@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ทำอย่างไรเราถึงจะเลิกความฟุ้งซ่านได้

รายละเอียด

ฟุ้งซาน ไม่มีคำตอบอื่น ต้องเห็นว่าความฟุ้งซ่านนั้นมีประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ตอนนี้หรือ บางทีตอนนี้ไม่เหมาะควรเลย บางทีฟุ้งซ่านสิ่งที่ดีแต่มันยังไม่เหมาะควร ยิ่งมันฟุ้งซ่านไปในสิ่งที่ไม่ดีให้หยุด 1. ตรวจสอบสิ่งที่เราฟุ้งซ่านให้ดี  ถ้ามันชัดเจนว่าเป็นสิ่งไม่ดีจะโง่ไปถึงไหนจะไปฟุ้งซ่านไปทำไม มีความคิดให้เสียพลังงานแรงงานไปทำไม จะชั่วไม่เสร็จหรือไง แต่ถ้ามันยังมีความดีและมันเหมาะกับฐานะ โอกาสเวลา หากไม่เหมาะสมก็ปล่อยไปก่อน เอาตามเวลาปัจจุบันมันจึงเจริญไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:54:44 )

ทำอย่างไรใจจะไม่ฟุ้งซ่าน

รายละเอียด

ฟุ้งซ่านนี้เป็นนิวรณ์ตัวหนึ่งอยู่ใน 5 กิเลสทั้งหมดพระพุทธเจ้าสรุปลงไว้ที่ 5 ตัวนี้ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา 

อีหลักอีเหลื่อ ครึ่งๆกลางๆ งงๆงวยๆ ไม่สำเร็จสงสัยอยู่นั่นแหละ ตัววิจิกิจฉาคือตัวที่โง่ไม่เสร็จ โง่ไม่จบ ฉลาดไม่สมบูรณ์ วิจิกิจฉาคือตัวจบถ้าพ้นวิจิกิจฉาได้ก็คือจบ 

เพราะฉะนั้นก็คือ 4 ตัวนี้แหละคือกิเลสหลัก กิเลสกาม พยาบาท คือกิเลสหยาบ ภายนอก กิเลสรวมใหญ่ทั้งหมด ส่วนกิเลส ฟุ้งซ่านกับ ถีนมิทธะ คือ กิเลสละเอียดภายใน 

ทีนี้ถ้าคนที่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำกิเลสภายนอกก่อน ถ้ากิเลสฟุ้งซ่านกับ ถีนมิทธะ ถีนมิทธะ คือกิเลสจับตัวเป็นก้อนแล้วมันก็โง่ ซึม และกิเลส อุทธัจจะกุกกุจจะ คือกิเลสเชิงสายฟุ้ง มันก็ฟุ้งไปมากขึ้น มากขึ้นเพราะไม่มีอะไรควบคุม ไม่มีภายนอกควบคุม 

คนที่ลืมตา ตื่นมามีตาหูจมูกลิ้นกาย จะเรียกว่า มันควบคุมก็ได้ จะเรียกว่ามันดึงเอาเราไป ตามันก็ดึงเราไป จะต้องไปรับรู้สนใจทางตา หูมันก็ดึงเราไปให้เราไปสนใจกับเรื่องหู จมูก ลิ้น กายทั้ง 5 ทวาร มันก็ทำให้เราครบทั้งภายนอกภายใน แล้วก็เป็นคนตื่น แต่คุณหลับเข้าไป มันไม่เป็นคนชาคริยะ หรือชาคระ มันเป็นคนหลับเป็นคนอยู่ในภพ 

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นการง่ายที่คุณจะโง่ มันจึงเป็นการง่ายที่จะถูกกิเลสตัวเองทับถมเข้าไป ไม่ว่าจะทับถมให้มันมีความมากขึ้น ความเจริญขึ้น เจริญของกิเลสนะ ถีนมิทธะ ก็ตาม อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็ตาม

เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตา ปฏิบัติธรรม สะกดจิต คุณก็จะอยู่กับ ถีนมิทธะ กับ อุทธัจจกุกกุจจะ เพราะคุณตัดกามกับพยาบาทที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภายนอกนี้ออกไปเสีย ที่จะมีแรงดึงให้คุณตื่น คุณรับรู้ความจริง ที่มีปัจจุบัน สัมผัสตาหู จมูก ลิ้น กายนี้มันเป็นปัจจุบันทั้งจิตเต็มๆ มีปัจจุบันทั้งกิเลสที่เกิดตัวแท้ แต่คุณตัดไม่มีตัวจริงข้างนอก มันเป็นกิเลสจำไม่ใช่กิเลสจริง มันเป็นกิเลสเก่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า เป็นกิเลสในอดีตกับกิเลสในอนาคต ไม่มีกิเลสในปัจจุบัน ไม่มีกิเลสจริง มันเป็นกิเลสลำลอง มันเป็นกิเลสของตัวคุณที่คิดฟุ้งซ่าน  อดีตก็ฟุ้งซ่าน  อนาคตก็ฟุ้งซ่านอย่างเดียว 

มันเป็นภพของตัวเองเท่านั้น  มันไม่เกี่ยวกับความจริงที่มันจะเกิดปัจจุบันนี้มันมีใหม่ อันนี้คุณมีเท่าไหร่ คุณก็เก็บมาไม่หมดหรอกในความจำ แล้วคุณก็ขยำขี้ในขี้ไม่รู้กี่กองไปเก็บมาหมด จากอดีต แล้วขี้นี่นะยังไม่ได้เกิดจริง คุณฟุ้งซ่านเป็นอนาคต ขี้ใหม่ที่คุณฟุ้งซ่านนั้นคิดเอาเองเป็นขี้ใหม่ ยังไม่เกิดของจริงทีเดียว แต่คุณก็พยายามจะติดใจในอนาคต แล้วคุณก็จะออกมาเป็นตัวจริงในตาหูจมูกลิ้นกาย ให้มันครบเท่านั้นเอง คุณก็ไปสร้างอยู่ในอนาคต ขยำอยู่กับอดีต แหม.. 

สรุปแล้วนี่นะ มันไม่ใช่วิธีที่จะเรียนรู้กิเลสจริงๆ แล้วก็ทำให้มันลดลงไปทีละอันๆๆ แล้วมันจะหมด เหมือนคุณมีขวด มีน้ำอยู่ในขวดมีตะกอน คุณจะเอาตะกอนออก คุณก็หลับตา เอาไปอยู่ในที่มืด แล้วคุณก็จะหยิบฝุ่นออกให้ได้หมดมันจะหมดไหมเล่า มันต้องมาอยู่ในที่สว่าง แล้วต้องขยายความยืดความกว้างของมันออกให้เห็น มันถึงจะจับได้ดี จับได้ เอามันออกได้หมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ 

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 05:48:26 )

ทำอย่างไรให้ 2 นั้นอยู่ด้วยกันให้ได้

รายละเอียด

เราจะรู้ได้ด้วยการจับคู่มาเปรียบเทียบกัน มันต่างกันอย่างไร มันต่างมาก ต่างน้อย ต่างกันด้วยมุมเหลี่ยมไหน มิติไหน ประเด็นไหน แบบไหน อย่างไหน รู้แล้วก็คือ รู้ความเหมือนกันกับความต่างกัน เท่านั้นเองเรียกว่า 2 ทีนี้ผู้ที่เข้าใจรวมได้แล้วว่าในโลกนี้มีความเหมือนและความต่างเท่านั้น ผู้ที่เข้าใจใน 2 พยายามให้ 2 นี้อยู่ด้วยกันได้อย่างรวมเป็น 1 ให้ได้ แน่นอนมันจะมี 2 ชิ้นขึ้นมาก็ต่างกันทุกอย่างไม่มีอะไรไม่ต่างกันเลย แยกเป็น 2 แล้วต่างกันทั้งนั้น 

แล้วทำอย่างไรให้ 2 นั้นอยู่ด้วยกันให้ได้ มันมีมุมเหลี่ยมที่แตกต่างกันตั้งร้อยเหลี่ยม พันเหลี่ยม ก็ต้องพยายามที่จะรู้ทันร้อยเหลี่ยม พันเหลี่ยมนั้น แล้วเข้ากับเหลี่ยมต่างๆ ของที่เขามีให้ได้ทุกเหลี่ยม เราก็อยู่ร่วมกับเขาได้หมด 

เพราะฉะนั้น ผู้สามารถรู้เหลี่ยมของคนได้มาก แล้วร่วมอยู่กับเขาอย่างประนีประนอม ไม่ใช่รู้เหลี่ยมเพื่อจะไปทะเลาะกัน แล้วก็จะเอาตัวเองเป็นผู้ชนะ นั่นคือคนโง่ที่สุด ผู้ใดที่รู้เหลี่ยมของคนอื่นแล้วเราก็จะเอาชนะเขา โง่ที่สุด ผู้ใดที่รู้เหลี่ยมของผู้อื่นแล้ว แล้วก็จะต้องพยายามอยู่กับเขาให้ได้ อยู่กับเขาให้ได้ ถ้าเขาจะเอาชนะจริงๆ ยอมแพ้ ให้เขาเป็นผู้ชนะ แต่ผู้ที่จะแพ้เขานั้นคือ ผู้ที่มีความรู้มากกว่า รู้ดีกว่า รู้ถูกต้องกว่า เก่งกว่า จริงๆ จึงยอม เพราะอยู่เหนือ ยังไงก็เหนือกว่า เพราะรู้มากกว่า เก่งกว่า วิเศษกว่า 

เพราะฉะนั้นจึงยอม ยอมอยู่ด้วย เพราะเก่งกว่า รู้กว่า ถูกต้องกว่า คนที่มันไม่กว่า มันทำอะไรคนที่กว่าไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น คนที่รู้ชัดเจนแล้วว่า เราเหนือกว่าเขาจริงๆ ฆ่าก็ตายคลายก็รอด จะไปทำทำไม ก็อยู่ด้วยกันดีกว่า เราจะได้มี 2 แรง แล้วก็ทำให้เขาเข้าใจให้ได้ โดยไม่ต้องไปบังคับเขา ทำให้เข้าใจให้ได้จนยอมรับว่า ไอ้ที่คุณรู้นั้น เรารู้เหนือกว่า ไอ้ที่คุณทำได้ เราทำได้เหนือกว่า ให้เขาเข้าใจเอาเอง ยอมรับ เองเลย ยังไม่ยอมรับตัวเอง ก็เขาดิ้นอยู่อย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราเหนือกว่าจริงแล้วนี่ไม่ต้องไปกังวลเลย เขาจะมาทำเป็นเหนือกว่าเราอย่างไรก็ตาม ความจริงมันก็คือความจริง เราเหนือกว่าอยู่แล้ว นอกจากว่าเราจะหลงผิดตัวเองว่า เราเหนือกว่า เหมือนอย่างทักษิณ ไม่ยอมเลย บอกว่า ผมแพ้ไม่เป็น ไม่เคยรู้จักความแพ้ ทั้งๆที่เขาแพ้อยู่ทุกวันนี้ เขาก็แพ้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ พยายามโหดอำมหิตที่สุด เอาคนที่รู้จักมา เอานอมินี่มาทำแทน นอมินีตายไป เอาญาติมาทำแทน สมัครตายไป ก็เอาสมชายมาทำแทน เอาสมชายมาทำแทนเป็นญาตินะ ตายไปอีก จะตายจริงไม่ตายจริงก็คือหมดฤทธิ์ไป เอาน้องมาทีนี้ น้องแพ้อีก เอาลูกเลยทีนี้ 

คือมันสุดอำมหิตที่สุดเลยทักษิณนี่ สุดอำมหิตจริงๆ ไม่เอาตัวเองนะ ไอ้ตัวเองนั้นแพ้ ไปแล้ว แล้วตัวเองอยากจะเข้ามาบงการ ก็เอ็งแพ้ไม่รู้จักแพ้ ถึงดิ้นเพื่อจะชนะให้ได้ นี่แหละคือตัวอย่าง เทวทัตยุคนี้ ขออภัยที่อาตมาพูดความจริง ใช้ศัพท์ ใช้ภาษาเรียก ตรงเลย เพราะมันเป็นความจริงที่อาตมาว่าไม่ได้พูดความเหลาะแหละ ไม่ได้พูดโกหก แม้แต่ลูกเต้าเหล่าหลานของคุณทักษิณฟังก็ฟังดีๆว่า อาตมาอธิบายด้วยเมตตา อธิบายด้วยความจริง ไม่ได้มี ความผิด ไม่ได้มีความชิงชัง ไม่ได้มีความโกรธความโหดเหมือนอย่างคุณทักษิณเลย มีแต่ความเมตตา มีแต่ความเกื้อกูล อยากให้เข้าไปถึงความจริง ติดตามดีๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2565 ( 14:24:49 )

ทำอย่างไรให้กิเลสเข้าไม่ถึงตัวเรา 

รายละเอียด

ศาสนาพุทธ ต้องมีสัมผัสแล้วมีกิเลสเกิด แล้วก็รู้กิเลสให้ทัน รู้จักวิธีทำให้กิเลสลดๆๆ จนเก่ง พอกิเลสแหลมหน้ามา เจอหน้าปัญญาเราปั๊บก็ดับ จนกระทั่งกิเลสไม่กล้าแหลมหน้า จนกระทั่งเข้าใกล้ไม่ได้ กิเลสเข้ามาถูกรังสีหายหมด ไม่เข้าใกล้ เป็นอย่างนั้นจริง สุดท้ายก็สบาย กิเลสไม่เข้ามาวอแวเพราะมีรังสีห้อมล้อมไว้เข้ามาไม่ถึงตัวเรา กิเลสเข้าไม่ถึงตัวหรอก นี่คือเรามีฤทธิ์ มีราศี กิเลสเข้ามาไม่ถึงตัวเรา 

ซึ่งอันนี้อาตมาพูดจากตัวเอง กิเลสมันมีสารพัดอาตมาเห็นเต็มไปหมด แต่มันเข้าไม่ถึงตัวอาตมา เข้ามาไม่ถึงหรอกเข้าไม่ได้ เข้าอาตมาไม่ได้ ภาษาง่ายๆชัดๆ แต่ทุกคนก็ต้องคิด เพราะคุณยังไม่เป็นอย่างอาตมา มาเจอมันเล่นเดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็มี มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ก็พูดให้ฟังเท่านั้นก็ทำไปแล้วจะเหมือนอาตมาได้ ก็ต้องมาเป็นอย่างอาตมามาเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 13:20:41 )

ทำอย่างไรให้คนหันมาทานมังสวิรัติกันมากขึ้น

รายละเอียด

มีความเมตตาเกื้อกูลไปถึงคนทั้งหลาย จะทำอย่างไรให้คนมากินมังสวิรัติกัน 

ตอบประเด็นแรกก่อนนะอย่างหลวงปู่ทำนี่แหละ พยายามทำให้ดีที่สุดเก่งที่สุดแล้ว ก็ตอบว่ามาทำอย่างหลวงปู่พาทำ ขยายความว่าแล้วหลวงปู่พาทำ ทำอย่างไร ก็คือทำโดยการนำทำ หลวงปู่ทำเป็นตัวอย่างก่อน กินมังสวิรัติก่อน แล้วก็พยายามที่จะให้แสดงผลของการกินมังสวิรัติว่า ทำให้ชีวิตร่างกายมันดีเพิ่มขึ้นต่างๆนานา แม้แต่ผลกระทบ ต่อสุขภาพ ต่อสิ่งแวดล้อม แม้แต่ทุนรอน เงินทองอะไรต่างๆ ก็พยายามที่จะชี้ อธิบาย ยืนยันอ้างอิงความจริงขึ้นมาให้คนเข้าใจได้ มันไม่ง่ายเลย เพราะคนไปติดยึดเนื้อสัตว์ ติดยึดสิ่งที่มันหรูหราฟู่ฟ่าและปรุงแต่งพิลึกกึกกือสารพัดสารเพ เยอะแยะ ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ มาก ก็จึงพยายามค่อยๆทำไป ไม่รีบร้อน แต่ก็ทำเต็มที่ ให้ค่อยๆเข้าใจกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:39:51 )

ทำอย่างไรให้จนสุขสำราญเบิกบานใจ

รายละเอียด

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ

คำว่าสุข สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง ว่างจากความไม่ดี ความโง่ มีความรู้ความเข้าใจดี มาเป็นตัวเนื้อแท้ของความสุข มีแต่ฉลาดอย่างประเสริฐอย่างแท้จริง ดี ความซับซ้อนจากพยัญชนะสู่สภาวะนี่แหละสรุปได้ทุกอย่าง คือพยัญชนะกับสภาวะกลับไปกลับมา คือความซับซ้อนสภาวะกับพยัญชนะ

จนเป็นพยัญชนะ คือสภาวะคนที่ไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีอะไรในตนเอง แต่มีหมู่กลุ่ม สวล. มีเหตุปัจจัยครบอุดมสมบูรณ์ ส่วนตัวจน แต่ส่วนรวมอุดมสมบูรณ์ ชาวอโศก อธิบายสภาวะนี้ได้อย่างครบสมบูรณ์ คนมาอยู่ด้วยสัก สองเดือนสามเดือนจะชัดเจนเลย

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 16:47:27 )

ทำอย่างไรให้บรรลุพระโสดาบัน

รายละเอียด

ดีเข้าใจอย่างนี้ดี ความรู้สึกนี้ก็ไม่เชิงอภิชัปปา คือตัณหาล้ำหน้า แต่ต้องการสิ่งที่ควรได้เบื้องต้นคือ ต้องการบรรลุพระโสดาบันเป็นข้อต้น เพิ่งเริ่มต้น ไม่ใช่ว่าคุณอยากได้อรหันต์เลย ยังไม่ได้เริ่มต้นเป็นพระโสดาบันจะเอาพระอรหันต์แล้ว อย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้คุณก็เริ่มต้นถูกอยู่ แต่มันมีแรงอยากได้มากเท่านั้นเอง ก็ทำตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้เริ่มต้นอื่นเลย คือ คุณมาเร่ิมต้น ศีลข้อที่ 1 เป็นต้น ศีลข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ศีล 3 ข้อนี้ เป็นหลักการครอบคลุม ข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับกามคุณ 5 มาเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้มีผัสสะเป็นปัจจัยและมันเกิดกิเลส สัมผัสกับสัตว์แล้วเกิดกิเลส รัก หรือชัง ชอบไม่ชอบ สัมผัสกับของก็เกิดชอบหรือไม่ชอบเหมือนกัน แต่จะเอา จะเอาอย่างไร ทุจริตหรือสุจริต ถ้าคุณชอบแล้วคุณสุจริตคุณก็เอาก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณชอบ คุณจะเอาแบบไม่สุจริต อันนี้แหละ เป็นสิ่งของนี่แหละ คือ สิ่งของกับพืชมันไม่มีวิบาก ไม่มีการโต้ตอบแก่กันและกัน ส่วนสัตว์นั้นมีวิบากแก่กันและกัน มีผลกระทบกัน ความชอบไม่ชอบเดี๋ยวก็เกิดปฏิกิริยา ส่วนสิ่งของกับพืช คุณเป็นผู้ที่เป็นตัวจิตนิยาม พืชกับของกับวัตถุมันไม่มีอะไรขึ้นไปกระทบ มันก็เหมือนกับตบมือข้างเดียว คุณคนเดียว แต่เป็นวิบากหรือไม่เป็นวิบาก ก็เป็นของคุณคนเดียว คุณจะเห็นแต่จิต จะยึดติดหรือไม่ก็คุณคนเดียว เพราะฉะนั้นมันต้องเกี่ยวข้องกัน ของกับวัตถุมันต้องเกี่ยวข้อง มันต้องสัมพันธ์ มันต้องทำงานร่วมกัน มันต้องอาศัย คุณไม่อาศัยพืชไม่ได้ คนไม่อาศัยวัตถุไม่ได้ ก็เอาแต่เพียงว่า อย่าไปทุจริตก็แล้วกัน เอาให้สุดต้องอาศัยให้ดีอย่างดี แต่ต้องอาศัยไปตราบเท่าที่คุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณต้องอาศัยพืช แต่สัตว์นั้นคุณต้องมีระยะที่จะสัมผัสมีปฏิกิริยาอะไรต่อกัน มันจะมีมาก แต่พืชกับวัตถุนั้นมันไม่เกี่ยว คุณคนเดียวมันไม่ใช่ 2 แต่สัตว์มันเป็น 2 ไม่คุณก็อีกที่เป็นคู่จะเป็นสัตว์หรือเป็นคนก็แล้วแต่ คู่นี้มีนิยาม อย่างนี้เป็นต้น ที่คือนัยละเอียดที่เราจะต้องศึกษาไปเรื่อยๆ สรุป โสดาบัน คุณเรียนรู้เรื่องกาย เรื่องสองสภาวะกายมีสอง เอาแต่แค่ศีลข้อ 1 ให้รู้ก่อน ข้อเดียวก็ได้ สัมผัสตั้งศีลขึ้นมาว่า เราเกี่ยวข้องเอาตั้งแต่คน คุณสัมผัสกับใครก็แล้วแต่ก็เกิดจิตรัก หรือเกิดจิตชัง คุณอ่านจิตให้ออก หากอ่านออกแล้วรู้ มันรักมากหรือรักน้อย ชังมากหรือชังน้อย ใหม่ๆ น้อยๆมันอาจยังไม่รู้ แต่ก็เท่าที่คุณจะรู้ทัน รักมากรักน้อย โดยเฉพาะรักอย่างกาม รักอย่างราคะ คุณรู้ให้ได้ ถ้าคุณเริ่มรู้ว่าอันนี้คือกิเลสที่คุณจัดการ คุณทำเรื่องนี้ คุณเริ่มจะมีญาณปัญญาที่รู้ปรมัตถ์ รู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้อาการนี้เรียกว่า รู้ตัวกิเลสตัวตัณหาตัวราคะ ตัวนี้ไม่ดี มันจะดียังไงก็ไม่เอาให้มันอยู่กลางๆ ให้มีแต่ความเกื้อกูลกันไม่ใช่ว่ากามจะต้องมาใกล้ชิด มาสัมผัสเสียดสี มาเสพรสอีก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 15:44:33 )

ทำอย่างไรให้มีเหลือพอกินพอใช้

รายละเอียด

ที่จบของมันก็อยู่ที่ว่าเราอยู่อย่างพอมีพอกิน ทำให้เลี้ยงดูตัวเองรอด ไม่เป็นหนี้ใคร มีอิสระเสรีภาพ มีความสงบมีความสุขความไม่เดือดร้อน แล้วยังมีเหลือพอกินพอใช้ คุณจะพอกินพอใช้และคุณจะเหลือ เพราะคุณทำคุ้มตัว กินใช้เท่านี้แล้วก็มีการทำงานขยันสร้างสรรมีส่วนได้มีผลผลิต ตีราคาแล้ว มีผลผลิตขึ้นมามันก็พอกินพอใช้จนมีเหลือ คนอย่างนี้แหละคือคนรวย กินไม่มาก แต่ถ้ากินเท่าไหร่ก็ไม่พอ เสื้อผ้าหน้าแพร มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ อาหารมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ เงินทองเท่าไหร่ก็ไม่พออะไรก็ไม่พอ ก็จะว่าเหมือนเปรต ปากเล็กนิดเดียวพุงใหญ่เหลือเกิน เลยต้องอธิบายเป็นรูปธรรม แทนที่ปากใหญ่ ไม่ได้ ต้องอธิบายให้กลับกัน เคยได้ยินเปรตที่เขาอธิบายมีรูปร่างอย่างไร ปากแคบมาก แต่พุงใหญ่ ไม่ใช่ท้องเล็กปากใหญ่แต่ว่า ปากเล็กพุงใหญ่ ดูดเข้าไปดูดเข้าไป หมดจักรวาลเลย ปากกว้างเท่าโลก ท้องเท่ากับจักรวาล หากไม่รู้จักความเป็นจริงสัจธรรมที่ลึกซึ้งพวกนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:50:16 )

ทำอย่างไรให้หมดสุขหมดทุกข์ตามลำดับ

รายละเอียด

จัดลำดับให้ดีสิ ของเราเองนะ อ่านอาการสุข-ทุกข์ของเราเอง เรายังติดหยาบ-กลาง-ละเอียดกับอะไร คุณก็ต้องดูว่า โอ้ อันนี้เราถือว่าหยาบ  ซึ่งมันไม่ตรงกันนะในแต่ละคน คุณไปติดยึด ผูกพันกับอะไรต่ออะไร แต่ละคนมันไม่เท่ากัน ใช่ไหม บางคนติดมะเขือ บางคนติดกล้วย บางคนติดสะตอ ทุกวันนี้พูดตรงๆ อาตมากินสะตอไม่ค่อยได้แล้ว ทุกวันนี้ก็เห็นว่าแต่ก่อนเราก็กินพอสมควรทั้งเหม็นทั้งขม สะตอ เหม็นไหม ทั้งเหม็น ทั้งขม..โอย กินสะตอแล้ว เทียบกับเม็ดกระถิน มันคล้ายกัน แต่มันอ่อนกว่ากันเยอะเลย เม็ดสะตอกับเม็ดกระถิน ก็เป็นลักษณะของคนใต้เขาถนัดอย่างจัดจ้านหน่อย อีสานนี่ถึงจะจัดอย่างไรก็สู้ใต้ไม่ได้ ยิ่งภาคกลางแล้วก็ยิ่งไม่จัดเท่า ภาคกลางไปจัดจ้านทางฟรุ้งฟริ้ง โอ้ย ภาคกลางจัดจ้านทางฟรุ้งฟริ้ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการปรับทุกข์ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 15:35:15 )

ทำอย่างไรให้หลุดพ้นความน่าเบื่อหน่าย

รายละเอียด

จริงมีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกแต่ผู้พ้นจริงๆได้แล้วสามารถพิสูจน์จิตที่หลุดพ้นแล้วไม่อยากจะอยู่กับอันนี้แล้วก็พยายามศึกษาว่าสังคมอยู่อย่างไร จะช่วยเขาได้ไหม ควรช่วยไหม ควรถามว่า ควรช่วยไหม...คุณก็ตอบกันได้ ว่าควรช่วย

ถ้าใครบอกว่าไม่ควรช่วยก็ใจดำเลย มันควรช่วยเพราะมนุษย์นี้น่าสงสาาร เขาหมุนเวียนในสังสารวัฏ น่าสงสาร เป็นความจริงที่ควรช่วย ความจริงจึงเป็นสัจจะของผู้ที่เมื่อยกจิตขึ้นสู่ปัญญาสู่ความควรรู้ ทั้งที่มันน่าเบื่อหน่าย เมื่อคุณหลุดพ้นความน่าเบื่อหน่ายนี้ได้แล้ว เราไม่ไปแย่งชิงอะไรกับโลกแล้วก็รู้ว่า ตัวจะอยู่อย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็คือ 1 อัตตาหิอัตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา ก็รู้ว่าตนก็ต้องพึ่งตนสิ แมวหมาก็ยังพึ่งตัวมันเอง มีหมาที่คนเอามาเลี้ยงจนมันเสียนิสัย หมาเลยเสียหมาเลยเลี้ยงตัวเองไม่เป็นต้องพึ่งคน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อัตภาพและสังสารวัฏ วันจันทร์ที่ 10
ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:02:18 )

ทำอย่างไรให้หลุดพ้นความน่าเบื่อหน่าย

รายละเอียด

จริงมีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกแต่ผู้พ้นจริงๆได้แล้วสามารถพิสูจน์จิตที่หลุดพ้นแล้วไม่อยากจะอยู่กับอันนี้แล้วก็พยายามศึกษาว่าสังคมอยู่อย่างไร จะช่วยเขาได้ไหม ควรช่วยไหม ควรถามว่า ควรช่วยไหม...คุณก็ตอบกันได้ ว่าควรช่วย

ถ้าใครบอกว่าไม่ควรช่วยก็ใจดำเลย มันควรช่วยเพราะมนุษย์นี้น่าสงสาาร เขาหมุนเวียนในสังสารวัฏ น่าสงสาร เป็นความจริงที่ควรช่วย ความจริงจึงเป็นสัจจะของผู้ที่เมื่อยกจิตขึ้นสู่ปัญญาสู่ความควรรู้ ทั้งที่มันน่าเบื่อหน่าย เมื่อคุณหลุดพ้นความน่าเบื่อหน่ายนี้ได้แล้ว เราไม่ไปแย่งชิงอะไรกับโลกแล้วก็รู้ว่า ตัวจะอยู่อย่างไร ผู้ที่หลุดพ้นแล้วก็คือ 1 อัตตาหิอัตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา ก็รู้ว่าตนก็ต้องพึ่งตนสิ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อัตภาพและสังสารวัฏ วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 22:47:21 )

ทำอย่างไรให้หายกลัวตาย

รายละเอียด

คนที่รู้สึกว่ากลัวตายเป็นนิมิตอันหนึ่ง คนรู้สึกว่ากลัวตายมีไตรลักษณ์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป รู้สึกถึงความเป็นไตรลักษณ์ว่าชีวิตเรานี้ เกิดมาแล้วก็จะตาย แต่ว่าตอนยังไม่ตายนี้เราจะได้อะไร เราควรให้อะไรที่ควรให้ เพราะฉะนั้นคนที่มีภูมิปัญญาเป็นผู้ที่แสวงหา ผู้ที่ลึกซึ้งในธรรมะแล้วก็จะแสวงหาว่าควรได้โลกุตรธรรม ส่วนคนที่เป็นปุถุชนก็อยากจะได้ความรวยได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เขาก็ไปหาสิ่งเหล่านั้น หรือมีความลึกหน่อยก็อยากจะได้ความดีไม่เอาความชั่ว ก็จะพยายามละเว้นความชั่วตั้งใจทำแต่ดี แต่จะได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างมีความเป็นสุจริตทำแต่ดีทำแต่ดี ศาสนาของโลกียะก็มีแต่อย่างนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ทำอย่างไรจะหายกลัวตาย


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:53:38 )

ทำอย่างไรให้หายทุกข์จากสิ่งที่ตัวเองทำ

รายละเอียด

ให้มาเรียนรู้ที่นี่แหละที่เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขเหตุ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงความเป็นอยู่ความทุกข์ความเดือดร้อนความขัดแย้งก็จะหายไป แล้วก็จะลงตัวอย่างเป็นสมดุล ลงตัวอย่างเคลื่อนไหวไปอย่างราบรื่นเรียบร้อยง่ายงาม ก็จะหายทุกข์หายขัดข้อง หายบาดเสียด ใช้ภาษาง่ายๆ จะเกิดความเคลื่อนที่ละมุนละไมร่วมกันรังสรรค์เป็นประโยชน์แก่กันและกัน และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นไป เท่านี้แหละ มีชีวิตอย่างนี้ ยอดเยี่ยมแล้ว ที่เราทำอยู่

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:47:45 )

ทำอย่างไรให้เกิดเวทนาเดียว

รายละเอียด

ทำอย่างไรจึงจะเกิดเวทนาเดียว

คุณก็มาทำ

สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

สุจริต 3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ทำให้ความทุจริต เป็นสุจริตเสมอด้วยการมี

สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .

โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

นี่คืออวิชชาสูตรสมบูรณ์ พบสัตบุรุษ ที่บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน4

วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 16:59:36 )

ทำอย่างไรให้เก่งกว่านี้เพื่อให้เขาเห็นคุณค่าโลกุตรธรรม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นอาตมาเอง ยิ่งทำงานยิ่งรู้สึกว่า ความจริงอาตมาก็รู้ว่าอาตมาเป็นใคร ปางนี้มาทำงานอะไรก็รู้บอกไปเขาก็อาจจะยิ่งหมั่นไส้ อาตมายิ่งทำงานก็เห็นว่ายิ่งใช่ อาตมาต้องทำงานนี้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของศาสนาพุทธเป็นแก่นแท้ของพุทธ คือโลกุตรธรรม ยิ่งทำไปยิ่งชัดยิ่งมั่นใจ เห็นจริง น่าสงสารศาสนาพุทธที่พาออกนอกรีต ไปไกล ได้แต่สังเวชใจ แล้วเขาไม่เชื่อถือไม่รับฟังอาตมาไม่เห็นเป็นคุณค่า อาตมาก็ยิ่งสังเวชใจมาก เราทำอย่างไรจะเก่งกว่านี้ที่จะทำให้เขาอย่างว่าสัจจะเป็นแบบนี้ ที่เขามีกันอยู่นั้นมันไม่ใช่ศาสนาพุทธมันออกนอกทางไปแล้ว หรือไปฟุ้งซ่านเป็นโลกีย์ไปแยะ อย่างที่เห็นกัน พูดไปก็เหมือนไปว่าเขา เขาก็จะยิ่งชังน้ำหน้า เหตุปัจจัยมันทำให้รู้ยิ่งขึ้น พูดไปก็ไม่ได้เกิดความท้อใจอะไร มีแต่อุตสาหะ ที่ถูกขูดมาจนเกือบไม่เหลือ อยู่ที่ไหนขูดมาหมด อย่างนั้นจริงๆเลย อาตมาเห็นตัวเองทำงานอยู่อย่างนั้นเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:14:47 )

ทำอย่างไรให้เจตนาบรรลุผลโดยไม่มีตัณหา

รายละเอียด

คนต้องรู้จักกรอบของสิ่งที่เราวินิจฉัย ถ้ามีกรอบมีเหตุปัจจัยก็รวบรวมเหตุปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบนั้นให้แคบเข้า ถ้าคุณไม่รวบให้มันแคบเข้า มันก็จะกระจายไป มันจะเป็นปัญหาหรือมันจะเป็นตัณหาไปเรื่อย แต่ถ้าแคบเข้า มาเอาทีละคู่โดยเฉพาะ 2 

อาตมาเคยพูดสรุปไว้ว่าเรียนรู้ทีละ 2 แล้วคุณจะได้ทีละ 1 เป็นตัวจบ ตัวจบที่เป็นหนึ่งจะเป็นหลักความรู้ที่เป็นแก่นแกนของคุณ มีอะไรมาอีกปั๊บ ยิ่งมากขึ้นแก่นแกนก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพวินิจฉัยได้เร็วขึ้น 

จบที่มีปัญญาแล้วก็ไม่มีตัวตนเพราะข้างนอกนี่บางคนยึดถือทีละ 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไปเรื่อยตามที่เขารวมไม่ลง จบไม่ลง สังเคราะห์สังขารพยายามรู้ให้มากจนกระทั่งมาหา 2 1 0 ไม่ได้ มันก็ไม่จบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ปฐมอโศก หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 13:35:23 )

ทำอย่างไรให้เป็นคนมีปัญญาอย่างพ่อครู

รายละเอียด

อันไหนไม่พอเหมาะก็แก้ไขปรับปรุง จึงมีผู้ที่ช่วยชี้แนะ ท้วงติงมากเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วพิจารณาจากผู้ห้อมล้อม หรือปรารถนาร้ายต่อเรา มาท้วงติงเรา ไม่จำกัดปรารถนาร้ายแต่เข้าท่า เราก็ไม่เกี่ยงงอนเอาเลย มันเข้าท่าก็เอา อาตมาถึงได้สรุปผลในเพลงอาริยะ

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น

หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น

ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน

"ความถูกต้อง"

ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลาย

แล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

อาตมาก็ร่อนทองเอา เขาขว้างอุจจาระมาก็เอามาทำปุ๋ย ขว้างหินมาเราก็ไปทำประโยชน์ ถ้าเราเกิดปัญญาอย่างที่พูดนี้ ตามที่อาตมาเป็นนี้ อาตมาก็เป็นคนอย่างนี้ ทำได้อย่างนี้เอามาเปิดตัวอย่างจริงใจ ผู้ใดเห็นดีเห็นชอบก็มาเอาตามพากเพียร แล้วคุณจะได้เป็นคนอย่างอาตมา คนไหนไม่ชอบเขาไม่อยากจะมาเป็นอย่างอาตมาหรอก น่าเกลียด ก็ไม่เป็นไร เราห้ามใจเขาไม่ได้ แต่คนไหนเห็นดีงามว่าเอาอย่างพ่อท่านโพธิรักษ์นี่แหละ ก็ยินดีต้อนรับ Welcome มาเลย พูดไปแล้วก็ถามสนามหลวงจะยกมือกี่คน ฟังไม่จบเขาก็เหลือไม่กี่คนหรอก เพราะคนหลากหลายมาฟังแต่อย่างนี้คัดเลือกแล้ว ไม่ต้องไปทดสอบกันมากหรอกชัดเจนแน่นอน สรุป เหลือเวลาอีก 3 นาที

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:42:51 )

ทำอย่างไรให้เป็นอมตบุคคล

รายละเอียด

มี 0 พื้นฐานอาศัย มี 0 เป็น 1 เลยเป็นเอกัคคตา 0 จาก 2 แล้วก็อาศัย 1 ก็เลยเกิดสามเส้า 0 1 2 แล้วตัวเองก็ควบคุมจัดการให้ได้ กลายเป็น 4 เป็นตัวประธาน จัดการสามอันนี้ได้อย่างเด็ดขาด ต้องการให้เป็นอย่างไรก็ทำได้ ต้องการจะ 0 ในสัดส่วนนั้น ก็ทำสัดส่วนเล็กให้ 0 แล้วทำสัดส่วนโตขึ้นให้เป็น 0 จนสำเร็จจบหมด ถ้ายังไม่ยอมตายเป็นอมตบุคคล ทำให้ 0 จบได้หมดแล้ว แต่ยังไม่ยอมตายเป็นอมตะบุคคล คุณก็ศึกษาต่อจากบุคคลอื่น ของคุณจบแล้ว จิตวิญญาณของคุณ จิตเจตสิกของคุณทำ 0 ได้แล้ว ของคนอื่นต่างกัน มีเหตุปัจจัยมีองค์ประกอบต่างกันคุณก็ศึกษาเข้าไป หรืออธิบายตัวแบบ 0 นี่แหละให้เขาได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:26:28 )

ทำอย่างไรให้เราหลุดพ้นจากความรักแบบผู้ชายผู้หญิง

รายละเอียด

มันไม่มีทางอื่นเลยนะ คำตอบมันคำตอบเดียว มันก็ต้องเรียนรู้ความรักเรื่องเพศ ความรักเรื่องนี้มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในโลก คนนี่มันเจริญกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันเรียกการติดพันในเรื่องของคู่ เมถุน ผู้หญิงผู้ชาย การสืบพันธุ์ การต่อเชื้อ คนมันมีความฉลาด ก็ไปเรียกว่าความรัก 

สัตว์มันก็มีความรัก สัตว์หลายชนิดนะมันมีคู่ๆเดียว มันรักกันแล้วก็มีคู่เดียวตลอดชีวิตมีเยอะไปในสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ตายพรากจากกันไปเลย แต่คนนี่ ถือว่าความรักนี้ยิ่งใหญ่ 

เพราะฉะนั้นตัวกิเลสในความรักนี้มันจึง โอ้โห.. มันพลิกแพลง มันเป็นกิเลสที่ดิ้น มันเป็นกิเลสที่มักมากอะไรต่างๆได้ ถ้ามีความซื่อสัตย์ คุณจะรักมากแต่มีความซื่อสัตย์ก็ยังดี รักมากแล้วไม่ซื่อสัตย์ แล้วก็ต้องการมากมายหลากหลายอีก ไอ้อย่างนี้มันก็ยิ่งแย่ 

มันก็เป็นอยู่ที่ว่า เราเองเราได้ปฏิบัติธรรมมา ได้สั่งสมลักษณะแบบไหนให้แก่ตนเอง ทีนี้ถ้าเรามาอยู่กับหมู่กลุ่มนี้ จะสอนให้มาในทิศทางที่ลดลงน้อยลงทุกอย่าง มากอย่างก็ให้ลดลง แม้อย่างเดียว คู่เดียว ที่เป็นกิเลสกามก็ให้ลดลงด้วย สรุปแล้วก็คือ มาลดนั้นดีที่สุดสำหรับกิเลส ของพุทธนี้ครบทุกด้านทุกมิติอยู่แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ 

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 05:04:11 )

ทำอย่างไรให้เราไม่กลัวความลำบาก และไม่ติดหลงความสบาย 

รายละเอียด

ประเด็นคือความลำบากและความสบาย ก็เป็นประเด็นที่คนแต่ละคนเคยมีเคยเกิดทั้งนั้นแหละ กลัวความลำบากแล้วก็ชอบความสบาย 

ก็มาขยายความว่า ความลำบากกับความสบาย ในเทวทหสูตรท่านตรัสว่า ผู้ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนอยู่บนความสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง ใครจะเอาแบบไหนเอ่ย 

ที่นี้มาตีความสบายกับตีความลำบาก ภาษาไทยๆ 

ความสบายของภาษาไทยก็หมายความว่า สบาย ชอบใจ ยินดีสะดวกดี ง่ายดี อะไรก็แล้วแต่ ง่ายดีไม่ยากไม่ลำบาก ทีนี้ความลำบาก มันยากก็ต้องต่อสู้ ก็ต้องอุตสาหะ มันก็ต้องพากเพียร อาตมาค่อยๆอธิบายภาษาให้ฟัง

เพราะฉะนั้นคนที่พากเพียรจะเกิดการเจริญไหม ...เจริญ กว่าที่ปล่อยไปตามสบายเรื่อยๆ มันจะมีอะไรเจริญไหม ก็ไม่มีอะไรเจริญ แค่นี้ถ้าใครมีปฏิภาณรู้ว่า ควรจะปล่อยตัวตามสบายแล้วมันก็จะยิ่งเสพติดการสบายและไม่ได้ขยัน ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ไม่ได้มีทักษะ ไม่ได้มีความชำนาญ ไม่ได้มีความรู้อะไรเกิดอะไรที่ดีขึ้น สร้างสรรไม่เป็นก็ไม่เกิดอะไรเลย ควรตายซะ หนักแผ่นดิน กินข้าวเขาเปลืองเปล่าๆ ก็อธิบายง่ายๆอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ตั้งตนอยู่บนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ตั้งตนอยู่บนความสบายนี้ เสื่อม ก็ถูกต้องทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวความลำบาก เรารู้พักรู้เพียร รู้อุตสาหะวิริยะ 

ในโพธิสัตวภูมิโอ้โหก็ต้องสู้ความลำบาก ในขนาด ท่านมีการอธิบายไว้ว่าถึงขั้น จะต้องไปให้ถึงพุทธภูมิให้ได้ กระเสือกกระสนไป หมดแรง กระเสือกกระสน มือขาดมือด้วน ตีนขาดตีนด้วน เหลือแต่หน้าอก กระเสือกกระสนเอาหน้าอกไถไปเลือดโทรมก็ต้องไป ไปให้ถึงจุดพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องลำบากถึงขนาดไหนก็ต้องสู้ 

แล้วทีนี้โพธิสัตว์จะเป็นยังงั้นสำหรับคนที่มีวิบากสูง จะต้องสู้อย่างนั้นจริงๆแล้วผ่านมาได้ก็จะเจริญขึ้นเจริญขึ้น เบาลงเบาลง สะดวกขึ้นสะดวกขึ้น 

อย่างอาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ต้องร้ายแรงขนาดนั้น ชาตินี้ถูกแก๊สน้ำตาเท่านั้นเอง คนจะเตะจะถีบก็ไม่เคยโดน ชาตินี้ไม่มีใครมาเตะมาถีบ โดนแก๊สน้ำตาเท่านั้นเป็นสิ่งที่กระทบจากคนที่มุ่งร้ายและก็ทำมา แล้วก็แก๊สน้ำตานั้นเขาไม่ได้มุ่งร้ายมาที่อาตมาหรอก อาตมาไปร่วมกับหมู่เท่านั้นเองแล้วก็ได้รับมาด้วยกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เจตนาที่ว่ามุ่งหมายจะฆ่าอาตมาจะทำร้ายอาตมา 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 16:40:06 )

ทำอย่างไรให้เหนือกรรมวิบากได้

รายละเอียด

เรื่องนี้ลึกซึ้ง แม้แต่เราจะผูกวิบากโดยการให้เขากับเราจะต้องผูกวิบากกัน แก้แค้นกันเหมือนหนังจีนไม่มีจบ ไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าโกวเล้งหรือกิมย้ง ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย มีแต่จะแก้แค้นไม่รู้จบ แต่ของพระพุทธเจ้ารู้จบไม่แก้แค้น สุดท้ายไม่แก้แค้น วาง มีแต่ความเอ็นดูละอายว่า เขาทำกับเราอย่างนั้นเขาไม่รู้เขาเลยทำอย่างที่น่าละอาย แต่เรารู้แล้วอย่าไปทำ ความรุนแรงโหดร้าย เบียดเบียนผู้อื่น มันน่าละอาย คนที่มีปัญญา รู้จริงๆเข้าใจจริงๆ ว่าการที่จะไปทำอะไรร้ายกับคนอื่น ทำร้ายจนกระทั่งถึงบาดเจ็บฆ่าตาย มันแน่ชัดอยู่แล้ว แม้แต่จะไปทำให้เขาทุกข์ร้อนลำบากลำบน ก็ร้าย มันเป็นความเลวไม่ใช่ของน่าทำ 

ไปคิดจะทำก็เริ่มเลวแล้ว พูดว่าจะทำก็เลวไปอีก ลงมือทำก็ยิ่งเลวสำเร็จ ผลก็สมบูรณ์แบบในความเลว เพราะฉะนั้นกรรมวิบากเป็นเรื่องจริงเมื่อเชื่อกรรมวิบากแล้ว แล้วก็เชื่อการเกิดการตายเวียนเกิดเวียนตายอีก เราจะเป็นผู้ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เกิดอีกกี่ชาติๆ ก็มั่นคง เมื่อดีแล้วก็ดีถาวรเลย ไม่ไปทำชั่วอีกเลย นี่แค่โลกีย์ จึงขอลัดไปหาโลกุตระเลย 

โลกุตระนั้นเหนือดีเหนือชั่ว ตรงที่เรียนรู้สุขและทุกข์ สุขทุกข์นี้เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ ถ้าคุณยังมีอวิชชา คือความไม่รู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน วิชชา ความรู้มีสารพัดในโลกหรือศาสดาเทวนิยม โลกีย์มีความรู้เยอะแยะ แต่ความรู้อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าความรู้สัมมาทิฏฐิ คือตรงกับของพระพุทธเจ้า 

ถ้าไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้าไม่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เรียกว่าเป็นความมิจฉาทิฏฐิ เป็นเหมือนศาสดาอื่นๆที่เป็นเทวนิยม ก็ได้ แต่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ถ้าของพระพุทธเจ้าต้องตรงกับของพระพุทธเจ้าทั้งเหตุทั้งผล ทั้งมรรคและผล ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถูกหมด ตรงกันหมด แล้วเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีเป็นอื่นเลย สัจจะของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก

วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 ตุลาคม 2565 ( 11:12:13 )

ทำอย่างไรให้เหนือกรรมวิบากได้

รายละเอียด

เรื่องนี้ลึกซึ้ง แม้แต่เราจะผูกวิบากโดยการให้เขากับเราจะต้องผูกวิบากกัน แก้แค้นกันเหมือนหนังจีนไม่มีจบ ไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าโกวเล้งหรือกิมย้ง ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย มีแต่จะแก้แค้นไม่รู้จบ แต่ของพระพุทธเจ้ารู้จบไม่แก้แค้น สุดท้ายไม่แก้แค้น วาง มีแต่ความเอ็นดูละอายว่า เขาทำกับเราอย่างนั้นเขาไม่รู้เขาเลยทำอย่างที่น่าละอาย แต่เรารู้แล้วอย่าไปทำ ความรุนแรงโหดร้าย เบียดเบียนผู้อื่น มันน่าละอาย คนที่มีปัญญา รู้จริงๆเข้าใจจริงๆ ว่าการที่จะไปทำอะไรร้ายกับคนอื่น ทำร้ายจนกระทั่งถึงบาดเจ็บฆ่าตาย มันแน่ชัดอยู่แล้ว แม้แต่จะไปทำให้เขาทุกข์ร้อนลำบากลำบน ก็ร้าย มันเป็นความเลวไม่ใช่ของน่าทำ 

ไปคิดจะทำก็เริ่มเลวแล้ว พูดว่าจะทำก็เลวไปอีก ลงมือทำก็ยิ่งเลวสำเร็จ ผลก็สมบูรณ์แบบในความเลว เพราะฉะนั้นกรรมวิบากเป็นเรื่องจริงเมื่อเชื่อกรรมวิบากแล้ว แล้วก็เชื่อการเกิดการตายเวียนเกิดเวียนตายอีก เราจะเป็นผู้ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เกิดอีกกี่ชาติๆ ก็มั่นคง เมื่อดีแล้วก็ดีถาวรเลย ไม่ไปทำชั่วอีกเลย นี่แค่โลกีย์ จึงขอลัดไปหาโลกุตระเลย 

โลกุตระนั้นเหนือดีเหนือชั่ว ตรงที่เรียนรู้สุขและทุกข์ สุขทุกข์นี้เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ ถ้าคุณยังมีอวิชชา คือความไม่รู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน วิชชา ความรู้มีสารพัดในโลกหรือศาสดาเทวนิยม โลกีย์มีความรู้เยอะแยะ แต่ความรู้อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าความรู้สัมมาทิฏฐิ คือตรงกับของพระพุทธเจ้า 

ถ้าไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้าไม่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เรียกว่าเป็นความมิจฉาทิฏฐิ เป็นเหมือนศาสดาอื่นๆที่เป็นเทวนิยม ก็ได้ แต่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ถ้าของพระพุทธเจ้าต้องตรงกับของพระพุทธเจ้าทั้งเหตุทั้งผล ทั้งมรรคและผล ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถูกหมด ตรงกันหมด แล้วเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีเป็นอื่นเลย สัจจะของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก

วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 ตุลาคม 2565 ( 11:12:14 )

ทำอย่างไรให้เหนือกรรมวิบากได้

รายละเอียด

เรื่องนี้ลึกซึ้ง แม้แต่เราจะผูกวิบากโดยการให้เขากับเราจะต้องผูกวิบากกัน แก้แค้นกันเหมือนหนังจีนไม่มีจบ ไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าโกวเล้งหรือกิมย้ง ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย มีแต่จะแก้แค้นไม่รู้จบ แต่ของพระพุทธเจ้ารู้จบไม่แก้แค้น สุดท้ายไม่แก้แค้น วาง มีแต่ความเอ็นดูละอายว่า เขาทำกับเราอย่างนั้นเขาไม่รู้เขาเลยทำอย่างที่น่าละอาย แต่เรารู้แล้วอย่าไปทำ ความรุนแรงโหดร้าย เบียดเบียนผู้อื่น มันน่าละอาย คนที่มีปัญญา รู้จริงๆเข้าใจจริงๆ ว่าการที่จะไปทำอะไรร้ายกับคนอื่น ทำร้ายจนกระทั่งถึงบาดเจ็บฆ่าตาย มันแน่ชัดอยู่แล้ว แม้แต่จะไปทำให้เขาทุกข์ร้อนลำบากลำบน ก็ร้าย มันเป็นความเลวไม่ใช่ของน่าทำ 

ไปคิดจะทำก็เริ่มเลวแล้ว พูดว่าจะทำก็เลวไปอีก ลงมือทำก็ยิ่งเลวสำเร็จ ผลก็สมบูรณ์แบบในความเลว เพราะฉะนั้นกรรมวิบากเป็นเรื่องจริงเมื่อเชื่อกรรมวิบากแล้ว แล้วก็เชื่อการเกิดการตายเวียนเกิดเวียนตายอีก เราจะเป็นผู้ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เกิดอีกกี่ชาติๆ ก็มั่นคง เมื่อดีแล้วก็ดีถาวรเลย ไม่ไปทำชั่วอีกเลย นี่แค่โลกีย์ จึงขอลัดไปหาโลกุตระเลย 

โลกุตระนั้นเหนือดีเหนือชั่ว ตรงที่เรียนรู้สุขและทุกข์ สุขทุกข์นี้เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ ถ้าคุณยังมีอวิชชา คือความไม่รู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน วิชชา ความรู้มีสารพัดในโลกหรือศาสดาเทวนิยม โลกีย์มีความรู้เยอะแยะ แต่ความรู้อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าความรู้สัมมาทิฏฐิ คือตรงกับของพระพุทธเจ้า 

ถ้าไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้าไม่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เรียกว่าเป็นความมิจฉาทิฏฐิ เป็นเหมือนศาสดาอื่นๆที่เป็นเทวนิยม ก็ได้ แต่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ถ้าของพระพุทธเจ้าต้องตรงกับของพระพุทธเจ้าทั้งเหตุทั้งผล ทั้งมรรคและผล ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถูกหมด ตรงกันหมด แล้วเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีเป็นอื่นเลย สัจจะของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก

วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 ตุลาคม 2565 ( 11:12:20 )

ทำอย่างไรไม่เสียชาติเกิด หรือเป็นปทปรมบุคคล

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นฟังธรรมะพระพุทธเจ้าดีๆ ตามที่อาตมาเอามาบรรยาย เอามาอธิบายให้ฟังกันไปเรื่อยๆ แล้วเอาไปปฏิบัติตาม คุณก็จะได้ไม่เสียชาติเกิด จะได้เป็นอาริยบุคคลไปตามขั้นตอน เหมือนอย่างกับชาวอโศกเรานี้ ได้บรรลุธรรมมา เป็นผู้ที่เจริญขึ้นไปตามขั้นตอนไม่เสียชาติเกิด คนที่ยังเกิดมา ชาติหนึ่งชาติหนึ่งไม่ได้บรรลุธรรมเลย นอกจากไม่ได้บรรลุธรรมแล้วกิเลสก็หนาขึ้นหนาขึ้นแล้วมีความเห็นผิดมากขึ้นมากขึ้นอีก มันเสียชาติเกิด เกิดมาไม่ได้ธรรมะแล้วแถมมีแต่มิจฉาทิฏฐิ มีแต่อวิชชา ใส่เต็มหูเต็มหัวไปอีก มันสุดจะน่าสงสาร 

เป็นบุคคลอย่างเก่งที่สุดนะ ในกระบวนการยุคนี้ ก็เป็น ปทปรมบุคคล ในบุคคล 4 ปรมะ คือ ยิ่งยอด ปท คือ บท ยิ่งยอดโดยบทคือ ไปได้ความยิ่งยอดแต่แค่พระธรรมเป็นบทๆ เท่านั้น ท่านขยายความว่า ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลเลยในชาตินี้) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.36/108) เป็นพวกที่อเวไนยหรือมิลักขะ เป็นคนเถื่อนอยู่แต่เป็นคนเถื่อนอย่างหลอกมนุษย์ด้วยซ้ำว่าฉันรู้ฉันเจริญฉันกล่าวธรรมด้วยบทเยอะแยะเลย ร่ายภาษาที่รู้มามาก ฟังมามากกล่าวธรรมได้มากก็มาบอกสอนผู้อื่นอย่างแจ้วๆ..แต่ตัวเองไม่ได้รู้ว่าตัวเองบรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรม ได้ธรรมะหรือไม่ได้ธรรมะไม่รู้ 


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 11:34:04 )

ทำอย่างไรไม่ให้ขาดเรียน

รายละเอียด

เราก็รู้ข้อบกพร่องของเรา อะไรเป็นข้อบกพร่องของเรา ทำให้เราขาดเรียน แก้ตรงนั้น ทำไม ขี้เซานอนตื่นสายหรือขี้เกียจไปให้ทัน ...ตื่นสาย ก็แก้ไข อย่าให้ตื่นสาย เพราะเวลาเรียนไม่เปลี่ยนหรอก ถ้าหากนอนไม่พอก็นอนแต่หัวค่ำ แล้วจะได้ตื่นก่อน อย่าไปเสียเวลาเล่นดึกไปจนนอนไม่พอมันก็ไม่ได้ ก็เปลี่ยนเอาให้ได้ เป็นข้อบกพร่องของเราคือคำตอบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 19:43:20 )

ทำอย่างไรไม่ให้เถียงผู้ใหญ่ที่ตำหนิเรา

รายละเอียด

ผู้ใหญ่ตำหนิเราก็คงจะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่น่าทำ เราก็พิจารณาสิ่งที่ท่านตำหนิมา  ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราไม่ควรถาม เราก็ทำตาม แต่ถ้าเราเห็นว่ายังไม่ถูกต้องเราก็ถามไป อย่างมีสัมมาคารวะ อย่างที่พูดมาถามมา จริงๆความละเอียดมันมีมาก จริงๆแล้วแต่ละคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามมีกิเลสอัตตามานะถือดีกันทุกผู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีคำโต้คำพูดเป็นคำสั่งคำบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ใหญ่จะให้เด็กทำก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ก็ควรจะให้เด็กทำอย่างนั้นอย่างนี้เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ควรบอกเด็ก เด็กเป็นคนเกิดทีหลัง จะทำอะไรเป็นอะไรผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ดูแลเป็นผู้รู้เรื่องมีงานอะไรที่จะทำ แต่ว่าเด็กจะรู้เองมีวุฒิภาวะเองก็คงไม่ได้ทีเดียวมันเป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราเป็นเด็กเราควรจะฟังผู้ใหญ่ ก็อย่างที่หลวงปู่อธิบาย ถ้ชาเผื่อว่าสั่งมาบอกมาสงสัยก็ถามอย่างมีสัมมาคารวะดีๆ ถ้าคำสั่งนี้ก็มีส่วนดีอยู่ ส่วนไม่ดีอาจจะมีบ้าง เราก็ทำก็แล้วกันทำก่อนแล้วค่อยๆถาม 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:46:50 )

ทำอย่างไรไม่ไปตกในสุทธาวาส 5

รายละเอียด

ตอบอย่างตีหัวเข้าบ้านก่อน 1.ปฏิบัติอย่างโพธิรักษ์ 2. ปฏิบัติอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ เข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้านั้นสายปัญญาโดยตรง อาตมาก็สายปัญญาโดยตรง พระสมณโคดมกับสมณะโพธิรักษ์ อันเดียวกัน สายเดียวกัน มาเหมือนกัน แล้วอาตมาก็ไม่ยอมตายแบบที่จะต้องไปค้างอยู่ที่สุทธาวาส 5 ขั้นนั้นเป็นอันขาด สุทธาวาส 5 ขั้นนั้น พูดเป็นภาษาทางธรรมก็เรียกว่า มีอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา เรียกเต็มๆว่า

  1. อวิหาสุทธาวาสภูมิ

  2. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

  3. สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

  4. สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

  5. อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

สุทธาวาส 5 นี้ถ้าเผื่อว่าไม่ปฏิบัติอย่างเรียงลำดับให้น่าอัศจรรย์ มันก็จะขลุกๆขลักๆ ไม่บรรลุอย่างสมบูรณ์แบบ มันก็จะไปตกค้างอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แม้ที่สุดไปตกค้างอยู่ในสุทธาวาส เพราะฉะนั้นจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องเรียงลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ คือ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่ใช่ไปติดแบบเดียรถีย์อย่างศรัทธามั่งอย่างปัญญามั่ง ต้องมาเป็นปัญญาให้มาก เดินทางให้ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่ขลุกไม่ขลัก ถ้าปัญญาบ้างศรัทธาบ้าง ศรัทธาบ้างปัญญาบ้าง ง่ายๆคือว่าปฏิบัติอย่างโพธิรักษ์ปฏิบัติกับปฏิบัติอย่างฤาษีปฏิบัติ ฤาษีบ้างโพธิรักษ์บ้าง โพธิรักษ์บ้างฤาษีบ้าง นั่นแหละมันจะไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล และจะไม่จบง่ายๆ ดีไม่ดีจะกลายเป็นวิริยาธิกะ เสียเวลาอีกเท่าตัว แม้แต่ศรัทธาที่เขาตรงไปเลย 

อาตมาเคยอธิบายแล้ว เราจะไปประเทศอะไร ในทางที่ประเทศอยู่ใกล้กับเรานี่แต่เราผ่าไปเดินผิดทาง แทนที่จะลัดเข้าไปแล้วไป แต่ถ้าคุณตั้งใจเดินจริงๆแล้วคุณก็จะถึงเร็วแต่ก็นานหน่อยแต่ถ้าคุณเดินตรงไปถูก ทางเดินมันก็สั้น ทีนี้อีกฝ่ายหนึ่งเดินไปทางนี้หน่อยแล้วก็ถอยหลังมา กลับมาทางนี้หน่อยๆ โอ..คุณไม่แน่นอน ไม่ชัด จะเอาศรัทธาก็ไม่เอา ปัญญาก็ไม่เอา ไปทางโน้นก็ไม่เอา ทางนี้ก็ไม่เอา กลับไปกลับมา กลับมา กลับไป ยิ่งไปๆมาๆเท่าไหร่ก็จะยิ่งมากนาน ทั้งหนัก ทั้งนานมากเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร 

สรุปมาปฏิบัติให้ลัดตรงแบบสายปัญญาตรง อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาเป็นสายปัญญาตรง ไม่เหลาะแหละ ดีไม่ดีตีทิ้งเลยสายศรัทธา ถึงขั้นนั้น จะเห็นได้ชัดอาตมาแรงถึงขั้นตีทิ้งเลย ไม่วอแวกับศรัทธา แต่ศรัทธาจริงๆเขาก็ต้องอาศัยแกนสมถะ แล้วถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจริง สมถะมันจะได้ในตัว เป็นความสงบที่เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า ปัสสัทธิ ไม่ใช่สมถะแต่เป็นปัสสัทธิ เป็นความสงบอย่างเห็นๆ ปัสสัทธิ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2566 ( 14:33:20 )

ทำอะไรที่เป็นปัจจัยชีวิตก็แบ่งหน้าที่กัน ทำไป

รายละเอียด

คนไปทำกสิกรรมก็ทำ คนไปทำวิศวกรรมก็ทำ คนทำสื่อก็ทำไป คนทำเก็บกวาด ก็ทำไป คนทำอะไรต่ออะไรกันไป คนจัดโต๊ะก็จัดไป วันนี้ก็เอามะละกอลูกยาวๆมาวาง ก็ไปสรรหาลูกยาวๆให้เข้าพวกเข้าหมู่กันนะ ก็เป็นความคิด ไปได้ดอกดาหลามาก็ ไม่ใช่น้อย นี่ของเราเองทั้งนั้น ไม่ได้ไปซื้อไปหา มีแต่ของเราเอามาใช้มาประกอบ ก็ดู ก็ไม่โล้นไม่เกลี้ยงดี ก็เป็นไปตามประสาโลกเขา เขาจะเรียกว่าอันนี้เป็นศิลปะ เป็นการ ตกแต่ง Decoration ก็ว่าไป ก็ทำตามประสาโลกเขามีเป็นไป อาศัยบ้าง บางคนก็ว่าไม่ต้องมีอะไรเลย เอาเกลี้ยงๆดีก็ว่าไป บางคนจะชอบอย่างนี้ก็ว่าไป ต่างคนต่างก็มีความคิดความเข้าใจความเห็นว่ามันดีอย่างนี้ก็ควรจะเป็นอย่างนี้นะดี 

ของเราจะเห็นได้ว่าเราเอาสิ่งที่เรามีเราเป็น สิ่งที่ประกอบส่วนมากเป็นพืชพันธุ์ ธัญญาหาร นี่ ดูซิ ทั้งนั้นมีบ้าง มีกระถางมาประกอบ มีตะกร้าบ้าง มีจานมีชาม แม้แต่มี คชสิงห์ สิงหราช เราก็มีไป เราก็อาศัยประกอบเท่านั้น แต่ประโยชน์ปัจจุบันที่เป็นสาระคือ อยู่กับสิ่งเหล่านี้แล้ว เราเน้นอะไรเป็นสาระแก่นสารที่เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสำคัญ เมื่อฟังเข้าใจปฏิบัติได้ เอาไปปฏิบัติแล้วข้อปฏิบัติ 1 ฟังเข้าใจแล้วไปปฏิบัติได้ เห็นเป็นประโยชน์เราก็ทำอาศัยประโยชน์นั้นๆไปในชีวิต แต่ก่อนนี้เราเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่ก่อนเราเห็นว่าต้องไปทำอย่างโน้น เป็นประโยชน์เอาเวลาไปให้กับอย่างโน้นมากด้วย ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว มันเป็นสาระน้อยหรือไร้สาระ เราก็เลิกมา เคี่ยวเอาสาระที่เราคิดว่า ชีวิตเราต่อไป ก็เท่านี้เนาะ นอกนั้นก็ไม่ต้องแล้ว แม้ที่สุด ไม่ต้องไปหาเงินแล้ว แล้วชีวิตอยู่ได้ไหม ...ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 13:40:09 )

ทำอานาปานสติแล้วได้อะไร

รายละเอียด

เรื่องอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้าออกสั้นกับยาวเข้ากับออกก็มี 2 สภาวะเสมอเปรียบเทียบพวกนี้ให้ได้ คุณก็ไม่ได้ทำความรู้สึกอย่างนั้นไม่ดับความรู้สึกเหล่านั้นมันก็ไม่ใช่อานาปานสติของพระพุทธเจ้า ผู้ที่นั่งหลับตาสมาธิต้องมีความรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างน้อย ถ้าคุณขาดจากลมหายใจเข้าออกแล้วคุณตัดไม่รู้จักลมเข้าออกแล้วคุณไปรู้สึกแต่ข้างในแล้วไปเล่นลมขึ้นบนลงล่างที่เป็นมโนมยอัตตา กลายเป็นการสร้างภพชาติเองเลยอันนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแล้ว เลิกเลย เพราะฉะนั้นคำว่าอานาปานสติ อานาอาปานะ แปลว่าลมหายใจเข้าลมหายใจออก คุณต้องมีอยู่ ถ้าคุณขาดอยู่ในใจเลยมีแต่ใจกับใจไม่มีข้างนอกเลย ลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณก็ไร้ความรู้สึกรับรู้อีกนานๆหมดอานาหมดอาปานะ มันไม่ใช่อานาปานสติ มันเป็นสติอยู่ในภวังค์ สติอยู่กับภพภายใน สติของคุณไม่มีโลกของคุณ ไม่มีจักษุ ไม่มีปัญญา ไม่มีญาณ ไม่มีวิชชา ไม่มีอาโลก สติพวกนี้มันเป็นสติที่ไม่มีกาย สติที่ไม่มีวาจา เป็นสติที่มีแต่ใจ มันขาดมันไม่ครบไม่เต็มเต็ง จะตรัสรู้ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:59:43 )

ทำอายุให้เกินกว่ากัปหรืออายุขัยของตนได้อย่างไร

รายละเอียด

แต่จิตตัวนี้มันไม่มีความรับรู้อะไร ไม่มีธาตุรู้แล้ว พีชนิยาม เป็นธาตุรู้ที่รู้ แต่ไม่ทุกข์ไม่สุข รู้จักสิ่งที่ควรรับ สิ่งที่ไม่รับเข้าก็เฉย ก็อาศัยอันนี้อยู่ไม่เดือดร้อนกับใคร รักษาชีวิต รักษาตัวเองไป ก็ไม่มีวิบากอะไร แล้วก็ทำแต่ดี นอกจากไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ก็ยังไม่เบียดเบียนตน ตนเองก็รักษาร่างกายชีวิต ให้อยู่ดี ไม่ได้สมควรสมดุล ก็จะรู้จักวิธีที่จะทำให้ร่างกายอยู่สมดุล ก็สามารถที่จะ ทำอายุให้เกินกว่ากัป ของตน เกินกว่าอายุขัยของตนเองด้วย อย่างที่อาตมากำลังพิสูจน์ตัวเองนี่แหละ ซึ่งพิสูจน์มาแล้ว ได้มา 1 นักษัตรแล้วอาตมาจะตายตอนอายุ 72 ตอนนี้อายุจะเต็ม 87 ก็เดือนมิถุนายนหน้า ตอนนี้ย่าง 87  อาตมาก็ชัดเจนมั่นใจ ทีนี้อาตมาจะสามารถต่ออายุขัยไปอีกนานเท่าใด ก็ตั้งใจพิสูจน์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามไป ถ้าถึงวาระที่บอกว่าไม่ไหวแล้ว สังขาร รูปขันธ์มันแย่เต็มทีแล้ว นามขันธ์อาตมาดูแลเองได้ แต่รูปขันธ์ พยายามประคองมัน ให้ธาตุที่จะไปสังเคราะห์เป็นรูป ให้การออกกำลังกาย มีการรับประทานอาหาร มันบกพร่องอะไรก็ช่วยกัน คนก็ช่วยกันดูแลเสริมเติมให้อยู่ ไม่ให้มันขาดมันพร่องอะไร ทุกวันนี้ก็มีคนช่วยดูแล อาตมาก็ว่าเป็นบารมีของอาตมา มีคนเอาใจใส่ดูแลเป็นจริงจัง เพื่อให้อาตมา ยังขันธ์ให้ยาวยืนไป เพื่อทำประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ ให้แก่โลก ซึ่งอาตมาก็เต็มใจ ซึ่งมันก็ควรทำไหม …ควรทำ เพราะคนอย่างอาตมานี่ พูดจริงๆนะไม่ได้ยกย่องตนเอง… มันหายาก คนอย่างอาตมาที่มีความรู้อันนี้ ที่จะเอามาเผยแพร่ ขยายอะไรต่ออะไรออกไป พวกคุณยังรับได้ยังฟังได้ ยังยินดีรับกันอยู่ใช่ไหม ยังมีผู้รับอยู่ มีผู้รับได้อยู่ การค้านี้ไม่ขาดทุนหรอก ไม่เสียหลาย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 15:00:08 )

ทำอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุเป็นบาปอย่างมากมิใช่บุญเลย

รายละเอียด

ถ้าเอาพืชมาปรุงแต่งก็ไม่เป็นไร ติดอาหารที่เป็นพืช มันก็เป็นภาระ เป็นกิเลส ขนาดติดอาหารพืชก็เป็นกิเลส แต่นี่ไปติดอาหารเนื้อสัตว์เข้า เรียกว่าอภิมหาซวยเลย แล้วคนก็เอาไปถวายพระสงฆ์สาวกพระพุทธเจ้า เอาไปถวายพระพุทธเจ้า ไม่มีบาปอะไรข้อไหนที่จะยิ่งใหญ่เท่าบาปข้อที่ 5 นี้อีกแล้ว คนได้ถวายอาหารเนื้อสัตว์แก่พระพุทธเจ้า หรือพระภิกษุทั้งหลายที่เป็นสาวกพระพุทธเจ้า คนเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระสงฆ์ทั้งหลายก็ดี ไปถวายพระพุทธเจ้าด้วย ยิ่งบาปอีกไม่รู้กี่ชั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ 

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:49:03 )

ทำเนกขัมมะให้จริง เอหิปัสสโกก็จะได้จริง!

รายละเอียด

อาตมาพิสูจน์มาแล้ว และได้รับผลแล้วจริง ก็ขอยืนยัน ว่ากิเลส“กาม”นั้นต้อง“เนกขัมมะ” คือ ต้องลงมือปฏิบัติเพื่อ“ออกจากกามภพ”ก่อนที่จะปฏิบัติออกจาก“รูปภพ-อรูปภพ”ได้เป็นลำดับต่อไป เพราะถ้าขืน“หลับตา”เข้าไปปฏิบัติ“ภายใน”ให้ได้ก่อน“ภายนอก”

มันก็เท่ากับคนที่เป็นเด็กน้อยไม่เดียงสาแน่แท้ ที่แค่“ความเป็นภายนอก-ความเป็นภายใน”แค่นี้ก็รู้ไม่ได้ มันก็เด็กไม่เดียงสาจริงๆ ใช่มั้ย?   

ผู้ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า“กาม”เป็น“โทษ(อาทีนวะ)” เหมือนเด็กๆที่ไม่ประสีประสากับความเป็น“กาม” หรือไม่เดียงสากับความเป็น

“กาม” ก็แน่นอนว่าไม่มีความรู้ตัว ไม่มีจิตคิดจะปฏิบัติตน“ออกจากกาม(เนกขัมมะ)”เด็ดขาด ดังที่ท่านมหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเป็นอยู่ คือ ท่านเสพติดหมากพลูจนตายนี่แล จึงบ่งชี้อยู่ชัดๆว่า ท่านไม่รู้(อวิชชา)แม้แค่“กามคุณ 5”ว่า เป็น“กิเลส-ตัณหา”จริงๆ ซึ่งท่านมหาบัว ญาณสัมปันโน และพระสาย“หลับตา”ทั้ง

หลายที่ท่านไม่เห็นว่า การกินหมากพลูของตนนั้นเป็น“การเสพกามคุณ 5” จึงยังเป็นผู้ยังติดยึดใน“กาม”อยู่แท้

ความรู้ในความเป็น“คุณ”หรือเป็น“โทษ”ที่ติด“รสกาม”เท่านี้

ท่านก็ยังไม่มี“ปัญญา”รู้ว่า เป็น“โทษ(อาทีนวะ,กลิ)” มันเป็นกิเลส  

ซึ่ง“กามกิเลส-กามตัณหา”นี้เป็น“กามโทษ(กามาทีนวะ)”ตรงๆ 

มันไม่ใช่“กามคุณ”เลยจริงๆ ท่านยังไม่รู้แม้แต่“โทษ”หรือ“คุณ”แค่หมากพลู แค่สิ่งเสพติดหยาบๆตื้นๆแค่นี้ ท่านจึงยังไม่“ออกจากกาม” แม้แต่“กิเลสกาม”คือหมากพลูหยาบๆตื้นๆที่ติดอยู่นี้ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 386 หน้า 279


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 12:46:22 )

ทำเนียบพระอรหันต์เป็นอรหันต์เก๊

รายละเอียด

 พูดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกสมเพช สังเวช สังเวชที่ท่านเองท่านหลงอรหันต์เก๊ แล้วท่านก็ฉลองกัน สร้างทำเนียบกัน ทำทำเนียบพระอรหันต์กันขึ้นมา ดูแล้วอาตมาสงสาร แสนเศร้า ที่พูดนี้ด้วยใจจริงไม่ได้พูดข่มทับถมหรอก คือสงสารเขางมงายกัน ทำไป ไม่รู้จริงๆ ท่านไม่รู้จริง อวิชชากันจริงๆ น่าสมเพชเวทนากันจริงๆ ท่านหลงกันจริงๆ หลงกันอย่างสนิทว่านั่นคืออรหันต์แล้วก็ฉลองกันยกย่องกัน สร้างอนุสรณ์เป็นเครื่องประเทืองอลังการให้แก่ผู้นี้ที่บอกว่าเป็นอรหันต์ อรหันต์บางคนก็สร้างตั้งแต่ยังมีชีวิตเป็นๆ บางคนท่านตายไปแล้วลูกศิษย์ลูกหาก็สร้างๆๆ เพื่อจะโปรโมทว่านี่คืออรหันต์ โปรโมทว่าผู้นั้นเป็นอรหันต์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 21:17:32 )

ทำเป็นธรรม ธรรมเราทำ

รายละเอียด

ธรรมะคือสิ่งที่ทรงไว้ในส่วนที่ดีส่วนไม่ดีคืออธรรม เราก็ทำในสิ่งที่ดีแล้วเราเป็นคนทำ กับ ธรรม ก็เท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน ธรรมะ 2 ให้เป็น 0 ได้ต้องยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:59:14 )

ทำเป็นเรื่องๆ

รายละเอียด

เราดูอาการของสัญญาทำงานอย่างนี้อาการของสังขารทำอย่างนี้ เรารู้นิมิตความแตกต่างระหว่างสัญญากับสังขารอย่างไร สัญญาเป็นทั้งตัวกำหนด สั่งการ ทั้งใส่คลังเอาไว้เรียกว่า ความจำ สัญญานี้มี 2 สภาวะสุดท้าย เทวะเป็นตัวสุดท้าย สัญญาคือ ความจำกับตัวกำหนดรู้กำหนดทำงาน 

มันมากำหนดก็รู้ตัว กลิ ทางกายภายนอก เริ่มต้นปรุงแต่งกับภายนอก เราก็ประมาณเอา ขนาดกายเราสัมผัสสัมผัสแค่ไหนกับอะไร ถ้าทำเป็นเรื่องๆได้ก็ยิ่งดี พระพุทธเจ้ากำหนดเรื่องเกี่ยวกับคนหรือเกี่ยวกับสัตว์ สัตว์คน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 18:21:06 )

ทำเพื่อผู้อื่นแต่เราก็ได้ประโยชน์อย่างไร

รายละเอียด

ที่พูดนี้อาตมาเจอทั้งนั้นต้องเหนื่อยต้องขยันต้องอดทนทำเพื่อผู้อื่น จริงๆแล้วมันซ้อน เพื่อผู้อื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้ประโยชน์เสียทีเดียว พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า ประโยชน์ของเราคือการลดกิเลสของเรา จนกิเลสของเราสิ้นเกลี้ยงก็หมดประโยชน์ของเรา แต่ประโยชน์ความเจริญเราจะมีทักษะเก่งขึ้นเราจะรู้รอบมากขึ้น รู้วิธีการจะผสมผสาน ให้ได้ประโยชน์แก่ผู้อื่นมากขึ้น โพธิสัตว์จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมันจะไม่หยุดหรอกจะก้าวหน้าทำเพื่อผู้อื่นได้ดีขึ้น เอาของคนอื่นมาจัดสรรให้ได้ประโยชน์คนอื่นไปมากขึ้นเรื่อย มันไม่จบหรอก จะจบก็คือเก่งเท่าพระพุทธเจ้า จบนั้นเก่งเท่าพระพุทธเจ้า หรือใครจะเก่งเกินพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่ อาตมากลัวคนที่จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้า อาตมาเอาที่พระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:51:33 )

ทำเพื่อสังคมมนุษยชาติ 

รายละเอียด

มันไปล้มล้างไม่ได้ง่ายๆหรอก แม้ว่าอนุมัติขึ้นมาก็บอกแล้วว่า พรรคสัมมาธิปไตย อาจจะไม่ส่งคนลงเลือกส.ส. ถ้ากฎหมายไม่บังคับไม่ต้องส่ง ส่งก็ส่งไปอย่างนั้นแหละ เพราะว่าประชากรของชาวอโศกมีน้อย ยังไม่มากพอที่จะส่ง คิดถึงนะว่าจะทำก็ทำไม่ได้มากพอที่จะไปพรักพร้อมอะไร หรือว่าอยู่ในแนวหน้าตามแต่ละพรรคที่เขาบอกว่าเขาคุยเขาพร้อม เพราะว่ารายได้ 

หนึ่งในด้านที่ชัดเจนที่สุดก็คือพรรคการเมืองเขาต้องใช้เงิน พรรคสัมมาธิปไตยไม่มีเงินเลย จะพยายามมีเงินเท่าที่กฎหมายเขากำหนดว่ามันต้องมีก้อนเท่านี้นะอย่างน้อย ก็พยายามเท่านั้นเอง แล้วพวกเราก็ไม่ได้ไปใช้เงิน นักการเมืองทุกคนที่จะไปเป็นสมาชิก นักการเมืองที่จะไปอยู่ในพรรค หรือแม้แต่ประชากรชาวอโศกก็ไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย 

อาตมาพูดไปก็ยังไม่เก่งนะ ยังขยายความไม่ได้ดีเลย เอาเถอะอาตมาว่า อย่าเพิ่งพูดเลย ทำ พยายามทำไปเท่าที่มันได้ทำ แล้วเราก็ทำให้ได้เต็มที่ มันจะได้ทำแค่ไหนเท่าที่มีโอกาส มีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ที่จะทำได้ เราก็ทำ ทำเต็มที่ของเรา ไม่ได้หย่อนข้อหย่อนมืออะไรหรอก 

เพื่อที่จะให้เกิดผลว่า เรื่องของการเมืองก็เป็นเช่นนี้ เรื่องของความเป็นที่เรียกว่าประชาธิปไตย มันควรจะมีพฤติกรรมพฤติการณ์อย่างนี้ ก็ทำด้วยความจริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความรู้เท่าที่เรามี ความสามารถที่เรามี ทำขึ้นมา เพื่อสังคมมนุษยชาติ 

ที่มา ที่ไป

สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 17:30:22 )

ทำเล็กๆแล้วก็ขยายไปกว้างขึ้น

รายละเอียด

เราก็ได้เผยแพร่วิธีการบางอย่างบางอัน ทำเล็กๆแล้วก็ขยายไปกว้างขึ้นมันก็ค่อยๆเป็นไป น่าจะมาคิดว่า มันน่าจะเข้าใจกันในโลก ค่อยๆศึกษาไป 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:50:15 )

ทำเวทนา 2 ให้เป็นเวทนาเดียว

รายละเอียด

ทำ 2 เวทนาให้เป็นเวทนาเดียว เวทนาอันหนึ่งเป็นเวทนาเก๊ วิธีการแบ่งเป็นเวทนาแท้ คุณยังมีตากระทบรูปก็ต้องเห็นรูปแท้ สีแท้ ผิวแท้ รูปร่างแท้ มิติแท้ เมื่อตากระทบรูป 

หูกระทบเสียงก็จะได้ยินเสียงอยู่ ของแท้เป็นอย่างไร ถ้ามีของเทียมก็จะมีความชอบไม่ชอบ มีผลักมีดูด มันเป็นของปลอมของเก๊ แล้วก็ไปหลงรสชาติของมันดีเว้ย  สนุกเว้ย ชอบเว้ย  คนเขานิยมอันนี้เว้ย ก็ไปนิยมตามโลกเขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย 

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 20:00:09 )

ทำเว้นขาด

รายละเอียด

ทำเว้นขาด คือ ไม่ต้องทำอีกมี 0(ศูนย์) แล้ว ไม่ต้องมี 0(ศูนย์)อีก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอารยธรรม  บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:08:10 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:12 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:55:04 )

ทำเว้นขาด

รายละเอียด

ไม่ต้องทำอีกมี 0(ศูนย์) แล้ว ไม่ต้องมี 0(ศูนย์)อีก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1กันยายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:44:39 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:37 )

ทำเหตุปัจจัยอย่างใดจึงไม่เจ็บไม่ป่วยตลอดชีวิต

รายละเอียด

ที่จะให้ไม่เจ็บป่วยเลยอาตมาก็ไม่เก่ง เพราะตัวเองก็ทำไม่ได้ ก็ต้องใช้ปฏิภาณตอบเท่านั้นแหละ ถ้าจะไม่ให้เจ็บป่วยเลย คุณก็จะต้องพยายามพากเพียรสะสมเหตุปัจจัยทั้งด้านสสาร  พลังงานและจิตวิญญาณ ให้มันได้สมดุล ความเจ็บป่วยหรือการทำให้เกิดความไม่สมดุล ท่านตรัสว่าอวัยวะเจ้าการ มันไม่สมดุล มันบอกว่า ส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องมันก็จะเกิดความไม่สมดุล หากว่ามันมีความสมดุลมันก็ไปได้คล่องตัวมันก็ไม่เจ็บป่วย ถ้ามีอะไรบกพร่องขึ้นมาเราก็เรียนรู้อย่าให้มันบกพร่อง ไม่บกพร่องอะไร ยิ่งทางการแพทย์ทางการโภชนา เขาก็เรียนมาเยอะ ทางสรีระ ส่วนทางจิตนั้นเรียนให้จบ มันจะมาในรูปไหน ลักษณะไหนเราก็ทำให้ 0 ได้หมด ไม่ทุกข์ไม่สุข มันจะมาแรงมาร้ายอย่างไรก็เฉยสบาย รู้ความจริงตามความเป็นจริง เราไม่ได้เป็นผู้ทำสิ่งเลวสิ่งร้ายก็พอแล้ว แต่ถ้าเราเป็นคนทำสิ่งร้ายคุณนั่นแหละเป็นตัวเหตุเป็นตัวการให้หยุดทำ ถ้าคุณไม่ได้ทำแต่คนอื่นเขาทำ  คุณจะไปห้ามเขาได้อย่างไร คนอื่น วิบากใครก็ของใคร เขามาทำกับเราซะอีกมันก็เป็นวิบากของคุณ แม้แต่ชาติปางก่อนก็อาจทำมาแล้ว ถ้าอยู่ดีๆคนเราไม่มีเลยแล้ววิบากใหม่แล้วมันจะทำอะไรได้ ต้องมีเหตุมีปัจจัย อาจจะเป็นเหตุปัจจัยปัจจุบันนี้เลยได้ และคนที่ติดใจในเหตุปัจจัย เช่น มองอะไรวะ เราก็ว่ามองไม่ได้หรือ ก็สายตาเราผ่านพบ นิดหน่อยก็โอ้โห จะไม่ให้ผ่านสายตาหรือก็เป็น Invisible Man สิ ใครก็ไม่เห็นคุณ แต่คุณมีตัวอยู่ เราก็ต้องเห็นให้เห็นผ่านก็ไม่ได้ ทำไมถือตัวถือตนขนาดนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 2 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 11:33:45 )

ทำเหตุเต็มนั่นคือผลเกิด 

รายละเอียด

ไม่ต้องอยากได้ผล แต่ต้องทำเหตุให้เต็ม 

คุณทำเหตุเต็มนั่นคือผลเกิด แล้วก็รู้จักผลโดยไม่ต้องไปติดยึดผลว่านี้เป็นของกู ผลนี้เป็นของเรา ไม่ต้อง ผลนี่คือสิ่งที่เกิดดีแล้ว ให้แก่โลกให้แก่สังคม ให้แก่มนุษยชาติ 

ผู้ที่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด แล้วก็ทำได้จริงตามที่อาตมาพูด ผู้นี้คือผู้ช่วยโลก  อนุเคราะห์โลกอยู่ โลกานุกัมปายะ ทำได้มากเท่าใดก็ทำให้เกิดสังคมมีประโยชน์ พหุชนหิตายะมากเท่านั้น ทำให้คนเป็นสุข พหุชนสุขายะ สุขคำนี้คือ ว่างนั่นแหละดี โดยพยัญชนะสูงสุด ไม่ได้แปลว่าสุขคือเสพโลกียะ เสพติด แต่เป็นวูปสโมสุขหรือปรมังสุขัง สุขเพราะสงบจากกิเลสไปเรื่อยๆ 

มันไม่มีพยัญชนะก็ต้องไปยืมพยัญชนะอื่นมาใช้ อาตมาไม่ได้แปล ปรมังสุขัง ว่าสุขอย่างยิ่งแต่อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข 

ที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เทวนิยมหรือศาสนาพระเจ้าไม่รู้จักสุขจักทุกข์ เพราะพระเจ้าเป็นสุขนิยม พระเจ้ายังเป็นลัทธิติดสุขอยู่ ถือว่าเป็นผู้ประทานสุข ไม่ได้เข้าใจความสุขความทุกข์ เขาศึกษาแต่ความดีและความชั่วเป็นโลกียธรรมเท่านั้นเอง เทวนิยม จะเรียนมาตำราไหน
เป็นด็อกเตอร์หรือ Post Doctor มากี่ใบก็แล้วแต่ ก็ไม่ได้เรียนสัจจะอันนี้ 

แม้จะเรียนศาสนาทางเทวนิยมมาก็ตาม อย่าว่าทั้งนั้นเลย แม้แต่ในเมืองไทยเอง พุทธศาสนาก็ยังเพี้ยนไป ไม่เป็นโลกุตระ เป็นแค่เทวนิยม บางทีก็อาจจะพอมีสัมมาทิฏฐิขึ้นมาตามลำดับๆๆ เขาก็ศึกษากันอยู่ ผู้แสวงหา ผู้ไม่มีอคติก็จะได้สัจจะความจริงอันนี้ขึ้นมาตามลำดับ ๆๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปลุกพลังเงียบช่วยกันทำให้การเมืองเจริญ วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 19:44:40 )

ทำเหตุให้ถูกต้องผลก็จะถูกต้องหมด

รายละเอียด

กสิกรที่มาอบรม ก็พยายามศึกษา ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจริญ เจริญทางเศรษฐศาสตร์ ทางสังคม ทางงานการต่างๆ ทางความรู้รอบในเรื่องนอกเรื่องใน ละเอียดลออแยกเป็นรูปเป็นนาม สุดยอดแล้วในการศึกษา ไม่มีอะไรสุดยอดกว่าการศึกษาที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบ และไม่ใช่ว่าท่านได้มาจากอะไรอย่างอื่นหรือส่งมาจากไหนๆอวกาศไหน ไม่ใช่ แต่ท่านศึกษาด้วยตัวเองแล้วได้สูตรนี้มาเอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนแล้วก็มาทำเอง ทำเหตุให้ถูกต้องผลก็จะถูกต้องหมด ผู้ใดรู้เหตุอย่างดีแล้วสัมมาแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงผล ถ้าแน่ใจว่า เหตุนี้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิแล้วก็ทำให้เต็มที่ ผลมันก็เกิดเองยับยั้งอย่างไรก็ไม่อยู่ถ้าเราทำถูกต้องในตัวเหตุปัจจัย มันเกิดผลอย่างนี้ ที่ว่าสร้างเหตุแล้วเกิดผล อาตมาก็พาทำ ทำเหตุตั้งแต่อาตมาแนะนำ 1.ทำเป็นตัวอย่างประพฤติเป็นตัวอย่าง อย่างอาตมาทำสัมประสิทธิ์ เพื่อให้ขยายอายุขัย เสียดายที่จิ๋นซีฮ่องเต้ตามหายาขยายอายุขัย ผู้ที่ศึกษาพลังงานจิตสร้างพลังงานจิตมีได้จะเป็นจริง อาตมาแน่ใจว่าอาตมาต่ออายุไขได้ และเข้าใจสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เมื่อเวลาหมุนรอบ จาก 72 มา 84 การจะออกจากรอบนี้ต้องใช้พลังงานที่แรง เป็นพลังงานที่ออกจากโลกไปนอกโลก มันต้องเป็นพลังงานสำคัญ พลังงานจะออกไปนี้ต้องแรง แรงขนาดอาตมามีตามบารมีไม่หนักหนาเกินไป ทุกรอบที่จะออกจากวงวน จาก 3 มาเป็น 4 จาก 6 มาเป็น 7 จาก 9 มาเป็น 10 ทุกรอบต้องใช้แรงพลังงานต้องออกจากแรงดึงดูดของโลก ที่เป็นวงวน หากมีความสมดุลอยู่ในนี้มันก็ไม่ออกไปไหน เหมือนพวกเราอยู่ในโลกนี้ก็ไม่ออกไปไหน แต่ถ้าจะออกไป ต้องสร้างพลังงานพิเศษเพื่อออกจากโลกให้ได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 23 มกราคม 2564 ( 11:23:40 )

ทำเหมือนกับแม่เลี้ยงลูกอย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรได้ หลักประกันที่ได้แล้วเป็นโลกุตระบุคคล สำเร็จจนเป็นอรหันต์แล้วเสร็จ คุณจะเป็นอมตะบุคคล คุณจะเกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีก เกิดแล้วเกิดอีก ไปเป็นล้านๆชาติ ก็เป็นหลักประกันว่า คนผู้นี้ไม่ทำชั่วอีก ทำแต่กุศลและจิตก็ไม่มีกิเลสเพิ่ม ตั้งแต่โสดาบัน มีแต่กิเลสจะลดลงๆ จนกระทั่งเป็นอรหันต์ จบแล้วต่อไปกิเลสไม่มีเพิ่มเลย ไม่มีกิเลสเกิดอีกแล้ว อรหันต์เป็นหลักประกันว่า เกิดอีกก็ไม่มีกิเลส 

แต่มันจะมีลิงลมอมข้าวพอง ดูเหมือนจะเป็นโลกๆ ดูเหมือนไปทำแบบโลกๆ ไปมีลาภไปมียศ ไปมีสรรเสริญ ไปมีสุข ไปมีกามารมณ์ ไปมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่โลกเขานิยมบ้าง  แต่ที่แท้แล้ว ท่านไม่ได้ไปติดไปยึด แต่มันเป็นไปตามโลกเขานำพาหรืออนุโลม ปฏิโลม ไปกับโลกเขาบ้าง ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ไม่มีสิ่งที่จะสัมผัสสัมพันธ์กันได้ คุณก็สูงซะลิ่ว อีกคนหนึ่งถ้าไม่หย่อนตัวลงมา จะมาเกี่ยวข้องกันให้มีภูมิพอจะพูดกันได้เป็นระยะ แล้วตัวเองก็ทำอย่างจริงใจ ไม่ใช่นักเสแสร้ง อาตมาเคยอธิบายเหมือนกับแม่เลี้ยงลูก เล่นหม้อข้าวหม้อแกง แม่ก็มาเล่นกับลูกเล่นกันสนุก ลูกก็สนุก หรือเหมือนแม่ครัวปรุงอาหารให้คนกิน คนก็อร่อย แต่แม่ครัวก็บอกว่ากินเข้าไปได้ ตัวเองกินไปอีกอย่าง อย่างนี้เป็นต้น ทำให้ผู้อื่นแต่ตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอก นี่ก็เป็นสัจธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯคนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 16:23:09 )

ทำแต่กรรมดี ไม่สันโดษ สะสมกุศลไว้เป็นเครื่องอาศัย

รายละเอียด

เป็นทายาทของกรรมตนเองเป็นมรดกของตนเอง เป็นทายาทรับมรดกของตนเอง ดีหรือชั่วเป็นของเราทั้งนั้น ดีหรือชั่วแบ่งให้ใครก็ไม่ได้ กรรมนี้เป็นอันทำแล้วก็ต้องเป็นของเรา ไม่เอาก็ไม่ได้ เอาไปแบ่งให้คนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ กรรม การกระทำนี่แหละระวังทีเดียว 

กรรมเป็นอันทำ ถ้าเราทำตั้งแต่กายกรรมครบ ภายนอก หยาบเลย แน่นอนมันก็เป็นของเรา หรือไม่ต้องถึงกับเป็นกายกรรมแต่เป็นคำพูด พูดรุนแรงพูดคำหยาบ พูดเสียหาย มันก็เป็นของเรา เราทำก็เป็นของเรา หรือไม่ต้องถึงกับเป็นวาจา มีแต่คิด คิดพยาบาทคิดรักคิดร้ายคิดดี คิดมันก็สะสม 

นอกจากเราจะบำเพ็ญเป็นอรหันต์ขึ้นไป ถึงจะไม่มีความคิดที่จะไปคิดชั่วเลย มีแต่คิดดี จะไม่คิดชั่ว เพราะฉะนั้นคิดดีจะสั่งสมไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าเองก็ยังไม่สันโดษในกุศลในสิ่งที่ดี มีเท่าไหร่ก็สะสมจนเป็นเครื่องอาศัยให้แก่เรา ถ้าเรายังมีสภาพเป็นอัตภาพเป็นอัตตาอยู่ เราจะได้อาศัยอันนี้ของเราอาศัยของตนเองไป จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างนี้เป็นต้นนี่คือสุดสูงสุด 

ผู้ที่เข้าใจรู้คำสอนพระพุทธเจ้า อย่างที่หลวงปู่อธิบายให้ฟังคร่าวๆ อย่างสังเขปนิดหน่อย เราก็เรียนรู้และปฏิบัติให้ได้จริงๆ จนกลายเป็นผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำทุกกรรมมีแต่ดี 

สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) 

หยุดบาปทั้งปวงได้หมดเลย กรรมที่เหลือจากนั้นของชีวิต ผู้ที่หยุดบาปแล้วทุกกรรมจะมีแต่ดี กุสลัสสูปสัมปทา มีแต่ดีเป็นเครื่องอาศัยในชีวะหรือชีวิตที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปอีกนานเท่าไหร่พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษไม่มักน้อยในสิ่งดี ในกุศล ไม่สันโดษในกุศลอย่างนี้เป็นต้น 

เหตุที่ทำได้อย่างนี้เพราะเราทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ไม่มีเหตุคือกิเลสที่จะเป็นตัวกระตุ้นเรียกว่า สสังขาริกัง ที่จะมากระตุ้นให้เราทำชั่ว ทำเลว ทำบาปอีกไม่มี มีแต่จะกระตุ้นให้ทำดีให้ดียิ่งขึ้น ๆๆมีแต่ตัวดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 22:07:20 )

ทำแต่กุศล อกุศลเกิดยาก

รายละเอียด

ที่จริง อสันตุฏฐิแปลว่าไม่สันโดษ ที่จริงทั้งบุญด้วย บุญไม่ใช่สะสม บุญให้สำเร็จกิจเลยได้ มีคำสองคำคือคำว่าสันโดษและไม่สันโดษ แล้วนำมาทำความเข้าใจให้รู้ถึงความหมาย 

1.1 คำว่าสันโดษ ใจพอ คำนี้อาตมาเป็นคนแปลว่า ใจพอ ใจพอนี้ แยกได้หลายลักษณะตามพฤติกรรมของคนว่าพอขนาดไหน พอในเรื่องอะไร ทำไมจึงพอ หรือ พอโดยไม่อยากได้ อยากมีอยากเป็น อะไรอีกเลย หลงไปทำตัวอยู่นิ่งเฉยๆ ประโยชน์ตนก็ไม่สร้าง ประโยชน์ผู้อื่นก็ไม่ต้องสร้าง หรือ รับแต่ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นไม่ต้องสนใจ หลับไปวันๆ ถึงเวลาคนก็เอาไปให้ได้กิน ได้จ่ายไปวันๆ จนกว่าจะตายจากไป

ก็มาจากกิเลส อุปาทานขันธ์ 5 ตัณหา 3 เป็นตัวทำให้เกิดเหตุสมุทัย ทำอย่างไรจะนิโรธหลุดพ้นจากทุกข์ ต้องการหลุดพ้น ต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 ให้เป็นสัมมามรรคก่อน ปฏิบัติตามที่พ่อท่านสอนไว้ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิเป็นข้อต้น 

1. ไปตามลำดับ ถึงสัมมาสมาธิข้อปลาย ถ้าปฏิบัติได้ครบ 8 ข้อจะเกิดสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ นิโรธ ก็จะหลุดพ้นจากทุกข์ ก็หมดทุกข์หมดกิจ พูด พอสังเขป ตามสภาวะ เมื่อนำมาใช้ผู้ฟังพอรับได้เข้าใจ ผล คือ เกิดกุศล

2.ไม่สันโดษในกุศล คือถ้าแปลง่ายๆตามความเข้าใจ  ใจยังไม่พอในการสร้างกุศล (กุศลคือสมบัติสะสม) ดังนั้นกุศลกับบุญต่างกันอยู่  (บุญ เป็นวิบัติ ทำลายมือประหารกิเลส  ทำแล้วไม่สะสม ทำลายและหมดไป)

กว่าจะมีผู้เข้าใจอย่างที่ผู้เขียนมานี้เข้าใจอย่างที่อาตมาสาธยาย มันเพี้ยนมันผิดไปหมดแล้ว คำว่ากาย คำว่า บุญ คำว่า ปัญญา คำว่าสมาธิ คำว่า ฌาน อะไรมันก็เพี้ยนผิดไปหมดเลย ขออภัยที่พูดใหญ่เหลือเกิน แต่มันจริง มันก็เลยไม่มี มรรคผลอะไรของศาสนาพุทธ ไม่มีเลย กลายเป็นศาสนาเล่นไป เลยไม่มีผลต่อมนุษย์จริง 

คนที่มีความรู้จริงจับได้อย่างที่ชาวอโศกทำ ถึงได้ผลของศาสนาพระพุทธเจ้ามา ให้แก่ชีวิต เป็น กัมมปฏิสรโณ เป็นที่พึ่งที่อาศัยกันได้เท่าที่แต่ละคนจะสามารถ กำจัดกิเลสได้ จบ กัมมปฏิสรโณ ก็เป็น อรณะ เป็นกัมมะที่อรณะเลย คือ ไม่ต้องมี สงครามในจิตอีกแล้ว กิเลสหมด ดังนั้น กุศลสร้างเท่าไหร่ก็ไม่พอนั้น ถูกต้อง กุศลเป็นสมบัติ สร้างขึ้นมาเพื่อยันอกุศล 

อาตมาเคยพูดว่าพระอรหันต์ไม่ทำชั่วอีกแล้วทำแต่ดี มันก็เลยมีแต่ดีเป็นแต่กุศล และกุศลก็ยิ่งเร็วด้วย อกุศล มันเหมือนหมาไล่เนื้อวิ่งตามไม่ทัน คุณนี้ใช้คำศัพท์ว่า ยันอกุศลไว้ ทำแต่กุศลอกุศลเกิดยาก(ทำความเข้าใจกุศลอกุศลให้ดี ) บุญนั้นสร้างเมื่อกิเลสตัณหาเกิด บุญ จะทำหน้าที่ประหาร ทำลาย ฆ่าให้หมดไป ไม่มีบุญไม่มีบาปอีก ( ปุญญปาปปริกขีโณ ) 

สรุป จงทำกุศลให้ถึงพร้อม กุสลัสสูปสัมปทา จิตใจจะเย็นสบาย แจ่มใส ผ่องแผ้ว (สจิตตปริโยทปนัง)

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล 


เวลาบันทึก 16 มกราคม 2566 ( 11:40:37 )

ทำแบบนี้ผิดแบบแผน ผิดวิธีการจะหนักกว่าเก่า!

รายละเอียด

ที่เป็นเช่นนี้กัน ก็เพราะไม่รู้จัก“ปฏิจจสมุปบาท”ที่เป็น“ปัจจยาการ” กันไปตามเหตุตามปัจจัยจึงหลง“สร้างภพ-สร้างชาติ”อยู่ พระพุทธเจ้าไม่ให้“สร้างภพ”ใส่จิต แต่ให้ดับ“กิเลส”ที่มันเป็นเหตุไปก่อ“ภพ”ขึ้นนั่นต่างหาก ต้องเริ่มตั้งแต่“กามภพ”เป็นต้นไป “กำจัดกิเลสกามได้แล้ว”ก่อน จึงจะกำจัด“รูปภพ”ขั้นกลางต่อไป  และ“อรูปภพ”ก็เป็นขั้นปลาย ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอน     ไม่ใช่ไป“สร้างภพ”ใส่จิตตนเองเข้าไปใหม่ แม้แต่“สวรรค์” เก่าๆเดิมๆ ที่ยังคือ“ภพ”อยู่แท้ๆ ก็ไม่รู้ว่า ตนยังติด“ภพสวรรค์” นั้นอยู่ ยังไม่ได้กำจัด“สวรรค์”นี้เลย แต่ซ้ำหลงผิดสร้าง“ภพ”ใหม่ใส่จิตตนด้วย“อวิชชา”เติมเข้าไปอีก มันก็ยิ่ง“สร้างภพทับถมตน”สภาพสับสนโง่ซับโง่ซ้อน มันยิ่งมีมากด้วย“อวิชชา”ปานฉะนี้

 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 466-467 ข้อที่ 649


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2565 ( 14:24:26 )

ทำแบบไหนจึงเข้าใจถึงมรรคถึงผล

รายละเอียด

อาตมาอธิบายอย่างมีเหตุมีผลตลอดมา เพราะอาตมาเชื่อว่าทุกอย่างมาแต่เหตุดับเหตุทุกอย่างก็ดับได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ที่อธิบายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นวิธีทั้งนั้นเลยที่ตามฟังให้ดี อาตมาไม่ได้อธิบายสิ่งที่ไม่มีที่มาที่ไปไม่มีที่ไม่มีเหตุมีผล อาตมาอธิบายสิ่งที่มีเหตุมีผลตลอด เข้าใจให้ได้สิ ทำแบบไหนก็เป็นศีลสมาธิปัญญา จรณะ 15 วิชชา 8 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 10:40:47 )

ทำแล้วเป็นประโยชน์ก็ทำไปไม่ต้องไปหาเงินแล้วชีวิตจะอยู่ได้ไหม

รายละเอียด

ไอ้เรื่องลึกซึ้งอันนี้ คุณไม่ต้องไปหาเงิน คุณก็ทำอยู่ในนี้ แต่มันจะมีเงินจรมา มีไปมีมา แต่ละคนบารมีไม่เท่ากัน จริง บางคนกะปริดกะปรอย บางคนมาเป็นก้อนก้อน ไม่ได้ขาด ไม่ได้เหลืออะไรเลย บางคนขาดแคลน แต่ในพวกเรานี้ น้อย เพราะว่า ก็ไม่ต้องการมาก แล้วมันก็เลยไม่ขาดแคลน ยิ่งคนไหนจบที่ 0 มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ส่วนมากจะพอมีบ้าง 

คนที่อยู่ในชาวอโศกอยู่ในสังคมนี้ วันๆเดือนๆปีๆ เราก็ไม่มีเงินจรเข้ามาใส่มือสักบาทเลย มีไหม .... ไม่มี คือ ไม่ต้องไปโกงกินไม่ต้องทุจริตของใครมันก็มีเงินจรเข้ามาในมืออย่างนั้นอย่างนี้ก็แล้วแต่ เราทำอย่างนี้ อยู่ดีๆเขาก็เอามาให้อย่างนี้บ้าง มีเงินรัฐบาลให้ก็มี เป็นเรื่องของสังคมส่วนกว้าง ถึงอายุแล้วรัฐบาลก็ให้บ้าง พิการก็ให้บ้าง ไม่มีปัญหาอะไร 

ยิ่งเราเป็นคนดีๆ คนเขาเอามาให้ เอาไปทำอันนี้ อันนี้ช่วยอันนี้ ซึ่งมันเป็นความเข้าใจ มันเป็นปัญญา มันเป็นความลึกซึ้งของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน เห็นอะไรเป็นสาระ เห็นบุคคลที่ควรจะให้สิ่งเหล่านั้น เราให้ไป แล้วคนนั้นจะเอาอันนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ได้ นี่ มันเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้ง แล้วมันก็ไม่เฟ้อ ลึกซึ้งและก็ไม่เฟ้อ คั้นเข้ามาเหลือแก่นไม่มาก เหตุปัจจัยของชีวิตไม่มากหรอก ก็อยู่สบาย ถ้าจะไปกระดี๊กระด๊าก็ได้ว่าบ้าๆบอๆ ไอ้ง่ายๆ แหม ปีนี้เรา อันดับการรวยลดลงไป ไม่ได้ ปีหน้าข้าต้องเบ่งให้ความรวยของข้า ต้องชนะให้ได้ คุณคิดดูซิว่ามันจะเมื่อยไหม อย่างนั้นมันก็เป็นไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุดยอดวิชาที่เป็นความจริงแท้ๆของพุทธ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2565 ( 13:53:09 )

ทำโจทย์ปัจจุบันขณะด้วยศีล 3 ข้อ

รายละเอียด

จะดีมาก แล้วมีพลังงานรวมที่เยอะด้วย ถ้าหากว่าอันนี้ก็จะทำอันนั้นก็จะทำพลังมันไม่รวม อาตมาว่าสนับสนุนไม่อย่างนั้นพลังงานรวมมันไม่เต็ม ไปนึกถึงมากไม่ทำเลยมันไม่ดี อาตมาบอกว่าปฏิบัติธรรมเอาศีลข้อที่ 1 ไปทำให้ดี ข้อที่ 2 ถ้าเก่งหน่อย ได้ 3 ข้อแล้วก็ทำ 3 ข้อนี้ให้แข็งแรงหมด อาตมาว่าศีลของพระพุทธเจ้ามีศีล 3 ข้อนี้รวมหมดเลย ศีลข้อ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของและพืช ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับตัวเราเลยทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:57:27 )

ทำใจอย่างไรเมื่อกังวลกับการเลือกตั้งสส.

รายละเอียด

ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก โลกนี้เป็นของคุณคนเดียวหรือ แบกไว้ทำไม สังคมนี้เป็นของคุณคนเดียวหรือคุณไปแบกโลก แบกสังคมไปหมด โอ้โห..เป็นแซมซั่นหรืออย่างไร หรือเป็นเฮอร์คิวลิส แบกยกได้หมดเลยแบกโลก 

เหตุปัจจัยของการปรุงแต่งของโลกมันเป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันไปเรื่อยๆแหละ มันก็จะมีของมันไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้นบ้างเป็นอย่างนี้บ้าง 

อาตมาก็เข้าใจและก็รู้สึกอย่างที่คุณรู้สึกอยู่บ้างคือ รู้สึกว่าถ้าเผื่อว่า เรื่องการเมืองไทยขณะนี้จะมีเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งแล้วเพื่อไทยได้ เพื่อไทยไปเป็นรัฐบาล มันจะเป็นยังไงหนอ เราก็รู้สึกหรือเข้าใจตามประสาเรา 

ชาตินี้มีวิบาก เราก็ได้แต่บูรณะเรื่อยไป บูรณะภาพ ก็ช่วยกันทำให้มันดีขึ้นได้ มันยังไม่ได้ก็คือมันยังไม่ได้ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะ ทำดียังไม่มากพอ Let's Go On 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 20:40:44 )

ทำใจอย่างไรเมื่ออยู่กับแม่ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์

รายละเอียด

ก็น่าสงสารเนาะ คุณก็เรียนรู้ความจริง แม่คุณนั้นสมองมันผิดปกติแล้วสมองไม่ดีแล้วเราก็ต้องรู้ความเสื่อม ความไม่ปกติของสมอง ก็ย่อมทำอะไรต่ออะไรที่มันเป็นดังที่ใจเราเจตนาว่าเป็นอย่างนี้ไปทำไม ตามที่จิตของเราคิดไม่ได้หรอก มันก็ต้องเป็นอย่างที่แม่เขาเป็นกับเรานั่นแหละ แม่คงไม่อยากจะเป็นอย่างที่ท่านเป็นหรอก ใช่ไหม แม่ก็อยากจะเป็นปกติดีๆเหมือนคนสามัญทั่วไปทั้งหลาย แต่มันเป็นแล้ว คุณก็ต้องเข้าใจความจริงอันนี้ ซึ่งมันสุดวิสัย เมื่อเข้าใจอันนี้ดี คุณจะเฉยๆ คุณจะไม่ประหลาดอะไร แล้วคุณก็จะไม่มีจิต..ทำไมแม่เป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ มันก็จะเกิดการไม่ปกติ จิตมันก็ดันไปดันมามันก็ทุกข์ ก็เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นไปได้สารพัดแล้วมันก็มาเกิดกับตัวเรา ใกล้ชิดติดอยู่กับตัวเรา ก็ต้องรู้ชัดเจนว่านี่แหละคือวิบาก คือสิ่งที่เราไม่อยากได้เลย แต่มันก็เกิดอยู่กับเรามันเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องจำนนจะต้องรับทำหน้าที่กับสิ่งนี้ไปตามควรที่สุด ทำดีที่สุดควรที่สุดเท่าที่ได้ เราต้องชัดเจนว่าอันนี้มันบกพร่อง อันนี้มันเสื่อม อันนี้เป็นไปอย่างนี้ อันนี้ปกติดี อันนี้เกินกว่าปกติ อันนี้แย่กว่าปกติ ไม่สามารถทำอะไรได้เกินกว่านี้เราก็รับสภาพนั้นไป ซึ่งมันไม่เสียหายหรอก รับสภาพนั้นไปให้มันดูเหมาะควร อะไรไม่ดีเราก็ทำให้สมบูรณ์ขึ้น อะไรที่มันเกินก็ทำให้พอเหมาะพอดีอย่างนี้เป็นต้น มันจะได้เรียนรู้ว่า กรรมกิริยาต่างๆ ที่มันมีอยู่ในโลกมันมีอยู่ในสมมติ ในมนุษยชาติ มันก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นเขาก็มีของเขาต่างไป บางคนอาจจะหนักกว่าเราอีก แต่เราก็หนักหน่อย คนทั่วไปเขาไม่มีก็เพราะเขาไม่มีวิบากนี้เป็นของเขา แต่เราต้องมีวิบากนี้ก็ต้องจำนน เราจะไปปฏิเสธว่าอันนี้ไม่ใช่แม่เราไม่ได้ มันปฏิเสธไม่ได้ อันนี้มันเป็นความจริงที่มันต้องจริงปฏิเสธได้อย่างไร เพราะแม่จริงๆ ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนี้ ดีนะบางคนเขาไม่ได้เป็นแม่เป็นพ่อจริง แต่เขาจะต้องรับ มีเช่นนั้นเหมือนกันนะเขาจะต้องรับภาระนี้ ก็ต้องจำนนรับ คนที่เขาจิตใจดีเขาก็รับโดยไม่เกี่ยงว่าแม้ไม่ใช่แม่พ่อเราจริงๆ เห็นไหม ก็ยังมีเลย คุณมีแม่จริงๆอย่างนั้นก็ให้ทำใจยอมรับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:23:06 )

ทำใจอย่างไรเมื่อเพื่อนไม่คืนเงิน 12 ล้านแก่เรา

รายละเอียด

 ไม่น้อยนะ เงิน 12 ล้าน ไม่ใช่น้อย ตั้งโหลนึงแน่ะ จะทำใจยังไง อาตมาก็ว่ามันก็ ถ้าคุณคิดว่าเป็นการฝึกตัวเองจริงๆเลยว่า 12 ล้านคุณหมดไป เพื่อนเอาไปหรือผู้ที่ถือว่าเป็นอาจารย์ แล้วคุณก็เหลือน้อยเหลือไม่ถึงล้านหรือ 1 ล้านก็ตาม แล้วคุณว่าคุณอยู่รอดไหมล่ะ ไปรอดไหม ไปไหวไหม ทดสอบใจตัวเองดูว่าเอาเถอะ เสี่ยงทายกันไปจะได้คืนหรือไม่ได้คืนก็ช่างมันเถอะ คุณจะไหวไหม ถ้าคุณกล้าทำแล้วคุณก็ลองดู คุณก็สบายใจ ถ้าคุณลองดูทำไป ไหนๆก็คิดว่าตายจากมันไป 12 ล้าน คุณจะไม่ตายจากมันหรือยังไง หรือตายแล้วจะเอาไปด้วย หรือยังไง ใช่ไหม มันก็อย่างนี้แหละ 

 พระพุทธเจ้าท่านมีทรัพย์สฤงคาร ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านทิ้งออกมามากกว่า 12 ล้านนะ ท่านไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย คุณก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าไม่ใช่เหรอ ปัดโธ่! จะไปอะไรกันนักกันหนา ก็เสี่ยงทายไป คืนก็คืน ไม่ได้คืนก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องทุกข์ อาจจะทำได้ตามควร เช่นว่า ถึงวาระเวลาทวงได้บ้างโดยไม่น่าเกลียด อย่าไปทวงอย่างน่าเกลียด ทวงอย่างไม่น่าเกลียดก็ทวงบ้างเขาคืนก็คืน ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร บอกแล้วไหนๆคุณจะต้องตายจากมันไปแน่ๆ แม้คุณจะมีมากกว่า 12 ล้าน คุณก็ต้องตายจากมันไป 

อาตมาว่า สิ่งเหล่านี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันก็อนัตตา มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อาศัยมีมันก็สะดวก ที่จริงการมีเงินทำให้คนมักง่าย การมีเงินทำให้คนมีกิเลสมาก การมีเงินทำให้คนสร้างอำนาจบาตรใหญ่ ทำอะไรก็แล้วแต่ที่ยิ่งบำเรอกิเลสเยอะ คนที่มีเงินมาก ขี้เหนียว ไม่ค่อยกิน ไม่ค่อยใช้ นี่ก็กิเลสเหมือนกัน กิเลสขี้เหนียวไง สะสมกอดมันเอาไว้อย่างนั้น แล้วคุณจะไม่ตายจากมันหรือยังไง มันเป็นกิเลสทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะ เพราะฉะนั้นพวกเรามาปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปมีเงิน 12 ล้านหรอกเหลือแต่หัวล้านนี้ แล้วก็อยู่กันในสังคมนี้แล้วมีสาธารณโภคี 

พูดถึงทีไรแล้ว สาธารณโภคีนี้ สุดยอดจริงๆเลย สบายๆ อาตมาเองยังนึกเลยว่า เศรษฐศาสตร์บทนี้ เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า มันเป็นสุดยอดแห่งยอดจริงๆเลยนะ โลกปัจจุบันนี้ยังทำได้ สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงของสงฆ์ วงของภิกษุ เพราะเป็นยุคที่มีข้อจำกัด อย่างที่เคยอธิบายไปแล้ว ข้อจำกัดว่ามันเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยทาส สมัยที่คนยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เพราะฉะนั้นก็เลยทำอย่างทุกวันนี้ไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว ไม่ใช่มีนายทาสลูกทาสแล้ว สิทธิมนุษยชนก็เต็มรอบ สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นก็ทำได้ทั้งฆราวาส มีคนพูดกระแนะกระแหนอาตมาว่าแหม เก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงสงฆ์ ตัวเองมาทำในฆราวาส ยิ่งใหญ่เชียวนะ อ้าว! ก็มันก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มันไม่เที่ยง องค์ประกอบเหตุปัจจัยตาม กาละ เทศะ ฐานะ คนละเวลา กาละกัน ก็ต้องเป็นไปได้ แล้วมันก็เป็นไปได้จริงๆ อาตมาโกหกที่ไหน หลอกลวงที่ไหน มันเป็นเรื่องจริง 

สาธารณโภคีแล้ว คนที่มาหลุดพ้นจากกิเลสไปได้จริงๆ คุณก็อยู่อย่าง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ คุณจะมีภูมิปัญญาเอง ชีวิตมีแต่ความเพิ่มพูนความเสียสละ นี่แหละเป็นตัวจบของชีวิต คุณยังไม่ตาย คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณก็เพิ่มพูนความเสียสละได้แม้จะอายุมากแล้ว แม้จะสังขารร่างกายไม่ไหวแล้ว จิตที่มันเสียสละมันจะเกิดอยู่ ยิ่งคุณมีกำลังวังชาดีมีความแข็งแรงปราดเปรียว สร้างสรรเสียสละๆ โลกที่เต็มไปด้วยคนสร้างสรรเสียสละ โดยไม่คิดจะได้อะไรตอบแทนกลับคืนมาเลย เป็นโลกที่จบ จบทั้งทางเศรษฐศาสตร์ จบทั้งทางรัฐศาสตร์ จบทั้งทางสังคมศาสตร์ เพราะฉะนั้นสังคมเรามีสภาพพวกนี้ มีสภาวะจริงพวกนี้ พิสูจน์ได้เลย ยืนยันได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าจิตของเราไม่ดีดดิ้นเอง จิตของเราอยู่ในฐานที่เป็นไปได้กับพวกเรากันแล้ว อยู่กันที่เท่านี้ มีเมตตากันเท่านี้ เมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันอย่างนี้ 

สังคมที่อยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภได้โดยธรรมก็เอาเข้ากองกลางกินใช้ร่วมกัน ลาภธัมมิกา ต่างคนก็ต่างปฏิบัติ ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  เพื่อให้จบกิจของแต่ละคนไป ที่มีเหลือ คนจบกิจแล้วก็มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ คุณจบแล้ว ทิฏฐิก็จบแล้ว ศีลของคุณก็สมบูรณ์แล้วสบายแล้ว เป็นปกติของชีวิตมีศีล ทิฏฐิของคุณก็เห็นแล้วว่ามีกตญาณ จบกิจที่คุณได้ทำไว้แล้ว คุณก็สบาย ไม่สงสัย ไม่ได้ข้องใจ ไม่ได้ลำบากอยู่ 

คนที่สมบูรณ์มาอยู่รวมกันเป็นสังคมหมู่กลุ่ม อยู่อย่างสงบอบอุ่น มีวัฒนธรรม มีพฤติกรรม พฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่พูดไปแล้วเขาจะหาว่าหลงตัวเอง มันเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม มีพฤติกรรม ที่แสนวิเศษจริงๆ  มันเป็นเรื่องเข้าใจยาก คนที่เขาไม่มีธาตุจิต ไม่มีจิตที่จะซับทราบรับรู้ธรรมรส วิมุติรส อย่างที่เราเป็นกัน เขาไม่มีความรู้นั้น พูดไปเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ขอสรุปให้คุณอี๊ดว่า 12 ล้านของคุณนี้ ชาตินี้จะได้คืนหรือไม่ได้คืนก็ทำใจ แล้วก็อยู่กับหมู่กลุ่มที่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว มีเงินหรือไม่มีเงินเราก็ไม่มีปัญหาอะไร สบายๆไป ชีวิตสบายๆไปเรื่อยๆ เราคิดซะว่าชาติก่อนเราไปเป็นหนี้เขามา ชาตินี้เขามาเอาไป ปลอบใจ ก็ได้ 

เออ เป็นจาคะปัญญา เป็นอาริยทรัพย์ เป็นปัญญาที่จะบริจาคด้วยใจ ก็ไม่ได้บอกให้คุณปล่อยเลย ถึงโอกาสก็ทวงบ้าง ตามที่ควร ได้ก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไป อะไรอย่างนี้ คุณก็ไม่ได้เดือดร้อนดิ้นรนอะไรก็บอกแล้วว่า ก็มาอยู่กับพวกเราซะให้มันได้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร หรือแม้ว่าเขาจะคืนมา คุณจะเอาไปทำอะไรต่อล่ะ มีโครงการอะไรใหญ่ๆ 12 ล้าน ก็อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องใช้อะไรมาก ก็อยู่ได้แล้ว ก็แนะนำแล้ว เอาเถอะ ไม่เป็นไรก็แนะนำได้ประมาณนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส  วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2566 ( 12:31:12 )

ทำใจอย่างไรเมื่อเวลาไม่ถูกใจ

รายละเอียด

ต้องเข้าใจว่าเขาคือเขาเราคือเรา เข้าใจอย่างนี้จะเหมือนกับนักปราชญ์จีน เข้าใจเขาเข้าใจเรา ซุนวู รู้เขารู้เราก็จบสบาย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:40:51 )

ทำใจอย่างไรเมื่อโดนว่าแล้วไม่ต้องร้องไห้ 

รายละเอียด

ไอ้ร้องไห้คือการพ้อตัวเอง มันมีตัวเองมาเป็นตัวรองรับ โถเรา เขาว่าเราแล้วหนอ ทีนี้ผู้ว่าก็ไม่ควร ไม่กล้าโต้แย้ง ไม่ควรจะไปตอบโต้อะไร  ยอมให้เขาว่าเพราะคุณยังมี อัตตา มีตัวเองตัวตนอยู่ คุณก็มีอาการตอบรับ มันได้พัฒนามาขนาดหนึ่งก็กลายเป็นผู้ยอมตอบรับด้วยการเป็นผู้ยอม มีอะไรแสดงออกได้ น้ำตาเป็นเครื่องหมายของความพ่ายแพ้ ก็ยอมแพ้น้ำตาออกมา ผู้ใหญ่เห็นน้ำตาอาจจะหยุดว่า เพราะยอมแพ้แล้ว เป็นอำนาจต่อรองชนิดนึง ก็เป็นไปตามธรรมชาติ

สรุปแล้วคุณก็ต้องรู้ว่า เขาว่าเราก็เอาเนื้อหาสาระ อย่าเอาอัตตาไปรับ เอาอัตตาไปรับ ก็เกิดปฏิกิริยาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นปฏิกิริยาตอบรับธรรมดาธรรมชาติ ถ้าคุณไม่มีอัตตา ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับก็ได้ แต่รับรู้ว่าเขาว่าอะไร แล้วก็เอาเนื้อหาความหมายที่เขาว่านั้นว่าคืออะไร 

หากเขาว่าเราตำหนิเราถูกก็ดี แม้แต่จะยกย่อง ก็เอามาตรวจความจริงตามที่เขาว่า ตามที่เขายกย่อง ตามที่เขาด่าว่าตำหนิติเตียนหรือไม่ ถ้ามันเป็นจริงถ้าถูกตำหนิก็แก้ไข ถ้ายกย่องรับรู้ความจริงแล้วก็รู้ว่าเป็นความจริงคนอื่นรับรู้ ก็จบ ก็ไม่ต้องฟูใจ ไม่ต้องผยอง ไม่ต้องไปหลงดีใจอะไรก็จบในตัวมันเอง อย่างนี้เป็นต้น ก็ศึกษาไป 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 10:44:07 )

ทำใจอย่างไรเมื่อไม่ชอบพวกเดินขบวนประท้วง

รายละเอียด

คือถ้าเกิดเห็นพวกนี้เดินขบวนแล้วเกิดไม่ชอบใจขึ้นมา ทำยังไงจะลดความไม่ชอบใจขึ้นมา ทำไมพวกนี้มาเดินขบวนอยู่ได้ 

ตอบ…มันเป็นเรื่องของความโง่ของพวกเดินขบวนเขา เราห้ามความโง่ของคนไม่ได้ มันเป็นปฏิกิริยาของคนโง่ที่แสดงออกมา ก็กวนตากวนใจกวนประเทศ เราเห็นแล้วก็เลยถือสา คุณจะทำอย่างไร คุณจะมีฤทธิ์เดช มีอำนาจ มีความสามารถอย่างไรที่จะไปไม่ให้เขาเดินขบวน ไปบอกเขา ไปทำความเข้าใจกับเขา ก็คงไม่กล้าเป็นแต่เพียงว่าทุกข์เพราะตัวเองโง่ให้ความไม่ชอบใจมาเข้าครอบงำตัวเอง เราห้ามเขาไม่ได้หรอก เขาก็พยายามปิดกั้นเขาก็พยายามห้ามกันอยู่ แม้แต่อาตมาก็เห็นก็รู้อยู่ ก็ยังไปช่วยเขาไม่ได้เลย ผู้มีหน้าที่ก็พยายามที่สุดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 21:21:27 )

ทำใจอย่างไรในอาชีพคนทำสวนและทำ 5 ส. ที่่มีผลให้สัตว์ตาย

รายละเอียด

มันมีอจินไตยของมันนะ เราเองเราระมัดระวัง เรามีหลักเกณฑ์ที่จะไม่ไปทำร้ายสัตว์ ไม่มีเจตนาเป็นตัวสำคัญ เจตนาเราไม่ต้องการไปทำร้ายทำลายกันเลย แต่มันก็มีเหตุการณ์มีเรื่องที่จะต้องจำนน อย่างที่พูดมานี่แหละ ยิ่งเราอยู่ด้วยกันหมู่ใหญ่ สังคมใหญ่ร่วมกันก็ต้องช่วยกันทำ มันก็ต้องเป็นเช่นนี้แหละ มันเลี่ยงไม่ออก 

เพราะฉะนั้นจะมาโทษอะไรไม่ได้หรอก นอกจากว่ามันถึงเวลาวาระของวิบาก นี่ตอบอย่างอาตมาเข้าใจแล้วก็เห็นว่า ที่ถามมาคืออย่างนี้ เป็นสัญญาที่จะต้องเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องวิบาก เรามีเจตนาไม่ไปทำร้ายทำลายสัตว์ตัวไหน แต่มันก็ต้องมีเหตุการณ์มีวาระที่จะได้ทำมันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย มันจำเป็นจริงๆ ไม่ทำก็ไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนี้เพราะมันได้เท่านี้ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:59:22 )

ทำใจอย่างไรให้พ้นจากความรู้สึกรักและผูกพัน

รายละเอียด

ดี ถามแสดงว่าเราได้ศึกษาธรรมะ คนทั่วไปเขาก็เป็นแล้วเขาก็ไม่ได้นำพาตามดูอาการทางจิต มาเป็นภาระเป็นเรื่องควรต้องวินิจฉัยควรค้นคว้า ควรจะเรียนรู้ต่อไปว่า อารมณ์พวกนี้เป็นอย่างไร แสดงว่าจับอารมณ์ของตัวเองได้ว่ามันเกิดอยู่ ก็บอกถูกว่า อารมณ์มันเศร้าหมองอาลัยอาวรณ์ เป็นต้น 

ก็เพราะเราศึกษา แล้วก็ยังปฏิบัติ ทำปัญญาอันยิ่งยังไม่ได้เห็นแจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ ว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมไปหรือดับไป เป็นธรรมดาธรรมชาติไม่มีอะไรไม่เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจฉิมโอวาท สุดท้ายมันก็ดับ แม้พระพุทธเจ้าตรัสรู้สูงสุดแล้วมันก็ดับ มีแต่พระเจ้าที่ไม่ดับพระเจ้ามีชีวิตนิรันดร แต่ของพวกเรามีการดับ ก็เข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไรและเราก็ไม่ได้มีพระเจ้า ดับแล้วเราก็ไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า ผู้ที่สูงสุดก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน รู้จักอัตตา อาตมัน รู้จักแม้ปรมาตมัน ความเป็นตัวตนอัตตา

พอเราตายสูญ จิตที่เราสามารถทำมนสิการ ทำจิตในจิตของเราให้มันเป็นเรียนรู้แล้วทำให้เป็นจนทำให้เป็นธาตุอุตุ แม้ตอนเป็นๆ เราก็สามารถทำจิตของเราให้มีอาการของอุตุธาตุ เป็นอาการที่มันไม่เศร้าหมอง อโศก วิรช เขมัง คือจิตของเรายังพัฒนาจิตของเราไม่ได้ ที่ถามมาจะทำอย่างไร 

ทุกวันนี้เราเรียนรู้ฝึกฝนอยู่ แม้แต่ในปางฝันก็เรียนรู้อยู่ อย่าใจร้อนใจเร็วอยากให้มันไม่มีอาการนั้นเร็วๆ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น มีโยมใบไม้ ใบน้อมเสียก็มีอาการจิต ก็ศึกษาไปเถอะ แล้วจะเรียนรู้ปฏิบัติไปอย่างที่เราเรียนรู้ แล้วก็อ่านให้รู้ สักวันหนึ่ง จิตของเราถึงขีดขั้นอรหัตผล คือจะมีอรหัตผลในโลกซ้อนโลก อย่างในโลกอบาย โลกชั้นต่ำ อย่างในปางฝัน ปฏิบัติมาแต่ก่อนนี้เราเคยไปสนุกสนานเคยไปเกี่ยวข้องในเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่มันเป็นเรื่องที่ ตอนนี้เรารู้ เราก็ละอายตัวเอง อย่าไปคลุกคลีเกี่ยวข้องอย่าไป สังสัคคะ อย่าไปเห็นเป็นสวรรค์เป็นเรื่องสิ่งสนุกเพลิดเพลิน จะต้องไปมีพฤติกรรมอย่างนั้น เดี๋ยวนี้จบกิจแล้ว กระทบกระทั่งมันก็เฉยๆ อาการเฉยๆ อาการอย่างนั้นแหละเป็นอาการที่ลงตัว เรียนรู้ตอนเป็นๆนี่แหละ เราจะรู้ว่าอันไหนที่เคยมีในโลกเราเคยเกี่ยวข้อง แต่เดี๋ยวนี้แต่ก่อนเราเคยเป็นสุขเป็นอร่อยเพลิดเพลิน ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ไม่ได้มีบทบาทในชีวิตเราไม่ได้เป็นสวรรค์ สวรรค์ก็คือนรก นรกมันซ่อนกับสวรรค์ เหมือนกระดาษที่มี 2 หน้า เอาออกจากกันไม่ได้ เราดับทุกข์ดับทุกข์ให้เฉยกลางได้ก็จบ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ตอนนี้เราสัมพันธ์ จากผู้ที่เคยชอบพอเคยห่วงหาอาลัยอาวรณ์กันอยู่ เมื่อพรากจากก็เลยเกิดอาการอย่างนี้ ทำจิตใจให้รู้สึกเหมือนเราเคยเลิกจากโลกอบายที่เราเคยติด จิตอย่างนี้มันสบายกว่าไหม ไม่ใช่ว่าดับไม่รู้เรื่อง เราก็รู้ว่าอย่างนั้นมันเกิดอยู่ เดี๋ยวนี้ไม่เกิดอยู่เรามีอาลัยอาวรณ์หรือไม่อย่างไร กับอย่างโน้นเราเคยทำได้ แล้วก็เคยเห็นว่ามันไม่เที่ยงหรอก ถ้าเรายังมีอะไรติดใจในลึกอยู่มันไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าหมดแล้วมันรู้ความจริง หมดอุปาทาน อันนี้ก็คืออันนี้ อันนี้เป็นญาติธรรมเคยสนิทชิดเชื้อ เราเคยมีกิจกรรมร่วมกันมีการงานอยู่คบคุ้นอาศัยใช้สอยกินอยู่ด้วยกันอยู่ แต่ตอนนี้ตายจากไป เราก็รู้ไตรลักษณ์ มันก็มีวันที่พรากจากกันไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน เราก็รู้ตามความเป็นจริงปัญญามันจะแจ้งว่าถึงเวลาแล้วหนอ บางทีไม่คิดว่าจะไปบางทีก็ไปไวจัง ไม่คิดว่าจะต้องตายตอนนี้ แต่บางคนเราก็รู้ว่าคงไม่นานหรอก ดีไม่ดี บางคนบอก ทรมานอยู่ทำไม ทำไมไม่รู้จักตายสักที อันนี้ไม่ใช่เป็นความอยากให้ตาย จะเป็นความสงสาร จะยื้อขันธ์ไว้ทำไม มันสมควร เขายังไม่ปล่อยวางขันธ์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ที่
บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 17:56:34 )

ทำใจในใจกับคำตำหนิคำชม

รายละเอียด

เราก็ทำใจของเราให้สบายเป็นกลางให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง อันนี้เขาก็ทำดีอันนี้เขาก็ชมอันนี้ ก็มีแค่นั้น มี 2 ด้าน 2 ทาง แล้วเราก็ปรับใจทำใจหัดวางใจให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงจนใจเราสงบ แต่เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่มีวูบวาบอะไรจิตสบาย ใครจะดีใครจะอะไรก็เออ จะแรงด้วยการชมเจริญด้วยการติต่างๆ ใจเราเข้าใจความจริงอย่างเดียวอ่านอาการจิตให้เป็นก็แล้วกัน ว่าจิตของเราขึ้นลงมีไปซ้ายไปขวา หรือวูบวาบอะไร ดูจิตของเรานิ่ง เขาตำหนิก็ตำหนิ เขาชมก็ชม รู้ความจริงอย่างนี้ ไม่มีอะไรอื่นในโลก นี้ก็มี 2 ประการ เมื่อจิตเรานิ่งสบาย จะรับได้ดีด้วย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 11:59:35 )

ทำใจในใจของตนเองให้เกิดพลังงานฌานจนถึงพลังงานบุญ 

รายละเอียด

ก็เป็นภาษาความหมายเอาคำว่าบุญไปขยายว่า เป็นประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์นัยยะหนึ่ง แต่ที่จริงในรายละเอียดต้องเรียนรู้จริงๆเลยนะ ถ้าเข้าใจคำว่า บุญ โดยสภาวะแท้ของพยัญชนะ ตัวบุญที่เป็นภาษาไทย มาจากคำว่า ปุญญะ ของภาษาบาลี 

คำว่า บุญ นี้ยิ่งใหญ่ อาตมาเริ่มเปิดยุคบุญนิยม เขียนในหนังสือ"เราคิดอะไร" เขียนขยายความมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ยังจะพูดถึงเรื่องนี้ไปอีก ไม่ง่ายเลย มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นอจินไตยจริงๆ 

ผู้ที่เข้าใจแล้วค่อยๆเอามาฝึกฝนปฏิบัติประพฤติ สร้างใจในใจของตนให้เป็นพลังงาน พลังงานที่ยังไม่ถึงบุญเรียกว่าฌาน พลังความร้อนเรียกว่า อุณหธาตุ เป็นพลังงานธาตุไฟ เป็นพลังงานที่มีฤทธิ์มีอำนาจที่จะไปเผาผลาญพลังงานเหมือนกัน ที่เรียกว่า พลังงานราคะ โทสะ โมหะ ใช้ภาษาเรียกสภาวธรรม พลังงานราคะ โทสะ โมหะ เป็นกิเลส มันเผามันทำลายกันได้จริงๆ

เพราะงั้น ผู้ที่มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิจริง จะมนสิการหรือ ทำใจในใจของตนเองให้เกิดพลังงานฌาน จนถึงพลังงานบุญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 12:54:10 )

ทำใจในใจหน่ายคลายในเวทนาเทียม ปฏิบัติธรรมอย่างสายปัญญาได้ไหม

รายละเอียด

.เออ..พอเข้าใจ ใช่ๆๆ ต้องอนุโลมกับโลกอย่างเป็น 2 รู้ปรมัตถสัจจะ รู้สมมุติสัจจะ ถือว่าปฏิบัติธรรมอย่างสายปัญญาได้ๆๆ นึกว่าตัวเองปึ๊ก แต่ที่จริงเป็นสายปัญญา มันไม่รู้ เพราะมันไม่รู้ แต่พอรู้แล้วมันก็รู้ มันไม่ยาก ขยับกลับเข้าไปให้เห็นว่าความจริงจิตที่เป็นอนัตตานั้น อย่าไปควบคุมมัน ความที่คุณสว่างแสงพูดมา 

คำว่า ควบคุม คำนี้ กับรู้ความจริงตามความเป็นจริง ควบคุม ภาษาก็บอกอยู่แล้วว่ามันถูกควบคุม เหมือนคุณเป็นนักโทษ ที่จริงมันละเอียดนะ ควบคุมหรือระมัดระวัง พิจารณา แล้วจัดการ ขยายความอย่างนี้ ระมัดระวังดูแล เห็นอะไรผิดพลาดก็แก้ไขปรับปรุงทำใหม่ อย่างนั้นใช้ปัญญา ไม่ใช่ไปควบคุม ใช้ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง แล้วเราก็มีปฏิภาณปัญญารู้แล้วว่า อะไรควรมี อะไรไม่ควรมี เราก็จัดการไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:02:57 )

ทำใจในใจอย่างไรจึงใกล้นิพพาน

รายละเอียด

อาตมากำลังพยายามอธิบายหลายอย่างอยู่ในตอนนี้ แม้แต่คำว่า สัมโพชฌงค์ก็เพิ่งหยิบมาพูดไม่นานนี้เป็นเครื่องที่จะนำพาไปสู่การตรัสรู้คือสัมโพชฌงค์ แม้แต่ โยนิโสมนสิการก็หยิบมาพูด เพราะว่าเป็นพลังงานที่คุณจะต้องจัดการ มนสิการ ทำ ทำอะไร  ก็ทำใจของคุณไม่มีใครเขาทำให้หรอก คุณต้องทำใจของตนเองเป็น ทำใจในใจของเรา ให้มันเกิดการเจริญเกิดการพัฒนา ใจที่มีกิเลส ทำให้เป็นใจที่ไม่มีกิเลส อย่างนี้เป็นต้น จริงๆด้วย ทำได้จริงๆด้วยและทำถูกตัวตนลงไป มนสิ ที่ใจเลย สิ การ กระทำที่ มนะ สิ คือตรงนี้ 

ส.สระอิ คือตรงนี้ ทำตรงนี้ ทำให้พัฒนาได้ตรงนี้ คนที่ทำใจในใจเป็น คนนั้นก็ใกล้นิพพาน ถ้าใครทำใจในใจยังไม่เป็น ยังยากอีกนานกว่าจะถึงนิพพาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 20:55:24 )

ทำใจในใจอย่างไรที่เรียกว่าโยนิโสมนสิการ

รายละเอียด

ทำใจในใจเราให้เด็ดขาด ถูกต้องถ่องแท้แน่นอนแก้ไขตรงจุดเกิดเลย โยนิโสมนสิการ ก็ทำตรงที่เป็นปัจจุบัน status quo ตัวที่จะต่อเป็นสัมปชัญญะ แล้วเป็นพลังงานที่จะเสริมสานกันต่อไปอีก เราจะรู้จักสภาวะต่างๆ เอาพยัญชนะมาเรียก มันเยอะมาก เป็นล้านๆๆ เรียงกัน มีไว้ ภาษาจะเรียกเพื่อให้ร่วมรู้กันได้ แต่ถ้าเผื่อว่ามามันไม่ต้องการพิสูจน์ต่อเอาแค่นี้ก็แล้วไป แต่มันจะช้า ไม่มีใครตรวจสอบ ไม่มีใครให้คะแนนร่วมไม่มีใครชี้แนะเพิ่ม คุณก็จะช้าอยู่นั่นแหละ ถ้ามันมีหมู่ฝูงมีเพื่อน ต่างๆ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:24:47 )

ทำใจในใจอย่างไรให้เกิดฌานที่ไม่สมถะกดข่ม

รายละเอียด

โอ้! ดีจังเลยนะ คุณซึ้งซื่อเข้าใจ บอกว่า ฌานจะต้องเกิดด้วยศีลและอปัณณกปฏิปทาน 3  ถ้าปฏิบัติไม่มีศีลและอปัณณกปฏิปทาน 3 นี้ ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า มันเป็นฌานของเดียรถีย์ เป็นของนอกศาสนาพุทธ ฌานทั่วไปเป็นฌานโลกีย์ มันไม่ใช่ฌานวิสัยที่เป็นอจินไตย ด้วยของพระพุทธเจ้า แหมยาก อาตมาตั้งใจจะอธิบายเรื่องฌานอยู่เนี่ย จะขยายความ แต่ตอนนี้เวลาจะหมดแล้ว 

ในอปัณณกปฏิปทา 3 มีกวฬิงการาหาร มีคือ โภชเนมัตตัญญุตา มีอาหารคือคำข้าว จากที่บอกว่า อ่านอาการที่จิตว่า รสชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็วางเฉย  นี่ก็เป็นสมถะอีกแหละ ถ้าวางเฉยไปเฉยๆมันก็เป็นสมถะ มันก็ได้ถ้าเผื่อว่าคุณมีปัญญาเข้าไปประกอบแล้วคุณก็วางเฉยด้วยการประกอบ  แต่ถ้าคุณจะใช้ กดข่ม ไปเฉยๆ แล้วก็วางทิ้งไปเปล่าๆ เป็นสมถะ มันก็จะไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าเผื่อว่าเป็นวิปัสสนา ให้เห็นเลยว่า อ้อ ไม่วางหรอก เห็นจริงๆ เลย แล้วก็ปัญญามีธรรมฤทธิ์ มีพลังงานที่เห็นอยู่ชัดๆ เลยว่า จริงๆ มันไม่ใช่จะต้องไปเป็นรสชาติ จะต้องไปเป็นอะไรต่ออะไรพวกนี้ แล้วคุณก็ ปัญญาเป็นตัวทำให้ รสชาติที่คุณไป(รู้สึก) 1.รสจริง 2. รสเก๊ 

ใช้ปัญญาเป็นตัวทำให้ รสเก๊หรือเวทนาเก๊หายไป คุณต้องอ่านอาการของเวทนาเก๊ เช่นมันสุข มันชอบ มันอร่อย มันไม่มีแล้ว จนกระทั่งกินอาหารมันก็ไม่อร่อยแล้ว อย่างที่อาตมายกตัวอย่างตัวเอง มันไม่อร่อยอย่างทุกวันนี้ ก็รู้แต่ธาตุแท้ของมัน ธาตุผักอันนี้หรือธาตุผลไม้อันนี้ มันก็เป็นธาตุของมัน รสหรือกลิ่นของมัน อะไรของมันก็เป็นอย่างของมัน แต่รสอร่อยมันไม่มีแล้ว

จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาไม่ประสงค์อยากกินอาหารแล้ว เพราะอาตมาฝืนขันธ์ ฝืนอายุขัย ลากถูลู่ถูกังอายุขัยไปเรื่อยๆ สรีระสังขารมันไม่ได้ต้องการอาหารแล้ว แต่อาตมาก็ต้องพยายามใส่ให้มัน มันจึงฝืน แต่ก็ต้องฝืน ต้องกินให้ได้ปริมาณพอสมควร ไม่เช่นนั้นไม่ได้เพียงพอ ตอนนี้น้ำหนักของอาตมาขึ้นเป็น 53.6 แล้ว จะถึง 54 กก. แล้ว แต่ก่อนนี้ 49-50 แต่เดี๋ยวนี้ 53 ถึง 54 ชั่ง น.น.เมื่อเช้า 53.6 เนี่ยเนื้อตัวเป่ง ลำข้อลำแขนมีเนื้อหนัง มีไขมัน มีพุงขึ้นมาตุ่ยๆหน่อยแล้ว สักวันไล่ทันบิ๊กป้อมแน่นอน 

(พ่อครูอ่านต่อ) แล้วก็วางเฉย……ปัญญาเป็นไฟกองใหญ่

ใช่ ปัญญาคือตัวของฌานนั้นแหละ ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั้น เพราะฉะนั้น ฌานเป็นไป ปัญญามันก็เป็นไฟ เป็นธรรมฤทธิ์ไง 

ดีมาก เข้าหาจรณะ15 วิชชา 8 มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆที่พวกเราได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจและเอาไปปฏิบัติจนเกิดมรรคเกิดผล อาตมาขอยืนยันว่าพวกเราเป็นพวกที่ปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผล ทางด้านเถรสมาคมหรือทางด้านพระป่าที่เป็นพวกปฏิบัติกันนั้น มันได้มรรคผลเหมือนกัน แต่ได้มิจฉาผลเพราะมิจฉามรรค มันไม่ได้เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรมของพระพุทธเจ้า cdhก็น่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จะกู้กลับอย่างไร เขารักศาสนา เขาอยากไปนิพพาน จริงๆ อาตมาเห็นจริงเลย หลายคนก็ตายไปกับชีวิต บวชไปตั้งแต่เป็นเณรจนกระทั่งตาย บางคนก็บวชเป็นพระจนกระทั่งอายุยืนยาว 80 ถึง 90 หลายคนอายุ 100 ตาย 

แต่มันน่าสงสารที่เขาไม่สัมมาทิฏฐิ และไปหลงผิดได้มิจฉาผล เพราะมิจฉามรรค ปฏิบัติมิจฉามรรคมันก็มีผลของมัน แล้วก็ไปหลงมิจฉาผลนั้นมาเป็นอาริยะเก๊ เป็นอรหันต์เก๊กัน มันต้องแก้กลับ มันต้องพยายามช่วยเหลือเฟือฟายแก้ความผิดพลาดพวกนี้ กู้ยากจริงๆ อาตมาเกิดมาชาตินี้ นี่กำลังเขียนหนังสือ “เกิดมาชาตินี้” อยู่นี้ ยังสรุปไม่จบเลย แต่เขียนเรื่อง “ประชาธิปไตย” เสร็จแล้ว จบแล้ว เอาไป Edit เอาไปพิมพ์ต่อได้ ตอนนี้มาเขียน “เกิดมาชาตินี้” จะไม่เอายาว จะให้ยาวเท่าไหร่ก็ได้ก็จะว่าไปเรื่อย แต่จะไม่ให้ยาว พูดถึงว่าเกิดมาในชาตินี้จะต้องทำอะไรที่มันฝืนโลกเขา จำเป็นจำใจ จำต้อง จำนน มันต้องทำอย่างนี้a จำยอมที่จะต้องทำอย่างนี้ ต้องแสดงออกอย่างนี้ เป็นสัจจะที่จะต้องว่าไป 

วันนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่นาที อาตมาก็ฝากเอาไว้ว่าจะต้องอธิบาย “ฌาน”นี้แหละ ให้เข้าใจให้ดีๆ ว่า “ฌาน” มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องไปสร้างวิธีการ ต้องเข้า ต้องออก เข้าฌาน ออกฌาน..ไม่มี “ฌาน” คือ พลังงานที่เป็นธรรมฤทธิ์ ที่สามารถมีปัญญา ฌานคือปัญญา มันรู้ความจริงแล้วมันก็มีธรรมฤทธิ์สูงขึ้นๆตามลำดับ ฌาน 1, 2, 3, 4 

ฌาน 1 คือสภาพ 2 ที่คุณจะต้องรู้ความเป็น 2 ที่เรียกด้วยภาษาว่าวิตกวิจาร ก็ตาม บางทีท่านก็แปลว่า ไตร่และตรอง หรือตริและตรอง ก็เป็นพยัญชนะของสภาพ 2 อัน คือ 1.เจโต กับ 2.ปัญญา อันหนึ่งมีพฤติกรรมเป็น Static อันหนึ่งเป็น Dynamic สภาพ 2 นั่นแหละคือวิตกวิจาร  คุณก็ต้องรู้ความจริง อันนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องวิตก เห็นแล้วว่ามันไม่ดี และเมื่อมันไม่ดีมันมีตัวพฤตินัย พฤติกรรมของมันออกมาเป็นจาระ วิจาระ ก็รู้ พฤตินัย นี้มันมีอะไรแทรกอยู่เป็นตัวเหตุ ก็คือกิเลส อ่านกิเลสได้ ไม่ใช่ไปดับสมถะไปกดหมดทั้ง 2 ตัว ให้รู้มันมีตัวการ มันมีตัวมาร มันมีตัวผี แทรกอยู่ในนั้น เอาเฉพาะกิเลสนี่แหละออก 

ปัญญาให้รู้ตัวกิเลสนี้ ถ้าปัญญาของคุณมีพลังธรรมฤทธิ์สูงขึ้นเท่าไรๆ กิเลสมันไม่รอหน้า เจาะกิเลส ถ้าเจอกิเลสตัวจริงเลยนะไม่ใช่กิเลสตัวแฝงตัวปลอม กิเลสตัวที่มันอาศัยอื่นๆ แต่เป็นกิเลสตัวจริงๆของมันเลย มันเจอตัวปัญญาแล้วมันวิ่งหูตูบเลย อย่างที่อธิบายด้วยพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าอธิบาย โอ้…ตถาคตเห็นเราแล้ว รู้เราแล้ว มันก็หนีไป หายไป มันจะไม่รอหน้าเลย นี้อธิบายด้วยภาษาด้วยพยัญชนะได้แค่นี้ มันมีฤทธิ์ข่มกันอย่างนั้นจริงๆ ปราบกันอย่างนั้นจริงๆ นี่คือลักษณะของฌาน คือปัญญาอย่างนี้แหละ 

ลักษณะของฌานมีธรรมฤทธิ์ที่ไม่ใช่ไปนั่งหรี่นั่งหลับ แต่เห็นแท้เห็นชัดเจนจนละเอียด จนกระทั่งแยกกิเลสได้ละเอียดเลยนะ กิเลสกับปัญญาเจอกัน กิเลสมันจะวิ่งหนีหูตูบเลย นี่อธิบายถึงลักษณะสภาวธรรมได้แค่นี้ เป็นความจบ ไม่รุนแรง แต่ชนะอย่างสงบ ชนะอย่างสง่า ชนะอย่างสุภาพ ปัญญาปราบกิเลส แต่พูดให้มันดูรุนแรง ฟังกันไป ประหารฆ่าอะไรก็แล้วแต่​ แต่ความจริงมันเป็นธรรมฤทธิ์อย่างนี้ มันเป็นเรื่องผู้ดีที่สุดเลย​​ สัจธรรมของพระพุทธเจ้า

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #38 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2566 ( 15:39:55 )

ทำใจในใจไม่เป็นก็หมดประตูที่จะนิพพาน 

รายละเอียด

เราเรียนรู้อันนี้แล้วจะเข้าใจความจริงเข้าถึงสภาวะธรรม แล้วคุณจะทำนิพพานได้ ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ขอบอกเลย คุณทำนิพพานให้กับจิตตัวเองไม่ได้ จิตตัวเองจะไม่รู้ คุณจะมีกรรมมีธรรมะให้มันเป็นนิพพาน กรรมคือการกระทำ ธรรมะคือทรงไว้ จะทำให้เกิดการทรงไว้โดยการกระทำใดในใจของคุณทำทั้งภายนอกภายในด้วย แล้วก็ให้ตรงเป้าหมาย มนสิการ มนสิกโรติ ต้องทำที่ใจ ถ้าหากทำใจในใจไม่เป็นก็หมดประตูที่จะนิพพาน 

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 10:58:02 )

ทำใจให้เหมือนกับความรัก 10 มิติ

รายละเอียด

ถ้าคุณมีใจเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างหน่อย ทำใจให้เหมือนกับความรัก 10 มิติที่อาตมาได้เขียนไว้แล้ว ที่แคบสุดเมถุนนิยม เหลือแต่แค่สองเรามันแคบเกินไป หรือแม้แต่เผื่อแผ่กว้างมาถึง ปิตุปุตานิยม พ่อแม่ลูก ก็กว้างเท่านี้ ไม่เอาญาติอื่นๆเลย เห็นแก่แค่เท่านี้ ในโลกนี้มีแค่ 3 พ่อแม่ลูก ความรักแค่นี้ก็แคบจัง ต้องเผื่อแผ่ไปถึงญาติ เป็นญาตินิยม ความรัก 10 มิติบรรยายไปตั้งแต่พ.ศ. 2517 สองกัณฑ์ บรรยายอย่างสดๆ ไม่ได้เรียบเรียงมาก่อน เลยเอาของเก่ามาบรรยาย คนก็เอาบันทึกนั้นมารวบรวมเป็นหนังสือ อาตมาก็เรียบเรียงใหม่อีก เรียบเรียงทั้งแบบที่เป็นภาษาพูดและแบบภาษาเขียนเป็นสองฉบับ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 12:42:25 )

ทำในสิ่งที่ดีกว่าด้วยความมั่นใจ

รายละเอียด

ก็สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลก็ฟังและการแสดงออกของคนก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้อยู่ในสเปคของเขา  เขาก็อยู่ของเขาไป สำหรับอาตมาไม่ถูก เขาก็เลยคนอะไรวะ ไม่เห็นอยู่ในแบบที่เขาคิดว่าควรเป็น ก็มองกันได้ วิจัยวิจารณ์กันมา ก็ขอบคุณ อาตมาก็เป็นตามที่อาตมาเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ดี จะไม่ทำในสิ่งที่เห็นว่าเสียหายไม่ดีเพราะว่าอาตมาชัดเจนว่าไม่ควรจะทำในสิ่งที่ไม่ดี ทำในสิ่งที่ดีกว่า ส่วนใครจะมองเห็นว่าที่อาตมาทำดีที่อาตมามั่นใจว่าดีเป็นไม่ดี ก็นั่นเป็นความเห็นต่างกันได้ ไม่พลาดมีปัญหาอะไร จะมาก็แสดงความเห็นมา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:45:52 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:10 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:58:29 )

ทำในใจคืออะไร

รายละเอียด

มนสิการ อยู่ในอีกหลายอย่าง มนสิการเป็นหัวใจหลักของศาสนาพุทธ ถ้าเข้าใจมนสิการหรือการทำใจในใจไม่ได้ ทำใจในใจคืออะไร คือคนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องมาอ่านจิตตัวเอง สามารถรู้อาการใจของจิต แล้วจัดการเรียกว่าอภิสังขาร จัดการใจของเรา ทำให้ใจของเรานี่แหละ เราจะรู้ใจของเราตาม สังกัปปะ 7 พอจิตเริ่มมีการสัมผัสให้รู้ พอรู้แล้วเป็น ตักกะ เริ่มเห็นเริ่มรู้ตัวจิตที่ดำริขึ้นมา ให้อ่านจิตให้ทัน อ่านแล้วทำการธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ว่าจิตที่ดำริมีกามร่วมดำริหรือไม่ มีพยาบาทร่วมหรือไม่

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:41:43 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:02:28 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:59:41 )

ทำในใจหรืออ่านอาการของใจเป็นอย่างไร

รายละเอียด

ศาสนาพุทธก็ผิด คนก็ได้รับคำสอนผิดๆ เพราะไม่ได้ทำใจในใจ ไม่ได้อ่านอาการของใจไม่รู้การทำใจ กายนิมิตเครื่องหมายทางกาย วาจานิมิต นิมิตเครื่องหมายทางวาจา นิมิตคือเครื่องหมายทางใจ มันก็ต้องอ่าน นิมิตมันจะเป็นรูปร่างเป็นเครื่องหมาย ต้องอ่านความต่าง ความต่างของอาการ คือ ลิงคะ อาการอย่างนี้ อย่างเราสัมผัสทางตา แหม..วันนี้อย่างนี้ ลูกฝรั่งเยอะดีสวยๆขาวๆ ผิวผ่อง มันน่ากัด ที่เราสัมผัสและความจริง มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเป็นเวทนาแท้ๆ เราก็รู้ของมันแท้ๆ ตาไม่เสีย ประสาทไม่เสีย ส่วนภาษาอะไรก็แล้ว แต่ส่วนภาษาไทยก็บอกว่า น่ากิน สวยจัง ผ่องจัง หอมจัง อะไรต่างๆนานามันก็เป็นอาการเพิ่มเติมจากอาการแท้จริงของที่มันมี จิตของคนก็ปรุงแต่งเป็นอาการ อะไรบางอย่างก็ชอบอะไรบางอย่างก็ไม่น่ากินน่าเกลียด เราก็อ่านอาการ 2 ที่แตกต่าง แล้วทำลายอาการที่มันปรุงแต่งเอง บ้าเอง ไม่เหมือนกันหรอก อาจจะเหมือนกันนิดเดียวจนแยกไม่ออกก็ได้ หรืออาจจะต่างกัน มากก็ได้เท่านั้นเอง เราต้องเรียนรู้อาการพวกนี้อย่าให้อาการปลอมอาการเก๊ ที่ใช้คำเรียกว่าเวทนาเก๊อย่าให้มันมี ถ้าคุณอ่านอาการ ลิงค ความแตกต่างของนิมิตต่างๆ อ่านแล้วเอาความจริงอันเดียว เอกสโมสรณา ภวันติ ทำให้เกิดเป็นอันเดียวของแท้ 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:40:59 )

ทำให้กิเลสดับไปจากขันธ์ 5 ได้เป็นอรหันต์

รายละเอียด

สามารถทำให้กิเลสดับไปจากขันธ์ 5 ทำให้ขันธ์ 5 สะอาดปราศจากกิเลส อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ขอให้คุณทำได้จริงเถอะ ใครจะบอกว่าคุณไม่เป็นอรหันต์คุณไม่เป็นอะไรต่ออะไร คุณจะไม่ตกใจอะไรเลย คุณจะไม่หวั่นไหวอะไรเลย ถ้าเราทำได้จริงๆ คนจะบอกว่าอรหันต์เก๊ ขี้โม้ ไม่จริงหรอก ก็ไม่เป็นไร มันจะไม่มีปัญหาเลย อาตมาสมมุติ เหมือนเรามีเงินในกระเป๋า 1 ล้านบาทเอามือคลำอยู่ กำเงินล้านบาทอยู่ที่มือ คนเขาก็บอกว่าหน้าอย่างนี้จะมีเงินล้าน หรือ เราจะไปตกอกตกใจอะไร เราก็เอามือกำเงินล้านอยู่แล้วมีสิทธิ์อยู่เต็มที่ เอาไปปาใส่หน้าก็ยังได้เลย เหมือนอย่างที่เขามีนิยายมีตำนาน คนบ้านนอก ไปที่ร้านไฮโซ มองดูของ ถามไถ่ คนขายมันก็ดูถูกว่าหน้าอย่างนี้มันจะมีเงินมาซื้อหรือ คนนี้ก็ควักเอาเงินมาตบปังต่อหน้าเลย จะขายหรือไม่ขาย ดีไม่บอกว่าเหมาทั้งร้านรวมทั้งคุณด้วย เอาเท่าไหร่บอกมา คุณจะได้ไปเป็นคนรับใช้ที่นั่น ยกร้านเลยเท่าไหร่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 13:01:21 )

ทำให้คนขวัญเสียด้วยคำด่าถือว่าทำปาณะ

รายละเอียด

ขวัญ เป็นภาษาไทย ขวัญเสียมันขนาดไหน ด่าให้ขวัญเสียอย่างไร 

ถามเข้าหลักธรรมด้วยนะแล้วว่าอย่างนี้เธอทำ ปาณะให้ตกร่วงหรือเปล่า? โอ๊ ถามมาอย่างนี้อาตมาค่อยแคะคำภาษาคำถามนะ ถ้าทำให้ตกร่วงก็มันเป็นบาป เป็นปาณะแน่นอน ขวัญเสีย เสียมันก็ต้องตก เสียมันไม่ใช่ดี 

ถ้าคำว่าเสียภาษาไทยคำว่าเสียสละเป็นดีนะ แต่ขวัญเสียมันไม่ดี มันก็ทำปาณะให้ร่วง ให้ไม่เข้าท่า เออ ช่างสรรหามาถาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ  ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 18:38:16 )

ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ ไม่ชอบใจก็มีวิบากบ้าง 

รายละเอียด

อาตมายังไม่ได้มีโรคพยาธิอะไรที่จะต้องทรมานทรกรรมนัก ไอก็เหนื่อยเท่านั้น แม้แต่เจ็บคอเจ็บอะไรก็ไม่เจ็บ ไอแล้วถ้ามันแรงก็เหนื่อย ถ้าไม่แรงมันก็ไอธรรมดา แล้วมันก็ห้ามไม่ได้ มันจะไอ มันบังคับไม่ได้แล้ว สรีระมันต้องไอ ถ้าไม่ไอมันก็แก้เหตุปัจจัย จะว่าชัดๆก็คือเสลดมันจะเข้าไปอุดตัน มันไปทำความระคายลำคอ มันก็ต้องใช้พลังงานที่จะขจัดอันนี้ออกไป มันเป็นธรรมชาติที่จะต้องแก้ไขสรีระของตนเองเท่านั้น ก็ทำ มันก็ไม่ถึงขั้นทรมานอะไร 

อาตมาบรรยายมานี้ 2 ชั่วโมงยังไม่ถึงดี ไอบ้างหรือยัง… ยังไม่ไอเลยหรือ ก็ดีเห็นมั้ย มันก็ยังได้อยู่ มันก็ไม่กะไร พอเป็นไป

มันเป็นวิบากของอาตมา ที่อาตมาปากจัด ไปเที่ยวได้ว่าคนตำหนิคนมาก มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มันก็เลยจะต้องมีวิบากบ้าง เป็นวิปากทุกข์ มันก็เป็นธรรมชาติ อาตมาไม่มีปัญหาอะไร ทำให้คนอื่นเขาไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ ถูกว่าถูกด่า มันก็มีผลสะท้อนมาทำให้อาตมาเกิดวิบากบ้าง 

ขนาดพระพุทธเจ้าไปยินดีในคนหาปลา วิบากนั้นท่านเร็ว ท่านรู้ท่านเข้าใจ จึงทำให้ท่านปวดหัวอะไรอย่างนี้ แต่ของอาตมานี้มันก็ยังหยาบ ชัดๆอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร ไปกระทบเขา แรง แต่มันก็ต้องกระทบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 14:55:05 )

ทำให้จิตเป็นพีชะ ทำให้เป็นอุตุได้ เป็นเช่นไร

รายละเอียด

ถ้าทำเป็นพืชก็คือมันทำความรู้สึกกับมัน รู้สึกไม่เจ็บ ทำให้จิตเป็น พีชะ ไม่เจ็บ เหมือนกับเล็บหรือผมที่มันยาวออกมาแล้ว จะตัดจะทุบมันก็ไม่เจ็บ แต่มันเป็นชีวะนะ นั่นแหละคนที่ทำจิตอย่างนี้ได้ เป็นคนที่ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ผลัก ไม่ดูด เป็นฐานของพระอรหันต์ ที่ทำได้ ยิ่งทำให้เป็นอุตุได้เลยจะยิ่งรู้ครบ ว่าอ๋อ…จิตที่เราทำให้เป็นอุตุได้ เช่นในสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง ตา กระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส ลิ้นนี้ยากหน่อย กระทบสัมผัสก็ละเอียดเข้าไปอีก ยิ่งอธิบายยาก กระทบผิวหนัง โผฏฐัพพะกระทบภายนอก  

ฉะนั้นก็มาอธิบายตรงที่ 1. ตาเห็นรูป 2. หูได้ยินเสียง ตาเราเห็น เราเห็นสิ่งที่มันปรุงแต่งกันอยู่ เขาก็สนุกสนาน เขาก็มีความเอร็ดอร่อย เขาก็มี โอ้โห… มีความยึดถือ ไม่ชอบใจก็ตาม ชอบใจก็ตาม เขาก็เป็นกันเต็มที่ ชอบใจ รัก ชอบ ผูกพันกันอย่างรุนแรงจี๋จ๋ากัน จนกระทั่งถึงขั้นหวงแหน แก่งแย่ง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ถึงขนาดนั้นก็ตาม ก็คือเขาทำเอง เช่น ฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา ทีนี้เรามานึกถึงตัวเราว่า ถ้าเราต้องการก็ดี จะฆ่าผัวมันเสีย จะเอาเมียมันมา เราเป็นคนทำไม่ได้หรอกไปฆ่าคน ไปฆ่าผัวเขาแล้วจะเอาเมียเขามา ทำไม่ได้ อันนี้แหละมันเป็นอุตุแล้วกับเรา เพราะเราเอง จิตของเรามันไม่ถึงขั้นที่จะเป็น พีชะ มันก็ไม่เป็นแล้ว หรือจะบอกว่ามันเป็น พีชะ ก็คือมันมีธาตุรู้รู้ได้ แต่มันไม่ต้องการ เหมือนพืชนี่ รากของมันไปสัมผัสธาตุต่างๆ มันก็ไม่เอาไม่เกี่ยว มันรู้ว่ามันไม่เกี่ยว มันก็เฉยๆปล่อยไป คือมันมีแต่มันไม่มี ในโลกมันมี แต่มันไม่มี เพราะฉะนั้นคนที่สามารถทำความรู้สึก และรับรู้ด้วยสัญญากำหนดรู้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 11:29:45 )

ทำให้จิตใจตนเองเป็นไปได้ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าได้จริง

รายละเอียด

มันจึงเกิดปรากฏการณ์จริงของสังคมมนุษยชาติในชาวอโศกในโลกยุคนี้ เราก็ยืนยันประกาศไปเขาก็หาว่าอวดตัวตนโชว์ แต่พวกร่ำรวยอวดยิ่งกว่าอาตมาแล้วมาชื่นชมกันอีก พวกฟุ้งเฟ้อเอร็ดอร่อยสนุกสนาน แต่ทางนี้ไม่มาทำข่าวกันเลย เขาไม่มีรสชาติอย่างนี้ คำว่ารสชาติ คือเวทนา มันมีรสชาติมันได้บำเรออย่างนี้แล้วเกิดรสชาติ ได้บำเรอกิเลส อุปาทาน ตัณหา ได้รสชาติ แล้วคุณก็ไม่รู้จักรสชาติ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ยอดคนอาภัพที่มีระดับของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 21:16:49 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:59:49 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 08:00:36 )

ทำให้ชาวพุทธหยุดงมงาย

รายละเอียด

มันงมงายกันหนักมากเพราะศาสนาพุทธชาวพุทธได้เสื่อมไปมากในยุคนี้ อาตมาพูดย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ทีว่ามันเสื่อมจริงๆงมงายกันไปหนักเลย เห็นแล้วออกข่าวคราวกันเจ้านั้นเจ้านี้อย่างโน้นอย่างนี้ เกี่ยวกับจิตวิญญาณเกี่ยวกับอะไรต่ออะไรก็โอ้โหเป็นผีเป็นสางเป็นนรกเป็นสวรรค์อะไรต่ออะไรงมงายกันหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ อาตมาทำสุดเก่งแล้วนะ ไม่ได้ออมมือเลย ก็พยายามทำอย่างนี้แหละทำอย่างที่อาตมาทำพยายาม ใครเห็นว่าอาตมาทำนี่ดีก็มาช่วยกันทำอย่างนี้แหละช่วยกัน ถ้าใครคิดว่าถูกต้องถือว่าอาตมาถูกต้องก็พาทำได้เต็มที่ประมาณนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 14:47:23 )

ทำให้ดูดีกว่าพูดให้ฟัง

รายละเอียด

พลังงานจิตวิญญาณ พลังงานแรงงาน พลังงานพฤติกรรมของคนจะมีแรงออกที่คนเขารับได้ คนที่เอาแต่พูดเยอะมาก แล้วก็เป็นสงครามวาทกรรมภาษาเยอะมากเสียเวลาแรงงาน ทุนรอน เสียไปจากภาษา แต่คนที่พูดที่เสียมากคือ เขาไม่ได้ทำตามที่เขาพูด ดีไม่ดีทำกลับกันจากที่เขาพูดด้วย อันนี้เยอะ อาตมาว่า ถ้าจะพยายามตรวจสอบตัวเอง สำนึกว่า เราพูดกับเราทำ เราพูดแล้วเราทำไหม น่าจะตรวจสอบ ถ้าพูดแล้วก็ทำ สมควรจริงๆ ทำตามสมควรจริงๆ คนที่ไม่ต้องพูด เอาแต่ทำ ทำมากกว่าพูด ในประเทศไทย อาตมาเห็นคือในหลวงร.9 ทำ ท่านตรัสน้อย พูดน้อย ทำตลอดพระชนม์ชีพ 70 ปี ที่ทรงงาน นี่สุดยอดของตัวอย่างเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 10:22:56 )

ทำให้ตัวเองมีชีวิตเป็นพีชนิยาม

รายละเอียด

ก็ทำตัวเองให้สลายตัวตนได้ สลายธาตุจิตนิยามเป็นอุตุนิยามได้ แม้ไม่ถึงขั้นอุตุนิยามมันจะมีขั้น พีชนิยามก็คือกระทำ กรรมนิยาม ก็กระทำ ทำให้ตัวเองมีชีวิตเป็นพีชนิยาม

พีชนิยาม ปรุงแต่งกันเป็นอภิสังขารชนิดหนึ่ง อุตุนิยาม ก็เป็นอภิสังขารชนิดหนึ่งเข้าใจสังขารทั้งหมดเลยแล้วก็กระทำได้ ผู้เป็นอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม และคงไว้ซึ่งจิตสะอาดบริสุทธิ์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2565 ( 13:00:05 )

ทำให้ปรากฏขึ้นหรือทำให้หายไปก็ได้

รายละเอียด

ปรากฏขึ้นทำให้ปรากฏขึ้นหรือทำให้หายไปก็ได้ เขาก็แปลว่า หายตัว นั่งอยู่แล้วก็ทำให้ไม่เห็นตัวได้ ก็เป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องเล่นกล นี่อะไรให้ปรากฏ ก็คือ คนที่มีกิเลส ทนโท่ ปรากฏอยู่ก็ทำให้หายไปได้ โลกุตระที่ไม่มี มันหายไปแล้ว ก็ทำให้ปรากฏขึ้นมาได้ โลกุตรธรรมมันสูญหายไปแล้วก็สร้างขึ้นมาได้อีก 

โลกียะ ที่มีอยู่ในตัวคุณเอาให้มันหายไป อย่างน้อยๆอบายมุขก็หายไป กามก็หายไป เป็นลำดับมา ก็ยืนยันได้ ก็คุณก็เข้าใจธรรมะเป็นลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เมืองไทยเป็นเมืองของพระพุทธเจ้า-โลกุตรธรรมจะช่วยโลกได้ 

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2564 ( 20:08:45 )

ทำให้พวกหลับตาสว่างได้ประเทศไทยจะรุ่งเรือง

รายละเอียด

คำว่าคู่ หรือเทวะ สอง ถึงต้องเรียนด้วยเทวะ เรียนด้วยภาวะคู่ หากไปเรียนด้วย 3 ตัวมาเทียบกันก็ได้ แต่ว่าคุณต้องเชื่อม2ได้ก่อน คุณจึงจะเก่งไปเทียบ3 เทียบ4 ได้ หากคุณเทียบ 2 ไม่เป็นยังแยก 2 ไม่ออกแล้วก็สอนให้นิ่งอยู่กับหนึ่งเดียว อย่าไปแตะอย่าไปแยกนะ คุณก็อวิชชาอยู่นิรันดร เทวนิยมอย่าไปแตะอย่าไปแยกนะ จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เป็นพระเจ้าคุณก็ไม่ให้แยก ขนาดใหญ่คุณก็ยังไม่ให้แยกแล้วคุณจะแยกเล็กได้เหรอ ที่เล็กละเอียดมากยิ่งขึ้นมันก็รู้ได้ยากกว่าใหญ่หยาบ มันทำไม่ได้หรอก คุณต้องทำหยาบมาก่อนละเอียด 

พวกที่ไปหลับตาไม่มีหยาบภายนอกเลย ตัดประตูเป็นอรหันต์เลย ตัดประตูอรหันต์ ไม่มีทางจะเป็นอรหันต์ได้เด็ดขาดเลย หลับตาปฏิบัติ ถ้าอาตมาทำให้พวกหลับตาสว่างได้ในเมืองไทย ประเทศไทยจะรุ่งเรือง ประเทศไทยจะเจริญ พระพุทธเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด 

ง. หทยรูป 1 = 12.หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป   

จ. ชีวิตรูป 1  = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส ขณะที่เป็นๆ มีชีวิต คุณต้องอ่านชีวิตของมัน อินทรีย์ของมัน เป็นพลังงานของชีวิต มันก็เป็นพลังงานที่อยู่กับชีวิตของคุณนั่นแหละ ชีวิตรูป พลังงานเป็นนาม ชีวิตเป็นรูป มันเกิดอาการอย่างไรก็รู้จักอินทรีย์ของชีวิต นี่คือรูปตัวนี้ เมื่อเรียนรู้ชีวิตรูปก็เรียนรู้แต่ละปริเฉท 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:53:57 )

ทำให้มันเป็นสัญญาที่ฉลาด

รายละเอียด

สัญญา มันเป็นธาตุกำหนดรู้กับธาตุความจำ ทำได้แล้วมันก็สั่งสม สัมผัสรู้แล้วมันก็จำ ทำได้หรือไม่ได้มันก็ยังจำ มันเป็นคลังเก็บสารพัดสำหรับสัญญา เก็บขยะ เก็บของเลอะๆเทอะๆ เก็บของโง่ๆ ก็เก่ง สัญญานี่

เพราะฉะนั้นเราต้องมา เรียนรู้ ทำให้มันเป็นสัญญาที่ฉลาด อะไรที่ไม่ควรเก็บก็ไม่ต้องจำ ยกตัวอย่างทุกวันนี้อาตมาไม่จำแม้กระทั่งว่า ชีวิตอาตมา อาตมาไม่เกี่ยว วันนี้ขี้หรือยังไม่ได้จำ พวกเรานี้ อาตมา ขี้ เขาก็จะถ่ายไว้ทุกที เอาไว้ดูแล้วก็ศึกษา 

เขาก็พอรู้ว่าขี้มันเป็นอย่างนี้แล้วไม่ค่อยดีนะ สังขารสุขภาพจะไม่ดีพอดูจากขี้ได้ ยิ่งทางจีนเขายิ่งรู้เยอะ หรือทางอื่นก็ศึกษา อันนี้ก็เป็นการศึกษาแล้วก็ใช้ประโยชน์ใช้ความรู้อาศัยพวกนี้บ้าง 

ขออภัยนะ ที่พูดเรื่องนี้มันเหมือนเน่าๆ แต่เป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตอาตมาก็มีอย่างนี้แล้ว ก็มีคนดูแลรับผิดชอบถึงขั้นนี้ก็ว่ากันไป

เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะเข้าใจในความเป็นสัตว์ 

สัตว์ที่ 1 สัตว์ที่ 2 สัตว์ที่ 3 สัตว์ที่ 4 สัตว์ที่ 5 เอา 5 สัตว์นี้ก่อน

สัตว์ที่ 1 ก็มาเรียนจากความหมาย คุณก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละ ทำกายของคุณให้มันได้ ตามที่เป็นสัมมาทิฏฐิ โดยที่คุณต้องศึกษาปฏิบัติด้วยการใช้สัญญากำหนดรู้ 

สัญญากำหนดรู้ กาย โดยมีตัวสำคัญมันประกอบด้วยก็คือเวทนา 

เวทนาเป็นตัวรู้สึก กายเป็นตัวอาศัย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มาเป็นเหตุภายนอกทางกายแล้วก็มารู้สึก แล้วคุณก็ยึดในสุขทุกข์ ยึดความโง่ยึดความฉลาด คุณฉลาดเป็นโลกุตระแล้วคุณก็ทำออก คุณทำกิเลสตัวที่มันโง่ ทำให้เกิดทุกข์เกิดสุข ต้องพูดให้มันครบของพุทธนะ มันต้องล้างทั้งทุกข์และสุข เพราะมันจะไปเข้าใจผิดว่าสุขอย่างหนึ่งทุกข์อย่างหนึ่ง 

ใช่ โดยภาษาสิริมหามายาภาษาคู่มันคือทุกข์กับสุข แต่สภาพมันอันเดียวกัน โง่ก็เป็นอายตนะ โง่มันเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันนามอย่างหนึ่งรูปอย่างหนึ่ง แต่คุณไม่รู้มันรวมเป็นอายตนะเลย 

อายตนะนี่คือฉลาด ตนะคือโง่ ตนะคือตน ตัวตน อายะคือประโยชน์ คือรู้ประโยชน์ รู้คุณค่า รู้ผล แต่ ตนะนี่มันก็ตื้อๆอยู่อย่างนั้น ตนะ เป็น Static ไม่ใช่ Dynamic ไม่ใช่ตัวรู้ มันเป็นตัวเป็น เป็นอย่างนั้นไม่รู้ตัวรู้ตน แต่มันก็เป็นอย่างนั้นของมัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกฯ#45 ราชธานีอโศก วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 10:19:54 )

ทำให้เกิดอัญญธาตุได้อย่างไร

รายละเอียด

ศาสนาพุทธดีก็เอาด้วยสุดดีเท่าไหร่ก็ดีเอาด้วย แต่มีอีกอันนึงก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ มันคนละอันกับดีชั่วนะ สุขทุกข์เป็นเรื่องของเวทนาโดยตรง หมายถึงอารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่แยกก็ไม่ฉลาดที่จะไปรู้ แต่มันไม่สามารถที่จะทำให้เกิดอัญญธาตุ ไม่สามารถทำให้เกิดความรู้โลกุตระได้ก็น่าเห็นใจ ต้องมาศึกษาศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระที่แท้จริงมีผู้รู้จริงเป็นสัตบุรุษ เป็นผู้รู้อยู่ในฐานะครูที่สอนถูกต้อง ต้องได้ยินจากคำอธิบายตัวเองไม่ได้ อย่างอาตมาเป็นสยังอภิญญา บอกตั้งแต่ต้นอาตมาไม่สยัมภู เป็นเจ้าของธรรมะเองไม่ได้ อาตมาแค่สยังอภิญญา แค่ปัจเจกระดับหนึ่ง ยังมีปัจเจกสัมมาสัมพุทธะที่สูงกว่าอาตมาอีก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:51:47 )

ทำให้เกิดเหตุปัจจัยที่ครบสมบูรณ์จึงจะได้ของที่ดี

รายละเอียด

สรุปแล้วชาติรัฐต้องมีมนุษย์ที่มีคุณธรรมอย่างนี้ ประเทศชาติต้องมีคุณธรรมอย่างนี้ ถ้ามีคุณธรรมในมนุษยชาติของแต่ละประเทศแล้วมนุษยชาติเรานี้มีโอกาส ต้องเรียกว่าโอกาสได้ขึ้นไปบริหารประเทศ ได้ขึ้นไปอยู่ในคณะทำงานเป็นหน้าที่เป็นผู้ที่รับผิดชอบประเทศ ประเทศก็จะเจริญยั่งยืนดีไปพัฒนาไปได้เร็วได้มากได้ไกล แต่เราไปบังคับไปบันดาลบันดลเอาไม่ได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยอาตมาก็ได้แต่ทำให้มันเกิดเหตุปัจจัย สำหรับอาตมานั้นบอกเลยว่าอาตมาเข้าไปเป็นพนักงานรัฐไปเป็นข้าราชการไม่ได้หรอก ถึงแม้สมมตินะที่มันเป็นไปไม่ได้ สมมุติเล่นๆ สมมุติว่าให้อาตมาไปเป็นนายกให้อาตมาไปเป็นรัฐมนตรี ให้อาตมาไปเป็นผู้อำนวยการ อาตมาไม่ไป เพราะอาตมาจะทำหน้าที่ทางนี้

 ถ้ามันเร็วได้ก็ดีแต่ไม่รีบร้อนจะเร่ง มันเป็นไปได้ด้วยเหตุปัจจัยที่ครบสมบูรณ์มันก็จะได้ของที่ดีไม่ใช่รีบจำบ่ม เผาให้สุกไม่ใช่ ดอกไม้มันจะบานมันก็บานของมันเอง คุณจะไปดึงกลีบของมันออกมามันก็หักหมด มันไม่ได้มันก็ต้องบานของมันเอง เท่าที่มันจะทำได้ ต้องให้มันเป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:28:19 )

ทำได้อย่างที่พูด พูดอย่างที่ทำได้จริงๆ 

รายละเอียด

ชาวอโศกมีจรณะวิชชาจริง และมีความรู้มีวิชาจริงจนออกมาเป็นความจริง เกิดอยู่ในตัวมนุษยชาติ ค่อยๆอธิบายกัน ในงานพุทธาภิเษกฯ ใครมีพระไตรปิฎกเล่ม 9 เอามาอ่านกัน อาตมาจะค่อยๆเอา 13 สูตรมาค่อยๆสรุปขยายความอธิบาย ยังไม่ละเอียดพอจะขยายโครงสร้างเป็นอิทัปปัจจยตาแก่กันและกัน ให้เข้าใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นงานเป็นหน้าที่ที่อาตมาจะพยายามทำความเข้าใจให้พวกเรารู้ซับซ้อนละเอียดลึกซึ้งเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่สำคัญยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะได้เอาไปประพฤติปฏิบัติให้แก่มนุษยชาติ ให้แก่สังคม 

สังคมคนไทยเราก็เกิดที่เมืองไทยก่อน ช่วยเหลือประชาชนคนไทยได้แล้วในประเทศชาติไทย แล้วก็ขยายไปสู่ต่างประเทศเขา เราไม่ได้หวงแหนความรู้ เราอยากให้ทุกคนได้ความรู้ที่เรารู้นี่แหละ เอาไปทำเลย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะไปหวงแหนริษยาอะไรกัน อยากให้เจริญๆ อยากจะให้ได้สิ่งที่เรารู้เราได้เราทำได้นี่แหละ พูดได้ทำได้เพราะรู้มา เพราะรู้อย่างจริงๆ รู้แล้วพูดได้ ทำได้ ทำได้อย่างที่พูด พูดอย่างที่ทำได้จริงๆ 

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นสุดยอดแห่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลหรือเป็นมนุษย์เป็นคน เหมือนทุกคน ชาวตะวันตก ชาวอเมริกันยุโรป ก็คนเหมือนกันหมดนั่นแหละ ชาวเอเชีย ตะวันออกกลางอะไรก็แล้วแต่ เป็นคนเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่ความรู้ที่จะมีของพระพุทธเจ้า มันมีอยู่ในย่านเอเชีย โดยเฉพาะโลกุตรธรรมมีอยู่ในประเทศไทย และกลุ่มที่นำขึ้นมาสถาปนาลงไปในยุคที่มันเสื่อมไปแล้วเป็นโลกุตรธรรม อยู่ในกลุ่มอโศกนี้เป็นตัวตั้ง นำพากันมาศึกษา และสามารถมีปฏิภาณปัญญา มีบารมีหรือมีภูมิธรรม มารู้ได้ มารับได้ แล้วเอาไปปฏิบัติจนกระทั่งเกิดมรรคเกิดผลได้จริง เอหิปัสสิโก เชิญมาดูได้ นี่ไม่ได้ท้านะ แปลเป็นภาษาสวยๆหน่อยว่า เชิญมาดู เชิญมาตรวจสอบความจริงได้ ถ้าพูดอย่างโอหังก็ท้าให้มาดูซิ ท้าให้มาดูได้เลย พูดอย่างโอหัง พูดอย่างหยาบอวดดี เพราะฉะนั้นเป็นความจริงที่เชิญมาดูมาสัมผัสได้ 

เพราะฉะนั้นในอนาคตต่อไป อาตมาก็ว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงมีความจริงพระทัย ของพระองค์พระพุทธเจ้า ท่านค้นหาความจริงจากความเป็นมนุษย์ จากความเป็นสังคม 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิแสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง พุทธศาสนาตามภูมิ  วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 18:58:07 )

ทำได้เองเป็นปัจจัตตัง จะรู้เองไม่ต้องมาเชื่อ

รายละเอียด

คุณได้แต่พยัญชนะก็เอาไปพูด ดีไม่ดีเอาไปหลอกเขา แต่ถ้าไม่หลอกก็พูดความจริงสื่อให้คนอื่นฟัง อย่างอาตมานี้ทำได้จริงๆก็พูดให้ฟัง ทำได้เองเป็นปัจจัตตัง จะรู้เองไม่ต้องมาเชื่ออาตมา

ทำอย่างไรจะรู้ ตั้งแต่โลกอบายมุข โลกหยาบ คนทุกคนมีโลกหยาบของตัวเองทุกคน คนที่มีบารมีก็ไม่มีโลกหยาบเหมือนคนอื่น คนที่ไม่มีบารมีก็ไปติดมันอย่างโลกเขา ก็ทำออกเป็นเนกขัมมะของคุณเอง มันมีอยู่ในโลกมันมีอยู่ในโลกอย่างทักษิณ ก็ใช้อำนาจเงิน อำนาจแห่งอำนาจจัดการเขา ยิ่งคุณไม่ใช่แค่ทักษิณ เป็นโดนัล ทรัมป์ อาตมายังไม่รู้เลยว่า คิมจองอึนกับโดนัลด์ทรัมป์ ใครใหญ่กว่ากัน คิมจองอึนเขาใหญ่ในที่เล็ก แต่โดนัลทรัมป์ใหญ่ในที่กว้าง ไปสร้างเขี้ยวเล็บคืออาวุธ เอาให้เก่ง เขาทำเท่านี้มีเท่านี้รวมกันเท่านี้ ทำอันนี้แหละไม่ต้องเอาไปเปลืองอย่างอื่น เพราะฉะนั้นของเขาคิมจองอึนไม่ค่อยมีอะไรมาก เครื่องแต่งตัวเขาก็ไม่หวือหวา เพชรนิลจินดาก็ไม่หวือหวา เขาเอาเงินมารวมกันสร้างอาวุธนี้เป็นหลัก ข่มมนุษยชาติให้มนุษยชาติกลัว นี่เป็นแนวคิดของเขา ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะเอาหมดเลยทั้งอาวุธ ทั้งทรัพย์สิน ทั้งพิมพ์ดอลลาร์ออกมา  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:34:08 )

ทำไปทีละคู่ก็จะรู้และเก่งมากขึ้น

รายละเอียด

อาตมาจำไม่ได้นะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเราก็เป็นชาวนา แต่ชาวนาของท่าน มีรายละเอียดเยอะ ซึ่งความจริงของสิ่งเหล่านี้มันเป็นสุดยอดแห่งความรู้ ที่พระพุทธเจ้าเอามาสอนให้คนฟังเอามาปฏิบัติ จนเป็นผลสำเร็จตามอย่างที่เราเป็นเราทำอยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ อธิบายไปมันก็จะวน แล้วก็จะค้าง ค่อยๆติดตามไปก็แล้วกัน ค่อยๆเก็บไปแล้วก็เรียบเรียงจะได้ครบ อันไหนที่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยรู้เรื่องก็ทิ้งไปก่อนอันไหนที่เรารู้เรื่องก็เอามาก่อนอันไหนที่เราจะเอาเข้าคู่กันได้ก็เอามาเข้าคู่กัน  แล้วเปรียบเทียบกันอันไหนจะเข้าคู่กันได้ไปด้วยกันด้วยดี หรือขัดแย้งกันไปด้วยกันไม่ได้ ก็เอามาจาก 2 เป็น 4 ก็มีมุมเพิ่มเป็นมิติต่างๆ อย่างไรเป็นไปได้ อย่างไรเป็นไปไม่ได้ ก็เอาที่มันเป็นไปได้ เรียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆขยายไปเรื่อยๆ หรือเปลี่ยนสี่แล้วก็เปลี่ยนเป็น 1 2 3 4 ใหม่ หรือจะเอาทีละ 4 ก็ได้ เก่งขึ้นก็เอาถึง 5 ก็มีต่างกัน จะมีคู่ 3 กับคู่ 2 ที่เป็น 5 ก็จะมีพลังงาน 2 จนกระทั่งเป็น 6 จนเป็นพลังงาน 3 เป็น 2 เส้า มันจะแย้งกันหนักจนกว่าจะมีตัวตัดสินขึ้นเป็น 7 ว่าจะเข้าพวกไหน 3 อันไหน มันก็จะฉลาดรู้ไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:12:47 )

ทำไม ปัญญาวิมุติ จึงสูงกว่า อุภโตภาควิมุติ

รายละเอียด

บุคคลที่มีปัญญาวิมุติอาสวะสิ้นแล้ว แล้ว อุภโตภาควิมุติ คือสองส่วน ก็เป็นวิมุติ เป็นวิมุติที่ อาสวะสิ้น เพราะงั้น ปัญญาวิมุติท่านสิ้นอาสวะตั้งแต่เป็นบุคคลระดับที่ 4 แล้ว สูงขึ้นไปเป็นระดับที่ 3 จึงจะมีวิโมกข์ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะวิมุติ 

แสดงว่า อุภโตภาควิมุติ คือ ศรัทธา ขึ้นไปรออยู่ตรงนั้นแล้วแต่ยังไม่มีปัญญาอันยิ่ง ต้องรอปัญญาอันยิ่งเข้าไปเป็น 2 จึงจะ อุภโตภาค จึงจะบรรลุอาสวะสิ้น ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแต่ในบุคคลที่ 4 ปัญญาวิมุตินั้น อาสวะสิ้นได้แล้ว  ดูแล้วเหมือนต่ำกว่า อุภโตภาควิมุติ แต่ไม่ต่ำ เพราะ อาสวะสิ้นแล้วเหมือนกันกับ อุภโตภาควิมุติ แต่คนเข้าใจความหมุนรอบเชิงซ้อน ความซับซ้อนอันนี้ไม่ได้ 

สัทธาที่ยังไม่มี อุภโตภาควิมุติ ไม่มีส่วนปัญญาเข้าไปเสริมต่อให้เป็นอันดับที่ 3 รออยู่แล้ว ถ้าไม่มีปัญญาเข้าไปเสริมอีกเป็น 2 ส่วน อาสวะก็สิ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น คำว่าถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่แหละเป็นตัวชี้บ่ง เป็นตัวกำหนดให้รู้ว่า ศรัทธาถ้าไม่มี ไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่มีทางสิ้นอาสวะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล 


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 11:44:32 )

ทำไม ส.ศิวลักษ์ กับ วีระ สมความคิดจึงไปคนละทางกับพ่อครู

รายละเอียด

มันก็เป็นคนละคน ส.ศิวลักษ์ วีระ กับโพธิรักษ์มันคนละคน มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ 2 อย่างมันก็คนละอย่าง แล้วยิ่งมันมีทัศนคติก็ดี มีอะไรต่ออะไรเป็นองค์ประกอบในการคิดการศึกษาในการสะสมความจริง มันไม่เข้าร่องเข้ารอย ถ้ามันเข้าร่องเข้ารอยมันก็จะมาด้วยกัน ทีนี้คุณก็อาจจะมีประเด็นถามว่าแล้วใครถูกใครผิดล่ะ ส.ศิวลักษ์ โพธิรักษ์ วีระ ใครถูกใครผิด อันนี้แหละเป็นสุดยอดเลยที่พระพุทธเจ้าท่านให้อิสรเสรีภาพ คุณต้องพึ่งตนเองแล้วคุณต้องศึกษาของ ส.ศิวลักษณ์ ของวีระ ของโพธิรักษ์ เห็นอันใดดี เป็นธรรมวาที คุณก็เอาอันนั้น นี่คือการตัดสินของพระพุทธเจ้า สุดท้ายเลยนานาสังวาส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2ตอน 4

วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 16:02:02 )

ทำไมcovid ทำอะไรชาวอโศกไม่ได้ 

รายละเอียด

ทันสมัยนะนี่ จะว่าพวกเราไม่ทันสมัยไม่ได้ มาไข ความตรงนี้วิจัยตรงนี้นิดหน่อย ทำไมโควิดทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่ใช่ง่าย แต่ทำไมพวกเราทำได้ 

เรื่องนี้เป็น อจินไตย เราอย่าไปท้าทาย สํานวนไทยโบราณบอกว่าทำแล้วพระจะคุ้มครอง แต่ของพระพุทธเจ้าบอกว่า ธัมโมหเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมรักษา อย่างอาตมามาทำงานศาสนาถ้าหากอาตมาไม่มีธรรมะรักษา ป่านนี้แหลกเป็นขี้เถ้าไปแล้ว จริง ที่ว่าแหลกเป็นขี้เถ้าเพราะว่าอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:14:46 )

ทำไมกษัตริย์ถึงมีทศพิธราชธรรม

รายละเอียด

 ฟังประเด็นนี้ต่อดีๆ ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์ และมีระบอบ แม้ว่ากษัตริย์ไม่มีนายก ก็ไม่เป็นไร เพราะมีทศพิธราชธรรม 

ทำไมกษัตริย์ถึงมีทศพิธราชธรรม เพราะสังคมกษัตริย์จะต้องมีกฎมณเฑียรบาล ผู้ที่อยู่ในพระประยูรวงศ์ของกษัตริย์ ดูทุกประเทศ ประเทศอังกฤษ ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ จะต้องมีกฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาล คือกฎระเบียบที่จะต้องฝึกตน ฝึกตนเป็นคนดี มีทศพิธราชธรรม ไม่ใช่ภาษาพูดเฉยๆ ต้องปฏิบัติตนให้มีทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ดีที่ประเสริฐ เช่น ความไม่โกรธ ความมีศีลต่างๆนานา มีความอดทน เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์

วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 11:55:55 )

ทำไมกังวลกับมันมากมายจะตายเมื่อไหร่

รายละเอียด

คุณจะตายเมื่อไหร่ คุณทำไมไปกังวลอะไรกับมันมากมาย ต้องรู้จักความเป็นอยู่ของตนเองก็อยู่อย่างเป็นสุขสิ อาตมาก็อยู่ก็หนึ่งวินาที น้อยกว่าหนึ่งวินาทีด้วย ก็มีความสุข 1 วินาที เหตุการณ์เขาจะทะเลาะวิวาทอะไรกัน ไปยุ่งกับเขาทำไม อาตมาไม่ยุ่ง สบายมากปกติหายห่วงไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 21:38:13 )

ทำไมคนชอบกินเนื้อสัตว์

รายละเอียด

เพราะว่าคนยังโง่ ก็เลยชอบในสิ่งที่โง่สิ่งที่ไม่เจริญ คนไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ฆ่าสัตว์นี้เป็นคนเจริญ การไม่ฆ่าสัตว์แต่ยังกินเนื้อสัตว์ก็เจริญมา 1 ขั้น เมื่อไม่กินเนื้อสัตว์อีกก็เจริญขึ้นอีก ยิ่งถ้ามีจิตเอ็นดูสัตว์ก็เจริญขึ้นอีก ยิ่งหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ก็เจริญไปตามคำสอนพระพุทธเจ้า และควรอยู่กับสัตว์กับโลก ร่วมสร้างความเจริญสร้างสรรกันไป โดยเฉพาะอยู่กับคนที่ใกล้ชิดกับเรา มีเยอะแยะ แม้ไม่เจตนาคนก็เอามาเกี่ยวข้องปนกัน

เอามาเกี่ยวข้องถึงขนาดเลี้ยงไว้เพื่อฆ่ากิน คนหนอคน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ยังค้าขายเนื้อสัตว์จะเป็นโสดาบันได้ไหม


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:46:03 )

ทำไมคนต้องสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่ากัน

รายละเอียด

ใครจะไม่ฆ่าสัตว์ตลอดชีวิตยกมือขึ้น ...ยกมือ…

พวกเรามั่นใจ แล้วจะไปฆ่าเขาทำไม เพราะเรารู้จักวิบาก รู้จักความดีความไม่ดีเป็นสมมุติ ยิ่งปรมัตถ์แล้วก็ยิ่งไม่ทำบาป แต่นี่คนทำไมต้องสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่ากัน อาวุธที่สร้างไม่ได้หมายจะฆ่าสัตว์ คนอุตริเอาไปยิงหมีขาวหมีดำ แต่ที่จริงมันสร้างมาฆ่าคน เป็นเรื่องเลวร้าย คนเราทำร้ายกันไม่ต้องถึงกับเอาอาวุธทำร้ายกันแค่มือไม้ทำร้ายกันก็แย่แล้ว แต่นี่มีจิตใจที่สร้างอาวุธเพื่อจะฆ่าคน มันไกลแสนไกลจากพระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนให้ห่างไกลคนพาล ร้อยโยชน์พันโยชน์​ ได้เป็นดี

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

 สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีที่ไหนในพระไตรปิฎก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:38:46 )

ทำไมคนมุ่งหมายที่จะไปโง่และชั่วด้วยการเอาเปรียบ

รายละเอียด

จะทำอย่างไรให้คนมีความรู้และยอมเสียสละเหมือนพวกเรา  เสียสละมันไม่ได้ชั่วเอาเปรียบมันชั่วทำไมคนถึงโง่ไปเอาอย่างนั้น มองเห็นในโลก ทำไมคนมุ่งหมายที่จะไปโง่และประพฤติปฏิบัติชั่วอย่างนี้ เอาชูชกมาเป็นเครื่องบูชา ชูชกก็ยังไม่รุนแรง ตะกละอย่างเดียวไม่ใช่เล่เหลี่ยมมากมายตะกละอย่างเดียว แต่คนทุกวันนี้เป็นชูชกด้วยแล้วมีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนที่จะเอาเปรียบคนอื่นอย่างไม่ให้เขารู้ตัวแล้วหลงผิดด้วยว่า เอ็งจะได้ แต่ที่จริงเอ็งถูกปอกลอกล้วงตับกินไส้ นี่คือความฉลาดเฉโกของคนที่สร้างระบบวิธีกฎเกณฑ์แบบนี้อยู่ตลอดเวลา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บริหารแบบคนจนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 20:23:13 )

ทำไมคนเราต้องปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

ต้องเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร รู้ไหม ธรรมะเป็นของดีหรือไม่ดี ..ดี หากเราปฏิบัติให้เป็นธรรมะมันดีไหม...ดี เพราะฉะนั้นคนจึงต้องปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติคืออะไรรู้ไหม? ...เริ่มรู้...แล้วเราปฏิบัติคืออะไร?

ปฏิบัติตัวเองไหม ...เป็นบ้าง ปฏิบัติแปลว่าทำ เราทำตนเอง ทีนี้ทำตนเองให้เป็นธรรมะ ธรรมะคือของดี ก็ปฏิบัติให้ตนเองให้เป็นคนดี เด็กเข้าใจแล้วแต่ผู้ใหญ่จะเข้าใจหรือยัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน ทำไมคนเราต้องปฏิบัติธรรม วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม  2561

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:17:09 )

ทำไมคนเราต้องเกิดมามีกิเลสด้วย

รายละเอียด

ฟังให้ดีๆ กิเลสนี่คือความโง่ของสัตว์โลก สัตว์โลกคือตั้งแต่เกิดเป็นสัตว์เซลล์เดียว แล้วก็จนกระทั่งพัฒนาขึ้นมาเป็นสัตว์ที่โตขึ้น โตขึ้น โตขึ้นเป็นตัว เป็นตน เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเป็นแมลงหวี่ เป็นไส้เดือน กิ้งกือ อะไรมาเรื่อย จนกระทั่งเป็นสัตว์ 2 ขา 4 ขา สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ปีก อะไรต่ออะไรมา จนกระทั่งมาเป็นคน เป็นคนก็ยังเป็นคนที่ยังโง่ๆเง่าๆ ยังไม่ได้เจริญกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าไหร่ จนเจริญกว่าสัตว์เดรัจฉาน เจริญกว่าลิง เป็นต้น เจริญขึ้นๆมาเป็นคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:01:08 )

ทำไมคนเราถึงต้องโกหก

รายละเอียด

แล้วหนูเคยโกหกหรือเปล่า…(เคยค่ะ) ทำไมไม่ถามตัวเอง ถามตัวเองแล้วจะได้คำตอบ น่า คำตอบคือ เดี๋ยวหลวงปู่จะบอก คำตอบคือเราจะต้องโกหกทำไม ก็คือว่า เราอยากได้สิ่งนี้มาก เราอยากให้คนเข้าใจตามที่เราพูดนี้ แม้รู้ว่าโกหกคือพูดไม่ตรงกับความจริง แต่ใจเราอยากให้เขาเข้าใจ ตรงตามที่เราต้องการ เราก็เลย พูดอันนั้นออกไป คำพูดอันนั้นจึงเป็นคำโกหก เข้าใจไหมนี่?ทั้งๆที่รู้ว่าคำโกหกเป็นคำไม่จริง แล้วคนที่แสดงสิ่งที่ไม่จริงออกมาทั้งๆที่รู้คือคนหลอกคนอื่น คนหลอกคนอื่น คนไม่จริงนี่ดีหรือไม่ดี …ไม่ดีใช่ไหม ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว อย่าโกหก ที่หลวงปู่บอกว่าอย่าโกหกมันดีทั้งในชีวิตประจำเป็นปัจจุบันนี้มันเป็นสิ่งประเสริฐ มันดีทั้งวิบาก ผลสั่งสมเป็นวิบากกุศลติดตัวเราไป ตกนรกหมกไหม้ไม่เข้าท่า อันนี้ศาสนาพุทธรู้จักจึงไม่โกหก โกหกแล้วจะบอกว่าเราไม่ทำบาปนี้แล้ว บอกว่าเราไม่ได้ทำไม่ได้ โกหกก็ต้องได้บาป คนเราก็ต้องกลัวบาป คนไม่กลัวบาปเป็นคนประมาท ก็ได้บาป เพราะฉะนั้นอย่าทำ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 14:55:18 )

ทำไมคนเรามีการพัฒนาตัวเองในทางผิด

รายละเอียด

คนโง่มันมีมวลมาก ความโง่หรือว่าความไม่ถูกต้องมันมาก คนจะหลุดพ้น คนจะรอดจากทุกข์ จากความลำบาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็เคยพูดมาไม่รู้กี่ทีว่า พระพุทธเจ้านี้เรียนรู้แต่ละชาติแต่ละชาติ เป็นโพธิสัตว์นี่ อย่างหลวงปู่นี่พูดในฐานะโพธิสัตว์เลย แต่ละชาติเกิดมานี้จะมาเรียนรู้คนกับสังคม เหมือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วก็จัดการคน ที่มีเหตุคือกิเลสนี่แหละเป็นตัวหลักใหญ่เลย ให้ลดกิเลส มันจะรู้ทั้งสมมุติสัจจะที่เป็นความดีความชั่ว แล้วพุทธจะรู้ทั้งจิตที่รู้สุข รู้ทุกข์ ที่เป็นโลกุตระ ดีชั่วเป็นโลกียะ 

เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้สมมติตามโลก ดีชั่วมันจะไม่เที่ยง มันจะสมมุติตามหมู่ตามคณะตามแต่ละสังคมประเทศชาติ สมมุติอย่างไรดี สมมุติอย่างไรไม่ดีมันไม่ตรงกันทีเดียว คล้ายกันแต่ว่าไม่เหมือนกันทีเดียว ไม่เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าประเทศไหนไม่เหมือนเป๊ะหรอก ใกล้เคียงกันแท้ๆก็ยังไม่เหมือนกัน ยึดถือต่างกัน 

อย่างไทยกับลาว ไทยกับเขมร ก็มีเหมือนกันแต่ต่างกันอยู่ในนัยยะ อย่างนี้เป็นต้น ดีไม่ดีนับถือศาสนาพุทธเหมือนกันอะไรอย่างนี้  ซึ่งมันก็ต่างกัน ก็ต้องมาเรียนรู้ความต่างพวกนี้ มันยึดต่างกัน 

เพราะฉะนั้นกิเลสมันมีนัยยะที่ต่างนี่แหละ มันลำบาก โพธิสัตว์จึงเรียนรู้ความแตกต่างของกิเลสในมิติแต่ละมิติ แต่ละประเด็น แต่ละแง่ แต่ละเชิงแต่ละมุม หนักหนาสาหัสแล้วก็มาช่วยกันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาให้ปัญญาค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ พุทธศาสนาตามภูมิ 

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 05:05:16 )

ทำไมคนเราไม่ค่อยลดกิเลส

รายละเอียด

ที่นี่เด็ก 6 ขวบก็ถามปัญหาอย่างนี้ได้ ทำไม แสดงว่า ประโยคคำถามพวกนี้ มีความหมายนะ ทำไม คนเราไม่ค่อยลดกิเลส แสดงว่ารู้ว่าคนต่างๆ ทำไมเขาไม่ค่อยลดกิเลส เพราะรู้ว่าเขามีกิเลส แล้วไม่ลดกิเลส

หลวงปู่ก็ตอบให้ฟัง คนที่ไม่คิดจะลดกิเลสคือคนไม่ต้องการความเจริญทั้งนั้น แม้จะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้านับถือพระพุทธเจ้า เทิดทูน แต่ไม่เอาถ่าน คนนี้หมดทางเจริญ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ยังค้าขายเนื้อสัตว์จะเป็นโสดาบันได้ไหม


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:42:36 )

ทำไมคนไม่เบื่อกินเหล้า

รายละเอียด

คนกินเหล้าทำไมไม่เบื่อเพราะมันโง่ จะโง่ดักดาน กินเหล้าแล้วก็ไม่เบื่อ ..เขาพยายามนะ พยายามที่จะไล่เลียงลิสต์โทษภัยของการกินเหล้า กินแล้วจะทำเลวทำชั่วไม่ดีไม่งามอย่างไร มาเป็นหน้ากระดาษเลย กินเหล้าพาให้เสียหายตั้งเท่าไหร่ๆๆ มันทำชั่วได้มหาศาล จะมองในแง่ดี มันก็เป็นยาบ้างเล็กน้อยหากกินพอเหมาะพอดี แต่ส่วนมากเขากินกันไม่พอเหมาะพอดีเขากินกันอย่างงมงายมันก็เสีย ไม่เบื่อ ตอบได้คำเดียวว่ามันโง่ ดื่มเหล้าเบียร์วันนี้ตายฟรี ด้วย 3 โรคร้าย แค่นี้น้อยไป มีเป็น 100 100 โรค เลิกได้เป็นดีที่สุดอย่าไปโง่ต่อเลยกินเหล้า ยิ่งแหม คอแข็ง คอทองแดงกินไม่รู้จักเมา นั่นแหละตัวดี 

ถ้าเผื่อว่ากินเหล้าแค่นี้ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เลวทราม อาตมาว่าก็ยังยากคนนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 14:15:13 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์