ให้เสื่อมไม่ได้ ฉิบหาย สุญโยแน่นอนสลายสิ้นเกลี้ยง จะเรียกเลวสุดว่า อติวินิปาต*   อะ คือไม่ วิคือไม่ นิคือไม่ คือพวกไม่ได้ผุดได้เกิด จมดักดานในนั้นหนักกว่าอนันตริยกรรม

หรือเรียกว่า อนันตริยกรรมก็ได้ คือสัตว์นรกไม่ผุดไม่เกิดจมในนี้แหละ และเป็นอัตตา ที่จะทรมานไปอีกนานเท่านานเลย

เรื่องสัจจะพวกนี้ทั้งพยัญชนะและอัตถะก็ต้องอาศัยกันและกัน ทุกวันนี้พวกเราเจริญต่อไปจะได้ศึกษาไปเรื่อยๆ ใครยังไม่ได้มาก็มาเถอะ ไม่ได้บังคับนะ ขอดีกว่า ผู้มีศีลที่ยังไม่ได้มา ก็ขอให้ได้มาเถอะ

ขณะนี้เข้าไปหาภาษาที่ร่วมสมัยก็คือ การเมือง การเมืองประชาธิปไตยสองขาก็จะเผยแพร่ไป ประชาธิปไตยการเมืองสองขา มันได้พิสูจน์กันแล้วว่าประชาธิปไตยขาเดียวนั้นได้พิสูจน์มาแล้ว ประชาธิปไตยการเมืองขาเดียวในลักษณะเผด็จการไปไม่รอด ต่อมาเป็นหมู่เป็นคอมมิวนิสต์ก็เอาแค่หมู่ตนแคบๆ ในกรรมการเท่านั้นเอง เด็ดขาด CEO แต่ก็ดียังขยายมาในหมู่ไม่ใช่คนเดียว แต่เขาก็ไม่เอาแล้ว คอมมิวนิสต์แสดงได้ไม่ถึงร้อยปี ไปดูสิ ตอนนี้จีนมี สีจิ้นผิงเป็นประธานาธิบดี ก็ยอมหมดแล้ว ไม่ยอมประกาศตนเองเป็นคอมมิวนิสต์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไม่กล้า แล้วก็เป็นแบบผสมผสาน ยังมีคนไทยที่ตกยุคใช้สีแดงๆ เลือดจัด มันไม่ขึ้นแล้ว

ทีนี้มาเป็นประชาธิปไตยเผด็จการฟาสซิสต์ก็จบไปแล้ว คอมมิวนิสต์คือเอามวลอ้างอิง แต่ก็เอาแค่เผด็จการหมู่ ก็ไม่เอาเลือกตั้ง มาวันนี้ไปไม่ออกก็ต้องมาเป็นพันธุ์ทางก็ยอมยืดหยุ่น ต้องมาเอาประชาธิปไตยมาหามวลชนเป็นหลัก

ในมวลชน ในประดาคนทั่วไปมีกิเลสมากกว่า จะเอามวลที่กิเลสมากมาเป็นหลักในการลงคะแนน คนส่วนใหญ่กิเลสมาก เลือกก็ได้คนกิเลสมากมาเป็นประธาน จึงมีการคัดเลือกบ้าง แม้แต่ USA ก็มีการเลือกตั้งที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้หรอก ได้แต่แทคติก กลเม็ดได้มาก ไม่ได้เป็นตามอิสรเสรีภาพ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยต้องมีอิสรเสรีภาพ ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพมนุษยชนของแต่ละคน ต้องมีหลักเกณฑ์ที่จะหาคนไปร่างรัฐธรรมนูญ หรือไปทำงานต้องมีอิสรเสรีภาพซ้อน

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา และต่อไปจะเป็นอาริยบุคคล หรือที่อาตมาเปิดเผยว่าต่อไปข้าราชการหรือผู้จะไปบริหารบ้านเมืองจะเป็นอาริยชนที่แท้จริง ที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าสภา ถ้าสภามีอาริยชนก็ดีเลย ไม่ใช่ให้ประชาชนส่วนใหญ่เลือก

สรุปแล้วแม้จะร่างรัฐธรรมนูญก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ รัฐธรรมนูญที่จะใช้ก็ใช้ไป สักวันหนึ่งจะมีอาริยชนไปร่างรัฐธรรมนูญเหมือนกันกับที่อินเดีย อาริยชนคนเดียวไปร่าง ฉบับเดียวนี้ใช้มาจนทุกวันนี้ไม่เปลี่ยน แล้วขนาดเขาเป็นจัณฑาลด้วย มีคนตั้งหลายพันล้าน  เขาเป็นแกนเจโต พฤติกรรมอินเดียจะต่างกันคนละขั้วกับจีนเลย ที่มีพลเมืองมากเป็นอันดับหนึ่งและสองของโลก จีนนั้นเฉกา แต่เขาจะมีปัญญาขึ้น

แต่ไม่ทันไทยหรอก เพราะเมืองไทยมีคนน้อย แล้วมีต้นทาง จะมีอาริยะก่อนจีนจะรวมตัวกันติด ไทยก็จะเป็นตัวอย่าง เป็นสัจจะ ไม่ได้อวดอ้างเบ่งใหญ่โต แต่เป็นสัจจะ กว่าจะสิ้นภัทรกัปป์นี้

เพราะฉะนั้นแม้แต่มหาราชองค์หลังสุดของภัทรกัปป์นี้ ก็ชื่อว่าพระภัทรมหาราช จะไม่มีอีกแล้ว ก็ในหลวง ร.9 ของเราไง คนเสนอตอนท่านมีพระชนม์ชีพท่านไม่รับ แต่ตอนนี้ก็ยกย่องท่านได้แล้ว ตัว ภ คือความเจริญ​  เริ่มตั้งแต่อัญญาสิ วัตโภโกทัญโญ ตัว ภ คือตัวเจริญ

พยัญชนะทุกอย่างเป็นการใช้ทดแทนสภาวะ ส่วนของจีนนั้น เขาเอาเส้นต่างๆ เอาขีดเอาโค้งเอางอ เอาสั้น ยาว ซ้าย ขวาไปรวมเป็นอักษร ไม่เหมือนบาลีพยัญชนะของจีนจึงแยกยาก

ลักษณะพยัญชนะของจีน คือพวกใฝ่เจโต เพราะเป็นพวกฟุ้งซ่าน ลักษณะอักษรของจีนจึงเป็นเจโต แยกยาก เอาเส้นมารวมกันหมด แม้แต่ภาพก็เข้าใจยาก

พวกจีนนี้สายปัญญาฟุ้งซ่าน ก็ต้องมาหาสายเจโต เขาเป็นพวกอุทธัจจะต้องมาหาพวกถีนมิทธะ เป็นพวกวิขิตตังก็ต้องมาเอาพวกสังขิตตังเป็นพวก fission ต้องมาหาเอาพวก fussion นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพูด ไม่ได้เป็นเรื่องในวิมานอย่างพวกธรรมกายที่ออกแบบรถหัวปลี วิมานลอยลม ดูอย่างคนของเขาก็แข็งทื่อเชยๆ ไม่มีชีวิตชีวาเลย ดูแล้วนะ มันไม่ไหว มันทื่อ เขาต้องการไหว แต่พริ้วพรายไม่ออก แต่พริ้วอย่างเฉลิมชัยก็พริ้วเกินไป

สรุปแล้วคุณธรรมต่างๆ กำลังจะใช้ในสังคมมนุษยชาติ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าต้องมีคุณธรรมเข้าใจหมด คนที่ไม่เอาคุณธรรมตอนนี้ก็ตกยุค ถ้าใครตกถึงขนาด  อติวินิปาตะ ครบสามเส้าของการตกต่ำเลย คือ อ วิ นิ สามไม่เลย ใครจะเอาสามไม่ยกมือ?....นี่คือสุดยอดของจอมอเวจีเลย

ก็ใช้พยัญชนะสื่อ ถ้าไม่มีการสื่อยืนยันก็ไม่ถือว่าเป็นสัจจะ สัจจะต้องมีการรับรองกันตั้งแต่สองคนไป ถ้ามีคนรับรองมากก็เป็นพหุชนหิตายะ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก แต่ถ้าเป็นหมู่มากที่เป็นคนมีกิเลสมากก็ไม่ใช่ ต้องเอาหมู่ที่เป็นอาริยะมาตัดสิน แล้วจะเจริญเป็นประเทศอาริยะ ในปลายภัทรกัปป์นี้ แล้วจะสิ้นภัทรกัปป์สูญสลายหายไป

แต่ละคนที่ได้มาได้ยินได้ฟัง ก็ตั้งใจพากเพียร อย่าให้เคร่งเกินไป เครียดเกร็ง spasm เป็นโรคชนิดหนึ่ง พวกเราต้องช่วยกัน ก็มี อย่าให้เกิดถึงขั้นนั้น เราพยายามสรรหาความพอเหมาะพอดี ความพอเหมาะพอดีเป็นสิ่งที่ยาก คนก็ต้องประมาณของตนให้พอดี แล้วก็ต้องประมาณกับคนอื่นด้วย ตัวเราเป็นสามเส้าแล้วก็ต้องประมาณแต่ละคน ปุคคลปโรปรัญญุตา แล้วหมู่กลุ่มอีกที่ต้องประมาณเป็น ปริสัญญุตา เป็นเหตุปัจจัยในการ solve ทั้งกาลัญญุตาอีก โอกาสอย่าเอาไกลเอานานเกินไป ปัจจุบันจึงเป็นตัวที่ตัดสินได้ว่าเป็นกาละที่จริงที่สุด แล้วต้องมีปัญญารวบรวมทั้งปริสัญญุตา ทั้งปุคคลปโรปรัญญุตา ทั้งเนื้อหาแท้ อัตถัญญุตา ทั้งองค์รวมทั้งหมด ทั้งตัวเราด้วย ตัวเราก็เท่านี้ เอาให้แม่นว่าเราเท่าไหร่ ถ่อมตนไว้ดี คนอื่นจะยอมรับหรือรักเราก็อยู่ที่คนอื่น ไม่ใช่เราไปยัดเยียด ให้คนอื่นต้องการเอง จึงยอดเยี่ยมมีเกียรติ ถ้าเราไปยัดเยียดว่าต้องเราเท่านั้น อย่างนี้ไม่มีเกียรติ

พระพุทธเจ้าเคยยกย่องพระกุณฑธานภิกขุ ถือว่าเป็นผู้มีอัตตามานะสูง ถือว่าตนเองใหญ่ โดยชาดกมีว่า เคยเป็นใหญ่เป็นเจ้า เลยติดเป็นจริตนิสัยมา พอเป็นอรหันต์ยังมีมานะเหลือเป็นวาสนา (ไม่ใช่อีกองค์หนึ่งที่พูดติดปากมา คำว่า ไอ้ถ่อย แม้เป็นอรหันต์ก็พูดว่าไอ้ถ่อย)

ในชาดกมีว่า พระพุทธเจ้าได้รับนิมนต์แล้วผู้นิมนต์บอกว่าขอพระอรหันต์ทั้งหมด 20 องค์นะ พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์จัดสลาก เอาพระอรหันต์ไป 20 รูป การเปิดเผยอรหันต์ไม่ได้ปกปิดกันหรอกในสมัยพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ไปบอกให้คิว พอเข้าไปแล้วก็ไปเจอท่านพระกุณฑธานภิกขุ ก็บอกว่าจะนิมนต์อรหันต์ แต่ท่านนี้ก็บอกว่าตนเองเป็นอรหันต์ แต่ลักษณะท่านกระโดกกระเดก ทำให้พระอานนท์ไม่เชื่อ ก็จัดถึงสามครั้งก็ไม่ยอมรับท่านนี้เป็นอรหันต์ พอครั้งที่สาม พระอานนท์ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าองค์นี้เป็นอรหันต์จริงหรือเปล่า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเป็นอรหันต์ แต่ว่าวาสนาท่านเคยยึดมั่นถือมั่นเป็นเจ้านายมานาน เป็นวาสนา แต่ก็เป็นอรหันต์จึงอย่าไปดูตามอาการ ตามกาลามสูตรอย่าไปตัดสินตามอาการ

อาตมาแสดงธรรมแบบนี้ไม่ค่อยนิ่งสงบงาม เป็นรากฐานของอาตมาเหมือนกัน ไม่ได้มาแก้ตัวนะ จริงๆอาตมาพยายามสงบเสงี่ยมได้พอสมควรนะตอนบวชใหม่ๆ  ท่านกุสโลก็บอกว่าเหมือนพ่อท่านลอยเลยนะ เวลาเดิน แต่ตอนนี้ไม่ได้แก้ตัวนะ มันหุบไม่ลง มันได้กระจายออกมาแล้ว ก็เอาประโยชน์ก็แล้วกัน ถือว่าเป็นสภาวะคัดเลือกคน ถ้าใครมาติดกับกิริยาอาตมาแค่นี้ พูดก็เน้นหนัก ยกมือยกไม้อย่างนี้ ใครจะติดก็แล้วแต่

สรุปคือเรื่องของสัจธรรมว่า ความจริงเกิดที่ประเทศไทย

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เราเรียนทั้งประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อจินไตยด้วย เป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ก่อนกลียุค จากนี้เราคงไม่ได้เห็นอีก พวกเราโชคดีที่ได้พบเจอ แต่ก่อนถือศีลกินเจก็หาคนกินยากแต่ก็ยังมี พล.ต.จำลองที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมากินเจ แต่ก่อนนี้เขาบอกแดงทั้งแผ่นดิน แต่ตอนนี้มีในหลวงในหัวใจกันทั้งแผ่นดิน พ่อครูเคยบอกปรากฏการณ์เหลืองทั้งแผ่นดินตอนวันที่ 5 ธันวาฯ ยุคนี้พ่อครูบอกว่า เลข 7 เจริญไม่เสื่อม กับ 7 ที่เสื่อมไปแน่นอนอีกได้สองทาง

ยุคนี้ใกล้กลียุค พ่อครูคงต้องทำหัวเชื้อให้ได้มากที่สุด จึงทำให้ไปได้อีกครบห้าพันปีของศาสนาพุทธ ยุคนี้เราได้มาสร้างบารมีกันได้มากกว่า….จบ

 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:05:06 )

591028

รายละเอียด

591028_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก สวรรค์คือนรก นรกคือสวรรค์

สมณะเดินดินว่า…วันนี้กลุ่มแพทย์วิถีธรรมก็ได้มาร่วมกับชาวสันติอโศก ที่สนามหลวงก็ดูบรรยากาศคึกคักกันทั้งคนรับและคนแจก ก็จะมีญาติธรรมเข้ามาร่วมสมทบด้วย เป็นที่รับรู้กันว่ากองทัพธรรมปักหลักอยู่ที่เต็ม 26 ก็เชิญคนมาร่วมแจกด้วย ที่อื่นจะมาใช้สถานที่ร่วมก็พร้อมสนับสนุน ก็คงรอกำลังจากต่างจังหวัดที่จะมาสมทบ ต่างจังหวัดก็จะได้ทยอยกันเข้ามาแล้ว

เด็กสัมมาสิกขาชั้น ม.4 ก็เข้าค่ายที่ปฐมอโศก ในวันแจกกล้วยหอมก็จะมีเด็กมาช่วยด้วยเหมือนกัน ชาวบ้านเขาบอกว่าจะแจกไม่ทัน

พ่อครูว่า...อาตมาก็จะขอเริ่ม วันนี้วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2559 แรม 12 ค่ำเดือน 11 ปีวอก ก่อนจะได้บรรยายก็จะได้ตอบ sms ผู้ที่ถามหรือตอบรับมา เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าบรรยายไปแล้วไม่มีการตอบรับเลย ก็ว้าเหว่ ไม่มีอะไรสะท้อนตอบเลย พูดไปบรรยายไปก็คงไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่มีใครมานั่งฟังเลย ไม่รู้ว่าได้ประโยชน์หรือไม่ อาตมาก็ได้แต่เดาต่อไป เพราะไม่มีการตอบรับ ก็ขอขอบคุณผู้ที่ตอบกลับมา

อาตมาก็ดูที่คนกดดูที่เขาออกไปในสื่อโซเชียล บางอันเป็นร้อยล้านวิว แต่ของอาตมามีคนกดดูห้าสิบหกสิบคน ก็ทำให้เห็นว่าเรื่องธรรมะนี้คนใส่ใจน้อย อาตมาทำงานทางบันเทิงสมัยเป็นฆราวาสก็ได้เงินเยอะนะ จนมารู้ตัวแล้วว่าป่วยการ เรานี่สร้างบาปใส่ตัวไม่ได้เรื่อง ชีวิตนี้ก็เลยเลิกทำแบบนั้น เกิดมาได้ร่างกายนี้แล้วถ้าเอากรรมกิริยาทำแบบนั้นต่อไปก็จะเป็นโมฆะบุรุษ เป็นคนสูญเปล่า เป็นคนไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไรที่เกิดมาได้ร่างกายนี้ อาตมาก็เลยจบ ชีวิตที่จะมีพฤติกรรมการงานแบบทั้งโลกก็เลิก มาอยู่ทางนี้เข้า 46 ปีแล้ว

ก็เห็นมาตลอดก็ยาก คนไม่ค่อยมาฟัง อาตมาไม่ท้อ เพราะอาตมามาทำงานอันนี้ อาตมารู้ความเป็นจริงของตัวเอง แล้วรู้ได้ว่ามาทำงานนี้เป็นอยู่ในยุคที่ยากที่คนเสื่อมไปจากศาสนากันแล้ว แทบจะเรียกว่า สิ้นไปแล้ว ศาสนาพุทธทุกวันนี้ พฤติกรรมของผู้ที่ท่านทำอยู่ เป็นพระเป็นเจ้าเป็นภิกษุ มีอยู่ 2 แบบ (ขออภัยนะนี่เป็นการศึกษาวิชาการ ไม่ได้เป็นการว่าดูถูกดูแคลน )

อาตมาเห็นว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้มีอยู่ 2 อย่างที่เขาประพฤติกัน

อย่างที่ 1 ที่ท่านบอกว่าท่านปฏิบัติศาสนา ก็คือนั่งหลับตา ทำสมถะ ออกไปหนีไปจากสังคม ไปอยู่ป่าเขาถ้ำคนเดียวเดี่ยวๆไม่เกี่ยวกับใคร แล้วเขาก็ถึงว่านั่นคือพระปฏิบัติกันอย่างนี้

อย่างที่ 2 ก็เป็นพระที่รักษาจารีตประเพณีกับการสวดมนต์ กับการเรียนรู้ตามบัญญัติตามปริยัติของพระพุทธเจ้า นี่เป็นพระในเมือง ก็ตามความเข้าใจ ก็เป็นผู้รู้ เป็นภิกษุ เป็นพระผู้รู้ ผู้มีปัญญา ผู้มีวิชามีใบรับรอง ถึงขั้นเป็นเปรียญ 9 เป็นด็อกเตอร์ เอาความรู้นั้นมาสอนต่อกันไป กับพระที่อยู่ในเมืองที่ทำการสวดมนต์ สวดให้ได้ ถ้าสวดมนต์ให้ได้มากๆรับรองไม่มีอดตาย ไม่ต้องรู้อย่างพระที่เล่าเรียนศึกษา แต่ท่องสวดมนต์ให้ได้ ก็ 7 ตำนาน 12 ตำนาน ก็ใช้การท่องสวดมนต์นี้หากินไปเป็นการรักษาจารีตประเพณี ไปเป็นพิธีกรรม

นี่คือศาสนาพุทธที่มีอยู่ทุกวันนี้ อาตมาเห็นความจริงเป็นอย่างนี้อาตมารับผิดชอบแต่ผู้เดียวตามความเห็นนี้ เขาไม่ได้เข้าไปศึกษาอ่านถึงจิตเจตสิกต่างๆ แม้จะเรียนปริยัติมาก แต่ไม่ได้เรียนเข้าไปถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมที่เป็นโพธิปักขิยธรรม 37

สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรค 8 ในพระไตรปิฎก ล.31 ข.620 โลกุตระ 46

เขาไม่ได้เรียนรู้เข้าใจไปถึงกาย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล. 16 ข. 230

กายกับมโนกับจิตก็มีนัยสำคัญต่างกัน แต่กายนี้คือจิต จึงต้องมาเรียนรู้แยกกายแยกจิต กายคือจิต แล้วแยกกายแยกจิต แยกอย่างไรตรงไหนถึงสามารถรู้อาการของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เรียนรู้ลักษณะอาการเคลื่อนไหวของมันว่า

อันนี้เป็นอารมณ์จริง อันนี้เป็นอารมณไม่จริง ประกอบด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน ถ้าแยกแยะไม่ออกก็ไม่ได้เรียนรู้ความจริง ที่จะแยกแยะสิ่งที่ไม่จริงออกไปจากอาการจริงในจิต ก็ไม่ได้บรรลุธรรม

ท่านไม่ได้เรียนอย่างนี้กันแล้ว ในมูลกรรมฐาน 5 ทั้งผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นกรรมฐานอย่างไร เมื่อไหร่เล็บเป็นกาย เมื่อไหร่มันเป็นจิต เมื่อไหร่มันไม่เป็นกายเป็นจิต ถ้าเราเข้าใจว่า เล็บมันเป็นกายที่มันไม่มีความรับรู้ เมื่อไหร่มันมีความรับรู้ รับรู้ประกอบด้วยกิเลสกับรับรู้อย่างไม่ประกอบกับกิเลส หากเราเรียนรู้ตั้งแต่เล็บได้ ก็เอาไปเป็นต้นแบบเรียนรู้อย่างอื่น แต่ท่านไม่ได้เรียนอย่างนี้ ไปเรียนแต่ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เขาไม่ได้เรียนรู้ถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานก็ไม่ได้ประโยชน์แท้จริง

มาถึงวันนี้อาตมาเปิดเผยอย่างไม่มีอะไรปิดบังปกปิด อธิบายว่าตนเองเป็นใครมาทำอะไร ไม่ใช่เรื่องที่อวดตัวตน ไม่ใช่เรื่องหลงผิดหลงใหลหรืออยากโด่งดัง อยากเป็นผู้วิเศษผู้รู้ก็ไม่ใช่ แต่เป็นการยืนยันความจริง

เพราะฉะนั้นผู้ที่ตอบกลับมาถึงต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งอีกครั้ง

SMS วันที่ 27 ตุลาคม 2559

0877854xxxวันนี้ได้ถวายภัตราหารสมณะบินบน ตอนเย็นฟังเทศนาพ่อครูช่างสุขจริงหนอ ฅนกำแพงเพชร

0893867xxxนมก.พ่อครูฯมิได้มีตำแหน่งอำนาจลาภยศใดๆมาแต่ต้นจนถึงบัดนี้ชัดเจนใครจะว่าโหนกระแสเพื่อดิสเครดิตกันเองไม่อายสากลก็ช่างเขาเถอะ!ผลปย.ในธ.มหัปปิจฉะไม่มีวันเอาชนะความพอเพียงในธ.อัปปิจฉะของตถาคตแท้ได้หรอก!

ตอบ...คนที่สอนไปรวยคือคนที่กำลังทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้าทวนกระแสกับธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วมีมากเลย อย่างที่อาตมาถล่มทลายธรรมกาย สมีธัมมชโยที่สอนไปรวย เอากิเลสเป็นที่ตั้งเขาก็เลยได้หมู่ของคนมีกิเลสไปครอบงำ ล้วงตับกินไส้ เอากิเลสล่อ ว่าเขาจะบันดาลอะไรได้ คนก็ไปให้เขาหลอกจูงจมูก แล้วโดยเฉพาะเขาใช้วิธีการสะกดจิต hypnosis ของวิทยาศาสตร์ที่เขายืนยันจริงแล้วด้วย อาตมาก็เรียนทั้งวิธีสะกดจิตและเรียนแบบพุทธ

ก็ต้องใช้ภาษาหนักๆ บางทีว่าฉิบหายก็หาว่าหยาบคาย ไปว่าคนนั้นคนนี้ ก็พระพุทธเจ้าสอนให้ชมคนที่ควรชม ติคนที่ควรติ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วท่านก็เปรียบว่าคนที่ทำชั่ว เหมือนมีผ้าที่ชุบน้ำมันไหม้ไฟอยู่บนหัว เขาไม่รู้ตัวเราเห็นเรารู้ก็บอกรีบบอกท่านให้รีบเอาออก ก็ไม่เข้าใจ แล้วหาว่าเราหยาบคาย รุนแรง สุดโต่ง หาว่าเราไปทำลายคนอื่น เรากำลังจะช่วยคุณให้ขึ้นมาจากหลุมนรกอเวจีที่คุณทำลายตัวเอง อาตมาจะช่วยก็หาว่าไปทำลายอีก อาตมาก็เลยเหนื่อย เพราะคนไม่รู้เจตนาไม่รู้ความถูกต้องก็เลยยาก แต่ก็สู้ๆ

เรื่องมหัปปิจฉะกับอัปปิจฉะ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่หยาบชัด เขาก็ไม่เข้าใจสอนกันผิดผ้ากันทำผิดมาก ให้ไปตรวจสอบบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าสำนักต่างๆ อย่าไปหลอกล่อให้เขามารวย มารวย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย (จน) ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต ซึ่งเดี๋ยวนี้พูดกันเยอะแล้วว่าในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์

ท่านก็สอนให้มาจน อย่าไปมุ่งรวยมุ่งก้าวหน้าอย่างเขา ก้าวหน้าอย่างนั้นมันถอยหลังอย่างน่ากลัว

ทุกวันนี้ยกย่องระลึกถึงในหลวงเรา ยิ่งท่านสิ้นพระชนม์ลงไป คนเราลึกๆมันรู้ คนไทยไม่สิ้นไร้ไม้ตอก รู้ว่าอะไรคือความดีที่ควรยกย่องบูชา เอาเข้าจริงรู้แฮะ แต่ท่านอยู่ทำไมไม่เอา ตอนท่านอยู่ ก็ที่จริงพวกคนก็พอรู้อยู่ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ท่านตรัสว่ามาจนนี้ดี ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านไม่พูดมากพูดยาวเหมือนอาตมา ท่านตรัสสั้นๆย่อๆ เป็นธรรมดา ท่านปางนี้จะเป็นอย่างนั้น เป็นปางเตมีย์ใบ้ ท่านตรัสมาอย่างนั้นก็ดีแล้ว ของจริงทั้งนั้น

ถ้าศาสนาไหนเอาแต่ชมไม่ค่อยเจริญ แต่ถ้าศาสนาไหนมีการตำหนิ ติ อันไหนไม่ดีก็คอยติ ศาสนานั้นเจริญไปรอด แต่ถ้าศาสนาไหนเอาแต่ชม ก็ไปไม่รอด หลงตัวเองงมงายไม่รู้ความจริง มีแต่เสื่อมตายอย่างเดียวไม่มีวันเจริญเลย

 

0893867xxxคนเขาจะทำดีถวายร.9 ด้วยการให้กำลังใจกันและกันโดยไม่มีผลปย.ใดแอบแฝง! ก็ควรให้กำลังใจคนทำดี ต่อไปตามคำสอนพ่อฯส่งเสริมคนดีให้เข้มแข็งในการทำความดีต่อไป!สกก.ปชช.คนติดดินกับรองเท้าแตะคู่เก่าๆ

0893867xxxคนดีทำให้คนอื่นดีได้หมายความว่าคนดีทำให้เกิดความดีในสังคมคนอื่นก็ดีไปด้วย! ความเลวนั้นจะทำให้ คนดีเป็นคนเลวก็ยาก!แต่ก็เป็นไปได้ถ้าคนดีไม่เข้มแข็งในความดี... ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดีจะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยากสำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี!พระบรมราโชวาทในหลวงฯขอน้อมนำมาเป็นกำลังใจให้คนทำดีต่อไป!

0844497xxx"สัจจธรรมที่แท้จริง " สั่งสอนอบรมให้มนุษย์ทุกคนมีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรัก และแผ่ความเมตตากรุณาให้แก่ทุกชีวิตโดยไม่แบ่งแยก ขจัดความเห็นแก่ตัว ละทิ้งความโลภ โกรธ หลง หยุดการกระทำชั่วทั้งปวง สร้างสมแต่คุณความดี ฉุดช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์สามารถทำจิตใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

พ่อครูว่า...ประเด็นที่อาตมาสะดุดคือ แผ่ความเมตตากรุณาให้แก่ทุกชีวิต อาตมาว่าเป็นภาษาพล่อยๆ คนที่พูดก็พูดพล่อย คนที่จะแผ่เมตตานั้น เมตตานั้นไม่ได้เหมือนพัดจะแผ่ออก หรือสาดกระจายหว่านให้คนอื่น เมตตามันไม่ใช่วัตถุ เมตตาเป็นนามธรรม ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีดินน้ำไฟลม

เมตตาเป็นกรรมกิริยา พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม

เมตตามโนกรรมเป็นต้นทาง คนที่มีเมตตาจริงๆจะแพ้ให้คนอื่นได้ แต่คนไม่มีเมตตาจะเอาอะไรมาแพ้ให้คนอื่น ไปยืม เช่า ซื้อ ปล้นมาไม่ได้ มันเป็นสัจจะ ความเมตตาต้องมีในเนื้อของเรา ความเมตตาคืออาการใจ ต้องอ่านอาการใจว่ามีอย่างนี้จริงไหม ไม่ต้องเอาพยัญชนะไปเรียก แต่มันคือการที่ต้องการให้คนพ้นทุกข์ ต้องการช่วยเหลือคนที่เขาทุกข์ร้อน จิตใจอย่างนั้นเป็นอาการจิตใจที่มีเมตตา คุณมีจริงหรือเปล่า อาตมาถึงบอกว่า อาตมาถึงได้ยินแต่แผ่เมตตาพล่อยๆ พูดอย่างอวดดีกัน คุณมีจิตใจอย่างนั้นไหม

ถ้าคุณสัมผัสคนที่ตกทุกข์ได้ยากคุณต้องการช่วยเหลือเขา คุณลงมือเลย นั่นล่ะคือการแผ่ทางกาย วจีเลย การลงมือช่วยคือกรุณา เมื่อรู้สึกเมตตา สัมผัสแล้วน่าช่วยเหลือก็กรุณาลงมือทำ ช่วยเขาจนเสร็จ เขาได้ดีขึ้นมาพ้นทุกข์ขึ้นมาก็มุทิตา คือยินดีที่เขาได้ดีแล้วพ้นทุกข์แล้ว เราก็รู้สึกดีแล้ว อนุโมทนาสาธุ อาการมุทิตา เมื่อช่วยเขาเสร็จอันที่สี่ก็อุเบกขา อย่าไปจำบุญคุณ ให้เฉยวางแล้วจบ นั่นคือพรหมวิหาร 4

ขออภัยเถอะผู้ที่เอาแต่แผ่เมตตาแล้วท่องเป็นบทสวด แต่ตนเองไม่มีจิตเมตตา ไม่ได้ลงมือทำ อาตมาถึงบอกว่าแผ่เมตตาพล่อยๆ ดูโก้ดูดี สรุปว่าอาตมาก็ปรามไว้ว่า อย่าเอาแต่พูด ให้รู้ว่าเมตตาอยู่ที่ใจ แล้วไปทำกิริยาไปช่วยเขาจริงด้วย

สมณะเดินดินว่า...ทุกวันนี้เขาแผ่เมตตากันตอนก่อนนอน  ปัญหาคือตอนก่อนนอนก็แผ่เมตตา แต่ตอนตื่นมาก็กินเนื้อสัตว์ ตอนก่อนนอนก็บอกว่าสัตว์ทั้งหลายจงอยู่เย็นเป็นสุขเถิด อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ปากอันเดียวกันนี้ตื่นขึ้นมาก็มากินเขาต่อไป

พ่อครูว่า..นี่คือเพ้อเจ้อไปไม่มีประโยชน์ทำให้เกิดพล่อยๆเพ้อๆหลงตนว่าดีแล้ว ก็อธิบายขยายความไป

 

0844497xxx"สัจจธรรมที่แท้จริง" มีจุดมุ่งหมายให้ทุกๆชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ประการสำคัญที่สุด สัจจธรรมที่แท้จริง สอนให้ทุกคนบำเพ็ญตนให้ "หลุดพ้น "สามารถดับทุกข์ทั้งปวงบรรลุสู่ " นิพพาน " ดั่งเช่นที่พ่อครู "รับหน้าที่" ประกาศสัจจธรรมจริงของ "พระพุทธองค์" อยู่ขณะนี้ สาธุ!

 

_จากไลน์ ป้อง ปารีณา

กราบขอคำแนะนำเรื่องการจัดการกับซองกฐินค่ะ ไม่อยากส่งเสริมให้มีการกระทำแต่ก็เกรงใจคนมาแจกซอง ก็คนที่ชอบพอกันทั้งนั้น ควรมีการทำใจในใจที่เป็นโลกุตตระอย่างไรขณะที่ทำทานเช่นนี้คะ

ตอบ...ก็เขามาถาม อาตมาแนะนำว่าเผาทิ้งหรือฉีกทิ้ง เขามาขอซองคืน ก็บอกว่าเผาไปแล้ว เขาก็จะตาเขียว เราก็บอกว่าทำไมตาเขียวก็ค่อยๆอธิบาย แต่คุณต้องรับศึกตอนที่เขาเอามาคืนนะ ต้องมีศิลปะในการบอก ยิ่งคนชอบพอกันสนิทกันดีก็ง่าย พูดด้วยจริงใจ เขาคงไม่โมโหหุนหันนะ ก็พูดจากใจจริง

 

เริ่มต้นฟังให้ดีๆ ตอนนี้จะฟ้าผ่าแรงเรียกว่าแล้งๆไม่มีเค้าฝน ฟ้าก็ผ่าได้

กฐินแปลว่าสะดึง สะดึงใหญ่เท่ากับความยาว กว้างของจีวร ดึงไว้ด้วยสะดึง ไปได้ผ้ามาแต่ละอันก็เย็บเป็นชิ้นต่อกันไปสมัยโบราณผ้านั้นหายาก ต้องเอาผ้าบังสุกุลมา แต่ต่อมานางวิสาขาเห็นว่าลำบากก็ให้ทอดกฐินได้ คือไม่ต้องไปขึงสะดึง แต่ให้เอาผ้าที่เย็บเสร็จ มีไตรจีวร เอามาถวายเลย กฐินคือการเอาผ้ามาถวายไม่ใช่เกี่ยวกับเงิน ถ้าใครเอากฐินไปหาเงินก็เอากระทะทองแดงมาต้มคือนรก กฐินที่เกี่ยวกับเงินทองคือนรก ทอดกฐินทุกวันนี้คือลงกระทะทองแดงลงนรกทั้งสิ้น

ความหมายของศาสนาพระพุทธเจ้า กฐินคือการเอาผ้ามาเย็บ หรือเอาผ้ามาถวาย สมมุติว่าถ้ามีชุดเดียวแต่พระมี  10 รูป  ท่านก็จะไปกรานกฐินคือดูว่าใครสมควรได้ผ้านี้ไป แต่พระเราหลายรูป เห็นใครที่สมควรยิ่งกว่า เพราะมันจำเป็นคือการกรานกฐิน

กฐินแต่เดิมคือสดึงที่พระท่านเย็บเองด้วยการหาผ้ามาต่อกันไป

ต่อมานางวิสาขาทำให้ถวายผ้าได้ ก็เป็นการทอดผ้า แต่ต่อมาคนก็มีหางกฐินหรือบริวารกฐิน แต่กฐินไม่ใช่สัตว์จะได้มีหางนะ ไม่ใช่เจ้าใหญ่นายโตจะได้มีบริวาร เขาก็ตั้งภาษามาทำบาปแก่ตัวเอง ไม่ฉลาดนะ ก็ได้กรรมตกต่ำกรรมทุคติ กรรมเสื่อมกรรมนรกไปจริง

เพราะฉะนั้นทอดกฐินทุกวันนี้คือ ทอดกฐินได้นรก แล้วก็หลงยินดีในนรกนั้น ยิ่งได้มากเท่าไหร่ก็ดีใจมากเท่านั้น เช่นปีนี้ได้ 10 อย่างเช่นธรรมกายตั้งเป้าไว้เลยว่าปีนี้จะได้เท่านั้นๆ ก็คือยอดมหาสัตว์นรกเลยสำหรับตัวผู้นำ แล้วก็หลอกให้คนอื่นมาเป็นสัตว์นรกตาม อาตมาพูดชัดไม่ได้ปากจัดนะ อาตมาปากชัดไม่ได้ปากจัด

ขอเล่าอดีต อาตมามาบวชใหม่ๆ เขาทอดกฐินกัน อาตมาก็รู้ว่าทอดกฐินแบบที่เขาทำนั้นผิด อาตมาก็ให้เอาผ้ามารวมกัน กฐินคือผ้าอย่าไปมุ่นเอาอย่างอื่นเอาเงินทอง พอนัดวันทอดกฐินเขาก็มีไม้เสียบเงิน เสียบแบงค์มา อาตมาก็ว่าทอดกฐินไม่ได้ทอดเงิน ไม่ได้ทอดแบงค์ ไม่ได้ทอดกระทะทองแดง อาตมาทำแต่แดนอโศก อาตมาก็ว่าไม่ไหวแล้ว คือมันเป็นประเพณีที่หลงผิดเป็นถูก มันแก้ไม่ฟื้นแล้ว

อาตมาก็เลยว่ายุคนี้ไม่ได้ขาดแคลนผ้าแล้ว กฐินจึงไม่มีความจำเป็นก็เลยเลิกทำกฐิน ชาวอโศกสมณะชาวอโศกเลิกการทอดกฐิน พระพุทธเจ้าว่าไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องทอด เราก็ไม่ได้ทอดกันแล้วเพราะไม่จำเป็น

 

วันนี้ตั้งใจมาอธิบายเรื่องสวรรค์

สวรรค์ก็คือภพอย่างหนึ่งของจิต หรือแดน สถานที่ ถ้าจะพูดให้ชัดคือสถานที่ที่จิตจะไปอยู่ก็คือภพ ปัจจุบันนี้มีไหม ทุกคนมีภพ จิตคุณอยู่ในร่าง ร่างก็คือภพ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีสามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

กามภพเกี่ยวข้องกับภายนอก เรียกว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสกับอะไรแล้วมายึดติด เป็นภพ ชอบใจก็ยึดไว้ ไม่ชอบใจก็ทิ้งไป ดีไม่ดีก็ทำลายเข่นฆ่าด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ชอบใจ

เจาะเข้าไปลึกๆ

ภพนรกไม่มี มีใครเห็น พระพุทธเจ้าว่าคนนี่ต้องการภพนรก ไม่มีหน้าไหนต้องการภพนรก แต่คนต้องการสวรรค์อยู่ คนต้องการสวรรค์อยู่คือคนโง่ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้มาเป็นคนสิ้นภพจบชาติ นี่คือพุทธศาสนาเป็นความรู้ของศาสนาพุทธคือ ต้องมาทำตอนที่โง่ไปหลงภพ 6 ภพ คนก็เอาภพ 6 นี้แหละ ไม่เอานรก แต่เพราะคนอวิชชาจึงได้นรกไม่ได้สวรรค์ มนุษย์ไหนไม่มีหรอกทีต้องการภพนรก แต่ทำไมได้นรก

สวรรค์นั่นแหละคือนรก เพราะสวรรค์คือเป็นภพ ภพคือแดนติดยึดอยู่ไม่พ้น ต้องหมดภพหมดชาติ จึงจะคือความรู้หรือที่หมายของพระพุทธเจ้า คือนิโรธหรือนิพพาน

นิโรธหรือนิพพาน คือจิตเราที่ทำให้ไม่มีภพลงได้ ทำจิตไม่ให้เกิดภพได้ นั่นคือฐานนิพพาน จุดนิพพาน

พระพุทธเจ้าถึงแบ่ง กามภพคือหยาบ เรียนรู้ในตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็มีที่หยาบต่ำลงไปเรียกว่าอบาย คือเสื่อม ใครก็ตามที่มีภูมิปัญญารู้ว่าเราไปวนเวียน เดี๋ยวเราก็ไปเทียวไล้เทียวขื่อ ไปมีชีวิตสนุกสนานขึ้นสวรรค์หอฮ่อกันอันนี้ แต่ดีไม่ดี ตำรวจจับ สังคมไม่ได้ยกย่องด้วย อบายคือที่ต่ำ คนที่มีปัญญาพอสมควร เขาไม่ยุ่งเกี่ยวเขาไม่ไปประพฤติ คือเขาไม่เป็นสุขทุกข์กับอันนั้นแล้ว เขาเฉยๆ คนในโลกนี้ ทำอยู่แอบทำด้วย เพราะหลายอย่างกฏหมายจับ หรือวัฒนธรรมสังคมไม่เอา ใครทำก็ต้องแอบทำไม่ให้คนรู้ เพราะรู้กันทั่วไปว่าอันนี้ไม่ดี

คนที่หลุดพ้นที่จะต้องไปเกี่ยวข้องคลุกคลีกับสิ่งเหล่านั้นเรียกว่า อสังสัคคะ ถ้าไปคลุกคลี ไปหลงสุขอย่างนั้นอยู่ ทั้งที่สุขคือสุขขัลลิกะ ไม่มีสุขที่จริง มีแต่ทุกข์ที่จริงคือทุกข์อริยสัจ เป็นความประเสริฐที่ทุกคนต้องรู้ แต่สุขคือสุขขัลลิกะ มันไม่มีตัวตน แต่ความทุกข์นี้มันมีตัวตน เพราะคนไปอุปาทานยึดไว้ ความหลงโง่ดึงไว้เป็นตัวตนไม่ปล่อยไม่วาง จึงเป็นทุกข์ตัวแท้

ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม คนติดไพ่ คนติดเหล้า คุณผู้ชายก็กินเหล้า คุณผู้หญิงก็เข้าวงไพ่ ครอบครัวที่ฐานะดีก็ไม่ว่ากันเป็นความสุขของเขา ต่างคนต่างมีสวรรค์กันไป รู้ เข้าใจแล้ว คนยังเวียนวนไปเล่นไพ่ก็คือยังมีอบายภูมิ อบายภพที่ต้องไปสร้างสวรรค์ประกอบสวรรค์อยู่เป็นสวรรค์ขั้นต่ำ อบาย ตั้งวงเหล้า เป็นนรกแต่นึกว่าเป็นความสุขเป็นสวรรค์ แท้จริงคือเป็นแดนที่ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ผู้ไม่คลุกคลีไม่เกี่ยวข้องแล้ว เขามีก็มีไป เราก็เฉยๆไม่สุขไม่อยาก คนนี้หลุดพ้น คนนี้อสังสัคคะไม่ติดยึดในอบายนี้แล้ว คนที่มีความสุขกับการเล่นไพ่การกินเหล้า มันคือสวรรค์เก๊ มันไม่มีจริงหรอก คุณถูกหลอก

ฉันเดียวกันกินก๋วยเตี๋ยวเมื่อไหร่ก็อร่อย อันนั้นก็สุขเก๊ แต่อันนี้คนยอมรับได้ ไม่เหมือนเล่นไพ่ ก็ต้องเลิกเล่นไพ่ก่อน แล้วจึงมาเลิกก๋วยเตี๋ยวต่อไป กว่าจะเลิกกินก๋วยเตี๋ยวได้ อย่างมีคนหนึ่ง ติดก๋วยเตี๋ยว ไม่ได้กินวันหนึ่งจะตาย แล้วติดจริง แต่ก๋วยเตี๋ยวชาวอโศกไม่มีคาวก็ยังติดได้ ก๋วยเตี๋ยวข้างนอกเขามีน้ำตกมีคาว แต่นี่ไม่มีคาวอะไรให้ติด

ฟังดีๆสวรรค์คือนรก แต่คนอวิชชาก็ไปเสพติด ติดเข้าไปแล้วอร่อยวันนี้มันก็ย้ำประทับลงไป แล้วมันคลายแล้วมันผนึก ตกผลึกเข้าไป แล้วที่ติดยึดนี้นรกหรือสวรรค์ คุณเสพนรกไม่ได้เสพสวรรค์นะ ขอยืนยันว่านรกไม่มีใครอยากได้ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่อยากได้ แต่ทำไมคนได้นรก ก็คือได้สวรรค์เก๊ที่นึกว่าอร่อย แต่ผนึกลงไปลึกลงไปเป็นนรกนะ

คุณสนุกอร่อย นี่คือนรกทั้งนั้น นี่แหละคือเปิดสวรรค์เปิดนรก อาตมาเป็นผู้เปิดสวรรค์เปิดนรก อาตมาเป็นคนชั้นเปิดนรกสวรรค์ให้ดูนะ

ฟังอีกที สวรรค์แท้ๆนั่นคือนรก มันเสพอร่อยแล้วสนุกเพลิดเพลินชื่นใจชอบใจแล้วติดยึดเป็นภพชาติ เป็นอุปาทานติดยึด เป็นอาการสวรรค์ชอบใจ ดีใจ ซาบซึ้งใจ ถ้าไม่ได้เสพวันนี้เสียชาติเกิดเลย

สวรรค์ที่เราเคยติดยึดมาก่อนมาเจออโศก เดี๋ยวนี้ได้เข้าใจได้ติดยึด บางคนพอเข้าใจแล้วไม่ติดยึด ก็ไม่โหยหาอีก มีแล้วเป็นของใครของมัน ก็อาการอย่างนี้ได้แล้ว อย่างอื่นก็เหมือนกัน เอาเป็นขั้นๆ อย่าไปเอาทีเดียวหมดเลย พระพุทธเจ้าว่าทำไปทีละลำดับแล้วจะเนียนจะเสร็จ แต่ถ้าข้ามขั้นจะเสียเวลาย้อนไปย้อนมา เราทิ้งอันหยาบแล้วเอาละเอียด ก็ไม่ได้ก็ต้องมาทำใหม่อีกไม่แล้วเลย ต้องทำอย่างเรียงลำดับ มีแต่รักษาผลอนุรักขณาปธาน อย่างนี้รวดเดียวเลย พระพุทธเจ้าถึงว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ราบเรียบเหมือนฝั่งทะเล มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ตั้งแต่อบายภูมิหยาบเรียกว่าอบายมุข แล้วเหลืออบายชั้นบริวารต่อมา หมดอบายภูมิก็เป็นสกิทาคามี ได้พ้นอบายเป็นโสดาบัน เริ่มต้นได้เป็นโสดาฯขึ้นมา

 

มาพูดถึงความหมายของสวรรค์ 6 ชั้น จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามานิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี

จริงๆแล้ว บอกแล้วว่า นรกไม่มี นรกก็คือสวรรค์ สวรรค์ชั้นต่ำก็คือนรก จาตุมหาราชนั่นแหละคือนรก ที่ไปเอามาได้สมใจเป็นจตุมหาราช ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา คุณไปลงแรงเบ่งอำนาจ เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ใช้กำลังใช้เขี้ยวเล็บความรุนแรงที่มันสามารถทำร้ายคนอื่น ข่มคนอื่นได้แล้วก็แย่งมา เป็นมหาราชได้ครอบครองมากเท่าไหร่เป็นมหาราช ถ้าเราทำได้เลยทั้ง 4 ทิศ เราสามารถแย่งได้หมดปราบแล้ว

มหาราชเช่น เจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช แผ่อาณานิคมแยกอำนาจ มีแต่ฆ่าๆๆๆชนะ ได้เป็นมหาราช ยกย่องกันเอง เป็นเจ้าอาณานิคม คนอื่นเป็นบริวารเป็นทาส เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชสั่งฆ่าใคร ก็ได้ อธิบายรูปธรรมให้ได้เทียบเคียงนามธรรม อยากได้อะไรล่ะ วัตถุสมบัติข้าวของผู้คน อยากได้เอามาเสพกาม เอามาเป็นบริวาร เอามาเป็นทาส นี่คือจตุมหาราชิกา เป็นพฤติกรรมจิตแบบนี้ และกรรมกิริยาแบบนั้นมันเป็นความโหดร้ายรุนแรง ข่ม อำนาจบาตรใหญ่ ถือว่าเป็นเทวดา ยิ่งใหญ่ ขึ้นสวรรค์ เขาถือว่าเจริญ

ถ้าเรานึกถึงประวัติศาสตร์สมัยโบราณที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แด่พระพุทธเจ้ารู้มาแล้วตั้ง 2500 กว่าปี หรือก่อนนั้นพระพุทธเจ้ากี่องค์ๆ ก็รู้มาก่อน แต่คนโลกๆจะไม่รู้ เกิดมาจะเป็นคนแบบโลก ต้องเป็นเจ้าเป็นหัวหน้าเผ่า สมัยโบราณแล้วแผ่ขยายอิทธิพล มีเผ่าต่างๆที่เป็นอาณานิคม การตั้งชื่อเรียกเป็นอาณาจักรใหญ่ๆ จนถึงเป็นสหราชอาณาจักร

รู้จักภัทรมหาราชไหม นั่นคือมหาราชจริงๆ ไม่ได้ไปแย่งหรือกดขี่ใคร แต่คนยอมรับนับถือ ยอมเป็นข้ารองบาททุกชาติไป ด้วยใจบูชาเคารพให้เลย โดยไม่ต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ใช้มีดใช้ปืนใช้อาวุธเลย มีแต่ไปรับใช้ด้วย เขายกย่องกันทั่วโลกแล้ว นี่คือปัญญา เป็นภูมิปัญญาของคนในยุคนี้ เขาเลิกแล้วจะเป็นอำนาจบาตรใหญ่แบบหัวหน้าเผ่าเป็นจตุมหาราชเขาเลิกแล้ว นี่แหละจตุมหาราชตัวจริง คือพระภัทรมหาราชนี่แหละ

ใช้คุณธรรมความเมตตากรุณา เป็นผู้สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้แก่ผู้อื่นทั้งนั้นเลยยอดเยี่ยมไหม นี่แหละคือสัจธรรม แล้วคนที่มีภูมิปัญญาจะเคารพบูชา ส่วนคนที่โง่เง่าจะต่อต้านค้านแย้งไม่นับถือ คือพวกอวิชชา พวกโง่เง่าก็แล้ว อยู่ไหนเอ่ย สีอะไร?

นี่เป็นสัจจะที่ยืนยันอ้างอิงแล้วพิสูจน์ได้

ลักษณะจิตที่เป็นจตุมหาราช เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วไม่แสดงอาการทางกายวาจาแล้วแต่จิตใจยังอยากเป็นใหญ่ให้คนอื่นมาเป็นทาสเป็นบริวารรับใช้ แล้วใช้วิธีการให้คนอื่นไม่ยอมสยบด้วยอำนาจบาตรใหญ่ อย่างนี้ไม่เก่ง แต่ถ้าคนอื่นมาสยบยกให้เพราะว่าคุณงามความดีของท่าน ยกให้เรา ยอมเป็นทาสเลย อย่างที่ตัวอย่างเห็นหลัดๆเลย เป็นตัวอย่างที่ประเสริฐ ตอนนี้ทั้งโลกเข้าใจเลย ไม่มีใครไปบังคับแต่เขาเห็นของเขาเอง ด้วยปัญญา

ท่านเป็นพระมหาชนก ท่านมีความเพียรอุตสาหะบากบั่น มั่นใจเอาปัจจุบันนี้ ไม่เห็นฝั่งด้วยซ้ำไปพระมหาชนกก็ว่ายไป มั่นใจว่าไปทางนี้แหละ แม้จะไม่เห็นฝั่งแต่ตามภูมิปัญญาไปทางนี้ เป็นอุตสาหะวิริยะที่สุดยอด มันเป็นความสูงส่งประเสริฐสุด พระองค์ได้ทรงมา 70 พรรษา นี่คือจตุมหาราชที่แท้จริง ไม่ใช่แบบเจงกิสข่านหรืออเล็กซานเดอร์มหาราช คือใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างโบราณ

คนที่ตกยุคคือคนที่สร้างอาวุธ อาวุธนิวเคลียร์ อำนาจบาตรใหญ่อาวุธเหล่านั้นมาข่มคน อย่านะ ข้าสร้างอาวุธเก่งกว่า นี่คือพวกจตุมหาราช คือพวกสัตว์นรกตัวจริง เป็นสวรรค์เก๊

ถ้ารู้ตัวแล้วเลิกหยุด ให้มาสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ให้ขยันหมั่นเพียรแล้วศึกษา สิ่งที่เราจะสร้างจะทำเป็นสิ่งที่ดีก็สร้างก็ทำ สิ่งนี้เป็นเครื่องทำแล้วเราจะต้องกินต้องใช้ เป็นอุปโภคบริโภค สัตว์เดรัจฉานมันยังหาเครื่องบริโภคของมันเองได้ เราเป็นคน เราก็หาบริโภคได้ แต่ไม่ต้องไปแย่ง เพราะทุกวันนี้คนไปจับจองที่หมดแล้ว เราไม่ต้องไปแย่งคนอื่นเรามีแผ่นดินของเราเท่าใดก็สร้างก็ทำเท่าที่เราจะมีสิทธิ ปัจจัยจำเป็น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นปัจจัยสี่ ให้เราได้อาศัยเป็นอัตตาหิ อัตโน นาโถ จะมีบริขารที่ทำได้ก็ทำ

ทุกวันนี้อาตมาพาทำสร้างสังคมสร้างชุมชน ให้พวกเราพึ่งตนเอง พวกเรายังไม่เก่งในการทำอุตสาหกรรม แต่ก็ต้องทำในหลายอย่าง ส่วนการกสิกรรมเราต้องกินต้องใช้ ผลผลิตทางอุตสาหกรรมเรากินเข้าไปไม่ได้ แต่กสิกรรมทั้งกินทั้งอาศัยในปัจจัยสี่ เมื่อคุณมีปัจจัย 4 อุดมสมบูรณ์ก็ไม่ต้องกลัว

คนที่บอกว่าเอาลูกมาเข้าโรงเรียนนี้แล้วพาทำไร่ทำนาทำสวน คลุกฝุ่นโคลน ให้ลูกฉันทำอะไร?  ถ้าจะเอาแบบผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินก็ไม่ต้องเอามาที่นี่ เราฝึกให้พึ่งตัวเองเป็น ทำอาหารเป็น ทำเสื้อผ้า ทำเครื่องใช้เป็น ไม่ต้องให้รู้แบบวิชาการเอามาตอบรายการโทรทัศน์เป็น ไม่ต้องไปแข่งแบบนั้น เรามาทำแบบนี้ ต่างคนต่างทำแล้วอนุโมทนากันไปยกย่องกันไป ไม่ใช่มาแข่งดีกัน

โรงเรียนที่ต้องเรียนสูงๆ ตีนไม่ติดดินเป็นพวกไฮโซเชิญไปทางนั้นเถอะ ที่นี่ไม่ได้ไปหลงใหลอย่างนั้น พวกเราพวกตีนติดดินไม่ใช่พวกตีนลอย รู้ว่าอะไรคือฐานของชีวิต อโศกไม่ต้องกลัวอดตาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งกอบโกย

ตอนนี้มีประชากรมาอยู่ที่นี่ มีเด็กคนหนึ่งเป็นเด็กต่างชาติ แต่แม่เป็นคนไทย แม่ก็พามาอยู่ที่บ้านราชฯ พออยู่ไปเขาบอกว่าที่นี่คือสวรรค์ เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่มาให้อาตมาตั้งชื่อ ให้ชื่อเขาว่า น้ำธารธรรม เขาชื่อเล่นว่า น้ำตาล sweet

สรุปแล้วอาตมากำลังเริ่มเข้ามาสู่ภพที่สอง คือดาวดึงค์ คือแดนเสพ เป็นเทวดาเก๊ เป็นเทวดาปลอม เป็นสมมุติขึ้นเองรากศัพท์มาจาก ตาวติงส แปลว่าอาการที่ 33

คนเราจะมีองคาพยพ ตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนัง น้ำเลือดน้ำหนองอวัยวะส่วนนั้นส่วนนี้ตับไตไส้พุง พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้มี 32 แล้วสิ่งเหล่านั้นก็ปรุงแต่งกันอยู่ เป็นอาการ จึงมีอาการตามองคาพยพ 32 ในร่างกาย ก็มี 32 อาการ ผมก็มีหน้าที่ปรุงแต่งเป็นผม เล็บก็ทำหน้าที่เล็บ อวัยวะต่างๆ มีกระดูก เอ็น เส้นเลือด ตับไต ไส้พุง อุจจาระ ปัสสาวะ ไล่แล้วมี 32 องคาพยพ แล้วปรุงแต่งเป็น 32 อาการ แต่อาการที่ 33 ไม่รู้มันโผล่มาจากไหน เป็นอาการเก๊

อาการเก๊คืออาการชอบใจ อาการเป็นสุข อาการเพ้อเป็นขิฑฑา สนุกเพลิดเพลิน อะไรอร่อย เป็นความรัก เป็นพอใจยินดี เป็นของเก๊ของเกิน เป็นอารมณ์ลมๆแล้งๆ อุปาทานสร้างขึ้นมา มันเป็นอนัตตา ไม่มีเหตุ มีที่มาจาก รูปนามขันธ์ 5 ปรุงแต่ง จากอาการ 32 มาเป็นอารมณ์ความรู้สึก เก๊ๆ ทั้งที่ไม่มีดินน้ำไฟลมไม่มีกระดูก ไม่มีแคลเซียม ไม่มีเนื้อ ไม่มีน้ำ ไม่มีหนอง ไม่มีธาตุน้ำดินลมไฟเป็นอารมณ์ลมๆแล้งๆ เรียกอารมณ์ที่สร้างขึ้นมานี้ว่าเป็นอาการที่ 33 มันมีเหตุปัจจัยตัวนี้จึงเป็น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยนี้อารมณ์ที่ 33 จะไม่มี

โดยเฉพาะถ้าไม่เป็น พีชนิยาม เวทนาที่ว่าจะไม่มีเลย มันก็เอามาปรุงเป็นอาหารของมันเท่านั้น สัตว์เซลล์เดียวหรือสัตว์เล็กมันทำไม่เป็นหรอก แต่เมื่อเป็นสัตว์ที่พัฒนาขึ้นมา โตขึ้นมันก็จะมีความชอบหรือความชัง มีดูดผลัก ห้ำหั่นกันได้จริง ยิ่งมาเป็นคนก็ยิ่งมีบทบาทใหญ่

ภพจริงๆก็มีจตุมหาราชกับดาวดึงส์เท่านั้นแหละ มันเป็นภพ มาแย่งชิงมาได้ก็เป็นดาวดึงส์ จตุมหาราชจึงเป็นนรก ไปแย่งชิงเขาก็เป็นโทษภัย ได้มาเสพก็เป็นความบ้าๆบอๆ เก๊ๆ ได้มาเสพก็นึกว่าสวรรค์มีจริง

ยามาคืออยากได้บ้าๆบอๆนี้ ให้ยาวนานที่สุด เป็นกาละ ให้ยาวที่สุดเป็นสวรรค์ยามา แต่เสร็จแล้ว มันต้องหยุดต้องเลิก งานเลี้ยงที่ไหนก็ต้องมีวันเลิกลาไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกลา จะมีสวรรค์อย่างไรก็ต้องจบที่ดุสิต

พระโพธิสัตว์จึงมีแดนที่หยุดพักที่ดุสิต แต่พวกสัตว์ใต้ต้นโพธิ์มันไม่หยุด งานเลี้ยงใดๆต้องมีวันเลิกลา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแต่พวกสัตว์นรกไม่ยอมหยุด ไม่ยอมทัก ไม่ยอมพอ มันดึงดันเท่าไหร่ก็สร้างอำนาจให้แก่ตัวเองเท่านั้น เรียกว่านิมมานรดี มึงไม่ให้กูก็เอา มึงจะให้หยุดกูก็จะไปต่อ นิมมานรดีจึงมีฤทธิ์อำนาจสร้างเองได้

ปรนิมมิตวสวัตตีก็ชวนคนอื่นมาเป็นบริวาร มาสร้างต่อเป็นอำนาจใหญ่ คือวสะ วัตตี คือรอบซับซ้อนเป็นวัฏฏะ จากเทวดาทั้ง 5 ชั้น มีความโง่ทั้ง 5 ภพนี่แหละ ปรนิมมิตวสวัตตีจึงเป็นภพภูมิที่โง่ที่สุด คนที่โง่มาห้าชั้นแล้วยังมาโง่ชั้นที่ 6 อย่างนายธัมมชโยนี่แหละ ที่หลงตนเองแล้วหลอกคนอื่นให้มาเป็นบริวาร หลอกเก่งจริงๆ นั่นแหละคือปรนิมมิตวสวัตตี

ที่หลอกได้เพราะอะไร เพราะการสะกดจิต เขาเก่งกว่ารัสปูติน ไม่ใช่อาตมาใส่ความนะ เมื่อสอนไปก็ได้เวลานั่งสมาธินั่งหลับตา ก็ทำการครอบงำความคิด

ถ้าเราเข้าใจอีกที ก็คือจิตใจเราทั้งนั้น จิตใจเราโง่แล้วหลง เป็นทั้งจตุมหาราชและดาวดึงส์ อยากจะให้มันเกิดเป็นยามา มันจะต้องเลิก แต่กูไม่เลิก ไม่ได้เป็นดุสิตแต่ก็ต้องเป็นดุสิต แต่พวกนี้จะดึงดันไม่ยอมหยุดพักเลิกรา จะต้องได้สวรรค์อย่างไม่ขาดตอน ให้เป็นยามามากๆยาวๆ จะขาดไม่ได้ ดึงดันเป็นนิมมานรดี สร้างเก่งนิมิตเก่ง นิมิตขึ้นมาเองสร้างเองไม่ยอมให้หมด นิมมาน นิมิต สร้างทำไม่ยอมหยุดให้สมใจตัวเอง จนกระทั่งหลอกคนได้เป็นเต็มโลกเลย

เมื่อไปถึงปรนิมมิตวสวัตตี พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นคนโง่ไม่เสร็จคือชั่วคนเดียวไม่พอยังเอาคนอื่นมาชั่วอีก เอาคนอื่นมาทำจนมีฤทธิ์แรงมีอำนาจ  วสะ วัตตี มีพลวัต มีปฏิสัมพันธ์ อันซับซ้อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ชั้น แล้วคนพวกนี้ทำใจในใจอย่างไร

ทำใจ อัตตมนตา โสมมนัสสา เขาแปลเป็นไทยว่าปลื้มใจ ดีอกดีใจ คำว่าปลื้มนี้ธรรมกายเขาพูดกันมาก ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนหมดเลย เป็นพวกบ้า ภพเทวดา บ้าภพสวรรค์ พวกนี้ไม่มีประตูของนิพพานสักนิดเดียวเลยมีแต่สวรรค์เก๊ๆที่พาตกนรกวนเวียนอยู่อย่างนี้

พระพุทธเจ้าว่า การทำอัตตมนตาคือทำอัตตามานะซับซ้อน สั่งสมอัตตาลงไปในจิตใจหรือมนะ มีความหลงว่าเป็น โสมมนัสสา ดีใจที่เรามีอัตตา หนาเปรอะใหญ่ คือโง่ไม่เสร็จ เขากลับไปดีใจปลื้มใจกับสิ่งที่ไม่น่าเป็น แล้วสำทับว่าจงโง่ต่อไป โง่เข้าไปอีก อย่าเงย โง่ไม่มีเงยหูเงยหัว ก็บอกแล้วว่าสวรรค์นั้นคือนรก ไม่มีใครพูดอย่างอาตมาหรอก สวรรค์คือนรก นรกคือสวรรค์

ชั้นที่ 6 นี้โง่มาก ต้องปลื้มๆๆๆนะ พวกนี้มีจริง ปลื้มจริง แล้วท่านก็แปลมาในพระไตรปิฎกก็ตรงเลย ในทานสูตร ล.23 ข49

การอธิบายสิ่งที่ดีขึ้นไปคือให้ลดจตุมหาราช ถ้าไม่ลดอันแรกนี้ต่อไปก็จะยิ่งเลวร้าย อย่าไปเอาของใคร ไม่เบียดเบียนใคร อย่าไปแย่งใคร อย่าไปแผ่อำนาจขั้นหยุดทางจิตเลย อย่าให้จิตใจมีอาการแม้แต่ความหวัง เรียกว่า สาเปกโข

ไม่ให้มีอะไรต่อไปในจิต เช่นทำทานแล้ว อยากสร้างที่ว่าจะต้องได้อะไรจากการให้ อยากมีความหวังว่าจะได้อะไรกลับมา ให้แล้วจบเลย ถ้ามีอันนี้เรียกว่ามีหวังเป็นภาษาบาลีว่า สาเปกโข คือการให้ทานอย่างมีภพชาติ ถ้าไม่รู้อันนี้ก็จะมี อันต่อไปอีกเป็น

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  จะต้องได้เป็นผลทานต่อไป

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

ถ้าหลงทำใจในใจแบบนี้คือนรกทั้งนั้น ถ้าเลิกทำใจในใจแบบนี้ได้คืออุบัติเทพ เป็นการล้างสวรรค์ที่ติดยึดภพชาติ ทำไปตามลำดับ

สมณะเดินดินว่า...วันนี้แค่พ่อครูเปิดสวรรค์เปิดนรกก็คุ้มแล้วนะ แต่ทุกวันนี้มันย้อนแย้งทุกอย่าง ของเราสอนให้จนแต่อุดมสมบูรณ์ ของเขาสอนให้รวยแต่กลับขาดแคลนต้องไปแย่งชิงขูดรีดจากคนอื่น เขาสอนบุญกลับได้บาป สอนสวรรค์กลับได้นรก ในทานสูตรเราต้องเอาไปลงสนามที่สนามหลวง เราทำทานอย่างไรถึงไม่หวังว่าเขาต้องเคารพเรา ชื่นชมเราหรือทำดีต่อเราแต่อัตโนมัติของคนให้ปุ๊บก็จะเอากลับทันที เราจะอ่านจิตเราอย่างไรว่าไม่หวังกลับ เขาจะพูดถึงเราไหม หรือคิดไปว่าจะได้ผลในชาติหน้า พระพุทธเจ้าให้ไม่ต้องการอะไรกลับแม้แต่ความปลื้มใจยินดี แต่ของเขาอาจารย์ใหญ่จะถามอยู่ตลอดเลยว่าปลื้มไหมจ๊ะ เราต้องไม่หวังแม้แต่ปลื้มใจ แต่เราทำเพราะเป็นสิ่งที่ดี เราเอาไปใช้ก็จะทำงานได้ยั่งยืนเป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน  ที่สมบูรณ์ครบครัน...จบ

 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:05:43 )

591030

รายละเอียด

591030_วิถีอาริยธรรม สันติฯ สาธารณโภคีเพราะพระบารมีพ่อหลวง

สมณะเพาะพุทธว่า...วันนี้อาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาเราได้ผ่านเหตุการณ์การสวรรคตของ กองทัพธรรมเราก็ไปร่วมสร้างทานบารมีที่ท้องสนามหลวง และที่สันติอโศกก็เป็นสถานที่บำเพ็ญในการเย็บกระทงใบตอง ท่านจันทร์ได้กล่าวบทกวี…

พ่อครูว่า...อาตมาขอตั้งต้นด้วยคำว่าสาธารณโภคี ขณะนี้ประเทศไทยเรากำลังมีพฤติกรรมสังคม เป็นสาธารณโภคี ที่สวยงาม และแผ่ราศี แผ่รังสีออกไปยังต่างประเทศ พลังงานของความเป็นสาธารณโภคี คำว่าสาธารณโภคีหมายเอา จิตวิญญาณเป็นหลัก จิตวิญญาณเป็นประธานให้เกิดความเป็นสาธารณโภคี

สาธารณะคือทั่วไปเลย รวมทั้งหมด เป็นส่วนรวมทั้งหมดเรียกว่าสาธารณะ

โภคี คือการบริโภค

รวมคำว่าสาธารณโภคี คือคนรู้สึกว่าได้บริโภคร่วมกัน บริโภคอะไร บริโภคทางจิต จิตเกิดลักษณะ ที่เห็นดีเห็นงาม โดยเฉพาะเมื่อเห็นดีเห็นงามแล้ว ก็ศรัทธาเลื่อมใสความดีงามนั้น

คนในโลกขณะนี้เกิดการบริโภคความดีงามของในหลวง อาตมาพูดไปนี่ขี้ตู่ไหม คือทำเป็นและเล็มเลียบเคียงไม่มีความจริงหรือพวกเราฟังแล้วมีเนื้อหาความจริงประกอบคำพูดที่ถูกต้อง อาตมามองแล้วอ่านรายละเอียด อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี แล้วมนุษย์ก็เป็นอยู่ด้วยสาธารณโภคี พฤติกรรมสาธารณโภคี มีการฝึกหัดกับพฤติกรรมกาย ชีวิตมีกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม แบบสาธารณโภคี แบบที่พูดนี่แหละ ขออภัยที่ต้องพูดยกตัวอย่างชาวอโศก ชาวอโศกเราทำได้ ทำได้ที่เป็นสาธารณโภคีถึงขั้น ทรัพย์สินเงินทองข้าวของ สถานที่บ้านช่องเรือนชาน พื้นดินแผ่นดิน ที่เรามีสิทธิ เป็นส่วนกลางมีสิทธิร่วมกัน บนแผ่นดินเดียวกัน เป็นของที่ทุกคนมีสิทธิร่วมกัน อาศัยกินอาศัยใช้ ได้ เริ่มกันจริงๆ อาตมาพาทำตามธรรมะพระพุทธเจ้า ทำได้สำเร็จ ธรรมะ 40 กว่าปีแล้วมาถึงวันนี้แล้วอาตมาก็ขอพูด ไม่ใช่อวดตัวตน แต่พูดเพื่อยืนยัน ความจริงนี้ ว่ามันเกิดได้เป็นได้ พูดเพื่อยืนยัน ว่ามันมีสิ่งปรากฏของมวลมนุษย์ ประพฤติปฏิบัติอันเกิดจริงเป็นจริงได้อย่างแท้ แล้วก็ยังเป็นจริงต่อไปอยู่ ไม่ใช่เป็นแค่ชั่ววูบ ดีชั่วครั้งชั่วคราว เสร็จแล้วไม่นานนะ ทำต่อไปก็สลายหายไป กลับไปเป็นคนมีกิเลสอย่างเดิมก็ไม่ใช่ แต่ชาวอโศกเราทำได้แล้วก็มีการก้าวหน้า

ทั้งในด้านมวล จำนวนคนเป็นบุคคลมารวมกันเพิ่มขึ้น ทั้งการก้าวหน้าของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเกิดความรู้ เกิดความเข้าใจ เกิดการปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้ จิตเป็นจริง เป็นเจโตที่เกิดนิมิตรกับนิโรธ จิตใจลดละกิเลสได้จริง

อาตมามองเห็นตามภูมิปัญญาอาตมา เอามายืนยันนะพูดตามที่อาตมามีความจริงใจ ภูมิปัญญาที่ตามมาเห็นความจริงนี้ก็เห็นจริงๆ ไม่ได้โมเม มีการเห็นจริงๆชัดเจนในญาณทัศนะของอาตมาที่หยั่งรู้

ต้นหลักฐานเป็นปรากฏการณ์ที่เมื่อเอาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอธิบาย กันคนเข้าใจคนเห็นดีเห็นงาม และเอาไปประพฤติปฏิบัติได้สำเร็จ มาเป็นชาวอโศกมารวมกันประพฤติความกับชาวอโศก สิ่งมีหลักฐานความจริงไม่ได้พูดอย่างโมโหคุยอวดเฉยเฉยๆ แล้วขอสัมทับอีกว่า อย่าเข้าใจว่าเพื่อจะมาพูดนี้เพื่อยกย่องอวดอ้างตัวเอง แต่พูดเพื่อการศึกษาวิชาการเป็นการยืนยันอ้างอิงเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่เป็นเรื่องลอยลมไม่มีความจริงยืนยัน แต่มีสิ่งจริงยืนยันเป็นตัวอย่างให้สัมผัสได้ จะเป็นจริงไปได้นานเท่าไหร่ คุณก็สนใจศึกษาก็เอหิปัสสิโก เชิญให้มาพิสูจน์ได้ ว่าจะเป็นจริงอย่างถาวรไหมหรือชั่วคราว ก็ช่วยกันตรวจสอบมาได้ ไม่ใช่ท้าทายหรืออวดดี แต่อยากให้ช่วยพิสูจน์ ช่วยกันนำคำสอนของพระพุทธเจ้าเอามาปฏิบัติประพฤติธรรมมาฝึกฝนให้เกิดความจริงนี้ขึ้นมา

อาตมาได้ประกาศไปในสาธารณชนหลายทีว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แล้วมาถึงวันนี้เมืองไทย มีสิ่งปรากฏจึงเป็นปรากฏการณ์แท้เกิดขึ้นแล้ว ว่ามีเนื้อหาโลกุตรธรรมของพุทธ

เหตุการณ์ที่เกิดในสังคมไทยขณะนี้ยังเป็นคลื่นที่มีพฤติกรรมอยู่ เกิดคนไทยมีจิตใจเกิดเป็นสาธารณโภคี ใครมีน้อยใครมีมากเสียสละแจกแบ่ง ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดมาก่อน ในยุคนี้ จากจุดกลางคือในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรานี้ ที่ทรงสวรรคต เป็นจุดระเบิด  A bomb of love. เป็นจุดระเบิดรังสีรัศมีของความรัก แสดงออกเป็นกรรมกิริยากระจายไปทั่วโลก จะเห็นได้ว่าคนมีแต่จะแจก จะให้ ทุกคนมีจิตใจที่จะให้ ให้แล้วปลื้ม

อาตมาได้เล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ เล็กน้อยคือมีผู้ชายคนหนึ่ง แกได้น้ำขวดมา 2 ขวด มาเจอเด็กของเราคือเด็กหญิงดูแลและเด็กหญิงศีล ผู้ชายคนนี้ได้น้ำขวดมาจากไหนไม่รู้พอมาเจอเด็กผู้หญิง 2 คน แก่ก็ยิ้มเอาน้ำขวดไปให้ เด็กเราก็ไม่เอา หลบไม่ออก แกก็ยัดเยียดให้ เด็กของเราก็ไม่เอา อาตมาก็บอกว่าเด็กพวกเราไม่น่าจะทำอย่างนี้ ก็มองเพ่งเด็กก็มีปฏิภาณว่าให้รับนะ จะเรียกว่าส่งจิตบอกก็ได้ เด็กรับแฮะ ด.ญ.ดูแลรับ ดญ.ศีลก็เลยรับ พอเด็กรับของเท่านั้นผู้ชายคนนี้ก็ร้องไห้เลย

อาตมาเห็นแล้วก็รู้สึกสะท้านใจน้ำตาคลอเหมือนกัน เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณที่เกิดปฏิสัมพันธ์ เราเรียกว่าพลังงานปฏิสัมพันธ์ มีaction reaction ทุกคนมีเจตนาจะให้ ให้เสร็จแล้วก็ปลื้มใจพอใจดีใจ ที่ได้ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วคนก็รับอย่างบริสุทธิ์ใจ อาตมาก็อธิบายเหตุการณ์นี้ในประเทศไทยที่เกิดอย่างครื้นเครง ลือลั่น เป็นปรากฏการณ์ทานบารมี เกิดในสังคมไทยที่ยิ่งใหญ่มาก

สมณะเพาะพุทธว่า...เป็นการหยิบยื่นอย่างครื้นเครง จะใช้คำนี้ก็น่าจะได้

พ่อครูว่า...มันเกิดอาการอยากจะเป็นผู้ให้ แม้มีน้อยก็ให้ได้ อาตมาเห็นแล้วว่าผู้ที่ร่ำรวยมีมากจริงๆ เขาจะทำได้อย่างเท่อย่างดีเลย ก็ไม่ค่อยเอาตัวลงมาทำ แต่คนเล็กคนน้อยคนกระจอกๆ ออกมาครื้นเครงกันหมดเลย ทำกันทั่วจุดศูนย์กลางรวมอยู่ที่สนามหลวง อยู่ต่างจังหวัดก็มากัน ไม่มีเล็กน้อยก็หอบกันมา ใครมีมากก็หอบกันมามากหน่อย คนมีเล็กมีน้อยก็พยายามหอบของตัวเองมาเอามาแจก คนเบื้องบนเบื้องสูง ก็ลงมาแจก ดังที่เห็นปรากฏการณ์ อย่างสมบูรณ์แบบ มีคนเบื้องบนเบื้องสูงที่อัตตาใหญ่ ก็ยอมลงมา เป็นฐานะยศชั้นทางสังคม ฐานะนักธุรกิจคนรวย คนที่มีหน้ามีตาทางสังคมก็ตาม คนที่มีอัตตาไม่แสดงออก แต่คนที่มีจิตใจสาธารณโภคีเกิดมีจิตใจอยากจะมาให้มาแสดงออก เกื้อกูล เอื้อเฟื้อเจือจานกันจะมีของอุปโภคบริโภค เท่าที่ตัวเองจะหาได้มีได้ก็ทำกันเต็มที่เลย เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาในระยะยาวนานและจะเกิดไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ในปรากฏการณ์วันนี้

คำว่าสาธารณโภคีนี้ อยู่ในสาราณียธรรม 6

เกิดจากจิต 7  ลักษณะ คือ

1.      สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.      ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.      ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.      สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.      อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.      สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.     เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

ในสาราณียธรรม 6 มี

1.      เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.      เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.      เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.      แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย  

(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.      มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

          (สีลสามัญญตา)

6.      มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22  ข. 282-283)

 

เป็นการให้อย่างจริงใจเลย เกิดจากมโนกรรมเป็นประธาน มันจริงใจมันให้ อาตมาได้เอาทานสูตรมาอธิบายแล้ว เป็นการให้อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน ให้รู้เลยว่าจิตใจของเราไม่มีพลังงานเช่นนี้ออกไปเป็น สาเปกโข ไม่มีพลังงานของจิตหวังอยากได้อะไร เป็นอาการของจิตที่ออกไปว่าให้ไปแล้วนี่

หนึ่งจากตัวเราว่าเราได้ให้แล้ว เราเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ เป็นอัตตา ก็ไม่มี ทานไปแล้ว หวังผล

ล.23 ข49 ทานสูตร

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  สะสม (มูลนิธิคือสั่งสม) สั่งสมความอยากได้เป็นตัวกูของกู

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ ได้แล้วเป็นตัวกูของกู เพื่ออาศัยไปข้ามภพชาติ ไม่ยอมปล่อยเลย

ขณะนี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหญ่อันโอฬาร เป็นปรากฏการณ์สาธารณโภคี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นพฤติกรรมสังคม จะเรียกว่าพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมทางสังคมศาสตร์ พฤติกรรมของทางรัฐศาสตร์ก็ตาม ก็เป็นพฤติกรรมอันบริบูรณ์ เป็นพฤติกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ทำได้โดยไม่ได้เป็นการแสดงออกอย่าง จิตที่เป็น Boomerang จิตให้ตายแล้วก็มีพิธีโค้งเพื่อเอามาให้กับตัว เรียกว่าให้ไปเป็น ไอโซโทปเลย ให้ไปเป็นแบบนิวเคลียร์ฟิชชันเลย ให้ไปอย่างไม่มีวิถีโค้งเข้ามาหาตัวเลย นิวเคลียร์ฟิชชันให้ไปอย่างบริสุทธิ์ เป็นพลังงานที่ให้ไปอย่างไม่ สาเปกโข ป่วยการไปกล่าวถึง ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ  สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ  สะสม (มูลนิธิคือสั่งสม) สั่งสมความอยากได้เป็นตัวกูของกู อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ

จิตไม่มีอย่างนั้น เป็นการให้โดยจิตบริสุทธิ์สะอาด สละให้ผู้อื่นอย่างบริบูรณ์เต็ม จิตใจอย่างนี้เป็นจิตใจที่ศาสนาพุทธสอนให้อบรมฝึกฝนให้จิตใจเป็นอย่างนี้ได้จริงๆ ขณะนี้ปรากฏการณ์ของมนุษย์คนไทย ไม่ว่าแต่ชาวพุทธเลย ชาวศาสนาอื่นก็มาประพฤติปฏิบัติพฤติกรรมอันนี้ในสังคมขณะนี้ ด้วยจุดเดียวกัน จุดนั้นคือจุดพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเราที่เสด็จสวรรคต ทุกคนแสดงออกลักษณะของการให้ ทุกชาติศาสนามีจิตใจเกิดอันนี้

สัจธรรมมีหนึ่งเดียวอันนี้สูงสุด เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่มากเลย อาตมาถือว่าอย่างนั้น ซึ่งมันไม่ใช่เป็นคนเดียวและไม่ใช่เป็นชั่วคราว เป็นต่อเนื่องยาวนานจะไปอีกนานเท่าไหร่ยังไม่รู้นะ แต่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

ปรากฏการณ์ที่เกิดในประเทศไทยและสหประชาชาติเป็นที่รวมของทุกประเทศเป็นองค์กรรวมของทุกประเทศ นำเรื่องราวเหล่านี้ มีการจัดพูดเทิดพระเกียรติในการประชุมของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา

ในหลวงเราเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สิ้นพระชนม์ลง กับความที่ไม่มีใครอยากให้สิ้นพระชนม์ ด้วยความเกิดความเสียดายความระลึกถึง ต้องเชิดชูบูชาพฤติกรรมนี้เอามาประกาศอธิบายเป็นตัวอย่างย้ำยืนยันให้แก่มนุษย์ให้รู้ว่า นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ดีที่สุดที่ทุกคนควรจะได้รับรู้ มันจะต้องปฏิบัติตาม น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติใส่ตน ให้เป็นคนชนิดนี้อย่างนี้ ได้น้อยหรือมากก็ให้ได้แก่กันเถิด นี่คือสัจธรรมที่ปรากฏขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ อาตมาว่าอาตมาพูดยังไม่ถึงใจอาตมาเท่าไหร่

ในโลกยุคนี้ทั่วโลก ทั้งโลกยุคนี้ มันเป็นยุคที่ทุกคนมุ่งไปสู่ปัญญา ทุกคนเข้าใจแล้วว่า จิตวิญญาณนี้สำคัญกว่าวัตถุ ทุกคนเข้าใจแล้ว แล้วก็ควรจะต้องทำจิตวิญญาณให้เป็นปัญญา เป็นจิตใจที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่หวงแหนเป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตน ความหมายนี้แม้แต่ศาสนาอื่นหรือคนชาติอื่นก็รู้ โดยปฏิภาณความเฉลียวฉลาดลึกๆ ของแต่ละคนก็รู้ มีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ อาตมาว่าเป็นหนึ่งเดียว กลับมาหาจุด จุดหนึ่งเดียวนี้เหมือนกันหมดแล้ว ปรากฏการณ์ในประเทศไทยครั้งนี้จึงเป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นแล้วโดยความเป็นจริงที่มนุษย์แสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มีมวลมากพอจนกระทั่งต่างชาติสหประชาชาติขานรับ แล้วก็เอาไปประพฤติแสดงออก อย่างน้อยก็ทำพฤติกรรมเอามาประกาศร่วมกันให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่ดี เอามาประกาศเอามาส่งเสริม เอามาแพร่หลาย ให้ทุกคนได้รับรู้แล้วเอาไปปฏิบัติประพฤติ ไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาในก็ทลายลงหมดเลย ไม่เหลืออะไรกั้นเลย เป็นลักษณะของ globalization ไม่มีอะไรขีดคั่น เป็นลักษณะไม่มีอะไรติดข้อง เป็นความเห็นความเคลื่อนไหวทะลุทะลวงกลายเป็นอันเดียวกัน เป็นปรากฏการณ์จริงที่แสดงออกจริง รับสัมผัสกันได้ถึงกันแม้จะไม่ครบได้แต่รูปแต่เสียงแต่ภาพไม่ได้กลิ่นไม่ได้สัมผัสทางลืมได้ก็ตามเถอะ แค่เสียงและรูปภาพก็ชัดเจนหมดแล้ว เสียงและรูปภาพนั้น มันเป็นพาหะของวิญญาณด้วยนะที่สื่อสัมผัสนี้

เสียงและภาพเป็นพาหะของวิญญาณพาวิญญาณไปด้วย เสียงและภาพเป็นการนำพาลักษณะสื่อถึงจิตวิญญาณ ลักษณะอะไรจิตวิญญาณอะไร จิตวิญญาณที่ คนผู้หนึ่งที่ทรงงานทรงพระจริยวัตรตลอด 70 ปี และก็เป็นที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นเรื่องลอยลม เป็นเรื่องเสแสร้งยกยอปอปั้น ไม่ใช่ เป็นเรื่องจริง ทำให้ทุกคนประทับใจในพระจริยวัตรต่างๆ ในการทรงงานต่างๆ ที่มันบอกความจริงว่าพระองค์ทรงงานเพื่อใคร เพื่อพระองค์เองหรือเพื่อตัวเพื่อตน นี้เพื่อมวลประชาชน ยังบริสุทธิ์สะอาด

เมื่อประพฤติปฏิบัติลงไปแล้วเกิด 1.มีผลผลิตเกิดตามมา 2. เกิดแรงงานมีกรรมกิริยาเกิดตามมา 3. เกิดสัจธรรม ความรู้ และเกิดผลทางจิตวิญญาณตามมาอีก สัจธรรมการแสดงออกซึ่งจิตวิญญาณ เป็นการทำเพื่อให้ ทานัง มันเป็นสิ่งที่ปรากฏจริงว่าบริสุทธิ์จริงทำต่อเนื่องมา 70 ปี นี่เป็นเรื่องที่สุดยิ่งใหญ่

อาตมาก็ทำแต่ไม่มีหน้าที่การงานที่เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของพระเจ้าอยู่หัว อาตมาไม่มีหน้าที่ไปบริหาร ที่สำคัญอาตมามาปางนี้ไม่ได้มาเผยแพร่กายกรรม แต่อาตมามาเผยแพร่วจีกรรมเท่านั้น เป็นงาน งานอาตมากับในหลวงท่าน ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ท่านทำทางกายกรรมมากไม่ตรัสมาก แต่โพธิรักษ์เอาแต่พูดไม่ได้เกิดการกระทำเหมือนพระองค์ ส่วนมโนกรรมนั้นขอยืนยันว่าเหมือนกันเป็นผู้ที่จะมาทำความรู้และความจริง

ความรู้และความจริง 2 อย่างนี้ มีตัวผลคือการให้ บริจาคะ รู้อะไร..ก็รู้ในการหาทางให้และให้อย่างไรก็ให้อย่างจริง “ให้” ให้จริง นี่เป็นความยิ่งใหญ่แท้ของสามเส้า ของพลังงานจิต

อาตมามีหน้าที่พูด เป็นคนพื้นๆอยู่กับดิน แต่ในหลวงท่านมีครบทั้งดินน้ำฟ้า ท่านก็ทรงก็ทำ ที่อาตมาทำหน้าที่จึงไม่บริบูรณ์ คนถึงไม่เชื่อถือและรับไม่ครบ ก็มีแต่พูดเป็นหลัก ยิ่งอาตมาพูดลงไปในแนวลึก แนวลึกถึงโลกุตระ ทำแนวลึกถึงจิตวิญญาณบริสุทธิ์ถึงขั้นที่หมดตัวหมดตน ลึกเข้าไปให้รู้กิเลส แล้วให้มีวิธีการประหารกิเลส ในปหาน 5 เป็นต้น อาตมามาทำหน้าที่ทางศาสนา เป็นเรื่องละเอียดและยาก

ในหลวงทรงงานมา 70 พรรษา อาตมาทำงานมา 46 ปี ย่างมาแล้ว จะถึง 70 ปีก็ต้องเพิ่มอีก 24 ปีถึงจะถึง 70 อาตมาก็จะพากเพียรให้ถึงอย่างน้อย 70 ปีเหมือนกัน เพราะว่านามธรรมนั้นดูยากกว่ารูปธรรม ในหลวงท่านทรงงานมา 70 พรรษา มีทั้งรูปธรรมนามธรรม มีรูปธรรมคนรู้ได้ง่ายกว่านามธรรม ท่านยังต้องทรงงานมา 70 ปี แต่นามธรรมรู้ได้ยากกว่า ถ้าทำน้อยกว่าท่านผลมันก็ไม่พอ อาตมาถึงได้พากเพียรพยายามอยู่ทำงานต่อ ไม่ใช่ต้องการเก่งกว่า แต่ต้องการให้เกิดคุณค่า อาตมามีความอุตสาหะ ใครจะแข่งดีในเรื่องสร้างสิ่งที่ดีให้กับสังคมก็แข่งเลย ถ้าใครจะชนะแล้วก็จะดีใจ มีปีติ ถึงอุพเพงคาปีติก็ช่างคุณเถิด แต่อาตมาไม่มีปีติขนาดนั้น ก็รู้ฝึกฝน ไม่ทำให้เกิดอุพเพงคาปีติ ในปีติ 5 อาตมาก็รู้ว่าควรทำถึงขนาดไหน

1.      ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.      ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.      โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.      อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.      ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

มันเกิดปีติขนาดไหนอาตมาก็รู้ และอาตมาก็ไม่เอาให้ถึง อุพเพงคาปีติ ให้ปิตินี้สลายเจือจางลงไปเป็นผรณาปีติ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทิ้งปีติ แต่ให้มันกระจายบางเบาไปทุกองคาพยพของตนเอง ไม่มีเอกเทศไหนๆที่ปีติเราจะไม่ซึมซับถึง เรายินดีในสิ่งที่ดี ยินดีแล้วไม่ยึดมั่น เราต้องรู้ทำอย่างพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขาธรรมด้วยใจปรารถนาดีเมตตา กระทำลงมือทำให้เกิดผลดีผลประโยชน์ตามที่ต้องการแก่มวลมนุษยชาติแล้วก็เกิดมุทิตา เกิดความยินดีรู้ดีเข้าใจดีแล้วว่าเกิดขึ้นแล้วนะ ก็จบ มีอุเบกขา ว่าง จิตใจไม่ต้องติดกับความดีนั้น ว่าเป็นเราเป็นของเราอะไรอีก ไม่เอา ไม่ใช่เป็นพรหมสี่หน้าเฉยๆ ไม่เข้าใจพลังงานของจิตใจว่ามีอย่างไร แล้วเราก็ทำให้สูงสุดที่อุเบกขา ก็มีเมตตา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอยู่

อาตมามีเมตตาทางวจีกรรมอยู่ แต่กายกรรมไม่ค่อยได้ทำ ในหลวงท่านมีเมตตากายกรรมมาก แต่วจีกรรมท่านสั้น แล้วมีแต่ดีประเสริฐทั้งนั้น เลยไม่เหมือนอาตมาที่พูดมาก

ของในหลวงวจีกรรมของพระองค์น้อย แต่กายกรรมกับมโนกรรมท่านเต็มที่เลย แต่โพธิรักษ์ วจีกรรมก็มาก กายกรรมน้อย แต่มโนกรรมก็มั่นใจว่าไม่น้อยกว่าในหลวง ด้วยเลือดโพธิสัตว์

สมณะเพาะพุทธว่า...มีพระราชดำรัสของในหลวงว่า “…ทำงานทำการในหน้าที่ในฐานะของแต่ละคนที่จะต้องทำให้ทำอย่างดี ๆ ทำเรื่อยไป ไม่ใช่ทำอย่างที่จะอยากดีเด่น ทำดีเด่นไม่ใช่อยากดีเด่น ทำได้ดีแล้วก็จะดีเด่นเอง ไม่ใช่ว่าจุดประสงค์ที่จะทำเพื่อให้ดีเด่น ทำเพื่อให้ดีเรื่อย ๆ ทำหน้าที่ที่มีให้สำเร็จ แต่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะดีเด่นก็อย่างที่ว่าไม่ใช่ทำเพื่อดัง แต่ว่าถ้าต้องการจะดังเมื่อไหร่ก็จะดังเอง แล้วดังดีด้วยไพเราะ ไม่ใช่ดังอย่างน่ารำคาญหรือน่าเกลียด…”

 

พ่อครูว่า...พระราชดำรัสของพระองค์คมชัดแล้วก็ดี

สมณะเพาะพุทธว่า...มีคำตรัสของในหลวงหลายอย่างตรงกับของพพจ.เช่นที่พพจ.ว่า…

 

พ่อครูว่า...ในเมืองไทยตอนนี้มีสัจจะประกาศ ที่ตรงกับของพระพุทธเจ้าเพราะของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม ในหลวงท่านเป็นโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้พูดเพื่อแกล้งยกยอปอปั้น อาตมาเองรู้ว่าโพธิสัตว์คืออะไร ขอยืนยัน ขออภัยที่ต้องยืนยันว่าทำมาเป็นโพธิสัตว์ก็ต้องรู้และพูด ภาษาของในหลวงเป็นอย่างเดียวกับของพระพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์ อาตมาว่าอาตมาก็พูดตรงกับของพระพุทธเจ้า แต่คนอื่นอาจจะฟังไม่ขึ้น อาตมาพยายามแจกแจงที่คนรู้ผิด ประพฤติปฏิบัติผิดเช่นยกตัวอย่าง ทุกวันนี้คนที่เรียกว่าตนเองเป็นชาวพุทธแล้วเป็นกระแสหลัก ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆความจริงมาพูด แม้แต่กระแสหลักก็เข้าใจผิดด้วย

ยกตัวอย่างเป็นของจริงเลย ขณะนี้ความรู้ของหัวขบวนก็เข้าใจว่าสมาธิของพระพุทธเจ้า เป็นการนั่งหลับตาทำสมาธิ อาตมาก็ขอยืนยันว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนั้น อ่านในพระไตรปิฎก ล.9  ในพระสูตร ในพรหมชาลสูตร ท่านก็ตีทิ้งว่า ทำเจโตสมาธิ ว่าได้แต่อดีต กับอนาคต เป็นมิจฉาทิฐิถึง 62 พระพุทธเจ้าให้มามีสัมผัสเป็นปัจจัย ให้มีเวทนาเป็นกรรมฐาน ถ้าจะศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าจะต้องมีเวทนา เว้นจากเวทนาเสียแล้วไม่มี ไม่มีศาสนาพระพุทธเจ้า ท่านให้ปฏิบัติในเวทนา 6 ไม่ใช้เวทนา 1 เวทนา 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ต้องสัมผัสเกิดความรู้สึก รวมใจเรียกว่ากาย เป็นธรรมะ 2

2 คืออะไร 1 เป็นจิตบริสุทธิ์ 2 เป็นจิตที่มีอกุศล ก็รู้อกุศลจิตแล้วทำให้อกุศลจิตให้ออกไป เรียกว่ามีธรรมะ 1 กำจัดหรือล้างอกุศลจิตออกให้สะอาดเป็นหนึ่งเดียว เอกสโมสรณา ทำให้เป็นหนึ่งสำเร็จเป็นภวันติ

ทุกวันนี้แม้แต่คำว่าสมาธิก็ไปหลับตาทำสมาธิ อาตมาถึงบอกว่าผิด คำว่ากายก็อธิบายเป็นเพียงแต่ภายนอกไม่มีภายใน อาตมาก็มายืนยันว่าผิดอีก ดีที่ว่าในพระไตรปิฎกก็ชัดเจนมาก ในเล่ม 16 ข้อ 230 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเรียกกายว่าคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง แต่ท่านก็ไปแปลคำว่ากายว่าร่างกาย

แม้แต่คำว่าบุญ หรือปุญญะ เป็นต้น คำว่าสมาธิ  กาย บุญ​ ที่ผิดเพี้ยนกลายเป็นคำใหญ่ของศาสนานะ ตอนนี้ไม่รู้เรื่องบุญก็เอาบุญไปทำได้เลย ตอนนี้เป็นหน้าการทำกฐิน ก็เละหมดเลย มีคนส่งอันนี้มาให้ อาตมาก็อ่านด้วยความสลดใจ

 

เรื่องงาน "กฐินไม่สามัคคี" จากไลน์คุณ Sang

          มีคนอยากให้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การทอดกฐินประจำปี พ.ศ. 2559 นี้ที่มีความพิเศษ ผมจึงขอสรุปเหตุการณ์มาให้เพื่อนๆ พวกเราได้ทราบถึงกระบวนการของวัดจานบินที่กำลังจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อหาแนวร่วมและแอบอ้างสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและพวกพ้อง

ในปีนี้ผมและครอบครัวได้ตั้งใจที่จะไปทอดกฐินยังวัดเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ โดยการขอเป็นเจ้าภาพกฐินนี้ได้ตกลงแจ้งมาทางวัดไว้แล้ว เป็นเวลากว่าปีแล้ว โดยทางคณะของเรานั้น ก็ได้ดำเนินการจัดเตรียมซอง บอกบุญ รวบรวมปัจจัยตามที่ดำเนินการมาเป็นปรกติมากว่า 10 ปี ที่ได้มีโอกาสทำกฐินตามที่ต่างๆทั่วประเทศไทยเป็นประจำ

ประมาณหนึ่งวันก่อนกำหนดการทอดกฐินก็ได้รับทราบจากกรรมการวัดว่ามีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้าน (ที่มีลูกไปเข้าเป็นสาวกวัดจานบิน) แจ้งความจำนงว่าจะขอมาร่วมทำบุญด้วยทางเราด้วย ทางคณะก็ไม่ขัดข้องและยินดีที่จะให้มาร่วมบุญด้วยกัน

ในเย็นก่อนวันทอดกฐิน ซึ่งตามธรรมเนียมจะมีการฉลององค์กฐินที่วัดเมื่อคณะเจ้าภาพคือพวกเรามาถึงวัดก็ต้องตกใจ เพราะมีแผ่นป้ายไวนิลโฆษณาขนาดใหญ่มากติดอยู่ที่บริเวณผนังศาลาวัดด้านหนึ่งแจ้งว่า งานกฐินคราวนี้สนับสนุนโดยโครงการกฐินสามัคคีทั่วไทย โดยพระเดชพระคุณสมีแทมมี่ของวัดจานบินเป็นเจ้าภาพและเรามาเป็นเจ้าภาพร่วม!!

ภายในบริเวณที่จัดองค์กฐินก็เต็มไปด้วยของ กิมมิกและดิสเพลย์ของวัดจานบิน อย่างเนืองแน่นเต็ม ศาลาไปหมด เรียกว่าเมื่อเห็นแล้วก็อึ้งไปเลยและทำอะไรไม่ถูก เพราะเราไม่คิดว่าทางกลุ่มจานบินจะใช้โอกาสนี้มาโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง และลากพวกเราเข้ามา "สามัคคี" กับกลุ่มตัวเองด้วย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่แจ้งกับทางวัดตอนแรก ว่าจะมาร่วมทำบุญเฉยๆ เสมือนว่าวัดจานบินและคณะกำลังมาเทคโอเวอร์งานกฐินที่เรากำลังจะทำอยู่

คืนวันนั้นเองก็ได้รับทราบข่าวจากพี่สาวที่เคารพนับถือกันว่าเธอและครอบครัวได้ทำการทอดกฐิน ณ. วัดอีกแห่งในภาคอีสานในตอนกลางวันวันนั้น ก็ประสบกับปัญหาแบบเดียวกัน โดยที่มีคณะวัดจานบินเข้ามาขอร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยแล้วก็มาวุ่นวายจัดแจงให้คณะเจ้าภาพหลักเดินถือป้ายแห่หน้าองค์กฐินว่าเป็นงานของวัดจานบินโดยปริยาย เพื่อถ่ายรูปในมุมต่างๆแล้วนำภาพโฆษณา เหล่านั้นไปใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ คงกะจะเอาพวกเราไปเป็นแนวร่วมของวัดจานบินอีกทางหนึ่ง

เมื่อทราบข่าวจากพี่สาวท่านนี้แล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าพวกนี้ทำกันเป็นขบวนการ มีการจัดตั้งเตรียมการมาอย่างดี จึงตัดสินใจทันทีว่าเราจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับคนพวกนี้เราไม่ต้องการให้คนพวกนี้มาใช้งานบุญที่เราตั้งใจทำ มาแอบอ้างหาความชอบธรรมให้พวกเขาเองและเหนืออื่นใดเราไม่อยากให้เงินบาปของคนพวกนี้มาแปดเปื้อนในกองบุญที่เราหามาด้วยศรัทธาและความสุจริต

ผมจึงยื่นข้อเสนอไปที่วัดทั้งหมด 3 ข้อหากไม่ได้ทั้ง 3 ข้อนี้เราจะยกคณะกลับกรุงเทพทันทีในวันรุ่งขึ้นคือ
          ข้อที่ 1 คือห้ามมีป้ายโฆษณาผ้าไวนิวป้ายแสดงชื่อวัดจานบิน พวกป้ายที่ติดโฆษณาทุกอย่างจะต้องเอาออกให้หมด
          ข้อที่ 2 คือห้ามคนของวัดจานบิน เข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายทำตัวเสมือนเป็นเจ้าภาพพิธีการเสียเองทั้งหมด
          ข้อที่ 3 คือในระหว่างเดินฉลองกฐินรอบโบสถ์ ห้ามคนของวัดจานบินมาเดินนำหน้า ห้ามนำแผ่นภาพโฆษณามาไว้หน้ากองขบวนกฐิน และการถวายปัจจัยก็ต่างคนต่างถวาย เราจะไม่รวมเงินปัจจัยของคณะเรากับเงินปัจจัยของคณะจานบินเด็ดขาด

คืนนั้นคณะกรรมการวัดก็ประชุมกันเครียดจนถึงเที่ยงคืนและยอมตกลงตามข้อเรียกร้องทั้งสามประการ ถึงรุ่งเช้าคณะของเราจึงไปที่วัดตามที่ได้ตั้งเจตนารมณ์ไว้

เมื่อมาถึงที่วัด เด็กวัดจานบินที่เป็นคนชอบมาจุ้นจ้านตั้งแต่เมื่อคืน ก็ทำทีจะเข้ามาวุ่นวายนุ่นนี่นั่นสั่งการต่างๆนานาอีก ผมเลยส่งเลขาส่วนตัวเข้าไปสกัดดาวรุ่ง ให้นางจ๋อยไปเลย

เลขาของผมเข้าไปถามตรงๆเลยว่า
"ที่วัดนี้ก็มีมัคทายกของวัด พี่ไม่ต้องมายุ่ง สั่งให้ทำนู้นทำนี่ เดี๋ยวทางวัดเขาจัดการเอง"

คือคนพวกนี้ไม่ให้เกียรติเจ้าภาพ เจ้าของสถานที่เลย ทำตัวใหญ่กร่าง แล้วเข้ามาจัดแจง เจ้ากี้เจ้าการต่างๆ เมื่อไปถึงศาลาที่จัดพิธี พวกแผ่นภาพต่างๆก็ถูกเคลียร์ขจัดออกไปจนหมด โต๊ะที่จัด องค์กฐิน ก็ไม่มีภาพวัดจานบินกับชื่อสมีแทมมี่หลงเหลืออยู่อีก

เมื่อถึงเวลาจัดขบวนแห่รอบอุโบสถ คณะของพวกเราก็นำหน้า ส่วนทีมจานบินแปดเก้าคนก็ไปอยู่ต่อท้ายแถว มึงจะถือป้ายอะไรมึงก็ถือกันไปเอง ถือกันเอง ถ่ายรูปกันเอง เพื่อส่งรายงานเบิกเงินก็ทำไปกันเอง พวกกรูไม่เกี่ยว
แต่ที่สะใจที่สุดคือก่อนจะถวายกฐินมีการแสดงเทศนาธรรมโดยท่านรองเจ้าคณะตำบลซึ่งทางวัดนิมนต์มาจากวัดอื่นมาเป็นประธานในการรับกฐิน

ท่านเทศน์ดีมากๆ ท่านเทศนาเกี่ยวกับเรื่องหลักของการทำทาน ท่านบอกว่าทานที่ได้ผลนั้นจะต้องบริสุทธิ์ หามาด้วยความบริสุทธิ์และมีเจตนาที่สมบูรณ์ที่จะให้ทานและเมื่อให้ทานแล้วก็ไม่คิดเสียดายนึกระลึกย้อนถึงอีก

แต่ที่เด็ดสุดคือท่านพูดตรงๆต่อหน้าคณะของพวกจานบินเลยว่า

"..การทำบุญทำทานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าทำมากหรือทำน้อยแต่ต้องขึ้นกับเจตนาเป็นสำคัญ

...ใครที่พูดว่าทำมากแล้วได้มากจะได้สวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ พวกนี้นั้นเรียกว่า
พวกตอแหล!!!..."

เรานั่งอยู่ด้านหน้า ในฐานะประธาน ออกเสียง "สาธุ" เสียงดังลั่นศาลาเลย

พอถึงเวลาคณะเราก็ถวายเงินกฐินที่รวบรวมมาได้เรียบร้อย ก็ประเคนถวายท่านเจ้าอาวาสตามธรรมเนียมและแจ้งยอดให้กับมัคทายกวัดทราบ

พวกจานบินซึ่งจัดมาเป็นขบวนการเลย มีหญิงคนหนึ่งจากคณะซึ่งไม่เคยเห็นหน้าเลยในหมู่บ้านมาก่อน มาถึงก็มาจัดแจงคว้าไมค์มาอ่านโพยที่เตรียมมาเป็นอย่างดี ส่วนอีกคนก็มาทำท่าจะมาถ่ายรูปซึ่งจะติดภาพเรากับคณะเพื่อนๆเข้าไปด้วย

เรารีบตะโกนบอกไปเลยว่า ไม่ต้องถ่ายภาพ ห้ามถ่าย ไม่อยากมีรูปด้วยโบกไม้โบกมือแสดงความรังเกียจอย่างชัดเจน

แล้วเธอก็มาอ่านโพยแจกแจงว่าพระเดชพระคุณสมีแทมมี่ มีดำริให้ทำกฐินสามัคคีทั่วโลกแจกเงินวัด 300 วัดทั่วประเทศไทย วัดละ 100,000 บาทเฉพาะในจังหวัดนี้ก็ 93 วัด เป็นมหากุศลจากวัดธรรมกลาย

ส.เพาะพุทธเสริมโคลงโลกนิติว่า…

มดแดงแมลงป่องไว้      พิษหาง

งูจะเข็บพิษวาง             แห่งเขี้ยว

ทรชนทั่วสรรพางค์        พิษอยู่

เพราะประพฤติมันเกี้ยว  เกี่ยงร้ายแกมดี ฯ

 

พ่อครูอ่านต่อ….บอกตรงๆว่าปรี๊ดขึ้นมาทันที เลยพูดเสียง

ดังๆขึ้นมาตรงนั้นให้ทายกทายิกาได้ยินทั่วกันทั้งศาลาว่า"...เงินพวกนี้ก็เป็นเงินไม่บริสุทธิ์โกงเค้ามาทั้งนั้น มีคนตั้งเท่าไหร่แล้วที่ขายบ้านขายช่องขายรถขายที่ขายนาหน้ามืดตามัวมาหลงทำบุญกับวัดธรรมกลายแห่งนี้ ยังมีหน้ามาประกาศความดีของพวกตัว ช่างไม่มีความละอายแก่ใจบ้างเลย.."

พูดดังๆให้คนพวกนี้ได้ยินทั้งหมด นางโฆษกหญิงก็เสียงสั่นเครือแล้วก็เสียงเบาลงๆทุกทีจนตอนหลังมันหยุดพูดไปเอง หลังจากนั้นพวกนี้ก็จ๋อยไปเลยทั้งคณะแทบจะมุดศาลาหนี ได้แต่หลบหน้าหลบตาชาวบ้านที่มองมาเป็นจุดเดียว พวกชาวบ้านทั้งหมดที่อยู่ในศาลาก็ออกมาอยู่ข้างทางฝั่งเรา เข้าใจพวกเราดีและไม่มีใครเอากับพวกธรรมกลายเลย

สมณะเพาะพุทธว่า...ข่าวจากจังหวัดอ่างทอง มีเจ้าอาวาสในวัดที่จังหวัดอ่างทองได้รับนิมนต์ ไปที่วัดจานบิน ก็ไปร่วมกับเขาสามรูป แต่ทางวัดธรรมกายถ่ายภาพออกมาแล้วบอกข่าวว่ามีพระจากจังหวัดอ่างทอง 300 รูปมาร่วมด้วย ผมได้อ่านข่าวแล้วก็นึกว่ามา 300 รูป แต่เมื่อไปถามเจ้าคณะจังหวัดอ่างทองก็บอกว่าไปแค่สามรูป แล้วมีภาพ 300 รูปด้วยแต่อีก 297 รูปเป็นพระที่ทางวัดนั้นเตรียมไว้แล้ว

พ่อครูว่า...พระที่มาเป็นจำนวนมากนั้นสังเกตดูว่าจีวรใหม่เอี่ยมสวยงามเหมือนกันหมด ถ้าพระมาจากต่างสถานที่กัน จีวรจะไม่เหมือนกันสีจะไม่เหมือนกันหมด จะมีใหม่และเก่าไม่เหมือนกัน แต่นี้ดูเหมือนแกะกล่องเหมือนกันหมด แล้วจัดแถวจัดแนวอะไรให้ตรง อาตมาก็เลยบอกว่านี่คือพระเก๊เสียส่วนมาก ก็สอดคล้องกับที่ทำ หากลเม็ดเด็ดพรายที่จะทำให้ตนเองดูใหญ่ ดูมาก ว่ามีคนมาศรัทธาเลื่อมใสเขามาก เที่ยวไปได้เก็บอะไรของคนอื่นมาเป็นของตัวเองหมด

สมณะเพาะพุทธว่า...ภาษาสมัยใหม่เรียกว่าแย่งซีน

พ่อครูว่า...เขาก็ทำวิธีการของเขา อาตมานึกไม่ถึงอาตมาทำไม่เป็นจริงๆ ถ้าให้ทำอย่างนั้นอาตมาหมดเนื้อหมดตัวเลย เพราะจะเอาเงินจากไหนมาจ้างพวกนี้มา อาตมาไม่มีปัญญา แล้วจะไปครอบงำเขาให้ทำอย่างนี้สิตามวิธีการที่ไปแสดงอย่างนี้อาตมาก็ไม่มีจิตใจ ไม่มีความเห็นว่าน่าจะทำแบบนี้ ไม่มีความยินดีไม่มีความพอใจที่จะทำแบบนี้เลย อาตมาถือว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่ความดีงาม มันไม่ใช่ความสามารถ ไม่ใช่ความเก่งกาจ ไม่ใช่ความประเสริฐอะไร อาตมาว่าเป็นความขี้โกง สรุปง่ายๆว่าเป็นความชั่วความเลวด้วยซ้ำ ไม่เห็นจะน่าทำ แต่เขากลับกล้าทำและอุตสาหะพากเพียรทำด้วย เขาก็จะต้องทำให้ได้ แม้จะมีคนต้าน เขาเอาภาพไปใช้งานได้สำเร็จก็เก่งจริง เรียกว่าเก่งชิบหาย

ตอนนี้เป็นหน้าหาเงินหาทอง อาตมาบวชตั้งแต่แรก ก็บอกว่าพระที่เที่ยวไปหาเงินหาทองเป็นพระทำลายศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ พระองค์ใดก็แล้วแต่ที่มีวิธีหาเงินหาทอง แม้แต่จะต้องเอาทองคำเปลวมาขาย ในวัดเพื่อจะได้กำไรเอาไปปิดทองพระตามที่เขามี โดยหารายได้จากอย่างนี้ คือการหาเงิน มันมีวิธีการเยอะแยะวิธีการหาเงินของวัด ขอแวะว่าชาวอโศกไม่เคยทำ ถ้ามีบางกิจกรรมมีคนมาเลื่อมใสแปลกๆเราจะปิดเลย เราจะไม่ให้เกิดอย่างนี้เลย ตอนนี้เขากลับหาวิธีจะใช้วิธีแบบนั้น อาตมาว่าพระถ้ามาหาเงินให้วัด มาหาเงินจากฆราวาสอยู่อย่างนี้ มันเป็นความเสื่อมของคนผู้นั้น ยิ่งมาเป็นพระเป็นเจ้า ขออภัยพูดตรงๆว่า เลว ทำไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องใหญ่นะ ที่พระมาหาเงินแล้วก็มาสร้างวิธีการหาเงิน แบบใดก็แล้วแต่ อาตมาว่าได้เงินเป็นเรื่องใหญ่

ขอขยายความเรื่องเงิน บอกไปทั่วชาวอโศก ชาวอโศกตอนนี้กำลังจะปรับกระบวนการ เรื่องเกี่ยวกับเงินของชาวอโศก ว่าชาวอโศกการทำงานเรื่องเงินนี้ เป็นเรื่องของฆราวาส ชาวอโศกเกิดมาหลายปีแล้ว ก็มีเรื่องการเงินมาใช้สอย มีไวยาวัจกร อย่างชัดเจนมีฆราวาสมาจัดสรรทำให้เกิดประโยชน์ต่อศาสนา อาตมายังภาคภูมิใจ ว่าภิกษุหรือสมณะของชาวอโศกทุกรูป ยังไม่มีใครสะสมเงินแม้แต่คนเดียว ผู้ที่มีการใช้กลเม็ดสะสมเงินเราก็ให้ออกไปแล้ว มีอยู่ 1 คนหรือ 2 คนโดยมีวิธีการที่ชวนให้สะสม ให้ชาวอโศกแม้แต่เป็นสมณะภิกษุชาวอโศก เราก็ให้ออกไปแล้ว อาตมาถึงภาคภูมิใจมากว่าชาวอโศกหรือนักบวชชาวอโศกเราไม่ได้สะสมเงิน ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดีงามอยู่

ทำให้เห็นว่าความเสื่อมของศาสนาพุทธในวงกว้างกระแสหลัก เมื่อทางการตั้งเงินเดือนให้พระ อาตมาขนลุกขนพอง และเมื่อทางการตั้งเงินเดือนให้พระก็ช่างกระไรกลับรับอีก แม้แต่ตอนบวชนี้ ก่อนบวชก็จะซักถามว่าเป็นราชปัตโต คือเป็นข้าราชการมีเงินเดือนได้รับอยู่ บวชไม่ได้นะ ราชปัตโต เป็นคำถามของพระกรรมวาจาจารย์ที่จะต้องถามผู้บวช ว่าเป็นข้าราชการ มีเงินเดือนรึเปล่า ไม่งั้นบวชไม่ได้นะ

อาตมาจึงอยู่ไม่ได้กับคณะสงฆ์หมู่ใหญ่นี้ อาตมาเป็นพระผู้น้อย บวชตั้งแต่พศ 2513 เมื่อปี 2518 จึงแยกตัวออกจากคณะใหญ่ แต่ต่อมาคณะใหญ่ก็มาดึงตัวอาตมาเข้าไปอยู่แล้วฟ้องร้อง อาตมาว่าอาตมาเป็นนานาสังวาสสำเร็จ แต่เขาก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ดึงกลับไปได้ คุณเองก็เป็นโมฆะ ทำผิดหมดเป็นอาบัติ ทุกกรรมที่ทำ ที่ดึงอาตมาไป แล้วเป็นคดีความฟ้องร้องพิพากษาอาตมา เอาธรรมยุตกับมหานิกายมารวมกัน ทำสังฆกรรมอย่างนี้ก็เป็นการผิด คณปูรกะ เป็นการละเมิดธรรมวินัย แล้วเอาไปที่อาตมาซึ่งเป็นโมฆะทั้งนั้น แต่เพราะชาวพุทธไม่รู้ หรือแม้แต่รู้ก็ปล่อยให้ทำผิด จนมาถึงทุกวันนี้ แล้วเขาก็ประกาศว่าตนเองถูกทั้งที่เป็นเรื่องที่ผิด

อาตมาจึงขออุตสาหะประกาศความจริงนี้ต่อไปจนถึงอายุ 151 ปี พยายามทำความจริงให้กลับฟื้นคืนขึ้นมา

ทุกวันนี้บอกแล้วว่าคณะผู้ที่ดูแลการเงินคือฆราวาสทั้งนั้น ก็ขอประกาศให้ผู้ที่รับผิดชอบการเงินการบัญชีของชาวอโศกทุกชุมชน มาร่วมประชุมสัมมนา ในหัวข้อ 1 ความจำเป็นที่ต้องใช้ระบบการเงินการบัญชี 2 เล่าสู่กันฟังเรื่องระบบบัญชีการเงินของปฐมอโศก 3 ระบบการเงินการบัญชีแบบใหม่ที่ใครๆก็ทำได้ กรณีศึกษา ที่โรงปุ๋ยพลังแผ่นดินของปฐมอโศกโดยคุณทิวเมฆ นาวาบุญนิยม ประธานชุมชนปฐมอโศก 4 ทดลองใช้งานโปรแกรมการเงินการบัญชี 5 ฟังความคิดเห็นของผู้ร่วม รับผิดชอบการเงินการบัญชี

_ความเป็นไปได้ในการจัดทำระบบการเงินการบัญชี

_สิ่งที่ต้องเตรียมคือรายงานการเงินการบัญชี แลกใบเสร็จรับเงินของแต่ละชุมชนหรือทำงาน ที่ทำมาแล้ว 1 เดือน และ อีก 1 เดือนที่ทำไม่เสร็จ

ก็จะเริ่มในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 เริ่มเวลา 6 นาฬิกา ที่ปฐมอโศก ในใจติดต่อที่ 087 7 67 6 42 ฝ่ายการเงินปฐมอโศกคุณวิเชียร เรืองศรี

นี่เป็นการขันชะเนาะ เรื่องการเงินของชาวอโศกเพราะบางครั้งบางคราวก็มีความบกพร่องที่ไม่ตรงให้ชาวอโศกเรามีบ้างก็ได้จัดการกันมาเรื่อยๆ เราพยายามปรับทั้งระบบและวิธีการต่างๆ ทุกวันนี้มีวิธีการความรู้ที่เราจะใช้ได้ให้สะดวกง่ายเร็ว และดีขึ้น เพราะในแต่ละชุมชนจะต้องมีการใช้เงินทองมันเป็นสื่อกลางที่จะใช้ แลกเปลี่ยนใช้งาน เดี๋ยวนี้ธนบัตรเลยไปถึงกดเอาทางอากาศแล้ว

ก็ต้องปรับเพื่อให้เกิดความดีที่สุด และไม่อยากให้เกิดความชั่วขึ้นเนื่องจากการเงินการบัญชี เงินเป็นตัวกลางและบัญชีเป็นหลักฐานการบันทึกควบคุมตัวเงิน มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ขอเชิญวันที่ 4 ที่ปฐมอโศกเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ที่หอประชุมชาวบ้าน

เป็นเจตนาดีที่จะให้เอาไปใช้ในชาวอโศกได้ด้วย

 

สมณะเพาะพุทธ กล่าวบทกวีปิดท้าย

ในหลวงของเรา

ร่มโพธิ์ร่มไทรร่มเงาสุขสงบ

ในหลวงของเรา

พระโพธิสัตว์สองส่วนเข้า-มาครบ

ในหลวงของเรา

พระเตมีย์ นิ่ง ฉลาดเฉลา รู้เจนจบ

ในหลวงของเรา

รู้พากเพียรรู้ผ่อนเพลาได้พานพบ

ในหลวงของเรา

พระมหาชนกมุ่งมั่นมิสั่นเทามาสมทบ

ในหลวงของเรา

หนักแน่นเหมือนภูเขาน่าเคารพ

ในหลวงของเรา

แน่วแน่ เนิ่นนานเนา น่าน้อมนบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:06:18 )

591031

รายละเอียด

591031_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ฉลาดแท้กับฉลาดเทียม(ฉฬายตนะ)

          อาจารย์กุ้งว่า...วันนี้ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีวอก ในช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงที่คนไทยเรากำลังแสดงความอาลัย

พ่อครูว่า...งานมหาปวารณาชาวอโศกเรา ก็ไม่ได้พูดเพียงแค่บัญญัติภาษา เราจะต้องมีความจริง ไม่ใช่พูดแต่เพียงภาษาเป็นกล่าวแต่พูดถึงความจริง ใครจะต้องถูกตำหนิว่ากล่าวกันก็ต้องว่ากล่าวกันได้ ให้จริงๆ ทำมาตลอด 30-40 ปีที่เรามีหมู่สงฆ์ชาวอโศกมา นี่ก็จะงานมหาปวารณาเรา อยู่ในช่วงพฤศจิกายนนี้ พวกเราก็ถือเอาวันที่อาตมาบวชคือวันที่ 7 พฤศจิกายน ก็จะมีการปวารณากันในวันที่ 5 วันที่ 6 แต่ก่อนนี้เราปวารณาตำหนิติเตียนกันเยอะ ใช้เวลาตั้ง 2 วัน แต่ถึงบัดนี้มันดีขึ้นมีความกะทัดรัดขึ้น เข้ารูปเข้ารอยลงตัวขึ้นได้เรื่อยๆ ก็เลยวันเดียว วันที่ 7 เป็นวันหลัก สมณะก็อย่างมาก วันที่ 5-6  วันที่ 7 ก็เป็นวันของฆราวาส เดี๋ยวนี้วันที่ 5 ก็เสร็จแล้ว วันที่ 6 ก็เป็นวันสังสรรค์กัน เป็นงานมหาปวารณาของชาวอโศกเรา เป็นงานประเพณีชาวอโศก

อาจารย์กุ้งว่า...การที่ผมกล่าวว่า ขอปวารณาอย่างนั้นอย่างนี้หมายถึงอย่างนี้ด้วยไหมครับ

พ่อครูว่า...ปวารณาคือการให้คนอื่นเขาว่าได้ตำหนิได้ เป็นการลดละตัวตน ลดละความรู้ดี ว่าตัวเองเก่งตัวเองใหญ่ใครแตะไม่ได้ ที่ต้องกำราบตนเองให้คนอื่นว่าได้ตำหนิได้ แม้แต่จะผิดจะถูกอย่างไรก็แล้วแต่เราก็ให้เขาว่า ถ้ามันไม่ถูก ว่าผิด ก็ค่อยบอกกล่าวให้รู้ ว่าที่พูดมาด่ามามันก็ผิดไม่ได้เป็นความเป็นจริงเราก็ว่า เขาก็อาจจะแย้งมา เราก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เขาว่าได้ แม้แต่ที่สุดเราจะถูก แต่เขาก็ยังด่าว่าอยู่เราก็ต้องสงบ เขายังยึดมั่นถือมั่นว่าเขาถูก เขาจะด่า สุดท้าย การปวารณาจริงๆ คือยอม เราก็ใช้ศิลปวิทยาแล้ว ไม่พยายามให้เกิดความวิวาท ทำอย่างไรเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็ยังเห็นผิด ยังเชื่อว่าเขาถูกต้อง ทั้งๆที่เราก็มั่นใจว่าเราถูก เราก็ต้องยอม

อย่างมหาเถรสมาคม ว่าอาตมาผิด มีคดีความ ตัดสินให้เราผิดอีก เราก็ต้องยอมทั้งที่เราก็ว่าเราไม่ได้ผิด เราก็ยังทำอยู่อย่างเดิม อาตมาไม่ได้ผิดเขาก็ว่าผิด ก็ตัดสิน เขาให้จำคุกสองปี ก็รอลงอาญาสองปี ถูกคุมประพฤติ สองปีผ่านไปก็จบกฏเกณฑ์เขา ก็เป็นอันจบตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้

เขาก็ยังเห็นว่าผิดเชื่อกฎหมายว่าตัดสินให้เราผิด เมื่อเอาพระไตรปิฎกหลักฐานมายืนยัน เช่นตอนนี้ ก็ท้าวความถึง พรหมชาลสูตร

อาจารย์ว่า...ผมมี ส.ค.ส.ปี 2558 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้ เมื่อสักครู่ที่พ่อครูพูดถึงสิ่งที่ปวารณา ในเนื้อหาส.ค.ส. ที่พระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 9 ท่านให้ไว้ ปี 2550 เขียนในเรื่องพระมหาชนกว่า ขอจงเพียรให้มีความบริสุทธิ์ มีปัญญาที่เฉียบแหลม กําลังกายที่สมบูรณ์

แม้แต่เขาจะบอกว่าเราผิด แต่สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เราก็เพียงทำไปอย่างนั้น

พ่อครูว่า...ถ้าเรามั่นใจว่าเราไม่ผิด เราก็ทำในสิ่งที่ดีไปจนกระทั่งต่อไปคนก็จะรู้จะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร

อาจารย์กุ้งว่า...ในเรื่องพระมหาชนกได้พูดถึงเรื่องความเพียร ก็สอดคล้องกับพ่อครูที่ได้พากเพียรทำ

พ่อครูว่า...อาตมาก็อุตสาหะพากเพียรจริงๆ แม้แต่รูปขันธ์ก็พยายามพากเพียรให้ไปถึงร้อยห้าสิบเอ็ดปีอย่างที่ตั้งใจ ในหลวงกับอาตมาเพียรเหมือนกัน แต่ทำต่างกัน

ในหลวงท่านมาทำปางเตมีย์ใบ้ ตรัสสั้นน้อย แต่อาตมาอยู่ในปางที่ต้องพูดมาก ท่านคล้ายกับพระสมณโคดม ตรัสน้อย ทิ้งไว้ให้อาตมาพูดขยาย อาตมารับหน้าที่ก็รับมาจากพระพุทธเจ้าก็พยายามทำตามเต็มหน้าที่ เพราะอะไรอาตมาต้องพากเพียรทำ พยายามทำให้สั้นกระทัดรัด แต่ไม่เก่ง ก็พยายามให้เป็นไป เป็นคนละฐานะที่จะต้องทำหน้าที่ คนละหน้าที่แต่ไม่ขัดแย้งกลับจะเสริมหนุนโดยเนื้อแท้

เช่นให้พามาจน ท่านก็ไม่ได้ขยายความอะไร อาตมาก็มาขยายความและพามาจน ในหลวงท่านก็ตรัสแล้ว อาตมาก็พาคนมาจน ต้องยืนยันสภาวะจริงที่เกิดจริงเป็นจริงแล้วคนก็ทำได้ แม้ถูลู่ถูกัง ผิวหนังถลอกปอกเปิก มีน้ำหล่อเลี้ยงพอให้ชุ่มชื้นไม่ถึงกับลำบาก

ที่อาตมาจะยืนยัน ผู้ที่มาเรียบเรียงพระไตรปิฎกไว้คือผู้ที่รู้ยิ่งรู้จริงเหมือนกัน ไม่ได้หมายถึงผู้ที่ด้อย แล้วรวมกันเป็นคณะถึง 500 รูป เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่เป็นหัวกะทิทั้งนั้นแหละ แล้วรวมเรียบเรียงขึ้นมา เพื่อจะเป็นหลักฐานใช้ต่อไปจนกระทั่งศาสนานี้จะจบ 5000 ปีของพระสมณโคดม ก็ชัดเจนว่าอันนี้เป็นพระสูตรที่ 1 ที่สำคัญ ที่ท่านเห็นว่าต้องขึ้นต้นด้วยอันนี้

มีนัยซ้อน สุปริยปริพาชก(อาจารย์) กับพรหมทัตมาณพ(ลูกศิษย์)แน่นอนว่าอาจารย์จะต้องใหญ่ขอลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์มีความถูกต้องกว่าอาจารย์ก็เถียงกันไป ถึงต้องพยายามไขความ แม้ผิด พระพุทธเจ้าก็ตรัสต่อมาว่า

คนที่ตินี้ติผิด แต่คนที่ชมเป็นการชมที่ถูก พระพุทธเจ้าก็จะบอกว่าอย่ายอมอาจารย์นะ ก็พูดชัดก็ไม่ได้ แต่เนื้อหานั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า คนพวกอื่นจะกล่าวติพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะรู้คำที่เขาพูดถูกหรือผิดได้ละหรือ ? ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่า นั่นไม่จริง เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ เพราะเหตุนี้ นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ เพราะเหตุนี้ คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย (ที.สี. 9/ พรหมชาลสูตร/1/1-3)

พ่อครูว่า...สรุปแล้วอย่างไรก็ต้องกล่าว แม้สิ่งที่ดีจะตรงกับเรา เราก็ต้องกล่าวสิ่งที่ดี อย่างมีศิลปะให้เขารับได้ด้วย

อาจารย์กุ้งว่า...เขาก็กล่าวว่าเขาก็เข้าใจเข้าถึง เราก็กล่าวว่าเราก็เข้าใจเข้าถึง เราไม่ได้อยากเอาชนะเขา แต่เราก็อ่านได้ว่าเขาอยากเอาชนะ เราก็ต้องยืนยันสิ่งถูก

พ่อครูว่า...แม้จะมีสิ่งที่จะต้องบอกในความผิดที่ละเอียดก็ต้องบอกต้องอาศัยหลักฐานความชัดเจน มีทั้งโวหาร ทั้งความจริงต่างๆ เหมือนอย่างที่อาตมาย้ำซ้ำซากกรณีสมีไชยบูลย์ เป็นตัวอย่างที่ดีมากมีเหตุปัจจัยที่เขาทำมาเกี่ยวกับเงินทององค์ประกอบเล่ห์กลต่างๆนานา ใช้บริวารมาประกอบกรรมกิริยา ท่าทีลีลาเชิงชั้นมันทุกอย่าง ที่เราน่ะมันล่าสุดที่มาพูดว่า บริวารเขาจะแทรกตัวเข้าไปในที่ ที่ มีการทอดกฐิน ตัวเองก็แทรกตัวเข้าไป ทางโน้นก็เป็นผู้ดี แต่เขาก็แทรกตัวเข้าไปทำอย่างไม่น่าจะทำ เขาก็พยายามแทรกเข้าไป เขาทำได้อย่างไร แล้วอุตสาหะพากเพียรที่จะ ฮุบเอา เงินก็ไม่ได้มาก อันไหนเขาจะโถมเขาก็จะโถม อย่างเรานี่เขาโถมเงินไม่ได้ เขาก็ต้องใช้วิธีอื่น เราจะแรงก็ไม่ได้อีก แต่เขาก็หน้าด้านอีก มันซับซ้อนมากเลย เราจะว่าหน้าด้านก็ไปว่าเขา แต่มันด้านยิ่งกว่าด้าน ขนาดนี้

เหมือนตอนนี้ เขาควรมอบตัวไหม แต่ยังคงดื้อด้านยืนยัน

อาจารย์กุ้งว่า..ล่าสุดแม่ที่อยู่สุโขทัยวัดที่ได้ไปทำบุญอยู่ก็มีพวกนี้ไปร่วมบริจาคเงิน ให้แสนหนึ่งหลวงพ่อไม่รับก็ไม่ได้

พ่อครูว่า มีกลเม็ดที่คนไม่ฉลาดก็เป็นเหยื่อเขา

อาจารย์กุ้งว่า...เป็นซาตานชัดๆ

พ่อครูว่า..คำว่าซาตานก็ยังไม่หนักหนาสาหัสนัก พวกเราชัดเจนแล้วบางทีก็เลยรำคาญ แต่คนที่ยังไม่ชัดเจน เราก็ต้องพยายามเน้นย้ำ อาตมาก็ยังไม่เก่งที่จะมีแง่เชิงหลักฐานย้ำให้เขาจำนน ให้เขาเปลี่ยนแปลงได้เลยมันก็ยังไม่ได้

ทั้งที่ขณะนี้ว่ากันเลยขอถามพวกเรา ว่า ขณะนี้ ธัมมชโย พวกเดียวกันกับในหลวงหรือเปล่า?? ก็ไม่ อย่างนี้เป็นต้น ที่พูดนี้ไม่ได้โหนในหลวงนะ พูดด้วยความจริงอย่างสัจจะ ก็คะแนนส่วนมากมันเป็นอย่างไร ทำไมเขามองไม่ออก ทำไมเขาไม่กลับตัวเสีย จะว่าเขาไม่รู้ เขาก็ไม่น่าโง่ขนาดนี้ ทั้งที่เขาฉลาดเฉกาเป็นกลดเลยนะ

ฉลาดแบบปัญญา คือคำที่เพี้ยนมา  ฉฬายตนะ (บาลี) ก็เพี้ยนห้วนมา เป็น ฉลาด เป็นภาษาไทยในที่สุด เกิดจากอาการทั้ง 6 ทวาร การเรียนรู้ของพระพุทธเจ้าต้องเกิดจากการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดความจริงเป็นเช่นนี้ ก็เกิดความรู้ความจริงทางตาทางรูป ก็เกิดความจริงว่าอย่างนี้ถูกต้องทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกายทางใจ ครบทุกทวารเรียกว่า ฉฬายตนะ จึงเรียกฉลาดที่กร่อนมาเป็นคำไทย ฉฬายตนะคือ หกสะพานเชื่อมต่อ

ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักฉฬายตนะไปหลับตาปฏิบัติคนพวกนี้ไม่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญา คือไม่มีการรับรู้สัมผัส คุณได้แต่ฉลาดใน ภพเดียว ไม่ใช่ภพ 6 ความฉลาดแค่ประตูเดียวกับความฉลาดครบหกประตูมันก็ต่างกัน

สมาธิ คือ เกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์และปฏิบัติจะเกิดสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้น จะเกิดสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้นจนเป็นปัญญา  เป็นปัญญินทรีย์ จนเต็มเป็นปัญญาพละ ในองค์ 6 ของสัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ

ความเข้าใจตั้งแต่ทิฏฐิเป็นประธาน ก็จะเกิดงานอาชีพที่มีสัมมา สัมมาของ สังกัปปะ สัมมาของวาจา สัมมาของกัมมันตะ ของอาชีวะ มีสติ และความเพียรช่วย รวมแล้วจะเกิดสัมมาทิฏฐิอันใหม่ ที่เป็นประธานอันใหม่ ที่จริงกว่า ถูกกว่า เสริมกันไปเป็นรอบๆ เพิ่มสัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ รอบใหม่อีก มีต้นทุนของสัมมาทิฏฐิที่เพิ่มขึ้นอีก ไปปรับปรุง  สัมมา สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เพิ่มขึ้นอีก 

ปัญญาไม่ได้เกิดอย่างตื้นๆ ในองค์ 6 ของสัมมาทิฏฐิ พระไตรปิฎก เล่ม 14  ข้อ 258 ปฏิบัติไปจะเข้ากระแสไม่ตกต่ำ

มีสองคำคือ อวินิปาต คือเจริญ ไม่มีตกต่ำอีกเลย

แต่ อติวินิปาต คือตกต่ำจนไม่มีตกต่ำได้อีกเลย เป็นการทำให้ตกต่ำไปยิ่งขึ้น

ส่วนอวินิปาตคือมีแต่เจริญขึ้นไม่มีตกต่ำอีก แต่อติวินิปาตคือการทำลายให้ลงต่ำไปเรื่อยๆ ส่วนอวินิปาตคือไม่มีทางลง มีแต่ขึ้นๆๆๆ

อวินิปาต กับ อติวินิปาต คือสองคำที่คนละขั้วเลย

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คำใดที่จริงจงพูดว่าคำนั้นเป็นคำที่จริง คำใดเป็นคำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นว่าเป็นคำไม่จริง อันนี้แหละสำคัญ อาตมาเหมือนกับดันทุรังเหมือนเอาชนะ พูดซ้ำซากว่าเหมือนตนเองถูก เพราะพระพุทธเจ้าว่า อันไหนถูกก็ต้องยืนยันว่าถูก

อาจารย์กุ้งว่า...พูดด้วยเมตตาธรรม

พ่อครูว่า...ไม่ได้พูดเพราะต้องการข่ม แต่พูดด้วยเมตตา คนที่ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน แต่คนอื่นที่ไม่ดึงดันดื้อด้านเกินก็เปลี่ยนแปลง คือการตีงูให้กากิน เราเองก็ทำไปให้เป็นผลพลอยได้

อาจารย์กุ้งว่า...ผมก็มักบอกลูกๆว่า เชื่อตามที่พ่อพูดเถอะ เราก็เคยได้รับคำบอกจากปู่ย่าตายายเช่นนี้ ถ้าดูรายการวันนี้ ก็น่าจะฟังแล้วโยนิโสมนสิการ มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดโทษ แต่ส่วนใหญ่มนุษย์หรือคนในสังคมจะมีความคิดที่จะแย้งไว้ก่อน ไม่พยายามที่จะฟังแล้วมองว่าสิ่งที่บอกคืออะไร สิ่งที่พ่อครูพูดนี้ผมเข้าใจเลย คนที่ไม่ฟังก็จะเหมือนกับมีบาปที่ไม่เปิดใจรับฟัง

พ่อครูว่า...ถ้าขืนยึดอัตตาตัวเองมันจะเป็นอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้นก็อย่าไปยึดตัวตน ให้ฟังไปเถอะ อาตมาบอกข้อด้อยหรือข้อเด่นอะไร อย่างในหลวง อาตมาก็บอกข้อเด่นของท่านเยอะ ในหลวงท่านก็มีโครงการได้ถึง 4000 กว่าโครงการ อาตมานี้มีโครงการไม่เท่าไรเลย ยกตัวอย่างเช่น โครงการพากันมากินมังสวิรัติ ตอนนี้ได้เท่าไหร่ โครงการทำตลาดอาริยะ อาตมานับโครงการจะได้ถึงร้อยโครงการไหมนี่ แต่ในหลวง 4000 กว่าโครงการ แล้วท่านทำให้เห็น แล้วมีมวลที่ทำตามมั้ย? ตอนนี้โครงการในหลวงไปทั่วโลกแล้ว แต่อาตมาต้องทำโครงการให้เป็นผล แม้แต่มังสวิรัติก็ต้องทำต่อไป โครงการให้ชุมชนเป็นคนจนก็ต้องทำต่อไปได้เท่านี้ ต้องการให้มีพืชผักไร้สารพิษก็ทำไปได้เท่านี้ โครงการจัดทำให้เป็นธรรมชาติมีดินน้ำไฟลมมีน้ำตก ภูเขา มีพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ได้แค่นี้

อาจารย์กุ้งว่า...ผมมองตามผมมาตอนนี้ได้แค่นี้ แต่ต่อไปจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

พ่อครูว่า...อาตมาถึงยากแม้แต่สิ่งที่จะเกิดก็น้อยแล้วก็ทำยากด้วยมันเป็นนามธรรม

ในหลวงตรัสว่าแบบคนจน แบบพอเพียง แต่ด็อกเตอร์สุเมธก็มาขยายความว่าแบบพอเพียงนี้รวยก็ได้ แต่อาตมาต้องเน้นว่าต้องมาจน ถึงต้องมาทำสิ่งที่ยากอย่างนี้

อันนี้ก็เป็นความหมายที่ยืนยันของพระพุทธเจ้าที่ท่านยืนยันมาแล้ว

วันนี้อาตมาก็เรียบเรียงมา โดยเอาคุณไชยบูลย์ที่จะขยายความให้ฟัง ขออภัยที่ต้องพูดให้ตรงตามเนื้อผ้า โดยใช้ภาษาที่ตรงความเป็นจริง ให้คนรู้จักรู้แจ้งความจริงนั้นว่า มันชั่วมันหนักขนาดนี้เลย จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ใจในใจของอาตมาเป็นกลาง จริงๆ ไม่มีอาการโกรธ ไม่มีอาการไม่ชอบใจใดๆ เลย ไม่มีอกุศลจิตเลย สรุปว่าขอพูดความจริงตามบริสุทธิ์ใจ

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสคือ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง คือตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ชมในสิ่งที่ควรชม คนที่รู้เหมือนกับอาตมารู้ก็มี แต่เขาไม่กล้า แต่อาตมากล้า ก็ไม่ใช่กล้าอย่างห่ามๆ แต่มันต้องพูดความจริง อันนี้ตามที่อาตมาเห็นว่ากล้าได้นะ ถ้าอาตมาเองรู้ว่ามีคนมาทำลายศาสนา ทำให้ศาสนาผิดเพี้ยนและเสื่อมอยู่ ถ้าอาตมาไม่กล้าที่จะบอกความจริงนั้น อาตมาแข็งแรงหรือไม่ ….ก็อ่อนแอ ไม่แข็งแรง อาตมาก็ว่า อาตมาไม่ได้อยากเป็นคนแข็งแรง แต่มันต้องแข็งแรง มันต้องทำ ถ้าอาตมาไม่ทำ อาตมาถือว่าอาตมาทรยศต่อศาสนา

ถ้าเห็นเขาทำลายศาสนาอยู่ ทั้งที่เราได้ดี เราได้สบายมาจากศาสนา เราได้สุขที่สงบจากศาสนา แล้วคนมาทำลายสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่เราอย่างชัดเจน แต่เราก็ยังเฉย อาตมาว่าอย่างนี้อกตัญญูหรือเปล่า อาตมาไม่เป็นหรอกคนอกตัญญู

คนที่ไม่เห็นควรกับอาตมาก็อาจจะมี แต่อาตมาทำตาม มหาปเทส 4

อาตมาว่า นายไชยบูลย์เขาไม่รู้ตัวเองสักนิดเลย เขาหลงผิด เขามิจฉาทิฐิ เขาไม่ใช่คนที่มีความโง่ เขาไม่ใช่คนโง่เขลา เขาฉลาดจะตาย ฉลาดจริงๆ ฉลาดเป็นกรดเลย แต่ความฉลาดแบบนี้ภาษาบาลีเรียกว่าเฉโก หรือเฉกตา

ความฉลาดเฉียบแหลมแบบเฉโก หรือเฉกตา  เป็นความฉลาดที่ต่างจากปัญญา ปัญญาเป็นความฉลาดทางโลกุตระ

ปุถุชนทุกคนโดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่คนมีปัญญา ปุถุชนคือคนที่ยังหลงในอบายมุข เขายังไม่มีปัญญา เขายังมีความเฉกา เฉโก(พหูพจน์) หรือเฉกตา(เอกพจน์)

สรุปแล้วปุถุชนทุกคนโดยพื้นฐานยังไม่ใช่คนที่มีปัญญา แต่เป็นคนเฉกา

 

ความฉลาดเฉียบแหลม ที่เป็น“เฉกตา” หรือเฉกะที่แปลว่า ฉลาดนี้ เป็น“ความเฉลียวฉลาด”ที่ต่างไปจากคำว่า“ปัญญา”อย่างมีนัยสำคัญชนิดตรงกันข้ามกันคนละขั้วเลย

“ปุถุชน”ทุกคนนั้น โดยพื้นฐานยังมิใช่คนมี“ปัญญา” เป็นคนมีแค่“เฉโก”เท่านั้น ตามปกติ

แม้บางคนจะเฉลียวฉลาดมาก-ฉลาดเยี่ยม แต่“ความฉลาด”ของปุถุชนคือ “เฉกตาหรือเฉโก”ทั้งนั้น  ยังไม่ใช่“ปัญญา”เด็ดขาด

แต่ศัพท์คำว่า “เฉกะหรือเฉโกหรือเฉกตา”มันมี“ความอาภัพ”ที่ถูกปุถุชนทั้งหลายได้“ลืม”มันสนิทแล้ว  มัน“ถูกทิ้ง”ไปเสียแล้ว

โดยคนพากัน“หลงผิด”มายึดเอาคำว่า “ปัญญา”ที่แปลว่า“ความฉลาด”อันเป็นนัยะทาง“โลกุตระ”แท้ๆไปใช้แทนคำว่า“เฉกา”อันเป็น“โลกียะ”จริงๆเสียหมด มานานแสนนาน

เพราะใครๆก็รู้ว่าฉลาดอย่าง“เฉกา”นั้นมันชั่ว มันฉลาดโกง มันฉลาดมีกิเลส คนจึงไม่นิยม และไม่ชอบที่จะ“ได้รับคำชมว่าตน“เฉโก-เฉกา-เฉกะ” หรือตนเป็นคน“ฉลาดขี้โกง”ไง อาตมาก็เคยทำแบบนี้มา คนโลกีย์ ขี้โกงเอาคำว่าปัญญามาใช้แทน แต่จริงๆแล้วคุณแค่เฉกา ฉลาดขี้โกงแต่ก็เอาคำว่าปัญญามาแทน ไปไหนก็เรียกว่าฉันมีปัญญา แต่แท้จริงคือเฉกา ใครๆก็รู้ว่าเฉกาคือชั่ว มันฉลาดมีกิเลส คนก็เลยไม่นิยมไม่ชอบคำว่าเฉกา คือความอาภัพ ของคำว่าเฉกา แม้ชาวโลกีย์ก็ทิ้งไม่ดูดำดูดี

คำว่า“เฉกะ-เฉกา”จึง“ถูกทิ้ง”มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ มันได้“ถูกทิ้ง”จนคนไม่รู้จักมันแล้วว่า มันคือความฉลาดที่“ปุถุชนมีกันจริงๆ” ตามความเป็น“โลกียะ”สามัญของคน

พออาตมา“ไขความจริง”นี้ขึ้นมา แต่ประวัติศาสตร์หรือตำนานมันได้ทิ้งหรือห่างไกลมานานมากแล้ว จนกระทั่งไม่มีคนใดจะสามารถ“ระลึกชาติ” และไม่มีบันทึกหลักฐานใดยืนยันไว้ได้ จึงไม่ค่อยมีคนมั่นใจว่าจะเป็น“ความจริง”

อาตมาศึกษาธรรมะมาขนาดนี้แล้ว ถ้ารู้ว่าผิดหรือชั่วจะพูดหรือทำทำไม กรรมเป็นอันทำ จะสะสมกรรมชั่วไปทำไมอาตมารู้แล้วก็ไม่ทำหรอก จะไปโกหกพวกคุณทำไม ถ้าไม่มั่นใจไม่พูด เพราะว่าขาดทุน อาตมามั่นใจว่าอันนี้ไม่ผิดก็จบ อาตมาจึงเป็นคนไม่มีปัญหา เพราะอาตมาเป็นคนมีปัญญา คนฟังก็หมั่นไส้ อาตมาว่าอาตมาพูดความจริง ปัญหานั้นอาตมาไม่เอาแล้ว

หนึ่งอาตมารู้ปัญหานี้ก็อธิบายยืนยันว่าอาตมาแก้ไม่ได้ แต่ปัญหาใดอาตมาแก้ไม่ได้ไม่รู้จริงๆก็โยนทิ้ง ปัญหาอาตมาไม่เอา อย่าหาว่าอาตมาไม่มีปัญญาก็ได้อาตมาไม่รู้จริงๆ ยอมรับความเป็นจริง แก้ให้ไม่ได้ แล้วคุณจะบอกว่าโง่ก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ว่าอะไร แต่อันไหนอาตมาแก้ได้ก็อธิบายให้ แต่อธิบายแล้วคุณเองก็ดันไม่เข้าใจเสียอีก อาตมาจะไปบีบคอให้เข้าใจก็ไม่ได้ ตายคามือเปล่าๆก็ต้องใช้ปัญญาของเขาภูมิของเขาที่จะรับได้

อาตมาพูดไปก็ "I Don't Care If the Sun Don't Shine"

อาตมาจึงยากมากที่จะทำให้คนยุคนี้เชื่อได้ แต่อาตมาก็ไม่ท้อหรอก อาตมาทำงานก็ยังมีคนเข้าใจได้อยู่ ไม่สูญเปล่า จะเท่าไหร่ก็ตามแต่สัจจะ แม้จะน้อยคน ที่เข้าใจในสัจจะนี้เท่าที่เหตุปัจจัยของยุคนี้มีอยู่จริง

อาตมาจึงไม่มี“ปัญหา” เพราะอาตมาพอมี“ปัญญา”เข้าใจความจริงนี้จริงๆ อาตมาก็พอใจแล้ว  ตามที่ได้ที่มีที่เป็น จะแค่นี้ก็ดีแล้ว อาตมาไม่ตะกละหรอก  แต่ถ้าเป็นได้ มีได้มากกว่านี้มันก็ดีแน่ๆ ใช่มั้ย?  ใครจะโง่ไม่เอา  “ดี” จึงควรเกิดขึ้นมากๆๆ ..ช่วยกันเข้า 

สำหรับอาตมาก็ขอทำงานต่อไปอีก ตามความอุตสาหะที่อาตมามี เต็มตามกำลัง จะพยายามอดทนฝืนสู้ทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะรักษา“ขันธ์”ที่มีอยู่นี้ให้ทำงานได้นานที่สุด

เต็มที่ ที่จะทำได้สุดๆ

สรุป ความฉลาดอย่าง“เฉกา”ในยุคนี้ ถูกคนทิ้งไปแล้ว คนทั้งหลายได้มาหลงใช้คำว่า“ปัญญา”แทนคำว่า“เฉกา”ไปแล้ว ทั้งๆที่ความเข้าใจของคนมัน“ผิดสัจจะ”ไปแท้ๆ

คำว่า“ปัญญา”ในทุกวันนี้ คนทั้งหลายส่วนมากในยุคนี้จึงเข้าใจ“ผิดไปจากความจริงแท้” และใช้“ผิด”กันทั้งนั้น เห็นจริงนี้ได้มั้ย?

พอเข้าใจได้มั้ยว่า “ปุถุชน”ไม่ใช่คนมี“ปัญญา”หรอก เพียงแค่มี“เฉกะ”เท่านั้นเพราะคำว่า“ปัญญา”เป็น“ความฉลาด”ที่มีคุณสมบัติทาง“โลกุตระ” มิใช่“โลกียะ”เลย

ปุถุชนมีแต่“ความฉลาด”ที่เป็น“เฉกะหรือเฉกา” แม้จะฉลาดถึงขั้นจบปริญญาเอก -จบเปรียญ 9 หรือยกกันเป็นปราชญ์ ยกกันเป็นอัจฉริยะเพราะมีคุณสมบัติเป็นคนยอดฉลาดทาง“โลกีย์”ของปุถุชนปานใดๆก็ตาม ล้วนคือ “ฉลาดเฉกะหรือเฉกา”เท่านั้นยังไม่ใช่“ปัญโญหรือปัญญา”เลย

ตั้งใจฟังดีๆ และไตร่ตรองพินิจให้ทะลุ เราจะศึกษาเนื้อแท้ๆ(วิมังสา)ของคำว่า “ปัญญา”กับคำว่า“เฉโก-เฉกา-เฉกตา”ให้รู้แจ้งแทงทะลุกันชัดๆ จริงๆ แจ่มๆเจ๋งๆ ว่า มันยังไง?  แค่ไหนกันแน่?

เริ่มต้นต้องรู้กันก่อนใดอื่นว่า จะเป็น “เฉโก”ก็ดี “เฉกะ”ก็ดีนั้น มันหมายถึง ความฉลาดปราดเปรื่องแท้ๆ ที่ปุถุชนคน“โลกียะ” แต่ละคน ทุกคนมีมาก่อน“โลกุตรธรรม” “โลกียธรรม”เกิดก่อน“โลกุตรธรรม”

ดังนั้น “สังขาร”ที่เกิดจาก“อวิชชา”เป็นเหตุ ก็คือ “สังขาร”ที่ดำเนินไปด้วย“เฉกะ” ของคนอันมี“ตัวเหตุเป็นกิเลส”ในจิต บงการอยู่นั่นเองทั้งสิ้น  

 

ความเห็นแก่ตัวเริ่มตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว แล้วก็พัฒนาเป็นสัตว์ที่ใหญ่ขึ้นก็จะมีอัตตามีกิเลสที่แย่งชิงเอาชนะคะคาน สะสมอัตตาที่เป็นกิเลสเข้าไปสู่อัตภาพ คนจึงมีอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดมา

“อวิชชา”เกิดก่อน...“สังขาร”จึงเกิดปุถุชนคนทั้งหลายจึงเกิดด้วย“อวิชชา”แท้ๆเป็น“เหตุ” ตามหลัก“ปฏิจจสมุปบาท”ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้

ยังไม่มีกระแสแห่งโลกกุตระเข้าไปในจิตของเขาเลย ไม่มีโสตาปันนะ คือจิตเข้ากระแส ถ้าพลังงานฉลาดของคุณเข้าสู่โลกุตระน้อยหรือมากตามลำดับ ก็จะเป็น

โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ

ถ้ามีสองส่วนไม่เลยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังตกต่ำได้ ต้องมีพลังงานมากพอที่พวกพลังงานโลกีย์ดึงเอาไปไม่ได้ เป็นนิยตะ เที่ยงแท้แน่นอน เข้าไปเกินสามในสี่ ก็เป็นสัมโพธิปรายนะ เลยนิยตะไปแล้ว

นิยตโพธิสัตว์กับมหาโพธิสัตว์ เป็นช่องว่างที่ไม่มีพลังงานใดไปดึงออกไปได้ ตั้งแต่นิยตะก็ไม่มีพลังใดดึงได้แล้ว แต่อยู่ที่ไม่ประมาท ถ้าประมาทก็จะนานช้าแต่ดึงลงไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าความไม่ประมาทเป็นที่รวมลงหมด สรุปลงที่อย่าประมาท เผื่อไว้เลย คุณมีร้อยก็อย่าใช้ร้อย มีร้อยก็ถ่อมตนไว้ อย่าเอาร้อยไปแข่งเขาใช้แค่ เจ็ดสิบ หกสิบก็พอ ใครจะว่าเราไม่เก่งก็ไม่เป็นไร

ใครทำมากเกินตัวคนนี้ไม่มีภูมิคุ้มกันหมดตัวเลยนะ ตายได้ง่ายๆ จำไว้เลยอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ อย่าหยิ่งผยองเลย อย่าอวดดี

 

ปางนี้อาตมามีความจริงใจจะมาขยายความละเอียดลึกซึ้ง อาตมาอยู่ในสายปัญญา พากเพียรหมายถึงปางนี้อาตมาจึงจะต้องทำต่อ จนกว่าศาสนาพุทธของพระสมณโคดมจะสิ้นสุด

อาจารย์กุ้งว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็เตือนพระอรหันต์ว่าอย่าประมาท

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าท่านเตือนอรหันต์ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญเป็นอันตรายแสบเผ็ดสำหรับเธอ พระอรหันต์ไม่ได้ยินดีในลาภสักการะต่างๆแล้ว อันนี้ก็เข้าใจยาก อาตมาก็อธิบาย

พระอรหันต์ท่านเองไม่หลงในลาภสรรเสริญ ที่เป็นโลกียแล้ว แต่ว่า ถ้าท่านเองไปอนุโลมปฏิโลม แล้วคนเขาก็เพ่งมอง คนที่ยึดมั่นถือมั่น เขาไม่เข้าใจว่าเราอนุโลม เขาก็จะเข้าใจว่าโกหก เขาก็จะเชื่อว่าพระอรหันต์ไม่จริง การที่จะทำให้คนอื่นเขาเข้าใจว่าสิ่งไหนจริง เป็นสิ่งไม่จริง พระอรหันต์จะยิ่งเสีย มันไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าอย่าประมาทเลย ถ้าคนฟังไม่เข้าใจ แต่เราอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่เป็นไร

อาจารย์กุ้งว่า..อย่างไรก็ต้องยึดถือความถูกต้อง แต่ถ้าพระอรหันต์อนุโลมแล้วคนอื่นเข้าใจผิด อันนี้เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด ก็เหมือนกับการไปสร้างจริงที่ไม่ถูกต้อง ให้กับคนอื่น

พ่อครูว่า ท่านจะไม่ไปข่มเขา ท่านจะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ถ้าท่านไปทำ เบ่งใหญ่ก็จะเกิดความเสียหาย

อย่างในหลวงท่านจะไม่ทำลักษณะนั้นเลย อาตมาเสียอีกที่แหลมไปกว่า ท่านก็ทำอย่างหน้าที่ท่าน แต่อาตมาไม่เหมือนท่าน

 

สรุป ความเฉลียวฉลาด“โลกียะ”จึงเป็นความเฉลียวฉลาดที่ฉลาดด้วย“กิเลส” ที่มันสามารถมากๆ และ“เก่ง”ยิ่งๆ

ซึ่งมันยังไม่มีกระแสหรือพลังงานแห่งรังสีความเป็น“โลกุตระ”หยั่งลงไปในใจเลย

วัตถุไม่ใช่ตัวตัดสิน แต่จิตคุณยินดีในวัตถุนั้นไหม เป็นความยินดีในกิเลสในโลกียะนั้น พระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้ที่อารมณ์ ความรู้สึกหรือเวทนา คุณต้องรู้จัก เวทนาเป็นตัวหนึ่งของนามธรรม (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ในพรหมชาลสูตรยืนยันว่า ผัสสะจะเกิดได้ต้องมีการกระทบสัมผัสภายนอกทางทวารนอก ถ้าไม่มีอันนั้นไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ จึงไม่มีเวทนาเป็นฐานในการปฏิบัติเลยภายนอก ขอยืนยันว่าเวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ แต่เขาไปหลงกรรมฐานอย่างเอาลมหายใจเป็นกรรมฐาน เป็นอานาปานสติก็เป็นการทำสมถะอยู่กับลมหายใจเข้าออกไม่ได้อ่าน เวทนา ลมหายใจก็คือดิน น้ำ ไฟ ลมอากาศ เป็นมหาภูตรูป กายนั้นไม่ได้เอาเฉพาะภายนอก แต่มีทั้งภายนอกและเกี่ยวกับจิต แล้วพระพุทธเจ้าให้พิจารณาที่จิตด้วยเพราะ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

ฐานแท้อยู่ที่อารมณ์ความรู้สึก การรู้สึก เสพรสในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สัมผัสเสียดสีทางกาย ขนาดเรื่องหยาบๆ กินหมาก สูบบุหรี่มวนยาวเฉยเลย ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเสพรสยังเข้าใจไม่ได้ในเรื่องตื้นๆเลย

คนที่ศึกษามาแล้ว ก็จะบอกว่าโธ่เอ๋ยไปติดได้อย่างไร

คนที่ติดสูบบุหรี่กับคนที่ติดกินน้ำหวานคนไหนสูงกว่ากัน น้ำหวานยังมีธาตุอาหาร ยังไม่หยาบเท่าการสูบบุหรี่ ขอยืนยันอ้างอิงว่า ท่านพุทธทาสติดน้ำหวาน ท่านไม่ติดบุหรี่ยาหมากพลู ไปไหนมาไหนก็ต้องมีลูกศิษย์เอาน้ำหวานไปด้วย ก็แสดงว่าท่านพุทธทาส ยังสูงกว่าคนที่ติดบุหรี่ติดหมาก ขออภัยที่พูดเป็นการศึกษา ขออภัยท่านที่กล่าวถึง ที่คนหลงว่าเป็นอรหันต์กินหมากดูดบุหรี่ ก็เป็นการศึกษา

ผู้ที่มีญาณปัญญาอ่านพลังงานเวทนาได้ ว่าอาการอย่างนี้เรารู้สึกอร่อย รู้สึกชอบใจ ภาษาบาลีเรียกว่า ปหาสะ (รื่นรมย์ใจ) เรียกว่าขิฑฑา ก็ได้ เป็นรสเสพอร่อยสนุกเพลิดเพลิน เป็นรสโลกีย์ รสเก๊ ทั้งที่จริงๆคือมันเป็นรสอารมณ์เฉยๆจืดๆเป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนจริงๆ แต่เมื่อเราไปแตะรสน้ำตาล คนชาติไหนก็รู้สึกรสชาติเหมือนกันหมด เรียกว่ารสแท้ แต่ถ้ามีรสชาติที่ว่าดึงดูดชอบหรือไม่ชอบอันนี้รสเก๊ เป็นธรรมะสอง ถ้าอ่านออก รู้ได้ก็ต้องทำให้ธรรมสองหรือรสเก๊จางคลายได้ ทำได้เรียกว่าเข้ากระแส ได้ส่วนแห่งบุญ เรียกว่าการชำระได้ส่วนแห่งบุญมากขึ้นก็ชำระได้มากขึ้น ส่วนแห่งบุญนี้ไม่ได้ได้อะไร แต่เป็นการเอาออกเป็นการสละออก

ต้องอ่านอาการ ลิงค อุเทส ถ้าอุเทสก็เอาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมาขยายความให้ชัดเจน แต่นิเทศนี้กว้างๆ แต่ไม่มีรายละเอียด ผู้ใดที่สามารถอ่านกระแสพลังงานจิตว่าเราออกจากอาการที่ติดยึดที่ชอบได้ นั่นคือกำลังเนกขัมมะ เนกขัมมะมาได้เรื่อยๆถึงกลางๆเรียกว่าอุเบกขา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา

อาจารย์กุ้งว่า...ไม่ต้องไปบวชชีพราหมณ์นะครับ

พ่อครูว่า...ผู้ที่บวชแล้วก็มีสัญญาประชาคมว่า ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาลดกิเลส แต่ถ้าทำตนเองไม่ถูกต้องก็จะมีบาปมากกว่าผู้ที่ไม่ได้บวช แต่ผู้บวชนี้มีโอกาสมากที่จะบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด มีเวลา ศึกษาปฏิบัติได้อย่างมากกว่า การปฏิบัติก็จะมีหลักเกณฑ์มีศีล มีวินัยนะ ถ้าผิดมากเขาก็ไล่ออก

มาถึงยุคนี้อาตมาถึงต้องพิสูจน์สัจจะที่ไม่ต้องอยู่ในคราบนักบวชก็บรรลุได้ เป็นพระอรหันต์ก็ได้แล้วไปทำงานให้กับโลก คนที่เป็นนักบวชกับคนที่เป็น ฆราวาสเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็จะมีการทำหน้าที่ต่างกัน แต่ในยุคนี้ต้องการฆราวาสที่เป็นผู้ที่ละกิเลสได้จริงก็ไปทำงานกับทางโลกได้อย่างดี

ในเถรวาทนั้นเข้าใจว่า จะเป็นอรหันต์ต้องมาบวช แล้วเป็นอรหันต์ถ้าไม่บวชก็จะตายในเจ็ดวัน เป็นอรหันต์แล้วตายแล้วสูญ อย่างนี้ศาสนาก็สืบสานไปไม่ได้หรอก เพราะว่าต้องสั่งสม โพธิสัตวภูมิ จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าก็จะเป็นสมัยเดียวเท่านั้น ก็จะปรินิพพานไป อย่างเช่นพระสมณโคดมก็ทำงานไป 45 ปีแล้วก็ปรินิพพานให้คนอื่นสืบสานต่อ

ถ้าอาตมาไม่มีสิ่งจริงๆแล้วจะเอาอะไรมาอธิบายอย่างนี้ พวกคุณก็ต้องย้อนแย้งอาตมาได้ โชคดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกหรือแม้แต่พระอรรถกถาจารย์ที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็บันทึกไว้ เช่นอุตุนิยาม พีชนิยาม ก็ไม่มีในพระไตรปิฎกของเถรวาท แต่คัดมาจากอรรถกถาจารย์ อาตมาก็เข้าใจเลยว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ท่านพุทธโฆษาจารย์ไม่มีปัญญาตั้งบัญญัตินี้หรอก เพราะในวิสุทธิมรรค ก็ไม่มีการอธิบายนิยาม 5 นี้โดยพิสดารอย่างอาตมาหรอก ท่านพุทธโฆษาจารย์ก็บรรยายความละเอียดนี้ไม่ได้ เพราะหลายอย่างท่านก็ยังเป็นเทวนิยมอยู่อีกเยอะ

ขออภัยที่พูดเหมือนข่ม แต่สิ่งที่ผิดสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องรีบเอาออก ส่วนสิ่งที่ดีอยู่แล้วก็ดีอยู่แล้วไม่เป็นโทษภัยไม่ต้องรีบเหมือนสิ่งไม่ดีที่ต้องรีบบอกให้เอาออก

พระพุทธเจ้าว่า  "บุคคลพึงเห็นผู้มีปัญญาใด   ซึ่งเป็นผู้กล่าว                      นิคคหะ ชี้โทษ ว่าเป็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้, พึงคบผู้มีปัญญาเช่นนั้น ซึ่งเป็นบัณฑิต, ( เพราะว่า)  เมื่อคบท่านผู้เช่นนั้น  มีแต่คุณอย่างประเสริฐ   ไม่มี                    โทษที่ลามก."                         

โสตาปันนะคือเข้ากระแส แล้วอย่าให้ตกต่ำคืออวินิปาตธรรม พากเพียรให้ได้มากกว่าสองในสี่ ต้องให้ได้สัก 75 ใน 100 ท่านถึงบอกว่าเป็นนิยตะแต่อย่าประมาท ประมาทไม่ได้ ผู้ที่ไม่ประมาทก็จะต้องทำให้แข็งแรงจาก 75 เป็น 80 เป็น 90 ก็จะเป็นสัมโพธิปรายนะ

เขาไปแปลเอกพีชีกับ สกิทาคามีว่าชีวิตเดียว

เอกพีชี คือลึกซึ้งกว่าสกิทาคามี คือท่านมีความสามารถก้าวหน้าข้ามขั้นกว่า จนถ้าพระโสดาบันองค์ใดที่มีความสามารถเก่งมาก จนกระทั่งสามารถจะปฏิบัติตัวสุดท้ายเลย pass ชั้นได้ ในชาตินั้นพระโสดาบันสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้เลย อันนี้คือความสามารถพิเศษของพระโสดาบัน คือทำเชื้อพีชะได้ เป็นอรหันต์เลย โสดาบันจึงเป็นอรหันต์ได้เลย

ส่วนสกิทาคามี ในชาติแต่ละชาติก็จะไล่ไปตามลำดับ ข้ามอนาคามีไม่ได้ แต่โสดาบันนั้นพิเศษ เอกพีชี เกิดในชาติโสดาบันแท้ๆ แต่ pass ไปเป็นอรหันต์ แต่สกิทาคามีก็ต้องไปเป็นอนาคามีก่อนเป็นอรหันต์ สูงสุดถ้าชาตินี้เป็นสกิทาคามีชาติหน้าเป็นอรหันต์

สกิทาคามีเป็นกามภพ แต่อนาคามีเป็นภวภพนะ

ที่พูดนี้ได้อานิสงส์แห่งการฟังธรรมกันไหม

1.      ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.      ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.      ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.      ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .

5.      จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

อาจารย์กุ้งสรุปว่า วันนี้พ่อครูได้อธิบายเรื่องฉลาดแบบปัญญากับเฉกา และสิ่งที่ทุกคนต้องทำคือไม่ประมาท ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:07:01 )

591102

รายละเอียด

591102_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วางใจอย่างมีมุทุภูตธาตุ

ตอบ...จะโกรธหรือไม่โกรธนั้น เอาตัวเองเป็นที่ตัดสิน ไม่เอาคนอื่นเป็นตัวตัดสิน เราอ่านใจเราให้ได้ ถ้าจิตใจเราไม่สงบนิ่ง มันไม่มีอาการ ไม่มีอาการชอบอาการชังอาการดิ้น เป็นสภาวะสูงสุดของความสงบ ไม่มีพลังงาน ผลักหรือดูด เป็นอุเบกขาเป็นฐานนิพพาน รู้ความจริงตามความเป็นจริง จะมีร้อยก็รู้ร้อย จะมี 1,000 ก็รู้ 1,000 จะมี 1 ล้านก็รู้ 1 ล้านไม่มี อันตา ไม่มีปลาย ไม่มีเข้าไม่มีออกไม่มีผลักมีดูด ยากมากที่จะอ่าน แต่ก็ต้องฝึกไป ให้รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

อาการกลางนี้ต่างจากอาการที่มีการกระดิก ใครที่ทำได้ก็จะเหมือนกัน คุณก็ต้องอ่านอาการนี้ให้ชัด ปัญญาหรือความเป็นจริงที่มีธาตุรู้อย่างรู้ได้ด้วยปัญญา ก็จะฝึกฝนอบรมให้เก่งขึ้นรู้ความจริงมากขึ้น

อาจารย์กุ้งว่า...ที่ว่าเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เวลาขึ้นเสียงดัง รอสักครู่ก็รู้ว่าหัวใจเต้นเร็วแรงขึ้น เริ่มรู้สึกว่าเราใช้พลังแล้วแล้วเหนื่อย แล้วก็บอกว่ามันไม่ใช่อารมณ์ที่เราจะเป็นมันไม่มีความสุข มันเป็นอารมณ์ความร้อนความรุนแรง สภาวะที่เราฝึกฝนตามที่ พ่อครูสอน ให้รู้เท่าทันในสิ่งนี้ให้รวดเร็วแล้วกำจัดมันอย่างรวดเร็ว คือสภาวะที่มีสติสัมปชัญญะ ใช่หรือไม่

พ่อครูว่า..ใช่ ถ้าเราทำได้ทำได้ว่ามี มุทุภูตธาตุ มีไหวพริบรู้ได้เร็วๆแล้ว 2 ทำการระงับได้ด้วย มีเจโต และปัญญา ระงับได้ จิตจะให้รู้เร็วระงับเร็วมีมุทุภูตธาตุ

ลหุ มุทุ กัมมัญญตา

กัมมัญญตาคือเรารู้แล้วกำหนด กัมมะ อัญญะ อัตตะ

คำว่าอัญญาคือความรู้เราควรจะทำก็ทำงาน กัมมัน ด้วยจิตที่พยายามปรับจิตตัวเอง ปรับให้ได้เท่าที่ต้องการ บางทีเราต้องการจะให้เสียงดัง ถ้าไมดังมันไม่ได้ไม่หยุด เรารู้ว่าถ้าบอกไม่หยุด ต้องดังถึงจะหยุด ที่ว่าเล่นกับหมาหมาเลียปาก ต้องขู่มัน ต้องเอาจริงมันถึงจะไม่เล่น ต้องทำงานอย่างที่ควร เรามีเจตนาจะใช้อย่างนี้ เราก็ใช้ ต้องการให้ได้ผล มันเป็นอัตโนมัติอย่างหนึ่ง

ก็มันมีลักษณะจริงใจเมตตาที่จะต้องใช้ความแรง เช่น พ่อแม่ใช้กับลูก เรารู้ว่าลูกคนนี้ถ้าพูดเบาๆอย่างนี้มันไม่หยุดหรอก เราก็ต้องแรงแล้วมันก็จะหยุด หรือบางทีลูกบางคน ถ้าพูดดังๆนี้มันยิ่งจะประชดต้องพูดเบา ถ้าพูดแรงมันจะยิ่งไม่หยุด พ่อแม่ที่ฉลาดจะไม่ใช้ไม้แรงขึ้น ถ้ายิ่งแรงมันจะเสริมแรงตอบ เราจะต้องใช้ไม้อ่อน เราควรจะรู้ว่าจะใช้ไม้แรงหรือเบา

อย่างอาตมาพูดจาดุเดือดกับธัมมชโย ยิ่งพูดจาเบามันยิ่งไม่ได้เรื่อง ต้องเสียสละ ถ้าเราพูดแรงคนที่ติดยึดว่าการพูดอะไรไม่สุภาพเขาก็จะถือสา ว่าการพูดแรงที่ใช้ไม่ได้ เราก็เสียรังวัด คนพลอยถือสา ว่าอันนี้ไม่ใช่ อันนี้เป็นวิบากซ้อนที่อาตมาต้องรับวิบากจากคนไม่ชอบใจ แต่ถ้าธัมมชโยจะได้ยินได้ฟังบ้าง อาตมาเชื่อว่าเขาตีทิ้งหมด เขาไม่เชื่อว่าอาตมามีสาระอะไร จะไม่นำพาอะไร เขาก็จะยึดของเขาอย่างนั้น

แต่อาศัยว่าผู้รู้คนอื่นจะรับได้ ยกตัวอย่างลูกศิษย์ของธัมมชโยก็จะมีที่รับได้เป็นการตีงูให้กากิน กามันไม่กินหรอก แต่อันอื่นได้กินงู พวกบริวารจะพอรับซับซาบได้ ก็ที่ผ่านมามีธรรมกายมาให้ข้อมูลคนหนึ่ง

อาจารย์กุ้งว่า...ที่ว่า เฉลิม ชี้ ทักษิณ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม

พ่อครูว่า..อันนี้เป็นมหาปเทส คนไม่ประมาทจะไม่ดึงดัน ไม่ประมาท เราตัดสินอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบกรรมที่เราทำ กรรมเป็นอันทำ ทั้งนั้น

อาจารย์กุ้งว่า...พ่อครูให้เราฝึกฝนลดอกุศลกรรม ทำแต่กุศลกรรม เพราะทุกอย่างทำลงไปก็เป็นกรรม

อาการโกรธเกิดแล้วก็เป็นกรรมไม่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนไปทำให้เกิดความเยือกเย็น เราจะฝึกให้เกิดความเย็นภายในที่เรียกว่านิพพานอย่างถาวรใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า...อธิบายจุดที่อาศัย คือเย็น ว่าง เบา

มาขยายความปัญญาในองค์ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ

การปฏิบัติสมาธิของศาสนาพุทธนั้นปฏิบัติมากทั้ง 7 องค์ หลักการปฏิบัติสมาธิของที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธนั้นก็จะปฏิบัติแบบ สมถะกดข่ม การปฏิบัติมากทั้ง 7 องค์นั้นจะมีกรรมกิริยาทำอาชีพ ทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมต่างๆ ทำอาชีวะ ทำกัมมันตะ จะพูดจะทำจะคิดจะนึกไตร่ตรองอะไรเป็นสังกัปปะ ก็ต้องมาประมาณจัดการที่จิต

มันจะเป็นการกระทำตั้งแต่อาชีพ กรรม กริยาต่างๆ ก็ล้วนแต่มีเหตุจากจิต เหตุนั้นคืออาริยสัจ ที่เป็นตัวต้นเหตุให้ก่อกรรมกริยานั้น ให้เป็นอาชีพที่ไม่สุจริตเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต เป็นการพูดที่ไม่สุจริต ตัวเหตุตัวนี้คือตัวการ เพราะว่าคุณคิด แล้วไม่คิดเปล่า ก็ปล่อยให้อกุศลจิตมาร่วมปรุงแต่งเป็นพลังงานไปสู่วาจาและการกระทำ

ต้องจัดการตัวนี้ที่เป็นประธาน มีต้นเหตุมาจากในจิตใจ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาต่อว่าอย่างนั้นมันเป็นโทษภัยต่อผู้อื่น เป็นวิบากของเรา เราจะไปทำโทษภัยทำไม แค่นี้ก็จะคลายแล้ว เราจะไปสร้างภัยทำไม  แต่ถ้ามีกิเลสเอาชนะคะคานผู้อื่น เป็นมานะ อาตมาถึงไม่ส่งเสริมการไปเอาชนะแบบโลกีย์ แบบกาม แบบอัตตา พลังงานเหล่านี้อย่าไปแข่ง

อาจารย์กุ้งว่า..มันต้องชนะ ..มันต้อง..มันจะ..อึ๊ อึ๊ ...ยังงี้ครับ

พ่อครูว่า...ต้องมองว่าเราเป็นคนผิด เมื่อเรามาสร้างความสุขให้แก่ตัวเองแล้วจะไปสร้างความผิดทำไม เป็นปฏิภาณของคน ที่จริงแล้วจะทำทำไมล่ะ ในเรื่องที่ผิด ยิ่งเป็นกรรมทางกายวาจายิ่งมีน้ำหนักเยอะจะไปทำทำไม

อาจารย์กุ้งว่า...ถ้าเรารู้เท่าทันก็จะปล่อยวางก็จะลดทิฐิมานะโดยธรรมชาติ

พ่อครูว่า...ความเร็วของมุทุภูตธาตุ เธอทำให้ปรับจิตได้เร็ว รู้ได้เร็ว ปรับจิตได้ง่าย รู้ได้ง่าย จะมีความสามารถประเสริฐเจริญขึ้นได้ ตัวมุทุภูตธาตุนี้เป็นตัวต้นทาง ที่จะเป็นบารมีให้ปฏิบัติต่อไปได้

อาจารย์กุ้งว่า...ที่พ่อครู บอกว่าพามาจนนั้น ทั้งที่ทั่วไปนั้นให้พาไปรวย อันนี้ก็เป็นความชัดเจน ที่พวกเราก็มาจนกันได้ ถ้าเราทำงานหนักกันขนาดนี้แล้วอยากไปรวยนั้นก็จะรวยเละเลย มีความกินน้อยใช้น้อยด้วย ขยันทำงาน กินน้อยก็มีสิ่งเหลือมาก แต่เราก็กลับมาจนได้ เข้าสู่ส่วนกลาง มีส่วนกลางมากก็ไปทำตลาดอาริยะ เป็นองค์ธรรมสังคหวัตถุ มีความฉลาดในการสร้างผลผลิตและส่งเสริมให้เกิดคนดีมีความสามารถรวมประสานกันส่งเสริมสัมมาชีพ พ่อครูก็ใช้วาจาในการอบรมสั่งสอน เข้าสังคหวัตถุ 4

พ่อครูว่า...ทำให้แก่ส่วนกลางและส่วนรวมอย่างไม่มีอคติ

ก็ขอกล่าวถึงการภาษาอังกฤษนั้นที่มีฑูตของอเมริกา กล่าวสดุดีในหลวงในสหประชาชาติ ….อธิบายความอย่างที่เกิดขึ้นแล้วเขาใช้ศัพท์ว่า ท่านไม่ได้ทำเพื่อครอบครัวของท่าน แต่ท่านทำเพื่อประชาชนทุกคน ท่านเห็นว่าประชาชนทุกคนเป็นลูกของท่านหมด แต่ในหนังสือพิมพ์มติชนบอกว่า แปลว่าท่านเห็นแก่ครอบครัว อาตมาว่าเขาแปลยังไม่ถูก ถ้าบอกว่าเห็นแก่ครอบครัวก็เป็นความรักที่แคบ แต่มันไม่ใช่ ในหลวงนั้นเห็นว่าประชาชนทุกคนเป็นครอบครัวตัวเอง แต่การเห็นแต่ครอบครัวตัวเองนั้นมันแคบ อย่างทักษิณนี่แหละเห็นแก่ญาติแก่เพื่อนตัวเอง เป็นความรักในมิติที่ต่ำ ใช้ไม่ได้

 อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1RWk-OlG3pmzPOKu7EKgDuJ0Hao0fFBjgFvY9YWuKSUU

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfMGFqWnAzd0xCUVE


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:12:21 )

591103

รายละเอียด

591103_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ความรับผิดชอบต่อศาสนาพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน  2559 อาตมามีชีวิตอยู่ทางโลก 36 ปีก็ทำงานเพื่อลาภยศสรรเสริญ เพื่อแสวงหาความสุข สุขจากกาม จากอัตตา จนมาปฏิบัติธรรมออกบวช ก็เปลี่ยนชีวิต ไม่ได้ทำงานเพื่อแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ​เพื่อเสพกาม เสพอัตตาอะไรอีก อย่างแน่นอน อย่างจริงจังอย่างมั่นใจว่าอาตมาชัดเจนและทำได้ จนมาถึงวันนี้ก็ 46 ปีเข้าไปแล้ว อยู่ทางโลกมา 36 ปี ออกมาทางนี้ 46 ปี แล้ว

อาตมาก็ยังจะทำต่อและมั่นใจ ถ้ายังจะทำแบบทางโลก อาตมาก็จะเสียดายชีวิตตนเองอย่างนี้ ก็สงสารตนเองอย่างยิ่ง ว่าทำไมโง่เง่าอย่างนี้ จนตอนนี้อายุ 80 กว่าปีแล้ว อาตมาก็จะรู้สึกอย่างนั้นแต่พอมา ทำทางนี้ 46 ปี ก็ยิ่งมั่นใจ ก็ยิ่งเห็นจริงว่าอาตมาชัดเจน ในเรื่องคุณค่าของชีวิต การมีชีวิตเป็นชีวิตที่มีคุณค่า และเป็นชีวิตที่ดี มาทางนี้แหละเป็นชีวิตที่ดีแล้ว เป็นชีวิตประเสริฐกว่าที่จะไปเป็นอย่างที่เป็นมาตอนเป็นฆราวาสตั้ง 36 ปี ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าอาตมามาทำงานสี่สิบกว่าปี อาตมาได้นำความรู้ความจริงที่สามารถ มีและนำมาสืบสาน คำอธิบาย นำมาประกาศตามความรู้ความจริงที่ได้ศึกษามาของพระพุทธเจ้า เท่าที่อาตมามีภูมิรู้ว่าศาสนาพุทธสอนอะไร สอนอย่างไร ประกาศเพื่อมนุษย์ให้มนุษย์ได้อะไร

ที่เขาสอนกันก็เป็นแบบสมถะ มีแต่พิธีกรรม อาตมาเห็นศาสนาพุทธแล้วเศร้าใจจริงๆ ศาสนาพุทธทุกวันนี้แบ่งได้ 3 อย่าง

อย่างที่ 1 อันนี้มีมาก คือ มาบวชเพื่อ อาศัยเลี้ยงชีพ คำว่าเลี้ยงชีพนั้น มาบวชเป็นอาชีพเลี้ยงชีวิตไป กระแสของนักบวชโดยรวมนำพาเป็นไป เขาก็ศึกษาพยายามปฏิบัติประพฤติไปตามนั้น แล้วชีวิตเขาก็ได้เลี้ยงชีพไป พระหรือภิกษุที่บวชเช่นนี้ มีตั้งแต่หนุ่ม จนมีพระแก่มากขึ้น และจะอยู่ไปนานจนกระทั่งตาย ก็เลยมาเป็นอาชีพอันนี้มีเยอะ เพราะฉะนั้นพระหนุ่มที่จะมาบวช ถ้าไม่มีประเพณีที่จะมาบวชจะไม่มีพระมาบวช พระหนุ่มจะน้อยกว่านี้ นอกนั้นจะมีพระแก่ที่ปักหลักเป็นอาชีพ แล้วก็ได้ตำแหน่งได้ยศศักดิ์ได้หน้าที่จนกระทั่ง เป็นราชการชนิดหนึ่ง เป็นศาสนาการ ชนิดหนึ่ง จนเดี๋ยวนี้รัฐก็คล้อยตามตั้งเงินเดือนให้แก่พระ เรียกว่าศาสนากร เป็นผู้ปฏิบัติทางศาสนาไป มันผิดหลักพุทธเลย เพราะพระมีเงินเดือนไม่ได้ พระต้องสละออก ต้องโภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ แต่ทุกวันนี้มีแต่พระเลี้ยงชีพไปจนตาย ขอให้รักษาสภาพนักบวชตามจารีตประเพณีไป อายุมากๆพระไม่สึกอยู่นาน ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์พระวินัยได้ก็ดี อยู่เป็นพระจนแก่ไปสวดมนต์แล้วก็รับนิมนต์ไปตามจารีตประเพณี

1 พระมาบวชเลี้ยงชีพ ศาสนานี้ก็เลยมีประโยชน์เพื่อให้คนมาเลี้ยงชีพ

2 พระจะมีประโยชน์กับสังคม คือเป็นผู้ช่วยสังคมให้เกิดประเพณี จารีต

อันที่ 3 เป็นแหล่งที่มาแสวงหาองค์ประกอบของชีวิต จะเรียกว่าความรู้ความสามารถก็ตาม เพื่อจะได้ โลกียธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข

อย่างที่ 4 มาบวชเพื่อปฏิบัติ อันนี้ดีหน่อย แต่มาปฏิบัติกันก็ยังมิจฉาทิฏฐิไปหมด ขออภัยที่พูดอย่างตีทิ้ง ที่อาตมากล่าวว่ามิจฉาทิฏฐิไปหมดนะ เริ่มตั้งแต่ก่อน พระที่ตั้งหน้าตั้งตามาบวชเพื่อปฏิบัติ แล้วมีจุดมุ่งหมายเพื่อพระนิพพาน นั่นแหละคนที่มาบวช ในศาสนานี้ ตั้งใจมาบวชเพื่อแสวงหานิพพานด้วย แต่ทุกวันนี้มันไม่มีนิพพาน ถ้ามันมิจฉาทิฏฐิไปหมดแล้ว ทั้งที่ผู้ศึกษาปริยัติ และผู้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติด้วยศึกษาด้วยก็ตาม

ไม่ได้มีสัมมาทิฎฐิ ไม่สัมมาทิฏฐิตัวแรก

ศีล ไม่มีแล้ว ศาสนาพุทธทุกวันนี้ศีลไม่มีแล้ว ไม่คำนึง ไม่ปฏิบัติ ไม่เอาจริงเอาจังกับศีล ศีลของพระพุทธเจ้าคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เพราะฉะนั้นมหาศีล เป็นศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาเพื่อบอกให้รู้ว่า ศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะความสำคัญในมหาศีล คือเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ ศาสนาพุทธให้งดเว้นเดรัจฉานวิชาและไสยศาสตร์ แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทยมีแต่เดรัจฉานวิชามีไสยศาสตร์เต็มไปหมดในศาสนา ไม่ได้มีการใช้ศีลมาตรวจสอบปฏิบัติ อย่างเอาจริงเอาจัง กระแสหลักไม่ได้ทำ

แค่บอกว่าจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พระทุกวันนี้ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ มัชฌิมศีลก็มีรายละเอียดเพิ่มมาจาก จุลศีล ซึ่ง ศีล 5  8  10 อยู่ในจุลศีล แต่เวลาบอกว่าปฏิบัติศีลก็ให้แค่สำรวมกายกับวาจา ไม่ต้องพูดถึงศีลโอวาทปาติโมกข์ เพราะว่า โอวาทปาติโมกข์ก็เข้าใจไปเป็นพระวินัย 227 ข้อใส่อีก แล้วพระวินัยจะต้องมีไหม..ก็จำเป็นต้องมี เพราะวินัยนั้นแย่กว่าศีล ถ้าไม่มีวินัยศาสนาพุทธไม่เหลือเลย ถ้าไม่มีศีลเหลือแต่วินัยก็พอทำเนา

ศีล วิธีปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิก็คือ ศีล 5 เป็นพื้นฐาน ในจุลศีล มีศีล 5 ก็มาปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิก็ไม่ได้ทำ ก็ทำแค่กายกับวาจา แล้วสมาธิหมายถึงแค่กายกับวาจาเท่านั้นหรือ ศีลนั้นทำให้เกิดสมาธิ

ศีลข้อ 1 ให้ลดโทสะ

ศีลข้อ 2ให้ลดโลภะ

ศีลข้อ 3 ให้ลดราคะ

ศีลข้อ 4 ปฏิบัติวาจา

ศีลข้อ 5 ให้ปฏิบัติใจ

ศีลข้อ 6 ให้ลดละเรื่องการกินการใช้ที่ฟุ้งเฟื้อ

ศีลข้อ 7 ให้ลดละเรื่องการประดับประดาตกแต่ง เรื่องดนตรีการ แต่เดี๋ยวนี้กลับนิยมในเรื่องการประดับตกแต่งด้วยศาสนวัตถุ ในศาสนาพุทธจริงๆ ไม่มีเรื่องศาสนวัตถุหรอก แล้วเขาก็แบ่งแยกกันไปให้เป็นศาสนธรรมศาสนพิธี ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้มีศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล เขาก็มาเรียบเรียงตั้งขึ้นทั้งที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เน้นอย่างจริงจังว่า ศาสนาที่ยังอยู่เพราะมี ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล และศาสนธรรม

ศาสนาพระพุทธเจ้าก็เป็นศาสนาสอนศีลธรรม วัตถุก็มีบริขาร และมีปัจจัย ลองนึกถึงแต่แรก ประวัติศาสตร์ของศาสนา ใหม่ๆ พระพุทธเจ้ามาบวชมีคนมาบวชตาม ก็ไม่มีวัด ไม่มีกุฏิ ไม่มีวัตถุหรอก อย่างอื่นเกินกว่าวัดและกุฏิจะต้องไปกล่าวถึงทำไม ยิ่งเป็นพิธีกรรม ศาสนาอื่นนั้นมีพิธีกรรมมากมาย พระพุทธเจ้ามาหรือทิ้งพิธีกรรมออกไปมหาศาล ทุกวันนี้ศาสนามีแต่ประเทศ

คนในศาสนาพุทธทุกวันนี้มาบวชเพื่อ

1. การมาบวชนั้นเพื่ออาชีพ

2. บวชเพื่อทำตามจารีตประเพณี

3. บวชเพื่อได้ความรู้ทางโลก

4. มาบวชอย่างปฏิบัติธรรม

จริงๆแล้วศาสนาพุทธ คนมาบวชเพื่อพระนิพพานปฏิบัติตนเพื่อลดละกิเลสแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์ที่ดีแล้วจะเกิดสังคม ผู้ที่บวชแล้วมีภูมิธรรม มีความรู้แล้วจะสอนฆราวาสให้เป็นคนมีศีล ให้เป็นคนมีอาชีพ จะต้องพูดจาอยู่ในร่องในรอย เป็นคนมีความคิดมีทิฏฐิที่ พูดแล้วจำเป็นต้องยกตัวอย่างชาวอโศก

อาตมาทำให้คนได้รับความรู้ทางพุทธศาสนา แล้วก็มาเป็นอาชีพ มามีการงานการกระทำ มีอาชีวะ มีกัมมันตะ ผิดแผกแตกต่างจากเมื่อก่อน มามีชีวิตมาพูดก็ต่างไป โดยเฉพาะในทิฏฐิแนวคิดในสังกัปปะก็มีทิศทางแตกต่างไป จนเกิดเป็นสังคมกลุ่มหมู่ที่ชัดเจนเรียกว่าชาวอโศก

มีชีวิตอย่างที่อาตมาพาทำมา 46 ปี เกิดเป็นกลุ่มหมู่ชาวพุทธชนิดหนึ่งที่เรียกว่าชาวอโศก ที่กวนหูกวนตาพุทธกระแสหลัก เป็นเหมือนตัวแปลกแยกของศาสนาพุทธ อาตมาก็พยายามยืนหยัดยืนยันที่จะทำให้ศาสนานี้เจริญยิ่งขึ้นกว่านี้ มีสัจจะยิ่งขึ้นกว่านี้ อาตมาก็ยังภูมิใจตนเองว่าอาตมาทำได้ ที่อาตมาทำได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณพระไตรปิฎกที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่าอาตมาทำตามพระไตรปิฎก แล้วก็พยายามอธิบายพระไตรปิฎกว่าที่ถูกต้องเป็นเช่นนี้ แล้วที่เขาทำกันนั้นไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์แต่อย่างใด

ศีล ทำให้ เกิด

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) ไม่ใช่แค่กายกับวาจาแต่เกิดที่ใจ

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) เป็นความยินดีปรีดายิ่งกว่าปามุชชะ

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) เมื่อจิตสงบจากกิเลสก็เกิดความสุข เป็นสุขแบบโลกุตระ

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) ปล่อยวางไม่เอาโลกีย์ อย่างพวกคุณหลายคนทิ้งงานทิ้งอาชีพที่เคยทำมาก่อนที่ได้โลกธรรม มันก็ไม่เอา อาตมาพาพวกเราทำประสพผลสำเร็จตามพระพุทธเจ้า

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

ศีลมีอานิสงส์อย่างนี้ ท่านตรัสไว้ว่า ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังให้ถึงอรหัตตผลไปโดยลำดับ  จะเกิดกุศลถึงขั้นเป็นบุญ กุศลคืความดีงามที่โลกรู้ด้วยเข้าใจด้วยสำหรับผู้ที่มีภูมิปัญญา ผู้ที่ไม่มีปัญญาไม่รู้หรอก การได้กิเลสหนาขึ้นมันไม่ใช่บุญ

กุศลมีโลกีย์กับโลกุตระ

แต่คนไปเข้าใจกุศลว่าเป็นโลกียะอยู่ทั้งนั้น ไม่เข้าใจคำว่าบุญ หรือเป็นกุศลที่เป็นโลกุตระ เขาไม่เข้าใจ

บุญเป็นโลกุตระแท้ๆ และบุญจะเรียกว่าเป็นกุศลก็เมื่อกุศลนั้นเข้าถึงบุญได้  แต่บุญนั้นไม่ใช่กุศล

บุญเป็นวิบัติ เป็นอุปกรณ์การทำลาย

อาตมาว่าจบปริญญาเอกห้าใบทางพุทธศาสนาก็ไม่สามารถพูดได้อย่างอาตมา แต่อาตมาพูดด้วยความจริงๆใจ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่ได้เคยทำบุญ ไม่เคยได้ส่วนแห่งบุญ มีแต่ได้กุศลโลกียะ

เพราะบุญนั้นเป็นการทำให้กิเลสหมดไป ได้แต่ความสูงความวิบัติ ผลสำเร็จสูงสุดคือ ไม่มีบุญไม่มีบาป

สมาธิทั่วไปพระพุทธเจ้าตรัสถึงการทำเจโตสมาธิ คือการทำแบบเจโตสมถะ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดในมหาจัตตารีสกสูตรว่า มีสมาธิแบบเฉพาะของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าสัมมาสมาธิของพระอาริยะ (อาริโยสัมมาสมาธิ)

สัมมาสมาธิเป็นไฉน?

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

แล้วท่านก็แจกแจง ระหว่างสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิว่าต่างกันไฉน?

เมื่อปฏิบัติให้เกิดสมาธิจิต แม้คุณจะเข้าใจว่าปฏิบัติมรรคทั้ง 7องค์ แต่ถ้าปฏิบัติแล้ว ทินนังก็ไม่มีมรรคผล ปฏิบัติศีล ยิตถัง ก็ไม่มีมรรคผล จิตคือหุตังเป็นผลก็ไม่เกิดจิตเป็นมรรคผล เรียกว่า นัตถิทินนัง นัตถิยิตถัง นัตถิหุตัง เพราะว่าการกระทำที่เป็นผลเป็นวิบาก

ทีนี้การกระทำที่เป็นมิจฉาทิฐิ มันก็เลย ไม่ได้เป็นสัมมามรรคสัมมาผลอะไร ก็เป็นทุกฏานัง ไม่ใช่สุกฏานัง ผลังวิปาโก ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักโลกนี้ อยังโลโก แล้วก็จะรู้ปรโลก หรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกียะ (ท่านแปลเป็นไทย อยังโลโกว่าโลกนี้คือ โลกปุถุชนคนสามัญ ส่วนปโรโลโกคือโลกใหม่ โลกโลกุตระนั้นเอง ที่เป็นคนละโลกกัน ก็แยกไม่ออก ดูกันไม่ได้ ปฏิบัติกันไม่ได้ )

ทิฏฐิ 10 อะไรจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย เรียกว่ามาตา ปิตา เป็นเครื่องนำพาให้เกิด โอปปาติกโยนิ มีสิ่งทำให้เกิดเป็นพ่อ แม่ทางธรรม เป็นพ่อแม่ทางจิตวิญญาณไม่ใช่พ่อแม่ทางร่างกาย เขาก็เข้าใจกันไม่ได้ ยกตัวอย่างศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ศีลกับปัญญาช่วยกันทำให้เกิดอธิจิต เกิดลูกเป็นโอปปาติกโยนิ เกิดเป็นจิตวิญญาณของอาริยบุคคล เขาก็ไม่มีไม่เป็นไม่รู้เรื่อง

ยิ่งทิฏฐิข้อ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พระไตรปิฎก เล่ม 14  ข้อ 257)

เขาไม่รู้จักกันแล้ว เป็นพวกเข้าใจโลกนี้โลกหน้าแล้วพาปฏิบัติให้พ้นโลกนี้เข้าสู่โลกหน้า ขณะนี้เขาไม่เห็น แม้เห็นก็ไม่รู้ บอกว่าเราใช่ สมณพราหมณา  เขาก็ว่าไม่ใช่ พูดอย่างนี้เขาบอกว่าไม่ใช่ อธิบายอย่างนี้เขาบอกว่าไม่ใช่ ต้องอย่างที่เขายึดถือนั้นเป็นพิธีอย่างนั้นเป็นความรู้อย่างนั้นจึงจะใช่ อย่างโพธิรักษ์พูดนั้นไม่ใช่ เขาตีทิ้งด้วยจะเอาตาย แต่อาตมาหนังเหนียว ที่พูดได้เพราะอยู่มา 46 ปีแล้ว ก็แก่วัดแล้ว จะพยายามอยู่ไปให้อีกนาน จนผู้ที่บวชมาได้เรียงกันตายไป พวกที่เกิดมาภายหลังไม่ได้รู้เรื่องที่เขาเอาเรื่องเอาราวกับอาตมา  ไม่มีอคติมาก ก็คงจะพอพูดกันรู้เรื่องในอนาคต ให้พวกที่ยึดถือที่ตายไป อาตมาก็จะอยู่ไปให้ถึง 151 ปี

เพื่อเอาความจริงของพระพุทธเจ้ามายืนยันเป็นความตั้งใจจริง ใครจะว่าอาตมาบ้าบอหลงตัวตน อาตมาเกิดมาในชาตินี้เพื่อนำสิ่งที่ผิดของศาสนาพุทธกลับมาฟื้นคืนและสืบสานศาสนาพุทธให้ได้ ไม่เช่นนั้นศาสนาพุทธไม่เหลือเลย ตอนนี้มันเกือบจะสิ้นเชื้อจริงๆ ก็เหลือแต่บัญญัติปริยัติที่เข้าใจกันผิดเพี้ยน พูดแล้วเหมือนใหญ่เหลือเกิน ทั้งที่เขามียศศักดิ์ได้รับการยกย่องทางสังคม มีคนเคารพนับถือบูชากันหมด ที่พูดนี้โดยวิชาการนะ

อย่างพระบางรูป บวชมานานแล้ว อายุก็มาก ก็ดีที่ท่านไม่ออกนอกธรรมวินัยรักษาตัวเองจนถึงอายุมาก บวชมานาน ท่องมนต์ได้เก่ง สวดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานได้ดี รู้จักจารีตประเพณีที่ไม่ใช่ของพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่ของพุทธศาสนา หรือบวชนานแล้วออกเดินธุดงค์ แล้วเขาถือว่าเป็นพระธุดงนั่งสมาธิเก่ง ขลัง พระอย่างนี้ ได้รับการยกย่องบูชา ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เคารพนับถือแล้วใส่คำนำหน้าว่าเป็นพระอริยะ เดี๋ยวนี้ไปเสนอกันอย่างนี้ จะปาราชิกสังฆาทิเสส กันปลงอาบัติหรือไม่ ไม่สน แต่อยู่มานานแล้วก็ยกย่อง

จะนำพาไปเพื่อปฏิบัติลดละหน่ายคลายเป็นไปเพื่อนิพพานจริงๆไม่ได้ เป็นมิจฉามรรค มิจฉาผล ก็ต้องขออภัยเป็นอย่างมากต่อวงการศาสนาที่เขานับถือยกย่องกันแต่ต้องพูดตามวิชาการที่อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆเพราะน่าสงสารมาก

ผู้รู้หลายท่านก็มีสมาธิบ้าง ก็พยายามอธิบายพูดบ้าง แต่ก็น้อย ก็ได้รับความนับถือ แต่ไม่มีผล ไม่มีฤทธิ์อำนาจพอ ที่ไม่มีฤทธิ์อำนาจ ไม่มีพลังของคุณธรรม จนพาคนมาปฏิบัติธรรม สอนบรรยาย แล้วคนก็มาประพฤติปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเกิดสังคมมนุษย์ให้เปลี่ยนแปลงได้ อาตมาขอยืนยันอันหนึ่งว่า

ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ อาตมายกบัญญัติอย่างไม่ได้ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติอย่างจริงจังถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาก็เอาการไม่กินเนื้อสัตว์มาเป็นศีลข้อที่ 1 ให้ปฏิบัติ จนเปลี่ยนแปลงชีวิตมาไม่กินเนื้อสัตว์ได้ทุกวันนี้

แม้แต่ศีลข้อที่สองก็เป็นคนสำนึกรู้ว่าไม่เอาเปรียบเอารัดโลก ไม่โลภโมโทสัน ไม่เอาทรัพย์สินของเขาที่ไม่ใช่ของเรา พวกเรานั้นสำนึกสังวรพัฒนามีชีวิตขึ้น ไม่ใช่เป็นคนที่มีชีวิตอย่างไม่กลัวการไปทุจริตคอรัปชั่น เอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเราด้วยวิธีการเล่ห์กลต่างๆนานายังไม่เคยเกรงกลัวกรรมกลัวบาป แต่อาตมาว่าอาตมาประสบผลสำเร็จ ว่าชาวอโศกไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่คอร์รัปชั่น

แม้แต่ศีลข้อที่ 3 ก็ไม่มีราคะ จัดจ้าน

แม้แต่ศีลข้อที่ 4 ข้อที่ 5 ก็ไม่มีอบายมุข อาตมาว่าได้ทำประสบความสำเร็จตามหลักฐาน อาตมาขอยอมรับว่าไม่เก่งพอจะพาฆราวาสพุทธศาสนิกชน มาปฏิบัติตามจารีตประเพณีที่เขาทำกันอาตมาไม่เก่งเลย แม้แต่พาไปสวดมนต์เก่ง พามาเดินย่างหนอก้าวหนอ อาตมาไม่เก่ง อาตมาเคยพาย่างหนอก้าวหนอ สุขุม แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหลือ ไม่เก่ง

แต่อาตมากล้าพูดว่า อาตมาพาพวกเราทำให้เกิดความสำรวมระวังได้ ในการที่ระมัดระวังที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส ก็ระมัดระวัง แม้คุณสัมผัสของที่ไม่ใช่ของเรา คุณสัมผัสสิ่งทางเพศที่ไม่ใช่วัฒนธรรมควรละเมิด หรือการพูดโกหก การไม่มีอบายมุข พวกเราก็ไม่มี

อาตมาสามารถทำได้ถึงขนาดบุหรี่เหล้ายา ไม่ต้องพูดถึงยาเสพติดเลย แม้แต่บุหรี่ก็ทำให้ไม่สูบบุหรี่กันได้ เหล้ายาไม่มี มีสังคมพุทธไหนที่ไม่มีคนกินหมากพลูบุหรี่ หรือแม้ไปหลงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส การมีปัจจัยชีวิต หรูหรา ถ้ามาในอโศก มาประหลาดแบบโลก แต่งชะเวิบชะวาบไม่มี หลงเครื่องอุปโภคบริโภคแบบโลกๆหรูหราไม่มี

อาตมาว่าได้เข้าใจความหมายของธรรมะ และพาพวกเราปฏิบัติลดละจนเกิดกลุ่มหมู่สังคมที่เรียกกันว่าสันติอโศก

ชาวอโศกนั้นเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์หรือบุคลิกเอกลักษณ์ ของชาวอโศกได้พอสมควร เมื่อเขาสัมผัสแล้ว ก็จะบอกว่าชาวอโศก มันเป็นเอกลักษณ์เป็นอัตลักษณ์เป็นสัญลักษณ์ บุคลิกที่เป็นชาวอโศก มันถึงขั้นเป็นอย่างนั้นไป ก็แสดงว่าอาตมาปฏิบัติประสบผลสำเร็จ ทำให้คนเปลี่ยนแปลงมามี รูปลักษณ์ประจำตัวดีบุคลิกรูปร่าง ที่เป็นสัญลักษณ์เป็นเอกลักษณ์เลยได้

แม้แต่จะบอกว่าแต่งตัวดีๆหน่อย ก็ยังสังวรกันไม่เหมือนกับทางโลก ผู้ที่มีเลือดมีวิญญาณอโศกก็จะรู้ แต่ก่อนนี้ไม่ใช่แต่ตอนนี้เหนียมแล้ว

จิตใจที่เราเปลี่ยนแปลงมาอย่างนี้คือการบรรลุธรรม คือการมีผลทางจิต เปลี่ยนแปลงจากโลกๆ ออกมาเป็นไท เป็นโลกุตระ แบบอาริยะ มันเปลี่ยนมาจริงๆ

ซึ่งการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เสื้อผ้าหน้าแพรความเป็นอยู่ต่างๆ จนจริตนิสัย เปลี่ยนแปลงได้คือผลของศาสนา ไม่ได้เน้นจารีตประเพณีเก่ง อย่างโลกที่เขามี งานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า แล้วก็จะไปกัน ชาวอโศกไม่ใช่อย่างนั้น แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากไม่เปลี่ยนแปลงแล้วก็กลายเป็นจารีตประเพณีว่านี่คือศาสนาพุทธ ต้องมีจารีตประเพณีอย่างนี้ ซึ่งเป็นการออกนอกรีตของศาสนาพุทธด้วยซ้ำ

อาตมาพูดแล้วก็รู้สึกสลดใจที่ได้กลายมามาก กลายมาจวนจะ 2600 ปีแล้ว มันไม่เหลือแล้วศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธทุกวันนี้พระภิกษุมีหน้าที่สวดมนต์แล้ว ก็เลยกลายเป็นศาสนาสวดมนต์ เป็นการสวดมนต์ที่ออกนอกรีตไปใหญ่ ศาสนาพุทธที่อาตมาพูดนี้เขาไม่กระดิกหูหรอก ศาสนาพุทธที่ไม่เอาธรรมบท คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ต่อหน้าฆราวาส เป็นการสวดเพื่อเป็นการอวดโชว์ เพราะว่าวิธีนั้นศาสนาอื่นเขาทำกัน

ศาสนาพุทธจัดสวดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไว้อย่างเช่นพระอุบาลีก็รับผิดชอบพระวินัย พระอานนท์ก็รับผิดชอบธรรมะพากัน สังคีติ สังคายนาไว้ ไม่มาสวดอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม ถ้าเอามาสวดตั้งแต่ 2 คนโดยเอาธรรมวินัยมาสวดพร้อมกันทั้ง  2  คนต่อหน้าฆราวาสก็ผิดพระวินัย แต่ถ้าสวดแบบประณามคาถา เช่นอิติปิโส พาหุง ก็สวดได้ แต่คำสอนที่เป็นคำสอนธรรมะของพระพุทธเจ้า เอามมาสวดก็ผิด แม้แต่การสวดพระอภิธรรมก็เป็นอาบัติหมด แต่เขาฟังไม่ขึ้น

เลยกลายเป็นการสวดเหล่านี้ถือว่าเป็นการทำให้ศาสนาพุทธยั่งยืนได้ มันไม่ใช่ ซึ่งในสมัยโบราณมันไม่มีพยัญชนะไม่มีตัวหนังสือต้องอาศัยการท่องจำเท่านั้นคำสอนพระพุทธเจ้าจึงจะอยู่ได้ จึงต้องสวดกันจริงจัง

อาตมาว่าคนฟังเขามีความรู้ทางศาสนาทางธรรมะดีๆ เขาคงขวางหู บ้องหูสักทีไหม?

_ดิฉันไปเรียน ภาษาอังกฤษที่ธรรมศาสตร์ มีอ.บิลลี่ เขาบอกว่าตั้งแต่สอนมามีคนไทยมาเรียนคนเดียว นอกนั้นมีแต่ฝรั่ง เพราะว่าแต่งกายแบบฝรั่งไปหมด

พ่อครูว่า...แสดงว่าฝรั่งคนนี้แยกเครื่องแต่งกายออกว่าอันไหนเป็นคนไทย จริงๆเลย ทุกวันนี้ไม่เหลือความเป็นไทยแล้ว มันถูกเกินไป ยิ่งในเมืองหลวง ยิ่งไม่เหลือ ถ้าในชนบทก็พอมีบ้าง ถ้าเป็นในสังคมไฮโซก็หมดเกลี้ยงเลย นี่คือการสูญสิ้นความเป็นไทยอย่างน่าเสียดาย

อาตมาพามาทำนี้น่าภาคภูมิใจแม้แต่เด็กๆเล็กๆก็มาแต่งตัวแบบคนไทย มีผ้าถุงผ้านุ่งแบบไทย ถ้าเดินไปให้อาจารย์บิลลี่เห็นคงจะบอกว่ามีคนไทยอยู่เยอะนะ พูดไปเขาจะหาว่าเป็นพวกคอนเซอร์เวทีฟเป็นพวกเคร่งวัฒนธรรม ชาติลาวเขาก็ยังมีวัฒนธรรมเขาเหลืออยู่นะ ของฟิลิปปินส์เขาก็ยังมีเสื้อของเขา แต่ของไทยนี้แทบไม่เหลืออะไร สู้ลาวไม่ได้เลย วัฒนธรรมถูกกลืนไปหมด

 

_เรียนถามว่าความรับผิดชอบของครูอโศก ต่างจากความรับผิดชอบทั่วไปอย่างไร และความรับผิดชอบของสมณะชาวอโศก มีอะไรบ้างแตกต่างจากภิกษุทั่วไปอย่างไร 3 ความรับผิดชอบของพ่อครูในชาตินี้มีอะไรบ้าง 4 ลูกๆของพ่อครูควรจะมีความรับผิดชอบอย่างไร

พ่อครูว่า..มีคนเขียนมาบอกว่า ลักษณะของศาสนาพุทธมีสี่อย่างคือ สัจธรรม สัลเลขธรรม นิยานิกธรรม สันติธรรม

สัจธรรมคือมีความจริง คืออาริยสัจ

สัลเลขธรรม คือการขัดเกลา อย่างพวกชาวอโศกนี้เขาหาว่าเป็นพวกเคร่ง ทั้งที่ชาวอโศกถือเป็นนักขัดเกลา แตะเมื่อไหร่โดนท้องบุ้งขัดเลย

ศาสนาพุทธจะต้องมีลักษณะขัดเกลากิเลส แต่ทุกวันนี้เขาไม่มีลักษณะขัดเกลากิเลส มีแต่การส่งเสริมกิเลส ไปนั่งปฏิบัติธรรมก็ส่งเสริมกิเลส โดยเฉพาะไปนั่งหลับตาแล้วส่งเสริมอัตตา ไปปฏิบัติธรรมก็มีแต่อัตตาเต็มตัว อัตตาคือการยึดติด ก็ไม่ได้เข้าใจแล้วลดละไปตามลำดับ

นิยานิกธรรม เป็นธรรมะที่ทำให้ลดละกิเลสพ้นทุกข์ได้ พาให้พ้นทุกข์ได้ บรรลุธรรมได้

สันติธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าปฏิบัติแล้วเกิดสันติธรรม สันติธรรมคือความสงบ รำงับ อาตมาพาคนมาปฏิบัติธรรมจนเห็นว่าพวกเรามีพลังของความสันติเป็นองค์รวม แล้วอาตมาก็พาพวกเราเอาสันติไปช่วยชาติในด้านการเมือง คือเอาความสงบไปช่วยการเมืองที่เขากำลังขัดแย้งกันรุนแรงขึ้นมา จะฆ่าแกงกัน เราก็พยายามเป็นตัวให้เขาลดความรุนแรงให้เกิดความสงบ เช่น อาตมาพาพวกเราไปประท้วงอย่างไม่ได้มีเจตนาอื่น นอกจากจะประท้วงเพื่อลดความรุนแรงของการต่อสู้

อาตมา ขอยืนยันว่าอาตมาประสบความสำเร็จทำให้เกิดความสงบสยบความรุนแรงได้ เป็นผลสำเร็จขึ้นบ้าง อาตมาให้คะแนนตัวเองนะ เกิดสันติธรรม ทำมาจนกระทั่งป่านนี้ ทำให้เหตุการณ์ทางการเมืองที่จะรุนแรงเลวร้ายฆ่าแกงยิ่งกว่านี้ทำให้บรรเทาลงได้ ไม่เสียหลายที่ไปทำ

เขาก็หาว่าอาตมาพานักปฏิบัติธรรมออกไปทำไม มันไม่ใช่เรื่อง เขาก็ไม่รู้จุดมุ่งหมายที่อาตมาพาทำ แต่คนที่มีปัญญารู้แล้วว่ากองทัพธรรมที่ออกไปเพื่อบรรเทาความรุนแรง โดยที่พวกเราก็เสี่ยงที่จะตาย แต่ก็ด้วยบารมีธรรมชาวอโศกไม่มีใครตาย นอกจากคนที่มาร่วมกับชาวอโศก โดนลูกปืนลูกระเบิดก็เยอะ แต่ก็แคล้วคลาดตามบารมีตามกุศลที่เป็นไปก็ใช้ได้

 

มาตอบ _เรียนถามว่าความรับผิดชอบของครูอโศก ต่างจากความรับผิดชอบทั่วไปอย่างไร

ตอบ...ครูของชาวอโศกนั้นรับผิดชอบต่างจากชาวโลกเพราะครูของชาวโลกนั้นรับผิดชอบแต่ทางวิชาการ จะไปดูแลนิสัยใจคอพฤติกรรมทางคุณธรรมนั้นก็ไม่ได้ทำ ดูน้อยที่ทำและทำอย่างผิวเผิน มุ่งรับผิดชอบแต่ทางวิชาการ เป็นหลัก นี่คือความรับผิดชอบของครูอื่นๆ แต่ครูของชาวอโศกรับผิดชอบวิชาการ 25 % รับผิดชอบให้มีความเป็นงาน 35% รับผิดชอบให้มีคุณธรรม 45% นี่คือความรับผิดชอบของครูชาวอโศก ต่างจากครูข้างนอก หนัก แต่ก็ยังมีผู้ที่สมัครใจมาเป็นครู โดยที่ไม่ได้สมัครใจแต่จำเป็นต้องเป็นครูก็มี อย่างเช่นคนที่อยู่ในชุมชนชาวอโศก เพราะการศึกษาเราเป็นบ้านวัดโรงเรียน เป็นการศึกษาที่ต่างจากกระทรวงศึกษาธิการ เพราะการศึกษาของชาวอโศกนั้นบอกได้เต็มปากว่า บ้านวัดโรงเรียน ก็อยู่กับการศึกษาที่อยู่กับสังคมชุมชนเรียกว่าบ้าน สังคมมีกิจการงานอะไรนักเรียนก็เป็นแรงงานปฏิบัติ จนถูกหาว่าเอานักเรียนมาใช้แรงงาน แต่เป็นเจตนาของเราให้เด็กนักเรียนเขารู้จักสังคม ช่วยสังคมรู้จักการงานของสังคม สังคมอยู่อย่างนี้มีอาชีพอย่างนี้ มีวาจาอย่างนี้ มีสังกัปปะอย่างนี้ ก็เรียนรู้ เอาหลักมรรคมีองค์แปดมาสอนให้เราปฏิบัตินักเรียนปฏิบัติอย่างนี้ บ้านวัดโรงเรียน

ครูที่ชาวอโศกไม่มีค่าจ้างด้วย แล้วก็ทำมา 20 กว่าปีแล้วก็ยังพอเป็นไป

 

ครูข้างนอกสอนแล้วก็กลับบ้านบ้านใครบ้านมัน เป็นการศึกษาสากลของทางโลกเขา อาตมาว่าหมดท่าเลยแบบนั้น อาตมายังนึกไม่ออกว่าอาตมาตายไปพวกเราจะสืบสานโรงเรียนแบบพวกเรานี้ไปได้ต่อไปไหม…(ตอบ..ได้) ก็ดี

 

_ความรับผิดชอบของสมณะชาวอโศกมีอะไรบ้างแตกต่างจากพระทั่วไปอย่าง

ตอบ...ความรับผิดชอบของสมณะชาวอโศกก็รับผิดชอบในพระธรรมวินัย ในการประพฤติปฏิบัติ แตกต่างจากพระทั่วไปอย่างไร พูดแล้วจะข่มเขาอีก ว่าเราเอาจริงเอาจังในพระธรรมวินัย เริ่มตั้งแต่ออกบวชมีสองคำใหญ่คือ

โภคขันธาปหายะ และ ญาติปริวัตตังปหายะ

โภคขันธาปหายะคือการไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานเป็นของตัวเอง

ญาติปริวัตตังปหายะ ตัดขาดจากความผูกพันกับญาติมิตรทางโลก เพื่อจะรับผิดชอบให้กว้างขึ้นแก่คนทั้งหลาย การมาบวชนี้เพื่อจะทำตนเองเป็นประโยชน์คุณค่าแก่ประชาชน เป็นครอบครัวที่ใหญ่กว่าครอบครัวส่วนตัว แม้แต่นักบวชหญิงที่เรียกว่า แม่เณร หรือสิกขมาตุ แต่เราก็ประพฤติตามธรรมพพจ. ไม่พยายามดันให้เป็นภิกษุณีแต่คุณธรรมนั้นไม่มีอะไรขีดคั่น จะเป็นโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ จนมีนักบวชหญิงเป็นพระอรหันต์อาตมาก็ประกาศแล้ว

สรุปแล้วมีอะไรที่แตกต่างจากภิกษุทั่วไป ที่ภาคภูมิใจคือสมณะชาวอโศกไม่มีใครสะสมเงินทอง เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ พระทั่วไปนั้นสะสมเงินทองเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์คาคอกันเกือบหมด คือมีเงินทองเป็นของตนเอง ปลงอาบัติไม่ตกนะ ไม่ได้สละเงินออก ปลงอย่างไรก็ไม่ตก แล้วก็ไปให้พระอปกตัตตะ ไปเข้าวงสวดปาติโมกข์ วงสวดนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ ผู้รู้แต่เรียนสูงกว่าอาตมาก็มีเยอะแต่ไม่เอาภาระก็เสื่อมไปหมดแล้ว สมณะชาวอโศกนั้นก็รับผิดชอบรักษาพระธรรมวินัย แล้วก็พยายามฟังธรรมปฏิบัติประพฤติ

ก็อยากเคาะหัวโล้นของสมณะ อาตมาก็พยายามจะเทศนาแต่ก็ไม่พยายามมาฟัง อาตมาก็เป็นอุปัชฌาย์ที่ไม่จู้จี้จุกจิก แต่ก็ไม่ค่อยมาฟังธรรมเอาใจใส่ เทศน์ทุกวันนี้มีทั้งธรรมดาและลึกด้วย

 

_ความรับผิดชอบของพ่อครูในชาตินี้มีอะไรบ้าง

ตอบ...แหม อาตมารับผิดชอบมโหฬารมาก ศาสนาทั้งศาสนา จนกระทั่งตั้งใจจะอยู่ให้อายุยาวเพื่อรับผิดชอบศาสนา เพื่อแก้สิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูก เพื่อให้พระธรรมวินัยที่เสื่อมแล้ว ให้มาเข้าใจสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติกันไปได้จริงๆ นี่คือความรับผิดชอบของอาตมาในชาตินี้ และชาติต่อไปก็ยังจะต้องทำต่อไปอีก นี่คือความรับผิดชอบที่จะหาว่าพูดใหญ่โตหลงตัวเองมาก อาตมาประพฤติปฏิบัติมา 46 ปี จะหาว่าจะมาหลงตัวเองก็แล้วแต่ มันจะมาเอาจริงเอาจังในเรื่องงานศาสนา ไม่ได้บวชช่วยจัดสร้างบริวาร บวชเพื่อจะสร้างลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่ได้บวชเพื่อจะให้ใครมายกย่องว่าเก่ง จะต้องมาซูฮกว่ายอดๆๆ ไม่ใช่ แต่บวชเพื่อมาละหน่ายคลายกิเลส อาตมาก็ว่าทำงานได้ผลบ้าง

นี่คือความรับผิดชอบต่อศาสนานี้ ทั้งที่ถูกต่อต้านโดยกระแสหลัก อาตมามั่นใจว่าไม่ได้ผิด ตรวจสอบได้อาตมาว่าจะมาบรรยายถูกต้องอยู่ ทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่

 

_ถามว่าลูกๆของพ่อครูควรจะมีความรับผิดชอบอะไร

ตอบ...ขอรับผิดชอบเหมือนอย่างอาตมารับผิดชอบ จะไม่เหมือนตรงที่อาตมานั้นรับผิดชอบมโหฬารมาก ศาสนาทั้งศาสนาเลย และก็พยายามพากเพียรทำความเข้าใจให้ได้ อะไรที่ผิดก็บอกว่าผิด อะไรที่ถูกก็บอกว่าถูก บอกว่าผิดอย่างไร มีในเราหรือไม่มีในเรา นั่นไม่จริง นี่จริง คำกล่าวตินี้จริงหรือไม่จริง ก็กล่าวบอกไป อย่างนี่เป็นต้น

 

ประเด็นสำคัญที่อาตมาพูดนี้จะพอเข้าใจไหม พระพุทธเจ้าท่านตรัส…

(พระพุทธเจ้าตรัสอย่างธรรมสามี เป็นเจ้าของศาสนา ท่านก็ตรัสว่าคนพวกอื่น กับพุทธ  แต่อาตมานั้นจะกล่าวว่าคนพวกอื่น ก็กล่าวไม่เหมือนท่าน เพราะกล่าวต่อหน้าวงการศาสนาพุทธทั้งหมด)

 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง

แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.

จุลศีล

          [2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

พ่อครูว่า...เพราะว่ามีศีล จึงมีสมาธิ จึงเกิดปัญญา จึงมีวิมุติ

[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

พ่อครูว่า...คนจะกล่าวชมพระพุทธเจ้าแม้กล่าวว่ามีศีลก็ยังต่ำนัก ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่อาตมาจะไม่พูดเช่นนี้คือ ความเป็นศีลนั้น คนที่กล่าวชมพระพุทธเจ้านั้นจะกล่าวชมแค่บัญญัติหลักเกณฑ์ตื้นๆ แม้เช่นศีลข้อ 1​ นี้  คนไม่มีปัญญาก็จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้าละจากการฆ่าสัตว์ มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.  เขาก็จะกล่าวแค่นั้น เขาจะกล่าวชมท่านได้แค่นี้ก็ยังน้อยนัก เพราะท่านมีทั้งสมาธิ ปัญญา วิมุตินะ เขาจะกล่าวชมได้แค่ศีล เหมือนทุกวันนี้

พวกเราที่มาบวชเป็นสมณะ ศีลข้อ 1 เราขัดเกลาถึงจิตไหม มีเมตตาเอ็นดูตามสภาวะไหม เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ วางอาวุธ วางศาสตรา มีคุณธรรมนี้เป็นสมาธิ เป็นปัญญาถึงจิต เข้าใจว่า เขาก็เป็นสัตว์ไปทำร้ายไปฆ่าเขาทำไม จนกระทั่งพวกเรามาถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะถ้าเรายังกินอยู่ก็เป็นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์มาให้ ให้คนอื่นฆ่ามาให้เราก็ยังกิน ก็เป็นวัวพันหลักอยู่อย่างนี้ แล้วก็อ้างชีวกสูตร อ้างว่าบริสุทธิ์โดยส่วนสามคือไม่รู้ไม่เห็นว่าเขาฆ่าแต่เขาอธิบายว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้สงสัยไม่ได้ข่าวว่าเขาฆ่า เขาไม่อธิบายเช่นนี้ เขาอธิบายว่า สัตว์นี้เราไม่รู้ไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อคนๆนี้ แล้วคนๆนี้ก็กินไม่ได้ เขาไปตีความอย่างนี้ได้อย่างไร งงๆ

คือสัตว์นี้เขาฆ่าโดยระบุว่าฆ่าเพื่อคนชื่อนี้ คนชื่อนี้ก็กินไม่ได้ ? ถามว่าถ้าคนฆ่าไก่เพื่อคนๆนี้ แล้วคนๆนี้กินไม่ได้ ก็หมายถึงว่าอย่าฆ่าสัตว์ไปให้คนกิน ถ้าเฉพาะบุคคลก็คือคนกิน ถ้าฆ่าสัตว์ตัวนี้ให้เฉพาะนายดินดอน  นายดินดอนก็กินไม่ได้แต่คนๆนี้ฆ่าสัตว์เพื่อให้คนทั้งหลายกิน ทั่วไปเลย เขาก็มุ่งหมายฆ่าสัตว์มาให้คนกิน คนทั้งหลายก็กินไม่ได้ใช่ไหม? (common noun)

สัตว์ที่ตลาดนั้นเขาก็ฆ่าเพื่อให้คนกินใช่ไหม เพียงแต่ต้องซื้อ เขาใช้สัตว์เป็นเครื่องมือล่าลาภยศ ถ้าอธิบายว่าจำเพาะบุคคลเช่นนี้กินไม่ได้ ก็ไม่มีสัตว์ที่ไหนในโลกมาให้กินได้หรอก เพราะว่าฆ่าจำเพาะคนแม้ไม่ได้ระบุชื่อคนตามที่คุณตีความ แต่อาตมาไม่ได้ตีความเช่นนั้น อาตมาตีความว่า คนเจตนา สัญจิจจะ คือสัตว์มันตายเพราะคนเจตนาฆ่า ตายครบองค์ 5 นี่ต่างหากคืออุทิสมังสะ คือเจตนาฆ่าให้คนกิน จะคนเดียวหรือคนทั่วไปก็ตาม มันก็คือคนฆ่า เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเฉพาะเจตนา เจาะจง อุทิส คนเจตนาฆ่าสัตว์ตาย แล้วสัตว์ตายครบองค์ 5 ปานาติบาต

คือสัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า สัตว์ตาย แล้วเอาไปทำอาหารมากิน เป็นเจตนาฆ่า ไม่ใช่ระบุให้คนๆนี้คนนั้นกิน คำว่าเฉพาะนี้เขาหาว่าเป็นการเฉพาะบุคคล อาตมาก็ไม่เห็นว่าบาลีตัวนี้ว่าอย่างนี้มีแต่คำว่า สัญจิจจะ ปานา ชีวิตัง โวโร เปตุง

ไม่ใช่อุทิสมังสะคือ เราไม่รู้ไม่เห็น  และสองสัตว์นี้ตาย ไม่ได้ข่าวว่าคนฆ่า มันตายเองหรือเป็นเดนสัตว์กิน คุณไม่สงสัยเลยว่าเนื้อนี้คือปวัตมังสะแน่ ถ้าเนื้อสัตว์นี้คุณเห็นคาตาเลยว่าสัตว์มันตายเอง คุณกินได้เลย แต่ถ้าสัตว์ใดโดนฆ่าแม้คุณไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ข่าว แม้แต่สงสัยข้องใจว่าสัตว์นี้ตายโดยคนฆ่า แต่ถามว่า เนื้อสัตว์ในตลาดนี้ คนฆ่าหรือไม่ เป็นสัตว์แบบเดนสัตว์กินหรือไม่ ก็ไม่ใช่อีก แต่เขาอธิบายความต่างจากอาตมา

สรุปปวัตมังสะแปลว่าสัตว์นี้กินได้ แต่ถ้าอุทิสมังสะนั้นพระพุทธเจ้าห้ามกิน อุทิสมังสะคือ สัตว์ที่รู้ เห็นหรือสงสัยว่าคนฆ่าสัตว์นั้น อย่างครบองค์ 5 เลย ถ้าสัตว์ตายอย่างนี้พระพุทธเจ้าห้ามกิน จะเห็นคาตาหรือไม่ก็ตาม ถ้าเห็นก็ชัดเจน แต่ถ้าไม่เห็นแต่ได้ข่าวว่าคนฆ่ามา ปวัตตมังสะมีสองอย่างคือ มันตายเองกับเดนสัตว์กิน แต่ถ้าสงสัยว่าไม่บริสุทธิ์โดยส่วนสามคือ เห็น รูป หรือสงสัยว่าคนตั้งใจฆ่า เจาะจงฆ่า จนมันตายด้วยองค์ 5 ก็ไม่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม

ซึ่งการกินเนื้อสัตว์นี้ ในพวกมหายานเขาไม่สงสัย เขาไม่กิน ถ้าปฏิบัติธรรมหรือมาบวชแล้วเขาไม่กินเนื้อสัตว์ แต่สำหรับเถรวาทเมืองไทยตัวการเลย สำหรับเถรวาทในประเทศอื่นเขาก็มีการไม่กินเนื้อสัตว์กันส่วนใหญ่ ถ้าเคร่งครัด

อาตมาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความเข้าใจผิดนี้

ทำไมอาตมาบอกเลยว่าบุญญาวุธหมายเลข 1 คือ ต้องเป็นการไม่กินเนื้อสัตว์ หรือมังสวิรัติ ก็ขอยืนยันว่าอาตมาได้คนมาปฏิบัติธรรมได้ศีล สมาธิ ปัญญา มีวิมุติก็เพราะศีลข้อที่ 1 นี้ เป็นจำนวนมากกว่าศีลข้อที่ 2 ในศีล ห้าข้อนี้ได้มาเยอะ

และที่ได้มานี้ก็ไม่ได้หมายความว่าได้มาอย่างสีลัพพตปรามาส อย่างน้อยมาไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเข้าใจ ไม่ได้งมงาย เพราะอาตมาไม่ได้อธิบายให้งมงาย ว่า ไม่กินเนื้อสัตว์จะได้เป็นเทวดาไปสวรรค์ ไม่ได้อธิบายอย่างเทวนิยม อธิบายให้เข้าใจอย่างอเทวนิยม การไม่กินเนื้อสัตว์หรือไม่ฆ่าสัตว์นี้

ถ้าคุณลงมือไม่ฆ่าสัตว์เมื่อถือศีลข้อที่ 1 ไม่กินเนื้อสัตว์จะเกิดจิตเมตตาตามเจตนารมย์มีอานิสงส์ตามศีลข้อที่ 1 เมื่อ ละจากการฆ่าสัตว์ มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ จิตใจคุณจะเกิดอันนี้ ถ้าคุณไม่กินเนื้อสัตว์จิตใจจะเกิดเช่นนี้

อาตมาเคยถามพวกเราเมื่อตอนที่ ไม่ฆ่าสัตว์มาถือศีล ศาสนาพุทธเถรวาทที่วัดไหนเขาก็ถือศีลแต่ก็กินเนื้อสัตว์ แต่อาตมาบอกว่าถือศีลข้อที่หนึ่งไม่กินเนื้อสัตว์ พัฒนาขยับไปให้ไม่กินเนื้อสัตว์

แต่ก่อนนี้ ถ้าเห็นแมลงอยู่ในโถส้วมก็เทน้ำราดลงไปเลย แต่เมื่อถือศีลแล้ว คุณก็ช่วยเอามันขึ้นมาก่อน ใครเคยมีประสบการณ์อันนี้บ้าง ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไหม

พอถือศีลข้อ 1 จะเกิด ละจากการฆ่าสัตว์ มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ เอาขึ้นมาจากโถส้วมจิตใจเกิดความเอ็นดูเกิดหวังประโยชน์แก่สัตว์ ช่วยช่วยสัตว์ขึ้นมาเกิดจิตใจเมตตาแล้ว แต่สอนกันมาว่าอย่าฆ่าสัตว์ๆ จิตใจอย่างนี้เกิดขึ้นบ้างไหม มันมีอิทธิพลในการถือศีล มากกว่ากัน และคุณเองเกิดจิตเช่นนี้ มีความเอ็นดูกรุณา คุณเจริญไหม พัฒนาการของการปฏิบัติธรรมเกิดไหม?

คนที่มาว่าอาตมาพาสอนพาทำอย่างนี้เป็นความผิด ก็แล้วแต่ แต่อาตมาว่าพาทำพาสอนถูกต้อง และศีลข้ออื่น อาตมาก็เข้าใจตามนัยที่อาตมาเข้าใจ

แม้แต่ศีลข้อที่สองก็พาให้คนมาจน มาเอาเปรียบน้อยหรือไม่เอาเปรียบเลย มาเสียสละให้เขาด้วย อทินนาทาน อาตมาอธิบายว่า ไม่ใช่แค่ไม่เอาของคนอื่นแต่ของของเราก็ต้องให้ทานออกไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น อธิบายจนรอบถ้วน

ที่อาตมาได้เอาศีล สมาธิ ปัญญา มาสอน ก็สอนไม่เหมือนเขา 

เขาสอนว่าปัญญาจะเกิดจากการนั่งสมาธิหลับตาแล้วอย่าคิดอะไร ให้จิตใจสงบไม่คิดอะไรเดี๋ยวปัญญามันจะโผล่มา นี่แหละคือปัญญาแท้ อาตมาฟังแล้วก็สงสาร เมื่อไหร่หนอเขาจะสามารถรู้ความจริง เขาไม่เข้าใจในจิตเจตสิกต่างๆเลย การนั่งสมาธิอยู่ในภพนั่งหลับตาแล้วเกิดรู้อะไรขึ้นมา เขาเข้าใจว่าคือปัญญา มันไม่ใช่ โดยไม่ได้ปรุงอะไรเลยนะเกิดรู้ขึ้นมา อันนั้นมันคือสัญญาไม่ใช่ปัญญา เขาไม่เข้าใจว่าปัญญาต่างจากสัญญาอย่างไร

คือความจำได้ที่เขามีอยู่เก่ามันระลึกขึ้นมาได้ ไม่ได้เกิดจากปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ  ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มัคคังคะ แล้วเกิดสัมมาทิฏฐิ เกิดปัญญาปัญญินทรีย์ ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ไม่ใช่เกิดจากมิจฉาสมาธิ การนั่งหลับตา มันเพี้ยนไปไกลจนกระทั่งสอนว่าอย่าไปคิดนึกให้หยุดนิ่งจึงถือว่าเป็นสมาธิ อย่างนั้นเป็นสมถะทั้งดุ้น ไม่มีการวิตกวิจารไม่มีวิจัย มีดำริ มีพฤติกรรมอย่างไร แล้วก็จัดการที่มันมีกามวิตก กำจัดกามได้กิเลสก็ลดลง ก็ดับ เป็นสมาธิ อัปปนาสมาธิ ทำจนแข็งแรงขึ้น

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:12:57 )

591105

รายละเอียด

591105_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ประชุมมหาปวารณาปี 2559

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นครั้งที่ 34 ในการมหาปวารณาของเรา

คำว่า ปวารณา คำนี้ภาษาบาลีแปลว่า ให้ว่ากล่าวได้ ตำหนิได้ ให้ชัดๆคือด่าได้ ต้องยอมให้ด่าได้ ยอมให้ว่ากล่าวตำหนิได้ คนที่ยอมให้ว่ากล่าวตำหนิได้ เป็นคนประเสริฐเป็นคนเจริญ คนที่ยอมไม่ได้ ตินิดติหน่อยไม่ได้ คนนั้นเป็นคนต่ำเป็นคนมีอัตตาเป็นคนไม่เจริญ

ใครจะตำหนิเขาก็ต้องตำหนิสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความรู้เขาจะมีหรือไม่มีก็ตาม เขาตำหนิก็คือว่าสิ่งที่เราประพฤติอยู่เป็นอยู่นั้นว่ามันไม่ดี เขาจึงตำหนิ เขาไม่อยากให้ทำ เพราะฉะนั้นการตำหนิจึงเป็นเจตนาดีของคน เป็นจิตที่เจตนาดี แต่คนที่ไปปฏิเสธจิตเจตนาดีของคน นี้คือคนโง่ เป็นคนโง่ เพราะฉะนั้นคนโง่ย่อมเป็นคนชั่วเจริญไม่ได้ ชั่วเพราะไม่ให้มีคนติ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ให้คนติไม่ให้คนด่าคนว่าได้แตะต้องได้คือคนชั่ว คนยึดอัตตา

คนที่ไม่มีอัตตาไม่ถือตัวถือตน ไม่มีตัวไม่มีตนแล้วเป็นคนที่ใครติก็ได้ด่าก็ได้ว่ากัน จริงๆแล้ว คนติคนด่าคนว่า คนที่ถูกติถูกด่าทุกวันนั้น จิตใจของเขานั้นสำคัญ ผู้บรรลุธรรมจริงเป็นอรหันต์จริง ใครจะด่าจิตก็เฉยๆ จิตก็ไม่สะดุ้งสะเทือนแต่ไม่ใช่หน้าด้านนะ นิ่งเฉย แล้วรับฟังเขาพูดเขาด่า

คนนี้ด่าได้จัดจ้านมาก ไปสรรหาคำด่าได้เก่ง ทั้งหยาบทั้งแรง เราก็ฟังรู้ ว่าคนนี้เก่งใช้ลีลาการด่าดูไม่ดุเดือดไม่หยาบคาย แต่ลึก ด่าได้ลึก เราก็ฟังออกฟังด้วยปัญญาไม่มีพลังงานแตกต่างอะไรเลย มันโล่งเลย จะเปิดฟังอย่างใสสะอาดอย่างครบบริบูรณ์ ข้อสำคัญคือเขาไม่เสียใจไม่ดีใจไม่น้อยใจ เพราะคนนั้นรู้แล้วว่า การติเป็นสิ่งที่ประเสริฐ และอาจจะอธิบายการตำหนินี้ว่าคือการด่าก็เป็นสิ่งประเสริฐ

คนที่เห็นว่าการตำหนิการด่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะทำ คนนั้นโง่ที่สุดเลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการติติง เป็นการบอกเรื่องชั่วเรื่องไม่ดี ดูให้รู้ตัวและแก้ไขมันเป็นการเจริญพัฒนา ถ้าใครที่เข้าใจอย่างที่ อาตมาสาธยายไป แล้วชัดเจนในปัญญา

จิตใจที่มีพลังปัญญาทำให้ทุกอย่างมีพลังสูง ปัญญาเป็นพลังแรงมากด้านพลังงานที่สูง โดยเฉพาะมันสูงที่ใจของเรา มันมีพลังกับใจของเราเอง ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้วใครจะมาพูดค้านแย้ง คนละเรื่องกับใจเรา ใจเราก็ไม่หวั่นไหวไม่สะดุ้งสะเทือนไม่ขึ้น

ไม่เคลื่อนไปจากความหนักแน่นคงที่ยืนหยัดยืนยันไปอย่างเดิม แต่ไม่ใช่อย่างที่ปฏิเสธผลักหรือไม่ยอมรับ แต่รับฟังอย่างเข้าใจสิ่งที่เขาด่าเขาติ แล้วเราจะรู้ความจริงในนั้นชัด ผิดหรือถูกเราก็วินิจฉัยตามปัญญาของเรา ถ้าเรามีปัญญามากก็วินิจฉัยได้ถูกมาก ถ้าเรามีปัญญาน้อยก็วินิจฉัยได้ถูกน้อยกว่าผิด ก็เป็นความจริงตามที่แต่ละคนจะมีปัญญา

คนที่ไม่ศึกษาให้ดีจะสับสน ไปยึดถืออย่างผิดๆ สิ่งที่ไม่ควรกลับไปยึดถือสิ่งที่ควรกับไม่ยึดถือ จึงเป็นการศึกษาหาสัจธรรมให้ดี ใจของเราก็เป็นให้ได้ตามที่เรารู้เรียกว่าเป็น อุภโตภาควิมุติ วิมุติทั้งสองส่วนคือ 1. เราเข้าใจด้วยปัญญาของเราแล้วว่าสิ่งที่ดีคืออย่างนี้จิตที่ไม่ถูกคืออย่างนี้ 2. จิตของเราที่มันยังผิดอยู่เราก็ทำให้ถูกได้

ถ้าเรารู้ว่าจิตใจที่ดีที่ถูกคืออย่างไร แต่ยังเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราให้เป็นตามความถูกต้องนั้นไม่ได้ตามความจริงไม่ได้คนนั้นก็ได้จะรู้

คนที่จิตใจดีแล้วถูกต้องแล้ว แต่ไม่มีปัญญารู้ว่าเราถูก คนนี้ก็สามารถที่จะเพี้ยนไปจากสิ่งที่ถูกเดิมของตนได้ ตนเองมีความถูกต้องอยู่ดีแล้ว คนอื่นมาพูดให้ฟังก็เพี้ยนไปตามสิ่งที่ไม่ถูกที่เขามาพูดให้เราฟังแล้ว เพราะเราไม่มีปัญญารู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกแล้ว เราประพฤตินั้นถูกแล้วคนนี้จึงไม่มั่นคงไม่ยืนหยัด

คนที่มั่นคงคนที่ยืนหยัดนี่แหละ ขออภัยเช่นอาตมาเป็นต้น อาตมามั่นใจในสิ่งที่ถูกต้องก็ยืนหยัดยืนยัน เถรสมาคมหรือคนที่เข้าใจไม่ตรงกับอาตมาเขาก็ว่าอาตมา ด่า ใช้กฎหมายจะมาบังคับให้อาตมาเปลี่ยนแปลง แล้วกระไร อาตมาแพ้คดีที่ว่าความด้วย ทางโน้นเขาชนะ อาตมาแพ้แต่อาตมาไม่ใช่ผู้ผิด อาตมามั่นใจ

 

แวะนิดนึงถึงประธานาธิบดีอเมริกาที่กำลังจะเลือกกัน ทุกวันนี้ Globolization แล้ว ขณะนี้ผู้จะมาเป็นเบอร์ 1 ของสหรัฐอเมริกาก็มี 2 คนที่ชิงกันอยู่ เขาก็บอกว่า การจะคัดเลือกเอาเบอร์หนึ่งทั้งๆที่มันเน่าทั้งคู่ มันหมายความว่าอะไร หมายความว่ามันสุดเดนแล้ว สำนวนไทย

เขาถือว่า เป็นประเทศมหาอำนาจใหญ่ แต่เอาคนที่เป็นเดนขึ้นไปปกครอง ฟังแล้ว มันน่าเศร้าสลดใจแต่ปรากฏการณ์ของเมืองไทย กลับคนละหัวหางเลย แต่ Bomb of love.เกิดในเมืองไทย สังคมทุกวันนี้เขายอมรับประชาธิปไตยเอามวลประชาชนจำนวนมากเป็นใหญ่ เป็นคะแนนตัดสิน แล้วคนจำนวนมากเป็นเครื่องตัดสินนั้น จำนวนคนนั้นตัดสินอะไร ตัดสินคุณค่าของความดีงาม

ในเมืองไทยมีความดีงามอันประเสริฐที่คนไทยมีปัญญารู้ ประชาชนคนไทยฉลาด ที่รู้ว่าคุณงามความดีของคนที่ปฏิบัติที่มีพระจริยวัตรที่ดีนั้นคือในหลวงหรือ ชื่นชมความดีงาม คนที่มีปัญญาจะชื่นชม คนโง่ไม่มีปัญญาจะต่อต้านในหลวงลบหลู่นั่น คือคนโง่

แต่ทุกวันนี้คะแนนเสียงมวลประชาชนที่แสดงออกเป็นคะแนนเสียงที่ยอมรับคุณค่านี้ใช่ไหม ไม่ใช้แต่ในประเทศไทย กระจายไปถึงนอกประเทศ แล้วเป็นปรากฏการณ์ Bomb of love.ที่ไอน์สไตน์ได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้กับลูกสาวบอกว่าต่อไปปรากฏการณ์ของโลกจะ Bomb of love.ให้ลูกเก็บจดหมายนี้ไว้ ลูกก็ไม่รู้เรื่องว่าจดหมายนี่คืออะไร Bomb of love.

Bomb of love.พลังงานระเบิดเถิดเทิง ของกระแสคุณงามความดีของผู้ที่เป็นคุณงามความดี คุณงามความดีของในหลวงเป็นคุณงามความดีที่ครบถ้วนในเรื่องของ อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

เป็นคุณค่าคุณธรรมพฤตินัย เป็นพลังงานชนิดนี้ครบ อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ ครบ 5 ภาพ

ซึ่งเรามีผู้ที่ทรงพฤติอันนี้ ตลอด 70 ปีมา ทุกคนเข้าใจและสรุปผลให้คำตอบ ว่าพระองค์เผยแพร่อย่างนี้ พาประชาชนเป็นอย่างนี้ถูกต้องที่สุด จำนวนคนไทยมีปัญญา เห็นดีเห็นงามเห็นด้วย ว่าใช่ แค่นี้คือคำตอบแล้ว ก็เป็นการลงคะแนนเสียงประชาธิปไตยว่านี่คือคุณธรรมพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ สุดยอดสุดเลิศจะต้องเคารพบูชาในคุณงามความดีของมนุษย์ ต้องประพฤติให้ได้อย่างนี้ นี่คือการแสดงออกเป็นเครื่องชี้บ่ง เป็นการให้คะแนนอันนี้ทั้งหมด

ไม่ใช่กระแสในเมืองไทยและต่างประเทศก็สนองอันนี้ ยอมรับอันนี้ด้วย นี่คือปรากฏการณ์ของโลกของสังคมโลกสมัยนี้ ยุคนี้ คือเขารับรู้กันทั้งหมดทั่วโลกเลย

สรุปว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในโลก

นี่คือคำตอบของอาตมา ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง จะว่าหลงตัว อาตมาก็กำลังพูดสัจธรรมวิชาการความรู้ ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ ไม่ได้พูดอย่างมีอคติ อาตมากำลังอธิบายศาสตร์ นี่คือสัจจะของโลก

อาตมาว่าพวกเรานี่ ภูมิใจที่สุดแล้ว คนไทยต้องภูมิใจที่สุดแล้วว่า มาถึงวินาทีนี้ ประเทศชาติของโลกมีสองร้อยกว่าประเทศ ประเทศไทยมีตั้งแต่ผู้ที่เป็นประมุขของประเทศ แล้วก็มีผู้ที่ดำเนินตามพระยุคลบาท อย่างน้อยที่สุดก็คือมีความรู้ความเห็น เห็นด้วยไม่ขัดแย้ง ในปริมาณของคนในประเทศ

เป็นปริมาณประชาชนที่ชนะหรืออย่าง landslide เลย พวกที่ยังเป็นกบฏต่อพระเจ้าอยู่หัวอยู่ ทำไมมันโง่เง่านัก ทำไมไม่รู้เลยว่าอะไร แล้วเขาก็บอกว่าประชาธิปไตยต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย มันจะโง่ดักดานอะไรกันแค่ไหน ผู้ที่เป็นหัวขบวนนำก็ยังต่อสู้ยังมีทุนรอนสู้นะ เพราะเขาได้โกงไปมาก แล้วได้ดอกเบี้ยจากเงินที่โกงไปมากแล้ว เขาไม่มีปัญญา อีกกี่ชาติเขาจะเป็นคนมีปัญญา แต่เขาสะสมแต่ความโง่ดักดาน ทุกที แล้วก็มีคนให้คนโง่จูงจมูกจะโง่ไปอีกนานไหม

ตอนนี้ไทยเป็นประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก ไม่ต้องพูดถึงโดนัลทรัมพ์ไม่ต้องพูดถึงฮิลลารี่ ประชาธิปไตยขาเดียวอย่างอเมริกาเจริญไม่ได้หรอก มันถึงยังออกผลจริง เขากำลังเลือกประธานาธิบดีเบอร์ 1 ของประเทศก็คือ 2 คนนั้น แล้วเขาก็บอกว่าเน่าทั้งคู่ แต่จำเป็นต้องเลือกเพราะไม่มีตัวเลือก เขาเป็นผู้นำประชาธิปไตยแบบขาเดียวนะ สำหรับอเมริกา ผ่านมา 200 กว่าปีและประชาธิปไตยสองขานี่ เริ่มจะรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างไรมันก็มีมามากกว่า 200 ปี ก็เปลี่ยนมาจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ของเรายังเป็นประชาธิปไตยได้ไม่นาน ตั้งแต่ปีพ. ศ. 2475 ก็ไม่ถึงร้อยปี แค่ 84 ปี แต่เป็นประชาธิปไตยเบอร์หนึ่งของโลก

ทำไมพึ่งมาเปลี่ยน เพราะความเป็นประชาธิปไตยนั้นอยู่ในชื่อของประชาธิปไตยที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาธิปไตยของประเทศไทยนั้นมีการบริหารอย่างพ่อลูก มาตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทำมาแล้วตั้งแต่ เจ็ดร้อยแปดร้อยปีมาแล้ว นั่นแหละคือความเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยของศาสนาพุทธคือสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 มีพุทธพจน์ 7

เป็นครอบครัวเดียวกัน ผู้เป็นประมุขของประเทศคือพ่อ ทุกวันนี้คนขานพระนามของในหลวงว่าคือพ่อของประเทศ อันนี้ไม่ใช่มุข ไม่ใช่โมเม มันเป็นสัจจะใช่ไหม เขาเรียกว่าพ่อด้วยจิตวิญญาณนะ เป็นเรื่องออกมาจากจิตวิญญาณจากจิตใจ

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1lstDl_yeuAi9_sbLt0N_oEBOKprnPklPBCVt1WxqDsA

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfSXR1bGl5azRfdHc

 

หรือที่นี่.... http://www.filefactory.com/file/73x22t4p7m25/161105

 

ดาวโหลดวิดีโอได้ที่นี่....

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:13:25 )

591106

รายละเอียด

591106_วิถีอาริยธรรม งานมหาปวารณา อรหันตโพธิสัตว์

สมณะฟ้าไทว่า..วันอาทิตย์ที่ 6 เดือนพฤศจิกายน 2559 ขึ้น 7 ค่ำเดือน 12 ปีวอก งานนี้ที่ปฐมอโศกเรียกว่างานมหาปวารณา เมื่อวานนี้พ่อครูเทศน์ก่อนฉันเรื่องมหาปวารณา

เรื่องปวารณาคือการยอมให้ติได้ว่าได้ คนที่ยอมให้ติได้ว่าได้คือคนประเสริฐ คนที่ไม่ยอมให้ว่าให้ด่าได้เป็นคนต่ำเป็นคนชั่ว เป็นคนยึดติดอัตตา อาตมาบันทึกไว้อย่างสำคัญเพื่อสอนตนเอง

ในหนังสือเหนือแนวคิดของแรงรวมชาวหินฟ้า ได้บอกรายละเอียดของโพธิสัตว์ไว้ว่า….

 

"พระโพธิสัตว์คือสัตว์ชนิดใดเล่าพระเจ้าข้า?"

สมันตภัทรทูลถามถึงพระอมิตตพุทธ พระพุทธเจ้าทรงพริ้มพระเนตรลงตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า

ดูกรสมันตภัทร

 โพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ละเลยแล้วซึ่งตนเอง หลงลืมแล้วซึ่งตนเอง ท่านถือเอากายของสัตวโลก เป็นกำเนิด เพื่อร่วมทุกข์กับสรรพสัตว์

  ท่านคือ ผู้ปลดปล่อยโลก ท่านทำลายความมืดมิดด้วยแสงสว่าง

  ดูกรสมันตภัทร

 โพธิสัตว์ดำรงอยู่ทุกสถาน แม้ในนรกขุมที่ลึกที่สุด ประตูนรกจะถูกเปิดออก เพื่อผองสัตว์ จะได้รับความบรรเทา

 โพธิสัตว์คือความชื่นชมยินดี ของปวงสัตว์ทั้งหลายในโลก ไม่ว่าสถานการณ์ จะคับแค้นเพียงใด โพธิสัตว์ก็ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป เพื่อยังความสว่างแก่ชาวโลก ความทุกข์ยาก และบาปกรรม ความชั่วร้ายและอยุติธรรมจะถูกขจัดออกไป ธรรมะจะส่องแสงเจิดจ้าเหนือหมู่ชนในโลก ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังดำรงอยู่ (คัดบางตอนจากหนังสือโพธิสัตว์ธรรม)

ในหนังสือเล่มนี้ มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

สำหรับพระโพธิสัตว์ที่อยู่ใกล้ๆนี้ อาตมาไม่ต้องคิดเดาเอาเลย ดูก็เห็นทุกวันหน้าตาเป็นอย่างนี้ ท่าทางเป็นอย่างนี้แนวคิดเป็นอย่างนี้ พูดเป็นอย่างนี้ ท่าทางเป็นอย่างนี้ ฉันอาหารอย่างนี้ นอนท่านี้ ยกเว้นตอนเข้าส้วมไม่ได้ดูว่านั่งท่าไหนเท่านั้นแหละ

ในความรู้สึกของอาตมา เราเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่เราได้ใกล้ชิดพระโพธิสัตว์ ความจริงแล้วท่านสูงกว่าเรามากมายมหาศาล แต่ท่านมาแสดงความเป็นกันเองมากน้อมมาสู่เรา ให้เราได้จับต้องได้ในสิ่งที่ท่านนำเสนอ เป็นโชคดีในชีวิตของเรามากที่ได้สัมผัสสิ่งนี้ เกิดมาชาติหนึ่งอาตมาว่าเป็นความคุ้มค่าที่สุด มาเจอบุคคลเช่นนี้เขาเกิดมาอย่างนี้ขอเกาะขาไปอย่างนี้ จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องเกาะท่านไปอีกอย่างนี้ เป็นนิยตโพธิสัตว์ นั้นเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เป็นสยังอภิญญา พึ่งพาตนเองได้จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ต้องพึ่งพาท่านไปจนกว่าเราจะถึงพุทธภูมิ วันนี้พ่อครูจะไขความเรื่อง อรหันตโพธิสัตว์ ถ้านั่งอยู่ในที่นี้เป็นพระอรหันต์หมดประเทศไทยจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขนาดไหน โลกนี้จะดีขึ้นขนาดไหน สงครามโลกไม่เกิดขึ้นแน่นอน ก็เดาตามประสาตนเองนะ

พ่อครูว่า..ในประเทศไทยขณะนี้บรรยากาศกระแสสังคมเป็นพลังงานของพฤติกรรมของมนุษย์มากๆคนรวมกันเข้า จนกระทั่งเป็นคนไทยทั้งประเทศ อาการเคลื่อนไหวต่างๆของมนุษย์คนไทยนี้ มันส่อแสดงบอกแจ้งถึงความเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ ที่ว่านี้ ในประเด็นของความแสดงออกของประชาชนทั้งมวล

เขาแสดงออกว่าเขาศรัทธาเลื่อมใสเทิดทูนบูชาคนผู้หนึ่ง คือพระเจ้าแผ่นดินของไทย

พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 นี้ คนเราเมื่อรู้ค่า ของสิ่งที่มีค่า เสร็จแล้ว ของมีค่านั้นพรากไป ของมีค่านั้นหลุดมือไป คนที่รู้ค่าจริงๆว่า โอ้! ของมีค่านั้น เราควรจะมีด้วย อยู่ด้วยไม่ควรจะพรากไป แต่เมื่อพรากไปแล้ว จิตวิญญาณที่รู้สึกอย่างจริงจังหรือคุณค่า เป็นคนชาติที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ประเสริฐด้วย หลุดไปนี่ ก็เกิดอาการเสียดาย แล้วก็กลายมาเป็นเสียใจ เสียใจที่ตัวเองช้าไป ไม่ได้ แม้แต่ผู้ที่ได้บ้างแล้ว ก็น่าจะได้ ยิ่งๆเท่าเทียมกับพระองค์

นี่เป็นการแสดงออกของกรรมกริยาของมนุษย์คนไทยขณะนี้ ทั่วประเทศเลยแสดงออกมาให้เห็นเป็นปรากฏการณ์อย่างแท้จริง มันก็แสดงว่า

1. คนไทยมีปัญญา คนไทยมีปัญญารู้ว่าสิ่งที่ดีที่ประเสริฐจริงนั้นคืออะไร?  ซึ่งมีในองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ เขาเห็นแล้วมีปัญญารู้แล้วเข้าใจแล้ว

2. เมื่อมีปัญญารู้แล้ว เขาก็จะต้องนับถือเทิดทูนบูชา ยกย่อง จึงมาแสดงอาการเทิดทูนบูชายกย่อง กันอย่างพรักพร้อม ผู้ที่รู้จริง จิตใจมีความรู้สึกอย่างนั้นจริง และตอนนี้เป็นโอกาส มันต้องเป็นโอกาส เพราะว่าในขณะที่พระองค์ยังทรงมีพฤติกรรม ท่านทรงสอน ทรงบอก ทั้งวจีกรรม กายกรรม มโนกรรม แสดงออกพร้อมหมด ถ้าคนเข้าใจ แต่ตอนนี้สิ้นพระชนม์ลงแล้วก็จบแล้วในกายกรรม วจีกรรม ส่วนมโนกรรมก็ไปตาม ทิศทางของพระองค์

3. คนก็อาลัย ไม่อยากให้จากไป อยากให้กลับคืนมา ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นความจริงอันนี้ก็ยิ่งเกิดความอาลัยที่มาก ๆๆๆ คนที่แสดงออกอาการจริงนี้จึงเต็มไปหมด

อาตมาก็อยากจะสรุปว่า ถึงอย่างไรก็ตาม อาการต่างๆที่อาตมาสาธยายเล็กน้อยนั้น เกิดขึ้นจริงแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามเป็นปรากฏการณ์ที่แจ้งความจริงอันหนึ่งว่า ในโลกใบนี้ขณะนี้ ประเทศไทยมีบุรุษผู้หนึ่งที่มีพฤติกรรมอันประเสริฐสุด ความประเสริฐนั้น แยกได้เป็น 2 อย่าง ใหญ่ๆ

อย่างที่ 1 ผู้นั้นสามารถทำให้กิเลสลดไปจากจิตใจได้จริงๆ เป็นสัมมา การลดกิเลสประเภทหนึ่งเรียกว่า กดข่มไม่ให้แสดงออกบทบาทของกิเลสเรียกว่า สมถะ

อีกอันหนึ่ง(2) เป็นการลดกิเลสอย่างวิปัสสนาของพระพุทธเจ้ารู้จักกิเลสในตัวเองอย่างจริง แล้วสามารถลดกิเลสได้ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าด้วย….

มรรคมีองค์ 8 กับโพชฌงค์ 7 ขยายเต็มเป็นโพธิปักขิยธรรม 37

เรียกว่าโลกุตรธรรม 37 ปฏิบัติแล้วก็จะได้เป็นบุคคลอีก 9(โลกุตรธรรม9)

 (โสดาปัตติมรรค    โสดาปัตติผล          สกิทาคามีมรรค   สกิทาคามีผล

 อนาคามีมรรค         อนาคามีผล            อรหัตตมรรค อรหัตตผล นิพาน)

อรหัตตผล คือทำจิตตนให้ไม่ลึกลับ อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ อรหัตตผลตั้งแต่จุดหนึ่งสองจุด โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ไปเป็นสกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล ก็คืออรหัตตผลเจริญจริงตามลำดับ

อีกอย่างหนึ่งเมื่อผู้นั้นสามารถทำจิตใจตนเองให้บรรลุได้แล้ว เรียกว่าตรัสรู้ ภาษาบาลีเรียกว่า โพธิ หมายความว่าเป็นผู้ได้เกิดความรู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัส เป็นคำตรัสคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ผู้ใดสามารถปฏิบัติตนให้เกิดความรู้ตาม...

1 ตามหลักเกณฑ์เราเรียกว่า ศีล

2 ปฏิบัติเป็น อธิจิต คือทำให้กิเลสลดลงได้ เรียกว่า อธิจิต เจริญ

3 มีธาตุรู้เป็นปัญญารู้หลักเกณฑ์ปฏิบัติ แล้วรู้วิธีลดกิเลส กิเลสก็ลดจริงๆจนกิเลสดับได้ มีปัญญารู้ตามมาหมด หมดกิเลสเรียกว่าวิมุติ มีความรู้เรียกว่าวิมุติญาณทัสนะ กิเลสดับอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ผู้ที่ทำกิเลสลดได้เรียกว่าอรหันต์ ผู้ที่มีความรู้ว่าตนเองกิเลสดับได้แล้ว โดยศาสนาพุทธ ผู้ที่กิเลสลดได้นั้น จะต้องเป็นประโยชน์ท่าน จะต้องช่วยผู้อื่นสืบสานศาสนาต่อไป เป็นผู้แจกธรรม หรือจำแนกธรรม เรียกว่าพระโพธิสัตว์

*ความเป็นอรหันต์กับโพธิสัตว์คือ…*

อรหันต์นั้นทำตนให้บรรลุ

โพธิสัตว์นั้นบรรลุแล้ว*ต้อง*ช่วยผู้อื่น

ใช้คำว่า ต้อง* ถ้าบรรลุแล้วไม่ช่วยผู้อื่น ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนแบบนี้

 

ประโยชน์ตนคือ พระอรหันต์

ประโยชน์ท่านคือ พระโพธิสัตว์

โพธิสัตว์คือ ผู้ที่มีความตรัสรู้แล้ว ถ้าไม่มีความตรัสรู้ ผู้นั้นไม่ใช่พระโพธิสัตว์

โพธิสัตว์คือ ผู้ที่มีประโยชน์ตนเองและทำประโยชน์ท่าน เรียกว่าอุภยัตถะ

ถ้ามีแต่ประโยชน์ตน อัตตัตถะ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

หากมีแต่ประโยชน์ท่าน ปรัตถะ ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

หากไม่มีเนื้อแท้ในตนเองจะเอาเนื้อที่ไหน จะแจก ต้องมีเนื้อแท้ของตัวเองก่อนถึงจะแจกได้ ช่วยผู้อื่นได้ให้คนอื่นได้ ต้องมีมากพอที่จะให้ผู้อื่น ในภาคปฏิบัติไม่มีใครจะให้หมดตัว แต่ในภาคปลายสุดอย่างพระอวโลกิเตศวรก็จะช่วยผู้อื่นให้ปรินิพพานหมดก่อน ตนเองค่อยปรินิพพาน ก็เป็นสุดยอดปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

อรหันต์ ต้องมีความจริงของอรหัตผล ไม่มีความลึกลับในอัตตา ทำให้อัตตาลดละจางคลายดับสิ้นในตนหมด จึงเป็นอรหัตผล *

*อรหันต์ แบ่งลำดับเป็น  1. อรหันต์ในโสดาบัน   2.อรหันต์ในสกิทาคามี

                                     3.อรหันต์ในอนาคามี     4.อรหันต์ในอรหันต์*                             

เป็นผู้ที่จะต้องมาทำงานสืบสานศาสนา พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาเสร็จทำงานเสร็จก็ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็จะมีผู้ที่สืบทอด เป็นผู้ที่มีสัจจะความจริงสืบทอดไป   ต้องไปเกิด ไปวนเวียน เพื่อสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า ด้วยความกตัญญูกตเวทีอย่างจริงจังจริงใจ ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำกันไป  ไม่มีเรื่องงมงายปิดบังอำพรางเป็นเรื่องสัจจะ

ศาสนาพุทธมีสิ่งจริงดังว่า แต่ได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว ผู้ที่มีสัจจะ จะมาทำหน้าที่สืบทอดต่อ จะอุบัติขึ้นมาเป็นครั้งคราว ตอนนี้เมืองไทยขาดโพธิสัตว์ที่จะมาช่วยฟื้นฟูหรือทำความจริงขึ้นไปอีกนานพอสมควร อาตมาอุบัติ ขึ้นมาในปางนี้ยุคนี้ อาตมารู้แจ้งแล้ว และชัดเจนว่าอาตมา มาเป็นผู้ที่จะสืบสานศาสนา เมื่อรู้ตัวเองก็มาบอกประกาศไป พอประกาศไปก็รับไม่ได้

เพราะไปครอบงำความคิดกันไว้ว่า ผู้ที่บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ ผู้ใดบรรลุแล้วบอกคนอื่นไม่ได้ ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ผู้รู้ทางศาสนาเป็นที่นับถือของเมืองไทยพูดตรงๆเลยว่า ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วบอกความบรรลุธรรมออกไป ผู้นั้นตัดสินเลยว่านั่นแหละคือผู้ที่ไม่บรรลุ

ในพระไตรปิฎกพระสูตรเล่ม 1 เลย โลหิจจสูตร ข.352 มีประเด็นสรุปไว้ว่า

ด้วยพระพุทธคุณ

          [352] ครั้งนั้น โลหิจจพราหมณ์เกิดมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือ ความโลภ ว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้

ดังนี้ โลหิจจพราหมณ์ได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุลเสด็จจาริกมาในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงบ้านสาลวติกาโดยลำดับ และเกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่าแม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ(พ่อครูว่า...คือท่านรู้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาแล้ว มากมาย จนไม่มีใครจะรู้ตามท่านไม่ได้ สืบสาวต้นตอไม่ได้ เพราะมีมานานมากแล้ว จนพระพุทธเจ้าองค์นี้ก็เหมือนมีธรรมะของตนเองแล้ว ทรงไว้ซึ่งในจิตอัตภาพของใครของมัน แต่ท่านไม่ลึกลับในอัตตาแล้ว อัตตาที่มีอยู่นี้จึงเป็นแค่อัตตาอาศัยมาเปิดเผยมาสอนมาแนะนำให้คนอื่นได้รู้ตาม จนเป็นคนที่ไม่ลึกลับในอัตตา เป็นอรหันต์ได้เช่นกัน มีหน้าที่จะต้องทำสืบต่อไป)  ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

วิชชาคือความรู้ที่จะพาบรรลุอรหันต์ มี 8 วิชชา คำว่าวิชชาไม่ใช่ความรู้ปลูกกล้วยหรือโลกียศาสตร์ใดๆ แต่วิชชานั้นรู้เฉพาะเรื่อง รู้กิเลส* แล้วทำกิเลสดับได้

อาตมาต้องพยายามเน้นนัยสำคัญของพยัญชนะ ที่ทุกวันนี้เพี้ยนไปหมด ทุกวันนี้ใครไม่รู้อะไรก็บอกว่า อวิชชาหมด แต่แท้จริงคนฉลาดมากนั้นแหละคือจอมอวิชชา เอาความรู้โลกไปเอาเปรียบ โหดร้ายต่อผู้อื่นไม่ใช่ฉลาดวิชชาเลย ไม่รู้เป้าหมายศาสนาพุทธว่าเรียนรู้อะไร

สุดท้ายเมื่อเรียนรู้วิชชาแล้ว ความประพฤติเราจะเปลี่ยน เป็นจรณะ ขอยืนยันว่าความประพฤติของอาตมานั้นกายกรรมซับซ้อนเหมือนคนที่พูดแรงมีกายกรรมที่แรง ที่อาตมาแสดงความแรงก็เพราะว่าคนมันด้าน พวกนี้อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก จึงต้องกระแทก

คนที่ได้รับการยกย่องชมเชยว่าเป็นอาจารย์ทางศาสนาพุทธมีอยู่มากที่สุภาพเรียบร้อย บรรยายได้นิ่มนวล คนฟังดี ฟังสบายดี ไม่ทิ่มแทงกิเลส แต่พลังงานทางจิตเขาไม่ถูกกระแทก เขาจึงไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลง อาตมาจึงต้องแรงทั้งน้ำหนัก แรงทั้งสุ้มเสียงสำเนียง ฟังแล้วภาษาแรงก็ดูเหมือนหยาบ หยาบคือพูดความผิดของคนที่มันผิด แล้วคนที่ผิดนั้นมันรักความผิดของตนเพราะมันมีอัตตา มันไม่อยากให้ใครมาพูด อัตตาของข้าใครอย่าแตะ แต่อาตมาไม่แค่สัมผัสแต่กระแทกอัตตา

เพราะผู้ที่สอนสุภาพเรียบร้อยสัมผัสอัตตาเขา มันเฉยหมดเลย มันลดกิเลสที่ไหน อาตมาพูดไปจนป่านนี้ยังไม่ค่อยกระเตื้องเลย แต่อย่างน้อยพวกคุณฟังเข้าใจเอาไปทำมีผลบรรลุจริง แน่นอนว่ายาก แล้วคนมาปฏิบัติก็จะน้อย เพราะว่าคนเขาได้ฟังมาแล้วว่าต้องสุภาพสงบ แต่ยุคนี้ยุคจัดจ้านจิตใจแข็งหนา จะเห็นได้ว่า คำพูดกิริยาท่าทางก็แรง แต่ในลึกๆในคนมันรู้ว่า รุนแรงไม่ดี มันควรจะนิ่มนวล ลึกๆนั้นใครๆก็รู้ อาตมาก็รู้ แต่มันไม่ใช่ยุคของมัน ที่จะทำอย่างเบาแล้วได้ผล ในสมัยพระพุทธเจ้าก็แรง แต่ไม่แรงเท่ายุคนี้ที่ด้านกว่าหนากว่า

เพราะฉะนั้นอาตมามีความเห็นเช่นนี้ แล้วได้ผล การทำแรงแล้วคนก็รับฟัง คนที่สามารถรับแรงกระแทกแรงได้นั้น แสดงว่าคนนั้นไม่ถือดี ไม่ถือตัว ไม่มีอัตตามาก

คนที่มีอัตตามากนั้นเมื่อแตะต้องความไม่ดีงามของเขานิดเดียว เขาก็ไปแล้ว

คนมีปัญญาก็จะรู้ว่าเมื่อแตะอัตตาแล้วมันจะมีไหวพริบปัญญา ก็จะสนใจ

แต่คนไม่มีไหวพริบและมีอัตตา เมื่อแตะเข้าจะไม่เอาแล้ว

การกระแทกแรงนั้น เป็นการคัดเลือกคนที่มีปัญญาและความกล้า ไม่ใช่คนที่รักตัวเองไม่ยอมมาศึกษาไม่ยอมเปิดเผยตน พวกนั้นน่าสงสาร คนพวกนั้นไม่มีประโยชน์และไม่ได้รับประโยชน์อันนี้เลย เพราะฉะนั้นการแสดงแรงๆ...

1. แรงให้ถูก จิ้มให้ถูก คือพูดความจริงให้ถูกความจริง กระแทกแรงๆ คนที่มีปฏิภาณปัญญา พอเขาฟัง ถูกทิ่มแทงกิเลสตนเอง ก็จะบอกว่า ใช่ ๆ กิเลสเราแท้ๆ ยอมรับ

 2. มีปัญญา รู้ว่ากิเลสตัวเอง และมีปฏิภาณฉลาดรู้ว่าเราไม่ควรจะไปยึดถือกิเลสตัวเอง เราจะต้องกล้าไปหาคนนี้ ไม่ใช่ว่าจะหนี คนนี้รู้กิเลส ก็ยิ่งต้องเข้าหา ถ้ามีปัญญาล้างกิเลสก็ยิ่งจะต้องเข้าหาอีก

อัตตาของตนก็จะได้รับการชำระออกแน่ มีประโยชน์แน่คนนี้ ก็เข้าหาเลย

แต่ถ้าใครที่ไม่มีปัญญา เขาก็จะบอกว่าพูดไม่เหมือนคนอื่นๆที่เขาพูดกัน คนนั้นก็โง่ไปอีก ดักดาน ยิ่งมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าเขาพูดโดนกิเลส แต่ก็ไม่อยากล้างกิเลสตนเอง เป็นคนโง่ ฉลาดที่รู้กิเลสตนแต่โง่ที่รักกิเลส ก็จะไม่ค่อยมาเอา ไม่มาใกล้ จะสงวนถนอมกิเลสตนเอง อาตมาว่าโง่ไม่รู้กิเลสเสียก็ยังดีกว่า แต่นี่รู้กิเลสตนนะ ยิ่งเขาสอนให้ล้างกิเลสก็ยังไม่เอา มันโง่หนักหนาสาหัส ทริปเปิ้ลโง่เลย)

 

 เสด็จไปดีแล้ว(สุคโต)

(คือคนนี้ยังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็คือต้องรู้จักการดำเนินไป ไม่ใช่เป็นพลังงานหยุดนิ่งเฉยๆ แต่เป็นพลังงานเคลื่อนที่ออกไปแล้ว เรียกว่า คตะ

สุคโต คือผู้ที่รู้ว่าการเคลื่อนพลังงานออกไปนี้ มีแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ  ไม่มีทุคโต เป็นผู้รู้รอบ ทุ และ สุ แล้วเอา ทุ ออกไปหมด เป็นผู้ที่สำเร็จแล้วมีแต่ไปดีอย่างเดียว)

โลกวิทู  ทรงรู้แจ้งโลก

(เป็นผู้ที่เข้าใจความเป็นโลก กามโลก รูปโลก อรูปโลก หรือดับความเป็นโลกียโลก แล้วอยู่เหนือโลกียโลก อย่างที่โลกทำอะไรท่านผู้มีโลกุตระไม่ได้ เพราะท่านรู้แจ้งโลก รู้เท่าทันโลก โลกทำอะไรไม่ได้ โลกจะมาโน้มน้อมให้ทำชั่วไม่ได้เลย)

 

อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ

เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก (เป็นผู้นำพาคนอื่นให้เจริญ) ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็สอนได้เท่านี้ แต่จะไม่ยอมแพ้ ก็จะทำให้ได้ดียิ่งกว่านี้อีก อาตมาทำงานมา 46 ปีก็ชักจะยากแล้ว คนตีทิ้งตลอดชีวิตก็มี แต่คนกลางๆ ไม่ได้ตีทิ้งอาตมาเด็ดขาดทีเดียว หรือคนที่ตีทิ้งไปโดนหมัดอัปเปอร์คัทก็อาจตาสว่าง ก็จะใช้ทุกหมัด อาตมาจึงเป็นนักชกที่ต้องใช้พลังชกอย่างแรง

สัตถา เทวมนุสสานัง ท่านสอนคนที่เป็นเทวดาและมนุษย์ ไม่มีผี คือผีก็ไม่มาให้สอนหรอก คนที่รับคนอื่นเป็นอาจารย์ แล้วเป็นอาจารย์ที่ถูกจริง คนนั้นเริ่มเป็นมนุษย์ คือมีจิตประเสริฐขึ้นเรื่อยๆ )

 

พุทโธ เป็นผู้เบิกบานแล้ว(ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วไม่เหี่ยว ไม่เคร่ง พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำจิตเศร้าสร้อย แล้วไม่ให้ทำจิตจืดด้วย ในอานาปาสติ ก็สอนปัสสัมภยัง กายสังขารัง คือให้ดับกิเลสให้ได้แล้วทำจิต อภิปโมทยังจิตตัง เป็นจิตใจที่ร่าเริงเบิกบานยิ่งปราโมทย์ จิตใจจะเบิกบานเท่าเดิมอยู่เสมอ ถามจริงใครเคยเห็นอาตมาหน้าเศร้าบ้าง นอกจากอาตมาอยู่คนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องทำร่าซ่า ยิ้มก็บ้าไปใหญ่ แต่ถ้าอาตมาอยู่กับคนอื่นจะเบิกบานร่าเริง ไม่ได้แกล้งนะ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาเบิกบาน เช่นเดี๋ยวนี้อาตมาปฏิบัติอนุโลม ไปเลยกว่าที่เขาเรียนมา เช่น ยิ้มไม่เห็นไรฟัน อาตมาตอนนี้หัวเราะเสียงดังขึ้นบ้าง เพื่อให้โลกเบิกบานขึ้นมาด้วยจะไปเครียดไปนั้นมันไม่ดี)

 

ภควา เป็นผู้จำแนกพระธรรม(เป็นผู้สาธยายแจกแจง ตอนนี้อาตมาก็แจกแจงจนละเลียด แต่ก็จำเป็นเพราะว่ามันคลี่ไม่ไหวหรือผิด เราก็จำเป็นต้องจำแนกให้ดีที่สุด คนที่บรรลุแล้วไม่จำแนกไม่บอกใครก็ใจดำ

 

 พระองค์ทรงกระทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดามนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล.

พ่อครูว่า...คำว่าโลกนี้ คือโลกปุถุชนสามัญ เทวโลกคือ แปลว่าดี แปลว่าเจริญ​ แต่ดีและเจริญอย่างโลกีย์นั้นมันวนเวียน สั่งสมหนาขึ้นติดยึดขึ้น

อาตมากำลังไขเทวดา 6 ชั้น แล้วคนก็อยากจะเป็นเทวดา

อาตมาก็สอนว่า เทวดาคือภพคือชาติ คนที่ไปหลงเทวดาก็คือ ยังมีภพชาติ ก็คือคนที่โง่ทั้งนั้น

เทวดาแบ่งเป็นสามอย่าง

1.สมมุติเทพ    2.อุบัติเทพ      3.วิสุทธิเทพ

คนก็แสวงหาเทวดาทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครอยากได้นรก แต่คุณทำ(นรก)เพราะอวิชชา คุณอยากได้สวรรค์ เจตนาอยากได้สวรรค์ แต่คุณทำแล้วได้นรก ทั้งๆที่มันไม่มีระบุอะไรว่าใครอยากได้นรก แต่กรรมเป็นอันทำ

 กรรมที่ทำ ที่เป็นภพเป็นชาติคือนรกทั้งนั้น การกระทำใดไม่เกิดนรกก็เกิดสวรรค์ เกิดสวรรค์นั่นแหละที่เกิดนรก ถ้าคุณไม่เกิดสวรรค์คุณก็ไม่เกิดนรก แปลว่าคุณทำเพื่อสวรรค์ทั้งนั้น แต่มันเป็นนรก เพราะฉะนั้นคุณจะทำสวรรค์หรือทำนรกก็อันเดียวกัน  ต้องทำแบบไม่เป็นสวรรค์ไม่เป็นนรกก็จะ สั้นง่ายและจริง ทำให้ได้

สมณะฟ้าไทว่า...ยาก

พ่อครูว่า..ยาก ก็ กลับไปเลย ใครยากจะอยู่ยกมือ (ยกกันพรึ่บทั้งสมณะฟ้าไท)

ธรรมะพุทธศาสนาทุกวันนี้สอนแต่……

-เรื่องทาน และก็สอนผิดด้วย

-เรื่องสวดมนต์

-สอนเรื่องจารีตประเพณี

-เลวกว่านั้นสอนกันแต่เรื่องหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขหาเงินหาทอง

นี่คือศาสนาพุทธทุกวันนี้เป็นอย่างนี้ อาตมายืนยันว่าอาตมาพูดถูกไม่ได้พูดผิดเลยด้วย

-แล้วยังมีการสอนเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์อีกด้วย มันเป็นเรื่องที่ลึกลับไม่รู้เรื่อง แล้วถูกหลอกให้วาดวิมานวาดสวรรค์ จะได้อยู่ยงคงกระพัน จะได้สวรรค์ จะได้สุข ทั้งที่สุขและทุกข์จะต้องไม่มี

ผู้หมดสุขหมดทุกข์คือฐานนิพพาน เป็นอุเบกขาเนกขัมสิตเวทนา รู้ให้จริงแล้วทำอาการนั้นให้มั่นคงแข็งแรง จนมีปัจยการต่อเนื่องเป็นอุเบกขาตลอดกาลนานคืออรหันต์

เมื่อทำอุเบกขาให้แก่ตัวเองแล้ว ก็มีพลังงานที่เอาไป อภิสังขาร ปรุงแต่งเป็นกายกรรม วจีกรรม สอนเป็นรูปแบบ เป็นวิธีการสื่อสาร จัดองค์ประกอบ มีความรู้เป็นศิลปะ มีนัจจะ คีตะ วาทิตะ แสดงรูปอนุโลมปฏิโลม แสดงรูปแบบโลกีย์เป็นอย่างนี้ ที่ควรหลุดพ้นที่ควรเลิกได้ในตน ด้วยการประกอบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสประกอบด้วยวัตถุดิน น้ำ ไฟ ลม ท่าทางนัจจะคีตะวาทิตะ จัดองค์ประกอบอภิสังขาร จัด composition ให้ผู้ที่เข้าใจจะศึกษาจะได้ปฏิบัติมีมรรคผล คนอนุโลมอย่างนี้ทำ คนมองไม่ออกก็อ่านตามอาการ

อาการไม่หยุด ไม่สงบ คนที่ติดแต่บัญญัติไม่รู้อนุโลม ปฏิโลมก็ไม่รู้ อาตมาใช้ท่าทีลีลาแสดงสื่อให้คนเข้าใจสัจธรรมนั้นๆ จริงๆ  อาตมาไม่แคร์หรอกที่คนจะติดยึดว่าไม่สุภาพไม่เรียบร้อย ที่จะเข้าใจตามที่ดีของเขาว่าต้องแสดงตามที่เขาประมาณคือสภาพสงบ พอมาเห็นอาตมาแสดงต่างไปผิดไปจากที่เขายึดติด คนยึดติดอย่างนั้นน่าสงสาร

สมณะฟ้าว่า...เขาสอนอย่างนั้นมีคนบรรลุไหม

พ่อครูว่า...เขาไม่เชื่อว่าคนบรรลุ

สมณะฟ้าว่า...เขากล้าปฏิญาณไหมว่าบรรลุ

พ่อครูว่า...เขาไม่กล้า…(พ่อครูไอ)

สมณะฟ้าว่า...ฟังธรรมที่เขาบรรยายกันฟังแล้วก็นั่งหลับ แต่ฟังพ่อครูหลับไม่ลง กิเลสถูกจิ้มตลอด แสดงธรรมอย่างที่ซ้ำซาก แต่คนไม่หลับได้

พ่อครูว่า...เป็นผู้ จำแนกธรรม ...

 พระองค์ทรงกระทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดามนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล.

พ่อครูว่า ความงามในเบื้องต้น เริ่ม 1 2 3 4 ก็จะเข้าใจว่า ต้องเรียบร้อยแต่มันร้อย(100)ก่อนไม่ได้มันต้อง 1 ก่อน 2 ก่อน 3 ก่อน จะถึง 100 มันจะเรียบร้อยก่อนไม่ได้ คุณจะเอา 100 มาทำก่อนไม่ได้ อาตมาเข้าใจเรียบร้อยทั้งอัตถะ พยัญชนะ

 

[353] ครั้งนั้น โลหิจจพราหมณ์ เรียกโรสิกะช่างกัลบกมาว่า มานี่แน่ะ เพื่อนโรสิกะ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลถามพระสมณโคดมผู้มีอาพาธน้อยพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า ทรงพระกำลังอยู่สำราญ ตามคำของเราว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์ถามถึงพระองค์ผู้มีอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่าทรงพระกำลังอยู่สำราญ อนึ่ง จงทูลอย่างนี้ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรับภัตตาหารของโลหิจจพราหมณ์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้. โรสิกะช่างกัลบกรับคำโลหิจจพราหมณ์แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์ถามถึงพระองค์ผู้มีอาพาธน้อยพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า ทรงพระกำลังอยู่สำราญ และให้กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรับภัตตาหารของโลหิจจพราหมณ์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้.

พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้วด้วยดุษณีภาพ.

          [354] ครั้งนั้น โรสิกะช่างกัลบกทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกจากอาสนะถวายอภิวาททำปคะทักษิณแล้ว เข้าไปหาโลหิจจพราหมณ์ถึงที่อยู่แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคตามคำของท่านแล้ว และพระผู้มีพระภาคก็ทรงรับนิมนต์แล้ว.

ลำดับนั้นโลหิจจพราหมณ์ได้ตกแต่งขาทนียโภชนียะอันประณีตไว้ในนิเวศน์ของตน โดยล่วงไปแห่งราตรีนั้น แล้วเรียกโรสิกะช่างกัลบกมาว่า มานี่แน่ะ เพื่อนโรสิกะ ท่านจงไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับแล้วกราบทูลเวลาแด่พระสมณโคดมว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วภัตตาหารสำเร็จแล้ว. โรสิกะช่างกัลบกรับคำโลหิจจพราหมณ์แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญถึงเวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.

                   ทรงโปรดโลหิจจพราหมณ์

[355] ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก แล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังบ้านสาลวติกาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. เวลานั้น โรสิกะช่างกัลบก ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์เกิดมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้วไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น

เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานโอกาส ขอพระผุ้มีพระภาคโปรดทรงเปลื้องโลหิจจพราหมณ์เสียจากทิฏฐิอันลามกนั้น. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร โรสิกะ ไม่เป็นไร โรสิกะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของโลหิจจพราหมณ์แล้ว ประทับเหนืออาสนะอันเขาปูลาดไว้. 

ลำดับนั้น โลหิจจพราหมณ์จึงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนให้อิ่มหนำแล้ว.

[356] ลำดับนั้น โลหิจจพราหมณ์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเสวยแล้ว ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงถืออาสนะอันหนึ่งซึ่งต่ำกว่า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโลหิจจพราหมณ์ว่า จริงหรือ โลหิจจะ ได้ยินว่า ท่านเกิดมีทิฏฐิลามกเห็นปานนี้ว่า

สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดังนี้.

โลหิจจพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญเป็นอย่างนั้น.

ภ. ดูกรโลหิจจะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านครองบ้านสาลวติกานี้มิใช่หรือ.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น.

ดูกรโลหิจจะ เราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกาอยู่ โลหิจจพราหมณ์ควรใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในบ้านสาลวติกานั้นแต่ผู้เดียว ไม่ควรให้ผู้อื่น ดังนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น จะชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้.

เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์.

ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ต่อ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นสัมมาทิฏฐิ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.

ดูกรโลหิจจะ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง.

[357] ดูกรโลหิจจะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศลมิใช่หรือ.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นเช่นนั้น.

ดูกรโลหิจจะเราขอถามท่าน ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศลอยู่ พระองค์ควรทรงใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดในแคว้นทั้ง 2 นั้นแต่พระองค์เดียว ไม่ควรพระราชทานแก่ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่พวกท่านและคนอื่นๆ ซึ่งได้พึ่งพระบารมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีพอยู่ได้หรือไม่?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าทำอันตรายได้.

เมื่อทำอันตราย จะชื่อว่าหวังประโยชน์ต่อชนเหล่านั้นหรือไม่หวัง.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์.

ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาไว้ในชนเหล่านั้น หรือจะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู.

เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ?

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.

ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง.

(พ่อครูว่า...ผู้ใดที่พูดว่า ที่อาตมาสอนคนแล้วบอกว่าบรรลุแล้วบอกคนอื่นได้ ผู้ที่ว่าอาตมาพูดผิดนี้ มีกำเนิดสองอย่าง อย่างที่พระพุทธเจ้าว่านี้คือ นรก หรือเดรัจฉาน)

[358] ดูกรโลหิจจะ  ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าโลหิจจพราหมณ์ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียวไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อ เมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฉันนั้นนั่นแล

ดูกรโลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่าเป็นธรรมอันลามกเพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยพระธรรมวินัยอันตถาคตแสดงไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่อบรมครรภ์อันเป็นทิพย์(ครรภ์คือกำลังอบรมจิต) เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ต่อเมื่อไม่หวังประโยชน์ต่อ ย่อมชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง.

พ่อครูว่า...อาตมายืนยันว่าได้เอาพระไตรปิฎกมาอธิบาย ยืนยัน แต่ท่านก็ไม่ฟัง แม้ท่านได้อ่านได้ศึกษาแต่ก็เข้าใจไม่ได้ นอกจากเข้าใจไม่ได้ก็กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ควรฟังอาตมาบ้างแล้วเอาไปวินิจฉัย ดูดีๆไปใช้วิจารณญาณดูดีๆ ว่า

จริงๆแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่ การบอกผู้อื่นนั้น มีนัยที่ต้องพิจารณาคือ

1. บอกเป็นภาษาทางการศึกษา

2. บอกว่า ตัวเองเป็น ตัวเองมี ได้แล้ว

อาตมาบอกทาง บอกเป็นภาษาทางการศึกษาและบอกว่าตัวเองได้แล้วก็บอก

3 การบอกผู้อื่นด้วยภาษาการศึกษา แล้วบอกว่าที่ตัวเองมีนั้นโกหกหรือไม่จริงหรือไม่ ถ้าบอกจากสิ่งที่มีจริงของจริงของเรามันจะเสียหายอะไร มันเป็นการยืนยันความจริงว่า การพูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น ยถาวาทีตถาการี หรือกระทำอย่างใดก็พูดอย่างนั้น เป็นการย้ำยืนยัน

ต่อไปผู้ที่พูดนั้นถ้าโกหกตัวเองไม่ได้บรรลุจริง แน่นอนที่โกหกผู้อื่นแล้วเอาอุตริมนุสธรรมไปโกหกเป็นความเลวที่ร้ายแรงมาก พระพุทธเจ้าปรับอาบัติถึงปาราชิก ไล่ออกจากศาสนาพุทธ ถ้าเอาอุตริมนุสธรรมมาโกหกก็ออกไปจากศาสนาพุทธ โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับสึก แต่ก็ขาดแล้วหมดสิทธิ์แล้วที่จะฟังบรรยายธรรม

อีกอย่างหนึ่งผู้ที่บรรลุจริงแต่ไปบอกกับผู้อื่นที่ไม่ควรจะบอกผู้ที่เป็น อนุปสัมบัน ก็อาบัติ แต่เป็นอาบัติปาจิตตีย์ คือปลงอาบัติกับเพื่อน คือบอกไปแล้วเขาเข้าใจผิดเข้าใจไม่ได้

แล้วถามว่าถ้าบอกผู้ที่ควรฟัง จะดีหรือเปล่า ผู้ที่จะมาตั้งใจฟังอาตมานั้นถูกคัดเลือกมาแล้ว เป็นอุปสัมบันควรบอกได้ทั้งนั้น

อาตมาแปล อุปสัมบันว่า ผู้ที่มีภูมิถึง

อาตมาแปล นุปสัมบันว่า ผู้ที่มีภูมิไม่ถึง

คนจะมาฟังอาตมานั้นได้รับการคัดกรองทั้งสิ้น เป็นผู้ที่ควรบอกได้ทั้งสิ้นเป็นอุปสัมบันทั้งนั้น

แต่เขาแย้งว่ามันออกโทรทัศน์นะ อาตมาก็ขอยืนยันว่า คนที่ดูบุญนิยมทีวีนี้น้อย เขาเปิดแล้วฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ฟังไม่ดูหรอก เขาไปดูอันอื่นที่เป็นบันเทิงเป็นการพาไปรวยเสียมากกว่า ไม่ต้องห่วงคนเหล่านั้นจะมาฟังเลย

อาตมาเอาโลหิจสูตรมา อธิบาย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ตอนนี้มีคนขานรับว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ มาขานรับเอาเมื่อพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์เสียดายไหม  โง่เกือบเสร็จแล้ว

ก่อนจะจบก็ขออ่านกวีบทหนึ่งชื่อว่า…

พุทธครบถ้วน“อรหันต์-โพธิสัตว์”                              ******************************************

          (1) อรหันต์คือผู้มุ่ง                    มาจน  

          เถรวาทนั่นแหละชน                            กลุ่มน้อย

          เพราะเอาแต่ตัวตน                    เป็นหลัก     

          ความคิดคับแคบด้อย                 นี่แล้“หินยาน”

          (2) โพธิสัตว์คือผู้มุ่ง                  ช่วยคน       

          แต่ท่านตัดกิเลสตน                    ก่อนแล้ว

          จึ่งใช้อรหัตตผล                        ช่วยอื่น         

          โพธิสัตว์จึ่งผ่องแผ้ว                  แกร่งกล้า“มหายาน”

          (3) อรหันต์คือผู้ที่                     “ศรัทธา”นำ                    

          มุ่งแต่ตัวเองจำ-                         กัดกั้น          

          ทำเพื่อตัดกิเลสสำ-                    เร็จส่วน ตนเฮย        

          รู้จึ่งแคบเขตขั้น                         แค่รู้ตัวเอง

          (4) โพธิสัตว์คือผู้ที่                    “ปัญญา”นำ 

          รู้ท่านรู้เราทำ                                     ทั่วถ้วน

          ทั้งนอกและในสัม-                     ผัสครบ “กาย”แฮ   

          วิโมกข์แปดจึงล้วน                    รอบรู้กระทู้ธรรม             

          (5) อรหันต์ไม่รอบรู้                  กระทู้โลก

          ไป่ครบถ้วนวิโมกข์                    แปดแล้

          เพ่งแต่“จิต”อนุโยค                    “กาย”พร่อง    

          จึงบ่ถ้วนธรรมแท้                      แค่ได้นิพพานปลอม                 

          (6) โพธิสัตว์นั้นรอบรู้                ใครใด

          สัมผัสเจาะ“กาย-ใจ”                  ลึกล้วน

          วิจารนอกวิจัยใน                      สัมบูรณ์แบบ                  

          “โพธิสัตว์-อรหันต์”ถ้วน              ตรัสรู้ธรรมสอง

          (7) ต้องลึกสัจจะให้                  บริบูรณ์                             

          โลกุตร์พุทธเทินทูน                    เทิดไว้                 

          โลกีย์พุทธเพิ่มพูน                      เพียรเพื่อ รู้แล

          โพธิสัตว์ช่วยโลกได้                  เด่นด้วย“พุทธยาน”

 

                                     “สไมย์ จำปาแพง”                                                      29 ต.ค. 2559 [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 317 ประจำเดือนธันวาคม 2559]

 

ดังที่ขณะนี้ขานรับว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็บอกเช่นกัน ตอนนี้คงเข้าใจพระโพธิสัตว์ว่าคืออะไร?

 โพธิสัตว์คือ ผู้ที่มีอาริยะคุณ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า รู้แจ้งในจิต เจตสิกรูป นิพพาน รู้แจ้งในรูป 28 ทำให้แจ้งในรูปที่ 28 รู้แล้วทำให้บริบูรณ์ หากไม่รู้รูป 28 ที่มีชีวิตินทรีย์ ในอินทรีย์เรายังมีเทวดาเก๊ ต้องทำให้จิตเป็นเทวดาจริงเกิดโอปปาติกสัตว์

เกิด(โอปปาติกสัตว์)เพราะดับกิเลสได้จริง จิตจึงเกิดใหม่เป็นจิตสะอาดเป็นจิตว่างจากกิเลส ไม่ใช่จิตว่าง เพ้อไป ว่างลอยลม พระพุทธเจ้าสอนในจุฬสุญญตาสูตรว่า ศาลานี้ว่างจากช้าง ศาลานี้ว่างจากม้า ศาลานี้ว่างจากคน มันต้องมีเหตุปัจจัยว่าว่างจากอะไร แต่ทุกวันนี้เรียนกันว่าว่างจิตว่าง  ขออภัยอย่างท่านพุทธทาสว่าจิตว่างแล้วมันว่างจากอะไร ว่างจากกิเลสหรือไม่ ว่างจากกามภพ รูปภพ อรูปภพหรือไม่

เขาพูดถูกว่า ว่าง คือสะอาด สว่าง สงบ แต่ก็วน เขาแยกกายกับจิตไม่ออก จิตของผู้ที่บรรลุแล้วก็ยังมีอยู่ครบครันแต่กิเลสไม่มี

 สรุปคือว่างจากกิเลสอาสวะอนุสัย เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ว่าอาสวะคืออะไร

ตั้งแต่อาสวะ 1 คือสักกายทิฏฐิ ต้องเรียนรู้จนจิตมีญาณปัญญารู้สักยาทิฏฐิอย่างพ้นวิจิกิจฉา  มีวิธีกำจัดกิเลสอย่างศีลพรตที่สัมมาทิฏฐิแล้วก็ทำ อย่าทำแบบลูบคลำทิฏฐิตนเอง เล่นหัวกับกิเลสอยู่ไม่พ้น ก็ต้องทำให้พ้นสังโยชน์ 3

สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลลัพพตปรามาส ฝึกฝนสังโยชน์ 3 ก็เป็นโสดาปัตตผล ก็เป็นอรหันต์ชั้นที่ 1 เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่งเรียกว่าโสดาบันโพธิสัตว์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1

เมื่อเป็นสกิทาคามี ตัดกิเลสได้อีกเป็นอรหัตตผลของระดับสกิทาคามี เป็นโพธิสัตว์ขั้นที่ 2

เป็นอนาคามีก็นัยเดียวกันเป็นโพธิสัตว์อนาคามีเป็นโพธิสัตว์ระดับ 3

อรหันต์ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 4

เป็นอนิยตโพธิสัตว์ต่อไป

*สรุปคือโพธิสัตว์คือผู้ที่เหนือกว่าอรหันต์ *

อรหันต์ของพุทธไม่ใช่หนีไปจากโลก ปลีกเดี่ยวไปป่าเขาถ้ำ ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาของคนป่า แต่เป็นศาสนาของคนเมือง พระพุทธเจ้าของอาตมาเป็นคนเมือง สอนคนในเมืองบรรลุโลกุตรธรรม ส่วนใครจะถือว่าพระพุทธเจ้าสอนคนให้ไปป่าเขาถ้ำก็พระพุทธเจ้าคนละองค์กับที่อาตมาเข้าใจ

นัยยะที่อาตมาผูกเป็นกวีอันที่หนึ่งคือมาจน แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้สอนให้มารวย วัดไหนสอนให้คนมารวยนี้จะขึ้น วัดไหนสอนให้มาจนคนจะหนี แต่ไม่เป็นไรยังมีคนกล้าที่จะมาจน

อรหันต์คือผู้ที่มีศรัทธานำ ในมูลสูตรเริ่มต้นด้วยฉันทะ จะยินดีอะไรก็ต้องมีศรัทธาก่อน

อรหันต์จริงๆ เขารู้แต่อรหันต์เก๊ไม่จริงไม่รอบรู้โลก ไม่ครบถ้วนในวิโมกข์ 8 ​คือเพ่งแต่จิต แต่กายพร่อง เลยไม่รู้เรื่องกาย

ก็แยกแยะว่า กายคืออะไรแต่เขาไม่รู้จักกาย ก็เลยเพ่งจิตไม่รู้จิตอีก แต่พระพุทธเจ้าว่าต้องเห็นรูปทั้งในและนอก ในวิโมกข์ 8 ข้อ 2 อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ  ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีความลึกซึ้งเป็นธรรมะ 2

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้พระพุทธเจ้าไล่เรียงโลหิจสูตรมา...คนรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีสิ่งที่ดีแต่ นึกถึงพ่อครูว่าคนเขาไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งที่ดี ท่านจะพูดไปคนเลยเชื่อยาก แต่ถ้าคนเขาเชื่อ คนไม่น้อยกว่านี้ รับรองว่าจะต้องรองรับคนอีกมาก ถึงวันนั้นเราต้องแข็งแรงเพื่อรับคน

สรุปว่าเราต้องเป็นอรหัตตผลตั้งแต่โสดาบันให้ได้ แสดงว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ต้องมีโพธิสัตว์ระดับ 1  2  3  4  นี่คือความจริงที่เราได้รู้

คำว่าโสดาบันโพธิสัตว์นั้นได้ยินจากพ่อครูองค์เดียวแม้อรหัตตผลในโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ก็มีแต่พ่อครูพูดเท่าที่เคยได้ยินมา...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:14:55 )

591108

รายละเอียด

591108_เทศน์ก่อนฉัน รร.ผู้นำ พลังงานระเบิดรัก

พ่อครูว่า..วันนี้วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ขณะนี้เราอยู่ที่โรงเรียนผู้นำ เป็นการเทศนาในภาคเช้า พวกเราได้มีความศรัทธาเชื่อมั่น มีความมีปัญญา ใช้ปัญญาของเราเองจริงๆ เป็นตัวตัดสินกำหนด ว่าความเป็นจริงลักษณะนี้ ความถูกต้องลักษณะนี้ความดีงามความประเสริฐลักษณะนี้ ซึ่ง สรุปจริงๆว่ามนุษย์เราต้องมีตัวตนไม่เห็นแก่ตัวให้ได้ แม้แต่ชีวิตของเราก็ให้ได้ กำลังวังชา พฤติกรรม แรงงานความสามารถ ซ้อมทั้งความรู้ปัญญา ต่างๆ เราก็เอาออกมาประกอบการต่างๆเพื่อให้เกิดแรงงาน เกิดคุณค่าเกิดประโยชน์ เพื่อผู้อื่น

มนุษย์มีพลังงานจิตวิญญาณตัวฉลาด ที่สามารถทำดังกล่าวนี้ได้ จริงๆยังบริสุทธิ์ใจยังไม่มีอะไรแอบแฝง จะมีปัญญาที่ฉลาด หยั่งเข้าไปดูจิตใจจริงๆ ว่าความแอบแฝงซ่อนแฝง ที่มีอัตตา ตัวเราของเราเพื่อตัวเราอยู่ อาการกิริยาของพลังงานนี้เป็นอย่างไรเราจะรู้แล้วจะเข้าใจความจริงอันนี้เราจะฝึกฝนตนเองให้บริสุทธิ์สะอาดที่สุดได้

คุณค่านี้เป็นความบริสุทธิ์จริงก็เกิดคุณค่าจริง ดังที่เกิดตอนนี้ของประสิทธิภาพความจริงที่ไอน์สไตน์เรียกว่า  A bomb of love. ระเบิดรัก หรือความรักมันมีแรงระเบิดเป็นพลังงานได้ พลังงานกระจายออกไปเป็นกระแสพลังรักอยู่เต็ม

และเป็นความรักชั้นสูงมิติที่สูง เป็นสิ่งที่เจริญพัฒนา เป็นเหตุการณ์ที่ในโลกแต่ละยุคแต่ละปาง มันจะเกิดจะมี มันถึงครั้งคราวมีเหตุปัจจัยต่างๆครบ เพราะฉะนั้นยุคนี้ ในภัทรกัปป์นี้ อันนี้เป็นความจริงอันหนึ่งที่เกิด ในแต่ละภัทรกัปป์จะมีอันเดียว ขณะนี้ที่เกิดในประเทศไทยและจะมีครั้งอื่นอีก จบกัปป์อื่นอีกก็จะเกิดอีก แต่อีกนาน สิ่งนี้ที่เกิดนี้ครบเหตุปัจจัยจะเกิดได้ ใครจะไปสร้างเอาแกล้งทำเอาไม่ได้

อย่างในหลวง ร.9 ซึ่งพระองค์ทรงมีประสิทธิภาพต่างๆ ที่ทรงมาตลอด 70 ปี เป็นกลุ่มก้อนพลังงานรวมของพระองค์ เป็น A bomb of love.ที่เป็นรักมวลมนุษยชาติขึ้นมา ที่ไม่มีในประเทศไหนๆ อันนี้เป็นตัวอย่างที่สุด พวกเราต้องพยายามรักษาพลังงานนี้ไว้ให้นาน เพื่อให้ผู้ที่จะมาศึกษาของจริงที่มีคุณค่านี้มาศึกษา พวกเรามีความรู้ มีพลังงาน มีสมรรถนะที่จะไปเสริมสร้างได้ คนที่ไม่มีความรู้ความสามารถและไม่มีความยินดีจะทำไม่ได้ คนมีความจริง ความถูกต้อง ความรู้ความยินดีที่จะเสริมสานขึ้นมา ต้องช่วยกันกระตุ้นพลัง A bomb of love. ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกนาน

โดยมีจุดกลางที่สนามหลวง เราไปมีพฤติกรรม ไม่ต้องไปเสแสร้งสร้าง เอาความจริง ตอนนี้ก็ไปแสดงพฤติกรรมจริงใจด้วยการให้  ให้อย่างบริสุทธิ์สะอาด อย่างไม่มีอะไรตอบแทน เรามีของกินของใช้อะไรไร้สารพิษก็เอาไปให้ ให้มีรูปธรรม มีปรากฏการณ์  phenomena ที่ต่อเนื่องไว้ ให้ท่วมท้นเหลือเฟือไว้ ไม่ง่ายแต่เราต้องอุตสาหะทำ

การที่จะไปร่วมลงแรงลงทุนใช้เวลาสร้างสรรดังกล่าวให้เกิดรูปธรรม โดยมีที่สนามหลวงเป็นจุดกลางต้องพยายามให้จริงๆ

ตอนนี้ทางรัฐก็มีภูมิปัญญาที่จะมาบริหารเพิ่มขึ้นมาแล้ว เขาจะต้องมีความรู้มีปัญญาของเขาขึ้นมาเอง พวกเราให้อิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ

เราเรียนรู้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเรารู้จัก  รูป นาม เรารู้จักธรรมะสอง เทวธัมมา

รูปก็คือ Object คือสิ่งที่ถูกรู้ จะเป็นวัตถุดินน้ำไฟลมหรือแม้แต่อาการเคลื่อนที่เคลื่อนไหว ลักษณะเคลื่อนไหวอยู่เช่นน้ำ ลม เคลื่อนไหวอยู่อย่างพลังงานร้อนเย็นอุณหธาตุ เราก็สามารถมีธาตุรู้ของเราไปสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ ให้เกิดแง่บวกเสริมสาน ให้เกิดคุณลักษณะที่พระพุทธเจ้าได้สรุปรวมไว้หมดแล้วที่

เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม

เมตตาคือปรารถนาดีต่อผู้อื่นที่ทุกข์ร้อนให้ได้พ้นทุกข์ขึ้นมา

นอกจากธรรมสองที่ชี้รูปนามแล้วก็ยังละเอียดเข้าหา กาย

กายคือสภาพสองอย่าง มีนัยละเอียดว่า กายคือต้องไม่ขาดจากภายนอก แต่เน้นที่ภายใน เน้นที่ธาตุรู้ที่เป็น Subject เป็นประธาน ที่ต้องมีความรู้ลึกแล้วมีปัญญาและมีพลังเรียกว่าเจโต ใช้งานอย่างถูกต้องที่สุดด้วยธาตุรู้ มีสองส่วนนี้ได้

ผู้ที่ศึกษาฝึกฝนจนรู้จักพลังงานที่ละเอียดละออ เป็นพลังงานที่มันมีตัวตนเป็นนามธรรม สามารถเอาพลังงานนามธรรมนี้มาสังขาร อภิสังขาร ประกอบให้มันเกิดตามต้องการนี้ออกไป สิ่งเหล่านี้จึงเป็นปรากฏการณ์ที่จริง

ผู้ที่เป็นตัวอย่างตอนนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันรับรู้กันแล้วว่า เป็นรูปธรรมทำให้เห็นเป็นพฤติการณ์ให้เห็น และเป็นคุณค่าต่างๆ ที่ในหลวงทรงงานมาถึง 70 ปี ในหลวงทรงงานมา 70 ปีนี้ ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคนต้านค้านแย้งนะ มีถึงขนาดจะล้มล้างกันด้วย แต่ว่าเขาแพ้ภัยตัวเอง เราเห็นได้ชัด แต่เขาดึงดันดื้อด้านด้วยอัตตาตัวตน เขาแพ้ไม่ได้ เขารู้แล้วว่าเขาแพ้ ตอนนี้จิตลึกๆเขารู้ว่าเขาแพ้ แต่เขาก็ยังดันทุรัง ว่ากูไม่ได้กูไม่ชนะแน่นอนแต่กูก็จะทำลายไม่ให้คนอื่นได้ เขาจะดันทุรังชนะไปถึงไหน นี่คือความโง่ของเขาที่โง่ต่อ แล้วจะดันทุรังเอาชนะให้ได้

เพราะว่ามวลก็ดี มวลทั้งโลกเลยไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย เขาเป็นหมาหัวเน่าแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ก็ให้เขาดันดู พวกนี้ตระกูลเดียวกับนายดันดี ยอดดันเลยนึกว่าดี แต่ที่จริงชั่ว คือมันโง่ไม่เสร็จไม่จบ

ผู้ที่มีปฏิภาณรู้ดีแล้วก็หยุด แต่มันก็ยังมีลักษณะดันต่อต้าน ไม่จบ จึงจำเป็นจำนนที่ต้องประคองรักษาอันนี้ให้นาน เผื่อไว้อีกสักห้าปีเลย ทำอย่างที่สนามหลวงนี้อีก กลับไปที่บ้านแล้ว  ใครจะไปปลูกผักหรือจะเอามาใช้อะไรจำเป็น เป็นอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นของกิน บริโภค เขาก็จะเวียนไปเวียนมา มากินเท่านั้นเอง เพราะการกินนี้เป็นเรื่องสุดยอดของชีวิต เป็นเครื่องอาศัยของธาตุจิตนิยาม

มันมีเครื่องอาศัยอยู่ 4 อย่าง

1. อาหารที่ต้องกินเข้าไปจริงๆ

2. อาหารคือ ผัสสะที่เป็นการกระทบสัมผัส หากไปอยู่ต่างคนต่างอยู่เดียวเดี่ยวๆมันไม่เกิดอะไรขึ้น  ไม่เกี่ยวอะไรกับใครเลย ร้ายหรือดีก็ไม่เกิด มันต้องมีการกระทบสัมผัสจึงจะเกิด การเสียหรือการดี การเสริมหรือการเจริญ ถ้าไม่มีการสัมผัสไม่มีการปฏิบัติได้ ในมูลสูตรบอกไว้ชัดว่า ต้องมีฉันทะคือความยินดีเป็นมูลแล้วต้องมีเวทนาเป็นที่ประชุมลง

เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อาหาร 4

3. อาหารคือเจตนา (มโนสัญเจตนาหาร) มีเจตนามีทิศทางมุ่งไปของจิต ต้องรู้ทิศทางว่าพลังงานของจิตมุ่งไปทิศไหน เราจะต้องจัดการให้สมบูรณ์ ให้มีประสิทธิภาพ ให้เสร็จลงให้ได้ จึงต้องพยายามทำต่อ ให้เกิดพลังงาน 2 ที่เรียกว่ารูปนามหรือวิญญาณ

4. วิญญาณาหาร ซึ่งวิญญาณก็มี นามรูป เป็นอาหาร

เราต้องรู้เจตนาหรือทิศทางแล้วทำให้เกิดผล เกิดสภาวะจริงเกิดขึ้น

สรุปแล้วในเรื่องของความรู้พระพุทธเจ้าศึกษาทั้งเรื่องของพลังงานนามธรรม ทางพลังงานที่เป็นรูปธรรมสุดยอดแล้ว

ในยุคนี้ในภัทรกัปป์นี้   ก็อยู่ที่ Space and time คือสิ่งที่ทรงอยู่ไปกับกาลเวลาแล้วมีสิ่งที่เชื่อมต่อ

continuum กับ continuing ต่างกัน continuumเป็นตัวสันตติที่จะเชื่อมหรือไม่เชื่อม ถ้าจะไม่ต่อก็ตัดไม่เชื่อมต่อ ส่วนที่เคลื่อนอยู่คือวิญญัติที่จะต่อหรือไม่ต่อ ถ้าต่อก็เคลื่อนที่ต่อ ถ้าไม่ต่อก็สูญสิ้นก็จบ เท่านั้นเอง

ตอนนี้เรายังไม่จบ กาลยุคสมัยนี้ยังต้องต่อ เพราะพลังงานต่อต้านก็ยังมีอยู่เราไม่ประมาท ตอนนี้จึงเป็นองค์รวมของพลังงานของคนที่มีความรู้ คนที่ต้องการศึกษาเข้ามาหาความรู้ต้องการร่วม เห็นแล้วว่าอย่างนี้ต้องร่วม มีคนไทยเป็นแก่นแกน คนต่างชาติก็เข้ามาเสริม ก็จะเกิดเป็นสภาพองค์รวม เกิดความควบแน่นเป็นหมู่มวลชัดเจน เป็นรูปร่างตัวตน เป็นสิ่งที่ทรงไว้คือธรรมะที่ยังไม่สูญ

สุดท้ายก็จบที่ความมีและความไม่มี เราต้องชัดเจนว่านี่คือวาระที่มีไม่ใช่วาระที่ไม่มี ส่วนความไม่มีจะเอาไปใช้กับเหตุปัจจัยอย่างไร เราต้องรู้จุดจบ ชัดเจน

ผู้ที่สามารถเข้าใจรายละเอียดก็จะเชื่อมต่อไปถึง ภาษาธรรมะ ได้เพิ่มขึ้น ธรรมะนั้นด้วยความวิโมกข์ 8

วิโมกข์ 8 จะเกี่ยวข้องกับคำว่ากายต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คำว่ารูปานิ แปลว่ารูปทั้งหลาย รูปีแปลว่าผู้มีรูป ผู้มีรูปต้องเห็นต้องสัมผัสรูปนั้น ปัสสติ แปลว่าเห็น ต้องสัมผัสรู้ชัดๆ ได้กินได้สัมผัสเสียดสีแตะต้อง

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)  (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป) อัชฌัตตังแปลว่า ภายใน  อสัญญีแปลว่าไม่ต้องกำหนดแล้ว คือกระทำจบแล้วก็ไม่ต้องทำอีก เรียกว่าจบสุด ส่วนพหิทา แปลว่าภายนอก ก็เห็นอยู่ รูปข้างนอกเราก็มีนามรู้เห็นได้ยินอยู่ สรุปคือทั้งภายนอกและภายในทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งสัมผัส

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต โหติ, หรือ  อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น) สุภะแปลว่าสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็นควรเกิด ตรงกันข้ามกับคำว่า อสุภะ ต้องทำให้เกิดให้มีให้เกิดขึ้นมา

อันที่ควรมีควรเป็นควรได้คือสุภะ แต่ทีนี้คนที่ไม่รู้ ก็ไปเอาสิ่งที่ไม่ควรได้ไม่ควรมีไม่ควรเป็นนั้นมา เป็นสิ่งที่ควรได้ควรมี ก็เรียกว่า สุภกิณหะ

กิณหะคือพวกมืดพวกดำพวกบอด พวกนั่งเจโตสมถะ คือพวกหลงความมืดความดำความบอดว่าเป็นสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็น น่าสงสารพวกนั่งหลับตา ก็จมอยู่ตรงนั้น ดำมืดดับจบแช่ดิ่ง ไม่มีประโยชน์อะไรกับใครไม่ได้ช่วยใคร นี่คือจุดจบของพวกนั่งหลับตา อาตมาโขกแรงเท่าไหร่ก็ยังนิ่งยังทนจริงๆ ไม่กระเตื้องเลย ถ้ามันสุดที่จะจมอยู่ก็เชิญ นานนับกัปป์กาล เราจะปลุกให้ตื่นมาแก้ไขก็ไม่คลี่คลาย ที่สุดเราก็ต้องปล่อย ช่วยขนาดนี้แล้วไม่ได้ก็ปล่อยไป คนอื่นที่จะให้เราช่วยก็ยังมี

 

4. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน)  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้  (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ   ปฏิฆสัญญานัง  อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ  อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ)

ความว่าง ต้องรู้ว่าว่างจากอะไร ที่นี่ว่างจากสัตว์จากเสือจากช้างก็มี คนสูงไปกว่านั้น ที่นี้ว่างจากคนชั่ว มีแต่คนดี แล้วก็ยังเป็นคนดีชนิดเวไนยสัตว์ ชนิดที่สอนได้ ให้รู้โลกุตระได้ แล้วเอาไปทำได้ ก็ว่างจากคนไม่ดี เป็นคนดีที่รู้สามารถ  สูงไปกว่านั้นนอกจากรู้ของตนเองแล้วมีของตนเองแล้วทำได้ด้วยแล้วยังช่วยคนอื่นต่ออีก การช่วยคนอื่นก็มีสิ่งที่ดีกว่าคือช่วยคนที่ช่วยได้ คนไหนสุดวิสัยก็ต้องปล่อยเขาไปตามยถากรรม เช่นพระพุทธเจ้าต้องปล่อยพระเทวทัตไปตามยถากรรม อาตมาก็ต้องปล่อยธัมมชโยไปตามยถากรรม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พรหมทัณฑ์ คุณจะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่างหัว คนอื่นจะช่วยก็แล้ว อาตมาเลิกแล้วต่อกัน เราจะพูดกับคนที่พัฒนาได้

เราจะทำ A bomb of love.ต่อไป เรามีหมู่มวลแล้วที่จะรังสรรค์สิ่งที่ดีงามเป็นตัวอย่างของโลกต่อไป เป็นชุมชนที่ไม่เสียดายความรวย แต่กล้ามาจน มีแล้ว ลักษณะอย่างนี้เกิดแล้ว  กล้ามาเป็นผู้ให้ ๆ ๆ  แล้วก็รู้จักจิตใจที่พอ ทำไมเราจะต้องไปตะกละตะกราม แค่นี้ก็พอแล้วทำไมจะต้องไปเอามากให้สุขภาพเสีย มันจะเกิดการไม่เข้าท่า

ในความรู้ในลำดับของวิโมกข์ข้อที่เป็น สุภกิณหะ เป็นความว่าง ต่อไปเป็น

5. ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่า  วิญญาณ หาที่สุดมิได้   (สัพพโส   อากาสานัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   อนันตัง   วิญญาณันติ   วิญญาณัญจายตนัง   อุปสัมปัชชะ   วิหรติ ฯ) เป็นพลังงานที่เรารู้แล้วว่าเรามีความว่างจากกิเลส แล้วก็มีพลังงานไปช่วยคนอื่นได้

6. ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ  ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร  (สัพพโส  วิญญาณัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   นัตถิ  กิญจีติ อากิญจัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ   วิหรติ) คือต้องตรวจจิตให้รู้ จนไม่มี ความไม่สะอาดแม้เล็กแม้น้อยก็ไม่ให้มีในจิต

7. ผู้ที่ล่วงพ้น  อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ  (สัพพโส  อากิญ-จัญญายตนัง  สมติกกัมมะ   เนวสัญญานาสัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ ฯ)  หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้  และไม่มีที่จะไม่รู้

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

 

มันจบตรง..เนวสัญญานาสัญญา..นี่แหละ จะว่ารู้ก็ไม่ได้ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ ต้องรู้!!  ต้องรู้ชัดจริงต้องพ้นความไม่รู้  เนว คือครึ่งๆ จะตัดสินไม่ได้ก็ไม่เอา ต้องตัดสินได้ ต้องรู้ ต้องจริงต้องชัดต้องถูกต้อง จึงต้องทำให้พ้นจากอาการรู้กึ่งๆนี้ให้ได้ เกิดก็เกิดจริง จบก็จบจริง จึงจะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ จบ จึงถือว่าเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ สุดยอด

เป็นอาการของธาตุรู้ไปกำหนดหมายรู้ และตัวที่จะรู้จริงๆซ้อนคืออาการความรู้สึกหรืออารมณ์ สัญญาเวทยิตนิโรธ คือการกำหนดรู้ อารมณ์ คำว่า เวทยิต แปลให้ละเอียดว่า เคล้าเคลียอารมณ์ให้ธาตุรู้เราซอกซอนไปรู้ให้ครบ สัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ ซอกซอนไปรู้ให้ครบ ทุกซอกมุม จนไม่มีอะไรเหลือที่จะไม่รู้จึงเกิดนิโรธสูงสุด ดับความไม่รู้ สิ่งที่ไม่รู้นะไม่มีอีกแล้ว นี่คือสัญญาเวทยิตนิโรธ

รู้แล้วก็พยายามทำให้ได้ เรามีปัญญานำก็จะไปก่อนพวกที่ไม่รู้ พวกที่เชื่อ แต่ว่าไม่รู้ ก็ยังเชื่อไม่ได้ แต่จะเชื่อไปก่อน แต่ถึงอย่างไรเราก็ไม่รู้มากกว่านี้

เจาะถึงภาษาที่บอกความละเอียดถึงขนาดนี้

มาขยายความละเอียดสู่ปรากฏการณ์จริงตอนนี้ แล้วความจริงหลายอันรวมกันเรียกว่า Phenomena

เราก็มีตัวตัดสิน ว่าถูกต้องนะ ดีนะ ประเสริฐนะเป็นประโยชน์คุณค่า เราสานไปเรื่อยๆนะ ทุกคนก็ยอมรับตรงกัน แล้วเราไม่ประมาท เพื่อให้ยืนนาน เพราะว่าทุกอย่าง หากไม่มีพลังงานอะไรไปเติม พลังงานนั้นก็จะหยุดเสื่อม คือลักษณะ รูป 4

อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา นี่คือลักษณะสุดท้ายในรูป 28

ส่วนวิการรูปมี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ

ลักขณรูป 4 ​มี

1.สิ่งที่จะเกิดคืออุปจยะ อันไหนเราจะให้เกิดตามฐานะที่จะทำได้ละเอียดเล็กเท่าใด จะทำได้เล็กละเอียดพลังงานสูงมากได้เท่าใดก็แล้วแต่สามารถของคน คือเป็นพระเจ้าได้ พระเจ้าเป็นสภาพเป็น ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นสภาพรู้ รู้ว่าจะให้เป็นอะไรแล้วทำให้เกิดเป็นได้จริง

เมื่อผู้สามารถรู้และทำได้เท่าใดก็ตามก็ทำให้เกิด ถ้าจะไม่ให้เกิดไม่ให้ต่อสันตติ ถ้าไม่ต่อแล้วสิ่งที่มีอยู่ก็มีแต่ชรตา อนิจจตา ถ้าไม่ต่อทศนิยมเป็น 0 ก็จะมีแต่เสื่อม ถ้าจะต้องเติมพลังงานมีทศนิยม .001 .0001 ก็จะอุปจยะต่อมีสันตติต่อ ถ้าไม่เติมเลยก็มีแต่เสื่อม ชรตา แต่ในความเสื่อมนี้ ไม่แน่นะ จะมีคนมา take over ใส่พลังงานเข้าไปอีก ในโลกนี้ไม่ได้มีพลังงานของคุณคนเดียว พลังงานอื่นมาเติมต่อได้อีก ไหวไหม? ละเอียดหน่อยนะ

สรุปแล้ว ตอนนี้ความเป็นจริงเกิดในสังคมโลกตามความรู้ เราพูดไปแล้วเมื่อ ยกตนข่มท่าน อเทวนิยมยกตนข่มเทวนิยม แต่หลายครั้งบางครั้งบางคราว เทวนิยมก็ต้องใช้ ถ้าเราต้องการดับก็ใช้เทวนิยม ต้องการเกิดก็ใช้อเทวนิยม คนที่ต้องการเกิดก็ได้ต้องการตายก็ได้แล้ว ทำได้คนนี้ก็เป็นอมตบุคคล ตนเองจะทำให้เกิดหรือจบเราก็ทำได้นี่คือจุดสุดจบแล้วเรียกว่าอมตะ

ในมูลสูตรมี ฉันทะเป็นมูล

1.  มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.  มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.  มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.  มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.  มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ)  กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน. 

       10.  มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

จากอมตะบุคคลแล้วจะเกิดจะตายก็จัดการตัวเองได้จะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นที่สุดก็ทำได้ จบท้ายเลย

ผู้ใดมีสภาวะจริงทำได้จริงก็จบ ในความเป็นสัตว์โลก เวไนยสัตว์ ที่ฝึกฝนได้ ก็มีคนทำได้จบ ในเอกภพ นี้

เอกภพคือสภาพองค์รวมพลังงาน และทุกสิ่งทุกอย่างรวมในนี้ เกิดอยู่อย่างไร เอกภพมีทั้งพลังงาน ดินน้ำไฟลม ชีวะ ก็อยู่ในเอกภพนี้หมด ก็อยู่กันอย่าง เข้า-ออก วาระใดที่เอกภพเจริญดี (จะมีมวลซ้อนหลายมิติ) ก็จะยืดหยุ่น ไปในทางสูงก็คือเจริญ แต่ถ้ายืดหยุ่นไปทางต่ำก็เสื่อม เอกภพมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง จะสูงหรือต่ำจะอ้วนมากหรือน้อยตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง

แล้วความเป็นเอกภพนี้ต้องกลม เพราะฉะนั้นแสงที่จะเดินทางในเอกภพนี้ไม่มีแสงตรงมีแต่แสงโค้ง แม้แต่ผิวระนาบของพื้นน้ำก็มีแต่ผิวโค้ง ไม่มีผิวตรง เราจะค่อยๆเข้าใจ สัจจะพวกนี้ อาตมาเองเห็นแสงเดินทางโค้ง อาตมาก็ว่าใครจะรู้นะว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง อาตมาพูดน้องเขยที่เป็นวิศวะก็บอกว่า ไม่ใช่ ไอน์สไตน์เขาเจอมาแล้ว เขาก็รู้ว่าแสงเดินทางโค้ง อาตมาก็บอกว่าไม่เชื่อไปหาหลักฐานมาดู อาตมาก็เลยเข้าใจว่าไอน์สไตน์คือใคร ไอน์สไตน์รู้ว่าแสงเดินทางโค้งจึงไม่ใช่คนธรรมดา ไอน์สไตน์รู้จักแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งทางรูปธรรม ทางวัตถุ ส่วนอาตมารู้จักแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งทางนามธรรม

อะตอมอธิบายความเป็นเอกภาพ มันเป็นแรงดึงดูดเป็นแรงโน้มถ่วงที่จะต้องยึดโยงกันอยู่ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่กระจายออกไปมันก็มี ก็เป็นไอโซโทปทิ้งไป ไม่มีอะไรคงกลับมาเลยก็ไปถึงไหนต่อไหนต้องไปสู่ความสูญความจบจนได้ อะไรที่รวมตัวได้มันก็รวมกันเกิดต่อไป ที่จะโค้งมาหาเราเราต้องระวังแม้โค้งไปไกลอย่างไรก็ต้องกลับมาถึงเราไม่รู้กี่ล้านปี ถ้าเราปรินิพพานไปก็จบ แต่ถ้าไม่ปรินิพพาน ก็ต้องมีคลื่นที่เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว จะโค้งไปไกลอย่างไรก็ต้องกลับมาถึงจนได้เป็นโดมิโน

มาถึงสภาพจริงของมนุษยชาติตอนนี้ประเทศไทยนี้ มันหยั่งลงในประเทศไทยมนุษย์คนไทยนั้นมีหัวสมอง มีปัญญา มวลมนุษยชาติในโลกนี้มีกี่ประเทศ 200 กว่าประเทศ แต่คนไทยนั้นรู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นในสังคมโลก มีสิ่งที่ประเสริฐสุด ที่เป็นคนผู้หนึ่ง คือพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ของประเทศไทยได้มีพฤติการณ์ขึ้น เป็นพฤติกรรมประเสริฐสุด คนที่มีภูมิปัญญาก็จะติดตามมาศึกษาในยุคนี้ กาละนี้ กัปปนี้ คนไหนไม่แสวงหาก็ปล่อยชีวิตไป คนไหนแสวงหาก็มาค้นหา อย่างพระเจ้าแผ่นดินประเทศภูฏาน จะเห็นได้ว่ามีฉันทะมาเอาความรู้ เป็นลักษณะจริงของเขา เขารู้ว่าสิ่งที่ดี เป็นระเบิดที่มีความพอใจยินดี มีพลังก็เป็นของจริงของแต่ละคน ขับดันตัวเอง

เช่นเดียวกัน อาตมาพูดไปแล้วก็เหมือนยกตัวตน เราก็ร่วมทำอันนี้ พยายามทำเพื่อก่อรูป แล้วไม่ใช่ก่อรูปนิ่งแต่ก่อรูปเคลื่อนไหว เป็นประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่น คนเข้าใจว่าการรวมกันการประสานปรองดองเพื่อทำสิ่งดี คนเข้าใจแล้วจะมีอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ ไทยต้องทำให้ได้ แล้วขณะนี้ทำได้แล้วด้วยเป็นเค้าเงื่อนแล้ว แล้วก็เป็นพลังงานแม่เหล็กรวมตัวแล้ว เป็นธาตุหนัก รวมแล้วเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นแล้ว เป็นแล้ว เป็นตัวตั้งแล้ว

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงจะบอกว่าเราไม่ประมาท ต้องเสริมสานพลังงานนี้ให้เป็นตัวตั้ง ให้อภิวัฒน์ต่อไป ประโยชน์ของมวลมนุษย์โลก ประเทศอื่นจะทำแข่งกับไทยก็ทำสิ ใครจะทำได้ดีกว่า เราก็จะไปร่วมกับเขาเลยไม่เสียเวลา แต่ตอนนี้ขออภัยเรายังไม่เห็น สารสนเทศน์ตอนนี้ Globlolization ดูก็รู้ อาตมาเชื่อว่ารู้ได้หมดแต่ก็ยังไม่เห็น ถ้าใครยืนยันเลยว่าเขามี แล้วดีกว่านี้อีก ก็ไม่เห็นมีส่งมาให้อาตมาเห็น ถ้ามันจริงเลยนะ อาตมาจะทนไปทั้งที่ไม่ค่อยชอบเดินทาง แต่ถ้าไม่ดีจริงก็เอาของลวงมาหลอกอาตมา แต่ถ้าจริงก็จะไปสมทบเลย

อาตมามั่นใจว่าสิ่งประเสริฐเกิดแล้วก็จะต้องช่วยกันทำให้ยาวนาน สร้างตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจะมีสัมประสิทธิ์ซ้อนกันสองอัน อันหนึ่งเป็นตัวแปรที่จะทำลาย อีกอันเป็นตัวแปรที่จะเกิดสร้างสรร ที่หายไปคือ fission ก็ปล่อยมันไปเลย ส่วนตัวที่รวบรวมได้เป็น fusion ก็จะต้องรวบรวมอันนี้

ต้องมาร่วมกันในประเทศไทยตอนนี้ เอาเถอะน่า ตายเป็นตาย มีในหลวง เราจะดึงตัวเองไปใกล้ในหลวง เขาก็จะหมั่นไส้เอา แต่ตอนนี้ต้องทำ ตายเป็นตาย ในหลวงเป็นผู้ทรงงาน ทรงการ  ทรงพฤตินัย อาตมาเป็นตัวหลักการ อาตมาได้แต่พูดๆๆ แต่หลักการไม่ได้ขัดแย้งกับในหลวงเลย แล้วพวกคุณเป็นลูกในหลวงก็ต้องมาช่วยทำให้เป็นจริง อาตมาเหมือนแม่ ในหลวงเหมือนพ่อ

อาตมาเหมือนแม่จุกจิกจู้จี้ซ้ำซากวนเวียนจี้อยู่นั่นแหละ แต่ในหลวงบอกแล้วใครจะทำก็ทำใครไม่ทำก็แล้วแต่

อย่างคุณจำลองนี้มีลักษณะพ่อเป็นปุริสภาวะ แต่อาตมาลักษณะอิตถีภาวะก็ทำงานอาศัยกันและกัน

เข้าสู่คำว่าราชประชาสมาสัย

ก็คือ ราช กับประชา อาศัยกัน เมื่ออาศัยกันก็เกิดเป็น A bomb of love. ซึ่งไม่ได้เกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย มันเกิดเหตุปัจจัยจากราชากับราษฎร ใครทำได้ก็มาทำแข่งกัน ประเทศไหนที่ทำได้ที่มีตัวตนบุคคล มีมนุษยชาติตอนนี้ก็ทำสิ อาตมาพูดในกัปปนี้ ปัจจุบันนี้นะ หลัดๆโต้งๆ continueing ตอนนี้

อาตมาก็อธิบายเจาะธรรมะสองซ้อนไปไม่รู้กี่ซ้อนแล้วตอนนี้ แล้วมันมีปรากฏการณ์จริง  phenomenon จริง ตอนนี้ A bomb of love.เกิดหนึ่งเดียวในประเทศไทยเป็น phenomenon  ไม่ใช่ phenomena นะ ฟังแล้วใครจะช่วยอาตมารังสรรค์อยู่ที่สนามหลวงนี้ต่อไป ปลูกมะนาวอย่างนี้ไปให้สนามหลวง (ลูกโตมาก เปรี้ยวดีด้วย)

อาตมาเคยติดกินเผ็ด ข้าวคำหนึ่งพริกขี้หนูสวนคำหนึ่ง กัดกร็อบกลิ่นฉุยขึ้นมาทันทีรู้สึกชอบ เราก็บ้าได้อย่างนี้นะ แต่ก่อน แต่ตอนนี้แสบเผ็ด ยังอนุโลมไม่ได้เลย แต่ก็ต้องพยายาม ธาตุพวกนี้มีพลังร้อนไปช่วยได้ เดี๋ยวจะเย็นเกินไป

คิดว่า สิ่งที่อาตมาได้ไขความแล้วก็ยืนยันว่า สภาพนี้มีพฤติกรรมมีบุคคลจริง เป็นกาลยุค เป็นกัปป์ ละเอียดลงไปก็มีกรรมกับกาล หรือเวลา คนจะจบก็จบด้วยเวลาและกรรม

เวลาไม่มี ถ้าเวลาไม่มีก็คือไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีพลังงานอะไรเลยมันว่างเปล่า พอมีอะไรขึ้นมาก็มีเวลาแล้ว เริ่มจากมีหนึ่งจุด แล้วมีสองจุดเคลื่อนในแนวระนาบ เคลื่อนไปเคลื่อนมา เมื่อมีจุดที่ 3 ก็จะเกิดการขัดแย้ง มีความต่าง ส่วนหนึ่งกับสองนั้นต้องต่างกัน เมื่อเป็น 3 ก็ยิ่งมีความต่างกันเป็นสาม ถ้าสี่ก็เป็นแนวหลายระนาบ ถ้าเป็นแนวระนาบก็ยังไม่ค่อยเกิดอะไร แต่ถ้าเป็นองศาขึ้นมาก็มีความป่องขึ้น จะเกิดพลังงานวน ถ้าองศานั้นน้อยๆจะรีมาก แต่ถ้าองศามากขึ้นก็จะกลมมากขึ้น องศา 45 ก็เป็นวงกลมเป็น Cyclic order เป็นระบบเลย ไม่มีอะไรแตกต่าง ถ้าแรงเร็วทำให้มันกลมได้จะไม่บิดเบี้ยวเลย ถ้าแรงเร็วมากนะ แต่ถ้ามีอะไรต่างขึ้นมาก็ไม่กลม ทั้งนามธรรมและฟิสิกส์ก็จะเหมือนกันได้

ผู้ที่ทำได้เป็นได้ แต่ไม่รู้ก็ไม่ครบ แต่ถ้าผู้ที่เป็นเองได้และก็รู้ได้ ก็ครบจบเป็นธรรมะสองที่สามารถทำให้เป็นหนึ่งได้

ที่อาตมาพูดไปแล้ว ขยายความไปคุณก็จะยิ่งรู้ว่าอาตมาคือใครไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอวดตัวตนว่าอาตมาเคยเป็นใครมา แต่อาตมาพูดสัจจะนี้ไปคุณจะค่อยๆรู้เอง

ตอนนี้ที่สนามหลวง เรื่องที่ต้องต่อเนื่องคือเรื่องกิน ถ้าต่อเนื่องไปสองหรือสามปีจะเกิดผล มนุษยชาติในโลกนี้จะสงบจะเรียบร้อย จะสามารถรังสรรค์อะไรได้มาก เป็นความสงบเรียบร้อยความอบอุ่นของโลกจะเกิดขึ้น

อาตมาขอยืนยันว่า สังคมแบบนี้จะต้องเกิด จะได้กว้างใหญ่เท่าใดก็ตาม จะได้รู้ความจริงของมนุษย์ในกัปป์นี้

พวกเราหลายคนชัดเจนก็ทำต่อ คนไหนสามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ คุณอยากจะสูญเลยก็ทำได้ เป็นสัจจะความจริง แต่ถ้าใครยังอยากจะช่วยต่อ หรือคุณอยากจะรู้ต่อก็เป็นวิภวตัณหา อยากจะทำให้เจริญกว่านี้ ทำให้ตนพัฒนากว่านี้ ถึงที่สุดคือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย อาตมาไม่ได้ถ่อมตนนะ พูดจริงว่าอาตมายังไม่ถึง บางคนบอกว่าอาตมาขึ้น 8 แล้ว อาตมาก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเราเป็นเก้าแล้วแต่คนบอกว่าแปดก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่เอาแบบหลงตนว่ามีเกินที่ตนเองมี

 

 ตอนนี้อาตมาก็จะต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพราะยังรู้ไม่หมด ก็มีหนังสือที่มีคนเอามาให้ เขียนถึงผู้ที่ปฏิบัติธรรมในโลกนี้ที่ต่างๆ อย่างเช่นท่านธัมมปาละที่ได้เก็บนิยามคำว่าบุญ = สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ

ทำให้ได้ไขคำว่าบุญว่ามีหน้าที่อย่างเดียวคือประหารกิเลส ทำเสร็จแล้วก็หายไปจบ เป็นเอกเป็นหนึ่งเลย ทำหน้าที่จบก็เป็นนปุงสกลิงค์ แต่คนก็เข้าใจเป็นกุศลซึ่งเป็นธรรมะสองไม่มีที่จบเลย

อาตมาไม่สงสัยว่าจะต้องไปอเมริกาหรือภูฏานนะ ที่พูดนี้ไม่ได้อยากไปไหนแล้วประเทศไทยก็ไม่ช่วยอาตมาด้วย ไม่ทำพาสปอร์ตให้เลย เพราะว่าถ้าจะทำให้อาตมาจะใช้คำว่า mister ไม่ได้ต้องใช้คำว่า venerable อาตมาเป็นพระ ศาลไม่ได้ตัดสินว่าอาตมาสึก อาตมาบวชแล้วไม่สึกก็ต้องเป็นพระ แต่เขาว่าไม่ได้ต้องเป็น mister เพราะว่าเถรสมาคมบอกว่าไม่ให้เรียกพระ

ต่อจากนี้ไป อีก 6 นาที เลข 6 คือ 3 กับ 3 ถ้ายังไม่เป็น 7 ไม่มีเส้าที่สามก็ไม่นิยตะ จริงๆแล้วสามนี้เป็นระนาบ นี่คืออุบัติการของจะเรียกว่าพลังงานก็ตาม พลังงานคือการเคลื่อนที่จะเกิดและพัฒนาไป จะเคลื่อนเป็นแนวระนาบก่อนเป็นองศา

สิ่งเหล่านี้จะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์หรือเป็นเชิงพลังงานจิตวิญญาณ ก็มีพลังงานหรือนามธรรมร่วมกับรูปธรรม

พีชะคือพลังงานที่ทำตัวเองได้ แต่ไม่มีอำนาจไปเชื่อมหรือมีฤทธิ์แรงนอกจากตัวเอง นี่คือสามเส้าของพีชะ รู้ว่าเอาธาตุไหนมาปรุงเป็นตัวเอง แต่ไม่ไปทำร้ายใคร อรหันต์จึงทำส่วนพีชะของตัวเองให้ได้ให้แข็งแรงเป็นแก่นแท้ มันก็ทำตัวเองเป็นอัตโนมัติได้ ส่วนพลังงานแกนที่จะควบคุม fission และ fusion ต่อไป ตัวไหนเป็นประโยชน์ก็เอามาใช้ได้

แกนอรหันต์มีพีชนิยาม สามารถควบคุมพลังงานอื่นนอกตัวตน เอามาใช้เป็นประโยชน์เพิ่ม โดยมีตัวฉลาดที่จะไม่ทำร้ายทำลายคนอื่นเขา ตัวทำร้ายคืออะไร

ทำลายคืออะไร

ทำร้ายหรือทำลายมีนัยซ้อน ทำร้ายนี้ไม่ดี แต่ทำลายนี้บางทีต้องใช้ไปทำลายสิ่งที่ไม่ดี เราจะไม่ใช้ทำร้าย แต่ใช้ทำลายมันทำลายไป ที่สุดก็พอก็จบ อย่างอาตมาบอยคอต ธัมมชโย

ลักษณะพรหมทัณฑ์คือไม่ช่วย แต่ก่อนนี้มีน้ำใจจะสอนจะบอกให้ แต่คุณไม่รับก็จบ หยุด แต่ถ้าปาราชิกคือร้ายแรงกว่าพรหมทัณฑ์ ซึ่งพรหมทัณฑ์นี้คุณจะอยู่ร่วมได้ แต่ปาราชิกนี้อย่ามาเกี่ยวข้อง อยู่คนละที่ แต่ไม่ทำร้ายเขา ถ้าคุณมาเราไม่ช่วยทางธรรมะ เช่นเราบรรยายธรรมะนี่ ถ้าคนปาราชิกมาเราหยุดแสดงธรรมเลย ไม่ให้อยู่ในเขตนี้เลย จะมาเอาอะไรในนี้ไม่ได้เลย ตัดขาดไม่ให้ได้ยินเลย 

คำว่าได้ยิน กับเห็น การเห็นนี่ยังเอาไม่ได้นะ แต่ได้ยินนี่เอาได้นะ ได้เห็นเหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เอาไม่ได้ แต่ได้ยินนี้เอาได้นะ ได้เห็นแต่ไม่ให้คุณได้ยิน

โสตะ กับ ทิฏฐะ มีเห็นกับได้ยินเท่านั้นสุดท้าย

นี่คือสัจจะทั้งปวงที่จะได้สาธยายวันนี้ ….ขอให้เจริญธรรมกันทุกคน...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:18:46 )

591111

รายละเอียด

591111_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย

สมณะเดินดินว่า….วันนี้พ่อครูก็ได้มาอยู่ที่ราชธานีอโศก  วันนี้เป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 12 ใกล้จะถึงวันลอยกระทง ที่ผ่านมาพ่อครูตื่นมาที่โรงเรียนผู้นำ ก็เอ่ยว่าจะจัดโรงบุญ 5 ธันวาฯ 999 โรง และวันที่พ่อครูดำริคือวันที่ 9 พ.ย.ด้วย และก็อาจเป็นปีสุดท้ายที่จะจัดในวันที่ 5 เนื่องจากอาจย้ายไปวันที่ 13 ตุลาคมแทน

พ่อครูว่า...ปีนี้ 2559 นี้ ก็มีคนอยากรู้ อย่างคุณเพชรดินฟ้าถามมาจัง

ถามครับ  โรงบุญ 99 และ 999 แห่ง ช่วง 5 ธค

ใช้ชื่อว่าอะไรครับ  ขอความชัดเจน

เช่น 

โรงบุญถวายพ่อหลวง

อาหารมังสวิรัติ

5 ธันวาคม 2559

.......

เรียงคำไหนไหนก่อนหลัง  จะระบุโดยใครอย่างไร หรือไม่ หรือ ตามสะดวก

เพื่อเตรียมทำป้าย ที่ต่างจัวหวัด

 

พ่อครูว่า..ขอใช้คำว่า “โรงบุญมังสวิรัติ อาลัย ในหลวง ร.9” ก็ไม่ต้องระบุตัวตนว่าใครทำเป็นการลดตัวตน แต่ให้เราทำจริงๆอย่างบริสุทธิ์ ทำจิตใจของเราไม่ให้มีแม้แต่ สาเปกโข คืออาการหวัง

สมณะเดินดินว่า...ที่ผ่านมาได้เห็นในหลวงพระราชทานพระพุทธรูป ก็ตรัสว่าให้เอาทองติดหลังพระแล้วค่อยใส่กรอบ พล.ต.อ.วศิฏฐ์ได้เอาไปทำ แล้วพอดีได้ทำงานที่หนักมากขึ้น ทำไปสองปี กรมตำรวจไม่ได้เลื่อนขั้นให้เลย พอมีโอกาสได้ไปเข้าเฝ้าในหลวงที่หัวหิน ก็เลยกราบทูลว่า ต่อไปจะขอปิดทองหน้าพระบ้าง ในหลวงก็บอกว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เลยเล่าว่าทำงานหนักมาก ในหลวงก็เลยบอกว่า ให้ปิดทองหลังพระให้มากขึ้น เดี๋ยวทองจะล้นมาข้างหน้าเอง

พ่อครูว่า...ตอนนี้คนที่พยายามโชว์ตัวโชว์หน้า ขายข้าวตอนนี้ ขายข้าวโชว์หน้าแย่งกันโชว์หน้า คนที่แข่งกันเอาหน้า เอาหน้าผ่องๆมาโชว์ ทำให้เห็นชัดว่ามาโชว์ ประชาชนก็ได้ประโยชน์

สมณะเดินดินว่า...ดูเหมือนพี่ชายก็มีรูปคู่นายทรัมป์ ยกหัวแม่โป้งให้ด้วย แต่คนไปสังเกตว่าคือถ่ายภาพกับหุ่นขี้ผึ้ง

พวกเราสงสัยว่าจะจัดพร้อมกันหรือเปล่า ความจริงแล้ว 999 คงจัดไม่ได้พร้อมกัน ก็ให้เก็บสะสม จำนวนโรงบุญไป ส่วน 99 ​โรงบุญก็จัดที่ สนามหลวง ตอนนี้ บ้านราชฯทำส้มตำข้าวเหนียวก็เป็นที่นิยม ตอนนี้ก็ไปแจกให้คนที่เข้าแถวได้ ผู้ประสานงานบอกว่าถ้าแจก 99 โรงวันเดียวก็สู้ประชาชนที่มารับแจกไม่ได้ ทุกวันนี้นึ่งข้าวเหนียว 6 หม้อ ข้าวเจ้า 10 ​หม้อ แจกกันเช้ายันเย็น ของหมอเขียวรับผิดชอบช่วงเย็น ได้ข่าวว่ามะละกอก็ใช้เป็นตันเลย มีเครื่องขูดเส้นมะละกอช่วยทุ่นแรง

แต่ในวันที่ 9 พ.ย.นี้พ่อครูก็มีวิบากได้ไปขึ้นศาล คดี พรบ.มั่นคง สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ไปที่บัลลังก์ ที่ 9 อีก วันนั้นพ่อครูว่าจะกลับมาถอดรหัส แต่ว่าวันนั้นนั่งรถมึนก็เลยไม่ได้มาขยาย

 

พ่อครูว่า...ขอบอกกล่าวว่าเป็นงานของพวกเราคือวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2559 ที่ ชุมชนศีรษะอโศก จะมีการสัมนาร่วมกัน(บ้าน-วัด-โรงเรียน) 

เรื่อง "แนวทาง การสร้างระบบและเครื่องมือพัฒนาผู้เรียนให้มีศีลเด่นอย่างชาญวิชา" เนื่องจากทุกคนเห็นปัญหาร่วมกันเรื่องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความตระหนักในการถือศีล ละอบายมุข กินมังสวิรัติ และความมีระเบียบ-วินัยขั้นพื้นฐาน

เป็นการศึกษาที่พวกเราพยายามให้เป็นการศึกษาแบบบุญนิยม ไม่ได้เป็นการศึกษาที่จะหาเงินทองหาเกียรติยศ หรือหาตำแหน่งหน้าที่เข้ามาเสียสละกันจริงๆ สำหรับชาวบุญนิยมเรา ก็มาช่วยกันพัฒนาขึ้นไป

สาธารณโภคี บ้านวัดโรงเรียน เป็นเรื่องความลึกซึ้งของจิตวิญญาณ ที่เราพยายามให้มี ถ้าเราทำ มันจะเป็นองค์ประกอบที่สังเคราะห์ขัดเกลา มันเป็นเหตุปัจจัย ทั้งตัวบุคคล มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมทั้งหมด วัตถุข้าวของเงินทอง กิริยาเรื่องราว มันจะช่วยกันสังเคราะห์ ขัดเกลา สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างสำคัญ

ที่เราทำกันอยู่นี้เป็นนวัตกรรม สาธารณโภคี อย่างพระพุทธเจ้าก็เป็นนวัตกรรม ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ นำสัจธรรมของพระพุทธเจ้ามาสืบต่อให้ครบ 5000 ปี ตอนนี้ธรรมะก็เพี้ยนไปหมดแล้ว สมาธิก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตกัน แม้แต่เรื่องกาย ก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นธรรมะสอง ก็เหลือภายนอกอันเดียว เป็นดินน้ำไฟลมแล้ว ไม่เกี่ยวกับใจเลย ก็ไปไม่รอด

ก็ดีขึ้น ค่อยๆศึกษากันให้รู้เรื่องขึ้นมาได้เรื่อยๆ ก็ขอแจ้งให้รู้ว่าผู้สัมมนาที่ชัดเจนแล้วก็มี

ผู้เข้าร่วมสัมนา

1.สมณะศีรษะอโศก (ส.ลานศีล, ส.มือมั่น เข้าร่วมด้วย)

2.คุรุ ทุกฐานงาน

3.ศิษย์เก่าที่ช่วยงานการศึกษา

4.ชาวชุมชน

5.พี่แก่นฟ้า/ พี่ขวัญดิน

6.พี่ไชยวัฒน์  สินสุวงค์

7.พี่แรงเกื้อ

8.ว่าที่ ดร.บุญรอด

9.คุณนิวัช(จุ้ย) จากธุลีฟ้ารีสอทร์

10.คุรุดาวตะวัน(ติ้ง)จากบ้านราช

11.คุรุคนึงนิตย์(อ้อย) จากบ้านราช

12.นร.ทุกระดับชั้น

13.อ.จำรัส

และผู้สนใจ

กำหนดการคร่าวๆ

วันจันทร์ที่ 14 เวลา 18.00 น.ทีมงานสนทนากับคณะครู

วันอังคารที่ 15 เวลา 05.00 น. กิจกรรมผู้เรียนค้นหาข้อบกพร่องของตนเองและหาวิธีการพัฒนาแก้ไขข้อบกพร่องนั้น

ช่วงเย็น 18.00 น ทีมงานสรุปผลและเสวนากับกับชาวชุมชน เพื่อขอความร่วมมือ(ใช้หลักการมีส่วนร่วม บ้าน วัด โรงเรียน)

วิธีการ แก้ไขข้อบกพร่องให้ผู้เรียนออกแบบเอง ทีมงานจะเป็นผู้ปรับให้รองรับการประเมินของ สมศ.เพื่อให้ สมศ.เห็นภาพการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดศีลเด่นอย่างชาญวิชา นั้นมีวิธีการเช่นไร

มี sms ที่ส่งมาก็มีของหลายคน แต่ก็ขออ่านของ 3867 ว่า

0893867xxxพลังจงรักภักดีทำให้เกิดพลังสามัคคี!พลังสามัคคีทำให้เกิดพลังความดี!พลังความดีทำให้เกิดพลังสร้างเสริมช.ศ.กษฯมั่นคงเข้มแข็งเหนือพลังอธรรมทั้งปวง!

คก.พระราชดำริพ่อฯทรง ทำเพื่อปย.สุขปชช.จริงๆโดยไม่มีทุนกำไรใดมาเกี่ยวข้อง!มีแต่ยกคุณปย.ไม่มีโทษต่อชุมชนสิ่งแวดล้อม ให้ปชช.พึ่งตนอย่างพอประมาณต่อตนเอง!พอดีต่อครอบครัว!พอเพียงต่อชีวิต!ทรงให้ความเป็นอธิปไตยต่อปวงชนชาวไทยชัดเจนได้ความเป็นไทแก่ตัวจะแจ้งยิ่งกว่าระบอบใดๆ!

พ่อครูว่า...ขอเสริมว่า พระจริยวัตรของในหลวงที่ทรงมาตลอด 70 ปีไม่มีอะไรแฝงจริงๆ ท่านทรงอย่างมีพระปรีชาญาณ จนกระทั่งคนที่ไม่เข้าใจก็เข้าใจ จนกระทั่งสหประชาชาติต้องทูลเกล้าถวายรางวัล ทรงเต็มกายกรรม ทรงตรัสก็น้อย มาจากมโนเป็นประธานออกมาทางกายวิญญัติมากกว่าวจีวิญญัติ

ยุคนี้ปางนี้ในหลวงท่านทรงกายวิญญัติ แต่วจีวิญญัติโพธิรักษ์รับมา อาตมาจึงอยู่ในฐานะอย่างนี้ มาเป็นนักบวชจะทำอย่างฆรวาสก็ไม่ได้ หน้าที่ก็ไม่สูงส่งก็เป็นไปตามสัจจะที่อาตมาเป็น

สรุปที่ว่า ประชาธิปไตย 2 ขา จะมีจิตวิญญาณอย่างนี้นำ  ผู้นำสูงส่งเบอร์หนึ่งของสังคมนั้นๆ จะต้องมีความประเสริฐอย่างแท้จริง  จะเทียบเคียงกับประเทศอื่นได้เลย ว่าเบอร์หนึ่งของแต่ละประเทศ ระหว่างประเทศที่มีประชาธิปไตยสองขากับประชาธิปไตยขาเดียว

ประชาธิปไตยขาเดียวอย่างมากก็อยู่ 8 ปี 2 สมัย ในหลวงทรงงานมา 70 ปี คุณอดทนทำในระยะสั้น ตั้งอกตั้งใจทำแปดปีก็จะทำได้ง่ายกว่า แต่ในหลวงทรงงานมา 70 ปี รักษาสถานะไม่ให้เพี้ยนไม่ให้เปลี่ยนแปลง ยาวนานถึง 70 ปีมันง่ายหรือ?

ต่อให้คุณ 8 ปีก็รู้เลยว่า คุณภาพ 8 ปีเทียบกับในหลวง 70 ปีเขาจะมีขนาดไหน? เรื่องประชาธิปไตยขาเดียวกับประชาธิปไตยสองขา โดยเฉพาะมีทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์ อยู่ในสายของศาสนาพุทธที่ทรงแสดงออกมาเป็นเรื่องลึกซึ้งในยุคนี้ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อยกตัวเบ่งข่ม แต่เป็นการศึกษา ต้องดูความจริงนี้เป็นการยืนยัน ผู้ที่ตั้งใจเรียนรู้ก็อย่าละทิ้งโอกาสนี้

ต่อมามีคุณสู่แดนธรรมก็มีคำถามมา กำลังเคี่ยวข้น เปรยถามอาตมามาว่า

กราบนมัสการครับ พ่อท่านที่เคารพ

 

เมื่อผมเข้าอยู่ในช่วงกายสงบ จิตสงบ  เทวดาชื่อ "ฐานสักขี" ก็เข้ามาสนทนาไต่ถามด้วย  ถามผมว่า  "คุณพอจะหาหลักฐานชัดๆ ได้ไหมว่า พระพุทธเจ้าสมัยก่อนหน้านั้น เคยเป็นอรหันต์และเป็นโพธิสัตว์มาด้วยกัน ตามนัยยะดังที่สมณะโพธิรักษ์นำมาบอกสอน"

(พ่อครูว่า เถรวาทเข้าใจว่า โสดาบันนั้นอีกไม่เกิน 7 ชาติจะต้องบรรลุอรหันต์ แล้วบรรลุอรหันต์แล้วต้องปรินิพพานเลยสูญ ดังนั้นพระโพธิสัตว์ที่จะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องไม่เป็นอาริยะแม้แต่โสดาบันไม่เช่นนั้นจะต้องปรินิพพานใน เจ็ดชาติ ไม่ได้เรียนรู้เป็นพระพุทธเจ้า)

ผมตอบเทวดาไปว่า "หลักฐานชัดๆ ที่ตราไว้เป็นข้อกำหนดเช่นนั้น  ผมยังหาไม่เจอ เพราะไม่ใช่นักอ่าน / นักค้นคว้ามืออาชีพ  แต่ผมพิจารณาธรรมะจาก พุทธคุณ 9  แล้ว ถ้าใครไม่บอดด้านในภูมิธรรมแล้ว คงจะมีปัญญาเห็นความมีเหตุมีผล ต่อเนื่องสอดร้อยกันไปตามลำดับ จากอรหัตตผลไปสู่โพธิสัตวภูมิ  ดังนี้คือ

 

อิติปิ  โส  ภควา  อรหัง สัมมาสัมพุทโธ

เพราะเหตุดังนี้  พระผู้มีพระภาคทรงเป็นอรหันต์ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง

(ก็เหตุไหนเล่า ที่ทำให้เป็นอรหันต์มาก่อนนั้นแล้ว  ดูคำว่า อรหํ ที่เป็นช่อง 3

 

คำต่อมา ก็เฉลยไว้ด้วยธรรมะสองอย่าง ที่เป็นเหตุให้เป็นอรหันต์

ก็คือ  "วิชชาจรณะสัมปันโน"  (มีเพียงสองอย่างนี้เองที่ทำให้เป็นอรหันต์

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า จรณะ15  หรือ ฌาน4  ก็เป็นอรหันต์ได้

 

หลังจากเป็นอรหันต์แล้ว (อรหํ) บำเพ็ญโพธิสัตว์ต่อไปอย่างไร

ก็บำเพ็ญไปด้วยคำว่า "สุคโต  โลกวิทู"  นี่ไงเล่าครับ

สุคโต ก็คือ เกิดมาแต่ละชาติๆ ก็ดำเนินไปดี  เพื่อสะสมความรู้ในโลก

คำว่า "สุคโต  โลกวิทู" นี้แหละคือ คุณธรรมขั้นต่อมาที่จะต้องเกิดมาอีก

เพื่อบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ในพุทธภูมิ เพื่อรู้โลกอื่น รู้คนอื่น ช่วยสอนคนอื่นอีก

 

เมื่อบำเพ็ญสอนคนอื่นให้ได้อรหัตผลขึ้นมาอีกมากมาย จึงเกิดคำต่อมาว่า

"อนุตตโร  ปุริสสธัมมัสสารถิ"  หมายถึง เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษให้เป็นอรหันต์ได้

อย่างไม่มีใครยิ่งกว่าอีกแล้ว (นี่แหละคือ หน้าที่ของพระโพธิสัตว์)

 

จนกระทั่งหน้าที่ของท่านกลายเป็นบารมีของพระโพธิสัตว์ เต็มขั้นสูง 

จึงได้เป็น "สัตถา  เทวมนุสสานัง"  คือ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ผู้ประเสริฐ

 

จากนั้นจึงสูงส่งขึ้นมาเป็น  "พุทโธ"  เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน

 

และแล้วยังทำหน้าที่อันละเอียดถี่ถ้วนสุดยอดสุดท้าย คือ

ภควา ติ  คือ  เป็นผู้จำแนกธรรม อันมีมากมายหลายอณูธรรม

ให้เกิดความรู้ไปตามลำดับ งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

 

สรุป พุทธคุณ 9  ก็คือ ธรรมะที่เรียบเรียงลำดับมาตั้งแต่

การได้บรรลุอรหันต์มาแล้ว (มีเพียงสองคำคือ บรรลุด้วยวิชชาและจรณะ)

และคำต่อมาอีกมากมายนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องของโพธิสัตว์ทั้งนั้นเลย

สู่แดนธรรม ยังถามมาด้วยว่า ขอถามพ่อท่านว่า  พุทธคุณทั้ง 9  นี้  พอจะมองเห็นได้ไหมครับว่า

มีเหตุที่ให้เป็นไปตามลำดับ จากอรหันต์ไปสู่พระโพธิสัตว์ขั้นสูงสุด ?

 

ตอบ...ก็ได้แน่นอน ถ้าชัดในพยัญชนะและสภาวะ ศึกษาไป สภาวะจริงมีแล้วแม้ไม่มีภาษาที่จะให้เรียก เพราะเป็นสภาวะที่ละเอียดจนผู้รู้ที่รู้สูงสุดด้วยกัน กล่าวถึงภาวะแวดล้อมก็รู้ด้วยกันได้

อย่าเพิ่งเอาพยัญชนะนี้ไปใส่สภาวะนั้น จนอาตมาสับสนตอบคุณไม่ทันเลย

 

มาพูดถึงสภาวธรรม ก็ขอเข้าสู่สภาวธรรมจากพระไตรปิฎก พระสูตรเล่มแรก ตั้งแต่พรหมชาลสูตร ..

ประเด็นแรกที่ท่านตรัสก็คือใครติเตียนเราก็อย่าไปท้อใจ ใครชมเราก็อย่าไปฟูใจ

ประเด็นต่อมาคือมีเวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้ไปเก็บเอากรรมฐาน 40 มาใช้ซึ่งเป็นของไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้นมีเวทนาเป็นกรรมฐานอันเดียวแจกแจงให้ถึง 108 เวทนาก็เป็นอรหันต์ได้เลย

การไปหลงดินน้ำไฟลมนั้นเป็นเรื่องที่ผิดก็พระพุทธเจ้าบอกว่ากายไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่กสิณ แต่กสิณอยู่ที่จิต คือเวทนา แต่ไม่ใช่กสิณ แบบเพ่งดิ่งเป็นเอกคตาไม่มีวิจัย..ไม่ใช่ แต่จะต้องวิจัยในเวทนาต่างๆหลากหลายไปถึง 108

เวทนา 2 3 5 6 18 36 จนถึง 108

ความเพี้ยนผิดของศาสนาพุทธไปจากความเป็นจริงในทุกวันนี้ขอพูดย้ำอย่างนี้แหละ ขอยืนยันว่า อย่าหลงผิด ทีนี้ความสำคัญของเวทนาจะต้องเกิดจากการมีสัมผัส เวทนาจะเกิดไม่ได้เลยในสัญญา เพราะในสัญญาคุณกำหนดรู้ในภายใน เอาความจำมาบ้าง เอาสัญญากำหนดภายใน ถ้าสัญญาก็ต่างกับปัญญา

ปัญญาจะมีทั้งภายนอก มีองค์ประกอบมรรค 7 องค์มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ต้องมีครบ อาชีพ การกระทำ วาจา ความนึกคิด

สรุปก็คือไม่ได้อยู่แค่ภายในโดยไม่ออกมาข้างนอกเลย

พวกนั่งหลับตาไม่รู้จะสะดุ้งสะเทือนไหม การนั่งหลับตานั้นไม่ใช่ไม่มีประโยชน์แต่ไม่ใช่แกนหลัก ศาสนาพุทธมีวิจัยวิจารเป็นเอก

มาเจาะลึกในเรื่องของคำว่ากาย นี่ก็ซ้ำซากอีก น่าเบื่อสำหรับผู้ที่ทนไม่ได้ ก็ขอบอกว่าอย่าเบื่อเลย ฟังเอาความซ้ำซากนี่แหละ ก็จะจำได้ดีขึ้น และอาตมาก็พยายามให้มีนัยยะใหม่ด้วย

คำว่า กายนี้หมายถึงธรรมะสอง แล้วธรรมะสองก็แจกว่าคือมีรูปกับนาม กายต้องมีสองเสมอ คือสิ่งที่ถูกรู้กับนาม คือจิตเจตสิกต่างๆที่ไปรู้ กายไม่มีธาตุรู้ร่วมด้วยไม่ได้

สุดโต่งไปทางกายไม่มีธาตุรู้ มีแต่ดินน้ำไฟลมมันจึงจบเห่ ไปเข้าใจกายแบบไม่มีธาตุรู้ร่วมเลยจบเห่ ถ้ากายเข้าใจว่าเป็นธาตุรู้เป็นนาม ก็ยังพอพัฒนาได้ แต่ถ้าเข้าใจว่ากายมีแต่อุตุหรือพีชนิยาม ก็จบเห่อีกเหมือนกัน ไปไม่ออกคือเขาจะไปได้แค่อุตุ พีชะ ไม่ไปถึงจิตนิยามได้

สมณะเดินดินว่า…ทุกวันนี้สำนักต่างๆก็พยายามให้เรียนรู้จิต แต่ว่าไปปฏิบัติที่กาย ที่เขาหมายถึงแต่ภายนอก ได้เพียงแค่อุตุนิยามกับพีชนิยามไม่ถึงกายถึงจิตนิยามที่แท้จริง

พ่อครูว่า...การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามีสัมมาทิฏฐิปฏิบัติได้จริงเขายืนยันว่าบรรลุอรหัตผลจริงๆ แล้วพระอรหันต์นี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ ถ้าไปนิ่งดิ่งเจาะเข้าไปดำมืดอยู่อย่างนั้นก็จบสุดท้ายเป็นสมถะเท่านั้น มันไม่เกิดวิปัสสนา ไม่เกิดการรู้ การเห็น การเข้าใจ มีโลกวิทู มีโลกานุกัมปา ให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นต่อโลกก็จบ แต่ตนเองสบายแต่ตนเองนิ่งดิ่ง มันก็หยุดจบไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อ คุณก็ไม่เจริญต่อ ก็ได้แต่จมกับจม ไม่มีฟูไม่มีลอย คนที่รู้ได้ดาบได้จริงๆจึงไม่ใช่แค่สงบอย่างนั้น แต่กลับยิ่งรู้เร็วไวละเอียดแก้ไขอะไรทำอะไรได้จึงละเอียดลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้นความละเอียดของทางด้านสสาร ฟิสิกส์จึงสามารถรู้ได้จริงๆ เพราะว่ามันหยาบกว่านามธรรม

สสารนี้หยาบกว่าพลังงาน แล้วพลังงานจิตเป็นชีวะละเอียดกว่าอีก เพราะมันไปจัดการกับสสารได้อีก ถ้านามคุณไม่มีปัญญาพอ สสารก็ครอบงำคุณ แต่ถ้านามมันเหนือก็ควบคุมสสารได้

นัยยะลึกซึ้งที่อาตมาอธิบาย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ มันละเอียดลึกซึ้ง พวกเราก็รู้ได้ลึกขึ้น จึงสามารถบรรลุสามารถเข้าใจสามารถทำได้สามารถปล่อยวาง ใช้อาศัยได้ เมื่อปล่อยวางได้ก็อาศัยได้ ถ้าปล่อยวางไม่ได้ก็อาศัยมันไม่ได้เพราะมันจะกินคุณเลย แต่ถ้าปล่อยวางได้เราก็ใช้มันได้อยู่กับมันได้ก็คงเหมือนได้ แต่ถ้าคุณไม่เหนือมันจริงๆมันควบคุมคุณ

ขอพูดปรากฏการณ์ที่ให้ศึกษาคือประเทศอเมริกา กำลังมีบทบาทชัดเจน เบอร์ 1 ของอเมริกามีให้คนศึกษาเลยตอนนี้ ขออภัยไม่ได้ดูถูกเขานะ แล้วจะเป็นสิ่งที่ สามารถให้ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งละเอียดไปได้จริงๆเลย จะเรียกว่าเป็นโชคของคนในยุคนี้ที่ได้เห็นและมีคนมาแนะนำให้รู้ด้วย คนไม่รู้เรื่องก็ปล่อยไป เรื่องของใครของมัน เป็นไปตามยถากรรม แต่นี่เราชวนให้ศึกษา แนะนำให้สังเกต หลายอย่างเราไม่มีชื่อเรียก ก็มันละเอียดเกินกว่าจะใช้ภาษาเรียก

ขออภัยที่พูดถึงเรื่องบกพร่องอันนี้ อาตมาเคยบกพร่อง เคยตั้ง ข. ขวดมาใช้ แล้วมันก็เฟ้อไม่ต้องใช้ ใช้ ข. ไข่ก็ได้ แล้วก็ตั้ง ค.คนมาตั้งให้ต่างจากควาย มาถึงวันนี้คนก็ไม่ใช้คอคนกลับไปใช้คอควาย เป็นความผิดพลาดของอาตมา ก็คืออยากเก่งก็ไปตั้งก็ขอสารภาพว่าไม่ต้องใช้ ข.ขวด และ ค.คน พล.เรือตรีมินทร์ก็มาจี้ให้อาตมาใช้ อาตมาก็บอกว่าเลิกเถอะพอได้แล้ว มันเป็นมานะอัตตาของคนชนิดหนึ่งว่าเราเก่งที่เราได้ตั้ง มาถึงวันนี้ไม่มีใครใช้ ข.ขวด ค.ควาย จะได้ไม่ไปดูถูกควาย และคนก็คือควาย ควายก็คือคนเสมอภาคกันเลยระหว่างควายกับคน จะได้จบกันเสียที

ก็แนะให้ศึกษา ว่าประชาธิปไตยขาเดียว เขาก็จะพิสูจน์ตัวเขาเองว่าจะไปได้รอดไปได้ดี เขาไม่รู้หรอกว่าจะมาท้าทาย เชื่อสิ คุณทรัมป์เขาไม่รู้หรอก อาตมาให้ศึกษาไม่ใช่ท้าทาย แต่ให้ดูพฤติกรรมจริง ไม่ว่าจะด้านสังคมเศรษฐกิจ หรือด้านอื่นๆที่จะเกิด ตามความรู้ที่จะเขามีที่เขาสร้างประชาธิปไตยขาเดียว ต่างจากประชาธิปไตย 2 ขาที่มีจิตวิญญาณ ในหลวงได้นำพามาแล้ว อาตมาก็จะนำพาต่อเพราะอาตมาสายพุทธ แล้วจะเชื่อมโยงต่อกันไปอีก พวกเราก็จะช่วยกันด้วย สร้างขึ้นมาปฏิบัติประพฤติทำกันอย่างจริงๆ

ตอนนี้โพธิสัตว์อย่างไอน์สไตน์ก็ได้เขียนจดหมายฝากลูกสาวไว้เกี่ยวกับ A bomb of love. ไอน์สไตน์ยังไม่มีพยัญชนะยังไม่มีปฏิภาณอธิบายให้คนเกิดความรู้ แม้แต่ทางวัตถุ ไอน์สไตน์เองก็ยังสารภาพกับลูกสาวว่า อธิบายอย่างมากจะตายอยู่แล้วคนยังไม่ค่อยเข้าใจกันเลย แล้วอย่าง A bomb of love. คนก็ยิ่งเข้าใจได้ยาก

เราก็เอามาเชื่อมโยงต่อจากเหตุปัจจัยที่มีหลักฐาน ให้เห็นว่า DNA ของโพธิสัตว์อย่างไอน์สไตน์ แต่ไอน์สไตน์ยังเข้าถึงเรื่องนามธรรมไม่ได้ แต่รู้แล้วเรื่องนามธรรมว่าต้องเป็นพุทธศาสนา ต้องเป็นจิตวิญญาณแบบนี้ แล้วพยากรณ์ไว้ว่าพุทธศาสนานี้จะรุ่งเรืองในยุคต่อมา ไอน์สไตน์ก็รู้ลึกๆ ตามไอน์สไตน์รู้ อาตมาก็รู้ว่าไอน์สไตน์คือพระโพธิสัตว์ ศึกษาให้ดีจะรู้ว่าโพธิสัตว์คืออะไร

โพธิสัตว์คือเห็นแก่ประชากร เห็นแก่มวลมนุษยชาติ ทำโดยไม่ต้องการอะไรเอากลับมาทำให้แก่มนุษยชาติให้เจริญได้สูงสุด ไอน์สไตน์ค้นพบ E เท่ากับ mc กำลังสอง แต่มันเกิดโทษภัยแก่มนุษย์ อันนั้นมันซ้อนไปในทางนามธรรมด้วย พลังงานนิวเคลียร์นี้เป็นพลังงานละเอียดมันเป็นทางนามธรรมด้วย คนที่สามารถเก็บนามธรรมมาใช้ก็ได้ประโยชน์

พลังงานความรักที่เกิดในตอนนี้เป็นความรักในระดับมิติที่ 8 เหนือมิติที่ 7 มาแล้วที่กำลังเกิดตอนนี้ คนในระดับสามัญ เข้าใจซาบซึ้งและประทับใจได้พลังงานอะไร พลังงานที่ซ้อนคือ พลังงานเสียสละ

ขอซ้ำนิทานเรื่องเก่าอีก คือ อาตมาไปกับด.ญ.สองคน ด.ญ.ดูแลกับด.ญ.ศีล เคยอธิบายไปแล้ว ฟังอีก ผู้ชายคนนี้ได้น้ำขวดมา 2 ขวดก็พยายามเอามาให้เด็กเรา เด็กเราได้ศึกษามาแล้วก็ไม่เอาของใครง่ายๆ อาตมาก็เลยปรายตาไปให้เข้าใจว่าควรจะรับ เด็กเราก็มีปฏิภาณ อาตมาไม่ได้ขึงตาแต่แกก็รับ เมื่อเด็กของเรารับเท่านั้นแหละผู้ชายคนนี้ก็ร้องไห้เลยมันเกิด action reaction พลังงานซับซ้อนอีกเท่าไหร่

พลังงานที่ผู้ชายคนนี้ร้องไห้เสียใจหรือดีใจ ก็เป็นพลังงานดีใจปลาบปลื้มที่เราได้ให้ทาน เขารับสิ่งที่เราได้ให้ไป คนที่ดีใจที่เราได้ให้ มันเป็นความซ้อน สำหรับโลกียะคนก็จะดีใจเมื่อเราได้รับ แต่ที่เป็นโลกุตระคือดีใจที่เราได้ให้ นี่คือสัจจะที่ซับซ้อนมาก

อาตมาอธิบายละเอียด ยกปรากฏการณ์จริงมาอธิบาย ความซับซ้อนปลายสุดของความประเสริฐคือการให้หรือการรับ ...ก็คือการให้

แค่ให้กับรับ แต่ลึกซึ้งขึ้น สุดยอดไหมพฤติกรรมของมนุษยชาติ

เหตุการณ์ที่เกิดนี้มันยิ่งใหญ่ที่จะต้องพยายามรักษาสภาพนี้ที่สนามหลวง รักษาสภาพเป็นผู้ให้ แล้วหนุนเนื่องกัน ผู้ใดไม่ได้มาเป็นผู้ให้ก็ให้วัตถุดิบ ส่งเสริมต่อ อุปการะ ต่ออีกๆ ผู้จะทำอยู่ก็หลายคนมีทุน หลายคนไม่มีโอกาส แต่ก็ส่งมาให้ คนที่มีโอกาสแต่ไม่มีทุนก็รับทุนมา แล้วมาให้ จึงเกิดเหตุการณ์ที่มีแต่ผู้ที่จะให้ ถ้าจะมีผู้ให้แล้วไม่มีผู้รับก็ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผู้รับยังมีมากอยู่ แม้แต่ชาวต่างประเทศก็จะมาก็จะมามากขึ้นอีกด้วย ตอนนี้ชาวต่างประเทศในสนามหลวงยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่มีแต่หน้าคนไทย เพราะชาวต่างชาติมี อัตตา จะไปขอเอ็งกินทำไมมาก จะไปรับจากเอ็งมากินทำไม ชาวต่างชาติก็มีอัตตา ดีไม่ดีฉันจะให้ด้วย อัตตามันซ้อน ชาวต่างชาติยังไม่ จนกว่าผู้เป็นชาวต่างชาติที่ไม่มีอัตตาก็จะมา อาตมาก็ขอพยากรณ์เลยว่า ชาวจีนจะมาก่อน ชาวตะวันตกจะช้า เพราะคุณเธอยังอยู่ตะวันตก ตอนนี้มันเกิดพฤติกรรม ของมนุษยชาติ มันละเอียดลึกซึ้ง เกิดจริงเป็นจริง

นี่คือสิ่งที่อาตมาพยายามให้ความเข้าใจเพิ่มเติม แล้วช่วยกันทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ในคนไทยขณะนี้ยังมีคนที่ฐานะดี มีเงินทอง และอาตมาก็ขอพูดซ้อนว่า เงินทองของคนไทยที่ร่ำรวยหลายคนยังเป็นเงินบาป เงินได้จากการเอาเปรียบกับอบายมุขที่รวยขณะนี้ เป็นโอกาสที่คุณจะถ่ายบาปของคุณแล้ว ที่พูดนี้ไม่ได้พูด เละเล็มเลียบเคียง คุณไม่ทำก็ช่างหัวคุณ

ถ้าคุณได้ให้ได้สละคุณค่ามันสูง นี่แหละ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นพฤติการณ์ของความประเสริฐ ใครได้ร่วมให้ทานในครั้งนี้คุณค่าของกุศลนั้นสูง ถ้าคุณมาร่วมศึกษาแล้วเข้าใจว่าบุญคืออะไรก็ไปทำใจในใจของคุณเอง แต่อย่างน้อยถ้าคุณเอาวัตถุมาทำทานร่วมกันนี้คุณก็ได้กุศลแล้ว ถ้าคุณทำใจในใจของคุณเป็นก็ได้ทั้งกุศลและได้ชำระกิเลสด้วยก็ได้เสียสละทรัพย์ ได้ตัดกิเลส จากทรัพย์ของคุณที่เสียสละด้วย

คนเคยถามว่า คนใช้เป็นคนใส่บาตร แต่เป็นข้าวของเจ้านาย ใครได้บุญมากกว่ากัน อาตมาก็บอกว่าคุณนั่นแหละถ้าคุณทำใจในใจคุณใส่บาตรเอาข้าวของเจ้านายมา แต่นายทำใจไม่เป็น จิตใจไม่ได้เสียสละ แต่ถ้าคุณเองมีจิตใจเสียสละมากกว่า คุณก็ได้มากกว่าเจ้านาย แต่ถ้าเจ้านายทำใจในใจเป็น เจ้านายก็ได้มากกว่า สละโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน

นายก็ให้มาก่อน แต่คุณรับจากนายมาให้อีก ถ้าคุณทำใจในใจเป็นและนายก็ทำใจในใจเป็นก็ได้ทั้งคู่ ประโยชน์จริงจะเกิดที่ใจถ้าทำได้ถูกต้องแม้แต่วัตถุอันเดียวกันก็ได้ทั้งสองคน แต่ถ้าทำไม่เป็นวัตถุอันเดียวก็ไม่ได้ทั้งสองคน ดีไม่ดีก็จะได้บาปด้วยเป็นหนี้ ต่อไปชาติหน้าด้วย

 

เราเองลงทั้งทุน ลงทั้งแรง ลงทั้งวัตถุ ทุนอาจเป็นเงินแล้วลงแรงร่วมกันก็ได้ผลผลิต ทั้งเงินวัตถุแรง สามเส้าก็เกิดผลผลิต สมมุติว่าเกิดแตงกวาก็ขนแตงกวาไปสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัย 4 ใดๆ อันนี้เป็นความสำคัญที่ยิ่งกว่าอันอื่น ผู้ใดสามารถผลิตสิ่งที่เข้าไปใกล้ปัจจัย 4 ได้ นั่นแหละยิ่งราคาแพง อาตมาจึงพาพวกเรามาปลูกพืชผักปลูกข้าว ในพืชนี้เอาไปทำบ้านเรือน ในพืชนี้เอาไปทำเครื่องนุ่งห่ม ในพืชนี้เอาไปทำยารักษาโรคใช่ไหม เพราะฉะนั้นพืชจึงเป็นหนึ่ง

ในพืชนี้พระพุทธเจ้าระบุเลยว่าข้าวเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เพราะข้าวนี้มีสารอาหารมากที่สุดในกระบวนของพืช อาตมาถึงบอกให้พวกเราเป็นชาวนา ตอนนี้ก็กำลังเกี่ยวข้าวกัน ใครอยากช่วยเกี่ยวข้าวก็มา นาโม นาคำยอดของเราก็กำลังเกี่ยวกันยังไม่หมด

มันไม่รวยหรอก อาตมาบอกแล้วว่าข้าวไม่ใช่สินค้าทั้งคนและสัตว์ก็ต้องกินแม้จะเอาข้าวไปแปรรูปเป็นแป้งหรือไปทำขนมปัง โรตีหรืออะไรก็มาจากข้าว คนฉลาดก็หุงข้าวมากินเลยไม่ต้องยุ่งยากมีธาตุอาหารสมบูรณ์แบบ ข้าวพันธุ์ไหนมีอะไรมากกว่ากันเราก็พยายามหาพันธุ์ที่ดีมาปลูกและได้อาศัยกินใช้

 

พฤติกรรมของประชาธิปไตยขาเดียวกับพฤติกรรมของประชาธิปไตย 2 ขา คนที่ไม่ได้เรียน 2 อันนี้แน่นอน คนที่อยู่ในฐานของประชาธิปไตยขาเดียว เขาจะเรียนประชาธิปไตย 2 ขาไม่รู้เรื่อง เขาก็จะปฏิบัติเต็มที่ อย่างเช่นอเมริกาเขาปฏิบัติเต็มที่ตามที่เขามีความเฉลียวฉลาด เกิดได้มาซึ่งความเป็นหนึ่ง จะเป็นหนึ่งทางอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ต้องทำเต็มที่ เพราะฉะนั้น ก็ให้ดูว่าไทยกับอเมริกา กันต่อไปอย่ากระพริบตา ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่าไทยคือประชาธิปไตย แน่นอนว่าอเมริกาก็ยืนยันว่าเขาเป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง แต่ของไทยนั้นไม่เน้นการเลือกตั้งเพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของประชาธิปไตย แต่จิตใจเนื้อแท้ของประชาธิปไตยคือจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจเพื่อมวลมนุษย์เพื่อประชาชนจริงๆ อย่างเช่นในหลวงทรงพระจริยวัตรมา 70 ปี พวกเราก็กำลังมาทำอย่างพ่อ พลเอกประยุทธ์ก็กำลังทำอย่าง เพราะใครต่อใครก็พยายามทำอย่างพ่อ ตามหน้าที่เรารับผิดชอบ คนไทยซาบซึ้งเท่าที่จะมีปฏิภาณปัญญาความฉลาดของตนก็กำลังประพฤติตามอย่างพ่อ เดินตามรอยพ่อ ก็ดูไปไม่ต้องไปดูไบ เสียเงิน

ไม่ใช่ดูเฉยๆแต่ประพฤติด้วยช่วยกัน ไม่ต้องเสียเปล่า อะไรเห็นดีเห็นด้วยก็ร่วมมืออาตมาไม่ได้บังคับนะ แม้แต่ซ้อน อยู่ในไทยที่เป็นประชาธิปไตย 2 ขาแท้ ยังมีคนไทยประเภทขาเดียว ประเภทที่อวดดีอยู่เลย ยังไม่สนิทใจกับในหลวง ยังแอ๊คว่าข้าแน่ๆอยู่เลยเอาเถอะ แทนที่จะมาร่วมมือกันได้แล้ว ให้หยุดเถอะก็ยังจะแข่งเอาชนะ อาตมาบอกได้เลยว่าเขายังไม่หมดตัว เขายังไม่รู้ว่าเขาจะหมดตัว อย่าหาว่าโพธิรักษ์ใจดำ นี่บอกให้สัญญาณ ไม่เชื่อก็แล้วไป เอาข้าวมาขายเรียกคะแนนจะได้สักเท่าไหร่ คุณก็ขาย 20 บาทอยู่ดี แต่ในหลวงนี่แจกกันนะ ในสนามหลวงเขาแจกกันนะ

สมณะเดินดินว่า...ที่สนามหลวงใครมาขายเขาไม่ให้เข้าเลยนะ มีแต่การแจกกันอย่างเดียว

พ่อครูว่า...จะไปขาย 20 บาทเลยเขาไม่ให้ขายเขาไม่ให้เข้าเขต มันนอกเทศบาลยังขายอยู่ นอกเขตเทศบาลไทย นอกเขตประเทศไทย แต่ไทยยังไม่ใจดำให้อยู่ประเทศไทยอยู่ ประพฤติไปตามประสาคุณ พูดแล้วเหมือนเย้ยหยันแต่ก็เพื่อการศึกษาก็ขออภัย

ประชาธิปไตยคืออะไรจนกว่าคุณจะเข้าใจ ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งเป็นใหญ่ แต่ประชาธิปไตยคือการเสียสละ ใครจะช่วยได้เท่าไหร่ก็ตามที่เขาจะช่วยได้

อาตมาไม่เก่งจะบอกแต่ว่าถนัดพาทำ อาตมาก็อธิบายประชาธิปไตย 10 ข้อ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)  ไม่ใช่ให้เขาโง่ต่อไปเพื่อคุณจะล้วงตับกินไส้เขา นักการเมืองต้องสอนประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนแล้วประชาชนก็ต้องใส่ใจเรียนรู้ประชาธิปไตยไม่ใช่เอาแต่เลือกตั้งเลือกตั้ง

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องไปเบียดเบียนใครไม่ต้องไปค้าขายเลยสำหรับนักการเมือง ถ้าเป็นนักการเมืองแท้จริงจะมีคนอุปถัมภ์ค้ำชู เป็นปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา เป็นผู้ทำงานให้แก่ประชาชนอย่างไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองจะมีคนมาช่วยเหลือซ้อน ขออภัยอย่างอาตมามีเลขาอยู่หลายคนไม่ต้องจ้างสักบาท ซักเสื้อผ้าให้ไม่ต้องจ้างสักบาท ทำอาหารให้ไม่ต้องจ้างสักบาท

ผู้ที่ไม่ต้องสะสมได้ มีคุณงามความดีมากพอที่คนจะมาเป็นผู้ช่วยเหลือ เข้ามาเป็นมวลมาร่วมมือ จะเป็นสัจจะที่ซ้อน ก็ตามศึกษาต่อไป

อาตมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นใครมาหลายชั้นแล้วก็อย่าหมั่นไส้อย่ารังเกียจเลย พยายามติดตามฝึกฝน หากไม่แน่ใจก็ไม่ต้องเอาตาม พยายามเรียนรู้หากแน่ใจก็มารวมมวลให้ควบแน่น แล้วจะมีประสิทธิภาพสูงส่ง

เมืองไทยจะเป็นเมืองที่ทำสิ่งจริงทำสิ่งปรากฏทั้งความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นคนที่เป็นนักประชาธิปไตย ซ้อนลึก นักประชาธิปไตยที่แท้เป็นผู้ที่ยืนยันว่าสอนและพึ่งตนเองได้

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  น้อยจนกระทั่งอยู่กับศูนย์ได้ ศูนย์ก็พอ มันจะมีอะไรมากไปกว่า 0 ก็พออีก

สมณะเดินดินว่า..ตอนนี้เสนอว่าเพิ่มเงินเดือนให้สส. ก็มีคนมาค้าน เขาก็บอกว่าคนที่มาคัดค้านไม่ได้เป็นนักการเมืองมาก่อน เพราะนักการเมืองจะต้องเสียค่าอะไรต่างๆมากมาย กฐิน ผ้าป่า เป็นต้น

พ่อครูว่าต่อ...นั่นล่ะ ไปส่งเสริมให้คนบ้า

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน เช่น โพธิรักษ์เป็นนักการเมืองตัวยง เป็นนักการเมืองทำงานเพื่อพลเมืองรับใช้พลเมือง ไม่ทำการเมืองเป็นอาชีพหากินแต่

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) คุณจะไม่มีอคติได้จะต้องมาปฏิบัติธรรมจนหมดอคติ จะเป็นอนาคามีเป็นพระอรหันต์ ก็จะหมดอคติอีกแล้วก็เป็นนักการเมือง อาตมาจะพาอนาคามีอรหันต์เป็นนักการเมืองเพื่อจะยืนยันพิสูจน์ศาสนาที่เป็นศาสนาแห่งสังคมคน เป็นศาสนาแห่งมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ศาสนา ปลีกเดี่ยวหนีสังคม

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม ไม่เป็นทาสใคร

       10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

ขอให้ได้สัก 10 เท่านี้เถิดรับรองว่ามนุษยชาติสุขเย็นแน่นอนเป็นการเมืองที่ประเสริฐสูงสุด

สิ่งที่จะปรากฏต่อไปในลมหายใจเฮือกต่อไป ก็คือปรากฏการณ์ระหว่าง ผู้อยากเป็นมหาอำนาจคืออเมริกา กับผู้ไม่อยากเป็นมหาอำนาจคือไทย ติดตามดูไปอย่าได้กระพริบตา อาตมามั่นใจว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีปแล้ว เมืองไทยมี DNA ของพระพุทธเจ้า จิตวิญญาณคนไทยมี DNA ของพระพุทธเจ้าแล้วก็มีแต่จะแพร่ความจริงนี้ออกไป ไม่ใช่แค่เป็นพุทธมามกะหรือพุทธศาสนิกชน แต่จะเป็นพุทธบริษัทด้วย

ใน 3 ชนิดนี้พุทธศาสนิกชนพุทธบริษัทกับพุทธมามกะต่างกันอย่างไร

พุทธศาสนิกชนคือคนมาเข้ารีตศาสนาพุทธ เหมือนอย่างคนไทยมีคนเข้ารีตศาสนาพุทธ 95% แต่เป็นชาวพุทธที่ใส่ใจปฏิบัติธรรมก็เรียกว่าเป็นพุทธมามกะ ส่วนพุทธศาสนิกชนนั้นไม่ได้ใส่ใจปฏิบัติธรรม ทำมาหากินแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สุขกับอบายมุขกับกามกับอัตตาเละอยู่นี่

แต่สำหรับพุทธมามกะที่มาศึกษาปฏิบัติธรรมตั้งใจฝึกฝนแม้จะไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติธรรมอย่างหน้านองน้ำตา ก็มีจำนวนไม่มากนักน้อยกว่าพวกที่เป็นพุทธศาสนิกชนตามทะเบียน ตามชื่อ ตามพ่อแม่วงศ์ตระกูลมา

พุทธศาสนิกชนทั่วไปจึงมีมาก พุทธมามกะที่เอาใจใส่พากเพียรประพฤติก็มีน้อยกว่า ส่วนพุทธบริษัทนั้นคือผู้บรรลุธรรม ไม่ว่าจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชาย เป็นผู้ที่บรรลุธรรมตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป ก็ได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัท

ผู้ที่บรรลุธรรมจึงเป็นพุทธบริษัท อยู่ในพุทธบริษัท ถ้าไม่บรรลุธรรมแม้จะพากเพียรปฏิบัติอยู่ก็เป็นพุทธมามกะ ส่วนพวกที่มีแต่ชื่อ ตามสำมะโนครัว ตามพ่อแม่ ที่จริงแล้วไม่ได้นับถือศาสนาพุทธแต่นับถือเงิน มีเงินเป็นศาสดา มีเงินเป็นพระเจ้า นับถือในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรอร่อย สนุกสนานตามโลกโลกีย์ เป็นพระเจ้าระเริงอยู่ ก็เป็นจริงตามที่เขาเป็น

เพราะฉะนั้นแยกแยะระหว่างโลกียะกับโลกุตระจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งซับซ้อนมากเลย

 

มาแยกความเป็นอรหันต์กับโพธิสัตว์อีก

 

ขอยืนยันว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยเรานี้เป็นพระโพธิสัตว์จึงเป็นผู้ที่บรรลุธรรมจริง ถึงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ใช่เป็นแค่อรหันต์ เป็น Good and kind King.

เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นอาริยะและเป็นประมุขของประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย 2 ขา

อรหันต์คือ ความรู้ที่สามารถปฏิบัติให้ลดกิเลสตนเองได้ และเอาไปปฏิบัติจนทำให้ตนเองเกิดการลดกิเลสได้ เพื่อลดกิเลสได้ก็เป็นอรหัตตผล อรหะแปลว่าไม่ลึกลับแล้ว อัตตะก็คืออัตตา ก็คือไม่ลึกลับในอัตตา 3

อัตตา 3 คืออะไร

1.โอฬาริกอัตตา 2.มโนมยอัตตา 3.อรูปอัตตา

โอฬาริกอัตตา คืออะไร คืออัตตาที่หยาบใจตั้งแต่ภายนอก ติดยึดในโลกโลกีย์ ได้ลาภมามากเท่าไหร่ก็ยินดี ได้ยศมามากเท่าไหร่ก็ยินดี ได้เสพรสทางทวารนอกก็มีสุขทุกข์ นั่นคือโลกียะทั้งกามและวัตถุประสมกัน

ผู้ที่เป็นอนาคามีไม่เกิดรสชาติแม้จะได้ทรัพย์สินมามากมายมีเงินทองมามากมายมีเพชรนิลจินดามามากมายก็ไม่ยินดี ไม่ฟูใจอะไร เสพรสทาง ตาหูจมูกลิ้นกายที่ภายนอกก็ไม่ฟูใจ ยังเหลือแต่ภายในเป็นรูประริกระรี้ไป จะเป็นตาหูจมูกลิ้นกายใจคือทรัพย์ศฤงคาร ภายนอกจะไม่ละเมิดเด็ดขาด ไม่ตะกละตะกรามจริงๆ แต่ในใจยังมีเศษเหลือ เศษเหลือที่อยากเรียกว่ารูปราคะ

เมื่อปฏิบัติธรรมลดละรูปราคะจางคลายแล้ว เป็นเศษธุลีละอองก็เรียกว่าอรูปราคะ มันเป็นรูปที่ไม่ใช่รูปแล้ว

เหลืออรูปก็ดับอรูปอีกทีก็เป็นอรหันต์

สมณะเดินดินว่า...ถ้าเราดูในหลวงที่ครองราชย์มา 70 ปีใช้ยาสีฟันจนหลอดแบน รองเท้าก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก ทั้งที่จะใช้รองเท้าทองคำก็ได้ ดำรงอยู่เช่นนี้ 70 ปี อาตมาก็ได้ดู ประธานาธิบดีอเมริกาตอนนี้ อยู่ดีๆไปชมเมียคนอื่นว่าผู้หญิงคนนี้สวยที่สุด พูดอย่างนี้ได้อย่างไร การพูดไปก็ไปทั่วโลก คนก็งงว่าพูดได้อย่างไร

 

พ่อครูว่า...อเมริกากับไทยคนละซีกโลกแต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ นี่แหละคือพระเจ้าสร้าง (พูดตามภาษาเขา)ให้รู้ว่าประเทศไทยกับอเมริกานั้นเป็นคู่ต่อสู้อันเหมาะสมด้วยนะ ขออภัยที่พูดแล้วเหมือนไปท้าชก ขออภัยอย่างยิ่งเลย ไม่ได้พูดถ้าชอบแต่พูดสัจธรรม จริงๆเลยขอถอนคำพูด แต่มันเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาต่อไป พระสัจธรรมเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาตมาถึงบอกว่าความบังเอิญไม่มีจริงๆในโลก สัจจะมันจะต้องเป็นเช่นนี้ ตถตา มันต้องเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ อาตมายิ่งมั่นใจว่าใช่

กำลังจะพิสูจน์กันว่าคนยังไม่มั่นใจนะว่าประชาธิปไตยอย่างเมืองไทยกำลังเป็น มันอย่างไรนะ มันจะต้องประชาธิปไตยอย่างอเมริกากำลังเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆสิ ว่าเป็นประชาธิปไตย และเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไรมันเป็นการปฏิวัตินี่นา ยังยากที่เขาจะเข้าใจประชาธิปไตยที่แท้ คนก็ผิวเผินไม่เข้าลึกถึงจิตวิญญาณว่านี่แหละที่เขาทำก็เพื่อประชาชน

เหตุการณ์ที่สนามหลวงนี่แหละคือโดยประชาชน เพื่อประชาชน ของประชาชน

มันเป็นเรื่องของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

ตัวอย่างเอาน้ำขวดไปให้เด็กก็ทำเพื่อเด็กไม่ใช่เพื่อตัวเอง เด็กมันเอาก็ร้องไห้เลย ได้ให้...ได้ให้ มันก็จบที่ได้ให้ ถ้าคุณยังร้องไห้ก็มี อุพเพงคาปีติ ก็มีปิติที่แรงอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะปิติในเรื่องที่เป็นคุณค่าความดีงาม จะเป็นไรไป แต่อย่าไปติดยึดว่าต้องร้องไห้ถึงจะมันส์ซ้อน อย่าหลงติดเข้าไปซ้อนเท่านั้นเอง จะร้องมั่งไม่ร้องมั่งก็ไม่เป็นไร บางเหตุการณ์อาตมาก็น้ำตาซึม

อย่างเช่นเหตุการณ์ที่ในหลวงตรัสว่าเราไปทำอะไรให้เขาหรือเขาถึงทำกับเราอย่างนี้ เท่านั้นแหละอาตมาน้ำตาซึม เป็นพลังงานจิตต่อจิต อาตมารู้ว่าในหลวงเกี่ยวกับอาตมาอย่างไร ใครจะว่าอาตมาโหนในหลวงคลั่งไคล้ในหลวง เอาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เอาแบบคนจนมาออก ก็แล้วแต่

เพราะอาตมาว่าบริหารแบบคนจน คือเรื่องจริงขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือความจริง อาตมาว่าเขาไม่เข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจก็จะร่วมทำกับอาตมา ทุกวันนี้ ก็มีความภูมิใจว่าได้ขาดทุนให้แก่สังคมจริงๆ ก็ต้องทำให้การเงินการพาณิชย์ให้คมชัดละเอียดลออลงไป ให้ซื่อสัตย์ที่สุดเราก็ต้องทำ จะมีข้อบกพร่องอย่างไรก็ต้องพยายามหาทางอุดรูรั่ว ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ก็ช่วยกันทำตั้งใจทำให้ดีๆ มันเป็นความเจริญไม่ได้เป็นความเสื่อมเลย

คนก็จะเข้าใจว่าคนจนแต่มีประสิทธิภาพมีสมรรถภาพ มีความอุตสาหะพากเพียรขยันเพื่อสร้างสรรค์แล้วก็แจก อยู่ที่รู้จักการประมาณไม่ให้ตัวเองลำบาก

ทุกวันนี้ชาวอโศกไม่มีหนี้ ที่จะต้องเสียดอก ส่วนบุคคลไม่รู้ด้วยแต่ในส่วนกลางไม่มี ยังหมุนเวียนได้ไม่เป็นหนี้ มีแต่เงินของเราหนุนกัน ก็เอามาคืนสำหรับผู้ที่ยืมไปถึงเวลาก็เอามาคืน เราก็ต้องใช้เงินใช้ธนบัตรตามโลกสากลเขา เราไม่มีเหลือมากไม่ได้มีมากไม่ได้กักตุนสะสมไว้ให้เศรษฐกิจภายนอกลำบาก

การที่เอาธนบัตรไปกักตุนมามากๆหรือเอาไปออกดอกออกผลเราไม่ทำ เราเอามาหมุนเวียนใช้เหมือนกับถ้วยชาม ทำตามหน้าที่ของเงิน ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปออกดอกออกผลหากำไรอย่างนั้นมันซับซ้อน ซึ่งเขาทำซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น รายการเอาเปรียบ อย่างนั้นคือบาปกินหัวทั้งนั้น การได้เปรียบมาคือบาปกินหัวทั้งนั้น

การได้เปรียบใดๆก็ตาม ก็เป็นหนี้ ยิ่งไปหาเล่ห์กล เอาเปรียบได้มามากกว่าก็ยิ่งเป็นบาป มีวิบากที่จะต้องไปใช้หนี้อีกไม่รู้กี่ชาติ ต้องทรมานทรกรรมไปหนักหนาสาหัส คนที่ไม่เชื่อบาปเชื่อบุญก็ช่วยไม่ได้ แต่คนที่เชื่อก็บอกได้

อาตมาถึงมีโศลกธรรมว่า…ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

โศลกนี้เป็นโศลกที่จบแล้ว ใครเข้าใจแล้วก็ตั้งอกตั้งใจสร้างความบริสุทธิ์ให้แก่ตัวเองจนมาอยู่ในหมู่นี้ได้ จะเป็นทางการเมืองหรือทางการธรรมะก็บริสุทธิ์ที่สุด นี่แหละคือชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดให้ใครเชื่อ อาตมามีสิทธิ์ที่จะพูดแต่ความจริงใจเท่านั้น และเท่านั้น

อรหันต์คือผู้ที่ทำความบรรลุทางธรรมตัดกิเลสให้หมดไปจริงๆรู้ว่ากิเลสเราหมด 0 ก็คืออรหันต์ แล้วอรหันต์ของพระพุทธเจ้าเมื่อได้แล้วก็มาช่วยผู้อื่น ไม่ใช่ได้แล้วหนีเลยไม่ช่วยใคร ของพระพุทธเจ้า อรหันต์กับพระโพธิสัตว์ถ้าฟังให้ชัดแล้ว โพธิสัตว์เหนือชั้นกว่าอรหันต์แล้วต้องจริงด้วยนะ ไม่ใช่ว่าช่วยผู้อื่นโดยที่เราไม่บรรลุธรรม ตนเองจะต้องบรรลุธรรมก่อนแม้แต่ขั้นโสดาบันก็ช่วยเขาได้ตามส่วน แล้วอย่าช่วยเกินตัว อย่าไปช่วยเขาจนหมดตัว หมดภูมิ หมดสามารถหมดแรง มีแรง 100 ก็ช่วยทั้ง 100 อย่างนี้ตาย หยั่งเขียด

สมณะเดินดินว่า...ถ้าเราเป็นคนที่ลดกิเลสและคำนึงถึงผู้อื่นด้วย คนนี้เขาจะปฏิบัติธรรมได้ยั่งยืนยาวนานกว่าคนที่เอาแต่เคร่งครัดแต่ไม่จริง เคยเห็นคนที่มาบวชแต่เอาแต่เคร่งไม่ช่วยเหลือใคร คนนี้เวลาจะสึกก็สึกเลย แต่คนที่มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นใครมาขอให้ช่วยก็ช่วย คนนี้อยู่นานกว่า

อย่างในหลวงเรา มักน้อยสันโดษ ใช้ดินสอจนเหลือแท่งเล็กนิดเดียว ยาสีฟันก็ใช้จนหมด นี่คือความบริสุทธิ์ ในส่วนที่ทรงงานช่วยมนุษยชาติก็มีมากมาย ที่พ่อครูบอกว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

ตอนนี้มีคนบอกว่า อเมริกาเริ่มจะรู้แล้วว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบเลยออกมาประท้วงกันเต็มบ้านเต็มเมือง เลือกตั้งมาแล้วได้อย่างนี้คุณต้องยอมรับนะ จะบอกว่าไม่ใช่ประธานาธิปดีของฉันก็ไม่ได้ เขาก็เริ่มรู้แล้วอีกหน่อยก็จะประท้วง ต้องมาดูการชุมนุมของไทยว่าทำอย่างไรจะได้สงบเรียบร้อยไม่ใช่เผานั่นเผานี่

คิดดูว่าไม่มีประเทศไหนหรอกที่มีคนมายืนกันเป็นล้านแล้วจะอดทนได้อย่างนี้ ปรากฏการณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้กำลังเกิดขึ้นที่สนามหลวง มีพฤติการณ์ของเราว่า คุณคิดอย่างไรถึงมาขี่มอเตอร์ไซค์ให้เขาฟรี ทำไมถึงมาช่วยนั่นช่วยนี่ เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่มันรู้สึกว่ามันต้องมามันต้องทำ แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำไม

พ่อครูว่า...เพราะความจริงอยู่ที่จิตของเขาและ

สมณะเดินดินว่า...แม้แต่การทำบุญในครั้งนี้ พ่อครูบอกว่า จะได้กุศลมาก แต่ถ้าทำใจในใจไม่เป็นก็จะไม่ถึงบุญ ถ้าทำโดยเข้าใจว่า ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ระดับสูง การทำบุญครั้งนี้ก็ได้บุญมากกว่า แต่คนอาจจะไม่ได้คิดเช่นนี้ อาจจะคิดว่าในหลวงนี่คือสัญลักษณ์ของการให้การเสียสละ ก็ทำใจว่า เราจะต้องรักษาคุณธรรมอันนี้ให้ได้ยาวนานที่สุด โดยได้ไม่ยึดถือตัวบุคคลก็ได้ หรือไม่ยึดอะไรเลย แต่เห็นว่าเป็นคุณธรรม ที่ต้องรักษาสิ่งนี้ไปให้ยั่งยืนยาวนาน ก็จะไม่ยึดถือตัวบุคคลไปยึดในนามธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคตหรือเห็นพระพุทธเจ้า ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:19:12 )

591118

รายละเอียด

591118_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดับภพจบชาติอย่างพุทธ

สมณะเดินดินว่า...วันนี้จันทร์วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2559 ที่บ้านราชฯ หลังงานมหาปวารณาก็มีการระบาดของโรคหวัดกันหลายรูป พ่อครูและปัจฉาฯก็ติดหวัดก็เลยไม่ได้ออกรายการไปหลายวัน วันนี้พ่อครูก็บอกว่ามีเรื่องใหม่หลายประเด็นที่จะต้องมาบอกกัน

พ่อครูว่า...วันนี้ก็มีงานศพ ก็มีการเทศน์หน้าศพ ไม่ได้มีการสวดศพเหมือนกับที่อื่น ที่สวดพร้อมกันหลายรูปสวดด้วยเสียงอันยาวด้วย ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ส่งเสริม เป็นการผิดพระวินัยด้วย มีข้อห้าม แต่เขาไม่ได้ใส่ใจศึกษา ทุกคนก็ไม่อยากเพี้ยนผิดแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่อาตมามีหน้าที่จะต้องมาทำคืนกลับให้ถูกต้อง ซึ่งทุกวันนี้การทำใจในใจนั้นผิดเพี้ยนไป เขาไม่ได้เข้าใจถึงจิต ไม่สามารถหยั่งลงถึงจิตก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

ก่อนจะได้บรรยายธรรมะก็มีงานศพ นายบำรุง ณเวรัมย์ อายุ 70 ปี 2 เดือน 6 วัน

 

มีไลน์มาจากคุณ master taizen

จาก มาสเตอร์ ไทเซน

ผมเพิ่งกลับจากปลีกเดี่ยวไปเพิ่มพลังปราณจากพงไพรให้ชีวิตในป่าแถวอ.โขงเจียม อุบลฯ..เพิ่งจะได้มีโอกาสดู-ฟังพ่อครู ในคลิปวันจันทร์31ต.ค.ที่พ่อท่านชี้ขุมทรัพย์ให้สมีไชยบูลย์เจ้าสำนักจานบิน...

ปัญหาของไชยบูลย์..เกิดจากโครงสร้างการปกครองของมหาเถรสมาคมที่ผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัยมาตั้งแต่แรกเริ่มนำเข้านิกายเถรวาทมาจากลังกา..ที่เขาแอบยัดไส้อภิธรรมแถมนรกสวรรค์มาใส่เพิ่ม..จนมัชเฌนธรรมที่มีเพียงพระธรรมวินัยมา บวกพระอภิธรรม..แขกลังกาเลยเป็นเจ้าของโปรดักค์พระไตรปิฏก(ตระกร้าใส่สามคัมภีร์)ส่งออกทั่วเอเซีย..

ไชยบูลย์จึงเป็นแค่ผีบุญ..ที่ไม่มีค่าพอที่พ่อครูจะลงไปเปลืองตัวชี้ขุมทรัพย์..แต่ระบบการปกครองของหมู่สงฆ์ไทยอันมีสังฆราชเป็นจอมแหสูงสุดต่างหาก..ที่พ่อท่านควรชี้ขุมทรัพย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง..เพราะถ้าไม่เปลี่ยนระบบ องคาพยพของสังคมก็ยากที่จะขยับเปลี่ยนตามได้..

พ่อครูเพิ่งเข้าสู่สภาจิตอรหันต์ในชาตินี้..หรือเป็นทุนเดิมตั้งแต่ชาติก่อนโน้นครับ..

พระอรหันต์คือผู้ดับอยากได้โดยสิ้นเชิง..จิตปรารถนาใดที่ทำให้พระอรหันต์กลับมาเกิดอีกครับ..

กราบนมัสการเรียนถามมาด้วยความเคารพยิ่งครับผม.

 

พ่อครูว่า ก็ขอวิจัยวิจารณ์ไม่มากนัก….ผู้นี้ก็คงจะเป็นนักบวชแต่ไม่ได้บอกสถานะมา เรียกนำหน้าว่า master ด้วย ถ้าไม่เอาพระอภิธรรม แต่ไตรปิฎกคือสามตะกร้าถ้าไม่มีอภิธรรมก็ไม่ครบ วินัยเป็นหลักฐานควบคุม เป็นหลักกฎหมายบังคับเป็นกฎหมายอาชญา มีความผิดต้องลงโทษ ส่วนพระสูตรนั้นเป็นคำสอนไม่ใช่เป็นอาชญา แต่เป็นอนุสาสนี ต้องปฏิบัติเป็นอภิธรรมถึงจะเป็นบุญเพราะต้องเข้าถึงจิตเจตสิกโดยเฉพาะไม่รู้จักเวทนาร้อยแปด แม้แต่รูป 28 ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในพระไตรปิฎกนี้ ก็ขอยืนยันว่าถ้าไม่เอาอภิธรรมก็ไม่บรรลุธรรม

ถ้าไชยบูลย์เป็นผีบุญ มันหนักหนาสาหัส ไม่ใช่ แค่ นะ ผีบุญคือผู้ที่เอาลัทธิธรรมะมาอ้าง แล้วก็เป็นผีบุญ เขาไม่เข้าใจคำว่าบุญเลย เอาบุญมาหลอกลวงประชาชน สามารถซ่องสุมผู้คนได้มาก แม้แต่ทางกฎหมายบ้านเมือง หรือทางรัฐบาลต้องระวังเลย ก็ขอยืนยันว่าเรื่องที่คุณบอกมานี้ ตัวการใหญ่อยู่ที่สังฆราช สังฆราชไม่ใช่ตัวการแต่ธัมมชโยคือตัวการ เมื่อเข้าใจเป้าหมายผิดก็ไปกันใหญ่ สังฆราชว่ากันจริงๆแล้วเป็นลิ่วล้อด้วยซ้ำไป

 

ต่อมาเป็นคำถาม พ่อครูเพิ่งเข้าสู่อรหันต์ในชาตินี้ หรือได้แต่ชาติก่อนแล้ว คุณ master taizen ถามมา?

พระอรหันต์คือผู้ที่ดับความอยากได้โดยสิ้นเชิง แล้วจิตใจที่ทำให้พระอรหันต์กลับมาเกิดอีกครับ

ตอบ...ถูกต้องพระอรหันต์คือผู้ที่ดับความอยาก ได้โดยสิ้นเชิง แต่ต้องมีความขยายว่าอยากได้อะไร อยากได้โลกธรรม อยากได้รูปภพ อรูปภพ พระอรหันต์ดับได้โดยสิ้นเชิง

จิตพระอรหันต์ที่กลับมาเกิดนั้นโดยโวหารภาษา อะไรเกิด เมื่อจิตดับ ส่วนที่ดับก็ดับไป ส่วนที่เกิดก็เกิด ดับภพชาติ ก็เกิดอาริยะ ดับภพชาติ จิตก็เกิดโสดาบัน สกิทาคามี ดับได้อีกก็เป็นอนาคามี ดับได้หมดก็เป็นอรหันต์ เมื่อมีดับก็มีเกิดแล้วถามว่ามีจิตปรารถนาใดทำให้เกิดอีก ก็เพราะว่าผู้ที่เป็นอรหันต์นั้นไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ทำงานสามัญไปจบในชาตินี้ เมื่อตายสิ้นก็ไม่ตั้งจิตต่อสันตติ เมื่อตัดสันตติ จิตก็ไม่ต่อ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

แต่พระอรหันต์ที่จะต่อพุทธภูมิก็ต่อ ส่วนจิตที่ดับได้ก็ดับสนิทเลย อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีการเวียนกลับ

แต่การเวียนกลับของจิตพุทธภูมิ อันนี้ในเถรวาทไม่รู้เรื่องเขายึดถือว่าถ้าตายแล้วต้องสูญ เป็นอุจเฉทิฏฐิ เป็นลัทธิตายแล้วสูญ แต่ถ้าตายแบบกิเลสสูญ เป็นสัมมาทิฏฐิ ดับไม่เกิดอีกเลย แต่อุจเฉททิฏฐิไปยึดเอาร่างกายตายแล้วสูญ

ร่างกายใครก็ตายสูญไม่ต้องเป็นอรหันต์หรอก

 

ต่อมาอาตมาเอาจากนสพ.ผู้จัดการ

 

ฟัน2ดีเอสไอ เอี่ยวฟอกเงิน สหกรณ์คลองจั่น

 

  อธิบดีดีเอสไอ สั่งพักราชการ 2 รายที่พัวพันคดีฟอกเงินสหกรณ์คลองจั่น พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง หลังตรวจสอบพบความเชื่อมโยงค่านายหน้าจำนวน 40 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุเหยื่อที่ได้รับความเสียหายรวมตัวจี้ดีเอสไอแจงข้อเท็จจริงคดี "พระธัมมชโย-ศุภชัย" ร่วมกันฟอกเงิน-รับของโจร หลังอัยการเลื่อนสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 30 พ.ย.นี้ พร้อมถามจับพระธัมมชโย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ไหม

      

       วานนี้ (16 พ.ย.) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการสอบสวนคดีฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ว่า ขณะนี้ตนได้ลงนามในคำสั่งพักราชการข้าราชการดีเอสไอ 2 ราย ที่ถูกพนักงานสอบสวนสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 แจ้งข้อหาฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง โดยมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษระดับ 9 เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนความผิดทางวินัยร้ายแรงแล้ว

      

       สำหรับข้าราชการดีเอสไอที่ถูกพักราชการและสอบสวนความผิดทางวินัยทั้ง 2 ราย คือ พ.ต.หญิง นาฏยา มุตตามระ ผอ.ส่วนช่วยอำนวยการและประชาสัมพันธ์ และพ.ท.อมร มุตตามระ โดยทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน ทั้งนี้หลักฐานในการตรวจสอบธุรกรรมการเงินของกลุ่มนายหน้าขายที่ดินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ให้กับบริษัท พิษณุโลก เอทานอล จำกัด พบว่ามีการหักค่านายหน้าในการขายที่ดิน 60 ล้านบาท ซึ่งเงิน 40 ล้านบาท เชื่อมโยงกับข้าราชการทั้งสองราย

      

       ส่วนที่ดินแปลงดังกล่าว ถูกอายัดเป็นของกลางในคดี ต่อมาดีเอสไอและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ได้อนุมัติให้ถอนอายัดโฉนดที่ดินตามที่นายศุภชัยร้องขอ ว่าต้องการขายที่ดินเพื่อนำเงินมาคืนให้กับสหกรณ์ฯ ต่อมาปรากฏว่า มีการขายที่ดินได้เงิน 477 ล้านบาท แต่นายศุภชัยนำเงินคืนให้สหกรณ์ฯ เพียง 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 249 ล้านบาท นายศุภชัย นำเงินเข้าบัญชีส่วนตัว โดยมีการชี้แจงภายหลังว่า มีการจ่ายค่านายหน้าขายที่ดินวงเงิน 60 ล้านบาท ทำให้ดีเอสไอต้องสอบสวนเป็นคดีฟอกเงิน เพื่อติดตามเงินส่วนที่หายไปกลับคืนให้สหกรณ์ฯ ต่อไป

      

       ขณะเดียวกัน เวลาประมาณ 09.00 น. นายธรรมนูญ อัตโชติ ประธานชมรมฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นก้าวหน้า พร้อมผู้เสียหายประมาณ 70 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเดินทางเข้ายื่นเอกสารต่อ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคาร ดีเอสไอ ให้ช่วยเร่งรัดสอบสวนคดีหลังจากสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เลื่อนสั่งคดี นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กับพวกรวม 5 คน ที่ถูกกล่าวหา ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด (คดีพิเศษที่ 27/2559) เนื่องจากรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม เป็นวันที่ 30 พ.ย.59

      

       นายธรรมนูญ กล่าวว่า การสั่งเลื่อนวันนัดสั่งคดีพิเศษที่ 27/2559 ของพนักงานอัยการเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว โดยแจ้งว่าพนักงานสอบสวนยังสอบสวนเพิ่มเติมไม่แล้วเสร็จและยังมีการร้องขอความเป็นธรรมของทางฝ่ายผู้ต้องหาต่ออัยการสูงสุด ทำให้สมาชิกผู้เสียหายในคดีนี้ไม่ค่อยมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากที่ผ่านมา อัยการ ก็ได้เคยมีคำสั่งให้ถอนคดีของผู้ต้องหารายสำคัญนี้มาแล้ว ทั้งๆที่ได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายอื่นอย่างต่อเนื่อง

      

       "สมาชิกผู้เสียหายจึงเดินทางมาเพื่อขอทราบปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลและข้อเท็จจริงดังกล่าว ในขั้นตอนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 27/2559 ที่อัยการได้สั่งสอบเพิ่มเติม รวมทั้ง การร้องเรียนของทางฝ่ายผู้ต้องหาขอให้สั่งสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งจริงแล้วฝ่ายผู้ต้องหาที่ร้องเรียนรายนี้ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด และเชื่อว่าอาจเป็นการประวิงเวลาออกไปโดยไม่สมเหตุสมผลจึงอยากขอความชี้แจงข้อสงสัยที่กล่าวมาด้วย" นายธรรมนูญ กล่าว

      

       ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ เปิดเผยว่า ตนในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน คดีพิเศษที่ 27/2559 ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและส่งให้ อัยการ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.59 ที่ผ่านมา โดย อัยการ ได้มีการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม 4 -5 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งได้เร่งรัดและดำเนินการอย่างรอบคอบ จนกระทั่งส่งฟ้อง อัยการคดีพิเศษ แล้ว ต่อจากนี้เป็นการพิจารณาสั่งฟ้องคดีของทาง อัยการ ในช่วงปลายเดือน พ.ย.59 ที่จะถึงนี้

      

       "เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ฝ่ายผู้ต้องหา เดินทางร้องขอความเป็นธรรมกับ อัยการสูงสุด แต่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และกลับไปใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งทาง ดีเอสไอ ก็ได้ดำเนินการชี้แจงกับหน่วยงานทั้งหมดว่าต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน โดยการใช้สิทธินั้นไม่สามารถทำได้เนื่องจากยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนเป็นการประวิงเวลา ซึ่งอำนาจการสั่งฟ้องคดีเป็นทาง อัยการ ซึ่งทาง ดีเอสไอ ทำหน้าที่ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ขอให้รอการพิจารณาของ อัยการ ในวันที่ 30 พ.ย.อีกครั้ง" พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าว

      

       เมื่อตัวเเทนผู้เสียหายถามว่า ดีเอสไอ จะสามารถจับกุม พระธัมมชโย มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ได้หรือไม่ ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า ดีเอสไอ ได้ดำเนินการขอหมายค้นบุกจับกุม พระธัมมชโย ที่วัดพระธรรมกาย แต่มีบุคคลมาขัดขวางเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ก็ส่งดำเนินคดีไปแล้วหลายราย ส่วนจะการมีหลบหนีหรือไม่นั้นได้ประสาน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบทุกช่องทางแล้วแต่หากหลบหนีทางอื่นก็มีเจ้าหน้าที่คอยติดตามอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ ทำหน้าที่มาโดยตลอดและหมายจับอายุความ 15 ปี ระหว่างนี้มั่นใจว่าจะสามารถจับกุม พระธัมมชโย ได้

 

มีข่าวอีกข่าวจาก ผู้จัดการอีก…แฉ “ธ.ธง” เจ้าเก่าร่วมกินป่าปากช่อง – วังน้ำเขียว

MGR Online - แฉหมดเปลือกขบวนการ “กินป่า”ปากช่อง -วังน้ำเขียว “ตะลึง” ธ.ธง “เจ้าเก่า” แถม “คุณหญิง”คนดังถูกยึดอาณาจักร 100 ล้าน ชุดปฏิบัติการพญาเสือโคร่งเตรียมดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่คนขาย กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการฝ่ายปกครอง - ที่ดิน ตัวแสบ “วัดใจ”รอเอกสารสำคัญสารบบที่ดิน หาก “ยึกยัก”เตรียมใช้ ม.44 เข้าทุบ

      

       ปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าในเขตพื้นที่ จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย.ที่ผ่านมาโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าหน่วยพญาเสือโคร่ง กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช ร่วมกับนายสุรพันธ์ จันทรประภา ผอ.ฝ่ายอนุรักษ์และปราบปรามอนุรักษ์ที่ 7 นครราชสีมา นายภูริช ยมหา ผอ.ศูนย์สอบสวนคดีและปฏิบัติการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ท.แสงอรุณ พึ่งชัยภูมิ เจ้าหน้าที่ คสช. อ.ปากช่อง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และกองปราบปราม ( บก.ปทส.) สนธิกำลังเข้าตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งเป็นเขตทหารศูนย์ฝึกการรบพิเศษ ค่ายหนองตะกูโดยใช้วิธีเดินเท้า และขึ้นสำรวจโดยเฮลิคอปเตอร์ พบว่ามีการทำผิดกฎหมายบุกรุกในพื้นที่หวงห้ามหรือที่รัฐสงวน ที่ดินลาดชันจัดทำเป็นรีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศกว่า 2,000 ไร่ และมีรายงานว่ามีอดีตข้าราชการระดับสูงเข้าไปถือครองด้วยนั้น กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าจัดการกับปัญหาการบุกรุกป่า และถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยไม่ถูกต้องอย่างไม่หยุดยั้ง

      

       รายงานข่าวแจ้งว่าจากการสำรวจพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง พบว่ามีการบุกรุกป่าเป็นพื้นที่กว้างตั้งแต่เขาเชื่อม เขานกยูง เขาภูหลวง ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ไม่เท่ากันนั้นคาดว่าอาจถูกบุกรุก และถือครองไม่ถูกต้องกว่า 5,000 ไร่ แต่ที่น่าตกใจก็คือที่ดิน 20 เปอร์เซ็นที่กันไว้ให้เป็นป่าทึบสำหรับระบบนิเวศ เพื่อเป็นต้นน้ำปรากฏว่าทางนิคมสร้างตนเองฯได้ปล่อยให้มีการแพ้วถาง ถือครองเกือบทั้งหมดซึ่งผิดวัตถุประสงค์ในข้อตกลงระหว่างกรมป่าไม้ กับนิคมสร้างตนเองฯโดยปกติที่ดินทุกแปลงที่นิคมสร้างตนเองฯได้ร้องขอกรมป่าไม้ เพื่อนำไปจัดสรรให้กับราษฎรผู้ยากไร้นั้นจะต้องกันไว้เพื่อเป็นเขตอนุรักษ์ต้นน้ำไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เช่นหากขอที่ได้ไว้ 1 หมื่นไร่ก็จะต้องกันไว้ 2 พันไร่ หรือ 1 พันไร่ต้องมีที่ดินสำหรับต้นน้ำลำธาร 200 ไร่เป็นต้น

      

       สำหรับขบวนการยักยอกที่ดินหลวงซึ่งจะถูกดำเนินการในเร็ววันนี้ไล่ลำดับมาตั้งแต่ชาวบ้าน นายหน้าซื้อขายที่ดินซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันในพื้นที่ ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการสำนักงานที่ดิน อ.ปากช่อง และอ.วังน้ำเขียว บางคนแต่ทั้งหลายทั้งปวงต้องได้รับความร่วมมือจากสำนักงานที่ดินเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นที่เก็บเอกสารเกี่ยวข้องต่างๆ หรือสารบบที่ดิน อ.ปากช่อง และอ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ทั้งหมด

      

       อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการยักยอกที่ดินหลวงยังมีนายทุน หรือผู้ถือครองอีกด้วยซึ่งจะต้องสอบสวนลงรายละเอียดไปด้วยว่าใครคือนายทุนตัวจริง หรือเป็นเพียง “นอมินี”สมอ้างกันเท่านั้น บางคนเป็นนักปั่นราคาที่ดิน บางคนซื้อเพราะถูกหลอกก็มี เช่นคุณหญิงคนดังของสังคมคนหนึ่งหากเอ่ยชื่อออกมาจะต้องรู้จักกันดีปรากฏว่าปลูกบ้านหลังใหญ่ในพื้นที่หลาย 10 ไร่ในเขต อ.วังน้ำเขียว ประเมินมูลค่านับ 100 ล้านบาทแต่ถูกยึดไว้ตรวจสอบด้วยเป็นต้น

      

       แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยว่าสำหรับอดีตข้าราชการใหญ่เจ้าของบ้านตากอากาศที่ตกเป็นข่าวนั้นชาวบ้านยืนยันว่าเคยเห็นนาย “ธ” อดีต “บิ๊ก”สังกัดกระทรวงยุติธรรม เคยแวะมาสองสามครั้งแต่จากการตรวจสอบไม่พบรายชื่อคาดว่าน่าจะใช้ตัวแทนรับสมอ้างเป็นเจ้าของ ส่วนความเป็นมาของที่ดินแปลงดังกล่าวสืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลช่วง พ.ศ. 2534 -2535 ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนลำตะคอง และราษฎรผู้ยากไร้ โดยกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้กรมประชาสงเคราะห์ เป็นเจ้าภาพจัดสรรที่ดินดังกล่าวทั้งนี้ได้รับการยินยอมจากกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรฯ และกองทัพบก ในการมอบที่ดินให้แก่ราษฎรครอบครัวละ 50 ไร่ต่อมาเกิดเป็นที่สนใจของบรรดานายทุน และเศรษฐีผู้มีอันจะกินเนื่องจากเป็นพื้นที่ต่างระดับมีความลาดชันลงตัว อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร ขบวนการยักยอกที่ดินหลวงจึงเกิดขึ้นประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของนิคมฯ ชาวบ้าน นายหน้าค้าที่ดินส่วนใหญ่เป็นผู้นำชุมชนอาทิผู้ใหญ่บ้าน-กำนัน เป็นต้น ข้าราชการฝ่ายปกครองบางคน กับข้าราชการสำนักงานที่ดินเป็นต้นซึ่งขณะนี้พบว่าที่ดินป่าเสื่อมโทรมที่กรมป่าไม้ ร่วมกับกองทัพบกมอบให้นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ไปจัดสรรแก่ผู้ยากไร้นั้นกลับไปอยู่ในมือนายทุนซ้ำยังสามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ถึง 29 แปลงพร้อมเตรียมออกโฉนดอีก 18 แปลง

      

       “ขั้นตอนต่อไปเรากำลังประสานกับสำนักงานที่ดินอำเภอปากช่อง และอำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชาสีมา เพื่อขอสารบบที่ดินทั้งหมดมาตรวจสอบ ซึ่งจะทราบได้ว่าใครเป็นคนขออนุญาต และพิจาณาออกโฉนดให้ หากได้รับความร่วมมือทุกอย่างจะกระจ่างในเวลารวดเร็ว แต่หากมีปัญหาก็อาจจะเสนอเรื่องไปยังรัฐบาล หรืออาจจะให้กระทรวงฯเสนอไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เพื่อใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย”

      

       มีรายงานด้วยว่าผืนป่าที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งเกิดเป็นประเด็นต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2557นั้นคณะทหารโดยพ.อ.สมหมาย บุษบา เสนาธิการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 และคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช.เคยเข้าสำรวจและพบว่ามีนายตำรวจระดับ “บิ๊ก”ล้วนเป็น นรต.36 ถือครองอยู่หลายคนรวมทั้งสิ้น 18 แปลงเนื้อที่ 330 ไร่ต่อมาข่าวดังกล่าวค่อยๆเงียบหายไปพร้อมกับบทบาทของ พ.อ.สมหมาย บุษบา นายทหารเจ้าของตำนานทวงผืนป่าตัวจริง

 

พ่อครูว่า...ที่นำมาอ่านก็เพราะว่าพวกเราไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับข่าวพวกนี้ การปฏิบัติธรรมของชาวอโศกเป็นการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ไม่เหมือนกระแสค่านิยมการปฏิบัติของกระแสหลักทั่วไป ที่เป็นการปฏิบัติแบบนั่งหลับตาสมาธิ ไม่ได้เป็นสมาธิที่เกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ว่า สัมมาสมาธิของพระอาริยะนั้น เกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์ โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน สัมมาวายามะ กับสัมมาสติ เป็นผู้ช่วย

คือเป็นผู้เข้าใจถูกต้องในธรรมะของพระพุทธเจ้า ก่อนแล้วก็นำไปปฏิบัติ โดยมีความพยายามและมีสติเป็นตัวนำ อย่างลืมตาไม่ได้นั่งสมาธิไม่ได้นั่งหลับตาเลย นี่คือความชัดเจนความละเอียดละออของธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ความผิดพลาดมีมาแล้วกว่า 2600 ปี คนถึงเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาพุทธเสื่อม

ชาวพุทธเดี๋ยวนี้ผิดขึ้นไปจากศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ซึ่งก่อนท่านประกาศศาสนา ท่านก็ตรัสไว้ตั้งแต่ต้นว่าที่ปฏิบัติกันมานั้นมันผิด ตั้งแต่พระสูตรเล่มแรกคือพรหมชาลสูตร ท่านก็ประกาศแล้วว่า ทำเจโตสมาธิ ซึ่งผู้อ่านในพระไตรปิฎกถ้าไม่เข้าใจก็จะเข้าใจว่าไปนั่งหลับตาในป่า แล้วมานั่งหลับตาปฏิบัติ

ในพรหมชาลสูตรท่านตรัสว่า การปฏิบัติธรรมของคนมีทิฐิที่ผิดของ 62 อย่าง เพราะนั่งหลับตาทำเจโตสมาธิ ก็มีแต่อยู่ในภวังค์มีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน แม้จะมีปัจจุบันซ้อนอยู่ในขณะนั่ง ก็เป็นการคิดนึกจากสัญญาเป็นการตรรกะในความคิดจินตนาการ มันไม่มีปัจจุบันมันไม่มีความจริง

การปฏิบัติธรรมอย่างนั้นจึงไม่เป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องมีปัจจุบันลืมตา รู้เห็นทุกอย่างครบทั้งภายนอกและภายใน เรียกว่าเป็นผู้มีธรรมะ 2 หรือมี กาย ตามวิโมกข์​ 8 แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจแล้วเพี้ยนไป เขาก็ฟังไม่ขึ้น ฟังไม่เข้าใจ

ท่านก็สรุปไว้ว่า ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วมีเวทนาเป็นกรรมฐาน มีตากระทบรูปแล้วเกิดเวทนา ความรู้สึก ที่เป็นกรรมฐาน ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนาก็ไม่มีกรรมฐานให้ปฏิบัติ เขาออกนอกรีตมีกรรมฐาน 40 เขาเข้าใจธรรมะไม่ได้ แม้อ่านพระไตรปิฎกก็อ่านเปล่า อ่านจำให้ได้ตามพยัญชนะเอาไปสอบได้ใบประกาศว่าถูกต้องตามที่อ่านมานะ อาจารย์และลูกศิษย์ก็เอาแค่พยัญชนะมาเป็นความรู้ ไม่ได้เข้าถึงเนื้อหาสาระของธรรมะพระพุทธเจ้า

สรุปแล้วพรหมชาลสูตรก็บอกทิฏฐิที่ผิดหมด 62 อย่าง การนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นมีแต่เจโตสมาธิ มันไม่ได้เป็นสมาธิแบบลืมตาที่มีผัสสะเป็นปัจจัย พอสูตรที่ 2 สามัญผลสูตร พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงผลบรรลุที่ยืนยันได้ เขาก็อ่านไม่ได้เข้าใจ ที่ว่าสามัญผลเป็นเรื่องราวมาก แล้วมีเนื้อหาธรรมะว่า การนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ การปฏิบัติธรรมต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ปฏิบัติธรรมต้องมีศีล

สามัญผลสูตรก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเป็นพุทธคุณที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เขาไม่ได้มีร่องรอยอันนี้ อ่านพระไตรปิฎกไม่เข้าใจไม่แตก ก็เลยเข้าใจไม่ได้ ในเนื้อหาว่า พระเจ้าอชาตศัตรูไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ถามว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะมีผลบรรลุธรรมอย่างไรที่เป็นสามัญ

พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงการสำรวมอินทรีย์มีสติสัมปชัญญะ ลดละหน่ายคลายจนเกิดจิตที่พอเพียง สันตุฏฐี จิตพอไม่เอาแล้ว จิตที่ไปหลงเฟ้อเป็นโลกีย์ก็พอไม่เอาแล้ว พอตามลำดับ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ จนหมดความติดยึดในโลกธรรม

ศีล นั้นท่านสรุปไว้ว่า ศีลอันเป็นอาริยะ ท่านใช้คำนี้ เมื่อปฏิบัติศีลอันเป็นอาริยะไม่ใช่ปฏิบัติธรรมอย่างนั่งหลับตาแล้วเป็นอาริยะ จะให้สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้ง 6 ทวารเปิด มีการกระทบสัมผัสแล้วทำให้จิตใจลดกิเลสได้ก็เป็นอาริยะ จิตก็เป็นสมาธิ คือจิตใจตั้งมั่นแข็งแรงเป็นสมาธิ ปฏิบัติอย่างลืมตาในจรณะ 15 วิชชา 8 นี้

 

เมื่อบรรลุแล้วท่านก็อธิบายสรุปว่า เมื่อเป็นอาริยะแล้วท่านก็ให้นั่งไม่มีคำว่าหลับตาในพระไตรปิฎก ทั้ง 45 เล่ม เลย ปฏิบัติลืมตาทั้งนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วลืมตาทั้งนั้น เมื่อเป็นอาริยะแล้วท่านให้ตรวจสอบเตวิชโช เหมือนกันค้าขายก็ต้องมีการตรวจสอบบัญชี ก็นั่งตรวจสอบระลึกถึงผล เตวิชโช ระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ปฏิบัติได้สมาธิแล้วเป็นอาริยะแล้วค่อยมาตรวจสอบ เตวิชโช แต่ไม่รู้ ไปปฏิบัติธรรมก็คือการนั่งหลับตาเลย ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ไม่มีศีล

ทั้งที่ศีล สมาธิ ปัญญา จะต้องร่วมกันปฏิบัติตลอดเวลา เช่นในจรณะ 15 ศีลเป็นข้อแรก

1.      ถึงพร้อมด้วยศีล . . 09. ปรารภความเพียร             

2.      คุ้มครองทวารอินทรีย์       10. สติอันเป็นอาริยะ . .

3.      ประมาณในโภชนา          11. ปัญญา   . .

4.      ประกอบความตื่น   12. ปฐมฌาน .

5.      ศรัทธา (เชื่อมั่น) . .          13. ทุติยฌาน

6.      หิริ (ละอายต่อบาป) .        14. ตติยฌาน

7.     โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).    15. จตุตถฌาน

8.      แทงตลอดในพหูสูต .       (ล.13/34)

 

ชาคริยานุโยคะ คือทำให้ตนตื่นจากการหลงโลกีย์  เมื่อปฏิบัติ 4 ข้อแรกไปจะเกิด สัทธรรม 7 คือเกิดศรัทธามีความเชื่อ แล้วจิตจะรู้ว่าเราเคยหลงใหลโลกีย์ เสพติดอบายมุข หรือกาม ใคร่อยากได้กามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสหรือลาภยศสรรเสริญสักการะต่างๆ แล้วเราก็ไปใคร่อยากเสพความสุขโลกีย์เหมือนปุถุชน ได้มาแล้วก็นึกว่าเจริญ เราก็ไม่ทำต่อไปก็มีความตื่นรู้มีความแจ้งมีความเข้าใจว่า ไปหลงอย่างนั้นมันเป็นทางไปสู่ทุกข์อาริยสัจ แต่สุขนั้นเป็นสุขัลลิกะ เป็นสุขเท็จสุขหลอก เป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็ตื่นรู้ได้ ชาคริยะ

รู้ก็คือศรัทธาเชื่อถือ จึงมีความละอาย หิริ โอตตัปปะ ละอายต่อความไม่ตื่นต่อความจมอยู่กับโลกียปุถุชน ก็มาเป็นผู้ตื่นรู้ มีความละอายแล้ว เราเคยเสพสุขกับอบายมุข สุขเก๊ ก็เกิดศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล 5 ข้อเป็นพื้นฐาน เราไปฆ่าสัตว์ได้มาก็เอามากินหรือวุ่นวายกับเรื่องสัตว์ มีอาชีพในการค้าสัตว์ ค้าเนื้อสัตว์ก็เป็นมิจฉาวณิชชา เราไม่ฆ่าสัตว์ ฆ่าเอาเนื้อมากินก็บาป จับมาค้าขายก็บาป เราจะรู้ว่าเราควรเมตตาแก่สัตว์ อย่าไปทำร้ายกัน ผู้เข้าใจแล้วไม่เลี้ยงสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ สัตว์เขาก็เกิดมาทำตามวิบากของเขา เราไปร่วม ดีไม่ดีไปทำร้ายทำเวรภัย ก็มีวิบากซ้ำซ้อน คนที่ฆ่าสัตว์อยู่ทุกวันนี้ เขาจะต้องตกนรกอีกไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าเขาไม่รู้เขาทำผิดศีลข้อ 1 โดยไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รู้แล้วไม่ผิดนะ กรรมเป็นอันทำ กรรมที่ผิดไปจากหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ว่าศาสนาไหน การฆ่าสัตว์ก็เป็นวิบาก เพราะเป็นเรื่องจิตวิญญาณมีวิบากต่อกันมหาศาลเลย เป็นอจินไตย

ศีลข้อที่ 2 ไปเอาของที่ไม่ใช่ของของเรา

ศีลข้อที่ 3 ไปสัมผัสในกามคุณ 5 แล้วก็ติดยึดในรสกาม

ศีล 3 ข้อนี้คือ “กาย”  คือกัมมันตะ ก็ให้ตั้งศีลปฏิบัติในขณะลืมตา เมื่อสัมผัสกับสัตว์ สัมผัสกับของที่ไม่ใช่ของเรา สัมผัสกับรูปรสกลิ่นเสียงเกิดเวทนาเกิดความรู้สึกเราก็กำหนดอ่านหมายเวทนา มันจะเกิดกายในกาย เกิดเวทนา จิตของเราที่ทรงไว้ ก็ให้อ่านเข้าไปในกาย เวทนา จิต ธรรม

ถ้าอ่านออกแยกรูปนาม ธรรมะสองออก แล้วทำให้ธรรมะ 2 นี้กลายเป็นธรรมะ 1 โดยเฉพาะในเวทนา

 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วไม่รู้จักองค์รวมที่เป็นกาย อ่านรูปนามไม่เป็น อย่างเช่นรูป 28 เป็นอภิธรรม ปรมัตถธรรม แต่ปฏิบัติไม่เป็น มีอยู่ในตำราก็เอามาท่องจำใช้เฉยๆไม่ได้ใช้ในการปฏิบัติเลย แต่อาตมาขยายให้พวกเราเอาไปปฏิบัติ

เช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่ารูปมีตั้งแต่รูปภายนอก คือมหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24

เราต้องเรียนรู้โดยใช้นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

สัมผัสแล้วเกิดเวทนาอย่างไร ก็ใช้สัญญากำหนดรู้ แยกแยะสังขารให้เป็นการปรุงแต่งที่สะอาด เรียกว่าอภิสังขาร (มีสามอย่างคือปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร)

บุญ คือการชำระกิเลสในจิตสันดาน ให้หมดจด แต่สามารถจับกิเลสได้แล้วบุญก็มีประสิทธิภาพ จัดการชำระกิเลสได้ บุญคือเครื่องมือในการกำจัดกิเลส เมื่อเขียนผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว บุญก็กลายเป็นกุศลเป็นสมบัติ ทั้งที่บุญมันเป็นวิบัติ เป็นตัวทำลายกิเลสออกจากจิต แต่เขาเข้าใจบุญเพี้ยนไป

อาตมาขอพูดตรงๆ ถ้าอาตมาไม่มาพูดถึงคำว่าบุญ ว่ามีหน้าที่กำจัดกิเลสเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องสะสม มันมีหน้าที่ทำให้กิเลสลดได้ ลดได้เป็นส่วนเรียกว่าส่วนบุญ ผู้ใดทำ ปฏิบัติธรรมแล้วทำให้กิเลสลดลงได้ แล้วต้องลดลงอย่างวิปัสสนาวิธี ทุกตัวทุกตนกิเลส ใช้ประหาน 5 บุญคือปหาน 5 ได้เป็นส่วนๆ จนกว่าจะหมด

สมมุติว่ากิเลสมีร้อยส่วน เรากำจัดได้ 15 ส่วน ก็คือกิเลสหายไป 15 หน่วยหรือ 20 หน่วยก็แล้วแต่ คือส่วนบุญที่ไม่ใช่ได้อะไร แต่กิเลสหายไปเสียไป ถูกกำจัดไป มันวิบัติไป มันไม่ได้หมายความถึงได้สมบัติ ได้บุญคือได้บุญมากบุญใหญ่ ไม่ใช่เลย

อาตมาตั้งข้อสังเกตว่า

บุญคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ

บุญคือการชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด คือหน้าที่ของบุญ

สอง พอปฏิบัติธรรมเกิดมีผลของบุญ บุญนี้ทำผลได้ ชำระกิเลสได้ตามลำดับ แม้มันลดกิเลสได้ไม่หมดก็เป็นส่วนบุญ ปุญญภาค ก็เป็นเสขบุคคล เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังไม่บรรลุจนกิเลสหมด เป็นอรหัตตผล เป็นคนหมดบุญหมดบาป คือปุญปาปปริกขีโณ

ผู้ใดสามารถทำให้จิตสะอาด (วิโสเทติ) คือสจิตตปริโยทปนัง ทำจิตให้สะอาดได้ โดยการอภิสังขาร จัดการปรับแต่ง จัดการอย่างอภิธรรม อย่างลึกซึ้ง จนเป็นปุญญาภิสังขาร จนกำจัดกิเลสได้ก็เจริญขึ้นเมื่อกิเลสหมดเรียกว่า อปุญ เป็น ปุญปาปปริกขีโณ

พระโมฆราช ก็ตรัสคำนี้ท่านเป็นอรหันต์ท่านก็บอกว่าท่านจบกิจ แต่คนเข้าใจไม่ได้ว่าอรหันต์คือคนหมดบุญ คนหมดบุญก็คือหมดบาปและไม่ทำบุญ

ในโอวาทปาติโมกข์คือคนทำจิตให้สะอาดผ่องแผ้วแล้ว คือจิตหมดบาป หมดอกุศล เป็นผู้สัพพปาปัสสอกรณัง แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีกรรมที่จะปฏิบัติ มีปฏิปทาต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่ากุศลเท่านั้น ไม่ใช่บุญแล้ว

คนชาวพุทธเดี๋ยวนี้เข้าใจไปว่า บุญเป็นอันเดียวกับกุศล กุศลคือสิ่งอาศัยพาให้สบายให้ดีให้เจริญ ถ้าอกุศลก็พาไปอปายะ ไปสู่ความไม่สบาย เมื่อไม่เข้าใจอย่างนี้การปฏิบัติธรรมจึงไม่มีมรรคผล พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาไม่บังคับ ได้แต่บังคับตนเองเท่านั้น

เมื่อไม่มีการบังคับกิเลสก็เป็นเจ้าเรือน ศาสนาอื่นเป็นเทวนิยมก็มีการบังคับ ตามหลักการต่างๆของเขา เมื่อศาสนาพุทธไม่บังคับ อิสระเสรีภาพพุทธศาสนิกชนจึงทำตามกิเลส ให้สบายตามอิสระเสรีภาพ แต่จริงๆแล้วกิเลสพาไปสู่ อบาย คือไม่เจริญ สบาย คือเจริญ อปายะคือเสื่อม เพราะไม่เรียนรู้กำจัดกิเลส

ทีนี้เมื่อรู้สึกว่าศาสนาพุทธไม่มีข้อบังคับ ปฏิบัติธรรมไม่เป็นอาณา คำว่าอาณาเป็นการบังคับ

อานาปานสติ พยัญชนะตัวนี้อาตมาแยกวิเคราะห์แล้ว คำว่าอาณาคือการบังคับ ก็เลยกลายไปปฏิบัติแบบบังคับลมหายใจ ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธ เนื่องจากธรรมะศาสนาพุทธเป็น

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ธรรมกายนั้นเผยแพร่คำสอนที่ผิดไปได้มากเลย ถ้าไม่หยุดไม่ศึกษาให้ดีๆหรือไม่ฟัง โพธิรักษ์บ้าง แล้วเอาไปศึกษาให้ดี แล้วปฏิบัติให้ได้ อย่างอาตมาตั้งข้อสังเกตในพรหมชาลสูตรถึงความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ .

ว่า

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
  2. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
  3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
  4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

ส่วนข้อ 3  4 ไม่เข้าป่าแต่ก็สร้างเรือนไฟ ซึ่งผิดศีลของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ให้บูชาไฟหรือรดน้ำมนต์ ให้บูชาทั้งน้ำและไฟ ไม่ใช้ทั้งอัคคียันต์และสิญจนยัญ

วัดในเมืองไทยที่มีการจุดธูปเทียน นั่นแหละคือการใช้ไฟเป็นสื่อ ศาสนาพุทธไม่ให้เข้าใจวิญญาณอย่างนั้น แต่

 

วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอนคือเกิดจากการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นองค์รวม ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยจึงจะเกิดวิญญาณ แต่เขาไปบูชาวิญญาณล่องลอย อยู่ไหนไม่รู้ วิญญาณเกิดจากการสัมผัส แล้วเกิดเวทนาจากการสังขาร ในอาการ 32 เรานี้เมื่อกระทบข้างนอกก็เกิดวิญญาณให้เราศึกษา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเห็นเทวดาสัตว์นรกเละไปหมด ไม่อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่อาตมาสาธยายคืออุเทส แล้วรู้จักเครื่องหมาย

เครื่องหมายของเวทนาของสังขารว่ามันต่างกันมันมีลิงคะ อาการอย่างไรเรียกสังขาร โดยมีสัญญาเป็นตัวมีหน้าที่กำหนดรู้ ในนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

มนสิการเป็นตัวทำใจในใจให้ได้โดยมีผัสสะจึงเกิดนาม เกิดนามก็มีสัญญามีเวทนา แล้วจะเกิดเมื่อสัมผัส ผัสสะ จะมีตัวเจตนา

เจตนาที่ยังมีอวิชชาเราก็ต้องเรียนรู้ มันจะเป็นกามตัณหาบ้าง ภวตัณหา เป็นภพภายนอกกับภายใน เป็นกามภพกับภวภพ หากหมดภพก็เป็นวิภวภพ เกิดจากวิภวตัณหา

เขาไปเข้าใจว่าวิภวตัณหา คือตัณหาไม่อยากได้ภพ ไม่อยากได้ ไม่อยากมีไม่อยากเป็น เขาก็ว่าก็เป็นกิเลส ส่วนกามตัณหาคืออยากได้

วิภวภพ คือไม่มีภพ ไม่มีภพแล้ว มีภพพิเศษ เรียกว่าโลกุตรภพ ภพที่อยู่เหนือโลกีย์แล้ว

มีตัณหาได้ไหม ได้ พระพุทธเจ้าอยู่ด้วยวิภวตัณหา อรหันต์ทุกองค์อยู่ด้วยความไม่มีภพชาติ แต่มีเจตนา มีมโนสัญเจตนาที่เป็นวิภวตัณหา

เมื่อจบกามตัณหา ภวตัณหาคือจบกามภพภวภพแล้ว ก็มีมโนสัญเจตนา แต่ไม่มีอยากไม่มีตัณหา ที่อาตมาบอกว่ามีเจตนาแต่อย่าอยาก

ไม่อยาก คืออย่าอยากอย่างไม่มีภพชาติ มีแต่เจตนา ประสงค์อย่างวิภวตัณหา อย่าอยากมีกามภพ ภวภพ อยากอย่างวิภวะ

จิตที่เราสร้างขึ้นมาแล้วหวังว่าจะได้ภพ ในภาษาไทย ว่า พบ คือหวังว่าจะได้พบเธอ

คนนี้ตายแน่ไอ้หวัง  พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่ามีหวัง (สาเปกโข) นั่นคือไม่เกิดภพ ถ้าคุณทำจิตไม่เกิดภพ ล.23 ข49 ทานสูตร ท่านตรัสถึงการทาน ทานคือการให้ คุณจะให้อะไรแก่ใคร คุณก็อย่าไปอยากได้อะไรกลับมา มีเจตนาให้แต่อย่ามีจิตใจอยาก อยากได้สิ่งที่เราได้ให้เขาแล้วเราจะเอาอะไรจากการให้นี้ นั่นคืออยาก ให้เพื่อให้เลย ไม่ต้องอยากได้อะไร ถ้าจะอยากได้ คำว่าอยากได้หรือหวังจะได้มีอะไรจะได้ต่อจากการให้ นั่นคือภพชาติ

ถ้าอวิชชาก็ทำทานคือให้เขาแล้วจะเอาเอาภพ เอาหวัง สาเปกโข ผลของมันคือจะต้องได้ให้เขาไป สละเสียไป แต่อยากได้ ก็ตอแหล กลับกรอก ให้ไปแล้วกลับเอามาเป็น boomerang ถ้าจะให้ก็ให้ไปเลยตรงๆ ซื่อๆเลยสิ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาล้างภพ กามภพ อรูปภพหมดภพก็เป็นอรหันต์ไม่ใช่ว่าให้สร้างภพ

พระพุทธเจ้าถึงให้สัมมาทิฏฐิตั้งแต่การทำทาน ในสัมมาทิฏฐิ 10

ผู้ใดเข้าใจไม่ถูกต้องก็คือทำทานแล้วไม่มีผล ไม่เกิดอานิสงส์ ไม่เกิดประโยชน์จากการทำทานนั้น จิตใจไม่เกิดประโยชน์ นัตถิทินนัง ทานแล้วจิตไม่เกิดผลในการปฏิบัติธรรม เพราะจิตไปมีภพ

เข้าใจอันนี้ไม่ได้ ทั้งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ทุกวันนี้มีแต่ทำทานอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ทำทานแล้วให้ท่องอิมานิฯ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาดับภพจบชาติ ไม่มีใครอยากได้ภพนรกแต่คุณกลับไปสร้างภพสวรรค์ใส่จิตก็คือได้นรกทั้งนั้นเพราะนรกสวรรค์เป็นธรรมะ 2 เป็นธรรมะคู่

คุณสร้างสวรรค์ใส่จิตเมื่อใดเมื่อนั้นเป็นภพสวรรค์ แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาดับภพจบชาติ การที่จะมีอาการของอวัยวะ 32 องคาพยพของอวัยวะ 32 เรียกว่า ทวัตติงสาการ แต่ผู้ใดอาการของทั้งกายและจิตปรุงแต่งเกิดอาการที่ 33 เรียกว่า ตาติงสาการ คือดาวดึงส์คือคนพิลึก ดาวดึงส์มันไม่มีในชีวิตมนุษย์ในองคาพยพที่ปรุงแต่งมานี้ มีตัวควบคุมคือวิญญาณ

ถ้าคุณสามารถรู้จักวิญญาณ​เราสามารถอยู่เหนือทําให้วิญญาณอยู่เหนือโลกีย์ไม่ให้มีภพ

 

อาตมาก็พูดวนไปวนมา เพราะอาตมาไม่ได้พูดเรื่องลาภยศสรรเสริญที่จะเจริญอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะไปเจริญด้วยลาภยศอย่างไรเพราะเมื่อคนทำงานมันก็เกิด  ลาภปฏิลาโภ ก็จะเกิด action reaction ของกรรมกิริยา ขุดดินเอาเมล็ดผักใส่ก็เกิดผัก คุณทำงานก็เกิดผลจากการงาน

ทำงานแล้วเกิดผล ถ้าคุณไม่ไปหลงภพชาติ ก็เป็นคนวิสามัญ เป็นผู้อยู่เหนือการงานต่างๆโดยทำงานไม่ติดภพหลงชาติ

 

สมณะเดินดินว่า...พ่อครูทำงานอย่างไม่ได้มีภพแล้วแต่หมู่จะตกลงกัน เป็นตัวอย่างการทำงานที่ไม่มีภพ ถ้าพวกเราพยายามเจริญรอยตามพ่อครู เอาตามหมู่ว่าก็เป็นคนทำงานที่ไม่มีภพ เป็นผู้สิ้นภพจบชาติ เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:19:38 )

591120

รายละเอียด

591120_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ รู้เท่าทันผู้มีพรนรก(bad talent)

ต่อมา เรากำลังจะพูดถึงนายไชยบูลย์(อดีตธัมมชโย) เจ้าสำนักจานบิน“ธรรมกรวย”(อันว่า“กรวย”คำนี้ หมายถึง รูปทรงที่เป็น“กรวย” ที่มันมีปากบานออกไปไม่มีวันจะสิ้นสุดการยาวยื่นบานออกไป เพราะมันตรงกับ“ความรู้และความจริง”ของสำนักนี้นั่นเอง) เราอาศัยรูปลักษณ์ของ“กรวย” และเป็น“กรวย”ที่มีปากยื่นปากยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นที่สุด แบบ“นันสต็อป”(nonstop) ทิ้งคำว่า“กาลเวลา”กันไปเลยทีเดียว “รูปและนามในความเป็นกรวย”ทั้งหมดนั้นแหละคือ

“ความจริงกับความรู้”ประดามีของ“สมีไชยบูลย์” ซึ่งในการศึกษาเราก็ขออาศัยตัวอย่างนี้มาใช้ยืนยันเท่านั้น ว่า ในโลกนี้มีคนทำฉะนี้จริง

ซึ่งเป็นตัวอย่างที่นานๆในโลกจะมีคนกล้าหน้าด้านทานทนดึงดันทำผิดทำชั่วกันทั้งคดีโลกและทั้งคดีธรรมหนักหนาสาหัสได้ปานฉะนี้ แต่เขาโง่งมงายไม่รู้สึกเลยจริงๆ

ต้องขออภัยต่อผู้อ่านทั้งหลายอย่างมากด้วย ที่อาตมาใช้ภาษาใน“การตำหนิ”(นิคคหะ)ผู้ทำลายศาสนา ซึ่งเอ่ยเป็นภาษา“ตำหนิ” เป็น“การข่ม” เป็น“การกล่าวโทษ”

จริงๆ ผู้อ่านก็ได้อ่านชัดๆว่า เป็นภาษาที่บอกถึงความไม่ดีไม่งาม เสื่อมทรามต่างๆมากมายของนายไชยบูลย์หรือของสำนักธรรมกาย ซึ่งพูดชัดๆตรงตามความเป็นจริงที่เป็นที่มีของเขา

ผู้อ่านบางคนก็อาจจะว่าอาตมา“ด่า” นายไชยบูลย์ หรือด่าสมีธัมมชโย

ที่จริงอาตมา“ตำหนิ”(นิคฺคหะ)ตามธรรมวินัยซึ่งเป็นการแสดงธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำตามปกติ คือ การติเตียนคนซึ่งควรแก่การติเตียนหรือข่ม อัน...พึงติเตียนหรือข่ม(นิคฺคเหตัพพ) โดยใช้ภาษาให้ตรงตามความเป็นจริงที่เขาเป็น เขาทำอยู่ จะได้ชัดๆ

อาตมาแสดงอย่างนัจจะคีตะวาทิตะโดยไม่มีอารมณ์ อาตมาเลิกอารมณ์โกรธได้ก่อนอารมณ์รัก เพราะโกรธมันทุกข์ แต่รักมันยังมีแฝง มันเก๊ อาตมาไม่ได้รักไม่ได้โกรธอะไรเขา อาตมากำลังพูดความจริงแล้วปรุงแต่ง ท่าทีลีลาสำเนียงเสียงเพื่อให้เข้าหูคน ผู้ที่ไม่ชอบนั้นพูดไปก็ไม่เข้าหูเขาหรอก แต่ก็ทำเผื่อเขา

“คนชั่ว”ที่ทำชั่วยิ่งๆขึ้น เนื่องมาจาก ในใจของเขาเต็มไปด้วย“กิเลสโลภ”เห็นแก่ได้มาให้ตนยิ่งขึ้นๆนั้น  เขาจะแสดงตนออกไปด้วยกายกรรม วจีกรรมให้คนเข้าใจว่า“เขาเป็นคนดี-เขากำลังทำความดียิ่งๆขึ้น”ด้วยความคิดปรุงแต่งที่ดัดจริตประดิษฐ์ประดอยแสดงอาการทางกาย(กายวิญญัติ)และอาการทางวาจา(วจีวิญญัติ)ให้กลบเกลื่อน“ความชั่ว” ของเขาให้เก่งที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วเขาก็ได้กามกับอัตตาไป เขาก็สั่งสมกาม-อัตตาใส่ตัวเองไปตลอด

จึงยิ่งเป็น“กายกรรม-วจีกรรม”ที่ “ชั่ว” ซับซ้อน ชนิดที่เลวร้ายบรรยายยากมาก เพราะมัน “ดูดี” ที่ “บวกเลว” ยิ่งขึ้นๆๆๆๆ ซับซ้อน คำว่า ดูดี คำนี้คือความเลวซับซ้อนเท่าที่เขาจะฉลาดทำให้คนอื่นมองเลวที่เขามีว่าดี น่าส่งเสริม(เนียน)

แค่ “บวกเลว” คนที่โง่ก็จะหลงเชื่อ เห็นว่า “ดี” ตามกันได้สำเร็จ  แต่ยังหลอกคนที่ฉลาดรู้ทัน ไม่ได้ 

“คนชั่ว”คนนี้ก็จะเลวยิ่งขึ้นด้วยการคิดปรุงประดิษฐ์ประดอยดัดจริต แสดงอาการทางกาย(กายวิญญัติ)และอาการทางวาจา(วจีวิญญัติ)ให้ “ดูดี” ยิ่งขึ้นกลบเกลื่อน “ความชั่ว” ของเขาเก่งยิ่งขึ้นๆเสมอ

ดังนั้น คนผู้ยิ่ง “ชั่วกว่า” ร้ายกาจกว่าจะใช้เล่ห์ฉลาดยิ่งๆขึ้น ทำให้ “ดูดี” ที่   “คูณเลว” ทับทวีเป็น“มหาเลว”ยิ่งขึ้นๆ ก็จะยิ่ง “ดูดี” ยกกำลัง “อภิมหาเลว” ที่ร้ายแรงยิ่งๆขึ้นไปอีกๆๆๆๆ

ซึ่งอาตมากำลัง “ตำหนิ” (นิคคหะ)เขา แต่ผู้เข้าใจ “พฤติภาพ” ของอาตมาไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอาตมาใช้ “ธรรมวิธี” ของพระพุทธเจ้า

ผู้ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาพุทธที่เรียนรู้ “ความบริสุทธิ์ทางจิตใจ” และความบริสุทธิ์ทาง “กายวิญญัติ-วจีวิญญัติ” แล้วแสดงความบริสุทธิ์ทั้ง “กาย-วาจา-ใจ”เป็นหนึ่งเดียวตรงกัน มันก็ซื่อๆ ตรงๆ แข็งๆ แรงๆ เป็น “ความจริงใจ” ที่แสดงความจริงอย่างสดๆ จึง “ดูค่อน” ไปข้างไม่อ่อนโยน ไม่นิ่มนวลสุภาพ แต่ก็ชัดเจนจริงใจ มั่นใจจริงๆ

ว่า...

“ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่ง ทั้งโลก ในที่สุด”  แม้จะใช้เวลายาวนาน

อาตมาถ้าไม่มั่นใจศาสนาพุทธนี้จะยาวนานไปได้ถึงห้าพันปี อาตมาก็จะไม่ยอมหยุดเพียร

คนเข้าใจอาตมาผิดมาก ว่า โกรธเคือง หรือเกลียดชังนายไชยบูลย์ ไม่ชอบใจสำนักธรรมกาย หรือทำไม่ดีต่อนายไชยบูลย์-ทำร้ายนายไชยบูลย์  ดูเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง

ถ้าจะพูดให้ถูกตรง“สัจจะ”แท้แล้ว เท่าที่อาตมาพูดด้วยภาษาทั้งหลายออกมานั้น มันสื่อ“ความจริง”ที่เป็น“สภาวะผิดหรือต่ำหยาบที่ร้ายต่อทั้งโลกทั้งธรรม”ของสมี

ไชยบูลย์นี้ มันสื่อออกมาได้ไม่ถึงร้อยเชิงชั้นที่สลับกลับกลอกยอกย้อนซับซ้อนไปมาของ “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน” ที่นายไชยบูลย์เขาประมวลเอา “ความง่าย” ที่คนเข้าใจได้ ของกายวิญญัติ-วจีวิญญัติ”แสดงหลอกคน

ในธรรมกรวยมีดอกเตอร์มีเปรียญเก้าเยอะนะ อโศกมีดอกเตอร์บ้างแต่ไม่มีเปรียญเก้ามีแค่เปรียญแปดหนึ่งคน เปรียญเก้าเขาเชื่อถือในเปรียญมากกว่า

แชร์แม่ชะม้อยนี้ก็ยังไม่รู้ธัมมชโย

คนจึง“หลง”ได้ง่าย เพราะเขาเก่งยิ่งใน“เล่ห์กล”(tactics)เชิงนี้ ตามที่เขาได้สั่งสมความเก่งชนิดนี้มาหลายกัปป์หลายกัลป์ เขาจึงมีได้จริงโดยการเป็น“เจ้าของ”เล่ห์กลชนิดนี้จริง ไม่มีใครบังอาจลอกเลียน ไม่มีใครมี “พรนรก”(bad talent)ขั้นพิเศษออกปานนี้ได้เท่าเขา  ใครทำเทียมเขาไม่ได้เด็ดขาด

ก็ขอยืนยันด้วยความจริงใจอย่างที่สุดว่า อาตมาไม่ได้โกรธเกลียดนายไชยบูลย์เลย แต่คนเข้าใจใน“ความเมตตานายไชยบูลย์” ของอาตมา ที่สื่อออกมานี้ ไม่ได้ เท่านั้น

อาตมา“ตำหนิติเตียน”นายไชยบูลย์จริงๆ เพราะเขาทำผิดมากจริง เขาน่าตำหนิอย่างมาก อาตมาก็ตำหนิเขามาก ตำหนิเขาหนัก ตำหนิเขาแรง เพราะเขาทำผิดแรงผิดหนักจริงๆ ก็ต้องกล่าวจริงให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นการช่วยเขาแท้ๆ

เขาทำบาป“มากกว่ามาก”เกินไปแล้ว

เช่น เขาสอนคนให้“มักใหญ่-มักมาก” (มหิจฉะ) สอนให้คนมี“ความอยากร่ำอยากรวย”(มหิจฉตา)ขนาดหนักดังที่เขาทำ เป็นต้น  มันหักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิดที่“ท้าทายเย้ยหยัน”ว่า ข้าจะสอนอย่างนี้ ใครจะทำไม?  พระพุทธเจ้าจะสอนยังไงก็เรื่องของพระพุทธเจ้า!! ...อะไรปานนั้นเลย

เขาทำตนใหญ่จริงๆ..!!!!!

 

โดยเฉพาะเรื่อง“ทาน” เขาสอนชนิดคนละโลกกับพระพุทธเจ้าอย่างไม่แคร์อะไรเขาแสดงออกโจ่งแจ้ง ไม่อำพราง แสดงโวหาร แสดงวาทกรรม ให้คนเข้าใจว่า ถ้าใครมา“ทำทาน”กับเขา กับสำนักของเขาแล้ว จะพบ“ความศักดิ์สิทธิ์”ของเขา นำพาให้ผู้ทำทานประสบผลสำเร็จร่ำรวย อย่างมหัศจรรย์ เขาประกาศโป้งๆออกปานนี้

ให้“ตั้งจิตมุ่งมั่นแน่วแน่”เลยว่า จะต้อง“หวัง”ในผลทาน -ให้“ผูกพัน”กับผลทาน -ให้“สั่งสมบารมี”ในผลทาน -แล้วจะเป็น“เสบียงให้ตนไปเมื่อตายไปชาติหน้า”อีกตลอดไป

เขาสอนอย่างนี้ “หักล้าง”คำสอนของพระพุทธเจ้าสิ้นเชิง(‘ทานสูตร’ ในเล่ม 23 ข้อ 49)

เขาอวดวิเศษที่นอกรีต ทั้งยกตนใหญ่กว่าใครหมด ทั้งหักล้างคำสอนพระพุทธเจ้า เลอะไปด้วย“เดรัจฉานกถา-เดรัจฉานวิชา” โต้งๆ ไม่มีอาย ไม่รู้แม้แต่“ศีล”

เขาละเมิดหมดตั้งแต่“จุลศีล”ไปเดียว   เช่น ข้อ 1 “ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่” 

อาตมาไม่รู้นะว่าเขาจะฆ่าสัตว์หรือเปล่า หรือจะฆ่าคนหรือเปล่า ไม่ฆ่าเองแต่จะสั่งฆ่าหรือเปล่า อาตมาไม่รู้หรอก ไม่มีหลักฐานเรื่องนี้ แต่เห็นความใจดำอำมหิตสุดๆของเขาอย่างชัดแจ้งชัดเจนเหลือเกินที่เขาทำร้ายคนทรมานคน เอาเปรียบคนอย่างไม่แคร์ใดเลย

เขา“ใจ”ดำอำมหิตสุดโหดเกินมนุษย์ ทำร้ายคนด้วย“พลังโลภจัด”สุดๆ อย่างเห็นๆ

เขาขูดรีดเงินทองจากคนหนักหนาสาหัส ด้วยเล่ห์เหลี่ยมวิธีชั่วเลว อย่างไม่เคยเห็นใครจะรีดได้เก่ง“ชิบหาย”(หายนะ)ขนาดนี้มาก่อน จนคนต้องหมดเนื้อหมดตัว แล้วเขาก็ไม่เคยไยดี เขาทำปานฉะนี้ทุกคนก็เห็นก็รู้กันถ้วนทั่ว

มันเท่ากับ“เขา‘ฆ่า’คนตายทั้งเป็น” ซึ่งร้ายกาจยิ่งกว่า“ฆ่าคนตายทั้งตาย”เป็นไหนๆ

มันจึงเป็น“วิธีฆ่าคนตายทั้งเป็นที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการฆ่าคนให้ตายทั้งตาย” ซึ่งเป็นวิธีการ“เชิงซ้อนที่ซับซ้อน”ไม่รู้กี่ชั้นกี่ตลบที่ลวงให้คนหลงว่า“เขาทำดี-หวังดีต่อคนทั้งหลาย” มันสลับซับซ้อนหนักหนาจนนำมาคลี่คลายขยายหาความเป็นลำดับให้เห็นง่าย ไม่ได้ หรือหาเงื่อนต้นมาบอกได้ยากสุดยาก ตามที่อาตมาได้กำลังพยายามอยู่นี้แล

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=13kJuqN3LM7XmnNWQmurG7FztMwFtFi9zFS8cTrd4_uE

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdVB6Q2RTdkFyeVE


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:20:06 )

591120

รายละเอียด

591120_พ่อครูเทศนางานฌาปนกิจศพ นายบำรุง ณเวรัมย์

พ่อครูว่า...ขณะนี้เป็นงานฌาปนกิจศพ นายบำรุง ณเวรัมย์ สิริอายุได้ 71 ปี (เป็นญาติธรรม)

คนเราต่อให้อายุถึงสองร้อยสามร้อยปีก็ต้องตาย ตายแล้วถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องเวียนกลับมาเกิด ปรินิพพานได้คือผู้นั้นตัดพลังงานสันตติของตนได้ ทำจิตตนไม่ให้เกิดได้อีกเด็ดขาด เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ นักวิทยาศาสตร์ biology ไม่สามารถค้นพบได้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ค้นพบได้ แล้วเอามาสอนให้มนุษย์ทำได้แล้วจะสามารถทำให้พลังงานจิตนิยามสิ้นสุดได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

นี่คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่รู้ว่าในมนุษย์มีจิตนิยาม ถ้าได้อัตภาพเป็นจิตนิยามได้ ถ้าไม่สามารถดับพลังงานจิตนิยาม ให้ดับได้เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าทฤษฏีเดียวในโลก อรหันต์คือผู้ทำพลังงานชนิดนี้ได้ รู้แล้วจะต่อสันตติ เพื่ออยู่ช่วยโลกนี้ได้ อย่างไม่ทำบาปทำโทษภัยแก่ใคร มีแต่ประโยชน์คุณค่า บรรลุอรหันต์แล้วทำแต่ดี มีแต่ประโยชน์ต่อโลก

เร่ิมตั้งแต่โสดาบันก็สามารถควบคุมพลังงานได้ระดับหนึ่ง ลดสิ่งเป็นโทษภัยต่อตนต่อโลกได้ระดับหนึ่ง พอเป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี ก็ลดลงได้เพิ่มขึ้นอีก เป็นหลักประกันของวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้า ในพุทธศาสนา เมื่อพ้นอนาคามีเป็นอรหันต์ จะมีพลังงานจิตที่บริสุทธิ์สะอาดไม่มีโทษภัยอีกเลย ถ้าจะเกิดอีกก็เป็นโพธิสัตว์เรียนรู้จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ได้สัพพัญญุตญาณ หรือจะไม่ถึงเป็นพระพุทธเจ้า จะปรินิพพานเป็นปริโยสานตอนไหนเวลาไหนก็ได้ แต่จะพากเพียรเป็นพระพุทธเจ้าได้ไม่ง่าย ผู้เหลือหลุดรอดไปบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าจึงเหลือน้อยกว่าน้อยนัก แต่ก็มีผู้พากเพียรเป็นได้จนได้

โสดาบันก็คือผู้บรรลุอรหัตตผลไปตามลำดับ อันดับแรกคือโสดาบัน ช่วยคนได้ระดับหนึ่ง เป็นสกิทาคามีคือโพธิสัตว์ระดับสองก็ช่วยคนได้มากขึ้น เป็นอนาคามีก็ช่วยได้มากขึ้น ไม่มีโทษภัยต่อโลกต่อคนอื่น มีแต่ภัยต่อตน เป็นอรหันต์ก็หมดโทษภัยทั้งตนและคนอื่น ก็มีแต่จะเป็นโพธิสัตว์ที่จะช่วยคนอื่นต่อไปจนเป็นอนุโพธิสัตว์ เป็นอนิยตโพธิสัตว์ แล้วเป็นนิยตโพธิสัตว์(ระดับ7 )คือผู้ที่สอบเข้ารร.พระพุทธเจ้าได้แล้ว คือไม่เวียนกลับแต่ก็มีสิทธิ์เลิกล้มไปเองได้ จนเป็นระดับ8 มหาโพธิสัตว์ จนเป็นระดับ 9 คือพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีชีวิต แต่ถ้าขั้นปลายสุด คือ 0 คือระดับสิบ ถ้าไม่สูญจะต่อ 11 หรือ12 ต่อก็ได้เหมือนพระอวโลกิเตศวร ท่านตั้งปณิธานไว้ว่าจะช่วยรื้อขนสัตว์จนกว่าจะเป็นอรหันต์ให้หมดโลก ถ้าไม่หมดท่านก็จะไม่ปรินิพพานก็เวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อยๆ ก็เรียนรู้มากมาย มีปางที่ร้ายก็มี หรือเป็นผู้หญิงก็เป็นเจ้าแม่กวนอิม เป็นเจ้าแม่กาลี หรือปางอื่นๆก็เยอะ

ไม่ได้มีตัวตนรูปร่างแต่เป็นพลังงานอัตภาพ ช่วยโลก หรือผู้ที่ไม่ศึกษาเป็นอาริยบุคคลก็เป็นวิญญาณที่เป็นโทษภัยต่อมนุษย์โลก ชีวิตปุถุชนอยากให้มาศึกษาทำจิตวิญญาณเราให้สะอาดจะเกิดเป็นคนอีกกี่ชาติก็ไม่มีโทษภัยต่อโลกไม่มีทุกข์ด้วย เป็นเรื่องจริง แต่กลับไม่สนใจ ไปหลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นสวรรค์เก๊ เป็นนรกไม่จบไม่สุด สวรรค์ก็มีเดี๋ยวเดียวแล้วก็ตกนรกใหม่ นรกเป็นฐานที่ตั้งสัจจะเรียกว่าทุกข์อาริยสัจ แต่ได้สวรรค์ปลอมชั่วคราว ฉาบฉวยตามกาละ ไม่ยืดยาว ได้ไคลแมกซ์เดี๋ยวเดียวก็อยากอีกก็ไปแย่งอีก อย่าเสียเวลาเลย มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว อย่าเป็นโมฆบุรุษเกิดมาแล้วไม่ได้อะไรจากพระพุทธเจ้า น่าสังเวชใจ ทุกคนได้ที่อาตมาให้สติแล้วอย่าช้าอย่าเสียเวลาเปล่า คุณเกิดมาแล้วกี่ร้อยกี่พันชาติ หลงนรกสวรค์กัน เบื่อเสียทีตั้งใจศึกษาโลกุตระได้เป็นสุขวิเศษ ไม่ใช่สุขที่หลอกๆ ก็ให้สติเตือนใจไว้เท่านี้ ผู้ใดได้รับประโยชน์จริงๆก็อย่าช้า ก็ขอจบการแสดงสัมโมทนียกถาเพียงแค่นี้...จบ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:20:31 )

591121

รายละเอียด

591121_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สาธารณโภคีที่สนามหลวงจะเปลี่ยนโลก

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ตอนนี้ที่สนามหลวงผู้ที่รับหน้าเสื่อก็คือชาวศีรษะอโศก ฟังดูก็รู้สึกว่า เป็นบรรยากาศที่แฮปปี้ สนุกสนานมีเรี่ยวแรงพลังก็ใช้กันหมด เด็กที่ เฮี้ยวๆ ก็ถูกสลายพลังจนหมด

พ่อครูว่า...ไม่มีเวลาให้ทำชั่ว มีแต่เวลาทำกุศล นี่คือพลังแห่งความดีงามอันน่าอัศจรรย์ เป็นพลังนิวเคลียร์ของ Love  A bomb of love.

สมณะเดินดินว่า...เราคงจะได้พิสูจน์ความเชื่อว่าสนามหลวงจะเปลี่ยนประเทศไทยจะเปลี่ยนโลกได้ ที่ว่าเป็นประเทศไทยก็คือว่า ทุกคนที่ไปกันบางคนไปกันทั้งครอบครัวไปช่วยกันเก็บขยะ เขาก็พาลูกเขาไปด้วย เด็กของเราเห็นคนอื่นทำก็ต้องดีด้วย

พ่อครูว่า...มีทั้งการเก็บขยะแจกอาหารที่เด่น คนอื่นเขามีอีกหลายอย่างปลีกย่อย เช่นแจกย่อย ช่วยเหลืออย่างอื่นอีกอะไรต่างๆ

สมณะเดินดินว่า...คำมีสถิติว่า ในเวลา 1 เดือนมีคนอาสาสมัครจำนวน 30000 คน ไปลงทะเบียน แล้วที่ไม่ได้ไปลงทะเบียนอีกเยอะแยะ คือไม่ใช่น้อย 2 ชุดเก่าที่ไปทำงานเรียกว่าได้ช่วงเวลาทอง ศีรษะอโศกก็ไปตั้งแต่ตีสามครึ่ง ก็ไปบริการคนเข้ามาจองคิวตั้งแต่ตี 5 วันนี้เขาขอร้องคนกรุงเทพและปริมณฑล ขอให้มาเคารพพระศพหลังร้อยวันจะได้ไหม เพราะบางคนไปรอตอนนี้ 10 ชั่วโมงกว่าจะได้เคารพพระศพ จะหาทางอย่างไรที่จะลดความลำบากของประชาชนกัน มันเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย ที่มาช่วยเหลือกันได้เห็นความพร้อมเพียงของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่พยายามช่วยเหลือประชาชน ของเราถือว่าได้เวลาทอง ตั้งแต่ตี 5 เขาก็แบ่งกันไปหลายเจ้าแต่ไม่มีเจ้าไหนที่ลุกขึ้นมาไหวแต่เช้า

พ่อครูว่า...อย่าเน้นนะ เรารู้สึกว่าจะเหนียมๆแล้วนะ

สมณะเดินดินว่า...จัดเต็มเวลาทองของเวลาท้องด้วย ถ้าพวกเราใครจะไปช่วยได้ไปเสริมไม่ว่าจะเป็นอาหารว่างต่างๆของว่าง เมนูแรกก็จะเป็นข้าวต้ม ที่ให้คนรองท้องก่อน เป็นสิ่งที่ได้ทำกันมา ก็มีการสนับสนุนเข้ามาได้เรื่อยๆ มีญาติธรรมชัยภูมิ แจ้งข่าวว่า จะบริจาคมันเทศถึง 15 ตัน ถูกเอามาให้ที่โรงบุญทั้งหมดโดยไม่ได้ขายเลย ของบ้านราชฯเพิ่งจะเริ่มปลูกก็ไม่รู้จะได้สักเท่าไหร่ อาหารตอนเช้าจะเป็นมันเทศ ฟักทอง ข้าวโพด เป็นของที่เบาๆ ก่อน ก็เป็นกิจกรรมที่คิดว่า พวกเราก็มองว่าช่วงเช้าคนจะมาน้อย ช่วงบ่ายก็จะมีคนมากหนาแน่นหน่อย

พวกเราสังเกตุว่าผู้ที่มาเป็นจิตอาสาก็ยังไม่ได้ลดลง แต่มีช่วงเช้าที่ยังมีน้อยอยู่

 

พ่อครูว่า...นี่ล่าสุดก็มี ชาวนาสุรินทร์ใจบุญ! บริจาคข้าวอีก 20 ตัน มอบโรงทานสนามหลวงเลี้ยง ปปช. ถวาย “พ่อหลวง” ข่าวผจก. วันนี้

 

สุรินทร์ - ชาวนา ต.ท่าสว่าง เมืองช้าง จิตเป็นกุศล ร่วมกันบริจาคข้าวเปลือกหอมมะลิอีก 20 ตัน เพื่อสีเป็นข้าวสาร ส่งมอบโรงทานท้องสนามหลวง ประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่ “พ่อหลวง ร.9”

 

วันนี้ (20 พ.ย.) ที่วัดสามัคคี บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นจุดรวบรวมข้าวเปลือกหอมมะลิ ของประชาชนชาวตำบลท่าสว่าง เพื่อสีเป็นข้าวสารบริจาคให้แก่โรงทานต่างๆ ที่ท้องสนามหลวง เพื่อประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนที่เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ

      

 

       ทั้งนี้ แต่ละวันมีประชาชนมาถวายสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก ชาวตำบลท่าสว่าง ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไปถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระบรมมหาราวัง มีจิตเป็นกุศลที่บริจาคข้าวเปลือกหอมมะลิ สีเป็นข้าวสาร เพื่อประกอบอาหารเลี้ยงประชาชน ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงได้รวบรวมข้าวเปลือกหอมมะลิได้รวม 20 ตัน เมื่อสีเป็นข้าวสารแล้วจะได้ข้าวสาร 15 ตัน

      

       ในวันนี้ นายกฤษณุ เหลืองพิบูลกิจ นายอำเภอเมืองสุรินทร์ ได้เป็นผู้รับมอบข้าวเปลือกหอมมะลิ จำนวน 20 ตัน จาก นายสมศักดิ์ สำราญ กำนันตำบลท่าสว่าง และนายบุญรวม รุ่งเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าสว่าง ซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้านตำบลท่าสว่าง ในการส่งมอบเข้าเปลือกทั้ง 20 ตัน ซึ่งจะได้นำไปแปรรูปเป็นข้าวสารที่โรงสีชุมชนต่างๆ ในเขตตำบลท่าสว่าง ส่งนำไปส่งมอบให้แก่โรงทานต่างๆ ที่ท้องสนามหลวง เพื่อหุงประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนที่เดินทางจากทั่วประเทศมากราบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระบรมมหาราชวัง ต่อไป

 

 พรุ่งนี้ 22 พย. 2559 รัฐบาลจะจัดงาน " รวมพลังแห่งความภักดี" พร้อมกันทั่วประเทศ

มีถ่ายทอดสดรวมการเฉพาะกิจตั้งแต่ 6.30 น ร้องเพลงชาติ 8.00น

 

 

พ่อครูว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้เสแสร้งทำ เกิดขึ้นได้ หนึ่งมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สอง มันเป็นเรื่องติดต่อกันยาวนาน และสามมันเป็นความงดงาม เป็นความประเสริฐวิเศษ คุณค่าคุณธรรมที่ในหลวงร.9 ได้ทรงมาตลอด 70 พรรษา ซึ่งทุกคนปฏิเสธไม่ได้ถึงคุณค่าคุณงามความดีที่ครบพร้อมแสดงออก อันนี้เกิดจาก

คุณธรรมของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคุณธรรมระดับ โลกุตระ และเป็นโลกุตระที่เป็นอาริยะระดับพระโพธิสัตว์ ซึ่งตอนนี้อาตมาก็นำความหมายของโพธิสัตว์มาขยายความให้กระจ่าง ในศาสนาพุทธก็เป็นความหมายอันหนึ่งซึ่งได้เข้าใจเพี้ยนผิดไปแหลกเหลวกัน ตอนนี้เราก็พยายามเจาะหาความจริงเท่าที่อาตมาจะมี อาตมามีความจริงเท่าไหร่ก็มาขยายเป็นภาษา ผู้ที่มีจริงก็เอามาแสดงอย่างไม่ได้อวดอ้าง แต่เพื่อยืนยัน เพื่อมายืนยันสัจธรรม มันเป็นเรื่องมีจริงเป็นจริงประเสริฐที่สุดยอด ใครทำได้ก็ทำสิ แกล้งทำก็ได้ไม่ว่า แกล้งทำให้เหมือนจริงๆนะ แกล้งเลยไม่ว่า แกล้งให้ได้นานๆ สิบปีหรือยี่สิบปีเลย อย่าให้บกพร่อง มันเป็นพฤติกรรมที่ปฏิเสธไม่ได้

ตั้งแต่ 13 ต.ค.มานี่ ก็ 1 เดือนกับ แปดวันแล้ว เราก็จะทำต่ออีก ชาวอโศกเราทำมาก่อนอย่างต่อเนื่อง โรงบุญ 5 ธันวาฯทำมาหลายสิบปี ทำตลอดเดือนธันวาคม แต่ปีนี้เราก็จะทำให้ได้ 999 โรงบุญ ส่วนในสนามหลวงเราก็จะทำให้ได้ 99 โรงบุญ

 

นโยบายทำ "โรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9"

ชาวอโศกระดมจัดโรงบุญแจกอาหารมังสวิรัติ ทั้งประเทศ จนกว่าจะถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2559 ระดมจัดให้ได้ 999 โรงบุญ และในวันที่ 5 ธันวาคม จะไปร่วมจัดที่สนามหลวงกันให้ได้ 99 โรงบุญ

และจะทำโรงบุญมังสวิรัติ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดหยุดจัด จนกว่าเหตุปัจจัยจะทำให้หยุด ตอนนี้ที่สนามหลวง เรื่องที่ต้องต่อเนื่องคือเรื่องกิน ถ้าต่อเนื่องไปสองหรือสามปีจะเกิดผล มนุษยชาติในโลกนี้จะสงบจะเรียบร้อย จะสามารถรังสรรค์อะไรได้มาก เป็นความสงบเรียบร้อยความอบอุ่นของโลกจะเกิดขึ้น

มีนโยบายคือ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ และความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

แม้แต่คนที่จะปลูกผักไร้สารพิษก็เร่งมือปลูกกันเลย พืชบางอย่างก็ 15 วันกินได้ บางอย่างก็ 20 วันบางอย่าง 1 เดือนบางอย่าง 2 เดือนบางอย่าง 3 เดือน เราทำเต็มที่เลย เราก็มีความรู้ทำเสริมกันไป มันเป็นโอกาสที่เราจะได้อดทน จะได้พากเพียรขยัน เพื่อล้างตัวตนอัตตา

โรงบุญไม่ได้จำกัดเฉพาะอาหาร แต่เป็นของใช้คำเป็นก็นับเป็นโรงบุญได้ด้วย

ขอกำชับ การทำใจในใจ (มนสิการ) ทำให้ดีๆ ทำโดยไม่ต้องไปหวังอะไรตอบแทน อย่าไปสร้างอาการหวังใส่จิต เจตนาแต่อย่าอยาก อย่าสร้างพลังสาเปกโข ว่าจะหวังได้อะไรตอบแทน อย่าทำ อันนี้กำชับกำชา เป็นการปฏิบัติธรรม โลกุตระของพระพุทธเจ้าที่จะไม่ให้เกิดภพชาติ ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

ชาวอโศกไปโดยมียุทธศาสตร์คือ “อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้” (อย่าไปเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ หรือแสดงว่า ตนเป็นผู้นำผู้พาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ เป็นเจ้าใหญ่นายโต อย่าทำนะ อย่าไปแสดงตัวอย่างนั้น)

 

ผู้รับผิดชอบจัดโรงบุญมังสวิรัติ

1.ทีมบ้านราช+ข่ายแห.....3-18 พ.ย.

2.ทีมศีรษะอโศก+ข่ายแห....19-28 พ.ย.

3.ทีมปฐมอโศก+ข่ายแห...เสริม..  29-30 พ.ย.

4.ทีมสีมาอโศก+ข่ายแห.......1-7ธ.ค.

5.ทีมศาลีอโศก+ข่ายแห.......8-14 ธ.ค (ช่วงนี้มีเหตุการณ์จะมีพี่น้องชาวเขาจำนวนมากมาที่สนามหลวง ที่อื่นๆคงต้องไปช่วยกัน)

6.ทีมภูผาฟ้าน้ำ+ข่ายแห.......15-24 ธ.ค.

7.ทีมแพทย์วิถีธรรม.....รับช่วงเย็น

 

ผู้ประสานงานกลาง   คุณปลูกขวัญ  t.086-559-6925

                               คุณยลศิริ     t.081-331-5229

                               คุณดาบบุญ  t.081-731-7757

                                คุณปานรุ้ง สุขเกษม t. 083-024-1618

ช่วงเวลาแจก     เช้า  06.00-10.00 น

                        กลางวัน  12.00-14.00น

                        เย็น     16.00-20.00น.

 

คุณดาบบุญ....ดูแล...วัตถุดิบ/ขนส่ง

 

วันที่ 19-28 พย.59  ทีมงานศีรษะอโศก ร่วม 70 กว่าชีวิต และทีมแพทย์วิถีธรรม

 40 - 60 ชีวิต  นอกจากทำอาหารแจกที่เต็นท์กองทัพธรรมตามเวลาที่กำหนดแล้ว

(รอบแรก 07.00-09.00น. รอบสอง 11.00-14.00 น. รอบสาม โดยแพทย์วิถีธรรม  16.00-20.00 น.)

 

กองทัพธรรม แพทย์วิถีธรรมร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู  ทำอาหารแจกในเต็นท์ใหญ่ แถว ก และ ข (เต๊นท์ใหญ่สำหรับประชาชนนั่งรอเข้ากราบพระบรมศพ มี 13 แถว แต่ละรอบนั่งได้ 4,000 คน)

 

การแจกอาหารในเต็นท์ใหญ่  เวลา 05.00 - 07.00 น.11.00-14.00 น.และรอบสามโดยแพทย์วิถีธรรม 16.00-18.00 น.  ทั้งนี้ได้ขออาสาสมัครจากส่วนกลาง  30 คนเพื่อมาช่วยแจกด้วย

 

กองทัพธรรมแจกได้เช้าที่สุด

     วันที่ 24 พย. ส่วนกลางจะจัดเต็นท์ใหม่ 

     กองทัพธรรมและแพทย์วิถีต้องย้ายไปอยู่ติดกับเต็นท์มูลนิธิร่วมกตัญญู  ตรงข้ามธรรมศาสตร์

  

พื้นที่สนามหลวงทั้งหมด  75 ไร่   28 ไร่สำหรับจัดโรงทานและ โรงบุญ

ซึ่งมีสองประเภทคือ

1.เต็นท์ที่ทำอาหารและแจกตลอดทั้งปีจะอยู่ชิดรั้วเขียว

2.ส่วนขาจรอยู่เต็นท์วงใน ต้องทำอาหารมาสำเร็จพร้อมแจก

      สำหรับของกองทัพธรรมและแพทย์วิถีธรรม จัดอยู่ในประเภท1 คือ แจกทั้งปี

 

 

คุณต้อย ปลูกขวัญแจ้งว่า…

สิ่งที่โรงครัวเราต้องการ

1.ของแห้งคือ  ซีอิ้ว/น้ำมัน/น้ำตาล/เต้าเจี้ยว/กระเทียม/พริกไทย/วุ้นเส้น

2.ของสดประเภทหัวเช่น  มันเทศ/เผือก/ฟักทอง/ข้าวโพด

แต่ต้องทยอยเอามานะคะ  ลง สันติอโศกค่ะ   ก่อนจะเอามาลงช่วยโทรแจ้งด้วย

ผู้ประสานงานกลาง      ปลูกขวัญ  t.086-559-6925

                                  ยลศิริ     t.081-331-5229

                                  ดาบบุญ  t.081-731-7757

 

อาดาบบุญแจ้งมาวันนี้ 21 พ.ย. 59 ว่า...จากการประชุมกับทหาร(ก.อ.ร.ส.)เมื่อวานนี้ สรุปว่า ที่ประชุมมอบหมายให้ มูลนิธิร่วมกตัญญู+กองทัพธรรมรับผิดชอบแจกอาหารเครื่องดื่มให้กับประชาชนที่มานั่งรอเข้าวังในเต็นท์ ก,ขโดยให้เริ่มแจกได้ตั้งแต่ ตี5:30-สองทุ่มเลยครับ และทีมหมอเขียวก็แจกนำchlorophyll สดตลอดทั้งวันอยู่แล้วครับ ทาง กทม.ได้เอาโต๊ะมาตั้งติดกับเต๊นท์ ก-ข ไว้ให้วางอหารที่จะแจก และทางทหารก็จัดเจ้าหน้าที่มารับอาหารเข้าไปเดินไล่แจกตามแถวที่นั่งในเต๊นท์ ก-ข ด้วยและใครอยากจะลุกออกจากเต๊นท์มารับอาหารที่โต๊ะก็ได้ เขาจะมีบัตรเข้า-ออก เผื่อใครจะลุกไปห้องนำก็จะไม่เสียqueue ครับ.

อาTewmek ช่วยหา พัด, หมวก หรือ ร่มกันแดด ฯลฯ ไม่จำกัดแค่เรื่องอาหารเรื่องเดียวนะครับ.

 

อาใบแก้ว แจ้งว่า...​ขอความกรุณา ขอเสียงพ่อครูช่วยประกาศ ระดมจัดโรงบุญที่สนามหลวง วันที่ 5 ธันวาคมวันเดียวจำนวน 99 โรง และ 999 โรงจนกว่าจะถึง 5 ธันวาคม  เพราะตอนนี้ เพิ่งได้ประมาณ 50 โรงค่ะ  หลายคนเกรงว่า ที่จะแออัด คับแคบ แต่ พี่ต้อยบอกว่า จัดอาหารเป็นชุดๆแบบพร้อมแจก  แล้วไปแจกที่แถวในเต็นท์ได้เลยค่ะ แต่ให้ประสานกับพี่ต้อยก่อนเพื่อนำพาไปยังจุดที่แจกค่ะ

 

เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของ A bomb of love.ที่ไม่ใช่แบบเข่นฆ่าแบบนิวเคลียร์ของโลกๆ แต่มันกลับตรงกันข้าม เป็นการช่วยเหลือกัน เป็นปรากฏการณ์ที่ย่ิงใหญ่จริงๆ ต้องเป็นคนที่มีจุดศูนย์รวมของจิตวิญญาณได้ขนาดนี้อีกกี่กัปป์จะเกิดอีกครั้งหนึ่งนี่

 

โรงบุญที่สนามหลวงวันที่ 5 ธันวาคมวันเดียวจำนวน 99 โรง และโรงบุญ 999 โรง จนกว่าจะถึง 5 ธันวาคม ขอความร่วมมือผู้ ที่จะไปแจกดังนี้

 1 บรรจุอาหารมังสวิรัติหรือจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเช่น  หมวก ร่ม ช้อนชาม จาน จอกน้ำ น้ำดื่ม ผ้าเช็ดหน้า กระดาษทิชชู่ ยาหม่อง ยาดม แบบพร้อมที่จะแจกได้ทันที

 2 ไปติดต่อคุณต้อยปลูกขวัญ 086 559 6925 ที่เต๊นท์กองทัพธรรม มีสถานที่ให้ตั้งแจกมากมาย

 

มันเป็นเรื่องของสาธารณโภคี เป็นสาราณียธรรม 6 เกิดจากจิตพุทธพจน์ 7 มีลาภธัมมิกา เป็นสิ่งที่เป็นอุปโภคบริโภค เสร็จแล้วก็รวมเข้าไปสู่ส่วนกลาง เอามาร่วมกันแล้วก็กระจายแบ่งแจก ซึ่งทุกสังคมในโลกนี้ต้องการ ต้องการความเป็นส่วนกลางสาธารณะแล้วแบ่งกินแบ่งใช้ เรียกว่าหลักเศรษฐศาสตร์ เอามารวมกันส่วนกลาง แล้วก็แบ่งกันแจกกัน มีเจ้าหน้าที่คอยแบ่ง แล้วผู้ที่จะรับไปก็มีคุณธรรมไม่เห็นแก่ตัวไม่โลภมาก ถ้อยทีถ้อยอาศัย ถ้ามันไม่พอก็เห็นแก่ใครที่จำเป็นจะต้องได้ก่อน เราเป็นผู้ใหญ่กว่าก็อดได้ทนได้กว่า

 

ตอนนี้ แต่ละเต๊นท์ที่ไปแจกก็ขาดเหลืออะไรก็แบ่งกันใช้ได้

ใครมีวัตถุดิบจะทำอาหารก็นำมาร่วมกันได้ ที่สนามหลวง(เต๊นท์กองทัพธรรม หรือที่ ปฐมอโศก สันติอโศกหรือเครือแหชาวอโศกทุกแห่ง) แม้มีมะละกอลูกเดียว หอมกระเทียมหนึ่งหัว ก็ร่วมกันได้….

 

เป็นสาธารณโภคีที่สนามหลวง  ซึ่ง จะขอความร่วมมือ ผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเฟสบุค ในเวลาที่ท่าน โพสต์ ข้อความหรือภาพ เกี่ยวกับการทำดีเพื่อพ่อ รบกวน ช่วยติด hashtag (#) ว่า 

  

#ทำดีเพื่อพ่อ  #สาธารณโภคีที่สนามหลวง 
 

ต่อท้ายข้อความของท่านด้วย เพื่อให้ฝ่ายรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ bomb of love.ที่สนามหลวงรวบรวมได้ง่ายขึ้น โดยดูตัวอย่างการโพสต์ได้ที่ เฟสบุค กองทัพธรรมFP

 

 

มีคำถามมา….วันนี้ช่างกล้องเราถูกเรียกให้ช่วยถ่ายภาพจากมือถือผู้รอคิว กราบพระบรมศพฯ คนแล้วคนเล่า มีจิตอาสาช่วยถ่ายภาพก็ดีเน๊าะ

  0 หน้าเต้นท์กองทัพธรรม "นี่แจกเหรอ? กองทัพธรรมเอาเงินมาจากไหน ถึงมีแจกตลอด" คำถามจากนักธุรกิจชาวสุพรรณ ไปลงทุนที่อุบลฯ เคยมาทานอาหารที่อุทยานบุญนิยม

พ่อครูว่า...เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่อจินไตยว่าทำไมคนจนถึงแจกได้แจกดี เราจนจริงๆไม่ได้แกล้งจนหรือโกหกหลอกลวง จนหมายความว่าเราไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว เราก็มีพอเบิกเอาไปใช้เป็นงาน ส่วนตัวที่จะไปสะสมเป็นแสนเป็นล้านหลายล้านเราไม่มี ชาวอโศกเราไม่ได้ฝึกฝนแบบนั้น ชาวอโศกนั้นผู้ที่ยังมีแสนมีล้านเขาก็มาพัฒนาตัวเองขึ้นมาก็มีบ้าง จะต้องมีภาระจำเป็นอยู่บ้าง ก็ต้องจำเป็นมีไว้เราก็ต้องเข้าใจฐานะเขา แต่ผู้ที่เข้าใจแล้วก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องไปสะสมอะไรกัน

การสะสมนั้นจะต้องดูแลรักษาต้องเป็นภาระ มีเงินมากเท่าไหร่ก็ต้องเก็บรักษาต้องดูแล ไว้ที่ตรงนี้คุณจะรู้ที่หรือเปล่า ก็ลำบากจะตาย เราก็มีความไม่สะสมเป็นของตัวเอง เรามีจิตวิญญาณตัวนี้ มีคุณธรรมอย่างนี้ มันไม่สะสมหรอกมันเป็นสัจจะ เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้แกล้ง เขาเป็นสุข เขาสบาย ในความไม่มีนั้น แล้วเขาก็กินใช้กับส่วนกลาง มีตู้เซฟสวนกลาง มีที่เก็บส่วนกลางได้ มาศึกษาให้ดีแล้วจะหายงง หายสงสัย มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ลึกซึ้ง อย่าง  A bomb of love.  มันเป็นเรื่องแกล้งทำไม่ได้ อย่างธัมมชโยจะมาทำได้หรือ?

 

SMS วันที่ 20 พฤศจิกายน 2559 (รายการวิถีอริยธรรม)

 

0893867xxxพ่อครูฯสอนแทงตรงถึงจิตทะลุเข้าถึงใจ!โลกแห่งจิตวิญญาณ เป็นโลกไร้ผัสสะสิ้นอัตตา!โลกแห่งตัวตนผจญผัสสะ เกิดวัฎฏะสงสารจากทวาร5 วนอยู่ในอัตตาต้นเหตุแห่งทุกข์ถูกไหม?สกก.

_จากคุณ นาคี ถ้าธัมมี่เป็นโรคจิตประสาท จนแยกสัมมากับมิจฉาไม่ได้ จนทำให้สาวกหลงผิดไปกับเขา คนโรคจิตประสาทจะบาป มากน้อยแค่ไหนครับ? ในเมื่อคนโรคจิตประเภทแยกแยะไม่ได้ว่าบาปหรือบุญ

ตอบ...เขาหลงผิดแยกไม่ออกว่าอันไหนบาปหรือบุญ แล้วเขาก็สั่งสมความยึดติด เป็นภพเป็นชาติ คือบาป แล้วภพชาติที่เขามีก็มีกิเลสที่เป็นบทบาทให้เกิดตามภพชาตินั้น เขาไม่รู้จริงๆ ถ้าคนดูแล้วจะไม่ทำหรอก ก็จะไม่จมอย่างนี้หรอก แสดงว่าเขาเองเขาไม่รู้ไม่มีภูมิปัญญาพอจะรู้

 

เรามาขยายความอภิมหาฤทธิ์เดชของช่องนี้ช่องเดียวนี่

ช่องนี้ช่องเดียวนี่ คือรักที่ถูกสะกดจิต ลัทธิของธัมมชโย คือลัทธิสะกดจิต หรือท่านที่นั่งสมาธิหลับตาแล้วเพ่งกสิณเข้าไป เป็นผู้ที่ใช้วิธีสะกดจิตทุกคน ทุกลัทธิทุกสำนัก ไม่ใช่ของพุทธ

แต่พุทธรู้ และพุทธก็ใช้เป็นบางครั้งบางคราว เหมือนกับโลกธรรม พุทธก็รู้ แล้วก็อาศัยยังจำเป็น เหมือน meditaiton เราก็อาศัยใช้บ้างตามเหมาะควรแต่ไม่ใช่ของพุทธ มันมีมาเป็นของโลกสามัญ ประจำโลก

Meditation โดยการนั่งสะกดจิต มันเป็นธรรมะประจําโลก ไม่ใช่ของพุทธ มันมีอยู่ตลอดกาลนาน

ส่วนของพุทธนั้นมาประกาศเป็นคราวๆ ก็มีช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธเรียกว่า       

พุทธันดร คือระหว่างที่ไม่มีศาสนาพุทธ *

แต่สำนักธรรมกายนี้กลับเข้าใจว่า พุทธันดร คือช่วงที่มีพุทธศาสนา เขาไม่เข้าใจสัจจะอย่างนี้ก็ไปอธิบายผิด

พุทธันดร คือช่วงสามัญ เป็นช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ เป็นช่วงสามัญโลกีย์ธรรมดา

ช่วงที่มีศาสนาพุทธเป็นช่วงวิสามัญ* คือ ช่วงที่สามัญ คือคนเดือดร้อนตกนรกหมกไหม้ต้องแสวงหาทางออก ตั้งแต่เป็นเดรัจฉาน สัตว์เซลล์เดียว มาพัฒนาจนเป็น อเวไนยสัตว์ อย่างธัมมชโย สอนโลกุตระไม่ได้ แต่ฉลาดแกมโกงเก่งหนักหนา แล้วเขาก็หลง น่าสงสาร จะต้องจมกับวิบากนี้อีกกี่ชาติ เขาต้องไปใช้หนี้นะ ปางนี้เหมือนเขาได้เสวยสำราญเบิกบานยิ่งใหญ่เหมือนมีอำนาจ หรูหรา มีกินอยู่ ทำให้ตนเองหล่อ ทุกวันนี้ยังหล่อไม่เสร็จ ยังเสริมสวย พริ้งพราว เขาเห็นอย่างนั้นจริงๆ ในความสุขหลอกของเขา เป็นโลกีย์ ร้อยเปอร์เซ็นต์

ตอนนี้เขาไม่ยอมรับว่าเขาแพ้นะ เขาเล่นเกมส์อยู่ เขาก็คิดว่าเขาแพ้เกมส์ เหมือนปูเลย เขาก็พยายามแก้เกม เขาไม่เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อความดีความชั่ว เขายังไม่เชื่อว่าตัวเองแพ้ เขายังคิดว่าเขาแก้เกมยังไม่ได้เท่านั้นเอง เขาจะต้องใช้ความฉลาดเขาแก้ให้ได้ แล้วก็ตอนนี้เขายังมาหลอกให้คนสวดมนต์ไม่รู้กี่ล้านจบเสียเวลาเสียแรงงาน เสียทุนรอน ขายขี้เท่อ

ศาสนาพุทธจำเป็นต้องสวดมนต์​ มีการสวดแบบ...

-สังคีติ กับ

-การสวดแบบสังคายนา

ไม่ใช่ว่าเป็นการสวดเพื่อให้ขลังหรือหากินกับการสวด

แต่สังคีติ คือสวดให้จำได้ สวดในหมู่พระ ไม่ใช่สวดหากิน หรือให้ขลัง

ยิ่งการ สวดสังคายนา *คือ สวดคนเดียว ให้ผู้รู้คนอื่นฟัง ว่าผิดหรือไม่ แล้วท้วงกันได้ เพื่อให้ถูกต้อง ก็ต้องตัดสินว่าคนท้วงหรือคนสวดผิด

จริงๆถ้าทั้งคนท้วงและคนสวดก็ผิดทั้งคู่ คนที่อยู่ด้วยกันก็แก้ให้ถูก เอาความเห็นคนหมู่ใหญ่ ตัดสิน เพราะมันจะมีความผิดพลาดขึ้นไปเป็นลำดับก็ต้องแจ้งให้ถูกต้อง

การสวดปาฏิโมกข์ทุกทีก็เอาศีลเอาวินัยมาท่อง เพื่อไม่ให้ผิดเพี้ยน

นี่คือการสวดปาฏิโมกข์ คือการสวดสังคายนา

ตอนนี้เข้าใจกันยากแม้แต่การท่องบทมนต์ก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าลงแต่การสวดมนต์ก็เป็นความเสื่อม เอาแต่การสวดมนต์ท่องวนไปเฉยๆ

โดยไม่ได้พยายามเน้นถึงการปฏิบัติให้เป็นวิปัสสนาญาณ ให้เป็น มรรคทั้ง 7 องค์ให้เป็นโลกุตระ หรือเป็น อเทวนิยม การนั่งสวดก็เลยกลายเป็นเทวนิยมให้เป็นความขลังเท่านั้น

พวกนักสะกดจิตนี้ปฏิบัติศีลไม่เป็น โดยเฉพาะพวกสมาธิแบบสะกดจิตจะไม่ชัดเจนและไม่ได้เรียนรู้ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาจะไม่แยแส เพราะเขาเป็นคน ยกตัวอย่างธัมมชโย เขาจะไม่แยแสเลย อาตมาเอาตัวอย่างธัมมชโยเป็นตัวอ้างอิง เป็นตัวอย่างที่ว่าเขา ส่วนคนอื่น นักปฏิบัติธรรมอื่นพึ่งรู้ตนเองตามก็แล้วกัน อาตมาไม่ได้ว่าคนอื่น อาตมาเอาธัมมชโย มาเป็นตัวอย่างว่า

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่นับถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไม่แยแส ไม่สังวร

 เขาจะไม่รู้จริงในหลักศีลธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งหลักนี้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือว่าเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นถ้าจะชมเรา เบื้องต้นให้ชมว่า เราเป็นผู้มีศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล(พระพุทธเจ้าตรัส)

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีศีลอันนี้ อย่าไปแก้ไขเชียว อาตมาพูดอีกว่า ตอนนี้ศาสนาพุทธนั้นมีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล กันที่ไหน มหายานนั้นไม่มีเลย

สมณะเดินดินว่า...พวกนั้นเขาจะอธิบายว่า. ระหว่างนั่งหลับตามันมีศีลอยู่ในตัวแล้ว

พ่อครูว่า...เอามายืนยันสิ ว่า เมื่อมีการสัมผัสกับสัตว์ กับเงินทอง กับข้าวของแล้วเกิด ราคะ โทสะมันมีที่ไหนในการปฏิบัติ โมเมว่า หลับตาแล้วจะเกิดเองได้อย่างไร แค่หลับตาจะฆ่าสัตว์อย่างไร เหมาเข่ง ว่าไป แล้วไม่เห็นข้าวของเงินทองผู้อื่นที่ไม่ใช่ของเรา จะปฏิบัติศีลที่ไหน ถ้าอย่างนั้นนอนหลับเฉยๆก็มีศีลแล้ว

สมณะเดินดินว่า..พวกนักโทษในเรือนจำก็มีศีลสิ

พ่อครูว่า...มันต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง … อันนี้กระทบเงินทอง กระทบชื่อเสียงลาภยศ กระทบผู้หญิงผู้ชาย แล้วมันเกิดอาการกิเลส คุณก็รู้กิเลส. แล้วแก้ไขกิเลสตัวนั้น นี่มันเป็นสัจจะ ไปนั่งหลับตาแล้วบอกว่าไม่มีกิเลสได้อย่างไร?

อย่างธัมมชโยนี้เป็นนักประดับตกแต่งทั้งร่างกายทั้งหน้าตาตัวเอง

เห็น“อภิมหาฤทธิ์เดช”ของ“ช่องนี้ช่องเดียว” กับ“การสะกดจิต”ที่มีประสิทธิภาพมั้ย?

ทั้งนั้นๆ ไม่ว่า“จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล”ข้อไหน เขาไม่แยแส เพราะ“เขาเป็นคนไม่สังวรศีล” เขาเพ้อเจ้อ ไม่อิงหลักไม่อิงธรรมพระพุทธเจ้า เขาประดับตบแต่งทั้งร่างกาย ทั้งดอกไม้ของหอม เอามาประดับประดิษฐ์ประดอยทำเล่นอย่างผลาญพล่าสาหัสเพื่อความยิ่งใหญ่ จะชิบหายวางป่วงอย่างไร เขาทำฉิบหายได้อย่างไม่ยี่หระ

ยิ่งศีลข้อ“เว้นขาดจากการรับเงินรับทอง-เว้นขาดจากการับไร่นาที่ดิน” ศีลข้อนี้ เป็นชนักปักคอเขาอยู่จนป่านนี้ เขาก็ยังยื้อดื้อดึงต่อรัฐ ต่อเจ้าหน้าที่ประเทศ ต่อใครที่ใหญ่ที่สุด มีอำนาจที่สุด เขาท้าทายไปหมดอย่างที่เห็นๆ เขาไม่ยอมตามคำสั่งศาล เขาดื้อต่อข้อหาของศาล เขาไม่ยอมให้จับตามคำสั่งศาล เขาอยู่อย่างผู้มีอำนาจเหนือใครในประเทศนี้ โดยไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้

ใครจะใหญ่กว่าเขา หา..!!!!????

เมื่อยนะนี่ แค่สาธยายมาแค่นี้ก็..

ยิ่ง“มหาศีลอันเป็นเรื่องของเดรัจฉานกถา (การพูดที่ยิ่งพาจมไปในโลกต่ำลงๆเสื่อมลงๆ)

และเดรัจฉานวิชา(การพาทำ พาประพฤติไปได้ภพชาติของสวรรค์ของนรกยิ่งๆขึ้น โดยไม่ละภพ ไม่ลดชาติ) 

ผู้รู้ทางพุทธธรรมเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในวงการพุทธศาสนา เช่น ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ทักท้วงก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ฯ

เขาก็ยังคงดื้อด้านดันทุรังเอา“กิเลส”ของคนปุถุชนทั้งหลายเป็นที่ตั้ง แล้วก็ใช้คราบแห่งความเป็นนักบวชของพุทธศาสนา เขาสะกดจิตคน ครอบงำความคิด ล้วงตับกินไส้คน อยู่อย่างหน้าด้านเป็นที่สุด

เขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ว่าเขา“สะกดจิต”(hypnotise) แต่เขาสะกดจิตครอบงำความคิดคนเหล่านั้นจริงๆ จนเขาได้ผลไง!!!  

เขาสรรหา“เล่ห์กล”สารพัดมาหลอกคนให้หลงเชื่อว่า“เขาศักดิ์สิทธิ์”มีฤทธิ์เดชทำให้คน“ร่ำรวย”ได้ ประสบผลสำเร็จในโลก ธรรม อันหมายถึง ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุข นั่นเอง อย่างไม่น่าเชื่อ

ถ้าเขามีอำนาจจริง ก็เชื่อเขาก็อย่าไปทำงานสิ เดี๋ยวอำนาจของเขาก็จะช่วยให้รวยได้ เหมือนไสยบาบา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุหรอก คนที่ร่ำรวยมีฐานะดีขึ้นมาไล่เรียงกันไปก็มาจากเหตุทั้งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยลอยๆไม่มีที่มาที่ไป ไม่ได้ ไม่มี เพราะทุกอย่างมาแต่เหตุ เขาคิดไม่ออกหรอกว่าที่มาจากเหตุใดที่เป็นอิทัปปัจจยตาเขาเข้าใจไม่ได้ เพราะมีทั้งกรรมปัจจุบันและกรรมวิบากเก่า แม้เราจะไม่รู้ในวิบากเก่าแต่เมื่อได้เรียนในกรรมปัจจุบันไปก็จะรู้เหตุ

อย่างอาตมามีวิบาก … อย่างวิบากความรู้ทางธรรมโยงใยดีๆ จะรู้ว่าอาตมาเป็นใคร มีประวัติตำนาน จะมีหลักฐานอ้างอิงได้ แต่ไม่อยากบอก คนก็จะรับไม่ได้ แต่ต่อไปอาจต้องพูด ต้องบอกบ้าง ขนาดพูดอย่างนี้ ขนาดนี้หลายคนก็ยังไม่เชื่อ

อย่างน้อยความรู้ที่อาตมาบรรยาย เป็นความรู้โลกุตรธรรม ขอถามว่า มีใครอธิบายเนื้อหาสาระสัจธรรม…

- แยกกายให้รู้ว่ากายคืออะไร ?

-แยกบุญให้รู้ว่าบุญคืออะไร ?

-แยกสมาธิ ที่เป็นโลกียะกับโลกุตระหรือสัมมาสมาธิของพระอาริยะนั้นต่างจากสมาธิทั่วไปอย่างไร ?

ใครที่อธิบายอย่างอาตมา แล้วอาตมาอธิบายสอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้าหรือไม่ ในภาษาบาลีก็มีคำว่า กายต่างๆสารพัด อาตมาขยายความได้ คำต่างๆที่เป็นบาลี แม้แต่คำว่ากายหรือคำอื่นๆ

ถ้าเข้าใจคำว่ากายว่ามีแต่รูป มหาภูตรูปไม่มีนามธรรมก็เจ๊งก็จบแล้ว ถ้าไม่รู้กายที่สัมมาทิฏฐิจะบรรลุธรรมได้อย่างไร? ไม่ใช่ตื้นๆนะ หรือแม้แต่คำว่าบุญ

คำว่าบุญมีหน้าที่เดียวคือชำระกิเลส ชำระกิเลสเสร็จก็จบกิจ ชำระกิเลสตัวไหนได้แล้วบุญก็จบไปด้วย  แล้วใครอธิบายอย่างนี้ได้

และพวกเราก็เอาไปปฏิบัติได้แล้วไม่สับสนไม่งง จะชัดเจน เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจคำว่าบุญนี้ผิดก็จะเป็นเหมือนธัมมชโยที่เอาบุญมาขาย เห็นได้ว่าประชากรพุทธศาสนิกชนนั้นงมงาย ให้คนเขาล้วงตับกินไส้จำนวนหนึ่ง อาตมาเชื่อว่าไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของพุทธศาสนิกชนทั้ง 70 ล้าน ไม่ใช่ 95% ของชาวไทยที่ไปเป็นทาสธัมมชโย ยิ่งตอนนี้ก็น่าจะชาคริยา ตื่นกันมากขึ้น ถูกธัมมชโยสนตะพายจูงจมูกเป็นควายมานานแล้วก็เลิกเสียก็จะมี

คำพูดของเขาทำให้คนจมไปในความเสื่อม พูดให้คนมีภพชาติ  ให้คนไปหลงสวรรค์ ทั้งที่ต้องรู้ว่าต้องค่อยๆลดสวรรค์ลงไป ทั้งนรกและสวรรค์ก็คือภพ

ถ้าเข้าใจแค่นี้ไม่ได้เข้าใจว่าสวรรค์นรกคือภพชาติ  อาตมาว่า ก็เป็นอเวไนยสัตว์ต่อไป

คนผู้ไม่รู้ว่า ทุกอย่างมาแต่“เหตุ” ซึ่งแท้ๆแล้ว “ผล”ที่เขาได้นั้น มาจาก “เหตุ”คือ เดรัจฉานกถา-เดรัจฉานวิชา ที่เขา“จูงใจคน”ด้วย“วิธีสะกดจิต” แล้วคนผู้ถูกสะกดก็หลงเชื่อฟังนับถือเขาอย่าง“คนมีเดช-คนมีคุณ-คนเป็นพระเจ้า”สุดวิเศษ

อย่างเช่นคุณบุญชัย บอกว่าถ้าไม่มีคนนี้เราไม่มีอะไรเลย (ดูถูกตัวเองจังเลย) ถึงบอกว่า ถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่ได้หรอก แต่เขาต้องขวนขวายตามสามารถเขา คุณต้องขวนขวายตามโลก แล้วคุณรู้ตัวไหมว่า เอาเปรียบคนมาเท่าไหร่ คุณบุญชัย ก็คงยาก เพราะว่า กามกับอัตตาเขาก็ยังเยอะ

เพราะนายไชยบูลย์นั้นไม่รู้เรื่อง ของ“กาย” ของ“จิต” นายไชยบูลย์ไม่รู้ความเป็นจริงของ“รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ”เลย สมีไชยบูลย์มืดจมงมงายไปกับ“รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ”ต่างหาก

สมีไชยบูลย์จึงสอนตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธเจ้า 180 องศา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนให้คนเป็น“อาริยะ” เป็น“โลกุตระ” ลดละจางคลายจากการยึดติด“ภพ” สอนให้“ดับชาติ”  

แต่นายไชยบูลย์สอนให้คนมีจิตเป็น “เปรต”ผู้หื่นกระหายหิว“ความรวย” ทำให้คนให้“ติดภพ-ยึดชาติ” เกิดแล้ว เกิดอีก ไม่มีสิ้นภพจบชาติ ยิ่งพากันอวิชชา-มิจฉาทิฏฐิ

นายไชยบูลย์โกหกคนว่า ผู้มีภพ มีชาติไปสู่สรวงสวรรค์นี่แหละคือ“ผู้มีบารมี” บารมีนี้จะพาไป“นิพพาน” ซึ่งมันเป็นภพ-ชาติ

นิพพาน”คือ ความสิ้นภพจบชาติ

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้คน“สิ้นภพจบชาติ” โดยเฉพาะให้“สิ้นบุญสิ้นบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)เป็นอรหันต์ แต่เขาดันสอนให้คน“ยึดภพยึดชาติ” ให้“พอกบุญพูนบาป”

โดยเฉพาะเขาไม่มี“ความฉลาด”แม้แต่น้อย ที่จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้คน

“สิ้นบุญสิ้นบาป” โดยลดภพ-ลดชาติได้ก็เป็น“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา) หรือ“กำจัดบาปลดบุญ”ไปตามลำดับ เป็น“เสขบุคคล” ชึ่งผู้ชำระ“บาป”ลดลง “บุญ”ก็น้อยลงไปตาม

เมื่อเป็น“อเสขบุคคล”ก็เป็นผู้“สิ้นบุญสิ้นบาป” เป็นคน“ไม่มีบุญไม่มีบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)อีกต่อไปแล้ว

สมีไชยบูลย์ไม่มีทางรู้ เหมือนพวกเปรียญเก้าหรือพวกจบดอกเตอร์ทางศาสนาหลายใบ แต่ไม่มีทางรู้โลกุตรธรรม ก็อาจมีทั้งวิบากด้วย อย่างไชยบูลย์นี้ ก็มีวิบากเหมือนพระเจ้าอชาตศัตรู แม้พระพุทธเจ้าสอนโดยตรง แต่ก็มีวิบากฆ่าพ่อ ก็ไม่บรรลุแม้โสดาบัน เห็นภัยถึงอนันตริยกรรมไหม แม้พระเจ้าอชาตศัตรูสำนึกบาปแล้ว ก็มีวิบาก ถามซ้ำว่าไชยบูลย์ทำบาป ทำศาสนาหนักไหม ก็เป็นวิบากอจินไตยที่เขาไปหลอกคนได้ สามารถมาก ให้คนหลงได้มากขนาดนี้

ผู้เป็น“อเสขบุคคล”คืออรหันต์ ไม่ต้อง “ทำบุญ”กันอีกแล้ว ตนไม่ต้องใช้“บุญ”อีกต่อไปแล้ว เพราะตนได้ชำระ“บาป”หมดสิ้นเกลี้ยงแล้ว  หน้าที่ของ“บุญ”ก็เสร็จจบแล้วชำระจิตของตนสะอาดหมดจด(สจิตตปริโยทปนัง)แล้วถึงขั้น“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”ก็“ไม่ทำบาปทั้งปวงอีก”(สัพพปาปัสส อกรณัง)

ดังนั้น อรหันต์ผู้ยังมี“การกระทำ”(กรณ) ใดๆอยู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานสุดท้ายไปจากโลก “การกระทำ”ของอรหันต์ทุกกรณะจึงเป็น“กุศล”ทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่“บุญ”แล้ว ตามโอวาทปาติโมกข์ที่ว่า “สัพพปาปัสสะ อกรณัง  กุสลัสสูปสัมปทา”

สังเกตให้ดี “การกระทำของผู้หมดสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว”คือ อรหันต์ จึงมีแต่“กุศล” ไม่ใช่“มีบุญ”  บุญหมดไปแล้ว งอกอีกไม่ได้

เพราะมัน“หมดบุญหมดบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)แล้ว การกระทำใดๆอีกจึงไม่เป็น“บุญ”ใดได้อีกต่อไป  รู้“บุญ”ให้ดีให้ถูกๆ

เพราะไม่ต้องใช้“บุญ”อีกต่อไปแล้ว เป็นผู้“จบกิจ” บรรลุอรหันต์เรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จึงเป็นผู้“หมดสิ้นบุญ”(ปุญญปริกฺขีโณ) ไม่ใช่เป็นผู้มี“บุญ” เพราะ“บุญ”ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ผลแล้ว ยิ่งได้ ยิ่งมีมาก แต่หมดยิ่ง

เรื่อง“บุญ”ที่อาตมากำลัง“เปิดเผย” ความจริง ซึ่งชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจผิดกันหรือ“มิจฉาทิฏฐิ”นี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก ก็เพราะคำว่า“บุญ”ที่มิจฉาทิฏฐินี้แหละที่ทำ

ให้ศาสนาพุทธเสื่อมหนักมากจนย่ำแย่ในวงการพุทธทุกวันนี้ พุทธจึงมีแต่สร้างกิเลส

“บุญ”คำนี้ไม่ใช่“กิเลส”ที่จะ“ได้มา”เลย แต่“บุญ”เป็นสิ่งที่ถ้าใคร“ทำบุญ”เกิดผลบุญ หรือมี“ส่วนบุญ”(ปุญญภาคิยา,ปุญญภาค)เกิดขึ้น ผู้นั้นยิ่งจะ“สิ้นกิเลสไป” จนที่สุด“หมดบุญ”

มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า “บุญ”นั้น ไม่ใช่“สมบัติ”(สิ่งที่“ได้มา”ด้วยดี)ที่คนจะสะสมให้มีมากขึ้นๆ “บุญ”สะสมให้มี“อุบัติ”ไม่ได้

แต่ผู้ทำ“บุญ”คือผู้ทำ“วิบัติ”(สิ่งที่“เสียไป,หมดไป”ด้วยดี) ทำ“บาป”นั่นเองให้“วิบัติ”ไปจากจิตสันดานของตน ผู้มี“กิเลส”จึงต้องมี“บุญ”

ผู้ได้“ส่วนบุญ”คือ ผู้“กิเลส”เสียไป กิเลสลดลงตามลำดับ ผู้“กิเลส”หมด ก็“หมดบุญ”

“ส่วนบุญ”(ปุญญภาค,ปุญญภาคิยา)จึงเอาไปแบ่งให้ใครๆไม่ได้ เพราะ“บุญ”เป็น“กรรม(การกระทำ)ของตน”เท่านั้น(กัมมัสสกะ) ตนเท่านั้นที่เป็น“ทายาทของกรรม”(กัมมทายาท) จะเอา “การกระทำของตนที่เป็นของตน”(กัมมัสสกะ)ไปให้เป็น“การกระทำของคนอื่น”ได้ยังไง?

“ตนกระทำ”มันก็“ตนเป็นผู้ทำ” แล้วคนอื่นมันจะแบ่งเอา“การกระทำ”ของตนไปเป็น“การกระทำของผู้อื่น”  “ทำ”ได้ยังไง? ถ้าทำได้อาตมาทำก่อนแล้ว แบ่งให้พี่น้องลูกหลานแล้ว คุณตบบ้องหูคนอื่นแล้วก็จะแบ่งกรรมการตบบ้องหูนี้ให้คนอื่นจะได้อย่างไร?

ก็“การกระทำ”(กรรม)มันของใครก็ของคนนั้น“ทำ” แล้วเราจะแบ่ง“การกระทำ”ของเราที่เราเป็นผู้“ทำ”เองแท้ๆแล้วนั้น ..ไปให้เป็น“การกระทำของผู้อื่น”  แบ่งยังไง?!!!! 

ตอบหน่อยซิ? ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:21:00 )

591122

รายละเอียด

591122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มูลกรรมฐานสู่การวางความยึดติด

สมณะเดินดินว่า...วันนี้วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2559 วันเวลาผ่านไปเร็วมากพวกเราก็สนุกสนานกับการจัดโรงบุญกัน แจกกวฬิงการาหาร แต่พ่อครูก็แจกมโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร พวกเราจัดโรงบุญก็อย่าลืมมาเอามโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

แล้วทำทานอย่างไรพวกเราจะไม่ตั้งความหวัง ตั้งภพชาติ เหมือนธรรมกาย เราจะทำอย่างไรที่ทำทานเพื่อสิ้นภพจบชาติ แม้แต่ทำงานก็เพื่อไม่ได้สร้างภพชาติ ให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้

ถ้าเราเป็นผู้จัดงาน งานเราจะเยอะมากเลย เห็นใครก็อยากจะจัดการ ดีไม่ดีก็อยากจะไปแก้ไขฮิลลารีหรืออเมริกา แต่ถ้าเราเป็นคนเล็กคนน้อย เป็นคนรับใช้ที่ดีเราไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ก็ว่ามีคนที่พร้อมจะคิดแทนให้เราแล้ว เราก็เลือกทำที่เขาพูดที่เขาเสนอมา แต่งานมากเพราะว่าเราคิดมาก บางทีตื่นขึ้นมาไม่มีแรงจะทำเพราะว่ากลางคืนตอนนอนคิดเสียเยอะ เราเพียงแต่เลือกทำเท่านั้น แต่ถ้าคิดเองไม่เยอะใครขวางก็จะเป็นศัตรูไปหมด ไม่ได้ทำตาม ยุทธศาสตร์อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ที่ พ่อครูให้ไว้เป็นประจำ

เรื่องธรรมกาย ...อาตมาอยู่กับพ่อครูมานาน แต่ก่อนพ่อครูบอกว่า ไม่ต้องไปยุ่งกับธรรมกายหรอก เขาจะใหญ่แล้วก็ล้มไปเอง แต่พ่อครูอาจคาดการณ์พลาด เพราะเขาไม่ล้มแล้วก็จะทำให้ศาสนาล้มไปด้วย ในสถานการณ์นี้ไม่ยุ่งไม่ได้ เขาสามารถบงการพระทั่วประเทศ ให้มารับปัจจัย มีอิทธิพลไปต่างประเทศด้วย

มีดาราชื่อจักจั่น จะไปช่วยชาวนา แต่ถูกหลอก คนก็ไปช่วยเหลือ แต่นี่ธัมมชโยหลอกคนมากมาย มีคนฆ่าตัวตายด้วย โศลกเขาบอกว่า ไม่มีไม่ได้ ไม่ได้ไม่มี ปิดบัญชีทางโลกเปิดบัญชีทางธรรม เพื่อให้คนมาทำทานจนหมดเนื้อหมดตัว คนมีปัญญาก็พอมองออกว่าเป็นเรื่องหลอก แต่ดูเหมือนว่ามีอิทธิพล จนตำรวจบอกว่า อายุความคดีนี้ 15 ปี ไม่หมดง่ายๆหรอก

พ่อครูก็เอามาอธิบายถึงโทษภัยต่อจิตวิญญาณ เป็นผลเสียต่อคนหลอกและคนถูกหลอก เป็นอันตรายที่จะเกิดขึ้นทั้งในบ้านเมืองของเรา หมอมโนก็เคยสรุปว่า ขบวนการของธัมมชโยนี้ใหญ่กว่า สมีอื่นๆมากมาย

พ่อครูว่า...วันนี้วันแรม 8 ค่ำเดือน 12 ปีวอก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่เขาทำได้เพราะตัวคนในศาสนากระแสหลัก ตัวภิกษุที่ดูแลรักษาปัจจุบันนี้ มีหน้าที่ต้องคอยดูแลรักษาศาสนาพุทธต่อไป ความรู้มันได้เพี้ยนไปจากความเป็นจริงของพุทธศาสนาที่สัมมาทิฏฐิหนักมาก

อาตมาไม่ได้แกล้งใส่ความ ไม่มีเจตนาร้าย แต่เวทนาศาสนาที่ถูกคนเข้าใจไม่ได้ ก็เห็นใจที่เขารับถ่ายทอดกันมา โดยถ่ายทอดสิ่งผิดเพี้ยนมาตามลำดับยุคกาล เพี้ยนไปเรื่อยๆ จนเพี้ยนหนัก หนักจนตีลังกากลับ เอาหัวเป็นหาง ยึดผิดเป็นถูก อาตมาก็ไม่รู้จะมีความสามารถมากกว่านี้ได้อย่างไร เท่าที่ทำมากว่าจะครึ่งศตวรรษแล้วนะ เพราะว่ามันโชคดีที่พุทธศาสนาในเมืองไทยยังมีพระไตรปิฎกเป็นหลัก เป็นพระไตรปิฎกที่ถูกต้องดียืนยันได้ชัดเจน อาตมาก็ได้อาศัยพระไตรปิฎกนี้เป็นหลัก ไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้ พูดไปเขาก็เอาตายไปแล้ว พระไตรปิฎกทางภาษาบาลีเขาแปลเป็นภาษาไทยก็ถูกต้อง มีที่ไม่ตรงนะก็มี

เช่น แปลสันโดษ หรือสันตุฏฐี แปลกันว่า ยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ ถ้าไปแปลอย่างนี้ ก็คือยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ คนรวย คนมีอะไรของตนอยู่จริงเท่าไหร่ก็ยินดีอยู่ เสร็จแล้วก็เพิ่มเติมความมีก็ยิ่งยินดีเพิ่มอีก เพราะว่า ประเด็นสันตุฏฐีนี้คือใจมันยินดีในความพอ ไม่ใช่ยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่ใช่ว่ายินดีแบบว่ามีเท่านี้พอ

สันตุฏฐีนี้เนื่องถึง ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ

อัปปิจฉะคือให้น้อยลงให้ได้แล้วจิตเราไม่ดิ้นรน มีปวิเวก จิตสงบรำงับ ไม่เต็มไปด้วยความอยาก มีอยากได้เพิ่มเติมแล้วก็อสังสัคคะ คือไม่หลงไม่ประกอบสวรรค์ อาตมาแปลอย่างตรงซื่อๆ แล้วมั่นใจว่าแปลถูก อสังสัคคะคือเข้าใจสวรรค์แล้ว ในอนุปุพพิกถา 5

ทาน ศีล สัคคะ อาทีนวะ เนกขัมมะ

การทำทานก็อย่าไปสร้างภพสร้างชาติ แต่ที่เขาสอนกันก็สอนผิดๆ สอนทำทานแล้วสร้างภพชาติ พุทธสอนให้ทำโยนิโสมนสิการ คือทำใจในใจอย่าไปสร้างภพชาติ ถ้าทำใจในใจสร้างภพชาติก็คือมิจฉาทิฏฐิ

โยนิโสมนสิการ สำคัญมาก จัดสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิก็ต้องรู้จักที่การโยนิโสมนสิการ ต้องแสวงหาผู้รู้ที่อธิบายได้ถูกต้อง ต้องฟังว่าอันนี้เข้าท่า อันนี้ไม่เข้าท่า ถ้าใครฟังที่อาตมาอธิบายแล้วก็ว่าไม่เข้าท่าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

ไม่ว่าสำนักไหนอาจารย์ไหนของศาสนากระแสหลักไม่ได้สอนให้ลดภพชาติ ไม่ได้พูดอย่างตรงๆ เขาไม่ชัดเจนว่าภพชาติคืออะไร จิตที่มีเจตนาต่อไป เจตนาแล้วมีอยาก เจตนามีภพ มโนสัญเจตนามีสามอย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา (ตัณหาที่ไม่มีภพ ไม่มีความหวังหรือความอยากได้ มีแต่เจตนา)

ถ้าไม่เข้าใจพยัญชนะและสภาวะที่ได้สื่อไปนี้ ถ้าไม่ได้เรียนรู้โยนิโสมนสิการการทำใจในใจของตนเอง การจัดแจงใจ การปรับใจของตนเองอภิสังขาร ว่าเรามีอาการอยากมีอาการหลังจากได้มาเป็นเราเป็นของเราหรือไม่ มันมีอาการอย่างไร ต้องมีอาการ ถ้าเข้าใจอาการนั้นไม่ถูกไม่ตรงไม่ได้ก็ทำไม่ได้ ถ้าเข้าใจได้ถูกตรงก็ทำเป็น ก็ต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกก็ไม่มีผล สุกฏทุกตานังกัมมานังผลังวิปาโก คือผลสุขทุกข์ หรือดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่กรรม ต้องเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิแล้วก็ทำกรรมนั้นจริงๆ

คำว่าโยนิโสมนสิการนี้ อยู่ในปัญญาวุฒิหรืออยู่ในพระสูตรอื่นๆเยอะแยะ หรือในสุริยเปยยาลสูตร ต้องได้พบแสงอรุณก่อนได้พบแสงพระอาทิตย์ คือจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้นั้น มีเงื่อนไขว่าต้องเจอแสงเงินแสงทองก่อน ทั้ง 7 อย่าง

ข้อสุดท้ายคือโยนิโสมนสิการ ต้องเป็นผู้มีจิตรู้ เข้าใจว่าการทำใจในใจคืออย่างนี้ ไม่ใช่แปลโยนิโสมนสิการว่าพิจารณาอย่างถ่องแท้ ใช่การปฏิบัติธรรมต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ผู้ที่รู้เป็นนักปราชญ์ที่เขายกย่องในประเทศไทย ก็แปลธัมมวิจัยเป็นเพียงรูปนอก สังคม ไม่วิจัยในกายเวทนาจิตธรรม ทั้งที่สัมโพชฌงค์คือองค์แห่งการตรัสรู้ จะเป็นภูมิปัญญา เป็นอัญญา เป็นความรู้ขั้นโลกุตระ มันไม่ใช่ความรู้แบบโลกโลกีย์ มันเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน

ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือวิจัยธรรมะถึงขั้นปรมัตถธรรม ในกายเวทนาจิตธรรม

ต้องเรียนรู้กาย กายเป็นความรู้เบื้องต้น ที่ต้องชัดเจน เป็นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 (ข้อ 1 ของโพธิปักขิยธรรม 37) สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, มรรคมีองค์ 8 รวมเป็น 37 จึงเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม 37  ในพระไตรปิฎกเล่ม 31 ข้อ 620

และมีอาริยมรรค 4 สามัญผล 4 และนิพพานอีก 1 รวมเป็น โลกุตระ 46

เพราะฉะนั้นที่เราบรรยายเป็นธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า ส่วนธรรมะของศาสนาอื่นเป็นโลกียธรรม ไม่มีศาสนาไหนสอนโลกุตรธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีลัทธิใดที่จะมีสมณะสี่เหล่า ธรรมใดวินัยใดว่างจากมรรคมีองค์ 8 ก็จะว่างจากสมณะสี่เหล่าก็ไม่มีโลกุตรธรรม อาริยธรรม

เพราะฉะนั้น เมื่อมันเสื่อมไปจากโลกุตรธรรม อาตมาก็จำเป็นจะต้องรื้อฟื้นเพราะธรรมะโลกุตระเป็นธรรมะที่จะช่วยคนให้พ้นโลก ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเสื่อมต่ำลงไปเรื่อย โลกทั้งโลกเป็นไปหนักหนาสาหัส เข้าใกล้กลียุค

คนนึกไม่ออกไม่รู้ที่ไปที่มา ว่าทำไม ประเทศโลกีย์สามัญ เขานับถือยกย่องกันว่าเป็นประเทศเจริญเช่นอเมริกา แต่เหตุการณ์อเมริกาตอนนี้ เลือกตั้งเบอร์หนึ่งมาเป็นประธานาธิปดี สุดท้ายได้แล้ว ก็ดูสามัญสำนึกคนทั่วไป หักปากกาเซียน ฉีกโพล ของบรรดาผู้รู้ทั้งหลายแหล่ หักเลย ซึ่งจริงๆมันแสดงถึงความเสื่อมของโลก ชัดๆง่ายๆ เขาก็พูดไม่ออก แต่ว่าโดยหลักเกณฑ์เขาทำได้

ส่วนประเทศไทยนั้นยิ่งแย่กว่านั้นอีก คือในวงการของผู้รู้ธรรมะเลย วงการศาสนา ทำไมไม่รู้ ทางโลกโลกีย์เขายังรู้เลยว่า คนๆนี้ เขาอธิกรณ์ว่าผิดปาราชิกข้อ 2 คือเอาทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตนมาโดยฉ้อโกง แล้วเขาก็ยื่นอธิกรณ์แล้วนะ แต่กระแสหลักทางศาสนา ไม่ส่งเสริมไม่เอาเรื่องเลย ทั้งที่อธิกรณ์ปาราชิกเลยนะ แต่เขาว่าไม่ใช่เรื่องวงการศาสนา เห็นไหมว่ามันเสื่อมมากเลย ไม่รู้ไม่ชี้แล้วยกยอปอปั้นกันอีก ขนาดผู้อยู่ในฐานะว่าที่สังฆราช เขายังยกย่องคนนี้เลย นี่คือความจริงไม่ได้ใส่ความหาเรื่อง

มันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพูดบอก จนอาตมารู้ว่าคนก็จะว่าอาตมาได้ ที่อาตมาต้องจำเป็นต้องบอกเพราะว่าเป็นเรื่องที่เป็นวิสัยที่ยากจะรู้อย่างธรรมดาสามัญ มันเป็นเรื่องลึกเกินไป

ขอยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านอุบัติ ท่านก็ต้องประกาศว่าเราเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่กว่าใคร ไม่มีใครเทียบเท่า ในกัปป์หนึ่งจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติได้องค์เดียว จะอุบัติใกล้กันในยุคกาลไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้ ท่านไม่ได้อวดตัว แต่ท่านต้องบอกต่อสังคมโลกว่าคนชนิดนี้มีจริง แล้วจริงใจ จิตท่านไม่มีสาเฐยจิต อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ได้อวดอ้าง อาตมาออกมาทำงานในชาตินี้ก็ประกาศตนเองว่าตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ จะมาบรรยายธรรมะ จะมากอบกู้ธรรมะที่มันได้เพี้ยนไป แต่แล้วเถรวราทไม่ได้ประสีประสาในเรื่องของพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าอาตมาประกาศเป็นอรหันต์ตั้งแต่แรกก็จะตายเลย เขาเอาตาย อาตมาก็ยอมเขา สุดท้ายเขาหาเรื่องทางโลก บอกว่าเป็นผู้ที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผิดต่อธรรมวินัยเป็นอาจิณ อาตมาก็ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งบ้านช่องเรือนชาน จะไปมีที่อยู่หลักแหล่ง แต่อาตมาก็มีบ้านเลขที่สำมะโนครัวก็มี ตอนนั้นก็สังกัดวัดอโศการาม

ตอนปี 2518 อาตมาประกาศนานาสังวาส แต่เขามาหาเรื่องตอน 2532 อาตมาก็มีพุทธสถานอยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วบอกว่าธรรมวินัยเป็นอาจินต์ก็ยืนยันไม่ได้ ไปเอาพระราชบัญญัติสงฆ์ 2505 มายืนยัน โดยใช้อำนาจคือ บัญญัติมาเอง เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ มาตรานั้นคือว่าสังฆราชมีอำนาจในการสั่งให้สึกได้ ก็เลยสั่งอาตมาสึกตามอำนาจภายใน 7 วัน ถ้าไม่สึกก็ผิดกฏหมาย (ทำไม่ได้ เพราะผิดธรรมวินัยนะ) ตามธรรมวินัยนั้น ถ้าจะสั่งให้สึกต้อง ผิดข้อวินัย 11 ประการ แม้รู้ภายหลังก็ให้สึกได้ เช่นเป็นกระเทย ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา เป็นต้น

ถ้าปาราชิกก็สั่งให้สึกได้ แต่สังฆาทิเสสก็สั่งให้สึกไม่ได้ อาตมาไม่มีความผิดที่จะให้สึกได้ บทบัญญัติของสังฆราชที่มาสั่งให้สึกก็ไม่ตรงธรรมวินัย สังฆราชก็สั่งให้สึกไม่ได้ บทบัญญัติสงฆ์ที่เขาบัญญัติขึ้นมาจึงไม่ตรงพระธรรมวินัย

ในพรบ.สงห์ 2505 ก็บอกไว้ว่า บทบัญญัติใดขัดแย้งกับธรรมวินัย บทบัญญัตินั้นเป็นโมฆะ

แต่อาตมาไม่ได้สึก เขาก็ฟ้องร้อง ขึ้นศาล ศาลสั่งให้สึก อาตมาก็ต้องผิดกฏหมายใช่ไหม ก็ใช่แล้ว (สมณะเดินดินก็บอกว่าพยานโจทย์ก็ยืนยันว่าไม่ได้สึก) จำเลยก็บอกว่าไม่สึก ยังพูดเรียกอาตมาอยู่เลย เมื่ออาตมาไม่สึกอาตมาก็เป็นภิกษุตามธรรมวินัย

แล้วกฏหมายอาตมาก็ผิดกฏหมาย อาตมาก็ยอมรับ เขาก็ลงโทษ ให้ติดคุกหกเดือนแล้วรอลงอาญาสองปี อาตมาอยู่ในประเทศไทย ก็ไม่ได้อยู่อย่างผิดกฏหมาย ยอมรับแม้เป็นกฏหมายที่โมฆะก็ยังยอม ขนาดนี้ยังไม่เห็นใจอาตมา อาตมาไม่ได้ดื้อดึงดันเลย อยากทำก็ทำไป จนถึงบัดนี้อาตมาก็ยังยืนยันว่าเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ ผู้ที่เป็นใหญ่เป็นโตในศาสนาพุทธเมืองไทยก็มีที่ปาราชิกก็มี อย่างน้อยก็ธัมมชโย สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรก็มีพระลิขิตไว้ แต่เรื่องก็เงียบ ขนาดในวงการการศึกษาของศาสนาก็มีคนทำผิดอยู่ในนั้น อาตมาบวชปี 2513 แต่พอปี 2518 ก็ไม่ไหวก็ต้องขอลาออกมา

 

 SMS วันที่ 21 พฤศจิกายน 2559

0893867xxxนมก.พ่อครูฯผู้น้อยตัวยังไม่พร้อมมาช่วยโรงบุญแต่ก็ส่งปัจจัยไปสมทบช่วยกทธ.ผ่านมูลนิธิธรรมสันติแทน ตามอัตภาพเท่าที่มีอยู่พอประมาณ!มวลเสริมกทธ.ทุกงานบุญแม้กระทั่งช่วยผู้ประสบอุทกภัยฯทุกที่ๆ กทธ.เคยช่วยปวงชนไม่ทิ้งกัน!

0893867xxxเป็นห่วงพ่อครูฯทำเลียนแบบบิ๊กUFO!คนไม่หลงสวรรค์อาจขำอมยิ้มแต่คนหลงสวรรค์คงตาเขียวปั๊ด!องครักษ์พิทักษ์พ่อครูเตรียมพร้อมสรรพ24ชม.ฮ้าไฮ้!

ตอบ...เขาก็ทำแบบช่องนี้ช่องเดียว ไม่มีปรโตโฆษะเลยอย่างสนิท เขาจึงไม่มีสัมมาทิฏฐิได้ตลอดกาลนานเลย เขาโยนิโสมนสิการไม่เป็น เขาเอาแต่สะกดจิต ครอบงำความคิด แล้วบอกว่าฟังช่องนี้ช่องเดียว แล้วฟังเขาสะกดจิต เขาก็จะบอกว่าให้ฟังเสียงเราเสียงเดียว ให้ฟังคำสั่งเราคำสั่งเดียวใครที่ผ่านมาก็จะเจอแบบนี้ทั้งนั้น ต้องหาช่องนี้ช่องเดียวคือสะกดจิต ให้ฟังผู้สั่ง แล้วหลับตาทำจิตจดจ่อ

การนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีกาย ที่จะให้เหลือแค่ลมหายใจเข้าออกก็เป็นกายที่เบาบางที่สุดจะขาดจากกายไปแล้วนะ ที่พระพุทธเจ้าให้ทำแบบนี้ก็คืออนุโลม ในอานาปานสติ ก็ให้ทำกายสังขารให้รำงับ

พระพุทธเจ้าตรัสคำว่ากาย นี้ลึกซึ้งมากในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230

พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา  ดังนี้ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

แสดงว่ากายต้องมีธรรมะสองเสมอ  แล้วกายต้องหมายถึงหนักไปทางจิต แต่ไม่ทิ้งมหาภูตรูปทั้งสี่คือดินน้ำไฟลม แต่กายที่ชาวพุทธเข้าใจเดี๋ยวนี้เข้าใจได้แค่ดินน้ำไฟลม ทิ้งจิตไป นี่คือความเสื่อม เริ่มต้นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 พิจารณากายในกายจึงพิจารณาไม่เป็น เพราะเข้าใจกายคือดินน้ำไฟลม ออกนอกรีตนอกธรรมพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

โลกุตระข้อที่1 ต้องเริ่มที่กาย แต่ข้อที่1 ก็ทำผิดแล้ว แล้วข้อต่อไปก็ผิดหมดสิ

 

ในมูลกรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คือกรรมฐานที่ต้องพิจารณาให้ถูกต้องให้สัมมาก่อนเลย ให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง  แยกกายแยกจิต ในความเป็น  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง  ก็ต้องแยกกายแยกจิตของ ผม ก็ต้องแยกกายแยกจิตของขน ก็ต้องแยกกายแยกจิตของเล็บ ก็ต้องแยกกายแยกจิตของฟัน ก็ต้องแยกกายแยกจิตของหนัง

ทำไมต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ได้ก็อ่าน อารมณ์ความรู้สึก เวทนาในนั้นไม่ได้ แต่ห้าอย่างนี้เป็นองคาพยพภายนอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้

ถ้าเราแยกกายแยกจิตในเล็บออกก็จะแยกออกในความรู้สึก ในระดับ

1.มันไม่ใช่เราแล้ว เช่นเล็บที่เราตัดทิ้งไปได้ ในส่วนที่ไม่เจ็บ ไม่มีประสาทรับรู้แล้ว รวมถึง ผม ขน ฟัน หนัง ด้วย มันไม่ใช่ตัวเราของเรา แม้จะติดกับตัวเรามันก็ไม่ใช่เราเพราะตัดทิ้งไปก็ไม่รู้สึก ถ้าเป็นเราก็ต้องรับรู้สึกได้ ก็จะเข้าใจว่าความไม่เป็นเราเป็นของเราคืออย่างนี้ เพราะฉะนั้น เงินทองข้าวของทรัพย์สิน บ้านช่องเรือนชานเป็นของเราหรือไม่...ก็ไม่ใช่ ขนาดสิ่งที่ติดกับเรา อย่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ยังไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเลย

2.ทีนี้ยังไม่ตัดออก แต่คุณก็ยังยึดว่าเป็นของเรา เช่นผมนี่ผู้หญิงหวงมากใครอย่ามาตัดเลย เอาตายนะ เล็บก็เช่นกันต้องไปจ้างเขาเกลากลึงเล็บ เห็นแล้วสุดสงสาร ถ้าเราพิจารณาได้ว่ามันอยู่ในร่างกายของเราแท้ๆก็ยังไม่ใช่ของเราแล้วสิ่งที่อยู่นอกร่างกายก็ยิ่งจะไม่ใช่ของเรา แม้แต่ความรู้สึกที่จะเป็นเรามันก็ยังไม่มีเลย คุณตัดออกไปเมื่อไหร่มันก็ไม่มีประสาทรับรู้สึกด้วย มันจะเป็นเราที่ไหน

3.ส่วนที่รู้สึกว่าเป็นเราใน เล็บ นี้ก็ตาม ความรู้สึกเวลามันกระทบสัมผัสแล้วมันก็เจ็บ ถ้าไปกระแทกทุ้งมันมาก มันถึงประสาทมันก็เจ็บ มันก็เป็นความเจ็บความรู้สึกหรือเวทนาเจ็บ แต่ที่เจ็บนั้นมันเรา มันก็รู้สึกที่ประสาท แต่ที่มันไม่รู้สึกเลยตัดทิ้งออกไปได้ คุณพิจารณาได้ไหม เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรา

สิ่งที่ตัดทิ้งไปแล้ว แต่บางคนก็ยังยึดว่าเป็นของเรา ก็หยาบแล้ว แม้อยู่ในร่างกายเรา แม้จะรู้สึกเจ็บมีเวทนา ในส่วนที่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ส่วนที่ไม่รับรู้สึกหรือรับรู้สึก พระพุทธเจ้าก็สอนว่าไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นคนเราถึงหยาบขนาดไหน

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ในมหาภูตรูปคนนั้นเบื่อหน่ายได้เพราะว่าหยาบ…

ในรูป 28 มีมหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปอีก 24 นามคือ เวทนา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ในพระไตรฯล.16 ในปฏิจสมุปบาท แต่เขาไม่ได้เรียนรู้ตามที่พพจ.สอน ไปปฏิบัติแต่กรรมฐาน ก้าวหนอ ย่างหนอ ไม่ได้เรียนตามพระไตรฯเลย ไม่ได้รู้รูป 28 นี้ที่จะเกี่ยวกับการพิจารณารูปนาม ที่จะมี ปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสกันมีปฏิฆสัมผัสโสก็มีภาวรูป 2 (อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ) อิตถีภาวะคือยังทำให้เป็นหนึ่งไม่ได้ ก็เป็นเทวธัมมา ก็พิจารณากาย เป็นธรรมะสอง พอในกายก็เป็นเวทนา เป็นความรู้สึกก็ให้พิจารณาในเวทนาเข้าไปอีก ที่เป็นเวทนาสอง ว่าอันหนึ่งคือเวทนาแท้ อีกอันคือเวทนาเทียม

เวทนาสองที่เป็นเวทนาเท็จคือมันไม่จริง เป็นของแต่ละคนอุปาทานไว้ แต่เวทนาหนึ่งที่เป็นเวทนาจริงแท้ ทุกคนที่สัมผัสก็จะรู้รับได้เหมือนกันหมด สี เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็รับรู้ได้เหมือนกัน

ใครได้ยินเสียง น.ส.พัทธนันท์ที่บอกว่าเห็นในหลวงทั้งที่แกตาบอด อาตมาก็เห็นว่าตาแกบอดจริง ซึ่งร้องได้ดี มีพลังในการร้องได้ดี ทั้งที่เป็นเพลงที่ร้องยาก แต่ดูแล้วไม่เพี้ยน

ถ้าพิจารณารูป 28 นี้ไม่ออก ก็ปฏิบัติธรรมล้มเหลว เมื่อผัสสะทำการสังขารก็เกิด อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ก็ต้องเรียนรู้ธรรมสองนี้ ในองค์ประชุมธรรมะสองที่เรียกว่า กาย พิจารณา เวทนา ที่เป็นกรรมฐานของชาวพุทธ เมื่อรู้มูลกรรมฐาน 5 ก็มาเรียนรู้ เวทนาที่จะเป็นกรรมฐาน เป็นฐานปฏิบัติ

ผู้ใดหลับตาไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาก็ทำผิดอย่างในพรหมชาลสูตรว่าไว้

[77] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยให้เป็นธรรมะสองศาสนาพุทธเรียนรู้อะไรไม่ได้เลย ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะที่เป็นกายเวทนาจิตธรรม ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาอ่านพระไตรฯแล้วตีไม่แตกไม่มีสภาวะ ศาสนาพุทธถึงเสื่อมไปเหมือนกลองอานกะที่เสื่อมไปตามกาลแต่เอาวัสดุอื่นๆไปใส่ไว้หมดกลองนั้นไม่มีเนื้อหนังเป็นของเก่าเลย แต่ยังชื่อว่ากองอานกะเหมือนเดิม ในอานีสูตรว่าไว้

7. อาณิสูตร

[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้บัดนี้เป็นอย่างที่ท่านพยากรณ์ไว้ อาตมาเอาโลกุตรธรรมมาพูดเขาก็ ไขหู ไม่ฟัง เขาฟังแต่อย่างไรจะรวย จะได้สวรรค์วิมาน อย่างไรจะได้เปรียญเก้า อย่างไรเป็นประเพณี ที่เป็นประเพณีเนื้องอกมหาศาลเลย

ธรรมะพระพุทธเจ้าเหลืออยู่ก็คือ เอามาใส่ทำนองร้อง ธรรมบทของพระพุทธเจ้าก็เอาใส่ทำนองร้อง อย่างแขกหรืออิสลาม เขาอ่านอัลกูรอานก็ร้องเสียงยาว น่าสงสารสังเวชศาสนาพุทธก็ยังดีที่ท่องไว้ เอาทำนองใส่จะจำได้ดี มีรสชาติ ที่จริงไม่ใส่ทำนองก็ได้ เดี๋ยวนี้ กดดูเอาได้แต่ก่อนนี้ก็บันทึกได้ แต่ก่อนจริงๆต้องท่องจำก็ต้องสังคีติ สังคายนากัน ก็ดี แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นมันบานปลายออกนอกรีตไปแล้ว

โดยเฉพาะประเพณีที่เป็นเทวนิยมการจัดงานศพการขึ้นบ้านใหม่การเจิมสถานที่หรือสิ่งของมันเป็นประเพณีที่ผิดศีล ผิดจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พูดแล้วเหมือนคนเพ่งโทษแต่ที่จริงมันเป็นโทษเป็นภัยมันไร้สาระไปมากแล้ว

คนเดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจผลของศาสนาพุทธแล้ว

ผลของศาสนาคืออะไร ผลของศาสนาคือ การลดละหน่ายคลาย

 ตามพรหมจริยสูตร ในล.21

         [25] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์

เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้

เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้

เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้

เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ก็หามิได้

โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัดเพื่อดับกิเลส ฯ

 พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์อัน เป็นการละเว้น มีปรกติยังสัตว์ให้หยั่งลงภายในนิพพาน เพื่อสังวร เพื่อละ หนทางนี้อันท่านผู้ใหญ่ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ดำเนินไปแล้ว อนึ่ง ชนเหล่าใดย่อมดำเนินไปสู่ทางนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำ ตาม  คำสั่งสอนของศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ

อาตมาทำงานมาจนบัดนี้ก็ยังภูมิใจที่ไม่ได้เรี่ยไรเลย จะรับบริจาคคนนอกก็ต้องมาวัด มาคบคุ้นกันอย่างน้อยเจ็ดครั้ง ฟังเทปธรรมะอย่างน้อยเจ็ดสิบม้วน แต่จะบอกว่าดูโทรทัศน์ 70 ครั้งไม่เอานะ

อาตมาไม่บังอาจไปล้มล้างเถรสมาคมหรอก แต่เปิดเผยความจริงเพื่อผู้แสวงหาสัจธรรม

ตอนที่อาตมาออกบวชใหม่ๆอาตมาทำกิริยาอย่างสงบเรียบร้อย ก็เห็นว่าคนศรัทธาเลื่อมใสมาก อาตมาก็เลยรู้ว่าคนติดยึดในเรื่องนี้ อาตมาก็เลยเปลี่ยนลีลา แต่ก่อนก็พาสำรวมระวังบ้าง แต่ต่อมาก็ให้ฝึกปฏิบัติเข้าเป้าเลย ไม่ได้สังวรระวังภายนอกมาก แต่แสดงออกองค์รวมเลยคือไม่วุ่นวายในลาภยศสรรเสริญ เป็นต้น ไม่ได้สำรวมในอนุพยัญชนะ ปลีกย่อยต่างๆ มันจะไปติดเปลือกติดอนุพยัญชนะมากไป ก็เลยไม่เอา มาสำรวมในองค์รวมที่ไม่ไปวุ่นวายในอบายมุข ในกาม ในโลกธรรม ก็ทำอยู่กัน แล้วก็ไม่สะสมแต่อาศัยใช้สอยจนทำสังคมศาสนาอย่างชาวอโศก เป็นบุญนิยมที่เป็นพฤตินัยถึงสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

เป็นสาธารณโภคี มีลาภที่เกิดโดยธรรมใช้สอยร่วมกันเพราะว่าอาตมาทำให้พวกเรามีจิตที่ สารณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ มีความรักกันในมิติที่สูงขึ้นไปสู่นิพพาน เคารพกัน เดี๋ยวนี้ชักจะไม่ค่อยเคารพ สมณะเจอกันเมื่อก่อนก็กราบกัน แต่เดี๋ยวนี้แค่ทักทายกัน

สังคหะเป็นหัวใจของทุกศาสนา คือการมีน้ำใจแบ่งแจกเกื้อกูลกัน คือการให้การเสียสละ ตอนนี้การให้การเสียสละกำลังระเบิดเป็น Bomb of love. ทุกคนมีแต่จะเสียสละ จะให้ เสียสละเวลา เสียสละแรงงานสละทรัพย์สินเงินทองข้าวของเพื่อแสดงความอาลัยรักต่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่สวรรคตไป เป็น Bomb of love. ที่ไอน์สไตน์เขียนจดหมายบอกลูกสาวไว้ ไอน์สไตน์รู้ศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดได้ที่ในประเทศไทย เป็นพลังงาน Bomb of love.ที่สนามหลวง

ถ้าใครไม่รู้จักสภาวะนี้ก็ไม่รู้จะพูดกันอย่างไรแล้ว ทำไมเขารักในหลวง เขารักอะไรของในหลวง เขารัก ความเป็นพระโพธิสัตว์ของในหลวง โพธิสัตว์คือผู้รับใช้ประชาชนคือนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก ไม่ได้โมเมนะ แต่พูดจากสภาวะจริงสัจธรรม

ในหลวงของเราคือนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก นักประชาธิปไตยของศาสนาพุทธเป็นผู้ที่ทำงานเพื่อให้เกิด พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) คนรับรองในหลวง ว่าเป็นผู้ที่มีพระจริยวัตรอันต้องเอาอย่าง มีทฤษฎีหลักมีพฤติกรรมการประพฤติให้เห็นเลย จนต้องจำนน ศาสนาอื่นยังต้องจำนนประเทศอื่นยังต้องจำนน ต้องยอมรับ จึงเกิดเป็นพลังยอมรับนับถือเทิดทูนบูชานี่แหละคือ  Bomb of love.

เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้าปรากฏชัด  ณ กาละนี้ นี่แหละคือ พลังพฤตินัยของมนุษยชาติ ที่แสดงธรรมะ แสดงอะไร?แสดงการสละ ทุกคนประสงค์จะให้จะเสียสละ ซึ่งมันน่าชื่นชม น่าอบอุ่น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดได้มีได้เป็นได้

นักวิจัยทางรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ ครบทุกศาสตร์ ทุกแง่มุมของความเป็นสังคมมนุษยชาติ ให้ไปทำวิจัยได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทว่าเหตุมาจากอะไร มาจากความรู้สึกอะไร ในยิ่งศาสนาด้วยก็ยิ่งเข้าใจเลย ความมันเกิดจากความรู้สึกอะไร แล้วมันก่อให้เกิดเจตนาอะไร

มาอ่าน sms ต่อ

_จาก มาสเตอร์ ไทเซน

ผมเพิ่งกลับจากไปจัดกิจกรรมให้เด็กๆกำพร้าบ้านโฮมฮัก..ยโสธร..

วันนี้เป็นวันจันทร์เป็นวันที่ผมงดฉันงดพูดงดรับแขก..เลยมีโอกาสนั่งดูพ่อครูมหาโพธิสัตว์.. (พ่อครูว่า อาตมายังไม่ถึงมหาโพธิสัตว์ แล้ว โพธิสัตว์มี 9 ระดับ คือโสดาบันโพธิสัตว์ สกิทาคามีโพธิสัตว์ อนาคามีโพธิสัตว์ อรหันต์โพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ปัจเจกโพธิสัตว์หรือสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย อาตมาอธิบายได้ทั้ง 9 ระดับ แล้วก็อธิบายอยู่)

ที่ผมปลงใจเชื่อวว่า..อริยบุรุษเช่นพ่อครู..พันปีมีไม่เกิดเกิน1..พันปีข้างหน้าก็อย่าคิดว่าจะมีมาเกิดมาทำงานด้านศาสนาเช่นนี้..(เช่นที่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย..ที่เป็นราชาเหนือราชันย์..พันปีก็มีไม่เกิดเกิน1..พันปีข้างหน้าก็อย่าคิดว่าจะมีมาเกิด..ปานประหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะอวตารมาทำงานให้เห็น..ว่าถ้าพระองค์มาปกครองบ้านเมือง..จะมีปรากฏการณ์ตัวอย่างอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ให้มวลมนุษยชาติได้ประจักษ์แจ้งบ้าง..)

ผมกำลังนั่งดูและตั้งจิตสดับคำอรรถาธิบายของพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ..

ตอบ...พยายามตรวจสอบให้ดีอย่าหลงผิดไปก็เป็นได้ถ้าไม่ตรวจสอบให้ดี

 

พ่อครูว่า...ธัมมชโยเขาก็พูดถึงกรรมวิบาก สวรรค์นรก แต่ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้หลงสวรรค์ จะเกิดนรกหรือสวรรค์ก็อยู่ที่กรรมของตนกระทำ ตำแหน่งประพฤติกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็เป็นการกระทำของตน ถ้าการกระทำนั้นๆจะให้เกิดบุญ ก็ต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะเกิดบุญ ที่สำคัญมากก็คือ จะทำ กาย ก็ตาม จะทำวจีก็ตาม มันไม่ใช่กรรมที่จะเกิดบุญ กรรมจะเกิดบุญต้องทำใจ การทำกายกับวจีไม่เกิดบุญ ทำใจในใจถึงจะเกิดบุญ

ต้องทำใจในใจให้ลดกิเลส ลดกาม ลดอัตตา กามคืออาการอย่างไรของจิต อัตตาคืออาการอย่างไรของจิต  กายกลิคือองค์ประชุมที่เป็นโทษ กลิก็คือกาลีหรือกิเลส คือองค์ประชุมของความเป็นโทษก็คือกิเลส เมื่อใดไม่เข้าใจคำว่ากาย แล้วก็กดกระทบสัมผัสเป็นธรรมะ 2 เป็นรูปนาม เปิดองค์ชุมที่เป็นกิเลสก็ต้องอ่านอาการที่มันเกิดในจิตนั้น แยกกายแยกจิต อาการกิเลสไม่ใช่ดินน้ำไฟลม แต่คืออาการในจิต หรืออาการกิเลสจะบอกว่า กิเลสเช่นกายทุจริตก็มาจากจิต วาจาที่หยาบคายก็มาจากจิต เป็นตัวตั้ง

การจัดเรียนรู้พิจารณาจึงต้องเรียนรู้พิจารณาอาการของจิต กายกรรม พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่ากายนั้นคือ จิต มโน วิญญาณ

ในสัมมาทิฏฐิ 10 ต้องเรียนรู้เป็นเบื้องต้น แต่เขาที่เรียนธรรมะกันก็ไม่ได้ศึกษาอันนี้ก่อน แม้แต่สุริยเปยยาลก็ไม่ได้เรียนรู้ว่าจะต้องมี มิตรดี ศีล ฉันทะ อัตตะ ทิฏฐิ โยสิโสมนสิการ ไม่ประมาท ต้องมีเจ็ดอันนี้ก่อนจึงเรียนมรรคมีองค์ แปดได้ แล้วมรรคมีองค์แปดก็ต้องรู้สัมมาทิฏฐิก่อน

อย่างธรรมกายนี้ ไม่ได้เรียนรู้เข้าใจว่าต้องทำใจในใจอย่างไรตั้งจิตอย่างไร เขาก็สอนเรื่องการทานเป็นเรื่องใหญ่ของสำนักธรรมกายเขานี้ มีอะไรก็จะให้มีแต่ไปทำทานสร้างบารมีสร้างนิทานสร้างอะไรใหญ่โตต่างๆนานา ก็เน้นให้หาเงินให้คนมาทำทานแก่เขาให้มากๆ ให้ออกไปหาเงิน โดยสร้างสายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปหาสมาชิกเหมือน direct sale เดี๋ยวนี้เขาทำได้ เนียนกว่าเก่ามาก ไม่ทำโจ่งแจ้ง แต่ก็ยังมีหัวหน้าสายอยู่

พระที่บวชมาแล้วมาสร้างวิธีการหาเงินให้แก่ตัวเองเก่งๆก็ได้ว่าพระฉิบหายทุกคน เป็นการทำลายศาสนาด้วย ขออภัยอาตมามาปราบมารมาว่าคนที่ทำลายศาสนา มาปราบคนทำลายศาสนา

ตัวธัมมชโยเองเป็นตัวพ่อเลย มีวิธีการหาเงินมาบวชแล้วสร้างวิธีหาเงิน ซึ่งไม่ใช่นักบวชของพุทธ สั่งได้เก่งเนียนกว่าทักษิณด้วย ไม่ต้องออกนอกประเทศแต่ก็โผล่หน้ามาไม่ได้ไม่รู้จมอยู่ในรูไหนตอนนี้ จะตายหรือเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ยังหาตัวไม่เจอเลย

คำว่า การกระทำ ที่เป็นพฤติกรรมของคน อย่างบุญเป็นกรรมอันวิบัติ ใครทำกรรมที่เป็นบุญสำเร็จก็คืออกุศลวิบัติ ไม่ใช่ได้สมบัติ บุญคือยิ่งทำยิ่งหมด คือวิบัติ

“การกระทำ”คือ “กรรม”นั้น ส่วนที่เป็น“สมบัติ”ของตนคือ“กุศล” แต่“การกระทำ”ที่มีส่วนเป็น“วิบัติ”ไปจากตน จึงจะคือ“บุญ”

เข้าใจดีขึ้นมั้ย?

และแค่คำว่า“กรรม”นี้ ก็ยังเป็นได้ทั้ง“บาป”และทั้ง“บุญ” ถ้า“กรรม”ใดทำกิเลสลดได้กรรมนั้นเป็น“บุญ”  “บุญ”ต้องกิเลสลด

ดังนั้น ผู้ทำ“กรรม”ตรงตามสัมมาทิฏฐิและสำเร็จเป็น“บุญ”ได้ แต่ละสังโยชน์ ผู้นี้ก็มี“ส่วนบุญ”(ปุญญภาค) เป็นผู้ลด“บาป”ของตน หมด“บาป”ไปเป็นส่วนๆ “บุญ”คือเสียไป

“บุญ”มิใช่ได้มา ถ้าใครยังคิดจะแบ่ง “ส่วนบุญ”ที่หมายถึง “ส่วนเสียไป”อันเราทำให้“เสียไป”ได้สำเร็จ  กิเลสก็“ลด”ลงไป

ไอ้ที่“ลด”ไปได้ คือ มัน“ออกไป”จากตน(เนกขัมมะ) มัน“ไม่มี”ในตนไปตามลำดับ จนที่สุดทำให้มันหมดสิ้นจากจิตตน

ผู้นี้ก็“ไม่มีบุญไม่มีบาป”(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)

ผู้“ไม่มี”ในตนแล้ว จะเอา“ความไม่มี”ทั้ง“บุญ”ทั้ง“บาป”ที่ไหน ไปให้ใครๆ

เห็นมั้ยว่า ผู้ที่ยังมีการ“แบ่งส่วนบุญ” ไปให้ใครๆอยู่ จึงเป็น“มิจฉาทิฏฐิ”โต้งๆ

เพราะ“ส่วนบุญ”คือ ส่วนที่หมดไปๆอย่าอุตริ“แบ่งส่วนบุญ”ให้คนนั้นคนนี้เป็นอันขาด เพราะ“บุญ”คือวิบัติ มิใช่สมบัติที่จะนำมา“แบ่งส่วน”ให้ใครต่อใครได้

จบ

 

วันนี้โรงบุญ 5 ธันวาฯ ได้ 99 โรงแล้ว


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:21:32 )

591123

รายละเอียด

591123_พุทธศาสนาตามภูมิ  สนามหลวงเปลี่ยนโลก น้อมในหลวง-มาสู่ในเรา

สมณะเดินดินว่า…วันเวลาก็ผ่านไปเร็ว เมื่อวานได้ฟังพ่อครูว่า …

ถ้าเราทำใจในใจไม่เป็น เราก็จะไม่ได้บุญ มีพระอาคันตุกะมาที่พวกเรา แล้วตั้งคำถามว่าที่นี่เป็นพระหรือเป็นอะไร? ที่นี่ฉันมังสวิรัติด้วย ท่านเป็นพระที่ศึกษาอภิธรรม พอคุยไป ก็ตรงกันข้ามกับที่เราเป็นและกับที่ท่านเข้าใจ บรรยากาศพูดถึงเรื่องในหลวง ท่านก็บอกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมน่าจะสนใจเรื่องตัวเอง ทำไมมาสนใจเรื่องอย่างนี้ด้วย ก็เลยเห็นว่าท่านเป็นเลือดเถรวาท 100% เลย พอดีเราจะแจกหนังสือเหนือแนวคิด ก็พูดถึงโพธิสัตว์ต้องมาช่วยสังคม ท่านก็บอกว่ามันล้างอภิธรรมเลยนะ เพราะมันไปคนละขั้วเลย ทำให้เห็นได้ว่าสิ่งที่พ่อครูสอนนี้มันตรงกันข้ามกับที่เขาศึกษาศาสนามาโดยตรงเลย

อย่างโลกุตระ 46 นี้ อาตมาก็ศึกษามา โลกุตระเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาพูดกัน คำว่า กาย เราก็อ่านพระไตรฯมาเยอะคำว่า กายคตาสติ กายในกาย ก็ไม่เห็นมีใครมาย้ำ ก็เป็นเรื่องที่พ่อครูมาเปิดเผยให้พวกเราได้รู้

เขาก็ศึกษาเรียนรู้แต่เข้าใจคนละอย่าง ยังดีที่มีแนวตรงกันที่มังสวิรัติ ท่านก็เลยไม่ปฏิเสธเราทั้งหมด ก็เลยบอกว่า เราก็เคยเข้าใจอย่างท่านมาก่อน แต่พอมาศึกษาพ่อครูก็ได้เข้าใจอีกแบบ ท่านก็บอกว่า ขอไปศึกษาก่อน ท่านมาแย้งแต่ละประเด็น ก็เข้าใจท่านเพราะเราก็เคยเข้าใจอย่างนั้นมาก่อน ก็ไม่ได้ถกเถียงกับท่าน

สิ่งที่พ่อครูมาเปิดเผยก็จะสูญเปล่าหากพวกเราไม่ได้เอาไปปฏิบัติให้ได้ผล ถ้าพวกเราอยากเอาเปรียบอยากได้กำไรอยู่ ก็คือไม่ได้ผล จริงหรือไม่จริงก็อยู่ที่หลักฐานจากพระไตรปิฎกหรือผู้ปฏิบัติว่ามีมรรคมีผลจริงหรือไม่ก็ต้องใช้เวลา ก็ต้องขอบคุณผู้ฟังทางบ้าน แล้วแสดงความเห็นมาด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจได้สมบูรณ์ขึ้น 

พ่อครู ว่า...วันนี้มีเรื่องเยอะเลยที่เห็นว่าจะต้องเอามาพูดเอามาอ่าน

ก่อนอื่นขออ่าน sms ก่อน ถือว่าเป็นสิ่งมีค่า สำหรับเสียงตอบรับมานี่

SMS วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559

0877854xxxผมเห็นเลือดใจหวิวคล้ายจะเป็นลมถ้าฝืนดูต่อไปก็เป็นลม ผมจะฝึกจิตอย่างไรครับจึงจะหายกลัวเลือด

ตอบ...อาตมานึกถึงตนเองสมัยเป็นฆราวาส ตอนอายุไม่มากนัก อาตมาเห็นเลือดก็ใจหวิวจะเป็นลม ดูไม่ได้ แต่ต่อมามันก็หายไปเอง เห็นว่าเลือดไหลก็ได้ อาตมาว่า ก็น่าจะต้องศึกษา  มันก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่อาตมาว่า คนที่เห็นเลือดแล้วใจหวิวนี่ มันคงเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่มีเลือดของความสงสารชีวิต สิ่งที่เป็นตัวแทนชีวิต

พอเห็นเลือดแล้วก็คิดว่าเกิดอะไรขึ้น?  ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่าเป็นของธรรมชาติที่ชีวิตอาศัย มันอยู่ภายใน แต่ก็ออกมาได้ ในวาระที่ต้องเป็น

ก็หมั่นพิจารณา แม้ว่าตอนเราเห็นจะเป็นลมก็หลบได้ แต่ก็มาพิจารณาว่าเลือดคืออะไร? ตัวเรามีเลือดไหม เลือดมันไหลออกมาเมื่อถึงเวลาวาระจำเป็นก็ต้องออกมา ก็ต้องพยายามศึกษาฝึกฝนเรียนรู้ ไม่เช่นนั้นคงจะยากจะแย่ แล้วถ้าเป็นผู้หญิงเห็นเลือดระดูของตนไหลออกมาก็คงแย่แน่

0815428xxxนมัสการครับหลวงปู่ ยังติดตามฟังหลวงปู่อยู่เนือง ๆ ครับแต่ภูมิธรรมยังน้อยทั้งๆ ที่หลวงปู่ก็สอนดี คงอยู่ที่ตนเอง ยังไงก็ต้องพยายามต่อไป กราบขอบพระคุณครับ.

0893867xxxกายนอกฤาทวาร5มีไว้รับ ผัสสะมากระทบ! กายในฤา จิตมโนวิญญาณมีไว้เรียนผัสสะให้รู้ทัน!ถือเป็นการฝึก สมาธิลืมตาจากผัสสะเป็นปัจจัยได้ไหม?สกก.

คงมีแต่บุญที่เกิดจากการขัดเกลาตนกระมัง ที่ทำให้ทานที่เกิดการสละออกไปได้!พาจิตวิญญาณหมดภพสิ้นชาติ?สกก.

ตอบ...เราก็มีผัสสะ แล้วเกิดธรรมะสอง คือมีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ก็ทำอิตถีภาวะให้กลายเป็นปุริสภาวะ เป็นเอกธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมะสอง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

*เป็นการปฏิบัติธรรม โดยเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส *

เรียนรู้ อาการ เมื่อกระทบสัมผัส แล้วมีธรรมะสอง

 ธรรมะอันหนึ่งเป็นอิตถีภาวะ อีกธรรมะหนึ่งเป็นปุริสภาวะ

มีอาการ ที่มันปรุงแต่งก็คือ สังขาร เราก็สัมผัสสังขาร (การปรุงแต่งของรูปนาม) เมื่อสัมผัสสภาวะแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกหรืออารมณ์(เวทนา)

พอสังขารแล้วมันก็ปรุงเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เราก็ต้องอ่าน มันจะเป็นอันใดอันหนึ่ง

ถ้ามันเฉยๆก็เป็นหนึ่ง

 ถ้ามีสุข มันก็มีคู่คือทุกข์ หรือเป็นทุกข์มันก็ต้องมีสุข คือธรรมะสอง

 ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่สุขไม่ทุกข์คืออทุกขมสุข

เราต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า *จิตเรามีเวทนาเทียมหรือไม่?*

ต้องทำเวทนาเท็จหรือเทียมนี้ให้หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้

จิตเราต้องไม่มีโลกโลกียะ เป็นจิตโลกุตระเหนือกว่าคนโลกๆ

เพราะว่าคนโลกๆต้องมีโลกียรสซึ่งมีเวทนาเทียม เวทนาเท็จ

ถ้าเห็นอาการเฉยๆนี่นะ มันก็ห่างหน่อย แต่เอาแตะลิ้นนี่เป็นรส เราผ่ามะละกอ กินเคี้ยวใส่ปาก แตะรส รสมะละกอจะเป็นอย่างไร?

ที่เป็นรสแท้ก็มีตามจริง ไม่ว่าจะเป็น คนไทย จีน ฝรั่ง แขก ชาติใดใครก็ตามแตะรสมะละกอก็จะรับรสเหมือนกัน ถ้าประสาทรับรสเหมือนกันไม่เสีย

แต่คนมีอุปาทานว่ารสอย่างนี้เข้าท่า ตรงกับรสนิยม ตรงกับความยึดไว้ว่า อย่างนี้คือน่ากินอร่อยน่าพอใจ แต่เมื่อมันต่างจากที่เรายึดถืออุปาทานไว้ มันไม่ตรงกับที่เรายึดเราก็เลยไม่พอใจ ไม่อร่อยไม่ใช่นี่รสอย่างนี้

โดยความจริง มะละกอมันต้องรสอย่างนี้มันรสเค็มได้อย่างไร?

หรือมะละกอต้องรสตามที่เขายึดไว้ มันไม่ตรงก็เลยไม่ชอบใจ อาการรสที่ไม่ชอบใจคือรสเทียม รสเท็จ คุณไม่ชอบ แต่คนอื่นกินมะละกอนี้ ก็บอกว่าอย่างนี้ใช่เลย รสอย่างนี้ถึงเข้าท่า รสดี อร่อย ก็รสเทียมเช่นกัน

แม้แต่เฉยๆไม่ชอบไม่ชังไม่ทุกข์ไม่สุขก็มี แบบเคหสิตอุเบกขาเวทนา

สำหรับในคนที่ไม่ได้ศึกษาก็เป็นได้ ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ผลักไม่ดูด เป็นแบบพักยก ไม่ปรุงแต่งก็เฉยๆได้ จึงเป็นอุเบกขา หรืออทุกขมสุขแบบคนโลกๆ รสเฉยๆอย่างนั้นเป็นรสที่เราต้องทำให้ได้

แต่ถ้ามันเกิดโดยพักยก ปกติ โดยไม่ได้ศึกษา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราเจตนาให้เป็นถาวร มันเกิดตามสามัญปุถุชนพักยก แบบชาวโลกเคหสิตเวทนา แต่รสอย่างนั้นเป็นรสกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ผลักไม่ดูด

รสของจริง ที่ว่าอร่อยหรือไม่อร่อยก็คือตามกิเลส แม้จะเฉยๆ บางทีรีบร้อน ทั้งที่เคยอร่อยแต่รีบกินจิตมุ่งกับอย่างอื่นก็ไม่รู้สึกอร่อยเพราะไม่ได้เอาอารมณ์ไปร่วม ก็เป็นภาวะเฉย โดยที่เรียกว่าเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติเฉยๆ ไม่ใช่เรื่องความสำเร็จของการปฏิบัติธรรม

รสชาติมันก็มีของมันตามความเป็นจริง ไม่ได้มีรสชอบหรือชังอยู่ในนั้น

 แต่ทุกวันนี้การเรียนรู้ศึกษาศาสนาพุทธไม่ได้เรียนรู้ที่พัฒนาแล้ว กลับไปศีกษาที่พิธีกรรมต่างๆ ที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า เนื้องอกของศาสนา เช่นการขึ้นบ้านใหม่ก็เอาพระมาสวด แล้วเป็นอาบัติด้วย เพราะถ้าสมณะพระภิกษุมาสวดธรรมบทสองรูปพร้อมกันเป็นอย่างน้อยต่อหน้าฆราวาสก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์

อารมณ์สุขทุกข์เป็นของเท็จ เกิดจากอุปาทาน มันไม่จริงมันไม่เที่ยง

รสแท้นั้นใครกระทบสัมผัสก็รู้สึกได้เหมือนกัน

 แต่รสเท็จนั้นไม่เที่ยงมันพาสุขพาทุกข์

ถ้าคุณรู้ตามจริงไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นสัจธรรม ไม่มีความไม่เที่ยง ไม่มีความเป็นทุกข์ ไม่มีความมีตัวตน

อรหันต์จะสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เหมือนกันหมด จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงมีอารมณ์เดียว พระอรหันต์ทุกองค์เหมือนกันหมด เรียกว่าเอกัคคตารมณ์ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจในรูปภพ อรูปภพ ล้างกิเลสไปตามลำดับ จนพ้นอวิชชาได้ก็จบ นี่คือการฝึกสมาธิ

สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น อาตมาเพิ่งได้อ่าน ผู้รู้ท่านเขียนโพชฌงค์ 7 ก็ดูท่านอธิบายสมาธิ ก็ชัดๆว่าคือจิตที่ตั้งมั่น

แต่ท่านก็อธิบายว่าเป็นอารมณ์เพ่งที่เห็นเป็นหนึ่ง ท่านผู้นี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์เอกทางศาสนาเลยนะเขียนเรื่องโพชฌงค์ 7 อธิบายสมาธิว่าคือการเพ่งเพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง

ต่างจากที่อาตมาอธิบายว่า สมาธิคือ จิตที่ตั้งมั่นสั่งสมให้เกิดความตั้งมั่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เห็นอาการจิตที่กิเลสลดได้ ทำอีกก็เกิดผลอีก สั่งสมตกผลึกผนึกขึ้นเป็นจิตที่ตั้งมั่น เป็นผลของจิตที่ปฏิบัติฌาน ฌานก็คือเพ่งเผากิเลสให้ดับไปได้ จากฌานก็เป็นสมาธิ เป็นต้น

ท่านอธิบายสมาธิว่าคือ เพ่ง แต่วิธีทำก็คือฌาน

แม้แต่สมถะก็ เพ่งให้จิตรวม

แต่วิปัสสนาของพระพุทธเจ้าคือเพ่งแล้วแยกแยะวิจัยวิจาร มีanalysis เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ไม่ใช่สะกดจิต hypnotize แต่ไปสัมผัสแล้วเพ่งขยายแยกแยะเรียนรู้พิจารณาธรรมะสองให้เป็นหนึ่งก็ทำให้เหตุหมดไปจิตก็ลดกิเลสได้เป็นผลจิต สั่งสมตกผลึกลง เรียกว่าแน่วแน่แนบแน่น แข็งแรงตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ

 

0894803xxxพระอริยเจ้าทรงห่วงใยว่าจิตใจของคนจะเปลี่ยนไปเยี่ยงเดรัจฉานจึงได้โปรดประกาศศาสนาให้คำสอนชี้ทางบำเพ็ญฯเพื่อคนทั้งหลายในโลกจะได้ทำตนให้มีความสัมพันธ์ต่อกันอันเป็นหนทางธรรมที่ควรปฏิบัติ หาไม่แล้วแม้ผู้นั้นจะสูงศักดิ์แต่เมื่อขาดคุณธรรม เขาจะยังประโยชน์อันใดแก่บ้านเมืองได้อีก

0894803xxxในยุคนี้จิตใจของคนเสื่อมทรามลงขาดน้ำใจ ชอบที่จะแก่งแย่งช่วงชิงกัน สร้างมหันตภัยที่จะทำลายโลกให้กลายเป็นจุลมหาจุลได้ทันที เมื่อคนขาดความสัมพันธ์ต่อกันเช่นนี้ มีหรือที่จะไม่ประสบภัยพิบัติ นี่คือผลกรรมชั่วที่คนสร้างขึ้นเอง อาริยะเจ้ากล่าวว่า "เมื่อโลกจมลง ช่วยได้ด้วยธรรม "

 

พ่อครู ว่า ที่คุณพูดมานี้เป็นเหตุเป็นผลถูกต้องแต่จะมีวิธีช่วยกันอย่างไร?

 

ก็มาสู่ข้อมูลที่จะนำมาอ่าน… อ่านเร็วๆหน่อย

 

591123_ ด่วน!! อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง "พระธัมมชโย" ร่วมกันฟอกเงิน-รับของโจร คดีทุจริตสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น !!??!!

เรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า คณะทำงานอัยการได้พิจารณาผลการสอบสวนเพิ่มเติมทั้งหมดจากพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่อัยการสั่งสอบเพิ่มเติม และหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากผู้ต้องหาครบถ้วนแล้ว จึงได้มีคำสั่งคดีเมื่อวานนี้ (22 พฤศจิกายน) โดยมีความเห็นสั่งฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร  อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจำกัด  ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ผู้ต้องหาที่ 1  / นางศรัณยา มานหมัด อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฯคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 3 และนางทองพิน กันล้อม อดีตรองประธานสหกรณ์ฯคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งอัยการนัดให้ผู้ต้องหากลุ่มนี้ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวมาให้อัยการ แล้วมาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 30 พฤศจิกายน เพื่อส่งฟ้องต่อศาล

 

และอัยการมีความเห็นควรสั่งฟ้อง พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาที่ 2 และนางสาวศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ซึ่งผู้ต้องหาสองคนนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้ส่งตัวให้อัยการ จึงแจ้งให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามตัว พระธัมมชโย และนางสาวศศิธร มาให้อัยการเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนก่อนขาดอายุความ 15 ปี  ด้านนายชาติพงษ์ จีระพันธุ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ กล่าวว่า ในส่วนพระธัมมชโย กับนางสาวศศิธร หากอัยการได้รับตัวมาอัยการก็จะต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องทั้งสองคน และทำการสอบสวนก่อน ซึ่งหากมีพยานหลักฐานใหม่ อัยการก็อาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงการสั่งคดีในส่วนสองคนนี้ได้

 

ทั้งนี้ ยอมรับว่าการสั่งคดีนี้มีความล่าช้า เนื่องจากมีทรัพย์สินเกี่ยวข้องจำนวนมาก ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงิน ที่พบว่ามีการจ่ายเช็ค 27 ฉบับ จากนายศุภชัย / นางสาวศรัณยา / และนางทองพิน ไปยังพระธัมมชโย และนางสาวศศิธร รวมประมาณ 1,400 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ถึง เมษายน 2556 จึงต้องดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อผลประโยชน์ของผู้เสียหาย ที่สามารถใช้สิทธิขอรับการเยียวยารับเงินคืนได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย และยืนยันอัยการทำงานเต็มที่หลังได้รับผลสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ

 

“อัยการ”สั่งฟ้องต้องจับ“ธัมมชโย”ทันที..!!

"บิ๊กต๊อก"ขีดเส้น 30 พ.ย.“อัยการ”สั่งฟ้อง ต้องจับ“ธัมมชโย”ทันที ลั่นไม่มีเหตุผลให้เลี่ยงอีก ยันพนักงานสอบสวนมั่นใจในสำนวนแล้ว ยันการข่าวระบุยังอยู่ในวัดธรรมกาย

 

          22 พ.ย. 59 - พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการดำเนินคดีกับพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่า ต้องรออัยการ เพราะคดีนี้แม้จะเป็นหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่เชื่อมโยงกับอัยการด้วย ถ้าอัยการไม่ฟ้องหรือไม่เรียบร้อยจะเอาตัวมาลำบาก การไปเอาตัวครั้งแรกนั้นมีปัญหา เนื่องจากอัยการไม่เห็นด้วยกับสำนวนของดีเอสไอ ดังนั้นถึงแม้ว่าเราเอาตัวมาได้แล้วมาให้อัยการ ถ้าอัยการไม่สั่งฟ้องก็จบอยู่ดี

 

          “บ้านเมืองนี้อยู่ด้วยกฎหมาย อยู่ด้วยกระบวนการยุติธรรม ผมไม่เชื่อว่าใครจะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายได้ เพียงแต่ทุกคนต้องเรียกร้องความเป็นธรรม เป็นธรรมดาที่สังคมจะมองว่าวัดพระธรรมกายท้าทาย แต่ผมไม่เชื่อว่าสังคมจะยอมรับการท้าทาย เพราะทุกคนต้องการความเท่าเทียมกัน ทุกคนต้องมาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ตำรวจเห็นชัดเจน หลักฐานการรุกป่า ต้องดำเนินการไป และมันต้องแยกกัน การอยู่ในสมณเพศเรื่องกฎหมายกับศาสนาต้องแยกกัน ผมอยากให้สังคมมองแบบนี้ ไม่อยากให้ไปมองในเรื่องของการท้าทาย เดี๋ยวจะเป็นปัญหาปะทุขึ้นมาอีก” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

 

          พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ส่วนอัยการจะใช้เวลานานแค่ไหนตนไม่ทราบ ไม่ไปก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เพียงแต่เรียกอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนมาสอบถามว่ามีการขอข้อมูลหลักฐานอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ถามว่าทำไมถึงสอบไม่เสร็จเสียที โดยเขาแจ้งมาว่าเป็นปัญหาเล็กๆ ตนไม่รู้ว่าเล็กสำหรับพนักงานสอบสวน แต่อาจจะใหญ่สำหรับอัยการ ดังนั้น เราต้องให้เกียรติกัน

 

          เมื่อถามว่า หากยิ่งช้าจะยิ่งทำให้วัดพระธรรมกายชะล่าใจหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า แน่นอน ความรู้สึกนี้ย่อมมี โดยต้องมามองว่าคดีนี้มีอิทธิพลหรือมีบารมีในเรื่องอื่นหรือไม่ แต่จะมองว่าเป็นคดีที่มีบารมีคงไม่ได้ บารมีต้องหมายถึงเรื่องที่ดี ดังนั้นกรณีนี้น่าจะเป็นเรื่องของอิทธิพลมากกว่า สิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้อง ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ เนื่องจากสิ่งที่ผ่านมามีคดีที่ไม่ฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานที่มีความผิด เป็นบทเรียนให้สังคมหวั่นเกรงในเรื่องของอิทธิพลและการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราต้องมั่นใจ เพราะอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการก็คนละยุคคนสมัย เขาคงมีเหตุผลของเขา ซึ่งเหตุผลเดิมเขาอ้างเรื่องความไม่สงบเรียบร้อย ตนเลยบอกไปว่าจำเป็นต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ แต่อัยการไม่ต้องถามฝ่ายความมั่นคงก็ได้ เพราะเป็นอิสระต่อกัน

 

          เมื่อถามว่า จะป้องกันไม่ให้เขาอ้างถึงเรื่องความมั่นคงได้หรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนป้องกันไม่ได้ เพราะฝ่ายบริหารและฝ่ายยุติธรรมเป็นอิสระต่อกัน จะให้ตนไปป้องกันอะไร ตนทำได้ในหน้าที่ของตนคือ พนักงานสอบสวนที่อยู่ภายใต้การบริหารของตนต้องทำงานให้เข็มแข็ง ตนได้เรียกมาว่ามั่นใจในสำนวนหรือไม่ เขาเองมั่นใจ ในพนักงานสอบสวนนั้นมีอัยการอยู่ด้วย และนักกฎหมายมือฉมังทั้งนั้น มั่นใจในคดี มีหลักฐานเต็มที่ แต่ต้องไปมองทางอัยการ ที่มีความเป็นอิสระต่อกัน

 

          เมื่อถามอีกว่า ถ้าวันที่ 30 พ.ย. อัยการสั่งฟ้องพร้อมจะเข้าไปเอาตัวเลยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่พนักงานสอบสวนจะไม่ดำเนินการตามนั้น มันจบแล้ว คุณตอบสังคมไม่ได้แล้ว เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้องพนักงานสอบสวนต้องไปเอาตัวมา เป็นเรื่องเดียวที่พนักงานสอบสวนจะต้องทำให้เด็ดขาด ถ้าคดีไม่ถูกสั่งฟ้องมันก็ไม่มีเหตุผลอะไร เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าการเข้าไปครั้งแรกมันมีบทเรียนมาแล้วว่ามีปัญหากระทบกระทั่งกัน และไม่คุ้มค่าถ้าเอามาแล้วอัยการไม่สั่งฟ้อง ดังนั้น ต้องรออีกสักนิด อดทน ให้มั่นใจพนักงานสอบสวนเห็นพ้องกับอัยการ

 

          เมื่อถามว่า มีข่าวลือว่าพระธัมมชโยไม่ได้อยู่วัดแล้ว พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ข่าวลือคือข่าวลือ ข่าวลือไม่ใช่ข่าวกรอง ตามข้อมูลแล้วตนได้รับรายงานว่ายังอยู่ในวัด แต่มันอาจจะผิดก็ได้ อย่างไรก็ตาม เราได้กำชับเจ้าหน้าที่ไปแล้วในเรื่องการเข้า–ออกประเทศ แต่ก็เห็นกันแล้วว่าประเทศไทยเรื่องหลบหนียังมีอยู่ มันลำบากเหมือนกันในการที่จะไปควบคุมทุกตารางเมตรในประเทศไทย บริเวณชายแดนมีช่องว่างให้พวกนี้หลบหนีไปได้ เราทำได้แค่บีบให้มันแคบลง ดูโดยรอบและเส้นทางต่างๆ ได้แค่นั้น

 

สมณะเดินดินว่า...ตอนนี้ธรรมกายเพิ่มจากสวดมนต์ สี่ล้านจบเป็นเจ็ดล้านจบแล้ว

พ่อครูว่า...ขอยืนยันว่าการสวดนั้นไม่มีอิทธิพลอะไรหรอกเป็นจิตวิทยาให้คนโง่หลงเชื่อเท่านั้นแหละ สวดแล้วจะเกิดปาฏิหาริย์ให้เขาหนีไปได้ แต่เป็นจิตวิทยาสร้างกำแพงคนไว้  เป็นฉลาดเฉโก ฉลาดฉิบหาย หลอกลิ่วล้อโง่ๆ บรรดาควายทั้งหลายแหล่ได้เท่านั้น

อีกงานหนึ่งที่เป็นงานชื่นใจ…

 

สนามหลวงเปลี่ยนโลก(จากตัวใครตัวมันสู่..... “สาธารณโภคี” )

 

น้อมในหลวง-มาสู่ในเรา

 

สนามหลวงเปลี่ยนโลกโศกสลด

เป็นการให้แจ่มใสสดวิเศษวิศาล

เปลี่ยนโลกเก่าแข่งขันประจัญบาน

เป็นโลกใหม่สมัครสมานญาติมิตร

 

เปลี่ยนจากการแบ่งแยกแปลกสี

สู่คุณค่า สาธารณโภคี ไมตรีจิต

"A bomb of love." กำเริบฤทธิ์

เทิดอุทิศ จิตทาน เป็นการกระทำ

 

ในหลวงคือความรักของกษัตริย์

อย่างเห็นชัดช่วยประชาพาชื่นฉ่ำ

จากแบบอย่างพระองค์ผู้ทรงธรรม

ความประเสริฐเลิศล้ำ-ไม่ลับไม่ลา

 

ความยิ่งใหญ่ในหลวงสนามหลวง

ความรุ่งโรจน์ฉายโชติช่วงสู่ปวงข้า

ความเอื้อเฟื้อเสียสละของพระราชา

ความโศกาเป็นกล้าแกร่งแบ่งปันกัน

                                       -อยู่เย็นเป็นสุข

                            

 

ในหลวงเราเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สิ้นพระชนม์ลง ด้วยความที่ไม่มีใครอยากให้สิ้นพระชนม์ ต่างพากันเกิดความเสียดายและความระลึกถึง ต้องเชิดชูบูชาพฤติกรรมนี้เอามาประกาศอธิบายเป็นตัวอย่าง ย้ำยืนยันให้แก่มนุษย์ให้รู้ว่า นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ดีที่สุดที่ทุกคนควรจะได้รับรู้  และควรจะต้องปฏิบัติตาม แล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติใส่ตน ให้เป็นคนชนิดนี้อย่างนี้ ได้น้อยหรือมากก็ให้ได้แก่กันเถิด นี่คือสัจธรรมที่ปรากฏขึ้นในประเทศไทยขณะนี้

ที่พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงพระราชทานเรื่องให้ปฏิบัติแบบเศรษฐกิจพอเพียง sufficiency คือ “พอ” อธิบายเข้าหาใจก็คือ “ใจพอ”ทั้งที่ศัพท์นี้ของอังกฤษจะเป็นโลกุตระหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เอามาอธิบายได้ เมื่อใจเราพอ วัตถุเรามีแค่นี้ก็พอ ใช้แค่นี้ก็พอ  เหลือจากนี้ก็สะพัดออกไป

ความพอเพียง(sufficiency )ทำอย่างไรเราจะทำให้ใจของตนพอเพียง มีสันตุฏฐีธรรม ภาษาอังกฤษเรียกว่า sufficiency คือมีขีดพอ พอแล้วมันหยุดไม่เอาต่อ วัตถุก็ไม่เอาต่อ จิตก็ไม่เกิดอยากได้ต่อ เรียกว่าพอเพียง ใจที่พอเรียกว่า สันโดษหรือสันตุฏฐี

เมื่อกิเลสไม่มีพลังที่ต้องการเอาเพิ่มจากนี้ ซึ่งเป็นอาการของพลังงานทางจิต ซึ่งมีทฤษฏีที่จะเรียนรู้ศึกษาฝึกฝนอบรมให้จิตใจของเรา ให้เกิดจริงเป็นจริง ให้มันพอ เอาน้อยๆก็ได้ ไม่ต้องเอามาก ให้ความจริงเหล่านี้เกิดได้ ให้ศึกษาพุทธศาสนาจากสัมมาทิฏฐิ         

ลักษณะคุณธรรมที่สำคัญซึ่งพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเอาไว้ คือ แบบคนจน สะเทือนเลื่อนลั่นโลกเลย แม้หลายคนจะไม่เข้าใจ แต่ไม่มีใครกล้าตำหนิพระเจ้าอยู่หัว ว่าท่านตรัสอะไร??? ให้มาเอาแบบคนจน แล้วคนจะอยู่ได้อย่างไร เขารู้แต่ว่าจนอยู่ไม่ได้!

 แต่ความจนนี้คือไม่สะสมเงินทองทรัพย์ศฤงคารเป็นของตัว อยู่กับหมู่กลุ่มเป็นสาธารณโภคี แบ่งกันกินช่วยกันใช้ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ผลาญพร่า จึงอยู่ในลักษณะพอเหมาะพอดี เหลือก็เอามาสร้างสรรค์ต่อและเผื่อแผ่ผู้อื่น

จึงเป็นคุณลักษณะที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่มีสติปัญญา ของอย่างนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และมีพฤติกรรมอย่างนี้อยู่ได้ก็อยู่ได้ สบายด้วย แล้วมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าสบายแล้วก็ดีด้วย ไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร มีแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกด้วย

คนมีความเฉลียวฉลาดแบบนี้ จึงได้เต็มใจมาเอา มาเต็มใจจน มาตั้งใจจนและมุ่งมาจน จนให้จริงจังเลย จนจนสำเร็จ แล้วอยู่กันอย่างแบบคนจน แต่เป็นคนจนที่มีปัญญารู้จักโลกรู้จักสังคม รู้จักพฤติกรรมของสังคมว่าอะไรดีอะไรชั่วอะไรประเสริฐอะไรเสื่อมทรามก็รู้ได้ชัด แล้วก็สร้างให้เกิดแต่สิ่งที่ดี ช่วยกันกำจัดสิ่งที่ไม่ดี ช่วยกันยับยั้งระงับ 

อาตมาว่าตอนนี้กระแสของสัมมาทิฏฐิ กระแสของจิตวิญญาณโลกุตระกระจายไปมากแล้วในพื้นภูมิประเทศไทย ตอนนี้เข้มข้นอยู่ที่สนามหลวง นอกนั้นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงส่งรังสีรัศมีโลกุตระมาบริหารประเทศอย่าง “แบบคนจน” และต้องมาเป็นคนขาดทุน                                                               

เพราะ “ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา”

ขณะนี้ประเทศไทยเรากำลังมีพฤติกรรมสังคม เป็นสาธารณโภคี ที่สวยงาม และแผ่ราศี แผ่รังสีออกไปยังต่างประเทศ มีพลังงานของความเป็นสาธารณโภคี ซึ่งคำว่าสาธารณโภคีหมายเอา จิตวิญญาณเป็นหลัก จิตวิญญาณเป็นประธานให้เกิดความเป็นสาธารณโภคี

สาธารณะคือทั่วไปเลย รวมทั้งหมด เป็นส่วนรวมทั้งหมดเรียกว่าสาธารณะ

โภคี คือการบริโภค (สาธารณสมบัติ=สมบัติที่ใช้ร่วมกัน;สาธารณโภคี=การบริโภคร่วมกัน)

รวมคำว่าสาธารณโภคี คือคนรู้สึกว่าได้บริโภคร่วมกัน บริโภคอะไร?

บริโภคทางจิต จิตเกิดลักษณะที่เห็นดีเห็นงาม โดยเฉพาะเมื่อเห็นดีเห็นงามแล้ว ก็ศรัทธาเลื่อมใสความดีงามนั้น

คนในโลกขณะนี้เกิดการบริโภคความดีงามของในหลวง อาตมาพูดไปนี่ขี้ตู่ไหม? คือทำเป็นและเล็มเลียบเคียงไม่มีความจริง หรือพวกเราฟังแล้วไม่เห็นมีเนื้อหาความจริงประกอบคำพูดที่ถูกต้อง อาตมามองแล้วอ่านรายละเอียด อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าถึงขั้นสาธารณโภคี แล้วมนุษย์ก็เป็นอยู่ด้วยสาธารณโภคี พฤติกรรมสาธารณโภคี มีการฝึกหัดกับพฤติกรรมกาย ชีวิตมีกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม แบบสาธารณโภคี

เหตุการณ์ที่เกิดในสังคมไทยขณะนี้ยังเป็นคลื่นที่มีพฤติกรรมอยู่ ทำให้คนไทยมีจิตใจเกิดเป็นสาธารณโภคี ใครมีน้อยใครมีมากเสียสละแจกแบ่ง ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดมาก่อน ในยุคนี้ จากจุดกลางคือในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรานี้ ที่ทรงสวรรคต เป็นจุดระเบิด  A bomb of love. เป็นจุดระเบิดรังสีรัศมีของความรัก แสดงออกเป็นกรรมกิริยากระจายไปทั่วโลก จะเห็นได้ว่าคนมีแต่จะแจก จะให้ ทุกคนมีจิตใจที่จะให้ ให้แล้วปลื้ม

อาตมาได้เล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ เล็กน้อยคือมีผู้ชายคนหนึ่ง เขาได้น้ำขวดมา 2 ขวด มาเจอเด็กของเราคือเด็กหญิงดูแลและเด็กหญิงศีล ผู้ชายคนนี้ได้น้ำขวดมาจากไหนไม่รู้ พอมาเจอเด็กผู้หญิง 2 คน เขาก็ยิ้มเอาน้ำขวดไปให้ เด็กเราก็ไม่เอา หลบไม่ออก เขาก็พยามยัดเยียดให้ เด็กของเราก็ไม่เอาเพราะเด็กพวกเราก็มีความคิดไม่เอาของคนอื่นอยู่แล้ว เขาก็พยายามให้อีก เขาเจตนาดี อาตมาเลยส่งสัญญาณให้ด.ญ.ดูแลรับ แล้วด.ญ.ศีลก็รับ พอรับแล้วแกก็ร้องไห้เลย ดีใจปีติเกิด

อาตมาเห็นแล้วก็รู้สึกสะท้านใจน้ำตาคลอเหมือนกัน เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณที่เกิดปฏิสัมพันธ์ เราเรียกว่าพลังงานปฏิสัมพันธ์ มีaction reaction ทุกคนมีเจตนาจะให้ ให้เสร็จแล้วก็ปลื้มใจ พอใจ ดีใจ ที่ได้ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วคนก็รับอย่างบริสุทธิ์ใจ

อาตมาพยายามอธิบายเหตุการณ์นี้ ที่เป็นการหยิบยื่นอย่างครื้นเครง ลือลั่นในประเทศไทย เป็นปรากฏการณ์ทานบารมี เกิดในสังคมไทยที่ยิ่งใหญ่มาก

คนไทยต่างเกิดอาการอยากจะเป็นผู้ให้ แม้มีน้อยก็ให้ได้(มีบางคนอุตส่าห์ไปหาซื้อกระดาษทิชชู่มาได้ 1กล่อง เขาก็เอามาบริการให้กับประชาชนที่ยืนเข้าแถวยาวเหยียด) อาตมาเห็นแล้วว่าผู้ที่ร่ำรวยมีมากจริงๆ เขาจะทำได้อย่างเท่!อย่างดีเลย แต่ก็ไม่ค่อยเอาตัวลงมาทำ

ส่วนคนเล็กคนน้อยคนกระจอกๆ ออกมาครื้นเครงกันหมดเลย ทำกันทั่วประเทศ ศูนย์กลางรวมอยู่ที่สนามหลวง อยู่ต่างจังหวัดก็มากัน ใครมีเล็กมีน้อยก็หอบกันมา ใครมีมากก็หอบกันมามากหน่อย คนมีเล็กมีน้อยก็พยายามหอบของตัวเองมาเอามาแจก คนเบื้องบนเบื้องสูง ก็ลงมาแจก ดังที่เห็นปรากฏการณ์ อย่างสมบูรณ์แบบ

เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาในระยะยาวนานและจะเกิดไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ในปรากฏการณ์วันนี้  แต่ละคนต่างมีจิตใจสาธารณโภคีทำให้เกิดมีจิตใจอยากจะมาให้  มาแสดงออก แสดงความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเจือจานกัน  ใครมีของอุปโภคบริโภคก็ขนมา เท่าที่ตัวเองจะหาได้ มีได้ก็ทำกันเต็มที่เลย  เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาในระยะยาวนานและจะเกิดไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ในปรากฏการณ์วันนี้

คำว่าสาธารณโภคีนี้ อยู่ในสาราณียธรรม 6 (โกสัมพีสูตร พระไตรปิฎก. เล่ม.22  ข.282-283)

เกิดจากจิต 7  ลักษณะ คือ

1.      สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.      ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.      ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.      สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.      อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.      สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.      เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

 

ขณะนี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหญ่อันโอฬาร เป็นปรากฏการณ์สาธารณโภคี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นพฤติกรรมสังคม จะเรียกว่าพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมทางสังคมศาสตร์ หรือพฤติกรรมของทางรัฐศาสตร์ก็ตาม ก็เป็นพฤติกรรมอันบริบูรณ์ เป็นพฤติกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ทำได้โดยไม่ได้เป็นการแสดงออกอย่าง จิตที่เป็นบูมเมอแรง(Boomerang) เมื่อจิตให้ออกไปแล้วก็มีวิธีโค้งเพื่อเอามาให้กับตัว แต่นี่เป็นการให้ไปอย่างบริสุทธิ์

เป็นพลังงานที่ให้ไปอย่างไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ(สาเปกโข) ป่วยการไปกล่าวถึงการผูกพันในผลให้ทาน (ปฏิพทฺธจิตฺโต) หรือมุ่งการสั่งสมให้ทาน (ทาน เทติ สนฺนิธิเปกฺโข) หรือทานโดยคิดว่าตายไปตนจะได้เสวยผลจากทานนี้ไปตลอด นั่นคือการสั่งสมความอยากได้เป็นตัวกูของกู(อิม เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ)

 

จิตบริสุทธิ์ไม่มีอย่างนั้น เป็นการให้โดยจิตเสียสละ สละให้ผู้อื่นอย่างบริบูรณ์เต็ม จิตใจอย่างนี้เป็นจิตใจที่ศาสนาพุทธสอนให้อบรมฝึกฝนให้จิตใจเป็นอย่างนี้ได้จริงๆ ขณะนี้ปรากฏการณ์ของมนุษย์คนไทย ไม่ว่าแต่ชาวพุทธเลย ชาวศาสนาอื่นก็มาประพฤติปฏิบัติพฤติกรรมอันนี้ในสังคมขณะนี้ ด้วยจุดเดียวกัน

จุดนั้นคือจุดพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเราที่เสด็จสวรรคต ทุกคนแสดงออกลักษณะของการให้ ทุกชาติศาสนามีจิตใจเกิดอันนี้

สัจธรรมมีหนึ่งเดียวอันนี้สูงสุด เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่มากเลย อาตมาถือว่าอย่างนั้น ซึ่งมันไม่ใช่เป็นคนเดียวและไม่ใช่เป็นชั่วคราว เป็นต่อเนื่องยาวนานจะไปอีกนานเท่าไหร่ยังไม่รู้นะ แต่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

ปรากฏการณ์ที่เกิดในประเทศไทย  จนสหประชาชาติซึ่งเป็นที่รวมเป็นองค์กรรวมของทุกประเทศ นำเรื่องราวเหล่านี้ มีการจัดพูดเทิดพระเกียรติในการประชุมของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา

ในโลกยุคนี้ ทั้งโลก มันเป็นยุคที่ทุกคนมุ่งไปสู่ปัญญา ทุกคนเข้าใจแล้วว่า จิตวิญญาณนี้สำคัญกว่าวัตถุ แล้วก็ควรจะต้องทำจิตวิญญาณให้เป็นปัญญา เป็นจิตใจที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่หวงแหนเป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตน ความหมายนี้แม้แต่ศาสนาอื่นหรือคนชาติอื่นก็รู้ โดยปฏิภาณความเฉลียวฉลาดลึกๆ ของแต่ละคนก็รู้ มีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ อาตมาว่าเป็นหนึ่งเดียว กลับมาหาจุดที่เป็นหนึ่งเดียวนี้เหมือนกันหมดแล้ว

ปรากฏการณ์ในประเทศไทยครั้งนี้จึงเป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นแล้วโดยความเป็นจริง ที่มนุษย์แสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มีมวลมากพอจนกระทั่งต่างชาติ และสหประชาชาติขานรับ แล้วก็เอาไปประพฤติแสดงออก

อย่างน้อยก็ทำพฤติกรรมเอามาประกาศร่วมกัน ให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่ดี สิ่งที่ควรส่งเสริม ให้แพร่หลาย ให้ทุกคนได้รับรู้แล้วเอาไปปฏิบัติประพฤติ ไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาใหน ไม่ต้องมีอะไรมาขวางกั้นเลย เป็นลักษณะของ globalization ไม่มีอะไรขีดคั่นหรือติดข้อง เป็นความเห็นความเคลื่อนไหวทะลุทะลวงกลายเป็นอันเดียวกัน

เป็นปรากฏการณ์จริงที่แสดงออกจริง รับสัมผัสกันได้ถึงกัน แม้จะไม่ครบได้แต่รูปแต่เสียงแต่ไม่ได้กลิ่นไม่ได้สัมผัสทางลิ้นก็ตามเถอะ แค่เสียงและรูปภาพก็ชัดเจนหมดแล้ว เสียงและรูปภาพนั้น มันเป็นพาหะของวิญญาณด้วยนะที่สื่อสัมผัสนี้

เสียงและภาพเป็นพาหะของวิญญาณพาวิญญาณไปด้วย เสียงและภาพเป็นการนำพาลักษณะสื่อถึงจิตวิญญาณ ลักษณะของจิตวิญญาณที่คนผู้หนึ่งที่ทรงงานทรงพระจริยวัตรตลอด 70 ปี และก็เป็นที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นเรื่องลอยลม หรือเป็นเรื่องเสแสร้งยกยอปอปั้น ไม่ใช่! เป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนประทับใจในพระจริยวัตรต่างๆ ในการทรงงานต่างๆ ที่มันบอกความจริงว่าพระองค์ทรงงานเพื่อใคร?

เพื่อพระองค์เองหรือเพื่อตัวเพื่อตน หรือเพื่อมวลประชาชน อย่างบริสุทธิ์สะอาด

เมื่อประพฤติปฏิบัติลงไปแล้วจึงเกิด

1. มีผลผลิตเกิดตามมา

2. เกิดแรงงานมีกรรมกิริยาเกิดตามมา

3. เกิดสัจธรรม ความรู้ และเกิดผลทางจิตวิญญาณตามมาอีก

ทำให้เกิดสัจธรรมการแสดงออกซึ่งจิตวิญญาณ เป็นการทำเพื่อให้(ทานัง) มันเป็นสิ่งที่ปรากฏจริงว่าบริสุทธิ์จริง และทำต่อเนื่องมา 70 ปี นี่เป็นเรื่องที่สุดยิ่งใหญ่

อาตมาได้ประกาศไปในสาธารณชนหลายทีว่า “เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เป็นดินแดนชมพูทวีป แล้วมาถึงวันนี้เมืองไทยมีสิ่งปรากฏจริงเป็นปรากฏการณ์แท้เกิดขึ้นแล้วว่ามีเนื้อหา “โลกุตรธรรม”มีอารยธรรม ของพุทธ เกิด ณ ที่นี้  จะมีลักษณะคุณธรรมของโลกุตระทำเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นพลังงานให้เกิดบทบาททางสังคมสูงขึ้น เจริญขึ้นไปอีก จะเจริญสืบสานไปอีก จะเจริญสูงสุดในอีก 450 ปี จึงค่อยลดพลังงานลง

เหมือนคนหนุ่มสาวเจริญวัย ถึงสูงสุดแล้วค่อยเสื่อมลง ตามองค์ประกอบตามธรรมชาติ นอกจากคุณจะบำรุงไว้ได้ ก็จะอยู่ได้นานขึ้น  ทุกวันนี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าได้ปรากฏชัดขึ้นแล้ว  ณ กาละนี้ อันเกิดมาจากพลังพฤตินัยของมนุษยชาติ ที่แสดงธรรมะ แสดงอะไร?แสดงการสละ ทุกคนประสงค์จะให้ จะเสียสละ ซึ่งมันน่าชื่นชม น่าอบอุ่น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดได้ มีได้ เป็นได้

นักวิจัยทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ยิ่งครบทุกศาสตร์ ยิ่งดี จะได้วิจัยทุกแง่มุมของความเป็นสังคมมนุษยชาติ ให้ไปทำวิจัยได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีสาเหตุมาจากอะไร มาจากความรู้สึกอะไร ยิ่งศาสนาศาสตร์ด้วยก็ยิ่งดี  จะได้เข้าใจเลยว่ามันเกิดจากความรู้สึกอะไร แล้วมันก่อให้เกิดเจตนาอะไร?

 

ระเบิดแห่งความรักจากพ่อ

 

เป็นกษัตริย์ที่มีรูปอยู่ในทุกๆบ้าน

เป็นกษัตริย์ที่สถิตย์อยู่ในวิญญาณทุกๆคน

เป็นกษัตริย์ที่มีความรักให้กับปวงชน

เป็นกษัตริย์ที่ทุกๆคนต่างพากันรักและภักดี

 

ทำไมประชาชนจึงรักในหลวง? เขารักอะไรของในหลวง?

เขารัก ความเป็นพระโพธิสัตว์ของในหลวง

โพธิสัตว์ คือผู้รับใช้ประชาชน คือนักประชาธิปไตยเบอร์ 1 ของโลก

 นักประชาธิปไตยของศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ทำงานรับใช้ประชาชนเพื่อให้เกิด…

พหุชนหิตายะ (เพื่อประโยชน์ของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)

พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) และ

โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

          คนทั่วโลกรับรองในหลวงว่าเป็นผู้ที่มีพระจริยวัตรอันต้องเอาอย่าง

มีทฤษฎีหลัก มีพฤติกรรมการประพฤติให้เห็นเลย จนต้องจำนน ศาสนาอื่นยังต้องจำนน ประเทศอื่นยังต้องจำนน ต้องยอมรับ จึงเกิดเป็นพลังยอมรับนับถือเทิดทูนบูชานี่แหละคือ  Bomb of love ที่สนามหลวง

          ตอนนี้ การให้ การเสียสละ กำลังระเบิดเป็น Bomb of love  ทุกคนมีแต่จะเสียสละ จะให้ เสียสละเวลา เสียสละแรงงาน-สละทรัพย์สินเงินทองข้าวของ เพื่อแสดงความอาลัยรักต่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่สวรรคตไป

อาตมาว่าเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศไทยขณะนี้ โดยเฉพาะแกนกลางที่เกิดเป็นหมู่มวลที่สนามหลวง มันเป็นแหล่งกลางที่คนไทยมารวมกันแสดงออกพฤติกรรมของมนุษยชาติที่เกิดพลังแห่งความรัก เขามาแสดงออกถึงพฤติกรรมในความเสียสละ

ทุก ๆศาสนาจบอยู่ที่ การ “ให้” การเสียสละ

ใครจะมีทฤษฎี มีวิธีการที่ทำให้จิตใจคนเสียสละได้อย่างจริงใจและเต็มใจที่สุด และไม่คิดจะเอาเปรียบได้เลย มีแต่จิตวิญญาณเสียสละ พึ่งตนเอง ช่วยตนเองไม่เบียดเบียนใคร ทำงานเพื่อช่วยเหลือตัวเองไม่เบียดเบียนใครหรือเอาเปรียบใคร ถ้ามีส่วนเกินมากกว่าที่ตนเองกินและใช้ ก็เอาเวลาที่เหลือแรงงานที่เหลือ และทุนรอนที่มีเหลือ ก็เอาไปเสียสละให้คนอื่น คนนั้นคือคนประเสริฐในโลก

เหตุการณ์ที่เกิดขณะนี้มันเป็นเหตุการณ์การเสียสละ ต่างแสดงออกถึงพฤติกรรมของคนที่เสียสละเต็มไปหมดเลยในประเทศไทย แย่งกันเสียสละ แล้วเข้าใจลึกซึ้งในการเสียสละ

ปรากฎการณ์(phenomenal)ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้เป็น เรื่องที่ไม่ได้เสแสร้งทำ เกิดแรงระเบิดที่ออกมาจากภายใน

1.มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ 

2.มันเป็นเรื่องติดต่อกันยาวนาน และ

3.มันเป็นความงดงาม เป็นความประเสริฐวิเศษ เป็นคุณค่าคุณธรรม

ที่ในหลวงร.9 ได้ทรงงานหนักมาตลอด พระชันษา ซึ่งทุกคนปฏิเสธไม่ได้ถึงคุณค่าคุณงามความดีที่ครบพร้อมที่ได้ทรงแสดงออกมา

 

ราชประชาสมาสัย คือ ความรัก ที่ในหลวงและประชาชนมีให้ต่อกันและกัน                                                                         

เหตุการณ์นี้ เป็นราชประชาสมาสัย มันเกิดต่อเนื่องอยู่ไม่หยุด นี่คือสิ่งจริงที่ยิ่งใหญ่ ที่ดูคล้ายกับเป็นเรื่องแปลกประหลาด

ความหมายของ “ราชประชาสมาสัย” ก็คือ ราช กับประชา ได้อาศัยกัน มีความเห็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่างที่เราเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระจริยาวัตรมากว่า 70 ปี คนก็ซาบซึ้งใจ ทุกคนเข้าใจสิ่งที่ดี ที่ประเสริฐอันนี้ แต่ก่อนนี้ยังไม่รู้สึกกันเท่าไหร่ พอถึงวาระนี้ คนก็แสดงอาการที่จะประพฤติปฏิบัติกันอย่างจริง ๆจัง ๆ

เป็นความมุ่งมั่นของคนไทย ที่ตั้งใจจะทำอย่างในหลวง เพราะพระองค์ไม่อยู่แล้ว แต่ธรรมราชายังอยู่ แล้วประชาชนก็ได้อาศัยสัมมาทิฏฐิและแนวคิด หรือพระราชดำริของในหลวง ทั้งพระจริยวัตรของในหลวงที่ได้ทำมาก่อน เอามาปฏิบัติประพฤติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นี้คือความหมายของคำว่าราชประชาสมาสัย

สรุปแล้ว คำว่าราชประชาสมาสัยเป็นพลังงานแห่งความรักที่ได้เกิดจากในหลวงพระองค์นี้  จนประชาชนคนไทยได้มีปัญญารู้แล้ว  ประชาชนก็ได้ซักซ้อมความเข้าใจ  พากันแสดงออกมาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะในวันที่ 5 ธันวาฯ ทุก ๆ วันเฉลิมพระชนมพรรษาประชาชนก็ได้รวมใจกันแสดงออก   พลังงานนี้จึงได้กลายเป็น A bomb of love. เป็นพลังงานแห่งความรักที่ได้มารวมเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระเจ้าอยู่หัวกับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งจริงที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ประเทศไหนที่ทำได้ตอนนี้ก็ลองทำดูสิ อาตมาพูดในช่วงกัปปนี้ ปัจจุบันนี้นะ หลัดๆโต้งๆ continuing ที่ยังเกิดเกิดต่อเนื่องอยู่อย่างไม่หยุด

 

          

 

ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุด                                                                               ที่ไอน์สไตน์ค้นพบ

 

 นิยามคำว่าพลังงานแห่งความรักของ“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์”

 

ปลายทศวรรษ 1980 Lieserl Einstein ลูกสาวของ Albert Einstein ได้บริจาคจดหมายของพ่อให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายถึงเธอ มีใจความว่า...

 

“ ตอนที่พ่อนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไป ไม่ค่อยมีใครเข้าใจพ่อหรอก สิ่งที่พ่อจะเปิดเผยในเวลานี้เพื่อสื่อถึงมนุษยชาติ ก็จะปะทะกับความเข้าใจผิดและอคติในโลกด้วยเช่นกัน

 

พ่อขอให้ลูกรักษาจดหมายเหล่านี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่จำเป็น หลาย ๆ ปี หลาย ๆ สิบปี จนกว่าสังคมจะก้าวหน้าพอที่จะยอมรับสิ่งที่พ่อจะอธิบายต่อไปนี้

 

มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยังไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย พลังจักรวาลนี้คือความรัก

 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็น ซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง เมื่อความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เราจึงมีชีวิตอยู่และตายได้เพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก

 

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 มวล x (ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกสามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปๅว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด

 

หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง

 

หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี

 

เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก(ตอนนี้คนไทยช่วยกันผลิตระเบิดรักกันอยู่) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา

 

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต

 

พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูก พ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้ !”

 

พ่อของลูก /อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

Credit: Rafael Téllez-Girón

 

พ่อครูว่า...นี่คือจดหมายที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ และก็ชื่อว่า A bomb of love. ที่เกิดในเมืองไทยตอนนี้คืออันนี้จริงๆ ที่เป็นความรักที่มีต่อในหลวง ไม่ใช่รักในตัวตนร่างกาย ไม่ใช่รักเรื่องวัตถุ แต่เป็นความรักสิ่งประเสริฐ รวมไปหมดเลยในสิ่งที่ในหลวงทรงพระจริยวัตรมาตลอดพระชนม์ชีพ แล้วตอนนี้ไม่มีใครสามารถยับยั้งหรือปิดบังได้

แม้ไอน์สไตน์จะได้พยายามอธิบายลักษณะของนามธรรม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่อธิบายได้ยากกว่าการค้นพบพลังงานระเบิดสุดยอดทางด้านวัตถุคือ พลังงานนิวเคลียร์ที่ทดลองจนญี่ปุ่นพินาศไปแล้ว  แต่อันนี้เป็นระเบิดนามธรรมที่เขารู้ว่าจะเกิด ไอน์สไตน์จึงได้พูดไว้ตอนนั้น  จนขณะนี้ในเมืองไทยกำลังเกิด A bomb of love. แล้วเขาก็บอกว่ามนุษย์ไม่รู้จักอันนี้ได้ง่ายๆ  จริงที่สุดเลยอาตมาขอรับรอง มันเป็นระเบิดที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

 

สิ่งประเสริฐสุดที่ได้เกิดขึ้นแล้ว                                                               ในยุคนี้ กัปปนี้ ให้อภิวัฒน์กันต่อไป

 

 

แต่คนไทยนั้นรู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นในสังคมโลก มีสิ่งที่ประเสริฐสุด ที่เป็นคนผู้หนึ่ง คือพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ของประเทศไทยได้มีพฤติการณ์ขึ้น เป็นพฤติกรรมประเสริฐสุด คนที่มีภูมิปัญญาก็จะติดตามมาศึกษาในยุคนี้ กาละนี้ กัปปนี้ คนไหนไม่แสวงหาก็ปล่อยชีวิตไป คนไหนแสวงหาก็มาค้นหา อย่างพระเจ้าแผ่นดินประเทศภูฏาน จะเห็นได้ว่าพระองค์มีฉันทะซึ่งเป็นลักษณะจริงของท่าน  มาเอาความรู้ ที่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เป็นระเบิดที่มีความพอใจยินดี มีพลังแห่งความรักเกิดขึ้น ก็เป็นของจริงของแต่ละคน จะขับดันตัวเอง

ต่างก็พยายามทำเพื่อก่อรูป แล้วไม่ใช่ก่อรูปนิ่งแต่ก่อรูปเคลื่อนไหว เป็นประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่น ซึ่งคนเข้าแล้วใจว่าการรวมกัน การประสานปรองดองเพื่อทำสิ่งดี จะมีอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ ไทยต้องทำให้ได้ แล้วขณะนี้ทำได้แล้วด้วย

 การแสดงออกของคนไทยขณะนี้กำลังแสดงออกกันเต็มที่ ก็ขอย้ำเลยนะ คนไทยที่ได้รับรู้สิ่งที่อาตมาสื่อออกไปนี้ จงช่วยกันรักษาสภาพความรักอันยิ่งใหญ่ที่แสดงออกนี้ ขอให้แสดงความรักของระเบิดรักของในหลวงที่ทุกคนกำลังแสดงออกนี้ ขอให้แสดงออกต่อเนื่องไป 10 ปีหรือ 20 ปี สนามหลวงอย่าหมดพลังงาน A bomb of love.นี้เลย

อาตมามั่นใจว่าสิ่งประเสริฐกำลังเกิดแล้วก็จะต้องช่วยกันทำให้ยาวนาน สร้างตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้ารักษาสภาพนี้เอาไว้ได้ มันจะอธิบายสิ่งประเสริฐที่กำลังเกิดขึ้น แล้วก็จะต้องช่วยกันทำให้ยาวนาน คนจะมาศึกษาวิจัยว่าพฤติกรรมมนุษย์นี้ที่เกิดจากจิตวิญญาณ แล้วมาแสดงออกอันนี้ มันสะท้อนสะท้านใจทั้งนั้น ทุกคนมีแต่อยากจะให้-ให้-ให้ คนที่มารับสิ่งที่เราให้ได้ เราก็ปลาบปลื้ม จนกระทั่งเราต้องร้องไห้ แต่เราต้องไม่ประมาท ต้องเสริมสานพลังงานนี้ให้แข็งแรงเป็นตัวตั้ง ให้อภิวัฒน์ต่อไป เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์โลก

ทุกอย่างมีแต่การเสียสละและการให้ ศาสนาทุกศาสนาสอนเช่นนี้ คนที่มีจิตวิญญาณบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ จึงเป็นคนที่ทำประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือคำสรุปของพระพุทธเจ้า เราอยากจะเป็นคนชนิดนี้ไหม เอาเลย..เป็นเสี้ยววินาทีนี้เป็นต้นไปเลย “ให้”เลย จงทำให้ได้!

มีพระราชดำรัสของในหลวงเกี่ยวกับความรักนี้ว่า...เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่ในยุโรป ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่าประเทศของข้าพเจ้าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหน ไม่ทราบตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้มีการติดต่อกับเขาเหล่านั้น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจังอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง ….จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:22:03 )

591124

รายละเอียด

591124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหา ผ่ามิติความรัก

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน 2559 วันนี้ก็มีเด็กๆมาฟังธรรมะด้วยเด็กๆสนใจเรื่องความรักไหม ? ความรักที่สูงส่ง ทางศาสนาเทวนิยม พระเจ้าถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ในหลวงก็เป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อปวงชนชาวไทยแม้ว่าจะทรงสวรรคตไป แต่พลังงานของความรักของพระองค์ที่เป็นเหมือน A bomb of love. ก็ได้เป็นระเบิดแห่งความรักกระจายไปทั่วประเทศไทยโดยเฉพาะที่ในสนามหลวง พี่น้องประชาชนหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสายเลย ยิ่งจะบอกว่างดให้เข้าไป คนก็ยิ่งจะเข้ามา

ทางกองทัพธรรมก็ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตร ญาติธรรมและผู้สนใจ เอาวัตถุดิบมาให้ เป็นปฏิกิริยาแห่งความรักที่กระจายไป ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้นานเท่าไหร่แต่พลังงานที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้บรรยากาศในเมืองไทยก็เหมือนซานตาคลอส แต่ของเรานั้นทั้งคนรวยและคนจน คนที่มีน้ำใจก็จะมาเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ มีมอเตอร์ไซค์ที่ขับรถส่งให้ฟรีที่สนามหลวง มีดารามาแจกข้าวของอาหาร เป็นเรื่องราวของความรักที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ วันนี้เด็กๆก็คงจะได้ตั้งใจฟังหลวงปู่ ที่จะมาให้ความรู้อะไรกับพวกเรา

พ่อครูว่า..ก่อนจะได้เทศน์ได้บรรยายได้ตอบคำถาม

ก็ขอพูดถึงโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 นี้

นโยบายทำ "โรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9"

ชาวอโศกระดมจัดโรงบุญแจกอาหารมังสวิรัติ ทั้งประเทศ จนกว่าจะถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2559 ระดมจัดให้ได้ 999 โรงบุญ และในวันที่ 5 ธันวาคม จะไปร่วมจัดที่สนามหลวงกันให้ได้ 99 โรงบุญ

 

ที่สนามหลวงตอนนี้เกิดเหตุการณ์การแสดงความรักอันประเสริฐที่สนามหลวง เป็นรูปธรรมชัดเจน ที่ต่างจังหวัดก็มีบ้าง ที่สนามหลวง ประมาณตี 2 ตี 3 ก็มีคนเข้าไปรอที่จะกราบสักการะพระบรมศพแล้ว คนที่ไปก็ต้องกินต้องอยู่ก็เลยกลายเป็นมหกรรม ที่นานยิ่งกว่ามหกรรม ก็ยังไปกันคึกคัก อาตมาว่าไปได้ยาวนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเป็นพฤติกรรมของความจริงใจ ไม่ใช่เรื่องที่เรามาจัดงานเทศกาลมหกรรมอะไรขึ้นมาให้คนมาดูมาชมเท่านั้น มันไม่ใช่ มันเป็นงานที่เกิดจากจิตวิญญาณของคน ที่เขามีความเชิดชูบูชาต่อในหลวงและแสดงออก การไปคารวะ การไปแสดงออกความอาลัยความห่วงใยความรัก สรุปตรงที่คำว่าความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ เป็นความรักมิติที่สูง เป็นมิติพระเจ้า ตั้งแต่มิติที่ 7 ขึ้นไป

ความรัก 10 มิติ ที่อาตมาเคยขยายความ อาตมาให้นักเรียนได้เรียน ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้จะสอนกันหรือเปล่า ความรัก 10 มิติ มันมีนัยยะที่ว่า มีความต่ำความสูง มีพฤติกรรมจากจิตวิญญาณที่เป็นความรัก แต่รักอย่างโลกีย์ รักอย่างมีสภาพที่ อาตมาได้บรรยายได้ขยายความ ความรัก 10 มิตินี้ไว้

เป็นความรักที่ประกอบด้วยเหตุปัจจัย ถ้าเป็นเหตุปัจจัยที่เป็นความรักอันแคบไม่เกื้อกว้างเพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมาก ความรักอย่างนั้นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวเป็นความรักชั้นต่ำ

1.      กามนิยม (เมถุนนิยม) เป็นความรักที่เห็นแก่เพศ เพื่อจะได้เสพสัมผัสเชิงเพศ เชิงราคะ เสพรส มันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของการสืบพันธุ์ มันก็ประกอบไปกับความอยากเสพสมสู่ มันไม่ใช่ว่าจะสืบพันธุ์เพื่อให้เกิดบุตร เกิดลูกจะได้เป็นเผ่าพันธุ์ต่อๆกันไป เดี๋ยวนี้คนไม่ได้เจตนาเช่นนั้น มันกลายเป็นการเสพรสสัมผัสเสียดสี ก็เลยกลายเป็นเรื่องกิเลสสดๆกิเลสแท้ แพ้กิเลสล้วนๆที่เห็นแก่การเสพรส แล้วก็หายไป ซึ่งมันเป็นอนัตตามันไม่มีตัวตนเป็นรถลมๆแล้งๆ ซึ่งคนไม่ได้ศึกษา รสเก๊ๆนี้ ที่มันไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสัตว์โลกพวกสัตว์ต้องสืบพันธุ์ มันก็สร้างลูกเต้าก่อเผ่าพันธุ์กันไปธรรมดา แต่มันเห็นแก่อันนี้ลงทุนลงแรงเสียสละเวลาอะไรก็แล้วแต่ หนักหนาสาหัสสำหรับผู้ที่เห็นแก่สิ่งนี้ที่จะต้องเสพสัมผัสอันนี้ ลงทุนทุ่มโถมจ่ายเงินทองเสียเวลาทุนรอน แรงงาน ความคิด ทั้งแรงกาย โถมเข้าไป ลงทุนที่มันไม่น่าจะทำขนาดนั้นแต่ก็ทุ่มโถมกัน บางทีเป็นเงินร้อยล้านพันล้าน

อาตมายกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เป็นบุคคลเลย เช่น คานธี เขาก็อายุ 13 ปี พ่อแม่ก็จับแต่งงานกับผู้หญิงชื่อ กัสตูบา (อายุ14) เพื่อให้เกิดลูก เขาไม่ได้เป็นการสร้างอารมณ์เสพสัมผัส ทุกวันนี้ไม่เหมือนโบราณ โบราณแต่งงาน ก็อาจมีความใคร่ (เมถุนนิยมที่เป็นความใคร่สัมผัสเสียดสี) แต่โบราณก็มีเป้าหมายเพื่อสืบสกุลมากกว่า แต่สมัยนี้ มันแต่งงานไม่ได้เพื่อสืบสกุล แต่แต่งงานแบบคุมกำเนิดกันด้วย แทบทั้งนั้น ยิ่งดารา นี่ก็คือความรักที่อยู่ในอาการของการเสพรส เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้เลิกละ

การแต่งงานเพื่อเสพรสนั้นคือการแต่งงานได้รสเก๊ มันก็เกิดการสัมผัสเสียดสี เหมือนมือเราสัมผัสผิวหนังหรือเราเกา

ถ้าเราเกา ผิวหนังส่วนที่ไม่มีเชื้อ เกาไปมันก็จะเจ็บ เกาแรงยิ่งเจ็บไม่เกิดอาการรส อาการมัน อาการคันอะไร ผิวหนังสามัญ เกิดสัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็งมันแรงก็แข็งมันเบาก็อ่อน การขัดสีไปก็เกิดความร้อน แต่คนที่ติดสัมผัสเป็นรสชาติ ก็สัมผัสไปจนสุดยอด บางคนจุดสุดยอดแล้วก็ไม่อยากจะหยุดนะ 

อธิบายว่าเป็นเวทนาสอง เวทนาหนึ่งเกิดสัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็ง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสสามัญ สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าเกิด รู้สึกได้ตามธรรมดา

แต่อีกเวทนาหนึ่งที่เป็นรสเก๊คือรสชอบไม่ชอบ สุขหรือทุกข์ที่เกิดขึ้น เป็นรสเก๊ ที่ต้องเลิกละให้ได้ นี่คือเป้าหมายศาสนาพุทธ เป็นเป้าหมายหลักเนื้อแท้ของศาสนาเลย

การสัมผัส ทางหูตาจมูกลิ้นกายใจสัมผัสแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งมันเกิดสัมผัสแล้วรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบสุขหรือทุกข์  นี่คืออาริยสัจ คือทุกข์อาริยสัจ เพราะว่า พระพุทธเจ้าตรัสทุกข์อาริยสัจ ก็เพราะว่า มันไม่ใช่สุข มันเป็นของเก๊ สุขขัลลิกะ คนที่ไปรู้สึกว่าสุขก็คือคนที่มีอุปาทานไปยึดติด เพราะคนเราเกิดมาด้วยอวิชชา ท่านเรียกว่าทุกข์อาริยสัจ เป็นสัจจะ ส่วนสุขคือสุขขัลลิกะคือสุขเท็จ

ต้องเรียนรู้รสเท็จที่แฝงในการสัมผัส คนเรียนรู้ได้หมดรสเหล่านี้ก็เป็นอรหันต์สัมผัสแล้วไม่เกิดอาการทุกข์หรือสุข จริงด้วยความเป็นผู้ประเสริฐหรือเป็นอริยะ ก็พ้นอวิชชา

โสดาบันก็เริ่มเรียนรู้วิชชาหรืออวิชชาตัวนี้เร่ิมรู้ว่าต้องลดอันนี้ โสดาบันไม่ใช่แค่ ไม่ผิดศีลเท่านั้น นั่นคือองค์รวมเท่านั้น แต่ถ้าเอาเข้าเป้าของพระพุทธเจ้าคือ

สัมผัสกับสัตว์ต่างๆแล้วเราอย่าอยากได้สัตว์ต่างๆนั้นมา หรืออยากทำลายสัตว์นั้น อยากได้มาก็เอามาเสพของตนเอง แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆ มันไกลห่างที่จะเอามาสัมผัสเสียดสีสดๆ มีเหมือนกันที่เจอสัตว์ก็รักใคร่ ซึ่งมันไกลเกินไป เข้าขั้นหยาบลามก คนที่มีอาการอย่างนั้นก็มี ได้สัตว์มาเพื่อเสพรสเมถุนเป็นกาม

เป้าหมายต้นและปลายคือให้รู้อารมณ์เท็จ ความไม่มีของจริงไม่มีตัวตน สิ่งเหล่านี้ประเดี๋ยวประด๋าวไม่เที่ยง เป็นเหตุแห่งทุกข์ เสพรสแล้วก็แวบไม่เที่ยงดีไม่ดีบางครั้งสุข บางครั้งไม่สุข

อย่างเช่นการกินอาหารเหมือนเก่าแต่ว่าบางครั้งก็ชอบบางครั้งก็ไม่ชอบ มีอะไรกับไม่อร่อยต่างกันไป ไม่อร่อยเป็นสุขก็ได้แค่ตอนสัมผัส พอเลิกสัมผัสก็ไม่มีความสุขแล้วมีแต่ความคิดคำนึงถึงจำได้ว่าได้เสพ ก็เป็นสัญญา แต่ความจริงก็คือ ตอนที่สัมผัสแล้วก็กับรสนั้นแล้วก็จบ ผู้ที่ล้างความติดยึดรสได้แล้วก็สัมผัสแล้วไม่เกิดอาการอร่อยหรือไม่อร่อย แต่รสสัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็งเปรี้ยวหวานมันเค็มก็เป็นอย่างนั้นของมันตามปกติ แต่จิตที่มีรสอร่อยนั้นไม่มี สูญไปอย่างเที่ยง

คนที่น่าสงสารไปหากินอาหาร ไปหาร้านที่ต้องอร่อย ๆ จะแพงหรือถูกก็ช่างหัวมัน มีเงินไปแสวงหาอร่อย ไม่ได้ไปกินอาหารนะ แต่ไปกินส่ิงที่เป็นของเท็จ ไปแสวงหาร้านที่อร่อยเป็นทาสรสเก๊ที่ไม่มีของจริง

พระพุทธเจ้าท้าให้ปฏิบัติถ้าสัมมาทิฏฐิแล้ว รสอร่อยไม่มีหายไปได้ เช่นอาตมาแต่ก่อนติดรสเผ็ด แต่เดี๋ยวนี้แตะพริกเมื่อไหร่ก็เผ็ด แต่รสอร่อยไม่มีเลย จะเป็นรสเปรี้ยวหวานมันเค็มก็ตาม จะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่มีรสอร่อย เป็นเรื่องจริงที่อาตมาทำได้

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ผู้ที่จะเป็นอรหันต์ แล้วจะตรวจเช็คได้ว่าเป็นอาหารอย่างไร ก็ดูว่าอันนี้เขาว่าสวยแล้วสวยเป็นอย่างไรอันนี้เสียงเพราะ ฉันเป็นอย่างไรฉันได้กลิ่นหอมชื่นใจอย่างไรเรามีชื่นใจในกลิ่นนั้นไหม มีรสอร่อยทางลิ้นไหม ตรวจเช็คอารมณ์อรหันต์ก็อย่าให้รู้ตัว เอาอันนี้ไปให้กินแล้วถามว่าฉันอันนี้แล้วดีไหมอร่อยไหม ถ้าบอกว่าอร่อยถ้าเผลอตอบอันนี้มาก็ไม่ใช่อรหันต์ รูปสวยเสียงเพราะ กลิ่นหอมชื่นใจ รสอร่อยลิ้นสัมผัสเสียดสีเพลิดเพลิน เป็นต้น

นี่คือสัจจะ ฟังง่าย แต่เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ จะเป็นจารีตประเพณีของสังคมศาสตร์อันนั้นไม่ใช่ศาสนศาสตร์แต่เป็นสังคมศาสตร์ ไม่ใช่โลกุตรธรรม

อาตมาบรรยายโลกุตรธรรมมาสี่สิบกว่าปีไม่ได้บรรยายศาสนาพิธี หรือสังคมศาสตร์ธรรมดาๆ แต่อธิบายโลกุตรธรรม

ผู้รู้วงการศาสนาที่ท่านบรรยายสื่อสังคมศาสตร์ได้ดีก็ได้รับการยอมรับจากสังคมแต่ท่านไม่ได้ลงเรื่องปรมัตถ์ แต่อาตมาเจาะปรมัตถ์ ไม่ได้ลงรายละเอียดสังคมศาสตร์ อาตมาอธิบายปรมัตถ์เป็นหลัก

อาณิสูตร ล.16 [672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

อาตมามากล่าวโลกุตรธรรม มีอรรถอันลึกประกอบด้วยสุญญตธรรม คนไม่ปรารถนาจะฟัง ไม่ตั้งจิตปรารถนาจะรู้ อาตมาอธิบายธรรมะ ผู้ใดตั้งจิตศึกษาเพื่อรู้ผู้นั้นประเสริฐ เพราะเอาธรรมะโลกุตระที่มีอรรถอันลึกมาเปิดเผยชี้แจงอธิบาย เพื่อจะได้เอาไปปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์อาริยสัจ

อาตมาไม่ได้ท้อใจ ทำงานมาย่าง 47 ปีแล้ว ไม่เบื่อหน่ายอธิบายโลกุตรธรรม อาตมาแม้พูดซ้ำซากแต่คนมีวิมุติรส ที่พาไปสู่ความลดละหน่ายคลายพาไปสู่วิมุติรสก็เป็นสัจจะของบุคคลแต่ละคนที่จะเกิดสิ่งเหล่านี้

แม้จะเป็นนักปฏิบัตินักศึกษาธรรมะ แอบฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายเขาก็ไม่เกิดธรรมรส วิมุติรส แสดงว่าเขาเป็นโมฆะ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่านี่หรือคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ผู้ที่สั่งทำแล้ว เกิดธรรมรส วิมุติรสขออนุโมทนาให้ปฏิบัติให้ได้ผลต่อไป

 

มีคำถามมา

_หลวงปู่คะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นโพธิสัตว์ระดับใดคะ

ตอบ...ที่จริงไม่อยากตอบว่าเป็นระดับใด เพราะว่ามันไม่ดี ที่ดูไม่ดีเพราะว่าตอบแล้วบอกไปแล้วว่าอาตมาเป็นระดับ 7 ถ้าจะมาตอบในหลวงว่าเป็นระดับใดขึ้นอยู่ ก็ดูไม่ดี ตอบแค่นี้ก็พอ ก็ไม่ควรตอบ

โพธิสัตว์คือผู้ที่มีคุณธรรมระดับอรหัตตผลแล้ว โพธิสัตว์คือผู้ที่มีความตรัสรู้และ

  1. โสดาบันก็มีความตรัสรู้อรหันต์ในโสดาบัน
  2. สกิทาคามี ก็มีความสูงกว่าสังโยชน์ 3 ที่โสดาบันบรรลุ สกิทาคามี พ้นสังโยชน์ลดกาม ลดปฏิฆะ มีอรหัตตผลไปตามลำดับ
  3. หมดกิเลสกามภพ ปฏิฆะในกามภพก็เป็นโพธิสัตว์ระดับอนาคามี เหลือสังโยชน์เบื้องสูง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
  4. หมดสังโยชน์ 10 ก็เป็นอรหันต์
  5. เป็นอนุโพธิสัตว์
  6. เป็นอนิยตโพธิสัตว์ (ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้า)
  7. นิยตโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วที่จะทำความเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็ยังรีไทร์ได้ ยังจะไปไม่รอดได้
  8. มหาโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่เลย นิยตะเที่ยงแท้แน่นอน ตนเองไม่ถอดถอนแน่นอนในความไปสู่เป็นพระพุทธเจ้า
  9. ปัจเจกโพธิสัตว์หรือสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจเจกพระพุทธเจ้าคือพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เกิดมาในโลกบางครั้งบางคราวเพื่อศึกษาต่อ บางยุค พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วก็มหาโพธิสัตว์ก็เกิดมาร่วมมาศึกษาด้วย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นมหาโพธิสัตว์ที่ท่านจะศึกษาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อมหาโพธิสัตว์มาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็พยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อนั้นมีอัครสาวกชื่อนั้นๆ

ที่อาตมาพูดนี้ พูดด้วยความรู้ของศาสนาพุทธ สรุปคืออาตมาไม่ตอบว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ระดับไหน แต่ก็บอกลักษณะของโพธิสัตว์ 9 ระดับไปแล้ว ก็ศึกษาสิว่าท่านควรอยู่ในระดับใด อย่างน้อยอาตมาบอกหลักว่าอาตมาระดับ 7 ในหลวงท่านก็จะอยู่ในระดับใด

ขอไขความจริงว่า ในหลวงนี่มีโพธิสัตวธรรม ตอนนี้กำลังเป็นความรักระดับโพธิสัตว์ระเบิดเลย เป็นความรักยิ่งใหญ่ของพุทธธรรม คนที่อาลัยในหลวงเป็นความอาลัยในพุทธธรรมหรือพุทธคุณของในหลวง

ขออภัย ไม่ได้บูชาเคารพรักในหลวงเพราะว่าท่านรูปหล่อนะ

ที่อธิบายนี้เพื่อเป็นการศึกษาไม่ได้เคารพเพราะท่านรูปหล่อ ท่านไม่ได้มีโลกียะมีความรวยหรือรูปหล่อมีความเก่ง แม้ท่านจะเก่งหลายทาง ทางวิศวะ ดนตรี รัฐศาสตร์ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว แต่ทุกคนเคารพรักคือเคารพในพุทธธรรมหรือพุทธคุณ ที่คนซาบซึ้ง A bomb of love. เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่มิติที่ 8 เป็นอเทวนิยมแล้ว ซึ่งจะต้องมีคุณธรรม พ้นระดับที่ 1 ถึง  7 มา มาเป็นระดับ 8 คือระดับที่พัฒนาขึ้นมา

อาตมาไม่เคยเห็นนะ ที่มีคนมาเรียบเรียงความรัก 10 มิตินี้ อาตมาก็ตอบได้ว่าไม่ควรไปตอบว่าในหลวงเป็นระดับไหน เพราะอาตมาบอกว่าตนเองเป็นระดับที่เจ็ดแล้ว

 

_หลวงปู่คะ ทำไมคนเราต้องมีความรัก และทำไมคนเราต้องมีความลับ

ตอบ...เพราะอวิชชา เพราะยังไม่รู้หรือเพราะยังโง่ หรือต้องมีความลับ ผู้ที่ไม่อวิชชาแล้ว ก็จะไม่มีความลับ อย่างหลวงปู่ ไม่มีความลับ ตนเองเป็นโพธิสัตว์ก็บอกว่าเป็นโพธิสัตว์

 

_ตอนที่หนูไปแจกอาหารที่สนามหลวง ดูเห็นคนที่มาเอาอาหารแต่ละคน บางคน ตำรวจก็ไม่ให้เข้าในพื้นที่สนามหลวง เพราะเขาไม่ปกติ หนูสงสารค่ะ หนูรู้ว่าเป็นวิบากกรรม แต่หนูก็สงสารเขา หนูจะดีค่ะ

ตอบ...คำว่าวิบากแปลว่าผลของกรรม กรรมแปลว่าการกระทำ เราจะทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเรียกว่ากรรม สาม ทำแล้วเป็นผลเกิดจริง เกิดดีหรือเกิดชั่วเป็นผลวิบาก(สุกตทุกฏานังผลังวิปาโก)

ทุกวันนี้คนไม่เข้าใจคำว่าบุญกับกุศลว่าต่างกันอย่างไร เขาไปทำทาน ก็ไม่รู้ว่าต้องทำใจอย่างไร การทำทานนั้นถ้าไม่ได้ไปหวังอะไร ทำทานเพื่อลดกิเลสก็เป็นบุญทำทานกายวจีให้ แต่ใจก็ต้องทำใจในใจเพื่อให้ อย่าไปหวังเพื่อเอาอะไรกลับมา ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกทาน มีปัญญารู้ว่าเราทำใจของเราอย่างนั้น ไม่ต้องการอะไรตอบแทน ฝึกหัดเลย ไม่คิดหวังผลตอบแทนเลย ทำแล้วใจก็ให้ ตรงกับการให้สละเสียให้เขาไปก็จบ ผู้นั้นทำทานได้บุญ แต่ผู้ที่ทำทานแล้วบอกว่าจะได้ลาภยศสรรเสริญได้สวรรค์ได้วิมานได้อะไรก็แล้วแต่ หวังว่าจะได้อะไรก็แล้วแต่ ผิดหมดเลย ที่หวังว่าจะได้เป็นกุศลหรืออกุศล ได้ทุกฏังหรือสุกฏัง หรือไม่ต้องได้ทั้งสองอย่างเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเลย ไม่ได้ทั้งสวรรค์ทั้งนรกไม่ได้ทั้งสุขและทุกข์ไม่ได้สมบัติ หรือ วิบัติอะไรเลย ให้ก็คือให้ทานก็คือทาน คนนั้นคือคนทานที่ได้อานิสงส์สูงสุด

คือทำจิตเป็นนิพพานหรือนิโรธ คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเรียกว่ามรรคองค์ 8 ถ้าไม่รู้สัมมาทิฏฐิ ที่มีทาน ศีล ภาวนา เร่ิมต้นทานก็ไม่รู้สัมมาทิฏฐิก็ทำทานไม่ได้ผล คือนัตถิทินนัง ทุกวันนี้ก็ไม่ได้สอนหรืออธิบาย แต่พากันปฏิบัติทานศีลภาวนาก็ไม่ได้ผลทาน การทำทานนี้ง่ายกว่าศีลแต่ทำใจในใจไม่เป็นไม่โยนิโสมนสิการ ไม่มีสัมมาทิฏฐิข้อต้น ก่อนปฏิบัติ ก็โยนิโสมนสิการไม่เป็น

ไม่สามารถทำทานอย่างอัตถิทินนัง ที่เป็นผลให้ลดกิเลส ไม่ได้พบสัตบุรุษ เพราะว่าไม่ได้ฟังธรรมสัตบุรุษ หูฟังธรรมแต่ไม่เอาไม่เข้าใจไม่มีปรโตโฆษะและไม่มีโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการไม่เป็น จึงปฏิบัติธรรมไม่ได้อานิสงส์ของพุทธธรรม ไปได้ภพสวรรค์วิมานไป

อาตมาพูดไปนี้ อย่างไม่มีนักธรรมตรีโทเอก ไม่มีอาจารย์ โผล่มาจากจอมายา

สมณะเดินดินว่า..ทุกวันนี้พวกเรามาหาพ่อครูเพราะต้องการอรรถอันลึก ต้องการสัจธรรม แต่ถ้าพ่อครูมีความดังมากๆ คนก็ต้องการมาพบคนดังเท่านั้น ทำให้พ่อครูเสียเวลาอีกเยอะ เป็นสิ่งที่พ่อครูทำงานโดยไม่มีอลังการอะไรเลย เพื่อพิสูจน์สัจจะ

พ่อครูว่า...อาตมาอธิบายธรรมะทุกวันนี้ไม่ได้มีความท้อแท้แม้จะไม่มีคนมามากมายมีบางคนด่าว่าด้วยก็ตาม แต่ทุกวันนี้ดีขึ้นคนก็ค่อนข้างจะเข้าใจธรรมะ คนในรุ่นที่จะเอาอาตมาตายเลย เขาก็แก่ตายไปหลายคน เพราะอาตมาประกาศธรรมะเขาก็เห็นว่าอาตมาจะมาทำลายศาสนา เขาเข้าใจอรรถอันลึกโลกุตรธรรมไม่ได้ เขาไม่มีภูมิที่จะรู้ได้จริงๆ เพราะศาสนาพุทธนั้ นได้เสื่อมไปจริงๆดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในอาณิสูตร ดีไม่ดีไปฟังคนที่บรรยายตลกโปกอา มีคำหรูหราคำเพราะๆ ฟังดี เป็นอาจารย์เจ้าสำนัก พูดดีพูดเพราะแต่ไม่ได้เจาะลงไปอย่างอาตมา เขาได้ใช้ภาษาเหล่านี้ให้คนนิยมนับถือ

อาตมายืนยันว่า ที่มาเผยแพร่สัจธรรมก็ไม่ได้เพื่อลวง
ประชาชนก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภ
สักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้

ไม่ได้มาแสดงมาดรักษามาด เหมือนบางรูป เขาก็บอกว่าเขารักษาสมณสารูป แต่อาตมาว่าแอคท่าเกินไป

 

_ทำไมรู้ว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์

ตอบ...ในหลวงก็ใช้ความรู้ของโพธิสัตว์ ถามว่ารู้ได้อย่างไร ก็คือดูขณะนี้ไง ว่าโพธิสัตวธรรมที่ท่านทรงมาตลอด 70 ปี ทำให้คนได้รู้ได้ เป็นธรรมะที่ท่านได้เสียสละช่วยเหลือประชาชนท่านมีพระจริยวัตร ทำมากว่า 70 ปีทำงานช่วยเหลือประชาชน และเป็นการช่วยเหลือที่มีนัยยะของโลกุตรธรรมอาริยธรรม ไม่ใช่ธรรมะโลกๆสามัญ

มีพระเมตตากรุณามุทิตา ส่ิงชัดก็คือมีการเสียสละที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน นั่นคือเนื้อแท้ โพธิสัตว์ โพธิสัตว์คือผู้ที่ทำงานช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน ผู้ใดมีผู้นั้นคือพระโพธิสัตว์ ไอน์สไตน์ คานธีหรือในหลวงหรือผู้ใดก็ตามตรวจใจตัวเองดู ใจตนเองขณะใดที่ทำงานเพื่องานเพื่อประชาชนโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน กรรมกิริยา งานอันนั้นของคุณคืองานของพระโพธิสัตว์ มีอยู่ในในหลวงเราจำนวนมหาศาล จนกระทั่งท่านสวรรคตไปทุกคนก็อาลัยอาวรณ์สิ่งนี้ นั่นแสดงว่าคนไทยเรานี้ มีความรู้ในความเป็นโพธิสัตว์ นี่คือคำตอบ

การแสดงความอาลัยก็คืออาลัยในโพธิสัตวธรรม ที่พระองค์ทรงมากว่า 70 ปี คนไทยจึงกรูเกรียวกันไป ทีนี้คนต่างประเทศก็งง ว่าอะไรกัน เขาไม่รู้จักโพธิสัตวธรรม คนศาสนาอื่นที่เป็นเทวนิยมไม่ค่อยรู้

 

_หลวงปู่แต่งเพลงกี่เพลงค่ะ

ตอบ...ไม่ได้นับ อาตมาแต่งเพลงแล้วก็ทิ้งไปก็เยอะ เช่นอาตมาแต่งเพลงให้นักเรียนเพื่อร้องประกวดในงานกาชาด งานศิลปะหัตถกรรม อาตมาก็แต่งให้หลายโรงเรียนไปร้องกัน ปีหนึ่งแต่งหลายเพลง แต่ก็ทิ้งไปหมด แต่ตอบได้ว่า มากกว่า 100 เพลง เพลงฮิตก็ฟ้าตำ่แผ่นดินสูง ผู้แพ้ ธารสวาท ก่อนสิ้นแสงตะวัน เป็นต้น

 

_ถ้ามีคนมาใส่ร้ายป้ายสีเรา หรือที่มาให้ข่าวผิดๆ เกินความจริง เราเสียหาย เราควรทำอย่างไรดีคะ เราไม่ควรไปแก้ตัวหรืออย่างไร?แต่ทั้งที่เราไม่ได้ผิด เขาจะว่าเราแก้ตัวหรือเปล่า?

ตอบ...เราก็ฟังเขาใส่ร้ายป้ายสี เราก็ไม่แก้ตัว แต่เราพูดความจริง บอกดีๆ ไม่ได้บอกด้วยอารมณ์ให้เขาว่าก่อนจนจบแล้วก็ค่อยพูดเรียบๆธรรมดาว่าที่เขาพูดมานี้ไม่ถูกนะไม่ได้แก้ตัว แต่พระพุทธเจ้าให้บอกความจริง ถ้าเขากล่าวชม ถ้าถูกก็อย่าเหลิงใจ ไม่จำเป็นต้องบอกว่ามีในเราก็ได้ แต่ที่เขาว่าเราผิดนี่ก็ให้บอกว่า อย่างนั้นไม่มีในเรา ก็ต้องบอก ถ้าเขากล่าวถูกก็อย่าไปยิ้มรับจนน่าหมั่นไส้ หรือถ้าเขาถาม เราก็บอกได้ แต่ส่วนมากพูดในเรื่องดีเราก็ไม่ต้องบอกเขาซ้ำต่อก็ได้ แค่ยิ้มรับหรือเฉยก็มากแล้ว แต่ถ้าเขามาว่าเราในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นเราก็ควรบอกแก้เขา นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า คนที่มาบอกว่าเราแก้ตัวเราก็ไม่ได้แก้ตัว เขาหาว่าเราร้อนตัวก็เลยสอนว่าให้เฉย  แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น เขาด่าเราก็ให้เฉยๆ ไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้า

ถ้าเขาว่าเขาด่าเราผิดๆ แล้วเราก็เฉยๆ เขาก็จะเข้าใจว่าเราเป็นจริง ตีขลุมว่าเราเป็นจริง เขาเข้าใจผิดเราก็เสียหาย

ขอยกตัวอย่าง อาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ แล้วคนก็มาบอกว่าไม่ใช่หรอก ไปพูดว่าให้คนอื่นได้ยินว่าไม่ใช่อรหันต์ โพธิสัตว์ คนก็จะอ่านจากพฤติกรรมภายนอก ว่าคนอย่างนี้ไม่ใช่อรหันต์ โพธิสัตว์เขาก็จะบอกว่าคนอย่างนี้มีกายกรรม วจีกรรมอย่างนี้ไม่ใช่อรหันต์ไปหมดทุกคน อย่างนี้เสียหาย

พระพุทธเจ้าถึงว่าถ้าใครมาว่าเราแล้วไม่จริงเราก็ให้ตอบให้บอกว่าไม่ใช่อย่างใดไม่มีในเราไม่เป็นในเรา เราไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

_คนที่พูดให้คนอื่น ว่าอย่างโน้นอย่างนี้แต่ตัวคนที่ว่าก็เป็นแบบที่พูดให้เรา คนประเภทนี้เรียกว่าอะไรคะ

ตอบ...ก็เรียกว่าคนที่ว่าคนอื่นไม่ดูตัวเอง เขาเรียกว่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง พระพุทธเจ้าบอกว่าผู้ที่จะไปว่าเขาต้องทำคุณของตัวเองให้ดีเสียก่อนจึงจะไปบอกไปสอนเขาได้

 

_ถ้าในหลวงสวรรคตแล้วใครจะเป็นคนขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 10 คะ

ตอบ...ก็ต้องเป็นรัชทายาท เขาก็ตั้งกันอยู่แล้วรู้กันอยู่แล้ว คือเจ้าฟ้าชาย ก็เป็นผู้ที่อยู่ในกฎมณเฑียรบาล ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ

 

_ถ้าเราบอกเตือนเพื่อนแต่เพื่อนไม่ฟังแล้วก็ไม่สนใจ และไม่พอใจ ลูกควรจะบอกเขาต่อหรือปล่อยเขาไปดี

ตอบ...เรื่องการเตือนการบอกกันเป็นความปรารถนาดี แต่คนที่ไม่ค่อยได้ตั้งสติ คือความไม่ดีของคน เมื่อประพฤติออกมาคนเห็นแล้วก็ไม่ค่อยชอบ เช่นแม่เห็นลูกทำไม่ดี แม่ก็ไม่ชอบใจก็เลยว่าเลยด่า คือไม่ได้ตั้งสติแล้วก็ใช้อารมณ์ ก็ว่ากันด้วยอารมณ์ด่ากันด้วยอารมณ์ แต่เป็นความปรารถนาดีเพราะว่าลูกทำผิด ก็ไม่อยากให้ทำเช่นนั้นก็เสียที่ไม่ได้ตั้งสติ เราก็ควรตั้งสติ เตือนเพื่อนบอกเพื่อน ถ้าเตือนแล้วเขาไม่สนใจฟัง เขาไม่ยอมรับนับถือเราพูดไปก็เสียเวลาก็ควรบอกผู้ใหญ่ บอกใครที่เขานับถือที่เขาจะเชื่อฟังได้ก็ควรบอก ถ้าเห็นว่าเราเตือนไม่ไหวแล้วบอกไม่ได้ ก็เอาไปบอกคนที่ควรจะมีประโยชน์มีผล

 

_อยากรู้ว่าความโกรธความเครียดและความน่าเบื่อมาจากไหน

ตอบ...ความโกรธกับความเครียดมาจากความโง่ ส่วนความน่าเบื่อนั้น มีสองนัย น่าเบื่ออย่างเป็นกิเลสก็คือมาจากความโง่ แต่ถ้าเบื่อหน่ายด้วยปัญญา คลายกำหนัด หน่ายคลาย คือปัญญา เช่นเราไปหลงเสพติดอะไร ที่จริงควรเบื่อหน่ายคลายจางมา แต่ถ้าน่าเบื่อเพราะว่ารำคาญ ก็คือเบื่อแบบกิเลสก็เกิดจากความโง่

 

_ลูกอยากทราบว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นไหมคะ ถ้าเกิดจะส่งผลต่อพวกเราไหม

ตอบ...สงครามโลก ครั้งที่ 3 ไม่เกิดเพราะเป็นยุคสังคม globalization แล้ว มันรู้กันหมดแล้ว ว่าถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 คือ  บรรลัยจักร โลกแหลกเลย ห้ามไม่ให้ใช้นิวเคลียร์ระเบิดกันหรอก ต้องยับยั้งให้ได้มากที่สุด ตอนนี้เกิด ประเทศนั้นไปทำลายประเทศนี้เขาก็ระมัดระวังก็ช่วยกันอยู่ไม่ให้เกิดให้ลุกลาม เพราะฉะนั้นตอบได้เลยว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่เกิด เพราะว่าถ้าเกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นการล้างโลกเป็นกลียุค

ถ้าเกิดเราก็ไม่เหลือ จะมีการฆ่ากันอย่างไม่มีอะไรยับยั้งได้เลย

 

_โรงบุญ 999 โรงจะจัดที่ไหนได้บ้าง

ตอบ...จัดที่ไหนก็ได้แม่แต่ต่างประเทศ

 

_หลวงปู่คะนักเรียนสัมมาสิกขาและอาชีวศึกษาห้าม มีแฟนใช่ไหมคะ

ตอบ...ใช่แล้วเราเป็นวัยนักเรียนไม่ใช่วัยมาหาแฟน ถ้ามีจิตใจที่อยากจะไปมีแฟนก็หยุดใจของเราห้ามใจของเรามันไม่ใช่วัย เสียเวลา แรงงาน เสียอารมณ์อย่านึกว่าไปสร้างอารมณ์ มันยังไม่ใช่เวลาแม้แต่จะมีฮอร์โมนก็ตาม ก็ต้องพยายามหยุดพยายามห้ามใจพยายามอย่าสร้างอารมณ์รัก ให้คิดเสียว่า อารมณ์อย่างนี้มันไม่ใช่รักแท้หรอก มันเป็น puppy love คนที่เขาเป็นคนดีเขาอยู่ในวัยรุ่นแล้วศึกษาจนกระทั่งจบปริญญาแล้ว มีการงานพอจะสร้างฐานะครอบครัวแล้วค่อยเปิดใจมีครอบครัวนั่นคือความคิดที่ถูกต้อง แต่นี่ไม่ใช่ความรักที่ถูกต้องเลยจะบอกว่ามีอารมณ์มีฮอร์โมนเป็นธรรมชาติก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่กำจัดธรรมชาติ ให้เป็นธรรมะนิโรธ เป็นธรรมะสุญญตา ไม่ใช่ธรรมะก็คือธรรมชาติ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดับภพจบชาติ

 

พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาชาติ 5 นัยยะ

ในพระไตรฯล.16

  1. ชาติคือการเกิดโดยองค์รวม ชาติปิทุกขา ชาติใดๆก็เป็นทุกข์หมด
  2. สัญชาติ คือการเกิดที่ติดมาในจิต เป็นธาตุรู้ที่รู้อย่างโลกียะ มันก็เป็นสัญชาตญาณของปุถุชน เราทำใจในใจให้มีการเกิด ถ้าเราทำกิเลสให้ หยั่งลงในใจก็ ซวย เราไม่รู้ว่าอะไรสั่งสมหยั่งลงในจิต ก็เลยทำแต่กิเลสสั่งสมหยั่งลงในจิต
  3. โอกกันติ คือต้องศึกษาว่าอาการจิตที่จะเกิด ถ้ามันจะเกิดกิเลสลงไปก็อย่าให้กิเลสมันเกิดขึ้น ไม่ให้มันมีอาการขึ้นในใจ ไม่สั่งสมในใจ ไม่หยั่งลงในใจ เราเรียนรู้อาการกิเลส เรียนรู้สังกัปปะ 7

ดับที่ตักกะ เมื่อจิตดำริมีกามก็จับได้ อ่านธรรมะแท้ กับกามออก กำจัดกามในความนึกคิดนี้ได้ ในมโนกรรม

กระบวนการปฏิบัติก็เร่ิมอ่านให้ทัน จับจิตให้ทัน อ่านให้ลึกว่ามีกามหรือพยาบาทประกอบ อย่าให้กามหรือปฏิฆะเกิดในจิต จับอาการโกรธหรือกามนี้แล้วกำจัด โดยไม่ได้ดับจิตไปทั้งหมด ไม่ได้ไปสะกดจิตดับไปหมดแบบศาสนาพุทธทุกวันนี้ที่เข้าใจว่าภาวนาคือไปนั่งหลับตา แท้จริงภาวนาคือมีสัมผัสแล้วอ่านจิตว่ามีกิเลส แล้วลดกิเลสได้ สั่งสมจิตที่ไม่มีกิเลส เป็นสัมมาสมาธิ

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสอนออกนอกรีตนอกทาง อาตมาก็ได้แต่เตือนแต่บอกอย่างไม่ได้ดูถูกแต่ได้แต่ตำหนิ ตักเตือน ส่วนที่พูดถูกก็ขอชมเชยยกย่องว่าให้ช่วยกันอธิบาย ก็ขออภัยที่ไม่เห็นใครที่จะเอามหาจัตตารีสกสูตรมาอธิบาย ก็เลยไม่รู้จะชมใคร

ท่านประยุทธ์ ตอนนี้เป็นพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็ได้เป็นผู้รวบรวมความรู้ธรรมะไว้มากท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์ เก็บบันทึกไว้อย่างดี ไม่ให้ผิดพลาดเป็นคนที่น่าเคารพนับถือทำส่ิงที่เป็นประโยชน์ต่อศาสนามาก

 

_ผู้ใหญ่บอกว่าเราเกิดมาเพื่อลืมตาดูโลก แต่หลวงปู่บอกว่าเกิดมาเพราะกรรมยังไม่หมด

ตอบ...คนที่เกิดมาแล้วไม่ได้ลืมตาดูโลกก็มีคือตาบอด เพราะฉะนั้นของอาตมาถูกกว่า เพราะอาตมาบอกว่าเกิดมาเพราะกรรมไม่หมด

จริงๆแล้วคำว่ากรรมนี้มันละเอียดมากที่จริงต้องบอกว่าเพราะว่ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

_ความรับผิดชอบกับการปล่อยวางในหน้าที่นั้น อย่างไหนถูก

ตอบ...ก็คือความรับผิดชอบก็ถูกกว่าสิ

 

สมณะเดินดินว่า...คำถามเด็กมาอย่างใดพ่อครูก็ดึงเข้าหาจิตเจตสิก แม้เรื่องเขาด่าเราควรจะแก้คืนหรือไม่เป็นต้น ...หรือคนที่แต่งงานก็เพื่อแสวงหาของหลอก

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:22:31 )

591125

รายละเอียด

591125_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตีความคำว่าบุญให้ถูกตรง

สมณะเดินดินว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ได้ดูที่เขาสัมภาษณ์เด็กที่ไปช่วยงานที่สนามหลวง ถ้าใช้สำนวนของคุณเปลวก็ได้ว่าตายตาหลับแล้ว เห็นเด็กรุ่นใหม่ที่มาช่วยงานสนามหลวง และตอบคำถามได้อย่างเข้าใจ ไม่ได้ถูกบังคับมา มาช่วยนวดคนเฒ่าคนแก่ คนที่มาก็เมื่อยล้าและมีอายุไม่ใช่น้อย เป็นอะไรที่เขาจะต้องมาแม้จะต้องเสี่ยงกับการเป็นลม แม้แต่เด็กตัวเล็กๆระดับประถมต้น ถึงระดับมัธยมตัวไม่ใหญ่ แต่ก็มีความรู้ความเข้าใจว่าที่เขามาช่วยนี้เขาตอบคำถามได้ว่าคนที่มาเพราะว่าเขามีหัวใจดวงเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน

พิธีกรก็ถามว่าแล้วพวกเธอเหนื่อยไหม เขาก็ตอบว่าในหลวงเหน็ดเหนื่อยกว่าเราอีกเยอะ คำตอบของเขาตอบโดยเป็นสิ่งที่อยู่ในใจไม่ต้องไปคิดกะการอะไร สังคมไทยก็มีดารามาขี่มอเตอร์ไซค์รับส่งคนเป็นต้น

ก็ดูว่า พ่อครูว่าในหลวงมาทำศาสนาพุทธให้ปรากฏชัดเจนสมบูรณ์ขึ้น เมื่อวานนี้ พ่อครูใช้คำว่า โพธิสัตวธรรม ตัวเราเองที่ไปทำงานรับใช้เป็นประโยชน์คนอื่น แต่เราไม่ได้หวังจะได้อะไรกลับคืนมาเลย ก็เป็นการสั่งสมโพธิสัตวธรรมให้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของเราเอง เหตุการณ์นี้จะก่อให้เกิดโพธิสัตวธรรมให้เกิดขึ้นอีกมากมาย

การปฏิบัติธรรมนั้นคนเขาเข้าใจว่าจะต้องทำตนเองให้บริสุทธิ์ อย่าไปวุ่นวายกับสังคม แต่พอครูว่าเป็นพวกเจาะช่องน้อยเฉพาะตัว เป็นคติของทางเถรวาท ส่วนคติของทางมหายานก็เป็นโพธิสัตว์ยานโตงเตง ก็เป็นความสุดโต่งทั้งสองฝั่ง พ่อครูก็พยายามมาทำให้ศาสนาพุทธมีความสมบูรณ์ทั้งอรหันต์และมหายาน ก็คงจะทำให้สังคมไทยได้เข้าใจศาสนาพุทธบริบูรณ์ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน วันนี้เราก็คงจะมาฟังอรรถอันลึกของพ่อครูที่จะมาสาธยายให้พวกเราฟัง

พ่อครูว่า... คนที่เข้าใจความไม่จริง ที่เข้าใจความจริงได้ไม่จริง ไม่ถูกต้องทีเดียว ในประเด็นแค่ที่ว่า คนที่จะไปสอนคนจะต้องมีสิ่งที่อะไรไปสอน แล้วสิ่งที่ไปสอนถ้าเรารู้แค่ปริยัติได้แค่เปลือกมันก็ผิดเพี้ยนได้ มันไม่ครบครัน แต่ถ้าผู้ที่บรรลุธรรมเข้าไปถึงผลจริงๆแล้วก็เป็นของจริงที่จะมี จะพูดด้วยภาษาบัญญัติเรียก คนที่มีสภาวะแล้วก็จะค่อยๆใช้ภาษาสื่อออกมาได้ มันก็สื่อได้จริงกว่า เพราะเขามีของจริง พระพุทธเจ้าตรัสว่าทำคุณอันสมควรก่อนค่อยสอนผู้อื่น จึงไม่มัวหมอง

หากเราไม่มีความจริงไปสอนผู้อื่นก็จะผิดได้ หรือบางทีไปหลอกลวงว่าตนเองบรรลุธรรม พระพุทธเจ้าก็ปรับอาบัติหนักปาราชิกเลย ถ้าเราเองเรายังไม่มีเงินเป็นของเราแล้วเราจะเอาเงินไปแจก มันก็จะเอาอะไรไปแจก เรายังไม่มีอาหารไม่มีข้าวจะไปแจกคนอื่นที่เป็นข้าวของเราก็ยังไม่มี เราก็ไปหยิบของคนอื่นไป เราก็เป็นหนี้ มันไม่จริงมันไม่ใช่เนื้อแท้ของตนเอง มันเป็นของไม่จริง

อรหัตตผลคือการบรรลุของตนเอง อรหัตตะคือบรรลุไปทีละสภาพ พอมันได้ครบหมดสุดจบเรียกว่าอรหันต์ ตนเองมีโสดาบันอรหัตตผล สกิทาอรหัตตผล อนาคาอรหัตตผล อรหันต์ เป็นโพธิสัตว์เป็นลำดับ ก็จะยิ่งมีเนื้อแท้ วิมังสา เนื้อแท้ๆของตนเองไปแจกของคนอื่นได้ มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้

อรหันต์คือผู้ที่บรรลุธรรมของตนเองแล้วจึงไปช่วยผู้อื่นให้ได้ประโยชน์ตามไปก็เป็นโพธิสัตว์ก็เท่านี้ ไม่ได้ยากอะไร แต่คนจะเป็นโพธิสัตว์โดยไม่มีอรหันต์นั้นเป็นเรื่องที่ผิด โพธิสัตว์เข้าไปช่วยคนอื่นแต่ตนเองยังไม่มีอะไรไปช่วย ยังไม่มีเนื้อแท้ของจริงเป็นของปลอมหลวมๆเปลือกๆ มันก็ไม่จริง

มาอ่าน sms

SMS วันที่ 23 พฤศจิกายน 2559

0822712xxxผมดูพ่อครูทุกวันครับ เข้าใจดีครับ แต่ไม่รู้จะถามปัญหาอะไรดีครับ

0851158xxxศาสนาอื่นนอกจากศาสนาพุทธสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ไหมครับ

ผมยังสับสนระหว่างพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ใครมีคุณธรรมสูงก่วากันครับ

ตอบ...ตอบโดยหลับตาตอบเลยว่าไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทฤษฎีหลัก ทฤษฎีที่เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ได้มีความรู้ในความหมายดังกล่าวเลย ตั้งแต่คำว่ากาย ขนาดชาวพุทธเอง อาตมาพูดมา 47 ปีแล้ว ยังเข้าใจคำว่ากายยังไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิแล้วจะไปต่อได้อย่างไร กายคือเค้าต้นของโลกุตรธรรม คือกายในกาย เป็นข้อที่หนึ่งเลย

ศาสนาอื่นไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ จิต 82 ,121 ก็ตาม ไม่ใช่ง่ายเลย โลกุตรธรรมเป็นเรื่องยาก คนไม่มีฉันทะจริง ไม่ได้ปรารถนานิพพานจริง กิเลสจะดึงไว้ไม่เต็มที่หรอก คนจะต้องเบื่อโลกแห่งโลกีย์เต็มที่จึงจะมีฉันทะ ยินดีในการเลิกราในการปฏิบัติต่อไป ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมไปก็จะเห็นอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไรจะได้เข้าเนื้อเข้าหนัง ไม่มีสภาวะจริงได้ไปเรื่อยๆ จะต้องเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง

ศาสนาพุทธกลับไปกลับมา ยุคที่เพี้ยนไปก็เป็นอีกชื่อหนึ่ง เช่นตอนนี้ชื่อว่าศาสนาพุทธ ซึ่งเนื้อหาได้เพี้ยนไปเหมือนกลองอานกะแล้ว คนที่ตรัสรู้เนื้อแท้จะมาสอนใหม่ อาจจะเอาภาษาใหม่มาเรียก เอาชื่อใหม่มาเรียก เช่นฮินดูหรือพราหมณ์ ก็กลับไปกลับมากับพุทธ  เมื่อพุทธเสื่อมก็เป็นพราหมณ์มาแทน พอพราหมณ์เสื่อมก็เป็นพุทธ พราหมณ์ที่เสื่อมแล้วก็เป็นพราหมณ์มหาศาล ร่ำรวยอู้ฟู่ เมื่อพระเพี้ยนไปแล้วก็เป็น พระมหาศาล อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังปฏิบัติไม่ดีอีก

 

โพธิสัตว์เป็นผู้มีภูมิธรรมสูงกว่าอรหันต์ เป็นผู้มีอะไรเป็นทรัพย์ในตนเองแล้วก็เอาอริยทรัพย์ไปแจกให้คนอื่น

สมณะเดินดินว่า...ในหนังสือเราคิดอะไรเล่มใหม่ก็จะพูดถึงเรื่อง  อรหันต์กับโพธิสัตว์ วันนี้ฟังก็ทำให้รู้ได้ง่ายขึ้น

พ่อครูว่า..สรุปเปรี้ยงเลยว่า พระโพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ ในมหายานนั้นนับถือโพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ แต่เมื่อมันเพี้ยนมาก็กลายเป็นโพธิสัตว์ที่ไม่มีเนื้อหามีความฟุ้งเฟ้อเลอะเทอะไปใหญ่ ในทางมหายาน แต่ทางมหายานก็นับถือว่าโพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ ส่วนทางเถรวาทก็เอาอรหันต์ให้ได้ก่อนแต่ก็ลืมพระโพธิสัตว์ไป ตีทิ้งพระโพธิสัตว์ไป อาตมานำเอาพระโพธิสัตว์มากลับคืนสู่ดินแดน เถรวาท โดยมีสภาวะธรรมรองรับจนมีสภาพจริงอย่างเช่นในหลวงเราก็ค่อยๆรู้จักกันดีขึ้นมาแล้ว

ในเมืองไทยเราก็มีอยู่หลายรูปก็ค่อยๆไล่เรียงมาเพราะพระโพธิสัตว์มีตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ อาตมาเป็นผู้เอาบัญญัติสัจธรรมของพระพุทธเจ้ามากลับคืน เขาก็พูดกันในเรื่อง โพธิสัตว์แต่เขาสับสนไม่ได้เรียบเรียง อาตมามาเอาคืนทั้งภาษาและสภาวะ ผู้ชัดเจนก็เข้าใจได้ เมืองไทยตอนนี้ก็เข้าใจทั้งอรหันต์และโพธิสัตว์ได้ เป็นอุภโตภาควิมุติ เป็นธรรมะ 2 ที่บรรลุทั้งสองส่วน เป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

พระโพธิสัตว์ก็จะมีประโยชน์ในตนที่จะเจริญขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ท่านก็จบกิจจบอรหันต์ของตัวเองแล้ว อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นยังไม่ถึง หรือยังไม่ถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ มันเป็นส่วนปลายที่สูงสุดที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่าเป็นขั้นสุดยอดของโพธิสัตว์ ถ้าจะเรียกว่าระดับ 9 หรือ 10 ก็เป็นอันเดียวกัน สุดยอด คือ 9 ถ้าเป็นปรินิพพานก็เป็นศูนย์ จะเรียกว่าสุดยอดก็คือที่ 10 หรือที่ 0

 

0818892xxxเรียนและปฎิบัติวิชาพุทธแท้กับพ่อครูครบสิบปี?ฟ้าห่วน

0893867xxxธ.อันพ่อครูสอนทำให้เรารู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นเอกัคคตาในพุทธศ.!พระเจ้าอยู่หัวเป็นเอกัคคตาในแผ่นดิน!พระธรรมคำสั่งสอนเป็นเอกัคคตาในโลกที่ทำให้มวลมนุษยชาติรวมจิตวิญาณเป็น1เดียวกันได้จริงๆสาธุ!สกก.

ตอบ...เอกัคคตาก็คือเลิศยอดเป็นหนึ่งเลย  ตอนนี้ที่ประเทศไทย ก็มีปรากฏการณ์ที่ยอดเยี่ยม และคนไทยก็เป็นผู้ที่มีปัญญารับได้ด้วย ในหลวงเป็นผู้ที่ปล่อยตัวตนทำเพื่อมนุษยชาติเลย เป็นแต่เพียงว่าตนเองจะต้องเป็นอย่างในหลวงของเราให้ได้ เป็นได้จริงก็เป็นประโยชน์คุณค่า อาตมาว่าสิ่งนี้จะเชื่อมต่อจะเจริญพัฒนาต่อไปแน่นอน มันไม่ทิ้งแน่นอน มันไม่ขาดแน่นอน มันไม่จบแน่นอน จะเจริญต่อไปจนกว่าศาสนาพุทธจะถึง 5000 ปี ตอนนี้มันต่อติดแล้ว มันเกิดแล้ว และมันจะต้องพัฒนาขึ้นไปไม่มีใครทิ้งหรอก

คนเราเจอบ่อทองได้ทองแล้ว เรารู้ว่าทองนี้ยังมี ยังมีที่สุดแห่งทองนี้ยังมีอีกใครจะไปยอมเลือกที่จะขุดต่อ ก็ต้องขุดต่อไป ใครจะไปปล่อยทิ้ง ก็ขุดต่อจนกว่าจะหมดบ่อ เป็นธรรมดาธรรมชาติไม่ได้ยากอะไรเลย เพราะว่าสิ่งที่เป็นสิ่งที่ยอดจริงๆเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงประสงค์ ผู้มีปัญญาเพียงพอแล้วไม่มีทิ้ง

 

_คุณ FOR TRUTH 2559 มาคอมเม้นท์  กราบนมัสการพ่อครูครับ ผมมีความเห็นว่า กิเลสคืออาการของจิตที่ยึดร่างกายเป็นตน(จิตยึดว่าร่างกายเป็นตัวตนของจิต ทั้งๆที่โดยจริงแล้ว จิตมันไม่มีรูปมีร่าง)ในเชิงต่างๆเช่น ยึดร่างกายเป็นตนในเชิงได้เสพอบายมุข ยึดร่างกายเป็นตนในเชิงได้เสพกามเมถุน ฯลฯ อันนี้ผมพิจารณาตามที่เคยใช้กับการลดละเลิกอบายมุขได้ รวมถึงลดละกามเมถุนได้ และหลักฐานที่บ่งชี้ว่าจิตยึดร่างกายเป็นตนหรือเสมือนเป็นตัวตนของจิตคือเวลาจิตมีอาการกิเลส จะเกิดอาการทางร่างกายขึ้นพร้อมๆกัน เช่นไม่ได้เล่นการพนัน หรือไม่ได้ไปเที่ยวคลับบาร์กลางคืนฯลฯ แล้วสีหน้าสีตาดูเครียดๆกระวนกระวายเป็นต้น ที่ยูทูป รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 บ้านราช

ตอบ...ก็ต้องค่อยๆเข้าใจว่ายึดอย่างสมาทานเป็นอย่างไร เราไม่ได้ยึดมั่นเป็นตัวเราของเรา ยึดอาศัยใช้งาน ถึงเวลาวาระจะต้องปล่อยวางก็ทำได้ ในขณะนี้ชั่วโมงนี้เรายึดก็ยึดให้แข็งแรงแล้วก็ปล่อยได้อีก บางคนบอกว่ายึดแล้วปล่อยไม่ได้ก็นานกว่าจะจางลงไป พลังงานนี้ คนที่ปฏิบัติก็จะรู้สภาวะนี่เอง เป็นปัจจัตตัง ก็จะรู้ว่ายึดให้เร็วยึดให้แน่น วางให้เร็ววางให้ไววางให้สะอาด วางให้หมดสนิทให้สะอาดก็จะค่อยๆพัฒนาสิ่งนี้เกิดจริงเป็นจริงได้ อาตมาก็ฝึกตามที่พูดแล้วก็ได้ตามบารมีที่อาตมามี

 

SMS วันที่ 24 พฤศจิกายน 2559

0893867xxxกราบขอบคุณพ่อครูกับคำตอบจากคำถามความรักนร.สสข.ทำให้ญตธ.รู้จัก1ในความรัก10มิติเห็นความรักในพ่อหลวงที่มีต่อปชช .เป็นความรักมิติที่10คือ   พุทธภูมินิยมคือความรักของพระโพธิสัตว์คือพระผู้มาช่วยโลกดังพระราชกรณียกิจที่ทรงกระทำเพื่อราษฎรประจักษ์ชัดแจ้งแก่โลกจริงสาธุ!สกก

ตอบ..ก็ขอขยายความว่าความรักของในหลวงเป็นมิติที่ 10 ก็เขาบอกว่ายังไม่ถึง มิติที่ 10 ของพุทธนี้มีตั้งแต่ไม่ติดที่ 8 9 10  ของในหลวงจะเรียกว่ามิติที่ 8 ก็ได้แล้วซ้อนมี 8 ใน 1 พ้นหรือยัง 8 ใน 2  พ้นหรือยัง 8 ใน 3 พ้นหรือยัง 8 ใน 4 พ้นหรือยัง 8 ใน 5 พ้นหรือยัง 8 ใน 6 พ้นหรือยัง 8 ใน 7  พ้นหรือยัง 8 ใน 8

อันที่หนึ่งเมถุนเลิกได้เด็ดขาดเลิกได้จริงขนาดไหน

สอง ความรักลูก เห็นแก่ลูก แล้วเผื่อให้ลูกลำเอียงแก่ลูกขนาดไหนอีก

จะมีความลึกซึ้งซับซ้อนมาก จะขยายความรายละเอียดของในหลวงก็ยาก เพราะท่านก็จะมีวิบากของท่าน คุณเองก็ไม่สามารถรู้พระทัยท่านว่าท่านวางพระทัยเรื่องลูกเรื่องญาติอย่างไรไม่ง่าย เป็นปัจจัตตัง แต่ละคนก็มีวิบากของตนไป

ขนาดในหลวงท่าน คนก็เป็นขนาดนี้

เริ่มต้นที่ระดับ8 แต่ระดับ8 ก็เริ่มต้นละมาตั้งแต่ ระดับ1 เมถุน ระดับ 2 ปิตุปาติ (พ่อลูก) ระดับ 4 ญาตินิยม เราจะเกิดจิตทุกข์ไม่ทุกข์กับญาติ อย่างไร คุณจะไปรู้ใจของคนอื่นได้อย่างไรมันยากนะ ว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็เป็นของจริงของแต่ละคนเป็นไปตามลำดับ ความรัก 10 มิติ

ในฐานะที่ 8 ถ้าพ้นระดับ1  2  3 ก็จะเลื่อนไปหา 9 ถ้ายังไม่ถึง 3 ระดับ 8 ของพุทธจะไม่เลื่อนไปหา 9 เลย ฐานที่ซับซ้อนเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏินิสสัคคะ คัมภีราวภาโส  ก็อธิบายขยายความมากไปไม่ดีก็ค่อยๆศึกษาไป ก็เป็นความจริงของแต่ละท่านแต่ละองค์

0814299xxxติดตามอยู่ค่ะ ฟังพ่อครูตอบปัญหาเด็กๆ ได้ปย.มากค่ะ

0802904xxxเดี๋ยวนี้ในชุมชนชาวอโศกสามารถจัดงานแต่งได้ด้วยเหรอคะ

ตอบ...ในชุมชนชาวอโศกนี้มีทั้งเรียกว่าวัด หรือว่าพุทธสถาน แล้วก็มีทั้งบ้านคือชุมชน ที่เป็นชาวฆราวาสแท้ๆ มาอยู่รวมกันที่เนียนสนิท เพราะฉะนั้นการที่ฆาราวาสเขาถือศีล 5 เขาจะแต่งงานมันก็เป็นไปได้ ในศาสนาพุทธไม่ได้ตัดขาดจนกระทั่งไม่แต่งงานเลย ฆราวาสเขาอยู่ในฐานที่จะต้องแต่งงานเป็นธรรมชาติธรรมดาที่เป็นเบื้องต้น ผัวเดียวเมียเดียว เพราะฉะนั้นมาถึงวันนี้แล้วของคนเราก็ค่อยๆยื่นขึ้นมา แต่ก่อนไม่ยอมให้เข้าใกล้ ไม่ยอมให้มีรูปลักษณ์เช่นนี้ คนยังเข้าใจไม่ได้และพวกเรายังไม่แข็งแรงพอ แต่ตอนนี้มันเนียนมากเข้าใจได้ จึงเป็นไปตามจริง หมู่บ้านเราก็เกิดสภาพแต่งงานได้

ที่จริงไม่ได้ทำพิธีแต่งมันก็มีมาก่อนแล้ว เป็นธรรมชาติธรรมดา แต่ตอนนี้มันมีทำพิธีทำอะไรเข้าไปอีก มันก็เลยบอกว่าทำได้หรือ ที่จริงมันมีมาก่อนแล้วชาวอโศกก็มี ในหมู่บ้านชาวอโศกมีลูกชาวอโศก เขาผัวเดียวเมียเดียวเป็นโสดาบันได้ ไม่มีปัญหาอะไร จะต้องค่อยๆศึกษาไปแล้วจะเข้าใจ

0855511xxxแต่งงานในชุมชนได้ชาวอโศกได้แล้วใช่ไม๊ครับ

ตอบ...ชักจะงงๆมาอีกเหมือนกัน

0894839xxxดิฉันดูถ่ายทอดสดทางเฟสบุ๊คเห็นมีพิธีแต่งงานในวัดได้ด้วยเหรอคะ

ตอบ...เอาอีกแล้วตอนนี้กำลังเกรียวกราวมากันใหญ่ก็อธิบายไปแล้ว

 

_สภาวะของ อัปปนา พยัปปนา เข้าหาเจตโสอภินิโรปนา ก็แน่นเป็นแกนหลัก อนุโลมให้คนอื่นแล้วเราก็อยู่ร่วมกัน ของศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาแตกแยก เป็นศาสนาที่ร่วมกัน นอกจากว่ามีคนที่ร้ายกาจเกินไป เลยขั้นพรหมทัณฑ์เป็นปาราชิกเป็นต้น เราก็ต้องมีวิธีการพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติว่า ให้ปาราชิกอยู่นอกเขตเทศบาลของพุทธไป แต่ในระดับของพรหมทัณฑ์ก็อยู่ร่วมกัน แต่ไม่พูดไม่บอกไม่สอน ให้ติดตามหาเอง นี่คือการลงโทษในระดับนี้ ส่วนปาราชิกนั้นไม่ให้มาเห็นได้มารู้เลย ถ้ามาให้เห็นก็จะไม่แสดงธรรม ไม่มีการพูดสอนให้ได้ยิน ไม่ส่งเสริมไม่เปิดประตูรับเลยเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับปาราชิก แม้จะมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายจากกัน ตัดหนทางหมดเลย ปาราชิกแปลว่าอยู่คนละฟากฝั่ง หนักว่าพรหมทัณฑ์ที่อยู่ร่วมกันได้แต่ไม่บอกไม่สอน แต่พรหมทัณฑ์ก็สามารถให้กลับตัวได้ รับเข้าหมู่ได้ เป็นสมานสังวาสได้ แต่ปาราชิก ไม่มีทางสมานสังวาส เป็นอสังวาสไปหนึ่งชาติเลย ตลอดกาล

แต่ตอนนี้ศาสนาพุทธเละเทะ ไม่ว่าจะปาราชิกข้อ 1 เสพเมถุน ข้อ 2​ ฆ่าคน ข้อ 3 ลักทรัพย์  ข้อ 4  อวดอุตริมนุสธรรม

สำหรับธัมมชโย ก็ชัดเจนปาราชิกข้อลักทรัพย์กับอวดอุตริมนุสธรรม เขาก็มีวรยุทธของอธรรม ก็ต้องเก่งยอดเยี่ยมเลย ไม่เช่นนั้น จะเป็นจอมยุทธทางธรรมะแล้วไม่มีคู่ต่อสู้อันพอฟัดพอเหวี่ยงมันก็ไม่เหมาะสมในฐานะ มันเป็นสัจจะ คนที่ชอบดูหนังกำลังภายในก็ต้องดูให้เป็น ก็จะเข้าใจอะไรได้ดี อาตมาเข้าใจแล้วก็เลยดูไม่ค่อยติด ดูแล้วบางทีมันก็บ้าบอเละเทะ เพราะว่าคนที่คิดหนังไม่ใช่อาริยะ

 

เข้าสู่เรื่องที่เราบรรยายกันอยู่ ในข้อเขียนนสพ.เราคิดอะไร

 

อาตมาถึงอยากจะอยู่ดูว่าเมืองไทยจะเป็นเมืองที่ไม่มีอาวุธเลยได้ไหม จะอยู่ได้ไหม อาตมาจะอยู่ได้นานขนาดเห็นประเทศไทยที่เป็นประเทศที่เจริญถึงขนาดไม่มีอาวุธเลยได้ไหมจะอยู่ได้ด้วยคุณธรรมคุณค่า ช่วยประเทศอื่นอื่นๆไป ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ทำได้ดี เพราะประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ทำกสิกรรมได้ดี ไม่เด่นทางด้านอุตสาหกรรม แม้จะมีความเก่งก็จะเอาไปช่วยคนอื่นไม่ไปทำร้ายกัน ก็จะพยายามอยู่ให้ถึง 151 ปี

 

เพราะ“ส่วนบุญ”คือ ส่วนที่หมดไปๆอย่าอุตริ “แบ่งส่วนบุญ” ให้คนนั้นคนนี้เป็นอันขาด เพราะ “บุญ” คือวิบัติ มิใช่สมบัติที่จะนำมา “แบ่งส่วน” ให้ใครต่อใครได้

ซึ่ง “บุญ” นี้มีหน้าที่ “ชำระกิเลส” เท่านั้นหรือ “กำจัดบาป” ที่มีในจิตสันดานให้สะอาดหมดจด” (สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ) เป็น “วิบัติ” แท้ๆ

คำว่า “บุญ”หรือ“ปุญญ”นี้มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ในพจนานุกรม บาลี-ไทย-อังกฤษ ฉบับภูมิพโลภิกขุ(เล่ม 5 หน้า 2416 บรรทัดที่ 3 จากบนลงมา) ซึ่งเป็น“หลักฐาน”ที่สำคัญมาก แม้ในพจนานุกรมนั้นเองผู้ทำพจนานุกรมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริง ถึงกับเปรยไว้ว่า “คำอธิบายนี้แปลกทีเดียว” ปานนั้นเลย ในความรู้เรื่อง “บุญ” ที่เหลืออยู่

ถ้าอาตมาไม่นำมายืนยันด้วยความมั่นใจ ในยุคนี้ “บุญ”ก็จะถูกคนผู้ไม่รู้หรือหลงผิดว่า “บุญ” คือ“กุศล” ซึ่งเป็นความหมายออกนอกรีตพุทธไปอย่างถาวรจนกว่าจะสิ้นพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมแน่ๆ

(สมณะเดินดินว่า ที่โฆษกของวัดธรรมกายออกมายืนยันว่า หลวงพ่อไม่ได้รับรู้เรื่องการเงินการรับเช็คเหล่านั้นเลย แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมหลวงพ่อไปลงชื่อเป็นเจ้าของสมบัติในวัดต่างๆที่อยู่ต่างจังหวัดเหล่านั้นเลย ให้กรรมการ หรือฆราวาสลงชื่อเป็นเจ้าของก็ได้ แต่นี่กลับเห็นว่ามีการลงชื่อหลวงพ่อเป็นเจ้าของที่ดินไปหมดเลย หลวงพ่อเลยโดนคดีอื้อเลย)

พ่อครูว่า...ชัดเจนหมด เราไม่ได้ไปใส่ความเลย

เพราะในวงการพุทธศาสนาทุกวันนี้ ได้เข้าใจผิด(มิจฉาทิฏฐิ)ไปสนิทแล้วว่า “บุญ”ที่จากบาลีว่า“ปุญญ”นี้ เป็น“สิ่งที่ได้มา”สะสม  

ถ้าไม่มีหลักฐานนี้ อาตมาก็คงยากมากกว่านี้ ที่จะยืนยันกับชาวพุทธทั้งหลายได้ว่า “บุญ”หมายถึง “สิ่งที่เสียไป”ต่างหาก (ถ้าไม่เข้าใจและเอาจริงกับบุญ จะปฏิบัติไม่ได้อรหันต์สูงสุด อย่างมากก็ได้อนาคามี เหลือรูปจิตอรูปจิตอยู่ เพราะว่ากิเลสมันเก่งมาก)

ดังนั้น “อภิสังขาร 3”ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อาเนญชาภิ

สังขาร จะแปล“อปุญญาภิสังขาร”ว่า อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ คือ บาปนั้นไม่ได้  ตีความ “อปุญญ”วนกลับไปเป็น“บาป”นั้นผิดแน่ๆ เพราะที่ถูก “อปุญญ”คือ ไม่เป็น“บุญ”ต่างหาก หรือ“บุญไม่มีแล้ว”

          บุญที่ชำระบาป มีสภาพวนเหมือนก้นหอยที่ขึ้นไปสู่ความสูญความหมดสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว

คนที่ชำระกิเลสได้เป็นส่วนก็ได้ส่วนแห่งบุญ คุณเคยติดบุหรี่ติดขนม ติดปาท่องโก๋ คนมีกิเลสอยู่ร้อยส่วนและลดลงได้ 10 ส่วนก็เหลืออีก 90 ส่วนก็เป็นส่วนบุญสิบส่วน เมื่อลดกิเลสได้อีก 30 ส่วนก็ได้ส่วนบุญ 30 ส่วนแล้วกิเลส 70 ส่วน จนกระทั่งรถกิเลสได้หมด 100% ได้อย่างแข็งแรงตั้งมั่นยั้งยืนเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ในคุณธรรมที่ได้แล้ววิมุติมีนิโรธแล้วอันแข็งแรงมั่นคงตั้งมั่นแล้วอย่างนี้

นี่คือพยัญชนะบาลีที่กำกับคุณสมบัติของนิพพาน ถ้าไม่เข้าใจคำว่าบุญไม่ชัดเจนก็จะไม่เป็นลำดับ ธรรมะของศาสนาพุทธนั้นมีความเป็นลำดับละเอียดยิ่งกว่าแผ่นกระจก ท่านก็เทียบกับฝั่งทะเล มีเม็ดทรายที่ราบเรียบเหมือนหน้ากระจก ไม่ขรุขระเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นลำดับที่น่ามหัศจรรย์อย่างหนึ่ง

ส่วนบุญไม่ได้เป็นส่วนที่มีแต่เป็นส่วนที่หมดไปสิ้นไปวิบัติไป แล้วจะไปแบ่งให้คนอื่นไม่ได้เพราะเราก็หมดลงไปแล้วหมดลงอย่างถาวรด้วยก็จะเอาอะไรไปให้เขา ถ้าปฏิบัติไม่เด็ดขาดจริงก็จะเป็นการ เหลาะแหละ ปรามาส ทำเล่นๆหัวๆไม่จบไม่เสร็จ

ดังนั้น คนที่หมดบุญหรือไม่มีบุญแล้ว คือผู้ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ผู้นี้ทำกรรมใด “ทำทีใด”ก็ได้แต่กุศล(กุสลัสสูปสัมปทา)เท่านั้น ไม่มี“บุญ”ใด“เกิดผลอีก”เลย “บุญ”หมดแล้ว

ซึ่งนายไชยบูลย์ และคนอื่นที่“รู้ผิด”อยู่ทั้งหลาย ได้นำเอาคำว่า“บุญ”นี้เองไปปู้ยี่ปู้ยำทำให้ศาสนาพุทธเละไปหมด เพราะยังไม่มีสัมมาทิฏฐิพอที่จะรู้ชัดเจน ถ่องแท้กันเลยว่า“บุญ”แท้ๆนั้นแปลว่าอะไร หมายถึงอะไร

สา คือสิ่งที่เกิดที่มีที่เป็น   เปกโข ก็คืออันนั้น อุปะ + ข (ว่าง) ที่วิเคราะห์นี้ไม่มีในหลักวิชาการของเขา ที่ใช้ตำราที่ก่อนเพี้ยนไปแต่เขาก็ยืนยันตามทฤษฏีเขา แต่อาตมาเอาตามสภาวะ

คนที่ไม่ทำแบบมีความหวังหรือจะให้มีอะไรอีก ก็คือ อุเปกโข คือว่างคือไม่มี

นายไชยบูลย์จึงเอาแต่กระหน่ำซ้ำย้ำให้คน“สะสมบุญ” อันหมายถึง ยิ่งจะมีมากๆ จะรวยๆ ยิ่งมี“บุญใหญ่-บุญมากขึ้นๆๆๆ” โดยเอาคำว่า“บุญ”นี้เอง ไปใช้เป็นเครื่องมือหลอกคน ให้หลงงมงายสร้างภพ-สร้างชาติ สอนให้คน“สั่งสม”ภพชาติ ไม่มีทางหลุดพ้นทั้งๆที่ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้านั้นทรงสอนให้คน“ดับภพจบชาติ”ต่างหาก

คำว่าบุญนี้ยิ่งใหญ่กว่ากุศล คนจึงนิยมคำว่าบุญ แต่ใช้ผิดเพี้ยน ไปสะสมบุญ บุญเหมือนกับอาวุธเช่นปืนที่จะเอาไว้ฆ่ากิเลส ไม่เป็นสิ่งที่จะต้องสะสมไว้หรือเอาไว้กับตัวเองเลยมันเป็นสิ่งที่น่าเกลียด ใช้งานแล้วทิ้งไปเลย ต้องอภิสังขารองค์ประกอบให้เป็นบุญเพื่อจะกำจัดกิเลสให้ได้

สมณะเดินดินว่า มีคำเขาแปล สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย ว่า การสั่งสมบุญนำสุขมาให้

พ่อครูว่า...คำว่า ปุญญัสสะ ไม่ได้แปลว่าสั่งสมบุญ

ชาติคือการเกิดแล้วก็ดับ ชาติเกิดแล้วสั่งสมต่อเป็นภพ ชาตินี้เกิดแล้วก็ดับ ถ้าไม่รู้ชาติสั่งสมชาติต่อก็จะเป็นภพ สรุปแล้วบุญคือทำให้ดับภพจบชาติ

ชัดเจนมั้ยว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า

“สิ้นบุญ”ไม่มี“ภพ”ต่อ มันคนละฟากฟ้า คนละก้นเหวกันเลยกับคำสอนของนายไชยบูลย์

โดยเขาไม่แคร์เลยว่า พระพุทธเจ้าจะสอนยังไง ก็เรื่องของพระพุทธเจ้า กรูสอนอย่างนี้คนชอบ คนมานับถือ คนมาสนับสนุน กรูก็ต้องทำตามกิเลสของคน เพราะกรูได้ลูกค้า กรูทำมาหาได้ ร่ำรวยเห็นทันตา  เห็นมั้ย? ...นี่คือ พฤติกรรมของสมีไชยบูลย์

แล้วเขาก็ใช้อำนาจเงินกว้านซื้อ“วงการ

ศาสนา”ได้จนกระทั่งศาสนาพุทธกระแสหลักตกอยู่ในอุ้งมือของเขา ..เห็นมั้ยๆๆ หือ!!!   

เมื่อเขาสอน เขาประกาศธรรมในนามของศาสนาพุทธตาม“มิจฉาทิฏฐิ”ของเขาอย่างนี้ อาตมาผู้เป็นสมณะในศาสนาพุทธ ก็ต้องติติง ตำหนิกันได้ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ต้องช่วยกันรักษาธรรมรักษาวินัย อย่าให้“ชาวพุทธ”สอนผิด ประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้าผิด ไม่งั้นเป็นคน“ขบถ”

อาตมาพูดความจริงตามเนื้อผ้า ใช้ภาษาให้ตรงตาม“ความชั่วหนักๆ”ของเขา

ภาษาคำพูดที่ติมันจึงหนัก จึงต่ำหยาบตามความชั่วของเขานั้นแหละ แล้วจะให้อาตมา“สื่อความจริง”ด้วยภาษาที่“เบา”ไปจากที่เขา“เป็น”หรือเขาหยาบ-เขาต่ำ-เขาชั่วนั้น ยังไง?

ถ้าไม่พูด‘หยาบ’ตรงความหยาบ จะให้สื่อด้วยภาษาอะไรดี มันจึงจะ“ตรง”กับความหยาบต่ำชั่วหนักนั้นได้ถูกตรงกับ“ความจริง”

อาตมาจึงจำเป็นต้องสื่อด้วยท่าทาง(นัจจะ) ด้วยสำเนียงสุ้มเสียง(คีตะ) แม้แต่ภาษาคำพูดที่กลั่นกรองสรรหามาสื่อมาพูด(วาทิตะ) ก็แสดง“วจีวิญญัติ-กายวิญญัติ”ตามที่เห็นควรว่า ตรงกับ“ความจริง”มากที่สุด คนจะได้รู้แจ้งรู้จริงตรงตาม“ความเป็นจริง”..ไง!

“ใจในใจ”ของอาตมาจิตเป็นกลางจริงๆ ไม่มีอาการโกรธหรือไม่ชอบเขา ...จะเชื่ออาตมามั้ยล่ะ ว่า อาตมาไม่มีอกุศลจิตพวกนั้น เชื่อมั้ยล่ะว่าอาตมาอ่านจิตตนเองออก

พลังงาน ฌาน คือพลังงานที่มีพลังเหนือราคะโทสะโมหะมันโหมทำลายพลังงานไฟ ราคะโทสะโมหะได้ ซึ่งพพจ.ท่านค้นพบพลังงานอันนี้เรียกว่า “ฌาน” ที่บางพจนานุกรมก็แปลว่าไฟกองใหญ่ บางอันก็แปลว่าไฟที่รุ่งเรือง ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติที่วิเศษเป็นพลังงานทางอุณหธาตุ ที่จะไปสลายพลังงานไฟราคะโทสะโมหะได้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐวิเศษ

คนจะหาว่าอาตมาอยากอวดโอ่ แต่อาตมาก็ต้องอ่านอาการสภาวธรรมที่เป็นสาเฐยจิตว่ามีอยู่ไหม  ถ้าอาตมาทำไม่ได้ก็ต้องรับวิบากกรรมของอาตมาไปเอง อาตมาว่า ชาตินี้วิบากไม่มากมายอะไรนะ อายุป่านนี้แล้ว ในชีวิตไม่ได้โดนเตะโดนถีบโดนฟัน มาเลย ในชีวิตนี้ใครจะชกหน้าก็ไม่เคยมี มีแต่โดนด่าภาษาหยาบคายบ้างก็เป็นไป

 

(1)ในใจของอาตมามี“อัพยกฤต”จริงๆ คือ ไม่เป็นทั้งกุศล และไม่เป็นทั้งอกุศล

(2)ในใจของอาตมามี“สุญญะ”จริงๆ คือ มันไม่มีอคติใดๆแฝง โลภก็ไม่เปื้อนใจ, โกรธก็ไม่มัวจิต, หลงก็มีไม่หมองอารมณ์เลย สะอาดว่างโล่งโปร่งตลอดทั่วถ้วนหัวใจจริงๆ

(3)ในใจของอาตมามี“อุเบกขา”จริงๆ คือ จิตมันเป็นกลาง ไม่เอียงเอนไปข้างสุข ข้างทุกข์ใด จิตอทุกขมสุขบริสุทธิ์อยู่ “สงบ” เพราะไม่มีกิเลส ซึ่งมิใช่จิตที่ถูกสะกดให้ไม่คิด ให้อยู่นิ่งๆ ไม่ทำการงานใด แต่“จิตสงบ”แบบนี้ยิ่งมีพลังทำงานดี จิตเร็วจี๋คล่องแคล่วด้วย

“มุทุ”ของตนเท่าที่ตนมี“ไหวพริบปฏิภาณ”ก็ว่องไว-“ปรับจิตใจ”ก็ทำได้เร็วตามบารมีตน

ซึ่ง“อุเบกขา”นี้จะมี“คุณวิเศษ 5”ได้แก่ 1.ปริสุทธา 2.ปริโยทาตา 3.มุทุ 4.กัมมัญญา 5.ปภัสรา เป็นธรรมที่เจริญขึ้นได้อยู่เรื่อยๆ ตามความเพียรของคน(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690)

“มุทุ”เป็นธาตุ 1 ใน 5 ของ“อุเบกขา 5”

นี้คือ จิตวิเศษ จิตหัวอ่อน ที่ทั้งรู้ไวเร็ว ทั้งดัดง่าย

“อุเบกขา”จึงอภิวัฒน์พัฒนาพลังงานจิตเจตสิกของโพธิสัตว์แต่ละท่านไปต่อเรื่อยๆ จะเก่งมากเก่งน้อยก็ตามบารมีของตนๆ จนกว่าจะบรรลุ“สัพพัญญู”สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ก็จะเป็นได้สูงสุดเท่ากัน เช่นเดียวกันเป็น“หนึ่ง”เท่านั้น

จบ….


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:22:57 )

591127

รายละเอียด

591127_วิถีอาริยธรรม สันติฯ ความรักของผู้ทำราชการ

สมณะเพาะพุทธว่า...ครั้งหนึ่งพ่อท่านเคยเทศน์ที่ปฐมอโศกเรื่องการช่วยคน จึงได้บันทึกเป็นกวีว่า

     จงช่วยเถิดเพื่อนมนุษย์อย่าหยุดช่วย

จงร่ำรวยเมตตาอัชฌาสัย

มนุษย์นี้มีกรรมอยู่ร่ำไป

ช่วยคนอื่นนั่นไงเป็นบารมี

แล้วครั้งนั้นมีคนถามพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ว่าอุดมคติอุดมการณ์ของท่านคืออะไร ท่านก็ตอบว่าอุดมคติ คือ ช่วยคนให้ช่วยคน

เราจะต้องช่วยอย่างประกอบด้วยปัญญาในการช่วย เป็นการช่วยคนให้ไปช่วยคน คือการสร้างคน การช่วยคนจริงๆก็คือการสร้างคน ครั้งต่อมาพ่อท่านก็พยายามสั่งสอนลูกๆโดยเฉพาะอาตมาเอง ที่พ่อท่านพยายามกระซิบบอก อยู่เสมอๆว่า จริงๆแล้วการให้คนก็คือการสร้าง การช่วยคนไม่ใช่การสงเคราะห์ ตรวจแยกระหว่างการสงเคราะห์กับการสร้างคน ถ้าเราสงเคราะห์จะไม่ยั่งยืน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการสงเคราะห์ เราไม่ปฏิเสธการสงเคราะห์ แต่อย่าทำเพียงแค่สงเคราะห์ จงทำไปถึงการช่วยคนและสร้างคน

สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดที่มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน มีคนไปหาจะให้ไปช่วย ล่าสุดมีคนไปหาท่านจันทร์ ให้ไปช่วยหาทนายให้ช่วยลูกชายที่มีคดีความ โยมที่รับเรื่องก็มีปัญญา ก็เลยบอกว่าท่านเป็นพระเป็นสมณะ ถ้าจะช่วยท่านไม่ได้ช่วยเรื่องแบบนี้หรอก ในการไปหาทนายให้ อย่ามารบกวนท่านเลย ก็เลยตอบไปแบบนั้น โยมคนนี้เป็นคนถวายที่ดินให้พ่อท่านใช้สร้างมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน

 

พ่อครูว่า...รพินทรนารถ ถากูร ก็เป็นปราชญ์ชาวอินเดียที่นับถือในพลังงานพระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่ทำประโยชน์คุณค่ารับใช้ ปวงชน ได้ลงมือลงแรงสร้างสรรทำงาน อย่างเป็นรูปธรรม ปลูกผักปลูกพืช เกิดผลผลิตขึ้นมา อย่างนั้นคือคนมีพลังงานเป็นพระเจ้าที่เลี้ยงโลก นั่นคือผู้ที่มีความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัว

ภาษาของคำว่า ความรัก ก็แสดงถึงสภาวะหนึ่งของมนุษย์ที่ประกอบด้วยการกระทำที่ทำงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้ได้รับสิ่งที่ประเสริฐที่ดีงามสิ่งที่เป็น ในหลวงเราเป็นผู้ที่ทรงงานรับใช้มวลมนุษย์ในฐานะที่ท่านเป็นกษัตริย์ของประเทศ แต่ท่านก็ทรงงานรับใช้ประชากรในประเทศด้วย อย่างเต็มพระกำลังเลย ตลอด 70 ปีเลยที่ทรงงานเพื่อประชาชนในประเทศจนมาบัดนี้ประชาชนก็รับรู้แล้วว่าท่านทรงงานมา 70 ปีจริง ช่วยประชาชนทั้งหลาย ตอนนี้กระแสเสียงของประชาชนขานรับ ตอบตรงกันหมด ว่าชัดเจนแต่

อาตมาขอตอกหัวตะปูว่า ข้าราชการข้าราชบริพารที่ได้ปฏิญาณตนไปรับตำแหน่งหน้าที่ว่าจะเป็นผู้ที่ช่วยราชาทำงาน ในหลวงเป็นผู้ที่ทรงงานกว้างไปช่วยทั้งประเทศ แต่ข้าราชการนั้นทำงานในวงจำกัด อำเภอหรือจังหวัดของเขา หรือตำบลของเขา รับผิดชอบเป็นหย่อมๆ ก็ยังไม่ได้ลงไปทำงานในพื้นที่อย่างในหลวงของเรา ท่านทรงแผนที่ลงไปในพื้นที่จริง ที่ไหนมีความเดือดร้อนท่านก็ไปช่วยได้จริง นี่คือการรับใช้ประชาชน ท่านเป็นนักประชาธิปไตยเบอร์ 1

ข้าราชการเป็นนักประชาธิปไตยถาวร ที่เข้ามาบรรจุมีตำแหน่งเป็นข้าราชการ เข้ามาแบ่งเบาภาระของพระราชาในการรับใช้ประชาชนมีเงินเดือนด้วย ข้าราชการประจำก็คือข้าราชการการเมืองถาวร ข้าราชการการเมืองคือผู้ที่สมัครมาทำงานเป็นครั้งคราว โดยประชาชนเลือกมา มาทำไม ก็เพื่อมาตรวจข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมืองก็มารับเป็นเจ้ากระทรวง เพื่อจะมาตรวจข้าราชการประจำอีกที่หนึ่ง ในชั่วระยะหนึ่ง 4 ปีก็ทีนึง แต่แล้วก็กลับเข้ามาข่มขู่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทำเละเทะไปหมด ด้วยกิเลสของคนปู้ยี่ปู้ยำหลักการ

ผู้ที่มารับใช้ประชาชนคือผู้ที่รักประชาชน  ผู้ที่รับใช้ใคร โดยไม่มีสินจ้างรางวัลไม่ได้รับใช้เพื่อจะเอาค่าตอบแทน ทำงานเพื่อเขา ที่ต้องทำงานเพื่อเขาเพราะว่าเขาเป็นคนที่ควรรับใช้ เขาเป็นคนของโลกเขาเป็นคนของสังคมเป็นคนของประเทศ เราก็ควรรับใช้เขา เราเกิดมาเป็นคน เมื่อเห็นผู้ที่ควรจะต้องได้รับการช่วยเหลือก็ไปช่วยเหลือก็เรียกว่ารับใช้ เรามีความรู้และมีความสามารถตามปัญญา ก็รับใช้ตามความคิดความรู้ปัญญา

เรามีความสามารถทำงานทางกายก็ไปรับใช้ทางกาย เรามีความสามารถทางวาจาบอกกล่าวก็รับใช้ทางวาจา อย่างบริสุทธิ์ที่สุด

ในหลวงทรงงานมาตลอด 70 พรรษาก็รับใช้มวลมนุษย์มาตลอด 70 ปี ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีเงินโอเวอร์ไทม์จ้าง หรือต้องมีเบี้ยประจำมาจ้าง ไม่เคยคิดว่ารัฐบาลหรือใครจะต้องมาให้

คนที่จะมาเป็นข้าราชการแต่ก็มีระบบระเบียบในการทำงานตามระบบ ก็เลยดูเหมือนห่างจากพระเจ้าอยู่หัว แต่แท้จริงก็คือมีหน้าที่ช่วยในหลวงทำงาน ข้าก็คือผู้รับใช้ ผู้ช่วยเป็นมือเป็นไม้ ราช ก็คือ ราชา

แต่เสร็จแล้วเละเทะไปหมด ดีไม่ดีไปฉวยโอกาสโกงกิน เรียกว่าโลภโมโทสัน ทำงานก็ไม่เป็นงาน แต่มีค่าใช้จ่ายตามระบบระเบียบมากมาย ไม่เหมือนในหลวงที่ทำงานเพราะว่ารักประชาชน ข้าราชการก็น่าจะมาขอแบ่งเบาในการให้ความรักแก่ประชาชน แบ่งเบางานของในหลวง แต่กลับไม่ทำอย่างนั้น กลับมาหาเงินเลี้ยงชีพเมื่อได้ตำแหน่งหน้าที่ได้เงินเดือนแล้ว แล้วก็ทำงานเช้าชามเย็นชามหรือไม่มีสักชาม

ประชาชนที่มีความรักในประชาชนด้วยกัน ก็คือผู้ที่สร้างสรรค์ โดยตรง ข้าราชการ ไม่ใช่ผู้ที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ที่มาปลูกผักพืชหรือสร้างผลผลิตอุตสาหกรรม ไม่ได้สร้างงานที่สังคมประเทศชาติต้องอาศัย ที่มีเยอะแยะมากมาย ก็ต้องช่วยประชาชนด้านต่างๆ ในเรื่องของการอุปโภคบริโภคให้คนได้กินได้ใช้ ประชาชนมีหน้าที่สร้าง ของกินของใช้ สร้างแล้วก็เอามาแจกประชาชน แจกไปเราก็จะไม่มีทุนรอนกลับมาทำงานอีก ก็ต้องมีค่าโสหุ้ยด้วย ค่าแรงงานค่าอื่นๆ โดยใช้ตั๋วเงินหักลบกลบ ในแรงงานทางกาย ทางสมอง ก็ตั้งราคาค่าแรงกันไป แล้วก็มีเหลื่อมล้ำว่า งานทางสมองมีราคาแพงกว่าแรงงานทางกาย จ่ายเป็นค่านิยมของสังคมไป แล้วมันเลยเกินไปเอาเปรียบไป ที่จริงแล้วแรงงานทางสมองนั้นเบากว่าแรงงานทางกาย แต่งานทางกายนั้นใช้พลังงานแคลอรี่มากกว่าเยอะ แรงงานทางสมองที่จะใช้มากก็คือการใช้เพ่งพินิจคิดสิ่งที่ดีงามเกินกว่าเก่าหรือที่แปลกๆพัฒนากว่าเก่า สร้างสรรค์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าเป็นความคิดสามัญเขาก็คิดอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ใช้พลังงานแคลอรี่เกินกว่าเหตุหรอก จริงๆแล้วเขาคิดไว้แล้วด้วย ราคาควรจะถูกกว่าแรงงานที่ต้องผลิตออกมาเป็นชิ้นงานหรอก แต่มีความเหลื่อมล้ำความฉ้อฉลทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันนี้มานานแล้ว พวกที่คิดได้ใช้สมอง มันมีความฉลาดในตัว มันก็ใช้เชิงฉลาดนั้นตั้งราคา แล้วก็กลายเป็นผู้บริหาร

ผู้บริหารไม่ใช่ผู้ที่มีการลงมือทำ แต่ใช้ความคิด ทั้งโลกเป็นเช่นนั้น ปัญหาคือกรรมกรเป็นผู้ลงมือทำกับผู้บริหารพวกที่ดูแลจัดสรร พวกที่คุมกำลังกรรมกรหรือมีวิธีการโยกย้าย อย่างเช่นนายแจ็คหม่าก็นั่งหาวิธีโยกย้ายสินค้าเท่านั้น เป็นวิธีการที่ใช้เชิงเอาเปรียบมากมาย ซับซ้อน และทำให้เกิดรายได้ที่ตนเองได้เปรียบนั้นมา นี่เป็นคนฉลาดแกมโกงหรือคำว่า เฉกา

คนที่มีความรักประชาชนจะมีปัญญา คนที่มีความเลวร้ายในสังคมจะมี เฉกา (ความฉลาดเฉียบแหลมที่ประกอบด้วยกิเลส เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว) เฉกาเป็นภาษาบาลี แต่คนไม่นิยม เพราะเป็นความเลวเห็นแก่ตัว อย่างในโลกนี้เขายกย่องในแจ็คหม่า ว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดมาก อาตมาสรุปเลยว่าเป็นความฉลาดเลวอย่างมากเป็นผู้ที่คิดเอาเปรียบคนอย่างมาก เป็นผู้ที่รับใช้อัตตา กับกามคือความใคร่อยาก คือรับใช้ตัวตนของตัวเองกับความใคร่อยากได้มาเป็นของตัวเอง เป็นกิเลสแล้วก็บำเรอกิเลสไป คนไม่รู้ตัวก็หลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

คนที่หามาให้แก่ตัวเองได้มากก็ได้รับการยกย่อง แม้จะรู้ว่าไม่ดีแต่สู้กับอำนาจกิเลสในตัวเองที่มันเป็นใหญ่กว่าไม่ได้ คนก็เลยเหมือนกับสับสน ลึกๆก็รู้ว่าการเอาเปรียบไม่ดี การเสียสละดี รับใช้ประชาชนดี

ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างชาวอโศกที่อาตมาพาให้มารับใช้ประชาชน ให้ทั้งแรงกายและวัตถุ เช่น ขณะนี้ที่สนามหลวง เราไปแสดงความจริง ทุกสิ่งเราก็สร้างสรรค์เองและซื้อมาก็ตามและเอามาประกอบเป็นสิ่งบริโภค สิ่งที่อุปโภคก็มีบ้าง แต่เรื่องของการบริโภคหรือกินนี้เป็นตัวเด่นชัด ที่สนามหลวงขณะนี้ พฤติกรรมที่ทำอยู่ขณะนี้ เรียกว่าการรับใช้ประชาชน ประชาชนจะมาที่สนามหลวงมาก เราก็จะต้องรับใช้เขา แล้วเขามาทำไม เข้ามาแสดงออกถึงความซาบซึ้ง ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ มาแสดงออกว่าเขารู้นะ ว่าคนๆหนึ่ง หรือพระเจ้าแผ่นดิน ได้รับใช้ประชาชนมา แสดงความรักประชาชนมา 70 ปี เสร็จแล้วท่านก็จากไป ท่านจะไม่ได้ทรงงานอันประเสริฐสุดนั้นอีกแล้ว พอท่านสวรรคตแล้ว ประชาชนก็เสียดายระลึกถึงด้วยความเห็นความเข้าใจของตนเองว่า ท่านรับใช้ประชาชนจริงๆ ท่านเป็นนักประชาธิปไตยที่ไปรับใช้ประชาชน ไม่ต้องพูดถึงนักการเมืองที่บอกว่าจะมารับใช้ประชาชนเลย มันไม่จริงหรอก แต่ในหลวงนี่แหละ คือนักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตย โดยท่านบอกว่าจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม คือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

สมณะเพาะพุทธว่า...ตรงกับพระบาลีเลย มีคำว่าประโยชน์สุขด้วย เป็นประโยชน์ที่เป็นไปเพื่อความสุข อันนี้เป็นความสมบูรณ์

พ่อครูว่า...ในหลวงทรงรู้สาระก็เลยทรงพระจริยวัตรเช่นนั้น คือเพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมหาชนชาวสยาม ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนต้องเป็นอย่างนี้แหละ เป็นผู้ที่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นผู้รับใช้โลกก็คือปวงชนทั้งหลาย

คนที่มีความประพฤติมีกรรมกิริยาของตัวเอง จัดแสดงกรรมการกระทำอยู่ตลอดเวลาเลย แล้วการกระทำจริงนั้นอยู่ตลอดเวลาเป็นการกระทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ในหลวงทรงงานเพราะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นหน้าที่ของท่านที่ประเสริฐสุด เป็นประโยชน์สุขแก่มวลประชาชน

อาตมาเองขออภัยที่ต้องพูดถึงตัวเองบ้าง อาตมาเข้าใจอันนั้น อาตมาไม่มีหน้าที่ไปสมัครเป็นข้าราชการ ไม่มีหน้าที่เป็นนักธุรกิจหรือนักกสิกรรม อาตมามาเลือกงานที่เป็นการบอกแจ้งสัจธรรม มาบรรยายสัจธรรม มาบรรยายความรู้ที่เป็นความรู้ให้ประชาชนรู้ว่าอันนี้ดี อันนี้ถูก อันนี้เป็นแก่นสารสาระ อันนี้เป็นสะเก็ดอันนี้เป็นกระพี้ อาตมามีหน้าที่ อธิบาย บอก

พระพุทธเจ้าเทียบสะเก็ดคือศีล เปลือกคือสมาธิ กระพี้คือปัญญา แก่นคือวิมุติ

ส่วนลาภสักการะท่านเปรียบเหมือนใบ ดอก ผล ของศาสนา

คนมีสัญชาติที่เห็นแก่ผลกับใบกับดอก ไม่มีปัญญาเห็นสะเก็ด ไม่มีปัญญาเห็นเปลือก ไม่มีปัญญาเห็นกระพี้ ไม่มีปัญญาเข้าใจถึงแก่น

อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์มาหลายชาติแล้ว ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามา และพระโพธิสัตว์คือผู้ที่พระพุทธเจ้าลงทะเบียนไว้แล้วว่าจะต้องทำงานแทนพระพุทธเจ้าสืบสานศาสนา โสดาบันก็สืบสานตามที่ตนมี สกิทาคามีก็สืบสานเท่าที่ตนมีเนื้อแท้ ...ตั้งแต่โสดาบันก็คือผู้ที่มีสัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธ เป็นระดับที่ 1 เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 1

โพธิสัตว์ระดับที่ 2ก็คือสกิทาคามี

โพธิสัตว์ระดับ 3 ก็คืออนาคามี

โพธิสัตว์ระดับที่ 4 ก็คืออรหันต์

โพธิสัตว์ระดับ 5 ก็คือ อนุโพธิสัตว์

แต่ในเถรวาทนั้นไม่มีใครรู้เรื่องเหมือนโพธิรักษ์ (ไม่ได้ดูถูกหรือข่มแต่พูดความจริง) ผู้ที่รู้ความจริงว่า มันงามทั้งผลใบดอกคือลาภสักการะสรรเสริญในโลก ส่วนศีลคือสะเก็ดที่หลุดร่วงจากต้นไม้ คนก็เห็นแต่ดอกใบผล จะไปเอาดอกใบผลแต่หารู้ไม่ว่าทำไมมีสะเก็ด ไม่มีเปลือก ไม่มีแก่น ก็เกิดดอกใบผลไม่ได้ คนไม่รู้ ที่จะต้องมาสร้างเนื้อแท้ของต้นไม้ให้เป็นต้นไม้แห่งธรรมะต้นไม้แห่งสัจธรรมไม้แห่งประโยชน์คุณค่า ไม่มีพิษภัยอะไรแฝง ไม่มีสิ่งที่เป็นกิเลสมาแทรกแซง มีแต่สัจจะซื่อสัตย์ตรงกันหมด พระพุทธเจ้ารับผิดชอบอันนี้ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็มาสืบสานต่อ

โพธิสัตว์ระดับ 6 ก็คือ อนิยตโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ระดับ 7 ก็คือ นิยตโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ระดับ 8 ก็คือ มหาโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ระดับ 9 ก็คือ พระพุทธเจ้า

 

อธิบายตามหลักฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

สมณะเพาะพุทธว่า…ตามพระไตรปิฏก

                        [353] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมสมณพราหมณ์พวกนี้ เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นคนดี คือ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะสัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร พวกนั้นทั้งหมดรู้ยิ่งตามปฏิญญาของตนๆ หรือทุกคนไม่รู้ยิ่งเลย หรือว่าบางพวกรู้ยิ่ง บางพวกไม่รู้ยิ่ง.

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลย พราหมณ์ ข้อที่ว่าพวกนั้นทั้งหมดรู้ยิ่งตามปฏิญญาของตนๆ หรือทุกคนไม่รู้ยิ่งเลย หรือว่าบางพวกรู้ยิ่ง บางพวกไม่รู้ยิ่งนั้น จงงดไว้เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงฟังธรรมนั้น จงกระทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ปิงคลโกจฉพราหมณ์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.

             [354] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้วพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ดไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา. หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสียถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่นและกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา. หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา. หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น. บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น รู้จักกระพี้ รู้จักเปลือก รู้จักสะเก็ด รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น บุรุษผู้เจริญนี้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั่นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่นและกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักสำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.

                        [360] ดูกรพราหมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้ พรหมจรรย์จึงมิใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด.

             เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปิงคลโกจฉพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉันใด ธรรมที่พระองค์ทรงประกาศแล้วโดยอเนกปริยาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระองค์กับพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

 

 

พ่อครูว่า...อาตมาหยิบเอาพูดถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จูฬสาโรปมสูตร มา ถ้าคนหลงในลาภสักการะสรรเสริญที่เป็นเหมือนดอกใบผล ได้สิ่งเหล่านั้นมาสนใจเป็นสุข คนเราก็หลงอยู่เช่นนั้น ไม่เคยไปรู้จักว่าต้นตอสิ่งที่ประเสริฐเหล่านี้คืออะไร คนจะมีลาภ หรือคนจะมีดอกใบผล ก็จะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมมีศีลสมาธิปัญญามีวิมุติ เป็นต้นไม้เป็นตัวเหตุ เป็นที่มา ถ้าไม่มีเหตุไม่มีที่มาก็ไปแย่งของคนอื่นเขามา ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิ์ คนไม่มีศีลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปได้ดอกใบ คุณไม่มีสมาธิคุณไม่มีปัญญาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ดอกไม้ใบไม้หรือผลไม้

ศีลคือคุณธรรมเป็นตัวหลักเกณฑ์เลย

พุทธเจ้าตรัสว่าคนที่จะชมเรา เบื้องต้นนั้นต้องชมว่าเราเป็นคนที่มีศีล คนที่ไม่มีศีลนั้นก็คือคนที่ไม่มีความเป็นคน ศีลข้อเดียวไม่มีก็คือไม่มีความเป็นคนเลย มีศีล 1 ข้อก็มีความเป็นคนหนึ่งข้อ ถ้าจะมีความเป็นคนครบในพื้นฐานก็คือมีศีล 5 ข้อ

1 เป็นคนที่มีภูมิปัญญา คนไม่มีปัญญาเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย โลกมีสัตว์เดรัจฉานตัวใหญ่โตขนาดไหนคนก็ฆ่าได้หมด จับมาใช้ทำงาน ถ้ายุคนี้มีไดโนเสาร์ คนก็จะจับไดโนเสาร์มาใช้ จะถูกร้อยจมูกโดยใช้ตะขอสับทำงานเหมือนช้าง คนนี่มันยอดเยี่ยมอย่างนั้นจริงๆ แต่คนก็ควรจะเป็นผู้ที่มีปัญญา ต่างคนต่างก็มีชีวิต สัตว์ในโลกนี้ต่างคนต่างเกิดมารับวิบากมาใช้วิบาก อันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ อย่าไปฆ่าแกงกัน อย่าไปทำร้ายทำลายกัน

สมณะเพาะพุทธว่า...คนที่นำมาสัตว์มาเลี้ยงมาให้สบายๆนั้น เป็นการเพิ่มวิบากให้แก่ตนและเพิ่มความเป็นสัตว์ให้อยู่ยาวนาน ฆ่าสัตว์รู้สึกสบายกับความสุขที่คนปรนเปรอให้นั้น พ่อครูบอกว่าคนที่เลี้ยงสัตว์ให้สบายนั้นสัตว์ก็อยากจะเกิดมาเป็นสัตว์อีก แต่ถ้าสัตว์รู้สึกว่าลำบากก็จะไม่อยากจะเกิดมาเป็นสัตว์อีก

ตอนนี้ว่าที่ท่านพุทธโฆษาจารย์ พยายามรวบรวมหลักฐานพระไตรปิฎกมาท่านรวบรวมไว้ดีจริงๆ ท่านเป็นนักศึกษาที่เอาใจใส่ ทำให้หลักฐานของศาสนาพุทธนี้มีเอาไว้ให้พวกเราได้ใช้ได้อาศัยศึกษา เอามาปฏิบัติ เอามาเป็นประโยชน์ ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่ง

อันที่ไม่ตรงกับอาตมาก็มี (อาตมาไม่ได้พูดอย่างเบ่งข่มนะ เป็นการพูดโดยการศึกษา) เช่นท่านให้ความหมายคำว่า  ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ปุญญาภิสังขาร แปลว่าการปรุงแต่งการจัดการให้เป็นบุญ

อปุญญาภิสังขาร ท่านก็แปลว่ามันไม่ใช่บุญ ไม่ได้ปรุงแต่งอันเป็นบุญ ก็คือบาป ท่านขยายความไว้แบบนี้สรุปก็คือบาป อาตมาก็เห็นแย้งกัน

แต่ความเห็นของอาตมานั้นเห็นว่า บุญญาภิสังขารคือไม่ต้องทำบุญอีกแล้วทำบุญเสร็จแล้ว เพราะอภิสังขารคือการปรุงแต่งขั้นอภิ ผ่านบุญญาที่สังขารไปแล้ว คือจัดการบาปจนหมด บุญก็หมดไปด้วยไม่มีหน้าที่ทำอะไร หน้าที่ของอเนญชาภิสังขารคือสั่งสมคุณสมบัติ ของผู้ที่ สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) ทำอะไรต่อไปก็จะเป็นกุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)

จิตอาตมาขณะที่พูดนี้ไม่มีอุปกิเลส 16 นี้ ตั้งแต่ อภิฌาวิสมโลภะ …. เป็นต้นไปจนถึงปมาทะเลย ไม่มีกิเลสพวกนี้ อาตมาก็ขอแสดงความจริงพวกนี้

 

สมณะเพาะพุทธว่า...อุปกิเลส 16 ประกอบด้วย

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

ทั้งหมดนี้ 16 ข้อคืออุปกิเลสที่พระครูบอกว่าขณะที่พูดนี้ไม่มีอยู่เลย

 

พ่อครูว่า...แม้แต่ความประมาทมัวเมาในความรู้ความเห็นก็มีสติสัมปชัญญะด้วยความจริงใจว่านี่คือการแสดงสัจธรรมเปิดเผยธรรมะเป็นความรู้ทางวิชาการไม่ได้อวดตัวตนอะไร

 

ในจูฬสาโรปมสูตร นั้น ดอกใบผลที่มีสีสันสวยสดๆก็กลบเอาสะเก็ด เปลือก กระพี้ แก่นไปเสีย หากเป็นต้นไม้ที่ไม่มีสะเก็ดไม่มีเปลือก ไม่มีกระพี้ ไม่มีแก่นก็เป็นต้นไม้พิษ ดอกใบผลที่เกิดก็เป็นดอกใบผลที่เป็นพิษทั้ง 4

คนต้องมีศีล ถ้าไม่มีศีลไม่ใช่คน ศีลพื้นฐานของคนคือศีล 5 (คุณไม่มีศีลคือคุณไม่มีสิทธิ์เป็นคน)

วันนี้คนไม่มีศีล 5 จึงไม่ใช่คน ตกลงมีดอก มีใบ มีผลที่เป็นพิษทั้งนั้นเลย พิษก็คือกิเลสที่เป็นพิษร้าย ทุกวันนี้เมื่ออยู่กันด้วยดอกใบผลที่เป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นพิษทั้งนั้น เละเทะ

พระพุทธเจ้าเห็นมนุษย์จมอยู่ในทุกข์เช่นนี้

สมณะเพาะพุทธว่า...ศีลเป็นเบื้องต้นเป็นมารดาของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นจงชำระศีลให้บริสุทธิ์ ในจูฬสาโรปมสูตร ไม่ได้ปฏิเสธศีลแต่จงอาศัยศีลสมาธิปัญญาให้เข้าถึง อกุปปาเจโตวิมุติ ถ้าไปติดแค่ศีลก็คือสีลพตปรามาส หรือสีลลัพพตุปาทาน หรือไม่ปฏิบัติศีลจนให้เกิดสมาธิเกิดปัญญา และเกิดอกุปปาเจโตวิมุติ ก่อนจะเข้าถึงแก่น ปฏิเสธไม่ได้ว่า จะต้องมี ศีล

น้ำไม่มีแก้วก็ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในสภาพที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ น้ำต้องมีแก้ว(พ่อครูให้ความรู้ว่า ใช้ภาษาผิด คำว่าแก้ว มาจากแต่ก่อนใช้จอกใส่น้ำ แล้วก็คนใช้แก้วทำจอก ก็เลยกร่อนว่าจอกที่ใส่น้ำนี้เป็นแก้วหมดเลย) สมณะเพาะพุทธว่า..จอกใส่น้ำให้เป็นรูปทรงได้ คนต้องมีกรอบคือศีลเป็นกรอบให้เป็นคน

 

พ่อครูว่า...ในหลวงทรงราชการเอง และคนที่มาขอแบ่งเบาร่วมช่วยงานราชการก็เรียกว่าข้าราชการ

สมณะเพาะพุทธว่า...มีคนถามว่าในหลวงประกอบอาชีพอะไรในหลวงตอบว่า ทำราชการ

ฉลาดเฉียบแหลมบวกกิเลสคือเฉกา ส่วนปัญญาคือฉลาดเฉียบแหลมที่ไม่มีกิเลส

พ่อท่านอรรถาธิบายว่า การรับใช้ผู้อื่นเป็นอนัตตา การรับใช้ตนเองเป็นอัตตา

การรับใช้ตนเองนั้นสัตว์มันก็ทำได้อยู่แล้ว การรับใช้ตนเองก็มีสภาพไม่แตกต่างจากสัตว์ การรับใช้คนอื่นต้องมีปัญญาเหนือกว่าสัญชาตญาณ

ประชาชนที่มาสนามหลวง มาถวายความสักการะในหลวง พ่อครูใช้คำว่ามาแสดงออกถึงความรักในนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ในหลวงมีพระปฐมบรมราชโองการว่าเราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม วันนี้พ่อครูยืนยันว่าตรงกับคำของพระพุทธเจ้าว่า..พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

พ่อครูว่า...มันจะเป็นความรักอันยิ่งใหญ่คือการรับใช้ประชาชน พระเจ้ารักประชาชนช่วยประชาชน ประชาชนใดมีความทุกข์ พระเจ้าก็ช่วยประชาชนที่มีความทุกข์ ในภาษาโบราณของศาสนาพุทธหรือศาสนาพราหมณ์คือ พระเจ้าเรียกว่าพรหม พระพรหมมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา

เมตตาคือเห็นคนมีความทุกข์เพราะประสงค์ให้คนทุกข์ให้คนมีสุข

กรุณา คือลงมือกระทำ (กรณะ)กระทำการช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้รับสุข

มุทิตาคือ จบเห็นคนพ้นทุกข์รับสุขก็ดีแล้ว

อุเบกขาคือวางปล่อยเฉย จบ ทำดีแล้วไม่ยึดดีเป็นเราเป็นของเรา

นั่นคือคุณลักษณะของพระพรหมหรือพระเจ้า คือผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือสัตว์ในโลก ช่วยมนุษย์ในโลก ให้พ้นทุกข์ หรือมีสุข

คนที่พ้นทุกข์มีความสุข มันเป็นภาษาที่คู่กัน คือความทุกข์กับความสุข ถ้ามีความทุกข์อยู่ก็ต้องมีสุข ถ้ามีความสุขก็จะต้องมีทุกข์ มันแยกกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภาษาที่เป็นหนึ่ง เป็นเอกธรรมหรือทำจิตให้เป็นเอก

ความสุขความทุกข์คือเวทนา หรืออารมณ์ บางครั้งมันไม่สุขไม่ทุกข์ก็เรียกว่าเฉยๆหรืออุเบกขา มันพักยก มันก็มีเป็นจริงอยู่ 3 อย่าง พระพุทธเจ้าก็ให้เรียนรู้สุขกับทุกข์ว่ามันมีเหตุ ที่เราไปยึดถือ เมื่อดับเหตุนั้นแล้วก็ไม่มีสุขกับทุกข์

เวทนาที่เป็นอุเบกขา อทุกขมสุข ก็คืออารมณ์นิพพาน พระพุทธเจ้าให้ศึกษาเวทนาเป็นกรรมฐาน ถ้าไม่มีเวทนาไม่มีฐานในการปฏิบัติ พรหมชาลสูตร มีกล่าวไว้ ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

คำว่า 2 ที่จะศึกษาจริงๆได้แก่เวทนา  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ให้จัดการให้สำเร็จ(ภวันติ) ทำให้ธรรมะสองนั้นกลายเป็นธรรมะหนึ่งเรียกว่า  เอกสโมสรณา ใน ล.10 ข.60 พระพุทธเจ้าตรัสไว้

หลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่นำมาเปิดเผย เพื่อให้รู้ว่าคนเรานี้มีอัตตาตัวตน กับสิ่งที่ไปหลงว่าเป็นสุข

ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่ตรัสเป็นสูตรแรก ก็เปิดเผยว่าคนนี้มี อัตตา แล้วลำบากเรียกว่ากิลมถะ เบื้องต้นคนเรานั้นหลงในสุข ที่เป็นกามสุขขัลลิกะ คือสุขเท็จ กามคือความใคร่อยากให้โลกที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสภายนอก ไปหลงยึดถือว่าเป็นสุข เช่นไปยึดถือสิ่งที่เป็นอบาย เช่น คนที่ยึดถือว่าชีวิตนี้จะต้องรวย คนที่มุ่งมาดปรารถนาว่าจะต้องรวย อันนี้เป็นอบาย การรวยเป็นความโลภ เป็นการเห็นแก่ได้ การจะรวยได้จะต้องกอบโกยมาให้มาก เอามาเป็นของตนให้มากคือความโลภ คือความเห็นแก่ได้มาให้แก่ตน ต่างกับราคะที่ต้องได้มาเพื่อเสพรส โลภกับราคะก็คือ กาม  ต้องการวัตถุคือลาภต่างๆ กับการต้องการสัมผัสเสียดสีแล้วเกิดรสเรียกว่าราคะ

คนเรามีตัวตนเห็นแก่ตัวก็จะเอาสองสิ่งนี้ เอาวัตถุทรัพย์กับเอามาเสพรสให้แก่ตน แล้วเรียกสิ่งที่ได้มานี้เรียกว่า ความรัก

โลภคือเอามาเป็นของตน ส่วนราคะคือเอามาเสพรส ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เกิดความสุขที่ไม่ใช่อารมณ์จริงเป็นของเก๊ เป็นสุขขัลลิกะ คนหนึ่งเห็นว่าเป็นความสุขมากเกินไป อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่มีความสุขเพลิดเพลิน แบบนั้นแหละ แต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันหมดอย่างเดียวกันก็ฆ่ากันตาย ถ้าใครสัมผัสอย่างนี้แล้วก็อร่อยทุกคนตรงกันหมดเลย รับรองว่าแย่งกันพลเมืองในโลก 7000 ล้านมาจะเอาอันนี้อันเดียว ก็เกิดความบรรลัยเท่านั้นเอง

ขนาดต่างคนต่างยึด มันก็ยังมีตรงกันบ้างเลยจะแย่ง เช่นมะละกอลูกนี้ อาตมาเคยยกตัวอย่างคนมาซื้อขนมหม้อแกงชิ้นสุดท้าย คนหนึ่งสั่งจองไว้ 25 ตังค์ แล้วก็จะมาเอา อีกคนหนึ่ง มาซื้อที่หลังแต่คนขายยังไม่ทันห่อ เอาวางในถาดไว้ คนที่สั่งซื้อก็ไม่มาเอาเสียทียังไม่ให้เงินด้วย คนที่มาทีหลังก็เลยให้เงินสดซื้อเลย คนที่มาก่อนมาทันพอดีก็บอกว่าฉันสั่งก่อนนะ ก็เลยทะเลาะกันฆ่ากันแทงกันตายด้วยขนมหม้อแกงชิ้นเดียวราคา 1 สลึง ก็คือคนมันโง่ มันยึดว่าจะต้องกินขนมหม้อแกง

โลภคือต้องการได้มาเป็นเจ้าของ ราคะคือต้องได้มาสัมผัสเสียดสี ไม่ได้มาก็จะแย่งกันฆ่ากันตาย อย่างเช่นขนมหม้อแกงนี้

ไปหลงว่าความโลภหรือความมีราคะนี่คือความรัก อยากได้มาเป็นความรักจากได้เสพรสเป็นความรัก การที่จะดึงเอามาเป็นของตน หรือดึงมาเสพสัมผัสมาเป็นรสชาติของตน ก็เป็นความเห็นแก่ตัวที่สุด

สรุปตรงนี้เลย ความรักที่มีความเห็นแก่ตัวกูของกูก็คือ ตัวตน อาตมาไม่ได้เริ่มต้นความรัก 10 มิติที่ความรักเห็นแก่ตัวตน แต่เริ่มที่กาม คือทั้งโลภและราคะ ได้มาเป็นของตนก็สุข ได้มาเสพสัมผัสสมใจก็สุข ก็ได้ฝากความรักที่มีความโดดเด่นมาให้แก่ตนเสพ เมถุนก็ต้องมีสองอย่าง เป็นคนคู่

สรุปได้ที่ตรงที่ได้สัมผัสคน ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วก็เห็นแก่ตนเอามาสัมผัสเสียดสีในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกับเพศ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตามเป็นความสุขเป็นความรักในมิติที่ 1 เป็นความรักที่ถือว่าโง่ที่สุด มันแคบไม่เห็นแก่อะไรอื่นเลย มันดำฤษนา สำหรับการได้คู่นี้แหละที่สุดในสัมผัสเสียดสี

ในโบราณมีสงครามแย่งผู้หญิง เป็นเจ้าเมือง เป็นเจ้าแคว้น ต้องการผู้หญิงคนนี้ก็เอาทหารไปรบ ก็มีในตำนานมาแล้วใช้พลังงานของกองทัพเลยนะไปแย่งผู้หญิงคนหนึ่งมา เอามาทำไมก็เอามาเสพสัมผัสเสพรส แต่ลงทุนใช้กองทัพเลยเพราะว่าเป็นเจ้าเมืองหรือเป็นราชาหรือเป็นฮ่องเต้ อาตมาถึงเอาเมถุนธรรมหรือกามนิยมเป็นความรักมิติที่ 1 แคบที่สุดเลวร้ายที่สุดเห็นแก่สัมผัสเสียดสี

ใครลดรสที่ต้องมาสัมผัสเสียดสีนี้เป็นเบื้องต้นนะ กามคุณผู้หญิงผู้ชายมันเสพสัมผัสทวารทั้ง 5 เลยนะ ส่วนการเสพรสทางตาก็คือรูป เสพรสทางหูก็คือเสียง เสพรสทางกลิ่น เสพรสทางลิ้น เสพรสทางกายสัมผัสเสียดสีในคนนั้นรวมทั้งหมดทั้งทวาร 5 เลย

รูปสวย ได้ดูรูปเท่านั้นก็สุขแล้ว ได้ยินเสียงก็สุขแล้ว ได้ดมกลิ่นก็สุขแล้ว แต่ก่อนผู้หญิงหรือผู้ชายสัมผัสก็แค่รูปเสียงกลิ่น ต่อมาก็พิเรน มีรสทางลิ้น สัมผัสทางลิ้น สัมผัสผิวต่างๆนานาก็แล้วแต่ ลิ้นไปแตะสัมผัส

มันมีรสสองอย่าง มีรสจริงรสแท้ที่ว่าจะคนชาติไหนไทยจีนแขกฝรั่งมาสัมผัสก็จะมีรสชาติจริงเหมือนกันนี้ ตัวอย่างสับปะรดที่อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าใครมาเห็นเข้าจะรับรู้เหมือนกันหมด แต่บางคนเห็นแล้วชอบก็คือมีกาม มีความชอบได้มาก็เป็นสุขอันนั้นแหละคือความสุขที่เป็นของเก๊ ได้เอามาสัมผัส มาเป็นความสุขก็มีความทุกข์อยู่คู่กัน คนที่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นก็สัมผัสแล้วก็เฉยๆไม่ได้อยากได้ ได้มาก็เฉยเฉยๆไม่ได้มาก็เฉยเฉยๆคนนั้นแหละคือคนบรรลุธรรม นี่คือการศึกษาเวทนา 2  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

อาตมาสรุปศาสนาพระพุทธเจ้าลงมาจบแล้ว

ความรักที่ต้องได้มาเป็นของตน รักได้มาเสพสัมผัสสมใจก็ดีมีอยู่แค่นี้ ได้มาเป็นของตนก็เป็นความสุขได้มาเสพสัมผัสก็เป็นความสุขแล้วถือว่าเป็นความรัก คือโลภกับราคะ หากคนไหนได้สัมผัสแล้วก็รู้ว่าเป็น รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัสอย่างนี้ไม่มีอารมณ์อื่นที่ชอบหรือไม่ชอบ นั่นแหละคือพระอรหันต์

เหลือธรรมะหนึ่งได้คือรู้ความจริงตามความเป็นจริงมีปัญญา ไม่ใช่รู้ความเป็นเท็จแล้วหลงว่าเป็นความจริง อันนั้นมันมีความสุขความทุกข์ไม่ใช่อริยสัจ อันนั้นมันเป็นพวกหลงผิดพวกอวิชชา พวกที่มีวิชชานั้นมีอย่างเดียว

สรุปอีกทีคุณเห็นความจริงให้ได้ เมื่อตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสแล้วรู้ความจริง คุณทำได้ภายนอกแล้วเหลือเศษภายในเรียกว่า รูปภพ อรูปภพ มันยังมีจิตที่เป็นรูปประสิทธิ์อนุปาทิ แต่ต้องทำกามข้างนอกให้ได้ก่อน จนพ้นกามภพ เป็นอนาคามี จิตมีปัญญารู้ ไม่เสพสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสแล้วมันก็เฉย จิตมันเป็นกลางอุเบกขาจริงๆไม่มีรสสุขรสทุกข์จริงๆ ในอนาคามีเหลือเศษเป็น อุทธัมภาคิยสังโยชน์เป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาสังโยชน์

พระอนาคามีไม่เป็นพิษภัยกับคนอื่นแล้วมีแต่กิเลสในตน แม้จะมีข้างในจิตที่มีความรักความชังอะไรบ้างก็ไม่เป็นพิษภัยกับคนอื่น จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมีโลกธรรมภายนอกก็อาศัยไปได้ อนาคามีขึ้นไปเป็นนักการเมืองที่มีแต่ประโยชน์คนอื่น จะเหลือกิเลสของตนก็กำจัดไป ให้ไปแย่งเอาอะไรอย่างหยาบๆนั้น ไม่ทำแล้ว จะไปเอารูปอันนี้ กลิ่นอันนี้ เสียงอันนี้สัมผัสอันนี้ไม่เอาแล้ว มีหิริโอตัปปะ ละอายไม่ทำแล้ว คนอย่างนี้จึงเป็นคนปลอดภัย ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนปลอดภัยไม่มีพิษภัยกับมนุษย์หรือสัตว์โลก มีแต่อยู่อย่างรับใช้ เพราะศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาไม่ใช่ศาสนานั่งหลับตาไม่รับรู้คนสัตว์สิ่งแวดล้อมอะไร เป็นศาสนาที่สะกดจิต hypnosis แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าสัมผัสรู้ได้ทุกอย่าง แต่สามารถอ่านกิเลสตนเอง แล้วฆ่ากิเลสในตนเองให้ดับได้จริงๆ อย่างรู้ๆ

แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปแล้ว บอกว่าให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ แต่พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์เพื่อสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตรท่านตรัสไว้

ต้องรู้ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ 10 ต้องรู้ลักษณะที่จะให้เขาอย่างไรให้เกิดผล ลดกิเลส ปฏิบัติศีลอย่างไรให้เกิดการลดกิเลสได้จริง สอนไล่เรียงในรายละเอียด ในสัมมาทิฏฐิทั้ง 10 ข้อ จนถึงสมณพราหมณ์ผู้รู้ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราก็พบสัตบุรุษแล้วเรียนรู้ได้มีสัทธรรม เรียนรู้ มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา คือจิตที่เคยโง่หลงเสพสุข ได้มาเป็นเราเป็นของเรา ได้มาเสพรส ก็เป็นสุข ให้เปลี่ยนเป็นจิตเหนือโลกเหล่านี้เป็นโลกุตระ

 

สมณะเพาะพุทธว่า...ในหลวง " ทำราชการ "

 

เรื่องน่าสนใจทีเดียว ใหลวงทำอาชีพอะไร ที่สำคัญคือบทสรุปตอนท้ายของดร.สุเมธ ควรที่คนทำราชการหรือกินเงินเดือนจากภาษีของชาวบ้านจะได้สำนึกและปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานให้ถูกลู่ถูกทางกันมากยิ่งขึ้น ...

 

    ตอนหนึ่งที่พระองค์ท่านรับสั่งให้ผมไปจดมูลนิธิชัยพัฒนา ผมไปที่ กทม.

(ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร) เอง เราไม่อยากใช้อภิสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น

เพราะยิ่งอยู่ใกล้เจ้านายยิ่งต้องทำต้วให้ธรรมดาตามรอยเบื้องพระยุคลบาทก็ไปแจ้งเหมือนบุคคลธรรมดาทั่วไป  มีเจ้าหน้าที่ของ กทม.เขามาสอบสวน

ถามบอกทำไมนายฯ ไม่มาเอง ผมก็บอกนายฯ งานเยอะมาไม่ได้เลยมอบฉันทะมาบ้านอยู่อำเภออะไร บอกอยู่อำเภอดุสิต บ้านเลขที่เท่าไหร่ ไม่รู้ เขาก็ เอ อะไรบ้านไม่มีหลักแหล่ง แล้วมาตั้งมูลนิธิได้อย่างไร สอบสวนไล่ผมต่อ ไล่ไปเรื่อย

ทำอาชีพอะไรบอกไม่รู้จริง ๆ ว่าอาชีพอะไร แต่เห็นทำหลายอย่างก็ตอบไปอย่างนั้นเจ้าหน้าที่เขาบอก อะไรบ้านก็ไม่มีเป็นหลักแหล่ง อาชีพก็ไม่มี แล้วตาก็เหลือบไปเรื่อยจนกระทั่งไปเห็นชื่อผู้ยื่นจริง ๆ และผมเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมอบอำนาจมา อุ๊ย อย่าให้ท่านมานะ มายุ่งตายเลย ขออย่ามาเลยจัดการให้เสร็จ ค่าจดทะเบียนสามสิบบาท ขอบริจาคเป็นคนแรกได้ไหม

แล้วตกลงวันนั้นฟรี สามสิบบาทแกควักออกมาด้วยความตกอกตกใจมากเลยก็กลับมากราบบังคมทูล นี่พอเขาถามว่าอาชีพอะไร ข้าพระพุทธเจ้าตอบไม่ได้

พระองค์ท่านตอบว่า คราวหลังถ้าเขาถามว่าฉันทำอาชีพอะไร ให้ตอบว่า    "ทำราชการ" ผมเล่าตรงนี้เพื่อมาสู่พวกเรา ขณะที่พระองค์ท่านทำราชการ พวกเรานี่ทำอะไร"รับราชการ" ใช่หรือเปล่า รับจากพระองค์มาเพื่อทำต่อ พระองค์ท่านรักประชาชนทำงานเพื่อประชาชน คนที่รับราชการ ถือว่ารับงานของราชะมาทำต่อ สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องรักประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน

 

  จากหนังสือ "หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท " ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:23:24 )

591128

รายละเอียด

591128_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ ความทะยานอยากที่ต้องดับ

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559 พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายของปีวอกแล้ว วันนี้ 14 ค่ำ ต่อไปก็ปีระกา ต่อไปก็ขึ้นปีจอ ก็ชนปีที่อาตมาเกิด เหมือนหมากลางตลาดที่ดิ้นรนหากินไป หลบน้ำร้อน หลบปังตอ เราเป็นหมาในเมือง ไม่ใช่อยู่ในป่าหากินในเมืองเป็นหลัก ก็อารัมภบทไปตามประสา

ก่อนอื่นก็ขออ่าน sms

SMS วันที่ 27 พฤศจิกายน 2559 (รายการวิถีอาริยธรรม)

0893867xxxประวัติดั้งเดิมของพระโพธิสัตว์ฯภายใต้โลกธรรมทุกยุคสมัยมักจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนหลงผิดตามโลกธ.!แต่เป็นที่ยอมรับนับ ถือจากคนรู้ทันโลกธ.!คานธีเคยโดนด่า!ไอน์สไตน์ถูกหาว่าบ้า!พ่อครูโดนบ้างก็ ธรรมดาโลกธ.!แม้แต่พ่อห ลวงยังเคยตรัสคำรำพึงว่าเราไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจฯถึงลูกผู้หลงผิดตามระบ.1ในโลกธ.!พี่น้องผู้ตื่น รู้คงจำได้!

ตอบ...พระโพธิสัตว์มีกระบวนทัศน์ในโลกธรรมอะไรก็ได้ที่ไหน มีเจตนารมณ์กับโลกธรรมอย่างไรก็ตาม ก็จะมีคนที่ยึดถือแล้วดูถูกพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่สัมมาทิฏฐิก็จะต้องมาปราบคนที่หลงผิดในโลกธรรม อรหันต์คือผู้ที่อยู่เหนือโลกแล้วพระโพธิสัตว์ก็จะเป็นผู้ที่เหนือกว่าอรหันต์ มาทำงานช่วยโลก ท่านจะช่วยโลกก็ต้องบรรลุธรรมก่อน พระพุทธเจ้าว่าต้อง ทำคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการเดาไปตามประสา ก็จะมัวหมอง โดยเฉพาะศาสนาพุทธมัวหมองเพราะเหตุนี้ เพราะว่าผู้ที่มาสอนผู้อื่นเป็นผู้สอนความรู้ธรรมะ แต่ตนเองไม่ได้บรรลุ ได้แต่เปลือกผิว ยังไม่ครบบริบูรณ์ ดีไม่ดีก็เดาด้วย ดีไม่ดีหลงผิดด้วยซ้ำ แล้วใช้เล่ห์กลทั้งโลกธรรมที่สอดคล้องสมใจกับคนที่มีกิเลส ให้มาเป็นบริวาร อย่างที่ธัมมชโยกระทำจนสำเร็จ อย่างไม่เกรงใจ ไม่บันยะบันยัง จนเป็นอำนาจเลวที่ยากที่จะต้องจัดการลงไป ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเชียร์ผู้ที่มาจัดการ ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ ให้ทำหน้าที่

0893867xxxความทุกข์ยากของปชช.!ความเดือดร้อนของมวลมนุษยชาติ!ความหายนะของโลก!ล้วนเกิดจากประโยชน์ มิชอบ! มีแต่ประโยชน์โดยชอบประโยชน์สุขโดยธรรมในพ่อหลวงฯ ดับทุกข์แผ่นดินสร้างสุขสงบสันติให้โลกได้!สกก.

ตอบ...ขณะนี้ที่อาตมาใช้คำศัพท์ของ ไอน์สไตน์ ว่าเป็น Bomb of love ที่บอกลูกสาวเขียนจดหมายไว้ว่า จะมีอันนี้เกิดขึ้น ไอน์สไตน์เป็นคนพยากรณ์ไว้ ในกระแสของระเบิดแห่งความรักที่ระเบิดกระจายฟุ้งอยู่ เป็นกัมมันตภาพรังสีระเบิดเถิดเทิงอยู่ขณะนี้ แสดงออกถึงความรักต่อในหลวงองค์นี้ เป็นของจริงที่ยังไม่หยุดระเบิด มีราศีรังสีที่น่าชื่นอกชื่นใจ เป็นราศี สุดยอดของคำตอบคำเดียว คือ ให้

จิตใจมันมีตัวนี้คือ ให้ หรือ ทาน และเป็นการให้ เขาถวายในหลวงเหมือนกับศาสนาเทวนิยมที่ทำถวายพระเจ้า แต่นี่ถวายในหลวง ให้โดยไม่ได้ต้องการอะไรกลับมา ให้ไปหมด ก็ไม่เป็นการให้ที่โค้งงอมาหาตัวเอง มันจะตรงไปเลยเป็นการให้และไปจบที่ พระเจ้า หรือผู้ที่เขาเทิดทูนบูชา เป็นสุดยอดแล้ว เป็นการเสียสละสุดยอดที่ไม่โค้งเอามาให้แก่ตัวเอง ไม่ได้ต้องการอะไรมาเพื่อตัวเอง ซึ่ง ต่างกันกับสมีไชยบูลย์ คนละขั้วเลย

เพราะสมีไชยบูลย์ให้แล้วมีครบในทานสูตรเลยคือมีจิต

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นปากกรวย อาตมาถึงเรียกว่าธรรมกรวย บานทะโร่ไปใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดนิรันดร เป็นความโลภอันหาที่สุดมิได้ เป็นกิเลสเต็มๆ เป็นตัณหาเต็มๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย

0893867xxxถ้าโลกจะดับทุกข์ผู้อพยพลี้ภัยทั่วโลก!ปท.ต้นกำเนิดผู้ ลี้ภัยหยุดคุณปย.มิชอบตาม คำสอนฯที่ถูกบิดเบือนแล้ วบูชาโทษปท.ที่รับผู้ลี้ภัย!ส ร้างปย.โดยชอบให้ปชช.ในปท.นั้นได้รับปย.ถูกต้อง ชอบธรรมตรงตามคำสอนที่ปฏิบัติถูกตรงตามคำพระศาสดาฯที่สอนให้รักกันมิใช่ทำลายกันแล้วมาโยนบาปให้ปท.อื่นพลอยเดือดร้อนทั่วโลก!ลูกไทยพุทธใจสยาม

ตอบ...มันเป็นงูกินหาง ที่เป็นปัญหา แต่พระพุทธเจ้าสอนให้มาเป็นคนมักน้อยสันโดษ แล้วพึ่งตนเองได้ แล้วช่วยเหลือผู้อื่น สำหรับผู้ที่ควรได้รับการช่วย ส่วนผู้เอาเปรียบในสังคมไม่ควรได้รับการช่วยเหลือ แต่ผู้ที่ควรได้รับการช่วยเหลือก็มีได้ที่ไม่ใช่คนเอาเปรียบ เช่น หนึ่ง เด็กที่เกิดมา สัตว์เดรัจฉานบางจำพวกเกิดมาก็ช่วยเหลือตัวเองได้เลย แต่คนนี้เกิดมาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอนตายเฉยเลย

พระพุทธเจ้าสอนระบบของท่าน ให้ช่วยเหลือตัวเองให้รอดแล้วสร้างสรรค์มีผลผลิต แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ คนที่จะต้องช่วยอันที่สองคือคนแก่

สามคนป่วย  สี่คนพิการ

เพราะไม่มีใครอยากจะพิการหรือเจ็บป่วย ไม่มีใครอยากจะเป็นเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่คนที่ขี้เกียจขี้โกงเบียดเบียนผู้อื่นเป็นภาระผู้อื่น โดยไม่ได้เรื่อง อย่างนี้ไม่ควรช่วย ควรจัดการแก้ไขเขา ทุกวันนี้ก็พยายามแก้ไขเขาอยู่

0863638xxxฟังธรรมครั้งแรกๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ธรรมของท่านมันเจาะเข้าไปในแก่นลึกล้ำ

ตอบ...ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ หลงใบดอกผล หลงผิดเต็มไปหมดเลย ดังที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งไว้ว่า

  1. ใบดอกผล ท่านเทียบเป็น ลาภสักการะสรรเสริญ โลกธรรม
  2. สะเก็ดคือ ศีล
  3. เปลือกคือสมาธิ
  4. กระพี้คือปัญญา
  5. แก่น สาระ คือวิมุติ

แต่อย่างนี้เขาไปหลงแต่แค่ใบดอกผล ที่เขาหลอกให้ไปทำทาน ทำทานกับกรู แล้วจะได้ ลาภสักการะสรรเสริญ ตอนนี้ก็ออกผลกรรมชั่ว จนไม่รู้จะหนีไปอยู่รูไหนแล้ว

 อ่านคอลัมน์​ ในแนวหน้า  เลียบวิภาวดี : นรกเปิด

“นรก” จะมีจริงหรือไม่? คงไม่มีใครตอบได้ ส่วน “สวรรค์” จะมีจริงหรือเปล่า? ก็ยังไม่มีใครได้พบเห็น

(พ่อครูเสริมว่า…อาตมาตอบได้ว่า นรกสวรรค์มีจริง อย่างน้อยก็ธัมมชโยตอนนี้ได้นรกอยู่ พระพุทธเจ้าสอนให้จบที่ไม่มีสวรรค์และนรก จิตไม่ต้องการสวรรค์และมีปัญญาไม่ทำนรก ทั้งไม่มีสวรรค์และนรกคือศาสนาของพระพุทธเจ้า ใครก็ไม่อยากได้นรก แต่คุณโง่จะเอาสวรรค์ก็เลยได้นรกทันที สวรรค์มากเท่าไหร่ก็คือนรกมากเท่านั้น เริ่มต้นอยากได้สวรรค์ (สาเปกโข) ก็ได้นรกทันที ผู้ใดไม่ต้องการนรกก็ตัดสวรรค์ ง่ายๆแค่นี้ พระพุทธเจ้าจึงมาสอนให้ทำใจในใจอยู่ในสองมนสิการให้รู้ว่าการมีความหวังเป็นอย่างไร ถ้าใครเข้าใจไอ้หวังตายแน่ คุณจะต้องฆ่าไอ้หวังในจิตของตน ฆ่าจนไอ้หวังไม่เกิดในจิตของตนเลย ไม่ต้องหวังอะไรหรอก อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีสวรรค์และนรก สิ่งที่ไม่ควรอย่าทำ นี่คือญาณปัญญาอันสูงสุด ไม่ต้องไปมีภพชาติอะไรหรอก คนไม่มีภพชาติก็สบาย)

 

แต่ที่น่าตั้งข้อสังเกต ทั้งรัสเซียและอเมริกาต่างยิงจรวดไปสู่จักรวาลนับไม่ถ้วนครั้ง ก็ยังไม่ปรากฏว่าจรวดลำไหน “ได้ชนสวรรค์” จนเป็นข่าว

 

อีหรอบเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจใต้พิภพลึกลงไปจนเกือบถึงใจกลางโลก ก็ยัง “ไม่พบขุมนรก” ใดๆ ให้ฮือฮา

 

ในขณะที่ “เจ้าลัทธิ” บางราย และ “จอมลวงโลก”บางคนกลับ “ต้มตุ๋นมนุษย์จิตอ่อน” ทั้งหลายจนเปื่อยยุ่ยว่า “ตนเห็นนรก ตนพบสวรรค์” และติดต่อกับเทวดาชั้นฟ้าได้ แถมยังพบผู้ซื้อบุญจำนวนมาก ที่มีความแตกต่างหลังความตาย ใครซื้อบุญมากก็ได้อยู่บ้านเดี่ยวสุดหรูบนชั้นฟ้า ใครซื้อบุญปานกลาง ก็ได้อยู่ทาวน์เฮ้าส์ในสวรรค์อย่างสุขสันต์ และใครซื้อบุญน้อยก็ได้อยู่คอนโดฯที่ค่อนข้างคับแคบ โดยผู้ไม่ซื้อบุญเลย ทุกรายตกนรกทั้งสิ้น

 

จากคำต้มตุ๋นดังกล่าว เล่นเอามนุษย์จิตอ่อนที่กลัวลำบากหลังความตาย “พากันซื้อบุญจากห้างสรรพสินค้าขายบุญ” ของเจ้าลัทธิอย่างกระหน่ำ

 

หลังจากเจ้าลัทธิและผู้ใกล้ชิดขายบุญจนร่ำรวยตู้เซฟปริทุกคนก็ยังรู้สึก “รวยไม่พอ” เห็นว่าการขายบุญธรรมดาไม่สามารถรวยเร็วแบบฟ้าแลบ และไม่สามารถรวยอู้ฟู่แบบฟ้าผ่าจึงหาหนทางรวยลัดที่ผ่าทางตันของกฎหมาย

 

โดยนักปลิ้นปล้อนบางรายได้ “ปล้นเงินฝากจากสหกรณ์” แล้วผ่องถ่ายเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าลัทธิไปทำการ “ฟอกเงิน” ดังกล่าวให้กลายเป็นเงินบริสุทธิ์

 

ครั้นสมาชิกสหกรณ์ที่เป็นเหยื่อถูกปล้นเงินไปได้รับความเดือดร้อน และออกมาโวยวายจน “รัฐ” เข้าไปจัดการกับขบวนการปล้นและฟอกเงิน ก็ไป “จ๊ะเอ๋” กับหลักฐาน “เจ้าลัทธิ” มีส่วนร่วมกระทำผิดกับผู้ต้องหารายอื่นๆ ด้วย จึงมีการไล่ล่าเพื่อนำตัวเจ้าลัทธิไปดำเนินคดี

 

“นรก” จะมีจริงหรือไม่? ไม่มีใครตอบได้ แต่ “นรกในใจ และนรกคนเป็น” มีจริงแน่นอน ซึ่งทุราจารจำนวนมากนายกำลังเจอะเจอในขณะนี้

 

บัดนี้ “ประตูนรกในใจและนรกคนเป็น” ได้เปิดกว้างแล้ว “เจ้าลัทธิ” คนดัง กำลังกลายเป็นแขกรับเชิญอีกท่านหนึ่ง ที่กำลังจะเดินผ่านประตูนรก

 

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

 

 

อีกคอลัมน์ของเปลว สีเงิน

ได้เวลาเปิดตาสว่าง!!!"เปลวสีเงิน"เปิดหัวเชื้อพวกโจรปล้นศาสนา แยกชั่ว-แยกดีไม่ออก ยอมเป็นข้าทาสให้"ลัทธิจานบิน"!!(รายละเอียด)

 

วันที่ 28 พ.ย.59 เปลวสีเงิน เปลวสีเงิน หรือ โรจน์ งามแม้น นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ผู้เขียนบทความวิเคราะห์การเมืองและสังคม ตีพิมพ์ในหน้า 5 ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ชื่อคอลัมน์ "คนปลายซอย"ได้เขียนบทความโดยระบุว่า...

 

เรื่อง "สมีโย" น่ะ.........

 

เรา "ชาวบ้าน" ผู้จ่ายเงินเดือน ไม่ต้องทุกข์ร้อนไปหรอก!

 

ดู "คนกินเงินเดือน" จากเราซักพัก

 

ไล่ลงไปตั้งแต่ ดีเอสไอ-ตำรวจ-อัยการ-สำนักพุทธ-มหาเถรฯ จนถึงคณะรัฐบาล (พ่อครูว่า มันเสื่อมไปทั้งมหาเถรสมาคมเลย น่าสมเพชเวทนามาก อาตมามาบวชแล้วพาทำไม่ใช้เงินใช้ทองอยู่ได้มาสี่สิบกว่าปีแล้ว จะมาอ้างไม่ได้ว่าไม่ใช้เงินใช้ทองแล้วจะอยู่ไม่ได้ ขนาดเป็นนักบวชหญิงถือศีล 10 เป็นสิกขมาตุ ก็อยู่ได้ อยู่จนกระทั่งแก่หรือตายไปหลายคน)

 

รวมๆ แล้ว "เป็นแสน-เป็นล้านคน"...........

 

ว่าจะมีน้ำยาเอาตัวโจร "ในคราบโล้นห่มเหลือง" ที่ชื่อธัมมชโย "เพียงคนเดียว" เข้าสู่กระบวนการกฎหมายได้มั้ย?

 

ตอนนี้ พวกดอกเตอร์ไปจากวัด แล้วคาบคัมภีร์พ่นธรรมสอนชาวบ้าน สอนพระตามมหาลัย

 

ส่วนหนึ่งเป็นพวกมหาเปรียญเก่า อาศัยผ้าเหลืองร่ำเรียนจบปริญญาแล้วก็สึกเอาวิชาไปหากินทางโลก

 

กำลังใช้ความ "รู้มาก" ลวงโลก.......

 

โดยใช้ดีกรีและภาพลักษณ์ผู้รู้ทางศาสนาประกันคำพูดตัวเองให้ชาวบ้านหลงว่า

 

"ลัทธิธรรมกาย" คือ "พระพุทธศาสนา"

 

"พระพุทธศาสนา" คือ "ลัทธิธรรมกาย"

 

พุทธศาสนากับลัทธิจานบิน เป็นอันเดียวกัน!

 

การจับสมีโยก็ดี การโจษขานธรรมกายเป็นลัทธิหลอกขายบุญ หลอกขายนรก-สวรรค์ก็ดี

 

การบอกว่าธรรมกายตู่พระพุทธพจน์ ก็ดี การสอน-การปฏิบัติ "วิปริตผิดเพี้ยน" จากพระธรรมวินัยก็ดี

 

ว่านั่น คือแผนจากฝ่าย "จ้องล้ม" พระพุทธศาสนา!

 

ดูมันทำสิ ...........

 

ระดับพระเก่า บวชเรียนมาก่อนแท้ๆ แทนจะเข้าถึงธรรมพุทธองค์ กลับเข้าถึงเงินจานบินที่หว่านโปรยในรูปแบบต่างๆ

 

แล้วพวกรับใช้โจรปล้นศาสนา ก็สรุปดื้อๆ ว่า

 

"ล้มลัทธิธรรมกายได้ เท่ากับล้มพระพุทธศาสนาได้"!?

 

ไม่แค่นั้น...........

 

ยังพูดแทง-แยงยั่ว ปั่นหัวชาวบ้านให้เข้าใจว่า นี้เป็นแผน "ศาสนาหนึ่ง" ในประเทศไทย ที่จ้องล้มพุทธศาสนา

 

พูดง่ายๆ เบี่ยงประเด็นของตัวเอง ไปเสี้ยมให้คน 2 ศาสนาทะเลาะกัน หวัง "ขึ้นภูดูเสือกัดกัน"

 

ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มเจ็บ-ล้มตายกันไป

 

ที่สบายคือ กู....ธรรมกายจานบิน!

 

ถ้าสังเกตจะเห็น ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ นานมาแล้ว แต่มาเผยตัวให้เห็นชัด ตอนระบอบทักษิณเปิดศึก "ล้มประเทศ-ล้มสถาบัน" ในรอบ 10 ปี นี้แหละ

 

มีพวกอาศัยผ้าเหลืองเรียนแล้วสึกไปหากินทางโลกกลุ่มหนึ่ง สมคบกับพวกโล้นห่มเหลืองที่รู้ไส้-รู้พุงในความเป็นพระมาด้วยกัน

 

ตั้งกลุ่ม-ตั้งแก๊ง .........

 

อ้างเป็นองครักษ์พิทักษ์พุทธศาสนาต่างๆ นานา!

 

พอทักษิณเสียอำนาจ เกิดกลุ่มแดงป่วนเมือง ก็เปลือยธาตุแท้ชัดจากพฤติกรรม

 

"แก๊งพระผสมผี" นี้ ก็คือ แดงในซีกสงฆ์นั่นเอง

 

เปลือยตัวตนทางวิทยุ ออกโทรทัศน์ ขึ้นเวทีแดง ซ่องสุมชุมนุมคนพรรคการเมืองระบอบทักษิณ

 

กระทั่งเป็นตัวนำทักษิณตระเวนไปตามวัดในต่างประเทศ เกณฑ์พระมาเป็นสาวก

 

แล้วแจกซอง!

 

ตัวนำทั้งหัวดำ-หัวโล้น ส่วนมากสอนตามสถาบันศึกษาสงฆ์ และอยู่กลุ่มอำนาจปกครองสงฆ์

 

ถามว่า คนระดับมีการศึกษา เป็นถึงครูบาอาจารย์ ...........

 

ทำไมแยกดี-แยกชั่วไม่ได้ ประพฤติทุราจาร ต่อบ้าน-ต่อเมือง และต่อพุทธศาสนาถึงขนาดนั้น?

 

มองถึงเหตุปัจจัย ก็พอเข้าใจได้...........

 

คือโดยทั่วไป พระ-เณร ที่เข้ามาศึกษาร่ำเรียนนั้น ร้อยละ 80-90% ก็ว่าได้ เป็นลูกชาวบ้าน ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากนัก

 

การเล่าเรียนผ่านทางศาสนา จึงเป็นโอกาสดี เพราะไม่ต้องใช้เงินทองมาก บ้านไม่ต้องเช่า-ข้าวไม่ต้องซื้อ

 

แรกๆ ก็เรียนวิชาทางพระพุทธศาสนา อยู่ไปนานๆ ก็สอดส่ายเรียนวิชาทางโลก

 

การเป็นพระ-เณรอยู่ในกรุงเทพฯ อาหารขบฉันไม่สมบูรณ์เหมือนอยู่ต่างจังหวัด อุปกรณ์การเรียน ตลอดถึงเครื่องใช้จำเป็นก็ต้องใช้เงินซื้อ

 

แล้วจะเอาเงินที่ไหนล่ะ?

 

พระ-เณร ท่านก็ไม่ถึงไปปล้น ไปทำผิดศีลหรอก แต่นั่น เป็นช่องว่างให้พวกพระดังๆ ที่ใช้เดรัจฉานวิชาแสวงหาลาภยศ สอดแทรก

 

จะแสดง "ศรัทธาแอบแฝง" เข้ามาหาพวกตามแหล่งศึกษาสงฆ์ ในรูปสนับสนุนการศึกษา สร้างโน่น-นี่

 

มีแมวมอง จ้องดูพระ-เณร เห็นองค์ไหนมีแวว มีอนาคต เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคุณ ก็ทุ่มแทงทันที!

 

เข้าไปอุปถัมภ์ นิมนต์ไปเทศน์ ไปฉันเช้า-ฉันเพล แล้วถวายจตุปัจจัย เรียกว่าปรนเปรอพระ-เณรรูปนั้นๆ จนติดลาภสักการะ

 

พระ-เณรติดอามิส.......

 

ก็เหมือน "คนติดยา" นั่นแหละ จะภักดี "ขายตัว-ยอมทำ" เพื่อแลกกับยา เปลือกมองเห็นเป็นสัทธรรม แต่เนื้อแท้ คืออสัทธรรม

 

ก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทั้งหมดหรือมีมากมายอะไรหรอก เขาจะเลือกไปเพาะเป็นหัวเชื้อไว้จำนวนหนึ่ง

 

พอหัวเชื้อโต ถ้าไม่สึก ก็ค่อยๆ สูงสมณศักดิ์ สูงตำแหน่งทางปกครองสงฆ์ หัวเชื้อก็จะไปสร้างบริวารต่อเองทางศาสนจักร

 

แต่ถ้ามีวิชาแล้วสึกไปคึกทางโลก ไปเป็นครูบาอาจารย์ ไปเป็นอนุศาสนาจารย์ ต่างๆ นานา

 

นี่ก็ไปเป็นหัวเชื้อสร้างบริวารทางอาณาจักร!

 

มีอดีตพระเจ้าสำนักหนึ่ง อยู่ในคุกหลายสิบปีแล้ว ยังไม่ออก ตอนยังไม่ติดคุก ชื่อภาวนาพุทโธโด่งดังมาก จัดรายการทางวิทยุทั้งวัน-ทั้งคืน

 

ผมยังจำติดหู เดี๋ยวทอดผ้าป่าพระสถาบันการศึกษาสงฆ์ เดี๋ยวนิมนต์มาฉันที่วัด แล้วถวายเงิน-ถวายทอง

 

เรียกว่า "เป็นขาประจำ" กันเลย!

 

เพื่ออะไร ก็เพื่อ "ซื้อใจ-ซื้อพวก" เอานามสถาบันศึกษาสงฆ์มาคลุมเสริมบารมีเดรัจฉานวิชา เป็นการสร้างความเชื่อถือจากชาวบ้าน

 

พระเถระผู้ใหญ่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์รูปหนึ่ง เคยมีคำปรารภเรื่องนี้ และมีเผยแพร่ตามเว็บ แต่ถูกลบทิ้งไปแล้ว

 

ผมยังจำได้ คือท่านปรารภว่า พระ-เณรดีๆ ในวัด ถูกต้อนไปเข้าสำนักธรรมกายหมด!

 

องค์ไหนเรียนเก่ง ได้เปรียญ 6-7-8 ประมาณนั้น จะมีแมวมองมาสำรวจ ที่เห็นว่าองค์นี้มีแววรุ่ง

 

จะเข้าไปอุปถัมภ์-อุปัฏฐาก!

 

แรกๆ มาที่วัด นานๆ ไป นิมนต์ไปฉัน ไปเทศน์ที่จานบิน ลงท้าย ย้ายจากวัดมหาธาตุฯ ไปสังกัดวัดจานบินเลย

 

จนวัดจานบินเป็นสำนักศึกษาใหญ่ มีพระ-เณรสอบเปรียญธรรมได้ปีละมากๆ ถึงระดับเปรียญ 9 ประโยค

 

นี่...ใจความที่พระเถระวัดมหาธาตุฯ ปรารภไว้ มีประมาณนี้!

 

จะเห็นว่า อาณาจักรจานบินมีเป้าหมายและมีแผนรุกคืบเข้าคลุมพุทธศาสนาในไทยเป็นขั้นตอนมาแต่เริ่ม

 

และใช้การตลาดกับศาสนาได้อย่างมีผล คนวางแผนการตลาดให้นั้น เอ่ยชื่อต้องรู้จักกันดี เพราะโด่งดังด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ในยุคหนึ่งมาก

 

แม้กระทั่ง "สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี" ในวัดธรรมกาย ที่สมีโยตั้งสโลแกนให้นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารตอนนั้นว่า "ให้บิลเกตเป็นเศษสตางค์"

 

ด้านการตลาด เพื่อหลอกดูดเงินสาวกด้วย "บุญผ่อนส่ง" ยักเยื้องวิธีการต่างๆ จัดงานนั่น-นี่อลังการงานสร้าง

 

ก็จากมันสมองนักการตลาดคนนี้แหละ!

 

แต่คงได้บุญจานบินมาก เห็นตายไปเมื่อปี-สองปีนี้เอง จองซื้อวิมานไว้ที่สวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน?

 

ที่เล่ามานี้ ก็ปูพื้นให้ทราบ...........

 

ว่าที่เห็นพระบ้าง ฆราวาสบ้าง ระดับอาจารย์สถาบันศึกษาสงฆ์ เป็นถึงเจ้าอาวาส-รองเจ้าอาวาส สมณศักดิ์สูงๆ

 

ทำไมถึงมืดบอด แยกชั่ว-แยกดีไม่ออก ยอมเป็นข้าทาสให้ลัทธิจานบิน บูชาตีนสมีโยถึงขนาดนั้น?

 

และที่เศร้า-ปนทุเรศเอามากๆ

 

คนมีความคิดนำชาวบ้านทางศาสนา เป็นดอกเตอร์ เป็นอาจารย์ เคยสอนทหาร สอนชาวบ้าน

 

กลับยกลัทธิธรรมกายที่ตู่ธรรมพุทธองค์ขึ้นเป็นตัวพุทธศาสนา!?

 

กล้าและบังอาจพูดถึงขั้นว่า..........

 

ล้มธรรมกายคือล้มพุทธศาสนา?

 

นึกว่า ในปรากฏการณ์ "ขายชาติ-ล้มสถาบัน" ข้าวไทยหมดยาง ก็คงแค่ "ข้าวในทุ่ง"

 

แต่ที่ไหนได้..."ข้าวในบาตร" แท้ๆ ก็ยัง "หมดยาง" ทำให้ "บางพระ-บางทิด"

 

"มิดนรก" ทั้งเป็น เห็นๆ อยู่!

 

 

คอลัมน์ ถูกทุกข้อ ของคุณ อัตถ์ อัตนัย “ ดีเอสไอ เสือกระดาษ”

 

พ่อครูว่า….เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะว่าเกี่ยวกับศาสนา พระศาสนาจะเป็นตัวที่ทำให้คนดีหรือเลว

ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาดับภพจบชาติ สรุปสั้นและชัด สอนให้คนหมดภพชาติ นั่นคือบรรลุธรรมสูงสุด แต่ธัมมชโย สอนให้สร้างภพไม่จบชาติ บานเป็นปากกรวยไป forever บานต่อออกนอกโลกถึงดาวอังคาร มันบานออกไปตลอดไม่มีทางหยุดเลย เขาสอนตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้า 180 องศาเลย แล้วว่าที่สังฆราชก็ยกย่องเชิดชูแนวคิดของธัมมชโย หรือลัทธิธรรมกรวย หรือปากกรวย มันน่าสมเพชเวทนาศาสนาที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเพราะในนั้นก็มีผู้รู้ผู้ที่มีหน้าที่จัดการก็จัดการไม่ได้ให้สำเร็จ อย่างท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์องค์ปัจจุบัน (ที่เลื่อนจากพระพรหมคุณาภรณ์) ท่านก็เคยเขียนหนังสือขึ้นมาเป็นเล่มเลยเพื่อจะจัดการ แต่ศาสนากระแสหลักก็เฉยๆไม่ทำอะไร อาตมาโดนท่านเขียนหนังสือว่าอาตมาน้อยกว่าธรรมกาย ว่าอาตมาผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ศาสนากระแสหลักจัดการอาตมาเลย จนกระทั่งเรื่องเสร็จเรียบร้อยอาตมาก็สบายแล้ว แต่ธรรมกายกลับไม่

ขนาดสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรบอกว่าปาราชิก มหาเถรสมาคม กลับเฉย เหมือนม้าตด

อาตมาทำงานปราบมาร ก็ใช้ศัพท์เหมือนกับเขาที่บอกว่ามาปราบมาร แล้วทำไมไม่ปราบมารของตัวเอง ก็ตัวเองก็เป็นมาร

 

ตัณหา 3(ความทะยานอยากที่ต้องดับและมี)

อาตมาจะขยายความรู้เรื่องตัณหาสาม

พระพุทธเจ้าตรัสถึงมโนสัญเจตนา หรือจิตที่มุ่งหมายมี 3 ลักษณะ เรียกว่าความต้องการมุ่งหมายหรือความอยาก ความอยากในอะไร

1 ความกระหายอยากได้อารมณ์ที่น่าชอบใจมาเสพเสวย ปรนเปรอตน หรือความทะยานอยากในกาม เรียกโดยศัพท์สั้นๆว่า กามตัณหา

2 ความกระหายอยากให้ความถาวรมั่นคง ให้คงอยู่ตลอดไป (รวมถึงใหญ่โตโดนเด่นของตนในสิ่งที่จะมีตลอดไป)หรือสั้นๆว่า ความทะยานอยากในภพ ตรวจสอบว่าภวตัณหา

3 ความกระหายอยากในความดับสิ้นขาดสูญ รวมทั้งพราก พ้น ตัดรอน  แห่งตัวตน หรือความทะยานอยากในวิภพหรือ วิภวตัณหา

เนื้อหานี้เอามาจากที่ท่านพรหมคุณาภรณ์หรือ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์นี้ ต่อไปอาตมาก็จะขยายความ

1 ความกระหายอยากได้อารมณ์ที่น่าชอบใจมาเสพเสวย ปรนเปรอตน หรือความทะยานอยากในกาม เรียกโดยศัพท์สั้นๆว่า กามตัณหา

ก็จริงถูกต้อง แล้วอยากได้อะไร ก็อยากได้ทุกอย่างที่โลกมี วัตถุ กริยาท่าทางแล้วการสัมผัส ทุกอย่าง กามนี้ มีการสัมผัสแบบต้องตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกเป็นกามภพ เรียกว่ากามตัณหา จะต้องเกี่ยวข้องกับข้างนอก เอาจากข้างนอกมาเสพอารมณ์ตน ตั้งแต่ข้าวของเพชรนิลจินดาจนกระทั่งสัตว์ ตัวตนบุคคลต้นหมากรากไม้ ภูเขาแม่น้ำ ธาตุดินน้ำลมไฟ ต้องการมาเสพสัมผัส ได้ตามอารมณ์

มันมีนัยยะสองนัย

หนึ่งโลภ สอง ราคะ

โลภคืออยากได้มาเป็นของตน อะไรก็แล้วแต่ อยากได้มาเป็นของตน

สอง กามหรือราคะ อยากได้มาสัมผัสเสพรส แล้วก็สมอารมณ์ดีใจชื่นใจพอใจ ถ้าราคะก็ได้มาสัมผัส จมูกลิ้นกายแล้วก็เกิดอาการสุขสมใจ นั่นคือ แรงเอามาเป็นตน

 

2 ความกระหายอยากให้ความถาวรมั่นคง ให้คงอยู่ตลอดไป (รวมถึงใหญ่โตโดดเด่นของตนในสิ่งที่จะมีตลอดไป) หรือสั้นๆว่า ความทะยานอยากในภพ เรียกว่าภวตัณหา

คำว่าภพคำนี้ยังเข้าใจกันไม่ค่อยได้ ภพมันคืออะไร ภพคือสภาวะของจิตที่ตั้งขึ้น คำว่าแดน ถิ่นที่ ทั้งที่ไม่มีตัวตน แต่จิตใจของตนเองเชื่อว่ามี แล้วก็สร้างจะให้เป็นอย่างไรก็ได้ เป็นวิมาน ไม่ต้องอาศัยสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ลัทธิธรรมกายนี่ทำได้ยอด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เอาสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เขาก็เอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสด้วย จึงมีความต้องการที่บานใหญ่ เป็นสวรรค์วิมานที่ใหญ่โตไม่มีสิ้นสุด ใหญ่โตกว่าแบบที่ฤาษีลิงดำสอนอีก

ตั้งตัวเองเป็นผู้รู้ว่าคนตายแล้วไปอยู่ที่ไหนไปอยู่สวรรค์เฟส 1 เฟส 2 เป็นการใช้ภาษาการตลาดที่คนเข้าใจได้ง่าย แล้วหลงง่าย

ท่านพรหมคุณาภรณ์ว่าเป็น ความกระหายอยากให้ความถาวรมั่นคง ให้คงอยู่ตลอดไป (รวมถึงใหญ่โตโดดเด่นของตนในสิ่งที่จะมีตลอดไป) หรือสั้นๆว่า ความทะยานอยากในภพ เรียกว่าภวตัณหา

มันหนักที่บอกว่ามีอยู่ถาวรแต่ความจริงมันไม่มี

 

3 ความกระหายอยากในความดับสิ้นขาดสูญ  รวมทั้งพราก พ้น ตัดรอน แห่งตัวตน หรือความทะยานอยากในวิภพหรือ วิภวตัณหา

ศาสนาพุทธมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ให้เรียนรู้เลิกตั้งแต่กามภพ แม้จะมีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส ไม่เสพอารมณ์สุขทุกข์ในกามภพ ก็เป็นอนาคามี ก็เหลือแต่ข้างในเป็นเศษ ที่เป็นรูปราคะ อรูปราคะ เป็นความหลงเชื้อที่เป็นสุข เป็นรสชาติพอใจสุขใจอยู่ภายใน

ศาสนาพุทธให้เรียนรู้จากภายนอกก่อน จนดับกามภพ แต่ก็ไม่ได้ไม่ลืมตา ไม่ได้ไม่มีสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ได้สัมผัสแล้วก็จะรู้ว่าเราหรือกิเลสภายใน ก็ต้องมีการกระทบสัมผัสเป็นเหตุปัจจัย ศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนาที่มีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วเรียนรู้กิเลสอย่างลืมตา แต่กลับสอนผิดกันให้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้มีการกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย

ศาสนาพุทธก็เสื่อมลงไปตามลำดับแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาก็มีความเสื่อมแบบนี้แล้ว

ศาสนาพุทธสอนให้มีการสัมผัสเป็นปัจจัยและอ่านกิเลสให้รู้ว่ากิเลสไม่เที่ยง มันทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ ถ้าสัมผัสแล้วเรียนรู้ให้เกิดปัญญาว่าเราไปเสพสัมผัส รสชาติเก๊ จิตใจที่บรรลุธรรมแล้ว อาการอารมณ์พอใจยินดีเพลิดเพลินมันหายไปจากจิต มันไม่ดูดให้ผลักไม่ยินดีไม่ยินร้าย สัมผัสแล้วก็มีอาการเฉยๆ

แต่ก่อนนี้อาตมาก็ชอบกินเผ็ดๆ แต่ก่อนนี้สัมผัสแล้วก็รู้สึกน่ากิน (มะละกอบนโต๊ะ) เอาไปทำส้มตำ เผ็ดๆรับรองแซบอีหลีอร่อย แต่ก่อนอาตมาสัมผัสแล้วก็จะเกิดอารมณ์เช่นนี้ เห็นมะละกอก็นึกถึงส้มตำเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีอารมณ์นั้นแล้ว มันต้องหายไปเลยถาวร ไม่กดข่ม พิจารณาเห็นเลยว่ามันเป็นของไม่จริงไม่แท้ไม่เที่ยง มันไม่มีไม่เป็นอยู่ตลอดกาลหรอก มันเป็นเหตุให้เราสุขและทุกข์ มันจะต้องได้มันมาเสพจึงจะมีความสุข อร่อยน้อยก็ทุกข์น้อย อร่อยมากก็ทุกข์มาก เราต้องพิจารณาว่ามันไม่ใช่ตัวตนในอารมณ์อร่อยนี้ มันไม่จริง คุณต้องเห็นด้วยปัญญา ก็ล้างภพชาติที่มันอร่อยนี้ไป ให้เป็นอารมณ์กลางๆอย่างถาวรที่ผู้บรรลุธรรม อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

เป็นตากระทบรูป ลิ้นกระทบรส หูกระทบเสียงก็รู้สึกกลางๆเฉยๆ คนไปเข้าใจว่าอรหันต์เป็นอะไรแล้ว ไม่มีรสชาติอะไรก็ไม่ชื่นใจ ทั้งที่รสจริงมันก็มีอยู่ จะเผ็ดจะหวานจะมันก็มีอยู่จริง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะมีความจริงของมัน แต่อาการอารมณ์อย่างโลกีย์ความชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้นมันไม่มีแล้ว เรียกว่าวิภวตัณหา ตัณหาไม่มีภพ กามภพหรือรูปภพอรูปภพก็ไม่มีแล้ว เป็นอนาคามี หรืออรหันต์ก็หมด เป็นวิภวภพ

ผู้มีวิภวภพนี้ เป็นพระโพธิสัตว์ มีหน้าที่สอนให้คนอื่นได้มีวิภวภพเหมือนตนเอง อาตมาก็มีของอาตมาก็เลยมาสอนผู้อื่น อาตมาก็สอนตามพระพุทธเจ้านี้แหละ มีความมุ่งหมายความปรารถนาอยากให้พวกคุณหมดกามภพ ภวภพ ไม่ใช่สอนอย่างไม่มีพลังงาน เฉยๆจืดๆ ไปไม่ถึงไหนก็ไม่มีพลังสิ ต้องมีพลัง อยากได้แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ควรทำให้ได้ให้เป็นตามทิศทางที่เรากำหนด

 

มี Guru สู่แดนธรรม เขียนไว้เรื่องตัณหาสาม

กราบเรียนพ่อท่านครับ 

 

คำว่า  ตัณหา 3  นี้  เมื่อควรละควรเลิกก็ต้องหมายไปถึง ตัณหาที่เป็นสมุทัย  คือ ตัณหาอันนำให้เกิดภพใหม่  ประกอบด้วยความกำหนัดในภพ  ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลินยิ่งในภพหรือในอารมณ์นั้น 

 

แม้แต่ วิภวตัณหาเองก็ตาม ในที่นี้หมายถึง วิภวตัณหาที่นำให้เกิดภพใหม่  ประกอบด้วยความกำหนัดในภพ  ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลินยิ่งในภพหรือในอารมณ์นั้น 

 

ส่วนวิภวตัณหาของพ่อท่านอธิบายนั้น  เป็นวิภวตัณหาบริสุทธิ์ ไม่เกิดภพใหม่ ไม่เพลิดเพลินในภพนั้น  แต่มีอิทธิบาท เอาใจใส่จนเสร็จ การงานไม่คั่งค้าง จบแล้วก็ตัด อุเบกขา ผมเห็นอย่างนี้ถูก/ผิดประการใด กราบเรียนพ่อท่านอธิบายด้วยครับ

 

ตอบ...จริงแล้ว อาตมาไม่ได้มีภพใหม่ ไม่ได้เพลิดเพลิน อาตมามีภพพุทธภูมิโพธิสัตว์ มีอิทธิบาทเอาใจใส่จนเสร็จ การงานไม่คั่งค้าง จบแล้วก็ตัด อุเบกขาจริง  คนที่รู้ก็ไม่วนกับภพเก่า

ในภพสาม เราจะต้องแม่นในความเป็นภพ กามภพนี่คือปัจจุบัน ตาก็ยังมีสัมผัส หูก็ได้ยินเสียงได้ มีสัมผัสรู้ แล้วก็เรียนรู้อาการกิเลส ทางตาหูจมูก ลิ้น สัมผัสเสียดสี ต้องเรียนรู้อารมณ์ที่กลางเฉย รู้ความจริงตามความเป็นจริงอย่างเดียวไม่มีธรรมะ 2

ธรรมะสองคือเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ให้เรียนที่เวทนา กรรมฐานของพระพุทธเจ้าให้เรียนที่เวทนา แจกเป็น 108 นี่แหละ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

เวทนาสองคือ หนึ่ง เวทนาของแท้ กับอีกอันหนึ่งคือเวทนาของเท็จ คืออารมณ์ชอบไม่ชอบอารมณ์ผลักหรือดูด มันเป็นของเท็จ อารมณ์ที่เป็นหนึ่งคือไม่มีผลักหรือดูด สัมผัสอะไรมันก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง แดงก็เป็นสีแดงเขียวก็เป็นสีเขียว กลมก็เป็นทรงกลม ตาของใครไม่ว่าชาติไหน สัมผัสแล้วก็เห็นเหมือนกันอันเดียวกัน เป็นความจริงอันเดียวกัน ไม่มีอารมณ์ที่ 2 ไม่มีธรรมะ 2 ถ้ามีธรรมะ 2 ก็ต้องทำให้มันเป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา ภวนฺติ อรหันต์อยู่ตรงนี้

ต้องเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือที่อาตมาอธิบาย แล้วคุณก็ไปกำหนดหมายเอาเอง ว่ามีอาการอย่างไร กิเลสมันยังไม่หายไปจากจิต ก็ต้องพิจารณา ว่ามันเท็จ ไม่แท้ ถ้าคุณมีปัญญาแล้วจะไม่รู้สึกดูดหรือผลัก มันเป็นธรรมะหนึ่งเลยไม่เป็นธรรมะสอง มันมีธรรมะเดียวคือนิพพาน มันมีแต่อารมณ์แท้ไม่มีอารมณ์เก๊ อรหันต์ทุกองค์สัมผัสแล้วเหมือนกันหมด ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส

อย่างคนที่มีอาการดำฤษณาแรงๆ ก็ฆ่าพ่อแม่ได้ คนที่ปล้ำข่มขืน ก็คือพวกที่มีอารมณ์อย่างนี้ พอทำไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่ดีจะถูกจับ ก็เลยต้องฆ่า ก็เลยชั่วหนักซ้ำเข้าไปใหญ่

ถ้าเราสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอนว่าอ่านอาการให้เป็น แล้วทำอาการให้หายไป นั่นแหละคือ ปฏิบัติมนสิการ

มนสิการ หรือโยสิโสมนสิการ … เขาแปลกันแค่ ความคิดจินตนาการ ไม่ลงลึกไปถึงความจริงว่า คือการทำการจัดการในใจ จัดการกับใจตนเองเลย แต่เขาแปลกันแค่พิจารณา โดยแยบคาย พิจารณาคิดไตร่ตรองตรวจสอบโดยไม่ได้ลงมือทำใจในใจเลย ไม่ได้ลงลึกถึงความจริงของความหมายในมนสิกโรติ

โยนิโสมนสิการคือทำใจในใจ ให้พลังงานกิเลสดับ อย่าไปดับอย่างอื่นที่ดี

ปราชญ์หรือผู้รู้ทางศาสนาในเมืองไทยแปลได้แค่นี้ ก็เลยทำให้เห็นว่าไม่มีผลของศาสนาที่แท้จริง อาตมามีหน้าที่เปิดเผยอย่างจริงใจ คนเอาหรือไม่เอาก็แล้วไป คนที่แอบฟังอาตมาแล้วก็เอาตามก็มี ไม่ต้องเปิดเผยก็ได้ ผู้ที่มีการยอมรับนับถือในสังคมที่เห็นด้วยก็มี เอาตามก็มีแต่ก็ไม่ได้เปิดเผยมา เพราะอาจเป็นภัยกับตนเอง

 

สักกายะ

อันที่สอง คุณสู่แดนธรรมว่า ส่วนในพระสูตร สักกายสูตรนั้น  ผมเห็นว่า  ถ้าจะนับว่าเป็น "สักกายะ" จะต้องหมายไปที่ อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5  เมื่อมีอุปาทานในขันธ์จึงจะเรียกว่า สักกายะ 

 

สักกายะจึงไม่ใช่แค่ กาย เฉยๆ  เพราะ กายเฉยๆ จะมีแค่ ขันธ์ 5 กองรวมกันเท่านั้น ไม่ต้องมีอุปาทานในขันธ์ทั้ง5  / ผมเห็นถูกไหมครับ

ตอบ...จริง ใช่ คำว่า กายคือธรรมะสอง คำว่า สักกะ แปลว่าตัวเอง คำว่า สักกายะคือ กายที่เป็นธรรมะสองของตนเอง

สังโยชน์ข้อสักกายะคุณต้องรู้รูปกับนามเป็นธรรมะสอง

กาย ต้องมีธรรมะสองเสมอ ใครไปเข้าใจว่ากายมีแต่ภายนอกนั้นมันผิด คำว่า กายเขาหมายถึง ร่างที่ไม่มีจิต คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีนามไปเกี่ยว อันนี้ผิดตีลังกาเลย เพราะ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

การเข้าใจสักกาย ผิดก็จบเห่แล้ว คำว่า กายนั้นในบาลีมีคำที่ใช้กายประกอบไปอีกเยอะเลย ก็คือความหมายองค์ประชุมสอง

คำสำคัญของศาสนาพุทธที่เข้าใจผิด คือ กาย กับ บุญ สองคำนี้ถ้าเข้าใจผิดก็ทำให้ศาสนาพุทธล้มเหลว เป็นศาสนาที่มีแต่พิธีกรรม ที่เป็นเดรัจฉานวิชชา สอนผิดๆเป็นเดรัจฉานกถา ไม่ได้สอนอย่างสัมมาทิฏฐิที่ตรงสู่นิพพาน ความรู้ที่ไม่ได้เรียนเพื่อไปสู่นิพพานคือเดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น

อาตมาเคยไปบรรยายที่คณะแพทย์มช.ว่า แพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชชามีคนมาฟังมากเลย อาตมาก็แจกแจงได้ แจกแจงถึง E=mc2 อาตมาไม่ได้สงสัย E=mc2 + A ที่เป็นพลังงานที่มีสองแบบ มีนิวเคลียร์ฟิชชันกับนิวเคลียร์ฟิวชัน

นิวเคลียร์ฟิชชั่นนั้นแยกกระจายออกไปอย่างตรงไม่มีโค้งกลับมาเลย มีพลังงานออกไปเต็มที่เลยไม่สูญเสีย จิตก็มีพลังงานสอง เป็นสังขิตตังจิตตัง(รวม) กับวิกขิตตังจิตตัง(กระจาย)

ตัว C นี้ คือความเร็วของแสง เป็นความเร็วสูงสุดแล้ว ยกกำลังสองอีก

แต่นามธรรมก็เป็นพลังงานสอง พลังงานที่แตกกระจายออกไปนี้ พระพุทธเจ้าว่าเราไม่เกี่ยว แต่พลังงานที่รวมกันนี้ ที่โค้งรวมกันได้ ถ้ารวมกันได้เร็วก็เอามาใช้งานได้ อรหันต์ก็จะปล่อยพลังงานที่กระจาย แต่จะเอาพลังงานที่รวบรวมได้เอามาใช้ แต่ระเบิดนิวเคลียร์เอาพลังงานที่ออกไปเป็นตัวทำลาย

จบ..


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:23:58 )

591129

รายละเอียด

591129_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติฯ พลังสี่ที่ขับเคลื่อนโรงงานแห่งความรัก

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เป็นวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2559 ที่สันติอโศก วันนี้เป็นวันพระใหญ่ ตามบ้านนอกจะเป็นวันที่มาทำหน้าที่อุโบสถศีล เป็นวันสำคัญที่พวกเราจะได้มาระลึกถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีคงจะไม่มีอะไรดีเท่ากับโลกุตรธรรม ที่พ่อครูพยายามมาเปิดเผย สิ่งที่ลึก จนทุกวันนี้เราฟังเหมือนง่าย ต้องพยายามจับอารมณ์ แยกอารมณ์จริงกับอารมณ์เท็จให้ได้ ก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ พ่อครู ได้ดึงของลึกมาเป็นของตื้นได้

พ่อครูว่า...มาดู sms ของผู้ที่ติดตามฟัง

SMS วันที่ 28 พฤศจิกายน 2559

0893867xxxพุทธศาสนิกชนในร.9อบอุ่นใจที่เห็นหลวงปู่พุทธะอิสระสนทนาธรรมกับพ่อครูฯสณ.โพธิรักษ์ในโรงบุญและโล่งใจที่ มส.มีเจ้าประคุณป.อ.ประยุทธ์โตที่ลูกไทยศรัทธาในจริยวัตรธ.สูงสุดเป็นหลักชัยดูแลพุทธศ.เจริญในแก่นแท้ของธรรมสาธุ!สกก

0890529xxxโลกุตตระที่ พ่อครู โปรดเวไนยให้ตื่นรู้ในยุคท้ายปลายกลัป์นี้ ก็คือแก่นของหลักสัจธรรมแท้ ผู้น้อยได้ติดตามศึกษาทางสื่อสารบุญนิยมทีวีอยู่เป็นประจำ ขอกราบขอบพระคุณ พ่อครู ด้วยความเคารพ ที่ให้สิ่งแท้หลักธรรมจริง (กาลเวลาคับขัน หากมัวชักช้าไม่รีบบำเพ็ญธรรม จะไม่ทันการ)

0893867xxxพระตปฎ.กล่าวถึงคำตรัส ตถาคตว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายอุจจาระปัสสาวะน้ำลายน้ำหนองโลหิตแม้มีประมาณน้อยมีกลิ่นเหม็นฉันใด!เราย่อมไม่สรรเสริญภพ!แม้มีประมาณน้อยโดยที่สุดแม้เพียงลัดมือเดียวฉันนั้น!

 

ภพสวรรค์ก็คือภพนรก

คำถามจากคุณ 0893867xxx ว่า...พระตปฎ.ที่20 ที่พ่อครูนำมาสอนทำให้เข้าใจชัดเจนว่าจิตที่วนเวียนอยู่ความอยากเป็นนี่ความอยากได้นั่นคือจิตเป็นตัณหาต้นเหตุทำให้เกิดภพเกิดชาติของจริงที่มีแต่สวรรค์เทียมนรกแท้!จริงสาธุ!สกก.

ตอบ...ตอนนี้คนเข้าใจเรื่อง ภพมากขึ้น ตั้งแต่ภพต่ำคืออบาย หากเราไม่รู้ก็หลงในภพ(แดนที่เราหลงวนสุข-ทุกข์) มีชีวิตที่นึกว่าเราได้รับความสุขความเจริญ ถ้าเราไม่เข้าใจอาการของจิตที่เป็น ภพชาติ เราก็จะจมอยู่อย่างนั้น แล้วหลงยินดีว่าเป็นความสุขความเจริญความใหญ่โตมโหฬารอะไรต่างๆนานา อย่างที่จะหลีกพ้นไม่ได้ที่ต้องยกตัวอย่างธัมมชโย เขาไม่รู้เรื่องของความเป็นภพ สักนิดสักน้อย

ใครที่ไปหลงอย่างสมีธัมมชโย มันก็จะเป็นอย่างนี้หน้ามืดตาบอดนึกว่าเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น แล้วเขาก็ทำเต็มที่อย่าง ไม่คิดชีวิตเลย อุตสาหะวิริยะพากเพียรหนัก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเจอตัว แล้วก็มีภาพออกมาว่าขาโต บวมใหญ่ดำ น่ากลัว เห็นแล้วน่ากลัว จะทุกข์ทรมานขนาดไหน แล้วอยู่กันไม่มาไม่น้อย เป็นอย่างนั้นมาตั้งหลายปี จะถึง 10 ปีอะไรจะทรมานขนาดนั้น ตอนนี้ก็ยังลึกลับจับตัวไม่เจอ หนีลงรูไปแล้วในที่ลับเร้น

มีคนเขาคิดว่าเขาไม่อยู่ในประเทศไทยแล้ว คนไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้อย่างไร แม้แต่คนในนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้เห็น มีคนรู้เห็นช่วยกันอยู่ไม่กี่คนก็ไม่กล้าเปิดเผย ขณะที่คนสนิท นายองอาจ ธรรมนิทา ขนาดว่าเป็นโฆษก เป็นปากเสียงของธรรมกายเขายังบอกว่า 6 เดือนแล้วไม่ได้พบเลย จะเท็จหรือจริงหลอกก็ไม่รู้ที่เขาพูดออกมา

ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติก็จะเรียนรู้ ภพเล็กภพน้อย หลายคนพวกเราไม่ได้รับทุกข์ร้อนอย่างที่ธัมมชโยเขาได้รับเลย เราก็จะยิ่งกลัว เกรงกลัวต่อบาปกรรมต่อเวรภัย ส่วนคนที่หลงผิดก็น่าสังเวชใจ บอกเขาเตือนเขาให้ความรู้เขา แต่เขามีกลเม็ดบอกว่าให้ดูช่องนี้ช่องเดียวเป็นการสะกดจิต ต้องเชื่ออย่างงมงายเลย ก็ใช้วิธีการสะกดจิต อาตมาไม่รู้นะ ว่าธัมมชโยจะไปเรียนวิธีสะกดจิตมาหรือเปล่า แต่การกระทำที่เขาทำอยู่นี้เป็นการนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นวิธีสะกดจิต 100% อาตมาเคยเรียนวิธีสะกดจิตแบบวิทยาศาสตร์มา ก็รู้ชัดเจน ว่าเขาทำได้ผลเต็มที่เลย อาตมารู้ว่าเป็นการทำบาป ทำให้คนตกนรกซ้ำซ้อน อาตมามาเป็นพระโพธิสัตว์แล้วไม่ทำแน่นอน ความซวยอย่างนี้อาตมาไม่ทำ เห็นแล้วก็น่าสังเวชใจ

มีคนที่ออกมาจากธรรมกายแล้วมาอยู่ที่เรา มาฝึกฝนศึกษาอยู่ก็มี ยินดีด้วยอนุโมทนา ก็พยายามพากเพียรศึกษาไป เราจะได้เทียบเคียงชัดเจน ทุกคนไม่มีใครบังคับให้เชื่อหรือไม่เชื่อ เราจะเข้าใจหรือไม่ก็อยู่ที่เราพากเพียรศึกษา ได้เอง พระพุทธเจ้าก็สอนในกาลามสูตรว่าไม่ให้เชื่อใครง่ายๆ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เชื่อทันที ท่านสอนอย่างไม่ได้ครอบงำความคิด อิสระเสรีภาพเต็มที่ทุกอย่าง

ความเป็นภพ สิ่งที่มันง่ายรู้ว่าหยาบต่ำเป็นของผิด แท้ๆ จะน้อยหรือมากก็ชัดเจน เรื่องของภพก็เช่นกัน วนเวียนสุขทุกข์สมอยากอยู่อย่างนั้น แล้วแต่คนจะทำให้สมใจตัวเองได้มากมายขนาดไหนก็แล้วแต่

สมณะเดินดินว่า..อย่างภพชาวอโศกนั้นถ้ามีกระแสสุขภาพมาคนก็จะลงไปทำจนมากเกิน อย่างนี้ถือว่าเป็นคนอยู่ไหน ภพหรือไม่

พ่อครูว่า...เป็นคนตกภพ เป็นจริตที่ดิ่งจะเอาอันนี้ก็เอาเลย ก็ค่อยๆช่วยเหลือกันไปเป็นไปตามฐานะ เป็นเรื่องที่สุดวิสัยเหมือนกัน บางคนก็แก้ไขยาก

ถึงยกย่องคนที่มีปฏิสันถาร มีแขกมาก็โอภาปราศรัย

ไม่ง่ายทีเดียวที่จะรู้ว่าภพคืออะไร คนตกภพ เขาจมอยู่แล้วเขาก็นึกว่าได้ความยิ่งใหญ่โตมโหฬารบานทะโร่ เขาไม่รู้เท่าทันเลย

ความจริงนั้น ไม่มีสวรรค์หรือนรก มันมีสวรรค์ก็มีนรกคุณอยากได้สวรรค์แต่ได้สวรรค์มาก็มีนรก มันเป็นของคู่เป็นเมถุน เป็นธรรมะคู่ธรรมะ 2 มันมีสวรรค์ คุณไม่ได้อยากได้นรก ไม่มีใครอยากได้แต่มันก็มา แล้วก็ไม่เรียนรู้ว่านรกเมื่อไหร่ บางทีไม่ค่อยได้สังเกต ว่านี้คือนรกคือทุกข์ อันนี้คือเหตุแห่งทุกข์ ผู้ที่มีญาณปัญญารู้ว่า ต้องรู้ว่าตัวนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์นะ เหตุแห่งสวรรค์นั่นแหละนี่คือนรก ความเป็นสัตว์นรกนี้ โอ้โห กว่ามันจะรู้ทุกข์ กว่ามันจะรู้เหตุแห่งทุกข์คือจิตของเราคือสัตว์นรก อย่างนี้ที่เราหลงว่าเป็นสวรรค์ที่จริงมันคือนรก

ที่หลงว่าเป็นสวรรค์ที่จริงมันคือนรก สวรรค์เป็นความเท็จนรกเป็นความแท้ ต้องรู้ทุกอย่างเป็นความจริงอริยสัจ สวรรค์กับนรกมันตัวเดียวกัน สวรรค์เป็นอุปทานที่ปั้นลมๆแล้งๆว่ามีจริง

คุณจะรักษาให้มันอยู่นานเป็นยามา จะพยายามอย่างไรมันต้องมีเวลาพัก ที่เขาใช้คำพังเพยว่างานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่มีวันเลิกรา

ในคำสอนของนักปราชญ์ ก็หยิบมาผสมก็ชัดเจน

กว่าจะรู้ได้ว่าที่จริงแล้วสุขก็คือทุกข์ ทุกข์อริยสัจก็คือที่หลงว่าเป็นสุขนั่นเอง คนเราก็อยากได้สวรรค์ทั้งนั้นแต่ดันผ่าได้นรก กว่าจะรู้ตัว ระลึกให้ดี แต่ก่อนนี้เราหยาบมาก จมกับมันอยู่ได้ ระลึกแล้วโง่เง่า ถ้าหลุดพ้นมันได้ก็ดี ที่หลุดพ้นแล้วก็ดี แต่ที่ยังไม่หลุดพ้นนี่มันยาก พอรู้แล้วพอหลุดพ้นแล้ว มันดูง่ายนะ แต่คนอื่นที่ไม่มีทางรู้มันก็ไม่รู้อยู่นั่นแหละ ก็ว่าไป

อะไรไม่อะไรหรอกที่ท่านยกตัวอย่าง พระเจ้าอชาตศัตรู ที่เคยไปฆ่าพ่อ แล้วก็พุทธเจ้าก็สอน แต่ชาตินั้นทั้งชาติท่านก็เข้าใจ แต่ท่านทำไม่ได้ เพราะมันมีวิบากหนัก พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าอย่าประมาททำแล้วบอกว่าไม่ได้ทำไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ ถึงบอกว่าเรามัดระวังให้จริงในกรรมที่ทำ

มันเหมือนอะไรบังตาได้อย่างไร ขนาดอยู่กับพระพุทธเจ้าแท้ๆ ท่านยังช่วยไม่ได้ แล้วโพธิรักษ์เป็นใคร? เราก็คล้ายๆว่าตีงูให้กากิน เราสอนคนนี้แต่คนอื่นเขามาฟังก็ได้ เหมือนตีงูให้กากิน แต่ว่าอย่างอื่นมากินไปหมด เจ้ากามันมืดบอดดำปี๋อยู่นั่นแหละ เจตนาให้กานะ แต่วิสัยกา พระวิสัยกา มีคนเขียนภาพให้เห็น

 

คุณติดมะละกออันนี้แต่ก่อนคุณนึกว่าละได้แล้วในรูปภพอรูปภพ แต่พอมาล้างกามภพ จริงๆแล้วพอล้างกามภพแล้ว เศษเหลือก็คือรูปภพอรูปภพ มันต้องต่อเนื่องกันไม่ใช่ไปสร้างภาพเอา แต่ว่าต้องกระทบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจริง

เมื่อล้างกามภพได้แล้ว ก็จะเห็นรูปภพที่มันคล้ายแต่มันไม่ใช่ ส่วนมากคนจะได้รูปภพ อรูปภพเป็นคนมีเชื้อเก่าบ้าง ถ้าไม่มีเชื้อเก่าบ้างไม่รู้เรื่องหรอก ก็หยาบยังดับไม่เป็น แล้วจะไปดับละเอียด มันไม่ใช่ เพราะคุณไปสะกดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ล้างด้วยปัญญา ด้วยไฟฌาน ไม่ใช่เลย

ต้องให้สัมผัสวิโมกข์แปดด้วยกาย

 

พลังสี่พ้นภัยห้า

ผู้ที่บรรลุแล้วเป็นพลังปัญญา มีที่ต้นของพลังปัญญาแล้ว คือมีพลังสี่

คือ พลังปัญญา พลังวิริยะ พลังอนวัชชะ พลังสังคหะ

พลังปัญญาจะมีวิริยะคู่มาเลย มีพลังแรงด้วย ถ้าพลังชัดเจนใส จะมีปัญญาและมีเจโตที่แรงด้วย จะรู้กรรมการงานอันใดที่ควรหรือไม่ควร ทำสิ่งที่ควร คุณทำอะไรก็คือเป็นการงานทั้งนั้น ทุกอย่างเหมารวมลงที่กรรม แล้วก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ผิดทำเพื่ออะไรก็เพื่อสังคหะ นี่คือพลัง 4  พลังปัญญา พลังวิริยะ พลังอนวัชชะ พลังสังคหะ คนที่ได้พลังสี่นี้สมบูรณ์แล้วก็พ้นภัย 5

จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีภัยมีโทษ สำหรับตนและผู้อื่น เป็นชีวิตที่ปลอดภัย

พ้นภัยห้าคือ

  1. อาชีวิตภัย จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีภัยอะไรดี
  2. อาสิโลกภัย ภัยที่คนจะมาตำหนิติเตียน ก็จะไม่มีปัญหา คนที่ตำหนิติเตียนความจริง เรายืนอยู่ในฐานความจริง คนที่จะตำหนิความจริงไม่มีมีแต่จะชมความจริง ถ้าเราแน่ในความจริงนั้นแล้ว และความจริงนั้นเป็นความจริงที่ถูกต้องด้วย คุณได้อันนี้เสร็จ ใครจะมาตำหนิก็ผิดทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คนที่ชัดเจนในความจริงจะตั้งใจยืนหยัดยืนยัน มันเหมือนอัตตายึดมั่นถือมั่น แต่ไม่ใช่ มันมีพลังปัญญายืนยัน
  3. ปาริสารัชภัย ก็ไม่มี คือไม่สะทกสะท้านไม่หวั่นไหวไม่กระดุ๊กกระดิ๊กในจิต ทำอะไรอะไรก็ไม่มีปฏิกิริยาเคลื่อนไหว นิ่ง
  4. มรณภัย
  5. ทุคติภัย ก็ไม่มีกลัวตายไม่กลัวตกนรก เป็นความดีที่สุดแล้ว

เมื่อมีพลังสี่ก็จะพ้นภัยห้า ยิ่งมีสังคหะ แจกจ่ายเจือจาน อาตมากำลังพาพวกเราสร้างสรรค์เสียสละช่วยเหลือผู้อื่นอยู่นี่ เราให้เขานี่แหละ เราเสียสละนี่แหละคือกำไรของเรา ไม่ใช่โอกาสที่จะเอากำไร ก็ดูไป แต่ไม่ได้ไปพยากรณ์หรือดูหมอเดา หมอดู

ลักษณะจิตที่อาตมาอธิบายว่ามี เจตนาแต่อย่าอยาก ให้มีจิตมุ่งไปในทิศทาง แล้วเราก็ทำเต็มที่ โดยไม่สร้างจิตที่มีความหวังมีภพชาติ ให้เอาพลังงานมาโถมทุ่มกับการงาน มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีความยินดีพอใจในการทำมีพลังงานเท่าไหร่ก็โถมลงไป แล้วก็เกิดวิมังสา ได้เนื้อหาสาระเต็มๆ

ก็ใช้ภาษาไทยขยายความถึงอิทธิบาทสี่ และขยายพลังสี่ จนกระทั่งไม่มีภัยห้า มันพ้นจริงๆ ไม่มากระทบเรา

ถ้าจะลองสังเกตอาตมาบ้าง อาตมาว่าอาตมาพ้นภัยห้า ชีวิตอาตมาจนอายุ 80 แล้ว อาตมาก็ขยัน ก็หนัก แต่ไม่เคยถูกกระทบถูกบาดเจ็บ มีแต่เขาว่าตำหนิติเตียน ก็ห้ามไม่ได้หรอก ต่อให้ตำหนิติเตียนแบบหอกปากแต่เราก็อยู่ยงคงกระพัน แต่ไม่ใช่หน้าด้านหยาบ เรารู้เราก็เข้าใจไม่ใช่หน้าด่านหน้าทน

ในชีวิตอาตมาไม่มีแม้แต่คนจะมาตบมาเตะ ก็ไม่มี มีแต่โดนแก๊สน้ำตา ก็มีวิบากใช้วิบากไป ก็แสบตาบ้าง นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ชาตินี้ระลึกตั้งแต่เกิดไม่เคยเจอ นี่แหละคือเขาก็มีอาสิโลกภัยมากอยู่นะ เขาท้วงเขาว่าพอสมควร แต่ปาริสารัชภัยไม่มี ไม่สะทกสะท้าน

สรุปแล้ว ภัยห้า ไม่มีอะไรอาตมาพ้น นี่ไม่ได้อวดตัวนะ คือศึกษาอาตมา ผู้ใกล้ชิดก็จะรู้ คนอายุตั้งแปดสิบแล้ว อาตมาก็ยียวนพอสมควรนะ วอนที่จะได้พอสมควรแต่ไม่จัดจ้าน ที่พูดนี่ไม่ได้ท้าทายนะ อาตมาหนังไม่เหนียวไม่อยู่ยงคงกระพันอะไร ก็เคยเล่นพวกนี้มา

 

พลังงานโอปปาติกะจากระเบิดแห่งรัก ที่เป็นลำดับ

0890015xxxปรากฏการณ์"ระเบิดความรัก" ถือเป็น"โอปปาติกะ"ได้หรือไม่

 ตอบ โอปปาติกะคืออะไร โอปปาติกะคือวิญญาณ พลังงานที่เป็นจิตวิญญาณคือโอปปาติกะ พลังงานความรักที่ขจรขจายอยู่นี่ พลังงานของโอปปาติกะ พลังงานที่มีเงื่อนไขว่าเป็นความรัก และเป็นความรักในมิติที่สูง ไม่ใช่ความรักมิติที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มันเป็นความรักมิติที่เกิน 6  ขึ้นมาหา 7 หา 8

เป็นพลังงานที่รักมวลประชาชน รักสรรพสัตว์ มวลประชาชนคือ 6 ทั่วหมดจักรวาลคือ 7 ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม พืชพันธุ์ธัญญาหาร สัตว์ คนทั้งหลายแหล่ คือพลังงานพระเจ้า พลังงานที่ 7  พลังงานรักทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของพระเจ้าหมด เป็นลูกหลานพระเจ้า เป็นสมบัติของพระเจ้า รักเกื้อกูลไม่ใช่รักอย่างยึดเป็นตัวเป็นตน รักเพื่อที่จะให้ทุกคนได้มีได้เป็นตามฐานะ ความรักมิติที่ 7 มิติที่ 8 นี้ อันนี้ก็ยากอยู่เหมือนกัน มิติที่ 8 คือความรู้อเทวนิยม

ถ้าเป็นเทวนิยมจะทำความรักให้สูงที่สุดได้แค่ 7 ได้แค่พระเจ้า จะไม่รู้จักในระดับว่าระดับที่ 1 เราจะสละอย่างไร แต่ผู้ที่สูง ระดับพระเจ้าที่เขาสูง เมถุนเขาก็ถือว่าต่ำเหมือนกัน เขาเลิกเรื่องเพศ เรื่องเมถุนเขาก็ถือว่าต่ำ เรื่องคู่สองคน เรื่องแค่ญาติ พ่อแม่ลูก ปิตุปิตานิยม เขาก็ถือว่ามันแคบ เขาก็เข้าใจ เขาก็ไม่เอา ในเทวนิยมนี่เป็นได้ กระจายมาถึงญาติ เข้าก็รู้ เขาก็เลิกได้ แคบๆ แค่ญาติเขาก็ไม่เอา เขาก็กว้างมาถึงมิตรสหายเพื่อนฝูงต่างๆ  เกินกว่าญาติเท่านั้น และมิตรสหายเกินกว่าญาตินี่แหละ มันจะละเอียดขึ้นไประดับชาติระดับประเทศแล้วก็ระดับทั่วไปหมดเลย เป็นระดับที่ 7 อันนี้ทางเทวนิยมก็ยังไม่ค่อยรู้ตัวดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น 6  7  เขาจะยังไม่รู้จักเท่าไหร่ เทวนิยม แต่เขาเป็นนะ เขาทำ เขาประพฤตินะ

พระเจ้า หรือพระศาสดา พระบุตรประพฤติอันนี้แล้ว แต่ไม่รู้ อธิบายไม่ได้ พุทธอธิบายไล่มาได้หมด มันจึงซับซ้อน พุทธรู้จักเบื้องต้นและท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นลำดับ และรู้อย่างเนียนเลย ไม่มีอะไรติดขัด เป็นลำดับที่น่ามหัศจรรย์ เรียงลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายมาอย่างละเอียดลึกซึ้ง เป็นขั้นตอนที่ไม่ขรุไม่ขระ ไม่กระโดดไปไม่กระโดดมา ไม่สับสน เรียงลำดับเป็นลำดับ อันนี้ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า การราบลุ่ม เรียบสะอาดเหมือนฝั่งทะเล ท่านถือเป็นความมหัศจรรย์ ข้อ 1 เลย ยอดเยี่ยมยากที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ   ยาก  แต่พวกเราจะค่อยๆ เข้าใจชัดขึ้นๆ ว่า อ้อ.. ลำดับที่มันราบลุ่ม เนียน ละเอียดไม่ขรุไม่ขระ ไม่อะไรเลย มันสุดยอด มันเป็นเรื่องวิเศษ มันเป็นเรื่องที่ไม่เสียเวลา มันเป็นเรื่องที่เร็วที่สุด เส้นที่สั้นที่สุด คือเส้นที่ตรงที่สุด ลัดที่สุดคือต้องตรงที่สุด นี่คือสุดยอด 

ผู้สามารถรู้พลังโอปปาติกะ เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ  มีรูปด้วย ครบขันธ์ 5 ถ้าระดับพืช ยังไม่เกิดอารมณ์สุขทุกข์อร่อยติดรสชาติ มีแต่สัญญากับสังขารและรูป ยังไม่มีเวทนา ไม่เรียกวิญญาณ

มีเวทนาแล้วจึงมารวมเป็นวิญญาณ เพราะ เวทนา สัญญา สังขาร ก็คือวิญญาณ (ในหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก)

ที่อธิบายมานี้ถ้าคุณไม่มีของตนเองจะไปหยิบของใครมาได้ อาตมายืนยันว่ามีของตนเอง อาตมาเขียนคนคืออะไรตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็ควักความรู้แต่ปางก่อนมา ก็ก่อนจะได้เป็นของตนเองก็ได้จากมาก่อน อาตมาเป็นแค่สยังอภิญญาไม่ใช่สยัมภู ไม่ใช่ผู้ตรัสรู้เองตัดรอบมา ที่จริงก็ต้องรับจากองค์ก่อนอยู่ดี แต่ก็ต้องตัดรอบให้ท่านเป็นเจ้าของศาสนาเพราะว่าไปหาที่ต้นไม่ได้

อาตมาไม่มีมานะถือดีถือตัวอะไรหรอก อาตมาว่าอาตมารับจากพระพุทธเจ้า ส่วนใครจะถือตัวว่าตัวเป็นต้นธาตุต้นธรรมก็แล้วไป แต่ทำไมเขาทำบ้าบอทำไมทำเสื่อมทรามขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าตั้งเยอะแยะ

 

ความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ของธรรมวินัย

ขั้นต้น อบายภูมิคือของต่ำ ของใครของมันและอบายภูมิต้องอยู่ในกามภูมิคือภพต่ำของภายนอก ตัดรอบว่านี่หยาบต่ำ ต้องหยุดเสพ หยุดสัมผัสเสียดสีหรือหยุดเอามาเป็นของตนเอง อบายส่วนใหญ่เราไม่เกี่ยวข้องเลยในชีวิตเราก็เจริญได้ เราจะทำงานโดยไม่ต้องอาศัยมันเลยได้ เราก็ทำงานช่วยเหลือโลกได้มากมายแล้ว ส่วนอันนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนที่ต้องทำไป เราเลิกมาสู่ภูมินี้ได้เลย อันนี้ต้องให้ชัด อย่าไปหลงตนเอง

เมื่อผู้อยู่เหนือกามภพที่เป็นอบายได้ ก็พ้นอบายมาเรื่อยๆ จนพ้นหมดกามภพ ก็เลื่อนมาต่อรูปภพ รูปภพก็ยังสัมผัสสัมพันธ์ข้างนอกอยู่ไม่ได้หนีไปไหนแต่เราก็อยู่เหนือ สิ่งเหล่านั้นภายนอกทำอะไรเราไม่ได้เลย อสังหิรัง เหมือนเด็กแขนสั้นจะชกเรา เราก็ค้ำหัวไว้มันก็ชกไม่ถึงเรา เขาจะชกเต็มที่อย่างไรก็มีฤทธิ์เดชแค่นั้น ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม มันไม่มีสิทธิ์ทำลายหักล้างเรา ไม่ทำให้เราเปื้อนเปรอะอะไร  นี่คือสัจจะที่คนที่ได้จริงเป็นจริงถึงจริง

คนที่พ้นกามภพแล้วก็เหลือรูปภพอรูปภพ กามภพนี้แตะแต่ไม่ติด อยู่สัมพันธ์กับเขาได้ สัมผัสอยู่ก็ไม่ซึมซับ ไม่มีดูด ไม่มีซึม ไม่ osmosis ไม่ absorb ไม่ไหลลึกไปไม่รู้ตัว ไม่มี สะอาด เข้าไม่ได้ทุกทาง แม้ตัวเราไม่รู้ก็ไม่ซึมเข้ามาได้ osmosis คือแบบไม่รู้ตัว แต่absorb คืออย่างรู้ตัว

เมื่อพ้นกามภพก็เป็นอนาคามี ก็ช่วยกามภพเขาได้แต่อย่าประมาท เป็นอรหันต์ท่านก็ไม่ให้ประมาท เราล้างกามภพได้จริง จึงเลื่อนมาล้างรูปภพ อรูปภพได้ ไม่เสียเวลาล้างกลับไปกลับมา ถ้าไม่ทำตามลำดับก็เสียเวลา แล้วไม่ละเอียดชัดเจนเท่ามาทำตามลำดับ ถึงบอกว่าเรียนให้สัมมาทิฏฐิให้ดี อาตมาเน้นตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ 10

 

ขอเข้าสู่พลังงานความรักอันยิ่งใหญ่ คนโดยรวมของเมืองไทยรู้สิ่งประเสริฐนี้แล้วที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงงานมา ท่านไม่ตรัสมาก แต่ทรงงานมาก ไม่ขยายความด้วย ปล่อยให้ท่านอื่นขยายความไป ท่านไม่ต้องคุยตัว โพธิรักษ์เสียอีกเหมือนคุยตัว

สิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็น  A Bomb of love ที่เกิดขึ้นขณะนี้ เป็นเรื่องที่มนุษยชาติต้องอาศัยและเกิดในประเทศไทยแล้ว เป็นเชื้อแท้ ไม่ใช่เชื้อที่เป็นทางเสียหายแต่เป็นเชื้อแห่งสิ่งประเสริฐ มาหยั่งลงที่นี่

ผู้ที่สามารถเข้าใจแล้วก็มารวมกัน มาช่วยกันโดยเฉพาะ ศิษย์เก่าทั้งหลายของสัมมาสิกขา อยู่ไหน มีเป็นพันคนนะ ให้มาเสริมสิ่งที่เราเคยได้มาแล้วด้วยกัน มาฝึกฝนมาอบรมมาทำเพิ่มเติม ถ้าคนไม่เพิ่มภูมิตัวเอง เขาเรียกว่ากินบุญเก่า บุญถ้าได้แล้วได้เลยนะ แต่มากินกุศลเก่า มันจะกินซับซ้อน กินสิ่งที่จะช่วยเกื้อกูลจะลดลง แต่ถ้าบุญแล้วชำระกิเลสขาเดียว ทำแล้วแข็งแรงเต็มที่ มีแต่ทางเดียวไม่มีสองทาง บุญเป็นธรรมะหนึ่งไม่เป็นธรรมะสอง

บุญนี้ เขารู้กันลึกๆว่ายิ่งใหญ่กว่ากุศลจึงเอาบุญมาเป็นเครื่องล่อ ขาย มันเป็นประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่มีความรู้ทำบุญอย่างชำระกิเลสได้จริง ก็ไม่มีทางบรรลุธรรมเป็นอริยะเป็นโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีหรืออรหันต์ได้เลย ถ้าอาตมาไม่มาไข บุญหรือกาย หรือแม้แต่สัมมาสมาธิของพระอาริยะ คุณเชื่อไหมว่าจะเป็นมิจฉาสมาธินั่งหลับตาปฏิบัติกันไปแน่ แต่นี่คือ Supra concentration มันเหนือชั้นกว่าสามัญจริงๆ

ผู้สามารถดับภพ เป็นวิภวภพ ภพนี้ดับแล้วดับสนิทอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เอาไปพิสูจน์แล้วจะรู้ว่าตรงกับบัญญัติหมดเลย

 

โรงงานแห่งความรักอันบริสุทธิ์

 

ความรักที่เกิดนี้เป็นความรักที่เสียสละอย่างไม่ต้องการไม่มีความหวัง มีแต่ให้เลย อาการของจิตใจที่หวังเป็นอย่างไร (สาเปกโข) คุณจะต้องรู้อันนั้นของตนเอง อาการที่คุณมีเจตนาแต่อย่าอยาก อาตมาก็ใช้บัญญัติซ้อนไปอีก ก็รู้ว่าจะทำเพื่ออันนี้แล้วลงมือทำเหตุให้ตรง ให้เต็มที่ ทำเหตุให้ตรงให้ชัด เสร็จแล้วมันจะเกิดผลจริงของมันเอง

พระพุทธเจ้าตรัสในทานสูตรว่าอย่ามี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

ถ้าเผลอหวังไปแล้วก็อย่าให้มีตัวต่อ ผูกพัน เราก็ต้องตัดสันตติ ก็ไม่ไปสู่สันนิธิ แม้จะเผลอมีหวังก็ต้องตัด อย่าผูกพัน ตัดคอไอ้หวัง แน่นอนมันเผลอได้แต่เผลอคุณก็ตัด ถ้าไม่ตัดจริงก็สั่งสม ก็ไปข้างหน้าแล้ว ไม่เหลียวหลังเลย

เป็นอาการทางจิต สัตว์โอปปาติกะก็คืออาการทางจิต แม้จิตเป็นสวรรค์ ก็คือเทพ

เทพมีสามอย่าง

  1. สมมุติเทพ เป็นสวรรค์เก๊ เมื่อเรารู้เหตุของสวรรค์เก๊แล้วลดมาได้ก็เป็น
  2. อุบัติเทพ ทำได้หมดก็เป็น
  3. วิสุทธิเทพ

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นชัดเจน ในระดับกามภพ รูปภพอรูปภพ เมื่อคุณอยู่เหนือกามภพแล้ว ก็จะรู้รูปภพอรูปภพ ก็จะรู้ว่าคืออนาคามี ในของหยาบต่ำ อบายในระดับต่ำ สิ่งเสพติด การพนัน คุณบอกว่าเราเฉยจริง ไม่มีดูดหรือผลัก กลางๆได้จริง เป็นแต่เพียงว่าถ้าเราหลุดพ้นในสิ่งตามจริงๆแล้วก็จะไป ข่มดูถูกเขาอีก ก็ระมัดระวัง อย่าให้มีจิตตัวนี้ เป็นมานะ ยกตนข่มท่าน แต่ก็จะเห็นใจเขาด้วยซ้ำไป

ในพฤติกรรมของในหลวงเราที่ไปช่วยคนต่ำต้อยต่างๆนานา ท่านไม่ได้เจตนาจะช่วยคนสูงคนใหญ่คนโตอะไร แต่คนใหญ่คนโตจะขวนขวายตามท่านพากเพียรปฏิบัติก็เชิญ แม้แต่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ที่เป็นเลือดเนื้อก็ตามก็จะไปช่วยคนเต็มที่ พูดอย่างเป็นวิชาการไม่ได้ไปลบหลู่ดูหมิ่น อย่าไปตีความว่าอาตมาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นี่เป็นวิชาการ ชัดๆ ศึกษาให้ดี นี่เป็น phenomenology เป็นสิ่งปรากฏจริง ปาตุสัจจะ ปาตุภาวะ มีสิ่งจริงให้สัมผัสศึกษาได้

เป็นโชคดีที่เกิดมาในยุคนี้ มีสิ่งจริงๆให้เราสัมผัส ในยุคเดียวกันที่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ คนที่อยู่ต่างชาติต่างประเทศไกลๆ เราเป็นคนไทย อยู่ในยุคนี้ ดีไม่ดีอยู่ในสถานที่ใกล้ๆด้วย ในกรุงเทพ ได้สัมผัสก็ยิ่งชัดเจน หรือว่าไปที่อื่นก็ได้อีกก็ชัดเจน มันเป็นยุคที่ไม่ใช่ว่า คนที่อยากเกิดในยุคอย่างนี้ก็อยากเกิดได้แต่ไม่มีสิทธิ์จะเกิดถ้าไม่มีบารมีเพราะ พวกเรานี่ถือว่ามีบารมีนะ ในที่สุด ถ้าตัวเองประกอบอยู่ใกล้ชิด พูดแล้วน้ำลายไปตกใส่หัว เป็นน้ำมนต์นะ ก็ยิ่งชัด ยิ่งใกล้ เป็นเรื่องสัจจะที่ เดาไม่ได้ อยากเป็นอย่างนี้โดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ ทุกอย่างมาแต่เหตุทั้งนั้นไม่มีอะไรได้มาเลยๆ ต้องสั่งสมเหตุให้ครบถึงได้ เป็นอื่นไม่ได้ เป็นอันนี้แล้วเป็นอื่นไม่ได้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง อาตมาถึงทำงานอย่างสบายใจเพราะเข้าใจจุดนี้ คืออาตมาไม่หวัง ไม่รอไม่หวังแล้วทำอย่างเดียว แล้วมันได้นะแต่เราไม่เสียแล้ว ถ้าเราไปมีความหวังเราก็จะต้องมีเสีย มันเสียเลย อาตมาถึงเข้าใจ สบาย ทำอย่างไม่หวัง อาตมาก็เห็นว่า ไม่รอไม่หวังแต่ทำไปมันก็ได้อย่างเฉียดๆ บางทีก็ไม่พอได้แต่ไม่ถึงขาด ไม่สะดวก บางทีทำไมไม่มีมา มันน่าจะมามีนะ ก็ไม่ต้องไปคิด ทำเต็มที่ลูกเดียว สุดยอด

ผู้ที่เข้าใจรูปแล้วก็จะเข้าใจอรูป มีนิดหน่อย ไม่ต้องกังวลเลย พากเพียรก็จะได้ ไม่อยากได้แต่ถ้าทำแล้วก็จะได้ ทำแล้วไม่เอา ทำแล้วไม่อยากได้ มันเป็นของของตนแล้ว คนไม่อยากได้มันก็เป็นของของคุณ กัมมัสกะ ชั่วก็ตามดีก็ตาม คุณไม่อยากได้แต่ถ้าคุณทำแล้วมันก็เป็นของของคุณ กัมมัสกะ กรรมเป็นอันทำ มันไม่เป็นอื่นหรอกอยู่ที่กรรม กรรมถึงยิ่งใหญ่ที่สุด

กรรมนี้ว่าจริงๆแล้วยิ่งกว่า God

คุณคิดนิดนึงก็เป็นมโนกรรม

สมณะเดินดินว่า...พ่อครูอธิบายว่าทำทานอย่างไรไม่มีหวัง ไม่มีจิตสั่งสม บรรยากาศที่ท้องสนามหลวงนั้นทำได้ง่ายเพราะว่าทุกคนมาทำดีเพื่อพ่อ แต่ธรรมกายนั้นทำยากเพราะเขาปลูกฝังมิจฉาทิฐิไว้เยอะว่าทำทานแล้วจะต้องได้อะไรกลับมาเป็นสวรรค์สมบัติจักรพรรดิ์สมบัติ เป็นภพอย่างหนึ่งที่ถูกปลูกฝังไว้ เป็นกันทั่วโลกแต่ไปที่สนามหลวงนั้นไม่มีใครขอเลย มีแต่จะมาให้ ในหลวงทำให้ชัดเจนขึ้นมา

พ่อครูว่า...อาการของความรักคือความชื่นใจชอบใจ และมีลักษณะ ต่อ ติด

ความรัก คือ ชื่นชอบต่อติด ถ้ามันจัดเลยขีดเป็นราคะเป็นกาม มันไม่ใช่แค่ความรักขนาดนี้มันเลยคิดไปเป็นกามราคะ อันนี้มันจะผูกพัน มาสัมผัส แล้วเรียกร้อง ให้มาสัมผัสกอดรัดสัมผัสเสียดสีภายนอก ภายในนั้นไม่เป็นของจริง มันเกิดรสชาติแต่มันไม่จริงเท่าภายนอก ถ้าคุณตัดภายนอกก็จะเหลือภายใน ตัดได้หมดก็จะรู้ว่า ที่สัมผัสภายนอกมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันจริงครบครันกว่า เกิดรสชาติขณะมีดินน้ำไฟลม ก็ยังเป็นสุขปลอม สุขเก๊ แล้วไปหรือบางเบาอยู่ภายในมันจะเท่าไหร่กัน มันเก๊กว่าใช่ไหม แล้วจะไปบ้า คว้ามาทำไม ขนาดมีเหตุปัจจัยครบ มีดินน้ำไฟลมแท่งก้อนครบ ก็ยังพ้นได้ แล้วจะไปเอาอย่างฝันเพ้อในจิตที่เป็นเก๊เล็กน้อยนี่นะ มันยิ่งไม่ใช่เก๊ยิ่งกว่าเก๊ มันยิ่งลมๆแล้งๆยิ่งกว่าอีก มันตีกลับไปเช่นนั้น

ผู้เลิกได้ก็ไม่เอามาชื่นชมสมใคร่อะไร

ถ้าโลภก็คือเอามาเป็นของๆตน ส่วนราคะคือเอามาเสพรส

โลภก็คือหอบเอามาเป็นของตน ราคะคือเอามาเสพรส ราคะศึกษาง่ายกว่า โลภนั้นเอามาเป็นของตน นี่ผิวกู มือกู ก็ยากคนที่ไม่ศึกษาให้ดี ไปหลงประคบประหงม เขาไม่รู้ไปหลงรูปโฉม ผู้หญิงนี่หลงรูปโฉม แม้แต่เล็บ ก็ติด ว่าเล็บต้องงามต้องรักษาไว้ ใครอย่ามาทำให้แหว่งนะ ถึงคุณจะทำก็ทำเล็บที่เลยออกมามันจะเสียอย่างไรเดี๋ยวมันก็จะงอกมาใหม่อีก

ส่วนที่บอกว่าอาจารย์ที่ตายไปแล้วก็ศพไม่เน่า มีผมมีเล็บงอก พลังงานที่ยึดมั่นถือมั่นเหลือเอาไว้เป็นโมเมนตัม แต่คนกลับไปเคารพบูชา สิ่งที่ผิดๆนี้

คนไปตั้งข้อสังเกต ว่าจะไปอยากได้อะไรตอบแทนเพราะว่าในหลวงท่านก็มีทรัพย์สมบัติ มีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ในหลวงท่านได้ตั้งจิตที่จะใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ แต่ท่านก็ทำงานไปก็มีคนมาบริจาค โดยท่านไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้และเล็มเลียบเคียง ไม่ใช้วิธีการทาง marketing อย่างธัมมชโยเลย เป็นบารมีของท่าน อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้องไม่ได้โฆษณาอะไร ก็มีคนมาให้

อย่างโยมจินดา เอามาบริจาคอาตมา ใครเคยได้ยินไหม เขาจะบอกว่าเอามาใช้หนี้

เราตั้งจิตให้ถูก อาการจิตให้ถูกไม่ตั้งจิตอยากได้หรือตัวหวัง (สาเปกโข) ที่จริง เปกโขแปลว่า ว่าง แต่สาเปกโขคือมีอะไรเพิ่มปรุงแต่งขึ้นมา คืออย่าให้มีเนื้ออะไรงอกขึ้นมาอีก อ่านอาการจิตให้ออก แล้วจะทำอะไร สร้างสรรค์เพื่อเป็นประโยชน์โดยที่ไม่ต้องมีภพชาติอะไรเป็นต่อไม่ต้องไปหวัง หรือจะไปผูกพันปฏิพัทธ์ หรือสั่งสม สันนิธิเปกโขหรือว่า  อิมํ  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ (ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ อย่างที่ธัมมชโยทำ

เป็นพลังงานที่เกิดจากพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่ได้มีความหวังหรือสั่งสมให้เป็นมูลนิธิ หรือไม่ได้หวังยังข้ามภพชาติชาติหน้าอีก อย่างที่ธัมมชโยเป็นตัวอย่างทำมาแล้ว เขาแย่นะต้องวนเวียนใช้หนี้นรกอีกไม่รู้กี่ชาติ อย่างลำบากยากเย็น แต่เขาก็ทำของเขาเอง

รักที่เกิดเป็นพลังงานกัมมันตภาพรังสี ทางประเสริฐ อบอวลกันอยู่นี่ เป็นกัมมันตภาพรังสีที่วิเศษ เพราะฉะนั้นไปสัมผัสเอา ซึ่งมันเกินกว่าการบรรยาย ถ้าจะให้พูดอย่างไรก็ไม่เหมือนการไปสัมผัส ตอนนี้เป็นสนามแม่เหล็กแห่งความรัก  A bomb of love. เป็นความรักอันประเสริฐสุด เข้าไปสัมผัสแล้วศึกษาเหตุปัจจัยเขาศึกษาอย่างไรฝึกฝนอย่างไร ทำใจอย่างไร มนสิการ แล้วจะจัดการทำใจในใจอย่างไร อันนี้ท่านปราชญ์ทางศาสนาไม่ได้แปลโยนิโสมนสิการอย่างอาตมาแปล ท่านกลับแปลเป็นเพียงการขบคิดพิจารณาไตร่ตรอง ที่จริงแล้วมันไม่ได้อยู่เพียงแค่นั้นมันคือการเข้าไปจัดการกับใจเลย ท่านแปลอย่างนั้นก็เลยไม่เข้าถึงกิริยาอาการของจิต ที่ จิตนั้นทำเลยตัวเราเองจัดการทำเลย ไม่ได้บังคับจิตแต่เราฝึกมันให้มันเป็น เราไม่ได้ทำอย่างกดข่ม แต่มีปัญญารู้ชัดแล้วก็ทำก็มีความชำนาญเข้าเกิด skill ทักษะ เก่งขึ้น มันเกิดความช่ำชองชำนาญ เกิดวสี เป็นพลังอำนาจ เกิดสัจจะขึ้น

เราทำไปเถอะ คุณไว้ใจว่าเราทำสิ่งดีงามถูกต้องไม่ผิด ไว้ใจไหม ตั้งแต่ต้นตอในหลวงเราก็ทำตาม มาทำตามพ่อทั้งนั้น มาเสียสละต่อกันไปต่อกันมา ผู้ให้ก็ให้แล้วชื่นใจด้วยผู้รับก็รับได้สำเร็จ ที่อาตมาได้อธิบายถึงผู้ชายเอาน้ำขวดไปให้ ตอนแรกไม่รับให้ แต่พอเด็กรับให้เขาก็ร้องไห้เลย เขาชื่นใจที่ได้ให้ ยิ่งเขารับอย่างบริสุทธิ์ยินดีขอบคุณก็ยิ่งวิเศษ มันเป็นโอกาสที่จะให้เราประพฤติปฏิบัติทั้งนี้อยู่แล้ว ทำให้อยู่นานๆ คุณทำจริงก็เป็นของคุณเอง ถ้าคุณไม่ทำ ได้แต่มอง แล้วเมื่อไหร่คุณจะมาทำ คุณจะได้บ้าง นี่เป็นโอกาสเป็นสิ่งกลางสิ่งรวมสุดยอดแล้ว

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเกิดโรงงานสร้างพลังงานความรักอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ โรงงานใหญ่อยู่ที่สนามหลวง เราจะคำนวณว่าปีหนึ่งจะจบไหม ก็พระเมรุยังไม่เสร็จเลย ก็คงเป็นปี ถวายพระเพลิงแล้วก็คงจะมีลูกต่ออีก ดีไม่ดีเป็นประเพณีต่ออีก

ซึ่งมันเสียไหม ไม่ได้เสียอะไรมีแต่สร้างพลังงานวิเศษที่ดีต่อกัน

เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ เกิดในประเทศไทยกลางกรุงเทพฯ กลางสนามหลวงข้างพระราชวัง สนามหลวงคือทุ่งพระเมรุ สร้างไว้สำหรับ ถวายพระเพลิงพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงค์ศานุวงศ์ ประเทศอื่นไม่มีอย่างนี้ ก็ไม่รู้นะว่ามีไหม ก็ใช้งานจริงๆผ่านมากี่พระองค์แล้ว เกิดแล้วอุบัติขึ้นในโลกในยุคนี้จะมีสถานที่ทั้งรูปธรรม ระบุจิตระบุนาม จะสืบสานกันไปอย่างแท้จริง

ก็ขอกล่าวเรื่องนี้เลย

ในวันที่ 1 และ 2 ธันวาคมนี้ มี Big cleaning day. เป็นวันที่จะต้องทำความสะอาดกันอย่างยิ่งใหญ่ รวมกันคนก็จะมารวมกันมาก จึงจำเป็นจะต้องมี กองพลาธิการ ทุกอย่างต้องเดินด้วยท้อง เราจะรับมือเที่ยง 1 มื้อ ห้าพันห่อ โดยรับผิดชอบ ปฐมอโศกรับไป 2500 ห่อ สันติอโศกรับไป 2500 ห่อ แบ่งกันระหว่างปฐมอโศก สันติอโศก รวมเป็นห้าพันห่อต่อวัน สองวันก็เป็นหมื่นห่อ นี่คือกิจเฉพาะหน้า ข้างนอกหากจะมาร่วมมือโดยเฉพาะศิษย์เก่า อยู่ไหนต้องการให้มาช่วยกัน

เรื่องของเราที่ทำมานานแล้วโรงบุญห้าธันวาปีนี้เรากะให้ได้ 999 โรงทั่วประเทศ วันนี้เราได้ 400 โรงแล้ว ยังเหลืออีก 599 โรงเท่านั้น ใครจะตั้งใจมีโรงบุญก็แจ้งมาต่อ จะได้ครบ  รีบหน่อย ไม่ต้องรีบร้อนแต่รีบเย็นๆ แต่ต้องเร็ว ไม่ต้องใหญ่โต ข้าวหม้อแกงหม้อก็หนึ่งโรงบุญแล้ว ไม่ใหญ่โตอย่างธรรมกายหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักใหญ่ ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่เป็นของเราตถาคต

สรุปว่าถ้าเราเข้าใจการให้ คนดีที่จะให้คนอื่นได้จะต้องพึ่งตนเองได้ก่อน มีความขยันทำงานให้เกินกินใช้ในแต่ละวัน ของตนเอง เราก็เอาส่วนที่เหลือ ไปเผื่อแผ่ผู้อื่นอย่างไม่ได้เบียดเบียนใคร

วิธีของพระพุทธเจ้าเป็นสาธารณโภคี เอาคนมารวมกันมันจึงมาก อโศกตอนนี้แต่ละชุมชน ยังไม่เป็นพันคน แม้ขณะนี้สันติอโศกเอง ทำงานร่วมกันตอนนี้ก็ไม่ถึงพันคน เมื่อไหร่มีถึงพันคนก็จะมีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนกว่านี้ ราชธานีก็พยายามประกาศ จนกระทั่งมีเพลงหนึ่งในพัน ก็ยังไม่ถึงพัน ตอนนี้ก็มีให้จองปลูกบ้านถึง 3 เฟส ก็จองกันคึกคักแต่ไม่ค่อยไปสร้างบ้าน จะต้องทำให้ราชธานีอโศกมีเสน่ห์ หรือสันติอโศกก็ตาม แต่สันติอโศกอย่างไรก็ไม่เหมือนที่ราชธานีอโศก เพราะว่าขยายพื้นที่ไม่ได้ อยู่กระจัดกระจายกันห่างๆไม่มีความแน่นความเนียน

 

สมณะเดินดินว่า...ก็คิดว่าวันนี้พ่อครูพยายามให้เราเห็นความสำคัญของ โรงงานแห่งความรักที่เกิดขึ้นที่ท้องสนามหลวง ซึ่งวันนี้ พ่อครูพยายามให้พวกเราเข้าใจพลังงาน 4 ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนโรงงานแห่งความรักให้เติบโตต่อไป ถ้าเราเข้าใจแล้วกำลังที่จะทุ่มโถมให้ก็จะตามมา จะมีการงานที่เหมาะควรเกิดขึ้น ก็จะเป็นการพิสูจน์ เมื่อเราทำไป เรารู้สึกว่าต้องเอากำลังเกือบทั้งหมด 

พ่อครูว่า...ว.บบบ.นี้ตีถัวมาที่นี่แล้วเรียกว่ามาบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรมที่นี่เลย ที่นี่ของจริง เข้าห้องสอบจริง

สมณะเดินดินว่า..ไปที่สนามหลวงก็ควบคุมไม่ได้แล้ว พ่อครูอยากให้พิสูจน์ว่า คนของเราคือกำไรของเรา แต่สิ่งที่เห็นคือ เราเอากำไร สำหรับข้าวของวัตถุเราเสียอยู่แล้ว แต่ที่ชุมชนแต่ละแห่งของเราก็อยู่กันสบายแต่ว่าก็มีระหองระแหง ยิ่งชุมชนไหนเชื่อมั่นในตัวเองสูงก็ยิ่งขัดแย้ง  สถานการณ์ก็จะบีบคั้นให้พวกเราต้องร่วมมือกัน ตอนนี้ที่สนามหลวงก็เข้ามาหาพวกเรามาก เสธก็มาเองมาเอาอาหารไปแจกเลย ทุกเต๊นท์ก็หนักพอกัน กำไรที่พ่อครูพูดคือต้องรวมจิตวิญญาณ เป็นพลังงานแห่งความรักที่เกิดขึ้น แต่เดิมที่สันติอโศกนี้เงียบเหงา แม้งานเจก็ไม่มีคนมามาก แต่เมื่อมีเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็ทำให้จิตวิญญาณคนออกมารวมกัน

สูตรภพใครภพมัน การจะออกจากภพได้ ก็ต้องมาพบกัน ขนาดมีงานระดับโลก สหประชาชาติก็ประกาศแล้วประกาศอีก ขนาดนี้ก็ยังไม่อาจดึงจิตวิญญาณออกจากภพได้อีก ก็จะมีใครมาสวรรคตอีก สงสัย เรียกวิญญาณออกจากภพได้อีกก็คงต้องปล่อยไปที่ชอบๆ

เป็นการพิสูจน์ทฤษฎีขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตามพุทธสถานชุมชนต่างๆ ก็ต้องมาร่วมผนึกร่วมประสาน ชาวอโศกคนปกติไม่ค่อยมีแต่ว่า มีเหตุการณ์นี้ก็มารวมกันได้มาก เป็นเรื่องที่วิเศษมากเลย ต้องออกจากภพมาพบกัน ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:24:25 )

591130

รายละเอียด

591130_พุทธศาสนาตามภูมิ ปรากฏการณ์พลังแห่งรักครั้งเดียวในกัปป์นี้

สมณะเดินดินว่า…ที่สันติอโศก   วันนี้วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 วันนี้ขึ้น 1 ค่ำเดือนอ้าย เรายังมีลมหายใจ ก็พากเพียรกันต่อ เมื่อวานนี้พ่อครูก็ย้ำว่า เป้าหมายของศาสนาพุทธ คือดับภพจบชาติ เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ง่าย แต่ทุกๆครั้ง ที่เราออกมารวมกัน เราก็จะมีความสุข มากกว่าอยู่คนเดียว ที่สันติอโศก หากไม่มีพ่อครูมา ก็ต่างคนต่างอยู่ จอใครก็จอใคร จอน้อยๆจิ้มเอา

ที่เราอยู่กับตัวเอง เราถามตัวเราว่า เราจะสิ้นภพจบชาติได้ไหม พอมีงานมากมายพัวพัน จะออกมาพบกันได้  ก็จะเบาสบาย เราก็มาสู่ทิศทาง ว่าจะทำทานอย่างไร ถึงจะตัดภพ จบชาติได้ ตัดคอไอ้หวังให้ขาดเลย จะทำความชัดเจน สอดคล้องว่า บุญคือทำให้กิเลสวิบัติ ไม่ต้องไปหวังภพหน้า

ตอนนี้พ่อครูบอกว่า มีโรงงานผลิตพลังงานแห่งความรัก ที่ท้องสนามหลวง เราจะได้ไปให้ อย่างที่ในหลวงมีพระจริยวัตร ทำมากับประชาชนตลอด 70 ปี ทำโดยอย่างจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ได้มุ่งหวังจะหาเสียง หรือคิดจะได้อะไรกลับคืนมา ทำอย่างไร คนไทยหรือพวกเรา จะได้สืบทอดปณิธาน สืบทอดอุดมการณ์ ความรักอันบริสุทธิ์นี้ ให้ยั่งยืนยาวนานต่อไป

ถ้าฟังไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ภพชาติก็จะน้อยลง มีเรี่ยวแรง เราก็ทำกันไปสังคหะ ให้มีพลัง 4 พ้นภัย 5

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 เป็นวันยกพลขึ้นบก เขากำลังจะมายึดธรรมกายกัน ให้ชัดเจนขณะนี้ เต็มที่เลยเดินกันเพื่อที่จะจัดการกับเขา อ้างตัวว่าเขามาปราบมาร แต่แท้จริง เขาคือตัวมาร กำลังจะถูกปราบ เขาก็ขีดเส้นตายไว้ว่า 2 ยามคืนนี้ ยิ่งกว่าดูนัดชิงบอลโลกเสียอีก

คือเขารักษาภาพพจน์ ก็ไม่อยากจะรุนแรง เขาก็อยากจะทำ ให้มันสุภาพเรียบร้อยง่ายดาย แต่คือสุดยอดของ ความดันทุรัง นี่เป็นลูกตื้อที่ ยืนยันว่า เขาไม่มีความกล้าพอจะสู้ ไม่กล้าเอาความจริงมาสู้ เพราะไม่มีความบริสุทธิ์ ที่จะสู้ได้ จึงได้แต่หนีอย่างเดียว หนีอย่างไรก็หนีไม่รอด แต่เขาไม่มีปัญญา เป็นลักษณะความกลัว ความไม่กล้าพอ ที่จะสู้กับความจริงอันยิ่งใหญ่ ความจริงที่บริสุทธิ์สูงสุดเพราะตัวเองไม่มี ก็เลยไม่กล้า

1. ไม่กล้าสู้ความจริงอันสูงสุด

2. ไม่ได้เป็นคนถึงที่สุดตายเป็นตาย ไม่กล้าตาย เขากลัวตาย

ซึ่ง มันเป็นเครื่องชี้ชัดที่เขาแสดงออกอย่างชัดเจน

ก็มีผู้ที่พวกเรา ทั้งการงานเรื่องราวสร้างสรร พร้อมไปกับการปราบมารด้วย มีผู้แสดงความเห็นมาว่า วันนี้ฟังจากประชาสัมพันธ์ที่ สันติอโศกประกาศ คนให้มาให้ความร่วมมือ ทำข้าวห่อก่อน 9 โมง สำหรับวัดเรา 2500 ห่อ เราก็คงจะต้องตื่นมาตั้งแต่ตี 2 ขณะที่คนทั้งหลาย ก็จะไปร่วม big cleaning ที่สนามหลวงอีก เราก็ต้องห่อข้าวไปแจกอีก ถามว่าเราเป็นกองพลาธิการ ใช่ไหมคะ ...ก็ใช่ เรากองพลาธิการ และกองกาชาดด้วย สองอย่างเลย

เดี๋ยวนี้มีแต่คนทำความดี เพื่อในหลวง ร. 9 ของเราทั้งนั้น มีแต่คนดีใจ ที่ได้เกิดในแผ่นดิน รัชกาลที่ 9 แม้เราจะสูญเสีย พระองค์ท่านไป แต่เราประชาชนคนไทย จะได้น้อมนำเอาคุณงามความดี ของพระองค์ท่าน มาเป็นแบบอย่าง จะทำสิ่งที่ดีงามเกื้อกูลกัน ให้แข็งแรง อย่างนี้ถือว่า เราทำบุญชำระกิเลส คือความขี้เกียจของเรา ชำระความเห็นแก่ตัวของ เราทำดีถวายให้พระองค์ท่าน ใช่ไหมคะ ...ก็ใช่ เป็นการล้างกิเลสเห็นแก่ตัว ล้างกิเลสความขี้เกียจของเรา

ยิ่งชาวอโศก ที่เคยจัดโรงบุญ ยุคแรกๆปี2525 ที่วังสราญรมย์ หนูได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่า ปีนี้อาจจะได้จัดโรงบุญ 5 ธันวาเป็นปีสุดท้าย เพราะพระองค์ท่านสิ้นไปแล้ว เราก็ควรจะมา ร่วมแรงร่วมใจกัน จัดโรงบุญ 5 ธันวาให้ได้ 999 โรงเป็นอย่างน้อย ทั่วประเทศใช่ไหมคะ ...ใช่ พยายามพากเพียรจริงๆ

SMS 29พ.ย.59

0893867xxx กราบขอบพระคุณธรรมนูญชีวิต จากท่านเจ้าประคุณ ป.อ.ปยุตโตฯ ทำให้เข้าใจ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก! เข้าถึงทศพิธราชธรรม ค้ำจุนแผ่นดิน! เสริมธรรมะพ่อ

0893867xxx จะมีสิ่งใดที่ลูกไทย อยากได้อยากมีอยากเป็น แล้วไม่เสียชาติเกิด เท่ากับการได้เกิด ในรัชกาลที่9 มีชีวิตใต้พระบรมโพธิสมภาร! ได้เป็นพสกนิกร ใต้ร่มพระบารมี ในทศพิธราชธรรมฯ ทำให้ความอยากหยุด! สิ้นความอยาก! สุดที่ความพอเพียง จากความรักของพ่อหลวงฯ ลูกไทยในร.9

ถามสมณะเจ้าค่ะ. แปลกใจค่ะ.  พระพุทธเจ้าประสูติไม่นาน พระมารดาสิ้นพระชนม์   พ่อหลวงเรา พ่อสิ้นพระชนม์ ตอนยังเล็กอยู่   พ่อครูก็เหมือนกัน พ่อเสีย(ตาย)ตอนยังเล็กอยู่  คนที่มีบารมี ต้องเป็นอย่างนี้ ทุกคนเหรอเจ้าค่ะ. ?

หรือว่าคนทีไม่มีพ่อแม่ จิตวิญญาณจะแข็ง เหมือน หินในเตาไฟหลอมเหล็กใช่ไหมเจ้า ค่ะ

จากคุณ Jane Huser สวิสเซอร์แลนด์

ตอบ...ไม่กล้าตอบ ว่าใช่หรือไม่ ก็ยังไม่มีตัวอย่างมากพอ

 

พลังงานความรักอันยิ่งใหญ่ครั้งเดียวในกัปป์นี้

มาเข้าสู่ A bomb of love. ที่มาจาก จดหมายของไอน์สไตน์ ที่เขียนไว้ ให้ลูกสาว เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่า ถ้าไม่มีของจริง มันเข้าใจไม่ได้นะ ว่ามันเป็นพลังรักแบบไหน ที่ออกมาจากพลังงานจิต มันเป็นอย่างไร เป็นพลังงานยิ่งใหญ่ มีลักษณะอย่างไร มีองค์ประกอบอย่างไร ที่สูงส่งละเอียดลอออย่างไร ประกอบด้วยสภาพที่รักเทิดทูนบูชา โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน และความรักนี้ ประกอบด้วยอะไร อย่างที่ในหลวงเรามี เป็นการเสียสละ เป็นการทำงาน เป็นการสร้างสรร เห็นแก่มวลมนุษยชาติ ไม่ต้องการอะไรตอบแทน ก็เป็นความบริสุทธิ์สะอาด ที่จริงจังมั่นคงยืนนาน มีความรู้ความสามารถด้วย มีความรู้ความสามารถต่างๆ ที่จะรู้โลกวิทู ไม่ใช่ความรู้ แค่นั่งสงบ จะเป็นความรู้ ที่รู้กว้างขวาง พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก)  โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) สอดคล้องกับ คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีคนเป็นคนประพฤติ  ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ทำร่วมกัน มีปฏิกิริยาลูกโซ่ ไปอีกมากมาย

พลังแห่งความรัก ของมวลมหาประชาชนชาวไทย ที่ระเบิดเถิดเทิง เป็นปรากฏการณ์ อันมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ อย่างที่มันเกิด ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ยืนยาวต่อเนื่องมา จนถึงปัจจุบัน ณ วันนี้เลย ก็ยังไม่มีท่าที ที่จะเบาบางลงเลย ดูจะยิ่งทวีความลึกซึ้ง และกว้างไกล สำหรับผู้ที่มีญานปัญญาเห็น ซึ่งแสดงออก จากพฤติกรรมมนุษย์ ประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ คอมโพซิชั่นต่างๆ เป็นองค์ประกอบต่างๆ

มันก็ยิ่งมีอะไรต่ออะไร ที่ผู้ที่มีการศึกษา จะได้แสวงหา และติดตามร่วมด้วยจะรู้จะเห็นจะได้ มวลมหาประชาชนชาวไทย เขาแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ มีคนเล็กคนน้อย เด็กผู้ใหญ่ คนแก่ คนเฒ่า คนพิการ ยังออกมาแสดงความรัก อันยิ่งใหญ่ ระเบิดเถิดเทิงออกมา ยังไม่เคยปรากฏ ในยุคกัปป์ที่เรามีประวัติศาสตร์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกครั้งเดียว ที่ยังไม่มีสภาพแบบนี้เกิดมาก่อน เป็นการแสดงออก ซึ่งความรักอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ของมวลมหาประชาชน อย่างที่เห็นเป็นอยู่

มวลมหาชนเขารักอะไร ในความเป็นในหลวงร.9 เขารักอะไรของพระองค์ เขารักความมีพหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

ที่ท่านมี พหุชนหิตายะ ท่านทำประโยชน์คุณค่า แก่มวลมนุษยชาติ มีโครงการ มากกว่า 4000 โครงการ คิดได้อย่างไร มันเหลือคนแล้ว แล้วก็ทรงงานมโหฬารพันลึกใหญ่โต ระดับเขื่อน ใหญ่ต่างๆนานา จนกระทั่ง ละเอียดลึกซึ้งๆจนถึงนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ดิน แม้แต่เมฆ ยังสอยเมฆมาเป็นน้ำ ให้คนได้ใช้อีก

คนในโลกนี้ 200 กว่าประเทศ มีพลเมือง 7 พันกว่าล้าน ท่านเป็นผู้มีภูมิรู้ ที่จะสอยน้ำ สอยเมฆ ลงมาให้คนได้ใช้ มีนักวิทยาศาสตร์มากมาย แต่ทำไมคิดไม่ออก ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แล้วพระองค์ก็ทรงอย่างแท้จริง อายุ 89 ยังไม่ถึง 90 ปี

ตอนนี้ อาตมาก็ 83 ปี ก็พยายามพากเพียรตั้งใจ มันจะได้ถึง 89 ปี เท่าท่านหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ อาตมาตั้งเอาไว้ 151 ปี เราก็ไม่อยากสร้างไอ้หวังใส่ใจเรา เดี๋ยวไอ้หวังมา เราก็ทำไป

โลกานุกัมปา ท่านรับใช้มวลมนุษยชาติ รับใช้โลกอย่างแท้จริง เป็นของจริง เป็นลักษณะ การรับใช้ประชาชน นี่คือประชาธิปไตย มีดวงตามีภูมิธรรม มีปัญญารู้เอง ประชาชน รู้ได้ด้วยตนเอง สามารถเข้าใจได้ว่า เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ที่คนคนหนึ่ง ซึ่งมีและแสดงออกให้แก่ประชาชน เสียสละให้แก่ประชาชน ทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ อย่างไม่ได้เห็นแก่อัตตาตัวตน ไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง ผู้มีปัญญาจะเห็น

อาตมาก็ภูมิใจ ว่าคนไทยมีภูมิปัญญา เห็นสิ่งประเสริฐอันนี้ อันละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่จะเห็นได้ง่ายๆ เป็นคุณค่าคุณงามความดี อันประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ เห็นสัจธรรมอันนี้ คนไทยอ่านออก จึงมีพลังงานที่เชิดชูบูชา เคารพนับถือพระองค์ท่านอย่างชัดเจน เป็นสิ่งที่ยืนยันประกอบกันได้ชัดเจน

อาตมาบอกได้ว่า เมืองไทยเราจะเป็นชมพูทวีป จะเป็นเมืองที่มีคุณธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ซึ่งเป็นประชาธิปไตย อาตมาก็บอกแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นนักสุดยอดประชาธิปไตย ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ ประชาชนก็ยังไม่รู้จัก สิทธิมนุษยชน ยังจมอยู่กับ สภาพความเป็นทาส ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ จะเอาความจริงนี้ไปประกาศ ก็ยังไม่มีความพร้อม ประชาชนก็ยังไม่พร้อม เป็นยุคทาส ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทำไม่ได้

แต่ในยุคนี้เป็นยุคปัญญา เป็นยุคที่เข้าใจกันหมดแล้ว สิทธิมนุษยชนก็เข้าใจ ไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความเป็นทาสก็ไม่มี ลัทธิทาสก็หมดไปแล้ว ทุกคนมีอิสระเสรีภาพ เพราะฉะนั้น จึงสามารถที่จะ แสดงประกาศ แล้วนำอันนี้ออกมาให้แก่คนสร้างขึ้นมาในสังคมมนุษย์โลก ในยุคปลายภัทรกัปนี้ มันเป็นความพอเหมาะพอดีที่จะเกิด แล้วมันก็เกิด หยั่งลง  ณ ประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ก็เลยเอาโลกุตรธรรม มาหยั่งลงไป เป็นเชื้อสำคัญ ที่จะก่อตัวขึ้นเป็นประชาธิปไตย

อาตมาก็ยืนยันว่า ต้องเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ต้องมีทั้งกายและใจ ต้องมีทั้งรูปและนาม มีทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ ต้องมีทั้งสองอย่าง อเมริกาก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์จะเป็นไม่ได้ จะต้องมีธรรมะ 2 เกื้อกูลกัน อย่างได้สัดส่วน แล้วจะได้ประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ความรักคือพลังงานที่ชื่นชอบ แสดงออกมาแล้วคนชื่นชอบ ถ้ามีปัญญาก็ชื่นชอบ อย่างมีมิติที่สูงขึ้นๆ ถ้าชื่นชอบในมิติที่ต่ำ ก็แคบๆ เสียดสีสัมผัสเป็นเมถุนราคะแค่นั้น จะเผื่อแผ่มาถึงลูก ถึงญาติ ถึงประชาชน จนเป็นประเทศเป็นรัฐ เป็นทั่วโลกถึงสากล ก็ขยายความรักที่เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างออกไป

เป็นสิ่งจริงที่อาตมาเอามาประกาศยืนยัน เป็นอจินไตย อาตมาชื่อรักแล้วต้องมาขยาย เรื่องของความรัก 10 มิติ เพื่อจะใช้เป็นหลักศึกษา เพื่อสร้างสรร ให้เป็นความรัก ที่สูงส่งยิ่งใหญ่

ของพุทธ จะไล่ไปตั้งแต่ 1-7 ของพุทธนี้ จะเริ่มที่ 8 แล้วก็เริ่มละลดความรักตั้งแต่ 1 ที่เป็นคนคู่ แล้วก็เป็น 8-1 8-2  8-3  8-4  8-5  8-6  8-7 พอพ้นมาได้ 2 3 4 5 จนเป็น 6 7 8 9 10 ครบ 7 ก็เทวนิยม ก็เป็นพุทธเต็มรูป เป็นสามเส้า 8 9 10

อาตมาก็ใช้พยัญชนะสังขยาเลข อธิบายได้แค่นี้ มันซับซ้อนเหลื่อมกันอยู่ เป็นปฏิภาคทวี ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นๆ อาตมาเอง ก็สื่อได้ด้วยความสามารถพยัญชนะ หรือว่าหลักฐาน ที่พูดออกมาอ้างอิงให้ฟัง ก็แค่นี้ เก่งเท่านี้ เอาแค่นี้ก่อน

ทีนี้ก็แยกให้ฟังอีก ถ้าคนไม่รู้ อย่างที่ธัมมชโย แกไม่รู้การเสพ แกก็เสพทุกอย่าง เสพโดยอยู่ในพยัญชนะว่า สวรรค์ ซึ่ง เป็นสวรรค์สมมุติเทพ

เราต้องแยกสมมุติเทพ กับอุบัติเทพให้ออก

สวรรค์สมมุติเทพ คือเสพรสไม่รู้จบ ส่วนสวรรค์อุบัติเทพ คือลดการเสพไปเรื่อยๆ สวรรค์สมมุติเทพ คือ ใหญ่ไปไม่รู้จบ อย่างที่ธัมมชโยพาทำ ทั้งโลภ คืออยากได้ไม่สิ้นสุด และราคะ คือสัมผัสเสพรส มี climax สมใจ ถ้าไม่ได้สมใจ ก็จะมีความผลัก เป็นโทสะรุนแรง โกรธอำมหิตรุนแรง ก็คือตัวตีกลับกัน ไม่ได้สมรักสมใจ

ลักษณะธรรมะก็มีอยู่แค่นั้น คนที่เขาไม่รู้ ก็ไม่รู้ทั้งนรก เขาหลงสวรรค์แต่การกระทำ กลับยิ่งทำนรก เพราะการเสริมกิเลส ก็เป็นนรกทั้งนั้น การสมใจกิเลสที่เป็นสุข ก็คือการสั่งสมนรกหนา นรกในนรกทรมานทรกรรม นรกอำมหิต จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันซับซ้อนอยู่อย่างนั้น เขาเองเขาทำโดยไม่รู้จริงๆ ธัมมชโยทำโดยไม่รู้ ไม่ใช่อาตมาดูถูก แต่เขางมงาย แล้วทำให้คนอื่นงมงายด้วย เพราะเขาสะกดจิต เขาใช้วิชาสะกดจิต ส่งออกอากาศทั่วโลกด้วย เขาเช่าไว้หลายช่อง เขามีเงิน

ให้ฟังแต่เสียงนิ่งๆ เสียงที่ชวนใจ ดิ่ง เสร็จหมด ด้วยความโง่ของเขา เขาก็ใส่ความโง่ ให้คนอื่นงมงาย ยังไม่ตื่น ยังทำกันอยู่นี่ เป็นภาระของทั้งตำรวจและ DSI ช่วยกันเต็มที่เลย ยังเผด็จศึกไม่ได้เลย ก็น่าเห็นใจ มันเหลือเกิน เหลือกินจริงๆ แต่จะมาว่ามันจะต้องสุดท้าย เขาได้แต่หนีอย่างเดียวตอนนี้ เหมือนตัวผู้ร้ายที่ตำรวจไล่ล่า ก็หนีอย่างเดียว แล้วมันจะหนีไปไหน ในแผ่นดินโลกนี้ เขานึกออกไหม เขาโง่งมงาย เขาก็เลยนึกไม่ออก ว่าจะหนีไปอย่างไร มันหนีไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องจับตัวจนได้ ก็ต้องคอยดูว่าจับได้แล้ว จะเปิดเผยอย่างไร ไม่รู้จะอยู่ในรูปร่างอย่างไร ขาจะดำ จะเจ็บป่วยจริงหรือเปล่า หรือยิ่งกว่าที่เอามาโชว์อีก หรือยิ่งน่าสังเวช หรือน่าสงสาร น่าหนักหนากว่าที่เป็นจริง หรือว่าเดินปร๋อแข็งแรง เหมือนปกติก็ไม่รู้

ความรักแบบพุทธ อาตมาขยายความว่า เริ่มที่ 8 เมื่อ พ้น 1 มาก็เป็น  8-1 8-2  8-3  8-4  8-5  8-6  ก็ค่อยๆเลื่อนไปหาเก้า ไปหาสิบ 8-7 ก็เลื่อนไปหา 10 เลย อธิบายยากจังเลย นึกออกไหม ใครไม่เข้าใจยกมือ อย่าอาย 

1-7 คือเทวนิยม พุทธเริ่มที่ 8

8 กับ1 พ้นได้ หลุดพ้นมาได้ ก็ขึ้นมา 8 กับ 2 พอ 8 กับ 3 ก็จะมี 9 ขึ้นมาหน่อย ก็ล้างโง่งมงายที่ไปติดยึดสวรรค์นรก ในมิติที่ต่ำๆ พอมิติที่ 7 ก็ 10 เต็มเลย

ถ้าพูดถึงสภาวะปรากฏการณ์ที่เป็นจริงขณะนี้ สิ่งที่เกิดจากในหลวงเรา ทรงสร้างมา ที่พระพุทธเจ้าสรุปไปถึง 3 ความหมาย พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

เกิดประโยชน์แก่มวลมหาชน ยิ่งมากยิ่งใช่ แล้วไม่ใช่ความสุขแบบโลกีย แต่เป็นความสุขแบบโลกุตระ เป็นความสุขสงบอบอุ่น เป็นวูปสโมสุข ไม่ใช่โลกียสุข บำเรอกิเลส แต่เป็นความสุขที่กิเลสลดลง หมดลงไป เข้าสู่สงบว่างจากกิเลส ไปเรื่อยๆ และมีประโยชน์แก่กันและกัน เป็นสาราณียะ

มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สร้างสรรกันไปแล้วได้ผลผลิต มาแบ่งแจก เลี้ยงดูกันไป เป็นสาธารณโภคี ได้สิ่งที่พึงได้ เรียกว่าลาภ ได้ด้วยแรงงาน ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความสามารถ สร้างสิ่งที่ควรสร้าง ทำงานสิ่งที่ควรทำ อนวัชชะ แล้วได้ผลผลิต มาใช้สอยแบ่งกัน เป็นลาภโดยธรรม ของสาธารณะ กินใช้ร่วมกัน โดยไม่เห็นแก่ตัว มีแต่สร้างสรรเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน ซึ่งเป็นความรักอันยิ่งใหญ่

เพราะฉะนั้น รวมแล้ว พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) คือผู้ใด กระทำสองอันนั้นเสร็จก็คือ โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นกรรมกรโลกเลย

คนฟังพยัญชนะ ว่ากรรมกร คือผู้รับใช้รับจ้าง อันนั้นไม่ใช่ แต่เป็นผู้ที่สร้างให้เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่า มันซ้อน มีความลึกซึ้งละเอียดลออ อธิบายโดยพยัญชนะภาษานั้นยาก หากไม่มีญาณปัญญาที่ลึกซึ้ง จะไม่เข้าใจ ต้องรู้ด้วยตัวเองสิ่งที่มันเกิดมันเป็น เป็นปรากฏการณ์ที่ กัปป์หนึ่งกัปป์หนึ่ง บางกัปป์ไม่มีนะ กัปป์เล็กๆ จะไม่มีสิ่งนี้เกิด ก็ไม่มีความจำเป็น ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

แต่ถ้ากัปป์ที่ยาวนาน หรือกลางๆใหญ่ๆ จะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้เกิด ไม่อย่างนั้น ไม่มีคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ จะเดือดร้อนกันมาก การเกิดปรากฏการณ์ขณะนี้ เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติในยุคนี้ มี 7000 ล้านกว่าคน แล้วยังจะเพิ่มขึ้นอีก จะต้องมาช่วยมวลมนุษยชาตินี้ จะเพิ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดยุค ห้าพันปี ของศาสนาพุทธเจ้า องค์สมณโคดม นี่ก็เป็นความรู้ ที่อาตมารู้ และเอามายืนยัน พูดจากความมั่นใจของตัวเอง ว่าจะเกิด

ตอนนี้ก็ร่วมกัน ชาวอโศกเรา ก็รู้กันอยู่แล้ว ก็ขอบอกนะ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ยังอยู่ในวัยทำงาน ในวัยที่แข็งแรง ยู๊ฮูอยู่ไหน ถึงเวลากาละแล้ว ที่จะต้องมาช่วยกัน

เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่นานๆจะมีอย่างนี้ การได้มีชีวิตร่วมกับสิ่งประเสริฐอันนี้ จึงไม่ใช่โอกาสง่าย เช่น ขณะนี้ ทั่วโลกมีคนหลายชาติ เขารู้แล้ว ยกตัวอย่าง อย่างประเทศภูฏาน เขาก็รู้แล้ว ตั้งแต่ในหลวงของประเทศภูฏาน ประชาชนของประเทศภูฏาน เข้าใจอย่างมากว่า ในหลวงคือไอดอล ของในหลวงจิกมี่เลย รู้แล้ว แต่ก็ยังอยู่ห่าง ก็ยังพยายามเก็บออกจากสื่อสาร แต่พวกเราอยู่ตรงนี้เลยสัมผัสแตะต้อง อยู่กับเนื้อแท้ จะให้เรียกว่า ใกล้เกลือกินขี้หรือเปล่า นี่คือศัพท์ของอาตมานะ เขาว่า ใกล้เกลือกินด่าง อาตมาว่า อย่างนั้นไม่ถึงใจ อาตมาว่าอยู่ใกล้เกลือแต่กินขี้

ก็ให้สติให้สำนึก ให้รู้ว่าโอกาสของเรามีแล้ว ถ้ามารวมกัน มันก็ดีไหมล่ะ ยุคนี้ ยิ่งมีน้อยและยาก พวกเราก็เหนื่อย สายตัวแทบขาด หนัก ไม่ใช่ว่าเรากลัวความหนัก แต่ถ้ามาช่วยกัน ก็จะได้แบ่งเบา คุณก็จะได้ คนนั้นคนนี้ก็จะได้พูดที่จะรับก็จะได้ด้วย มีทั้งผู้ให้ผู้รับ จะเกิดกันอย่างทั่วถึง เป็นสัจจะเป็นโอกาส เป็นเรื่องที่ไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิด ขโมยขโจรก็ไม่มี พวกที่จะปฏิบัติทุจริตก็เงียบ มันหยุดกิจไปหมดเลย ตำรวจก็เลยไม่มีงานทำ มาช่วยแจกน้ำ มาช่วยเข็นอาหาร อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ซับซ้อนลึกซึ้ง อย่างน่าชื่นชม ในสิ่งที่เกิดที่เป็น แล้วก็มาเกิดที่อะไร

ก่วงแกชั้ง เป็นทุ่งนาของพระราชา ทุ่งนาของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นนาของในหลวง สนามหลวง คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน ภาษาจีนใช้ศัพท์อย่างนั้น มันจะเกิดของมันเอง จะต้องมีสถานที่ มีจุดรวม เมืองไทยก็มีไว้เสร็จเลย อยู่ใจกลาง มันจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น ก็เขาบอกว่า อันนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุค ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาเสก มาสร้างได้ เป็นเรื่องที่เป็นสัจจะ ที่จะต้องเป็นต้องมี เป็น ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง เป็นเอง ไม่มีใครจะสร้างได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนไปสร้างหรอก ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนไปบันดาล พระเจ้าไม่มีตัวตน ก็คือเหตุปัจจัยต่างๆ มันได้สัดส่วนลงตัว ต้องเป็นเช่นนี้ ต้องมาเกิดตรงนี้ นี่คือความจริง ไม่มีผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวไปได้ ไม่มีเป็นอื่นไปได้ จะต้องเป็นเช่นนี้ และเป็นเอง ไม่มีใครจะทำ เหตุปัจจัยมารวมกัน เกิดเองเป็น ตถตา

อาตมาเคยแบ่งตถตาเป็น 3

1 ตถตาแบบยถากรรม มะละกอก็เป็นอย่างนี้ ส้มโอก็เป็นลูกของมันอย่างนี้เอง ฟักข้าวก็มีหนามแหลมๆของมันเอง จะไปเกี่ยวข้องอะไรกับมัน นี่คือ ตถตา แบบยถากรรม เลยไม่ได้ศึกษา เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะแก้ไขอย่างไรก็ไม่รู้ ทุกข์ก็เป็นทุกข์ของมันเอง ไม่ได้แก้ไขทิ้งไป นี่คือ ตถตา ยถากรรม

2 ตถตา ที่ยึดเลย เป็นภาคมรรค เป็นการปฏิบัติประพฤติขึ้นมาแล้วจะได้ แล้วเราก็จะทำ ภาคมรรค ส่วนภาคผล (3 ตถาตาที่เป็นผล) ก็ไม่จำเป็นต้องทำ มันเป็นผลที่จะเป็นเช่นนั้นเอง คุณมีหนึ่งเป็นต้นทุน ถ้าทำอย่างนี้จะได้อีก 1 คุณก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอีกหนึ่ง จะได้เหตุปัจจัยนี้ครบอีก 1 คุณจะได้ 2 ไหม ยังไม่ต้องหวังว่าจะได้ 2 เลย มันจะเป็นเอง มันจะได้เอง มันจะเกิด 2 เอง เพราะฉะนั้น คนมุ่งที่ มรรค ชัดเจนที่มรรคคืออะไร

 

จะขยายมรรคองค์ 8

มรรคมีองค์ 8 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ แล้วจะสั่งสมผลลงเป็นสัมมาสมาธิ ของพระอริยะ อาริโยสัมมาสมาธิ ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ จะได้สมาธิ เป็นจิตที่ตั้งมั่น ที่เป็นสัมมาสมาธิ แล้วเป็นของอาริยะ เป็นโลกุตระ ถ้าไปปฏิบัติไม่ใช่ปฏิบัติถูกต้องตรงมรรคทั้ง 7 องค์ เช่นไปนั่งหลับตาสมาธิ ก็จบเห่ไม่มีสัมมาสมาธิเกิด มีแต่มิจฉาสมาธิเกิด

แล้วถ้าถูกสะกดจิต แล้วผู้ที่สะกดจิต ผู้ที่เป็นหัวหน้า จะเป็นนายสะกดจิต ก็ถูกหัวหน้า เอาจิตของเราไปใช้ แล้วก็ครอบงำจิต คนที่เป็นคนสะกดได้ สามารถสั่งการจิตของผู้ที่จะมาเป็นบริวาร ที่ถูกสะกดจิตได้ ก็งมงายไปตาม ถ้าหัวหน้าโง่หัวหน้าเป็นโลกียอย่างธัมมชโย ที่เห็นแก่ได้ มีอัตตาตัวตนไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักพอ มีภพมีชาติไม่รู้จักหยุด นี่โดนจับยังไม่หมดนะ แค่ที่ดินก็มีหมายจับแล้ว เรื่องฟอกเงินยังมีอีกนะ แค่ที่ดินก็หลายคดี

อาตมาพูดไปหน่อยนะ เรื่องฆ่าคนกับเรื่องผู้หญิง เรื่องอุตตริมนุสสธรรม ที่ไม่มีในตน ก็ปาราชิกแล้ว ปาราชิก 100% ในปาราชิก 4 นี้ไม่แน่ใจว่า จะปาราชิกกี่อัน เรื่องเงินก็ปาราชิกแน่ เรื่องอุตตริมนุสสธรรม ก็ปาราชิกแล้ว ส่วนเรื่องผู้หญิงไม่แน่ใจ ถ้าปาราชิกครบสี่แล้วนี่ คนๆนี้อะไรกันนักกันหนา

ก็ขอบคุณธัมมชโย ที่เป็นตัวอย่างอันเลวทราม ให้ยกตัวอย่าง

คนที่หลอกก็โง่ไม่ยอมตื่นสักที อย่างนายองอาจ ธรรมนิทา ฉลาดมั้ย พูดสงบเรียบร้อย แหลมคมดี แต่เป็นเชิงบำเรออัตตาทั้งนั้น คนอื่นๆก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทัตตชีโว หรือ ดอกเตอร์สมชาย มีพระเก่งๆทั้งนั้น แต่เป็นความฉลาดที่เป็น เฉโก ไม่ใช่ฉลาดปัญญา

ฉลาดของผู้ที่เป็นฉลาดปัญญา ต้องเกิดจากองค์ 6 คือปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์  สัมมาทิฏฐิ  มัคคังคะ ต้องเกิดจากพฤติกรรมของเหตุปัจจัย ที่เกิดจริงเป็นจริง ไม่ใช่เกิดจาก การไปนั่งสงบสะกดจิต แล้วฉลาดเอง อย่างที่เขาสอนกัน ธัมมชโยนี้ ก็สอนอย่างนี้ นั่งไปเลย แล้วจะเกิดปัญญา..ไม่ใช่ ปัญญาต้องเกิดจากเหตุปัจจัย ทั้งองค์ 6 นี่แหละคือ ปัจจัยทำให้เกิดปัญญา

ในมรรคนี้ ผู้ปฏิบัติ เจาะเข้าหาแกน

มรรคนี้ มีการปฏิบัติกรรม 4 กรรม คือ อาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ

ทำอาชีพ รวมกันเป็นอาชีพเลี้ยงตน ทุกกรรมก็รวมกัน เป็นอาชีพเลี้ยงตน

การสัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ที่เราต้องใช้ โดยสะอาดบริสุทธิ์ ให้สมยุคสมสมัย เช่นกาละนี้ ต้องใช้ใบตอง ไปใส่อาหาร ตอนนี้ต้องปลูกพืชผัก ใครมีทุนรอนมีพื้นที่ มีแรงงานก็ทำ เราก็จะช่วยกันทำ ก็ทำขึ้นมา ทำขึ้นมาแล้ว ก็เอามาให้แก่กัน เกื้อกูลกัน

อาตมาภูมิใจ ในชาวอโศก ที่ไม่เห็นแก่เงิน มีปัญญาเข้าใจช่วยกันทำ วันนี้ ตอนนี้ มีความจำเป็นรีบด่วนอันนี้ คนนี้คิดอันนี้ได้ ไม่ต้องอะไร ตั๊ก(ศิษย์เก่า) เห็นว่า ขาดรถเข็น ที่จะเข็นอาหาร ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่นะ ง่ายๆไม่ได้ลึกซึ้ง แล้วก็ทำขึ้น มาใส่ของได้หลายชั้น มี 4 ชั้น ใส่อะไรต่ออะไรได้ เข็นไปทีเดียวก็ได้เยอะ  ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ได้ประโยชน์ สมเหมาะสมควร กับกาละและเหตุปัจจัย เป็นตัวอย่าง ที่ยกตัวอย่างได้เห็นๆ

หรือแม้แต่รถอีโบ (โอบี) ที่เรามีเสาสูง ใช้กระจายทั้งแสงและเสียง ส่งวิทยุก็ได้ ส่งโทรทัศน์ชุมชนก็ได้ หรือมีกล้องถ่ายมุมสูง Bird eye view หรือ top view เอาคนขึ้นไปก็ได้ เอากล้องอัตโนมัติ ไปถ่ายข้างบนก็ได้ ก็ได้ภาพขึ้นมา คนที่เป็นช่าง เป็นวิศวะ เขาก็ทำได้ แต่เขาไม่ได้ทำมาก่อน เราทำก่อน ทำได้เหมาะควรแก่เหตุการณ์ ก็เลยเป็นประโยชน์ทันที คนอื่นก็สร้างได้ ไม่ใช่ความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งใหญ่อะไรมากมายเลย แต่เขายังไม่ได้ทำ มันก็เลยดูดี

นี่เป็นเรื่องที่อะไรสมพร้อม ทั้งกาลเทศะฐานะ ลงตัวมันก็ได้ประโยชน์มากสมบูรณ์แบบ เป็นประโยชน์สำคัญ อย่างนี้เป็นต้น

 

หลักกรรม 4

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ เอาความจริงใจ ความเสียสละ หลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้า คือหลักกรรม 4

1. อาชีพ 2. กัมมันตะ คือการกระทำ ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถ้าผู้ใดสามารถ 1 ทำอาชีพทำการงานเลี้ยงชีพ สัตว์เดรัจฉาน ก็ทำการงานเลี้ยงชีพของมัน เป็นคนก็ทำงานเลี้ยงชีพ ตามฐานะ ตามความรู้ความสามารถ อย่างบริสุทธิ์สะอาด ก็ทำขึ้นมายังชีพไป หรือแม้ไม่ใช่งานเลี้ยงชีพ แต่เป็นงานที่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคม ไม่เป็นโทษภัย เหมาะสมกับโอกาส แม้ไม่ได้ใช้เลี้ยงชีพทีเดียว แต่เป็นประโยชน์ อย่างการสื่อสาร การเก็บขยะ ก็เป็นงานที่เหมาะสม ตามกาละ ก็ทำ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หรือวาจากรรม ยิ่งมโนกรรม ก็ขอเจาะลงไปที่มโนกรรม

มโนกรรมนี้  ถ้าไม่เข้าใจสังกัปปะ 7 ที่พระพุทธเจ้าตรัส ในมหาจัตตารีสกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึง มิจฉากัมมันตะ 3 มิจฉาวาจา 4 มิจฉาสังกัปปะ 3 (กาม พยาบาท วิหิงสา)

ก็ต้องจัดการ กามกับพยาบาทก่อน ต้องเรียนรู้อาการของจิต เริ่มต้นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ส่วนสั่งสมเป็นแกนเจโต คืออัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

มีแกนบวกกับแกนลบ มีแกนนอนกับแกนตั้ง ถ้าทำได้เร็วได้ดี ในแกนตั้งแข็งแรง อัปปนา พยัปปนาไปเรื่อยๆ ก็ใส่ธรรมะ 2 นี้ทำงาน แต่เหตุปัจจัยทำงาน มีทั้งแกนนอนและแกนตั้ง แกนบวกและแกนลบ ก็เกิดสังขารในจิต

สังขารในจิตเป็นมโนกรรม หรือไม่มีภาษาก็ได้ หรือมีภาษาก็อยู่ในจิต คือ วจีสังขาร

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ และมี อัปปนา (แน่วแน่) พยัปปนา (แนบแน่น) เจตโสอภินิโรปนา (ปักมั่น) เป็นแกนตั้ง

แล้วแกนลบเริ่มต้น มีตักกะ พอมีความคิดขึ้นก็ต้องจับให้ได้ว่ามีตัวร้าย เป็นกามหรือพยาบาท เป็นพลังงานที่มีความผลักหรือดูด ต้องจับให้ได้ นี่แหละคือตัวผี อาการกามราคะคืออาการดูด อาการโกรธ คืออาการผลัก ต้องจับให้ได้ แล้วกำจัดด้วยปหาน 5 ด้วยพลังงานปัญญา หรือใช้กดข่มช่วย กดข่มไม่ถาวร แต่บางทีต้องอาศัย แล้วเรียนรู้ด้วยไฟฌาน หรือปัญญาเอาไปสลายพลังงานชั่วเหล่านี้ได้ สลายไปได้เรื่อยๆ จนสนิทเกลี้ยง ก็เป็นสังกัปปะ เอาไปใช้งานได้ จะปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร หรือวิสังขาร สังขารอย่างไม่มีกิเลสไปร่วม เรียกว่า อสังขาริกัง ไม่มีตัวผีบ้าผีเปรต มาร่วมปรุงแต่งด้วยเลย ไม่มีเชื้อกิเลสเชื้อโรคมาร่วม ปรุงอย่างสะอาด เป็นวิสังขาร

มีแกนตั้ง(อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา) และแกนวิ่ง(ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ) ร่วมช่วยกัน สองสภาพสองพลังงาน ผู้ใดเข้าใจสภาวะธรรม ของสังกัปปะ 7 นี้ แล้วล้างกาม พยาบาทหมด ก็เหลือวิหิงสา เป็นเรื่องของส่วนเหลือ ก็คือพลังงานผลัก ดูด ที่เป็นรูปกับอรูป เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานะคือเหลือดียึดดีอยู่ มีอุทธัจจะเหลือพริ้วพราย ก็กวาดให้เกลี้ยงด้วยอรูปฌาน เหลือแต่วิญญาณล้วนๆ แม้นิดแม้น้อย มีอยู่ไหม แล้วต้องรู้ชัดๆจริงๆ ไม่ใช่เนวะ แต่ต้องรู้อย่างเหวะ รู้ลงไปแน่ๆ เอวะ  แบบเนวะไม่พอ ต้องเป็นเหวะ เป็นตัวแทนจริงๆหมดเกลี้ยงเลย ไม่รู้ไม่ได้ เศษธุลีละออง แห่งความไม่รู้แล้วอยู่ไม่ได้ ต้องรู้หมดจบ สัญญาเวทยิตตัง นิโรธัง โหติ ต้องรู้ครบ อ่านทุกกรรมกริยาที่มันเกิด

อาตมาขยายความ เรื่องมรรคมีองค์ 8 ตั้งแต่เรื่องอาชีพ ขยายอาชีพ 5

 

เจาะลึกมิจฉาอาชีวะ 5

1 กุหนา คือชั่วครบสูตร หยาบครบสูตร คิดชั่วครบสูตร รู้ให้ได้ แล้วเลิก หยาบ ชนิดซับซ้อนละเอียด อย่างธัมมชโยนี้ ในภาษาไทยจะเรียกว่า ผู้ร้ายผู้ดี  เป็นผู้ร้าย ที่ร้ายแรงมากเลยนะ แต่เอาคราบผู้ดีมาล่อหลอก ซ้อนๆลงไป จึงกลายเป็นผู้ร้ายผู้ดี เป็นเทวบุตรมาร ยกตัวอย่าง ธัมมชโยที่เขาทำ จะเอาเปลือกผิวมาฉาบ เขาเก็บหมด พริ้งพราย แม้แต่ชาร์มเขายังทำ ผิวพรรณผ่องแผ้ว ผ้าผ่อน ทุกกิริยาอาการพริ้งหมด ได้รูปได้ร่างสมบูรณ์ทั้งนั้นเลย สีสัน ขนาดก็เป๊ะๆ สร้างสรร ประดิดประดอย ประดับประดา เขาไม่เข้าใจ นัจจะคีตะวาทิตะมาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนะ เขาไม่รู้ศีลข้อนี้ แล้วละเมิดหมดเลย เอาไปปรุงแต่ง ประดับประดา ประดิดประดอย ใส่เข้าไปครบหมดแล้ว เหลือแต่เรายังไม่รู้ได้ว่า ศีล 5 นี้ เขาฆ่าสัตว์ไหม แต่แน่นอนเนื้อสัตว์นั้น กินอยู่แน่ แต่จะฆ่าคนไหม การสั่งฆ่า แต่เห็นว่าไปแย่งที่ดินเขา เอาของเขา นี้ก็ชัดอยู่แล้ว ราคะ เรื่องเพศนี้ไม่รู้ วาจาก็โกหกอย่าง … อวดอุตริมนุสธรรม โกหกแล้วก็ถูกจับได้ยังหน้าเฉยอีก ว่าตนเองรู้คนนั้นว่า ตายไปสวรรค์ชั้นไหนๆ แต่เขาจับได้ว่าโกหก ก็เฉย อวดอุตริมนุสธรรมอ่าน ไม่มีจริงในตนนี้ชัดแล้ว การโกงกินก็ชัดเจน แล้วเหลือแต่ข้ออื่น อันนี้คือสิ่งที่ต้องปราบ

ในมรรคองค์ 8 ของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติประพฤติ เรียนรู้จากอาชีพ การเรียนรู้จาก กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในการเจอกับสิ่งสัมผัส ที่จะเกิด ความยึดติดในอารมณ์ ยึดติดในสัญญา สุดท้ายนี้นะ คนจะมาล้างกิเลส

สังขารก็ล้างก่อน เวทนาก็ล้างก่อน ในเจตสิก 3 ซึ่งแตกเจตสิกไปอีก 52

สมณะเดินดินว่า...ดูพระดังๆที่ต้องปาราชิก ก็เกิดจาก การมีลาภยศสรรเสริญเข้ามามาก แต่พวกเรานี้ไม่แน่ใจว่า ถ้ามีลาภยศสรรเสริญ เข้ามามาก จะเป็นอย่างไร  อย่างวัดใหญ่ๆ ที่ตอนนี้อาจารย์มีปัญหา จะโดนคดี พูดว่าอยู่วัดก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย บอกว่า ไม่เจอเจ้าอาวาส 6 เดือนแล้ว ลื่นไหลไปได้

พ่อครูว่า ...มันเป็นปลาไหลชโลมจารบี อาบน้ำมันใส่สเก็ต วิ่งบนลานน้ำแข็ง

ที่อาตมาเอามาย้ำยืนยัน อยู่ในหลักเกณฑ์ ของพระพุทธเจ้า  อาชีพก็ต้องมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ต้องมีต้องเรียนรู้ กิเลสในอาชีพห้า ในกัมมันตะสาม ในวาจาสี่ ในสังกัปปะสาม

 

เอาหยาบๆอาชีพ เจาะมิจฉาอาชีพ 5

1 กุหนา สุจริตทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมพร้อม คือขี้โกง ตลบตะแลงและเล็ม หยาบคายทุกอย่าง อย่างเช่น ธัมมชโยนี้ มีคดีไม่ต่ำกว่า 30 หรือ 40 คดี ไม่ใช่น้อยหรอก กุหนา คือความชั่วหยาบ ที่มาหลอกคน ว่าเป็นสิ่งดี จึงเรียกว่าผู้ร้ายผู้ดี เอาความดีผิวเผินมาฉาบไว้ คนก็ถูกหลอก แต่แท้จริงที่บอกว่าดี นี้คือเลวลึก อาชีพกุหนา เลิกก่อนเพื่อนเลย

2 ลปนา คือคำพูด และเล็มเลียบเคียง ที่เป็นเชิงจะต้องได้มาจากคนอื่น โลภมาจากคนอื่น สมโลภ สมราคะ ของตนเอง เรียกว่าเฉกา

3 เนมิตกตา  … เนมิตกะ แปลว่าเสี่ยง เสี่ยงโชค พยายามพากเพียร ให้มีโชคให้ได้ ให้เจริญให้ได้ คือปฏิบัติโดยพากเพียรปฏิบัติ ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า  เริ่มตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้น ต้องพากเพียร ทำให้ได้ แต่มันจะได้หนอไม่ได้หนอ คุณก็ต้องพากเพียรเอาให้ได้ ถ้าได้ก็บรรลุ เนมิตมาจากรากศัพท์ว่า สร้างหรือเนรมิต สั่งให้ได้จนสำเร็จไปเรื่อยๆ เมื่อได้แล้ว พึ่งตนเองแล้ว ก็อย่าไปมอบตนในทางผิด

4 นิปเปสิกตา อย่าไปรับใช้คนผิด เช่น มีหนุ่มสาว ที่เข้าใจตนเอง ว่าเราเรียนรู้ มีความรู้ความสามารถมา แล้วทำไม เราต้องเอาความรู้ความสามารถ ไปรับใช้นายทุน อย่างนี้เป็นต้น เราพึ่งตนเองรอด แล้วอย่าไปรับใช้นายทุน อย่าไปรับใช้คนขี้โกง คนที่ทุจริต หรือแม้แต่นายทุน ก็อย่าไปรับใช้ มารับใช้ผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริต ผู้ที่จะมาช่วยมนุษยชาติ ต้องไปเสริมคนที่จะมารับใช้ จงรับใช้คนที่รับใช้ มาช่วยคนรับใช้ มารับใช้คนที่เขารับใช้มวลประชาชน อย่างนี้ต่างหาก

พึ่งตนเองรอดแล้ว  อย่าเอาความสามารถ ไปรับใช้คนชั่ว หรือคนไม่บริสุทธิ์อีก ให้มาช่วยคนที่บริสุทธิ์ คนที่เจริญ คนที่จะไปช่วยคนอื่นต่อไป ก็พ้นนิปเปสิกตา ก็ยังไม่พ้นอาชีพสูงสุด คือ

5 ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา สูงสุดคือต้องทำงานให้พ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา  คือพ้นการทำงาน แล้วยังต้องรับสิ่งตอบแทน สรุปคือ ต้องมาทำงานฟรีนี่คือสัมมาชีพ สูงสุดของการพ้นมิจฉาชีพ ของพระพุทธเจ้า ชาวอโศกทำได้

สมณะเดินดินว่า..พระยังทำไม่ได้เลย

พ่อครูว่า...พ้นมิจฉาชีพนี้ ถึงทำงานฟรีเป็นขั้นๆมา 5 ขั้น ถ้าอาตมาไม่เอามาอธิบายขยายความ ก็สูญหายไปกับสายลมแล้ว ไม่กลับฟื้นขึ้นมาแล้วธรรมะพระพุทธเจ้า ดีที่มีหลักฐาน อาตมาเอามาพูดได้ ในมหาจัตตารีสกสูตร ยังมีพยัญชนะยืนยัน อาตมาไม่พูดนอกคำสอนพระพุทธเจ้าเลย

พ้น มิจฉาชีพ 5 นี้ให้ได้เถอะ แต่ยุคนี้ พระกลับพูดว่า ไม่มีเงินจะอยู่ได้อย่างไร แต่ฆราวาสชาวอโศกไม่มีเงินก็อยู่ได้ พระได้เปรียบฆราวาสเยอะแยะ แต่กลับมีเงิน ไปฝากธนาคารอีก เวรแท้ๆ ในยุคเดียวกันเลย นี่คือสัจจะอันลึกซึ้ง ของพระพุทธเจ้า ทำได้แม้ มิจฉาอาชีวะ 5 ก็พ้นได้ พ้นแล้วก็ไม่ได้ทรมาน ฆราวาสเราก็ยังอยู่สบาย ไม่ต้องสะสมเงินทอง ไม่ต้องพูดถึง สมณะสิกขมาตุเลย เพราะจิตมัน สันตุฏฐิ สัลเลขะ ปาสาธิกะ ฯ มีวรรณะ 9 อยู่ในจิตจริง

 

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) เดี๋ยวนี้ให้ไปสอบปริญญาโท ปริญญาเอกก็เอา บางคนก็เข็นยาก แม้แต่น้องอาตมาเอง ก็เข็นไม่ขึ้น หลายคนก็ไปทำ จนได้ เอาปริญญาเอก มาใช้ทำงาน เป็นประโยชน์ต่อสังคมนะ อย่างน้อยก็ทำงานกับสังคมได้ง่าย มันมีอำนาจในตัว สำหรับคนที่ยังติดยึดอยู่ก็ใช้ได้ เราไม่ได้เอามาใช้ขู่คน แต่ให้ทำงาน สอดคล้องกับสังคม หลายคนไม่เรียน ก็เพราะว่าขี้เกียจ หลายคนไปเรียน ก็ได้ลดอัตตา หลายคนไม่เอา แล้วก็ยอมทำ ก็เจริญมา ทุกวันนี้ เราจึงมีปริญญา ตรีโทเอก แต่บางคนไม่เข้าใจ ก็หาว่าเรามักมาก มันไม่ใช่ ตอนนี้เขาไม่ได้มาเรียน เพื่อเอาลาภยศสรรเสริญ แต่เรียนเพื่อไปรับใช้ เพิ่มขึ้นอีก

อย่างเงิน บริจาคมา อาตมาจะไม่ใช้เงินนี้ เพื่อไปซื้อข้าว ให้กับตนเองกินแม้จะหิวจนจะตาย หรือจะป่วยจนจะตาย แม้เขาบริจาคมา ให้ใช้อะไรก็ได้ อาตมายอมตายได้ ไม่มีกินตาย ป่วยไม่มีใครรักษาก็ตาย อาตมาเชื่อว่า ไม่มีใครยอมให้อาตมา ตายง่ายๆหรอก ถ้าอาตมามีคุณค่า มากกว่าที่จะปล่อยให้ตาย ถ้าอาตมาต้องรักษาใช้เงินมาก เขาไม่มีแล้วก็ปล่อยไป แต่เขาจะรักษาไว้ แม้ต้องใช้เงินมาก เพราะต้องเอาไว้ใช้งานได้ดีมาก

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.      มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 

รูปปั้นหรือเหรียญคือสิ่งแทนคุณค่า

อาตมามีเหรียญรูปอาตมาอยู่ เป็นโลหะ เขาปั๊มมา โดยไม่บอกกล่าว จริงๆเขาจะแจก สมาชิกสัจจะออมทรัพย์ แต่เขาละอายอาตมา ก็เลยเอามาให้อาตมา อยู่กับอาตมา แต่ก็ไม่ได้แจกเท่าไหร่ เป็นทองเหลือง ชุบสีดำ และสีทองคำด้วย ถ้าแจกไป เดี๋ยวหลงขลัง ถ้าเข้าใจแล้วจะไม่หลง เราก็ใช้เป็นที่ระลึก เช่นการสร้างพระพุทธรูป เราสร้างขึ้นมา ก็เพื่อให้เคารพพระพุทธรูปเป็น ไม่ใช่เคารพอย่างเทวนิยม จะเป็นการอ้อนวอนร้องขอ แต่เราเคารพเพราะว่า เป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้า รูปร่างหน้าตา จะเหมือนพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่รู้หรอก เป็นสิ่งที่ปั้นสร้างขึ้นมา อย่างข้างหลังอาตมา พระพุทธรูปองค์นี้ ฝีมือคนเขมรสลักนะ มีองค์เดียวไม่เหมือนใคร เพราะทำด้วยมือแต่ละคน ทำองค์ต่อไป ก็จะไม่เหมือนกันอีก

เป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้า ให้ระลึกคำสอนพระพุทธเจ้า เรียนรู้และเอาไปปฏิบัติพระพุทธให้ได้ ตามที่ท่านสอนไว้ ที่เป็นนามธรรม เป็นจิตวิญญาณ เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ได้นามธรรมเป็นต้นรากแล้ว ทุกอย่าง ก็ถาวรเที่ยงแท้ นามธรรมมีพลังงาน มีฤทธิ์อำนาจ เป็นพลังงานที่สุดยอด ที่จะมีมวลของมัน มีพลังในตัวของมัน ก็จะทวีขึ้นเป็นบวก เป็นคูณ เป็นยกกำลัง ถ้าถึงขั้นเป็นยกกำลังแล้ว ที่ C2 ก็สูงขึ้นกว่าสองก็ได้ อาตมาไม่เอา C2 ก็เอา +A คือ Abstract อาตมาไม่เอาถึงคูณ หรือยกกำลัง เป็นแล้วก็ทำให้เป็นคูณ หรือยกกำลังก็ได้  ถ้ามากขึ้น ก็ทดเป็นคูณได้ แทนที่จะบอกว่า สองบวกสองเป็นสี่ ก็เป็น 2 ยกกำลัง 2 เป็น 4 เป็นต้น

บวกมากไปแล้วก็เอามาคูณ คูณมากไปแล้ว ก็เอามายกกำลัง เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ ใช้สื่อแทน เป็นพยัญชนะ ก็เอามาเรียกให้สั้นลง เร็วขึ้น ง่ายขึ้น

ในสัจจะทฤษฎีพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สุดยอดที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ประดาโลกแต่ละยุคแต่ละกัปป์ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ท่านไม่ได้ผ่านกัปป์เดียว แต่ไม่รู้กี่กัปป์ วิวัฏกัปป์ สังวัฏกัปป์

วิวัฏกัปป์คือ ที่พูดถึงไม่ได้ มันละเอียดลึกซึ้งเกิน สังวัฏกัปป์ก็คือ เอามาพูดได้ ทั้งสองอย่างนี้ ก็คือยาวนานมาก มันมีที่ละเอียดสูงสุด เอามาพูดไม่ได้อีก จนสูงสุด ถึงเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าสามารถเรียนเถอะ วิวัฏกัปป์ สูงสุดแล้วนะพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่ง คุณก็เอาเกณฑ์พระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งนี้ เป็นสูงสุด คิดจะเกินกว่าผู้รู้อื่นๆ ที่ยังไม่ถึงขั้น สัมมาสัมพุทธะ เป็นแค่มหาโพธิสัตว์ ยังไม่ถึงสัมมาสัมพุทธะ ถ้าเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ถือว่ารู้เท่าเทียม พระพุทธเจ้า แต่รู้ส่วนตน ไม่ได้สร้างศาสนา ไม่ได้เอามาประกาศ ให้ประชาชนได้รู้ จนเกิดศาสนา หนึ่งครั้งของชีวิต หนึ่งครั้งของอัตภาพของท่าน

 

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ มีคุณธรรม คุณวิเศษ = สัมมาสัมพุทธะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เพียงแต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนา ประชาชนไม่ได้รู้ว่า นี่คือ ศาสนาของพระสมณโคดม ของพระโกนาคมนะ ของพระกัสสปะ แต่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ไม่ได้ประกาศ แต่ท่านได้ปรินิพพานไป จะด้วยเป็นอนันตริยกรรมของท่านก็ตาม ก็เป็นไปได้ ท่านมีสิทธิ์ที่จะประกาศ แต่ท่านไม่เอา นี่คืออจินไตยที่อาตมา เอามาเปิดเผย คนเขาเข้าใจผิดว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนั้น สอนคนอื่นไม่เป็น ซึ่งแม้กระทั่ง พระโสดาบัน ก็ยังสอนคนอื่นได้ บางคนโสดาบันต่ำๆก็สอนได้เท่าที่เขารู้จริง ขนาดเป็นสัมมาสัมพุทธะ ทำไมจะสอนคนไม่ได้ สอนได้แต่ท่านไม่ประกาศศาสนา ท่านก็สอนคนอื่นมานะ แต่เงื่อนไขหลักคือ ไม่ได้ประกาศศาสนาเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งในโลก

ขณะนี้เป็นความจริงของ พลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ พลังในมิติของศาสนาพุทธ พลังของอเทวนิยม ตั้งแต่มิติที่ 8 ขึ้นไป 8-1 ถึง 8-7 แล้วจะเจริญเป็น 9 เป็น 10 ขึ้นไป 8-7 แล้วยังมาเรียนรู้ 8-8   8-9 ไปได้อีก 8 แล้วก็อย่ายึดมั่นถือมั่นใน 8 9 แล้วก็อย่ายึดมั่นถือมั่นใน 9 แม้จะจบเป็นนิพพานสูงสุดแล้ว ก็ยังมีปรินิพพานรอบถ้วน

 

นิพพานสามอย่าง

1. นิพพานตั้งแต่โสดาบัน ลดอัตตา หมดอัตตามาเรื่อยๆ

2. ปรินิพพานก็คือ นิพพานรอบถ้วน นับตั้งแต่อรหันต์ขึ้นไป จบอรหันต์ถือว่ามีนิพพานครบสี่ หรือครบแปด

3. ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตอนนี้ตายหายไปเลย ตายอวสานเลย สุดแล้วก็จบที่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน

ที่สาธยายนี้ เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ยืนยันว่าเป็นศาสนาเดียว ที่เป็นโลกุตระ เป็นอเทวนิยม ไม่ได้พูดข่ม หรือตีตนเหนือเทวนิยม เพราะอเทวนิยมนี้ รู้จักเทวนิยมดี ทำตนเองให้เป็นเทวดาได้ แล้วไม่ได้ติดยึดเทวดา พ้นสมมุติเทพ เป็นอุบัติเทพ และวิสุทธิ์เทพ แล้วไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นของเรา

ตอนนี้ในประเทศไทย เป็นมหาวิทยาลัย เป็นสัมมาสิกขาลัย ก็ไม่ตรงกันกับ มหาวิทยาลัยต่างๆในโลก หรือเรียกว่า สัมมาสิกขาวิชชาลัย เรียกให้เต็ม ซึ่งเราจะมีวิชชาลัย แห่งนี้เป็นแห่งแรก ตั้งชื่อไว้แล้วว่า สัมมาสิกขาวิชชาลัยนาวาบุญนิยม เรียกสั้นๆว่า มหาวิทยาลัย สวน.

เป็นวิชชาลัย สวน. อย่าแหลมมานะ แหลมมา สวน นะ

พูดให้สนุกแบบง่ายๆ เป็นเรื่องพิเศษวิเศษ ผู้ได้ฟังแล้ว ก็เอาไปศึกษาปฏิบัติได้

สมณะเดินดินว่า… ตอนนี้คนก็คงได้ยินคำพูด ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9 และขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป พูดกันด้วยความภาคภูมิใจเลย ถ้าถามเด็กสัมมาสิกขา เขาก็ตอบได้ ว่า เขามีป่ามีน้ำมีอะไร อุดมสมบูรณ์ เพราะว่าพ่อหลวง ทำให้เราไว้

พ่อครูบอกว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นปรากฏการณ์พิเศษ ที่กัปป์หนึ่งจะมีสักครั้ง ไม่ได้เกิดได้ง่าย เกิดแล้วคนสามารถรับรู้ได้อีก ก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ยาก แต่คนไทย ก็สามารถที่จะรับรู้ได้ เป็นเรื่องพิเศษที่ ไม่คิดว่าจะเป็นได้อย่างนี้ อย่างที่พ่อครูว่า คนไทยเรามี DNA ของพุทธฝังอยู่แล้ว พอในหลวงมาแพร่ DNA ต่อ

ชาวอโศกต้องตื่นตัว ว่าเรา เข้าสู่โหมดพิเศษ ในหัวเชื้อที่ในหลวงได้ทำอะไร จะต่อศาสนาให้ยืนยาวอีก 5000 ปี พวกเราได้เป็นบุญเป็นกุศล ที่ได้เกิดมาในรัชกาลที่ 9 ได้มารู้มาเข้าใจอันนี้ เป็นกาละที่พวกเรา จะมาทำหัวเชื้อนี้ให้มาก จะทำให้ศาสนานี้ ยืนยาวไปอีกถึง 5000 ปี

พ่อครูอยากให้พวกเรา มารวมตัวกัน ใครที่มีกำลังวังชา หรือแม้แต่ศิษย์เก่า ก็เข้ามา รวมตัวกัน ที่จะสร้างบารมีกันต่อ อาตมาคิดว่า มันเป็นโอกาส ที่ไม่ได้มีมาก ในภาวะที่เดินทางสู่กลียุค นรกจะแตก เป็นโอกาสทอง ที่เราจะมาทำหัวเชื้อนี้ก่อนจะถึงโลกแตก นรกแตก เราก็ยังมีโอกาสสร้างบารมี คนไทยก็มีบุญบารมีมาด้วย เป็นชมพูทวีป โอกาสที่จะได้พบ ชมพูทวีปก็ยาก จะได้พบในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็ยาก จะได้พบพระโพธิสัตว์ก็ยาก เป็นโอกาสที่ครบพร้อมแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ปล่อยโอกาส ให้ล่วงเลยไป คนเหล่านั้น ย่อมแออัดยัดเยียดอยู่ในนรก...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:24:54 )

591201

รายละเอียด

591201_พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมต้องตำหนิพุทธแบบสะกดจิต

สมณะเดินดินว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2559 วันนี้เป็นวันครบรอบทำบุญ 50 วันปัญญาสมวาร  ชีวิตเราควรจะมีคุณค่าให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นเสมอๆ ที่สันติอโศกเป็นจุดศูนย์กลาง ที่จะส่งเสบียงไปให้โรงบุญสนามหลวง สันติอโศกเหมือนเป็นแหล่งส่งวัตถุดิบ แต่มีพื้นที่แคบ ส่วนปฐมอโศก ก็เป็นพื้นที่กว้าง ก็จะพัฒนาเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ 

ที่ราชธานีอโศก มีคนออกความคิด ให้เอาเมล็ดผักบุ้งไปหว่านที่ดินเลน ริมแม่มูน ก็จะได้ผักบุ้งมาก แต่อาตมาบอกว่า กว่าที่ผักบุ้งจะเดินทางมา ก็เหี่ยวพอดี มีสถานที่ของคุณพิภพ ก็มีที่ปลูกผักเป็นสิบไร่ วันหนึ่งเราใช้ผักบุ้ง 100 กก. และอยู่ใกล้ปฐมอโศก อยู่ใกล้โรงงาน biogas เป็นปุ๋ยชั้นดี มีสถานที่และอุปกรณ์ครบพร้อม ขาดแต่เพียง คนจะทำเท่านั้นเอง ขอฝากบอกพวกเรา ใครจะมีความชำนาญหรือไม่ชำนาญก็ได้ ก็ไปดูแลผักได้ พื้นที่สิบไร่ ก็เพียงพอปลูกผัก ส่งสนามหลวง

พ่อครูมองว่า โรงบุญของเรามีเสน่ห์ ที่พืชผักไร้สารพิษ ที่พิมายปลูกมันส่งเข้าสนามหลวงหมดเลย ปลูกเป็นสิบไร่เลย และได้รับความนิยมมาก ก็เพิ่งเคยเห็นมันเทศพันธุ์แครอต เนื้อสีส้ม เอาไปเลี้ยงกัน ก็ได้รับความนิยมมาก เพราะรสชาติหวาน ปฐมอโศกมีโรงเต้าหู้ใหญ่ด้วย ถ้ามีโรงเต้าหู้มีแปลงผัก ก็มีองค์ประกอบเป็นแหล่งสร้างวัตถุดิบ ส่งข่าวถึงญาติธรรม ใครจะมาช่วยกันทำ

ปฐมอโศก มีต้นพุทราสองร้อยกว่าต้น ปกติไม่ออกผล  แต่ปีนี้ออกผลมาก เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน ก็ต้องช่วยกันเก็บ เก็บไม่ไหวเลย ปีนี้พวกเราไม่แน่ เราตั้งใจปลูกพืชผัก สำหรับงานพระบรมศพโดยตรง อาจจะให้ได้เห็น สิ่งที่มหัศจรรย์เกิดขึ้น

วันนี้เป็นวันครบรอบ ทำบุญ 50 วันปัญญาสมวาร ก็ควรได้เกิดปัญญา ก็ขออาราธนาพ่อครู

 

ทำไมพ่อครูต้องกล่าวตำหนิพุทธแบบสะกดจิต

พ่อครูว่า...ทุกคนก็คงจะยอมรับ และเข้าใจว่า ศาสนามีความผิดและความถูก

ถ้ามันไม่ถูก มันก็ไม่ได้ประโยชน์ นอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว มันก็เป็นโทษด้วย เป็นโทษภัยต่อชีวิตตน เป็นอกุศลเป็นวิบากบาปแก่ตน แก่ท่าน ผู้ที่สาธยายธรรม ต่างก็อ้างว่าของพระพุทธเจ้ากัน แต่ผู้ที่มิจฉาทิฐิเข้าใจผิด โดยที่เขาเอง ก็ไม่รู้ตัวว่ามันผิด เขาก็นึกว่ามันถูกต้อง แต่แท้จริงมันก็ผิดไป อาตมาที่พูดนี้ ก็จำเป็นต้องพูด

จำเป็นอะไร จำเป็นที่จะต้องบอกว่า อะไรผิดอะไรถูก เพราะว่าที่บรรยายธรรมะ เทศนาธรรม ก็เพื่อจะให้รู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อะไรเป็นสิ่งที่ผิด 2500-2600 ปีผ่านมา ศาสนาพุทธเกิดมาถึงวันนี้ ก็สองพันกว่าปีแล้ว

2559 ถ้านับบวกกับ ศาสนาพุทธที่เกิดมา 45 ปีเข้าไปอีก มันก็จะถึงแล้ว 2600 กว่าปีแล้ว มันเพี้ยน ผิดไป นี่พูดอย่างจริงใจ ไม่ได้มีอคติ โกรธเคืองอะไร ไม่ได้ดูถูกดูแคลน แต่เป็นการพูดความจริง สิ่งที่ผิดก็ต้องถูกข่ม อย่างนี้ต้องไม่ให้เกิดขึ้นมา ก็เป็นธรรมดา ของการกล่าวสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องข่ม เป็นการข่มด้วยภาษาสำนวน ด้วยน้ำเสียง ท่าทางลีลากายกรรม สื่อให้คนเข้าใจ

เช่น พ่อแม่เรา เวลาจะตำหนิลูก เพราะเห็นว่าผิด ไม่ถูกต้องไม่ค่อยดี ก็จะใช้เสียงดัง ออกท่าทีลีลาหน้าตาขึงขัง เอาเป็นธรรมชาติธรรมดาของคนที่จะต้องประกอบ นัจจะ (ท่าทางลีลา) คีตะ(สุ้มเสียงสำเนียงที่ออกไป ) เป็นน้ำหนักเน้นด่าว่าตำหนิ ถ้าชมหรือยก ก็มีสำเนียงอย่างหนึ่ง สำเนียงหวานๆพริ้วๆ แต่สำเนียงที่จะตำหนิ ข่มในที ก็จะมีสำเนียงอีกอย่างหนึ่ง อาตมาก็สื่อตาม นัจจะ คีตะ

วาทิตะ คือคำที่เลือกเฟ้น มาใช้ให้เหมาะสม ไปถึงขั้นเลือกเป็นกลอนกวีต่างๆ ก็เรียกว่า วาทิตะ คือคำที่สรรหามา เพื่อให้สื่อได้ชัด คำที่สื่อไปบางที คำตำหนิก็จะหนัก เพื่อสื่อสภาวะให้ชัดเจน คนที่ไม่รู้ก็บอกว่า การพูดว่า หรือตำหนิเป็นการใช้คำหยาบ เมื่อเราจะสื่อ ถึงความผิดที่หยาบต่ำ แล้วเราจะใช้คำสูงมาว่ามันก็สื่อไม่ได้ ถ้าเราไม่ใช้ภาษาสื่อ ให้ตรงสภาวะ คนก็จะไม่เข้าใจชัดเจน อันนี้จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องพูด บอกว่าทำไมต้องพูดหยาบ ก็เราสื่อความหยาบต่ำ ก็ต้องสื่ออันนั้นออกไป

ส่วน สิ่งที่ไม่ดีนั้นก็คือ จิตของเรา ถ้าจะพูดตำหนิหรือ ข่ม หรือด่าว่าสิ่งที่ผิด ใจของเรานั้น ไม่มีเมตตา ใจของเราเกลียดชัง ใจของเรามุ่งทำร้าย ถ้าอย่างนั้นก็เสีย อย่างนั้นก็ไม่ดี ไม่ดีที่ตนเองนั่นแหละ ไม่รู้จักการฝึกฝน จิตใจตนเอง จะไปตำหนิคนอื่น ก็ไม่ตำหนิด้วยเมตตา ด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นความหวังร้าย

เพราะฉะนั้นก็ ขี้มักจะตำหนิ ด้วยการใส่ร้ายเกินจริง ก็กลายเป็นสิ่งผิดเพี้ยนเป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม

ถ้ามีความเมตตาปรารถนาดี อยากให้คนที่ผิด คนที่เขาต่ำ แต่รู้สึกได้เข้าใจได้แก้ไขปรับปรุง เป็นเจตนาอย่างนั้น ก็เป็นคนสื่อ เทศน์ตำหนิติเตียนได้ด้วยดี เพื่อให้เกิดประโยชน์คุณค่า เกิดการเปลี่ยนแปลงคนผู้นั้น

อาตมาบอกตัว บอกตนเองบ่อยว่า อาตมาไม่ได้โกรธคนที่ผิด แต่ต้องตำหนิคนที่ผิด และมันเป็นความจำเป็นมากที่สุด ทุกวันนี้ ความผิดพลาดในศาสนามีเยอะ ถ้าให้ตำหนิเข้าไปอีกแล้ว อาตมาตำหนิไปได้หมดเลยในเถรสมาคม ถ้าตำหนิไปเขาก็จะหาว่า ถล่มเถรสมาคม แต่ที่ตำหนิก็เพื่อจะให้แก้ไข ไม่ใช่ถล่มทลาย แต่คนฟังก็ไม่เข้าใจ ว่าควรฟังอย่างไร รับฟังแล้วก็โกรธเกลียดชัง ไม่รับฟังเสียเลยก็มี

อาตมาก็ปวารณาว่า อาตมาตำหนิไปข่มไป หรือใช้ภาษาไทยว่าด่าว่า ที่รู้ฟังว่าอาตมาด่าผิด ก็กรุณาท้วงมา แจ้งมาให้อาตมาทราบด้วย ก็ขอยืนยันว่า อาตมาไม่ได้เป็นยอด ที่จะรู้ถูกต้อง ก็จะต้องมีผิดพลาดบ้าง ผู้ใดที่จะรับฟังอยู่ ถ้ารู้ว่าอาตมาผิด แล้วเอาความผิดไปตำหนิสิ่งผิด ก็ยิ่งแย่ อาตมามีใจไม่ได้ถือโทษโกรธคนที่ตำหนิมาเลย ยกตัวอย่าง สิ่งที่เกิดผ่านมาแล้ว

ท่านเจ้าคุณที่ตอนนี้ ท่านเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แล้ว ท่านเคยตำหนิอาตมา ตั้งแต่ท่านอยู่ในฐานะเจ้าคุณชั้นราช หรือเจ้าคุณชั้นต้น ท่านเขียนหนังสือ ตำหนิอาตมา อาตมาก็อ่านที่ท่านตำหนิ เสร็จแล้ว อาตมาก็เขียนจดหมายขอบคุณท่าน อันนี้ขอยืนยัน มีหลักฐาน ท่านเองหากฟังอยู่ ก็จะชัดเจน อาตมามีจดหมาย ขอบคุณท่านไป ไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดชัง อะไรที่อาตมาเห็นว่า ตำหนิถูก ก็ขอยืนยัน ในเนื้อหาจดหมาย ก็เขียนไปอย่างจริงใจ ขอบคุณท่านจริงๆ เสร็จแล้ว ท่านก็เขียนตำหนิ เล่มที่สองหรือสาม อาตมาก็ไม่ได้เขียนขอบคุณท่านอีก อาตมาเขียนไปว่า ท่านตำหนิได้ ก็ขอบคุณท่านจริงๆ

อาตมาไม่ได้ถือโทษ โกรธคนตำหนิ แม้แต่มหาระแบบ ท่านก็เล่นงานอาตมาหนัก อาตมาก็รู้ว่า ท่านเองมีจิตส่วนที่ไม่ชอบใจอาตมาบ้าง เท่าที่อาตมาเข้าใจ ก็คิดว่าไม่ผิดหรอก ถ้าผิดก็เป็นบาปของอาตมาเอง อาตมาไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรท่าน พูดไปแล้วเหมือนแก้ตัว เหมือนเอาดีใส่ตัว

อาตมาว่า อาตมาปฏิบัติธรรม ยิ่งโกรธเกลียดใคร อาตมาถือว่าขั้นต่ำ ถ้าโกรธเกลียดใครอยู่ จะไปหลุดพ้นอะไร ขั้นสูงสุดนั้น ไม่รักไม่ชัง ปฏิบัติธรรมต้องเกิดปัญญา รู้อาการจิตจริง แล้วปฏิบัติ อย่าให้เกิดอาการดูดหรือผลัก ชอบหรือชัง มีใจเป็นกลางๆ

อาตมาที่เทศน์อยู่นี้ อาตมาเกิดมาเพื่อตำหนิ เพราะมันผิดไปจากธรรมะพระพุทธเจ้า มากต่อมาก หาที่ถูกแทบจะไม่เหลือ อาตมาไม่ได้เสแสร้ง แกล้งถล่มทลาย ถ้าจะให้พูดเต็มที่ ก็แหลกราญ มันกลายเป็น สิ่งที่ไม่ถูกมากมาย เช่น

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ เป็นศาสนาที่เอาแต่สวดมนต์ การสวดมนต์ ไม่ใช่ของศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเลี่ยงการสวดมนต์ แต่เป็นการสวดสังคีติ กับสังคายนา ไม่ใช่สวดอย่างมนตรยาน ที่เป็นลัทธิท่องบ่น สวดมนต์เป็นหลัก แต่ก่อนเป็นมหายาน แต่เดี๋ยวนี้ก็เถรวาทเอาด้วย ธรรมกายนั้น ให้มาสวดมนต์ ล้านเที่ยวเดี๋ยวนี้เอา 13 ล้านเที่ยว คือลัทธิสวดแต่มนต์

ลัทธิสวดมนต์ก็คือ การสวดมนต์ แล้วจะทำให้เกิดอะไรขึ้นมาได้ จะได้สวรรค์วิมาน อะไรขึ้นมา ด้วยการสวดมนต์ โดยไม่ได้ปฏิบัติอะไร สวดท่องอย่างไม่ได้อธิบายด้วย เอาธรรมบทมาสวด

อาตมาพูดย้ำว่า เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวด สองคนขึ้นไป ต่อหน้าฆราวาส ก็ผิดพระวินัย เขาไม่ฟัง เพราะเขาสวดกันเป็นธรรมดา พระไม่สวดมนต์ไม่ใช่พระ เขาว่าอย่างนั้น

สวดสังคีติคือ สวดท่องจำ สมัยโบราณไม่มีหนังสือ ก็ต้องท่องจำเอา

สวดอีกอย่างคือ สังคายนา มีคนสวดอยู่คนเดียว ผู้อื่นที่รู้ก็ฟัง ว่าอันไหนผิดก็แก้ไข แล้วแก้ไขให้ถูกต้อง ตกลงเป็นมติที่ประชุม ในผู้ที่ร่วมฟังอยู่ด้วย เช่นการท่องปาฏิโมกข์ เป็นต้น ก็ฟังกันให้จำได้ ทบทวนและท้วงกัน ก็คือสวดมนต์ คือสวดสังคีติ สังคายนา

แต่มาใช้เป็นมนตรา ให้มีความขลัง

 จะได้อะไรเป็นภพชาติ คือสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากศาสนาพุทธแล้ว ศาสนาพุทธก็เลย มีแต่ไปสวดมนต์กัน รับนิมนต์ไปแล้วก็ท่องสวดมนต์ เป็นการนอกศาสนาพุทธ ได้วิบากบาป ได้อกุศล

ชาวอโศกเราไม่เคยไปทำ ไม่เคยรับไปสวดมนต์ มีแต่รับไปเทศนา ไปสาธยายธรรม ยกบทธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นภาษาบาลีก็ได้ แล้วก็สาธยายอธิบายให้ฟัง พระพุทธเจ้าบอกว่า การอธิบายธรรมะที่เป็นบาลี เวลาจะสาธยาย ก็ต้องสาธยายด้วยภาษาถิ่น ให้คนในท้องถิ่นนั้น เข้าใจด้วย เพราะว่าธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ดั้งเดิม เป็นภาษาบาลี สันสกฤต ถ้าจะยกอ้างมาก็ยกได้ แต่เวลาจะสาธยาย ต้องใช้ภาษาถิ่น ภาษาพื้นที่ ประชาชนฟังรู้เรื่อง นี่เป็นคำกำชับกำชา คำสอนของพระพุทธเจ้า เอาแต่ภาษาบาลีมาสวด คนไทยฟังก็ไม่รู้เรื่องหรอก สวดไปก็เสียเวลา

เสียเวลามาท่องบทสวดมนต์ เป็นล้านเที่ยว 13 ล้านเที่ยว เลอะเทอะ ออกนอกรีต นอกทางไปใหญ่ ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย ธรรมกายนี้

 

มาอ่านบทความหน่อย

ในนสพ.แนวหน้า คอลัมน์ เลียบวิภาวดี : ผู้วิเศษ

“ผู้วิเศษ” คือมนุษย์ที่มีฤทธิ์เดช มากกว่าคนทั่วไป นอกจากเรียกลม เรียกฝน และเรียกฟ้าผ่าได้ ยังอาจมีคาถาอาคม รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกชนิด และอาจเหาะเหิน เดินอากาศ ไปพบพระอินทร์ในชั้นฟ้า ไปเจรจากับ ยมทูตในนรกได้อย่างเท่ๆ

 

ทุกตำนานของชาติต่างๆ ล้วนมีเรื่องของ“ผู้วิเศษ” เจือปน ในวรรณกรรม และ ในพงศาวดารทั้งหลาย ก็มีเรื่องของ “ผู้วิเศษ” ปนเจือ

 

ในพงศาวดาร “สามก๊ก” ฉบับ “หล่อก่วนตง” มี “ผู้วิเศษ” มากมาย ขอยกมากล่าวถึง สักสามราย คือ

 

“อิเกียด” เป็นผู้วิเศษ ที่เป่าคาถา รักษาให้หายขาดได้ทุกโรค แล้วยังเรียกฝน เรียกลม เรียกพายุได้ วันหนึ่งไปแสดงอิทธิฤทธิ์ ในเมือง “กังตั๋ง” จนเป็นที่ “ถูกใจ” ของชาวเมือง แต่ “ไม่เป็นที่ถูกอารมณ์” ของ “ซุนเช็ก” เจ้าเมืองขี้อิจฉาริษยา จึงหาเหตุจับตัว “อิเกียด” ไปตัดคอ แต่ศพกลับเหาะขึ้นฟ้า หายไปกับสายลม

 

“โจจู๋” ชายพิการที่เป็น “ผู้วิเศษ” สามารถเสกของหาย ถอดหัวได้ และแปลงกายได้สารพัด แต่ไปขัดใจ “โจโฉ” จอมเผด็จการ จึงถูกโจโฉสั่งตัดหัว อย่างไร้เหตุผล แต่แล้ว “ผีโจจู๋” ก็หิ้วหัวที่ถูกตัด ไล่ฟาดโจโฉจนล้มลง แล้วนอนป่วย อย่างยาวนาน และไม่ยอมให้ “หมอฮั่วโต๋” รักษา โจโฉจึงถึงแก่กรรม ในโอกาสต่อมา

 

“หมอฮั่วโต๋” เป็นหมอผู้วิเศษ ที่รักษาทุกโรคหายได้ เคยผ่าตัด “กวนอูแห่งจ๊กก๊ก” จนรอดตาย เคยรักษา “จิวท่ายแห่งง่อก๊ก” จนมีชีวิตใหม่ ครั้นถูกเชิญมารักษา “โจโฉแห่งวุ่ยก๊ก” ที่ถูก “โจจู๋ผีหัวขาด” เอาหัวฟาด จนล้มป่วย หมอฮั่วโต๋ จะรักษาโจโฉ ด้วยการ “ผ่าตัดสมอง”โจโฉหาว่า หมอเป็นไส้ศึกของจ๊กก๊ก และง่อก๊ก มาคิดฆ่าตนเอง จึงไม่ยอมให้รักษา แล้วส่ง “หมอผู้วิเศษ” ไปขังคุก ปล่อยให้อดอาหารจนตาย ส่วนโจโฉก็ป่วยตาย ตามหมอผู้วิเศษไปในไม่ช้า

 

จะเห็นว่า “ผู้วิเศษ” ทั้งหลาย มักจบท้ายต้องตาย เพราะ “บทบาทผู้วิเศษทำพิษ”

 

เหลียวมาดู “ท่านจานบิน ผู้วิเศษของเหล่าสาวกจอมงมงาย” บ้าง ณ วันนี้ดีเอสไอ และตำรวจ ยังรวบตัวไม่ได้ จบท้าย ท่านจะต้องรับกรรม เหมือนผู้วิเศษ รายอื่นๆ หรือไม่?

 

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

 

พ่อครูว่า...หมายความว่า ความวิเศษทำให้ผู้อื่นหมั่นไส้ แล้วผู้ที่หมั่นไส้ เป็นผู้ที่มีอำนาจ ก็จัดการ ก็ตาย ตายด้วยตัวเองแสดงความวิเศษ ก็ขยายความอีก อย่างธัมมชโย ก็แสดงความวิเศษว่า จับข้าไม่ได้ ก็แสดงฤทธิ์อำนาจ ว่าจะมีอำนาจ ศักดิ์ศรีขนาดไหน ก็จับข้าไม่ได้ ข้าสามารถหายตัว หลีกเร้นได้ ล่องหนหายตัวเลย ตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ขนาดลูกศิษย์ในวัด ก็ไม่มีใครรู้ว่า อยู่ไหน พระเดชพระคุณอาจารย์ อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาว่าอย่างนั้นเลยนะ ล่องหนหายตัวจริง

 

อีกอันคอลัมน์เส้นใต้บรรทัด ของคุณจิตรกร บุษบา “จะเอายังไงกับธัมมชโย”

พรุ่งนี้ (30 พ.ย. 2559) แล้ว ที่สำนักงานอัยการสูงสุด จะต้องดำเนินการ ตามถ้อยแถลง ที่กล่าวไว้ว่า

 

“โดยมีความเห็นสั่งฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่ เรือนจำกลางบางขวาง ผู้ต้องหาที่ 1 นางศรัณยา มานหมัด อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฯ คลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 3 และนางทองพิน กันล้อม อดีตรองประธานสหกรณ์ฯ คลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งอัยการนัดให้ผู้ต้องหากลุ่มนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวมาให้อัยการแล้ว มาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 30 พฤศจิกายน เพื่อส่งฟ้องต่อศาล”

 

แต่มีผู้ต้องหาอีก 2 คน ที่ยัง “หลบหนี” ซึ่งอัยการแถลงว่า

 

“อัยการมีความเห็นควรสั่งฟ้อง พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาที่ 2 และนางสาวศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ซึ่งผู้ต้องหาสองคนนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังไม่ได้ส่งตัวให้อัยการ จึงแจ้งให้อธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามตัว พระธัมมชโยและนางสาวศศิธร มาให้อัยการเพื่อดำเนินการ ตามขั้นตอน ก่อนขาดอายุความ 15 ปี”

 

นางสาวศศิธรนั้น ข้อมูลชี้ชัดว่า หลบหนีไปต่างประเทศ ส่วนธัมมชโยนั้น นายองอาจ ธรรมนิทา แถลงวันก่อนว่า

 

“พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่มีหนังสือเดินทาง และในภาวะนี้ ที่มีการดูแลเข้มงวด คงไม่สามารถรอดหูรอดตา ออกนอกประเทศได้ ยืนยันท่านป่วยจริง และยังอยู่ในวัด”

 

แต่เพราะกลัวการแถลงของตนจะ “ผูกมัด” และกลายเป็นน้ำหนัก ให้ดีเอสไอ ใช้เป็นคำยืนยันหลักแหล่ง ของธัมมชโย เพื่อขอหมายค้นจากศาล หรืออย่างไรไม่ทราบใด ไม่กี่วันถัดมา องอาจก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ เสียแล้วว่า

 

“...ถ้าตอบตามความรู้สึกตน ก็อยู่ในใจลูกศิษย์ทุกคน ตนไม่ได้กราบท่านมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2559 ประมาณ 6 เดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่ พาสื่อมวลชนไปพิสูจน์ ว่าท่านอาพาธจริง จากนั้นมา ตนก็ไม่ได้พบเห็นท่าน ปกติท่านก็อยู่ที่วัด แต่สิ่งสำคัญคือ ลูกศิษย์ทุกคนมาที่วัด แม้ไม่เจอหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อ ก็อยู่ในใจเสมอ...”

 

ถามต่อว่า แสดงว่าไม่ยืนยันว่า พระธัมมชโยอยู่ในวัด นายองอาจ กล่าวว่า “อย่าใช้คำว่า ยืนยันไม่ยืนยันดีกว่าครับ เพราะปกติท่านก็อยู่ที่วัด แต่เป็นอย่างที่บอกว่า ผมได้เจอท่านครั้งล่าสุด เมื่อวันที่พาสื่อมวลชนไป หลังจากนั้น ก็ไม่ได้มีโอกาส พบท่านด้วยตัวเอง แต่อย่างที่บอก ว่า หลวงพ่อยังอยู่ในใจพวกเรา แล้วก็เชื่อมั่น ในความบริสุทธิ์ ของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อเสมอครับ”

 

แต่เอาเถอะ ไม่ว่าองอาจจะเล่นลิ้นไปอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ และตำรวจ (ซึ่งถือหมายจับอยู่ 2 หมาย) จะต้องยืนยันต่อศาลให้ได้ ว่าธัมมชโย ยังอยู่ในวัดพระธรรมกาย หากจะขอ “หมายค้น” ซึ่งถ้าไม่มีหมายค้น ก็ถือหมายจับเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้ เหลืออยู่แค่ว่า วันพรุ่งนี้ พ้น “ขีดเส้นตาย” ที่ตำรวจบอกให้ธัมมชโย มามอบตัวแล้ว บวกรวมกับ หมายจับ ของดีเอสไอ คงมีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะกำหนดให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษและตำรวจ ได้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ด้วยการดำเนินการ เข้าจับกุมโดยไว

 

คำถามของผู้คนในสังคมที่หนาหูมาก อยู่ในเวลานี้ก็คือ เหตุใดกรมสอบสวนคดีพิเศษและตำรวจ ยังคงรีๆ รอๆ ต่อการดำเนินการตามกฎหมายกับธัมมชโย ผู้ต้องหาในคดี ร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจร กับคดีรุกป่าอีก 2 จังหวัด ตามที่มีหมายจับ ออกโดยศาลอาญา (ดีเอสไอเป็นผู้ถือ) ศาลจังหวัดเลย (ตำรวจเป็นผู้ถือ) และศาลจังหวัดสีคิ้ว (ตำรวจเป็นผู้ถือเช่นเดียวกัน)

 

ถ้าตั้งโจทย์ผิด ด้วยการมัวแต่รอคอยว่า “ธัมมชโยจะเอาอย่างไร” ย่อมมีผลว่า กฎหมายบ้านเมือง และพระธรรมวินัย ถูกงดเว้นแน่นอน และโจทย์ที่ถูกต้อง ก็คือ “จะจัดการอย่างไรกับธัมมชโย” ต่างหาก!

 

นานแค่ไหนแล้ว ที่ดีเอสไอ รอคอยการเข้ามอบตัว ของธัมมชโย แล้วเขาเคยมาไหม?

 

กี่ครั้งที่เขาเลื่อนการเข้าให้ปากคำ และทุกครั้งที่ขอเลื่อนนั้น มีเหตุผลอันควรหรือไม่?

 

โดยเฉพาะการป่วย ที่สุดท้ายเป็นดีเอสไอเองที่ “จับได้” ว่า ใช้ใบรับรองแพทย์ไม่สุจริต คือ ออกใบรับรองแพทย์ โดยที่คนไข้ ไม่เคยเดินทางไปรักษา ที่โรงพยาบาล ค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี จนนำไปสู่การขออนุมัติต่อศาล เพื่อออกหมายจับ

 

หลังได้หมายจับ ดีเอสไอก็ขอ “หมายค้น” ก่อนจะขอกำลังตำรวจ ดำเนินการตรวจค้น วัดพระธรรมกาย แต่ก็ไม่ได้รับความสะดวกนัก เพราะศิษย์วัดพระธรรมกาย ทั้งพระและโยม ต่าง “ทำที” เป็นนั่งสวดมนต์ กลางฝน กลางถนนเสียอย่างนั้น และถูกขัดขวาง เมื่อจะต้องผ่านประตูวัด ไปยังเขตสังฆาวาส จนต้องถอยกลับออกมา

 

ในเวลานั้น โฆษกวัดและศิษย์ทั้งหลาย ต่างตะแบงว่า อัยการยังไม่มีความเห็นว่า จะฟ้องหรือไม่ฟ้องเลย จะมาจับตัว พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไปทำไม ขืนยอมให้จับแล้ว อัยการมีความเห็นไม่ฟ้อง จะไม่เป็นการจับฟรี เช่นนั้นหรือ

 

ฟังเผินๆ ก็อาจคล้อยตามได้ แต่หากใช้ “สติปัญญา” เข้าครุ่นคิด จะรู้ได้ด้วย “ความมีสมอง” ว่า การออกหมายจับในเวลานั้น เพราะธัมมชโย ไม่ให้การร่วมมือ ในการเข้าพบกับ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานสอบสวน ตามกฎหมาย เพื่อให้ปากคำ เรื่องจึงต้องถลำไปถึงขั้น “หมายจับ” ซึ่งมีแล้วก็ต้องจับ ไม่จับก็เข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก็เท่านั้นเอง

 

ครั้งนี้ยิ่งไม่มีข้ออ้างใหญ่เลย ว่าจะมาจับทำไม เพราะอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว

 

จึงอยู่ที่ว่า ดีเอสไอกับตำรวจจะ “ลงมือ” เมื่อไหร่ ลงมืออย่างไร

 

นี่ไม่ใช่เวลาคอยให้ธัมมชโย เป็นฝ่าย “ตัดสินใจ” แต่เป็นเวลาที่ทั้งสองหน่วยงาน ต้องตัดสินใจ ว่าจะทำอย่างไรกับธัมมชโย!!

 

มาอ่านคอลัมน์ คิดเหนือกระแส ของ ดร.เสรี   “ความจริงเชิงประจักษ์”

 

ใครจะมองธรรมกายเป็นศาสนา เป็นลัทธิในศาสนาพุทธ หรือเป็นลัทธิที่เป็นเอกเทศในตัวเอง ก็เป็นความเชื่อของแต่ละคน ใครจะศรัทธาอะไร เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละคน ตามความเป็นปัจเจก ดังนั้นใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ คำสอนของเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล เพราะจะว่าไปแล้ว การบริหารจัดการของวัดนี้ ก็ดูเข้มแข็งดีมีวินัย สามารถจัดระเบียบคนหมู่มาก ให้มารวมตัวกันจัดกิจกรรม ทางศาสนาได้เรียบร้อยดี

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนบางคน ที่ติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับกิจกรรม การกระทำ และคำสอน ของเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ที่เคยเชื่อถือและศรัทธา ก็อาจจะเสื่อมศรัทธา และถอยห่างออกมา เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้นจาก ที่เคยไปร่วมกิจกรรมทางศาสนา ก็เริ่มไม่ไป ที่เคยบริจาคก็เลิกบริจาค ที่เคยศรัทธาก็เสื่อมศรัทธา ที่รู้สึกเฉยๆ ก็เริ่มไม่ชอบ

 

สาเหตุที่ทำให้คนที่เชื่อถือ และศรัทธาวัดธรรมกาย เกิดความเสื่อมศรัทธาน่าจะมาจากสาเหตุ หลายประการ

 

ประการแรก น่าจะเป็นเรื่องของคำสอน ที่มีหลายเรื่อง แตกต่างไปจาก คำสอนของพุทธศาสนา ที่เป็นความเชื่อที่ยั่งยืน ของคนจำนวนมาก

 

ประการที่สอง น่าจะเป็นเรื่องของพุทธพาณิชย์ นั่นคือการจัดกิจกรรม ที่ให้มีการบริจาคบ่อยครั้ง มีการขายสิ่งของ ที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ ในราคาแพงๆ การทำการตลาด แบบให้คนที่ศรัทธาและบริจาค ไปหาคนอื่นมาบริจาค และการสอนว่าทำบุญมาก ก็ได้บุญมาก ตีราคาบุญตามเงินที่บริจาค ซึ่งเรื่องนี้ทำบ่อยมาก หลายสิ่งหลายอย่าง

 

ประการที่สาม น่าจะเป็นการได้รับข่าว เรื่องการไล่ที่ชาวบ้าน เพื่อที่จะขยายพื้นที่วัด เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ไม่มีใครรู้ได้ แต่สำหรับ คนที่เสื่อมศรัทธาและไม่ชอบวัดนี้ เป็นทุนอยู่แล้ว ก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อ ประกอบกับยุคนี้ เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็จะภาพถ่าย มีคลิปที่เป็นเหมือนประจักษ์พยาน ให้คนที่มีแนวโน้ม ที่จะเชื่ออยู่แล้ว เชื่อตามนั้น

 

ประการที่สี่ การได้รับรู้ข่าวสาร เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน และการลงทุนต่างๆ ของเจ้าอาวาสและคนอื่นๆ ที่ใกล้ชิดกับเจ้าอาวาส ที่ดูเป็นเรื่องที่น่าเคลือบแคลง เป็นที่สงสัยว่า เป็นธุรกรรม ที่มีความโปร่งใสหรือไม่ มีใครได้ผลประโยชน์จากธุรกรรม ซื้อขายเหล่านี้หรือไม่ เพราะเหล่าบรรดาสาวก คนใกล้ชิดนั้น บางคนก็เป็นนักเล่นหุ้น บางคนก็เป็นนักธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้ประชาชน จำนวนมาก เคลือบแคลงสงสัย พฤติกรรมของเจ้าอาวาส และคนใกล้ชิด

 

ประการที่ห้า น่าจะเกิดจากการที่มีข่าว เรื่องสาวกที่ศรัทธา อย่างเปี่ยมล้น ใช้เงินทองบริจาค จนหมดเนื้อหมดตัว หรือมีความขัดแย้ง กับคนในครอบครัว เรื่องราวของคนในครอบครัว ที่ได้รับความเสียหาย จากการที่มีสมาชิกบางคน หลงใหลศรัทธา แบบสุดลิ่มทิ่มประตู เกิดความเสียหาย กับครอบครัว อย่างน่าสงสาร

 

ประการที่หก ก็คือการอวดอุตริมนุสธรรม เล่าเรื่องการไปสวรรค์ เจอคนนั้นคนนี้ เล่าเรื่องแม่ชีปัดระเบิด ไม่ให้ลงประเทศไทย แต่ให้ไปลงที่ญี่ปุ่น เรื่องการใช้ฆ้องเคาะ พร้อมคำสวดแล้วจะร่ำรวย และอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งคนที่พิจารณาคำบอกเล่าเหล่านี้ ด้วยตรรกะแล้ว ไม่อาจที่จะเชื่อได้ และเริ่มมองไปไกลว่า การเล่าเรื่องเหล่านี้ น่าจะเป็นการหลอกลวง จึงเกิดความรู้สึกไม่ชอบ จนถึงขนาดชิงชัง และทนไม่ได้

 

ประการที่เจ็ด ก็คือการแต่งตัวของเจ้าอาวาส ที่ดูออกจะแปลกกว่า การแต่งกายของสงฆ์ มีทั้งการใส่เสื้อแขนยาว การใส่หมวก ซึ่งดูแล้ว มันต่างไปจาก การแต่งกายของสงฆ์ ที่เราคุ้นตา

 

ประการที่แปด ก็คือการที่มีคนที่โกงเงินสหกรณ์ มาเป็นผู้บริหารการเงิน ให้กับวัดธรรมกาย และถูกจับติดคุก ในฐานะฉ้อโกง และเรื่องนี้พัวพันถึง เจ้าอาวาสวัดธรรมกายด้วย และทางการก็สามารถ ติดตามเส้นทางของการเงิน พบว่าเจ้าอาวาส และบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับคดีฉ้อโกงนั้น มีการเกี่ยวพันกัน จึงทำให้ความรู้สึกชิงชัง รุนแรงขึ้น

 

ประการที่เก้า ก็คือ เมื่อโดนข้อกล่าวหาแล้ว ไม่ยอมมารับฟัง ข้อกล่าวหา หลบหลีกไปมา มีโฆษกของวัด ออกมาพูดชี้แจง แถลงข่าวต่างๆ นานา แต่ผู้คนฟังแล้ว ไม่น่าเชื่อถือ และรู้สึกว่า วัดธรรมกายกำลังอาศัยความนิยม ที่มีคนศรัทธามาก เล่นเอาเถิด กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง อย่างไม่กลัวกฎหมาย ทำตัวเหนือกฎหมาย เพราะคิดว่าตัวเองนั้น มีโล่มนุษย์ที่จะปกป้องตนเองได้ การกระทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่รักความถูกต้อง และเชื่อมั่น ในกระบวนการยุติธรรม ไม่พอใจมากขึ้น

 

ณ บัดนี้ อัยการได้สั่งฟ้องแล้ว และมีการแถลงชัดเจนแล้วว่า สั่งฟ้องด้วยข้อหาอะไร ก็อยากจะถาม คนที่เคยเชื่อและศรัทธา จะฟังคำแถลงของอัยการ ของดีเอสไอ ของตำรวจหรือไม่ เพราะหมายจับคราวนี้ มีถึง 3 หมายจับ มีทั้งของตำรวจ ที่จังหวัดเลย ตำรวจที่จังหวัดนครราชสีมา และของดีเอสไอ มีทั้งเรื่องการบุกรุกที่ดิน การฟอกเงินและรับของโจร เนื้อหาที่เป็นข้อกล่าวหาในคราวนี้ ไม่ใช่เรื่องความเชื่อ หรือความศรัทธาใดๆ แต่เป็นความจริงเชิงประจักษ์ ท่านทั้งหลายยังจะกล่าวหา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ว่ากลั่นแกล้ง หรือมีวาระซ่อนเร้นอะไร ในการจัดการกับ เจ้าอาวาสวัดธรรมกายอีกหรือไม่ ท่านจะยอมทำตัว เป็นโล่มนุษย์ ไปปกป้อง ผู้ต้องหาอีกหรือไม่ คราวนี้ไม่ใช่ความเชื่อ ในคำสอนทางศาสนาแล้วนะ คราวนี้เป็นสาระ อันเป็นข้อเท็จจริง ตามกฎหมายบ้านเมืองนะ ท่านได้เห็นอาคารปลูกสร้าง บนที่ดินบุกรุกหรือไม่ ท่านยังปฏิเสธ ว่าเขาไม่มีความผิดอีกหรือ ท่านเห็นเส้นทางการเงิน ที่ทำให้พวกเขาโดนข้อกล่าวหา ฟอกเงินและรับของโจร หรือไม่ เมื่อท่านได้รู้แล้ว ท่านยังจะคิดว่า เป็นการกลั่นแกล้งอีกหรือไม่

 

คงถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลาย ที่เคยเคารพนับถือ เจ้าอาวาสวัดธรรมกายเพราะศรัทธาในคำสอน หรือแนวทางในการปฏิบัติธรรมของท่าน โดยไม่เคยกังขาเรื่องพุทธพาณิชย์ หรือการอวดอุตริมนุสธรรม จะได้ลองหันมา พิจารณาข้อเท็จจริง เชิงประจักษ์ ที่อยู่ในการแถลงข่าว ของทางการ แล้วพิจารณาความถูก ความผิด ของเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย กับบุคคลที่ใกล้ชิด เพื่อท่านจะได้ตัดสินใจ ได้ถูกต้องมากขึ้น ในเวลาที่เจ้าหน้าที่ของทางการ ออกไปบุกจับ เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ท่านจะปล่อยให้เป็นไป ตามกระบวนการของกฎหมาย หรือว่าท่านจะยังคงปกป้องคนที่เป็นผู้ต้องหา ตามตัวบทกฎหมายไทย โดยไม่พิจารณาความจริง เชิงประจักษ์ที่ทางการได้แถลงไปแล้ว.

 

การสะกดจิตไม่ใช่สมาธิพุทธ

พ่อครูว่า...อาตมาเชื่ออย่างชัดเจนว่า คนเหล่านั้น ที่เชื่อฟังธรรมกาย เขาไม่เปลี่ยนหรอก เพราะเขางมงายจัด ถูกครอบงำด้วยการสะกดจิต ไปหมดแล้ว เขาจะต้องเชื่อ เพราะเขาถูกสะกดจิต อาตมานี้เรียนวิชาสะกดจิตมา ก็ตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็ทำการสะกดจิต คนที่ถูกสะกดจิตแล้ว ตามองเห็นสิ่งที่มองเห็นบนโต๊ะนี้ มีขวด ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาก็จะสั่งว่า ไม่ให้เห็น ไม่มีขวดบนตัวนี้นะ คนนั้นก็จะไม่เห็น สะกดจิตแล้วสั่งได้จริงๆ สิ่งที่ไม่มีเขาก็ มุข ขึ้นมาว่ามีจริงๆ บอกว่ามี ก็ควานหาใหญ่เลย อาตมาพิสูจน์มา ทำมาหมดแล้ว

ถูกสะกดจิต แล้วก็จะมีอุปาทาน ไปตามผู้ที่สั่งการสะกดจิต เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังเลยว่า สาวกของธรรมกาย จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพราะเขาสะกดจิตอยู่ทุกวัน พอเทศน์ไปแล้วก็บอกว่า ถึงเวลาจะปฏิบัติธรรมะปฏิบัติสมาธิ  อ้าว นั่งเอามือขวาทับมือซ้าย หลับตาลงเบาๆนิ่งๆ แล้วให้มองเห็นความใส สะกดจิตทุกวัน ได้อยู่กันมาเป็นปีๆ ได้รับการสะกดจิตทุกปี คนเรานี้จิตใจจะไม่เปลี่ยน ธัมมชโยจะพูดดำก็เป็นดำ จะพูดขาวก็เป็นขาว แล้วแต่ใส่เสื้อสีดำนี้ แล้วบอกว่าเป็นสีขาว เขาก็จะบอกว่าสีขาวจริงๆ

เพราะจิตที่อุปาทานแล้ว ก็จะเป็น ทางวิทยาศาสตร์ก็รู้ ทางพุทธศาสนาก็รู้จริงๆ เห็นดำเป็นขาวได้เลย เป็นทาง Psychology ด้วย การปฏิบัตินั่งหลับตา และสะกดจิตเพ่งกสิณ เป็นวิธีสะกดจิตทั้งหมด ไม่ใช่วิชาสมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิของพระพุทธเจ้า ท่านเรียกเฉพาะ หรือว่าสัมมาสมาธิ ปฏิบัติได้สัมมาสมาธิแล้ว จะเป็นพระอาริยะ เรียกว่า อริโยสัมมาสมาธิ ด้วยการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหาจัตตารีสกสูตร

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ลืมตามีสัมผัสเป็นปัจจัย ปฏิบัติอาชีพอยู่ เป็นสัมมาอาชีพก็อ่านจิต แล้วรู้จักกิเลส ก็ชำระกิเลส ปฏิบัติให้เกิดปัญญา เป็นไฟฌาน ท่านเรียกว่า อุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟ ที่จะไปกำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ

สมาธิของพระพุทธเจ้า เป็นพลังงานปัญญา จะมีพลังงานเหนือชั้น ไปกำจัด ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ พลังงานที่ละลายไป ไม่ใช่สะกดจิต อย่างไม่รู้จักกิเลส เหมือนกับตำรวจที่จะจับโจร แต่ไม่ได้รู้ว่า โจรมีรูปร่างอย่างไร แต่จะต้องรู้ต้องวิจัยได้หมด แล้วไปสัมผัสแล้วจนรู้ว่า ตัวโจรเป็นอย่างนี้ จับมาจะประหารก็ตาม ก็ต้องรู้ต้องวิจัย แต่การนั่งสะกดจิต ไม่มีการวิจัยอะไรเลย เป็นความนอกรีตศาสนาพุทธหมดเลย มันเพี้ยนผิดไปหมดเลย ไม่เป็นสัมมาสมาธิ เข้าใจจิตวิญญาณไม่ถูก แยกกายแยกจิตไม่ได้

อ่าน sms

SMS วันที่ 30 พฤศจิกายน 2559

0893809xxxจิต"คุณค่า"อยู่ที่ความสงบภายใน เกิดจากจิตของตัวเอง ดั่งพระพุทธองค์ ท่านมีทรัพย์สมบัติใดติดตัวบ้าง เป็นผู้ที่เสียสละอุทิศแล้ว เพื่อผู้อื่น เป็นผู้ที่อยู่เหนือกิเลส และวัตถุภายนอก ท่านเป็นผู้ที่หลุดพ้น จึงเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งล้ำค่า "ใจฟุ้งซ่าน มักกล่าวโทษ ไม่มีจิตสำนึกคุณ"

0893867xxxส่วนความรักที่8,9,10อาริยะนิยม นิพพานนิยม พุทธภูมินิยม เป็นความรักทางโลกุตระ ไม่พึ่งความรักจากเทพเทวา แต่ใช้จิตวิญญาณ ให้ความรักอันบริสุทธิ์ เสียสละแก่กันและกัน เป็นอเทวนิยม! พระราชกรณียกิจ จากความรักที่พ่อหลวงทรงมีต่อราษฎร เป็นความรักในมิติ โพธิสัตว์ภูมินิยม! จิตอาสาทุกโรงบุญ สนามหลวง แสดงความรักที่ทำเพื่อพ่อหลวง เป็นความรักในมิติ อาริยนิยม!เป็นความรักทางจิตวิญญาณ ไม่พึ่งพระเจ้าฤาอเทวนิยม! คือความรักทางโลกุตรธรรม สาธุ! สกก.

 

กราบมนัสการพ่อท่าน หนูฟังธรรมะจากพ่อท่าน เริ่มตั้งแต่เดือน เมษ ปีนี้ค่ะ

การได้ฟังธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า จากพ่อท่าน ช่วยให้หนูสามารถเผชิญกับ เหตุการณ์ในชีวิต และใช้ชีวิต ณ ปัจจุบันได้ จึงอยากขอกราบขอบพระคุณ ในความเมตตาของพ่อท่าน ที่นำธรรมะที่แท้ มาสั่งสอน และนำพาผู้คน ให้พยายามก้าวพ้น กองทุกข์กองกิเลส ให้เข้าสู่โลกุตระธรรม

วันนี้หนูมีข้อสงสัย อยากขอเรียนถาม 3 ข้อค่ะ

1. วิญญาณ สัมพันธ์ หรือ ทำงานอย่างไร กับนาม รูป คะ?

ตามหลักปฏิจสมุปบาท วิญญาณเป็นปัจจัย ให้เกิดนามรูป แล้วจึงมีสฬายตนะ ผัสสะ แล้วจึงเกิดเวทนา แต่เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้น หนูพยายามพิจารณา ความรู้สึก(เวทนา) เหมือนว่ามันเกิดจากสัญญา (หนึ่งในนาม 5) แล้วจึงเกิดตัณหา อุปาทาน แล้วก็ตกภพ ตรงนี้เป็นวิญญาณ เป็นโอปปาติกะ มั้ยคะ

เมื่อพิจารณาตามนี้ เหมือนมันย้อนกลับ เหมือนว่า เพราะมีนามรูป จึงทำให้เกิดวิญญาณ

ขออภัยในความงงของหนูค่ะ รบกวนขอให้พ่อท่าน ช่วยอธิบายเพิ่มได้ไหมคะ

2. เวทนา ที่เราต้องพิจารณาให้ทัน แยกแยะอาการ แล้วพยายามทำให้เป็นเวทนาหนึ่ง คือ เวทนา ที่เกิดหลังผัสสะ ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เวทนา ที่อยู่ในนาม5

3. ถ้าเวทนาหรือความรู้สึก เกิดจากสัญญา หรือความจำเป็นหลัก เช่น เกิดความรู้สึกเศร้า เพราะความจำเรื่องในอดีต จะแก้สัญญาอย่างไรคะ หรือต้องใช้อุเทศอะไร

กราบขอบพระคุณค่ะ Nop Nop

สังขารุเปกขา  กับ  อปุญญาภิสังขาร  เป็นสังขารที่มีอาการ มีลักษณะเดียวกัน ได้ไหมครับ?

ตอบ….เข้าใจสภาวะจริงๆ แล้วก็เป็นอันเดียวกันได้ ผู้ที่เริ่มต้นเข้าไปจัดการการปรุงแต่ง (สังขาร) อวิชชามันก็ไปปรับจิตใจตามกิเลส แต่เราก็ไปปรับปรุงจิตใจเหมือนกัน ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ก็จะไปจัดการกับจิตใจ แต่ไปจัดการกิเลสให้หมดไปจากจิต เรียกว่า อภิสังขาร

เมื่อเราสามารถที่จัดการกับกิเลสได้  อปุญญะ แปลว่า ชำระกิเลสได้แล้ว ทำอภิสังขาร จนกิเลสมันดับได้แล้ว กิเลสดับนั่นแหละ เกิดอาการสังขารุเปกขา คือมันวางได้ แล้วก็เฉยต่อสภาพที่เป็นอยู่ สังขารอย่างไรก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข เป็นอุเบกขา จิตมันกลางๆ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขอะไร

สังขารุเปกขาญาณ คือ รู้แล้วว่าเราสามารถบรรลุ ฌานที่สี่ คืออุเบกขา รวมแล้วก็อุเบกขาต่อสังขาร ถามว่าเหมือนกับ อปุญญาภิสังขารไหม ก็คือผลสำเร็จของการชำระกิเลสได้แล้ว

เริ่มต้นใหม่ๆ เราทำให้มันวางเฉยได้ มันก็ยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องทำซ้ำๆอีก จนไม่ต้องทำ อปุญญะ จนไม่ต้องชำระ อปุญญะ จึงเป็นผลสำเร็จ

สังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ชำระกิเลส เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร เมื่อทำได้สำเร็จ ก็เป็นอปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องชำระอีก อปุญญะ ไม่ได้แปลว่าบาป เมื่อชำระบาปหมดแล้ว บุญก็ไม่ต้องทำบุญก็จบ ก็ไม่ต้องมีบุญ ก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป เป็นอรหัตตผล ถ้าได้สุดยอดก็เป็นอรหันต์

ส่วนอเนญชาภิสังขาร การสั่งสมความไม่หวั่นไหว คือการรักษาผล เป็นอนุรักขนาปธาน เป็นการทำ แล้วจะเกิด อเนญชา เป็นความตั้งมั่น เป็นความตกผลึกของจิตสมาธิ เรียกว่าการตั้งมั่นของจิต สมาธิคือการตั้งมั่นของจิต ทำซ้ำเป็น อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างที่ทำได้นี่แหละ จนเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา แน่วแน่แนบแน่นปักมั่น จนนิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

ไม่เข้าใจเรื่องบุญ ก็เลยนึกว่า บุญเอาไปแบ่งกันได้อีก เป็นการแบ่งส่วนบุญอีก เป็นการทำที่ตรงกันข้ามกับ พระพุทธเจ้าเลย เป็นอวิชชาที่หนามาก โง่มาก ตอนนี้ก็พูดถึง ธัมมชโยแล้ว

ศาสนามันเป็นอย่างนี้ มีคนไปถามพระ ในย่านปทุมธานี ย่านวัดพระธรรมกาย เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ก็มีหน้าที่ปกครองวัดต่างๆ ผู้ทำผิด เจ้าคณะก็ต้องจัดการ ปรากฏว่า ตำรวจและ DSI ก็ไปบอกเจ้าคณะจังหวัด ให้ช่วยบอกธัมมชโย ออกมามอบตัว รับข้อหาหน่อยสิ เจ้าคณะจังหวัดบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่เป็นหน้าที่ของตำรวจ แล้วหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัด ที่ต้องดูแลปกครอง เป็นหน้าที่อะไร เจ้าคณะจังหวัด ทำหน้าที่อะไร ทั้งๆที่เขาอธิกรณ์โจทก์ท้วงไป ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส หรือพระก็ตาม ท้วงไป สงฆ์ที่ดูแลกัน ก็ต้องนำเข้าสู่สังฆกรรม เรียกผู้ที่ถูกฟ้องนั้น เข้ามาทำสังฆกรรม แล้วความผิดนั้น เป็นความผิดถึงขั้นลักขโมย ปาราชิก เป็นเรื่องของ เอาสมบัติที่ไม่ใช่ของตน เป็นปาราชิกของพระ อธิกรณ์ถึงขั้นปาราชิกเลย แต่พระเจ้าคณะจังหวัด บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ นี่คือศาสนาพุทธในเมืองไทย จะให้อาตมาพูดอย่างไร อาตมาก็พูดความจริง ไม่ได้ถล่มทลายอะไร ก็อ่านตามข่าวตามสื่อสาร เขาว่าอย่างนี้ นี่คือความล้มเหลว ของศาสนาพุทธ ที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เอาภาระ ไม่ทำหน้าที่ บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ ขนาดปาราชิก มีอธิกรณ์มาแล้ว ก็ยังบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ นี่คือ ความเสื่อมของศาสนาพุทธ ที่ชัดเจนที่สุด ที่ตำหนิก็ตำหนิไป ที่ชมก็ส่วนมากไม่ได้ชมส่วนบุคคล เพราะว่าเห็นบุคคลที่ปฏิบัติถูกต้องน่าชม  ก็เท่าที่ตรวจตราดู ว่าท่านศึกษาปฏิบัติอย่างไร ก็เห็นแต่ข้อผิดก็เลยต้องตำหนิ

 

ไม่มีไตรสิกขา ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

ศีลก็ดี วงการศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่มีศีล ยืนยันได้ ทุกวันนี้ ท่านถือแต่วินัย ถามว่า พระมีศีลเท่าไหร่ ท่านตอบกันว่า 227  ซึ่งเป็นวินัยไม่ใช่ศีลเลย ศีลในศาสนาพุทธ มีอยู่ 3 หน่วยคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นอกจากไม่มีแล้ว ละเมิดด้วย เช่น ละเมิดทำเดรัจฉานวิชา รดน้ำมนต์ จุดธูปเทียน บูชาไฟ ทำนายทายทัก สารพัดอยู่ใน พระไตรปิฎกเล่ม 9 มีศีลอยู่ในทุกสูตร 13 สูตร

สรุปแล้ว ศาสนาพุทธทุกวันนี้ ภิกษุไม่มีศีลแล้ว มีแต่วินัย นี่คือความเสื่อม ที่ไม่ได้เอาศีลมาปฏิบัติ ก็ไม่มีไตรสิกขา คือ ศีลสมาธิปัญญา

สมาธิก็ไม่มี เพราะไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 สูตรที่ 1 บอกไว้ ไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติ ฐานของพระพุทธเจ้า คือเวทนา ศึกษาธรรมะ 2 แล้วทำให้พัฒนาเป็นหนึ่ง แยกกายแยกจิตให้ได้ แยก กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นี่คือ โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า คือมีสติปัฏฐาน4 อิทธิบาท4 สัมมัปปธาน4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 มรรคองค์8 แล้วเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ล.31 ข.620

ศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มีแล้ว มิจฉาสมาธิหมด สมาธิที่จะเป็นสัมมาสมาธิ เกิดจากการปฏิบัติมรรค ทั้ง 7 องค์ มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ที่ต้องเลิกจาก มิจฉาอาชีวะทั้ง 5

กัมมันตะ ก็ต้องเลิกมิจฉา 3

ปัญญาจึงไม่เกิด ตามหลักธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า คือ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัย กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ต้องทำเวทนาให้เป็นหนึ่ง ต้องเรียนรู้เวทนา 108 แต่ไม่เห็นใคร ขยายความ เวทนา 108 โดยเฉพาะ มโนปวิจาร เนกขัมมสิตะ 18 กับ เคหสิตะ 18 ต้องแยกให้ออก แล้วเรียนรู้ลดกิเลส จากการเจอผัสสะ

ในเวทนา 6 ก็เรียนรู้ให้เห็นเหตุ กำจัดเหตุ ก็เป็นเนกขัมมะ ก็จะรู้เวทนาในเวทนา ทำให้กิเลสสลายไปด้วยปัญญา มันไม่เที่ยง อย่างรู้แจ้งเห็นจริง กิเลสก็ลดลงๆ ไม่ใช่กดข่มเอา อาตมาบรรยายมา ก่อนบวชอีกนะ เขียนหนังสือ คอลัมน์ธรรมะมาเป็นปีๆ ตั้งแต่เป็นฆราวาส เขียนหนังสือ “คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก” ตั้งแต่เป็นฆราวาส แยกจิตเจตสิกต่างๆ อาตมาไม่มีอาจารย์ เรียนรู้เอง เพราะมีของเก่าไม่ใช่มาเรียนเอาชาตินี้ ก็ฟื้นของเก่า ทุกวันนี้ ยังฟื้นไม่หมดเลย

จนอาตมาเปิดเผยสัจจะความจริงต่างๆมา

 

ทำต้องรู้เหตุปัจจัย ตั้งแต่สังขาร ที่เป็นนามรูปปรุงแต่งกัน เป็นสามเส้า โดยปรุงแต่ง สังเคราะห์สังขารกัน จัดการกันเองในจิต เสร็จแล้วมันก็เกิดผล เมื่ออวิชชา กิเลสมันก็มีอำนาจ มีพลังงานบวกลบคูณหาร กิเลสมันก็ชนะ แล้วก็ไปแสดงความต้องการตามกิเลส พอได้สัมผัสแล้วก็ มารับสัมผัสตามกิเลสตัณหา ตัณหาอยากได้เป็นของตน ได้มาก็สุขชอบใจ หรือเสพรส สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจก็สมใจ ในราคะ ไม่สมใจก็เป็นทุกข์ ก็แย่งชิงกันไป เป็นวิบากต่อกันไปไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ คนที่ไม่รู้ ก็สร้างวิบากใส่ตน วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า นาทีแล้วนาทีเล่า วินาทีแล้ววินาทีเล่า ไม่ได้รู้จักว่า กรรมกิริยาของตนเองที่ทำนี้ เป็นการ บำเรอกิเลสอยู่ตลอด

คนที่ไม่ศึกษาธรรมะ อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงมีแต่สั่งสมกิเลส ให้หนาขึ้นๆ ปุถุ แปลว่าหนา จริงๆแล้วแปลว่า มันเพิ่มขึ้นๆ ทวีขึ้น โตขึ้น ใหญ่ขึ้น มากขึ้น อ้วนขึ้น คือลักษณะปุถุทั้งนั้น แต่ท่านใช้คำว่าหนา คือทั้งอ้วน ทั้งใหญ่ ทั้งโต และผนึกกันแน่นหนาขึ้น คือรวมความ ทั้งความใหญ่โต ความอ้วน ความมาก รวมเข้าแล้ว ก็คือหนา แข็งด้าน ขออภัย อย่างที่ธัมมชโย เขาดึงดันดื้อด้าน นี่คือ หนาแข็งด้าน เต็มรูปเลย อาตมาใช้คำว่า เต็มบ้องเลย คือดื้อด้าน ดึงดัน เฉย ไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งทำ ก็ทำให้คนเบื่อคนเสื่อม แต่คนที่ถูกสะกดจิต ไม่เสื่อมหรอก จะมาสวดมนต์ มาสะกดจิตไป สวดมนต์ไป ก็ไม่รู้ประโยชน์อะไร รู้ผิวเผิน ไม่เข้าเรื่องเข้าราว

อาตมาแสดงธรรมเทศนา มีแต่ตำหนิติเตียน น่าเบื่อ ก็เห็นใจคนฟัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า จงคบแต่คนที่เป็นบัณฑิต ที่คอยตำหนิ จะมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย อาตมาเลี่ยงไม่ออก ที่ต้องตำหนิสิ่งผิด ถ้าผิด แต่ถ้าสิ่งใดถูก ก็บอกว่าถูก แต่คนก็ ไม่ค่อยมีที่ถูกเท่าไหร่

ผู้ที่สนใจศึกษานี้ พากเพียรไปเถอะ คนที่ไม่ศึกษาธรรมะ ทั้งๆที่เป็นสมาชิก หรือว่า เป็นศาสนิกของศาสนา ของพุทธ ก็เป็นพุทธศาสนิกชน แล้วไม่ใส่ใจ ไม่ศึกษาธรรมะ มีศาสนาเพื่อที่จะอาศัย เป็นจารีตประเพณี กับแสวงหาความสมใจ ทั้งที่ศาสนา สอนเพื่อละหน่ายคลาย แต่มีศาสนาเพื่อบำเรอกิเลสสมใจ จึงไปหาศาสนา

ไม่ได้ศึกษาศาสนา เพื่อละหน่ายคลาย เอาออกนะ ไม่ใช่เอาเข้า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาเพื่อที่จะให้เอาออก  แต่กลับศึกษาศาสนา เพื่อที่จะให้ได้อะไร  ศาสนาพุทธสอนเพื่อให้ ละหน่ายคลาย ให้เสียให้หมดเนื้อหมดตัว หมดอัตตา

 

สมณะเดินดินว่า...วันนี้พ่อครู พูดที่จะไปว่าไปด่า ก็เพราะว่าศาสนาพุทธ เป็นสัลเลขธรรม ก็ยากจะปฏิเสธ ก็คือ สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่พระทำผิดกันทั้งบ้านทั้งเมือง เคยมีพวกเรา พาเด็กไปหาพระผู้ใหญ่ ท่านก็นั่งตบยุง เด็กเราก็ถามว่าทำอะไรๆ

เป็นหน้าที่ของพ่อครู ที่จะมาพูด ถ้าฐานะอาตมาไปพูด ก็คงเอาตัวไม่รอด ก็ต้องเป็น ฐานะพ่อครูมีบารมี ที่พูดนี้ให้รู้ฐานะของตนเอง ต้องประมาณว่า ต้องเป็นฐานะผู้มีบารมี ฐานะผู้ไม่มีบารมี ก็เอาตัวให้รอด ให้กิเลสเราหมดก่อน ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:25:28 )

591202

รายละเอียด

591202_พุทธศาสนาตามภูมิ แยกแยะกายคือ จิต มโน วิญญาณ

สมณะเดินดินว่า..วันนี้วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 เวลามันรวดเร็วมาก ดูเรื่องราวที่เราจะทำ ก็ทำไม่ค่อยทัน เมื่อวานนี้ ถ้าเราฟังพ่อครู จะพบว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะเพิ่มความหนาของกิเลสไปเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ปุถุชน เพิ่มความหนาของกิเลส เพราะว่าไปเพิ่มภพชาติแก่ตัวเอง อยู่ในโลกของข่าวสาร ก็เสริมกิเลสไปเรื่อยๆ มีแข่งกันเสริมจมูก พอทำแล้วก็แฟนสนใจ มีคนติดตามหลายหมื่นคน เป็นเรื่องที่เหมือนเป็นสิ่งโก้เก๋ ทำไปแล้วก็นอนร้องไห้ เพราะเจ็บปวดทรมาน ทั้งที่ทุกข์ทรมาน แต่ก็ยังภูมิใจว่าสิ่งที่ทำนี้ มีคนติดตามมีคนชมเยอะใน facebook ของเขา ก็เป็นภพ ที่เป็นความทุกข์ทรมาน แต่เขาร้องว่า นี่เป็นความเจริญ โก้เก๋ พระพุทธเจ้าว่า ภพนี้เหมือนอุจจาระ แม้เล็กแม้น้อยก็น่ารังเกียจ

เมื่อวาน พ่อครูเอาเรื่องผู้วิเศษ ก็เป็นภพของคนที่คิดว่า ตนเองเป็นผู้วิเศษจะทำเหมือนคนธรรมดาไม่ได้ หมอมโนบอกว่า ท่านเคยอยู่ในวัด เขายกให้เป็นเหมือนผู้วิเศษ จะออกมาไม่ได้หรอก แล้วสุดท้าย ผู้วิเศษทั้งหลาย ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็จะถูกฮ่องเต้สั่งตัดหัว ที่ถูกสั่งตัดหัวเพราะว่า ถูกหมั่นไส้ สมัยก่อน ฮ่องเต้เป็นใหญ่ ใครวิเศษแค่ไหน ก็สั่งตัดหัวได้ สุดท้าย ผู้วิเศษ 3 - 4 คนนี้ก็ถูกตัดหัว เพราะถูกหมั่นไส้ สมัยนี้ไม่มีใครไปตัดหัวอย่างนั้น แต่ความหลงความวิเศษ ก็ทำให้เขายอมไม่ได้ ทำให้เขายืนยันว่าเขาชนะ เขาถูกต้อง เขาชนะ วันนี้ตำรวจก็จะเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ ตอนนี้ตำรวจ ให้เจ้าคณะนำหน้าไปก่อน ตำรวจเดินตาม ทาง DSI ก็ร่วมมือกับตำรวจ ตอนนี้ขอห้ากองร้อย มีหน่วยพยาบาลให้ครบเลย แต่เห็นอย่างหนึ่งว่า ที่พ่อครูพยายามให้เรารู้ภพ ที่เราหลงว่า ภพคือความเจริญ​โดยไม่ได้คิดว่า สิ่งที่ยืดเยื้อออกไป คือความเสียหาย เพิ่มความหมั่นไส้ไปเรื่อยๆ แต่คนหลงความวิเศษ ก็คิดว่าตนชนะไปเรื่อยๆ คืออันตรายของคนหลงภพ รู้แต่ว่า เราชนะแล้ว เราดีแล้วเจริญแล้ว พ่อครูก็มาทำให้พวกเรารู้ว่า ภพนี้อันตรายอย่างไร

พ่อครูว่า...ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

จิตที่ฝึกให้เป็นจิตมุทุภูตธาตุ เร็วไว เป็นรายละเอียดของ ประสิทธิภาพจิตวิญญาณ ที่พระพุทธเจ้าออกมาเปิดเผย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อาตมาเรียนตามพระพุทธเจ้ามาถึงป่านนี้ ก็บอกแล้วว่าคือใคร ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ เป็นเรื่องเดาไม่ได้คาดคะเนเอาไม่ได้

คนไทยนี้ก็เรียนรู้ได้ อย่าให้ขณะหายไป ขโณ มา โว อุปจฺจคา อย่าปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปเสีย เพราะผู้ที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ย่อมยัดเยียดอยู่ในนรก ผู้ที่มีอวิชชา แวบเดียวก็เสพภพ เอามาสมใจตนให้ได้ ก็สั่งสมภพชาติ ภพชาตินั่นแหละ คือแดนนรก แล้วหลงว่าเป็นสวรรค์หกชั้น เข้าใจผิดไปสั่งสมภพ

ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะได้สัมมาทิฏฐิแล้วรีบปฏิบัติ ขณะใดก็อย่าให้เป็นภพชาติไปเรื่อยๆอย่าให้ขณะล่วงเลยไป

SMS วันที่ 1 ธันวาคม 2559

0893867xxxฟังพ่อครูอ่านบทความ นักเขียนนักวิชาการเขาเขียน เข้ากับเรื่องที่ผู้น้อยเคยอ่าน เรื่องบทบาทในการรักษาพระธรรมวินัย ของพระธรรมปิฏก (ป .อ.ปยุตโต) ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย! ในวิทยา นิพนธ์ของพระอ.ว.วชิรเมธี!

0893867xxxเนื้อหาในวิทยานิพนธ์ ของพระอ.ว.วชิรเมธี จากหลักสูตรปริญญา พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศ.ม. มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย กล่าวถึงการศึกษาพฤติกรรมวัดพระธัมมกาย มี2ลักษณะ การทำพระธรรมวินัย ให้วิปริต และการประพฤติ วิปริตจากพระวินัย!สกก.

ตอบ...ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่วิปริตหรอก แต่คนเองเป็นผู้ที่มิจฉาทิฐิแล้วก็ปฏิบัติเป็นมิจฉาปฏิบัติ ไปจากธรรมวินัย แล้วก็มีลูกศิษย์ลูกหาด้วย ก็พากันลงนรกเป็นกระบวนเลย ทำให้ลูกศิษย์ลูกหา เข้าใจธรรมวินัย วิปริตไปด้วย เป็นนรกซับซ้อน แต่เขาไม่รู้ตัว พยายามเตือน แต่เขาก็ยึดมั่นถือมั่น หลงตัวหลงตน มีอัตตา

0893867xxxพระอ.ว.ฯกล่าวตรงกับที่พ่อครูเคยสอนว่า นิพพานเป็นอนัตตาแต่ธัมมกาย สอนผิดเพี้ยนออกไปจาก ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ว่านิพพานเป็นอัตตา ผิดหลายเรื่องจริง!  ธัมมกายสอนการบรรลุธรรม เมื่อเห็นองค์พระฯ แต่การบรรลุธรรม ตามพระศาสดา คือเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม! .พระอ.ไพศาลวิสาโล!สกก.

0893809xxxอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ก็ถือเป็นการรู้ ถูกต้องสูงสุด ที่แสดงถึงปัญญาตรัสรู้ ของพระพุทธองค์ มีความหมายของ ภราดรภาพที่สมบรูณ์ เพราะสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ เป็นหลักธรรมสูงที่สุด จึงเรียกว่า อนุตตร เพราะว่าครอบคลุมทั่วทุกสิ่ง เป็นความรู้รอบที่ถูกต้อง

 

จาก Gurusu

กราบนมัสการเรียนพ่อท่านครับ 

 

ผมบังเกิดเห็นความเข้าใจ (สัญชาตสันทิฏฐิโก) ว่า มีความจริงอย่างหนึ่งที่ ผู้เป็นบัณฑิต หรือผู้เป็นธีรเจ้า รู้ว่าควรใช้คำตำหนินำหน้า ก่อนคำชมสรรเสริญ และยังใช้คำตำหนิ ให้มากไปกว่าคำชม หรือนานๆ ทีจึงกล่าวชม  กล่าวสรรเสริญนั้น  ผมเข้าใจว่า

(พ่อครูว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง

คือกล่าวตำหนิก่อน แล้วให้คบบัณฑิตที่ติเราด้วย จะดีถ่ายเดียว)

 

การกล่าวคำชมนั้น อันตรายต่อการก่อภพ ก่อชาติ ให้แก่ผู้ฟัง

การกล่าวคำตำหนินั้น ทำลายภพชาติ ที่จะก่อเกิด"ชาติ"อันไม่ควรก่อเกิด

 

ผมคิดเห็นถูกไหมครับ  ? 

 

ผมคิดต่อไปอีกว่า  คำชมนั้น เมื่อดูตามธรรมชาติ คำชมเหมือนน้ำตาล ที่ผลิตจาก งวงตาล  ดังนั้น ต้นตาลกว่าจะโต กว่าจะผลิตน้ำตาลเป็นคำชมที่รื่นหู จึงต้องใช้เวลานานมาก  บัณฑิตจึงไม่ชมใครง่ายๆ  และไม่ชมพร่ำเพรื่อ จะมีแต่ตำหนิมากกว่าชม

 

แต่ถ้าใครไม่เป็นบัณฑิต คือ ตำหนิไม่เป็นแล้ว ก็คงมีการก่อภพชาติ ให้แก่ผู้ฟังแน่ๆ  คือ ก่อภพพยาบาท ว่า คนนี้เคยว่าเรา

 

ดังนั้น ผู้ที่จะกล่าวคำตำหนิให้เป็นผลดี เกิดบุญได้เช่นนั้น  (คือ เกิดบุญ เกิดการชำระภพชาติ) ผู้ตำหนิจึงต้องเป็นบัณฑิต  หรือเป็น "ธีรบุคคล" ผู้มีปัญญา  (จึงเป็นช้างใหญ่ ถ่ายขี้ได้กองโต  พ่อท่านจึงปรามว่า ใครไม่ใช่ช้างผู้มีกำลัง อย่าเห็นช้างขี้ แล้วหวังจะขี้ เอาอย่างช้าง)

 

ผมมีพระพุทธวัจนะเกี่ยวกับการให้ยาดี มาฝากครับ

 

 [16] บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ (ให้)เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์  (แต่บอกโดย..) มักกล่าวข่มขี่(อย่าง)มีปัญญา [นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ]

 พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ   โทษที่ลามกย่อมไม่มี

 

 

จิต มโน วิญญาณ ต่างกันอย่างไรในความเป็นกาย

_คำถามจากคุณหินแสง

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กาย"นี้ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง 

ขอพ่อครูช่วยอธิบาย

"กาย"ที่เป็นลักษณะอาการของ"จิต" "กาย"ที่เป็นลักษณะอาการของ"มโน"

"กาย"ที่เป็นลักษณะอาการของ "วิญญาณ"ด้วยครับ

ขอน้อมกราบแทบเท้าพ่อครูครับ

 

ตอบ...แล้วต้องพูดอีก พูดอีกต้องพูดแล้ว เอาคำตอบตรงนี้ก่อน

คำว่า จิต มโน วิญญาณ

คำว่าวิญญาณเป็นคำรวม อธิบายถึงพลังงานของจิตทั้งหมด คนจะมีวิญญาณ วิญญาณอกุศล วิญญาณผีนรก วิญญาณของสัตว์สวรรค์ วิญญาณของอาริยะ ธาตุรู้จะมีในนี้หมด วิญญาณคือองค์รวม  แจกเป็นเจตสิก

เจตสิกคือ อาการของจิตที่แยกย่อยลง แยกละเอียดถึงภายใน เป็นพลังงานสุดท้ายเรียกว่า มโน

มโน เป็นองค์คู่ของธรรม คือ ธรรมารมณ์ กับมโนกรรม สุดท้ายเลย ทรงไว้ปลายเลย สรุปว่า วิญญาณเป็นคำกล่าวรวม แจกเวทนาเป็น 108 ก็คือเนื้อวิญญาณหมด แจกสัญญาออกไปอีก แจกสังขาร ที่ปรุงแต่งเป็นสัตว์นรก เทวดาเก๊ เทวดาแท้ ก็ทั้งสิ้น ก็คือแตกเจตสิก

ตัวละเอียดภายในหลังสุด เรียกว่ามโน

 

มูลกรรมฐานเล็บ เวทนาแท้เวทนาเท็จ

ทีนี้ กายกับวิญญาณ กายกับจิต กายกับมโน

กาย คือ องค์ประชุมของรูปกับนาม

กายนี้นอกจากรูปแล้ว มีข้อแม้ว่า ต้องเป็นภายนอก ก็ต้องเข้ามาหา อุทธาหรณ์ มูลกรรมฐานห้า ผมขนเล็บฟันหนัง

ก็เอาเล็บมาอธิบาย เข้าใจได้ง่ายที่สุด

คนที่พิจารณาเล็บของตน ถ้าเล็บของตนถูกตัด เล็บที่ยาวออกมาข้างนอกถูกตัด ก็ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีอาการของเวทนา ไม่มีความรู้สึก ไอ้ที่มันไม่มีความรู้สึก มันก็ไม่ใช่กายของเราแล้ว ทั้งที่มันติดอยู่กับตัวเรานะ เล็บมันเป็นพีชะ เป็นพลังงาน ระดับที่ไม่มีเวทนา เป็นพีชะ ตัดออกไปขาดออกไปได้ ที่ไม่มีเวทนานี้ไม่ใช่กายเรา แม้จะติดอยู่เป็นชีวะกับกายเรา แต่ไม่มีความรู้สึก พีชะไม่มีเวทนา มีแต่สัญญากับสังขาร

เมื่อตัดออกไป ขาดไปแล้ว ไม่มีการเชื่อมต่อกับชีวะ เล็บที่ตัดออกไปแล้วไม่งอกแล้ว หมดชีวะ มีแต่จะสลาย เป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีชีวิตินทรีย์ ส่วนที่ไม่ใช่กายแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนา

ใครพิจารณาอ่านตรงนี้ก็รู้ ถ้ามันยังมีความรู้สึกเจ็บ ก็เป็น อัตตา เป็นเราพอได้ แต่ที่มันไม่มีความรู้สึก ตัดออกไปได้นี้ มันควรจะเป็นเราไหม มันก็ไม่ใช่เราไม่ใช่กายเราแล้ว แต่ถ้ามันเจ็บ แน่นอนมันก็เป็นกาย เพราะมันเป็นจิตนิยาม คนก็ยึดเป็นเรา

แต่คนโง่ๆ ทั้งที่ไม่ใช่กาย อย่างผู้หญิงยึดเล็บเป็นเรา ใครอย่ามาตัดของเรา ทั้งที่ตัดแล้ว มันก็ไม่เจ็บอะไร มันไม่ใช่กาย แต่ก็ยึดเป็นอัตตาตัวตน ของเราอีก ทั้งที่มันไม่ใช่แล้ว

พิจารณากรรมฐานห้านี้ ก็จะรู้ว่า อันไหนไม่ใช่กาย อันไหนไม่ใช่กายเรา แล้วจะยึดถือไปทำไม ยิ่งถูกตัดไปแล้วก็ยึดถืออีก อันนี้โง่มาก

แม้จะเป็นเวทนา เจ็บ ก็ไม่ใช่เรา มันก็อาศัยการปรุงแต่ง

เวทนา ก็มีเวทนาแท้ และเวทนาเท็จ

เล็บคุณ พอมันยาวมา คุณก็บอกว่า เล็บของคุณจะต้องตัดแต่ง ต้องเพ้นท์ให้สวย สวยแล้วก็ชื่นใจ ความรู้สึกที่ชื่นใจ ที่ได้เพ้นท์นี้ก็คือ เวทนาเท็จ คนปรุงแต่ง สร้างมันมาเองทั้งนั้น เล็บจะสวยด้วยธรรมชาติ หรือไม่สวย ก็แล้วแต่ มันก็เป็นความยึดถือเอง จะเวทนาแท้หรือไม่แท้ ก็อยู่ที่ความยึดถือ

 

มาดูเวทนา เวทนาแท้หรือเวทนาเท็จ

ถ้าไปยึดในเวทนาเท็จ ก็ฉลาดน้อย (ฉลาดติดลบ) ฉลาดหารห้า ก็คือโง่คูณห้า

แม้มันจะเป็นความรู้สึกจริง เป็นเวทนาแท้ ก็ยังไม่ใช่เรา จะไปยึดให้ถาวรนิรันดรก็ยึดได้ แต่คนที่พิจารณาแล้วด้วยปัญญา ก็ไม่ยึดถือเอาไว้ แต่เพียงอาศัย เมื่อปรินิพพาน เป็นปริโยสานก็ปล่อย ไม่ยึดถือ เอาเป็นอัตภาพ ที่จะเป็นพลังงานรวมตัวเป็นเราอีกแล้ว แยกไปเป็นเศษ ดินน้ำไฟลมไปแล้ว หมดอัตตา หมดอัตตนียา เป็นที่สุด มันเป็นความจริงที่ว่า มันไม่มีหรอก เป็นอนัตตา

ผู้ที่เข้าใจแล้ว ก็เอาไว้เพียงอาศัย อย่างเช่นอาตมานี้ จะอาศัยอยู่ไปถึง 151 ปี

 

ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร

มาอธิบายคำว่ากาย ให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก มีคำถามแทรกมาอีกว่า คำว่าภพ กับคำว่าภูมิ จะต่างกันอย่างไร ในรายละเอียด

ในรายอนุโลมก็อันเดียวกันได้

แต่ถ้าภพคือรูป ภูมิคือนาม ภูมิคือความรู้ ภพคือ แดนเกิดแดนเป็นแดนมี

ภพคือจิตที่ยังมีความอยากมีตัณหา  ภูมิของผู้มิจฉาทิฏฐิคือมีตัณหา แต่ถ้าภูมิ ของผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิคือปัญญา ญาณของพุทธะ

ก็ถูกต้อง

 

การไปยึดภพหรือภูมิ ยึดขึ้นมาก็เป็นอัตตาทั้งนั้น ถ้าคุณยึดภพ คุณก็ยึดรูป ยึดสิ่งที่เป็น ดินน้ำไฟลม เป็นอากาศ แม้จิตว่างๆ ก็ปั้นเป็นวิมานในอากาศ เป็นสวรรค์ก็ปั้นได้ ทั้งที่ไม่มีแดนอะไร ให้ไปเดินชนได้ ถ้ามันมีก็อย่างว่า ส่งจรวดไปชนได้แล้ว หรือขุดไปเจอนรก ตั้งนานแล้ว แต่เป็นลมๆแล้งๆ ที่คุณยึดขึ้นมาเอง นี่คือ ภพกับภูมิ

 

เจาะลึกคำว่า กาย

มาเจาะลงที่คำว่า กาย

คุณจะสามารถรู้ว่า ตนเองหมดอัตตา มีอัตตาแล้ววางลงได้ เช่น ขณะที่จิตของคุณ มันไปยึดว่า เล็บนี่ของเรา ทั้งๆที่มันไม่ใช่กายแล้ว คุณก็ไปยึดว่าเป็นเรา ก็คือคุณมีอัตตา แต่ถ้าเข้าใจว่า มันไม่ใช่กายแล้ว จะไปยึดเป็นเราทำไม ใครจะมาตัดเล็บและออกไป คุณก็ไม่อาลัยอาวรณ์ คุณก็ไม่ทุกข์สุขกับมัน ก็รู้สึกเฉยๆ นั่นคือคุณไม่มีอัตตาแล้ว หมดอัตตาแล้ว

ขนาดมันเป็นเล็บ มีเวทนารู้สึกได้ด้วย มันก็ยังไม่ใช่ เพราะในที่สุด ก็ต้องพรากจากกันในที่สุด เมื่อคุณเข้าใจแล้ว ก็ไม่ยึดถือ ถ้ามันต้องมีวิบาก จะต้องเป็น ก็พยายามหลบเลี่ยงเอา ก็เท่านั้นเอง ก็ได้แค่อาศัย มันเลี่ยงไม่ได้ จะไปสร้างให้มันเจ็บเอง ก็เรื่องของคุณ ถึงเวลาที่จะปรินิพพาน มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

พลังงานที่ไม่ได้ยึดถืออะไรไว้เลย ก็สูญได้

คนที่ไม่ได้ยึดถือเป็นตัวเรา เป็นของเรา ตั้งแต่สิ่งที่ไม่ใช่กาย สิ่งที่ไม่ใช่เวทนา สิ่งที่ไม่ใช่สัญญา สัญญาเป็นตัวที่จะไปกำหนดเรียนรู้ เป็นตัวต้นของปัญญา

เป็นตัวตนของปัญญาตรงที่มัน อัญญา เป็นความรู้ระดับโลกุตระ แต่ถ้าเป็นความรู้แบบโลกียะ เรียกว่า เฉกา ไม่ใช่อัญญา

อัญญา เป็นตัวต้นของความรู้โลกุตระ คนแรกของโลกุตระคือ อัญญาโกณทัญญะ _ อัญญาสิ วตโพ โกญทัญโญ

อาตมาว่า พวกเราผ่านจุดโสดาบันแล้ว สัญญาที่เป็นโลกุตระ เป็นขั้นต้นของปัญญามาแล้วก็ตาม รู้ว่าอันนี้หยาบ เป็นอบายภูมิ ก็หมดภพแล้ววางเฉยได้ เลื่อนชั้นเป็นสกิทาฯ อนาคาฯ ก็มาได้เรื่อยๆ

ถ้าพิจารณากายในกาย กายนอกกาย พิจารณาเห็นว่า อันไหนไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็ใช้สัญญากำหนดรู้ว่า ยึดจริงหรือไม่ยึดจริง ถ้ามีปฏิภาณความรู้ ก็จะวางได้ทันที ถ้าไม่มีปัญญา ก็ค่อยสั่งสม ปัญญา ปัญญินทรีย์ เต็มก็เป็นปัญญาพละ ก็ต้องเกิดจากของจริง ต้องมีการสัมผัสเป็น มัคคังคะ มีกายสัมผัส แล้วอ่านของจริง มันถึงจะเป็นจริงทุกปัจจุบัน  ปัจจุบันคือ ขณะที่มีองค์ประกอบครบเห็นภายนอกด้วย ยิ่งสิ่งที่มันไม่ละเอียดเกินไปนัก คนอื่นก็ร่วมรู้ได้ทันที แม้สิ่งที่ละเอียด คนอื่นก็พอรู้ได้บ้าง มันจะไม่ใช่รู้คนเดียว ต้องมีคนอื่นรู้ด้วย จึงเรียกว่า เป็นสัจจะ ยิ่งคนทั้งโลกรู้ได้เลย เช่นอันนี้สีแดง คนประสาทตาไม่เสีย ก็เห็นเหมือนกัน นอกจากคนตาบอดสี แดงคือแดง ตรงคือตรง เหลี่ยมคือเหลี่ยม สัมผัสรู้ร่วมกัน จะเรียกว่า สมมุติสัจจะก็ตาม

เช่นคนก็บอกว่า แสงเดินทางตรง แต่อาตมาก็รู้ว่า แสงเดินทางโค้ง อาตมาก็นึกว่า ตนเองรู้เป็นคนแรกในโลก แต่น้องเขยบอกว่า ไอน์สไตน์รู้มาก่อน สามารถอธิบายเป็น pattern ได้ด้วย เขาก็หาหนังสือไอน์สไตน์มาให้ จึงเร่ิมรู้จัก E=mc2 ก็เลยรู้ว่า ไอน์สไตน์เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆ เช่นเดียวกันกับที่ อาตมาได้ยิน พระดำรัสของในหลวงว่า ต้องมาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา​ ก็รู้ว่าไม่ใช่ธรรมดา นักเศรษฐศาสตร์ ทั้งหลายในโลก จะพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ก็เลยรู้ว่า ในหลวงไม่ใช่คนธรรมดา เป็นสิ่งที่รู้เกินสามัญโลกียะ

แล้วยิ่งพระองค์ทรงงาน อย่างสะอาดบริสุทธิ์ ก็ยิ่งจริงๆเลย นี่เป็นธาตุรู้ของผู้รู้ ที่มีปัญญาจริง มีความรู้ลึกซึ้งวิเศษ ในระดับปัญญา โลกุตระ ในระดับที่ไม่ใช่เป็นสาธารณปุถุชน มันเป็นเรื่องของโลกุตระ ที่อาริยะเท่านั้นจะรู้ได้ ที่จะเข้าใจสิ่งนี้ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องสามัญของปุถุชน ไม่ใช่สาธารณะของปุถุชน เป็นเรื่องที่จริงที่ยิ่งใหญ่

เมืองไทยเราเกิดสิ่งนี้ เป็น a bomb of love ที่ไอน์สไตน์มีภูมิปัญญาเป็นพระโพธิสัตว์ ได้พูดเอาไว้ เพราะว่าไอน์สไตน์ มีอนาคตังสญาณ แกเอาของเก่ามาพูด แต่แกคิดว่าเป็นจินตนาการ แต่แท้จริงไม่ใช่ มันเป็นภูมิเดิมของแก ก็เอามาให้คนอื่นทำได้ แกก็นึกว่าเป็นจินตนาการ แต่แท้จริงเป็นภูมิเดิม ไอน์สไตน์ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ ขออภัย ในหลวงก็ไม่รู้ ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ท่านก็ประพฤติสิ่งนี้จริง อย่างบริสุทธิ์สะอาด

 

กายของเล็บ อัตตา ไม่เป็นอัตตา

ไปถึงคำว่า กาย

 เล็บ ถ้าผู้ใดชัดเจนในความรู้ว่า เมื่อใดมันเป็นอัตตา เมื่อใดไม่เป็นอัตตา เล็บ ถ้าคุณเข้าใจว่า มันไม่เป็นอัตตาก็ต่อเมื่อ ไม่ใช่องคาพยพของเรา ตัดออกไปก็ถูก เป็นเบื้องต้นง่ายๆ มันเป็นคนละส่วนกับ องคาพยพของตัวเรา ก็ตัดออกไปแล้วแล้วเราก็ไม่มีเวทนา

คนเริ่มเข้าใจว่า มันไม่ใช่กาย มันไม่ใช่ตัวเรา คุณ ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เล็บนี้มันก็ไม่เจ็บปวด ไม่เดือดไม่ร้อนอะไร แต่ถ้าคุณยังยึดถืออยู่ มันก็เป็นอัตตา ยังยึดเป็นเรา แต่ถ้าไม่ยึดเป็นเรา ก็ไม่เป็นอัตตา ไม่ใช่กาย ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่อัตตา ยิ่งตัดออกไป ก็ยิ่งไม่ใช่อัตตา คนนี้เป็นคนไม่มีอัตตากับเล็บ มันเป็นพีชนิยาม เท่านั้น

ถ้าจิตนิยามคุณยึดเป็นเรา ก็มีอัตตาในจิตนิยาม แต่ถ้าคุณเข้าใจได้ว่า แม้เล็บส่วนที่เจ็บได้ มันก็ไม่เที่ยง ไปยึดเป็นเราก็เป็นอัตตา ก็พยายามรักษาไม่ให้เจ็บ

ถ้ามันเจ็บก็ไม่สมดุล มีสิ่งกระทบกับเล็บ ก็พยายามอย่าให้เกิด ให้ระงับ หยุดสิ่งที่ขัดแย้งไปไม่รอด แล้วเกิดพลังงานที่ใช้งานอยู่สะดุด ก็เกิดอาการเจ็บหรืออาการอื่น ก็จะเข้าใจได้ว่า ถ้าแม้มันเจ็บ ก็เพราะว่า มีเหตุปัจจัยไม่สมดุล เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างอาตมา เจ็บอย่างนั้นอย่างนี้ หมอก็ยังหาเหตุไม่ได้ มันจะไปทั้งชาติก็แล้วไป ว่ามันจะมากขึ้นหรือน้อยลง

สำหรับวิบาก เรื่องถูกคนทำร้าย ก็ยังไม่เคยมีใคร มาถีบมาเตะในชีวิต ทั้งที่อาตมา ยียวนไม่เบานะ มันควรจะได้เจอ แต่ไม่เจอ อันนี้ก็เห็นว่า เป็นวิบากดี แต่อย่าไปหลงทำยียวนเพิ่ม สักวันก็เจอจนได้

 

 

มาถึงระเบิดรัก ที่เกิดในเมืองไทยขณะนี้

เขารักอะไรในในหลวง รักพฤติกรรมดีของในหลวง ที่รับใช้ประชาชน รับใช้ในฐานะที่เป็นในหลวง ท่านก็ไม่ได้ถือเนื้อ ถือพระองค์อะไร ไม่ได้ถือเนื้อถือตัว ก็ทำตามฐานะ ไม่ได้ดูน่าเกลียด ไม่ดูน่าชัง แต่กลับน่าบูชาเคารพนับถือ ไม่ถือเนื้อถือตัว แล้วไม่ดูน่าเกลียด สิ่งเหล่านี้ มีองค์ประกอบที่ละเอียดลึกซึ้ง อาตมาก็อยู่ในฐานะ ที่จะไปเหมือนในหลวงไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ของใครก็ของใคร ต้องมีสัปปุริสธรรม 7 ประการต้องประมาณให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก สัปปุริสธรรม7

ทั้งอัตถะ ธรรมะ ตัวเราก็เท่านี้ ก็ต้องประมาณกาละ ทั้งหมู่กลุ่ม ปริสัญญุตา กลุ่มนี้เขายึดถืออย่างไร เชิงไหน ก็ต้องเข้าใจรายละเอียดซ้อน ปริสัญญุตา แม้แต่พวกเราแต่ละคน ปุคคลปโรปรัญญุตา ไม่เหมือนกันต้องเข้าใจรายละเอียด แล้วเอามาประมวลกัน เรียกว่าจัดการมัตตัญญุตา จัดการประมาณ ให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะ ไม่ขัดแย้งกันมาก

การขัดแย้ง ที่พอเหมาะได้พลังงานสูงสุด การขัดแย้งที่พลังงานไม่พอ ก็ไม่เกิดผลดี การขัดแย้งมากไป ก็ไม่เป็นผลดี ศึกษาธรรมะแล้วจะรู้จัก จัดสัดส่วนพลังงาน

พลังงานคือจิต แม้ออกมาเป็นกาย วจีก็มาจากจิต มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ต้องศึกษาสัปปุริสธรรม 7 ก็ประมาณได้ดี

เมืองไทยมีความรู้โลกุตระ ที่จะเป็นชมพูทวีป ในปลายภัทรกัปป์นี้ ความรู้นี้อยู่ในประเทศไทย จนกว่าจะหมดยุค เป็นตัวตั้งของชมพูทวีป เลื่อนมาจากอินเดียแล้ว ใครจะเอากลับไปอินเดียนั้น อย่าฝืนเลย ขออภัยนะ ไม่ได้หมายความว่า ไม่ช่วยอินเดียเลย ก็จะมีคนเอาไปเอง แต่อย่าเอามิจฉาทิฏฐิไป เขาก็ทำอย่างอวดดีของเขา มันจะเป็นธรรมชาติ

 

บารมีสิบทัศ

ตอนนี้ เรามาเรียนรู้ให้ดี ความประเสริฐของมนุษย์ก็คือ สรุปลงตรงที่คำว่าทาน หรือคำว่าให้ เพราะฉะนั้น ในบารมีสิบทัศ เริ่มด้วยทาน

ให้อย่างไม่มีภพชาติ  อันนี้คือโลกุตระ ถ้าให้อย่างมีภพชาติอยู่ หวังอะไรมาก ต้องได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ดิน อำนาจ คนนี้ไม่ได้อะไรเลย มีแต่หนี้ทั้งเพ หนี้ภพชาติที่คุณไปสร้างเองนะ โง่เองนะ

ผู้ใดให้แล้ว ทำใจในใจ เป็นมนสิกโรติ หรือมนสิการ อย่างถ่องแท้แยบคายลงถึงที่เกิด ก็คือทำใจในใจเป็น ทำใจในใจให้ไม่มีภพชาติ ไม่ให้มีอาการหวัง พอทำเป็นกันไหม ฝึกก็จะช่ำชองทำได้ชำนาญ

คนที่ไม่ได้เข้าใจ ก็ล้วนแต่ทำขณะ ให้เป็นนรกทั้งนั้น ล้วนแต่ทำอัตตา ให้เป็นนรกทุกขณะ น่ากลัวไหม? คนไม่ได้ศึกษาจริงๆนี้ จะรู้หรือ? เขาไม่รู้เรื่องแล้วจะทำไหม ภพชาติ เขาก็ทำใส่ตัวเองไป สร้างภพชาติทุกขณะ ท่านถึงบอกว่า พวกนี้ ก็จะไปกองอยู่ในนรก ต่างคนต่างไม่รู้ ต่างคนต่างแข่งกันสร้างภพชาติ ขออภัยอย่างธัมมชโยกับพวก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เอามายกอ้างได้ ก็ต้องขอบคุณเขา แต่ไม่อยากให้เขาเป็นหรอก เพราะมันเป็นนรก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะคุณสมัครใจจะเป็น ก็ได้แต่เห็นใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย

เมืองไทยแสนดี ไม่ลงมือไม่ทำแรง ถ้าเป็นประเทศอื่นไม่เหลือ ยิ่งยั่วหมั่นไส้แบบนี้ นี่ประเทศไทยสุดยอดสุภาพ สุดยอดประเสริฐ

ในบารมีสิบทัศ ผู้ที่ทำใจในใจหัดให้ ผู้จะให้ได้เริ่มต้น ต้องมีศีล

ศีลข้อ 1 คือให้ชีวิตสัตว์

ศีลข้อที่ 2 ต้องอย่าเอาของคนอื่น ต้องให้ของคนอื่น อย่าไปเอาของคนอื่นที่ไม่มีสิทธิ์ ต้องให้เขา ให้ชีวิต ให้ข้าวของวัตถุ ให้กำลังงาน ให้แรงงาน ให้ความรู้ คุณได้ให้ คุณก็สุด

ศีลข้อ 3 การสัมผัสรส เรียนรู้ตั้งแต่รสชาติ จากหยาบที่อร่อยสนุกเพลิดเพลิน เป็น ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นปหาสะ เป็นความสนุกเพลิดเพลิน พอใจ อร่อย เป็นอัสสาทะ ต้องอ่านอาการพวกนี้ให้ได้ มันจะเป็นรสอร่อยที่ หยาบแล้ว เป็นความสนุกสนาน ที่หยาบแล้ว เปลืองทั้งเวลาแรงงาน เป็นอัตตา เป็นภพชาติ ก็อย่าเลย คุณก็รู้ของคุณ แล้วก็เลิกละให้ได้

สรุปแล้วมิจฉาสาม คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร

กายวาจาใจ ที่จะปรุงแต่งเป็นมิจฉาสาม แล้วยุติเป็นอัตตา ตัวตน ก็เลิกรักในสิ่งที่อยากนั้น  จากนั้นก็เป็นวาจาที่เกี่ยวข้องกับอันนี้

ข้อที่ 5 ศีล 5 ก็คือมโน  เริ่มต้นตั้งแต่ภพหยาบ เรียกว่าอบาย สุรา เมรยะ มัชชะ ต้นที่หยาบที่สุด ก็ลดละไป โดยแบ่งทำตั้งแต่ศีล 5 ก็ของใครของมัน กำหนดเอง เราจะเลิกในเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง มันเป็นเรื่องเท็จ เหลวไหล ไม่มีตัวตน รสที่เป็นความสนุกเป็น ขิฑฑาปโทสิกะ

มโนปโทสิกะ เป็นสายอัตตา

ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นสายกาม

พวกอัตตา คือภพชาติเป็นวิมาน อย่างของธรรมกาย เอาทั้งที่สวยงามเอร็ดอร่อย เป็นภพชาติ เขาเอาหมด แล้วเชยและแข็ง ทั้งกระด้าง ไม่ได้เรื่องเลย แล้วเขาก็เป็นภพชาติของเขา เมื่อคุณไล่ไปจาก ทาน ศีล เนกขัมมะ

เนกขัมมะ คือเอาออก คุณต้องรู้ว่า คุณยึดถืออะไร การเอาออกก็คือ การให้โดยตั้งศีล ตั้งหลักเกณฑ์ แล้วก็เอาออกให้ได้ ปล่อยออกให้ได้ ล้างออกให้ได้ เนกขัมมะ

คุณทำไปก็จะมีปัญญากำกับ ในบารมีสิบทัศ ให้ แล้วก็ศีล เนกขัมมะ ปัญญา

ก็มาสำเร็จที่ให้ ขยับมาที่ศีล เนกขัมมะ ปัญญาก็ทำเพื่อให้ แล้วมีวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานอีกสี่ ในบารมีสิบทัศ

วิริยะก็ต้องเพียรทำ ขันติต้องอดทนเอา ต้องให้เป็นจริง สัจจะต้องจริง ทั้งปรมัตถ์ ทั้งสมมุติ ทั้งภายนอกและภายใน ครบสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ได้ข้างนอกแล้ว เหลือข้างในเป็นรูปภพ อรูปภพ ก็ค่อยมาทำ

เสริมด้วย วิริยะ ขันติ สัจจะ ได้แล้วก็ตั้งต่อไปเป็นอธิษฐาน ตั้งจิตไปตามลำดับ จนหมดครบ ไม่ต้องตั้งอีกแล้ว ได้สมบูรณ์ครบหมดแล้ว จบสิ้นแล้ว อีกสี่ตัวเสริมคือ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน จนจบหมด ก็ไม่ต้องตั้งอีก

เมื่อครบบารมี 8 ก็เหลือ เมตตา อุเบกขา ได้จิตเป็นกลาง จิตไม่บวกไม่ลบไม่ดูดไม่ผลัก รู้ว่าจิตมีปัญญา รู้ว่าเป็นกลางเป็นอย่างไร แล้วก็ทำงานช่วยคนดี อยู่กับคนดี ส่งเสริมคนดี สนับสนุนคนดี มีเรี่ยวแรงเท่าไหร่ ก็ช่วยในหมู่คนดี เพื่อให้สิ่งดีนี้ เกิดสร้างสรร อยู่ในสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่ว่าเป็นกลาง คือไม่ช่วยใคร ไม่ทำอะไร อยู่เฉยๆ อันนั้นมันเป็นกลาง อย่างมิจฉาทิฏฐิ เป็นกลางอย่างไม่มีปัญญา ไม่รู้จักสัจจะ ลัทธิพุทธไม่ได้เป็นกลางอย่างนั้น กลางของพระพุทธเจ้านั้น มีประโยชน์คุณค่า

ผู้ใดมิจฉาทิฏฐิ นึกว่าเป็นกลางคืออยู่เฉยๆ ใครจะชั่วจะดี ก็อยู่เฉยๆ อาตมาเคยบอกว่า เป็นกลางที่ไม่เข้าท่า เป็นกลางมีสามอย่าง

1 เป็นกลางที่เข้าใจผิดว่า ต้องอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปช่วยอะไรใคร

2 เป็นกลางอย่างอยู่เฉยๆไม่รู้เรื่อง

3 เป็นกลางเพราะกลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันนี้เป็นกลางมีอัตตา ตัวเองมีส่วนตัวเองอยู่ ก็ไม่ใช่ความเป็นกลางที่ถูกต้อง

ถ้าเข้าใจถูกต้อง จะเป็นประโยชน์คุณค่า ต่อมนุษยชาติ  เป็น  พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

อาตมาตั้งใจจะช่วยโลก จะทำให้ตนเอง เจริญสูงสุด จนถึงเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง อันนี้พูดอย่างเป็นวิชาการ ไม่ได้คุยตัวอะไร ตอนนี้ได้โพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ต้องทำต่อไปอีก ไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ยุคนี้ไม่ใช่หาง่าย อย่างอาตมานี้ แต่ก็ต้องทำ ต้องพากเพียร และอาตมาก็ไม่ขอเป็น พระพุทธเจ้าสองสมัย ไม่เอา แค่สมัยเดียว ก็หืดขึ้นคอ ใครจะทำ 2 สมัย ก็อนุโมทนา อย่างพระอวโลกิเตศวร จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่จะเป็นโพธิสัตว์ ช่วยสัตว์ได้หมดเอกภพนี้ ก็จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย ท่านจะเลิกทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่ใช่ของเสีย เป็นของที่ดีต้องอนุโมทนากับท่าน

คนที่ไม่เชื่อ เรื่องลึกซึ้งอจินไตย ก็น่าเห็นใจ เพราะไม่ใช่สาธารณปุถุชน แม้เป็นโสดาบัน ก็อาจไม่เชื่อนัก เป็นสกิทาฯก็เชื่อขึ้นมาบ้าง ตามภูมิ

ในบารมีสิบทัศ สุดยอดอยู่ที่การให้

ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ปัญญาจะเป็นตัวรู้แจ้งรู้จริง ให้เกิดการให้ให้ได้ แล้วก็ทำตามไปลำดับของศีล  อันไหนล้างไม่หมดก็เนกขัมมะ เอาสิ่งที่ไม่เจริญเป็นอกุศล ออกให้หมด แล้วจะรู้ด้วยปัญญา ที่เป็นธาตุรู้ที่แท้จริง กำกับอยู่ตลอดเวลา นี่คือ สภาวะธรรม แล้วก็ลึกซึ้งละเอียด ก็ต้องทำต่อไป วิริยะ ขันติ สัจจะ ทำอีกเพิ่มขึ้นอีก อดทนทำไปอีก ได้อีก ก็ตั้งจิตต่ออีก เป็นอธิษฐาน จนหมดครบถ้วน ไม่ต้องตั้งอีกแล้ว จบแล้ว เป็นพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งแล้ว ก็หยุด จบ เหลือสมบัติที่คุณมี เป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศยอด เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คุณก็ช่วยโลกไป ด้วยเมตตาแล้ว ก็มีฐานอาศัย คืออุเบกขา เป็นที่พักเป็นดุสิต

อุเบกขา คือ ดุสิตเป็นที่พัก ดุสิตไม่มีสถานที่ตัวตน เป็นภพชาติอะไร ดุสิตคือ อาการที่คุณพัก รู้จักพักรู้จักเพียร อัปปฏิฐัง อนายูหัง

เทวดามาถามพระพุทธเจ้าว่า พ้นฝั่งนิพพานคืออะไร เอาแบบสั้นๆ คุณสมบัตินิพพานคืออย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัปปฏิฐัง อนายูหัง นั่นคือผู้ที่บรรลุอรหันต์ ข้ามภพโอฆสงสารได้แล้ว เทวดารู้เรื่อง ก็สว่างไปเลย คนไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้

ในเมืองไทยให้ธรรมะพุทธศาสนา พุทธศาสตร์ ให้มีพลังงานที่จะกลิ้งพุทธจักร ให้ไปครบ 5000 ปี ของศาสนาพระสมณโคดม สร้างบารมีของพระพุทธเจ้าสมณโคดม คนอาจคิดว่า แค่ห้าพันปี ก็ไม่มีบารมีเท่าไหร่ อย่าคิดเช่นนั้น

มันลึกซึ้งที่ว่า ถ้าเป็นสัจจะอันเดียวกันนี้ แม้แวบเดียว ก็มีค่าเท่ากับหมื่นกัปป์

ถ้าจะเป็นพระพุทธเจ้า ที่อายุยืนยาวเป็นล้านปี ก็ต้องมีเหตุปัจจัย มากกว่านั้น ที่จะประกอบเหตุปัจจัย ให้ได้เป็นล้านปี หนักไหม ยากไหม แล้วพระพุทธเจ้าองค์ที่ท่านเข้าใจแล้วว่า ถ้าจะทำให้ได้อันนั้น ท่านเองก็ทำได้ แต่ท่านจะไปริษยาองค์ที่ทำได้ล้านปีไหม ท่านก็ไม่ได้ริษยา ท่านก็รู้เหตุปัจจัย จะทำก็ทำได้ แต่ท่านรู้เหตุปัจจัยแล้วไม่ทำ ก็เป็นสิทธิของท่าน มันไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร อย่าไปตีค่า ที่สิ่งเล็กสิ่งน้อย หรือสิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นสัจจะ แล้วก็อันเดียวกันหมด ผู้ที่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หมดจบ ไม่ได้มีริษยา เป็นอรหันต์แล้วก็หมดริษยา เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ต้องไม่มีริษยา

ก็จบลงที่เหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านี้ มันก็เป็นเท่านี้ ถ้าเหตุปัจจัยมากกว่านี้ มันก็มีมากกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร

สรุปแล้ว 4 องค์แรกของบารมี คือสิ่งที่ปฏิบัติจริง

ให้ ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ส่วนสี่องค์หลัง คือวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน คือพลังงานเสริมหนุน พลังงานสี่นี้ ทำจบแล้ว ก็เหลือธรรมะ 2  เมตตา กับ อุเบกขา

เมตตาคือ คุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หรือพระพรหม รับใช้สิ่งที่ควรทำ ให้แก่ปวงชน ด้วยความสุจริต ด้วยพระบริสุทธิคุณ ด้วยพระกรุณาธิคุณ ด้วยพระปัญญาธิคุณ เป็นสามเส้าของตรีมูรติ ก็เป็นเช่นนี้ ในความเป็นพลังงาน ที่วิเศษที่สุด ของอัตภาพแต่ละอัตภาพ ก็ทำให้เกิดอุเบกขา แล้วมีปัญญาช่วยโลก ส่วนจะปรินิพพานเมื่อไหร่ ก็เป็นสิทธิของคุณ ไม่แน่นะ อาตมาอาจจะเป็น พระพุทธเจ้าสองสมัย ก็ได้นะ เอาสักสามสมัยก็ได้ อย่างน้อย ก็ไม่ให้น้อยกว่าโอบาม่า

ในสิ่งเป็นสัจจะเหล่านี้ พูดเหมือนเล่นแต่เป็นจริง โลกมันเครียดก็สนุกนิดหน่อย

 

ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ

ขิฑฑาปโทสิกะ ก็คือเชิงกาม พวกที่ไม่เอากามก็เอา อัตตา จะหลงทำให้แน่นแข็ง อย่างพวกนั่งหลับตา ให้ดิ่งดับแข็งนิ่งไป ไม่รับรู้ อย่างนี้ก็พวก สุภกิณหาพรหม ส่วนพวกอาภัสราพรหม อย่างธรรมกาย เป็นพวกที่หลงใสสว่าง พริ้งเพรา พวกนี้เหนื่อยฉิบหาย ไม่เหมือนพวกที่ดับ จะไม่เอามาก เหมือนพวกที่ใสสว่างนี้ เขาก็หลอกกัน ให้มีมาก ให้ใหญ่ ให้มีหรูหรา มีสวยงาม อะไรต่างๆนานา สารพัด เอาอย่างที่โลกเขาเป็น เหมาทั้ง ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ มโนเป็นโทษจิตเป็นโทษ ไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้จักจิตมโน วิญญาณ​ มีแต่สร้างให้มีกับมี มีไม่มีที่สิ้นสุด ลัทธิอย่างธรรมกายนี้ ไม่วันนี้ที่เขาต้องเจออุปสรรค วันหน้าต่อไป เขาต้องเจอ เพราะเขาจะเป็น ตัวกูของกูไม่หยุด เขาไม่เจอในวันนี้ ก็ต้องเจอในวันหน้า ใครจะไปยอมตลอด ที่จะให้รีดนาทาเร้น ไปตลอด เขาต้องเจออุปสรรค ไม่วันใดวันหนึ่ง นี่ก็เจอแล้ว เขาแพ้ไม่เป็นด้วย ก็จะต้องหนัก เขายิ่งดึงดันเท่าไหร่ มี action ก็จะมี reaction เขาไม่รู้ตัวหรอก ดูว่าเขาจะหมดน้ำยาเมื่อไหร่ คำว่าน้ำยา คือเขายึดมั่นถือมั่น ถ้าเขาไม่ยอม สุดอดสุดทน

คำว่า สุดอดสุดทน ไม่ใช่ว่า จะไม่มีผู้สุดอดสุดทน แต่คนที่เขาไม่ทนแล้ว เขาบ้าดีเดือดได้ คนนี้จะเป็นคนเผด็จศึก ก็อยู่ที่กรรมวิบาก ที่เขาจะหาเรื่อง ให้คนมาเผด็จศึก ให้สมใจสมน้ำหน้า เขาจะทำ เขาทำยั่วยวนเอง

การยั่วยวน อย่างธัมมชโย กับที่คานธีทำ แล้วคนมายิง (คานธีไม่ได้ยั่วยวน) คานธีไม่ได้ทำด้วยอกุศล แต่ธัมมชโยนี้ทำด้วยอกุศล เขาจะต้องได้รับผล จากสิ่งที่เขาทำ นี่คือ ความละเอียดลึกซึ้ง

สมณะเดินดินว่า...คานธี รู้ตัวเองเหมือนกันว่า จะต้องถูกยิงตาย

พ่อครูว่า..แต่ธัมมชโยเขาไม่รู้ นี่คือสัจจะ ที่เราจะต้องดูไป 

ขณะนี้ ความรู้ที่อาตมาเอามาขยาย ยังไม่มาก แต่สำคัญ คำว่ากาย คำว่าบุญ คำว่าสมาธิ

 

เป็นคำสำคัญ ที่ต้องรู้จักสภาวธรรมแท้จริง และปฏิบัติถึง จะมีมรรคผล ถ้าไม่รู้จักคำว่ากาย ที่เป็นธรรมสอง แล้วทำให้เป็นหนึ่ง จะต้องรู้ว่า อีกอันหนึ่งไม่ควรให้มี ก็ต้องรู้วิธีทำให้ไม่มี แล้วคนไม่รู้ ก็ทำไม่ได้หรอก ไม่มีทาง ขนาดเรารู้ ก็ยังไม่ใช่ง่าย แต่ผู้มีบารมีสูงก็จะทำได้ ไม่มีใครทำให้เราได้ เราต้องอุตสาหะพากเพียรด้วยตัวเอง

 

อโศกต้องมีกองทัพธรรม

ขณะนี้เมืองไทยเป็นโอกาส เป็นองค์ประกอบ มีองค์ประชุม มีเหตุปัจจัยครบพร้อม อย่าเสียโอกาส เข้ามารวมเข้ามาร่วม ร่วมสร้างร่วมทำ โอกาสที่จะมีเหตุปัจจัย ตัวตนบุคคลเราเขา มีโอกาสเรื่องราวเหตุการณ์สารพัด หลายอย่างอาตมาพาดพิงไม่ได้ แต่เท่าที่พาดพิงถึง ก็เยอะแล้ว

จงมาเถิด มันเป็นโอกาส ที่ครบพร้อมจริงๆ เป็นเหตุปัจจัยทั้งนั้นเลย นี่คือของจริง สุดยอด พวกเราชาวอโศก คนจะไม่รู้ ชาวอโศกได้ชื่อว่า เป็นกองทัพธรรม ไม่ได้อยากได้ ไม่ได้สรรหา ว่าเราจะต้องเป็น ชาวกองทัพธรรม แต่มันต้องเป็นกองทัพธรรม ใครๆก็อยากได้ อิสลามยังอยากได้เลย คำว่ากองทัพธรรม แต่เขาเอาไปไม่ได้ มันไม่คือ ตอนนี้เขาไม่กล้าแล้ว เพราะอัตตาเขา แต่ก่อนเขาพยายามแย่ง แต่แย่งไปไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัย มันต้องเป็นของชาวอโศก อาตมาพูดได้แค่นี้ ว่าจะต้อง เป็นของชาวอโศก กองทัพธรรมนี้ ก็ค่อยไขความไป แล้วจะเป็นจริง

ยุคพระสมณโคดม ไม่มีอะไรมาก อาตมาเอาหน่อเนื้อเชื้อ มาจากสมณะโคดม มี DNA ของพระสมณโคดม มาจนถึงทุกวันนี้ ก็ DNA น้อย พระสมณโคดมก็มีน้อย แล้วอาตมาจะเอามากอย่างไร อาตมาก็มี DNA ของท่าน จะได้มากกว่า สูงกว่าทวด จะได้อย่างไร เทียบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แต่สัจจะที่เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอันเดียวกัน ถ้าอาตมาถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จบ ไม่มีอะไรด้อยกว่ากัน

ถ้าอยากจะเพียรอีก ถ้าได้สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ทำงานไปสิ ถ้าจะบอกว่า ทำงานไปแล้ว จะสะดวกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวิบาก ของแต่ละพระองค์ วิบากของพระพุทธเจ้า แต่ละองค์ไม่ตรงกัน หนักบ้างน้อยบ้าง พิสดารบ้าง แต่พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ไม่หมด แต่ว่าท่านรู้มาก จนคนไหน ก็รู้ไม่ถึงท่าน ในเวลากาละ ของอัตภาพนั้นนับไม่ได้ นับเป็นตัวเลขไม่ได้เลย มันมากเกินจะนับ ไม่ต้องไปพูดถึง พูดถึงเหตุปัจจัยในปัจจุบัน ที่เป็นสิ่งที่ดี

ขนาดนี้ที่ในประเทศไทย เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มันมีที่ไหน ที่สังคมเป็นสังคมแย่งกันให้ ได้ให้แล้วร้องไห้ ร้องไห้ดีใจนะ ไม่ใช่ร้องไห้เพราะเสียใจ เพราะได้ให้ มันม้วนกลับไปหมดเลย ที่ยกตัวอย่างแล้ว ยกตัวอย่างหลายที มีผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขาได้น้ำขวดมา 2 ขวด มาเจอเด็กผู้หญิงสองคน ก็พยายามยัดเยียดให้ เด็กเราก็ไม่รับ อาตมาก็เลยกวาดสายตาไป บอกว่าไม่รับไม่ดีหรอก ให้รับเถอะ เด็กก็มีปฏิภาณรับ พอเด็กเขารับเท่านั้น แกก็ร้องไห้เลย มันคืออะไร เขาปิติดีใจที่ได้ให้ แล้วถ้ายิ่งยินดีรับเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี รับแล้วก็ขอบคุณ ก็ยิ่งดี

แต่ในภาวะซับซ้อน เด็กจะไม่เอา แต่เด็กกลับเอา มันซับซ้อนยิ่งกว่าไหว้ขอบคุณ มันซับซ้อนประทับใจยิ่งกว่านะ มันเกิด action reaction หลายตลบ พอเข้าใจใช่ไหม

สรุปแล้ว อาตมาขยาย บารมีสิบทัศ เข้าใจเพิ่มไหม ที่ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่ไปเข้าใจเป็นตัวตน เป็นนิทาน เป็นเรื่องราว เขาก็ยังอยู่ไกล ยังอีกไกล ที่เขาจะเอาสภาวะธรรม ปรมัตถ์นี้ให้เกิด ให้เป็นปรมัตถธรรมได้ เป็นอาริยธรรมได้

บุคคลที่อยู่ในฐานะ เป็นนิยายนิทาน เป็นเทวดาสัตว์นรก ก็เป็นจริงทั้งนั้น ขณะนี้ อาตมาที่ต้องพูด อย่างสัตว์นรก ธัมมชโย เป็นสัตว์นรกที่ซับซ้อน เอาเรื่องดีมาฉาบไว้หมด แต่ข้างใน เน่าแสนเน่า คนดูไม่ออก เขาเก็บความดีเผินๆ มาพอกไว้หมด ไม่ใช่ความดีเข้าหาแก่น คนก็เลย ทะลุของดีที่เผินนี้ไม่ได้ เขาเอาดีง่ายๆ นี่ไปกระทบชาวอโศกคนหนึ่ง ที่หลงดีง่ายๆ

เขาว่าทำดีตลอดชีวิต แต่ทำดีตื้นๆ แต่เบื้องหลังของดีนั้น คือ อำมหิตโหดร้าย แล้วพรางได้เก่ง จนอาตมาไม่รู้ว่า จะปาราชิก ข้อสี่หรือไม่ แต่ข้อหนึ่งกับสองนั้นแน่ แต่คงไม่รอดปาราชิกข้อสี่น่า คือเก่งจริง ที่จะกลบเกลื่อนนะ ต้องชมว่าเก่งฉิบหายเลย

อาตมาปากโป้งเปิดเผย นี่เป็นเจตนาดีนะ สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่ไม่รู้กี่ชาติ เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี ไม่รู้กี่ชั้น

 

ขยายถึง ขิฑฑาปโทสิกะ และ มโนปโทสิกะ

ธรรมกายเป็นทั้งสองอย่าง มีทั้งสะกดจิต และมีทั้งเอามากมาย หรูหรา ขิฑฑาปโทสิกะ และเป็นอัตตาตัวตน เป็น มโนปโทสิกะ

พอกันกับทักษิณ แต่ทักษิณโอกาสเขาดี เขาอยู่ห่าง แต่ธัมมชโยนี้ เขาร้ายแรงกว่า แต่ทักษิณนี้ ลูกเต้าเหล่าหลานเขาอยู่ในนี้ ก็ชะลอ มีเงินทองข้าวของ มีผู้นับถืออยู่ ก็ชะลอ ก็ต้องให้นานๆ จะเห็นอะไร สรุปคือ อย่าเล่นกับกรรม

กรรมเป็นของจริง การกระทำเป็นของจริง กระทำทางกาย ทางวาจา แม้แต่กระทำทางจิต ก็เป็นของจริง ถ้าเป็นอกุศลกรรม ก็เป็นตามสัจจะ

โลภ กับยึด สองอย่างนี้ ผู้ใดปล่อยไปได้ก็สบาย

ผู้ใดยังโลภไม่หยุด ยึดไม่วาง แพ้ไม่ได้ ยอมไม่ได้ แล้วเขายังหลบอยู่ ยังห่วง แถมอยู่อย่างไม่ยอมคลาย เป็นสิ่งซับซ้อนลึกซึ้ง มีตัวอย่างในเมืองไทย คนไทยทั้งลักษณะของทักษิณ และลักษณะที่คล้ายๆกัน มีเณรคำ เป็นต้น

ก็ค่อยศึกษาให้ดี เมืองไทยจะมีเรื่องราว จะมีบุคคลจริง จะมีของจริงนี้ ให้เราได้ศึกษาทั้งนั้น และอาตมาก็จะยังอยู่แฉ ยังไม่ยอมหยุด พูดแล้วดูน่าเกลียด แต่อาตมาแฉแล้วดีไหม ก็ดี ยังจะแฉอีกต่อไป

อาตมาจะมาเป็นผู้เปิดเผยธรรมะ อาตมามีโศลกว่า เราจะเปิดเผยธรรมให้ได้ทุกขณะ ("เราจะต้องเปิดเผยธรรมะ ไม่มีเวลาใดเลยที่ไม่สมควรเปิดเผยธรรมะ ธรรมะจะต้องถูกเปิดเผย ให้มากที่สุดในทุกๆ เวลา ผู้อำพรางธรรมะ หรือ ผู้เจตนาล้มล้างธรรม หรือ ช่วยปกป้องช่วยขัดขวาง ไม่ให้คนแสดงธรรม ไม่ให้คนเปิดเผยธรรมะนั้น เป็นผู้ทำร้ายมนุษยชาติ ที่โหดเหี้ยมที่สุด บาปที่สุด")

 

สวดมนต์เป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ

ก็ขอแวะแฉอีก … การท่องบทสวดมนต์ เป็นเรื่องนอกรีต ของศาสนาพุทธ ธรรมกายเขาเอา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ไปให้ชาวบ้านท่อง เป็นล้านเที่ยว ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ อันนี้เป็นการสร้างอาบัติ เป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ เป็นเรื่องงมงาย เป็นเทวนิยม สร้างประเพณี ที่ผิดไปจากพุทธศาสนา มันไม่มีพลังงาน ไม่มีอะไรเลย นอกจาก เอามาใช้เป็นเครื่องมือ ขู่คนโง่ คนโง่จะเข้าใจว่า การท่องสวดมนต์นี้ ทำให้เกิดฤทธิ์เดช มันเสียพลังงาน เสียเวลา เสียแรงงาน เสียน้ำลาย ไม่ได้เกิดคุณค่าประโยชน์ อย่างที่เขาคิดว่า จะมีจะเป็น โดยมิจฉาทิฐิ ด้วยอวิชชา ด้วยความโง่ ความไม่รู้ความจริง มันไม่มี

ถ้ามันมี คนที่ท่องบทสวดมนต์เก่งๆก็มีเยอะ เป็นลัทธิมนตรยาน ดูอย่างในประเทศไหนๆ ที่ท่องสวดมนต์เก่งๆ ไปวิจัยดูเลย มันไม่มีผลอะไรหรอก เอาสิ่งที่ไม่มีจริง มาขู่คนโง่ เพราะฉะนั้น คนโง่ก็กลัว คนโง่ก็หลงทาง จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครท่องบทสวดมนต์ เป็นล้านๆเที่ยว เหมือนธรรมกาย โง่มากไหม ไม่มี ไม่มีใครต้องสวดมนต์ อย่างหลงโง่งมงาย เหมือนธรรมกาย ท่องกันเป็นล้านเที่ยว จะบ้าหรือ แล้วเขาก็บ้าจริงๆ

สมณะเดินดินว่า..ก็ พวกเราอาจจะดูว่า เขาเหมือนกับเพี้ยน แต่เขาสวดกันก็อย่างน้อยเขาว่า สะกด DSI สะกดตำรวจได้ ตำรวจอย่าไปหลง

แต่ก่อนเราบอกว่า เราเกิดในรัชกาลที่ 9 แต่ตอนนี้เราบอกว่า เราเกิดใน 2 รัชกาล เกิดในยุคนี้ เราจะได้เห็น คนที่ดีที่สุด และคนที่ร้ายที่สุด ก็ได้เห็น ดีที่สุดเท่าที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น ดำที่สุดก็เห็น ขาวที่สุดก็เห็น เราจะเลือกอยู่ข้างไหน

ฟังธรรมวันนี้ ก็ต้องรู้ กายแท้ กายเท็จ เวทนาแท้ เวทนาเท็จ

กายที่เป็นกาย ไม่ใช่พีชะ พ่อครูยกตัวอย่างเล็บ สิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้ยึดถือเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ยึดถือ ก็คือเวทนา แม้ยึด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังว่าสวยงาม ยึดเป็นตัวเราของเรา พ่อครูว่า ให้พิสูจน์ว่า ไม่ใช่ตัวเราของเรา คือเมื่อมันออกจากเราไปเราก็ไม่ยึดถือ เราใช้เพียงอาศัย สักวันจะต้องจากไป อย่างเช่น เหงือกจ๋าฟันลาก่อน เราก็จะได้พิจารณา โดยเฉพาะเวทนา

ปุถุชนส่วนที่เป็นกาย มหาภูตรูปสี่  ปุถุชนยังเบื่อหน่ายได้ แต่จิตนี้ ผุดเกิดผุดดับ ตลอดเวลา เหมือนวานร ที่เกาะกิ่งโน้นกิ่งนี้ เราต้องพยายาม ละหน่ายคลาย สักวัน เราจะได้แค่อาศัยกายนี้ ไม่ได้ยึดถือมัน

เราก็เอาไปลองพิจารณาดู…. จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:26:00 )

591204

รายละเอียด

591204 วิถีอาริยธรรม สันติอโศก โอกาสทองของพลังงานระเบิดรัก

สมณะเดินดิน...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม  2559  พวกเราก็จะจัดโรงบุญกันโรงบุญถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่ก็จะเรียกว่าโรงงานผลิตความรัก ชาวอโศกจะทำให้ได้ 999 โรงบุญ ทั่วประเทศ และที่สนามหลวงก็จะให้ได้ 99 โรงบุญ ตอนนี้ยอดก็เกินแล้ว

ทุกวันนี้ระเบิดแห่งความรัก Bomb of love ได้กระจายไปทั่วแล้ว ทุกคนก็ตระหนักถึงระเบิดปรมาณูที่คร่าชีวิตมนุษยชาติ เรามาผลิตระเบิดแห่งความรักที่ทำลายกิเลสของเราเอง กิเลสของเราที่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อวานนี้อาตมาได้ฟังท่านจันทร์เล่าถึงพวกเราคนหนึ่ง ที่ไปที่ท้องสนามหลวงและผิดหวัง บอกว่าในพระราชพิธีน่าจะเป็นความเศร้าสลด แต่บางคนกลับไปถ่ายภาพเซลฟี่สนุกสนาน ทำให้เขาผิดหวัง เขาก็เลยจะไม่ไปตอนกลางวัน แต่จะไปตอนกลางคืนตีหนึ่งตี 2 แทน

ไม่แน่ใจว่า ถ้าเป็นช่วงต้นงานซีเรียสก็น่าจะได้ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังแล้ว ก็น่าจะคลายลงเหมือนกับว่าจะต้องยึดอารมณ์ซีเรียสนี้ ให้อยู่ไปตลอด แต่นี้พูดถึงว่าจิตใจเราก็ไปด้วยความรักเหมือนกัน แต่ถ้าจะไปด้วยความรัก ที่จะจัดการให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราทำที่เราเป็นที่เราคิดเป็นความรัก ก็จะเป็นความไม่รัก มันก็จะผิดวัตถุประสงค์ ในหลวงทรงงานช่วยพสกนิกรทุกคน ถือว่าทุกคนเหมือนกับลูกของพระองค์ที่จะช่วยไม่ว่าจะเป็นสีไหน ก็ช่วยหมดถ้าเราดำเนินรอยตามพระจริยวัตร ไปให้โดยไม่มีเงื่อนไขไม่ต้องไปกำหนดอะไรใคร ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม พ่อครูพยายามย้ำว่า เราต้องรู้เท่าทันเวทนา ใช้ภาษาชัดที่สุดว่าเวทนามี 2 อย่าง คือเวทนาแท้กับเวทนาเท็จ เวทนาแท้คือเราเห็นคนทำกรรมกิริยาอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่าเขาเข้าใจอย่างนี้ทำได้อย่างนี้ การรู้ความจริงตามความเป็นจริงคือ เวทนาแท้ แต่เวทนาเท็จ คือเกิดความไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ปรุงแต่งอะไรต่างๆขึ้นมามากมาย เวลาเกิดปัญหาขึ้นคนเรามักจะไปจัดการเวทนา โดยการไปบีบคอคนอื่น ไม่ได้จัดการเวทนาเท็จที่เกิดขึ้น ที่มันสังขารปรุงแต่งต่างๆ ขึ้นมาเป็นภพชาติ

พวกเรานักปฏิบัติธรรม ควรจะมาช่วยกันทำโรงงานผลิตระเบิดแห่งความรักนี้ ให้ระเบิดแห่งความรักขจรกระจายไป

 

มิติความรักของ Bomb of love.

พ่อครูว่า...คำว่าระเบิดรัก ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่บัญญัติขึ้นมาเป็นบัญญัติเป็นภาษา รวมเอาคำความมา รวมกันโดยใช้เป็นภาษาอังกฤษว่า Bomb of love ซึ่งตรงกับภาษาไทยคือ ระเบิดรัก ระเบิดของความรัก อาตมาเอง อาตมาก็ปางนี้ ก็มาบรรยายเรื่องความรัก 10 มิติ เกิดมาปางนี้ มาชื่อรัก แล้วก็ต้องมากำกับ มาสาธยายมาทำให้คนเข้าใจ และรู้เรื่องของความรัก โดยขยายอาการ ขยายพฤติการณ์ของอาการรัก ที่เกิดจากจิตมนุษย์ ขยายให้เข้าใจให้เห็นว่า อาการของพลังงานที่เกิดพลังงานจิตวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ  เป็นอาการที่แคบ รักในวงแคบ รักที่เห็นแก่ตัวแคบๆ  อาตมาไม่เอาที่รักตัวที่หนึ่งคือ มันรักตัวเองคนเดียว มันไม่รักใครเลย มันไม่เห็นแก่ใครเลย คนเดียว อาตมาไม่สาธยายเรื่องนี้ มิติที่ 1 อาตมาไม่นับเอาอันนี้ อาตมาไปนับเอามิติที่ 1 คือเริ่มตั้งแต่คู่ ตั้งแต่เมถุนหรือกามนิยม ตั้งแต่ติดใจอยู่แต่แค่รสคู่สัมผัสเสียดสี เกิดเวทนา เกิดอารมณ์ ที่ตนเองชอบใจชื่นใจในรสสัมผัสเสียดสีของคนต่อเพศ ต่อคู่ของเราเท่านั้น อย่างอื่นไม่สนใจ เห็นแก่อันนี้เท่านั้น คือเป็นความรักที่ต่ำมาก เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่รสชาติ เห็นแก่การสัมผัสเสียดสี ที่เป็นชีวิตเกิดมาของสัตว์โลกอยู่แค่นี้ ไม่เห็นแก่สัตว์อื่นที่กว้างไปกว่านี้ แม้แต่ลูก ก็ยังมีความลำเอียง เห็นแก่ตัวเองกับคู่สัมผัสเสียดสีเท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาการจิตแบบนี้ มันเป็นอาการจิตที่ต่ำ ที่ไม่มีประโยชน์แก่ใครเลย เป็นความคิดต่ำๆตื้นๆโง่ๆ ไม่กว้างไม่ลึก ไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร ไม่เผื่อแผ่ ไม่เกื้อกูล ไม่ใช้พลังงานไปเพื่อจะเอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือเฟือฟายคนอื่น พลังงานแบบนี้มันเป็นพลังงานที่เกิดมาก็เห็นแก่แค่นั้น เสพสุขอยู่แค่นั้น มันจึงเป็นอาการของพลังงานจิตที่ควรจะพัฒนา มันตื้น มันต่ำ มันไม่เจริญ มันไม่เป็นประโยชน์ มันไม่เป็นท่าอะไรเลย 

นี่คือเราต้องศึกษา แล้วเราจะต้องมนสิการ ทำ จัดการใจของเรา พัฒนาใจของเรา พัฒนาปรับปรุง ปรับแปลงให้ใจของเรามันเจริญ มันมีพลังงานที่เห็นแก่ผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเสพความติดแคบๆ ของตัว ลดลง มันเป็นอาการหรือเป็นอารมณ์เสพติดแบบนั้น อาการอารมณ์ลวง อาการอารมณ์เท็จ ต้องศึกษาความเท็จนี้ให้ได้ มันเป็นความเท็จ มันไม่มีจริง มันหลอกลวง มันอุปาทานมันเป็นการยึดเอง เป็นอารมณ์ลมๆ แล้งๆ เอง ต้องศึกษาเป็นความรู้ ที่ตัวเองเข้าใจเห็นจริงนั้นจริงๆ เห็นเองแล้วเรียกปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ตัวนี้เห็นเข้าใจจริงๆจึงรู้ว่ามันจริงเนาะ มันไร้สาระจริงๆ เห็นแก่ตัวจริงๆเนาะ เสียพลังงานไปเปล่าๆ เพื่อตัวเอง บำเรออารมณ์ อารมณ์เพ้อๆ เฟ้อๆ ฝันๆ  อารมณ์ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลย มันทิ้งๆขว้างๆ เป็นอารมณ์ที่ไปสมมุติยึดเอง ยึดเอง คนอื่นไม่เห็นด้วย ก็ไม่ยึดตามที่เราเป็นเลยนะ เห็นตรงกันข้ามก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่จริง ถ้าจริงมันก็ต้องเห็นเหมือนกันหมด นี่มันต่างกัน มันไม่จริง มันมีคนเห็นแย้ง เห็นต่างไป มันเป็นของที่ต่างคนต่างยึด ต่างคนต่างไปสมมติเอาเอง บำเรอเอาเอง เข้าใจเอาเอง

ซึ่งความลึกซึ้งพวกนี้ มาศึกษาฝึกฝนแล้วจะรู้จะเข้าใจ แล้วก็ไม่ติดไม่ยึด พอไม่ติดไม่ยึด พลังงานของแต่ละคนมันมี ก็เอาพลังงานที่เรามีนี้ เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็เกื้อกูลเผื่อแผ่ช่วยเหลือเฟือฟายผู้อื่นเพิ่มขึ้นๆ ก็เป็นพลังงานที่จะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างเผื่อแผ่แก่มวลมนุษยชาติไปได้อย่างมากเข้า จนหาที่สุดมิได้เลย นี่เป็นการรู้และการทำ ทำใจในใจ มนสิการ เป็นการทำใจในใจของเราให้เป็นอย่างที่เข้าใจอย่างนี้ แล้วมันเป็นได้

 

ปฏิบัติกับเวทนาในมูลสูตร 10

หลักฐานของพระพุทธเจ้ามีหลักการในการสอน ในมูลสูตร 10

 

มีฉันทะเป็นมูลกา เราจะต้องมีพฤติกรรมอย่างไร ที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีจึงจะเกิดความ มีฉันทะ พอใจทำ แล้วก็ต่อมาจะต้องเป็นการทำใจในใจ มนสิการ ให้ถึงที่เกิด ทำให้ใจเราเป็นอย่างนี้ ที่เรายินดี แล้วเราจะต้องทำให้เกิดแรง ที่เรามีทิฐิมีความรู้ เมื่อเราเห็นว่าจะต้องทำให้เกิดมนสิการอย่างนี้ เกิดขึ้นมาเป็น สัมภวะในใจเราในแดนเกิด ในหทยรูปเราให้ได้ เมื่อเราเข้าใจแล้วก็มาเริ่มต้น

เริ่มต้นปฏิบัติให้เกิดจะต้องมี  ผัสสะเป็นสมุทัย ในมูลสูตร 10 ต้องมีผัสสะ การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า จะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย (สมุทัย) เป็นต้นทาง เมื่อมีผัสสะ ก็จะเกิดเวทนา เราก็จัดการให้เวทนานี้ประชุมกันลงไป รวมตัวกันลงไปให้เป็นไป ตามที่เราต้องการเป็นคนสูงสุด  เอกกัคคตาจิต ต้องทำจิตให้เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ ผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วจัดการเวทนาให้เป็นหนึ่ง 

 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ถ้ามันเป็น 2 ก็จะมีเท็จอันหนึ่ง แท้อันหนึ่ง ถ้ามันมี 3 4 5 6 ก็จะยิ่งมีความเท็จอยู่มาก เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง เราจะต้องทำให้ร่วมลงเป็นหนึ่งให้ได้ในเวทนา ผู้ที่ทำสำเร็จเป็น เอกสโมสรณา ภวนฺติ ก็เป็นคนจบได้เป็นหนึ่ง ก็ทําอย่างนี้ให้สั่งสมตกผลึกลงไปเรียกว่าสมาธิ สมาธืก็จะเป็นหัวหน้า เป็นตัวบุกเบิก เป็นประธานจัดการไปเรื่อยๆ เราได้เท่าไหร่ ก็เป็นหัวหน้าเท่านั้น จึงเรียกว่าสมาธิเป็นประมุข คือการสั่งสมจิตใจให้ตกผลึกตั้งมั่น สมาธิคือทำให้เกิดผล แล้วตกผลึกควบแน่น ตั้งมั่น ที่เรียกว่าสมาธิ สมาธิไม่ได้หมายความว่า เพ่งจดจ่อให้เป็น 1 นิ่งแข็งอยู่ ไม่ใช่ ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้นเป็นประโยชน์น้อย มันก็มีประโยชน์บ้าง ได้อาศัยจดจ่อเวลาเราจะหยุด แต่มันไม่เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่น ที่เป็นประโยชน์อันประเสริฐอันยิ่งใหญ่ มันต้องเป็นประโยชน์ที่รู้คนอื่นและช่วยคนอื่นได้ อันนี้คือแนวทางที่พระพุทธเจ้าค้นพบเป็นพลังงานสมาธิแบบนี้ดีกว่า

เมื่อได้สมาธิเป็นหัวหน้า แล้วเราปฏิบัติก็จะต้องใช้สติใช้ปัญญาเป็นคู่ สติก็สำคัญ ปัญญาก็สำคัญ พระพุทธเจ้าว่าสติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอนุตตระ

ให้สติเป็นพลังอำนาจ อธิปไตย ส่วนปัญญาเป็นพลังอยู่เหนือ อุตตระ ต้องใช้คู่กันเป็นธรรมะ 2 ต้องใช้อำนาจพลังงาน แรงเจโต ส่วนปัญญาก็เป็นตัวที่ช่วยควบคู่อยู่ จัดการอยู่ไม่ให้ลำเอียง จัดการอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีอะไรติด ช่วยเหลืออย่างพอเหมาะ พอดี จึงเรียกว่าปัญญาเป็นอุตตระ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือพลังงานทั้งหมด อยู่เหนือพฤติกรรมสังคม อยู่เหนืออะไรต่างๆ ที่จะจัดสรรให้ได้สัดส่วน ยังมีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปเทส 4

เมื่อทำได้เก่ง ก็สู่จุดที่เป็นแก่นแท้เรียกว่าแก่นสาระ เป็นแก่นแกน จุดกลางที่จะเป็นตัวเอก ของจิต เป็นจุดกลาง แล้วเข้าใจอย่างไร มีพลังงานแค่ไหน ก็เอาออกไปทำงานอย่างเต็มที่ เรียกว่าเป็นตัวจบเป็นสาระ เป็นตัวคนสำคัญ ผู้ที่เข้าถึงแก่นสาระนี้ได้ จะเป็นผู้อยู่เหนือเลย แล้วก็จะจัดการอย่างไรๆก็ได้จึงเรียกว่าเป็นผู้อมตะ จะทำให้มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ให้มีน้อยก็ได้ ให้มีมากก็ได้ ให้มีขนาดอย่างไร ตามบารมีตามสัปปุริสธรรม 7 จัดสรรให้พอดี โดยไม่มีความลำเอียง ไม่มีความเห็นแก่คนนั้นคนนี้ อย่างซื่อสัตย์สุจริตตามสัจจะที่มันควรจะเป็น

นี่คือผู้ที่สัตย์สุจริต เป็นผู้ที่มีกรรมกิริยาจัดสรรอยู่เพราะยังมีชีวิตอยู่ทำงานอยู่กับสังคม สุดท้ายเมื่อตัวเองจะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน สลายพลังงานอัตภาพตนเอง สลายพลังงานอัตภาพ ตัวเองไม่มีพลังงานอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติแล้ว ก็เลิกไปอย่างถาวรอนันตกาล สลายเหตุปัจจัยของตัวเอง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

กวี ปรากฏการณ์“ระเบิดรัก”

ยุคนี้กาละนี้สังคมมนุษย์โลกนี้ ประเทศไทยมีปรากฏการณ์ของความรักที่ประเสริฐ ที่ยิ่งใหญ่อันนี้ โดยมีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระจริยวัตรหรือทรงประพฤติตามที่พระองค์มีความเป็นจริงของพระองค์ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาก็มีบังอาจที่จะไปกล่าวระบุว่าท่านอยู่ในระดับไหน เพราะมันไม่ควรที่จะไปกล่าว แต่ให้คนแต่ละคน ศึกษาตามหลักการหลักเกณฑ์ที่เคยอธิบายมาแล้ว

เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ และมนุษย์ก็ศึกษาตามให้ได้ แล้วจะเกิดเป็นประโยชน์ต่อตนเองและมวลมนุษยชาติ แล้วก็จะสืบสานต่อ อย่างเช่นไอน์สไตน์รู้ว่าความรักชนิดนี้ไอน์สไตน์เองทำไม่ได้ ยังไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำได้ แต่ก็รู้ว่ามันจะต้องมี เขียนจดหมายบรรยายบอกและเรียกว่า Bomb of love ฝากลูกสาวไว้ว่ามันจะเกิดขึ้น ในชีวิตของลูกจะได้เห็นหรือไม่ก็ได้ แต่มันจะเกิดก็ฝากไว้ ลูกสาวก็ไม่แน่ใจก็เลยไปฝากไว้ที่มหาวิทยาลัยฮิบบลู เพื่อเก็บไว้ให้อยู่นานๆ ตัวเองอาจจะตายก่อนก็ได้

ทุกวันนี้คนพอมีภูมิที่จะรู้ได้ ไม่ได้อย่างที่เดา แต่ดูอย่างมีเหตุปัจจัย มีอนาคตังสญาณที่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ เป็นเรื่องที่ศึกษาได้ ไม่ใช่เรื่องประหลาด เป็นเรื่องที่มาแต่เหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ลอยมาโดยไม่มีเหตุปัจจัย ไม่ใช่พูดอย่างผิดเพี้ยน อย่างเช่นธัมมชโย ที่ทำนายอย่างบ้าบอ เอาดีเข้าตัว ให้คนอื่นหลงนับถือศรัทธา คนอื่นเขาจับได้แล้วว่ามันไม่จริง ก็ทำหน้าเฉย หน้าด้านหน้าทน ตอนนี้ก็หลบ ยังจับไม่ได้เลย

 

อาตมาก็ขออ่านบทกวี

  ปรากฏการณ์“ระเบิดรัก”                                

********************************

          (1) ความรักยิ่งใหญ่นี้        ระเบิดพลัน            

          ปรากฏชัดมหัศจรรย์          ยิ่งล้น

          ฤทธิ์รักชักนำกัน                สามัค- คีแ5ฮ      

          ประหลาดไทยหลากท้น      ท่วมน้ำใจเดียว

          (2) กลมเกลียวกันทั่วทั้ง     เมืองสยาม

          เป็นหนึ่งผนึกนาม              เทิดไท้           

          รักเดียวหนึ่งชูความ                    พูนค่า พระเฮย

          รักเยี่ยงนี้คงไว้                  ชาติไซร้สุขสันต์ 

          (3) เป็นรักอันเลิศล้น         ความรัก                       

          เป็นรักสุดที่จัก                  เทิดเกล้า   

          เป็นรักจากใจภักดิ์            ประสกทั่ว ไทยแล            

          เป็นรักใต้ฝ่าเท้า                พระผู้เหนือเศียร

          (4) พระเธียรธิติเจ้า            พิริยะ มานา        

          เจ็ดสิบกาลวัสสะ               ยิ่งผู้

          ชัดจริงมิอาจจะ                 ปฏิเสธ

          เพื่อสุขประชารู้                 ทั่วทั้งสากล         

          (5) เกินดลเกินเด่นด้าว       แดนใด

          กว่าเทียบกว่าเทียมใคร      ไป่ได้

          เพราะเลิศประเสริฐไกล      เกินเปรียบ  

          ยกเชิดเทิดพระไว้             หนึ่งผู้พิเศษศรี

          (6) มี“ระเบิดรัก”นี้              ที่ใด

          คือรักยิ่งใหญ่ใน               ที่นั้น

          ไอน์สไตน์กล่าวคำไข        ฉะนี้กับ ลูกรา

          สัจจะมิอาจกั้น                    เกิดแท้คือจริง

          (7) และจริงยิ่งยอดนั้น      คือไทย                            

          “ระเบิดรัก”ประจักษ์ใน       ประเทศนี้ 

          พระประพฤติพุทธไข         โลกุตร์ แท้เทียว  

          ปรากฏการณ์จึ่งชี้              สัจจะนั้นตามจริง

 

           “สไมย์ จำปาแพง” 1 ธ.ค. 2559

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 318 ประจำเดือนมกราคม 2560]

 

ความรักของพระโพธิสัตว์

พ่อครูว่า...เพราะงั้นสัจจะจึงชี้สัจจะนั้น ตามที่มันมีมันเป็น มันคงอยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่หายไป ยังมีพลังงานระเบิดรักอันนั้นอยู่ แล้วระเบิดรักที่ว่านี้ อาตมาแจกความรักไว้ 10 มิติ เป็นความรักนี้ไม่ใช่แค่ความรักแค่มิติที่ 1 คนคู่สองคน ไม่ใช่แค่ความรักมิติแค่ลูก ปิตุปิตานิยมหรือเปล่า ไม่ใช่ เป็นความรักที่ขยายเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างกว่านั้น แค่ญาติ ญาตินิยามรึเปล่า แค่สังคมมิตรสหายหรือเปล่า แค่รักประเทศไทยหรือเปล่าเฉพาะประเทศไทยหรือเปล่า กว้างกว่านั้น ไม่ใช่แค่ประเทศ แต่เป็นสากล เป็นจักรวาล เป็นสากลเป็นจักรวาลนิยม เป็นรักทั่วจักรวาล เป็นแบบเทวนิยม เป็นแบบพระเจ้าทั่วหมดไม่ละเว้น โดยรู้จัก โดยกระทำได้ โดยมีเจตนาเพราะควบคุมจิตได้ ไม่ได้ทำส่งๆ อย่างตามยถากรรม ไม่ใช่ จึงเป็นมิติที่ 8 ซึ่งเป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า มิติที่ 8 เป็นความรักที่เรียนรู้ให้หลุดพ้น ตั้งแต่มิติที่ต่ำๆ แคบๆ เพียงมิติที่ 1 ก็หลุดพ้นมา ไม่เอาไม่แค่นั้น แค่มิติที่ 2 พ่อแม่ลูก ก็ไม่เอา แคบ ให้หลุดพ้นให้มีความรักที่เผื่อแผ่เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างกว่านั้น แค่มิติที่ 4 มิติที่ 5 มิติที่ 6 ก็ให้หลุดพ้นมาให้กว้างกว่านั้น กว้างกว่านั้นๆ เกินมิติที่ 7 เพราะทั้งทำได้ ทั้งรู้ ทั้งจัดการ จัดการให้เป็นเท่านั้นเป็นเท่านี้ มีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปเทส 4 จัดสรรได้ จึงเป็นความรู้ความสามารถตามทฤษฎีหลักของศาสนาพุทธ คือมิติที่ 8 เกินกว่าเทวนิยม เกินกว่ามิติที่ 7  มีหลักสูตร มีหลักเกณฑ์ มีวิธีปฏิบัติให้เกิดให้เป็นจริง เรียกว่าทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เป็นมิติที่ 9  มิติที่ 9 คือ มีความเจริญ มีความสามารถ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้นมิติที่ 9  ถ้าสูงไปกว่ามิติที่ 8 มิติที่ 9 นี้ ก็คือของศาสนาพุทธ เป็นพระโพธิสัตว์ของศาสนาพุทธ ฉะนั้นก็แน่นอนในหลวงเราก็ไม่พ้นไปจากมิติที่ 8

อาตมานี้บอกว่า อาตมาเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แต่อาตมาก็พัฒนาระดับ 8 ระดับ 9 โดยไม่ต้องพูด ในหลวงเป็นผู้ทรงพระจริยวัตร ทรงประพฤติเลย ทรงไปเท่าที่ท่านมีภูมิธรรม ท่านทรงแล้วทั้งตัวท่านมีหน้าที่ถึงปางของท่านที่จะต้องทรง มันจึงครบทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม จะลึกจะตื้นอะไรแค่ไหนก็ตามจริงที่พระองค์มี ท่านก็ทรงเต็มที่ของท่าน แล้วก็เกิดปรากฏการณ์แล้ว ส่วนอาตมานั้นก็เป็นธรรมะของอาตมา อาตมาไม่ได้อยู่ในปางที่จะเป็นคนทำ แต่อาตมาอยู่ในปางที่เป็นคนพูดและขยายความ ก็ได้มีนัยละเอียดลึกซึ้งไปอีกมากมาย มีลักษณะที่ ถ้าใครสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่าเป็นอเทวนิยม ที่ละเอียดลึกซึ้งไปอีกมาก ในหลวงท่านก็ทรงเท่าที่ท่านมีความลึกซึ้งโลกุตรธรรมของท่าน ท่านก็ทรงไปเต็มที่ของท่าน ตามจริง ไม่มีใครทำเกินกว่าตัวเอง ตัวเองมีความรู้เท่าไหร่ เราก็รู้เท่านั้น ทุกคนฉลาดเท่าที่ตัวเองโง่ และทุกคนก็โง่เท่าที่ตนเองฉลาด เราจะโง่เกินที่เราฉลาดไม่ได้ และเราก็จะฉลาดเกินโง่ก็ไม่ได้ ทุกคนก็เท่านั้นเท่าที่เราเป็นจริง นี่เป็นภาษาที่ใช้กำกับความจริง อธิบายความจริง

จึงเป็นสัจจะที่เกิดอยู่ในเมืองไทย เป็นคนไทย เกิดเป็นชาติ สัญชาติไทย เกิดเป็นเชื้อชาติไทย แต่ในหลวงนั้น เชื้อชาติไทยแต่ท่านมีสัญชาติอเมริกัน ส่วนอาตมานั้น เชื้อชาติไทยสัญชาติไทยเต็มร้อย ไม่ได้ออกไปข้างนอกต่างประเทศเลย เป็นคนทำอยู่ในเมืองไทยเต็มที่ ก็ทำเป็นสัจจะที่ต่างคนต่างพากเพียร ทำสิ่งที่ประเสริฐสิ่งที่ดี

และเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว มันจะลดตัวตน เห็นแก่ผู้อื่นไปๆๆตามลำดับ ตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ลดตัวตนได้หมด อรหันต์ถือว่าหมดความเป็นตัวตนแล้ว ก็มีแต่เพื่อผู้อื่น จะเพื่อผู้อื่นได้มากได้น้อย ก็มีโลกวิทู มีโลกานุกัมปา เพิ่มขึ้นๆ  ส่วนโลกุตระนั้นหมดตัวตนแล้ว เป็นอรหันต์หมดตัวตนของตนแล้วแล้ว ส่วนผู้อื่นก็เรียนรู้ผู้อื่น พลังงานของคนชนิดนี้ พลังงานของคนลักษณะนี้ หลายอย่างเราไม่เคยเป็นอย่างเขาเป็น ก็ต้องศึกษา ดีไม่ดีต้องไปเกิดเป็นอย่างนี้บ้าง อย่างนั้นด้วยนะโพธิสัตว์นี่ เพราะมันเข้าใจไม่ได้ ก็ต้องไปเกิดเป็นอย่างนี้จริงๆ มันถึงจะชัด อย่างนั้นไม่ได้ เพราะงั้นพระโพธิสัตว์จึงมีจะต้องไปเกิดเป็นอันนั้นอันนี้ แม้แต่เดรัจฉานบางอย่าง จะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานบางประเภท มันไม่ชัดจะต้องไปเกิดจริงๆ อย่างนี้ให้ได้ ในเวลาชาติหนึ่งๆ ของความเป็นสัตว์ ช้างจะตายกี่ปี จะต้องไปเกิดเป็นกวาง กวางตายกี่ปี จะต้องไปเกิดเป็นอันนี้ หรือจะต้องไปเกิดเป็นคนชนิดนี้ มีพฤตินัยเช่นนี้ มีพฤติกรรมชนิดนี้ ต้องไปเป็นดู ไปเป็นดูซิ มันเดาไม่ได้ เมื่อยังไม่ชัดเจนไม่แน่ใจ จะต้องไปเป็น โพธิสัตว์จะต้องศึกษา จึงชัด เรื่องเวลาแห่งการเกิดการตายนี้ ทิ้งเลยพระโพธิสัตว์นี่ จะเกิดจะตายอีกกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ล้านๆๆๆชาติ โยนทิ้งเลย เรียกว่าไม่ยึดติดในเวลา ในกาละ ไม่นับเลย เอาเรื่องสาระเนื้อแท้อย่างเดียว เรื่องกาละเวลาไม่กังวล ไม่ถือ ไม่เอา เอาความจริง เอาเนื้อแท้ แล้วจนกระทั่งรู้แจ้ง เห็นจริง แล้วก็ปฏิบัติได้ แล้วก็ทำให้แก่สังคมมนุษยชาติ จนกว่าพระโพธิสัตว์นั้นจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงสุดแล้วในบรรดาความเป็นชีวิตมนุษย์  สูงกว่านี้ไม่มี สูงกว่าคำว่าสัมมาสัมโพธิญาณ หรือสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สูงกว่านี้ไม่มี

ผู้ใดที่เข้าใจ แล้วมุ่งมาดปรารถนาจะเป็นคนชนิดนี้ ก็พิสูจน์ หลายคนก็ไม่ไหว เป็นพระโพธิสัตว์ก็รีไทร์กลางทาง ปาง 7 ปาง 8 ปาง 9 ก็ไม่เอาแล้ว ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป สำหรับอาตมานั้นมีปณิธานที่จะมุ่งมั่นพัฒนาตนเองไป ยังไม่ท้อใจ จะหนักหนาเหน็ดเหนื่อยในชาตินี้ ปางนี้ไม่ค่อยจะมีคนเห็นดีเห็นด้วยเท่าไหร่ คนเห็นด้วยก็มีแต่คนตัวเล็กตัวน้อย คนใหญ่ๆตัวโตๆก็ไม่ได้มา ที่พูดนี้ก็ไม่ได้ท้อถอย เพราะว่าเหตุปัจจัยไม่ครบ ให้ทำไปเถอะ ถึงเวลาก็เป็นเอง แต่ทุกวันนี้มันก็ดีอยู่นะมันก็ไปได้

ทุกวันนี้อาตมาสำเร็จ ที่ไม่ได้เรี่ยไรเงิน ก็พอเป็นไปได้ ใครจะมาช่วยก็มา ไม่มาก็ช่าง

​เราต้องอุตสาหะพากเพียรทนสู้แล้วก็หัดปล่อยวาง วางได้จริงก็เบา หนักเท่าไหร่ก็แล้วแต่ถ้าเราปล่อยวางมันก็เบา มันหนักแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราวางได้มันก็เบา มันเป็นพลังงานที่พิสูจน์ไปเถอะ ใครทำแล้วก็ให้พิสูจน์ หนักอย่างไรมันก็เบา

ธรรมะที่เป็นพลังงาน เราเป็นชีวะก็พิสูจน์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในนิยามชีวิต 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมะนิยาม

อุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลม ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยสังขารกันไป บางอย่างอาจจะมีสัญญา แต่ไม่มีเวทนา มันก็ทำงานตามเหตุปัจจัยที่มันมี

ธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ ก็มีธรรมะ 2 เสมอ มีสิ่งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ดินน้ำไฟลมไม่รู้ตัวเองของมัน มันมารวมตัวกันตามฐานะของมหาภูตรูป ไม่มีจิตวิญญาณไม่มีสัญญาไปกำหนด มันก็รวมกันไปตามเหตุปัจจัยเป็นแสง เสียง พลังงานแม่เหล็ก ไฟฟ้าที่จัดการ มันมีแม่เหล็กก็ดูดกัน มันมีไฟฟ้าก็ห้ำหั่นกันสลายกันไปดึงดูดกันไปตามธรรมชาติ ยิ่งเข้าไปมีธาตุรู้รวมตัวเป็น ish เป็นสามตัวอย่างหนึ่งเป็นประธาน อีกอย่างเป็นลบ(อิตถีภาวะ) อีกอย่างเป็นบวก(ปุริสภาวะ)

แล้วถ้ามันพัฒนามาเป็นยิ่งกว่าพีชะ รู้กรรมกิริยา หรือว่ากรรมกิริยาอันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำก็จะมีความรู้สูงขึ้นไปตามลำดับ เรียกว่ากรรม เสร็จแล้ว ทุกอย่างรวมลง ตั้งอยู่เรียกว่าธรรมะ ทั้งหมดนั้นรวมอยู่ที่ธรรมะ

นี่คือ นิยามชีวิต 5  อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมะนิยาม  ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้และสอนมา อาตมาก็เข้าใจ ก็เอามาขยายให้พวกคุณฟัง เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ที่ต้องมาเปิดเผยไม่ให้สูญหายไป

 

ภพอันน่ารังเกียจ

0893867xxxพระตปฎ.กล่าวถึงคำตรัส ตถาคตว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายอุจจาระปัสสาวะน้ำลายน้ำหนองโลหิตแม้มีประมาณน้อยมีกลิ่นเหม็นฉันใด!เราย่อมไม่สรรเสริญภพ!แม้มีประมาณน้อยโดยที่สุดแม้เพียงลัดมือเดียวฉันนั้น!

พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว ผู้ที่เข้าใจและชัดเจน ผู้ที่เข้าใจ ทานสูตร ล.23 ข.49

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ใจเรานี้จะให้ มือเราก็ให้ ปากเราก็ให้ แสดงการให้ทางกายกรรม วจีกรรม ให้แล้วให้ตรงนั้นตรงไปเลย คือให้อย่าให้มี boomerang โค้งมาหาตนนะ ถ้าโค้งมาหาตนก็เป็นภพ แต่องศาน้อยกว่าจะวนกลับมาก็น้อย คนก็ดูยากก็หลอกได้มาก แต่ถ้ามีองศาการโค้งมาก ก็กลับเข้ามาหาตนเองมาก คนก็ดูได้ง่าย

ถ้าเอามาปั๊บเกิดโค้งเลย

ในองศานี้ของพลังงานเอกภพมีพลังงานดูด เป็นแกนโค้ง เพราะในเอกภพนี้ มันไม่มีอะไรตรงหรอกมันคงหมดแหละ ตัวเองเป็นโมเลกุลหนึ่งในเอกภพนี้ คุณก็จะต้องปฏิสัมพัทธ์กัน ก็ต้องเกี่ยวข้องกับจุดศูนย์กลางนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะหลุดไปเป็นอุกกาบาต เป็นอิสระ ดาวอีกดวงหนึ่งที่ไม่ขึ้นกับแรงดึงดูดนี้ แต่ถ้าตราบใดที่อยู่ในแรงดึงดูดแรงโน้มถ่วงของอันนี้ คุณก็ต้องปฏิสัมพัทธ์อยู่เรื่อยๆ ขาดออกไปไม่ได้

0893867xxxพระตปฎ.ที่20ที่พ่อครูนำมาสอนทำให้เข้าใจชัดเจนว่าจิตที่วนเวียนอยู่ความอยากเป็นนี่ความอยากได้นั่นคือจิตเป็นตัณหาต้นเหตุทำให้เกิดภพเกิดชาติของจริงที่มีแต่สวรรค์เทียมนรกแท้!จริงสาธุ!สกก.

สัตว์ตั้งแต่เซลล์เดียว แต่ตัวเองไม่รู้กว้างจนกระทั่งรู้กว้างขึ้นมาก็สามารถสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อื่นคนอื่น ทางออกอยู่ก็ดึงมาเป็นของตัวเอง เมื่อมาฉลาดขึ้นก็รู้ว่าเป็นความชั่ว เอามาเป็นของตัวเองนี้ชั่วก็กลับไปสร้างสรรให้แก่ผู้อื่น เป็นผู้ฉลาดเป็นผู้ มีคุณค่าต่อผู้อื่นเพิ่มขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็ลดลงๆ ไม่มีผิดไปจากความจริงอันนี้ มันง่ายจะตาย ได้ไหม ก็ทำให้ได้นะ มันไม่เห็นยากตรงไหนเลย

 

คนจิตเดรัจฉาน

0890015xxxปรากฏการณ์"ระเบิดความรัก" ถือเป็น"โอปปาติกะ"ได้หรือไม่

ระเบิดความรักนี้เป็นเรื่องของสัตว์ เป็นธาตุรู้ จิตนิยาม ที่กำหนดรู้สิ่งนี้ได้ เป็นธาตุเฉลียวฉลาด รู้สิ่งนี้ได้ แล้วมาประพฤติปฏิบัติ ก็เป็นประโยชน์เป็นคุณค่าต่อโลกนี้ การเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ คุณจะเป็นตัวเหตุ เป็นอนาคามียังไม่เป็นอรหันต์ ก็มีเหตุที่ผิดน้อย มีความสุขมาก เป็นประโยชน์คุณค่ามาก เป็นโทษน้อย แต่ก็ยังถือว่ามีโทษมีภัย ถ้าเป็นสกิทาคามีแน่นอนก็ยังเป็นคนที่มีกิริยากรรมเป็นพิษภัยมากกว่า ใช่ไหม ยิ่งเป็นแค่โสดาฯ รู้แค่โสดาบัน ก็ยิ่งจะเป็นพิษภัยมากกว่าสกิทาคามี ยิ่งเป็นปุถุชนก็อย่านับเลย เป็นโทษมีภัยนั้นอย่านับเลย ยิ่งเป็นต่ำกว่าปุถุชน เป็นเดรัจฉานนั้นก็ยิ่งหนัก น่าสงสารที่ได้ร่างมาเป็นคน แต่จิตใจนั้นเป็นจิตต่ำกว่าเดรัจฉาน

เดรัจฉานที่ไม่ได้มีจิตใจต่ำอย่างที่ได้ร่างเป็นคน แต่จิตใจต่ำกว่าเดรัจฉาน อย่างนั้นแม้เป็นเสือเป็นสิงห์ก็ไม่เป็นโทษภัยต่อสัตว์อื่นมาก แต่ที่ได้ร่างมนุษย์มาแต่จิตใจต่ำกว่าเสือสิงห์ลิงค่าง มันต่ำทรามกว่านั้นอีก อันนี้สิเป็นความซับซ้อน มันคิดชั่วอำมหิตโหดร้าย ทำร้ายอะไรต่างๆ เอารูปงามที่ดีตื้นๆมาฉาบ แต่จิตใจอำมหิตโหดเหี้ยม ไม่ได้เห็นแก่คนอื่นที่เดือดร้อนทุกข์ทรมาน

คนที่เห็นแก่ตัว แล้วก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เหตุปัจจัยที่มีอำนาจเงินทอง มีคนเคารพนับถือ ก็แล้วแต่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยประกอบเพื่อที่จะทำความชั่ว โดยเขาไม่รู้ตัว จะสารภาพผิดแล้วแก้ไขก็จะดีขึ้น แต่นี่กลับไม่ยอมสารภาพผิด ก็คือจะไม่แก้ไข แล้วจะชั่วดักดานไปอีกนานเท่าไหร่ คุณนะจ๊ะ คุณจะมั่วแต่ชั่วไปดักดานอีกเท่าไหร่ แล้วมาหลอกคนว่า ตนเองเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แล้วทำไมขบถต่อคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างนี้

การหลอกคนนี้เป็นกรรมไหม แล้วเขาจะได้รับวิบากไหม เขาทำของเขาเองทั้งนั้นด้วยความโง่แล้วเมื่อไหร่จะตื่นเสียที ผู้ที่เข้าใจสัจจะอย่างที่ค่อยๆได้ขยายความไปนี้ ก็จะเข้าใจ แล้วเอามาปฏิบัติจนตนเองอยู่เหนือมัน แล้วก็จัดสรรให้เป็นประโยชน์ได้

 

0893867xxxกราบขอบคุณพ่อครูกับธ.กามตัณหาหลงติดในกามวัตถุ!ภวตัณหาหลงติดในภพ จิต!วิภวตัณหาสิ้นกามหมดภพ!สกก.คนที่ไม่อยากเป็นอะไรเลย!เบื่อที่จะได้!หน่ายที่จะเอา!เอวัง

ตอบ...ถูกต้อง พูดด้วยบัญญัติ แล้วเอาไปปฏิบัติให้เป็นจริงได้ เราปฏิบัติลดกาม ตั้งแต่อบายที่อยู่ในกามภพ พอหมดกาม ก็อยู่ในรูปภพอรูปภพ มีรูปราคะอรูปราคะ เราต้องทำได้ ตั้งแต่อย่างหยาบข้างนอกจะหลุดพ้น คนที่หลุดพ้นจากอบายมุข เราก็อยู่กับโลกที่คนอื่นเขาทำอบาย แต่เราเองไม่ดูดไม่ผลักไปกับเขาแล้ว เราไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่จะช่วยเขาแล้ว แต่ก็อยู่กับเขา เราไม่ได้ปิดตา ไม่ได้หลบหนีไปนะ ช่วยเขาได้เราก็ช่วย ช่วยที่เขาตกนรก ตกอบาย คนนี้มีประโยชน์จากเขาแล้วเขารู้อยู่ก็ไม่ดูดาย จะช่วยเขา บางคนก็ช่วยไม่ได้อย่างเช่นธัมมชโยนี้อาตมาจะช่วย แต่เขาไม่ยอมให้ช่วย เขาทำตัวเขาเอง เราไม่ได้ทำเขาหรอก

 

โอกาสทองของพลังงานระเบิดรัก

ในโลกนี้มีพลังงานความรัก ที่อาตมาได้ขยายความตั้งแต่ความรักมิติที่ 1-7 ไม่ใช่ความรู้ของอาตมาเองหรอก แต่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาก็สืบสานมามี DNA ของพระพุทธเจ้าที่ท่านถ่ายทอดมา จนมาถึงวันนี้ตามนี้ก็พยายามจะปลูกฝังถ่าย DNA ให้แก่พวกเราต่อๆกันไป ก็ในมนุษย์โลกนี้ความรู้ที่ถือว่า เป็นคุณค่าต่อมนุษยชาติหรือสัตว์โลก คือความรู้สัมมาสัมโพธิญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ สูงสุดแล้วเป็นอเทวนิยม

แล้วยุคนี้เป็นปลายภัทรกัป ยังไม่ถึงกลียุคแท้ ยังพอสบาย แต่ถ้าถึงกลียุคแท้แล้วมันร้อนแรง คนที่มีบารมีแล้วไม่ไปอยู่หรอก เพราะว่าท่านเลือกได้ แต่คนที่มีวิบากก็ต้องไปอยู่ เราจึงต้องสร้างบารมีให้แก่ตนเองจะได้ ไม่ถูกวิบากเรานี้ดูดไปอยู่ในยุคกาลที่มันร้ายแรงรุนแรง ถ้าคุณไม่มีกุศลวิบากที่จะหลุดพ้น ไม่มีใครช่วยคุณนะ ไม่มีใครช่วยคุณได้ พระเจ้าและพระพุทธเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้ กรรมเป็นของตนเอง ตนเองทำเอง ถ้าจะพ้นได้ตนเองก็ต้องทำ

เหตุการณ์นี้ในยุคกาลของศาสนาพระพุทธเจ้า มีราศีรังสีที่ชวนกันทำดี พากันทำดี ก็ควรจะอุตสาหะวิริยะใส่ลงไปไหม? กำลังพากันดี ชวนกันทำดี กำลังมีปัญญา รู้ว่าดีคืออะไร ก็ช่วยกันเถอะ มันเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว อย่าทิ้งโอกาสอย่าเสียโอกาส เราทำได้เท่าที่เรามีแรง อัปปฏิฐัง อนายูหัง เราเพียรแล้วไม่ไหวแล้วก็พัก พักแล้วเราก็เพียรต่อ โอกาสนี้หาได้ยาก มันไม่มีอุปสรรคที่จะให้เราลำบากไปกว่านี้ มันมีแต่ความเพียรของเรา เอาตัวเราไปร่วมทำกุศล ตัวที่จะร้ายแรงต้องลำบาก ต้องเจ็บป่วย ต้องทรมาน มันน้อยใช่ไหม โอกาสอย่างนี้ถ้าไม่เข้าใจ ก็ขอแนะนำอย่าช้า ร่วมไม้ร่วมมือกันรังสรรค์ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่บังเอิญประเทศไทยมีสิ่งนี้ มีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าช้า เกิดที่ในประเทศไทย  

อาตมาว่าผู้ที่มีปัญญา อยากให้เกิดในประเทศของตนเองทั้งนั้น มันจะเกิดได้ มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันจะเกิดได้ก็เพราะว่าคนในประเทศนั้นเขาทำ ใช่ไหม แต่ประเทศไทยมีคนทำ จึงเกิดมีอันนี้ ผู้ที่มีจิตใจไม่ยึดติดในประเทศนั้นประเทศนี้ เห็นว่านี่กรรมกริยาอย่างนี้ จะชาติไหนประเทศไหน ประเทศไทยก็ไม่ได้ปิดกั้น ก็ welcome ๆ ยินดีต้อนรับทุกประเทศ มาแล้วอย่าประพฤติต่ำกว่าหลักเกณฑ์เขาก็ให้อยู่ มาสิมาอยู่ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติ เชิญ จะถือว่าฉันนับถือศาสนานี้จะไม่เปลี่ยน ก็ไม่เป็นไร เราไม่ติดในบัญญัติ เราเอาเนื้อแท้ เราเอาวิมังสา เราเอาแก่น เอา Core ไม่ติดในเปลือกๆ

ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีงาม ถึงบอกว่าในยุคนี้ เกิดมาพอดีมันสมพร้อม ความลำบาก ความต่อต้านที่ทำให้ทุกข์ยาก มันก็น้อย เหลือแต่ความอุตสาหะของเราเท่านั้น ทำไมถึงโชคดีขนาดนี้ สังคมประเทศไทย แล้วใครจะยังหนืดยังขี้เกียจอยู่ช่างหัวมัน ก็ Let it be ก็แล้วแต่ ปล่อยให้มันเป็นไป ตัวใครตัวมัน

พวกเราก็เห็น ตอนนี้ที่สันติอโศกก็รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น พลังงานองค์รวมมากขึ้น ตอนนี้เราก็ทำไป จุดใจกลางอยู่ที่สนามหลวง เราก็แสดงพฤติกรรมพฤตินัยทุกอย่าง ที่กำลังมีองค์รวม เป็นพลังงานที่เป็นราศีรังสี มันกำลังเกิดมันอบอุ่น มันชื่นใจ มันมีการให้ ไม่มีใครเห็นแก่ตัว ที่คนพยายามล้างความเห็นแก่ตัว มันไม่มีภาษาจะชมเชย เชิดชูแล้ว มันน่าชื่นใจจริงๆ

โอกาสอย่างนี้ อย่าช้าอยู่ไหนรีบมา ไม่ต้องถึงขนาดเอามีดพร้ากระทะขวานมา เข้ามารวมตัวกัน มาแสดงออกถึงการให้

 

อัตตาและเวทนาในธรรมะสอง

มาเจาะในความเป็นอัตตา อัตตาคืออะไร อาการที่ไม่มีอัตตาเราจะรู้ได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าท่านสอนโลกุตรธรรม กายเวทนาจิตธรรม พลังงานหนึ่งที่รวมตัวกันลงตั้งอยู่เรียกว่าธรรมะ ถ้าเราทำให้ถูกต้องก็จะรวมตัวกันตั้งอยู่เป็น อนัตตาธรรม แต่ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ไม่ถูกไม่ตรงก็ไม่ใช่อนัตตาธรรม มันก็เป็นอัตตา ทรงไว้ซึ่งอัตตา เป็นอัตตธรรม

เราจะต้องเข้าใจแล้วปฏิบัติพลังงานของตัวเรา อย่าให้จับตัวเป็นลักษณะนั้น ลักษณะของอัตตา จะปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างมีสภาพ 2 เรียกว่าธัมมะ 2 เทวธัมมา

แล้วเทวธัมมาอะไรที่เรียนรู้ได้ง่าย ก็จากความรู้สึก จากอารมณ์ จากเวทนา เวทนานี้ มันก่ออาการของจิตที่เห็นแก่ตัว เป็นความรู้สึกหรืออารมณ์มันยึดถือเป็นตัวเรา กรรมฐานของพระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรวมลงไปที่เวทนา แล้วก็แจกแจงออกไป 108 เวทนา โดยแยกเอาความเห็นแก่ตัวออก เรียกว่าการเนกขัมมะ ถ้ายังยึดถือความเห็นแก่ตัวอยู่ เรียกว่าเคหสิตะ

อาการที่เกิดจากต้นทางการสัมผัส 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสแล้วก็เกี่ยวข้องกับข้างนอกทั้งหมด โดยเฉพาะตาหูจมูกลิ้นกาย 5 ทวาร ข้างนอกทั้งนั้น ยกเว้นใจในใจ ก็เรียนรู้ตั้งแต่หยาบ ข้างนอกให้ได้ เมื่อมันสัมผัสก็เกิดธรรมะ 2 อวิชชาทำให้เกิดการปรุงแต่ง เรียกว่าสังขาร ธรรมะสองก็ปรุงแต่งขึ้นมา

สองคือรูปกับนาม ถ้ามีอิทธิภาวะกับสัปปุริสภาวะปรุงแต่งกันขึ้น เกิดอันที่ 3 เป็นตัวกูของกู อิตถีภาวะก็คือ she ปุริสภาวะก็คือ he ปรุงแต่งขึ้นมาเป็น i เป็นกู แล้วเอาตัวกูของกูเป็นประธาน ก็ต้องล้างไม่ต้องมี i ไม่ต้องมีกู อนุโลมตาม บางทีมันต้องมีมากกว่าหนึ่ง มากกว่าสอง แต่มันได้แค่นี้ มันต้องอนุโลม ก็ต้องพยายามแชร์กันให้ได้ อย่างกลมกลืนไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้งจนกระทั่งตบตีกัน

สูงสุดจะด่าว่ากันด้วยปากหอก ก็พอทำเนา อย่าลงมือกันให้ถึงกับเลือดไหลจนถึงตาย มันไม่ไหวแล้วสังคมอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงอนุโลมได้สูงสุด ถึงขั้นปากหอกหรือมุกขสัตตี ถ้าจะไม่มีการทิ่มแทงกันก็จะดี ถึงอย่างไรมีปากหอกด่าว่ากระทบ มันก็ไม่เหมือนวัตถุแข็งก้อนไปทิ่มตำกัน ไม่มีกระทบกันทางกายวิญญัติ มีแต่แค่วจีวิญญัติ

สูงสุดกว่านั้นไม่ใช้การต้าน ไม่มีความเห็นแย้งกันเลยทุกอย่างเห็นด้วยกันหมดมันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องมีความเห็นต่างและก็แก้ไข จบสูงสุดอยู่ที่หนึ่งเดียว ต้องมีความขัดแย้งที่พอเหมาะ เพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น นี่คือสัจจะสูงสุดที่สรุป

เราจะต้องรู้พลังงานของเรา พระพุทธเจ้าสอนกายในกาย เวทนาในเวทนาจิตในจิต ธรรมในธรรม

ไล่มาจากธรรมะ เป็นสิ่งที่ทรงอยู่ ตีไม่แตกคุณก็ไม่รู้ว่าอันไหนอกุศลหรือกุศล แต่ถ้าคุณตีแตกออกมา ก็จะรู้ว่าอันไหนเป็นกุศลหรืออกุศล คุณก็จะต้องยืนอยู่ข้างกุศลธรรม ต้องเลิกจากอกุศลธรรมมาเป็นเนกขัมมะ จะเลิกได้อย่างไรก็ด้วยการกระทำมาเป็นกรรม เราต้องทำการเอาออก เป็นเนกขัมมะ ออกตรงไหนก็ออกตรงที่ใจเป็นประธาน มโนปุพพังคมามโนเสฏฐามโนมยา ออกจากใจเรานี่แหละ ผู้อื่นเราทำให้เขาไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำใจในใจมนสิการของตนเองทั้งนั้น  ของเราก็ต้องทำของตนเองให้ได้ ให้เอาอาการของอกุศล ที่เป็นตัวเลวร้าย ตัวไม่ดีออกไป ให้มันหมดไป ไม่ให้อาการนั้นในจิต จนเกิดปัญญารู้ว่าอย่างนั้นมันไม่ดี เป็นโทษเป็นภัย มันเป็นความเท็จ อาการอย่างนี้ อย่าไปเกิดในใจเรา เราก็ต้องมีปัญญา พลังปัญญาจะล้างอาการโทสะ พลังงานราคะ หรือโมหะ

พลังงานปัญญามันเหนือกว่าจริงๆ เมื่อมันมีพลังงานมากพอ มันจะจัดการพลังงานโทสะ พลังงานราคะ โมหะ ท่านเรียกว่าอุณหธาตุ ภาษาไทยเรียกว่าไฟ

เราสามารถที่จะเข้าใจอาการ และรู้ลักษณะของมัน ดังที่กล่าวด้วยพยัญชนะภาษา เราต้องทำให้มันจางคลายจนไม่ให้มี ก็ใช้บัญญัติภาษาสื่อให้ฟังได้อย่างนี้ เราก็ต้องไปดูเองอย่างปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหีติ แล้วเราก็ลดลงไป เราก็รู้จริงๆว่ามันไม่มีพลัง ที่เป็นโทษภัย

เราก็จะรู้ว่า เราไม่มีโทษภัยเป็นอย่างนี้ เรามีแต่คุณประโยชน์เป็นอย่างนี้ เราทำได้จริง พลังงานที่เป็นโทษภัย ทางกายวิญญัติ วจีวิญญัติไม่มี เพราะว่าเราควบคุมตั้งแต่ต้นทางอยู่ในจิตใจ ต้นเหตุคือมโนปุพพังคมาธัมมา ก็จบ ผู้ที่มีความไม่มีในเส้นทางในจิต ก็ไม่มีอะไรสังขาริกัง ไม่มีอะไรชักนำให้เกิด เพราะอสังขาริกังแล้ว ไม่มีตัวเชื้อชั่วมาชักนำให้เกิดในจิตเราแล้ว ไม่มีตัวที่จะพาให้เรามีกายกรรม วจีกรรมแล้วในอกุศล

เราต้องมีญาณรู้ว่า อสังขาริกังมีลักษณะอย่างไรในจิต ตัวนี้เป็นเจตสิกตัวลึกเลย แต่ถ้ามันมี มันก็จะเป็นสังขาริกัง ทำให้ออกไปเป็นกายกรรมวจีกรรม แต่ถ้าทำให้มันหายไปหมด ไม่เหลือแม้แต่ตัวเล็กตัวน้อย การตรวจสอบด้วยอรูปฌาน

อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ ทำไม่ให้เหลือธุลีเศษความมัวหมอง แม้เล็กแม้น้อยก็ทำให้ไม่มี แล้วก็ทำอย่างรู้นะว่ามันไม่มีจริงๆ ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก เนวสัญญา กำหนดรู้ว่าไม่รู้ไม่ได้นะ เนว คือตัวภาคเสธ

เอวะ คืออันนั้น อย่างนั้น

เนวะ แล้วอันนั้นมันดีสมบูรณ์หรือยัง เป็นตัวภาคเสธ ต้องตรวจตัว เนวะให้เป็นเหวะ คือให้แท้ให้จริง

ปัญญามันจะเข้าไปรู้อัตตาที่เป็นตัวเรา ตัวเราตั้งแต่ อรูปอัตตา มันมีนิดเล็กน้อยจนจะไม่มีอะไรให้รู้ เล็กน้อยโทษภัยก็น้อย แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ให้ไว้หน้าต้องทำให้หมดไป ไม่ให้มี นี่คือภาคบังคับของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่มี เราก็จบ ต้องอ่านอาการ พระพุทธเจ้าว่าต้องรู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

อุเทศ คือคำอธิบาย ที่อาตมากำลังยกมาอธิบายขยายความ คำว่านิเทศน์ คืออยู่ในกรอบหน่อย แต่อุเทศ คือไม่มีจำกัดกรอบ อย่างนิเทศน์ศาสตร์ ศาสตร์การสื่อสาร ก็กำหนดไว้

อธิบายให้ผู้ที่มีความรู้สภาวะธรรม แล้วใช้ภาษามาอธิบายก็ได้เลย อย่างที่ไม่มีภาษาก็ละเอียดมากแล้ว นอกนั้นพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้หมดแล้ว อาตมาถึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปบัญญัติภาษาอะไรมาใช้ แล้วมีอีกตั้งเยอะที่อาตมาไม่รู้ในภาษาบาลีของพระพุทธเจ้า ท่านบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่ต้องไปอวดเก่ง เอาของพระพุทธเจ้านี้มาใช้สื่ออะไรได้เลย ขยายความได้เลย

ท่านรู้จักพลังงานในระดับอาการของอุตุนิยาม คือไม่มีธาตุรู้เข้าไปร่วมเลยเป็นดินน้ำไฟลมอากาศ

พอมาเป็นพีชะ ก็รวมตัวเป็นเนื้อหนัง เป็นพืช ผลไม้ เมล็ด เราก็เข้าใจก็รู้มัน จนมันมารวมกันเป็นสัตว์ เป็นชีวะมีตัวกูของกู มีเวทนา มีการรู้รู้สึกเรายึดถือความรู้สึกนั้น พืชไม่ได้ยึดความรู้สึก มันไม่มีเวทนา มันยึดถือแต่สิ่งที่จะเอามารวมตัวเป็นมัน มันเอาแต่เนื้อของมัน ความเป็นอัตตาของมัน มะละกอก็เอาแต่ธาตุที่จะไปสังเคราะห์เป็นมะละกอ อย่างอื่นมันไม่ไปเอา ถ้าได้ไม่ครบมันก็เป็นมะละกอที่แคระแกรนไม่สมบูรณ์ ถ้ามันได้ครบก็เป็นมะละกอที่มีความสมบูรณ์ขึ้นมา

คุณลักษณะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนคนให้ทำตนเองเป็นพลังงานพีชะที่ไว้อาศัย ถ้าคุณทำตัวเองได้เป็นพลังงาน พีชะ แล้วจะมีร่างกายไว้ทรงไว้ ที่มันเหนือกว่าพืชกว่าเดรัจฉาน เพราะมันรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ อันไหนดีอันไหนไม่ดี มันรู้มากกว่าสัตว์  ก็เอาสิ่งที่ไม่รบกวนไม่เป็นโทษไม่เป็นภัยใคร คือ พีชะ มันทำได้แข็งแรง เมื่อคุณทำตนเป็นพีชะได้ ก็ไม่เป็นพิษภัยกับใคร

พลังงานที่เหลือก็เอามาสร้างสรรค์ คนไม่ได้ทำโทษภัยกับใคร แล้วก็สร้างสิ่งที่มีประโยชน์คุณค่า แล้วจะสร้างได้มากกว่าด้วย เพราะมีพลังงานแคลอรี่ที่มากกว่าสัตว์กว่าพืช มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน

คนมีพลังงานมากกว่าช้าง กว่าเดรัจฉานนะ แต่มันรวมกันไม่ได้หรอก ถ้ารวมกันได้ เอามือนี้ยันช้างได้เลย เคยฟังตำนานมาไหม ถ้าไม่เชื่อก็ดูหนังกำลังภายในจีนก็ได้ พลังงานในคนนี้เท่ากับพลังงานในดวงอาทิตย์ แต่เอามาใช้ไม่ได้เท่านั้นเอง ถ้าคุณสามารถรวมพลังงานนี้ได้ คุณจะทำได้หมด ไม่ว่าจะเหาะเหินเดินน้ำดำดิน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานร้อนแรงอย่างไร อย่างเช่นพลังงานของนนทุกข์ ก็ชี้คนตายได้เลย เรื่องรามเกียรติ์  ความรู้ที่มีเจตนาเป็นอกุศล ก็ทำชั่วได้เยอะ

อาตมาทุกวันนี้ มีพลังงานพิเศษหลายอย่างที่เกินเชื่อ เป็นเรื่องพิเศษสำหรับคนบางคนแต่มันไปใช้ได้ไม่ทั่วก็เลยไม่ใช้ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมาก มันต้องรวบรวมต้องเค้นพลังงานพิเศษออกมา อาตมาก็ใช้พลังงานสามัญกับคนสามัญให้พ้นทุกข์แค่นี้ก็พอ  เอาพลังงานมาใช้ขนาดนี้ก็ยังไม่ค่อยพอแล้ว อาตมามีฤทธิ์เดชอะไรหลายอย่างแต่ต้องรวบรวมพลังงานนั้นเพื่อทำอะไรพิเศษ ให้คนมาเคารพนับถือ เพื่ออวดเก่งอย่างนั้นให้เป็นคนพิเศษ พิเศษมันก็ไม่เข้าท่าอะไร เอามาใช้ในเรื่องสามัญให้คนได้อุปโภคบริโภค ต้องอาศัย ต้องใช้พูด ใช้บรรยาย แค่นี้ก็พลังงานไม่ค่อยพออยู่แล้ว

 

มาเรียนรู้อัตตาในกาย พระพุทธเจ้าบอกว่ากายคือธรรมะ 2 เอารูปกับนาม

สิ่งที่ถูกรู้เราเรียกว่ารูป เช่นเราไปยึดถือว่ามะละกอนี้เป็นของข้าใครอย่าแตะ ของข้าถ้าลูกก็ไม่ให้ก็ไม่ให้ อย่างนี้เห็นแก่ตัวจัด แคบมาก มิติที่อาตมาไม่ตั้งมิติเลยเป็นของกูอย่างนี้ไม่ตั้งเป็นมิติที่ 1 ถือเป็นมิติที่ 0 หรือว่าไม่ต้องพูดกับมันแล้วคนคนนี้เริ่มต้นมิติที่ 1 คือเห็นแก่สัมผัสเสียดสีผู้ชายผู้หญิงแค่นั้น สองคนอย่างอื่นไม่เอาถ่านด้วย มันแค่เอาแต่สัมผัสเสียดสี การงานอื่นไม่ทำ

บางคน สามีเอาแต่สัมผัสเสพเสียดสี ไม่ทำการงานอื่นเลย ให้ภรรยาทำการงานมาเลี้ยงสามี  สามีเอาแต่สัมผัสเสียดสี ดีไม่ดีก็สูบยาด้วย มนุษย์อย่างนี้มีด้วยเป็นเพศชายที่เอาเปรียบเพศหญิง เพราะข่มได้ เอาเปรียบได้ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ที่มีเขี้ยวมีงาก็ข่มได้ สัตว์ที่เป็นเพศตัวเมียก็ต้องยอม นั่นแหละมันไม่ดีเพราะมีปัญญารู้ว่าอย่างนั้นไม่ดี ก็มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ บางเผ่าผู้ชายเป็นคนทำงาน ผู้หญิงก็ทำงานในบ้าน ผู้ชายทำงานหนักนอกบ้าน ผู้หญิงก็ทำงานอยู่ในบ้าน ก็เจริญตามลำดับ กลับไปกลับมา ต่างคนต่างช่วยกันก็เจริญขึ้นได้เรื่อยๆ จนกระทั่งก็เสมอภาคกัน ผู้ชายก็ช่วยกันผู้หญิงก็ช่วยกัน จนถึงทุกวันนี้ ตามความสามารถของแต่ละคนต่างคนต่างเอาจริง ของจริง ตามสมรรถภาพความรู้ ไม่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็แบ่งกันทำ อันไหนผู้ชายทำไม่ได้ ผู้หญิงทำได้ดีก็ให้ทำ อันไหนผู้หญิงทำให้ได้ ผู้ชายทำได้ ก็ให้ผู้ชายทำ สนับสนุนกันก็มีแต่รังสรรค์ มีแต่สิ่งที่เกิดความเจริญ ไม่เดือดร้อน

กายคือธรรม 2 การยึดถือเป็นตน รู้ว่าอาการอย่างนี้ มันเป็นความเห็นแก่ตัวเอง เป็นการเสพรส เอามาเป็นของตน อย่างใหญ่อย่างสูงก็มีเสพรสสัมผัสเสียดสีเป็นราคะ เอามาเป็นของตนเรียกว่าโลภะ ถ้าไม่ได้เป็นของตนไม่ได้เสพสัมผัสเสียดสี กูก็บ้า เป็นโทสะ ส่วนโมหะ​ไม่รู้เรื่องเลย ก็แยกแยะไม่ออก ถ้าแยกแยะออกก็พ้นโมหะ แล้วจัดสรรเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีให้ดี

คนที่รู้ว่าตัวเองไม่ดีอะไรเรียกว่าอัตตา ในสภาพสอง ถ้าคนเดียวไม่มีอะไรเทียบเลย คุณไม่มีดีไม่มีชั่วหรอก ในโลกนี้มีคุณคนเดียว ก็ไม่มีดีไม่มีชั่ว คุณเป็นชีวิตคนเดียว นอกนั้นเป็นดินน้ำไฟลม จะกินอะไรก็เชิญ กินไม่หมดหรอก แต่ถ้าคนมาก แย่งกันมากก็ทุกข์มาก

จริงๆแล้วโลกทุกวันนี้ แบ่งกันกินใช้มันก็พอ วัตถุก็พอ แล้วคนก็รู้จักสร้าง ปลูกพืชไร้สารพิษได้ด้วยก็รู้ก็ทำ อาศัยกินอยู่แล้วก็ตาย ไม่ต้องไปเอาอะไร ไม่ต้องไปทำหอก ทำปืน ทำระเบิด ไปทำแล้วชั่ว ทำมาฆ่าคนทำไม จะไปฆ่าสัตว์มันก็จองเวรจองกรรม อย่าไปทำ ศาสนาพุทธจึงให้ละเว้นการฆ่าสัตว์ แม้แต่ฆ่ามากินก็ไม่ให้ทำ กินแต่พืชก็อยู่ได้ ถ้าคนเข้าใจอย่างนี้ก็ปฏิบัติได้ คนไม่เข้าใจยังอยากอยู่ก็จะเถียงหาเหตุผลจะกินสัตว์ ถ้าเข้าใจแล้วจะไปกินทำไม กินพืชนี้ก็เหลือแหล่ คนกินแต่พืชกับคนกินสัตว์ ใครจะอายุยืนกว่ากัน พิสูจน์กันต่อไปได้เลย

คุณกินแต่สัตว์ ไม่กินพืชเลยยิ่งอายุสั้น คุณกินแต่พืชไม่กินสัตว์เลยท้าให้พิสูจน์เลย คนกินแต่สัตว์ไม่กินพืชมีอายุไม่กี่ปีหรอก อย่างพวกที่อยู่ขั้วโลกเหนือ มันไม่มีพืชเลย มันมีแต่สัตว์ให้กิน อายุสูงสุดยอด 40 เฉลี่ยแล้ว ตายตอนอายุ 28 ปี ส่วนคนที่กินแต่พืช กินสัตว์น้อยมากหรือไม่กินเลย อายุยืนถึง 100 ปี 200 ปี

คุณกินสัตว์ก็ต้องมีวิบากต่อกัน จะไปต่อเชื้อทำไม คุณไม่กินก็อยู่ได้แล้วอายุยืนด้วย ไม่ทำก็เชิญโง่ต่อไป สรุปอย่างนั้น

 

มีคนฝากรายงานบรรยากาศ ...ฝากข้อมูลถึงพ่อครูช่วยประกาศในรายการวิถีอาริยธรรม วันนี้ผมมาร่วมบรรยากาศที่สนามหลวงออกจากสันติฯตีสี่ครึ่งพอถึงสนามหลวง คนมาเคารพพระบรมศพเยอะมาก พูดคุยกับทีมทำงานโรงบุญสนามหลวงมีเล็กดาบบุญ,ปลูกขวัญ,ปานรุ้งและโยมแขกแพทย์วิถีธรรมแล้ว ได้ข้อสรุปว่า การตั้งโรงบุญพรุ่งนี้ 5 ธ.ค.ผู้จะมาตั้งโรงบุญให้เอาของที่จะแจกมาก่อนในเวลาห้าทุ่มวันนี้

ถ้าเลยเวลานี้ไปจะเอารถเข้ามาบริเวณเต๊นท์กองทัพธรรมไม่ได้ เพราะคนเยอะมาก
          พรุ่งนี้(5 ธ.ค.)คาดว่าจะมากกว่านี้อีก ผู้ขนของมาให้นำผ้ามาคลุมด้วยและเขียนชื่อเจ้าของติดไว้ด้วยเพื่อกันความสับสน ส่วนผู้จะมาแจกมาเวลาไหนก็ตามสะดวกแต่ต้องหาทางเข้ามาเพราะรถส่วนตัวจะเข้ามาไม่ได้เลย
        ส่วนผู้ไม่พร้อมจะขนของมาตอนห้าทุ่มจะเข้ามาไม่ได้ สะดวกแจกบริเวณไหน ก็แจกตรงนั้นเลย

 

สมณะเดินดินว่า...ดูเหมือนว่าในช่วงนี้พ่อครูจะย้ำเรื่องเป็นกาละที่พิเศษเหมือนกับเพลงสักวันหนึ่งดอกไม้บานสะพรั่ง สักวันหนึ่งคนจริงจังจักหลากหลายสักวันหนึ่งคนดีทั้งหญิงชาย จะเกิดขึ้นมากมายเต็มแผ่นดิน

พ่อครูว่ากาละนี้ จะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีบารมีอย่างในหลวง ที่ทรงทศพิธราชธรรม ที่ทรงบำเพ็ญอย่างอุตสาหะมาตลอด 70 ปี เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากเลย

และในยุคนี้กาละนี้ จะเป็นการกระทำที่ทำได้ง่ายด้วย นึกถึงแต่ก่อนเราออกไปทำดีก็ถูกระเบิดถูกว่า แต่ตอนนี้มีแต่คนสนับสนุนให้ทำ แม้ในยุคที่ใกล้จะถึงกลียุค เราอาจมีวิบากต้องไปเกิดกลียุคได้ หากไม่สร้างบารมีต่อ

พระโพธิสัตว์แต่ละท่านไม่ว่าจะเป็น คานธีหรือไอน์สไตน์ ก็เป็นนักมังสวิรัติ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ไม่เกิดในดินแดนที่คนกินเนื้อสัตว์หรอก เป็นยุคกาลที่คนจะบรรลุธรรมได้ง่าย ชาวอโศกอย่างน้อยก็มีเหตุปัจจัยของการเป็นนักมังสวิรัติจะทำให้พบพระโพธิสัตว์ได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องไปเกิดที่ท่าแร่ ไปเกิดให้เขาแล่เนื้อหรือเปล่า

เป็นโอกาสทอง ที่ทำได้ง่าย มีคนสนับสนุน มีคนให้กำลังใจ โอกาศนี้เราผ่านไป ก็อาจจะไปสู่ที่ชอบที่ชอบ ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:26:26 )

591205

รายละเอียด

591205_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก นรกหรือสวรรค์ก็อยู่ที่กรรม

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 5 ธันวาคม 2559 จะเรียกว่า เป็นวันสำคัญของพวกเรา เป็นวันที่เราไปช่วยกันจัดโรงบุญ โรงงานผลิตความรัก ให้กระจายออกไป จนตอนนี้ บอกว่ายอด 999 โรง ก็ได้ยอดครบแล้ว ที่สนามหลวงเดิมรับจอง 99 โรง ตอนนี้ก็เหลือแล้วด้วย พ่อครูบอกว่า เหลือก็ดีกว่า อย่าให้ขาดก็แล้วกัน

ชาวจังหวัดเพชรบุรี เขาช่วยกันทำข้าวต้มมัดถึง 10,000 มัด ของเราแค่ 100-200 มัด จิ๊บจ๊อยไปเลย แล้วของเขานี้ ชาวบ้านรวมตัวกัน เริ่มต้นตั้งแต่ ปีนต้นมะพร้าว กว่าจะเอามะพร้าวมา แล้วมาช่วยกันทำ ไปรวมตัวกันที่วัด ของเราก็ไปได้เรื่อยๆ แต่พลังของชาวบ้าน ที่รวมตัวกัน ก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน กว่าจะมีที่มา เป็นข้าวต้มมัด แต่สิ่งที่เหนือกว่าข้าวต้มมัด ก็คือพลังความสามัคคี พลังความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ของประชาชน มาถึงท้องสนามหลวงได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมาก พ่อครูบอกว่า ปรากฏการณ์อย่างนี้ จะเกิดขึ้นไปได้อีกยาวนานได้อย่างไร วันนี้รู้สึกว่า พ่อครูก็บอกว่า มีเรื่องจะบอก มีเทวดามารบกวนทั้งวันทั้งคืน

 

จิตเทวดาแท้เทวดาเท็จ

พ่อครูว่า...พวกเราจะเข้าใจความเป็นเทวดา มากขึ้นนะ จะได้รับซับซาบกันได้มากขึ้น จากที่เคยเข้าใจ เป็นตัวเป็นตน อะไรที่อยู่ใน นัยยะของเทวนิยมอยู่ เราก็จะเข้าใจชัดว่า มันก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณเรานี่แหละ ที่เป็นจิตวิญญาณเจริญเรียกว่า เป็นเทวดา พัฒนาขึ้นไปตามลำดับ

จิตวิญญาณที่เจริญคือ จิตวิญญาณเทวดา แล้วก็มีนัยะที่ลึกซึ้งด้วยว่า ต้องเป็นเทวดาอุบัติเทพ ไม่ใช่เทวดาที่เจริญแค่สมมุติเทพ ถ้าเป็นเทวดาสมมุติเทพ ก็เป็นเทวดาโลกีย์ ได้รับความสะดวกสบาย ได้ลาภยศสรรเสริญแบบโลกๆ อย่างสุจริต มีเงื่อนไขว่าต้องสุจริต พากเพียรอุตสาหะก็จะได้ แล้วก็สะสมไปกิเลสก็ยังหนา หวงแหนเป็นอัตตา กว่าจะรู้จักอัตตา แล้วลดละได้ ก็เป็นอุบัติเทพ

ลดความเป็นตัวตน ลดการเสพรส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะเจริญไปตามลำดับ เป็นการเจริญแบบโลกุตระ เรียกว่าอุบัติเทพ ถ้าเป็นสมมุติเทพ ก็วนเวียนอยู่กับสุขกับทุกข์ ยิ่งอวิชชา ยิ่งไม่รู้เรื่อง ว่าความสุขความทุกข์นี้ จะสะสมไปถึงไหน ตะกละตะกลามหลงผิด ก็ตามโลกที่มอมเมา ก็ยังดิ่งลงสวรรค์จัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งตกนรกมากเท่านั้น หลงสวรรค์มากเท่าไหร่ จัดจ้านเท่าไหร่ เอร็ดอร่อยเท่าไหร่ อาตมาเห็นแล้วก็สงสาร ด้วยความไม่รู้ของเขา ทุกวันนี้ ก็แสดงออกทางรสสุขของเขา

รสทางเกมกีฬาก็ชัด แสดงออกท่าทางของ เขามันยอดมันเลิศ มันชนะ มันได้อย่างนั้น เขาก็กระหน่ำย้ำตอก ย้ำความแน่น ความยินดี ความชอบใจ อย่างอวิชชา ยิ่งเห็นแล้ว ก็ยิ่งน่าสงสาร สนุกเป็นรสชาติ romanticism ทางกาม ก็ไม่รุนแรงอย่างซาดิสซึ่ม ทางกีฬาพวกนี้ ท่าทางสนุกเพลิดเพลินระริกระรี้ ก็ไม่หนักเท่าทางกีฬา

เห็นแล้วก็น่าสงสารจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาเคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก่อน ไปเทศนาที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาก็ส่ง นักกีฬาฟุตบอล ชื่อปิยะ เขาก็มาฟังด้วย อาตมาก็ว่า กีฬาบอลนี้มันพาลงนรก อาตมาก็พูดไปซื่อๆ พูดเตือนสติเขา แต่คนไม่รู้ เขาก็ยึดมั่นถือมั่น จริงๆอาตมาก็เคยเป็นนักบอล รู้ว่าการเตะ มันจะเป็นรสชาติอย่างไร แต่เรารู้แล้ว ก็เลยจางคลาย ไม่ติดยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย

วันนี้เหตุการณ์ มันเขม็งเกลียวมันเร็ว กระชับ ทันทีมันไม่รอช้ากันเลย ชั่วก็จะเร็วดีก็จะเร็ว มันแย่งกันตายแย่งกันเป็น แย่งกันเสพแย่งกันเจริญ ความเสื่อมก็แย่งกันเสื่อมนะ ความเจริญก็แย่งกันเจริญนะ ทุกอย่างมันจ้อๆ เป็นชั่วโมงที่เร่งรัด บีบคั้นจริงๆเลย

ขอตอบ sms

 

_รูปราคะคือการล้างเสพในสัญญาใช่ไหม แล้วอ่านอารมณ์เห็นความไม่เที่ยง อ่านเหตุคือความยึดเป็นทุกข์ สุดท้ายวางได้ก็ว่าง ทำใจในใจอย่างนี้ถูกไหม

ตอบ...ใช่

_ระดับสยังอภิญญา มีระดับใดบ้าง ข้อนี้โยมถามมา

ตอย...นับจากโพธิสัตว์ ระดับที่ 5 เป็นต้นไป นับจากอรหันต์ แต่ระดับห้านี้ ก็ยังไม่ถือเป็น สยังอภิญญา แต่นับเป็นปัจเจก ระดับอรหันต์ เป็นต้นไป

โพธิสัตว์ระดับ 6 ก็จะค่อยๆดีขึ้น แน่นหนาขึ้น มีพลังสูงขึ้น ขั้นที่ 7 ก็เป็นขั้นที่แน่นอน เป็นสยังอภิญญาขั้นที่ 7 จากปัจเจกมาหาสยังอภิญญา ก็จะเหลื่อมกันอยู่

อรหันต์ก็เริ่มมีปัจเจก และเป็นสยังอภิญญา เป็นปัจเจกระดับกลาง ถ้าเป็นปัจเจก ระดับสัมมาสัมพุทธะ ก็เป็นระดับปลาย ก็ค่อยๆศึกษาไป

รูปราคะ คือการล้างเสพในสัญญาก็ใช่ รูปราคะเข้าหาอัตตาในสัญญา

กามมันอยู่ข้างนอก ไม่ใช่รูปราคะ สัญญามันอยู่ข้างใน ถ้าปัญญา จะครบทั้งข้างนอกและข้างใน

อ่านอารมณ์ อ่านเหตุที่ความยึดถือเป็นทุกข์ แล้วเราจะวางโดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ มันต้องรู้เหตุที่มันยึด แล้วใช้ปัญญา สลายเหตุที่มันยึดถือได้ มันจะเข้าใจว่า มันเป็นอย่างนี้เอง ประกอบด้วยเหตุอย่างนี้ มันถึงได้ยึดมั่นถือมั่น

ปัญญาเป็นพลังงานทางความรู้ที่มีมากเข้า ก็จะไปสลายเหตุของมันได้ ตามจริง

เราศึกษาให้ดีตามสัมมาทิฏฐิ โดยไม่ต้องอยาก เข้าใจและก็ศึกษา ตามเหตุปัจจัย ตามวิถี ว่าทำอย่างนี้จะได้อย่างนี้ ขอให้ถูกต้องตามวิธีที่สัมมา แล้วทำด้วยความอุตสาหะไป เป็นลำดับขั้น

SMS วันที่ 4 ธันวาคม 2559 (รายการวิถีอาริยธรรม)

_0893867xxxนมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.สันติฯกทธ.ทุกพุทธส ถ.อโศก! ผู้น้อยบ่มีโรงบุญไปร่วมเสริม! เหตุญตธ.ป่วย!ทำได้เพียงแจกขนมเด็ก! โรงบุญมินิเคลื่อนที่ตามอัตภาพ เห็นพ่อฯเหมือนเห็นสัจธรรม! พ่อฯคือพุทธะแห่งโลกโลกุตรธรรม! ราษฎรใต้ร่มพระบารมีฯ พ่อฯคือพุทธะผู้รู้ทันโลก ผู้ตื่นอยู่กับสัจธรรม ผู้เบิกบานอยู่เหนือโลกธรรม! ทุกพื้นที่ๆแผ่นดินไม่ปกติสมบรูณ์ มีแต่พ่อหลวงฯ 1เดียว ทรงนำธรรมะ มารวมกับทุกสิ่งในชาติ จนเป็นธรรมชาติ ที่ปกติอุดมสมบรูณ์เกิดประโยชน์สุข ต่อมวลมนุษยชาติ ทั่วไทยทั่วโลก    พ่อครูสอนถูกตรงจิตวิญญาณ! ไม่มีใครหยุดคนใจอันธพาล ที่เสแสร้งดีต่อหน้าสังคม แต่แอบระรานลับหลังสังคม!ได้ดีเท่าใจคนยอมสงบ สันติอหิงสาด้วยจิตตนเอง!

0890015xxxไปถวายบังคมพระบรมศพฯ เห็นบรรยากาศคล้ายวันอโศกรำลึก คือมีการให้ มีความอิ่ม มีจิตอาสาเสียสละ อบอุ่น ได้พักผ่อน ไม่เครียดแม้รอนาน .......

0893809xxxปากว่าปัญญาในใจมักโง่ ถ้าคิดอย่างทำอีกอย่าง พูดอีกอย่าง อย่างนี้ก็เป็นปัญญาของคนบ้า ถ้าหากเรายึดมั่น ติดยึดอยู่กับความรู้ของตน แล้วกลับกลายเป็นอุปสรรค คือความรู้เป็นอุปสรรค ในโลกนี้คนมีความรู้มากๆ จะติดอยู่ในสิ่งที่ ตนเรียนรู้มาปล่อยใจว่าง มารับฟังความคิดเห็น ของผู้อื่นไม่เป็น

ตอบ...พ่อครูไอ สมณะเดินดินว่า คนโง่มักแสดงว่าตนฉลาด ด้วยการพูดแสดงความฉลาดมากๆ  คนที่มาพบพ่อครู ก็น่าเสียดาย ที่ไม่มาฟังพ่อครู มาแล้วก็พูดๆๆๆ ให้พ่อครูฟัง

พ่อครูไออีก...สมณะเดินดินว่า ตอนนี้ส้มตำหมอเขียว ก็คลายความยึด ปรับรสส้มตำ ให้คนรับประทานได้ดีขึ้น เป็นสัจจะย้อนสภาพที่พัฒนา

งานนี้เป็นงานทำเพื่อพ่อ ทุกคนก็ลดความยึดมั่นถือมั่นในตน

เต๊นท์กองทัพธรรม แต่ก่อนพ่อครูบอกว่า ต้องแจกมังสวิรัตินะ แต่ตอนนี้ก็เปิดรับได้ทุกอาหาร แม้เป็นเนื้อสัตว์ ก็มาแจกร่วมกันได้

พ่อครูว่า...การทำใจยอมรับคนอื่น ก็เหมือนเทน้ำชา ออกจากถ้วย แต่ใจมันมักจะแย้งอยู่ภายใน ฟังไปก็เทียบเคียงของตนไปเสมอๆ

 

_จาก ณันมนัส สิริจิตราพร มีคนถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็น นรก สวรรค์ เหล่านี้เป็นจริงหรือ หลวงปู่ ดูลย์ อตุโล ตอบว่า "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" 

ตอบ…ถูกต้อง สิ่งที่เขาเห็นนั้น เขาเห็นจริง เป็นอุปาทาน ที่ติดยึดในเขา แล้วเห็นไปตามอุปาทาน การเห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นไม่จริง นรกสวรรค์ไม่มีตัวตนรูปร่าง อุปาทานของคนมันยึดถือ จึงเห็นอย่างนั้นจริงๆ มันซ้อนที่คนจึงเข้าใจยาก ถ้าเข้าใจแล้วก็บอกว่าจบ มันไม่จบ คุณจะต้องล้างอุปาทานนั้นจริงๆ มันถึงจะเข้าใจ ต้องศึกษาให้เข้าใจ แล้วถึงจะรู้ว่า ความยึดมั่นถือมั่น เป็นอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นมันจะผิวเผิน บอกว่าเข้าใจแล้วนี่ ก็จะไม่มีอัตตาตัวตน แล้วจะเอาอัตตาตัวตนที่ไหนไปปฏิบัติ เขาก็ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตน สัพเพธัมมาอนัตตาติ แล้วคุณจะเข้าใจจิตใจของตนเอง ว่ายึดถืออัตตาหรือไม่เล่า

สมณะเดินดินว่า...ผมจำได้ ที่พ่อครูพูดโต้ตอบ กับอาจารย์ไสว ตอนเมื่อสมัยก่อน อาจารย์ไสวพูดมา 15 ปี เรื่องหมดตัวตนนี้ บอกว่า ไม่มีตัวกูของกู มันก็หมดแล้วนี่ ยิ่งพูดแล้วก็ยิ่งชำนาญในการพูด แต่พ่อครูบอกว่า คุณพูดอย่างนี้แล้วคุณทำได้ อย่างที่พูดไหม คุณไสวก็บอกว่า คำถามนี้ไม่ควรถาม

พ่อครูว่า...จริงๆแล้ว เราว่าควรถามนะ พอเข้าใจเรื่องนรกสวรรค์นะ ความจริงมันไม่มีตัวตน แต่คนเห็นจริง ตามที่เขายึดถืออุปาทานไว้

 

_จาก หินแสง ...พ่อครูเคยบอกว่า พ่อครูแสดงธรรมซ้ำๆ มีใครเบื่อบ้างไหม กระผมได้ติดตาม ฟังธรรมจากพ่อครู มาตั้งแต่ปี 2527 เป็นเวลา 30 กว่าปีมาแล้ว จิตของกระผม ก็ยังไม่เคยรู้สึกเบื่อ ที่จะฟังธรรมจากพ่อครูเลย แต่กลับยิ่งขวนขวาย ขยันในการฟังธรรม มากยิ่งๆขึ้น โดยการฟังธรรมที่เคยแสดงธรรมไว้แล้วซ้ำแล้วซ้ำอีก หลายๆเที่ยว เพราะกระผม ได้รับประโยชน์มากมาย ได้รับอานิสงส์ ในการฟังธรรมจากพ่อครู เช่น ได้ฟังสิ่งใหม่ๆ จากสิ่งที่ยังไม่เคยได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน ได้รู้ได้เข้าใจชัดยิ่งขึ้น ในสิ่งที่เคยได้ฟังมาแล้ว พ้นจากความสงสัยลังเล เกิดความมั่นใจยิ่งๆขึ้น ทำให้เกิดความรู้ความเห็น ความเข้าใจได้ถูกต้อง ถูกตรงยิ่งขึ้น จิตของกระผม เกิดความเลื่อมใส มีกำลังในการลด-ละ-เลิกกิเลส กระผมจึงเห็นความสำคัญมากๆ ในการฟังธรรมจากพ่อครู เพราะบางครั้งกระผมสามารถทำจิตให้หลุดพ้น จากสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเราได้ ในขณะกำลังฟังธรรม จากพ่อครู กระผมจึงขอความเมตตา ขอความกรุณาจากพ่อครู ช่วยแสดงธรรมต่อไป ให้นานแสนนาน เพราะกระผมเห็นว่า ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้ความรู้จากพ่อครู กระผมจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

ตอบ...งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา จะให้งานเลี้ยงไม่มีวันเลิกราไม่ได้ ต้องไปถามโกวเล้ง หรือกิมย้งเอา เป็นสำนวนของเขา เป็นหนังกำลังภายใน

ก็จะพยายามอยู่ให้นาน เท่าที่จะนานได้ แต่ถ้ามันหมดเหตุปัจจัยแล้ว อยู่ไม่ไหวก็ไม่ได้แล้ว

 

มาเข้าสู่รายละเอียด ที่วันนี้จะพยายามเผยไข มันใหม่ละเอียดลึกซึ้ง น่าฟัง ถ้าได้เอามาขยายความ มันจะได้ประทับ ผนึกลงไปในความจำลงไป เพราะเดี๋ยวลืมไป มันก็เลยอยากจะอธิบาย จะได้ผนึกของตนเอง ผู้อื่นจะได้ฟังด้วย หรือว่าอาตมาลืม ผู้อื่นจะได้ช่วยเก็บตกไว้ให้

 

มูลสูตร 10

ทบทวนมูลสูตร 10 เรามีความยินดีพอใจเป็นมูลกา

  1. มีฉันทะเป็นมูล คนไหนที่จะมาปฏิบัติธรรม แล้วไม่มีความยินดีก็ยากจะบังคับตนเองอย่างไร ก็ไปได้ไม่นาน ต้องเกิดความยินดีพอใจ มีปัญญา มีปฏิภาณรู้ว่าดี หรือว่านี่เป็นเพชรแท้ๆ ไม่เอา เราก็โง่แล้วว่ามันต้องเห็นอย่างนั้นจริงๆ ว่าเป็นเพชรแท้ จึงจะเกิดความยินดี ฉันทะวิริยะ จิตตะ วิมังสา ถ้าไม่มีฉันทะตั้งแต่ต้น วิริยะก็เข็นยาก จิตตะก็ไม่ทุ่มโถม วิมังสาก็ไม่ได้เนื้อ ไม่ได้แก่นหรอก
  2. มนสิการเป็นแดนเกิด มันไม่มีสภาวะเป็นรูปร่าง แต่มันจะรวมอยู่ตรงนี้เป็นหทยรูป เป็นองค์รวมของ พลังงานจิตตนเอง มันจะต้องทำ มนสิการ ตรงที่มันจะรวมเป็นจิตตนเอง มันไม่มีที่อยู่หรอก ไม่มีตัวตน แต่มันจะเป็นอันนั้น หทยรูปต้องทำ ต้องมนสิการ ทำมนสิการก็ไม่เป็นอันนั้น หทยรูปไม่เกิด ไม่มีญาณหยั่งรู้ หทยรูป ต้องมนสิการ เรียนดูให้ดี แล้วลงมือทำ มันถึงจะเกิด
  3. ผัสสะเป็นสมุทัย การปฏิบัติจะต้องมี ผัสสะเป็นสมุทัยหรือเหตุ จัดเป็นสมุทัยในภาคของมรรค ไม่ใช่สมุทัยในอาริยสัจ 4 แต่ใช้ศัพท์คือสมุทัยเหมือนกัน อาตมาถึงย้ำแล้วย้ำอีก ว่าไปหลับตาไม่มีผัสสะ มันโมฆะ แต่ไม่รู้จะตื่นกี่คน กี่รูปกี่อาจารย์ อาตมาตอกย้ำนี่ ไปนั่งสมาธิหลับตา มันปิดประตู ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า เมื่อมีผัสสะจะเกิดเวทนา
  4. เวทนา เป็นที่ประชุมลง ถ้าคนอวิชชา ก็จะปรุงแต่งเร็วเลย ก็จะเป็นเทวดา หรือสัตว์นรก หรือเฉยๆกลางๆ มีสามอย่างนี้ กลางๆจะน้อย ส่วนมาก จะไม่เป็นสวรรค์ก็เป็นนรก ไม่มีความชอบก็มีความชัง ไม่เกลียดก็รัก มันก็มีสองอย่างนี้ เราจะต้องรู้ลึกลงไปว่า ดูดหรือผลักไม่ดี ต้องเอากลางๆ ถ้ากลางแล้วสามารถร่วมประโยชน์ได้ก็ทำ ไม่สามารถร่วมประโยชน์ได้ ก็ไม่เอา

เวทนาจึงเป็นกรรมฐานหลัก ในเวทนา 108 ก็ยืนยันว่าต้องแจกไปถึง 108 ในพรหมชาลสูตรก็ว่า ไม่มีเวทนา เขาเหล่านั้น เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึก(เวทนา)ได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ต้องรู้มโนปวิจาร 18 ว่าอันนี้เป็นเคหสิตะ อันนี้เนกขัมมะคืออาการ ลดละจางคลาย อาการรสชาติหรืออาการยึดถือเป็นตัวตนมันลดลง จะต้องมีญาณปัญญารู้ของตนเอง เป็นปัจจัตตัง ไม่มีใครรู้ให้กันได้ แม้จะเป็นแฟน ก็ทำแทนกันไม่ได้ ต้องตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครมีหนึ่งเดียว คนที่สองก็ทำแทนไม่ได้

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 เมื่อทำได้สำเร็จเป็นภวันติ

คำสอนตรงนี้ ต้องทำที่ตั้งคือเวทนา ให้เป็นเวทนาหนึ่ง ไม่ใช่เอาลมหายใจเป็นกรรมฐาน อย่างที่เข้าใจอานาปานสติแบบผิดๆ อานา อาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้าออก แล้วท่านก็สรุปว่า ลมคือมหาภูตรูปภายนอก ถ้าขาดจากอันนี้ไม่มีกายให้ปฏิบัตินะ ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แม้แต่นั่งหลับตา ยังโชคดีที่มีลมหายใจให้สัมผัส แต่ถ้าไม่เอาแม้กระทั่งลมหายใจ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามารู้เรื่องอะไร ท่านเตือนเท่านั้นเอง  อานา อาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้าออก เป็นการเตือนไม่ใช่เอาแค่นั้น คุณต้องทำให้รู้ครบทั้ง 6 ทวาร ให้รู้ภายนอกด้วย

ไม่ใช่แค่รู้แค่ลมหายใจ จะต้องรู้ดินน้ำไฟลมภายนอกทั้งหมด มีเวทนาเป็นกรรมฐานในการปฏิบัติ มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีดินน้ำไฟลม มีกรรมกิริยาท่าทางต่างๆ

เรียนรู้กายเป็นภาวะธรรมะ 2 คือ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้(object) กับธาตุรู้ (subject) ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ สิ่งจากภายนอกก่อนเป็นกาย

เมื่อองค์ประชุม กระทบกันแล้ว ก็เกิดภาวะธรรมะ 2 เป็นอิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ ต้องทำให้เป็นปุริสภาวะให้ได้ เป็นภาวะที่ไม่ปรุงแต่ง มันเป็นหนึ่ง ยิ่งเป็น 0 นปุงสกลิงค์ ได้ก็ยิ่งปลอดภัย ต้องทำหนึ่งได้ แล้วค่อยทำ 0 หรือจะทำให้ 0 ​หายไป เป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็ไม่เหลือเลย

กายภายนอกเราก็รู้แล้ว แต่กายนั้นต้องเน้นที่จิต ต้องรู้เวทนา เป็นเจตสิก ของจิตส่วนวิญญาณ เป็นภาษารวมของพลังงานจิต พอจะปฏิบัติ ต้องรู้เวทนาที่เป็นเจตสิก

เวทนา 6 ก็คือเวทนา 6 คู่

ห้าคู่ข้างนอก คือ ตากับรูป หูกับเสียง กลิ่นกับจมูก ลิ้นกับรส กายสัมผัสเสียดสี เหลือข้างในก็มี มโน กับธรรมารมย์ ก็จะเป็นคู่หลังสุด เป็นคู่สุดท้าย

ผู้ใดเอาแต่นั่งสะกดจิต เข้าไปๆ อย่างที่พูดกัน ติดมันก็ผนึกแน่น เป็นเวทนาหนึ่งเหมือนกันนะ เป็นความรู้สึกหนึ่งเหมือนกัน ก็หลับตาสะกดเข้าไป สะกดเข้าไป มันก็ไม่ผิดหรอก แต่มันไม่ถูก มันได้ 1 เหมือนกัน แต่เป็นหนึ่งชนิดที่นิ่งๆ เงียบเฉยไม่มีวิจัย ไม่มี analysis มีแต่ hypnosis มีแต่การสะกดจิต ไม่มีการวิจัยวิจารณ์สภาวะธรรมเลย ก็พยายามเข้าใจให้ถูกต้อง

ผู้ที่เข้าใจแล้ว จะเข้าใจทั้งสองอย่าง อย่างแบบสะกดจิต เราก็เข้าใจ อย่างวิจัยเราก็เข้าใจ แต่ของคนเอาแต่แบบสะกดจิต พอมาธัมมวิจัยก็ไม่รู้เรื่อง แทนที่จะรู้ทั้งสอง ก็รู้อย่างเดียว มันก็ไม่ครบ จะไปหลงงมงายอยู่กับแต่มโนมย เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต มโนมยะของคุณก็เป็นจิต รูปอัตตา ดิ่งเป็นอรูปอัตตา ก็แค่นิมิตอยู่ในกาย ที่เป็นรูปนาม ที่คุณจดจ่อนิ่ง หนักเข้าคุณดับตัวรู้อีก ดับสัญญาอีก แต่ปัญญาคือความเจริญของสัญญา ที่เจริญเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องใช้สัญญากำหนด ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ทำให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ

ต้องทำสัมมาทิฏฐิแท้ จึงจะปฏิบัติได้ผล

ทำที่เวทนาให้สั่งสมเป็นโอกกันติ ให้เป็นนิพพัตติ เป็นอาริยะเจริญขึ้นๆ ควบแน่นเป็นสมาธิ

  1. สมาธิเป็นประมุข เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นตัวบุกเบิก ถูกควบคุมใหญ่เป็นประมุข ถ้าสัมมาทิฏฐิอย่างนี้แล้ว คุณก็สามารถทำให้ถูกต้อง ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า อย่างสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่วิเศษ ไม่ใช่สมาธิอย่างโลกีย์ที่สะกดจิต ไม่ใช่แค่สะกดจิตแบบเมดิเตชั่น meditation เขาก็รู้กันทั่ว เป็นสากล แต่อันนี้เป็น concentration ที่พิเศษ คนทั่วไปก็มี concentration เป็นสามัญ มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็รู้ให้แข็งแรงตั้งมั่น ก็เป็นธรรมดา แต่นี่มันรู้ตั้งมั่นอย่างพิเศษ เพราะว่า มันสั่งสมออกความรู้ ที่เป็นความรู้จากจิต ที่เป็นโลกุตระ ที่ทำให้กิเลสลดได้ แล้วตกผลึกแข็งแรงตั้งมั่น อย่างตื่นรู้ มีเหตุปัจจัยสัมผัส แตะต้อง แล้วสามารถมีพลังงานปัญญาอยู่เหนือ เป็นปัญญาที่เป็นโลกุตระ จึงเรียกว่าเป็น concentration ที่พิเศษคือ supra concentration

เป็นวิสามัญ ที่สามารถเรียนรู้ อาการของจิต ไม่ใช่สมาธิเป็นการสะกดจิต อย่างไม่มีการวิจัยวิจารณ์ ไม่มีความรู้รอบ ไม่มีเหตุปัจจัยแล้วจึงเกิดผล เหตุก็คือการกดข่มอย่างเดียว  เขาพูดกันว่า นั่งจนก้นเน่าก้นแตก แล้วก็ไปมีภพที่พิสดาร อาตมาก็เคยทำมา มันเป็นเบื้องต้นเท่านั้น ของพระพุทธเจ้านั้น ถึงบอกว่ายาก เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก เป็นความสงบแบบพิเศษ สันตา ปณีตา อตักกาวจรา บัณฑิตเวทนียา

  1. สติ เป็นอธิปไตย เป็นพลังเป็นอำนาจ พลังงานของสติ มันเปิดกว้างมันรู้รอบแข็งแรง ตื่นมาดันมันไม่ได้ มันจะรู้ยืนยันเลย สติเป็นตัวรู้ เป็นตัวที่คู่กับปัญญา

ปัญญาเป็นอุตตระ มันเหนือ สติรู้อย่างไร ก็รู้อย่างเหนือ อธิปไตย คือเหนือ มันรู้อันอื่นด้วย คือรู้โลก ไม่ใช่รู้แต่เรา รู้องค์ประกอบต่างๆ ตามบารมี รู้เขารู้เรา อยากรู้แจ้งรู้จริง แล้วสามารถทำให้สิ่งเหล่านั้น ทำลายเราไม่ได้ จึงเรียกว่าเหนือ เราไม่ไปทำลายใครหรอก จะทำลายแต่สิ่งที่เป็นความชั่ว เป็นอกุศลในตนเอง อกุศล กาย วาจา จิต ถ้าจะช่วยก็ช่วยให้คุณทำลายอันนี้

สติจากการรู้รอบถ้วนแล้ว มันจะต่อไปเป็นสัมปชัญญะ มันเชื่อมต่อไป จากที่รู้ข้างนอก แล้วเป็นสัมปชานะ เป็นความรู้ที่ลึกลงไปอีก มีบทบาท มีจิตใจรู้แจ้งรู้จริง แล้วมีสัมปสติ เห็นแล้วก็พิจารณา เป็นสัมปาเทติ คือจัดแจงไม่รู้กิเลส ก็จัดแจงจัดการ ทั้งการใช้ปัญญาและการ กดข่ม จำเป็นจะต้องกดข่ม ก็ต้องทำก่อน แต่คุณจะดิ้นแรงอย่างไร ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนคนแขนยาว กดหัวเด็กไว้ เด็กแขนสั้น จะเหวี่ยงมืออย่างไร ก็ไม่โดนหน้าเรา

สัมปชัญญะ =  ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้

สัมปชานะ    =  รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่

สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ

สัมปัชชติ     =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด

สัมปาเปติ    =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร

สัมปฏิสังขา =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .

สัมปัชชลติ   =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง

สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)

สัมปฏิเวธะ    =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น

 

ที่อาตมาพยายามใช้บาลีอธิบาย และก็ใช้ภาษาไทยประกอบ​ ก็จะเกิดผลจริงพิสูจน์ได้ โดยมีหลักฐานยืนยัน อาตมามั่นใจว่า ไม่แปลผิด เพราะผิดแล้ว มันเป็นบาปของตนเอง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดมันซวย มันไม่ดี เป็นการทำลายศาสนา

ผู้ที่ชื่อว่ารู้ถ้วนรอบในความละเอียด แม้เป็นสิ่งที่เล็กน้อย รู้ทั้งนอกและใน ผู้ที่รู้ถ้วนรอบ ก็รู้รายละเอียดทุกอย่าง ที่มันเป็น แม้จะเล็กจะน้อยก็ตาม รู้ทุกรายเม็ด

ก็ล้วนเป็นภายในภายนอกเชื่อมต่อ มีสภาวะยืนยัน

สติจะชื่อว่า มีพลัง​อำนาจบริบูรณ์ยิ่งใหญ่ ต้องมีเหตุปัจจัยเหล่านี้ประกอบ สติก็เลยยิ่งใหญ่ เหนือโลกีย์เหล่านั้น

คำว่าเหนือเหล่านั้นก็คือปัญญา

  1. ปัญญาเป็นอุตตระ ก็คือสติยิ่งใหญ่ อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น เรียกว่า เป็นปัญญา หรืออุตตระ ก็คือยิ่งใหญ่

ต่อเนื่องเป็นสภาวะต่อเนื่อง แต่ซับซ้อนสลับไปสลับมา ก็จะมีความแตกต่างในมิติ ก็ต้องใช้สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ความต่างทั้งหลาย สัญญาเป็นตัวหลักที่กำหนดรู้ความต่าง ตัวอื่นก็ไม่เก่ง ตัวนี้เป็นหน้าที่ของเขาเลย เป็นตัวกําหนดหมายรู้ ถ้ามันชัดจริงดีแล้ว ก็ส่งไปเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์

สัญญาก็คือการกำหนดความจริงก่อน ปัญญาจะมีศักดิ์สูงกว่าสัญญา สัญญาเป็นตัวทำงาน ส่งให้ปัญญา

แต่ความฉลาดแกมโกงคือ เฉกา คือความฉลาดที่มีกิเลส ถ้ามีกิเลสมากขึ้นเท่าใด ก็มีความเป็นเฉกา มากขึ้นเท่านั้น

ที่จริงแล้วฉลาด เฉกาตัวนี้ มาจากรากศัพท์ คือ ฉ หรือ 6 คำว่า ฉฬ ก็คือมีมากมายใน 6 ทวารนี้ เฉกาก็ฉลาดในทวาร 6 แต่ฉลาดเอามาเสพตัวกูของกู มันคนละทิศทาง จึงเป็นตัวที่ใช้ ฉ ไม่ไปไหน แต่ผู้รู้ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น ในพยัญชนะ ท่านก็ไปเอาตัว ป. สัญญาก็เลยเป็นปัญญา ส่วนอีกอัน ก็เป็นเฉกาไป จัดการใช้พยัญชนะเป็นตัวแทน สภาวะ

คนที่ยิ่งเฉกา ก็ยิ่งมีศักดิ์ต่ำ ยิ่งปัญญาก็ยิ่งศักดิ์สูง ถ้าโลกียะกับโลกุตระ ก็คนละทิศเลย

 

กรรมส่งผลเป็นนรก_สวรรค์

ตอนนี้มันจะเสื่อมหรือเจริญ จะเป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระ ก็เกิดจาก กรรมทั้งนั้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม มันเป็นประธาน มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ท่านไม่เรียกจิตหรือวิญญาณนะ

ใครที่มีกรรม ใครที่มีทำ ไม่ว่า กายหรือวจี หรือมโนกรรม ทำแล้ว มันต้องเป็นของคุณ กัมมัสกะ คุณตบหน้าเขาเปรี้ยงเลยนะ แล้วคุณก็บอกว่า แบ่งไปครึ่งนึง ผมไม่ได้ตบ มันจะแบ่งได้อย่างไร เขาไม่ได้สร้างกรรมด้วย เป็นกรรมของคุณคนเดียว คุณจะทำจะพูด ก็เป็นคุณพูด คนอื่นไม่ได้พูดด้วย คำพูดนั้นก็เป็นของคุณ

กายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม ก็เป็นของตน กัมมัสกะทั้งสิ้น มันเป็นของคนอื่นไม่ได้ ที่เขาสอนให้ไปแบ่งกรรม หรือแบ่งบุญ นั้นเพี้ยนไปไกล บุญเป็นอาการตัดกิเลส เป็นกรรมเหมือนกัน แต่เป็นกรรมที่ตัดกิเลส ตัดแล้วจบด้วย ไม่มีกุศลกรรมด้วย บุญมีแต่วิบัติ สูญ ทำลาย ก็จบ พอสูญแล้วบุญหมดหน้าที่ หายไปเลย จบกิจไม่เหลือ

ตนเองเท่านั้น ที่เป็นทายาทของกรรมที่ตนทำ เป็นผู้รับมรดกของตนเอง แบ่งให้ใครไม่ได้ด้วย เป็นทายาทของตนเอง มรดกเป็นนามธรรม ที่เป็นเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ แบ่งให้ใครไม่ได้เด็ดขาด รู้สึกแทนกันไม่ได้

รู้สึกแทนกันไม่ได้ แต่มีละครหลงโรง ไปหลงกันว่า เจ็บปวดแทนกันได้ แม่เจ็บปวดแทนลูก เมียเจ็บปวดแทนผัว คู่รักเจ็บปวดแทนกัน ที่พูดนี้ เคยเป็นกันมาทั้งนั้น มากบ้างหรือน้อยบ้าง ก็เจ็บแทน คือการหลงผิดทั้งนั้น เป็นอารมณ์อุปาทาน เป็นอารมณ์เท็จ ที่ตนเองยึดถือมามีในตนเอง

คุณไม่ได้ถูกเขาตบ คุณจะเจ็บได้อย่างไร ถ้าเขาด่าก็ด่าตัวคน แต่คุณไปเจ็บแทน จะบ้าหรือ ถ้าเขาด่าลูก ก็เจ็บทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าเขาด่าแม่ ลูกก็เจ็บแทน คุณไปอุปาทานเอง ยึดถือเอาเองว่าเป็นของฉัน นี่แม่ฉัน ฉันก็ต้องเอามาด้วย แล้วไปอธิบายอย่างโก้เลยว่า กตัญญูกตเวที แม่เจ็บ ฉันก็ต้องเจ็บไปด้วย แท้จริงสัจจะมันไม่ใช่ ถ้าคนไม่มีปัญญาละเอียดชัดพอ จะยากที่จะเข้าใจ

คนอวิชชา จึงเกิดในอารมณ์เป็นในความรู้สึก แทนกันได้ ผู้ที่อวิชชาทั้งหลาย ก็ลองเป็นกันมาแล้ว หากผู้ใดอวิชชา ก็ยังมีสังขารธรรม ก็เป็นพยัญชนะอีกสองตัว

สุกต หรือทุกกฏัง สุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก จะเป็นกรรม อย่างสุ หรืออย่างทุ ส่วนกต หรือกฏัง แปลว่าอันทำไปแล้ว คือสุ หรือทุ ที่ทำไปแล้ว ก็สั่งสมเป็นวิบากของคุณ สุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก เป็นผลวิบาก

ทั้งที่พาเกิดในภาวะที่เป็นชีวิตสัตว์ มีองคาพยพเป็นร่าง มีองค์ประชุมสอง เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นดีหรือไม่ดี เป็นเจริญหรือเสื่อม ก็เป็นธรรมะคู่ทั้งนั้น

ถ้าสั่งสมเป็นตัวตนแล้ว เมื่อคุณตาย กรรมจะพาคุณไป กรรมเป็นตัวจัดการ ของอัตตาเรา เรียกว่า กัมมโยนิ

ถ้าคุณยึดถือสั่งสมเป็นนรก ก็จะไปทำนรก คุณสะสมมาเป็นสวรรค์ ก็จะเป็นสวรรค์ตามอวิชชา เมื่อคุณตายลงไป สิ่งที่ควรยึดถือไว้ มันก็ไปกับคุณแน่ เลี่ยงไม่ได้ คุณก็ต้องเป็นไปตามกรรม ที่คุณทำไว้ทั้งหลาย นรกต่ำที่ชั่วหนักหนาสาหัส จึงมีจริง เพราะคุณสั่งสมด้วยอวิชชา คือความไม่รู้

นอกจากไม่รู้แล้ว ยังนึกว่า สิ่งที่คุณสั่งสมนี้ เป็นสิ่งที่ดี คนไม่อยากได้นรกหรอก ทุกคนมั่นหมาย อยากได้สวรรค์ทั้งนั้น ไม่มีสักครึ่งคน ที่มั่นหมายอยากได้นรก ไม่มีใครอยากได้นรก แต่เพราะคนอวิชชาโง่ ไม่รู้ ก็เลยทำกรรมที่เป็นนรก กรรมที่ทำนั้นเป็นจริง และเป็นจริงอย่างอวิชชาด้วย

ตกต่ำและชั่วอย่างไรก็เป็นจริง ก็คุณมีอวิชชา ไม่ได้ถอนอนุสัย อนุสัยจึงเป็นความจริง เพราะคุณไม่รู้ แต่คุณทำมัน แม้คุณไม่อยากได้ แต่ทำแล้วเป็นอันทำ มันก็จึงกลายเป็นอนุสัย ตกผลึกอยู่ใต้ก้นบึ้งของอัตตา เป็นสยะ เป็นตัวเรา อนุแปลว่าน้อย ตัวเล็กน้อยมาก

สมณะเดินดินว่า...คนเราไม่มีใครอยากได้นรก แต่เขาทํานรกอยู่ตลอดเวลา อาตมาถามชาวนา ที่มาบ้านราช ทุกคนอยากรวย แต่ทุกคนก็ซื้อหวยหมด ไม่มีใครไม่ซื้อหวย มันอยู่ที่ทำไม่ได้ อยู่ที่ความอยาก

ธรรมกายสอนว่า อยากจะได้สวรรค์ อยากจะได้สมบัติจักรพรรดิ์ ก็ให้ทำทาน  แล้วจะได้ แต่ทุกอย่างนั้น อยู่ที่เราทำกรรมต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่ความอยากได้ ไม่ได้ด้วยการร้องขออ้อนวอน

คนอยากได้สวรรค์ ก็เป็นภพ แต่ทำอย่างผิดๆ ก็ได้นรก เพราะทำอย่างอวิชชา ทำด้วยติดยึด ก็สั่งสมเป็นอนุสัย

นรกต่างจากสวรรค์คือ

สวรรค์ คือการเสพรส ซึ่งต้องมีปัจจุบัน มีตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นปัจจัย แต่ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็มีแต่สวรรค์เก๊ ไม่จริง แต่จริงในความยึดมั่นถือมั่น สวรรค์คุณเสพแล้ว มันไม่อยู่กับคุณนานหรอก แต่คุณโง่ไปยึดถือว่า มันต้องอยู่นาน นานกว่ากามนิต วาสิฏฐีนะ เขากำหนดว่า จะต้องเจอกันทุกภพชาติ ก็เป็นนรกทุกภพชาติ ถ้าไม่เหลือภพชาติ จึงจะเป็นสวรรค์แท้ เป็นสวรรค์ศูนย์นรกสูญ

ผู้ที่มีสวรรค์แท้ คือสวรรค์สูญนรกสูญ แต่ถ้ายังมีสวรรค์อยู่ ก็คือมีนรกทั้งนั้น

คนที่ตายไปแล้ว เหตุปัจจัยหลัก คือ “ทวาร 5”ไม่มี ดังนั้น“รสเสพ”ที่เกิดจาก “ทวาร 5”ก็มีไม่ได้ แต่ผู้“อวิชชา”ย่อม“ไม่รู้สัจจะ”ดังกล่าวนี้ จึงหลง“ดิ้นรนแส่หา”อยู่เพราะ“อวิชชา”แท้ๆ

มันก็ยังอยากได้ เสพสัมผัสแล้ว ไม่รู้ว่าตายคืออะไร แต่ทวารทั้ง 5 ไม่มี มันก็ดิ้นรนเหมือนคนเสพยา มีดำฤษณาก็ดิ้น จะเอาให้ได้ ทั้งที่ไม่รู้ พระพุทธเจ้าจึงว่าคือตัณหาที่แส่หาอยู่ทั้งนั้น เพราะอวิชชา

เพราะคุณไม่รู้ว่า คุณไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว แต่จะเอามาเสพสัมผัส ก็ดิ้นไป จนกว่าจะหมดแรง รู้ตัวขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ ก็ดิ้นต่อ ก็เป็นอย่างนั้นแหละคือนรก ก็มันไม่รู้จริงๆเลย มันไม่รู้ว่าตนเองตาย ไม่รู้ว่าตนเอง ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มันรู้จักแต่จะเสพต้องเอาสัมผัส ก็ดิ้นรนต่อไป หมดแรงก็พัก ตื่นมาอีก ก็ดิ้นต่อ อยู่อย่างนี้นรกกินหัว น่ากลัวไหม

 

“นรก”ในคนตายที่อวิชชา จึงยิ่งเป็น “จริง”กว่า“สวรรค์”ในคนเป็น

เพราะ“สวรรค์”ต้องมี“สัมผัส”เป็นหลัก มันเป็น“อุปาทาน”ทั้งในคนเป็นและคนตาย

ผู้พ้น“อวิชชา”จึงจะไม่หลงใน“สัมผัส” และไม่หลงในความเป็น“ธาตุ-ขันธ์”ทั้งปวง

นี่คุณยังมี“ชีวิต”อยู่นะ!!! คุณยังไม่ได้ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ไปแล้วดอกนะ!!

หรือแม้ยังเป็นๆนี้ “กรรม”ก็เป็นตัวสำคัญ ที่พาคุณเป็นไปโดยแท้ ไม่มีอะไรมีอำนาจจัดการตัวคุณ เท่ากับ“กรรม”(กัมมัสสโกมหิ -กัมมทายาโท -กัมมโยนิ -กัมมพันธุ -กัมมปฏิสรโณ)

 

พีชนิยามถึงจิตนิยาม(ขั้นตอนพัฒนา)

คุณเป็น“พลังงานระดับจิตนิยาม”อยู่

คุณมีพลังงานนี้จริง อันเป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติยิ่งกว่า“พีชนิยาม”จริง ขณะนี้คุณมีทั้ง“รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ”

(แทรกว่า..คนสายรู้ก่อนทำ มีปัญญาก่อนทำ ก็จะปฏิบัติได้เร็วบรรลุเร็ว ส่วนสายศรัทธานั้น ไม่ค่อยชอบวิจัย ไม่ค่อยใช้ปัญญา จึงบรรลุได้ช้า มันเป็นจริตที่แก้ไม่ได้)

คุณจะปฏิเสธว่า คุณเป็น“พีชนิยาม”ไม่มี“เวทนา” ไม่มี“วิญญาณ”ไม่ได้หรอกแม้แต่“พีชนิยาม”ยังมี“สัญญา”แล้ว

หรือคุณจะไปบังคับ“พีชนิยาม”ที่มีแค่“สัญญา-สังขาร”ให้มี“เวทนา-วิญญาณ”ก็ไม่ได้ อีกแหละ

หรือคุณจะเอา“สัญญา”ของคุณ (สัญญานี่แหละคือ“ภพอดีต”ความจำ) ไปทิ้งที่ไหนก็ไม่ได้

คุณจะทำเป็น“ลืมอดีต-ทิ้งอดีต”ที่คือ“ผลกรรมของคุณ”อันเป็น“กัมมัสสกะ”มาแล้วได้ ก็ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่“กัมมัสสกะ”ไม่หายไปไหน มันเป็นของคุณอยู่ คุณต้องรับ มรดกกรรมของคุณ อยู่นั่นเอง แม้จะ“ลืมไป”ก็ไม่ใช่“สัญญา”ของคุณสิ้นสูญไปด้วย ลืมได้..แต่ก็ระยะๆหนึ่ง เร็วบ้าง นานบ้าง

หรือแม้คุณจะไปบังคับให้“พีชนิยาม” มันไม่มี“สัญญา”(อดีตของมัน) ก็ไม่ได้

คุณเป็น“พลังงานระดับจิตนิยาม”แล้ว คุณก็ต้องมี“สัญญา” และประสิทธิภาพแห่งพลังงานสัญญาเท่านี้” เท่าที่“คุณเป็นจริง” 

ถ้าสัญญาเป็นอวิชชา ก็สั่งสมเป็นอวิชชา แต่ถ้าสัญญาเป็นวิชชา ก็สั่งสมปัญญาไปตามลำดับ ตอบกำปั้นทุบดินเลย

ถ้าคุณไม่มี“สัญญา”ระดับ“จิตนิยาม”นี้ เท่าที่คุณเป็นอยู่ คุณก็ไม่ใช่“คน”คนนี้ คนๆไหน ก็มีสัญญากำหนดได้ เท่าที่ตนเองเป็น

“สัญญา”จึงเป็น“ภพอดีต”ของคุณ  คุณจะไม่เอายังไงๆ มันก็เป็น“ของคุณ”ตามสัจจะ

แม้แต่“สัญญา”(อดีต)ของพีชนิยาม” มันก็มีของมัน คุณจะไปลบล้าง“ภพอดีต”ของ“พีชนิยาม”ใดๆเขาไม่ได้ จนกว่า มันจะถึงภาวะสลายตัวมันเอง ตามเหตุปัจจัย

หรือ“สัญญา”ของคุณก็ดี คุณจะปฏิเสธก็ไม่ได้ จนกว่า คุณจะมีสมรรถนะสามารถ“สลายพลังงานอัตตาของคุณ”ได้จริง ด้วย “วิชชา”ของพระพุทธเจ้า คือ “ปรินิพพาน ที่เป็นปริโยสาน” โน่นแหละ จึงจะสลาย“ตน”ได้

เมื่อนั้น“อัตตา”อันเป็น“ธาตุขันธ์”สุดท้าย ที่คุณสามารถ“ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน”ได้ จึงจะแยก“ธาตุขันธ์”ได้สำเร็จเด็ดขาดนิรันดร

“สัญญา”ที่อยู่ในตำแหน่ง“อดีต” หรือ “หน่วยความจำ”นั้น มันก็ต้องมีแท้ ตามสภาพที่เป็นจริง คือ“พลังงานแม่เหล็ก” ที่“พีช”นั้นหรือ“จิต”นั้น มีภาวะ“ธาตุแม่เหล็ก”นั้นๆจริง

จะปฏิเสธ จะไม่เอา ก็ไม่ได้ แม้จะไม่เอา ก็เป็น“ของตน”อยู่ดี ตามจริงของ“พีช” หรือของ“จิต”นั้น แต่“อุตุ”ยังไม่มี“สัญญา” มีแต่ความเป็น“สังขาร”ของเหตุปัจจัยที่เป็น“อุตุ”

“อุตุนิยาม”มีแต่พลังงานทางฟิสิกส์ที่ ยังไม่มี “ชีวะ” ไม่มี “อัตตา”หรือ “อัตโนมัติ”ในตนเอง ยังไม่เป็น“ ISH” ที่ครบ selfish มีแค่สสารกับพลังงาน มีแต่ nuclear fission กับ nuclear fusion พลังงานที่เป็นปัจจัยให้มันเกิด ตามเหตุปัจจัย  โดยตนเองมี“สิทธิ์”ยึดตนเองไว้ แต่ยังไม่มีความรู้ ที่แยกวิเคราะห์ตนเองออก เพราะยังไม่มี“วิชชา”

พืชมันมีสันโดษ ไม่เป็นภัยกับใคร ถ้าคนมีสันโดษเหมือนพืช ก็ไม่มีพิษภัยกับใคร แต่พืชถ้ามีเหตุปัจจัยที่เข้ามาน้อยลงๆ ก็สลายได้ง่าย

จึงมีได้แค่“สังขาร”ที่เป็น“รูป” เป็น“ร่าง” รวมตัวกันอยู่ แบบมหาภูต 4 หรือแบบฟิสิกส์ ยังไม่รู้ biota-biotin (ภาวรูป 2 ซึ่งเป็นธาตุที่เริ่มเป็นชีวะ เริ่มเป็น วิตามินเอช) ยังไม่มีความรู้ bio ยังไม่มีความรู้ความสามารถทาง biodynamics     

ซึ่งเท่ากับ เป็นผู้มี“ร่าง”มี“รูป”แต่ยังทำ“รูป”ทำร่างตนเองไม่ได้ เป็น“ตนเอง” ยึดการรวมขององคาพยพของ“รูป”ของ“ร่าง” เป็น self หรือเป็น ISH แต่ยังไม่“เห็นแก่ตัว” ถึงขั้นยึดจัด ถึงขั้นจะต้องดึงดัน เอามาเป็น selfish ยังไม่ยึดมั่นถือมั่น ความเป็นตัวตน (selfish) หนักแรงเหมือน“จิตนิยาม”

“การศึกษาเรียนรู้”ตามทฤษฎีของพุทธ จึงต้องใช้“สัญญา”กำหนดหมาย สัมผัสภาวะต่างๆกันจริงๆ และพัฒนาความรู้ขั้น“ปัญญา”

ธาตุรู้โลกุตระตัวแรก เรียกว่า อัญญา ในศาสนาพระพุทธเจ้า จึงมี อัญญาโกณทัญญะ เป็นคนแรกที่ตื่นรู้ (แม้จะมีหรือไม่มี ภูมิรู้นั้นมาก่อนแล้วก็ตาม) พระพาหิยะทารุจริยะ ฟังธรรมะสี่ประโยคก็บรรลุ พระยสะฟังธรรมกัณฑ์แรก ก็บรรลุโสดาบัน ฟังธรรมกัณฑ์ที่สอง ก็เป็นอรหันต์ เป็นไปตามบารมี ของแต่ละคน

อันเริ่มจาก“อัญญา”ที่เป็น“ความรู้เบื้องต้นของ“โลกุตรภูมิ” ตามแบบวิธีของการปฏิบัติด้วย“องค์ 6” ได้แก่ “ปัญญา -ปัญญินทรีย์ -ปัญญาผล -ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ -สัมมาทิฏฐิ -มรรคคังคะ”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258) (ป เป็นตัวหยั่งลงในบาลี)

“สัญญา”ที่สามารถแยก“กาย”แยก“จิต”ได้ จึงเป็นความสามารถเบื้องต้น ของการปฏิบัติธรรมของพุทธ ตามที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ “มูลกรรมฐาน 5” (กรรมฐานเบื้องต้น หัดวิจัยแยกกายแยกจิต) ผู้นั้นจึงจะสามารถศึกษา ความเป็น“กาย”เป็น“จิต”ได้ไปตามลำดับ

“สัญญา”จึงเป็นตัวปฏิบัตินำมาก่อน เพื่อเกิด“ปัญญา”ตามที่ได้สาธยายมาแล้ว

ผู้สามารถ“รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”เป็น“ปัญญา” และ“ความรู้จริง”นี้ขั้น“ปัญญา”ที่เป็น“นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” จึงเป็น“ความจำได้หมายรู้” ที่ข้ามภพข้ามชาติ ไม่ลืมกันง่ายๆ

หากผู้ใดได้ฝึกหัดปฏิบัติ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิ ถึงขีดถึงขั้น ก็จะมี“ปุพเพนิวาสานุสติญาณ”(ญาณที่สามารถระลึกชาติ ข้ามภพข้ามชาติได้) จึงเป็น“วิชชา” ที่คนทั้งหลาย พึงศึกษาฝึกฝนเอาได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

“สัญญา”จึงมีจริง ตามสัจจะ จิตคุณจะทำเป็นไม่ยอมรับ “ความมีของความจำ” นั้น คุณก็ทำได้ ทำเป็นลืม บังคับตนเอง สะกดได้ชั่วระยะหนึ่งๆ ตามความสามารถเท่านั้นๆ

ตราบที่“ธาตุ” ตั้งแต่ 2 หน่วยจับตัวกัน ด้วยพลังงานนั้นๆด้วย “ความเป็นจริงของคุณสมบัติแห่งธรรมชาติ”นั้นๆ (ฟิสิกส์ ซึ่งมีความร้อน, แสง, เสียง, แม่เหล็ก, ไฟฟ้า เป็นต้น) มันก็เป็น“ธรรมชาติ”ฟิสิกส์ ที่ยัง“ไม่ใช่ชีวะ”นั้นๆ

พลังงานทางธรรมชาติ (ฟิสิกส์)ใด ก็ย่อมมีคุณสมบัติของมัน ตามธรรมชาตินั้นๆ มันก็ต้องทำหน้าที่ ตามธรรมชาติของมัน อย่างซื่อสัตย์ ไม่มีใครไปห้าม หรือบังคับหน้าที่ของ “ธาตุธรรมชาติ”ต่างๆ ให้มันทำหน้าที่ อย่างซื่อสัตย์ ให้เป็นอื่นไปได้           

“ธรรมชาติ”หรือ“ฟิสิกส์”ที่เป็นแค่ขั้น “อุตุ”ก็คือ ธรรมชาติขั้น“อุตุ” ย่อมต่างกันกับธรรมชาติขั้น“พีช” อย่างมีนัยสำคัญอีกมาก

แน่นอน ยิ่งเป็นธรรมชาติขั้น“จิต” ก็ยิ่งมีความแตกต่างกันกับ “ธรรมชาติ 2 ขั้น”นั้นมากยิ่งๆขึ้นไป จนจารนัยไม่ไหวหรอก

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:26:54 )

591206

รายละเอียด

591206_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก พุทธครบถ้วน อรหันต์-โพธิสัตว์

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เป็นวันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559 เมื่อวานพ่อครูได้ย้ำถึง กรรมเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง เป็นทรัพย์แท้ คนทุกวันนี้ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน ที่คิดว่าจะเป็นทรัพย์แท้ แต่พอหมดอำนาจวาสนา ทรัพย์สมบัติอะไรก็ถูกยึดไปหมด ก็ต้องพยายามเข้าใจว่า แต่ละวันที่ผ่านไปเราได้สะสมทรัพย์แท้ ที่จะให้กายกรรมเราสะอาด วจีกรรมเราสะอาดขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้มโนกรรมสะอาด บริสุทธิ์ ประเสริฐมีคุณค่าอย่างไร จะได้ใช้ชีวิตได้คุ้มกับคืนวันที่ผ่านไป

พ่อครูว่า...วันๆหนึ่ง อาตมาว่าอาตมาเหนื่อยเหมือนกันนะ ก็พยายามนำเอาธรรมะ คือสิ่งที่ดีนี้มาเปิดเผย ทุกวินาทีนี้เป็นวินาทีการเปิดเผยธรรมะ คนไทยทุกวันนี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่หลงทิศทาง เข้าใจโลกุตรธรรมขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นคลื่นที่ยิ่งกว่าสึนามิใหญ่เลย ซึ่งยังเกิดอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่บางเบา ยังแน่นหนา มีปฏิภาคทวีด้วยซ้ำ

ก่อนจะได้อธิบายก็ขออ่านกวี ในเราคิดอะไร ฉบับ 317

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล)ตอน พุทธครบถ้วน "อรหันต์-โพธิสัตว์"    

 

 

(1) อรหันต์คือผู้มุ่ง          มาจน

เถรวาทนั่นแหละชน        กลุ่มน้อย

เพราะเอาแต่ตัวตน           เป็นหลัก

ความคิดคับแคบด้อย       นี่แล้“หินยาน”

 

(2) โพธิสัตว์คือผู้มุ่ง         ช่วยคน       

แต่ท่านตัดกิเลสตน           ก่อนแล้ว

จึ่งใช้อรหัตตผล              ช่วยอื่น       

โพธิสัตว์จึ่งผ่องแผ้ว         แกร่งกล้า“มหายาน”

 

(3) อรหันต์คือผู้ที่            “ศรัทธา”นำ

มุ่งแต่ตัวเองจำ-               กัดกั้น

ทำเพื่อตัดกิเลสสำ-           เร็จส่วน ตนเฮย       

รู้จึ่งแคบเขตขั้น               แค่รู้ตัวเอง

 

(4) โพธิสัตว์คือผู้ที่          “ปัญญา”นำ

รู้ท่านรู้เราทำ                   ทั่วถ้วน

ทั้งนอกและในสัม-           ผัสครบ “กาย”แฮ

วิโมกข์แปดจึงล้วน          รอบรู้กระทู้ธรรม

 

(5) อรหันต์ไม่รอบรู้         กระทู้โลก

ไป่ครบถ้วนวิโมกข์          แปดแล้

เพ่งแต่“จิต”อนุโยค           “กาย”พร่อง(กายยังมิจฉาทิฏฐิ)     

จึงบ่ถ้วนธรรมแท้             วิมุติบ้างบางกลี

 

(6) โพธิสัตว์นั้นรอบรู้      ใครใด

สัมผัสเจาะ“กาย-ใจ”        ลึกล้วน

วิจารนอกวิจัยใน             สัมบูรณ์แบบ

“โพธิสัตว์-อรหันต์”ถ้วน    ตรัสรู้วิมุตติสอง(อุภโตภาควิมุตต)

 

(7) ต้องลึกสัจจะให้        บริบูรณ์                   

โลกุตร์พุทธเทินทูน          เทิดไว้           

โลกีย์พุทธเพิ่มพูน            เพียรเพื่อ รู้แล

โพธิสัตว์ช่วยโลกได้        เด่นด้วย“พุทธยาน”

 

        “สไมย์ จำปาแพง”       10 พ.ย. 2559

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 317 ประจำเดือนธันวาคม 2559]

 

ที่เขาเข้าใจว่า อรหันต์นั้นไม่เพิ่มโลกียะ เอาแต่ตัวเองๆ จนมิจฉาทิฏฐิ หนักเข้าก็เอาแต่ภายในตนเอง ไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็เป็นอรหันต์ไม่สมบูรณ์ อาสวะบางอย่างสิ้นได้บ้างไม่ครบ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นแค่วิมุติ

ถ้าสายปัญญา สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าจะอาสวะสิ้นได้

ถ้าสายฤาษี ไม่ครบวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ปเข้าใจผิดว่า ไปรู้ข้างนอกจะยุ่งวุ่นวาย เป็นความสุดโต่งยังไปข้างด้านตัวเอง ไม่เข้ากับคนอื่น

ของพระพุทธเจ้านั้น รู้ทั้งของตัวเองของผู้อื่น ทั้งนอกและใน รู้ไปเป็นลำดับ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์

ขั้นพื้นฐานข้อกำหนดเอาส่วนนี้ เป็นส่วนๆไป เราก็กั้นไม่ให้อันอื่นที่อยู่ข้างนอกมายุ่งกับเรา ก็เป็นประสิทธิภาพที่เราจะทำได้ เราก็ทำในส่วนที่เราทำได้ตามลำดับ เช่น

เราจะต้องเอาความหมายการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นเชิงโทสะ

ไม่เอาของคนอื่นเป็น โลภะมูล

การเสพสัมผัสรสราคะ ก็เอาแค่ส่วนหนึ่ง เรื่องเสพสัมผัสผู้หญิงผู้ชายก็เอาผัวเดียวเมียเดียวก็แสนทุกข์แล้ว ก็ฉันอยากไปวุ่นวาย ล้างกิเลสไปจนหมดชาตินี้ชาติหน้าอย่างอาตมานี้ ตั้งใจว่าอาตมาจะเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่มีคู่บารมี ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแบบไม่มีภรรยา ตั้งใจไว้เช่นนั้น ไม่รู้จะมีวิบากหรือเปล่า มันเป็นภาระ เป็นทุกข์ เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน ผู้ที่ศึกษาดีๆแล้วจะเข้าใจ

เรื่องราคะ ก็อนุโลมแค่ผัวเดียวเมียเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้น การเสพความสวยงาม การเสพรสทางกลิ่น ทางเสียง ทางลิ้น ทางโผฏฐัพพารมย์ ก็เอาระดับหนึ่ง ถ้าจัดจ้านกว่านี้ มากกว่านี้ เราไม่เอาแล้วนะ กำหนดเอาเอง ของใครของมัน อย่าให้มันมากกว่านั้น เราก็ล้างกิเลสให้จิตใจแข็งแรงมั่นคง เราก็อนุโลมได้ ก็จะอยู่กับสิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขได้เป็นขั้นๆ

ความรู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้าเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ที่ราบรื่นเรียบร้อย เหมือนฝั่งทะเลอย่างน่าอัศจรรย์ อันดับ 1 แต่ทุกวันนี้มันสับสนวุ่นวาย เสียหายไปหมด

ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะไม่ปฏิเสธโลกียะ ท่านจะอยู่กับโลกียะอย่างรู้จำกัดขอบเขต เราไม่สามารถทำได้สูงกว่าภูมิที่เรามี เราก็ทำเท่าที่เรามีทุน ถ้าได้แล้วเราค่อยทำเพิ่ม เพราะของพุทธไม่มี อยู่กับสิ่งนี้เลย แต่อยู่อย่างเหนือ ไม่หนี แล้วทำประโยชน์ให้แก่เขาด้วย สอนเขาได้ แนะนำเขาได้ จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก เป็นลำดับๆ

โสดาบัน สกิทาคามี ก็เป็นสาระแก่นแกนไปตามลำดับ จนแม้กระทั่งเป็นโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ต่างกับอรหันต์

อรหันต์ คือ ทำตนเองให้ไม่ลึกลับ ถ้าจบเป็นอรหันต์สูงสุด ก็จบในกรอบของอรหันต์ ในอัตภาพสูงสุดของเรา

ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เรียนรู้เพิ่มจากสิ่งที่เราไม่เคยประสบ พระโพธิสัตว์จึงจะต้องไปเกิดมีวิบาก เกิดเป็นบางอย่างที่เรายังไม่รู้ และต้องการรู้ เพื่อจะช่วยเขาได้ คือเรารู้แต่เราลืมแล้ว เราก็ต้องไปอยู่ในตอนเป็นภูมิโพธิสัตว์แล้ว ถ้ายังไม่เป็นโพธิสัตว์ไปเกิดก็จะหนัก ก็จะช่วยได้ เรียนรู้ความจริงได้ เรียนรู้ทำตามฐานะ ตามวิบาก

สรุปสั้นๆคือ อรหันต์นั้นทำตนเองให้บรรลุก่อน แล้วจึงช่วยคนอื่น โพธิสัตว์จึงเป็นผู้ที่มีธรรมะ 2 มีอรหัตตผลแล้ว ทำคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง

ในรายละเอียดของอรหันต์นั้น ไม่ขาดแคลน อุดมสมบูรณ์ พวกเราจะเข้าใจ พวกเรามีสภาวะจริงและพฤติกรรมสังคมสาธารณโภคี ในความเป็นสาธารณโภคีเราก็มีบารมีของเรา มีวิบากของเรา เราอยู่ในนี้เรามีวิบากก็กัดกันกับคนนั้นคนนี้ เราต้องหัดปล่อยวางในวิบากที่ได้รับ คนนี้มาเป็นก้างขวางคอไม่ให้เราได้ตามที่เราควรจะได้ ต่างๆนานา ก็ไม่เป็นไร เราก็สร้างภูมิของเราไปเรื่อย มันพอได้ เพราะจิตใจที่เป็นอรหันต์แล้ว มันน้อยก็พอ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ มันมีความใจพอ แม้มีน้อยจนกระทั่งขาดแคลนและต้องตาย ก็ตายไป ถ้าเราไม่จบภพภูมิก็ตายด้วยกุศล เกิดมาอีกก็กุศลเพิ่ม เราเข้าใจเรื่องตายเกิดและเกิดตาย

ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว รู้ความตาย ความเกิด จะตัดสันตติ ปรินิพพานเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเราต่อก็มีแต่เจริญกับเจริญ จึงไม่กลัวความเกิด เพราะเกิดมาแล้วมีแต่ความเจริญ มีแต่สุคติ มีแต่ไปดี ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ทำเกิดทำตายได้ด้วย

นี่คืออัตภาพ ของมนุษย์ ก็อธิบายถึง นิยามชีวิต 5

พีชนิยามก็สูญได้แต่ว่า ไม่รู้ตัวเอง เป็นไปตามเหตุปัจจัย

แต่พอมาเป็นจิตนิยาม มีแต่ความปรารถนาเป็นภพชาติ ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ก็พัฒนาขึ้นมามีมากเซลล์ ก็มีภพชาติมากมาย จะมีความรู้ของพระพุทธเจ้า ก็สามารถตัดภพตัดชาติได้ ลดภพชาติได้ เป็นอมตะบุคคลได้ ไม่ต้องต่อภพชาติได้

ของพระพุทธเจ้านั้นก็สมบูรณ์ แบบอรหันต์ก็สมบูรณ์ หมดอาสวะ

ได้อย่างเป็นลำดับ โสดาบันก็เป็นรอบถ้วนของโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์

อนุโพธิสัตว์ก็เพิ่มภูมิไปตามลำดับ

สมณะเดินดินว่า...เมืองไทยมีแค่อรหันต์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระโพธิสัตว์ เอาแต่ประโยชน์ตนอย่างเดียว ส่วนมหายานก็เอาแต่พระโพธิสัตว์ ไม่ให้ความสำคัญกับอรหันต์ มีแต่ปุถุชนโพธิสัตว์

พ่อครูว่า ปุถุชนโพธิสัตว์ไม่มีหรอก ในความเป็นคนจน จึงไม่ได้มาตลบตะแลงหลอกลวง

จน คือไม่มีสมบัติส่วนตัว ไม่ซับซ้อน แต่ก็มีเงินผ่านมือ ถือมาใช้ตามสมควร ตามจำเป็น เป็นบริขาร เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทำตามหน้าที่ ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์ก็เป็นบริขาร เราไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบแจคหม่า หากินเอาเงินทองมาเป็นของตนมหาศาล อาตมาก็ว่าเราบริสุทธิ์ เราใช้อุปกรณ์สิ่งที่เป็น บริขาร เอามาทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ทุกวันนี้ บริขาร จึงมีเยอะกว่าบริขาร 8

เรามีภูมิธรรมแล้ว ก็ไม่เอาบริขารมาทำไม่ดี เช่นมีเงินเป็นบริขาร ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว ไม่ได้ใช้เงินเพื่อตัวเอง ใช้เพื่อสร้างสรรค์ทำประโยชน์ เป็นเนื้อนาบุญเป็นประโยชน์คุณค่าได้มากขึ้น ตัวเองไม่เอามาบำเรอตนด้วยเงิน

อย่างอาตมานี้ ใครเอาเงินมาบริจาค จะไม่ได้เอาเงินนั้นมาบำเรอตนเอง แม้ที่สุดจะตายเพราะว่าหิวข้าว ก็จะไม่เอาเงินที่เขาบริจาคมาซื้อข้าวกิน หรือแม้กระทั่งเจ็บป่วย จะต้องใช้ยาต้องรักษาตน แม้มีเงินที่เขาบริจาคด้วยอัธยาศัย จะให้ใช้อะไรก็ได้ เราจะไม่ใช้เงินนั้นมาซื้อยาให้แก่ตัวเอง อาตมาว่าอาตมาเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเขา เขาก็จะช่วยรักษาไว้

มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้อื่น อาตมาว่าไม่ได้ทำสิ่งที่เสียหายอะไร ในกวีที่บอกว่าทั้งเป็นคนจน จึงเป็นคนจนจริงที่ไม่ตลบตะแลง แต่อุดมสมบูรณ์ มีพอกินพอใช้ พอทำงานตามบารมี

ทุกวันนี้อาตมาวัดบารมี โดยไม่เรี่ยไร ใครคนอื่นมาบริจาค ถ้าเห็นคุณค่าก็มาบริจาคเอง พิสูจน์มาสี่สิบห้าปีแล้ว ก็ไปรอด มีพัฒนาการขึ้นมาอยู่

ยกตัวอย่างสื่อโทรทัศน์ดาวเทียม ก็ขออภัยต่อสื่อดาวเทียมอื่น ไม่ได้ยกตนข่ม สถานีอื่นทำไม่ได้อย่างบุญนิยมหรอก คนทำงานให้แก่สถานีบุญนิยมนี้ ทุกคนทำงานฟรีไม่มีเงินเดือนเงินดาวน์ มีเงินนำไปใช้งาน ถ้าเหลือก็เอามาคืน ไม่เอาแบบควาญช้างกินขี้ช้าง ให้เราซื่อสัตย์สุจริต อย่าไปสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย เราก็เป็นไปได้

อุปกรณ์เราก็ไม่ได้ราคาถูกกว่าเขา เราไม่มีเงินก้อน เราก็ซื้ออย่างมากก็มือสอง มือสาม มือสี่ ก็ทำไปก็พอได้ เราก็ออกแรงเองประกอบเอง สร้างมา มันก็เลยไปได้ ทำงานเพื่องานจริงๆ ก็สรุปไว้แค่นี้ บันทึกลึกซึ้งเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนจนทำไมทำได้ถึงขนาดนี้

ระบบโลกีย์ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาจะมาเอาเปรียบ แต่นี่ไม่ ทุกคนต้องมาล้างมาลดแล้วก็ทำงานฟรี ทุกอย่างเสียสละจริงๆ มาฝึกตนเอง มันจึงเป็นไปได้ ตามธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาก็ยืนยัน

พูดไปก็เหมือนเอาดีเข้าตัว เวลาพูดสิ่งเสียก็ดันไปว่าคนอื่น ก็จะทำให้เขาชังน้ำหน้า เพราะเขามีกิเลสอยู่ แต่พูดดีทีไรก็เป็นที่เราเป็นเรามี เราดีมาก่อนก็เอาดีนั้นมาขยายยืนยัน ก็เหมือนอวดตัวเสมอ

สรุปพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์เป็นอันเดียวกัน ถ้าอรหันต์ไม่เอาโพธิสัตว์ก็ขาดต่อ พระพุทธเจ้านั้นยกย่องอรหันต์ ตนเองไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใครแล้ว แต่มันเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นน้อยเท่านั้นเอง ของพระพุทธเจ้านั้นครบถ้วนทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ได้ประโยชน์สูงสุด อุภยัตถะ ทำประโยชน์ตอนนี้แหละ ประโยชน์ท่านจะได้พร้อมกัน ทำประโยชน์ท่านนี่แหละประโยชน์ตนก็จะได้เพราะ

อรหันต์กิเลสหมด แต่ทำประโยชน์ท่าน ก็เป็นโพธิสัตว์ ไม่มีประโยชน์ตนเองแล้ว แต่จริงๆแล้วมีประโยชน์ไหม ประโยชน์ที่ได้นั้น เป็นความรู้ความสามารถ ที่กว้างที่ใหญ่ ที่เกิดความชำนาญ เกิดทักษะสมรรถนะต่างๆ สูงขึ้น แต่ไม่ถือว่าเป็นของตน เพราะสิ่งที่เจริญเหล่านั้น ไม่ทำเพื่อตนเอง แต่เจริญมาเพื่อผู้อื่น เจริญก็เพื่อรับใช้ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น เพราะตนเองมีความพอ กินก็เท่านี้ อยู่เท่านี้ ไม่เปลืองไปกว่านี้ มีกรอบขอบเขต ส่วนที่เหลือเกินก็เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นทวีขึ้น พระโพธิสัตว์จึงไม่เรียกว่าประโยชน์ต่อตนเองได้นะ ไม่ใช่ว่าตนเองไม่เจริญ เจริญยิ่งๆขึ้น แต่ไม่ได้เจริญมาเพื่อตัวเอง ไม่ได้มาเพิ่มปริญญาตรี ปริญญาโท เราก็จะทำเพื่อได้ลาภยศ เงินทอง เพิ่มขึ้น ปริญญาเอก จะได้เงินทอง ลาภยศ เพิ่มขึ้นอีกไม่ใช่ แต่ยิ่ง ปริญญาโท ปริญญาเอกมีความรู้ความสามารถ ไปช่วยคนอื่นได้มากขึ้น ที่เราเอามาอาศัยสำหรับตนก็เท่าเดิม หรือดีไม่ดีก็น้อยกว่าเดิมด้วย เพราะเรายิ่งเก่งยิ่งฉลาด ยิ่งมีอินทรีย์พละสูงขึ้น

อรหันต์ใช้ศรัทธานำ พระโพธิสัตว์ใช้ปัญญานำ

ใน ทักขิเนยบุคคล 7

กายสักขี ไม่รู้นอกรู้ในชัดเจน พระพุทธเจ้าว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายให้รู้นอกและในครบ ถึงจะสิ้นอาสวะ ตรวจไปในอรูปฌาน จนสิ้นอนุสัย

ปัญญาวิมุติ สิ้นอาสวะ แต่ไม่หมดอนุสัย

แต่กายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้น แต่ไม่สิ้นอาสวะทุกอย่าง

 

เมืองไทยตอนนี้เป็นชมพูทวีป หมายความว่ามีมนุษย์ที่สามารถมีธรรมะในตนเอง มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส

สุรภาโว เขาก็จะอธิบายไปว่ามีภาวะแกร่งกล้า ทำไมถึงมีธรรมะเก่งกล้ามีอินทรีย์พละ มีทั้งเจโตและปัญญาครบ คือสุรภาโว เป็นผู้ที่ครบพร้อมทุกอย่างมีความแข็งแรง เท่าที่บารมีของคนแต่ละคน

ผู้ที่มี สุรภาโว สติมันโต ณ ที่นั้น คือ อิท คือ ณ ที่นี้ ประเทศไทยมีคนที่มี สุรภาโว สติมันโต ในมวลมนุษย์กลุ่มนี้ ยืนยันได้มีพฤติกรรมที่อธิบายได้

 พรหมก็คือพระเจ้า จรรยะก็คือความประพฤติ แต่ไม่ใช่อย่างเทวนิยม แต่เอามาใช้ประโยชน์ได้ เป็นได้จริง มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจริง ไม่ใช่ว่าพระพรหมมีสี่หน้า แล้วจะนอนอย่างไร นอนยากชะมัดเลย

 

Sms 5 ธ.ค.2559

0849108xxx สาธุท่านปยุตดำรงอริยะศักดิ์สมเด็จพุฒโฆษาจารย์สมแล้วนักปราชย์แห่งธรรมเพชรงามในพระศาสน์ขอก้มกราบสาธุการ

ปลายฝนต้นหนาวแล้วพ่อท่านดูแลสุขภาพนะคะ

ตอบ...ก็มาทำหน้าที่ของท่านในปางนี้  โดยท่านมีนามว่าประยุทธ์แปลว่านักรบ เป็นนักรบอย่างนักธรรมะ ส่วนทางโลกก็มีประยุทธ์เหมือนกัน เป็นความสอดคล้องกันเป็นเรื่องความเจริญ เป็นการรบระดับโลกุตระ

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระพุทธเจ้าจะรู้ว่าใครจะเป็นอะไรต่อไปอย่างไร มีอัครสาวกชื่ออะไรอย่างไรก็รู้ ไม่ใช่เรื่องเดาเป็นภูมิรู้ของท่าน อาตมาก็มีแต่ไม่รู้ได้มากชัดอย่างพระพุทธเจ้า

 

คนฉลาดเท่าที่ตนโง่ และ โง่เท่าที่ตนฉลาด

0890015 ขอความกรุณาขยายความ"คนฉลาดเท่าที่ตนโง่" และ "โง่เท่าที่ตนฉลาด"

ตอบ...ฉลาดกับความโง่ เป็นภาษาบัญญัติที่ระบุ ฉลาดคือรู้ โง่คือไม่รู้

จะอธิบายในกรอบของโลกียะ กัลยาณชนหรือโลกุตรชนก็อย่างหนึ่ง

โลกียชน เป็นอเวไนยสัตว์ เหตุปัจจัยอย่างไรเขาก็รู้ไม่ได้ มีทั้งเหตุปัจจัยที่คุณมีมา เป็นอนันตริยกรรมก็มีที่ทำให้รู้ไม่ได้ ส่วนที่เป็นเวไนยสัตว์ก็สอนได้ เป็นเพราะว่าเหตุปัจจัยของเขาทำมาครบ ทุกคนทำเอง ไม่มีใครบันดลบันดาลได้ ตัวใครตัวมันทำเอง สรุปแล้วโง่กับฉลาดมีสองอย่างนี้

คุณฉลาดเท่านี้ก็มีโง่เท่านี้ คนนี้ฉลาดเท่านี้ก็เท่าที่ตนโง่

คนฉลาดสูงสุด และโง่ต่ำสุดก็ยกให้พระพุทธเจ้า จะมีโง่อีกเท่าไหร่ ก็ยกให้ถือว่าไม่มีโง่แล้ว เพราะไม่มีใครฉลาดเท่า จะบอกว่าท่านโง่ไหม ท่านก็โง่เท่าที่สิ่งที่ท่านยังไม่รู้ อย่างไรก็แล้วแต่ จะตกหล่นอะไรก็แล้วแต่ แต่ถือว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญสูงสุดแล้ว ไม่มีใครไล่ทัน  ในกัปป์นั้น ในบรรดาสัตว์โลกที่มีทั้งหมด ท่านสูงสุดไม่มีใครทัน แค่นี้ยังไม่พอหรือ หรือจะเอาเท่าอวโลกิเตศวรก็ว่าไป

 

0805925xxx ผ่านแล้ว50วันแต่น้ำตาไม่เคยหยุดไหลเห็นภาพทีไรโฮทุกทีสุดแสนอาลัย!ถ้ากุศลบุญมีขอได้เกิดเป็นข้าแผ่นดินรองบาททุกชาติไป

จับหมาบ้าแค่ยิงยาสลบจับธัมมี่หัวหมอหัวเสยังคิดไม่ตกข้ามปี555?ปลายฝน

 

0824645xxx ถึงจะไม่มีโอกาสได้ไปร่วมกับท่าน แต่ก็นำหลักธรรมคำสอนของหลวงพ่อมาใช้ในการดำเนินชีวิตเสมอ อยากให้ธรรมมี่โดนจับอาณาจักรธรรมเก๊ล่มสลาย

0893867 วันพ่อฯไปแจกขนมเด็กรายทางนอกเมือง!ระหว่างทางพบปชช.บ้านนาไร่สวน บำเพ็ญสาธารณะกุศลตัด หญ้ากวาดถนนทำความสะอาด2ข้างทางทำดีเพื่อพ่อฯ

 

วิธีแยกกายแยกจิตที่ถูก

_0893867xxx วิธีแยกกายแยกจิตที่ถูกทางถูกตัวถูกตนที่ยึดติดไม่ปล่อยวาง!น่าจะแยกอัตตาออกจากกายแยกกิเลสออกจากจิตจึงจะถูก!มิใช่ถอดวิญญาณออกจากร่างมโนเหมือนมูฟวี่!พ่อครูว่าถูกต้องไหม?

ตอบ...ขออธิบายอันนี้เลย กายกับจิต กิเลส กับ จิต ก็เป็นธรรมะ 2

รูปกับนาม ก็เป็นธรรมะสอง

รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ (object) นาม คือธาตุรู้ที่ไปกำหนดรู้ subject

ปุถุชนทุกคนเมื่อกระทบสัมผัสแล้ว ก็ปรุงแต่งเกิดความอยากได้ ไม่ได้มาก็แย่งชิงฆ่าแกงกัน

ในพระไตรปิฎกมียืนยันอ้างอิง ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

กาย คำนี้คนไทยใช้เรียกร่างกาย คือดินน้ำไฟลมภายนอก แต่พอไปอ่าน ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230 ก็จะไม่เข้าใจ หาว่าท่านพูดผิดหรือไม่ไปอีก

กาย คือธรรมะสองก็จริง แต่ถ้าจะเรียนให้ไปเรียนที่ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง แต่ต้องมีภายนอกอยู่เสมอ มีสิ่งที่ถูกรู้กับธาตุรู้เสมอ เป็นธรรมะสองเสมอ แม้แต่ข้างนอก แล้วเลื่อนมาเป็นข้างใน เช่นเลื่อนจาก กายในกาย มาเป็นเวทนาในเวทา ก็องค์ประชุมสองนี้แหละ

เช่น กระทบฟักทองลูกโต จิตเราก็ปรุงแต่ง ชอบใจพอใจอยากได้ ลูกมันโตเนื้อคงดี อยากได้ ถ้าเอามาโดยสุจริตหรือไม่สุจริต ก็ต้องทำจนได้ ได้มาอย่างสุจริต ก็เป็นลาภธัมมิกา ปลูกเอาหรือขอเขาเอาหรือซื้อเอา ถ้าซื้อแล้วเขาไม่ขายคุณก็อด แต่ขอไม่ให้ ขายก็ไม่ขาย จะไปปล้นเอาก็ทุจริต บาปแล้ว

ลาภธัมมิกา ลาภโดยธรรมก็โดยสุจริต ลาภโดยธรรม อย่างอาตมามีคนบริจาค อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้อง อาตมาเอามาทำงานให้คนอื่น แม้เขาจะให้มาตามอัธยาศัย แต่อาตมาจะขอซื่อสัตย์ ไม่เอามาบำเรอตน หรือรักษาตนนะ แต่มันก็พอเป็นไปนะ อาตมาว่าจะพอมีค่าอยู่นะ ถ้าอายุมากแล้วเขาจะเลี้ยงไว้ไหม

มาเข้าสู่คำว่ากาย

มูลกรรมฐาน 5

ก็เอาเล็บนี่แหละง่ายที่สุด คุณจะรู้อัตตา และกายได้จากการพิจารณาเล็บ

เล็บ เมื่อมันยาวอยู่กับตัวเรา มันพ้นประสาทมันไม่ใช่เราแล้ว ไม่ใช่กายแล้ว มันอยู่ในตัวเราก็เป็นพีชะ พลังงาน อาหารไปเลี้ยงให้ยาวออกมาได้ มันมีพลังงานธาตุพีชะ ปรุงแต่งกันอยู่แต่ไม่มีเวทนา ตัดก็ไม่รู้สึก ถ้าคุณหวงแหนอยู่ ก็จะยึดถือว่าเป็นของกู แต่ถ้ามันไม่ใช่ของเราแล้ว มันไม่มีเวทนา  มันเป็นพีชะแล้ว จิตเราที่ไปยึดถือเป็นเรา แต่มันเป็นพีชนิยาม ไม่ใช่จิตนิยาม ไม่ใช่กายเราแล้ว ก็ตัดไป ถือว่านิพพาน เป็นปริโยสานแล้ว สำหรับส่วนเล็บที่ตัดออกไป หมดความเป็นอัตตา

อัตตานี้ใช้อาศัยได้นะ มันอยู่กับตัวเรา เราก็อาศัยมันได้ ใช้แคะขี้ฟันได้ เป็นต้น หรือว่าใช้เล็บแคะอื่นๆเป็นประโยชน์ได้อยู่ มันเป็นชีวะ แต่มันไม่ใช่กายเราแล้ว ถ้าเรายังไม่ตัดทิ้ง มันยังเป็นอัตตาอาศัย

เห็นความไม่ใช่กายของเล็บนะ แต่เราใช้เป็นอัตตาอาศัย

กายมันไม่ใช่แล้ว แต่อาศัยเป็นชีวะอยู่ ยังไม่ตัดก็เป็นอัตตา ก็ต้องเป็นอัตตาอาศัย ไม่ใช่สิ่งเที่ยงแท้ ตัดก็ได้ไม่เจ็บด้วย เพราะเป็นพีชะ ไม่ใช่จิตนิยาม

มันไม่มีเวทนาแล้ว ไม่ใช่วิญญาณแล้ว เป็นธาตุรู้แค่สัญญา สังขาร เราก็จะเข้าใจอัตตา กับกาย สูงขึ้นแล้วใช่ไหม

ในขณะที่พีชะหรือเล็บนี้มันยังอยู่กับประสาท ก็เจ็บนะมีเวทนา สัมผัสแตะต้องกระแทกก็เจ็บได้ หรือสัมผัสแล้วรู้สึกดี อร่อยดีเพลินดี ก็แล้วแต่ ก็เป็นทั้งทุกข์และสุข เจ็บก็ทุกข์ เพลินดีก็สุข

ทุกข์ สุขนี่ ถ้าคุณยังยึดทุกข์สุขว่าเป็นเรา แต่ที่จริงมันเป็นความไม่สมดุล เป็นพลังงานไม่ปกติ มันขาดหรือเกิน

แต่ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์มาก จนจำหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือเพลินอร่อยสุขมาก็จำเข้าไปอีก หรือเจ็บขนาดนี้ก็รู้สึกสบายดี แต่ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา จะสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งแค่นี้ แต่ถ้าคุณไปยึดถือว่าต้องเย็นขนาดนี้ ร้อนแค่นี้ แข็งขนาดนี้ จึงจะชอบ หรือว่าฉันไม่ชอบก็เป็นสิ่งที่เฟ้อเกิน นี่คือสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปอีก มันชิดเข้าไปถึงประสาทก็ละเอียดไปอีก

สิ่งที่ไม่สมดุล จะมากไปหรือน้อยไป สิ่งที่คุณไปยึดถือจะเอามากเลย น้อยเกินกว่านี้มันก็เป็นส่วนเกิน ลงรายละเอียดของกายหรืออัตตา

คุณสามารถพิจารณามูลกรรมฐาน ผมขนเล็บฟันหนังนี่เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก มันเป็นผิวข้างใน ผิวนี่เป็นตัวที่นอกกว่าหนัง หนังมันเชื่อมกับประสาท ถ้าผิวก็ขัดทิ้งได้เฉือนทิ้งได้ ยิ่งหนังหนาออกมาเป็นผิวมาเท่าใดก็ตัดทิ้งได้ เล็บนี่อธิบายได้ง่ายกว่าผิวหนัง ผมก็ละเอียดไป แต่ก็อยู่นอกกว่าอีก

เราจะรู้ว่าเราอรหันต์หรือไม่อรหันต์จากการยึดว่า เป็นกายที่เรายึดถือ หรือไม่ยึดถือ

จากอัตตาหรือไม่เป็นอัตตา ก็วัดค่า หากเรายึดเป็นอัตตา ก็ไม่ใช่อรหันต์ หรือเราไม่ยึด แต่ถ้ามันกระทบประสาทก็เจ็บได้ แต่ใจเราไม่ยึดมั่นถือมั่น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยมีเวทนา แต่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าชอบหรือไม่ชอบ เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็จบ คุณก็ไม่มีอัตตา

มันยังเป็นกายเรานะ ติดกับเราด้วย แต่อัตตาเราก็เรียนรู้ได้

ความเป็นอนัตตา มันเป็นหนึ่ง ถ้ายังยึดในอัตตาอยู่ก็เป็น 2 ถ้าทำให้เป็นอนัตตาแล้วมันก็เป็นหนึ่ง หรืออนัตตาก็เป็นศูนย์ได้เหมือนกัน

มันไม่ง่าย คนที่ยังเข้าใจไม่ได้ เชื่อว่าอาตมาอธิบายสัจธรรมไหม หรือว่าโมเมไป ก็คิดว่าพวกเราไม่คิดว่าอาตมาเอาเรื่องโมเมมาอธิบายนะ อาตมามั่นใจว่าที่อธิบายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

สู่แดนธรรมถามว่า อัตตาใช้แทนสักกายะได้มั้ยครับ?

ไม่ได้หรอก สักกายะ หมายถึงกายของตน สักกะ คือตัวตน ของตน

กาย คือรูปนาม ต้องรู้ธรรมะสอง คือรูปนามของตน รู้ subject object ของตน คนอวิชชาปรุงแต่งสังขารก็ไม่รู้ เสร็จก็จัดการเล่นงานเราควรเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ทุกข์ๆสุขๆเจริญหรือเสื่อมไป แต่เรามาเรียนรู้ไปตามลำดับ อย่าไปเรียนทีเดียวหมด อันนี้ก็รูป อันนี้ก็นาม เอาทำหมดก็เละ ทำไม่ได้หรอก ต้องจับทีละอย่าง ทำได้ก็จะเกิดความรู้ที่ยิ่งขึ้นๆ เป็นปฏิภาณปัญญา ที่เฉลียวฉลาดรอบถ้วนขึ้นไป

 

วิธีแยกจิตแยกกายเป็นอย่างไร

กายก็คือภายนอก จิตก็คือภายใน

ถ้าข้างนอกก็มี  ดินน้ำไฟลมอากาศ อุณหธาตุ ถ้าไม่มีนาม เราไปเกี่ยวข้องก็ไม่เกิดความรู้อะไร ถ้าธาตุรู้จิตวิญญาณเราไม่ไปร่วม ก็ไม่เป็นสองไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข อัตภาพใดไปเกี่ยวข้องสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ก็จะเกิดสุข เกิดทุกข์ ตามที่คุณยังอวิชชา พอคุณมาศึกษาเป็นวิชชาแล้ว คุณก็จับทุกข์จับสุข โดยเฉพาะสุขเก๊ ต้องจัดการออกไปก็จะรู้ว่า สุขที่ยิ่งกว่าสุข หรือวูปสโมสุข อุปสโมสุข เป็นสุขที่ไม่บำเรอกิเลส

จิตก็หมายถึงธาตุรู้ ส่วนกายมีธาตุรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ กายเมื่อไหร่คือธรรมะสอง จิตคือธาตุรู้ ก็มีนัยละเอียดต่างจากเจตสิก ต่างกับมโน หรือวิญญาณ หรือสัญญา เจตนา ก็ต่างกันไป

เวทนาเป็นอารมณ์ จิตเป็นธาตรวม หรือลงไปเป็นเจตสิกละเอียดถึงมโน มโนเป็นตัวลึก หากเรียกครบเจตสิกทุกอย่าง ก็คือวิญญาณ คือเวทนาสัญญาสังขาร รวมกันทำงานเป็นวิญญาณ

 

ศีล กับ สังโยชน์ 10 เชื่อมโยงกันอย่างไร

_มีทิดเดิมแท้ถามมา…เกี่ยวกับความเชื่อมโยง เกี่ยวข้อง โดยตัวชี้วัดการบรรลุธรรม 2 แบบ

 

1. การแบ่งระดับการบรรลุธรรม จาก ศีล 5 เป็นโสดาบัน ศีล 8 เป็นสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี ศีลทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ (อันนี้ไม่มีใครเคยพูดถึงและหาในพระปิฎกไม่ได้)

 

 

2. การแบ่งระดับการบรรลุธรรม จาก สังโยชน์ 10 ที่พ่อท่านเคยอธิบายว่า

พ้นสังโยชน์ 3 เป็นพระโสดาบัน

พ้นสังโยชน์ 5 เป็นพระอนาคามี

พ้นโยชน์ 7 เป็นพระอนาคามี

พ้นสังโยชน์ 10 เป็นพระอรหันต์

 

ตัวแปรสองอย่างนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างไร ทั้งทาง รูปธรรมและนามธรรม

 

กราบนมัสการครับ จากทิดเดิมแท้

 

ตอบ...ถ้าอธิบายก็จะละเอียดไป จนจบ …

 

1. การแบ่งระดับการบรรลุธรรม จาก ศีล 5 เป็นโสดาบัน ศีล 8 เป็นสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี ศีลทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ (อันนี้ไม่มีใครเคยพูดถึงและหาในพระปิฎกไม่ได้) วันนี้อาตมาเองเป็นคนพูดมั่นใจว่าไม่ผิดด้วยจะมีในพระไตรปิฎกหรือไม่ก็แล้วแต่ ศีล 5 นั้นครบทั้งกายวาจาใจ

สามข้อแรกคือ โทสะมูล โลภมูล ราคะมูล ข้อสี่คือวจี ข้อห้าคือมโน ศีลห้านี้ครบกายวาจาใจแล้ว

ข้อ 1-4 คือกายวาจา ส่วนศีลข้อ 5 คือสิ่งที่เรายังติดยึดอยู่ อะไรที่เราหลุดพ้นได้ก็ฟรี อย่างอาตมาชาตินี้ไม่เคยติดลิปสติก ตอนเด็กๆเล่นแสดงก็เคยทา ก็รำคาญหยดๆ อาจเป็นลิปสติกสมัยเก่าก็ได้นะ แต่มันก็ไม่อะไรมาติดที่ริมฝีปากเราเป็นของเพิ่มเติมมา

คนที่สามารถกำหนดได้ว่า ความหมายแค่ศีล 5 คุณก็ศึกษาสิ

สัตว์คุณอย่าฆ่า ไม่ได้ละเว้นว่าฆ่ามากินได้นะ ยืนยันว่ากินแต่พืชก็อายุยืนได้ร่างกายไม่เสื่อม อวัยวะไม่เสื่อมยืนยันได้เลย สัตว์ก็เป็นชีวะที่เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันอย่าไปทำร้ายเขา ช่วยเหลือกันได้ด้วย และมันก็มีวิบากได้ด้วย สัตว์เป็นจิตนิยามเป็นวิบากแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเซลล์ชั้นต่ำ มันก็ไม่รู้หรอก มันก็จองเวรจองกรรมได้ เพราะมันไม่รู้มันถึงจอง ถ้ามันรู้แล้วก็จะอภัยอโหสิให้ ต่างคนต่างไม่จองเวรจองกรรมกันก็จบ สิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตจริงๆ

ผู้ที่รู้ว่าเจตนาเป็นกรรม ตัวนี้ลึกซึ้ง ถ้าเราเจตนา คือจิตใจมีความมุ่งหมาย จะมุ่งหมายอะไร ก็เข้าใจว่าทำวันนี้จะเกิดผลวันนี้ เราจะทำ หนึ่งบวกหนึ่งก็เกิดสอง เราไม่ต้องหวังสอง เรามีทุนหนึ่งก็ทำอีกหนึ่ง ก็ได้สอง ไม่ต้องไปหวังหรอก สองก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้น เจตนาแต่อย่าอยาก

คำว่าเจตนา มันมีความหมาย ภาษาบาลีอีกหลายคำ สัญจิจจะ ก็มุ่ง อุทิสก็มุ่ง ถ้าเจตนาขั้น อุทิสหรือสัญจิจจะ ก็มุ่งไปทำร้ายได้ เช่นว่า สัตว์ตัวนี้ คนฆ่าด้วยอุทิส จิต จิตที่มุ่งฆ่าให้ตาย จนมันตายด้วยเจตนา เพราะมุ่งจะฆ่ามัน เนื้อนี้ถือว่าเป็นอุทิสมังสะ ไปมุ่งฆ่า 

ฆ่าสัตว์นี้อย่างเราไม่มีเจตนาให้มันตาย พระพุทธเจ้าถือว่าไม่เป็นอกุศล แต่มันมีอกุศลระหว่างคู่ ถ้าคุณไปเหยียบหัวเขียดตาย คุณไม่มีเจตนา สงสารมันด้วยแต่เขียดมันไม่รู้หรอก มันก็พยาบาทเราได้ อย่างนี้เป็นต้น ท่านก็สอนให้ทำตามลำดับ สุดวิสัยที่เจตนา อรหันต์ทุกองค์ไปทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่เจตนา เช่นไปทำให้เขาตาย สุดวิสัยเขาจะจองเวรเราก็ห้ามเข้าไม่ได้ ก็มีวิบากไป

ความเจตนาตัวนี้ตัวสำคัญ ยิ่งเจตนาฆ่า สัตว์ใดที่ถูกฆ่าโดยเจตนาของคน

หนึ่ง สัตว์มีชีวิต สองรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต สาม คิดจะฆ่า สี่พยายามลงมือฆ่า ห้าสัตว์ก็ตายลง ก็ครบห้าองค์ปานาติบาต นี่คืออุทิสมังสะครบสมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าว่าเนื้อเช่นนี้ไม่ให้กิน ถ้าคุณมี หนึ่ง สัตว์มีชีวิต สองรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต สาม คิดจะฆ่า สี่พยายามลงมือฆ่า แต่คุณไม่ฆ่าหรือฆ่าไม่ตาย ก็ไม่บาปครบบริบูรณ์ แต่มีอกุศลกรรมที่คิดนะ ยิ่งพยายามฆ่าลงมือนะ แต่มันไม่ตาย

เขาไปแปลงสารว่าอุทิสมังสะคือเจาะจงบุคคล อาตมาก็อธิบายว่า วันนี้มานานแล้วไม่เจอกัน ก็ให้เมียไปฆ่าไก่มาเลี้ยงเพื่อน ไก่ตัวนั้นก็กลายเป็น อุทิสมังสะ เจาะจงมาให้เพื่อนคนนี้กิน แล้วเพื่อนคนนี้กินจะบาปนะไม่ให้กิน แล้วหลักเกณฑ์นี้ทำมาทำไม เจตนาจะฆ่ามาให้เพื่อนกินแล้วมันบาป เพื่อนก็มีธรรมะก็เลยกินไม่ได้

ถ้าสัตว์มันตายเองหรือเดนสัตว์กิน พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้กินได้ มันไม่มีวิบากต่อกันแล้ว แต่เดนสัตว์คนฆ่าก็ไม่ให้กินมันบาป แต่สัตว์เดรัจฉานมันสุดวิสัย แต่มันทิ้งแล้ว เป็นเนื้อบังสุกุลแล้ว เนื้อนั้นมันไม่ยึดเป็นของมันแล้ว ปวัตมังสะก็มีสองอย่าง คือสัตว์ตายเองและเดนสัตว์กิน ท่านก็อธิบายกันมาถูกแล้ว

คนที่ฆ่าสัตว์มาขายในตลาด ก็ไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงคนใดหรอก เพราะคนนั้นก็ซื้อไม่ได้อีก ถือว่าหมูในเขียงขายในตลาดก็ไม่ได้เจาะจงใคร ใครก็กินได้ อย่างนี้อธิบายเข้าข้างปากตนเองที่อยากกินสิ

ถ้าคุณไม่กินเนื้อสัตว์ทั้งหมดจะมีวิบากไหม แต่ถ้าคุณจะกินอยู่มันก็จะมีวิบากไหม

สังโยชน์ 3 คือ สักกายะ ต้องรู้รูปนาม ให้เป็น สองต้องอ่านอาการของกาย อ่านให้ได้ให้เป็น จนไม่สงสัยไม่วิจิกิจฉา ด้วยอาการลิงค นิมิตอุเทส กายนี้เป็นจิตมโนวิญญาณ แต่ไม่ขาดข้างนอกนะ แต่หมายเอาสังขารในใจ

ตั้งแต่กายสังขาร ต้องมีทั้งนอกและในนะ

ฟักทองลูกนี้ ม้นไม่มีกายสังขาร เพราะมันเป็นพีชะ ตอนนี้มันเป็นอุตุแล้วด้วยขาดจากพีชะไปแล้ว เป็นชรตา ไปสู่อนิจจตาไปสู่สูญ อันนี้ไปเรียนมันทำไม่มันไม่รู้เรื่อง แต่ลึกซึ้งที่เราทำจิตให้จิตเราเป็นพีชะ จะได้ไม่เป็นโทษภัยกับสัตว์ ทั้งหลายมีแต่มีประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย ให้สัตว์ได้บริโภค

สักกายะ คือรูปนาม ที่คุณยึดถือเป็นตน ก็ต้องศึกษาแล้วล้างความเป็นตนต้องอ่านออกรูปธรรมนามธรรม อ่านให้ออกว่านี่คือ กาย พ้นวิจิกิจฉา

ในกายมันมีอัตตา

คุณยึดอัตตา ในกายนี้ ยึดเป็นตน คุณก็ไปอ่านเหตุ วิธีปฏิบัติศีลพรตของพระพุทธเจ้า จะเรียกวายิตถัง หรือยัญพิธีหรือปฏิปทาก็ได้ คือหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติประพฤติหรือ ศีลพรต

คุณก็ต้องศึกษาวิธีปฏิบัติ หรือศีลพรต ว่าพระพุทธเจ้าสอนเช่นนี้ แล้วจะละอัตตาได้

คุณรู้องค์ประกอบที่เป็นกายของตน แล้วก็เป็นอัตตาที่เป็นโลกีย์ จนกระทั่งล้างเหตุที่ยึดถืออัตตาโลกีย์หมด คุณจะมีชีวิตอยู่ก็มีอัตตาที่อาศัยเท่านั้น

ศีลพรตหรือวิธีการที่ปฏิบัติ แล้วจะมีสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่คุณก็... สักกายก็รู้แล้ว อัตตาก็รู้เหตุก็จับได้ แต่คุณก็ไม่ลงมือจัดการเลย ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่ลงมือทำให้ ละหน่ายคลายหรือดับไปได้ ก็ได้แต่สัมผัสแตะต้องแล้วจะมีสัมมาทิฏฐิมีวิธีการรู้ดีอยู่แล้ว แต่คุณยังไม่ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง จน ลดละหน่ายคลายและดับสิ้น คุณไม่ทำคุณก็ช้าอยู่นั่นแหละ

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าเอา ปรามาส อย่าเอาแต่ลูบคลำเล่นหัวอยู่กับมัน ลงมือ จัดการกับมันเสียที

ต้องทำให้เป็นธรรมะหนึ่ง มันก็ไม่ปรุงแต่งแล้ว หรือทำให้เป็นนปุงสกลิงค์เป็น 0 ว่างๆ ไม่ปรุงแต่งเป็นอุเบกขา คุณก็สามารถทำอาการเหล่านี้ได้ในใจของคน

อย่างเช่น อาการที่คนเขาบอกว่า สภาพว่างนี้ จิตของคุณไม่คิดอะไรเลย ถ้าคุณอ่านจิตเจตสิกออก อาการว่างเฉยๆ ซึ่งมันทำได้ยากนะ วิธีฝึกก็ต้องสะกดจิตให้มันว่างเฉย ยังสะสมความชำนาญนั้น เมื่อเขาสะกดจิตก็ว่างได้ เขาก็ลืมตามาสัมผัส เหมือนกับสายเจโตสะกดจิต คุณก็ว่างแบบสะกดจิต แต่เมื่อลืมตามาสัมผัสก็ไม่ว่างอีก

แต่ถ้าปฏิบัติแบบธรรมะพระพุทธเจ้า มีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วทำให้เป็นหนึ่ง เป็นนปุงสกลิงค์ ก็จะทำได้ อาตมาทำได้ จะสัมผัสอะไรอาตมาก็เฉยๆได้ จะกำหนดรู้ก็ได้ จะไม่กำหนดรู้ก็ได้ เช่น บางคนพูดกับอาตมาปุ๊ปอย่างนี้ อาตมาไม่ได้กำหนดรู้ด้วย ก็พูดกับเขานะแต่ผ่าน คนใกล้ชิดก็ชอบถามว่า พ่อท่านพูดอะไรเมื่อกี้นี้ ก็บอกว่าไม่รู้...อันนี้ไม่ได้แกล้งนะ ไปถามคนใกล้เคียงได้ อันที่ไม่จำก็ไม่จำไม่สัญญา โต้ตอบกับคุณได้ก็ปล่อยวาง วางเก่งขนาดนั้นเชียวนะ แล้วเขาก็ถือว่าเป็นข้อบกพร่องอาตมา ก็ใช่ อาตมาไม่จำ อาตมาใช้พลังงานไปจำไม่ไหว แล้วอันไหนที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไปก่อน แต่อันไหนที่จำเป็นก็จำ เขาก็บอกว่าพ่อท่านนี้จำเก่งมากเลย อาตมาก็ใช้แค่นี้ ไม่ได้เก่งกว่านี้

สรุปแล้ว สีลพตปรามาสต่างกับสีลัพพตุปาทาน ซึ่งยึดถือศีลพรตอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ เจอกันนั่งหลับตาปฏิบัติมันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิของพุทธเจ้า นี่คือยึดศีลพรตอย่างมิจฉา ถ้าคุณฟังอาตมาแล้วก็ไปปฏิบัติก็จะได้ แต่ถ้าไม่มาฟังอาตมาก็ได้อย่างที่คุณเรียกยึดถือนั่นแหละไม่เปลี่ยน หรือทิฏฐุปาทานก็ยึดถือ ทิฏฐิเก่าไม่เปลี่ยน

ในอุปาทานมีกามก็ยกไว้ คุณก็บำเรอความสุขของคุณไป

สีลัพพตุปาทาน ก็ยึดถือศีลพรตของคุณไป ถ้ามันถูกคุณก็บรรลุได้แล้วสิ แต่อย่างคุณทำนี้อาตมาอธิบายได้ แต่อย่างที่อาตมาอธิบาย คุณกลับไม่ได้ไม่รู้ไม่เอา แต่อย่างโน้นอาตมาได้แต่ไม่เอา อาตมารู้ นั่งหลับตาสะกดจิต อาตมาทำได้ไม่คิดไม่นึก ลืมตาก็ทำได้ อาตมาทำได้ 2 อย่างและเลือกเอาอย่างเดียว แต่คุณทำได้อย่างเดียว คุณสู้อาตมาไม่ได้นะ

อัตตวาทุปาทาน… อันนี้เขาอธิบายกันไม่ออก ผู้รู้ท่านก็แปลกันว่า คือการไปยึดถือภาษาคำพูด วาทะ เป็นตน ท่านก็แปลพยัญชนะถูก คนที่ยึดภาษาบัญญัติ อย่างที่คุณสอนกัน แต่ไม่ได้ปฏิบัติถึงสภาวะ เช่น คุณพูดถึงพระเจ้า แต่คุณไม่มีสภาวะ ก็เป็นเพียงภาษาที่ยึดถือไว้

พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าคือ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ ก็เรียนรู้ เอาพลังงานที่เป็น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาสูงสุด ที่เป็นคุณธรรมของพระเจ้าเอามาใช้ได้ ถ้าคุณบอกว่าพระเจ้ามีอะไรที่ยิ่งกว่านั้นก็เชิญ  แต่อาตมาได้เท่านี้แหละ อาตมาได้เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เอามาใช้มาทำกับคน อาตมาก็ถือว่าพรหมวิหารสี่นี้ คือพระเจ้า พลังงานเหลืออาตมาเอามาทำจริง

มีเมตตากาย วจี มโน สาธารณโภคี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา สมามีพลังงานเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็มาใช้ทำงาน

เมตตา เคยเห็นเขาทุกข์ร้อน ก็อยากให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเป็นสุขอย่างวิเศษสุข อย่างวูปสโมสุข อย่างปรมังสุขังด้วย ยิ่งกว่าความสุขอย่างโลกีย์ อาตมาก็ลงมือทำอย่างกรุณา ช่วยจนกระทั่งเขามีความพ้นทุกข์ได้ อาตมาก็มีความมุทิตาก็ดีแล้วสาธุ  จบ อาตมาก็ปล่อยวางเลิก ไม่ได้ยึดถือเป็นบุญคุณอะไร น่าจดจำบุญคุณไว้อย่างนั้นไม่ใช่ อาตมาก็วาง อุเบกขา

อาตมาเข้าใจอาการของเมตตา อาการของกรุณา อาการของมุทิตา อาการของอุเบกขา อย่างนี้ และอาตมาก็ทำอย่างนี้ ส่วนคุณจะเข้าใจอย่างไร ก็ทำอย่างที่คุณเข้าใจ มันก็อาจจะต่างกัน แต่ใครเห็นว่าทำอย่างอาตมาเข้าท่า ก็มาฝึกทำตาม ก็ได้ตาม คุณก็ได้เป็นพระพรหมของคุณเอง คุณมีอำนาจมีความรู้จะช่วยเขาได้แค่ไหนก็เท่านั้น คุณทำใจได้แค่ไหน จะได้ใจอย่างมุทิตา อุเบกขา ก็เรื่องของคุณ

อุเบกขาก็เป็นภาวะที่มีคุณธรรมบริสุทธิ์ ไม่มีความดูดหรือผลัก ปริโยทาตาก็ไม่เปื้อนอีก มีแต่สมรรถนะสูงขึ้นเป็นมุทุภูตธาตุ มีประสิทธิภาพไวทั้งปัญญาและเจโต ปรับได้ง่ายเป็นจิตหัวอ่อนรู้ก็ได้เร็วด้วย จึงมาทำการงานได้อย่างเก่งอย่างประเสริฐ  ตามจิตที่เป็นต้นทุน ก็ทำงานไป จะทำไปแล้วรักษาสภาวะนี้ให้ผ่องใส ปภัสสรไปเรื่อยๆ นี่คือคำสอนพระพุทธเจ้า มีในพระไตรปิฎก ธาตุวิภังคสูตร เป็นคุณสมบัติ 5 ของอุเบกขา

แม้จะทำงานสัมผัส แต่ต้องอยู่ก็มี อเนญชา ก็ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตของคุณก็เจริญขึ้นเป็น มุทุภูตธาตุ แข็งแรงเร็วไว ซึ่งมีคุณสมบัติทำการงานที่เจริญ ที่เหมาะควร ที่ดี ไม่มีบกพร่อง ไม่มีผิดพลาด เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ถึงคุณจะทำอย่างไร อุเบกขาของคุณก็จะ ปภัสสร

อาตมาเข้าใจอย่างนี้ แล้วเห็นจริงแล้วก็ทำอย่างนี้ จิตเจตสิกของอาตมาเป็นอย่างนี้ ก็บอกความจริงที่เป็นอุตริมนุสธรรม เป็นธรรมะอันลึกซึ้ง เป็นธรรมะที่เกินสามัญมนุษย์จะเป็นได้ง่าย แต่อาตมาก็พูดความจริงว่าอาตมามี ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ถ้าไม่มีแล้วอวดก็เป็นปาราชิก เป็นอนันตริยกรรม ชาติต่อไปก็ต้องรับวิบาก อาตมาเป็นคนเชื่อกรรมวิบาก จะไปทำให้แก่ตัวเองทำไม  หนีปาราชิกมาเท่าไหร่แล้ว แล้วจะมาทำปาราชิกนี้ ไม่ได้เงินสักบาท พูดจนเหนื่อยเลยไม่ได้อะไร ก็จะไปเสี่ยงเสียปาราชิกทำไม เงินสักบาทก็ไม่ได้แลกมา อาตมาจะไม่โง่ขนาดนั้นนะ

 

ผู้ชมทุกท่านสามารถพิมพ์ค้นหา เป็นภาษาไทยด้วยคำว่าบุญนิยมทีวีแล้วติดตามสอบถามได้ทุกรายการทาง line@ ได้อีกหนึ่งช่องทาง

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาเอามาเปิดเผย ก็ขอยืนยันว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้พูดเล่น อาตมาเชื่อกรรม เชื่อวิบากจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการสร้างกรรมวิบากให้แก่ตัวเอง อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้วก็ไม่ได้มาหลอกลวงอะไร พูดจริงจังพูดอย่างนี้แหละ คนก็ไม่ค่อยชอบหน้าเพราะว่าไปขัดเกลากิเลสเขา ไปค้านแย้งกับที่เขายึดถือ อาตมาไม่อยากให้เขาไม่ชอบหน้าหรอก อยากให้เขาเห็นด้วย แต่ก็เก่งเท่านี้ ถ้าผู้ใดตั้งใจศึกษาก็จะได้ประโยชน์

ส่วนใครที่ฟังแล้วเข้าใจลึกซึ้งกว่าอาตมา โดยเฉพาะส่วนใดที่อาตมาผิดพลาด ก็ช่วยแจ้งให้อาตมาทราบ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง อาตมายังไม่ใช่สยัมภู ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า แน่นอนบกพร่องได้ แต่ถ้าไม่มีคนจับได้หรือเก็บตกหล่นได้ ก็ช่วยไม่ได้ แต่คิดว่าต้องมีบกพร่องผิดพลาดบ้างแน่นอน หากใครที่เก็บตกหล่นได้ก็ช่วยอาตมาบ้าง

ถ้าคุณเห็นว่าอาตมาผิดอันนี้ คุณก็เก็บมาบอก อาตมาก็จะรับมาพิจารณาด้วยจิตไม่อคติ ถ้าสิ่งเหล่านี้ผิดก็ขอบคุณ แต่ถ้าอาตมาตรวจสอบแล้ว ว่าของอาตมาถูกต้องก็ขอยืนยัน แม้สิ่งที่ติงมาจะเป็นสิ่งผิด ก็ขอบคุณจริงๆ สิ่งผิดอาจจะมีจริงๆ เพราะว่าอาตมาไม่ใช่ผู้รู้ทุกอย่าง พูดอย่างจริงใจนะ ก็คบหาอาตมาไปก็แล้วกัน อาตมาก็พยายามสร้างสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า

อาตมาขอบอกว่าขันธ์อาตมา 72 ปี แต่อาตมาพากเพียรอยู่ต่อ ตั้งไว้ที่ 151 ปี แต่ลึกๆก็รู้ว่าอาตมาคงไม่ถึง ถ้าอาตมาอยู่ได้ถึง 151 จะเห็นผลของความอุตสาหะวิริยะพากเพียรหรือโพชฌงค์ 7 ที่ต่ออายุได้จริงๆ อาตมาจะชัดเจนมากกว่านี้ ตอนนี้ยังไม่ได้หรอก แต่ถ้าอาตมาอายุ 151 ปีจริงๆ ก็จะชัดเจน จะมีความรู้เรื่องโพชฌงค์ 7 ที่ทำให้อายุยาวได้ ตอนนี้ก็อุตสาหะไปเป็นพระมหาชนก พากเพียรไปว่ายไม่รู้ฝั่งหรอก 151 นี้จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ แต่ก็พากเพียรจะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่รู้ แต่ก็ว่ายอย่างเดียว เป็นมหาชนกอย่างเดียว ถ้าอายุมากขึ้นประมาณหนึ่งแล้ว อาตมาเห็นว่าไม่ไหวแล้ว สังขารนี้ทุกข์จัด ก็ขอลาในวาระใดวาระหนึ่ง

เจตนาอาตมาที่จะอยู่ต่อ อาตมาจะอยู่ไปทำไม? รู้ไหม อาตมาจะอยู่ไปช่วยรับใช้คน จะให้ช่วยไหมนี่

สมณะเดินดินว่า...วันนี้เราเน้นอรหันต์โพธิสัตว์ แต่หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ศาสนาพุทธก็แตกแยกเป็นเถรวาทและมหายาน แต่พวกเราจะไม่รู้สึก เราก็เป็นทั้งสองแบบได้ด้วย เป็นความสมบูรณ์ของศาสนา ที่พ่อครู ตั้งใจมาทำให้ครบสมบูรณ์บริบูรณ์  หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แม้จะมีพระอรหันต์อยู่ศาสนาพุทธก็ยังแยกเป็นสองเสี่ยง พ่อครูจึงมีคุณสมบัติมากกว่าอรหันต์ ที่สามารถรวมทั้งสองอย่างได้ ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:27:22 )

591207

รายละเอียด

591207_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก พรหมกายและธรรมกายที่สัมมาทิฏฐิ

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559 เมื่อวานนี้ พ่อครูเทศน์ เกี่ยวกับเรื่องศีลข้อที่1 จะมีคำศัพท์ ที่ไปคนละเรื่องคนละราว อย่างเรื่องคำว่าอุทิส แทนที่จะไปแปลว่า เจตนา แต่ก็ไปแปล ให้เข้าข้างคนกินเนื้อสัตว์ ให้กินได้มากขึ้น มังสวณิชชา ก็แปลกันไปว่า ห้ามค้าขายสัตว์เป็น ก็คือฆ่ามาขายได้นั่นเอง ก็แปลกันไป คนละทิศทาง ยิ่งอาหารมื้อสุดท้าย สูกรมัทวะ ก็แปลว่า เนื้อหมูอ่อน ตอนหลังในพระไตรปิฎก ก็แก้เป็นว่า เห็ดอ่อนที่หมูชอบกิน นี่แค่คำที่บอกรูปธรรม

ถ้าเป็นคำที่บอกนามธรรม ก็ยิ่งแปลกันไป คนละเรื่อง เช่น สัญญาเวทยิตนิโรธ ก็แปลเป็นแบบ ดับมืดมิดเลย ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ก็จะไม่เข้าใจ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ช่วยสังคม ช่วยโลก ก็จะกลายเป็น ความเข้าใจแบบพุทธเถรวาท ที่ว่าไม่ยุ่งเกี่ยววุ่นวายอะไรกับสังคม ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม พ่อครูจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะดึงเอาความเข้าใจจากขั้วโลกใต้ มาสู่ขั้วโลกเหนือ แต่ก็ยังมีพวกเรา ที่พยายามทำความเข้าใจ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ภาวะลิงลมอมข้าวพองของพระโพธิสัตว์

พ่อครูว่า....ก็มาดู sms

_ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ จะเลื่อนภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ (พ่อครูว่าก็ถูกต้อง อรหันต์คือผู้บรรลุธรรม แล้วก็สามารถบอกสอนคนอื่นต่อได้ การบอกการสอนคนอื่นต่อ ก็ได้ความเป็นพระโพธิสัตว์ เรียกโดยศัพท์อีกอย่างว่า ผู้รื้อขนสัตว์ จะบอกว่า ผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว จะเลื่อนเป็นพระโพธิสัตว์ต่อ ก็ใช่)

สิ่งที่ลูกไม่เข้าใจคือ พระโพธิสัตว์ ทำไมยังมีสูบบุหรี่ และจิบไวน์ ?

ตอบ...โพธิสัตว์ที่ถามนี้ ก็คงจะเอาพูดที่อาตมาบอกว่า เป็นโพธิสัตว์ แล้วก็ยังละเมิดอบายมุข ละเมิดศีล ก็ไหนว่าหลุดพ้นแล้ว ...แต่ความเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ในการเกิดในการดับ พระโพธิสัตว์ เมื่อตายลงไปแล้วเกิดอีกชาติหนึ่ง พอมาเกิด ก่อนที่สัญญาตัวเองจะขึ้นมา ก็จะไม่รู้ตัวเอง ก็เป็นไปตามโลกเขา โดยที่ไม่รู้ตัวไม่รู้เรื่อง  จนกว่าภูมิธรรมตนเองจะฟื้นมา แล้วก็จะเลิกได้ อาตมาเรียกสภาพลิงลมอมข้าวพอง คือถูกอำนาจโลกครอบงำ ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อจินไตย

ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้าเรา เป็นผู้ที่บำเพ็ญโพธิสัตวภูมิ จนมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ยังเป็นไปตามโลก ถูกสมเด็จพ่อครอบงำ รู้ว่าลูกตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า แต่ว่าพ่อก็อยากให้ปกครองบ้านเมือง ไม่อยากให้ออกบวช ก็พยายามปิดประตูครอบงำ ท่านก็เป็นไปตามโลก มีกาม มีอบายมุข ตามที่เขาพาเป็น ชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็คงเข้าใจแล้ว ว่า ผู้ที่สามารถสั่งสมบารมี ในแต่ละชาติ มา นานนับชาติไม่ถ้วน ก็ได้บรรลุธรรมมาเป็นลำดับ แล้วก็เป็นโพธิสัตว์ ตามลำดับ จนเป็น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเป็นอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สั่งสมบารมีมาตลอด แต่ละชาติ

แต่ก็ยังกลับไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข  กาม ในชาติที่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า

สมณะเดินดินว่า… เราจะได้เห็นความเพียร ของผู้ที่จะมาช่วยมนุษยชาติ (พ่อครูไอมาก) เมื่อวานนี้ พ่อครูไม่ได้ไอเลย แต่ก็เป็นความพยายามของพ่อครู

 

พ่อครูว่า...ปางนี้ก็เป็นวิบากของอาตมาที่มี เป็นเรื่องจริงที่จนแต้ม เช่นการตำหนิคนอื่น เป็นวิบาก แม้จะตำหนิถูกหรือผิด ก็เป็นวิบากอย่างหนึ่ง วิบากมันเกิดทั้งคู่ ใครถูกตำหนิ ก็เกิดความไม่ชอบใจ ก็เป็นวิบากแล้ว แล้วถูกตำหนิมาก ก็ไม่ชอบใจมาก อาตมาตำหนิมาก ก็มีวิบากมาก แต่ก็จำนน ต้องตำหนิ ปฏิกโกสนา เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูก ก็เลยต้องคัดค้านอย่างแรง เพราะว่ามันผิด ก็เลยยิ่งเกิดปฏิกิริยาซับซ้อน เป็นธรรมดา เป็นพลังวิบากกรรมที่มี action reaction ซับซ้อน คนที่ไม่ถือสา แต่มันเป็นภาวะซับซ้อน

คนที่ไม่จองเวรจองภัยตอบ เช่น พระอรหันต์ ท่านไม่มีการจองเวร แต่ว่าถ้าไปด่าพระอรหันต์ คนที่ด่า จะมีวิบากมากกว่าธรรมดาอีก มันมีปฏิกิริยาซับซ้อน ในการเกิดพลังงานจิตออกไป เป็นพลังงานจิตที่ไม่ชอบ พลังงานจิตที่ตีกลับ ก็จะมีวิบากซ้อนกลับ หรือชอบ ก็มีวิบากตีกลับเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า เราไปยินดี ที่เห็นชาวประมง เขาจับปลาได้ แค่มโนกรรม ก็เป็นวิบาก มาเล่นงาน ให้ท่านปวดหัว

พวกที่ไม่ได้รู้ ก็ทำงานเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขไป หนักเหนื่อยนะ แต่ทุกวันนี้ อาตมาก็ทำงานหนักเหนื่อย ก็พากเพียร เพื่อให้คนที่ไม่เข้าใจ ได้เข้าใจ คิดหาวิธีการสารพัด เพื่อสื่อทั้งท่าทาง สุ้มเสียงสำเนียงภาษา มาร้อยเรียง วาทิตะ เพื่อให้คนเข้าใจได้ พากเพียรทำ โดยไม่ได้หวังว่า จะต้องได้ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรตอบแทน ไม่ได้คิดจะอยากได้อะไรตอบแทน ทำด้วยเจตนาซื่อตรงเพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้รู้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ จากธรรมะพระพุทธเจ้า จะได้เอาไปปฏิบัติ เป็นหน้าที่ ที่อาตมาจะต้องเอามาสืบสาน ธรรมะพระพุทธเจ้า

อาตมาทำหน้าที่นี้ มาหลายชาติแล้ว แม้จะยากแสนยาก ชีวิตทำงาน 46 ปี ก็ไม่ได้ต้องการจะได้อะไรกลับมา แม้จะมีคนนับถือเคารพสรรเสริญ แต่คนนินทาตำหนิมากกว่า สรรเสริญไม่ได้ ลาภก็มีบ้าง แต่ไม่ได้ทำเรี่ยไร ไม่คิดจะทำด้วย พยายามเลี่ยงที่จะพูดแล้วเหมือนและเล็มเลียบเคียง หว่านล้อมให้คนทำทาน ไม่ใช่บุญ ที่ทุกวันนี้เห็นผิด ว่าทำทานไป ก็อยากได้อะไรคืนมา ทานไม่ได้ลดละภพชาติ ทานแล้วไม่มีผลลดละกิเลส เป็นมิจฉาทิฏฐิหมด ไม่ต้องพูดถึงศีลพรตเลย ท่านก็ไปแปล ยิฏฐัง ว่ายัญพิธี ที่บวงสรวงแล้ว ก็ไปนึกถึงพิธีกรรมโบราณ ที่บูชายัญ เอาสัตว์เอาคนมาเผาหรือต้ม เป็นภาษาเก่า แต่สมัยใหม่ เข้าใจไม่ได้แล้ว

ท่านก็ขยายไม่ออก ไม่เข้าใจชัดเจนว่า ทาน ศีล ภาวนา (ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง) ทุกวันนี้ ภาวนาเขาแปลกันว่า เป็นแค่การท่องบ่น เป็นแค่มรรค แต่แท้จริง ภาวนาแปลว่า การเกิดผล ปฏิบัติแล้วมันเกิดผล แล้วได้ผลที่จิตใจเป็นผลได้ผล ก็เป็นหุตัง

อาตมาต้องทำงานนี้ ตั้งแต่เลิกทำงานทางโลกมา ไปหลงหาลาภยศสรรเสริญ 36 ปี แล้วก็ออกมาทำงานพระโพธิสัตว์มา ไม่รู้กี่ชาติ พูดเช่นนี้ เขาก็หาว่า อาตมาอวดอุตริมนุสธรรม ใครจะไปรู้เรื่องด้วย เขาพูดก็ถูก อาตมาที่สาธยายนี้ เป็นความรู้เก่า ของอาตมา ที่เข้าใจที่สะสมมา มาชาตินี้ ที่รู้ก็สอดคล้องกับที่ผู้รู้แปลไว้บันทึกไว้ ก็ดีไปที่ไม่สอดคล้อง ท่านก็หาว่า นอกรีตไป อาตมาก็จำนน

และอาตมาก็ว่าอีก ว่าเดี๋ยวนี้เพี้ยนไปหมด ศีล สมาธิ ปัญญาไม่เหลือ ปัญญาเป็นอบายภูมิโลกียะ หลงสรรเสริญ ยศ ลาภ อย่างธัมมชโย หลงในลาภมาก ยศสรรเสริญ โด่งดัง เชิดชูยกย่อง หลงกับสุขเทวภูมิ เทวดา 6 ชั้น เรียกว่า ลอยตามน้ำไปเลย อธิบายสวรรค์เฟสต่างๆ แทนที่จะบอกว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่ายึดถือในภพชาติ อย่าไปตั้งภพชาติ แต่เขาไม่มีความรู้อย่างนี้เลย

แล้วไม่ใช่แต่ธัมมชโย คนอื่นก็ทั้งนั้น อธิบายให้หลงในเทวดาทั้ง 6 ชั้น เทวดาทั้ง 6 ชั้น ก็คือนรกทั้ง 6 ชั้น เพราะมันคือภพ ศาสนาพุทธสอนให้เป็นพระเจ้า เป็นพระพรหม แต่พระพรหม คือ ผู้ที่หมดภพชาติ

จิตวิสุทธิจากภพชาติ คือพรหม คือพลังงานจิตที่สิ้นภพชาติ ศาสนาพุทธรู้ สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ(พรหม)

ติดตั้งใจฟังด้วยดี ฟังแล้วใช้ปัญญาไม่มีอคติ หรือมีอคติก็ลดอคติ ก็ได้ปัญญา สุสฺสูสัง ลภเต ปัญญัง ก็มาเอาตามปฏิบัติตาม ก็ได้ประโยชน์ ชาวอโศกทุกคน คือคนมีบารมี ได้ประโยชน์จากธรรมะ ที่อาตมาได้บรรยายแล้ว ปฏิบัติตามได้ ก็อนุโมทนาสาธุ ส่วนผู้ค้านแย้ง ก็เป็นวิบากของเขา มาต้านพุทธธรรมที่ถูกต้อง พูดเหมือนหลงตัวเองอย่างสำคัญ ​แต่อาตมาว่า อาตมาพูดอย่างจริงใจ ไม่มีเจตนาร้ายไม่มีสาเฐยจิต ที่ยกตนข่มคนอื่น ดูแคลนคนอื่น

 

SMS วันที่ 6 ธันวาคม 2559

_0893809xxxข้อมูลของพุทธะคือข้อมูลมหาปัญญา พุทธะเหมือนเป็นสมองของจักรวาล เป็นจิตที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นปัญญาสูงสุด บางคนก็พูดเป็นจิตจักรวาล ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีข้อมูล ทำไมเราต้องเรียนพุทธธรรม ! ก็คือการเรียนรู้ข้อมูลของจักรวาล ข้อมูลของพุทธะนั่นเอง " พุทธะคือคลังข้อมูลใหญ่ "

"ตถาครรภ์” เป็นคลังมหาปัญญา ในจักรวาลนี้โลกนี้ พุทธะมีข้อมูลมากที่สุดเราเรียกว่า " สัพพัญญู " เป็นข้อมูลที่สมบรูณ์ที่สุด เป็นผู้เข้าใจ ผู้แจ่มแจ้งที่สุด แต่เพราะคนมีเหตุต้นผลกรรม ที่ไม่เหมือนกัน จึงมักบันทึกข้อมูลขยะลงไป มากกว่าข้อมูลดี เป็นข้อมูลแค้น โกรธ ทารุณโหดเหี้ยม

ตอบ...ที่มาบรรยายมาบอกความจริงแล้ว คนที่ต่อต้านความจริง ไม่เข้าใจในความจริงที่มาสาธยาย คนนั้นก็พลาดจากความจริง พลาดจากโอกาสที่ควรจะได้ ก็น่าสงสาร

_0893867xxxทุกชีวิตเกิดมาก็พบสิ่งอันไม่เที่ยงแท้จีรังจนตาย! แต่เกิดมาก่อนที่จะแก่ ก่อนที่จะเจ็บ ก่อนที่จะตาย จะทำสิ่งใดให้โลกเที่ยงแท้ ด้วยสิ่งดีที่ยังประโยชน์จีรังต่อโลก เท่าทำตามคำสอนพ่อฯ ที่ตรงตามคำสอนพระศาสดา ที่ดีที่สุดในโลก! ท่านพุทธทาสไม่อยู่ แต่ธรรมสวนโมกข์ยังอยู่! ไอนสไตน์ ไปนานแล้ว แต่วิทยาศาสตร์ สัมพัทธภาพอยู่ตราบนาน! โลกสิ้นคานธี แต่โลกไม่มีวันสิ้นสันติภาพ! พ่อฯจากแผ่นดิน แต่ปรัชญาพอเพียง อยู่คู่แผ่นดินพ่อฯ นิรันดร์กาล

 

_0849108xxxพ่อท่านอย่าเพิ่งรีบตายเลย เด๋วจอเหงา อาราธนาอยู่ยาวววนะะะ

ตอบ...อาตมาก็ยังไม่เคยบอกว่า อาตมาจะรีบตายสักทีเลยนะ

_0839827กรรมใครกรรมมัน ใครเห็นธรรมปัญญามี คีอผู้มีบารมีเก่า ขอโมทนาสาธุ

_0849108xxxคนมีความสุข จะมองไม่เห็นทุกข์ แต่คนผ่านทุกข์ จะเห็นสัจธรรมชีวิต ต้องคละเคล้าสุกดิบถึงจะมัน พบสัจธรรมบ๊ายบาย

_0890063xxxอยากรู้ ผู้ที่เจริญด้วยธรรมอิทธิบาท4 จะรักษาชีวิตให้ยืนยาวตลอดไป จริงหรือไม่ครับ/

ตอบ...ที่จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า อิทธิบาท 4 นะ แต่บอกว่าโพชฌงค์ 7 นะ (ส.เดินดินว่า มีที่พระพุทธเจ้าว่า อิทธิบาท 4 จะทำให้อายุยาว เกินกว่ากัปป์ก็ได้ครับ)

อาตมาก็อิทธิบาท เพื่อรักษาอายุให้ยืนยาวต่อไป เพื่อให้รักษาชีวิต รักษาสุขภาพด้วย 8 อ. อาตมาเป็นคนเติม อิทธิบาท แต่เดิม ผู้รู้ท่านไม่มีข้อนี้ ที่แต่เดิมมี อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอาพิษออก เป็นต้น อาตมามาใส่เข้าไป มีเอนกายด้วย เป็น 6 อ. อาตมาก็มาเติมเป็น 8 อ. คือเติมอิทธิบาท กับเติมอาชีพ เติมหัวเติมหาง

_0812825xxxเกิดชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด ได้เห็นในสิ่งที่ถูกตรง

ตอบ...สั้นแค่นี้แต่ยิ่งใหญ่นะ แสดงว่าคุณมีภูมิปัญญาตัดสิน อันนี้ถูกต้อง ก็แสดงว่า คุณมีพื้นฐานในตัวเอง มีสิ่งที่เป็นหลักฐาน รองรับในตัวคุณด้วย

_0849543xxxยุคเสื่อม(คนโลภโง่หลงงมงาย) ศาสนสถาน จึงกลายเป็นสถานที่สำหรับ กลุ่มคนที่มุ่งหากำไร ยึดถือเป็นธุรกิจ และเป็นสถานที่สำหรับ กลุ่มคนที่อยากได้เกียรติ มีศักดิ์มีศรีมีตำแหน่ง ซึ่งตรงข้ามกับ การมาที่ศาสนสถาน เพื่อลดละ และให้ บางคนก็มาเพื่ออยากได้นิพพาน จึงกลายเป็นเหยื่อ นักธุรกิจธรรมไป

ตอบ...สังคมเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างที่คุณคนนี้ว่าจริงๆ ศาสนาพุทธ เป็นไปเพื่อล้างโลกียะที่ติดยึด ไม่ว่าจะเป็น การแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ศาสนาพุทธนั้น มาล้มเลิก ความยึดติดสิ่งเหล่านี้ หลังได้จริงหมดจริง ก็เป็นโลกุตระ อยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นอรหันต์ สั้นๆง่ายๆเช่นนี้ เข้าใจให้ดี แล้วปฏิบัติไปตามลำดับ ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้ว ปฏิบัติถูกตามคำสอนพระพุทธเจ้า มันต้องได้มรรคได้ผล แน่นอน

 

_คำถาม...จากเพจบุญนิยมทีวี

ตามที่กระผมได้ฟังธรรมจากพ่อครูเรื่อง "อภิสังขาร 3" (สังขารอย่างโลกุตระ)

กระผมเข้าใจว่า"โสดาบัน-สกิทาคามี-อานาคามี" อภิสังขารอยู่ในระดับ "ปุญญาภิสังขาร" คือมีส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ (มีส่วนของบุญ ที่ได้ชำระขันธ์5 ของตน ให้สะอาดขึ้นๆ)

ส่วน"อรหันต์-โพธิสัตว์ในระดับอรหันต์"

อภิสังขารในระดับ "อปุญญาภิสังขาร" คือไม่ต้องมีส่วนของบุญแล้ว  เพราะได้ชำระขันธ์ 5

ของตนจนสะอาดบริสุทธิ์สัมบูรณ์แล้ว  จึงมีแต่อภิสังขาร เพื่อช่วยผู้อื่นต่อไปเท่านั้น

ส่วน"อเนญชาภิสังขาร" เป็นอภิสังขาร เพื่อสั่งสมความมั่นคงปักมั่น ของอภิสังขาร ในระดับ"โพธิสัตว์"ขึ้นไป จนถึงพระพุทธเจ้า

กระผมเข้าใจใน"อภิสังขาร 3" ถูกต้องไหมครับ

ขอน้อมกราบคารวะแทบเท้าพ่อครู ด้วยความเคารพครับ

จาก...หินแสง ชาวหินฟ้า

ตอบ...ทำปุญญาภิสังขาร จนหมดกิเลส ก็หมดบุญ เป็นอปุญญาภิสังขาร เป็นผู้ปุญปาปปริกขีโณ แต่คนที่บอกว่า เอาบุญไปแบ่งกันได้ นี่ก็พูดตลก มันทำไม่ได้หรอก ทำเป็นเล่น ส่วนบุญไปแบ่งกันสะสมส่วนบุญอีก เข้าใจคำว่า สั่งสมส่วนบุญ ปุญญภาค ไม่ได้ ว่าหมายถึงอะไร

ส่วนบุญ คือส่วนที่ชำระกิเลสออกไป เป็นส่วนๆ ชำระออกนะ

เขาเข้าใจ อปุญญาภิสังขารไม่ได้ ก็เลยแปลไปว่า สังขารไม่ใช่บุญ ก็เลยสรุปว่า ปรุงเป็นบาป ซึ่งอภิสังขารนั้น เป็นโลกุตระ ผู้ใดที่ปรุงเป็นปุญญาภิสังขารได้ คนนั้นเป็นเสขบุคคลแล้ว ชำระกิเลสไปตามลำดับ ส่วนผู้ที่เป็นอรหันต์ เป็นอเสขบุคคล ก็คือ อปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งอย่างไม่เป็นบุญแล้ว จบแล้ว ส่วนอเนญชาภิสังขาร คือปรุงรักษาผล อนุรักขณาปธาน ผ่านภาวนาปธานแล้ว เกิดผลแล้ว แล้วก็รักษาผล ผลที่ได้ คือไม่มีบุญไม่มีบาป

ถ้าเป็นอรหัตตผล ก็ไม่มีทั้งอกุศลและกุศล (อัพยากฤต )

วิธีการสั่งสมอุเบกขา ที่มีองค์คุณ 5 สั่งสมความบริสุทธิ์ แม้ว่าจะอยู่กับสังคม ก็มีประสิทธิภาพสูง จะทำการสังขารอยู่กับโลก ก็ทำให้จิตใจดีขึ้น สะอาดขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปริโยทาตา

มุทุ คือจิตหัวอ่อน จิตมีธาตุปัญญา ที่รู้เร็วรู้ทัน เป็นโลกุตรภูมิ ที่เร็วไวขึ้น จิตก็ปรับได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น ปรับได้ง่าย รู้ได้เร็ว แล้วก็กัมมัญญา สามารถปฏิบัติกรรมด้วยอัญญา ธาตุรู้ เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เจริญขึ้น สามารถทำงานได้อย่างดี อย่างเหมาะควร มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

จะมีชีวิตอุเบกขา ก็ทำงานอย่างปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ผ่องแผ้วสะอาด เป็นคุณสมบัติ 5 ของอุเบกขา เจริญขึ้นตลอดเวลา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา)ตอน พรหมกายและธรรมกายที่สัมมาทิฏฐิ

 

ธรรมกายหรือพรหมกายนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเลย ว่าเป็นนามของเราตถาคต ผู้ใดมีกายที่ทรงธรรมะอันสูงสุด ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้า ก็คือ พรหมกายและธรรมกาย คือพระพุทธเจ้า

คนที่จะเป็นเจ้าของธรรมกาย พรหมกาย ก็คือ ต้องบรรลุธรรมะ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นลำดับขั้นไป ตั้งแต่พระโสดาบัน ก็มีธรรมกายส่วนหนึ่ง สกิทาคามี ก็มีธรรมกายส่วนหนึ่ง ซึ่งยังเรียกพรหมกายยังไม่ได้ เพราะยังไม่บริสุทธิ์สูงสุด ถ้าจะแยกธรรมกาย ว่ามีขั้นๆตามลำดับ ขั้นสูงสุดคือ ธรรมะที่เป็นพรหม

ผู้ที่มีกายเป็นธรรมะ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ถือว่าเป็นผู้ที่มีธรรมกาย ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่แบบของพระพุทธเจ้า ก็เป็นแบบเทวนิยม ซึ่งต่างกันคนละขั้ว

เพราะเทวนิยมเป็นอัตตา อัตตาที่ยิ่งใหญ่ คือ ปรมาตมัน หรือบรมอัตตา เป็นอัตตานิรันดร เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ สะอาดบริสุทธิ์ หมายถึงความดีงาม แต่เขาจะต้องมี เขาจะไม่มีสุญญตา ศาสนาเทวนิยมไม่มีสุญญตา มีความหมายเดียว คือ ดีที่สุดนิรันดร แต่ของพระพุทธเจ้า มีทั้งดีที่สุด และสูญได้ด้วย

ธรรมะของพระพุทธเจ้า จึงต้องศึกษาธรรมะ 2 

         ธรรมะสองก็คือกาย กายมีอย่างเดียวไม่ได้ จำไว้เลย

เช่น มูลกรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

เล็บของเราอยู่ที่ตัวของเรา เป็นองคาพยพที่อยู่ภายนอก เป็นอาการ 32  เล็บของเรามีธรรมะสอง อันใดที่เป็นกายหรือไม่ใช่ ก็อ่านจากเล็บนี้ได้

อาการจิตอย่างใด เรียกว่าอรหันต์ พิจารณาจากเล็บ

ที่เป็นอรหันต์คือ เล็บที่มันยังไม่ขาดไปจากร่างกาย และเล็บนั้น ยังเป็นกายที่เป็นจิต เมื่อเล็บนั้น ได้สัมผัสกระทบ กับอะไรก็แล้วแต่ กระทบแล้วรู้สึกชอบ หรือรู้สึกชัง รู้สึกผลักหรือดูด อาการผลักหรือดูด ชอบหรือชังนั้นไม่มีแล้ว เมื่อเล็บสัมผัสกับอะไร ก็แล้วแต่ เล็บจะสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ แล้วรู้สึกเจ็บ จิตก็ไม่ผลักไม่ดูด จิตไม่ขอบไม่ชัง จิตรู้ความจริงเท่านั้น ว่าอาการนี้ เรียกว่าเจ็บ เพราะว่าอวัยวะเจ้าการ ไม่สมดุล ดีไม่ดี กระแทกแรง จนห้อเลือด ก็ยิ่งอุดตัน ปวดได้แต่ใจก็ว่าง ก็เราไม่ระวังเอง หรือเราระวัง แต่คนอื่นมาตีเรา ก็ได้ แต่ความรู้สึกของเรา รู้ความจริง ตามความเป็นจริงว่าเจ็บ มีอวัยวะเจ้าการ ไม่สมดุลขัดข้อง มันไม่ปกติ แต่จิตใจที่จะเศร้าหมอง หรือโกรธเคือง (คงไม่มีใครชอบ) แล้วเกิดไม่ชอบใจ ไม่อยากให้เป็น ไม่อยากให้มี จิตอย่างนั้น ไม่ใช่จิตว่าง ไม่ใช่จิตใจที่มีปัญญา 

จิตใจที่มีปัญญา จะรู้องค์ประกอบ เหตุปัจจัยที่มันเกิด นี่คือ อ่านจากเล็บ

เพราะฉะนั้น ในสิ่งที่มันเกิดอาการสัมผัส กระทบกระแทกกระเทือนแล้ว เกิดเป็นความรู้สึก เวทนาได้เป็นธรรมดา แล้วมันก็ไม่เที่ยง มันเจ็บ ก็เจ็บชั่วคราว รักษาแล้วมันก็หาย สมมุติว่า คนอื่นมากระแทกให้เล็บของเราเจ็บ แต่เราก็ไปโกรธคนที่มาทำ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นพยาบาท เป็นความโกรธ  เป็นโทสะมูล ก็คงไม่มีใครชอบแบบนั้น หรือบางคน มาโซคิส คือคนที่ชอบ ความเจ็บปวด ใครมาทำให้ตนเองเจ็บปวด ก็จะชอบใจ ต่างกับซาดิสม์ เห็นคนอื่นเจ็บปวด แล้วชอบใจ คนชกกันรุนแรงก็ชอบ พวกนี้ซาดิสม์ ส่วนมาโซคิส เราเจ็บปวดแล้วชอบ ถ้าสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ก็อยู่ได้สบายเลย เป็นโรคจิตของคน

ทีนี้เราอ่านจิตของเรา ส่วนที่ไม่ใช่กาย เราจะตัดมันทิ้ง เล็บเรายาว พ้นประสาทรับรู้แล้ว ส่วนนั้นไม่ใช่กายของเรา ไม่เจ็บไม่มีเวทนา หากมันอยู่กับตัวเราไม่ตัดออกไป ก็เป็นพีชนิยาม ส่วนที่ไม่มีประสาทรับรู้ ส่วนที่เป็นประสาทรับรู้ ก็เป็นพีชนิยาม ถ้าตัดขาดออกไป อันนั้นเป็นอุตุนิยาม พอตัดทิ้งไปแล้ว มันก็ไปตามยถากรรม

ส่วนที่เป็นพีชะติดเรา ก็เป็นส่วนที่เรามีวิบากด้วย ติดกับองคาพยพเรา ถ้าเราเอง บางคนไม่หวงแหนที่ติดกับเรานะ แต่บางคน หวงแหนสิ่งที่ตัดออกจากเราได้ บางคนจองเวร โกรธคนที่มาตัดเล็บของข้า ก็คือกิเลสเป็นตัวเป็นตน แม้มันจะไม่เป็นกายเราแล้ว กายนี้ต้องมีจิตร่วม มันงอกมาจนเลยประสาท มันไม่มีเวทนา ตัดทิ้งได้ มันจึงไม่ใช่กายเราแล้ว

ส่วนของเล็บ ที่ไม่มีประสาทรับรู้ ก็เป็นพีชนิยาม มันไม่ใช่กายของเรา การเรียนรู้พวกนี้ ต้องรู้ความจริงลึกเข้าไป มันไม่ใช่กายเรา ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เป็นเราเป็นของเรา ใครจะมาตัดทิ้งทำไม ทิ้งก็ไม่ทุกข์ ไม่มีประสาทรับรู้ แต่ใครหวงแหนอยู่ก็ทุกข์ ถ้าเรารู้ว่า อันนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วเราก็รู้ว่า ผู้ที่ไม่ยึดถือเป็นเรานั้น เป็นคนไม่ทุกข์

ผู้ที่ไม่ยึดถือเป็นของเรา แม้แต่องคาพยพ หรืออาการ 32 ก็คือไม่ยึดว่ากายเป็นเรา แม้จะเป็นกาย คือมีจิตร่วม ส่วนที่ไม่มีจิตร่วม ก็ไม่ใช่กายแน่ แต่คนโง่ก็ไปยึดถือได้อีก ตัดออกไปแล้วยังยึดเป็นเรา ก็โง่แล้ว ติดกับเราก็ไม่ยึด แม้จะเป็นส่วนที่มีประสาทรับรู้ได้ ก็ต้องไม่ยึดเป็นเรา มันจะสัมผัสเจ็บปวด ก็มีเหตุปัจจัย ดูความเจ็บปวดนั้น เป็นธรรมชาติของความทุกข์ ความไม่สมดุล อาการเจ็บปวด เป็นพยาธิทุกข์ ทุกข์ที่เกิดได้ เพราะอวัยวะเจ้าการไม่สมดุล ทำงานไม่สมดุล มันเกิดการกระทบกระแทก อะไรจรมาทำให้ไม่ปกติ

เมื่อคุณไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา คุณก็เป็นพระอรหันต์ ยิ่งคนไปยึด แม้แต่มันเป็นอุตุนิยาม ตัดออกไปแล้ว ยังไปยึดถือเป็นเรา เป็นของเรา คนนั้นแหละคนโง่ คนอวิชชา แม้ที่สุด มีประสาทรับรู้ได้ เล็บกระทบรับรู้ได้จากแรงสั่นสะเทือน ถ้าถูกสัมผัสแรง จนเจ็บจนห้อเลือด คุณเจ็บก็รู้ว่าเจ็บ แต่คุณก็ไม่ต้องเศร้าหมอง ไม่มีอารมณ์แทรก คือที่เป็นความรักความชัง ความดีใจ ความเสียใจ คุณก็เป็นปกติ จิตใจที่คุณปกตินี้ คือจิตใจอรหันต์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อริยสัจ4) ตอน นิโรธของพระพุทธเจ้า

ไม่ต้องไปนั่งหลับตา สะกดจิตให้ไม่รับรู้ หรือไม่ให้สัญญาทำงาน ก็ดับสัญญา ดับเวทนาหมด ก็ไปแปล สัญญาเวทยิตนิโรธว่า ดับสัญญาดับเวทนาสิ้นหมด อย่างไม่ได้ขยายความ แต่ดับอย่างไม่ให้รับรู้สึก จึงกลายเป็น ธาตุจิตที่ไม่มีความรู้สึก จะมีกระทบสัมพันธ์อย่างไร ก็ไม่รู้สึก แข็งทื่อเป็นพรหมลูกฟัก จะเอาไฟมาจี้ ก็ไม่รู้สึก เป็นพรหมลูกฟัก มีคนที่มิจฉาทิฐิ รู้อย่างนี้ด้วยว่า นี่คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งผิดลงนรกลงไปเลย เห็นนรกเป็นนิพพานเลย

ทำไมอาตมาเรียกนรก ก็เพราะว่า เห็นความนิโรธ อย่างมิจฉาทิฐิ อย่างอวิชชา ตรงกันข้าม กับความจริงเลย

นิโรธของพระพุทธเจ้านั้น ...

จะต้องมีเวทนา และมีสัญญา

สัญญา   เวทยิต  นิโรธ มีสามเส้า สัญญากำหนดรู้หมาย ตามหน้าที่ กำหนดหมายรู้ เวทนาในเวทนา

เวทยิตตัง คือเคล้าเคลียอารมณ์ ตรวจสอบความรู้สึก ว่าเราได้ทำเวทนาของเราให้เป็นเวทนา 1 เป็นเอกกัคคตาจิต เป็นเอกสโมสรณาภวันติ ได้หรือยัง ถ้าทำได้ ก็คือฐานของนิพพาน  เป็นนิโรธ

สัญญาเวทยิตนิโรธ คือไม่ใช่ดับเวทนาดับสัญญา แต่กำหนดหมายว่า ระดับส่วนที่ควรดับ คือกิเลส ที่ยังสสังขาริกังอยู่ ดับหมดหรือยัง

เหลือแต่ธาตุรู้ ที่มีความไม่หมอง ไม่มีอะไรลึกลับ รู้ครบรู้จบถ้วนรู้จริง รู้จริงตามความเป็นจริง เป็นปัญญาอันสมบูรณ์แบบ อย่างนี้คือ นิโรธของพุทธ

นิโรธอย่างมีความตื่นความรู้ มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบ ที่สัมผัสกระทบปรุงแต่ง แล้วกิเลสมันดับ อย่างสิ้นอาสวะอนุสัย เป็นการบรรลุ เนวสัญญานาสัญญายตนะสัญญา คือการกำหนดหมาย คือถ้าสัญญากำหนดหมาย อ่านเวทนาในเวทนา อ่านจิตในจิต อ่านธรรมในธรรม ว่ามีความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสเหลือเลย  แม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่ง อากิญจัญญะ ก็ไม่มีเหลือ จนรู้พ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเราหมดกิเลสยังไม่เกิดอีก กิเลสดับสนิทยังไม่เกิดอีก เที่ยงแท้แน่นอนตลอดกาล นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) เป็นคนที่บรรลุธรรม อย่างสมบูรณ์สุดแล้ว จบกิจเลย

 

อาตมาได้เอา มูลสูตร 10 มาอธิบาย วันนี้จะอธิบายต่อ

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

ฉันทะเป็นมูลกา ในสุริยเปยยาลสูตรก็มี ถ้าปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีความยินดีอยู่ ก็ไม่ได้ผลหรอก เพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะที่ฝืนๆ หรือทำเล่นหัวได้ เพราะธรรมพระพุทธเจ้านั้น

  1.           คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
  2.           ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
  3.           ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
  4.           สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)
  5.           ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
  6.           อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
  7.           นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
  8.           ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) จะสร้างให้จิตวิญญาณเกิด เกิดอะไร ก็เกิดความตาย คือเกิดความตายขึ้นในจิต อกุศลจิตมันตาย จิตโอปปาติกะก็เกิด เราทำอกุศลจิตตายไปก็ในจิตเรา ตามเหตุปัจจัยที่เราสัมผัส เช่น เราชอบกล้วยไข่นี้ ก็กลางๆ คือกล้วยไข่ ไม่ต้องไปชอบหรือชังมัน มันมีธาตุอาหารที่ควรกินก็กินเท่านั้น  ต้องทำให้เกิด รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ต้องมีสวรรค์หรือนรก ไม่ต้องมีชอบหรือความชัง ไม่ต้องมีความสุขและความทุกข์ ไม่มีอร่อยหรือไม่มีไม่อร่อย เป็นนิพพานแล้วง่ายจะตาย

มันทำยาก แล้วจะทำอย่างไร ท่านก็ให้พิจารณา รู้ความจริงตามความเป็นจริง (พ่อครูไอ)

สมณะเดินดินว่า...เวลาฟังดูเหมือนง่าย แต่ตอนทำยาก เราก็พิจารณาตรงที่ว่า เราเลิกเนื้อสัตว์ได้มาแล้ว เราก็พิจารณาธรรมไปตามลำดับ ก็พยายามอ่านอารมณ์ จะเป็นฐานที่ทำให้เราเดินไปได้ ถ้าเราไม่ได้พิจารณา ก็อร่อยไปทุกวัน เป็นความไม่รู้

พ่อครูว่า..เป็นความไม่รู้ ก็สะสมไปเรื่อย อร่อยก็พอใจไปเรื่อยๆ ตกผลึกเป็นกิเลส คือความหนา คนทุกวันนี้ ไม่ศึกษาโลกุตระ กิเลสโตทุกวินาที ไม่ชอบก็ชัง น้อยนักที่จะเฉยๆ เฉยๆโดยอวิชชา ก็เป็นกิเลส สะสมไป ก็คือความไม่รู้ไม่ชี้ เป็นจิตไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีไม่รู้เรื่อง ก็คือสะสมความไม่รู้ ความไม่รู้ก็สำทับไปอีก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป28 ) ตอน ขณะที่อ่านอาการได้จับได้ ตรงนั้นคือหทยรูป

หทยรูป มันไม่มีสถานที่ แต่ถ้าอ่านอาการได้จับได้ ตรงนั้นคือ หทยรูป อย่าไปเข้าใจ ตามอภิธรรม ที่เขาอธิบายว่า อยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 แต่แท้จริงคือนามธรรม ไม่มีสถานที่ แต่ถ้ารู้สึกรับรู้ได้ อันนั้นแหละคือ ตรงนั้นหทยรูป

แล้วก็ทำตรงนี้ จากหทยรูป จากปสาทรูป โคจรรูป เป็นภาวรูปสอง ก็มาเป็นหทยรูป ตรงนี้เราก็ต้องอ่านชีวิต ของความเป็นกิเลส ชีวิตของสิ่งที่เราจะให้ตาย ให้สูญจากจิต มันยังมีชีวิตินทรีย์ หรือชีวิตรูป แล้วก็รู้ว่าอาหาร ที่มันทำให้กิเลสตัวนี้ มีชีวิตอยู่ ในอาหาร 4 คือ

1.      กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2 .     ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.      มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.      วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) (ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244)

ต้องจัดการตัวกิเลส ที่เป็นกามตัณหา ภวตัณหา ให้เป็นวิภวตัณหา หมดแล้วก็ให้เป็นวิภวตัณหา

พระพุทธเจ้าสอนเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ก็ทำทีละปริเฉทรูป ให้มันว่าง เป็นอากาศ ให้ว่างจากกามภพ จากภวภพ ให้ทำทีละกรอบ

เบื้องต้นเป็นพระโสดาบัน ก็ทำกับสิ่งที่สัมผัสกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วเกิดราคะ สัมผัสแล้วทำให้เราเกิดมิจฉาวาจา 4 ก็เอาไม่โกหกให้ได้ก่อน ส่วนข้อที่ห้า เอาสุรา เหตุปัจจัยแดนนรก อบาย อะไรที่เป็นภพชาติอบาย ก็จัดการก่อน สุราคืออบาย ก็รู้ว่าที่เราต้องไปมีความสุขทุกข์กับมัน เราก็เลิกไปก่อน มันไร้สาระ เช่น ไปติดเฮโรอีน เป็นต้น ต้องหลบเลี่ยง ตำรวจก็จับติดคุก ถ้าไปค้าขายก็ถูกประหารชีวิตเลยนะ ก็รู้ว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เอาปริเฉทแค่ศีล 5 นี้ก่อน ครบทั้งกาย วาจา มโน

จะเอาพื้นฐาน แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็เรียนให้จริง ทีละปริเฉท สัมผัสกับสัตว์ ก็จะต้องมีเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน อย่าไปฆ่าแกงกัน ทำร้ายกัน เรียนรู้อาการของจิต

อาตมาพาพวกเรา กินมังสวิรัติ เลิกกินเนื้อสัตว์ เป็นความเจริญ ของศีลข้อ 1 การไม่ฆ่าสัตว์นั้น ก็ยังไม่พัฒนา ต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ ถึงจะเกิดผล ให้รู้คุณค่าของชีวิตเราชีวิตเขา

อาตมาก็เคยถามพวกเรา เมื่อคุณถืออธิศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ จิตใจของคุณมีความเมตตา มากกว่าเดิม แต่ก่อนนี้ไม่เคยยี่หระ สัตว์เล็กสัตว์น้อยเลย เห็นแล้วก็ขยี้หรือทำร้าย แต่เมื่อคุณถืออธิศีลข้อนี้ ก็จะรู้สึกเมตตา มากขึ้น แต่ก่อนกินเนื้อสัตว์ กินตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย คนอีสานกินแหลก อะไรดิ้นได้กินหมด

คำสอนที่อาตมา เจตนาอธิบาย ละเลียด เพื่อให้เกิดการปฏิบัติลดละได้ผล

3.      มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) อันนี้ไม่ใช่ตัณหาเป็นสมุทัย อันนี้เป็นสมุทัยภาคมรรค ต้องมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา เราจึงอ่านเวทนาในเวทนา ก็คือตัณหาในเวทนา

ตัณหากับอุปาทาน เป็นอันเดียวกัน

ตัณหาคือ กิเลสตัวเคลื่อน อุปาทานคือตัวนิ่ง เทียบกับไฟฟ้า อุปาทานคือตัวกระแส ตัวตัณหาคือแรง

เราอ่านตัวเคลื่อนง่ายกว่า พระพุทธเจ้า ถึงให้อ่านที่ตัณหา เป็นตัวหลัก 

คนอวิชชา ก็ต้องมีตัณหา ต้องจัดการตัณหา จัดการได้ ก็เกิดเวทนาที่เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ทำได้ก็สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ เป็นประธาน

4.      มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) เวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า เขาเหล่านั้น เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะ ที่จะมีได้ ท่านก็แปลเช่นนี้ อาตมาก็อธิบายเลยว่า ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีกรรมฐาน กรรมฐานของศาสนาพุทธ คือเวทนา ให้ดินน้ำไฟลม หรือเป็นสีอะไร ตามที่เขาทำกันมา ในศาสนาอื่น แล้วเอามาผสมลง ในศาสนาพุทธ ให้จิตจดจ่อที่กสิณ ให้จิตใจนิ่ง อันนั้นเป็นสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนาต้องมาอ่าน กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

ถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีฐานในการปฏิบัติ แล้วก็เรียนรู้เวทนา 108 ให้ได้ ถ้าไม่ทำให้บริบูรณ์ ถึงเวทนา108 คือ เวทนา 36 ของอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทุกปัจจุบันที่เกิดสัมผัส เกิด กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ทำให้เป็น เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ของมโนปวิจาร 18

ศาสนาพุทธ ต้องทำเนกขัมมะ สุดท้ายคือ เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา คือฐานนิพพาน ทำอย่างนี้ได้ทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต ทำฌาน 4 ที่เป็นอุเบกขา ทำให้เป็นเอกกัคคตา ทำให้เป็นสโมสรณา ทำเวทนาเทียมให้หายไป เหลือแต่เวทนาแท้ ให้เป็นหนึ่งเสมอๆ ทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีตที่แข็งแรง อนาคตก็ต้องเป็นไปตามอดีตกับปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันทุกปัจจุบัน ทำให้กิเลสเป็นศูนย์ มันก็เป็นฐานตั้งมั่น เป็นอดีตที่ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ปัจจุบันกับอดีต สะสมรวมกัน อนาคตก็ไม่มีทางเป็นอื่น เพราะอดีตกับปัจจุบัน เป็น 2 เส้าแล้ว ก็ชนะอนาคต อีก 36 จนอนาคตก็เที่ยง

ในอวิชชา 8

1.      ไม่รู้..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)

2.      ไม่รู้..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)

3.      ไม่รู้..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ)

4.      ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)  

5.      ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญานัง

6.      ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง

7.       ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต -ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้ เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต  อัญญาณัง) . ผู้ปฏิบัตินี้ทำอริยสัจ 4ได้ ในส่วนที่เป็นอดีต ก็ทำให้เป็น 0 ได้ จน 0 //ศูนย์ หรือ สูญ//  ในอนาคต ได้ อันนี้เป็นผล ต่างกันภาคมรรค

 

 

8.      ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้น เป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา)

(พตปฎ. ล.34  ข.691  ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)

ต้องรู้ปฏิจจสมุปบาท จัดการสังขาร 3 ให้ได้ ล้างกิเลสอย่าง ปุญญาภิสังขาร จนเป็น อปุญญาภิสังขาร สั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขาร ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็เป็นศูนย์หมด มั่นใจในเวทนา 108 เมื่อกระทบสัมผัส กับอะไรก็แล้วแต่ ในทุกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทุกปัจจุบันก็เป็นศูนย์ สั่งสมเป็นอดีตที่ ศูนย์ อนาคตก็ศูนย์ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:27:58 )

591209

รายละเอียด

591209_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ล้างให้สิ้นจนถึงอนุสัย

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2559 เป็นวันขึ้น 10 ค่ำ เดือนอ้าย ใกล้จะถึงสิ้นปี ก็จะได้อายุเพิ่มขึ้นกัน ในทางธรรมะนั้น อายุที่เพิ่มขึ้นหมายถึงว่า เราได้เกิดประโยชน์ ที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แปลว่าขณะที่เกิดประโยชน์นั้น เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ซึ่งพ่อครูได้ย้ำตลอดว่าให้ทำ คือต้องจัดการชีวิตของกิเลส มันก็อยู่กับเรามาตลอด เราได้คิดคำนึงถึงกิเลสเรา มากน้อยขนาดไหน
          มีพวกเราบางคน ที่คิดจะออกจากวัด บอกว่าจะไปสร้างหมู่สร้างกลุ่ม มีคนบอกว่า คนนี้จะทำให้ หมู่สงฆ์แตกแยกนะ เขาก็พูดสวนเลยว่า ท่านฟังความข้างเดียว เป็นความคิดความรู้สึก ที่อยากจะจัดการคนอื่นเหลือเกิน พ่อครูว่า วันคืนผ่านไป เราควรคิดหาวิธี และจัดการกำจัดกิเลส

 

สื่อธรรมพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน กัมมรามตา หลงในการงาน

ในหลักธรรมหมวด อวิชชาสูตร หรือ อีกหลายหมวด บอกไว้ว่า สิ่งที่จะทำให้ เราลดกิเลสได้ จะต้องเริ่มจาก การคบสัตบุรุษ หรือในสุริยเปยยาลสูตร ก็กล่าวถึง แสงเงินแสงทอง ก่อนพบมรรคมีองค์ 8  ข้อแรกของแสงอรุณ คือพบมิตรดี

พวกเราดูเหมือนว่างานมาก จนไม่ได้มาฟังธรรมพ่อครู ทั้งที่พ่อครูงานมากกว่าพวกเรา พวกเราไม่ฟังธรรม ก็เริ่มตกในวงจรอวิชชา คือ ไม่ได้คบสัตบุรุษ ไม่ฟังสัทธรรม … ก็ไปถึงอวิชชาได้ในที่สุด บันไดขั้นแรก ที่จะกำจัดกิเลสได้ คือต้องคบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม ถ้าเราไม่มีเวลาฟังธรรม เนื่องจากงานมาก อาจจะเป็นการทำงานที่เป็นการเพิ่มอวิชชา

พ่อครูว่า...ถ้ามีงานมาก แล้วทำงานจนกระทั่งไม่มีเวลาฟังธรรม อันนี้ก็อย่างหนึ่งมันก็เป็นประโยชน์ถ้าทำงานเป็นความสุจริต แต่เสียตรงที่ว่า ท่านเรียกว่า กัมรามตา หลงในการงานจนเกินไป จนไม่รู้ความสำคัญในความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การงานที่ดี แปลว่า ต้องแบ่งเวลามาให้ธรรมะนะ อย่าไปหลงการงานเกินไป เรียกว่า กัมมรามตา

แต่ทีนี้ ไม่ได้ทำงานอะไรมากหรอก แต่หลงเสพความขี้เกียจ ทำตามภพตัวเอง ทำอะไรบำเรอกิเลสด้วยซ้ำ เลอะเทอะ นี่สิ บรมโง่

สมณะเดินดินว่า...ฐานของพวกเรา จะตกเอียงไปทาง กัมมรามต ก็นึกถึงสภาพนักสังคมสงเคราะห์ มีเวลาไปช่วยคนอื่นนอกบ้าน แต่ไม่มีเวลาดูแลลูก จนลูกติดยา อันนี้ก็แย่ คิดจะไปช่วยต่างประเทศ คิดช่วยที่อื่น แต่ในบริบทที่ตนรับผิดชอบ ก็ไม่มีกำลัง

เราต้องออกจาก วงจรอวิชชาให้ได้ เริ่มต้นจากคบสัตบุรุษ แม้จะอยู่ใกล้สัตบุรุษ แต่ไม่ได้มาฟังท่านเลย หูติดปากอยู่ แต่ไม่ฟังเลย

พ่อครูว่า… เริ่มต้นด้วยกวีของ อโศกสัมปวังโก ก่อนเลย

 

           มหาราชแห่งชาติไทย

 

บรมนาถ ปราชญ์แผ่นดิน ปิ่นปกเกล้า   ขัตติยะ “ภัทระเจ้า” ของชาวสยาม

พระปรมินทร์ ชินวงศ์ ธ ทรงนาม           “ภูมิพล” ธ ล้นหลาม ด้วยน้ำพระทัย

 

มหาชนก นักปกครอง ของทวยราษฎร์      ธ ประกาศ “ราชประชา- สมาสัย”

ธ ทรงมี ปรีชาญาณ มองการณ์กล       วางแนวคิด “ทฤษฎีใหม่” ให้ปวงชน

 

จอมกษัตริย์ นักพัฒนา “ราชาธิราช”     เศรษฐศาสตร์ วิภาษทุน พิบูลผล

ธ ทรงให้ ใช้แนวทาง “อย่างคนจน”     เมื่อมากล้น จนเหลือใช้ ให้แบ่งปัน

 

“ความพอเพียง”เลี้ยงชีวิต จิตมัธยัสถ์ “ขาดทุน”เห็นเป็น“กำไร”ใฝ่สร้างสรรค์

ศาสตร์ราชา พาสุขล้น พ้นอาธรรม์      พระมิ่งขวัญ รังสรรค์ให้ ไทยร่มเย็น

 

พระภูมิบาล ทรงผ่านไป ในทุกหล้า      พระภูวนาถ ทรงยาตรา ฝ่าทุกข์เข็น

พระภูวไนย ไทยทุกหน พ้นลำเค็ญ       ธ บำเพ็ญ เป็นผู้ให้ ไม่เว้นวัน

 

มาบัดนี้ จักรีวงศ์ องค์มหาราช              ศูนย์รวมใจ ไทยทั้งชาติ นิราศขันธ์

ประชาไทย อำลัยหา องค์ราชัน           ข้าพระบาท มิอาจอั้น กลั้นน้ำตา

 

โพธิสัตว์ อุบัติเชื้อ ชาติเชื้อไข             ราโชวาท ราชทานไว้ ให้ศึกษา

เวไนยสัตว์ ประกาศซ้อง ก้องโลกา       ขอเป็นข้า ฝ่าพระบาท ทุกชาติไป

 

อโศกสัมปวังโก

 

ตอนนี้ก็มีเหตุการณ์ ให้คนเขียนกลอนกวี แต่งเพลงออกมามากมาย อาตมาก็เลยไม่ได้เขียน ไม่ได้แต่ง ก็เลยนำธรรมะ มาอธิบายให้เข้ากับยุคสมัย ตอนนี้อธิบายไป พวกเราก็ช่วยกัน แล้วก็เข้าใจธรรมะ อันลึกซึ้งๆ อาตมามั่นใจว่า เมืองไทยจะเป็นชมพูทวีป จะเป็นแหล่งที่จะสร้าง  โลกุตรธรรม ในปลายภัทรกัปป์นี้ จนกว่าจะจบภัทรกัปป์นี้

ยิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องจริง ที่ไม่ได้เพ้อฝัน อาตมา สร้างเองไม่ได้ทุกอย่าง ต้องเป็นเหตุปัจจัยเกิดขึ้น คนที่เป็นส่วนประกอบ ที่ร่วมบารมี ต้องมีจริงเป็นจริง แล้วก็จะเกิดเองเป็นเอง เป็นตถตา อย่างไม่มีใครไปบังคับ ทุกคนเข้าใจด้วยปัญญา เต็มใจด้วยปัญญาพร้อมที่จะทำ ทำงานส่วนของเรา ให้เต็มที่ ส่วนผลที่จะออกมา เป็นของแท้ เพราะทุกคนมีอิสระเสรีภาพ ในแต่ละคน

SMS วันที่ 7 ธันวาคม 2559 

0849543xxx" มหากรุณาร่วมตัวตน " เป็นมหากรุณา อันมิได้แบ่งแยก ฉะนั้น มหากรุณาของพระโพธิสัตว์ จึงเป็นพุทธภาวะตามปกติ ที่บังเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมีผู้ใดแนะนำ เพราะพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มีอิสระ ไม่ถูกจำกัดด้วยภาวะ และสิ่งใดๆในทุกประการ มิได้ถูกจำกัดด้วยฌาณปัญญา จึงรู้วิธีช่วยสัตว์ ให้หลุดพ้น

0846703xxx"ด้วยผลบุญพ่อก่อเป็นสะพานทอดรอ นำพ่อสู่สรวงสวรรค์" เป็นคำร้องที่ถูก:) เพราะยังเห็นผู้คน ต่างบอกว่า บุญกุศลที่ทำมาขอยก/ส่งให้พ่อสู่สวรรค์ คิดว่าผิดค่ะ :) ท่านทำมามากมาย ไม่ต้องใช้ของใคร หากคิดว่าส่งต่อได้

ตอบ...บุญกุศลแบ่งให้กันไม่ได้ ตนเองต้องรับที่บาปกรรมของตน เป็นเผ่าพันธุ์ ของกรรมของตนเอง กัมมัสกะ กรรมเป็นของของตน กัมมทายาโท เราเป็นมรดกกรรมของตนเอง กัมมัสกะ กรรมเป็นของของตนจึงลึกซึ้งเข้มข้นมาก คนก็มีใจดี ไปเที่ยวเอากรรมของตน ไปแบ่งใครๆได้ กรรมนี้ไม่ต้องกำมันอย่างไรมันก็เป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทกรรม ของตนเอง ต้องรับมรดกกรรมของตน ทั้งหมด ท่านทำมามากมาย ไม่ต้องไปคิดว่าใครส่งไปให้ใคร ของใครก็ทำเองเถอะ

0845818xxxการจะ"ยังตนให้บรรลุโพธิญาณ" ของพระโพธิสัตว์นั้นก่อเกิดจากจุดเริ่มต้น ในการ"สร้างบารมี" เพื่อ"ตรัสรู้ " การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์คือ ทานสละได้ทุกอย่าง ศีล เนกขัม ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาคือวางเฉย ไม่ยึดหมายในคุณความดีที่ได้ทำ ไม่จดจ่อ ไม่วอนขอสิ่งต่างๆ

0893867xxxตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นปสาทรูป5! รูปรสเสียงกลิ่นโพฐฐัพพะ เป็นโคจรรูป5เป็นนามรูป คือกายฤาจิตมโนวิญญาณ!สกก.

0893867xxxไม่มีปรัชญาใดในโลก ทำให้ดินน้ำลมไฟ ในโลกสมดุลคืนธรรมชาติ อันอุดมสมบรูณ์ดีที่สุด เท่ากับปรัชญาพอเพียงของพ่อฯ รัก พ่อฯด้วยใจภักดิ์นิรันดร์! ลูกไทย2แผ่นดิน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท)  ตอน คำถามเรื่องเว้นผัสสะ

 

พ่อครูตอบ...คำว่า คำว่า อัญญัตระ คือเว้น คือมันมีที่ใดที่หนึ่ง จึงเว้น ส่วนนัตถิ คือไม่มีเลย มันต่างกัน

คำว่า รูปี รูปานิ ปัสสติ คือ รูปมันมี แล้วก็มีมากหลายด้วย

 ผู้ที่สามารถรู้รูปได้ มีรูปให้เรียน แล้วคุณจะเรียนรู้รูปได้ ถ้ารูปมันไม่มี ก็แล้วไป แต่นี่รูปมันมี ก็ต้องรู้มัน นี่คือ วิโมกข์ข้อ 1

ถ้าคนๆนี้ตาบอด คนนี้ไม่มีทางจะมีรูปได้ เพราะว่าเขาตาบอด คนตาบอด อย่างพระจักขุบาล ​เขาไม่ได้ตาบอดแต่กำเนิด ส่วนคนที่ ตาบอดแต่กำเนิดนั้น หมดสิทธิ์ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่คนที่ตาบอดแล้วทีหลังอาจจะอายุ เจ็ดขวบสิบขวบ แล้วจึงบอด ก็สามารถบรรลุอรหันต์ ได้เช่นกัน

ในวิโมกข์ 8 นี้ก็ยากที่จะอธิบายได้รอบถ้วน

อันแรก รูปี รูปานิ ปัสสติ ต้องเห็นรูปได้ ตาบอดเห็นไม่ได้ แต่สัมผัสอันอื่นได้ แต่ทางตาไม่ได้ ตานี่เป็นทวาร ที่เห็นได้ดีที่สุด จะปฏิบัติด้วยการเรียนรู้ ของมนุษย์และสัตวโลก สัตวโลกบางชนิด ตาดีมากกว่าคนด้วย

ถ้าผู้ใดเว้นไม่ให้มี คือ อัญญัตระ แต่ถ้าไม่มีผัสสะ ก็คือ นัตถิ

ตอนนี้ ก็มีคนหนุ่มมาคนหนึ่ง มีความรู้เต็มหูเต็มหัวเลย ก็น่าสงสารอาตมาก็เห็นใจ มันรู้มาก เคยบวชแล้ว เคยใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราชด้วย เขารู้มามาก แล้วก็สัมผัสมามาก แล้วบอกว่า ทำไมการปฏิบัตินั้น ไม่ตรงไม่ถูกกัน ก็พยายามมาทางนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะจอดที่นี่ได้หรือไม่ เพราะว่า รู้มากเหลือเกิน

 

ต่อไปอ่านบทความ ในหนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร

ผัสสะกับตัณหา เป็นสมุทัยทั้งคู่ แล้วอันไหนมาก่อน...ก็ต้องผัสสะ ต้องมีก่อน จึงปฏิบัติได้ ต้องผัสสะ ถึงจะได้อ่านสักกายะ และจัดการมันได้ ตัวสักกายะตัวแท้ ก็คือตัณหา

“มูลสูตร 10”มาถึงข้อ (3) คือการปฏิบัติธรรมของพุทธ ต้องมี“ผัสสะ 6”เสมอ รู้รูปรู้นาม ทั้งภายนอกทั้งภายใน แล้วก็เรียนรู้ วิจัยวิจารอาการต่างๆ ของ “พลังงาน” ที่เป็น“จิตนิยาม” ของเราว่า “สติ”ก็สามารถเป็นใหญ่ ทรงอำนาจ(อธิปไตย) คุมธาตุรู้ของเราอยู่ได้ ทั้งนอกและใน และ“ปัญญา” ก็มีพลังรู้ดีรอบถ้วน “อยู่เหนือ”(อุตตระ) เหตุปัจจัยทั้งหลาย อย่างยิ่งแท้จริง

ต้องทำไปตามลำดับขั้น ทำตั้งแต่ผัสสะภายนอกก่อน แล้วจึงเรียนรู้รูปภพอรูปภพภายใน แต่ก็ต้องมีผัสสะภายนอกเป็นปัจจัยอยู่ด้วย จึงจะเรียนได้ถูกต้องและเร็ว ได้แท้ด้วย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่มีผัสสะทางทวาร 5

ต้องเป็นอนาคามี ถึงปฏิบัติเรียนรู้ภายในได้ แต่ถ้ายังไม่เป็นอนาคามี ก็ยังมีกิเลสกามคุณ 5 เป็นกิเลสจากผัสสะภายนอก ไม่มีกามคุณ 6 ถ้าไม่ทำกับผัสสะภายนอกก่อน แล้วมาเรียนเวทนาในเวทนา ก็ผิดขั้นตอน จะมาเอาแต่จดจ่อภายในจิตอย่างนี้ไม่ถูก

ทีนี้“มูลสูตร 10” ข้อ(4) ก็ได้แก่“เวทนา”เอง ซึ่งเกิดเมื่อมี“ผัสสะ” (ก็ผัสสะ 6 ที่เป็นข้อ(3)นั่นเอง) เมื่อ“ผัสสะ”จึงมี“เวทนา” ก็เป็นข้อ (4) “เวทนา”นี้แลสำคัญยิ่ง ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องมี“เวทนา” (ความรู้สึก,อารมณ์) เป็น“กรรมฐาน” เป็น“ที่ตั้งแห่งการปฏิบัติเรียนรู้” (กรรมคือการกระทำ ฐานที่ตั้งแห่งการกระทำ เรียนทำไม เรียนเพื่อกระทำเพื่อจัดการเพื่อกรรม เพื่อกระทำ ทำอะไร ตอนนี้มาถึงขั้นทำใจในใจ มีศัพท์อีกคำหนึ่ง มนสิการหรือมนสิกโรติ)  และทำให้เป็น“เวทนา 1”ให้ได้ ไม่ใช่ไปเอาแค่“ลมหายใจ” เท่านั้นเป็น“กรรมฐาน” หรือยิ่งไปหลงกำหนด จดจ่อเอาแต่ดินน้ำไฟลม ที่เป็นวัตถุภายนอกเป็น“กรรมฐาน” ไม่เรียนรู้ “เวทนาในเวทนา-จิตในจิต” ก็ยิ่งผิดทิศผิดทางไปใหญ่เลย

 

“เวทนา 6”ก็คือ เวทนา 6 คู่ที่ต้องเรียนทีละคู่ แล้วทำ“เวทนา 2 ให้เป็นเวทนา 1” (ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ) 

มิใช่เอาแต่“สะกดจิต”เข้าไปๆๆ ให้เป็น“เวทนา 1” อย่างที่หลับตาทำกันอยู่เต็มวงการพุทธ ซึ่งหลงผิดกันไป จนกู่ไม่กลับนั้น และมิใช่“ไปหลงงมเอา “มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา” ที่เป็นแค่นิมิต อยู่ภายในใจด้วย

มโน คือตัวลึก ถ้ามโนของคุณ คุณสร้างพลังงานใส่จิต อย่างนักสะกดจิต แล้วจะได้พลังงานเยอะ แล้วเอาพลังงาน มาสร้างฤทธิ์เดช อิทธิปาฏิหาริย์ มันก็จะได้ แต่ได้ก็ไม่เที่ยง เพราะต้องใช้พลังงานเยอะมาก เช่นจะเหาะ ต้องใช้พลังงานนามธรรม แต่มันไม่ใช่พลังงานจรวด หรือที่ใช้ดินน้ำไฟลมประกอบ เป็นพลังงานสสาร ไม่ใช่พลังงานนามธรรม

นามธรรมจะต้องเป็นตัว Generator เป็นตัวเครื่องปั่นพลังงานนี้เองเลย ซึ่งใช้พลังงานจิตคุณเอง จะเหาะได้ต้องมีพลังงานจริง แล้วเครื่องของคุณ จะปั่นได้ขนาดไหนเชียว จะได้นานแค่ไหนเชียว ฤาษีที่ว่าเหาะได้ ไปเหลือบเห็นสนม อาบน้ำในสระ ก็ตกเลย พลังงานรั่ว ตกแล้วจะรวบรวมพลังงาน เหาะอีกไม่ได้ ต้องเดินก้มหน้ากลับ อย่างละอาย มันได้แต่ไม่เที่ยง แล้วไม่ได้อะไรมากมาย มันก็แค่เก่ง วิเศษ แต่อาตมาว่า ก็แค่นั้นเอง แต่เอาพลังงานนั้น มาเรียนรู้สัจธรรม ไม่ต้องใช้มากขนาดนั้นด้วย แต่พ้นทุกข์ เป็นอริยสัจ เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พระพุทธเจ้ามาได้ปฏิเสธฤาษีคันธารี มานิกา ก็ธรรมเทศนา หรืออิทธิปาฏิหาริย์ได้ไม่ได้ปฏิเสธ ทำให้คนติดยึดเรื่องอำนาจวิเศษ เหาะเหิน เดินน้ำ ดำดิน ทายใจคนได้ แต่ไม่มีทางพ้นทุกข์ เพราะว่ามีแต่อัตตา ไม่มีหมดอัตตา มันหลงยินดี

มโนมย คืออัตตา ไม่ได้เป็นผลล้างอัตตาด้วย ตัวตนที่เห็นรูปหลอกตา สร้างรูป มันไม่มีรูปมันก็มีรูป คนเห็นคนข้างนอก คนเห็นผี ผีหลอก ผีหลอกคือคนตาหลอนตาหลอก วิทยาศาสตร์ก็รู้คือ psychosis มันไม่มีจริง หรือเสียงแว่วในหู ก็จิตหลอน แต่คุณเป็นโรคจิตจริงๆ ทางแพทย์ก็รักษากัน แต่มาเข้าใจทางธรรมะ จะรักษาได้ เด็ดขาดจริงๆ

เขาว่าสามารถถอดจิต ออกจากร่างเรา เห็นร่างเราตายเน่า ตามอุปาทาน ที่อาจารย์สอนไว้ เห็นว่าร่ายกายตนเน่าไป ต่อหน้าต่อตาเลย หรือเห็นทะลุเลย มีจิตเก่ง มองคนนี่ทะลุ เห็นโครงกระดูกเลย มันเดินได้ คุณจะมีดวงตาทิพย์ เห็นเนื้อหนังมังสากระดูก ก็คือนิมิตที่สร้างมา ทั้งที่ไม่มีจริง ก็จะเห็นคนเป็นกระดูกเดินได้เลย เขาเห็นจริงๆ แต่มันไม่จริง คุณอุปาทานไปเอง

มันเป็นสิ่งที่คุณสัมผัสแล้ว เหมือนจริงๆๆ คือมโนมยอัตตา ทีนี้สะกดจิตให้เห็นเป็นหมู่ ก็เป็นได้อีก เป็นรูปก็ได้เป็นตัวตนเลย แต่มันไม่มีจริง ก็หายวับไปเดี๋ยวเดียว ก็มันไม่มีดินน้ำไฟลมจริง

ถ้าจริงมันก็จะต้องอยู่ อย่างที่เขาเห็นหลวงปู่แหวน นั่งอยู่บนเมฆ หรือเห็นหลวงพ่อสด นั่งอยู่บนเมฆ ถ้าเป็นจริง ก็ไม่หายไปไหนสิ ถ้ามีดินน้ำไฟลม ประกอบกันขึ้น เป็นองคาพยพ แต่นี่มันไม่มีจริง จิตใจของคน ไปปั้นมันขึ้นต่างหาก เป็นมโนมยาอัตตา นั่นคือปั้นขึ้นมาเป็นรูปร่างที่สัมผัสตาเห็นเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนมีดินน้ำไฟลมจริงๆ

อันนี้ก็ของหยาบไกลตัวเป็นยาก ยากกว่านามธรรม รสอร่อยไม่ใช่ของจริง แต่คุณก็ปั้นรสอร่อยว่า คุณก็บอกว่ามันอร่อยจริงๆมันก็อร่อย แต่ว่ามันไม่จริง มันก็หายวับไป เมื่อหมดเหตุปัจจัย แต่มันจะเหลือ ก็คือคุณจำไว้ ว่าอร่อยอย่างนี้ รสอย่างนี้ ติดมากก็จำมาก ติดน้อยก็จำน้อย ติดมากก็ล้างยากแน่นหนา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ล้างกิเลส สก สว สย

กิเลสคือ อารมณ์สุข เอร็ดอร่อย ที่เกินไปจากรสจริง คือเวทนาเท็จ มันนอกจากเวทนาแท้อีก คือคุณไปจดจำไว้ แล้วปั้นสร้างเสพ เป็นวิมานสร้างขึ้นเอง จนเห็นเป็นผีข้างนอก ก็เป็นได้เลย

พวกมโนมยอัตตา คือสิ่งที่เป็นของเท็จ เป็นอัลลลิกะ คือของที่ไม่แท้ เป็นของเก๊ๆ ไม่ทนนาน เป็นของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีจริงไม่มีอะไรมากเท่าของจริง ที่คุณมีประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปกระทบ ก็เห็นเหมือนกันทุกคน เป็นเวทนาแท้

เวทนาเท็จ เหล่านั้นคุณเข้าใจ ล้างหมดแล้ว ก็เป็นทุกข์น้อยลง จนมันมากพอ คุณล้างออกจริงๆ ก็เป็นทุกข์น้อยลง จนหมดอาสวะ

พระพุทธเจ้าก็ถือว่า ถ้าหมดอาสวะขนาดหนึ่ง ก็พ้นทุกข์แล้ว ถ้าจะไปให้ถึงล้างอนุสัย ก็ถือว่าเกลี้ยงสุดเกลี้ยงแล้ว ถ้าหมดอาสวะ ก็ถึงขนาดหนึ่งแล้ว

สก สว สยะ คือขนาดของตัวตน

สก คือตัวหยาบ สว คือตัวกลาง สย หรืออนุสย คือตัวปลายที่สุดเลย

นี่คือไปหลงงมอยู่ในมโนมยอัตตา จะปั้นใหญ่ปั้นเล็กปั้นกลางขนาดไหนคืออัตตา เป็นมโนมยอัตตา ข้างนอกก็เป็นมโนมยอัตตาได้ ข้างในก็เป็นมโนมยอัตตาได้ คำว่ามโนมยอัตตาจึงเป็นคำกลาง  จากคำว่าโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตาและอรูปอัตตา 3 อัตตา

ถ้ากำหนดชัดเลย ชี้ชัดว่าอันนี้ โอฬาริกอัตตา ก็คืออัตตาภายนอก อัตตาหยาบ อัตตาใหญ่ อัตตาที่กามภพ เอาให้หมด หมดอัตตาในกามภพแล้ว โอฬาริกอัตตาก็เหลือมโนมยอัตตา

ข้างในจะเรียกว่ารูปภพก็ใช่ เป็นขั้นในแล้ว จะเรียกรูปราคะ ก็เป็นขั้นต่อจากกามราคะ เป็นอนาคามีขึ้นไป ก็เหลือรูปราคะเป็นขั้นหยาบที่เหลือต่อ ต่อจากกามราคะ ล้างอรูปราคะหมด ก็เหลือน้อย แล้วก็ไล่เก็บอรูปราคะที่เหลือน้อยจนกระทั่งหมดอนุสัย อาสวะก็เรียกอรูปราคะเหมือนกัน เป็นอรูปอัตตาภายในขั้นอาสวะ คุณจะต้องทำธรรม 2 นี่ไปเรื่อยๆ ให้เกิดจริงเป็นจริงในตนจนมีสักขี เป็นกายสักขีให้ได้ มีผลจากการบรรลุ กายคือรูปกับนามเป็นพยาน

บรรลุ ไม่ได้หมายถึงว่า สิ่งที่เราอยู่กับโลก ที่สัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย กับดินน้ำไฟลม เพชรนิลจินดา ข้าวของ ลาภยศต่างๆ คุณก็สัมผัสอยู่ด้วยได้ทั้งหมด เป็นธรรมะที่มีจริงในโลก ทุกคนก็ร่วมรู้ร่วมได้ว่ามีจริง กับนามธรรม ที่คุณเป็นจริงในนามธรรม กับเป็นหลอกในนามธรรม ก็ทำให้เป็นจริงในนามธรรม ส่วนรูปธรรมนั้นเหมือนกันหมดทุกคนแล้ว นามธรรมข้างในจิตที่จริงคนก็เห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนนามธรรมหลอกนั้นของใครของมัน

ถ้านามธรรม ก็พูดกันรู้เรื่องเหมือนกันทุกคน สมมุติสัจจะรู้ร่วมกันหมด ก็จบถือเป็นหนึ่งแล้ว

เพราะฉะนั้น มโนมยอัตตาจึงเป็นคำรวมของจิตที่สำเร็จไม่ว่าจะสัมผัสข้างนอกหรือข้างใน สุดท้าย มโนมยอัตตา สำเร็จด้วยจิตคุณไม่สร้างไม่ปั้นแล้ว เป็นการเก็บธุลีละเอียด เรียกว่า อรูป อรูปอัตตา ซึ่งคุณจะมีญานปัญญารู้ โอฬาริกอัตตา รู้จักมโนมยอัตตาดีแล้วว่า คือขั้นหยาบ ขั้นกลาง กลางจนกระทั้งเหลือน้อย จนกระทั้งเหลืออรูปสุดท้ายขั้นอาสวะ หมด สก นี่คือตัวตนข้างนอกหยาบใหญ่ ข้างนอกก็เป็นกิเลสอยู่เป็นกามภพ 

หมดสักกายะแล้ว ก็เหลืออาสวะ(สวะ) นอกด้วย ในด้วย สัมผัสนอก ก็ยังมีแลบเลียอยู่ จนกระทั่งหมดนอก เหลือแต่ใน ก็ยังเป็นอาสวะอยู่นะ จนกระทั้งนอกเหนืออย่างแข็งแรงเลย ไม่เหลือแล้ว สวะ เหลือแต่ สยะ

สยะ ก็น้อยสุด อรูปน้อยสุด น้อยๆๆๆ จนกระทั่งสุดท้ายเลย ก็หมดสุดท้าย สย อนุสัย

 

ส คือตัวเรา ตัวตน พอจะเอามาใช้ให้รู้ หยาบ กลาง ละเอียดก็เป็น ก ว ย เอามาสามตัว เอา ก มาเป็นตัวต้นเลย (ก ข ฆ ค ง) สกะ ต่อมา สวะ

สวะก็มาเอาตัวของเศษวรรค (ย ร ล ว ส ห ฬ อัง) ในตัวท้ายเศษวรรค

ย ร เป็นตัวผัน ล เป็นตัวพลัง  ว เป็นตัวสัมพันธ์กับ (ป ผ พ ภ ม) เป็นแถวล่างสุดของ (จ ฉ ช ฌ ญ) (ต ถ ธ ท น) ตัว ว นี้ใช้แทนกันได้ เศษวรรค จึงมาอยู่ที่ตัว ว

เมื่อหมดอบาย หมดกาม หมดรูป หมดอรูปแล้วก็มาอยู่ที่ทานอีก ตั้งแต่อรหันต์เป็นต้นไป มีแต่ให้ลูกเดียว จะมีเศษที่จะหวง ก็ไม่หวงจริง โดยเฉพาะสิ่งที่หยาบ เป็นโพธิสัตว์ก็ละล้างไป มันเป็นความซับซ้อน

ส ตัวนี้สำคัญมาก ใช้เป็นตัวนำอะไรเยอะ ตั้งแต่ตัวตน จนถึง 0 เลย คือสุญญตา

พยัญชนะแต่ละคำ นี้มากเกิน เป็นอจินไตยที่พยายามพูดให้ฟัง

พูดให้ฟังเพื่อให้รู้ว่า บัญญัติภาษาที่ตั้งมา เพื่อสื่อสภาวะธรรมในทุกพยัญชนะ ตั้งแต่ตัวอักษร ไปจนถึงคำความ เอามาผสมกันสารพัด การผสมคำนั้นต้องเป็นคนที่มีความรู้ ไม่ใช่เอาพยัญชนะ มาต่อกันมั่วไป อย่างไม่มีความหมาย

อาตมาเข้าใจพยัญชนะ ภาษามาจากการปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้า จนเป็นโพธิสัตว์มา จึงรู้จักสภาวะ และใช้พยัญชนะเพื่อสื่อสภาวะ ก็กลับไปกลับมา จนยากจะเรียบเรียงได้ง่าย คนสมัยนี้ เรียนตามไวยกรณ์ ก็ติดพยัญชนะ ไม่มีสภาวะ จึงไปไม่ออก ขยายความไม่ได้ เหมือนกับ ภาวะ สภาวะสอง กลับไปกลับมา ไม่หัวก็ท้าย วนไปจนไม่มีที่ขึ้น เป็นก้นหอย วนซ้ายขวา แต่สูงขึ้น

บาปกับบุญ มันหมดไปเป็นรอบๆ แต่ถ้าคุณวน บาปกับบุญ เลยไม่ออกจากฐานเก่า ไม่ได้สูงขึ้นเลย คือไม่เข้าใจสภาวะ มันก็ติดอยู่ในพยัญชนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน มโนมยอัตตา คือความสำเร็จด้วยจิตที่ไม่ใช่ของจริง

มโนมยอัตตา คือความสำเร็จด้วยจิตที่เป็นของหลอกลวง แปลว่าจิตที่สำเร็จหรือสำเร็จด้วยจิต ที่เข้าใจ ไม่ลึกลับในอัตตา จึงเป็นผู้ที่บรรลุอรหัตตา ไม่ลึกลับในอัตตาแล้ว สามารถเข้าใจ จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ จะมีอัตตาก็เพื่ออาศัยทำงาน ไม่มีตัวตน ไม่มีเราของเราแล้ว วางได้จริงเลย ก็สำเร็จไป

ผู้ที่ไม่สมารถจะวิจัยรายละเอียดต่างๆ กลับไปกลับมาพวกนี้ได้ ถ้าเผื่อวิจัยไม่ได้เอาแต่สะกดจิต ก็จะหมดประตูที่จะรู้จักนิพพานของพระพุทธเจ้า

 พวกนั่งสะกดจิตไม่ได้วิจัยการรู้….

ข้างนอก ข้างใน รูปนามอะไรต่างๆ ภาวะสองมาเป็นหนึ่ง  มันเป็นหนึ่งๆๆๆ ไม่รู้จักสอง นั่งสะกดจิตหลับตานิ่ง หนึ่งเข้าไปหาศูนย์โดยที่ไม่มีสอง มันไม่ได้เปรียบเทียบ ไม่ได้รู้ข้างนอกคืออะไร? ข้างในคืออะไร?ว่ามันต่างกันอย่างไร? มีความหยาบ กลาง ละเอียด อย่างไรก็ไม่รู้

ไม่มีโลกวิทู ไม่ครบ มันลัด มันเป็นการชั่วคราว คุณสะกดจิตคุณสงบได้ มีความแข็งแรง ไม่ยอมปรุงแต่งอะไรด้วยนะ

แต่มันไม่ขาดเด็ด มันไม่มีปัญญาเข้ามารู้ว่ามันไม่ใช่อัตตา  ไม่ได้แยกแยะความเป็นอัตตา อนัตตาเป็นอย่างไง ไม่ได้แยกจากความเป็นธรรมะ 2 ตั้งแต่หยาบโอฬาริกอัตตามาก็ไม่รู้ ละเอียดมา จนกระทั่งสำเร็จด้วยจิต สำเร็จอย่างหลอกอย่างเท็จ ก็เป็นมโนมยาอัตตาแล้ว ก็หลงของเท็จๆอีกว่ามันมีจริง

ยกตัวอย่างเช่นรสอร่อยนั้นจริง มันเป็นมโนมยอัตตา มันก็สำเร็จแต่เมื่อไหร่ก็อร่อย รสนี้ ใช่เลย มือไม่ตกเลยนะ พ่อครัวคนนี้ ปรุงทีไรได้ที่เลย คุณก็ชื่นชมตัวเองไปอีก เป็นแม่ครัวพ่อครัวไป จนตายแล้วตายอีก ปรุงอาหารไปหลอกเขาอยู่นั่นแหละ แล้วก็ชื่นชมว่าตนเองเก่งอีก

คำว่า มโน ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คือ มโนมยอัตตานี่แหละ

พ่อครูว่า...อาตมาก็สามารถเล่นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์พอได้นะ อาตมาว่า อาตมาทำได้เก่งกว่า ธัมมชโยอีกนะ แต่เขาฉลาดหลอกคนอื่นได้ เขาเป็นศิลปิน สร้างออกแบบสารพัดได้เกินจริง คนก็ตามไม่ทัน ก็ไม่รู้ทันที่เขาโมเม เอาของไม่มีมาหลอก แล้วหลงว่าจริง เชื่ออาจารย์ ถ้าอาตมาจะหลอกพวกคุณอย่างนั้นก็ทำได้ แต่อาตมาไ่ม่โง่เง่าทำ อาตมาเชื่อกรรม แต่เขาไม่รู้ เขาอวิชชาเขาจึงทำ นรกของเขานี้ เป็นอนันตริยกรรม ไม่ถอดถอนจนทุกวันนี้ เขาจะเอาให้ชนะ ที่จริงเขาไม่มีทางไป

ถ้าเขาหมดจริงๆก็เสี่ยง เผื่อฟลุ๊ค ถ้าเขาชนะนี่ รับรองว่ารัฐบาลนี้ เสร็จเขาแน่ จะมีวาติกันในไทยเลย แล้วจะเป็นวาติกัน ที่เหนือกว่าเทวนิยมอีก เพราะว่ารอบถ้วนของพุทธอเทวนิยม

อเทวนิยม คือผู้รู้เทวนิยมได้ด้วย และได้อเทวนิยมด้วย เทวนิยมเหมือนประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีความรู้เรื่องจิตวิญญาณ

เขาจะต้องตกนรก ไปอีกนานมาก แต่ตอนนี้ เขายังไม่รู้หรอก ที่จะต้องตกนรกอีกนาน ทรมานทรกรรมอีกเยอะ ยุคนี้เขามาเสวยสุข เขาจึงหลง ที่เขาหรูหราสวยงาม เป็นกุศลกรรมวิบาก แต่มันจะเสื่อมลงๆ เขาทำวิบากหยาบ ทรมานคนไปเยอะ ระดับประเทศ นอกประเทศ

อาตมายังมีวิบาก ไปทำเดรัจฉานวิชชา ที่ผ่านมาก็เป็นวิบาก แต่อาตมารู้ตัวเร็ว แล้วก็เลิกทำ แต่นี่เขาหลงในสิ่งนี้ ว่าเขาได้ผล ได้โลกีย์มา แต่อาตมาไม่เอาโลกีย์ แล้วจึงเลิกมา แต่เขานี่ ยิ่งกว่าเอลวิสอีกนะ ที่ได้เงินมามากมาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิ) ตอน นั่งหลับตาถูกสะกดจิตเหมือนถูกหมานำ

โอฬาริกอัตตา ประกอบด้วยสิ่งใหญ่สิ่งหยาบ ของธัมมกาย ยังไม่หนีจากโอฬาริกอัตตาเลย มโนมยอัตตาซ้อน อรูปก็ยิ่งซ้อน เขาไม่รู้เรื่องอรูปอัตตาเลย มีแต่จะเพิ่มหนักเข้าไปอีก  

อรูปอัตตาคือแกน แกนกลางเลย ถ้ามันโง่ก็สั่งสมแกนโง่ไปเรื่อย แล้วออกมาหลงตัวใหญ่เป็นตัวจูงให้ตัวเองมาทำอันนี้สั่งสมเข้าไปใส่แกนอีก มันจะกลับไปกลับมาอย่างนี้ 

เขายังไม่รู้โอฬาริกอัตตา มันหยาบ แต่ในโอฬาริกอัตตามันหยาบ เขาก็รู้ว่า มันสกปรก ชั้นต่ำ ไม่เอาหยาบอย่างนี้ ก็กระเถิบมาเลื่อนสูง เลื่อนชั้นซ้อนขึ้นมา อย่างชาวอโศกนี้สกปรก หยาบ ตื้น แต่พวกเรามีภูมิคุ้มกัน เขาไม่มีภูมิคุ้มกัน เขาออกนอกกรอบไม่ได้ ออกมาหลงทางเลย ของเรานี้ไปได้ทั่ว รอบเลย กลับไปกลับมาก็ยังได้ แต่นี่ไม่ได้นะ ต้องเป๊ะๆๆๆ เป็นคนตาบอดต้องมีคนจูง เขาจูงตลอดเวลา แล้วพวกที่ไป เหมือนคนตาบอด หากไม่มีคนจูง ก็ไม่ได้เลย เขาจะต้องยึดคนจูงไว้ เขาปล่อยไม่ได้ ถ้าเอาคนจูงไปเขาจะอยู่อย่างไร เห็นไหม ฟังเข้าใจขึ้นไหม ชีวิตต้องมีหมานำ ถ้าเอาหมาไปแล้วจะไม่มีใครจูงเราเลย สื่อได้น่ากลัวไหม

กลุ่มคนตาบอดนี่น่าสงสาร เขาไม่มีที่พึ่ง เขามีหมาเป็นที่พึ่ง เขาต้องเอาหมานำจึงต้องรักษาหมาไว้ให้ได้ หมานี่คือสิ่งวิเศษของเขา อาตมาไม่ได้เจตนาด่าเขานะ แต่มันเป็นสภาวะ ยกสูงต่ำขึ้นมาให้รู้ ที่เขาหลงให้นําอยู่บูชาเคารพอยู่ ที่จริงคือหมา ที่จริงนั้นหนักกว่าหมาด้วย เอาให้ชัด มันยิ่งกว่าจตุมหาราชิกา คือพวกที่เอาหมดเลยทุกทิศ หยาบ โหดร้ายอำมหิต ฆ่าหมด ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่า จตุมหาราชนี้เลวต่ำกว่าหมาอีกหลายชั้น

จตุมหาราช คือจิตวิญญาณที่ต่ำช้ากว่า คำว่าหมานี่อีกหลายชั้น แต่เขาก็คือจตุมหาราช เขาไม่เข้าใจสภาวะซับซ้อน ที่เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นคัมภีราวภาโส 

 

อาตมาขยายมโนมยอัตตากับโอฬาริกอัตตาให้ฟังชัดขึ้นแล้ว ส่วนอรูปอัตตาจะเข้าใจง่ายขึ้น คุณก็ทำเป็นชั้นๆ ขั้นๆ ก่อน โอฬาริกอัตตาหมด มโนมยอัตตามันดูเหมือนชั้นกลาง  แต่มันฟ่าม มันกว้าง โอฬาริกอัตตานั้นหยาบ กระด้าง ง่าย แต่มโนมยอัตตานี้กว้าง ไม่หยาบ ดีไม่ดีดูดีด้วย กว้างซับซ้อน ยาก เพราะงั้นอันต้นหมด อันกลางหมด เหลืออรูปอัตตาง่ายขึ้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู( มูลสูตร10 ) ตอน มูลสูตร อย่างพิสดาร

มาต่อมูลสูตร จากผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ปฏิบัติไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในสูตรแรก พรหมชาลสูตรพระพุทธเจ้าถึงมาตั้งหลักว่า ปฏิบัติต้องมีผัสสะ จึงจะมีฐานะ มีฐานปฏิบัติ เพราะฉะนั้นฐานปฏิบัติ ฐานกระทำที่จะทำ ศัพท์อีกศัพท์หนึ่งรวมไปหมดเลย การ ก็แปลว่าทำ มนสิการนั้นทำที่ใจ กรรมทั้งหมดเลย การกระทำ จึงใช้คำว่า การฐานหรือกรรมฐาน

เมื่อเรามีผัสสะก็เกิดเวทนา ให้ศึกษาให้เรียนรู้ แล้วเวทนา เราเรียนเวทนา 108 เข้าใจ วิจัยออกจริงๆ เลยว่า….

 ตัวสำคัญคือ เคหสิตเวทนา และ เนกขัมสิตเวทนา หรือ มโนปวิจาร วิจารของจิต 

มโนป ตัวตั้ง ป(ปะ) หรือ สม (สะมะ) ที่ว่า สัมภวะ กับ ปภวะ ก็คือ ภพ

สม เป็นตัวปฏิบัติ ประพฤติแล้วสำเร็จ

ส่วน นั้นไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติอะไร เป็นตัวที่ก่อเกิดขึ้นมาแล้วเป็น

ถ้า ปภวะ กับ สัมภวะ เป็นภพทั้งคู่ แปลว่าแดนเกิด ที่เกิดทั้งนั้น

นี่คือตัวหนึ่ง

สม นี่สอง มีการปฏิบัติ มีการประพฤติเป็นธรรม 2 เป็นตัวกระทำกับตัวจิต

เป็นตัวกระทำ หรือเป็นตัวตน  ตัวตนก็รวมทั้งนอกและใน

นี่คือในเลย จิต รวมตัวเข้า

สม นี่เป็นธรรม 2 ทั้งนอกและใน การปฏิบัติต้องสำเร็จด้วย สม

แต่ถ้าตัวไปหยั่ง ไปยึดมันถือมั่นขึ้น เป็น ป ปภวะ กับ สัมภวะ มันต่าง กันอย่างนี้

มีผัสสะเป็นปัจจัย มีผัสสะเป็นสมุทัยที่จะต้องปฏิบัติ ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ ส่วนเวทนานั้นขอวรรคไว้ที่จะอธิบาย จะพูดกันอีกนานมากเลย เวทนาในเวทนา เวทนาต่างๆ เวทนา 108  เพราะเป็นกรรมฐานกลาง ผ่านไปถึงสมาธิ ในมูลสูตรนี้ พอผ่านให้เป็นเวทนาแล้ว คุณก็ทำให้เป็นธรรม 1 ก็สั่งสัมลงเป็นจิต จิตที่บรรลุผล สะสมได้  สะสมได้ผลหนึ่ง ผลสอง ผลสาม ผลสี่ ก็รวบรวมตกผลึกควบแน่นกันเป็นพลังตั้งมั่น เรียกว่า สมาธิ  

ตัวผลของจิตที่รวมผลึกเป็นตั้งมั่นจึงเป็นแกนเป็นแก่น เริ่มต้นเป็นแก่นเป็นแกนเข้าไปเรื่อยๆ แก่นจริงๆ ภาษาเขาเรียกว่า สาระ สั่งสมจิตตัวนี้เพื่อที่จะได้ไปเป็นแก่น เริ่มต้นมี 1 2 3 4 เป็นมวลตกผลึกสะสมลงไป แล้วจะเป็นแกนตัวหลัก สั่งสมไปเรื่อยๆ เรียกว่า ประมุข เป็นหัวหน้า เป็นตัวนำ สมาธิจึงเรียกว่า หัวหน้า สมาธิเป็นประมุข แล้วก็ทำงานกัน มีประมุข มีประธาน กับสติ และปัญญา             

ต้อง“สัมมาทิฏฐิ” กันให้ได้จริงๆ จึงจะปฏิบัติให้เป็น “สัมมาปฏิบัติ” ได้ผลแท้

“มูลสูตร”ข้อ(5) ยิ่งความเป็น“จิตที่ตั้งมั่น” ที่เรียกกันว่า “สมาธิ”นั้น ยิ่งเชิดชูเป็นหัวหน้า(ปมุข) แน่นอนเลย 

ทว่าประมุขนี้ ต้อง“สัมมาสมาธิ อันเป็นอาริยะ”นะ เป็นสมาธิพิเศษจริงๆ  ไม่เหมือนสมาธิพื้นๆสามัญทั่วไป ที่เรียกว่า meditation แค่นั้น แต่เป็น Supra concentration กันทีเดียว 

สมาธิ สติ ปัญญา คือตัวปฏิบัติใหญ่ คนที่มีจิตโลกุตระตัวแรก เป็นอัญญา ก็เริ่มเป็นตัวนำพาสัญญา ให้สั่งสมเป็นปัญญา สัญญะ ก็มาเป็น สม ก็เป็นสัมมาไปเรื่อยๆ สัญญาจะเป็นสัมมาแล้วไปเป็นปัญญา

ผู้ที่เข้าใจสมาธิแบบสะกดจิต meditation ก็สะสมวิธีนั้นรู้กันได้ทั่ว ทำได้ง่าย โพธิสัตว์ อรหันต์ทำได้ คุณก็ฝึกได้ทุกคนไม่ยาก ยิ่งถ้าคุณบรรลุอรหันต์แล้วฝึกง่าย ทำได้สบายเร็วง่าย เพราะอรหันต์นี้ คุมจิตได้แล้ว มีพลังงานเหนือจิตแล้ว จิตโลกๆ ทำอะไรไม่ได้ มีแต่จิตที่สั่งเอง เป็นอมตบุคคล จะฝึกให้นั่งสมาธินี้ง่าย จะใช้พลังงานนั่งสมาธิ เป็นอุปการะได้ คนนั่งสมาธิเก่งนี้ ทนร้อนทนหนาวเก่ง อึด พวกปัญญานี้ไม่อึด ต้องฝึกบ้างจะได้อึก

การตั้งมั่นของจิต สั่งสมความไม่มีโทษไม่มีภัยแต่ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง นี่คือสมาธิ ความรู้โลกวิทู มีจิตใจอยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังงาน ช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก แล้วรู้เท่าทันโลก โลกวิทู มีโลกุตรจิต จึงเป็นผู้มีประโยชน์ช่วยโลก ช่วยสังคมช่วยมนุษยชาติได้มากเป็น โลกานุกัมปายะ เรียกว่าตรีลักษณ์ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

เราก็มีพระพุทธาภิธรรมนิมิต เป็นปางตรีลักษณ์

อาตมาชาตินี้ ก็คงสร้างพระสามปาง

  1. ปางตรีลักษณ์ คือพระพุทธาภิธรรมนิมิต
  2. ปางวิชิตอวิชชา (ปางปราบมาร) คือสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา จะสร้างองค์ใหญ่ที่บ้านราชฯ
  3. ปางที่สามกำลังสร้างอยู่ที่ ภูฟ้าผาธรรม เรียกว่า ปางปรองดอง หรือปางสมานอัตตา หรือปางสมานทุกทิศ เป็นปางนั่งขัดสมาธิ แล้วมือประสานกันอยู่ข้างหน้าบนตัก จะสร้างขึ้นไว้ที่โน่น

สื่อบอกความหมาย ให้รู้ถึงการงานของทั้ง 3 ปาง การงานของการทำตรีลักษณ์ ทำปราบมาร หรือปางปรองดอง ยุคนี้ต้องการความปรองดอง จะต้องทำการปรองดอง อย่างมีปัญญา จะเอาเชื้อโรคมาสมานมาปรองดองไม่ได้ เราก็ต้อง สามารถปราบเชื้อโรคได้ คุ้มเชื้อโรคให้ได้ หากว่าเราคงเชื้อโรคนี้ไม่ได้ เราก็ไม่บังอาจจะเอามา เชื้อโรคที่มันเก่งมันกินเรา เราก็ไม่เอา เอาสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อกันมา ต้องให้เกิดการอยู่กัน อย่างสงบกลมกลืน สามัคคียังมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ ถ้าไม่เกิดความขัดแย้ง ก็จะไม่เกิดทศนิยม ก็จะเข้าสู่ความดับ ต้องให้เกิดความขัดแย้งอันพอเหมาะ

สมณะเดินดินว่า...พวกเราต้องสร้างความปรองดอง เป็นระเบิดรักภายใน ให้ได้ก่อน แล้วจึงเข้าใจ คนข้างนอก พวกเราต้องอยู่อย่างเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ไม่อยู่อย่างเอาเรื่องเอาราวกัน ต้องทำให้เจริญก้าวหน้าก่อนพระพุทธรูปปางปรองดอง(ปางสมานอัตตา)มา ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:28:25 )

591211

รายละเอียด

591211_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ประชาธิปไตยสองขาตามพุทธพจน์ 7

สมณะเดินดินว่า..วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2559 วัดเบญจมบพิตรที่จะไปรับชาวชาติพันธ์ุ ที่จะมาสักการะพระบรมศพ เป็นครั้งสุดท้าย ที่จะมาแสดงถึงความจงรักภักดี ใครที่จะไปช่วยกันก็ไป เขาจะไปพักกันที่ สนามม้านางเลิ้ง ทุกวันนี้ แม้แต่จะสัมภาษณ์ คนรุ่นหนุ่มสาวหรือพวกเด็ก ความรู้สึกที่มี ความจงรักภักดีต่อในหลวง ก็ยังมีให้เห็น อย่างน่าซาบซึ้ง แล้วทำไม เขาถึงต้องรักและเคารพ เขาก็รู้ด้วย เป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นทั่วแผ่นดิน ทำให้พ่อครู มีเรื่องที่จะมาขยายความธรรมะ ได้อีกต่อเนื่อง ว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะอะไร ตอนนี้เห็นชัดว่าในหลวงทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเรื่องของคุณธรรม เรื่องของพุทธศาสนาโดยเฉพาะ แม้แต่เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็มาจากเรื่องของคุณธรรม เป็นเรื่องของสันโดษนั่นเอง ก็ยังมีพื้นฐานจากศาสนา แต่เรื่องการเมือง คนก็ยังมองไม่ออก โดยเฉพาะ พวกนักวิชาการทั้งหลาย มองไม่ออก ว่าศาสนากับการเมือง มีความสัมพันธ์ ทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างไร จะต้องไปดูต้นแบบ ประชาธิปไตยที่อเมริกาและอังกฤษ ว่าสองแบบนี้ จะเป็นอย่างไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน วรรณะ9 ของชาวไทย

พ่อครูว่า...ตอนนี้กระแสของ ความรู้ทั่วโลก โดยเฉพาะ ความรู้ในเรื่องการเมือง หรือเรื่องเศรษฐศาสตร์ก็ตาม เรื่องสังคมก็ตาม สามเส้า รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความรู้ อยู่กันอย่างมีหลักเกณฑ์ มีธรรมนูญต่างๆ แล้วปฏิบัติตามนั้น ผู้ที่เข้าใจอย่างพระพุทธเจ้า เข้าใจกฎหลัก ที่จะให้คนประพฤติ แต่ถ้าคนเรา มีจิตใจที่ไม่เห็นด้วยไม่เอาด้วย ก็จะหาวิธีหลบเลี่ยงหรือดื้อด้าน หรือก็โกงกันหน้าด้านๆ ดึงดัน อย่างที่ธัมมชโย กำลังทำอยู่ตอนนี้ ไม่กล้ามาทำอย่างวิเคราะห์วิจัย หาเหตุหาผลหาหลักฐาน อย่างเป็นสัจจะความจริงสมบูรณ์แบบ

หลักเกณฑ์ก็เป็นการกำหนดขึ้นมา เพื่อให้ทุกคน อยู่ในกรอบนั้น

ส่วนผู้ที่ในจิต ไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือตัวตน ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา เป็นผู้ที่มีความมักน้อยสันโดษ ตามคุณสมบัติ วรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า

เป็นคนสบายๆ ไม่มีปัญหาเลี้ยงง่ายอย่างไร ก็ปรับตัวกับเขาได้อย่างง่าย จะทำความเข้าใจ จะทำความฉลาด ทำความรู้ ก็เจริญง่าย รับรู้ง่าย เฉลียวฉลาดง่าย เข้าใจง่าย ศึกษาฝึกฝนตามได้ สุภระ สุโปสะ

เป็นคนมีศูนย์ อัปปิจฉะ  เป็นคนมักน้อยสันโดษ  น้อยๆก็พอ เป็นคนพอ เพราะว่าใจมันพอ ใจพอ สันตุฏฐิหรือสันโดษ เป็นคุณลักษณะ จิตนี้เป็นจริงที่ทำได้ เพราะฉะนั้นที่ฝึกฝนปฏิบัติได้ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน

 มีสัลขะ ขัดเกลา มีธูตะ มีปาสาธิกะ พยายามฝึกฝนตามพระพุทธเจ้า จนหลุดพ้นได้ เป็นธูตะ เป็น ศีลสมบูรณ์ เป็นศีลที่เคร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็สูงขึ้นเรื่อยๆแล้วก็เป็นได้อย่างสมบูรณ์ๆขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าธูตะ

ธูตะ เป็นความหมายของศีลที่คนอื่นเขายังทำไม่ได้ ก็ดูเหมือนเป็นคนเคร่งครัด แต่ถ้าคนที่ทำได้แล้วก็รู้สึกสบาย ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ทำได้ปฏิบัติได้อย่างดี คือความหมายของ  ธูตะ คือความเป็นผลของศีลที่เรียบร้อยบริบูรณ์ มีอาการเป็นที่น่าเลื่อมใส เป็นอาการที่ดีงาม คนอื่นเขารับได้

อปจยะ เป็นคนไม่สะสมวัตถุ ไม่สะสมกองกิเลส เป็นคนหมดตัวหมดตน แต่ วิริยารัมภะ เป็นคนที่ยอดขยันขยันเสมอ ปรารภความเพียร ขยันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ปรารภความขยัน พยายามทำตนเองให้ขยัน อยู่อย่างเหมาะอย่างควรเป็นต้น จึงเป็นคนมีผลงาน เป็นคนมีแรงงาน มีสิ่งที่เกิดจากพลังงานที่เราทำงาน แล้วก็มีสัมมา มีอนวัชชะ มีพลังงานความรู้ พลังงานปัญญา รู้จักการงาน ที่เป็นการงานที่เหมาะควร อันไหนเป็นการงานที่ไม่เหมาะสม อันไหนเหมาะสมกับกาละ ที่จะทำก็มีปัญญารู้ จึงเป็นคนที่ทำแต่สิ่งเจริญเหมาะควร ตามสัปปุริสธรรม 7 ประการ

คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ รอบถ้วนหมดแล้ว รอบถ้วนทุกอย่างในสังคมในเรื่องของสังคมมนุษย์ ในเรื่องของการบริหาร ปกครอง รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ การที่จะเอามาเฉลี่ยเอาผลผลิต มาแบ่งปันเฉลี่ยใช้สอย อยู่ร่วมกันเป็นอย่างดี ของพระพุทธเจ้าทำได้แล้ว จะบริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นสัมมาอาชีพ ขั้นสูงสุดเลย

สัมมาอาชีพ คืออาชีพที่พ้นมิจฉาอาชีพ 5 

พ้นจากอาชีพที่ทุจริตโกง ร้ายแรงเป็นภัยเรียกว่า กุหนา อย่างที่เป็นกันคือ โกงกันที่ละหมื่นล้านแสนล้าน คือ อภิมหาบรมอบายมุข คือ ต่ำช้าเลวทรามมาก โกงกันทีละหลายแสนล้าน ไม่หวาดไม่ไหว เป็นล้านๆ โกงทรัพย์ส่วนกลางของประชาชน เป็นต้น

กุหนา คือ หยาบต่ำ ทุจริงตต่ำ

ลปนา คือรองลงมา โกงอย่างใช้เล่ห์เหลี่ยม หลอกล่อให้คนจับไม่ได้ จะยิ่งหนักกว่าก็ได้ แต่พรางลวงให้คนอื่นดูว่าดี มันซับซ้อนน่ะ ไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงกำลังฆ่าแก่ง แย่งชิงเอามา ไม่ใช่ ดีมากเลย ทำอย่างดูดีมากเลย อันนี้คือลักษณะของ สมีธัมมชโย ดูไม่หยาบอย่าง กุหนา อาจดูดีด้วย แต่ชั่วๆ หลอกซับซ้อน อย่างที่คนอื่นรู้ไม่ทัน จนเดี๋ยวนี้ คนก็ยังถูกหลอกอยู่ เพราะคนเรานั้น ถูกสะกดจิต

มันเป็นวิธีสะกดจิตจริง เป็นการนั่งสมาธิ แล้วกล่อมให้ตกใต้อำนาจ ทางวิทยาศาสตร์ก็ทำได้ ไม่ได้ตื่นรู้ อย่างคนที่มีอิสระเสรีภาพของตนเอง งมงาย

คนที่สะกดจิตเก่งๆ คนไม่ยอมก็ถูกสะกดได้ โดยใช้คารม ใช้วิธีการ จะว่าเป็นเล่ห์เหลี่ยมก็ได้ เป็นแทคติก ใช้พลังอย่างเข้าไปถึงจุดกลาง ของจิตใจเขา แล้วบังคับ ใช้พลังงานจิตนั้นได้เลย ใช้พลังงานทะลวงจิตเข้าไป กดจุดตรงนั้นเขาได้ เสร็จเลย อย่างที่อาตมา เคยทำการสะกดจิตมา คนที่เขาต้านก็มี แต่เราก็หาวิธีแม้แต่เขาต้านนี่แหละ เราก็หาวิธีสะกดลงได้ ปึ๊กเลย แต่ถ้าคนไม่ต้าน ยืดหยุ่นไป ยืดหยุ่นมา ก็จะช้าได้  ยืนยันได้ว่า อาตมาเคยศึกษาปฏิบัติ เคยเรียนมา

อย่างเช่น ธัมมชโยนี้ สะกดจิตกันข้ามโลก ด้วยใช้เทคนิคทางโลก ผสมเข้าไปด้วย อย่างเก่ง สิ่งเหล่านี้ เป็นปรากฏการณ์ ของยุคสมัย สมัยนี้ มีสิ่งเหล่านี้เกิดได้ อันนั้นเป็นเรื่องของจิต จะเรียกว่าเรื่องของธรรมะ

เรื่องของการเมืองรัฐศาสตร์ ก็อันเดียวกัน ความหมายคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนที่เป็นสังคม อยู่ร่วมกัน อยู่เย็นเป็นสุข มีน้ำใจ คุณลักษณะของจิต ที่มีคุณภาพ 7

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม6 พุทธพจน7)  ตอน สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

คุณลักษณะของจิต 7 ชนิดนี้ พระพุทธเจ้า ให้เรียนรู้ฝึกฝน ให้จิตที่มีจิตที่เป็นหนึ่ง ระลึกถึงกัน สาราณียะ ไม่ใช่ความรักความระลึกถึง แบบมิติที่แคบ แบบมิติที่ 1 2 3 4 แต่ตั้งต้นที่มิติที่ 8 ไป แล้วก็ล้างมิติ ที่ต่ำขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นความรักที่มีพลังงานทางจิต ที่มันเป็นจริง จึงเป็นพลังงาน ที่ลดความเห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่ตัว กลุ่มที่แคบที่เล็ก แล้วก็ เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง ช่วยคน เห็นแก่คนอื่น ที่เป็นวงกว้างขึ้น อย่างไม่ลำเอียง ยังไม่ไปเข้าข้างคนไหน ด้วยความรักหรือความชัง

คุณสมบัติของจิต  สาราณียะ ปิยกรณะ รักอย่างเป็นความรักมิติที่สูง 8 9 10 แล้วก็ล้างมิติที่ 1-7 ที่ไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ ในขณะที่มีชีวิต

ถ้า 10 นี้จะอธิบายว่าศูนย์จบหมดสิ้นไปแล้วก็ได้ ถ้ามีก็ นัตถิ อุปมา ไม่มีอะไรเปรียบได้ สูงสุดแห่งที่สุด ภาษาฮินดู เขาเรียกว่า กัลกิยาวตาร

จะบอกว่า อาตมาเป็นระดับเจ็ด แต่อาตมาไม่ใช่ว่า จะไม่เจริญ 8 หรือ 9 แต่ภาษาพูดเป็นเจตนา ก็พยายามจะเดินไปหา 8 หา 9 ก็ตรวจความจริงของตัวเอง ให้จริง

สาราณียะ คือระลึกถึงคนอื่น ยังไม่ระลึกถึงตัวเอง เพราะว่ามั่นใจว่า ตนเองมีคุณธรรม ที่จะให้คนอื่นเลี้ยงไว้ได้ ไม่กลัว เราทำให้คนอื่นทั้งโลก ในโลกนี้ ไม่มีใคร ที่จะอกตัญญูหมดเลย ก็จะมีคนที่อุปถัมภ์ ค้ำชูเลี้ยงไว้ ชีวิตเป็น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ให้คนอื่นเลี้ยงดู ช่วยเหลือไว้ เรามีหน้าที่ทำงาน รับใช้คนอื่น นี่คือ ความรักที่สุดยอด เป็นความรัก ปิยกรณะ ขยายไปสู่มิติที่ 8 9 10

มีคุรุกรณะ  รู้จักฐานะสมมติรอบ รู้จักเคารพกันด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ฐานะ และเคารพกัน ด้วยสัจจะความจริง คนนี้เขามีธรรมสัจจะที่สูงจริง แม้ทางโลก จะดูเขามอซอ ต่ำต้อย แต่ที่จริงแล้ว คุณธรรมเขาสูง จะมีญาณปัญญารู้ รู้ว่าเขาทำต่ำ แต่ความจริง คุณธรรมของเขาสูง คนที่มีญาณปัญญาจะรู้ จะเคารพอย่างคุรุกรณะ อย่างมีญาณปัญญาได้สัดส่วน ไม่เกิดการผิดสัจจะ

มีสังคหะ ตรงนี้สำคัญ มีพฤติกรรมช่วยเหลือ เกื้อกูลคนอื่น รับใช้ผู้อื่น มีประโยชน์ต่อผู้อื่น อยู่ตลอดเวลาเลย สังคหะ

อวิวาทะ ไม่หาเรื่องที่จะไปทะเลาะวิวาทกับใคร ใครจะทะเลาะ ใครจะหาเรื่องมา ก็พยายามหลีกเลี่ยง สามารถที่จะสาธยาย บอกแจ้งความจริง ตามความเป็นจริงได้ ก็จบ ถ้าใครจะหาเรื่องทะเลาะ เราก็รู้แล้วว่า ไม่เอาด้วย ไปเสียเวลาทำไม เราไม่มีพลังงาน ไม่มีเวลา ที่จะใช้กับเรื่องทะเลาะกัน อวิวาทะ

สามัคคียะ เป็นคนที่มีความพร้อมเพรียงพร้อมพรั่ง มีหมวดหมู่อย่างงามพร้อมเพรียง อย่างชาวอโศกเรามี ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ตีรันฟันแทงกัน ไม่แย่งชิงอะไรกัน อโศกก็มีคุณสมบัติ เป็นคุณธรรม ที่ประเสริฐที่วิเศษ ใช้ได้เลยนะ

มีเอกีภาวะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แน่นเป็นปึกแผ่นดีมาก

นี่คือ คุณสมบัติของจิต ที่ปฏิบัติแล้ว เกิดจริงเป็นจริง 7 พุทธพจน์ หรือเรียกว่า พุทธพจน์ 7

ถ้าพุทธพจน์ 7 นี้เกิดในสังคมใด อย่างเช่น ชุมชนชาวอโศกเรา มีพุทธพจน์เกิดอย่างจริง จึงเกิดพฤติกรรม 6 อย่าง มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรเมตตามโนกรรม แล้วก็ขยันทำงานสร้างสรร มีลาภโดยธรรม เกิดลาภธัมมิกา แล้วก็เอามาแจกกัน เป็นสาธารณโภคี อย่างที่ปฏิบัติอยู่ตอนนี้ มีพฤติกรรมนี้ อยู่ส่วนกลาง ที่สนามหลวง พวกเราก็ทยอยกันมาสมทบ เป็นความชัดเจน ไม่ได้หลอกลวง ไม่ได้หาเรื่องอะไร ไม่ได้ใส่ความ เป็นเรื่องจริง อย่างเกิดเหตุเลย

มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรแล้วก็มีลาภธัมมิกา ลาภโดยธรรม เป็นสาธารณโภคี มีศีลสามัญญตา มีหลักเกณฑ์ ที่เข้าใจชัดเจนร่วมกันและปฏิบัติไป ตามลำดับ ศีล 5 เสมอศีล 5 ศีล 8 เสมอศีล 8 ศีล 10 เสมอศีล 10 จุลศีลเสมอจุลศีล โอวาทปาติโมกข์ศีล เสมอโอวาทปาฏิโมกศีล นี่คือ ศีลสามัญญตา

เป็นสาราณียธรรม 6 เป็นหลักเกณฑ์ของรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ผู้ที่มีแกนจิตของ พุทธพจน์ 7 มีพฤติกรรมสาราณียธรรม 6 จึงเกิดพฤติกรรมสังคม อย่างเป็นรูปประธรรม เป็นพฤติภาพ ที่เห็นได้ ชัดเจน นี่คือ คุณลักษณะคุณธรรม ของมนุษยชาติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยสองขาตามพุทธพจน์

ผู้ที่มีคุณธรรมคุณวิเศษ ดังกล่าวนี้ มีสาราณียธรรม 6 จากจิตที่มีคุณสมบัติพุทธพจน์ 7 จึงก่อเกิดเป็นประชาธิปไตย 2 ขา เกิดเป็นสังคมประชาธิปไตย 2 ขา คือ มีราชะ กับประชาชน ซึ่งรวมกัน เป็นราชประชาสมาสัย ที่สมบูรณ์แบบ

ราชาก็เป็นผู้ที่ทรงทศพิธราชธรรม เป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีธรรมะจริงๆ ไม่ใช่พวกหลอก หรือไม่ใช่พวกเผด็จการ แต่เป็นคนมีคุณธรรม อย่างแท้จริง ดังที่เห็นเป็นตัวอย่าง เกิดหลัดๆ ทุกวันนี้ อย่างที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระจริยวัตรมาจนทรงเสด็จสวรรคต มันเป็น  phenomenon เป็นปรากฏการณ์ ที่ทุกคนสัมผัสได้จริง เพราะยังไม่จางหายไป เป็นสิ่งใหม่สด มีผู้ที่เรียนรู้ตาม เคารพนับถือ เชิดชูบูชา

เป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นที่รู้ และประพฤติได้ สังคมไทย มีสิ่งที่กล่าวถึงเหล่านี้เพราะสังคมไทย เป็นสังคมเมืองพุทธ และหลักเกณฑ์ จะเคยเพี้ยนไป สูญเสีย สภาพของสัจธรรม ก็ยังฟื้นและทำได้ เราจะมาทำการบูรณะ ปฏิสังขรณ์ทำขึ้นมาจึงเกิดจริง เป็นจริงขึ้นในสังคมโลกขณะนี้ เมืองไทยเป็นต้นแบบ ขออภัย ที่พูดอย่างอหังการ อวดดิบอวดดี แต่พูดอย่างวิชาการ ด้วยความจริง ไม่ได้อย่างอวดโอ่

สิ่งนี้ที่เรียกว่า ประชาธิปไตย 2 ขา เกิดจากคุณธรรมคุณวิเศษ ที่เกิดจากต้นทาง คือจิตมีคุณสมบัติคุณธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทำได้ตรงพระอนุสาสนีนั้นแล้ว แจ้งเกิดพฤติกรรมสังคม ใช้ชื่อบัญญัติว่า ประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในกรอบของ ประชาธิปไตย 2 ขา หรือประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

ทำไมอาตมาถึงจะเรียกว่าหลงก็ได้ หลงใหลคลั่งไคล้ ประชาธิปไตยสองขานัก จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่อาตมาชัดเจนอยู่แล้วว่า อันนี้มันถูกต้องมันดี ไม่ได้หลงหรอก แต่ทำได้ได้ตามพุทธบัญญัติ

ที่เป็นได้เพราะว่า คนนี้มีจิตวิญญาณเป็นประธาน มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตวิญญาณเป็นตัวตั้งเลย

ถ้าจิตวิญญาณอวิชชา ก็จะพังไปทั้งแถบ ตามปฏิจจสมุปบาท

แต่ถ้าจิตวิญญาณเป็นวิชชา โดยเฉพาะ มีวิชชา 8 ครบเลย ก็สมบูรณ์เลย ผล วิชชา 8 สมบูรณ์เลย คนที่มีคุณวิเศษนี้ เรียกว่า อุตริมนุสธรรม เป็นความรักที่สูงสุด และขยันหมั่นเพียร มีความรู้ความสามารถ มีโลกะวิทู มีโลกุตรจิต มีโลกานุกัมปา คนก็ต้องการ คนที่มารับใช้ปวงชน โดยไม่เอาเปรียบเอารัด ไม่เห็นแก่ตัว นั่นเป็นสิ่งประเสริฐสุด

แล้วคุณสมบัติจริงอันนี้ คนที่ปฏิบัติได้จริง ก็เป็นจริง เราจะใช้บัญญัติ เรียกว่าประชาธิปไตย เป็นอำนาจของประชาชน ก็มีผู้รู้ หรือว่าผู้ที่มีคุณวิเศษ บริหารปกครอง ช่วยดูแลจัดสรร แล้วก็มีผู้ที่มีคุณสมบัติ มีอาริยธรรม ที่เป็นของพุทธนี้ ก็ช่วยกันทำต่อ ประสานเชื่อมโยงกัน คนละไม้คนละมือ คนต่างก็ร่วมกัน ช่วยกันบริหาร อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอคติ คือคุณสมบัติของ พลังงานการเมือง ทำให้พลเมือง อยู่ร่วมกันอย่างสงบ สันติสุข อบอุ่น

งานการเมือง คือทำเพื่อพลเมือง เพื่อประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุข ของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถจริง ทำงานอย่างหนัก ปกครองอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ทำเพื่อส่วนรวม ให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งนั้นเลย ซึ่งเป็นสัจจะความจริง ที่เกิดจริงเป็นจริง อยู่อย่างเห็นได้ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร ต่างกันกับ ประชาธิปไตยขาเดียวอย่างไร มีนัยสำคัญ

ระชาธิปไตยขาเดียว เขาไม่ได้เรียนรู้ ความรู้ทฤษฎี ทางจิตวิญญาณ เขาอาจจะมีความรู้ ทางจิตวิทยา ซึ่งตื้นๆง่ายๆ ไม่ได้มีความลึกซึ้ง ต่อทอดกันข้ามชาติ เป็นตระกูล เป็นกรรมพันธุ์ เป็นเผ่าพันธุ์ ของจิตวิญญาณ มี DNA สืบทอดขยาย และเจริญขึ้น

DNA ของจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีทั้งรู้และเป็นได้ เรียกว่า อุภโตภาค ทั้งรู้ และทำได้ในอนุตริยธรรม หรือ อาริยธรรม ทำได้แล้วสั่งสม คุณสมบัตินี้เข้าไปในจิตวิญญาณ เป็นคุณสมบัติ อันเป็นสิ่งประเสริฐวิเศษ แล้วรู้ทั้งรู้ว่าอย่ายึดถือ ยึดมั่น เป็นตัวเราของเรา แต่ทำให้เกิดจริงเป็นจริงในตัวเรา แต่เรามีปัญญาลึกซึ้ง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราเป็นของเรา

 

คุณสมบัติการเมืองใหม่ที่เป็น .  ประชาธิปไตยแท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจ ขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้อง เป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมือง ต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมือง ต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน .

7. งานการเมือง ต้องเป็นงานอาสาเสียสละ .

8. นักการเมือง จะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) . .

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมือง ที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

อาตมานำเสนอ ความจริงของอาตมา ใครจะเอาหรือไม่เอา ก็ไม่ได้บังคับอาตมาเป็นผู้ที่ พูดมากกว่าที่จะลงมือกระทำ ก็ต้องขอบคุณพวกเรา ที่ไปช่วยกันลงมือทำ ไปช่วยกันช่วยเหลือ ไปแสดงออก ซึ่งความสุดยอดของ Bomb of love

ไปช่วยเหลือชาวชาติพันธุ์ แม้ว่าดูเหมือน เขาเหมือนพลเมืองชั้นสอง แต่เขาก็รัก พระเจ้าแผ่นดิน เท่าเทียมกันกับเรา เราก็ต้องเคารพ ความเท่าเทียมกันนี้ เป็นความบริสุทธิ์ใจของเขา นานๆเขาก็ออกมาแสดงที ไม่ได้มาทำบ่อย ไม่ได้มายัดเยียดอะไร เราก็ต้องประสาน ให้เป็นไปด้วยดี นานๆทีเขามาแสดงออก เป็นความบริสุทธิ์ใจของเขา ไม่ได้มาทำอย่างหลอกลวง เหมือนพวกที่หลอกลวงกัน ในสังคม พวกดัดจริต ทุจริตทั้งนั้น

เราออกไปทำงานการเมือง ตั้งแต่ปี 2542 ต้านระบอบทักษิณ เดินไปอย่างสง่าเลย พื้นร้อนมาก แต่ก็เดินไป เข้าไปสนามหลวง ไปเทศน์กลางสนามหลวงเลย เทศน์ในโบสถ์ วัดพระแก้ว ก็เคยไปเทศน์มาแล้ว สมัยก่อน ตอนแรกๆ นิมนต์ไปดี แต่ตอนหลัง มหาเถรสมาคมก็ไม่ให้ไป ไปไม่กี่ครั้ง จากนั้น ถูกมหาเถรสมาคมกีดกัน ก็มาเทศน์นอกวัดพระแก้วได้ ไม่มีปัญหา เทศน์สนามหลวง นอกสนามหลวงไป ออกโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไปทั่วโลกอีก

ประชาธิปไตย คือประชาชนมีอำนาจในความตัวเอง อย่างอิสระ แต่ภายใต้กฎหมายของประเทศ อย่างไชยบูลย์นี้ ชื่อก็เต็มไปด้วยธรรมะ เพราะเป็นธัมมชโย ก็เป็นชื่อ ที่เต็มไปด้วยธรรมะอีก ก็เลยหลอกตัวเอง หลงตัวเอง เป็นต้นธาตุต้นธรรม แท้ที่จริงหลอกคนอื่น เป็นเหมือนฟ้ากับก้นเหว

อาตมานี้ชื่อมงคล ชื่อรัก ของจริงเลยนะ แต่ไชยบูลย์นี้หลอก

ถ้าประชาชนมีอิสระ จะต้องไม่มีอคติ ประชาชนมีอิสระ ภายใต้กฎหมายของประเทศ ถ้าประชาชนในประเทศ เป็นคนมีอิสระ ไม่มีอคติ เป็นคนมีธรรมะ ก็จะร่วมกัน ตรากฎหมายอย่างดี อย่างเหมาะสมกับความจำเป็น ที่จะมีขึ้นเป็นข้อบังคับ ให้เหมาะสมกับกาลเวลา องค์ประกอบของสังคม ก่อเกิดกฎหมายขึ้นมา ใช้บังคับให้บ้านเมือง อยู่กันอย่างสงบสุขร่มเย็น อบอุ่นดี ไม่เบียดเบียนกัน มีพุทธพจน์ 7 เพราะเมืองไทย เป็นเมืองพุทธ มีคนนับถือพุทธ 95%

สูงสุดก็จะมีพฤติกรรมสังคม เป็นสาธารณโภคี

ตอนนี้สนามหลวง คือพฤติกรรมสาธารณโภคี ที่เกิดอยู่อย่างเป็นปรากฏการณ์ Phenomena เป็นปรากฏการณ์หลากหลายมุม หลากหลายเหลี่ยมเกิดขึ้นในสังคม ที่สนามหลวง ทุกคนหรือจุดว่าจะต้อง มาทำเพื่อในหลวง มีพฤติกรรมการให้ การเสียสละ การเกื้อกูลกัน เป็นสังคหะ มีพฤติกรรม วันนี้เต็มสนามหลวง อยู่ต่างจังหวัด จะอยู่ไกลหรือใกล้ ก็เอามารวมกันตรงนี้ มีเครื่องอุปโภคบริโภค โดยมีกำลังกาย กำลังแรงงาน ความคิดความรู้ เอามารวมกัน เสียสละ ช่วยเหลือกัน มันสุดซาบซึ้ง สุดประเสริฐ สุดดีงาม ถึงบอกว่า ให้เกิดพฤติกรรมอันนี้ ไปอีกนาน...นานๆ ตลอดไป มันน่าชื่นชม แต่แน่นอน จะเกิดตลอดกาลอย่างนี้ไปไม่ได้ แต่เราช่วยกันอุดหนุนไว้ ให้มันเกิดไปเรื่อยๆ เพราะเป็นสิ่งดีของมนุษยชาติ ทำอย่างสุดที่ เท่าที่จะให้นานที่สุดได้

ประชาชนจะช่วยตรากฎหมาย อย่างจริงใจ อย่างซื่อสัตย์ ไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างพรรคพวก แบบสุจริตซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่อคติเพื่อช่วยประชาชน ไปตามลำดับ

ถ้าไม่สูงถึงขั้นสาธารณโภคี เพราะว่ามันยังมีความยึดถือ เป็นตัวกูของกู ถ้ายังยึดถือตัวตน แต่มีน้อย ก็เป็นประโยชน์ เป็นประชาธิปไตยมาก จะไปบังคับให้คนไม่ยึดถือ ตัวตนเลย ให้มาเป็นอรหันต์ขึ้นไปหมด มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราพยายาม ทำให้สังคมเรา มีอาริยบุคคล มีการเห็นแก่ตัวน้อย ได้มากเท่าไหร่ ก็จะเกิดสาธารณโภคี ตามความจริง ตามเหตุที่มี ผลก็จะเกิดตามเหตุนั้น แต่มีความเห็นแก่ตัว ลดลงจริงๆ จะมีความเป็นอยู่พฤติกรรม ที่เห็นได้ชัดเจน จึงเรียกว่า ประชาธิปไตย

ถ้าสงบราบรื่น ไม่มีการฆ่าแกง ขณะนี้อาชญากรรม มีน้อยลง ก็ทำอยู่นอกเขตเทศบาล แย่งชิงกันบ้างอยู่นอก แต่ถ้าอยู่หนาแน่นนี้ ไม่มีเลย เบียดเสียดเยียดยัดกันด้วยซ้ำไป กระทบกันและสัมผัส ก็ไม่ถือสากัน มีแต่ขอโทษ ขออภัย ขนาดที่ว่า รถชนกันพัง ก็ไม่เป็นไร จักรยานยนต์ชนกับรถยนต์ จักรยานยนต์แตกแหลกเป็นชิ้นเลย รถยนต์ก็พังไปเยอะเหมือนกัน แต่จักรยานยนต์ไม่เหลือ จักรยานแล้วเขาจะไปเอาอะไรกับจักรยานยนต์ เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไรๆ ต่างคนต่างเสียหาย ก็รับผิดชอบของตนเอง ที่พังไปแล้ว คือมีน้ำใจ คนขับรถยนต์ ก็ไม่ได้ผิดนะ จักรยานยนต์มาชนเขา แต่จักรยานยนต์มันแหลก เจ้าของรถยนต์บอกว่า ไม่เป็นไร เพราะจักรยานยนต์ เสียหายหมดตัวเลย เจ้าของรถยนต์ก็ไม่ว่ากัน เป็นน้ำใจไม่ถือสากัน ก็ไม่มีใครเจตนา จะเอารถจักรยานยนต์มาชน แต่ถ้าจับได้ว่าเจตนา จะเอาเรื่องเลยนะ

ถ้าผู้ใดที่ยังยึดถือ เป็นตัวตนเป็นของตนมาก ก็เป็นประชาธิปไตยน้อย เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ดี แย่งชิงกันมาก ทำร้ายกันมาก ก็เห็นแก่ตัวมาก ก็เป็นไปตามภูมิธรรมของประชาชน

ประชาธิปไตย เป็นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยในตำรา เพราะฉะนั้น จิตที่สมบูรณ์  มีพุทธพจน์ 7 ที่เป็นจริงในใจประชาชน ถ้ามีคุณสมบัติของพุทธพจน์ 7 มีมากเท่าใด ก็เป็นประชาธิปไตยมากเท่านั้น จะมี

1.      สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.      ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.      ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.      สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.      อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.      สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.     เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

จะมี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ ด้วยราชประชาสมาสัย ที่แท้จริง

ในหลวง เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ มีคุณธรรม ทศพิธราชธรรม มีพุทธพจน์ 7 ในในหลวง ก็จึงเป็นประชาธิปไตย 2 ขา ต้องเป็นศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่รู้จักจิตวิญญาณ ได้รู้จักพัฒนาจิตวิญญาณ เช่น มีคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นต้น มีกฎมณเฑียรบาล

ผู้ที่สืบสันตติวงศ์ ทุกพระองค์ จะต้องอยู่ในกรอบของ กฎมณเฑียรบาล องค์ใดที่ปฏิบัติ นอกกฎมณเฑียรบาล ก็ไม่ได้รับการเคารพนับถือ จะยกมาเป็น พระเจ้าแผ่นดิน ก็ไม่ได้รับความนับถือมากเท่าใด แต่ถ้าองค์ใด มีคุณธรรมตามจริงเลย ก็ไม่ขัดแย้งกับ กฎมณเฑียรบาล ประวัติกฎมณเฑียรบาล คือหลักเกณฑ์ ที่เอามาตั้งขึ้นมาเสริม ก็ถอดมาจากพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นแหละ ว่าจะได้พฤติกรรมกาย วาจา ใจ ของพระเจ้าแผ่นดิน ที่สืบทอดถ่ายทอดกันมา เป็นสาย DNA มาตลอดสาย กำกับโดยกฎมณเฑียรบาล หรือ คำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดมา

เพราะฉะนั้นจึง คนมีจิตวิญญาณเป็นประธาน และจิตวิญญาณนั้น ได้รับการขัดเกลาฝึกฝน ตามกฎมณเฑียรบาล ตามธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ประพฤติปฏิบัติธรรม และมีมรรคผล ของการปฏิบัติ จึงเป็นอาริยบุคคล เป็นพระโพธิสัตว์ อย่างในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นตัวอย่าง ที่แท้จริง

สรุปแล้ว ประชาธิปไตย ต้องมีคนที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน บริหารประเทศ อย่างประเทศประชาธิปไตยขาเดียว ที่มีประธานาธิบดี บริหารประเทศ ไม่ได้สืบสาน ตามกฎมณเฑียรบาล ไม่มีหลักธรรมทางศาสนา กำกับมาตลอด เวลาหาประธานาธิบดี ใครมีอำนาจ มีแท็คติก อย่างเช่นอเมริกา ใช้อำนาจเงินจริงๆ กับอำนาจทางเศรษฐกิจ เป็นตัวหลักเลย ตัวเองก็ใช้อำนาจเหล่านั้น ทำให้ตนเองเป็นเบอร์ 1 ของประเทศได้ จิตใจของตัวเองนั้น ขณะนี้ ผู้ที่กำลังเป็นประธานาธิบดีเป็นเบอร์ 1 ของประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนี้ ดูสิว่ามาจากไหน สายที่มา background ที่มามาจากไหน น่าชื่นใจหรือเปล่า

ของประชาธิปไตย 2 ขานี้ จะมีกรอบระเบียบ ก็มีมาตลอดสาย อยู่กับร่องกับรอยมาตลอด แต่อย่างที่เขาทำกันนั้น มาจากไหนก็ไม่รู้ หว่านเงินก็ได้เป็นส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกฯ มาจากประเทศไหนก็ได้ ไม่ได้อยู่กับร่องกับรอยเลย ไม่มีอะไร ที่สืบสานกันมาเป็นสาย มันจึงไม่บริบูรณ์ เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ไม่ได้สืบทอดมาทาง DNA ของจิตวิญญาณ

DNA ที่เป็นทางสรีระ  Deoxy Ribo nucleia acid จะไปเรียกว่า พันธุกรรมไม่ถูก มันเป็นเพียง สรีรพันธุ์ สืบมาเป็นวัตถุ แต่ของพุทธนั้นคล้ายกัน แต่เป็นการสืบสายทางนามธรรม อย่างคนที่เกิดมาแต่ละชาติ ยกตัวอย่างตัวเอง

อาตมานี้มี DNA ของพระพุทธเจ้า ตกทอดมาเป็น พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าก็ถ่ายทอด ให้พระสารีบุตร จริงๆแล้ว พระสารีบุตร ไม่ได้มี DNA ของพระสมณโคดม เท่านั้น พระสารีบุตรมี DNA มาจาก พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาอีกตั้งเยอะแล้ว มาถึงยุคของพระสมณโคดม มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็น DNA อันเดียว ท่านก็มาเสริมต่อกันมาเรื่อยๆ พระสารีบุตร รับสืบทอดมา สืบทอดมาถึง พระเจ้าอโศกมหาราช เป็น DNA เดียวกัน จากพระเจ้าอโศกมหาราช ก่อนพ่อขุนราม คือเจ้าตะวันทับฟ้า จากเจ้าตะวันทับฟ้า มาเป็นพ่อขุนรามคำแหง จากพ่อขุนรามคำแหง มาเป็นพระนารายณ์

อาตมาไม่ได้สงสัย ไม่ได้งมงาย เป็นเรื่องของลักษณะทางคุณธรรม ไม่ได้หมายถึง ตัวตนบุคคล แต่มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าท่านเดินดิน จะมี DNA อันหนึ่งอันเดียวกันนี้ ถ้ามีเท่ากันกับผม ขนาดนี้เกิดด้วยกัน คุณกับผมจะต้องมีพฤติกรรม ทำงานมีคุณธรรม มีคุณสมบัติเท่ากันเหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้า ก็ตรัสไว้ชัด พระพุทธเจ้ากับโพธิสัตว์ ในระดับห่างไปหน่อย ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้า กับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีคุณสมบัติใกล้กัน มีความเป็นสัมมาสัมพุทธะเท่ากัน แต่มีความสำคัญที่ พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านไม่ได้สร้าง มวลประชาได้ประกาศให้มวลประชาชนรู้เลย ท่านมีแต่ของท่านเอง แล้วท่านก็ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ท่านไม่ได้สร้างศาสนาพุทธ สักสมัยหนึ่งเลย มีเหตุปัจจัย ที่ทำให้ไม่เป็น พระพุทธเจ้า ซึ่งมีสองนัย นัยหนึ่งเพราะว่า อาจมีอนันตริยกรรม อย่างพระเทวทัตเป็นต้น

เหมือนกับ คุณเป็นผู้หญิง คุณไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น เป็นผู้หญิงเป็นอิตถีภาวะ จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ถ้าคนเป็นผู้หญิงนั้นไม่ได้ว่าจะต้องเป็นผู้หญิงไปตลอด จนกว่า จะปรินิพพาน จะมาเป็นผู้ชายได้ ชาติใดชาติหนึ่ง จะต้องข้ามมาเป็นผู้ชาย ร่างกายก็ต้องมาเป็นผู้ชายจิตใจก็เป็นผู้ชายสมบูรณ์ อย่างนี้เป็นต้น ต้องทำเหตุปัจจัย ให้ครบสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลา ก็เป็นผู้ชายได้

ผู้ที่มี DNA ของพุทธก็คือ เชื้อคุณธรรมคุณวิเศษอันหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตนบุคคล แต่จะต้องอาศัย ร่างใดร่างหนึ่ง ออกมาเป็นพฤติกรรม เป็นประสบการณ์ มีเหตุปัจจัย ที่จะต้องสร้าง รังสรรค์ขึ้นในโลก ศาสนาพุทธ ไม่เอาความลึกลับ ไปหมกสร้างในวิมานลึกลับ อยู่ๆก็ประกาศตัว เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ แต่มีหลักฐานเลย บันทึกกันไว้ ผู้รู้จะรู้และบันทึกไว้เป็นตำนาน ไปอ่านในชาดกได้เลย

ตัวใครก็ตัวใคร ถ้ามาปฏิบัติ ในชาติใดชาติหนึ่ง ที่มีองคาพยพตัวตนองประกอบนี้ แล้วมีพฤติกรรมอันนั้นเป็น DNA เดียวกัน คนนั้นคือ ผู้สืบเชื้อ DNA เดียวกันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ใครที่ฟัง มีคนกล่าวว่า อาตมาเป็นสารีบุตรมาเกิด อาตมาก็ไม่ได้ ติดยึดอะไร แล้วอาตมา ก็บอกว่าใช่ เพราะว่าอาตมามี DNA เดียวกันกับพระสารีบุตร DNA เดียวกันกับพระพุทธเจ้า มี DNA เดียวกันกับ พระเจ้าอโศกมหาราช DNA เดียวกันกับ พระเจ้าตะวันทับฟ้า มี DNA เดียวกันกับ พ่อขุนรามคำแหง พระนารายณ์มหาราช

คนที่ยึดถือเป็นตัวตน บุคคลเราเขา ก็ว่าอาตมา เขาก็ใช้ได้แค่นั้น 

หลักฐานในพระไตรปิฎก ยกหัวข้อขึ้นอธิบาย อาตมามีลักษณะ ตรงกับอันนั้นไหม ถ้าตรงมันก็ใช่ ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง ก็ใช่บ้างไม่ใช่บ้าง ถ้าตรงครบร้อย ก็ใช่ร้อย ถ้าตรง 90 ก็ไม่ตรง 10 ถ้าไม่ตรงเลยหรือขัดแย้ง ตรงกันข้ามกับ พระพุทธเจ้า ก็แล้วแต่ ก็เป็นความจริงตามนั้น แต่อาตมาว่า อาตมาเกาะพระไตรปิฎก แล้วออกมายืนยัน แต่ไม่ตรงกับที่เขาอธิบาย ที่เขาเรียนศึกษากัน ก็เป็นได้ ก็เลยยาก ก็เขาเรียนกันมา ไม่เห็นตรงกับที่ โพธิรักษ์พูดเลย

อย่างเช่นคำว่า สมาธิ เขาก็เรียนกันมาอย่างของเขา คำว่าบุญ คำว่ากาย เขาก็เรียนอย่างของเขา โพธิรักษ์มาพูดอย่างไร อาตมาก็มาอธิบาย นัยต่างๆที่ไม่เหมือนเขา ของพระพุทธเจ้า special สมาธิ ไม่ใช่สมาธิทั่วไปสามัญ เราก็รู้ ไม่ได้งงอะไร เราก็บอกว่าอย่างนั้นสามัญ ไม่เจาะจงแบบของพระพุทธเจ้า คนก็มาฟังแล้วปฏิบัติตาม ทำได้ คนไหนฟังแล้วไม่เชื่อถือ ก็ไม่มาเอาตามอาตมา ก็ไม่ไปบังคับ ไม่ไปขอร้อง ไม่ไปอ้อนวอน ไม่มีแรงงานเวลาไปทำ

อาตมาทำงานชาตินี้ ไม่ได้มาหาบริวาร แต่มาสืบสาน ธรรมะพระพุทธเจ้า ให้มีน้ำหนัก มีเนื้อหา เพื่อจะให้คนได้อาศัย สืบสานศาสนาพระพุทธเจ้า สมณโคดมไปถึง 5,000 ปี ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็บังคับไม่ได้ ถ้าเชื่อแล้วจะมาช่วยกันก็มา

อาตมา ตั้งแต่รู้ชัดเจนว่า โลกียคืออะไร โลกุตระคืออะไร ก็มาทำงานทางด้านโลกุตระ ตั้งแต่พ. ศ. 2513 จนถึงบัดนี้ อาตมาก็ทำงานอย่างซื่อตรง จริงใจ เท่าที่อาตมามี ก็เกิดบุคคล เกิดหมู่กลุ่ม เกิดสังคม เกิดพฤติกรรมสังคม เป็นชาวอโศก  มีฉายาเรียกชาวบุญนิยม มีปรากฏการณ์ มีพฤติกรรมสังคมเกิด ยืนยันได้ว่าชาวอโศก พ้นมิจฉาอาชีวะ ไม่มีกุหนา

สมาชิกชาวอโศกที่แท้จริง ไม่มีใครทำอาชีพทุจริต กุหนา ไม่มีอาชีพลปนา อย่างต่ำก็มีเนมิตกตา ตามลำดับ มีศีล 5 เป็นต้น ทำได้ก็เป็นโชค หากทำไม่ได้ ก็ทำใหม่ ทำได้รอดจนพึ่งตนเองรอด ทำได้แข็งแรง จนพึ่งตนเองรอด แล้วช่วยคนอื่น เป็นนิเปสิกตา แม้เรียนจบด็อกเตอร์มา ก็มาช่วยเช็ดส้วม มาเก็บขยะ ก็มาทำได้ แล้วเขามีความสามารถอย่างอื่นก็ทำ แต่เขาทำได้ เป็นด็อกเตอร์ ก็ทำอย่างไม่ติดใจ สมควรทำเขาก็ทำ ไม่ได้ยึดถือศักดินา

ยืนยันได้ว่า ชาวอโศกไม่มีอาชีพ กุหนา ลปนา สามารถทำได้ถึงพ้น ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ได้ มาตรวจสอบทำวิจัยได้เลย มีตัวตนบุคคล ให้วิจัยบันทึก ไม่ได้ทำอย่างชั่วครั้งชั่วคราว หรือเสแสร้งทำ ทำจนตายไปหลายคนแล้ว

ก็สืบสาย DNA มา โพธิสัตว์ คือผู้ที่บรรลุธรรมอรหัตผล ของตนเองแล้ว ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วมาช่วยคน ตามที่ตนเองมีโพธิของตนเอง โสดาบันก็ช่วยตามที่ตนเองมี แล้วต้องถนอมสิ่งที่ตัวเองมีไว้ อย่าไปใช้หมด ถ่อมตัวเองไว้เหลือไว้ โพธิสัตว์ระดับต่างๆ จนถึงพระพุทธเจ้า ก็ดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้าพาทำ ยืนยันตามพระไตรปิฏกได้

ในพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐนี้ ตรวจสอบได้ ยืนยันได้ ไม่ต่ำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ อาตมาเอามายืนยัน ยังไม่หมดนะ

ขอฝากเรื่อง เพลงชีวิต เพลงอาริยะ เพลงจอมโจรอาริยะ เพลงความซ้ำซาก ช่วยให้คุณรวงข้าว เรียบเรียงให้หน่อย

ขอสรุปว่า ตอนนี้ DNA ของพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ได้เกิดเป็นสภาวะ ทำระเบิด Bomb ระเบิดซึ่งแสดงถึงความรัก 10 มิติ ของพระพุทธเจ้า ได้ระเบิดกระจายพลังงาน ที่พระองค์ได้ทรงมาจริง 70 พรรษา คนรับรู้ได้เข้าใจได้ จะปฏิบัติตามคำสอนพ่อ จะดำเนินรอยตาม พูดกันอยู่แล้วเอาจริงเอาจัง อาตมาเชื่อว่า เขามีความตั้งใจจริงด้วย จะได้มากได้น้อย ก็แล้วแต่ ไม่มีปัญหา แต่มันเกิดแล้วไม่ใช่อยู่ในประเทศไทย อย่างเดียว ต่างประเทศก็ยอมรับ เห็นดีเห็นงาม โดยเฉพาะ ประเทศภูฏาน เต็มหน้าที่ ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวของภูฏาน จนถึงประชาชนของชาวภูฏานเลย แสดงออก อย่างเคารพบูชาเชิดชู เต็มที่เลย หรือแม้แต่สหประชาชาติ ก็แสดงออก

เพราะฉะนั้น คนไทย ถ้าไม่เห็นดีเห็นงาม ก็ไปเป็นคนชาติอื่น

Bomb of love พลังความรัก ของมวลมหาประชาชนชาวไทย ที่แสดงออกเรื่อยมา ยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีท่าที ที่จะเพลาเบา บางลงเท่าไหร่

สมณะเดินดินว่า… ทำอย่างไร พวกเราจะไม่ได้ไปติดยึด DNA เป็นของตัวเอง เราเกิดมา คนที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่ได้ง่ายๆ ชาตินี้เราก็มี DNA มังสวิรัติอยู่ เราก็เลย เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ง่าย เรามี DNA ของอริยบุคคล ก็ปฏิบัติได้ง่าย ไม่ได้เป็นตัวตนบุคคลอะไร

พ่อครูว่า...Bomb of love ที่เกิดมาจากในหลวง เป็นต้นแบบ กำลังเกิดรังสีราศรี กระจายไปทั่วขณะนี้ อาตมาบอกได้เลยนะ ว่ามันจะทวีความลึกซึ้ง กว้างไกลไปเรื่อย ไม่ได้เกิดแต่ในประเทศไทย มวลมหาประชาชนคนไทย ก็ยังแสดงความรัก อันยิ่งใหญ่นี้ ระเบิดเถิดเทิงอยู่เลย ซึ่งมันเกิดขึ้นมา อย่างไม่เคยเกิด ไม่เคยมีมาก่อน ยุคกัปป์ก่อนๆ เรานึกไม่ออก เพราะว่ายาวนาน จนไม่มีอะไรระลึกได้ นอกจาก คนที่สามารถระลึกได้ ไม่มีประวัติศาสตร์ตำนาน ให้กล่าวได้ แต่ตอนนี่เรากล่าวได้อยู่

เป็นการแสดงออกซึ่งความรู้ ความรัก ความจริง อันมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของมวลมหาชน เท่าที่เกิดอยู่ เห็นอยู่ เห็นได้ ก็ย้อนกลับไปถามว่า มวลมหาชนนี้ เขารักอะไร ในความเป็นในหลวง รัชกาลที่ 9 เขารักอะไร

เขารักที่ท่านรูปหล่อไหมล่ะ เขารักเพราะท่านรวยไหมล่ะ ไม่ใช่

เขารักในคุณธรรม ในทศพิธราชธรรม ในพระจริยวัตร ในสิ่งที่พระองค์ประพฤติมา 70 ปี นี่ต่างหาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นหลักฐาน ยืนยันได้ อ้างอิงได้ เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยี บันทึกไว้เยอะ แสดงออก สรุปได้เลยว่า ท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ท่านทำ เพื่อมวลมนุษยชาติ และไม่มีขีดคั่นว่า ชาติไหนๆด้วยนะ ทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะเห็นดีเห็นงาม แล้วก็เอาไปดำเนินตามได้

สรุปแล้วเป็นพยัญชนะเลย ในหลวงเราได้ทรงมีพฤติของ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

นี่คือพยัญชนะ ยืนยันนิยามคำว่า ประชาธิปไตย พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่แหละ เป็นตัวนิยามคำว่า ประชาธิปไตยแท้ๆ

สมณะเดินดินว่า...คิดว่าวันนี้ พ่อครูพยายาม ตอบโจทย์สังคมไทย ที่ทุกข์ทรมานกับคำว่า ประชาธิปไตย 80 ปีที่ผ่านมา ดีกว่ามีปฏิวัติช่วยให้หายจุกเสียดไปบ้าง ที่ผ่านมาไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ คือการลดตัวตน ถ้าสังคมเน้นการลดกิเลส มาลดตัวตน มีดร.ปริญญา เทวานฤมิตกุล ยกในหลวง ว่าเป็นต้นแบบของ ประชาธิปไตย (ทั้งที่เขาเอียงไปทางแดง) และบอกว่า สังคมไทยตอนนี้ มีพัฒนาการ ได้พัฒนามนุษยชาติ ขึ้นไปอีกเยอะ

สิ่งที่พ่อครูพูดมาทั้งหมด ก็คงต้องยืนยันกันที่ หลักฐานความจริงว่า สิ่งที่ท่านพูดมานี้ แล้วนักการศาสนาที่พูดมา เขาพูดมาแล้ว ยืนยันได้ไหมว่า มีอะไรเกิดขึ้น ตามที่พูด แล้วตรงตาม พระไตรปิฎกหรือไม่ พ่อครูยกตัวอย่าง สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 สิ่งที่พ่อครูทำมา 46 ปี มันเกิดอะไรขึ้นในสังคม แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นไปตามที่ พระไตรปิฎกกล่าวไว้ไหม

อย่างไรก็ดี สิ่งที่พ่อครูพูด ถ้าพูดตั้งแต่เริ่มต้น สร้างวงกลมใหม่ๆ ก็จะยุ่งมากเลย เอา DNA มาจากพระสารีบุตร เพราะพวกเรา มาศึกษาธรรมะใหม่ๆนั้น ยังติดอยู่ในเทวนิยม ปุคคลาธิษฐาน แต่ทุกวันนี้ พวกเราไม่ได้สนใจหรอกว่า พ่อครูจะเป็นอะไรมาก่อน แต่จะสนใจ ที่พ่อครูทำตอนนี้ ที่จะมาเติมเชื้อสัจธรรม

พ่อครูเคยบอกว่า ถ้าทำเดรัจฉานวิชชา ใช้อิทธิฤทธิ์ ใช้โฆษณา จะทำให้สันติอโศก ปูด้วยทองคำก็ได้ แต่ท่านก็ยังมาจน มาตลอด ไม่ได้ใช้ฤทธิ์เดช ไปทำอะไร และพูดไปสังคมก็ยังไม่เอาด้วยด้วยซ้ำ แต่สักวันหนึ่ง ที่พวกเราเป็นเนื้อเป็นกันทำขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ ที่ท่านบัญญัติไว้ คนจะต้องมาศึกษาตามว่า ประชาธิปไตยที่ท่านบัญญัติไว้ มีกี่ข้อ  วันนี้พวกเราก็ฟังไป เพื่อจากขยายเชื้อที่ทำ นี้ออกไป

ท่านจันทร์เขียนกลอนไว้เร็วๆนี้ท่านเขียนว่า

 

ต้นไม้ที่เกิดเองมักเก่งกล้า

ดูต้นหญ้าน่ายลต้นกระถิน

พืชนอกสายตาทั่วธานินทร์

ทุกที่ถิ่น อด-ทน พึ่งตนเอง

 

มหาบุรุษล้ำเลิศในโลกหล้า

ผู้อยู่นอกสายตาไม่อวดเก่ง

เป็นผู้รู้เป็นผู้ตื่นจิตครื้นเครง

ไม่รีบเร่งแวดล้อมโลกยอมรับ

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:28:50 )

591212

รายละเอียด

591212_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก อวิชชาไม่ได้แปลว่าโง่

สมณะเดินดินว่า… พูดถึงพี่น้องชาติพันธุ์ เขาขนฟักแฟงมา เอาพริกเอาข้าว เอาสับปะรดมาด้วย เอามาฝากพระพ่อด้วย ของพวกนี้ เราไม่ได้ตีราคา เราสื่อถึงน้ำใจ ของที่ปฐมอโศก ทำรายได้เข้าส่วนกลางหลายล้าน แต่ข้าวราคาห้าแสน เอาไว้แจก ก็แจกพี่น้องได้มากมาย มีคุณค่าสูงมาก แต่ถ้าไปตีราคาเป็นเงิน ก็ดูเหมือนไม่มีราคาเท่าไหร่ ของที่นำมาให้นั้น เป็นสิ่งที่มีค่า มีราคาขึ้นทันที

ดูเหมือนการแจก ตอนแรก สามสี่หมื่น ตอนนี้แจกวันละ ห้าหมื่นกว่าแล้ว เมื่อคืน กว่าจะปิดคิว สักการะพระบรมศพได้ ก็ตีสอง ยิ่งงานปีใหม่ คนก็จะมามากขึ้นอีก เป็นโอกาสทองของพวกเรา ที่จะได้ทำกุศล

งาน ว.บบบ. ปีนี้ พ่อครูให้มาลงภาคปฏิบัติ บำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม กันที่สนามหลวงเลย ไม่ต้องเอาเข็มก็ได้

 

พ่อครูว่า...เริ่มต้นที่ sms

Sms 11 ธ.ค. 59

0890529xxx        ดีเอ็นเอ ที่พ่อครูขยายความอยู่นี้ จะถือได้ว่าสืบทอดเป็น "พงศาธรรม" ไช่หรือไม่ ? เปรียบได้เช่น"ธรรมะ"คือต้นราก และ ศาสนาก็คือกิ่งก้าน ที่มาจาก ต้นรากเดียวกัน ขอกราบพ่อครู เมตตาขยายเพื่อศึกษาให้ชัดเจนถูกต้อง กราบขอบพระคุณ ด้วยความเคารพอย่างสูง

ตอบ...ใช่ ถูกต้อง คำว่าสืบทอดทาง DNA หรือพันธุกรรม หรือ genetic มันเป็นสภาวะจริง เป็นอาการของสิ่งที่เขามีเครื่องมือวัดได้ สามารถวัดได้ อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทำกันได้ เวลาจะวัด DNA เขาก็เอารูปธรรม พวกนักศึกษานักรู้ ผู้ที่สามารถด้านนี้ ก็สามารถอ่านออกได้

กรรมพันธุ์นี้ เป็นของๆตนเอง พ่อแม่ปู่ย่าตาทวดที่ทำ ก็เป็นของท่านเอง เราทำ ก็เป็นของเราเอง เราทำกรรมของเราเอง แล้วเราก็เป็นทายาทของกรรม แล้วเราจะสืบทอดกรรมของเราเอง สืบทอดสั่งสมลงในสัญญาความจำ เราสามารถย้อนกลับไปอ่านได้รู้ได้ จับอาการนั้นมาได้เลย ทางรูปธรรม ก็สามารถเอามาที่บ้านคู่เคียงกันได้ ทางนามธรรม ก็ใช้บุพเพนิวาสานุสติญาณได้ เหมือนกับเราระลึกถึงเมื่อวานนี้ก็จำได้ อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ก็ระลึกได้ เท่าที่เราจะมีแรงระลึกได้ 5 ปีที่แล้ว สิบปีที่แล้ว ก็ระลึกได้ หรือข้ามชาติก่อนหยั่งลงสู่ครรภ์ ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ ก็ยอมรับความจริงนี้ได้ เพราะมีหลักฐาน อ้างอิงยืนยันได้ เป็นความจำ ทั้งที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีใครบอก แต่ทำไมรู้ได้ มันมีเหตุปัจจัย ที่ทำให้รู้ว่าใช่ แม้แต่อาตมาเอง ก็มีเหตุปัจจัย

ที่เป็นหลักฐานยืนยันของตนเอง ก็คือธรรมะ ที่มาขยายความ เหตุการณ์อดีต แล้วไปถึงอนาคตได้ ก็อธิบายถึงกันได้ ก็เป็นหลักการ ที่ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาสามารถดูได้ เป็นอิทัปปัจยตา ได้ อย่างนี้เป็นต้น

ผู้ที่ติดตามศึกษา ธรรมะพระพุทธเจ้า ศึกษาปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตาเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้ ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่มีเหตุไม่มีที่มาศาสนาพุทธ ไม่รับว่าเป็นของจริง ความจริงต้องมีที่มา ต้องมีเหตุ ที่เป็นต้นรากมีมูลต่างๆ

0890063xxx        หากบ้านเรามีผู้ปฏิบัติดี และซื่อตรงต่อธรรมวินัย อย่างสันติอโศก ศาสนาพุทธคงดำรงอยู่ ตราบนานเท่านาน สมัยนี้ย่อหย่อน ฟั่นเฝือไปจนบางครั้ง เผลอคิดไปได้ว่า การเปลี่ยนศาสนา จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะดูจะปฏิบัติและลึกซึ้ง อยู่ในเนื้อหาหนาแน่น น่าพำนักพักใจกว่า ของเราอีกนะครับ/Sa nyaBkk.

ตอบ...เรื่องพลังงานทางปัญญานี้ ต้องมีเหตุปัจจัยที่พอสมควร ถึงจะเชื่อถือได้

 

0893867xxx        กราบขอบคุณพ่อครูฯ กับการปกครองโดยธรรม ในประเทศที่ถือประชาธิปไตย 2ข าในระบบกฎหมายไทย ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุด มีองค์ประกอบร่วมคือ สถาบันกษัตริย์กับประชาชน คืออำนาจอธิปไตย เพื่อประโยชน์สุขปวงชนชาวไทยแท้จริงสาธุ! ลูกไทยใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ฯ

ตอบ...อย่างนี้เราเรียก องค์รวมของประชาธิปไตยสองขา คือพระเจ้าอยู่หัวกับประชาชน เรียกโดยศัพท์ว่า ราชประชาสมาสัย  ทำงานสอดคล้อง อย่างศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มีสาธารณโภคี ถ้าของส่วนกลาง หรือสาธารณโภคี มีความจริงสูง ประชาชนก็ทำได้เลย ยุคพระพุทธเจ้าทำได้ แต่ในวงสงฆ์ ฆราวาสทำไม่ได้ เพราะว่าความรู้ทางด้านสิทธิมนุษยชน ฆราวาสมีไม่พอ และตอนนั้นเป็นสังคม ถ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั่วโลกก็ยังเป็นไปไม่ได้ แต่ในยุคนี้ สิทธิมนุษยชน รู้กันทั่วโลกเลย สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่มี ระบบทาสก็ไม่มี สาธารณโภคี ที่เป็นคุณธรรม อันประเสริฐ จึงเกิดได้ในยุคนี้ เพราะรู้จักในสิทธิมนุษยชนสิทธิในการแสดงออก สิทธิในการคิด การแสดงออกทางความเห็น ภายใต้กฎหมาย ซึ่งเข้าใจกันหมดแล้ว เป็นความรู้ทางรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์

         

0893867   จิตเทวดา มีในวิญญาณที่รักมวลมนุษยชาติ ด้วยความเมตตากรุณา ให้กันและกัน อย่างบริสุทธิ์ใจต่อกันและกัน! หาไม่ยาก ในหมู่คนกตัญญูต่อบุพการี และชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ด้วยความจงรักภักดีจริงๆ!     

ตอบ...อันนี้เป็นภูมิธรรมจริงๆ ภูมิธรรมอย่าง ทฤษฎีพระพุทธศาสนา

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ตาบอดแต่กำเนิดแม้หูจะดี ไม่สามารถบรรลุธรรม

                                            ได้สมบูรณ์

0893867xxx        กายไม่ครบ 32 ไม่ใช่เป็นเหตุให้ จิตขาดสำนึก ในจิตวิญญาณ ทำคุณประโยชน์อะไรได้ ไม่เท่าคนครบ32 แต่กายที่มีศีล ครบถ้วนต่างหาก พาให้จิตมีสำนึก เกิดสมาธิในจิต เกิดปัญญาในวิญญาณ ทำคุณประโยชน์ ได้มากกว่าคน ครบ32! แรงบันดาลใจจาก สายพระเนตรข้างเดียวของพ่อฯ !มนุษย์หูเทียม        

ตอบ….อาการ 32 หากไม่สมดุล ก็จะขัดข้อง เจ็บ ปวด อาจลามเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้ทุกข์หนัก จนถึงตายได้

แต่ถ้าไม่ครบก็ได้บ้าง แต่ถ้ามันไม่ครบตั้งแต่เกิด ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งอันนี้ลึกซึ้ง จะใช้เพียงความจำไม่พอ คนที่ไม่ครบอาการ 32 ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะทาง หู ตา เป็นทวารหลัก ทวารใหญ่ ถ้าไม่ครบ นอกนั้นแม้จะครบ แต่ถ้า 2 อันนี้ไม่ครบ ก็หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์

เพราะในความเป็นปัจจุบัน ในการที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จริงๆแล้วแม้แต่หูได้ยิน แต่ตาไม่เห็น ก็ยังยากที่จะบรรลุธรรม ถ้าตาบอดมาตั้งแต่เกิด

จะต้องครบทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย และอื่นๆด้วยซ้ำไป แต่ทำอาการให้ครบ 32 พระพุทธเจ้าจึงจะถือว่า ทำให้อาสวะบางอย่าง หมดไปได้ แต่จะสิ้นอาสวะไม่ได้ เพราะว่าตาไม่ได้สัมผัสจริง  เพราะฉะนั้นตานี่สำคัญมากเลย

จึงต้องมีคำกำกับด้วย “ ต้องผัสสะด้วยตา” และต้อง “ปัจจุบัน”ด้วย นั่นคือสัจจะความจริง ที่ทุกคนรับรองกันหมด

คนตาบอดมาแต่กำเนิด แม้หูจะดี ก็ยังไม่สามารถบรรลุธรรม ได้สมบูรณ์ คนตาดี แต่หูหนวกมาแต่กำเนิด ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่า คนตาบอดแต่กำเนิด

 

0893867xxx        มองไปทั่วโลก ตั้งแต่เกิดจนจะแก่จะตาย! ก็ไม่เคยเห็นประชาธิปไตยขาเดียว ประเทศไหนสร้างธรรมชาติ อุดมสมบรูณ์ ปลอดมลพิษภาวะให้ประชาชน อยู่ดีกินดี อย่างพอเพียง โดยสุขสงบสันติ เท่าประชาธิปไตย 2ขา ในประเทศไทย!    

ตอบ…คุณประมวลความเข้าใจนี้มา ก็ถูกต้อง แต่ยากที่คนจะเข้าใจ ต้องมาสัมผัสจริง คนต่างประเทศ ที่อยู่ในประเทศประชาธิปไตยขาเดียว พูดอย่างไรก็ไม่เชื่อ แต่ถ้าเอาสองอย่างนี้มา เอาเนื้อแท้มาประกบกัน จะเห็นเลย ก็ไม่เอามาเปรียบจะแข่งดีแข่งเด่นเกินไป

 

0893867xxx        คนหากินกับระบอบประชาธิปไตยขาเดียว สร้างสุขสงบสันติภาพ ให้เกิดขึ้น ในประเทศตัวเองไม่ได้ แล้วยังเที่ยวได้ไปทำลาย สุขสงบสันติภาพ ในประเทศที่ถือ ระบอบประชาธิปไตย 2 ขาอยู่ร่ำไป! จริงฤาไม่ พี่น้องไทยทั่วโลกก็สังเกตุดูไป

ตอบ...ก็ได้ระดับหนึ่ง จะมีจิตวิญญาณสูงส่ง อย่างประชาธิปไตย 2 ขาไม่ได้จิตวิญญาณ ยอมเสียสละ ยอมแพ้ ยอมเสียเปรียบได้ แต่สังคมที่ ไม่มีจิตวิญญาณเป็นประชาธิปไตยขาเดียว จิตวิญญาณสามารถเสียสละ จนถึงสามารถเสียสละตนเอง ถึงขนาดตายแทนได้นั้นยาก       

ซ้อนนะ เขาหลอกว่าตายแล้ว จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า อย่างนี้จะทำได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรพรางลวง ซับซ้อน ก็จะเปรียบเทียบได้ ไม่มีใครเสียสละ จนถึงตายหรอก

อันนี้เป็นการเสียสละ ตายแทนผู้ที่สูงส่งกว่าได้ พระโพธิสัตว์หลายองค์ ก็ตายแทนพระพุทธเจ้าได้

 

ต่อไปเป็นบทความใน นสพ.แนวหน้าวันนี้

 

คอลัมน์ สารส้ม กวนน้ำให้ใส

ถ้าบริสุทธิ์ต้องมอบตัวสู้คดี หยุดมอมเมา ปลุกปั่น ด้วยความเท็จ

 

เวลานี้ เครือข่ายธรรมกายกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก

 

ดิ้นรนทำทุกวิถีทาง ระดมคนกันเต็มที่ และปลุกระดมเต็มเหนี่ยว

 

เนื่องจาก “ธัมมชโย” ไม่ยอมเข้ามอบตัวกับ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตามหมายจับ ของศาลยุติธรรม 3 ฉบับ จากศาลจังหวัดสีคิ้ว นครราชสีมา ศาลจังหวัดเลย และศาลอาญา รัชดา

 

เดือดร้อนกันไปทั่ว ทั้งๆ ที่ ยุติปัญหาได้ด้วยคนคนเดียว เข้ามอบตัว ต่อสู้คดีในชั้นศาลยุติธรรม เอาข้อเท็จจริงมาต่อสู้ แต่เจ้าหน้าที่ให้เวลา ให้โอกาสนานนับปี ถ้าไม่บังคับใช้กฎหมาย คงจะมีคนอื่นๆ อ้างแบบนี้บ้าง

 

ขณะนี้ พยายามมอมเมา ปลุกระดม ด้วยความเท็จ อย่างไรบ้าง?

 

1.เฟซบุ๊ค Psanitwong Wuttiwangso หรือ พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย อ้างสมัชชาสงฆ์เถรวาทโลก มีหนังสือ เรียกร้องยุติความรุนแรง ต่อพระเทพญาณมหามุนี

 

หนังสือลงนามโดยพระศาสนรักขิตตะ มหาเถโร เจ้าอาวาสวัด ปันชารีสันติปูร์ อรัญญกุฎิ ประเทศบังกลาเทศ บรรยายเทิดทูน หลวงพ่อธัมมชโย หยดย้อย ก็คนกันเอง เคยร่วมมือ ร่วมงานกันมาโดยตลอด

 

อ้างว่า ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

 

อ้างว่าหมายจับ มีระยะเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-16 ธันวาคมนี้

 

อ้างว่า จะนำมาสู่ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ต่อการล่มสลายของ พระพุทธศาสนา และประเทศไทย

 

เนื้อหาโดยรวมทั้งหมด จัดได้ว่าอ้างมั่ว

 

จับแพะชนแกะ น่าเวทนามาก

 

เอาแค่เรื่องหมายจับ ก็แสดงถึงความไม่รู้เรื่อง เพราะหมายจับนั้น ไม่ได้มีอายุแค่ 4 วันตามที่อ้าง

 

ยังไม่ต้องกล่าวถึงที่อ้างไปไกล ถึงขนาดเป็นความล่มสลาย ของพระพุทธศาสนา

 

ตกลงว่า ธัมมชโย เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนาหรือ?

 

หรือว่าเป็นศาสดาของใคร?

 

หรือเป็นแหล่งเสบียงกรังของใคร?

 

พระและวัดที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีอยู่ทั่วประเทศ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วยเลย ยังสามารถสืบสานพระศาสนาต่อไป ร่วมกับพุทธบริษัท 4

 

2.เฟซบุ๊ค Psanitwong Wuttiwangso ยังพยายามกล่าวอ้าง บิดเบือนสาระสำคัญแห่งคดี ด้วยการอ้างว่า พระไม่ได้ถามว่า โยมเอาเงินมาจากไหน ถึงขนาดนำความเห็น ของพระอื่นๆ มาอ้าง เช่น

 

“โยมเอาเงินมาจากไหน ก็ไม่เคยถาม ไม่มีพระที่ไหนถามหรอก” - โดยพระราชปัญญาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 6 วัดนางชี พระอารามหลวง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ

 

“ไม่ใช่วินัยของสงฆ์ ที่จะไปตั้งแง่ ในจตุปัจจัยไทยทานของโยม” -โดยพระราชสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร

 

ขณะที่เพจเครือข่าย ก็นำไปปลุกระดมขยายความ บิดเบือนกันต่อว่า ถ้าดำเนินคดีธัมมชโย ต่อไปนี้ การรับเงินบริจาคของพระ ก็ทำไม่ได้ ของเอ็นจีโอก็ไม่ได้ จะถูกดำเนินคดีกันหมด!?!?

 

เรียกว่า มั่วสุดๆ

 

นี่คือตรรกะวิบัติที่สุด

 

ความจริง กรณีธัมมชโย รับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์คลองจั่น อันเป็นมูลเหตุในคดีนี้ มีพฤติกรรมแตกต่างจาก การรับบริจาคของพระ และวัดทั่วไป อย่างสิ้นเชิง

 

สิ่งที่ธรรมกายไม่ยอมพูด อมสากไว้ตลอด คือ ความจริงที่ว่า นายศุภชัยนั้น

เคยเป็นไวยาวัจกร ของวัดพระธรรมกาย

 

พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แต่งตั้งให้เป็น “ไวยาวัจกร” ของวัด ตั้งแต่ปี 2542-เม.ย. 2556

 

ช่วงที่จ่ายเช็คให้ธัมมชโย ก็ยังเป็นไวยาวัจกรของวัดอยู่

 

นายศุภชัยระบุว่า ตนกับพระธัมมชโยใกล้ชิดกัน ถึงขนาด มีการเรียกชื่อเฉพาะแทนกัน

 

เคยเข้าไปพบถึงในกุฏิพระ

 

นี่จึงไม่ใช่การที่ใครไม่รู้ เอาเงินเล็กน้อยๆ มาบริจาค แต่เป็นไวยาวัจกรวัด ที่มีหน้าที่จัดการเงินๆ ทองๆ ของวัด ซึ่งเจ้าอาวาส แต่งตั้งตามกฎหมาย

 

เช็คหลายฉบับ มูลค่าร้อยล้านบาท

 

บางวัน จ่ายเช็คใบละร้อยล้านบาท หลายฉบับ

 

รูปการรับเงิน จึงแตกต่างกับการรับบริจาค ของวัดทั่วๆ ไปชัดเจน

 

ความผิดฐานรับของโจร ฟอกเงิน มิใช่จะไปดำเนินคดีกับวัดหรือพระ ผู้รับบริจาคปกติทั่วไป แต่จะต้องเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์ เข้าองค์ประกอบความผิด โดยรู้หรือควรรู้ ว่าเป็นเงิน ที่ได้มาจากการกระทำผิด

 

คำว่ารู้ หรือควรรู้ มิใช่ว่าจะต้องไปถาม ผู้บริจาคเสียทุกคน เขาพิจารณาที่สถานะ ความสัมพันธ์ พฤติการณ์ และเส้นทางการเงิน จะเป็นหลักฐานที่มั่นคงแน่นอนกว่าคำกล่าวอ้างอย่างเดียว

 

วัดอื่นๆ หรือเอ็นจีโออื่นๆ ถ้ารับบริจาคอย่างสุจริต จึงไม่ต้องกังวลอะไรเลย

 

หยุดปลุกปั่นสร้างความสับสน เพียงเพื่อจะใช้พระพุทธศาสนา มาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง

 

3.เฟซบุ๊ค Psanitwong Wuttiwangso ยังโพสต์ข้อความ เพื่อดิสเครดิตหน่วยงานของรัฐ ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อยกมาอ้างเหตุ ไม่เข้าไปมอบตัว ระบุว่า

 

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเคสที่น่าสงสัยมากมาย เช่น

 

1.“ตับแตก” การตายของผู้ต้องหาในคุกของตนเอง และตอบสังคมไม่ได้

 

2.เจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ไปรับเงินจากสหกรณ์ 40 ล้าน

 

3.ให้การเท็จกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีกล้องวงจรปิด

 

4.รับรองให้วีซ่า แก่ผู้ที่พูดให้สังคมแตกแยก

 

5.ดูเหมือนอาจถูกครอบงำ จากผู้ที่มีอำนาจ โดยมีการแต่งตั้งโยกย้าย ที่ผิดปกติ *** ทำให้ไม่อาจไว้วางใจว่า หลวงพ่อธัมมชโย จะได้รับความเป็นธรรม เพราะหน่วยงานนั้น ล้มเหลวทางความน่าเชื่อถือไปแล้ว ***”

 

การแสดงความเห็นเยี่ยงนี้ น่าจะเข้าขั้นจนตรอก อับจนปัญญาสิ้นเชิงแล้ว

 

อันที่จริง ธัมมชโยแสดงออกว่า ไม่เข้ามามอบตัว ตั้งแต่ก่อนจะเกิดเรื่อง ผู้ต้องหาตาย ที่ห้องขังดีเอสไอเสียอีก จึงสะท้อนว่าเป็นการอ้างหาเหตุ อย่างชัดเจน

 

ยิ่งกว่านั้น กรณีทั้งหลายที่กล่าวอ้าง ก็ไม่เกี่ยวกับคดีที่ธัมมชโย ถูกตั้งข้อหาเลย แม้แต่น้อย

 

ถ้าจะอ้างว่า มีความเสียหายในหน่วยงานนั้น ก็เลยไม่เข้ามามอบตัว แบบนี้ โจรทั้งประเทศ ก็คงอ้าง เพื่อไม่ต้องเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรม ไม่รับข้อหา ไม่เข้าไปสู้คดี ในชั้นศาลยุติธรรมต่อไป

 

หรือถ้าศาลยุติธรรม ตัดสินให้ติดคุกแล้ว ก็จะอ้างอีกว่า มีคนตายในคุก จึงไม่ขอเข้าคุก!!!

 

4.ที่เหิมเกริม และบังอาจมากเวลานี้ คือ การเคลื่อนไหว โดยพยายามไปดึง สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการหนีคดี หนีหมายจับ ของธัมมชโย

 

ไม่ว่าจะอ้างงานสวดมนต์ เพื่อเป็นพระราชกุศล

 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังอาจถวายฎีกา แบบไม่สนใจ ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบกฎหมาย และขั้นตอนของกฎหมาย ถือเป็นพฤติกรรมอุกอาจ ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี อย่างที่สุด

 

ที่น่าสนใจ คือ “นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจ ความคิดเห็นของประชาชนล่าสุด เรื่อง การดำเนินคดีพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย (สำรวจระหว่าง วันที่ 6-7 ธันวาคม 2559)

 

ปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.88 ระบุว่า พระธัมมชโย ควรมอบตัวด้วยตนเอง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

 

รองลงมา ร้อยละ 23.12 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และตำรวจ ควรรีบบุกจับกุม พระธัมมชโยโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไป ตามกระบวนการยุติธรรม

 

ร้อยละ 16.8 ระบุว่า คสช. ควรใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปรับเปลี่ยนผู้บริหารวัดพระธรรมกาย และผู้บริหารของมูลนิธิ ที่อิงวัดพระธรรมกาย

 

ร้อยละ 5.68 ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐ ควรมีมาตรการ กดดันให้พระธัมมชโยมอบตัว เช่น ตัดน้ำ ตัดไฟ หรือระบบสื่อสาร ของวัดพระธรรมกาย

 

ร้อยละ 1.52 ระบุอื่นๆ ได้แก่ การจับกุมเป็นไปได้ยาก เห็นมีการยืดเยื้อมานานพอสมควร, กฎหมายไม่หนักแน่นพอ, ควรใช้วิธีการที่เหมาะสม เช่น การเจรจา

 

ธัมมชโย ธรรมกาย และผู้ที่ยังสนับสนุน ช่วยเหลือผู้ต้องหา หลบหนีหมายจับของศาล... ถ้าบริสุทธิ์ต้องมอบตัวสู้คดี หยุดมอมเมา ปลุกปั่นด้วยความเท็จ!

 

สารส้ม

 

มาดูที่ คอลัมส์ ทีมข่าวการเมือง ของแนวหน้า เรื่อง

สังคมระส่ำ กฏหมายไร้ความหมาย เพราะพระเทียมเพียงคนเดียว

 

สังคมตั้งคำถามว่า เป็นเรื่องบังควรเหมาะสมหรือไม่ กรณีที่มีข่าวว่า สำนักจานบิน ได้ออกแบบฟอร์มล่ารายชื่อ บรรดาสาวกให้ได้มากที่สุด เพื่อถวายฎีกาหวังช่วย ธัมมชโย เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ สำนักจานบิน ให้รอดพ้นโทษความผิด ที่ถูกออกหมายจับถึง 3 หมาย และกำลังจะถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง บุกเข้าจับตัวหลังจากส่อพฤติการณ์ ดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัว ตามกฎหมายมานาน

 

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธาน คณะกรรมการปฏิรูปแนวทาง และมาตรการปกป้อง พิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ตั้งข้อสังเกตว่า โดยปกติการถวายฎีกานั้น จะกระทำก็ต่อเมื่อ ผู้ต้องหาได้รับโทษตามความผิดแล้ว จึงถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ โดยผู้ที่ยื่นเรื่องถวายฎีกาได้นั้น ต้องเป็นผู้ต้องหา ขออภัยโทษเอง หรือญาติ เป็นผู้ถวายฎีกาเท่านั้น

 

แต่สำหรับกรณีของ ธัมมชโย นั้นยังไม่ได้รับโทษ ซ้ำเป็นการหนีหมายจับ ตามกระบวนการยุติธรรม จึงไม่เข้าข่ายที่จะถวายฎีกา ดังนั้น การถวายฎีกา ทั้งๆ ที่ขัดกฎเกณฑ์ การถวายฎีกา อีกทั้งธัมมชโยเอง ก็อยู่ระหว่าง การถูกออกหมายจับ ตามกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นเรื่องที่ไม่บังควร และไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจเป็นการทำให้ ระคายเบื้องพระยุคลบาท ดึงฟ้าลงต่ำ เพียงเพื่อให้ธัมมชโย รอดพ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย และตามหมายจับ ซึ่งอนุมัติโดยศาล ซึ่งเท่ากับ ทำลายกระบวนการยุติธรรม หลักนิติรัฐ และความศักดิ์สิทธิ์ ของกฎหมายอย่างสิ้นเชิง

 

นอกจากนี้ การถวายฎีกาในลักษณะนี้ ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐาน อันเป็นการทำลาย กระบวนการยุติธรรม เพราะต่อไป ผู้กระทำผิดกฎหมาย หรืออาชญากร ซึ่งมีอิทธิพล พอถูกออกหมายจับ ก็อาจล่ารายชื่อ เพื่อถวายฎีกา

 

ทั้งนี้หาก ธัมมชโย เป็นสงฆ์แท้ ที่สละแล้วซึ่งกิเลส  และความเห็นแก่ตัว ต้องเข้ามอบตัวสู้คดี อย่างบริสุทธิ์ใจ สงบนิ่งสง่างาม เพื่อพิสูจน์ความถูกผิด ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่พยายามดิ้นรนดื้อแพ่ง อาศัยเหล่าสาวกเป็นเครื่องมือปกป้องคุ้มครองตัวเอง เพื่อให้รอดหมายจับตามกฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงวิกฤตการณ์ ที่จะตามมา

 

นอกจากความพยายามดิ้นรน ที่ไม่บังควร ด้วยการถวายฎีกาแล้ว ขณะนี้ ยังมีข่าวว่า มีการนำรถไปขนคน เข้ามาในสำนักจานบิน จำนวนมาก ขณะที่สถานการณ์ กำลังจะถึงจุดไคลแม็กซ์ ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง กำลังเตรียมจะบุกเข้าควบคุมตัว ธัมมชโย หลังดื้อแพ่งมานาน โดยอ้างว่า สาวกเหล่านี้ มาเพื่อมาสวดมนต์

 

ข้อน่าสังเกตก็คือ การที่ต้องใช้รถ ไปขนเหล่าสาวก ด้านหนึ่งอาจสะท้อนความเสื่อม ของสำนักจานบิน ที่ช่วงหลัง สาวกมีจำนวนน้อยลงมาก จึงต้องทำทุกวิถีทาง ถึงขนาดต้องเกณฑ์สาวก มาชุมนุมปกป้อง ธัมมชโย ให้ได้มากที่สุด และไม่แน่ว่า คนที่ขนมาอาจถูกจ้าง โดยเฉพาะคนต่างด้าว อาทิ ชาวพม่า หรือกัมพูชา เพราะน่าสงสัยว่า สำนักจานบินออกกฎเข้มงวด ห้ามสื่อสัมภาษณ์หรือถ่ายภาพบรรดาสาวก ที่มารวมตัวอยู่ในสำนักจานบิน อย่างเด็ดขาด หรือเพราะเกรงความลับบางอย่าง จะถูกเปิดเผย

 

อีกประเด็นหนึ่ง ที่น่าสนใจก็คือ ผลสำรวจความเห็นประชาชน ทั่วประเทศของนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ล่าสุด ต่อเรื่องการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย สะท้อนว่า ประชาชนเพียงไม่ถึงร้อยละ 1.5 ที่เห็นว่า ธัมมชโย ไม่ได้ทำความผิดใดๆ โดยประชาชนกว่าร้อยละ 90 เห็นว่า เจ้าหน้าที่ ควรบังคับใช้กฎหมาย กับธัมมชโย หรือไม่ ธัมมชโย ก็ควรมอบตัว เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ของตัวเอง

 

ที่สำคัญ เมื่อถามถึงความมั่นใจ ของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ในการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย ภายใน 3 เดือน ตามที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ประกาศไว้ ปรากฏว่า ประชาชนแค่ร้อยละ 14.40 ที่ระบุว่า มั่นใจมาก ร้อยละ 16.40 ค่อนข้างมั่นใจ ที่เหลือไม่มั่นใจเลย หรือไม่ค่อยมั่นใจ

 

เมื่อหันมาดูท่าทีล่าสุด ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ และฝ่ายตำรวจ ซึ่งมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมา มีการเลื่อนเส้นตาย มาแล้วหลายเส้น มาล่าสุดมีรายงานข่าวว่า กำหนดเส้นตายใหม่ เพื่อเผด็จศึกจับ ธัมมชโย อีกแล้วคือเช้าตรู่วันที่ 13 ธ.ค.นี้

 

โดยมีรายงานข่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ สำนักจานบิน มีคำสั่งด่วนที่สุด ถึงตำรวจทุกจังหวัด ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 1 เตรียมความพร้อมกำลังควบคุมฝูงชน โดยให้จ.สมุทรปราการ นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา สระบุรี อ่างทอง และลพบุรี เตรียมกำลังจังหวัดละ 2 กองร้อย จังหวัดสิงห์บุรีและชัยนาทจังหวัดละ1 กองร้อย และให้จังหวัดสมุทรปราการ นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี เตรียมรถขยายเสียง จังหวัดละ 1 คัน โดยขอให้พร้อมปฏิบัติการ ได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง

 

รายงานข่าวระบุอีกว่า ได้มีการประสานไปยังกองทัพ เพื่อขอกำลังทหาร เป็นกำลังสนับสนุน ในกรณีจำเป็นด้วย โดยขณะนี้ มีการวางเจ้าหน้าที่ นอกเครื่องแบบ เข้าประจำจุดรอบสำนักจานบิน เพื่อจับตาความเคลื่อนไหว อย่างใกล้ชิด และตามแผนปฏิบัติการ ในวันดีเดย์ บุกสำนักจานบิน จะมีการวางกำลังปิดล้อม รอบสำนักจานบินทั้งหมด โดยห้ามคนภายนอก เข้าไปภายในสำนักจานบิน อย่างเด็ดขาด เพื่อตัดกำลัง ขณะเดียวกัน จะอนุญาตให้คนภายในสำนักจานบิน ออกมาได้เพื่อเปิดโอกาส ให้เหล่าสาวกที่กลับใจ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่

 

เพราะฉะนั้น เช้าตรู่วันที่ 13 ธ.ค. คงได้รู้กันว่าเส้นตาย จะเลื่อนตามเคยอีกหรือไม่ ท่ามกลางเสียงสะท้อน ของประชาชนส่วนใหญ่ จากผลสำรวจนิด้าโพล ที่ไม่ค่อยจะมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่จะเอาจริง บังคับใช้กฎหมายกับธัมมชโย ซึ่งปัญหาความระส่ำระสาย ปั่นป่วนวุ่นวายทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ล้วนเกิดจากพระเทียม ที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เพียงคนเดียว

 

ทีมข่าวการเมือง

 

พ่อครูว่า...อ่านก็เหนื่อย เรื่องมันมาก นี่คือ ความดึงดันดื้อด้าน คือ ถัมภะ มันดื้อด้านกับคนดี คนไม่ดีเอาประเด็นนี้ไปใช้ เพื่อตัวเองจะได้ดื้อด้านมากขึ้น นี่คือลักษณะ ภิกษุที่ว่ายากสอนยาก เข้าข่ายสังฆาทิเสส ข้อที่ 13 คนที่ว่ายากสอนยาก โทษหนักถึงสังฆาทิเสส ต้องจับเข้าคุกพระเลย ต้องอยู่กรรม เป็นโทษรองจากปาราชิก แต่นี่ก็ปาราชิกแล้ว

 

มาอธิบายวิชาการ คือธัมมชโยนี้ อวิชชาเต็มบ้อง ไม่รู้ ปุญญะเลย เขาก็ไม่รู้อปุญญะ

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฎิจจสมุปบาท) ตอน อวิชชาไม่ได้แปลว่าโง่

 

อวิชชา ไม่ได้แปลว่า โง่ เลย เพราะคนผู้แสนฉลาด(เฉกะ) หาเงินเก่ง เรียนเก่ง คิดเก่ง ทำเก่ง พูดเก่ง โดยเฉพาะโกงเก่ง ทุจริตเก่ง คือคนผู้ฉลาดเฉียบแหลมทั้งนั้น จึงเก่งในการในงานนั้นๆ ได้อย่างมโหฬารใหญ่โต

 

อปุญญะ ก็ไม่ได้แปลว่า บาป เลย นัยะคล้ายกัน เพราะคนผู้แสนทำดี (กุศล) พาคนมาทำดีได้มาก สอนคนทำดีได้มาก คิดดีเก่ง ทำดีเก่ง พูดดีเก่ง โดยเฉพาะโกหกว่าตนไม่ได้โกงเก่ง ไม่ยอมรับว่าตนทุจริตเก่ง คือคนผู้เน้นตนเองในประเด็น ดี สุภาพ เรียบร้อย อวดโชว์ความเป็นระเบียบ เป็นเส้นตรง เป็นความสะอาดของรูปธรรม ของหยาบๆ ตื้นๆ ใช้อ้างอิงเก่ง เพื่อกลบเกลื่อน “กรรม 3” คือ พฤติกรรมที่ตนมีกิเลสมาก กิเลสจัดจ้าน ลึกล้ำ ซึ่งคนรู้ไม่ได้ง่ายๆ คนทั้งหลายส่วนมาก จึงยากที่จะรู้ทัน เชิงชั้นเล่ห์ร้าย นัยะเยี่ยงนี้ของเขา เพราะเข้าใจคำว่า “ปุญญะ” หรือ “บุญ” ด้วย “อวิชชา” ที่เก่ง “เฉโก” จึงเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมมาก ในการสร้างตน สอนคน ครอบงำความรู้ความคิดของคนด้วย เฉโกที่แสนฉลาดเฉียบแหลมของตน จูงจมูกคน ให้งมงายไปกับ “บุญ” และจมอยู่กับ “อวิชชา” อย่างลึกสุดในอเวจี

 

          เพราะกลุ่มคนชนิดนี้ จะไม่เข้าใกล้ความเป็น “วิชชา” ของพระพุทธเจ้าเลย มีแต่ความเฉลียวฉลาดของ “วิชาเดรัจฉาน” ที่จมลึกลงไปในอเวจีนรก อย่างมืดแล้วบอดเล่า

          และจะสร้างตนให้เก่งยิ่งๆ ในการก่อบาปใส่ตน อย่างงมงายมืดหนัก ลงนรกลึกลงไปๆ ไม่หยุดหย่อน ทั้งดื้อด้านดึงดันอย่างไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนดื้อด้านดันทุรังกันได้ปานฉะนี้

          เพราะคนเหล่านี้ ไม่มี “วิชชา” ที่จะรู้จัก “บุญ” เลย จึงเอา “บุญ” ไปปู้ยี่ปู้ยำด้วยความเข้าใจผิดคือ มิจฉาทิฏฐิอย่างร้ายอย่างแรง “บุญ” จึงเป็นมหานรกอเวจีพาเขาตกลงไป อย่างมืดบอดงมงาย ชนิดกู่ไม่กลับกันอย่างที่เห็น และเป็นอยู่ ในกลุ่มคนที่บังอาจเอาคำว่า “ธรรมกาย” ไปเรียกตนเอง

          เพราะความเก่งใน “วิชาเป็นเดรัจฉาน” ของเขา จึงสามารถทำร้ายทำลายความเป็น “กาย” ที่เป็น “ธรรม” ให้กลายเป็น “อธรรม” เป็น “มหาบาป” ได้เก่งยิ่งๆ   เขาสะกดจิต ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ด้วย แล้วทำได้ผล เขาก็ใช้คำว่าบุญเป็นสินค้า ทั้งที่บุญคือกรรมกิริยา ที่ว่าต้องรู้สำเร็จบุญคืออย่างไร ต้องใช้รูป นาม กำจัดกิเลสได้ แต่นี่เขาไม่รู้ จมลึกอวิชชา ยิ่งกว่า อภิบรมมหาปทปรมะ

วิชชาใดที่ทำแล้ว ไม่พาบรรลุโลกุตรธรรม ล้วนเป็นเดรัจฉานวิชชา วิชชาโลกุตระ เริ่มตั้งแต่รู้กายในกาย แยกแยะรูปนาม แล้วเรียนรู้เวทนาในเวทนา แยกเคหสติเวทนา ออกจาก เนกขัมสิตเวทนา แล้วทำให้เวทนาเป็นหนึ่ง ทำให้เคหสิตเวทนาหมดไป เหลือแต่เนกขัมสิตเวทนา

เขาอาจพอฟังเข้าใจตรรกะ แต่ไม่สามารถเข้าถึง จิตวิญญาณตรงนั้นได้ เขาจึงมีแต่อธรรม ไม่มีสิ่งที่เป็นธรรมะ เข้าในจิตเขาเลย เป็นมหาบาป

 

สรุปเบื้องต้น ชาวพุทธหรือคนผู้ศึกษา ควรทำ “วิชชา” ให้ได้ อย่าไปงมงายอยู่กับ “วิชาของเดรัจฉาน” ที่ยังไม่เข้าใจเนื้อแท้แก่นจริงของคำว่า “กาย” กับคำว่า “บุญ” ให้สัมมาทิฏฐิตรง “ธรรม” ของพุทธ กันก่อนเถิด.

 

เริ่มต้นต้องรู้คำว่า “ กาย “ สองเข้าใจคำว่า “บุญ” ให้สัมมาทิฏฐิ ตรงสัทธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้

เข้าใจ “กาย”ได้แล้ว ก็ต้องรู้จัก “ธรรมะสอง” เพราะว่า กายคือธรรมะสอง เทฺวธัมมา หรือในประเด็นกรรมฐาน คือเวทนา

“เวทนา” ที่ถูกรู้ คือความรู้สึก อารมณ์ แล้วเราก็มีสัญญา ทำหน้าที่กำหนดอ่านเวทนาให้ได้ ความรู้สึกสุข ตอนนี้เรากำลังเกิดอาการสุข ตอนนี้เราเกิดอาการทุกข์ กำลังโกรธ กำลังรัก เป็นต้น ต้องอ่านอาการเหล่านี้ออก ตามภาษากำหนดไว้ อ่านอาการให้ตรงกับพยัญชนะ อาการรักกับโกรธต่างกัน อาการทุกข์กับสุข มันมีลิงค มีเพศ ​มีความแตกต่าง

ลำดับของอินทรีย์ มีน้อยมีมาก โลภน้อยโลภมาก เป็นระดับอินทรีย์ มากน้อยสูงต่ำ แต่นี่มันต่าง อย่างเพศ​ต่างกัน คนละขั้ว ผลักกับดูด รักกับชัง

นัยละเอียด เราต้องรู้สภาวะสอง แล้วสิ่งที่เราชัดเจนคือ อนึ่ง อันหนึ่งเป็นกุศล อีกอันหนึ่งเป็นอกุศล ต้องทำให้อกุศลหมดไป หรือความเป็นหนึ่งเอกัคคตา

 (เอก + อัคคะ ) คือหนึ่งที่เลิศยอด คือปรมัตถธรรม ทำจิตใจจากธรรมะสอง ให้เป็นหนึ่งได้

ถ้ากุศล อกุศลก็เอาอกุศลออกไป

ถ้าอันหนึ่งเป็นโลกีย์จิต ไม่ว่าง ก็เอาโลกีย์ออก เอาเหลือความไม่มีโลกีย์

ถ้าเป็นเรียกว่า อิตถีกับปุริสสะ ก็ทำอิตถีภาวะ ที่ยังเป็นรองนี้ ในศาสนาไหนก็มีอิตถีกับปุริสสะ ศาสนาเทวนิยม ก็มี อดัมกับอีฟ อีฟเป็นรอง เพราะเอาซี่โครงซี่ที่เจ็ด ของอดัมมาสร้าง ก็เป็นตำนาน เป็นสิ่งสื่อเรียนมาแต่ไหน ของศาสนาเทวนิยม ก็สอดคล้องกับศาสนาอเทวนิยม ไม่มีปัญหา

คนที่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจกายในกาย ว่าคือสอง กาย ก็มีสอง ต้องเลือกเอากายในกายหนึ่ง ต้องทำกายละเอียด จากเวทนาสอง เป็นเวทนาหนึ่ง

ตัวเวทนาในเวทนา คืออกุศลจิต ต้องฆ่าอกุศลจิตให้ได้ เวทนาที่ไม่มีอกุศลจิตก็เป็นเอก เป็นความจริงตามความเป็นจริง ก็เป็นฐานนิพพาน

อาตมาว่า ตอนนี้พวกเรามีขั้น อรหัตตมรรค หรืออรหัตตผล แต่ยังไม่ถึง อุภโตภาควิมุติ ถ้าสังเกตอ่าน อรูปฌาน อรูปจิต แล้วล้างตัวเอง ที่มีสิ่งที่เล็กๆน้อยๆ ยังไม่พ้นวิจิกิจฉาของตนเอง ก็ยังไม่กล้าพูด

คนที่รู้จักธรรมะว่าคืออะไร จะไปเอาอุตริมนุสธรรมที่ไม่แน่ใจ มาพูดก็เสี่ยง ถ้าเขามีแล้ว เขาไม่พูดไม่เสียอะไร แต่ถ้าเขาไม่มีแล้วพูดนี่เสียเลย ตนเองไม่เป็น แล้วเข้าใจว่าตนเป็น อุตริมนุสธรรมที่ประเสริฐนี่

คนที่รู้จักอุตริมนุสธรรม เขาไม่ทำเล่นกับสิ่งเหล่านี้ เพราะกรรมเป็นอันทำ มีวิบากจริง นอกจากคนที่ประมาท จะไปทำกรรมวิบาก ขั้นปาราชิก หรือสังฆาทิเสส ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

สมีไชยบูลย์ อาตมาพยายามไขความจริง ที่ไชยบูลย์ซ่อนไว้ อาตมาพยายามเปิดเผย ผู้ที่สนใจเข้าใจแล้ว ก็ได้สำทับเข้าไป มีน้ำหนักเพิ่มเติมชัดเจนขึ้น ใช้สำนวนไทยให้ชัดเจน

ผู้ที่อ่านสำนวนที่อาตมาเขียน ก็จะเข้าใจในสิ่งที่ ไชยบูลย์เขาเป็น อาตมาไม่ได้หยาบคายกับเขา แต่เอาความหยาบของเขามาพูด เอาความต่ำเลวหยาบ ของเขามาพูด ก็ใช้ภาษา ให้ตรงกับที่เขาเป็น มันเป็นสิ่งไม่ควรพูด แต่ไม่พูดคนก็ไม่รู้ อาตมาทำงานมา เกือบห้าสิบปีแล้ว ขี่ม้าเลียบค่ายมานาน นี่มาพูดตรงๆ ก็น่าจะชัดกว่า

ต้องชี้ชัดให้ถึงแก่นของความจริง อันเลวร้ายหนักของเขา ต้องแรงต้องเร็วบางทีต้องไม่ให้รู้ตัวด้วย ถึงจะได้ผล บางทีดูเหมือนรุนแรง ก็จริง อาตมาทั้งรุน คือดันผลักให้แรงด้วย จะได้มีประสิทธิภาพ กระทุ้งกระเทือน ถึงผู้ฟังอื่นๆด้วย ที่ปฏิบัติผิดๆ ด้วย ถูกแผลที่เขามีได้ นี่ก็ช่วยกัน เป็นเจตนาของอาตมา

มันสุดทางมันจำนน อาตมาเลี่ยงไม่พ้น มันยาก มันหนา มันด้าน มันทน

ที่อาตมามีท่าทางสุ้มเสียงสำเนียง พยายามจับเอาภาษาตรงๆ แม้หยาบก็มาใช้ จริงๆเขาหยาบกว่าที่อาตมาใช้ภาษาแทนนี้ด้วย

ไม่มีอะไรเลวไปกว่า การหลอกว่า นรกนี้คือสวรรค์ เขายังปักมั่นว่า เขาฉลาด แต่เขาไม่มีปัญญารู้ ความโง่เขลาของเขา

 

พระพุทธเจ้าแยก(ความโง่เขลาของคน)ไว้เป็น...

อวิชชา 8

1.      ไม่รู้..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)

2.      ไม่รู้..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)

3.      ไม่รู้..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ) 

4.      ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)  

5.      ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง

6.      ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง

7.       ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต  อัญญาณัง) .

8.      ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา)

(พตปฎ. ล.34  ข.691  ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)

 

ผู้ใดเกิดชาติใด สัมผัสกับสิ่งใด ก็จะรู้ มีของจริงในคลังความรู้ของคุณ แต่ถ้าอดีต คุณไม่เคยผ่าน ไม่สัมผัสสิ่งนั้นเลย ก็คือ คุณต้องมุขขึ้นมาเอง คิดขึ้นมาเองจินตนาการ วาดวิมาน ไปเองทั้งนั้น จะให้เป็นอย่างไร ปั้นไป เนรมิตเอาเอง เท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีใครเหมือนเลยก็ได้ พวกศิลปินชอบนัก เกินกว่าความเป็นจริงที่เคยมีมา คนจะได้ตามไม่ทัน พิสดารบ้าๆบอๆ ศิลเปรอะจึงเยอะมาก พวก abstract นี่ อาตมาเรียนศิลปะมารู้ดี แล้วขายได้เงินเยอะด้วย เพราะคนโง่ถูกหลอกได้ คนมีเงินถูกหลอกว่าได้สิ่งวิเศษ อวดว่าซื้อมาด้วยเงินมากมาย แล้วมันหมายถึงอะไรก็ไม่รู้ นี่คือ วงการศิลปะหลอกกัน ก็อย่าทำเลย มันบาป แต่สิ่งที่สื่อเนื้อหาอธิบายลึกซึ้งได้ก็ทำดี แต่สิ่งที่สื่อไม่ได้ ตนเองคนทำยังไม่รู้ จะสื่ออะไรอย่างนี้ไม่ดี

มีคนเคยได้รับรางวัลเหรียญทองภาพวาด แต่คนไปถามว่า สื่อหมายถึงอะไร เขาก็บอกว่าไม่รู้ อย่างนี้ก็มี คนนี้ตอนนี้ก็ยังเป็น ศิลปินแห่งชาติด้วย ยังจำภาพที่เขาเขียนได้อยู่ แล้วมันสื่ออะไรก็ไม่รู้ นี่แหละคือคนทำงานศิลปะ ที่ไม่รู้สาระที่ตนเองมุ่ง ก็ไม่เข้าท่า

อาตมาถึงชมง่ายๆ ภาพที่เขาเขียนตัวเป็นสัตว์ แต่เสื้อผ้าเป็นคน อย่างนี้สื่อได้ชัดว่า คนชนิดหมา คนชนิดควาย เด็กยังรู้เลยว่า คนหรือไม่ คนหัวหมา พ่อก็บอกว่า นี่แหละ คนที่ใจชั่วเหมือนหมา ลูกก็เข้าใจได้

ส่วนที่เป็นอดีต คุณทำแล้วก็เป็นอดีต

ส่วนอนาคต คุณทำไปหลอกคนก็ไม่รู้หรอก ถามว่าส่วนอดีตกับอนาคต เหมือนกันไหม ก็ไม่เหมือนกัน แต่ข้อ 7 นี้ทำไมอดีตกับอนาคตเหมือนกัน?

แล้วอะไรในโลกนี้ที่เหมือนกัน ...มี คือ 0 ไง นิพพานไง

ข้อ 7 จึงหมายถึงนิพพาน อดีตก็นิพพาม ปัจจุบันก็นิพพาน อนาคตก็ต้องนิพพาน คนที่นิพพานก็เหมือนกันหมด แต่อันที่ 5 กับ 6 จึงต่างกัน

แต่ส่วนอดีตกับอนาคต ของข้อที่ 7 มันมีอันเดียวต้องเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่เป็นสภาวะจริง

คุณจะรู้อดีต ก็ต้องทำมาถึงจะรู้ อนาคตนั้น อาตมาก็บอกอย่างไม่ได้หลอก ก็บอกว่า ทำให้ได้แล้วจะได้อันนี้ๆนะ

แต่ส่วนทั้งอดีตและอนาคต ข้อที่ 7 นั้นต่างกันไม่ได้ ต้องเป็น 0 เมื่อใดก็ 0 มากก็ 0 น้อยก็ 0 ต้องปฏิบัติเวทนาในเวทนา 108 ให้ชัด เนกขัมมะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างละ 36 เป็น 0 ก็จบ 108

 

สมณะเดินดินว่า… ตอนที่พวกเราไปชุมนุมตอนแรก ถามสังคม เขาไม่เห็นด้วย ก็เหมือนสภาพตอนนี้ ที่พ่อครูพูดเรื่องธรรมกาย คนที่ศรัทธาพวกเรา มาบอกว่า อย่าไปพูดเลย จะเสียศรัทธา ถ้าดูโพลจะเห็นว่า คนอยากให้ลุยมีแค่ 20% คนส่วนใหญ่ ไม่อยากให้จัดการรุนแรง สิ่งที่พ่อครูพูดก็เช่นกัน มีคนเห็นด้วยก็พวก 20% แต่คนส่วนใหญ่ ไม่ตระหนักถึงโทษภัยเลย เพราะว่าเขาแม้ตอนนี้ ก็ยังพูดว่า ตนเองจะชนะเสมอ ชนะคือตำรวจจัดการไม่ได้ เท่าไหร่ๆเขาก็ชนะได้เสมอ เขาก็พูดได้อย่างสบายใจว่า ทำใจให้สบายๆ ก็ต้องเป็นงานของพ่อครู ที่หนักขึ้น

สิ่งที่พ่อครูพูดวันนี้คนอาจไม่ยอมรับ แต่ต่อไปไม่ต้องรีบร้อนต้องรอเวลาที่ความจริงจะเปิดเผยคนถึงยอมรับ

ต้นไม้ที่เกิดเองมักเก่งกล้า

ดูต้นหญ้าน่ายลต้นกระถิน

พืชนอกสายตาทั่วธานินทร์

ทุกที่ถิ่น อด-ทน พึ่งตนเอง

 

มหาบุรุษล้ำเลิศในโลกหล้า

ผู้อยู่นอกสายตาไม่อวดเก่ง

เป็นผู้รู้เป็นผู้ตื่นจิตครื้นเครง

ไม่รีบเร่งแวดล้อมโลกยอมรับ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:29:21 )

591213

รายละเอียด

591213_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ใจกลางหัวใจศาสนาพุทธคืออะไร

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2559 ตอนนี้ข่าวคราวของวัดธรรมกาย ก็มีการฟ้องนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกวัดพระธรรมกาย ข้อหาปลุกปั่นยุยงประชาชน ตอนนี้ศาลอนุมัติหมายค้น แต่ว่าหมายค้น ที่ออกมาวันนี้ หมดอายุเย็นนี้ ก็เลยไม่ได้ค้นวัด ซึ่งก็มีข่าวอีกว่า ศาลจะออกหมายค้นอีก 4 วัน ตอนนี้เขาก็เอา แท่งแบริเออร์ เอาเสาเข็ม มาวางขวางถนนไว้ มีการโรยตะปูเรือใบ ให้รถโดนเจาะยาง แต่ทางธรรมกายก็บอกว่า คนที่ทำคือมือที่สาม ตอนนี้คนมาเยอะมาก เขาก็ไม่รู้ว่า มีมือที่สามหรือเปล่า ดูเหมือนว่าความรุนแรงนั้น ทางธรรมกาย จะพูดอยู่ตลอดเวลาว่า เขาควบคุมไม่ได้ทุกคน โฆษกว่า เวลาตกใจเขายกตุ่มขึ้นได้นะ

คงเหมือนกับที่มีคนบอกว่า ในยุคนี้มีการชี้ชัดสัจจะ ซึ่งถ้าไม่ใช่ยุค คสช.ก็คงทำอะไรไม่ได้ พ่อครูคงมีอะไร น่าตื่นเต้นกว่านี้ มาบอกพวกเรา

พ่อครูว่า...ตื่นเต้นหรือไม่ก็ไม่รู้นะ เหตุการณ์ที่เขาอ้างตัวว่า เป็นศาสนาพุทธเป็นวัด เป็นสถานที่ ที่รวมของภิกษุ ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ อาตมาก็ขอยืนยันว่าธรรมกายไม่ใช่วัด ไม่ใช่วัดตามศาสนาพุทธเลย การสร้างอาคาร การสร้างอะไรต่างๆ ไม่อยู่ในหลักพระธรรมวินัยเลย อาคารต่างๆ หรือวิหารที่จะใช้สอย ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ให้มีเรือนยอด ไม่ให้มีเรือนชั้น มีแต่เรือนโล้น ในธรรมวินัยพระพุทธเจ้าเลยนะ แต่นี่เขาสร้าง อย่างใหญ่โตมโหฬาร วิตถาร เกินกว่าคนโลกๆ ฆราวาสเขาสร้างด้วยซ้ำไป

ที่เขาเรียกตนเองว่า ธรรมกาย เอาชื่อธรรมกาย มาตั้งเป็นชื่อพวกตนเองด้วย อุจาดมาก อุบาทว์มาก มันไม่ใช่วัดของศาสนาพุทธเลย ทั้งสถานที่ และสิ่งก่อสร้าง วิธีจัดสรร อาณาบริเวณ พร้อมทั้งพฤติกรรม ตั้งแต่ตัวใหญ่ที่สุด คือธัมมชโย ไม่ใช่พฤติกรรมของภิกษุ ในศาสนาพุทธเลย ก็ขอพูดตามหลักวิชาการ ธรรมวินัยเลยว่า ที่เขาเรียกตัวเองว่า วัดธรรมกายนี้ ที่เถรสมาคมนับถือ ว่าเป็นวัดๆหนึ่ง ก็ไม่เข้าใจแล้วว่าเป็นวัด หรือไม่ใช่วัด แม้แต่วัดในมหาเถรสมาคม ก็ไม่เข้าตามหลักพระธรรมวินัย มันไม่ใช่ลักษณะสถานที่ ทำการรวมภิกษุ ให้มาเป็นที่พำนักของภิกษุ เพื่อปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ มันไม่ใช่ อาตมาพูดตามหลักวิชาการ ธรรมวินัยของศาสนาพุทธ ไม่ได้ใส่ความ ถ้าอาตมาพูดนี้ผิด ก็บอกได้ ว่าอาตมาพูดไม่ตรง หรือเขาทำตรง ก็อย่างใดท้วงมาได้ อาตมาพูดด้วยใจเป็นกลาง ด้วยความปรารถนาดี

สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องตำหนิ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง แม้ว่าอาตมาพูดไป จะไม่มีน้ำหนัก แต่ก็ต้องพูด เพราะเป็นสัจจะที่ต้องกล่าว เป็นการรักษาศาสนา

 

จะอ่านบทความของสารส้ม กวนน้ำให้ใส

บังอาจเกินไปแล้ว นายองอาจ เป็น หรือเคยเป็นลูกน้อง นายศุภชัย หรือไม่?

 

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2559 นายองอาจ ธรรมนิทา คนที่อ้างตัวเป็นโฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย แถลงการณ์โจมตี ให้ร้ายการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่ดำเนินการตามกฎหมาย ตามหมายจับของศาลยุติธรรม แล้วยังบังอาจ กล่าวถึงสถาบันเบื้องสูง โดยหวังประโยชน์บางประการ อย่างไม่บังควรที่สุด

 

1. ในการแถลงอ้างว่า ทางวัดจัดพิธีบำเพ็ญกุศล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ไม่ควรที่จะมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น แล้วยังบังอาจอ้างว่า ขอพึ่งพระบารมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และยังได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 มาใช้ประกอบการแถลงข่าวด้วย

 

บังอาจเกินไปแล้ว

 

ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับของศาล ซุกอยู่หลังวัด หลังผู้หญิง แล้วยังนำพระบรมฉายาลักษณ์ มาบังหน้า

 

2. ในถ้อยแถลงของนายองอาจ มีเนื้อหาสร้างความเข้าใจผิด แก่สาธารณชน และอาจมีผลปลุกปั่น ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เช่น

 

อ้างว่า การสอบสวนดำเนินคดี ไม่ถูกต้อง การบริจาคเงิน เพื่อเยียวยาแก่สหกรณ์คลองจั่นแล้ว สหกรณ์ถอนฟ้องแล้ว ขอบคุณมาแล้ว...

 

แท้จริง คดีที่สหกรณ์ถอนฟ้อง คือคดีแพ่ง แต่ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ คืออาญา ฐานฟอกเงิน รับของโจร โดยที่มีนายธรรมนูญและพวก กว่าร้อยคน เป็นผู้เสียหายตัวจริง มีสิทธิแจ้งดำเนินคดี ตามกฎหมายทุกประการ ยิ่งกว่านั้น การยอมคืนเงิน ก็เป็นการบ่งบอกในตัวว่า ธัมมชโยได้เงินสหกรณ์คลองจั่น ไปจากนายศุภชัยจริงๆ การดำเนินคดีอาญาต่อไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เทียบกับกรณี โจรปล้นธนาคาร แม้ได้เงินคืนแล้ว คดีอาญาก็ต้องดำเนินต่อไป

 

อ้างว่า คดีบุกรุกป่า ไม่มีความผิดเลย แต่มีการไปขอออกหมายจับ

พระเทพญาณมหามุนี

 

แท้จริง กรณีดังกล่าว ศาลจังหวัดสีคิ้ว นครราชสีมา พิจารณาแล้ว เห็นควรอนุมัติหมายจับ การกล่าวหาเช่นนี้ หมิ่นเหม่ละเมิดอำนาจศาลมาก อันที่จริง ถ้ามั่นใจในพยานหลักฐาน ก็สามารถต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ในชั้นศาลยุติธรรม ไม่ต้องระดมมวลชน เปลืองกำลังเจ้าหน้าที่ เข้ามามอบตัวคนเดียว เหมือนคนอื่นๆ ในสังคม ก็จบแล้ว

 

อ้างว่า กสทช. ปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม DMC ทั้งที่เนื้อหา มีแต่การสวดมนต์ นั่งสมาธิ สอนธรรมะ

 

แท้จริง ถ้ามีแต่กิจกรรมเหล่านั้นอย่างเดียว คงไม่มีใครปิดได้ แต่จริงๆ คือ มีการนำเสนอข้อมูล ให้ร้ายโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เข้าใจผิด ต่อการบังคับใช้กฎหมาย ระดมคน อ้างว่ามาร่วมกิจกรรมทำบุญ แต่พฤติการณ์จริงที่ผ่านมา มีการตั้งแถว จอดรถ กีดขวางบนถนน ขัดขวางการจับกุม ล่าสุด ถึงขนาดเอาตู้คอนเทนเนอร์ มากั้นประตูวัด นี่หรือที่อ้างว่า มาปฏิบัติธรรม?

 

อ้างว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ จะทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตาย จำนวนมาก จะกลายเป็นข่าวอื้อฉาว สร้างความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ประเทศชาติ ในสายตาชาวโลกอย่างยิ่ง และจะเป็นบาดแผลความขัดแย้ง อย่างลึกซึ้ง ระหว่าง สถาบันชาติ กับสถาบัน พระพุทธศาสนา อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประวัติศาสตร์ชาติไทย

 

ความจริง การเข้าตรวจค้น จับกุมพระธัมมชโย จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่มีการขัดขวางเจ้าหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่ มีหมายจับของศาล และจะมีหมายค้นจากศาลไปด้วย ถ้านั่งปฏิบัติธรรมกัน ในห้องสวดมนต์จริงๆ ไม่มาขัดขวางเจ้าหน้าที่ แล้วมันจะเกิดความสูญเสียได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้น ในกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ไม่มีแรงจูงใจอะไรเลย ที่จะทำร้ายใคร เพราะจะไปจับคนคนเดียว ตรงกันข้าม ถ้าเกิดความสูญเสีย เกิดการยิงคนตายในวัด คนที่จะได้ประโยชน์คือใคร? คือคนที่กำลังหลบหนี หมายจับของศาลอาญา ใช่หรือไม่? เจ้าของสถานที่นั่นเอง จะต้องรับผิดชอบ ไม่ยอมจัดการ ให้ผู้ต้องหาตามหมายจับ ออกมามอบตัว ตามกฎหมายบ้านเมือง

 

และที่สำคัญ พยายามจะบิดเบือนว่า เป็นความขัดแย้ง ระหว่างสถาบันชาติกับสถาบันพระศาสนา ทั้งๆ ที่ ไม่เกี่ยวอะไรกับพระสงฆ์รูปอื่นๆ วัดอื่นๆ เลย เป็นเรื่องการหลบหนีหมายจับศาล ของพระธัมมชโยคนเดียว

 

พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติปฏิบัติชอบ ทั่วประเทศ ไม่มีอะไรต้องเดือดร้อน ไปกับการจับกุมพระธัมมชโย

 

พระธัมมชโย ไม่ใช่ศาสดาของพระพุทธศาสนา

 

ถ้าสึกพรุ่งนี้ หรือต่อให้จากไปเสียพรุ่งนี้ พระพุทธศาสนา ก็ยังอยู่ต่อไปได้

 

3. นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หลังเข้าเจรจาหลายรอบ เปิดเผย ผลการหารือ สรุปว่า ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ขอหลักประกัน ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทาง พศ.จึงระบุชัดว่า ข้อเสนอนั้น ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ พศ. เป็นเรื่องของการดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งทางวัดพระธรรมกาย สามารถใช้สิทธิต่อสู้คดี ตามกฎหมาย

 

“เพื่อความสงบเรียบร้อยของศาสนจักร และอาณาจักร ขอให้พระเดชพระคุณ พระเทพญาณมหามุนี ใช้สิทธิต่อสู้คดี ตามกฎหมาย จะเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติ และพระพุทธศาสนา”

 

นี่ขนาด พศ. ที่เคยมีท่าทีอุ้มพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย มาโดยตลอด ยามนี้ ยังระบุว่า ให้ตัวธัมมชโย ต่อสู้คดีตามกฎหมายเถิด

 

 

 

4. น่าสงสัยว่า ทำไมนายองอาจ ถึงออกหน้าถึงขนาดนี้ ?

 

เพราะศรัทธาอย่างเดียว? หรือมีผลประโยชน์ส่วนตัวอันใด ร่วมอยู่กับเครือข่ายธรรมกาย และนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหา และผู้ต้องโทษ ในคดีที่ศาลตัดสินแล้วว่า โกงสหกรณ์คลองจั่น?

 

นายศุภชัย เคยเป็นไวยาวัจกรวัดพระธรรมกาย ที่ธัมมชโยแต่งตั้ง

 

นายองอาจ ไม่รู้จักนายศุภชัยเลยหรือ? เวลาแถลงข่าว ไม่เคยกล่าวถึงความสัมพันธ์เหล่านี้เลย

 

จากการตรวจสอบ ทราบว่า นายองอาจ ธรรมนิทา เคยทำงานในเครือข่ายของบริษัท สหประกันชีวิต จำกัด ที่มีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร เคยเป็นประธานกรรมการ

 

อย่าลืมว่า บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด เป็นหนึ่งในองค์กร 19 แห่ง ที่ดีเอสไอตรวจสอบ พบว่า นายศุภชัย จ่ายเช็คจำนวน 78 ฉบับ โดยไม่มีมูลหนี้ อาจเข้าข่ายฟอกเงิน ความเสียหายรวม 2,296 ล้านบาท ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการสอบสวน

 

นายองอาจ เกี่ยวข้องอะไรกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร? ปรากฏว่า

เคยถูกเรียกใช้ ให้ไปดำเนินรายการ ที่มีนายศุภชัยไปพูดหลายครั้ง

 

นายองอาจ เกี่ยวข้องอะไรกับ บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด? เคยเป็นพนักงานระดับไหน? ช่วงไหน?

 

รายงานการประชุมข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานราชการ ครั้งที่ 6 /2555 วันที่ 12 มีนาคม 2555 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมปทุมทอง สำนักงานสหกรณ์จังหวัดปทุมธานี สะท้อนถึงบทบาทของนายองอาจ ว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทสหประกันชีวิต ระบุว่า

 

“4.2.2 การเข้าร่วมกิจกรรมโครงการ “สหประกันชีวิตพบผู้นำสหกรณ์”...

 

... บริษัทต้องการตัวแทนจำหน่าย เป็นจำนวนมาก ซึ่งสหกรณ์สามารถเป็นศูนย์ ขยายธุรกิจในการประกันได้ จึงมีความเห็นว่า สหกรณ์ในพื้นที่ 1-3 น่าจะมีศูนย์การขยายธุรกิจการประกัน หากมีสหกรณ์ใดสนใจ สามารถติดต่อได้ ที่ศูนย์ประสานงานโครงการ ฝ่ายการตลาดประกันชีวิต คุณณัฐพลัฏฐ อนุรักษ์ เจ้าหน้าที่ประสานงาน สหกรณ์ประจำพื้นที่ โทร... คุณองอาจ ธรรมนิทา ผู้จัดการฝ่ายตลาดประกันชีวิต โทร 081-8754...” (จริงๆ มีเบอร์โทรครบ)

 

นายองอาจ ตอบด้วย

 

ในฐานะที่กำลังเคลื่อนไหว เกี่ยวกับคดีที่มีนายศุภชัย ร่วมเป็นจำเลยอยู่ในวันนี้... ตกลงว่า เป็น หรือเคยเป็นลูกน้องของนายศุภชัย จำเลย ผู้ต้องหา และผู้ต้องขังคดีโกงสหกรณ์ ด้วยหรือไม่?

 

สารส้ม

พ่อครูว่า นักข่าวพวกนี้ เขามีข้อมูลหลักฐานดีเยอะด้วย เราไม่มีปัญญาหาข้อมูลอย่างเขา ขอยกย่องชมเชย อ้างอิงข้อมูลดี ทำให้คนอ่าน ได้รับความรู้ความเข้าใจ

ของทีมข่าวการเมือง ผ่าประเด็นร้อน หัวข้อว่า สำนักจานบิน บังอาจดึงฟ้าต่ำ ตะแบงชวนเชื่อ อุ้มธัมมชโย ?

 

หลายคนที่ฟังคำแถลง ของนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อ ของสำนักจานบินแล้ว อยากจะอาเจียน และสะท้อนให้เห็นถึงภาวะอาการจนตรอก ของธัมมชโย และสำนักจานบิน ที่ถึงกับส่อพฤติการณ์ บังอาจดึงฟ้าลงต่ำ และทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท ด้วยการล่าชื่อสาวก สำนักจานบิน ยื่นถวายฎีกา เพื่อช่วยธัมมชโย ที่เป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับ

 

เรื่องถวายฎีกานั้น ลองมาฟังความเห็นของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษา หัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ชี้ชัดว่า การขอพระราชทานอภัยโทษ มีบัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 ว่า “ผู้ต้องคำพิพากษา ให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราว ต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้นั้น ผู้ที่ขอรับพระราชทานอภัยโทษ ต้องถูกฟ้องคดีต่อศาล และศาลมีคำพิพากษา ถึงที่สุด ให้ลงโทษแล้ว”

 

แต่ในกรณีของ ธัมมชโย ยังไม่ได้ถูกฟ้องคดีต่อศาล และศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา ถึงที่สุดให้ลงโทษ เมื่อศาลยังไม่ได้ลงโทษ จึงไม่มีโทษที่จะขอรับพระราชทานอภัยโทษ ตามบทบัญญัติของ มาตรา 259 ได้ อีกทั้งการยื่นฎีกาดังกล่าว ธัมมชโย ก็ไม่ได้ยื่นด้วยตัวเอง และกลุ่มบุคคลที่ยื่น ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิดคือ บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของ ธัมมชโย

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีกฎหมายฉบับใด บัญญัติให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมาย หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานของรัฐ ดำเนินคดีแก่ผู้ถูกกล่าวหา ว่ากระทำผิดกฎหมายได้ การถวายฎีกาดังกล่าว จึงไม่มีบทบัญญัติของกฎหมาย รองรับให้กระทำได้

 

มาทางด้านคำแถลงของโฆษก สำนักจานบิน ที่ส่อพฤติการณ์เหิมเกริม เชิงข่มขู่ กดดันอำนาจรัฐ ขณะเดียวกัน สำนักจานบิน ก็ส่อแอบอ้าง ดึงฟ้าลงต่ำ โดยแถลงการณ์สำนักจานบิน กล่าวถึงการถวายฎีกา มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า “เรื่อง การกราบบังคมทูลฯ ถวายฎีการ้องทุกข์ ขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ระงับเหตุรุนแรง อันจะบังเกิดขึ้นได้ ระหว่างสถาบันชาติ กับสถาบันพระพุทธศาสนา...........ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส.โดยการนำของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ทำให้คณะศิษย์วัด มีความรู้สึกว่า พระธัมมชโย และวัดพระธรรมกายถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดี สร้างความรู้สึก ทุกข์ร้อนคับแค้นใจ อย่างแสนสาหัส การที่จะมีการใช้กำลัง บุกจับพระธัมมชโย ถือเป็นการเตรียมการใช้ความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผล ให้มีผู้บาดเจ็บ ล้มตายจำนวนมาก และอาจส่งผลกระทบ เป็นความขัดแย้ง อย่างรุนแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์ ระหว่างสถาบันชาติ กับสถาบันพระพุทธศาสนา อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน........ ในช่วงเวลานี้ ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ร่วมใจกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นประจำทุกวัน และเป็นโอกาสมหามงคล ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นมิ่งขวัญของ ประชาชนชาวไทย ซึ่งในช่วงนี้ เป็นช่วงที่คนไทย ควรสมานฉันท์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ควรมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ

พ่อครูแทรกว่า เขามีความเห็นว่า ขณะนี้คนไทย กำลังแสดงความอาลัย ต่อรัชกาลที่ 9 และอยู่ในช่วงต้นรัชกาลที่ 10 ไม่ควรจะให้มีเหตุการณ์รุนแรง เขาก็ว่าให้เจ้าหน้าที่ หยุดทำหน้าที่ เขาใหญ่จริงๆนะ ตกลงใครจะปู้ยี่ปู้ยำประเทศ อย่างใดก็ได้สิ บอกให้เจ้าหน้าที่ ไม่ต้องทำอะไร คือพูดเอาแต่ได้จริงๆ ความเห็นแก่ตัว จัดจ้าน มากที่สุดจริงๆพวกนี้

 

........เวลานี้ เหลือที่พึ่งสุดท้ายหนึ่งเดียว ที่พึ่งได้คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงจำเป็นต้องขอพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูล ถวายฎีการ้องทุกข์ ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อันเปรียบประดุจพระบิดา ของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ เพื่อขอพึ่งพระบารมี ให้ยุติการดำเนินคดีที่มิชอบ ดังกล่าวข้างต้น และมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้ความรุนแรงทำร้าย ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ต่อประชาชน ผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นผู้หญิงและคนชรา”

 

นั่นคือสาระสำคัญโดยสรุป ในแถลงการณ์ของ สำนักจานบิน ขณะที่โฆษกกระบอกเสียง โฆณาชวนเชื่อ สำนักจานบินอธิบายเสริม สรุปบางตอนได้ว่า “คณะศิษยานุศิษย์ รู้สึกทุกข์ร้อนกังวลว่า กลายเป็นเรื่องบาดหมางรุนแรง ระหว่างสถาบันชาติ กับสถาบันศาสนา........ คณะศิษยานุศิษย์ คณะสงฆ์และชาวพุทธทั่วโลก ได้จับตาดูสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด องค์กรพุทธนานาชาติ จำนวนมาก ได้ทำหนังสือทักท้วงไปยัง ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ขอให้ระงับยับยั้ง การใช้ความรุนแรงต่อพระสงฆ์ ชาวพุทธ และวัดในพระพุทธศาสนา “

 

จากแถลงการณ์ของสำนักจานบิน และคำแถลงของโฆษก ของสำนักจานบิน สรุปได้ว่า เป็นการโฆษณาชวนเชื่อตะแบง ใช้สารพัดข้ออ้าง เพื่อช่วย ธัมมชโย ให้รอดหมายจับ และบังอาจแม้แต่การอ้าง อันส่อเป็นเท็จ ขึ้นกราบทูลเบื้องสูง โดยพยายามอ้างว่า ปัญหาของ ธัมมชโย ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นเรื่องการกลั่นแกล้ง ทั้งๆที่การออกหมายจับ ต้องขออำนาจจากศาล และที่อ้างว่า การจับ ธัมมชโย จะนำไปสู่ความรุนแรง ระหว่างสถาบันชาติ และสถาบันพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ความจริง การออกหมายจับ ธัมมชโย 3 หมายจับครั้งนี้ เพราะ ธัมมชโย ทำผิดกฎหมายใน 3 ข้อหาคือ ฟอกเงินและรับของโจร คดีโกงเงิน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ครอบครองและรุกป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อตั้งเป็นสาขาสำนักจานบิน ที่เขาใหญ่ จ.นคราชสีมา และที่จ.เลย หลายร้อยไร่ อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ พยายามเจรจาผ่อนปรน ให้มอบตัวแต่โดยดี มานานหลายเดือน แต่ ธัมมชโย ถือดีในอิทธิพลของสำนักจานบิน ทำตัวดุจรัฐอิสระ อยู่เหนือกฎหมาย ดื้อแพ่ง ไม่ยอมมอบตัว พิสูจน์ตัวเอง ตามกระบวนการยุติธรรม

 

ส่วนที่อ้างว่า การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยการบุกจับ “ธัมมชโย” จะทำให้ มีการบาดเจ็บล้มตาย จำนวนมากนั้น ปัญหาอยู่ที่ ธัมมชโย และสำนักจานบิน ไม่ใช่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และฝ่ายเจ้าหน้าที่ ย้ำมาตลอด ว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง และเรียกร้องให้ ธัมมชโย มอบตัว เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ตามกระบวนการยุติธรรม ปัญหาจะได้คลี่คลาย

 

ดังนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้น หากจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายล้วนเกิดจากธัมมชโย และแกนนำสำนักจานบินไม่กี่คน ที่เห็นแก่ตัว ส่อเจตนาปลุกระดมสาวกจานบิน ให้ออกมาขัดขวางเจ้าหน้าที่ เพื่อปกป้องธัมมชโย และที่หลายคนสงสัยก็คือ ไม่แต่สาวกจานบิน ที่ถูกระดมหรือหลอก ให้มาเป็นโล่มนุษย์ แต่อาจจะมีกองกำลังลึกลับ ที่แฝงตัว พร้อมที่จะปะทะ กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ หวังปกป้องธัมมชโย อย่างถึงที่สุด

 

ทีมข่าวการเมือง

 

พ่อครูว่า สรุปแล้ว ดื้อด้านดึงดันได้ ดึงดันดี อาตมาเกิดมาอายุ ย่างเข้า 83 ปี พึ่งเคยเห็น สุดยอด ไม่ใช่ไปเอาสีข้างเข้าถูนะ แต่เอาหน้าด้านๆ เข้าถูซื่อๆเลย ศาลก็มีแจ้ง DSI ก็แจ้งข้อกล่าวหา เป็นหน้าที่ขององค์กรต่างๆ จะผิดหรือไม่ผิดคุณก็มารับสิ แต่นี่ไม่เลย คนๆนี้เป็นคนไทยหรือเปล่า หรือเป็นเทวดา คนอื่นเขาก็เห็น แต่พูดไม่ออก แต่อาตมาพยายามพูด

จะเห็นได้ว่า เมืองไทยเกิดการบริหาร เกิดการปกครองประเทศ กันมาถึงวันนี้แล้ว เราอยู่ภายใต้กฎหมาย ของประเทศ ตอนนี้ กฎหมายของประเทศ มันไม่ใช่ไม่มีน้ำยา มันไม่มีน้ำกรด ไม่มีน้ำซีอิ๊ว ไม่มีรสมีฤทธิ์อะไรเลย น้ำยาคือน้ำที่จะไปรักษาโรค แต่นี่ไม่มีน้ำอะไรเลย เหมือนน้ำรดหัวตอ รดมันก็เฉย

 

อาตมาขอกล่าวโทษ เพราะว่าบ้านเมือง บริหารปกครอง อย่างใช้กฎหมายไม่ได้มีประสิทธิภาพเลย อ่อนปวกเปียก อ่อนแอมาก ให้คนๆหนึ่ง แล้วก็สร้างมวลประชาชน เป็นกำแพง เข้าข่ายผีบุญ เพราะเขาครอบงำประชาชน เป็นอั้งยี่ ให้มวลประชาชน ต้านกฏหมายของประเทศได้ เข้าข่ายผีบุญ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ผีบุญมีโทษ คือประหารชีวิต เป็นการกบฏ ต่อกฏหมายของประเทศ เป็นการใช้กฎหมู่ อยู่เหนือกฎหมาย ตอนนี้รัฐ จะใช้อำนาจกฏหมายไม่ออก เขาขู่ว่า อย่าให้เกิดความรุนแรงนะ อย่าให้ตกใจนะ

 

SMS วันที่ 12 ธันวาคม 2559 

0879769xxxสำนวนธัมมี่ พูดเสมอว่า ถอนเงินฝาก ปิดบัญชีมาสะสมบารมีรวยกันไปเลยนะจ๊ะ

0893867xxxจำศึกผ่านฟ้า ทีมวลมหาประชาชน ชุมนุมมือเปล่า! รัฐม๋าต๋าเผด็จศึก นักบวชกองทัพธรรม ญาติธรรม สตรีเด็กคนชรา ไหว้โล่ห์ปะหลกๆ ใช้คอมมูโด้หญิงชุดดำออกศึก ไร้รุนแรงได้! ทีจานบินไม่กล้า! คราวกากี อก3ศอกโยนน้อยหน่า ใส่คนถือศีล8 ทานมังสะวิรัติ แล้วเด้งกลับไปโดนเอง ทำไมกล้าทำได้ล่ะ? ญตธ.ยังยอมสงบกันได้ ยธ.ทำคดีทุจริตฟอกเงิน เกรงกระทบพิธีมงคล ก็เลื่อนไป ฤาออกหมายฯแล้วเกรงภาพลักษณ์ ก็ใช้กองร้อยญ.กองพันสตรี ที่อ่อนนอกแต่แข็งใน ก็เลี่ยงรุนแรงได้ดีกว่าใช้คอมฯชุดดำเสี่ยงรุนแรง!

0890015xxxพระจริงสละชีพรักษาธรรม พระปลอมยอมสละหมู่รักษาตน ใช้สัจธรรมได้ทุกประสบการณ์ชีวิต!สกก.

ธัมมชโยคือหุ่นเชิดกลุ่มผลประโยชน์เหลือบผ้าเหลือง

ทักษิณกับธัมมชโย ใครดีกว่า

พ่อครู ตอบว่า ธัมมชโยชั่วกว่า เพราะดึงศาสนาต่ำ

 

0890529xxxวันนี้ได้ฟังพระคุณเจ้า ท่านพรหมคุณาภรณ์ เมตตาข้อธรรมะไว้ว่า " ปัญญา " มีคุณค่ามีความสำคัญยิ่งกว่า " เงิน " สาธุ !

0893867xxxอยู่ในความวุ่นวาย ก็ใช้ความสงบได้! อยู่ในความรุนแรง ก็ใช้ความอ่อนโยนได้! อยู่ในความยากจนขัดสน ก็ใช้ความประหยัดพอเพียงได้! อยู่กับโลกธรรมก็

0893867xxxกราบขอบคุณพ่อครูกับธ.อวิชชาสวะ8 ตั้งแต่ไม่รู้ทุกเขอัญญานัง จนถึงไม่รู้อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปันเนสุธัมเมสุ อัญญานัง สาธุ!สกก.

 

ก็มาเข้าสู่เนื้อหาสาระธรรมะ ที่ได้บรรยายเอาไว้ โดยอาตมาได้จับธรรมะว่า เรื่องเกี่ยวกับธัมมชโย อาตมาพยายามวิจาณ์ ด้วยสำนวน และลีลาต่างๆ เพื่อให้คนฟัง เข้าถึงเนื้อหา แล้วคนก็เข้าใจว่า อาตมาพูดไม่ดี พูดแรง  ที่ผ่านมา อาตมาได้ตอบ ความที่มีผู้เข้าใจเอาเองว่า อาตมา“ด่า”สมีไชยบูลย์ หรือ“หาว่า” อาตมาพูดไม่ดี พูดหยาบคาย พูดรุนแรง คือไม่ควรพูดอย่างนี้กับ “สมีไชยบูลย์” นั่นแหละ

อาตมาก็พยายามไข“ความจริง” ให้รู้ชัดเจน ด้วยความพยายามจริงๆ ต่างหาก เพื่อ“สื่อ”ด้วยสำนวนภาษา ให้“ตรง”ต่อความจริง ที่สมีไชยบูลย์เป็น หรือประพฤติอยู่จริง

ผู้อ่านหรือผู้ฟัง จึงจะ“รู้”ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ลงไปถึง“ความจริง” ที่สมีไชยบูลย์เป็น หรือประพฤติอยู่จริงๆ

อาตมาไม่ได้“ด่า”เขา ไม่ได้“หยาบคาย”ต่อเขา ไม่ได้“พูดในสิ่งที่ไม่ควร”ให้แก่เขาเลย แต่ทำอย่าง“รุนแรง”กับเขานั้นจริง

“ใช่”!!!

อาตมา“พูด”หรือใช้“โวหาร”จริง เพื่อสื่อความจริง “ในสิ่งที่ควรจะเตือนเขา”ให้แก่เขาได้รู้ตัว ถึงภัย ถึงความหายนะ มันเกิดอยู่กับตัวเขา รีบให้เขารู้ตัวเร็วๆ และเผื่อไปให้แก่ชาวพุทธ ทั้งหลายด้วย จะได้รู้แจ้งหยั่งลงไปถึง“ความจริง” ให้ชัดๆ ตามความจริงนั้น “ให้ถูก-ให้ถึงแก่นแท้ของความจริง” นั้นๆ

เพราะนี่มัน“ชั่ว”นะ! นี่มัน“เลวร้ายบรรลัย”นะ! มันต้องรีบต้องแรง ต้องดัง

เขาจะได้ตกใจ จะได้รู้ตัว เขาจะได้ตื่น เขาหลับไหลหลงมืดอยู่จริงๆ อย่างนี้ต่างหาก ที่อาตมาเจตนา

ดังนั้นที่เห็นว่า การกระทำของอาตมา “รุนแรง”นั้น จึงจริงที่สุด เพราะอาตมา“รุน” ทั้ง“รุน”ทั้ง“แรง”ไง! จึงเห็นภาวะนี้“รุนแรง”

“รุน”คือ ดุน ดัน ผลักออกไป ให้“แรง” จะได้มีประสิทธิภาพกระเทือน รู้สึกตัว หรือ ให้ถึงคนผู้ฟังอื่นๆด้วย ทั้งผู้ที่ประพฤติผิดนั้นด้วย จะได้ร่วมช่วยบอกเขาอีกแรงหนึ่ง

จึงชัดเจนมั้ยว่า อาตมาเน้น ทั้ง“ท่าทาง” (นัจจะ) เน้นทั้ง“สุ้มเสียงสำเนียง” (คีตะ) เน้นทั้งการสรรหาคัดเลือก “ภาษามาสื่อให้ตรงกับความจริงของเขา” ที่สุด ที่เขาเป็น เขาทำ เขาประพฤติ”(วาทิตะ) จะได้รู้แจ้ง“ความจริง” ที่ชั่วที่เลวนั้น มันต่ำชั่วหนักหนาสาหัสนะ

ใครเห็นว่าเป็น“ด่า”ก็ดี เป็น“หยาบ”ก็ดี  ก็ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เลย จริงๆมันตรง ตาม ความต่ำช้านั้นๆ ต่างหาก จึงแรง จึงน่ากลัว จึงเป็นภาวะที่ไม่น่าทำ แต่มันคือ “การสื่อสัจจะ” แท้ๆ ตรงๆ

เพราะ“การด่า” หรือ“ความหยาบคาย” นั้น เป็น“กิริยา” ของคนที่แสดงออกมา ต้องมีกิเลสเป็น“เหตุ” จึงจะชื่อว่าด่าหรือหยาบ

แต่อาตมาแสดงคำพูดภาษา หรือท่าทางออกมา โดยไม่มี“กิเลส” เป็น“เหตุ”บงการท่าทาง-คำพูด ที่แสดงออกมานี้เลย    

อาตมาแสดงด้วย“ความจริงใจ” และ “ความบริสุทธิ์ใจ สะอาดใจ” ที่ประกอบไปด้วย ความปรารถนาดี ไม่เพื่อจะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ หรือได้บริวาร ได้คนมานิยมชมชอบ ได้ให้คนเห็นว่า อาตมาเป็นคนเก่ง  เป็นผู้วิเศษ เป็นผู้มีอำนาจอย่างนั้นอย่างนี้

ขออภัยจริงๆ ที่ต้องพูดว่า อาตมาไม่ได้พูดด้วย“กิเลส”ใดๆ หรือด้วย“อคติ”ใดๆ อาตมาพูดด้วย“ใจบริสุทธิ์จากอกุศล”จริงๆ   

ใครจะเชื่ออาตมา จะเห็นเหมือนกับอาตมาหรือไม่ ก็ย่อมเป็นไปได้ อาตมาเห็นอย่างนี้ จริงใจอย่างนี้ ก็ขอพูดอย่างนี้เถิด

เพราะฉะนั้น อาตมาก็“เห็นควร” ตามมหาปเทส 4 เท่าที่ภูมิของอาตมา ว่า “ควร” อาตมาจึงทำตามภูมิของอาตมา ว่า ควรทำ

ผู้เห็นว่า ไม่ควรทำ ก็ของใครของมัน อาตมาว่า นายไชยบูลย์ เขาไม่รู้ตัวเองเลยสักนิด สักน้อยว่าเขา“หลงผิด” (มิจฉาทิฏฐิ)

เพราะเขาปักมั่น“ความฉลาดของตน” แต่เขาไม่มี“ปัญญารู้” ความโง่เขลา ที่เป็น“อวิชชา 8”

“อวิชชา 8”นั้น ได้แก่...

1. ไม่รู้ทุกข์ (ทุกเข อัญญาณัง)

2. ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทัย อัญญาณัง)

3. ไม่รู้ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธ อัญญาณัง)

4. ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อัญญาณัง)

5. ไม่รู้ในส่วนอดีต (ปุพพันเต อัญญาณัง)

6. ไม่รู้ในส่วนอนาคต (อปรันเต อัญญาณัง)

7. ไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและทั้งในส่วนอนาคต (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง)

8.ไม่รู้ใน“ปฏิจจสมุปบาท” ว่า สิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปันเนสุ)

นี่คือ “8 อวิชชา”(พตปฎ. เล่ม 34 ข้อ 712) 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ4  ) ตอน ใจกลางหัวใจศาสนาพุทธคืออะไร?

คนที่ศึกษาอริยสัจ 4 ถึงผล ก็จะรู้ถึงอดีต อนาคต เพราะเข้าใจ ปฏิจสมุปบาท เข้าใจสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

พยัญชนะเหล่านี้ มีแต่กล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่ได้เรียนรู้อริยสัจ 4 ศาสนาพุทธทุกวันนี้ คนได้ประโยชน์แค่เรื่องประเพณี และการสวดมนต์ ศาสนาพุทธจะกลายเป็นศาสนามนตรยาน

คนที่หลงจริง คือธรรมกาย สวดกัน เป็นล้านครั้ง 11 ล้านครั้ง 111111 เขาใส่ตัวเลขไว้ เห็นไหมว่างมงายกัน ศาสนาทุกวันนี้ จึงมีแต่จารีตประเพณี กับการสวดมนต์ พระมาบวชแล้ว ก็ต้องท่องเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานได้ แล้วท่องพระสูตรต่างๆได้ ท่องพระปาฏิโมกข์ได้ มีพระที่พม่า ท่องพระไตรปิฎกได้หมด ไม่น่าเชื่อ ท่องเป็นภาษาบาลีได้หมด อาตมาว่า อาจจะเก่งกว่าพระอานนท์ ชาวอโศกเราไม่เก่ง อาตมาก็ไม่ได้ส่งเสริมเลย เพราะเดี๋ยวนี้ กดดูเอาได้เลย ทุกวันนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องท่องจำ ก็อ่านเอาเลย แล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ ในบทต่างๆ เอาให้บรรลุ ก็เป็นประโยชน์แล้ว ไม่ได้ขาดแคลนเลย หรือพระไตรปิฎก เขาพิมพ์เป็นเล่ม 45 เล่มครบ ทุกวันนี้ จึงยิ่งไม่จำเป็น ต้องสวดมนต์ แต่เขาดันไปสวดกัน 11 ล้านเที่ยว แล้วหลงว่าเป็นพลังพิเศษ มีฤทธิ์มีเดชอะไร สวดแล้วจะทำให้เจริญ จะทำให้เป็นกุศล ให้แก่คนไหนได้ พูดดูง่ายๆเก๋ๆ โก้ๆ เป็นโวหารตรรกะ ที่อาตมาเห็นแล้วว่าเป็นตรรกะ ใช้ไม่ได้เลย สวดแล้วหมายศาลไม่มาหรอก สวดเป็นล้านเที่ยว หมายศาลจะมาทำไม เห็นเลยว่า ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร หยุดได้แล้ว ตื่นขึ้นมาบ้างงมงายอยู่ทำไม

คนที่หลงสวดมนต์ ยังมีอีกเยอะ จะสวดมนต์พร้อมกัน 1000 รูป เอาพระไปสวดพร้อมกัน เป็นการผิดพระธรรมวินัย ของศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าอย่าเอาบทมนต์ หรือธรรมบทคาถา ธรรมบททั้งหลาย คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าเอาไปท่องพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป ให้ใครๆฟัง ให้ชาวบ้านฟัง เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถือว่าผิดพระวินัย เขารู้กันที่ไหน คนที่อ่านมา มียิ่งกว่าอาตมาเยอะ ทั้งมหาเถรสมาคม แต่ก็ทำละเมิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ทำอาบัติอยู่อย่างนั้น

บทที่ให้สวดได้เป็นประณามคาถา เป็นบทสรรเสริญคุณ ของพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นอาจารย์รุ่นหลังแต่งมา ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เอามาสวดได้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้เสียหายอะไร เป็นเรื่องดี ซึ่งเราก็สวดอยู่

พระพุทธเจ้าห้าม อย่าขับด้วยสำเนียงอันยาว แต่นี่เขาสวดกัน ยาวยืดมาก กว่าจะพูดแต่ละคำ อาตมาไม่ได้พูดเกินไปนะ

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น เนื้อแท้คือศาสนามาลดกิเลส บทคำสอนทุกคำ ก็เอามาเรียน ทำความเข้าใจว่า คำสอนไหนจะพาลดกิเลสอย่างไร จะมีองค์ประกอบเรื่องราว สถานที่เหตุการณ์ต่างๆนานา ก็เป็นองค์ประกอบของ การพรรณาเรื่องราวทั้งหมด แต่ต้องจับความให้ได้ว่า เนื้อหาจะให้ลดกิเลสอย่างไร จะได้ปฏิบัติอย่างไร ไม่ใช่ไปสำคัญที่เรื่องราวต่างๆ ต้องจับให้ได้ ว่าอะไร?คือกิเลส

สังโยชน์ข้อที่ 1 ต้องรู้จักสักกายะ คือรู้จักกายของตน เป็นข้อที่หนึ่งเลย ที่จะต้องมาเรียนรู้ ทุกวันนี้เข้าใจผิด เรื่องคำว่า “ กาย”

คำว่า “กาย” เป็นภาษาไทย เขาแปลว่า คือร่างภายนอก คำว่า “กาย” ถูกบวชเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว พอนำกลับไปใช้แปลบาลี ก็แปลว่าร่าง อย่างเก่า

“กาย “ หมายถึงสภาพธรรมะสอง “กาย” จะมีอันเดียวไม่ได้  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  พตฎ. ล.10 ข.60

         ต้องเรียนรู้ธรรมะสอง แล้วทำให้รวมลง (สโมสรณา ) ทำให้สำเร็จ ทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งให้ได้ นี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ

เราเรียนมาว่า หัวใจของศาสนาพุทธ คืออริยสัจ 4

และนี่คือ กลางหัวใจของศาสนาพุทธเลย คือตัวเราต้องมีสัญญา กำหนดรู้ภาวะธรรมอันหนึ่ง ที่เป็นรูป อีกตัวสัญญาที่เป็นนามธรรม เราไปรู้รูป คือธรรมะสอง ในรูปจะมีสอง ในสองมีอิตถีภาวะแล้ว ทำให้มันเป็นปุริสภาวะ

อิตถีภาวะ คือภาวะสอง ไม่เป็นหนึ่ง

ในรูป 28 เมื่อจะรู้ภาวะรูปได้ ต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ต้องให้ ตา หู จมูก ลิ้น กายทำงานคือ….

 โคจระ(การทำงานขึ้น) อาตมาเคยอ่าน ว่า โค คือ(วัวควาย) จร คือดำเนินไป เช่นมันออกไปทำมาหากิน คือถูกต้อง เป็นอาการของจิต ที่ดำเนินงาน โดยมีประสาท (ปสาทรูป)  กระทบกับมหาภูตรูป กระทบกับดิน น้ำ ไฟ ลมข้างนอก เรียกว่า “ผัสสะ” ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง จึงจะเกิด ภาวะรูป

แล้วก็ต้องจับคู่รูปนี้ ให้มันเป็น หทยรูป เป็นอาการของจิตวิญญาณ ที่เกิดสังขารธรรม อันนั้นแหละ จับได้เรียกว่า หทยรูป ต้องจับธรรมะสองนี้ให้ได้ ธรรมะสองที่เป็นสังขารปรุงแต่งอยู่นี่ คุณจับอันนี้ได้ เรียกว่ามี “วิชชา”แล้ว รู้จักสังขารแล้ว ตามปฏิจสมุปบาท

แต่คนไม่ได้ศึกษาอย่างนี้ ไม่ได้ศึกษาโดยภาวะ มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ทุกวันนี้ จะปฏิบัติให้จิตเป็นหนึ่ง มีเอกัคคตาจิต ทำให้จิตเป็นหนึ่ง อย่างอัคคะด้วยนะ เสร็จแล้วไปปฏิบัติด้วยวิธีที่ผิด ก็เป็นวิธีที่ทำให้จิต เป็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ เอกัคคตาจิต เป็นการสะกดจิตให้เป็นหนึ่ง ไม่ใช่ความเป็นหนึ่งเดียว  อัคคะ (ยิ่งใหญ่ ประเสริฐเลิศยอด) ก็ไปเอาการนั่งสะกดจิต ให้จิตเป็นหนึ่ง ไม่มีวิจารวิจัยไม่รู้เหตุปัจจัย ไม่มีผัสสะข้างนอกด้วย สะกดจิตให้นิ่งหยุด อย่าไปคิดนึก อย่าไปปรุงแต่งอะไร โดยวิธีเอาจิตไปสะกดอยู่ที่กสิณอะไรต่างๆ เป็นเครื่องนำ เขาว่าแม้อันนั้นก็อย่าเพิกกสิณ อย่าไปให้มันเกาะติด เป็นวิธีสะกดจิต hypnotize

ต้องไปอ่านพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตร เล่ม 14 ข้อ 257-284

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสมาธิ ชัดเจนที่สุด ว่านี่คือสมาธิ ที่ท่านเรียกโดยศัพท์ว่า สัมมาสมาธิที่เป็นอาริยะ หรือ อริโยสัมมาสมาธิ

ผู้ที่ไปเข้าใจว่า ธรรมะต้องไปหากสิณขึ้นมา แล้วให้ไปจดจ่อกับกสิณ เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ ไม่มีคำสอนนี้อยู่ที่ไหนเลย เขาพูดเอาเอง แม้ที่สุดไปหลงว่าเอาลมหายใจเข้าออก สะกดอยู่กับลมหายใจเข้าออก แล้วจิตจะเป็นหนึ่ง ก็ยังไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

เขาปักใจที่จะต้องสะกดจิต อยู่อย่างเดิม นั่งสะกดจิตกับลมหายใจ ไม่ต้องซื้อหา นั่งตรงไหน ก็เอาตรงนี้เป็นกสิณได้เลย แล้วหลงปักใจมั่นเลยว่า การปฏิบัติสมาธิของศาสนาพุทธ คือจดจ่อกับกสิณ ไม่ใช่มรรค 7 องค์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม37  ) ตอน สังกัปปะ7คือหัวใจการปฏิบัติ

                                                      ที่จะรู้จิตในจิต

อาตมาได้นำพาชาวอโศก ปฏิบัติมรรค 7 องค์ โดยให้ทำสัมมาอาชีพ ลืมตาปฏิบัติ พวกเราก็ทำสัมมาอาชีพ ถึงขั้นพ้นมิจฉาชีพ 5 เกิดชุมชนที่ปฏิบัติทำงาน พ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา ปฏิบัติธรรมพ้นเนมิตกตา แล้วไม่มอบตนในทางผิด

แต่ก็มีชาวอโศก มีบ้างที่ไปรับใช้ผู้มิจฉาทิฏฐิ

แต่ส่วนที่ชัดเจนมีอยู่ เป็นหมู่กลุ่มชุมชนสังคมชาวอโศก ที่ไม่มีมิจฉาชีพ

 พ้นมิจฉากัมมันตะ 3 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่ติดในอบายมุข สุรา เรื่องอบายมุข สิ่งเสพติด ในระดับหยาบ แม้ระดับกลาง ระดับลึกเข้าไปถึง จิตเจตสิกต่างๆ รูปราคะ อรูปราคะ มานะก็ตามฐาน

พ้น มิจฉาอาชีวะ 5   _กุหนา             _ลปนา            _เนมิตกตา

                           _นิปเปสิกตา               _ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา

พ้น มิจฉากัมมันตะ 3   ปานาติบาต     อทินนาทาน      กาเมสุมิจฉาจาร

 

สมณะเดินดินว่า...พ่อครูพาเรามาเปลี่ยนมาทำ สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา

พ่อครูว่า โดยเฉพาะสัมมาสังกัปปะ 7

พวกเราเข้าใจ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา ผู้รู้ที่เขายกย่องกัน ก็ไม่เคยเห็นนำมาวิจารณ์วิจัย หรือนำมาใช้ เพราะสาระในสังกัปปะ 7 นี้ คือหัวใจของการปฏิบัติ ที่จะไปรู้จิตในจิต

แก้ไขจิตในจิต คือเอาอกุศลจิตออก ดับอกุศลจิตนี้ออก คือการเนกขัมมะ หากทำไม่ได้ ก็ไม่มีปฏิเวธธรรม ศาสนาพุทธก็มีแต่ชื่อ เป็นแค่กองอานกะ ที่เนื้อแท้ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว

สมณะเดินดินว่า...ที่เขาทำสัมมาอาชีวะไม่ได้ เพราะว่าคนสอนก็ยังไม่พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 คือไปเทศน์ไปสวดแล้ว รับค่าเทศน์ค่าสวดอยู่ ยังแลกลาภอยู่ ก็เลยสอนไม่ได้ผล ศาสนาพุทธ เลยเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นกองอานกะแล้ว ก็เลยไม่เกิดพุทธบริษัท 4

ย้อนไปดูหลายร้อยปี ก็มีครูบาอาจารย์ไหน ที่จะทำให้เกิดพุทธบริษัท 4 อย่างเป็นหมู่กลุ่ม ก็ไม่มี สิ่งเหล่านี้เห็นได้ว่า ถ้าคำสอนถูกต้อง ก็น่าจะเกิดหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติมรรค 7 องค์ หัวใจของศาสนา มีหัวใจคืออริยสัจ แต่ธัมมชโย ไม่ได้เรียนรู้ทุกข์ รู้เหตุคือกิเลส แล้วลดกิเลส เป็นข้อคิดให้พวกเรา แม้ศึกษาธรรมะแล้วทำงานเยอะ แต่ไม่ได้คิดลดกิเลส ก็จะไปสู่เส้นทางเหมือนธัมมชโยได้ กิเลสไม่ลด เราต้องมาถามว่า วันๆหนึ่งเราเห็นทุกข์บ้างไหม เคยทบทวนบ้างไหม อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ แล้วอะไรคือเหตุ เราจะล้างเหตุอย่างไร แต่ถ้าวันคืนเราทำแต่งาน ให้เสร็จๆไป แต่ไม่ได้เห็นทุกข์ลดกิเลสเลย วันคืนก็เราเสร็จกิเลส ไม่ใช่กิเลสเสร็จเรา...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:29:48 )

591214

รายละเอียด

591214_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฉีกหน้ากากธรรม(กลาย)

ฟังธรรมอย่างไรให้เกิดอรรถรส??

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้ตรงกับวันพุธที่ 14 ธันวาคม 2559 ขึ้น 15 ค่ำ เดือนหนึ่งหรือเดือนอ้าย ปีวอก  ซึ่งเราได้ฟังเทศน์พ่อครูมาในระยะนี้ เท่าที่อาตมาติดตามมาตลอด เท่าที่พ่อครูเทศน์ที่สันติอโศก เทศน์วันที่  5  6  7  9 เป็นเทศน์ปรมัตถธรรมล้วนๆ อาตมาฟังตามแล้วก็ทวนตามไป ทีแรกก็ยังจับไม่ได้หมด ก็ต้องมาทวนอีก ทวนทีละตอนๆเพราะพ่อครูเทศน์ละเอียดมาก ในช่วง วันที่ 5-9 ละเอียดยิบ ถี่ยิบเลย เทศน์ถึงสภาวจิตที่จะลดกิเลส โดยเฉพาะการเทศน์ให้คนรู้ความเป็นอรหันต์ ในเรื่องแค่เล็บนิ้วมือ เทศน์อยู่สามครั้ง และก็มีรายละเอียดที่ต่างกันไปอีก คือเทศน์ซ้ำ แต่มีรายละเอียดต่างกัน ฟังแล้วก็จะชัดเจนว่า…. คนที่จะเป็นพระอรหันต์คือเป็นเช่นไร  เทศน์ชัดเจนมาก ซึ่งอาตมาก็ตั้งใจฟังแล้วก็ทบทวน แล้วก็สรุปอีกต่างหาก เพราะไม่งั้นมันก็ไม่เข้าไปในกระแสจิตเรา ฟังแล้วก็ผ่านเฉยๆ ต้องมาสรุป สรุปแล้วก็พิมพ์ ให้มันรู้เรื่องกันไปเลยงานนี้ หมายความว่าเราก็ต้อง ฟังพ่อครูหลาย ๆ เที่ยว  เที่ยวเดียว จับไม่ได้หมด จับได้บางส่วนแค่นั้นเอง จะต้องไปจับ นี่มันยังไง ขนาดฟังในอินเตอร์ เน็ตก็ต้องเปิดทวนอีกที อันนี้อะไรๆ ก็จะได้สภาวะที่ดี เพราะว่าพ่อครูพูดให้เห็นมากขึ้น  เราจับไม่ทันเลย เรียกว่าพ่อครูเป็นรถติดเทอร์โบ  ปรืดๆ เราเป็นประเภทรถเต่า จับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หกคะเมตีลังกา ก็เลยต้องมานั่งเอารถคันนี้มาถอยหลังใหม่ มาฟังดูใหม่ ก็จะได้ประโยชน์มากขึ้น ดูแล้ว อาตมารู้สึกได้ประโยชน์มาก   

พ่อครูว่า…กลายเป็นว่าพูดละเอียดยิบกลับยาก

สมณะฟ้าไท… ก็ดีครับ

พ่อครูว่า…อ้าว เอ๊...ยังไง คือเจตนาพูดให้ละเอียด จะได้ชัดเจน ง่ายขึ้น ขยาย ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา ที่นี่พอมาพูดละเอียดนี่ ก็เจตนาจริงๆ ละเอียด ลึกซึ้ง แล้วก็บอกว่าฟังยาก

  สมณะฟ้าไทว่า…ไม่ได้ฟังยากครับ ผมหมายความว่า คือฟังแล้วมันจับไม่ได้หมด บอกประเด็นผิดครับขออภัย คือฟังแล้วจับไม่ได้หมด ผมก็เลยต้องมานั่งทวนใหม่ พอฟังแล้วมันได้ตรงนี้ ใช่ไหมครับ แต่ตรงนี้ยังไม่ได้ มันต้องมาฟังทวนใหม่ ที่ได้แล้วก็ได้อีก ซ้ำแล้วนะครับ

พ่อครูว่า….ออ...แต่ได้ผล ได้ประโยชน์

สมณะฟ้าไทว่า… ได้ประโยชน์ครับ

พ่อครูว่า… ขอแทรกตรงนี้ก่อนเลยนะว่า ท่านเกริ่นยังไม่จบ แต่อาตมามาแแทรกซะพอดีมันต่อเนื่องด้วย ขอแทรกเลยว่า อาตมาทำงานศาสนามา ตั้งแต่ตั้งใจออกมาทำงาน จนป่านนี้  ฟังท่านฟ้าไทพูดเมื่อกี้นี่แล้ว ก็ทำให้จิตใจมันสบายใจขึ้นเยอะ  สบายใจขึ้นตรงที่ว่า ผู้ฟัง อย่างน้อยท่านฟ้าไทเป็นคนฟัง และก็มีคำตอบว่า ฟังแล้วดี ฟังแล้วได้ ฟังแล้วมันต้องฟังทวนอีกๆ  คำพูดอย่างนี้มันก็ชัดอยู่แล้วว่าคนที่เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าจึงมาฟังทวนๆ เห็นว่าได้ประโยชน์  

อาตมาก็เป็นผู้ที่นำเสนอสิ่งนี้  มันก็ชื่นใจใช่ไหม  มันก็ไม่สูญเปล่า ทำงานแล้วก็ อย่างน้อยมีคนพูด คนอื่นๆ ก็คงจะมีบ้าง ได้มาก ได้น้อย หรือไม่ได้ก็คงจะมีบ้าง คนที่ไม่ฟังเลย ก็แน่นอนเขาก็ไม่ได้อะไร  คนจะฟังน้อยฟังมากก็ตาม  ก็คือคนที่ได้รับจากที่อาตมาพูด  ต้องเสียแรงงานพูด จ่ายแคลอรี่พูดให้ฟัง ซึ่งก็มีเจตนาที่จะมาพูด มาแสดงตัวเอง ทั้งกายกรรม พฤติกรรม ชีวิตเรามีหลักสำคัญ ก็คือพูดอธิบายธรรมะต่างๆ เป็นหลัก ชีวิตก็มาทางนี้ ทำงานอันนี้  ทำไปจนตาย แล้วก็ตั้งใจจะทำให้มาก จะไม่รีบตายด้วย อย่างนี้เป็นต้น   

สมณะฟ้าไทว่า…ผมก็พยายามที่จะฟังให้ได้ประโยชน์มากที่สุด คือฟังแล้วมันเกิดอรรถรส แล้วก็เวลาสรุปไปก็ใส่ภาษาตัวเองมันๆ เข้าไปอีก

พ่อครูว่า…ฟังแล้วน่าชื่นใจไหม  เกิดอรรถรส

สมณะฟ้าไทว่า...คือยิ่งฟังเกิดอรรถรสแล้วมันยิ่ง..

พ่อครูว่า...แกล้งยอหรือเปล่า

สมณะฟ้าไทว่า...ก็พ่อครู ไม่ต้องการยอ ไม่ต้องการให้ชมตัวเองอยู่แล้วครับ

พ่อครูว่า...แกล้งยอฉันว่า ฉันเป็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบัง

สมณะฟ้าไทว่า...ผมว่ามันเหมือนครูน่ะ  พ่อครูเป็นครู เราเป็นลูกศิษย์ ถ้าลูกศิษย์รู้เรื่อง ครูก็มีกำลังใจที่จะเทศน์ต่อ ในความรู้สึกของตัวเอง อาตมาก็เป็นครู เออ...ลูกศิษย์เข้าใจดีอย่างนี้ ก็จะเทศน์ต่อให้ลึกซึ้งมากยิ่งๆ ขึ้น อันนี้ก็ถือว่า ผมพยายามจะทำ แล้วก็พยายามที่จะสรุป  และก็สรุปให้คนอื่นเขาฟังด้วย ให้เขาอ่านด้วย เขาบอกเออดี ท่านสรุปง่ายดี เขาก็ได้อ่าน ได้มีไฟมากขึ้น ผมก็ว่ามันทำให้การเผยแพร่ธรรมะได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะสมัยนี้เป็นยุคออนไลน์ และก็ฟังทวนได้มากขึ้น ผมว่าผมก็ยังฟังไม่อิ่มนะ ที่พ่อครูเทศน์เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพราะมีรายละเอียดเยอะ ที่เราไมได้มีสภาวะแจ่มแจ้งหมดทุกเรื่อง พอฟังแล้วก็ยิ่งแจ่มแจ้งมากมากยิ่งขึ้น ทำให้เราปฏิบัติธรรมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งพ่อครูก็พยายามเทศน์เรื่องลึก แล้วก็เทศน์เรื่องกว้าง  สังเกตได้เวลาพ่อครูเทศน์เรื่องลึกแล้วก็จะหาเรื่องเบาๆ ให้เราได้ผ่อนคลาย อาตมาว่าเป็นเทคนิกการสอนที่ดี

วันนี้พ่อครูเตรียมหนังสือพิมพ์มา จะเทศน์ให้กับสังคมดีขึ้น เหมือนกับการขยับภูเขาหินใหญ่ที่ขวางทางออกไป

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาหอบหนังสือพิมพ์มาเป็นปึก จะได้อ่านหนังสือพิมพ์สู่กันฟัง ก็ไม่อ่านคอลัมน์โลกๆหรอก ก็อ่านเกี่ยวกับศาสนานี่แหละ

 

SMS วันที่ 13 ธันวาคม 2559 

0893867xxxองค์กรพุทธศาสนานานาชาติสากลโลกปกป้องแต่ภาพลักษณ์พุทธศ.แต่เปลือกนอกก็ช่างเขาเถอะ!พุทธศาสนิกชนไทยแท้ปกป้องแก่นแท้ในพุทธศ.โดยปฏิบัติในศีลให้ถูกตรงตามคำสอนพระศาสดาต่อไปดีกว่า!

ตอบ...เป็นภิกษุ นักปฏิบัติธรรมอยู่ในประเทศ ถูกหมายศาลให้มามอบตัว จนถึงให้จับได้ แต่ว่าก็ดื้อดึงดัน ทั้งยั่วยุ ยียวน ทุกอย่างเลย

คน ปุถุชน มีกิเลส คุณว่า คนที่ทำงานเรื่องธัมมชโย เขาอดกลั้นไหม เขาอดกลั้นมากทีเดียว ซึ่งพฤติกรรมที่ธัมมชโยทำนี้เป็นเรื่องที่ก็ไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้ เกิดมาจนอายุย่างเข้า 83 ปีแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดปรากฏการณ์นี้ เขาทำตัวเองเหมือนเป็นท่อนสากกระเบือเฉยๆ ใครจะมาว่าอย่างไร ก็ไม่แสดงอะไรตอบ มีแสดงตอบ จะเป็นคำสั่ง คำสอน คำบอกธัมมชโยหรือไม่ ก็คือบริวารลิ่วล้อ เอาแท่งคอนกรีต มาขวางทางเข้าวัด ตามข่าวเขารายงานมา เขาใช้คำว่ามาปฏิบัติธรรม มานั่งสวดมนต์

ที่จริงใครก็รู้ว่า กำลังสร้างกำแพงมนุษย์ ซึ่งเขาจะปฏิเสธ บอกว่าไม่ใช่ แต่พฤติกรรมนั้นมันส่ออย่างนั้นใช่ไหม เอาความรู้สามัญธรรมดาก็เห็นพฤติกรรมอย่างนี้เขาที่เกิดขึ้น ก็เข้าใจได้ ความหมายถึงอย่างไร เสร็จแล้วเขาก็ปฏิเสธอีก

เมื่อถูกท้วง ทำให้เห็นปฏิกิริยาของจิตที่จะปฏิเสธทุกสิ่ง ที่คุณว่าฉันผิด ฉันไม่ผิดทุกอย่าง

เป็นกลุ่มคณะ ตั้งแต่หัวหน้า ไปจนถึงลูกน้อง เป็นคนอยู่ในหลุมมืด

ถ้าเผื่อว่า ยังไม่ได้เป็นผู้บรรลุธรรมสูงสุด รู้จักกุศลอกุศล แล้วควบคุมตนเองได้ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มาให้ทำความผิด ทำอกุศล ก็เป็นพระอรหันต์ จึงจะทำได้ แต่นี่ทั้งลูกน้องและหัวหน้า เขาบอกว่าทุกอย่างที่เขาทำถูกหมด วิเศษฉิบหายเลย

ในภาษาของพระพุทธเจ้า คำว่าวิเศษนี้เป็นคำร้ายแรง พระพุทธเจ้าว่า ในธรรมวินัยนี้ ท่านไม่ได้มาเผยแพร่ เพื่อให้เกิดบริวาร ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือเพื่อล้มล้างลัทธิใดๆ หรือเพื่อให้คนมาเข้าใจว่า ข้าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นี่ เขากลับทำ ทำเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ เพื่อให้คนมาเป็นบริวาร เพื่อล้มล้างลัทธิอื่น ล้มล้างลัทธิพุทธด้วย ขนาดผู้รู้ เป็นปราชญ์พุทธกระแสหลัก ยังว่าทำให้คำสอนพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไป เป็นต้น คือเขาทำครบสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ เขาทำหมด นี่คือธรรมกายหรือธัมมชโย

ศาสนาพุทธปฏิบัติมีกรอบ มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ตั้งแต่ศีล สมาธิปัญญา ศีลก็มีลำดับขั้น ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ อยู่ในกระบวนธรรมเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นกระบวนธรรมเดียวกัน ก็เป็นความเสื่อม ความล้มเหลว ของศาสนาพุทธ

 

0893867xxxพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาถูกบิดเบือนยังไงก็ไม่มี

วันอันตธานสูญหายตายจากโลก!แต่คนบิดเบือนพระธรรมคำสอนล้วนต้อง เกิดแก่เจ็บตายลาลับดับสูญจากโลกทั้งสิ้น!

ตอบ...เมื่อบิดเบือนมาก คำสอนของพระพุทธเจ้าแท้จริง ก็ไม่มีใครรู้จัก ก็เรียกว่าอันตรธาน กล่าวได้ว่าในโลกปัจจุบันนี้ ในเมืองไทยที่มีคนนับถือศาสนาพุทธ 95% เป็นเมืองพุทธ ที่คำสอนของพุทธนั้น อันตรธานไปจากโลกสังคมเมืองไทยแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การสวดมนต์ของพุทธแท้ๆมีจุดประสงค์คือ….?

อาตมาพยายามพูดให้ชัดๆ ก็พูดตามภูมิที่อาตมาเห็น เชื่ออย่างนั้นจริงๆ พุทธศาสนาในเมืองไทยตอนนี้ มีแต่เดรัจฉานวิชากับจารีตประเพณี สวดมนต์ก็เป็นจารีตประเพณีชนิดหนึ่ง และเป็นเดรัจฉานวิชาด้วย

เดรัจฉานวิชา แปลว่าวิชาที่ไม่พาไปนิพพาน ไปนั่งสวดมนต์แล้วมันจะเกิดอิทธิฤทธิ์ มีพลังพิเศษอะไรต่างๆ จะเกิดบุญกับกุศล ก็เป็นเทวนิยม ไม่ได้สวดมนต์เพื่อ ...

1. ท่องจำรักษาพระธรรมวินัยไว้

 2.สวดเพื่อตรวจสอบบทมนต์ของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง สวดท่องจำเรียกว่าสังคีติ สวดเพื่อตรวจสอบเรียกว่าสังคายนา

 3.สวดขึ้นมาเพื่อทบทวนคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติธรรมนี่คือเนื้อแท้

การกล่าวบทมนต์ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวขึ้นมาทำไม กล่าวขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติ

1. ทำความเข้าใจ 2. เราปฏิบัติถูกหรือไม่ 3. เราได้ผลของการปฏิบัติ คือบรรลุธรรมหรือไม่ การสวดมนต์ต้องเพื่อทำอย่างนั้น

การสวดมนต์อย่างธรรมกาย ที่บอกว่าสวดล้านเที่ยวนั้น เขาบอกว่าสวดเพื่อเป็นพุทธบูชาแด่ในหลวง เป็นลักษณะเทวนิยมเพ้อฝัน ไม่ได้สวดมนต์เพื่อรักษาพระธรรมวินัย ไม่ใช่เพื่อตรวจสอบแน่ เพื่อทำความเข้าใจ แล้วเอามาปฏิบัติให้เกิดการบรรลุธรรม เขาไม่ได้ทำในประเด็นที่สาม ที่อาตมาพูดนี้ เขาได้แต่ท่องยังเป็นเดรัจฉานวิชา สะกดจิตตัวเองด้วย ที่เขาบอกว่าทำให้จิตสงบ นั้นคือทำให้จิตสงบแบบสะกดจิตดิ่ง ดิ่งไปกับบทมนต์ ไม่ได้มีการวิจัยวิจารณ์ในคำสอนนั้นอย่าง analysis มีแต่ hypnotize มีแต่สะกดจิตเข้าไป อาตมาไม่ได้ใส่ความด่าทอ แต่เป็นการศึกษา

 

0893867xxxใจยิ่งหลงทางติดกับมายาโลกธรรมหนักหนาเท่าใดจิตยิ่งวนเวียนอยู่กับกงกรรมกงเกวียนห่างไกลนิพพานเท่านั้น!สกก.

0893867xxxพ่อครูพูดถึงพระตปฎ.ตรงกับท่านพุทธทาสว่าคนที่ไม่เคยอ่านฟังพระตปฎ.เลยแต่เคยพิจารณาละเอียดลออทุกครั้งที่ความทุกข์เกิดแผดเผาจิตใจตนนี่เรียกว่ากำลังเรียนพระตปฏ.โดยตรง ถูกต้องดียิ่งกว่าเปิดพระตปฎ.ออกอ่าน!สกก.

ตอบ...ก็หมายความว่า ท่านพุทธทาสเน้นเข้าสู่เนื้อแท้ๆ ก็ใช้ได้ นั่นก็คือท่านพุทธทาส ทิ้งเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เอาปฏิเวธมาพูดเลย ทุกข์คือปฏิเวธ การเห็นทุกข์ คือเริ่มเห็นอาริยสัจ 4 ไปตีความว่า ประเด็นพระไตรปิฎกโดยตรงนั้น ที่จริงเรียนพระไตรปิฎก ก็คือเรียนอะไร แต่ท่านพุทธทาสนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับปริยัติ จะให้ปฏิบัติ เอาปฏิเวธทีเดียวเลย ลักษณะของท่านพุทธธาตุนั้นเป็นอย่างนั้น คือสุดโต่งไปทางเอาแต่จิตว่าง เอาแต่จิตว่าง ใครทำจิตว่างได้บรรลุเลย

ศัพท์สวยหรูเรื่องผล ก็จะมี เอาแต่จิตว่าง เน้นจิตว่าง ไม่มีองค์ประกอบในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่มีมาตา ปิตา เพื่อให้เกิดสัตว์โอปปาติกะ ไม่มีเลย ท่านพุทธทาสไม่แยแสมาตาปิตา แปลว่ามีเหตุปัจจัยให้เกิดผล ท่านพุทธทาสไปตีทิ้งเหตุปัจจัย จะเอาแต่สัตว์โอปปาติกะ จะเอาอรหันต์เลย น้ำหนัก คำสอนที่เน้นไปทางนั้นจริงๆ อาตมาเห็นว่าสุดโต่ง คนก็ชอบเพราะเอายอด เอาผลมาโชว์ มันโก้ทั้งนั้น

คนที่ไม่รู้ทันจะนิยมชมชอบ คนที่เอาผลมาโชว์ แล้วมาจากไหนไม่รู้ คนที่ตื้นเขิน ก็ชื่นชมแต่ปฏิเวธ คนเรานี้ไม่มีทางปฏิบัติธรรม ไม่มีทางประพฤติ ไม่มีการศึกษาที่จะไปถึงผลได้

อาตมามาอธิบายธรรมะ มาถึงทุกวันนี้แจกแจง เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ขยายถึงผล ขยายรูป นาม รูป 28 ก็มาอธิบาย เพื่อให้รู้ศีล และมีการปฏิบัติตามฐานะเบื้องต้น ท่านชอบเอาผลอภิธรรมมาโชว์ แต่ท่านตีทิ้งพวกเรียนอภิธรรม ว่า อภิธรรมเม็ดมะขาม ตีทิ้งเลย ทั้งที่ท่านสับสนตนเอง ท่านพูดยอดของธรรมะเลย คืออภิธรรม อย่างพระไปสวดงานศพ ก็เอาอภิธรรมมาสวด ท่านชอบเอาจิตว่าง จิตบรรลุมาโชว์

จริงๆแล้วธรรมะของพระพุทธเจ้า จะต้องศึกษา ฟังผู้รู้ ผู้ที่บรรลุโลกุตรธรรม ผู้ที่บรรลุธรรมะพระพุทธเจ้า ที่เอามาสอนไว้ เรียกว่า ต้องพบสัตบุรุษ ต้องฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษ ให้บริบูรณ์ แล้วจะมีศรัทธาที่บริบูรณ์ แล้วจะมีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ เราจะมีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ แล้วจะมีสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ แล้วจะมีสุจริตกรรม 3 จะบริบูรณ์ แล้วสติปัฏฐานจะบริบูรณ์ แล้วโพชฌงค์ 7 จะบริบูรณ์ แล้ววิชชาและวิมุติจะบริบูรณ์

ในพระไตรปิฎกเล่น 4 มหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 257 - 258 อาตมาเอาคำที่พระพุทธเจ้าตรัส มาขยายอธิบายมาสอนต่อ

ท่านตรัสในมิจฉาทิฏฐิ หรือสัมมาทิฏฐิ ต้องพบกับ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะได้นำเอาโลกนี้โลกหน้า เอามาเปิดเผย ทำให้คนอื่นรู้เรื่อง โลกนี้โลกหน้า ผู้นี้เป็นสยังอภิญญา สยัง คือของตนเอง อภิญญา คือภูมิรู้บรรลุแล้วของผู้นี้

ผู้ใดไม่รู้ไม่เห็น ว่าในโลกนี้มี อัตถิ  โลเก ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับ ไม่ได้พบผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่มีอภิญญาในความเป็นโลกนี้(อยังโลโก) มีความเป็นอภิญญาในโลกหน้า (ปรโลก) ผู้ใดไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น อย่างนี้ก็ปิดประตู ในการเรียนรู้ธรรมะ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น การไปพบผู้ที่ไม่เป็น สยังอภิญญา ก็ไปพบกับผู้ที่ไม่ได้บรรลุจริง ในขณะปัจจุบันนี้ไม่มีที่จะไปพบคนแบบนี้ แต่อาตมา มาอวดตัวว่าเป็นผู้นี้ คนเขาก็อาจหมั่นไส้ รับไม่ได้

อาตมาพูดมานานแล้ว เกือบห้าสิบปีแล้ว วันนี้ของพูดตรงๆว่า อาตมานี้คือ สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ

อาตมาพูดมาก่อนว่าเป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ พูดอย่างไม่เก้อ ไม่เหนียม ไม่มังกุเลย พูดเพื่อยืนยันว่า โลกนี้ ขณะนี้ มีอันนี้นะ ประกาศตนเอง

คนที่รับไม่ได้ คือพวกที่ยึดถือคำสอน แล้วไม่ได้เข้าใจเนื้อแท้ อาตมาพูดนี่ไม่ได้เพื่อให้คนมาเป็นบริวาร ไม่ได้เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ได้พูดเพื่อล้มล้างลัทธิใดๆ ไม่ได้พูดเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ แต่พูดเพื่ออธิบายธรรมะเพื่อให้คนฟังแล้ว เห็นจริงเชื่อถือ แล้วจะได้ลดละ เพื่อความละหน่ายคลาย เพื่อให้เกิดการบรรลุพรหมจรรย์ ไม่ได้พูดเพื่อให้คนหมั่นไส้

 

0893867xxxวิถีชีวิตชนเผ่าร้อยชาติพันธุ์ สัมพันธ์กับวิถีชีวิตชาวอโศกตรงที่ใช้ชีวิตติดดิน สมถะ สันโดษ พอเพียง ตามรอยพ่อฯ ผู้ทรงงานติดดินเหมือนกัน!สกก.

0805925xxxคนก็แปลกนะฉลาดหาเงินล้านทั้งชีวิตแต่ก็มาหลงโง่หัวโล้นหลอก!?น่าสงสารสุดๆ@ปลายฝน

0805925xxxวอกยันระกายังจับไม่ได้เหมือนดูละครลิง555ปลายฝน

ตอบ...พระพุทธเจ้าตรัสว่า จงคบแต่คนติที่เป็นปราชญ์ผู้ที่มีปัญญา จะมีแต่ดีถ่ายเดียว อย่าไปคบคนที่ไม่ติใคร จะมีปัญญาสูงส่ง แต่ไม่ติใครนี้ อย่าไปคบ  มีวงเล็บว่า ต้องเป็นคนที่มีปัญญา

เราควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ  คอยกล่าวคำตำหนิ (นิคฺคัยหวาทิง  เมธาวิง) ขนาบ  อยู่เสมอไปว่า..

คนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์  ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น  เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่  ย่อมมีแต่ดีถ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย (เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ โทษที่ลามกย่อมไม่มี - เสยฺโย  โหติ  น  ปาปิโย)

(พตปฎ. เล่ม 25  ข้อ 16)

พระพุทธเจ้าท่านให้ฟังคำติ แน่นอนคนที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่ปราชญ์จะไปติใครได้ คนที่จะตำหนิใครได้ก็ต้องมีปัญญา คนที่ตำหนิคนอื่นโดยที่ไม่มีปัญญา ก็ขายขี้หน้าตัวเอง

0890015xxxกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นแบบอย่างการแต่งกายที่รักษาวัฒนธรรมได้ดี ดูเรียบง่ายและไม่หลงใหลค่านิยมภายนอก กลุ่มชาติพันธุ์และชาวอโศก มีกรรมสัมพันธ์กันอย่างไร จึงได้เข้ากันได้อย่างกลมกลืน

ตอบ...เพราะธาตุทางจิตวิญญาณ  และเป็นพวกที่หนักทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม ชาวอโศกก็หนักทางวัฒนธรรม และจิตวิญญาณ จึงมีส่วนร่วม ชาวชาติพันธุ์ก็รักษาวัฒนธรรมของเขา อโศกก็รักษาวัฒนธรรมของไทย และของอโศกถือเป็นเผ่า เป็นตระกูลอย่างนั้นเลย

 

มาอ่านบทความจากนสพ.

โดย MGR Online

ดีเอสไอ-ตำรวจ จับ “ธัมมชโย” แน่ ไม่จับเสียหายป่นปี้ !!

เมืองไทย 360 องศา

      

       ถ้าจะบอกว่าความเคลื่อนไหวของทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการเตรียมการเข้าไปจับกุม พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันรับของโจรและบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเลย ก็ถือว่าคราวนี้มีความเอาจริงเอาจังมากที่สุดกว่าทุกครั้ง

      

       เพราะตามข่าวระบุว่า มีการสนธิกำลังกันระหว่างเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมไปถึงการขอความร่วมมือขอกำลังฝ่ายทหารเข้ามาเสริมอีกจำนวนหนึ่ง รวมๆ แล้วประมาณกว่าสามพันคน รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ กระทั่งมีการเตรียมแพทย์ พยาบาล และรถพยาบาลเอาไว้ด้วย

       

       ขณะเดียวกัน ล่าสุด มีรายงานว่า ทางดีเอสไอได้มีหมายค้นจากศาลรวมแล้ว 4 หมาย นั่นคือ หมายค้นวัดพระธรรมกายตั้งแต่วันที่ 13 - 16 ธันวาคม สามารถเข้าค้นได้ต่อเนื่องถึง 4 วันเลยทีเดียว

      

       สำทับจากการให้สัมภาษณ์ของทั้ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีการประชุมร่วมกันก็ทำให้เข้าใจว่าคราวนี้ “น่าจะ” เอาจริงกว่าทุกครั้ง

      

       เริ่มจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล กล่าวว่า จะทำตามกฎหมายเบาไปหาหนัก ผิดกบิลบ้านกบิลเมืองก็จะต้องดำเนินการ แต่เราต้องดูแลไม่ให้มือที่สามมาแทรกซ้อนต้องระวังเอาไว้ก่อน ที่ผ่านมา ก็เห็นแต่มีคนปิดหน้าปิดตากันตรงนี้ เราก็ต้องระมัดระวัง ถ้ามีคนขัดขวางเราก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย ไม่งั้นจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เราเข้าไปตามหมายศาล ถ้ามีการพบเห็นว่าขัดขวางการจับกุมแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินคดี เจ้าหน้าที่จะมีความผิดไปด้วย

      

       ส่วน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า การออกหมายค้นพนักงานสอบสวนจะต้องแนบแผนที่และรายละเอียดให้ศาลพิจารณา ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ ในส่วนเอกสารก็กำลังดำเนินการอยู่ ส่วนเรื่องวันเวลาการขอหมายค้นคงเปิดเผยไม่ได้

      

        “ไม่ขอตอบรายละเอียดตรงนี้ ส่วนจะขอหมายค้นติดกันหลายวันหรือไม่นั้น อยู่ในแผนการปฏิบัติอยู่แล้ว รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ ดีเอสไอใช้กฎหมายเรื่องบูรณาการในวันนี้ ก็ประชุมแต่ละหน่วยเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจส่วนหนึ่ง”

      

 

       ฟังจากคำพูดดังกล่าวมันก็น่าเชื่อได้ว่าเอาแน่ เพียงแต่ว่าคราวนี้จะไม่มีการบอกรายละเอียดในการเข้าตรวจค้นจับกุมเหมือนกับครั้งแรกที่ดีเอสไอเข้าไปแล้วถูกขัดขวางจนต้องล่าถอยออกมา และที่น่าจับตาว่าศาลได้อนุมัติหมายค้นวัดพระธรรมกายได้ต่อเนื่องถึงสี่วันนั้นก็สังเกตได้จากที่ล่าสุดมีทนายความของวัดพระธรรมกายได้ยื่นร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนหมายค้นดังกล่าวเสีย มันก็แสดงให้เห็นว่ามีหมายค้นจริง และทางวัดก็เริ่มพล่านกันมากขึ้น มีการระดมทั้งพระทั้งมวลชน เครื่องจักรที่เป็นอุปกรณ์ขัดขวางเอาไว้ทุกทางเพื่อรับมือเจ้าหน้าที่

      

       ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่าย นั่นคือทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายธัมมชโย ก็ต้องบอกว่า “เต็มที่” กว่าทุกครั้ง และมาถึงเวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความกดดัน เริ่มจากฝ่ายธัมมชโย ที่กำลังถูกสังคมสงสัยว่าหากมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ไม่มีความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหา ทำไมไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอน ต้องพิสูจน์กันด้วยพยานหลักฐาน ไม่ใช่พิสูจน์กันด้วยความเชื่ออย่างทุกวันนี้ ที่บรรดาลูกศิษย์มั่นใจว่า “หลวงพ่อไม่มีความผิดและถูกกลั่นแกล้ง” หากอ้างกันแบบนี้ บรรดาผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับนับหมื่นนับแสนทั่วประเทศ ก็คงอ้างแบบนี้ได้เหมือนกันหมด การอ้างว่าตัวเองไม่ผิดแล้วดื้อแพ่งไม่ยอมให้จับกุม มันก็เหมือนกับการปฏิเสธกฎหมาย ปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรม ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งสังคมส่วนใหญ่เริ่มรับไม่ได้ และหมดความอดทนกับคนพวกนี้

      

       ข้ออ้างที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐเตรียมก่อเหตุรุนแรง ทำร้ายทำลายพระศาสนา ก็ไม่ใช่ เพราะเขาทำตามกฎหมาย ทำตามหมายจับ และหมายค้นที่ออกโดยศาลที่พิจารณาจากหลังฐานที่ยื่นไปให้พิจารณาตามเหตุผล และหากเข้าไปจับกุมก็เป็นการจับกุมผูัต้องหา คือ ธัมมชโยที่เชื่อว่ายังหลบหนีอยู่ในวัดพระธรรมกาย ก็เหมือนกับที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่กล่าวว่าหากมีการสวดมนต์ก็สวดไป แต่หากมีการขัดขวางการจับกุมก็ต้องถูกดำเนินคดี หากไม่ดำเนินการเจ้าหน้าที่ก็ความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เชื่อว่าหากดำเนินการตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา

      

       อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือ จะมีการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นเพื่อบิดเบือน มีเจตนาเพื่อให้มีการยื้อเวลาออกไปอีก แต่หากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงเชื่อว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว และนั่นก็ต้องมีคดีใหม่เกิดขึ้นอีก

      

        ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เชื่อว่างานนี้น่าจะเอาจริง เพราะหากมีการเคลื่อนไหวเป็นการใหญ่แบบนี้ แต่ยังไม่มีการจับกุมมันก็ย่อมเสียหายป่นปี้ กระบวนการยุติธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมืองต่อไปนี้ ก็ไม่ต้องมาใช้อ้างอิงกันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น มันก็เหมือนกับธนูที่น้าวออกไปจนสุดแขนต้องปล่อยออกไป เชื่อว่า ถอยกลับที่ตั้งไม่ได้ ต้องเดินหน้า เพียงแต่ว่าอาจต้องรอจังหวะเพื่อให้มั่นใจที่สุดเท่านั้นเอง !!

 

พ่อครูว่า ประโยคสุดท้ายเป็นคำแก้ตัวหรือเปล่า ต่อมาฉบับที่ 2

อันนี้ของผู้จัดการ อีก

 

“เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ” เหยื่อธรรมกาย หมดตัว-ครอบครัวพัง เปิดโปงหมดเปลือก!!

 

31 ปี ที่ฝังตัวอยู่ใน “ดินแดนแห่งกิเลสบนทางธรรม” ศึกษาหลักคำสอน เพียงเพื่อให้พบว่าความวิบัติกำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา จึงถึงเวลาเสียทีที่ชายผู้สูญเสียจากวลี “ยิ่งบริจาคมาก ยิ่งได้มาก” ภายใต้ “ลัทธิธัมมชโย” จะต้องออกมาเปิดโปงทุกมุมบิดเบือนให้สังคมได้ตระหนัก เพื่อไม่ให้ตกเป็น “ทาสทางจิตวิญญาณ” อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วกับครอบครัวของเขา จนเป็นเหตุให้ต้องหมดเนื้อหมดตัว ครอบครัวแตกหัก เพราะภรรยาฝักใฝ่ใน “ธรรมะก(ล)าย(พันธุ์)”

ตั้งแต่ก้าวแรกที่ ชาติชาย บำรุงสุนทร ชายวัย 62 ปี มีโอกาสได้เข้าไปเปิดใจรับฟังธรรมะภายในวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี 2528 เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ “พระพุทธศาสนา” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ด้วยความอยากพิสูจน์ให้แน่ใจว่าเนื้อหาภายในอาจมีธรรมะสายใหม่ให้มุ่งสู่นิพพาน เขาจึงฝังตัวอยู่ในนั้นเพื่อศึกษาให้ถ่องแท้

       

แต่แทนที่จะพบทางสว่าง กลับพบเพียงความมืดบอด เมื่อพบว่ายิ่งลงลึกศึกษา ยิ่งพบการ “เสพติดลัทธิบริจาค” อย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะภรรยาของเขาที่ยอมขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำนุบำรุงวัดพระธรรมกาย สุดท้าย เพื่อให้บทเรียนที่ได้รับคืนกลับสู่สังคม ชายคนเดียวกันนี้จึงตัดสินใจลุกขึ้นติดป้ายแขวนคอ “กระชากหน้ากากธรรมกาย” พร้อมหนังสือ “วิภาควิชชาธรรมกายและลัทธิธัมมชโย” ที่เขียนขึ้นมาเปิดโปงความมืดบอดบนทางธรรมสู่สังคม

 

 หนังสือที่เขียนขึ้นมา เพื่อต้องการสื่อสารเรื่องอะไร?

        เพื่อให้ทุกคนเห็นภัยของลัทธินี้ เพื่อให้อำนาจรัฐเห็นพิษภัยตรงนี้ เพราะผมไม่อยากให้ปล่อยเวลาไปโดยไม่แก้ปัญหามะเร็งร้ายตรงนี้ ถ้าปล่อยไปรับรองว่าพุทธศาสนาจะล่มสลายไปเลย เพราะวิธีการสอนให้คนพายเรือตามน้ำ ให้ตามน้ำไปกับกิเลสมันรุนแรงมาก มันเป็นวิธีการตามใจกิเลส

        

        พระพุทธเจ้าสอนให้เราพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก ต้อง “พายเรือทวนน้ำ” แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นวิธีการที่ถูกต้องที่ต้องเป็นเช่นนั้น ต่างจากทางธรรมกายที่คิดว่าในเมื่อพายเรือทวนน้ำมันยากก็ “พายเรือตามน้ำ” มันเสียเลย ตามใจกิเลสมันเสียเลย ให้สะสมเสบียงบุญกันข้ามภพข้ามชาติ ชาติหน้าจะได้มีความสุขมากๆ มันก็คือการเอากระแสกิเลสของผู้คนเป็นแรงผลักดัน เพิ่มอัตราความเร่งของกิเลสให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก แล้วมันจะนำไปสู่นิพพานได้อย่างไร

(พ่อครูแทรกว่าธรรมกายสอนให้ทำทานแบบผิดๆ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าว่า ในพระไตรปิฎก ล.23 ข.49

 ทานสูตร

ทานที่ผิดคือ จะไม่มีอานิสงส์ลดกิเลสเลย คือ

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทาน เทติ

 

 จุดขายของวัดพระธรรมกายคือวิธี “เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ” มันเป็นการตกเบ็ด พระธัมมชโยเองก็โลภ อยากได้ทรัพย์ของผู้คน เพื่อมาทำให้วัดและลัทธิของตัวเองขยายไป จึงล่อผู้คนด้วยความโลภ สาธุชนก็ฮุบเหยื่อด้วยความโลภ อยากจะได้บุญ ต่างคนจึงดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความโลภไม่สิ้นสุด

      

        สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากขึ้นๆ แต่ว่าผู้คนจะหลงใหลมากขึ้นๆ เพราะที่นี่ใช้วิชาเศรษฐศาสตร์การตลาดเข้ามา ทำให้เกิดการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยฮอร์โมนที่ผิดปกติ และส่งผลให้กลายเป็นมะเร็งร้ายก้อนใหญ่ในสังคม ซึ่งผมมั่นใจมาตลอดว่าสักวันมะเร็งร้ายก้อนนี้จะเปิดเผยตัวเอง และได้แต่หวังว่าจะปรากฏให้คนได้เห็นเร็วๆ เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาจะได้ไม่ต้องถูกทำลายไปมากกว่านี้

       ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอาจมองว่าเป็นเพราะเรามีมิจฉาทิฏฐิ หรือไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนอย่างดีเพียงพอ

        ผมเขียนหนังสือทั้งหมด 400 หน้า หยิบเอาปรัชญาทุกอย่างมาเปรียบเทียบ ทำเป็นตาราง ทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ หรือแม้แต่ส่วนที่อยู่นอกเหนือไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระไตรปิฎกแล้ว ผมยังให้ความเป็นธรรมในคำสอนของพระธัมมชโยว่า อาจจะมีส่วนถูกก็ได้

      

        ในเมื่อบางหลักคำสอนมันไม่มีตัวเปรียบแล้ว ผมก็ลองหยิบเอาหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาจับ ตั้งแต่ตรรกศาสตร์, คณิตศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้งประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกด้วย เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลักคำสอนของเขา เพราะบางทีพระท่านก็มีการเทศน์กันถึงประวัติศาสตร์โลกด้วย

      

        ผมย้ำว่าผมฟังทุกหลักคำสอนของทางธรรมกายแบบเปิดใจ ไม่ได้ฟังแบบปิดกั้น รับเข้ามา 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วจากนั้นจึงหยิบเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาจับเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นเหตุและผล เพราะในแง่ของความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เราต้องเปิดโอกาสให้ข้อมูลดิบใดๆ ว่าอาจจะมีส่วนถูกได้ เมื่อไม่สามารถเทียบได้กับตรรกะที่เคยยึดถือมา

      

        เพราะฉะนั้น การฟังของผมตลอดระยะเวลา 31 ปี จึงไม่ใช่การเข้าไปเพื่อจับผิด แต่เป็นการเข้าไปเพื่อพิสูจน์ เพราะการจับผิดคือการมีธงในใจตั้งเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาผิด แต่ผมเข้าไปฟังอย่างเปิดใจเปิดโอกาสในส่วนที่ถูกของเขาด้วย โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นตัวอธิบาย

มีตัวอย่างคำเทศน์ตัวหนึ่งที่เขาชอบยกขึ้นมา เทศน์ว่าคนในยุคก่อนตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เป็นยุคที่มีศรัทธามาก แนะให้ผู้ศรัทธาในนั้นต้องมีศรัทธาให้ได้ ยกตัวอย่างการนั่งทางในไปแล้วเห็นคนสมัยก่อนสร้าง “เจดีย์ทองคำสูงหนึ่งโยชน์” ได้ ซึ่งคำพูดนี้ ผมได้ลองพิสูจน์ทางวิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภูมิศาสตร์แล้ว ได้ผลออกมาว่าโลกของเรามีทองคำไม่เพียงพอที่จะสร้างเจดีย์ทองคำได้ด้วยซ้ำไป

       

        ยิ่งเป็นเจดีย์ทองคำที่หนึ่งโยชน์แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะความสูงของมันจะขึ้นไปถึงชั้นบรรยากาศที่มนุษย์เราไม่สามารถขึ้นไปอยู่ได้ นอกจากยุคนั้นจะมีนักบินอวกาศที่พยายามสร้างเจดีย์ทองคำ ให้ทะลุชั้นบรรยากาศที่มนุษย์อยู่ได้เท่านั้นเอง

 

อะไรคือสิ่งที่ลัทธินี้สอนผิดจากหลักธรรมคำสอนตามหลักพุทธศาสนาที่สุด?

        มันคือการสอนโดย “ปลุกกิเลสความอยาก” จากปกติแล้ว พระธรรมจะสอนให้ “ละกิเลสความอยาก” เพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ลดกิเลสในใจลง เมื่อหมดสิ้นจากกิเลสใดๆ ทั้งปวง ตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ อยากอิจฉาริษยา ความเขลาทึบทางปัญญา ฯลฯ ก็จะเกิดสภาพ “นิพพาน” ภายในใจ ซึ่งเป็นสภาวะจิตที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์

      

        แต่วัดพระธรรมกาย กลับสอนว่า “นิพพาน” คือดินแดนเกษมสุขที่จะต้องไขว่คว้าไปให้ถึง ซึ่งเขาเรียกกันว่า “อายตนะนิพพาน” เป็นดินแดนที่เขาสร้างขึ้นมาเองและไม่มีในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และด้วยความคิดตรงนี้เองที่เป็นจุดชนวนให้คนเกิดความต้องการต้องไขว่คว้าไปให้ถึงดินแดนตรงนั้น ซึ่งมันคือกิเลสความอยากได้ ตรงข้ามกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง

      

        พระพุทธเจ้าสอนว่า “กิเลส” ทั้งหลายเหมือนไฟ ไฟที่ดับสมบูรณ์แล้ว จิตจึงจะหลุดพ้นถึงที่สุด จึงจะเข้าสู่นิพพาน จะไม่ข้องแวะอยู่ในความปรารถนาอยากจะเกิดอีก แต่ที่นี่สอนให้ไปข้องแวะกับความอยาก ยังตัดบ่วงไม่ขาด เพราะยิ่งถ้าไปยึดติดกับ “ดินแดนอายตนะนิพพาน”มันยิ่งไปเพิ่มความอยากที่จะไปเพิ่มความสุขตรงนั้น เกิดการต้องการในการแสวงหา

การแสวงหาของเขาก็ใช้ “วิชาการตลาด” เข้ามาเป็นเครื่องมือ บอกให้สะสม “เสบียงบุญ” เอาไว้เดินทางข้ามภพข้ามชาติ เพราะมองว่า “นิพพาน” คือดินแดนอายตนะแห่งหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยสุขอันเกษมกว่าสุขใดๆ ทั้งหลายทั้งมวลในพิภพนี้ แม้แต่ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกก็สุขไม่เท่า

      

        พระทุกรูปจะเทศน์แบบเดียวกันหมดเลย เขาจะมี “โกดังคำหวาน” ที่จะใช้พูดเหมือนๆ กัน ซึ่งประโยคเหล่านี้แหละที่ผมเรียกว่าเป็น “มธุรสวาจา อันสุดแสนไพเราะเพราะพริ้ง เสนาะโสต ประทับจิต มิรู้ลืมเลือน” นี่แหละคือหลักการของเขา ตอนพระให้พร ไม่ได้ให้พรว่า “ขอจงเป็นเช่นนั้นเถิด สาธุ” อย่างที่พระพุทธศาสนาสอนสั่ง แต่พระจะบอกว่า “ขอให้จงเป็นพระมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพุทธศาสนา จงหล่อสวยรวยฉลาด จงมีห่าฝนรัตนชาติตกมา จงมีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง” สรุปคือให้พรว่าจงรวย จงรวยมาก และจงอภิมหาโคตรรวยนั่นแหละครับ

 

เพราะจุดนี้หรือเปล่าที่ทำให้สาวกในนั้น “เสพติด” การบริจาค เช่นเดียวกับที่ภรรยาของคุณชาติชายเสพติดอยู่?

        ใช่แน่นอน ผมเขียนไว้ในหนังสือเลยว่า บทสรุปของการที่ทำให้มหามวลชนหลงในวัดพระธรรมกาย เกิดจากวิธีการเหล่านี้ของเขา ยกตัวอย่าง คุณยายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ไร้การศึกษา แต่ปรารถนาดีอยากทำบุญ อยากมุ่งสู่นิพพาน เมื่อพระธัมมชโยเห็นช่องโหว่ตรงนี้ จึงใช้มันมาล่อให้ผู้คนเข้ามา โดยนำเอาทางลัดสู่นิพพานมาเป็นจุดดึงดูดคน

      

        เขาสอนด้วยวิธีการปล่อยให้ผู้คนไหลตามทางของกิเลสซึ่งไหลเชี่ยวเหมือนสายธาร ด้วยวิธีแบบนี้นี่แหละที่ทำให้คนเข้ามากันเยอะแยะไปหยุดหย่อน กระทั่งหลงเข้ามาบริจาคและหลงอยู่ในมธุรสจนออกไปไหนไม่รอด ถ้าให้พูดโดยสรุปเป็นบทกลอนที่ผมแต่งขึ้น จะได้ความตามนี้

      

        “ยายไร้การศึกษา มุอาสาอย่างอ่อนหัด ธัมชัยคิดทางลัด กลับคิดตัดไหลตามธาร สาวกต่างดีใจ ว่านี่ไงทางลัดผ่าน มวลชนชื่นสำราญ พรเลิศหวาน ซาบซ่านทรวง”

 

 

 อะไรที่ทำให้คนที่เสพติดการบริจาค ไม่สามารถดึงตัวเองออกมา

      

       ทั้งๆ ที่มองเห็นแล้วว่าตัวเองหรือแม้แต่ครอบครัว ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เป็นหนี้เป็นสิน ไม่อยู่ในสถานะที่ควรแก่ “การให้” อีกต่อไป?

        เพราะกลุ่มคนที่ศรัทธาเขารู้สึกว่าความลำบากบนโลกใบนี้มันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสังสารวัฏอันยาวนาน โดยเขาใช้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าบางช่วงบางตอนมากล่าวอ้าง พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าความทุกข์ในสังสารวัฏมันยาวนานมาก เปรียบไปแล้วมากกว่าน้ำตาที่หลั่งออกมาของแต่ละคน รวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้ง 4 บนโลกใบนี้เสียอีก พูดง่ายๆ คือเขารู้จักการหยิบเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพูดในจังหวะที่เขาต้องการจะใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง

      

        ทำให้ผู้คนในนั้นรู้สึกว่า “ความทุกข์ยากในการสะสมเสบียงบุญ” มันเล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับความโศกเศร้าในสังสารวัฏอันยาวนาน แต่เราต้องไปหาความสุขสำราญใน “ดินแดนอาตยนะนิพพานอันเกษม” อันเป็นความสุขอันนิรันดร์ โดยสอนให้ทุกคนทุ่มเทแบบทุ่มสุดชีวิต ซึ่งวิธีการเช่นนี้ผมเรียกว่า ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายได้กลายเป็น “ทาสทางจิตวิญญาณ” ไปเรียบร้อยแล้ว

        พ่อครูว่า ธัมมชโยได้สะกดจิตคนไว้แล้ว เป็นอภิมหาบรมทาส ทางจิตวิญญาณด้วย

        ถ้าเป็นทาสสมัยก่อน จะเห็นว่าเขาจะถูกใส่โซ่ตรวจ ถูกแส้เฆี่ยน ซึ่งแบบนั้นมันล้าสมัยไปแล้ว ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องโหดร้าย แต่ทาสทางจิตวิญญาณ เขายินดีควักกระเป๋าของเขาออกมาให้เอง โดยที่ไม่ต้องไปเฆี่ยนตีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายยังเข้ามาจัดการอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ กฎหมายยังเข้าไม่ถึง

 

 เราจะยุติ “เส้นทางโลภบนทางธรรม” เหล่านี้ได้อย่างไร?

        จริงๆ แล้ว ผมจะไม่เดือดร้อนเลย ถ้าเขาเปลี่ยนไปเรียกตัวเองว่าเป็น “ลัทธิศาสนาใหม่” หรือตั้งชื่ออะไรก็ได้ให้รู้ว่าไม่ได้แอบอ้างพระพุทธศาสนาอย่างที่เป็นอยู่ แล้วก็อย่าไปแต่งกายเลียนแบบพระ อย่าเอาบทสวดของพระพุทธเจ้าไปใช้ แล้วก็ไม่ต้องเอา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ของพระพุทธเจ้าไปใช้ ไม่ต้องหยิบไปสวดแล้วบอกต้องตั้งใจสวดให้จบ 11 ล้านจบ ไม่ต้องเลย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณหยิบไปปฏิบัติกันจริงๆ

      

        สิ่งที่คุณสวดๆ กันอยู่ มันคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เทศนาต่อปัญจวัคคีย์ ซึ่งภายหลังพระอานนท์หยิบมาท่องหลายจบ เนื่องจากความจำเป็นในการท่องจำหลักคำสอน เพราะสมัยก่อนนั้นยังไม่มีการจดบันทึก จึงต้องอาศัยการท่องจำโดยการพยายามสวดบทคำสอนนั้นๆ หลายๆ จบ ดังนั้น สำหรับพระพุทธศาสนา “บทสวดมนต์” จึงไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนต์ในพระพุทธศาสนาจะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อเราน้อมใจรับเอาคำสอนนั้นไว้ แล้วนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง

      

       สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live

       เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล

 

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:30:17 )

591215

รายละเอียด

591215_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาจิตบริสุทธิ์

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2559 ที่บ้านราชฯ เทวดาก็ติดแอร์ แถมลมให้ด้วย เมื่อวานนี้ ฝนตกน้ำท่วมชั้น 4 เพราะเขารื้อหลังคากัน วันนี้ลมหนาวพัดมา ค่อนข้างแรงทีเดียว อากาศเย็น พวกเราที่ปลูกผักเมืองตอนนี้เป็นกองหนุน ส่งวัตถุดิบไปถึงสนามหลวง

หนาว ก็คงปลูกได้ดี  กะหล่ำปลีคงห่อดีแน่ ที่ริมมูล น้ำก็ลดลง ก็จะได้ปลูกผักกัน วันนี้ cat สามารถส่ง ความคิดเห็น ผ่านหน้าจอบุญนิยมทีวี ในรายการพ่อครูได้ เป็นวันแรก 4716000 เดิมส่งได้แค่ Dtac True และ AIS 3 บาท

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน  3 อาชีพเพื่อมนุษยชาติ

                                                                 (เน้นขยะวิทยาและกสิกรรม)

พ่อครูว่า...ก่อนจะได้เข้าสู่เรื่องที่กำลังฮอท ก็ขอพูดเกริ่นถึงพวกเรา ที่กำลังทำกสิกรรม ปลูกผักปลูกพืชกัน อาตมามาถึงวันนี้ พาพวกเรา เพื่อที่จะมาเป็นชาวสวนชาวไร่ ทำงานติดดิน สร้างอาหารการกินไว้ให้ดี มาถึงวันนี้แล้ว เราสามารถทำถึงขั้น กสิกรรมไร้สารพิษ เป็นสามอาชีพกู้ชาติ แต่เขาว่าดุไป เลยเปลี่ยนเป็นสามอาชีพเพื่อมนุษยชาติ

_กสิกรรมไร้สารพิษ มาถึงวันนี้แล้ว อาตมาว่าได้พาพวกเราทำ จนประสบผลสำเร็จ ท่ามกลางสารเคมี ท่ามกลางสารพิษ ปุ๋ยเคมี สารเคมีเยอะอยู่เลย แต่เราก็ทำได้ ถือว่าไปรอด พิสูจน์กันมานาน พอสมควรแล้ว

_ปุ๋ยสะอาด

_ขยะวิทยา 3 อาชีพนี้ ถึงวันนี้แล้วก็ตาม คนที่ยังไม่เชื่อว่า ขยะวิทยา จะมากู้มนุษยชาติได้อย่างไร เขายังมองไม่ออก อาตมาว่า มาถึงวันนี้ ชาวอโศกเราหลายผู้หลายคน พอจะเชื่อมั่นขึ้นว่า ขยะวิทยา จะกู้ได้อย่างไร? ได้สองด้านเลย

ด้านหนึ่ง ขยะจะมากขึ้นในโลก แนวฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ทำแพคเกจขึ้นมาทับท่วมโลก มีประเด็นสะดุด ที่เลวร้ายขึ้นมา ที่มันไม่เสื่อมสลายง่าย เราถึงต้องเอาขยะพวกนี้ มาทำการหมุนเวียน มีการReuse, Repair Recycle Reject อย่างนี้เป็นต้น แม้มันจะสลายยาก เราก็เอามาซ่อมแซมใช้ซ้ำ จนกว่าจะสามารถแปรรูป จนกระทั่ง หมดทางจะแปรรูปได้แล้ว ก็ต้องทำการ Reject ก็นำไปทิ้งด้วยวิธีที่ไม่ทำให้เกิดพิษภัย

นอกจากที่เราจะพยายาม นำมาหมุนเวียนใช้  เราสามารถหมุนเวียน เอาทุนคืนมาได้ ซื้อขายอย่างได้เลย ซื้อขายของเก่า ของที่หมุนเวียนจากขยะ หลายระดับ เราก็หมุนเวียน แจกจ่ายซื้อขาย เพราะว่าคนเรามีฐานะต่างกันเยอะ คนรวยเขาไม่ใช้แล้ว แต่คนไม่รวย ก็ใช้ของเก่าใช้ซ้ำ แม้แต่ที่สุด เราขายให้ถูกที่สุด คนที่จนที่สุด เขาก็ต้องซื้อ พวกเขาจำเป็นต้องใช้ ในความหลากหลายของ ฐานะคนในสังคม มันจึงมีความซับซ้อนลึกซึ้ง ถ้าใครเข้าใจ ที่อาตมาอธิบายแค่นี้ ขยะกับคนจน ที่มีหลากหลายฐานะ มันก็สามารถจะหมุนเวียน เอาเงินมาใช้ หรือหมุนเวียนให้เป็นตัวกลาง เอามาใช้งาน แม้แต่ทุกวันนี้ โทรทัศน์ของเรา ก็มีรายได้จากการขายขยะ มาใช้เป็นรายจ่ายของโทรทัศน์ ทั้งที่มีราคาแพง มีการจัดการ ในราคาที่สูงมาก แต่ว่าบุญนิยมทีวี เรามีขยะเป็นแกนหลักช่วย เฉพาะเรื่องเงิน แม้เราจะได้เงินมาพอสมควร ใช้น้อย ก็เพื่อมนุษยชาติ เป็นมนุษย์อาริยะ ทำงานฟรี ทำงานรับผิดชอบ จะมาช่วยเหลือกัน แบบพาร์ทไทม์ก็มี เราก็สามารถทำมาได้ 10 กว่าปีแล้ว ก็ยังอยู่ได้ยังจะไปรอด จะสร้างคนขึ้นมาอีก เป็นแบบอย่าง

สรุปแล้ว ขยะก็ต้องพิสูจน์กัน ว่ามันจะเป็นไปเพื่อมนุษยชาติ กอบกู้มนุษยชาติ จริงๆ 3 อาชีพที่ว่าไป

เรื่องพืชพรรณธัญญาหาร กสิกรรมการเกษตร ก็ไม่ได้หมายความว่า เรื่องของกสิกรรม จะต้องขายแพง มีความซับซ้อน คนจนมีมากกว่าคนรวย ของกินอาหารการกิน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะคนรวยหรือคนจน ก็ต้องกิน จะมาขายแพงไม่ได้ ถ้าข้าวแพง คนจนก็ตายกันพอดี

การทำกสิกรรม ใช่ว่าจะได้เงินทองมาก ปุ๋ย เป็นตัวสนับสนุน เรื่องพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเก่งเท่าไหร่

สรุปว่าก็ต้องดูไป ขยะต้องดูไปยาวนาน น่าจะเป็นพระเอกยิ่งกว่า ได้เงินได้ทองหมุนเวียนมา มากกว่ากสิกรรมมากกว่าทางการเกษตร  พอเห็นไรๆไหม

การเกษตร หรือการทำพืชพรรณธัญญาหาร ขายแพงไม่ได้ แปลว่าขยะนี้ขายแพงขายถูกได้หมด ขึ้นอยู่กับความต้องการของคน

ขยะวิทยานี่ คนจะซื้อแพงก็เพราะคนเขามีเงิน ขยะนี่แหละ เพราะฉะนั้น จึงเกิดเศรษฐศาสตร์ ที่หมุนเวียนกันไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่ไปบีบคั้นใคร คุณจะซื้อแพง ก็ต้องมีเงินพอสมควร เฉลี่ยแล้วคนระดับกลางนั่นเอง จะเป็นตัวซื้อขยะเยอะ แพงหน่อยก็ได้ เขาก็สู้ คนชั้นสูงคนร่ำรวย เขาไม่ค่อยซื้อขยะหรอก แต่คนชั้นกลางจะซื้อ กับคนชั้นด้อยจะซื้อ

สรุปแล้ว ก็ขอให้กำลังใจ คนทำกสิกรรมทำการเกษตร อย่างไรๆก็ต้องกินต้องใช้กันมา จะขายแพงไม่ได้ เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ตอนนี้เราก็ส่งวัตถุดิบ ไปที่สนามหลวง สนุกสนานว่ากันไป

 

มาดู sms เมื่อวานนี้

SMS วันที่ 14 ธันวาคม 2559 

0879769xxxผมพิจารณาจากเหตุผล ชาวอโศกหลายท่าน มีภูมิธรรมสูงมาแต่ชาติก่อนหลายท่านนะ เพียงแต่ไม่สูงเท่าพ่อครู ครับ

ตอบ...อาตมาก็มองหา ผู้ที่สูงกว่าอยู่ แต่ผู้ที่ภูมิธรรมสูงกว่า จะอ่อนน้อมเข้าหาผู้ภูมิธรรมน้อยกว่านะ มันกลับกัน

 

0893867xxxผู้น้อยขออนุญาตนำธ.พุทธทาสว่าไม่ปฏิเสธพระตปฎ.แต่ไม่ยอมให้ครอบงำ! แต่เราจะคั้นเอาสาระจากพระตปฎ.เหมือนคนเขาคั้นเอาน้ำมันจากเมล็ดนานาชนิดฉะนั้น! เหมือนที่พ่อครูสอนพระตปฎ.ให้ศิษย์มาปฎิบัติทำใจในใจอ่านใจทุกสภาวะ ที่เกิดผัสสะเป็นปัจจัย! สกก.ผู้น้อยคิดถูกไหม?

ตอบ...อาตมาใช้พระไตรปิฏก เล่มเดียวกันนี้ ใช้ได้ถึง 80-90% แต่ท่านพุทธทาส ตีทิ้งไปส่วนมาก

0893867xxxระบอบซุกหุ้นลี้ภัย กับระบอบฟอกเงินหลบภัย เหมือนกันเด๊ะ!หนีกฎหมาย ไม่แสดงความบริสุทธิ์ต่อสังคม! พฤติกรรมคอรัปชั่นเหมือนเป๊ะ บิดเบือนกฎหมาย บิดเบือนธรรมะ จนโลกก็โดนบิดเบือนให้ล้อมปท.! สงสารโลก ไกลแก่นธรรมแท้!

ความจนต้องการบางอย่าง ความฟุ่มเฟือยต้องการหลายอย่าง แต่ความโลภต้องการทุกอย่าง คือชาวโลภมีความต้องการทีไร มักจะเป็นความต้องเกินทุกที!ธ.เก่าแก่  เปลี่ยนเราเปลี่ยนโลก ด้วยการลดละกิเลสความโลภ คือชาวโลกเรียนรู้ความสุข จากการลดละความโลภ ด้วยการใช้ชีวิตศก.พอเพียงคือ ชาวโลกเพื่อรักษ์โลกแท้จริง!

0890015xxxศรัทธาและบริจาคให้ธรรมกายเต็มที่ โดยบริสุทธิ์ใจ ไม่เจตนาหวังผลและสะสม จะได้อานิสงส์ผลบุญ หรือไม่อย่างไร?

ตอบ...ได้

ทักขิณาวิสุทธิ 4 (ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา คือของทำบุญ)

       1. ทักขิณาที่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก (คือ ทายกมีศีล มีกัลยาณธรรม แต่ปฏิคาหกทุศีล มีบาปธรรม) ธัมมชโยเป็นผู้รับ ฝ่ายผู้ให้เขาบริสุทธิ์ใจ แต่ผู้รับธัมมชโยบริสุทธิ์ใจหรือเปล่า ก็ไม่บริสุทธิ์ใจเป็นคนทุศีล มีบาป มันก็ได้ผลแค่ส่วนหนึ่ง

       2. ทักขิณาที่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก (คือ ทายกทุศีล มีบาปธรรม แต่ปฏิคาหกมีศีล มีกัลยาณธรรม) การทำทานมี 2 คน คือผู้ให้หรือผู้รับ เป็นแต่เพียงใครอยู่ในฐานะที่ไม่บริสุทธิ์ ก็ไม่ได้อานิสงส์

       3. ทักขิณาที่ไม่บริสุทธิ์ ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก (คือ ทั้งสองฝ่ายทุศีล มีบาปธรรม)

       4. ทักขิณาที่บริสุทธิ์ ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก (คือ ทั้งสองฝ่ายมีศีล มีกัลยาณธรรม)

0890015xxxยุคปราบตามที่พ่อท่านฯ เคยพูดไว้นั้น ผ่านไปหรือยังครับ

ตอบ...ยุคปราบก็ยังคงไม่ผ่านไปก็คอยดูไป

 

0805925xxxธัมมี่ยังจับข้ามปี รถหรูคงจับข้ามชาติช่วงบ่ายก่อน้ออออสังขารา555

ปีระกาไม่ชงดีเอสไอคงจิกจับได้มั้งหุหุ?รอแป๊บโยม555@ปลายฝน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน จิต วิญญาณ มโน แตกต่งกันอย่างไร?

_ไลน์ คุณตะวันทอฟ้า อันดับแรก ผมขอรายงานตัวก่อนครับ ผมชื่อ นายต้องเกียรติ ตะวันธรรม ทำงานประจำของบริษัทฯ ตัวแทนขนส่ง นำเข้าส่งออก ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมติดตามข่าวสารของสันติอโศก ทุกครั้งที่มีโอกาศอำนวย เมื่อสองปีผมนำศพพ่อผม ไปเผาที่สีมาอโศก ที่เป็นศพแรกของสีมาอโศกครับ

ผมมีข้อสงสัย อยู่ว่า จิตร หรือจิตใจ กับ วิญญาณ มีความเหมือนกัน หรือแตกต่างกัน อย่างไรครับผม เท่าที่ผมทราบมาบ้างคือว่า จิตรเป็นเหมือนหน้าต่างของบ้าน และวิญญาณเป็นเหมือนตัวบ้าน

ผมขอความกระจ่างด้วยครับผม หรือหากจะมีข้อแนะนำอย่างไร ก็ขอรบกวนด้วยครับ

ตอบ..อาตมาว่า...จิตไม่ใช่หน้าต่าง แต่จิตคือส่วนต่างๆของบ้าน ทั้งส่วนหน้าต่าง ประตู เสา ฝ้า เพดาน พื้น เป็นส่วนต่างๆเรียกว่า จิต 89 หรือ 121 ไม่ใช่แค่หน้าต่าง

ส่วนวิญญาณนั้น เหมือนตัวบ้านทั้งหมด รวมทั้งหมด ไม่แยกแยะอะไร แยกนิดแยกหน่อย จักษุวิญญาณ ฆานวิญญาณ​ฯ เป็นต้น

แต่จิตเหมือนส่วนต่างๆซอยลงไป แล้วยังมีมโนอีก

มโน คือกลางใจของบ้าน หรือใจกลางของบ้าน

 

_คุณภุชงค์ วันนี้ เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นวันที่ พระสงฆ์มากกว่า 6,000 รูป มาชุมนุมกันที่ประตู 6 ทางเข้าวัดธรรมกาย โดยมิได้นัดหมายกัน ถือเป็นวันนะจ๊ะบูชา

 

มาดูบทความของจิตรกร บุษบา  เส้นใต้บรรทัด

ยุทธการ‘ล้อมปราบ’สำนักธรรมกาย

มันถึงเวลาแล้ว ที่ทุกองคาพยพ ในสังคมต้องทำหน้าที่ “กำจัดอลัชชีชั่ว” ออกจากพระพุทธศาสนา โดยที่ต้องไม่เอาแต่ก่นด่า เจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างเดียวว่า เป็น “เสือกระดาษ” หรือ “ไม่ทำอะไรสักที” เพราะหากตรวจสอบดูให้ดี จะพบว่า ทุกองคาพยพ ของธรรมกาย ได้รวมกำลังกัน “ต้านทานขัดขวาง” ทุกรูปแบบ แถมมี “คน” ที่หลงเชื่อ งมงาย ตกเป็นเครื่องมือ และพระจำนวนหนึ่ง ที่ถูกจ้างวาน ให้มาทำหน้าที่ “โล่มนุษย์” คิดให้ออกนะครับ ว่าผู้คนส่วนหนึ่งนั้น พร้อมจะเป็น “แพะบูชายัญ” พร้อมจะไปอยู่สวรรค์ที่พวกเขา “ผ่อนส่ง” ไว้กับพระเดชพระคุณ หลวงพ่อแล้ว

(พ่อครูว่า มีทั้งพระและโยม ที่ถูกสะกดจิตไว้ เขาใช้ได้ผลจริงๆ นี่คืออาตมาขอย้ำสำทับว่า วิชาสะกดจิตนี้ มันเลวร้าย รัสปูติน เกือบจะยึดบัลลังก์รัสเซียนะ แต่ธัมมชโยนี้เก่งจริงๆ ใช้วิธีสะกดจิต เรื่องสะกดจิต จึงไม่ใช่เรื่องเล่น ยิ่งกว่าควาย ควายไม่ดื้อด้วย

มาดูท่าทีล่าสุดของสำนักธรรมกายกันก่อน

 

วานนี้ พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ที่ปักหลักรอทำข่าว อยู่บริเวณประตู 7 วัดพระธรรมกายว่า วันนี้ทีมทนายความ จากวัดพระธรรมกาย ได้ไปที่ศาลอาญารัชดา เพื่อยื่นคำร้อง ขอเพิกถอนหมายค้น เพราะทางวัดเชื่อมั่น ในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย จึงต้องให้ทีมทนาย ดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมสิทธิ์ที่เราพอจะทำได้ ที่ผ่านมาคณะศิษยานุศิษย์ ได้มีการยื่นถวายฎีกา เพื่อขอความเป็นธรรม เราหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่า ความรุนแรง ไม่ใช่หนทางในการแก้ไขปัญหา และเชื่อว่าเรื่องนี้ จะยุติได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง

 

“วัดพระธรรมกาย มีบริเวณค่อนข้างกว้าง จึงต้องมีเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัย คอยอำนวยความสะดวกให้ สำหรับการเข้าตรวจค้น ภายในวัดของทางเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเอกสาร หมายค้นว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ ติดต่อเข้ามาภายในวัด แต่หากเจ้าหน้าที่ จะเดินทางมาทางวัด ก็พร้อมอำนวยความสะดวก ให้อย่างเต็มที่”

 

พระมหานพพร กล่าวต่อว่า วันนี้มีศิษยานุศิษย์พร้อมพระภิกษุ เดินทางมาที่วัดพระธรรมกาย และนั่งสวดมนต์ที่วัด บริเวณประตู 5 เป็นจำนวนมาก ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะวัดพระธรรมกาย เป็นเหมือนมหาวิทยาลัย สอนศีลธรรม อำนวยความสะดวก ในการเรียนรู้ สำหรับศิษยานุศิษย์ ที่มีการสวมผ้าปิดปากนั้น นำกันมาเอง เพราะพื้นที่วัด ยังมีการก่อสร้างอยู่ แต่ไม่ขอยืนยันว่า หลวงพ่อธัมมชโย ยังอยู่ในวัด เพราะไม่เคยเห็นหลวงพ่อด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาก็เห็นพร้อมสื่อว่า หลวงพ่อมีอาการอาพาธ พักอยู่ที่โบสถ์ดาวดึงส์ สำหรับสาเหตุ ที่มีการปล่อยเสียงสวดมนต์ออกมา ผ่านเครื่องขยายเสียงนั้น เป็นเพราะมีศิษยานุศิษย์ เดินทางมาเยอะ หลายๆ คนสวดไม่ได้ จึงต้องพึ่งเครื่องขยายเสียง สำหรับเรื่องการป้องกัน เรื่องมือที่สาม วัดมีมาตรการในการคัดกรองบุคคล ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือจะต้องเป็นหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องกัน

 

คราวนี้มาพิจารณากันให้ถ่องแท้

 

1) การดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั้น ดำเนินคดีกับใคร กับ “พระธัมมชโย” เท่านั้น ใช่หรือไม่ ต่อมาเมื่อมีการ “ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่” จึงมีการดำเนินคดี กับลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย จำนวนหนึ่ง กับรักษาการเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ที่เข้าข่าย “ปกปิดซ่อนเร้น” หรือ “ให้การช่วยเหลือ” บุคคลที่ทางการ “มีหมายจับ”

 

2) หากธัมมชโย ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ด้วยการ “ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม” เรื่องจะลุกลามบานปลาย มาถึงจุดนี้ไหม ตอบเลยว่า ไม่ ทั้งหมดจึงเกิดจาก “ความเห็นแก่ตัว” ของธัมมชโยแต่เพียงผู้เดียว เจือสมกับ “ความงมงาย” ของลูกศิษย์ ที่แยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ จึงเห็นการดำเนินการ ทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่ต้องขัดขวาง จนกลายเป็น ผู้ร่วมกระทำผิดทางกฎหมาย และทำให้ธัมมชโย ที่ต้องรับผิดชอบนั้น มีอำนาจต่อรองขึ้นมา จึงยิ่งไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หนักขึ้นไปอีก

 

3) พระเดชพระคุณหลวงพ่ออาพาธ อ้างกันมาตั้งแต่ แม่เริ่มมีผัว จนหลานจะบวชกันแล้วมั้ง แต่ถามว่าเจอหลวงพ่อมั้ย ตอบหมดว่า “ไม่เจอ” แล้วรู้ได้ไง (วะ) อีกส่วนก็บอกว่า แล้วทำไมดีเอสไอ มามาตรวจล่ะ ก่อนหน้านี้เขาให้มาตรวจ ก็ไม่มา ถามว่า มันเป็นหน้าที่อะไร ของดีเอสไอเขาหรือครับ เขามีหน้าที่ “สอบสวน” ตามหมายเรียก และต่อมา ก็มีหน้าที่ “จับกุม” ตามหมายจับ ป่วยหรือไม่ป่วย มันเป็นหน้าที่ พิสูจน์ตัวเองของธัมมชโย!

 

4) แล้วธัมมชโยกับพวก พยายามจะยืนยันอาการป่วยไหม ตอบว่า ยืนยันครับ พวกเขาแสดงใบรับรองแพทย์ แต่พอดีว่าใบรับรองแพทย์ ที่เขานำมายืนยันนั้น มันมี “ความฉ้อฉล” อยู่ในตัวเอง คือ ออกโดยโรงพยาบาล ที่ธัมมชโยไม่เคยไปรับการรักษา ถามโดยสามัญสำนึกนะว่า มันเป็นไปได้ไหม เชื่อได้หรือ ใบรับรองแพทย์แบบนี้ แล้วทำไมถึงยอมรับ “ความขี้ฉ้อ” เช่นนี้กันได้

 

5) แล้วถามต่อ ไปยังกรรมการแพทยสภาว่า ตรวจอะไร ถึงได้นานนักหนา จนป่านนี้ยังไม่มีผลสรุป เรื่องใบรับรองแพทย์ออกมาอีก ว่าการออกใบรับรองแพทย์ โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้ไปรับการรักษา ที่โรงพยาบาลนั้น แพทย์ผู้ออก ต้องรับผิดชอบอย่างไร และอาการซึ่งวินิจฉัย แสดงในใบรับรองแพทย์ ตรวจยังไง ใช้เครื่องมือที่ไหนตรวจ หรือร่วมกันเขียน ใบรับรองแพทย์ปลอมขึ้นมา

 

6) เมื่อลูกศิษย์ยอมรับความขี้ฉ้อ ของอาการป่วยได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอ พระและโยม พร้อมใจกันปลิ้นปล้อน กะล่อนไปเรื่อยๆ สังคมก็ควรตำหนิ ประณาม และตัดขาดการมีส่วนร่วม ทุกกิจของวัดนี้

 

7) ขณะนี้พบว่า มีการขนคนขนพระ จากต่างจังหวัดเข้ามา ให้ช่วยกันตรวจสอบว่า วัดใดที่พระเดินทาง มาที่วัดพระธรรมกาย โดยรวมตัวกันไปถาม เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะจังหวัด ให้สิ้นกระแสความว่า มาทำไม มาช่วยเขาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่หรือ หรือว่ามาสวดมนต์ ถ้าอ้างว่ามาสวดมนต์ ทำไมไม่สวดที่วัดตัวเอง นำญาติโยมสวดมนต์ถวาย อยู่ที่ไหนก็ทำได้ และดีงามทั้งนั้น สังคมต้องช่วยกัน ไม่ใช่ด่าเจ้าหน้าที่อย่างเดียว

 

8) วัดใดมีพฤติกรรมเป็นสาขา และเครือข่าย ญาติโยมต้องตัดขาด ไม่ใส่บาตร ไม่ทำบุญ ไม่เกื้อหนุนในทุกกรณี

 

9) คณะสงฆ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร้อง ไยดีต่อการบิดเบือน ทำลาย คำสอนในพระพุทธศาสนาได้แล้ว อย่ามัวแต่นิ่งเฉย แล้วปล่อยให้โกลาหล ผู้คนตกเป็นเหยื่ออยู่อย่างนี้

 

10) ส่วนเรื่องถวายฎีกานั้น เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2559 นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษา หัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว Chuchart Srisaeng กรณีที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งยื่นฎีกา ขอไม่ให้ดำเนินคดีแก่พระธัมมชโย โดยอ้างว่า  ถูกกลั่นแกล้งนั้น โดยระบุว่า...

 

“...เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ มีบัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 ว่า “ผู้ต้องคําพิพากษา ให้รับโทษอย่างใดๆ หรือ ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรมก็ได้”

 

ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว มีความหมายชัดแจ้งว่า การจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวแด่พระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้นั้น ผู้ที่ขอรับพระราชทานอภัยโทษ ต้องถูกฟ้องคดีต่อศาล และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษแล้ว

 

แต่กรณีของพระธัมมชโย ยังไม่ได้ถูกฟ้องคดีต่อศาล และศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา ถึงที่สุดให้ลงโทษ เมื่อศาลยังไม่ได้ลงโทษ จึงไม่มีโทษที่จะขอรับพระราชทานอภัยโทษ ตามบทบัญญัติของมาตรา 259 ได้

 

ทั้งการยื่นฎีกาดังกล่าว พระธัมมชโยก็ไม่ได้ยื่นด้วยตนเอง และกลุ่มบุคคลที่ยื่น ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องคือ บิดา มารดา

คู่สมรส หรือบุตร ของพระธัมมชโย

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีกฎหมายฉบับใด บัญญัติให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมาย หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราว แด่พระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานของรัฐ ดำเนินคดีแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดกฎหมายได้

 

การยื่นฎีกาดังกล่าว จึงเป็นการกระทำโดย ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับให้กระทำได้!”

 

ถึงเวลาแล้ว ที่ทุกภาคส่วนของสังคม ต้องช่วยกันกดดัน วัดพระธรรมกาย ให้เปิดทาง ให้เจ้าหน้าที่ เข้าจับกุมผู้ต้องหาที่มี “หมายจับ” เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างสงบ หยุดปลุกปั่นว่าจะเกิดความรุนแรง เพราะหากไม่มีการขัดขวาง นำคณะเจ้าหน้าที่ ไปแสดงหมาย จับกุม และนำตัวธัมมชโย เข้าสู่กระบวนการ กฎหมาย ก็ให้ความคุ้มครองผู้ต้องหา ในการใช้สิทธิเรียกร้อง ต่อสู้ ขอรับความเป็นธรรม อีกเยอะแยะมากมาย

 

แทนการให้ที่กบดาน แล้วชวนกันมาทำมาสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม โดยอ้างว่าทำเพื่อสถาบันเบื้องสูง

 

เพราะมันทั้งไม่ตรงไปตรงมา ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะ และไม่บังควร!!

 

 

พ่อครูว่า..อาตมาก็ขอวิจารต่อ...เขาทําการดึงดัน ดื้อด้านดันทุรัง ก็เป็นวิบากกับเขาเอง ถ้าเขาเสียสละยอมรับ จะได้กุศลเยอะเลย แต่นี่กุศลเขาก็ไม่ได้ เวรภัยเขายิ่งหนักขึ้น คนอื่นที่มาช่วยเหลือธัมมชโย ก็จะมีวิบากซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เห็นความซับซ้อน โง่เง่าของเขาไหม แล้วก็ได้รับวิบากเพิ่มอีก

ถามพวกเราว่า ธัมมชโยจะรอดไหม ..ไม่รอด ...ทำไมทุกคนรู้ คนที่ไปช่วยธัมมชโยเขาเชื่อว่า จะต้องรอดนะ ทำไมคุณว่าไม่รอด พวกคุณเชื่ออะไร

อาตมาว่าตอนนี้ ถ้าทางออกอีกอันหนึ่ง ถ้าดันทุรังจริงๆแล้ว เราก็ทำรุนแรงไม่ได้ ทางการบ้านเมือง นายกฯประกาศเลย ให้คนในประเทศไทย มาลงคะแนนเสียง ว่าจะให้จับธัมมชโย หรือจะให้ถอน อาตมามั่นใจว่า คะแนนเสียงมากกว่าแน่ เอาประชาชน มาลงคะแนนเสียงเลย

 

_มีคำถามจากเด็กนักเรียนมา ธัมมชโยถูกจับหรือยังครับ

ตอบ...ยังครับยังจับไม่ได้ครับ

 

_เมื่อเราโดนมองจิก (จิกตาใส่) โดนแบบนี้มากๆ เคยโดนคำพูด ประชดประชัน แดกดันมากๆ แถมยังทำหน้าตา ล้อเลียนอีก หนูก็รู้สึกลำบากใจ อยากจะรู้ว่า ต้องทำตัวทำใจอย่างไร ถึงไม่ลำบากใจ เจอแบบนี้มานานแล้วอึดอัดค่ะ จึงอยากรู้ วิธีคิดของหลวงปู่ค่ะ

 ตอบ...ถามว่าจิกตาใส่ ถามว่า มันเหมือนใบมีด มาบาดเราไหม มันก็ไม่นะ มันเป็นกิริยา ที่เราไปรับเอามา สายของตาจิก นั้นไม่ใช่เหล็กไม่ใช่ไม้ ไม่ใช่ทองเหลืองอะไร อาตมาว่าให้เขาทำเถอะ ถ้าเขาไม่เหนื่อย ให้เขาทำต่อไป อาตมาว่าสักวัน ตาเขาเขแน่นอน แล้วจิกอย่างไรนะ ถึงจะมีประสิทธิภาพ จนคนรับถูกจิกรู้สึกเลยนะ เอาล่ะ อาตมาว่า ปล่อยเขาให้จิกต่อไปเถอะ สักวัน ตาเขาจะเขไป อย่าไปถือสา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ปฏิบัติในเบื้องกลางอย่างไร?

__นึกถึงตอนที่มาเจอชาวอโศกใหม่ๆ ได้ฟังธรรม รู้สึกว่ามันใช่เลย แล้วก็เริ่มปฏิบัติตาม เริ่มถือศีลกินมังสวิรัติ ปิดอบาย ลดมื้ออาการ กินมื้อเดียว ทุกอย่างทำได้ง่าย ไม่ต้องออกแรงมาก แล้วก็รู้สึกมีปีติ มีความสุขมากๆ อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่พอระดับกามคุณและโลกธรรม ต้องใช้พลังงานเยอะมากๆๆๆ ก็รู้ได้ว่า มันเบาบางลง แต่มันไม่ยอมหลุดง่ายๆ มันยังยินดี มีลิ้มเลียในอารมณ์​ การกินก็ฝึกกินรสจืด อ่านเวทนาขณะกิน ก็พอรู้ว่าเวทนาแท้เป็นอย่างไร แต่ก็ยังมีเวทนาเทียม มีดูด มีผลัก ก็ตามรู้ได้อยู่  แต่ยังเอามันไม่ออก มันรู้สึกตื้อๆ อย่างไงก็บอกไม่ถูก จะทำอย่างไรต่อไปคะ

ตอบ...ทำไปเรื่อยๆ จะปฏิบัติต่ออย่างไรมันถึงจะหลุด ต้องทำไปเรื่อยๆ มันได้ผลอยู่นะ ใช่ไหม? เพราะงั้นมันต้องทำไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะเห็นด้วยปัญญา และเราจะมีแรงเจโต แรงเจโตก็มีผลไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะค่อยๆ เข้าใจ พิจารณาตามอย่านิ่ง ตัวปัญญาต้องเห็นเหตุ เห็นผล เห็นมุม เห็นเหลี่ยม เห็นลักษณะจริง ลักษณะแท้ของมัน ต่างๆ นานา ซึ่งมีรายละเอียด อาตมาไม่สามารถจะใช้ภาษาได้ ใช้ภาษาไม่ไหวเลย  ฟังไปดีๆ แล้วจะเข้าใจ 

กราบนิมนต์พ่อท่านอธิบายวิธีทำใจในใจในขณะกำลังสัมผัส

 นั่นแหละ ฝึกใจในใจทั้งนั้น ทั้งพลังเจโต เราก็ทำว่า ให้มันทนได้ ให้สู้ได้อยู่ สองพลังปัญญาก็ต้องมองทุกเหลี่ยม ทุกมุม ทุกแง่ ทุกสภาวะ ที่มันจะมีความเห็นจริง มีปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้นมา โดยประเด็นหลัก เป็นสามประเด็นใหญ่ 

หนึ่ง มองให้ออกว่า ถึงมันจะมีอยู่ มันก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เที่ยง อนิจจัง

สอง ถ้าเรามัวแต่จะไปยึดถืออยู่อย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันทนไม่ได้อยู่อย่างนั้นหรอก  1. ไม่เที่ยงไม่แท้  2.  มันทนอยู่ในสภาพเดิมๆ อย่างนั้นอีกไม่ได้ มันไม่มีอะไรเลยที่จะเที่ยงแท้อยู่อย่างนั้น

มันจะไปหาศูนย์ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้ 

สาม ถ้าเราเกิดปัญญาเมื่อไหร่ ความตั้งอยู่ไม่ได้นี่ มันจะเป็นปัญญาเข้าใจ แล้วมันจะตัดทันที แต่ตราบใดที่ปัญญาคุณเข้าใจไม่ได้ว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้มั่นคง ถาวร ยืนนาน

 มันตั้งอยู่ได้ในระยะหนึ่ง นานเป็นกัปป์ๆ นานเป็นชาติๆ นานอยู่ในชั่วระยะ เป็นวัน เป็นชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที เป็นอะไรต่างๆ นานา ลักษณะนามของความละเอียดของวินาทีเข้าไปอีก มันก็เท่านั้นเอง

สรุปแล้ว อนัตตาเป็นพื้น ไม่มีตัวตนจริงหรอก อะไรก็ไม่มีตัวตนจริงเลย โดยเฉพาะอารมณ์ของเวทนาสุขทุกข์  มันไม่มีจริงเลยไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์

มันมีแต่ อทุกขมสุข มันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข

คุณมีตัวอย่างของ อทุกขมสุขในเรื่องหยาบที่คุณทำมาได้กี่อย่างแล้ว เอามาให้หมด เอามาทำคะแนน เอามาช่วยตีฆ้อง ตีกลองช่วย เชียร์

ไม่มีอะไร มันไม่มีตัวตน มันไม่สุขไม่ทุกข์เท่านั้นแหละ สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี        

    

 

_ถามว่าทำอย่างไรจะมีสมาธิในการฟังธรรม

ตอบ..เรื่องของสมาธิ เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทำได้ก็จบอยู่ในสมาธิทั้งนั้น สมาธิเป็นตัวกลางของจิต ในศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิเป็นตัวกลาง ถ้าทำได้สุดยอดแล้วเป็นนิโรธ เป็นวิมุติ ถ้าทำไม่ได้ ก็ทำอธิศีล อธิจิต เป็นอธิปัญญา

 

หลวงปู่คะ ลุงซานตาคลอส มีจริงไหม?

ตอบ..ลุงซานตาคลอส เป็นตัวสมมุติจริงๆ เช่นในบ้านนี้มีปู่ย่า มีหลาน ก็สมมุติให้ปู่แต่งตัวเป็นซานตาคลอส เอาของขวัญมาให้หลาน ซานตาคลอสก็อยู่ในความจำ ซานตาคลอส คือผู้ใหญ่เอาของขวัญ มาให้ผู้น้อย เป็นกรรมกิริยาที่ดี เป็นน้ำใจเป็นเรื่องประเสริฐ ใครจะทำตัวเป็นซานตาคลอส จะทำตัวเป็นผู้ให้ เอาของขวัญมาให้ใคร เป็นเรื่องประเสริฐ เมื่อผู้ใดจะเป็นผู้ให้ สมมุติว่าเป็นซานตาคลอส ซานตาคลอสก็มี ซานตาคลอส คือผู้ให้ ผู้เสียสละ ผู้มีน้ำใจ ผู้เป็นคนดี ใครทำก็ทำเลย

ซานตาคลอสอายุ 5 ขวบใส่หนวดก็ไปทำ หนูน้อย 5 ขวบก็เป็นซานตาคลอสที่ยิ่งใหญ่ ใครที่เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ โดยไม่ต้องติดใจว่าให้แล้ว จะต้องหวังอะไรตอบแทน ให้โดยบริสุทธิ์ใจเลย คำว่าซานตาคลอส ก็คือสิ่งที่สมมติภาษา จะเป็นเทวดาหรือเป็นพระอินทร์ จะเป็นใครก็ได้ ขอให้เป็นผู้ให้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้สิ่งที่ดีงาม ให้สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ โลกนี้ต้องการ โลกนี้ต้องทำ ใช้คำว่าต้องเลย โลกนี้ต้องการ ทำเถอะ เป็นความประเสริฐของมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนเป็นซานตาคลอสได้หมดเลย มนุษย์ทุกคนเป็นผู้ให้ได้หมดเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะในการคบเพื่อนดีและเลว

_ถ้าเรามีเพื่อนดีกับเพื่อนไม่ดี แล้วเราก็เลือกที่จะสนิทกับเพื่อนที่ดี แล้วก็โดนหาว่า แบ่งพรรคแบ่งกลุ่ม ลูกควรจะกล้าทำอย่างไรดี ใครๆก็คงอยากมีเพื่อนที่ดี มีที่ปรึกษามีผู้ฟังที่ดี

ตอบ...ให้ใช้ศิลปะใช้วิธีการ เราก็จะคบอย่างมีน้ำหนักกับผู้ที่ควรจะคบ เลือกคบกับคนดีมากกว่าคนชั่ว คนชั่วเราก็คบน้อยกว่า หรือต้องทำไม่ให้เขารู้ตัว ว่าเราไม่คบกับคนชั่ว ถึงที่สุดแล้ว เราก็ต้องมีเพื่อนรวมตัวกันว่า เราจะไม่คบคนชั่วแล้วนะ เอาพวกมากเป็นเครื่องยืนยันว่า เราไม่คบกับคนชั่ว ยิ่งคนนั้นแพ้ เพราะเขามีคนเดียว เพื่อนสี่คนไม่คบเลยก็ได้ แต่ถ้าสองต่อสองนี่ยากมาก แต่ถ้าสามต่อหนึ่งก็ยาก เราจึงต้องศึกษาศิลปะในการแสดงออก ทางกายกรรมวจีกรรม ซึ่งเป็นนามธรรมประกอบ กับกายกรรมวจีกรรม เป็นศิลปะอย่างยิ่ง

ยกตัวอย่าง ศิลปะที่ซ้อนอยู่ในกรรมกิริยาท่าทาง อย่างเช่นหลวงปู่ มีคนรักหลวงปู่ แต่คนก็ เกรงหลวงปู่ ใครๆก็อยากเข้าใกล้ แต่ก็ยังเกรง ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะหลวงปู่ใช้ศิลปะ ให้รักแต่ให้เกรง อยู่ในตัวเอง เข้าใกล้ได้ จริงๆแล้วหลวงปู่ไม่ใช่คนดุ แต่ให้เกรง มีท่าทีดูเหมือนกัน แต่รู้ลึกๆว่าไม่ร้าย แต่ก็ไม่ค่อยกล้า

นี่มันใช้ภาษาเลี่ยงได้เช่นนี้ จึงต้องทำอย่างไร ให้มีกิริยาท่าที ทั้งนัจจะ คีตะ วาทิตะ ภาษา สุ้มเสียงสำเนียง ท่าทาง ถ้าหลวงปู่ไม่มีลีลาอย่างนี้ จะมีคนมาคลอเคลียมะรุมมะตุ้มมากไป จะทำงานอะไรไม่ได้เลย ก็ทำท่าทีพอได้ แต่คนที่กลัวจริงๆก็มี ลึกๆก็รู้ว่าดี แต่ไม่กล้า ก็มีแต่น้อย ส่วนคนเกลียดชังก็ไม่รู้นะ คนที่ไม่เอาโลกุตระแล้วเกลียดชังหลวงปู่ก็มีมาก เป็นเรื่องของสุดวิสัย

 

_คนที่กรี๊ดให้ดารานักร้อง เป็นพวกคนโง่ใช่ไหมคะ แทนที่จะเอาเวลามาฟังเทศน์ฟังธรรม

ตอบ...ถูกต้องแล้วครับ ขอตอบอย่างจริงใจ ...แทนที่จะเอาเวลามาฟังเทศน์ฟังธรรม... ถูกต้อง ไปถามตัวดาราเองเลยก็ได้ ว่ามากรี๊ดดารากับมาฟังธรรม อันไหนดีกว่ากัน ก็ต้องตอบว่าฟังธรรม แต่ถ้าดาราคนไหนบอกว่า มากรี๊ดดาราดีกว่าฟังธรรม ก็เอาดาราคนนั้นใส่ถังผงไปเลย ไม่ต้องคบแล้ว

 

_หนูอยากทราบว่า ปีนี้จะมีให้สมัครว.บบบ.ไหมคะ หนูอยากสมัครมากๆ แต่ได้ยินว่าจะไม่มี

ตอบ...90% ไม่มีหรอก เพราะว่าเหตุการณ์ Bomb of love ยังมีประสิทธิภาพมากอยู่ เราต้องเอาเวลาแรงงานไปช่วยกัน สนับสนุน Bomb of love นี้ ถึงแม้ว่าไม่สอบ หลวงปู่ก็ยังสอนอยู่ ตั้งใจว่าไม่ให้ขาดตกหกหล่น

 

_พระเวสสันดรเป็นพระโพธิสัตว์ไหม? เราอยู่ในระดับใด?

ตอบ...พระเวสสันดรอยู่ในระดับสูงมาก เพราะเป็นชาติสุดท้าย ของพระสมณโคดม เป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 9 เลย แล้วถึงมาเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำไม? ถึงมีเพศที่สาม

_ทำไมต้องมีเพศที่สามด้วยค่ะ เช่นกระเทย ทอม เกย์ ตุ๊ด และลักเพศเดียว เป็นวิบากของเขาใช่ไหมคะ

ตอบ...กิเลสมันคือความเลอะเทอะ อย่าว่ามีเพศแตกต่างกันเลย ต่อไปจะมีพวกวิตถาร พิสดารมากกว่านี้อีก แล้วก็จะตั้งชื่อขึ้นมาเรียกมากขึ้น ในยุคสมัยโบราณ กะเทยมีอยู่ 2 _3 คำ มีอุภโตชน บัณเฑาะว์ หรืออะไรอีก แต่ทุกวันนี้มีมากกว่าสิบคำ แล้วมันก็วิตถารต่างกันเล็กๆน้อยๆ ละเอียดไปเรื่อยๆ อย่าไปสนใจมันเลย จะต้องไปเป็นกะเทยที่มีความพิสดาร ต่างๆนานาสารพัด ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวนี้มันซับซ้อนอะไรก็ไม่รู้ อย่าว่าแต่ 2 ขั้วเลย อะไรก็ไม่รู้ สำส่อนได้หมด มุมนั้นมุมนี้

ขอตอบง่ายๆ อย่าหาว่าลามก ความจริงและการสัมผัสเสียดสี มันมีความเย็นร้อน อ่อนแข็งเท่านั้น ตามอุณหธาตุของมัน แต่คนก็ไปสมมุติว่า ความเย็นร้อนอันแข็งสัมผัสแรงเบา ว่าเป็นขนาดที่เราพอใจ ยังไม่พอ ในร่างของคน ขออภัยต้องพูดชัดๆ สัมผัสเสียดสีที่เป็นกามราคะ มันไปหนักอยู่ที่ สัมผัสทางเพศ ที่เครื่องเพศ ต่อมามันวิตถาร มันสัมผัสที่อื่น ไม่ใช่ตรงเครื่องเพศแล้ว มันก็ตั้งอุปาทานไว้ว่า สัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็งตรงนี้ ซึ่งไม่ใช่ตรงจุดสัมผัส ที่จะสืบพันธุ์ มันก็เกิดไคลแมกซ์ได้ เกิดสุดยอดได้ ที่สกปรกเละเทะ ที่สะอาด ที่ไหนมันชอบตรงไหน มันก็สมมติเอาตรงนั้น นับไม่ถ้วนเลย ที่ลามกมันก็ชอบ ที่ไม่ลามก ส้นเท้ามันก็ไคลแมกซ์ได้จริงๆ นี่คืออุปาทาน

เป็นเรื่องอุปาทานของจิต ใครยึดติดอะไรก็เป็นอันนั้น ถ้าโง่ยึดอะไรว่าอันนี้ต้องใช่ ต้องได้สัมผัสอันนั้น คุณก็เกิดความรู้สึกสุข ได้ทุกที กิเลสคนนี่มันสุดโง่

 

_ลูกอยากจะรู้ว่าทำไมเวลาขี้เกียจแล้ว ทำไมเราถึงทำงานไม่เสร็จ

ตอบ...ถ้าไม่ฝืนทำงาน แล้วจะทำงานให้เสร็จ งานมันจะทำของมันเองได้ไหม จะต้องตักน้ำใส่ตุ่ม แล้วน้ำ มันเข้าตุ่มเองได้ไหม

 

_ลูกอยากทราบว่า เราจะลดละความโกรธได้อย่างไร

ตอบ...ง่ายจะตาย ละความโกรธ ก็พิจารณาให้ดี ความโกรธนี่ มันร้อนหรือมันเย็น มันก็ร้อน ยิ่งการมีความโกรธแรงๆ ก็ยิ่งร้อน ร้อนแล้วอยากจะแสดงออก ร้อนกว่าความรัก ความโกรธนี่เลิกได้ง่ายกว่าความรัก เพราะความโกรธมันร้อนกว่าแรงกว่า ความโกรธนี่มันแรง ความรักนี่มันนิ่ม นิ่มนวล แต่โกรธนี่แรง แรงมากแรงน้อยเท่านั้นโกรธ

 

สมณะเดินดินว่า...คำถาม สุดท้ายนี้ ถามได้สมกับความขี้เกียจ แม้แต่จะถามยังขี้เกียจถามเลย

ที่วัดธรรมกาย ตอนนี้ตำรวจก็เข้าไปไม่ได้ เข้าไปได้อย่างเดียวคือใช้ drone วันนี้ที่ว่า จะเผด็จศึกให้ได้ก็ไม่ได้ ก็ต้องไปขอยืดเวลาจากศาลไปอีก เพราะว่าเขาต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่ถ้าฟังคุณจิตกร บุษบาพูด ว่าทั้งหมดก็อยู่ที่ เจ้าอาวาสคนเดียว หัวหน้าธัมมชโยคนเดียว ที่ทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งหมด

เมื่อเทียบกับตอนที่เกิดคดีสันติอโศก มีคุณชัยภัค ศิริวัฒน์ มาเจรจาเพื่อให้พ่อครูยอม เขาพอรู้ว่าถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยกับพ่อครูก็ไม่ยอม ต่อมาเขาขอคุยกับพ่อครู สองต่อสอง เขาก็ใช้เวลาสามชั่วโมง สุดท้ายพ่อครูก็ยอม แต่ก็รอดปลอดภัยมา

พ่อครูว่า...เพราะอะไร ก็เพราะว่าผมมี (พ่อท่านเคยพูดไว้ในสมัยยันตระ ที่ถูกข้อหา แล้วก็บ่ายเบี่ยง ผมเคยพูดไว้ว่า “คนที่บริสุทธิ์นั้น จะไม่รีรอต่อเวลาให้เนิ่นนาน มีแต่จะรีบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ให้แน่ชัดโดยไว”

สมณะเดินดินว่า...แต่เรายอมแพ้ได้ แต่จะไม่ยอมผิด ตอนนั้นสมณะบางรูป ที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ว่าอยากจะเอาจีวร ไปถอดให้เขาเลย แล้วจะแก้ผ้าเดินเลย เป็นบรรยากาศ ที่รุนแรงพอสมควรเลย แต่พวกเราก็เพียงแค่คิด ไม่ได้ทำ ทำไมเราไม่น่าจะไปยอมเขา เรามีความถูกต้อง แต่พ่อครูก็ยอม

พ่อครูว่า..ขอบอกอีกนิดหนึ่ง ว่าทุกวันนี้เราครองผ้านี่ เราอยู่ในความถูกต้องของศาสนาพุทธอย่างไร ขอบอกว่า ทุกวันนี้เราครองผ้า ตรงกับยุคพระพุทธเจ้าที่สุด การครองแบบธรรมยุติ หรือมหานิกายนี้ ทำผิดจากสมัยพระพุทธเจ้า

เรายอมมา ต่อมาสังคมก็เข้าใจเราได้ แต่ถ้าเราแข็ง เราก็เน่าอย่างธรรมกาย การมีหัวหน้าที่ฉลาด ก็ทำให้ลูกน้องรอดตาย การมีหัวหน้าที่โง่ ลูกน้องก็ตายหมด ไม่ใช่ว่าให้ลูกน้องออกมาพูด แล้วติดคุก ตายทีละคน

แพ้ก็ได้เป็นสมณะพราหมณ์ แล้วได้จีวรที่ถูกต้อง และเป็นสมณะที่ถูกต้อง ธรรมกายเขาบอกว่า ตนเองจะชนะๆ แต่ไม่บริสุทธิ์ แล้วมันเน่าไปเรื่อยๆอย่างนี้ ได้เทียบเคียงการต่อสู้ คล้ายๆกันกับวัดสองวัดนี้ จะมีแอคทิวิสต์ในสังคม แต่มันน่าศึกษาในกรณีนี้

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:30:40 )

591216

รายละเอียด

591216_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมจิตอรหันต์มีพีชนิยาม

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตรงกับวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 แรม 2 ค่ำเดือนอ้าย ปีวอก ตอนนี้อยู่ที่ชุมชนราชธานีอโศก จังหวัดอุบลราชธานี ลมหนาวก็มาแล้ว เขาบอกว่าปีนี้จะหนาวกว่าทุกๆปี ฉลองหนาวก็ไม่ต้องไปไหน อยู่ที่ราชธานีอโศกก็ได้ฉลองแล้ว  แต่งาน ว.บบบ. ปีนี้ ใครอยากจะไป ก็ไปที่สนามหลวงได้ ไปทดสอบกับของจริง ว่าเขาทำอย่างไร เราแจกอาหารกัน ตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ตั้งแต่เช้ามืด เขาบอกว่าในช่วงปีใหม่ คนจะมามากกว่าปกติ ไปกราบพระบรมศพ เพราะว่ามีวันหยุดหลายวัน ยาวนาน ใครอยากจะไปทดสอบสมรรถภาพ ของจิตวิญญาณตัวเอง ว่ามีทานมีการเสียสละ ถึงขนาดไหน ก็ไปที่สนามหลวง หรือแม้จะอยู่ที่พุทธสถานของตัวเอง ก็เตรียมการปลูกผัก จะได้ส่งไปที่ส่วนกลางได้มากขึ้น

พ่อครูเคยเทศนาไว้ว่า การฟังธรรม ต้องอาศัยความมีฉันทะ เพราะเป็นเรื่องของความลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก เป็นเรื่องที่พาไปสู่นิพพาน เป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจจริงถึงจะเรียนรู้ได้ ที่เราได้ฟังเทศน์ของสัตบุรุษ พ่อครูเป็นสัตบุรุษ ที่มาแจกแจงธรรมะให้เราฟัง ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ต้องฟังแล้วฟังเล่า ถ้ามีความยินดีในการฟังธรรม ก็จะฟังธรรมอย่างไม่รู้จักเบื่อ เหมือนกับแต่ก่อนเราฟังเพลง ฟังเทศน์ของพ่อครูก็เป็นอย่างนั้น อันนี้ก็น่าฟัง อันนี้ก็ยังไม่รู้เลย ฟังหลายรอบแล้ว จิตเรายังไปไม่ถึง ฟังแล้วก็ได้เข้าใจมากขึ้น อย่างเรื่องอุตุ พีชะ กว่าจะพัฒนามาเป็นจิต ก็มีความละเอียดลึกซึ้ง ไม่เคยได้ฟังใครบรรยายได้แบบนี้มาก่อน

ในสัปดาห์ที่แล้ว ได้ฟังก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น ตอนนี้พ่อครูก็พูดถึงเรื่องสำคัญในสังคม เขามีนักข่าวไปถ่ายภาพในวัดธรรมกาย ก็มีพระมายิงแสงเลเซอร์ใส่ เขาจะไปตรวจสอบ เรื่องน้ำบาดาล ก็ไม่ให้เข้าไป ดูแล้วก็จะกลายเป็นอะไร ที่ไม่ใช่งานศาสนา เป็นสิ่งที่น่ากลัว คนที่เขาเข้าไป คนที่ได้ยินข่าว ก็ทำให้สังคมรับรู้ว่าแย่กว่าเดิมอีก ถ้าตัดสินใจไปมอบตัว ก็อาจจะสบายไปแล้ว

ถ้าเป็นคดีสันติอโศก ตอนที่เขามาจับ เราก็ให้จับได้ง่ายมาก เดินขึ้นรถให้เลย ไปถูกสอบสวน ไม่รู้จะทำอะไร ก็นั่งคุยกัน ขัดส้วมแล้วขัดส้วมอีก นั่งฉันข้าวแล้วก็อยู่เฉยๆ รอเขาสอบสวน ก็คุยกันขัดส้วมบ้าง มีเวลาคุยกัน ก็อยู่ในห้องนั้นแหละ ก็สบายดีไม่มีปัญหา แล้วเขาก็ปล่อยออกมาตามระเบียบ ไม่มีอะไร สุดท้ายก็ปฏิบัติธรรมกันด้วยดี ก็เรียบร้อยดี พ่อครูท่านทำให้เกิดความเรียบร้อยดี สมกับเป็นผู้นำ แต่ถ้าหัวหน้าไม่ออกอย่างนี้ ซุกตัวอยู่อย่างนี้ ลูกน้องก็คิดมากนะ แม่ทัพจะไปอยู่ข้างหลังได้อย่างไร แม่ทัพต้องอยู่ข้างหน้า พ่อครูเป็นแม่ทัพ สู้ศึกจับก่อนเลย พวกเราเป็นลูก ก็ค่อยถูกจับตามไป ก็ไม่เกิดอะไรที่ร้ายแรง

 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ดู sms ไลน์ก่อน

SMS วันที่ 15 ธันวาคม 2559 

0893867xxxธรรมถูกทำเสื่อมเพราะถูกบิดเบือน! กฎหมายถูกทำเสียก็เพราะโดนบิดเบือน!โลก ถูกทำโทรมก็เพราะเชื่อคำบิดเบือน!โอ้ยโหยโรคบิดเบือนครองโลก!เอวัง(เวง)ด้วยโลกธรรมอันบิดเบือนประการละฉะนี้สาธุ

0893867xxxกราบเรียน สณ.ผล ปย.ช.ปชช.แต่ละปท.ที่วิกฤติทั่วโลกก็เพราะผลปย.ที่ควรถูกต้องชอบธรรมแก่มนุษย์โลกถูกผลปย.ที่ผิดทำนองคลองธรรมบิดเบือนพลิกแพลงเล่นแร่แปรธาตุครอบงำเพื่อครอบครองทุกระบบในสังคมให้อยู่ใต้อิทธิพลจอมบิดเบือนผล ปย.ว่าจริงไหม?

0890529xxxกลุ่มชาติพันธ์ชาวเขารักพ่อหลวงร.9 จากจิตวิญญาณเดียวกัน ด้วยใจที่บริสุทธิ์ประเสริฐแท้ กตัญญูต่อพ่อจากใจจริง ไร้สิ่งใดมาเคลือบแฝงเสแสร้ง ลูกไทย100%ได้เห็นตัวอย่างที่ดีนี้แล้ว ก็ควรตรึกคิดตรึกตรองด้วยจิตสำนึกอันดี นำมาแก้ไขปรับปรุงปฏิบัติให้ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิมที่ผ่านๆมา

0896520xxxกราบนมัสการพ่อครูครับ ผมติดตามรายการมานานแล้ว วันนี้ มีคำถามถึงพ่อครูครับว่า ถ้า จิตนิยามเริ่มต้นมาจากพีชนิยาม แล้วทำไมสุดท้าย พอเราได้ร่างที่ดีที่สุดของการเป็นจิตนิยาม คือเป็น มนุษย์ เราต้องพยายามพัฒนาจิตวิญญาณให้กลับไปเป็นอรหันต์หรือ จิตแบบพีชนิยามอีกครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

0830253xxxพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย์เสกให้น้ำไม่ท่วมโลก ฟ้าสูงคนชั่วตกนรกในปี8 กาล ถึงคราวพิพากษาคนชั่วให้หมดสิ้นจากโลก ภายในปี 61 ฟ้าจักแจ้งด้วยบุญ สวรรค์จักให้พรโลกมนุษย์เพื่อคนดีได้รับความเป็นธรรม60

0893867xxxแมวมีบัตรเติมเงินขายไหม?เข้าศูนย์เหมียวบ่อยๆเด๋วจรลีหนีย้ายเหมือนศูนย์เก่าฯ!อดีตลูกค้าประจำคข.1ที่บริวารโลกทุนนิยมแอนตี้ ?ทั้งที่จ่ายทุก฿ทุกตังค์ไม่เคยขอใครมาฟรีๆ!

0880750xxxพ่อครูไม่น่าจะเสียเวลากับsmsมากไปนะครับสัก20นาทีก็มากแล้ว น่าจะเลือกสัก5ข้อความ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา)ตอน การวางใจเมื่อถูกผู้ใหญ่ว่ากล่าว

0845419xxxกราบนมัสการค่ะ พ่อครูคะถ้าเกิดผู้ใหญ่ว่าให้เรา ทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนผิด สัตว์นรกของหนูมันเกิดบ่อย หนูควรจะทำใจยังไงดีคะ

ตอบ...มันเป็นสมมุติสัจจะหนึ่งในโลกยกไว้เสีย ก็ขอให้กำลังใจว่า อดทนไปเถิด วางใจเราไปไม่เสียหลาย โดยเฉพาะเขาเป็นผู้ใหญ่ ที่เราต้องเคารพนับถือ ต้องยกไว้ หรือว่าด้วยความดี ด้วยวัยวุฒิ ด้วยความเป็นญาติ เราก็จะรู้ว่า ควรจะต้องยกไว้ มันไม่เสียหลายหรอก ทำให้เราได้ลดละอัตตา ถ้าเรายอม 

ในความเป็นสัตว์โลก ในความเป็นมนุษย์ จะต้องฝึกอันนี้ ก็ขอให้กำลังใจอันนี้ ค่อยๆทำไป มันต้องหัดฝึก แล้วใจเราจะค่อยคลาย จะมีปัญญารู้จักอนุโลมปฏิโลม จะรู้จักยอมแพ้ มันจำนนแล้ว อันนี้ต้องยอมแพ้ ใจเราก็ชัดเจนว่า เราไม่ได้เป็นคนที่โง่เง่า รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีก็ระวังที่เราจะเป็นผู้ผิดเอง แต่ผู้ใหญ่นั้นเป็นผู้ถูก เราก็เข้าใจผิด นึกว่าเราถูก ผู้ใหญ่เขายกไว้ให้แล้ว เราก็ยังนึกว่าเราถูก ทำความเข้าใจให้พอสมควรแล้วค่อยๆศึกษาไป ปัญญาจะให้ค่อยเสริมเติม ให้เรารู้ความจริงชัดขึ้น มันขึ้นไปได้เอง คำว่ายึดมั่นถือมั่นนี้ยิ่งใหญ่ อย่าไปปักมั่นกับอะไร อย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ถอนไม่คลาย ถ้าเราเผลอไปกับสิ่งที่ผิดแล้ว เรานึกว่าถูก ก็จบเห่เลยนะ เราไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผิด แล้วเรานึกว่าถูกนี้ก็จบเลย อย่าหลงตัวเอง เผื่อเอาไว้ เราอาจจะผิดก็ได้

การฝึกหัดไม่ยึดมั่นถือมั่น มันจะสร้างปัญญา อย่างสัมมาทิฏฐิที่แท้จริง จะเกิดปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ แล้วจะมีปัญญาที่ประเสริฐ เลิศยอดจริงๆ จะเป็นปัญญาที่คม จะรู้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง อะไรถูกแท้อะไรผิดแท้ มันจะเป็นได้ จะไปเข้าใจว่า เราเองถูกแล้ว ดีแล้ว มีปัญญาสูงจริงแล้ว

อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ผ่านมามากแล้ว ก็รู้ ทำอย่างนี้แล้วจะเจริญเอง มันไม่เสียหลายหรอก ถ้ายอมแพ้แล้วปัญญามันจะเพิ่มขึ้นมา โดยไม่ต้องไปบังคับมันไม่มีปัญญาอิสระเต็มที่เลย จะสมบูรณ์แบบเอง ทำโยนิโสฯให้ดี ใจ เราจะถ่องแท้เพิ่มขึ้น  ส่วนผู้ใหญ่ก็แล้วแต่เขา สุดวิสัยแล้ว

 

0845419xxxกราบนมัสการค่ะ พ่อท่านคะเมื่อเราเกิดสัตว์นรกกับผู้ใหญ่นิดเดียว แต่ว่าผู้ใหญ่คนนั้นยังพูดต่อ แล้วเรารู้สึกโกรธมากกว่าเดิม แล้วเถียงไปจึงระงับไม่ได้ ควรทำอย่างไรดีคะ

ตอบ...ห้ามใจไว้เถิดลูกเอ๋ย การโกรธมากขึ้น มันก็เลวแล้ว โกรธมันไม่ดีสักประตูหรอก แม้เราจะถูก ผีมันอ้วนขึ้น มันได้อาหารมากขึ้น มันเป็นโจทย์ให้เราวางให้เราคลายให้เราปล่อย ฝึกจริงๆว่า การวางเป็นอย่างไร ต้องฝึกหัดปล่อยวางจริงๆ ให้พยายามและพยายาม ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น try and try.

 

0890015xxxกรณีธรรมกายคำตอบน่าจะจบลงตรงกับโศลกธรรมที่ว่า "ความบริสุทธิ์...จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

 

         0893867xxxเห็นแว๊บๆ อ.แสงศิลป์ ศิลปินโลกุตรธรรมผู้เขียนภาพศิลปะสะท้อนโลกโลกียะมาประจำบ้านราชฤา?ภาพของ อ.ยังเปิดโชว์ที่สันติอโศกฤาเปล่า?

ตอบ...ตอนนี้ยังประจำอยู่บ้านราชฯ ภาพยังโชว์อยู่ที่สันติฯ

 

0849543xxx"สุจริต"คือรากเหง้าแห่งความมัธยัสถ์ ความพอเพียง จึงจะคงความคิดแห่งสุจริตธรรมไว้ได้ "ผู้ทุจริต"ยึดหลักความฟุ้งเฟ้อ จึงเป็นเหตุให้สูญเสียจิตมัธยัสถ์ สูญเสียจิตพอเพียง สูญเสียความสุจริต ผู้นั้นจึงมีใจคับแคบมุ่งหวังเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน มีจิตใจเห็นแก่ตัวหนาแน่นฝังลึกยิ่ง

0893867xxxคนมีมลทินไปอยู่วัดไหนก็พลอยทำให้วัดนั้นมัวหมอง!ไม่มีใครทำลายวัดใหญ่ๆที่ญาติโยมสร้างได้เลย!คนมีมลทินแหละทำลายชื่อเสียงวัดทำพุทธศ.เสื่อมเสีย แต่ภาพลักษณ์เอง!แต่แก่น ธรรมแท้ในพุทธศ.ไม่มีวันเสื่อมสูญหรอก!

ทรัพย์ย่อมทำลายคนโง่แต่ทำลายผู้แสวงหาทางหลุดพ้นไม่ได้!เพราะโลภในทรัพย์!คนโง่ย่อมทำลายคนอื่น และผลที่สุดก็ทำลายตนเอง!สัจธรรมนี้ตรงกับที่พ่อครูอ่านเป๊ะ!

เห็นโล่มนุษย์กำบังจานบิน! เหมือนเห็นสัจธรรมสะท้อนกฎแห่งกรรม!คนทุศีลก็เหมือนกับต้นไม้ที่เถาวัลย์ขึ้นจนรกเขาทำตัวให้วอดวายเองมิจำต้องรอให้ศัตรูมาคอยกระทำให้!ขอบคุณธ.ตู้หนังสือฯ

 

0893867xxxพ่อครูคงต้องบอกเด็กผู้เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ว่ารักมันหวานชื่นตอนหนังเต่งตึง! พอหนังเหี่ยวแห้งรักมันโรยรา หาได้ยั่งยืนเหมือนที่พ่อแม่รักเราไม่!คิดจะเป็นแฟนใคร ตรวจโลหิตป้องเลือดบวกกันไว้ก่อน!ด้วยความห่วงใย ฯ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต5)ตอน ทำไม? จิตพระอรหันต์เป็นแบบพีชนิยาม

0896520xxxกราบนมัสการพ่อครูครับ ผมติดตามรายการมานานแล้ว วันนี้ มีคำถามถึงพ่อครูครับว่า ถ้า จิตนิยามเริ่มต้นมาจากพีชนิยาม แล้วทำไมสุดท้าย พอเราได้ร่างที่ดีที่สุดของการเป็นจิตนิยาม คือเป็น มนุษย์ เราต้องพยายามพัฒนาจิตวิญญาณให้กลับไปเป็นอรหันต์หรือ จิตแบบพีชนิยามอีกครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

ตอบ…

อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม นี่เป็นสามเส้าของพลังงาน อุตุนิยาม กับพีชนิยามทำกรรมเองเป็น ทำกรรมที่จะเกิดผลแก้ไขปรับปรุงอะไรไม่เป็น

ธรรมนิยาม จะทรงไว้ ตั้งแต่อัตภาพแรกเกิด เป็นพืชนี้ อัตภาพชีวะเกิดแล้ว พอเป็นจิตนิยาม จากอเวไนยสัตว์ ก็มาเป็นเวไนยสัตว์ จนพัฒนาตนเป็นอาริยะจนถึงอรหันต์

จะเป็นอรหันต์ต้องเข้าใจพลังงานอุตุนิยามให้ชัด อุตุนิยามคือ ดิน น้ำ ไฟ ลมอากาศ วิญญาณ แม้จะเป็นเล็กแค่ไหน มันก็ยังมีช่องว่าง จะแตะติดกันอย่างไรก็มี 2 อันนั้น คือที่วาง เรียกว่าอากาศ ก็ไม่ต้องพูดถึงมันมากก็ได้

จากอุตุไปเป็นพีชะก็ระดับหนึ่ง พีชะไม่มีกรรมไม่มีวิบาก ยังจัดสรรกรรมไม่เป็น พลังงานไม่ถึงวิญญาณ

พอมาเป็นจิตนิยาม มีพลังงานที่จะทำอะไรได้สูงสุดแล้ว ยิ่งดียิ่งเลว ยิ่งเลวยิ่งดี ยิ่งดียิ่งเลวยิ่งเลวยิ่งดี คู่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดีที่สุดเลวที่สุด ก็ต้องมาล้างความเลวของตัวเองออกไป เหลือแต่จิตที่ดีที่สุด ทำให้ตนเองพ้นทุกข์พ้นความชั่วความต่ำ พลังงานนั้นไม่หายไปนะ เหลือแต่ดีๆๆ มีแต่พลังงานชั่วหายไปๆ ถ้าไม่อยู่ให้ เป็นพลังงานระดับพีชนิยามได้เลย ถ้าจะไม่เบียดเบียนทำร้ายใครเลย เอาคุณค่าของพลังพีชนิยามไว้ใช้ โดยเรามีพลังงานที่เหลือนั้น เอาไปทำความดีแก่ผู้อื่น

สรุปแล้วพลังงานของจิตนิยาม จึงเป็นพลังงานร้อยเปอร์เซ็นต์ครบ เอา 50% ที่เป็น พีชนิยาม ยังไม่เป็นโทษภัยกับใครได้เลย ส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็มีแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นถ่ายเดียว จึงไม่ได้สูญเสียหรือลดค่าอะไรเลย แต่มีปัญญาเอาพลังงานนั้น มาทำคุณค่าประโยชน์ ไม่เป็นโทษภัย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา)ตอน จิตยิ่งดียิ่งเลว ยิ่งเลวยิ่งดี คืออย่างไร?

สมณะฟ้าไทว่า...จิตยิ่งดียิ่งเลว ยิ่งเลวยิ่งดี คืออย่างไรครับ

พ่อครูว่า...จิตจะพัฒนาหลงดี แต่ถ้าดีไม่จริง คุณก็จะเอาดีนี้ไปหลอกคนอื่น บีบบังคับคนอื่น ไปเอาเปรียบผู้อื่น อำมหิตทำร้ายคนอื่น เอาเปลือกผิวดีไปหลอก จิตตัวเองรู้ดี แต่ทำดีไม่ได้ แต่เอาดีนั้นมาหลอกคนอื่น ดีที่สูงขึ้นๆ ตนเองรู้ว่าตนทำไม่ได้ แต่เอามาหลอกคนอื่น

เช่นตนเองรู้ว่า มีอภิญญานี้ อย่างธัมมชโย จิตคนรู้ระลึกชาติ มีสัญญาเก่ามีจริง แต่คุณว่าธัมมชโยนี้ มีจริงไหม เขาก็เอาอันนี้มาหลอกคนไง หลงว่าเขาวิเศษ รู้ว่าคนนี้ ตายแล้วไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นไหน อันนี้คือ อภิญญาทางโลกีย์

 

พูดตรงๆ ผมระลึกชาติได้เก่งกว่าธัมมชโย แต่ผมไม่ใช้ จะใช้ที่จำเป็นนิดๆหน่อยๆ แล้วไม่เอาอันนี้มาหลอกล่อ คุณรู้ว่าคนชอบกินน้ำตาล ติดน้ำตาลก็ให้เขากินจนเมา อันนี้เลว แต่ถ้าปรารถนาดี ก็แค่ให้เขาหายทรมาน นิดหน่อยๆ แล้วให้เขาค่อยๆเลิกติดน้ำตาล

การประมาณในการช่วยเหลือผู้อื่น อย่าทำหมด จะประมาณผิด อย่าไปใช้จนหมดตัว ต้องเผื่อไว้ แล้วไม่ต้องอวดดี ไปใช้ความดีเราเต็มรูป ต้องเผื่อไว้ ถ่อมตนไว้ เหลือไว้

สรุปอีกที

ตัวอย่างของเล็บ เล็บที่เราตัดทิ้ง ขาดออกจากตัวเราไปแล้ว เราตัดออกจากพีชะในตัวเรา ขณะมันเป็นพีชะ ก็ไม่เดือดร้อน ไม่มีความเจ็บอะไร  ตัดออกได้ แต่ถ้าพีชะไปหลงสวรรค์เท็จ เล็บของเรา ใครอย่ามาแตะต้อง เขามาแตะต้องเราก็เจ็บใจอย่างนี้คือ หลงสวรรค์เท็จได้นรกแท้ มันไม่มีจริงหรอก

เวทนาแท้เป็นพีชะในตัวเรา แต่เวทนาเท็จ มันมักจะมาหลอกเรา

เราต้องจับเวทนาเท็จให้ได้ แยกเวทนาเท็จกับเวทนาแท้ให้ออก นอกนั้นก็เป็นจิตนิยาม ที่มีแต่ของแท้ กาย เวทนา จิต ธรรมก็แท้ ทำจากเวทนาเป็นตัวหลัก

 

มีคนส่งข้อมูลเปิดเผยให้ฟังว่า..

ตีเเผ่ความจริง ! เบื้องลึกทำไมคณะสงฆ์ปกป้องธัมมชโย !

คุณทราบไหมว่า ทำไมคณะสงฆ์แห่กันมาให้กำลังใจ และปกป้องธัมมชโย เพราะอะไร เราจะแฉให้ท่านดู ณ.บัดนี้

หากธัมมชโยโดนจับ ก็จะไม่มีงานวันเกิดธัมมชโย หรือที่เรียกกันว่า วันคุ้มครองโลก (พิธีถวายมหาสังฆทาน) ในวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี กลุ่มพระเหล่านี้ก็อดที่จะได้เงิน จริง ๆ แล้ว กลุ่มพระเหล่านี้ ไม่ได้เป็นห่วงธัมมชโยหรอก แต่เบื้องหลังจริง ๆ แล้ว กลุ่มพระเหล่านี้ หวังเงินต่างหาก

(ธัมมชโยใช้เงินซื้อพระเณรทั่วประเทศ ด้วยวิธีอย่างนี้)

วัดพระธรรมกาย จะส่งใบฏีกาเรียนเชิญนิมนต์ ไปยังทุกวัดทั่วประเทศไทย (โดยมากว่า 30,000 วัด) ทั้งแต่พระภิกษุสามเณร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน (เจ้าคณะใหญ่) และสมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะทุกรูป

เมื่อเดินทางถึงวัดพระธรรมกายแล้ว พระสงฆ์ที่มีใบฏีกาเรียนเชิญ จะต้องเข้าคิว เพื่อนำใบฏีการเรียนเชิญ ตรวจบาร์โค๊ต เข้าระบบรายชื่อนิมนต์ของพระสังฆธิการ และจะได้รับบัตรแนบหน้าอก นั้นแสดงว่า พระสังฆาธิการ มีข้อมูลอยู่ในระบบของวัดพระธรรมกาย

โดยหากเรียงตามลำดับชั้น ทั้งแต่พระภิกษุสามเณร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล จะมีรถทัวร์และรถบัส รับส่งทั่งขาไปและขากลับ พร้อมด้วยอาหารโต๊ะจีน ฟรี ทั้ง 2 มื้อเช้า กับ มื้อเที่ยง พระสงฆ์และสามเณร (ที่ไม่ใช่พระสังฆาธิการ) ที่ไปร่วมงานวันเกิดธัมมชโย จะได้เงินรูปละ 500 บาท

(จะได้เงินสด) ซึ่งบ้างวัดเจ้าอาวาสได้เกณฑ์สามเณรมาเยอะแยะ เจ้าอาวาสบางวัด พาลูกเณร ตัวน้อยๆ อายุประมาณ 7 ขวบไปจนถึง 10 กว่าขวบก็มี เพื่อมามารับเงินรูปละ 500 บาท และก็หักหัวคิวจากลูกเณรตัวน้อยๆก็มี โดยมีพระพี่เลี้ยงเดินประกอบ มิให้ลูกเณรพลัดหลง

(หากไม่เชื่อ วันที่ 22 เมษายนลองเข้าไปดูในวัดพระธรรมกายได้)

ส่วน ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส จะได้รูปละ 5,000 บาท และทำพิธีที่สภาธรรมกายสากล และ มหารัตนวิหารคต (ไม่ได้นั่งในห้องวีไอพี) และจะไม่ได้เป็นเงินสด ธรรมกายจะมอบให้เป็นเช็ค เพื่อที่จะให้พระสังฆาธิการ (ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าอาวาส ) ไปขึ้นเงินเองที่ธนาคาร

ส่วน เจ้าคณะตำบล (นั่งห้องวีไอพี)

จะได้รับเงินเข้าร่วมงาน 10,000 บาท

ส่วน เจ้าคณะอำเภอ (นั่งห้องวีไอพี)

จะได้รับเงินเข้าร่วมงาน 20,000 บาท

ส่วน เจ้าคณะจังหวัด (นั่งห้องวีไอพี)

จะได้รับเงินเข้าร่วมงาน 50,000 บาท

ส่วน เจ้าคณะภาค (นั่งห้องวีไอพี)

จะได้รับเงินเข้าร่วมงาน 70,000 บาท

เจ้าคณะหน (เจ้าคณะใหญ่)

จะได้รับเงินเข้าร่วมงาน 100,000 บาท

พระราชคณะทั้งแต่ (ชั้นสามัญ จนถึง ชั้นเทพ) ที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือ เครื่องบิน (หากมาเครื่องบิน จะมีรถของทางวัดพระธรรมกาย รับส่งที่สนามบินดอนเมือง และวัดพระธรรมกาย ออกค่าตั๋วออกค่านํ้ามันให้เองทั้งหมด และพระราชาคณะ จะได้รับเงินทั้งแต่ 80,000 บาท ไปจนถึง 150,000 บาท และทำพิธีในห้องวีไอพี บริการเครื่องดืมและนั่งในห้องแอร์ ยังมีอาหารพร้อมบริการอย่างวีไอพี

พระราชาคณะทั้งแต่ (ชั้นธรรม ถึง ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะ) ที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือ เครื่องบิน (หากมาเครื่องบินจะมีรถของทางวัดพระธรรมกาย รับส่งที่สนามบินดอนเมือง และวัดพระธรรมกายออกค่าตั๋วออกค่านํ้ามันให้เองทั้งหมด และพระราชาคณะ จะได้รับเงินทั้งแต่ 180,000 บาท ไปจนถึง 250,000 บาท และทำพิธีในห้องวีไอพี บริการเครื่องดืมและนั่งในห้องแอร์ เช่นกัน และรับของที่ระลึกจากมือธัมมชโย ยังมีอาหารพร้อมบริการอย่างวีไอพี

สมเด็จพระราชาคณะ ควบตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ และควบตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม ที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ทางวัดจะเป็นผู้ออกค่านํ้ามันรถให้เอง และสมเด็จพระราชาคณะ จะได้รับเงิน 500,000 บาท หากมีควบตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ด้วย จะได้รับเงินเพิ่มอีก 200,000 บาท หากควบตำแหน่งกรรมการมหาเถร ก็จะได้รับเงินเพิ่มอีก 300,000 บาท รวบเป็น 1,000,000 บาท วัดพระธรรมกายเชิญสมเด็จพระราชาคณะ มาเป็นรองประธานฝ่ายสงฆ์ และรับของที่ระลึกจากมือธัมมชโย

สมเด็จพระราชาคณะ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือ รักษาการสมเด็จพระสังฆราช (ปัจจุบันสมเด็จพระมหารัชมังคลาจรรย์ หรือ สมเด็จช่วง) จะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมาร่วมงานวันเกิดของธัมมชโยทุกปี ในแต่ละปี สมเด็จช่วง จะได้รับการถวายเงินจำนวน 2,000,000 บาท และพร้อมของที่ระลึกจากมือธัมมชโยด้วยตนเอง

(กรุณาดูให้ครบทุกรูปนะครับแล้ว คุณจะเข้าใจในข้อความที่ผมเขียนแฉไว้ ในกระทู้นี้ เมื่อคุณดูเสร็จยังไงขอความกรุณาช่วยแชร์กันคนละแชร์สองแชร์ หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ครับ เพื่อต้องการตีแผ่ความจริงให้สังคมได้รับรู้ ต่อจากนี้ต่อไปคงมีสาวกมาดิ้นกันเป็นแถว โดนเฉพาะพระมหาสนิทวงศ์ สาวกตัวพ่อของธัมมชโย ที่จะออกหน้าออกตามาดิ้นตามเคย แต่จะดื้นยังไงก็ไม่หวั่น เพราะเราตีแผ่ความจริงพร้อมรูปภาพประกอบของจริง)

#ตีแผ่ความจริง #โดย #แอดมินเพจรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น

อาตมาเชื่อว่า ตอนนี้ จะมีคนตื่นจากการหลับไหลลุ่มหลง (ชาคริยา)อีกมาก เป็นอั้งยี่ ที่ใหญ่สุดในโลก เป็นกระบวนการตัวอย่างของ มหายอดผีบุญ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปิดบังไว้ จะค่อยๆเปิดเผยตัว ก็เพราะความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด แต่เขาทำได้ยิ่งใหญ่มาก ทำได้ยิ่งใหญ่จริงๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์)ตอน ธรรมกายคืออะไร?

คำว่าธรรมกาย ถ้าผู้ใดทำให้ “กาย” เกิดใหม่ในอาริยภูมิได้ ก็จะชื่อว่าเป็นผู้ที่มี “ธรรมกาย”

ธรรมกายหมายถึง กายคือธรรม กายเป็นธรรม หรือกายคือธรรม

หรือแปลว่า มีกายเกี่ยวข้องกับธรรม หรือผู้มีธรรมเป็นกาย ก็ได้ หรือกองธรรมะชุมนุมแห่งธรรมก็ได้

ทีนี้ กาย หมายถึงอะไร ก็หมายถึงกอง หมู่ ฝูง องค์ประกอบของรูปกับนาม เป็นองค์ประกอบของธรรมะ 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไปเรื่อยๆ เป็นคณะเป็นองค์ประกอบของรูปกับนาม ของธรรมะ2 ขึ้นไป

ถ้าไม่มีนาม ไม่มีจิตนิยาม สิ่งนั้นไม่ใช่กาย จะเป็นล้านก็ไม่ใช่กาย พระอาทิตย์ มีพลังงานมหาศาลมากมาย แต่เป็นนามเป็นจิตนิยามไม่ได้ เพราะว่ามีความร้อนแรงจัด นามเกิดไม่ได้

กาย คือองค์ประกอบของธรรมะ 2 ขึ้นไป ไม่ใช่หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวเป็นกายไม่ได้

จะมีสอง ก็เพื่อให้ศึกษาอิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ เพื่อเปรียบเทียบกัน แม้กระทั่ง ปุริสภาวะ ไม่แท้ก็ต้องมาแยกอีก (บันทึกไม่ทันอยู่ช่วงหนึ่ง)

 

ผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมสูงสุด ก็ต้องมีการรบทั้งนั้น การรบ คือ รณ คำว่า สรณะ คือต้องพึ่งการรบมาตลอด จนคุณไม่ต้องรบแล้ว เรียกว่าอรณะ จบแล้ว ชนะ ผู้อรณะแล้ว ก็คืออรหันต์ แล้วเมื่อผู้ใดผ่านอรณะแล้ว ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ต้องมีสรณะ แต่สรณะตัวนี้ แปลว่าอาศัย ไม่ต้องรบอีกแล้ว เป็นนิสรณปหาน

ต้องอ่านเวทนา 108 ให้ออก อ่านแยก เนกขัมสิตเวทนา ออกจากเคหสิตเวทนา ก็ต้องทำให้เกิดเนกขัมสิตเวทนา ให้ได้ เคหสิตเวทนาก็จะหายไป เป็นตัวตัดสินว่า เป็นผู้บรรลุธรรมของพุทธจริง เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน ซึ่งอาจจะไม่รู้พยัญชนะรายละเอียด แต่เขาจะรู้ในใจเขา แล้วทำได้ ถ้ายังทำไม่ได้ ก็เป็นแค่ โสดาปัตติมรรค คือเข้าใจ รู้ เริ่มตั้งแต่ทำกับสักกายะ

ทำกิเลสออก คือออกนิดหนึ่งก็ได้ ถ้าออกได้ เช่นกิเลสระดับอบายมุข คุณก็จับตัวจริงมันได้ เราเอามันออกได้เสียที แต่ทำไม่ได้ก็ได้แต่ สีลพตปรามาส คือแค่ลูบคลำเล่นหัวกับกิเลส

เมื่อไหร่ที่คุณ เลิกเล่นหัวและจัดการกับกิเลสได้จริงก็เป็น โคตรภูจิต จิตตัดโคตรของกิเลสได้ ถ้าจะเป็นพระโสดาบันก็สามารถตัดกิเลสอบายมุขออกได้

พระโสดาบันทำเป็นแล้ว ทำได้ จะกล่าวไปใยถึง พระสกิทาคามี อนาคามีอรหันต์

ต้องรู้จักอาวุธของโลกุตระบุคคล ตั้งแต่กายในกาย ในโลกุตรธรรม 37 เริ่มตั้งแต่กายในกาย ต้องรู้จักสุขทุกข์ รู้วิธีการออกจากทุกข์ ทำได้ แล้วทำเก่งขึ้น  ทำต่ออย่างปฏิปัสสัทธิ ทำให้สงบตกผลึกแข็งแรง จนนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสฺสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) ก็จบสุดยอดเลย ใครทำได้ ก็ได้ความจริงที่อาตมากล่าวนี้

คนเราถ้าปฏิบัติธรรม เอาแต่นั่งหลับตา ไม่มีองค์ประกอบครบ โดยเฉพาะไม่มีข้างนอก ไม่มีมหาภูตรูป ไม่มีสิ่งจริง ไม่มีกรรมกริยา ไม่มีการสัมผัส มันก็ไม่ครบ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า เมื่อสัมผัสกับของจริงแล้ว คุณจะสำเร็จบรรลุธรรม หรือ คุณมั่นใจหรือ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

ตั้งแต่รูปี รูปานิ ปัสสติ ต้องมีรูป มีนามสัมผัส ปฏิบัติธรรมไม่มีกายไม่มีข้างนอก อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้

อาสวะบางอย่างสิ้นได้ในภพ แต่มันไม่ได้ออกมาข้างนอก ไม่ครบ จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์จะนับตั้งแต่ อาสวะหมดสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา

5. กายสักขี   ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัวคือ ท่านที่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย  อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป  เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอริยบุคคล ผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ยังปฏิบัติเพื่ออรหัต  ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้า ในการปฏิบัติ

6. ปัญญาวิมุติ   ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาเท่านั้น คือ ท่านที่ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย . (น เหว อัฏฐ วิโมกเขฯ)  แต่สิ้นอาสวะแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอรหันต์ ผู้ได้ปัญญาวิมุตติ  ก็สำเร็จเลยทีเดียว

จะสูงสุดได้จริง ต้องครบทั้งนอกและใน มีเวทนาเป็นกรรมฐานอย่างแท้จริง

สภาพไม่สามารถเข้าใจและทำได้ อย่างที่อาตมาพูดไปนี้ มันไม่บริบูรณ์หรอก

คำว่าบริบูรณ์ คำว่าสมบูรณ์ หรือสัมบูรณ์ ก็ไม่มีปัญหา อาตมาชอบใช้คำว่าสัมบูรณ์

สำหรับโสดาบันนั้น จะมีหลักตัดเขตได้ง่าย ในสังโยชน์ 3 แต่สกิทาคามีนั้นตัดเขตได้ยาก

คนเดียวนั้นด้นเดาเอาไปเอง คนอื่นก็อาจจะไม่เหมือน จะเช็คได้อย่างไร ถ้าเราเช็คกับคนอื่นที่สูงกว่า ก็ยิ่งดี เขาก็ชัดเจนตัดสินได้

ลงไปต้นหน่อย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์)ตอน สังกัปปะ 7

มรรคองค์ 8 มีกรรมอยู่ 4

  1. อาชีพ
  2. กัมมันตะ
  3. วาจา
  4. สังกัปปะ

กรรมที่ประกอบการงานเลี้ยงชีพอยู่ประจำ เราก็ทำไปอย่างสัมมาอาชีวะ

กรรมทั้ง 3 กลุ่มเป็น กัมมันตะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ถือว่าเป็นการกระทำ การกระทำใดๆ ที่รวมกันทั้งสาม กรรมหรือสองกรรม ถ้าหนึ่งกรรมก็คือ กายกับวาจากับมโนกรรม ก็แยกย่อย

 ถ้ารวมกันคือกัมมันตะ ตั้งแต่สองเป็นต้นไป กายกับวาจา หรือกายกับสังกัปปะ แต่วาจาก็คือหนึ่งโดยตรง สังกัปปะมันก็หนึ่ง แต่วาจา คือกายวิญญัติ วจีวิญญัติ

สังกัปปะ คือในใจเท่านั้น ฐานของการศึกษา การทำใจในใจเป็นวิธีของศาสนาพุทธเลย นี่แหละคือการกระทำ ที่เป็นการกระทำของอาริยะที่แท้ แม้แต่พระโสดาบันก็ทำได้ แต่อาจจะอธิบายละเอียดไม่ได้

สังกัปปะมี 7 ในมหาจัตตารีสกสูตร

_ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา

อันแรก ความดำริหรือตริ คือตัวที่เราเริ่มคิดขึ้นมา แล้วเรารู้ทันคนที่จับตัว ที่เราคิดขึ้นมาทัน นั่นแหละคือ เริ่มรู้จักตัวจิตของตักกะ

ตักกะนี้มีสองอย่าง ตรรกะคือเหตุกับผล เข้าใจความเปรียบเทียบของธรรมะ 2 ได้ เป็นตรรกะภายนอก แต่ตัวตักกะที่เราพูดนี้คือภายใน เป็นองค์ธรรม จะมีเท่าไหร่ ก็สรุปเป็นธรรมะสอง แล้วจัดการกองกายออกให้ได้

_ วิตักกะ คือจัดการจิตได้สำเร็จ เราสามารถทำจิตที่เป็นกิเลสออกไปได้อย่างวิเศษ วิบัติได้เลย วิตัวนี้มีความหมายสุดยอดวิเศษแล้ว ให้มันเสียหาย ให้มันวิบัติไปเลย คือการเอาออก คือเป็นผลสูงสุด

_ สังกัปปะ คือจัดการ อภิสังขาร จัดแต่งทำ หรือมนสิการ ทำใจในใจเราเลย เป็น process เป็นกระบวนการบวก ลบ คูณ หารเต็มที่เลย

คนทำสัมมาสังกัปปะได้ทีใดๆ ในมรรคมีองค์ 8 ทำเป็นผลสำเร็จของสังกัปปะ

ฝ่ายไตร่ตรอง-ริเริ่มเคลื่อนไหว (dynamic ขั้วลบ หรือ Kinatic)

1.      ความตริ,ตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ) . .

2.      ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น  (วิตักกะ) .

3.     ความดำริ-มีความคิดปรุง  (สังกัปปะ) . . .

ฝ่ายตั้งมั่น (static ขั้วบวก/Potential) เป็นแกนพลังศักย์ให้มั่นคง

4.     ความแน่วแน่ (อัปปนา) . .

5.     ความแนบแน่น        (พยัปปนา)

6.     ความปักใจมั่น        (เจตโส อภินิโรปนา) .

7.    วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร) . . . .

(พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 263)

 

ความตั้งมั่นของจิต เรียกว่าสมาธิ ความเก่งของจิต ความเคลื่อนไหวของจิตเรียกว่าปัญญา ปัญญากับสมาธิ จึงทำงานควบคู่กันไปตลอดเวลา เมื่อมันทำงานโดยมีแกนตั้งมั่น มีพลังงานบวกพลังงานลบ ทำงานสังเคราะห์ปรุงแต่งขึ้นมา เป็นอภิสังขาร หรือเป็นวิสังขาร เป็นสังขารขั้นวิเศษ

คุณจะทำการสังขารขึ้นมานจิตก่อน ใให้อยู่ในกระบวนการของจิต สังกัปปะ 7 จะจบที่วจีสังขาร เป็นสังขารที่สำเร็จแล้ว ทั้งแกนบวกแกนลบ จะเอาไปใช้แล้ว ใส่กล่องไว้แล้ว

 ถ้ายังไม่มีชื่อเรียกว่า ปฏิฆสัมผัสโส ถ้าวจีนั้นยังไม่มีคำบัญญัติชื่อเรียกก็มีสภาวะนั้น แต่ถ้ามีชื่อเรียก ก็คือ อธิวจนสัมผัสโส เรียกว่า เป็นรูปขึ้นมาได้ เรียกว่า รูปกาย แต่ถ้าปฏิฆสัมผัสโส เรียกว่า นามกาย

แม้ยังไม่ออกมาเป็นวจีกรรม ยังไม่พูดออกมาภายนอก รู้อยู่คนเดียว ถ้าสมมุติตัวนี้ว่ามีภาษา มีชื่อเรียกด้วย คุณก็ออกมาเลย ใช้ภาษาออกมา เป็นวจีกรรม หรือออกมาเป็นกายวิญญัติเลยก็ได้

นี่คือสภาวธรรมต่างๆ ที่อาตมาเอาสภาวะ มาขยายความ หากไม่มีความเข้าใจ ในความเกี่ยวข้องของมัน คนเอามาอธิบายไม่ไหวหรอก อธิบายไม่ถูกสับสนวุ่นวาย จะอธิบายไม่เหมือนกัน ในแต่ละครั้ง เลยโมเมเอา แต่ถ้าผู้มีสภาวะธรรม พูดอีกครั้งก็จะตรงกัน และมีความละเอียดขึ้น

 

ในการตักกะ ถ้ามี กาม พยาบาท วิหิงสา สังกัปปะต้องจัดการก่อน ฆ่ากาม ฆ่าพยาบาท ก็จะเหลือวิหิงสา ฆ่าหรือกำจัดกิเลสไปตามลำดับ จิตของคุณก็เป็นจิตบริสุทธิ์ ก็สั่งสมเป็นพลังงานเจโต พลังงานศรัทธา เป็นแกนตั้งแกนหลักสมาธิ เป็นอัปปนา พยัปปนา ก็แข็งแรงตั้งมั่นขึ้น เป็นเจตโสอภินิโรปนา เป็น นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสฺสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

ส่วนทางปัญญา ก็ทำตักกะ จนสำเร็จ เป็นวิตักกะ ต้องรู้ สักกายะ จัดการมันเสร็จก็เป็นวิตักกะ

จิตในจิตของเรา เราเรียกว่า ตักกะหรือวิตักะ 

หากส่งออกมานอกจิต ก็เป็น เป็นงานมีพฤติ

ถ้าวิจารอยู่ในจิตเรียก วิตักกะ ส่งออกมาเป็นวจีกรรม ประกอบกับเสียงสำเนียงภาษา ก็จะเป็นวิจาระ เป็นพฤติกรรม

วิตกหรือวิตักกะคือจิตภายใน วิจารคือภายนอก 

คำว่า “ฌาน” คือทำให้ได้ วิตก วิจาร นี่แหละ

การทำฌาน การปฏิบัติจิตที่เรียกว่า ฌาน คือไฟ คืออุหณธาตุ ฌานคือญาณ คือปัญญา  ฌานใดไม่มีญาณ ฌานก็ไม่ใช่ฌาน

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต

ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 25   ข้อ 35)

 

ฌานเป็นพลังงานปัญญา ที่ทำร้ายแต่อกุศล ไม่ทำร้ายกุศล เป็นพลังงานที่สลายแต่อกุศล อย่างอื่นไม่ทำ

ในกระบวนการทำใจในใจ หรือ อภิสังขารให้มันสำเร็จ ในกระบวนการของการทำงานของจิต ทำจิตในจิต ทำใจในใจ มันก็เป็นกระบวนการอย่างนี้

กระบวนการ process ต่างกับกระบวนทัศน์ paradigm กระบวนทัศน์นั้นรู้รายละเอียดต่างๆลงมือทำ ก็เป็นกระบวนการสังเคราะห์สังขาร เป็นอภิสังขาร ถ้าสังขารโดยไม่มีอภิสังขาร ก็เป็นสังขารแบบโลกๆ กิเลสเป็นตัวการพาทำ แต่ถ้าคุณอยู่เหนือกิเลส ให้มันสังขารโดยฆ่ากิเลส จนกิเลสไม่มี ก็เป็นอภิสังขาร ในขณะที่กำลังอภิสังขาร ขณะที่กำลังจัดกระบวนการภายใน อย่างเป็นอาริยะ รู้จักกิเลสมีกระบวนทัศน์  มีการรู้ มีการเข้าใจอะไร แล้วมีวิธีทํา จัดการฆ่ากิเลสลงไปได้เรื่อยๆ ก็ได้ว่า เป็นปุญญาภิสังขาร จนกำจัดกิเลสหมด ก็เรียกว่าอปุญญะ มีแต่จะสั่งสมให้เป็น อเนญชาภิสังขาร ตกผลึกไปได้เรื่อยๆ  เป็นอนุรักขนาปธาน เป็นการรักษาผลอย่าง อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ไปเรื่อยๆ

อาตมาว่าการเรียนรู้ธรรมะ มาเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้เรียนรู้โลกุตรธรรม ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะอย่างนี้ อาตมาถือว่า เสียชาติเกิด อาตมาแปลโมฆบุรุษว่า ชิงหมาเกิด เกิดมาได้ร่างกายอาการ 32 เป็นมนุษย์ทำไม เสียร่างกายจัง ให้สุนัขตัวใดตัวหนึ่งมาเกิดแทนดีกว่า อาตมาว่าแรง ให้กระเทือนใจ

ขณะนี้สัตบุรุษก็ยังอยู่ โอกาสก็มี เพราะเรารู้จักด้วย แสวงหามา หรือไม่แสวงหา เมื่อเจอแล้ว ก็ไม่นึกว่าเป็นสัตบุรุษด้วย เมื่อเจอแล้ว อาจจะบอกว่าไม่เหมือนกับใน concept ของเรา ที่จะต้องสุภาพ เรียบร้อยนุ่มนิ่ม ต้องไม่พูดแรง ต้องหวานหยดย้อย Sweetest แต่ Cruel โหดที่สุด อย่างที่คุณชาติชายเอามาพูด

ตอนนี้ก็อย่าช้ากันเลย ประเทศไทย จะเป็นที่หยั่งลงของธรรมะ จะเป็นหลักให้แก่โลกเขา อาตมาถ้าจะพากเพียร เรียนภาษาต่างประเทศก็ได้ แต่ชาตินี้ถูกสาป ไม่ให้ไปเรียนภาษาอื่น แต่ก็พอรู้ภาษาลาวบ้าง

สมณะฟ้าไทว่า… ฟังธรรมแล้วเข้าใจหรือไม่ ไม่เข้าใจเราก็ไปทบทวนให้เข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วจะทำให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง แต่พวกเรามีปัญหาเรื่องการพากเพียรอย่างต่อเนื่อง  ถ้าทำต่อเนื่องยาวนาน ทำให้จริง ขยันให้มาก พากเพียรให้มาก อาตมาว่า พวกเราน่าจะได้บรรลุธรรมมากขึ้น ตนเองก็เช่นกัน มันต้องเร่งตนเองให้มีไฟมากขึ้น … จบ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:31:08 )

591218

รายละเอียด

591218_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แฉยุทธศาสตร์ร้ายธรรมกาย

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2559  ที่บ้านราชฯ เมื่อเช้าไปบิณฑบาต คนเขาก็ถามว่าจะจัดตลาดอาริยะไหม แต่ตอนนี้อะไรก็ไปที่สนามหลวง เป็นเหตุการณ์ที่ควรจะให้เกิดอย่างยาวนาน สังคมประเทศหรือโลกนี้จะเปลี่ยนได้ เป็นสาธารณโภคี มนุษยชาติเปลี่ยนได้ โลกนี้จะเป็นแดนศิวิไล

วันนี้พ่อครู คงจะมาพูดถึงเรื่องสังคมที่เป็นอยู่ เรื่องของธรรมกาย ซึ่งเราได้มาฟังธรรม หรือมาที่อโศก อยากบรรลุธรรมไหม?

แต่เหตุของการบรรลุธรรมหรือวิมุติมีอยู่ 5 ประการ

1.      วิมุติด้วยการฟังธรรม . 

2.      วิมุติด้วยการแสดงธรรม 

3.      วิมุติด้วยการสาธยายธรรม 

4.      วิมุติด้วยการตรึกตรองใคร่ครวญธรรม 

5.      วิมุติด้วยสมาธินิมิต 

(พตปฎ.  เล่ม 22  ข้อ 26)

การมาฟังธรรมจะได้ทั้ง ได้ทบทวนธรรมะ ใคร่ครวญธรรมะ ส่วนการแสดงธรรมนั้นมี 4 ประเด็นเลย ใครอยากบรรลุธรรม อยากเป็นพระอรหันต์ก็มาเร็วๆ แต่เราไม่เฉลียวใจเลย เป็นคำพูดของพ่อครู ดูว่าธรรมดา แต่ก็เป็นจริงนะ คนที่ต้องการบรรลุธรรม แต่ไม่ฟังธรรม มันเป็นไปไม่ได้ แม้จะมาฟังธรรมแล้ว แต่จิตใจไม่ยินดีในการฟังธรรม ก็ไม่มีประโยชน์ จะต้องมีจิตใจจดจ่อตั้งใจจดจำ มีความยินดี มี concentrate ต่อผู้แสดงธรรม จะได้ประโยชน์ในการฟังธรรมอย่างดียิ่ง

พ่อครูว่า...จริงๆแล้วก่อนที่จะได้ฟังธรรม ก็ขอให้ฟังเหตุการณ์ปรากฏการณ์ ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม เกี่ยวข้องกับศาสนาเกี่ยวข้องกับธรรมะของศาสนาพุทธ ตอนนี้กำลังเกิดเหตุการณ์นี้มา นานมากแล้วในประเทศไทย จะมีเหตุการณ์ถึงขั้นนี้ ณ บัดนี้ ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ประวัติศาสตร์แห่งศาสนาพุทธหน้านี้ มันไม่ได้เกิดได้ง่ายๆเลย ฝีมือคนที่ทำให้มันเกิดได้ มือเป็นฝีจริงๆ ถ้าไม่มีฝีมือถึงขั้นยอดมือเป็นฝีไม่ถึงขั้นนี้แล้วไม่ได้

มาดูบทความ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน เปลวสีเงิน ลางล่มสลาย อาณาจักรจานบิน

 

ใช้ตำราเล่มเดียวกันเป๊ะ!

 

ปฏิบัติการ "แข็งเมือง" ของรัฐจานบิน ไปถึงขั้นร้อง UN แล้วเมื่อวาน (15 ธ.ค.59)

 

ยังเหลือ "สาดเลือด-เผาเมือง" ก็ครบหลักสูตร "แดงทั้งแผ่นดิน"

 

วันนี้ (16 ธ.ค.) จะเข้าค้น-เข้าจับมั้ย...........?

 

เพราะพอตะวันตกดิน หมายค้นในมือตำรวจ จาก 13-16 ธ.ค. ก็หมดอายุ

 

แต่ไม่มีปัญหา หมดขอใหม่ได้ เห็นว่าทางตำรวจก็ได้มาเรียบร้อยแล้วด้วย!

 

พูดถึงปัญหา เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้......

 

ประเด็น "จับ-ไม่จับ" ผมว่า ไม่น่าใช่ปัญหาแล้ว

 

ประเด็น "ธัมมชโย" ยังนอนแขวนตีนรอให้จับอยู่ในนครรัฐจานบินขณะนี้หรือไม่ นี่ตะหาก ที่น่าเป็นปัญหาตอนนี้?

 

เป็นปัญหาที่ฝ่ายตำรวจ-ดีเอสไอ ต้องวิเคราะห์จากข้อมูลให้แตก ไม่งั้น ตำรวจ-ดีเอสไอเองนั่นแหละ

 

เป็นฝ่าย "หน้าแหก"!

 

นครรัฐจานบินนั้น พื้นที่เป็นพันไร่ แค่กำแพงก็ยาวกว่าสิบกิโล ใช้เงินเป็นหมื่นๆ ล้าน กับสิ่งก่อสร้างมากมาย ในความเป็นเมืองๆหนึ่ง ที่ต้องมี

 

ให้ ผบ.ตร.ให้อธิบดี DSI ลองสมมุติตัวเองเป็นสมีโยดูก็ได้

 

ถ้าไม่มีเป้าหมายอื่น...........

 

นอกเหนือจากความเป็นวัดๆหนึ่งในพุทธศาสนา และไม่มีขบวนการอื่นๆ ทั้งลับ-ทั้งแจ้ง เป็นแนวร่วม

 

จำเป็นต้องทำ อย่างที่สมีโยทำ "ในคราบพระ" มาโดยตลอดมั้ย?

 

เมื่อมี Hidden Agenda สร้างวัดเป็นอาณาจักร รองรับแผนการข้างหน้า มีค่ายคูประตูรบ กระทั่งหอสังเกตการณ์ก็ครบ ขนาดนี้

 

จะซื่อบื่อถึงขนาด ไม่ทำอะไรที่เป็น "ช่องคู-ประตูลับ" ไว้เป็นทางหนีทีไล่ยามฉุกเฉิน-คับขัน สำหรับตัวเองบ้างเชียวหรือ?

 

รัฐหรืออาณาจักรจานบิน ถ้าจะเทียบในความหมาย ก็น้องๆ ประเทศสิงคโปร์!

 

เมื่อมองในภาพนี้ "ทั้งประเทศ" มันต้องไม่มีแค่ประตู 7-8 ประตู ที่พระมั่ง ตำรวจมั่ง นักข่าวมั่ง ไปจุก-รอจับ กันอยู่แค่นั้นแน่

 

ยิ่งฟังทิดองอาจ โล้นสนิทวงศ์ โล้นนพพร เล่นลิ้น........

 

เดี๋ยวว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังอยู่ที่วัด หลวงพ่อไม่มีหนังสือเดินทาง จะไปที่ไหนได้"

 

อีกวันพูดใหม่........

 

"ไม่ยืนยันว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังอยู่ภายในวัดหรือไม่ เพราะผมก็ไม่ได้กราบมานานกว่า 6 เดือนแล้ว"

 

แน่ะ....ชักแววออกที่วงหาง!

 

เผอิญในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา บ้านเมืองมีหลายเรื่องให้ทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์ ต้องไปเอาใจใส่ดูแล

 

เรื่องสมีโย แทบลืมกันไปเลย!

 

พูดกันตรงๆ ช่วงนั้น ต่อให้สมีโยลากตีนจากเตียง เดินไปโบกแท็กซี่หน้าถนนใหญ่ ก็ไม่มีใครไปรู้-ไปเห็น

 

ก็อย่างที่บอก ให้สมมุติตัวเองเป็นสมีโย ช่วงปลอดความสนใจทั้งฝ่ายบ้านเมืองและฝ่ายชาวบ้านอย่างนั้น

 

เป็นเราเอง...ก็ฉวยโอกาสเผ่น.........

 

จะแขวนตีนรอตะรางแทนดุสิตบุรีให้โง่ทำไม...จริงมั้ย?

 

เพราะอย่างนี้ ถ้านำการจัดทัพรับหน้าตำรวจ-ดีเอสไอในคราวแรก มาเทียบกับคราวนี้ จะเห็น "ทัพจริง-ทัพลวง" ได้ชัด

 

คราวแรกเมื่อเดือน มิ.ย.ตอนนั้น สมีโยตัวเป็นๆ ซ่อนตัวอยู่ในนครรัฐจานบินแน่

 

วัดได้จากการ ระดมพล ระดมพระ และโจร ปฏิบัติการขัดขวาง พร้อมปะทะ ขึงขัง-จริงจัง ต่อเนื่อง

 

แต่คราวนี้ ระดมพลจัดทัพแบบหลวมๆ.......

 

การประจำจุดตามค่ายคูประตูรบ ก็งั้นๆ กองทัพโล้น โกนหัวมา "สวดเอาซอง" ก็มาพอเป็นพิธี แล้วสลายหัว

 

ประเมินแล้ว นครรัฐจานบิน จัดทัพ ตั้งค่ายกล "ลวง" ฝ่ายตำรวจ-ดีเอสไอมากกว่า

 

ถ้าตัวเป็นๆ ยังอยู่ เสนาธิการจานบินต้อง "จัดเต็ม" มากกว่าครั้งแรกด้วยซ้ำ เพราะครั้งแรก มีแค่ดีเอสไอฝ่ายเดียว

 

แต่คราวนี้ ดีเอสไอเสริมใยเหล็ก ด้วยตำรวจ..........

 

แถม "เส้นตาย" เส้นเบ้อเร่อ!

 

น่าตกใจกว่าครั้ง สงคราม 9 ทัพ ที่พระเจ้าปดุง กษัตริย์กรุงอังวะ ส่งมาจากทิศานุทิศ หมายขยี้ไทยเป็นผุยผง ในคราวเดียวกันซะอีก

 

แต่เห็นมั้ย ทั้งขุนพลองอาจ ขุนพลนพพร ขุนพลสนิทวงศ์ ตั้งรับด้วยสีหน้า ท่าทาง ปลอดโปร่ง-สบายใจ

 

ก็พอประเมินได้ว่า..........

 

ข้างในจานบิน "โบ๋เบ๋" พระเดชพระคุณหลวงพ่อตีนโต หนีไปนอน "ขัดหัว-โมหน้า" อ้าซ่าอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้!

 

ลงท้าย "ดีเอสไอ-ตำรวจ" จะเข้าตำรา...ไก่ก็ไม่ได้ แต่ต้องเสียข้าวเปลือกไปหลายกำมือ

 

ไก่ยังอยู่ให้จับก็พอคุ้ม เกรงว่า พอเข้าไปจริงๆ จะเจอแต่หนังสือตัวโตๆ ที่สมีโยเขียนทิ้งไว้หน้ากระจกน่ะซี ว่า...

 

"จ๊ะเอ๋...อาตมาชิงตังเมไปก่อนนะจ๊ะ"

 

แบบนี้ละก็ ติดอันดับ 1 ใน 10 ข่าวฮาประจำปี 59 ของซูม-ไทยรัฐแหมๆ!

 

เพราะผมดูท่าทีตำรวจ-ดีเอสไอ ไม่บ่งว่ามีหน่วยสอดแนม "ประกบติด" อยู่ข้างในจานบิน

 

เพียงมีความเชื่อ "สมีโยยังนอนรอให้จับอยู่ข้างใน"

 

ก็ไม่รู้นะ "ผมผิด-ตำรวจถูก" ก็ได้...........

 

เพราะสมมุติฐานของผม มาจากเดา แต่ตำรวจ-ดีเอสไอเขามืออาชีพ อะไรที่คนนอกเดา มืออาชีพต้องเหนือกว่าด้วย "ข้อมูล" ไปอีกร้อยชั้นอยู่แล้ว

 

แต่ในภาพรวม

 

จากครั้งนี้ ไม่ว่าจับได้-ยังไม่จับ หรือหนีไปแล้ว สมีโยและอาณาจักรจานบิน ไม่ล่ม ก็เอียงกะเท่เร่

 

"ลวงโลก-ลวงคนซื้อบุญ" ได้ยากแล้ว!

 

กระทั่งวงการสงฆ์ที่เคย "ปลื้มซอง" ธรรมกาย มาซ่องสุม-ข้องแวะ เป็นกระดองให้ "เสฉวน-สมีโย" เข้าไปซุกว่าเป็นหน่อพุทธแท้

 

ก็ค่อยๆ ปลีกห่าง เพราะชาวบ้านจ้องจับตาอย่างหนึ่ง เพราะการเฉโกของสมีโย กระด้างกระเดื่องต่อกฎหมายบ้านเมือง "เห็นชัด" อีกอย่างหนึ่ง

 

เพราะมันชัด........

 

สมีโย ผิดวิสัย "พระผู้มีศีล" ไร้ละอาย ไร้หิริ-โอตตัปปะ แยกแยะผิด-ถูก-ชั่ว-ดี ไม่ได้

 

การที่ต้องใช้บริการ "เครือข่ายพระสงฆ์นานาชาติในประเทศไทย" ที่ธรรมกายจุนเจือไว้ ให้ไปร้อง UN เมื่อวาน

 

และการพึ่ง "เศษกระดาษ" จากนิกายต่างๆ และองค์กรศาสนาประเทศโน้น-ประเทศนี้ ใต้ใบบุญธรรมกาย เขียนมาสนับสนุน

 

นั่นเป็นตัวบ่งชี้...........

 

สมีโย-ธรรมกาย กำลังถูกพระสงฆ์ในประเทศที่เคยเป็นแนวร่วม "หันหลังให้"

 

สุดท้าย..."ไพ่ไต๋" แนวร่วม "ใบสุดท้าย" ก็ต้องถูกนำออกมาใช้แล้ว!

 

โทรทัศน์ แดง-นปช.ต้องทำหน้าที่แทนโทรทัศน์ DMC ของวัดธรรมกาย วันก่อน ไปถ่ายทำสัมภาษณ์นายองอาจถึงในจานบินมาออกจอ

 

เมื่อเช้า ตื่นมาชงกาแฟบ้วนปาก........

 

เปิดช่องแดง นปช. เจอ 2 คน นางธิดา กับใครอีกคนไม่ได้จำชื่อ กำลังสนทนาเรื่องธรรมกาย

 

นางธิดาออกตัว เขาพุทธ "สายปัญญา" เป็นเสรีชนในแนวทางเคารพยึดถือสิทธิมนุษยชน ในการพูด ในการทำ

 

ไม่ใช่พุทธ "สายศีล-สมาธิ"!?

 

อืมมมมม...ผมก็พลอยได้ความรู้ใหม่ ว่ามีพุทธสายปัญญา แถมเป็นคนละสายกับศีล-สมาธิ

 

ส่วนอีกท่าน ฟังจากที่นางธิดาเรียก น่าจะจบทางกฎหมายหรือเป็นทนาย เขาบอกว่า ตัวเขาไม่ใช่พุทธ เป็นอิสลามิกชน

 

ผมเป็นคนไม่เอาศาสนาเป็นเครื่องแบ่งแยกคนและสังคมอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกอะไร

 

แต่อยากออกความเห็นนิด เรื่องพระ-เรื่องศาสนา เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทั้งเป็นคนนอกศาสนา เลี่ยงที่จะนำมาวิจารณ์ ดีที่สุด

 

ถึงอ้าง "ไม่อยากลงรายละเอียด" แต่เอาโยงไปด้านสังคม ด้านกฎหมาย ด้านสิทธิเสรีภาพ ด้านการเมือง วิจารณ์ยำไปด้วยกัน

 

ถึงอย่างไร ฟังแล้วก็ไม่เหมาะ!

 

ก็เข้าใจ ธรรมกาย-สมีโย ที่เป็นแนวร่วมกำลังเดือดร้อน ต้องช่วยกัน เพราะตอนเราเขายังช่วย

 

ก็ไปช่วยกันได้ ไม่มีใครว่า!

 

แต่ฝากข้อคิด คุณเคยเห็นใครในอีกศาสนาหนึ่ง ใช้ความไม่รู้ แล้วเอาการเมือง เอาเจตนาส่วนตัว ไปวิจารณ์เรื่องพระ-เรื่องศาสนาอื่น บ้างมั้ย?

 

นปช.จะสนับสนุน จะเป็นแนวร่วม จะช่วยสมีโย-ธรรมกาย ก็ว่ากันไปภายใน

 

แต่ถึงขั้นเอาคน "นอกศาสนา" มาวิจารณ์อีกศาสนาหนึ่งออกโทรทัศน์ ด้วยทัศนะเชิงปฏิปักษ์เช่นนี้

 

อย่าดีกว่าครับ.

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมของชาวพุทธ)ตอน เฉลิมชัย ยอดมาลัย : ธรรมกลาย โจรในคราบสงฆ์ วัดที่เป็นซ่องโจร

 

ช่างแสนอุบาทว์กับข่าวเรื่องสถานที่แห่งหนึ่งในย่านปทุมธานีซึ่งอ้างว่าเป็นวัดในบวรพระพุทธศาสนา แต่ทว่ากลับมีสถานะไม่ต่างไปจากซ่องโจร มิหนำซ้ำยังมีหลักฐานมัดแน่นว่าผู้เป็นใหญ่ในซ่องโจรแห่งนั้น มีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากโจรห้าร้อย เพราะทั้งฉ้อฉล ยักยอกทรัพย์ และฟอกเงิน รวมถึงภายในเขตที่อ้างว่าเป็นวัดยังมีการทำผิดกฎหมายของบ้านเมืองอีกมากมายหลายประการ แถมเจ้าสำนักก็มีพฤติกรรมโป้ปดมดเท็จปั้นน้ำเป็นตัว แต่ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือ เจ้าสำนักมีพฤติกรรมใช้ผู้บริสุทธิ์ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อเป็นโล่มนุษย์ป้องกันความผิดให้กับตนเอง

 

ซ่องโจรที่ถูกอุปโลกน์เป็นเขตพุทธวาสแห่งนั้นช่างแสนพิสดารประหลาดล้ำ เพราะมีสภาพเป็นเขตหวงห้ามเด็ดขาดสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะหากใครต้องการจะเข้าไปในเขตดังกล่าวจะต้องแลกบัตรประชาชน และต้องถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด

 

ขอถามว่า วัดในบวรพระพุทธศาสนามีข้อกำหนดว่าผู้จะเข้าไปในเขตวัดต้องแลกบัตรประชาชนหรือ สรุปว่านี่คือวัดหรือที่ส่วนบุคคลของเจ้าสำนักซึ่งเป็นโจรกันแน่

 

แต่ที่ประหลาดจนเกินบรรยายคือ ตำรวจไทยซึ่งตามปกตินั้นก็เป็นที่ยำเกรงและหวาดกลัวของสุจริตชน โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ไม่รู้หลักกฎหมาย แต่กลับปรากฏว่าตำรวจไทยไม่สามารถเข้าไปตรวจตราภายในเขตวัดแห่งนั้นได้สุดแสนตลกตรงที่ตำรวจไทยต้องไปเจรจาอ้อนวอนกับบุคคล ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวัด เพื่อจะขอเข้าไปภายในเขตวัด แต่สุดท้ายตำรวจถูกปฏิเสธ ผลปรากฏว่าตำรวจไทยก็แสนน่ารัก คือยอมเชื่อฟังคำของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือยามของวัด แล้วก็กล้าเข้าไปตรวจภายในวัด

 

นี่มันอะไรกันมิทราบ นี่คือวัดของพระพุทธศาสนาหรือขอถามอีกครั้งเถอะว่า นี่คือเขตของวัด เขตของความสงบสันติเขตแดนแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ หรือ

 

ทำไมประเทศไทยจึงได้มีปัญหาความเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้ ทำไมจึงปล่อยให้ซ่องโจรถูกอุปโลกน์เป็นวัด ทำไมยกย่องหัวหน้าโจรเป็นเจ้าสำนัก แล้วทำไมจึงปล่อยให้ซ่องโจรและหัวหน้าโจรกระทำละเมิดหลักกฎหมาย และหลักพระธรรมวินัยให้เสื่อมพินาศได้ถึงเพียงนี้

 

อันที่จริง อาจจะกลายเป็นเรื่องชาชินไปแล้วสำหรับคนไทยที่เข้าวัดบ่อยๆ แต่คงเป็นเพียงการเข้าวัดโดยไม่ได้สนใจในหลักพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพราะคงจะได้เห็นพฤติกรรมเลวๆ ร้ายๆ ของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งโกนหัวแล้วห่มผ้าเหลืองซึ่งเข้าไปอาศัยเขตวัดเป็นที่ทำมาหากินกันอย่างเป็นลำเป็นสัน แต่ทว่าคนกลุ่มดังกล่าวกลับเป็นตัวเร่งทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมสลายโดยเร็ว

 

โล้นห่มเหลืองใช้วัดเป็นที่หากินแล้วมุ่งทำลายล้างพระพุทธศาสนามีมากจนเกินบรรยายในสังคมไทย เพียงแต่โล้นหัวเหลืองทั่วๆ ไปไม่มีเงินทอง ไม่มีอิทธิพลมากเท่าโล้นห่มเหลืองในสำนักโจรที่ระบุในข้างต้นนี้ เรื่องเหล่านี้คนไทยรู้ดี แต่ก็กลับปล่อยปละละเลยไม่นำพา ส่วนกรมการศาสนา สำนักพุทธฯ และมหาเถรสมาคม ก็ย่อมรู้ในเรื่องเลวทรามเช่นนี้ แต่ก็ยังทอดธุระ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่

 

เมื่อวัดไม่ใช่วัดที่แท้จริง เมื่อพระสงฆ์จำนวนไม่น้อย เป็นเพียงโล้นห่มเหลืองผู้ไม่ใส่ใจในพระไตรปิฎก เมื่อเป็นเช่นนั้นหลักพระธรรมวินัยก็ย่อมเสื่อมสูญไป เหลือเพียงธรรมกลายที่ยกย่องความเลวเป็นความดี ยกย่องคนอัปรีย์เป็นเจ้าสำนัก ช่างน่าสมเพช น่าเวทนา นะจ๊ะ

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน ปรีชาทัศน์ : ‘ธัมมชโย’เมื่อปาราชิกแล้วไม่ต้องจับสึกอีก

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่ง สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ ทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ดังพระบัญชา ฉบับที่ 1 และ 2 ที่เป็นเหตุปาราชิกของ “ธัมมชโยแห่งวัดพระธรรมกาย”ที่ขออัญเชิญมา ดังนี้

 

ฉบับที่ 1

 

“การบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอนโดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่ไม่ใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัดทันที”

 

(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

 

15 เมษายน 2542

 

...............

 

ฉบับที่ 2

 

“ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่าในชั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาทรัพย์สมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ไม่ยอมคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา”

 

(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก )

 

26 เมษายน พ.ศ. 2542

...............

 

เมื่อปาราชิกตามพระธรรมวินัยดังที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิตในฉบับที่ 1 และ 2 ที่มีความสืบเนื่องสัมพันธ์กันตามที่อัญเชิญมาในตอนต้นแล้ว ก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องดำเนินการ “สึก” ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่จะต้องดำเนินการตามหมวด 4 ว่าด้วย “นิคหกรรมและการสละสมณเพศ”

 

ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29 “พระภิกษุรูปใดถูกจับต้องหาว่ากระทำผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว....หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม ....ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้”

 

จะเห็นได้ชัดเจนว่าการให้สละสมณเพศนั้นต้องกระทำแก่ “พระภิกษุที่ต้องหาว่ากระทำผิดอาญา” เท่านั้น ฉะนั้นเมื่อปาราชิกแล้วจึงไม่อยู่ในข่ายตามมาตรานี้ที่จะต้องดำเนินการสึก

 

เมื่อมิได้เป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัยดังลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชแล้วกล่าวคือ “ต้องอาบัติปาราชิกพ้นจากความเป็นสมณโดยอัตโนมัติต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง”

 

ตกเป็น “นาย” แล้ว จึงไม่ต้องให้สละสมณเพศแต่ประการใด แต่ต้องดำเนินการนำผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว โดยทันทีที่จับตัวมาได้ และต้องดำเนินคดีตามมาตรา 208 ความผิดเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นอาญาแผ่นดิน ดังนี้

 

“ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ...โดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

 

การดำเนินการให้สละสมณเพศให้สึกกรณี“ธัมมชโย” ที่เป็น “นาย”ไปแล้วเท่ากับไปยอบรับความเป็นภิกษุ อันเป็นการผิดพระธรรมวินัยที่เป็นอกาลิโกและมีศักดิ์ที่สูงกว่ากฎหมายของบ้านเมืองแม้รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายที่สูงสุดก็ไม่อาจบัญญัติขัดแย้งต่อพระธรรมวินัยได้ และยังไม่เป็นการเคารพพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงสถิตอยู่ในฐานะสกลมหาสังฆปริณายกอีกด้วย

 

เป็น “อนันตริยกรรม” นะครับ

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมของชาวพุทธ)ตอน ชั่วช่าง(อลัช)ชี....ไม่ได้อีกแล้ว

เรียน คุณวิภาวดีฯ ที่นับถือ

 

ประเทศไทยวันนี้ “ชั่วช่าง(อลัช)ชี ดีช่าง(มหา)เถร”ไม่ได้อีกแล้ว  

 

วันนี้ 16 ธ.ค.เป็นเดดไลน์ครั้งที่อินฟินิตี้ ข่าวเช้าวันนี้ตำรวจแจ้งข้อหากว่าร้อยคดีแก่“สิตยานุสิด”สำนักอั้งยี่อลัชชีสมีผีบุญ แต่ไม่ทราบจะดำเนินการเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุมอลัชชีสมีผีบุญโยเยนีหรือไม่ วันนี้พุทธบริษัทที่แท้จริงในประเทศไทยไม่สามารถยอมรับคำพังเพยที่ว่า“ชั่วช่าง(อลัช)ชี ดี ช่าง(มหา)เถร”ได้อีกต่อไป เพราะเมื่อ She เป็น She ชั่ว ไม่ว่าจะเป็นชีเชอร์รี่,ชีสตรอเบอร์รี่,หรือชีกะร็อก ที่ทำชั่วทำผิดกฎหมายทั้งทางโลกและทางธรรม ก็เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทที่ต้องกำจัดชีและอลัชชีชั่วให้หมดไป

 

ความหมายของ“เถร”ในคำพังเพยโบราณก็น่าจะหมายถึงพระภิกษุที่บวชตอนแก่ อาจเป็นเพราะไร้คนดูแลหรือต้องการแสวงบุญจากผ้ากาสาวพัสตร์ แต่เป็นเพราะความชราจึงไม่ค่อยได้เรียน(บาลี)ทำให้ไม่ซาบซึ้งในพระธรรมวินัย นอกจากนั้นส่วนใหญ่ภิกษุที่บวชตอนแก่ก็เรียนน้อย สายตาและร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวยให้ศึกษาพระธรรมวินัย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงบกพร่องในวัตรปฏิบัติ ต้องอาบัติเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่ปลงทุกวันก็ยิ่งสะสม บุญที่หวังว่าจะได้ก็ไม่ได้ นอกจากนั้นอาจจะเป็นบาปทำให้เชื่อว่าราวเหล็กในนรกนั้นแอ่นเพราะมีผ้าเหลืองพาดเป็นจำนวนมาก

 

วัตรปฏิบัติที่บัญญัติไว้ในประไตรปิฎกที่เถรชราที่ไม่ไขว่คว้าหาความรู้จะต้องอาบัติ เช่น “พรากเขียว”เพราะพระพุทธเจ้าห้ามพระตัดต้นไม้ตัดหญ้าที่ยังเขียว เพราะอาจจะเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ตายได้ แต่ในปัจจุบันพระหนุ่มๆที่มีการศึกษา แต่มีมิจฉาทิฐิเชื่อความคิดตัวเองมากกว่าพระธรรมวินัย ทำให้มีข่าวพระทำนา(พระพุทธเจ้าห้ามพระทำอาชีพ)ซึ่งพระหนุ่มที่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัย ตีความคำว่า อาชีพ

หมายถึงทำเพื่อเงิน แต่การทำนาเพื่อปลูกข้าวไว้ฉันนั้นก็ไม่ถูกต้อง นอกจากนั้นการทำนาก็ยังเป็นสาเหตุทำให้สัตว์เล็ก เช่น ปู ไส้เดือน ตายได้

 

สำหรับเถรตามความหมายของคำพังเพยโบราณที่ขาดความรู้ในบทบัญญัติของพระธรรมวินัยนั้นฆราวาสก็ไม่สมควรตักเตือนเพราะเถรเหล่านี้ยังเป็นปุถุชน มีโลภ โกรธ หลง เมื่อถูกตำนิก็ยิ่งทวีโทสะและเป็นบาปแต่ตัวเถรเอง ดังนั้นบรรพชนจึงสอนว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างเถร”

 

แต่“เถร”วันนี้มิใช่พระแก่ๆ เป็นบัณฑิตเถร,มหาเถร,ดุษฎีเถร มีปริญญายาว มีพัดยศ มีเกี้ยวยนต์ตั้งแต่อีคลาสจนถึงเกี้ยวยนต์บินได้ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นปุถุชนเพราะมีโลภ โกรธ หลง และมีเถรเหล่านี้จำนวนไม่น้อยเพราะเปลือกสวยงามตั้งแต่จีวรไหมอิตาลี กุฏิที่อาศัยโบสถ์ จนถึง “รีสอร์ท”ปฏิบัติธรรมมูลค่าระยับ ดังนั้น เถรพวกนี้จึงไม่แตกต่างกับปูเสฉวน เพราะพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาของศาสนาพุทธ ท่านมีพร้อมแต่สละทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเปลือก มุ่งแสวงหาสัจธรรม แสวงหาหนทางของการพ้นทุกข์

 

แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ “มหาเถรป่วยจิต”มีมิจฉาทิฐิสตรอง ปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยอาศัยทางลัด ทางด่วนที่ตนสร้างขึ้นมาเอง แตกต่างกับเถรที่ปรารถนาเป็นพุทธเจ้าด้วยวิธีปกติคือพยายามเร่งความเพียรแต่ไม่ยอมออกจาก“คอกวัฏสงสาร” รอเข้าคิวเป็นพระพุทธเจ้า มหาเถรจอมปลอมที่ป่วยจิตนี้จึงใช้วิธีสิบแปดมงกุฎ สถาปนาตนเองเป็นประธานพระพุทธเจ้า แบบเดียวกับที่ฮิตเลอร์และเนโรและอีดี้อามินใช้    

 

แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ สมาคมของมหาเถระหรือพระอาวุโสสูงสุดของประเทศไทยละเลยหน้าที่ปกป้องพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์(ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ) แต่เลือกที่จะปกป้องมหาเถรวิปริต ที่บิดเบือนพระธรรม สั่งสอนบทบัญญัติผิดๆ โดยอ้างว่าตนเป็นประธานสมาคมพระพุทธเจ้า การกระทำของอลัชชีสมีผีบุญโยเยนีที่บิดเบือนพระธรรมวินัย ตั้งตนเป็นประธานสมาคมพระพุทธเจ้า อวดอุตริฯ โกหกหลอกลวงประชาชน ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นการที่มหาเถรสมาคมปกป้องอลัชชีสมีผีบุญที่มีความผิดทั้งทางโลก(บุกรุกป่า,ฟอกเงินฯ,หลอกขายสินค้าปลอม:ค้อนเปิดประตูสวรรค์) และทางธรรมเท่ากับมหาเถรสมาคมเป็นผู้ร่วมสมคบคิดกับอลัชชีสมีผีบุญโยเยนีโดยมีหลักฐานชัดเจนคือ การไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช    

 

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องปฏิรูปทั้ง มส.และพศ.เพราะเหลวแหลกเต็มที(พระพุทธก็ยังดี พระธรรมก็ยังดีแต่พระสงฆ์นั้นเต็มที)และคำพูดที่ว่า“ไม่ทำสงครามกับพระ”นั้น จะต้องขยายความว่าไม่ทำสงครามกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือพระแท้ แต่การที่ มส.และพศ.จงใจละเลยไม่จัดการกับอลัชชีสมีผีบุญโยเยนีซึ่งขาดจากความเป็นพระตั้งแต่จงใจยักยอกเงินวัดเกิน 5 มาสกแล้ว การที่อัยการถอนฟ้อง ทั้งๆ ที่อลัชชีสมีผีบุญโยเยรับสารภาพ แต่ได้ทำการคืนเงินให้วัดแล้ว ไม่ทำให้สถานภาพของ“สมี”เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการจงใจอุ้มชูสมีด้วยการเพิ่มยศให้นั้นเท่ากับมีความผิดเป็นจำเลยร่วมสมคบคิด นั่นก็หมายความว่าสถานภาพของอลัชชีสมีผีบุญโยเยนีจึงเป็น “สมี” มิใช่“พระ”

 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะมั่นคง สงบสุขได้เพราะกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอภิสิทธิ์ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่เป็นเช่นนั้น กรณีสำนักอั้งยี่อลัชชีสมีผีบุญบุกรุกที่ดิน สร้างรีสอร์ทหรูทั่วประเทศได้ ก็แสดงว่ามีอิทธิพลสีขมิ้นจริง โดยเฉพาะถ้าหมายค้นครั้งนี้ถูกสตช.ซุกเก็บไว้ใต้กระบะ ก็ยิ่งทำให้อิทธิพลขมิ้นสูงมากขึ้น และถ้าคุณสมชายปราบอิทธิพลขมิ้นไม่ได้ แล้วจะแก้ปัญหาทั้งหมดของชาติได้อย่างไร?

 

เพลโต๊ะ

 

ตอบ คุณเพลโต๊ะ

 

ผมก็จดจ่อรอดูข่าววันนี้ซึ่งมีเดดไลน์“หมายค้น”ที่จะหมดเวลา 18.00 น. ปรากฏว่า เลย 18.00 น.มาแล้ว ยังไม่มีข่าวการบุกค้นเพื่อจับตัว“อลัชชี”ออกมาเลย คงจะแห้ว และวืดเป็นครั้งที่ 4 ให้ตำรวจและ DSI ต้องขอหมายค้นศาลเป็นครั้ง 5 ต่อไป แล้วไม่รู้จะออกหมายค้นอีกกี่ร้อยใบ ถึงจะได้“ค้น”จริงเสียที

 

วิภาวดี หลักสี่

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมของชาวพุทธ)ตอน สำนักจานบินยิ่งสู้ยิ่งกระอัก เจอคดีเพิ่มและลึกขึ้นเรื่อยๆ

 

การที่ธัมมชโยและสำนักจานบินส่อพฤติการณ์ตั้งตัวเป็นรัฐอิสระเหนือกฎหมายดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวตามหมายจับหวังยื้อเกมสู้แบบหัวชนฝาก็ยิ่งเป็นการกดดันให้เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการจัดการธัมมชโยและสำนักจานบินเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แจ้งความดำเนินคดีกับ ธัมมชโย และสำนักจานบินเบื้องต้นรวมแล้วกว่า 40 คดีและคงจะมีการขยายผลเปิดโปงสิ่งเลวร้ายเพื่อดำเนินคดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หาก ธัมมชโย และสำนักจานบินตะแบงคิดสู้โดยไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง

 

43 คดีที่แจ้งความเอาผิดกับ ธัมมชโย และสำนักจานบินเพิ่มเติมแยกเป็น 7 กลุ่มคดีประกอบด้วย กลุ่มคดีที่ 1 คดีบุกรุกโดยสร้างสะพานข้ามคลองต่างๆ รอบสำนักจานบิน การนำตู้คอนเทนเนอร์ตั้งกีดขวางทางสาธารณะ ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ป่าไม้รวม 10 คดี

 

กลุ่มคดีที่ 2 คดีขับรถตู้ รถบัส รถสาธารณะขนสาวกสำนักจานบินนอกเขตเส้นทางที่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งรวม 19 คดี

 

กลุ่มคดีที่ 3 กีดขวางทางจราจรโดยนำแท่งซีเมนต์เสาเข็มวางขวางเส้นทางถนนรอบสำนักจานบินซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนที่ใช้เส้นทาง ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรและกฎหมายอาญามาตรา 229 ซึ่งมีโทษจำคุก 5 ปี

 

กลุ่มคดีที่ 4 ทำให้เสียทรัพย์ด้วยการโรยตะปูเรือใบในเส้นทางการตรวจตรารอบสำนักจานบินของเจ้าหน้าที่รวม 2 คดี

 

กลุ่มคดีที่ 5 หมิ่นประมาทโดย นายวิฑูรย์ ชลายนนาวินอดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ แจ้งความเอาผิด นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกสำนักจานบิน กรณีกล่าวหา นายวิฑูรย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์แผนที่ทางอากาศจนนำไปสู่การออกหมายจับ ธัมมชโย คดีรุกป่าที่เขาใหญ่ นครราชสีมา เพื่อตั้งเป็นสาขาสำนักจานบิน โดย นายองอาจ กล่าวหานายวิฑูรย์ ว่าไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์แผนที่ทางอากาศและไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญศาลซึ่งไม่เป็นความจริง

 

กลุ่มคดีที่ 6 ลักลอบสร้างอาคารชุดในสำนักจานบิน 7 อาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 7 คดี

 

กลุ่มคดีที่ 7 ลักลอบขุดบ่อบาดาลในสำนักจานบินจำนวนหลายบ่อโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

นี่ยังไม่รวมที่ก่อนหน้านี้มีการดำเนินคดีออกหมายจับ ธัมมชโย ข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น คดีรุกป่าสงวนแห่งชาติและที่สาธารณะตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมาและจ.เลย

 

สำนักจานบินนอกจากส่อพฤติการณ์เป็นรัฐอิสระและทำตัวดุจผู้มีอิทธิพลแล้ว ยิ่งนานวันก็ยิ่งเผยให้เห็นธาตุแท้ความถ่อยดุจอันธพาลในคราบผ้าเหลืองมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาขณะที่ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวีทำข่าวบริเวณประตู 5ของสำนักจานบินปรากฏว่า มีพระสำนักจานบินรูปหนึ่งปรี่เข้ามาตบช่างภาพที่ถือกล้องถ่ายภาพอยู่แล้วใช้กระบอกยิงแสงเลเซอร์ยิงที่กล้องของช่างภาพสถานีโทรทัศน์อมรินทร์พร้อมกับพูดว่า “ผมทำอย่างนี้ล่ะครับ ไป ถ้าคุยไม่รู้เรื่องมึง......” ขณะที่ช่างภาพพยายามอธิบายว่า “อย่าครับ พระอาจารย์ครับ กล้องผมพังครับพระอาจารย์” พระรูปดังกล่าวจึงตะคอกไล่ว่า “ไป”

 

นอกจากนี้บริเวณรอบสำนักจานบินจะมีพระจำนวนหนึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย โดยมีการนำโทรศัพท์มือถือคอยถ่ายภาพบรรดานักข่าวช่างภาพทุกคนที่ไปสังเกตการณ์ รวมทั้งมีการใช้แสงเลเซอร์ยิงมาที่กล้องของช่างภาพด้วยเพื่อไม่ให้มีการถ่ายภาพ

 

นอกจากนี้ยังมีการใช้แสงเลเซอร์ยิงใส่โดรนที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบังคับวิทยุให้บินขึ้นไปสังเกตการณ์ภายในสำนักจานบินจนเจ้าหน้าที่ต้องหยุดการทำงานเพราะเกรงโดรนจะได้รับความเสียหาย

 

อีกหนึ่งวิธีของสำนักจานบินที่ราวถอดแบบมาจากขบวนการเพื่อแม้วก็คือแผนชักศึกเข้าบ้านใช้โลกล้อมไทย โดยก่อนหน้านี้สำนักจานบินประสานไปยังองค์กรพุทธกำมะลอในหลายประเทศซึ่งเป็นแนวร่วมให้ส่งหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อไม่ให้ดำเนินการใดๆกับ ธัมมชโย และสำนักจานบิน ทั้งๆที่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในและละเมิดกระบวนการยุติธรรมของไทย รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ต้องหาหนีหมายจับกำเริบเสิบสานทำตัวเป็นรัฐอิสระเหนือกฎหมายโดยถือดีว่ามีคนหนุนหลัง

 

ล่าสุดมีกลุ่มแนวร่วมสำนักจานบินที่อ้างชื่อว่ากลุ่มสงฆ์นานาชาติไม่กี่คนจัดฉากไปยื่นหนังสือถึงสำนักงานสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ประจำประเทศไทยเพื่อให้ยุติการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย โดยอ้างว่าถูกใส่ร้าย

 

แต่การชักศึกเข้าบ้านที่เลวร้ายกว่าก็คือการนำพระต่างด้าวมากดดันผู้นำประเทศโดยสำนักจานบินอัดคลิปความเห็นของ พระวีระธู แห่งวัดมะโชเย็ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระหัวรุนแรงและเป็นแนวร่วมไอดอลของสำนักจานบินส่งไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยสำระสำคัญคลิปของ พระวีระธูผู้นี้เหิมเกริมถึงกับกล่าวในทำนองกดดันให้ผู้นำไทยยุติการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย

 

ปูมหลังชั่วร้ายของ พระวีระธู ผู้นี้เคยไปมาหาสู่สำนักจานบินอยู่บ่อยๆ ในฐานะแนวร่วมที่ได้รับการยกย่องเป็นไอดอลของสำนักจานบิน โดยโล้นห่มผ้าเหลืองพม่าผู้นี้มีแนวคิดแข็งกร้าวสุดโต่งจนนิตยสารไทม์เคยขึ้นปกและพาดหัวตัวโตด้วยข้อความที่ว่า “โฉมหน้าชาวพุทธผู้สร้างความหวาดกลัว : กองกำลังพระสงฆ์เติมเชื้อความรุนแรงต่อต้านมุสลิมในเอเชีย”

 

ทั้งนี้ พระวีระธู ผู้นี้คือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการเข่นฆ่าและขับไล่ชาวมุสลิมในพม่า แต่กลับเป็นไอดอลของสำนักจานบิน

 

สถานการณ์ของสำนักจานบินในขณะนี้เรียกได้ว่าหมดสภาพซึ่งยิ่งเหิมเกริมต่อสู้กับอำนาจรัฐยุคปฏิรูปก็จะยิ่งกระอักถูกดำเนินคดีและเปิดโปงความเหลวแหลกของอาณาจักรรัฐอิสระแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีและตัวการที่หนุนหลังชักใยเพื่อตักตวงขุมทรัพย์มหาศาลและอำนาจจากอาณาจักรแดนสนธยาแห่งนี้

 

ทีมข่าวการเมืองแนวหน้า

 

พ่อครูว่า...สังคมทุกวันนี้อาตมาว่าเป็นสังคมที่น่ากลัวมากเลย มีข้อมูลส่งมาเกี่ยวกับคุณชาติชาย เขาใช้ภาษาได้ดี ขอชมเชยด้วยใจจริง อาตมาไม่ค่อยเก่ง

 

   สรุปแล้ว อะไรคือยุทธศาสตร์ของ “ธรรมกาย” ที่วิเคราะห์ออกมาได้

      

       จากการฝังตัวอยู่ในนั้นมา 31 ปี?

        ผมวิเคราะห์ไว้ว่า “ลัทธิธัมมชโย” ใช้นโยบาย “1 ยุทธศาสตร์ 17 ขั้นยุทธวิธี” ครับ 1 ยุทธศาสตร์ที่หมายถึงคือ “พายเรือตามน้ำ” ตามใจกิเลส ส่วนอีก 17 ยุทธวิธี มันมีรายละเอียดเยอะมาก แต่พอจะสรุปคร่าวๆ ว่าเขาใช้วิธีแบบนี้เพื่อดึงให้คนหลงอยู่กับกิเลสทางธรรม ดังนี้

1.สร้างสรรค์คำพูดสุดแสนประทับใจ

2.สร้างความสุดแสนประทับใจในสถานที่

3.สร้างความสุดแสนประทับใจในพิธีกรรม

4.สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมดีๆ ที่น่าชื่นจิตประทับใจ

5.รักษารูปแบบพิธีกรรมแบบพุทธไว้ แต่เนื้อหาคำสอนตรงข้ามกับพุทธ

6.หักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยคำสอนของธัมมชโย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่อง “ดินแดนอายตนะ” ที่ผมได้พูดไปแล้ว 

7.ทำทีเป็นว่าเคารพนับถือพระพุทธเจ้า แต่ดูพฤติกรรมโดยรวมแล้วไม่ใช่

8.ประยุกต์ใช้สรรพสื่อ สรรพวิชาการ ความรู้ทุกแขนง จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อการแผยแพร่ลัทธิธัมมชโย

9.แบ่งการสื่อสารออกเป็น 2 แนวทาง คือการสื่อสารบนน้ำในสื่อที่เราเห็นๆ กัน กับการสื่อสารใต้น้ำ ใช้วิธีบอกข่าวสารกันแบบปากต่อปาก ให้เฉพาะคนในเท่านั้นที่รู้

10.ปลุกศรัทธาให้สูงเด่น ดับปัญญาให้มืดบอด

11.ปลุกกิเลส 2 ตัวในจิตใจสาธุชน ออกมาปั่นให้เฟื่องฟู คือกิเลสความโลภและกิเลสความหลง

12.ปั่นให้ปลื้ม..ปลื้ม..ปลื้ม...ตลอดเวลาในบุญที่ทำลงไป โดยมีเงื่อนไขแบบ dead lock หมายความว่าถ้าคุณปลื้มในบุญ คุณจะปลื้มไปจนวันตาย จนลืมคิดว่าตัวเองถูกหลอก มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตายไปแล้ว แต่ก็กลับมาบอกใครไม่ได้อีกต่อไป สุดท้าย สัญญาลมปากเรื่องการสะสมเสบียงบุญก็กลายเป็น “โมฆะ” ในทุกกรณี

13.ท้าพิสูจน์ด้วยการนั่งสมาธิในแนววิชชาธรรมกาย แล้วจะเห็นสิ่งที่ธัมมชโยสอนได้ด้วยตัวเอง เช่น ได้เห็นรุ้งกินน้ำ, เห็นดาวตก ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วเกิดจากภาพลวงตา จากการนั่งสมาธิไปถึงแค่ระดับ “สมถสมาธิ” ซึ่งมีไว้เพื่อทำให้จิตสงบ แล้วไม่ปฏิบัติไปให้ถึงระดับ “วิปัสสนาสมาธิ” ได้แต่นึกเอาเองในสภาวะจิตนิ่ง จึงเกิดกลายเป็นภาพลวง ไม่ใช่ภาพความจริงที่มีอยู่      

14.ใช้วิธีผูกจับเอาสาธุชนมาเป็นทาสทางจิตวิญญาณ

15.ปั้นสิ่งเสพติดที่ลัทธิธัมมชโยเรียกว่า “บุญ” ออกขายแก่สาธุชน

16.ขยายตัวเป็น “อาณาจักรจักรวรรดิทางศาสนา” เขียนพระไตรปิฎกขึ้นเองมาใหม่ และ

17.เข้ายึดอำนาจรัฐด้วยบัตรเลือกตั้ง หมายถึงสงครามด้านการเมือง ซึ่งจะมี 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายที่เล่มเกมทางศาสนา กับฝ่ายที่เล่นเกมทางการเมือง

      

และสุดท้าย 2 สมรภูมินี้ก็คือ 1 สงครามร่วม คือการยึดอำนาจรัฐด้วยการใช้ศรัทธานำ เมื่อ 2 กลุ่มที่เขาวางรากฐานเอาไว้มาจับมือกัน เมื่อนั้นอาณาจักรธรรมกายก็จะครองประเทศหรือครองโลกไป    

แล้วจะหลุดรอดออกจากวงจรนี้ได้อย่างไร?

        ก็ต้องใช้อำนาจรัฐบาลในช่วงนี้แหละครับ เพราะถ้าพ้นรัฐบาล คสช.ไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีอำนาจที่จะจัดการเขาได้แน่นนอน   

       มีคนเถียงว่า ถึงไม่มีธรรมกาย

       ก็ยังมี “พุทธพาณิชย์” ที่พร้อมบ่อนทำลายศาสนาอีกอยู่ดี

แบบนั้นมันก็ผิด แต่ธรรมกายผิดเป็นระดับอภิมหาอุตสาหกรรม เปรียบไปแล้ว พุทธพาณิชย์ตามวัดต่างๆ เหมือนคนทำความผิดระดับร้านค้าย่อย ผิดระดับปัสสาวะข้างทางลงคูน้ำสาธารณะ แต่สำหรับธรรมกาย ความผิดมันระดับมหึมา ระดับโรงงานปล่อยมลพิษมหาศาล จำนวน 1 ล้านลิตร/วินาที ลงแม่น้ำ

ถ้าจะวัดจากแค่เชิงคุณภาพ ก็ถือว่าทำความผิดเหมือนกัน แต่ถ้าวัดจากระดับความหนัก-เบาในการทำความผิด วัดจากผลกระทบเชิงปริมาณที่เกิดขึ้น มันต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลยล่ะครับ

 

สมณะฟ้าไทว่า….เป็นการได้เรียนรู้ความเลวสุดลิ่มทิ่มประตู เพื่อให้เราไม่เป็นอย่างนั้น และจะได้ช่วยเหลือสังคมให้ดีขึ้นด้วย...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:31:37 )

591219

รายละเอียด

591219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบข้อเขียนเพียรพ้นนิโรธฤาษี

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2559 ที่บ้านราชฯเมืองเรือ ตอนนี้มีนร.โรงเรียนฮั้วเฉียวอุบลราชธานี 2 มาฝึกอบรมคุณธรรมที่บ้านราชฯ เราก็มาฟังธรรมกันให้เกิดอานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรมคือ

1.      ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.      ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.      ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.      ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .

5.      จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

 

พ่อครูว่า… มาตอบรับ sms

SMS วันที่ 18 ธันวาคม 2559 (รายการวิถีอาริยธรรม)

_0817520xxxอยากทราบว่า จะขอเซฟรูป 5 วิธีสู่วิมุตติ ที่ออกหน้าจอทีวีรายการ ได้ที่ไหนคะ บางทีเห็นรูปที่ขึ้นจอ ก็อยากส่งต่อให้เพื่อนค่ะ ขอบคุณค่ะ

ตอบ…(รูป 5 วิธีสู่วิมุตติ สามารถเข้าไปใน เฟสบุ๊ค Sudanthamได้)

คนที่ใส่ใจในการฟังธรรมนี้ หายากยิ่งกว่างมเส้นผมในมหาสมุทร

อาตมาบรรยายมา จะห้าสิบปี ก็ยังไม่เบื่อในการสาธยายธรรมเลย ก็มีคนติดตามฟังธรรมอยู่เหมือนกัน เป็นเรื่องพิเศษ เราบรรยายธรรมะ เงินทองลาภยศอะไรก็ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ทำเพื่อต้องการสิ่งนั้น สรรเสริญก็ไม่ได้ เขานินทาด้วยซ้ำ สุข ก็บรรเทิงในธรรม บางครั้งบางคราว อาตมาก็สนุกสนานในการสาธยาย จนลืมไอเลย

คนฟังของธัมมชโยเขาเป็นแสน ของเรานี่เป็น 2 3 อย่างดีก็ 4 แต่ของเขาเป็นแสน

แม้แต่ถึงวันนี้ อาตมาอายุย่างเข้า 83 แล้วก็ยังจะต่ออายุขัย เพื่อที่จะแสดงธรรมต่อไปอีก แม้จะมีคนน้อย ดูเหมือนไม่ค่อยก้าวหน้าเฟื่องฟู เหมือนธัมมชโย หรืออย่าง ธรรมกายเขา แต่มันตรงกันข้ามกันเลย ที่อธิบายธรรมะไป ตรงกันข้ามทุกมุม เอาอย่างชัดและง่าย เมื่อเขายื่นข้อหา อาตมาก็เดินเข้าไปให้ปากคำ ให้การเลย แต่นี่เขาเดินหนี ขนาดผู้ที่เรียนมา เพื่อจับคนหนีคดีโดยเฉพาะ คัดเลือกมาจากกองตำรวจ เรียกว่า DSI ยังทำอะไรไม่ค่อยได้

อย่างคำว่า อัปปิจฉะ คือมักน้อย ปฏิบัติตนเรื่องมักน้อย จนหมดตัวจนสูญ นี่คือทิศทางของศาสนาพุทธ แต่ธรรมกายนั้น พากันไปมักมาก ออกนอกรีตศาสนาพุทธ ไปจนสุดทาง คนไทยไปหลงงมงาย สิ่งที่ออกนอกรีตศาสนาพุทธ เห็นแล้วก็ยิ่งน่าสงสาร ก็ยิ่งอยากจะอธิบายให้เขาฟัง แต่เขาก็ปิดประตู ช่องนี้ช่องเดียว ธรรมกายคงไม่ฟังช่องบุญนิยมทีวี คนเหล่านี้ งมงายยิ่งกว่าควาย ให้สัญญาณเขาก็มาแล้วไม่ต้องจูงเลย มา pretend มาเสแสร้งแกล้งทำ มาสวดมนต์ เสแสร้งมาสวดมนต์ แต่ที่จริงมาสร้างกำแพงมนุษย์ คนที่มีปัญญาก็พอรู้ แต่โดยสิทธิมนุษยชน เขาทำได้ ประเทศไทยก็ดีแสนดี ตอนนี้ไม่ทำอะไรรุนแรง เพราะว่าประเทศไทยกำลังเป็นประเทศ ที่อยู่ในภาวะความดี เพราะฉะนั้น ความชั่วจัดจึงได้ใจ เพราะความดี ไม่ทำอะไรความชั่วจัด เขาก็ยิ่งทำกรรมลึกไป เขาได้วิบาก ผลของการกระทำ อกุศลนี้หนักขึ้นๆ โดยเขาไม่รู้ตัว ไม่มีปัญญารู้ สำนักธรรมกาย ไม่มีความรู้เรื่องธรรมะ รู้แต่เรื่องหลอกลวงคน รู้แต่เรื่องโลภโมโทสัน หาวิธีพลิกแพลง เพื่อบำเรอตัวเองเต็มที่ ตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธ อย่าง 180 องศาเลย

 

_0893867xxxคนนอกศ.เขาวิจารณ์ศ.ปท.นู้นปท.นี้ช่างเขาเถอะ! เราก็ปฏิบัติตามหลักธ.คำสอนในพระศาสดาของพุทธศ.ให้เกิดปย.สุขสร้างความสงบสันติให้ร่มเย็น ตามรอยพ่อฯต่อไปดีกว่า!

_0893867xxxพระเจ้าใครๆก็รัก!พระธรรมคำสอนใครๆก็นับถือ! อย่าไปใส่ใจศ.1ในปท.ต้นตอนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์!ศ.1ในปท.ต้นตอสงครามโลกนิวเคลียร์ 1 กับ 2! ศ.1ในปท.ต้นตอสงครามก่อการร้าย!ศ.ในปท.นั้นยังสร้างสงบสุขสันติภาพในปท.ตัวเองยังไม่ได้ ซ้ำลามไปทำลายทั่วโลก! เชื่อในตถาคตดีที่สุด

ตอบ...มีคนไปสัมภาษณ์สาวกธรรมกาย ว่ายอมตายแทนได้ เหมือนกับลัทธิที่ให้คนมากินยาฆ่าตัวตาย เมื่อหลายสิบปีก่อน (จิมโจนส์) มหาเถรสมาคมไม่มีฤทธิ์ ไม่มีปัญญาจัดการ

 

_0893867xxxพุทธศานิกชนไทยแท้เชื่อในคำสอนของพ่อหลวงฯที่ถูกตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่สร้างปย.สุขส่วนรวมอย่างถูกต้องชอบธรรมที่ดีที่สุดในโลก!

0893867xxxต่อให้พ่อครูอ่านได้24ชั่วโมง ผู้น้อยก็ฟังได้24ชั่วโมง! ธรรมะที่ถูกตรง ไม่เคยทำให้เมื่อย แต่อธรรมหัวโล้นที่บิดเบือนธรรมะ ทำให้เมื่อยเนื้อตัวปวดหัวล้าน เหนื่อยหัวใจร้อยวันพันชั่วโมง เอวัง(เวง)

 

มาดูคอลัมน์: สมาธิชาวบ้าน: ใจที่ถึงธรรม อ.บูรพา ผดุงไทย

นสพ.ไทยโพสต์แทบลอยด์

 

ธรรมะของผู้ที่ถึงธรรม เกิดขึ้นจากในใจเราเอง ไม่ต้องไปหาฟังธรรมที่ไหน แต่ตอนแรกที่เรารู้จักธรรมนั้น ต้องอาศัยคนเขามาเล่าให้เราฟังอีกที แล้วก็เข้าใจแบบเขาเล่าให้ฟัง มันยังไม่ถึงธรรม

 

แต่พอเราปฏิบัติไป ธรรมมันเกิดขึ้นในใจเราเอง ธรรมะที่เราได้จากภายในนั้น มันจะยิ่งลึกซึ้งลงไปหลายชั้น เพราะธรรมบางเรื่อง ก็เป็นสภาวะที่เหนือเกินกว่าจะหาคำ ที่เป็นสมมุติบัญญัติใดๆ มาเล่าให้ฟังได้ เมื่อไรที่ธรรมะ เกิดขึ้นในใจได้แล้ว มันก็ตอบปัญหาได้หมด ทั้งเรื่องโลก เรื่องธรรม ความเข้าใจผิดต่างๆ ที่จิตมีต่อโลก เราก็เข้าใจมากขึ้น พอเข้าใจโลกมากขึ้น มันก็เข้าใจตัวเอง จากภายในมากขึ้น และอยู่บนโลกอย่างเข้าใจโลก เข้าใจคนมากยิ่งขึ้น และพบทิศทาง ในการดำเนินชีวิต ที่ไม่สูญเปล่า เพราะใจดวงนี้มันพบธรรมแล้ว ใจดวงนี้มาถูกทาง เพราะอบรมมันมาดีแล้ว ที่สุดของทาง มันก็หลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะปัญญาที่มันเริ่มรู้จริง เรื่องต่างๆ จากภายใน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ)ตอน มรรคมีองค์8คือทางเดียวที่พาบรรลุธรรม

พ่อครูแทรกเรื่อง มรรคมีองค์ 8 คือทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่พาบรรลุธรรม

"มรรค มีองค์ 8"นั้นคือ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น" (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์ จนถึงสัมมาวิมุติ

ลัทธิที่ปราศจากมรรค มีองค์ 8 .

          ดูกรสุภัททะ  ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ 8  ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ 1  สมณะที่ 2  สมณะที่ 3  หรือสมณะที่ 4 

          ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ 8 ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ 1  สมณะที่ 2 สมณะที่ 3  หรือสมณะที่ 4 

          ดูกรสุภัททะ  ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ 8  ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่1  ที่2  ที่3  หรือที่4  ลัทธิอื่นๆ ว่างจาก สมณะผู้รู้ทั่วถึง   ก็ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ  โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

(มหาปรินิพพานสูตร  เล่ม 10   ข้อ 138)

คนที่ไปเข้าใจว่า ทางไปนิพพานนั้นมีหลายทาง เหมือนจะไปเชียงใหม่ ก็ไปทางรถยนต์ หรือเครื่องบินก็ได้ นั้นไม่ใช่ทางของศาสนาพุทธ

         แต่ถ้าตอนแรก เรามัวแต่ไปนั่งคิดนั่งนึกเอา มันคงไม่ได้ธรรม จะได้ธรรมก็เพียงแต่ ในระดับของการอ่าน การฟัง เมื่อหันมาอบรมจิต อบรมใจ ธรรมะจากภายใน มันได้ลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ ถึงขั้นรู้แจ้งเห็นจริง แต่ละสาย แต่ละสำนัก ก็มีความชำนาญ ในการฝึกแตกต่างกัน ไม่มีใครเก่งกว่าใคร ใครถนัดแบบไหน ชำนาญแบบไหน ก็ฝึกแบบนั้น แต่วิธีการ ไม่มีใครเก่งกว่ากัน พวกที่ฝึกภาวนา เพ่งลมหายใจ เขาชำนาญแบบนั้น เขาก็ทำได้ดี พวกที่เพ่งกสิน เขาก็ชำนาญของเขา ไม่มีอันไหนดีกว่ากัน จะเอาคนฝึกลมหายใจไปเพ่งกสิน มันก็ไม่ถนัด เหมือนเอานักว่ายน้ำไปวิ่งแข่ง เอานักเทนนิสไปตีกอล์ฟ ต่างคนก็ต่างมีวิธีการของตน

 

 

 

พ่อครูว่า คำว่า กสิณไม่มีในศาสนาพุทธ อย่างที่ในวิสุทธิมรรค ที่ท่านพุทธโฆษาจารย์ กล่าวไว้ว่า มีกสิณ 49 อย่างในอานาปานสติ เขาก็เข้าใจผิดไปจมไปกับลมหายใจ เพราะว่าสูตรนี้ พระพุทธเจ้า อธิบายถึง

  1. อนิจจานุปัสสี
  2. วิราคานุปัสสี
  3. นิโรธานุปัสสี
  4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี

พระสูตรนี้ ปฏิบัติจนเกือบไม่เหลือกาย เหลือแค่ลมหายใจ แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติครบพร้อม ทั้งรูปและนาม มีผัสสะเป็นปัจจัย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป28)ตอน ปฏิบัติครบพร้อมทั้งรูปและนาม มีผัสสะเป็นปัจจัย

 มีปสาทรูปคจรรูป ทำงานพร้อมแล้วศึกษา ภาวรูป 2 ที่เป็นอิตถินทรีย์ และปุริสินทรีย์ ต้องจัดการชีวิตของกิเลส ที่ทำให้เกิดอิตถีภาวะ ก็ทำให้อาหารของกิเลสลดลง ทำไปทีละปริเฉท แล้วสามารถทำได้สำเร็จ ในปริเฉทรูป ทำให้ถึง 0 ถึงอากาสธาตุ ทำได้แล้ว ก็จะมี วิญญัติรูป มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เพราะจิตเป็นประธาน สามารถกำกับกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ เพราะมีจิตมีปัญญา ทำให้จิตเราถึงขั้น ลหุตาธาตุ มุทุตาธาตุ กัมมัญญตาธาตุ

ทำให้มันเบาได้ อย่างสนิทเลย และจิตเป็นจิตขั้น มุทุภูตธาตุ เป็นจิตหัวอ่อน ปฏิภาณก็เร็วไว เจโตก็ดัดปรับให้เป็นอย่างไรได้ไวเร็ว จึงสามารถควบคุมกรรมที่จะออกมา ให้เหมาะควรได้เสมอ

วิญญัติรูปมี 2   3 คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา

ลหุตาคือทำให้เบา ทำให้เหมาะควร อย่างอาตมา ควบคุมกายวิญญัติ ทำให้แรงกว่านี้ก็ได้ แต่อาตมาเห็นว่า เท่านี้พอเหมาะแล้ว กัมมัญญตาแล้ว นัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็เลือกมาแล้ว สุ้มเสียงสำเนียง ก็ให้เหมาะสมกับยุคสมัย ยุคนี้ถ้าเบากว่านี้ปรุงแต่งไม่ได้รสขนาดนี้ รับรอง จะได้ยินเสียงกรนแข่งกัน

สุดท้าย วิการรูปจบ ก็ยืนในฐาน ….

ลักขณรูป 4 จะมีอุปจยะ(เกิด) สันตติ(ต่อ) จะให้เกิดแล้วจะต่อไปอย่างไร ก็ต้องเข้าใจว่า ทุกอย่างต้องมี ชรตา (เสื่อม) และที่สุดมันอนิจจตา

อาตมาทำลักษณะอุปจยะ แน่นอนอาตมาต้องทำสันตติ ให้มาก ต้องพยายามเติมเข้าไป เพื่อให้รักษาสภาพ ร่างกาย ให้ทำงานต่อไป เพราะอาตมาเคยบอกแล้วว่า ขันธ์อาตมา จะยาวนานเท่าไหร่ อาตมาผ่านมาแล้ว ก็จะต่อไปอีก

อาตมาตั้งใจทำงานศาสนา เอาสภาวธรรมเป็นหลัก บัญญัติใช้เป็นรอง จึงขัดกับท่านที่ชำนาญปริยัติ แล้วบัญญัติที่ท่านเรียนกัน ก็ให้ความหมาย เพี้ยนไปจากสภาวธรรมไปมาก จนตรงกันข้ามไปเยอะ อาตมาจึงเอาสภาวะเป็นหลัก ในการขยายความ จึงได้ค้านแย้งกับท่านที่ยึดถือกันมา ตามพยัญชนะ อาตมาก็เห็นใจนะ

อาตมาบอกว่า อาตมาไม่ได้แปลบาลีด้วยไวยกรณ์ แต่อาตมาแปลบาลีด้วยสภาวธรรม โดยอาศัยคำของท่านบ้าง แต่อันไหน ที่อาตมาเห็นว่า ตรงกันข้าม หรือแย้งกับสภาวะมันผิด อาตมาก็ไม่เอาด้วย

เช่น ท่านไปแปล อปุญญาภิสังขารว่า สังขารเป็นบาป อย่างนี้เป็นตักกะ ไม่เป็นสภาวะ

แต่อาตมาว่า อภิสังขาร 3 เป็นโลกุตรธรรม พอเข้าใจ ปุญญาภิสังขารเพี้ยน ก็ต้องแปล อปุญญาภิสังขารเพี้ยนแน่

เพราะปุญญะแปลว่า กำจัดกิเลส เมื่อกำจัดกิเลส เครื่องมือที่เรียกว่าปุญญะนี้ ก็หมดไป

การได้ส่วนบุญ คือได้สูญกิเลสไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสูญเต็มที่ หมดอาสวะ เป็นอนาสวะ หมดก็สูญ บาปหมด บุญก็หมดไปด้วย จึงเรียก ปุญญปาปปริกขีโณ พยัญชนะก็ยิ่งชัด

เมื่อพระอรหันต์ ทำอนาสวะ สมบูรณ์ยั่งยืนถาวร ก็เป็นสจิตตปริโยทปนัง จากนั้น กรรมทุกกรรม ก็ไม่เป็นบาป สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง มีแต่กุศลท่าเดียว

เป็นข้อสังเกตว่า ถ้าบุญกับบาปเป็นของคู่กัน พอไม่ทำบาป ท่านก็ว่า เมื่อไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ก็ต้องทำแต่บุญสิ แต่ ท่านบอกว่า กุสลสูปสัมปทา คือทำแต่กุศล ไม่ได้ทำบุญแล้ว

จากนั้นก็รักษาผล อเนญชาภิสังขาร ยิ่งปรุงแต่งต่อไป ก็ยิ่งเกิดองค์คุณอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  และอย่าง ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ อยู่กับโลก อย่างไม่หวั่นไหว ในโลกธรรมใดๆเลย

1.      ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.      ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรง แม้ผัสสะกระแทก)

3.      มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.      กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ) . 

5.      ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใส ถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

 

อย่างเช่น ในหลวงเรา อาตมาบอกว่า เป็นพระโพธิสัตว์ เกินระดับอรหันต์ระดับ 4 แล้ว ในปางนี้  ท่านมีอุเบกขา เมตตาเต็มที่แล้ว ในบารมี 10 ทัศ พระอรหันต์ ทำงานด้วยการให้ ประพฤติปฏิบัติในบารมี 10 ทัศ เพื่อให้เกิดการทาน เมื่อบรรลุแล้ว จะเหลืออุเบกขากับเมตตา ทำงานด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน ไม่มีกิเลส ยิ่งทำงาน ก็ยิ่งเป็นสภาพ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เรื่อยไป อาตมาผ่านมาหมดแล้ว บารมี 10ทัศ

ทานก็ต้องปฏิบัติด้วย ศีล เนกขัมมะ ปัญญา แล้วต้องทำด้วย วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เสริมด้วยเมตตา อุเบกขา เป็นจิตพระเจ้า ที่ประกอบด้วย อัปปมัญญา 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งทุกวันนี้ อธิบายพรหมวิหาร 4 อย่างไม่มีน้ำหนัก

 แต่ที่จริง เมตตาคือเห็นคนอื่นอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์

 กรุณาคือลงมือกระทำ ให้เขาพ้นทุกข์ ให้เป็นสุข แต่สุขโลกุตระ วูปสโมสุข  ทำให้เขาพ้นทุกข์แล้วก็ยินดีด้วย แล้วก็วาง อุเบกขา

ที่อธิบายนี้ ไม่ได้เอามาจากตำราไหน แต่ที่ท่านอธิบายกันบอกว่า เมตตาคือต้องการให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาก็ต้องการให้เขาเป็นสุข ที่เห็นเขาอธิบายกันเป็นอย่างนี้ มุทิตาก็ยินดีที่เขาเป็นสุข อุเบกขาก็วางเฉย อาตมาก็เอามาอธิบาย กรณะ คือการงาน การกระทำ หรือกรุณา มีรากศัพท์มาจาก กรณะ )

 

(อ่านบทความอ.บูรพาต่อ) การอบรมจิตก็เหมือนกัน ไม่ว่าด้วยวิธีไหนที่ตัวเองถนัด อบรมจิตไปถึงธาตุรู้ได้แล้ว มันก็รู้เหมือนกันหมด เมื่อถึงธาตุรู้ ต่อจากนี้ ก็เหลือแต่เพียงแค่คอยดูจิต ให้จิตมันค่อยๆ พัฒนาไปเอง เป็นอาการผุดรู้ ตอนแรกๆ ไปนั่งทำสมถะเรื่อยๆ อาการผุดรู้มันจะช้า แต่พอจิตมันนิ่งลงไปได้ระดับหนึ่ง มันฟังธรรมในขั้นภูมิวิปัสสนาเสมอกัน จิตมันจะเริ่มเคลื่อน เพราะภูมิวิปัสสนานี้ คือการที่จิตมีเครื่องรู้ ไม่ใช่นิ่ง แต่มีอาการผุดรู้ ถ้าจิตมันไม่ผุดรู้เอง มันก็ต้องฟังธรรมในขั้นภูมิที่มันจะพิจารณาได้ พอมันฟังธรรม ในขั้นภูมิวิปัสสนาได้เสร็จ จิตมันก็เดินภูมิวิปัสสนาได้ด้วยตนเอง จิตมันจะหยิบยกเรื่องไหนขึ้นมา เรื่องนั้นก็จะแตกฉาน เป็นธรรมะทั้งหมด และเดินภูมิจากเรื่องนั้นต่อไป จนลึกซึ้ง

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ)ตอนเจโตปริยญาณ 16

พ่อครูว่า ปัญญาของพุทธ เกิดตลอดสาย ตั้งแต่ ผัสสะเป็นปัจจัย เกิดเวทนาให้อ่าน กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นเวทนาในเวทนา มีเหตุที่ทำให้เกิดสุขทุกข์ เหตุมันคือ อุกศลจิต มันทำให้เกิดเวทนา ก็ต้องอ่านด้วยอาการ ลิงค นิมิต แล้ววิธีปฏิบัติ ก็ทำตามโพชฌงค์ 7 ให้เกิด ปหาน 5 ปหานไปตามลำดับ ให้เกิดเจโตปริยญาณ 16

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน -ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆ ในจิตอาริยของตน (ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

เมื่อลดกิเลสได้ สายเจโตจะเกิด สังขิตตจิต ส่วนสายปัญญาจะเกิด วิกขิตตจิต ทำกิเลสให้ลดในเบื้องต้นได้ ก็ต้องทำให้มหรรคตะ ทำให้เจริญดีขึ้นอีก

7.      สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .

8.      วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

9.       มหัคคตจิต  (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10.     อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)

11.     สอุตตรจิต   (จิตมีดี แต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12.     อนุตตรจิต   (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .

13.     สมาหิตจิต   (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14.     อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15.     วิมุตตจิต     (จิตหลุดพ้น) . . .

16.     อวิมุตตจิต   (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

 

อาตมาเอาสิ่งเหล่านี้มาบรรยาย จาก สิ่งที่ทำมา สั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ อาตมาเห็นนักดนตรี ที่ออกนอกกรอบทั่วไป แบบ adrift คือ ออกนอกกรอบ แต่ว่ากลับเข้ามาได้

เจโตปริยญาณ 16 อาตมาอธิบายตามสภาวะ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ จะมีสภาวะ เจโตปริยญาณ 16 หากคนปฏิบัติธรรม แล้วไม่มีอันนี้ ก็ไม่มีหลัก ไม่ทำให้สมบูรณ์แบบ ไม่ถึงวิมุติ ไม่ถึงสมาหิตัง (สมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว) ต้องมีของจริง แล้วจะอธิบายได้ เดาไม่ได้

หมวดหนึ่งคือ หมวดมีกิเลส ราคะโทสะโมหะ ก็ทำเจโตปริยญาณ 6 ข้อแรกทำให้กิเลสลดได้ ต้องรู้อย่างสัมผัสเห็น เป็นวิปัสสนาญาณ แล้วมีมาตรวัด คือเจโตปริยญาณ 16

แล้วก็มาหมวด ที่ทำกิเลสลดได้ ก็มีสภาวะมีอีกสองตัว เมื่อลดกิเลสได้ สายเจโตจะเกิด สังขิตตจิต ส่วนสายปัญญาจะเกิด วิกขิตตจิต ทำกิเลสให้ลด ในเบื้องต้นได้ ก็ต้องทำให้มหรรคตะ ทำให้เจริญดีขึ้นอีก แม้แต่สายปัญญา ถ้าทำการกดเก่งๆ ก็เป็นสังขิตตังจิตตัง แต่ก็เป็นสายของปัญญากับเจโต จะมีลักษณะเช่นนี้

ต่อจากนั้น ก็ต้องทำให้ได้เจริญขึ้น มหรรคตะ ทำให้เจริญดีขึ้น ถ้าทำไม่ได้ก็อมหรรรคตะ ต้องทำให้ดีขึ้นเจริญขึ้นได้ แต่ก็รู้ว่า ยังเจริญไม่ถึงที่สุด มันมีดีกว่านี้อีก สอุตรจิต ก็ทำให้จิตดีกว่านี้อีก แล้วเกิดอีกสองสาย

สมาหิตัง คือจิตตั้งมั่น หากไม่เป็นสมบูรณ์แบบอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) ก็เป็นอสมาหิตัง

แล้วก็เข้าสู่วิมุติหลุดพ้นแล้ว หรือไม่หลุดพ้น เป็นอวิมุติ เป็นการตรวจสอบผลของวิชชา และวิมุติ อีกที จึงสมบูรณ์แบบด้วย อุภโตภาควิมุติ

คำว่า รู้จิตสัตว์อื่น เขาแปลว่า ไปรู้ใจคนอื่น แต่ความจริงแล้วคือ จิตเราเอง คือ จิตสัตว์นรก จิตเทวดา ต้องทำให้หมดจิตสัตว์นรก เทวดา

คำว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง เขาเอาแปลว่า ตัวตนบุคคลเราเขา แปลว่า รู้ใจสัตว์อื่นคนอื่น แต่ที่จริงคือ จิตเรานี่แหละ ที่เป็นจิตอื่น คือจิตอกุศล ก็ทำให้เป็นจิตที่เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพไป ไม่วนกลับไปกลับมาเป็นโลกียะ

 

แรกๆ นานๆ มันจะผุดมาที ให้ใจพอรู้ หลังๆ มันก็ผุดบ่อยขึ้นๆ ปฏิบัติไปช่วงแรก ก็จะเป็นอย่างนี้ แต่อาการทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการรู้ธรรม ขั้นโลกียภูมิ เท่านั้น เป็นขั้นรู้แจ้ง เห็นจริงในธรรมของโลก รู้เข้าใจความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง และธรรมะในขอบเขตของ สมมุติบัญญัติทั้งหมด คือเรื่องที่อธิบายด้วย สมมุติบัญญัติ ได้เทียบเคียงเข้าใจหมด

(พ่อครูว่า หลับตาสะกดจิต ไม่ให้รู้ไม่ให้คิด แล้วจะมีบัญญัติอะไรมาให้รู้)

การอบรมจิต ต้องอบรมให้มันรู้ธรรมบ่อยๆ ก็เพื่อทำให้จิตวิญญาณดวงนี้ แข็งแรง พอจิตแข็งแรงดีแล้ว จะข้ามตรงนี้ไปได้ จิตดวงนี้ก็จะไปเห็น ปรากฏการณ์ ความคิด ที่เกิดๆ ดับๆ ขึ้นในจิตดวงนี้ ตอนแรกมันรู้สึกว่า มันมีจริง รู้ว่าจิต เป็นตัวรู้ต่างๆ รู้ว่าง รู้ตื่น เบิกบาน

พอจิตพัฒนาลึกลงไป ก็กลับไปดูที่ตัวจิตเอง แต่ก็ยังคิดว่า จิตเป็นจิตอยู่ ยังรู้ความรู้สึกดีใจ เสียใจต่างๆ ที่จิตไปเห็นปรากฏการณ์ความคิด ที่เกิดในตัวของมันเอง ก็เลยเชื่อว่า สิ่งที่เกิดนั้นเป็นของจริง

(อ.บูรพาบอกว่า นั่งสมาธิห้ามนึกห้ามคิด ให้นั่งหลับตา เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้รับรู้อะไร ตาไม่รับแสง หูไม่รับเสียง ให้จิตดิ่งในภวังค์ ให้นิ่งให้หยุดไม่คิด แล้วจิตจะมีความคิดที่ไหนมารู้ เอาความนึกที่ไหนมาเห็น การปฏิบัติแบบอ.บูรพานี้ ห้ามนึกคิด แล้วจะไปรู้อะไร เมื่อไม่ให้คิดไม่ให้นึก จะไปรู้การเกิดดับของจิต ตรงไหน จะเอาตรงไหน มาเป็นความคิดความนึก เพราะว่าให้ดับความคิดความนึก อาตมารู้ทันที่พูดนี้นะ อาตมาทำตามนี้ได้ เพราะอาตมานั่งสะกดจิตเป็น ทำจิตสงบแบบสมถะ สะกดจิตเป็น

อาตมาเคยนั่งที่ป่าแสม วัดอโศการาม มียุงทะเลมาเป็นฝูง มากัด เต็มตัว แต่อาตมา นั่งสะกดจิตหลับตา ไม่รู้สึกได้ แต่พอออกมาก็เห็นว่า เป็นตุ่มเพราะยุงกัดเต็มเลย เราก็ไม่รู้ เรานั่งหลับตานิโรธดับ)

 

จิตว่างก็รู้ว่า จิตตอนนี้มันว่าง แต่เมื่อถึงว่างแล้วยังไปต่อ ลึกซึ้งขึ้นไปได้อีก เพราะจริงๆ แล้ว จิตเป็นเพียง ส่วนรับอาการเท่านั้น เช่น จิตว่าง ก็คิดว่าว่าง แต่นอกจาก อาการว่าง ยังมีอีกอัน คือตัวรู้ ที่มันไปรู้ว่า นี่คือจิตว่าง จิตก็เลยเป็นเพียงแค่อาการอย่างหนึ่ง ที่แสดงออกมา ให้ตัวรู้ไปรู้เท่านั้น

(อ.บูรพาให้จิตดับไม่นึกคิด แต่มีสัญญารู้ได้ ตัวรู้ที่ว่านี้คือสัญญา แต่นั่งหลับตานี้ ไม่เกิดปัญญา ปฏิบัติให้เกิดปัญญา ต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 โพชฌงค์ 7 มีผัสสะเป็นปัจจัย ทำให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ)

 

ถ้าเราพัฒนาจิต ไปถึงตรงนี้แล้ว และสืบไปถึงตัวรู้ได้ ก็จะรู้ว่า มีตัวรู้อยู่เบื้องหลังจิตทั้งหมด อาการจิตที่เราเคยคิดว่า มีความพอใจ เสียใจต่างๆ เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว มีความซับซ้อนไปกว่านั้นอีก ก็คือตัวรู้นี้เอง จิตแสดงอาการอย่างไรนั้น จิตไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง แต่ว่ามันส่งไปถึงรู้ และไอ้รู้นี่ต่างหาก เป็นตัวสุดท้ายที่ออกมา ในที่สุดพอไปถึงตัวนี้แล้ว ด้วยภูมิปัญญา ด้วยสมาธิ ที่ฝึกพัฒนามา เราต้องจัดการตัวรู้นี้ เป็นตัวสุดท้าย ถ้าเราจัดการตัวรู้นี้ได้เมื่อไร จึงจะจบ

 

ตัวรู้เป็นต้นกำเนิดแห่งทุกสรรพสิ่ง เป็นตัวที่ส่งสิ่งต่างๆ ไปให้จิตนี้เอง จิตเป็นแค่เพียงหุ่นจำลอง สิ่งที่ส่งไปทั้งหมด ไปรวมไว้ที่รู้นี่เอง แต่กว่าจะค้นพบเจอ ใช้เวลาทั้งชีวิต ทั้งที่จริงๆ อยู่ใกล้มาก แต่เราหาไม่เจอ ใกล้มาก ขนาดที่หลับตาอยู่แล้วเห็นรู้ ที่แสดงอาการเปลี่ยนสีไปมา

(พ่อครูว่า จริงๆแล้ว จิตคนที่จิตสงบ ไม่มีอุปาทาน หลับตาลงไปแล้ว ไม่มีสีไม่มีแสง มีแต่ดำมืดๆธรรมดา นั่นคือ จิตผู้สงบไร้อุปาทานใดๆแล้ว ถ้าหลับตาลงไป ก็ไม่มีแสงสีเข้าไป ก็ต้องเห็นดำมืด เท่านั้น เฉยๆ นิ่งอยู่อย่างนั้น ผู้ใดที่ทำจิตสงบได้แล้ว ไม่มีอุปาทาน จงรู้เลยว่า หลับตาเข้าไปแล้ว มีแต่ความมืดดับเฉยๆ หากมีแวบๆๆ คืออุปาทานทั้งนั้น ยิ่งมีสีแดงเขียวเหลือง คืออุปาทานทั้งนั้น เมื่อหลับตาแล้วแสงไม่เข้าไปในตา มันจะเอาอะไรไปทำสีได้)

 

เดิมเราคิดว่าเป็นจิต แต่จริงๆ แล้วคือรู้ต่างหาก อยู่เบื้องหลังอีกที มันใกล้มาก แต่หาไม่เจอ แค่รู้อย่างเดียว ก็เข้าใจยาก เป็นศูนย์รวมของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดอาการว่าง อาการปีติ อาการอะไรต่างๆ ทั้งหมดนี้ ล้วนไปประมวลอยู่ที่รู้ อย่างเดียว

 

กายเต้น กายสั่นนั้น มันก็เป็นอาการของมันอีกที จิตไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เข้าใจคือ "รู้" ถ้าสมาธิไม่มีความตั้งมั่นสูง ก็แทบจะแยกรู้ไม่ออก ต้องอาศัยสมถะกรรมฐาน อาศัยวิปัสสนา ถึงจะแยกรู้ออก แยกออกแล้ว ก็ต้องแยกให้เห็นชัดด้วย แยกออกเพียงแค่รางๆ ไม่ได้

 

เมื่อเห็นรู้ชัด เราถึงจะเข้าใจว่า ธาตุรู้ยังครอบงำเราอยู่ตลอด หากเรายังสลายไม่ได้ พระนิพพานก็ยังเกิดไม่ได้แน่นอน ที่สุดแล้ว ต้องทำให้รู้ มันหายไปให้ได้ นี่คือ จุดสุดท้ายของการปฏิบัติ ในการอบรมพัฒนาจิต….จบบทความอ.บูรพา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์8 สัตตาวาส 9)ตอน สัญญาเวทยิตนิโรธแบบฤาษีกับแบบพุทธ

พ่อครูว่า...วิชาสมาธินิพพานของอ.บูรพา คือดับรู้ให้ได้ แล้วคุณจะมีนิพพาน อาตมาพอเข้าใจ ท่านไปยึดนิโรธ ที่คนอย่างอ.บูรพายึด คือสัญญาเวทยิตนิโรธ คือนิโรธที่ดับเวทนาและสัญญา ถ้าอ.คนไหนแปล สัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าคือดับทั้งสัญญาและเวทนา คือแนวเดียวกันกับ อ.บูรพา คือดับสัญญา ดับการกำหนดรู้ อาตมาเข้าใจ และทำอันนี้ได้มาแล้ว ไม่ต้องบอกว่าดี แต่ทำได้ก็แล้วกัน ทำได้ไม่ยากไม่เย็นอะไรนัก ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ในนิโรธแบบนี้

แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า นั้นให้สัญญากำหนดรู้เวทนาทั้ง 108 เวทนาเป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธ เริ่มต้นที่

 

(แบ่งเป็น 2 เวทนา  ได้แก่..)

  1. -เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ  (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
  2. -เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ  (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).

 

(แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่) 

  1. สุขเวทนา
  2. ทุกขเวทนา .  .
  3. อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์  อุเบกขา).

 

(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)

  1. สุขินทรีย์ (มีน้ำหนักทั้งนอกและใน)
  2. ทุกขินทรีย์ (มีน้ำหนักทั้งนอกและใน)
  3. โสมนัสสินทรีย์ มีแต่ภายในเป็นฐานอนาคามี หรือว่ามีน้ำหนักมากหรือน้อย หนักหรือเบา สุขมาก น้อย
  4. โทมนัสสินทรีย์  มีแต่ภายในเป็นฐานอนาคามี  หรือว่ามีน้ำหนักมากหรือน้อย หนักหรือเบา สุขมาก น้อย
  5. อุเบกขินทรีย์

 

(แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)

  1. จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
  2. โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
  3. ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
  4. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
  5. กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
  6. มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

 

(แยกเป็น เวทนา 18)

ได้แก่ มโนปวิจาร 18  (คือ เวทนา3 ร่วมกับ อายตนะ6)

  1. สุขเวทนา แบบโสมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โสมนัส) 
  2. ทุกขเวทนา แบบโทมนัสสูปวิจาร  (6ทวาร+โทมนัส) 
  3. เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร   (6ทวาร+อุเบกขา)

 

ตัวนี้แหละสำคัญ ต้องแยก ระหว่างเวทนา เคหสิตะ กับเนกขัมสิตะ เวทนาให้ออก แล้วทำให้ เคหสิตเวทนา ให้เป็นเนกขัมสิตเวทนาได้ คือออกบวช (บวชคือทำกิเลสออก) หรือออกจากกาม ออกจากโทสะ ออกจากกิเลสทั้งหลาย

 

เวทนา 108 .(แยกเป็น 36 เวทนา) โดยมีสองฝ่าย โลกนี้-โลกหน้า  ฝ่ายละ 18 เวทนา

  1. เคหสิตโสมนัส 6  (โลกนี้)
  2. เคหสิตโทมนัส 6  (โลกนี้)
  3. เคหสิตอุเบกขา 6 (โลกนี้) คือเฉยๆแบบไม่รู้ มันผ่านไปเฉยๆ เช่นกินอะไรเร็วๆไปผ่านๆ ไม่รับรู้ว่าอร่อยหรือไม่ หรือบางที่ก็พักยกเฉยๆ
  4. เนกขัมมสิตโสมนัส 6 (โลกหน้า) ลดกิเลสได้จนได้ดี เกิดอุปกิเลสดีใจ
  5. เนกขัมมสิตโทมนัส 6 (โลกหน้า) เราลดกิเลสได้ระดับหนึ่ง แต่ก็กิเลสยังคาอยู่ ก็ยังต้องเคร่งคุม เหมือนหัดขี่จักรยานเป็นใหม่ๆ)
  6. เนกขัมมสิตอุเบกขา 6 (โลกหน้า) ก็ทำกิเลสลดได้ อย่างไม่มีอุปกิเลสดีใจ หรือทุกข์ใจซ้อน ทำได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบากแล้ว

 

ให้ทำไปสู่เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ทำให้ได้ให้เก่ง แล้วทำทุกปัจจุบัน ก็จะสั่งสมเป็นอดีต ครบ 108 เวทนา โดยกาละทั้งสาม ได้แก่ . . .

  1. เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นอดีตทั้ง 36 ก็สูญแล้ว
  2. เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นปัจจุบัน 36 ก็สูญอยู่
  3. เวทนามโนปวิจาร  ที่เป็นอนาคต 36 ก็สูญอีก  .

(ปัญจกังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 18   ข้อ 412-424)

 

ได้ทั้งฐานสมาธิ ปัญญา ทุกปัจจุบัน เป็นตัวตัดสินว่า คุณสัมผัสแล้วจิตไม่มีกิเลสเกิด กิเลสเป็นสูญ ตลอดทุกปัจจุบัน สั่งสมต้นทุน ที่เป็นอดีตสมบูรณ์แบบ เป็นกิเลสสูญ ก็อนาคตก็ต้องเป็นสูญ

พ้นอวิชชา 8

1.      ไม่รู้..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)

2.      ไม่รู้..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)

3.      ไม่รู้..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ) 

4.      ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)  

5.      ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง

6.      ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง

7.     ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต  อัญญาณัง) .

8.      ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้น เป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา)

(พตปฎ. ล.34  ข.691  ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)

 

ข้อที่ 7นั้น อดีตกับอนาคต จะเท่ากันได้ ต้องเป็น 0 เหมือนกัน อันที่ 5 และ6 นั้นเป็นเสขบุคคล ส่วนข้อที่ 7 เป็นอเสขบุคคคลแล้ว

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:32:08 )

591220

รายละเอียด

591220_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จากสังโยชน์ถึงวิโมกข์ 8

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2559 ใกล้จะสิ้นปีเข้าไปทุกที ทุกปีในระยะนี้ จะใกล้กับกิจกรรม ว.บบบ. แต่ปีนี้เราไปทดสอบสมรรถภาพ สภาวะจริงกันที่สนามหลวง

พ่อครูว่า...บำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรมกันที่โน่นเลย ผู้ที่เข้าใจแล้ว ไปปฏิบัติจริงเลย

สมณะฟ้าไทว่า...ส่วนที่บ้านราช ตอนนี้กำลังปลูกผักได้งอกงาม เขาบอกว่าหัวไชเท้านี้ หนักสุด 1.8 กก. เมื่อวานนี้พ่อครูได้แสดงธรรม เจโตปริยญาณ 16 ที่เป็นมาตรวัด จิตวิญญาณตัวเอง และแจกแจงถึงเวทนา 108

พ่อครูว่า...อาตมาขอเกริ่นถึงว่า อาตมาเทศน์ หรืออธิบายธรรมะ ให้พวกคนทั้งหลายได้ฟังกัน ได้เข้าใจกัน มันเกิดประโยชน์อะไร เกิดผลอะไร ทำงานมาจนถึงวันนี้ คุ้มแสนคุ้ม คุ้มตรงที่ว่า อาตมาเทศน์ ธรรมะพระพุทธเจ้าไป ซึ่งเป็นธรรมะ ที่ต้องไปค้านแย้งกับที่เขาถือกัน สังคมพุทธส่วนใหญ่ เข้าใจธรรมะไปอย่างหนึ่ง อาตมาอธิบายค้านแย้งกับเขา ที่เขายึดถือกันผิดไปหมด อาตมามาพูดยืนยันว่า อย่างนี้ถูก ซึ่งก็เป็นกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนใหญ่ เข้าใจกันอย่างนั้น

ยกตัวอย่าง สมาธิแบบนั่งหลับตานั้น มันผิดหลัก ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ พูดไปอย่างนี้ กระแสหลักไม่กระเตื้อง แต่พวกเรารับฟังได้ โดยเฉพาะ ในมหาจัตตารีสกสูตร เอามายืนยันเลยว่า นี่ของพระพุทธเจ้า นี่ของศาสนาพุทธ ที่ท่านตรัสไว้โดยตรง มหาจัตตารีสกสูตร ล.14 ข้อ 252-281  จำนวน 29 ข้อ

อาตมาบวช เพื่อเผยแพร่สืบสานธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ก็ทำหน้าที่มา ไม่ขบถต่อหน้าที่ ทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้า ขยายผลสู่คนอื่นๆ คนจะมารับเอาอย่างไรก็ไม่ได้รับผิดชอบทีเดียว ธรรมะที่อาตมาขยาย มันไม่เป็นที่ต้องอารมณ์ต้องใจ ผู้ฟังเท่าไหร่ เพราะเป็นธรรมะทวนกระแส ต้องฝืนใจ ไม่เป็นไปเพื่อลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข คนก็สนใจน้อย  แต่อาตมาไม่ท้อ อาตมาชัดเจนว่า ต้องมาทำงาน เพื่อสืบสานพุทธศาสนาพระพุทธเจ้า เพราะว่าที่เขายึดถือกันนั้นผิด อาตมาก็ต้องมาแก้กลับ

ก็เพราะคณะใหญ่ที่สอนกันนั้น พาทำผิด ก็เลยเหมือนเอาไม้จิ้มฟัน ไปงัดไม้ซุง แต่ทําไมไม่ท้อ มีหน้าที่ขยายความจริงเท่านั้น ไม่ได้ไปสู้ใคร

 

SMS วันที่ 19 ธันวาคม 2559

0849543xxxผู้น้อยขอกราบเรียนรายงาน มีกลุ่มคนทางบ้านศึกษาธรรมะโลกุตตร ที่พ่อครูเมตตาชี้แนะทางบุญนิยมทีวี อยู่พอสมควร แต่ด้วยภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่สะดวกมาที่พุทธสถานอโศก" บัวมีสี่เหล่า "พระพุทธองค์ก็ทรงบอกกล่าวไว้ก่อนแล้ว ยุคสุดท้ายนี้ ธรรมะจริงสอบจริง ก็คือ ทดสอบ " ปัญญา "

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันไหนละได้ง่ายที่สุด

0851614xxxแสง สี เสียง รส อันไหนติดแล้วละง่ายที่สุด

ตอบ...ก็มีตา หู จมูก ลิ้น อันไหนติดแล้วละได้ง่ายที่สุด … แสงสีละง่ายกว่าอย่างอื่น จริงๆแล้วก็แล้วแต่จริตบุคคล บางคนไม่ใส่ใจรสชาติ แต่ติดในแสงสีมีที่ไหน ขอให้บอก แถมเสียงด้วย แต่รสชาตินี่ไม่สนใจ แต่โดยทั่วไปอย่างที่ว่า ก็เป็นไปอย่างนั้น เรื่องรสอาหาร พระพุทธเจ้าบอกว่า ปฏิบัติธรรมโดยเอา เรื่องอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา หรือ มัตตัญญุตา จ ภัตสมิง มันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในอาหารนั้นเลยนะ เสียงก็อาจมีในการเคี้ยว น่าอร่อยจัง กัดเข้าไปกรอบ อย่างนี้เป็นต้น

0893867xxxทำทานเพื่อให้ได้บุญถูกตรงจริงๆ ต้องทำด้วยใจเสียกิเลส!สละความอยาก! ให้ด้วยจิตเมตตา! เรียกว่า ปุญญกิริยาฤาปุญญกัมมะได้ไหม?

ตอบ...ได้ เรื่องการทำทาน ทุกวันนี้ศาสนาได้เพี้ยนไปไกลมาก เขาบอกว่าทุกวันนี้ ทำทานให้ได้บุญ แต่แทบทุกสำนัก อาตมาว่าทำทานไม่ได้บุญ ได้แต่กุศล เพราะได้เข้าใจคำว่าบุญ ผิดเพี้ยนไปจากสัจธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็ยังโชคดีที่ยังมีพยัญชนะหลักฐาน ในพระไตรปิฎกว่า บุญ ไม่ได้หมายถึงกุศล แต่หมายถึง เครื่องชำระ จากหลักฐานพจนานุกรม บาลี-ไทย-อังกฤษ ฉบับภูมิพโลภิกขุ มีหลักฐานแทรกอยู่ คำแปลอันนี้บอกว่า รับมาจากท่านธรรมปาละ เป็นภาษาบาลีว่า

ปุญญะ = สันตานังปุนาติวิโสเทติ แปลว่า การชำระจิตสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือการชำระกิเลสออกจากจิต

แต่เดี๋ยวนี้ไม่เน้นรายละเอียดคำนี้เลย จริงๆแล้ว บุญคืออันนี้เท่านั้น ในมหาจัตตารีสกสูตร ว่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมมาสมาธิของพระอาริยะ

 [256] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น 2 อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง 1 สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค อย่าง 1 ฯ

คำว่าชำระกิเลสออกจากจิต ทำทาน หรือปฏิบัติศีล ทางปฏิบัติของศาสนา ก็มีทานกับศีล ให้เกิดผล เป็นภาวนา แต่ท่านก็ไปแปลเลอะเทอะว่า ทานอย่างหนึ่ง ศีลอย่างหนึ่ง ภาวนาอย่างหนึ่ง ภาวนาคือไปนั่งหลับตาสมาธิ คือความเพี้ยน เข้าใจผิดทาง จากศาสนาพุทธไป

ทานก็ดี ศีลก็ดี ท่านบอกว่า สัมมาทิฏฐินั้น เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์

 

 [257] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

ถ้ามิจฉาทิฏฐิคือคนนั้นทำทานแล้วไม่มีผล

 [255] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีบิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี นี้มิจฉาทิฐิ ฯ

การปฏิบัติมิจฉานั้น ทำทานก็ไม่มีผล ยัญพิธี หรือผลก็ไม่เกิด

 

อาตมาอ่านตั้งแต่แรกๆ ก็ชัดเจนเลยว่า เยี่ยมยอด อาตมาจึงหยิบมาอธิบายขยายความอยู่นาน เป็นปี แล้วก็มีผู้เอาคำอธิบายธรรมะ มาถอดเทป เรียบเรียงเป็นหนังสือ สมาธิพุทธ (อ.อาภรณ์ พุกกะมาน) ได้เล่มหนึ่ง ส่วนเล่มสอง จนป่านนี้ยังไม่ได้ทำเลย กว่า 20 ปีแล้ว

สมาธิที่ไปนั่งหลับตา โดยไม่คำนึงถึงมรรค 7องค์ก็ผิด

พระพุทธเจ้าว่า..[253] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แลเรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ

มีองค์ประกอบทั้ง 7 นี้เป็นเหตุ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา เป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ อยากนั่งหลับตาทำให้เกิดสมาธินั้น ไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างที่ธัมมชโยทำนี้ ทำให้คน กลายเป็นกลุ่มฝูงควายโง่ ถูกจูงทั้งหมด ครอบงำทางความคิด จนหลงเชื่อไปหมด คนที่ใจเป็นกลางมอง จะเห็นว่า พวกนี้โง่ยิ่งกว่าควาย จนตอนนี้ จะเกิดสงครามเสียแล้ว แต่ดีที่เมืองไทย เป็นเมืองที่ดี ถ้าเป็นเมืองอื่น อดใจไม่ได้แล้ว

 

0893867xxxสมาธิหลับตาขณะนี้ก็รู้เห็นแต่ความเป็นตัวเองขณะนั้น! สมาธิลืมตาทุกขณะ ก็รู้ทันทุกสภาวะโลกในปัจจุบันขณะ! ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?

ตอบ...ถูกแล้ว

0893867xxxทานในทศพิธราชธรรมอันสูงส่ง ถือว่าเป็นทาน ที่ได้บุญแบบอรหัตตผล อันสูงสุด เรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณได้ไหม? ผู้น้อยขอน้อมนำทานในพ่อหลวงร.9 มาเรียนรู้ธรรมทานให้ถูกตรงตามธ.ตถาคต

ตอบ...ได้ ในหลวงเรามีทศพิธราชธรรม ท่านก็ทรงงาน ตามทศพิธราชธรรม ส่วนพระทัยของท่าน ก็ทำงานด้วยพระทัย ท่านไม่ได้ทำ เพื่อที่จะได้อะไรแลกเปลี่ยน เพราะทำทานต้องไม่มี

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทานํ  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทานํ  เทติ 

4.อิม  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ (ตายไปแล้วจะได้เสวยผลข้ามชาติ)  ทานํ เทติ

(พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 49 “ทานสูตร”)

ท่านก็สอนไว้ชัดเจน แต่เขาอ่านไม่แตก ไม่เข้าใจ  ถ้าอ่านแล้วเข้าใจ แล้วทำใจในใจ มนสิกโรติ ทำใจให้ถ่องแท้แยบคายไปแก้ไขตรงที่จุดเกิดในจิต

มันจะเกิดกิเลสก็รู้ทัน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ จับกิเลสทัน มันดำริในกิเลสกาม ใครทำทาน แล้วอยากได้ภพชาติ เดี๋ยวนี้เอาภาษาว่าได้บุญ

ทำทานต้องให้เป็นบุญ ไม่ใช่ได้บุญ คือทำทาน ต้องเกิดกรรมกริยาของ บุญ ทำทานคือทำปหาน 5 ไม่ใช่ทำทานแล้วจะได้อะไร ตอบแทนมาเป็นภพชาติ ไม่ใช่ ต้องทำอย่าง ดับภพจบชาติ

แต่เขาเชื่อว่า ทำบุญแล้วจะได้อะไรมา ซึ่งแท้จริงแล้ว ทำบุญจะไม่ได้อะไรมา แต่จะทำการล้างอกุศล ล้างกิเลส จนหมดสิ้นเกลี้ยง เป็น ปุญญปาปปริกขีโณคือชำระบาปหมด ก็หมดบุญ สิ้นบุญสิ้นบาป พระอรหันต์ทุกรูป ท่านเป็นผู้สิ้นบุญแล้วทุกองค์ สิ้นบุญสิ้นบาปหมด

ยังมีหลักฐานในพระบาลีอยู่

ส่วนบุญ เขาก็เข้าใจไปเป็นภพชาติ เป็นวิมานไปหมด เขาเข้าใจส่วนบุญไม่ได้ มีแต่ให้แบ่งส่วนบุญ ไปให้ผู้ตายได้อีก มันเลยกลายเป็น หนังละครตลก ประโลมโลก เขาศึกษาปฏิบัติ แต่อาจารย์ไม่มีภูมิ ไม่รู้สัจธรรม

คุณทำทานแล้วก็จะไม่ได้อะไร คืนมาหรอก แต่กลับไปสอนกันผิดๆ ว่าทำทานแล้ว จะได้อะไรกลับคืนมา อยากได้อะไร ก็อธิษฐานเอา เป็นคำสอน ที่ผิดจากพระพุทธเจ้า อย่างฟ้ากับก้นเหวเลย มันผิดแต่แรก ก็ผิดไปตลอดเลย

จึงยากสสสสส!!!

 

 

0893867xxxพ่อครูเคยสอนจิตมโนวิญญาณ คือธาตุรู้ที่เกิดจากเวทนาสัญญา สังขาร ที่เกิดการรับรู้กำหนดรู้ปรุงแต่ง จนเป็นวิญญาณที่เกิดจากกระบวนการรับรู้รวมยอด! ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม

ตอบ...ถูกต้อง

 

ก็มาพูดถึง เหตุการณ์ที่ต้องพูดเป็นเรื่องที่สำคัญ จะต้องมีประเด็น มีข้อมูลหลักฐานช่วยกัน เผื่อว่าท่านที่ดูแลสังคม ประเทศชาติ จะได้ข้อมูล ถ้ามีข้อมูลอยู่แล้ว ก็จะได้เสริมกัน

 

นึกว่าตาสว่าง!! เปิดใจ “ภรรยา” อดีตวิศวกร หลังสามีร้องสูญเงินกว่า10ล้าน เพราะทำบุญกับ “วัดพระธรรมกาย”

 

18 ธ.ค. 59 เวลา13.00น. ผู้สื่อข่าวได้ติดตามความคืบหน้า ที่วัดพระธรรมกาย หลังจากที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง ได้นำหนังสือ ขอความอนุเคราะห์ส่งตัว พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย และนายองอาจ ธรรมนิทา ภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยนำมาติดที่บริเวณ หน้าประตู7 วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยบรรยากาศตั้งแต่เช้า มีศิษยานุศิษย์ เข้าออกวัด เพื่อที่จะทำบุญตามปกติ และมีผู้สื่อข่าว ยังคงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว ของวัดพระธรรมกาย โดยเฝ้ารอกันบริเวณหน้าวัด ประตู 7 เนื่องจาก ทางเจ้าหน้าที่ของวัด ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าว เข้าไปทำข่าวภายใน เพื่อป้องกันความวุ่นวาย

 

ซึ่งต่อมา ได้มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอ ทางยูทูป เปิดใจ ภรรยาอดีตวิศวกร หลังร้องสูญเงินกว่า 10 ล้าน เนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา นายชาติชาย บำรุงสุนทร ได้สวมหมวก ห้อยป้ายระบุข้อความ เข้าร้องเรียน ที่วัดพระธรรมกาย ถึงความเดือดร้อนแสนสาหัส ในชีวิตครอบครัวและการเงิน จากการที่ภรรยา หลงศรัทธาคำสอน นอกพระพุทธศาสนา ของวัดพระธรรมกาย จนในที่สุดต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ไปกับวัดพระธรรมกาย

 

ด้าน นางทัศนีย์ บำรุงสุนทร ภรรยานายชาติชาย บำรุงสุนทร กล่าวว่า กรณีที่ระบุว่า ทำบุญจนสูญเงินไปเป็น 10 ล้าน ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะไม่มีทรัพย์สินถึง 10 ล้าน ฝ่ายสามีน่าจะนึกคิดไปเอง ส่วนทองคำแท่ง มีเพียงแท่งเดียว ซึ่งเป็นของกำนัล เมื่อวันแต่งงาน ที่พ่อแม่มอบให้มา ทั้งนี้ตนไม่ได้นำเงิน มาทำบุญทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่ง ก็มอบให้กับสามี อีกส่วนหนึ่ง ก็เอาไว้ใช้ในส่วนกลาง ปัจจุบัน ตนก็นำไปทำเกี่ยวกับ การเกษตรที่ จ.ลพบุรี ตนรู้จักสามีตัวเอง เป็นอย่างดี นายชาติชาย ผู้เป็นสามี เป็นคนตระหนี่ สักบาทสองบาท ก็ไม่เคยเป็นผู้ให้ ซึ่งเป็นความคิด ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะครอบครัว ทำบุญทำทานเป็นปกติ

 

ทั้งนี้ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนทำบุญแล้วมีความสุข ตนไม่เคยรู้สึกว่า ตนเองเดือดร้อน เรื่องการเงิน เพราะทำบุญทำทานไปแล้ว ก็ยังคงมีทรัพย์สิน หมุนเวียนเข้ามาตามปกติ ตนขายบ้าน ขายที่ดินได้ ส่วนหนึ่งก็มาจาก แรงบุญแรงอธิษฐาน เมื่อสำเร็จลุล่วง ก็มาทำบุญเสริมบารมี ครั้งแรกที่ได้เข้ามาทำบุญ ที่วัดพระธรรมกาย ก็รู้สึกประทับใจมาก เพราะได้ฟังคำเทศนา และนำเอาสมาธิไปปฏิบัติ และไม่เคยมีคำสอน ให้ทำบุญด้วยทรัพย์สิน จนหมดตัว (พ่อครูว่า แล้วคำว่าปิดบัญชีโลก เปิดบัญชีธรรมนี้ ทำให้หมดตัวไหม?)

คำสอนหลักๆ ก็เป็นทาน ศีล ภาวนา เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเชิญให้มาปฏิบัติ อย่างน้อยๆ เดือนละครั้ง เท่านั้นเอง และรู้สึกเสียใจกับทุกคน ในการกระทำของสามี ที่อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ควร จึงขอขมา และขอโทษแทนสามี ที่ทำบางอย่างไป ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รวมทั้งไม่พยายามจะเข้าใจ เพราะความเชื่อมั่น ในตัวเองจนเกินไป

ภาพ / ข่าว : อนันต์ วิจิตรประชา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ปทุมธานี

 

พ่อครูว่า...สามีสังเกตการมา 31 ปีเขียนหนังสือถึง 300-400 หน้าแล้วหาว่าสามีไม่เข้าใจ ใส่ความสามีอีก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์ 10) ตอน สังโยชน์ 10

จาก Guru สู่แดนธรรม

ผมแจ่มชัดขึ้นอีก กับคำว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์ คือ สวรรค์ปลอมๆ
ดังคำตรัสของ พระพุทธเจ้า ในล.15  ข.24 - 25   ว่า
         
[24] พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่อง เคยมีมาแล้ว พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่ง แวดล้อมด้วยหมู่นางอัปสร อิ่มเอิบ พรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณ อันเป็นทิพย์  พวกนางอัปสร บำเรออยู่ในสวนนันทวัน ได้กล่าวคาถานี้ ในเวลานั้นว่า เทวดาเหล่าใดไม่เห็นนันทวัน อันเป็นที่อยู่ของหมู่นรเทพสามสิบ ผู้มียศ เทวดาเหล่านั้น ย่อมไม่รู้จักความสุข ฯ (น เต สุขํ ปชานนฺติ)
          [25] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ได้ย้อนกล่าวกะเทวดานั้น ด้วยคาถาว่า  ดูกรท่านผู้เขลา (พาเล  ปชานาสิ) ท่านย่อมไม่รู้จัก คำของพระอรหันต์ทั้งหลายว่า
          "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง (อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา) มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา (อุปฺปาท วย ธมฺมิโน) เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป  (อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ)
อันความสงบระงับสังขาร เหล่านั้นเสียได้ เป็นสุข ฯ  (เตสํ วูปสโม สุโขติ ฯ)

(ผมเข้าใจในคำท้าย ที่ว่า  อันความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นสุข  ไม่ได้บอกว่า ให้ดับสังขารขันธ์ หรือให้ปิดโรงงานเสีย หรือปิดเครื่องยนต์สังขารเสีย จึงจะเป็นสุข  ก็ไม่ใช่นะครับ
          แต่คำว่า  ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข  หมายถึง ว่า
ให้ระงับเฉพาะ กิเลสปรุงแต่งในกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร เท่านั้นนะครับ  ไม่ใช่ว่า พระอรหันต์สอนให้ดับระงับ ที่ตัวสังขารโดยตรงเลย  เพราะแม้จะเป็นอรหันต์แล้ว กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ที่ก่อเกิดคำว่า สังขารทั้งหลาย มันก็ยังมีอยู่ เกิดขึ้นและดับไป อยู่อย่างนั้นตลอดไป  เพียงแต่การเกิดการดับนี้ มันเกิดได้/ดับได้ อย่างชนิดที่ ระงับกิเลสสังขารเอาไว้ อยู่ก่อนแล้ว)
          ดังนั้น เทวดาดาวดึงส์ จึงย่อมเพลิดเพลินไปกับ กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ที่แวดล้อมไปด้วยเบญจกามคุณ อันเป็นทิพย์อยู่ (ทิพฺเพหิ  ปญฺจหิ    กามคุเณหิ  สมปฺปิตา  สมงฺคีภูตา  ปริจาริยมานา)  จึงสุขกับสวรรค์ปลอม ต่างไปจากเทวดาอีกองค์หนึ่ง ที่เป็นวิสุทธิเทพ ที่กล่าวเรียกเทวดาตนนั้นว่า ท่านผู้โง่เขลา


          พ่อครูว่า...คำว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วดับไป อันความสงบรำงับสังขารเหล่านั้นได้ ก็เป็นสุข

ความเห็นที่ว่า ปิดโรงงานสังขาร สัญญาเวทยิตนิโรธ คือดับสัญญา ดับเวทนาเลย อย่างนั้นไม่ถูก ปิดหมดแล้วจะเป็นสุข มันจะเอาอะไรไปสุข หากดับสัญญา สังขาร หมด ดับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณแล้ว จะเอาอะไรไปรู้สึ

การสงบรำงับสังขาร หมายถึงอย่างที่สู่แดนธรรมพูด คือระงับ กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารเท่านั้น

แต่ทั่วไปเข้าใจว่า ดับหมด ก็คือความเข้าใจผิด ปฏิบัติศีลพรต ตามที่ตนเข้าใจผิดๆไป แต่ต้องปฏิบัติให้เข้าใจศีลพรต ให้สัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติ ก็ดับกิเลสได้หมด ส่วนที่สงบรำงับสังขารนั้นได้ ที่ปรุงแต่งอยู่ในกาย

กายคือธรรมะสอง สักกายะคือธรรมะสองของตน

สักกะคือของตน ต้องรู้วิธีปฏิบัติ ทำให้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ซึ่ง พระไตรปิฏกเล่มนี้ ชัดเจนละเอียดมาก ท่านให้อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส แยกแยะเอาตัวการ ที่เป็นสมุทัย ที่อยู่ในสักกาย ไม่ใช่ดับกายหมดทั้งยวง แต่ระงับส่วนที่ปรุงแต่งสังขารให้ดับก็สงบ เป็นวูปสโมสุข สุขด้วยความสงบรำงับเพราะเหตุมันดับไป

 

คำสอนอันนี้ ที่ขยายความไปถึงว่า ต้องรู้จักสักกายะ และต้องเรียนศีลพรต ที่จะปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิ แล้วต้องปฏิบัติจริง อย่ายึดแค่ศีลพรต ที่มิจฉาทิฏฐิ เป็นสีลลัพพตุปาทาน แต่นี่ศึกษาให้ดีก่อน ในศีลพรต ในสังโยชน์ข้อ 3 สีลลัพพตปรามาส ไม่เหมือน สีลลัพพตุปาทาน ที่หน้ามืดตามัว ยึดถือศีลตามจารีต ตามๆกันมา แต่ สีลลัพพตปรามาส นั้นได้ศึกษาศีลพรตได้ดีแล้ว เอาความเห็นที่ถูกต้องนั้นมาปฏิบัติ เพื่อให้ได้ผลลดกิเลส อย่าได้ทำแค่ สีลลัพพตปรามาส คือทำแค่ลูบๆคลำๆ เล่นๆ หัวๆ ไม่เอาจริงในการปฏิบัติ

ในสังโยชน์ข้อ 3 นี้ผู้มีศีลพรต ที่สัมมาทิฏฐิแล้ว ไม่ใช่ สีลลัพพตุปาทาน คือผ่านสังโยชน์ข้อ 1 และ 2 ก็นำเอาศีลพรต มาจัดการสักกายะของตน ได้ผลจนไม่สงสัยแล้วว่า นี่คือตัวเหตุแห่งทุกข์ เป็นกิเลสตัณหา อยู่ในกายของตนนี้ สักกายะ

เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ มีศีลพรต ก็ทำการจัดการกิเลส อย่าเอาแต่ลูบคลำเหยาะแหยะ ไม่ใช่ลูบคลำ ทำแล้วเป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ จริงๆ

หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้า สอนไว้แล้ว อาตมาหยิบมาอธิบาย เจตนาให้เข้าใจ ชัดเจนแล้วเอาไปปฏิบัติได้ ไม่ใช่ให้พวกคุณเอาไปสอบนักธรรม แต่จะเอาไปสอบก็ไม่ว่า แต่ขอให้เข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติเถอะ ถ้าเรียนแค่เอาไปสอบนักธรรม ไปสอบปริญญาเฉยๆ อาตมาว่า จะไม่อธิบายอย่างนี้หรอก ก็จะอธิบายอีกแบบ ให้ได้เปรียญธรรมนักธรรม ได้ทั้งนั้นแหละ แต่อาตมาไม่ได้อยู่ในมวลคนแบบนั้น แต่อาตมาอยู่ในมวลคน ที่จะให้เอาไปปฏิบัติ ให้ได้ผล จึงต้องจู้จี้จุกจิก เน้นให้ทำปฏิบัติ อาจเคาะหัวหน่อย ให้รู้ให้ทำได้ ให้เกิดฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ให้เอาไปทำ อย่างตั้งใจเลย

ที่มานั่งฟังธรรมอาตมาได้เป็นปี หากไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คุณไม่มาหรอก แล้ววิมังสา คือได้เนื้ออันวิเศษเลย คือเนื้อของสาระสัจจะ แก่นของสาระสัจจะเลย คุณจะได้ ฟังดีๆ แล้วเอาไปปฏิบัติ จะได้มรรคผล

ก็ขอเข้าสู่รายละเอียดของวิชาการ สังโยชน์

 

สังโยชน์ 10

1.      พ้นสักกายทิฏฐิ (มีญาณรู้ตัวตนกิเลสหยาบว่าไม่ใช่เรา) 

2.      พ้นวิจิกิจฉา (พ้นความสงสัยในสักกายะกิเลส ฯลฯ) .

3.      พ้นสีลัพพตปรามาส (คือ ปฏิบัติไม่ย่อหย่อนในศีลพรต อย่างเอาจริง ไม่ทำแค่ลูบๆ คลำๆ  ทำเหยาะๆ แหยะๆ)

4.      พ้นกามฉันทะ (ความพอใจด้วยกาม)

5.      พ้นพยาปาทะ (ความคิดปองร้ายผู้อื่น)

6.      รูปราคะ (ความติดใจอยู่ในรูปภพ -ในอุปาทายรูป)

7.      อรูปราคะ  (ความติดใจอยู่ในอรูปภพ)

8.      มานะ  (ความถือตัวถือตนในความดีของตน)

9.      อุทธัจจะ  (ความฟุ้งซ่าน กระจัดกระจาย  รู้ยาก)  คือเศษที่ต้องเก็บให้หมด จนเป็นวิชชาพ้นอวิชชา

10.  อวิชชา  (ความหลง-ไม่รู้ อันเป็นเหตุไม่รู้จริง) .  .

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 285)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ผู้ปฏิบัติพ้นสังโยชน์ 3 เป็นโสดาบัน

 

สามข้อต้น

1.      พ้นสักกายทิฏฐิ (มีญาณรู้ตัวตนกิเลสหยาบว่าไม่ใช่เรา) 

2.      พ้นวิจิกิจฉา (พ้นความสงสัยในสักกายะกิเลส ฯลฯ) .

3.      พ้นสีลัพพตปรามาส (คือ ปฏิบัติไม่ย่อหย่อนในศีลพรต อย่างเอาจริง ไม่ทำแค่ลูบๆ คลำๆ  ทำเหยาะๆ แหยะๆ)

ผู้พ้นสามข้อต้นนี้ คือ อาริยบุคคล เป็นโสดาบัน แต่ทุกวันนี้ เขาไม่ได้เรียน ไม่ได้ปฏิบัติตามนี้ เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แบบนี้เลย

คนที่เคยบวช กับเรา ตอนนี้ไปเรียนมจร. บอกว่า พ่อท่านว่า ศีล 5 คือโสดาบัน ศีล 8 คือสกิทาคามี ศีล 10 ก็อนาคามี แล้วพ่อท่าน เอาสิ่งเหล่านี้ มาจากไหน? อาตมาก็จำนน อาตมาก็เอาตามปฏิภาณว่า เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มันพอจะถูกไหม แต่ว่าถ้าจะให้บอกว่า เอาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน ก็จนด้วยปัญญา เพราะอาตมาไม่รู้จริงๆว่า ในพระไตรปิฎกเล่มไหน ว่าไว้อย่างนี้ ใครรู้ ก็เอามาให้หน่อย

แต่อาตมาว่าไม่ผิดหรอก โดยใช้ปฏิภาณปัญญา

ศีล 5 คือเบื้องต้น ก็เป็นที่รู้กัน แล้วโสดาบันคือเบื้องต้น ไม่ใช่เบื้องปลาย สกิทาฯกลางๆ ก็ว่ากันไป ก็ใช้อธิศีล อาตมาว่าศีล 8 คืออธิศีลของศีล 5 ศีล10 ก็คืออธิศีลของศีล 8 นะ

 

สังโยชน์ 3 ข้อแรกที่บอกว่า สักกายทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น ที่บอกกายให้รู้ ต้องอ่านสักกายะ ความรู้ความเห็นความเข้าใจ ก็ให้เรียนให้สัมมา ให้ถูกต้อง แล้วปฏิบัติสังโยชน์ 3 โสดาบัน ปฏิบัติสังโยชน์ 3

หนึ่ง ต้องรู้ว่า กายคืออะไร กายะ กาโยคืออะไร กาย คือ หมวด หมู่ ฝูง องค์รวม ของจิตเจตสิก หรือมีรูปประกอบด้วย ต้องมีรูปประกอบด้วย เพราะขยายว่ากายนั้น ต้องมีภายนอกด้วย ผู้ปฏิบัติธรรม จะปฏิบัติให้หลุดพ้น ต้องสัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิโมกข์8) ตอน วิโมกข์ 8 ถึงรูป 28

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คนตาบอดไม่มีรูปี ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็น รูป

ผู้ที่จะมีรูปต้องมีอวัยวะ ทวารที่จะเกิดผัสสะ เกิดอายตนะได้ คือรูปี และรูปานิ คือรูปทั้งหลาย เช่นหัวไชเท้า เรามีตา (เราคือรูปี) สัมผัสได้ นี่หัวไชเท้านะไม่ใช่ท่อนซุง ทำไมใหญ่ขนาดนี้ พอเราสัมผัส หัวไชเท้าขาวผ่อง ชื่นใจน่ากิน องค์ประชุมรูปนามคือกาย ก็เกิดทันที อ่านสักกายะ คุณมีทิฏฐิเข้าใจแล้วอาตมาอธิบายไป

เมื่อคุณมีตา มีปสาทรูป สัมผัส เมื่อตาดำเนินการ โคจระ ไปสัมผัสกับรูป ก็เกิดภาวรูปขึ้นมา

เมื่อเกิดภาวรูป แล้วก็อ่าน อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ จงแยกอย่าง ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จับอิตถีภาวะให้แม่น มันอยู่ในหทยรูปนั่นแหละ

มันจะได้เลื่อนจากคำว่า กาย คือภายนอก แล้วเลื่อนมาดูที่หทัยรูป แต่ไม่ได้ทิ้งภายนอกนะ (คำว่าหทยรูปนี้ คนทั่วไป แปลเป็นรูปธรรม เป็นห้องหัวใจจริงๆเสียอีก มันเพี้ยนไปไกลแล้ว)

รูปมี 28 นามมี 5

นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

มันจะเกิดเวทนา แล้วใช้สัญญา อ่านแยกแยะให้ได้ถึงเจตนา

องค์รวมคือกาย เจาะกายในกาย จะทะลุถึงเวทนา เจาะเวทนาเข้าไป จะรู้ถึงจิต แล้วมีเหตุในจิตคือสราคะ สโทสะ สโมหะได้ แล้วทำให้วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ กำจัดให้ได้ เพราะเมื่อคุณเจาะได้ รู้จักเจตนา

 

เจตนามี 3 มโนสัญเจตนา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตอนนี้ก็จัดการกามตัณหาให้ได้ ส่วนข้างในเอาไว้ก่อน

ในเจตนาคุณก็ใช้สัญญาทำวิจัย กำหนดหมายรู้ให้ได้  อ่านอาการ ลิงค นิมิต ให้ได้ จะเจอเวทนา 2 แยกได้

1.เวทนาแท้

2.เวทนาเทียม

เป็นธรรมะสอง เป็นเวทนาสอง เมื่อวิจัยออกว่าตัวนี้คือ กามวิตักกะ พยาบาทสังกัปปะ ก็จัดการด้วยสมถะและวิปัสสนา ด้วยปหาน 5

รู้จักตัวสมุทัย คือกิเลส ทำให้เด็ดขาดสมุจเฉทปหาน ทำแล้วทำอีกทำทวนปฏิปัสสัทธิปหาน

กำจัดได้ ก็เป็นเสขบุคคลเป็นอย่างน้อย มีส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ จนทำสิ้นอาสวะไปหมด

กรอบของโสดาบัน ปฏิบัติแค่ศีล 5 เช่นถือศีล 5 ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของที่ไม่ใช่ของเรา ศีลข้อ 3 เกี่ยวกับเพศ ศีลข้อ 4 เป็นเรื่องวาจา ศีลข้อ 5 เป็นมโน

เมื่อสัมผัสแล้วเกิดกิเลส เป็นสักกายะ วิจัยออกแล้วเป็นความรู้สึก ไม่ชอบมาพากล เป็นอิตถีภาวะ คุณก็จัดการกับอิตถีภาวะ ปฏิบัติ ตัวกิเลสสมุทัยในกาย ที่เป็นจิตมโนวิญญาณ เป็นกามจิต

สัมผัสกับสัตว์ตัวนี้แล้ว ถ้าเป็นกาม ก็ว่าสัตว์ตัวนี้ น่าเอามาทำอาหาร หรือน่าจับมาใส่กรงไว้ ซึ่งมันก็อยู่ของมันตามธรรมดา เบื้องต้น ท่านว่าอย่าทำรุนแรง ศีลข้อ1 นี้ท่านว่าอย่าให้เกิดโทสมูล อย่าทำรุนแรง อย่าทำโทสะกับสัตว์ เมื่ออ่านรู้ตัวโทสะ ก็เป็นตัวสัตว์โอปปาติกะ คือสัตว์นรกที่ต้องกำจัด อยู่ในหทยรูป

เมื่อสัมผัสสัตว์ในหทยรูป ก็เห็นชีวิตรูป เห็นแยกแยะอาการของจิต ที่เป็นชีวิตินทรีย์ ของสัตว์ตัวที่เป็นโทสมูล เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ตัวรุนแรง คุณรู้จักอาการมันว่า มีชีวะ มีชีวิตนะ คุณจะต้องกำจัด ไม่ให้มันมีชีวิต อาการโอปปาติกสัตว์ตัวนี้แหละ ต้องให้มันตาย หมดชีวิตินทรีย์

การปฏิบัติ ซึ่งต้องอาศัยอาหารเป็นเหตุปัจจัย อาหารรูปมี 4 คือ

1.      กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.      ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.      มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.      วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244)

 

เมื่อสัมผัสเป็นปัจจัย มีมโนสัญเจตนา เราก็อ่านนามรูป ตามรูป 28 แล้วใช้นาม 5 ในการปฏิบัติ มีเวทนาเป็นกรรมฐาน สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ กำหนดหมาย แล้วอ่าน มโนสัญเจตนาที่มี ตัณหา 3

ทำเบื้องต้น ดับกามตัณหาก่อน แล้วเหลือภวตัณหา ดับรูปภพอรูปภพ ก็หมดภพ เป็นวิภวตัณหา มีพลังงานที่ต้องการ หรือปรารถนาที่ไม่มีภพ อาตมาไม่เคยอธิบายวิภวตัณหา ตามที่เขาอธิบายกันทั่วไปว่า (จากวิกิพีเดีย)

  1. กามตัณหา คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน สัมผัสทั้ง 5
  2. ภวตัณหา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง
  3. วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ

 

แต่เราแปลในอโศกนี่ว่า ตัณหา 3 คือ

1. กามตัณหา (ใคร่อยากในกามภพ อันอาศัยรูปภายนอก)

2. ภวตัณหา (ความใคร่อยากได้รูปภพภายใน และอรูปภพ).

3. วิภวตัณหา (อยากได้ความไม่มีภพ  หรืออยากพ้นไปจากภพ, หรือปรารถนา สิ่งที่ไม่ใช่ภพเพื่อตน  เป็นตัณหาแห่งอุดมการณ์ ที่อาศัยไว้เพื่อดำเนินความดีไปเช่นนั้นเอง)  ศึกษาเป็นไปเพื่ออาศัยวิเวก  วิราคะ  นิโรธ  อันน้อมนำไปเพื่อความปลดปล่อย (วิเวกนิสสิตัง วิราคนิสสิตัง  นิโรธนิสสิตัง  โวสสัคคปริณามิง) (พตปฎ. เล่ม 22  ข้อ 377) 

 

ส่วนอภิสังขาร 3 เราแปลกันว่า

  1. ปุญญาภิสังขาร แปลว่า สังขารปรุงแต่งให้ลดกิเลส
  2. อปุญญาภิสังขาร แปลว่า ไม่ต้องปรุงแต่งให้ลดกิเลสอีกแล้ว เพราะหมดกิเลสแล้วหมดบาปแล้ว
  3. อเนญชาภิสังขาร แปลว่า ทำความหมดกิเลสให้แข็งแรงตั้งมั่น รักษาผลเป็นอนุรักขณาปธาน

อภิสังขาร คือสังขารอย่างวิเศษอย่างยิ่ง ก็ต้องเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แปลวนไปว่า ปุญญาภิสังขาร คือสังขารเป็นบุญ ส่วนอปุญญาภิสังขารคือสังขารเป็นบาป กลับไปกลับมาแค่นี้

เอามาจากอรรถกถาจารย์ ซึ่งหลายอย่าง ท่านก็อธิบายดี ที่มันไม่ได้มีในพระไตรปิฎก มากกว่าในพระไตรปิฎก ก็เป็นประโยชน์หลายอย่าง ก็ดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต5) ตอน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม(ตัวหลัก)

                                                   กรรมนิยาม ธรรมนิยาม(ตัวขยาย)

เช่น นิยามชีวิต 5 ประการ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม อันนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่เอามาจากอรรถกถาจารย์ ในวิสุทธิมรรค ของท่านพุทธโฆษาจารย์ อาตมาอ่านแล้วก็รู้ว่า นี่เป็นของพระพุทธเจ้า ต่อให้สาวกไหน ก็บัญญัติเองไม่ได้ แต่ต้องรับฟังมาจากพระพุทธเจ้า

อาตมาขยายความนิยาม 5 ถึงขนาดเอาภาษาฟิสิกส์มาใส่

อุตุ คือพลังงานที่มีแค่ รูป กับ สังขาร ไม่มีใครกล้าอธิบายว่า มีสองอย่างแค่นี้ อุตุนี้อย่างอื่นทำให้มันสังขารเป็นรูป มันไม่มีอัตโนมัติของสัญญา ไม่มีเวทนา

พีชนิยาม มีรูป สัญญา สังขาร มี ish

ผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์ จึงเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า เข้าถึงธรรมนิยาม แยกโลกียธรรม แยกโลกุตรธรรมออก ไม่ใช่แยกแค่กุศลอกุศล เท่านั้น แต่แยกโลกียธรรม กับโลกุตรธรรมได้ด้วย ส่วนอเวไนยสัตว์เรียนไม่ได้

ในธรรมนิยาม 5 นี้ ตัวหลักก็คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม

ส่วนกรรมนิยาม ธรรมนิยามเป็นตัวขยาย

ผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตบุรุษเป็นอริยบุคคล จึงจัดการกรรมได้ สุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก สามารถทำกรรม ให้ลดกิเลสได้ เพราะว่าจะเกิดผลดีชั่ว ก็จากกรรม จะฆ่ากิเลสก็ต้องปฏิบัติกรรม จะได้กุศลแค่โลกียก็อยู่ที่กรรม จะกำจัดกิเลสเป็นโลกุตระ ก็อยู่ที่กรรม ในทิฏฐิ 10

ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง ข้อสามคือ สุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก ทำได้ก็จะแยก ปโรโลโก อยังโลโกได้ แยกโลกียะโลกุตระได้ เหตุที่ทำให้เกิดโลกีย์ ก็แยกได้ ต้องรู้มโนปวิจาร 18 คือพฤติกรรมของจิต

ที่มันเป็นชาวปุถุชน ชาวโลกีย์ เคหสิตเวทนา สามารถรู้จักความต่าง ลิงค หรือเพศ ความต่างเป็นโลกุตระ สามารถปฏิบัติเป็นเนกขัมมะ ทำกิเลสออกได้ ทำ กาม พยาบาทออกได้ เราจับจิตได้เป็นเนกขัมมะ อ่านเข้าใจความหมาย แล้วเอาไปปฏิบัติ แยก เคหสิตเวทนา แยกเนกขัมสิตเวทนาออกได้ ทำให้กิเลสออกไปจากจิตได้ เนกขัมมะได้

ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนาญาณ จะต้องรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

กาย เวทนา จิต ธรรมนี้ เป็นปฏิสัมพันธ์กันอยู่

ในกายเป็นองค์รวม ในกายก็มีเวทนา

ในเวทนาก็แยกหาจิต รู้จักจิตที่เป็นสราคะ สโทสะ สโมหะ กำจัดกิเลส ทำได้ก็เป็น สุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก

ทำได้ก็เป็นปรโลก ซึ่งแบบเทวนิยมเขาว่า ปรโลกคือโลกหลังตาย แต่ของ อเทวนิยม ปรโลกคือโลกโลกุตระ คือโลกใหม่ ที่เราสามารถออกจากโลกเก่า (อยังโลโก) คือโลกโลกียะ ไม่ใช่โลกหน้าหลังตายที่เราไม่สามารถรู้ได้

มันต้อง เอหิปัสสิโก ยืนยันได้เชื้อเชิญให้มาดูได้ว่า โลกหน้าคืออย่างนี้ ไม่ใช่ตายแล้วจะไปดูได้อย่างไร ต้องตายไปด้วยกันหรือ จึงพิสูจน์ได้ แต่นี่เราพิสูจน์นรกสวรรค์ อย่างเห็นๆ ตอนเป็นๆได้เลย

อกาลิโก ไม่ใช่เอากาละที่ตายไป

เอหิปัสสิโก คือ เห็นกันได้ ยืนยันกันได้เดี๋ยวนี้

โลกนี้โลกหน้า แล้วสามารถแยกมาตาปิตา รู้จักความเป็นแม่ ความเป็นพ่อ รู้จักสัตว์โอปปาติกะ คุณจะต้องเข้าใจว่า จิตวิญญาณที่เป็น สัตว์โอปปาติกะ อย่างนี้เป็นสัตว์นรก อย่างนี้เป็นเทพ เป็นเทวดาสมมุติ โลกียะ อย่างนี้เป็นเทวดาโลกุตระ เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ

เราจะค่อยๆรู้อาการของสัตว์นรก เป็นสัตว์ทางนามธรรม ไม่ใช่สัตว์เป็นตัวตนบุคคลเราเขา

ในเจโตปริยญาณ แปลกันว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง เขาแปลไปว่า ไปรู้จิตใจสัตว์อื่น คนอื่น แต่ที่จริงรู้สัตว์อื่น เช่นเราเอง เราเป็นสัตว์นรกอยู่ แล้วเราก็ทำให้สัตว์นรกนี้ ที่เป็นสัตว์ปุถุชน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมของชาวพุทธ) ตอน สัตว์นรกคือสัตว์สวรรค์

คุณได้สวรรค์เมื่อไหร่ เป็นสัตว์นรกเมื่อนั้น

สวรรค์เป็นภพ คุณได้เป็นสัตว์สวรรค์ เป็นจาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต ปรนิมิตวสวัตตี เป็นภพชาติ เป็นสัตว์นรกทั้งนั้น มีภพชาติ แต่คุณไปหลงว่าเป็นสวรรค์ จริงๆแล้วสวรรค์เป็นของเก๊ นรกเป็นของจริง

ภพนรกไม่มีสอนที่ไหนหรอก นอกจากไปตั้งชื่อเอา แต่ที่จริง สัตว์สวรรค์ก็คือสัตว์นรก คุณอยากได้ ก็ไปล่าเอามา ป็นพฤติกรรม เป็นกิริยาของคนใหญ่คนเก่งมหาราช แย่งเขามาได้ คุณก็ได้ ภพ พอได้ภพ ก็บอกว่าเป็นความชื่นใจ มีความสุขเป็นสวรรค์ หอฮ่อ เป็นของเก๊ทั้งนั้

นรกเริ่มจากจตุมหาราช ปลอมตัวเป็นดาวดึงส์ ให้ยาวนานเป็นยามา อยากได้รสชาติสวรรค์นั้นนานๆ

ดุสิตเป็นแดนพัก พักคุณก็ไม่เอา

ไม่พักคุณไม่หยุด คุณจะเอาอีก มันเป็นสภาวะของ สัตว์นรกที่ยิ่งขึ้นๆ เอาจนได้ นิมมานรดี

สร้างจนได้เป็นของเก๊ จนยิ่งกว่านั้น เป็นปรนิมมิตวสวัตตี ไม่ใช่ทำเองเลย มีคนอื่นช่วยทำอีก ช่วยสร้างสวรรค์เก๊อีก

อาตมาว่า ไม่มีใครฉีกหน้ากาก สัตว์สวรรค์อย่างนี้  ว่ามันคือภพชาติ ศาสนาพุทธ อุบัติขึ้นมา เพื่อล้างภพจบชาติ ไม่ให้มีภพชาติอีก นั่นคือ ทิศทางของนิพพาน ลบภพได้ทีๆ ก็เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพขึ้นไป ลบภพได้หมด ก็เป็นวิสุทธิเทพ คนจะไปจมอยู่กับสมมุติเทพ คือสวรรค์กับนรก ซึ่งเป็นอันเดียวกันเป็นภพชาติ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:32:37 )

591221

รายละเอียด

591221_เทศน์ก่อนฉัน ศีรษะอโศก เอกชนที่ทำงานราชการ

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน selfish คืออะไร

พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 อีก 10 วัน ก็สิ้นปี ขึ้นปีใหม่ 2560 วันเวลาดำเนินไปไม่มีใครหยุดยั้งได้ ไม่มีอะไรยับยั้ง คนที่อาศัยอยู่ในโลกลูกหนึ่งที่หมุนไปให้เกิดเวลานี้ ข้อแตกต่างรู้ว่าชีวิตของเราเกิดมา เป็นชีวิต  ได้อัตภาพ มีจิตนิยาม ก็ต้องศึกษา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ศึกษาเรื่องกรรมเรื่องธรรมะ ผู้ที่มีจิตนิยาม มีจิตวิญญาณมีพลังงานที่เป็นธาตุรู้ มีอัตโนมัติในตัว มี self มี ish ก็รวมเป็น selfish

selfish เป็นสิ่งที่รวม ish

i คือตัวประธานเป็นอัตภาพหนึ่งหน่วย แล้วรวม อิตถีภาวะ(she) กับปุริสภาวะ(he) อีกสองหน่วย สังขารเป็นสามเส้า

ผู้รู้ผู้ศึกษาก็สามารถที่จะจัดการกับอิตถีภาวะ ที่เป็นพลังงานดิ้น พลังงานลบ ส่วนปุริสภาวะเป็นพลังงานบวก เกิดปฏิกิริยาสังเคราะห์กันตลอดเวลา

ผู้ที่มีประธานคือตัว i ตัว s คือshe ตัว h คือ he

เราสามารถคุมพลังงานเพศหญิงให้มาเป็นพลังงานเพศชาย รวมกับพลังงานเพศชายให้เป็นหนึ่ง นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ทำพลังงาน 2 ให้กลายเป็นพลังงานหนึ่งได้ ก็จะกลายเป็นพลังงานที่มีเอกภาพมีพลังงานเยอะ แต่ถ้าปล่อยให้อิตถีภาวะ ทำงานแล้วเป็นพลังงานที่ขัดแย้งก็จะเป็นพลังงานที่สูญเสีย อันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อาตมาพยายามเอาภาษาทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย

ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ท่านเจตนาให้เรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ แล้วก็จัดการกับจิตของเรา ให้มีพลังปัญญา พลังปัญญาจะทำให้เราสะสมพลังงานที่ตกผลึกเรียกว่าพลังงานเจโต มันจะมีเอกภาพ เป็นพลังงานหนึ่งพลังงานรวมที่กลมกลืนไม่ขัดแย้งกันไม่ทะเลาะกันไม่สูญเสีย เป็นพลังงานที่มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เอกีภาวะ เป็นพลังงานที่เราเองสามารถเรียนรู้แล้วทำให้เป็นดังกล่าวมา แล้วเอาไปใช้งาน

พลังงานจิตนี้รู้จักดีรู้จักชั่วรู้จักกุศลรู้จักอกุศล แล้วยังรู้จักสมมติ ของทางโลก ว่าเขาสมมติว่าดี สมมติว่าไม่ดี สมมุติว่าควรหรือไม่ควร

สมมุตินี้จะต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมแต่ละชาติ มีความยึดถือต่างกัน ต่างกันมากหรือต่างกันน้อย ต่างคนละขั้วเลย ก็ยังมี ประเทศนี้ยึดถืออันนี้ว่าดี ในประเทศถือกันว่าเป็นความชั่วต่างกันกลับหัวเลย

ส่วนทาง ปรมัตถสัจจะ ก็จะเรียนรู้จิตวิญญาณและปฏิบัติตามสมมติโลกอนุโลมตามให้เป็นประโยชน์แก่กันและกันในสังคม เรียนรู้แล้วเราจะสร้างประโยชน์ให้แก่กันอย่างไร สิ่งที่ควรจะขัดกัน อย่างนี้เราเห็นว่าชั่ว เราก็ต้องใช้ความดีขัดชั่วออก ก็จะเป็นพลังงานดีที่มารวมกัน คนมาศึกษาดังกล่าวจะทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ผู้บริหารประเทศก็ต้องการ ให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ก็จัดส่งเสริมให้สอดคล้องกันดีไม่ทะเลาะวิวาทแย่งชิงทำร้ายกัน ฆ่าแกงกัน

นักบริหารถ้าศึกษาธรรมะได้ดี จะเอาธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ไปปฏิบัติ ธรรมะของศาสนาไหน ก็พยายามให้หมู่กลุ่มอยู่อย่างอยู่เย็นเป็นสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แจกจ่าย เจือจาน เกื้อกูลกัน เป็นแต่เพียงว่า ทฤษฎีของศาสนาไหนหรือศาสดาใดจะเจาะไปถึงต้นตอ

ศาสนาพุทธเรียนรู้จิตวิญญาณ จนถึงพลังงานต้นตอ จนอาตมาได้หลักฐาน พลังงานอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ที่จะรู้จักกรรม ธรรมะ รู้โลกียธรรมก็จัดการโลกียธรรมให้เป็นโลกุตรธรรม จัดสรรให้ใจเป็นประธาน ควบคุมใจได้ก็ควบคุมภายนอกได้ มีปัญญาเป็นพลังงานมีอำนาจเป็นอธิปไตย สามารถควบคุมภายนอกได้ด้วย เรียกว่ามีอำนาจ อุตตะ ด้วยพลังปัญญา สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตระ ในมูลสูตรว่าไว้

ผู้ที่ศึกษาเอาพยัญชนะมาเรียกขานชื่อ ของสภาวะพลังงานจิต ที่เป็นสภาวะแท้ของจิตได้ เราก็สามารถกำหนดทำจิต ให้เป็นอย่างที่เรารู้ความหมาย แล้วทำให้จิตใจเป็นตามที่เรากำหนดหมาย เช่น เราเจตนาให้เป็นกุศลอย่างใดเราก็ทำพลังงานจิตสร้างประกอบด้วย อภิสังขาร ประกอบกันขึ้นเป็นพลังงานนั้น เป็นกายกรรมวจีกรรมภายนอก อย่างสมบูรณ์แบบ

มนุษย์สามารถควบคุมจิตตนเอง ให้มาเป็นพลังงานที่จะมาขับเคลื่อนกายกรรมวจีกรรม ให้เกิดเป็นกุศลต่อโลก พลังงานที่เอามาล้างพลังงานไม่ดีออกจากจิตได้ ให้กลายเป็นพลังงานที่ดี ที่ประเสริฐ ที่เป็นอาริยะให้ทำงานได้ นี่เป็นทฤษฎีหรือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบแล้วมาสอนมนุษย์ มันรวมยอดเลย มนุษย์เรียนอันนี้ เสร็จจะรู้กิจกรรมกิจการของสังคมโลก แล้วจะรู้ว่าอะไรดีไม่ดีอย่างไร ดูข้างนอกแล้วรู้จิตใจของเราได้ สามารถมีเจโตปรับได้ง่าย ปรับได้เร็วเรียกว่า มุทุภูตธาตุ จัดสรรได้เร็วได้ดี

สามารถทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมอยู่กับมนุษยชาติได้อย่างเป็นประโยชน์สุดยอด จึงเป็นคนที่อยู่ในสังคม ทำงานอย่างไม่มีบาป สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ทำแต่ความดี กุสลัสสูปสัมปทา ทำจิตใจให้ผ่องใส สจิตตปริโยทปนัง

วิชชาที่ทำให้เกิดคนชนิดที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องใส ความรู้นั้นเรียกว่าโลกุตรธรรม หรือความรู้ที่เป็นอาริยธรรม

พวกเราได้พยายามเก็บบันทึกที่อาตมาสอน ทั้งที่เป็นในการเทศน์และในชีวิตประจำวันที่ได้สอนอีก ก็อนุโมทนาสาธุ ก็ขอบคุณที่เห็นคุณค่า ที่อาตมาได้พูดไปแล้วคนเห็นว่าดี ก็เก็บไปใช้ อะไรเสียๆหายๆเขาก็ได้ยินได้ฟัง อาตมาก็ไม่มีพูดเสียหายบ้าง อาจมีเพ้อเจ้อบ้างก็ไม่มาก ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าคนที่เก็บไปบันทึกไว้ ก็แสดงว่าอาตมามีข้อเสียหายน้อยหรือไม่มี เพราะผู้รู้ก็เก็บไว้ หรือบางทีบอกอาตมาบ้างว่าอันนี้ไม่ดี จะได้แก้ไขปรับปรุงเนอะ ที่จริงพริ้นมาให้บ้างก็ได้ อะไรที่ไม่ดี comment บ้างว่าอย่างนี้น่าจะไม่ดีนะ อาตมาจะได้พัฒนาตนเองด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน เอกชนที่ทำงานราชการ

มาพูดถึงเรื่องพวกเราบ้าง ในเดือนหนึ่งๆ จะได้มาเป็นกิจจะลักษณะที่ศีรษะอโศกหนึ่งครั้ง มาพบพวกเรา มาสอน มาอธิบาย มาเทศนา อย่างที่กำลังทำนี้ มาบิณฑบาต มาเทศนา เท่าที่จะมีเวลาก็ช่วยกันไป

ชุมชนชาวอโศกมีหลายชุมชน อาตมาก็ไม่ได้แวะเวียนไปหาทั้งหมด ก็น่าเห็นใจ บางแห่งก็หลายปีไป บางทีเป็นชุมชนอาตมาก็ยังไม่เคยไปเลยก็มี เขาก็ได้เอาคำสอนจากโทรทัศน์และที่บันทึกไป ไปใช้ เดี๋ยวนี้ก็เห็นรูปด้วย แต่ก่อนฟังแต่เสียง สังคมที่อาตมาพาทำและเกิดชุมชนต่างๆ

เกิดชุมชนอย่างเป็นปึกแผ่น บางชุมชนก็ได้รับตั้งสถานะเป็นหมู่บ้าน ตามนิตินัยของประเทศ อย่างเช่นหมู่บ้านศีรษะอโศก เป็นหมู่ที่ 15 ตำบลกระแชง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ชุมชนที่ได้รับเป็นนิตินัยเป็นหมู่บ้านอีกที่หนึ่งคือราชธานีอโศก มีการบริหารเป็นหมู่กลุ่ม ที่มีสังคมประชากร มีสมาชิกที่เรียกว่าหมู่บ้าน ก็บริหารการตามหลักเกณฑ์ ของกฎหมายในประเทศ ก็มีการได้รับ งบประมาณ ได้รับเงินทองดูแลอะไรต่างๆนานา ก็มีเจ้าหน้าที่ ระดับผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อบต อสม. ตามวิธีการของรัฐบาลเขา

สรุปได้ว่างานที่อาตมาทำนี้ เป็นงานช่วยรัฐบาล แต่พูดไปแล้วเหมือนทวงบุญคุณ อาตมาทำงานอย่างไม่มีหน้าที่ทางการ แต่ก็ทำหน้าที่จะรวบรวมคนอบรมคน สั่งสอนคนให้ทำอาชีพ ให้ทำกัมมันตะ ให้มีวาจากรรม วจีกรรมที่เหมาะควร สามารถจัดสรรกับจิตใจตนเองได้ มีสังกัปปะ รู้จักระงับจิตใจที่เป็นอกุศล หรือสามารถฆ่ามัน จนไม่มีในจิตได้เลยก็ดี คนที่จะเป็นอาริยบุคคลอย่างที่ว่า แล้วก็มีกายกรรม วจีกรรม มีมโนกรรมเป็นประธาน มีพฤติกรรมอยู่ในสังคม สังคมเราถึงสามารถเกิดพฤติกรรมสังคม ถึงขั้นสาธารณโภคี

ชาวอโศกชุมชนและหมู่บ้าน แม้แต่ชุมชนที่ไม่ได้รับแต่งตั้งทางนิตินัยว่าเป็นหมู่บ้าน ก็ตาม เราก็ทำของเราไป แม้ไม่ได้รับงบประมาณ เพราะไม่ได้รับเป็นหมู่บ้านทางนิตินัย เพราะว่ามีชุมชนอยู่น้อยในชาวอโศก ก็ดูแลพัฒนาการ ช่วยกันอบรมสั่งสอน ให้มีพฤติกรรมอยู่ในสังคมได้ พฤติกรรมสังคมไม่เป็นภัยเป็นโทษต่อสังคม แต่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคม อาตมาทำงานแบบนี้มาตั้งแต่ออกบวช

ทางรัฐศาสตร์จะเข้าใจหรือไม่ ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นช่วยสังคมมนุษยชาติ ช่วยพัฒนามนุษยชาติ อยู่ในสังคมให้เป็นสังคมที่ดีในรัฐในประเทศ

ทางรัฐศาสตร์ ก็น่าจะเข้าใจอันนี้อยู่ และอาตมาว่า อาตมาชัดเจนในธรรมะของพระพุทธเจ้า ตามหลักธรรมที่กล่าวไปว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า นั้นพัฒนาอาชีพ พัฒนากัมมันตะ พัฒนากายกรรมวจีกรรม พัฒนาจิต สังกัปปะ

ให้เป็นคนที่มีจิตที่เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เมื่อจิตใจได้รับการศึกษาฝึกฝนอบรมให้เป็นอาริยบุคคล เป็นผู้ที่ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีอกุศล สามารถทำแต่สิ่งที่ดี มีจิตใจที่บรรลุธรรม ไม่ทำบาปทั้งปวงทำแต่ดี เป็นจิตที่ผ่องใส เป็นจิตใจของพระอรหันต์ คนที่รับการศึกษาฝึกฝนอบรมดีแล้ว

นอกจากจะเรียนรู้ โดยพัฒนาจิตวิญญาณ พัฒนาพฤติกรรมอาชีพ ก็ยังตั้งโรงเรียนซ้อน เอาวิชาการทางโลกที่เขาจะต้องสอนเยาวชน ก็พยายามจะสอนทั้งเยาวชนและอยู่ในวัยรุ่นวัยโต ให้การศึกษาตามระบบของรัฐบาล เราก็ทำได้ มีทั้งชั้นประถมมัธยม ได้แล้ว กำลังจะขอให้ต่อให้เป็นอุดมศึกษา ก็ยังไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศษสตร์สาธารณโภคี

อาตมาก็ว่าอาตมาจริงใจ พยายามมาช่วยประเทศชาติรัฐบาล อบรมศึกษาให้คนเป็นคนดี ตั้งแต่ทำสัมมาอาชีพ ที่ไม่เป็นภาระต่อรัฐบาล ไม่เป็นภาระต่อสังคม

ไม่เป็นอาชีพ กุหนา ลปนา เจริญด้วย เนมิตกตา แล้วทำตนให้ไม่มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา ไม่มอบตนกับทุนนิยม ที่เป็นระบบ maximize profit เป็นระบบที่ขูดรีด เอากำไรให้แก่ตนมากที่สุด เป็นระบบกอบโกยเอาเปรียบเอารัด เราถือว่าเป็นระบบที่อยู่ในทางผิด พวกเราจะเข้าใจ ไม่ไปมอบตนรับใช้นายทุน แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง แต่ผู้ที่เป็นชาวอโศกรู้แล้ว จะไม่รับใช้นายทุน โดยเฉพาะไปรับใช้ผู้ที่ทำผิดกฎหมายหรือทำอกุศล

แม้ที่สุด ถึงขั้นอาชีพที่สูงสุดพ้นจากมิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา เป็นอาชีพที่ทำงานฟรี ไม่รับรายได้ตอบแทน ทำงานแล้วยกให้ส่วนกลางหมดเลย อาศัยกินอาศัยใช้อยู่ในสังคมนั้น ไม่ไปแบ่งเอาส่วนได้อะไรมาเป็นของตัวของตน ถ้าสมควรจะเบิกใช้ส่วนกลางบ้าง ก็เบิกตามจำเป็น จึงเป็นมนุษย์ศิวิไลซ์ เป็นมนุษย์เจริญมนุษย์พัฒนาอาริยะ เป็นสังคมอาริยะ

ไม่เป็นภาระสังคม แต่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ขอยืนยันว่าเป็นความจริงเพื่อให้ผู้ที่ศึกษารัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ของพวกเราเป็นเศรษฐศาสตร์ระดับสาธารณโภคี

เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี เป็นหัวใจของเศรษฐศาสตร์ ที่ชาวคอมมิวนิสต์ต้องการ เป็นคอมมูนใหญ่ ซี่งทุกคนที่เป็นสมาชิก ทำงานไม่เอาเปรียบแก่งแย่งกัน แล้วให้แก่ส่วนกลางทั้งหมดเป็นยอดหัวใจของคอมมิวนิสต์

คอมมิวนิสต์ เองไม่สามารถทำให้สำเร็จได้อย่างนี้ เขาต้องการให้เป็นสาธารณะโภคีแต่ทำไม่ได้ อาตมานี้เป็นจอมหัวโจกคอมมิวนิสต์ใหญ่ ซึ่งแต่ก่อนพูดอย่างนี้ไม่ได้นะ แต่ตอนนี้พูดได้แล้ว

เป็นระบบที่ทำงานแล้วไม่ต้องจัดสรรให้ยากเลย เอาเข้าส่วนกลางหมดเลย  มีคณะหมู่กลุ่มเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจัดสรร ผลิตอะไรที่เป็นผลผลิต ก็ยกให้กองกลางหมด ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดสรรแจกจ่าย

ผู้ผลิตก็มีหน้าที่ออกแรงงาน ทำจนเกิดผลผลิต ผู้ที่จัดสรรแจกจ่าย ก็จัดสรรให้ดี จึงเป็นระบบคอมมิวนิสต์

คอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นระบบสุดยอดประชาธิปไตย เป็นระบบที่เอาผลผลิตเข้ากองกลาง แล้วแบ่งแจกกันให้ยุติธรรม สรุปแล้วก็คือการบริหารสังคม นัยเดียวกันกับรัฐบาลทำเลย กับศาสนาพุทธ

ผู้ที่จะมีจิตใจเป็นสาธารณะพร้อมที่จะต้องมี จิตพุทธพจน์ 7

1.      สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.      ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) 

3.      ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.      สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน ช่วยเหลือกัน=รับใช้ผู้อื่น)

5.      อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)

6.      สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)

7.      เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

พลังงานที่จะสูญเสียมีน้อย แต่จะเก็บเอาพลังงานดีๆมาใช้งานได้เยอะ มีความเป็นปึกแผ่น ลักษณะความเป็นปึก อโศกมีมากมีเด่น ไปไหนกันเป็นปึก เป็นลักษณะสภาพของความเจริญเป็นอริยะเป็นความศิวิไลซ์

อาตมาทำงานในปางนี้ เกิดมาเป็นโพธิรักษ์ ทางศาสนาก็ปกาศนียกรรมว่ามาทำลายศาสนาพุทธ ทั้งที่อาตมายืนยันว่าเป็นเนื้อแท้ วิมังสาของศาสนาพุทธ

เพราะอาตมามาสอนคนให้ อย่าไปทำอาชีพ กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิเปสิกตา จนพ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา

ทำงานถึงขั้นไม่มอบตนในทางที่ผิด ที่ต้องรับรายได้ก็รับไม่แพง อย่างที่ในหลวงสอนให้พอเพียง ให้น้อยเข้าไว้จะดี จนในหลวงสอนว่า เอาอย่างคนจน เดี๋ยวนี้ก็ว่าจะทำตามพ่อสอน อาตมาก็ดีใจ แล้วขอให้ทำตามพ่อสอนจริงๆนะ พ่อเราสอนว่าทำแบบคนจน ทำแบบพอเพียง สำทับอีกว่าขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา อโศกเอามาเผยแพร่พระราชดำรัสนี้ ไม่มีสื่อสารช่องอื่นเอาตาม แต่ก็พูดว่าทำตามพ่อสอน แต่คลิปสองคลิปนี้ เป็นยอดคำสอนของพ่อนะ แบบคนจนกับขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา

แต่ไม่เข้าใจคำสอนอันสุดวิเศษเป็นโลกุตระนี้ ในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมีพระปัญญาธิคุณที่เอามาตรัสเอามาบอกให้รับรู้แล้วปฏิบัติตาม มันเป็นโลกุตระธรรมทั้งนั้น แต่ขออภัยวงการศาสนายังไม่รับคำสอนของในหลวง ไม่เอามาขยายความ มีแต่โพธิรักษ์ชาวอโศกสนับสนุนคำพ่อสอนคำนี้ ถ้าเมืองไทยทำได้จะเป็นมหาคุณาการเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน ทำไม สุขจึงเป็นเท็จ แต่ทุกข์ เป็นทุกข์อริยสัจ

ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ แม้แต่สถาบันหลักของศาสนาพุทธ ก็ไม่เป็นไปทางโลกุตรธรรม มีแต่โลกียธรรมมากมายเต็มไปหมด ล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าสุขเท็จ มีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สุขคือสุขขัลลิกะ คือสุขเท็จ

ทำไมสุขเรียกว่าอัลลิกะ(หลอก เท็จ) แต่ทุกข์กลับเรียกว่า ทุกขอริยสัจ

ความสุขเป็นของแสวงหาได้ตาม ผัสสะ  รู้สึกวาบ แล้วก็หายมีแต่สัญญาที่จดจำระลึกเอามาได้ ปั้นมาได้ลมๆ แล้งๆไม่มีของจริง มันจำได้แล้วมาปรุงแต่งใส่อารมณ์เสพ ของจริงต้องมี ตากระทบรูป หูกระทบเสียง….มีปสาทรูป โคจรรูปทำงานร่วมกัน เกิดภาวรูป เราก็ทำให้อิตถีภาวะนั้น ที่ดิ้นอยู่นี้หมดไป เหลือแต่ปุริสภาวะ อิตถีภาวะคือภาวะเท็จ มีอันเดียวคือตากระทบรูปก็รู้อย่างที่เห็น ไม่มีความชอบไม่ชอบ ไม่มีความเท็จ เหลือแต่เวทนาเดียว ที่เป็นเวทนาแท้
          ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ช่วยสังคมประเทศชาติ และผู้บริหารจะต้องอุดหนุนจุนเจือช่วยเหลือศาสนา เพราะว่าเป็นผู้ที่ทำงานให้แก่สังคมประเทศชาติโดยไม่มีค่าจ้าง ผู้ที่ทำงานให้แก่ประเทศชาติ เรียกว่าข้าราชการ เขาก็เอาเงินของประเทศชาติมาจ้างให้แสดงงานบริหารประเทศ 

ส่วนนักธรรมะเป็นผู้ที่ทำตนเองให้ไม่เป็นภาระ ไม่เป็นโทษภัยต่อสังคม เพราะว่าตัวที่เป็นโทษภัยนั้นคือกิเลส เราก็ลดกิเลสได้ จะทำแต่ประโยชน์กับสังคม

ชุมชนอโศกนั้นพยายามทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติแล้วศึกษา ลดโทษภัยในตนจริงๆ

ชาวอโศกเรามีการพัฒนาตนตามหลักสูตรทฤษฏีของพระพุทธเจ้า มีอรหันต์ด้วยแต่คนเข้าใจอรหันต์ไม่ได้ เข้าใจอรหันต์ผิดเพี้ยน ไปเข้าใจว่าอรหันต์ต้องไปนั่งหลับตา ไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ปลีกแยกออกไปจากสังคม นั่นคือพระอรหันต์แบบสุดโต่งที่เขาเข้าใจกัน

พระอรหันต์ คือเอกชนที่ทำงานราชการ ยิ่งกว่าข้าราชการ ข้าราชการนั้นอยู่ในทะเบียนแล้ว รับรายได้ตอบแทน ส่วนเอกชนในราชการ เป็นยิ่งกว่าข้าราชการ เป็นราชการหรือทำงานรับใช้งานพระเจ้าแผ่นดิน คือผู้ที่รับใช้ข้าราชการ ช่วยงานของแผ่นดินของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นนักการศาสนานี่คือ ผู้ที่ทำตนช่วยราชการ โดยไม่รับเงินเดือน ข้าราชการนั้น รับเงินจากรัฐบาล สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็รับเบี้ยหวัดจากในหลวงโดยตรง

พวกเราพวกนักศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆ เป็นข้าราชการยิ่งกว่าข้าราชการและเป็นเอกชนด้วย เพราะว่ามีอิสระเสรีภาพเต็มที่ ถ้าเป็นข้าราชการอย่างมีระเบียบวินัย มีสิทธิตามหน้าที่ เมื่อมีหน้าที่ก็จะมีสิทธิยิ่งกว่าเอกชน อย่างเช่นตำรวจได้สิทธิพิเศษที่จะจับคนผิดได้ แต่คนธรรมดา ไม่มีสิทธิไม่มีหน้าที่จะไปจับคนได้ จับเขาก็ปรับเอาหรือตบเอาได้

คนที่ศึกษาธรรมะแล้ว ก็จะเอาธรรมะมาช่วยประเทศชาติยิ่งกว่าข้าราชการ เพราะว่าไม่ได้รับเงินเดือนอย่างข้าราชการ  ไม่ได้เห็นแก่ตัว เพราะว่าเป็นอาริยะเป็นผู้ประเสริฐแล้ว ทำประโยชน์ โดยไม่ทำอกุศล ไม่ทำกุหนา(โกง) ลปนา(หลอกลวง) นิเปสิกตา (เป็นคนที่มาพัฒนา) ให้เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ให้ได้ สุดท้ายคือทำงานแบบไม่รับค่าตอบแทน พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนตาได้

อาตมาพัฒนาคนไทยได้จนเป็นกอบเป็นกำ ได้แก่ชาวอโศก ขอยืนยันว่าเป็นพระอาริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้จริง แต่ในวงการศาสนานั้น ไม่เข้าใจ เขาไม่รู้หรอกว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร

อรหันต์จะมี 2 อย่าง

1. พระอรหันต์แบบ อุภโตภาควิมุติ

2. พระอรหันต์แบบปัญญาวิมุติ คือเข้าใจแล้วว่าอย่างไหนเป็นอกุศล มีปัญญารู้หมด แต่ว่าทำไม่ได้หมดตามที่รู้ ถ้าทำได้หมดตามที่รู้เรียก อุภโตภาควิมุติ จิตทำได้ตามที่รู้ ว่าอย่างนี้ไม่ดีก็หยุดทำสิ่งไม่ดี สัพพปาปสอกรณัง ทำแต่ดี

คนชนิดนี้ของชาวอโศกมี ปัญญาวิมุติก็มี อุภโตภาควิมุติก็มี ตามฐานะที่รู้บริสุทธิ์ใจ การวัดค่าอรหันต์จึงไม่ได้วัดค่าง่ายๆ จะต้องขึ้นอยู่กับจิต จิตของเขามีกิเลส จะทำชั่วอยู่ไหม ถ้ามีต้องล้างกิเลสของตน ถ้าคนๆนี้อยู่กับสังคม เขาไม่มีจิตไปทำชั่วก็ไม่ต้องล้าง เขาทำอย่างปกติแล้ว

เช่นจิตชาวอโศกที่ไม่คอร์รัปชั่นไม่หลอกลวง

1. ไม่ฆ่าสัตว์      2. ไม่หลอกลวงใคร     3. ราคะก็ไม่มาก ราคะก็ประมาณหนึ่งผัวเดียวเมียเดียว รูปรสกลิ่นเสียงก็เอาประมาณหนึ่ง ไม่จัดจ้าน

4.ไม่พูดโกหก     5.อบายมุขไม่มี

โสดาบันของชาวอโศกมีเยอะ

สกิทาคามีก็รู้ได้ด้วยศีล 8 ที่ไม่ต้องประดับตกแต่งฐานะแห่งการแต่งงามใหญ่โต ไม่เอามาบำเรอตน ตนเองไม่ทำ แต่ส่วนรวมศาลาที่พักต้องทำใหญ่ ผืนดินต้องใหญ่กว้าง ก็ทำใหญ่เพื่อมวล ไม่ได้ทำใหญ่เพื่อตัวเอง ตัวเองจะได้มีอำนาจสั่งการ ไม่มีใครรู้เลยจะสั่งสร้างอะไรใหญ่โตเองได้เลย อย่างที่หมอมโนมาบอกว่าธัมมชโยไม่เคยแสดงบัญชีที่ได้เงินมาเท่าไหร่เลย นี่คืออำนาจบาตรใหญ่ เผด็จการสูงสุด แต่คนเหล่านั้นจะถูกสะกดจิตครอบงำไปหมด เขาเลยไม่สงสัยว่าธัมมชโยเอาเงินไปทำอะไร เขาเชื่อสนิทเลยว่า พ่อของเขาบริสุทธิ์ที่สุด เขาจะเอาเงินไปใช้ทิ้งขว้างทุจริต ใช้ส่วนตัวอย่างไรไม่เคยรู้จัก นี่คือตัวอย่างที่เกิดในโลก ในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นกับสมีไชยบูลย์ เขาโกงเงินจนกระทั่งเอาไปเป็นของตัวเอง ใส่บัญชีตัวเอง แล้วก็จำนนก็ต้องเอามาคืน เสร็จแล้วอัยการก็ถอนฟ้องอีก แต่พฤติกรรมโกงนี้เติมกรรมที่ทำสำเร็จแล้ว แต่เขาก็อยู่ได้ ประเทศชาติก็ไม่ทำอะไรเขา นี่คือประเทศไทยที่น่าสงสาร

ประเทศไทยที่น่าสงสาร เหมือนกับหนังสือแบบเรียนสมัยนี้ ไก่ผู้น่าสงสาร ไม่รู้ไม่เห็นว่าคนดีเป็นอย่างไร แล้วคนชั่วเห็นอยู่กลับไม่ทำอะไร มันยิ่งน่าสน

อาตมาได้พาคนมาเป็นชาวอโศก ที่เป็นคนลดละกิเลสได้จำนวนหนึ่งจริงๆ  แล้วมีผล ทำงานมาในชีวิตนี้ ก็ได้ผลพอสมควร พูดไปแล้วเหมือนทวงบุญคุณทวงความ แต่ไม่ใช่ อาตมากำลังพูดลักษณะที่ดีให้ฟังว่า ควรมาช่วยกันทำเช่นนี้ ช่วยกันอย่างที่อาตมาพาทำ

 

ขออภัยพระที่บวชมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ต้องมาทำหน้าที่อย่างนี้ แต่ไม่ใช่ ท่านไปทำงานเพื่อที่จะเจริญลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มีตำแหน่งหน้าที่ มีลาภยศ เดี๋ยวนี้พระในภิกษุศาสนาพุทธมีเงินเดือน น่าอาย น่าขายหน้า ไปล้มล้างธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าด้วย

ก่อนบวชท่านจะถามก่อนว่า เป็นราชปัตโตหรือไม่ คือเป็นข้าราชการหรือไม่? คือมีเงินเดือนอยู่มาบวชไม่ได้ เขาก็โกหกว่า นัตถิภันเต ไม่มีหรอก แต่เป็นคำโกหก ว่าไม่เป็นข้าราชการ ไม่มีเงินเดือน มาบวชต้องไม่มีรายได้ของตน ไม่มีเงินเดือน ต้องโภคักขันธัง   ปหายะ   ญาติปริวัฎฎัง   ปหายะ แต่เดี๋ยวนี้ขบถต่อศาสนาหมด แล้วได้ข่าวว่าจะขอขึ้นนิตยภัตแก่พระอีก ขอขึ้นเงินเดือนให้พระอีก นี่คือความเชื่อมันไม่เหลือแล้วในศาสนาพุทธทุกวันนี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงเหมือนกับคนปากจัด เที่ยวไปว่าคนอื่นเขา เปิดโปงเปิดเผยเปิดความชั่วคนอื่นเขา ขออภัย อาตมาพูดสัจจะเพื่อติงเตือนให้ได้คิด ให้ได้ปรับปรุงตัวเองเถิด อย่าไปจมอย่างนั้น เลิกเถอะสิ่งที่ผิด พระพุทธเจ้าไม่ได้พาสอนพาทำอย่างนี้ คนที่เป็นอยู่นั้นละอายไหม มีโอตตัปปะไหม ละอายต่อความชั่ว กลัวความชั่ว จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม สรุปว่าอาตมาตักน้ำจะรดหัวตอไหม ตักรดไปสาดไปหรือกลายเป็นตักน้ำรดหัวตอไหม เสียน้ำทิ้งเปล่า แต่ช่างมัน ไม่เสียดาย อาตมาจะหาน้ำมารดๆๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ9) ตอน คนจนผู้ประเสริฐคือคนที่มีวรรณะ9

เผื่อว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ ให้เกิดเป็นคนเจริญ อย่างพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าต้องมี วรรณะ 9

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.      มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

(พระไตรปิฎกเล่ม1 “ปฐมปาราชิกกัณฑ์” ข้อ20)

 

เป็นผู้ที่เลี้ยงง่ายไม่ใช่เลี้ยงอย่างหมูอย่างหมา เอาอะไรมาให้กินก็กิน ไม่ใช่ แต่เป็นคนรู้จักกินจักใช้ เลี้ยงง่าย ไม่เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ อันนี้ก็กินไม่ได้อันนี้ก็ไม่สมศักดิ์ศรี อันนี้ไม่อร่อย อันนี้ไม่ถูกปาก อย่างนั้นเป็นคนเลี้ยงยาก คำว่าไม่ถูกปากอันนี้ก็งง กินอย่างไรไม่ถูกปาก กินก็ต้องออกใส่ปากใช่ไหม แต่บอกว่ามันไม่ถูกปาก ก็คุณทำเองคุณกินไม่ถูกปาก กินแล้วไปใส่ลูกตาก็แสบ กินแล้วใส่จมูกก็เลอะสิ กินแล้วต้องใส่ปาก

ซึ่งตรงกันข้ามกับ อวรรณะ 6

1. เลี้ยงยาก  (ทุพภระ)

2. บำรุงยาก  (ทุปโปสะ)

3. มักมาก  (มหัปปิจฉะ)

4. ไม่รู้จักพอ  (อสันตุฏฐิ)

5. เกียจคร้าน  (โกสัชชะ)

6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)

(พตปฎ. เล่ม1  ข้อ 20) 

ตรงข้ามกับ วรรณะ 9

อย่างที่เป็นปากกรวยเหมือนธรรมะกรวย ตอนนี้

 

ต้องมาเป็นคนกล้าจน แบบในหลวงตรัส มาบอกให้บริหารประเทศแบบคนจน อันนี้เป็นความรู้ของอารยะรัฐศาสตร์ อารยะเศรษฐศาสตร์ อารยสังคมศาสตร์ บริหารประเทศแบบคนจน ถ้าไม่ใช่อาริยบุคคล จะกล่าวคำนี้ไม่ออก จะกล่าวคำนี้ไม่เป็น จะไม่กล้ากล่าวคำนี้ จะไม่เข้าใจคำนี้

คนจนคืออะไร คนจนผู้ประเสริฐ คือคนที่มีวรรณะ 9

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) พัฒนาเอาสิ่งที่ไม่เจริญออก

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) ทำให้ศีลเจริญเป็นอธิศีล ทำได้แล้วไม่เคร่ง อย่างคนอโศกไม่ใส่รองเท้า ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่รับเงินทอง แม้ฆราวาสบางคนก็ทำได้ แต่ก็อยู่อย่างเป็นสุขได้ เพราะทำจนปกติ

7.      มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

         ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีอยู่ แต่ศาสนากระแสหลักไม่เอาคำสอนนี้มาพัฒนาคน ให้เป็นได้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ทางศาสนาก็ไม่มีความรู้ จึงเอามาสอนไม่ได้ เมื่อเอาหลักสูตรทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาสอนไม่ได้คนก็จะไม่ได้รับทฤษฎีที่ดีของพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้มาประพฤติปฏิบัติ แม้แต่ตัวผู้ที่บอกว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนา ก็ยังทำตามคำกล่าวนี้ไม่ค่อยได้ เป็นคนเลี้ยงยาก เป็นคนอวรรณะ พัฒนาให้เจริญยาก มักมากไม่รู้จักพอ มหัปปิจฉะม่ใจพอเลย โกสัชชะ สังคณิกะ คือคลุกคลีด้วยกองกิเลส ด้วยคนพาล ด้วยคนโลกๆ ไม่คลุกคลีกับบัณฑิต

ถ้าเราเป็นอณูที่มีพลังงานอ่อน เข้าไปในสนามแม่เหล็กแห่งโลกีย์ที่แรง เราก็ต้องถูกเปลี่ยนทิศทางไปกับโลกีย์

อาตมาทำงานมาเกือบห้าสิบปี วงการศาสนาเขาจมในมิจฉาทิฏฐิและอวิชชาแล้ว เขาจะไม่มาเห็นดีกับที่ต้องมาทำ เขาจะไม่ยอมรับนอกจากส่วนตัวของคน ที่เขามีภูมิปัญญาและไม่อคติ เขาจะรู้ว่าโพธิรักษ์ก็มีสิ่งที่ดี สอนธรรมะพระพุทธเจ้า สอนถูกต้องด้วยน่าจะมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ ตีทิ้งอาตมา อาตมาเข้าใจอันนี้ดี แล้วอาตมาพูดไม่ผิดหรอก

เมื่อศาสนากระแสหลักของประเทศ เขาสรุปผลเป็นอย่างนี้แล้ว ดูเขาเอาความรู้ที่เขาถือเป็นหลักมาตรฐาน แต่มีมิจฉาและอวิชชาปนไปเกือบหมดแล้ว เอาไปเป็นมาตรฐาน เป็น standard ของศาสนาพุทธ เมื่ออาตมาเอามาพูดอธิบาย ก็จะขัดแย้งกับเขา เขาก็ต้องร่วมกับกระแสหลักของเขา ที่มีมาหลายร้อยปีพันปีในประเทศไทย เขาก็ต้องเอาตามที่สืบสานกันมา โดยไม่รู้ว่าที่สืบสานกันมา ผิดเพี้ยนไปจนออกนอกเขตเทศบาลศาสนาพุทธไปหมดแล้ว ออกนอกขอบเขตเทศบาลศาสนาพุทธไปหมดแล้วนะ ไปเป็นคนละเรื่องแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก ไปยอมรับอันนั้นอยู่

เหมือนอาตมาพูดใหญ่ แต่อาตมาอวดในสิ่งที่เล็ก ของที่ถูกนั้นไม่ใหญ่หรอก ก็ทำ ไม่ติคนที่ผิดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พอบอกสิ่งที่ถูก ก็เหมือนบอกสิ่งที่พวกเราเป็นอยู่ เมื่อบอกสิ่งที่ผิด ก็เหมือนไปว่าเขา เพราะเขาเป็นคนที่ผิด เลยบอกว่าโพธิรักษ์นี้ทำให้แตกแยก แล้วอาตมาจะทำงานอะไร

เมื่อบอกสิ่งที่ชั่ว แล้วตรงกับคนส่วนใหญ่ อาตมาก็เลยต้องเหมือนกับหมาน้อย ร้องแอ๋งๆ แต่หมาใหญ่ ก็เบ่งครอบงำ หมาน้อยก็หงายท้องร้องแอ๋งๆๆๆ หมาใหญ่ข่มเหงหมาน้อย แต่อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เหมือนเสียงหมาน้อยร้อง แต่อาตมาก็แอบเอาสิ่งที่ถูกไปแทรก เท่าที่อาตมาทำได้ เรียกว่าแทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนไปเรื่อยๆ เขาต่อต้านไม่ให้ฉีดยา แต่ต่อมาก็แอบใส่ยาเข้าไปได้เรื่อยๆ ห้ามไม่ได้หรอก อาตมาเป็นหมอยา จนทุกวันนี้เล่นงานอาตมาทุกอย่าง ที่จะไม่ให้อาตมาเป็นหมอยาฉีดยาไม่ได้ ตัดสินทุกอย่างในวิธีที่จะตัดมือตัดไม้ไม่ให้ฉีดยา เขาทำทุกวิธีแล้ว จบแล้ว จบแล้วด้วย แต่ต่อมาก็ยังฉีดยาได้อยู่ ยังสามารถ แทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนได้อยู่ เขาทำโดยกฎระเบียบหลักเกณฑ์จนจบไปแล้ว อาตมายอมรับผิด เป็นผู้แพ้ทั้งๆที่ไม่ผิด อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาเป็นผู้แพ้ แต่ไม่เป็นผู้ผิด คุณว่าผิด เราก็ผิด แต่อาตมาก็เอาสิ่งที่เขาเข้าใจว่าผิดนี่แหละ

สิ่งที่อาตมาได้ประกาศเปิดเผย เผยแพร่ เขาเข้าใจ แต่ว่าอาตมาก็เผยแพร่สิ่งที่เขาเข้าใจว่าผิดนี้อยู่ เขาห้ามอาตมาไม่ได้แล้ว เพราะว่าพ้นกฎเกณฑ์ที่เขาทำกับอาตมาไว้หมดแล้ว จะให้จับให้ขึ้นศาลก็แล้วแต่ จึงจบไง เพราะอาตมาเป็นผู้แพ้สำเร็จ จนเหลือแต่แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง ก็เอาดวงใจที่ทรงความมั่นคงมาทำงานนี้ โดยกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เขาทำกับอาตมา อาตมาแพ้ทุกอย่างจบแล้ว มันจึงทำอะไรไม่ได้อีก กฎต่างๆในประเทศไทย ทำให้อาตมาแพ้ทุกอย่างแล้ว จึงไม่มีกฎอะไรทำกับอาตมาได้อีกแล้ว อาตมาจึงทำงานเผยแพร่สิ่งที่เขาว่าผิดนี่แหละ เพราะอาตมาไม่ผิดในตัวเอง แต่เขาไม่พูดเรื่องความผิดถูกในสัจธรรมกับอาตมา

ถ้าศาลเปิดพระไตรปิฎกว่ากัน เริ่มต้นตั้งแต่ศีล อาตมาก็บอกว่าเถรสมาคมไม่มีศีลแล้ว ไม่เอาศีลมาปฏิบัติแล้ว อาตมาว่าอาตมาพูดถูก แต่เขาก็จะบอกว่าเขาถือศีล 227 ตอบมา อาตมาก็ให้ 0 เพราะไปเอาพระธรรมวินัยมาตอบ

ศีลเขาก็ไม่รู้จัก พูดขึ้นมา สุดท้ายอาตมาก็ชนะแล้ว อย่าว่าแต่นักบวชเลย แม้ฆราวาสก็ถือศีลที่มีในพระไตรปิฏก ว่า นี่คือศีลของเธอประการหนึ่งภิกษุทั้งหลาย ในมหาศีลมีให้งดเว้นเดรัจฉานวิชชาอยู่บานเลย แต่ในวงการภิกษุทั่วไป ทำเดรัจฉานวิชชาหมด ภิกษุผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาและยังมีน้ำหน้าละเมิดศีลอีก พระพุทธเจ้าตรัสถึงนักบวชในศาสนาอื่นด้วย ที่เป็นผู้ขอเหมือนกัน เป็นพราหมณ์มหาศาล ร่ำรวยมีศักดินา มียศตำแหน่ง เหมือนพระมหาศาลทุกวันนี้ เหมือนกันเป๊ะเลย พระพุทธเจ้าก็ว่าอันนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น อาตมาก็มาว่า เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ว่าศาสนามิจฉาทิฐิสมัยนั้น

อาตมามาปางนี้ พูดเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าพูด แต่อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า เอาของพระพุทธเจ้ามาทบทวน ให้คนเห็นสิ่งที่ผิด แล้วแก้ไขปรับปรุง ก็คงยากเท่ากับที่ทางราชการจะแก้ไขธัมมชโย

อาตมาว่าของอาตมาเองนะ ถ้าทางราชการจัดการธัมมชโยได้เรียบร้อย อาตมาว่าศาสนาพุทธ คิดว่าเราจะช่วยศาสนาพุทธขึ้นได้บ้าง แต่ถ้าตราบใดยังจัดการธัมมชโยไม่ได้ อาตมาว่าศาสนาพุทธไม่ดี แต่อาตมาไม่สิ้นหวัง แต่ว่าอาตมากัดไม่ปล่อย แต่ทางราชการจะกัดแล้วปล่อยหรือไม่ หรือเขาไม่อยากปล่อย แต่เขี้ยวมันหัก เลยกัดไม่อยู่ หมูเลยรีบออกจากปาก แต่อาตมานี่ เขี้ยวกัดไม่ปล่อยนะ

มีคนที่ส่งบทเรียนเรื่องไก่ชื่อนันทา ว่า…

 

“แสนสงสารนันทาที่น่ารัก                    ชะล่านักวิ่งออกนอกถนน

 มัวแต่เพลินปลาบปลื้มจนลืมตน           ถูกรถยนต์แล่นทับดับชีวา

 นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า               กลับเหลือแต่กรงเปล่าไม่เห็นหน้า

 เคยร่วมทุกข์สุขกันทุกวันมา                เจ้าทิ้งข้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจเอย”

 

อาตมาเห็นศาสนาพุทธเหมือนแม่ไก่นันทา แต่แม่ไก่นันทานั้นน่ารัก จนอาตมามาเปลี่ยนชื่อเป็นรักไง แม่ไก่นันทาคือวงการศาสนาพุทธ

อาตมาเรียกรถยนต์ว่าเสือกรุง มันกัด มันชนคนตาย ส่งวัดส่งป่าช้าทุกวัน วันละไม่รู้กี่ศพ

มาอ่าน sms SMS วันที่ 20 ธันวาคม 2559

0851614xxxสำนักพระราชวังแจ้ง "วันขึ้นปีใหม่" งดถวายสักการะพระบรมศพ ร.9

0851614xxxปัญหาที่แท้จริง คือ คนไทยจำนวนมากรู้จักแต่สิทธิของตัวเองกับหน้าที่ของคนอื่น ไม่รู้จักสิทธิของคนอื่นกับหน้าที่ของตัวเอง

0851614xxxทิ้งสิ่งที่ควรทิ้ง คือวางลง ทิ้งสิ่งที่ไม่ควรทิ้ง คือจนใจ ไม่ทิ้งสิงที่ควรทิ้ง คือดื้อรั้น ไม่ทิ้งสิ่งที่ไม่ควรทิ้ง

คือยืนหยัด (คำจีน)

ตอบ...วางขวดวางง่าย แต่วางจิตวิญญาณนี้อยากวาง แต่จะวางง่ายไหม?

 

 

0897146xxxมุสลิมฆ่าวัวเข้าใจว่าเป็นอาหารของคนมีวิธีเชือดไม่ให้สัตว์ทรมาน กับฆ่าโดยไม่ปฏิบัติตัวตามหลักศาสนาอย่างไหนบาปกว่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปาณาติบาต)   5ของปาณาติบาต

ตอบ...ของพุทธมีวิธีการไม่ทำให้สัตว์ทรมานโดยไม่ฆ่า

การฆ่าที่ครบองค์ 5 ของ ปานาติบาตคือ

  1. สัตวมีชีวิต
  2. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
  3. จิตคิดจะฆ่า
  4. พยายามลงมือฆ่า
  5. สัตว์ตายลง

             (อรรถกถาแปลเล่ม 75 “จิตตุปปาทกัณฑ์” หน้า 287)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปาณาติบาต) ตอน ทำบุญได้บาป5

      แล้วมีบาปอีก 5 ขั้นคือ ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป  มิใช่บุญ)

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)    

      (พระไตรปิฎก “ชีวกสูตร”  ล.13   ข.60

ทำกี่ข้อก็บาปเท่านั้นถ้าถึงข้อที่ 10 คือแบบธรรมกาย เอาข้าวไปถวายพระพุทะเจ้าด้วย ที่สุด อโศกไม่ทำแม้แต่ตัวเองก็ไม่กิน นอกจาก 10 ข้อนี้ไม่ทำแล้วตนเองก็ไม่กิน สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย เราไม่ได้ทำทุกข์ให้เขา นี่คือแผ่เมตตา แผ่ด้วยพฤติกรรม ด้วยใจเลย ไม่ใช่ท่องแต่ปาก พฤติกรรมเราไม่กินเนื้อสัตว์เลย อโศกเราทำสำเร็จ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:33:07 )

591222

รายละเอียด

591222_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาคนให้ดีกว่าสัตว์

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559 ที่บ้านราชฯ วันนี้เป็นวันที่เด็กนักเรียน สัมมาสิกขาราชธานีอโศก จะได้ฟังธรรมจากหลวงปู่ สมณะโพธิรักษ์ ใครที่มีจิตใจจดจ่อ มีความยินดีที่ได้ฟัง ก็แสดงว่ามีบารมีมาก ใครฟังแล้วนั่งเล่น ก็ถือว่าเป็นเด็กธรรมดา ไม่อยู่ในข่ายของ เด็กนักเรียนสัมมาสิกขา ที่จะมีความยินดี ในการฟังธรรมจากหลวงปู่ สมณะโพธิรักษ์ ที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ง่าย จะต้องมีบารมีระดับหนึ่ง

วันนี้ก็มีข่าวมรณัสสติ ตั้งแต่

คุณตุ๊ก นางสาวสุพร ชุมพล  อายุ 67 ปี ที่ป่วยเป็นโรคหนังแข็ง เสียชีวิต ที่สันติอโศก เวลา 03.30 น วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 59 โดย ฌาปนกิจศพ วันเสาร์ที่  24 ธันวาคม เวลา 15.00 น วัดบางเตย

 โยมยายบุญโฮม บุญถูก ได้หมดลมหายไปอย่างสงบ ในวันที่ 22 ธ.ค. 59 เมื่อเวลา 02.00 น ที่ผ่านมา พฤหัส - ศุกร์ แสดงธรรมหน้าศพ 18.00 น. เสาร์ 14.00 น. ฌาปนกิจ ที่ปฐมอโศก

คุณแม่สิริกร  บูรณะ (โยมแม่สมณะค้ำดิน และคุณแม่คุณติดดิน  นาวาบุญนิยม) เสียชีวิตด้วยโรคชรา อายุ 84 ปี เมื่อเวลา 06.30 น.วันพุธที่ 21 ธค.59 ฌาปนกิจ วันเสาร์ที่ 24  ธค.เวลา 13.00 น.วัดบางเตย กทม.

 

พ่อครูว่า...วันนี้หลวงปู่ เตรียมอะไรมาแสดงธรรม เกี่ยวกับศาสนาและสังคม อยู่ในระยะที่ เหมือนกับใกล้จะคลอด กำลังเต็มที่เลย เจ็บครรภ์จะคลอด จะต้องตั้งใจฟังให้ดี วันหนึ่งๆ ผ่านไป 24 ชั่วโมง ข้อมูลก็แปรเปลี่ยนไป อย่างไม่ช้าเลย จะทำอย่างช้าไม่ได้เลย เด็กๆรู้เรื่องของ สำนักธรรมกายกันบ้างไหม …

เรื่องของสำนักธรรมกาย เป็นสำนักที่เขาสร้างขึ้นมา พอๆกันกับที่อโศกเราเกิด ไล่เลี่ยกัน เขาจะก่อนเรานิดหน่อย พศ.2513 เหมือนกัน แต่หลวงปู่ทำงานศาสนามา ตั้งแต่ พศ.2511-2512 เปิดคอลัมน์ เขียนหนังสือธรรมะอะไรมาก พอ 2513 ก็มาบวชปลายปี เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2513 แต่เขาบวชก่อน เป็นเดือนเลย ประมาณ มีนาคม 2513 แล้วเขาก็ก่อสร้าง สำนักของเขา เป็นสำนักที่ออกนอกรีต ออกนอกแบบ ของศาสนาพุทธ

สื่อธรรมะพ่อครู(ความเสื่อมชาวพุทธ)ตอน คนเสื่อมจากศาสนาพุทธ ศาสนาไม่เสื่อม

         ต้องขออภัยกระแสหลัก ต้องขออภัย ประชาชนชาวพุทธทั่วไป เพราะวันนี้อาตมากำลังพูดความจริง เป็นวิชาการความรู้ คือศาสนาพุทธนั้นเสื่อม ทำต่อคนเสื่อมจากศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาเสื่อม หมายความว่า คนชาวพุทธได้เข้าใจผิดเพี้ยน ในความจริงแท้ เนื้อแท้ความถูกต้องแท้ ของศาสนาพุทธ เขาได้เข้าใจผิด แล้วกระผิดๆมา มากมายก่ายกอง จนกลายเป็นการประพฤติ นอกธรรมะพระพุทธเจ้า ซึ่งเข้าใจไม่ง่าย

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะโลกุตระ คืออยู่กับโลกเขา แต่ไม่ทำร้ายอะไรกับโลก มีแต่ช่วยเหลือ โดยที่ตัวเอง ไม่แย่งชิงทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของอะไรกับโลก ไม่ทำทุจริต ไม่แข่งดีแข่งเด่น ไม่ทำร้ายใคร ไม่เป็นโทษภัยอะไรแก่คนอื่นๆ มีแต่ช่วยคนอื่น อาจใช้ภาษาว่ารับใช้  ก็คือรับใช้คนอื่น โดยไม่ใช่คิดค่าจ้างค่าวาน จะมีคนอื่นมาให้ ก็เอาไว้ใช้ช่วยคนอื่นต่อไป สำหรับตนเอง ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร อยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่นต่อไป นี่คือ ระบบสาธารณโภคี

คือเรามีของส่วนกลาง ของกินของใช้ ของส่วนรวม เครื่องใช้ไม้สอย อาหารการกิน ก็มีส่วนร่วมรวมกัน ช่วยกันสร้างช่วยกันทำ ช่วยกันปลูก เด็กๆทุกวันนี้ ก็ช่วยกันทำ ใช่ไหม ช่วยกันปลูกช่วยกันสร้าง หลวงปู่ ต้องอดใจไม่ได้ ต้องพูดถึงอีก ชมเชยอีก ดูนี่ อย่านึกว่า ท่อนซุงนะนี่ นี่คือ หัวไช้เท้าสดๆ ไม่ใช่ปูนปั้น เกิดจากสวน หลังศาลาเรานี่แหละ เรียกว่า สวนทำกิน เพราะว่าพวกเรา เป็นชาวสวนชาวไร่ ไร่นี่พวกเราทำมาก สวนผลไม้ทำน้อยกว่าไร่ ที่ปลูกพืชผัก

สูตรที่ปลูก อะไรต่างๆนี้ เกิดผลผลิตโตใหญ่ นี่ลูกมะนาวนะนี่ ไม่ใช้สารเคมีเลยนะ ใช้ธรรมชาติ เป็นเกษตรอินทรีย์ เราไม่ปิดบังวิธีการด้วย ใครอยากได้ ก็มาเรียนรู้เอา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีลสมาธิปัญญา)ตอน พลังงานเจโตกับพลังงานปัญญา

ธรรมะของพระพุทธเจ้า จะรู้จักพลังงานของจิต พลังงานที่เรียกว่า แคลอรี่ เป็นพลังงานที่ ทำงานในร่างกายเรา แม้จิตก็เป็นพลังงานทางแคลอรี่ เป็นหน่วยทางนามธรรม จะเรียกเป็นหน่วยอะไรก็ยาก เพราะแบ่งลักษณะเป็น อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แบ่งออกเป็นลักษณะ ที่จะเอามาใช้งาน เป็นพลังงานรวม เรียกว่า พลังงานเจโต เป็นพลังงานที่จะออกไปทำงาน

เจโต คือพลังงานตัวตั้ง ตัวคงที่

และอีกหน่วยหนึ่ง จัดเป็นหน่วยตัวแปร เป็นพลังงานวิ่ง พลังงานคงที่จะนิ่งแข็ง เป็นแกน ทางวิทยาศาสตร์ไฟฟ้า เขาเรียกว่า พลังงานบวก

และพลังงานที่วิ่ง เรียกว่าพลังงานลบ

เจโตคือพลังบวก พลังงานเร่งคงที่

และมีอีกตัวหนึ่งมันวิ่ง เรียกว่าพลังงานปัญญา

จโตเขาเรียกสายศรัทธา ปักมั่นนิ่งอยู่ ศรัทธาต้องมีความรู้ด้วย

 เจโต คือแกนจิต เป็นส่วนหนึ่งของจิต พอเป็นศรัทธา ก็มีลักษณะหนึ่งของเขา เชื่อมั่นปักยึด

ช่วยกันเป็นธรรมะ 2 ธรรมะที่เกิดประโยชน์จริงๆ โดยเป็นพลังงานที่จับคู่กันและ ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า นิวเคลียส มีพลังงาน 2 ตัวนี้แหละ

พลังงานตัวหนึ่ง เรียกว่าประธาน รวมกับพลังงาน 2 ตัวนี้ พลังงานประธานจะควบคุมพลังงาน 2 ตัวนี้ได้ แล้ว 2 ตัวนี้ไม่มีใครควบคุมเลย มันเกาะตัวทำงานรวมตัวกัน ในนิวเคลียส อย่างอัตโนมัติเลย ถ้ามันมีมาก รวมตัวกันมาก มีพลังงานเก่ง และพลังงานสูง ใครไปกระทบกระแทกพลังงานนี้ จะให้แตกตัวออกมา มันก็จะระเบิด ต่างคนต่างไป เรียกว่า พลังงานระเบิดนิวเคลียร์

มีพลังงานมากและน้อยตามจริง แต่ส่วนมากแล้ว มันระเบิดเถิดเทิง ทำลายไป ทางวิทยาศาสตร์ ก็เข้าใจอย่างนั้น ทางพุทธศาสนาก็เข้าใจ แต่เราไม่ใช้แบบนั้น เรามาใช้พลังงานทางปัญญาของจิต ควบคุมเลย พลังงานทางโน้น เราไม่ให้เกิด ใครจะทำก็แล้วแต่ เราเอามาใช้ประโยชน์เท่านั้น แล้วจะเอามาใช้พัฒนาทางพืช พีชะ ก็ได้

พลังงานที่ เป็นทั้งพลังงานทางวัตถุ มันก็มีบทบาทหน้าที่ รวมตัวกัน เป็นบทบาทเป็นแรง โดยที่มันไม่มีตัวควบคุม พอมาเป็น ลักษณะควบคุมตัวเองเข้า ชื่อว่า พีชนิยาม

อุตุนิยาม มันไม่มีพลังงานควบคุมตัวเอง มีแต่อันอื่น ไปควบคุมจัดการมัน จะมีการควบแน่น ดูดดึง จัดการ อย่างดิน หิน แร่ธาตุ มันถูกสิ่งอื่นกระแทก ก็เปลี่ยนแปลงไป ถูกสังเคราะห์ด้วยบทบาทอื่นๆ มันก็ไปได้เรื่อยๆ เป็นไปตามที่ อันอื่นทำให้มันเป็น ธาตุวัตถุ ที่ไม่มีชีวในตัวเอง เรียกว่า อุตุนิยาม

พอเริ่มเป็นชีวะ มีตัวของมันเองด้วย พีชนิยาม มันก็ทำตัวของมันเอง มันก็รู้ว่า ตัวของมัน ควรจะเอาอันไหน ก็พยายามแสวงหาดูดเอา ไม่แย่งชิง พยายามสร้างในตัวเองก็สร้าง สร้างด้วยตัวเองไม่ได้ก็ดูดเอา สร้างด้วยตัวเองหมายถึง เอาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาสังเคราะห์กัน จับตัวเป็นตัวเอง ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ ยิ่งไม่มีชีวะ เล็กละเอียดจับได้ พีชะ ก็ออกมาสังเคราะห์ตัวเอง ตามที่มีสัญญา เหมือนวัวควายที่กินแต่อาหารของมัน ไม่ไปทำร้ายอันอื่น ชีวะระดับต่ำ ก็ไม่ทำร้ายคนอื่น แต่มันทำเหมือนกัน ถ้ามันโกรธ วัวควายบางที ก็ทำร้ายคนได้ ทำร้ายสัตว์อื่นได้

สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านเรียนรู้ พลังงานพวกนี้ อย่างละเอียดหมด แล้วเอาพลังงานสรุปจริงๆ เรียกว่าพลังงานที่ดีเท่านั้น เอามาใช้ พลังงานไม่ดี ปล่อยมันไปตามกรรม ปล่อยไปตามยถากรรม ปล่อยมันไปตามวิบากของมัน ส่วนพลังงาน ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่มีวิบาก ไปตามประสามัน ไปตามเหตุปัจจัยอื่น ผลักดัน ที่ดูดหรือผลัก อยู่ในอวกาศ เหมือนอุกกาบาต

พระพุทธเจ้าศึกษาในความเป็นคน ซึ่งแบ่งแยกออกมาเป็นพวกที่มีจิตวิญญาณ พืชหรือพีชะ ก็อีกอย่าง อุตุก็เป็นธาตุที่ไม่มีพีชะ สามอย่างใหญ่ๆนี้แหละ

ทีนี้มาเป็นจิต จิตก็สามารถฉลาด ฉลาดจนเป็นโทษภัยต่อผู้อื่น มันฉลาดได้มากมาย แต่ฉลาดแล้วเห็นแก่ตัว ฉลาดแล้วก็ทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายจนอำมหิตโหดที่สุดเลย ใจดำมาก แล้วซ้ำซ้อนที่ร้ายมากก็คือ ตนเองอำมหิตมาก  กายวิญญัติ วจีวิญญัติ หลอกคนอื่นว่าตนเอง เพราะรักคนอื่น ไม่อำมหิต ปิดบังกรรมกริยา การกระทำของตน อย่างซับซ้อนลึกลับ ไม่ให้คนอื่นรู้ได้ ที่เก่งจริงๆก็ปิดบังได้ อย่างที่ใครไม่รู้ทัน นั่นแหละคือยิ่งชั่ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์)ตอน เมตตากรุณาคือพลังงานพระเจ้า ช่วยเหลือผู้อื่น

 

พระพุทธเจ้าศึกษาแล้ว ก็เอามาเปิดเผย เอามาสอน เอามาให้คนอื่นเรียนตาม จะได้จัดการกับจิตของเรา ให้จิตของเราเป็นจิตที่ดี เป็นพลังงานที่ซื่อสัตย์สุจริต มีเมตตา มีความเมตตาสูงเลย

ความเมตตานี่ หลวงปู่เห็นว่า มันน่าจะใช้ภาษาอังกฤษ เขาเป็นคำว่า benevolent หรือ benevolence(adj.)

พลังงานเมตตากรุณา คือพลังงานพระเจ้า เป็นพลังงานที่ช่วยผู้อื่น อย่างเต็มที่ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย พลังงานพระเจ้า กับพลังงานแบบพระพุทธเจ้า ก็ยังใช้แยกกันได้อี

พระพุทธเจ้าสอน จัดการกับจิตใจเรา ที่ไม่ดีออกไป แล้วเอาจิตใจมาใช้อย่างได้สัดส่วนที่พอดี ไม่เสียหาย มีแต่ดีเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะดีกับสังคม ดีกับมนุษยชาติ ดีกับสรรพสัตว์ ดีกับต้นหมากรากไม้ ดีกับดินน้ำไฟลม ดีกับทุกอย่างเลย จึงเป็นความรู้ที่สุดประเสริฐ

หลวงปู่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า จนมาเป็นพระโพธิสัตว์ ระดับ 7 ก็ยังไม่สูงสุด ก็พัฒนาตัวเองต่อไป จนระดับ 7 เลื่อนเข้าสู่ระดับ 8 ไปเรื่อยๆ ชาตินี้ทั้งชาติหลวงปู่จะไม่กล่าวว่า ตนเองเป็นโพธิสัตว์ ระดับ 8 เป็นอันขาด ถ้าเห็นควรว่าเข้าเกณฑ์ดีแล้ว ก็จะพูด อย่างนี้เป็นต้น เราไม่จำเป็นต้องบอกว่า เราสูง เราใหญ่ เรามาก แม้เราจะสูง เราจะใหญ่ เราจะมากด้วยความจริง เราไม่ได้โกหก แต่เป็นความอ่อนน้อมถ่อมตน เราไม่อยากจะพูดใหญ่เกินตัว

การที่เราเป็นพวกเก่ง แต่ไม่ได้คุยโม้ ไม่ได้บอกว่าเราเก่ง ไม่ใช่การโกหก แต่เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน เราดีเราสูง แต่เราก็บอกว่า เราได้ขนาดนี้ สูงกว่านั้นเขาถามก็พอได้ แต่ว่ายังไม่บอกว่า สูงอย่างนั้นอย่างนี้ จนหมดตัว คุยจนหมดตัวนี้มีดีเขารู้ทันหมด คนเก่งเขาจะรู้เลยว่ามีเท่านี้ คุยตัวจนหมดเลย เขาก็รู้หมด เขาก็จะหาสิ่งที่เหนือกว่านี้ มาจัดการ ก็เสร็จเลย แต่ถ้าเรามีดีเท่านี้ แต่เราไม่บอกหมด เราเผื่อเหลือไว้ เขานึกว่าเรามีเท่านี้ แต่เราไม่อยากอวดโอ้ ไม่จำเป็นจะต้องบอก จิตใจที่เจตนาโกหก กับจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อยากอวดโอ่ ไม่อยากข่มคน หรืออวดดี มันมีลักษณะจริง ของปัญญาของผู้รู้ ผู้ที่เรียนรู้ได้ดี ก็จะใช้พลังงานเหล่านั้นได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน ทำดีแล้วโดนว่า...แสดงว่ายังทำดีไม่มากพอ(โง่-ฉลาด)

มีข้อความส่งมาจากเฟสบุค “เพลงเพราะ ทามะ ทามะ” เรื่องชื่อว่า….

 “ทำดีแล้วโดนว่า...แสดงว่ายังทำดีไม่มากพอ ” 21 ธันวาคม 2016

บ่อยครั้งที่เรามักถามตัวเองว่า ทำไมถึงต้องโดนว่า ทำไมต้องด่า แล้วทำไม ถึงมีแต่เรา ที่โดน มันเป็นปัญหาที่วัยรุ่นแต่ละคนต้องเคยเจอ กับการโดนด่า โดนว่า ทั้งๆที่เราก็คิดว่าเราทำดีแล้ว จนทำให้รู้สึก ไม่อยากที่จะทำอะไร เพราะคิดว่าทำดีไปก็โดนด่าอยู่ดี จนมีคำติดปากในกลุ่มเพื่อนกันว่า อะไรก็กู คำว่าอะไรก็กูได้มาจากการที่เราทำอะไร ก็แล้วแต่ ก็จะมีแต่เรา เรา เรา เราเท่านั้นที่โดน โดนด่า โดนว่า โดนติ ทำดีไปก็เท่านั้น ทำดีไปก็โดนด่า โดยที่เราลืมคิดไปว่า ที่ผ่านมาเราทำได้ดีแล้วจริงเหรอ?????

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า จุดเปลี่ยนของชีวิตเรา ที่สำคัญอีกจุดหนึ่ง คือช่วงเข้าเรียนมัธยม ที่โรงเรียนสัมมาสิกขา ราชธานีอโศก โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำ เป็นโรงเรียนที่นักเรียน จะต้องทำตามกฎระเบียบ อย่างเคร่งครัด ถือศีล5 ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใช้เงิน และไม่ใส่รองเท้า โรงเรียนแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านราชธานีอโศก ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นโรงเรียนที่เป็นทั้ง บ้าน วัด โรงเรียน ชาววัด ชาวชุมชน และเด็กนักเรียน ล้วนต้องถือศีล5 ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใส่รองเท้า โดยมี สมณะโพธิรักษ์  เป็นผู้นำของชาวอโศก การอยู่ในโรงเรียนประจำ โดยที่ต้องรักษากฎระเบียบ และถือศีล ถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก สำหรับเด็กมัธยมอย่างเรา ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามา ในรั้วสัมมาสิกขา รั้วของชาวอโศก บอกได้คำเดียวว่า ต้องปรับตัวอย่างมาก โดนดัดนิสัยหลายต่อหลายครั้ง โดนดุ โดนด่า โดนว่า จนเราเริ่มที่จะอดทนไม่ไหว กับการโดนติ โดนว่า รู้สึกว่า ทำอะไร ก็ผิดไปหมด ทั้งๆที่เราก็คิดว่า เราทำดีแล้ว แต่ก็ยังโดนว่าจนได้ ทำให้เราเริ่มมีอคติ กับคนที่ว่าเราตลอด การอยู่ในโรงเรียนประจำ เริ่มทำให้เรารู้สึกกดดัน ไม่อยากเรียนต่อ มีแต่อยากจะลาออก เพราะอยู่ไป ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี มีแต่โดนว่าโดนติ จะอธิบายก็ว่าเถียง เราหลงผิดมาโดยตลอด เรามัวแต่คิดว่า เรานั้นถูกต้องเเละดีแล้ว มัวแต่เอาแต่ใจ ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เลยทำให้การใช้ชีวิต ในรั้วโรงเรียนประจำแห่งนี้ ยากขึ้น กดดัน ไม่มีความสุข

จนวันหนึ่ง วันที่เราเข้าฟังเทศน์ จากหลวงปู่ หรือสมณะโพธิรักษ์ มีนักเรียนคนหนึ่ง เขียนคำถามไปถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่คะ ทำไมเราต้องโดนด่า โดนว่าตลอดเลยคะ ทั้งๆที่เราก็ทำดีแล้ว เราก็ยังโดนว่า แม้เราจะพยายามทำดีอีก เราก็ยังโดนว่า ทำไมถึงต้องโดนว่าด้วยหละคะ” หลวงปู่ก็หัวเราะ ด้วยความเอ็นดู และตอบกลับมาว่า “ การที่เราทำดีแล้ว แต่เรายังโดนว่า แสดงว่า เรายังทำดีไม่มากพอ การที่เราพยายามทำดีแล้ว แต่ยังโดนว่า แสดงว่าเรายังพยายาม ไม่มากพอ เพราะถ้าเราทำดีมากพอแล้ว เราก็ต้องไม่โดนว่าสิ จริงไหม ”

คำตอบนี้แหละค่ะ ที่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน การกระทำเปลี่ยน จากที่ไม่ยอมรับฟังคนอื่น จากที่เคยโดนว่า ก็มีแต่โกรธๆ ก็กลายเป็น เมื่อไหร่ที่เราโดนว่า เราจะขอบคุณเขา และแทนที่จะโกรธ ก็กลับเอาคำที่โดนว่า โดนติ มาพิจารณา แล้วปรับปรุงแก้ไขตัวเอง พอทำเเบบนี้เเล้ว ทำให้เรารู้สึกได้ว่า คนอื่นรักเรามากขึ้น ผู้ใหญ่เอ็นดูเรามากขึ้น ทำให้เราอยู่ในรั้วของโรงเรียน อย่างมีความสุขมากขึ้น หากเรามัวแต่คิดว่า เราดีแล้ว และไม่รับฟังคนอื่น เราก็คงทำใจ อยู่จนจบมัธยม ที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้ การที่เรารู้จักรับฟังคนอื่นให้มาก มันจะทำให้เราได้รู้จัก ยอมรับความจริง

 

(พ่อครูแทรกว่า...ถ้าคนอื่นว่าเรา แล้วเราก็ตรวจตัวเอง ว่าเราเป็นเหมือนคนอื่นว่าหรือเปล่า ตรวจตัวเองดีๆ อย่าลำเอียง ตรวจให้ดี แล้วก็พบว่า เราก็ยังดีจริงๆ ไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาว่าเรา ตำหนิเรา ถ้าเราตรวจตัวเอง เจออย่างนี้จริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า เขาด่าเรา อันนั้นผู้ที่ว่าเรา ตำหนิเรา เขาว่านั้นไม่ตรงกับที่เราเป็น เรานั้นดีจริงๆ เมื่อรู้อย่างนี้ ผู้ที่ตำหนิเราว่าเรา ก็แสดงว่า เขาต้องติผิดว่าผิด จะว่าแรงว่าเบาก็ตาม ผู้ตำหนินั้น ก็ไม่รู้ความดีของเรา ความผิดนั้น อยู่ที่เราหรือเขา ความผิดก็อยู่ที่เขา ไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าเราโกรธเขา เราฉลาดหรือโง่ เราก็โง่ เขาทำความโง่ออกมา ก็อยู่ที่เขาทั้งนั้น ถ้าเราโกรธไม่ชอบใจ เราโง่ จำไว้

ถ้าเราเห็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่ต้องตอบอะไร แต่จริงๆแล้ว มันไม่แน่หรอกว่าเราจะฉลาด หรือถูกต้องดีจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าตรวจแล้วเราถูก ความผิดก็อยู่ที่เขา จริงๆแล้ว เราอาจจะผิดด้วยซ้ำ เขาอาจจะถูก แต่อย่างไร เขาก็คือเขา เขาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เขา ใช่ไหม คนที่นึกว่า เขาคือเรา คือคนที่โง่มหาโง่ มันไม่ใช่ เขาจะดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่เขา เราจะดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่เรา

แม้ว่าเราฉลาดจริงๆ แต่เรานึกว่าเราโง่ จริงๆแล้วเราฉลาด เรานึกว่าเราโง่ เราดูตัวเองไม่ออก จริงๆเราก็ฉลาดอยู่ดี แล้วจะไปแคร์อะไร ถ้าเราดีและถูกแล้ว แม้เราจะเข้าใจว่าเราดี เราถูก เราฉลาดไม่ได้ แต่เรานั้นดีจริงๆ จะไปแคร์อะไร ก็ต้องตรวจตัวเองให้ได้ นี่คือ ความละเอียดลึกซึ้ง

สรุปง่ายๆว่า ถ้าเราไม่ไปว่าคนอื่นโง่ เขาจะผิดอย่างไรก็ตาม เราก็ดูที่เรา ว่าเราผิดหรือไม่ ถ้าเราตรวจตัวเองแล้วว่า เราถูกและดี ถ้าเรารู้แล้วว่า เราถูกแล้ว คนอื่นอย่างไรก็คือเขา ไม่ใช่เรา แต่อย่าหลงตัวเอง ต้องตรวจให้แน่ ว่ามันมีดีกว่านี้อีก เรานึกว่าเราทำดี แต่จริงๆแล้ว มันมีดีกว่านี้อีก เราจะรู้เลยว่า คนที่รู้ว่า เราดีกว่านี้ยังมีอีก เพราะเราเห็นจริงๆ ก็นึกว่าดีเต็มที่แล้ว แต่มันไม่ดีกว่านี้ เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า เราจะรู้ว่า เราโง่หรือฉลาด เรายังทำได้ดีกว่านี้อีก เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเรา โง่หรือฉลาดก็ได้

เราโง่ก็คือ เราไม่รู้ความจริง สำนึกว่าดีแล้ว แต่ที่จริง มีดีกว่านี้อีก เราก็โง่จะตาย จะมองว่าโง่หรือฉลาดก็ได้ ความโง่หรือความฉลาด อย่าไปให้คะแนนมันเร็วนัก ไม่ว่าคนอื่นหรือตัวเราเอง

ลองมองในมุมที่นึกว่า เราทำดี เราก็นึกว่าเราทำดีเต็มที่แล้ว แต่แท้จริง เราทำดียังไม่มากพอ มันมีดีกว่านี้ ที่เราจะทำได้อีก พอเราไปทำดีได้อีก เราถึงรู้ว่า ตัวเราเองโง่ เพราะเรามันทำดีได้มากกว่าอีก  เราก็เลยฉลาดรู้ว่าตัวเองโง่ จบ

ความโง่หรือฉลาด มันเกี่ยวกับเหตุปัจจัย เวลา และโอกาส เหตุปัจจัยต่างๆมันมีคนที่สูงและต่ำ คนที่จริงและไม่จริง อีกเยอะเลย แต่ยังไม่อธิบาย ให้เรียนไปเถอะ ถ้าเรายกให้คนอื่น​ เขาสูงกว่าเรา แต่จริงๆแล้ว เราสูงกว่าเขา ท่านเรียกว่าอ่อนน้อมถ่อมตน เรารู้ว่า เราสูงกว่าเขา แต่เราไม่ยกตนข่มเขา เรายอมให้เขา เรารู้แล้วเราก็ยอมให้เขาเฉยๆ โดยไม่ประชดประชัน เพราะมันสุดวิสัย ที่จะให้เขาเข้าใจว่า เราสูงกว่าเขา แต่ถ้าเราจะทำให้เขาเข้าใจว่า คุณเข้าใจผิด คุณต่ำกว่าเรา เราสูงกว่าเขา ถ้าเราแน่ใจว่า เราสามารถทำให้เขาเข้าใจ โดยเขาจะไม่โกรธเพิ่ม หรือเขาจะไม่ถือดีเพิ่ม เราก็ทำ แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่า จะทำแล้วได้ ก็อย่าเพิ่งไปทำ

อย่างหลวงปู่ ก็ยังไม่กล้าทำกับคนที่หลวงปู่รู้ว่า ต่ำกว่าเรา แต่ก็ยอมยกให้เขาสูงกว่า ยังไม่เจ็บปวดไม่ทรมานไม่เสียหาย จนกว่าเราจะแน่ใจว่า เราจะบอกโดยใช้วิธีการอย่างไร ซึ่งหลวงปู่ ทำหลายอย่าง แทรกโอสถทิพย์ เข้าขุมขน ให้เขารู้ โดยที่ไม่ให้เขาคิดว่า เราสอนเราบอก ทำทุกลีลา )

 

ยังมีอีกหลายอย่าง หลายคำสอนของหลวงปู่ ที่ทำให้เราดู เป็นตัวอย่าง เพราะหลวงปู่ ทำให้เห็น ไม่ใช่สอนเพียงคำพูด เลยทำให้เราเชื่อเเละศรัทธา ในคำสอนของท่าน คำสอนของหลวงปู่ ไม่ได้ใช้ได้แค่ในรั้วโรงเรียน 

แต่เมื่อเราเรียนจบ อย่างภาคภูมิใจเเล้ว สิ่งที่ติดตัวเรามาด้วย ก็คือคำสอนเหล่านี้ หลวงปู่สอนและปลูกฝัง ให้เรารู้จักเสียสละ ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เมื่อเราออกมาใช้ชีวิต ข้างนอกรั้วโรงเรียน เมื่อเจอปัญหา เราก็มักจะนึกถึง คำสอนของหลวงปู่เสมอ คำสอนเหล่านี้แหละค่ะ ที่ทำให้เรายกให้หลวงปู่เป็นไอดอล ในดวงใจ

 

มีคำถามจากสส.ธ.

_ถ้าหนูมีเงินฝากคุรุไว้ แล้วหนูก็ขอเบิกไปซื้อขนม และของใช้ที่ ปันบุญ (ร้านค้า ในราชธานีอโศก) หนูจะผิดระเบียบ เรื่องใช้เงินไหมคะ

ตอบ...ถ้าอยากจะรู้ว่า ผิดหรือไม่ผิด ก็บอก คุรุ ว่าหนูเบิกเงิน จะไปซื้อของใช้อันนี้นะ ที่ร้านปันบุญมี จริงๆซื้อได้ เพราะที่ร้านนี้ ไม่มีของมอมเมา แต่ถ้าจะเบิกไปซื้อที่ร้านข้างนอก โดยที่ไม่บอกคุรุไม่ได้ แต่ถ้าจะซื้อของที่ปันบุญ พอได้ แต่ให้ดีคือ ถ้าหนูจะไปซื้อขนมอันนี้ ซื้อของใช้อันนี้ ที่ปันบุญมีขาย ถ้าบอกได้ก็ดี เพราะว่า ของใช้บางอย่างที่ปันบุญ เด็กยังไม่ควรซื้อมาใช้ก็มี คนขายเขาก็จะรู้ไม่ขายให้ ให้ไปบอกคุรุก่อน ของปันบุญนั้น ของใช้บางอย่าง เด็กก็ไม่ควรไปซื้อมาใช้ ถ้ามีของใช้ของผู้ใหญ่หลายอย่าง จะให้ดีก็บอกก่อน ของใช้หรือขนม ที่ปันบุญมี จะไปซื้อ ก็บอกผู้ใหญ่หรือ คุรุ

 

_ทำไมคนเกิดมา ต้องมีจริตเยอะคะ

ตอบ..จริตเป็นคำกลางๆ หมายถึงพฤติกรรม ท่านใช้คำสองคำ สุจริต กับทุจริต

สุจริต แปลว่า ทำความประพฤติ ทำพฤติกรรม ทำกิริยากายวาจาให้ดี ไม่ต้องถึงใจก็ได้ก่อน ถ้าทำไม่ดีแปลว่า ทุจริต

ทีนี้ เราจะทำให้ดีนี่ ​เราจะต้องปรับ การปรับจริต ฟังได้ดี แต่คำว่า การดัดจริตฟังแล้วเหมือนร้าย เพราะว่าคำว่าดัด มันมากไป แต่การปรับนั้น มันใช้ได้

ถ้าดัดจริตมันเวอร์ไป ดัดจริตส่วนมาก จะมากไป คนดัดจริต เราจะรู้ว่า แหมดัดจริต มันมากไปแล้ว ขออภัย พูดพาดพิงนิดนึง อย่างกระเทยนี่นะ โดยเฉพาะกระเทยผู้ชาย ที่อยากเป็นผู้หญิง มันดัดจริตจนเวอร์ หายากที่จะพอเหมาะ

ดัดจริตมากไป ทำอันนี้มากไป นี่ก็คือตัวจริต คำว่าเยอะนี่กลางๆ ถ้าเรารู้ว่ามันเยอะ ก็ต้องปรับ ถ้าเราปรับผิด ปรับให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกก็ได้ ก็ดัดจริต

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน ล้างความริษยา

_ทำไมถึงมีแต่ความอิจฉา ลูกอยากรู้ค่ะ

ตอบ...คำว่าอิจฉา ภาษาบาลีแปลว่า ความต้องการอย่างกลางๆ ถ้าภาษาบาลี อิสสา แปลว่าริษยา ในภาษาสันสกฤติ คือแข่งดีแข่งเด่นกับคนอื่น ไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดี เรียกว่า ริษยา ทำไมต้องมีความอิจฉา ก็ถ้าไปเข้าใจคำว่าอิจฉา เป็นอิสสา ก็ไม่เสีย แต่อิจฉา เป็นบาลี ไม่ได้แปลว่าริษยานะ

อิจฉา แปลว่า ความต้องการความปรารถนา กลางๆ อากังขาวจร อิจฉาวจร เป็นความประสงค์ แต่ถ้าเป็นอิสสาวจร หรือ ริษยาวจร ก็เป็นการแข่งดี

ทำไม คือจิตใจ ไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดี หรือแข่งดีแข่งเด่นกับคนอื่น ก็เพราะว่าเราเอง เราไม่รู้อาการอย่างนั้น ของจิตใจเรา จิตริสยา หรืออิสสา จิตใจที่ไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดี ก็เพราะว่า เรายังไม่รู้อาการอย่างนั้น ของจิตใจ เป็นอาการที่ไม่ดี เป็นอาการชั่ว มันติดมากับตัวเรา เรารู้แล้ว เราก็แก้ไขเสีย อย่าไปคิดว่า จะต้องไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดี หรือแข่งดีกับเขา ถ้าคนอื่นได้ดี ก็ควรจะอนุโมทนาสาธุ กับเขา มุทิตา แล้วเราก็พยายามทำดี ตามอย่างที่เขาดี ให้รีบทำตัวเอง ให้ดีตามเขา ดีแล้วสาธุกับเขา

คนดีขึ้นไปเท่าไหร่ๆ อย่าไปริษยาเขา อนุโมทนาสาธุกับเขา การที่เราริษยาเขา ก็เพราะเราโง่อยู่ อย่าไปมีจิตเช่นนั้น

 

_ทำไมคนเราเกิดมาทำชั่ว(บางคน) แทนที่จะหัดทำดี

ตอบ...ก็เหมือนกับจิตริษยา ก็ต้องดูให้ได้ แล้วเราก็ต้องรีบเปลี่ยน ทำให้ดี 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน สัตว์ทุกตัวเป็นเพื่อนแก่เจ็บตาย

_คนเราเขาเปรียบเหมือนอะไรคะ

ตอบ...หลวงปู่งง ไม่รู้จะตอบอะไรนะ มันไม่เปรียบ คนก็คือคน หรือหลวงปู่จะอธิบายแทรกเลย ถ้าบอกว่า คนเราเปรียบเหมือนอะไร

 

คนเราเปรียบเหมือน สัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่จริง มันก็ต่างกันอีกเยอะ แต่มันเหมือน ตรงที่เป็นสัตว์เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จงเข้าใจและจงพยายาม ทำจิตใจให้ดี อย่าไปเบียดเบียนสัตว์ใดๆ แม้จะเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย อย่าไปฆ่าเขา สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่ามีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ก็อย่าพูดแต่ปาก ให้ทำใจให้เห็นว่า สัตว์ทุกชนิด สัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์ต่ำสัตว์ชั่วสัตว์ดี เขาก็เป็นเพื่อนทุกข์ทั้งสิ้น อย่าไปทำร้ายเขา โดยเฉพาะอย่าไปฆ่าเขา

คนที่มีเมตตาจริง จะไม่ทำร้ายใคร จะไม่ฆ่าใคร แม้ที่สุด จะไม่ฆ่าเอามากิน แม้เราจะตาย คนที่ไม่ฆ่าสัตว์ใด มากินเลย แม้เราจะอดตาย ไม่มีอะไรกินแล้ว ให้มันตายไปเลย แล้วเราจะเกิดมาดี ไม่มีเวรไม่มีบาปภัย ถ้าเราไปกินสัตว์ ที่มีความเชื่อมต่ออีกเยอะ ลักษณะปานาติบาต 5 กับเป็นบาป มิใช่บุญเลยอีก 5 จะอธิบายให้เห็นเลยว่า การฆ่าสัตว์โดยมี เจตนา (อุทิส) ใน 5 อย่างสัตว์ตาย เพราะเจตนาของคนฆ่า เป็นบาปปาณาติบาต แล้วเอาสัตว์ ที่เขาเจตนาฆ่า ด้วยปาณาติบาต มาให้สาวก ให้ภิกษุ นักบวชของพระพุทธเจ้า หรือมาให้พระพุทธเจ้าฉัน ผู้นั้นได้บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย แม้สักนิดเดียว

เจตนาจะเอาเนื้อสัตว์ มาถวายพระพุทธเจ้า แต่ได้บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย สักกะนิดเดียว

เพราะว่า สัตว์ที่คนจะฆ่า ก็ต้องเริ่มจากนี้เจตนา อุทิสะ แค่นี้สัตว์มันก็ทุกข์แล้ว ถ้ามันรู้นะ ไปเอาไก่ตัวนั้นมา เจาะจงเลย ถ้ามันรู้ว่า มันกำลังจะถูกฆ่า มันก็ทุกข์ นี่คือบาปเป็นอันมาก ต่อมา ก็ให้คนไปจับมา แม้ไม่จับเอง มันก็ถูกจับถูกมัดถูกใส่ในกรงมา สัตว์นั้นก็เป็นทุกข์อีก อันต่อมาอันที่ 3 บอกให้เขาฆ่า มันก็ทุกข์เพิ่มขึ้นอีก อันที่ 4 ลงมือฆ่าเลย มันก็ทุกข์อีก แล้วเอามาทำอาหารถวายพระพุทธเจ้า มันจะเป็นบาปเป็นอันมาก มีกี่ชั้น ไม่ใช่บุญเลย

เห็นไหมว่า เกิดจากเจตนา เจาะจงฆ่าสัตว์นั้นมา เป็นองค์ปานาติบาต 5 สัตว์นั้นมีชีวิต รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต เจตนาฆ่า ลงมือฆ่า สัตว์นั้นตายลง แล้วเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า แต่ได้บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย สักกะนิดเดียว

แต่เขาไปอธิบายว่า เจาะจงให้คนนี้กิน แล้วคนนี้ไม่กิน ไม่เป็นบาป แล้วไปเจาะจงทำไม มันไม่ใช่ เจาะจงบุคคล แต่เจาะจงคือ ฆ่าสัตว์ตาย เพราะเจาะจงที่คนฆ่า แต่ถ้าสัตว์ มันฆ่ากันเอง ก็เป็นปวัตตมังสะ สัตว์มันกินเหลือแล้ว อย่าไปแย่งมันล่ะ เอาเดนสัตว์กินมากิน อย่างนี้เอามากินได้ ไม่เป็นบาปเวรภัย สัตว์มันไม่จองเวรแล้วอย่างนั้น

ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป  มิใช่บุญ)

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย จงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่า ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

องค์ปานาติบาต 5

สัตว์นั้นมีชีวิต รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต เจตนาฆ่า ลงมือฆ่า สัตว์นั้นตายลง

 

สัตว์ทุกตัวเป็นเพื่อนแก่เจ็บตายกัน อย่าไปฆ่ากัน คนนี้แหละ ที่ไม่ฆ่าสัตว์ แม้จะเป็นศัตรู หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ขนาดไหน หลอกให้สัตว์มันตายใจก่อนอีก มันหลอกซ้อนหลอกซ้ำ หลอกให้ตายใจ เสร็จแล้วก็ฆ่ากิน คนนี้คือเมตตาจริง ไม่ใช่เมตตาแต่ปาก แต่ว่ากินเนื้อเขา ดีไม่ดี ก็เลี้ยงให้อ้วนพี แล้วเอาไปฆ่ามากิน มันมีจิตใจอำมหิต

 

_จะทำอย่างไรดีคะ ให้ชั้นปีของพวกหนู รักสามัคคีกัน เข้าใจกันและกัน ยอมซึ่งกันและกัน ไม่กลัวว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน จะทำอย่างไร ให้ทุกคนไม่เกลียดชังกัน

ตอบ...เราจะไปบังคับกันไม่ได้ เราก็ค่อยๆสอนกัน แนะนำกัน บอกกัน ถ้าเขาไม่ให้สอน ก็ไม่สอบ ก็สอนผู้ที่สอนได้ เช่น เราเห็นว่า คนนี้น่าจะบอกสอน แต่เราบอกสอนไม่ได้ สอนจะทะเลาะกัน เพราะไม่มีเครดิตต่อกัน ก็ไปบอกคนที่ศรัทธาที่จะบอกจะสอนได้ หรือบอกผู้ใหญ่ ให้ข้อมูลไปแล้ว ท่านก็จะไปสอน เราไปทำอะไรหมดไม่ได้หรอก สรุปว่า ถ้าเราแนะนำไม่ได้ ก็ไปบอกผู้ใหญ่กว่า

ใจเราอยากให้ชั้นปีเรา สงบเรียบร้อย เข้ากันได้หมด เราอยากใครก็อยาก แต่มันต้องมีบ้างหรือมีมาก ก็ต้องบอก ช่วยกันบอกผู้ใหญ่ ถ้ามันไม่มาก ก็หาวิธีการหาศิลปะ เราจะได้มีความฉลาด ความเก่งที่จะแนะนำเขาได้ จนเขาศรัทธาเรานับถือเรา อย่างนั้นก็ยิ่งดี

 

_อนาคต บ้านราชฯเมืองเรือ จะมีคนรู้จัก จะเป็นเมืองที่สวย ใช่เรื่องจริง ถูกไหมคะ

ตอบ...คำว่าสวยเป็นสมมุติ หลวงปู่ก็พอรู้ เพราะเรียนศิลปะมา แต่ไม่เจตนาจะทำให้สวย อย่างที่เขาสมมติกัน เราจะดึงลงมาหาธรรมชาติ จะสวยหรือไม่สวย ก็อย่างธรรมชาติไม่ดี หลวงปู่เน้นอันนี้ แต่ถ้าจะให้ตัวอย่างที่เขาประกวด หรือปรุงแต่งกัน ในสังคมอย่างนั้น หลวงปู่ไม่เน้น หลวงปู่จะเน้นให้สวย อย่างธรรมชาติ คำตอบว่า ต่อไปบ้านราชจะสวย ก็ใช่ แต่จะสวยอย่างธรรมชาติ เราไม่ไปบุกรุกธรรมชาติ เหมือนอย่างสำนักธรรมกาย มีแต่จะสร้างธรรมชาติเอง สร้างป่าเขา ลำธาร ต้นไม้ สรุปคือ บ้านราชฯจะสวย ตามสมมุติของเรา สวยตามธรรมชาติ ให้เหมือนธรรมชาติ ไม่เหมือนโลกประดิษฐ์กัน จะใหญ่บ้างเท่าที่ใหญ่ เอาตาม realistic

จะมีการตกแต่งบ้าง ก็ไม่มากมาย มีพอให้เขารู้ว่า เราก็รู้และทำได้นะ  ไม่ idealistic แต่เราเน้น realistic

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน ตัดรักให้ขาด

_หลวงปู่คะ ตอนนี้หนูหนักใจมากเลยค่ะ การที่เราจะลืมใครสักคน ทำไมมันลืมยากจังเลยค่ะ การที่เราจะตัดใครสักคน ออกไปจากชีวิต ทำไมมันยากจังเลย

ตอบ... รู้แล้ว หลวงปู่ก็เคยบ้าเคยโง่ อย่างนี้มา มันก็เป็นไปตามประสา ของผู้ที่ยังมีสิ่งนี้ จะต้องเจอต้องพบอย่างนี้ อย่างน้อย สรีระก็มีฮอร์โมน เรื่องของกาม ที่พูดนี้ เป็นเชิงกามแน่นอน ถ้าเป็นเชิงกาม รักอย่างหญิงชาย พระพุทธเจ้า สอนให้เลิกเถอะ เพราะมันเป็นโทษภัย มันเป็นทุกข์ จริงว่าสัตว์โลก จะต้องสืบพันธุ์ต่อเผ่าพันธุ์ แต่ในยุคนี้ คนมีกิเลสกามมากแล้ว เมื่อเข้ามาอยู่กับชาวอโศกแล้ว หยุดเถิด พยายามเรียนรู้เอาให้ได้ เอาอย่างนี้ ตัดขาดให้ได้ ตายเป็นตาย แล้วตายไปเลยสภาพนี้ ตายเพราะว่า หยุดใจรักคนนี้ไม่ได้ จนขาดใจตาย ชาติหน้าก็จะเจริญ ชาติหน้าจะไปวางได้ นี่คือคำตอบสุดท้าย

 

_หลวงปู่คะ ข้างนอกธรรมชาติยังมีไม่พอหรอคะ (ข้างนอกศาลาเฮือนศูนย์สูญ)

ตอบ...ที่นี่ยังมีหมุนเวียนของน้ำ ของอากาศยังไม่พอ ธรรมชาติที่นี่ ก็จะดีพอ นกมันจะรู้ว่า ที่นี่ปลอดภัย จะมาที่นี่

 

_หลวงปู่คะ ธัมมชโย เอาเงินมาจากไหนคะหลวงปู่

ตอบ...หลวงปู่ก็ไม่รู้ว่าเขาเอาเงินมาจากไหน รู้แต่ว่า เขาไปใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้การโกง จนเกิดเป็นคดีความ แต่หลวงปู่ก็ไม่รู้จริงๆ แต่ถ้ามีทุจริต เขาก็จะได้วิบากของเขา ตอนนี้ทางราชการ ก็กำลังเอาเรื่องอยู่ ในเรื่องการทุจริต ข้อสำคัญคือ พวกเราก็พยายามรักษาความบริสุทธิ์ อย่าให้ความทุจริต เกิดในหมู่พวกเรา ความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด ตอนนี้กำลังยืนหยัด ยืนยันกัน

ค่ายอโศกกับค่ายธรรมกาย เป็นหลักสำคัญ ของค่ายธรรมะอยู่นะ ค่ายเถรสมาคม ก็เอานิยงนิยายไม่ได้ ค่ายที่จะเป็นตัว activate เป็นตัวปฏิกิริยาสังคม คือค่ายธรรมกาย กับค่ายอโศก ขอให้รู้ตัวเถิด ลูกหลานเอ๋ย จงบริสุทธิ์สะอาดให้ได้ ความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด

เราทำความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความดีงาม ให้แก่ตัวเราเอง ที่พวกเราเองมันเสียหายไหม ก็ไม่มีเสียหายเลย มีแต่ดีถ่ายเดียว จงทำ

 

_คนที่ชอบชมตัวเอง ยกย่องตัวเอง พูดต่อหน้าคนอื่น ว่าตัวเองดีอย่างนั้นอย่างนี้ บอกให้คนอื่นพูดถึงตัวเองว่าดี และเล่าให้คนอื่นฟังว่าตนเองดี โดยที่คนอื่น ไม่ได้ชมเลย คนอย่างนี้เรียกว่าบ้าไหม

ตอบ...บ้า ตามโจทย์ที่ว่ามานี้บ้า ก็มองเขาให้ดีๆนะ อย่าไปมองเขาด้านเดียว จะเป็นอคติได้ อย่างหลวงปู่นี้ ชมตัวเองว่าคนอื่นง่าย แต่โดยจริง หลวงปู่ไม่ได้ชมตัวเอง แต่ต้องบอกความจริง จนถึงต้องบอกว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์ คนเขา ก็เข้าใจไม่ได้ แต่ก็ต้องบอก คนจะได้รู้ความจริง และมาซึมซับ เอารายละเอียด ของพระอรหันต์ คนที่บอกนั้น เป็นอรหันต์เก๊ แล้วอรหันต์จริง ก็อย่างที่หลวงปู่เป็น มันก็จำเป็นต้องบอก แล้วหลวงปู่ อ่านจิตใจตัวเองเป็น ถ้าหลวงปู่ไปโกหกคนอื่น โดยที่ตนเองไม่ใช่ แล้วไปโกหกว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นปาราชิก เป็นอนันตริยกรรม หลวงปู่บำเพ็ญตนเอง เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะไปทำให้โง่ อย่างนั้นทำไม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์)ตอน ฟุตบอลไทย คือนรกหฤหรรษ์(ขิฑฑาปโทสิกะ)

_หลวงปู่ครับ ทำไมไม่ให้เด็กสัมมา ดูบอลไทยครับ

ตอบ...ทุกวันนี้ ไม่ว่าในประเทศไทยหรือต่างชาติ เขาแข่งฟุตบอลกัน มันจัดจ้านมาก แสดงตัวเองว่าหลงมาก หลวงปู่บอกเลยว่า สักวันหนึ่งจะตายกัน คาสนาม แข่งกันจนเส้นเลือดแตก แล้วมันจะฆ่ากันเอง ตอนนี้ก็มีการจุดพลุกัน แล้วมันจะมีเสียหาย เลวร้ายมากขึ้น ไม่หยุดหรอก จิตใจที่จัดจ้านขึ้น เขาเรียกว่า อุภเพงคาปีติ มันจัดจ้าน แล้วจะเลวร้ายขึ้น หลวงปู่กันเอาไว้ อย่าไปเอาใจใส่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่เลย ให้ลดกิเลส ก็จะรู้ว่าเล่นสนุกแค่นี้หรือ ออกกำลังกายแค่นี้อย่างนี้ๆ แข่งกันนิดหน่อย เล็กๆน้อยๆ ก็สนุกแล้วพอแล้ว คำว่าสนุกนั้น มันเป็นกิเลส อย่าไปเติมกิเลส ให้ใหญ่กว่านี้ คนที่ชอบสนุกนั้น เป็นกิเลสแล้ว ท่านเรียกว่า ขิฑฑาปโทสิกะ คือหลงความสนุกที่เป็นโทษภัย อย่าไปเติม เท่านี้ก็เป็นโทษภัยแล้ว

ในโลกนี้มีโทษภัยสองแบบ

1.มโนปโทสิกะ

2.ขิฑฑาปโทสิกะ

 

ขิฑฑาปโทสิกะ  คือการไปหลงความสนุกเพลิดเพลินอร่อย ที่เป็นความสุข เก๊ๆ แต่เป็นโทษ เรามาลดลงให้สนุกแค่นิด ก็เบิกบานร่าเริงแล้ว หลวงปู่ยิ้มแค่นี้ก็เบิกบานร่าเริงแล้ว ไม่ต้องไปกรี๊ดๆๆๆ ให้เส้นเลือดแตกตาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน คนทำชั่วได้ยิ่งกว่าสัตว์หากไม่ลดกิเลส

_คนที่ฆ่าสัตว์แล้วเอามากิน โดยเอามาจากร้านค้า เรียกว่าอะไร (ของเหลือเดน หรือว่าบาปมากกว่าค่ะ เพราะเรากินเขา)

ตอบ...เรียกว่า ซื้อ พระพุทธเจ้าห้ามซื้อขาย สัตว์เป็นสัตว์ตาย หรือเนื้อสัตว์ เรียกว่า มิจฉาวณิชชา อย่าไปซื้อเนื้อสัตว์มา ถ้าไปซื้อมาจากร้านค้าก็ได้ ก็เป็นบาป ไม่ใช่ของเหลือเดน แต่ของเหลือเดนไม่บาป (ของเหลือเดน คือปังสุกุละ หรือบังสุกุล) อย่างนั้นกินได้ ถ้าเนื้อสัตว์ที่ฆ่าโดยคน ถ้าฆ่าโดยสัตว์อื่นใด เดรัจฉานอื่น เราเอาเดนมากิน ไม่เป็นไร แต่เดนที่ฆ่าโดยคน ก็กินไม่ได้

คือสัตว์นี้คนฆ่า แล้วคนกินเหลือเดน เราเอามากินก็ไม่ได้ เพราะสัตว์นี้ตายโดยคนฆ่า เป็นอุทิสมังสะ ครบองค์ 5 ปานาติบาต กินไม่ได้ ถ้ากินแล้ว จะมีเชื้อของบาปเวรภัย ต่อเนื่องมาอีก

แม้จะไปซื้อเนื้อสัตว์ มาจากตลาด ก็ไม่ควรกิน ชาวพุทธจะขาย ก็เป็นบาปของเขา เขาบาป เราไปซื้อก็บาปต่อจากเขาอีก เราจะไปร่วมเป็นทายก ปฏิคาหก กับเขาทำไม เป็นคู่บาปที่มิจฉาวณิชชา

สัตว์เป็นเรียกว่า สัตตวณิชชา เนื้อสัตว์คือมังสวณิชชา

 มีใน มิจฉาวณิชชา 5

1.      การค้าขายอาวุธ      (สัตถวณิชชา)

2.      การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา)

3.      การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา)

4.      การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)

5.      การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอนหมาวัดกับคนชั่ว

_หลวงปู่ครับ หมาวัด กับคนที่ทำชั่วทำเลว หมกมุ่นอยู่ในกาม อันไหนบาปกว่ากันครับ

ตอบ..คนหมกมุ่นในกาม บาปกว่าหมาวัดแน่ แต่ถ้าคนทำชั่ว ทำเลวอื่นล่ะ กับหมาวัด เอ๊เทียบกันยากแฮะ คนมีศักดิ์สูงกว่าหมา ถ้าหมาทำดีกว่าเรา เราก็ชั่วเยอะเลย ถ้าเราทำดีกว่าหมา หมาก็ชั่วกว่าเรา หมาไม่ได้ทำชั่วกว่าเรา เราชั่วกว่าหมานี้เราชั่วหนักเลยนะ หมามันก็รู้แค่นั้น ทำชั่วแค่หมา แต่เรารู้ดีกว่าหมา ฉลาดกว่าหมา แต่ทำชั่วเท่าหมาเท่านั้น เราก็ชั่วกว่าหมาแล้ว

ทีนี้คนล่ะ ส่วนมาก ทำชั่วกว่าหมา อำมหิตกว่าหมา หมาจะทำชั่วได้ระดับหนึ่ง ถ้าเราทำดีต่อหมา หมามันจะกตัญญูด้วย ควายก็มีความกตัญญู ขนาดที่เราทุบตีมัน มันก็ไม่ทำร้ายเรา หมาหรือควายหลายตัว ถ้าเราทำร้ายคน เราก็ใจร้ายกว่าหมา ชั่วกว่าหมา คนโกงจึงเลวกว่าหมาทุกตัว คนโกงได้ หมามันโกงไม่เป็น อาจจะโกงเป็น แต่โกงอย่างหมาๆ สรุปแล้ว เราเป็นคน จะต้องเข้าใจความเป็นคนว่าเราเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ควรจะชั่วไปเท่ากับสัตว์เดรัจฉานตัวได้เลย เราทำดี ให้เหมือนสัตว์เดรัจฉานบางตัวก็ยังดี

เขาเคยเทียบ เอาเหล้ามา แล้วให้หมามันกิน หมามันก็ไม่กิน แต่คนที่ติดเหล้าเอาเหล้าให้กิน คนก็กิน คนนี้เลวกว่าหมา

คนเราเลวกว่าหมา ทุจริตขี้โกงมากกว่า คิดให้ดี เราจะรู้ว่า เราเกิดมาเป็นคนทำชั่วอีก ก็สู้หมาไม่ได้ เราเกิดมาเป็นคนทำไม

 

สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้ได้ฟังหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการฆ่าสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ เพราะว่าใครมาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ ยกมือขึ้น มีหลายคนยกมือ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:33:35 )

591223

รายละเอียด

591223_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ประกาศอรหันต์ในฆราวาส

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ประกาศอรหันต์ในฆราวาสอโศก

พ่อครูว่า..วันนี้วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2559 วันนี้เป็นวันที่เรามีศพ 2 ศพพร้อมกัน ที่สันติอโศกขนาดนี้ เราจะไปเผาวันพรุ่งนี้ ศพ 2 ศพนี้ จะเผาวันพรุ่งนี้ตามกำหนด แต่ก็เกิดปัญหา แต่จะไม่เป็นปัญหา มันมีความเห็นแยก 2 อย่าง เรียกว่า เทวนิยม กับอเทวนิยม

ศพข้างขวาของอาตมา แปลว่าข้างซ้ายของคนที่นั่งอยู่ เป็นศพของคุณตุ๊ก สุพร ชุมพล เป็นชาวอโศก อยู่นาน จนสุดท้ายเสียชีวิต มาตั้งแต่สาวจนแก่ ส่วนข้างซ้ายมือของอาตมา ก็คือ คุณแม่สิริกร บูรณะ ตอนแรกก็ว่า จะเผากันที่วัดใกล้นี้ เพราะที่สันติอโศกไม่มีเมรุ ขอก็ไม่ได้ เขายังไม่อนุมัติ เพราะว่าไม่เป็นวัด เราก็เรียกว่าพุทธสถาน เขาก็ยังไม่ให้ แต่ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เราไม่ได้ดึงดันดื้อด้านอะไร

แต่เสร็จ แล้วก็มีความเข้าใจว่า มันต้องทำอย่างเทวนิยม คุณแม่ สิริกร บูรณะ ก็มีผู้ที่เข้าใจ เรื่องอเทวนิยม คือลูกชายที่บวชอยู่ที่นี่ เป็นสมณะ เป็นลูกชายคนที่ 3

ลูกชายคนที่ 1 ก็คือสมณะค้ำดิน ลูกชายคนที่ 2 คือนายติดดิน ส่วนลูกคนสุดท้ายคนที่ 5 จะอยู่กับธรรมกาย เป็นศิษย์ธรรมกายอย่างเหนียวแน่น ยังไม่เข้าใจในความเป็นจริง ที่อาตมา จะพูดต่อไปนี้ เข้าใจให้ดี ไม่ใช่เป็นการข่มขี่ ยกตนข่มท่าน มันมีความแตกต่างจริง ก็จะแยกแยะความแตกต่างให้ฟัง เป็นวิชาการความรู้ ใครจะสมัครใจอย่างไร เราบังคับไม่ได้หรอก อย่างน้องสาวคุณติดดิน จะไปอยู่กับธรรมกาย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่างคนต่างยึดถือ

ตอนแรกนึกว่าที่นี่จะดี ธรรมกายเขาไม่ได้ศึกษาที่นี่ พอมาตอนแรก เขาสัมผัสที่นี่ พอใจนะ ซึ่งมันก็แปลกดี ที่จริงเขามักมากมักใหญ่โตมโหฬารนะ แต่ที่นี่มักน้อย สัมผัสแรก เขารู้สึกดีนะ อาตมาว่าเป็นนิมิตที่ดี นิดนึง แต่สิ่งที่เขาติดยึด มันมีมาก ก็เลยจะถอน กลับไปอย่างโน้น เพราะมาที่นี่ จุดธูปจุดเทียน ก็ไม่ให้จุด ก็บอกว่า พ่อแม่จะไปสวรรค์ได้อย่างไร คือการจุดธูปจุดเทียน เป็นเทวนิยม

เป็นพิธีที่ติดยึดกันมากเทวนิยม คนที่เทวนิยมในพลเมืองของโลก จะเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนายิว ศาสนาอะไรก็แล้วแต่ รากฐานศาสนามาก่อน ตั้งแต่เป็นผีบุญ นับถือศาสนาผีแต่เดิม ดึกดำบรรพ์ มีหัวหน้าเผ่า แล้วก็นับถือวิญญาณทางเทวนิยม ยังไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ ว่าคืออะไรกันแน่ ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องลึกลับ จนกระทั่ง ค่อยๆพัฒนา มีปัญญาความรู้ที่ชัดขึ้น จนมาเป็นพระพุทธเจ้า ชัดเจนว่าเป็นอเทวนิยม

เขาไม่ได้เข้าใจ พลังงานทางจิต ไม่เข้าใจ จิตมีสภาพเป็นเทวะ เป็นพระเจ้า เป็นพระพรหม แบบไม่ยึดถือแบบไม่มีอัตตา ซึ่งศาสนาพุทธมีทั้ง 2 อย่าง พลังงานอย่างพระเจ้า เป็นเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา มีเต็ม แต่สำคัญอยู่ที่ว่า มันเป็นอัตตาหรือไม่ ทำงานเพื่อผู้อื่น แต่เป็นอัตตา

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกล่าวไปถึงเลยว่า ทำงานไม่เพื่อผู้อื่น อันนั้นยังไม่สูงสุดแล้ว ทำงานยังมีเศษส่วนเป็นตัวตน เป็นเพื่อตัวเพื่อตนซ่อนอยู่ อันนี้ไม่สูงสุด ทำงานไม่เพื่อตัวตนเลย เพื่อผู้อื่นอย่างเดียว

มีคนเอาบทความของ ฆราวาสที่เป็นชาวอโศกคนหนึ่ง เขียนบทความในหนังสือ “พลอยแกมเพชร” เล่มสุดท้าย เอาเรื่องราวของ ผู้หญิงคนหนึ่ง ในบทความ ชื่อว่ากิ้ม แต่ชื่อจริง คือกิมตัง อาตมาก็บอกว่า อาตมารู้ คนนี้มีพฤติกรรมพฤตินัยดี และอาตมาขอแจ้ง ณ ที่นี้ด้วยว่า กิมตังนี้ อยู่ในขั้น อรหัตมรรค ยังไม่ถึงอรหัตผล เท่านั้น ศึกษาเถอะ ศึกษาดีๆ เป็นอรหันต์ขั้นอรหัตมรรค ยังไม่ขึ้นอรหัตผลเท่านั้น กิมตังนี่ คืออาตมาไม่ค่อยได้บอกใคร แต่เคยบอกบ้างบางคน เคยเปรยว่า  กิมตังนี่ ดูดีๆ บอกเป็นใคร มีภูมิธรรม ขนาดไหน อาตมาเคยบอก ไม่มีใครเขารู้จักหรอก

ทุกวันนี้ แม้แต่ในปฐมอโศกเอง ก็ไม่ค่อยรู้จัก ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ค่อยจะอะไร แต่เขาไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แล้วเขาก็สงบ เขาก็ว่าของเขาไป เขาก็ทำประโยชน์คุณค่า ให้แก่สังคมไป ทุกวันนี้ ยังแข็งแรง เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักคุณธรรม ในระดับของ ศาสนาพุทธโดยตรง ไม่ง่าย ไม่ง่าย ไม่ง่าย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พรหมชาลสูตร) ตอน ลักษณะของพุทธธรรม 8ประการ

พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า คำสอนของท่านนั้น ..

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.      นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9 “พรหมชาลสูตร” ข้อ 26)

คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ ลึกซึ้งลึกล้ำ

 แม้จะสัมผัสด้วยตา ก็ไม่รู้ง่ายๆ เหมือนกับกามนิต ที่ไปคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืน ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เห็นตามได้ยาก ขนาดนอนคุยกับพระพุทธเจ้า ยังไม่รู้อีก รู้ไม่ได้ง่ายๆ

สันตา แปลว่า สงบ ​เป็นความสงบที่พิเศษไม่ใช่ตื้นๆเขินๆ สงบคืออะไร? สงบคือนิ่ง ไม่กระดุกกระดิก สงบคือเงียบๆ สงบคือไม่เกี่ยวกับใคร สงบคือช้าๆ? ไม่ใช่ 

สงบ คือตัวการที่มันไม่พาสงบ มันพาร้ายพาเลวพาชั่ว มันตาย ซึ่งไม่มีพลังอยู่ในจิตเลย มันสงบเงียบเลย มีแต่พลังที่คล่องแคล่ว มุทุภูตธาตุ เป็นพลังจิตที่แววไว แคล่วคล่อง ซึ่งจะทำงานอย่างปราดเปรียว แคล่วคล่อง มีกำลังวังชา อย่างนั้นด้วย

สงบ ดีไม่ดีพูดเสียงดัง ดีไม่ดีโหวกเหวกโวยวาย เหมือนโพธิรักษ์ อย่างนั้นจริงๆ แต่ปรุงแต่งทำไป ตามลักษณะที่ควรจะเป็น เพื่อให้ได้ผล มันจะต้องมีแรง Action reaction จะต้องรู้การออกไป และสะท้อนกลับมา ที่จะเป็นประโยชน์ได้ พอเหมาะพอควร เป็นพลังงาน output input จะต้องได้แรงกระทบพอดี

ในนัยยะที่ลึกซึ้ง สันตา สงบที่พิเศษ เดาไม่ได้ เข้าใจยาก อย่าเข้าใจพาซื่อในความสงบที่ไม่บริสุทธิ์

สงบ คือ พลังงานที่จะทำให้ไม่ดี ไม่มีคุณค่า ตายไปอย่างไม่เกิดในจิต แล้วจิตจะทำงานอย่างประมาณได้ดี มีสัปปุริสธรรม 7 เป็นประโยชน์สูงสุด

การจะเข้าใจความละเอียดประณีต ที่จะมีรายละเอียด ผู้ที่รู้แล้ว จะจัดการพลังงานของตน มีพลังงาน 100 เราจะใช้แค่ 30 จะใช้ 50 จะใช้ 70 ผู้ที่เป็นอาริยะสูงสุด จะไม่ใช้จนหมด จะเผื่อเอาไว้ กันผิดพลาด มีพลังงานส่วนเหลือ ที่จะทำงานโดยไม่ประมาท มันจะได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ใช้พลังงานเท่านี้แหละ เพราะเราทำงานไป ไม่ใช่เราคนเดียว คนอื่นจะต้องรับไปทำงานของเขา คนอื่นจะเข้าใจตามบารมี เราจะต้องให้ 100 เต็ม ขนาดพระพุทธเจ้า ยังทำไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าน่าจะช่วยเทวทัตได้ จะได้อย่างไร เทวทัตก็มีบารมี มีบริวารของเขาเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นธรรมดา ฝ่ายดำหรือ ฝ่ายขาว ก็มีสาวกมีบริวาร มันเป็นธรรมดา คนที่ไม่รู้ได้ว่าอเวไนยสัตว์ ก็ไปตามวิบากของเขา

การจะรู้ปณีตา ประณีต อตักกาวจรา ไม่ใช่การเดา คาดคะเนเสี่ยงๆ ไม่ใช่ ไม่ประมาท ไม่ใช่การทำแบบเสี่ยง ถ้าทำไปแล้วเสีย มันก็บาป จะทำไปทำไม มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ตนเองก็บาป คนอื่นก็บาป

 นิปุนา มีความละเอียดระดับนิพพาน ละเอียดจนไม่มีคำอธิบาย เป็นพลังงานที่เล็กที่กว่าฟิสิกส์ ที่อาตมานำพลังงานทางฟิสิกส์ มาประกอบอธิบายความ ผู้ฟังตามจะเข้าใจ แปลว่านามธรรม จะเล็กละเอียดกว่าทางฟิสิกส์ จะเอานิวเคลียร์ฟิวชั่น ฟิชชั่น มาขยายความ ซึ่งเป็นพลังงานจริง พระพุทธเจ้าเรียกว่า  อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

บัณฑิตเวทนียา เป็นบัณฑิตแท้ๆ อย่างไม่ใช่บัณฑิตที่ไปสอบเอาปริญญาเอก 10 ใบมา แต่เป็นบัณฑิตแท้ๆที่มีภูมิธรรม มีอาริยธรรม มีจิตวิญญาณ มีความจริง ทั้งภายในและภายนอก ที่เป็นความบริสุทธิ์ สะอาด เป็นประโยชน์ คุณค่า ต่อมวลมนุษยชาติที่แท้จริง

สรุปแล้ว คนของพระพุทธเจ้า ที่ศึกษาตามพระพุทธเจ้า อย่างสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ มีผลถูกต้องหมด จึงเป็นผู้ที่มีโลกุตรจิต มีโลกะวิทู มีโลกานุกัมปา เป็นจิตใจที่อยู่เหนือโลกีย์ แปลว่า ไม่ใช่อยู่เหนือ อย่างข่มขี่เขา ดูถูกเขา แต่อยู่อย่าง อนุเคราะห์เกื้อกูลโลก แปลอย่างชัดๆ ก็คือรับใช้โลก

และรู้โลก โลกวิทู ทุนนิยมเป็นอย่างไร คอมมิวนิสต์เป็นอย่างไร เผด็จการเป็นอย่างไร ทุนนิยมสามานย์เป็นอย่างไร ก็จะเข้าใจตามบารมี ในการเข้าใจสังคม แล้วเราจะช่วยเขาอย่างไร

รู้ว่าสังคมชนิดนี้ด้อย ถ้าเราจะเข้าไปช่วยด้วยจริงๆ ถ้าเราจะไปเอาเปรียบเขาทั้งที่เขาด้อยกว่า เราเหนือเขาจริงๆ จะไปเอาเปรียบเอารัด ไปใช้เป็นเบี้ย เป็นลิ่วล้อ เป็นเหยื่อได้ แต่ไม่ทำ  ไม่ทำเลย เพราะว่ามันเป็นความเลว ยิ่งเขาสู้เราไม่ได้แต่เราไปเอาเปรียบเขา นี่คือคนคิดชั่วมากๆ คนยิ่งด้อย ยิ่งต้องช่วยเขา ไปเอาเปรียบเขาไม่ได้เลย  คนยิ่งด้อยยิ่งยากยิ่งต่ำ เราต้องช่วยเขา คนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ แล้วเอาเปรียบคนอื่น คนอย่างนี้ต้องจัดการ  ทำให้เขาเลิกทำ ถ้าคนที่ด้อยถูกคนอื่นเอาเปรียบข่มเหง เราจะไปข่มเหงเขาต่อ ก็เป็นความโหดร้ายมาก

 

ทั้งสองศพนี้ ใฝ่หา แสวงหา ลูกของผู้ตายศพนี้ ก็แสวงหา ตั้งแต่คนโตจนถึงคนเล็ก ก็ได้ไปตามทิฏฐิของตน ซึ่งกล่าวได้ว่า ตรงกันข้ามกัน ทางด้านที่น้องสาว ไปแสวงหาทางนั้น เป็นฝ่ายที่.. ขออภัยพูดสัจธรรมว่า มักมาก เป็นฝ่าย มหัปปิจฉะ แต่ทางด้านศพนี้ มามักน้อย อัปปิจฉะ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อ อัปปิจฉะ ไม่ใช่ มหัปปิจฉะ

ในวรรณะ 9 มี

1.      เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.      บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.      มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.      ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.      ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.      เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.      มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.      ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.      ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .

 (พตปฎ. เล่ม 1 “ปฐมปาราชิกกัณฑ์” ข้อ 20)

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ความสามัคคี คือความขัดแย้งอันพอเหมาะ

คำแรกเลย  ลูกสาวคนเล็ก เขาก็ไม่มามักน้อย มากล้าจน ที่พูดนี้ เป็นสัจจะความจริง เป็นปรากฏการณ์จริง เพื่อการศึกษา เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ ถ้าจะไปจะมาต้องมีระเบียบมีวินัย ต้องสะอาดสะอ้าน เลอะเทอะนิดนึงไม่ได้ มันมากไป มันมากไป มันดูดี แต่มันดูดีจนเวอร์ เป็นรายละเอียดซับซ้อน อย่างอาตมาว่า..

 ความสามัคคี คือ มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ ความสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด ได้ค่าที่ดีที่สุด ก็คือมีสกปรกเล็กน้อย และมีความสะอาดสะอ้าน อย่างพอควร

ต้องมีธรรมสอง ต้องมีความสกปรกและความสะอาด จึงจะเกิดพลังงาน ถ้ามีแต่ความสะอาด ไม่มีแบคทีเรียเลย คนตาย อยู่ไม่ได้ แบคทีเรียน้อยเกินไปก็ตาย

คนสุดโต่ง จะไม่รู้สภาพที่ทรงอยู่ แล้วจะต้องมีพลังงานสังเคราะห์อะไร?ตลอดเวลา จะต้องได้สัดส่วนที่พอเหมาะ มีสิ่งที่ต้านทานไว้ มี Resistance ที่ได้สัดส่วน ไม่เช่นนั้น จะไม่หมุนแรงได้สัดส่วน ทางวิศวะเขาก็รู้ ถ้ามีการต้านทานอย่างได้สัดส่วน จะได้พลังงานที่สูงสุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศาสนาพุทธต้องมีศีลเป็นแกนหลัก

ในศาสนาพระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้หมด หลักใหญ่ของท่านคือ มรรคมีองค์ 8 ผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ จะต้องมีเบื้องต้น สองขยัก

ถ้าปฏิบัติไม่เป็นมรรค มีองค์ 8 ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ 

ธรรมใดวินัยใด ไม่มีมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เอเสวมัคโค นัตถัญโย ไม่มีมรรคมีองค์ 8 จะไม่มีอาริยะบุคคล 4 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

ก่อนจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องผ่านด่าน 2 ด่าน

ด่านที่หนึ่ง ต้องได้พบแสงอรุณ ถ้ามรรคมีองค์แปด เป็นพระอาทิตย์ เป็นดวงอาทิตย์ จะโผล่ขึ้นมาในโลก คุณต้องพบแสงอรุณก่อน ถึงได้เห็นพระอาทิตย์ ถ้าไม่เห็นแสงอรุณมาก่อน คุณก็จะเห็นพระอาทิตย์ปลอม ไม่มีในโลก จะต้องเห็นแสงอรุณก่อน ถึงจะเห็นพระอาทิตย์ได้ในโลก

ต้องรู้สุริยเปยยาลสูตร 7 อย่างนี้ ต้องมีความเข้าใจในแสงอรุณเจ็ดอย่างนี้

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  ต้องมีสัตบุรุษในนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เรานี่แหละ เป็นมิตรดีกับเธอ มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ เมื่อเราเข้าไปคบกับมิตรดี ท่านก็จะสอนเรา ได้คบกับสัตบุรุษบริบูรณ์ จะทำใจในใจได้ถูกต้อง ลงไปถึงที่เกิด โยนิโสมนสิการ

คำว่าโยนิโสมนสิการ เป็นข้อที่ 7 ของสุริยเปยยาล

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .

 

อาตมาพูดเหมือนเก่งมากเลย ยังกับจะจบเปรียญมา เปรียญ 18 เปรี๊ยะเลย อาตมาจำพยัญชนะบ้าง แต่สภาวะอาตมามีอยู่แล้ว จำป้ายยาแค่นั้น บางทีแปะป้ายผิด แต่สภาวะไม่ผิด

มิตรดี จะต้องมีคณะดี มีผู้รู้ที่จะให้ธรรมะได้เป็นหลัก แล้วเราจะเข้าใจเรื่องศีล

ศาสนาพุทธ จะต้องมีศีลเป็นลำดับ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ทั้งหมด 43 ข้อ

ในศาสนาพุทธ ท่านก็ว่า ภิกษุทั้งหลาย นี่คือ ศีลของเธอประการหนึ่ง ท่านตรัสในพระสูตร เล่มแรกเลย ตั้งแต่ทุกข้อของ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธ ไม่มีศีลแล้วใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จะไปถือวินัย 227 ข้อ ซึ่ง วินัยเป็นกฎหมายอาญา เป็นกฎหมายลูก ศีลเหมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีการปรับโทษ ใครทำก็ได้ความถูกต้อง ส่วนกฎหมายลูก ก็เอาจากกฎหมายหลัก ไปปฏิบัติอีกทีมีโทษ ส่วนกฏหมายหลักคือศีล ไม่มีโทษ ใครปฏิบัติได้ก็ดี

แต่ถ้ากฎหมายหลักไม่มีเลย แกนหลักคือศีล ไม่รู้จักแล้ว ได้แต่ริมรั้วเสารั้วคือวินัยเท่านั้น

สรุปแล้ว คือศาสนาพุทธทุกวันนี้ พระส่วนใหญ่เลย ไม่ได้ถือศีล ถือแต่พระวินัย 227 บางคนอาจจะไม่รู้จัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เลย มีแต่วินัย 227

ใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

จุลศีลคือ หลักให้ตัวเองปฏิบัติ แล้วจะให้เกิดการบรรลุธรรม ให้เกิดการบรรลุมรรคผล ใน จุลศีล 26 ข้อ

ส่วนมัชฌิมศีล ก็ขยายจากจุลศีลไป

ส่วนมหาศีล เป็นศีลที่องค์รวม ต้องช่วยกันรักษา ต้องทำการเว้นขาด ศาสนาพุทธจะดูว่า สะอาดบริสุทธิ์จริง ต้องเอา มหาศีลมาจับ มี 7 ข้อ เป็นเครื่องชี้ชัดว่า คือศาสนาพุทธหรือไม่ ถ้าไม่มีมหาศีล ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ออกนอกศาสนาพุทธไปแล้ว อย่างที่คณะใหญ่ทำนั้น ออกนอกศาสนาพุทธเต็มตัว ก็จะอ่าน ข้อที่ 7 ของมหาศีล

7.พระสมณะโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

พ่อครูว่า...คือในศาสนาหมู่นั้น มีแต่เดรัจฉานวิชชา ที่แปลว่า ความรู้ที่ขวางทางนิพพาน ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน

ดรัจฉานไม่แปลว่าสัตว์อย่างเดียว สัตว์มันทำอวิชชาไม่ได้หรอก แปลความหมายคือ วิชชาที่เป็นไปเพื่อ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เรียกว่าเดรัจฉานวิชา 

เดรัจฉานวิชาจะพาคุณไปรวย ถ้าให้มีตำแหน่งยศศักดิ์ที่สูง ทำให้ได้รับการสรรเสริญเยินยอ จะเรียกว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่คนก็หลงว่าเป็นงานชั้นสูง ฟังยากหน่อยนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน ในศาสนาพุทธ “อธิษฐาน” ไม่ได้แปลว่า “ขอ”

ใครที่ไปนั่งอธิษฐาน ตั้งจิตว่าขอให้ได้ ขอให้มี ขอให้เป็น คือผิดจากศาสนาพุทธแล้ว

ศาสนาพุทธ อธิษฐาน ไม่ได้แปลว่าขอ ขอให้ได้ ขอให้เป็น ขอให้มี อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

อธิษฐาน แปลว่าการตั้งจิต ตั้งไว้เลยมุ่งมั่นไว้ เราจะเดินไปทิศทางนี้ ตั้งจิตมุ่งไปทางนี้ เราจะทำชุดนี้ให้บรรลุ ให้ได้ผล

แล้วจะทำอย่างไร ไม่ต้องไปหวังผล ถ้าคุณทำ ถ้าเราเองเรามี 1 แล้วเราจะทำอย่างนี้อีก 1 ก็ทำเลย ทำ 1 ให้เต็ม แล้วเราจะได้ 2 โดยไม่ต้องคิดว่าจะได้ 2 อย่างนี้เป็นต้น

 นี่คือคนที่เก่งมาก ปฏิบัติธรรม สัมมาทิฏฐิแล้ว จะได้ผลตรง และเร็ว

การทำพิธีบนบาน แก้บน การบนบาน คือการตั้งความหวัง หรือติดสินบน ถ้าได้ตามประสงค์ จะเอาของมาแก้บน ก็คือทำพิธีแก้บน

การร่ายมนต์ขับผี มันเป็นภาษาที่แรง การร่ายมนต์แล้วจะได้ไปปราบสิ่งที่ชั่วใดๆ มันเป็นการเชื่อว่า การท่องบทมนต์ จะมีฤทธิ์มีเดช ไปขจัดสิ่งไหนๆ นี่คือเดรัจฉานวิชา คนที่ท่องบทมนต์แบบที่ว่า จะได้แต่ขจัดปัดเป่า สิ่งที่ร้ายอะไรออกไป ก็คือเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น ออกนอกรีตทั้งนั้น

ต่อมา สอนบทมนต์ป้องกันบ้านเรือน สวดมนต์แล้ว จะได้ให้รักษาเรา จะมีฤทธิ์มีอำนาจป้องกันเรา นี่คือเดรัจฉานวิชา การสวดมนต์กันอยู่ในพุทธศาสนา คือเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น สวดมนต์ 11 ล้านเที่ยว อย่างนี้เปล่าดาย เดรัจฉานวิชา พระพุทธเจ้าเขียนไว้ แต่อ่านไม่แตก ไม่มีภูมิ

การสวดมนต์นั้นมีอยู่ 2 อย่าง คือ สังคีติกับสังคายนาเท่านั้น คือสมัยก่อนไม่มีหนังสือ ก็เลยต้องท่องสวด ให้จดจำได้ ส่วนสังคายนา คือมีคนหนึ่งสวดขึ้น แล้วคนอื่นก็ช่วยกันฟัง ว่าถูกต้องไหม ช่วยกันท้วงกัน ว่าอย่างไหนถูกกันแน่ ก็แก้ไขให้ถูกต้อง เรียกว่าสังคายนา รักษาไว้ไม่ให้ผิด

ถ้าเอาบทมนต์ ไปสวดให้ฆราวาสฟัง อันนี้เป็นอาบัติปาจิตตีย์ พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้แล้วในพระวินัย สวดมนต์ตั้งแต่ 2 คนพร้อมกัน อย่าไปสวด ถ้าจะสวดก็สวดอย่างสาธยาย อย่างเช่นที่อาตมาสวดอยู่นี้ เอามาสาธยายขยายความ สวดคนเดียว จะขยายสองคนพร้อมกัน เหมือนร้องเพลงอย่างนั้นไม่ได้ แต่อย่าเอาบทมนต์พระพุทธเจ้า มาสวดพร้อมกัน 2 คน ต่อหน้าฆราวาส เป็นอาบัติทั้งนั้น ศาสนาพุทธทุกวันนี้ เอาพระไตรปิฎก เอาบทมนต์ มาสวดต่อหน้าฆราวาส เป็นอาบัติหมด จะสวดได้ก็เป็นประนามคาถา คือบทสรรเสริญพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นบทมนต์ที่แต่งขึ้นมาใหม่ แต่อย่าเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสวด เอาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มาสวดกันล้านเที่ยว ก็ได้วิบากผิดไปล้านเที่ยว ขออภัยที่เอาสิ่งจริงมาพูด เป็นปรากฏการณ์จริง มายืนยันให้ฟัง เพราะสงสารเขา แต่พูดให้ตายเขาก็ไม่ฟัง

ทำกระเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้เป็นกระเทย อันนี้คือทำการอุตริ ไปเปลี่ยนแปลง DNA คำว่า DNA คนนี้เป็นอย่างนี้แล้ว ศาสนาพุทธไม่ไปตอแยกับกระเทย ปล่อยให้เขาไปชาตินี้ กระเทยผู้ศึกษาธรรมะแล้วพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ได้ แต่จะมาแสดงอะไร ที่ดัดจริตมากไปไม่ดี มาเผยแพร่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม แต่ถ้าตั้งใจศึกษาก็มาได้ เป็นกระเทยก็สังวรระวังสำรวม อย่ามาแสดงจริตกระเทย ให้พากเพียรเอา ก็เห็นใจ แต่ DNA เขาเป็นกระเทยแล้ว พระพุทธเจ้าถึงพอจับได้ว่าเป็นกระเทยมาบวช ก็ให้สึกเสีย ภาษาพระพุทธเจ้ามีหลายคำ บัณเฑาะว์ อุภโตชน เป็นต้น แต่อย่าไปทำเปลี่ยนเพศเขา ปล่อยเขาไปทั้งชาติหนึ่ง เขาจะศึกษาเอาเองก็แล้วแต่เขา

ทำพิธีปลูกเรือน ต้องยกเสาเอก ต้องทำพิธี มีกล้วย มีอ้อย ลงเสาเข็ม ศาสนาพุทธไม่ทำ เดี๋ยวจะทำพิธีอื่นๆในการปลูกเรือน ไม่เอา หรือทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ ศาสนาพุทธไม่ทำ ที่นี่มีต้นไม้ใหญ่ จะต้องเชิญเทพารักษ์ออก อย่างนี้ไม่ใช่ จะรักษาต้นไม้ใหญ่ ก็ให้รักษาไว้ อาตมาเคยเล่นไสยศาสตร์มา ก็เชิญเทวดาออกจากต้นไม้ มามากแล้ว ขออภัย ที่อาตมาพูดแล้ว เหมือนเบ่งข่มยกใหญ่

พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ก็คือเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น และมีพระวัดไหนไม่สวดมนต์ ไม่พ่นน้ำมนต์ ไม่รดน้ำมนต์ นอกจากวัดอโศก

ทำพิธีบูชาไฟ คือจุดธูปจุดเทียน มีไฟมีเปลวเพื่อจะให้ถึงวิญญาณ เพื่อให้มีควันกับมีเปลว จุดเทียนก็มีเปลวเทียน จุดธูปก็ให้มีความไปถึงวิญญาณ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ พระวิญญาณของศาสนาพุทธอยู่ในจิตใจ นอกนั้น เป็นเรื่องของวิบากเขาเอง คุณไปแก้ไขไม่ได้หรอก เพราะกรรมเป็นของของตน ไม่มีใครแก้ไขกรรมของคนอื่นได้ พระพุทธเจ้า ก็ยังแก้วิญญาณคนอื่นไม่ได้ จะเปลี่ยนได้แต่วิญญาณตัวเอง ถ้าใครไปเปลี่ยนวิญญาณคนอื่นได้ ก็เก่งเกินพระพุทธเจ้า การสวดมนต์หรือจะส่งอะไร ไปให้คนที่ตายแล้ว ก็เก่งเกินพระพุทธเจ้า อาตมาไม่เคยกลัวใครทั้งหมดเลย แต่อาตมากลัวคนๆเดียว กลัวคนเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอาตมายังไม่กลัวเลย เพราะว่าท่านไม่ทำอะไรกับคนที่ทำดีอยู่แล้ว

ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

รายละเอียดของการบูชาไฟก็มีเช่น เผาข้าวสารให้เกิดควัน หรือซัดแกลบ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ในมหาศีลข้อที่ 1 คือ

พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์

สรุปแล้ว ทุกวันนี้ เดรัจฉานวิชาเพียบในศาสนาพุทธ ละเมิดหมด ในสิ่งที่ท่านห้ามไว้ จึงชื่อว่า พระทุกวันนี้ไม่มีศีลแล้ว เพราะมหาศีล เป็นสิ่งที่พวกลัทธิต่างๆเขาหลง เขาจะเล่นไสยศาสตร์ มีเดรัจฉานวิชา มีฤทธิ์มีเดช ขอย้ำว่า พลังงานทางจิตเดรัจฉานวิชา มันมีฤทธิ์เดชได้จริง อาตมาเคยทำมา ตั้งแต่ฆราวาส แต่พอรู้ว่า ไม่ใช่ศาสนาพุทธก็ถอน อาตมาทำอยู่ 8 ปี อาตมาเรียนวิทยาศาสตร์ ทางสะกดจิตด้วย สะกดจิตมันเป็นสภาพ มโนมยอัตตา เป็นของลวง แม้แต่ไม่เห็น ก็ทำให้เห็นได้อย่างลวง ให้เนื้อตัวอยู่ยงคงกระพัน ยิงไม่เข้าฟันไม่ออก อย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็เล่นมาหมด ผิวไม่แยก แต่ข้างในก็แหลกได้เหมือนกัน บางคน กระดูกโปน อาตมาก็เสกให้ยุบคาตาได้ มีพลังงานจริง แต่ว่าไม่ยั่งยืน ไม่ใช่ศาสนาพุทธ

เราไม่ดูถูกเขา แต่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ทางที่พาพ้นทุกข์ อย่างนั้นมันแค่เก่ง มีอัตตามานะ และหลงไหล ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ยิ่งเก่งยิ่งมีลาภยศสรรเสริญ ต่างๆนานา อย่างนั้นเรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ ส่วนอาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็รู้สวรรค์นรก รู้ว่าใครไปเกิดที่ไหน รู้ใจคนอื่นหมด อย่างนี้เลอะเทอะ

คนที่มีมโนมยอัตตา เมื่อคุณตายไปก็มีนรกจริง แต่คุณอวิชชาก็ตกนรกนั้น แต่ความจริงแล้วมันไม่มี เมื่อคุณได้กำหนดหมาย ที่จะต้องมีมโนมยอัตตานั้น เมื่อมันไม่มีแล้ว คุณตายลงไป มันก็ไม่มี พระอรหันต์ทุกพระองค์ ตายไปแล้วไม่มีนรกสวรรค์ ถ้าเป็นพระอรหันต์ที่มา ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คือตายแล้วไม่ตั้งจิตต่อ ทุกอย่างสลายหมดเลย เหมือนพวงมะม่วง ตัดขาดจากขั้ว พวงมะม่วงก็หายไปแตกกระจายไปหมด

ทุกวันนี้ยังโชคดีมาก ที่มีพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เอามาใช้ได้อย่างดี ถ้าเข้าใจดี แล้วปฏิบัติตาม ก็เป็นอรหันต์ ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ให้มีสัมมาทิฏฐิ และมีเหตุปัจจัยครบ ก็เป็นอรหันต์ ต่อมา จะได้แค่อนาคามี จะได้แค่สกิทาคามี จะได้แค่โสดาบัน แต่ต่อไปจะไม่มีแม้โสดาบัน

แต่ว่ามันยังไม่ถึงในยุคนั้น แต่ต่อไปจะใช่ อย่างที่โบราณอาจารย์ว่าไว้ว่าไม่มีอะไร จะมีแค่อนาคามี ต่อไปจะได้แค่สกิทาคามี ต่อไปจะได้แค่โสดา สุดท้ายจะไม่มีแม้แต่โสดาบัน มีแต่ผี

ถ้าคุณไม่เตรียมตัว ตั้งแต่วันนี้ คุณจะไปเกิดในยุคนั้น มีแต่การฆ่ากัน อำมหิตโหดร้าย คุณจะต้องเป็นเหยื่ออย่างนั้น ถ้ามีวิบาก คุณไม่อยากเกิดก็ไม่ได้ ถ้าคุณเองยังมีวิบาก คุณจะต้องเกิดไปรับวิบากนั้น ก็ไม่มีใครอยากจะไปรับวิบากร้าย แต่ว่าคุณจะต้องมี กัมมโยนิ กรรมเป็นของ ของคุณ คุณทำเอง วิบากกรรมพาเกิด

คุณจะต้องมาแก้ ด้วยการทำบุญทำกุศล บุญคือการล้างกิเลส กุศลคือการทำความดี คนก็เข้าใจคำว่า บุญกับกุศลไม่ได้ อาตมาก็ต้องมาอธิบาย ให้เข้าใจ

เดรัจฉานกถา คือการพูดสาธยาย ที่ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องมิจฉาทิฐิ เป็นเดรัจฉานกถา ถ้าเป็นวิชชา ก็คือความรู้ เดรัจฉานวิชาก็คือ ความรู้ที่ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอนทาน ศีล ภาวนา

มาอธิบาย ทาน

ข้อแรก ทาน ศีล ภาวนา

ศีล เป็นเบื้องต้นในการปฏิบัติธรรม เริ่มต้นมีศีล 5 เป็นพื้นฐาน ปฏิบัติในศีล 5 แล้วเรียนรู้ ปฏิบัติศีลอย่างไร มันจึงจะไป อวิปฏิสาร ในอานิสงส์ของศีล 10 ข้อ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

ไม่ใช่ว่า ศีล ปฏิบัติได้แค่กายกับวาจา ถ้าจะได้สมาธิ ก็ไปนั่งหลับตา นั่งหลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธ นี่ก็พูดเรื่องนี้มา 46 ปีแล้ว ตั้งแต่บวชมา แม้แต่ในพรหมชาลสูตร พระสูตรแรก ท่านก็บอกว่า การนั่งหลับตา มีแต่อดีตกับอนาคต มันไม่มีความจริง ความจริงต้องอยู่กับปัจจุบัน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วอยู่กับปัจจุบัน มีผัสสะ จึงจะครบสัจจะ สมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ แต่ถ้าหลักการปฏิบัติ สมมติสัจจะไม่มี ปรมัตถะสัจจะก็ไม่ได้ เพราะต้องมีทั้งภายนอกภายใน ไม่มีวิโมกข์ 8 ไม่มีการสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย อย่างนี้เป็นต้น

 

เกิดมาเป็นคน ผู้ที่ไม่เคยได้ยินศาสนาพุทธ ก็น่าสงสาร อยู่นิวกินี อยู่ตะวันตก ไม่เคยได้ฟัง ก็น่าสงสาร แต่คนที่เคยได้ยินได้ฟัง เคยได้เข้าพิธีของพุทธด้วย แต่ไม่ใส่ใจ ที่จะศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ แล้วไม่สามารถปฏิบัติ ก็จะเสียชาติเกิด เป็นโมฆะบุรุษ

โมฆะบุรุษที่เกิดมาชาติหนึ่ง ตายไปแล้วสูญเปล่า ไม่ได้อาริยธรรม ไม่ได้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เสียดายเสียชาติเกิด ผู้ที่เกิดมาเป็น พุทธศาสนิกชนอย่าเสียชาติเกิด ให้ใส่ใจหน่อย ถ้าไม่มีผู้รู้ก็แล้วไป อย่างน้อย อาตมาก็เป็นผู้รู้ ไม่ได้อวดตน แต่บอกเพื่ออ้างอิง มาทำงานนี้จริง ช่วยรื้อขนสัตว์ อาตมาชาตินี้ ทำงานไป ก็มีอรหันต์เกิดขึ้น หลายคนแล้ว นอกนั้นก็มี อาริยะโสดาฯ สกิทาฯ อยู่ทั้งนั้น

ก็พูดกันตรงๆ เพราะเขาเข้าใจอรหันต์เข้าใจอาริยบุคคลผิด

 

ทาน พระพุทธเจ้าตรัสใน พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 49 ทานสูตร

 [49] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณี ชื่อคัคคราใกล้จัมปานคร ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟังธรรมกถา ของพระผู้มีพระภาค

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลาย พึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมกถา ในสำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน อุบาสกชาวเมืองจัมปา รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำประทักษิณ แล้วหลีกไป ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสกชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหา พระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตร พร้อมด้วยอุบาสก ชาวเมืองจัมปา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแล และทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี ฯ

 

พ่อครูว่า...ทานนี่ ให้แล้วมีผลทุกที พวกเล่ห์เหลี่ยม อย่างเจ้านาย ให้ทานแก่ลิ่วล้อบริวาร ก็เพื่อให้รับใช้เขา ทานนี้ก็มีผล จะขี้โกงทุจริตอย่างไร ทานนี้ก็มีผล ขอให้มีการทาน ให้คือเอาจากเราให้ไป ก็มีผลทั้งนั้น แต่ไม่มีอานิสงส์ โดยเฉพาะ ไม่มีการละกิเลส จะมีความดีก็เป็นกัลยาณธรรม แม้ว่าเราจะให้ทาน แล้วให้คนนั้นมารับใช้เรา ให้รับใช้เราอย่างดี หรือตอบแทนเราอย่างดี กลับรับใช้เรา ให้มันไปทำชั่ว ให้ไปล่าลาภยศมาให้เรา ให้ไปฆ่าแกงทำร้ายคนอื่น อย่างนี้ก็เลี้ยงบริวารด้วยการให้มันไว้ เลี้ยงมันไว้ อย่างนี้มีไหมในสังคม เดี๋ยวนี้ยิ่งเห็นชัดมากมาย

สรุปคือ “การให้”มีผลทั้งนั้น จะมีผลเลวผลดี หรือเป็นผลอาริยะ ก็ได้ทั้งนั้น

ผลดีเป็นกัลยาณธรรม หรือผลดีเป็นอาริยธรรม

อานิสงส์ เป็นผลดีกัลยาณธรรมก็ได้ แต่ถ้าเป็นผลร้ายไม่ใช่อานิสงส์ แต่ถ้าเป็นความดีโลกีย์ก็แค่ดี แต่ถ้าเป็นผลลดกิเลส ก็เป็นโลกุตร

 

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้

  1. ยังมีความหวังให้ทาน
  2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน
  3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน
  4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้

เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ

ทานแบบนี้เรียกว่า ตั้งภพตั้งชาติใส่จิต ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ล้างภพจบชาติเป็นนิพพาน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่หมดภพหมดชาติ แม้สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่มี บรรลุธรรมแล้ว สวรรค์ 6 ชั้นไม่มี นรกกี่ชั้นก็ไม่มีแน่ ในพระอรหันต์ แม้แต่สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่มี เป็นคนที่ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก

คำสอนเหล่านี้ ไม่เคยได้ยินใครสอนมา อย่างมีคำสอนที่ว่า พระอรหันต์เป็นผู้หมดบุญหมดบาป ยิ่งไม่เคยได้ยินใครสอนเลยเกิดมาชาตินี้ แต่โชคดี ที่มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป หรือมีพระโมฆราช กล่าวไว้ว่า ท่านเป็นผู้ ปุญญปาปปริกขีโณ คือคนหมดบุญหมดบาป

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้เป็นพระอรหันต์แล้วจะทำก็คือ ทำกรรมอะไร ก็ไม่เป็นบาป สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ทำอะไรก็มีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา ไม่ต้องมีบุญแล้ว เพราะว่าบุญคือ ทำหน้าที่ตัดกิเลสตน บุญคือเครื่องมือตัดกิเลส เมื่อตัดกิเลสเสร็จแล้ว บุญก็หายไป

เราตัดกิเลสอบายมุข หมดไปจากเรา บุญที่จะไปตัดอบายมุข ก็หมดไป เหลือแต่บุญที่จะตัดกาม มีบุญที่ตัดกามได้ ทำกามหมด ก็หมดบุญที่จะทำงานตัดกาม เหลือแต่บุญที่จะตัดรูปภพ เมื่อหมดบุญที่จะตัดรูปภพก็ จะทำบุญที่ตัดอรูปภพต่ออีกจนจบ หมดบุญทั้งหมดจริง

ใครก็ตาม อย่าดูถูกตัวเอง เราสามารถทำกิเลสหมดได้ แต่กิเลสมันจะกระซิบคุณว่า เราไม่มีวันทำได้หรอก อย่าไปหลงกิเลส เราต้องเป็นขบถกับกิเลส เอ็งอย่ามาหลอกข้า

  1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข การทำอะไรที่จะไม่ตั้งความหวัง แม้น้อยนิด ยากนะ ผู้ที่ทำทานแล้ว จะไม่ตั้งภพชาติไม่ง่าย ไม่หวังให้ทานไม่ง่าย
  2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต อันนี้หนักกว่าเก่า หากทำทานแล้วไม่หวังก็จบ แต่ถ้าหวังมาก ก็จะผูกพันต่อ แล้วก็จะเป็นสาม
  3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข สั่งสมความต้องการตอบแทนผลตอบแทน ใครทำทานแล้วหวังผลตอบแทน ผูกพันกับทาน เพื่อจะได้รับการตอบแทน จากการที่เราได้ให้เขา ให้วัตถุให้แรงงาน ให้ความรู้แล้วต้องการสิ่งตอบแทน เป็นการตั้งจิตไว้ผิดทั้งสิ้น
  4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ อิมํ  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ ตายไปแล้ว จะมีสวรรค์วิมานอะไรอยู่รออยู่ อย่างนั้นมันไม่มีหรอก บุญไม่ใช่สมบัติ บุญคือวิบัติ การสั่งสมจิตตั้งไว้ว่า ทำแล้วจะได้สวรรค์วิมานอะไรรออยู่ อย่างนั้นไม่ได้ไปสวรรค์หรอก ต้องจุดธูปจุดเทียนให้ อย่างนี้ไม่มีหรอก มันหนักเลยนะข้อที่ 4 เกิดอีกต่อไป เกิดในชาตินั้นชาตินี้ จะได้กินของตัวเอง มีอัตตา ผูกพันกับตัวกูของกู ไม่ยอมจบยอมสิ้น ไม่ยอมหมด ให้ไปแล้วต้องการซื้อ ให้ไปแล้วต้องตามไปเอาต่อ แล้วจะเอาดอกออกผลด้วยนะ คนที่หลอกคน คนไม่รู้จักอันนี้ เขาก็หลอกว่า คุณทำทานจะได้สวรรค์มากนะ ได้สวรรค์ 5 ล้าน 10 ล้านเขาก็หลอก คนไม่รู้ความจริงก็เชื่อ คุณมีเท่าไหร่ก็ให้หมด คนจึงให้ไป ก็จะยิ่งได้มาก ถูกปอกลอกไปอย่างนี้ น่าสงสารจริงๆแหละ คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ จึงเป็นคนที่บาปมหาศาล หลอกลวงคนให้โลภโมโทสัน ขูดรีดเขา

แล้วคนที่ไม่ฉลาด ก็ถูกเขาหลอก แล้วขยันไปหาเขา เพราะเขาหลอกว่า ตายไปแล้วจะได้ ตายไปแล้วจะได้ นี่คือคำสอนพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิดไว้ มีในพระไตรปิฎก ผู้ที่ล้มล้างคำสอนพระพุทธเจ้า แต่เขาเป็นคนหลอก ก็เป็นกรรมของเขาเอง เขาทำบาปของเขาเอง อาตมาไม่ต้องไปถล่มเขาล่ะ เขาจะไปตกนรกหมกไหม้ คนฆ่าตัวตายก็มี เดือดร้อนวุ่นวาย อย่างคุณชาติชาย ก็มาเปิดเผย มันมีอีกนะ เขาไม่อยากเปิดเผย เพราะว่าอายตัวเองด้วย ที่ตัวเองถูกหลอก ก็ไม่อยากเปิดเผย คนที่กล้าจะเปิดเผย ก็ช่วยกันเอามาเปิดเผย ว่าตนเองถูกหลอก หลอกบ้านแตกสาแหรกขาด

เขาหลอกโดยใช้ภาษาสมัยใหม่ มีสวรรค์เฟส 2 เฟส 3 แต่มีคนที่จับผิดได้ ไปเขียนนิยายหลอกไปว่า พ่อเขาได้มาทำทานตายไป แล้วช่วยบอกทีว่า พ่อผมไปวิมานชั้นไหน เขาก็บอกว่าหาว 1 ที่ ฝันเป็นตุเป็นตะ พูดกลบเกลื่อนไว้ด้วยนะ พ่อคุณตายไปแล้วก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน เป็นภุมเทวา อย่างนี้ เสร็จแล้ว คนนี้ก็บอกว่า พ่อผมยังไม่ตาย พร้อมแต่งนิทาน มาหลอกคน พ่อผมยังไม่ตาย ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหนได้อย่างไร ก็เลยจับได้ว่า เขาโมเม นี่ก็เป็นเรื่องปรากฎการณ์จริง มีเรื่องจริงชัดเจน คนที่ถูกสะกดจิต คนเหล่านี้ถูกสะกดจิตจริง เอาให้นั่งหลับตา เปิดจิตใสๆสงบๆ หยุดคิด แล้วทุกอย่างจะเกิดเอง เป็นวิธีนั่งสะกดจิตหลับตา สายดำเป็นนิโรธดับ สุภกิณหาเทวดา คือสายมืด และอีกสาย อย่างสว่างใสเป็นอาภัสสรา สะกดจิตให้มืดดับ เป็นสายดำ อย่างนี้จะไม่หลอกใครมาก ไม่มีการปรุงแต่งมาก ไม่หลงสวรรค์วิมานมาก มันดับไปหมดเลย หายไปเลย  สายดับดำมืดวิบากน้อยหน่อย แต่สายอาภัสราสายสว่าง มันมีความมักใหญ่โต หลอกลวงซับซ้อน พวกนี้นรกหนักมาก หลอกว่า มีอายตนนิพพาน

แต่อายตนะ คือสะพานเชื่อมต่อ มีสองสิ่งกระทบกันจึงรู้ เกิดอายตนะ เมื่อไม่มีการสัมผัส ก็ไม่เกิดอายตนะ

เมื่อมีผัสสะ อายตนะจะเกิด พอเลิกสัมผัสแล้ว เกิดอันที่สาม ปรุงแต่งแล้ว อายตนะก็หายไป อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ใดๆ นี่พระพุทธเจ้ายืนยันไว้

อาตมาใช้อิทธิบาท ขยายอายุขัยตัวเองไปอีก เพราะว่าไม่มั่นใจว่า พวกเราจะสืบสาน เอาเนื้อหาโลกุตรธรรมนี้ ไปอีกยาวนานได้ อาตมาเลยจะตั้งใจอยู่ต่อ พวกเราก็ช่วยอนุเคราะห์ไว้ด้วย

        

ทานที่ไม่มีผล เรียกว่านัตถิทินนัง ผู้ที่พบแสงอรุณแล้ว จะไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 คุณจะต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน หากไม่พบสัตบุรุษ ก็ไม่ได้ยินได้ฟังธรรม ก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ แล้วจะโยนิโสมนสิการไม่เป็น หากคุณพบมิตรดีสหายดี เป็นแสงอรุณ จะรู้จักอัตตา แล้วมีทิฏฐิที่เป็นสัมมา แล้วจะปฏิบัติอย่างไม่ประมาท อย่างไม่สีลัพพตุปาทาน สีลัพพตปรามาส นอกจากสัมมาทิฏฐิแล้ว รู้จักมิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฏฐิ เพราะว่ามีมิตรดี อธิบายว่า ศีลเป็นอย่างนี้ คุณก็รู้ว่าศีลดีอย่างนี้ ก็จะมีปัญญา ก็จะมีฉันทะ มีความยินดีอยากปฏิบัติแล้ว แล้วก็มาเรียนรู้อัตตา เรียนรู้อัตตาจากมิตรดีสหายดี จากสัตบุรุษสาธยายให้ฟังว่า อัตตาเป็นอย่างนี้ เข้าใจแล้วก็ไปปฏิบัติ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ ก็จะไปปฏิบัติสัมมาปฏิบัติ และมีสัมมาปฏิเวธ ปฏิบัติอย่างพ้นสีลัพพตุปาทาน สีลพตปรามาส ก็พ้นอัปปมาทะ

ต้องทำใจในใจ ให้อิตถีภาวะหมดไป หมดอกุศล ให้เหลือแต่กุศล เป็นปุริสภาวะ แล้วจะให้หยุดเป็น นปุงสกลิงค์ เป็น 0 ได้อีก คุณเข้าใจได้รับแสงอรุณเสร็จก็มาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 กระแสเริ่มที่สัมมาทิฏฐิ 10 ก่อน

ในมหาจัตตารีสกสูตร สัมมาทิฏฐิ 10 เป็นประธาน .  เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์ (อุปธิเวปักกา).

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) คือผลในจิต ที่เกิดจากทานและยัญพิธี

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) จะเกิดผลวิบากก็จากกรรม จะทำดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่กรรม

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7.      มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

อย่างเช่น เรื่องเล่นไพ่เล่นการพนัน เป็นอบายมุข เป็นสุขเก๊ ก็เลิกทำเสีย การโกง โกงทีละแสนล้าน เป็นอบายมุขนะ เขานึกว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสนุก แต่มีวิบาก ตายไปแล้ว ต้องชดใช้หนี้อีก มหาศาล ถ้าคุณรู้อย่างอาตมารู้ คุณไม่กล้าทำ เอามาห้าแสนล้าน อาตมาก็คงไม่ได้ เพราะว่าต้องตกนรกหมกไหม้ ไปอีกกี่ชาติทรมานทรกรรม แต่คนพวกนี้ไม่เชื่อว่า กรรมวิบากมีจริง ไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริง เขาไม่เชื่อ และไม่รู้ว่า นรกสวรรค์คืออะไร

ต้องมาศึกษาโลกนี้ คือโลกโลกีย ที่ตกนรกขึ้นสวรรค์ หลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หลงเสพกามอัตตา มีภพชาติ ก็ล้างสวรรค์นรกได้ เป็นโลกใหม่ คือปรโลก ปรโลกของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตอนตายแล้วไปขึ้นสวรรค์ แต่ให้อยู่กับเป็นๆนี่แหละ โลกสวรรค์นรกเดี๋ยวนี้ ไม่ไปเสพสิ่งเสพติดเป็นอะไร ไม่ไปขี้โกงเป็นนรก ก็พ้นสวรรค์พ้นนรกพวกนี้ ไม่ต้องเป็นสุขเพราะไปโกงเขา ไม่ต้องเล่นไพ่แล้วได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องเสพกามแล้วขึ้นสวรรค์ไม่เอาแล้ว เลิกกันที ก็ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก นี่คือ โลกโลกุตระของพระพุทธเจ้า คือปรโลกของพระพุทธเจ้า พิสูจน์เดี๋ยวนี้ได้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตายไปแล้วจะได้ คุณได้เดี๋ยวนี้แล้ว เพราะนรกสวรรค์เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีนรกสวรรค์เดี๋ยวนี้ พระอรหันต์ตายไป ไม่มีสวรรค์หรือนรก ตราบที่ยังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ท่านก็พักอยู่ที่ดุสิต เมื่อท่านจะมาเกิด ท่านก็มาเกิด แม้จะเป็นพระพุทธเจ้า รอที่จะอุบัติ มาประกาศศาสนา ท่านก็รออยู่ที่ดุสิต พอถึงวาระของท่าน ก็อุบัติในโลก มาประกาศศาสนาพุทธ ท่านก็พักอยู่ที่ดุสิต ไม่มีสวรรค์หรือนรก เฉยกลางว่าง คนจะมีสภาวะ ต้องได้สัมมาสัมโพธิญาณก่อน อาตมาก็ยังไม่ถึงเลย แต่อาตมา หรือว่าอรหันต์ทุกพระองค์ อยู่ที่ดุสิต เมื่อตายแล้ว แต่ไม่ใช่อยู่ในสวรรค์วิมาน แห่งที่เขาเข้าใจ ตายไปแล้ว ไม่มีใครพบเจอกัน ตายไปแล้วไปเจอนะ อาน้าในสวรรค์นรก ไม่มีหรอก ตัวใครก็ตัวใคร สวรรค์ใครก็สวรรค์มัน นรกใครก็นรกมัน ไม่มีใครไปเจอนรกสวรรค์ด้วยกันหรอก หากเจอกันได้คงสนุก พวกสัตว์นรก คงส่งวิชากัน มาเล่นเล่ห์เหลี่ยมกัน ส่งกันคงจะยุ่งสารพัด

ถ้าคุณไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดนรกสวรรค์อย่าง นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสฺสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) นิโรธดับกิเลสถาวรไม่ฟื้น

มารดาบิดา ไม่ใช่แบบที่เป็นเพศชายเพศหญิงเป็นตัวตน แต่ศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ ทำให้เกิดอธิศีล อธิจิต อธิวิมุติ ไปเรื่อยๆ หรือว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ บรรดาสาวกเป็นแม่ พระพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะ เป็นแม่นม ช่วยทำให้สาวก เกิดจิตอาริยะ เป็นอุบัติเทพ ไปตามลำดับ ไม่ได้หมายความว่า พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเป็นกระเทย ทำให้เกิดลูก ไม่ใช่

จิตวิญญาณต่างหาก ทำให้เกิดจิตวิญญาณ ที่เป็นการเกิดทางโอปปาติกโยนิ เป็นการเกิดทางจิต ไม่ใช่ อัณฑชโยนิ ชราภุชโยนิ หรือสังเสทชโยนิ แต่เป็นโอปปาติกโยนิ

อันหนึ่งเป็นแม่เลี้ยง อันหนึ่งเป็นแม่นม อันหนึ่งเป็นอิตถี อันหนึ่งเป็นปุริสภาวะ ทำให้เกิดลูกทางจิตวิญญาณ

….

ผู้ที่สยังอภิญญา คือเที่ยง เป็นนิยตะ แน่นอนจริงถูกต้อง แล้วรู้จักประมาณ อนิยตะอาจผิดพลาด แต่นิยตะไม่ผิดพลาดแน่นอน มหาโพธิสัตว์ก็ไม่ผิดพลาด มีแต่จะบรรลุ สัมมาสัมโพธิญาณแน่นอน นี่คือ สัมมาทิฏฐิข้อ 10

อาตมาประกาศไปว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา ไม่ได้อวดอ้าง ถ้าจะมีโพธิสัตว์ ที่ใหญ่กว่าอาตมาก็เชิญ ท่านเป็นพี่ โพธิสัตว์ที่ใหญ่กว่าอาตมา มาพบน้องหน่อยเถอะ น้องอยากมีพี่ที่ช่วย น้องเมื่อยนะ คืออาตมาเข้าใจสิ่งที่ดี ที่ถูกต้องด้วยกัน คนที่เป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็หยั่งรู้ คนที่ไม่เข้าใจว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็มี คนที่เป็นน้องอาตมา เขาก็รู้ว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ แต่อัตตาของโพธิสัตว์ผู้น้อง จะไม่นึกว่า อาตมาสูงกว่าหรอก ดีไม่ดีจะบอกว่า อาตมาเป็นน้อง แต่อาตมาจะไม่ตั้งจิตเช่นนี้ อาตมารอแต่โพธิสัตว์ผู้พี่ มาเจอน้องหน่อยได้ไหม อาตมาจะไม่ตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ผู้พี่ แต่หลายยุคกาล โพธิสัตว์ที่เป็นพี่ พี่กว่านี้ไม่มี มีแต่โพธิสัตว์น้องก็เป็นกาละอจินไตย อาตมาพูดตรงๆ ว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แต่ระดับ 7 ที่เป็นผู้พี่ อยู่ไหนจะรู้กัน เพราะว่าพระโพธิสัตว์ด้วยกัน จะไม่มีอัตตามานะ มีแต่ความจริง จะช่วยเหลือกันทำงาน

วันนี้ได้อธิบายไป ไม่ใช่น้อยๆ ขอบคุณ คุณตุ๊ก ขอบคุณแม่ของติดดิน ที่ได้เป็นเหตุปัจจัย ให้อาตมาเทศน์ ขอบคุณพวกคุณ ที่เป็นคนฟัง ก็ขอบคุณที่ทำให้อาตมาได้เป็นผู้ที่ได้เทศนา สิ่งที่อยากเทศน์ ขอบคุณ เจริญธรรมทุกคน

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:34:03 )

591225

รายละเอียด

591225_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ล้างอธรรมกายให้ลึกถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2559 ที่สันติอโศก เนื้อหาธรรมะที่พ่อครูเทศนาไว้ ในช่วงนี้จะเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นโลกุตระและเป็นอเทวนิยม พ่อท่านจะเทศนาเนื้อหาที่เข้มข้นเป็นโลกุตระ ให้เข้มข้นให้มาก ประวัติต่อไปเนื้อหาจะค่อยๆจางลงไป

พ่อครูว่า..เราจะไปตรงนี้ แต่น้ำมันไหลเชี่ยว เราจะต้องว่ายให้พุ่งไปข้างหน้าไว้ให้มากแล้วมันจะไหลไปหาที่ตรงนี้เอง ถ้าพุ่งตรงไปอย่างเดียวเลยไม่เผื่อไว้มันจะไม่ถึงที่หมาย

สมณะเพาะพุทธว่า...ถ้าใครอยากเป็นพระอนาคามีก็ตั้งจิตเป็นอรหันต์ ถ้าใครอยากจะเป็นพระสกิทาคามีก็ตั้งจิตเป็นอนาคามี เป็นต้น

ในสัจธรรมจะมีสัลเลขธรรมเสมอ ความจริงกับการขัดเกลาจิตใจเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก

 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาก็ตั้งใจจะพยายามเอาธรรมะมาแยกแยะ อธิบายแบ่งให้เห็นว่าสิ่งนี้ เท่าที่อาตมาเข้าใจว่าอย่างนี้ถูก อย่างนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ก็จะอธิบายขยายความเน้น แล้วจะยกสิ่งที่ไม่ใช่มาเทียบเคียง โดยเฉพาะในยุคนี้มันมีตัวอย่างให้มาเทียบเคียง แล้วคนฟังด้วยดีอย่างไม่มีอคติ ไม่ไปโกรธเคือง ไม่ไปข่มเบ่ง ฟังด้วยหลักฐานจะเข้าใจได้ดี มีหลักฐานของพระพุทธเจ้ามาเทียบเคียงได้ดี จะชัดเจนเลยว่าอันไหนเข้าท่า อันไหนไม่เข้าท่า อันไหนเข้าท่าตรงเป๊ะเลย อีกคนหลงเข้าท่าผิด ก็หลงท่า เราก็จะเข้าใจว่าใครถูก ถ้าคนไหนถูก ถ้าคนไหนเข้าท่าที่สุด ใครไปผิดท่าเราก็จะรู้

 

ก่อนอื่นขอตอบรับ SMS วันที่ 23 ธันวาคม 2559

0893867xxxเคยฟังท่านจันทร์เทศน์รณรงค์ลดขยะลดโลกร้อน ด้วยการใช้ปิ่นโตลดถุงพลาสติก เพราะมีสารทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนเพศเสี่ยงอนุมูลอิสระก่อมะเร็ง!โลกจึงมีเพศปกติ กลายเป็นเพศที่3 ตั้งแต่ในครรภ์บางส่วนจนเกิดจนถึง เป็นทุกวัยทั่วสากล มิใช่ป่วยจิตฤาเบี่ยงเบน แต่เป็นเพราะอาหารแพ็คพลาสติก!ข้อมูลองค์การอนามัยโลก!

0893867xxxผู้น้อยก็สวดมนต์สวดอิติปิโส แล้วสัพเพพุทธาสัพเพธัมมาสัพเพสังฆาแผ่เมตตาให้โลกจรดครอบจักรวาล และสวดมนต์ตามคำพ่อฯสอนฯ ทุกคืน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน สวดมนต์ให้ถูกพุทธ

          0893867xxxสวดมนต์ตาม 36 แผนชีวิตพ่อฯที่ดีที่สุดต่อโลกต่อจิตวิญาณคือ อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจากปัญญาและความกล้าหาญ!พระบรมราโชวาทในพ่ออยู่หัวร.9 / สวดมนต์ตามจานบินมีแต่รวยกิเลสจมทะเลโลกธรรม!สวดมนต์ตามคำสอนพ่อฯ มั่งมีสติรวยปัญญา ถึงฝั่งสัจธรรม!

ตอบ...สวดมนต์คือเอาบทมนต์หรือคำสอนพระพุทธเจ้ามาสวดเพื่อให้เกิดการจดจำไว้ แต่สมัยนี้ มีการบันทึกที่ดีมากไม่ต้องห่วงเลย ทุกอย่างมีการบันทึกแล้วเรียกเข้ามาดูได้เร็วไว

1.การสวดเป็นเรื่องสังคีติ แปลว่าท่องให้จำได้

2.สวดสังคายนาคือท่องเพื่อให้เกิดการตรวจดู ว่าที่ท่องกันมาผิดหรือถูก มีคนท่อง 1 คนแล้วมีอีกหลายคนช่วยกันฟังแล้วท้วงกันว่าอันไหนถูก

การสวดแบบสังคีติในยุคนี้ไม่จำเป็นแล้ว เพราะเป็นยุคที่กดดูเอาได้เลย

แล้วที่บอกว่าสวดแล้วจะเป็นอานิสงส์แก่ผู้ตาย มีพลังวิเศษอะไรก็ยืนยันว่าไม่มีในระบบศาสนาพุทธ เป็นของนอกรีต นึกว่าสวดแล้วจะมีผลประโยชน์อานิสงส์แบ่งให้คนที่เรารัก ถึงได้นี่คือความเป็นอุปาทาน ความยึดถือว่าอย่างนี้มันจะได้ เป็นความหลงผิดขัดแย้งกับ กัมมัสกะ กัมมทายาโท กัมมโยนิ ตนเองเป็นผู้รับมรดกกรรมของตนเอง คนอื่นก็แบ่งเอาไปไม่ได้ เราก็ให้คนอื่นไม่ได้ กรรมเป็นของๆตน ตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ของกรรมตนเอง เราจะได้พึ่งกรรมของตนเอง กัมปฏิสรโณ ไม่ผิดไปจากนี้เลย

ถ้าเข้าใจไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฐิ จึงเห็นว่ายิ่งสวดมนต์ได้มากล้านจบเท่าไหร่ จะได้อานิสงส์ไปให้คนนั้นคนนี้ เป็นความล้มเหลว เป็นความหลงผิด เป็นความงมงายทั้งสิ้น  ขอยืนยัน

แต่นัยแฝงเขาเอาคนมาสวดมนต์เป็นแสนเป็นล้านคน เพื่อให้คนรู้สึกว่าทำอย่างนี้ จะได้เพื่อประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็ถูกผู้ที่หลอกให้มาเป็นกำแพงมนุษย์ หลอกคนเอามารวมให้เป็นปึก เพื่อให้เป็นโล่ห์มนุษย์ กันไม่ให้ตัวเองถูกจับ เพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่ดี ไม่ทำรุนแรง คนพวกนี้ก็โง่งมงาย เป็นทาสคนที่ผิด ถ้าคุณไม่คิด จะหลบอยู่ทำไมก็มาสู้เลย มีอะไรมาเปิดเผย ความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด แต่ถ้าคุณหลบอยู่อย่างนี้เรื่อยเลย คุณไม่บริสุทธิ์ คุณจึงหลบ คนที่หลบอยู่ไม่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ต้องเอาความฉลาดเฉลียวมากมาคิดหรอก

เมืองไทยเป็นเมืองที่ดี ก็ไม่อยากจะรุนแรง ไม่อยากทำร้าย ไม่อยากหักด้ามพร้าด้วยเข่า ก็พยายามบอกว่าออกมาดีๆเถอะ มีอะไรก็มาสู้กันในศาล ข้ออ้างอีกว่าไม่เชื่อใจศาล ไม่เชื่อใจผู้พิพากษา คุณใหญ่มาจากไหน ก็หนีไปจากประเทศนี้เสียเลยสิ ประเทศนี้พึ่งศาลยุติธรรมเป็นหลักสูงสุด สูงสุดเขาให้มาอย่างนี้แล้วเมื่อคุณไม่เชื่อก็ต้องออกไปนอกประเทศไปเป็นคนประเทศอื่น ไปประเทศไหนก็ไปไล่ส่ง ทำไมหน้าด้านอยู่ แล้วก็โง่จัด แล้วหลอกคนอื่นว่าตนเองฉลาด จริงๆแล้วตนเองไม่บริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธิ์ก็ออกมาสู้กันสิด้วยหลักเกณฑ์ต่างๆ อาตมาถึงบอกว่าอาตมาสู้ทุกอย่างในโลกนี้ อาตมามีอะไรก็เทความจริงออกมาหมด หมดความจริงแล้วแพ้หรือชนะก็จบ อาตมาเทความจริงออกมาแล้วอาตมาแพ้ แต่อาตมาไม่มีปัญหา บอกคนที่เขาตัดสินนั้นเข้าใจความจริงของอาตมาไม่ได้ ก็เพราะว่าคนโง่มาตัดสินอาตมา เขาก็ตัดสินอาตมาว่าผิด ทั้งที่อาตมามีความจริงว่าถูก ก็ต้องยอมแพ้ไป แต่ความจริงของเรามี จริงมันก็อยู่ที่เรา ถูกมันก็อยู่ที่เรา มันไม่ได้อยู่ที่คนตัดสิน ก็จบแล้วเมื่อคุณมั่นใจว่าคุณถูก คุณจริง คนอื่นไม่รู้ จะไปบีบคอบังคับเขาให้รู้ไม่ได้หรอก จะเอาแส้ตี หนีบเล็บ แล้วเขาจะได้รู้ เขาก็เจ็บท่าเดียวเจ็บทนไม่ได้เขาก็ยอม ยอมเพราะว่าทนเจ็บไม่ได้ แต่จริงๆเขาก็เข้าใจไม่ได้

ด้วยสัจจะแล้วถ้าคนฉลาดพอ คนฉลาดจะมีความจริงมีการเผชิญหน้า คนมีความจริงฉลาดจริงไม่มีใครหนีการเผชิญหน้า เผชิญหน้าแล้วก็พิสูจน์ไปจนจบ อย่างอาตมาไม่มีปัญหาเลย

การสวดมนต์ที่จะเอาอำนาจพิเศษอะไรมาช่วยนั้น ยังอวิชชาอยู่ทั้งสิ้น เป็นการสวดมนต์ออกนอกรีตทั้งสิ้น

 

0851614xxxศิษย์ธรรมกายไม่ได้มีแค่ส่วนที่บริจาคให้วัดจนหมดตัว บรรดาศิษย์เอกแม้จะบริจาคมาก แต่ก็มีส่วนที่คืนกลับมาเช่นเดียวกัน อนันต์-บุญชัย-เสี่ยสอง แผลเกิดขึ้นแล้วยังต้องใช้เวลารักษา ทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องให้เวลาทุกข์ และวิบากได้ทำหน้าที่ของเขา

ตอบ...ก็เขามีกิจการอยู่ก็ได้สิ ถ้าจะแข่งกันก็เลิกจากกิจการทั้งหลายสิ คุณยังเอากิจการไปเอาเปรียบเอารัดอยู่ ให้วางมือกิจการมา เอาตัวเป็นๆมาทำดีกับสังคม รับใช้สังคมไป แข่งกันเอาไหมล่ะ จ้างก็ไม่มาหรอกคนพวกนี้ไม่กล้าหมดตัว แต่ถ้าลากไปคุณก็มีแต่นานกับนานเท่านั้นเอง

 

สมณะเพาะพุทธว่า...ประมาณ 1 เดือนก่อนผมได้ไปแวะที่วัดพระธรรมกาย มีการสวดธรรมจักรขึ้นป้ายว่า ที่พระมหาธรรมกายเจดีย์

พ่อครูว่า...ในวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2559 มีหลักฐานธรรมกาย หน้า 48 บอกว่า สรุปความหมายของธรรมกายที่พบได้ในพระสูตร ศรีมาลาเทวีสีหนาทนี้ มีทั้งหมด 17 ที่สรุปได้ว่า

1 ธรรมกาย เป็นอจินไตย

2 ตถาคตคือธรรมกาย

3 ธรรมกายคือเอกยาน

4 ธรรมกายคือปริมณฑลของพระพุทธเจ้าที่เป็นกุศโลบาย

5 ธรรมกายประกอบด้วยนิจจังบารมี สุขังบารมี อัตตาบารมี และปริสุทธิบารมี

6 ธรรมกายคือธรรมธาตุที่บริสุทธิ์

แล้วมีธรรมกายในคัมภีร์ “ไตรสภาวนิรเทศ” มีทั้งหมด 15 อันนี้ รวมแล้ว 6 กับ 8 รวมเกษตร 14

ถ้าเอามาขยายได้ทุกข้อว่าเขาเข้าใจอย่างนี้อาตมาเข้าใจอย่างนี้มันแตกต่างกัน ใครจะเอาตามความเห็นที่เข้าใจอย่างไรก็เลือกเอา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กถาวัตถุ 10) ตอน อัปปิจฉะสบายกว่ามหัปปิจฉะอย่างไร?

 ธรรมกาย เขาเลือกเอาอย่าง มีตัวมีตน มีอัตตา

แต่ทางอาตมาเลือกเอา อนัตตา

เขาเลือกมาทางมากนะ อาตมาอัปปิจฉะ

ไม่เอาอย่างมักมากอย่างเขา มหัปปิจฉะ

มีมากแล้วสบาย เราไม่สงสัย

จริงๆแล้วมีมากนั้นต้องเป็นภาระต้องเสียพื้นที่

ต้องมีน้ำหนักต้องดูแล

เราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ไม่ต้องไปแบกน้ำหนัก

ไม่ต้องดูแลรักษา

เราตัดปัญหาไปได้ก็เข้าใจ แต่พวกคุณยังยินดีที่จะมีน้ำหนัก ยังยินดีที่กินพื้นที่ ยังยินดีที่จะดูแลรักษา ก็ช่างสิ

คุณจะมีภาระอย่างนั้นก็ทำ

แต่อาตมาเบาภาระไปแล้ว ไม่ต้องมีเนื้อที่

ไม่ต้องดูแลรักษา ไม่ต้องมีน้ำหนัก ก็สบายมากปกติหายห่วง

เขาว่า ธรรมกาย เป็นนิจจังเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องเป็นความสงบสุขและไม่เปลี่ยนแปลง

นิจจังบารมี แต่ว่าทุกอย่างที่เกิดนี้ไม่เที่ยง แต่เขาจะยึดถือว่าเที่ยงก็แล้วแต่เขา สุขนี้เขาก็ยึดว่าเที่ยง เช่นว่าเช่นความร้อนนี้ เวลาที่เราไปสัมผัสความร้อนที่เกินกว่าจะมีก็มี เมื่อสัมผัสสิ่งที่เกินจะทนได้ คุณจะเป็นสุขอยู่หรือ มันก็ไม่สุข มันก็ร้อน มันก็เดือด แล้วมันเที่ยงที่ไหน มันมีสิ่งที่จะมาตัดรอนเสมอ มีอะไรจรมา บางอย่างเราไม่อยากได้ แต่มากระทบเรา ทำให้เราแทนที่จะสงบเรียบร้อยเป็นสุขสงบราบรื่น

 อันนี้มันร้อนไป อันนี้มันหนักไป มันไม่เป็นเหมือนเก่า มันก็ขาดตอน นี่คือความไม่เที่ยง คุณเข้าใจความไม่เที่ยงไหมว่า มันไม่สม่ำเสมอตลอดเป็นเส้นตรงหรอก ไม่เป็นเหมือนกระจกที่ราบเรียบหรอก ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่จริง

นี่คือคุณยึดถือความสุข ความเที่ยง นิจจังบารมี สุขังบารมี ถ้าคุณยึดอย่างนั้นอาตมาว่าโง่นะ ตอนนั้นไม่สุข ความร้อนมันมามากเป็นต้น อาการร้อนอาจจะแว๊บเดียวมันไม่นานแต่คุณรับไม่ทัน คุณก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันไม่สุขแล้ว ถ้ามันร้อนนานๆคุณจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันร้อนตั้งนานแล้วมันทุกข์

ยึดอัตตาบารมี อาตมากล้าพูดตรงนี้เลยว่า ธรรมกายไม่เข้าใจสภาวะจริงของความเป็นโอฬาริกอัตตา ความเป็นมโนมยอัตตา ความเป็นอรูปอัตตา อาตมากล้าพูด100% ธรรมกายไม่มีปัญญาแยกอัตตา 3 นี้ได้

องค์ประชุมรูปกับนามรวมเป็นอัตตา รูปกับนามรวมเป็นธรรมะสอง แล้วก็เป็นอัตตา หรือเรียกว่ากาย คุณก็แยกกายนี้ไม่ออก แยกอิตถีภาวะกับปุริสภาวะออกไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่า อาการอย่างนี้เป็นมโนปวิจาร 18 อาการอย่างนี้ มีทางมาทางไป ที่เป็นเนกขัมมะ ธรรมกายไม่มีทางไม่มีปัญญารู้ จะจบเปรียญสักเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าคุณรู้คุณก็ทำ หรือแม้แต่คุณรู้แล้วคุณอยู่ทางธรรมกาย ถ้าคนรู้จริงเลยจะมาที่อโศกไม่ไปที่ธรรมกาย เพราะอยู่ทางโน้นมันไม่รู้เรื่องหรอกมันขวางด้วย มันไม่เอาด้วย มันไม่มีพวก คุณก็จะเป็นแกะดำในฝูงแกะขาวเขาด้วย ไม่ใช่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี คุณจะไม่อยู่กับเขา จะมาอยู่กับอโศก หากคุณมีปัญญาก็จะมา แม้จะมีมวลมากกว่า แปลว่าคนมีปัญญานั้นจะมีจำนวนน้อยกว่า พวกเฉกาจะมีมวลมากกว่าเป็นธรรมดา เพราะว่าในสังคมในยุคของกลียุค มีแต่คนเฉกามาก กว่าปัญญา

ยิ่งปริสุทธิบารมี...มีความบริสุทธิ์ก็เข้ามาให้เขาพิสูจน์ จะไปหลบอยู่ทำไม? มีแต่กำแพงโล่มนุษย์ผู้หญิงเยอะ ไปหลบอยู่หลังกระโปรงทำไม?

 

มีอีกประเด็นหนึ่ง เขาว่าธรรมกายเป็น ธรรมะที่ไม่เกิดแล้วไม่ดับ

ไม่เกิดแล้วไม่ดับคือสัตว์โอปปาติกะหรือจิตวิญญาณ ที่เป็นอกุศลจิต คือจิตวิญญาณที่ไม่ดี ตัวนั้นแหละมันตายสนิท มันตายไปจริงๆเลย มันหมดชีวิตินทรีย์ไป มันตายสนิทชนิดนิจจัง เที่ยงแท้มันซ้อน คนไม่ลึกซึ้งก็ไปเอานิจจังมาเรียกตัวเอง

ที่จริง มันคือ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ชื่อภาษาบาลีที่อาตมาเอามายืนยัน

แต่เขายึดถือว่า  ธรรมกายเป็นนิจจังเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องเป็นความสงบสุขและไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งที่เที่ยงแท้คือ กิเลสไม่เกิดอีกตลอดกาลเลย เที่ยง เป็นความเที่ยงที่ต่อเนื่องไม่มีอะไรแทรกเลย เป็นความสงบสุข สุขสงบเพราะไม่มีตัวเชื้ออะไรนิดหน่อยเลย ที่จะเป็นอนิจจัง ที่จะมาทำให้ไม่สงบสนิท ที่จะมาเป็นตัววุ่นวายมาเปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อย แค่มาสะกิดให้รู้สึกไม่มีเลย คุณสมบัติที่เที่ยงแท้คือกิเลสไม่เกิด อย่างสูงไม่มีอีกเลยไม่เกิดไม่มีไม่เป็น อนัตตา  อนะ คือไม่มี ไม่ใช่มี สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นิจจัง เป็นความต่อเนื่องที่ 0 ต่อให้อนาคตอีกเท่าไหร่ก็ศูนย์ เพราะทุกปัจจุบันกระทบอย่างไร จะมีมุมเหลี่ยมอย่างไรหยาบคายหรือรุนแรงหรือเบาก็สู้ได้ทุกเหลี่ยมมุม ไม่ว่าจะมีทักษิณกี่เหลี่ยมมาก็สู้ได้หมด

ต่อมาบอกว่า พ้นจากการเกิดและความตาย ก็คือไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีอะไรมาเกิด ไม่มีอะไรมาดับ ธรรมกายคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง เป็นอมตะก็ได้ ไม่มีอะไรมาเกิดหรือมาดับเลย เฉย ศูนย์

ต่อมาเขาบอกว่า ประกาศความบริสุทธิ์ที่แท้จริง แต่ประเด็นที่ว่าถ้าคุณอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ก็ออกมาสิ แต่นี้ไม่ออกมา ก็แสดงว่าคุณไม่แท้ ยังฟอกเงิน รับของโจร บุกรุกที่ดินอีกเยอะแยะไม่รู้อีกกี่คดี คุณทำจริงหรือไม่จริงก็ออกมาให้เขาพิสูจน์สิ สิ่งที่ตนเองรู้ว่าถ้าออกมาก็เสร็จแน่ มีหลักฐานต่างๆอีกเยอะเลย ที่เขามี ตายเลยคนนี้จึงหนีเดียวลูกเดียว อาตมายังนึกอยู่เลยว่า กลัวเขาจะฆ่าตัวตายเจ็บกว่า เขาทนไม่ได้ที่ต้องขายหน้า ถูกตราหน้าว่าไม่บริสุทธิ์ ก็จะตายดีกว่า บอกไว้เลยว่า อย่าทำนะไชยบูลย์ มันบาปมากนะ

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28 ) ตอน กายคือธรรมะสอง ต้องทำ2 ให้เป็น 1 ทำอย่างไร?

 

ต่อมาอันนี้เขาไปเอามาจากคัมภีร์จีน จากที่พระกิตติศักดิ์ กิตติปุญโญ นำมา

1 ความหมายคำว่าธรรมกายในคัมภีร์ จีน

ธรรมกายคือกายที่สำเร็จ (ตรัสรู้) พุทธธรรม

กาย คือธรรมะสอง

กายคือธรรมะสอง มีรูป คือสิ่งที่ถูกรู้ กับนามคือตัวรู้ธาตุรู้ที่ไปรู้รูป อย่างเช่นดอกไม้นี้ เขาเรียกว่าดอกพุทธรักษา

กายคือ สิ่งที่ถูกรู้ กับนาม ต้องมีสองสิ่งเสมอ แล้วมี 2 เมื่อมี 2 ก็ทำ 2 ให้เป็น 1 ทำให้เป็นหนึ่งอย่างไร?

 ทำอย่างไร? มันถึงจะเป็นหนึ่ง แล้วเมื่อเป็นหนึ่งแล้วมันเป็นอยู่อย่างไร ?

คุณรู้ได้ละเอียดหรือยัง แค่รู้คุณรู้หรือยัง อาตมาว่าคุณยังไม่รู้ ป่วยการจะกล่าวถึงความสำเร็จเพราะว่าทฤษฎีที่ถูกต้องยังไม่รู้เลย อย่างอาตมาอธิบายแสดงอุเทสนี้ คุณฟังหรือเปล่า? ฟังแล้ว สุสสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา

ในนัยยะที่ว่าเรายึดถือกาย แต่พระพุทธเจ้าว่าต้องวางกาย กายนี้ไม่ใช่เรา แต่เขากอดกายไว้แน่น แล้วก็ไม่รู้ว่ากายคืออย่างไร เช่นกอดขี้หมาสองก้อนนี้ไว้ เขารู้ว่านี่คือขี้หมาจะไปกอดทำไม

ต้องทำให้ขี้หมา 2 กองนี้เป็นกองหนึ่งเดียวให้ได้ก่อน

         จากอิตถีภาวะให้เป็นปุริสภาวะ จากอิตถีลิงค์มาเป็นปุงลิงค์

อุเทศ คือขยายความ

นิเทศ คือขยายแบบสั้น 

อาตมาก็ทำทั้ง 2 อย่าง ทั้งอุเทศและนิเทศ ถ้าเขาได้ฟังแล้วรู้ก็จะมา แล้วก็จะปฏิบัติตาม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม37) ตอน ละกายละเอียดถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

มาถึงตรงนี้ขอแวะลงลึกไปถึงคำว่า กาย

ความซ้ำซากนี้ตั้งใจฟังให้ดี อย่ารังเกียจ จะเข้าใจ

พระพุทธเจ้าสอนมูลกรรมฐาน มันมีนัยยะสำคัญละเอียดอย่างนี้

เล็บของคุณนี่ ประกอบด้วยดินน้ำไฟลม ปรุงแต่งกันอยู่เป็น ชีวะ มันเป็นพีชะอย่างหนึ่ง มันเป็นจิตอย่างหนึ่ง มันเป็นอุตุอย่างหนึ่ง

 เล็บ พอเราตัดบางส่วนออกพ้นประสาทแล้ว ไม่ใช่กายแล้ว

มันยังไม่ตัดก็เป็นพีชะ มีเซลล์ที่มีชีวิตอยู่ มีชีวิตินทรีย์มีชีวะอยู่

ถ้ายังไม่ตัดออกไป ยังยึดถือว่าเป็นเรา ก็อนุโลม แต่ที่จริงมันไม่ใช่กายเราแล้ว

แต่ถ้ายึดถือเป็นเรา ก็เอาไว้ก่อน ถ้ามันยาวออกมา เกินที่จะมีประสาทรับรู้เกินกว่าที่จิตรับรู้แล้ว ไม่มีประสาทเชื่อมต่อ เมื่อตัดออกไปขาดออกไปแล้ว ส่วนเล็บที่ขาดออกไปก็จะเข้าใจว่ามันไม่ต่อกลับร่างเราเลย มันเป็นอันอื่นแล้ว มันไม่ใช่เรา

แต่คนที่ติดยึดก็จะเสียดายอีกว่าเป็นของเรา ใครเอาไปก็เจ็บ ทั้งที่มันไม่มีความรู้สึกแล้ว มันเป็นแค่ดินน้ำไฟลม ไม่มีประสาทติดต่อเลย มันไม่ใช่กายของเราแล้ว มันเป็นดินน้ำไฟลมแล้วแท้ๆ ไม่มีประสาทติดต่อเลย

แต่ส่วนที่ยังเหลืออยู่ มีแต่ชีวะในระดับพีชะ จะเอาอาหารไปเลี้ยงให้เติบโตแต่ไม่เจ็บแล้ว ไม่มีความรู้สึกแล้ว ถ้าคุณยึดถือ พีชะนี้เป็นของเรา จะต้องทำให้มันสวยงามอีก

คุณไม่ควรจะยึดถือแล้ว เพราะมันไม่ใช่ของเรา แม้มันจะต่อเนื่องกับชีวของเรา แต่มันไม่ใช่กาย มันไม่มีประสาทของเจ็บ ที่ไปรับรู้ มันไม่มีเวทนา ไม่มีเจ็บปวดอะไรแล้ว ตัดออกไปได้ มันไม่ใช่ของเรา ตัวอย่างนี้ที่ตัวคุณมีเล็บ คุณรู้ไหมว่าการไปยึดถือเป็นเรา แม้มันจะติดกับตัวเรา

ต่อให้มีประสาทรับรู้กระทบกระแทกก็เจ็บ เจ็บก็คือเจ็บ เรารู้ว่ามีเหตุปัจจัยมากระแทกมันไม่สมดุล แต่ถ้าไม่รับการกระแทกก็เป็นอย่างนี้ แม้แต่อย่างนี้คุณเองก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา มันจะตายจากไป เราก็ไม่หวงแหน ไม่อยากมี ชาตินี้ก็ไม่อยากมีเล็บสวยๆ ชาติหน้าก็ไม่ต้องอยากมีเล็บสวยๆ ก็คือคนไม่ติดยึด แต่ถ้าไปติดยึด คุณก็อยากจะมีผิวอย่างนี้ เล็บอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ หนวดอย่างนี้อีกนะ

สรุปแล้วความเป็นของเรา แม้มันจะมีชีวก็ไม่ไปยึดถือ ชีวะที่เป็นพีชะ กระทบก็ไม่เจ็บ ตัดก็ไม่เจ็บปวด อันนั้นคือกายที่เป็นพีชะรวมกับตัวเรา มีแต่เซลล์ที่มีชีวิต ยาวได้อยู่ แต่มันไม่ใช่เรา คุณแยกออกไหม แม้ที่สุดเจ็บเลย มีเวทนาเป็นจิตให้ยังมีประสาทอยู่ กระแทกก็เจ็บ แต่เราไม่ยึดถือ ไม่ถือสาใครมาทำให้เราเจ็บก็ไม่พยาบาท

เขาไม่เจตนาก็แล้วไป อโหสิให้ แต่ว่าถ้าเขาเจตนามาทำให้เราเจ็บ เราก็บอกว่าทำเราทำไม เขาก็บอกว่าจะทำ ก็บอกว่าเขาคิดอะไรหรือ? เขาก็บอกว่าจะทำ เราก็หนีให้ไกล คนนี้บ้าแล้ว เราก็ชัดเจน แต่ถ้าตอกเมื่อไหร่เราก็เจ็บ แต่เจ็บมันก็เจ็บไม่นานหรอก มันเจ็บมันปวดก็รักษาให้มันหาย มันยังไม่หายก็ปวดอยู่ก็รักษาต่อไป มันมีเชื้อมีอะไรอยู่ก็รักษาไป ที่เราเจ็บปวดเพราะมันมีเหตุปัจจัย ไม่ต้องไปยึดถืออะไร คนนี้ก็ไม่มีปัญหา เหตุปัจจัยมันอยู่ที่อวัยวะเจ้าการไม่สมดุล ก็ต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา

เราก็จะรู้หมดเลยว่าความยึดถือเป็นเราเป็นของเราคืออะไร? มันไม่เป็นกายแล้ว แม้มันจะติดอยู่กับตัวเรา มีเซลล์ประสาทเลี้ยงดู มันก็เป็นเล็บที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่กายเราแล้ว ก็เข้าใจ แม้แต่ที่สุดไม่ใช่กายแล้ว มันเป็นจิต มโน วิญญาณ ตอกให้แตกก็เจ็บ แต่มันเจ็บ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง เป็นตถตา มันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันมีเหตุปัจจัยถึงเจ็บ แต่ถ้าคุณเจตนามาทุบตีให้เราเจ็บ เราก็หลบเลี่ยงเอา หลบเลี่ยงไม่ได้มันมีวิบากหนีไม่พ้นไม่รอด ก็ต้องถูกให้ทำ เขาจะต้องแก้แค้นให้ได้ จองเวรจองกรรม เราหนีแล้วนะ แต่หนีไม่พ้น เราก็ใช้หนี้ไป

แต่ถ้าคุณหนีไป ชาติหน้าก็ตามไปอีก ก็ให้เขาทำเถอะ แต่ถ้าเขาทำตายเลยนะ แต่ถ้าไม่อยากตายก่อน เรายังไม่อยากตายก็หนีก่อน ถ้าหนีไม่พ้นก็ต้องตาย 

เหมือนอย่างเช่นพระโมคคัลลานะ ท่านสามารถเนรมิตร่างของท่านได้ ใครจะทำร้ายให้กระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ต่อติดกลับมาเหมือนเดิมได้

 แต่เขาก็มาทำอีกท่านก็ต่ออีก จนไม่รู้กี่ครั้ง แล้วท่านก็รู้ว่ามันเป็นอนันตริยกรรม เพราะเคยฆ่าพ่อฆ่าแม่มา ท่านก็เลยยอมให้เขาฆ่าเสียจะได้จบ ใช้หนี้กันไป ชาติหน้าอันนี้ก็หายแล้วก็ได้ใช้หนี้ไปแล้ว มันไม่มาใกล้ชิด หรือมันก็วางเองพอแค่นี้ขอแก้แค้นแค่นี้ ถ้าได้ใจแค่นี้แล้วก็จะเกิดระยะ มาไม่ถึง หรือจะเกิดให้เขาระหว่างความแก้แค้นหรือขออโหสิกรรม กันทั้งสองฝ่ายได้ เราพยายามเลี่ยง กับการทน เป็นการใช้หนี้ก็จบ

สรุปคำว่ากาย มูลกรรมฐานนี้ ถ้ามันขาดจากร่างของเรา แม้จะอยู่กับตัวเราแต่จิตวิญญาณไม่มีประสาทเข้าไปรับรู้ ไม่เกิดเวทนา มันเป็นเพียงแค่พีชะ

คุณแยกออกไหม?ว่ามันคือธาตุของพีชะ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีเวทนา ไม่มีเจ็บปวด ฆ่าให้ตายก็ไม่มีอาการเจ็บ ใครที่ไปหลงว่าพืชมีอาการเจ็บปวด ก็ศึกษาให้ดีๆ ถ้าเราแยกแยะออก ก็ไม่กังวลว่าพืชจะต้องมาจองเวรกับเรา เราก็กินพืชได้เลี้ยงชีวิตกันไป แต่ถ้าคุณเองไม่รู้ ก็บอกว่าพืชนั้นจองเวรได้ คุณก็ไม่กินแม้แต่พืช คุณก็ไปกินดิน กินอากาศ กินน้ำไป ก็เป็นสัตว์ชนิดที่ต้องใช้ธาตุดินน้ำลมไฟ เลี้ยงชีวิตกินพืชไม่ได้ ถ้าอยากจะเป็นสัตว์แค่นั้นก็เอาสิ ไส้เดือนมันกินดิน ต่ำกว่านั้นก็กินแต่อาหารที่เป็นดินน้ำไฟลม ปรุงแต่งเอาอาหารแค่นั้น ถ้าคุณไม่เอาพืชมากินก็เป็นแบบจุลินทรีย์สิ 

คนนี้กินแต่พืชก็บริบูรณ์แล้วไม่ต้องไปกินสัตว์ เพราะสัตว์นั้นจะมีการสร้างวิบากต่อกันไปอีก แค่นี้ก็พอ สันตุฏฐี สันโดษ เราเอาแค่นี้พอ กินพืชนี้เขาพิสูจน์ได้ว่าอยู่ได้ถึง 256 ปี นานพอได้นะ ทำงานรับใช้โลกอยู่ 256 ปี อาตมาคงไม่ไหว เอาแค่ 151 จะทำงานไหวไหม ถ้าทำงานไม่ไหวตั้งแต่ไม่ถึง 151 อาตมาก็ว่าลูกเอ๋ย ให้พ่อให้ปู่ไปเถอะ เอาไว้ชาติหน้าค่อยเจอกัน เพราะว่ามันเป็นภาระกันทั้งคู่ เราก็ทำอะไรไม่สมดุลเจ็บปวดอีก ก็เท่านั้นเอง ผู้เข้าใจแล้วจะรู้ความปล่อยวางแล้วปล่อยวางอย่างมีปัญญา รู้ว่าสมควรก็วางก็ปล่อย

 

คนเขาไม่รู้เรื่องความเป็นกาย เขาก็ยึดถือความเป็นกายของเขาอยู่ แล้วปรุงแต่งอยู่ขนาดนั้น อย่างนั้น

ในหนังสือเล่มนี้ก็บอกอีกว่า...ในทัศนะของพระมงคลเทพมุนี นั้นกล่าวว่าการเห็นธรรมกายนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติฝึกใจให้หยุดนิ่งถูกส่วน ตรงศูนย์กลางกาย ด้วยใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้น จะมีสภาวะที่ว่างเปล่าเป็นสุญญตา(ส.ศูนยตา) คือปราศจากความคิดปรุงแต่งและปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง

พ่อครูว่า กลางกายคืออะไร?

 กลางกาย คือเขาว่า เหนือสะดือสองนิ้ว แล้วเลขสองนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าคือ *ธรรมะสอง แต่เขาเอามาใช้โดยไม่รู้ ใช้โดยสุ่มสี่สุ่มห้า เขาใช้สองนิ้วนะ เอามาตรานิ้ว ไม่เอาเซนติเมตรด้วยนะ

ความนิ่ง แท้จริง คือกิเลสไม่ได้เกิดอีกไม่มีกิเลสอีกเลย อยู่ในจิต แต่เขาเอาแต่เพียงรูปมาทำเป็นวัตถุนิ่ง อธิบายว่าจิตไม่ขึ้นไม่เลื่อนก็คือสุญญตา ไม่นึกไม่คิด

แต่ของเรานี้ คือกิเลสที่เป็นเชื้อสัตว์ไม่เกิดในจิตเรา เลยมันตายไปสนิท จิตใจก็มีหมดภพหมดชาติ แต่ปราดเปรียวว่องไวไม่มีอะไรติดขัดแล้วไม่มีสัตว์ ที่เป็นตัวขัดแย้งเข้ามาปรุงร่วมด้วย อสังขาริกัง ไม่มีตัวเชื้อกิเลสมาผสมหรือ

นิ่ง คือสัตว์นรกพลังงานตัวกวนไม่มีเลย แต่เขาอธิบายเป็นตัวแค่รูปธรรม นี่คือความไม่รู้รูปนาม คนไม่มีปัญญาแยก นิปุณา ความละเอียดเหล่านี้ออก

การไม่คิดไม่ปรุงแต่งแบบเขา เราเข้าใจได้แต่เราคิด เราปรุงแต่งได้ แต่ว่าไม่มีกิเลสมาปรุงร่วมเลย เป็นอสังขาริกัง คุณอธิบายได้ไหม โดยเฉพาะรู้อาการชีวิตินทรีย์ของโทสะ ของโลภะ เหลือเล็กเหลือน้อยเท่าไหร่ก็รู้เลย เป็นอากิญจัญญายตนะ แล้วคุณรู้ตัวตนรู้สภาวะของมันไหม?

มันว่าง เป็นอากาสาฯ คือตัวเป็น ส่วนวิญญานัญจาฯ คือตัวนาม

แล้วแม้แต่เศษเล็กเศษน้อยเหลือนิดหน่อยมันก็มี เป็นอากิญจัญญายตนฌาน เมื่อคุณรู้ อากาสาฯ รู้วิญญาณนัญจาฯ รู้อากิญจัญฯ

ก็พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็เป็น*สัญญาเวทยิตนิโรธ *

ตัวอย่างไม่มีอะไรแซมปน เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์จริงๆ ถ้าคุณรู้สามส่วนนี้ได้ครบหมดเลย บริบูรณ์สะอาดหมดเลย กำหนดรู้ด้วยสัญญา รู้เคล้าเคลียอารมณ์ เป็น สัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ เป็นธรรมะ 2 ที่สะอาดทั้งคู่ ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้อีก ไม่มีเศษส่วนของสัญญาที่ค้างอะไรที่ไม่รู้อีกเลย สัญญาที่ไม่ได้กำหนดรู้ไม่มี

ตัวเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญานี้ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่มีเลย

นาคือทุกอย่าง พ้นความไม่รู้ทั้งหมด พ้น เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา บริบูรณ์เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ อย่างไม่มีอะไรเป็นโทษเป็นภัย อย่างแคล่วคล่องว่องไว มุทุภูตธาตุ ประกอบด้วยองค์ 5  ของอุเบกขา

ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ปัญญารู้ 6 แต่เฉการู้ 1

แม้แต่ปัญญา ปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เฉโก

เฉโกคือความฉลาดที่ประกอบด้วย เอก กับ ฉะ คำว่า ฉะ คือ 6

คำว่า เอกคือ 1 คุณรู้ไม่รอบ 6 แต่รู้แค่ 1

แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องรู้ให้ครบทั้ง 6 มีฉฬายตนะ

รู้กระทบสัมผัสทางทวารทั้ง 6 แล้วก็ทำส่วนของกิเลส 0 ได้หมดเลย อย่างนี้เรียกว่า ฉฬายตนะ คำนี้ค่อยๆกร่อนลงไปจนเหลือเพียงคำว่าฉลาด คือความฉลาดที่รู้ทั้ง 6 ทวารให้กลายเป็น 1

แต่ของคุณรู้แค่หนึ่งแต่ไม่รู้ทั้ง 6 แล้วหนึ่งของคนนี้ไม่ออกมาภายนอกอยู่แต่ในรู หนึ่งเดียวเป็นเอก แต่ 6 คุณไม่รู้เลย

ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นรู้ทั้ง 6 ทวาร แล้วจัดแจงทำให้เป็นหนึ่ง ได้สมบูรณ์สะอาดหมดทั้ง 6

 แต่คุณไม่รู้เรื่องหรอกไปกบดานอยู่ที่ 1 จึงเรียกว่า เฉกา ไม่รู้เท่าทัน ตากระทบรูปแล้วมีกิเลสอย่างไร? หูกระทบเสียงแล้วเกิดกิเลสอย่างไร?

 ไม่รู้ สราคะ สโทสะ สโมหะ เกิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วทำกิเลสออกอย่างไร?ก็ไม่รู้

ได้แต่สะกดจิตเป็นหนึ่ง ดีไม่ดีหลอกสะกดจิตคนอื่นให้เป็นควายตามถูกจูงจมูกไป เหล่าฝูงควายก็มีหัวหน้าจูงไป ไปสวดมนต์ 11 ล้านเที่ยวนี่มันเมื่อยบ้างไหม? เอาเวลาไปทำมาหากินบ้างได้ไหม?เปลืองข้าวเปลืองน้ำมานั่งสวดมนต์ ท่องสวดมนต์อันเก่านั่นแหละ ท่องเป็นล้านเที่ยวแล้ว ทำไมจำไม่ได้อีก มันอวิชชางมงายโง่ไปหมด จะสวดไปถึงคนตายอีก ไม่รู้ว่ากัมมัสโกมหิ เป็นของของตน ไม่มีใครส่งไปให้กันได้หรอก เขาตายไปแล้วจะตกนรกขึ้นสวรรค์ จะไปดีมาดีได้ทุกข์ตกยากอย่างไร? ก็เป็นของเขา ไม่มีใครแทรกได้เลย กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของเขา กัมมพันธุ แล้วเขาจะต้องอาศัยกรรมของตนเองเอาไปคนอื่นให้อาศัยไม่ได้ เอาของคนอื่นมาอาศัยก็ไม่ได้ต้องอาศัยของคุณเองเท่านั้น

เช่น ตนเองไปตีหัวเขา แต่ไปแบ่งให้คนอื่นจะได้หรือ คุณตีเขาร้อย แบ่งให้คนอื่น 50 จะได้หรือ? คิดอย่างนี้คิดไม่ออกก็ไปที่ชอบๆของใครของมันละกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรม กาย กาละ และ การ

กรรมและกายอธิบายไปแล้ว เหลือแต่กาละ

กาละ คือสิ่งที่มีอยู่ ก็มาอยู่กับทุกอย่างดินน้ำไฟลม พระอาทิตย์พระจันทร์ ต้นหมากรากไม้ ผู้คนหรือสัตว์โลกเจอกัน สัมผัสกันได้หมดเท่าที่จะรับสัมผัสถึงกัน สิ่งนั้นคุณก็เรียนรู้ได้ทุกอย่าง เมื่อคุณเปิดทุกอย่าง คุณมีขันธ์ 5 ในกาละที่คุณมาเกี่ยวข้องเศษหนึ่งส่วนล้านวินาที เศษหนึ่งส่วนล้านของวินาทีคือเวลา

แต่เมื่อคุณสัมผัสแล้วคุณไม่เกี่ยว คุณไม่ข้อง แม้แต่คุณวางขาดไม่เอาจิตไปรับรู้ แตะแล้วขาด คุณก็ไม่มีกาละไม่มีเวลา คุณตัดตัวคุณไปจากกาละจากเวลา

 นี่คือคุณปล่อยวางได้ คุณแตะแล้วตัดเลย

แต่ถ้าคุณมีวิบากเขาอาฆาตคุณอยู่ ม้ว่าคุณจะวาง แต่คนที่เขาอาฆาตอยู่ เขาก็จะเอาคืนกับคุณ เขาก็มีหน้าที่ของเขา แต่ถ้าธาตุนั้นพลังงานนั้นไม่ตามอาฆาตเรา มันก็จบ หน้าที่ของเราคือทำที่เรา

สมมุติว่าคนนั้นมาอาฆาตเรา ตบไปหนึ่งทีก็จบ แต่ถ้ามันไม่พอ ก็จะมาตามเราอีก ไม่รู้นานแค่ไหน แต่คุณจะไปบังคับใจคนอื่นได้อย่างไร หน้าที่ของเราคือไม่อาฆาต ปล่อยวาง จบในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าหรือตามรัก

ชาตินี้ เราไม่รักเขาแล้ว แต่เขาก็ตามรักเราอยู่ แล้วจะทำอย่างไร?

 เราก็ต้องพยายามอย่าให้เขามารัก แค่ความรักหรือความชังมันไม่กระไร ไม่เจ็บไม่ปวด แต่รักแล้วต้องการมาตอแย มากระทบสัมผัส ยิ่งซาดิสม์ มาโซคิสม์ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ปล่อยให้คุณกระทำ แต่ถ้าเลี่ยงได้ เราไม่ให้คุณมากระทำหรอก เราก็หลีกให้พ้นๆก็ได้ ไม่พ้นก็แล้วแต่วิบาก

สรุปถ้าหยุดทั้งคู่ กาละก็ไม่มี อันอื่นก็ต่อไป แต่สำหรับเรา เราไม่มีกาละแล้ว เราหยุดแล้ว แต่เธอก็ยังไม่หยุด เราก็หยุดกาละแล้วไม่มีกาละแล้ว องคุลีมาลได้ฟังแล้วว่า ท่านได้หยุดการฆ่าแกงคนอื่นแล้ว แต่เรายังฆ่าคนอื่นน่ะ เราเองสิยังไม่หยุด องคุลีมาลก็ชัดเจนว่าเรายังโง่ ยังบ้า ยังฆ่าคนอยู่ เท่านั้นแหละ องคุลีมาลรู้ว่าการฆ่านี้มันบาปมันชั่ว มันมีกาละ องคุลีมาลก็หยุดการฆ่า กาละก็หมด การที่จะไปกระทำการฆ่าก็หมดด้วย จบ จบทั้งกรรม กาละ และ การ

สมณะเพาะพุทธถามว่า การ กับกรรมนี้เหมือนกันไหม?

พ่อครูว่า...กรรมสั้นกว่า การไง การยาวกว่า  การนี้จบก่อน กรรมจบทีหลัง

สมณะเพาะพุทธว่า..มีคำว่า ดัดจริต กับปรับจริต เราควรใช้คำว่า ปรับจริต มากกว่าในการปรับปรุงตน

พ่อครูว่า...ดัดจริต ถ้าดัดให้ดีก็แรงเวอร์เกิน ถ้าชั่วก็ชั่วเกินไปมากๆ ก็ใช้คำว่าปรับจริตดีกว่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ_อนุสัย) ตอน นิสัย วิสัย อนุสัย

สมณะเพาะพุทธ...ถามเรื่อง นิสัย วิสัย อนุสัย

พ่อครูว่า...นิสัยนี้ประจำตัวเรา แต่ก็ล้างง่ายกว่าวิสัย (วิสัยนี้ลึก) ถ้าทำกุศลให้เป็นวิสัยก็เป็นบารมี แต่ถ้าทำชั่วเป็นวิสัยก็เป็นสันดาน 

แต่อนุสัยนี้คือตัวเล็กที่สุดของนิสัยหรือวิสัย เป็นตัวที่ต้องเก็บละเอียด เราต้องปรับตั้งแต่นิสัยให้ดี เป็นวิสัย ให้ชั่วหมดไปจนล้างอนุสัย แล้วให้ทำจบนั้น เป็นวิสัยเป็นอรหันต์ให้แข็งแรง

ต้องล้างอนุสัยที่มันเลว แม้เหลือน้อยเหลือนิดก็ต้องล้าง ให้เป็น สย ให้ดี คือวิสัย คำว่า นิ คือไม่ มันมีเรา แต่มันสมาทานไว้เท่านั้น ฉวยไว้ รับรู้แล้วเอาไว้ใช้งาน ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราของเรา

นิ คือไม่ มันไม่ใช่เราหรอก ทำนิสัยให้แข็งแรงมั่นคง ก็เป็นนิสัยที่ยิ่ง มันเป็นเราได้อย่างยิ่ง แล้วก็วางได้อย่างยิ่ง ยิ่งกว่า นิ เป็นทางบวก ไม่ใช่ทางลบ นิ คือตัวกลาง ส่วน วิ คือตัวสูงสุด วิสัยคือการสั่งสมนิสัยให้ดีขึ้นๆ จนแน่นอน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จิตว่าง) ตอน จิตนิ่งแบบพุทธไม่หยุดแบบธรรมกาย

ของทางธรรมกายเขาบอกว่า ฝึกใจให้หยุดนิ่งถูกส่วน ตรงศูนย์กลางกาย ด้วยใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้น จะมีสภาวะที่ว่างเปล่า เป็นสุญญตา(ส.ศูนยตา) คือปราศจากความคิดปรุงแต่ง และปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง

พ่อครูตอบว่า...การไม่คิดปรุงแต่งมันก็ว่างเปล่า คุณเอาจิตจดจ่อที่เหนือสะดือ 2 นิ้วก็เกาะนิ่งอยู่ตรงนั้น คนมีความเฉลียวฉลาดความรู้ว่า ตอนนี้มีนิวรณ์ มีกามหรือพยาบาท จมดิ่งอยู่กับ ถีนมิทธะ อุทธัจจะหรือไม่ คุณได้ทำให้มันเกิดความอุเบกขาหรือเปล่า คุณไม่รู้คุณก็เอาแต่พยัญชนะ จริงๆแล้วคุณไม่ได้รู้จักนิวรณ์เลย ไม่ได้ทำให้นิวรณ์ออกไปเลยเอาจิตเกาะอยู่แต่เหนือสะดือ 2 นิ้ว เป็นแต่สมถะ ไม่มีวิปัสสนาเลย 

ไม่รู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เลย ทำการจัดการที่สังกัปปะ ให้เป็นอภิสังขาร จัดการกิเลสในตักกะให้เป็นวิตักกะ แล้วเอาวิตักกะไปทำงาน ปรุงเป็นตัวทำงานเรียกภาษาในจิตว่า วจีสังขาร แต่งเป็นคำพูดถ้ามีภาษามีพยัญชนะ มีอธิวจนสัมผัสโสแล้ว ถ้าไม่มีก็มีแต่พลังงานสอง บวกลบปรุงแต่ง ยังไม่ได้ตั้งชื่อก็เรียกชื่อมันไม่ได้ จะสัมผัสแต่ชื่อก็สัมผัสไม่ได้ ก็มีแต่พลังงานปฏิกิริยา 2 อย่างนี้ ที่สัมผัสเกี่ยวข้องกันก็เกิดสภาพที่ ฆ มีปฏิฆสัมผัสโส จับตัวกันเป็นก้อน ฆ ไม่มีชื่อ

แต่พลังงานวจีสังขารนี้จะออกมาเป็นกายวิญญัติได้ ถ้าทำงานโดยไม่มีชื่อ แต่ถ้าจะบอกคนอื่นก็ต้องมีอธิวจนสัมผัสโส บอกเป็นวจีกรรม มี วจีวิญญัติ ได้ หรือจะเป็นกายวิญญัติพร้อมหมดทั้งภาษากายและวจีเลย

อย่างภาษาอีสาน เห็นขอนไม้ตั้งโข่โหล่นี้ เขาก็บอกว่าเอาไม้นี้มา คนไปรู้ภาษาก็จะรู้ว่า ไม้ใหญ่หน่อย แต่ถ้าบอกว่า ไม้แข่แหล่นี้มา มันก็จะเล็กกว่าอีกหน่อย แต่ถ้าขี่หลี่ อันนี้ก็เล็กกว่าอีก ถ้าจิงปิง จองปอง โจงโปง จางปาง ก็จะมีระดับความใหญ่แตกต่างกันไป จากเล็กไปใหญ่

สมณะเพาะพุทธว่า...พ่อท่านเคยบอกว่าอยากให้ชาวอโศกเราที่อยู่ในถิ่นไหนก็ใช้ภาษาถิ่นนั้น ก็จะอนุรักษ์ภาษานั้นไว้ได้

 

พ่อครูว่า...หนังสือธรรมกายที่อาตมาพูดถึงก็ไม่ได้เจตนาร้าย อาตมามีเจตนาดีกับเขาให้เขาได้เข้าใจ สื่อให้รู้ว่าจะมาเข้าใจอย่างนี้ มันถูกหรือผิดก็บอกไป ถ้าอย่างนี้ควรกว่าอย่างนี้ไหม อย่างนี้ไม่ควรก็บอกไป บางทีก็ไม่ได้บอกอย่างนิ่มนวล บางทีรีบก็พูดอย่างแข็งก็เข้าใจเจตนาอาตมาก็แล้วกัน อาตมาไม่ต้องการทะเลาะหรือทำร้ายกัน ต้องการสื่อความเข้าใจให้ชัดเจนให้มาศึกษา คุณยึดถืออะไรว่าถูกก็ยึดถือ แต่ถ้ายึดถือแล้วมันผิดก็แก้ไขเสีย ถ้าอาตมายึดถือว่าถูกก็ต้องยึดถือไว้ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่ใช่ก็แก้ไขของคุณ ถ้าอาตมาฟังแล้วเห็นว่าของอาตมาที่ยึดถือนี้ไม่ถูก ก็ไปเอาตามคุณได้

สมณะเพาะพุทธว่า….วันนี้ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ทำให้เรารู้ว่าเฉกะหรือเฉโกคือความไม่ฉลาดในอายตนะ 6 ไปดิ่งเดี่ยว ปักดิ่งอยู่กับสิ่งที่เป็นหนึ่งเดี่ยว แทนที่เราจะรู้ 6 กลับกลายหรือเพียงแค่ 1 ในทางพุทธศาสนาควรทำให้เกิดความรู้ทั้ง 6 ทวาร ไม่ใช่รู้แค่หนึ่งเดียว ไม่เช่นนั้นจะเป็นแค่ เฉกา เป็นความไม่รู้จริง ต้องรู้ให้ครบ อย่ารู้แค่หนึ่งเดียวนิดเดียวส่วนเดียว เฉกะคือฉลาดรู้แค่อันเดียว หนึ่งเดียวทั้งที่ควรรู้ให้ครบทั้ง 6 ธรรมะของพุทธศาสนา คือ รู้ให้ชัด ตัดให้ชั๊ว

วันนี้เรารู้นิสัย วิสัย อนุสัย ถ้าเราสามารถจบล้างอนุสัยได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้เป็นวิสัยของผู้ไม่มีอนุสัย วิสัยก็เป็นวิตักกะ เป็นความนึกคิดที่ที่เยี่ยมยอด ก่อนจะไปสู่วจีสังขาร

จบ..


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:34:30 )

591226

รายละเอียด

591226_พุทธศาสนาตามภูมิ วิพากษ์ นิจจัง สุขัง อัตตา ของธรรมกรวย

ในหนังสือนี้(หนังสือ หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ ของวัดพระธรรมกาย) บอกอีกว่า...ในทรรศนะของพระมงคลเทพมุนีกล่าวว่า การเห็นธรรมกายจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติฝึกใจให้หยุดนิ่ง ถูกส่วนตรงศูนย์กลางกาย ด้วยใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้นจะมีสภาวะที่ว่างเปล่าเป็นสุญญตาคือปราศจากความคิดปรุงแต่งและปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง

พ่อครูว่า...แล้วศูนย์กลางกายมันคืออะไร ฟังความทั้งหมดศูนย์กลางกายไม่ใช่นามธรรม ไม่ได้หมายถึงจิตมโนวิญญาณ ศูนย์กลางกายของหลวงพ่อสดหมายถึงใจที่หยุดนิ่งสนิท มีสภาวะว่างเปล่าสุญญตาคือปราศจากความคิดปรุงแต่งและปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง ก็คือจิตหยุดนิ่งจากนิวรณ์ได้อย่างไร จะรู้ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ หรือวิจกิจฉาได้อย่างไร?

อาตมาพยายามเข้าใจที่หลวงพ่อสดคือสภาวะออกมา ก็ได้ความอย่างนี้แหละ สรุปแล้วก็คือท่านยังไม่เข้าใจถึงว่านิพพานหรือจุดสุญญตา จุดว่างเปล่า คืออาการที่กิเลสไม่ดิ้นไม่กระดุกกระดิก แต่นิพพานไม่ได้หมายถึงกิเลสนิ่ง แต่มันมาจับที่อาการจิตที่ไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีแล้ว มีแต่จิตที่คล่องแคล่วมุทุภูตธาตุ ทำงานด้วยปรุงแต่งด้วย ผู้ที่มีนิพพานแท้จริงของศาสนาพุทธจิตใจจะปรุงแต่งได้ ไม่ใช่หยุดนิ่ง แต่กิเลสระงับ กิเลสมันตาย มันดับ

นิพพาน ที่หมายต้องรู้จริง ต้องรู้ว่ามันตายสนิทตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อันนั้นคือกิเลสตายถาวรเลย

ก็คือความเที่ยง ทางธรรมกายหรือหลวงพ่อสด ยังไม่ชัดในคำว่าเที่ยง คือเขาบอกว่า นิพพานนั้นต้อง นิจจัง(เที่ยง) สุขัง อัตตา ของหลวงพ่อสดของธรรมกาย นิพพานต้องนิจจัง สุขัง อัตตา แต่ถ้าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นมันไม่ใช่นิพพาน พยัญชนะเดียวกันเลยนะ แต่ความหมายแนวลึกต่างกัน

ทางธรรมกาย หลวงพ่อสด เที่ยงคืออะไร ของเขายังคลุมเคลือไม่แม่นตรงชัด แต่ของพระพุทธเจ้าหรืออาตมายืนยันเลยว่าความเที่ยงแท้คือ กิเลสตายอย่างเที่ยง ตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างการตายของกิเลสนี้ได้) อสังกุปปัง(ตายไม่ฟื้นไม่มีเกิดอีก ไม่กลับกำเริบ) คือกิเลสมันตายอย่างเที่ยงแท้

ไม่ใช่จิตใจไม่ปรุงแต่งอย่างเที่ยงแท้ จิตอยู่เฉยๆอยู่อย่างเที่ยงไม่ใช่ จิตนิ่ง จิตว่างเฉยๆอย่างเที่ยง ของที่คุณว่าทั้งหลาย ก็คือคุณสะกดจิต แต่เมื่อหยุดสะกดจิตแล้วไม่เที่ยงหรอก คุณอธิบายว่ากิเลสมันตายสนิทไม่ได้หรอก คุณไม่มีสภาวะจริง จะอธิบายให้ตายก็อธิบายอย่างที่คุณว่า อาตมาสามารถอธิบายได้ทั้ง 2 อย่าง อย่างที่คุณเป็น อาตมาเคยหลงเคยเป็นมาแล้ว แล้วก็เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้วไม่หลงแล้ว เป็นการสะกดจิตอย่างไม่ได้ทำอนาไลซิส analysis ไม่แยกแยะเวทนาในเวทนา 108 เขาก็อธิบายไม่ได้หรอก

อาตมาว่า ความเที่ยง หากเข้าใจไม่ได้อย่างอาตมาว่าแล้ว ไม่แม่นสภาวะ อย่างอาตมาอธิบายไป ก็ไปยึดเอาสมถะ ไปยึดตัวหยุดตัวนิ่งของจิต เป็นความเที่ยง ก็ถูกของคุณ แต่ความจริงของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น คือความตายของกิเลสมันเที่ยง มันหยุด มันไม่มี มันว่าง มันเลิกเลยจริงๆ แต่พลังงานจิตไม่ได้เลิกนะ เมื่อกิเลสตายจากมาแล้ว พลังงานจิตจะสว่างสะอาด สงบ คล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว แสนรู้ ล้านรู้ มันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างเหมาะควรอย่างพอดี เป็นผู้ที่กำหนดได้อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

แม้แต่คำว่าเที่ยงคำเดียวนี้ ก็มีนัยยะสำคัญที่ ทางโน้นกับที่อาตมารู้นั้นต่างกัน ความเที่ยงนี้เป็นธรรมะ ที่เป็นธรรมะเดียวไม่เป็นธรรมะ 2 ไม่มีอัตถิอุปมา เปรียบเทียบไม่ได้

เที่ยงของทางโน้น จึงกลายเป็นอัตตาเที่ยง

แต่ของทางนี้คือ อนัตตาเที่ยง

อัตตาเที่ยงคือ คุณยังมีตัวตนอยู่อย่างเที่ยง อนัตตาคือไม่มีตัวตนอย่างเที่ยง ไม่มีอะไร ก็ไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีในเราอย่างเที่ยง ทางโน้นยืนยันว่านิพพานเป็นอัตตา แล้วยืนยันว่าเที่ยง คุณพูดไม่ผิดหรอก เพราะคุณผิดอยู่ที่คุณ คุณก็ต้องอธิบายสิ่งผิดที่คุณมี เราก็เข้าใจ เรารู้ว่าเป็นสิ่งผิดเราก็ไม่เอาแล้ว แล้วเราก็ทำได้ แต่มันไม่เป็นคุณค่าประโยชน์ ดีไม่ดีเป็นโทษด้วย เช่น ให้อาตมาดื่มเหล้าตอนนี้ดื่มได้ไหม ก็ดื่มได้ไม่ตาย แต่อาตมาไม่ดื่ม เรื่องอะไรจะไปดื่ม เหมือนกันแหละทำอย่างนั้นได้ไหม ก็ทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทำ อย่างนี้เป็นต้น

นี่คือความเที่ยงและความไม่เที่ยง

 

มาอ่านหนังสือนี้ต่อ เขาว่า...ธรรมกายจะมีคุณสมบัติจำเพาะ 4 อย่างคือความเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์ ...เมื่อเอ่ยถึงความบริสุทธิ์ควร ให้คุณออกมาให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสีย กลัวจะมีแผลเหมือนวัวสันหลังหวะหรือเปล่า จึงไม่กล้ามาให้เขาตรวจสอบ แน่จริงออกมาสิ คนไม่บริสุทธิ์ไม่กล้าให้ตรวจสอบหรอก จริงๆ เรานี่นะ มันสบายๆใครอยากมาตรวจก็มา พูดไปเหมือนจะท้าอีก มาเลยถ้าไม่เมื่อยมาตรวจเลย คือถ้าคนมาตรวจเราเราจะได้คน เขาจะชัดเจน แล้วก็เสร็จเรา เขาจะเห็น ความบริสุทธิ์สะอาด จะศรัทธาเลื่อมใส แต่เขากลับกลัวคนจะมาศรัทธาเลื่อมใส สนามแม่เหล็กของเรามีแรงด้วย ไม่ใช่ดูดธรรมดา จับบิดให้เข้าที่ด้วยอีก

สมณะเดินดินว่า...ฟังเขาพูดก็น่าห่วงพวกเรามากกว่า นิจจัง สุขัง อัตตา ภาษานี้ก็เคยฟังเปรียญธรรม 9 มาอธิบาย พอเขาว่า ทำไมต้องสร้างใหญ่ก็บอกว่า จำเป็นต้องสร้างใหญ่โตเพื่อรองรับคนมากๆ แต่ของเรานี้เหมือนแม่นเป้า แต่กิเลสไม่ได้ละ เหมือนธรรมกายอีก สามารถพูดได้เป๊ะเลย มีคนพูดว่าธรรมกายเขามาวัดเราเขาเดินเป็นระเบียบ แต่ก่อนของเราก็เป็นนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ระมัดระวัง

พ่อครูว่า...นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์

นิจจัง(เที่ยง)อธิบายไปแล้วนะสิ่งเที่ยงคือกิเลสตายอย่างไม่ฟื้นเลยคือเที่ยง แล้วตัวเราเอง จิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ ก็มีมุทุภูตธาตุ ทำงานอย่างสะอาดบริสุทธิ์ช่วยเหลือเกื้อกูลไป ปราดเปรียว ว่องไว กัมมัญญตา ทำงานที่เกิดขึ้นๆ ด้วยความบริสุทธิ์สะอาดจริง

สุขัง…..ความสุข มันบดบังความทุกข์จริงๆ สุขคือการบำเรอใจตัวเอง ถ้ายังบำเรอใจตัวเองอยู่ มันก็คือ ของเก๊ มันก็ยังคืออารมณ์ เพราะจิตแท้ๆไม่ต้องบำเรออะไรจบในตัวเองเป็นธรรมะ 1

ถ้าเป็นธรรมะ 2 จะเห็นว่าสีแดงนี้งาม อยากได้ รสอันนี้เค็ม ก็พอใจ อร่อยดี

เค็มก็เค็มตัวเดียวสิ ไม่ต้องมีสอง จืดก็จืดอย่างเดียวสิไม่ต้องมีอร่อย จืดไม่หวานไม่เค็มหรือนัวดี ภาษาอีสานคือกลมกล่อม ก็คุณเองคุณพอใจบำเรอใจ อันนั้นแหละเรียกว่าสุขโลกีย์สุขเก๊ ผู้ที่บรรลุแล้วไม่มีสองมีแต่ 1

คุณทุกคนเหมือนกันหมด ผู้บรรลุด้วยกันยิ่งเป็นหนึ่งเหมือนกัน แต่ถ้าผู้ไม่รู้ อันนั้นเหมือนกันหมดแต่ใครยึดอะไรมันต่างกัน

คำว่าสุขนี้ยากมากที่เขาจะเรียนรู้ เขาจึงมีตั้งแต่

จาตุมหาราช ชื่อยักษ์วัดแจ้ง เขาจึงแย่ง ถ้าแย่งชิงอย่างโบราณคือการฆ่าทำร้าย สู้ข้าไม่ได้ เอ็งตายแล้วเขาก็ยึดเป็นของเขา ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา แต่คนเดี๋ยวนี้ไม่โหดอย่างนั้นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมมากในการเอามา จึงเป็นมหาราชที่ไม่ใช่ตาโตเขียวยืนถือดาบอย่างสมัยเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช ไม่ทำแบบนั้นแล้ว แต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมซับซ้อน จนคนรู้ไม่ทัน คุณดูดอย่างโหด เอามาให้หมดใครจะเป็นจะตายช่างหัวมันอำมหิตที่สุดเลย

ไม่พอ สะกดจิต เขาใช้สะกดจิตเป็นแกนเลยกลุ่มนี้ สะกดจิตแล้วเขาก็เชื่อทุกคนยอมตายถวายชีวิตได้เลย เขามีอุปกิเลส 16เต็มบ้อง มีอภิชาวิสมโลภะ โลภไม่มีสิ้นสุด โลภไม่สิ้นสุดเป็น ธรรมกรวย บานออกไป ทะลุโลกมหาจักรวาลเอกภพ คือรวยไม่มีที่สิ้นสุดใช้ภาษาปลุกเร้าด้วย

ในด้าน อภิชาวิสมโลภะ ไม่ขยายมาก

สายด้าน พยาบาท โกธะ อุปนาหะ คนโกรธนี่โกรธง่ายหายเร็ว แต่นี่โกรธอย่างพยาบาทกี่ชาติๆก็จะตามไปฆ่า แม้ร่างเป็นผุยผงก็จำได้อย่างในหนังจีนเลย

 

ต่อมาเขายืนยันว่า นิพพานนั้นเป็นที่มั่นที่ปลอดภัย เป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็หมายเอาสุขทางภายนอกเท่านั้น ปรมังสุขังเขาก็แปลว่า สุขอย่างยิ่ง คือสุขอันนี้ก็เท่านี้มันก็มีสุขที่ยิ่งกว่านี้อีก มีเหนือกว่านั้นอีกเรื่อยๆไป แต่ปรมังสุขังนี่อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข แต่ถ้าสุขอย่างยิ่งนี้ ไม่มีวันจบสมมุติสุขต่อไปไม่สิ้นสุด

แต่ถ้าอาตมานั้นบอกว่าถ้ารสอย่างนี้พอกินได้ เผ็ดขนาดนี้พอกินได้ ถ้าเกินกว่านี้ไม่ได้นะ หวานมากก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่ไหนแต่ไรอาตมาก็ไม่ค่อยชอบกินหวาน แต่รสเผ็ดนี้แต่ก่อนอาตมาทนได้ทนดี ที่เคยโง่มากับรสเผ็ด พอมาถึงตอนนี้เลยเข็ดมากเลย เผ็ด นิดหน่อยก็ไม่ได้เลย รสอื่นพอได้ เผ็ดนั้นอวัยวะสรีระไม่รับเลย มันประท้วงเลยแต่ ดีว่าอาตมาไอก็ดี เผ็ดแล้วไม่อักเสบไม่บวมไม่พิการ ไอแรงๆก็ไม่เป็นไร ไม่ช้ำ ไม่บวม มีแต่วาระปัจจุบัน อันนี้เป็นกุศลอาตมา

มันไม่เรื้อรังในความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แต่เรื้อรังตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ก็เลยค่อยยังชั่วนิดนึง

 

มาต่ออีกว่า...เขาอธิบายว่านิพพานนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่ทุกคนควรขวนขวายไปให้ถึง นิพพานเป็นที่มั่นที่ปลอดภัยเป็นสุขอันยอดเยี่ยม

การจะไปให้ถึงนิพพานได้ต้องสละความยึดมั่นในขันธ์ 5 ที่ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง อนิจจังทุกขัง อนัตตา คุณพูดมาเองว่าจะต้องเป็นอนัตตา แต่คุณก็งงว่าจะเอาอัตตาหรืออนัตตา ตนเองเห็นว่าอนัตตามันเท่ แต่ตนเองจะเอาอัตตาตลอดกาล

 

อันต่อไปว่า ...พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละความพอใจในสิ่งที่ไม่ใช่ตน(อนัตตา)หรือไม่ใช่ของตน(อนัตตนิยะ) แต่ทรงสอนให้ยินดีในนิพพานแสวงหานิพพานและผูกใจไว้ในนิพพานดังนั้นสำหรับพระพุทธองค์นิพพานจึงตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอนัตตา

เขาจะเมาไปถึงไหนนะ

พ่อครูว่า...ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 30 ข้อ 659 นิพพานมีคุณสมบัติ 7 นัยยะของจิตที่เป็นนิพพานซึ่งไม่ใช่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอนัตตา แต่มีสภาพเป็น อนัตตาแท้ๆทีเดียว

ถ้าเชื่อตรงกันข้ามกันก็คงจะต้องเป็นการเชื่อในพระพุทธเจ้าคนละองค์กันแล้ว

 

อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1q13qSmdC-iqF0psgwGXQwTNwdJM56XGbjhK4oD659u8

 

 

ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfelVJTGpvNTVvZk0

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:34:56 )

591226

รายละเอียด

591226_พุทธศาสนาตามภูมิ วิพากษ์ นิจจัง สุขัง อัตตา ของธรรมกรว

สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559 ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทางรัฐบาลจะมีโปรแกรมอะไรมากมาย ก็ขอให้อยู่ในช่วงการถวายความอาลัย ให้มีการทำความดี สิ่งที่รณรงค์กันมากที่สุด แต่ละวัดก็จะมีการสวดมนต์ข้ามปี แต่อาตมาว่า ชาวอโศกเราควรจะ save พลังงานส่วนนี้ ถ้าเราจะสวดมนต์ข้ามปีก็ควรจะมาช่วยกันรณรงค์ อย่าปล่อยให้ความชั่วข้ามปี ตามจัดการความไม่ดีอย่าให้มันเลยข้ามปี โดยเฉพาะช่วงนี้เวลานี้ที่เรากำลังช่วยกันรณรงค์ A bomb of love ขยายระเบิดแห่งความรัก ให้ปีนี้เราผ่านไปโดยลดความไม่ชอบใจไม่พอใจ เมื่อกี้นี้ได้ดูโยมยายกิมตัง แม้เขาจะไม่รู้ภาษามาก แต่เขารู้ว่าเขาสบายที่สุด มีคนเปรียบเทียบกับโยมเหนี่ยว ที่เป็นเจ้าของสำนวน ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ สบายดี พ่อครูเลยเอามาเติมต่อ อาตมาเคยชวนมาอยู่ปฐมอโศก  พอมาอยู่ปฐมอโศก โยมเหนี่ยวบอกว่ายิ่งสบายเลย ข้าวไม่ต้องหุง มุ้งไม่ต้องกาง แต่พอหลานมาปุ๊บก็กลับเลย

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ)ตอน เป้าหมายของพุทธบริษัทคือ ทำให้ตนเองได้สิ้นทุกข์  

ชีวิตเราน่าจะมีความสุขกว่าโยมกิมตัง แต่ทำไมเราไม่สบายเท่า เหมือนยิ่งรู้หลักวิชาการเยอะ ก็ยิ่งไปจับอุปกิเลสเพื่อน ระวังความไม่ดีของเพื่อน  เลยยิ่งเครียด ลืมจัดการกิเลสตัวเอง อันนี้คงไม่ใช่เป้าหมายของพุทธบริษัท

เป้าหมายของพุทธบริษัทคือ ทำให้ตนเองได้สิ้นทุกข์ มากกว่าไปจัดการ รู้กิเลสใคร จัดการกิเลสใคร งานของพุทธบริษัทคือ ทำงานให้ตนเองสิ้นทุกข์

เราต้องมาศึกษารายละเอียด แต่บางทีมันก็ไม่รู้ มีญาติธรรมบางคนบอกว่าจะรีบไปร่วมมือรวมกลุ่ม แต่คนที่รู้อย่างสมณะท่านบอกว่าจะไปทำให้แตกแยกต่างหาก เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำ เป็นการสร้างความแตกแยก บางทีไม่เหมือนกิเลสตรงๆ แต่ว่ามันเป็นความปรารถนาดี เป็นสิ่งที่ดี มันรู้ไม่ง่าย ธรรมกายดูเป็นระเบียบ วางรองเท้าเป็นระเบียบเรียบร้อย มันเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่จริงๆแล้วมันเป็นกิเลสที่ซ้อนอยู่ ซ่อนลึกอยู่ภายใน

พ่อครูพยายามให้พวกเรารู้สิ่งที่ลึกให้เป็นสิ่งที่ตื้น รู้ได้ง่ายขึ้น ให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม แรม 12 ค่ำเดือนอ้าย ก่อนจะได้เจรจาพาที วันนี้ก็ว่าจะเอาหนังสือที่ธรรมกายเขาเขียนไว้ เอามายืนยันอธิบาย เขาว่าอย่างนี้จริงๆ แต่เราเองก็อธิบายของเราชัดเจน คนฟังก็ฟังเอา สิ่งที่เหมือนก็เหมือน สิ่งที่ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน ให้เลือกเอาอย่างอิสระ

 

 วันSMSที่ 25 ธันวาคม 2559 (รายการวิถีอาริยธรรม)

0851614xxxทุกๆปีใหม่เราจะได้รับ ส.ค.ส. พระราชทานจากพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 แต่ปีนี้คงไม่มี ส.ค.ส. จากพ่ออีกแล้ว/พระไพศาล วิสาโล

0845818xxxบอกให้ท่านสร้างกุศล มีเงินก็บอกว่า"ไม่มี" เคราะห์กรรมมาถึงชดใช้เป็นหมื่นแสน ไม่มีก็ต้องมี เชิญท่านมาเรียนรู้มหาธรรม ว่างก็บอกว่า"ไม่ว่าง" ถึงเวลาพญายมมาเอาตัว ไม่ว่างก็ต้องไป (จากโอวาทเทพลี่ตี้)

0893867xxxทุกคำสอนพ่อฯในคำตรัสในในพระดำรัสในพระบรมราโชวาทในส.ค.ส.เป็นพรปีใหม่ประดุจดังพรในพระพุทธเจ้าที่ให้ผู้รับพรดำรงความพอเพียงในชีวิตสุขในศีลเจริญในธรรมสาธุ!สกก.

0893867xxxปีใหม่ขอชายจริงหญิงแท้รณรงค์งดอบายมึนเมาลดรุนแรงในครอบครัว!ลดอุบัติเหตุในครอบครัว!ลดสถิติเรื่องดื่มสุรา-นอกใจอันดับต้นของโลกเพื่อครอบครัวผาสุข สังคมเข้มแข็งแผ่นดินคงอยู่ยั่งยืนยงตราบนาน!สกก. 

0818305xxx..กราบนมัสการครับเมื่อข้ามความหวัง..ทุกอย่างก็มีแต่เหตุกับปัจจัย..ก็เหลือพลังงานที่เป็นกุศลกับกาละ..จะต่อรึจะจบก็ได้..ลองคิดตัวจบครับ.. ส่วนการปฏิบัติก็ตามลำดับ..อ่านจิตครับ

0851614xxxauuee วันนี้ไปฟังธรรม เพิ่งทราบว่าการล่วงศีลข้อสามน้านนนน ชายกับชายไม่ล่วงศีลนะคะ หญิงกับหญิงก็ไม่ล่วงศีล ต้องชายกับหญิง

0836031xxxมีราคะผิดคู่ก็ฆ่ากันตายไม่ว่าเกย์-ทอมดี้ทั้งนั้น**คือผิดศีล*แต่ถ้าแค่ผัวเดียวเมียเดียวก็ไม่ผิด*"เกย์ทอมดี้แม้คนเดียวไม่ผิดศีลแต่วิปริตไปแล้วจ้า!!

 

0818892xxxขอบพระคุณพ่อครูที่บอกให้รู้ทางไปนิพพาน?ฟ้าห่วน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน กาละ จะเกิดเมื่อมีผัสสะ

_จากลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์ ฝากเรียนถามพ่อครูค่ะว่า กาละต้องมีความสัมพันธ์กับ 2 สิ่งขึ้นไป เมื่อสัมผัส มีผัสสะกันจะเกิด เวลา ขึ้นใช่ไม๊คะ เวลาเป็นหน่วยของกาละที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลากระทบสัมผัสนั้น ใช่ไม๊คะ  เช่น ถ้าเราหยุดนั้น กาละนั้นแต่เขาไม่หยุดก็จะเป็นกรรมของเขาไม่ใช่กรรมของเราเพราะเราจบแล้ว เป็นเช่นนั้นไม๊คะ เวลาเป็นเหมือนการปักหมุดของกาละที่มีการเกิด ณ ห้วงนั้น ใช่ไม๊คะ

ตอบ...ใช่ สัมผัสปุ๊ปรู้จบ ก็ไม่ต่อมัน ก็ไม่มีเวลา แต่สัมผัสแล้วรู้แล้วคุณก็ต่อ ถ้าดับมันก็ไม่มี ถ้ารู้แล้วมันก็ต่อก็มีเวลา ถ้ารู้แล้วไม่ตอบก็ไม่มีเวลา ตัดสันตติเลย พวกเรานี้เก่งขึ้นทุกวัน รู้จักอาการของกาละ รู้จักอาการของการะ

ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะละเอียดขึ้นเยอะ มีหวัง ไอ้หวังไม่ตายแน่ ไม่ใช่ว่าสร้างความหวังใส่จิตนะ จะหวังต้องรู้ว่าเราเจตนาอะไร เราจะต่ออะไร ถ้าเราต่อจะมีประโยชน์ตนเกิดหรือไม่ ถ้าประโยชน์ตนหมดแล้วก็ไม่ต่อ จะต่อก็มีแต่ประโยชน์ผู้อื่น

 

ต่อมาก็ขอพูดเรื่องธรรมกาย โดยใช้หนังสือที่มีคนส่งมาให้

ในหน้า 50 เขาพยายามค้นหาหลักฐานของคำว่าธรรมกาย ว่ามีอยู่จริง อาตมาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าธรรมกายมีอยู่ แต่ธรรมกายคืออะไร ต้องเข้าใจให้ชัด คม แม่น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์  )ตอน ธรรมกาย คืออะไร

เริ่มตั้งแต่ ธรรมะ และ กาย

มันยังทรงอยู่ ยังมีอยู่ ไม่แตกสลายไป ไม่สูญไป ถ้ามีอยู่ก็คือ ธรรมะ

อธรรม คือ แม้จะมีอยู่ มันก็ไม่ใช่ความถูกต้องความจริง ถ้ามีอยู่ต้องเป็ความถูกต้องและความจริง

กาย ต้องมี 2 ส่วนธรรมะนั้นมี 1 เดียวก็ได้ แต่กายต้องมี 2 เสมอ มีอะไรให้เกิดการเปรียบเทียบ  เมื่อมันไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบท่านเรียกว่า นัตถิอุปมา คือนิพพาน แต่มันมี ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็มีอยู่ จะบอกว่าหนึ่งก็ได้หรือสองก็ได้ ถ้าธาตุรู้ยังไม่ดับสูญ ก็ต้องมีสองเสมอ หรือมากกว่าสอง นับไม่ถ้วน อย่างน้อยก็ต่างชิ้นต่างตัว จะเหมือนหรือคล้ายกันแต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่เหมือนกันทั้งหมดเลยหรอก ไม่มีอะไรเหมือนกันเป๊ะเลยหรอก ทั้งทางวัตถุธรรมคือ ทางนามธรรม

          หนังสือเล่มนี้(ของธรรมกาย)บอกว่า….ธรรมกายคือกายที่สำเร็จ (ตรัสรู้) พุทธธรรม

ต่อมาอีกอันหนึ่งบอกว่า พระโพธิสัตว์ผู้เข้าถึงธรรมกาย อันนี้ก็ถูกต้องแล้ว ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรมกายคืออะไร

คำว่าธรรมกายต้องมีอรหันต์ด้วย ไม่มีอรหันต์ก็ไม่มีธรรมกาย ผู้จะเป็นโพธิสัตว์ต้องมีธรรมกายก่อน ธรรมกายอันนั้นก็คืออรหันต์และเป็นโพธิสัตว์ก็ใช้ธรรมกายทำงาน ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 9 ระดับ 10 ก็ยิ่งเป็นธรรมกายยิ่งใหญ่

 

ในหนังสือนี้(หนังสือ หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ ของวัดพระธรรมกาย) บอกอีกว่า...ในทรรศนะของพระมงคลเทพมุนีกล่าวว่า การเห็นธรรมกายจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติฝึกใจให้หยุดนิ่ง ถูกส่วนตรงศูนย์กลางกาย ด้วยใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้นจะมีสภาวะที่ว่างเปล่าเป็นสุญญตาคือปราศจากความคิดปรุงแต่งและปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง

พ่อครูว่า...แล้วศูนย์กลางกายมันคืออะไร ฟังความทั้งหมดศูนย์กลางกายไม่ใช่นามธรรม ไม่ได้หมายถึงจิตมโนวิญญาณ

ศูนย์กลางกายของหลวงพ่อสดหมายถึงใจที่หยุดนิ่งสนิท มีสภาวะว่างเปล่าสุญญตาคือปราศจากความคิดปรุงแต่งและปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง ก็คือจิตหยุดนิ่งจากนิวรณ์ได้อย่างไร จะรู้ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ หรือวิจกิจฉาได้อย่างไร?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์  )ตอน ผู้มีนิพพานแท้จริงของศาสนาพุทธ

อาตมาพยายามเข้าใจที่หลวงพ่อสดคือสภาวะออกมา ก็ได้ความอย่างนี้แหละ สรุปแล้วก็คือท่านยังไม่เข้าใจถึงว่านิพพานหรือจุดสุญญตา

จุดว่างเปล่า คืออาการที่กิเลสไม่ดิ้นไม่กระดุกกระดิก แต่นิพพานไม่ได้หมายถึงกิเลสนิ่ง แต่มันมาจับที่อาการจิตที่ไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีแล้ว มีแต่จิตที่คล่องแคล่วมุทุภูตธาตุ ทำงานด้วยปรุงแต่งด้วย 

ผู้ที่มีนิพพานแท้จริงของศาสนาพุทธ จิตใจจะปรุงแต่งได้ ไม่ใช่หยุดนิ่ง แต่กิเลสระงับ กิเลสมันตาย มันดับ

นิพพาน ที่หมายต้องรู้จริง ต้องรู้ว่ามันตายสนิทตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อันนั้นคือกิเลสตายถาวรเลย

ก็คือความเที่ยง ทางธรรมกายหรือหลวงพ่อสด ยังไม่ชัดในคำว่าเที่ยง คือเขาบอกว่า นิพพานนั้นต้อง นิจจัง(เที่ยง) สุขัง อัตตา ของหลวงพ่อสดของธรรมกาย นิพพานต้องนิจจัง สุขัง อัตตา

แต่ถ้าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นมันไม่ใช่นิพพาน พยัญชนะเดียวกันเลยนะ แต่ความหมายแนวลึกต่างกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์  )ตอน ความเที่ยงของพระพุทธเจ้ามีสภาวะอย่างไร?

ทางธรรมกาย หลวงพ่อสด เที่ยงคืออะไร ของเขายังคลุมเคลือไม่แม่นตรงชัด แต่ของพระพุทธเจ้าหรืออาตมายืนยันเลยว่าความเที่ยงแท้คือ กิเลสตายอย่างเที่ยง ตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างการตายของกิเลสนี้ได้) อสังกุปปัง(ตายไม่ฟื้นไม่มีเกิดอีก ไม่กลับกำเริบ) คือกิเลสมันตายอย่างเที่ยงแท้

ไม่ใช่จิตใจไม่ปรุงแต่งอย่างเที่ยงแท้ จิตอยู่เฉยๆอยู่อย่างเที่ยงไม่ใช่ จิตนิ่ง จิตว่างเฉยๆอย่างเที่ยง ของที่คุณว่าทั้งหลาย ก็คือคุณสะกดจิต แต่เมื่อหยุดสะกดจิตแล้วไม่เที่ยงหรอก

คุณอธิบายว่ากิเลสมันตายสนิทไม่ได้หรอก คุณไม่มีสภาวะจริง จะอธิบายให้ตายก็อธิบายอย่างที่คุณว่า

อาตมาสามารถอธิบายได้ทั้ง 2 อย่าง อย่างที่คุณเป็น อาตมาเคยหลงเคยเป็นมาแล้ว แล้วก็เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้วไม่หลงแล้ว เป็นการสะกดจิตอย่างไม่ได้ทำอนาไลซิส analysis ไม่แยกแยะเวทนาในเวทนา 108 เขาก็อธิบายไม่ได้หรอก

อาตมาว่า ความเที่ยง หากเข้าใจไม่ได้อย่างอาตมาว่าแล้ว ไม่แม่นสภาวะ อย่างอาตมาอธิบายไป ก็ไปยึดเอาสมถะ ไปยึดตัวหยุดตัวนิ่งของจิต เป็นความเที่ยง ก็ถูกของคุณ

แต่ความจริงของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น คือความตายของกิเลสมันเที่ยง มันหยุด มันไม่มี มันว่าง มันเลิกเลยจริงๆ

แต่พลังงานจิตไม่ได้เลิกนะ เมื่อกิเลสตายจากมาแล้ว พลังงานจิตจะสว่างสะอาด สงบ คล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว แสนรู้ ล้านรู้ มันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างเหมาะควรอย่างพอดี เป็นผู้ที่กำหนดได้อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

แม้แต่คำว่าเที่ยงคำเดียวนี้ ก็มีนัยยะสำคัญที่ ทางโน้นกับที่อาตมารู้นั้นต่างกัน ความเที่ยงนี้เป็นธรรมะ ที่เป็นธรรมะเดียวไม่เป็นธรรมะ 2 ไม่มีอัตถิอุปมา เปรียบเทียบไม่ได้

เที่ยงของทางโน้น จึงกลายเป็นอัตตาเที่ยง

แต่ของทางนี้คือ อนัตตาเที่ยง

อัตตาเที่ยงคือ คุณยังมีตัวตนอยู่อย่างเที่ยง

 อนัตตาคือไม่มีตัวตนอย่างเที่ยง ไม่มีอะไร ก็ไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีในเราอย่างเที่ยง ทางโน้นยืนยันว่านิพพานเป็นอัตตา แล้วยืนยันว่าเที่ยง คุณพูดไม่ผิดหรอก เพราะคุณผิดอยู่ที่คุณ คุณก็ต้องอธิบายสิ่งผิดที่คุณมี เราก็เข้าใจ เรารู้ว่าเป็นสิ่งผิดเราก็ไม่เอาแล้ว แล้วเราก็ทำได้ แต่มันไม่เป็นคุณค่าประโยชน์ ดีไม่ดีเป็นโทษด้วย เช่น ให้อาตมาดื่มเหล้าตอนนี้ดื่มได้ไหม ก็ดื่มได้ไม่ตาย แต่อาตมาไม่ดื่ม เรื่องอะไรจะไปดื่ม เหมือนกันแหละทำอย่างนั้นได้ไหม ก็ทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทำ อย่างนี้เป็นต้น

นี่คือความเที่ยงและความไม่เที่ยง

 

ทีนี้ มาอ่านหลักฐานของทางธรรมกายบอกว่า...ธรรมกายนั้นเป็นธรรมขันธ์ อันประกอบด้วยศีลสมาธิปัญญาวิมุติและวิมุตติญาณทัสสนะ  พ่อครูว่า...ก็ถูกต้องแล้วแต่มีนัยยะสำคัญต่างกัน เพราะธรรมขันธ์ของทางธรรมกายนั้น ทางโน้นไม่มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล โดยเฉพาะ มหาศีลเขาผิดไปหมดเลย ทำนายว่าจะไปอยู่วิมานไหนๆ เป็นต้น ผิดมหาศีลทั้งดุ้นเลย เขาไม่มีศีล มีแต่วินัย 227 และก็ยังผิดวินัยด้วย จะได้เข้าคุกอยู่นี่ เขาไม่มีศีลด้วย อธิบายศีลก็ได้แค่กายกับวาจา ไม่มีอานิสงส์ของศีล ไม่มีอวิปฏิสาร ปามุชชะ ปีติ สุขคือ การได้อานิสงส์ 10 ของศีล .
กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ 
ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ

1.      อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.      ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.      ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4.      ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5.      สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6.      สมาธิ (จิตมั่นคง)

7.      ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8.      นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9.      วิราคะ (คลายกิเลส)

10.     วิมุตติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิจากมรรคมีองค์ 7 ที่ปฏิบัติพร้อมไปกับโพชฌงค์ แล้วจะเกิดสัมมาสมาธิสั่งส่งไปปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าปัญญาเกิดอย่างนี้ ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติมรรค มีสัมผัสเป็นปัจจัย และมีโพชฌงค์ 7

1.      สติ (ความระลึกได้) เปรียบเหมือนจักรแก้ว

2.      ธัมมวิจัยะ (ความเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว

3.      วิริยะ (ความเพียร) เปรียบเหมือนม้าแก้ว

4.      ปีติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนมณีแก้ว

5.      ปัสสัทธิ (สงบจากกิเลส) เปรียบเหมือนนางแก้ว

6.      สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว

7.      อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) เปรียบด้วยปรินายกแก้ว

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 81)

 

มีอภิสังขาร แม้แต่ในการปฏิบัติก็มีโลกุตระ สังขารเป็นโลกุตระ ได้เริ่มสัมมาทิฏฐิเต็มรอบก็ส่งให้ปัญญา ปัญญาก็พัฒนาเป็นปัญญินทรีย์ คืออาการปฏิสัมพันธ์ของ 6 ข้อให้เกิดปัญญา พระพุทธเจ้าว่าการปฏิบัติมรรค 7 องค์จะเกิดปัญญาได้อย่างนี้ เดาไม่ได้หรอก

การเกิดสมาธิของเขาไปนั่งหลับตา ไม่ได้เกิดจากมรรคมีองค์ 7 ปัญญาเข้าไม่ได้เกิดอย่างที่ว่านี้แล้ว สำคัญผิดเอาสัญญาเป็นปัญญา

วิมุติเขาก็ตัดทิ้งได้เลย เป็นมิจฉาวิมุติแน่ วิมุตติญาณทัสนะก็ไม่ได้แน่ ศีลก็ไม่มี สมาธิก็เละ แล้วจะเกิดปัญญาได้อย่างไร จะมีวิมุติ วิมุตติญาณทัสนะได้อย่างไร?

 

มาอ่านหนังสือนี้ต่อ เขาว่า...ธรรมกายจะมีคุณสมบัติจำเพาะ 4 อย่างคือความเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์ ...เมื่อเอ่ยถึงความบริสุทธิ์ควร ให้คุณออกมาให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสีย กลัวจะมีแผลเหมือนวัวสันหลังหวะหรือเปล่า จึงไม่กล้ามาให้เขาตรวจสอบ แน่จริงออกมาสิ คนไม่บริสุทธิ์ไม่กล้าให้ตรวจสอบหรอก จริงๆ เรานี่นะ มันสบายๆใครอยากมาตรวจก็มา พูดไปเหมือนจะท้าอีก มาเลยถ้าไม่เมื่อยมาตรวจเลย คือถ้าคนมาตรวจเราเราจะได้คน เขาจะชัดเจน แล้วก็เสร็จเรา เขาจะเห็น ความบริสุทธิ์สะอาด จะศรัทธาเลื่อมใส แต่เขากลับกลัวคนจะมาศรัทธาเลื่อมใส สนามแม่เหล็กของเรามีแรงด้วย ไม่ใช่ดูดธรรมดา จับบิดให้เข้าที่ด้วยอีก

สมณะเดินดินว่า...ฟังเขาพูดก็น่าห่วงพวกเรามากกว่า นิจจัง สุขัง อัตตา ภาษานี้ก็เคยฟังเปรียญธรรม 9 มาอธิบาย พอเขาว่า ทำไมต้องสร้างใหญ่ก็บอกว่า จำเป็นต้องสร้างใหญ่โตเพื่อรองรับคนมากๆ แต่ของเรานี้เหมือนแม่นเป้า แต่กิเลสไม่ได้ละ เหมือนธรรมกายอีก สามารถพูดได้เป๊ะเลย มีคนพูดว่าธรรมกายเขามาวัดเราเขาเดินเป็นระเบียบ แต่ก่อนของเราก็เป็นนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ระมัดระวัง

พ่อครูว่า...นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์

นิจจัง(เที่ยง)อธิบายไปแล้วนะสิ่งเที่ยงคือกิเลสตายอย่างไม่ฟื้นเลยคือเที่ยง แล้วตัวเราเอง จิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ ก็มีมุทุภูตธาตุ ทำงานอย่างสะอาดบริสุทธิ์ช่วยเหลือเกื้อกูลไป ปราดเปรียว ว่องไว กัมมัญญตา ทำงานที่เกิดขึ้นๆ ด้วยความบริสุทธิ์สะอาดจริง

สุขัง…..ความสุข มันบดบังความทุกข์จริงๆ สุขคือการบำเรอใจตัวเอง ถ้ายังบำเรอใจตัวเองอยู่ มันก็คือ ของเก๊ มันก็ยังคืออารมณ์ เพราะจิตแท้ๆไม่ต้องบำเรออะไรจบในตัวเองเป็นธรรมะ 1

ถ้าเป็นธรรมะ 2 จะเห็นว่าสีแดงนี้งาม อยากได้ รสอันนี้เค็ม ก็พอใจ อร่อยดี

เค็มก็เค็มตัวเดียวสิ ไม่ต้องมีสอง จืดก็จืดอย่างเดียวสิไม่ต้องมีอร่อย จืดไม่หวานไม่เค็มหรือนัวดี ภาษาอีสานคือกลมกล่อม ก็คุณเองคุณพอใจบำเรอใจ อันนั้นแหละเรียกว่าสุขโลกีย์สุขเก๊ ผู้ที่บรรลุแล้วไม่มีสองมีแต่ 1

คุณทุกคนเหมือนกันหมด ผู้บรรลุด้วยกันยิ่งเป็นหนึ่งเหมือนกัน แต่ถ้าผู้ไม่รู้ อันนั้นเหมือนกันหมดแต่ใครยึดอะไรมันต่างกัน

คำว่าสุขนี้ยากมากที่เขาจะเรียนรู้ เขาจึงมีตั้งแต่

จาตุมหาราช ชื่อยักษ์วัดแจ้ง เขาจึงแย่ง ถ้าแย่งชิงอย่างโบราณคือการฆ่าทำร้าย สู้ข้าไม่ได้ เอ็งตายแล้วเขาก็ยึดเป็นของเขา ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา แต่คนเดี๋ยวนี้ไม่โหดอย่างนั้นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมมากในการเอามา จึงเป็นมหาราชที่ไม่ใช่ตาโตเขียวยืนถือดาบอย่างสมัยเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช ไม่ทำแบบนั้นแล้ว แต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมซับซ้อน จนคนรู้ไม่ทัน คุณดูดอย่างโหด เอามาให้หมดใครจะเป็นจะตายช่างหัวมันอำมหิตที่สุดเลย

ไม่พอ สะกดจิต เขาใช้สะกดจิตเป็นแกนเลยกลุ่มนี้ สะกดจิตแล้วเขาก็เชื่อทุกคนยอมตายถวายชีวิตได้เลย เขามีอุปกิเลส 16เต็มบ้อง มีอภิชาวิสมโลภะ โลภไม่มีสิ้นสุด โลภไม่สิ้นสุดเป็น ธรรมกรวย บานออกไป ทะลุโลกมหาจักรวาลเอกภพ คือรวยไม่มีที่สิ้นสุดใช้ภาษาปลุกเร้าด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา ) ตอน อุปกิเลส 16 กับลัทธิธรรมกาย

ในด้าน อภิชาวิสมโลภะ ไม่ขยายมาก

สายด้าน พยาบาท โกธะ อุปนาหะ คนโกรธนี่โกรธง่ายหายเร็ว แต่นี่โกรธอย่างพยาบาทกี่ชาติๆก็จะตามไปฆ่า แม้ร่างเป็นผุยผงก็จำได้อย่างในหนังจีนเลย

โกธะคือโกรธ เป็นโทสะฝ่ายหนึ่ง

พยาบาทแล้วผูกโกรธด้วย พยาบาทคือตัวพ่อ อุปนาหะคือตัวลูกมัน

นี่คือหมวดหนึ่งของอุปกิเลส

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

 

หมวดสอง

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9. มายา

10.สาเฐยยะ

11.ถัมภะ

         12.สารัมภะ

         13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

อาตมาเกิดมาหลายชาติแล้วนะก็เพิ่งจะเจอคนที่ชั่วอย่างนี้ พวกนี้ตีสีหน้าเก่งด้วยนะ

แล้วอัตตาเป็นอย่างไร? ตัวตนเป็นอย่างไร?เขาไม่รู้จัก ตั้งแต่ กาย ต้องเป็นธรรมะสอง มากกว่าสองก็รวมเป็นกาย เป็นตนหมด เริ่มต้นตั้งแต่สองเขาก็ไม่รู้

เริ่มแต่โอฬาริกอัตตา เป็นวัตถุ เป็นดินน้ำไฟลม เป็นบุคคล เป็นวัตถุ ก็รวมมาเป็นกู เป็นของกูหมด ตะกละตะกรามไม่มีบันยะบันยัง เอาหมด ที่ในประเทศไทยก็ไปยึดทั่วไป เมืองนอกก็พยายามไปยึดอีก ถ้ายังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็จะหาทางไปยึดประเทศอื่นอีก ไปซื้อปราสาทสถานที่ ส่งคนไปล่อ ล่า หลอก ลวง เขาจะสร้างบาปไปถึงไหน เขาไม่รู้เรื่องหรอก สร้างเวรภัยแก่ตนอีก มันยิ่งกว่าโง่เง่างมงายอีก

 

ต่อมา…จากอิสสามัจฉริยะแล้วก็เป็น

 

หมวดที่สามของอุปกิเลส

9.   มายา (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

มายาหรือมารยาเขาเล่นกลจริงๆ สาเฐยยะ เช่นเขามีความเป็นระเบียบ มีศิลปะที่เชยมาก

ถัมภะ ดื้อด้านดันทุรัง อันนี้ไม่ต้องขยายความมากเลย ตอนนี้ก็ยังไม่จบ

ยังมีสารัมภะ แข่งดี แข่งเด่น ว่ากูถูก แต่กูถูกก็ออกมาสู้กับเขาสิ ถูกแต่วิ่งหนีหัวซุกอย่างนั้นทำไม แล้วบอกว่ากูไม่ผิด กูไม่แพ้ กูถูกๆ 

สมณะเดินดินว่า เริ่มจากความยึดมั่นถือมั่น ตัวเดียว มันก็ยืดยาวมาต่ออีก 15 ตัวเลยนะ ไม่ใช่เฉพาะธรรมกาย พวกเราด้วยที่เป็น มีคนเก่งบอกว่าร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำนี้ คนเก่งอย่างเขารับไม่ได้ ร้อยรู้ แต่ทำไมทำอย่างเดียว มันรู้สึกว่าอินทรีย์พละอ่อนมาก ควรทำให้มากกว่านี้สิ แต่ทุกวันนี้ คนที่พูดนี้มีเมียสองสามคนแล้ว ตอนอยู่กับวัดเคร่งครัดมาก แต่ออกไปก็ปล่อย

อย่างโยมกิมตังนี้ไม่ได้มีลักษณะเช่นนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา ) ตอน อัตตา 3

แต่ถ้าเรายึดมากก็จะออกเป็นอุปกิเลส 16 นี้ได้

พ่อครูว่า...อันแรก รูปใหญ่เป็นโอฬาริกอัตตา

 แล้วรูปภายใน เป็นรูปและอรูป

ในความเป็นรูปนี้ ท่านใช้พยัญชนะว่า มโนมยอัตตา คือข้างนอกมันไม่มีดินน้ำไฟลม แต่คุณปั้นแต่งเป็นรูปร่าง มีสัมผัสเสียดสีเต็มรูปเลย เหมือนกับผู้หญิงที่เขามีสามีเป็นพระพรหม อาตมาเจอมาแล้วและก็ปราบมาแล้ว อาตมาเหยียบอกพระพรหมเลย ก็คือนามธรรมก็ต้องใหญ่ ให้เจ้าตัวคนไข้เขาเห็น ว่าเป็นพระพรหมที่ใหญ่กว่าพรหมสามีเขา เขาก็หาย เขาจะเข้าใจ เพราะเราสามารถปราบพระพรหมได้

เมื่อเป็นมโนมยอัตตา จะขยายเป็นสิ่งที่ไม่มี มามีภายนอกได้ ไปมีอยู่ภายใน ปั้นได้อย่างเหมือนกับเห็นจริง

มโนมยอัตตาไม่ประกอบด้วยดินน้ำไฟลมเลย  เป็นรูปที่ปั้นขึ้นสำเร็จด้วยจิต จิตปั้นเอา แล้วคุณก็ถือว่าจริง

 นรกคุณก็รู้สึกจริง ตายแล้วคุณทำผิด กรรมก็ทำให้คุณเป็นนรกจริง เพราะว่าคุณมีสวรรค์ คุณตายไปแล้วไม่มีสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ  แต่คุณก็จะดิ้นให้ได้ต้องการสวรรค์ คุณจะดิ้นโดยไม่รู้ว่าคุณดิ้น

อาการเร่าร้อนคืออาการนรก ที่คุณไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัส แต่คุณก็จะดิ้นรนเอาให้ได้ เหมือนคนติดยา มันดิ้นอย่างไม่รู้เรื่อง จะฆ่าคนที่มาขวางหมด ตายไปก็ดิ้นอย่างนี้ แล้วไม่มีเวลากาละให้จบด้วย ตราบที่คุณยึดว่าจะต้องให้ได้ อย่างไม่มีเวลาหยุดยาวไปเป็นกัปป์กัลป์เลย น่ากลัวไหม?

คุณต้องการสวรรค์มากเท่าไหร่ คุณก็ดิ้นมากเท่านั้น แล้วคุณก็ทรมานกับการดิ้นของคุณ มันดิ้นร้อนเหน็ดเหนื่อยทรมานก็เป็นครบเลย

ความเป็นอัตตา ก็ไม่รู้ทั้ง โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา ก็ไม่ต้องพูดถึงอรูปอัตตา เขาไม่รู้แน่ พอจัดการโอฬาริกอัตตาได้ก็มาจัดการมโนมยอัตตา หรือรูปอัตตา เมื่อล้างได้ก็เหลือเป็นอรูปไปเรื่อยๆ เมื่อหมดสิ้นเกลี้ยงอรูปอัตตาสุดท้าย ก็หมดอัตตา เรียกว่าอนัตตา แล้วอนัตตานี่แหละเที่ยงอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

สิ่งที่มี ไม่มีอะไรเที่ยง สิ่งที่ไม่มีคือเที่ยง

สิ่งที่มี จะมีน้อยมีมากก็ไม่เที่ยง แต่สิ่งที่ไม่มีเท่านั้นที่เที่ยง

 

ความบริสุทธ์...อย่ามาใช้คำนี้ คุณไม่มีสิทธิ์ใช้คำนี้ ขณะนี้คาหนังคาเขาอยู่ เขรอะอยู่อย่างนี้ ยังไม่รู้ว่าจะต้องติดคุกกี่ปี ไม่กล้าติดคุกใช่ไหมล่ะ กลัวจะติดคุกใช่ไหมล่ะ เป็นอสุรกายที่ขี้กลัว อสุระแปลว่าไม่กล้า มหาราช แปลว่าเป็นคนกล้าแย่งชิงทำร้ายคนอื่น แต่นี่ไม่ใช่มหาราช แต่คืออสุรกาย มีองค์ประชุมของความกลัว มันเป็นสุระ เต็มที่ หดหัวอยู่

คุณไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าบริสุทธิ์ ไม่ยอมให้ใครชำระอีก คุณยังมีอีกไหมเขาจะชำระให้หมด แต่นี่อันแรกยังไม่ให้เขาชำระเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์ ) ตอน อาการที่ 32 33 34

ต่อมา...โดยมีลักษณะ กาย มหาบุรุษครบถ้วน 32 ประการ มีความบริสุทธิ์ใสสว่างประดุจเพชร

พ่อครูว่า..ขอยืนยันว่าเขาไม่รู้จักอาการ 32 หรอก เขาพูดตามพยัญชนะตามตามกันมา เขาไม่รู้จักอาการ 32 หรอก ขอยืนยันตั้งแต่ข้างนอกคือ ผมขนเล็บฟันหนัง ที่ทุกคนเห็นรู้ร่วมกันได้ ไม่ต้องพูดถึงข้างใน ในเนื้อในกระดูก ในเส้นเอ็น ในน้ำเหลือง ในน้ำหนอง ในตับไตไส้พุง ที่เป็นอาการ 32 ยังไม่ต้องพูดเลย เอาแค่ผมขนเล็บฟันหนังมาพูดกันเสียก่อน คุณรู้จักความเป็นกายของ ผมขนฟันเล็บหนังหรือยัง อธิบายได้หรือยังว่า เมื่อไหร่ที่เล็บคุณเป็นกาย ผมคุณเป็นกาย

แค่นี้อธิบายได้ไหม อย่าไปพูดถึงเมื่อไรตับไตไส้พุงเราเป็นกาย แค่นี้ก็พูดไม่ได้แล้ว ในตัวคุณก็มีแล้ว เมื่อใดมันเป็น พีชะ เมื่อใดหมดพีชะ เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นจิต คุณรู้หรือยัง

คนที่จะรู้จักอาการ 32 ก็ต้องรู้อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวมันมาก มันทำงานสมดุลดีก็ดีแล้ว มันทำงานไม่สมดุลก็รักษา คุณจะมีกล้องส่องเข้าไปดูแลรักษามันให้หาย อาการ 32 ก็ไม่ว่า แก้อาการบ้าบออาการที่ 33 คุณสร้างมาเองก็ไม่รู้ แล้วก็ไปหลงดาวดึงส์เป็นสวรรค์เฟส 2 3 4 5 แล้วคุณอธิบายยามาไม่เป็น อธิบายดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี คุณอธิบายไม่ได้หรอก

ปรนิมมิตวสวัตตีคือ กิเลสฐานที่ 6 ของสวรรค์ 6 ชั้น คุณก็เป็นเต็มบ้องเลย

อาการ 32 คุณก็รู้ไม่ชัด แต่คุณจะไปหลงอาการ 33 34 35 36 37 38 แค่อาการ 32 ก็ไม่รู้ คุณก็ไปหลงกับอาการ 33 คือหลงความสุข ดาวดึงส์คือ สวรรค์สุขที่เป็นการบำเรอใจ เป็นอาการที่ 33 แล้วก็อยากได้ความสุขจะมีให้ยาวนาน เป็นยามา คุณไม่อยากให้สุขนี้หายไป

 แต่คุณก็ต้องหยุดพัก ที่ดุสิต แม้แต่คุณไม่เอาดุสิตแต่คุณก็ไปอยู่ดุสิต อย่างไม่รู้ สันตุสิตคือหยุดเย็นสันติสงบ แต่คุณไม่หยุด

ดุสิตคือแดนต้องหยุดพัก งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา คนรู้ก็หยุดพักได้ แต่คุณไม่หยุดคุณก็จะเอาอีก แต่คุณก็ต้องพักที่ดุสิต

ตัวคุณเป็น นิมมานรดี แล้วก็มีปรนิมมิตวสวัตตี

ปรนิมมิตวสวัตตี แปลว่า ปลื้มใจ อัตตมนตา โสมมนัสสัง คืออัตตาเต็มบ้องใหญ่เลย อัตตาเต็มรูปร่างเต็มตัวเลย

เขาไม่รู้ว่าอาการ 32 คืออะไรและก็ไปหลงอาการ 33 เขาก็หลงว่าเขาไปพักดุสิต แต่แท้จริงตัวเองไม่ได้หยุดพักไม่หยุดยั้งเลย เขาจึงเต็มไปด้วยความพากเพียรที่จะเนรมิตเอาให้ได้เป็นนิมมานรดี  เนรมิตไม่พอก็ไปหาพวกมาทำให้อีกเป็น ปรนิมมิตวสวัตตี มาช่วยก่อสร้างให้เขา พอได้แล้ว ก็มีจิตใจที่ปลื้ม  อัตตมนตา โสมมนัสสัง ปลื้มใจ

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา ) ตอน ความมีไม่เที่ยง ความไม่มีเท่านั้นที่เที่ยง

เมื่อไม่เป็นอัตตาก็เป็นอนัตตา ถ้าคุณหลงความเป็นอัตตามากเท่าไหร่ ก็ห่างจากความเป็นอนัตตามากเท่านั้น สุญญตากับอนัตตาเป็นคำไวยพจน์ใช้แทนกันได้ คือความไม่มี

ความมี จะต้องไม่เที่ยงตลอดกาลนาน ต้องความไม่มีเท่านั้นจึงจะเที่ยง เพราะฉะนั้นความเป็นอัตตานั้นเป็นความมี คุณเองไม่มีสิทธิ์มาใช้คำว่าเที่ยง เพราะคุณมี อัตตา คุณยึดอัตตาเป็นนิพพานตลอดกาล คุณก็มีตลอด เพราะความมีไม่มีสิทธิ์เที่ยงความมีต้องมีอนิจจัง ชราตา ทั้งนั้น

ถ้าอุปจยะคือเกิดแล้วจะตัดหรือต่อ ถ้าต่อแล้วมันต้องมีชรตาและอนิจจตา คุณเกิดแล้วไม่เสริมทศนิยมก็มีแต่เสื่อมหรือชรตา ต้องเสริมแรงให้มีทศนิยมเพิ่ม ถ้าให้เกิดแล้วไม่ให้แรงเสริมเป็นทศนิยมต่อก็ไม่เพิ่ม มีแต่ชรตา ถ้ามีอะไรแทรกก็สูญได้ง่ายได้เร็ว ถ้ามีอะไรเสริมก็จะต่อไปอีกได้ ชรตาก็ไม่เที่ยงอีก เพราะฉะนั้นตัวจบจริงๆคืออนิจจตา ชรตาก็ไม่เที่ยง ถ้าแถมเอาไว้อีกหน่อยนะก็ได้ไม่เที่ยง ตัวปลายสุดของลักขณรูปคือ อนิจจตา ในรูป 24 ที่เรียนกันมาตั้งแต่ ปสาทรูป โคจรรูป หทยรูป ชีวิตรูป อาหารรูป ปริเฉทรูป วิญญัติรูป ลักขณรูป นี่คืออุปาทยรูป 24 จนจบด้วยลักขณรูป

คุณจะต้องมีสภาวะจริง มีเนื้อยาจริง จึงเอาสลากมาแปะ จึงจะได้ทั้งเนื้อทั้งสลาก แปะกันได้ถูกตัว

การอธิบายรายละเอียดต่างๆนี้คือการสื่อสัจธรรม สภาวธรรมเอามาขยายอธิบายให้พวกเราเข้าใจ แล้วพวกเราจะมีความจริง มันน่าอยากได้ไหม อย่าไปอยากได้โลกธรรมเลย ต่างคนต่างหลงมาหนักหนาสาหัสแล้วเบื่อเสียที

ที่อาตมาทำงานอยู่นี่ หนึ่งอาตมาต้องพยายามปฏิบัติไปจนกว่าจะเป็นพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ทุกวันนี้ไม่ท้อต้องพากเพียรต่อไป ไล่ไปจนเป็นระดับ 8 9 เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตั้งใจไม่ retry ตัวเองกลางทาง อย่างน้อยขอสัก 1 ไม่ขอเป็นสองสมัย มาประกาศศาสนาสัก 1 ชาติ

ถ้าจะเอาสองสมัย ก็ต้องมาเข้าคิวอีกนะ มาเข้าคิวใหม่

 

ต่ออีกนิดนึงว่าในคัมภีร์โบราณหลายแห่งเรียกธรรมกายในชื่อต่างๆเช่นพุทธรัตนะ ธรรมกายแก้ว วัชระกาย สัจจะกาย พุทธภาวะ ตถาคตครรภะ…

เขาก็ใช้ภาษาต่างๆเรียกกันไป สมมุติกันไป เช่น อันนี้เรียกว่ามะละกอนะ จะไปเปลี่ยนแปลงคำ จะเรียก หมาโกย ใครจะไปรู้กับคุณด้วย ก็ไปแปลงของเขานะ ก็ไปสมมติกันเองก็ได้ ถ้าคุณยอมรับ

หมายความอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่า กายคือจิตมโนวิญญาณ

ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ​บ้าง ล.16 ข.230

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์ ) ตอน ปรมังสุขัง พ่อครูแปลว่า ยิ่งกว่าสุข

ต่อมาเขายืนยันว่า นิพพานนั้นเป็นที่มั่นที่ปลอดภัย เป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็หมายเอาสุขทางภายนอกเท่านั้น 

ปรมังสุขังเขาก็แปลว่า สุขอย่างยิ่ง คือสุขอันนี้ก็เท่านี้มันก็มีสุขที่ยิ่งกว่านี้อีก มีเหนือกว่านั้นอีกเรื่อยๆไป

แต่ปรมังสุขัง นี่อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข

แต่ถ้าสุขอย่างยิ่งนี้ ไม่มีวันจบสมมุติสุขต่อไปไม่สิ้นสุด

แต่ถ้าอาตมานั้นบอกว่าถ้ารสอย่างนี้พอกินได้ เผ็ดขนาดนี้พอกินได้ ถ้าเกินกว่านี้ไม่ได้นะ หวานมากก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่ไหนแต่ไรอาตมาก็ไม่ค่อยชอบกินหวาน แต่รสเผ็ดนี้แต่ก่อนอาตมาทนได้ทนดี ที่เคยโง่มากับรสเผ็ด พอมาถึงตอนนี้เลยเข็ดมากเลย เผ็ด นิดหน่อยก็ไม่ได้เลย รสอื่นพอได้ เผ็ดนั้นอวัยวะสรีระไม่รับเลย มันประท้วงเลยแต่ ดีว่าอาตมาไอก็ดี เผ็ดแล้วไม่อักเสบไม่บวมไม่พิการ ไอแรงๆก็ไม่เป็นไร ไม่ช้ำ ไม่บวม มีแต่วาระปัจจุบัน อันนี้เป็นกุศลอาตมา

มันไม่เรื้อรังในความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แต่เรื้อรังตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ก็เลยค่อยยังชั่วนิดนึง

 

มาต่ออีกว่า...เขาอธิบายว่านิพพานนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่ทุกคนควรขวนขวายไปให้ถึง นิพพานเป็นที่มั่นที่ปลอดภัยเป็นสุขอันยอดเยี่ยม

การจะไปให้ถึงนิพพานได้ต้องสละความยึดมั่นในขันธ์ 5 ที่ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง อนิจจังทุกขัง อนัตตา คุณพูดมาเองว่าจะต้องเป็นอนัตตา แต่คุณก็งงว่าจะเอาอัตตาหรืออนัตตา ตนเองเห็นว่าอนัตตามันเท่ แต่ตนเองจะเอาอัตตาตลอดกาล

 

อันต่อไปว่า ...พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละความพอใจในสิ่งที่ไม่ใช่ตน(อนัตตา)หรือไม่ใช่ของตน(อนัตตนิยะ) แต่ทรงสอนให้ยินดีในนิพพานแสวงหานิพพานและผูกใจไว้ในนิพพานดังนั้นสำหรับพระพุทธองค์นิพพานจึงตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอนัตตา

เขาจะเมาไปถึงไหนนะ

พ่อครูว่า...ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 30 ข้อ 659 นิพพานมีคุณสมบัติ 7 นัยยะของจิตที่เป็นนิพพานซึ่งไม่ใช่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นอนัตตา แต่มีสภาพเป็น อนัตตาแท้ๆทีเดียว

ถ้าเชื่อตรงกันข้ามกันก็คงจะต้องเป็นการเชื่อในพระพุทธเจ้าคนละองค์กันแล้ว

คุณ guru สู่แดนธรรมว่า คุณสมบัติของผู้ที่ได้ชื่อว่ามีธรรมกายมาก โดยพระพุทธเจ้าได้บอกไว้ใน พระไตรปิฎกเล่ม 32 ข้อ 2

นักปราชญ์เหล่าใดเจริญสุญญตวิโมกข์ ก็คือผู้มีธรรมกายมาก ก็คือเป็นเช่นดังพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

 

 

สมณะเดินดินว่า...ศาสนาของเขาเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา เหมือนกันทั้งโลก แต่เขาจะไม่พูดถึง จิตที่ไม่ดี เป็นกิเลสตัณหาร้าย ที่เป็นตัวปัจจัยว่าจะใช่หรือไม่ใช่จะร้ายหรือดี เขาจะวิเคราะห์อะไรมากมาย แต่จะไม่ค่อยพูดถึงหน้าตาเนื้อตัวของกิเลสเลยว่า ตัวนี้เป็นตัวสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราดีหรือไม่ดี ทำให้เราใช้ได้หรือไม่ได้ จะเป็นอนัตตาก็อยู่ที่ตัวนี้ ที่ไหนก็ไม่ค่อยพูดกัน มันจึงไป นิจจัง สุขัง อัตตา

สิ่งหนึ่งที่ พ่อครูมาสอน แล้วไม่เหมือนใคร ไม่ค่อยมีใครมาฟัง เพราะว่าพูดถึงกิเลสของคนนี้แหละ เป็นสิ่งที่หวงห้ามที่สุดของคน ถ้าไปวัดนี้แล้วจะทำให้รวยเขาก็อยากไป ไปวัดนี้แล้วจะทำให้จิตใจสงบ เป็นภวตัณหา ได้เสพ ได้ปลื้มบ้างเขาก็จะไป แต่มาวัดนี้แล้วพูดถึงกิเลส เขาก็ไม่กล้ามา นี่คือความแตกต่างที่ พ่อครูได้อธิบาย การจะเป็นโลกุตระหรือไม่เป็นโลกุตระ ก็อยู่ที่เราจัดการกับกิเลสของเราได้มากน้อยแค่ไหน  สำคัญคือ วันหนึ่งคืนหนึ่งที่ผ่านไปของเรา เราได้ทบทวนเห็นกิเลสของเรามันเป็น  อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี ได้เห็นมันเบาบางลงไปแล้ว เราจะเห็นถึงการดับของกิเลส และความสลัดคืน ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะแค่รู้มาก แต่ไม่ได้เห็นหน้าตาของกิเลส ไม่ได้ทำความจางคลายของกิเลสเลย สุดท้ายเราก็จะเหมือนกับธรรมกาย เป็นแต่เพียงเราไม่กล้าพูดชัดเจนเหมือนธรรมกาย แต่เพราะเขามีพวกมาก เลยกล้าพูด กล้าบัญญัติอันใหม่ แต่ศาสนาพุทธไม่ใช่ นิจจัง สุขัง อัตตา พ่อครูถึงมาช่วยพูด เราจึงไม่ควรปล่อยให้วันคืนผ่านไป โดยที่ไม่ได้จัดการกับกิเลส จะได้รู้ถึงความไม่เที่ยง ความจางคลาย ในความหมดตัวหมดตนของกิเลส จะได้สมกับที่พ่อครูได้พร่ำสอนพวกเราทุกคืนทุกวัน ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:35:21 )

591227

รายละเอียด

591227_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ฉีกหน้ากากหลักฐานธรรมกาย

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 เป็นวันโกน พ่อครูเปรยว่า ปีใหม่นี้ ดูเหมือนจะมีอะไร คึกคักขึ้นมา จะมีอะไร ทำให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน พ่อครูพูดถึงธรรมกาย เขาพูดว่า เอกลักษณ์ของเขาคือ  นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์ เขาก็จบด้วยบริสุทธิ์ เขาก็จบได้บริสุทธิ์เหมือนกัน เขาก็เอาตัวบริสุทธิ์ มาเป็นตัวต่อสู้  ของเรา พ่อครูให้โศลกว่า ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะ ทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

ใครจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่ก็ต้องพิสูจน์ด้วยกาลเวลาว่า นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์ มันเป็นไปอย่างนั้นไหม?

ของเรา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเป็นไปอย่างนั้นไหม?

คนไหนรู้สึกว่า มันต้องเป็นนิจจัง ต้องสุขัง และเป็นอัตตา คือมีที่ยึดเกาะบ้าง นิพพานก็ยังมีดินแดนอยู่ ทุกวันนี้ ผู้นำของเขา ก็ต้องไปส่งข้าว ให้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในวันอาทิตย์ต้นเดือนอีก ก็เป็นอัตตาที่ คนที่เขาทุ่มเท เพื่อจะได้สวรรค์ที่มีดินแดนนั้น อย่างนี้เขาก็ต้องการ

แต่ของพวกเรา พ่อครูอธิบายว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง แล้วมันเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรให้ยึดถืออะไร ? และสุดท้าย ก็จบที่ความบริสุทธิ์ แล้วยังไงจะบริสุทธิ์หรือไม่?

 อย่างเขานี้จาก 158 คดีเป็น 170 กว่าคดีแล้ว คดีเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ก็ต้องดูว่า ความบริสุทธิ์นี้ ตัวเองบอกว่าบริสุทธิ์ หรือว่าสังคมมอง ตำรวจมอง ก็จะได้พิสูจน์ทฤษฎีหลักการว่า ของเขาไปสู่ความมากกว่า มีความรวย

พวกเรามาสู่ความน้อย ความไม่มี ความจน ทิศทางไหน ที่จะเดินทางไปสู่ความบริสุทธิ์ ได้มากกว่ากัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สัมมาทิฏฐิความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วยังมีหลักปฏิบัติ ที่ถูกต้องอีก หลักถูก แต่การปฏิบัติผิดอีกก็ไม่ได้ 

 

สิ่งที่จะทำให้พ้นอวิชชา มีความพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น ต้องเริ่มต้นด้วย การคบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม  จะทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ จนถึงสัมมาวิมุตติ เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เขารณรงค์สวดมนต์ข้ามปี เราก็ควรจะได้ฟังธรรมข้ามปี ปีหน้าก็ต้องฟังกันต่ออีก ปีนี้ก็เหลืออีกไม่กี่วัน ก็ขออาราธนา พ่อครูแสดงธรรมข้ามปี

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นจะขึ้นต้นด้วย SMS วันที่ 26 ธันวาคม 2559

0880750xxxพ่อครูไม่น่าพูดถึง151ปี บ่อยนะครับผม ไม่มีประโยชน์ ทำให้ลูกประมาท / ผมเคยเห็นคนอายุเก้าสิบกว่า ดูแก่มากเลยครับ เอาไว้ร้อยปี ค่อยพูดก็น่าจะดีกว่า

ตอบ...ถ้าถึงร้อยปีแล้ว สรีระร่างกายประมาณนี้ก็พูดได้เลยนะ แต่ถ้าพูดแล้วมันจะเสีย ก็ค่อยว่ากันอีกที

0893867xxxผู้สว.(สูงวัย)ที่อายุยืนเกิน80ปีขึ้นไป ที่ยังแข็งแรงจะเป็นต้นแบบที่ดีที่สุด ในสังคมสว.รุ่นต่อไปที่จะล้นโลกอนาคต!พ่อครูฯก็เป็นต้นแบบ1ที่คนรุ่นนี้น่าเอาอย่าง!สาธุ!

ตอบ...อาตมาอายุขัย 72 ปี ก่อนอายุ 72 ปีก็ตั้งจิตอยู่ต่อ ก็ใช้ความรู้ของตัวเองก็ใช้ได้นะ ใช้หลัก 8 อ. ก็พยายามพากเพียรไป ทุกวันนี้ก็เห็นผล หลายคนก็เห็นด้วยว่าเห็นผล 8 อ.นี้สมบูรณ์ ทำได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น แต่อย่าให้เหลือแต่ 2อ. เรียกว่า อ่อนแอนะ มีอิทธิบาท กับอารมณ์ รู้จักอาหาร อย่ามาพูดอ่อนแอ 2 อ.

อย่างน้อยต้อง 5อ. 6อ. ขึ้นไป ถ้า 8อ.ได้ก็สมบูรณ์

 

0893867xxxธ.พ่อครูสอนรู้กายถูกตรงอยู่ตรงไหน!ก็จักรู้ถึงความเป็นภพเป็นชาติถูกต้องอยู่ตรงนั้น!แล้วจะรู้จักบุญที่ทำถูกทางที่ดับภพชาติพ้นวัฎฏะทุกข์ได้!  ธ.พ่อครูสอนทำให้คิดถึงธ.1ว่าคนเราคิดทางโลกทำไมจึงคิดได้ดีทุกวัน!แต่คิดทางธรรมทำไมไม่ทำไม่ฝึกไม่ปรุงแต่งทางธรรมะให้ใจบริสุทธิ์ดีทุกขณะ! ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาให้ถูกตรงต้องอบรมอาศัยกันและกัน!ศีลอบรมสมาธิสมาธิอบรมปัญญาปัญญาอบรมจิตให้วิมุตติหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายได้!

ตอบ...แม้ว่าจะได้กัลยาณธรรม แต่ก็วนเวียน แม้สุจริต แต่คุณได้เปรียบเขา คุณก็ได้เปรียบ ตามหลักเกณฑ์ของสังคม ตามกฏหมาย แบบปุถุชน ก็เป็นแบบนั้นแน่นอน คุณก็จะต้อง ขึ้นสวรรค์ตกนรก อยู่แบบเดิม ตามวิบาก เพียงแต่จะนานช้าหน่อย สวรรค์ก็ได้ช้าหน่อย นรกก็ไม่ตกหนักตกหนาเท่าไหร่ แต่ยังไม่พ้นสวรรค์นรกนะ กัลยาณชนไม่พ้นสวรรค์นรก จึงต้องมาเป็นอาริยะ แบบโลกุตรชน จึงจะพ้นสวรรค์นรก จนหมดสวรรค์นรก เป็นอรหันต์ขึ้นไป อยากจะตายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปรินิพพาน เป็นปริโยสาน พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นพวงมะม่วง ที่ตกลงมาแตกกระจายแล้ว จะไม่มีพวงมะม่วงนี้อีก จะมีเศษเหลือของมะม่วงอยู่บ้างแตกกระจัดกระจายออกหมดแล้ว มันคงเป็นไม่เหมือนอย่างเดิมอีกแล้ว อันนี้ท่านตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร พารากราฟสุดท้าย

0851614xxxธัมมชโยไม่รู้ตัวเองว่า เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายของบ้านเมืองในเวลานี้ และไม่ยอมรับกฎของกรรม ที่ตัวเองกระทำ ถือได้ว่าไม่ใช่นักบวช/ หลวงปู่พุทธะอิสระ แจงความผิดของพระธัมมชโย มีหลักฐานชัดเจน ถึงขั้นปาราชิก ตะลึงอีกหนึ่งข้อหา ธัมมชโยเสพเมถุน ขณะนี้รอเพียง ผู้ร่วมเสพเข้ามาเป็นพยาน ด้วยตัวเอง

ตอบ...แม้ที่สุดเสพเมถุน ก็รู้กันแค่สองคน แต่สองคนนั้น จะมีหลักฐาน1

อ้างอิงยืนยันไหม อย่างน้อยที่สุด เขาก็จะอธิบายสิ่งที่ลับๆได้ สิ่งที่มันลับ คนอื่นไม่รู้หรอก จะรู้กันแค่สองคน เอามายืนยันได้ ว่าเดี๋ยวนี้ ก็ยังมีอยู่ในตัวเขา เพราะธรรมดา คนไม่รู้สิ่งที่ลับนี้หรอก ก็คอยดูกันไป ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด

0890015xxxแผลธัมมชโยกำลังเน่าในและไหลสู่เถรสมาคม

ตอบ...แสดงว่า กำลังเน่าเฟะเลย ที่จริงอาตมาว่า มันเน่าเฟะพอกัน ระหว่างธัมมชโย กับเถรสมาคม ขณะนี้ทีวีบางช่อง ก็ยังปลุกระดมว่า ต้องไปช่วยธรรมกาย เพราะถ้าธรรมกาย ถูกจัดการ เขาก็จะมาจัดการพวกเราต่อ ผู้มีปัญญา จะรู้แจ้งว่าเป็นอย่างไร อาตมารู้มานาน เห็นมานานแล้ว เถรสมาคม ตั้งแต่ธัมมชโย ยังไม่ได้ประพฤติชั่วให้เห็น อย่างนี้หรอก ที่จริงธัมมชโยบวชก่อนอาตมานิดหน่อย ตอนนั้นยังไม่ใหญ่โต พ.ศ. 2518 อาตมาก็ลาออกมาจาก มหาเถรสมาคม อาตมาบวชได้ 5 ปี อยู่ด้วยไม่ไหวจริงๆ บวช พ.ศ.2513 พอปี 2518 ก็ลาออกมา เขาเป็นหมู่ใหญ่ ที่ไม่บริสุทธิ์ เราไปอยู่ด้วย ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก เขากดขี่ทำทุกอย่าง ที่ไม่ให้เราทำงาน เราจะไปสอบนักธรรม ก็ไม่ให้สอบ เราจะให้บวชใคร ก็ไม่ให้บวช อุปัชฌาย์อา ที่วัดหนองกระทุ่ม หลวงอา เขาก็ไม่ให้บวชให้พวกอโศก ใช้อำนาจบาตรใหญ่ของตนเอง อาตมาเลยพาหมู่สงฆ์ ขอแยกเป็นนานาสังวาส ตั้งแต่ปี 2518 แต่แล้ว วันร้ายคืนร้าย มหาเถรสมาคมก็กลับคำอีก ทั้งที่ตอนลาออกมา เขาก็ยอมรับ เราก็อยู่ดีมา มีหลักฐานทางกรมรถไฟ มีเหตุการณ์ ที่เราไปซื้อตั๋ว เขาก็ไปถาม มหาเถรสมาคมว่า เราอยู่ในการปกครองหรือไม่? มหาเถรสมาคม ก็มีจดหมายตอบกรมรถไฟว่า อโศกไม่ได้อยู่ในการปกครอง ของมหาเถรสมาคม ตอนปี 2522 แต่พอปี 2532 เขาก็ดึงเราไปอีก ว่าให้สึกไม่สึกไม่ได้

แต่ให้สึกนี้ก็ค้านแย้ง ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ทั้งที่อาตมาไม่มีข้อผิด ที่จะให้สั่งสึกได้ แต่ออกบัญญัติ ให้มีคนสั่งให้สึกได้ เกินกว่าบัญญัติของพระพุทธเจ้า 11 ข้อ แม้แต่พระสังฆาทิเสส ยังสั่งสึกเขาไม่ได้เลย ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ทำให้อิสรเสรีภาพสูงสุด มาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไม่ได้ นี่คือรายละเอียด ที่จะเป็นหลักฐานยืนยันว่า จริงๆแล้ว ใครบริสุทธิ์ที่สุด ทางมหาเถรสมาคม ตอน พ.ศ. 2532 เล่นงานอาตมา แม้แต่การรวมธรรมยุต กับมหานิกาย มาทำสังฆกรรม เล่นงานอาตมา ก็ผิดธรรมวินัย ผิดคณะปูรกะ เขาเอาพระต่างนิกาย มาร่วมกัน ทำสังฆกรรมไม่ได้ แล้วบอกว่า ปกาศนียกรรม ไล่อโศกออกจาก มหาเถรสมาคม แต่ที่จริง อาตมาลาออกมาต่างหาก ขอมาอยู่อย่างอิสระ ของอาตมา ที่ไหนได้ไม่ได้ไล่

ตอนลาออกมา อาตมาพูดว่า ของท่านเปรียบเหมือน ร้านปาท่องโก๋ร้านใหญ่ อาตมาขอแยกมา เป็นร้านเล็กๆ ข้างทาง เพราะว่า สูตรทำปาท่องโก๋ของท่าน มันผิด คนกินแล้ว ท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมามาทำสูตร พระพุทธเจ้า ถ้าคนกินแล้วดี เขาก็ให้อาตมาอยู่ต่อ

ตอนนี้อาตมาเห็นว่า มันเป็นกรรมวิบากอันหนัก ก็ไม่รู้นะ เพราะว่า มหาเถรสมาคม เบี้ยวธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นขบถต่อ ธรรมะพระพุทธเจ้า และมาเล่นงานอาตมา อาตมาเป็นพระอาริยะ เขาเล่นงานพระอาริยะ ก็จะมีบาปถึง 11 ข้อ

สมณะเดินดินว่า...ตอนนั้นพวกเราโนเนมมาก แทบจะไม่มีใครรู้จัก แต่ว่าพอปี 2558-2559 นิจจัง สุขัง ก็ชัดเจนขึ้น วันนี้มีข่าว ศาลอุทรณ์ตัดสิน ผู้ว่าฯ พิจิตร ให้ผิดกรณีที่ดิน ตัดสินให้จำคุก 5 ปี ก็อาจจะมองว่า เขารวยแล้วไม่น่าจะโกง แต่จะมีฐานะฆราวาสคนไหน ที่ทำงานข้าราชการแล้วไม่โกง แต่ว่าในฐานะของพระแล้วจะโกงนั้น สามารถทำได้ง่ายมาก แค่มีสาเฐยจิต อยากได้ของคนอื่นแค่ 5 มาสก (ประมาณ 300 บาท) ก็ปาราชิกแล้ว พระเขาไม่มีการตรวจสอบได้มากเท่าฆราวาสด้วย แล้วจะเหลือ ผู้ที่บริสุทธิ์จริงๆเท่าไหร่

เขาเลยบอกว่า ถ้าเราไม่ช่วยธรรมกาย อีกหน่อยพวกเราจะถูกจัดการไปหมด แต่ถ้าเป็นพระที่บริสุทธิ์แล้ว เห็นเลยว่าพระนี้ หาสังวาสไม่ได้แล้ว จะไปปกป้องกันทำไม พวกที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยกัน จึงจะปกป้องพวกที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยกัน ใน พ.ศ.นั้นเราโนเนม ไม่มีพวกเลย ขนาดที่หนังสือพิมพ์ ยังช่วยพวกเรา เขียนการ์ตูนล้อ มหาเถรสมาคมด้วย จนรัฐมนตรีมหาดไทย ต้องออกมาห้าม พวกนักเขียนการ์ตูน ที่ออกมาเขียนว่า มหาเถรสมาคม พวกเราจึงแทบหาพวก ที่สนับสนุนไม่ได้ แต่เหตุการณ์ผ่านมาปี 2559 แล้ว ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกได้จริงๆ

พ่อครูว่า...อาตมาก็ขอพูดสัจธรรม ตามหลักธรรม ตามสาระจริง เท่าที่อาตมาอยากให้สติ อาตมาไม่ได้อยากอวดใหญ่อวดโต อาตมาเป็นพระอาริยะ แล้วมหาเถรสมาคม มาทำกับอาตมา บาปกรรมมันจะหนักถึงขั้นไหน ถึงขั้นวิบากขนาดอนันตริยกรรมหรือไม่ เพราะว่าท่านทำอย่าง อำมหิตเกินไป ซับซ้อนหลายชั้นมาก คือคุณหลอกซ้ำซ้อน แล้วทำต่อไป แทนที่จะสารภาพ แล้วปลงอาบัติก็ไม่มี 

แต่ดีอยู่อย่างหนึ่ง พอรอดตัว คือหยุดไม่เล่นงานอาตมา ตรงนี้อาจจะไม่ถึงอนันตริยกรรมก็ได้ ถ้าไม่หยุด ถึงขีดหนึ่ง จะเป็นอนันตริกยกรรม ที่พูดนี้ไม่ได้พูดข่มขู่ แต่เป็นวิชาการ เพราะเรื่องกรรมวิบาก เป็นอจินไตย ไม่ได้รู้กันง่ายๆ

ที่พูดเป็นธรรมะระดับอจินไตย หากอาตมาพูดผิด ก็บาปซ้ำซ้อน

อาตมาแสดงธรรมนี้ ไม่ได้เกิดอุทธัจ ไม่ได้เกิดมังกุ

อุทธัจจะ คือขวยเขิน

มังกุคือขวยเขินที่จิตใจนิดหน่อย

 อาตมาว่าอาตมาไม่มี อาตมามีความบริสุทธิ์ กล้าหาญแข็งแรงพอ ใครดูอาตมาไม่เป็น จะเห็นว่าอาตมาแรง และดูอาฆาตพยาบาท แต่ที่จริงไม่ใช่ อาตมาจริงใจ ในการแสดงออกเป็นภาษา ที่แข็ง ที่จริง ที่หนักที่แรง ไม่ได้หมายความว่าโกรธ ไม่ใช่ แค่ไม่ใช่ นี่อาตมาก็เน้นแล้ว มันเป็นความจริงใจจริงจัง

 

0897146xxxพุทธเจ้าให้ฟังศาสนาอื่นด้วยไหมครับ ฟังอิสลามเขาสอนก็มีส่วนดี เช่น ไม่และเล็มพร่ำเพรื่อ ไม่ตกใต้อำนาจทุนนิยม ศีลธรรมบางอย่างคล้ายคลึงพุทธน่าฟังกว่าพุทธเพี้ยน

ตอบ...ท่านให้ฟังทุกคนทุกศาสนา เท่าที่ควรรับรู้ มีวิจารณ์วิจัยวิเคราะห์ มีหลักฐานต่างๆ เพราะความเป็นธรรมะ ที่ถึงขั้นศาสนา ไม่ว่าจะศาสนาไหน ก็ต้องมีส่วนดี ต้องสูงและมากพอ ถึงจะเป็นศาสนาได้ ถ้าไม่ดีพอ ไม่มากพอ ก็เป็นแค่ลัทธิ ไม่ได้เป็นศาสนา ศาสนาก็จะต้องดีพอ ที่คนส่วนใหญ่จะรับรองกัน เห็นดี และได้ประโยชน์ แต่เขามีภูมิธรรมในระดับนั้น ก็ทำไปตามเขารู้

เทวนิยมที่เป็นศาสนาได้ ก็ต้องมีกัลยาณธรรม ที่สูงส่งและมากพอ จึงจะเป็นศาสนาได้ เทวนิยมก็มีเงื่อนไขหลักแค่ว่า ดีได้มากสูงสุดเท่าไหร่ๆ หลายอย่างดีกว่าทางศาสนาพุทธ ของกัลยาณธรรม แต่ก็ส่วนย่อยนะ แต่ค่าเฉลียแล้ว สู้พุทธไม่ได้ แต่ค่าส่วนตัวส่วนเอก ดีกว่าพุทธ

เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ส่วนเด่นของท่าน สู้สาวกของท่านหลายรูปไม่ได้ บางรูปนอนน้อยกว่า บางรูปก็ฉันน้อยกว่า มักน้อยสันโดษกว่าท่าน อดทนกว่า ขยายความได้ดีกว่าท่าน อย่างเช่น พระมหากัจจายนะ ขยายความได้มาก ได้ละเอียดได้ดี ท่านพูดสัจจะเป็นเรื่องจริง เพราะเป็นจุดเด่นของแต่ละท่าน พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำหน้าที่นั้นเป็นหลัก อาตมาก็เฉลี่ยตรงกลางเด่น

 

3867xxx...ขาน้ำตาลฝืนลิขิตทุศีล อบรมสมาธิลูกแก้ว ได้สมาธิงมงาย อบรมปัญญาผิดเพี้ยน อบรมจิตหลงฆ้อนโป้งรวยโป้งรวย ไกลวิมุติจมวิบาก ทุกข์ระทมจริงหนอเอวัง!

 

ต่อมา ขออ่านบทความ 1 บท ของคุณ จิตรกร บุษบา นสพ.แนวหน้า คอลัมน์ เส้นใต้บรรทัด

 

คดีธรรมชโย;ผบ.ตำรวจ พระมหาไพรวัลย์

 

ต้องยอมรับว่า การจัดการกับปัญหา วัดพระธรรมกาย มีหลายมิติที่ซ้อนทับและ “หมักหมม” กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคำสอน วิธีการสอน การกระตุ้นการบริจาค การนำเงินทำบุญ ไปแปลงเป็นสินทรัพย์ ในความครอบครองของมูลนิธิ การจาบจ้วงพระธรรมวินัย การต้องหมายจับของพระธัมมชโย รักษาการเจ้าอาวาส และลูกศิษย์

 

แต่ยามนี้ สังคมมุ่งเน้นไปที่ คดีส่วนตัวของธัมมชโย ที่ดีเอสไอ ถือหมายค้นเก้อ ไม่สามารถเข้าค้น วัดพระธรรมกายได้ เมื่อสื่อไปถาม ผบ.ตร. ว่าจะเดินหน้าอย่างไร ก็ปรากฏพระรูปหนึ่ง ออกมาแสดงความเห็น ต่อคำตอบของเขา

 

เป็น 2 มุมมองที่น่า “ถอดรหัส” และนำมาเรียนรู้ร่วมกัน เป็นอย่างยิ่ง

 

เริ่มจาก ผบ.ตร.ก่อน-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจับกุม พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับ คดีบุกรุกพื้นที่ป่า ก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา และทุจริตสหกรณ์ ยูเนี่ยน คลองจั่นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้ชะลอแผนการจับกุมพระธัมมชโย เพราะมีการดำเนินคดีอื่นๆ อยู่ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ตัดสินใจเข้าค้น วัดพระธรรมกายเท่านั้น

 

ทั้งนี้ การจับกุมผู้ต้องหาสำคัญ ต้องดำเนินการตามกฎหมาย อย่างรอบคอบ ต้องคำนึงถึงหลายอย่าง เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เลวร้ายลงกว่าเดิม เพราะจะส่งผลเสีย กับประเทศชาติ เจ้าหน้าที่คิดหลายมุม หลายมิติ ยืนยันว่ากระบวนการของรัฐ ไม่ได้ล้มเหลว ถ้าตัดสินใจบุกแล้ว สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม ก็จะเกิดความเสียหาย สมมุติว่า เจ้าหน้าที่เข้าไป โดยไม่มีอาวุธ แล้วมีเสียงระเบิด เสียงปืน ดังขึ้น จะทำอย่างไร คงต้องเกิดโกลาหลแน่นอน แต่เป็นห่วงประชาชน ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ ยืนยันเจ้าหน้าที่ไม่ได้กลัว แม้ผู้สื่อข่าว ยังเข้าไปในวัดไม่ได้เลย

 

ผบ.ตร.กล่าวด้วยว่า ส่วนการขอหมายค้น ขอเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งทุกฝ่ายกำลังพิจารณาอยู่ ส่วนจะมีความจำเป็น ในการใช้มาตรา 44 มาใช้ดำเนินการกับพระธัมมชโย หรือไม่นั้น ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้น ทำตามกฎหมายธรรมดาก็ได้ ถ้าพระธัมมชโย มอบตัวคนเดียว

ก็จบง่ายกว่า ส่วนการดำเนินการกับ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย ที่ยังไม่มารับทราบ ข้อกล่าวหานั้น

ก็ไม่เป็นไร เรื่องของเขา ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมาย ทุกฉบับอยู่แล้ว จากข้อมูลคาดว่า นายองอาจ ยังอยู่ภายในประเทศ ส่วนจะอยู่ด้วยกันกับ พระธัมมชโยหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่

 

“จริงๆ แล้ว สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ควรจะเอากรณีแบบนี้ ไปปฏิรูปด้วย ก็ปล่อยให้มีอย่างนี้ ผมก็พูดได้เท่านี้ องค์กรอื่น เขาปฏิรูปหมดแล้ว ผมไม่ได้พูด พาดพิงถึงใคร ต้องฝากไว้ด้วย ว่า ต้องปฏิรูปพ.ร.บ.สงฆ์” ผบ.ตร. กล่าว

พ่อครูว่า...วงการศาสนาพุทธกระแสหลัก ผู้ที่มีอธิกรณ์ ถึงขั้นปาราชิก ผิดทางกฎหมายอาญา ทั้งเรื่องการเงิน และเรื่องอื่นๆ อวดอุตริมนุสธรรม เรื่องการเงิน เรื่องเมถุน จะฆ่าคนหรือไม่ ยังไม่มีออกมา แต่เขาฆ่าทางจิตวิญญาณ ฆ่าคนทางจิตวิญญาณ อย่างอำมหิตเลือดเย็น แล้วมีคนฆ่าตัวตายด้วย ธัมมชโยไม่มีทางพ้นอนันตริยกรรม เรื่องดังๆ สงฆ์เถรสมาคมก็ทำเมิน อย่างเจ้าคณะจังหวัด ก็ว่าเป็นเรื่องของตำรวจ ทั้งที่มันเป็นเรื่องของความผิด ทางธรรมวินัย นี่คือสิ่งที่ มหาเถรสมาคม ทำผิดมาก กลุ่ม พศ. ก็เหมือนกัน ได้เงินเดือนไปเปล่าๆ ไม่มีน้ำยาเลย

อ่านต่อ...เท่านั้นเอง พระมหาไพรวัลย์ วรวฺณโณ แห่งวัดสร้อยทอง ก็โพสต์เฟซบุ๊คทันทีว่า

 

“เพิ่งจะมาโอดโอย เอาตอนที่ ไม่มีปัญญาจัดการกับ วัดพระธรรมกาย มันจะได้ไงล่ะ ไม่แฟร์เลย รัฐยังบริหารประเทศ แบบเผด็จการรวบอำนาจเลย คณะสงฆ์ก็บริหาร กิจการพระศาสนา แบบเผด็จการ รวบอำนาจเหมือนกัน ก็ถูกแล้วนิ ถ้าอยากให้ ปฏิรูปคณะสงฆ์ ก็คืนอำนาจ ให้ประชาชนก่อนสิ จะได้ทำการปฏิรูปข้าราชการ ทหาร และตำรวจ ไปพร้อมพร้อมกันเลย ให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย ให้มันสอดคล้องกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียว ทั้งศาสนจักรและอาณาจักร ใจใจหน่อยนะ อาตมาก็รอให้คณะสงฆ์ ได้รับการปฏิรูปนานแล้ว”

พ่อครูว่า ...พระมหาไพรวัลย์ ไม่ได้มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยเลย บางคนบอกว่า ความรู้ประชาธิปไตย ต้องให้เลือกตั้งสิ ก็เป็นความรู้ปชต. แค่หางแมลงหวี่ ว่าต้องมีการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยของเมืองไทย แม้จะปฏิวัติรัฐประหาร ก็เป็นปฏิวัติรัฐประหารที่ยอดเยี่ยม ในความเป็นประชาธิปไตย  จบ ทุกคนยินดีให้ทำ แล้วก็ทำมาจนถึงวันนี้ในพฤตินัยพฤติกรรม ที่ทำมาทุกวันนี้ ของรัฐบาล อาตมาก็ยังเคยชมเชย รัฐบาลชุดนี้ ยังเป็นประชาธิปไตย ที่เยี่ยมยอดในโลก ทิ้งห่างอเมริกาไปลุ่ยเลย เขาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ตอนนี้เอาใครที่ไหนไม่รู้ มาเป็นเบอร์หนึ่ง ของประเทศ

 

ยอมรับนะครับว่า เมื่ออ่านครั้งแรก ให้เกิดความรู้สึกอย่างหยาบว่า พระรูปนี้เลอะเทอะเสียจริงๆ จิตเขาช่างแส่ส่าย กับเรื่องทางโลกจนล้น จนทำให้เกิดกิริยาประเภท “เสือกไปทุกเรื่อง” (ต้องขออภัย ผมใช้คำนี้จริงๆ) เป็นทาสอารมณ์ “รัก-ไม่รัก, ชอบ-ไม่ชอบ” จนธรรมะที่ศึกษามานั้น ช่วยระงับอาการทั้งหลาย ไม่ได้เลย และไม่ได้มองโลก อย่างผู้ที่ควรจะใช้ “ดวงตาเห็นธรรม” มอง นึกถึงคำที่ว่า “...ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุเหล่าใด เป็นคนหลอกลวง กระด้าง พูดพล่าม จองหอง ใจฟุ้ง ภิกษุเหล่านั้น ไม่ใช่คนของเรา...” ขึ้นมาทันที

 

ยิ่งย้อนดูข่าวเก่าๆ แล้ว ยิ่งเห็นว่าท่าน “ตกหลุมโลก” ขาดสติจนลืมสมณสารูป แพ้ปากแพ้ใจตัวเอง ที่มีธรรมชาติแบบคนปากไวใจไว ยังไม่มีวุฒิภาวะ ทางอารมณ์มากพอ ต่อการ “ปะทะกับเรื่องทางโลก” จนอยากให้ท่านสึกมา เป็นคอมเม้นเตเตอร์ ในรายการข่าวสารบ้านเมือง เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เอาเถอะ ท่านมิใช่พระ ที่ชั่วช้าสามานย์ในทางธรรม ทั้งยังสอนธรรมะไม่ผิดเพี้ยนเบียนเบียดญาติโยม เพื่อประโยชน์ส่วนตนอีกด้วย พึงรักษาท่านไว้ เป็นหลักชัยแห่งพระศาสนากันต่อดีกว่า

 

แต่ก็ต้องช่วยท่าน “ตีความวิชาโลก” ให้ท่านรู้จัก “หยุดรั่ว” สงบระงับ เจริญสติ เอาปัญญาเป็นเครื่องมือ หมั่นคุมปากให้ได้ อย่าเป็น “ขี้ข้าความปากไว” ของตัวเอง ให้ผมเป็นแทนก็ได้นะ เพราะผมเป็นอยู่ (ฮ่าๆ) ในฐานะที่ผมยังครองเรือนครองโลกย์

 

ยิ่งมีโซเชียลมีเดีย อยู่ในมือ มี “ติ่ง” คอยเออคอยอวยอยู่ด้วย ยิ่งเตลิดไป จึงออกอาการ ถูกจิตลากโยงไปร่ำระบาย เรื่องเผด็จการ การยึดอำนาจ-รวบอำนาจ จน “สะบัดสะบิ้ง” เกี่ยงงอน ให้ตำรวจปฏิรูปตัวเองก่อน เข้าไปนั่น

 

ที่จริงความหมายในคำพูดของ ผบ.ตร.นั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เพียงแต่เรียกร้องว่า เอะอะๆ ก็จะให้ตำรวจกับดีเอสไอจัดการ

อยู่ข้างเดียว คณะสงฆ์ก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาก็ดี ทำไมไม่ทำหน้าที่ของตัวเองบ้าง นี่-คำแปลง่ายๆ

 

ก็คิดกันดูสิครับ ว่าถ้าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่ปล่อยปละละเลย คณะสงฆ์ไม่เพิกเฉย ตั้งแต่มีความวิปริตในคำสอน ออกมาอย่างชัดเจน มีคดียักยอกที่ดิน จนขึ้นโรงขึ้นศาล ไหนจะเรื่องพระลิขิต สมเด็จพระสังฆราชอีก ไม่เพียงไม่จัดการตามสมควร แต่ยังมีการ “สมยอม” ทั้งฝ่ายอัยการ-ฝ่ายสงฆ์ ทั้งยังผลักดันกัน จนได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้น “ชั้นเทพ” อาณาจักรธรรมกาย โดยการนำของธัมมชโย จะแผ่ขยายสั่งสมมวลชน จนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินคดี ของฝ่ายบ้านเมืองอย่างนี้ไหม

 

อย่าลืมว่า ว่า ปัญหาของเครือข่ายธรรมกายนั้น ตั้งต้นจากการ “เกาะกิน” อยู่กับ “พระพุทธศาสนา” อยู่ในคราบนักบวช วัด

พิธีกรรม แต่มิได้ซื่อตรง และเคารพในแก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา ดังข้อเขียน ที่ชี้ชัดของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ชี้ไว้ในหนังสือ “กรณีธรรมกาย” เรื่อง “ปัญหาของวัดพระธรรมกาย ส่วนที่กระทบต่อพระธรรมวินัย” ว่า

 

“...วัดพระธรรมกาย เผยแพร่คำสอน คลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนา หลายประการ เช่น 1.สอนว่านิพพานเป็นอัตตา 2.สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตน เป็นอัตตาของพระพุทธเจ้า มากมายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตนนิพพาน 3.สอนเรื่องอายตนนิพพาน ที่ปรุงถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชา ไปถวายแด่พระพุทธเจ้า ในอายตนนิพพานนั้น

 

คำสอนเหล่านี้ ทางสำนักพระธรรมกาย สอนขึ้นใหม่ ผิดเพี้ยนออกไปจากธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า แต่แทนที่จะให้รู้กัน ตามตรงว่า เป็นหลักคำสอนและการปฏิบัติของครูอาจารย์ ทางวัดพระธรรมกาย กลับพยายามนำเอาคำสอนใหม่ของตน เข้ามาสับสนปะปน หรือจะแทนที่หลักคำสอนเดิมที่แท้ ของพระพุทธศาสนา

 

ยิ่งกว่านั้น เพื่อให้สำเร็จวัตถุประสงค์ข้างต้น วัดพระธรรมกาย ยังได้เผยแพร่เอกสาร ที่จ้วงจาบพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฎกบาลี ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ให้เข้าใจว่า พระไตรปิฎกบาลี บันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียง ความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เชื่อถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้, ให้นำเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ เช่น พระไตรปิฎกภาษาจีน และคำสอนอื่นๆ ภายนอก มาร่วมวินิจฉัยพระพุทธศาสนาเถรวาท, ให้เข้าใจเขวไปว่า หลักการของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องอภิปรัชญาขึ้นต่อการตีความ และความคิดเห็น ตลอดจนการถกเถียงทางวิชาการ, อ้างนักวิชาการต่างประเทศ และการปฏิบัติของตน ดังว่าจะใช้วินิจฉัยหลักพระพุทธศาสนาได้ ฯลฯ อีกทั้งสิ่งที่ยกมาอ้าง เช่น คัมภีร์ของมหายาน และทัศนะของนักวิชาการตะวันตก ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง หรือไม่ก็เลื่อนลอย

 

นอกจากนั้น ยังนำคำว่า “บุญ” มาใช้ในลักษณะที่ชักจูงประชาชน ให้วนเวียนจมอยู่กับ การบริจาคทรัพย์ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ชนิดที่ส่งเสริมความยึดติด ถือมั่นในตัวตน และในตัวบุคคล อันอาจกลายเป็นแนวโน้ม ที่บั่นทอนสังคมไทยในระยะยาว พร้อมทั้งทำพระธรรมวินัย ให้รางเลือนไปด้วย

 

พฤติการณ์ของสำนักวัดพระธรรมกายอย่างนี้ เป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ย่ำยีพระธรรมวินัย สร้างความสับสนไขว้เขว และความหลงผิดแก่ประชาชน

 

ข้อความบรรยายต่อไปนี้ ได้เขียนไว้ เพื่อเป็นทางแห่งการศึกษา ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมทั้งเป็นเหมือนคำขอร้อง ต่อชาววัดพระธรรมกาย ผู้ยังเห็นแก่พระพุทธศาสนา เมื่อรู้เข้าใจแล้ว จะได้หันมาร่วมกัน ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และสนองพระคุณ บรรพบุรุษไทย ด้วยการรักษาพระธรรมวินัย ให้บริสุทธิ์สืบไป”

 

อ้อ เวลานี้ ธัมมชโยมีคดีทางโลก จนมีหมายจับ 3 ใบ เป็นคดีรุกป่า 2 ใบ และคดีร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจรอีก 1 ใบ และมีคดีที่รอฝ่ายสงฆ์วินิจฉัย ซึ่งมีผู้ไปร้องไว้กับ เจ้าคณะใหญ่หนกลางด้วย ทั้งเรื่องการจาบจ้วง พระธรรมวินัย และเรื่องอวดอุตริมนุสธรรม มีการขยับตัวกันไหม ในฝ่ายสงฆ์และองค์กรกำกับดูแล อย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จน ผบ.ตร. ต้องออกมา เรียกร้องให้ปฏิรูป ซึ่งในการปฏิรูป ก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยงงอนว่า แกปฏิรูปก่อนสิ ฉันค่อยปฏิรูปตาม

 

คดีธรรมกายและธัมมชโย จึงรอการจัดการไปพร้อมๆ กัน คือ

 

1) ดีเอสไอกับตำรวจ ต้องนำตัวธัมมชโย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่เหลือก็เป็นการต่อสู้ในศาล หากอัยการยังคงมีความเห็นที่จะฟ้อง ซึ่งข้อนี้ ถ้าธัมมชโยไม่เห็นแก่ตัว ก็แต่ยอมมอบตัว และเข้าต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น แทนที่จะใช้ศิษย์ขัดขวาง การดำเนินการตามกฎหมาย อย่างที่ทำอยู่

 

2) พศ. กับมหาเถรสมาคม ใช้ความกล้าหาญทางสงฆ์ เข้าปกป้องพระธรรมวินัย พิจารณาการสอนของธรรมกาย ว่าวิปริตผิดเพี้ยนหรือไม่ ควรต้องขับออกจากพระพุทธศาสนาไหม เหมือนที่เคยกระทำกับ “สันติอโศก” มาแล้ว และเร่งรัดให้มีการไต่สวนพฤติกรรม อวดอุตริมนุสธรรม ตามคำร้องเสีย โดยไม่ช้า

 

3) ใช้อำนาจการปกครองคณะสงฆ์ เดินนำเจ้าหน้าที่เข้าวัด หาตัวธัมมชโยให้พบ แล้วนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

 

4) ญาติโยมทั้งหลาย ต้องถอยออกมาจาก การขัดขวางกระบวนการ เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ กับพระเดชพระคุณ หลวงพ่อของพวกท่าน “รับผิดชอบการกระทำ” ของตัวเอง โดยต่อสู้กับข้อกล่าวหา อย่างสุจริตด้วยตัวเอง หากอาพาธ ก็ให้ยืนยัน การอาพาธอย่างสุจริต ไม่ใช่ใช้ใบรับรองแพทย์เถื่อน ที่ไม่มีเวชระเบียนรองรับ อย่างที่เคยใช้มา และเป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ โดยที่แพทยสภา ก็ชักช้าอืดอาด ไม่แถลงผลการตรวจสอบ ใบรับรองแพทย์เสียที

 

5) ญาติโยมที่ไม่ใช่ศิษย์ ไม่ศรัทธา ควรช่วยกัน “ลดพื้นที่” กิจกรรมทั้งหลาย ของธรรมกายลง ไม่ว่าจะเป็นบวชสามเณร, ตักบาตร, ธุงดงค์ ฯลฯ โรงเรียนและมหาวิทยาลัย กันธรรมกายออกจากชมรมพุทธ วัดในต่างจังหวัด ที่รับใช้ธรรมกาย งดร่วมกิจกรรมกับท่านเหล่านั้นไปชั่วคราว จนกว่าธรรมกาย จะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าบริสุทธิ์

 

6) สื่อมวลชนร่วมกันตีแผ่ธรรมกาย และธัมมชโย ตั้งแต่คำสอน วัตรปฏิบัติที่ผิดเพี้ยน กิจกรรมโน้มทรัพย์ และคดีต่างๆ ที่ตอนนี้มีอยู่เป็นร้อยๆ คดี รวมถึงนำครอบครัว ที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว แตกแยก เพราะหลงบุญ ทุ่มสุดตัวทำบุญ มาเปิดโปงให้สังคมรับทราบ

 

 

ช่วยกันทำ ด้วยด้วยความซื่อตรง ไม่มีอคติ ชำระสะสางเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจน ปัญหาก็จะได้ยุติ ซึ่งจะยุติในยุคเผด็จการประชาธิปไตย หรือยุคประชาธิปไตย จากการเลือกตั้งนั้น ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะความถูกต้อง ต้องดำรงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ด้วยคนในสังคม ช่วยกันจรรโลงไว้เป็นหลักชัย ของการอยู่ร่วมกันนั่นเอง!

 

พ่อครูว่า… คุณจิตกร บุษบาเขารู้รอบรู้กว้างกว่าอาตมาเยอะ ก็ขออาศัยหน่อยนะ ต่อมาเอาหนังสือของธรรมกายเอง มาขยายความต่อ ในความจริงที่เราต้องเปิดเผยกันว่า อะไรถูกอะไรผิด  พูดในกาละเวลานี้ ก็เป็นเรื่องการร่วมกับสังคมจะต้องช่วยกันเอาหลักฐาน สัจจะที่ดีที่เหมาะสม กับเหตุการณ์มาช่วยกัน คนละไม้คนละมือ

ก็ขอถามหน่อยว่า คนโง่หรือคนฉลาดในโลกนี้ มากกว่ากัน คนโง่ก็มากกว่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน นิจจัง สุขัง อัตตา(วิพากษ์ธรรมกาย)

เมื่อวานนี้ เราก็ได้พูดถึงนิจจัง สุขัง อัตตา กันพอสมควร...สรุปแล้วอาตมาบอกว่า ธรรมกายไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะญาติโยมเขาบอกว่า มั่นใจในความบริสุทธิ์ของอาจารย์ ก็พูดไปเท่านั้นเอง ตราบใดที่ไม่ให้คนอื่น เค้าตรวจสอบไม่มีสิทธิ์พูดคำว่าบริสุทธิ์ ไม่เช่นนั้น ถ้าไม่เคารพ ผู้พิพากษาประเทศนี้ ก็ไปอยู่ประเทศอื่นสิ แม้แต่ผู้พิพากษา จะตัดสินผิดก็ตาม คุณก็ต้องยอมรับเถอะ ผู้พิพากษา ก็คือผู้พิพากษา ต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้น คุณต้องไปอยู่ประเทศอื่น อาตมาก็ยอมรับ คำตัดสิน ของศาล ของผู้พิพากษามาแล้ว

ส่วนเรื่อง นิจจัง สุขัง อัตตา นั้น คำว่า

นิจจัง แปลว่า เที่ยง สรุปเลยว่า ความมีไม่มีสิทธิ์เที่ยง ความไม่มีหรือศูนย์หรือ สุญญตาเท่านั้น มีสิทธิ์เที่ยง เพราะฉะนั้น พวกคุณนี้มีความมี ไม่มีสิทธิ์เที่ยง คุณจะต้องมาศูนย์ แม้แต่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน คุณก็บอกว่ามีอีก แล้วหลอกคนด้วยไม่มีใครรู้เห็นด้วย แน่จริงเอามาให้ยืนยัน ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสิ มันต้องครบทั้ง 2 ด้าน ทั้งสมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ

คุณมีแต่อัตตา และสุขัง แต่สุขังนั้นไม่มี มีแต่สุขขัลลิกะ แม้จะใช้คำว่า ปรมังสุขังมาใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าสุขอย่างยิ่ง แต่มันยิ่งกว่าสุข แต่เรื่องนิพพาน เป็นเรื่องที่เปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้  นัตถิอุปมา

 

มาต่อที่หน้า 56 เขาอ้างพยัญชนะบาลีว่า…

อนิจจสัญญา  อนิจเจทุกขสัญญา  ทุกเขอนัตตสัญญา  ปหานสัญญา  วิราคสัญญา  นิโรธสัญญา

1.ความกำหนดหมายในความไม่เที่ยง อนิจจตา

พ่อครูว่า...สิ่งที่มีจะต้องไม่เที่ยงทั้งนั้น สิ่งที่ไม่มี สูญ อนัตตาเท่านั้นที่จะเที่ยง

2.ความกำหนดหมายในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์

3.ความกำหนดหมายว่าสิ่งที่เป็นทุกข์นั้นไม่ใช่ตน (พ่อครูว่า ก็ไปกำหนดหมาย สิ่งที่เป็นทุกข์ ต้องกำหนดให้รู้ว่า สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นอย่างไร โดยใช้สัญญากำหนด แต่ความเป็นทุกข์ มันไม่ได้เกิดทันที คนที่อวิชชา จะเห็นทุกข์เป็นสุข คนอวิชชาจะหลงทุกข์เป็นสุข  ​แต่ความจริงคือสุขนั้นไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป คุณจะมาเล่นคารมว่า สิ่งที่เป็นทุกข์ไม่ใช่ตน คุณก็เล่นคารมได้ แต่จริงๆ คุณก็ไปยึดตน คุณบอกว่า นิพพานเป็นตน(อัตตา) ทีนี้คนฟังกลับกันก็ว่า คนนี้เขายึดนิพพานเป็นตน ก็เลยเป็นสุข เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ยึดนิพพานเป็นตน เขาก็ทุกข์สิ

พอตอนนี้ จะมีคนงงพอสมควร เพราะฉะนั้น สรุปแล้วเขายึดสุข เขามี แต่ของพระพุทธเจ้า ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ เที่ยง จบ

4.ความกำหนดหมายในการ ละ (ปหาน) แต่ของเขาไม่ได้ละ มีแต่ว่าสุขเป็นอัตตา ไม่ได้ปหานเลย

5.ความกำหนดหมายในความคลายกำหนัด เขาไม่ได้คลายเลย เขากลบทุกข์ด้วยการบำเรอตนด้วย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส และภพชาติ สรุปแล้วเขาบำเรอด้วยความมี เขาไม่ได้บำเรอด้วยความไม่มี

6.กำหนดความหมายในความดับ

 

พ่อครูว่า...ผู้ใดจะเรียกว่าบำเรอด้วยพยัญชนะ ว่าคนนี้บำเรอตนด้วยความไม่มี แล้วก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ไม่เห็นจะเป็นไร  บำเรอด้วยความว่าง ด้วยความไม่มี ความจน ความสูญ ก็เฉยๆ สบายๆ ไม่มีอะไร ไม่มีการสะดุ้งสะเทือน สงบนิ่ง สันตา แต่ไม่ใช่หยุดพลังงานที่ยังไม่ปรินิพพาน หยั่งรู้แจ้งอะไรทุกอย่างเลย  แล้วก็รู้จนสิ่งที่มันต่างจากเรานั้น คือนัยยะอย่างไร ก็จบด้วยความจบ ว่า ความเห็นของเธอ กับความเห็นของเรานั้น มันคนละอย่าง ก็จบ เขาจะยึดของเขา เราก็จบตรงนี้ที่ว่า ความเห็นของเธอกับความเห็นของเรานั้น มันคนละอย่าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน นิมิต กับสภาวธรรม

ต่อมา หน้า 98 นิมิต กับสภาวธรรม (ในหนังสือหลักฐานธรรมกาย)

เขียนว่า สำหรับการทำสมาธิภาวนาสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ท่านวิตก คือการติดนิมิตที่เกิดจากการทำสมาธิในหนังสือ สมถะวิปัสสนาแบบโบราณ ที่พระมหาโชติปัญโญ (ใจ ยโสธรรัตน์) ได้รวบรวมแนวทางการปฏิบัติธรรมของพระมหาเถระใน 4 ยุคที่ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ใบลานหรือสมุดข่อยโบราณนำมารวบรวมเป็นหนังสือภาษาไทยเพื่อง่ายต่อการศึกษาและตีพิมพ์ในปีพ. ศ. 2479 พบว่าในคู่มือการปฏิบัติธรรมแบบเดินธาตุในห้องพระเจ้า 5 พระองค์ได้กล่าวถึงการประคองรักษานิมิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ติดนิมิตในการทำสมาธิภาวนาไว้ว่า

 เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วให้ผูกจิตกับ อ(อะ) ให้ถึงกันด้วยดีให้ตรงกันด้วยดี ให้รู้อยู่ด้วยดี ให้ถึงโดยชอบจนได้ อุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต นิมิตนั้นจะเป็นวงกลมก็ตาม เป็นพระพุทธรูปก็ตาม เป็นเม็ดเพชรรัตน์ ดูดวงแก้วก็ตาม ต้องสังเกตกำหนดรักษาไว้ใช้ ทำให้มากเจริญ ให้มาก ทำให้ชำนาญ จนสามารถบังคับนิมิตไว้ในอำนาจได้จิตได้ เครื่องหมายได้ที่พักเลื่อนภูมิดีแล้วอย่าติดนิมิต

พ่อครูว่า...แสดงว่าสิ่งที่เป็น วงกลมก็ตาม เป็นพระพุทธรูปก็ตาม เป็นเม็ดเพชรรัตน์ ดูดวงแก้วก็ตาม เป็นรูปหรือนามก็เป็นรูปธรรม  เขาก็ว่าจิตได้เครื่องมือ ได้ที่พัก คนพวกนี้ไม่ได้รู้รูปนามก็ใช้แต่รูป

อาตมาจะอธิบายของอาตมาบ้าง...เรื่องการทำสมาธิ ของพระพุทธศาสนาตามความรู้ของอาตมา คือลืมตา คำว่า นิมิต คือเครื่องหมาย จะเป็นเครื่องหมายที่ใช้ขณะลืมตา อธิบายตั้งแต่ความหยาบไปก่อนว่า

ขณะนี้อาตมาเห็นคน ก็เป็นนิมิตหรือเครื่องหมาย ให้อาตมาใช้ คุณเองก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นที่มีในที่สุด คุณก็สามารถไปนิพพานได้ในที่สุด เป็นปริโยสาน เมื่อคนปรินิพพานไปจะมีคุณไหม..ก็ไม่มี แต่ขณะมีคุณ อาตมาก็ใช้อาศัย โดยไม่ได้ยึดมั่นตัวตนคุณเลย อาศัยในสิ่งที่คุณจะเป็นประโยชน์คุณค่า เขาใช้นิมิตรูป เขาไม่ได้อาศัยนาม อาตมาอาศัยท่านเดินดิน ชาตินี้ก็อาศัยท่าน อาตมาอาศัยท่านเป็นหลักทางนามธรรม นามธรรมท่านจะไปทำงานอันไหน อาตมาก็ไม่ได้ไปกำหนด หรือสั่งบังคับ ท่านก็ใช้ปฏิภาณท่านเอง อาตมาไม่ได้ใช้ที่ท่านรูปหล่อหรือแข็งแรง หรือท่านจะแข็งแรงกว่าอาตมาหรือไม่ก็ไม่รู้ 

ทีนี้เรื่องการยึดรูปนามนั้น มันไม่ง่าย ที่จริงไม่ยึดทั้งรูปและนาม แต่เราอาศัยอะไรมากกว่ากัน อาตมามาปางนี้ ทำงานทางนามธรรม มากกว่ารูปธรรม ก็เลยรู้ยากกว่า ยิ่งเป็นโลกุตระด้วย แต่อาตมาต้องทำ อาตมาไม่ห่วงเลยว่า จะมีคนชอบหรือมานับถือ มาเข้าใจ มาเป็นหมู่เป็นพวก มีอยู่น้อย ก็ไม่ประหลาดเลย แต่ต้องมีน้อยด้วยในปางนี้ หมู่ใหญ่ไม่ใช่อาตมา คนที่จะมีคนฮือฮา ไม่ใช่อาตมา พวกเรามาอย่างนี้ เท่านี้ก็กุศลหนักหนาแล้ว แล้วพอเป็นพอไป มันยังไม่เหลือเฟือ ก็เฉียดๆๆๆ อยู่อย่างนี้ ตื่นเต้นนะ สนุก

แล้วก็ทำให้เราอย่าประมาท เฉียดๆๆๆ สักวันมันอาจตายเลยได้ อย่าประมาท ทำให้เราต้องสังวรไว้มากว่า อย่าประมาท

 

คำว่าสมาธิ ไม่ใช่สมาธิที่จะไปเด่นอยู่ในภพข้างใน สมาธิที่อาตมาพาทำนั้นมาข้างนอกแล้วไม่มีภพ อย่างกามภพนี้ ทางทวาร 5 คือกามคุณ 5 เขาไม่เคยสอนกันว่า กามคุณ 6 ต้องอาศัยภพ 5 นี้  ตายไปแล้ว ก็จะไปตามภูมิ เสร็จแล้วก็จะเลื่อนภูมิ ขอพูด ตั้งใจฟังดีๆ

คนบอกว่า อาตมานี่เป็นพระสารีบุตรมาเกิด ใครว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิด อาตมาขอว่าคนนั้น ว่าคุณดูถูกอาตมา ว่าอาตมาคือ พระสารีบุตรมาเกิด เพราะพระสารีบุตร ตายไปแล้ว ดินน้ำไฟลม หายไปหมดแล้ว แม้ DNA พระสารีบุตร ก็ไม่ใช่อันเดียวกันกับ พระสารีบุตร ถ้าหาว่าอาตมาเป็นสารีบุตร ดูถูกอาตมา เพราะอาตมา ไม่ขอย้อนเป็นแค่ สารีบุตรแล้ว อาตมาต้องเจริญขึ้นกว่านั้น อาตมาพยายาม พัฒนามาตลอดเวลา อย่างนี้เป็นต้น อาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น สิ่งเหล่านี้ แต่อาศัยกันและกัน ไปตามลำดับได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครเข้าใจแล้ว ว่าอาตมามีสิ่งที่เป็นสารีบุตร ก็แน่นอน เพราะเป็นลูกพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกัน DNA นั้นก็พัฒนามาตลอดเวลา และอาตมาไม่เคยบอกว่า อาตมาใกล้พระพุทธเจ้า แค่ระดับ 7 แต่ชาตินี้ จะไม่สรุปว่าไล่ไประดับ 8 เมื่อไหร่อาตมาพูดได้ว่าระดับ 8 ก็จะพูด ตอนนี้พูดอย่างเต็มใจเลยว่า ไม่ใช่ 8 แต่อาตมาต้องพัฒนา การไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น โดยใจคุณเอง จะตอบได้ ปากพูดไปเองได้ แต่ใครจะรู้ว่าเรายึดหรือไม่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอนปฏิบัติมรรค 7 องค์ต้องปฏิบัติตามปฏิจจสมุปบาท

 

กลับมาสู่สมาธิ การทำสมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ในพระไตรปิฎก ก็คือคำสอนพระพุทธเจ้า เรื่องสมาธิ อาตมาเอาจาก มหาจัตตารีสกสูตรเป็นหลัก พระพุทธเจ้าตรัสว่า… เราจะอธิบาย สัมมาสมาธิของพระอริยะ พวกเธอจงฟัง

อันนี้คือเลือดเนื้อแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ในมหาจัตตารีสกสูตร คือสัมมาสมาธินี้ ถ้าใครเข้าใจนี้ไม่ได้ อาตมาว่าไม่ใช่พุทธ ถ้าใครเข้าใจตรงกัน ในสูตรนี้มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ก็อยู่ในนี้สมบูรณ์แบบ แต่คนเข้าใจไม่ถึงเข้าใจไม่พอ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดเจนว่า สมาธินั้น จะต้องปฏิบัติ มรรค 7 องค์ ไม่ใช่นั่งหลับตา ไม่ใช่ไปอยู่ในภพ

มรรค 7 องค์ ต้องปฏิบัติตาม ปฏิจจสมุปบาท ต้นเหตุปัจจัย จะขึ้นต้นด้วย ภพชาติ หรืออวิชชาสังขาร คือหัวหรือท้ายของ ปฏิจจสมุปบาท ก็ได้

ถ้าภพชาติ ต้องเรียนรู้ มีผัสสะเป็นปัจจัย แม้ขึ้นต้นด้วย อวิชชา สังขารก็ขึ้นต้นด้วย มีผัสสะเป็นปัจจัย

อวิชชา สังขาร วิญญาณ​ นามรูป อายตนะ ผัสสะ

ต้องมีภพทุกภพ เรียนรู้ตั้งแต่ภพ กามภพ ทางภายนอก เป็นกามคุณ 5 เมื่อปฏิบัติมีผัสสะ ก็เกิดอายตนะให้รู้ แล้วก็รู้ธรรมะสอง จากการสัมผัส เกิดภาวรูป เป็นภาวะสอง

สำหรับคนอวิชชา คนต้องมีอวิชชาก่อน จึงจะมีวิชชา เป็นโสดาบันก็ข้ามชาติมา ต้องศึกษาปฏิบัติมาก่อน จากสัตบุรุษ ถ้าไม่ได้พบสัตบุรุษ จะมีอาริยธรรมก่อนก็เป็นอวิชชาทุกคน ต่อให้ศาสนาเทวนิยมไหนก็ตาม ยังอวิชชาอยู่ทั้งนั้น จะไม่รู้สังขาร แยกแยะธรรมะสองไม่ได้ ต่อเมื่อรู้ก็แยกแยะ และทำธรรมะสองนี้ ทีละสองๆ แม้มันมีเยอะ ก็เอาทีละสอง โดยเฉพาะเอาที่เวทนา

ผัสสะ ตัวหนึ่ง ที่เป็นปัจจัยคือ เวทนา จะเกิดอายตนะให้เรารู้ได้ มันจะเกิดเวทนา เวทนาของคนอวิชชา คือสังขาร อารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิด เพราะมีผัสสะเกิดของคนอวิชชาคือสังขาร

สังขารของคนธรรมกาย เพ่งที่สุข เขาจะไม่มองที่ทุกข์เลย เขาก็ทิ้งทุกข์ไปหมด ให้หลับตาเห็นแต่ความใส มันจะหายไปหมดเลย ทุกข์จะไม่มี มีแต่สุขเท่านั้นอยู่กับสุข ตายไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นสุข เขาจึงเป็นศาสนา นิจจัง สุขัง อัตตา ไง

ส่วนศาสนาของเชน พวกหลับตาเช่นกัน เหมือนพุทธมาก แต่เป็นสายปลีกเดี่ยว ไม่เอาอะไรเลย สุดโต่ง สายอัตตกิลมถะ ไม่ใช่อัตตาที่เป็นสุขขัลลิกะ สายสว่าง อาภัสสราเป็นสาย สุขขัลลิกะ ส่วนพวกเชนเป็น สายอัตตกิลมถะ

กลิ หรือกิละ กลิคือโทษ ส่วนกิละคือทุกข์  ม คือธาตุวิญญาณ

กิลมะ + สิ่งที่คุณได้คืออัตตา เขาก็ได้ประโยชน์คือ กิลมะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มีผัสสะเป็นปัจจัย มีเวทนาเป็นกรรมฐาน

 

          สรุปแล้ว สมาธิของพระพุทธเจ้า จะต้องมี ผัสสะเป็นปัจจัย มีอายตนะ มีเวทนา แล้วเรียนขณะมีเวทนา เรียนการล้างเวทนา เวทนาจึงเป็นกรรมฐานเอกของพุทธ

คนที่อวิชชา กระทบสัมผัสแล้วจะเพ่งที่สุข ก็คือเวทนา ทุกข์ก็คือเวทนา แต่ที่จริง สุข คือทุกข์ สุขคือหมาป่า ที่เอาหนังราชสีห์ มาหุ้มหลอกคนอื่น

เนื้อแท้คือทุกข์ หมาป่า ตัวหลอกคือหนังราชสีห์ มาหลอกคนอื่นว่ายิ่งใหญ่ แต่ที่จริงคือหมาป่า คือตัวทรมานทรกรรม

ความโต่งสองด้านที่ พระพุทธเจ้าตรัส ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อาตมาก็สงสาร คนที่ไปท่อง ธัมมจักกัปปวัตนสูตร 11 ล้านเที่ยว พวกนี้เป็นพวก ใกล้เกลือกิน ขี้ เขาไม่ได้รู้จัก อัตตกิลมถะ และ สุขขัลลิกะ สองฝ่ายนี้คืออะไร เขาไม่รู้เรื่อง สายธรรมกาย เป็น สุขขัลลิกะ ส่วนสายเชน เป็นอัตตกิลมถะ พวกมักน้อยจนพุทธสู้ไม่ได้ พุทธนุ่งห่มน้อยสู้เชนไม่ได้ แม้จะไม่มากมีไตรจีวร แต่ทางโน้นไม่นุ่งเลย

อาตมาจะมีขยายความไปอีก 60 ปียังได้

 

สมณะเดินดินว่า...พอดีได้ดูคลิปของธรรมกาย ที่เขาพยายาม ให้คติว่า งานนี้ จะชนะอย่างไร ต้องทำใจของเราให้ใส ให้สบายให้สุขไว้ นี่คือฐานรองรับจิต แล้วพลังจากอาจารย์ ปูชนียาจารย์ จะส่งมาให้เรา พวกนี้จะเปลี่ยนผัสสะเป็นสุขๆๆ แล้วจะชนะ เป็นอุปาทาน มันเหมือนสุนัข ที่เอาหนังราชสีห์มาคลุม เคยเห็นลูกศิษย์ เขาที่ออกรายการแล้วถูกรุกไล่ เขาบอกว่าอึดอัด ถ้าเขาต้องพยายามสมถะกดข่มไว้อย่างมาก สักวันก็ต้องระเบิด

พวกเรามีผัสสะเช่นกัน อย่างพวกเราฟังธรรม อาศัยพ่อครูเป็นนิมิต เราก็ได้สัมผัสเต็มๆ ทางทุกทวาร ฟังไปก็ไปสู่ความไม่มี สู่ความพ้นทุกข์อย่างไร ถึงตอนนี้ เราไม่ติดใจแล้ว พ่อครูจะเป็นสารีบุตรหรือไม่ แต่เราใช้อาศัยสิ่งที่พ่อครูมี นามธรรมที่พ่อครูมี แต่เขาอาศัยสมถะว่าใสๆๆไว้ก่อน แล้วจะชนะๆๆ อย่างนี้ไม่มีปัญญาเลย มันจะชนะได้อย่างไร แต่พ่อครูอธิบายเราตั้งแต่รูปไปถึงนาม ว่าจิตเราจะพ้นทุกข์อย่างไร จิตเป็นหนึ่ง อย่างสัมมาสมาธิของพุทธ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:35:47 )

591228

รายละเอียด

591228_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559 คนก็กำลัง countdown กันได้แล้ว เป็นการนับถอยหลัง ความจริงแล้ว น่าจะเป็นการเดินหน้าฝ่ามหาสมุทรกัน

ปีใหม่ทุกปี เรามีกิจกรรม ว.บบบ.กัน แต่ปีนี้จะมีกิจกรรมอะไร ถ้าติดตามฟังข่าว ก็จะรู้ว่าไม่มีอะไร? นอกจากที่ทำกันอยู่นี้ อย่างหลวงปู่พุทธะอิสระ ท่านก็บอกว่า งานของพ่อนี้สำคัญกว่างานอะไร แล้วท่านทำแบบลุยทำด้วย ขนาดที่เกือบตายก็ขอพักเพียงวันเดียวเอง

เพราะฉะนั้นปีนี้งาน ว.บบบ.เราก็ไปบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม กันที่สนามหลวงกัน เมื่อก่อนนี้ มีผัสสะเฉพาะญาติธรรม แต่ปีนี้ก็มามีผัสสะกับ พหุชนหิตายะกัน พ่อครูก็ยังบอกว่า จะเทศน์เวลา 13.00 น. วันอาทิตย์ ที่เด็กจะมาพบ พ่อครูพร้อมเทศน์ แต่เด็กไม่พร้อม พ่อครูเลยเลื่อนเป็น 08.00 น.แทน พ่อครูเลยต้องใช้เสียงเต็มที่เลย เสียงแหบเลย ถ้าญาติธรรมมากันมาก พ่อครูก็เต็มที่แน่

ปีใหม่นี้ เราจะมาบำเพ็ญกันที่สนามหลวง ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันปี จะมีสักครั้งหนึ่ง ให้มากันที่สนามหลวง ตอนนี้โปรแกรมเราไม่สามารถกำหนดอะไรได้ง่ายๆ อยู่ที่พระเจ้าจะสั่งมา แต่ก็เชื่อมั่นว่า ญาติธรรมที่รวมต่อสู้ ละกิเลสกันมา ทุกสนามรบ 40 ปี ทุกวันนี้ แค่มองตากัน ก็รู้ว่าไปไหนก็ไปกัน

ขนาดเราไปจัดงานปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯ ท่ามกลางสนามรบ ก็ยังทำมาแล้ว งานนี้ไม่มีแก๊สน้ำตา หรือเสียงระเบิด ง่ายกว่ากันเยอะ

ปีนี้ ว.บบบ. น่าจะเป็นรุ่นปิดทองหลังพระ ไม่ต้องมีเข็มทองคำ เราก็ยังคงตั้งใจทำ อย่างทุกๆปีได้ ส่วนธรรมะของพ่อครู แต่ละวันๆ พ่อครูก็มีเรื่องที่จะทำให้ชัดขึ้นเรื่อยๆ
          พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็โอภาปราศรัยกับ sms

SMS วันที่ 27 ธันวาคม 2559

0890015xxxเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่ชาวอโศกจะพูดคุยกันด้วยภาษาถิ่น จะให้เริ่มพูดกันวันไหนครับ เริ่มปีใหม่นี้เลยดีไหมครับ...

0890015xxxอยากได้พรปีใหม่จากพ่อท่านฯ ในปี 2560 นี้ครับ..

0893809xxxคติพจน์เตือนใจ " อดกลั้นใจคือดวงแก้วคู่กาย " " ไม่อดกลั้นใจ เป็นภัยแก่ตัวตน " " ลิ้นอ่อนเกิดอยู่ในปาก ฟันหักเพราะแข็งกล้า "

0851614xxxสัตว์ที่สะดุ้ง หวาดกลัว โกรธแค้น ก่อนถูกเชือดให้มนุษย์กิน จะมีพิษในเลือดเนื้อ เมื่อรับประทานเข้าไปก็คือ การสะสมพิษในร่างกาย

0851614xxxคือเราเคยไปค่ายวีสตาร์กับ รร. เค้าสอนจริงๆนะว่า บริจาคเงินมากได้บุญมาก ทำน้อยได้น้อย บริจาคมากเท่าไหร่ ก็มีวิมานใหญ่รออยู่ พูดย้ำๆตลอด #ธรรมกาย

0893809xxxผลสำเร็จบริสุทธิ์ ของผู้ปฏิบัติธรรมชาวอโศก "ผู้ปิดทองหลังพระ" สักวันหนึ่งดอกไม้บานสะพรั่ง สักวันหนึ่งคนจริงจังจักหลากหลาย สักวันหนึ่งคนดีทั้งหญิงชาย จักเกิดขึ้นมากมายเต็มแผ่นดิน สักวันหนึ่งความรักคงครองหล้า สักวันหนึ่งคุณธรรมคงคู่ธานินทร์ แล้ววันนั้นเราคงสิ้นคนแล้งน้ำใจ

0893867xxxศาสนาที่สอน ให้ก้าวเดินตามโลกธรรม ด้วยความเห็นแก่อำนาจลาภยศ นำพาสังคมเจริญทางวัตถุ ท่วมท้นโลภโกรธหลง จมปัญหาทั้งทางกายจิตวิญญาณ! / พุทธศาสนาที่สอนให้ก้าวเดิน ด้วยศีลถูกตรง สมาธิถูกทางปัญญาถูกต้อง ตามสัจธรรมนำพาสังคมเจริญทั้งชีวิตทางกาย จิตสำนึกทางจิตวิญญาณ โลกจึงมีทางเดินทางเดียว ที่ปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ที่สุด ทั้งทางกายใจจิตวิญญาณ คือตามรอยเท้าพ่อฯ! เป็นลูกไทยพุทธที่พอเพียงแล้วจะพบทางแห่งความหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวง!

0893867xxxพุทธศาสนาที่สอนให้ก้าวเดินด้วยศีลถูกตรง สมาธิถูกทางปัญญาถูกต้อง ตามสัจธรรม นำพาสังคมเจริญทั้งชีวิตทางกาย จิตสำนึกทางจิตวิญญาณ! / มนุษย์มีทางเดินหลายทาง ที่จะเลือกก้าวเดิน! แต่ทาง ที่จะเลือกเดินตามด้วยอะไร ชีวิตก็เป็นไปตามสิ่งที่ตนเองเดิน ด้วยสิ่งที่ตนเองตาม

พ่อครูว่า..ที่พระพุทธเจ้าย้ำว่า ทางนี้ทางเดียว คือมรรคมีองค์ 8 ที่จะพาไปสู่ความสูงสุด

 

0857227xxxผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งแขวนคอตาย เพราะเป็นหนี้ เพราะกู้เงินมาทำบุญให้วัดธรรมกาย

ตอบ...อาตมาก็หยิบหลักฐาน ในพระไตรปิฏกมาพูด แต่พูดเรื่องเดียวกันเลย คนหนึ่งพูดไปดำใต้นรก อีกคนหนึ่งพูดไปใสสว่างสวรรค์ไปเลย เลือกสิ่งที่คนเข้าใจง่าย ความใส ความสะอาด ความตรง ความระเบียบความสวยงาม ความรวย ซึ่งเป็นเรื่องเปลือกผิวง่ายตื้น คนที่โง่ดักดานไม่เอาหรอก คนที่มีปฏิภาณปัญญา ระดับกลางก็จะเอา คนที่หัวนายทุนนิยมหนักๆ รวยๆ อยากรวย ก็จะเอาเขา คนที่ยังมุ่นมัวเมาในโลกีย์ ก็เสร็จเขาหมด เขาก็จะได้รับวิบากของเขาไป อาตมาก็ต้องเอามาไข ขยาย เปิดเผย ชี้ลงไป มันเป็นสัจธรรม คนก็ต้องใช้ปัญญา เลือกเฟ้นเอาเอง คนที่จะชอบไปทางธรรมกาย ก็แล้วแต่ คนที่จะมาศึกษาทางนี้ ก็มาฝึกฝนไป อาตมาก็ทำตามธรรม อาตมาภูมิใจที่ทำได้ตรง ตลอดชีวิตอาตมา ไม่ได้ไปและเล็มเลียบเคียง จะต้องไปรวย สวย หรูหราอะไร เราก็ทำตามเราทำ เราเป็น มันก็ได้ ไม่เรี่ยไรเลย ก็ยังพอเป็นพอไป ไม่หลอกลวงและเล็ม ก็เป็นไปได้ มีกติกาว่า คนนอกที่จะมาบริจาคให้อโศก จะต้องมาศึกษาอย่างน้อย 7 ครั้ง มาคบหา มาตรวจสอบว่าคืออะไรแท้ๆ ก็ใช้กฎกติกาพวกนี้มาตลอด ไม่ใช่ว่า รีบคว้ารีบฉวยเอา ไม่ทำเช่นนั้น ได้พยายามป้องกัน ให้คนเขาได้มาตรวจสอบ จนแน่ใจจริง

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ลัทธิหรือพรหมจรรย์ของศาสนาท่าน ที่ได้นำมาสอน สาธยาย ไม่ได้เป็นไปเพื่อที่จะให้ใคร มานับถือ เคารพ ใครจะเคารพก็เรื่องของเขา ใครจะนับถือก็เรื่องของเขา ไม่ได้ล่าบริวาร ใครจะมาก็มาด้วยปัญญา อิสรเสรีภาพ ไม่ได้ทำเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกธรรม ไม่ได้ทำเพื่ออวดใหญ่โต เบ่งอำนาจ ว่าเราวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้  ทำทียกตัวยกตนประกอบด้วยท่าทีลีลา ไม่มี

ขอพูดถึงตนเอง ที่ไม่ยกตัวยกตนเบ่งข่ม อย่าหาว่าแก้ตัวเลย

คืออาตมานี้ ที่อาตมายืนยันตนเอง เอาหลักฐานของตัวเอง บอกว่าได้บรรลุขั้นไหน ไม่ได้มีเจตนา ไม่ได้มีจิต แล้วกลัวคนเข้าใจผิดด้วย แต่มันต้องยืนยัน มันต้องเป็นความรู้ ให้รู้ว่าทุกอย่างมาจากเหตุ เพราะเขาสอนกันว่า ทุกอย่างจะเกิดเอง นั่งสมาธิไปก็จะได้เอง... ไม่ใช่! ทุกอย่างมาแต่เหตุ จึงยืนยันสิ่งเหล่านี้ และที่อาตมาพูดไป ที่เน้นหนักแรง ดัง ไม่ได้เพื่อความรุนแรง ไม่ได้โกรธ อัดอั้น ไม่มี แต่จะเข้าใจกันหรือไม่ แค่ไหน ?

เพราะที่ออกไป องค์ประชุมที่แสดงออกไป ในท่าทีลีลา สุ้มเสียงสำเนียง มันแรง มันตรงมันจริง มันเป็นเรื่องของการยืนยัน เป็นความจริง ออกมาจากใจแท้ๆ ไม่ได้ต้องการกดตีข่มอะไร แม้แต่ที่พูดถึงความผิด

พูดถึงความผิดนี่มันแรง คนไหนที่มีความผิดนั้น แม้พูดเบาๆก็แรง เพราะเขาผิดเหมือนโดนตี จะพูดเบาก็แรง ยิ่งพูดลงน้ำหนักก็ต้องแรง อาตมาลงน้ำหนัก ทั้งท่าทาง สุ้มเสียง หรือภาษาแข็งๆตรงๆ ไม่เลี่ยงเลย มันก็แรง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็จำนน จะว่าแก้ตัวก็ยอม ให้พิสูจน์กันไปนานๆก็ได้ อาตมาไม่รีบร้อน ไม่ได้แสดงว่าตัวเองเก่งประเสริฐ เลิศลอยอะไร อาตมาว่า อาตมาอ่อนน้อม ถ่อมตนอยู่นะ ผู้ที่มองออก ก็จะมองออก

ก็มีส่วนที่อาตมาจะเสริม เอาจากหนังสือของเขานี่แหละ เรื่องหลักฐานธรรมกาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน นิมิตในอาโลกสัญญา คืออะไร

เอาประเด็นที่เขาว่า…. มื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ให้ผูกจิตกับ อ(อะ) ให้ถึงกันด้วยดีให้ตรงกันด้วยดี ให้รู้อยู่ด้วยดี ให้ถึงโดยชอบจนได้ อุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต นิมิตนั้นจะเป็นวงกลมก็ตาม เป็นพระพุทธรูปก็ตาม เป็นเม็ดเพชรรัตน์ ดูดวงแก้วก็ตาม ต้องสังเกตกำหนดรักษาไว้ใช้ ทำให้มาก เจริญให้มาก ทำให้ชำนาญ จนสามารถบังคับนิมิต ไว้ในอำนาจได้จิต ได้เครื่องหมาย ได้ที่พัก เลื่อนภูมิดีแล้วอย่าติดนิมิต

พ่อครูว่า...อุคคหะ คือเอาสิ่งนั้น ให้แน่นให้หนาเลย ให้นิ่งแข็งเป็นประธานเลย  ส่วนปฏิภาคคือ ขยายกระจายออกไปได้ ส่วนให้เป็นวงกลม พระพุทธรูป เขาก็พูดเป็นรูปธรรมทั้งนั้น

เขาบอกอย่าติดนิมิต แต่จริงๆแล้ว เขาใช้นิมิต รูปธรรม พลังแบบไสยศาสตร์ ลึกลับ ไม่มีที่ไปที่มา ใช้พลังสะกดจิต แล้วมีอันนี้เป็นพลังวิเศษ เขาขยายพลังงานเหล่านั้น ไม่ได้หรอก เป็นสายเทวนิยม สิ่งเหล่านี้ เขาต้องสะกดจิตเก่ง พลังจิตเป็นสิ่งพิเศษ ใช้หรือเปลี่ยนได้เหมือนกัน แต่ไม่เที่ยงแท้ถาวร ใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว มันถึงไม่เที่ยง ไม่แน่นอน และ เสื่อมง่าย เพราะต้องสะกดพลังไว้ใช้ ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ได้ให้ใช้พวกนี้เลย ในอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ให้ใช้อนุสาสนีย์ ให้ลดกิเลสได้จริง แล้วมีจิตเป็นพระพรหม ที่มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ติดยึดตัวตนเลย

เขาว่าต่ออีกว่า….จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นว่านิมิตร ที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ จะเป็นองค์พระหรือดวงแก้วก็ตาม ท่านไม่ได้ทำให้ติดนิมิต  แต่ต้องหมั่นสังเกต และรักษาไว้ เพื่อให้จิตได้มีที่เกาะเกี่ยวให้สุด จนชำนาญ เพื่อนำไปสู่สมาธิในระดับต่างๆ เช่นเดียวกับวิชชาธรรมกาย แม้จะใช้นิมิตเป็นกุศโลบาย ให้จิตเป็นสมาธิในระดับต่างๆ แต่ไม่ได้สอนให้ติดนิมิตเหล่านั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ หยุดนิ่งได้สนิท นิมิตที่กำหนด ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ท่านสอนให้หยุดนิ่งเฉย รู้เห็นด้วยจิตที่เป็นกลางๆ ไม่ปรุงแต่ง ทำจิตปล่อยวางอย่างแท้จริง เพื่อให้เข้าถึงสภาวะธรรมกาย ในที่ไม่ใช่นิมิตอีกต่อไป

ภาพนิมิตที่เราสมมุติเป็นดวงใส หรือองค์พระ พอถึงเวลาที่ใจหยุดนิ่งแล้ว ก็ทิ้งไป แต่นิมิตที่เราไม่ได้ติด เมื่อเวลาเรานิ่งสนิท นิมิตก็จะมาติดเรา เป็นของจริงอยู่ภายในนั้น มันอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น มีอะไรให้ดู เราก็ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น หยุดนิ่งๆให้ใจใสๆ ไปเรื่อยๆ

ในพระไตรปิฎกบาลี ได้กล่าวถึง การทำสมาธิที่ใช้ ดวงแก้ว แสงสว่าง หรือเรียกโดยรวมว่า อาโลกสัญญา  ซึ่งเป็นการทำสมาธิ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้ญาณทัศนะ ด้วยเช่นกัน (พ่อครูว่า นั่นคืออุปาทานทั้งสิ้น ถ้าคนที่บรรลุธรรม ไม่มีอุปาทาน เวลาหลับตาสนิท ก็เห็นแต่ความมืด ไม่มีแสงสว่างใดๆหรอก)

ภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะ ซึ่งญาณทัสสนะเป็นไฉน มนสิการอาโลกสัญญา อธิษฐานที่ว่า สัญญาว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน มีใจอันสงัดปราศจากเครื่องรัดรึง อบรมจิตให้มีความสว่างอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อญาณทัศนะ

(พ่อครูว่า อาโลกสัญญา ไม่ใช่ไปสร้างแสง หากคุณหลับตา แล้วเห็นแสง คือแสงที่คุณปั้น สร้างเองในจิต ซึ่งทำไม่ง่ายนะ ยาก แล้วไม่อยู่นาน ต้องใช้พลังกดข่ม สร้างสภาพอีกมาก แต่ของเรา อาโลกสัญญา คือแสงพระอาทิตย์ธรรมชาติ เวลาปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ก็ลืมตาเห็นแสงสว่างปกติ จะหลับตาก็หลับตานิ่งเงียบมืดสบาย หยุดพัก จะหยุดคิดก็ได้ ไม่มีอะไร ไม่มีแสงอะไรหรอก)

(พ่อครูว่า คุณกำหนดกลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน คุณก็ไปติดยึดอีก ก็เป็นธรรมะสองอีก  มันก็กลับไปกลับมา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ในกลางวันกลางคืน ก็เป็นธรรมะหนึ่งแล้ว  คือว่ามันแตกต่าง ด้วยสภาวะธรรมชาติ แต่จิตใจเราอย่าไปติดยึดมัน ก็ทำจิตของเราให้เป็นหนึ่ง แล้วรู้ความจริงว่า อันนั้นคืออันนั้น อันนี้คืออันนี้ อันนั้นไม่ใช่เรา อันนี้เป็นเรา เรามีหนึ่งเดียว แต่คุณยังไม่ตาย เป็นปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ก็ต้องมี 2 คุณไม่ได้เลิกนามธรรมของคุณ ก็ต้องมีสองตลอดกาล แต่ต้องรู้ว่า อะไรคืออะไร บอกแล้วว่า สิ่งที่เป็นสองแล้ว แม้จะเล็กเท่าไหร่ ก็ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้น กลางคืนกลางวัน ก็ต้องต่างกัน แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นรูปกับนาม มันต้องเป็นสอง

เราทำจิตเราว่างโปร่งใสได้ แม้จะอยู่ในความมืดดำ ไม่มีแสงสว่าง แม้หลับตามืด แต่เราก็คิดได้ แล้วยิ่งคิดได้ดีใหญ่เลย

แม้แต่คำว่า อุคคหนิมิต กับปฏิภาคนิมิต ก็เป็นภาษาของอาจารย์รุ่นหลังไม่ใช่ภาษาของพระพุทธเจ้า แม้แต่บริกรรมนิมิต ต้องมานั่งท่องบริกรรม เพื่อให้เกิดพลังสมาธิ แล้วใช้พลังสมาธิให้เป็นปฏิภาค ให้เป็นเรื่องต่างๆ ปฏิคือมีสอง มีออกเข้า ไปมา ทวนไปทวนมา ให้มีอย่างนั้นได้ แต่เราไม่ต้อง ศาสนาพระพุทธเจ้าใช้ตามจริง ไม่ต้องสร้างพลังพิเศษ ที่ต้องใช้บริกรรมท่องบ่น เป็นการสะกดจิต ของพุทธไม่มี มีแต่ในลัทธิสะกดจิต)

 

มาอ่านของเขาต่อ

 

         ดังนั้นการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย กับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มีความสอดคล้องกันในวิธีการปฏิบัติ คือการใช้ อาโลกสัญญา เป็นนิมิต เพื่อฝึกจิตให้ได้สมาธิในระดับต่างๆ อันจะนำไปสู่ทางมรรคผล และนิพพาน ต่อไป ไม่ได้เป็นการติดในนิมิตแต่อย่างใด

“ดวงทิพจักษุญาณ” ก็จะผุดขึ้นหลังจากนั้น ถ้าดำเนินจิตผ่านดวงนี้ จึงจะทำวิปัสสนาญาณได้ เป็นการยืนยันว่า“ดวงทิพจักษุญาณ” ไม่ใช่นิมิตอีกต่อไป เป็นสภาวะธรรมของจริงที่มีอยู่แล้ว และมีความสำคัญต่อการเจริญ “วิปัสสนาญาณ” ต่อไป ถ้าไม่ดำเนินจิตผ่านทางนี้แล้ว วิปัสสนาญาณก็ไม่เกิด

 

“ดวงปฐมมรรค”ในวิชชาธรรมกาย มีความสอดคล้องกับ“ดวงทิพจักษุญาณ”คือดวงปฐมมรรค ไม่ใช่นิมิตอีกต่อไป แต่เป็นสภาวะธรรมภายใน ซึ่งเป็นของจริงและอีกประการคือ เป็นหนทางเบื้องต้นมรรคผลนิพพาน เมื่อดำเนินจิตผ่านดวงนี้จิตจะถูกกลั่นให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งเข้าถึง “พระธรรมกาย” ความรู้แจ้งที่เกิดจากเห็นแจ้ง ด้วยญาณทัศนะของพระธรรมกาย (วิปัสสนาญาณ)ก็เกิดขึ้น

(พ่อครูว่า เป็นจินตนาการทั้งสิ้น)

….ทำดวงแรกนี้สำคัญมาก ถ้าเราทำจนชำนาญ ทำได้คล่องแล้วเราจะเข้าใจคำว่า เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นเห็นพระตถาคตเจ้า คือวันใดที่เราเข้าถึง ดวงปฐมมรรค หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง ในกลางของกลางดวงปฐมมรรค  พอทุกส่วนเราก็จะค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปข้างใน แล้วก็เห็นไปตามลำดับ เห็นดวงธรรมในดวงธรรม เห็นกายในกาย กระทั่งไปถึง กายของพระตถาคตเจ้า คือพระธรรมกาย ที่อยู่ภายในตัว

 

...ดวงนั้นแหละ เรียกว่า ดวงปฐมมรรค ค้นหาเบื้องต้นมรรคผลนิพพาน จะไปสู่มรรคผลนิพพาน ต้องเข้ากลางดวงนั้นแห่งเดียว ไปทางเดียว ทางอื่นไม่มี เมื่อเข้ากลางดวงศูนย์นั้นได้แล้ว เรียกว่า ปฐมมรรคนัยหนึ่ง  อีกนัยหนึ่ง ดวงนั้นแหละเรียกว่า เอกายนมรรค  แปลว่า หนทางเอกไม่มีโท  สองไม่มี แปลว่าทางหนึ่ง  สองไม่มี หนึ่งทีเดียว ดวงนั้นแหละเรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เส้นทางไปของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหมดในสากลโลก ในสากลทำ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ จะเข้าไปสู่นิพพาน ต้องไปทางนี้ทางเดียว

(พ่อครูว่า...วิมานของเขา ตายไปแล้วจึงจะได้ โลกของเขาคือ พวกโลกลึกลับ พวกโลกเดนตาย ของเรานี้โลกเป็นๆ

ญาณทัสนะของเขา คือจินตนาการทั้งสิ้น เอามาพูดกับคนอื่นไม่ได้ เพราะต้องได้ ในชาติหน้า แต่เขาเห็นว่าจริงเหมือนกัน แต่ไม่เป็นเอหิปัสสิโก เอามายืนยันให้คนอื่น ที่ไม่ใช่พวกเขาไม่ได้ แม้คนไม่มีฤทธิ์เดชอย่างคุณ ก็ให้เขารู้ไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ เรียกร้อง เชิญมาให้ดูได้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องมีฤทธิ์เดชก็รู้ได้

เขาก็ว่าของเขา ทางนี้ทางเดียวเหมือนกัน ของเขาเหนือสะดือ สองนิ้วอีก เราเข้าใจของเขาได้ แต่เชื่อว่า เขาจะเข้าใจของเราไม่ได้)

 

...พอถึงกายธรรมมันขั้นวิปัสสนา ตาพระพุทธเจ้าท่านก็เห็นเบญจขันธ์ทั้ง 5 เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาแท้แท้ เห็นจริงๆ จังจังอย่างนั้นแหละ เห็นเธอทีเดียว เห็นชัดๆ ไม่ได้เห็นด้วยตากายในภพ เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย เห็นด้วยตาพระพุทธเจ้า รู้ด้วยญาณพระพุทธเจ้า อย่างนี้แหละเห็นด้วยตาพระตถาคตเจ้า รู้ด้วยญาณของพระตถาคตเจ้า ธรรมกายนั้นเป็นตัวของพระตถาคตเจ้าทีเดียว ไม่ใช่อื่น เห็นชัดอย่างนี้

(พ่อครูว่า...อย่างเราเห็นลูกนี้ (มะละกอที่เราสมมุติชื่อว่า หมาโก้ย เราก็เห็นเอง ไม่ได้ยืมตาพระพุทธเจ้ามาเห็น ไม่ได้เอาตาพระพุทธเจ้ามาเห็นแทน ของเรานี้ลืมตา สัมผัสของจริง แต่เห็นแบบของเขานั้นโมเม ยืมตาพระพุทธเจ้ามาเห็น

 

สื่อธรรมะพ่อครู (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) ตอน (กรณีธรรมกาย)

ขอมาอธิบาย ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ต่อ

พระพุทธเจ้าจะเปิดโลกด้วย ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ขว้างธรรมจักรไป พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะเริ่มด้วยอันนี้ สอนธรรมะสอง คือ ธรรมะว่าด้วย ความเป็นโลกกับอัตตา หรือ กาม กับ อัตตา

กาม คือกามภพ     อัตตา คือรูปภพ อรูปภพ

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา หรือศึกษาไม่เป็นลำดับ จะศึกษาสภาวะ 2 นี้อย่างเดา แยกไม่ออก ลดละไม่เป็นลำดับ ถ้าหมดทั้งสองเลยเหลือกลาง คำว่ากลางไม่ได้อยู่เหนือสะดือ เขาก็ว่ากลางกาย เหนือสะดือสองนิ้วนะ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ คำว่า กลาง เป็นภาษานามธรรม

คำว่ากลาง คือกลาง ไม่มีซ้ายขวา ตะวันออกตะวันตก เหนือใต้ ไม่มีมุมไหนเลย  กลาง มัชฌิมา หรือมัชฌิมะ แปลว่า กลาง

เพราะฉะนั้น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรที่ทำให้รู้จัก ทางปฏิบัติเรียกว่าปฏิปทา

และให้รู้ทางปฏิบัตินี้ ปฏิบัติเช่นนี้ คือมรรคมีองค์ 8 แล้วปฏิบัติไปจะไปก็จะไปจบด้วย มัชฌิมะคือกลาง

กลาง เป็นผลของสภาวธรรม ไม่ใช่ทาง

ทางสายกลางนั้นไม่ใช่ ใครที่แปล มัชฌิมาปฏิปทา ว่าทางสายกลางนั้น ลงทะเล ยะเยือกเย็นเลย จะไม่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า จะไม่เจอ  กลาง ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ จะได้อาการกลาง คือไม่เหนือใต้ ไม่ตะวันออกตะวันตก ไม่บนไม่ล่างเลย จะเรียกว่า อทุกขมสุข หรืออุเบกขา เป็นอาการกลางของจิต ไม่มีอะไรเทียบเลย ถ้าเทียบว่า บนก็จะมีล่าง ถ้าเทียบซ้ายก็จะมีขวา จะไปข้างใดนิดหนึ่ง ไม่ได้เลย คือกลางของนามธรรมจริงๆ

ใครที่แปล มัชฌิมาปฏิปทา ว่าทางสายกลางนั้น อาตมายืนยันได้ว่า คนนี้ยังไม่เจอนามธรรม ที่เกิด กลาง หรือมัชฌิมะ เขาไปโมเมเอาทาง หรือวิธีปฏิบัติ มาต่อกับกลาง ก็เลยเป็นสอง ไม่ศูนย์

แต่อันนี้กลางคือ 0 ไม่มีอะไรเลย ไม่มีหาง

ส่วนทางคือ มรรค วิธีปฏิบัติเป็นปฏิปทา ไม่ใช่มัชฌิมะ แต่เขาโมเมเป็นทางสายกลาง แต่ถ้ากลาง ก็คือจบ ปฏิบัติตามปฏิปทา ปฏิบัติตามทาง ตามสาย  แต่สายไม่ใช่ ศูนย์นะ

0 นี่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่มีระยะอะไรเลย

นอกจากกลาง มีบาลีคำหนึ่งว่า อันตา ที่สุดแห่งที่สุด จะไม่เหลืออันตาเลย อันตา แปลว่า สิ่งที่ยังไม่ใช่ 0 ยังมีส่วนออกไปจาก 0 ยิ่งไม่ใช่ 0 ไม่มีออกไปข้างใดเลย 0 สนิทเลย ไม่มีอันตาใดๆเลย พระพุทธเจ้า ก็แยกเป็นสองข้างง่ายๆ

ข้างหนึ่งเรียกว่า สุขขัลลิกะ อีกข้างเรียกว่า อัตตา และมันก็เป็น กิละ หลง กิละว่าเป็นอัตถะ เป็นกิลมถะ ตัว ม นี้คือจิต

มันยังมี กิละ มีจิต คำว่า กิละ ถ้าเป็นกลิ แปลว่า ความเป็น โทษ

ถ้าเป็นกิละ แปลว่า ไปหยิบเอามาจากไหนไม่รู้ กิละหรือกิระ คือ กิระดั่งได้ยินมา เอามาจากอันอื่น จริงๆแล้วมันไม่มีหรอก ศูนย์ก็คือศูนย์ หนึ่งก็คือหนึ่ง

สรุปแล้ว แปลโดยพยัญชนะ ก็ขยายความยาก แต่แปลโดยอรรถ คือเป็นความไม่ปราศจาก ไม่ว่าง ไม่สูญ ซึ่งแปลว่า ยังลำบากอยู่ กิลมถะ

สิ่งที่ยังมี ยังเป็นจิตที่หรืออัตตา มันจึงเป็นความลำบาก ที่จะต้องเป็นภาระ กิลมถะ มันยังไม่จบสุดหรอก อย่างน้อย มันก็จะทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันยังมีขันธ์เรียกว่า ทุกขขันธ์

สื่อธรรมะพ่อครู (นิยามศัพท์) ตอนทุกข์ 10 อย่าง

ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .

1.      สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย

2.      นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ

3.      อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .

4.      พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ

5.      วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้

6.      ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอด เพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5  อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่ (ภาราหเวปัญจขันธา ขันธ์5 ทั้งรูปและนามก็เป็นภาระ แม้เป็นอรหันต์ก็ต้องดูแลรูปนาม ให้อยู่พอดีพอเป็นไป เวทนาก็ให้พอเป็นไป สัญญาก็เช่นกัน ทั้งขันธ์ 5 มันเป็นภาระ เป็นทุกข์) 

 

ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)

7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)

8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลส ไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา)

9. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)

10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า)

ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ อาริยะถึงจะรู้ที่จริง ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มีมากกว่า 6 อย่าง แต่ทุกข์ที่เลี่ยงได้ 4 อย่างนั้น รู้เหมือนกันทุกพระองค์ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้นั้น มีนัยต่างกันไป ไม่เหมือนกัน และไม่ใช่แค่ 6 อย่างนี้เท่านั้น  6 อย่างนี้เป็นต้น ส่วน ทุกข์อาริยสัจ 4 อย่างนี้ เหมือนกันทุกองค์

 

ทุกข์ที่เลี่ยงได้ พ้นทุกข์อันนี้ได้เด็ดขาด คืออรหันต์ ตั้งแต่อรหันต์ขี้กะโล้โท้ ถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

  1. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น) มันเป็นกิเลสจรมา เรายังโง่ ก็ต้องมีก็ต้องเป็นทุกข์นี้ จะไปเรียกเป็นนามธรรมว่า ขณะมีความไม่สบายใจ โศกะคือโศกเศร้

ปริเทวะ คือพิรี้พิไร คือโศกเศร้านี้ยังต่องแต่งไม่หยุด มีลูกคลื่นต่ออีก เป็นปริเทวนาการ ถ้าหมดคือความโศกเศร้าไม่เหลือเลย มันจะเหลือหยาบ จากโศกเศร้าไป ก็เรียกว่าทุกข์ ความโศกนี้แม้เล็กน้อย ก็คือทุกข์

โศก ใช้ศัพท์อีกอันว่า ทุกข์คือไม่สุขนั้นเอง

ทุกข์ คือหยาบ โทมนัสคือละเอียด

หรือทุกข์คือภายนอก โทมนัสคือภายใน

ส่วนเศษสุดท้าย คืออุปายาส ยังเหลือเศษสุดท้ายธุลีละอองของจิต ที่ยังไม่หมด คืออุปายาสะ

2. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันเนื่องมาจากกิเลส ไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา) จะเป็นไฟราคะคือไฟชนิดดูด ไฟโทสะคือไฟชนิดผลัก ไฟโมหะคือไฟมั่ว หลงผิดหลงถูก เอาหัวเป็นท้าย เอาท้ายเป็นหัว เอาบนเป็นล่างไปหมด ยังไม่กระจ่าง ถ้ากระจ่างรู้โทสะราคะ ก็ล้างให้หมด โมหะคือไม่แม่น ถ้าแม่นแล้วไม่เหลือวิจิกิจฉา ว่านี่คือโทสมูลหรือราคมูล ก็กำจัดให้ไม่เหลือ จะเหลือก็คืออุณหธาตุ ถ้าเรียกเย็นก็สบายๆ ถ้าร้อนก็คือสันดาป จะร้อนน้อยหรือมากก็ตาม คือสันตาปทุกข์ อันนี้ทำให้หมดสิ้นเกลี้ยงได้ ไม่มีร้อนใจเลย มีแต่เย็นใจ

สันตาปทุกข์ คือมีอะไรเหลือน้อยนิด ก็คือสันตาป แต่ว่าตรงข้ามกับสันตา เลย

3. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับการยังติดยึดอยู่กับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) สหคต คือเป็นไป เป็นไปร่วมยังติดยึดในโลก โลกมีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณยังจะไปมีสิ่งที่ต้องได้ ต้องมีต้องเป็น ร่วมกันอยู่ คือสหคตะ ยังเป็นไป กับโลกีย์อยู่ ทุกข์ที่ต้องไปร่วมกับโลกีย์ คือสหคตทุกข์ สามารถล้างได้สนิท ไม่เหลือเลย

4.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะ เป็นรากเหง้า) ทุกข์ที่ต้องเกิดอาการวิวาท แม้เศษเล็กน้อย โดยเฉพาะ ไม่เป็นคนไปหาเรื่อง ไม่เป็นคนไปก่อเรื่อง ที่จะมีวิวาทให้เป็นกรรม ได้แล้วถาวร ยั่งยืน ไม่เป็นอื่นไปตลอดกาลนาน นี่คือทุกข์ที่เลี่ยงได้ เป็นทุกข์ที่สำเร็จสูงสุด นี่คืออาริยสัจแท้ ของศาสนาพุทธ

ไปพูดว่า อรหันต์แล้วสิ้นทุกข์ ก็เป็นคนที่เอาไม้หน้าสามมาตีหัว ก็ไม่เจ็บสิ เอาไฟมาเผาตัว ก็ไม่ร้อนสิ

ทนร้อนทนหนาว ทนความเจ็บปวด ได้มากกว่าสามัญ อย่างเจ้าคุณนรฯ ก็เป็นสายเจโต เป็นมะเร็งขนาดนั้น ก็ทนได้ เป็นอาตมาตายไปนานแล้ว เพราะท่านสร้างพลังงานทนได้ แล้วก็ไม่เจ็บจริง เหมือนคนทนร้อนได้ คนจีนซดน้ำร้อน 100 องศาก็ทนได้ แต่เราทนไม่ได้หรอก พองเลย

จิตสามารถให้มีพลังงาน ทำให้ตาเปลี่ยนรูป จมูกเปลี่ยนกลิ่น ลิ้นเปลี่ยนรส ได้หมด ให้จิตพิกลพิการได้หมด ให้เห็นได้ มันสำเร็จได้ด้วยจิตจริงๆ เราเข้าใจแล้ว ก็ไม่เอาพลังงานจิต ไปทำเช่นนั้นหรอก เอามาศึกษาจิตเรา ให้ละเอียดดีกว่า ไม่ต้องเสียพลังงาน ไปศึกษาสิ่งไร้สาระเหล่านั้น แต่ถ้าเราหมดกิเลสแล้ว ก็เอาพลังงานไปศึกษาได้ จริงๆอาตมาเคยหลง ในอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์นั้นเป็นลิงลมอมข้าวพอง เป็นของเก่าที่เหลือ พอมารู้ตัวก็หยุด มาทำงานศาสนาพุทธ ให้เต็มร้อยเลยดีกว่า เลิกหยุดแบบนั้น อาตมาไม่สงสัยหรอกว่า อาตมาจะมีฤทธิ์เดชอย่างนั้นหรือไม่ ไม่สงสัย อาตมาจะมีได้ แต่ว่าตอนนี้ พลังงานไม่พอ ต้องเอามารื้อขนสัตว์ก่อน อาตมาก็ได้เรียนรู้จริต ที่อาตมาไม่เคยเป็นเคยมี ก็เรียนรู้อย่างพวกคุณ เพื่อจะช่วยคน ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ อาตมาเรียน ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ตน แต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

พระโพธิสัตว์ ไม่ได้มีประโยชน์ตนแล้ว ในระดับอนุโพธิสัตว์ เป็นต้นไป ไม่มีประโยชน์ตน เหมือนตนเองได้เก่งขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อสร้างความวิเศษ ให้กับตน แต่ทำความวิเศษของตน เพื่อทำประโยชน์รับใช้ผู้อื่น วิเศษเพื่อจะได้รับใช้พวกคุณ ได้มากขึ้นต่างหาก

 ทักษะมันจะเกิดเสมอ ที่อาตมาออกกรรมกิริยา โดยไม่ต้องอยากได้ กรรมที่อาตมาทำนี้ คือกรรมที่กำลังช่วยพวกคุณ แล้วมันก็ต้องชำนาญ เป็นทักษะ ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ อาตมาไม่ต้องอยากได้ แต่ก็เป็นเลย ทำจริงก็เกิดจริง ทำหนึ่งคะแนนก็ได้หนึ่งคะแนน ทำสองคะแนนก็ได้สองคะแนน หากไม่ทำ จะเอาคะแนนได้อย่างไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู (อัตตา) ตอนเรื่องของกามและอัตตา

ภายนอกคือกาม ภายในคืออัตตา ภายนอกเป็นของหยาบ จะเรียกว่า โอฬาริกอัตตาก็ได้ คืออัตตาหยาบ เป็นเบื้องต้น ต้องเรียนรู้ แล้วทำให้หมด ฆ่ากิเลสในภพกาม ในภพกามที่ต่ำสุดชั่ว เลวร้าย เช่น หลอกคนเก่ง โกงคนเก่งอำมหิตกับคนมาก โกงทีละ ล้านๆ คุณโกงห้าบาทสิบบาทก็โกง

โกง คือกุหนา ก็คืออบายแล้ว ในมิจฉาอาชีวะ 5 แม้ที่สุด ทำงานเอาสิ่งแลกเปลี่ยน ก็ยังมิจฉาชีพ อาชีพกุหนา คืออภิมหาบรมอบาย คนขี้โกงทุจริตหยาบคาย ยิ่งโกงเท่าไหร่ เก่งโกงเท่าไหร่ โกงจนคนจับไม่ได้ก็ช่างมัน ชั่วไหมล่ะ คุณต้องหยุด หยุดจริงๆ ไม่ใช่ปากพูดเฉยๆ ต้องหยุดจริง ล้างเหตุจากจิต

คนพ้นมิจฉาชีพข้อ 1 คือพ้นกุหนา เรื่องบันเทิงเริงรมย์เละเทะ มันซับซ้อนคือคนฝีมือโกง ระดับแสนล้าน แค่โกงร้อยล้านก็อบายแล้ว หาเงินเองไม่เป็นหรืออย่างไร ไปโกงทำไม บาทเดียวก็ไม่เห็นจะน่าโกง คนจะเลี้ยงตัวเองได้ หาได้พันได้หมื่น ไม่ต้องโกง ดีกว่าขี้โกงล้านๆบาท แน่นอนโกงทีได้ล้านๆ แล้วมันดีหรือ มันชั่วหนักต่างหาก คนไม่โกงแม้แต่บาทเดียวต่างหาก เป็นคนดี

คนโกงไม่เป็นเลย โกงบาทเดียวก็ไม่เป็น กับคนโกงเก่ง คนจับไม่ได้เป็นล้านๆ คุณจะกราบใคร ?

คนไม่โกงนี้แม้บาทเดียว แล้วรู้ว่าเราไม่โกงแน่ ต่อให้ล้านๆก็ไม่โกง คนอย่างนี้สิ ต้องกราบ คนเก่งฉิบหาย คนโกงจนคนจับไม่ได้นี่สิ คนชั่ว แต่นี่บอก มามอบตัวเถอะ ก็เล่นเล่ห์ทุกอย่าง ให้คนมาลำบากเพราะตน กูไม่ถูกจับ คนอย่างนั้นไปกราบให้เสียมือทำไม?

ต้องให้คนเป็นภาระเดือดร้อนหมด ตำรวจ DSI ใครๆก็เดือดร้อน แม้แต่เจ้าหน้าที่ เล็กๆน้อยๆ เดือดร้อนไปหมด

วิปากทุกข์ สั่งสมเป็น วิวาทมูลกทุกข์ของเขา เขาเลี่ยงไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ แล้วเป็นอนันตริกรรม คำว่าอนันต์แปลว่ามาก เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร แล้วกรรมเป็นอันทำ เห็นแล้วสงสารเขามาก แล้วก็ให้ความสงสารเขามากเหลือเกิน เพราะเขาสร้างสงสารของเขาเอง ที่จะต้องวนเวียนนรกของเขาเอง

คำว่าสงสารนี้ มีความหมายลึก อาตมาก็เลย ต้องให้สงสารเขามากด้วย อาตมาไม่ทำไม่ได้ ต้องปล่อยให้เขาเลย ปล่อยให้เขาจมสังสารวัฏ ไปอีกนานมากเลย อาตมาไม่แส่ไม่ได้ หน้าที่คนที่ทำอยู่ ก็ให้กำลังใจ อย่าให้เขาตกสงสารมากกว่านี้เลย คุณได้กุศลนะ ทุกคนกำลังจะจับเขาให้ได้ นี่ได้กุศลมากเลยนะ ไม่ได้แกล้งชมนะ

อาตมาอธิบาย กามสุขขัลลิกะ เมื่อล้างกามคือโอฬาริกอัตตาได้ ก็เหลือ ภายใน เป็นรูปภพอรูปภพอีก เป็นอนาคามี ยังเป็นอัตตกิลมถะ ก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง คุณไม่มีโทษภัย ต่อคนอื่นแล้ว เป็นลำดับนะ คุณยังทำกามภพไม่ได้ แล้วจะไปล้างภายใน จะเอาใบมีดโกนยิลเล็ต มาสู้กับสิ่งหยาบ ที่ต้องใช้อีโต้สู้ ทำไม่ได้หรอก

สมณะเดินดินว่า...ทุกข์ของอาริยชน กับทุกข์ของปุถุชน เทียบกันไม่ได้ ทุกข์ของปุถุชน เหมือนแผ่นดินกว้างใหญ่ ทุกข์ของอาริยชน เหมือนดินแค่ขี้เล็บ ธรรมกายแค่ทุกข์ภายนอกก็มากแล้ว ยังไปสร้างทุกข์ภายใน เป็นภพอีก แล้วหลอกตัวเองว่าทำจิตใสๆ แล้วจะชนะอีก

ของเราถ้าเราไม่ชัดเจน ก็ไปฟังโยมกิมตัง เขาไม่ได้ให้ความสำคัญ กับอัตตา เขากินข้าว ก็กินอะไรที่เหลือก็ได้ เพราะตอนเด็ก กินข้าวกับเกลือก็ได้ เสื้อผ้า ก็มีเหลือจากคนอื่นมากมาย ที่นอนไม่ปูเสื่อก็ได้ เขาเป็นคนที่สุขที่สุดเลย ไม่ต้องมีจิตคิดว่า ทำไมคนไม่มาปูเสื่อให้เรา ทำไมไม่เหลืออะไร ให้เรากินเลยอย่างนี้ไม่มี

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:36:17 )

591229

รายละเอียด

591229_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เจาะลึกศูนย์กลางกาย(ธรรมกาย)

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน กลางคือศูนย์

สมณะเดินดินว่า…ตอนนี้ใกล้เทศกาล ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับชีวิตใหม่ หรือบางคน จะต้อนรับชีวิตเก่าเหมือนเดิม 2 หรือ 3 วันก็มีความหมาย สำหรับการปฏิบัติธรรม ที่เราจะได้เร่งเพียร ลดกิเลสของเรา ให้เป็นชีวิตใหม่ให้ได้ เมื่อวานพ่อครูมาเน้น เรื่องที่ชาวพุทธเข้าใจกันผิวเผิน ดีไม่ดีขยายความผิด เช่นเดิมกินเหล้าสามแก้ว ก็มาเหลือกิน หนึ่งแก้วครึ่ง อย่างนี้ หรือเอาชั่วกับดีมาหารสอง ก็เป็นทางสายกลาง ศาสนาพุทธสอนทางสายกลาง ก็เลยโมเม คิดเอาอย่างนี้ นักร้องคนหนึ่งเขาว่า ค่อยยังชั่วก็ยังชั่วอยู่ดี หรือดร.เจิมศักดิ์ว่า กลางคือเอาข้าวกับขี้อย่างละครึ่ง มาผสมกันจะเอาไหม

พ่อครูมาอธิบายว่า มัชฌิมาคือ ไม่โต่งไปทางกามกับอัตตา คือพ้น กามสุขขัลลิกานุโยค กับอัตตกิลมถานุโยค ต้องมาล้างความยึดติดในกาม และอัตตา จึงเป็นความเป็นกลาง ที่พระพุทธเจ้ามุ่งหมาย

พ่อครูว่า...ต่อที่ท่านเดินดินพูด กลางที่ว่า

จริงๆที่ว่า คำว่า”กลาง” คำนี้ ใช้คำว่าศูนย์ได้เลย ศูนย์กลางที่ไม่ไปทางด้าน กามหรืออัตตา ไม่มีทั้งกามและอัตตา นี่คือที่หมายที่แท้ ไม่ใช่ว่าทางสายกลางคืออยู่กลางๆ ยกตัวอย่าง เอาข้าวกับขี้มาผสมกัน แล้วบอกว่าเอาครึ่งหนึ่ง มันไม่ใช่

กลาง คือหมดข้างปลาย (อันตา) ไม่มีส่วนไหนเลย เป็น 0 หรือศูนย์กลาง มัน 0 โดยที่ยังมีอยู่ ก็เลยใช้คำว่ากลาง คือมีความรู้ความเห็น เหมือนกับโลกๆ มีแต่กิเลสท่านเป็น 0 ไม่มีกิเลสทั้งกามและอัตตา ก็เลยเป็นธาตุรู้กลางๆ ไม่มีโน้มไปทางกาม ทางอัตตาเลย นี่คือความเข้าใจยาก ของผู้ที่ปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงสภาวธรรม

ต้องรู้ว่า จิตคือกิเลส กิเลสก็อยู่ในจิต สามารถทำให้จิตหมดกิเลส จิตก็กลางก็ว่าง อันนี้คือลักษณะของอุเบกขา ในคำที่จะใช้แทนกันว่า อยู่กลางหรือหลุดพ้น ดับสนิท เป็นมุมที่ขยายความ ของอาการบรรลุสูงสุด หรือนิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งยากมาก

 

มาดู SMS วันที่ 28 ธันวาคม 2559

0851614xxxหลายครั้งของการกล่าวคำว่าขอโทษ บางทีเราไม่ได้ผิดจริงๆหรอก แต่เพราะเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์มากกว่า.. อัตตา(Ego)ของตัวเอง

0851614xxxพระประสาร สมีตนนี้มันอะไรซ่อนเร้นอยู่...การถวายคืนพระราชอำนาจ การแต่งตั้งพระสังฆราชและ ระเบียบวิธีปฏิบัติ ของ พ.ร.บ.สงฆ์ มันดิ้นแสดงอำนาจ...เหตุใด?

ตอบ...ก็แสดงออกตามสิทธิมนุษยชน

สมณะเดินดินว่า...ข่าวล่าสุด เจ้าคุณประสาร ยกเลิกการมารวมตัว ของพระสงฆ์ เพื่อสวดเจริญพระพุทธมนต์ ในปีใหม่นี้แล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พุทธไม่ได้สอนหลับตาปฏิบัติ

0817459xxxเคยมีคนของธรรมกาย มาฝึกนักเรียนที่โรงเรียน เขาบอกวิธีการนึกคิด แล้วให้ผู้ฝึกหลับตาเบาๆ สักพักแล้วให้ถามว่า ใครเห็นอะไร  มีนักเรียนเห็นบ้าง เมื่อไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าหลับตาเบาๆ ลองทำดู ก็เห็นมีสีแสงต่างๆ เมื่อหันหน้าไปทางแสงสว่าง แต่เมื่อหันไปทางมืด สีก็เปลี่ยนไป. ถ้าหลับตาแน่นๆ หรือเอามือปิดตาก็มืด. เดาเอาว่า แสงผ่านเปลือกตาเข้ามาได้บ้าง จึงเห็นสีของแสงอาทิตย์ รวมกับสีเลือดในเปลือกตา เหมือนกับการเอาไฟฉาย ส่องใต้ฝ่ามือในตอนกลางคืน แสงจะทะลุฝ่ามือขึ้นมาเป็นสีแดง

ตอบ...การหลับตานั้น โดยจริงแล้ว ถ้าหลับตาลงไปสนิท แล้วไม่มีแสงอะไรเข้ามากระทบหนังตาเรา หลับตาแล้วมันจะมืดสนิท ถ้าคนไม่มีอุปาทาน แต่ถ้าคนที่มีอุปาทาน จะมีแสงสีต่างๆให้เห็น วูบวาบ มีได้ ซึ่งเป็นสภาพของอุปาทาน (มโนมยอัตตา) ในการสร้างภาพขึ้นในจิต หลับตาแล้วสร้าง สัญชาตญาณแสงสีเหล่านี้ มีมาแต่เดิม ยิ่งคนเคยฝึกเคยเล่นมา ซึ่งเป็นอุปาทาน เป็นภพเป็นชาติอย่างหนึ่ง นี่คือสัจจะ ที่อาตมาขยายความให้ฟัง

ผู้ที่ท่านหมดอุปาทาน หมดความยึดถือ หลับตาคือตาเราไม่สัมผัสอะไร ก็มืดดำธรรมดา ไม่มีวูบวาบอะไร ถ้ามีก็คือ อุปาทานขึ้นมาหลอน

สายนั่งหลับตา ไม่เข้าใจภพชาติ หากเข้าใจ จะไม่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ จะลืมตาปฏิบัติ แล้วก็รู้จักสิ่งที่เกิด คือกามภพ เป็นภพภายนอก เป็นโอฬาริกอัตตา แล้วกำจัดอัตตาในกามภพนั้น พอกำจัดอัตตาในกามภพ จึงจะขยับเข้าไปอ่านอาการทางจิตภายใน เป็นรูปภพ

ตาจะกระทบรูป หูกระทบเสียง ก็เปิดทวารอยู่ แต่ไม่มีอะไรเป็นกิเลสอุปาทานแล้วก็เพราะเป็นอนาคามีแล้ว เหลือรูปราคะ อรูปราคะ

รูปราคะจะเกิดภายใน เป็นมโนมยอัตตา เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต จะเป็นรูปร่างหรือไม่ก็ตาม ถ้าเป็นรูปร่างก็เป็นรูปราคะ หากไม่เป็นรูป ก็เรียกอรูปราคะ แต่ก็รู้ว่าคือกิเลส เมื่อดับรูปราคะเสร็จ ก็เหลืออรูปราคะ

แม้ดับกิเลสกามภพแล้ว ก็ไม่ได้หนีไปไหน ยังอยู่กับโลกเขา สัมผัสแล้วไม่มีกามภพ แต่ว่ามีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ ก็จะเกิดกิเลส ระดับต่างๆไป ไม่ได้หลับตานะ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า แม้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี ก็ลืมตาปฏิบัติทั้งนั้น

เมื่อพ้นจากโสดาบัน สกิทาคามี กิเลสกามภพหมดแล้ว ทำมาหมดตั้งแต่อบาย กาม จนหมดกาม หมดปฏิฆะในระดับภายนอก เหลือภายในแล้วก็ยังลืมตาปฏิบัติ ไม่ต้องไปหลับตาปฏิบัติ แม้แต่รูปราคะ หรือมโนมยอัตตา จะมีภวตัณหา ที่เป็นรูปดับได้หมด เป็นพระอนาคามี ก็ปฏิบัติอย่างลืมตา เหลืออรูปอัตตาก็ไม่ได้หลับตานะ จะเหลือเป็นขั้นปลาย ก็ดับอรูปอัตตา ก็ลืมตาปฏิบัติทั้งนั้น

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีขณะใด ให้ไปหลับตา นอกจากจะ เตวิชโช

คือตรวจสอบ ที่เราปฏิบัติมาแล้ว เป็นการลงบัญชีไม่ใช่ของสด ตรวจสอบว่าเราได้ลดกิเลสลงไปเท่าไร กิเลสอะไรยังมีอยู่ อะไรเกิดอยู่ อะไรเราดับได้ก็รู้ จุตูปปาตญาณ จนเราดับอาสวะได้หมด ในเรื่องใด เป็นอาสวักขยญาณ ดับ อบาย ดับกามภพ ดับรูปภพ ดับอรูปภพหมดสิ้น ก็ลืมตาทั้งนั้น ไม่ได้มีส่วนหลับตา หากจะเตวิชโช ก็จะหลับตาหรือลืมตาก็ได้ ทำฌานก็ทำแบบลืมตา ไม่ต้องหลับตา

ในพระไตรปิฏก สูตรที่สอง สามัญผลสูตร พระพุทธเจ้า ตรัสวิธีปฏิบัติธรรมของท่าน ตั้งแต่พรหมชาลสูตร ท่านตำหนิมิจฉาทิฏฐิ 62 ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ท่านตรัสรวมไว้ รวมทิฏฐิปัจจุบัน ที่ไปหลับตาหลงภพด้วย

ในการปฏิบัติลืมตา ทิฏฐิ 62 ไม่ได้ขยายความ มีแต่ตรัสมิจฉาทิฏฐิ 62 นี้ไว้

พอเริ่มสามัญผลสูตร จึงเริ่มอธิบายธรรมะของพระองค์เอง เริ่มตั้งแต่มีศีล แล้วมีอธิศีล เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติตามลำดับ โดยการปฏิบัติศีล แล้วสำรวมอินทรีย์ ให้เกิดความมักน้อยสันโดษ เป็นสัทธรรม

สันโดษของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตัวเข้าใจในมรรคมีองค์ 8 เช่น การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะต้องมี สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน มิจฉาอาชีวะ5

 

เริ่มตั้งแต่อาชีวะ ก็ต้องละมิจฉาอาชีวะ

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

เริ่มที่เนมิตกตา คือปฏิบัติธรรม ส่วนกุหนา ลปนาคือทุจริต ต้องเริ่มมาเลิกสิ่งเหล่านั้น เรียกว่าเนมิตกตา เริ่มมีศีล5 มีสัมมาทิฏฐิ ผู้ปฏิบัติศีลของพระพุทธเจ้า จะเลิกอาชีพทุจริต

สังคมชาวอโศก จะไม่มีคนทำอาชีพ กุหนา ลปนา จะเริ่มปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เนมิตกตา มีศีล 5 เป็นพื้นฐานไม่มีอบายมุข ไม่มีสิ่งชั่วต่ำ ปฏิบัติธรรมไปตามขั้นตอน มีกรรม 3 เราจะรู้ว่า อย่างนี้หยาบไม่สุจริต คนจะมีปฏิภาณปัญญารู้แล้วทำออกจากอาชีพทุจริต ไม่เอา ชาวอโศกเรามาปฏิบัติจะเข้าใจ แล้วเลิกอาชีพพวกนั้นมา ถ้าประเทศชัดเจนในอาชีวะอย่างนี้ โดยเฉพาะพระภิกษุ ที่มีอยู่เยอะในประเทศไทย คนไทย 95% ก็นับถืออยู่ พระก็จะสอนคนไม่ให้มี กุหนา ลปนา โลกก็จะไม่มีทุจริต ขี้โกงเลอะเทอะ คิดดูสิ ประเทศจะประเสริฐขนาดไหน

สมณะเดินดินว่า...พระในประเทศไทย ให้หวยกันเกือบหมด

พ่อครูว่า...ต้องไม่ให้มีอบายมุขเริ่มต้นกัมมันตะ ก็ต้องพ้นมิจฉากัมมันตะ 3 คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร

ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่แย่งชิงทรัพย์สินใคร แม้เราจะมีราคะ ก็ผัวเดียวเมียเดียว เป็นหลักเกณฑ์ไม่จัดจ้านใน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แม้แต่ลาภยศสรรเสริญ ก็ไม่รุนแรง ไม่มีกิเลสจัดจ้าน ไม่แย่งลาภยศ กระทำภายในปกติสามัญก็ย่อมจะมียศ มีชั้น แต่ไม่ทะเลาะวิวาทแย่งชิงกัน ถ้าเข้าใจ เนื้อหาสัจจะสาระ ของศาสนาพุทธให้ดี เวลาจบเปรียญ 9 จบดอกเตอร์ มีความรู้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ รู้จักศาสนาพุทธ ที่มีวิชชาที่แท้จริง ก็จะไม่สอนอะไร ที่เป็นเดรัจฉานวิชา ให้ไปล่าลาภยศสรรเสริญ ไม่เป็นจารีตประเพณีที่ผิด ไม่เป็นการสอนที่ไปตามอนุสาสนี ของพระพุทธเจ้า ที่มุ่งหมายไปรวย ได้ลาภยศสรรเสริญ

ไม่ว่าคนอยากรวย ก็มาหาพระ คิดว่ามีอำนาจมีฤทธิ์เดช ต่างๆนานา พระก็ไม่ได้สอนว่า อย่าไปหมายเอาความร่ำรวย สอนให้มาอย่างพอเพียง อย่างที่ในหลวงท่านพาทำ เขาไม่เข้าใจว่า พอเพียงคืออะไร ไม่รู้ ตำแหน่งยศชั้น ก็จะขึ้นไปตามความรู้ความสามารถ คนมีความรู้ความสามารถ เขาก็เพิ่มหน้าที่ให้ทำมากขึ้น มีหน้าที่ก็จะมีสิทธิ จะเรียกว่าอำนาจ ก็คือมีสิทธิที่จะดูแลกว้างขวางขึ้น สามารถสั่ง สามารถบริหารได้มากขึ้น ตามฐานานุฐานะที่เจริญขึ้น เป็นผู้มีคุณธรรมความรู้ความสามารถ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ

ยิ่งเจริญ ก็ยิ่งจะเป็นผู้ที่ไม่ไปกดขี่ ไม่ใช้อำนาจไปเบ่งลาภยศ ยิ่งมีศีล ก็จะสำรวมอินทรีย์ มีสันโดษ คือพอเพียง  ไม่ไปตามที่เขาหลอก ว่านี่ชั้นสูงนะ ต้องแต่งประดับให้ดี โต๊ะนี้ราคาเป็นแสน ก็จะไม่ถูกหลอก ไม่บ้าบอกับฐานะยศศักดิ์ ไม่ไปไฮโซไฮซ้ออะไร ไม่ไปหลงลักษณะพวกนี้ จะเข้าใจเลยว่า พวกนี้ใช้จิตวิทยาให้คนหลงกิเลส ติดยึด ศาสนาอื่น ไม่ได้สอนละเอียดลึก อย่างพุทธ เขาต้องมีไฮโซยศชั้น

ใครที่เป็นศาสนาพุทธจริงๆ จะไม่เป็นหลงไฮโซไฮซ้อพวกนี้ ไม่ไปหลงโลโซด้วย เอาพอเหมาะพอดี

ในสัจจะของพระพุทธเจ้า ท่านมีความลึกซึ้ง พอเหมาะพอดี ตามสมมติในโลกด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน รอยยิ้มจริงใจกับเสแสร้ง

0833208xxxรอยยิ้มที่สดใส คือบุญกุศลชนิดหนึ่ง และก็เป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง เพราะเราเอาความร่าเริง ความปิติมอบให้แก่ผู้คน รอยยิ้ม ต้องมีใจมาช่วยยิ้ม คือ ยิ้มที่จริงใจ "เปิดใจให้กว้างดั่งแสงตะวัน ที่สาดส่องเข้ามา" / ฟื้นฟูพุทธญาณแห่งชีวิต ชำระล้างจิตกิเลสร้ายมลาย แปรเปลี่ยนตนให้มีกุศลงาม สำรวมมีจริยธรรม สง่า กตัญญูต่อบิดามารดา ซื่อสัตย์ มีสัจจา ไม่หลอกลวง การบำเพ็ญเปลี่ยนแปรความเคยชิน ยึดมั่นถือมั่นอาจิณติดนิสัย ย้อนมองสำรวจ กาย วาจา ใจ มีความผิดบาปใด แก้ไขทันที

ตอบ...อาตมาไม่รู้ว่า ความเครียดเป็นอย่างไรเลย มันก็คงจะตึงๆ ถ้าคิดปรุงมากมันก็ร้อน ใช้แคลอรี่แต่ว่าเครียด มันเครียดทำไม มันเป็นอย่างไรความเครียด มีแต่เห็นเขาพูดกันว่าเครียด มิน่าเกิดโรคไมเกรน ประสาทมันก็พลอยเป็นไปตามจิตอีก

อาตมานึกถึงตัวเอง มีคนเขาว่านะ ที่จริงเขาชม ว่าพ่อท่านให้ยิ้ม ถ้ายิ้มนี่ดูดี๊ดี เขาก็ว่า แล้วยิ้มดูไม่ดีคืออะไร? คนนั้นแสดงว่ามีปฏิภาณลึกๆว่า ยิ้มดูดีกับยิ้มแสร้งๆไม่บริสุทธิ์ ยิ้มแค่นๆ อาตมาเคยล้อบางคน อาตมาเรียกว่าฉีกยิ้ม มันรู้สึกว่าไม่มีวิญญาณกับยิ้ม มันเหมือนกับสังคมต้องยิ้ม แต่ใจคุณไม่ได้ยิ้ม ใจของคุณไม่ได้เป็นลักษณะ เบิกบานร่าเริง อาตมาสัมผัสแล้ว อาตมาเคยว่า..ยิ้มมันไม่เป็นยิ้ม ใจมันแสดงว่า ยึดมั่นถือมั่น เอาเป็นเอาตาย จะต้องจัดการเขาอยู่ มันก็เลยกลายเป็นกดดัน มันเลยยิ้มไม่เปิดเผย ไม่ออกไปเป็นอารมณ์ยินดี อภิปโมทยังจิตตัง

รอยยิ้มที่สดใส เบิกบานร่าเริง จิตจะไม่มีอะไรซ่อนลึกๆอยู่ มันเป็นความเบิกบาน ร่าเริงแจ่มใส ส่วนการยิ้มหลอกคน ใส่น้ำตาลไปมากๆ เพื่อหลอกคน อันนี้น่าเกลียดกว่า คนที่ยิ้มอย่างเอาจริงแข็งๆ อาตมาเคยเห็น คนลักษณะเช่นนี้

อย่างธัมมชโย สุดเสแสร้ง pretend ปั้นหน้ายิ้ม  อาตมาดูออกนะ นี่ใจลึกๆแข็งข้น อย่างนี้ใจใส่น้ำตาล คุณชาติชายเขาใช้คำว่า Sweetest (โกดังความหวาน) ,Cruel, Blood Cold, Hypocrite (จอมเสแสร้ง) คุณสมชาติต้องบ้านแตกสาแหรกขาดไป

 

_0811065xxxฟังอยู่ กำลังมีทุกข์อยู่ พยายามฟังให้เข้าใจ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน สุขนี่แหละ คือผีร้ายที่หลอกคน

0893867xxxสุขปีใหม่ที่เหมาะกับคนใจพอ! อัตถิสุข, โภคสุข, อนณสุข, อนวัชชสุข! เป็นธรรม1ที่นำมาซึ่งความสุขอย่างพอเพียง ตามรอยพ่อฯ! อัตถิสุขสุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ที่หามาด้วยความขยันโดยสุจริต ออมเงินพอดีใช้กินพอเพียงใช้จ่ายพอประมาณตามโภคสุข / อิณาทานังทุกขังโลเก! การกู้หนี้เป็นทุกข์ในโลกตามพุทธพจน์กล่าว สุขเกิดได้ต้องไม่เป็นหนี้ คืออนณสุข! / อนวัชชสุขสุขเกิดจากการทำงาน ปราศจากโทษ! ดำรงชีวิตด้วยศีลธรรม คุณธรรมจริยธรรม คือสุขแท้ ที่คนติดดิน สมถะสันโดษ เข้าถึงชีวิตพอเพียง ไกลทุกข์ 10 ที่เลี่ยงได้ตามพ่อครูกล่าว!

 

ตอบ...สุขนี่แหละ คือผีร้ายที่หลอกคน

พระพุทธเจ้า ท่านไม่สอนเรื่องสุข ขอยืมภาษามาใช้ เช่น นิพพานัง ปรมัง สุขัง ก็ขอใช้ตามโลกเขา โดยพยัญชนะ คำว่า สุ แปลว่าดี ข คือว่าง รวมเป็น ว่างนั่นแหละดี ว่างนั้นแหละสุข จิตมันไม่ว่าง จิตมีบำเรอเมื่อไหร่ นั่นแหละผีหลอก มันมีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

สวรรค์ 6 ชั้นนั้นคือ ภพทั้งสิ้น ศาสนาพุทธนั้น คือศาสนาที่ดับภพ ท่านสอนดับภพสวรรค์ ไม่ได้สอนให้สร้างภพนรก การหมดภพสวรรค์ นั่นแหละคือนิพพาน เพราะภพทุกภพคือนรก ภพสวรรค์ 6 คือภพนรก ไม่มีใครอยากได้นรกหรอก มีแต่คนอยากไปสวรรค์ แต่สวรรค์คือภพชาติ

 

สุข มันเป็นภพชาติ ศาสนาพุทธ สอนให้ดับภพจบชาติ จะรู้จักภพชาติที่แท้จริง แล้วก็ลดลงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่กามภพ อบายภพ รูปภพ อรูปภพ หมดก็เป็นอรหันต์ ในปฏิจจสมุปบาท ลงท้ายเป็นภพชาติ

อวิชชา จึงเกิดสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน กำจัดตัณหาอุปาทาน ก็หมด ภพชาติ ชรา มรณะฯ

ศาสนาพุทธเข้าใจและปฏิบัติจริง ไม่อยู่ที่สีลัพพตปรามาส หรือสีลลัพพตุปาทาน ไม่ไปตามกิเลสกระซิบ ข้างใจ หลอกเรา ต่อให้รู้สัมมาทิฏฐิ 10 แต่ไม่ทำให้กิเลสลดจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน สัมมาทิฏฐิ 10 (ห้าข้อแรก)

ใครไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติธรรมให้ตายอย่างไร ก็ไม่บรรลุพระอรหันต์ ถ้าไม่รู้พยัญชนะบาลี ทิฏฐิ 10 รู้สภาวะอย่างสัมมา เช่น

รู้ว่าทานแล้วต้องทำใจอย่างไร เป็นอัตถิ ทินนัง แต่ทานอันต้นนี้ ในวงการศาสนา อาตมาไม่เห็นว่าสอนกันเลย วัดไหนก็ไม่ได้สอน ให้ทำทานอย่าสร้างความหวังเลย สาเปกโข ต้องไม่ตั้งความหวังเลย ไม่สาเปกโขจึงจะได้ผล ในการปฏิบัติธรรม

ผู้รู้วัดไหน อาจารย์ไหน วัดดัง วัดหลวง ที่มีเจ้าอาวาสถึงขั้น สมเด็จอะไรก็ตาม ก็ไม่ได้สอนอย่างสัมมาทิฏฐิ ข้อแรกเลยเรื่องทาน ใน สัมมาทิฏฐิ 10 (ที่ยังเป็น “สาสวะ”) . . .

เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์ (อุปธิเวปักกา).

 

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) คือวิธีฏิบัติ พระพุทธเจ้า ก็เอาภาษาสมัยนั้นมาใช้ ยิฏฐังคือศีลพรต วิธีปฏิบัติ ปฏิปทา แนวปฏิบัติอย่างไร ถึงจะให้เกิดทำใจในใจ แล้วเกิดมรรคผล อัตถิ ยิฏฐัง เกิดหุตัง

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) ต้องตรวจสอบว่า จิตที่ได้ผลเป็นอย่างนี้ เขาก็ไปแปลตามภาษาโบราณว่า สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล เป็นภาษาสมัยโบราณ มีพิธีกรรม เทวนิยม ตั้งโต๊ะมีเครื่องบวงสรวงอะไรไป ก็เลยไม่เข้าเรื่องเข้าราว คนที่พอจะมีปฏิภาณ ก็เลยบอกว่า อันนี้ไม่ใช่ของพุทธ เพราะภาษาโบราณ  ไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ในสามข้อแรกของสัมมาทิฏฐินี้ แล้วปฏิบัติเป็นสัมมาปฏิบัติจึงจะเกิดจิตลดละหน่ายคลาย

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) จะเป็นผลเป็นวิบาก ก็เกิดจากการกระทำกรรม จะทำได้ถูกต้องได้ดีสุกต หรือจะไม่ได้ดีเป็นทุกกฏะ ก็เพราะว่าทำกรรม ด้วยศีลด้วยวิธีการ

เราต้องรู้กรอบการวนเวียนในโลกเรียกว่า อยังโลโก

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีล ที่เข้าถึงทั้งกายวาจาใจ

เริ่มต้นที่ศีล 5 ครบ ทั้งกายวาจาใจ หยาบที่สุด ไม่ฆ่าสัตว์ด้วยโทสะมูล ไม่เอาของคนอื่นด้วยโลภะมูล ไม่จัดจ้านเรื่องกามทางเพศ เป็นราคะมูล ส่วนข้อ 4 ก็คือวาจา ข้อที่ 5 ก็คือที่ใจ แม้การงานหรือกรรมใด ที่เป็นเรื่องอบาย แม้จะได้เงินทองก็ต้องเลิก มันทำให้เสื่อม แต่เขาแปลว่า สุราเมรยมัชชะ คือเหล้าและยาเสพติดทั้งนั้น สุราก็เมา เมรยะก็เมา มัชชะก็เมา กลายเป็นเหมือนกันหมด เมาๆๆ

ที่จริงเป็นขั้นตอน สุระ แปลว่าหยาบแรงกล้า เป็นของหยาบเสื่อม เราก็รู้โดยกรรมกิริยา ว่าอย่างนี้ เป็นสิ่งน่าเสพติด น่าอร่อยอยู่ ก็เข้าใจสัจจะให้ได้ แล้วเลิก ทุกวันนี้ คนไม่เข้าใจ ไปพยายามเน้น สร้างความจัดจ้านในสุขในอร่อย ในการละเล่นบันเทิงเริงรมย์ มีพวก romanticism บำเรอรูปรสกลิ่นเสียง จัดจ้านมากในโลก

ทาง sadism ก็รุนแรงมากขึ้นทุกที ยกตัวอย่างชกมวย ต้องไปดูนัดที่ชกกันแรง จนแตก ล้มลงชักดิ้นชักงอ นักมวยหมัดหนักน็อคได้เก่ง ได้เงินทองเยอะ นั่นคือการสร้างจิต ให้คนอำมหิต รุนแรงขึ้นทุกที sadism มวยนี่ตีกันแน่ ฟุตบอลก็เช่นกัน เล่นกีฬาอะไรก็เช่นกัน ต้องมีกลยุทธ์แทคติกต่างๆ ดูเหมือนเบา แต่มันลึกอยู่ข้างใน

พลังที่เขาสำเร็จในผล มันจะเกิดการสูบฉีดแรง มันจะดัน โด๊ป ให้แรงขึ้นทุกทีๆ เขาไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ มันเสริมให้เกิดความชอบในรส เหมือนไม่รุนแรง แต่มันรุนแรง ซ้อน ไม่เหมือนชกมวยตีกันเลย แต่มันไปตีลูกบอล เบสบอล ลูกขนไก่ เทนนิส ตีให้เร็วให้แรง จะได้ชนะ อาตมาต้องออกท่าทาง ประกอบการอธิบายใช้แคลอรี่พอสมควร แต่ก็ต้องทำ เพื่อสื่อให้ชัด สรุปแล้ว เขาเสริมความรุนแรงทั้งนั้น แล้วก็บอกว่า อย่าให้รุนแรง แต่บำรุงความรุนแรงตลอดเวลา มันซ้อนกันตลอด นี่คือความไม่เข้าใจ เรื่องการละเล่นสนุกเพลิดเพลิน จัดจ้านไม่สนใจคำสอนของพระพุทธเจ้า

ศาสนาพุทธลึกซึ้ง เสียดายผู้เผยแพร่เข้าไม่ถึง ถ้าเผื่อว่า ผู้ได้เรียนรู้ในชาตินี้ ได้เรียนบาลี เปรียญ ในมหาวิทยาลัย ศาสนาอยู่ในคณะสงฆ์ระบบเขา มีความรู้อย่างดีจริงๆ เมืองไทยจะไม่เป็นอย่างนี้หรอก

อาตมามานี่ มันไปค้านกับที่เขาเข้าใจผิด มันเลยกลายเป็นหมาหัวเน่าเลยยาก แต่อาตมารู้ว่าปางนี้ อาตมาต้องมาเจออย่างนี้ ที่พูดนี้ อธิบายสัจจะให้ฟัง ไม่ได้น้อยใจ แต่พูดให้เอาไปตรวจสอบให้ดี ว่าสัจจะธรรมะของพระพุทธเจ้า มันได้เพี้ยน หลงผิดไปไกลแล้ว ลองฟังดูปรโตโฆษะ อย่าไปยึดถือว่า โพธิรักษ์เรียนมาจากสำนักไหน อาตมาก็บอกว่า ไม่ได้เรียนจากสำนักไหน ครูบาอาจารย์ไหน เป็นของเก่า แต่ปางบรรพ์ที่อาตมามี แน่นอนว่า ต้องค้านแย้งกับ สิ่งที่เขายึดถือกัน เหมือนอาตมา ถูกอยู่คนเดียว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาหมั่นไส้ด้วย ก็เกรงใจ แต่อาตมาไม่ได้เดือดร้อนนะ สงสารพวกคุณด้วย แต่เลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องพูด ว่า

อย่างนี้ถูกนะ และก็บอกอีกว่า ต้องอย่างอาตมานี้ถูก อย่างนั้นมันผิด ก็จำนนจริงๆ ที่ต้องพูด แล้วก็บอกว่า ให้พูดแต่สิ่งที่ถูก อย่าบอกสิ่งที่ผิด อาตมาพูดสิ่งที่ถูกอยู่ แล้วมันก็ต้องมีคู่ที่ผิด ทุกวันนี้ วงการศาสนาพุทธ พระภิกษุไม่ได้ถือศีลแล้ว เขาถือแต่วินัย 227 อาตมาพูดถูก แต่คุณก็ว่า ไปว่าเขาทำไม

ตั้งแต่สูตรแรก พรหมชาลสูตร ศาสนาพุทธนั้น สร้างขึ้นมาด้วยศีล ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยวินัย ศาสนาพุทธจะต้องเป็นเช่นนี้นะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยกตัวอย่าง

ผู้ที่มาบวชแล้วจะต้องมีศีล

จุลศีล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงในพรหมชาลสูตร (เถรวาท) มีรายละเอียด ดังที่ปรากฏในพรหมชาลสูตร (เถรวาท) ของพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค มีดังต่อไปนี้

จุลศีล

  1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางสาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
  2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่
  3. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นจากเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้าน

 

ปฏิบัติ จุลศีล แล้วจะละกิเลสได้

มัชฌิมศีลก็เพิ่มเติมจากจุลศีล คือเพิ่มติรัจฉานกถา

ส่วนมหาศีล บอกเลยว่าศาสนาพุทธ จะต้องไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีจารีตประเพณีอย่างนี้ ถ้าเข้าใจมหาศีล ปฏิบัติตาม จะรู้ว่าศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้

เช่น ข้อ 1 พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์

 

พ่อครูว่า...ทุกวันนี้พัฒนาจากแกลบขี้เลื่อย มาเป็นธูปเทียนแล้ว ศาสนาพุทธ จริงๆไม่มีจุดธูปเทียน ไม่มีเรือนไฟ ไม่สร้างเรือนไฟ ในวัดวาจะไม่มีการจุดธูปเทียนบูชาไฟ ไม่มีรดน้ำมนต์ ไม่มีการใช้น้ำเป็นสื่อ สิญจนยัญ อันนี้เป็นของศาสนาอื่น ท่านตั้งศีลศีลขึ้นมา เพื่อให้เว้นขาด เวรมณี

แต่ไม่ได้เข้าใจว่า ศาสนาพุทธคืออย่างนี้ ก็ไปทำในติรัจฉานวิชาหมด ถ้าเข้าใจแล้ว จะไม่มีพวกนี้ อย่างเช่น ชาวอโศกของพวกเราไม่มี แม้ฆราวาสและนักบวช ศาสนาพุทธให้เวรมณีละเว้น ในมหาศีลหมด จึงได้ชื่อว่า นี่คือศาสนาพุทธ ไม่มีจารีตแบบในมหาศีล

แต่เพราะศาสนาพุทธ ไม่เข้าใจศีลแล้ว วัดวาอารามของทั่วไป มีเต็มไปหมด จึงชื่อว่า ไม่ได้มีศาสนาพุทธแล้ว ในพวกนั้น

วินัยคือบทปฏิบัติ ตั้งขึ้นมา เมื่อมีการเสียหาย มีบทลงโทษ ส่วนศีลไม่มีบทลงโทษ มีหลักเกณฑ์ชี้บ่งลักษณะของศาสนาพุทธ สรุปแล้ว ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีศีลมีแต่วินัย แม้แต่พระวินัย ก็ผิดกันเยอะ ปาราชิก สังฆาทิเสสกันเยอะ แม้แต่ปาจิตตีย์ ก็เห็นว่าเล็กน้อย แล้วไปปลงอาบัติก่อนปาฏิโมกข์ ถือว่าเรียบร้อยแล้ว ไม่สกปรกแล้ว คือไม่ได้สังวรศีลเลย วินัยก็ยังหยาบ

พูดไปแล้วก็ต้องไปว่าเขา เขาก็ชังน้ำหน้า ก็ไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไร ไม่อยากให้ใครชังน้ำหน้าหรอก แต่จะไม่ให้พูดบาดเสียด ไม่กระทบใครเลย ทำของเราให้ดีอย่างเดียว เหมือนธรรมกายเขาตั้งไว้ว่า อย่าไปว่าใคร ทำใจให้ดี เขาจึงทนเก่ง

จนถึงขั้นด้านทน ทนจนแข็งด้าน ด้านทาน เขาไม่ว่าใคร ไม่แสดงออก แล้วมันดูดี ดูโก้นะ ทำตามคำพระพุทธเจ้า ไม่ทำร้ายใคร ไม่ว่าใคร อนูปวาโท อณูปฆาโต

อาตมาพูดตำหนิ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง อย่าเอาไปปนกับ อนูปวาโท อณูปฆาโต

การอย่าพูดให้กระทบใคร มันเพี้ยนมา ถามจริงๆ ถ้าเราพูดดี จะกระทบคนไหม ก็ต้องกระทบ แล้วอย่าไปพูดว่าคนไม่ดีจะกระทบ แล้วพูดดีก็ต้องกระทบอยู่ จะละเว้นอย่างไร? ถ้าพูดดีก็กระทบคนดี ถ้าพูดความไม่ดี ก็กระทบคนไม่ดี แต่ทุกวันนี้ พูดดีก็ไม่กระทบใคร เพราะเขาทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่พูดไม่ดี ก็โดนเขาทั้งนั้นเลย มันก็เลยหนัก นี่คือความจริง

อนูปวาโท นั้นพูดดีก็กระทบคนดี พูดความชั่วก็กระทบคนชั่ว แต่ถ้าพูดแล้วไม่กระทบใคร พูดไปในที่ว่างเลย คนไม่เป็นหรอกไม่มี มันก็ไม่น่าจะพูดไปหาพระแสงอะไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามศัพท์) ตอน มัชฌิมาปฏิปทา กับ กาย

อาตมามาขอขยายความ เรื่องมัชฌิมาปฏิปทาต่อ นี่ก็เอามาจากหนังสือ อยู่ในบุญ ของธรรมกาย

ในหนังสืออยู่ในบุญ เดือนธันวาคม หน้า 10

ทางสายกลางที่ถูกเปิดให้กระจ่างสว่างไสว

สาระธรรมจากธรรมจักรกัปปวัตนสูตร กล่าวถึงเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้พระอริยะสัจธรรม แล้วเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เพื่อเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ พระองค์ทรงชี้ให้เห็นการปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นด้วยทางสายกลาง

พ่อครูว่า...ใครที่แปลมัชฌิมาปฏิปทา ว่าทางสายกลาง คือคนที่ไม่เข้าใจ ศาสนาพุทธ ไปเอาคำว่า กลาง กับทาง ไปรวมกัน เพราะมัชฌิมาคือกลาง กับข้อปฏิบัติคือปฏิปทา คือมรรคมีองค์ 8

ไม่เข้าใจว่า มรรควิธีก็อย่างนึง ผลก็อย่างหนึ่ง แล้วเอาไปรวมกัน อธิบายไม่ชัดเจน ก็เลยเพี้ยนไปหมดเลย เลยกลายเป็นอย่างที่ ท่านเดินดินว่า กลาง คือเอา 2 อันมารวมกัน แล้วหาร 2 ซึ่งไม่ใช่ คำว่ามัชฌิมะ จริงๆแปลว่า  ศูนย์ หรือกลาง

คำว่า  ศูนย์ และกลาง หลวงพ่อสด อาจารย์ของธัมมชโยก็เลยว่า ศูนย์กลางกาย แต่หลวงพ่อสดไม่เข้าใจ ศูนย์ - กลาง - กาย ก็เลยเขียนรูปเลย เป็นรูปธรรม

เขียนเพื่อสื่อพิกัด ศูนย์กลางกายก็เป็นรูปธรรมไป เขียนรูป หาความหนาของร่างกาย แนวกว้างยาวหนา แล้วขีดเส้นกลาง ของหน้ากับหลัง ให้ตรงกลาง ว่า นี่แหละคือจุดกลางกาย โดยไม่เข้าใจคำว่า ศูนย์กลางกาย

กายคือธรรมะสอง ก็ไม่เข้าใจว่า ธรรมะสองคืออย่างไร ก็เลยว่า ต้องเหนือสะดือสองนิ้ว เอาสะดือเป็นต้นไม่เข้าใจเลข 2  ไม่เข้าใจสภาวธรรม แยกรูปแยกนามไม่ออก จึงกลายเป็นรูปธรรม สะกดจิตเข้าสู่รูปธรรมทั้งนั้น

 

แล้วเขาบอกต่อว่า… หลุดพ้นด้วยทางสายกลาง เพราะหย่อนเกินไปก็ไม่ใช่ตึงเกินไปก็ไม่ใช่

พ่อครูว่า หย่อนเกินไปตึงเกินไป ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา หย่อนเกินไปตึงเกินไป คือเอาสองข้างมารวมกัน แล้วหารสอง อย่างนี้ไม่ใช่ ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา

คำว่า “กลาง “ของพระพุทธเจ้า หมายถึงสิ่งที่คุณไปติดยึดอยู่ 2 อย่าง เป็นสภาวธรรม ไม่ได้หมายถึงสถานที่ ระยะทาง ไม่ได้หมายถึง เส้นตรงเส้นหนึ่ง แล้วขีดแบ่งครึ่ง ว่าตรงนี้คือตรงกลาง มันหมายถึงสภาวธรรม

ธรรมที่เป็นกาม กับ ธรรมที่เป็นอัตตา  2 อย่าง ไม่ได้หมายถึง เอาสองอย่างนี้รวมกัน แล้วหาร 2 กลาง คือทำให้มันหมดไป

กามคือภายนอก อัตตาคือภายใน

สองด้านนี้ เรียกว่า อันตา สองข้างนี้

เพราะฉะนั้น เริ่มต้นปฏิบัติก็ จงลด ที่เป็นทั้งกามทั้งอัตตา

 เบื้องต้น คือ เอาหยาบที่สุด

กามหยาบที่สุดเรียกว่า อบาย คือกามภายนอก

ส่วนอัตตาก็เรียกว่า โอฬาริกอัตตา (หยาบ) โอฬาริกะก็ต้องมีภายนอกด้วย เข้าสู่จิตภายใน เรียกว่า กาย

กายต้องมีภายนอกและภายใน

การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า จึงต้องเข้าใจวิโมกข์ 8 สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เมื่อไม่รู้จักวิโมกข์ 8 ตั้งแต่

ข้อ 1. รูปี รูปานิ ปัสสติ ต้องมีรูป รู้รูปสัมผัสรูป

ข้อ 2. อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปานิ ปัสสติ ต้องสัมผัสเห็น ทั้งนอกทั้งในอยู่ตลอด ตั้งแต่หยาบ ไปถึงภวภพ ไปถึงกิเลสระดับขั้นกลาง คือมโนมยอัตตา(รูปภพ) เมื่อล้างรูปหมด ก็เหลือกิเลสอรูป เป็นอรูปอัตตา

ทำไมเข้าใจว่า วิโมกข์คือการปฏิบัติอย่างไร วิโมกข์คือทำให้จิตเป็นฌาน

แล้ววิโมกข์มี 3 ข้อแรกคือรูปฌาน สี่ข้อหลังเป็นอรูปฌาน

ข้อสุดท้ายเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ

จริงๆสามข้อแรกคือรูปฌาน แต่ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ ท่านจึงกำกับคำว่า กาย

คำ ว่า กาย คนไทยหรือนักไม่ปฏิบัติธรรม ก็รู้ว่าคือภายนอก มันไม่ผิดแต่มันไม่ถูก เพราะกายไม่ได้หมายถึงแต่ภายนอกเท่านั้น

กาย ถ้าตัดจิตวิญญาณออกจากกาย คนนี้ปฏิบัติธรรมไม่ได้บรรลุ 

ข้อแรก คือสักกาย ต้องรู้ก่อน สักกะคือตัวเรา เป็นนามไม่ได้หมายถึงรูปร่างเลย หมายถึงนามธรรม โดยเฉพาะในสังโยชน์ ก็คือตัวกิเลส ล้างสังโยชน์ให้หมด ก็คือหมดกิเลส ก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้น

สักกายะ คือองค์ประชุมของรูปและนาม เวลาปฏิบัติจะต้องปฏิบัติที่นาม แต่ไม่ได้ทิ้งรูป ไม่ทิ้งภายนอก ทุกวันนี้ศาสนาได้เพี้ยน ไม่เอาข้างนอก ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ การนั่งหลับตาแล้วบอกว่า บรรลุธรรมเป็นอรหันต์เก๊ทั้งหมด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มีศีลเป็นหลัก ต้องสำรวมอินทรีย์6

                                                ปฏิบัติมรรค7 องค์ มีสัมผัสเป็นปัจจัย

 

        สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ได้นั่งหลับตา ก็ต้องมีครบทั้งทวาร 6 สำรวมอินทรีย์ 6 ต้องปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ มีสัมผัสเป็นปัจจัย

แต่สมาธิไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิต เมื่ออาตมาอายุ 151 ปี ก็ต้องพูดอย่างนี้อยู่อีก

สมาธิของพระพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติศีลเป็นหลัก

ตั้งแต่ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ก็มีสมาธิที่ไม่ฆ่าสัตว์ จะเจอสัตว์ที่ไหนๆ ก็ไม่ฆ่า แต่ไปท่องบทแผ่เมตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถอะ แต่ไม่ได้สังวรเลย เมื่อสัมผัสสัตว์แล้ว คุณเกิดจิตไม่ดี เกิดจิตจะฆ่า จะทำร้าย โดยไม่รู้สีรู้สา สัตว์ที่มันฆ่าง่ายๆ มดปลวกก็ขยี้มัน อันนี้มาขึ้นอาหารก็ฆ่าๆๆ ถ้าเผื่อว่าคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชน เข้าใจศีลข้อ 1 รณรงค์เอาจริงเลย มีพุทธศาสนิกชน 95% แล้วปฏิบัติศีลข้อ 1 ให้มีผล  มีผลอย่างไร คือปฏิบัติศีลข้อ 1 แล้วจิตจะเป็นอธิจิตหรือเป็นสมาธิ สัมผัสสัตว์เล็กน้อยใหญ่ ก็จะรู้ว่าเป็นเพื่อนทุกข์

ศีลข้อ 1 ให้ละการฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าไม่ให้ละเว้น แม้แต่ฆ่าสัตว์เอามากินได้ หรือเหมือนบางศาสนา ที่สัตว์ที่ทำพิธีผ่านไปแล้วให้กินได้ แต่ก็ฆ่าสัตว์ แต่ของพระพุทธเจ้า ให้เว้นจากการฆ่าสัตว์

ไม่ฆ่าสัตว์แล้วยังมีความกรุณา คือลงมือช่วย เห็นเขาเป็นทุกข์ ก็อยากให้เป็นสุข ให้เขาพ้นทุกข์ หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เพราะฉะนั้น สัตว์ทุกตัวเขาจะได้ประโยชน์อะไร ก็ช่วยเหลือเขา สัตว์มันกำลังจะเดินทาง เราก็อย่าไปรบกวนมัน ไม่ไปทำลายมัน เลี่ยงเสีย เป็นผู้ที่มีจิตใจยิ่งใหญ่มาก เราจะละเว้นไม่ไปทำร้าย ทำลายอะไรเขาเลยจริงๆ

ถ้าคุณถือศีลของพระพุทธเจ้า แล้วเข้าใจปฏิบัติจริง เช่น บางคนบอกว่า ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ละเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่นละเนื้อไดโนเสาร์เราไม่กิน ตอนนี้ไดโนเสาร์หายาก ก็ละเว้นช้าง แต่ในระดับ วัว ควาย ม้า ก็ฉันละหยาบก่อน ทีนี้มีบางคนถือศีลอย่างนี้จริงๆ เขาเลิกกินเนื้อวัวเนื้อควาย ก็กินแค่หมู แค่ไก่ สัตว์ที่เล็กกว่าเขาก็กิน กินหมู กินปลา แต่ถ้าปลาวาฬ ก็คงไม่กิน เพราะใหญ่

สรุปแล้วศาสนาพุทธ เอ็นดูสัตว์และสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ เอ็นดูไม่ไปกินเนื้อเขา คนเราไม่กินเนื้อสัตว์ มันอยู่ได้จริงๆ มันไม่ตายหรอก กินพืชพรรณธัญญาหารนี้ แล้วจริงๆคนคือสัตว์ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เล็บของคน ก็เป็นเล็บแบบกีบ nail เหมือนช้างม้าวัวควาย ไม่ใช่เล็บแบบ claw ไม่ใช่ฟันแบบcanine เขี้ยว เป็นฟันแบบจอบ molar แม้แต่น้ำย่อยก็เช่นกัน

คนที่กินมังสวิรัติ กินเจน่าจะถึง 10% ทั่วโลก แค่เรื่องเดียวเรื่องสัตว์ ภาคปฏิบัติจริงๆ ให้เกิดจิตเมตตา ไม่ใช่ไปสวดแผ่เมตตา เป็นล้านล้านเที่ยว ให้เกิดความขลัง ให้เกิดฤทธิ์เดช อาตมาจะดูว่า ผลของการสวดของธรรมกาย พระสวดกันหลายล้านล้าน แล้วเอายอดคำสอน คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าใช้สอนเริ่มต้นศาสนาเลย เริ่มต้นหมุนกงล้อธรรมจักร เป็นพระสูตรหลักของศาสนาพุทธ เขาเอาไปสวดเพื่อให้เกิดความขลัง เกิดฤทธิ์เดชอำนาจ

บทสวด ธรรมบท หรือคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านให้เข้าใจในคำสอน กามสุขขัลลิกะอย่างไร อัตตกิลมถะอย่างไร ก็เป็นธรรมะสอง ให้วิจัยว่ามี ลิงค ว่ามีความแตกต่างอย่างไร

จิตเราเข้าไปยึดกามยึดอัตตา มันเป็นอย่างไร ถ้าล้างกามล้างอัตตาหมดสิ้นไปก็เป็นอรหันต์ ก็มีจิตเป็นกลาง

กลางไม่ได้หมายถึงแท่งก้อนรูปธรรม แต่คือจิตคุณไม่มีสภาพที่จะก่อกามก่ออัตตา จิตเป็น ศูนย์ กลาง ไม่ได้อยู่ที่กลางร่าง เขียนพิกัดอย่างหลวงพ่อสดบอก มันเป็นความสำเร็จว่า อาการกาม ไม่มีในจิตคุณแล้ว อาการกาม ในเวทนาไม่มี อาการยึดติดในเวทนาไม่มี กามคือไม่มีอะไร กลางคือไม่มีบนล่างซ้ายขวา

อาการกลางอย่างนี้ คือจิตสะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา เมื่อมีความบริสุทธิ์ จะทำกรรมกิริยา จะเกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัย ที่เคยมีกิเลส คุณก็ไม่มีกิเลส ทำงานเป็นอภิสังขาร อยู่กับเขาได้หมด เรียกว่าปริโยทาตา ถึงอย่างไร ก็สะอาด ขาวผ่องบริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น เป็นจิตที่อยู่กับโลก อยู่เหนือโลก ทำงานกับโลก เป็นประโยชน์ต่อโลก ไม่เป็นโทษเป็นภัยต่อโลกเลย คือปริโยทาต

มุทุ คือจิตหัวอ่อน จิตเป็นนามธรรม มันไหวได้รอบตัว ไหวได้เร็ว               ทั้งเชิง เจโตและเชิงปัญญา เร็วไว เปลี่ยนแปลงปรับจิตได้ง่ายที่สุด รู้จิตได้ง่ายที่สุด รู้ก็เร็วไว จึงเรียกว่าอ่อนเร็วไว ไม่มีแข็งไม่มีติดขัด จิตจะให้เปลี่ยนเป็นอย่างไรได้เร็วไว

เพราะฉะนั้น จิตนี้จึงสามารถกระทำกรรม ได้อย่างเหมาะสม ด้วยปัญญา ทำกรรมการงาน ที่เกิดจากจิตเป็นประธาน จึงเป็นการงานที่ดี การงานที่ควร การงานที่เหมาะ การงานที่ประเสริฐ การงานที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษภัยเลย เป็นการงานที่ดีงาม จึงเรียกว่า กัมมัญญา

ก็จะมีจิตทำงานกับโลกกับสังคม ทำไปอย่างไรก็ผ่องใส ปภัสสรา อยู่ตลอดกาลนาน สำหรับผู้ที่บรรลุสูงสุด เป็นอรหันต์ขึ้นไป ไม่มีอะไรติดค้าง สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส อยู่ตลอดกาล จะเรียกว่าจิตประภัสสร ก็ใช้เรียกแทนกันได้ เป็นคำไวยพจน์กัน

คุณลักษณะหรืออาการของ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา  นี่คือองค์ทั้ง 5 ของอุเบกขา คือ จิตว่างจิตกลางจิตเฉยๆ เป็นฐานของนิพพาน เป็นคำแทนของนิพพาน

ถ้าอาการจิตอุเบกขาได้ นี่แหละคือคุณลักษณะของจิต ที่เป็นนิพพาน อาการของอุเบกขา ที่เราสามารถทำให้กิเลสออกไป จนอุเบกขา นั่นแหละคือคนทำฌานที่ 4 อุเบกขาจึงเป็นฐานนิพพาน

ผู้รู้ฐานนิพพานได้อย่างดี มีสัมมาทิฏฐิแล้ว จึงปฏิบัติเนกขัมสิตอุเบกขา ก็จะชัดเจนแยกออกจาก ความเฉยกลาง ที่เป็นธรรมชาติ พักยกคือ เคหสิตอุเบกขา มันมีลิงคะต่างกันอย่างไร ต่างกันคนละโลกเลย โลกียะกับโลกุตระต่างกัน

ต้องรู้เวทนา 108 เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ ไม่ใช่กสิณ ที่เอามาจากพุทธโฆษาจารย์ ที่มีเทวนิยมอยู่เยอะ ท่านก็ศึกษาได้ ไม่ใช่น้อยเลย แต่ไม่สัมมาทิฏฐิ ในการแยกเวทนาในเวทนา ไม่ชัดเจนมั่นใจว่า กรรมฐานของพระพุทธเจ้าคือเวทนา ไม่ใช่ดินน้ำไฟลม มีกล่าวในพระไตรฯ ที่ไปนั่งทำกสิณ เขาปฏิบัติกันผิดมานาน พระพุทธเจ้าก็ตรัสแบบอนุโลม แท้จริงไปศึกษา คำสอนพระพุทธเจ้าเลยดีๆว่า กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา  เป็นกสิณตัวหนึ่งตัวเดียว

ถ้าอ่านพรหมชาลสูตร ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

กรรมฐานคือเวทนา และเวทนาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึง 108 ก็ต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 ถ้าเรียนรู้อันนี้ไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์บรรลุอรหันต์ เพราะจะแยกแยะจิต เนกขัมสิตะ แม้จะโทมนัสก็ต้องรู้ว่า มันไม่ใช่เคหสิตโทมนัสนะ หรือโสมนัส ก็ต้องรู้แยกแยะ เนกขัมสิตโสมนัส ว่าต่างจากเคหสิตโสมนัสนะ ต้องทำอย่างลืมตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ กระทบสัมผัส แล้วจะเกิดเวทนา  สุข ทุกข์ ต้องทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ จนเป็น เนกขัมสิตอุเบกขาให้ได้

 

สมณะเดินดินว่า  วันนี้เราได้ฟังภาพรวมของศาสนาทั้งหมด ว่าความเป็น กลาง ของศาสนาพุทธเป็นอย่างไร วิธีปฏิบัติ แล้วก็ผลสำเร็จ ความสำเร็จเป็นอย่างไร จนสุดท้าย ก็ถอดรหัสของความสำเร็จนี้ จะเดินทางสู่ความสำเร็จได้ ต้องตามจับ เนกขัมสิตเวทนา

แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้เห็นเป็นข้อคิดอย่างหนึ่งว่า พ่อครูพูดถึงคำสอนศาสนาทุกวันนี้ ไม่มีความลึกซึ้งละเอียดลออ ถึงไม่มีผลของศาสนา ที่ไปเปลี่ยนแปลงสังคม ไม่มีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สังคมเต็มไปด้วยปาณาติบาต ขับรถปาดหน้ากัน ก็ฆ่ากันแล้ว อทินนาทาน ก็โกงตั้งแต่นักการภารโรง ไปถึงรัฐมนตรี (พ่อครูเสริมว่า ศีลข้อ 3 มีถึงภรรยาบุญธรรม เขาให้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลเขาได้ด้วย เขาบอกว่าทำสำเร็จ  ทั้งที่ภรรยาตัวจริงก็ยังมีอยู่ ไม่ได้หย่า) ทำให้สังคมเดือดร้อน สัมมาอาชีวะก็ไม่มี แม้แต่พระก็ไม่มี แต่ก่อนหลวงตาจันทร์บวชแล้ว มีฤทธิ์เดช คนก็นับถือ แต่พอสึกออกมาไม่นาน ก็มาร้องลิเก แสดงว่า ชีวิตตอนเป็นพระ ไม่ได้เพาะบ่มคุณธรรมอย่างไรเลย ผลของศาสนา ไม่ได้มีผลต่อฆราวาส และนักบวช ถ้าฟังที่พ่อครูพูด เขาไม่มีศีล ไม่มีวินัย เคยคุยกับพระอณัมนิกาย เขาว่ามาอยู่เมืองไทย ก็ต้องไม่ฉันข้าวเย็น เพราะกลัวคนว่า นี่คือปฏิบัติเพราะไม่ได้เข้าใจ ไม่มีมรรคผล ปฏิบัติเพียงแต่กลัวคนว่า พ่อครูพูดตำหนิตรงไหน ก็เลยโดนเขาไปหมด พวกเราก็ปฏิบัติเนกขัมสิตโทมนัส ให้เป็นเนกขัมสิตโสมนัสห้ได้ก็แล้วกัน...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:36:47 )

591230

รายละเอียด

591230_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เจาะลึกศูนย์กลางกาย 2

สมณะเดินดินว่า..วันนี้วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559 ก็ใกล้จะสิ้นปี แต่บางคนที่จะไปเที่ยว บางคนก็ใกล้สิ้นชีวิต พอเมามาย อุบัติเหตุก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เขาก็พยายามแก้ปัญหาเหมือนกัน แทนที่จะไปกินเหล้าเมายากัน ก็เอามาสวดมนต์ข้ามปี ก็ยังดีกว่าไปกินเหล้าข้ามปี

ปีหน้าในวันที่ 1 มกราคม พ่อครูก็จะออกบิณฑบาต และพูดคุยโอภาปราศัยกับพวกเรา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ผู้ปฏิบัติธรรมถูกยั่วโมโหจะทำอย่างไร

เมื่อพูดถึงเรื่องสวดมนต์ มีพระสูตรสูตรหนึ่งบอกว่า การที่ได้ชื่อว่า เป็นคนว่าง่าย ก็ด้วยการนอบน้อม สักการะต่อพระธรรม เริ่มจากมีสาวใช้คนหนึ่ง ชื่อว่านางกาลี และมีแม่เรือนชื่อเวเทหิกา ผู้ได้ชื่อว่าอ่อนน้อมถ่อมตนอ่อนโยน เป็นคนเรียบร้อย จัดการบ้านการเรือนดี แต่ต่อมานางกาลี ก็จะลองของ ทดสอบนางเวเทหิกา โดยการลองนอนตื่นสาย นางเวเทหิกาก็ถามว่า ทำไมนอนตื่นสาย นางกาลีก็บอกว่าไม่มีอะไร จะนอนตื่นสายเอง นางเวเทหิกาก็เริ่มโกรธ พูดจาไม่ดี

พอวันที่สองก็ตื่นสายอีก วันนี้ก็พูดว่าอีคนชั่ว ชาติชั่วเลย โกรธจัด คว้าลิ่มประตูปาศีรษะ จนนางกาลีเลือดอาบหัวเลย

นางกาลีคนใช้ก็เลยรู้เลยว่า นางเวเทหิกา ไม่ได้เป็นคนเรียบร้อยจริง

สรุปว่า การจะเป็นคนเรียบร้อย ต้องดูที่ว่า มีคนมาขัดใจหรือไม่

นักปฏิบัติธรรม ถ้าถูกคนยั่วโมโหเกิดเวทนาแล้ว จะต้องแก้ที่ไหน จะแก้ที่นางกาลี หรือมาจัดการเวทนาตัวเองก่อน แทนที่จะทำเนกขัมสิตเวทนา ของตนเองให้ได้ แต่กลับไปจัดการกับนางกาลีก่อน

สุดท้าย พระพุทธเจ้าก็โยงหาภิกษุบางรูปว่า ดูเหมือนเป็นคนเรียบร้อย แต่ก็เพราะยังไม่มีใครมาขัดใจ

แต่ก่อนนสพ.ลงข่าวว่า ยันตระเป็นคนไปเบามาเบา แต่มีคนมาเล่าว่า โดนคนใกล้ชิดขัดใจ ก็เตะเอาเลย หรือภิกษุเมื่อปัจจัย 4 ครบพร้อม ก็ยังดูว่าง่าย แต่ถ้าปัจจัย 4 ขาดแคลน ก็ดูเป็นคนว่ายากขึ้นมาเลย

ภิกษุรูปใดมาสักการะ เคารพนอบน้อมพระธรรมอยู่ จึงจะเรียกว่าภิกษุที่ว่าง่าย การเป็นผู้ว่าง่ายคือ คนที่มานอบน้อมสักการะพระธรรมอยู่ โดยนอบน้อมเอาธรรมะมาอบรมจิตใจเรา นี้จึงได้ชื่อว่า ผู้นอบน้อมสักการะเคารพพระธรรม เป็นคนว่าง่ายอย่างนี้
          พ่อครูว่า...ก่อนจะได้พูดคุย ก็ขออ่านกวี กลอนปีใหม่ ของอโศกสัมปวังโก

 

          พรปีใหม่ 2560

 

พรปีใหม่ ให้ชาวพุทธ หลุดโมหันธ์       จงรู้ทัน สันดาน มารศาสนา

กระจ่างชัด ในสัทธรรม องค์สัมมาฯ      พ้นมิจฉา บ่วงอาธรรม์ อันธการ

ยุคชาวพุทธ สุดอนาถ ปราศมรรคผล   เทวนิยม ผสมปน จนวิตถาร

ยุคอนุศาสน์ ราดเนื้อหา อนาจาร ยุคอันธพาล มารครองเมือง เปรื่องอวิชชา 

 

ยุคเปรียญ เพื้ยนบาลี หนีอาบัติ            นิตยภัตต์ ขัดวินัย ไม่ศึกษา

ยุคอลัชชี มีวาทะ เชิงลปนา                 ยุคมิจฉา วณิชชา ค้าขายบุญ

 

ยุคอมนุษย์ สุดชั่วช้า ปาราสิต              ธุรกิจ พานิชกรรม คอยค้ำหนุน

บ้างยินยอม น้อมนบ ประจบสกุล          บ้างคบคุ้น นายทุนชั่ว เจ้าสัวมาร

 

ยุคนักบวช อวดพัดยศ รถคันหรู           ยุคเชิดชู หมู่คณะ พระมหาศาล

ยุคสมี เหล่าผีบุญ ทุนสามานย์              สร้างศาลา มหาวิหาร ทรงจานบิน

 

ยุคกาฝาก กากสังคม นุ่งห่มเหลือง  นักการเมือง อยู่เบื้องหลัง ล้วนกังฉิน

จึงเฉไฉ ใช้มุสา เป็นอาจิณ                  บ้างหากิน กับสินบน จนชินชา

 

ยุคเดียรถีย์ ชี้อาธรรม ใช้คำหวาน       ยุคเฉโก ใช้โวหาร ผลาญศาสนา

ยุคนักเทศน์ ใช้เลศเล่ห์ อเนสนา          ทานกถา พาหมดตัว ทั่วทุกคน

 

ยุคพระสงฆ์ หลงคุณไสย์ ใช้อาถรรพ์   สิญจนยัญ จึงพันพัว ทั่วแห่งหน

ประชาราษฎร์ ผู้ขลาดเขลา เหล่าพาลชน ต่างหวังผลการบนบาน บันดาลพร

 

ยุคปรัชญา บ้าเหตุผล จนวิปริต            ยุคบัณฑิต ผลิตตำรา ค้าคำสอน

ยุคปริยัติ วัดชนชั้น ฐานันดร                ยุคปฎิบัติ ลัดขั้นตอน ก่อนเวลา

 

ยุคตรรกะ อนุมาน อ่านจิตว่าง              จึงตั้งจิต คิดปล่อยวาง อย่างมิจฉา

จึงอัตคัด โลกัตถ- จริยา                       “นิรัตตา” พามืดมน จนงมงาย

 

บ้างเข้าป่า หาวิเวก เฉกฤาษี                อสัญญี หนีผู้คน จนสูญหาย

ดับธาตุรู้ คู้บัลลังก์ ดั่งชีพวาย               เพียรนั่งทน ผลที่หมาย เพื่อได้ฌาน

 

ยุคอาธรรม นำศรัทธา พาพินาศ           พุทธศาสน์ มิอาจเหลือ เนื้อแก่นสาร

หากยอมแพ้ แก่มิจฉา อนาจาร            ความวิปริต วิตถาร จักบานปลาย  

 

                                                                          อโศกสัมปวังโก

พ่อครูว่า….มาทักทาย sms

SMS วันที่ 29 ธันวาคม 2559

 

0851614xxxคนเรามองเรื่องเดียวกันไม่ตรงกันได้ อาจเพราะเราอยู่กันคนละฐานะ ไม่มีใครผิดถูกกว่ากัน คนหนึ่งชี้เจตนาดีเริ่มแรก อีกคนชี้สิ่งเลวร้ายที่เกิดจริง

ตอบ...ชี้ต่างกันแน่ แต่สองคนนั้น ไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งเลวว่าดี หรือว่ายึดดีว่าเลว หรือยึดดีเกินไป ยึดเลวเกินไปก็ ต่างกันแน่

0893867xxxโพลความดีที่ปชช.ขอทำดีตามรอยพ่อฯ ยึดถือเป็นแบบอย่างดำเนินชีวิต99.78 %สูงสุดเป็นอันดับแรก คือประหยัดใช้ชีวิตพอเพียง! / ปชช.คนพอเพียงใน99.78 % จึงต้องมีธรรมสำหรับสร้างที่พึ่งแก่ตนเอง! ประพฤติดีมีวินัย!ศึกษารับฟังมาก! รู้จักคบคนดี! เป็นคนที่พูดกันง่าย! ขวนขวายกิจของหมู่คณะและ....เป็นผู้ใคร่ธรรม! มีความเพียร! มีสันโดษรู้พอ! มีสติคงมั่น! มีปัญญาเหนืออารมณ์!ธรรมสมเด็จพระป.อ.ปยุตโตฯเป็นธรรม1ที่ทำให้ปชช.พึ่งตนบนความพอเพียงได้/ คงมีแต่ปราชญ์แท้ ที่เข้าใจพุทธพจน์ในพระตปฎ.ที่25ข้อ16 ว่าพ่อครูเป็นผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้! / คนเราควรมองหาผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์! ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย!

พ่อครูว่า ...คำว่า ขวนขวาย ให้อ่าน ขน-ขวายเลย เพราะถ้าอ่าน ขวัน-ขวาย จะไปซ้ำกับคำว่า ขวัญ อาตมาเป็นครูสอนภาษาไทย ก็อดไม่ได้ที่จะสอน

ธรรมะของท่านก็ยอดเยี่ยม เพราะว่าท่านเป็นนักการศึกษา นักวิชาการ อาตมาเอง ก็ได้อาศัยความรู้ของท่าน ยุคนี้ท่านประยุทธ์ กับพล.อ.ประยุทธ์ ก็จะได้รับหน้าที่ ให้มาดูแลบ้านเมือง และศาสนา

0890529xxx1,อนุตตร แปลว่า=ไม่มีสิ่งใดสูงกว่า,ดีเลิศ,ยิ่ง,วิเศษ เช่น อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 2,อนุตตรภูมิ คือภูมิอันสูงสุด 3,เอกธรรมมรรค 4,ธรรมญาณ ผู้น้อยกราบขอความเมตตา พ่อครู โปรดเมตตาขยายความ เพื่อได้ศึกษาให้เข้าใจ

ตอบ...เอกธรรมมรรค ที่ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดความเป็นเอก โดยที่เป็นอิตถีภาวะ ก็ทำให้เป็นปุริสภาวะ เป็นหนึ่งเสมอ เป็นเอกธรรม

ธรรมญาณ ญาณความรู้ ปัญญาอันยิ่ง

 

อาตมาก็จะเอาคำว่า ธรรมกาย เป็นตัวตั้งที่จะอธิบาย ขยายแล้วมีตัวรองรับ มีสถานะความเป็นจริง มีทั้งบุคคล มีเหตุการณ์ มีองค์ประกอบ มีทั้งวัตถุ และเป็นตัวอย่างแห่งความผิด โดยไปเอาความถูกพื้นๆ มาหลอกมนุษย์ พรางมนุษย์ แต่ลึกเข้าไป ความถูกผิวๆนั้นเป็นความผิด เอาความถูกผิวๆมาใช้ แต่ลึกในความถูกต้องจริงนั้นผิดไปหมด ผิดไกล ลึกไปเรื่อยๆ เป็นนัยยะสำคัญมาก ที่คนรู้ไม่ทัน

เหมือนกับ การเอาน้ำตาลมาฉาบผิว เอาสีทาผิว แต่ข้างในนั้นคือยาพิษ คนก็กินยาพิษโดยไม่รู้ตัว ข้างนอกมันก็ดี มีน้ำตาลสีสวย แต่พอรับเข้าไปในเนื้อใน เนื้อแท้ออกฤทธิ์ก็แย่

อาตมาก็ขอขยายความ โดยเอาหนังสืออีกเล่ม เรื่อง ถามตอบข้อสงสัยของธรรมกาย ตอบเหมือนเขาตอบ แต่คำตอบไม่เหมือนเขาตอบ หนังสือเล่มนี้ เขาวงเล็บว่า เฉพาะกัลยาณมิตรเท่านั้น ซึ่งก็ถูกต้อง เพราะเราก็เป็นกัลยาณมิตรของเขา เราไม่ต้องการ ให้เขาผิดต่อไป ก็ตำหนิแล้วตำหนิ จะมีแต่ดีถ่ายเดียว เหมือน พระพุทธเจ้าว่า

คำว่า ถ่าย แปลว่า ขี้หรือออกไป แต่ธรรมกายเขามักเอาคำว่า แก้วมาใช้เรียก หมายถึงดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ธรรมกาย คือ กาย แห่งการตรัสรู้ธรรม

ตอบ...ถูกต้อง แต่สำนักธรรมกายของธัมมชโย คำว่ากาย เขาก็ยังไม่รู้ละเอียดในธรรมกายว่าคืออะไร แม้แต่คำว่าธรรมะ เขาก็รู้ไม่ละเอียด ไม่สมบูรณ์แบบ

ธรรมะนั้นอยู่กับจิตนิยาม อยู่กับธาตุรู้ อยู่กับสัตว์ระดับจิตนิยาม เรียกว่า ทรงอยู่ทางนามธรรม ธรรมะหมายเอานามธรรมเป็นหลัก แต่มีรูปธรรมด้วยนะ

ผู้ที่จะชื่อว่าเป็นผู้รู้ธรรม สัตว์เดรัจฉานไม่รู้ธรรมะ จิตนิยามก็มีไม่รู้แม้เป็นคนอเวไนยสัตว์ ก็ไม่รู้ธรรมะ สัตว์เดรัจฉานก็พอรู้กัลยาณธรรม เช่นมันเลี้ยงลูก แม้จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนา ก็ช่วยเหลือลูกเลี้ยงดูลูก ก็เป็นกัลยาณธรรมธรรมดา

เป็นคนก็จะรู้ธรรมะสูงกว่า แต่อเวไนยสัตว์ คือสัตว์ที่สอนโลกุตรธรรมไม่ได้ คนที่ยังไม่ถึง เวไนยสัตว์ ยังเป็นอเวไนยสัตว์  ก็สอนโลกุตระไม่ได้ ภูมิไม่ถึงสอนไม่ได้จริงๆ คนที่มีอนันตริยกรรมก็สอนไม่ได้ ขนาดพระพุทธเจ้าเอง ก็ต้องยอมแพ้เลย คนที่เป็นคนที่ฆ่าพ่อตัวเอง อย่างพระเจ้าอชาตศัตรู เท่าไหร่สอนอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง แม้จะเข้าใจว่าดี แต่ไม่รู้เข้าไปถึงจิตใจ เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ เป็นเรื่องอจินไตย ที่เดาเอาไม่ได้ เป็นสัจจะ

 

คำถามที่ว่า ธรรมกายคืออะไร

เขาก็ตอบว่า คำว่าธรรมกายมีหลายความหมาย

1. ตามความในอัคคัญญสูตรแห่งทีฆนิกายมหาวรรค  หมายถึงพระ เนมิตกนาม คือชื่อที่เกิดขึ้นเองตามเหตุ ตามลักษณะ เช่นพระสุคต คือผู้ที่เสด็จไปดีแล้ว

2. ศัพทานุกรมพระพุทธศาสนาภาษาจีน ได้อธิบายคำว่าธรรมกายว่า กาย แห่งการตรัสรู้ธรรม อันนี้ก็ถูกต้อง คือกายที่สำเร็จพุทธธรรม หรือตรัสรู้พุทธธรรม เป็นสภาวะธรรมภายใน ที่มีมาแต่ดั้งเดิม สถิตอยู่ภายในใจของมนุษย์ทุกคน

อันนี้ต่างจากของเรา เพราะสภาวะธรรม ที่บรรลุธรรม จะไม่เกิดกับมนุษย์ ผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมะ และปฏิบัติธรรมะ อย่างถูกต้อง

แต่สายเจโตศรัทธา จะรู้แต่วิธีการนั่งหลับตาสมาธิ แล้วระลึกถึง สัญญาที่ตนเองมีแล้ว ก็จะได้แค่ของตนเอง เช่น ถ้าเป็นพระโสดาบัน ก็จะระลึกของตนเองได้ แต่บางคน ก็ระลึกไม่ได้ในปางนั้น แม้สกิทาคามีก็ตาม ถ้าเราระลึกไม่ได้ ก็เอามาใช้ไม่ได้ แม้แต่อาตมามีมากกว่านี้ ก็ระลึกไม่ได้ ก็ใช้ไม่ได้ แต่ค่อยๆระลึกได้ ถ้าเรามีธรรมะที่ตรัสรู้ เป็นอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าผู้ใดยังไม่ได้ตรัสรู้ ไม่เป็นไม่มี ก็ไม่ได้ แต่เขาใช้วิธีสะกดจิต แล้วก็ระลึกย้อนในสัญญาตัวเองเท่านั้น เขามีแต่วิธีนี้ ก็เลยนึกว่า ทุกคนคงจะทำได้แบบนี้เหมือนกัน คนพวกนั่งหลับตา ระลึกอดีต ก็จะตามรู้ของตนได้ แต่เขานึกว่า ทุกคนในโลกจะทำได้เช่นนี้ ไม่จริง

ดีไม่ดีเขาก็เลยเถิดไปว่า ในก้อนหิน ในพืชผักก็มี เป็นโพธิสัตว์ไปหมด ก็เลอะเทอะ คนที่มีก็ระลึกถึงได้ แต่ถ้าคนไม่มีในตน จะไประลึกอย่างไรก็ไม่ได้ ผู้ที่ตรัสรู้บ้างก็ระลึกได้ เท่าที่ตนเองรู้ แต่พระพุทธเจ้า ตีไว้ในมิจฉาทิฏฐิ 62 คือคนที่ไม่มีการบรรลุ มาแต่ดั้งเดิม ระลึกถึงให้ตาย ก็มีไม่ได้

 

ต่อมาเขาว่า สภาวธรรมแต่ดั้งเดิม สถิตอยู่ในใจมนุษย์ทุกคน ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงได้ และเห็นได้ ด้วยใจที่บริสุทธิ์

พระโพธิสัตว์ผู้เข้าถึงธรรมกาย เป็นผู้เข้าถึง สัจธรรมอันสูงสุด ดำรงอยู่ในสภาวะ ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมกาย จึงจัดเป็นพระโพธิสัตว์ ที่อยู่ในภูมิธรรมชั้นสูงสุด

ธรรมกายเป็นธรรมขันธ์ อันประกอบด้วย …..

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะ

มีคุณสมบัติ 4 อย่างคือ ความเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธิ์ มีลักษณะกายมหาบุรุษครบถ้วน 32 ประการ มีความบริสุทธิ์ใสสว่าง ประดุจเพชร หรือยิ่งกว่า

ในคัมภีร์โบราณหลายแห่งเรียก ธรรมกาย ในชื่อต่างๆ เช่นพุทธรัตนะ ธรรมกายแก้ว กายแก้ว วัชรกาย สัจจกาย นามกาย พุทธภาวะ ตถาคตครรภะ

นิจจัง สุขัง อัตตา และบริสุทธ์ิ

นิจจัง แปลว่า เที่ยงแท้   

สุขัง คือความพอใจยินดี

อัตตา คือสิ่งที่อาศัย คือสิ่งที่องค์รวมของผู้ใดผู้หนึ่ง มีรูปนามอาศัย เรียกว่าอัตตา 

และบริสุทธิ์ สะอาด คำว่าสะอาด คำนี้ไม่ใช่ส้วมสะอาด ไม่ใช่กะละมังสะอาด แต่จิตใจ สะอาดจากกิเลส หมายถึงใจเท่านั้น สะอาดบริสุทธิ์

ใจสะอาดบริสุทธิ์ คืออัตตาชนิดหนึ่ง ผู้ที่ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สะอาดจากกิเลส เป็นอรหันต์ คนนั้นก็มีสภาวะรูปนาม เป็นธรรมะสอง มีสิ่งที่ปรากฏแก่ตัวเองทำสำเร็จแล้ว รูป นาม มีขันธ์ 5 ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่ยังไม่ตายทิ้งร่างปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ยังถือขันธ์อยู่ แต่สะอาดหมดแล้วไม่มีกิเลส

เพราะฉะนั้น จึงเป็นธรรมะ ทรงไว้ ทรงอยู่ มีอยู่ เป็นธาตุขันธ์ ที่เป็นนิพพานธาตุ เป็นกองของรูปนาม ที่เมื่อมีถึงขั้นนิจจัง คือสภาพนี้ เที่ยงแท้ยั่งยืน เป็นอย่างนี้ตลอดกาล เท่าที่ยังอยู่ เป็นอัตภาพอยู่ อวิปริณามธัมมัง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ระเหยเป็นอย่างอื่นเลย อสังหิรัง ใครก็มาทำลายไม่ได้ แม้แต่มหาราชทั้ง 4 ที่เก่งกาจมาก มีอาวุธร้ายแรง แต่คุณธรรมลักษณธรรม ของผู้ที่บรรลุแล้ว เป็นอสังหิรัง ก็ไม่มีใครทำร้ายได้ เป็นอย่างนี้ ก็เป็นแล้วเป็นเลย ไม่กลับกลอก ไม่กลับฟื้นคืน นี่คือ คุณลักษณะของความเที่ยง ความยั่งยืน ความไม่เปลี่ยนแปร เป็นคุณธรรมลักษณะพิเศษ ของผู้ที่เข้าถึงขั้นนี้

ลักษณะของไตรลักษณ์สามัญทั่วไป เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็หมายถึงว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่มีตัวตน เป็นลักษณะ 3 เป็นไตรลักษณ์ ของทุกคนที่ต้องเป็นต้องมี เพราะฉะนั้น คำว่า อนิจจังตัวนั้นแหละ มันเป็นไตรลักษณ์ สามัญลักษณ์ ทุกคนต้องเป็น แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องเป็น จะไม่เที่ยงในขันธ์

แต่มี ลักษณะที่เที่ยงแท้ มีอย่างเดียวคือนิพพาน นอกจากนั้นก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีแต่นิพพานธาตุ อย่างเดียวที่ นิจจัง ถ้าจะใช้คำว่าสุขมาเรียก ก็ไม่ใช่สุขแบบโลกีย์ เป็นสุขที่ว่าง เป็นสุขที่กิเลสเบาบางจนหมด หมดแล้วเป็นสุขที่ว่างๆ เฉยๆ กลางๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน คำว่ากลางคืออะไร

คำว่า กลาง คำนี้ ฟังอีกที

กลาง คำนี้คือกลางที่  “มีก็ไม่มี”  “ไม่มีก็ไม่มี” โปรดฟังอีกครั้ง ธรรมะกลางคำนี้คือ ปรากฏการณ์ของ “มีก็ไม่มี”  “ไม่มีก็ไม่มี”  มีก็มีแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีก็ไม่มี แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น มีเหมือนกับคนอื่นเขามีโลกะวิทู แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้อาศัยใช้เพื่อประโยชน์ตัวเอง แม้แต่ปลูกข้าว ก็ยังไม่กินข้าวตัวเองเลย เอาไปแจกหมด แล้วดูสิว่าจะอดไหม คนๆนี้ปลูกข้าวด้วยมือตัวเอง แต่เอาไปแจกคนอื่นหมด แล้วดูสิว่า จะอยู่ในสังคมได้ไหม  เขาจะเลี้ยงเอาไว้ เขาจะหาข้าวให้กินไหม พิสูจน์ได้อยู่ในสังคมคนดี คนถึงๆ แจกหมดๆ จะตายไหม เอาสั้นๆเลย ปลูกข้าวเอง แต่เอาไปแจกคนอื่นหมด แล้วจะมีคนเอาข้าวมาให้กินไหม ขอให้ถึงจริงๆ ไม่ตายหรอก คนก็จะรักษาไว้จนกว่าสุดวิสัย

สรุปอีกที

มันไม่ใช่การเล่นลิ้น ลักษณะคำว่า เป็นกลาง หรือความกลาง มันไม่ใช่สถานที่ตัวตน แต่เป็นกลางของมันเอง เป็นลักษณะกลางที่ นัตถิอุปมา ไม่มีอะไรจะไปเทียบได้ ไม่รู้จะเทียบกับอะไรได้ มันเป็นเรื่องของ ความมีกับความไม่มี ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43

พระไตรปิฎก ล. 16 ข. (43) [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทัย) ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี (โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี (ลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

 

พ่อครูว่า...อันแรกบอก ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เข้าใจได้ทันที ไม่ยากนะ แต่อันหลังบอกว่า ความมีในโลก ย่อมไม่มี คือนิโรธได้แล้ว แม้มีได้แล้ว ความมีท่านก็ไม่ยึด แต่ท่านรู้ว่า มีก็เอาไปรับใช้ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตน มีขันธ์มีแรงงาน เอาไปรับใช้ผู้อื่น

ระหว่าง ความมีกับความไม่มี นี่แหละคือ  กลาง ท่านรู้ว่า เอียงไปทางมี ก็อนุโลมไปตามเขาที่ควร จะไม่มีก็อนุโลมไปตามเขาที่เหมาะควร แต่ถ้าอะไรเสียและเป็นโทษภัย ก็จะไม่อนุโลม

นี่คือความลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องตรรกะ คิดเป็นปรัชญาเทียบเคียงเอา

คนที่เข้าถึง สภาวะ อาการของความเป็นกลาง ที่ภาษาบาลี เรียกว่า  มัชฌิมะ หรือมัชเช มันไม่ใช่การเรียกดินน้ำไฟลม ตัวตนบุคคลเราเขา แม้แต่อากาศก็ไม่ใช่ ใช้ภาษาเรียกว่า มันกลาง มันว่าง ไม่ใช่ดินน้ำไฟลม แต่เป็นธาตุวิญญาณ ที่มีตัวรู้ ถึงจะรู้ได้ แล้วต้องมีของตน เป็นปัจจัตตัง เพราะฉะนั้น ไตรลักษณ์ เป็นลักษณะของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลักษณะสามอย่างนี้ ทุกคนมีหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็ยังมีอาศัย

แต่คนที่มีความบรรลุแล้วก็มี นิจจัง สุขัง อัตตา ชื่อความสะอาดเที่ยงแท้ และมีความสุข อย่างดับทุกข์สิ้นสนิทเด็ดขาด ก็ขอยืมภาษามาใช้ว่าสุข แล้วท่านก็ไม่ได้ติดยึดว่าเป็นสุข ก็ใช้เป็นภาษาแทน ไม่ชื่นอกชื่นใจอะไร ถ้าไม่ได้แล้วจะตายจะเป็นท่านไม่มี ไม่ได้ก็ไม่เหี่ยว ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่เหี่ยวแม้นิดน้อย

จะใช้ภาษาว่า นิจจังก็ใช่ สุขังก็ใช่ อัตตาก็ใช่ โดยท่านมีรูปมีนาม อย่างไม่ได้ยึดติด เพียงแต่อาศัยไว้ใช้ประโยชน์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิปลาส)ตอนวิปลาส 3 และวิปลาส 4

วิปลาส 3 ….

สัญญาวิปลาส       จิตวิปลาส      ทิฏฐิวิปลาส

 

คนไปยึดถือจิตตัวเอง ยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่บรรลุสูงสุด ไปยึดถือเอา ก็วิปลาส

ไปยึดสัญญากำหนดหมายรู้ ไม่ได้กำหนดรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ แม้แต่กำหนดธรรมะ ก็ไม่ครบ กำหนดคำว่ากาย ก็ยังไม่ละเอียด แต่ตั้งชื่อพวกตนว่าธรรมกาย เหมือนที่ชื่อเขาคือ ธัมมชโย และไชยบูลย์ คือผู้ที่มีธรรมะ อันชนะเต็มเปี่ยม ก็จะรอดูว่าเขาชนะไหม แม้แต่ฉายาเขาแต่เดิมอันนี้ก็หลอก

 

 วิปลาส 3 ระดับนี้ ที่เป็นพื้นฐาน เป็นไปใน 4 ด้าน คือ….

1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง

เขาไม่ได้นิพพาน ที่เที่ยง แต่เขาหลงกำหนดสิ่งผิดว่าเที่ยง       

2. วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข  

เขาก็ได้วิมานดาวดึงส์ดุสิต  เป็นเฟส 2 เฟส 3 อะไรของเขาโมเม มันยังไม่เที่ยงหรอก แม้แต่วัตถุของเขา ก็จะถูกริบไป แล้วจะเอาไปชาติหน้าอย่างไร ปัทมาว่าเขาจะสุขอยู่หรือ แต่ตอบได้เลยว่า คุณจะสุขเท่าไหร่ ก็สุขสู้โพธิรักษ์ไม่ได้ มายิ้มแข่งกันก็ได้

3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน   

เขากำหนดเป็นอัตตาเป็นตนไปหมด ที่จริงมันไม่ใช่ตน มันอนัตตา แต่เขากำหนดเป็นตน โดยเขาไม่รู้ว่า ความไม่ใช่ตนเป็นเช่นไร เขาไม่รู้ความไม่เป็นตัวตน แต่เขามีแต่อัตตาเต็มบ้อง แล้วเป็นอัตตานิรันดรด้วย     

สัจจะของความอนัตตา เขาไม่ได้รู้เรื่องเลย ถ้าเขากำหนด ความเป็นอนัตตาเป็นตนก็ยังเข้าท่า แต่ถ้าเขากำหนด ความเป็นอัตตาเป็นตน ก็ไม่มีนิพพานเลย

ถ้าความมีภพ ภพดาวดึง ดุสิตของเขาก็ถาวร นั่นแหละ คืออัตตาของเขา มันไม่ใช่ ดาวดึงก็เก๊ ดุสิตก็เก๊ เป็นความสุขเก๊

เอาตัวสุดท้าย

4.. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม

ไปยึดถือสิ่งที่ ไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น ว่าเป็นสิ่งที่ น่าได้น่ามีน่าเป็น อย่างเช่น สวรรค์ 6 ชั้นนี้ เขาจะเอาหมดเลย เขามีภพชาติเต็มบ้อง พระพุทธเจ้าว่า ภพทั้งหลาย คืออุจจาระ แต่ของเขา ภพทั้งหลายคือของสวยของงาม เขาเลยหอบอุจจาระเต็มบ้อง

ปิดบัญชีโลก เปิดบัญชีสวรรค์ ก็เปิดบัญชีอุจจาระเต็มบ้อง นี่ไม่ได้ใส่ความเลยนะ เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้า มาอธิบายให้เห็นจริงให้ชัด

จะไปเรียกว่า ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้  เพราะกิเลสภพชาติ ยังมีชัด

อาตมานึกถึงคำสอนพระพุทธเจ้าว่า การแย้งกันไปมาว่า ของฉันถูกเธอผิด ก็เป็นเดรัจฉานวิชชา  ก็ขออธิบายประกาศว่า คำอธิบายนี้ ไม่ต้องการจะไปเอาชนะเขา แต่เป็นการแจกแจงความรู้ ชี้ถูกเป็นถูก ชี้ผิดเป็นผิด ชื่อว่า อย่างนี้มีในเรา อย่างนี้ไม่มีในเรา อย่างนี้มีในเขา อย่างนี้ไม่มีในเขา อย่างที่พระพุทธเจ้า ว่าทำอย่างนี้ ไม่ได้แย้งเพื่อเอาชนะหรือแพ้ ไม่เถียง หากเขาจะเถียงก็ไม่ไปเถียง อาตมาไม่มีคารมเถียงเขาได้ มีแต่สัจจะ วาดหวานประโลมโลกไม่มี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ศูนย์กลางกายคืออะไร

ต่อในหนังสือเขาว่า...พระมงคลเทพมุนี กล่าวว่า การเห็นธรรมกาย จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ผู้ปฏิบัติฝึกใจให้หยุดนิ่งถูกส่วน ตรงศูนย์กลางกาย ใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้น จะมีสภาวะที่ว่างเปล่า เป็นสุญญากาศ คือปราศจากความคิดปรุงแต่ง และปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง..

พ่อครูว่า..ศูนย์ของเขาคือมีสถานที่ แต่ศูนย์ของเราคือ มีก็ไม่มี ไม่มีก็ไม่มี อยู่ไหนก็อยู่ที่ศูนย์ คุณมีศูนย์ตรงไหน ก็หทยรูปของตนเอง แต่ของเขาศูนย์มีพิกัดเลย เขาเข้าใจว่า กายคือร่างคน กลางคือส่วนหนาส่วนกว้างของคน และขีดเส้นตรงกลางไว้ตัดกัน ไม่ได้หมายถึงนามธรรมเลย แต่เราหมายถึงนามธรรม

กายคือรูปและนาม มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก เป็นความรู้หรือความรู้สึกของเรา อ่านออกว่า อาการกลาง หรือศูนย์ของรูปนาม เรียกว่า กาย

จึงไม่มีสถานที่ ไม่มีขนาด ไม่มีที่อยู่ตรงไหน ผู้ที่มีนามธรรมเท่านั้น ถึงจะรู้ เอารูปธรรมมากำหนดไม่ได้เลย

คำว่าศูนย์ คำว่ากลาง คำว่ากาย เอารูปธรรมเดี่ยวๆมากำหนดไม่ได้ ต้องเอานามธรรมมากำหนดรู้ แม้แต่นามธรรม แล้วก็กำหนดรู้ได้ ตรงไหนก็ตรงนี้แหละที่ศูนย์ เป็นปัจจัตตลักษณ์ คนอื่นมารู้ของเราไม่ได้ด้วย

ใจของเราจะมี มุทุภูตธาตุ เร็วไวสร้างสรรได้ แข็งแรงด้วย กิเลสนั้นนิ่งสนิทไม่มีบทบาทในตัวเราเลย จะเรียกว่า นิ่งจนกิเลส 0 มีแต่ธาตุรู้ที่คล่องแคล่ว เป็นมุทุภูตธาตุ

เขาบอกว่าไม่มีความคิดปรุงแต่งอะไร ทื่อๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาได้บรรยายถูกของเขา แต่มันผิดสัจธรรม

เขาว่า ปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง ก็คือเอาของดีมาพ่วงตบท้ายไว้ ขอยืนยันว่า นิวรณ์ทั้งปวงของคุณไม่ใช่ เพราะนิวรณ์มีกาม แล้วปิดตา จะมีกามคุณ 5 ให้เรียนอย่างไร อย่ามาขี้ตู่เลยว่า ปราศจากนิวรณ์ 5 ไม่ได้เรียนรู้ ตาหูจมูกลิ้นกาย ที่เป็นผัสสะ ให้เรียนรู้ภายนอกเลย ไม่ได้เรียนตั้งแต่เริ่มต้นมาเลย

มีแต่ตั้งภพมโนมยอัตตา ของคุณเอง ว่าจิตเป็นศูนย์ แต่จริงๆว่างเปล่าจากความเป็นจริง แล้วสิ่งที่คุณบอกว่าว่าง คือมโนมยอัตตา คือปั้นว่า ว่างใส ๆๆๆ เขามีรูปนี้จริง ถูกรู้เรียกว่า มโนมยอัตตา คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต

ความจริงแล้ว สิ่งที่เป็นจิตว่าง จิตสะอาด จากกิเลสทั้งมวลบริสุทธิ์ เป็นจิตที่คล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว เป็นคุณธรรมที่สะอาดผ่องใส ทำงานกับคนอื่น อย่างบริสุทธิ์ คนอื่น จะรับรู้ได้ด้วยเห็นได้ด้วย

แต่นี้ของคุณ ไม่มีใครเห็นได้ด้วย ลึกลับที่สุด เป็นการสร้างขึ้นมาเอง เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นการเนรมิต สร้างขึ้นมาเองเป็นของ อุปาทาน เป็นตัวตน คือรูปที่สำเร็จด้วยจิต คุณเห็นเป็นความใสจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่ไม่มีในมหาจักรวาล มีแต่ของคุณข้างในคนเดียว ไม่มีใครสามารถไปรู้ด้วยกับคุณ

สภาวะที่เป็นอาภัสราภพ เป็นภพที่สร้างความสะอาด สว่างใส เป็นแสงสว่างใส พระโสดาบันก็ใสขนาดนี้ พระสกิทาคามีก็จะใสขึ้นไป พระอนาคามีก็จะใสขึ้นไปอีก พระอรหันต์ ก็จะใสๆๆ ก็เป็นการเนมิต ปั้นวิมานเองหมด อุปาทานพวกนี้ เป็นไปได้แม้แต่ อย่าว่าปั้นในภพเลย ลืมตาออกมา ก็เห็นกระดูกเดินโย่งๆ เห็นตัวเองนอนตาย แล้วเปื่อยเน่าไปข้างหน้าเลย เนรมิตรูปเน่าๆๆไป ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เน่า นั่งอยู่นี่ไม่ตาย เขาเห็นได้จริงๆ ว่าตัวของเขาเน่า หรือเห็นได้ว่า คนอื่นเป็นโครงกระดูกเดิน เขามีตา x-ray เลย อาตมานั้นเล่นมาแล้ว

สายนั่งหลับตา จะลองอยู่กับมโนมยอัตตา เขาไม่รู้เรื่องหรอกว่าคืออะไร คือสายสว่าง

แต่สายดำมืด ก็สร้างรูปเช่นกัน มีภพชาติมีวิญญาณเป็นตัวตน มีวิญญาณเทวดา มาเรียนกับอาจารย์เขา วิญญาณชาวต่างชาติก็มี

สายดำ นั่งดับ ก็สร้างมโนมยอัตตาของเขาเช่นกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ความเป็นกายตรงไหนคือจุดยอดสุด

มาสู่ความเป็นกาย ผู้ที่ศึกษา แยกกายแยกจิตได้ อ่านสภาวะนั้นได้แล้วรู้อาการ อาการของอุตุ พลังงานอุตุเป็นเช่นไร ถ้าพิจารณาจาก ผมขนเล็บฟันหนัง

เล็บ ถ้ามันยังติดกับตัวเรา มันไม่ใช่กาย คือเล็บที่ไม่เกิดเวทนาแล้ว

ส่วนเล็บที่เป็นพีชะ มันยังยาวได้ มันยังมีชีวิต มีอาหารไปเลี้ยง แต่มันไม่มีเวทนา ไม่เจ็บไม่ปวด ตัดออกไป ก็หลุดออกมาได้ ส่วนที่หลุดออกมา ก็เป็นดินน้ำไฟลม  ไม่มีชีวะเป็นอุตุนิยาม ต่อไปก็สลาย นั่นคือสิงที่ไม่ใช่ตัวเรา แน่

พีชะ ในชีวิตของเราก็มีพีชะ องคาพยพต่างๆ ก็เป็นพีชะเยอะ เพราะว่ามันไม่มีเวทนา เช่นเล็บที่ยังไม่ได้ตัดออก ไม่มีเวทนา ผมขนเล็บฟันหนัง ที่จริงท่านจะอธิบายถึง น้ำเสลด น้ำหนอง น้ำอุจจาระ ที่ต้องสละออกแล้ว มันยังไม่สละออก อยู่ในร่างเราก็ไม่ใช่กายมีอีก แต่ก็ยากจะอธิบาย ท่านก็เอาผม ขนเล็บฟันหนัง ให้ศึกษาก่อน สิ่งที่ออกจากร่างเราแล้ว เล็บ ผม ขนที่ยาวออกมา ตัดก็ไม่รู้สึก อันนั้นไม่ใช่กาย อย่าไปยึดเป็นเรา เป็นของเราอยู่ จะบ้า

พวกที่หลงว่า นี่เล็บฉัน ผมฉัน ใครอย่ามาตัดนะ แต่มันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร

ทีนี้เล็บส่วนที่เจ็บปวดได้ ท่านก็ให้พิจารณาว่า ไม่เป็นเราเป็นของเรา ถ้าใครมาเกาเล็บเราก็รู้สึกๆนะ ได้เกาได้สัมผัสเสียดสี บางคนไปยึดมั่นถือมั่น ว่าอย่างนี้อร่อย สุข

หรือผิวหนัง คุณเข้ามาลูบคลำผิวหนัง สัมผัสเสียดสี เกา แต่เกามากๆก็ร้อนไม่สุขแล้ว คนก็ชอบสัมผัสเสียดสี ผิวหนัง ผมขนเล็บฟันหนัง

ลักษณะที่คุณ เสียดสีกันเหมือนเกา ถ้าไปถึงว่า เกาแล้วมันก็มีความเร่งความร้อนมากกว่านี้ ก็จะมีจุดๆหนึ่งเรียกว่า จุดสุดยอด เกินกว่านั้นไม่เอาแล้ว แสบเจ็บทั้งนั้นเลย ใครจะคิดต่อในสัมผัสทางเพศ ก็เหมือนกันแหละ ไปสมมุติว่า ตรงนั้นคือความสุขที่สุด เท่านั้นเอง เลยไปจากนั้น ก็ไม่ไหวแล้ว แล้วมันก็ต้องเกิด แม้มันจะเกิดขึ้น ก็เรียกว่ามันสุข คือสุขสุดยอด มันก็ของเก๊ไม่ใช่ของเรา อย่าไปยึดถือว่าเป็นเรา

ส่วนด้านเจ็บ ก็ไม่ค่อยยึดถือเป็นเราแน่ แต่ด้านสัมผัสเสียดสี ก็ไปยึดถือว่าเป็นเรา แต่มันก็ไม่ใช่เราอีกนั่นแหละ

คุณจะคลายความชอบใจ ความเอร็ดอร่อย ความรู้สึกยินดีกับมันอยู่ ยาก ก็ต้องรู้ให้ได้ ว่า อนัตตาไม่ใช่ตัวเรา มันผ่านไปชั่วกาละสัมผัส หมดความสัมผัสแล้วไม่มีที่ไหนแล้วแต่ความจำลงไป เป็นอุปาทานของคุณ เป็นสัญญูปาทานักขันโธ ไม่ยอมปล่อย ไปนึกถึงเมื่อไหร่ ถ้าทำเหตุปัจจัยนั้นก็มีอยู่ คุณก็จะมีอยู่ ตลอดกาลนาน

แม้มันจะเกิดสภาพ เย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรา ร้อนจนต้องสะบัดทิ้งก็ช่าง ร้อนจนเป็นยอดความสุข อร่อย climax อะไรก็ตาม เย็นขนาดที่ถึง climax  เลยก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรา มันเกิดตอนนั้นเท่านั้น แล้วมันไม่ยาวนานด้วย

คุณอร่อยที่สุดเมื่อใด แล้วอร่อยต่อเนื่อง ไปถึงนาทีไหม ? วินาทีก็ไม่ถึง มีแต่ความจำเท่านั้น คุณไปยึดอะไร มันไม่เที่ยง ไม่ถึงวินาทีด้วย วับๆ แล้วคุณไปยึดว่าเป็นเรา ถ้ามีเหตุปัจจัยใหม่ คุณก็จะได้ แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย อันนี้ไม่ใช่ คนนี้ไม่ใช่ ของนี้ไม่ใช่ก็ไม่ได้ คุณกำหนดเอง ยึดมั่นถือมั่นเอง

แต่ถ้าอันนี้เหมือนมาก ก็ค่อยยังชั่ว ก็จะยอมเอาตามนั้น ก็สมมุติเอง ได้รสชาตินั้นเอง ดีไม่ดี สิ่งปลอมแปลงคนละเรื่องเลย ก็ยังดีที่ได้

มันเป็นสมมติทั้งสิ้น สรุปแล้ว มันไม่มีหรอกความสุข มันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ที่เกิดขึ้น ทุกข์คืออาการที่ตั้งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ ตั้งอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยยังไม่เสื่อมหมดเท่านั้น ไม่มีอะไรอยู่ถาวรนิรันดร 

 

มาต่อ หลวงพ่อสดบอกว่า ศูนย์กลางกาย คือที่มีที่อยู่ในร่างเรา มีเขียนตำแหน่งพิกัดบอกไว้ แล้วให้นั่งสมาธิ กำหนดเอาว่า นี่คือศูนย์กลางกาย มีเลข 2 คือเหนือสะดือ เอาเป็นหลัก เพราะว่าทุกคนมีสะดือ แต่ไม่ใช่สะดือตรงนอกนะ แต่เข้าไปในตรงกลางร่างอีก เขาบอกว่า กำหนดไปที่ศูนย์กลางกาย เหนือสะดือ 2 นิ้ว

เขาไม่รู้ว่า คำว่าสองนี้คืออะไร ก็ไปเน้นตรงนี้ ถามหน่อย ผู้ที่นั่งหลับตาสายหลวงพ่อสด เคยเอาไม้บรรทัด ไปวัดใหมว่า 2 นิ้วคืออะไร 2 นิ้วของคน หรือของไม้บรรทัด เขาเอารูปเป็นหลัก ไม่ใช่นาม

ธรรมะสอง คือทำอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ให้เหลือแต่ปุริสภาวะ หรือจะทำให้เป็น นปุงสกลิงค์ได้เอาไว้อาศั

คำว่า ศูนย์ กับคำว่า กาย ของอาตมากับหลวงพ่อสด คนละเรื่อง ของหลวงพ่อสด หมายถึง ร่าง มีที่อยู่ แต่ของอาตมาเป็นนามธรรม ศูนย์ กลาง หรือกายก็เป็นนามธรรม กายคือจิตมโนวิญญาณ ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัส

ของหลวงพ่อสด จึงได้รูปหรืออัตตา อันสำเร็จด้วยจิตของตน คือ มโนมยอัตตา สายธรรมกาย จึงเต็มไปด้วยมโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตาก็ไม่ได้เรียนรู้ จึงมโหฬาร เต็มไปหมดเลย

แวะนิดหนึ่ง ถ้ารัฐบาลยึดสถานที่ธรรมกาย สิ่งก่อสร้างทั้งหลายแหล่ เขาจะกล้าทำลายไหม มันโอฬารเหลือเกิน อาตมาก็ว่า ไม่น่าจะทำลาย เอาไปใช้สอยได้ เป็นของที่โกงเขามา ก็ยึดเข้าส่วนกลาง เป็นของรัฐของประเทศ แล้วใช้ประโยชน์แก่ประเทศ เป็นสถานที่ราชการอะไร ทำงานไปเลย อาคารที่มีประโยชน์ ไม่ต้องทำลายทิ้งหรอก อาคารมโหฬารทั้งหลาย แม้แต่จานบิน ก็เป็นอาคารสถาปัตยกรรม ใช้งานได้ ก็ไม่ต้องไปยึดถือ ไปขัดสีองค์พระหรอก ปล่อยให้ antique เป็นโลหะผสม ไปเลย ก็ใช้ไปอย่างนี้ เป็นต้น เป็นความเห็นของอาตมานะ

ก็ดูเถอะ ถามจริงๆ ถ้าธัมมชโย ตายจากร่างนี้ไปแล้ว จะเกิดมาใหม่ มาเอาคืนได้ไหม เขาไม่มีสิทธิ์มาเอาคืน เพราะจะไปอยู่ในนรกนาน กว่าที่สมบัตินี้ จะสูญสลาย จะอยู่ในนรกอีกหลายกัปป์ จะตกนรกนานกว่าสมบัติ ที่เขาสร้างไว้จะสลายก่อน เขาจะไม่ได้เกิดมาเอาอันนี้ของเขาได้อีก นี่ไม่ได้พยากรณ์นะ อาตมาพูดตามสัจจะความจริง แล้วไม่ผิดด้วย

กรรมจะพาเขาไปเกิดตามสัจจะ เขาจะจมในนรกนี้ นานกว่านี้

 

หลวงพ่อสด กำหนดศูนย์กลางกาย หลวงพ่อสด กำหนดเป็นต้นแบบ ได้ถูกกว่าธัมมชโยด้วย ธัมมชโยไม่เข้าใจศูนย์กลางกายได้ดี เท่าหลวงพ่อสด แต่ทั้งหมด เป็นรูปธรรมทั้งสิ้น เป็นมโนมยอัตตา แต่ทางโน้น ไม่ได้เรียนอัตตา 3 แต่จมในโอฬาริกอัตตา ยินดีในรูปเสียงกลิ่นรส  ปลื้มๆๆ กับสมบัติที่เขาได้ หรูหราสวยงาม มีมหาลดาปสาธน์ รูปหางนกยูงต่างๆนานา ใช้ครั้งเดียวแล้วโยนทิ้ง เพื่อมอมเมา คนที่ฉลาดน้อย หลงตามเพ้อไปหมด น่าเห็นใจ ที่เขาโง่ได้โง่ดี น่าสงสาร

นี่เป็นคำรำพึงของอาตมา ไม่ใช่โวหารไปถล่มเขานะ ฟังความจริงใจ ของอาตมาให้ออก ก็เห็นว่าเมื่อไหร่จะตื่นหนอ จากความหลับใหลหลงใหล นี่คือวิปลาส

ไปยึดอสุภะว่าเป็นสุภะ ในวิปลาส ตัวที่ 4 สิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น เขาก็ยึดว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น กลางเขาก็ไม่รู้ กายก็ไม่รู้ มโนมยอัตตาก็ไม่รู้ ป่วยการไปกล่าวถึง อรูปอัตตา เพราะอรูปอัตตา คือธุลีละออง ที่เหลือจากรูปอัตตา

ถ้าหมดอรูปอัตตา ก็เป็นพระอรหันต์ แต่เขาไม่รู้เลย ขออภัยที่ต้องบอกว่า สิ่งอย่างนั้น ไม่มีในเขา สิ่งอย่างนั้นมีในเรา เหตุปัจจัยมันบอก ถ้ามีเขาจะไม่พูด เขาจะละอาย

ธรรมกาย ที่กล่าวถึงในวิชชาธรรมกายคืออะไร ตรงกันกับที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือไม่ และเป็นคำสอนของ พระพุทธศาสนาหรือไม่

เขาตอบว่า… ธรรมกายในวิชชาธรรมกาย หมายถึงกาย แห่งการตรัสรู้ธรรม

พ่อครูว่า คำว่าตรัสรู้ทำเป็นรูปหรือนาม ...ก็คือนาม….

กายแห่งวิชาธรรมกาย คือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ตรงกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในอัคคัญญสูตรว่า ธรรมกายเป็นชื่อของตถาคต และใน วักกลิสูตร บอกว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา อันนี้ก็จริง สองคำนี้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา กับ ธรรมกายเป็นชื่อของเราตถาคต ขอติดไว้ก่อน พรุ่งนี้เจอกัน อย่าหนีหน้า

 

สมณะเดินดินว่า...ต้องขอบคุณธรรมกาย ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีตัวอย่าง พ่อครูก็จะดึงธรรมะ มาให้เรารู้ได้ยาก ชีวิตเขายอมหมดเนื้อหมดตัว ปิดบัญชีทางโลก เปิดบัญชีทางธรรม ทุ่มหมดตัว แต่สิ่งที่เขาได้ คือได้วิปลาส 4

คนไปถามพวกธรรมกายว่า ทำไมต้องปิดหน้าปิดตาด้วยหน้ากาก เขาก็บอกว่า ฝุ่นมันเยอะ พูดไปแล้วไม่ได้คิดเลย ว่าคนเขาจะเชื่อหรือไม่ พูดอยู่ในภพตัวเองที่ไม่รู้เลยว่าโลกเขาจะคิดอย่างไร อย่างโพลที่เขาทำ เกี่ยวกับธุดงค์ธรรมกาย ก็ไปถามพวกตัวเอง ก็บอกว่า คนเห็นดีด้วย 99% คืออยู่ในภพตัวเอง ไม่ได้สัมพันธ์กับการรับรู้ของโลกเลย เป็นมโนมยอัตตา ที่เขาพยายามสร้างขึ้นมา เป็นความเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ทรมาน ที่สร้างขึ้นมา แต่สิ่งที่ได้คือ วิปลาส 4

เขาเห็นของที่ไม่งาม ว่าเป็นของงาม แต่ของเขา วาดรูปร่างของสวรรค์ 6 ชั้น ยังสวยงามเลย ไปคิดจินตนาการ สร้างเอาทั้งสิ้น แต่ทั้งที่ภพทั้งหลาย คืออุจจาระ พระพุทธเจ้าว่า อุจจาระย่อมมีกลิ่นเหม็น ภพทั้งหลาย เปรียบดังอุจจาระ คนที่อยู่ในภพ คิดว่าจะต้องได้อย่างใจ แต่ว่าพอไม่ได้ดั่งใจได้ภพ ก็ทำหน้าเหมือนอุจจาระ อย่าหลงผิดนะ สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น คืออุจจาระทั้งนั้น

พวกเราไปทำโรงบุญ ที่สนามหลวง ก็ไปออกจากภพ อย่างเจ๊ลั๊ง หรือหลวงปู่พุทธอิสระ ก็มีปีติที่จะทำ จนผ่านความหนักหนามาก ไม่ต้องพูดถึงพวกเรา ที่หมุนเวียนกันไปทำมีปีติ ถ้าไม่ได้ออกจากภพ อยู่แต่ในบ้านเรา แล้วก็ปัญญาเกิด ก็อยู่ในภพ ปัญญาไม่จบอีก

เราฟังพ่อครูพูดแล้วก็จะพบว่า สิ่งเหล่านั้น ต้องสอดคล้องกับชีวิต ต้องมีการคิด การพูด การทำ มีอาชีพที่สัมมา ไม่ใช่ให้หยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ นั่นไม่สัมมา ไม่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เมื่ออาจารย์วิปลาส คนอื่นที่วัด ก็พลอยวิปลาสไปหมด ก็น่าสงสาร ...จบ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:37:13 )

591231

รายละเอียด

591231_พุทธศาสนาตามภูมิ ส่งท้ายปีเก่า กลาง คือ มีก็ไม่มี ไม่มีก็ไม่มี

สมณะเดินดินว่า…ตอนนี้สังคมไทยเราก็มีอยู่ 2 เค้าท์ เค้าท์ดาวน์กับเค้าท์เด๊ท ส่วนหนึ่งก็นับกันว่า ความตายจะเข้ามา สู่ชีวิตผู้คนอีกเท่าไหร่ วันแรก 40 กว่าคน วันที่สอง ร้อยกว่าคน ก็คงจะฉลองความเมาและความตาย เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ดูเหมือนว่า เขาพยายามจะจัดการอย่างไร ก็ยั้งไม่อยู่ เกิดจากความเมาและความประมาท

ส่วนอีก countdown ก็คือที่สนามหลวง ปีนี้เป็นปีพิเศษ ดูเหมือนว่า การคาดการณ์ จำนวนคนจะเป็นไปได้ยาก ตอนแรกเห็นบอกว่า ให้เราพัก แต่ตอนนี้ คนไปเต็มสนามหลวงแล้ว ก็คงต้องขอกำลังพวกเรา ไปช่วยกันหน่อย เป็นความผูกพันกับในหลวง จึงเป็นปรากฏการณ์พิเศษ

กำหนดงาน วันปีใหม่ 1 มกราคม 2560 ต้อนรับเข้าสู่ยุค ชาวศรีวิไล

07.00 - 08.00 น พ่อครูฯนำบิณฑบาต ย่านสันติอโศก

09.00 -11.00 น รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และสมณะเพาะพุทธ

13.00 -16 .00น  พ่อครูฯโอภาปราศรัยกับลูก ๆ และสรุปงาน การจัดโรงบุญที่สนามหลวงปีเก่า เพื่อจะจัดงานต้อนรับปีใหม่ขึ้นอีก

 

พ่อครูว่า...มาตอบ sms ก่อน SMS วันที่ 30 ธันวาคม 2559

0851614xxxขอบคุณคนที่ดีกับเรา ทุกสิ่งดีๆที่เข้ามาในปีนี้ และขอโทษนะ ถ้าหากเราไม่ดีกับใคร ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ สัญญาว่าจะเป็นคนที่ อดทนให้มากขึ้น / “กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง วิญญาณประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างเลว ของสัตว์พวกที่มีอวิชชา"จาก พุทธสุภาษิต on Twitter

ตอบ ก็ขยายความสรุปความเอาพุทธพจน์มาเติมแถมให้ก็เป็นคำที่ดีๆทั้งนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู (อัตตา) ตอน ธรรมกายขยายถึงอัตตา

0893867xxx สมาธิเห็นลูกแก้วในพุงส่องสว่างทั่วท้องไส้ไม่ใช่กาย! ความคิดที่มโนว่ามีลูกแก้วในพุง! นั่นละกายที่เป็นจิตมโนวิญญาณ! ซ้ำเป็นกายที่หลงมโนมยอัตตา!สกก.ก็เคยนั่งสมาธิเห็นลูกแว็บๆลอยตรงหน้าแล้วจิตก็โยนิโสฯ รู้เห็นนะแล้วปล่อยวางไม่ยึดติด! / สมาธิที่ดีที่สุดกับชีวิตประจำวันน่าจะเป็นสมาธิที่จิตรู้อยู่กับทุกผัสสะเป็นปัจจัย แล้วมีสติอ่านทุกอารมณ์ที่ครองใจให้รู้ทันกิเลสทุกปัจจุบันขณะ! /จะส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่!ลูกไทยทั้งผองรักพ่อฯรักชาติฯต้องไม่ลืมรักตัวเอง!ง่วง จอดพัก!เมาไม่ขับ!ขับไม่โทร!โทรไม่ขี่! ขี่ไม่ซิ่ง!ทุกชีวิตปลอดภัยเพื่อครอบครัวผาสุขพร้อมหน้า!ส่งใจปรารถนาดี!

ตอบ…ที่จริงเห็นลูกแก้วข้างใน เป็นนามกาย ไปสร้างมโนมยอัตตา มีลูกแก้ว ให้จิตหรือนามธรรมของเขาเห็น ถ้าศึกษาให้ดี จะรู้รูปนาม และความเป็นกาย ถ้าถูกต้องของธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมกายคือธรรมะสอง มีรูปกับนาม

ธรรมกายคือ ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก สัมผัสรับ ด้วย โดยมีจิตภายในรับรู้ จึงจะชื่อว่ากาย แต่โดยอนุโลมก็จะเรียกว่ามโนมยอัตตาเป็นกาย

ตัวต้นของกายที่เราจะต้องเห็นคือ สักกายะ

สักกายะ คือ คำรวมของ มโนมยอัตตา เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1

สักกายะ คืออัตตา ที่เราจะต้องเรียนรู้ เพื่อละอัตตา พ้นความยึดติดในอัตตาให้ได้

ขยายสักกายะออกไปเป็น สามอัตตา

 1.สักกายะ ตัวต้นคือ โอฬาริกอัตตา

 2.สักกายะ ตัวที่สองคือ มโนมยอัตตา

 3. สักกายะ ตัวที่สามคือ อรูปอัตตา

การนั่งสะกดจิต จิตไม่ตกผลึก แต่คือการสะกดจิตเข้าไป มีสองอย่างคือนั่งสมาธิ เพื่อสะกดจิตให้แน่นแข็งเข้าไป แต่สมาธิของพระพุทธเจ้า ต้องมี…

-เหตุปัจจัยให้สัมผัส

- แล้วมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จับอัตตาให้ได้ เห็นอัตตาให้ได้

-ดับเหตุที่ทำให้เกิดอัตตา

-เมื่อละได้จิตก็หน่ายคลาย ทำให้เกิดผลไป จนจิตตกผลึกเป็นสัมมาสมาธิ

 

0897146xxxนอกจากมนุษย์ ไม่มีสัตว์อะไรสามารถ หรือทำการอุดหูตัวเองได้ (ลิงมีมือแต่ไม่เคยเห็นมันใช้อุดหู) เวลาฟ้าผ่า น่าคิดว่า มนุษย์สามารถป้องกันตัวเอง จากความใจเสาะและสัตว์ไม่จำเป็น เพราะมันใจแข็ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน พุทธเป็นศาสนา กรรม ไม่ใช่ศาสนา God

_0845818xxxเบื้องบนไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้กุศลบุญคุณธรรม ในโลกไม่มีอริยบุคคล ที่ไร้ซึ่งกตัญญูจงรักภักดี อริยเมธาล้วนถือคุณธรรม การให้คุณแก่คนเป็นงาน คุณธรรมมั่นคง เวรตอบสนองย่อมสลาย หนี้กรรมไม่ชำระ จะชักนำมารมาทดสอบ " หากไร้ซึ่งคุณธรรมอันล้ำเลิศ ธรรมะสุดประเสริฐ์ไม่คงมั่น "

 

พ่อครูว่า...คำว่าเบื้องบนนี้ เป็นเชิงเทวนิยม ที่จะมีอะไร ที่มีฤทธิ์เดช บันดาลอะไรให้เราได้ บางทีมีเหตุการณ์ที่บอกเหตุไม่ได้ ก็จะบอกว่า เป็นเพราะมีเหตุจากพลังพิเศษ แท้จริงก็คือ จากวิบากเรา

แต่ถ้าบอกว่า มาจากพลังพิเศษอื่นใด ก็เป็นพวกเทวนิยม 100% อาจจะมีผลดีเกินคิด หรือร้ายเกินคิดก็ได้

นัยยะแบบเทวนิยมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้เกิด

อีกนัยคือ เกิดจากผลวิบากของเรา ที่ได้ทำแล้วส่งผลมาให้เป็น

นัยยะสองอย่างนี้ จึงต่างกัน พวกเชื่อแบบเทวนิยม จึงพยายามที่จะอ้อนวอนร้องขอ ติดสินบน ขอให้ช่วย ขอให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บันดลบันดาล

ศาสนาพระพุทธเจ้า ถึงสอนให้ พึ่งพาตนเอง สอนให้รู้จักกรรม กรรมเป็นของๆเรา เราเป็นทายาทของกรรมของเราเอง

วิบากมันตามทันได้ จะเกิดความดีเกินคาด หรือชั่วเกินคิด ก็ไม่มีอะไรมาบันดาล แต่เกิดจากตนเอง ทำไว้เองทั้งสิ้น เราต้องรับมรดกกรรม ของตัวเอง บางทีมากันเยอะเลย บางทีก็ทยอยกันมา จะดีหรือชั่ว ก็เกิดจากเราทำ กัมมโยนิ เพราะกรรมนั้น มันจึงเกิดจึงเป็น

ศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนา กรรม ไม่ใช่ศาสนา God

ศาสนาพระเจ้าเชื่อว่า พระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด แล้วถามหน่อยว่าพระเจ้าทำไมสร้างสิ่งไม่ดี เขาก็บอกว่ามารสร้าง แสดงว่า พระเจ้าสู้มารไม่ได้สิ บอกว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทำไมสร้างสิ่งไม่ดี แล้วพระเจ้าสร้างมารหรือเปล่า? พระเจ้าอยากให้มีแต่สิ่งดีใช่ไหม แต่สิ่งไม่ดีเกิดได้อย่างไร เขาก็บอกว่า มันเกิดขึ้นมาเอง เลี่ยงไม่ออก

ถามว่าคนที่ถูกลอตเตอรี่คืออย่างไร? นัยแรกคือกุศลวิบาก อีกนัยคืออกุศลวิบาก สมมุติว่า กุศลวิบากตามทัน ก็เลยได้ เขาซื้อหวยก็ต้อง ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้นั่นมันเป็นกุศล ได้เร็วโดยไม่ต้องลงแรงเลย มันไม่ดี ไปได้เสียตรงนี้เลย ตามมาก็คืออกุศล ได้ติดใจย่ามใจ ดีไม่ดีโจรปล้น พอถูกหวยรางวัลที่ 1 ญาติเยอะ เพื่อนเยอะเลย วุ่นเลยนะ ถ้าไม่ถูกมันก็ไม่กระไร

ถามหน่อย นั่งอยู่นี่ใครยังซื้อหวยอยู่ ….รับเสียดีๆไม่ต้องอาย ถ้าเชื่อกรรมเชื่อวิบากแล้ว อย่าไปหาทางได้ โดยการเสี่ยงทายการพนัน มันไม่ได้คุ้มอะไรในสิ่งที่เราจะได้เป็นกรรม ที่เราไปได้ฟลุคๆลาภลอย มันไม่เข้าท่าอะไร อย่าไปทำ ต้องหาด้วยน้ำพักน้ำแรง เกิดจากผลสุจริตของเรา ไม่เกิดหนี้เกิดภัย ไม่เกิดวิบากไม่เข้าท่า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิ_นั่งหลับตา)ตอน นั่งหลับตาไม่มีทางถึงศูนย์กลางกาย

มาต่อจากเมื่อวาน ที่อาตมานำเรื่องธรรมกายมาพูด

หลวงพ่อสด บอกว่า มีศูนย์กลางกาย อยู่เหนือสะดือ สองนิ้ว ที่ศูนย์ที่ 7

แล้วจดจ่ออยู่ที่นี่ บริกรรม ว่าสัมมาอรหังๆ แบบที่ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ก็มาเจอสมาธิแบบนี้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตรว่า พวกทิฏฐิผิดมีอดีต และอนาคต การไปนั่งหลับตาสมาธิ ก็มีแต่สัญญา มีแต่ทิฏฐิ 62 ซึ่งเป็นความเชื่อ ที่เป็นมิจฉาทิฐิทั้งนั้น พวกนั่งหลับตาสมาธิ ไม่ได้อะไร ได้แต่สัญญาเก่า เป็นอดีต ดูฟุ้งซ่านไปในอนาคต ในการนั่งหลับตาก็ได้

นั่งหลับตาสะกดจิต แล้วเข้าใจว่าการทำนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เป็นภาวนามัย สมาธิก็สรุปลง ด้วยการสะกดจิต ศาสนาพุทธ ก็มาตกลงตรงนี้ พระสายธรรมกาย ก็อย่างนี้

คำว่าสองก็สำคัญ คำว่าเจ็ดก็สำคัญ เช่นคำว่า สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน หรือโพชฌงค์​7 เป็นต้น  แต่เขาเข้าใจภาษาสื่อสัจธรรม ปนเปเลอะเทอะ

คำว่า ศูนย์ กลาง กาย ก็ไม่เข้าใจถูกสัจธรรม

ทั้งคำว่าศูนย์ คำว่า กลาง คำว่า กาย นี้เป็นนามธรรมทั้งสิ้น ไม่ใช่วัตถุธาตุเลย การไปขีดเส้นเป็นพิกัด ชี้ว่ามีตำแหน่ง เป็นตัวตนบุคคล เป็นวัตถุก็เพี้ยนไปจากความเป็นจริง

 

เขาบอกว่า ธรรมกายจะเกิดได้ ต้องเกิดจากผู้ฝึก ฝึกใจให้หยุดนิ่งถูกส่วน อยู่ตรงศูนย์กลางกาย ใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้น จะมีสภาวะที่ว่างเปล่า เป็นสุญญตา

ปราศจากความคิดปรุงแต่ง และปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง

พ่อครูว่า...การขยายความคำว่า ปราศจากความคิดปรุงแต่ง ก็มีส่วนถูกครึ่งหนึ่ง ไม่ปรุงแต่งแล้วอะไรที่ไม่นำมาคิดปรุงแต่ง...ก็ต้องเป็นกิเลส ไม่นำกิเลสเข้ามาร่วมคิดปรุงแต่ง ถ้ากำจัดกิเลสไม่ให้มีในจิต มันก็ไม่มาปรุงด้วย แต่จิตนั้นปรุงแต่งได้ อย่างอภิสังขาร ไม่ใช่สะกดจิต ให้จิตใจไม่คิดอะไรเลย นี่คือสายธรรมกายหรือสายมืดดับ ก็ผิดที่ไปหยุดจิต ไม่มีอะไรปรุงแต่งเลย วิธีการวิจัยวิจารณ์ ไม่มีการเปรียบเทียบอะไรเลย ไม่รู้ว่าอาการนี้กิเลส อาการนี้ไม่ใช่กิเลส ก็ไม่เกิดปัญญารู้

อย่างนี้ ปัญญาก็หลงผิดกันว่า เกิด(ปัญญา)ตอนที่ ทำให้จิต มันนิ่งสนิทหยุด ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า อย่างสุดขั้ว

เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า ...                                                                                                                                                                                    -ทุกอย่างมาแต่เหตุ ศาสนาพุทธนั้น ทุกอย่างมาแต่เหตุ

-ถ้ามีสิ่งนี้ มันจึงมีสิ่งนี้ เป็นอิทัปปัจจยตา

เป็นประโยคที่พระอัสสชิ ได้บอกแก่ สารีบุตร ตอนที่เป็นฆราวาส เยธัมมา เหตุปัพพวา เตสังเหตุตถาคโต ทุกอย่างมาแต่เหตุ ดับเหตุทุกอย่างก็ดับ พระสารีบุตรซึ่งมีปัญญาที่ดี

สายนั่งหลับตาสะกดจิต มิจฉาทิฏฐิ ไม่เป็นกระบวนการ                                                                                                                                                                                                                                                                                       ของศาสนาพุทธเลย กระบวนทัศน์ก็ไม่ตรง กระบวนการในการปฏิบัติ จึงไม่ตรงด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน หมู่ที่มีการตำหนิเพื่อประโยชน์หมู่กลุ่มนั้นเจริญ

ในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวว่า

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริง ว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มี ในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ ในเราทั้งหลาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลาย ไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจ ในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจ ในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย

เพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่น จะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือ ชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลาย ควรปฏิญาณ ให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง

แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้น ก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.

การอยู่กับคนใดหมู่กลุ่มใด ถ้าหมู่กลุ่มนั้น มีการติเตียนกันเยอะ เป็นประโยชน์ต่อกัน และไม่ทะเลาะวิวาท กลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่เจริญ

สังคมที่รับฟังคำตำหนิคำท้วง ความเห็นความแย้ง สังคมนั้นเป็นสังคมฉลาด สังคมเจริญ

แต่ถ้าสังคมใดบอกว่า อย่าถกเถียงกัน ใครพูดอย่างไรก็เฉย สังคมนั้น ก็เจริญความโง่ ไปเรื่อยๆ

อาตมาพูดตามหลักวิชาการนะ การจะตำหนิ ก็ต้องติด้วยเมตตา ไม่ใช่ตำหนิด้วย ความโกรธแค้น อาฆาตพยาบาท แต่ถ้าติเพราะอย่างนี้ น่าติ น่าปรามเขา ตำหนิด้วยเมตตา มันดี คนที่ถูกท้วง จะได้หยุดทำไม่ดี

สังคมที่มีการติมากจะดี ไม่เหมือนสังคมที่ไม่มีการติ ก็แสดงว่า ไม่รู้จะติอะไรหรือติกันไม่ได้ จะทะเลาะกันก็เลย ไม่ติ ไม่ได้เรียนรู้ว่า อะไรผิดหรือถูก มันเสียประโยชน์ไปหมด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มีกับไม่มี ใน ศูนย์ กลาง กาย

ที่หลวงพ่อสด พูดถึงศูนย์ กลาง กาย

สิ่งที่ถูกรู้นั้น คำว่ากายเป็นนามธรรม ถ้าไปสำนักไหน เราบอกว่า กายคือนามธรรม กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณเขา ก็จะรับกันไม่ได้ หาว่าเรานอกรีตอีก เราก็งัดพระไตรฯ ไปว่าเลย ล.16 ข.230 พวกท่านแปลไว้เองด้วย

ในพจนานุกรมไทย กายแปลว่าร่าง แปลว่าดินน้ำไฟลม เลย

แต่ในบาลีบอกว่า กาย คือ หมวดหมู่ กอง องค์รวมของเจตสิก

แต่พอมาสนธิกับคำอื่น เป็นคำอื่น เช่น กายกัมมัญญตา ก็แปลว่า ความคล่องแคล่วของ กองเจตสิก 3 คือเวทนา สัญญา สังขาร

หรือกายปาคุญญตา คือความคล่องแคล่ว                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                ของหมวดของเวทนา สัญญา สังขาร

ในสำนักทางศาสนาทั้งนั้น จะแปล กายว่าคือรูปธรรม ภายนอกทั้งนั้น ไม่เข้าไปหาภายใน เกิดความผิดเพี้ยน เมื่อเข้าใจคำว่ากายไม่ได้ การปฏิบัติธรรม ก็คือมิจฉาทิฐิ ตั้งแต่ต้น ขนาดความหยาบ ก็ยังเข้าใจไม่ได้ จะไปเรียนลึกซึ้ง ละเอียดได้อย่างไร

เมื่อเข้าใจกายไม่ได้ คำว่าธรรมกาย ถึงวิปริตไปเลย

 

ในสำนักธรรมกาย ที่เข้าใจ กาย วิปริตคือ เขาจะสอนว่า

1.ตายไปแล้ว จะมีสวรรค์วิมาน เป็นธรรมกาย ได้อันนี้เป็นการสร้างบารมี

 2.ต้องปฏิบัติธรรมกาย ให้เกิดในจิตใจเรา ให้ได้ตอนนี้ โดยปฏิบัติที่ศูนย์กลางกาย สะกดให้เกิดธรรมะ 0 ได้ ต้องนิ่ง หยุด แล้วเขาก็ไม่เข้าใจคำว่า กลาง

คำว่า กลางนี้ยิ่งใหญ่มาก มาจากคำว่า มัชฌิมะ หรือมัชเช

คำว่า กลางนี้หมายถึง กลางของมี และไม่มี

แปลว่า ระหว่างกลาง ของความมีและไม่มี*

พระพุทธเจ้าตรัสใน พระไตรปิฎก ล.16 ข.43 ว่า ...

การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า จะใช้คำว่า มีและไม่มี เป็นสำคัญ

ในโลกสมุทัย ก็จะเป็นโลกที่มี ยังมีสมุทัย

ในโลกนิโรธก็จะไม่มี

นิโรธคือไม่มี คือดับ ในโลกสมุทัยก็จะมี

คำว่ามี กับไม่มี ท่านใช้ศัพท์สองอัน

มี ใช้คำว่า อัตถิ กับโหติ

ไม่มี ท่านใช้คำว่า นัตถิ กับ นโหติ อธิบายสภาวธรรม

หากไม่เข้าใจจะงงว่า ผู้ปฏิบัติโดยที่ยังมี สมุทัย ผู้นั้นต้องล้างสมุทัยให้หมด

 

พระไตรปิฎก ล. 16 ข. (43) [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ..

ดูกร กัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็น ความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทัย) ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี (โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ)

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี (โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)

สรุปแล้ว ความเป็นกลางคืออะไร? คือ “มี”ก็ ไม่มี  “ไม่มี” ก็ ไม่มี*

 

ที่เอาเรื่องนี้มาพูดเพราะว่า สำนักธรรมกาย ก่อความร้ายแรง เลวร้ายที่สุด เขากล้าทำได้อย่างไร อย่างไม่เกรงกลัว ต่อกฎหมาย ศาลจะออก ใบสั่งมาอย่างไรก็ไม่ทำตาม เจ้าหน้าที่ ก็ยังอึ้งกิมกี่อยู่เลย ไปไม่เป็นเลย หรือไม่มีน้ำยาก็ได้ ขออภัย ไม่ได้ดูถูกดูแคลน แต่เขามีฤทธิ์อะไรมากมาย แล้วประเทศไทย ก็ตกเป็นของเขา เพราะเขาใหญ่กว่ากฏหมายแล้ว แม้มี ม.157 ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายก็ผิด แล้วจะผิดไหม ก็รู้ว่าคนผิดก็ไม่จับ หรือจับไม่ได้ ก็บกพร่องต่อหน้าที่ เขาเก่งฉิบหายเลย เขาเก่งในเรื่องฉิบหาย ทำความเสื่อมเสีย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ทำทานให้ปลื้มใจคือมิจฉาทิฏฐิ

มาอ่านหนังสืออยู่ในบุญ เดือนธ.ค.ต่อ หน้า16 ปลื้มกฐินธรรมชัย ทั้งกฐินทั่วไทยและต่างประเทศ

พ่อครูว่า….คำว่าปลื้ม ภาษาบาลีเรียกว่า อัตตมนตา

อัตตะคือตัวตน มนะ ก็คือใจ ประทับลงไปในใจ เป็นอัตตา เป็นขั้นที่ 6 ของภพชาติ

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา คือ ทำทานแล้ว มี...

1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทาน เทติ  จิตเกิดความหวัง ทำทานแล้วมีความหวัง

2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน)  ทาน  เทติ 

3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม)  ทาน  เทติ 

4.อิมํ  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ (ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ

 

อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทาน เพราะว่า เห็นว่าเป็นความดี

อันที่ 3 ยามา คือ ทำทาน เพราะเพื่อเป็นประเพณี

อันที่ 4 ดุสิต คือทำทาน เพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้

อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทาน เพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ

อันที่ 6  ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทาน เพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ

อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)

 

ทำทานแล้วจิตมีความหวัง คือข้อแรกที่มิจฉาทิฏฐิทำทานเลย เป็นอโยนิโสมนสิการ เป็นการทำจิตไม่ถ่องแท้แยบคาย ก็จะเกิดภพชาติ นี่ขั้นนี้เสียแล้ว ถ้าหลงผิด ก็จะทำทาน อย่างต้องมีความหวัง (สาเปกฺโข) เมื่อมีอาการจิต มากกว่านั้น ก็เป็นอาการจิตที่ผูกพัน (ปฏิพทฺธจิตฺโต) วัดไหนที่สอนเช่นนี้ก็คือ นัตถิ ทินนัง ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะสั่งสมอวิชชา สั่งสมกิเลสหนาๆๆ ขึ้นตลอดเวลา ในวงการธรรมะ สำนักใดๆ ที่อวิชชา ก็พากันเสริมกิเลส ตลอดเวลาเลย แล้วหลงผิด นึกว่าเป็นกุศล เป็นบุญ ชำระกิเลส แต่กลับเป็นการเพิ่มกิเลสๆ ไม่ใช่บุญเลย เป็นบาปเป็นอันมาก

นี่คือความไม่ถ่องแท้ ในการศึกษาธรรมะ

อันที่สาม เป็น สนฺนิธิเปกฺโข (สั่งสม)

อันที่สี่ อิมํ  เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ (ให้ข้ามภพชาติ)  ทาน เทติ คือ ตายไปแล้ว เราจะได้เสวย ภพชาติต่อไป  ธรรมกายสอนมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้ แม้แต่สำนักต่างๆ ส่วนมากก็จะสอนอย่างนี้ เป็นถึงสมเด็จ เป็นถึงสังฆราช ก็สอนกันเช่นนี้ สอนทำทาน ให้เกิดภพชาติ เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจอภิสังขารไม่ได้

1. ปุญญาภิสังขาร 2. อปุญญาภิสังขาร 3. อเนญชาภิสังขาร

อภิสังขารสามนี้ คือการปรับปรุงจิตของตน ทำให้กิเลสลด คือปุญญาภิสังขาร ทำได้ก็เป็นส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา

แต่ส่วนแห่งบุญนี้ ไม่ใช่ส่วนที่ได้มา แต่เป็นการเสีย เสียกิเลสไปเป็นส่วนๆ ทำบุญได้ 20 ก็คือเสียกิเลสไป 20 ทำบุญได้ 40 ก็เสียกิเลสไป 40 ​แต่ทุกวันนี้ ไปแบ่งส่วนบุญกันได้อีก มันก็ไม่ได้ ตลกไม่ออกเลย

พระอรหันต์ คือคนหมดบุญ ไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว อปุญญาภิสังขาร เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป (ปุญญปาปปริกขีโณ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านเอง เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป พระโมฆราชก็บอกว่า ท่านเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป

อรหันต์ทุกพระองค์ เป็นคน สิ้นบุญสิ้นบาป เขาก็อาจเคยฟัง แต่ไม่สะดุด เข้าใจไม่ได้

สงบของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง สงบ (สันตา)

ไม่ใช่สงบไม่ทำอะไร แต่คือสงบอย่างตัวกวน คือกิเลสไม่มี แต่ทุกคนสร้างสรรค์ ขยันหมั่นเพียร มีความเจริญดีทุกอย่าง นี่คือความสงบ ไม่ใช่สงบอย่างหยุดนิ่ง ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว อะไรๆก็ตายหมดเลย

 

อาตมานึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง โรเบิร์ต เทย์เลอร์ แสดงเป็นพระเอก เรื่องมัจจุราชจำแลง

พระเอกเป็นนักบิน ขับเครื่องบินมาเครื่องมันเสีย พระเอกเป็นคนอังกฤษนางเอกเป็นคนอเมริกา ก็พูดไปทางวิทยุ ก่อนเครื่องบินจะตก ก็พูดจีบกัน ก็เลยเห็นใจกัน สุดท้ายเครื่องบินตกจริง พอตกแล้ว ร่างพระเอกก็ถูกลอยซัดหาฝั่ง แล้วก็ฟื้นขึ้นมา แล้วมันตายหรือไม่ตาย? ต่อมาพญายมมาทวงชีวิต มัจจุราชลงมาในโลกมนุษย์ บรรยากาศทุกอย่างในโลก หยุดนิ่งหมดเลย คนกำลังตีปิงปอง เมื่อพระยายมเดินผ่าน ก็นิ่งแข็งหมดเลย เรื่องมันยาวต่อมา

มีอยู่ตอนหนึ่ง นางเอกเขาก็ไปเฝ้าพระเอก ตอนที่หมอกำลังจะช่วยชีวิต พอน้ำตานางเอกไหล น้ำตาก็แข็งอยู่ที่แก้ม เขาก็ทำเรื่องได้ซาบซึ้ง มัจจุราชก็สงสารนางเอก เห็นเม็ดน้ำตา มัจจุราชจะเอากลีบกุหลาบ มาช้อนน้ำตา เมื่อมัจจุราชเดินไป ทุกอย่างหยุดนิ่งหมด มีแต่พระเอกที่กึ่งเป็นกึ่งตาย ไม่ยอมตาย เพราะรักนางเอก ก็เลยเกิดการว่าความ ระหว่างสวรรค์กับโลก ต้องจ้างทนาย มาว่าความ แล้วทนายจะต้องตาย ให้วิญญาณ ไปว่าความอยู่บนสวรรค์ ตอนจบ เขาเป็นอย่างนี้

ชนะ แต่ทนายตายแล้วฟื้นไม่ได้ แต่ทนาย ดันเอาหนังสือกฎหมายไปด้วย พอว่าความเสร็จ ก็เลยต้องส่งหนังสือกฎหมาย มาให้แก่โลก เขาก็ได้ทำบันไดสวรรค์ ให้หนังสือค่อยๆตกจากบันได หนังเรื่องนี้ เจ็ดสิบกว่าปีผ่านมาแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอนไร้นิวรณ์แบบฤาษีกับแบบพุทธนั้นต่างกัน

มาสู่ความนิ่ง หาพาซื่อว่า ยังต้องนิ่งหยุด ใจให้หยุดนิ่ง เหมือนหลวงพ่อสดว่า ใจที่หยุดนิ่งสนิทได้นั้น จะมีสภาวะที่ว่างเปล่า เป็นสุญญตา

ปราศจากความคิดปรุงแต่ง และปราศจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง

 

 ปราศจากนิวรณ์ธรรมนั้นถูก แต่ปราศจากการปรุงแต่งนั้นผิด ต้องปรุงอย่างอภิสังขาร ชำระกิเลสหมด ก็เป็นอเนญชาภิสังขารเจริญด้วย  ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

ผู้ที่ไม่เข้าใจรูปนาม อย่างที่หลวงพ่อสดหรือธรรมกาย มีแต่ปฏิบัติที่รูป ทำทุกอย่างให้เป็นรูป คำว่า กายก็เป็นรูป ไม่เข้าใจว่า กายเป็นรูปกับนาม

ธรรมะสอง พอทำจากนามเป็นรูป รูปคือสิ่งที่เป็นหนึ่ง นามคือสิ่งที่เป็นสอง นามจะมีสิ่งที่เป็นสองเสมอ นามจะเป็นกายเสมอ

หากนามไม่เป็นกาย ไม่มีอะไรมากระทบ ไม่มีการเคลื่อนไหว นิ่งเฉยนั้นไม่ใช่นาม นิ่งเฉยๆเป็นรูป

หากธาตุรู้ ไม่ทำหน้าที่รู้ แต่ทำหน้าที่หยุดนิ่ง ไม่กระทบสัมผัส ก็ไม่เกิดอาการ

เฉพาะธาตุรู้ นี่ไม่มีอาการ ไม่มีความเคลื่อนไหวให้มีการทำงาน นามธรรมนั้น มันเป็นธาตุที่ ใช้ภาษาที่ลึกว่า

สังคตธาตุ คือธาตุที่มีการปรุงแต่งอยู่

อสังคตธาตุ คือธาตุที่ไม่มีการปรุงแต่งอยู่ เป็นธาตุบริสุทธิ์

ต้องกำจัด สิ่งที่เป็นอกุศลที่มาปรุงแต่ง โดยกำจัดตัวหยาบ แต่เบื้องต้น ที่เลวมาก เสียหายมาก เอาออกไปก่อน จัดการโอฬาริกอัตตาก่อน มันเห็นง่ายรู้ง่ายทำความเสียหายมาก ให้จัดการก่อน

เมื่อกำจัดแล้วมันหมด อาการไม่มีกิเลสในจิต มันเป็นอย่างนี้ ได้โครงสร้างการกำจัดกิเลส ก็เอาโครงสร้างมาทำกับกิเลสตัวต่อมา เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายเป็นลำดับ

คนที่ไม่มีลำดับ ไปนั่งสะกดจิตเอา มีแต่ภายใน ไม่มีภายนอก ไม่มีลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อนุสาสนีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

ตั้งแต่เริ่มสอนศาสนา อาตมาก็บอกว่า การนั่งหลับตาไม่ใช่ทฤษฎี คำสอนของพระพุทธเจ้า มาถึงวันนี้ เลยพฤศจิกายน มาเดือนกว่าๆ เลย 7 พฤศจิกายน มาไม่ถึงเดือน สี่สิบหกปีกับหนึ่งเดือน พูดว่า นั่งสมาธิไม่ใช่ของศาสนาพุทธ เขาก็ไม่กระดิกกันเลย ทางด้านศาสนาส่วนใหญ่ เขาก็ฟังผ่านหู อาตมาไม่มีเครดิตเสียเลย ไม่น่านับถือ ยืนยันว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ เอาของเดิมมาสอน หลายอย่าง เกือบจะหมด มันไม่เหมือนกับเขา แต่ก็ยังมีกุศลดีมาก ที่มีพระไตรปิฎก เป็นตัวยืนยันอ้างอิง

อาตมาก็เลยพอมีน้ำหนัก หากไม่มีพระไตรปิฎก อาตมาตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย ไม่ตายอย่างเขียด แต่อาจจะตายอย่างเขียบ ถูกเหยียบตาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มหาจัตตารีสกสูตร(สัมมาทิฏฐิ)

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ล.14 ข.252-281 มหาจัตตารีสกสูตร

7.  มหาจัตตารีสกสูตร  (117)

[252]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจักกล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

[253]  พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

พ่อครูว่า เหตุอันเกิดสัมมาสมาธิ ไม่ได้อยู่ที่บอกว่า ไปนั่งกายตรง ดำรงสติคงมั่น แล้วกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือไปเพ่งดูลูกแก้ว ไปเพ่งกสิณอื่นๆ ไม่ใช่ อันนั้นง่ายเกินไป เป็นของที่เขามีทั่วไป เป็นสมาธิสาธารณะ ไม่ใช่สมาธิเฉพาะของพระพุทธเจ้า หรือให้ชัดก็คือ ไม่ใช่สมาธิของศาสนาพุทธ เป็นสมาธิของเดียรถีย์ เป็นสมาธินอกศาสนาพุทธ

วันนี้ศีลก็ไม่มี ในศาสนาพุทธที่เขาเป็นกันอยู่ ปฏิบัติแต่วินัย 227 สมาธิก็เป็นสมาธิแบบเดียรถีย์ เป็นสมาธินอกรีต ไม่ต้องพูดถึงปัญญาหรือวิมุติ เพราะว่าเหตุเบื้องต้นมันไม่ถูกแล้ว ที่มามันไม่ใช่แล้ว

คือทางที่จะเดิน ทางนี้ไปนิพพาน ทางนี้ไปโลกียะ แล้วคุณเริ่มต้นเดินทางไปโลกียแล้ว จะไปนิพพานได้อย่างไร

 

[254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

[255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า …

 ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล 

ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล

สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล

ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี

โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี

มารดาไม่มี  บิดาไม่มี 

สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศ โลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี นี้มิจฉาทิฐิ ฯ

[256]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น  2  อย่าง  คือ 

1.สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  อย่าง1

2. สัมมาทิฐิของพระอริยะ  ที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค  อย่าง 1 

[257]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน?  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า …

1. ทานที่ให้แล้ว  มีผล                            2.ยัญที่บูชาแล้ว  มีผล   

3.สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล  4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดี  ทำชั่วแล้วมีอยู่             

5.โลกนี้มี                             6.โลกหน้ามี

7. มารดามี                           8.บิดามี         

 9.สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี 

10.สมณพราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่

นี้คือสัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

 

สัมมาทิฏฐิ 10 (ที่ยังเป็น “สาสวะ”) . . .เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์ (อุปธิเวปักกา).

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ ยิฏฐัง)

3.      สังเวย(เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ หุตัง)

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  .  
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง  ผลัง  วิปาโก) . .

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ ปโร โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7.      มารดา  มี  (อัตถิ มาตา) . . .

8.      บิดา  มี  (อัตถิ ปิตา) . .

9.      สัตว์ที่ผุดเกิดอุปบัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกนี้ มีอยู่  (อัตถิ โลเก  สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ โลกัง  สยัง อภิญญา  สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

คนที่ในโลกนี้ไม่เชื่อว่า ในโลกนี้ มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสัตบุรุษ แล้วพวกนี้มีความรู้เป็นของตนเอง สยังอภิญญา

อภิญญา คือความรู้ยิ่ง คือความตรัสรู้

ปัจจัตตัง คือรู้ได้เป็นของตนเอง ได้ของตนเอง ทำได้แล้วก็เป็นปัจเจก สั่งสมปัจเจก ได้มากพอสมควร ก็เป็นสยังอภิญญา เป็นโพธิสัตว์

พอถึงสยัมภู ก็เป็นพระพุทธเจ้าเลย เป็นเจ้าของธรรมะ เป็นธัมมสามี

ผู้ใดที่เห็นว่า ในโลกนี้ ไม่มีพระอาริย ไม่มีผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้ที่ อัตถิ โลเก  สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง  ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ก็ปิดประตูบรรลุธรรม

อาตมาจึงประกาศตนเอง เพื่อสอดคล้องกับความเชื่อ ประกาศว่านี่ไง เชื่อไหม เห็นหรือยัง?

ถ้าบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีพระอาริยะ คนนี้ก็ปิดประตูบรรลุธรรม เพราะเขานัตถิ โลเก เขาไม่เชื่อ คนนี้ปิดประตู พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดโลกนี้ ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

เขาจะซังกะตายกับศาสนา เขาจะไม่ได้ผลอะไรกับศาสนา เพราะไม่มีผู้บรรลุธรรม ก็ทำเล่นๆหัวๆไป ขออภัยที่ต้องพูด พออาตมาประกาศ อาตมาเป็นสมณพราหมณา สัมมัคคตา ทำไมต้องประกาศ เพราะเขาเรียนกันเป็นดร .เป็นเปรียญ ก็ไม่ได้บรรลุ เชื่อว่าพระที่บรรลุ ต้องไปนั่งหลับตา แต่พระเหล่านี้ ไม่รู้จักภาษาธรรมะ ขยายความไม่ได้ เพราะท่านไม่รู้เหมือนกัน เพราะเอาแต่นั่งหลับตา ก็ผิดทางมาตั้งแต่ต้น ท่านว่านั่งจนก้นแตก อาตมาก็จะพูดจนคอแตก น่าสงสารไหม

 

ทานที่ทำแล้ว มันก็ไม่มีมรรคผลอะไรจริงๆ เพราะทำทานแล้ว เอาทานสูตรมาขยายความ ก็คือทำทานอย่างตั้งภพชาติ มีสาเปกโข จะเอาอะไรต่อ มีภพต่อ นักธรรมะที่ไม่เข้าใจภพชาติ สร้างภพใส่จิตตัวเอง โดยสร้างความหวังจาก กรรมกริยา คุณจะทำทานหรือถือศีล ก็ไม่ต้องตั้งภพว่า จะได้อันนั้นอันนี้ มีแต่ชำระกิเลสแล้วก็จบ บุญทำหน้าที่สำเร็จหมด ชำระเสร็จก็หมด จบ ศาสนาพุทธไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร ปฏิบัติเพื่อสูญ

 

ตอนนี้ที่สนามหลวง วัตถุดิบมีเยอะ ขาดแต่แม่ครัวกับผู้ช่วย คือวันนี้วันที่ 31 คนมาเยอะแน่ ไม่ต้องพูดถึงกลางวัน กลางคืนคนหิวมาแน่

 

สมณะเดินดินว่า….สาระสำคัญวันนี้อย่างเรื่องของศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นศีลสำคัญของศาสนาพุทธ แต่ไม่มีใครพูดถึงเลย

สัมมาสมาธิ ที่เป็นสมาธิของพุทธก็มีในพระไตรปิฎก แต่ไม่มีคนเอามาพูดเลย เปรียญธรรมก็มีเยอะ เวลาปฏิบัติ ก็ไปนั่งหลับตาสมาธิกันหมดแหละ แม้แต่สัมมาทิฏฐิ ก็อธิบายผิด ไม่เข้าถึงจิตวิญญาณ ไม่เข้าหาการละกิเลสได้

พ่อครูยืนยันสาระศาสนา มีพระไตรปิฏกรับรองไว้ด้วย  ….จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:37:47 )

6 ปีที่พระพุทธเจ้าหลับตาปฏิบัติตามฤาษีเป็นทางผิด

รายละเอียด

ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะท่านได้ตรัสรู้มาแล้ว ฟังให้ดีอย่าใส่อคติฟังให้ดีเหมือนกับเทน้ำออกจากถ้วยเป็นถ้วยที่ว่างแล้ว

จะเรียกว่าท่านตรัสรู้ ท่านก็ทบทวนรู้ของเก่า ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย แล้วที่ท่านปฏิบัติธรรมมา 6 ปีมันปฏิบัติทางที่ผิด ท่านก็ได้เล่ามาแล้วว่า 6 ปีที่ท่านปฏิบัติไม่ใช่วิธีที่ถูกทุกอย่าง นั่งหลับตาก็ดี ทำการทรมานร่างกายต่างๆทุกอย่างแบบที่เขาพาทำกันออกป่าเขาเข้าถ้ำ แบบนี้มันผิดทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน สมณพราหมณ์ผู้มาเปิดเผยสัมมาทิฏฐิของพุทธ


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 11:24:08 )

6 ส.ค. 2518 ประกาศ “นานาสังวาส” กับสงฆ์หมู่ใหญ่!

รายละเอียด

ดังนั้น เมื่ออาตมาได้พา“ชาวอโศก”ประกาศตัวเองเป็น“นานาสังวาส”

กับ“เถรสมาคม”หรือ“สงฆ์หมู่ใหญ่”ที่บริหารพุทธศาสนา

ของประเทศไทยอยู่อย่างเต็มอำนาจ ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2518 

จากนั้นเป็นต้นมา อาตมาก็นับเอาวันที่ 7 ส.ค. 2518 

ที่ถือว่าเรา“สงฆ์ชาวอโศก”เป็น“นานาสังวาส”กับสงฆ์หมู่ใหญ่หรือ"เถรสมาคม”

ถูกต้องตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว 

อาตมาก็เริ่มสาธยายแจกแจงความเป็น“โลกุตรธรรม”

อย่างเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่บัดนั้น

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 518 หน้า 385


เวลาบันทึก 12 กรกฎาคม 2564 ( 12:12:40 )

600101

รายละเอียด

600101_เอื้อไออุ่นและสรุปโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 ปี 2559

 

         ที่ลานหินนั่ง หน้าน้ำตกสันติอโศก พ่อครูโอภาปราศัยกับลูกๆและสรุปโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 ปี 2559 ปิดท้ายพ่อครูให้โอวาทว่า....พวกเราต้องระวังการใช้อภิสิทธิ์....แม้จะมีก็อย่าไปใช้.....งานนี้มันไม่เหมือนงานวัดงานเทศกาลที่ไปเพื่อเสพสุข แต่นี่เป็นงานที่ไปแย่งการให้ ยอดเลย งานเทศกาลนี้เขาแจก เขาจัดกี่วัน...ไม่รู้เลยใช่ไหม? 1 ปีหรือ? 1 ปีนี่ 365 วันเลยนะ

                 

เป็นเรื่องที่แปลก คนมาชุมนุมรวมตัวส่วนมาก เพื่อที่จะเกิดการเอา จะได้ คนนั้นก็จะได้ มาออกร้าน ออกรวงของตนเองก็เพื่อจะเอาทั้งนั้น ค้าขายก็เพื่อหาทางได้เปรียบ

 

แต่เหตุการณ์คราวนี้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นเรื่องประหลาดมากคนตั้งเยอะแยะ มีที่ไหน คนเห็นคนมาเยอะก็จะมีคนมีความคิดจิตอาสา จากนร.เด็กๆบ้างมาคอยเก็บขยะ มาช่วยอันนั้นอันนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ประหลาดแปลก

 

อาตมาเองรู้สึกว่า อายุปูนนี้แล้ว เทศน์มามากก็ยังไม่เห็นผลแล้ว แต่อันนี้เขาไม่ได้ฟังธรรมอาตมา แต่เขามารวมตัวกันทั่วประเทศเลย พวกเราทำได้สบายเพราะฟังมาเยอะ แต่นี่เขามาทำงานเสียสละรับใช้ช่วยเหลือ ใครจะมาก็เกรงเขาลำบากต้องหาทางรับใช้ เป็นเรื่องที่สุดยอด

พวกรถราง มอเตอร์ไซค์ แทคซี่ ขอส่งให้ฟรี มันเป็นเรื่องประหลาด เป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่สุดในประเทศไทย มันตรงกันข้ามกับการมีกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มีแต่จะมาเสียสละช่วยกัน เป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว มันจะเกิดในช่วงจบปี 2559 มาถึงปี 2560 เป็นเหตุการณ์ที่ย้ำยืนยันความจริงที่มีในหลวงสิ้นพระชนม์ ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้

 

อาตมาเห็นอะไรซับซ้อนลึกซึ้งเป็นพฤติกรรมมนุษยชาติอันประเสริฐลึกซึ้ง แต่ทุกอย่างมาแต่เหตุ ทำไมมาเป็นอย่างนี้ได้

 

มันบอกอะไร เกิดอะไร จิตใจคนไทยไปรับความเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลกันตอนไหน มีพ่อค้าแม่ค้าเอาคุณธรรมจากต่างประเทศมาขายไหม เป็นเรื่องวิเศษสุดที่แสนแปลกประหลาด ก็สรุปแค่นี้ ว่ามันแปลก....

600101_เอื้อไออุ่นและสรุปโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 ปี 2559

 

         ที่ลานหินนั่ง หน้าน้ำตกสันติอโศก พ่อครูโอภาปราศัยกับลูกๆและสรุปโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 ปี 2559 ปิดท้ายพ่อครูให้โอวาทว่า....พวกเราต้องระวังการใช้อภิสิทธิ์....แม้จะมีก็อย่าไปใช้.....งานนี้มันไม่เหมือนงานวัดงานเทศกาลที่ไปเพื่อเสพสุข แต่นี่เป็นงานที่ไปแย่งการให้ ยอดเลย งานเทศกาลนี้เขาแจก เขาจัดกี่วัน...ไม่รู้เลยใช่ไหม? 1 ปีหรือ? 1 ปีนี่ 365 วันเลยนะ

                 

เป็นเรื่องที่แปลก คนมาชุมนุมรวมตัวส่วนมาก เพื่อที่จะเกิดการเอา จะได้ คนนั้นก็จะได้ มาออกร้าน ออกรวงของตนเองก็เพื่อจะเอาทั้งนั้น ค้าขายก็เพื่อหาทางได้เปรียบ

 

แต่เหตุการณ์คราวนี้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นเรื่องประหลาดมากคนตั้งเยอะแยะ มีที่ไหน คนเห็นคนมาเยอะก็จะมีคนมีความคิดจิตอาสา จากนร.เด็กๆบ้างมาคอยเก็บขยะ มาช่วยอันนั้นอันนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ประหลาดแปลก

 

อาตมาเองรู้สึกว่า อายุปูนนี้แล้ว เทศน์มามากก็ยังไม่เห็นผลแล้ว แต่อันนี้เขาไม่ได้ฟังธรรมอาตมา แต่เขามารวมตัวกันทั่วประเทศเลย พวกเราทำได้สบายเพราะฟังมาเยอะ แต่นี่เขามาทำงานเสียสละรับใช้ช่วยเหลือ ใครจะมาก็เกรงเขาลำบากต้องหาทางรับใช้ เป็นเรื่องที่สุดยอด

พวกรถราง มอเตอร์ไซค์ แทคซี่ ขอส่งให้ฟรี มันเป็นเรื่องประหลาด เป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่สุดในประเทศไทย มันตรงกันข้ามกับการมีกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มีแต่จะมาเสียสละช่วยกัน เป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว มันจะเกิดในช่วงจบปี 2559 มาถึงปี 2560 เป็นเหตุการณ์ที่ย้ำยืนยันความจริงที่มีในหลวงสิ้นพระชนม์ ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้

 

อาตมาเห็นอะไรซับซ้อนลึกซึ้งเป็นพฤติกรรมมนุษยชาติอันประเสริฐลึกซึ้ง แต่ทุกอย่างมาแต่เหตุ ทำไมมาเป็นอย่างนี้ได้

 

มันบอกอะไร เกิดอะไร จิตใจคนไทยไปรับความเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลกันตอนไหน มีพ่อค้าแม่ค้าเอาคุณธรรมจากต่างประเทศมาขายไหม เป็นเรื่องวิเศษสุดที่แสนแปลกประหลาด ก็สรุปแค่นี้ ว่ามันแปลก....

600101_เอื้อไออุ่นและสรุปโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 ปี 2559

 

         ที่ลานหินนั่ง หน้าน้ำตกสันติอโศก พ่อครูโอภาปราศัยกับลูกๆและสรุปโรงบุญมังสวิรัติ อาลัยในหลวง ร.9 ปี 2559 ปิดท้ายพ่อครูให้โอวาทว่า....พวกเราต้องระวังการใช้อภิสิทธิ์....แม้จะมีก็อย่าไปใช้.....งานนี้มันไม่เหมือนงานวัดงานเทศกาลที่ไปเพื่อเสพสุข แต่นี่เป็นงานที่ไปแย่งการให้ ยอดเลย งานเทศกาลนี้เขาแจก เขาจัดกี่วัน...ไม่รู้เลยใช่ไหม? 1 ปีหรือ? 1 ปีนี่ 365 วันเลยนะ

                 

เป็นเรื่องที่แปลก คนมาชุมนุมรวมตัวส่วนมาก เพื่อที่จะเกิดการเอา จะได้ คนนั้นก็จะได้ มาออกร้าน ออกรวงของตนเองก็เพื่อจะเอาทั้งนั้น ค้าขายก็เพื่อหาทางได้เปรียบ

 

แต่เหตุการณ์คราวนี้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นเรื่องประหลาดมากคนตั้งเยอะแยะ มีที่ไหน คนเห็นคนมาเยอะก็จะมีคนมีความคิดจิตอาสา จากนร.เด็กๆบ้างมาคอยเก็บขยะ มาช่วยอันนั้นอันนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ประหลาดแปลก

 

อาตมาเองรู้สึกว่า อายุปูนนี้แล้ว เทศน์มามากก็ยังไม่เห็นผลแล้ว แต่อันนี้เขาไม่ได้ฟังธรรมอาตมา แต่เขามารวมตัวกันทั่วประเทศเลย พวกเราทำได้สบายเพราะฟังมาเยอะ แต่นี่เขามาทำงานเสียสละรับใช้ช่วยเหลือ ใครจะมาก็เกรงเขาลำบากต้องหาทางรับใช้ เป็นเรื่องที่สุดยอด

พวกรถราง มอเตอร์ไซค์ แทคซี่ ขอส่งให้ฟรี มันเป็นเรื่องประหลาด เป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่สุดในประเทศไทย มันตรงกันข้ามกับการมีกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มีแต่จะมาเสียสละช่วยกัน เป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว มันจะเกิดในช่วงจบปี 2559 มาถึงปี 2560 เป็นเหตุการณ์ที่ย้ำยืนยันความจริงที่มีในหลวงสิ้นพระชนม์ ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้

 

อาตมาเห็นอะไรซับซ้อนลึกซึ้งเป็นพฤติกรรมมนุษยชาติอันประเสริฐลึกซึ้ง แต่ทุกอย่างมาแต่เหตุ ทำไมมาเป็นอย่างนี้ได้

 

มันบอกอะไร เกิดอะไร จิตใจคนไทยไปรับความเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลกันตอนไหน มีพ่อค้าแม่ค้าเอาคุณธรรมจากต่างประเทศมาขายไหม เป็นเรื่องวิเศษสุดที่แสนแปลกประหลาด ก็สรุปแค่นี้ ว่ามันแปลก....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:52:46 )

600101

รายละเอียด

600101_วิถีอาริยธรรม รับปีใหม่ 2560 สันติอโศก

สมณะเพาะพุทธว่า…ต้อนรับปีใหม่ ด้วยความคับคั่งของศาลาสันติอโศก มีผู้มาฟังธรรมกันมาก จะขออ่านข้อเขียนของพ่อครูก่อน ในหนังสือเราคิดอะไร?

ฉบับที่แล้ว 315 เรากำลังพูดถึงนายไชยบูลย์(อดีตธัมมชโย) เจ้าสำนักจานบิน“ธรรมกรวย”(อันว่า“กรวย”คำนี้ หมายถึง รูปทรง“กรวย” ที่มันมีปากบานออกไปไม่มีวันจะสิ้นสุดการยาวยื่นบานออกไป เพราะมันตรงกับ“ความรู้และความจริง”ของสำนักนี้นั่นเอง) เราอาศัยรูปลักษณ์ของ“กรวย”และเป็น“กรวย”ที่มีปากยื่นปากยาวออกไป อย่างไม่สิ้นไม่สุด แบบ“น็อนสต็อป”(nonstop) ทิ้งคำว่า“เวลากาละ”กันไปเลยทีเดียว

สำนักจานบินนี้เขาพากันปฏิบัติธรรมแบบก่อ“ภพ”สร้าง“ชาติ”ใส่จิตตนเอง ชนิดที่เป็น“กรวย”ปากยื่นยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นิรันดร เป็นสัสตทิฏฐิไปเลย ไม่มีความจบ มีแต่ไป..ไป ..ไปตะพึด ไม่มีเวลาจบ เขาพากันมี“ภพ”ไม่จบด้วย“เวลากาละ”

พุทธนั้นมีจุดหมาย“ดับภพ”จบ“ชาติ”แต่ตลอดเวลาของสำนักจานบินนั้นมีแต่สร้าง“วิมานสวรรค์”หลอกให้คนติดยึดประพฤติปฏิบัติเพื่อได้“สวรรค์”กันไม่รู้จบ และ“สวรรค์”นั้นที่แท้ก็เป็นแค่“ภพ”ที่“จิตเกิด”(ชาติ)“วิมาน”ขึ้นในจิตใจ ตามที่เขายัง“หลงผิด”กัน เขาจึงไม่มีทางพ้น“อวิชชา”

“สวรรค์”แท้จริงก็คือ “ภพ” ซึ่งผู้ยังมี“ภพ”อยู่แม้จะเป็น“สวรรค์”ก็ตาม ย่อมมี“นรก”เป็น“ธรรมะ 2”คู่กันอยู่แน่ “วิมาน”นั้นแท้ๆแล้วก็คือ ภาวะที่มันแค่ลมๆแล้งๆ ซึ่งประดาคน“สมมุติ”กันขึ้นว่า เป็น“สัจจะ”(สมมุติสัจจะ) แล้วก็ทำความรู้สึกของตนให้ “เป็นจริง”ขึ้นตามนั้น จน“รู้สึกว่าจริง” แล้ว“จำได้” เรียก“อาการ”นี้ว่า“สัญญา” และที่สำคัญคือ ตอกย้ำ“สัญญา”สั่งสมให้ติดให้ยึดไว้ในใจ

กระทั่ง“ติด ยึด”ว่า“เที่ยง”(สัญญายะ นิจจานิ)  “อาการ”นี้แลคือ“อุปาทาน”

ซึ่งถ้ายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นจริงที่เที่ยงแท้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขาดไปจากตนไม่ได้  ต้องเป็นต้องมีอยู่นิรันดร ก็เป็น “กิเลสาสวะ”

อะไรก็ตาม ที่คนยึดว่ามีอยู่“นิรันดร” สิ่งนั้นคือ“อนุสัย” แม้แต่“ความดีสุด-สูงสุด-วิเศษสุด”ปานใดๆก็ตาม เช่น “พระเจ้า”(God)

“พระเจ้า”หรือ God นั้นคือ “จิตนิยาม” หรือที่เรียกว่า“พระจิตวิญญาณ”นั่นแหละ และเป็น“พระจิตวิญญาณ”ที่พิสูจน์ได้ใน“คุณวิเศษ”ของพุทธ “คุณวิเศษสูงสุดของพระเจ้า” คนปฏิบัติให้เกิดในตนได้ ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ“พระเจ้า” ตั้งแต่ชีวิตยังเป็นๆนี้ “จิตวิญญาณ”มี“คุณวิเศษ”ระดับ“พรหม”คือพระเจ้าอันพิสูจน์ได้ และแสดงพฤติกรรมจริงปรากฏให้โลกมนุษย์เห็นได้

เรื่องเหล่านี้ นายไชยบูลย์ซึ่งเป็น“นักอ่าน”ตัวยงได้อ่านมามาก รู้มาก ก็“หลงตน” ทำตนเป็น“ศาสดาตัวเบิ้ม” หลอกมนุษยโลก ดังที่เขาได้ทำนั้นแหละ ล้วนคือความไม่จริง   ซึ่ง“ศาสดาตัวเบิ้ม”ของสำนักจานบิน(นายไชยบูลย์)ที่เขาใช้วาทกรรมเรียกตนเองเท่สุดๆ ว่า“อาจารย์ไม่ใหญ่” จริตวาทะนี้คือ

“เล่ห์ลิ้น”(tactics)อันคายแยบแสบแสนของนาย“ไชยบูลย์”หรือสมี“ธัมมชโย” คนผู้นี้มีชื่อแท้ฉายาจริงก็ยัง“หลอก”คนว่า เป็น“ผู้เต็มไปด้วยความชนะ-ผู้มีชัยชนะทางธรรม” 

แต่แท้จริงเขาแพ้ หรือชนะกันแน่...?

“ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด”

นายไชยบูลย์ หรือสมีธัมมชโย บริสุทธิ์จริง หรือเปล่า?

ซึ่งหลักฐานทั้งมวลในสิ่งที่เขาทำและคำพูดทั้งหลายที่เขาใช้ ล้วนส่อแสดงให้เห็นถึงความตลบแตลงตอแหลอยู่ในนั้นทั้งสิ้น

เช่น พูดไป-ทำไป จะให้คนเข้าใจว่า “เล่น” เหลาะๆแหละๆ เพ้อๆฝันๆ แต่เอาจริงเอาแท้นั้น ทำคนหลงใหลงมงายจริงๆ

พูดก็อย่างหนึ่ง  ทำก็อย่างหนึ่ง พูดเล่น พูดหลอก แต่เอา“เงิน”คนจริงๆ เอาชนิดที่สนิทเนียนด้วยนะ คือ เงินนั้น เป็น“เงินที่ทำทาน” เงินที่ให้แล้วให้เลย

แล้วเอาไปผลาญสารพัด เป็น“ของเล่นหลอกเด็ก”ทั้งนั้น ..ใหญ่นะ ..สวยนะ แต่ใหญ่และสวยอย่างวิตถารผลาญพร่าวัตถุทรัพย์สินเงินทองฉิบหายวายป่วงจริงๆ

คนไร้เดียงสา อวิชชาก็งมงาย หลงเชื่อ ดังที่เป็นและเห็นอยู่ นี่คือ จำนวนมวลคนไร้เดียงสา ด้อยปัญญา พากันทำให้เห็นอยู่แท้

เขาพูดเหมือนฝันๆเพ้อๆ แต่ทำจริงมันมีแท่งวัตถุ มีเลอะเทอะไปทั่ว ทั้งในประเทศ นอกประเทศ ซึ่งใช้เงินมหาศาล หลอกขูดรีดเงินคนมาได้ก็เอามาผลาญ สารพัดสิ่ง ออกแบบก่อสร้างพิลึกกึกกือ แปลกประหลาดขึ้นมาในโลก-อวดใหญ่อวดโต อวดสวยที่แสนเชย จะว่าเป็นศิลปะ ก็แสนจะแข็งโด่ เส้นสายสีสันก็ตลกกว่างิ้วผสมดิสโก้ฮิปปี้ ล้วนผลาญพร่า-ตั้งโรงเรียนฝันในฝัน-เป็นครูไม่ใหญ่-ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที-แล้วฝันเป็นตุเป็นตะ ..พูดไป..อีเดียต

พูดเชิง“เล่น”แต่เจตนาให้คนหลงเชื่อว่า“จริง” สะกดจิตเอาด้วย หลอกด้วย ใช้เล่ห์กลสารพัด คนโง่ โดยเฉพาะถูกสะกดจิต ก็หลงใหล งมงาย เชื่อถือ เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป คนก็ช่างกระไร..โง่เง่าให้เขาหลอกได้ เป็นตุเป็นตะ เป็นไปตามที่เขาใช้จริต การวาทกรรม  ซึ่งก็มีคน“โง่หนัก”อยู่กลุ่มหนึ่ง  แต่ก็มากพอดู ทว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเด็ดขาด

คนไทยที่มีวิญญาณไทยแท้ส่วนมาก ไม่ใช่คนโง่ที่จะให้นายไชยบูลย์หลอกได้แน่  

 

ภพ ชาติ สวรรค์ นรก คืออย่างไร?

นายไชยบูลย์ใช้“การสะกดจิต”(hypnosis หรือ meditation) ที่เขาทำได้ตรงตามวิธีการสะกดจิต..เป๊ะ! เขาจึงมีผลได้มวลคนถูกสะกด

การหลับตาเพ่งเข้าไปสะกดจิตตน ให้จดจ่ออยู่ที่จุดหนึ่งจุดเดีย ว กดให้แนบแน่น แน่วแน่อย่างสนิท คือ meditation

นี่แหละ เป็นการสะกดจิต ทั้งสะกดจิตตนเอง เกิดพลังงานทางจิต มีประสิทธิภาพ และทั้งให้คนอื่นสะกดจิต แล้วสั่งการให้ทำตามได้ง่ายดาย เป็นทาสผู้ไม่มีความคิด เป็นของตนเอง ปฏิบัติตามนายสั่งทุกอย่าง

นายไชยบูลย์ทำทั้งสองอย่าง เพื่อเอาประโยชน์ ได้อย่างมหาศาล ดังที่เห็นอยู่

เขาหลอกคน ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่าง เป็นต้นว่า หลอกในเรื่อง“ทาน”  เขาสามารถสะกดจิตสั่งการ ปลุกระดมให้คนมา“ทำทาน”เข้าไปๆๆ ให้ติด-ให้ยึดมั่นถือมั่น -ให้หลง(โมหะ)ว่า ทำทานแล้วได้

“ภพ-ชาติ”เป็นของจริง แล้วให้คนมา“ทำทาน”กับตนเอง  แล้วจะได้“สวรรค์”ทั้ง 6 ชั้น

สวรรค์คือ“ภพ

อย่าลืมนะ! “ภพ”จริงๆคือ อาการของใจที่ยัง“มีอยู่”ในขณะปัจจุบันนี้ จึงจะเรียกว่า“จริง” เพราะมีในปัจจุบัน และสามารถยืนยันกับผู้อื่น ร่วมสัมผัสรู้ด้วย

แต่“ภพในอนาคต”นั้น ยังไม่เกิด ยังไม่มี ..ใช่มั้ย? ยังเพ้อฝันอยู่เท่านั้น ยังไม่มีใครรู้ใครเห็นเลยว่า “อนาคต”ที่ว่านั้น มันเป็นอย่างที่พูดหรือเปล่า? จะเป็นได้หรือเปล่า? หรือว่ามีแต่“โม้”เกินความจริง!!!

ย้ำกันอีกทีนะว่า “ภพ”คือ อาการที่“ยังมีอยู่ในใจ”ขณะนี้ เป็น“หทัยรูป” อยู่ที่จิตคน

ส่วน“ชาติ”ก็คือ “อาการนั้นๆ” ที่ยัง“มีอยู่”ในใจ มีอยู่ในขณะปัจจุบันนี้หลัดๆนี้

ขอเน้น..“ยังมีอยู่”นะ! เป็น“ชีวิตรูป”ให้เราสามารถกระทบสัมผัสเห็น“อาการ”ที่ยังมี“อินทรีย์”(พลังงานที่เคลื่อนให้รู้อยู่)นั้นๆ ในปัจจุบันโทนโท่ โต้งๆอยู่ ยังไม่หายไป

แต่นายไชยบูลย์หลอกคนนั้น เอาทั้งสิ่งที่เป็น“อดีต”ที่คนระลึกรู้ตามไม่ได้ (และนายไชยบูลย์พูดนั้น จริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้) โดยเฉพาะ เอา“อนาคต”มาหลอกทั้งนั้น (อนาคตคือ ภาวะที่ยังไม่มีแน่ๆ กว่าอดีต กว่าปัจจุบัน) ยังไม่มีอะไรปรากฏ ยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ได้เลย แต่กว่า

จะพิสูจน์ได้ ต่างก็จะตายจากกันไปก่อนทั้งนั้น เพราะที่เขาหลอกไว้ มันคือ ความเป็น “อนาคต”ทั้งสิ้น ยังมาไม่ถึงทั้งนั้น แล้วใครจะไปเอาผิดเขาคนเดียว ไม่ได้นะ ก็ต้องเอาผิดตัวเองด้วย เพราะเขาก็บอกแล้วว่า “วิมานในอนาคต” แต่คนแห่ไปเชื่อเขาเอง! 

 นายไชยบูลย์หลอกอย่างได้ผลว่า “ภพสวรรค์ในอนาคต” เป็นของจริงนะ!!!

ทั้งๆที่อนาคตคือ สิ่งที่ยังไม่มีจริงเลยสักอนาคต และสิ่งที่นายไชยบูลย์หลอกนั้น เป็นสิ่งที่เขาวาดปั้นขึ้นมาเอง ลมๆแล้งๆ แต่เขาเอากิเลสคนเป็นตัวตั้ง แล้วพูดเพ้อพก ปั้นสร้างขึ้นให้ถูกกิเลสคน ใครอยากได้อะไรอย่างไร เขาก็พยายามหลอกตามนั้นทั้งนั้น ว่า มีหมด

เป็นการหลอกเด็กๆไร้เดียงสา ยังไง ยังงั้นเลย  ซึ่งจริงๆก็คือพากัน “อวิชชา”แท้ๆ 

เขาหลอกว่า ขอให้“ทำทาน”เลย   ทานให้เขานี่แหละ ทานหมดตัวเลย ตายเป็นตาย ทานไม่เหลือ รับรอง“ได้คืนแน่ แต่ในอนาคต” โน่นนะ!!!! (จริงไม่จริงไม่มีใครรู้) “ทาน”ให้แก่เขานี้ เขาสามารถบรรดาลให้ได้นะ เพราะเขาสูงส่งมาก สูงส่งเป็นต้นธาตุต้นธรรม ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย ดังนั้น ทานให้เขานี่แหละแล้วจะได้“ผล” เป็น“วิมานในอนาคต”ตามที่เขาสรรหามาพูดหลอกว่า สวยงาม หรูหรา ใหญ่โตมหาศาลพิลั่นพิลึก น่าอยากได้ อยากมี อยากเป็น ตามกิเลสคน

“อนาคต”คือ ความยังไม่เกิดขึ้นในโลก  เป็นเพียง“ภาพเพ้อฝัน”เท่านั้น ยังไม่มีในโลก ซึ่งจะปั้นสร้าง ให้มากให้ใหญ่ให้แปลก ให้สวยถูกใจ อย่างไรก็ได้ แต่หลากหลายสารพัดเพ้อไป มันแค่“คิดได้”เท่านั้น แต่เป็นจริงในโลกไม่ได้ มันสนองกิเลสอยากใหญ่ อยากสวย อยากหรูหรา อยากมโหฬารพันลึก ที่ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างยิ่ง

คือ หลอกให้หลงติดยึด“สวรรค์ 6 ชั้น” ทุกชั้น แต่ละชั้น ครบทั้ง 6 ชั้น ได้สำเร็จแล้ว เขาก็สำทับกันอย่างหนักเลยว่า ให้ทำใจในใจเกิด“ความปลื้ม” (อัตตมนตา) เข้าไปๆๆๆๆให้มากๆๆๆ คนอวิชชาก็ทำตาม ก็โง่กันหมด

แล้วก็สำทับอัดเอา“ภพ-ชาติ” เข้าไปใส่ใจหนักจัด แน่นขนัด หนาเตอะเป็นอนุสัย อย่างประมาณไม่ได้

การตอกย้ำ“ความปลื้ม”(อัตตมนตา)ใส่จิตตน นั้นคือ การสำทับให้มี“ความเกิด”ที่เรียกว่า “ชาติเป็นเทวดาใน“ภพ” ที่เรียกสูงสุดว่า “ปรนิมมิตวสวัตตี” ก็ยิ่งมี “ภพ” ลึกสุดๆเนียนแน่นยิ่งขึ้นๆๆๆ ด้วย“อวิชชา”แท้

“ความปลื้ม”นี้ ที่บาลีว่า“อัตตมนตา”นั้น ก็ยืนยันพยัญชนะชัดเจนอยู่แล้วโต้งๆว่า มัน“อัตตา”(อัตต)แท้ๆ ซึ่งอยู่ที่“ใจ”(มน)นี้ เพราะหากใคร“เริ่มมีการได้”ขึ้นในจิต แล้วเกิด“อาการ”เป็น“ความปลื้ม” และยิ่งตอกย้ำ“ความปลื้ม”นั้นใส่จิต ยิ่งกระหน่ำแน่นเข้าไปๆ อัดๆจัดๆแรงๆเข้าไปๆ ก็เป็น“อัตตมน” คือ “ใจที่เป็นอัตตา”นั้นก็ยิ่งๆๆๆ ขึ้นนั่นเอง

ที่ผู้ไม่รู้ คือ ผู้“อวิชชา”อยู่ จะหลงตอกกระหน่ำย้ำซ้ำด้วย“อาการ”ชนิดนี้ ใส่จิตตนเอง จึงเท่ากับตอก“อวิชชา” ให้หนักให้แน่นเข้าไปๆ เป็น“ภพ”ขั้นที่ 6 หลังจากตอก“ภพ” ใส่ใจตน ตั้งแต่ต้นมาถึง 5 ชั้น ทุกลำดับแล้ว แล้วก็มาตอกกระหน่ำ ซ้ำสุดๆกันอีก จึงยิ่งเป็นผู้ได้“ภพ”ทั้งแน่นทั้งหนา ทั้งหนักทั้งหนึบ จัดมากขึ้นไปอีกสุดๆจริงๆ

มันไม่เป็นการลดละ หน่ายคลาย“ภพ-ชาติ” ให้แก่ตนเอาเลย ตั้งแต่“ภพ”แรก  คือ ตั้งแต่จาตุมหาราช มาเรื่อยทั้งซับซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อน (ปฏิสังสัคคะ) ทั้งย้ำแล้วย้ำอีก

นี้คือ การปฏิบัติผิดที่มิจฉาทิฏฐิแท้ๆจริงๆ อัดแน่นเต็มที่ 100 %  

“ภพ”คือ “อาการที่‘ยังมีอยู่’ในใจ เป็น“ภาวรูป” ซึ่งผู้เรียนรู้ตามพระวจนะ ที่ตรัสไว้ของพระพุทธเจ้า จนสามารถ“จับอาการ” ที่เป็น“ชาติ” ที่เป็น“ภพ”นี้ได้ ภาวะนั้นคือ “หทัยรูป

หลงกันว่าเป็นแดนที่น่าได้น่ามีน่าเป็น จึงมี“ภพเทวดา 6 ชั้น”นี้เท่านั้น ไม่มี“ภพ”อื่นใดเลย ที่คนหลงยึด หลงอยากได้“ภพ”ในโลกของคนที่หลงอยากเป็น อยากมีอยากได้ ทั้งหมดทั้งมวลของปุถุชน ผู้ยังหลง(โมหะ) หรือยังอวิชชาอยู่ ทั้งหลายก็มีแค่“ภพ 6 ภพ”นี้เท่านั้นเอง ในความหลง ในความโง่(อวิชชา) ของประดาคนผู้“อวิชชา” อยากเป็นอยากมีอยากได้  ไม่มี“ภพ”อื่นเลย

ผู้หลงทำ“ภพเทวดา”ใส่ตน ผู้นั้นก็คือ ผู้ยังมี“ภพนรก”อยู่ในตน ไม่หมดไปจากใจ

และจริงที่สุดว่า ไม่มีใคร“อยากได้นรก” มาให้ตนเด็ดขาด แต่ขณะใดคนหวังสวรรค์”ขึ้นมา (สาเปกโข) ขณะนั้นนรกก็ตามติดขึ้นมาด้วย เมื่อคนผู้นั้น ไม่รู้จัก“สวรรค์เก๊” แล้ว“หวังสวรรค์”ขึ้นใส่ใจตน นี่แหละ“ภพ”ก็เกิดขึ้นทันที ณ บัดนั้น

ดังนั้น จึงพึงเรียนรู้“เหตุ”ดีให้ได้ แล้วทำ“เหตุ”นั้น ให้เต็มสมรรถนะเถิด นั่นคือไม่ต้อง“หวัง”เลย สร้างแต่“เหตุ”นั้นให้เต็มก็พอ

“เหตุ”ที่เต็มบริบูรณ์ ก็คือ“ผล”นั่นเอง  จึงไม่ต้องให้มีอาการ“หวัง”ขึ้นในจิต

ฉะนี้คือ “อุเปกโข” ซึ่งมิใช่“สาเปกโข

เห็นชัดมั้ย?   “เปกข”หรือ“เปกโข” คือ ภาวะของผู้เพ่งดู ผู้มองหา

ผู้ที่เห็นส่วน “อุ”นั้นคือ พ้น เหนือ บน ขึ้น นอก

 “สา” คือ ภริยา,สุนัข (ภาวะไม่ควรเป็นไม่ควรมี)

อุเปกโข คือ  ผู้“พ้นจากภาวะไม่ควรมี”นั้น

สาเปกโข นั้นคือ ผู้ยังไม่พ้นภาวะที่ไม่ควรมี จึงเท่ากับ ผู้ยังมี ยังเป็น ยังมีหวังอยู่

อุเปกขา จึงเป็นการพ้นไปจากภาวะหวังนั้นแล้ว เหนือไปจาก ภาวะมีหรือเป็นนั้นๆ หลุดพ้นไปจากภาวะนั้นแล้ว จึงเป็นผู้ว่างจาก“ภพ”นั้นๆไปแล้วจริง เป็นผู้ “ไม่มีภพ-เหนือภพไปแล้ว”

ผู้ปรารถนา“ความไม่มีภพ”หรือ“ความเป็นสหายแห่งพรหม” ก็ต้อง“ทำใจในใจ” ให้เป็น“พรหม”ให้ได้อย่างสัมมาทิฏฐิเช่นนี้

ผู้หมดสิ้นเกลี้ยง“ภพเทวดา”ในใจตน

ผู้นั้นคือ สหายแห่งพรหม หรือคือ อรหันต์

ถ้าไม่“สัมมาทิฏฐิ” แล้ว“สัมมาปฏิบัติ” จนกระทั่งบรรลุ“สัมมาปฏิเวธ” ..ก็ไม่มีจริง

ที่จริง..“ภพเทวดา”มัน“ไม่มีตัวตนจริง”เลย มัน“อนัตตา”จริงแท้ต่างหาก มันเป็น“ชาติ” ที่กำหนดขึ้นใน“อนาคต”ใน“ปัจจุบัน”แค่นั้น แล้วหลงผนึกแน่น ใส่“อนุสัย”ไว้ด้วย

ความโง่คือ“อวิชชา”เป็น“อดีต” จึงเป็น“ผู้มี” ยังไม่เป็น“ผู้ว่าง”  เห็นความจริงนี้มั้ย?

หากเป็นปัจจุบันที่“สัมผัส”อยู่ในขณะนี้ ก็มีความรู้สึกหลัดๆอยู่ว่า เป็น“สุข”ขณะนี้ สมมุติของคุณมีอาการว่า“สุข”

แต่ผู้ไม่ “สุข”ด้วย เขากลับ“ทุกข์” เขาก็“จริง”ของเขา

ซึ่ง“สุข-ทุกข์”นี้เมื่อหมดเวลาแล้ว มันก็หายไปทั้งคู่ มันมีอยู่ที่ไหนกัน?

 เว้นแต่ว่าใครยึดไว้ใน“ความจำ” ของ“จิตนิยาม” แต่ละคนเท่านั้น

สุขหรือทุกข์” มันจึงไม่มีอะไรจริง อันไหนแท้ มันจึง“เท็จ”ทั้งคู่ หรือไปยึด“จริง” กันเองแต่ละคนต่างหาก มัน“สมมุติ”จริงๆ

ดังนั้น “สุข”ก็คือ “สุขเท็จ”(สุข + อลิกะ = สุขัลลิกะ) สุขไม่จริง สุขไม่ใช่ของแท้อะไร มันเป็นแค่“อารมณ์ลวง” ที่ต่างคนต่าง“สมมุติ”เอาของตนๆ ที่แตกต่างกันไป เป็นความหลงยึด

สุ แปลว่า ดี ; แปลว่า ว่าง

คำว่า “สุข”จึงแปลว่า ว่างนั้นแหละดี

ดังนั้น “สุข”ที่มันอร่อย,สนุก ฯลฯ คือ ไม่ว่าง จึงเป็น“เท็จ” เป็น“อารมณ์เก๊หรือลวง”

“อารมณ์ลวงหรือความรู้สึกเก๊” (เคหสิตเวทนา)นี้แหละ ที่เราจะต้องทำให้มันหมดสิ้นไปจากจิตเรา เพราะจริงๆนั้น“มันไม่เที่ยง-มันเป็นทุกข์

เพราะแท้ๆแล้ว “มันไม่มีตัวตนจริง”หรอก คนที่“ยึดว่าจริง” จึงมีสุขมีทุกข์

ที่แท้ เกิดจากสัมผัส ที่มันมีเหตุปัจจัยเท่านั้น ขาดจาก“สัมผัส”นั้น มันก็หายไป

ผู้ที่เห็นว่า“ไร้สาระ” ก็ไม่ต้องไปเสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอนอะไรให้กับมัน

สุข คือ อารมณ์หรือความรู้สึก(เวทนา)ที่ใคร“หลงยึดให้มีเฉพาะตนเป็นสัญญายะ นิจจานิ”ของใครของมัน เท่านั้นจริงๆ

จึงเป็น“เท็จ”(อลิกะ = เท็จ) สำหรับผู้เห็นต่าง เห็นแยกกัน สำหรับผู้อื่นหรือสากล

ผู้มี“ความรู้สึก”นั้นว่าเป็น“เท็จ” ย่อมเห็นว่า“ไร้สาระ”ก็ไม่เอา ไม่สนใจ เมื่อศึกษาดีแล้ว จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความจริงนั้นๆได้แท้

ใครไม่สนใจศึกษา ปฏิบัติพิสูจน์ เขาก็“สูญเปล่าธรรมดา” เขาก็ไม่ได้ความจริง

สูญเปล่าธรรมดา”คือ อะไร?

คือ ไม่ได้ทำจิต ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ จากการวิเคราะห์วิจัย“ธรรมะ 2” อัน เป็นองค์ประชุมของ“รูปกับนาม”ที่เรียกว่า“กาย” ได้แก่…

 1.“ภาวะที่ถูกรู้”คือ“รูป”(object)

และ 2.“ภาวะของธาตุรู้ของเรา”คือ“นาม”(subject)

นี้คือ“ธรรมะ 2”(เทฺว ธัมมา) ที่ไม่ได้เรียนรู้ “กายในกาย” จึงเป็น“ความสูญเปล่า”ข้อที่ 1

ข้อที่ 2  ไม่ได้เรียนรู้“เวทนาในเวทนา”

ข้อที่ 3  ไม่ได้เรียนรู้“จิตในจิต”

เขาจึงไม่มีสิทธิ์รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต” หรือ “วิญญาณ” หรือ“มโน” ก็ได้แต่เป็นทาส “จิต” งมงายอยู่กับ“จิต”ที่เป็น“อกุศล”มันนำพาไป

เพราะจิตเขาจะมีแต่บานปลายออกไป เป็นภพเป็นชาติของ“วิมานสวรรค์”ตามที่เขา“ตั้งจิตปรารถนา”กัน ว่าจะรวยๆ-จะสวยๆ -จะใหญ่ๆ -ที่จะเสพสุขๆ -จะมีอำนาจที่สุดในโลก จึง“มีอัตตา”ไม่มีจบเลยจริงๆ

ดังนั้น ในทุกขณะของเวลา เขาจึงไม่มีความลดละ หน่ายคลาย เพื่อที่จะหมดสิ้นภพจบชาติ แต่อย่างใดเลย

มีแต่พากัน“ประพฤติอย่างกับเล่นลิเก หรืองิ้ว”(dramatics)สร้างภาพ “ความเป็นระเบียบ เรียบร้อยยิ่งล้น-ประดิษฐ์ประดอย ประดับประดา สวยสดงดงามเหลือหลาย -ร่ำรวยมโหฬารมหาศาลสุดๆ -หรูหราเริดอลังการ ยิ่งใหญ่ไพศาลพันลึก -เป็นผู้ดี แสนสุภาพยิ่งยอด หาที่ติมิได้ ฯลฯ” ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ประมวลเอา“ความดี..พื้นๆ” -เอา“ความงาม..ตื้นๆ”-เอา“ความลึก..ลับๆ” และเอา“วิมาน..เพ้อๆ” เต็มไปด้วย “ความเว่อร์..สุดๆ” รู้กันได้ง่ายๆต่างๆ มาสร้างภาพโชว์เสียจนเว่อร์  มหาเว่อร์ ชนิดที่ไม่เหลือ ธรรมชาติของ รูปลักษณ์ลีลาสีสัน ของปกติคน-ธรรมดาชน-สามัญสังคมเลย มีแต่เพริศพริ้งฟุ้งฟิ้ง.  

 

กายที่บานเป็นกรวย

ที่อาตมาพูดนี้ ไม่ใช่เป็นการประชดประชันอะไร แต่เป็นการพยายามใช้ภาษา ให้สื่อความหมาย ตรงสภาพที่สุด ให้ตรงสภาวธรรมทุกชนิด ถึงจุดแท้ เท่านั้นเอง

เพื่อการศึกษา ตั้งใจศึกษากันดีๆ

[อาตมาต้องขออภัย ต่อผู้ที่ติดใจ ในการใช้สรรพนาม เรียกขานเขาว่า  “นายไชยบูลย์”เพราะเขาปาราชิก เป็น“สมี”แล้วจริง เขาไม่ใช่ภิกษุแล้ว อาตมาเลี่ยงความจริงนี้ไม่ได้ เพราะมันมีหลักฐาน ยืนยันถึง 2 กรณี คือ ปาราชิก ข้อโกงทรัพย์ 1 กับข้ออวดอุตตริมนุสสธรรม ที่ไม่มีในตนอีก 1] 

ที่อาตมาเรียก“ธรรมกรวย” ก็เพราะความเป็น“กรวย”นั้น มันไม่ใช่“กาย” มันตรงกันข้าม กับคำว่า“กาย” ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนกัน 360 องศา ชัดแท้ทีเดียว ทั้งรูปร่างของ ความเป็น“กรวย” มันก็แสดงรูปลักษณ์ มีปากบานยืดยาวออกไป และสามารถ ที่จะบานออกไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อันตรงกันกับ พฤติลักษณะ ที่ชาวสำนักจานบินทั้งหลาย ปฏิบัติประพฤติกันอยู่อย่างยิ่ง

และความเป็น“กรวย”ของชาวจานบินนั้น ไม่มี“นามธรรม” ที่เป็น“ธาตุรู้”เลยตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “จิตบ้าง,มโนบ้าง, วิญญาณบ้าง” อยู่ในความเป็น “กาย” แม้แต่สักนิดน้อยด้วย (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230)

กล่าวคือ สำนักจานบินนี้ ประพฤติปฏิบัติกัน อย่างมี“แต่สร้างรูปที่ไร้ความรู้”

ลักษณะเข้าข่าย ความเป็น“กรวย”เท่านั้น

ซึ่งภาษาที่ใช้คือ“กรวย”นี้ มันมีอักษร ก. เดียวกันกับ คำว่า“กาย”ด้วย จึงใช้นำมาให้เทียบได้ง่ายดี ว่า “กรวย”นั้นไม่ใช่“กาย” ดอกนะ “ธรรมกาย” จึงเป็นแค่ “ธรรมกรวย” 

เพราะสภาวะของความเป็น“กรวย” กับความเป็น“กาย” มันแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ ที่จะใช้ชี้ให้เห็นได้ดี ว่ามันเกี่ยวกับ“รูป” ของความเป็น“กรวย” และมันเกี่ยวกับ“นาม” ความเป็น“กาย”ได้ชัดครบดีด้วย

จะได้สำนึกสำเหนียกว่า จริงๆนั้น ที่สำนักจานบิน กำลังปฏิบัติตน และได้ผลเป็นอยู่คือ“กรวย” หรือคือ“กาย”กันแน่?

ในความเป็น“กาย”ของชาวจานบิน ปฏิบัติอยู่นั้น เขาได้แค่วัตถุที่มีแต่“ร่าง”

(สรีระ) อันประกอบด้วย ดินน้ำไฟลม ที่เป็น“มหาภูต 4” เท่านั้น มันไม่มีการเรียนรู้“กาย” ที่เป็น“นามธรรม”ร่วมอยู่ด้วยเลย ซ้ำมิหนำ ปู้ยำปู้ยี่“นามธรรม” ป่นปี้ให้เป็น “กรวย” ปากบานยื่นยาวไปกับดินน้ำไฟลมเสียอีก จึงเป็นได้แค่“อุตุนิยาม” อันเป็นองค์ประชุม ที่ไม่ใช่“กาย” จึงมิจฉาทิฏฐิ ไม่เป็นศาสนาพุทธเลย 

เพราะการปฏิบัติกับความเป็น“กาย” ของชาวจานบิน หรือของชาวพุทธสำนักอื่นๆทั้งหลาย ที่ยังมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็น“การทำใจในใจ” (มนสิการ) เบื้องต้นแท้ๆ ในการปฏิบัติของพุทธนั้น ยังมี“ชาติ” (การเกิดของจิตหยั่งลง เป็นภพอยู่) เนื่องจาก ยังหลงใหลความใหญ่ -ความรวย-ความมาก ไม่มีที่สุดอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วย การหวังใน“ภพ” (สาเปกโข) ดังจะเห็นได้ว่า การศึกษา และปฏิบัติของชาวจานบิน และ สำนักชาวพุทธอื่นทั้งหลาย ที่มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการเรียนรู้ไปตาม“โพธิปักขิยธรรม 37”กันเลย

ซึ่งการปฏิบัติธรรมของพุทธที่เป็น “โลกุตระ”นั้น...

ต้องมีทั้ง“วิตก-วิจาร-วิจัย”

(analyze)กันเป็น“3 เส้า”ที่เริ่มตั้งแต่“กายในกาย”เป็นขั้นต้นไป เป็นข้อแรก

จึงจะแยกกายในกายได้ ว่าภาวะอาการอย่างไรเป็นกาย -ภาวะอาการอย่างไรเป็นจิต

วิตก คือ จิตที่เริ่มก่อ เริ่มดำริขึ้นมา

วิจาร คือ พฤติหรืออาการที่จิตเป็นอยู่

วิจัย คือ แยกแยะอาการของจิตให้ได้

ดูกันให้ดีเถิด สำนักจานบิน และชาวพุทธยุคนี้ทั้งหลาย ไม่มีดังว่านั้น แต่อย่างใด เพราะการปฏิบัติ ที่จะให้เกิดความเป็น “สมาธิ”ของสำนักจานบิน“ธรรมกรวย” หรือในสำนักชาวพุทธทั้งหลาย แม้ในเมืองไทย ก็ปฏิบัติแบบ“สะกดจิต” (hypnotize) กันถ่ายเดียวทั้งนั้น ไม่เรียน“กาย” ซ้ำมิหนำ เข้าใจผิดความเป็น“กาย”เป็นแค่“อุตุนิยาม”เสียอีก

รายละเอียดของ“รูป 28”ก็ไม่เรียนรู้ จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ ในความเป็นรูป 28” อย่างละเอียดบริบูรณ์ ครบครันก่อน ซึ่งเป็นภายนอก เบื้องต้น

เพราะสอบตกตั้งแต่ปฏิบัติอย่าง “ไม่มีสัมผัสภายนอก”มาแต่ต้น

เห็น“ความมหัศจรรย์” ของความเป็นลำดับ ที่ราบเรียบ ลาดลุ่ม เหมือนฝั่งทะเล ไม่ตะปุ่มตะป่ำ ไม่โขลกเขลก ไม่ขรุขระ ไม่โด่ไม่เด่ ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่สะดุด ไม่เหลือจุด ไม่เหลือเศษละอองธุลี สีสัน หม่นมัวใดเลย  

ขาวผ่อง สะอาดสนิท ใสสว่างวามประกาย สยายราศี มีฉัพพัณณ์ ครันครบ 6

นั่นคือ “สะอาด-สว่าง-สงบ-สุภาพ-สามัคคี-สัมบูรณ์” เห็นได้ ปรากฏจริง 

ส่วน“กาย”คือ การมีทั้ง“รูป”ทั้ง“นาม” เป็น“ธรรมะ 2” ที่พระพุทธเจ้า ทรงเน้นเจาะเข้าที่ “จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง” เป็นสำคัญในการปฏิบัติ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230)

แล้วปฏิบัติกันตามแบบ“ระบบวิจัย” (analysis system) อันมี “3 เส้า” ของ“สติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4”

 ซึ่งปฏิบัติสะสม กระบวนการ ทั้งหลายด้วย“สติสัมปชัญญะ” (อันมีสัมปชานะ -สัมปาเทติ -สัมปชลติ ฯลฯ) ต่อเนื่องกันไปให้เต็มครบ

โดยมี สำรวมอินทรีย์ 6-และมีฉันทะ, วิริยะ,จิตตะ,วิมังสา ร่วมเต็มขบวน

จึงจะเป็นไป ตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “แต่ตถาคต เรียก‘ร่างกาย’ อันเป็นที่ประชุม แห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง” นั้นต้องปฏิบัติให้ถูกตรง ฉะนี้เอง

การปฏิบัติธรรม ที่ผู้อบรมฝึกฝนเรียนรู้ เข้าไปที่“กาย”นั้น จะต้องหมายเอา “ในภายใน” ของความเป็น“กาย” หรือธรรมะ 2 จะต้องเรียนรู้ “ในองค์ประชุมของรูปกับนาม ที่เรียกว่า“กาย” ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ลึกละเอียด “ใน”ความเป็น“รูป 28” กับ“นาม 5” ก็ต้องเรียนรู้กันที่“จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง”

ซึ่งการพิจารณา“รูป 28”นี้หมายถึง สภาวะที่“ถูกรู้”(object) และมี“ตัวธาตุรู้”(sub-ject)อันเป็น“ธรรมะ 2”

ผู้กำลังปฏิบัตินั้น จะต้องเรียนรู้ปฏิบัติด้วย...

นาม 5” อันได้แก่ “เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ”

จึงจะสามารถปฏิบัติได้ครบครัน

“เวทนา”คือ อาการของความรู้สึก ซึ่งเป็น“ตัวกรรมฐาน”ที่จะเรียนรู้ไปตลอดตั้ง แต่ต้นจนจบ  และต้องมี“ผัสสะ”เสมอในการปฏิบัติ เว้นผัสสะแล้วไม่มีฐานให้ปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 77 จนถึงข้อ 89 ว่า

เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”

ต้องมี“ผัสสะ”เสมอในการปฏิบัติ ซึ่ง“ผัสสะ”นี้เป็น“ต้นเหตุ”(สมุทัย) จึงจะเกิด“เวทนา”คือ มี“ความรู้สึก”ได้

“ผัสสะ”จึงเป็น“สมุทัย”(เหตุ)ก่อนจะเกิด “เวทนา”ให้อ่านรู้ปฏิบัติ  ต้องปฏิบัติเช่นนี้ จึงจะมี“ฐานหรือที่ตั้ง”ให้ปฏิบัติ มียืนยันในพระไตรปิฎก ทั่วไป  เล่ม 24 ข้อ 58 “มูลสูตร”มียืนยัน “ผัสสะเป็นสมุทัย”..เป็น“เหตุ” เห็นมั้ย?)

จึงจะ“จัดการกับใจในใจ (อภิสังขาร) หรือทำใจในใจ (มนสิกโรติ)”นี่คือ “มนสิการ”(การทำใจในใจ) ตามแบบพุทธ

โดยใช้“สัญญา” คือ ธาตุกำหนดรู้ เป็นตัวอ่าน“รูป” อ่าน“นาม”ทั้งหลาย แล้วจัดการกับ“เจตนา”ที่มีกิเลส ตัณหา ได้แก่...

 เจตนา 3 คือ กามตัณหา-ภวตัณหา-วิภวตัณหา      

หากมีสัมมาทิฏฐิ ก็จะสัมมาปฏิบัติได้ ง่าย-ลึก-รอบดี ด้วย“นาม 5”นี้ 

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติ“หลับตา”เข้าไปอยู่ในภายใน ไม่มี“ผัสสะ”จึงไม่ใช่การปฏิบัติแบบพุทธ ไม่ว่าสำนักปฏิบัติไหน ที่ปฏิบัติแบบพุทธ ต้องมี“ผัสสะ”เป็นปัจจัยจึงจะถูก

หากไม่มี“ผัสสะ 6”อยู่ในการปฏิบัติ การปฏิบัตินั้น“โมฆะ” เป็น“มิจฉาทิฏฐิในศาสนาพุทธ อย่างสำคัญยิ่งยวดที่สุด

โดยเฉพาะ“มิจฉาทิฏฐิ” อย่างสำนักจานบิน ที่มีแต่ภาวะ “หมุนรอบเชิงซ้อน” เป็น“ปากกรวย” ซึ่งหมุนรอบเชิงซ้อนเกินกว่า 360 องศา ที่ปากบานออกไปๆๆๆๆๆๆๆ

และ 360 นี้มันหมายถึง ยิ่งกว่า 180 องศา อย่างซับซ้อนนะ คือมันมี“ความหมุนวนไปอีก”รอบ หลายทบหลายรอบยิ่งๆๆๆ

ความตรงกันข้ามที่เรียกว่า 360 องศา จึงหมายความว่า มันตรงกันข้าม ชนิดที่“หมุนรอบเชิงซ้อน”(ปฏินิสสัคคะ = ความหลงผิด ว่าสวรรค์ แต่ไม่ใช่สวรรค์อย่างวนกลับไปกลับมา) กันกลับมากลับไปอีก รอบแล้วรอบเล่า หลายรอบมาก วนไปกลับไปกลับมา จนคนจับ“จุดที่ถูกต้องตรงแท้” ไม่ได้ง่ายๆเลย

และยิ่งหมุนวน บานขยายปากกรวยออกไปๆๆ ดิ่งลงทิศต่ำ ผิดยิ่งๆ เสื่อมยิ่งๆ

ความเป็น“กรวย”นี้แหละ คือภาวะแท้ๆทั้งหมดประดามี ของทั้ง“ความรู้และความจริง” ที่“สมีไชยบูลย์” เขาพยายามเผยแพร่ ครอบงำสังคม เขาตั้งใจครอบงำโลกทั้งโลก ปานนั้นเลย เขาประพฤติปฏิบัติจริงๆ เพื่อให้เกิดให้เป็น ตามที่เขามุ่งหมาย “มักใหญ่”

นายไชยบูลย์เขา“มักใหญ่”(มหิจฉะ) ชนิดที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีประมาณเป็น “กรวย” ปากบานไป ไม่มีที่สิ้นสุด-หาที่สุดมิได้ (อัปปมัญญา)

จึงขอนำคำว่า“กรวย” นี้มาใช้แทนคำว่า “กาย”  เพื่อชี้ให้ชัดเจนขึ้น ในการศึกษานี้

ซึ่ง“ความรู้และความจริง”ทั้งหมดของ “ธรรมกรวย”นี้ มันตรงกันข้ามกับความเป็น “ธรรมกาย” ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...

“ธรรมกาย”นั้น เป็นชื่อของพระองค์ ซึ่ง“เป็นกาย-เป็นธรรม” ของพระองค์ครบ“ธรรมะ 2”(รูป+นาม)

เป็นต้นว่า สมีไชยบูลย์เขาเห็น “ภพเทวดา 6” เป็น“สวรรค์” อย่างมั่นจิตปักใจ แต่โดยสัจจะ มันคือ“นรก”จริงๆ คือ“ของเก๊”แท้ๆ

เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาเป็นคนมี“โทษสมบัติ” ถึงขั้นครบ 6 ประการ ...

คือคน“ไม่มีวรรณะ 6 ประการ” (อวัณณัง )

ซึ่งได้แก่    -ความเป็นคนเลี้ยงยาก         -ความเป็นคนบำรุงยาก

               -ความเป็นคนมักมาก            -ความเป็นคนไม่สันโดษ        

               -ความเกียจคร้าน                  -ความเกาะเกี่ยว

อวรรณะ 6

1. เลี้ยงยาก  (ทุพภระ)

2. บำรุงยาก  (ทุปโปสะ)

3. มักมาก  (มหัปปิจฉะ)

4. ไม่รู้จักพอ  (อสันตุฏฐิ)

5. เกียจคร้าน  (โกสัชชะ)

6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)

(พตปฎ. เล่ม1  ข้อ 20)  ตรงข้ามกับ วรรณะ 9

 

“ความเป็นคนเลี้ยงยาก”(ทุพภระ) หมายถึง เป็นคนกินยาก อยู่ยาก ไปยาก มายาก นั่งยาก นอนยาก มียาก เป็นยาก เรื่องมาก ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เอาตามใคร ไม่เห็นตามใคร เห็นแต่ของตัวเอง ดื้อดึง ดันทุรัง ไม่ลงให้ใครเด็ดขาด  อัตตาจัดหนักมาก ดังที่ นายไชยบูลย์กำลังดื้อด้านดึงดันต่อกฏหมาย ต่อศาล อยู่ขณะนี้ นี่เลยแหละ

 

  พ่อครูว่า...เราเองได้กระหน่ำผู้ที่ผิด เพื่อให้เกิดความถูกต้อง ตามความเห็นของเรา อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่แฝงซ้อน อย่างจริงใจ ทำด้วยสงสาร อาจจะเรียกว่า พูดพยากรณ์ก็ได้ คือเขาตายไปจากชาตินี้ แล้วจะเกิดในที่ดีพอสมควร จะมีรูปดีได้ แต่ละลดลงไปกว่าเก่า แต่วิบากบาป ก็จะตามมามากกว่าเก่า ชาตินี้มีวิบากตีนโตเน่า ก็ยังไม่เห็นว่าจริงๆเป็นอย่างไร? ถ้าชาตินี้เขาเป็นจริง ชาติหน้าก็จะเบาลง แต่ถ้าเขาหลอกซ้ำซ้อนต่อไป เขาจะทรมานยิ่งกว่าเก่า หนักกว่านี้อีกนัก

ดูๆแล้ว เขาคงต้องโกหกซับซ้อน ให้ตนเองได้รับวิบากเพิ่มทวี ต้องวนเวียนในภพภูมิ ที่ต้องทุกข์ทรมานต่อ ในอัตราส่วนการใช้วิบากหนัก

 

ลักษณะที่ธัมมชโยทำนี้ คือให้คนมองตัวเขา และสาวก อย่างบำเรอด้วยโลกีย์หยาบๆ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสฟุ้งเฟ้อ คนเราที่ไม่รู้ ก็จะมองผลเลิศ ว่าต้องยิ่งใหญ่หรูหรา เหมือนธัมมชโยและพวกกฏุมพี ร่ำรวยต่างๆ ที่เป็นบริวารตัวโชว์ของเขา แต่พวกที่ได้นี้มีจำนวนน้อย ที่จะมาส่งเสริมเขาอยู่ นั่นคือพวกที่ยากจน พวกที่เป็นคนงมงาย เหมือนพวกกองสลาก หวย เขามองแต่คนถูกรางวัลที่ 1 แล้วคนที่เป็นกองสลาก หรือได้รางวัลที่ 1 ได้เงินมาจากไหน ก็ได้มาจากคนจนยาก ที่เสียเงินให้เขาอีกมากมาย ก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ทางไหน แล้วมองผลเลิศทั้งนั้น ที่มีนิดเดียว เขาก็ใช้วิชามารอันนี้สำเร็จ หลอกคนที่โง่

แต่อาตมาขอยืนยันว่า ในประเทศไทย คนฉลาดและปัญญา ไม่ใช่เฉโกอย่างมวลธรรมกาย ตอนนี้ก็เหลือมวลอยู่แค่นั้น เขาก็ฉลอง ประเทศไทยก็ฉลองเช่นกัน แต่เห็นแล้ว แม้แต่ในรูปธรรมที่ปรากฏว่า ประชาชนคนไทยมีมวลมากกว่า ธรรมกายมีมวลเล็กกว่า แล้วยังมีอาญา ผูกคออยู่ด้วย แต่ถ้าเขาเบ่งเต็มที่ แล้วมวลของเขา มากกว่าประชาชนไทย เขาก็จะยิ้มได้ แต่ตอนนี้ ยิ้มไม่ออกแน่นอน เพราะสิ่งที่ตัดสินเป็นจริง เพราะฉะนั้น มวลคนไทยมีปัญญาแล้ว เป็นการสู้กัน ของธรรมาธรรมะสงคราม เหตุการณ์ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ยังอยู่ในวาระ ของสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอยู่ continue ขณะปัจจุบันเลย ยังไม่พ้นวันที่ 1 เลย คนจะเพิ่มหรือลดลง ก็ดูต่อไปอีก

สิ่งที่เป็นจริงเหล่านั้น มาจาก มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เกิดจาก จิตวิญญาณเป็นประธาน น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน จะมีปรากฏการณ์นี้ให้เห็น สิ่งนี้เกิดขึ้นในโลกเป็น Bomb of love ที่ขยายความกันมาก เป็นพลังงานระเบิดของจิตใจ ที่แสดงให้เห็น แล้วมารวมกัน เป็นนิวเคลียร์ Fusion ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น มารวมกัน โดยธรรมชาติของพลังงาน ที่มีสองฝ่าย พลังงานสูงสุด แยกแล้วจะมี 2 ฝ่ายที่ต่างกัน ที่เป็นพลังงานฟิชชัน ก็หนีไป ที่เป็นฟิวชั่น ก็มารวมกัน มวลของธาตุที่มีความรัก รักอะไร?

 

คนไทยมีปัญญา รักพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงพาทำ พาสอน ทรงปฏิบัติประพฤติ ทั้งนั้นเลย

อาตมาว่า อีกหลายกัปป์หลายกัลป์ ที่พระเจ้าแผ่นดิน จะมีไร่นานี่แปลงกสิกรรม เหมือนกับของชาวบ้าน มีสิ่งเหล่านั้นจริง ทำจริงทดสอบจริง แล้วเอาความจริงแล้วนั้น มาขยายต่อมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น จึงเกิดสัมมาชีพ ตามหลักธรรม ของพระพุทธเจ้า พ้นจากมิจฉาชีพ กุหนา ลปนา เนมิตตกตา ก็คืออาชีพที่กำลังพัฒนาตน จนถึงไม่มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา จนถึงพ้นลาภแลกลาภ พ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา

เหตุการณ์ที่สนามหลวง เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนมาให้ โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน พ้นจาก ลาภแลกลาภ พ้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา

เป็นพฤติกรรมที่บางคน ก็ทำอย่างชั่วคราว บางคนก็จะทำให้ได้มากๆ ที่สุด บางคนก็ทำได้ถาวร อย่างเช่นชาวอโศก แล้วทำได้อย่างเป็นกลุ่ม เป็นวัฒนธรรมสังคม นี่คือสัมมาอาชีพ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นสูตรที่วิเศษ แก่มนุษยชาติ

ไม่ให้เลี้ยงชีพอย่างคนมิจฉาชีพ ที่เป็นมิจฉาอาชีวะ 5

ชาวอโศกอยู่อย่างสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกับส่วนกลาง จะใช้อะไรก็ไปเบิกส่วนกลาง บางทีเขาอาจจะไม่ให้ เราก็ทำใจอยู่ได้ มักน้อยสันโดษ

ที่ทำได้นี้ ยังจะเจริญขึ้นไปอีก สี่ร้อยกว่าปี ถึงจะถึงจุดสูงสุด peak สุด แล้วก็ค่อยเสื่อมลงไป

ตอนนี้ เป็นอัตราก้าวหน้าที่คูณ ยกกำลัง จนสูงสุด แล้วค่อยเสื่อมลงไป เพราะมันเต็มสุดแล้ว จะค่อยเสื่อม อาตมายืนยันมั่นใจว่า จะเป็นเช่นนี้ โดยมีประเทศไทยเป็นหลัก ในสองร้อยกว่าประเทศ ตอนนี้ต่างประเทศ ก็ยังฆ่ากันอยู่เลย แต่เมืองไทย อบอุ่นชื่นใจ อาชญากรหนีไปไหนไม่รู้หมด

เป็นเรื่องจริง ที่สัมผัสได้พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เพ้อฝัน เป็นอนุบาลฝันในฝัน ตื่นมาหาวสองที เป็นครูไม่ใหญ่ ดูอ่อนน้อมถ่อมตน อะไรอย่างนี้ เขาประมวลคำศัพท์ได้เก่งมาก แต่ชั่วหนัก

สิ่งที่เป็นจริงเกิดในประเทศไทย แล้วคนต่างประเทศ อยากจะดูก็เชิญ ดูพฤติกรรมสังคม ที่ไม่ได้บังคับเขาเลย เป็นจริงจากใจของเขา นี่คือพฤติกรรมที่ปรึกษา กำลังก่อรูปร่าง

ปีนี้เป็นปีเริ่มต้น มีรูปธรรมที่เห็นได้ ปีหน้า ปีต่อไป จะอบอุ่นหนาแน่น จะร่วมมือกัจน ได้ดียิ่งกว่านี้ เพราะมันเป็นของดี แล้วคนไทยก็มีปัญญา แล้วเขาจะทำไหม เมื่อของดีมีปัญญาร่วมกัน ก็จะมีน้ำหนักให้ทำ ก็จะมีสามเส้า เกิด หมุนเวียนสังเคราะห์ สังขารภายใน cytoplasm มีเปลือกคือ protoplasm หุ้ม

อธิบายโลโก้ของบ.เดินหน้าฝ่ามหาสมุทรต่อ

แล้วพอหมดศาสนาพุทธ จะเกิดกลียุค คนก็จะถูกฆ่าตาย จนหมดไปเลย สิ้น 5,000 ปี ก็เท่ากับล้างโลก อย่าคิดว่า ถูกฆ่าตายนี้ไม่ดี คือเราไม่ได้ไปทำร้ายใครเขามาทำร้าย มาฆ่าเรา ก็ตามวิบาก

จากนั้นจะเป็นยุค ที่มีแต่มนุษย์ที่ดีมาเกิด จากนั้น ก็จะค่อยๆเสื่อมไปช้าๆ จากดีก็จะมาหาเสื่อม จากเสื่อมก็จะมาหาดี สัจจะเหล่านี้ หมุนเวียนในกัปป์

มองในมุมดีของธัมมชโยคือ เขาไม่พาไปอบายมุขหยาบ คือไม่พาไปหาความรุนแรง ความรุนแรงเขาน้อยกว่าชาวอโศก ชาวอโศกพูดก็แรง น้ำหนักอะไรก็แรง เพราะต้องใช้แรง กระทุ้งกระแทกบ้าง

แต่ของเขา จะเอางามอย่างเดียว หลงสุดโต่งว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต มันจะไม่เป็นไปได้หรอก ถ้าจะไม่มีอะไรกระทบกัน การพูดดี ก็จะกระทบคนดี การพูดสิ่งที่ชั่ว ก็จะกระทบกับคนชั่ว มันเลี่ยงไม่ได้หรอก

ถ้าทำอะไรออกไปแล้ว ไม่กระทบกระเทือน ก็จะไม่เกิดอะไร มันก็หายไปเป็นไอโซโทป เป็นนิวเคลียร์ fission

แต่จะเกิดผล ต้องมีการกระทบ แล้วเกิดองศา พอเกิดองศา ก็เกิดแรงเหวี่ยงเป็นวงวน องศาน้อยก็จะเป็นวงรีมาก วนไปไกลมาก จนกลมดิกก็จะเป็น 0 แล้วก็เกิดองศาใหม่

เราเป็นผู้มีจิตนิยาม แล้วก็เกิดอัตภาพ เกิดมาเป็นหน่วยแห่งชีวะ เป็นสัตว์โลก ตั้งแต่ 3 เซลล์ขึ้นมา เป็นสามเส้าที่เกิดวงวน มีองศาแล้ว ถ้า 2 ตัว ก็มีแต่แนวระนาบ ไม่เกิดองศา กระทบกันเอง ไม่วุ่นวายใคร จนกว่าจะมี 3 ก็จะมีแรงดูด แรงเหวี่ยงวน ในอัตตาของตน จนมีแรงออกไปเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ก็จะมี 2 วง ขยายเป็น 7 8 9 เป็น 3 วง ก็จะขยายไปอีก จนกว่าจะเป็น 10 เต็ม ก็แล้วแต่กัปป์ไหน จะยาวนานแค่ไหน กัปป์นี้ 999 ล้านปี กัปป์นี้ 666 ปี เป็นต้น

 

 

 

วิธีการสร้างอัตภาพให้ดี

คนก็เกิดมารับทุกข์รับสุข คุณเป็นเจ้าแห่งอัตภาพเอง คุณเข้าใจไปในทางเสื่อมก็ลดค่า เข้าใจไปในทางเจริญก็เพิ่มค่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พวกที่พึ่งพาคนอื่น พึ่งพาพระเจ้า พระพุทธเจ้าตีทิ้ง ท่านให้พึ่งพาตนเอง เรียนรู้พัฒนาตนเอง ไม่มีพระเจ้าที่ไหนช่วย มีคำพูดที่ว่า พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน

จริงๆคำว่า พระเจ้าจะช่วยนี้มีจริงคือ หมู่ฝูง แรงจริงของคุณเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วเกิดพลังงาน ของคนที่เห็นดีเห็นด้วยมาร่วม มีพลังดูด เป็นพลังแม่เหล็ก

ต้องสร้างพลังงานของตนให้ดี ถ้าทำแบบวิริยาธิกะ คือทำไปแล้วสูญเสีย ไม่ได้สัดส่วน ที่จะทวีขึ้นเรื่อยๆ ก็จะช้านานมาก ต้องทำให้ดี ทำให้มาก อย่าให้สูญเสีย คุณสามารถทำได้เท่าไหร่ ก็จริงเท่านั้น เจริญไปตามลำดับ อัตภาพของตน จึงเป็นผู้ทำ...

*1.สร้างของตัวเองให้ดี

*2.อย่าไปทำวิบากเพิ่มกับใคร เราต้องถูกดึงจากคู่วิบากอีก ทำให้ช้านาน เราต้องลดวิบาก ทำให้เราไม่เสียเวลา มีแรงมากขึ้น กุศลจะเจริญเร็ว จนถึงเต็มแต่ละรอบ แต่ละกรอบ

มีการเคลื่อนไหวของพลังงาน มีตั้งแต่อุตุนิยม พีชนิยาม จิตนิยาม ก็จัดแจงตนเอง ให้เป็นกรรมนิยาม ที่ทรงอยู่เป็นธรรมนิยาม ให้สูงสุดได้ ถึงอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้มี อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

 

สมณะเพาะพุทธว่า...ขณะนี้พ่อท่าน กำลังอธิบายหลักการ 2 ข้อคือ ...

  1. สร้างตัวเองให้ดี
  2. อย่าไปสร้างวิบากเพิ่ม โดยเฉพาะอย่าไปสร้าง จิตพยาบาทแก่กัน เราก็จะสร้างตัวเอง ให้ถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เราอาจเคยได้ยิน ว่าจงช่วยตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วย ซึ่งพระเจ้าก็คือแรงเสริม จากหมู่กลุ่มหมู่สงฆ์ ที่เราได้ทำประโยชน์ด้วย

พ่อครูวันนี้บอกว่า ธัมมชโยมีส่วนดี ที่ไม่พาไปหยาบแรง หาอบายมุขหยาบ เขาเน้นปลื้ม แต่ชาวอโศกเน้นเปรี้ยง ตรงกันข้ามกับปลื้ม พอสมควร คนจริตชอบปลื้ม ก็จะไปกับธรรมกาย ซึ่งคนแบบนี้มีมากกว่า

คนที่อยู่ใกล้ชิดกับพ่อท่าน จะพบว่า ท่านมีความเป็นสุนทรีย์สูง แต่เวลาแสดงออก จะมีลักษณะเปรี้ยง แต่ inside มีปลื้ม แต่ธัมมชโยนี้ ภายนอกปลื้ม แต่ภายในเป็นอย่างไร

 

พ่อครูว่า...ภายในดำอำมหิต

สมณะเพาะพุทธว่า...เมื่อวานได้ฟังเทศน์พ่อครู ที่ได้ปรารภเรื่องปลื้ม (อัตตมนตา) ซึ่งในนั้น ก็มีอัตตาอยู่

มีสามข้อ ที่พ่อครูเน้นย้ำวันนี้ คือเราจะต้องทำของดี อย่างมีปัญญา

1.ของดี                      2.มีปัญญา           3.มีตัวทำจริงขับเคลื่อน

ปัญญาต้องเป็นส่วนประกอบเสมอ ในทางพุทธศาสนา หากเราทำได้ คือ สร้างตัวเองให้ดี สองอย่าไปสร้างวิบากไม่ดี แต่ถ้ากระทบอย่างมีวิบากที่ดี ก็ตรงกับในโอวาทปาติโมกข์ด้วย

พ่อครูมีบารมี ก็แสดงออกการกระทบได้อย่างหนึ่ง แต่ของเรา มีบารมีไม่เท่าพ่อท่าน ก็ต้องแสดงออก อย่างที่กระทบอย่างพอเหมาะ มีคนถามว่า พ่อครูว่าธรรมกาย จะมีวิบากไหม

พ่อครูว่า...อาตมาอาจหยั่งจิตธัมมชโย เขารู้จุดที่ดีไม่ดีเหมือนกัน ความไม่ดีที่หยาบมากๆ เขาไม่ทำ การอาฆาตพยาบาทมนุษย์ เขาไม่ทำ เขาจะไม่พยาบาทใคร ถ้าขืนธัมมชโยยังพยาบาทอยู่ เขาจะลงนรกหมกไหม้ หนักหนาสาหัส หากเขาจะพยาบาท เขาจะพยาบาทสมณะโพธิรักษ์ แล้วเขาจะหนักไหม เขารู้ เขารู้สิ่งที่พยาบาท มันเลวมาก เขาไม่กล้าพยาบาทสมณะโพธิรักษ์ จะเห็นได้ว่า หนังสือทุกเล่ม ของเขาที่ออกมา ไม่มาแขวะสมณะโพธิรักษ์เลย

สมณะเพาะพุทธว่า...เขาอาจไม่รู้ว่า พ่อท่านว่าเขาก็ได้ เขาไม่ได้ติดตามสื่อสาร

พ่อครูว่า...อย่าเอาคนส่วนย่อยมาตัดสินสิ ส่วนดีเขาไม่ทำร้ายอาตมา อาตมาเลยเหมือนคนได้ใจ ว่าเขาเอา ว่าเขาเอา มันเป็นสัจจะ ถ้าเขาทำ จะหนักกว่าเก่าซับซ้อน อันนี้เป็นจุดดีของเขา ถ้าเขาทำเขาจะหนัก แต่ลูกศิษย์เขาอดไม่ได้มีนะ แต่เขาก็เชื่อฟังคำสอน ตามที่เขาพาทำ เชื่อฟังเขาดีมาก ในจุดดีของเขา คือทำให้ลูกศิษย์ทำดีบ้าง

แต่สรุปแล้ว ชั่วที่ซับซ้อนมีมากคือโลภะ อันนี้คือเขาหนักมาก ตะกละตะกราม ตะกละในสิ่งที่เป็นวิมาน อนาคต เป็นโลกธรรมที่ปั้นไว้หนามาก ความสวยงาม หรูหราใหญ่โต เป็นระเบียบเรียบร้อย

ความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น เป็นความดีที่ตื้นๆ เป็นระเบียบนั้นดี แต่ไม่อนุโลมอะไรๆ มันก็แข็ง พูดในแง่ศิลปะ ไม่อยู่ในลักษณะธรรมชาติเลย ธรรมชาตินั้นแข็งเป๊กไม่ได้หรอก ต้องมีความไม่เป็นระเบียบมากบ้าง หรือน้อยบ้าง

ในวัฏสงสารไม่มีอะไรตรง มีตรงอยู่อย่างเดียว คือความดัดจริต

ความดัดจริต คือสภาวะที่ต้องทำอยู่ ตลอดเวลา เพราะมันตรงไม่ได้ จึงจะต้องดัด ๆๆๆ ดัดอย่างเดียว เพราะว่าความจริงใน วงวน สิ่งที่มีแกนวน พลังงานอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีอะไรตรง คุณจะมาดัดให้ตรง ในพลังงานที่มีดูดมีผลัก คุณสู้ พลังงานของหมู่กลุ่มไม่ได้ คุณจะตรงจะต้องดัดตัวเอง เนื่องต่อไปตลอดกาล ไม่มีเวลาหายใจ จะเหนื่อยมาก ลำบากมาก ต้องดัดจริต ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ทำแต่ดัดจริตท่าเดียว เกิดมาทำไม

ความไม่ยอมที่จะต้องทำ จะอนุโลมบ้าง อะไรที่ควรก็ทำ แต่นี่อย่างธัมมชโย ธรรมกายเขาไม่รู้ เขายอมไม่ได้ก็ดึงดัน

สิ่งที่ดี เราพยายามดึงส่วนดีของธรรมกาย ออกมาบ้าง ก็หายาก แม้หาได้ก็เป็นความดีที่ต่ำๆ (ขออภัยที่ต้องพูด เหมือนว่าเขา)

อโศกพูดเรื่องดี ระดับหยาบ หรือกลาง หรือปลาย ...อโศกพูดเรื่องดี ระดับกลางและปลาย และกระหน่ำระดับหยาบ แต่ทางโน้น เอาแต่ดีระดับต่ำ หวานล้อมคนอื่น ก็เป็นเช่นนี้ แบ่งเป็นสามเส้า ของเขามีเส้าเดียว ของเรามีสองเส้า

ปีใหม่นี้ คนไทยมีความตื่นตัวกันมากขึ้น ในอาการในพฤติของการเคลื่อนไหว ทั้งตัวคนไทย และต่างประเทศที่เห็น ที่รู้ว่าควรมาศึกษา หรือทำตัวเองให้เป็นให้ได้บ้าง มันยังเริ่มต้น

ต่างชาติพวกที่มีบารมีก็ยังน้อยอยู่ แต่คนไทยนั้นตื่นตัว คนที่ไม่ได้ยินได้ฟังมีอีกเยอะ ไม่ได้ยินได้ฟังที่อาตมาพูด แต่เขากำลังตื่นตัว ยินดีปรีดา ในสิ่งที่ในหลวง ได้สร้างสรรไว้ เป็นสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีพ ไม่มีกุหนา ลปนา แต่สิ่งที่ปรากฏในเมืองไทย ถึงขั้นพ้นมิจฉาอาชีวะ ขั้นที่ 3 ชาวอโศกเรา ก็ทำมาได้แล้ว ก็จะมีผู้ที่เข้าใจ มองออก เริ่มรู้จักชาวอโศก กองทัพธรรม บุญนิยม มีหลายฉายา แต่ก็หนึ่งเดียวกัน เขาก็จะเริ่มมาศึกษา สนับสนุนส่งเสริม

อาตมาก็ขอกำชับว่า พวกเราอย่าหลงตัวหลงตน ยกตัวยกตน ให้อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ไปเรื่อยๆ เก็บผลประโยชน์ ในสิ่งที่เราได้รับใช้ ในสิ่งที่เราได้มีคำกริยา มีการงานอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

การที่เราจะมีพลังงาน เอาไปเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เราต้องเป็นผู้รับใช้ ไม่ขาดแคลน พวกเรายังเป็นพวก สุรุ่ยสุร่ายไปหน่อย ถ้ามัธยัสถ์ รู้จักเก็บงำส่วนที่เกิน ก็จะได้มาอีกมาก ในฐานะของชาวอโศก ทุกวันนี้ จึงมีพลังงานผู้รู้ผู้เข้าใจ และผู้เต็มใจทำดี สร้างสรรค์เต็มที่ เราก็อาศัยกินใช้อยู่ในหมู่ แล้วทำตน เป็นผู้กินน้อยใช้น้อย ไม่ทำลายสุขภาพร่างกาย

ร่างกายที่มีโรคภัย ก็ช่วยกันพัฒนาบูรณะ ปฏิสังขรณ์กัน ส่วนที่จะเอาโรคภัย เป็นสิ่งที่จะทำให้ ร่างกายสุขภาพเสื่อม เราก็ไม่ทำ ไม่ไปแสวงหาไปเกี่ยวข้องเอามา ก็มีปัญญารู้ว่า ควรอยู่ในสถานที่อย่างไร ในวงแวดล้อมของที่ไหนอย่างไร ซึ่งเป็นที่ปราศจากเชื้อโรค แม้แต่ ในบรรยากาศต่างๆ เราก็สร้างบรรยากาศให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรค

เราทำให้มีพลังงานที่เป็นแก๊ส พลังงานลม พลังงานไฟ แม้ที่สุด เป็นน้ำเป็นดิน เราก็พยายามสร้าง ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์สะอาดเดียวกัน และช่วยกันเอาธาตุที่ไม่บริสุทธิ์สะอาดออก อาตมาพยายามทำน้ำตก ทำให้เกิดแรงเคลื่อน มีต้นไม้ ทำออกซิเจน เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป มีแรงผลักแรงดูด ได้สัดส่วน

สันติอโศกเรามีพลังงาน เขตแดนเท่านี้ ก็ทำเท่านี้ อยู่ตัวแล้ว ต้นหมากรากไม้ ก็เสริมกัน น้ำเคลื่อนที่ อากาศกระแสช่วยเรา อโศกสะอาดได้พอสมควร

ตอนนี้ราชธานีอโศก จะทำรูปธรรม นามธรรมที่สมบูรณ์ จะมีทั้งน้ำตก ต้นไม้ ภูเขา จะได้องค์ประกอบได้สัดส่วน เราทำได้ให้มีอัตโนมัติ อาตมาเซ็นสัญญากับพระอาทิตย์ไว้แล้ว ใช้โซล่าเซลล์ เป็นพลังงานธรรมชาติ ที่ไม่หมดไปง่ายๆ ต้องเกิดใหม่อีกหลายรอบ กว่าที่พระอาทิตย์จะแตกดับไป แต่เราจะเกิดมาเมื่อใด ก็จะไม่ทำร้ายทำลาย แต่จะเป็นผู้ที่สร้างโลก เราก็พัฒนา DNA มาตลอดสืบทอดไปเรื่อย

ตอนนี้สรุปลงที่ประเทศไทย เป็นตัวแก่นแกน ที่จะทำให้เกิดวัฏสงสารอันนี้ จะขยายผลไปสู่โลกทั้งใบ ที่พูดนี้ ไม่ได้คะเนเดาหรือคำนวณ แต่พูดตามภูมิ เก็บเอาเหตุการณ์ มาประมวล ก็พูดตามจริง อ่านออกจากแรงเคลื่อนตัว ที่เป็นหลักเป็นฐานมาประมวล แล้วก็เอามารวบรวมอธิบาย สื่อเป็นภาษา สื่อให้พวกเราฟัง จึงเป็นการอ่านสภาวะจริง มาบอกพวกเรา ไม่ใช่พยากรณ์ การพยากรณ์ แบบไม่รู้จริงไม่เอา มีความขาดหกตกหล่นอยู่ไม่ทำ อาตมาไม่ใช้พยากรณ์ แต่เอาปรากฏการณ์จริง ก็ไม่ได้พูดหมด เผื่อว่าตัวเองจะบกพร่องไว้ด้วย เราเผื่อว่าที่เรารู้ อาจไม่ใช่ก็ได้

ความรู้อาตมามี 100 แต่เอามาใช้ 80 อาตมาไม่เสีย เขาอาจเข้าใจว่า อาตมามีแค่นั้น ก็ไม่เป็นไร อาตมาเต็มใจให้เขารู้ว่า มีน้อยกว่าที่มีจริง อาตมาไม่เสีย แต่ถ้าอาตมามี 100 แต่แสดง 110 อาจดูใหญ่โก้แต่ไม่จริง ไปทำทำไม

คนมักอวดเกินจริง คนอวดตัวเองเกินจริง ไม่ได้มีความฉลาดอยู่ที่ไหนเลย แต่อวดต่ำกว่าจริง เราไม่บอกหมดเท่านั้นเอง ไม่บอกตรง แต่ที่บอกนี้ คือจริงทั้งนั้น แต่เราไม่บอกทั้งหมดของตนเอง ไม่ได้โกหก เรามี100 เราบอก 80 เช่นฉันสวย 80 แต่จริงๆสวย 100 แต่เขาที่สวย 80 แต่ไปเอาของคนอื่นมาแปะ ว่าฉันสวย 100

พวกเราทำได้ตรงตาม วรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า

มิจฉากัมมันตะของพระพุทธเจ้า อย่าไปเอาตามหลักการของทุนนิยม เป็นหลักการที่นายทุนกำหนด มันผิด ให้มาเอาหลักการของบุญนิยม คือขาดทุนๆ แต่หลักการทุนนิยมคือ กำไรๆๆๆมันจะขาดทุน ต้องมาขาดทุนนี่แหละจะกำไร (ในหลวงตรัสไว้)

สัมมากัมมันตะ ชาวอโศกเราก็ทำได้ดี แม้แต่ไข่ลม คนอื่นเขาเอามายัดเยียดเราก็ยังไม่กินเลย บริสุทธิ์ในศีลข้อ 1 และ 2 ก็ทำได้ดี ส่วนราคะก็ยังได้ 60-70 % นะ จากพ้นมิจฉากัมมันตะ ก็ไปหา การพ้นมิจฉาวาจา

ชาวอโศกโกหกน้อย พูดหยาบก็ไม่ค่อยมี ถ้าไปบอกว่า ส่อเสียดอย่างหยาบก็ไม่ค่อยมีหรอก ส่อเสียดอย่างโพธิรักษ์ ก็ไปกระทบคนอื่น แต่ความจริงแล้วอาตมายังพูดกระทบ น้อยไปด้วยซ้ำ แต่พวกเรา ก็ไม่ได้ขี้ตามช้าง ก็ดี

การพูดและเล็ม เลียบเคียงเรี่ยไร พวกเราไม่มี พวกที่แอบไปทำ พวกเราก็ปรามกัน แต่องค์รวมไม่มีแล้ว จะไปหว่านล้อม ให้มาบริจาค หรือไปทำเล่ห์คารมโวหาร แบบขายตรง ประเล้าประโลมให้เขาซื้อ แล้วดูดเงิน พวกนี้พวกเราไม่ทำได้

แม้แต่วาจา 4 มีตัวเพ้อเจ้อ คำว่าเพ้อเจ้อ นี้มีนัยลึก คำใดที่พูดไปแล้ว คนฟังไม่รู้เรื่องคือเพ้อเจ้อ ถ้าอาตมาพูดไปในธรรมะร้อย แต่คนฟังรับไม่ได้เลย ก็เพ้อเจ้อ แต่ถ้าคนรับได้ 60 - 70 % ขึ้นไป ถือว่าไม่เพ้อเจ้อ ถ้าได้ต่ำกว่า 50% ก็คือยุคยากไร้ เด็ดดอกหญ้าแซมผม ก็พอได้ ยุคใกล้กลียุคขนาดนี้ ก็ได้ขนาดนี้

 

สังกัปปะ 7 แกนและข้อเหวี่ยง

มาสู่มิจฉาสังกัปปะ 3 อันนี้คือ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา เป็นการทำใจในใจ เป็นสังกัปปะ 7

สังกัปปะ 7 จะต้องรู้พยัญชนะ 7 ตัว...

1.ตักกะ                     2.วิตักกะ                     3.สังกัปปะ

4.อัปปนา             5.พยัปปนา            6.เจตโสอภินิโรปนา        7.วจีสังขารา ในพระไตรฯ ล.14 ข.263

คำว่า  ตักกะ  เขาแปลว่า ความตรึก

สอง วิตักกะ เขาแปลว่า ตรอง หรือคิดยิ่งขึ้น

สาม สังกัปโป คือความคิดปรุงแต่งกันสามเส้า

นี่คือฝ่ายปัญญา dynamic ฝ่ายเคลื่อนไหว

 

อีกฝ่ายคือฝ่าย static คือ

อัปปนา (แน่วแน่)

พยัปปนา (แนบแน่น)

เจตโสอภินิโรปนา (เจริญได้เก่งเลย คือสร้างนิโรธใส่จิต ได้อย่างดียิ่ง)

สั่งสมเป็นแกน static

มีปัญญาเฉียบแหลมขึ้น มีแกนที่แน่นขึ้น

 

จิตเร่ิมดำริคือ ตักกะ ในมิจฉา 3 คือ กาม พยาบาท วิหิงสา

ขั้นต้น คือจัดการกามกับพยาบาท จิตเราเริ่มต้นสัมผัส ตั้งแต่มีเวทนา ปรุงแต่ง (สังขาร) จับตัวสังขาร แยกแยะเวทนา ตั้งแต่เวทนา 2 3 5 6 จนถึง 18 ในกามและพยาบาท จับได้ว่าของเรามีตัวไหน ก็กำจัดด้วยปหาน 5

เมื่อกำจัดได้จริง กำจัดได้ทีละหน่วยสองหน่วย สั่งสมลงเป็น ความสำเร็จ สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส ตกผลึกเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นแรงเคลื่อนกับแรงแกน ช่วยกัน ตัวปัญญามีพลัง และมีแกนแก่น เป็นหลัก เหมือนมีหลักแล้วมีแรงเหวี่ยง หากหลักดี ก็เหวี่ยงได้เร็วมากขึ้น ถ้าไม่ได้สมดุลย์จะเป๋ ผู้รู้จะไม่เหวี่ยงให้เป๋ จะเหลือส่วนของตนไว้

สังขาร ระหว่างแรงบวกแรงลบ ปรุงแต่งกันขึ้นมา สังขารที่ยังไม่ออกมาจากจิต เรียกว่า วจีสังขาร ก่อนออกมาเป็น กายวิญญัติ  วจีวิญญัติ

 

เรายังไม่ได้แสดงพลังงาน ออกมาภายนอก ก็มีแต่ในใจ หากมีอธิวจนสัมผัสโสได้ เราก็ใช้เป็นวจีสังขาร 

วจีสังขารไม่ใช่วจีกรรม แต่มันรู้เป็นภาษาได้ เช่นอันนี้กล้วย มันมีชื่อในภาษาไทย เราก็ปรุงแต่งในใจ จะส่งออกไปว่า เอากล้วยไหม เรามีกล้วยเนื้อดี มีคุณค่าทางอาหาร ไม่มีสารพิษ เราก็จะพูดได้

สรุปแล้ว หลักเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายในแกนตั้ง เราก็มี แกนเหวี่ยงเราก็มี ตัวดำริมาเราก็จับ กาม พยาบาทที่ปนมาได้ แล้วกำจัดด้วยปัญญา

*วิธีกำจัดของศาสนาพุทธ* ไม่ได้ข่มไว้ แต่กำจัดด้วยปัญญา ใช้ไฟฌาน ไฟปัญญาไปสลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ เป็นกลุ่มพลังงานทางปัญญา ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีฌาน การไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่มีฌาน

ในองค์ 6 ของการเกิดปัญญา คือ…

1. ปัญญา                         2.ปัญญินทรีย์                     3.ปัญญาพละ

4. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค     5.สัมมาทิฏฐิ                       6.องค์แห่งมรรค

    (ตอนนี้จะไม่ขยายความ)

 

สังกัปปะ 7 คือ มนสิกโรติ ต้องทำภายในใจให้ถ่องแท้ หยั่งลงไปถึงที่เกิด จับตัวกิเลสที่อยู่ก้นบึ้ง จับตัวมันมาจัดการ ให้ตาย

เป็น system analysis มี out put  process มี out come มี impact

คือ มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย จัดการเหตุปัจจัยได้ดีขึ้น ทำเหตุปัจจัยให้ดีขึ้นก็มีผลที่ดีขึ้น

ดับเหตุได้ตามลำดับ อย่างถูกเหตุ มีประสิทธิภาพ ดับแล้วยังไม่ฟื้น ไม่ใช่ว่าเช้าเอานักโทษนี้ ไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม พอถึงกลางวัน ก็บอกว่ายังไม่ตาย ก็เอาไปฆ่าอีก ด้วยหอกร้อยเล่ม ตอนเย็นก็ไม่ตายอีก อย่างนี้ไม่ได้ผล ต้องทำให้เกิดผล เกิด impact ไปตามลำดับ เจริญจริง เป็นปัจจัตตัง เป็น สยังอภิญญา จะเป็นสยัมภู

ปัญญาของพระพุทธเจ้า เกิดจากปฏิบัติมรรค 7 องค์ มีโพชฌงค์ 7 มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิ ก็มาทำให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เป็นวงวนไป

ที่นั่งหลับตา แล้วบอกว่าเกิดปัญญา ต่อให้เป็นความจริง ความจริงนั้น ก็เป็นเพียงสัญญา ไม่ใช่ปัญญา เป็นเพียงสิ่งที่คุณมีแล้ว ในอัตภาพของคุณ มันปรากฏให้คุณเห็น เพราะคุณไปสงบตัวกวนไว้หมด จิตก็ใส ก็ดึงออกมาให้รู้ได้ เรียกว่าสัญญา

เป็นความรู้เดิม เป็นสัญชาตญาณ เป็นคลังความจำ อย่างเช่น ไอน์สไตน์ เคยบอกว่า ทำด้วยจินตนาการ แต่อาตมารู้ว่า เป็นสัญญาของเขาเอง มีของเก่าแล้ว สิ่งเหล่านี้ เป็นปรมาณู ที่เอามาใช้อย่างสันติ แต่คนที่เลว จะเอาปรมาณูไปใช้ทำลายไปฆ่า แต่เราเอามาใช้สร้างสรรค์

คนที่เอาพลังงาน ที่ละเอียดลึกซึ้ง มีแรงมาก เอาไปใช้ในสิ่งที่ดี กับแรงมากเอาไปใช้ในสิ่งร้ายก็มี ก็ต้องรับกรรมวิบาก ของใครของมัน

สมณะเพาะพุทธว่า...ถ้าหลักแก่นไม่แน่น ก็จะไปเหวี่ยงแรงไม่ได้ จะล้มได้ คือ สภาพเจโตกับปัญญา ต้องไปด้วยกัน จึงเป็นองค์ประกอบครบ พร้อมคำว่าอ้างอิง ไม่ใช่โอ้อวด คำว่าพยากรณ์ ไม่ใช่ของจริงทั้งหมด แต่การพยายามนี้ถูกกว่า พยายามในปัจจุบัน ไม่เน้นพยากรณ์ อย่างที่พ่อครูเคยพูดว่า เราไม่รอเราไม่หวัง แต่เราทำ ก็เป็นธรรมะที่อยากฝากไว้ คาถาสุดท้าย ขออนุญาตเน้นย้ำว่า

1.จงพยายามสร้างตัวเองให้ดี

2.จงอย่ากระทบกระแทก ผู้พยาบาทจะเกิดวิบาก

ศานาพุทธ จะเจริญไป จนกว่าจะสูงสุด ในอีก 500 ปี พวกเราจงอย่าหลงตัวหลงตน อย่ายกตัวยกตน และจงอ่อนน้อมถ่อมตน

สิ่งที่พ่อครูนำมาเปิดเผยนั้น น้อยกว่าที่ท่านรู้ ถ้าเรารู้มาก แต่พูดไม่ทั้งหมดด้วยเผื่อผิดพลาดไว้ เป็นสิ่งดีกว่าเรารู้น้อยแต่พูดมากกว่าที่รู้  จบ    


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:50:12 )

600105

รายละเอียด

600105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิสัชนาประชาธิปไตยพุทธ

 

ส.เดินดินว่า….วันนี้วันพฤหัสที่ 5 มกราคม 2559 ขึ้น 8 ค่ำเดือนยี่ ปีระกา พ่อครูยังเสียงทุ้มอยู่ หมอก็ยังไม่ค่อยอยากให้มาบ้านราชฯ เพราะอาจมีปัญหา ระหว่างขึ้นเครื่องบิน ก็ต่อรองกันอยู่พอสมควร ที่สุดมาบ้านราชฯแล้ว อาการดีขึ้น

สถานการณ์บ้านเมือง ตอนนี้เหตุการณ์ที่ท้องสนามหลวง ก็ยังดำเนินต่อไป งานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ก็อาจจะไปถึงปีหน้า นักการเมืองกำลังใช้ประเด็นว่า นายกฯเคยให้สัญญาว่า การเลือกตั้งจะเกิดปี 2560 แต่ประชาชนบอกว่า พวกนักการเมือง ไม่เห็นแก่ประเพณีบ้านเมืองเลย ตอนนี้มีสถานการณ์บ้านเมือง ที่เปลี่ยนไป มันไม่มีใครคาดคิด ต้องรักษาประเพณีให้เรียบร้อย อันนี้น่าจะเหนือกว่าเอาตามใจชอบ

ประชาธิปไตยนั้นนักการเมืองเราดูเหมือน เป็นตัวทำลายประชาธิปไตยเสียเอง ศาสนานั้น พระก็กลับเป็นตัวทำลายศาสนา แต่วันนี้พ่อครูกลับมองว่า ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ กำลังดำเนินไปได้ดี

พ่อครู ว่า….วันนี้อาตมาตั้งใจจะมาลับเสียง เอาพวกคุณ เป็นหินลองเสียง ก็ตั้งใจฟังให้ดี ก็อ่านของขวัญของไม้ร่ม ธรรมชาติอโศกเขาหน่อย นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ บทกวีก็สรุปได้ดี อนาคตไม่มีที่ไหนๆ แต่ปัจจุบันมีจริง เป็นตัวแปรของทุกสิ่ง คำว่าอดีตกับอนาคตกับปัจจุบัน

สรุปได้ว่า อดีต อนาคตไม่มีของจริง มันมีจริงที่ปัจจุบันอย่างเดียว จะว่าเป็นความตั้งมั่นคงที่ในปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเป็นอะไร มันก็กลายเป็นอดีต อนาคตเอง รวมแล้วเป็น co-efficience เป็นค่าสัมประสิทธิ์ มีทั้งค่าคงที่และตัวแปร ที่ทำให้เป็นไปได้ เป็นธรรมะสอง ที่มีบวกลบเป็นธรรมดา

อาตมามองตามภูมิ ก็มองเห็นตามหลักการจริงของคนไทย จิตใจไทย ปัญญาไทย แนวโน้ม คนไทยมีสัมมาทิฏฐิแล้ว และมีปรากฏการณ์จริง ที่เกิดจริงเป็นจริง เกิดมาเป็นองค์ประกอบที่เห็นได้ ที่สัมผัสได้ เป็นของจริง

ในหลักใหญ่ของประเทศไทย ที่มีทั้งชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันนี้

อาตมาก็จะอ่านบทกวี นัยปกเราคิดอะไร 319

 

  ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ปัจจุบัน                      

 

(1) ชาติศาสน์กษัตริย์ไซร้                  ในไทย         

ปัจจุบันนั้นไฉน                        “ฉาก”แท้      

มี“สัจจะ”อะไร                          ทรงอยู่

คุณโทษชนะแพ้                       วิเคราะห์บ้างบารนี

 

(2) หนึ่งมี“กษัตริย์”          เลิศล้ำ ธรรมคุณ     

ประเสริฐเกิดเกินกรุณ     เกียรติก้อง

พระจริยวัตรชัดกว่าสุน-   ทรีสุด พรรณนา

ไทยทั่วเทศแซ่ซ้อง เทิดไท้บารมี 

 

(3) นี่คือ“กษัตริย์”หนึ่งแล้ว        เลอคุณ

“ชาติ”เล่าก็ตุนทุน                     ทบถ้วน

เป็นอธิปไตย“บุญ”                    แบบพุทธ     

เพราะสัมมาทิฏฐิล้วน                สัมผัสต้องมี“กาย”

 

(4) บรรยาย“กาย”ค่อยกระเตื้อง “ศาสน์”ธรรม

ว่า“รูปและนาม”สัม-                   ประสิทธิ์พร้อม

ปฏิบัติชัด“กาย”ดำ-                   รวจ“จิต” นั้นแล

จึงจักไป่อ้อมค้อม                     จับเป้าพุทธธรรม์

 

(5) สำคัญสมาธิต้อง        เรียน“กาย”

แต่พุทธยุคนี้หลาย           เลอะล้วน

เห็นผิดว่า“กาย”หมาย      แค่ร่าง 

วิโมกข์แปดจึงไม่ถ้วน      ดั่งถ้อยศาสดา

 

(6) “สัมมาสมาธิ”แท้        ธรรมะสอง

“กาย”ย่อมมี“ใจ”ครอง      “สัมผัส”พร้อม

นอก,ในจึ่งจะสนอง          สังขารครบ สามแฮ

พุทธถูกเดียรถีย์ย้อม        จึ่งย้อนกลับมิจฉา

 

(7) ศึกษาพุทธมากเพี้ยน  ผิดมา   

กว่าปัจจุบันจักพา   พุทธกระเตื้อง

ไทยมีกษัตริย์สาน   สืบอย่าง สำคัญเลย

เจ็ดสิบปีพระเปลื้อง ปลดฟื้นคืนธรรม

 

        “สไมย์ จำปาแพง”

                    3 ม.ค. 2560

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 319 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2560]

 

ก็หมายความว่า ชาติศาสน์กษัตริย์ไทยปัจจุบัน เป็นอย่างไร ทุกด้านเจริญขึ้น ประชาธิปไตยไทยเจริญยิ่งกว่าประชาธิปไตย 85 ปีที่ผ่านมา เป็นประชาธิปไตยแท้ เป็นอธิปไตยพุทธ

ทำไมเป็นอธิปไตยพุทธ ประชาธิปไตยคือ อำนาจของประชาชน แล้วประชาธิปไตยนั้นแบบพุทธ

อาตมาเป็นคนปากโป้งบอกว่า บุญนี่ไม่ใช่แค่กุศล ที่เขาทำกัน บุญหมายถึงการชำระถ่ายเดียว ทำหน้าที่เดียว คือกำจัดกิเลส กำจัดกิเลสก็สิ้นชีพไปเลย กำจัดเสร็จจบ บุญก็ตายไป สิ้นชีพไปทันทีที่ทำเสร็จ จะต้องเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้น ทําไม่สำเร็จ เพราะว่ามันผิดเพี้ยนมามากแล้ว เรื่องบุญนี้

คำว่าบุญอยู่ในที่ต่างๆ เช่น ปุญญภาคิยา ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นต้น คำว่าบุญนี้ แปลตามท่านธรรมปาละ ว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คำว่า วิโสเทติ แปลว่าสะอาด สันตานัง แปลว่า สันดานจิตที่สั่งสมอกุศล ส่วนบารมีคือจิตที่สั่งสมกุศล

บารมีกับสันดานต่างกันคนละขั้ว สันดานเป็นคลังความชั่ว บารมีเป็นคลังของความเจริญสะอาด

คำว่า ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าสิ้นบุญสิ้นบาป

คำอีกหมวดหนึ่งที่ว่า

สัพพปาปัสส อกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา (ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตน ให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ยืนยันไว้ชัดมาก อาตมายิ่งมีคำว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญขาภิสังขาร มาตีให้เข้ารูปเข้ารอยเลย คือการอภิสังขาร ก็ยิ่งเจริญๆๆ จิตเป็นความเจริญ ​บุญก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ เป็นปุญญาภิสังขาร ปรับแต่งได้หมดก็หมดบุญ อปุญญาภิสังขาร ไม่เหลือบาป บุญอีก ก็ทำให้แน่นแข็งแรงมั่นคงเป็น อเนญชาภิสังขาร อาตมาว่าอธิบายได้สอดร้อยกันดี

 

 

อธิปไตยพุทธ

อธิปไตยที่ชื่อ ระบอบประชาธิปไตย คืออธิปไตยบุญ คืออำนาจ พลังแรงของมนุษยชาติ ที่กำจัดกิเลสได้ แบบพุทธ กำจัดมิจฉา ไม่ว่าจะมิจฉาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เมื่อทำสังกัปปะได้ ก็ทำวาจา กัมมันตะ อาชีวะ ได้สอดคล้องกัน สังขารไป ก็เลยเป็นศาสนาพุทธ เกิดผล ก้าวหน้าสู่ไท (เป็นรากเหง้า ของคำว่าไทย) สู่อิสรเสรีภาพเด่นเดี่ยวโดดในโลกเลย เพราะว่าชัดเจน ในองค์ประชุม รูปนามคือกาย ทั้งใจที่เป็นประธาน กายต้องเป็นสิ่งสอง เป็นธรรมะสองเสมอ ไม่ใช่รูปอย่างเดียว อย่างที่เขาเข้าใจว่า กายคือรูป ไม่ใช่นาม แต่ที่จริงกายคือนาม ปฏิบัติที่นามแต่ต้องอาศัยรูปด้วย ถ้าไม่มีสภาวะ ก็เจ๊งลูกเดียว

ความสำเร็จ จึงทำให้เกิดความสงบ แบบที่สงบสู่ปาตุสัจจะ หรือ ภาวสัจจะ ที่สงบอย่าง มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ หากสงบชนิดไม่มีความขัดแย้งเลย ไม่มีใครช่วยคิด ช่วยทำช่วยติงเตือนเลย สงบแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านก็ให้สมณะต่างๆ ช่วยท้วงติงเตือนท่านด้วยซ้ำไป แม้ท่านไม่ผิดก็ได้แต่แสดงออก มันมีเหตุปัจจัย กาละ ท่านองค์เดียวก็อาจมีบกพร่อง ในกาละนั้นก็ได้ หรือแม้แต่องค์รวมหลายคน ช่วยกันคิด สังคมองค์รวม ควรเอาเท่านี้ ไม่มากหรือน้อยกว่านี้ หลายคนหลายผู้ ร่วมกันตัดสิน ก็น่าจะดีกว่าคนเดียวตัดสิน พระพุทธเจ้าไม่ดูถูกใคร ไม่ประมาท ข้อสำคัญคือ ความสงบ ต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ

หากความสงบนิ่งอย่างเดียว มีแต่จะตายเน่า ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไทยถึงเป็นประชาธิปไตย ที่อยู่ในหลักของความอิสรเสรี เป็นประชาธิปไตยที่แท้ มีจำเพาะที่ชาติไทย ชาติไหนทำได้ ก็เป็นของชาตินั้น แต่ของไทยนั้น ชาติอื่นเลียน    เป็นสมาธิที่ไม่ใช่อยู่แต่ภายในภพ แต่เป็นสมาธิที่เปิดทวาร รับรู้สว่างไสวไปทั่ว สมาธิแบบลืมตามีสัมผัสพร้อม มีทั้งภายในและภายนอก ถึงศึกษาครบสังขาร 3 กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

ถ้าไม่มีภายนอก จะได้สังขาร 3 ไม่ครบ จะได้ศึกษาแค่ภายในไม่ได้นอก ที่เป็นวจีสังขาร กายสังขาร

ไทยตอนนี้ตื่นรู้ มีสัมมาทิฏฐิแล้ว ปฏิบัติสังกัปปะ วาจา กัมมันตะได้ ตอนนี้ก็เร่งรัด ปราบมิจฉาชีพ อันเป็นผลกระทบทั้งสังคมเลย พวกมิจฉาชีพนี้ สำหรับอาชีพมีผลสูงต่อสังคม งานเลี้ยงชีวิต หนึ่งไม่ต้องการไปล่า ลาภยศสรรเสริญ แม้แต่สุขก็ไม่ต้องการ เลี้ยงชีพรอดแล้ว มีส่วนเหลือก็ดี ไม่เหลือก็ไม่เป็นไร ยิ่งไม่ได้ต้องได้สรรเสริญ ก็ไม่จำเป็นอะไร สุขไม่สุขก็ไม่เป็นไร กลางๆ สบายมาก

เพราะฉะนั้น อาชีพจึงครอบคลุมกว้าง ทั้งกายและใจหมดเลย เพราะยังชีพอย่างดีอย่างเป็นไป ทีนี้สัตวโลกนี่อาชีพที่เป็นเอก คืออาหาร โดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร ไม่ว่าสัตว์เล็กใหญ่ต้องอาศัย อาหารจึงเป็นหนึ่งในโลก เมื่อได้อาหาร มีธาตุเลี้ยงขันธ์ถูกต้อง ก็อยู่รอดได้ นอกจาก จะเสื่อมจนไม่ไหว

พระพุทธเจ้าถึงเน้นมิจฉาชีพ ถึง 5 อย่าง

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

กุหนา ลปนาคือมิจฉาชีพอย่างเลว มันโกงชั่วทุจริต หน้าด้านหน้าทน ที่ไม่บริสุทธิ์ พวกที่โกงทีละแสนล้าน ล้านๆนั้น หยาบร้ายแรงมาก ทุจริตเลวร้ายขนาดหนัก สรุปง่ายนะว่าโกงห้าแสนล้าน จะเอาไปแจกใครก็ช่างหัวมันสิ แต่มันโกงประชาชน มันเอาของประชาชนไปปู้ยี่ปู้ยำ เสร็จแล้วก็หน้าด้านหน้าทน จนทุกวันนี้ก็พูดอยู่ ซุกซ่อนรวมหัวกัน ไม่ว่าจะนักบวช นักการเมือง นักธุรกิจ รวมหัวกันโกงชาติ มันไม่เลวตรงนี้ แล้วจะไปเลวตรงไหน?

อาตมาเองพยายามบอก เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ นับถือพระพุทธเจ้า นับถือพุทธศาสนามี 95% เสร็จแล้วมิจฉาทิฏฐิ ได้ประโยชน์จากศาสนาบ้างก็น้อย แต่ที่จริงศาสนาพุทธนี้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคม และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เช่น คนจนนี่อุ้มชูคนรวยในชาติได้ เพราะคนรวยนี้ อุจจาระไม่ให้สุนัขกินเลย รวยแล้วก็ทำให้คนอื่นแย่ ส่วนคนจนแบบพระพุทธเจ้า ​จนแท้แต่รวมตัวกัน ช่วยเหลือตนและผู้อื่น มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นอยู่อย่างอบอุ่น ทำตัวให้มักน้อยสันโดษ ได้สุขสำราญ ทำอะไรเป็นประโยชน์

ดูนี่ อาตมาก็ยังไม่เคยเห็น มะเขือยาว ลูกยาวใหญ่ขนาดนี้ เกิดมาอายุ 80 กว่าแล้ว หัวไชเท้าก็โต กะหล่ำปลีก็หัวโต ได้มาก็กินใช้ เหลือแล้วเผื่อแผ่คนอื่น ทั้งที่คนเราก็ไม่มาก แต่คนมากเราก็เหลือกินเหลือใช้ เอาไปเผื่อแผ่คนอื่นได้อย่างดี ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำให้คนไม่ดูดาย ช่วยเหลือกัน

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ความรู้เดียวกันทุกพระองค์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้พอสมควร ตอนนี้ ก็คงจะเลื่อนจากระดับ 7 ประกาศมาสี่สิบกว่าปีแล้ว มันน่าจะเลื่อนจาก 7 เป็น 7.005 เป็น 7.010 เป็นต้น ก็ไม่ได้หยุดยั้งพยายาม อุตสาหะพากเพียรอยู่ เราพูดให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ก็ไม่เสียหลาย แต่ถ้าเราต่ำ แล้วดันพูดสูงกว่าจริง พระพุทธเจ้าปรับอาบัติ ปาราชิกเลย

ตอนนี้ เราเข้าร่องเข้ารอยแล้ว จึงเหลือแต่ปราบมิจฉาชีพ แต่ตามภูมิอาตมานั้น มิจฉาชีพฝั่งฆราวาสยังยั้ง แต่มิจฉาชีพฝ่ายศาสนาพุทธนี้ ยังไม่ลด ยังดึงดันดื้อด้าน ศาสนาพุทธนี้มาบวชแล้ว ได้อภิสิทธิ์แล้ว ข้าวมีกินดินมีเดิน คนอื่นเขาอุปภัมภ์ค้ำชูไป ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติอบรมจิต ไป

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เขาเลี้ยงไว้ ด้วยโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังมีหน้า มาทำมิจฉาอาชีวะ ทำเดรัจฉานวิชชา

สมณะเดินดิน ว่า..ท่านใช้ภาษาว่า พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำ พวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้

 

พ่อครูฯ ว่า...ก็ยังดีที่มีพยัญชนะในพระไตรปิฏก ยืนยันไว้ เพราะฉะนั้น ต้องจัดการ มิจฉาชีพให้ได้ ทั้งฆราวาสและนักบวช เมืองไทยจะเป็นตัวอย่างของโลก ผู้ที่มีโอกาสทำหน้าที่ตอนนี้ ทำให้ดีเลย ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

 

 

มาตอบคำถามเด็กๆ

 

_ชื่อสะพานข้ามคลองถอยหลังเข้า ชื่ออะไร?

ตอบ...สะพานเชื่อมรัตน์ อาตมานึกถึง เกาะรัตนโกสินทร์ ราชธานีอโศก ก็มีแม่น้ำมูล อยู่ทางทิศตะวันออก ทางด้านอื่นๆ ก็ทำลำธารรอบไว้ ก็เป็นเกาะ อาตมาเรียกว่า เกาะราชธานีอโศก ล้อเลียนเกาะรัตนโกสินทร์

 

_อาริยสัจ 4 คืออะไร พรหมวิหาร 4 คืออะไร

ตอบ...อาริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

มรรคคือ ทางปฏิบัติเพื่อดับเหตุคือสมุทัย ให้เกิดนิโรธ

พรหมวิหารคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นจิตที่เกิดสี่ลักษณะ คุณสมบัติสี่อย่างนี้ เราเรียกอีกภาษาว่า อัปมัญญา 4 คือเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ พรหมของสายเจโตเทวนิยม เรียกพลังงานยิ่งใหญ่คือพระเจ้า ไม่ว่าพระยโฮวา พระอัลลอห์ ก็เรียกสี่เหมือนกันเป็น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ก็อธิบายคนละอย่าง

ของพุทธ เมตตาคืออยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ หรือมีสุข เสร็จแล้วก็ลงมือช่วยคือกรุณา ลงมือพยายามช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ถึงสุขที่ควรได้ ลงมือทำได้ก็จบ มีจิตยินดี สาธุ ที่เขาพ้นทุกข์เป็นสุขดีแล้ว เป็นมุทิตา เป็นธาตุรู้ว่าเป็นไปได้แล้ว ดีแล้ว แล้วก็วางจบเฉย เสร็จงาน ทำแล้วก็ไม่ต้องไปจดจำ หรือรื้อฟื้นทวงบุญคุณอะไร จบก็จบ นี่คือคุณสมบัติยิ่งใหญ่ ของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระกรุณาธิคุณ บริสุทธิ์คุณ เป็นตรีมูรติ

 

_หลวงปู่คะ บำเพ็ญตบะอดขนมแล้วตาย หลวงปู่จะจารึกในแผ่นทองคำไหมคะ

ตอบ...ก็ลองดูๆ ใครจะเป็นรายแรก อดขนาดจนชักดิ้นชักงอตาย จะบันทึกในแผ่นทองคำให้

 

_วิบากของหลวงปู่ นอกจากไอแล้วมีอะไรอีกคะ

ตอบ..นอกจากไอ ก็มีเจ็บแปล็บๆ ตามร่างกายภายใน วิบากที่ไอ คือเพราะไปว่าเขามาก ตำหนิเขามาก วิบากที่เจ็บแปล็บๆ คือไปทำร้ายชีวิตผู้คนมาก่อน สมัยโบราณต้องใช้แทงฟันกัน ก็เจ็บปวด แต่เพราะมีกุศลวิบากมาช่วย ก็ทำให้ผ่อนไปเยอะ

 

_คนที่เขาทำผิดแค่ครั้งเดียวกับเรา แล้วเราก็ไม่ให้โอกาสเขา แก้ตัวเลย เรียกว่าอะไรคะ

ตอบ...ก็เรียกว่า ใจดำสิ ไม่ให้เขาแก้ตัวเลย แต่แม้เราจะไม่เปิดโอกาส แต่เขาจะทดแทนทางอ้อมก็ได้ทั้งนั้น แต่คนไม่ให้ทดแทน ก็คือใจดำ

 

บอกตนเองอย่างไรเวลาโมโห

_ลูกอยากทราบว่า เวลาที่จิตใจของเราโมโห หนักใจทุกข์ใจ ในการคิดไม่ดีเราควรบอกใจตนเองอย่างไร

ตอบ..ขณะไหนที่ใจเราโมโห ก็บอกสิว่า ทำไมเราต้องชั่วอย่างนี้ ทำไมเราต้องเลว มีอาการของความไม่ดีความเลว ก็บอกสำทับเลยว่า ดีไหมเล่า ? ก็พยายามหยุด ให้จางคลาย ให้ลดลงไปให้ได้ ไม่มีอะไรที่จะชนะ นอกจากพากเพียรทำ ทั้งด้านเจโตและปัญญา หาหลักฐานความจริง ให้มันจำนนต่อความรู้หลักฐาน จนมันหมดไป ใช้ทั้งสองด้าน แต่ด้านที่ดีคือใช้ปัญญา พลังปัญญาจะสลายความไม่ดีได้ อย่างถาวรยั่งยืน ทำไปจะรู้ว่า ใช้ปัญญาได้ดีกว่า

 

_ทำไมโมโหแล้วชอบสงบ อยากอยู่คนเดียว

ตอบ...แสดงว่ามีทางออก คือรู้ว่าโมโหแล้วอยู่ต่อไป จะไปกระทบคนอื่น เราระงับไม่ได้ เห็นว่าอยู่คนเดียวก็ดีกว่า แต่ถ้าจะให้ดีแล้ว พยายามใช้ปัญญาสัมผัสอยู่กับคนอื่น ให้คนอื่นช่วย ไม่อย่างนั้นไม่จบไม่แล้ว คนที่จบคือ เรากระทบคนอื่น คนอื่นกระทบเรา จะตีเราฆ่าเรา เราก็ไม่มีจิตโกรธโมโห ไม่อาฆาตมาดร้ายใคร คือไม่สร้างวิบากใส่จิตเรา คนอื่นจะพยาบาทเรื่องของเขา เราไม่มีอะไรไปเชื่อมต่อเลย จะรุนแรงแค่ไหน แม้เขาฆ่าเราอย่างโหดร้าย เราก็ไม่อาฆาตเขา

ผู้เป็นอรหันต์สุดท้าย เขาจะฆ่าเราอย่างร้ายแรง ท่านก็ไม่พยาบาท ท่านจะปรินิพพานไปได้ แม้จะตั้งจิตต่อก็จบ เลิกไม่เกี่ยว เขาจะทำก็เรื่องของเขา วิบากเขาตบมือข้างเดียว

 

_การที่เราทำงานหนัก ไม่เหนื่อยกาย แต่ไปเหนื่อยใจ แล้วรู้สึกกลัวอะไรอยู่ มันคืออะไร

ตอบ...แสดงว่า กำลังกายมีพอ แต่พลังงานทางใจท้อแท้ ทั้งที่จริงๆแล้ว ใจมันไม่พร่องง่ายๆ แต่แคลอรี่ทางวัตถุนี่ พร่องง่ายกว่านะ แล้วรู้สึกกำลังกลัว ..ก็ไม่รู้สิ หลวงปู่ก็นึกไม่ได้ พยายามดูมันให้เห็นให้รู้นะ หลวงปู่ไม่เคยเกิดอาการนี้ จึงนึกไม่ออก ต้องพยายามตามดู

 

_ทำไมส่วนใหญ่ เพลงลามกสองแง่สองง่าม คนถึงชอบฟัง ส่วนเพลงสาระ ธรรมะ เขาถึงไม่ค่อยสนใจ ไม่คิดจะฟังบ้าง

ตอบ...เพราะเขายังโง่ เราต้องเห็นใจเขา ไม่ต้องไปลงโทษเขาหรอก เขาไม่ฟัง เพราะเข้าใจไม่ได้ ว่าคือสิ่งควรมีควรได้ควรเป็น เป็นสุภะ แต่เขาเห็นเป็นอสุภะ เขาเห็นของโสโครกเป็นสุภะอยู่ ยังเห็นขี้ดีกว่าแก้ว ก็ต้องเข้าใจเขา เขาไม่แกล้งแต่เขาโง่จริงๆ คนที่น่าสงสาร คือคนบ้าคนโง่ คนเมา คนพิการทางจิต พวกนี้ เราอย่าไปถือสา คนพวกนี้

 

_ที่บ้านราชฯ รร.สัมมาฯ ดูเละเทะไปหมดแล้วครับ เช่นรุ่นพี่ให้น้องตัดผมสั้นแต่รุ่นพี่ก็ไม่ตัด รุ่นพี่ให้น้องขัดห้องน้ำ ให้น้องไม่ฟังเพลง ไม่ให้ใส่รองเท้า ไม่ให้ใส่ wrist band แต่พี่ทำเองหมด อย่างนี้จะไปรอดไหม? มารยาทก็ไม่อ่อนน้อม ทั้งที่อยู่ในที่ คนสอนเราดีทั้งนั้น

ตอบ...มีคำพังเพยว่า อย่าขี้กองใหญ่ให้คนอื่นเห็น ไม่เกิดความเลื่อมใส ไม่เกิดความนับถือ ไม่ได้สัมมาคารวะ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องพยายามพูดระมัดระวัง ความชั่วแม้น้อย อย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าสอนเช่นนั้น

การตำหนิ แม้ตำหนิด้วยปรารถนาร้าย หรือปรารถนาดี มันเป็นประโยชน์ที่ดีมาก

 

ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม

_ชีวิตคนเรา นอกจากเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้ว เกิดมาทำอะไรอีก

ตอบ...ก็เกิดมาทำสิ่งดีงาม โดยเฉพาะ มาทำให้กิเลสลด สำคัญ ถ้าไม่เกิดมาได้ร่างครบอาการ 32 ก็ไม่มีทางลดกิเลส มีแต่จิตวิญาณอย่างเดียว ประตูเดียวไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่มีองคาพยพพร้อม ไม่มีทางบรรลุ

ผู้ที่บรรลุธรรม แม้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยร่างมีอาการ 32 มาเกิด ตายไป เหลือแต่จิตวิญญาณ จะมีแต่สัญญา ความจำ ตายไปแล้ว นึกว่ามีตาหูจมูกลิ้นกาย ต้องการสัมผัสทางทวาร 6อยู่ แต่ไม่มีของจริงให้สัมผัส ก็ทรมาน

 

_น้ำตกที่หลวงปู่จะสร้าง มีชื่ออะไรบ้าง

ตอบ...หลวงปู่ไม่ได้คิดสร้างอะไร มากมายหรอก น้ำตกผาแหงน ก็เสร็จแล้ว ตอนนี้ มีน้ำตกหินน้ำไหล ก็ยังแก้ไขอยู่ มีแก่งตำอิด ติดราม สามใส ไผใหญ่ ไทฌาน เป็นต้น ก็ทำไปเท่าที่ทำได้ จะเกิดบรรยากาศ แม้แต่ที่เล็ก ก็ให้เป็นธรรมชาติ

ตอนนี้ก็มีการถ่วงบ้าง ที่เรายังไม่ได้พลังงานโซล่าเซลล์ มาเต็มที่ ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ก็ดูว่าจะมีผู้มีความรู้ความสามารถทำ มาช่วยทำได้ แผ่นก็พอซื้อได้ เราไม่มีเงินจ้างคนแพงๆ ต้องอาศัยจิตจริงของผู้ศรัทธา เห็นดีเห็นงาม ก็จะมาช่วยสร้าง สถานที่ชมพูทวีปเล็กๆแห่งนี้ เป็นสาธารณโภคี ก็ไม่มีอะไรตอบแทน นอกจากสาธุ

 

_ทำไมเวลาเราพูดความจริง คนอื่นบอกว่าโกหก แต่เวลาเราโกหกเขาบอกว่าจริง

ตอบ..ก็พูดความจริงที่ไม่จริงกระมัง ถ้าพูดความจริงที่จริง เขาก็จะจำนน หรือพูดจริง แต่คนอื่นไม่มีปัญญารู้ก็ได้

 

_ทำอย่างไรถึงบรรลุธรรมได้ครับ

ตอบ….ทำอย่างที่หลวงปู่สอน พระพุทธเจ้าสอน อย่างที่สมณะ สิกขมาตุสอน ทำอย่างพ่อแม่ปู่ย่าตายายในนี้สอน เพราะว่าในนี้ เป็นสถานที่คัดเฟ้นคน คนจริงจัง คนไม่จริงจังมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะถูกขจัดออกไปโดยธรรม ต้องฝึกทำตามลำดับ

 

_พระโสดาบัน มีคุณสมบัติเช่นใดครับ _ทำอย่างไรจึงสู้กับกิเลสได้ ทำอย่างไรจะบรรลุธรรม

ตอบ...โสดาบัน คือผู้ไม่เอาชีวิต ไปเดินทางไปตามทางโลก ที่แย่งชิงลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เอาชีวิตมาทางโลกุตระ เริ่มลดสุขโลกีย์ ถ้าแบ่งเปอร์เซ็นต์ ก็ลดได้ 25% ถ้าเต็มร้อยก็ได้ อรหันต์ สกิทาฯได้ 50% อนาคาได้ 75%

คนที่หันทิศทางจากโลก มาปรโลกแบบโลกุตระ ถ้าเป็นโลกียะก็ไม่ใช่โสดาบัน ยังหันหน้าไปโลกียะ

สมณะเดินดิน.ว่า… นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โสดาบันต้องมีศีล 5

พ่อครูฯ.ว่า...ต้องรู้ทิศทางที่จะไม่เปลี่ยนแปลง นิยตะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว แม้ทำได้ส่วนหนึ่ง 25% ก็ตาม ก็ค่อยมั่นใจทำเพิ่มอีก

 

_หลวงปู่บอกว่าผีไม่มีจริง ทำไมเรายังกลัว

ตอบ….เพราะความเห็นความเชื่อจริง ยังไม่สนิท ปัญญายังไม่มากพอ ไม่เห็นจริงว่าผีไม่มีจริง คนที่เป็นผีก็คือคนมีกิเลสมาก มีมโนมยอัตตา ปั้นขึ้นเอง ลมๆแล้งๆๆ ใครคิดว่ามีผี ก็ท่องคาถา แค่ตายๆ แล้วเดินเข้าไปพิสูจน์เลย จะพบว่า มันไม่มีหรอก แล้วจะมั่นใจ

เอาอย่างนี้ ผีที่เราเคยกินสัตว์ ผีหมูผีไก่ผีปลา ผีสัตว์ เรากินไปใส่กระเพาะเราเท่าไหร่แล้ว ผีเหล่านี้ไม่มาหลอกเราเลย ตายโหงด้วย มันหลอกไม่ได้ มันไม่มีหรอก

หลวงปู่เคยยืนยัน สมมุติว่า จิตวิญญาณผี มีตัวตน ถ้าคนเราพยาบาทกันตั้งแต่ตอนเป็น ถ้าคนนั้นตายไป ถ้าวิญญาณมาแตะต้องบีบคอเราได้ คนเป็นๆจะเหลือไหม? คู่พยาบาทก็จะมาฆ่าสิ

 

_คนเราต่างชาติศาสนาความเชื่อ ชีวิตหลังความตาย เหมือนกันไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่า เราเลือกชีวิตหลังความตายได้ เลือกที่ไปของจิตวิญญาณได้? เคยได้ยินว่า วิญญาณจะไม่ไปไหน จะติดกับสิ่งที่เรายึดติดใช่ไหม?

ตอบ...เหมือนกัน คือมีอุปาทานทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ศาสนาพุทธสอนเรื่องความตาย ให้หมดอุปาทานได้ ตายไปเลยไม่เหลืออุปาทาน มีแต่ความจริง ว่า ถ้าเราทำกิเลสนี้หมดไปได้ ตายไปก็สะอาดจากเรื่องนี้ ถ้าทำกิเลสตัวไหน ก็มีอุปาทานในกิเลสนั้นๆ เราทำให้อุปาทาน ในเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ให้หมดไป ตายไปก็ไม่มีอุปาทาน  ไม่ว่าศาสนาไหนก็ตาม ตายไปก็ยังมีอุปาทาน แต่ตกนรกจริง สวรรค์นั้นแวบเดียวของเก๊ ส่วนใหญ่จะตกนรกหนักหนาสาหัส มีศาสนาพุทธนี่แหละ ทำให้นรกเบาบางได้ และไม่เหลือสวรรค์ได้ ก็อยู่ที่ดุสิตแดนสงบได้ นอกนั้น อาจหลงไปเป็น นิมมานรดี ปรนิมิตฯ ชั่วแวบแต่ลงนรกนาน และแท้กว่า นรกหนักแต่สวรรค์น้อยนิด

แต่มันเลือกไม่ได้หรอก ไปตามกรรม และตามปัญญาจริง

เราเองที่ไปติดยึด ก็ทำตอนเป็นๆสิ เราติดอะไร ก็มักจะไปทำอย่างนั้น

 

การศึกษาที่แท้จริงคืออะไร

_การศึกษาที่แท้จริงคืออะไรคะ

ตอบ...มีอยู่สองนัย

1.การศึกษาเพื่อเลี้ยงชีวิต ให้ดำรงอยู่ได้อย่างดี จะเป็นสัตว์หรือคน ก็ต้องมี  การศึกษา หนึ่งมีสัญชาตญาณ สองต้องมีการศึกษา เพื่อเลี้ยงชีวิตตนได้

2.การศึกษาเพื่อล้างกิเลส อันนี้สำคัญมาก ล้างกิเลสคือการศึกษาที่สำคัญยิ่ง เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์ คือสอนให้ล้างกิเลสได้ แต่ถ้าเป็นอเวไนยสัตว์ เสียชาติเกิด ได้อาการ 32 ครบ มีหมู่กลุ่มมีโพธิสัตว์ แต่ล้างกิเลสไม่ได้

 

_วันรับกลดรับช่วงเดือนไหนแล้วรับที่ไหน?

ตอบ...ยังอีกหลายเดือน ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าเพิ่งรีบ

 

_นรกสวรรค์อยู่ที่ใจเราใช่ไหม

ตอบ...ใช่ นรกสวรรค์อยู่ที่ใจ นอกจากใจ ไม่มีนรกสวรรค์อยู่ที่ใดเลย เรายังไม่ปรินพพานก็ยังมีใจ ถ้าเราปรินิพพานก็ไม่เหลือ ไม่มีนรกสวรรค์ แต่ถ้าเรายังไม่ตาย ต้องทำจิตใจเรา ให้เป็นอรหันต์ให้ได้ ถ้าใจเราเป็นอรหันต์ได้แล้ว นรกสวรรค์ไม่มี อยู่กลางๆ ระหว่างสวรรค์นรก รู้จักนรกสวรรค์ ถ้าจะไปนรกก็ไปช่วยเขา ไปสวรรค์ก็ไปพักผ่อน แต่ไม่บ้าไปกับสวรรค์เขา ไปอยู่กับคนนรกก็ช่วยเขา นอกจากช่วยแล้วช่วยไม่ไหว ก็ไปหาคนช่วยไหวก็แล้วกัน

 

โสดาบัน 3 ระดับ

_ช่วยอธิบายเรื่องโสดาบัน สาม คืออะไร

ตอบ....โสดาบัน 3 ระดับ

1.      เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)  คือผู้มีเชื้อเป็นโสดาบัน แต่เมื่อเกิดชาตินั้น พากเพียรด้วยบารมีตนด้วย ก็บรรลุอรหันต์ได้ แต่ถ้าไม่พากเพียร ก็เป็นแค่โสดาบัน ถ้าพากเพียรแล้ว มีเหตุปัจจัยของตน ก็บรรลุอรหันต์ได้ เป็นเอกพีชี

2.      โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) ต้องพากเพียร สองชาติ สามชาติ หกชาติ ก็จะบรรลุอรหันต์ แล้วแต่คน ก็บำเพ็ญตามลำดับ เลื่อนชั้นไปตามสังโยชน์ที่ตนเองได้ โสดาบันต้องได้บรรลุสังโยชน์ 3 (สังโยชน์มี10)

แต่โสดาบันทุกองค์ ต้องมีสังโยชน์ 3 ที่พ้นแล้ว

ต้องรู้อ่านกายของตน ให้พ้นวิจิกิจฉา แล้วทำอย่าง พ้นสีลลัพพตปรามาส รู้สัมมาทิฏฐิ แล้วเอาจริง ให้หลุดพ้นได้ด้วย ได้ก็ได้โสดาปัตติผล ได้ผ่านสังโยชน์ 3 ข้อแรก ยังเหลืออีก 7 สังโยชน์

3.      สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพ หรืออริยชาติ อีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) ชาตินี้ได้สามสังโยชน์ ชาติต่อไปได้อีก เพิ่มอีก 1 สังโยชน์ ไปจนกว่าจะหมด อีก 7 สังโยชน์ อาจทำได้ในชาติเดียว เต็มที่เลย ตายเป็นตาย ก็ได้ด้วย นอกจากบารมีไม่พอ มีวิบากก็แล้วแต่ แต่ทุกอย่าง สำเร็จได้ด้วยความเพียร

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 528)

 

_ทำไมรายการเกี่ยวกับผี เขาเห็นผี คนอื่นก็เคยเห็นได้ แต่หนูไม่เคยเห็น แต่บางทีได้กลิ่น แต่เข้าใจว่ามันไม่มี

ตอบ...ที่เห็นนั้นเป็นของเก๊ ผู้ที่ยังโง่อยู่ จะเห็นจริงๆด้วย แต่เห็นของเก๊

แบงค์เก๊มีไหม ก็มี คำโกหกก็มี แต่คำโกหกมันไม่จริง แต่คำโกหก มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ถ้ายังโง่จะเห็นจะได้กลิ่นอยู่ มันหลอกตัวเอง

 

_ความรักเกิดจากอะไร

ตอบ...คงหมายถึง ความรักมิติที่ 1 2 ตอบ...ก็คือโง่อยู่ไง มันยังไม่รู้ความจริง ยิ่งทุกวันนี้ ไม่จำเป็นเลย ผู้คนเต็มโลกแล้ว เจ็ดพันล้านกว่าแล้ว ไม่ต้องสร้างเพิ่มหรอก จึงอยู่ในยุคนี้ ลืมเสียเถิดอย่าคิดถึง ทิ้งไปเสียเถิด ในยุคที่มีความจำเป็นก็ทุกข์ ยุคนี้ไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องไปทุกข์

 

เวลาเราตายแล้ว วิญญาณเราอยู่ไหน

_เวลาเราตายแล้ว วิญญาณเราอยู่ไหน

ตอบ...อยู่ที่วิญญาณ วิญญาณอยู่ที่ไหนวิญญาณอยู่ที่นั่น ไม่มีที่อยู่ อยู่ที่ความรู้สึก ของอัตภาพเราเอง มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเนื้อที่ ไม่มีพิกัด ไม่มีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ไหน

คุณสมบัติของจิต 
เกวัฏฏสูตร 9/350, (และ 25/13)

อนิทัสสนัง    ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้ 

อนันตัง        ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด

สัพพโต ปภัง  แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง

    ทูรังคมัง   ไปได้ไกล (เดินทางไวกว่าแสง)

    เอกจรัง    ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร

    อสรีรัง     ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง

    คูหาสยัง อาศัยกายเป็นขอบเขตคูหากำบังอยู่

 

 

มาสู่เนื้อหากาละปัจจุบัน

ตอนนี้จิตวิญญาณของคนไทย กำลังเป็นจิตวิญญาณที่ให้ เสียสละ เคารพพระจริยวัตร ในช่วงครองราช 70 ปี จนทุกคน ยอมรับนับถือให้หมดเลย แล้วเป็นที่รู้กัน ทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยเต็มที่เลย นั่นแสดงว่า คนไทยเรารู้แล้ว เหมือน พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัญญาสิ วัตโพโกญทัญโญ คือ รู้ในโลกุตรธรรม เป็นการแสดงออกพฤติกรรม ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย มีแต่เห็นแก่ผู้อื่น เขารู้แล้วว่า อันนี้คือคุณธรรม อันประเสริฐเลิศ ทุกคนก็อยากเป็นอยากมี อยากได้ตาม แต่ไปซื้อที่ห้างไหน ก็ไม่มีขาย ต้องปฏิบัติเอง

เมื่อเห็นว่าดีแล้ว ขณะนี้ทุกคน มีความเห็นสอดร้อยกัน ว่าต้องทำตามพ่อสอน ทำตามคำสอนพ่อ ต้องออกมา ทุกคนตั้งปณิธาน ตั้งใจปฏิบัติ อนุโมทนาสาธุจริงๆ อาตมาก็ชื่นใจ ในเมืองไทย

เรานี่แหละ ได้เรียนคำสอน ที่อาตมาเอามาจาก คำสอนพระพุทธเจ้า ในหลวงก็ได้มาจากพระพุทธเจ้า ท่านเป็นโพธิสัตว์ เป็นพุทธมามกะ ซึ่งมีความรู้ มีพระปัญญาธิ คุณผ่านอรหันต์ บอกได้เท่านั้น จึงเป็นสิ่งยืนยัน ปรากฏเห็นได้ มีพฤติกรรมของคนจริง มีประโยชน์คุณค่าจริง ปรากฏชัด ประชากรเป็นพุทธศาสนิกชน 95% อุตสาหะพากเพียรเอา มันถึงกาละ(ตอนเป็นๆ) ถึงคราว แต่อย่าเพิ่งทำกาละ(ตาย)

สมณะเดิน.ว่า...วันนี้เนื้อหาพ่อครู ทำให้เราชัดเจนว่า ประเทศไทย มีความโชคดี มีชาติศาสน์กษัตริย์ครบพร้อม เป็นบุญบารมีที่ในหลวง ทำให้กับประเทศไทย เหมือนกับพระพุทธเจ้า แสดงธรรมสร้างศาสนาพุทธ 45 ปี สิ่งที่ท่านทำไว้ ทำให้ศาสนาพุทธเจริญมาถึง สองพันกว่าปี ในหลวงก็เป็นโพธิสัตว์ ทำประโยชน์แก่ชาติ มาตลอด 70 ปี ผลที่ท่านทำงานมาอย่างหนัก ขนาดพระทนต์ ที่หัก หมอจะทำให้ ก็บอกว่ารอก่อน จะไปช่วยแก้ไขน้ำท่วมกทม.ก่อน ขนาดจะเข้าห้องผ่าตัด ก็ให้เอาเครื่องคอมพ์มาดู เพื่อดูพยากรณ์อากาศ ที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน จิตใจในหลวง ที่ทรงห่วงใยพสกนิกร ตลอดเวลา ทำให้ชาวไทย และชาวต่างชาติ ก็ซึมซับเอาความดีเหล่านี้ไว้

ทูตสหรัฐ คนนี้ที่คนไทยเดิมไม่ค่อยชอบ แต่พอพูดเรื่องในหลวง ก็พูดได้ดีมาก พูดจากดำเป็นขาวเลย สิ่งเหล่านี้ คนทั่วโลกได้รับรู้เข้าใจ พ่อครูมองว่า เมืองไทยตอนนี้ ชาติก็ดีขึ้น แม้ประชาธิปไตยไทยก็ดีขึ้น นิยมพล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง แต่ทำประโยชน์แก่ประชาชนไทยมากกว่า คนไทยได้ซึมซับ ความดีของในหลวง ที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเข้ามา เป็นความรักทางศาสนาที่ดีขึ้น

พ่อครูถามเด็กๆว่า มีคุณประโยชน์ไหม? เป็นความเจริญไหม เด็กก็ตอบได้ว่าเจริญ แต่ต้องดูจิตวิญญาณเราด้วย ว่าเจริญขึ้นไหม แต่ก่อนนี้ ความสุขคนไทยขึ้นสูง ในวันที่ 5 ธันวาคม เพียงแค่ได้เห็นหน้าในหลวง ก็สุขแล้ว แต่ทุกวันนี้ ทุกคนทำดีตามพ่อ ความสุขนั้น ก็เกิดมากขึ้นแน่นอน ต้องถามว่า ทุกวันนี้ คนไทยเราสุขสบายขึ้น หรือลำบากขึ้น

อย่างเด็กที่มารร.สัมมาสิกขาฯ ไม่ใช่มาเพราะว่าถูกถีบ หรือไม่มีที่ไป แต่ว่ามาเพราะมีกุศลของตน แต่มาอยู่แล้ว ถ้าเรารู้สึกว่า สบายขึ้น ไม่ทรมาน พ้นทุกข์ขึ้น ก็คือเพราะว่า บารมีของตนเองเหมือนกัน เด็กถามว่า เกิดมาทำไม หลวงปู่ตอบว่า เกิดมาเพื่อล้างกิเลส ให้เป็นโสดาบัน จะได้ไม่เสียชาติเกิด….จบ

600105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิสัชนาประชาธิปไตยพุทธ

 

ส.เดินดินว่า….วันนี้วันพฤหัสที่ 5 มกราคม 2559 ขึ้น 8 ค่ำเดือนยี่ ปีระกา พ่อครูยังเสียงทุ้มอยู่ หมอก็ยังไม่ค่อยอยากให้มาบ้านราชฯ เพราะอาจมีปัญหา ระหว่างขึ้นเครื่องบิน ก็ต่อรองกันอยู่พอสมควร ที่สุดมาบ้านราชฯแล้ว อาการดีขึ้น

สถานการณ์บ้านเมือง ตอนนี้เหตุการณ์ที่ท้องสนามหลวง ก็ยังดำเนินต่อไป งานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ก็อาจจะไปถึงปีหน้า นักการเมืองกำลังใช้ประเด็นว่า นายกฯเคยให้สัญญาว่า การเลือกตั้งจะเกิดปี 2560 แต่ประชาชนบอกว่า พวกนักการเมือง ไม่เห็นแก่ประเพณีบ้านเมืองเลย ตอนนี้มีสถานการณ์บ้านเมือง ที่เปลี่ยนไป มันไม่มีใครคาดคิด ต้องรักษาประเพณีให้เรียบร้อย อันนี้น่าจะเหนือกว่าเอาตามใจชอบ

ประชาธิปไตยนั้นนักการเมืองเราดูเหมือน เป็นตัวทำลายประชาธิปไตยเสียเอง ศาสนานั้น พระก็กลับเป็นตัวทำลายศาสนา แต่วันนี้พ่อครูกลับมองว่า ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ กำลังดำเนินไปได้ดี

พ่อครู ว่า….วันนี้อาตมาตั้งใจจะมาลับเสียง เอาพวกคุณ เป็นหินลองเสียง ก็ตั้งใจฟังให้ดี ก็อ่านของขวัญของไม้ร่ม ธรรมชาติอโศกเขาหน่อย นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ บทกวีก็สรุปได้ดี อนาคตไม่มีที่ไหนๆ แต่ปัจจุบันมีจริง เป็นตัวแปรของทุกสิ่ง คำว่าอดีตกับอนาคตกับปัจจุบัน

สรุปได้ว่า อดีต อนาคตไม่มีของจริง มันมีจริงที่ปัจจุบันอย่างเดียว จะว่าเป็นความตั้งมั่นคงที่ในปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเป็นอะไร มันก็กลายเป็นอดีต อนาคตเอง รวมแล้วเป็น co-efficience เป็นค่าสัมประสิทธิ์ มีทั้งค่าคงที่และตัวแปร ที่ทำให้เป็นไปได้ เป็นธรรมะสอง ที่มีบวกลบเป็นธรรมดา

อาตมามองตามภูมิ ก็มองเห็นตามหลักการจริงของคนไทย จิตใจไทย ปัญญาไทย แนวโน้ม คนไทยมีสัมมาทิฏฐิแล้ว และมีปรากฏการณ์จริง ที่เกิดจริงเป็นจริง เกิดมาเป็นองค์ประกอบที่เห็นได้ ที่สัมผัสได้ เป็นของจริง

ในหลักใหญ่ของประเทศไทย ที่มีทั้งชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันนี้

อาตมาก็จะอ่านบทกวี นัยปกเราคิดอะไร 319

 

  ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ปัจจุบัน                      

 

(1) ชาติศาสน์กษัตริย์ไซร้                  ในไทย         

ปัจจุบันนั้นไฉน                        “ฉาก”แท้      

มี“สัจจะ”อะไร                          ทรงอยู่

คุณโทษชนะแพ้                       วิเคราะห์บ้างบารนี

 

(2) หนึ่งมี“กษัตริย์”          เลิศล้ำ ธรรมคุณ     

ประเสริฐเกิดเกินกรุณ     เกียรติก้อง

พระจริยวัตรชัดกว่าสุน-   ทรีสุด พรรณนา

ไทยทั่วเทศแซ่ซ้อง เทิดไท้บารมี 

 

(3) นี่คือ“กษัตริย์”หนึ่งแล้ว        เลอคุณ

“ชาติ”เล่าก็ตุนทุน                     ทบถ้วน

เป็นอธิปไตย“บุญ”                    แบบพุทธ     

เพราะสัมมาทิฏฐิล้วน                สัมผัสต้องมี“กาย”

 

(4) บรรยาย“กาย”ค่อยกระเตื้อง “ศาสน์”ธรรม

ว่า“รูปและนาม”สัม-                   ประสิทธิ์พร้อม

ปฏิบัติชัด“กาย”ดำ-                   รวจ“จิต” นั้นแล

จึงจักไป่อ้อมค้อม                     จับเป้าพุทธธรรม์

 

(5) สำคัญสมาธิต้อง        เรียน“กาย”

แต่พุทธยุคนี้หลาย           เลอะล้วน

เห็นผิดว่า“กาย”หมาย      แค่ร่าง 

วิโมกข์แปดจึงไม่ถ้วน      ดั่งถ้อยศาสดา

 

(6) “สัมมาสมาธิ”แท้        ธรรมะสอง

“กาย”ย่อมมี“ใจ”ครอง      “สัมผัส”พร้อม

นอก,ในจึ่งจะสนอง          สังขารครบ สามแฮ

พุทธถูกเดียรถีย์ย้อม        จึ่งย้อนกลับมิจฉา

 

(7) ศึกษาพุทธมากเพี้ยน  ผิดมา   

กว่าปัจจุบันจักพา   พุทธกระเตื้อง

ไทยมีกษัตริย์สาน   สืบอย่าง สำคัญเลย

เจ็ดสิบปีพระเปลื้อง ปลดฟื้นคืนธรรม

 

        “สไมย์ จำปาแพง”

                    3 ม.ค. 2560

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 319 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2560]

 

ก็หมายความว่า ชาติศาสน์กษัตริย์ไทยปัจจุบัน เป็นอย่างไร ทุกด้านเจริญขึ้น ประชาธิปไตยไทยเจริญยิ่งกว่าประชาธิปไตย 85 ปีที่ผ่านมา เป็นประชาธิปไตยแท้ เป็นอธิปไตยพุทธ

ทำไมเป็นอธิปไตยพุทธ ประชาธิปไตยคือ อำนาจของประชาชน แล้วประชาธิปไตยนั้นแบบพุทธ

อาตมาเป็นคนปากโป้งบอกว่า บุญนี่ไม่ใช่แค่กุศล ที่เขาทำกัน บุญหมายถึงการชำระถ่ายเดียว ทำหน้าที่เดียว คือกำจัดกิเลส กำจัดกิเลสก็สิ้นชีพไปเลย กำจัดเสร็จจบ บุญก็ตายไป สิ้นชีพไปทันทีที่ทำเสร็จ จะต้องเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้น ทําไม่สำเร็จ เพราะว่ามันผิดเพี้ยนมามากแล้ว เรื่องบุญนี้

คำว่าบุญอยู่ในที่ต่างๆ เช่น ปุญญภาคิยา ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นต้น คำว่าบุญนี้ แปลตามท่านธรรมปาละ ว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คำว่า วิโสเทติ แปลว่าสะอาด สันตานัง แปลว่า สันดานจิตที่สั่งสมอกุศล ส่วนบารมีคือจิตที่สั่งสมกุศล

บารมีกับสันดานต่างกันคนละขั้ว สันดานเป็นคลังความชั่ว บารมีเป็นคลังของความเจริญสะอาด

คำว่า ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าสิ้นบุญสิ้นบาป

คำอีกหมวดหนึ่งที่ว่า

สัพพปาปัสส อกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา (ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตน ให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ยืนยันไว้ชัดมาก อาตมายิ่งมีคำว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญขาภิสังขาร มาตีให้เข้ารูปเข้ารอยเลย คือการอภิสังขาร ก็ยิ่งเจริญๆๆ จิตเป็นความเจริญ ​บุญก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ เป็นปุญญาภิสังขาร ปรับแต่งได้หมดก็หมดบุญ อปุญญาภิสังขาร ไม่เหลือบาป บุญอีก ก็ทำให้แน่นแข็งแรงมั่นคงเป็น อเนญชาภิสังขาร อาตมาว่าอธิบายได้สอดร้อยกันดี

 

 

อธิปไตยพุทธ

อธิปไตยที่ชื่อ ระบอบประชาธิปไตย คืออธิปไตยบุญ คืออำนาจ พลังแรงของมนุษยชาติ ที่กำจัดกิเลสได้ แบบพุทธ กำจัดมิจฉา ไม่ว่าจะมิจฉาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เมื่อทำสังกัปปะได้ ก็ทำวาจา กัมมันตะ อาชีวะ ได้สอดคล้องกัน สังขารไป ก็เลยเป็นศาสนาพุทธ เกิดผล ก้าวหน้าสู่ไท (เป็นรากเหง้า ของคำว่าไทย) สู่อิสรเสรีภาพเด่นเดี่ยวโดดในโลกเลย เพราะว่าชัดเจน ในองค์ประชุม รูปนามคือกาย ทั้งใจที่เป็นประธาน กายต้องเป็นสิ่งสอง เป็นธรรมะสองเสมอ ไม่ใช่รูปอย่างเดียว อย่างที่เขาเข้าใจว่า กายคือรูป ไม่ใช่นาม แต่ที่จริงกายคือนาม ปฏิบัติที่นามแต่ต้องอาศัยรูปด้วย ถ้าไม่มีสภาวะ ก็เจ๊งลูกเดียว

ความสำเร็จ จึงทำให้เกิดความสงบ แบบที่สงบสู่ปาตุสัจจะ หรือ ภาวสัจจะ ที่สงบอย่าง มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ หากสงบชนิดไม่มีความขัดแย้งเลย ไม่มีใครช่วยคิด ช่วยทำช่วยติงเตือนเลย สงบแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านก็ให้สมณะต่างๆ ช่วยท้วงติงเตือนท่านด้วยซ้ำไป แม้ท่านไม่ผิดก็ได้แต่แสดงออก มันมีเหตุปัจจัย กาละ ท่านองค์เดียวก็อาจมีบกพร่อง ในกาละนั้นก็ได้ หรือแม้แต่องค์รวมหลายคน ช่วยกันคิด สังคมองค์รวม ควรเอาเท่านี้ ไม่มากหรือน้อยกว่านี้ หลายคนหลายผู้ ร่วมกันตัดสิน ก็น่าจะดีกว่าคนเดียวตัดสิน พระพุทธเจ้าไม่ดูถูกใคร ไม่ประมาท ข้อสำคัญคือ ความสงบ ต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ

หากความสงบนิ่งอย่างเดียว มีแต่จะตายเน่า ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไทยถึงเป็นประชาธิปไตย ที่อยู่ในหลักของความอิสรเสรี เป็นประชาธิปไตยที่แท้ มีจำเพาะที่ชาติไทย ชาติไหนทำได้ ก็เป็นของชาตินั้น แต่ของไทยนั้น ชาติอื่นเลียน    เป็นสมาธิที่ไม่ใช่อยู่แต่ภายในภพ แต่เป็นสมาธิที่เปิดทวาร รับรู้สว่างไสวไปทั่ว สมาธิแบบลืมตามีสัมผัสพร้อม มีทั้งภายในและภายนอก ถึงศึกษาครบสังขาร 3 กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

ถ้าไม่มีภายนอก จะได้สังขาร 3 ไม่ครบ จะได้ศึกษาแค่ภายในไม่ได้นอก ที่เป็นวจีสังขาร กายสังขาร

ไทยตอนนี้ตื่นรู้ มีสัมมาทิฏฐิแล้ว ปฏิบัติสังกัปปะ วาจา กัมมันตะได้ ตอนนี้ก็เร่งรัด ปราบมิจฉาชีพ อันเป็นผลกระทบทั้งสังคมเลย พวกมิจฉาชีพนี้ สำหรับอาชีพมีผลสูงต่อสังคม งานเลี้ยงชีวิต หนึ่งไม่ต้องการไปล่า ลาภยศสรรเสริญ แม้แต่สุขก็ไม่ต้องการ เลี้ยงชีพรอดแล้ว มีส่วนเหลือก็ดี ไม่เหลือก็ไม่เป็นไร ยิ่งไม่ได้ต้องได้สรรเสริญ ก็ไม่จำเป็นอะไร สุขไม่สุขก็ไม่เป็นไร กลางๆ สบายมาก

เพราะฉะนั้น อาชีพจึงครอบคลุมกว้าง ทั้งกายและใจหมดเลย เพราะยังชีพอย่างดีอย่างเป็นไป ทีนี้สัตวโลกนี่อาชีพที่เป็นเอก คืออาหาร โดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร ไม่ว่าสัตว์เล็กใหญ่ต้องอาศัย อาหารจึงเป็นหนึ่งในโลก เมื่อได้อาหาร มีธาตุเลี้ยงขันธ์ถูกต้อง ก็อยู่รอดได้ นอกจาก จะเสื่อมจนไม่ไหว

พระพุทธเจ้าถึงเน้นมิจฉาชีพ ถึง 5 อย่าง

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

กุหนา ลปนาคือมิจฉาชีพอย่างเลว มันโกงชั่วทุจริต หน้าด้านหน้าทน ที่ไม่บริสุทธิ์ พวกที่โกงทีละแสนล้าน ล้านๆนั้น หยาบร้ายแรงมาก ทุจริตเลวร้ายขนาดหนัก สรุปง่ายนะว่าโกงห้าแสนล้าน จะเอาไปแจกใครก็ช่างหัวมันสิ แต่มันโกงประชาชน มันเอาของประชาชนไปปู้ยี่ปู้ยำ เสร็จแล้วก็หน้าด้านหน้าทน จนทุกวันนี้ก็พูดอยู่ ซุกซ่อนรวมหัวกัน ไม่ว่าจะนักบวช นักการเมือง นักธุรกิจ รวมหัวกันโกงชาติ มันไม่เลวตรงนี้ แล้วจะไปเลวตรงไหน?

อาตมาเองพยายามบอก เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ นับถือพระพุทธเจ้า นับถือพุทธศาสนามี 95% เสร็จแล้วมิจฉาทิฏฐิ ได้ประโยชน์จากศาสนาบ้างก็น้อย แต่ที่จริงศาสนาพุทธนี้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคม และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เช่น คนจนนี่อุ้มชูคนรวยในชาติได้ เพราะคนรวยนี้ อุจจาระไม่ให้สุนัขกินเลย รวยแล้วก็ทำให้คนอื่นแย่ ส่วนคนจนแบบพระพุทธเจ้า ​จนแท้แต่รวมตัวกัน ช่วยเหลือตนและผู้อื่น มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นอยู่อย่างอบอุ่น ทำตัวให้มักน้อยสันโดษ ได้สุขสำราญ ทำอะไรเป็นประโยชน์

ดูนี่ อาตมาก็ยังไม่เคยเห็น มะเขือยาว ลูกยาวใหญ่ขนาดนี้ เกิดมาอายุ 80 กว่าแล้ว หัวไชเท้าก็โต กะหล่ำปลีก็หัวโต ได้มาก็กินใช้ เหลือแล้วเผื่อแผ่คนอื่น ทั้งที่คนเราก็ไม่มาก แต่คนมากเราก็เหลือกินเหลือใช้ เอาไปเผื่อแผ่คนอื่นได้อย่างดี ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำให้คนไม่ดูดาย ช่วยเหลือกัน

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ความรู้เดียวกันทุกพระองค์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้พอสมควร ตอนนี้ ก็คงจะเลื่อนจากระดับ 7 ประกาศมาสี่สิบกว่าปีแล้ว มันน่าจะเลื่อนจาก 7 เป็น 7.005 เป็น 7.010 เป็นต้น ก็ไม่ได้หยุดยั้งพยายาม อุตสาหะพากเพียรอยู่ เราพูดให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ก็ไม่เสียหลาย แต่ถ้าเราต่ำ แล้วดันพูดสูงกว่าจริง พระพุทธเจ้าปรับอาบัติ ปาราชิกเลย

ตอนนี้ เราเข้าร่องเข้ารอยแล้ว จึงเหลือแต่ปราบมิจฉาชีพ แต่ตามภูมิอาตมานั้น มิจฉาชีพฝั่งฆราวาสยังยั้ง แต่มิจฉาชีพฝ่ายศาสนาพุทธนี้ ยังไม่ลด ยังดึงดันดื้อด้าน ศาสนาพุทธนี้มาบวชแล้ว ได้อภิสิทธิ์แล้ว ข้าวมีกินดินมีเดิน คนอื่นเขาอุปภัมภ์ค้ำชูไป ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติอบรมจิต ไป

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เขาเลี้ยงไว้ ด้วยโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังมีหน้า มาทำมิจฉาอาชีวะ ทำเดรัจฉานวิชชา

สมณะเดินดิน ว่า..ท่านใช้ภาษาว่า พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำ พวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้

 

พ่อครูฯ ว่า...ก็ยังดีที่มีพยัญชนะในพระไตรปิฏก ยืนยันไว้ เพราะฉะนั้น ต้องจัดการ มิจฉาชีพให้ได้ ทั้งฆราวาสและนักบวช เมืองไทยจะเป็นตัวอย่างของโลก ผู้ที่มีโอกาสทำหน้าที่ตอนนี้ ทำให้ดีเลย ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

 

 

มาตอบคำถามเด็กๆ

 

_ชื่อสะพานข้ามคลองถอยหลังเข้า ชื่ออะไร?

ตอบ...สะพานเชื่อมรัตน์ อาตมานึกถึง เกาะรัตนโกสินทร์ ราชธานีอโศก ก็มีแม่น้ำมูล อยู่ทางทิศตะวันออก ทางด้านอื่นๆ ก็ทำลำธารรอบไว้ ก็เป็นเกาะ อาตมาเรียกว่า เกาะราชธานีอโศก ล้อเลียนเกาะรัตนโกสินทร์

 

_อาริยสัจ 4 คืออะไร พรหมวิหาร 4 คืออะไร

ตอบ...อาริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

มรรคคือ ทางปฏิบัติเพื่อดับเหตุคือสมุทัย ให้เกิดนิโรธ

พรหมวิหารคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นจิตที่เกิดสี่ลักษณะ คุณสมบัติสี่อย่างนี้ เราเรียกอีกภาษาว่า อัปมัญญา 4 คือเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ พรหมของสายเจโตเทวนิยม เรียกพลังงานยิ่งใหญ่คือพระเจ้า ไม่ว่าพระยโฮวา พระอัลลอห์ ก็เรียกสี่เหมือนกันเป็น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ก็อธิบายคนละอย่าง

ของพุทธ เมตตาคืออยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ หรือมีสุข เสร็จแล้วก็ลงมือช่วยคือกรุณา ลงมือพยายามช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ถึงสุขที่ควรได้ ลงมือทำได้ก็จบ มีจิตยินดี สาธุ ที่เขาพ้นทุกข์เป็นสุขดีแล้ว เป็นมุทิตา เป็นธาตุรู้ว่าเป็นไปได้แล้ว ดีแล้ว แล้วก็วางจบเฉย เสร็จงาน ทำแล้วก็ไม่ต้องไปจดจำ หรือรื้อฟื้นทวงบุญคุณอะไร จบก็จบ นี่คือคุณสมบัติยิ่งใหญ่ ของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระกรุณาธิคุณ บริสุทธิ์คุณ เป็นตรีมูรติ

 

_หลวงปู่คะ บำเพ็ญตบะอดขนมแล้วตาย หลวงปู่จะจารึกในแผ่นทองคำไหมคะ

ตอบ...ก็ลองดูๆ ใครจะเป็นรายแรก อดขนาดจนชักดิ้นชักงอตาย จะบันทึกในแผ่นทองคำให้

 

_วิบากของหลวงปู่ นอกจากไอแล้วมีอะไรอีกคะ

ตอบ..นอกจากไอ ก็มีเจ็บแปล็บๆ ตามร่างกายภายใน วิบากที่ไอ คือเพราะไปว่าเขามาก ตำหนิเขามาก วิบากที่เจ็บแปล็บๆ คือไปทำร้ายชีวิตผู้คนมาก่อน สมัยโบราณต้องใช้แทงฟันกัน ก็เจ็บปวด แต่เพราะมีกุศลวิบากมาช่วย ก็ทำให้ผ่อนไปเยอะ

 

_คนที่เขาทำผิดแค่ครั้งเดียวกับเรา แล้วเราก็ไม่ให้โอกาสเขา แก้ตัวเลย เรียกว่าอะไรคะ

ตอบ...ก็เรียกว่า ใจดำสิ ไม่ให้เขาแก้ตัวเลย แต่แม้เราจะไม่เปิดโอกาส แต่เขาจะทดแทนทางอ้อมก็ได้ทั้งนั้น แต่คนไม่ให้ทดแทน ก็คือใจดำ

 

บอกตนเองอย่างไรเวลาโมโห

_ลูกอยากทราบว่า เวลาที่จิตใจของเราโมโห หนักใจทุกข์ใจ ในการคิดไม่ดีเราควรบอกใจตนเองอย่างไร

ตอบ..ขณะไหนที่ใจเราโมโห ก็บอกสิว่า ทำไมเราต้องชั่วอย่างนี้ ทำไมเราต้องเลว มีอาการของความไม่ดีความเลว ก็บอกสำทับเลยว่า ดีไหมเล่า ? ก็พยายามหยุด ให้จางคลาย ให้ลดลงไปให้ได้ ไม่มีอะไรที่จะชนะ นอกจากพากเพียรทำ ทั้งด้านเจโตและปัญญา หาหลักฐานความจริง ให้มันจำนนต่อความรู้หลักฐาน จนมันหมดไป ใช้ทั้งสองด้าน แต่ด้านที่ดีคือใช้ปัญญา พลังปัญญาจะสลายความไม่ดีได้ อย่างถาวรยั่งยืน ทำไปจะรู้ว่า ใช้ปัญญาได้ดีกว่า

 

_ทำไมโมโหแล้วชอบสงบ อยากอยู่คนเดียว

ตอบ...แสดงว่ามีทางออก คือรู้ว่าโมโหแล้วอยู่ต่อไป จะไปกระทบคนอื่น เราระงับไม่ได้ เห็นว่าอยู่คนเดียวก็ดีกว่า แต่ถ้าจะให้ดีแล้ว พยายามใช้ปัญญาสัมผัสอยู่กับคนอื่น ให้คนอื่นช่วย ไม่อย่างนั้นไม่จบไม่แล้ว คนที่จบคือ เรากระทบคนอื่น คนอื่นกระทบเรา จะตีเราฆ่าเรา เราก็ไม่มีจิตโกรธโมโห ไม่อาฆาตมาดร้ายใคร คือไม่สร้างวิบากใส่จิตเรา คนอื่นจะพยาบาทเรื่องของเขา เราไม่มีอะไรไปเชื่อมต่อเลย จะรุนแรงแค่ไหน แม้เขาฆ่าเราอย่างโหดร้าย เราก็ไม่อาฆาตเขา

ผู้เป็นอรหันต์สุดท้าย เขาจะฆ่าเราอย่างร้ายแรง ท่านก็ไม่พยาบาท ท่านจะปรินิพพานไปได้ แม้จะตั้งจิตต่อก็จบ เลิกไม่เกี่ยว เขาจะทำก็เรื่องของเขา วิบากเขาตบมือข้างเดียว

 

_การที่เราทำงานหนัก ไม่เหนื่อยกาย แต่ไปเหนื่อยใจ แล้วรู้สึกกลัวอะไรอยู่ มันคืออะไร

ตอบ...แสดงว่า กำลังกายมีพอ แต่พลังงานทางใจท้อแท้ ทั้งที่จริงๆแล้ว ใจมันไม่พร่องง่ายๆ แต่แคลอรี่ทางวัตถุนี่ พร่องง่ายกว่านะ แล้วรู้สึกกำลังกลัว ..ก็ไม่รู้สิ หลวงปู่ก็นึกไม่ได้ พยายามดูมันให้เห็นให้รู้นะ หลวงปู่ไม่เคยเกิดอาการนี้ จึงนึกไม่ออก ต้องพยายามตามดู

 

_ทำไมส่วนใหญ่ เพลงลามกสองแง่สองง่าม คนถึงชอบฟัง ส่วนเพลงสาระ ธรรมะ เขาถึงไม่ค่อยสนใจ ไม่คิดจะฟังบ้าง

ตอบ...เพราะเขายังโง่ เราต้องเห็นใจเขา ไม่ต้องไปลงโทษเขาหรอก เขาไม่ฟัง เพราะเข้าใจไม่ได้ ว่าคือสิ่งควรมีควรได้ควรเป็น เป็นสุภะ แต่เขาเห็นเป็นอสุภะ เขาเห็นของโสโครกเป็นสุภะอยู่ ยังเห็นขี้ดีกว่าแก้ว ก็ต้องเข้าใจเขา เขาไม่แกล้งแต่เขาโง่จริงๆ คนที่น่าสงสาร คือคนบ้าคนโง่ คนเมา คนพิการทางจิต พวกนี้ เราอย่าไปถือสา คนพวกนี้

 

_ที่บ้านราชฯ รร.สัมมาฯ ดูเละเทะไปหมดแล้วครับ เช่นรุ่นพี่ให้น้องตัดผมสั้นแต่รุ่นพี่ก็ไม่ตัด รุ่นพี่ให้น้องขัดห้องน้ำ ให้น้องไม่ฟังเพลง ไม่ให้ใส่รองเท้า ไม่ให้ใส่ wrist band แต่พี่ทำเองหมด อย่างนี้จะไปรอดไหม? มารยาทก็ไม่อ่อนน้อม ทั้งที่อยู่ในที่ คนสอนเราดีทั้งนั้น

ตอบ...มีคำพังเพยว่า อย่าขี้กองใหญ่ให้คนอื่นเห็น ไม่เกิดความเลื่อมใส ไม่เกิดความนับถือ ไม่ได้สัมมาคารวะ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องพยายามพูดระมัดระวัง ความชั่วแม้น้อย อย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าสอนเช่นนั้น

การตำหนิ แม้ตำหนิด้วยปรารถนาร้าย หรือปรารถนาดี มันเป็นประโยชน์ที่ดีมาก

 

ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม

_ชีวิตคนเรา นอกจากเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้ว เกิดมาทำอะไรอีก

ตอบ...ก็เกิดมาทำสิ่งดีงาม โดยเฉพาะ มาทำให้กิเลสลด สำคัญ ถ้าไม่เกิดมาได้ร่างครบอาการ 32 ก็ไม่มีทางลดกิเลส มีแต่จิตวิญาณอย่างเดียว ประตูเดียวไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่มีองคาพยพพร้อม ไม่มีทางบรรลุ

ผู้ที่บรรลุธรรม แม้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยร่างมีอาการ 32 มาเกิด ตายไป เหลือแต่จิตวิญญาณ จะมีแต่สัญญา ความจำ ตายไปแล้ว นึกว่ามีตาหูจมูกลิ้นกาย ต้องการสัมผัสทางทวาร 6อยู่ แต่ไม่มีของจริงให้สัมผัส ก็ทรมาน

 

_น้ำตกที่หลวงปู่จะสร้าง มีชื่ออะไรบ้าง

ตอบ...หลวงปู่ไม่ได้คิดสร้างอะไร มากมายหรอก น้ำตกผาแหงน ก็เสร็จแล้ว ตอนนี้ มีน้ำตกหินน้ำไหล ก็ยังแก้ไขอยู่ มีแก่งตำอิด ติดราม สามใส ไผใหญ่ ไทฌาน เป็นต้น ก็ทำไปเท่าที่ทำได้ จะเกิดบรรยากาศ แม้แต่ที่เล็ก ก็ให้เป็นธรรมชาติ

ตอนนี้ก็มีการถ่วงบ้าง ที่เรายังไม่ได้พลังงานโซล่าเซลล์ มาเต็มที่ ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ก็ดูว่าจะมีผู้มีความรู้ความสามารถทำ มาช่วยทำได้ แผ่นก็พอซื้อได้ เราไม่มีเงินจ้างคนแพงๆ ต้องอาศัยจิตจริงของผู้ศรัทธา เห็นดีเห็นงาม ก็จะมาช่วยสร้าง สถานที่ชมพูทวีปเล็กๆแห่งนี้ เป็นสาธารณโภคี ก็ไม่มีอะไรตอบแทน นอกจากสาธุ

 

_ทำไมเวลาเราพูดความจริง คนอื่นบอกว่าโกหก แต่เวลาเราโกหกเขาบอกว่าจริง

ตอบ..ก็พูดความจริงที่ไม่จริงกระมัง ถ้าพูดความจริงที่จริง เขาก็จะจำนน หรือพูดจริง แต่คนอื่นไม่มีปัญญารู้ก็ได้

 

_ทำอย่างไรถึงบรรลุธรรมได้ครับ

ตอบ….ทำอย่างที่หลวงปู่สอน พระพุทธเจ้าสอน อย่างที่สมณะ สิกขมาตุสอน ทำอย่างพ่อแม่ปู่ย่าตายายในนี้สอน เพราะว่าในนี้ เป็นสถานที่คัดเฟ้นคน คนจริงจัง คนไม่จริงจังมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะถูกขจัดออกไปโดยธรรม ต้องฝึกทำตามลำดับ

 

_พระโสดาบัน มีคุณสมบัติเช่นใดครับ _ทำอย่างไรจึงสู้กับกิเลสได้ ทำอย่างไรจะบรรลุธรรม

ตอบ...โสดาบัน คือผู้ไม่เอาชีวิต ไปเดินทางไปตามทางโลก ที่แย่งชิงลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เอาชีวิตมาทางโลกุตระ เริ่มลดสุขโลกีย์ ถ้าแบ่งเปอร์เซ็นต์ ก็ลดได้ 25% ถ้าเต็มร้อยก็ได้ อรหันต์ สกิทาฯได้ 50% อนาคาได้ 75%

คนที่หันทิศทางจากโลก มาปรโลกแบบโลกุตระ ถ้าเป็นโลกียะก็ไม่ใช่โสดาบัน ยังหันหน้าไปโลกียะ

สมณะเดินดิน.ว่า… นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โสดาบันต้องมีศีล 5

พ่อครูฯ.ว่า...ต้องรู้ทิศทางที่จะไม่เปลี่ยนแปลง นิยตะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว แม้ทำได้ส่วนหนึ่ง 25% ก็ตาม ก็ค่อยมั่นใจทำเพิ่มอีก

 

_หลวงปู่บอกว่าผีไม่มีจริง ทำไมเรายังกลัว

ตอบ….เพราะความเห็นความเชื่อจริง ยังไม่สนิท ปัญญายังไม่มากพอ ไม่เห็นจริงว่าผีไม่มีจริง คนที่เป็นผีก็คือคนมีกิเลสมาก มีมโนมยอัตตา ปั้นขึ้นเอง ลมๆแล้งๆๆ ใครคิดว่ามีผี ก็ท่องคาถา แค่ตายๆ แล้วเดินเข้าไปพิสูจน์เลย จะพบว่า มันไม่มีหรอก แล้วจะมั่นใจ

เอาอย่างนี้ ผีที่เราเคยกินสัตว์ ผีหมูผีไก่ผีปลา ผีสัตว์ เรากินไปใส่กระเพาะเราเท่าไหร่แล้ว ผีเหล่านี้ไม่มาหลอกเราเลย ตายโหงด้วย มันหลอกไม่ได้ มันไม่มีหรอก

หลวงปู่เคยยืนยัน สมมุติว่า จิตวิญญาณผี มีตัวตน ถ้าคนเราพยาบาทกันตั้งแต่ตอนเป็น ถ้าคนนั้นตายไป ถ้าวิญญาณมาแตะต้องบีบคอเราได้ คนเป็นๆจะเหลือไหม? คู่พยาบาทก็จะมาฆ่าสิ

 

_คนเราต่างชาติศาสนาความเชื่อ ชีวิตหลังความตาย เหมือนกันไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่า เราเลือกชีวิตหลังความตายได้ เลือกที่ไปของจิตวิญญาณได้? เคยได้ยินว่า วิญญาณจะไม่ไปไหน จะติดกับสิ่งที่เรายึดติดใช่ไหม?

ตอบ...เหมือนกัน คือมีอุปาทานทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ศาสนาพุทธสอนเรื่องความตาย ให้หมดอุปาทานได้ ตายไปเลยไม่เหลืออุปาทาน มีแต่ความจริง ว่า ถ้าเราทำกิเลสนี้หมดไปได้ ตายไปก็สะอาดจากเรื่องนี้ ถ้าทำกิเลสตัวไหน ก็มีอุปาทานในกิเลสนั้นๆ เราทำให้อุปาทาน ในเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ให้หมดไป ตายไปก็ไม่มีอุปาทาน  ไม่ว่าศาสนาไหนก็ตาม ตายไปก็ยังมีอุปาทาน แต่ตกนรกจริง สวรรค์นั้นแวบเดียวของเก๊ ส่วนใหญ่จะตกนรกหนักหนาสาหัส มีศาสนาพุทธนี่แหละ ทำให้นรกเบาบางได้ และไม่เหลือสวรรค์ได้ ก็อยู่ที่ดุสิตแดนสงบได้ นอกนั้น อาจหลงไปเป็น นิมมานรดี ปรนิมิตฯ ชั่วแวบแต่ลงนรกนาน และแท้กว่า นรกหนักแต่สวรรค์น้อยนิด

แต่มันเลือกไม่ได้หรอก ไปตามกรรม และตามปัญญาจริง

เราเองที่ไปติดยึด ก็ทำตอนเป็นๆสิ เราติดอะไร ก็มักจะไปทำอย่างนั้น

 

การศึกษาที่แท้จริงคืออะไร

_การศึกษาที่แท้จริงคืออะไรคะ

ตอบ...มีอยู่สองนัย

1.การศึกษาเพื่อเลี้ยงชีวิต ให้ดำรงอยู่ได้อย่างดี จะเป็นสัตว์หรือคน ก็ต้องมี  การศึกษา หนึ่งมีสัญชาตญาณ สองต้องมีการศึกษา เพื่อเลี้ยงชีวิตตนได้

2.การศึกษาเพื่อล้างกิเลส อันนี้สำคัญมาก ล้างกิเลสคือการศึกษาที่สำคัญยิ่ง เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์ คือสอนให้ล้างกิเลสได้ แต่ถ้าเป็นอเวไนยสัตว์ เสียชาติเกิด ได้อาการ 32 ครบ มีหมู่กลุ่มมีโพธิสัตว์ แต่ล้างกิเลสไม่ได้

 

_วันรับกลดรับช่วงเดือนไหนแล้วรับที่ไหน?

ตอบ...ยังอีกหลายเดือน ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่าเพิ่งรีบ

 

_นรกสวรรค์อยู่ที่ใจเราใช่ไหม

ตอบ...ใช่ นรกสวรรค์อยู่ที่ใจ นอกจากใจ ไม่มีนรกสวรรค์อยู่ที่ใดเลย เรายังไม่ปรินพพานก็ยังมีใจ ถ้าเราปรินิพพานก็ไม่เหลือ ไม่มีนรกสวรรค์ แต่ถ้าเรายังไม่ตาย ต้องทำจิตใจเรา ให้เป็นอรหันต์ให้ได้ ถ้าใจเราเป็นอรหันต์ได้แล้ว นรกสวรรค์ไม่มี อยู่กลางๆ ระหว่างสวรรค์นรก รู้จักนรกสวรรค์ ถ้าจะไปนรกก็ไปช่วยเขา ไปสวรรค์ก็ไปพักผ่อน แต่ไม่บ้าไปกับสวรรค์เขา ไปอยู่กับคนนรกก็ช่วยเขา นอกจากช่วยแล้วช่วยไม่ไหว ก็ไปหาคนช่วยไหวก็แล้วกัน

 

โสดาบัน 3 ระดับ

_ช่วยอธิบายเรื่องโสดาบัน สาม คืออะไร

ตอบ....โสดาบัน 3 ระดับ

1.      เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)  คือผู้มีเชื้อเป็นโสดาบัน แต่เมื่อเกิดชาตินั้น พากเพียรด้วยบารมีตนด้วย ก็บรรลุอรหันต์ได้ แต่ถ้าไม่พากเพียร ก็เป็นแค่โสดาบัน ถ้าพากเพียรแล้ว มีเหตุปัจจัยของตน ก็บรรลุอรหันต์ได้ เป็นเอกพีชี

2.      โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) ต้องพากเพียร สองชาติ สามชาติ หกชาติ ก็จะบรรลุอรหันต์ แล้วแต่คน ก็บำเพ็ญตามลำดับ เลื่อนชั้นไปตามสังโยชน์ที่ตนเองได้ โสดาบันต้องได้บรรลุสังโยชน์ 3 (สังโยชน์มี10)

แต่โสดาบันทุกองค์ ต้องมีสังโยชน์ 3 ที่พ้นแล้ว

ต้องรู้อ่านกายของตน ให้พ้นวิจิกิจฉา แล้วทำอย่าง พ้นสีลลัพพตปรามาส รู้สัมมาทิฏฐิ แล้วเอาจริง ให้หลุดพ้นได้ด้วย ได้ก็ได้โสดาปัตติผล ได้ผ่านสังโยชน์ 3 ข้อแรก ยังเหลืออีก 7 สังโยชน์

3.      สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพ หรืออริยชาติ อีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) ชาตินี้ได้สามสังโยชน์ ชาติต่อไปได้อีก เพิ่มอีก 1 สังโยชน์ ไปจนกว่าจะหมด อีก 7 สังโยชน์ อาจทำได้ในชาติเดียว เต็มที่เลย ตายเป็นตาย ก็ได้ด้วย นอกจากบารมีไม่พอ มีวิบากก็แล้วแต่ แต่ทุกอย่าง สำเร็จได้ด้วยความเพียร

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 528)

 

_ทำไมรายการเกี่ยวกับผี เขาเห็นผี คนอื่นก็เคยเห็นได้ แต่หนูไม่เคยเห็น แต่บางทีได้กลิ่น แต่เข้าใจว่ามันไม่มี

ตอบ...ที่เห็นนั้นเป็นของเก๊ ผู้ที่ยังโง่อยู่ จะเห็นจริงๆด้วย แต่เห็นของเก๊

แบงค์เก๊มีไหม ก็มี คำโกหกก็มี แต่คำโกหกมันไม่จริง แต่คำโกหก มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ถ้ายังโง่จะเห็นจะได้กลิ่นอยู่ มันหลอกตัวเอง

 

_ความรักเกิดจากอะไร

ตอบ...คงหมายถึง ความรักมิติที่ 1 2 ตอบ...ก็คือโง่อยู่ไง มันยังไม่รู้ความจริง ยิ่งทุกวันนี้ ไม่จำเป็นเลย ผู้คนเต็มโลกแล้ว เจ็ดพันล้านกว่าแล้ว ไม่ต้องสร้างเพิ่มหรอก จึงอยู่ในยุคนี้ ลืมเสียเถิดอย่าคิดถึง ทิ้งไปเสียเถิด ในยุคที่มีความจำเป็นก็ทุกข์ ยุคนี้ไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องไปทุกข์

 

เวลาเราตายแล้ว วิญญาณเราอยู่ไหน

_เวลาเราตายแล้ว วิญญาณเราอยู่ไหน

ตอบ...อยู่ที่วิญญาณ วิญญาณอยู่ที่ไหนวิญญาณอยู่ที่นั่น ไม่มีที่อยู่ อยู่ที่ความรู้สึก ของอัตภาพเราเอง มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเนื้อที่ ไม่มีพิกัด ไม่มีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ไหน

คุณสมบัติของจิต 
เกวัฏฏสูตร 9/350, (และ 25/13)

อนิทัสสนัง    ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้ 

อนันตัง        ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด

สัพพโต ปภัง  แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง

    ทูรังคมัง   ไปได้ไกล (เดินทางไวกว่าแสง)

    เอกจรัง    ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร

    อสรีรัง     ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง

    คูหาสยัง อาศัยกายเป็นขอบเขตคูหากำบังอยู่

 

 

มาสู่เนื้อหากาละปัจจุบัน

ตอนนี้จิตวิญญาณของคนไทย กำลังเป็นจิตวิญญาณที่ให้ เสียสละ เคารพพระจริยวัตร ในช่วงครองราช 70 ปี จนทุกคน ยอมรับนับถือให้หมดเลย แล้วเป็นที่รู้กัน ทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยเต็มที่เลย นั่นแสดงว่า คนไทยเรารู้แล้ว เหมือน พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัญญาสิ วัตโพโกญทัญโญ คือ รู้ในโลกุตรธรรม เป็นการแสดงออกพฤติกรรม ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย มีแต่เห็นแก่ผู้อื่น เขารู้แล้วว่า อันนี้คือคุณธรรม อันประเสริฐเลิศ ทุกคนก็อยากเป็นอยากมี อยากได้ตาม แต่ไปซื้อที่ห้างไหน ก็ไม่มีขาย ต้องปฏิบัติเอง

เมื่อเห็นว่าดีแล้ว ขณะนี้ทุกคน มีความเห็นสอดร้อยกัน ว่าต้องทำตามพ่อสอน ทำตามคำสอนพ่อ ต้องออกมา ทุกคนตั้งปณิธาน ตั้งใจปฏิบัติ อนุโมทนาสาธุจริงๆ อาตมาก็ชื่นใจ ในเมืองไทย

เรานี่แหละ ได้เรียนคำสอน ที่อาตมาเอามาจาก คำสอนพระพุทธเจ้า ในหลวงก็ได้มาจากพระพุทธเจ้า ท่านเป็นโพธิสัตว์ เป็นพุทธมามกะ ซึ่งมีความรู้ มีพระปัญญาธิ คุณผ่านอรหันต์ บอกได้เท่านั้น จึงเป็นสิ่งยืนยัน ปรากฏเห็นได้ มีพฤติกรรมของคนจริง มีประโยชน์คุณค่าจริง ปรากฏชัด ประชากรเป็นพุทธศาสนิกชน 95% อุตสาหะพากเพียรเอา มันถึงกาละ(ตอนเป็นๆ) ถึงคราว แต่อย่าเพิ่งทำกาละ(ตาย)

สมณะเดิน.ว่า...วันนี้เนื้อหาพ่อครู ทำให้เราชัดเจนว่า ประเทศไทย มีความโชคดี มีชาติศาสน์กษัตริย์ครบพร้อม เป็นบุญบารมีที่ในหลวง ทำให้กับประเทศไทย เหมือนกับพระพุทธเจ้า แสดงธรรมสร้างศาสนาพุทธ 45 ปี สิ่งที่ท่านทำไว้ ทำให้ศาสนาพุทธเจริญมาถึง สองพันกว่าปี ในหลวงก็เป็นโพธิสัตว์ ทำประโยชน์แก่ชาติ มาตลอด 70 ปี ผลที่ท่านทำงานมาอย่างหนัก ขนาดพระทนต์ ที่หัก หมอจะทำให้ ก็บอกว่ารอก่อน จะไปช่วยแก้ไขน้ำท่วมกทม.ก่อน ขนาดจะเข้าห้องผ่าตัด ก็ให้เอาเครื่องคอมพ์มาดู เพื่อดูพยากรณ์อากาศ ที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน จิตใจในหลวง ที่ทรงห่วงใยพสกนิกร ตลอดเวลา ทำให้ชาวไทย และชาวต่างชาติ ก็ซึมซับเอาความดีเหล่านี้ไว้

ทูตสหรัฐ คนนี้ที่คนไทยเดิมไม่ค่อยชอบ แต่พอพูดเรื่องในหลวง ก็พูดได้ดีมาก พูดจากดำเป็นขาวเลย สิ่งเหล่านี้ คนทั่วโลกได้รับรู้เข้าใจ พ่อครูมองว่า เมืองไทยตอนนี้ ชาติก็ดีขึ้น แม้ประชาธิปไตยไทยก็ดีขึ้น นิยมพล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง แต่ทำประโยชน์แก่ประชาชนไทยมากกว่า คนไทยได้ซึมซับ ความดีของในหลวง ที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเข้ามา เป็นความรักทางศาสนาที่ดีขึ้น

พ่อครูถามเด็กๆว่า มีคุณประโยชน์ไหม? เป็นความเจริญไหม เด็กก็ตอบได้ว่าเจริญ แต่ต้องดูจิตวิญญาณเราด้วย ว่าเจริญขึ้นไหม แต่ก่อนนี้ ความสุขคนไทยขึ้นสูง ในวันที่ 5 ธันวาคม เพียงแค่ได้เห็นหน้าในหลวง ก็สุขแล้ว แต่ทุกวันนี้ ทุกคนทำดีตามพ่อ ความสุขนั้น ก็เกิดมากขึ้นแน่นอน ต้องถามว่า ทุกวันนี้ คนไทยเราสุขสบายขึ้น หรือลำบากขึ้น

อย่างเด็กที่มารร.สัมมาสิกขาฯ ไม่ใช่มาเพราะว่าถูกถีบ หรือไม่มีที่ไป แต่ว่ามาเพราะมีกุศลของตน แต่มาอยู่แล้ว ถ้าเรารู้สึกว่า สบายขึ้น ไม่ทรมาน พ้นทุกข์ขึ้น ก็คือเพราะว่า บารมีของตนเองเหมือนกัน เด็กถามว่า เกิดมาทำไม หลวงปู่ตอบว่า เกิดมาเพื่อล้างกิเลส ให้เป็นโสดาบัน จะได้ไม่เสียชาติเกิด….จบ

 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:13:15 )

600106

รายละเอียด

600106_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศิลปะโลกุตระของสมณะโพธิรักษ์

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560 ข่าวว่า ประชาชนก็ต้องการให้งานพระบรมศพ เป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่พวกฝูงไฮยีน่าก็ไม่ยอมแล้ว แค่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ก็ถ้าพวกนี้เข้ามาแล้ว ก็เกิดเรื่องโกงเหมือนเก่า ประชาชนก็จะไม่ยอมอีก แต่คุณเปลวบอกว่า ท่านนายกฯท่านคิดไว้หมดแล้ว

ทุกคนก็มองออกว่า ถ้ารีบเลือกตั้ง บ้านเมืองก็วุ่นวายเหมือนเก่า ตอนนี้ที่ภาคใต้ ก็เกิดน้ำท่วมฉันพลัน ฝนก็ไม่หยุด ยังจะตกต่ออีก ก็ลำบากกันพอสมควร เป็นเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรามาเดินตามรอยพระโพธิสัตว์กัน ก็เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น เราจะนำความทุกข์นั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร คนที่ไปชุมนุมนั้น เขามีจิตใจที่จะช่วยเหลือส่วนรวม แค่กลับไปดูบ้านว่ามีอะไรเหลือ แล้วก็จะรีบกลับมาช่วยบ้านเมืองต่อ คนที่ไม่ค่อยจะคิดถึงตัวเอง คิดแต่จะช่วยคนอื่น ก็จะไม่รู้สึกว่าทุกข์เท่าไหร่ ในหลวงที่ไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะมีความรักความทุ่มเทให้กับประชาชน คนที่ติดตามในหลวงจะต้องเดินเร็ว มีคนถามในหลวงว่า ทำไมต้องเดินเร็ว ในหลวงบอกว่า ความทุกข์ยากของประชาชนรออยู่ จะเดินช้าได้อย่างไร

พ่อครูว่า… ก็โอภาปราศรัยกับ sms ก่อน

SMS วันที่ 5 มกราคม 2560

 

เราไม่พักเราไม่เพียร

0851614xxxรักแท้ในพุทธศาสนา คือเมตตากรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี มีความสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ ทั้งหมดนี้อยู่ที่การเอาผู้อื่นเป็นที่ตั้ง / การเกลียดใครมักเป็นเรื่อง.."สูญเปล่า" เพราะครึ่งหนึ่งของ..คนที่คุณเกลียด เขาไม่แคร์ ขณะที่อีกครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณเกลียด!!" /ข้อมูลจากพระไพศาล สาระอัพเดท

"ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบบ้าง..หมายความว่า การที่คนๆหนึ่ง ยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้างเป็นเรื่องจำเป็น"/ ข้อมูลจากป.อ. ปยุตโต

ตอบ...ความรักที่คุณว่ามานี้ก็ถูกต้อง ผู้ที่บรรลุธรรมของศาสนาพุทธ จิตใจจะไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่าไม่มีตัวตน ดูตัวตนมันน้อยลง เราเห็นแก่ตัวน้อยลง ความระลึกถึงตัวเองก็น้อยลง เป็นธรรมดาสัจจะ

ความระลึก สาราณียะ เป็นสัจธรรมของศาสนา ผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธจะเป็นผู้ที่มีความระลึกถึงคน งาน สิ่งที่ควร ในอภิณหปัจเวกขณ์ มีข้อหนึ่ง บอกว่า วันเวลากำลังล่วงไปบัดนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ ...คือหมายความว่า เวลาผ่านไปเรามีกรรมกิริยาอะไร จะคิดพูดทำอะไร ดีหรือชั่ว ยังมีอีกที่เราจะต้องทำ กรรมดีที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ที่เราจะต้องทำ

คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องการให้คนอยู่เฉยๆ หากไม่อยู่ในเวลาที่ควรพัก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราไม่พักเราไม่เพียร คือคนข้ามโอฆสงสารได้แล้ว ท่านใช้คำตรัส เมื่อมีเทวดารูปหนึ่งถามท่านว่า จุดหมายปลายทางของท่าน ที่จะข้ามโอฆสงสาร ตอบให้สั้นๆ ว่า เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

 

เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้

เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้

เราไม่พัก เราไม่เพียร  ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ 

(พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2)

 

หากเอาแต่พักก็จะจมลงๆๆ ถ้าเอาแต่เพียรก็จะลอยๆๆๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ต้องอยู่ระหว่างกลาง เราไม่พักเราก็เพียร เราไม่เพียร ก็คือถึงเวลาควรพัก เราก็พัก ไม่เช่นนั้น ก็ลอยไม่รู้จักหยุดเลย ถ้าเราเอาแต่เพียร ถ้าเราเอาแต่พักก็จมไม่สิ้นสุด โดยจริงแล้ว คนเราไม่ควรจม ควรเพียร

ในอภิณหปัจเวกขณ์ มีข้อหนึ่ง บอกว่า วันเวลากำลังล่วงไป บัดนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ คือเราไม่ควรอยู่เฉยๆ ในขณะที่ไม่ควรพัก คือมีการงานเป็นหลัก แล้วการงานเป็นหลักนี้ จุดเริ่มต้นของจิต คือสาราณียะ ระลึกถึงคน ถึงงาน ถึงสังคม ระลึกถึงอะไรที่เราควรทำ หากเราอยู่เฉยๆ ก็ระลึกถึงอะไรควรทำ ถ้าเรามีอะไรทำก็ไม่เสียหาย คือธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่สร้างคนให้มีประโยชน์ มีคุณค่า จากกรรมการงาน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

เพราะคนแต่ละคนนี้คือเครื่องยนต์ คือโรงงาน ที่เป็นโทษภัยก็ได้ เป็นประโยชน์ก็ได้ เมื่อเราสามารถฝึกฝน ให้รู้จักกรรมกิริยา เราไม่ทำกรรมที่เป็นอกุศล เราไม่ทำกรรมที่เป็นโทษได้ นั่นแหละเป็นดี

เมื่อเราไม่มีกรรมที่เป็นโทษแล้ว เราก็จะเป็นคนที่ ทำกรรมที่เป็นคุณค่าประโยชน์ ต่อใครๆเสมอ เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร

สรุปอีกที ธรรมะพระพุทธเจ้า สอนคนให้เป็นคนที่มีคุณค่าประโยชน์ ไม่ใช่สอนคนให้เป็นแท่งหินแผ่นดิน นอนนิ่งเฉย ไม่รู้เวลาผ่านไปผ่านไป อภิณหปัจเวกขณ์ มีข้อหนึ่ง บอกว่า วันเวลากำลังล่วงไป บัดนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ท่านตรัสไว้นี้แสดงว่า เราไม่ควรจะนิ่ง ถ้าไม่ใช่เวลาควรพัก วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ (รัตตินทิวา วีติปตันตีติ)
         ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำให้คนเจริญเป็นคนดี เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ โดยเฉพาะประโยชน์ตน เพราะปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ผู้ปฏิบัติประโยชน์ตนได้ จะได้ประโยชน์ท่านไปพร้อมกัน เป็นอุภยัตถะ เมื่อผู้ใดปฏิบัติประโยชน์ตนจบแล้ว หมดแล้ว ประโยชน์ตนนั้นคือประโยชน์ล้างกิเลส กำจัดกิเลสของตน ให้หมดไป จากจิตใจของตน

เมื่อกำจัดกิเลสของตน หมดสิ้นเกลี้ยงแล้วไปจากตน ก็มีแต่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นเท่านั้น เช่น พระอรหันต์เป็นต้น ก็มีแต่กรรมกิริยา เป็นกุศลต่อผู้อื่น

สมณะเดินดินว่า...ถ้าดูพุทธพจน์ที่ว่า เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้ ในศาสนาพุทธจะมีภาษาที่ ถ้าไม่ได้ฟังคำอธิบายจากสัตบุรุษ อย่างพ่อครู ก็จะเข้าใจได้ยาก เพราะเป็นภาษาที่ย้อนแย้ง คนเราอยากให้บอกชัด ว่าจะเอาซ้ายหรือขวา เดินหน้าหรือเดินหลัง แต่ภาษาสัจจะจะย้อนสภาพ ให้เราไม่พัก แต่ว่าให้เราเพียร ทำไมไม่ใช้ภาษาตรงๆ ว่าเพียรหรือพัก ก็ไม่ใช่ ทำให้เราเวลาจะคิดอะไรก็ไม่ใช่ทุ่มสุดตัว เพียรก็ไม่ใช่เพียรจนลอย แต่พักก็ไม่ให้จม

ศาสนาพุทธจบที่ อย่ายึดมั่นถือมั่น เว้นบาปทั้งปวง ทำแต่กุศล ทำใจให้ผ่องใส หากคนที่ยึดถือ ถ้าเจอภาษาที่คัมภีรานี้ ก็จะไปไม่ไหว เพียรก็ต้องระวัง พักก็ต้องระวัง

ถ้าไม่มีพ่อครูมาอธิบาย เราก็ยากจะเข้าใจเหมือนกัน

 

เป้าหมายของศาสนาพุทธคือการเสียเปรียบ(เสียสละ)

พ่อครูว่า..ส่วนอันที่อ้างของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่บอกว่า "ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบบ้าง..หมายความว่า การที่คนๆหนึ่ง ยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น"/ ข้อมูลจากป.อ. ปยุตโต

ตอบ...สำนวนนี้ดีมาก ซาบซึ้ง  ก็ชัดเจน เพราะคนเรามักเห็นแก่ตัว เอาเปรียบ สามัญสำนึกของคนที่ยังไม่พัฒนา เป็นปุถุชน ก็พากเพียรเพื่อจะเอาเปรียบเท่านั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง ถ้าฝึกตัวเอง หัดเป็นคนเสียเปรียบเสียบ้าง สรุปจริงๆแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้คนเสียเปรียบ ไม่ใช่แค่ฝึกเท่านั้น แต่เป็นเป้าหมายเลย การเสียเปรียบ คือให้ของตัวเองแก่ผู้อื่น การเอาเปรียบหรือได้เปรียบ คือเอาของคนอื่นมาให้แก่ตนได้

ศาสนาพุทธสอนให้ละตัวตน ให้เอาตัวตนออกให้หมด ไม่ใช่เอาอะไรมาเพิ่มให้แก่ตัวตน หนาขึ้นมากขึ้น ให้เข้าใจว่าตัวเองเป็นตัวตนที่หนาใหญ่เปรอะ เอาเปรียบเขา เป็นจุดใหญ่ใจความของศาสนาพุทธ  ให้ละตัวตน ซึ่งศาสนาอื่นไม่มีสอน ศาสนาอื่นไม่เรียนตัวตน ไม่เรียนความละหน่ายคลาย

ละหน่ายคลายความเป็นตัวตน ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน เป็นจุดสำคัญ ศาสนาเทวนิยม จะไม่รู้จักเรื่องนี้ มีแต่จะสร้างตัวเองให้เป็น ตัวตน อาตมัน ไปเป็นปรมาตมัน (ภาษาบาลีว่า บรม อัตตา) ศาสนาพุทธ สุดขั้วกับพวกอาตมันเลย เป็นเป้าหมายคนละขั้วเลย เพราะฉะนั้น คนจะเข้าใจศาสนาพุทธจึงไม่ง่าย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวเท่านั้น ที่รู้จักอัตตา แล้วละลดอัตตา ให้หมดไปจากจิตใจของเราได้ เป็นศาสนาเดียว ที่สอนอย่างนี้ได้มีหลักทฤษฎีอย่างนี้จริงๆ ยิ่งใหญ่

ที่บอกว่าเสียเปรียบเสียบ้างนั้นจำเป็น มันจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่เสียเปรียบไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนเสียเปรียบตลอดเวลา คำว่าเสียเปรียบ ฟังแล้วเป็นพยัญชนะเป็นภาษาที่ฟังแล้ว น่ากลัวน่าเกลียด แปลภาษาเดียวกัน เสียเปรียบก็คือเสียสละ เสียคือให้แก่ผู้อื่น เสียเปรียบก็คือ ผู้อื่นได้เปรียบเรา อันเดียวกัน คำว่าเสียสละกับเสียเปรียบ เป็นภาษาอันเดียวกัน แต่ฟังแล้วเสียเปรียบก็ดูน่าเกลียด แต่ถ้าบอกว่า เสียสละ ก็น่าทำ แต่อันเดียวกัน เสียเหมือนกัน

คนที่มีชีวิต มีกรรมกิริยามีอิริยาบถ เป็นคนที่สร้างสรรค์ ด้วยแรงงานความรู้ของตน มีผลผลิตขึ้นมา เช่นอันนี้ แตงญี่ปุ่น (พ่อครูหยิบแตงญี่ปุ่น บนโต๊ะขึ้นมา) เราสร้างแล้วก็เอาไปให้คนอื่น (พ่อครูไอ)

สมณะเดินดินว่า...เสียเปรียบเหมือนไม่ได้อะไร เสียเหลี่ยม คนมีอัตตาก็ไม่อยากเสียเปรียบ เพราะเสียเหลี่ยม

พ่อครูว่า...เหลี่ยมเป็นมานะอัตตา หยิ่งผยองว่าตนเอง เหนือกว่าเขา ใครว่าเรานี่ไม่ได้เลย เสียเหลี่ยม มันเป็นอัตตามานะ ถือดีถือตัว

เรื่องเสียเปรียบนี้ยิ่งใหญ่ ใครรู้จักว่าอาการเสียเปรียบคืออย่างไร ก็จงเป็นผู้มีอาริยะ มีกรรมกิริยาเสียเปรียบ อยู่ตลอดเวลาให้ได้เถิด เป็นคนเจริญสูงสุดเลย คือคนไม่มีตัวตน มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทำอะไร สร้างอะไรขึ้นมา ก็เพื่อผู้อื่น สร้างผลผลิตขึ้นมา ก็เพื่อแจกจ่ายอาศัยกินใช้ เราก็ทำงานมีผลผลิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เราก็อาศัยใช้อย่างไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ได้ทำให้คนอื่นลำบากลำบนอะไร มีประสิทธิภาพแรงงาน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ แล้วก็เกื้อกูลคนอื่นอีก จุดหมายปลายทาง ของศาสนาพุทธ ก็แค่นั้นถ้าจริงๆแล้ว

 

0880007xxxกราบคารวะพ่อท่านและหมู่สงฆ์. ดูพ่อท่านอยู่. แต่ทำยังไม่ได้ ได้ข้อเดียว ไม่กินกับไม่ฆ่าครับ

ตอบ...ไม่ฆ่าก็คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินก็คือคงไม่กินเนื้อสัตว์นั่นแหละ

 

0849680xxxคนฉลาดที่เห็นแก่ตัว สู้คนโง่ที่ทำเพื่อส่วนรวมไม่ได้ จงเป็นผู้ให้"อภัย" แม้กระทั่งผู้ที่คอยเบียดเบียนกายใจเรา เพราะการให้อภัย ไม่ได้ทำให้เราเสียหาย ยิ่งให้ ยิ่งได้ "ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา" ดั่งคำตรัสของพ่อหลวง ร.9 ที่ให้ลูกไทย ได้ใช้ปัญญาตรึกคิดให้ชัดในความหมายนี้

บรม หมายถึง อย่างยิ่ง ใจบรมสุขก็คือ ใจที่เป็นสุขอย่างยิ่ง จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่ " ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน " เพราะความยึดมั่นถือมั่นทำให้หนัก โดยเฉพาะหนักอกหนักใจ หนักกาย " หนักตนเองและผู้อื่น " และทำให้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ที่เรียกว่า บรมทุกข์

0879769xxxน้อมกราบนมัสการพ่อครู ชอบพ่อครูเมตตาตอบปัญหาให้เด็กๆอนาคตของชาติ

 

การนอนกรนและฝันร้ายเป็นกิเลสหรือไม่ (สุขเก๊=ถูกหวยในฝัน)

0890015xxxอาการนอนกรนและฝันร้ายเป็นกิเลสหรือไม่ ธรรมะพอมีทางช่วยได้ไหมครับ / จะเรียกชุมชนที่สนามหลวงอย่างไรดีครับ ที่สวนลุมพินี เคยมีชุมชนดูไป

ตอบ...การนอนกรนไม่ใช่เป็นกิเลส เป็นเรื่องของสรีระที่บกพร่อง ส่วนในฝันนั้น ไม่มีเจตนาเป็นตัวกรรม มันเป็นเรื่องของสัญญาที่ ฟุ้งฝอย วุ่นวายไปเฉยๆ จึงไม่เป็นส่ำในฝัน มันไม่มีตัวสติควบคุม ถ้ามีสติควบคุม ก็จะเป็นเรื่องราวดี ถ้าจะว่ามีกิเลส มันก็พาสร้างเรื่องราวได้เหมือนกัน เช่น คนมีกิเลส นอนแล้ว หลับ ฝันไป กิเลสนั้น ปรารถนาตั้งแต่ลืมตาไม่ได้ดังใจ มันก็ไปฝันเอาได้ ได้ผลในฝัน ก็เป็นพฤติกรรมของกิเลส จะบอกว่าเป็นกิเลสหรือไม่ ก็ดูตรงนี้

ถ้าฝันเป็นกิเลสก็ร้ายทุกตัวแหละ เมื่อฝันเป็นกิเลสก็ร้ายทุกตัว บางคนฝันถูกหวยก็เป็นสุข แต่ว่าฝันร้ายนะ คุณเพ้อเลย อันนั้นอันเดียวกับคุณไม่ฝัน แต่ได้รับอะไรก็แล้วแต่บำเรอกิเลส บำเรอเวทนา

เวทนานั้น มีเวทนาแท้และเวทนาเทียม มันมีความทุกข์และสุข ถ้าคุณได้ความสุข ความสุขนั้นมันไม่มี เหมือนกันกับฝันว่าถูกหวย คนมีสุข เท่ากับการฝันว่าถูกหวย มันเพ้อฝันเอา เพราะฉะนั้น เทวดา 6 ภพ นี่ ยกเว้น ภพจตุมหาราช ซึ่งเป็นเทวดาเหี้ยมโหด เป็นเทวดาโทสะมูล พยายามแย่งเขา

เทวดา 4 จตุมหาราช เป็นเทวดาแย่งเขา พอแย่งได้แล้ว อีก 5 ภพ ดาวดึงส์ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ก็คือฝันว่าถูกหวยทั้งนั้น แย่งมาได้ก็เป็นดาวดึงส์ สวรรค์หอฮ่อ แล้วอยากได้ยาวนานเป็นยามา ดุสิตจะให้หยุดพัก คุณก็ไม่หยุด ก็เพราะจิตของคนมีกิเลส จะเอามาให้แก่ตน ก็แย่งเขาอีก เป็นนิมมานรดี จนสามารถสร้างมาให้แก่ตัวเองได้สำเร็จ จนสุดท้าย เก่งที่สุดเป็นปรนิมมิตวสวัตตี เก่งในทางชั่ว เก่งในทางเป็นมหาราช จตุมหาราชแย่งมาแก่ตัวเองให้ได้เก่ง สวรรค์ 6  คือนรก 6 ภพ

สวรรค์นั้นไม่มีหรอก เพราะสวรรค์คือภพชาติ เป็นของหลอก คนที่อวิชชาเท่านั้น ที่อยากได้สวรรค์ คุณอยากได้สวรรค์เท่าไหร่ ก็คือนรกเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ จตุมหาราชิกา จะแย่งเอาทุกทิศเลย ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ ได้มาก็สมใจ เป็นอาการที่ 33 ทั้งที่มนุษย์มีแค่อาการ 32 ทวัตติงสาการ แต่นี่จะไปเป็นอาการที่ 33 คือ ตาวติงสาการ คืออาการสุขเก๊ เป็นเหมือนฝันแล้วถูกหวย

อาการดาวดึงส์ สวรรค์ในโลกเพื่อการฝันแล้วถูกหวยทั้งนั้น

 

 

ชุมชนดู Bomb of love.

_จะเรียกชุมชนที่สนามหลวงอย่างไรดีครับ ที่สวนลุมพินี เคยเรียกว่าชุมชนดูไป

ตอบ...มีคนบอกว่า เอาชื่อ ดูบอมบ์ฯ ก็ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ดูบอมบ์ออฟเลิฟ เรียกว่าชุมชนดู Bomb of love. คนไป ปรารถนาจะไปชื่นชม แม้จะไปคารวะพระบรมศพ ก็ไปชื่นชม จิตมันซ้อนลึก แต่ก่อนไม่ได้แสดงออก ว่าจะต้องมาชื่นชมมาเคารพ ได้กราบพระบาท ได้มาแสดงออก ถึงความจงรักภักดี เขามาแสดงออก แม้จะมีความแฝงด้วยความเศร้าโศก เสียดายว่าพระองค์จากไป ตอนพระองค์ไม่จากไป ก็ไม่ได้แสดงออก แต่ตอนนี้ก็มาแสดงออก เมื่อมากันมาก ก็ต้องกินต้องเลี้ยงกัน สนามหลวงนี้ ห้ามใครมาขายอาหารขายของ แต่ก็ต้องกินอาหาร

มีภาพชาวต่างชาติ ผู้ชายเป็นวิศวกร เขาเลือกใช้ชีวิตบั้นปลายในไทย ก็ซาบซึ้งต่อในหลวงอย่างมาก

พูดถึงเหตุการณ์ Bomb of love ได้เห็นจากจดหมาย ที่ไอน์สไตน์ เขียนไว้ให้แก่ลูก ก็ชัดเจนถึง Bomb of love คือความเป็นระเบิดรัก ระเบิดแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ซึ่ง ไอน์สไตน์อธิบายเอาไว้ว่า Bomb of love นี้อธิบายยากกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ไอน์สไตน์บอกว่า…เมื่อนักวิทยาศาสตร์ มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็น ซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสง ซึ่งให้ความสว่าง แก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคน เข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณ สิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติ ไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัว อย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้า และพระเจ้าคือความรัก

 

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง และให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปร ที่เรามองข้าม มาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรัก อาจเป็นเพราะ มันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาล ที่มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา

 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการ ที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่า พลังงานที่จะเยียวยาโลกได้ สามารถได้มาโดยผ่านความรัก คูณด้วย ความเร็วแสง ยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด

 

ตอนนี้ มีกรรมกิริยาของคน ที่สนามหลวง มีจิตวิญญาณเป็นประธาน เขามาเรื่องอะไร ก็มาด้วยจิตวิญญาณ ที่มีความรักต่อในหลวง ต้องจัดคิวจัดงานการ เพื่อคนที่มา มาดูจิตตัวนี้ เป็นระเบิดแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ที่ไอน์สไตน์เขียนจดหมาย บอกกับลูกไว้ ให้ลูกเก็บจดหมายนี้ไว้ เขาบอกไว้สรุปว่า

E=mc2 อธิบายยากแล้ว แต่อันนี้ อธิบายยากกว่าอีก พูดในกาละนี้ คนจะเข้าใจไม่ได้เลย พออาตมาอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ก็รู้เลยว่า ไอน์สไตน์เป็นพระโพธิสัตว์ชัดเจน ถ้าไม่มีความรู้เป็นพระโพธิสัตว์ จะแสดงออกอย่างนี้ไม่ได้ ความรู้อย่างนี้จะเกิดไม่ได้

แล้วตอนนี้ความจริง เกิดที่สนามหลวง ระเบิดแห่งความรัก มันไประเบิดที่นั่น เป็นพฤติกรรมทางกายวาจาใจ เกิดที่สนามหลวง อาตมาสัมผัสแล้ว ก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่า สิ่งนี้ ต้องบอกคน ต้องย้ำยืนยัน อันนี้คือ Bomb of love นี่แหละคือที่ไอน์สไตน์พูดอันนี้ ว่านี้จะเกิด ไอน์สไตน์เขาไม่ได้บอก ว่าอันนี้จะเกิดขึ้นที่ไหน แต่บัดนี้มาเกิดที่ประเทศไทย

ไอสน์สไตน์ค้นพบ E=mc2 ซึ่งเป็นพลังงานความรู้ ทางฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ ก็มาใช้ได้ อาตมาก็เอามาใช้ เป็น E=mc2 + A

หมายถึงพลังงาน Bomb of love นี่แหละ ใครค้นพบแล้วจะเอามาใช้ได้ดีที่สุด ฉันเดียวกันกับ E=mc2 เป็นพลังงานปรมาณู ถ้าเอามาใช้เพื่อสันติภาพ จัดเป็นพลังงานที่วิเศษสุด แต่คนชั่วเอาพลังงานนี้ไปใช้ในทางเลว ก็เลยเปลี่ยนทิศทาง เกิดกัมมันตรังสีเก็บก็ยากอีก

พลังงาน  E=mc2 + A  ตัว A คือ Abstract คือไม่มีรูปร่าง เป็นนามธรรม ที่ลึกซึ้ง ถ้าเข้าใจแล้วก็เป็นสูตรเดียวกัน อาตมาถึงพยายามอธิบาย ผู้รู้จักจริงใจแยกพลังงานนิวเคลียร์เป็น fission กับ fusion แล้วสามารถควบคุมนิวเคลียสได้ เอาไปใช้ประโยชน์หรือเอาไปใช้เป็นโทษก็ได้

ฉันเดียวกับนามธรรม ถ้าเข้าใจ  E=mc2 สามารถรู้รูปนาม m คือรูป c คือนาม

m เป็นมวล หรือรูป

c ถ้าเป็นทางฟิสิกส์ ก็เอาอาการความเคลื่อนที่เร็วแรงๆ คือความเร็วแสง แต่ทางนามธรรม ก็เอาที่เคลื่อนที่เร็ว แรงก็คือ ความเร็วของจิต ความเร็วของจิตนั้นเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงอีก ผู้ใดเอามาใช้เท่าไหร่ได้ ถ้าเอามาใช้เต็ม ยกกำลังสองเลย ระเบิดเถิดเทิง จะเกิดพลังงานระเบิดเถิดเทิง และ ทางด้าน ความหมายของศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ศึกษาอันนี้แล้วถูกควบคุม กว่าที่จะศึกษามารู้จักพลังงานก็คือ E คือพลังงาน และเอามาใช้ได้ คือรูปกับนามเป็นธรรมะ 2

เอามาใช้ได้จริงเป็นประโยชน์ เพราะควบคุมด้วยเจตนาดีเป็นกุศล ถูกควบคุมด้วยคุณไม่ใช่โทษ จึงเรียกว่าคุณธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนให้เกิดคุณธรรมไม่ใช่ โทษธรรม ให้ทรงอยู่อย่างเป็นคุณ​ ไม่ใช่ทรงอยู่อย่างเป็นโทษ เรียกว่าคุณธรรม

คนที่รู้จักสูตร E=mc2 ของนามธรรมของจิตได้ คนนั้นก็เป็นอรหันต์ ทำงานเป็นประโยชน์กับโลกตลอดไป

 

 

 

การบรรลุธรรม ควรบอกหรือไม่

มีข้อความจากเฟสบุคของคุณวินิจ …

จากเฟสบุ๊ค คุณวินิจ .. ชมรายการ"พุทธศาสนาตามภูมิ",4-1-60)...แล้วว่า
"สมกล้า"ไม่ควรพูดตาม"พ่อครู" เรื่อง"ยายกิ้ม"มีภูมิ"อรหัตตมรรค ซึ่งดูชักจะ"พูดถี่เหลือเกิน (ช่วงหลัง)โดยที่"ตัวสม."ก็"ไม่ได้รู้เองเห็นเอง หรือ"ไม่ได้รู้จริงด้วยตนเอง เพียงแต่ถือ"พูดตามพ่อครู เท่านั้น?.. ซึ่งตาม"หลักธรรมพุทธ นั้น.. "ผู้ดำเนินตามแนวทาง มรรคมีองค์8" อย่างน้อยก็ต้องมี"สัมมาสติ .. ดังนั้น.. ก็จะต้อง "อ่านรู้สภาวะจิตของตนเอง ด้วย"ตนเอง และควรต้องรู้ว่า "ตนเองอยู่ในขั้นตอนไหน, ระดับไหน .. เพราะก็"อยู่กับอโศก" หรือ "ได้ฟังธรรมจากพ่อครู"มา"นานหลายปีดีดัก แล้ว.. ซึ่ง"ผู้บรรลุในระดับใดๆ ก็ตาม ต้องเป็น"ผู้ประกาศการบรรลุธรรมของตนเอง ด้วย"ตนเอง ก่อนผู้อื่นเป็นเบื้องต้น.. การที่ต้อง"รอให้ผู้อื่นมาประกาศภูมิธรรมให้ก่อน นั้นน่าจะ"ไม่ถูกต้องตามหลักการของพุทธ แต่อย่างใด.. ซึ่งถ้าจะให้ดี ควรลองแวะไปถาม"ผู้ที่ท่านพอมีภูมิสติปัญญาทางธรรมอยู่บ้าง .. เช่น.. ท่านส.ศิวรักษ์, พระปยุตโต, พระไพศาล, พระพยอม, ท่านสมภาร, ท่านสุรพศ เป็นต้น.. ว่า"ท่านเหล่านี้"มี"ความคิดเห็นเป็นประการใด ที่. "พ่อครู"มา "ประกาศภูมิธรรม" ของ"ยายกิ้ม" (รวมทั้ง"สม.ผุสดี" ก่อนหน้านี้ด้วย) ก่อน"เจ้าตัว"จะ"ประกาศด้วยตนเอง เช่นนี้......ด้วยความเคารพครับ...
         ไม่เช่นนั้น.. ก็ควรยกย่อง"ดาบวิชัย" ที่"ปลูกต้นไม้เป็นแสนเป็นล้านต้น โดย"ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ .. และ "คุณชัช อุบลจินดา" ที่"เสียสละร่างกายตัวเอง โดย"นอนให้ฝรั่งเหยียบ เพื่อเอาตัวขึ้นมาจากโคลนดูด โดย"ไม่มุ่งหวังสิ่งใดๆ แม้แต่คำขอบคุณ .. และรวมทั้ง"มรว.รุจีสมร" ซึ่งเป็นดุจ"แม่พระของเด็ก ซึ่ง"ไม่ติดหลงหรือเห็นแก่ทรัพย์สินใดๆ ที่จะ"อยากได้มาเป็นส่วนตน .. โดยให้"ทั้ง3ท่าน" เป็น"อรหัตตมรรค ไปด้วยได้หรือไม่...
         อันว่า"เครื่องกรองน้ำ"ที่"ระบบหรือไส้กรองไม่ดี .. ถ้าปล่อยให้มีการ"ผลิตออกมาใช้ อย่าง"กลาดเกลื่อน โดยไม่มี"ระบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องที่ได้มาตรฐาน .. ต่อไป"น้ำกรองที่ไม่มีคุณภาพ หรือ"คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน จะพลอยทำให้"น้ำกรองที่มีคุณภาพมาแต่เดิม พลอย"เสื่อมเสียชื่อเสียง ไปด้วยกันด้วยหรือไม่? (ประมาณว่าต่อไป"อรหันต์อโศก อาจถูกเรียกว่า"อรหันต์เกร่อ ก็เป็นได้หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?..)...

ตอบ...น่าสงสารนะคุณคนนี้ ไปเอาแง่มุมหนึ่งมาคิดว่าเป็นอรหัตตมรรคเท่านั้น...
 

ตอบอันสุดท้ายก่อนว่า ไม่ใช่อย่างที่คุณพูดเลย คุณตอบด้วยตรรกะทั้งสิ้น และเป็นมานะอัตตาของคุณ นอกจากมานะอัตตาของคุณแล้ว ก็เป็นความไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณด้วย ยังไม่ค่อยเข้าใจสัจธรรมอันเหมาะควร ตามสัปปุริสธรรม 7 เหมาะสมตามเหตุปัจจัยตามกาละ ตามหมู่กลุ่ม ตามเวลา ตามเนื้อแท้ของมัน เอามาคำนวณและแสดงออก ตามความเหมาะสม เป็นมัตตัญญุตา คุณก็ไม่มีความรู้นี้

คุณวิจารณ์ สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...ขอยืนยันว่า สิกขมาตุควรพูดตามอาตมา หากไม่พูดตามอาตมา แล้วไปตัดสินพยากรณ์ อย่างยายกิ้มนี้ แล้วสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน พูดเอาเองนั้นไม่ควรเลย เพราะว่าคนจะไม่เชื่อ เท่าที่อาตมาพูด ขนาดว่า อาตมาพูดนี้ ในความหมายของคุณ ยังพูดคลุมไปว่า อาตมาไม่ควรไปพยากรณ์ใครเลย ไม่ควรจะบอกไปพูดถึงใครเลย นี่คือ ความเห็นของศาสนาพุทธ ในทุกวันนี้ในยุคนี้ ผู้ที่มีความรู้ทางศาสนา ถึงขั้นเป็นปราชญ์ ยังพูดว่า ไม่ควรพูด ในสิ่งที่เป็นอุตริมนุสธรรม ไม่ควรไปบอกใคร ในเรื่องอุตริมนุสธรรม จนกระทั่ง ท่านบอกว่า ผู้บอกว่าตนเองบรรลุนั่นแหละ คือผู้ไม่บรรลุ

ทั้งๆที่มีหลักฐาน ในพระไตรปิฎกเยอะแยะ จะพูดว่าตนเองเป็น หรือโดยพระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้นี้เป็นอย่างไร ผู้นี้ก็ถามกันคุยกันว่า ได้บรรลุอย่างไรเท่าไหร่ตามควร ในยุคพระพุทธเจ้า มีคำพูดกันมากกว่านี้ แต่หยิบมาเรียบเรียงไว้นิดหน่อยใช้ศึกษา

ขอบอกให้ฟังว่า การบอกคุณธรรมของคน โดยเฉพาะเป็นอุตริมนุสธรรม เป็นอาริยธรรม มันควรบอกอย่างยิ่ง ตามกาละสมควร มีเงื่อนไขหลักแท้ๆสำคัญว่า ไม่ควรบอก อยู่ตรงที่ว่า ถ้าอยากบอกอยากอวด มีสาเฐยจิตอย่าอวด มันปาราชิก

สาเฐยจิต แปลว่า จิตไม่ดีอยากอวดโอ่ ขออภัย ไม่ถึงปาราชิกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีในตนนั้นปาราชิก แต่ถ้าอวดโดยมีในตน ก็เป็นปาจิตตีย์ ไม่ดี แต่ถ้าไม่อยากอวด แต่ถึงกาละควรบอก หรือต้องตอบคำถามคุณอย่างที่ อภิณหปัจจเวกขณ์ 10 มีไว้ว่า

10. ญาณทัสนะวิเศษ อันสามารถกำจัดกิเลส  เป็นอริยะ  คือ  อุตริมนุสสธรรม อันเราได้บรรลุแล้ว  มีอยู่หรือหนอ   ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว  จักไม่เป็นผู้เก้อในกาลภายหลัง .  (อุตตริมนุสสธัมมา  อลมริยญาณ  ทัสสนวิเสโส    อธิคโต  โสหัง   ปัจฉิเม กาเล   สพฺรหฺมจารีหิ   ปุฏฺโฐ   น  มังกุ  ภวิสฺสามีติ)  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 48)

อันนี้อาตมายืนยันว่า อย่างน้อยคนถามก็ตอบได้ อย่างมากไม่ถามก็ตอบได้ อย่างในพระไตรปิฏก ก็มีว่าท่านบอกคนนั้นคนนี้ บอกให้รู้ ก็เพราะเข้าใจผิดว่าบอกไม่ได้ แน่นอนว่า บอกด้วยอกุศลจิตก็บอกแล้วมีอาบัติ เพราะไปเข้าใจผิดว่า คุณวิเศษไม่ควรบอก ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่อมพะนํา  2 เป็นศาสนาเดา ศาสนาพุทธทุกวันนี้ จึงเป็นศาสนาที่เดา เดาว่า คนคนนี้น่าจะบรรลุ จึงเกิดเป็นพระอรหันต์ เดาในประเทศไทย เพราะว่าเชื่อถือว่า อรหันต์รูปใดบอกตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ก็คือไม่ใช่อรหันต์ เพราะเชื่อว่า มีอุตริมนุสธรรมก็อย่าบอก มีคนถามก็บอกไม่ได้ มีคำสอนที่ไหนบอกว่า ให้รู้เอาเอง

อาตมาเคยแย้ง ผู้ที่บอกว่า บรรลุแล้วบอกไม่ได้ มีหลักฐานว่า คิดแบบนี้ผิด ในโลหิจสูตร

 โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่น จะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่น จัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือน คนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

ผู้ใดที่กล่าวอย่างนี้ คิดอย่างนี้รู้อย่างนี้เชื่ออย่างนี้ คือมีทิฏฐิเช่นนี้ ย่อมมีที่ไปสองอย่าง คือ นรก หรือกำเนิดเดรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้า ตรัสเช่นนี้หนักนะ ถ้ามีความเห็นเช่นนี้ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อาตมาถือว่า เป็นความเห็นที่ร้ายแรงอย่างนะ ศาสนาพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้กลับเห็นเป็นอย่างนี้ ตรงกันหมดเลย ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ จึงเป็นศาสนาที่ เดา ศาสนาอมพะนำ ศาสนาปลอม ศาสนาไม่มีของจริง ปรากฏยืนยันได้เลย เป็นศาสนาเลอะเทอะ งมคลำด้นเดา สะเปะสะปะ ร้ายแรงมากเลย ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นความเห็นเช่นนี้

ผู้ที่พูดลงโทษ อาตมาว่า ไม่ควรอวดอุตริมนุสธรรม ถึงขั้นว่าไม่ควรพูดว่าตนเองมี หรือไม่มีอุตริมนุสธรรม แล้วก็ว่าอาตมานี้ ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ทำวิปริตจากพระธรรมวินัย ไปถึงโน่นเลย ก็คือท่านเชื่อของท่าน อย่างนั้นจริงๆ ว่าไม่ควรประกาศ แต่อาตมาเห็นอีกอย่าง อย่างจริงใจว่าควรประกาศ ก็ทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ก็ยังทำอยู่

การอวดอุตริมนุสธรรม จนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่คนควรเข้าใจให้ดี อาตมาบอก อาตมาบรรยาย เริ่มต้นอาตมาไม่ได้บอกยืนยันเน้นกันอย่างนี้ อาตมาไม่ได้พรวดพราดทำ

 

อาตมาพยายามอธิบาย บอกภูมิโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนถึงโพธิสัตว์ ไปถึงระดับ 7 อธิบายได้น้อยๆ อธิบายหมดก็ไม่ได้ ต้องเหลือของตัวเองไว้ ประเด็นนี้ควรให้ชัดเจนกัน

ว่าอุตตริมนุสสธรรม ของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจว่า อาริยธรรมของพระพุทธเจ้า หมายเอาแค่ไหนอย่างไร เพราะอมพะนำ แล้วให้มีการศึกษาแบบเดา ไม่มีตัวบุคคลเป็นๆยืนยันได้ อาตมาอยากบอกด้วยซ้ำ ว่าคนนี้โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ฯ บอกไปหมดเลย แต่มันก็จะมากไป ก็เลยบอกเปรยปรายไป ก็รู้อยู่ว่า ในวงการศาสนาพุทธนั้น เขาถือสา และยุคนี้เขาไม่มีใครกล้าบอกกันง่ายๆ และก็ขอบอกเลยว่า ไม่มีใครมีภูมิว่าบอกได้ จึงไม่กล้าบอก ตนเองไม่มีภูมิรู้ ที่จะบอกได้จึงไม่กล้าบอก จึงพูดปรามคนอื่นว่า พูดไม่ได้ บอกไม่ได้นะ อาตมาคิดว่าอย่างนั้นนะ คุณเป็นคนอย่างนั้น คุณต่างหาก ไม่กล้าระบุว่า บอกว่าคนนี้มีคุณธรรมอย่างไร บุคคลนี้มีขนาดนี้นะ  บอกเป็นตัวอย่าง อาตมาก็ไม่ใช่ว่า พยากรณ์ไปหมด ถ้าเห็นใคร ก็พูดเพื่อการศึกษาให้เป็นตัวอย่าง

อาตมาออกมาทำงานศาสนาพุทธ ถ้าเห็นว่าควรเน้น ควรชี้ควรบอก อาตมาจะทำ มันจะได้รู้กัน จะได้เห็นกัน จะได้เข้าใจกัน จะได้เป็นเครื่องศึกษา เช่นบอกว่า คนนี้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหัตตมรรค ก็จะได้สังเกต ว่ากิริยาอย่างนี้คือโสดาบัน อิริยาบถอย่างนี้คือโสดาบัน อย่างนี้คือสกิทาคามี อย่างนี้คืออนาคามี เขาก็จะได้ศึกษา จากคนจริง ไม่ใช่ศึกษาแต่ในตำรา แล้วก็คิดตรรกะ ว่าจะมีได้เป็นได้ไหมอย่างไร มันไม่เหมือนกันเลย คนที่เป็นจริงกับอยู่ในตำรา ในตำรามันบอกตรง ตรงความหมายอย่างนี้ แต่คนนั้นรวมอยู่ในนี้เยอะไม่ได้ เป๊ะๆอย่างในพยัญชนะระบุ ก็ยิ่งยาก ก็เลยบอกให้รู้ว่า คนนี้เป็นโสดาบัน คนนี้เป็นสกิทาคามี และ สกิทาคามีจะถึงขนาดไหน จะมีขนาดไหน แล้วอรหันตมรรค จะมีถึงขนาดไหน ก็จะได้ศึกษา อาตมาไม่ได้เจตนาจะพยากรณ์ เพื่อยืนยันว่าตัวเองเก่งตัวเองรู้ ไม่ใช่ แต่เพื่อการศึกษา อาตมาบอกแล้วว่า ออกมาทำงาน มาทำการศึกษาของศาสนา ทำจริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆทำมา 40 กว่าพรรษาแล้ว จะถึง 50 อยู่ไม่นาน

ถ้าอาตมาอยากอวด ก็เป็นความซวยของอาตมา กรรมเป็นอันทำ แต่อาตมายืนยันว่า อาตมาไม่มีจิตสาเฐยจิต อาตมามีเจตนาบอก เพื่อการศึกษา ไม่ได้บอกเพื่ออวดใหญ่โตอวดรู้ ยิ่งไปบอกเพื่อให้คนศรัทธาเลื่อมใส ให้คนเอาลาภยศสรรเสริญมาให้ ก็ไม่ใช่ ชาตินี้อาตมาจะได้บำเหน็จแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นจัตวาหรือ ไม่ต้องถึงสมเด็จ หรือเจ้าคุณหรอก ขออภัย พูดเหมือนเล่นลิ้นประชดเขา

 

ศิลปะโลกุตระของสมณะโพธิรักษ์

อาตมาอธิบายธรรมะ มันมีเชิง ยั่วเย้า จี้แรงล้อเล่น อันนี้เป็นองค์ประกอบศิลปะ เพื่อไม่ให้เคร่ง ว่าอาตมาเป็นคนหยิ่ง เป็นคนซีเรียส อาตมาเป็นคนจริง แสดงธรรมจะจริงจัง แต่เวลาสามัญ สังเกตไหม ว่าบุคลิกของอาตมา ไม่ได้เหมือนตอนแสดงธรรม เพราะฉะนั้น จึงต้องเสริมความเบาลงไป ในการแสดงธรรมบ้าง ไม่ให้แข็งและซีเรียสกันไป เพราะอาตมาเป็นคนชี้ชัด พูดตรงแรงแข็ง พูดจริง จนไม่ค่อยจะไว้หน้าเท่าไหร่ แต่อาตมาไม่เก่งที่ว่าผสมผสานแล้ว ก็เลยเป็นจริงบ้างไม่จริงบ้างไม่ได้ เพราะต้องการความจริงที่เต็ม เลยแสดงออกไปยังแข็ง จึงพอกน้ำตาลมีสุนทรีย์บ้าง แต่ก็ยังแข็งอยู่นั่นเอง

อาตมาว่า อาตมาขยายลักษณะที่สื่อออกไป อาตมาเป็นศิลปิน ไม่มีใครรับรองอาตมาหรอก ชาตินี้อาตมาไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติหรอก ทั้งที่อาตมา สื่อออกไป เป็นศิลปะทั้งนั้น

ศาสตร์คือความรู้ ผู้ที่เขียนความรู้แล้วไม่มีศิลปะเลย คือคนเขียนสารคดี ผู้สื่อศาสตร์โดยไม่มีองค์ประกอบลีลาผสมผสานให้รู้สึกว่าไม่แข็ง มีแต่สารคดี มีแต่เนื้อหา แต่นี่มันศิลปะ ศิลปะนั้นต้องมีศาสตร์ ที่มีการปรุงแต่ง ได้สัดส่วนพอเหมาะ

ถ้าจะให้เกิดสาระได้มากๆ แล้วคุณก็มีเนื้อศิลปะ ที่เป็นองค์ประกอบชี้ชวน มีสุนทรีย์ ศิลปะมีสารศิลป์ (คือศาสตร์ สาระ) และสุนทรีย์ศิลป์

เมื่อสาระนี้ มีสุนทรีย์ประกอบให้พอเหมาะ ถ้าใส่น้อยไปก็กินไม่ได้ มีแต่สาระ ใส่น้อยไป คนก็หลงเปลือกหลงสุนทรีย์ ไม่ได้แก่น ได้แต่ของฉาบทา ทุกวันนี้ คนทำงานศิลปะ หรือศิลปินส่วนมากหลงกับเทคนิคผสมส่วน เส้นแสงสีเสียง วัสดุ มีแต่หลงองค์ประกอบเทคนิค ไม่ได้รู้เลยว่า เมื่อประกอบออกมาแล้ว สื่ออะไร คนรับสื่อได้สาระของศิลป์ ที่คุณต้องการสื่ออะไรบ้าง

คนที่เป็นศิลปิน อาตมาเคยพูดมาหลายครั้ง ยกตัวอย่าง คนได้รางวัลเหรียญทอง เขียนภาพประกวด พอได้รางวัล แล้วมีคนไปถามว่า ภาพนี้เจตนาสื่ออะไร คือต้องมี interest point มีจุดประสงค์สื่ออะไรให้รับสาระอันนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่สื่อแต่สุนทรีย์เท่านั้น ถ้าสุนทรีย์มากก็ไร้สาระ ถ้ามีแต่สาระไม่มีสุนทรีย์ก็ฝืดเลย คนที่เขาเขียนภาพ ได้รางวัลเหรียญทอง ตอบคนนี้ว่าต้องการสื่ออะไร เขาก็บอกว่า ไม่รู้ว่าสื่ออะไร ก็น่าเศร้าใจ ขนาดคนเขียนภาพ ยังไม่รู้ว่าจะสื่ออะไร แต่กรรมการตัดสินให้ที่ 1 อาตมายังจำภาพได้เลย

เขาก็มีฝีมือแต่ไม่เข้าใจศิลปิน ศิลปะ อาตมานี่คือศิลปินแต่คนไม่รู้ แล้วเป็นศิลปินโลกุตระด้วย เป็นศิลปิน ผู้สื่อศิลปะขั้นโลกุตระ

เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์ มาดูงานศิลปะโลกุตระ ที่สันติอโศก เขาก็รำพึงรำพันว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ เขาเป็นศิลปินแห่งชาติแล้วด้วย ได้รับรางวัลหลายอย่าง ก็จะเข้าใจศิลปะโลกุตระไม่ได้ว่าคืออะไร ถ้าจะว่าไปแล้ว อาตมาเป็นคนใช้ภาษาคำนี้ออกมา คำว่าโลกุตระ

ศิลปะโลกุตระ คือคนสัมผัสแล้ว เกิดลดละหน่ายคลาย เกิดมีภูมิรู้ว่าเราควรลดละ ผลงานศิลปะชั้นนั้น มีใครสัมผัสก็แล้วแต่ จะเป็นคนเดียว หรือหลายคนก็ตาม สัมผัสเข้า ก็เกิดจิตใจลดละโลกีย์ ลดละในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ถ้างานศิลปะใดๆ ทำให้คนเกิดจิตอย่างนี้เท่าไหร่ ก็เป็นมงคลอันอุดม เป็นศิลปะโลกุตระชัดเจน ยิ่งมากก็ยิ่งเป็น

ศิลปะคืองาน ขอแยกให้ชัด คนที่มองทิวทัศน์ แล้วก็บอกว่านี่ศิลปะ เห็นต้นไม้ภูเขาแม่น้ำ มีลมพัดใบไม้ไหว เขาก็บอกว่าศิลปะ แล้วก็จัดกรอบเต็มรูปเขียนภาพนี้ ภาพนี้เป็นงานศิลปะ อันนั้นคือธรรมชาติ อันนั้นไม่ใช่ศิลปะ คุณต่างหาก เป็นคนบอกว่างานนี้ควรจะสื่อ เป็นความรู้ที่จะสื่อออกมาเป็นศิลป์ ศิลปะต้องมีศาสตร์ ต้องมีความรู้

ถ้าคนเขียนไม่มีศาสตร์ เช่นเอาพู่กัน ไปใส่งวงช้างให้มันวาด แล้วบอกว่าศิลปะ ให้ลิงมันขี่จักรยาน ที่มีล้อชุบสีบนแผ่นกระดาษ และบอกว่าเป็นศิลปะ abstract นี่คือความหลอกลวง ของความไม่รู้ในศิลปะของโลก แล้วมอมเมากันจัดจ้านมาก เขียนให้คนดูยากเท่าไหร่ยิ่งดี นั่นคือโง่

งานของศิลปิน ยิ่งต้องสื่อให้คนรู้ได้ง่าย วาดให้คนรู้ได้ง่าย ทำให้คนรู้ได้ง่ายมากเท่าไหร่ นั่นคือ ศิลปินที่ยิ่งใหญ่

อาตมาไปเรียนศิลปะการวาดภาพมานิดหน่อย ขออภัย ที่ไม่ได้พูดนะว่าอาตมาเป็นศิลปินที่เหนือศิลปิน

อาตมาไม่ได้เป็นศิลปินชาตินี้ชาติเดียว เหมือนกับอังคาร กัลยาณพงศ์ ที่บอกว่า เขาไม่ได้เป็นศิลปินมาแต่ชาตินี้ชาติเดียว อาตมาเป็นมาหลายชาติแล้ว ก็จริงของเขา เขามีของเก่า อาตมาว่าได้ดี ชาตินี้เขาจะต้องใช้ศิลปะ ในเชิงของเขา จะเป็นทางวรรณกรรมกวีกานต์ หรือภาพเขียน ก็เป็นของเขา ตามสไตล์ของเขา

อาตมาก็ใช้ศิลปะของอาตมา เป็นการสื่อศิลปะโลกุตระ

ยุคนี้เป็นยุค ฮาร์ดร็อค อาตมาก็เป็นศิลปินฮาร์ดร็อค ใครไม่รู้หรอกว่า อาตมา เป็นศิลปินฮาร์ดร็อค ถ้าอาตมาเป็นนักดนตรีฮาร์ดร็อค อาตมาก็จะดัง เพราะคนหลงใหล แต่อันนี้คนไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่เอา มันเมื่อย อาตมาถึงฮาร์ดร็อกอย่างเหนื่อย ทำแรงทำหนักเต็มที่ ต้องการให้ชัดเจนหรือ จัด ชัด เต็มๆ จะได้เข้าใจได้

มันไม่ง่าย มันยากมาก ก็พยายามปรุงแต่ง ผสมส่วนให้รับรู้ได้ ก็ยากอยู่ ไม่ใช่แก้ตัว อย่างไรก็ตาม อาตมาเห็นว่า อาตมาทำได้พอสมควร

งานศิลปะของอาตมา ไม่ได้หมายถึง ภาพเขียนภาพเดียว หรืองานปั้นชิ้นเดี่ยวเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงสถาปัตยกรรม ไม่ได้หมายถึงแค่วรรณกรรม ไม่ได้หมายถึงแค่นาฏกรรม หรือดนตรี แต่มันหมายถึงทุกอย่าง อาตมาใช้เป็นศิลปะทั้งหมด

ภาพของอาตมานั้น มีทั้ง แผ่นดิน แม่น้ำ ภูเขา มีทั้งลำธาร มีทั้งต้นไม้ มีทั้งอากาศ มีน้ำตกนกร้อง มีหมด มีทั้งมนุษย์และวิญญาณ อยู่ในแผนภาพของอาตมา อาตมาไม่เขียน และปั้นคนเดียวด้วย ไม่ร้องคนเดียวด้วย ไม่เล่นคนเดียวด้วย เอามารวมกันเล่น เป็นหมู่เลย รวมได้มากเท่าไหร่เอา

สิ่งที่อาตมารวม ไม่ใช่สื่อเละเทะ ไปหลง romanticism หรือ sadism เป็นสัจจะของธรรมะ นี่คือ Dharmaism ไม่ใช่แค่ romanticism หรือ sadism

อาตมามีอัตลักษณ์ ของตนเองนะ อาตมาจึงเป็นศิลปินจริงๆ อย่างไม้ร่ม ก็ยังเขียนลูกศร ชี้ขึ้นลงไปมา ก็ไม่มีใครเขียนอย่างเขา

 

ก็อยากสรุปรวมลงไปถึงว่า ขณะนี้อาตมาอายุ 80 กว่าแล้ว ทำงานลาออกจากทางโลก เสียดายเวลา ไปทำงานกับทางโลก 36 ปี ก็เป็นสัจจะตามวิบาก ต้องไปอยู่ทางโลก กว่าจะได้ออกมาเต็มรูป

ไม่ได้มาอย่างเล่นๆหัวๆ แต่มาอย่างแน่ ว่าอาตมาไม่ถอยหลัง  ไม่มีสักนิด ที่ว่าจะไม่แน่ จะต้องกลับไปทางโลก แต่มาอย่างมั่นใจ ว่าจะต้องมาทำงานทางนี้ จนตาย พูดไปแล้ว จะหาว่าอาตมายกย่องตัวเอง อาตมาเป็นคนจริงๆ ตั้งแต่ทางโลก ก็ทำงานเอาจริง ทำงานหนัก ทำงานจริง พอมาทางธรรม อาตมาก็ทำงานทางธรรมอย่างจริงๆ ไม่อยากจะหยุด ไม่รู้จะหยุดทำไม เราไม่พักเราไม่เพียร อาตมาชัดเจน มันจบแล้ว

อาตมาว่า ชีวิตเกิดมาทำไม เกิดมาทำงาน ถึงเวลาพักก็พักไป พักเสร็จแล้วมีแรงก็ทำงานต่อ ตอนนี้ทำงานอะไร ก็คืองานสื่อธรรมะ อาตมาภาคภูมิใจ ว่าอาตมาสามารถสื่อธรรมะ ได้พอสมควร ทั้งที่ในยุคนี้แล้ว พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า คนจะไม่ฟังหรอกโลกุตรธรรม จะฟังแต่คำเพราะๆ โลกีย์ที่เขาไปแต่งใหม่ ท่านก็ตรัสไว้ มันก็จริงตามพระพุทธเจ้าตรัส

ถ้าอาตมาไม่เกิดมาในยุคนี้ มาเปิดเผยโลกุตรธรรม เอามาประกาศ ให้พวกเรารู้ เพื่อเป็นต้นทุน เอาไปต่ออีก แม้จะมีการบันทึกไว้ เป็นตำราในอนาคต เขาจะมีคนมาศึกษาเอา ถ้าอาตมาตายไป สมมุติว่าอีกสัก 50 ปี อาตมาเกิดเรื่อง ที่มหาเถรสมาคม ที่เขาถือว่า ศาสนาเป็นของเขา แล้วมาเอาเรื่องอาตมา มันก็จบเรื่องไปแล้ว คนเหล่านั้น ก็ตายไปเยอะแยะ

คำสอนหรือที่อาตมาเขียน คนรุ่นหลังก็จะไม่ติดใจ ว่าเป็นของตัวที่เขาประกาศว่า ไม่ใช่ธรรมะของศาสนาพุทธ ในสิ่งที่ไม่น่าจะศึกษา คนก็จะติดใจลดลง เขาก็จะศึกษาโลกุตระ หยิบไปศึกษา ก็จะเกิดประโยชน์ต่อไปอีก

แต่ถ้าอาตมา ไม่เกิดมาขยายธรรมะอันนี้ มันจะไม่มีตัวตั้ง ขึ้นมาใหม่ มันก็จะไปตามกระแส ของเถรสมาคม ของกระแสหลัก ไปจนไม่มีอะไร เข้ามาต้านทานเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรเปรียบเทียบ ไม่มีอะไรขัดแย้ง ไม่มีอะไรศึกษาเป็นหลักฐาน ศาสนาก็จะสูญเลย ทุกวันนี้ก็โลกุตระสูญแล้ว

 

เช่น อภิสังขาร 3 คือโลกุตระ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร คือภาษาสื่อโลกุตระ เขาไม่เข้าใจกันแล้ว โดยเฉพาะคำว่าบุญ เป็นโลกุตระถ่ายเดียวไม่มีโลกียะเลย เป็นโลกุตระเนื้อแท้ตัวแท้ เป็นหัวใจยอดคำว่าบุญ หรือ ปุญญะ เป็นหัวใจยอดของโลกุตระถ่ายเดียว แต่เพี้ยนไปแล้ว เป็นโลกียะ แล้วเอาบุญไปหลอกค้าขาย อย่างเช่น ธัมมชโยรวยเละเลย สำนักอื่น ก็ล้วนแต่ขายบุญกันทั้งนั้น เอาบุญมาล่อ บุญไม่มีแบบประเล้าประโลมใจ แต่บุญคือการชำระ แล้วไม่มีรสเลย คนที่บรรลุบุญแล้ว ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าใจ

 

สมณะเดินดินว่า...พ่อครูประกาศมานานแล้ว ก็ไม่ได้มีคนมามาก เหมือนเณรคำ คือเครื่องประกาศว่าเป็นโลกุตระ เพราะบอกวิธีปฏิบัติว่า จะเป็นอาริยะได้อย่างไร แต่บางคนประกาศอรหันต์ แต่ก็ยังสูบยา เคี้ยวหมาก คนก็เชื่อ แล้วไป บอกว่าบรรลุ คือนั่งแล้วปึ๊งเลย แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่า อาริยะแต่ละระดับ เป็นอย่างไร ความเห็นที่บอกว่า บรรลุแล้วบอกไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิมาตั้งแต่พุทธกาล

โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้ว ไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่น จะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่น จัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือน คนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

คนก็คิดแบบโลหิจจพราหมณ์ทั้งนั้นเดี๋ยวนี้

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:22:49 )

600108

รายละเอียด

600108_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปริวัตร 3 อาการ 12

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2559 ให้เห็นถึงความสำคัญของการฟังธรรมจะทำให้เราบรรลุธรรมได้ต้องฟังธรรมอย่างตั้งใจ 

พ่อครูว่า...อาตมาตั้งใจหลายทีจะอธิบายอย่างละเอียดเป็นลำดับ ในพลังงานที่จะมีนัยยะของธาตุละเอียด ที่สามารถซับซ้อนกันได้ มากกว่าสสาร แต่เป็นพลังงานนามธรรมที่จะทำให้มีแต่ความเย็นไม่มีความเร่าร้อน

ทุกวันนี้ก็อุ่นใจที่คนไทยเราสามารถรับ เข้าใจ โลกุตรธรรมได้แล้ว ที่ในหลวงท่านประกาศตั้งแต่ปี 2534 แบบคนจน และขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา เป็นเรื่องของทวนกระแสโลกีย์ ซึ่งโลกียะที่จับต้องได้เป็นตัวตนจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น แต่โลกุตระนั้นลดลงมาจนที่สุดจนเองไม่ต้องมี การอยู่อย่างไม่มีนั้น ต้องอยู่กับหมู่กลุ่ม ที่เขาเห็นคุณค่าของคนที่ไม่มีนี้ว่าเป็นประโยชน์แก่โลกสูงสุด จะต้องบูชายกย่องต้องอนุเคราะห์แก่คนๆนี้ ไม่ต้องกลัวอดตาย ไม่ต้องกลัวจะอยู่ไม่รอด คนเขาจะหามาให้เท่าที่แต่ละคนจะมีบารมี อาจจะมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ก็มั่นใจไม่มีปัญหา มีบารมีขนาดนี้ อาตมายังเมื่อยเลย มันไม่ขาดแคลนเลย จะว่าฝืดไหมก็ต้องออกแรง ถ้าออกแรงก็เห็นด้วยกันถ้าเอาก็ทำ

อ่าน sms ของวันที่ 6

SMS วันที่ 6 มกราคม 2560

0893867xxxกทธ.มีโครงการช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ร่วมกับพุทธสถ.ทะเลธรรมอโศกไหม?ญตธ.ไกลอโศกจะขอสมทบปัจจัยช่วยด้วย!

0893867xxxเมื่อครั้งพ่อฯอยู่!ลูกไทยทั้งผองประสบพิบัติภัยที่ใด?สิ่งแรกที่ไปถึงลูกไทยก่อนเสมอคือของพระราชทานจากน้ำพระทัยของพ่อฯแม่ฯแห่งแผ่นดิน!ลูกไทยจะตามรอยพ่อฯที่มิเคยทอดทิ้งปชช.!

0893867xxxธ.อภิณหปัจจเวกขณ์10อันพ่อครูสอน!รวมถึงชราธัมมตา,พยาธิธัมมตา,มรณธัมมตา,ปิยวินาภาวตา,กัมมัสสกตาด้วยไหม? ในธ.พุทธสุดลึกไม่มีบอกไว้!

ตอบ...ก็ไม่รู้ว่าคุณเอามาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน

 

0893867xxxจำลุงจำลองกล่าวในงานบุญพุทธสถ.อโศก1ได้ว่า ให้พิจารณาธ.อภิณหปัจเวกขณ์อยู่เนืองๆเป็นการตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาทในโลกที่กำลังผจญวิบากอุบัติเหตุเภทพิบัติภัยสงครามกิเลสรุมเร้าทั่วสากลขณะนี้!

ตอบ...อภิณหปัจเวกขณ์คือควรพิจารณาอยู่เนืองๆ

1.      เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์

2.      การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น (ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา) .

3.      อากัปกิริยาอื่นที่ดีกว่านี้ อันเราควรทำ..มีอยู่

4.      เราย่อมติเตียนตนเองโดยศีล..ได้หรือไม่

5.      ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ติเตียนเราโดยศีล..ได้หรือไม่

6.      เราต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ทั้งสิ้น

7.      เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตนฯ

8.     วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ (รัตตินทิวา วีติปตันตีติ)

9.     เรายินดีในเรือนว่าง (จิตที่ปลอดกิเลส)  หรือไม่ 

10.   ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส  เป็นอริยะ  คือ  อุตริมนุสสธรรมอันเราได้บรรลุแล้ว  มีอยู่หรือหนอ   ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว  จักไม่เป็นผู้เก้อในกาลภายหลัง .  (อุตตริมนุสสธัมมา  อลมริยญาณ  ทัสสนวิเสโส    อธิคโต  โสหัง   ปัจฉิเม กาเล   สพฺรหฺมจารีหิ   ปุฏฺโฐ   น  มังกุ  ภวิสฺสามีติ)  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 48)

 

0893867xxxลูกไทยทั้งผองก็ล้วนมีภาพศิลปะโลกุตระ1เดียวในโลก ที่มองดูแล้วปลื้มปิติสุขใจ ที่สุดยิ่งกว่าภาพใดในโลกคือรูปที่มีทุกบ้านรูปพ่อหลวงของปวงไทย!

 

0887630xxxเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างครับ.วันนี้หลวงปู่เข้มมาก หลวงปู่นี้ของแท้จริงๆครับ ชอบมากครับ.

ตอบ...ตามนั้นถูกแล้วจะไปขี้กองเท่าช้างไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ตัวใหญ่เท่าช้าง

 

0879769xxx ชอบพ่อครูสอนแบบอ้างอิงพระไตรปิฎกครับชัดเจนดี

 

 

0896520xxx ขอรบกวนถามเพื่อความชัดเจนในธรรมครับ ใน เวทนา2 อันได้แก่ เจตสิกเวทนา(อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับทางใจ) และกายิกเวทนา(อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับทางกาย) **คำว่ากายในที่นี้ (กายิกเวทนา)หมายถึงรวมจิต มโน วิญญาณ ด้วยหรือเปล่าครับ เพราะข้างบน ก็เกี่ยวกับทางใจไปแล้ว**

ตอบ...อันนี้ก็อาจยากเข้าใจ แต่ก็ฟังต่อไปให้ซ้ำซาก มีหนังสือเล่มใหม่ที่จะออก เป็นการรวมเพลง(ที่ไม่มีทำนอง) ชื่อว่า ภาษาศิลป์โลกุตระ ที่จะรวมบทเพลงตั้งแต่เพลงชีวิต เพลงอาริยะ เพลงไท เพลงจอมโจรบัณฑิต เพลงความซ้ำซาก แต่ละเพลงมี 10 หมายเลข ตบท้ายด้วยเพลงความซ้ำซาก อาตมาเขียนไว้ตั้งแต่นานไว้แล้ว มาอ่านตอนนี้จะเข้ากับสมัยมาก อาตมาก็ต้องพูดซ้ำซาก

จิต เจตสิก กาย

คำว่า กาย นี้รวมจิต มโน วิญญาณด้วยหรือไม่? คนนี้ถามมา...คำว่าเวทนาหมายถึงเจตสิกโดยตรงแล้ว

คำว่า จิต  มโน วิญญาณ ก็ต้องรวมอยู่ในกายด้วย ในขณะมีชีวิตอยู่ปัจจุบัน คนที่บริบูรณ์ไม่พิการ ไม่ขาดอาการ 32 ทุกคนปกติ จะมีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นองคาพยพในอาการ 32 ด้วย กาย จะต้องมีภายนอกด้วยอยู่เสมอ ไม่ขาดหายไปเลย นี่คือกาย

ถ้าระบุคำว่ากายนี่ ภายนอกจะขาดหายไปไม่ได้ และไม่ขาดภายในด้วย คำว่ากาย เข้าใจได้ยากมากเลย ขาดจากภายนอกก็ไม่ได้ ขาดจากภายในก็ไม่ได้ ต้องมีอยู่เสมอ ถ้าคำว่ากาย จะต้องมีวัตถุข้างนอก เมื่อมีใจสัมผัสก็ต้องสัมผัสแล้วเกิดขึ้นมาเป็นธรรมะ 2 เสมอ

คำว่ากายจะต้องมี จิตมโนวิญญาณด้วยเสมอ แต่จิตนี้ขาดจากภายนอกได้ จิตมโนวิญญาณขาดจากภายนอกได้ เมื่อเป็นจิตที่อยู่ภายในโดยเฉพาะ เช่น

คนที่หลับตาปฏิบัติ ก็จะไม่มีไปนอก เขาก็จะได้ในภาวะที่เขาอยู่ ก็เหมือนกับตอนนอนหลับ จิตก็ไม่ดำเนินไป แต่จิตใจของปุถุชนนั้น เมื่อนอนหลับก็เป็นทุกข์เป็นสุขได้

มันซ้อนที่ เวลามีกาย จะปฏิบัติกายจะต้องมีภายนอกด้วย ถ้าหลับตามันก็จะมีแต่ใจ ถ้าจะปฏิบัติจิตในจิต แล้วบอกว่ามีแต่ภายใน ไม่มีภายนอก แต่คนที่ไม่พิการก็จะมีการรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอกภายในด้วย

ทวารตารับรู้ได้ดีกว่าและใช้มากกว่าทวารอื่นๆ

 

คนที่ไปปฏิบัติธรรมนั่งหลับตา คุณเองก็มีทุกอย่างก็มีตา แต่ดันไปหลับตาปฏิบัติ แทนที่จะศึกษาให้ครบไม่ขาด แล้วก็มาขัดแย้งว่าฉันจะเป็นอรหันต์ขณะนั่งหลับตา

อรหันต์ คืออันตะ แปลว่า ครบพร้อม บริสุทธิ์ ถ้วนรอบ แต่ถ้าคุณเป็นคนตาบอด คุณไม่เต็ม คุณปฏิบัติได้อย่างไม่เต็ม ถ้าหลับตาก็มีแต่ใจ จะพิจารณาก็มีเฉพาะแต่จิตในจิต แต่สำคัญนั้น คนทุกคนที่ปกติธรรมดาสามัญ จะไม่มีความรู้จักกิเลสหยาบ อันมาจากภายนอก ไม่มีเลย ธรรมดาสามัญ จะต้องมีกิเลสภายนอกที่เป็นดินน้ำไฟลม ที่จะต้องเห็นชัดๆเลย ทุกคนนั้นเหมือนกันหมด เว้นแต่คนตาบอดมาแต่กำเนิด

คนที่มีทวารทั้งหกครบ ก็จะต้องเรียนรู้ให้ครบ โดยเฉพาะกิเลสหยาบ มีกับทุกคนที่ตาดีทุกคน แล้วก็คนเรามีอวิชชามาก่อนทั้งนั้น จะมากหรือน้อยเท่านั้น ที่จะมาปฏิบัติลดละไปได้เร็วหรือช้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่อาการไม่ครบ 32 ปราศจากตา จึงยังถือไม่ได้ว่าสามารถเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตาบอดจะไม่สามารถสั่งสมบารมี แต่เป็นอรหันต์ไม่ได้

ยิ่ง ผู้ที่มีตาดีๆอยู่ แต่ดันไปมิจฉาทิฐิเสียนี่ มันน่าสงสาร คุณเป็นมิจฉาทิฐิ ว่าจะต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ คนตาไม่บอดแต่นั่งหลับตาปฏิบัติทำไม แล้วก็จะเอาอรหันต์ อย่างนั้นเป็นอรหันต์แบบไม่เต็ม จะได้ดับอาสวะบางส่วนได้ แต่ได้ไม่หมด ตาบอดก็จะได้แค่นี้ แต่คนตาดีกลับไปปฏิบัติแบบไม่ลืมตา แล้วเข้าใจอีกว่าต้องปฏิบัติแบบไม่ลืมตา อย่างนั้นทฤษฎีของคุณ คุณจะไปทิ้งการลืมตาทำไม

ทวารตานี้รับรู้ได้ดีกว่าทุกทวารเลย เป็นทวารที่ใช้มากที่สุด ได้อะไรมาครบมากกว่าทุกทวารเลย จนเป็นประเด็นหลักอยู่ที่ว่า คนมีทิฐิ มีความเห็น ความรู้ของคนผิด ผิดบ้าบอ ไปยึดถือว่าอย่างนั้นถูกอีก

อาตมาแย้งนี่ ไม่ได้เอาชนะคะคาน แต่ให้รู้ให้คิดให้ครบรอบ ว่าอย่าไปตั้งทฤษฎีขัดแย้งกับของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ปฏิบัติแบบนั่งหลับตาปฏิบัติ กิเลสทางตานั้นมีไม่ใช่น้อย คนที่ไปหลงผิดปฏิบัติแบบนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ ไม่สามารถเพราะว่า มีอัตตาสาม

โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9

1.      การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)

2.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา       ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)

3.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ) .

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302)

ถ้าหลับตาปฏิบัติแล้วจะรู้จักโอฬาริกอัตตาที่ไหน แล้วจะละอัตตา พระพุทธเจ้าสอนให้ล้างอัตตาให้หมด แต่โอฬาริกอัตตาที่หยาบใหญ่เบื้องต้น แต่คุณไม่ได้ทำ ไม่ทำเบื้องต้น ไปเอาอรูปอัตตามาทำก่อน

สมณะฟ้าไทว่า...ทวารตาเกิดกิเลสได้สารพัด ชอบ ไม่ชอบ อากัปกิริยาของคน เขายิ้มเขาทำสายตาใส่

พ่อครูว่า...การปรายสายตา คุณจะได้เรียนรู้หรือ แค่ปรายสายตาแล้วกิเลสขึ้นอย่างนี้เป็นต้น คุณจะได้เรียนรู้หรือ สบตาแล้วกิเลสขึ้นเท่าไหร่? ถามจริงเคยสบตากันมาแล้วกี่คน สบตานี่ได้หลายนัย

ถ้าฟังดีๆ แล้วเข้าใจดีๆ แล้วโอฬาริกอัตตานี้ หากนั่งหลับตาปฏิบัตินี้พร่องแน่ๆ มโนมยอัตตานี้เกิดได้ทั้งภายนอกแต่ไม่มีจริง เห็นได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ของจริง เช่นพวกเห็นผี เห็นภาพหลอน พวกนักวิทยาศาสตร์ พวกหมอก็รักษาอาการพวกนี้อยู่ สรุปแล้วหมดสิทธิ์บรรลุเป็นอรหันต์ หากนั่งหลับตาปฏิบัติ

คุณไปนั่งหลับตาปฏิบัติตั้งแต่ รูปภพ กับอรูปภพ ภายในเท่านั้น แต่ภายนอกมีกิเลสอยู่มหาศาล คุณก็ทิ้งก็เลยไม่ได้ปฏิบัติ ต้องทำจากโอฬาริกอัตตาก่อน แล้วค่อยไปทำที่มโนมยอัตตา ที่มีทั้งภายนอกภายใน ผู้ที่สำเร็จด้วยจิตมีทั้งภายนอกและภายใน ล้างหมดแล้วก็เหลือกิเลสน้อยลงเป็นอรูป ก็คือรูปที่ถูกรู้ด้วยการสัมผัสนั่นแหละ แต่มันไม่มีภาษาจะเรียกแล้ว จะเรียกว่าเป็นรูป มันก็ไม่ใช่รูป แล้วมันมีน้อยมาก จนสุดท้าย อรูปสุดท้าย

คุณจะสามารถล้างได้หมดครบ เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตาและปฏิบัตินั้นมันเป็นเพียงการระงับที่ไม่ใช่ปัญญา มันเป็นเพียงการปฏิบัติในลักษณะของสัญญา เป็นความลึกซึ้งซับซ้อน

การรับการปฏิบัติมีแต่การใช้สัญญากำหนดรู้ ไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่ได้เกิดปัญญา สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ปัญญาเป็นตัวรู้แจ้ง

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ มั่นหมายรู้ แต่ปัญญาเป็นตัวรู้แจ้งรู้แจ้งได้อย่างไร ก็อยู่ในองค์ 6 ของสัมมาทิฏฐิ

ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ

สัญญาเป็นตัวเหตุ ที่ต้องสั่งสมสัมมาทิฏฐิให้เจริญขึ้นได้ด้วย เมื่อสัมมาทิฏฐิเต็มก็จะเป็นปัญญา

ตรวจฐานปฏิบัติก็คือ มัคคังคะ สัมมาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เจริญขึ้นเป็นปฏิสัมพัทธ์ สั่งสม เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของการปฏิบัติ ในกรรมทั้งหลายนี่

พระพุทธเจ้ารวมไว้อย่างไม่ขาด สั่งสมตกผลึกไปเรื่อยๆ ไปเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล สั่งสมจากปฏิบัติมัคคังคะ

ปฏิบัติมัคคังคะ คือปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ทางสายปัญญาก็จะเกิดเป็นสัมมาปัญญา ทางสายเจโตก็จะเป็นสัมมาสมาธิ

ก็ใช้ตัวโพชฌงค์ 7 เป็นตัวปรับแต่ง

สติสัมโพชฌงค์ สติของมรรคมีองค์ 8 ก็จะต้องใช้ทั้งคู่ เป็นตัวระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม นำหน้า แล้วก็จะใช้ธรรมวิจัยเป็นตัวตัดแต่งที่สำคัญ แยกแยะ เลือกเฟ้นศึกษาเต็มที่ ส่วนวิริยะ เป็นกองเชียร์กองหนุนกองพลาธิการ

เมื่อมีธรรมวิจัยแยกแยะได้ ว่าต้องกำจัดตัวนี้ตอนนี้ถูกนะ จะมีการวิเคราะห์วิจัยอยู่ตลอดกาลว่า ถูกแน่นะ ถูกแล้วได้แล้วนะ มันเหลือน้อยแล้วนะ หมดจริงๆนะอย่าง นิจจัง ทุวัง สัสสตัง เป็นปัญญาที่จะรู้ซ้อนกันไปซ้อนกันไป ก็คือมีปัญญาที่มีกำลังสูงขึ้นเป็น ปัญญินทรีย์ ตัวไหนจบก็เป็นปัญญาผล หรือปัญญาพละ ก็เป็นเช่นนี้เรื่อยๆเกิดชื่อว่าปัญญาเกิด

ปัญญาไม่ได้เกิดเองเพราะนั่งสมาธิหลับตาให้สนิทว่างดีแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุปัจจัยขึ้นมาเอง

ต้องมีเหตุปัจจัยที่ครบรู้แจ้งจึงเกิดเป็นปัญญา รู้ครบในญาณ 3 และอาการ 12

อาการ 12 เกี่ยวข้องกับทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค มีปริญญา 3

  1. ญาตปริญญา คือการรู้ในขณะปฏิบัติเป็นการต่อเนื่อง continue ตั้งแต่รู้หรือว่าทำผิด ทำไม่ได้ผล ทำได้ผลคำ ทำได้เต็มก็จะรู้
  2. ตีรณปริญญา ก็จะรู้แยกแยะ แยกขาดเลยนะมันไม่มีแล้วนะ ก็จะรู้
  3. ปหานปริญญา คือตัวที่จะจัดการกับกิเลสดับอกุศล  เอาสามปริญญานี้ ไปรวมกับ อาริยสัจ 4 ก็เป็น ปริวัตร 3 อาการ 12

กำหนดรู้องค์รวม คือญาตปริญญา รู้ตั้งแต่เริ่มต้น ทำไปเรื่อยๆ ได้ผลหรือไม่ ได้ผลสั่งสมจนรู้เต็ม ญาตปริญญาคือการรู้รอบ ส่วนตีรณปริญญาคือรู้แยกแยะว่าได้หรือยัง ได้ครบหรือยัง แยกแยะ ตีรณปริญญาไปตลอดเวลา

ตีรณะ เป็นภาษา บาลี

ตรีแปลว่า สาม คำว่า รณ แปลว่ารบ

เป็นสามเส้า รบกันระหว่างองค์ 3 คืออิตถีภาะ ปุริสภาวะ กับมีประธาน

ประธานคือตัวเราเอง ตัวรู้ รวมเป็นเรา เป็นประธาน เมื่อเรามีพลังโลกุตระเหนือ ก็จะไปจัดการอิตถีภาวะให้เป็นปุริสภาวะให้ได้ ต้องทำให้เป็นหนึ่งให้ได้

คำว่า ตีรณะ ความรู้ระดับตีรณะนั้นเดาไม่ได้นะ ถ้าคนไม่มีภูมิ ไม่มีความจริงที่ได้มาก่อน ถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้าแล้วมาฝึกหัดเอา คนที่จะได้ยินได้ฟังจากสัตบุรุษ ผู้ถูกต้องจริงมาก่อนแล้วมาบอกให้รู้ แม้ไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้าก็ฟังจากสาวก เมื่อรับฟังก็เอามาปฏิบัติ ไม่ใช่ฟังแล้วได้เลย สะดวกเกินไป

ปฏิบัติจนได้ผลอย่างมีธาตุรู้ ญาตะ เก็บความรู้ตรวจตามไปเรื่อยๆไม่ทิ้งขว้าง ทำได้หรือไม่ได้ตรวจสอบว่าครบหรือไม่ครบ บริบูรณ์หรือไม่บริบูรณ์มันหกตกหล่นง่ายจะตายไป

สงครามสามเส้า(ตรีรณะ) ระหว่างตัวคุมเกม การรบ แล้วต้องรบให้ชนะนะ ถือว่าสองอันนี้ ต้องจัดการให้หมดอิตถีภาวะให้เป็นปุริสภาวะ จนเป็นเอกสโมสรณาก็จบสงคราม

เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่า ปหานปริญญา คือปหาน อิตถีภาวะ นั่นเอง เป็นสิ่งที่ต้องจัดการประหารในตัวเองแม้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายถ้าตัวเองมีอิตถีภาวะ ก็ต้องประหารมัน มันเป็นตัวถ่วงตัวไม่เจริญ (พูดไปเหมือนบอกว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วงก็ต้องขออภัย ที่พูดสัจธรรมรายละเอียด)

วันนี้ขยายไปถึง ปริวัตร 3 อาการ 12

ความหมุนรอบของการรบสาม (ตรีรณะ) ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเป็นภาษาตายตัว คนไม่รู้จริงอธิบายไม่ออกหรอก

ญาณ3

  1. กิจญาณ
  2. กตญาณ
  3. สัจญาณ

อันนี้ไม่มีปหาน ไม่เหมือน ปริญญา 3

ญาณ 3 ของอาริยสัจ 4 เป็นอาการ 12 แต่ปริญญา 3 ต้องซ้อนใน ปริวัตร 3 อาการ 12 ต้องตรวจสอบทำสงครามจนถึงการฆ่าเลย ต้องรู้ว่าฆ่ากิเลสได้สำเร็จนะ อันนี้เดาไม่ได้นะ ถ้าไม่มีสภาวะจะไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร อาตมาเอาสภาวะมาเป็นตัวหลักในการอธิบายถึงอธิบายสัมพันธ์กันได้

 

คำว่า กาย ต้องมีภายนอกร่วมด้วยเสมอ แต่จิตนี่ จะเป็นเจตสิกกับเวทนามันไม่มีภายนอกก็ได้ จึงเรียกวา เจตสิกเวทนา ถ้ามีภายนอกร่วมด้วยก็เรียก กายิกเวทนา  เป็นเวทนา 2 ในเวทนา 108

กายต้องมีภายนอกเสมอและไม่ขาดจิต แต่จิตนี่ขาดภายนอกได้

แม้แต่โอฬาริกอัตตา หรือมโนมยอัตตาก็มีภายนอกเสมอด้วย เช่น โอ้โหวันนี้ได้กินมะเขือ(ยกตัวอย่าง) อร่อย คุณต้องมีความจริงของคุณที่ได้สัมผัส กัดมะเขือกินแล้วอร่อย หากนึกเอาจะมีของจริงหรือ? ก็นึกเอาว่ามะเขือเป็นอย่างไร นึกว่ากัดเข้าแล้วอร่อยกว่ารสจริงอีก หลอกซ้ำซ้อนอีก หลอกตัวเอง หลงผิดของปลอมไปเรื่อยๆ อย่างนั้นซ้ำซ้อนหนักหนาขึ้นๆ

ขออภัย ต้องนึกถึงเขา ธัมมชโย เขาเป็นอย่างนี้จริงๆซวยไหม?

คนที่หลงงมงายไปแบบเขาขณะนี้ยังไม่ตื่นอีกเท่าไหร่? ไม่รู้จักตื่น

 

โอฬาริกอัตตาต้องอย่าตัดทิ้ง ต้องศึกษาจริง แม้มโนมยอัตตาก็ต้องมีภายนอก

ตกลง กายิกเวทนาต้องมีภายนอกด้วย ทิ้งไม่ได้

ถ้ามันมีแต่ข้างนอก กายนี้ ถ้าหมายเอาแต่ข้างนอก ไม่มีใจไปเกี่ยวด้วย แล้วมันจะไปมีทุกข์สุขอย่างไร? มันไม่มีใจไปเกี่ยว แม้ใจที่ไม่มีเวทนาก็ไม่ได้ อุตุ พีชะก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไรของมันหรอก มันไม่มีเวทนา แล้วนี่คน คุณเป็นสัตว์โลกมีจิตนิยาม จะไปโยนทิ้งได้อย่างไร ต้องมีเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาก็เป็นพีชะ หรืออุตุ แต่ถ้าคุณจะปฏิบัติเป็นอรหันต์ คือไม่มีเวทนาที่จะทุกข์สุข คือเป็นแบบพีชะได้ แต่ไม่ศึกษาเลยจะได้อย่างไร

 

ปฏิจจสมุปบาท (วิภังคสูตร)

พระพุทธเจ้าสอนปฏิจสมุปบาท ...หลายคนไม่เข้าใจว่า ต้องมีปฏิจสมุปบาท ทำไม ก็เหมือนทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้วจะต้องมีสายของการเรียนรู้ทำไม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดแล้วปฏิจจสมุปบาทจะเกิดไม่ได้ ความรู้นี้เกิดพระพุทธเจ้าเท่านั้น

การจะรู้จักสังขาร สังขารนี้เกิดจากจิตวิญญาณที่มีอวิชชาเป็นตัวการ เมื่อมันไม่รู้ก็สังขารไปตามที่มันไม่รู้ จนกว่าจะมาแยกแยะ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารได้ เรียนรู้ได้ตามพระพุทธเจ้าสอน แล้วก็ทำไปตามลำดับกายวาจาใจ ก็จะสำเร็จ

ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ตรัสถึงพระพุทธเจ้ารูปนั้นรูปนี้ แล้วมีปฏิจจสมุปบาททุกพระองค์ ท่านก็ยกตัวอย่างมาไม่กี่องค์หรอก

ในเทศนาสูตร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมีปฏิจจสมุปบาททุกพระองค์ ถ้าไม่รู้ก็จะจมในภพชาติไปไม่รู้อีกกี่ชาติ ล้านชาติ แล้วท่านก็แยกแยะใน เทศนาสูตร พระไตรฯล.16 ว่า

 

                             2 วิภังคสูตร

         [4] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาท นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

         [5] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป   เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย    จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

         [6] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์จากหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

(พ่อครูอธิบายเสริมว่า คนที่มีจิตผูกพันกับร่างที่ตายไปแล้ว ร่างก็ยังงอกได้อยู่เล็บงอก ร่างไม่เหี่ยวไม่เน่า ก็คือโง่ สร้างอุปาทานยึดถือในร่างนี้ไว้ ตายแล้วไม่ยอมตายไม่รู้จักตาย พวกสายนั่งหลับตานี้เป็นกันเยอะ อย่างธัมมชโยนี้ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แต่อาตมาบอกเลยว่า พวกอาภัสรา แบบธัมมชโยนี้ ตายแล้วเน่าแน่ รับรองเน่าเร็วแน่ เขาเน่าตั้งแต่ยังไม่ตายเลย

คำว่า มรณะ คำว่า ม คือจิต คนที่ตายอย่างที่เป็นแบบตายร่างกายลงไป การรบของจิตหยุดลงชั่วระยะเวลาหนึ่งเพราะทิ้งร่างส่วนเกี่ยวกับภายนอก ก็ไม่เกี่ยวกับการรบ จิตคุณพักรบไปชั่วระยะหนึ่ง

สามคำนี้คือ มรณะ สรณะ อรณะ

มรณะคือการพักรบ (ชั่วคราว ดีไม่ดีก็จะไปรบอีกไม่รู้เท่าไหร่)

อรณะคือจบการรบ เป็นอรหันต์

สรณะ คือ ต้องรบไปเรื่อยๆ คือประกอบการรบ ส่วน ผู้อรณะแล้วก็จะเหลือแต่การรบ คือปฏิสรณะ คือรบแบบช่วยให้คนอื่นรบกิเลส ไม่ต้องรบกิเลสของตนแล้ว แต่ช่วยคนอื่นให้รบกิเลส อาศัยร่างนี้แค่นั้น

รูปธรรมเสื่อมได้ นามธรรมก็เสื่อมได้ คนมีความรู้จริง จะทำให้นามธรรมเสื่อมได้จนหมดไปถาวรเลย แต่ว่าผู้ไม่รู้จิรงก็นามธรรมเสื่อมชั่วคราวพักยก แล้วก็จะเอาอีกบ้าบอไปอีกได้)

 

         [7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

ความเกิดแปลจาก ชาติ

ความบังเกิดคือแปลจาก สัญชาติ

ความหยั่งลงคือแปลจาก โอกกันตะ

เกิดคือแปลจาก นิพพัตติ

เกิดจำเพาะ คือแปลจาก อภินิพพัตติ

 

ชาติปิทุกขา การเกิดด้วยใดเป็นทุกข์ทั้งสิ้น แม้แต่พระอรหันต์ก็มีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ตราบใดยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็มีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้ายังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ก็ยังมีทุกข์ทั้งที่เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้

โอกกันติ ท่านแปลว่า ความหยั่งลงก็ใช้ได้ คำว่า สโมสรณากับโอกกันตินี้ใช้แทนกันได้ ถ้าคุณไม่ทำกิเลสมันก็หยั่งลงโอกกันติได้เหมือนกัน แต่ถ้าคุณทำให้กิเลสลดกิเลสหมดไปมันก็ยังลงอย่างใสสะอาดขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายสะอาดอย่างสมบูรณ์แบบจะเกิดความสะอาดขึ้นได้ด้วยนี่คือ นิพพัตติไปตามลำดับ สะอาดจากกิเลสนี่แหละคือนิพพัตติ สุดยอดคืออภินิพพัตติ คือจำเพาะเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น อภินิพพัตติคือการเกิดของอรหันต์(วิสุทธิเทพ)

นิพพัตติ คือการเกิดของเสขบุคคล(อุบัติเทพ)

 

ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ เป็นการเกิดของปุถุชนก็ได้

แต่นิพพัตติ คือการเกิดของโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ

ส่วนอภินิพพัตติ คือการเกิดของอรหันต์ ท่านก็ใช้ร่างนี้ที่มีอาการ 32 ตอบแทนคุณ กตัญญูต่อศาสนา กตัญญูต่อพระพุทธเจ้า กตัญญูต่อผู้อื่นใดๆที่เกื้อกูลเราก็ได้

อาตมาจะตอบแทนศาสนาให้เขาได้ฟังสิ่งดีแต่เขาก็ดูช่องนี้ช่องเดียวๆก็อยู่ในรูเขาต่อไปสิ โง่เดียวอยู่ตลอดกาลนาน นานเท่านานเลย ก็จะจมไปเสียเวลา ทุกข์ร้อนไป ต้องเกิดต้องทุกข์ๆๆๆๆๆๆๆ

สรุปแล้ว ถ้าใครอ่านสภาวะอาการของพลังงานต่างๆ แยกโลกียะ ชาติ สัญชาติ โอกกันติออก ก็จะรู้พลังงานจิตวิญญาณเรา แล้วคุณก็ทำเนกขัมมะออกจากโลกียะให้ได้ คุณก็รู้พลังงานส่วนที่เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะไปตามลำดับ เป็นอรหัตตมรรค ก็ค่อยเก็บละเอียดเป็นอรหันต์เต็มกระบอกเลย

 

 

 

         [8] ก็ภพเป็นไฉน ภพ 3 เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ

พ่อครูว่า... กามภพคือภพข้างนอก มีตาหูจมูกลิ้นกายแต่ต้องไม่ทิ้งใจด้วยนะ กามภพคุณปฏิบัติไปตามลำดับได้ก่อน จนกระทั่งหมดกามภพแล้ว ก็ไม่ต้องหลับตาปฏิบัติ เพราะเรามีโลกุตรจิต มีจิตที่อยู่เหนืออย่างไม่ได้ข่ม แต่รับใช้ชาวโลกเขาด้วยซ้ำไป แต่ฤทธิ์เดชพลังงานของเรามีความประเสริฐ อยู่เหนือ ยังไม่ถูกครอบงำให้ตกต่ำต้องทุกข์ร้อนอะไรเลย มีแต่ความเจริญ กลับเจริญแล้วช่วยคนอื่นให้เจริญด้วย มันเป็นความประเสริฐของวิเศษสุดของความรู้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า

เมื่อสามารถทำให้ภพเบื้องนอกหมด พ้นอบาย กามภพที่เหลือทำสกิทาคามีไปเรื่อยๆ จนหมดภายนอก เหลือแต่ภายในเป็นกิเลสของคุณก็มาเองทำเอง คนที่ทำไม่เป็นลำดับนี้จะซับซ้อน คุณเองอยากจะโก้ข้างนอก ก็ไม่ให้มันแสดงออกข้างนอก ก็กดข่มกิเลสได้ คุณกดข่มกิเลส ก็ต้องใช้พลังงานซ้อน ซวยนะ แต่ต้องทำ ในขนาดที่ควรของตนก็ต้องทำ แต่ต้องทำให้ถูกตามธรรมะพระพุทธเจ้า มันจึงจะหมดได้จริง ถ้าหมดได้จริงก็ไม่ต้องใช้พลังงานซับซ้อน มีแต่ทุ่นพลังงานไป

ยิ่งคุณกดข่มไว้มากๆ แรงระเบิดจะยิ่งสูง แรงระเบิดจะออกสูง คุณก็ต้องดันไว้มาก มันจะออกมามาก คุณก็ต้องดันไว้อีกมาก มีพลังงานไว้เพื่อดันเหมือนอย่างธัมมชโย เขาทำโดยไม่รู้ ถ้าปล่อยมาสารภาพ อย่างเก่งก็ติดคุกร้อยปีเมืองไทยไม่โหดร้ายถึงประหารชีวิตหรอก แต่ยิ่งทรมาน ถ้ารับสารภาพเสียก็จะเบาจะโง่ดักดานไปอีกนานเท่าไหร่

จัดการสังโยชน์เบื้องต้นได้ก็เหลือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์ต่อไป

 

         [9] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน 4 เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

1.      กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) ยึดติดในกามคุณ 5 ก็เรียนรู้ ว่ามันมีรสชาติทาง 5 ทวาร ให้หมดรสเก๊ มีแต่รสจริง 

2.      ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) คือความรู้ความเห็นความเข้าใจ หากมิจฉาทิฏฐิ ก็ไปยึดถือการนั่งหลับตาว่าถูกก็ไม่มีทางบรรลุ เวรห้าร้อยละลายไป เอาแต่รูปภพอรูปภพไม่เรียนตั้งแต่กามภพ ก็ซวยไป

3.      สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) ศีลพรตคือวิธีปฏิบัติ มีลำดับเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ตั้งแต่ศีล 5  8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล ส่วนมหาศีลเป็นศีลของศาสนา ที่ห้ามเดรัจฉานวิชชาที่ต้องไม่ทำ เพราะเป็นศีลของศาสนา แต่ทุกวันนี้ศาสนาไม่ดีเพราะว่าละเมิดมหาศีล

สมณะฟ้าไทว่า...จุลศีล มี 26 ข้อที่จะเป็นข้อปฏิบัติ ในนั้นรวมศีล 5 8 10 ไปหมด แล้วละเอียดลงไปเช่นห้ามพรากพืชคามภูตคาม เป็นต้น ส่วนมัชฌิมศีลก็ละเอียดจากจุลศีลลงไปอีก แต่ว่ามหาศีลเป็นศีลที่บอกว่านี่คือศาสนาพุทธ

พ่อครูว่า….ทุกวันนี้ศาสนาพุทธปัจจุบันเป็นเดรัจฉานวิชาไปเกือบหมดเพราะว่าทำตรงกันข้ามกับมหาศีล คุณทำเองไว้แล้ว อาตมาแค่บอก ไม่ได้ว่าเขานะ ขอบอก อ้อนวอนบอกก็ได้นะ ถ้าทำอยู่ก็ผิดไปอีกนาน แต่ถ้าแก้ไขได้ก็แก้เลย จะได้เป็นศาสนาพุทธ ไม่เช่นนั้นไม่เป็นศาสนาพุทธ ถ้าคุณอยากจะแย้ง ก็ไปแย้งพระไตรปิฎก ไปลบออกจากพระไตรปิฎกเลย

เมื่อสามารถพ้นสีลลัพพตุปาทาน การไปยึดถือศีลพรตที่ทำนี้มันไม่ใช่

4.      อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย)

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262)

 

อัตตวาทุปาทาน คือมันมีวาทะ ไม่ใช่อัตตุปาทาน แต่มีวาทะอยู่ด้วย ก็ต้องให้ชัดๆ อัตตวาทุปาทานไม่ใช่ยึดติดอัตตา แต่ไม่ใกล้อัตตาเลย ได้แต่ภาษา ได้แต่จารีตประเพณีได้แต่วาทะ คุณพูดว่ารู้อัตตา อาตมันแต่ไม่รู้จักสภาวะเลยแม้มันอยู่ในตัวคุณ

พวกลัทธิเทวนิยมคืออัตตวาทุปาทานทั้งสิ้น ไม่ต้องไปพูดถึง เจตสิก 52 จิต 89 121 ก็จะไม่สามารถรู้ความจริงได้

อย่างนี้กิเลสกาม กิเลสโลภ กิเลสโกรธ คุณจะพอรู้เลาๆแต่จะจับหัวหาง มาฆ่าให้ถูกตัวเลยไม่ได้ ฆ่ามั่วๆไม่ได้หรอก

สรุปแล้วอัตตวาทุปาทานคือพวกยึดถือได้แต่ลัทธิ ภาษาคำพูด ไม่ได้เข้าถึงเนื้อแท้เลย จะไปแปลว่ายึดติดอัตตานั้นไม่ได้ คุณจะยึดติดได้แต่พวกผิวเปลือก บัญญัติภาษา ลัทธิความเห็นความรู้ เท่านั้น ไม่ได้เข้าเนื้อของอัตตาเลย ไม่ได้ใกล้อัตตาเลย มันไม่ใช่อัตตุปาทาน แต่นี่คืออัตตุปาทาน

 

ฉันเดียวกันกับ พวกที่เข้าใจว่าธรรมะคือธรรมชาติ

ธรรมะ = ธรรมชาติ  มันไม่ได้ x = xy ได้อย่างไร

ถ้าสมมุติว่า x ของคุณคือ 1 หรือ 2 แล้วจะให้ y คือเท่าไหร่

คนที่สอนกันบรรยายกันว่า ธรรมะคือธรรมชาติจะได้อย่างไร เขาก็คงคิดว่า ธรรมชาติคือ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

แล้วคุณได้ปฏิบัติจนทำให้กิเลสมัน หายไปหรือไม่ มันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตนหรือไม่?

เราต้องทำให้กิเลสหมดไป หมดตัวตน แล้วเราก็จะอยู่กับความไม่มีกิเลส เราก็มีขันธ์ 5 มีกรรมกิริยา มีความรู้ความสามารถ จะช่วยเหลือคนอื่นได้ โลกานุกัมปา คุณทำงาน คุณขออาศัยความมี ทำงานให้แก่ผู้อื่น โดยที่คุณเองคุณไม่มีอัตตา ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนของคุณเองเลย 

จะไปเข้าใจตื้นๆง่ายๆว่า อัตตาวาทุปาทานกับอัตตุปาทานไม่ได้

เมื่อเรียนรู้ดับอุปาทาน อัตตาก็หมดไปด้วย หมดอุปาทานอัตตาก็หมด ไม่ต้องไปพูดถึงเลย แต่คนที่พูดได้เพราะหมดอัตตาแล้วนี่ คนนี้แหละเป็นคนที่ทำสมบูรณ์แบบแล้ว จนกระทั่งคุณสมบัติอันนั้นเที่ยง ไม่มีทุกข์ นี่แหละคืออนัตตา

จะไปตีขลุมว่าเที่ยงเหมือนธัมมชโย แล้วเขาก็บอกว่าเขาสุข แต่สุขนั้นเก๊ของเก๊ของหลอก เขาหลอกว่าโลกนี้มีแต่สุข ไม่มีความทุกข์เลย เขาไม่ได้เรียนรู้ทุกข์อริยสัจ ไม่มีอาริยสัจ 4 แล้วเอาคำว่าธรรมกายไปตั้งชื่ออีก ทั้งที่ตนคือ อภิบรมมหามาร

พูดไปแล้วเหมือนกับใช้ภาษาข่มเขา แต่มันแสดงออกว่าน่าชิงชังเท่านั้นเอง จึงทำลีลาให้แก่ผู้ที่หลงใหลใฝ่เพ้อ เขาจะได้รู้สึกบ้างว่ามันน่าชิงชังอย่างนี้เหรอ จะได้เลิกได้หยุดยั้งบ้าง

อุปาทาน 4 นั้น เป็นฉันใด ต้องมาเรียนสัมมาทิฏฐิแล้วค่อยมาล้างอัตตา อุปาทานในอัตตาที่มีเป็นลำดับ ตั้งแต่ อบายภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่เหลือแม้เล็กน้อยแล้วจึงจะสิ้นอุปาทาน เป็นวิภวภพ เป็นภพที่ไม่มีภพ วิแปลว่ายิ่ง แปลว่าวิเศษ อยู่ในภพนี้อย่างยิ่งใหญ่วิเศษ

 

         [10] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา 6 หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหารสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา

พ่อครูว่า...ตัณหาในที่นี้ท่านไม่ได้วิภัง(แจก)ไว้ ไม่ได้แจกตัณหา 3 แต่ในวิภังคสูตรท่านให้ศึกษาตัณหา 6 ไม่ใช่แค่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา แต่ให้ศึกษาตัณหาที่เกิดจาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมรมณ์ ต้องไม่สับสน

ถ้าสับสนจะงมแต่ตัณหา 3 ซึ่งตัณหา  3 นี้เกิดทางทวาร 6 นี้ได้ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแม้แต่ใน ธรรมารมณ์ในมโนก็เกิดได้เป็น 6 คู่

ใน 6 คู่นี้ต้องเรียนรู้ กามในนั้น เรียนรู้รูป อรูปในนั้น

สรุปแล้วต้องเรียนตัณหา 6 ถ้าไปนั่งหลับตาปฏิบัติเสร็จแล้วจะได้เรียนรู้ ตัณหา6 นี้ได้อย่างไร?

 

พูดไปนี้ไปนึกถึงอาจารย์บูรพา ผดุงไท ท่านก็เถียงแย้งมา ท่านน่าจะได้อ่านหรือฟังอาตมานะ ถ้าท่านไม่มีเชิงแย้งจะอ่านภาษาท่านรู้เหมือนกันนะ ท่านเป็นนักศึกษาก็คงฟังบ้างนะ

 

ลดละไปตั้งแต่ อบายภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สังโยชน์ เบื้องต้น ถึงสังโยชน์ระดับปลาย คนที่จบจริง หมดจริง จะไม่ไว้ท่ามาก เพราะไม่กลัวใครว่า แต่คนไม่จบจริงก็จะเต๊ะท่ามากหน่อย คนจบจริงไม่กลัวคนว่า ว่าอย่างไรก็ไม่ถูก เพราะเขาไม่มีตัวตนแล้ว กลัวถูกว่า ก็คือมีมานะ

เมื่อหมดรูปราคะ อรูปราคะ ก็มีมานะ นี่คืออาการถือดีมีถึง 12 รอบ

 

ต้องไม่เมา ไม่ประมาท มทะ ปมาทะ ในอุปกิเลส 16

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

แม้ตัวสุดท้ายแห่งตัวสุดท้าย ก็อย่าประมาท คู่สุดท้าย มทะ ปมาทะ ถ้าทำให้สมบูรณ์ได้ก็จบเป็นอุปกิเลส 16 ไม่ใช่ของเล่นนะ รายละเอียดต่างๆควรจะต้องตรวจสอบ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็จะรู้รายละเอียดทั้งหมด มีรายละเอียดที่ไม่มีชื่อพวกนี้ก็มี อาตมาไม่เหลือมายา จนเขาบอกว่าจริงเกินไป ทำเล่ห์หน่อยไม่ได้หรือไง มีแต่ตีตรงๆ

สมณะฟ้าไทว่า….จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 13:26:26 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์