@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ไม่เหมือนกัน แต่อยู่รวมกันให้ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงถือว่าไม่เที่ยง แม้แต่รูปวัตถุการเป็นอยู่ก็ไม่เที่ยง จิตวิญญาณของมนุษย์ก็ไม่เที่ยง ละเอียดยิ่งกว่าวัตถุมันต้องเป็นเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความไม่เที่ยงสมบูรณ์แบบแล้ว มันก็มีแตกต่างกันไป ไม่เที่ยงก็ไม่เหมือนกันหรอกไปอยู่รวมกันให้ได้ก็แล้วกัน รวมกันแล้วเข้ากันได้ สร้างประโยชน์ สร้างสิ่งที่อาศัยใช้กินอาศัยในชีวิตเป็นเครื่องอาศัย ไปตั้งแต่วัตถุหยาบไปจนกระทั่งถึงนามธรรมถึงจิตวิญญาณ สบาย ก็อยู่มีชีวิตไปจนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเด็กๆ เข้าใจไหม ว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานคืออะไร ใครเข้าใจยกมือ ไม่เข้าใจเพียงคนเดียว 

(ดูแลกับแน่น เข้าใจอยู่ 2 คน)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ วันอังคารที่ 11 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:17:13 )

ไม่เหลือโลกุตรธรรมในพุทธกระแสหลักส่วนมาก เพราะหลงเสพโลกธรรม

รายละเอียด

ก็คือส่วนใหญ่กระแสหลัก ชาวพุทธส่วนมากไม่เหลือโลกุตรธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ไม่ได้หลงเสพ หลงเสวย หลงไปปกครอง หลงไปมีแบบโลกธรรม ที่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ได้ไปงมงาย หลงเสพ หลงสะสม หลงแย่งชิง หลงไปมีไปครอง อะไรต่ออะไร เหมือนคนจะไปร่ำรวยแบบโลกีย์กันอย่างนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:42:47 )

ไม่เห็นกิเลสอย่างถูกตัวถูกตนจึงลดกิเลสไม่ถูกต้อง

รายละเอียด

เพราะไม่เห็นกิเลสตัวเองอย่างถูกตัวถูกตนของกิเลส มันจึงลดกิเลสไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นสัจจะ มันต้องอ่านให้ออก อย่าไปขี้ตู่ด้วยกิเลสตัวเอง เอาแต่กิลสด้วย อย่าไปเอาจิตของตัวเองมาร่วมด้วย ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์อย่างละเอียดลออ วิจัยธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม วิจัยให้ดีๆ เมื่อเจอกิเลสก็ฆ่าแต่กิเลส 

ปัญญาที่มันรู้แท้ๆ นี่แหละ ธาตุรู้ที่มันรู้เป็นภูมิเป็นปัญญาอันยิ่งนี้แหละ พอกิเลสมันเห็นหน้าปัญญา อย่างที่อธิบายแล้วในมารสังยุต (พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 416-424 มารสังยุต) ก็ขยายความยากอยู่เหมือนกัน 

พอมันเจอหน้า สรุปง่ายๆ ก็คือ ตัวโง่มันเจอตัวฉลาด หรือตัวโง่มันเจอตัวปัญญา ตัวโง่มันถอย คุณคิดได้ เข้าใจได้ ไอ้โง่มันเจอกับปัญญา คุณจะเอาปัญญาหรือคุณจะเอาโง่ คุณก็เอาปัญญา ไอ้โง่ก็ถอย ไม่มีใครหรอก สามัญสำนึกธรรมดา โง่มันไม่สู้ปัญญา มันเจอปัญญามันวิ่งหนีทันที หายวับไป มันเป็นธรรมชาติเป็นธรรมฤทธิ์อาตมาใช้คำว่า ธรรมฤทธิ์ มันเป็นพลังงานที่เหนือชั้นกว่ากันอย่างชัดเจน 

เพราะโง่มันเจอหน้าปัญญา มันถอย มันจะไปสู้ได้อย่างไร โง่มันก็ต้องรู้ตัว ก็มีแต่ไอ้ดันทุรังจริงๆ โง่แล้วก็ไม่ยอมรับว่าโง่ เช่น ทักษิณ เป็นต้น ไม่ยอมรับว่าตัวโง่เลย ถ้ายอมรับว่าตัวโง่บ้าง จะเจริญทันที 

คนที่รับว่าตัวเองโง่ รู้ว่าเออ เราโง่ก็โง่จริงๆ จริงขนาดไหน เขาก็ยังหลงว่ามันไม่จริง ไม่ได้โง่ ไม่ได้ผิด ไม่ได้ด้อยอะไร ฉันต้องถูกฉันต้องจริง นี่เห็นชัดเจนเลยตัวอย่างเห็นไหม ที่เป็นตัวอย่างอยู่นี้ แล้วก็หาทางยิ่งโง่ซ้อนโง่ ซ้อนโง่ลึกซึ้งซับซ้อน หลงว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ ตัวเองเก่ง ตัวเองไม่มีการแพ้ มีแต่ชนะๆๆๆ โอ้โห! มันซับซ้อน..เฮ้อ! 

ไม่มีตัวอย่างอันใดที่จะเห็นชัดเจนเท่านี้อีกแล้วในประเทศไทย ประเทศอื่นจะมีอย่างนี้ขนาดนี้ไหมหนอไม่เท่าทักษิณ นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ต้องอ่านให้เต็มต้องเรียกเขาให้เต็ม ตามพระราชกิจจานุเบกษาบันทึกไว้หมดแล้ว นักโทษชายเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร โอ้โห.. นาย ก็ยังไม่ได้เป็นอย่าว่าเป็นถึงด็อกเตอร์เลย นายก็ไม่ได้เป็น พันโทก็ไม่ได้เป็น แต่ได้ article ใหม่ว่า เป็นนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นี่เขาก็ไม่พยายามสำนึก 

คำว่า สำนึก นี้อีกคำ ถ้าใครมีสำนึก สำนึกในความไม่ดีของตนเองได้ชัดเจน คนนี้จะเจริญๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย สำนึกเพราะว่าจะต้องเป็นความจริงว่าเรานึกถึงอันนี้แล้ว โอ้โห! นี่เราผิดนะ อันนี้อาตมาก็นึกถึงมีคนหนึ่งเป็นด็อกเตอร์เหมือนกัน อาตมาตั้งชื่อให้เขาว่า “สำนึก” เขาก็ซัดอาตมาเลยว่า ผมผิดอะไรมาตั้งชื่อผมว่า “สำนึก” โอ้โห! อาตมาก็เลยเปิด พอแล้วสำหรับคนนี้ ผมผิดอะไรมาตั้งชื่อให้ผมว่า สำนึก ก็เลย เอาๆ เอาเถอะ อาตมาก็เลยเห็นว่า จริงๆ แล้วชื่อของเขาก็คือ “ไม่สำนึก” นั่นแหละ ชื่อของเขาก็คือไม่สำนึก มันก็จริงๆ นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพบอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จุดสำคัญที่สุดในสัจธรรมของพุทธคือสุข-ทุกข์ วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 10:45:02 )

ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ ไม่เหลือวิญญาณ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้ามารู้ความจริงว่า ทุกข์กับความสุขมันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นคู่เทวะ 2 จิตวิญญาณนี้เป็นเทวะ จิตวิญญาณเป็นคู่ จิตวิญญาณเป็นอยู่ในวิญญาณของคนโง่ ท่านฆ่าจิตวิญญาณ ฆ่าเทวะ ฆ่าสุขฆ่าทุกข์หมดเลย ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ จบ ไม่เหลือวิญญาณ ไม่เหลือเทวะ ไม่เหลือธาตุรู้ที่จะไปหลงภพสุข ภพทุกข์ ภพสวรรค์ ภพนรก ไม่มี จบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:17:02 )

ไม่เอาอาวุธไปต่อสู้

รายละเอียด

ประเด็นก็คือคนที่เขาเห็นคนไม่ร้ายตอบเขาก็จะละอาย เขาจะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีการทำร้ายตอบคนที่ทำร้ายคนที่ไม่ทำร้ายตอบนั้นเป็นคนเลวร้ายจริงๆ เราทำอยู่ในเมืองไทยเป็นสงครามในเมืองไทย เป็นการรบระหว่างรัฐบาลกับประชาชน พวกเราอยู่ในหมู่ประชาชนรบกับรัฐบาลทรราช ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนไทย เขาจะเป็นหัวหน้าร้ายกาจก็ตาม แต่ลูกน้องก็ไม่ร้ายกาจตามหัวหน้า แล้วจะมีลูกน้องที่เป็นคนดีอยู่ในนั้นด้วย แสดงถึงค่าเฉลี่ยรวมแล้วคนไทยดีขึ้น มีหัวหน้าของหัวหน้าอีกทีที่เลวร้าย คนไทยโดยทั่วไปแล้วไม่ได้เลวร้ายเหมือนหัวหน้า เดี๋ยวนี้มันก็เลยเป็นการยืนยันที่อาตมาพิสูจน์ได้ว่า ความเลวร้ายของมนุษย์มันก็อย่างหนึ่ง มันจะมีจริงหรือไม่เป็นจริงมากน้อย เราก็ดูความจริงตามสิ่งที่แสดงออกที่ปรากฏ อาตมาก็เก็บเอาความจริงเหล่านี้มาทำงานไป ยิ่งภูมิใจว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่ดี แล้วก็ขอบอกไว้ว่า เมืองไทยเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่เป็นประชาธิปไตยไทย ประชาธิปไตยของชาติอื่นก็เป็นอย่างนี้ แต่นี่ของเราแบบไทยหนึ่งเดียว นี่แหละคือลักษณะประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลกอาตมาขอยืนยัน ในระบบการสืบทอดสันตติวงศ์ของเมืองไทย เอามาจากศาสนาพุทธ ที่สืบทอดกันมายังมีแก่นแกนความถูกต้อง จะผิดบ้างถูกบ้างก็แล้วแต่ ประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นประชาธิปไตยแบบพุทธ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซีวิต ที่บวรปฐมอโศก ครั้งที่ 65 วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 16:37:23 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 07:44:57 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:18:52 )

ไม่เอาเวลาแรงงานทรัพย์สินมาเสียสิ่งไร้สาระ

รายละเอียด

ความเสีย คือ 1. เสียเวลา 2. เสียแรงงาน 3. เสียทรัพย์สินเงินทอง เวลาทุกคนมีเท่ากัน เสียเวลาแรงงานของตัวเอง เอามาเสียกับสิ่งไร้สาระ เหมือนอย่างอาตมาว่าไปเสียเวลาอยู่ตั้ง 36 ปี พวกคุณก็เสียเวลากับเรื่องของพวกคุณไป เสียเวลาเสียแรงงาน เสียทุนรอนเสียไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินทางวัตถุและแรงงานความคิดแรงงานทางกาย เสียสิ่งเหล่านี้ไปเปล่าๆ ไม่เข้ายาเลย หลายคนมาตั้งแต่อายุน้อยๆค่อยมาตั้งแต่อายุ 20 ยกมือขึ้นซิ (มีหลายคน) เคยมาตั้งแต่อายุ 30 (หลายคน) ป้าเข่งบอกว่า มา 27 อยู่จน 70 สู่แดนธรรมมาตั้งแต่ 24 ตอนนี้ 56 ปี แล้ว แต่ละคนมาแล้วอยู่กัน 20 ปี 30 ปี 40 ปี ถามย้อนกันไปนิดนึง ก่อนคุณจะมาที่นี่ คุณคิดว่ามันจะเลยเถิดมาเป็นอย่างนี้ไหมแรกๆที่มา อาตมาว่าไม่คิดนะ แต่อาตมามาทางนี้ อาตมาไม่เคยคิดอย่างที่พวกคุณสะดุด อาตมามั่นใจว่าไปทางนี้แน่ๆไม่คดโค้งเลย แต่พวกคุณยังไม่ปักใจอย่างอาตมา แต่เมื่อมาแล้วยังไงๆ ถอนไม่ขึ้นแล้วไม่ไปไหนแล้วใครตั้งใจว่าจะให้อาตมาเผาอยู่ที่สุดชีวิต เมรุสุดชีวิต 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:34:44 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:01:59 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:20:08 )

ไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่ไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูดนี่ จึงยากที่จะจบกิจ อาตมาพาพวกเรา พวกคุณก็เป็นคนเหมือนอย่างคนอื่นในโลก มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็สบาย จบกิจทั้งเศรษฐศาสตร์ จบกิจทั้งทางรัฐศาสตร์ ทั้งทางสังคมศาสตร์ อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดโม้คุยโต เพ้อเจ้ออะไรแต่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงที่อาตมาภูมิใจที่ทำจนถึงวันนี้แล้ว มีผลสำเร็จได้จริงไม่ใช่โม้ แต่มันก็มีจำนวนน้อย 

แต่จำนวนน้อยก็ทำไงได้ คนที่สามารถรับรู้ความเข้าใจความรู้อันนี้ได้ก็มีความรู้เท่านี้ อาตมาก็ประกาศโฆษณา โทรทัศน์ก็ไม่เปิดฟังกัน เห็นนะไม่ใช่ไม่เห็น แต่ไม่เอา ไปฟังอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ที่ไม่ได้พาเจริญอย่างนี้ อาตมาจะไปบังคับเขาได้อย่างไร  

ขนาดนี้อธิบายไปทางนี้เขาก็หาว่าโฆษณาตัวเองอยู่นะ ซึ่งมันเลี่ยงไม่ออกพวกนี้ ของดีก็ต้องโฆษณาก็เคยพูดแล้ว ต้องบอกกันของดีๆ ไม่บอกกันก็จะอย่างไร กลายเป็นคนใจโหดใจดำ ของดีๆ แล้วคุณก็ไม่บอกคนอื่นบ้าง มันจะเจริญอย่างไรสังคม 

แก้ปัญหาแบบโลกียะนั้น ซึ่งมันก็แก้ปัญหากันไป ดูดีได้ก็ไม่นาน “ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนมั่นคงถาวร”สำเร็จเสร็จจบกันเด็ดขาดได้เลย เพราะมัน“ไม่แก้ปัญหาตรงจุดแท้ๆนั่นเอง"เนื่องจาก“ไม่มีทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ” มันก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันไม่“จบกิจ”เด็ดขาดแน่นอน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2566 ( 11:12:59 )

ไม่แจกปลา เราแจกเบ็ด

รายละเอียด

วิธีการแจกแบบเรานั้นเน็ตด้วยนะ ไปหาซื้อของที่จำเป็นสำคัญให้กับคน เราไปตรวจสอบแล้วว่า ความจำเป็นของมนุษยชาติ ความสำคัญของมนุษยชาติที่เขาต้องอาศัยกินใช้ อันนี้เรามีทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารของกินแล้วก็มีทั้งเครื่องใช้ การขายของจะมีเครื่องใช้เป็นหลัก ของกินจะมีน้อย มีเป็นต้นพืช แล้วเราไปปลูกกันเองต่อ ที่มีพืชจริงๆแล้วก็มีขายไม่มากหรอกที่นี่ เราไม่แจกปลา เราแจกเบ็ด เราแจกแห เราแจกอุปกรณ์ไปหาปลา ไม่ใช่ไปแจกปลาเท่านั้น ปลากินแล้วก็หมด แต่แจกแห คุณไปจับปลาได้เยอะ แต่จริงๆ แล้วพวกเราไม่ได้กินเนื้อสัตว์ แต่ขออธิบายให้เข้าใจว่ามันเป็นความสำคัญ นัยะสำคัญอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มกราคม 2566 ( 13:05:02 )

ไม่แน่ใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

รายละเอียด

อาตมาว่ายังเป็นข้อต้นเหลือเกิน ที่มีกิเลสตัวนี้ อารมณ์กังวล กลัวแปรปรวน มันเป็นกิเลสที่ยังไม่สามารถจับมั่นคั้นตายอะไรได้เลย ตั้งแต่สังโยชน์แรก คุณยังไม่แน่ใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เริ่มต้นต้องติดตามฟังให้ดีศึกษาตามไป แต่ถ้าเกิดปี 2475 ก็คงจะแข็งแรงอยู่นะ พยายามก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 11:52:28 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 16:33:58 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:20:33 )

ไม่แย้งแต่ยอมรับและศึกษาตามจึงจะจบ

รายละเอียด

เช่นพระอรหันต์ที่เป็นพระอรหันต์พูดกันก็มีสัจจะเป็นหนึ่งเดียว พูดกันไม่มีอะไรขัดแย้ง ขัดแย้งอยู่ก็คือไม่ลงกัน 100% ถึงไม่ 100% ก็พยายามศึกษาผู้รู้จะรู้ว่าคนนี้ไม่ 100% เขายึดถืออยู่ก็ปล่อยเขา 

เพราะฉะนั้นท่านจะวางก่อน ผู้ที่เขาวางก่อน แต่ตัวเองยังไม่รู้จริงอวดดีเพราะเข้าใจพยัญชนะก็ได้เหมือนกัน เสร็จแล้วเขาก็ยังไม่รู้อยู่นั่นแหละว่าเขาวางก่อนที่เขาจะรู้ต่อ เขาก็วางก่อน เพราะฉะนั้นก็จะต้องรู้ว่าเขาว่าอย่างนี้เราไม่แย้งเขา เราก็ติดตามเขายอมรับเขา ถ้ายอมรับเขาศึกษาตามเขาเราก็จะจบ แต่ถ้าคุณไม่ยอมรับเขา คุณนึกว่าตัวเองแน่ แล้วคุณจริงหรือเปล่า ถ้าจบไม่จริงคุณก็ยึดตัวตนอยู่อย่างนั้น อาตมาพูดได้ขนาดนี้ก็ว่าเก่งแล้วนะ มันเก่งกว่านี้ไม่ได้ เอา.. พอ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 20:15:24 )

ไม่แสดงความจริงออกมาใครจะไปรู้ มองมุมแย้งมาจะได้พัฒนาความรู้

รายละเอียด

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เข้าใจได้ขนาดนี้ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 จะต้องยิ่งละเอียดกว่านี้อีก แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียดที่จะเอามาแย้ง อาตมาก็กำลังตามหาโพธิสัตว์ที่เป็นพี่ จะได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น อาตาไม่ได้ปิดกันว่าจะมายิ่งใหญ่ที่สุดแล้วไม่มีใครเท่าเทียม ซึ่งจะมีได้มนุษย์ที่อธิบายได้ก็แสดงความจริงออกมา หากคุณอยู่ของคุณคนเดียวไม่แสดงออกมาใครจะไปรู้ มันก็อยู่ในกะโหลกของคุณ ก็ต้องเอามาพูดกันให้คนอื่นได้รับรู้ พูดภาษาที่อาตมารับรู้คนอื่นรับรู้ได้ด้วย หากพูดภาษาอื่นก็เข้าใจด้วยไม่ได้ ดี คุณคนนี้ก็เป็นคนขยันหมั่นเพียรไม่ยึดถืออัตตามานะอะไรมากมายนับถือๆ เป็นคนที่ศึกษา มองมุมแย้งมา อย่างนี้ดี จะได้พัฒนาความรู้โดยไม่ต้องไปถือดีมีมานะอัตตา อันไหนรับได้ก็เอา ส่วนใครจะถือดีถือตัวก็เรื่องของเขา อาตมาก็ว่า อันนี้เป็นคนน่าคบศึกษากันให้ดีๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม สิ้นยุคประชาธิปไตย-เผด็จการ
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ที่บ้านราชฯ

สื่อธรรมะพ่อครู (อัตตา) ตอน ความเห็นต่างช่วยสร้างปัญญา


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:00:44 )

ไม่แสวงหาการงานทำไม่ใช่คน ยังเป็นเดรัจฉาน

รายละเอียด

คนที่ตื่นมาแล้วไม่แสวงหาการงานทำ คนนั้นไม่ใช่คน ยังเป็นเดรัจฉาน มีแต่จะกิน เมื่อไหร่จะไปหาอะไรกินแถวนั้น ไม่มีงาน เดรัจฉานไม่มีงานไม่ทำงาน มันมีแต่กิน ไปหาอะไร ไปหากิน หากินต้องทำงาน เพราะคนยิ่งทุกวันนี้ คุณจะไม่ทำงานแล้วคุณจะไม่กินไม่ได้หรอก ทุกวันนี้มันจองหมดเลย พื้นที่ดิน ของเราทำงานบนพื้นที่ดินนี้ก็ของเจ้าของ ที่จับจองไว้หมด ไม่งั้นต้องไปรับจ้างเจ้าของที่ดินนั้น มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกนี้เป็นโลกสมมุติหมดเลยเป็นโลกที่มีตัวกูของกู คนที่ไม่มีตัวกูของกูไม่มีของกู ก็ต้องรับจ้าง อย่างพวกเราไม่ต้องไปรับจ้าง ทำงานฟรี มันซับซ้อน สุดยอดเลย นี่เป็นงานที่ดี มีความรู้ความสามารถที่ดี 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 13:48:03 )

ไม่โกรธ ไม่โลภ เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมแล้วได้มรรคผล

รายละเอียด

ดีจัง สาธุ ขอให้คุณไม่โกรธไปเลยตลอดไปเลยนะ ดีมากคุณได้ทรัพย์สูงนะ ยิ่งกว่าเศรษฐี ทำให้คุณหายโกรธได้ไวหายโกรธได้ลดลง มันไม่ได้ดั่งใจก็เราก็ใจเย็นคิดไปในแง่อื่นๆให้เอาประโยชน์ให้ได้ ไม่โกรธไม่โลภ นี่เป็นคนที่ได้ปฏิบัติแล้วได้มรรคผล นี่แหละเป็นผล ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นไม่รู้เรื่อง แต่ของจริงต้องสัมผัสจริงรู้ใจตัวเองจริง รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ทำแล้วก็ได้นิพพาน สาธุขอให้ยั่งยืนนะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 10:59:51 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:03:32 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:21:00 )

ไม่ใช่ของจริง ฟังธรรมะไม่ได้รส

รายละเอียด

ถ้าคุณไม่ใช่ของจริง คุณฟังธรรมะของอาตมาไม่ได้รสไม่ได้ชาติหรอก คุณฟังไม่ทนขนาดนี้หรอก อาตมาทุกวันนี้อธิบายธรรมะลึกซึ้ง สูงละเอียดไปเยอะ เขาจะทนฟังไม่ได้หรอกพูดอะไรก็ไม่รู้ ขนาดไม่รู้เรื่องคุณก็ฟัง ไม่รู้เท่าไหร่ แต่คุณก็รู้บ้าง ใช่ไหม ...ใช่ รู้บ้าง ไม่ใช่ว่าไม่รู้เสียเลย ฟังแล้ว โอ๊.. เหมือนเด็กๆ พ่อท่านพูดอะไรก็ไม่รู้ ใช่ไหม เด็กๆ ไม่เดียงสา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2566 ( 11:14:44 )

ไม่ใช่ของเดิม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถึงวาระความเสื่อม ภาษาเป็นภาษาสวย เป็นภาษาวิจิตร ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณีสูตร (พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 672-673) กลองอานกะหรือตะโพนอานกะ เป็นภาษาสวยที่อาจารย์เขาร้อยเรียงไว้วิจิตร แต่มันเป็นของใหม่ มันไม่ใช่ของแท้ มันไม่ใช่ของเดิม ของกลองอานกะหรือตะโพนอานกะ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านหมาย 

มันจึงเกิดความเสื่อมเพราะไปยืนยันผิดกับพยัญชนะผิด ภาษามันก็ต้องผิด ยืนยันจากพยัญชนะผิด เขาอาจจะอธิบาย คำว่า กาย เป็นต้น ง่ายๆ โดยเพี้ยนผิดไปหมดเลยว่า กายคือภายนอกอย่างเดียว มิจฉาทิฏฐิแล้ว เข้ารกเข้าป่าเลย

หรือเขาไปอธิบายเรื่องของฌาน โอ้โห ฌาน ไปใหญ่เลยนะ ฌานเป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ไม่รู้กันหรอกไม่มีใครเห็นของใคร แล้วต่างคนต่างก็พูดไป แล้วต่างคนก็บอกว่า เออ ตรงกัน พูดรู้เรื่องกัน เข้าใจกัน ต่างก็สมมุติไป เอารูปเป็นอย่างไร เอากายเป็นอย่างไรที่ในการสมมติ กายพิเศษนะ กายปั้นเอง กายเก๊ๆ กายไม่มีภายนอกจริง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มีจริง เพราะพวกหลับตาเขาไม่ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นตัวกำหนดหมายด้วยเลย เขาก็ปั้นรูป ปั้นอะไรก็ได้ใช่ไหมล่ะ แล้วเขาก็มาพูดอธิบายให้เข้าใจมุมเหลี่ยมกัน สมมุติกันไป เหมือน Star Wars เห็นไหมล่ะตัวละครของเขา เขาปั้นรูปนั้นรูปนี้สารพัดใช่ไหม 

คุณว่าจริงไหมใน star wars ใครดูหนังเรื่อง Star Wars กันบ้าง อาตมาก็ไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ แต่ก็พอดูผ่านๆ ก็เห็นตัวละคร หู เหมือนท่านด่วนดีนี่ก็มี ชื่ออะไร เจได ปากอย่างโน้นหูอย่างนี้ เขาก็ปั้นไป แขนขาก็ทำไปสารพัด มันเป็นรูปธรรมที่คล้ายกันกับนามธรรม แล้วนามธรรม มันทำได้สารพัดพิลึกกว่านี้ที่ไปปั้นมา 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 40 พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ September ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2567 ( 14:18:12 )

ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนความเข้าใจของคน

รายละเอียด

จริง ตามที่คุณแดงประสบมา อาตมาพยายามพูดซ้ำซาก ย้ำ ตำหนิฝ่ายที่หลับตา พยายามอ้างอิงยืนยัน ซึ่งอาตมาก็ไม่เก่ง เอามายืนยันอ้างอิง อธิบายยังไงๆเขาก็ฟังไม่เข้าใจ อาตมาบอกว่า อปัณณกปฏิปทา 3 มันเป็นคำที่ยืนยันเลยว่า ไอ้ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธนี้ มันต้องมี สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ โดยมีศีลเป็นหัวข้อหลัก แล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติแล้วมันจะเกิด ฌาน ตามสัทธรรม 7 ไป มีวิชชา 8 นี่เป็นของพุทธ ไม่ผิดของพุทธ (ภาคผนวก จรณะ 15 )ไปนั่งหลับตา มันไม่มีการสำรวมอินทรีย์ 6 มันมีแต่อินทรีย์เดียว มันไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา มันไม่ตื่น มันมีแต่หลับ แค่นี้เข้าใจไม่ได้ พูดแล้วพูดอีก พูดอีกพูดแล้ว ก็ สุดสงสาร สุดสาคร ก็ต้องให้ไปขี่ม้ามังกรไป มันสุดวิสัยจริงๆเลย อาตมาก็พยายามซ้ำ เพราะว่า เขาไปหลงผิดอันนี้มานานมาก แล้วก็มีจำนวนมากด้วย ถ้าได้พวกนี้เข้าใจขึ้นมา มันก็จะมาสัมมาทิฏฐิ เมื่อสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ถูกต้องเป็นของพุทธเลย มันก็จึงจะเจริญ เจริญทั้งตัวเองเจริญทั้งสังคมศาสนาพุทธเลย ก็ค่อยๆ เป็นไป 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 36 ชีวกสูตรคือเจาะจงฆ่าไม่ใช่เจาะจงชื่อคนกิน วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 กันยายน 2566 ( 08:40:07 )

ไม่ใช่พวกหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว

รายละเอียด

ก็นั่งหลับตาเข้าไปอยู่ในภพนี่แหละ ทำมาทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าอาตมาไปพูดว่าเขาโดยอาตมาไม่รู้เรื่อง อาตมารู้ทั้งนั้นว่าเขาอุปาทานอย่างไร มีนิรมาณกายอย่างไร รู้หมด ชาตินี้ก็เคยผ่านมาหมด เข้าป่าก็เคยไป ไม่ใช่พวกหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว คือ รู้จักที่เขาเป็นกันเข้าใจแล้วเคยทำมาเอง ไม่ใช่เอาแต่อ่านตัวหนังสือ แต่ทำมาผ่านมา ไม่ได้ทำอย่างฉาบฉวยด้วย ทำกันอย่างชัดเจนให้รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไรจริงๆ แล้วถึงได้มาสรุปให้ฟังว่า ที่ทำนี้มันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าจริงๆ ในเรื่องหลับตานั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 14:55:22 )

ไม่ใช่รวยเพราะธรรมะจัดสรรให้

รายละเอียด

Maximize Profit เขาจะเอาแต่อย่างนั้น เอากำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่มีจบ นี่คือสภาพจริงของคนที่เห็นแก่ได้ไม่มีลิมิต คนที่รู้จักจุดเริ่มต้นจุดพอ ภาษาบาลีบอกว่าสันโดษใจพอ สันตุฏฐิ เริ่มใจพอแล้วแค่นี้ก็พอ คนรวยที่สุดในโลกก็เอามาโฆษณากันสิ อยากรวยอย่างเขานี่แหละ เพราะว่ากิเลสเป็นพื้นฐานของคน มันก็ต้องอยากรวย มันก็ต้องแข่งกันรวยๆๆ คนไทยเข้าอันดับไปแล้วใน 10, 3 คนแล้ว เข้าอันดับ Top Ten ในโลกซึ่งพูดตรงๆชัดๆ ว่ามันบาป พวกนี้ยังจะต้องใช้หนี้ใช้สินไปอีกไม่รู้กี่ชาติอีกเยอะ สิ่งที่ชาตินี้เขารู้สึกว่าเขาเริ่มสมบูรณ์ร่ำรวย จะทำอย่างไรก็ได้ตามสบาย เป็นอำนาจด้วยบางคน อวิชชาเป็นพื้นฐานของมนุษยชาติ อวิชชามันก็หลงโลกีย์ไปอย่างนั้น 

คนที่มีวิธีการ มีชั้นเชิง มีความขยันหมั่นเพียร มีความเข้าใจว่าจะทำช่องไหนได้ แม้เขาจะเรียกว่าสุจริตอย่างไรก็ตาม ก็เป็นชั้นเชิงของการเอาเปรียบ เป็นชั้นเชิงของการได้เปรียบ ไม่ใช่รวยเพราะธรรมะจัดสรรให้ เป็นเพราะเขาจะคิดกลยุทธ์ กลวิธี ที่จะได้เปรียบ เอาเปรียบ โดยไม่ให้คนอื่นเขารู้ทันหรือรู้ตัว ฉลาดซ้อนๆๆ ไม่ให้เขารู้ตัว หรือจำนนก็จะต้องเอามาให้เขา หรือไม่รู้ตัวก็ต้องให้เขา อย่างนี้เป็นต้น คนเรามันรวยเพราะว่าใช้แทคติกต่างๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 13:52:06 )

ไม่ใช่ว่าเอาแต่การเลือกตั้ง

รายละเอียด

ไม่ใช่ว่าเอาแต่การเลือกตั้ง แล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตย ให้มาเป็นคณะบริหาร อย่างนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จอย่างนั้นตื้นเขินมาก เมืองไทยนี้เป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่นายกฯตู่บริหาร ที่เราทำรัฐประหารสำเร็จ แล้วนายกฯตู่ก็มารับไม้ต่อ ยังไม่ได้เลือกตั้งนะ แต่นายกฯตู่เป็นนายกฯมากี่ปีแล้ว นั่นแหละคือประชาธิปไตยแล้ว ยิ่งมีการเลือกตั้งและได้เป็นอีก ก็ยิ่งยืนยันชัดเจนเลยว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยครบสูตร จะเอาเลือกตั้งก็มีด้วย นายกฯตู่ก็ไม่ได้ไปอยู่ในพรรคไหน นี่แหละสุดยอดเลย ประเด็นที่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในพรรคไหน ประชาธิปไตยจะไม่มีการรวมหัวกันเป็นพรรค แต่ประชาธิปไตยจะมีอิสระเสรีภาพ คนนี้จะอยู่พรรคไหนเมื่อไหร่ในปัจจุบันมีอิสรเสรีภาพ อันไหนที่ถูกต้องก็เข้าไปอยู่ เสนอสิ่งที่ถูกต้องนั่นแหละคือประชาธิปไตยไม่ต้องมีวิปควบคุมเสียง อย่างนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยมันมีการบังคับไม่ใช่อิสรเสรีภาพเลย ประชาธิปไตยต้องอิสระเสรีภาพสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องมีวิปคุมพรรค มีอิสรเสรีภาพ ประชาธิปไตยเมืองไทยถึงแม้จะมีแบบนั้นบ้าง แต่โดยองค์รวมค่ารวมแล้วอาตมาว่าดีกว่า คนไทยเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าอเมริกาจริงๆเลย นี่เป็นความเข้าใจของอาตมา ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป ไม่มีปัญหาอะไร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ  บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 08:47:39 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:12:09 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:21:52 )

ไม่ใช่เช่นนี้ไม่ใช่ความจริง

รายละเอียด

แน่นอน พุทธศาสนามีพลเมืองไม่มากเท่าคริสต์ฮินดู อันนี้ไม่ได้แปลก ยอดพิรามิดจะไม่ใช่ฐานใหญ่ ยอดปิรามิดน้อย จากยอดลงมาน้อยแน่นอน อันนี้ไม่ได้แปลกมันเป็นเรื่องยากที่คนจะมาโลกุตระ แม้แต่ในไทยก็ยังช้าและยากไม่ได้ประหลาด จะต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เช่นนี้ไม่ใช่ความจริง ยอดพิรามิดจะไปมากกว่าฐานพิรามิดได้อย่างไร เป็นสัจจะไม่ได้ประหลาด ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ก็ไม่ใช่อย่างนี้ ต้องอย่างนี้ถึงเป็นอย่างนี้ เด็กๆ ฟังรู้เรื่องไหม 

เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องประหลาดลึกลับ ผู้มีภูมิจะเข้าใจได้ อาตมาเห็นความเจริญของโลกุตรธรรม อันนี้ทำให้อาตมายังอยากจะช่วย อยากจะอุดหนุนส่งเสริมให้เกิดขึ้นมาในโลก ให้แข็งแรงเป็นกอบเป็นกำ ให้คนในโลกเห็นได้ง่าย ถ้ามันเป็นลูกต่อแสดงบทบาทให้คนในโลกเห็นได้ง่ายชัดเจนขึ้นมันก็ดีไหมล่ะ ใช่ไหม จะทำให้โลกเขารู้ว่า อย่างนี้ดีนะดีจริงๆ เขาก็จะได้ศึกษาติดตาม

เพราะฉะนั้นถ้าทำอย่างนี้แหละคนไทยก่อน เมื่อคนไทยนี่แหละสามารถที่จะเข้าใจและเห็นดีเห็นงาม อาตมาไม่ได้ตะกละไปจนกระทั่งถึงต่างประเทศ อาตมามีเจตนารมณ์อยู่ว่า ไทยนี่แหละ อาตมาว่าเมื่อตื่น คนไทยตื่น ตอนนี้กำลังตื่นพูดไปแล้ว ตื่นตัว กำลังหันหลังกลับมาสนับสนุนในความรู้ความเห็นที่เป็นแก่นแกนอยู่ในกลุ่มคนกลุ่มนี้ กลุ่มพลเอกประยุทธ์ กลุ่มรวมไทยสร้างชาติ อะไรนี่ อย่างนี้เป็นต้น มันจะเกิดจะเป็นจริงๆ มันจะมีมวล มันจะมีคุณภาพ มีทั้งปริมาณและคุณภาพ จะรวมกันอย่างได้สัดส่วนที่เจริญ ๆๆ ขึ้นมา มันเจริญไม่ง่ายหรอก จะต้องอุตสาหะพากเพียรกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 17:56:47 )

ไม่ใช่เผด็จการซ่อนรูปแต่เป็นประชาธิปไตยที่แท้

รายละเอียด

จริงๆ แล้ว ที่บอกว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเผด็จการซ่อนรูปเป็นคนพาล เข้ามายึดไป ก็ขออธิบายว่าเราเข้าใจอย่างนี้ 

คือ จริงๆแล้วทักษิณก็แพ้ประชาชน สมัครก็แพ้ประชาชน สมชายก็แพ้ประชาชน ยิ่งลักษณ์ก็แพ้ประชาชน เพราะประชาชนได้ออกไปปฏิวัติ รัฐประหารรัฐบาล ขออภัย ทักษิณไม่ต้องเพราะมีพลเอกสนธิมายึดอำนาจ ที่จริงไม่ได้ยึดอะไร เอารถถังมาตั้ง คนก็เอาดอกไม้ไปเสียบปลายปืน แสดงให้เห็นว่าประชาชนยอมรับว่าทหารมาปฏิวัตินี้ถูกต้องแล้ว ไล่ไปเถอะรัฐบาลทักษิณนี่ มันก็เป็นความเห็นประชาชนพร้อมกันทำ เห็นด้วยกัน เป็นรูปแบบชนิดหนึ่ง ส่วนของ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ประชาชนปฏิวัติเขาก็แพ้ ต้องออกไป ซึ่งเป็นการแพ้อำนาจประชาธิปไตยของประชาชนจริงๆ แล้วเป็นการปฏิวัติรัฐประหารด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ อันนี้นักรัฐศาสตร์ต้องตามศึกษาอย่างมาก เขาไม่เชื่อหรอกว่าประชาชนจะปฏิวัติโดยไม่ใช้อาวุธได้สำเร็จ จริงๆแล้วโดยพฤตินัยอันลึกซึ้งนั้น เป็นได้โดยไม่ใช่เผด็จการซ่อนรูป ขอยืนยันว่าไม่ใช่เผด็จการซ่อนรูป เป็นประชาธิปไตยที่แท้ที่ประชาชนปฏิวัติรัฐประหารจริงๆ ไม่ใช่รูป แต่คุณไม่รู้ คุณก็ยังมีดีนิดนึงที่รู้ว่าอันนี้ก็ยังได้อยู่นะไม่เต็มเต็งเท่าไหร่ 

เพราะว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้รัฐประหารอะไร เข้ามาก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจและบริหารประเทศไปเลย เพราะว่าไม่ได้ปฏิวัติรัฐประหาร แต่ประชาชนปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จแล้ว ประยุทธ์ก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจ ใช้ภาษาเล็กน้อยเพราะเอาอำนาจนั้นจากประชาชนไปปฏิบัติ โดยบอกนิ่งสวยๆซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่มีอำนาจทั้งพฤตินัยนิตินัย โดยก็บอกไปตามมารยาทสังคม เป็นสมมุติไม่ได้มีเนื้อแท้อะไร เพราะเนื้อแท้ไม่ต้องพูดก็บริหารได้ แต่บอกโดยมารยาท เพราะเขายังหลงตนเองเดี๋ยวจะมาโวยวายว่าทำอะไรก็ไม่บอก พลเอกประยุทธ์ก็เลยบอกเขาหน่อย แค่นั้นเอง จะพูดว่าเขาทำต่อก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง อีกนานกว่าเขาจะเข้าใจได้ดี ละเอียดลออ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:14:20 )

ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคำว่า เรา กับ ของเรา อีกคู่หนึ่ง สองเหมือนกัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราคือ 0 ทั้งหมด ภาษาว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ง่ายไหม ง่ายนิดเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 20:37:54 )

ไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเรื่องนอกรีต

รายละเอียด

คุณไปเอาเนื้อสัตว์มามันก็เกี่ยวสิ แต่ขี้ของสัตว์ไม่เป็นไรหรอก เพราะมันเป็นของที่เขาทิ้งแล้ว แต่เนื้อมันเป็นสิ่งที่มันถือเป็นของมันอยู่ เนื้อนั้นมันยึดถืออยู่มันเป็นสัตว์เดรัจฉานด้วย มันก็จะมีความยึดถือ แม้แต่พวกนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นอนุสัยยึดถือไว้ ก็เลยกลายเป็นคนทำจิตให้มีสมถะได้เก่ง ตกผลึกอยู่ในอนุสัย หยุด ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่ตื่นขึ้นมารับภายนอก แต่ทำจิตวิญญาณให้เราได้กินพลังงานน้อย เสร็จแล้วก็กลายเป็นคนที่อยู่ได้นานสะกดจิตตัวเอง เมื่อฝึกเข้าจิตก็เก่งสมถะ เมื่อตายแล้ว จิตก็จะอยู่กับตรงนั้น ก็จะมีอาหารเลี้ยงขันธ์อยู่   เล็บก็จะยาวผมก็จะยาวเนื้อหนังมังสาก็ค่อยๆเหี่ยว ซึ่งจะไม่ตายง่ายๆเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาถือกันว่าอาจารย์เขาตายแล้วไม่เน่า เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ อันนี้เป็นเรื่องจิตวิญญาณเกาะเกี่ยวยึดติดตัวกูของกูอยู่ ไม่ไปไหน ซึ่งเป็นเรื่องนอกรีต เป็นเรื่องตรงกันข้ามกับของพุทธ ผู้ที่ไม่รู้ก็จะนึกว่าอาจารย์เราตายแล้วไม่เน่า เอาไปใส่โลงแก้วไว้ บูชาเคารพทำมาหากินกันไป เป็นพวกนอกรีตผิดทาง ยึดมั่นถือมั่นทำจิตวิญญาณให้เป็นลักษณะนั้น แล้วมันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ เคยผ่านตา พวกนั่งหลับตาสะกดจิตเขาเอาไปใส่กล่องแล้วฝังดินได้ถึง 26 วัน แล้วก็ไม่ตาย ร่างกายยังสดอยู่อย่างสบาย ไม่ได้เหี่ยวไม่ได้ฝ่อเหมือนคนอดข้าวแล้วแห้งเหี่ยว เพราะว่าเป็นการใช้พลังงานที่น้อยมาก เป็นสังขารพลังงานจิตที่ละเอียดมากเลย อาตมาไม่ได้สงสัย ไม่ได้ไปประหลาดใจ และไม่ได้ตั้งใจจะไปฝึกอย่างนั้นหรอก เข้าใจ ถ้าฝึกไม่รู้จะได้เก่งเท่าเขาหรือไม่ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ไม่ได้รับประทานอะไรตั้ง 49 วันหรือเท่าไร ผอม จนมีคนไปทำเป็นพระปางทุกรกิริยา ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิแล้วจะไปเคารพสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะไปกันใหญ่ก็น่าสงสาร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 12:18:13 )

ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันไม่ง่าย

รายละเอียด

ตัวอย่างสังคมอโศก สังคมบ้านราชเอามาวิจัยให้ละเอียดดีๆ มีคนมาเที่ยว มารับบริการ มาอาศัย ทำงานได้รายได้จากที่นี่ไป แล้วก็ไปเลี้ยงชีวิตไป วันแล้ววันเล่า เยอะแยะคนรอบด้านตั้งแต่ชาวอโศกเรามาอยู่ จนเดี๋ยวนี้เขาก็ยังมาทำงานอยู่ที่นี่ หนักเข้าก็คงจะเอาลูกมาเรียนที่นี่ 

นี่มันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า โลกุตรธรรมนี้ แม้ทุกวันนี้ก็ยังสถาปนาลงไปในสังคมมนุษยชาติได้ ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันไม่ง่าย มัน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) 

มันมีความสงบ ความสงบไม่ใช่สงบแบบอยู่นิ่งๆ กายปัสสัทธิคือกายที่ไม่ขยับเขยื้อนนั้นไม่ใช่ กายปัสสัทธิคือองค์ประกอบของภายนอก ภายใน ที่มีตัวขับเคลื่อนเป็นประธาน จิตเป็นประธาน จิตมันลดตัวที่ทำให้ไม่แคล่วคล่อง ไม่ปราดเปรียว ไม่มีอะไรที่มันจะมาต้านให้เสียความสมบูรณ์หรือเสียความไม่ดีไม่งาม ที่เรียกกันว่ากิเลส มันลดลงๆ ยิ่งกิเลสลด ภายนอก กายปัสสัทธิ ก็ยิ่งแคล่วคล่อง ว่องไวปราดเปรียว รับรู้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้เป็น กัมมัญญตา เป็นการงานที่เหมาะที่ควร ได้สัดส่วนที่ไม่มากไปไม่น้อยไป ไม่แรงไป ไม่เบาไป ได้ขนาดที่พอเหมาะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:42:06 )

ไม่ให้มันเกิดมันก็เสื่อม ทำเช่นไร

รายละเอียด

อุปจยะ สันตติ ถ้าคุณไม่ให้มันเกิดมันก็เสื่อมเรียกว่า ชรตา 

22.สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง 

23.ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม 

เพราะคุณนั่นแหละเป็นตัวกำหนดให้มันเกิด มีอมตธรรมก็ทำให้มันเกิดไปเลย คุณไม่ให้มันเกิดก็ปล่อยให้มันเสื่อม ความเสื่อมคุณสามารถทำให้มันไม่ต้องมียาวนาน ดับเลยตายเลยสูญแยกสลายธาตุ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือสุดยอด 

แต่แม้คุณไม่สุดยอด พระอรหันต์เบื้องต้นที่ยังไม่ชัดเจนนัก ไม่สามารถที่จะจัดการชีวิตตัวเองให้เป็น ปริโยสาน ทันที แยกธาตุตายปุ๊บ สลายเป็นดินน้ำไฟลมเลย ยังไม่ได้ จิตคุณก็จะเหลือเศษ คุณเป็นอรหันต์แล้วสะอาดแล้วไม่มีกลับ เลยอนาคามีแล้ว ไม่กลับไปเกิดอีกแล้วแต่จะค้างอยู่ ถ้าคุณยังไปหลงจิตเจตสิกภายในอยู่ คุณก็จะอยู่กับภูมิ 5 ของอนาคามี วนอยู่ได้ แต่ถ้าคุณไม่หลงอยู่ในอนาคามีภูมิอีกนาน กับสุทธาวาส 5 คุณก็จะจมอยู่ตรงนั้น ไหลวนอยู่ตรงนั้น อนาคามีเป็นได้จนกว่ามันจะมีปัญญารู้ว่าจะไปวนเวียนอยู่อย่างนั้นทำไมอนาคามีก็จะลดตัวเองลงไปตามลำดับ แล้วก็จะสูญ อกนิษฐา ไปได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2565 ( 04:27:57 )

ไม่ให้เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจพิเศษใดๆ แต่สอนให้ใช้วิจารณญาณ!

รายละเอียด

ศาสนาพุทธไม่ให้“เชื่อ”สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ“เชื่อ”อำนาจวิเศษใดๆ ที่ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเอง ทรงสอนให้ใช้“วิจารณญาณ”เต็มที่ และเอาตนมาพิสูจน์ด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก) ให้พยายามทำความเข้าใจไปทีละขั้นๆ เป็นลำดับๆเมื่อเราได้รับฟังแล้ว พิจารณาแล้ว เห็นดี ก็ปฏิบัติพิสูจน์ จนเกิดผลจึงค่อย“เชื่อ”ตามผลที่เราได้เองนั้นๆ มิได้“เชื่อ”ผู้อื่นผู้ใด ความเชื่อจึงมีลำดับเจริญเป็น“ศรัทธินทรีย์”ที่มีกำลังแห่ง“ความเชื่อ”เพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับๆ สุดท้ายจึงจะเป็น“ศรัทธาพละ”อันเป็นความเชื่อสูงสุดจนมีกำลังแห่งความเชื่อเต็มสัมบูรณ์อย่ารีบลัดตัดตอน มันจะไม่บริบูรณ์ใน“ความเป็นลำดับ”

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 480-481 ข้อที่ 671


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2565 ( 14:47:45 )

ไม่ได้คิดผิดหรือเดาส่งว่าจะหมดอายุขัยตอน 72 ปี

รายละเอียด

อาตมาว่า อาตมาไม่ได้คิดผิด ไม่ได้เดาส่งไปว่า อาตมาอายุ 72 จะอายุขัยหมดไปแล้ว แต่คนก็เชื่อยาก จะไปรู้วันตายตนเองได้อย่างไร ก็ไม่รู้จะว่าไง อาตมาก็พูดความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เสร็จแล้วอาตมาก็พากเพียรมา แล้วก็ยิ่งจะจริงเลย พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย พิสูจน์ว่าคนปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าได้ด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 18:41:32 )

ไม่ได้ชอบคิดว่าตัวเองเก่งแต่เป็นความจริงที่รู้ไม่ได้คิด

รายละเอียด

อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ชอบ แล้วก็ไม่ได้คิด แต่มันเป็นความจริงที่รู้ มันเป็นความรู้ไม่ใช่ความคิด มันเป็นความจริงเป็นความจริงที่รู้ไม่ได้คิด และไม่ได้ชอบไม่ได้ฟังสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น แต่ก็มีจิตใจยินดีมุทิตา ตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา ก็เห็นอย่างนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นดีแล้วล่ะคุณมาฟังดีแล้ว พยายามอย่าเกลียดชังอาตมาเลยฟังไปเรื่อยๆ สิ่งที่คุณไม่ชอบสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ใจเป็นกลางรับให้ได้ อย่าเอาอะไรมาต้าน ฟังบ้างแล้วเอาไปเปรียบเทียบไปตรวจสอบอ้างอิงตามหลักฐาน ทำความเข้าใจให้ละเอียดให้ดีๆ จะได้ประโยชน์นะ ก็ยินดีต้อนรับ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 10:25:19 )

ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใฝ่ธรรม

รายละเอียด

ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใฝ่ธรรม  คือ ความสนใจในธรรมมะจะว่าไปแล้วแม้แต่อาตมามาเป็นผู้เทศน์ ผู้บรรยาย ก็ไม่สนใจฟัง  ใช้สามัญสำนึกธรรมดาก็ดูได้  ไม่ใช่เรื่องลึกลับ เพราะฉะนั้นคนเราไม่มีสำนึก  ชีวิตก็เสื่อมเป็นธรรมดามันก็ควรจะสำนึก  ก็รู้กาละสำคัญหรือสาระสำคัญในความสำคัญ  ถ้าใครมีความสำคัญในสิ่งเหล่านี้ก็จะเจริญ  ไม่เช่นนั้น ก็เหมือนกับขี้หมา  ลอยน้ำไป  สู่กองฟอน  อยู่ๆ ไป  กินๆ นอนๆ ไม่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ใฝ่ธรรม  เป็นผู้ที่แสวงหาสิ่งที่ดีให้กับชีวิต

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่ 16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 11:49:22 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:18 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:22:42 )

ไม่ได้นิพพาน ไม่จบความเป็นคน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการสอนที่เถรสมาคมหรือมิจฉาทิฏฐิสอนกันอยู่ที่เสื่อมไปจากโลกุตรธรรมแล้ว ขออภัยอาตมาพูดความจริงไม่ได้พูดไปดูถูก แต่ท่านเป็นอย่างนั้นจริงๆอาตมาก็พูดความจริง ท่านอย่าถือตัวเลยฟังอาตมาเถิด อาตมาบอกความจริงให้ด้วยความเมตตาสงสารนะ มันก็เลยไปกันใหญ่ไม่ไหว ไม่ขึ้น แก้ไม่กลับ หานรกหนักเข้าไปอีก 

เพราะฉะนั้นต้องรู้ ต้องพยายามให้ได้ แหม มันบังคับไม่ได้เนาะ ที่อาตมาพูดอธิบายนี้มันเป็นสัจธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ประกาศตัวเองเป็นไก่ตัวพี่ในชาตินี้ นำโลกุตระที่เสื่อมสูญเข้ามาสถาปนาลงไปในศาสนาพุทธนี้ให้กลับคืนมา ได้ประมาณนี้แล้ว คุณมาพิสูจน์สิ 

แม้แต่อาตมาพาแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาทางการเมือง แก้ปัญหาให้แก่สังคมลักษณะของสังคม พวกเราก็มาเป็นสังคมกลุ่มสังคมหมู่ที่มีพฤติการณ์ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นอยู่กันอย่างนี้ ซึ่งเป็นรูปธรรมชัดเจนอยู่แล้ว อาตมาก็พูดไป ว่าสังคมกลุ่มของชาวอโศกมันเป็นรูปในระดับอนาคามีภูมิ มันเป็นรูปลักษณะของอนาคามีภูมิ

คือมันจะไม่หันกลับไปหาโลกียะอีกแล้ว ในโลกียะอย่างหยาบโดยเฉพาะอบายมุขกับกามเป็นต้น อนาคามีคือผู้ที่ไม่ดำเนินต่อไปแล้ว อนา ตัดขาดเลย อาคตหรือคตะ จะไปไม่ไปแล้วเรื่องอบายมุขเรื่องกามจบ 

เหลือรูปราคะ อรูปราคะ เป็นกิเลสอยู่ คุณก็ไม่โหยหาไม่ออกไปหากามไม่ออกไปหาอบายมุขอีก ผู้ยังออกไปอยู่นั่นคือผู้ที่ยังออก ยังไม่เข้า เข้าไม่ได้ เข้ามาได้แล้ว ควรจะอยู่ได้แล้ว ไม่อยู่ ไปๆๆ ไปโง่ไปอีกที 

ย้ำอีก เกิดมาเป็นคนถ้าไม่ได้อาริยธรรม ไม่ได้นิพพาน คุณไม่มีการจบความเป็นคน นี่ด่าแสบนะ คุณไม่จบความเป็นคน มันมีภาษาสุภาพ คุณไม่จบความเป็นสัตตาวาส 9 ด่าภาษาวิชาการ คุณจะเป็นสัตตาวาส 9 ชนิดหนึ่งอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวไว้งานปลุกเสกอาตมาจะขยายเรื่องสัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ 7 วิโมกข์ 8 ก็จะพูดอยู่ตรงนั้น ลิสต์ไว้แล้ว 9 ข้อ 

อาตมาว่าพูดให้ฟังก็จะเป็นโชค คิดว่าอย่างนั้นนะ ใครจะว่าอาตมาหลงตัวหลงตนก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะอาตมามีหน้าที่ที่จะเปิดเผยความจริง ขยายความจริงออกไปสู่มนุษยชาติ นี่เป็นหน้าที่เป็นงานหลักของอาตมา 

เพราะฉะนั้นใครจะเห็นว่าอาตมาคุยตัว  อาตมาอวดอ้าง  อาตมาหลงตัวก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาทำหน้าที่เพราะว่าชาตินี้อาตมาไม่ได้จะต้องการอะไรที่จะมาบำเรอตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สักการะเยินยอ แม้แต่เสพสุข อาตมาก็ไม่เอาแล้วสุขๆทุกข์ๆ ทุกข์ๆสุขๆ สุกๆดิบๆ อยู่อย่างนั้นอาตมาไม่เอา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 17 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 2

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 11:02:09 )

ไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียน จะไปสู้กิเลสได้อย่างไร

รายละเอียด

คนเราถ้าตั้งใจปฏิบัติศึกษาฝึกฝนตนให้มันดีขึ้น ได้ตั้งใจกันจริงๆ ธรรมดาคนโลกชาวโลกสามัญปุถุชน เขาไม่ได้เจตนาตั้งใจเป็นกิจจะลักษณะทีเดียว ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์กิเลส กิเลสมันก็พาไป มันก็เลยมีแต่ตกต่ำ ผู้ตั้งใจที่จะฝึกฝนตนเอง ตั้งใจมีสติรู้ว่านี่ไม่ค่อยดีแล้วก็ปรับ มีสัญชาตญาณบ้างที่ว่ามีสำนึกดี รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีนะ ที่มันหยาบๆก็พอรู้ได้ แต่มันไม่อยาก กิเลสมันมาแรงหน่อย อยากมันก็เอา เพราะมันเป็นทาสกิเลส ไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียน ไม่ได้เรียนอย่างจริงจัง มันจะไปสู้กิเลสได้อย่างไร มันไม่รู้ตัวหรอก 

สติคือ การรู้ตัว มันไม่ค่อยมี มีก็ไม่เต็มๆเหมือนสติโลกโลก เป็นสติที่ไปตามกิเลสมันก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ได้มาฝึกฝนเรียนรู้ โดยเฉพาะเรียนรู้ไม่ใช่แต่บัญญัติพยัญชนะ เรียนรู้แล้วมาฝึกจริงๆ มี อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละตัวสำคัญ มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติมีศีล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2566 ( 12:20:51 )

ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่เป็นความตั้งมั่นของผู้ตั้งมั่นแล้วจะกลับมาเกิดอีก

รายละเอียด

มันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่มันมั่น มันตั้งมั่น มันซ้อนตรงนี้ คุณเข้าใจไหมมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่เป็นความตั้งมั่นของผู้ที่ตั้งมั่นแล้วมีความตั้งมั่นแล้ว ฟังภาษาไทยรู้ไหม ไม่ใช่ภาษาบาลีนะ เรายังไม่ตายยังไม่ปริโยสาน แล้วยืนยันว่าอาตมาจะตายแล้วยังไม่ตาย อย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็จะกลับมาเกิดอีกทำตามมูลสูตร 10 ครบ อาตมาคืออมตะบุคคล ไม่ได้เหนียมอายหรือมังกุเลย

ไม่มีปัญหาเพราะมีแต่สิ่งที่ดี สัพพปาปสอกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา (ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ใช่ เป็นการรู้จริงตามความเป็นจริงเขาไม่รู้เขาก็ไม่เชื่อ ถ้าเขารู้จะบอกว่าอันนี้มันเป็นอย่างนี้เองหรือ เราก็น่าจะได้อย่างนี้บ้าง ความเห็นอย่างนี้ก็ชัดเจน อาตมาพูดอะไรไม่จริงไม่เป็น อาตมาพูดแต่ละอย่างเป็นความจริงทั้งนั้น พูดไม่จริงไม่เป็น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติวันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2565 ( 13:39:06 )

ไม่ได้วุ่นวาย แต่ลดความวุ่นวาย

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้วุ่นวายเลยกับการเมือง อาตมามีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา มีน้ำใจที่จะไปช่วยบ้านเมือง ไม่ได้วุ่นวายกับการเมืองแต่การเมืองมันวุ่นวาย อาตมาเห็นอยู่ตำตา อาตมาไม่ใช่คนใจดำ อาตมานี้เห็นแก่สังคมแล้วอาตมาก็ช่วยมนุษย์ในสังคม พวกชาวอโศกนี้รับฟังธรรมะอาตมาเข้าใจ แล้วก็ปฏิบัติตนเองจนลดความวุ่นวายของตนเองลงได้ จนเข้ามาสงบอย่างสบาย เข้ามาสงบ สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อยู่ในนี้ ทุกวันนี้พวกเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาทำสำเร็จ อาตมาเลยทำเป็นสิทธิ หรือสิทธะ ทำสำเร็จ ปลดปล่อยให้พวกเราได้มีอิสรเสรีภาพสมบูรณ์ นี่สุดยอดอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าอาตมาลดความวุ่นวายให้แก่มนุษย์ ลดความวุ่นวายให้แก่สังคม ลดความวุ่นวายให้แก่ประเทศ ฟังดีๆ อาตมาไม่ได้หลงตัวเอง ไม่ได้คุยโม้ ไม่ได้หลงยกตัวเอง อวดตัวเอง ไม่ใช่อาตมากำลังทำความจริง อาตมาเป็นคนจริง ไว้วันงานอโศกรำลึกหรืองานวิสาขบูชาวันที่ 3 อาตมาจะเปิดเผยตัวเอง อย่างละเอียดๆ เอาไว้รอไว้วันนั้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 สิงหาคม 2566 ( 17:01:34 )

ไม่ได้หลงตนว่ายิ่งใหญ่มีคนดูมากกว่า 5 คนก็คุ้มแล้ว

รายละเอียด

อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้สงสัย ไม่ได้น้อยอกน้อยใจ ไม่ได้เสียใจเลย แม้ว่าจะมีคนดูน้อย มีคนรับน้อย ก็ทำไป แม้จะถึงขั้นใครจะบอกว่า ดันถูลู่ถูกังไป มีคนดูสักกี่คนวะ 

มีคนดูมากกว่า 5 คนก็ทำเสมอ อาตมาว่า ถ้าต่ำกว่า 5 คนจะหยุด ถ้าไม่ต่ำกว่า 5 คนก็ทำ นี่ นั่งอยู่ข้างหน้านี่ คนเต็มใจ มากกว่า 5 คนแน่นอนว่าฟังอาตมา ที่ฟังทางบ้านก็มากกว่า 5 คน อาตมาก็ไม่ได้ยิ่งได้ใหญ่อะไรหรอก มากกว่า 5 คนก็คุ้มกับการลงทุนแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ติดใจว่า อาตมายิ่งใหญ่ ของเรามีค่านะไม่คุ้มกับการลงทุน คนรับน้อยเกินไปไม่เอา ก็ไม่ได้หลงตัวหลงตนอย่างนั้นเลย ก็ทำตามที่ควร ที่เห็นว่าดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 22 ยุคนี้สมาธิชาวอโศกเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2565 ( 21:32:58 )

ไม่ได้อยากด่าแต่พูดสัจธรรม

รายละเอียด

เขาไม่รู้ตัวก็จัดจ้านไปเรื่อยๆปรุงแต่งไปเรื่อยๆ หากเขาฟังอาตมาเป็นก็ได้โลกุตระ แต่ก็ช่วยไม่ได้คนที่มีภูมิโลกียะก็ไม่ชอบใจอาตมาก็เลยเสียเพื่อน แต่ก่อนนี้งานอโศกรำลึกเขาก็มา แต่พอเทศน์แบบนี้ไป เขาก็ว่าด่า ขออภัยพูดสัจธรรมให้ฟัง แต่ถ้ารู้ได้แล้วก็เข้าใจว่าอาตมาไม่ได้อยากด่าแต่พูดสัจธรรม หากไปติดเรื่องพวกนี้เข้าไปอีกกี่ชาติกี่อสงไขย เหมือนกับนางวิสาขา อาตมาก็ให้สติให้ความรู้ ไม่เป็นไรไม่มาก็ไม่มา แต่ก่อนนี้งานอโศกรำลึก สุเทพ 1วงศ์กำแหงก็มานะ เป็นเพื่อนกันเข้าวงการด้วยกัน แต่เขาต้องไปโลกีย์หนัก ก็เลยร้องสู้เขาไม่ได้ อาตมาเป็นคนแรกในประเทศไทย ที่เป็นดีเจ กรมประชาสัมพันธ์ 1ปณ. และรักษาดินแดน จะเอาดนตรีเอาละครวิทยุไปเปิดก็ไม่มีปัญหาอะไรอาตมาทำได้ อาตมาอายุแค่ 17 18 ปีก็ทำได้ อาตมามีเพื่อน วัลลภ วิชชุกร และสุเทพ วงศ์กำแหง ก็เลยตั้งวงดนตรี เป็นคณะเทพวิชชุ มีนฤมลเป็นนักร้องหญิง ใครต่อใครอีกหลายคน ก็ร้องไปร้องออกวิทยุ ทำได้ไม่กี่ครั้งเราก็เลิกไปแล้ว ก็สนิทสนมกัน แต่เดี๋ยวนี้พอจะมาแปลว่าตกนรกสัตว์นรก ก็เลยไม่มา งอนอะไรกันนักกันหนา มาโกรธเคืองกันทำไมให้เป็นเวรภัย แต่เดี๋ยวนี้อยู่อุบลฯมันไกลก็คงไม่มาหรอก เท่าที่อาตมาขอออกชื่อชัดๆคือ มี เศรษฐา ศิระฉายา กับสุเทพ เศรษฐานี้เป็นรุ่นน้อง อาตมาก็พามาทำหนังโทน วงดิอิมพอสซิเบิ้ล

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 13:18:43 )

ไม่ได้อวดดีท้าทายแต่มั่นใจในสัจธรรม

รายละเอียด

คนไม่สำนึกก็จะมีความจองเวรจองกรรมด้วย อาตตมาพูดไปก็จะมีวิบาก ผู้ไม่สำนึกเขาก็จะโกรธ กิเลสเขามีจริง เขาต้องโกรธเขาถือสาเขาต้องยึดถือจริงๆ เขาก็จองเวรจองกรรมอาตมาจริง แต่อาตมาเองอาตมามั่นใจในสัจธรรม ธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมอาตมาก็พอเป็นไปไม่ได้อวดดีไม่ได้ท้าทาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 16:59:27 )

ไม่ได้เกลียดชังแต่สงสารเวทนาในความไม่รู้ในความโง่ของธัมมชโย

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคุณจะปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย ถึงเวลาเดินก็เดิน ถึงเวลาไปก็ไป ถึงเวลามาก็มา ยิ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทย ถ้าพระภิกษุไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็ผิดกฎของสงฆ์ในเมืองไทย ซึ่งจริงๆแล้วภิกษุในศาสนาพุทธเป็นผู้ที่ทิ้งบ้านช่องเรือนชานไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะฉะนั้นก็นอนรุกขมูลโคนไม้ ตามแต่จะไปได้ ไม่ไปบุกรุกเรือนที่มีเจ้าของ เรือนที่ไม่มีเจ้าของก็พักได้ เป็นเรือนว่างเลยก็อาศัยเรือนว่างไป ปฏิบัติธรรมได้ จะเดินก็เดินจะไปจะมานอนใต้ต้นไม้ นอนกลางแจ้งอะไรก็ได้ ลอมฟาง สมัยโบราณก็มีนาไร่ มีสวนมีป่าเยอะ สมัยนี้จะมานอนข้างป่าคอนกรีต ข้างถนน ข้างตึกคอนกรีตก็ดูกระไร ก็นอนให้เหมาะสมหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ไปเดินบนดอกไม้ข้างถนนเดินเต๊ะท่าชะมัดเลย เห็นแล้วมันน่าสงสาร ทำอะไรอย่างไม่เดียงสาเลย ไม่มีความรู้เรื่องศาสนาพุทธเลย เป็นวิภูสนัฏฐานา ประดับตกแต่ง เดินธุดงค์ทำก้าวย่างสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นรูปเป็นร่าง เป็นนักประดิษฐ์ ดูแล้วขออภัยเถอะ มันน่าเวทนา ที่จะต้องใช้ภาษาที่เป็นสมมติของคนว่าทุเรศ มันน่าเวทนาสงสารถึงขั้นต้องใช้ภาษาว่าทุเรศ เป็นความไม่เข้าใจ แต่จริงๆอารมณ์ของอาตมาว่าสงสารหรือเวทนา แต่ต้องใช้ภาษาว่าทุเรศคือไม่น่าจะทำอย่างยิ่ง ไม่ได้พูดหยาบแต่อธิบายสัจธรรมนะ ใช้ภาษาสื่อสภาวะที่ต่ำที่สูง แต่สภาวะที่เขาทำมันต่ำเหลือเกิน ภาษามันไม่พอจึงจำเป็นต้องใช้ภาษาทางโลกให้ชัดๆ ว่ามันน่าทุเรศ น่าทุเรศทุรังการจริงๆ เขาไม่เข้าใจประสีประสาในเรื่องศาสนาพุทธเลย กลายเป็นศาสนาปรุงแต่งประดับประดา แม้แต่ศาสนาลัทธิที่เขามีมาในโลก ยังไม่เคยมีใครทำได้เท่านี้ ปรุงแต่งได้บ้าบอคอแตกขนาดนี้ อย่างที่ธัมมชโยทำ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:40:28 )

ไม่ได้เป็นอันตรายต่อนิพพานจริงหรือ

รายละเอียด

ถูก ท่านพูดถูก เพราะท่านยังไม่รู้จักนิพพานเลย เพราะฉะนั้นท่านก็บอกว่านิพพานมันเป็นอย่างนี้สิ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ฉะนั้นอันนี้ไม่ใช่กิเลส ท่านก็เห็นว่า นิพพานมันก็ต้องเป็นอย่างที่ท่านสร้างภาพเอาไว้ ซึ่งมันไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าหรอก นิพพานก็คือคุณต้องเลิกติดหมาก เริ่มต้นหยาบๆเลย ท่านก็ยังไม่เลิกเลย นิพพานของท่านก็คือวิมานอะไรอย่างหนึ่ง วิมานโง่ๆ เป็นนิพพานรูปอะไรก็ไม่รู้ มิจฉาทิฏฐิ 

(ท่านบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องของขันธ์ในการเคี้ยวหมาก)

นี่ก็คือปฏิภาณความฉลาดแกมโกงหรือ เฉโก ของมหาบัว อธิบายใช้โวหารวาทกรรม หลอกลูกศิษย์ลูกหาให้เข้าใจไปเบี้ยวว่ามันเป็นเรื่องของขันธ์ ขันธ์เกิดจากอะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือขันธ์ 5 ก็ไม่รู้จักขันธ์ 5 

(นิพพานเป็นสมมุติ ท่านว่าอย่างนั้นครับ) 

ว่านิพพานเป็นสมมุติอีก อืม พอละ พูดไปมันยิ่งกินลึกว่า ไปว่ามหาบัว ถ้าไม่ว่า แล้วอาตมาก็ไม่รู้จะเอาสิ่งที่ไม่ถูกมาเป็นตัวอย่างพูดตรงไหน ไอ้นี่มันเป็นของชัดเจนก็เอามายืนยัน 

จริงๆนะ อาตมาก็ขอบอกอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า อาตมาไม่ได้เกลียดชังมหาบัว ไม่ได้ข่มมหาบัว แต่สงสารมหาบัว สงสารลูกศิษย์มหาบัว ที่พลอยงมงายไปตามมหาบัว แล้วมันไม่สุดสงสารได้ยังไง ใช่ไหม มันไปหลงผิดกันไป ตามกัน โอ้โห..เป็นกระบวนเลย จ่าโคนำหน้า จ่าโคก็โง่ ลูกฝูงก็โง่ไปตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส นำทางไปร้อง งัวๆๆๆ มาจากคำว่าโง่ งัว ๆ โง่ ๆ  

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ ที่อาตมานำเอา “วรรณะ 9” มายืนยันอธิบาย ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อม เขาไม่รู้เรื่องแล้ว วรรณะ 9 นี่อาตมาเอามาจากในพระวินัย ปฐมปาราชิกกัณฑ์ ท่านตรัสไว้อยู่ในนั้น ซึ่งไม่ค่อยรู้กันหรอก มันสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านเอามาสอนภิกษุทั้งหลาย เพื่อให้เป็นไปอย่างในวรรณะ 9 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 47 อโศกมีแค่แสนจะสืบแก่นศาสนาได้อย่างไร วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2567 ( 16:55:40 )

ไม่ไปงานศพของพ่อจะบาปไหม

รายละเอียด

แล้วไม่ไปงานศพของพ่อจะบาปไหม ...ก็จะมีผลจากผู้ที่เขายึดถือ พี่น้อง ญาติโกโยติกา เขาก็ไม่ค่อยชอบใจ มันก็เป็นวิบาก จะให้ทำอย่างไร ถ้าเขาคิดอย่างนั้นเราจะไปห้ามใครเขาได้ แต่ถ้าไปเสีย มันก็ไม่เป็น มันก็ไม่มีอกุศลวิบากพวกนี้ คุณไม่ได้ทำผิดทำถูกอะไรหรอก แต่สิ่งที่ควรนี้มันเป็นกุศล สิ่งที่ไม่ควรก็เป็นอกุศล ก็ทำสิ่งที่ควรดีกว่า ก็ตอบอย่างนี้ก็แล้วกัน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาตนให้รู้ความเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:41:48 )

ไม่ไปวัดเพราะไม่ศรัทธาพระจะบาปไหม

รายละเอียด

ตอบก่อนอื่นว่าไม่บาปหรอก แต่เราไม่ได้เอื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น อย่างน้อยเราอนุโลมตามแม่ เราก็จะได้ช่วยแม่ หากเราขัดแย้งกับแม่ แม่ก็ไม่มีเพื่อน ความผิดฐานร่วมกันจะลดลง แต่ถ้าเราอนุโลมไปกับแม่ แล้วก็หาโอสถใส่แทรกตามขุนขน ให้เขาได้ยาโดยไม่รู้ตัว หรือสามารถให้เขายอมรับกินยาได้ หากเขาไม่รู้ตัวเราสามารถแทรกยาทิพย์ให้เขาได้ บอกว่าพระที่ทำอย่างนั้นเราไม่ศรัทธา ห้ามไม่ได้ ก็เพราะว่าเขาไม่ดีจริงไม่น่าศรัทธา แต่จะไปตีทิ้งทั้งหมดไม่ได้พระเถระสมาคมก็ยังมีดีอยู่ องค์นี้รับได้มาก องค์นี้รับไม่ได้ เราก็มีระดับอยู่ อย่าไปตีทิ้งทั้งหมด เราจะไม่มีแนวร่วมที่จะเพิ่มขยายผลได้ เราก็ต้องค่อยๆไป ค่อยๆขยับ จะต้องขยันต้องเหนื่อยต้องอดทน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:49:46 )

ไม้กุมเหง

รายละเอียด

อาตมาทำไมทำเสียงแสลง ครั้งที่ ฉี่ฉิบฉี่ เพราะว่าประเทศไทยมีมาตรา 44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่รัฐบาลต้องใช้ เรียกในภาษาเวลาจะเผาศพ มีไม้ชนิดหนึ่งอีสานเรียกว่าไม้กุมเหง ตอนเผาบนกองฟอนจะมีไม้ยาวมีน้ำหนักพอสมควรเอามาพาดศพไว้ เพื่อกันไม่ให้ศพกระเด็นหล่นจากกองฟอน ธรรมดาจะเป็นไม้สดเสมอมันจะได้ไม่ไหม้ขาดไว แล้วมันจะมีน้ำหนัก กดศพไว้ เขาเรียกไม้กุมเหง ภาคกลางไม่รู้มีหรือไม่ (โยมว่าเรียกไม้กุมเหงเหมือนกัน) 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:17:49 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:54:17 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:23:13 )

ไวพจน์ของอุเบกขา

รายละเอียด

อุเบกขามันนึกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ไม่มีพยัญชนะก็เลยใช้ 2 ตัวนี้เป็นไวพจน์กัน แต่เป็นซินโนนีม คำใช้แทนกันไปใช้แทนเท่านั้นจริงๆและอุเบกขามันสุดจบกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ก็พอให้คนที่ไม่รู้จักอุเบกขา แต่เขารู้สึกทุกข์ก็พอสัมผัสได้

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 08:00:41 )

ไวยพจน์

รายละเอียด

คือ เป็นคำที่เขียนต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน คำว่า “วิเวก” กับ “เนกขัมมะ” เป็นไวยพจน์ออกไปจากกายไม่ได้  ก็เอาตัวเขาป่า เขา ถ้ำ ป่าช้า ไปเดินผู้เดียว อยู่ผู้เดียว นั่นเขาว่า เขาวิเวกกาย  พระพุทธเจ้าไม่ได้เน้นที่ร่างเลย  สำหรับคำว่า “กาย” ก็ไกลจากวิเวกเลย เขาไม่รู้จักวิเวกแท้จริง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2562 ( 12:44:09 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:27 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:23:35 )

ไวรัสตัวเล็กเต็มไปด้วยอวิชชา

รายละเอียด

วันเวลาทุกวันนี้เร็ว นอกจากเร็วแล้วคนเก่ง บางทีก็ทัน บางทีความเก่งของคนก็ทันเวลา บางทีคนก็เก่งสู้ตัวร้ายที่เกิดในยุคกาลไม่ได้ อย่างไวรัส มันเล็กมันละเอียดเราพูดกับมันไม่รู้เรื่อง มันกัดมันเจาะ คือมันไม่รู้เรื่อง มันเป็นเดรัจฉาน เซลล์เล็กละเอียดมาก อาตมาก็อธิบายในจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็สะสมความสามารถตัวเองมาด้วยอวิชชา ไวรัสมันเป็นตัวเล็กเต็มไปด้วยอวิชชา เราจะไปพูดกับมันรู้เรื่องที่ไหน เราจะปล่อยให้มันละลาบละล้วง มันจะรู้เรื่องไหมว่าเราชื่อนี้ฆ่ามัน เราอยู่ในฐานะเกิดเป็นคนแล้ว ไอ้พวกนี้จะเกิดมาเป็นคนมันก็ลืมไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว กว่ามันจะเกิดมาเป็นคนวิบากที่เราผสมกับมันมันก็ลืมเลือนไปไหนต่อไหนแล้ว อันนี้เป็นอจินไตยที่ยากที่จะไปแยกแยะอธิบาย อย่าไปคิดมากเลย เอาพอสมควร แค่ไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาว่าเป็นขีดที่เยอะแล้ว จะไปละเลียดแบบศาสนาเชน มันมากไป จนแม้แต่จุลินทรีย์ก็ไม่ได้ ไม่ได้ไปนิพพานกันพอดี

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 28 กมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 11:38:26 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:16 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:24:22 )

ไว้ศักดิ์ ไว้ศรีตัวเอง อย่างไร

รายละเอียด

ศักดิ์ศรีมันไม่ช่วยให้ลดกิเลสหรอก อาจจะดูเหมือนมันทำให้ลดกิเลสได้ คือ ให้รู้สึกไว้ตัว อย่าไปคลุกคลี อย่าไปวุ่นวายอย่าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต่ำ ไว้ศักดิ์ ไว้ศรีตัวเองบ้าง มีศักดิ์ศรีบ้าง อย่าไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น จะทำใจในใจอย่างนี้ แล้วก็ทำให้ได้อย่างนี้ ก็ไอ้สิ่งที่เราจะไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องนั่นแหละ คุณก็ต้องเห็นแล้วว่ามันไม่ควร ก็ไว้ศักดิ์ศรีบ้าง อย่าไปเกี่ยวข้องเลย ก็ต้องทำอยู่เหมือนกัน แต่ทีนี้วิธีการปฏิบัติอย่างไร ก็คือต้องทำใจในใจ ภาษาก็เป็นศัพท์ ทำใจในใจ ที่ภาษาบาลีบอกว่า มนสิกโรติ เป็นคำกริยา ถ้าเป็นคำนามก็เป็น การทำใจในใจ คือ มนสิการ คำว่า มนสิการ เป็นรากเหง้า เป็นมูลกา ที่ 2 ในมูลสูตร 10 

เริ่มต้นข้อที่ 1 คือฉันทะ เป็นต้นรากข้อที่ 1 เลย คุณจะทำอะไร ถ้าไม่ได้เริ่มต้นด้วยฉันทะด้วยความยินดีจริงๆเลยเนี่ย มันทำอะไรไม่สำเร็จหรอก ความยินดีเป็นตัวต้นรากที่จะเดินทาง เมื่อมีจิตยินดีฉันทะแล้ว เราจึงจะเริ่มต้นตั้งทิศของจิต เจตสิก สัญจิจจะ หรืออุทิสะ อาตมาแปลเป็นไทยว่า จิตมีทิศมุ่ง เขาแปลว่า เจาะจง หรือจะแปลว่า เจตนา ก็ได้ แต่เจตนามันก็เป็นคำศัพท์ของมันเองเต็มรูปอยู่แล้ว เต็มรูปของการมุ่งมั่นและมีที่ตั้ง และมีที่เดินไปเลย เจตนานี้มันเต็มรูป สัญจิจจะ คือ มันเริ่มกำหนด สัญ สัญญะ สัญจะ นี้มันเริ่มกำหนด ทำงาน ตั้งทิศมุ่งและส่งให้เกิดแรง มันก็จะเกิดแรงขึ้น เดินทางไป 

คำว่า สัญจิจจะ ที่อาตมาเอามาอธิบายในประโยค สัญจิจจะ ปานัง ชีวิตา โวโรเปตุง คือจิตมีทิศมุ่ง มุ่งไปทางทำร้าย โวโรเปตุง แปลว่า การทำไม่ดี การทำร้าย จนกระทั่งไปถึงการฆ่าเลย ฆ่าอะไร มุ่งที่จะทำร้าย ปานัง ชีวิตา คือชีวิตในขั้นปาณะเลย สัตตะ ภูตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ขยายความเจตสิกหรือสภาวะธรรมที่เป็นชีวิต ในดีกรี(ระดับ)ของความเป็นชีวิตที่ หยาบ กลาง ละเอียด ไปเรื่อยๆ เราต้องพยายามเรียนรู้จิตในจิต อาการเจตสิกต่างๆ จิตเจตสิก รู้มันให้ได้ กำหนดรู้ตัวมันให้ได้ 

สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นรูป โดยนามของเรา สัญญามันกำหนดรู้รูป แล้วมันก็เกิดรู้ๆๆ จนรู้ไปครบบริบูรณ์ก็เรียกว่า ปัญญา พัฒนาขึ้น ปรับปรุงขึ้น จะให้เกิดให้ดับ จะให้เจริญ จะให้เสื่อม คุณทำได้เต็มรูป จบกิจ จบเรื่องราว แต่ละเรื่องเป็นกิจแต่ละกิจ คุณก็สมบูรณ์เรื่อง สมบูรณ์สภาพธรรมคือธรรมะบริบูรณ์ ธรรมะบรรลุ ธรรมะสมบูรณ์แบบ คุณก็ต้องทำไปฝึกไป 

สรุปแล้วตัวศักดิ์ศรี จะใช้มันเป็นตัวกระทุ้งตัวเองก็ได้อธิบายแล้ว ก็พอได้ แต่จะถือว่าเป็นตัวศักดิ์ศรี ฉันสูง ฉันทำได้ ฉันเก่ง ฉันวิเศษ เป็นอัตตาเลย มันจะเป็น อัตตาเลย อย่างนั้นต้องรู้ว่าอย่างนี้ไม่ดี แต่ทำได้แล้ว เราก็จะต้องอย่าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เรามีความสามารถ เรามีความดีที่จะมีเรี่ยวแรงเป็นของตน สามารถอยู่เหนือ สามารถหลุดพ้น สามารถที่จะไม่เป็นทาส หลุดพ้นได้สมบูรณ์แบบ ทำได้แล้วก็ต้องรู้ว่า สักแต่ว่าทำ ทำสำเร็จแล้วก็อาศัยมัน ก็เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ 

 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 31ประชาธิปไตยจะให้คะแนนกันอย่างไร ตอน 1 วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 เดือน 8 เดือนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กันยายน 2566 ( 14:11:29 )

ไสย

รายละเอียด

1. หดๆ หุบๆ หลบๆ ลี้ๆ ไม่เปิด ไม่เผย ไม่กระจ่าง ไม่ใสอยู่ ยังพร่าๆ มัวๆ อยู่ หลับ ไม่รู้ หรือดับรู้ไปเลย

2. นอนหลับ ความแสดงผลแห่งเนื้อหาสาระของผู้หลงใหลละเมอ ผู้ยังมีโมหะ 

3. มืด ดำ ยังไม่ชัดแจ้ง ยังหลับไหลอยู่

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค1 หน้า 265, หน้า 302, ทางเอก ภาค 3 หน้า 168


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 16:21:40 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:16 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:26:53 )

ไสยคุณ

รายละเอียด

1. คุณความดี หรือความเก่งของคนนอนหลับ

2. ความเก่งของคนนอนหลับ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 265, หน้า 302


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 16:25:11 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:22:08 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:27:10 )

ไสยศาสตร์

รายละเอียด

1. ศาสตร์ที่เห็นผล ได้ผลบ้างเหมือนกัน แต่ไม่เห็นเหตุ ไม่รู้เหตุที่แน่ชัด

2. ศาสตร์ของผู้ที่ยังไม่ตื่น ไม่รู้ 

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 2, อีคิวโลกุตระ หน้า 203


เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2562 ( 16:26:01 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:23:00 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:27:29 )

ไสยศาสตร์ คุณไสยนี่ไม่รู้เรื่องสัจธรรม

รายละเอียด

สรุปแล้ว ไสยศาสตร์ คุณไสยนี่ไม่รู้เรื่องสัจธรรม ทำเลอะเทอะไปทางไสยะ ทำเลอะไปทางวิทยาศาสตร์ นั่นเป็นเรื่องคุณไสย เพราะฉะนั้นถ้ามาเรียนรู้ทางพุทธศาสนาแล้ว จบ ไม่ต้องไปหลงเลอะเทอะ แล้วจะอยู่ดีๆจะไปทำให้ไม่ปกติ ให้พิสดาร จะทำไปทำไม 

และข้อ 2 บอกว่าสามารถทำได้จริง เพราะว่าจิตมันโง่ 

เขาใช้วิธีอะไรจึงสามารถ ... มันมีกลวิธีของเขาทั้งนั้น หลวงปู่รู้บ้าง

ก็ตกลง อันที่ 2 นี่บอกให้ตอบว่าทำได้จริงไหม ทำได้ อธิบายไปหมดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่นกับลูกๆหลานๆ งานมหาปวารณา มหาบิ๊กคลีนนิ่ง วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2565 ( 11:38:31 )

ไสยศาสตร์ ไม่พาให้บรรลุได้

รายละเอียด

จุดแรกที่อาตมาจะมาทำงานศาสนาตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาจุดประกายตรงที่ระลึกชาติเหมือนกัน อาตมาไปเห็นไปเล่นอยู่กับพวกหมอ เคยเล่าไว้แล้วพวกสำนักค้นคว้าทางจิตเขาก็สะกดจิตกัน สะกดจิตนายโคลแมน มีพวกหมอจรูญ หมอวิเชียรพวกนี้หมอประพันธ์ อยู่ในสมาคมค้นคว้าทางจิตซึ่งที่พูดไปนี้ ตายไปหมดแล้ว หมอทั้งหลายนี่ อาตมาก็ไปดูเขาค้นคว้าทำอะไรก็ไปเห็นที่เขาสะกดจิตนายโคลแมน แล้วให้ระลึกชาติย้อนไป ตั้งแต่เขาจำความระลึกชาติสะกดจิตแล้วให้ย้อนระลึกของตนเองไป ระลึกไปตั้งแต่อายุของเขาประมาณ 30 กว่าย้อนไปจนกระทั่งถึงอายุ 10 กว่า จนกระทั่งถึง 5 ขวบ เสียงพูดก็ยังอ้อแอ้เป็นเด็กๆ เลยนะ จนกระทั่งไปถึงจุดที่บอกว่าข้ามชาติไปสิก่อนจะมาเกิดชาตินี้ นายโคลแมนระลึกไม่ได้ อาตมาก็ว่าเอ๊ มันระลึกข้ามชาติได้ด้วยหรือ นี่แหละเป็นการจุดประกายให้อาตมาสนใจก็ มาติดตามทางนี้ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ 8 ปีนึกว่าจะพาให้ระลึกชาติได้ แต่ไม่ ยิ่งบ้า ยิ่งฟุ้งซ่าน สร้างอะไรเป็นภพชาตินึกว่าจริงทั้งนั้น ชาติโน้นชาตินี้เป็นนู่นเป็นนี่เหมือนกับมหาบัว เหมือนกับอาจารย์มั่นระลึกชาติอะไรต่ออะไรได้สารพัด เละไปหมดเลย ยืนยันไม่ได้ไม่มีประวัติศาสตร์ อาจจะมีบ้างพาดพิงประวัติศาสตร์แต่มันปลอม มันไม่จริงไปกันใหญ่เลย 

อาตมาก็ว่ามันจะมีทางไหน มีทางเดียวพุทธศาสตร์แน่ๆ ใช่ไหม อาตมามีของเดิมอยู่แล้วด้วย ไสยศาสตร์ 8 ปีไม่พาให้บรรลุได้ อาตมาก็เลยพอแล้วไม่เอาก็หันมาศึกษาทางพุทธศาสตร์ ท่านก็สอนยังไง ท่านก็สอนให้ละให้เลิก ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมามีภูมิเก่าอยู่แล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติเองเพราะไม่มีอาจารย์ ไม่มีใครสัมมาทิฏฐิที่จะพานำอาตมาไปได้ ขออภัย อาตมาพูดความจริง ชาตินี้น่าสงสาร อาตมาจะพูดความจริงก็ต้องขออภัย อาตมาก็มาปฏิบัติเองจนกระทั่งอาตมาเคยกล่าวไว้แล้วว่าอาตมาชาตินี้มาบรรลุธรรมไม่ได้มีครูบาอาจารย์เลย พูดอย่างโอหัง อย่างอวดดิบอวดดี แต่มันก็จริงที่สุดอาตมาไม่มีครูบาอาจารย์แล้วปฏิบัติเองจนกระทั่งบรรลุ บรรลุแล้วก็นำสิ่งบรรลุนั้นมาเผยแพร่มาประกาศ ค้านแย้งกับของเขาอยู่ ก็ได้หมู่น้อยมา ซึ่งอาตมาบอกว่าอาตมาพอใจแล้วที่มีผลสำเร็จ สำเร็จจนถึงขั้นมีมนุษย์ มีพวกคุณปฏิบัติได้จริง มาเป็นคนจนจริงมาเป็นสาธารณโภคีจริง มาเป็นผู้มีวรรณะ 9 มาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อยู่ด้วยกัน สมบูรณ์แบบ อาตมาว่ายืนยันตำราเล่มเดียวกันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันถูกต้องหมดแล้ว 

อาตมาว่าใครล่ะในขณะนี้ที่ทำได้ในพุทธในประเทศไทยนี่แหละ ถือว่าเป็นจุดใหญ่ที่เป็นศาสนาพุทธที่แท้จริง ใครล่ะ มีไหมเอามายืนยัน ขออภัยนะที่พูดนี้เหมือนลงน้ำหนักท้าทาย เอหิปัสสิโก พูดเบาๆ ก็ได้ ..ใครล่ะ เชื้อเชิญมาให้ดูนี่ก็ได้ แล้วเอาไปเทียบของท่านสิ พูดให้นิ่มๆขึ้นเชิญมาดูได้ ก็เปรียบเทียบกันสิว่า อันไหนมันถูก อันไหนมันครบครัน ตามคำเชิญพระพุทธเจ้ายืนยันอยู่นี่ แล้วอาตมายังอุ่นใจอยู่มากที่มีพระไตรปิฎก แม้จะเป็นพระไตรปิฎกฉบับของมหากัสสปะก็แค่นข้นแน่นถูกหมดดีอยู่ทีเดียว ไม่ใช่ต้องไปฉีกทิ้ง 60% เหมือนอย่างท่านพุทธทาสไปดูถูกพระไตรปิฎก ไม่ใช่ ยังใช้ปฏิบัติได้ อาตมาว่ามันจะผิดในพระไตรปิฎกผิดตรงที่ผู้แปล ท่านแปลคำของสมัยนี้มาประกอบนิดหน่อยเท่านั้นเอง ผิดนิดหน่อยไม่มีผิดมากหรอก แต่ท่านพุทธทาสท่านขออภัยอีก ท่านมีภูมิรู้ไม่พอแล้วจะไปฉีกพระไตรปิฎกออกตั้ง 60% ดีนะท่านยังเหลือไว้ตั้ง 40% เจ้าประคุณ อาตมาว่าใจท่านน่าจะมากกว่านั้นว่าฉีกซัก 70-80 ก็ได้ ถูกแค่ 40 หรือ 20 อาจจะเป็นแค่นั้นก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47  วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:15:25 )

ไสยศาสตร์และคุณไสยมีจริงหรือไม่

รายละเอียด

ข้อที่ 1 ก่อน ไสยศาสตร์ หรือที่เรียกว่าคุณไสย การเล่นคุณไสยหรือการเล่นไสยศาสตร์ ทำคนให้เสียสติ หรือทำให้คนมาหลง ทำเสน่ห์อะไรอย่างนี้ เขาสามารถทำได้จริงหรือเปล่าครับ ...ได้ เพราะคนโง่

ไสยศาสตร์ก็ดี จิตวิทยาหรือการสะกดจิตก็ดี เป็นเรื่องของจิต สะกดจิตให้คนมาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือสั่งได้เลย ไสยศาสตร์ก็เหมือนกัน ทำให้คนหลงเชื่อ ก็คือสะกดจิตให้เขาเชื่อตามที่เขาจะสั่ง 

เมื่อสะกดจิตแบบวิธีไสยศาสตร์ ส่วนวิทยาศาสตร์มันมีวิธีเลย ส่วนไสยศาสตร์ก็มีวิธีของเขาแต่เป็นวิธีที่ไม่เหมือนกับทางวิทยาศาสตร์เขาเท่านั้นเอง หลวงปู่นี่เล่นมาทั้ง 2 อย่าง ไสยศาสตร์ก็เรียนจริงๆฝึกฝนมา วิทยาศาสตร์สะกดจิตก็เรียน ทำได้ทั้ง 2 อย่าง เข้าใจทั้ง 2 อย่าง 

ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ให้ตัวเขาเป็นตัวเขา ไปทำอย่างนี้มันชั่ว ไปทำจิตของเขาไม่ให้เป็นตัวเขา แล้วเราก็สั่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ชั่วเท่านั้นเอง ไปยุ่งกับเขาทำไม เผือกกับเขาไม่เข้าเรื่อง ก็ให้เขาเป็นตัวของเขาสิ แล้วก็ไปเผือกกับเขาทำไม

เพราะงั้นคนไม่รู้ก็มีไสยศาสตร์พวกนี้ เช่นว่า เข้าทรง เข้าทรงนี่คือตัวเราเอง มีอุปทาน ไม่มีผีมาเข้า ไม่มีเจ้ามาทรงอะไรหรอก ตัวเรามีอุปทานว่า จะต้องเป็นอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนี้ จะต้องสั่นจะต้องดิ้น แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดับจิตไม่นึกไม่คิดไป ก็เชื่อตามกันมา ไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว แล้วมาชาตินี้ก็มาหลงแบบนี้ แล้วก็มาทำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่นกับลูกๆหลานๆ งานมหาปวารณา มหาบิ๊กคลีนนิ่ง วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2565 ( 11:32:12 )

ไสยศาสตร์และรสแสนอร่อยไม่มีจริง

รายละเอียด

อย่างนี้ อาตมาถามคืนไป คุณว่า คำโกหกนี้มีไหม มี มีคนโกหกอยู่ แต่คำโกหกเป็นความจริงหรือไม่จริง…ไม่จริง ไสยศาสตร์ก็มีอยู่จริงสำหรับคนที่ติดยึดก็ปล่อยให้เขามีไป แต่คนที่สามารถรู้แจ้งแทงทะลุ ว่าไสยศาสตร์ก็คืออุปาทาน อุปาทานก็มีจริงด้วย อย่างของอร่อยนี้คุณติดของอร่อยเช่นอันนี้ส้มโอมันมีรสอร่อย นั่นก็คืออุปาทานของคุณ จนกว่าคุณจะศึกษาฝึกฝนจนกระทั่งรสอร่อยมันไม่มีจริง รสของส้มโอมันก็เป็นรสส้มโอ ใครกินก็มีรสเดียวกันเป็นสัจจะเดียวกัน แต่ที่อร่อยหรือไม่อร่อย นี่ชอบไม่ชอบ นี้มันเป็นของปลอม หากทำให้ของปลอมหายไปหมดก็เหลือแต่ของจริงอันเดียว เพราะฉะนั้นไสยศาสตร์มีจริง แปลว่าไสยศาสตร์ไม่จริงกว่า แต่คุณยังไปติดยึดไสยศาสตร์คุณก็ติดไป คุณยังไปติดรสอร่อยอยู่ก็ยังติดไป คนที่หมดแล้วก็ไม่มีแล้วก็จบ ก็สบายเบาว่างกว่าที่คุณจะต้องไปแสวงหาคุณจะต้องไปเสียเวลาอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องได้ คุณไม่ต้องมีแล้ว ก็ว่างสบายเบา ไม่ต้องมีอะไรหนักเลย ใช่ไหม มันก็ไม่ง่ายนะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 2 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 11:08:48 )

ไอน์สไตน์กับคานธีเทียบกับยุคในหลวง ร.9

รายละเอียด

ไอน์สไตน์ก็เป็นผู้มีความรู้เรื่องวัตถุ แต่ก็ซ้อน คานธีมีบารมี แต่บริวารก็ต้องล้มตาย อย่างที่เป็น เกิดสงครามเกิดการฆ่าแกงทำร้ายทำลายกัน จนกระทั่งสุดท้ายด้วยคุณธรรมของธรรมบารมีของธรรมะชนะอธรรม ที่มารังแก อังกฤษมารังแกก็ต้องถอยทัพไป อาตมาก็อธิบายยังไม่เก่ง แต่คานธีเขาใช้คำว่า สัตยาเคราะห์ เข้ามาทำร้ายทำลายเราก็ยอมตายท่าเดียว จึงมีคนตายเป็นเบือ ในยุคของคานธี ตายกันเยอะ

พอมาเทียบกับยุคพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ตายอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในรัฐบาลที่เกิดการปฏิวัติกัน นี่คือการปฏิวัติอย่างสงบ ยิ่งกว่าคานธี เพราะคานธี ยังมีรบราฆ่าฟันกันเกิดการฆ่ากันล้มตายกันเป็นเบือ แต่ของไทยตายไม่เท่าไหร่ จะสู้ก็ไม่ต้องไปสู้กับต่างประเทศเลย เพราะต่างประเทศมารังควานไม่ถึง เป็นบารมีของประเทศไทย เข้ามารุกรานไม่ได้ อันนี้เป็นนามธรรม เป็นบารมี เป็นฉัพพรรณรังสีของธรรมาธรรมะ ซึ่งยิ่งใหญ่มาก ศัตรูผู้หวังร้ายเข้ามาไม่ถึง เพราะฉะนั้นไม่เกิดในยุคนี้ ไทยจึงมีแต่สงครามภายใน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือเศษเชื้อของสงครามภายในอยู่บ้าง เป็นธรรมชาติ เป็น error 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:37:11 )

ไอน์สไตน์ตรัสรู้เรื่องพลังงาน 2

รายละเอียด

ถ้าแยกธาตุรู้ออกไม่ได้ว่า ธาตุรู้นี่เป็นอุตุธาตุ คือไม่มีธาตุรู้แล้ว ไม่เป็นนามธรรมแล้ว อุตุ วัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม พลังงานอย่างที่ไอน์สไตน์บรรลุธรรม ตรัสรู้ ไอน์สไตน์ตรัสรู้เรื่องพลังงาน 2 (Static & Dynamic)  E = MC2 ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องของนามธรรมอย่างที่ว่า แต่ก็เริ่มรู้ไปเรื่อยๆ แล้ว ไอน์สไตน์เริ่มรู้เริ่มเข้าใจแล้วว่า อ๋อ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เรียนรู้อันนี้สูง เพราะฉะนั้นไอน์สไตน์จึงยอมยกให้พระพุทธเจ้า ไอน์สไตน์จึงเริ่มเป็นโพธิสัตว์ เพราะความรู้นี้เขายอมพระพุทธเจ้า แต่เขาจำนนที่ปางนี้เกิดเป็นไอน์สไตน์ อยู่ในโลกของเทวนิยม แล้วก็ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรที่ โดยเฉพาะบารมีเขายังขยายมากกว่านั้นไม่ได้ เขาก็เลยได้แค่นั้น และก็จบอายุไปก่อน 

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจ 1 สภาพของอุตุคือพลังงานของสภาพวัตถุต่างๆ ดินน้ำไฟลมมันก็จะต้องมารวมกัน มันดูดมันผลักกัน ต่างๆนานา เหมือนพลังงานที่ไอน์สไตน์ค้นพบ แล้วเอามาอธิบายเป็นสูตร  E = MC2  นี่แหละยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้ใช้พลังงานนี้กันอยู่ทั้งโลกเลย 

ทีนี้ พลังงานนี้ ถ้ามันเป็นชีวะและเราก็เป็นเจ้าของ เป็นชีวะ ถึงขั้นสูงกว่าพีช เป็นจิตนิยาม พลังงานในระดับอุตุ พลังงานในระดับพีช พลังงานในระดับจิต แล้วจัดแจงเองเรียกว่ากรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 21:23:05 )

ไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์

รายละเอียด

ไอน์สไตน์ทำไว้แล้วเขาก็เอาไปทำเป็นพลังงานร้อน พลังงานระเบิดปรมาณูทำลาย แต่อันนี้ที่ไอน์สไตน์แกเสียใจ ว่าแกต้องการพลังงานให้เป็นประโยชน์ ไอน์สไตน์เป็นโพธิสัตว์ ให้เอาสูตรของแกไปใช้ในทางที่ดี แต่เขาเอาไปใช้ในทางเสียหาย ที่จริงแล้วคิดขึ้นมาก็ควรจะควบคุมให้สมดุลอย่าเอาไปใช้ในทางที่เสีย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 11:00:50 )

ไอสไตน์บอกทุกอย่างเป็นพลังงานกับสสาร

รายละเอียด

ไอสไตน์บอกว่าทุกอย่างเป็นพลังงานกับสสาร ใช่ ของเราก็สูญเป็นพลังงานกับสสาร ไม่เป็นจิตวิญญาณ พระอรหันต์ตายไป ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีจิตวิญญาณ ก็กลายเป็นอย่างอื่นไปหมดแล้ว จิตวิญญาณเก่าของตัวเองก็ไม่เหลือแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:24:36 )

ไอสไตล์บอกเรื่องสสารและพลังงาน

รายละเอียด

ไอสไตล์บอกเรื่องสสารและพลังงาน คือ สสารและพลังงานไม่มีสูญหายไปจากโลกเป็นแต่เพียง

1. เปลี่ยนสถานที่

2. เปลี่ยนสถานะ มันเปลี่ยนสถานะและพลังงานเท่านั้นไม่สูญหายไปจากโลก

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 เดือนกันยายน 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 14:54:49 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:57:57 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:27:49 )

ไออย่างเดียว

รายละเอียด

อาตมาว่าที่อาตมาเป็นโรคไออยู่ทุกวันนี้ มันก็ไม่ทำให้อาตมารู้สึกว่าป้อแป้ อ่อนแอทำให้มันถดถอย ในการทำงานอะไรมันก็ไม่ใช่ มันเป็นก็รู้สึกว่ามันไม่ปกตินะ เราเทศน์ก็ไอ นอนก็ไอกินข้าวก็ไอมันไอเมื่อไหร่ก็ไอ เท่านั้นเอง ไอของอาตมานี้ 1.ไม่เจ็บคอ จะให้แรงอย่างไรก็ไม่เจ็บคอ ก็ขอบคุณไม่เจ็บคอ 2.ก็ไม่เจ็บอวัยวะอื่น ไอจนปวดหน้าอกก็ไม่ใช่ มันไอก็ต้องไอ แล้วมันต้องไอแรงด้วยนะให้เบาๆก็ไม่ได้ เหตุก็เพราะว่ามันมีเสลด ค้างติดที่ตรงที่มันระคายเคือง เป็นปฏิกิริยาของสรีระ มันก็จะให้มีพลังงานที่ขจัดสิ่งเหล่านี้ให้หลุดออกไป ทำให้ระคายเคืองเท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 11:44:05 )

ไอ้ใบ้เสียงดังดีอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาตั้งใจจะเอาหนังสือเล่มนี้แหละ เปิดยุคบุญนิยม ก็ขอโฆษณาจริงๆ ถ้ายังไม่ได้ พยายามไปหามาเอาไป ไม่ได้ขายด้วยไม่ได้หวงแหน ให้เอาไปอ่านเถอะ อาตมายังอ่านเลย อาตมาไม่ใช่ไปหลงตัวหลงตน แต่ว่าอาตมาต้องไปที่ความหมายของสาระสัจธรรม อ่านแล้วเราพยายามจะเขียน สื่อความเป็นสัจธรรม สภาวะธรรมอะไรออกมา ก็รู้สึกว่า ยุคนี้ อาตมามาทำงานนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าพอใจในตนเอง ที่ตนเองไม่สูญเปล่า มาทำงานที่เป็นคุณค่าของธรรมะพระพุทธเจ้าสัจธรรมพระพุทธเจ้า เอามาทำเป็นหลักฐานเป็นหนังสือ ที่คนแต่ละคนจะเอาไปอ่านได้ ถ้าพูดนี้มันก็หายไป ถ้าเขียนเป็นหนังสือพิมพ์ออกมามันก็เป็นไอ้ใบ้เสียงดัง ไปอยู่ที่ใครก็อ่าน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1 วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 18:58:39 )

่ชาวอโศกกลัวการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตไหม

รายละเอียด

พูดแล้วเหมือนเรานี่เท่มาก อย่าพูดให้อาตมากลัวเลยเขามาไม่ได้หรอก เขาเข้ามาไม่ได้ ก็เคยเห็นไหมเหตุการณ์ไม่ต้องยิ่งใหญ่เหมือนที่กำลังพูดนี้ จตุพรกับนกเขา มาในนี้ อาตมาก็บอกว่าเชิญคุณมาวุ่นในนี้สิ มาวุ่นเลยทำให้ป่วนในนี้ เห็นไหม พูดเหมือนท้าทายเขา มันไม่ใช่ท้าทายแต่มันทำไม่ได้ มันเป็นสัจจะที่ สิ่งที่เป็นสัจธรรมที่เป็นโลกุตระที่ยิ่งใหญ่ อะไรจะมาหักล้างไม่ได้ อสังหิรัง ภาษาบาลี ของพระพุทธเจ้ามันมีคุณภาพถึงขนาดนั้น มีคุณธรรมถึงขนาดนั้นไม่มีอะไรมาหักร้างได้ พระบาลีบอกว่า อสังหิรัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 16:14:22 )

​​​​​​​580520

รายละเอียด

580520_ธรรมาธรรมะสงคราม  ไขรหัสพันธุกรรมของนามธรรม 4                                                                                                      

พ่อครูว่า...​วันนี้วันที่ 20 พ.. 58 เป็นวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน7 ปีมะแม วันคืนก็เคลื่อนไปเป็นธรรมชาติ เราก็ว่ากันไปกับการศึกษา อาตมาไม่หยุด แต่ท่านหยุดแล้ว ...อะไรกันยังไม่ถึงที่ ก็หยุดแล้ว คนละสำนวนกับของพระพุทธเจ้า เราก็ว่าไปเรื่อยๆ ตราบที่อาตมายังมีเรี่ยวแรง ความตั้งใจของอาตมายังมีเต็ม ล้นๆด้วย ที่เราจะพากเพียรเรื่องนี้ เพราะจริงๆ อาตมาพูดย้ำ ว่าไม่เห็นอะไรจะดีไปกว่าธรรมะ

 

คนภายนอกฟังอาตมาก็ว่าพูดดี พูดโก้ เท่ บางคนก็ว่าเพ้อเจ้อ โลกไปถึงไหนแล้ว งมงายกับธรรมะ แล้วธรรมะช่วยอะไรได้ เขาก็พูดจริงในปรากฎการณ์ว่า ธรรมะไม่เห็นช่วยอะไร เพราะมวลธรรมะที่จริงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะไปช่วยเขาได้

 

แต่ถ้าช่วยได้มากจนเขาเห็นได้เขาก็จะเห็นว่าดี หรือว่าเขามีปัญญารู้ว่าโลกุตรธรรมเป็นเช่นนี้ และมีปัญญาเข้าใจลึกว่า มันประเสริฐมันดีจริงๆ แล้วไม่เหมือนที่เราเป็น มันจะสำนึกเลยว่า ตนเองเพิ่งจะรู้ว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะโลกุตรธรรมจะคนละทิศทางกับทั่วไปเลย

 

เขาอาจรู้ภาษาบัญญัติว่า ไปนิพพานมันคนละทางกับโลก แต่ว่า เขาจะรู้สภาวะหรือไม่ ความรู้สึกที่เป็นเนกขัมสิตเวทนา นี่คืออย่างไร เนกขัมมะ ท่านแปลว่าออกบวช คำว่าบวชคือ ปวชะ คือคนมีความคิดต้านโลกธรรมจริง ตั้งแต่โลกที่เขาวนอย่างต่ำๆ แล้วก็เข้าใจว่าจิตเป็นเนกขัมมะเป็นอย่างไร เข้าไปเกิดปัญญาญาณรู้ยิ่งเห็นจริง ว่ามันไม่เที่ยง มันทุกข์ มันไม่มีคุณค่าพอจะเอา ทั้งที่เขาเคยสุขและติดมันมากเลย

 

เช่นคนติดบุหรี่ คนเขารู้ว่ามันไม่ดี แต่ความรู้สึกเขาไม่มีขีดความเจริญถึงขั้นว่า ถ้าออกมาได้มันเป็นธรรมรส จะรู้ว่า ที่ไปติดมันเป็นรสเก๊ ที่เคยติดเคยอยากได้อยากมีอยากเป็น ในสิ่งที่เป็นโลกียรส กามรส เขายังไม่ชัดเจน ก็รู้แต่ภาษาบัญญัติ มันไม่เข้าไปในใจหรอก มันแค่ข้างใจ คนฉลาดมีปัญญาก็จะเกิด ข้างใจได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้

 

ผู้มาได้จริง แล้วมีปัญญาธาตุ มันเข้าไปในใจจริงๆ ชัดเจน มันก็เบา ปฏิบัติตามจนละล้างได้ มันก็จะเป็นตัวอย่าง ให้คนเห็นว่า สิ่งไม่ดีไม่งาม พอจิตพ้นได้มันจะรู้สึกเลยว่า มันพ้นภาระ ไม่เป็นทาส ไม่เห็นโหยหาอาวรณ์อะไร ไม่เห็นว่าเสียอะไร ดีไม่ดีไปติดมันก็เสียเวลา แรงงานทุนรอนด้วย

 

และจริงๆ ก็คือเสียศักดิ์ศรีมนุษย์ด้วย เพราะที่ไปติด นี่คือ อบายภูมิ 4 คือ สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน วินิปาต เราพ้นอบายได้ ก็จะรู้ว่า แต่ก่อนทำไมเราโง่ คือกอบกู้ศักดิ์ศรีมนุษย์ได้ ใครไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เขาจะถล่มทลายด้วย

 

อย่างทุกวันนี้อาตมาประกาศตนว่าเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย เขาก็ไม่เห็นสนใจ ไม่เข้าใจ อาตมาก็ไม่ได้น้อยใจเลย เขาเห็นเหมือนไก่เห็นพลอย เขาว่าสู้ข้าวเปลือกไม่ได้ อาตมาประกาศไปก็ไม่มีคลื่นต่อต้านอะไรมาก ทั้งที่เขาหวงตำแหน่งอรหันต์นะ เขาว่าเป็นสิ่งต้องกราบไหว้นะ แต่นี่มีวิ่งเข้ามากราบไหม? ไม่มีเลย เห็นไหมมันซ้อนสภาวะย้อนแย้งอยู่ ก็สบายๆ เพราะอาตมาได้คัดคนเหล่านั้นได้ดีแล้ว

 

ถ้าอาตมาไปหลอกคนเขา ว่าเป็น ทั้งๆที่ไม่เป็น แล้วเขาเข้ามาคุณก็จะได้ แต่ก็จะได้คนที่ถูกหลอกมา ส่วนอาตมานี่ คนจะได้ต้องไม่ถูกหลอก ฉะนั้นคนไม่รู้เขาก็ไม่รู้ว่า อันนี้เป็นเพชรพลอยจริงหรือ เขายังเป็นไก่อยู่อย่างเก่า มันมีค่ากว่าข้าวเปลือกจริงไหม? เขาก็ยังคงเป็นไก่

 

มันจึงคัดคนที่เห็นจริง เป็นข้อสอบด้วย ว่าทำไมอาตมากล้าพูด คนที่ฟังนี้จะต้องเข้าใจด้วย ว่ากล้าประกาศนะ เป็นพระด้วยกันก็จะบอกว่าไม่กลัวปาราชิกหรืออย่างไร? ถ้าใครมาซัก ใครมาเอาจริงจัง คนรู้เขามีนะ มาซักถามเอา จะตอบไหวไหม? แล้วก็ไม่เห็นมีใครมาซัก ถ้ามาอาตมาก็จะได้ตอบ ที่ไม่มาเพราะอะไร เพราะไม่เชื่อ หรือเพราะว่าพอมีปัญญาพอฟังรู้เรื่อง คือถ้ามาแล้วเราจะโดนย้อนกลับให้หน้าแตก ก็เลยกลัวหน้าแตกก็ไม่มา หรือถ้าจะมาซักแค่ความเป็นโสดาบันก็ได้ ไม่ต้องถึงอรหันต์....เพราะเขาไม่รู้ไม่มีจริงนั่นเอง

 

ตีนบันไดของโสดาบันคือ กาย เขายังไม่เคยถึงตีนบันไดนี้เลย ไปหลงบันไดอื่น เขาได้แต่อัตวาทุปาทาน เป็นอัตตาที่เขายึดถือ เป็นอุปาทาน แล้วเขาก็ไม่เคยคลายทิฏฐินี้ แล้วความเข้าใจหรือทิฏฐิเขานี้ มิจฉาทิฏฐิด้วย เขาก็ยึดทิฏฐุปาทานนี้ตลอดเวลา คนเหล่านี้มีอัตวาทุปาทาน และก็มี ทิฏฐุปาทาน และ ทฤษฎีที่เขายึดถือว่านี้ถูกต้อง แล้วที่อาตมาพูดไปนี่ และพวกเราปฏิบัติกัน เขาไม่มาทำหรอก เขาก็ทำตามเขา เพราะฉะนั้น ศีลพรต คือข้อปฏิบัติตามทฤษฎีที่เขาเข้าใจ เขาก็ปฏิบัติตามที่เขาเข้าใจ เช่นย่างหนอ ก้าวหนอ อย่าส่งจิตออกนอก นั่งเข้าไปจนก้นแตก เขาก็คือสีลัพพตุปาทานนั่นเอง

 

เขาก็ไม่รู้แม้ติดกามรสขั้นหยาบ เขาก็ยังอยากได้ ได้มาก็เป็นรสเป็นชาติ เขาก็ว่า เขาได้มาก็ไม่ได้ติดยึด เขาเอามาช่วยประชาชน เขาก็ทำกับประชาชน แต่เขาเสพรส เป็นกามรสจริงๆในอะไรก็แล้วแต่ที่มันซ้อนทั้ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยิ่งทางลิ้นนี่ก็ติดหนักไม่รู้เลย

 

ในโภชเนมัตตัญญุตา นี่ก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์ตลอดชีวิตเลย เพราะต้องกินอาหาร แต่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อื่นๆ ไม่ต้องไปแตะต้องตลอดชีวิตก็อยู่ได้สบาย แต่สิ่งที่จะต้องเอามาแตะลิ้นคืออาหาร ไม่มีอยู่ไม่ได้ แต่สมัยนี้จะเอาใส่ท่อเข้ากระเพาะเลยก็ได้

 

แต่เขาจะรู้ว่า ของพุทธนี้ สัมผัสอยู่ แต่ก็รู้แยกรสได้ อันหนึ่งรสธรรมดาสามัญ อีกอันหนึ่งคือ รสทิพย์  พระอาริยะจึงจะอ่านรสทิพย์นี้ออก นี่คือ โสตทิพย์ (วิชชาข้อที่ 4) ได้ยินเสียงกลองมาแต่ไกลระยะไกล แม้ไกลก็รับได้ แล้วก็แยกออกด้วยว่า อย่างนี้เสียงกลอง แยกลิงค(เพศ)ของกลองได้ว่าต่างกัน อันนี้ตะโพน อันนี้เปิงมาง นี่กลองบัณเฑาะว์ แยกชนิดได้ ได้ยินแค่เสียงก็แยกออก หมายความว่าเป็นเรื่องละเอียด ไกล ลึก แล้วก็มีลักษณะที่เรารู้นิมิต เครื่องหมาย โดยการกำหนดหมาย ตัวอาการของเสียง เราแยกออก

 

ฉันเดียวกัน มันมีอารมณ์ เมื่อแยกออกได้ก็รู้ว่า ความเป็นทิพย์เราก็แยกได้ เรารู้ได้ว่าโลกียรสนั้นเพศหนึ่ง ส่วนโลกุตรรสนั้นก็อีกเพศหนึ่ง เราแยกโลกียรส ออกจากรสธรรมดาที่ทุกคน ที่มีประสาทสัมผัสปกติ จะรับรสได้เหมือนกันหมด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนกันหมด แต่อาการที่ประกอบร่วมอยู่ เป็นอาการละเอียด เป็นอาการโลกียะ ที่แฝงมานี้ นี่คือเราอ่านทิพย์ออก รู้ทิพย์ นี่คือของปลอม เป็นรสอร่อย รสวิเศษที่เราต้องได้ต้องมีต้องเป็นต้องยึดต้องเอา รสที่เราแสวงหาไม่ว่า ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

 

ที่ว่า 2 คือธรรมะ 2 รวมลงที่สัมผัสรู้ เรียกว่า "เวทนา" (สโมสรณา) ทำให้รสทิพย์นี้หมดทิพย์ ไม่มีมารไม่มีทิพย์ เป็นกลางๆสามัญ สงบ ให้มันลดได้ เมื่อลดได้เป็น 1 ไม่มี 2 คือเหลือธรรมชาติ ธรรมดา ที่เขาว่าธรรมะคือ ธรรมชาติ คือ กลิ่นมะม่วง รสมะม่วง รสระกำ ก็เป็นของมันเช่นนี้ สีแดง สีเขียว สีเหลืองมันก็เป็นเช่นนี้ ใครมีประสาทสัมผัสปกติก็รับได้เหมือนกันหมด แล้วคุณจะตั้งชื่ออะไรหรือสมมุติชื่ออะไรก็แล้วแต่ ตามภาษาบัญญัติ เป็นอธิวจนะ เหมือนที่เขาติดสติกเกอร์ว่ารสคันนี้สีขาว ทั้งๆที่รถคันนี้สีดำ ใครเห็นก็เห็นว่าสีดำ แต่บัญญัติจะเรียกอะไรก็แล้วแต่

 

แต่ทิพย์นี่รสทิพย์มันไม่ตรงกันทุกคนหรอก อาจคล้ายกันได้เพราะครอบงำความคิด ฝรั่งมาเมืองไทยถูกครอบงำให้กินพริกก็ติดพริกได้ คนกรุงไปอีสานก็ติดปลาแดกได้ เขาไม่รู้กามุปาทาน

 

กามตั้งแต่อบายมุข รสจัดจ้าน เข่น ของเสพติด น้ำชากาแฟ หมากพลู บุหรี่ ของง่ายๆ กามหยาบๆยังไม่รู้ว่าเป็นรสอบาย สิ่งเสพติด แค่นี้ไม่รู้จะไปพ้นกามุปาทานได้อย่างไร อาตมาเองก็นึกถึงหลวงพ่อคูณ ใครว่า หลวงพ่อคูณกับมหาบัว สิ้นชีพลง สองรูปนี้ คนฮือฮามากกว่ากัน ....หลวงพ่อคูณ

 

มหาบัวไม่ทำเครื่องรางของขลังน่าจะได้รับการนับถือมากกว่า เขาก็พูดแรงพูดจัดเหมือนกัน แต่ไม่หยาบอย่างหลวงพ่อคูณที่พูดกูมึง เรียกว่าหยาบถาวร เหมือนคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เป็นพระอาริยะไม่น่าโง่ขนาดนี้ ทำไมไม่เปลี่ยนแปลง ไปพูดกับเจ้า ก็พูดอาตมาก็ได้ เป็นพระทำไมพูดกู มันอะไรกันนักกันหนา ดูแล้วเหมือนหลวงพ่อคูณแย่กว่าท่านมหาบัวเยอะ แต่กลับ คนเคารพ เพราะอะไรไหม? ลึกซึ้งมากเลย....

 

หลวงพ่อคูณนี่ จริงใจมากกว่ามหาบัว ซื่อมากกว่ามหาบัว ซื่อจริงๆ ยึดอะไรยึดเป๊ะ แล้วก็มั่นใจว่าไม่ผิด มันซับซ้อนอะไรเยอะแยะเลย

 

โดยบัญญัติภาษาภายนอก สมมุติสัจจะก็น่าจะรู้ แค่คำหยาบ แต่หลวงพ่อคูณไม่มีคำส่อเสียด แต่มหาบัวไม่มีคำส่อเสียด หยาบสู้หลวงพ่อคูณไม่ได้ คำว่าหยาบกับส่อเสียด คำส่อเสียด เลวกว่าคำหยาบ แต่คนรู้คำหยาบได้มากกว่าส่อเสียด คนจะทำส่อเสียดได้ง่ายกว่าคำหยาบ แต่เขาไม่เข้าใจคำส่อเสียด

 

ส่อเสียดคือ พูดกระทบแล้วเกิดความวุ่นวาย แต่หยาบนี่รู้ง่าย ว่าตัวเราเสีย แต่ส่อเสียดทำให้คนอื่นเสีย ทำให้วงแตก เป็นพิษภัยเยอะ และอาตมาว่า ความซื่ออาตมาว่า ที่จะไม่ค่อยมีอะไรไม่ตรง หลวงพ่อคูณซื่อกว่า ไม่มีแฝงซ่อนอะไร นี่นัยอะไรหลายอย่าง

 

ในความตื้นเหมือนคนตื้นๆ หลวงพ่อคูณนี้ตื้นมาก ถ้าจะพูดหวัดๆโดยภาษาก็คือ ซื่อจนเซ่อ แต่มหาบัวนี้ฉลาดกว่า ขออภัยที่เอาเกจิอาจารย์ที่คนนับถือมาวิเคราะห์ ก็ขอขอบพระคุณต่อท่านอาจารย์ทั้ง 2 ก็ไม่ได้เคารพหรือลบหลู่เกินกว่าควร อาตมาก็ยอมรับนับถือ ในชีวิตของคนที่บวชมา 70 กว่าพรรษาด้วยกันทั้งคู่ ไม่บ้า ไม่ตาย ไม่สึก ก็ต้องนับถือแล้ว ก่อนอื่นเลย แล้วที่ชัดๆคือว่าไม่ได้เลวจนเกินการเลย แต่ถ้าเลวจนเกินการ จนปาราชิกก็ไม่น่าเคารพ แต่นี่ก็ไม่มี แต่สังฆาทิเสสเรารู้ไม่ได้กับท่าน แต่ปาราชิก 4 ท่านไม่น่ามี แต่ท่านอยู่กับเงินเล่นกับเงินกันทั้งคู่จะมีไหม ก็ไม่อาจรู้ได้

 

มันมีปาราชิก 4 เรื่องผู้หญิงทั้งคู่ก็ไม่มีอะไร สำหรับหลวงพ่อคูณก็ไม่มีแว่วมาเลย แต่หลวงตาบัวก็มีแว่วนิดหน่อยจริงๆ แต่เรื่องเงินทองยากที่จะรู้ ปาราชิกเรื่องฆ่าคนทั้งคู่ก็ไม่มีปัญหา หลวงพ่อคูณไม่อวดอุตริมนุสธรรม ในอสุสาสนีย์ปาฏิหาริย์เลย แต่ไปอวดอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ส่วนหลวงตาบัวอวดอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

 

ที่พูดนี้มุ่งทำความเข้าใจในพุทธธรรม ไม่ได้อวดเบ่งข่มใครเลย ก็ไม่บังคับให้ใครเชื่อ ก็ได้แต่พูดสิ่งที่เห็นว่าเป็นจริงเป็นสัจธรรมสู่กับฟัง

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้

 

คนที่มีสุรภาโว สติมันโต เขาอยู่ในฐานะจะปฏิบัติธรรมได้ทั้งสิ้น ถ้ามีสัตบุรุษ บรรยายให้เขาฟัง จนเข้าเชื่อถือ เชื่อมั่น เชื่อฟังได้ เขาก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ถ้าเขาจะมีได้ก็ต้องโยนิโสมนสิการให้ถูก ก็ต้องมีทิฏฐิที่สัมมาด้วย ทิฏฐิจะสัมมาก็เพราะเขาต้องโยนิโสมนสิการได้ถูกต้องจริงๆ

 

ส่วนปรโตโฆษะนั้นถ้าคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่ฟังคนอื่น ปิดประตูเหมือนกันเลย ถ้าคุณสัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ต้องฟังคนอื่น แล้วถ้าสัมมาทิฏฐิก็ต้องโยนิโสมนสิการ เป็นตั้งแต่ทำทานเลยก็ต้องสัมมาทิฏฐิ ต้องมีอัตถิยิฏฐัง ต้องมีอัตถิหุตังเลย แต่นี่ไม่เห็นท่าทีที่จะถูกต้องเลย

 

การทำทานคุณทำใจเป็นไหมให้ลดโลภ ไปทำสมาธิคุณก็ไปสะกดจิต แช่แข็งจิต เอาความว่างความใสเป็นกสิณ เกาะยึดอะไรก็แล้วแต่สะกดจิตทั้งนั้น ไม่มีจิตวิเคราะห์ถึง เจตสิก รูป นิพพานแล้ว โดยเฉพาะไม่รู้ จิต มโน วิญญาณ ในขณะมีกาย

 

กายคือ genome ที่มีอยู่ในทุกนิวเคลียส จนคนที่จะทำgenome ให้เป็นกายทิพย์ เป็นสัมโภคกาย คือกายที่จะอาศัยบริโภคได้ เป็นนามธรรมขั้นโลกุตระ บริโภคอาหารขั้นโลกุตระ เรียกว่าสัมโภคกาย ส่วนนิรมานกาย(มาน = ใจ , นิร = ไม่คือกายที่สร้างขึ้นมาได้เอง คนที่ไม่สามารถมีญาณหยั่งถึง คำว่านิรมานกายหมายถึงไม่มีใจ ไม่มีภาวะให้คนอื่นรู้เห็นได้ ส่วนอาทิสมานกาย คือไม่รู้เห็นสิ่งที่จะดูได้ ถ้าที่จะดูนี้เป็นนิรมานกายก็ยิ่งดูไม่ได้เลย

 

คนที่ทำหายตัว ยิ่งกว่า invisible man ไม่มีอะไรให้เห็นเลย คนก็เลยไม่เห็น เป็นกายที่ไม่มีใครเห็นได้ คือ อาทิสมานกาย ส่วนสัมโภคกายคือ กายที่ต้องอาศัย ถ้ากินก็เรียกว่าบริโภค หรือใช้ก็คืออุปโภค

 

อาหารมีสอง คืออาหารใน คือกินเข้าไปเป็นกวฬีการาหาร และมีอาหารนอกคือเครื่องใช้ภายนอก

 

ผู้จะทำอาหารให้บริโภค อุปโภค สามารถทำได้ จึงเรียกว่ากายที่เราเนรมิตมาอาศัย เป็นสัมโภคกาย เป็นเรื่องลึกซึ้งไม่ลึกลับ ผู้มีภูมิจะทำได้จริง

 

อาตมาจะขยายความมูลสูตรให้ฟัง ใน 10 ตัวนี้เป็นเค้าต้นของทุกอย่างเลย ในมนุษยชาติทุกอย่างต้องมีเค้ามีต้น

1.    มี ฉันทะ(ความยินดี) เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) ต้องยินดีในโลกุตระ เช่นเข้าใจว่าต้องมาเอาออก มาเป็นคนไม่มี มาถูกปอกลอกออก คนที่จะปอกลอกออกไปจนไม่มี ตั้งแต่เริ่มต้นคือวัตถุธาตุที่ใจยึดอยู่ จนกระทั่งใจไม่ยึดแล้ว เข้าใจว่าต้องมาเอาออก อย่างน้อยต้องเอาวัตถุออกก่อน หรือกรรมกิริยาขี้โกงทุจริตเลวร้ายต้องเอาออกก่อน วัตถุโกงทีละแสนล้านนี้ ตกนรกหมกไหม้แน่ แล้วมีเจ้าหนี้ทั้งประเทศ เพราะโกงเงินประชาชน นักการเมืองโกงเงินประชาชน 1 บาท ก็คือ มีคนเป็นคู่เวรของคุณนี่ 65 ล้านคน ในเงิน 1 บาท เพราะฉะนั้นมันไม่น่าไปโกงเงินของรัฐเลย

 

คุณไปโกงเงินของควายตัวหนึ่ง อันนี้เขาฝากธนาคารไว้ให้เป็นสมบัติของควายตัวนี้ คุณไปโกงเงินของสัตว์ยังบาปน้อยกว่า แล้วสัตว์ตัวเดียวด้วย หรือไปโกงเงินของคน 1 คน คุณมีคู่หนี้คนเดียว แต่ไปโกงเงินประเทศ ก็มีเจ้าหนี้ คือคนทั้งประเทศเลย มีเจ้าหนี้คนเดียวก็หลบง่าย แต่มีเจ้าหนี้ เป็นคนทั้งประเทศนี้จะหลบไปไหนได้ แล้วคนยึดมั่นถือมั่นว่าเงินกูนี่เขาฆ่าได้เลยนะ คุณก็ไม่รู้ว่าคนไหนเหี้ยมโหด อาตมาเคยยกตัวอย่าง ขนมหม้อแกงชิ้นละสลึง แย่งกันก็ฆ่ากันตายเลย

 

การเป็นนักการเมืองนี้เสียงบาปมหาศาล อาตมาถึงนิยามนักการเมืองว่าคือไปทำงานรับใช้ประชาชน แต่เขาตั้งเงินเดือนให้ข้าราชการนี้ บาปแล้ว ฉ้อฉล เขาตั้งกันเองด้วย ประชาชนไม่มีสิทธิ์ไปตั้งได้เลย ทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจห่างไปเรื่อยๆ คนที่ต่ำก็ถูกเหยียบติดดินไปเรื่อยๆ คนขึ้นเงินเดือนก็ขึ้นไปเรื่อย

 

ถ้าคุณมาทำงานเพื่อให้ได้ 0 คือคุณปลอดภัยแล้ว ทำงานฟรี พ้นลาเภนลาภัง นิชิงคิงสนตา คือสุดยอดคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะมีในใจ แต่รูปธรรมคุณไม่ได้ทำเลย ยิ่งล้างใจได้ก็ไม่ทุกข์ร้อนไม่มีกลมถะ จบเลย คนมาทำงานฟรีที่นี่ แม้ใจจะกดข่มไม่หมด แต่ก็ล้างใจไปสิ เป็นอนาคามีภูมิลำลองแล้ว ยิ่งคุณสบายๆแล้วก็วัดภูมิได้ แม้อยากก็ไม่ได้แรงอะไร บางทีต้องการบ้าง แต่เขาไม่ให้ ก็ไม่ทุกข์ ไม่ลำบากยุ่งยากอะไร อย่างนี้เป็นต้น แม้แต่เราจะตายเขาก็ไม่กล้าจ่ายเงินรักษา คนก็ตายไป จิตคุณก็สงบ ไม่ทุกข์ แต่ถ้าคุณมีจิตว่า กูจะตายก็ยังไม่ให้อีก ถือสาในจิต ก็ได้จิตที่ทุกข์ไป เป็นกรรมเป็นของๆคุณ แม้ใครไม่รู้กับคุณ แต่คุณทำอาการจริง มันก็เป็นของคุณสิ

 

การมนสิการนี่แหละคือตัวจริงที่ขยายความก็มาที่ มนสิการ เริ่มที่มีฉันทะ ยินดีปฏิบัติมาเป็นลำดับ ถ้าคุณทำใจไม่เป็นนี่ คือไม่โยสิโนฯ 

 

2.    มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) คำว่ามนสิการคือ ทำใจในใจ คุณทำเป็นหรือเปล่า? ถ้าคุณไม่รู้ ใจมันจะเป็น ก็เป็นเอง มันไม่รู้ เป็นอย่างไรใจมันร้อน คุณก็ทำใจให้เย็นสิ แล้วจะเอาใจไปแช่แข็งหรือ? ถ้าสมถะก็ทำให้มันเย็นได้ แบบสมถะก็อาศัยได้ แต่ถ้าทำเป็นจริงๆคือ อ่านเจตสิกออกได้ ดับเพราะปัญญา ดับเพราะเจโต ดับสักกายะ มันบางเบาลง จนหมดจริงๆ อย่างเห็นๆเลยว่า มันลดลงไม่เท่าเดิม มันมีอินทรีย์ที่เป็นกิเลสลดหรือเพิ่ม ก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ว่าเป็นปุถุชนหรืออาริยชน ถ้าเนกขัมมะกิเลสก็จะลดลงๆๆ ก็รู้ความแตกต่างของลิงค

 

การได้บวกกิเลสก็คือ มีอิตถีเพศ  เราไม่ได้พูดตัวตนบุคคลเราเขานะ เราพูดนามธรรม ถ้าคุณแม้เป็นผู้หญิงก็เป็นปุริสภาวะได้ เป็นอุตมปุริสะได้ การทำใจในใจ จึงเป็นตัวสำคัญในภาคปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มจนจบเลย มีฉันทะนี่คุณเข้าประตูมาแล้ว แล้วคุณทำมนสิการตั้งแต่ต้นจนจบหรือไม่? การทำนี่ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย

 

3.    มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ถ้าไม่มีผัสสะ ใครหลบหนีผัสสะก็แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธแล้ว บุญคือ ต้องมีข้าศึกให้กำจัด แต่ถ้าเล่นหลบข้าศึกหนีไปก็ไม่มีผัสสะ ไม่มีสมุทัยในการปฏิบัติ การปฏิบัติที่ไม่มีผัสสะไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องมีผัสสะ 6 มีสังขาร มีวิญญาณ 6 มีนาม 6 มีเวทนา 6 มีอุปาทาน 4 มีสังขาร 3 ตัณหา 6

 

ถ้าไม่มีวิญญาณ 6 ไม่มีสัมผัส 6 ไม่มีกาย มีอายตนะ 6 มีตัณหา 6 นี่แหละคือมีกาย

 

คนเข้าใจเอียงไปกว่า กายคือ มีแต่ภายนอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติสามารถรู้กาย ในขณะมีวิญญาณ วิญญาณเกิดเพราะมีผัสสะ 3 เกิดมาเป็นวิญญาณ  แล้วทำธรรมะสอง ที่ขึ้นไปเป็น 3 นี่ทำให้เป็นหนึ่ง

 

คนจะมนสิการได้ต้องมีผัสสะเป็นของจริง ไม่ใช่เอาแต่ข้างในคือ สัญญา แต่เอาทำข้างนอกไปเรื่อยๆ มีสัมผัส 3 แล้วรู้ว่ามีพลังงานที่จะอปรโคยาน ที่จะโคจรของตัวGenome เป็นพลังงานตลอดเวลา อปรโคยานคือ เป็นอื่นอีกไปเรื่อยๆ จนสามารถทำให้ทิศทางไปสู่ความดับได้คือ อมรโคยาน แล้วจะรู้ว่ามีอปรโคยานหรืออมรโคยานที่ไหน? ก็ที่เวทนา

 

4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) แล้วจัดการตรงนี้ให้เป็นสมาธิ ให้เป็นนิโรธเป็นวิมุติ ทำกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ทำจนเป็นจิตสะอาด ทำได้เรียกว่ามีฌาน พอจิตสะอาดก็ตกผลึกเป็นสมาธิ เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นสมาธิ

 

5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) ผู้ใดทำสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ ก็เท่ากับเจริญสติ กับเจริญปัญญา ตัวสติและปัญญาเป็นเหมือนผู้ช่วย หวังเฉา หม่าฮั่น ช่วยท่านเปาตลอดเวลา มีสติมันโตที่รู้รอบตลอดเวลาทั้งนอกและใน จนมีอำนาจทั้งภายนอกภายใน เรียกว่ามีอธิปไตย

 

6มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) สติเราเองรู้รอบ รู้จริง ตื่นรู้ไม่ใช่ไปหลบไม่รู้ แต่รู้เต็มๆ รู้ทุกอย่างได้ไม่เกรงกลัวอะไร แล้วก็มีปัญญาด้วย รู้ว่าเป็นเช่นนี้ อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้จึงเรียกว่า โลกุตระ ผู้ยิ่งปฏิบัติสัมมาทฺิฏฐิ จะยิ่งเป็นอุตระมากขึ้นเป็นปัญญา

 

7มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือกัปตันรู้ยิ่งยอด   หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง พัฒนาทั้งสติและปัญญาไปเรื่อยๆเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนแก่โลกได้ สติก็จะมีอำนาจอยู่เหนือโลกได้ สามารถเป็นผู้บรรลุแก่น เป็นสาระ เป็นวิมุติ

 

8มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) ผู้พ้นจากโลกีย์ก็คือ คนอมตะ จากอมรโคยานเป็นคนอมตะ

 

9มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน  ถ้ายังอยู่ก็อยู่ไปเป็นอนุพุทธ เป็นอนิยตโพธิสัตว์ยังไม่เที่ยงก็สั่งสมไป จนสอบเข้าได้เป็นนิสิตของพระพุทธเจ้า เป็นนิยตโพธิสัตว์คือสอบได้ แต่จะถูกรีไทร์เมื่อไหร่ไม่รู้ อาตมานี่สอบซ่อมไม่รู้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถูกไล่ออกนะ มีแต่ตั้งจิตเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไป แต่อนิยตโพธิสัตว์ยังสอบไม่ได้ สอบได้ก็เป็นนิยตโพธิสัตว์หากสอบได้ก็เป็นมหาโพธิสัตว์ เที่ยงแล้ว ค่อยไปเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า แล้วถึง สัมมาสัมพุทธเจ้าที่สุดได้ ซึ่งสามารถรีไทร์ได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นเพศหญิงไม่มีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าหรือมีอนันตริยกรรมก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้สูงสุดได้แค่ ปัจเจกพระพุทธเจ้า

 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

สามารถไม่เกิดอีกได้เลย เหมือนพระพุทธเจ้า ตรัสว่า ใครจะเห็นเราในขณะเราไม่ปรินิพพาน แต่เราปรินิพพานแล้ว เหมือนพวงมะม่วงหล่นจากขั้วตกลงมาแตกกระจาย จะไม่มีใครเห็นรูปหรือนามของเราอีกเลย เหมือนอาตมาอธิบายเรื่อง การสลาย H2O ที่แตกตัวแล้วได้ เป็น Hydrogen และ Oxygen แล้วไม่เหลือความเป็น H2O แล้ว  เหมือนมะม่วงไปติดกับกิ่ง ก็ไม่เหมือนเดิม

 

ท่านไม่ได้ตรัสว่าท่านสูญสลายไปนะ แต่ว่าองค์ประชุมของมะม่วงพวงนั้นไม่เหลือแล้ว พระพุทธเจ้าสามารถแยกธาตุได้ ท่านรู้ถึง genome ว่าเป็นพลังงานที่ปรุงแต่งกัน ขนาดไหน?อย่างพีชะนี่ไม่มีอปรโคยาน มันมีชีวะของมันเท่านั้น ปรุงแต่งเฉพาะของมัน มันจึงไม่ไปทำร้ายใครเลย พลังงานของมันไม่ไปเบียดเบียนใคร มันเอามาปรุงแต่งของมันเท่านั้น ซึ่งมันไม่เรียกตัวตน เพราะไม่มีตัวร้ายอะไร มันมีประโยชน์แก่โลกเลย บางอย่างดูเหมือนมันทำลายเป็นพิษนะ แต่เป็นเรื่องอธิบายต่อไม่ไหว

 

สรุปว่าพีชะไม่มีเวทนา ไม่มีอารมณ์ยึดมั่นถือมั่นเป็นตน ไม่มีสุขเวทนา ทุกขเวทนา ไม่มีอารมณ์ชอบหรือชังอะไร มีแต่สัญญา รับมาปรุงแต่งตามรหัส โดยตัวของมันก็เป็นตัวตนแค่นี้

 

พอมาเป็นสัตว์ สัตว์ที่ไม่รู้ genome ไปปรุงเป็นอื่น อปรโคยาน ไปเรื่อยๆจะไม่จบนะ หมุนเวียนสุข/ทุกข์ในวัฏสงสาร มันน่าเบื่อนะ อย่างอดีตหัวหน้าอาตมาบอกว่าผมไม่ไปนิพพานหรอก คุณรักจะไปนิพพานก็ไปเถอะ เขาก็ไม่คิดหยุดอะไร อาตมาไปยื่นใบลาออก เขาก็กล่อมระงับ หลายที อาตมาก็เลยไปเลย ยื่นใบแล้วไปเลย เขาก็รู้ว่าเอาจริง คนที่ไม่รู้สึกว่า จะต้องเอานิพพานเขาก็สนุกกับโลกีย์ ที่จริงคุณจำนงค์เป็นคนดีมากซื่อสัตย์สุจริต มีแต่คนเข้าใจผิดคุณจำนงค์ ทั้งเรื่องกาม เรื่องเงินทอง ถ้าแกไม่ซื่อ ก็เละแล้ว เพราะแกอยู่กับผู้หญิงทั้งนั้น แต่แกซื่อสัตย์

 

ผู้ยังไม่รู้ genome ไม่รู้อปรโคยาน แล้วไม่สามารถแยกเพศได้ แล้วไม่สามารถทำให้พลังงานอิตถีเพศดับ ไม่เกิดอีก จนกระทั่งมันเกิดใหม่ก็ไม่ทำให้เกิดเพศหญิงได้ ควบคุมในปัจจุบันทุกปัจจุบันได้ สามารถทำให้ไม่เกิดอิตถีภาวะ ทั้งในอนาคต ทำgenome ให้หมดเพศ เป็นนปุงสกลิงค์ได้ ก็ควบคุมพลังงานได้ นี่ยอดกว่าไอสไตน์ที่เขาควบคุมพลังงานไม่ได้

 

ในอะตอม มี Electron มี Proton มี Neutron คนที่คุมอปรโคยานได้คือ คุม electron ได้ ถ้าจะใช้ก็ใช้อย่างพอดีได้ ถ้ามันเป็น electron ตัวเลวก็ระงับไม่ให้เกิดได้เลย แต่ทำงานต้องอาศัยทั้ง 3 เส้า ทั้งบวกและลบ ส่วน 0 เป็นตัวกลาง ในมหาจักรวาลก็มีแค่นี้แหละ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คุมพลังงานอะตอมได้ ด้วยประการฉะนี้แหละ

 

ต้องมนสิการเป็น แล้วต้องฝึกด้วยผัสสะ พัฒนาเวทนา 108 ให้เป็นหนึ่ง แล้วยังมีส่วนสองใช้ proton และ electron ทำงาน แล้วประมาณให้เหมาะในการทำงาน ให้น้อยไว้ก่อนดีปลอดภัย แต่ถ้ามากไปจะฉิบหาย น้อยไว้ปลอดภัย มากไปเป็นภัย หรือมากไปบรรลัย นี่คือสุดยอด

 

ในอะตอม มีนิวเคลียสเป็นแกนกลาง ในนิวเคลียสมีแต่ โปรตรอน นิวตรอน ดังนั้นในอะตอมก็ประกอบด้วย นิวเคลียสกับอิเล็คตรอน เท่านั้น

 

ในอะตอม มี genome อะตอมคือ DNA ส่วน นิวเคลียส ถ้าเป็นเพศชาย มันก็เป็น 0 ถ้าเป็นเพศหญิงก็เป็น 1

 

พอเวลาจะทำงาน เขาก็มาใช้เพศ 1 เพราะเอกบุรุษสามารถอยู่ที่ 0 หรือ 1 ก็ได้ ส่วนเพศ 1 นั้นยังทำ 0 ไม่ได้ ส่วนบุรุษเพศนี้ทำ 1 ก็ได้ ทำ0 ก็ได้ พระอรหันต์จึงสามารถอนุโลมปฏิโลมได้ ส่วนเพศหญิงยังไม่บริบูรณ์

 

ควบคุมอรปโคยานได้ ทำกุศลได้ ร่วมกันเป็นสามเส้าสมบูรณ์ ระหว่าง  Electron  Proton  Neutron

 

ให้รู้บัญญัติไปก่อน แล้วไปทำให้จิตวิญญาณเป็นดังที่กล่าว คือคนที่บรรลุจริง ในโลกเขาสามารถรู้พลังงานนี้ เอานิวเคลียสมาได้  แต่เขาควบคุมมันไม่ได้ แต่ก็สามารถแตกตัวมันได้ แต่อย่างควบคุมมันไม่ได้ พลังงานทางวัตถุเหล่านี้ ถ้าเขาเข้าใจอันนี้แล้วมาฝึกจิตเขาจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างไอสไตน์นี้มีสภาวะ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่หลงใหลจินตนาการ แกไม่ได้ทำเองนะ แกคิด คนเขาก็รับไป จนจริงเรื่อยๆ คนก็ยอมรับของแก แม้แต่ E=mc2 แต่เขาเอาไปทำแล้วควบคุมพลังงานไม่ได้ ทำให้เกิดระเบิดร้ายแรง

 

แต่ของพระพุทธเจ้านี้ควบคุมได้ ไม่ให้เกิดพลังงานอกุศลได้เลย พลังงานบวกเป็นpotential energy อยู่กับ พลังงานศูนย์ แต่พลังงานลบวิ่งอยู่นอกนิวเคลียส เราก็คุมตัวลบนี่แหละ ถ้าคุณทำ 0 ให้แก่ตัวเองได้แล้วนะ แล้วทำอย่างไม่อวดดีด้วย เพราะลาภ สักการะ สรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ขีณาสพ อันตรายต่อตนคือ เสียหน้า เพราะประมาณผิด เป็นวิบากได้ ทำคนอื่นเสียหายก็เป็นวิบาก ถ้านายกฯทำผิดนิดเดียวนี่หน้าแตกหมอก็ไม่รับเย็บนะ แต่คนงานคนนี้ทำผิด ก็ไม่หน้าแตกเท่ากับนายกฯทำผิดนะ คนงานคนนี้โกงหมื่นบาทไม่เสียหน้าเท่าไหร่ แต่นายกฯนี่โกงหมื่นบาทนี่เสียหายเสียหน้ามากนะ

 

พลังงานที่หยุดแล้วเป็น พลังงานแห้ง ส่วนพลังงานที่เคลื่อนไปได้อยู่คือ พลังงานสด

 

พลังงานสด cytoplasm กับ protoplasm ถ้า cytoplasm ก็คือพลังงานที่สดที่ไม่นับนิวเคลียส รวมเต็ม ส่วน protoplasm เป็นส่วนที่รวมตัวของมันเป็นส่วนสำคัญของเซลล์ไปด้วย ซึ่งจะมี cytoplasm กับ nucleoplasm เจตนาที่จะสื่อคือพลังงานสด ไม่ใช่พลังงานแห้ง ถ้าแห้งนี้ไปหาเหี่ยวหาเน่า ต้องใช้พลังงานสด

 

cytoplasm มันไม่คำนึงถึงนิวเคลียสเลย เป็นองค์รวมของปรโคยานเป็น genomeไปเรื่อย ส่วน protoplasm เป็นตัวเข้มข้นรู้ลักษณะ แล้วตัว protoplasm มันอยู่กับ 0 ด้วย อยู่กับ nucleoplasm ด้วย

 

อย่างพระอรหันต์สามารถควบคุมตั้งแต่ วจีสังขาร เริ่มแรกคือ ควบคุม prototype ต้นแบบตั้งต้นที่จะให้เกิดรวมเป็นสภาพวจีสังขาร ผู้ทำนิโรธได้แล้วจะทำอะไรก็ต้องปรุงแต่งสังขาร เป็นตัวแรกคือ prototype

 

อาตมามียาก็เลยเอาสลากมาแปะให้พวกคุณเห็น มียาที่ไม่ได้ติดสลากอีกเยอะเลย อันไหนคุณจำไม่ได้คุมไม่ได้ก็ปล่อยไปให้โพธิสัตว์ท่านคุมไปเถอะ คุณทำส่วนที่จะให้ตายมันตายไปให้สนิทก่อนเถอะ ทำอมตะให้ได้ก่อน เป็นนปุงสกลิงค์ ให้ได้ ส่วนอมรโคยานคือ ยังมีเพศเป็นปุริสภาวะเป็น นปุงสกลิงค์  ส่วนอปรโคยานคือ อิตถีเพศคือ ปุงลิงค์ ส่วน อมตะคือ นปุงสกลิงค์

 

เวลาทำงานนั้นจะกลับไปกลับมาได้ จะทำงานต้องใช้เพศแม่ทำงาน หรือใช้เพศพ่อทำงาน ส่วนตัวที่เราทำให้กลางได้คือตัวอาศัยแท้จริง

 

เมืองไทยยังมีสัจธรรม มีวิทยาศาสตร์ทางจิตที่เข้าถึงนิวเคลียร์ ควบคุมนิวเคลียร์ได้ ไม่ต้องกลัวจะมีกัมมันตรังสีไปทำร้ายทำลายใคร ผู้เป็นอรหันต์มีชีวิตอย่างพืช ไม่ไประรานใคร แต่มีบทบาทการงานเหมือนสัตว์ที่ประเสริฐสูงสุด เพราะทำงานให้แก่สังคมประเทศชาติได้วิเศษเลย เหนือพืช แต่มีชีวิตอย่างพืช ไม่ไประรานใครอย่างเป็นจริง เพราะรู้คุณรู้โทษ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศลเลย อรหันต์มีหลักประกันคือ สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง รู้จิตเจตสิก รูปนิพพานได้ รู้สสังขาริกับ อสังขาริกังได้

 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) นั่นแหละ คุณต้องรู้สองนี้ทำให้เป็นหนึ่ง สโมสรณา อย่างอยู่ในการควบคุมแต่มันก็ยังมี 2 อยู่ ทำให้กลายเป็นเช่นนี้ (ภวันติ) เรียกว่า คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ (เอโกปิ หุตวา พหุธา โหนตัง หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ (พหุธาปิ หุตวา เอโก โหนตัง)

 

หลายก็ทำให้เป็นหนึ่ง หนึ่งก็ทำให้เป็นสองหรือเป็นหลายได้ แล้วอนุโลมได้ อาตมามีคนเดียว แล้วมาแพร่เชื้อเป็นหลายคนได้ สร้างเนรมิตได้ สร้างยากมาก 45 ปีก็ได้แค่นี้นะ แต่ก็ดี ยังไงก็ดีกว่าไม่ดีแน่นอน อาตมามั่นใจในความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าอาตมาทำความจริงนี้แล้ว คุณได้ให้ตายคุณก็ไม่ไป นอกจากว่ามันยังไม่จริง หรือจริงไม่ครบก็ไปบ้าง แต่ถ้าจริงเข้าเขตแล้ว ก็ไม่ไปหรอกไม่มีปัญหาเลย ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:08:01 )

​​​​​​​600809

รายละเอียด

600809_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไม่ต้องสอนก็ซึมซับสัมประสิทธิ์ได้ถ้าใจเปิด

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2560 ที่ ราชธานีอโศก ตอนนี้น้ำท่วม มีข่าวบอกว่าวันนี้น้ำจะขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่เห็นจะขึ้นเยอะ เพราะเขามีวิธีการช่วยให้น้ำไม่ขึ้น เราชาวราชธานีอโศกที่ได้ไปช่วยกัน โฮมแฮง กรอกทรายใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม.ทรายสามกองก็เสร็จ สามรถสิบล้อ ทั้งเด็กสมุนพระราม สัมมาสิกขา ชาวชุมชน สมณะ สิกขมาตุ

พ่อครูว่า... เราจะได้ผักตบชวา ผัก กระฉูด เอามาไว้ทำปุ๋ยกัน มีเยอะนะ กองรวมกันไว้ๆ ไม่อย่างนั้น น้ำลงจะขนยากมากเลย

สมณะฟ้าไทว่า...น้ำท่วมนี้ ฮิวมัสที่นี่ก็จะเพิ่มขึ้น ปุ๋ยมาตามธรรมชาติ ดินที่นี่ก็ดีตลอดทุกปีไม่ต้องใช้ปุ๋ย ปลูกข้าวก็งอกงามดี โดยที่ไม่ต้องใช้ปุ๋ยงอกงาม แต่ของเรามีปุ๋ย ก็ว่าจะขายงานวันแม่ 11-13 ส.ค.นี้ แต่ว่า น้ำท่วมคงไม่มีใครมาซื้อ เราก็เลยเอาไปขายที่ อุทยานบุญนิยมและบ้านกุดระงุม เราขาย 25 กก.ขายอยู่ที่ 80 บาท สามวันด้วยกัน แต่ถ้าน้ำลดลงไป รถก็เข้ามาซื้อได้ ตอนนี้ที่โรงปุ๋ยก็เริ่มก่อกำแพงกันน้ำ ก็คิดว่าน้ำจะมาถึงไหมนะ ไม่แน่ใจ ทุกอย่างไม่เที่ยงเราก็เตรียมตัวให้พร้อม

พ่อครูพยายามอธิบายธรรมะให้เราได้เข้าใจ ได้เกิดอัญญาในจิตวิญญาณ แล้วไปกำหนดหมายให้ลดละสั่งสมอินทรีย์พละ จนพัฒนาเป็นปัญญาพละ

พ่อครูเกิดมาชาตินี้ ท่านไม่มีเพื่อนมาด้วย สูงกว่าท่านไม่มี เท่าท่านก็ไม่มี แต่ต่ำกว่าท่านก็มี ตามมา งานศาสนาก็จะมีผู้นำพาทำให้ศาสนาดีขึ้น อาตมาได้อ่านชาดก เกี่ยวกับโพธิสัตว์ ก็ดูว่าท่านเหน็ดเหนื่อยที่จะทำงานเพื่อมนุษยชาติ เป็นการเสียสละ

พ่อครูอธิบายไว้ในหนังสือเราคิดอะไรเล่มใหม่ เรื่องระบอบการปกครองของมนุษย์ ท่านบอกว่า คนลดละกิเลสได้แล้ว ก็มีใจพอ ไม่เอาสวรรค์ ไม่ก่อภพ มีความขยันอุตสาหะ มีความฉลาดไม่ใช่โลกียะ เป็นแบบโลกุตระ มีความขวนขวายเสียสละช่วยผู้อื่นอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 อย่างทันสมัยล้ำสมัย

โพธิสัตว์เกิดมาเพื่อพัฒนาคนให้เกิดมีอัญญา เป็นพระอาริยะไปตามลำดับ แล้วพัฒนาเป็นสังคมชุมชนต่อไป ท่านเกิดมาเป็นผู้ให้อย่างเดียว แม้จะมีวิบากตามราวี แต่ท่านก็ต้องทำงานเพื่อมนุษยชาติด้วย ก็หนักทั้งสองด้าน เรามาศึกษาตาม ก็ต้องขวนขวายศึกษาทำตนให้พ้นทุกข์และช่วยท่านทำงานด้วย

พ่อครูว่า...มันน่าภาคภูมิใจ แม้ว่าไม่ง่ายแล้ว มันพยายามได้อีก อาจจะปีนี้จะเพิ่มพลังงาน Coefficient อาตมายังรู้สึกว่า อธิบายคำว่า Coefficient อันหมายถึงโลกุตรธรรม คนจะเอาไปใช้ทางโลกียธรรมก็จะเป็นได้ เหมือนกับคำอื่น แต่ความจริงแล้ว Coefficient เป็นพลังงานที่ถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิ จะเป็นพลังงานที่ได้ระบบ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้า

พลังงานของโลกีย ที่เก่งยอด ได้เป็นถึงศาสดา เป็นพลังงานความรู้ที่ พัฒนาก้าวหน้า สายเจโตไปได้ไกลได้สูง แต่ไม่ได้เป็นระบบเท่ากับสายปัญญา แต่ในพลังงานละเอียดละออ ที่พาก้าวหน้าเจริญ โดยเฉพาะของพุทธ เจริญในโลกุตรธรรม

แต่ศาสดาต่างๆ แม้จะเก่งอย่างไรก็ไม่เป็นโลกุตระ จึงไม่น่าเรียก Coefficient จะต้องมีลำดับ เช่นมี static dynamic แล้วจะต้องมี kinetic เสริมขึ้นมา ผู้ที่สัมมาทิฏฐิจะต้องรู้และจัดแจงได้ ไม่ใช่พลังงานที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง เป็นไสยศาสตร์ magic มันโผล่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ ไม่ใช่

ศาสนาพุทธจะต้องสร้างได้ เป็นพลังงาน รูปนาม บวกกับลบ static dynamic คู่แรก

ถ้าทำตามลำดับอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนจะเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ จะเห็นชีวิตสัตว์ท้งหลาย เห็นของที่ไม่ใช่ของของเรา เห็นอารมณ์กาม ที่ต้องเรียนรู้เบื้องต้นเลย เป็นความใคร่ ไม่ใช่อยากเฉพาะเรื่องเพศ แต่อยากในโลกียะเอามาให้หมด ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กาม อัตตา จะไม่รับแบบไม่เป็นลำดับ

ไม่ใช่ว่า อย่างที่พูดกันทุกวันนี้จะไปนิพพานไปทางไหนก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าทางไปสู่นิพพานมีทางนี้ทางเดียว ไม่มีทางอื่น แต่ที่เขาบอกกันว่า ต่างคนต่างทำต่างจริตก็มีบ้าง แต่ทางเอกต้องศึกษา มีทางนี้ทางเดียวคือ มรรคมีองค์ 8 เอาให้ครบคือ โพธิปักขิยธรรม 37 มี โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ทำงานคู่กัน

 

สมณะฟ้าไทว่า...คนที่เอาภาษาของศาสนาพุทธ ใช้ทางโลกีย์ แสดงว่าเขามี ภูมิรู้ไม่พอ

พ่อครูว่า...ก็จากผู้ที่เจตนาดีแต่ภูมิรู้ไม่พอ ก็เลยทำให้เพี้ยนไป ยิ่งเป็นอาจารย์ที่มีคนนับถือคนชอบคนนิยมมาก ก็พาให้พังมาก อธิบายไปตามอัตตา หลงตนเองซับซ้อน

 

สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูว่าตอนนี้ยาก เพราะพ่อครูอายุมากขึ้น สังคมก็รุนแรงมากขึ้น พวกเราก็ต้องพัฒนาตัวเอง เพิ่มฐานมากขึ้น แต่ก่อนนี้ร่างกายพ่อครูฟิต ไม่เคยบอกว่ายาก แต่ตอนนี้อาตมาว่า พวกเราจะต้องช่วยมากขึ้นพัฒนามากยิ่งขึ้น เพราะเหมือนกับเป็นโค้งสุดท้าย ของโพธิสัตว์ ที่จะไปถึงจุดที่เต็มที่ ต้องเร่งเต็มที่ เป็นระยะสั้นเข้าๆ ตอนที่ 96 แล้วไปหา 108 จาก 96 แล้วไปหา 108 จะค่อยยังชั่ว มีพลังงานเสริมมากขึ้น มี 36 36 อีกสอง เป็นสองเส้า

พอเริ่มมาเส้าที่ 7 จาก 12 1  2 12 เป็น 36  และจาก36 ไปอีก 12 12 12 เป็น 72 และจาก 72 ก็เป็น 84 จากนั้นจะเป็น 96

จะต้องออกไปเป็นวงอื่น ต้องมีอัญญา ที่เป็นตัวแยกจากวงวัฏกะที่เคยได้

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูจึงบอกว่าหนัก ถ้าเกิดว่าตอนนี้ 84 แล้วขึ้น 96 ถ้าสำเร็จ 96​ ก็ไปได้

พ่อครูว่า...ก็จะไปถึง 120 ได้ค่อยยังชั่วมากขึ้น ตอนนี้ยาก

สมณะฟ้าไทว่า..ก็ต้องกระตุ้นตัวเราให้พัฒนาขึ้น เพิ่มพลังงานให้ตัวเองลดละกิเลสมากขึ้น จากโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นอรหันต์ให้ได้

พ่อครูว่า...ก็อย่าไปคำนึงมากถึงบัญญัติ แต่ให้เอาตามสภาวะอ่านอาการลิงค นิมิต อุเทสให้จริง

 

มาดู sms

SMS วันที่ 7 สิงหาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)

 

_3867เสียงพ่อครูขาดๆหายๆ!ที่น้ำท่วมมิถึงแต่พื้นที่รอบๆน้ำอาจชื้น!ใช้ไฟฟ้าในที่ชื้น แฉะระวังไฟดูด!ต้องใส่บู๊ท ฤาถุงมือป้องกันด้วย!มีคนเคยโดนไฟดูดปี38-54 บ้างแล้วที่อื่นระวังตัวด้วย!

 

_3867กราบอนุโมทนาพ่อครูกับธ.จิตวิปลาสอันหลงผิดสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง!ที่เป็นทุกข์ว่า เป็นสุข!ไม่ใช่อัตตาว่าเป็น อัตตา!ที่ไม่งามก็ว่างาม!สาธุอนิจเจนิจจัง!ทุกเขสุขขัง!อนัตตนิอัตตา!อสุเภสุภัง!เอวังถนอมจิตอย่าให้พังหน๊อ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สกิทาคามียังมีเรื่องเพศไหม

_7146สกิทาคามียังมีเรื่องเพศไหมครับ

พ่อครูว่า... มีแน่นอน แต่ที่ถามคงเรื่องเพศผู้ชายผู้หญิง แต่ถ้าอนาคามี ไม่มีภายนอกแล้ว ทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก มีฌานทั้ง 4​ เป็นเครื่องคุ้มครอง แม้จะมีรูปราคะ อรูปราคะภายใน ดิ้นรน ก็ไม่เสียท่า เพราะจะมีหิริโอตตัปปะสูง ไม่เอา ถ้าได้ตั้งสมมุติ มาเป็นภิกษุแล้วเป็นต้น ถือศีลพรหมจรรย์แล้ว จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ผู้ที่ตั้งใจจริงจะมีพลังงานเพียงพอ ได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบากใน ฌานทั้ง 4 ฌานทั้ง 4 ก็คือข่มนิวรณ์ได้ และจะมีปัญญาด้วยคู่กันของพุทธใช้คู่กัน แต่ของเจโตใช้แต่ข่ม ปัญญาไม่มี อาจข่มได้มาก เคยเห็นไหม ว่าระเบิดเมื่อแก่ ทะลุไป

แต่ของพุทธ เรียงลำดับได้ อุภโตภาควิมุติ มีเจโตและปัญญา ถ้าเรียงลำดับได้อย่างน่าอัศจรรย์ จะไม่เตลิดเปิดเปิง สกิทาคามี ยังมีเรื่องเพศทางภายนอก แต่อนาคามีไม่มีเรื่องเพศภายนอกแล้ว เหลือรูปราคะ อรูปราคะ ภายใน มีมานะอุทธัจจะ ภายใน หรือมีอนุสัย 7 อนาคามีจะไม่มีอนุสัย 2 บน กามราคานุสัย กับปฏิฆานุสัย ส่วนอีกอนุสัย 5 อันที่ 2 3 4 ที่ลึกละเอียดก็จะมากอยู่ มีมานานุสัย ภวานุสัย อวิชชานุสัย จะยังมาก ของตนยังเยอะ

อนุสัยต้องให้ได้อรหันต์ก่อน  เมื่ออาสวะหมดก็มาไล่อนุสัยต่อ

 

_7504ปฏิรูปตำรวจต้องคำนึงให้สามารถคุมคนไม่ดีคุมอาชญากรรมรักษาสงบเรียบร้อยศีลธรรมภายในปท.ได้กำลังใจยุทธศาสตร์ตำรวจต้องเหนือกว่าคนร้ายข้าศึกฯ

พ่อครูว่า... อาตมาเคยพูดไว้นานแล้วว่าถ้ายุบกรมตำรวจ ประเทศจะเจริญมากขึ้น เพราะว่าตำรวจมีอำนาจมากเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น อาตมาเคยพูด ตำรวจมีหน้าที่จริงๆเหมือนรปภ. แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจใหญ่มาก แต่ตำรวจใหญ่ก็คุมนโยบายไป ถ้าเผื่อว่าประเทศที่มีศีลหรือประเทศที่มีธรรมะของพุทธอย่างเจริญแล้วตำรวจจะเบางานมากเลย ตำรวจจะเป็น รปภ. แต่ไม่เป็นพุทธแท้เลยมีมานะสูง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน กรรมเป็นของๆตน แบบตามลำดับ

SMS จากเฟซบุ๊ค

_ปรีชา ขำเพชร ขอเรียนถามพ่อครูดังนี้ครับ...เมื่อเราทำกรรมใดลงไป..จะเรียงลำดับกรรมได้ดังนี้ใช่ไหมครับ.....กัมมัสโกมหิ....กัมมพันธุ...กัมมโยนิ....กัมมทายาโท....กัมมปฎิสรโณ...

  พ่อครูว่า... อาตมาว่าที่เรียงมานี้ไม่เข้ากับที่อาตมาเรียง ที่อาตมาใช้มาก็น่าจะเป็น กัมมัสโกมหิ....กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฎิสรโณ

กรรมเป็นของของตน ตนจะต้องเป็นทายาทรับมรดกกรรมของตนเรียกว่า กัมมทายาท เป็นตัวย้ำว่ากรรมของตนนะ แม้จะตายไปกี่ชาติๆ ตนก็ต้องเป็นเจ้าของกรรม แบ่งกรรมคนอื่นมาไม่ได้ กรรมของใครของมัน ไม่เช่นนั้นกรรมก็ไม่ใช่ของๆตนสิ กัมมทายาโท ตีเปลาะไว้ว่า ตนต้องเป็นทายาทรับมรดกกรรมของตน กรรมแบ่งใครไม่ได้

กรรมของพ่อแม่ แบ่งให้ลูกไม่ได้ ลูกแบ่งให้พ่อแม่ก็ไม่ได้ ยิ่งแบ่งให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ ก็ไม่ได้เลย กรรมแบ่งใครไม่ได้ จึงสำทับลงไปว่า กรรมทายาท แล้วกรรมจะพาตนเป็น คือกัมมโยนิ

กรรมของพุทธคือ God ของศาสนาเทวนิยม ของศาสนาที่มีพระเจ้า แต่ของพระพุทธเจ้า กรรมคือ God เราเป็นผู้ควบคุมกรรมเราเอง อิสระมาก ศาสนาพุทธมีอิสระสุดยอด แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ขึ้น เป็นพระเจ้าเสียเอง เป็นกรรมของตนพาเกิดพาเป็น ใครมาพาเราเกิดเราเป็นไม่ได้ เราเป็นผู้ดำรินึกคิดทำ โทษคนอื่นไม่ได้เราเองทั้งนั้น เสร็จแล้วสั่งสมเป็นเผ่าพันธุ์

พันธุกรรมหรือกรรมพันธุ์ จึงเป็นของของคนคนนั้น กรรมพันธุ์ของแม่พ่อ แล้วมาถ่ายทอดให้ลูกไม่ได้ ไม่ใช่สรีรพันธุ์ อย่างนั้นมันเป็นวัตถุ กรรมเป็นนามธรรม เป็นจิตวิญญาณ เอาจิตวิญญาณเราไปใส่ใครไม่ได้ ใครจะอุตริว่า เอาวิญญาณใครมาเข้าสิงคนอื่นไม่ได้ วิญญาณเราไปเข้าสิงใครไม่ได้ ใครก็เข้าสิงเราไม่ได้ ที่บอกว่าเข้าทรง เข้าสิง

ถ้าเข้าทรงได้ เอาวิญญาณคนอื่นมาเข้าได้ก็จะทรงพระพุทธเจ้าทุกวันเลย ถ้าเอาใครก็ได้มาเข้าทรงได้ ทำเก่งอิทธิฤทธิ์เยอะ ก็สอนเขาเก่งด้วย ผมจะทรงพระพุทธเจ้าทุกวินาทีเลย

การเข้าทรงคือหลงอุปาทาน ผู้ที่เข้าทรงเอาวิญญาณมาเข้าไม่ได้ ที่เข้าทรงได้เป็นสัญญาเราเอง เช่นเรามีความรู้ว่า พระนเรศวรมีความเป็นอย่างไร คุณก็ประมวลความรู้ของคุณว่า พระนเรศวรเป็นอย่างไร มาเข้าทรง ดีไม่ดีท่านไม่ได้เป็นแต่คุณก็ทำ คุณเอาอิทธิปาฏิหาริย์ของคุณเองเอามาใส่ตนได้เก่งกว่า วิญญาณที่จะให้ทรงก็เป็นได้ ก็ตอบคำถามได้เท่าที่ตนเองรู้เท่านั้น

อย่าไปหลงใหลเข้าทรงเลย จริง อาจมีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ เท่าที่ตนบำเพ็ญมา แต่ถ้าไม่มีก็แสดงไม่ได้ แสดงไม่เกินเท่าที่ตนมี

ตนเองสั่งสมพันธุ์ของกรรม เป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเราเอง เช่นเราสั่งสมพันธุ์กัลยาณธรรม เราก็มีความเป็นกัลยาณมิตรที่สูงขึ้น พอคุณได้เชื้อโลกุตระมา อัญญะ อัญญา ก็สั่งสมพันธุ์พุทธที่มีอัญญะ อัญญา แต่ถ้าคุณไม่ได้อัญญาก็เป็นแต่พันธุ์โลกียะ อยู่แต่ในกรอบโลกียะ จนกว่าคุณจะมีพลังงานพิเศษ Coefficient สัมประสิทธิ์ที่จะสามารถ เหมือนคนมีพลังงานออกจากแรงดึงดูดของโลกได้ ความรู้ขนาดนั้นจริงๆจึงจะออกได้เก่ง เหมือนกับคนเขาออกนอกโลกได้ ส่งจรวดออกนอกโลกไปไกล ถึงดาวต่างๆได้ ก็เหมือนกัน เราทำของเรา เราก็สามารถมีสัมประสิทธิ์ Coefficient ได้

แต่ต้องมีผู้ตรัสรู้ได้แล้วมาเปิดเผยให้ผู้อื่นได้รู้ตาม ไม่สามารถรู้ได้ เอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกพระองค์ ว่า ความรู้ของพุทธต้องได้รับถ่ายทอดจาก คนที่รู้มาก่อน พูดอย่างนี้เหมือนกับว่า ศาสนาพุทธไม่เป็นอิสระต้องฟังจากคนอื่นเท่านั้น รู้เองไม่ได้หรือ ถ้าคุณเชื่ออย่างนี้ก็ไปรู้เองได้ก็ทำเอาสิ ห้ามกันไม่ได้หรอก

 

มีข่าวแทรกว่า ยายคำ นางคำผ่อน พรมโสภา แม่ของทิดตะกายธรรม พรมโสภา อายุ 80 ปี เสียชีวิตแล้วที่บ้านพักค่ายทหารสรรพสิทธิ์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ

เราก็ได้พึ่งกรรมพันธุ์ กัมมโยนิ กัมมปฏิสรโณ เราได้พึ่งทวนไปทวนมา แล้วได้อาศัยพึ่งกรรมในการพัฒนา คนที่ไม่มีความรู้จนกระทั่ง มีอุตริมนุสธรรมหรือโลกุตระ คุณจะไม่ได้พึ่งอย่างตนสามารถควบคุมได้เต็มที่ จะไม่มีพลังงาน God ที่บงการตนเองได้หมด แต่จะมี อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กาม อัตตามาบังคับ เพราะคุณยังเป็นทาส พระพุทธเจ้าจึงให้เราหมดความเป็นทาส ตั้งแต่โลกอบาย โลกกาม รูปโลก อรูปโลกตามลำดับ แล้วแยกละเอียดอีก

ต้องทำไปตามกรอบตามลำดับ เป็นความราบเรียบอันน่าอัศจรรย์เหมือนกระจก ที่ยุคพระพุทธเจ้าไม่ใช้คำว่ากระจกเพราะว่าไม่มีกระจก ก็เลยเทียบกับทรายที่ฝั่งทะเล

เราก็ได้พึ่งกรรมของตนตามฐานะที่เราได้ เป็นพระอาริยบุคคล จนเป็นพระโพธิสัตว์ตามลำดับ

 

_อำภา รื่นใจดี · สาธุเจ้าค่ะที่สุขภาพท่านพ่อครูจะแข็งแรงขึ้นทุกวัน ลูกจะได้ฟังธรรมเพิ่มพูนปัญญาต่อไปอีกยาวนาน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อาริยบุคคล 4 ตามลำดับ

_กาน เธียรวัตน์ · กราบนมัสการค่ะ ขอเรียนถามเรื่องความแตกต่างของพระอริยะ 4 ระดับ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ เคยฟังแล้วแต่ยังไม่ชัดค่ะ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตามค่ะ

พ่อครูว่า...โสดาบัน เรานับเอาเกณฑ์ศีล 5 ครบบริบูรณ์ กายวาจาใจ ใจก็ระดับหยาบที่สุดระดับอบาย โสดาบันพ้นอบายภูมิ อบายภพ มีหลักประกัน มีความรู้พ้นสังโยชน์ 3 เป็นต้น สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

พระโสดาบัน อยู่ในเกณฑ์กรอบความหมาย จะรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เท่ากรอบศีล 5 เป็นหลักใหญ่ แล้วอย่าไปทำจิตผิด ข้อ 4 ข้อ 5 เป็นวาจา กับจิตก็ทำข้อ 1 2 3 เป็นหลัก อย่าไปละเมิดชีวิตสัตว์แม้แต่เป็นเซลล์เดียว หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง สัตว์เซลล์เดียวเขาก็ไปตามวิบากของเขา อย่าไปทำร้ายฆ่าเขา ไม่ได้อะไรก็ได้แต่วิบาก ปล่อยเขาเถอะ สัตว์เซลล์เดียวคนไปช่วยเขาไม่ได้หรอก สัตว์เดรัจฉานก็ไปช่วยเขายังไม่ได้ แม้แต่คนอเวไนยสัตว์ก็สอนไม่ได้  ขนาดเวไนยสัตว์ก็ยังสอนยากเย็นเลย ตะกละอะไรหนักหนาเอาแค่นี้ก็เหลือพอแล้ว ไม่ใช่มักน้อยกุศลนะ แต่มันมากเกินแรง นักเรียนมาเกินห้องไม่ได้ สอนให้พอดีห้อง ส่วนมากคนจะมีวิบากพอดีของตน ถ้าโลภจะมากเกิน ไป ถ้ามากนิดหน่อยก็พอสู้ แต่ถ้ามากเกิน    กรูเกรียวมาอาตมาหลบแน่ พูดแล้วถ้าทำงามเกินไปก็มากันเต็มแน่ ไม่ไหว เคยเจอไหม โพธิรักษ์ทำงาม สมัยแรกๆ อย่างนั้นจะมีมาเจ๊าะแจ๊ะ รับรองไม่ต้องทำอะไร พูดแล้วจะเหมือนแก้ตัว ว่าทำไมต้องทำแรงขนาดนี้ ก็เข้ามาแล้วเจอขวานจักตอกนะ จะบอกว่าท่านสุภาพมาคงไม่เป็นไร ไม่ได้นะ เดี๋ยวโดนเข้าจะถอยไปเอง เป็นเครื่องคัดเลือกในตัว เป็นเครื่องป้องกันตัวเองด้วย

สกิทาฯศีล 8 อนาคามี ศีล 10 อรหันต์ก็เอาให้ครบสัก จุลศีล 26 ข้อก็อรหันต์แล้ว อย่าเลี้ยงสัตว์ ใช้แรงงานสัตว์ มาอ้างอิงว่า สัตว์นี้ต้องมาเลี้ยงก็อย่างนี้ไม่ได้ สรุปแล้วอย่าเลี้ยงสัตว์ สัตว์มันมีวิบากของเขา ถ้าจะไปช่วยมันก็จะช่วยกันต่อไปอีกไม่รู้จักกี่ชาติ ดีไม่ดีรักกันมาก อาตมาเคยอธิบายดุๆ ว่า ขออภัย คนรักหมามากระวัง บางชาติจะต้องไปแต่งงานกับหมาตัวนี้ อย่าไปทำเล่น จะไปรักอะไรกันนักกันหนา

จุลศีลข้อ 18 อย่ารับแพะ รับแกะ รับไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ท่านก็แบ่งไว้เป็นหมวดๆ

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา

ความรู้ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง เชื่อไว้ก่อนเถอะ ทำตามแล้วไม่เสียหลายหรอกรับรองเป็นพระอรหันต์ เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน อย่าไปเอาเก่งเกินไปนักหนา

 

_สุนงค์ อิทธิไพบูลย์ · วันนี้ มีความรู้สึกว่า ท่านพ่อครูสดชื่นค่ะ กราบแทบเท้าท่านพ่อครู ลูกรู้จักท่านพอๆกับคำว่า พธม.เกิด แต่ลูกเเค่ศรัทธาเฉยๆมาตลอด เพิ่งหันมาตามคู่คิด และมิตรดี เกือบจะสาย แต่มั่นใจว่ายังไม่สายเจ้าค่ะ สาธุ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ทักขิเนยบุคคล 7 อย่างสั้น

_คำถามจากคุณ ชาวบ้าน

ข้อ 1 ธัมมานุสารีและสัทธานุสารี ใช่ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จำแนกตามอินทรีย์ที่เป็นตัวนำ ในการปฏิบัติ คือ ปัญญินทรีย์ หรือ สัทธินทรีย์ ลูกเข้าใจถูกหรือไม่อย่างไรคะ

พ่อครูว่า...เอาสัทธานุสารี ขึ้นก่อน เพราะถือว่าจะไปได้ช้ากว่าธัมมานุสารี ซึ่งท่านไม่ใช้คำว่า ปัญญานุสารี

สายศรัทธา เจโตเอาศรัทธาเป็นเครื่องนำ เมื่อมาศึกษาพุทธก็จะเติมปัญญาให้สัมมาทิฏฐิ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย ทักขิเนยบุคคล 7

พ่อครูว่า...เอาคร่าวๆก่อน เอาศรัทธาก่อน ศรัทธาเป็นเบื้องต้น แล้วมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงจะมีปัญญาเข้าไป ถ้าไปใช้คำว่าปัญญานุสารี สายปัญญาก็อย่านึกว่ามีปัญญามาก่อน ต้องมาศึกษาธรรมะของพุทธให้ดีก่อนจึงจะสัมมาทิฏฐิ ถ้าคุณสายปัญญาจะได้ธรรมะเร็ว เพราะปัญญาเร็วกว่าศรัทธาสองเท่าตัว อันนี้บอกไม่ได้นะว่าทำไม คุณอยากเอาไม่ได้ พระพุทธเจ้าเองก็จำนน ศาสนาในโลกนี้จึงมี 2 สาย สายศรัทธากับสายปัญญา สายปัญญาของพระพุทธเจ้า พุทธิปัญญา กับสายเทวนิยม

ผู้ที่เข้าใจเรียงลำดับ ตามพระพุทธเจ้าแจกแจงไว้ ศรัทธาแล้วมาหาปัญญา ส่วนผู้ศึกษาสายปัญญา ก็มาหาธรรมะให้สัมมาทิฏฐิ เมื่อได้สัมมาทิฏฐิ ก็จะได้ทิฏฐิปัตตะ คือบรรลุทิฏฐิแล้วจะเป็น   b  

สายศรัทธาจะเป็นผู้จะมีกายสักขีคือ มีสิ่งที่ยืนยัน คือเห็นด้วยกายที่เป็นสัมผัสนอก เช่น ดูภายนอก เป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ไม่รังแกไม่รบกวนใคร ยกตัวอย่างพวกเชน ศาสนาพระมหาวีระ ไม่กระทบสัตว์ใดๆ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ปัดออก มักน้อยจนไม่นุ่งผ้าเลย พระพุทธเจ้าก็บอกว่านี่คือความสุดโต่ง  แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่พอเหมาะไปตามขั้นตอน และมีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมมนุษยชาติไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์จนเป็นพระพุทธเจ้า จะมีประโยชน์ต่อตนเองและต่อโลกอย่างแท้จริง ฟังพระพุทธเจ้าจึงมีขั้นตอนละเอียดลออมาก

 

ข้อ 2  พ่อครู กล่าว ถึงจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ลูกเข้าใจว่าหมายถึงมนุษย์ในศาสนาพุทธจะเป็นผู้มีศีล  43 ข้อใช่หรือไม่(จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7)ลูกเข้าใจถูกต้องไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ พุทธ เอาตามศีลพระพุทธเจ้า คือพุทธธรรมนูญ​ ปฏิบัติตามธรรมนูญ และจะมีกฎหมายลูก เป็นกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นพระวินัย โดยมีธรรมนูญหลักคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ตามลำดับ แล้วจะได้ประโยชน์ เมืองไทยจึงเจริญขึ้น แต่ก็ไม่ได้ตะกละให้ได้มากเร็วๆ ไปรีบร้อนไม่ได้ เพราะศาสนาพุทธ เป็นอิสรเสรีภาพ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ถูกโกงเงินเป็นล้านไปทำใจอย่างไร

_ไม่ออกชื่อ...พ่อท่านคะ พอดีอยากจะถามค่ะ หนูถูกเพื่อนโกงเงิน 1ล้าน 6แสนบาท ตอนนี้เขาหนีไม่กลับบ้านปิดเฟสปิดไลน์ เขาสัญญาจะใช้ ช่วยเพราะสงสารว่าญาติพี่น้องเดือดร้อน พอไปถามพ่อแม่เขาไม่เป็นความจริง หนูทุกข์มากเลยนั่งฟังพ่อท่าน   พ่อท่านบอกถูกเขาโกงดีกว่าโกงเขา

ตอนนี้ทุกข์ใจ คิดว่าตัวเองโง่ไปสงสารเขา ไปฟ้องศาลก็ไม่ได้ ไม่มีสัญญา สัญญาใจกับเขาว่าเราเป็นผู้มีบุญคุณกับเขา พยายามปล่อยวางเงินที่เสียไป ถ้าเราไปดูแลแม่เรายังดีกว่าไปถูกเพื่อนโกง    ช่วยตอบด้วยนะคะ..สาธุๆๆๆๆ

 .อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม ช่วยอธิบายค่ะ โดยเฉพาะ คำว่านิยาม หมายความอะไรคะ

พ่อครูว่า ...เอาเถอะน่า ถือว่าเขายืมไป ชาตินี้ชาติหน้าชาติไหนก็จะเอามาคืน มันก็เป็นวิบาก เป็นอจินไตย แต่ไม่มีกรรมใดเลยที่คนใดทำแล้ว จะไม่เป็นวิบากแล้วก็ต้องชดใช้วิบาก ตราบที่คุณอยู่ในสังสารวัฏนี้ ไม่ต้องกลัวจะเจอกันจนได้แหละ ไม่ว่าจะเป็นคู่วิบากเป็นหนี้ทั้งรักทั้งชัง พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ตอนนี้ก็ทำใจเสียว่า ให้เขายืมไปสักหลายชาติ ถ้าคุณไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ หากเดือดร้อนก็ตามตัวเขามา แล้วฟ้องร้องเอา

 

นิยามหมายความว่าเที่ยง หรือนิยม คือชอบใจ สนใจจะได้อันนี้แล้วพากเพียรศึกษาไป คุณนิยมโลกียะก็พากเพียรไปทางโลกียะ คุณนิยมโลกุตระก็มาศึกษามาทำให้ได้ จนเป็นความเที่ยงเป็นนิยมะ เป็นของเที่ยงแท้ของคุณเอง

อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ นั้นก็ติดตามฟังไป

อุตุ พีชะ จิต เป็นพลังงานเป็นวัตถุ ที่จะต้องทำงานร่วมกัน เหมือนกับธรรม2 ตั้งแต่เหมือนฟิสิกส์เป็นพลังงานอุตุ มีพลังงานบวก ลบ แม้จะเป็นพระอาทิตย์ดวงใหญ่ก็เป็น อุตุ มีชีวะไปแทรกไม่ได้เลย หรือบางดาวที่ร้อนมากจนชีวะอยู่ไม่ได้ จนกว่าชีวะอยู่ได้ ก็มีพืชก่อน จนพัฒนามาเป็นสัตว์ อุตุเป็นดินน้ำไฟลม ผสมกันจนเป็น พีชะ แล้วก็พัฒนามาเป็นสัตว์ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนพัฒนามาเป็นมนุษย์ จนมาสอนให้บรรลุธรรม คุณมาพบศาสนาได้ขนาดนี้เจริญมากขนาดนี้แล้วตั้งใจศึกษาเถอะ ยิ่งมาฟังธรรมะอาตมาเข้าใจ เพราะเป็นของที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

_ลอย แคนาดา  ถามพ่อท่านว่า"ถ้าใครได้กุญแจไปสวรรค์ กุญแจดอกเดียวกันนั้น ก็เปิดประตูไปนรกด้วยเช่นกัน"พระพุทธเจ้าเคยตรัสเช่นนั้นหรือไม่?

พ่อครูว่า ...ใช่แล้ว เพราะว่า สวรรค์กับนรกคืออันเดียวกัน ถ้ามีภูมิปัญญาจะรู้ว่า อันเดียวกัน คุณจะเอาสวรรค์ก็คือเอานรกด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ไม่ต้องสอนก็ซึมซับได้ถ้าใจเปิด

_จาก ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์....วันก่อนพ่อครูบอกว่าจะพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรื่อง โพธิปักขิยธรรมในการขยายอายุขัย อยากเรียนถามพ่อครูว่าโพธิปักขิยธรรมจะช่วยต่อชีวิตได้อย่างไรคะ มีวิธีปฏิบัติในทุกปัจจุบันให้ร่างกายไม่เสื่อมได้อย่างไรคะ

พ่อครูว่า ...อาตมาใช้โพธิปักขิยธรรม ย่อเป็นโพชฌงค์ 7 คู่กับ มรรคมีองค์ 8 ขยายกันเป็นกระบวนการ เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 คุณมาค่อยๆศึกษาเรียนรู้ เข้ามาหามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จะได้ซับซาบ osmosis, absorb จะมีทุกอย่างไหลเวียน เพราะว่า พลังงานที่จะ osmosis, absorb ผู้นำต้องมีพลังงานต้นทุน มากและแข็งแรงพอ จึงจะเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้ แต่ถ้าไม่มีต้นทุนพอ ของตนเองก็จะกระจายให้คนอื่นไม่ได้ คนจะกระจายให้คนอื่นได้ต้องไหว โดยไม่ต้องให้หรอก จะไหลซึมเข้าเอง เพราะคนที่เข้ามาแล้วเปิดใจก็ไหลเข้าไปเอง แต่ถ้าแม้คุณเข้ามาในนี้แล้วปิดประตูตัวเองก็ไม่เข้า ขนาดคุณเปิดเข้ามา มันไม่รู้เลยว่าจะไหวไหม เราไม่รู้เลยว่ามีสิงสาราสัตว์เฝ้าอยู่เท่าไหร่ คุณเปิดประตูมา แต่คุณไม่รู้ว่ามี สัตว์มากกว่า เสือสิงห์กระทิงแรดเฝ้าอยู่ในประตู

 

_The sun.    คำถาม พ่อครู

ไปเข้าค่ายที่บวรอโศก แล้วมีคนวัดมาขอใช้เราให้ทำงานส่วนกลางของวัดนอกค่ายเพราะคนช่วยน้อย เช่นที่โรงครัวมาบอกให้เราช่วยทำงานแต่ว่าเราต้องไปเข้ากิจกรรมค่ายเพื่อความเป็นหมู่มวลกับสมาชิกค่าย เป็นเวลาที่ตรงกันพอดี -คำถาม เหตุการณ์นี้เราสมควรจะตัดรอบตรงไหนก่อนดีครับ?

พ่อครูว่า ...ตอบ ว่า ตอบไม่ได้ เพราะว่าคุณต้องรู้องค์ประกอบ ยกตัวอย่างครัว กับที่อื่นที่ต้องไป ก็ต้องดูเหตุปัจจัยว่า อันไหนรีบด่วนสำคัญ เช่นว่า อันนี้น้ำจะท่วม คนจะตกน้ำตาย จะไปทำครัวหรือไปช่วยคนตกน้ำ ต้องใช้ สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4 ดีไม่ดีแม้จะนอกเรื่องนอกกฏ ยังต้องแหกกฏเลย

 

_ป้าย่านาง    คำถาม พ่อครู

1."บ้านราชเมืองเรือ" กับการเล็งเห็นบางอย่างของพ่อครูที่ให้เราช่วยกันเข็นเรือขึ้นบกมาซ่อม และเหตุการณ์น้ำท่วมบ่อยครั้งที่บ้านราชตามความไม่เที่ยงของจักรวาลที่นี่ ชุมชนควรเริ่มสร้างที่อยู่อาศัยเป็นลักษณะของเรือไว้เพื่อเวลาน้ำท่วมจะได้ไม่ต้องขนย้ายสิ่งของทุกครั้ง เป็นความคิดที่ถูกกาละไหมเจ้าคะ? หรือยังไม่ถึงเวลา?

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน พลังสัมประสิทธิ์จักรวาลของหมู่มิตรดี

2.หากคนๆหนึ่งพยายามสร้างสัมประสิทธิ์ที่"ยิ่งถึงแก่นในทางดี"ได้ เมื่อมารวมพลังกับ คนอีกหลายๆคนที่ต่างคนต่างก็พยายามสร้างไปในทิศทางเดียวกันตามฐานแต่ละคน การควบแน่นของพลังกลุ่มคนเหล่านี้ไปดึงพลังจักวาลของกรรมดีกรรมขั่วของแต่ละคนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดพลังแตกตัวจนเกิดพลังอีกจำนวนหนึ่งขึ้นตามลำดับๆของการปฏิบัติตนของกลุ่มคนเหล่านี้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ? พลังจะมากหรือน้อยลงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของแต่ละท่านในหมู่ด้วยหรือไม่เจ้าคะ? ขอกราบนมัสการพ่อครูช่วยเมตตาชี้แจงความสงสัยด้วยเจ้าคะ?

พ่อครูว่า ...ผู้จะมีพลังงานสัมประสิทธิ์ ต้องมีพลังงานทั้งบวกและลบ เป็นพลังงานธรรมะ 2 ที่เป็นตัวตั้ง constant เป็นฐีติธรรม แล้วจะมีพลังงานตัวที่ 3 เป็นตัวแปรที่เป็นสัมประสิทธิ์ เป็นตัวก้าวหน้าระดับคูณ แล้วรู้ทิศทางไปด้วย ไม่ถอยหลังไม่ยึกยักด้วย ศาสนาพุทธมีสัมโพธิปรายนะ มีเงื่อนไขว่าเป็นพลังงานที่มุ่งไปสู่นิพพานท่าเดียว

เงื่อนไขนิยามสัมประสิทธิ์โลกุตรธรรม จึงไม่ใช่ทิศทางโลกีย์ แต่โลกีย์ไม่มีลำดับ ไม่มี constant ไม่มีตัวแปร Coefficient ที่มีคุณภาพมีพลังงานก้าวหน้าถึง สัมโพธิปรายนะไม่ใช่ จะทางฟิสิกส์มีพลังงานแรงสูงจริงไปได้แต่ไม่ได้หมายถึงอำนาจทางธรรม

สัมประสิทธิ์ ของพระพุทธเจ้า C ตัวใหญ่ จะต้องประกอบไปด้วย สูตรของอาตมาคือ E= C(mc2+A) นี่คือสูตรของโพธิรักษ์ ยังไม่ขยายความวันนี้

ป้าย่านางถามมานี้...หากคนๆหนึ่งพยายามสร้างสัมประสิทธิ์ที่"ยิ่งถึงแก่นในทางดี"ได้ เมื่อมารวมพลังกับ คนอีกหลายๆคนที่ต่างคนต่างก็พยายามสร้างไปในทิศทางเดียวกันตามฐานแต่ละคน การควบแน่นของพลังกลุ่มคนเหล่านี้ไปดึงพลังจักรวาลของกรรมดีกรรมขั่วของแต่ละคนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดพลังแตกตัวจนเกิดพลังอีกจำนวนหนึ่งขึ้นตามลำดับๆของการปฏิบัติตนของกลุ่มคนเหล่านี้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ?

พ่อครูว่า...ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงสรุปที่คำตอบของพระพุทธเจ้าว่า มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ คุณจะไปอยู่ในมิตรชั่ว มิตรคือผู้ร่วมจิต สหายคือ ผู้ร่วมประโยชน์ สัมปวังโกคือผู้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน หมู่กลุ่มเดียวกัน เพราะฉะนั้นเข้ามาอยู่ในวงนี้หมู่กลุ่มนี้ สรุปว่าเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศกนี่แหละ สัมประสิทธิ์ จะช่วยมาก

 

_กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง. ดิฉ้น เข่ง ใจแก้ว อโศกตระกูล พรรษานี้ได้ตั้งตบะ4ข้อ แต่วันนี้จะยกมา1ข้อ คือว่ามีผู้ร่วมงานอยู่คนหนึ่ง มีจริตตรงกันข้ามกับดิฉันค่ะ ดิฉันสายราคะจริตเพื่อนคนนี้สายโทสะจริต ต่างคนต่างก็ไม่ชอบจริตกันเลย สำหรับดิฉันก็อยากให้เขาเปลี่ยนจริตให้อ่อนๆลงบ้าง เขาก็ไม่เปลี่ยนสักที ดิฉันไม่รู้ตัวว่ากิเลสตัวอัตตามานะ ถือดีไปข่มเขา เห็นเขาทีไรก็เกิดไม่ชอบจริตแข็งกระด้างอย่างนี้ ก็เกิดตะปูตรึงใจขึ้นมากับจิตดิฉันอย่างมาก ทำให้จิตดิฉันไม่โปร่งใสเห็นเขาทีไรก็เกิดอาการขึ้นมา ไม่ชอบบ้าง ข่มเขาบ้างอยู่ภายในจิต พรรษานี้ก็ได้ตั้งตบะขึ้นมาว่า พรรษานี้จะพยายามพูดคุยกับเขาให้ได้ พอวันเข้าพรรษาวันแรกว่าจะลองเรียกชื่อเขาไป2ครั้ง ทั้งๆที่เขาก็อยู่ใกล้ๆกัน เขาไม่หันมามองเลย ได้อ่านใจเราว่าเสียหน้าไหมที่เรียกเขาแล้วเขาไม่ตอบรับ ดิฉันก็บอกในใจว่า ไม่เป็นไรหรอกยังมีเวลาอีกตั้ง2เดือนกว่า ผ่านไป1ชั่วโมงดิฉันก็เดินไปขึ้นศาลาทานอาหาร ก็ได้เห็นเขายังนั่งอยู่ดิฉันก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา ก่อนเดินไปก็มีจิตที่วิตกวิจารณ์ว่าเราจะล้างกิเลสจะต้องเอาจริงกับอัตตามานะของเรา พอเดินเข้าไปก็นั่งลง เขาก็นั่งอยู่ดิฉันก็พูดก่อนว่าที่ผ่านมานั้นพี่เข่งต้องขอโทษนะที่ไม่ชอบสิ่งที่ไม่ดีกับเธอนั้น ให้มันผ่านไปนะ ตั้งแต่วันนั้นเราได้ปรับความเข้าใจกันเกือบเดือนแล้วเราสองคนเจอหน้ากัน แล้วเจริญธรรมกันเหมือนไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น สุดท้ายนี้จะถามคำถามพ่อท่าน 2ข้อ  ข้อ1. จะถามพ่อท่านว่าปฏิบัติอย่างนี้ได้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านใช่ไหมคะ ข้อ 2. ดิฉันได้ลดตัวอัตตามานะถือดีเราต้องยอมก่อนใช่ไหมคะไม่ต้องรอให้คนอื่นยอมเราก่อนใช่ไหมคะ สุดท้ายกราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่งค่ะ

พ่อครูว่า...สำหรับคนที่ยอมแล้วเขาดี สำหรับคนที่เราเห็นว่าเรายอมเขาก่อนนั้นดี แต่ถ้ายอมแล้วเขายิ่งจะเหิมใจ เขาจะเสีย เราก็เฉยๆเสีย อาตมาก็ทำอยู่ ไม่เผยไต๋ อย่างพวกเรานี่ตั้งใจมาแก้ไขตนเอง ก็ยอมก่อนนี่ดี แต่ถ้าคนไหนเรายอมแล้ว เขายิ่งอัตตามานะขึ้นมากจะเสีย เราก็ต้องประมาณ

 

 

อาตมาได้อ่านบทความของอาจารย์บูรพา ผดุงไทย….อาตมาเชื่อว่าท่านได้ฟังหรืออ่านที่อาตมาเทศน์ เพราะบางทีมีกระแสเสียงตอบรับ…

อ.บูรพา ผดุงไทย 12 สิงหาคม ทำให้รู้ธรรมะ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะอยู่เบื้องหลังผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมอ เวลาเราฟังธรรมะ เวลาเราปฏิบัติธรรม เวลาเราทำสมาธิ เวลาสอนธรรมะต่างๆ นั้น สิ่งที่ได้คุย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นที่เขาอยู่ในบริเวณนั้น ก็ได้รับรู้รับฟังเสมอ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีการปฏิบัติภาวนาอยู่เป็นประจำหลายๆ สิบปี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะมารวมกันอยู่ที่นั่นเยอะๆ บางครั้งที่เราสนทนาธรรมกันนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็ได้รับรู้รับฟังและอนุโมทนาบุญกับเราด้วย

ในบางครั้งที่คนมีความทุกข์ร้อนใจไปขอความช่วยเหลือ ท่านก็ช่วยตามกำลังบุญกรรมของคนผู้นั้น ในบางครั้งเราอาจมองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นจะช่วยอะไรได้เลย แต่หารู้ไม่ว่าท่านได้ช่วยสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเราแล้ว แต่ทำได้แค่กำลังบุญกรรมที่เราจะรับได้เท่านั้น บางครั้งเราต้องสูญเสียของสิ่งหนึ่งไป ก็เพื่อไม่ให้เราไปสูญเสียอย่างอื่นที่ร้ายแรงกว่า ท่านเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเราแล้ว เพราะฉะนั้นเราปฏิบัติธรรม บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กล่าวหาว่าทำไมเรานับถือ ทำดี แล้วต้องโดนอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ ท่านเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เราแล้ว ถ้าจะเจ็บก็เจ็บน้อยสุด แต่บางครั้งเราก็มีสิ่งที่ไม่เข้าใจที่ไม่อาจจะอธิบายได้ในชีวิต ก็เลยเลือกที่จะไปกล่าวโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์

 

บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าหินมันขว้างใส่เราจริง เขวี้ยงมาจะโดนหัว และแต่พอใกล้ๆ จะถึงตัวเรากลับกลายเป็นดอกไม้ เขวี้ยงมาใหม่อีกกี่ครั้ง พอใกล้ๆ จะถูกหัวก็กลายเป็นดอกไม้อีก จากหินที่มันดูว่าจะทำร้ายเราได้ พอมาแล้วก็กลายเป็นดอกไม้ไป ก็แปลว่าเรายังมีของดีอยู่กับตัวอยู่ ตราบใดที่เรายังมีธรรมะอยู่ ของดีเหล่านั้นก็จะรักษา ไม่ได้หายไปไหน อะไรที่มันแย่ ปรากฏว่ามันก็ไม่ได้แย่ หรือแย่น้อย

 

สิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบในการปฏิบัติ เพื่อวัดภูมิจิตภูมิธรรม คนที่ใกล้ชิดย่อมเห็นการกระทำกันมาตลอด ไม่ต้องสร้างภาพว่าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะกรรมมันทำงานของมันเอง เมื่อได้ธรรมดีไปแล้วก็ต้องทำดีไป จะได้ไม่ลังเลสงสัย กรรมมันมีเหตุผลของมัน ปฏิบัติไปแล้วก็ต้องให้ได้ภูมิจิตภูมิธรรม ให้มันเกิดสัญญาธรรม ให้มันรู้จริงและเข้าถึงสัจธรรม รู้แจ้งแทงตลอดในกรรมต่างๆ มันถึงจะพ้นกรรม ให้รู้ว่าสัจธรรมจริงๆ เป็นอย่างไร บาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไร เทวดาที่มันเหนือมิติมนุษย์ หรือสิ่งที่มันนอกเหนือสมมุติบัญญัติออกไป เมื่อทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมแล้วก็นำธรรมนั้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญาธรรมแล้วก็รู้แจ้ง พอรู้แจ้งแล้วมันก็รู้ความจริงของโลก

 

เรื่องของจิตใจพออบรมไปแล้วมันก็เกิดปัญญา ปัญญานี้ไม่ต้องไปหาอ่านที่ไหน มันอยู่ในจิตเรานี่แหละ ปัญญานี้มันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องนั่งเงียบๆ ถึงจะไปรู้ธรรมเห็นธรรม ปัญญาธรรมเป็นเรื่องที่มันเกิดในชีวิตนี่แหละ เพียงแต่ว่าปัญญานี้มันเป็นความรู้แจ้งแทงตลอด มันรู้แล้วมันไม่ต้องลังเลสงสัยในธรรมนั้นอีกเลย เรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริง มันรู้เหตุผลจนหมดสิ้น

พ่อครูว่า...ประโยคที่พูดนี้ ขออภัยเป็นการพูดอย่างไม่คมแม่นชัดว่า ปัญญานั้นต้องเกิดจากมรรคมีองค์ 8 ตามกระบวนการ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเกิดตามการปฏิบัติ ไม่ใช่เกิดจากการพิจารณาตาม แต่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 จะเกิดรู้คุณรู้โทษ จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าปัญญาเกิดจากสมาธินิ่ง แต่ปัญญาจะเกิดก่อนสมาธิ เรียงภาษาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ปัญญาจะเกิดก่อนสมาธิ ปัญญาเหมือนยาดำ เจริญเป็นมรรคผล สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่น คือผลของการชำระกิเลส จิตสะอาดผ่องใส เป็นอเนญชา เป็นอุเบกขา 5 ตั้งมั่นแข็งแรงไปตามลำดับ

สมาธิจึงเกิดตามปัญญาที่ทำงานแล้วได้ผล สมาธิเป็นผลของปัญญา ในกระบวนการของการปฏิบัติธรรม มันจะสับสนจากบัญญัติ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะก็เป็นปัญญา เป็นอุภโตภาควิมุติ สั่งสมเป็นสมาธิๆๆ ปัญญาจะไปอยู่ทุกตัว เป็นยาดำ ธาตุรู้ เป็นความเฉลียวฉลาด ตลอดสาย

ปัญญาจะเกิดในการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 เกิดจากสัมมาทิฏฐิ เจริญเป็นปัญญา สั่งสมเจริญเป็น ปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละหรือปัญญาผล เป็นพลังงานความเฉลียวฉลาดโลกุตระ เกิดซ้อนๆหมุนเวียน ปัญญานี้จะเกิดเสมอ ในจิต เกิดเมื่อเราปฏิบัติ ปัญญาสั่งสมเป็นสมาธิ

ปัญญาไม่ได้เกิดเมื่อคุณไปนั่งสมาธิแล้วปัญญาจะโผล่ นี่ของอาจารย์บูรพา แต่ของอาตมาต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 เกิดปัญญาแล้วปัญญาจะสั่งสมเป็นสมาธิ วิธีเกิดปัญญานั้นต่างกัน ตัวปัญญาก็ต่างกัน

อย่างของอาจารย์บูรพานี้อาตมาเข้าใจนะ แต่อาจารย์จะเข้าใจของอาตมาหรือไม่ แล้วถ้ารู้สองแล้วจะตัดสินได้ แต่ถ้ารู้แต่หนึ่งไม่รู้สอง ก็ยึดแต่ของตนเองเรียนรู้ปฏิบัติอย่างอาตมาพาทำสิ เรียนรู้สองแล้วจะเข้าใจได้ว่าอันไหนแน่

ปัญญาที่อาตมาพาทำเป็นอย่างนี้ลองดูสิ แล้วอาจารย์จะมีคำตอบไม่ต้องมาให้อาตมาตัดสินหรอก

หมดเวลา มาต่อวันหลัง

สมณะฟ้าไท...สรุปจบ….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนนี้เราอาจจะรู้บางอย่าง ไม่รู้บางอย่าง แต่พอมันเข้าถึง รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มันก็อธิบายได้ไม่ว่าแง่มุมไหนเป็นสภาวะที่ลึกซึ้ง ซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่เกินความสามารถของปัญญา ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา เมื่อมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มันก็รู้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่เกินเลยไปกว่าปัญญานั้นได้ พอรู้แจ้งแบบนี้มันก็รู้จริง อวิชชาความสงสัยมันก็หมดไป ความทุกข์ที่เคยคิดว่ามันทุกข์ มันก็ไม่ทุกข์ เพราะมันรู้ความจริงแล้ว ในทางปฏิบัติก็สามารถทำให้เกิดปัญญาแจ้งโลกแจ้งธรรมได้หลายทาง บางทีเราได้ฟังธรรมในขณะจิตที่เป็นสมาธิมันก็เกิดปัญญา

 

จิตที่มันนิ่ง เกิดความสงบสว่างแล้ว ก็อย่าให้มันนิ่งอยู่แค่นั้น ต้องทำให้มันเกิดปัญญาด้วย รู้ต้องเกิดปัญญามันถึงจะรู้แจ้งแทงตลอด เรียกว่าปัญญาธรรม ทำให้พ้นความทุกข์ไป ทุกอย่างที่มีอวิชชาก็เป็นความทุกข์ เพราะว่าเข้าใจผิด จิตยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของตน ที่เกิดปัญญาแล้วรู้ว่าไม่ใช่ของของตน มันเป็นของยืมธรรมชาติมาชั่วคราว ไม่นานมันก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติไป ถ้ายังไม่ตาย คืนไปก็รู้สึกเสียดายแต่ถ้าความตายมาถึงแล้วมันก็คืนเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าคืนช้าคืนเร็วกว่ากัน บางครั้งเราคืนเร็ว เราก็เสียดาย เพราะในที่สุดตายไปแล้วมันก็ต้องคืนเหมือนกัน ไม่มีอะไรเอาติดตัวไปได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเข้าใจผิดว่ามันเป็นของเรา จิตก็จะไปยึดมั่นถือมั่นไว้ไม่ไปไหน เพราะอวิชชาที่มันครอบไว้ทำให้เข้าใจผิด ยังไม่หมดเวลา ยืมแล้วมาเอาไปมันก็เกิดความเสียดาย แต่พอปัญญาเกิดมันก็รู้และตัดความผูกพันได้ มันก็ไม่ทุกข์ เพราะมันเกิดปัญญาธรรมขึ้นนั่นเอง ธรรมต่างๆ ที่มันยังมีอยู่ในจักรวาล ในโลกธาตุนี้ มันสามารถถ่ายทอดมาสู่เราได้ เป็นสภาวะหรือเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ได้โดยอาศัยสมมุติบัญญัติ อาศัยกายสังขารของเราประกอบกันเป็นธรรม ธรรมะจึงเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มีภาษาบัญญัติ มันเป็นเพียงคลื่นความคิด ความเข้าใจที่อยู่ในธรรมชาติ เป็นสภาวะรอดวงจิตไปค้นพบ และใช้สมมุติบัญญัติอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ผู้คนที่ได้ยิน ได้ฟังเข้าใจเท่านั้น แต่สิ่งที่อธิบายก็ไม่ใช่ธรรมทั้งหมดที่ดวงจิตนั้นได้สัมผัส เป็นเพียงบางส่วนบางตอนที่ผู้เข้าถึงธรรมได้ใช้สมมุติบัญญัติอธิบายขึ้นเท่านั้น จนกว่าผู้ได้ยินได้ฟังจะปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะนั้นจริงๆ เมื่อไรจึงจะรู้แจ้งแทงตลอด ธรรมที่แท้จริงมันจึงสอนกันไม่ได้ แต่มันฝังอยู่ในจิตวิญญาณของทุกๆ คน รอการเข้าถึงและค้นพบ.

พ่อครูว่า...


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 18:37:54 )

​​​​​​​611110

รายละเอียด

611110_ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 36 ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 4

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1mT4DujH1UidlQhad7-kLrHePr5yZFvJ4j9G2tE-zrdc/edit?usp=sharing

ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1k8BA-A78HDZqmkXGdksByKZacvitxxxF

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ครบรอบ 4 นักษัตร โพธิกิจ ตอน 4

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

เราผ่านยุคต่างๆมา 2532 ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นศาลก็ผ่านมา แล้วตั้งแต่พ.ศ. 2540 เราก็เป็นอิสระทำงานมาของเราไป มายุค 40-49 ก็เริ่มออกสู่สนามรบทางการเมือง ธรรมะกับการเมืองเป็นเรื่องอย่างเดียวกัน แต่เขาตีกันไว้ว่าธรรมะกับการเมืองต้องแยกกันเพราะนักการเมืองฉลาดแกมโกง เพราะเขาจะได้ใช้อธรรมเต็มที่ ไม่ให้ธรรมะไปยุ่งเกี่ยว เอาน่า เหมือนกับยุคที่พระจะกบฎจะทะเลาะจะตีกันพระพุทธเจ้าก็ไปห้าม พระก็ไล่พระพุทธเจ้าออกไปบอกว่าอย่ามายุ่งพระจะตีกัน แล้วเขาก็ทำสำเร็จด้วยนะ เพราะว่านักการเมืองมีอำนาจบาตรใหญ่ บาตรเป็นของพระนะไม่ใช่บาทา อำนาจบาตรใหญ่ ฟังดูเหมือนใช้เท้าไปกดข่ม แต่ไม่ใช่นะ อำนาจบาตรใหญ่นี้ใช้คำว่า บาตร เป็นสำนวน ตะกละตะกรามกิน บาตรใส่อาหารขี้โลภ ถ้าบาทแบบจะไปข่มขี่ไปตี เบียดเบียนคนอื่น แต่บาตร นี่แย่งขี้โลภ ส่วนบาทนี้เชิงโทสะ คนละฐานกัน เมื่อนักการเมืองไล่ธรรมะออกไปนักการเมืองจึงเลวร้ายตั้งแต่บัดนั้น จนถึงบัดนี้ เถรสมาคมก็ทำอะไรเขาไม่ได้กลายเป็นเหยื่อกลายเป็นคะแนนเสียง ลิ่วล้อให้กับหัวคะแนนเสียง นักการเมืองก็เอาเงิน หรือว่าเอา budget ต่างๆที่ได้จากรัฐไปใช้ เสร็จแล้วก็เกิดคดีเงินทอนวัดขึ้นมาเยอะเลย จากนักการเมืองก็ดี เงินทอนวัดตอนนี้ก็ยังไล่ตามเก็บเข้าคุก ซึ่งเป็นเรื่องคุณธรรมอันเลวร้ายทั้งสิ้น

ในความเป็นมนุษย์ สำคัญที่สุดก็คือคุณธรรม ถ้าไม่มีคุณธรรมเสียแล้ว เลิก เลิกเลย แล้วคุณธรรม ที่สูงสุดก็คือต้องคุณธรรมโลกุตระ มีแต่ในศาสนาพุทธเสียด้วย ซึ่งมีวิธีหลักการวิธีปฏิบัติและก็มีบัญญัติ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งเกิดผล อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ

ก็คือ จะเป็นคนมีใจพอ พอ หยุด ไม่รับ ไม่เสพ เอามาเป็นของตนก็ไม่เอา หากจิตใจเกิดชอบใจยินดี เมื่อกามได้เสพสมใจที่อยากที่ต้องการ ตั้งจิตเป็นเราสมใจกิเลสก็อ้วน ต้องการได้มาเป็นของเรา ก็อ้วน ต้องการได้มาเสพรส ได้รสนี้ๆๆ รสทางตา หู จมูก ลิ้น กายเสพสม ก็ กิเลสก็โต เอามาบำเรอความเป็นอัตตา ข้าต้องได้อย่างนี้ข้าต้องเป็นอย่างนี้ต้องมีอย่างนี้ ได้ดังใจ กิเลสก็โต

และโลกโลกีย์เขาไม่รู้รายละเอียดขนาดนี้เขารู้แต่ว่าดีกับชั่ว แค่สุจริตกับทุจริตเท่านั้น หากสิ่งใดไม่ทุจริตดี สิ่งใดสุจริตใช้ได้ แม้ที่สุด เขาเป็นนักการเมืองไปออกกฎหมาย กฎหมายนั้นเขาได้เปรียบ พวกเขาได้เปรียบ ก็สุจริตแล้วนะ แต่เขาถือว่าสุจริตเพราะว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่มันผิดวัฒนธรรมผิดคุณธรรม ผิดมนุษยชาติเรื่องอัตตา เรื่องเป็นตัวกูของกู เรื่องของกิเลสอันนี้ล่ะลึกซึ้ง เขาไม่รู้จักกิเลสกันหรอกในทางโลกีย์ เขาเอาโลกเป็นหลักและอยู่ที่สุจริตเป็นตัวตั้ง ถ้าสุจริตได้ เขาจะรวยเท่าไหร่ก็ยินดี เขาจะเอาอำนาจเงินมาใช้ให้รวยถึงดี

แต่ทางโลกุตระนั้นต้องมาจน สละจนหมดจนเหลือตัวเอง สุดท้าย มีแต่ความรู้และสมรรถภาพเท่านั้นเป็นทรัพย์สมบัตินั้นเราไม่ต้องมี แล้วก็เสียสละซ้อนซ้ำที่สมรรถนะกับความรู้ ลงแรง ทำสร้างช่วยเขาแล้วก็ไม่รับรายได้ไม่รับอะไรตอบแทนเลย มีแต่ให้ๆๆก็เป็นคนที่เสียสละสุดยอดจบ ชาวอโศกก็ได้พิสูจน์ศาสนาพระพุทธเจ้าและทำตามคำสอนพุทธเจ้าจนมีมรรคผล มีผลสำเร็จเป็นสังคมกลุ่มเป็นวัฒนธรรมสังคมเป็นสาธารณโภคี ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ช่วยกันทำช่วยกันสร้างช่วยกันบริหาร ช่วยกันสะพัดช่วยเหลือเกื้อกูล เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างเอาไปช่วยผู้อื่นได้

เดี๋ยวก่อนฉันจะได้เทศน์เรื่อง ทรัพยากรทางด้านกสิกรรม ตอนนี้ก็พูดถึงเรื่องรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์กัน แม้แต่เศรษฐศาสตร์ก็ตาม

รัฐศาสตร์เรื่องการเมือง พวกเรานี้ ทำงานการเมืองมาเริ่มต้น 49 อาตมานำทัพออกไปสนามหลวง ยังจำได้ เต๊นท์นั้นอาตมาขึ้นนั่งบนโต๊ะตัวหนึ่ง เสร็จแล้วก็เทศน์ก็บรรยายตั้งแต่บัดนั้น เริ่มไปหาเครื่องทำไฟมาตัวหนึ่ง ใครจำได้ไหม มีไฟลุก ดับไฟกันเพราะเครื่องปั่นไฟ วิบาก ตั้งแต่บัดนั้น ออกสนามรบทางการเมืองเปิดตัวเต็มที่ ตั้งแต่พ.ศ 2549 ไปไล่ทักษิณ ไปดูกีฬาที่จีนแล้วหายไป เขามีคดี จากวันนั้นถึงวันนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาคิดผิด เพราะเขาเข้ามาไม่ได้อีกเลย เข้ามาได้ครั้งหนึ่งแล้วเขาก็คิดว่าจะเข้ามาได้อีก เขาเข้ามาได้แล้วก็มากราบแผ่นดิน เสร็จแล้วเราก็ไล่เขาไปอีกตอนนี้มากราบแผ่นดินไม่ได้แล้ว ใช้ psychology ตอนนี้ก็ยังมีคนอยู่ใต้ความนับถือเชื่อถือเขาอยู่ อยากให้เขามาทำเศรษฐกิจ เชื่อมือว่า ทักษิณเป็นมือเศรษฐกิจ ที่เยี่ยมยอด

ก่อนจะจบเรื่องการเมืองจะเข้าเศรษฐกิจ การเมืองเป็นเรื่องของมวลชน โดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เผด็จการคอมมิวนิสต์ประชาธิปไตย 3 ระบอบใหญ่

ระบอบเผด็จการไม่มีใครชอบแล้ว คอมมิวนิสต์คือรวมกันเป็นคณะแล้วกระจายอำนาจ มีคณะบริหารปกครอง จะเจือจานถึงขั้นสังคมนิยม เผื่อแผ่สู่สังคมให้มาก อำนาจจากคณะบริหาร ไม่ใช่แบบประชาธิปไตยขาเดียวที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ ระบอบของกษัตริย์เป็นระบอบที่สืบสันตติวงศ์

สันตติวงศ์คือผู้ที่สืบสานตามดีเอ็นเอตามเชื้อสาย การสืบสานตามเชื้อสายของกษัตริย์มีมาแต่โบราณตามเตรียมตัวที่จะเป็นกษัตริย์ทุกองค์ โดยเฉพาะองค์ที่อยู่ในขัตติยะ ในกษัตริย์ของอังกฤษจะมีระดับ 1 2 3 4 5 เป็นผู้ที่จะได้ครองราชย์มีระดับระบุไว้เลย ลำดับที่ 1 2 3 4 5 6 เรียงไว้เป็นลำดับ ผู้ที่สืบสันตติวงศ์เป็นกษัตริย์จะต้องฝึกฝนศึกษาจะต้องรักประชาชนเป็นลูก ทุกประเทศจะต้องสร้างแบบนี้ มีทฤษฎีที่จะสร้างจิตวิญญาณให้รักประชาชนเป็นลูก ของพุทธเรายอดเยี่ยม ที่ละลายความเป็นพ่อแม่ลูก เป็นความรัก 10 มิติที่อาตมาได้เขียนไว้ ละลายความรักที่แคบแค่สองเป็นมิติที่ 1 แค่ 3 คน ก็หมายถึงพ่อแม่ลูก หรือแค่ญาติ แค่มิตรออกไป แค่ถึงสังคมประเทศ ความรักจะกว้างขึ้นๆ จนกระทั่งถึงไม่กำหนดบุคคล เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้นไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราอย่างนี้เป็นต้น

และมีทฤษฎีที่จะละลาย อัตตา อัตตนียา ตัวตนเป็นของตน ตัวตนคือยึดวิญญาณเป็นตัวกูของกู สมใจกู ส่วนของตนนี้อีกสิ่งหนึ่ง เอามาเป็นของเรา เอาบุคคลมาเป็นของเรามาเป็นบริวารเรา เอาสัตว์มาเป็นของเรา เอาพืชมาเป็นของเรา เอาวัตถุทรัพย์ต่างๆมาเป็นของเรา เอาแผ่นดินมาเป็นของเรา เอาอาณาจักรมาเป็นของเรา อำนาจบาตรใหญ่เป็นชาวโลกมาเป็นของเรา แล้วมีคนล่าอำนาจปัจจัยเป็นเจ้าโลกไหม สังคมทุกวันนี้ก็ยังคงมีคนที่มีความคิดแบบนี้และทำอย่างนี้อยู่ประพฤติแบบนี้อยู่ แต่มันทำได้ยากขึ้นทุกที ทำไม่สำเร็จได้ง่ายๆ เพราะแต่ละคนก็มีวรยุทธ์ประจำตัวประจำประเทศ ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องซับซ้อน

เพราะฉะนั้นการรบแย่งชิงที่จะใช้อาวุธร้าย เขารู้กันแล้วว่ามันเป็นความคิดต่ำ เป็นความคิดที่ไม่ดี ใช้การทำร้ายหรือการทำร้ายกันให้บาดเจ็บ มันก็ไม่ดี ต้องใช้คุณธรรม ให้คนยอมรับคุณธรรม นี่ถือว่า อาริยะ ถือว่า เป็นประชาชนประเสริฐ คนประเสริฐที่แท้จริงต้องใช้คุณธรรม คุณธรรมก็เป็นระดับโลกียะคือเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้นผู้ใดมีความรวย ก็จะมีสินทรัพย์ให้คนอื่นเขา คนอื่นจะยอมรับนับถือได้ เขาก็จะต้องรวยทรัพย์สินเงินทองข้าวของรวยอำนาจ หรือมีผู้ยอมรับนับถือ เขาก็จะต้องมีวิธีการให้คนมาอยู่ใต้อำนาจ โดยการใช้บังคับ เขาก็รู้ว่าไม่ดี ก็พยายามจะให้คนมายอมรับนับถือโดยไม่ต้องใช้อำนาจไม่ต้องเบ่งอำนาจ ทำด้วยคุณงามความดี  มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ค่อยๆรู้ในเรื่องธรรมะขึ้นมา

แต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแบบโลกียก็ยังไม่ใช่เนื้อแท้ เขาจะอธิบายเมตตาว่าคือต้องการให้คนพ้นทุกข์ กรุณาคือต้องการให้คนได้มีสุข มุทิตาคือเห็นคนที่มีสุขคนพ้นทุกข์ก็ยินดีด้วย บางทีไม่ได้ไปช่วยอะไรเขาหรอก เขามีสุขของเขาก็อนุโมทนา ไม่ใช่มุทิตา อนุโมทนาคือยินดีด้วยกับสิ่งนั้น ยินดีดีใจตามเขา

แต่มุทิตานี้เป็นจิตมุทุ จิตเร็ว เป็นคุณธรรมของจิตที่เร็ว เป็นสภาพซับซ้อนหมุนกลับไปกลับมาได้อย่างสูง คนที่ยิ่งมีจิต มุทุภูตธาตุ กลับไปกลับมาได้เร็วเป็นสิริมหามายาได้มาก ด้วยการเหมือนทำร้าย แต่ที่จริงช่วย ยกตัวอย่างยอดสุดก็คือ ช่วยฆ่า แต่ฆ่ากิเลส นั่นคือทำร้ายเหมือนช่วยทำร้ายฆ่า ฆ่ากิเลส นี่สุดยอด คำเดียวกันแต่มีธรรมะ 2

ธรรมะหนึ่งคือ ฆ่า แต่ที่จริงสูญ ช่วยฆ่ากิเลสเสร็จ จบ

โลกียะ มีเจ้าบุญเจ้าคุณ แต่โลกุตระนั้นหมดตัวตนจบ แต่บุคคลที่ได้รับการช่วยเหลือยิ่งไม่จบ ซับซ้อน คนหนึ่งจบ 0 แต่อีกคนหนึ่งมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด นับถือบุญคุณไม่มีที่สิ้นสุด

อย่างพระสารีบุตร เคยมีราธพราหมณ์ ใส่บาตรให้ทัพพีเดียวท่านก็จำได้ เมื่อราธมาบวชไม่มีใครหาเครื่องบริขารให้บวชเลย พระสารีบุตรจำได้ว่าเคยใส่บาตรให้ 1 ทัพพี พระสารีบุตรก็ไปขวนขวายหาชุดบวชให้แก่ราธพราหมณ์ อย่างนี้เป็นต้น เกื้อกูลช่วยเหลือ

นัยยะยิ่งแรง ยิ่งเบา ยิ่งต่ำยิ่งสูง สภาพพวกนี้ อัจฉริยะคือสุดโง่ อย่างนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมที่ ในตัวคนที่เป็นจริง ที่มีคุณธรรมธรรมะ2ดังกล่าวนี้ จึงรู้จักใช้และใช้ในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นนักฆ่า แล้วนักฆ่ามันดีตรงไหน นักฆ่าคือมันเลว แต่ฆ่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือกิเลส ถ้าเรามีอะไรที่อยู่ในตัวเองจะต้องเลือดออกบาดเจ็บ แต่ถ้าคนยึดถือกิเลสนี้จะเจ็บใจ มาฆ่ากิเลสฉันมาแย่งกิเลสฉัน เจ็บใจมาก

อาตมามีติดที่ปากคือ ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา คนเรามีความรักมิติที่ 1 เป็นคู่ สุดยอดแห่งโลกโลกียะแล้ว อยู่ตรงนี้ คู่ผัวตัวเมียสองคน เป็นมิติที่ต่ำที่สุด ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมานี่สุดยอดเด็ดขั้วหัวใจมันแล้ว นิยายรักตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงบัดนี้ก็คือแย่งผู้หญิงกัน แย่งกันจน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นนิยายท็อปฮิตกันอยู่ อาตมาหากไม่มาทางนี้ก็จะเป็นนักเขียนนวนิยายชั้นหนึ่งเพราะว่าเข้าใจความซับซ้อนพวกนี้เยอะ ในเรื่องจิตนิยามของคน หลงในโลกีย์ รักชังไม่รู้เรื่อง เรารู้เรื่อง ความซับซ้อนของความรักความพยาบาท หนังจีน Hollywood เกาหลีสู้ไม่ได้หรอก หนังแขก

ขนาดศิลปินแห่งชาติยังบอกว่าศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ ขออภัย จะหาคนมาให้รางวัลโพธิรักษ์นั้น จะมีศิลปินแห่งชาติที่ไหนเป็นกรรมการกี่คนที่จะรู้เรื่องโลกุตระ แล้วจะมาให้คะแนนอาตมา มันไม่มีทาง นอกจากจะเกิดความยอมรับของมวลชน แม้แต่กรรมการก็ต้องใช้มวลชนเป็นหลัก เขาก็จะฉงนว่าทำไมคนนิยม กรรมการตาถั่วจะใช้ที่มวลชนนิยมมากๆนี่แหละ คนมีกิเลสก็จะนิยมลักษณะกิเลส สังคมตอนนี้คนมีกิเลสมาก แล้วเอาคะแนนประชาชนนิยมมาเป็นเครื่องตัดสิน เป็นหลักชี้วัด มันก็ได้แต่กิเลส ยกให้รางวัลที่1 เพราะคนนิยมมาก แต่คนนั้นเป็นคนมีกิเลสนิยมก็ขายได้ดี เศรษฐกิจแบบหมุนเวียนใช้ได้ โลกียะก็ใช้ แต่คนโลกุตระนั้นไม่ได้แคร์เงินทองก็ซ้อนย้อนรอยลดลงๆ สุดท้ายชาวโลกุตระไม่ได้อยากแย่งเงินทองลาภยศอะไรเลยมี แต่มาเสียสละอีกต่างหากชาวโลกุตระ อำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็แหยงเลยไม่ได้เรื่องเอามาเป็นอำนาจไม่ได้

อย่างพวกเรามีการช่วยตัวเองที่จะสร้างสรรค์ทุกคนมีสมรรถนะความรู้มีความขยันและมีปัญญารู้ว่า อะไรที่ไม่ควรสร้าง ก็เลิกมาเป็นลำดับ อย่างมวลชาวอโศกไม่ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สิ่งเป็นโทษเราไม่ทำ ไม่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือสนับสนุน เราก็ทำสิ่งที่มันเป็นสาระ ที่เป็นปัจจัยชีวิต เป็นปัจจัยที่ไร้สารพิษ

เรื่องอาหารเป็นหนึ่งในโลก เรากำลังอยู่ในฐานเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับอาหารนี่แหละจะเป็นหลัก

เมืองไทยเราตอนนี้ดีขึ้นมีตัวประชากรคือพวกเราเป็นความรู้คะแนนเสียงในสังคมและก็เป็นปากกระบอกเสียงอีกด้วย แสดงตัวเองอยู่ในสังคม ซ้อนๆๆ ตั้งแต่อาตมาจนกระทั่งถึงสมณะ สิกขมาตุ กระทั่งถึงญาติธรรมที่มีความรู้ความสามารถก็ได้กระจายความรู้นี่ออกไปๆๆ ความรู้อย่างที่เรารู้กันนี่แหละแบบโลกุตระแบบอโศก ไม่ใช่โลกุตระแค่ของท่านพุทธทาส ไม่ใช่โลกุตระของคณะอื่นๆใดๆ ที่เขาอาจจะพูดโลกุตระบ้าง แต่เป็นโลกุตระของชาวอโศก ซึ่งมีนัยะที่ต่างกันซ้อนๆอยู่อย่างแท้จริง

ลึกซึ้งถึงขั้นธรรมะ 2 ลึกซึ้งถึงขั้นจัดการธรรมะ 2 ให้เป็นธรรมะ 1 ได้เสมอ ที่สุดถึง 0 ที่สุดถึงขั้นตัวเราไม่มีตัวเราตัวเราไม่ยึดถือไว้ อาศัยเท่านั้น ยึดไว้อาศัยเท่านั้น อาศัยอยู่ทำงานเพื่อผู้อื่น ไม่มีตัวตนไม่มีของตัวของตนเลย อาศัยกินใช้ยังชีพอยู่อย่างพอเหมาะพอดี มีตัวอย่างชัดเจนที่จะขยายผลต่อไปเพราะมีจิตที่จริง จิตที่ลงตัวบรรลุธรรมสูงสุดเที่ยงแท้

นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”

เป็นอย่างนี้ถาวรนิรันดร เป็นอย่างนี้นิรันดร นิรันดรมี 2 อย่าง นิรันดรอย่างมีอัตตา กับนิรันดรอย่างสูญนิรันดร จึงเป็นสุดยั่งยืนมั่นคง นัยะนิรันดรมี 2 อย่าง ของโลกียะอยู่ในกามกับโลกธรรม แต่ของโลกุตระหมดกามหมดโลกธรรม หมดรูปราคา อรูปราคะ สังโยชน์ 10 หมด ก็ยังซ้อนในอนุสัยอาสวะอีก แต่วันนี้ยังไม่อธิบาย มันจะมีความซับซ้อนกันเรียงลำดับไม่เหมือนกัน อาสวะกับอนุสัย ลงท้ายภวานุสัยกับอวิชชานุสัยเป็นตัวท้าย เป็นรูปานุสัย อรูปานุสัย มันละเอียดกว่า รูปราคะอรูปราคะอีก คือรูปานุสัย อรูปานุสัย

 

เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองตอนนี้เมืองไทยเรามีการบริหารมีรูปร่างของประชาธิปไตยแบบไทยๆ ประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้นมีรากฐานของคุณธรรมพุทธ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาตลอดตั้งแต่ตั้งประเทศมา 800-900 ปีมา เป็นพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก แต่ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปหายไปจนกระทั่งบัดนี้เอามาฟื้นมาอีก มีแต่ละสัตบุรุษที่ได้ช่วยกันฟื้นคืนมาเป็นลำดับ เพราะอยู่ในสายของพระพุทธเจ้าโคตมะ พระพุทธศาสนา 5000 ปีนี้จึงช่วยกันพยุงพุทธศาสนา โพธิสัตว์แต่ละองค์ก็ช่วยสืบสาน ผู้ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปก็แล้วไป

แม้แต่สายเจโต อย่างธิเบต ไม่ได้เข้าใจอย่างที่เราพูด ยึดแต่ว่า มีโพธิสัตว์องค์นี้แหละมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ก็จะไม่เคลื่อนไม่เปลี่ยนองค์นี้องค์เดียว เมื่อตายแล้วก็ไปตามองค์นี้มาอีก อยู่อย่างนี้เท่านี้ ตีไม่แตก ตีเทวะไม่แตก ก็จะอย่างนี้ แต่รักษาความรู้รักษาคุณธรรมตามที่รู้มันก็กลายเป็นโลกียะ แต่เป็นโลกียะที่มีคุณธรรมสูงสุดมักน้อยสันโดษมีเมตตามีการช่วยเหลือเกื้อกูล แต่ อยู่ในป่า อยู่ในสังคมที่ไม่กว้าง ไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ ไม่รู้จักการสัมพันธ์กับสังคมรอบกว้าง มันก็ได้มวลหนึ่ง

ธิเบตกับภูฏาน อยู่ในภูเขาเหมือนกัน แต่ภูฏานลงมาจากภูเขามากกว่าทิเบต เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างมากกว่าธิเบต ภูฏานมีวิสัยทัศน์มากกว่าธิเบต ทิเบตยังเป็นกระจุกตีไม่แตกมาก ส่วนภูฏานนั้นขยายผลตีแตก ออกมาเพิ่มขึ้นกว่ากัน โดยเฉพาะมีกษัตริย์ ท่านจิกมี มีวิสัยทัศน์ มีมโนทัศน์กว้าง เข้าใจพุทธศาสนา เข้าใจประเทศไทยเข้าใจในหลวงรัชกาลที่ 9 พระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านจิกมีท่านรับเต็มที่เลย เป็นโลกุตระเป็นธรรมะ 2 ในหลวงกับอาตมาทำกันคนละขั้ว ท่านทางเจโต อาตมาทางปัญญา มันก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันคนละขั้ว ก็ค่อยๆมีผลของความจริงความรู้ ความรู้ความจริง เป็นธรรมะ 2 เกิดขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่หยั่งลงแล้ว อาตมาประมวลผลตามภูมิของอาตมา เมืองไทยเรา แม้แต่ความเป็นการเมืองโลกุตระ มีพอสมควร หยั่งลงพอสมควร เรียกว่า โอฆทา สู่บุคคล

ถ้าหยั่งลงในตัวเองเรียก สโมสรณา ในจิตของแต่ละคนทำเอา รวมกันในจิตเราเอง ส่วนโอฆทานั้นหยั่งลงเป็นมวล

อย่างอมตบุคคล เป็นพระอรหันต์ จิตของท่านหยั่งลงเป็นโอฆทา หมดตัวหมดตน แต่คือทุกคน หมดตัวหมดตนแต่คือทุกคน ส่วนสโมสรณาหยั่งลงในจิตแต่ละคนทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1 ไปเรื่อยๆ

ในธรรมะของพุทธเจ้าที่ใช้พยัญชนะไปสู่สภาวะ อธิบาย อธิบายให้พวกเราก็เข้าใจและเอาไปปฏิบัติก็จะเกิดจริง เมื่อเรามีความรู้นำแล้วก็มีการปฏิบัติตาม สั่งสมเอา เราเข้าใจผิดทางโลกุตระทางเดียวไม่ไปทางโลกียะ เราไม่เอาแล้วโลกียะ จะมีคนมาให้พวกคุณไปทำงานทางโลกจะเอาให้ 5 แสนล้านจะเอาไหม ให้คุณไปจัดการเป็นผู้บริหารเลย ห้าแสนล้านเลย ..ไม่เอา..ทำไมไม่เก่งหรือ บางคนมีเล่นเล่ห์บอกว่าจะเอามาทำโลกุตระ เอาของเขามาทำไม ตั้งห้าแสนล้านก็เป็นหนี้เปล่าๆ แล้วคนที่ให้มาจะเป็นมวลโลกุตระหรือเปล่า ถ้าเขามาทั้งตัวและหัวใจ มาเอา ทั้งของและตัวกับหัวใจ แต่ถ้าเอาแต่ของมาส่วนตัวกับหัวใจไม่มานั้นไม่เอา แบบนั้นมันโลกียะ ทำแล้วทีหลังก็มาทวงคืนคิดดอกเบี้ยด้วย เรื่องอะไรเราจะเอา มันจองเวรจองภัยนะของๆกูๆๆ ไม่เชื่อไปถามนกเขานะ มันร้อง กู กู กู แต่มันนกเขานะ มันร้องตัวกูๆ นี่คือธรรมะ 2

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ธรรมะ 2 ของการเลือกตั้ง

สรุปลงตรงนี้ก่อน ก็ การเมืองของไทยตอนนี้ กำลังอยู่ในระหว่างจะมีเรื่องราว เลือกตั้งนี้เป็นตัวnuisance ของการเมืองประชาธิปไตย เพราะเป็นเรื่องของพวกยุ่งวุ่นชิบหาย จะให้ตัวเองเป็นคนที่ประชาชนยอมรับ ก็หาเล่ห์กล วิธีการต่างๆใช้เงินทองเพื่อจะให้คนมาลงคะแนนตัวเองให้ได้ด้วยอำนาจโลกียะ เพราะฉะนั้นคุณอย่างเป็นจิตโลกีย์ คุณทำประชาธิปไตย ที่เป็นน้ำใจจิตใจปัญญาของประชาชนเขายอมยกให้เองจริง อย่างในหลวงร.9 เป็นยอดนักประชาธิปไตย แล้วท่านไปหาเสียงกับคุณที่ไหนท่านไปบังคับคุณที่ไหน ท่าน และเล็มเลียบเคียงให้คนมารักที่ไหน แต่การทำเพื่อประชาชนทั้งหมด พระองค์รักประชาชนทุกคน มีพระเจ้าแผ่นดินที่ไหนเดินไปทั่วชนบท ในหลวงตะลอนไปชนบททั่วประเทศ แล้วไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวเลยเหน็ดเหนื่อย พระเสโทไหลย้อย เป็นเรื่องจริงใจเพราะท่านเป็นคนจริงท่านเป็นโพธิสัตว์จริง จิตของท่านเป็นจริงไม่ได้เสแสร้ง พูดไปเหมือนอาตมาไม่ได้เสแสร้ง แต่คนเข้าใจไม่ได้ เพราะอาตมามีวิธีการแสดงออกแบบอื่น แต่ในหลวงท่านทำและท่านมีความรู้ทางเทคนิคเยอะกว่าอาตมามาก ท่านทำเมฆให้เป็นน้ำได้ ท่านรักษาน้ำไว้ใช้ได้ น้ำไม่สะอาดท่านทำให้สะอาด ดินน้ำไฟลม ดินไม่ดีท่านก็แกล้งดิน ดินน้ำไฟลมท่านรู้จัก ท่านเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน แต่อาตมาไม่ใช่คนหยั่งรู้ฟ้าดิน แต่อาตมาเป็นผู้หยั่งรู้หัวใจเธอ

อาตมาชื่อรัก ไม่ได้ชื่อภูมิพล อาตมาชื่อรัก คนละศาสตร์ไม่ได้แย่งกันแต่ก็เป็นธรรมะ 2 มีทั้งแผ่นดินและมีความรัก และรักอย่างโลกุตระไม่ได้รักอย่างโลกียะ จึงเป็นคนเขียนความรัก 10 มิติ ไม่มีใครเขียนหรอก อีกหน่อยจะมีคนแปลเป็นภาษาต่างประเทศเรื่องความรัก 10 มิติ เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ว่าความรักมีขั้นตอนมีระดับด้วยเหรอ แต่พวกเราเข้าใจใช่ไหม แต่คนข้างนอกเขาจะนึกว่าความรักอะไรหรือ เขายัง innocent อยู่กับพวกนี้

จนกว่าเขาจะรู้ว่าความรักมีขั้นตอนมีลำดับมีนัยยะสำคัญ มีองค์ประกอบต่างกันด้วย มีแคบมีกว้างมีมากมีน้อยมีเกี่ยวพันกันทั้งบุคคลทั้งวัตถุทั้งข้าวของ โดยเฉพาะจิต มีลักษณะต่างๆ เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่แวดวงแคบเห็นแก่แวดวงกว้าง จนกระทั่งไม่มีตัวไม่มีตน  อ๋อ..มีอย่างนี้ด้วยเหรอ เขาจะค่อยๆเข้าใจแล้วค่อยๆรู้ ที่อาตมาพูดนี้พวกเราฟังเข้าใจแต่คนข้างนอกเขาจะบอกว่าโพธิรักษ์พูดอะไรหรือไม่เห็นรู้ เราก็ได้แต่เห็นใจและสงสารเขาไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง อาตมาใช้ภาษาสื่อออกไป อาตมาไม่ได้เก่งภาษาอื่นด้วย พูดความจริง ภาษาอื่นก็ไม่มีภาษาที่มีความหมายตรงกับธรรมนิยามที่เป็นโลกุตระนี้อีก มีภาษาไทยที่พยายามเอาบาลีสันสกฤตมาประกอบ เป็นภาษาเค้าเงื่อนของศาสนาพุทธเป็นศาสตร์ต้นรากของศาสนาพุทธ อาตมาเอาพยัญชนะ กขคฆง นี้มาใช้อธิบายพยัญชนะสื่อสภาวะต่างๆ

อาตมาบอก บาลีเป็นต้นรากของสันสกฤต แต่พวกสันสกฤตบอกว่าเขาใหญ่กว่าบาลี อาตมาก็ทำ

เรื่องการเมืองก็จะยังขยายผล สิ่งเหล่านี้จะชำระแม้แต่การเลือกตั้งก็จะเกิดเหตุการณ์ เกิดภาวการณ์ ที่จะมีปรากฏการณ์ขึ้นมาไปเรื่อยๆ การเลือกตั้งก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้นี่ คนตั้งใจจะโกงให้ลึก หากโกงไม่ลึก ติดคุก หากโกงหยาบทื่อๆติดคุก คนจะโกงต้องโกงลึกซึ้ง จนคนไม่เท่าทันได้(โยมว่ามีเสื้อแบบหนึ่งที่เขียนว่า ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน) ภาษาโก้ ภาษานั้นถูกต้องภาษาสวย (เสื้อแบบนี้อยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญ) ที่จังหวัดนั้นเจริญด้วยอำนาจ ที่นี่ ราชธานีอโศกไร้อำนาจไม่ใช้อำนาจ เป็นที่เจริญด้วยการไม่มีอำนาจ อาจจะไม่ค่อยตรงกับอำนาจเจริญ ที่นี่เป็นวารินชำราบ เย็นด้วยน้ำ เป็นเมืองดอกบัว ก็จะต่างกัน นี่เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องคิดไม่ออก ต้องมีภูมิประเทศเกิดอย่างนี้ บางอย่างอาตมาก็เข้าใจยังไม่ได้ บางอย่างก็เข้าใจ ก็ยังไม่เก่งก็ยังไม่ฉลาดเพียงพอ มีความฉลาดแค่นี้ก็ทำไป

บ้านราชฯเริ่มรวมตัวเกิดปีพ.ศ 2537 อาตมาอายุ 60 ​ปี ตัวเลขเหล่านี้อจินไตย ก็มาฉลองสมาธิสมโภชน์ ศีลสมโภชน์ฉลองที่สวนลุมฯ เกิดบ้านราชฯ ปี 2537 ประชากรรวมตัวกันจนเกิดเป็นหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก เป็นหมู่ที่ 10 ตามนิตินัยของมหาดไทย ของประเทศ ของตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ  จังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ใหญ่บ้านมาตามลำดับ อาตมาจำไม่ได้ผู้ใหญ่บ้านคนแรก คือ ใคร ..ดาวเย็น

คนที่ 2​ใคร…(มีนกพิราบหลงมาตัวหนึ่ง)

การเมืองตอนนี้มันทำการสังเคราะห์ตัวมันเอง พวกเราเองมีมวลไม่พอ เราเคยตั้งพรรคเพื่อฟ้าดิน จนกระทั่งคนงงว่า ก็คณะจีนมาตั้งหรืออย่างไร ชื่ออย่างกับในหนังจีน เราตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินก็จะต้องมีคนไปทำงานในสภาเป็นส.ส คนเราก็มีไม่มาก ทุนรอนเราก็อาจจะไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะเราใช้คุณธรรมความจริง ซึ่งมวลของชาวอโศกก็ไม่พอ ตั้งขึ้นมาแล้วก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร พรรคเพื่อฟ้าดินยังไม่เคยมีสส.ไปนั่งในสภาเลยแม้แต่คนเดียว เคยส่งการเลือกตั้ง 1 ครั้ง แล้วส่งคนเดียวคือ คุณแก่นฟ้า

นอกนั้นตั้งแต่คุณจำลองไปทำพรรคพลังธรรม แล้วคนเหล่านั้นก็มาเป็นมวลชาวอโศกตั้งเยอะ ใครเป็นส.ส. สอบตกในยุคนั้นบ้างยกมือขึ้นซิ เสร็จแล้วก็ลาออกจากงานมาเป็นสมาชิกชาวอโศกจากนั้นไม่กลับอีกแล้ว บัดนั้นจนถึงบัดนี้ แล้วเราก็มาอยู่ทางโลกุตระ สังคมโลกุตระก็ค่อยๆเกิดขึ้นมาสร้างธรรมะพระพุทธเจ้าดีกว่า เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยที่สุดยอดแล้ว

ประชาธิปไตยมีหัวใจที่

1. อิสระเสรีภาพ

2. ไม่มี อัตตาตัวตน

3. มีความรู้ทางจิตวิญญาณขั้นปัญญาขั้นโลกุตระข้ามเหนือโลก ไม่ใช่ความฉลาดแบบโลกๆโลกีย์ เก่งอัจฉริยะทางโลกีย์ แต่ตอนนี้มันย้อนกลับแล้ว จะเป็นอัจฉริยะโลกีย์อย่างไรก็คือภาวะแทรกซ้อนที่ยังมาเพื่อตัวกูของกูอยู่ เพราะฉะนั้นคนอย่างนี้จะรวยจะมีเงินมากอำนาจมากให้คนมาอยู่ใต้เงินมากอำนาจมาก อยู่ใต้อำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สุขด้วยเงินด้วยรูป บางคนติดรูปเสพรูปก็เอารูปให้มัน มันจะได้มาเป็นลูกน้อง คนนี้ติดรส ติดกลิ่น ติดเสียงก็เอามาเป็นบริวารด้วยการล่อ แต่ของเราไม่มี ทุกคนหลุดพ้น ไม่มีใครติดอะไรตามมา มาเอาสัจธรรมอย่างเดียวเราเอาสัจธรรมที่เป็นที่ยอมรับ

ประเทศไทยเป็นชมพูทวีปอาตมาประทับตราแล้ว ย้ายมาจากประเทศอินเดียหมดสิ้นแล้วย้ายมาจากเนปาลหมดแล้ว มาอยู่กับประเทศไทยเป็นชมพูทวีป เป็นประเทศที่มีความรู้ของพระพุทธเจ้า เต็มรูป เต็มกว่าใครๆแม้ไม่เต็มทีเดียวแต่ค่อยๆเจริญโลกุตรธรรมแต่ไม่มีใครมีเนื้อแท้โลกุตรธรรมเท่า ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ

แม้แต่เถรสมาคมก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกุตระไม่ใช่ว่าเป็นปฏิปักษ์ทีเดียว เถรสมาคมไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อเราแล้ว ทุกวันนี้อโศกกับเถรสมาคมนั้นถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ที่เคยห้ำหั่นกันมาแล้ว คนเหล่านั้น ขออภัยไม่อยากบอกว่าไปลงนรกกันหมดแล้ว เพราะเขามาทำร้ายโลกุตรธรรมแล้วจะไม่ไปนรกได้อย่างไร คนเหล่านั้นก็สิ้นชีวิตไป แล้วก็ไปรับวิบากกรรม ก็เหลือคนทุกวันนี้ที่มีปัญญา ชักรู้ชักเข้าใจ มาช่วยร่วมมือกันเสริมสร้างไปเรื่อยๆก็ดีขึ้น เริ่มร่วมมือมากขึ้น จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมสังคมที่ต่อต้านไม่มีแล้ว ที่ต่อต้านอโศกจะต้องมาอย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่างๆนานา น้อยๆลงๆๆ พวกเราก็ทำงานเต็มที่พัฒนาตัวเองพัฒนาสังคมพัฒนาสิ่งแวดล้อมกันไป ตามที่เรามีภาวะซับซ้อน มันจะมีภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนซับซ้อนอย่างนี้อยู่ ที่สูงขึ้นๆไป สัมโพธิปรายนะ ซึ่งพูดละเอียดไม่หมดใช้ภาษาสื่อสภาวะที่ซับซ้อนเรานี้ไม่หมด สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนนี้เป็นสภาพลึกซึ้ง

แต่มันเกิดพฤติบท คืออาการเสริมสานสร้างบทบาทซ้อนในตนเกิดอยู่ตลอดเวลา พวกเราช่วยกันพูด ช่วยกันทำ มันก็เกิดสภาวะจริง เข้ามาเป็นผลได้ เข้ามาเป็นส่วนได้ตกผลึกจับเป็นกลุ่มก้อน ปฏิฆ คือภาวะสอง Action Reaction สัมผัสแล้วเกิดสภาวะ ปฏิฆะ

คำว่าปฏิฆะ เป็นสภาวะที่ลึกซึ้งละเอียดเป็นปฏิกิริยาของจิต ถ้ายังไม่มีชื่อ ท่านก็เรียกว่าปฏิฆ ผู้ใดสามารถรู้จักวจีสังขาร การปรุงแต่งสภาวะภายในขึ้นมายังไม่มีชื่อเรียก เป็นวจีสังขาร คำว่าวจีนี้ยังไม่ใช่ชื่อยังไม่ใช่วจีกรรม

ว คือ พฤติกรรม ใน ย ร ล ว เป็นทำงานตัวที่ 4 เป็น Coefficient เริ่มต้น ออกจากสามเส้า ย ร ล ตัว ว ออกมาแล้ว

แล้ว จ ฉ ช ฌ ย นี้รู้ รู้ในสระอีก วจ วฉ วช วจี ก็เป็นสภาพสภาวะธรรมที่มีความรู้ จ เป็นตัวรู้แล้วก็มีพลังงานเสริมมีธรรมะ 2 คือ ว

วะ คือตัวก้าวหน้าจากสามเส้า ย ร ล แล้ว ว ออกมาสมทบกับ จ ก็ก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะค่อยๆมีความรู้พยัญชนะเหล่านี้ ภาษาไทยก็มาจากรากภาษาบาลี จะไม่เหมือนภาษาจีน ภาษาจีนไม่รู้เลยว่าเอา แง่งไหนจุดไหนมา หรือภาษาอาหรับจะเป็นสายยาวแต่ภาษาจีนมีก้อนๆมาใส่ให้อ้วนไปเรื่อยๆ อาหรับเอาสายมาใส่ยาวไป แต่ภาษาไทยเอามาจากบาลี

อาตมาก็มาจาก 0 คือ ออ อ.อ่างคือห้อง ครรภ แล้วเริ่มมีจุดก็หัวตัว อ.

พอม้วนเข้าไปหนักเข้าเป็นหัวตัว ว. เป็นพลังงานตัวที่ 4 ของเศษวรรค

มันเยอะละเอียด อาตมาไม่มั่นใจตัวเองว่ารู้หมดนะในพยัญชนะ อาตมามั่นใจว่ารู้พอสมควร จึงค่อยๆอธิบาย อธิบายมากๆเดี๋ยวจะพลาดหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แล้วมันผิดบาปเป็นอันทำ อาตมาเชื่อกรรมวิบาก อาตมาจะไม่ทำกรรมผิดบาป เอายางลบลบไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ แบ่งใครไม่ได้

อาตมาระมัดระวังในกรรมที่สุด คนที่รู้สึกว่าอาตมาทำหยาบขอยืนยันว่าอาตมาทำอย่างประมาณแล้ว อาตมาทำอย่างเสียสละ แม้จะได้วิบากย้อนกลับอาตมาบ้าง อาตมาก็ยินดีรับ พูดไปแล้วเหมือนเอาดีเข้าตัวนะ ถ้าเป็นสัจจะเป็นสภาวะเป็นความรู้ อาตมาจึงยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ นี่เป็น motto ของพระโพธิสัตว์ แม้เราจะเสียส่วนหนึ่งของร่างกาย

เช่นบอกว่า 1.เสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ถ้าไม่ไหวแล้วเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต จะเสียสละอวัยวะไปจนกระทั่งหมด ที่สุดแม้แต่อวัยวะขั้นหัวใจเขาก็เอาไปตายก็ให้เพื่อรักษาธรรม เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมก็เอา อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นคติของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นธรรมดา อาตมาปฏิบัติตามธรรมะพุทธเจ้าที่สอนไว้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน การเกิดดินแดนอาริยะ

คนปฏิบัติธรรมะพุทธเจ้าทำจริงเอาจริงจะมีผลจริง มันไม่ง่ายเลยยุคนี้ที่จะเอาคนมาปฏิบัติเป็นโลกุตระบุคคล เป็นอาริยบุคคลแล้วมารวมตัวเป็นคนทำงานฟรี พ้นมิจฉาชีพ 5 พ้นจากมิจฉากัมมันตะ 3 พ้นจากมิจฉาวาจา 4 พ้นมิจฉาสังกัปปะ 3 ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ใครทำได้ก็เอาสิ ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยังมีโพธิสัตว์อื่นอีกที่ทำด้วยกัน นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่ามีพระโพธิสัตว์อื่นที่ทำ ที่ติดคุกอยู่นี้ พุทธะอิสระ จะแจ้งสว่างชัดเจนอะไรหรือเปล่า ไม่ศรัทธาอาตมาเท่าไหร่แต่ปฏิเสธไม่ได้ แสวงหาโพธิสัตว์ อย่างหมอเขียวนี้ไม่มีปัญหาเลยเข้าใจช่วยกันทำ คนอื่นๆก็ทำไปต่างคนต่างทำ ก็จะมารวมกันสัจจะเป็นอันเดียวกัน เป็นสัจธรรม เป็นธรรมสัจจะ หยั่งลงในนี้ โอฆทาในประเทศไทยหรือโอกกันตะ

โอกกันติหยั่งลงในแต่ละคน มวลมารวมกันมาก โอกกันตะ จะหมายถึงโลกียะก็ได้ แต่โอฆทามีแต่สัจธรรมที่เป็นโลกุตระอย่างเดียว แต่โอกกันตินี้รวมเละเลย

การเกิดมี 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ชาติ เป็นการเกิดต้น  สัญชาติ สั่งสมเป็นในสัญญา เป็นคลังจะเป็นโลกุตระหรือเป็นโลกียะก็แล้วแต่ คนเกิดมาด้วยสัญชาติญาณ ที่มีเท่าไหร่ก็เท่าที่มี เสร็จแล้วก็มาเพิ่ม

ถ้าโง่โอกกันติเป็นโลกียะได้ แต่ถ้าฉลาดมาหยั่งแต่โอฆทา เสร็จแล้วก็สั่งสมเป็นนิพพัตติ เป็นชาติโลกุตระสั่งสมเชื้อ DNA โลกุตระ จนเต็ม เป็นอภินิพพัตติ เป็นการเกิดเป็นอรหัตตผล จนเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์ในโพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การเกิดเรานี้เกิดจากกรรมเกิดจากการกระทำของตนเองตนเองเรียนรู้ตนเองกระทำ มนุษย์พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองทำ สูงสุดได้เท่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เท่ากันหมด มันห่างไกลเกินกว่าคนจะตามติดได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาองค์ใดองค์หนึ่งในโลก เสร็จแล้วจะมีองค์ใดองค์อื่นที่อุบัติขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้เป็นไปไม่ได้จะทิ้งช่วงกันนาน ดีไม่ดี ทิ้งช่วงแบบที่ว่ามีช่วงหนึ่งที่ไม่มีศาสนาพุทธเลยด้วย

ช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธมีบัญญัติว่าพุทธันดร ธัมมชโยเอาคำนี้ไปใช้ว่ามีศาสนาพุทธประกาศว่านี่เป็นยุคพุทธันดร แล้วเขาเป็นผู้นำศาสนาพุทธมาตั้งลงเป็นต้นธาตุต้นธรรม เห็นไหมมันกลับขั้วกันเลย เอาตีนมาเดินเป็นหัวเอาหัวมาเป็นเดินเป็นตีน

พุทธันดรคือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ อันตระ พุทธ ภาษามันมีแต่สภาวะมันไม่มี ภาษาคือระหว่างพุทธ คือช่องว่างระหว่างพุทธ พุทธจะตายแล้วเกิดมาใหม่ นี่คือ อันตระ ระหว่างพุทธ

นี่เป็นสภาวะที่เราต้องเรียนรู้การกลับไปกลับมาในเทวะที่เป็นธรรมะ 2

ในโลกนี้ ความเป็นสัตว์โลกมนุษยชาติไม่มีอะไรเลยเทวตัวเดียว ตีแตก แล้วมาเป็นอเทวนิยมมีความรู้แบบพุทธจบเลย เทวนิยมเขายังตีไม่แตก เป็นศาสนาเทวนิยมีหลายลัทธิ มีเยอะนะ นับถือพระเจ้าต่างๆกัน ขนาดศาสนาเดียวกันยังไม่รู้มีกี่นิกาย แต่ก็ยังขัดแย้งกันอยู่ เทวนิยมทั้งนั้นแต่อเทวนิยม มีหนึ่งเดียวไม่ได้ขัดแย้งกัน ยากมาก

เพราะฉะนั้นก่อเกิดของจริงเท่านั้น จึงจะมารวมกัน หากไม่ใช่พุทธจริง คนเข้ามาเขาไม่ไล่คุณหรอก แต่คุณจะอยู่ไม่ได้เองที่นี่เขาไม่ไล่หรอก จะเห็นได้ว่าบางคน มีบาปในชาวอโศก เขาไม่รู้ตัวเขาเอง เขาไม่ร้ายทีเดียวแต่เขาแรง เขาไม่รู้ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่เต็มไม่ครบชาวอโศก เพราะฉะนั้นเข้ามาแล้วอยู่ไม่ได้มีหลายคนน่าสงสาร ก็เป็นวิบากของเขา พูดอย่างนี้นึกออกบ้างไหม มีพวกเราชาวอโศกเข้ามาไม่ได้ ไม่ได้รุนแรงกับเขาแต่เขาอยู่ไม่ได้ เขาต้องออกไปด้วยอะไรก็แล้วแต่ นี่มันซับซ้อนเรื่องกรรมวิบาก

อาตมาถึงขอเตือนว่าอย่าประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อยกรรมเป็นอันทำ ละเว้นสิ่งที่ชั่ว ทำสิ่งที่ดีที่มั่นใจ สิ่งที่ไม่ดีไม่ต้องทำเลยอยู่กับหมู่กลุ่มนี้สบายแล้ว สิ่งที่ไม่ดีจะทำทำไม ไม่ต้องบอกว่าเสียสละ คุณมีอะไรจะคุ้มหัวตัวเองจะได้เสียสละ หากไปกระทบเป็นวิบากคุณเองต้องรับ แล้วไหวไหมล่ะ คุณมี ครน. หรม. หนักเท่าไหร่ที่จะรักษาตัวเองได้อย่างสูง หากคุณยังไม่มี หรม.ครน. ให้แก่ตัวเอง

คุณมีประโยชน์สูงประหยัดสุด เสียสละน้อยแต่ได้ประโยชน์มาก เพราะฉะนั้นมันคุ้มตัวเป็นกุศล เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นกุศลที่จะพึ่งพาอาศัยนั้นเป็นส่วนดี ส่วนที่กิเลสนั้นมันเกิดแล้วก็หมดไป เป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มีแล้ว เรื่องกิเลสไม่มีอะไรอีกแล้วไม่มีบาปไม่มีอกุศลอีก จบ บุญ ก็ไม่มีไม่ต้องล้างกิเลส มีแต่ทำประโยชน์กับผู้อื่นไปเรื่อยๆ อันนี้สิพวกเราเข้าใจดีมากเข้าใจได้ ว่า บุญนี้ คือนักฆ่ากิเลสอย่างเดียวไม่ทำอะไรอย่างอื่นฆ่ากิเลสเสร็จแล้วหายวับไปกับตา ฆ่ากิเลสเกลี้ยงแน่นอนแล้วหมดไปเลย

เพราะเข้าใจเรื่องบุญไม่ง่าย ปุญญาคิยา ได้ส่วนบุญแล้วจะกลายเป็นสมบัตินั้นไม่ใช่ ส่วนบุญที่ได้นั้นเป็นวิบัติทั้งนั้น มีแต่สิ่งที่หายไปหมดไปไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเลย บุญนั้นทำลายกิเลสออกไป กิเลสวิบัติออกไปไม่ได้อะไรกลับมา บุญไม่ได้ทำอะไรเพื่อเอา บุญไม่มีอะไรตอบแทน ตอบแทนมาบุญก็ไม่เอา หากยังเอาตอบแทนอยู่ไม่ใช่บุญ ใครจะชื่อบุญต่อบ้าง ไม่มีหรอก บุญไม่มีตอบแทนบุญฆ่ากิเลส One way ถ่ายเดียว ฆ่าเสร็จแล้วเลิก ตัวเองสบายตัว เหมือนระเบิดปรมาณูทิ้งตูมไปแล้วมันจะมีระเบิดอีกที่ไหน ทิ้งระเบิดจบ ระเบิดก็หายไป ไปเก็บได้แต่เศษ จะรวมเป็นระเบิดไม่ได้อีก จะทำอีกต้องทำใหม่

กว่าอาตมาจะขยายเรื่องบุญได้ ต้องรอเวลา จนทุกวันนี้ ถามอย่างนี้ ใครพอจะเข้าใจเรื่องบุญบ้างยกมือขึ้น ใครเข้าใจได้ดีมากยกมือ

แม้แต่คำว่ากาย คำว่าสมาธิ คำอื่นๆก็มีอีก คำว่ากายก็ดี เทวะก็ดีหรือแปลจากเทวะว่าธรรมะ 2 แล้วก็ขยายธรรมะ 2 ถ้าหากทำธรรมะ0 ได้ คือมีทุกอย่างแต่ไม่ ธรรมะ ไม่สั่งสม ไม่ตั้งอยู่ไม่ทรงไว้ อธรรมะ ก็มีอยู่แล้วกระจายไปทั่วไปอาศัยแล้วก็จบในตัวมันเอง ไม่มีอะไรเหลือเศษ ทุกอย่างมีแต่ประโยชน์ จบประโยชน์แล้วไม่เหลืออะไร

จบ

ป ย ช น จบประโยชน์

ป คือตัวตั้งของพยัญชนะแรกในวรรคต่าง ก จ ต ฏ ต ป 

ย เป็นพลังงานเศษวรรคตัวแรก ตัวนี้ตัวตั้งตัวนี้ตัวแรง หากตัวหนึ่งเป็น Static ตัวหนึ่งเป็น Dynamic

สามเส้านี้ ปยช สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรก็จบด้วย น คือ ป ย ช น อาศัยทำงานเท่านั้นไม่ได้เป็นตัวตนอะไรเลย 4 ตัวนี้คือตัวงานสุดท้ายมีเท่านี้ ใส่สระโอก็เป็น ปโยชนะ โยชนะก็เต็มที่แล้ว ป คือตัวตั้งของโยชนะ ก็เป็น สิ่งที่มาเป็นมามีมาอาศัย ก็อยู่ที่ประโยชน์สูงประหยัดสุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน การเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแท้

การเมืองคือเรื่องเศรษฐกิจกับสังคม คนรู้เรื่องเศรษฐกิจดี และเป็นเศรษฐกิจโลกุตระ จึงจะทำให้สังคมนั้นอยู่กันอย่างสุขสงบอุดมสมบูรณ์ไม่ไปเบียดเบียนมีแต่ประโยชน์ต่อผู้อื่นทั้งนั้นเลย อาตมากำลังอธิบายตอนนี้ว่า ต้องมาเรียนรู้เศรษฐกิจโลกุตระ คุณสมคิดอย่าไปสอนให้คนแย่งกันรวย ฟังในหลวงบ้าง ท่านบอกว่าให้มาเอาแบบคนจน ฟังแล้วศึกษาให้ดี อย่าไปเอาอย่างโลกเขาที่เขาจะไปแย่งกันรวย แล้วแย่งชิงกันไม่จบเราไม่แย่งเราพอ แล้วเราอุดมสมบูรณ์พอแล้วกินใช้เหลือใช้แค่นี้ มาละกิเลสสิ

เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวความจนมาเป็น คนจนนั้นเป็นคนประเสริฐ เป็นคนจนมีภูมิธรรมเป็นคนจนที่ร่ำรวย เป็นคนจนที่มีอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้ พอเรากินน้อยใช้น้อยนอกนั้นเหลือก็เอาไปจุนเจือสังคมเกื้อกูลสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่พูดปากเปล่าไม่ใช่พูดโม้ มันเป็นของจริงทำได้จริง เพราะฉะนั้นเราไม่สะสม จนคืออะไร นี่ ไปอ่านหนังสือ คนจนที่มีแบบเล่ม 1 ฉบับแก้แล้วไขอีก จาก 192 หน้าเขียนตอนแรก แก้ไขแล้วเป็น 512 กว่าหน้า แก้แล้วไขอีก มากกว่าที่เขียนเดิม ยังมีเล่ม 2 ให้อ่านนะ อยากจะจบเหมือนกัน มันไปได้เรื่อยๆ ยังมีที่ยังออกมาไม่หมด ถ้าอย่างนั้นไม่จบเสียที ไม่มีปัญหาหากจะเขียนต่อก็เขียนเล่ม 3 ได้อีก

การเมืองตอนนี้อยากจะช่วยประเทศชาติ อยากจะมาทำงานเอาเงินทองมาแจกจ่ายคน  ต้องสั่งสอนให้คนเป็นคนพึ่งพาตัวเองรอด มักน้อยสันโดษกินน้อยแต่แข็งแรง ทำตัวเองพึ่งตัวเองรอด จนตัวเองเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้อย่างนี้ขึ้นไปเรื่อย พูดสั้นๆแต่ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายที่จะทำได้แต่พวกเราทำได้

การเมืองใหม่ที่เป็น ประชาธิปไตยแท้ๆ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)  หากรู้คนเดียวนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยต้องให้ประชาชนรู้ด้วยเพราะประชาธิปไตยก็คือประชาชน ไม่ใช่ว่าให้ประชาชนรู้แค่ว่าเอาแต่เลือกตั้งทั้งนั้นจะไปไหนรอด

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  ใจพอ เป็นตัวตั้งต้นของประชาธิปไตย คนมี 1000 ล้านแล้วก็พอก็ยังดี คุณมี100 ล้านแล้วก็ควรพอ ไม่น้อยแล้วนะ 100 ล้าน คุณทำตัวเองให้กินน้อยใช้น้อยมีแค่ 10 ล้านก็พอ แค่นี้มันก็เกิดการไม่แย่งชิง ยิ่งบอก มีล้านเดียวก็พอ สุดท้ายเหลือแต่หัวล้านก็พอไม่ต้องไปมีสมบัติอะไร เห็นไหม

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน แรงนะตัวนี้ ใครที่อาศัยงานการเมืองเป็นอาชีพหากินนั้นบาป

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ จิตอาสา ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา นักการเมืองที่ทำเพื่อประชาชนจริงก็ต้องพิสูจน์คุณเป็นจริงเขาก็จะหาให้หมดรองรับให้หมด จะไปจะมาสะดวกทั้งนั้น คุณจะทำอะไรเพื่อประชาชนให้จริง คนจะอุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือขอให้จริง อย่านึกว่าคนนั้นโง่ คนเขาไม่โง่หรอกคนเขารู้ว่าทำเพื่อผู้อื่นจริงๆเขาจะช่วย คนมันไม่โง่หรอก แต่ก็ไม่ฉลาดที่หลอกว่าฉันช่วยเธอนะ อาตมาจึงมีโศลกอันหนึ่งว่า เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่าช่วยเขา ลึกซึ้งนะ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

นิยาม ประชาธิปไตยคือ 1. มีอิสระเสรีภาพ 2. ไม่มีตัวตน 3. มีปัญญา

ตอนนี้กำลังแตกแบงค์ร้อย สำนวนของการเมืองเขากำลังใช้นโยบายแตกแบงค์พัน แบงค์ร้อย เป็นแบงค์ 20 อย่างไรได้พรรคละ 1 คนก็ยังดี มีเงินจ่ายให้แก่แต่ละพรรค คือ เป็นวิธีการของโลกโลกีย์เข้าใจได้ ทำได้ แต่มันไม่จริงมันเป็นวิธีการที่จะเอามาให้แก่ตัว เสร็จแล้วมาเป็นเผด็จการทางสภา ก็เกิดความฉิบหายมาแล้ว ถ้าเผื่อว่าไม่ทันว่าจะรวมตัวรวมกลุ่มออกกฎหมายนิรโทษกรรม พวกนี้ก็เฮละโลเข้ามา นี่ดีนะยังทันยังไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งยวง เมืองไทยยังมีพระสยามเทวาธิราชเลยรอดตัว อย่าเผลอเลยนะ ถ้าเผลอเอาเลย

อาตมานิยามการเมือง 10 ข้อนี้เขียนหนังสือเป็นตัวหนังสือไปออกทางการเมือง เขียนเป็นป้ายตั้งไว้ข้างเต็นท์ ไม่ได้ทำอะไรดูแลยิ่งใหญ่เขียนเป็นแผ่นตั้งไว้ อยู่ตรงนั้นยังจำได้ ยังมีรูปอยู่เลย

อาตมาทำงานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของพุทธเจ้าท่านประกาศในยุคของท่านปลดแอกความเป็นทาส ปลดแอกความเป็นวรรณะ ตั้งแต่ในยุคของท่าน คนมาเข้ารีตของท่านก็ปลดออกหมดเลย ช่างตัดผมมาเป็นพระก่อน ราชามาบวชทีหลัง คนเป็นราชาจะต้องมากราบเคารพคนที่เป็นช่างตัดผม ท่านได้ปลดแอกวรรณะ ปลดแอกความเป็นทาส ไม่สะสมสมบัติวัตถุ พึ่งความรู้ความสามารถกับความขยันทำงานเสียสละสร้างสรรไป นำพากันไป แล้วท่านมีบารมีสูงถึงขนาดรัฐต่างๆแคว้นต่างๆที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหญ่ขนาดไหน แคว้นโกศลแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้นในประเทศอินเดีย ก็เป็นทวีปไม่เล็ก ทุกรัฐทุกแคว้นทุกประเทศ เป็นไวยพจน์กันโดยศัพท์ ก็ยอมให้พระพุทธเจ้าหมด การที่พระพุทธเจ้ามาจากแคว้นเล็กแคว้นศักยะ แต่คนในยุคนั้นเขารู้จักคุณธรรม มันเป็นบารมีเป็นเรื่องอจินไตย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ต้องมีคนที่ยอมต่อโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นการบังคับแต่เป็นเรื่องอจินไตย ที่จะทำให้เกิดความราบรื่นง่ายงาม เป็นอย่างนี้ไปได้ ท่านจึงได้เผยแพร่ หยั่งโลกุตรธรรมขึ้นในโลกได้สำเร็จตั้งแต่บัดนั้น และเมืองอินเดียเป็นเมืองใหญ่พลเมืองมาก ก็เลยรับอันนี้เอาไว้ได้ แล้วก็ขยายผลออกมาเรื่อยๆ เมืองจีนเข้ามาเอาไป ก็เป็นพลเมืองที่มากในโลกอีกมุมหนึ่ง แต่เดิมของจีนที่เอาไปก็เป็นโลกุตระ แต่เมืองจีนเป็นสายเฉโก เลยเอาโลกุตระไปปู้ยี่ปู้ยำเป็นอาวุธ เลยเลอะเทอะเลย จนกระทั่งตอนนี้ก็พยายามรักษาสถานะของประเทศดีขึ้น ก็ยังค่อยยังชั่ว เป็นยุคสมัยที่ดีขึ้น ไม่ว่าพลเมืองของโลก อินเดียหรือจีน นอกนั้นประเทศอื่นๆที่ไม่มีพลเมืองมาก เท่ากับ 2 ประเทศนี้ก็ตาม

เมื่อ 2 ประเทศนี้เป็นหลัก สงบและรู้จักโลกุตระ ประเทศจีนจะค่อยๆรู้จักโลกุตระ แล้วจะค่อยๆได้ เพราะเป็นยุคสมัยใกล้กลียุค ในยุคข้างหน้า พระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้าจะเป็นองค์ที่มีมวลมาก เป็นยุคพระศรีอารย์ องค์ต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่ได้ชื่อว่าพระศรีอริยเมตไตรย พระศรีอาริยเมตไตรยเป็นเพียงชื่อตำแหน่ง ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะชื่ออะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่อาตมาก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปไม่ใช่อาตมา พูดความจริงอาตมารู้ตัว

พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเป็นองค์อื่นองค์ใดก็แล้วแต่ ท่านจะมีมวลมาก จะมีมาฆบูชาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจะมีมวลประชากรของโลกนับถือมาก ศาสนาจะอายุยืนยาวนานคนก็อายุยืนยาวนานจะเป็นกัปป์ พุทธกัปป์ ที่มีเวลายาวนาน นั่นก็เป็นเรื่องของวัฏสงสารของเอกภพที่หมุนเวียนกันจะเป็นอยู่อย่างนี้ เสื่อมแล้วก็เจริญ เจริญแล้วก็เสื่อม หมุนวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ ผู้ที่จะเจริญก็ต้องมาเป็นโลกุตระ อยู่เพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกไปนี่คือหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้วทำลายแม้กระทั่งตัวเอง ธาตุชีวะไม่เหลือแม้พีชะก็ไม่เหลือไปอยู่ที่อุตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม

กว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมจะมาจับตัวเป็นชีวะเป็นพืช กว่าจะเป็นชีวิตที่เจริญถึงจิตกว่าที่จิตจะรู้จักเจริญไปถึงรู้จักกรรม กรรมที่เป็นกุศล อกุศล โลกียะ โลกุตระ จนกว่าจะเข้าใจแล้วหยุดทำกรรมที่เป็นโลกียได้ ทำกรรมที่เป็นโลกุตระได้ก็วนเวียนไปหาศูนย์ แล้วก็เลิกล้ม มากที่สุดเหลือค้างเป็นนิรันดรกับสู่นิรันดรมันหายไปเลย เป็นสองสุดนิรันดรเหมือนกัน ก็จบด้วยนิรันดรทั้งคู่ นิรันดรที่จบกับไม่จบ

ก็คือ มี กับไม่มี สูงสุด

พระพุทธเจ้าถึงตัดอวัยวะคนก็อาศัยมีกับไม่มีนี่แหละ คำว่า มี นี่มาจากศัพท์คำว่าสมุทัย คำว่า ไม่มี ก็มาจากศัพท์คำว่านิโรธ โลกสมุทัยกับโลกนิโรธ เป็นนัตถกับอัตถิ หรือจะใช้คำว่า โหติ กับ นโหติ

พยัญชนะเป็นตัวบอกอธิวจนะ รู้ความหมายก็จะรู้สภาวะ ปฏิฆะ ซึ่งเป็นธรรมะ 1 2 3 บวกลบ รวมเป็นสามเส้า ปฏิฆ หากใคร สัมผัสนามธรรมนี้ได้ ไม่มีชื่อก็เป็นแค่ ปฏิฆะ  เป็นวจีสังขารได้แต่ถ้ามีชื่อสื่อกับโลกได้เป็นอธิวจนสัมผัสโส หากไม่มีชื่อคุณก็ตั้งขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นมาเองตั้งเยอะแยะ ภาษาเราก็ใช้สื่อเข้าสู่สภาวะที่ไม่ใช่ภาษา เป็นสภาวะ เช่นภาษาว่า 0 แล้ว 0 มันคืออะไร

ที่จะรู้ต้องมีคนที่มีจิตวิญญาณมีธาตุรู้ ให้พวกดิน น้ำ ลม ไฟหรือพืชก็ไม่รู้เรื่อง ต่อให้เสือก็ไม่รู้ ได้นิดหน่อย มันจะมีภาษาของมันเองบ้าง เอานกแก้วนกขุนทองก็ได้ พูดเก่งนะ แต่มันไม่รู้เรื่อง คนแบบนกแก้วนกขุนทองก็เยอะ จบปริญญาเอกเป็นนกแก้วนกขุนทองก็เยอะ

จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 21:05:23 )

​​​​​​​ชาวอโศกกอบกู้เวลา แรงงาน ทุนรอนกลับมา

รายละเอียด

เวลา แรงงาน ทุนรอน ที่เคยเอาไปสูญเสียกับสิ่งไร้สาระ คนเราสิ่งที่น่าเสียดาย ตรวจสอบเหตุคนในโลก เอาเวลาไปสูญเสียกับสิ่งไร้สาระ เอาทุนรอนเอาแรงกายแรงใจไปสูญเสียกับสิ่งไร้สาระ แต่พวกคุณมา
กอบกู้ได้ เวลาก็เอาคืนมาทุนรอนก็เอาคืนมาแรงกายแรงสมองก็เอาคืนมา แล้วเอาไปทำงานขยันไม่ได้ขี้เกียจตามสมรรถนะความสามารถและเวลาที่มี

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:53:02 )

“กรรม”กับ“วิบาก”ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของเราใคร ก็แย่งไปไม่ได้! แบ่งให้ใครก็ไม่มีทาง!

รายละเอียด

“กรรม”กับ“วิบาก”ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของเรา ใครก็แย่งไปไม่ได้! แบ่งให้ใครก็ไม่มีทาง!“กรรม”เป็นของใครไม่ได้เลย ใคร“ทำ”ต้องเป็นของตนเท่านั้น(กัมมัสสกะ) 

“กรรม”ของปู่ย่าตายาย ของพ่อแม่ ของพี่น้อง ของป้าน้าอาใดๆ ก็สืบทอดเป็นมรดกตกทอดไปถึงลูกหลานเหลนโหลนไม่ได้เลยเป็นอันขาด ยิ่งไม่ใช่เครือญาติสายโลหิตก็ไม่่ต้องพูดถึงเลย  

ดังนั้น ความเป็น“กรรม” หรือ“การกระทำ” ซึ่งก็คือ“อาการทางกาย-อาการทางวาจา-อาการทางใจ”ของสัตวโลกทั้งหลายที่เกิดมาเป็น“จิตนิยาม” ที่มี“พฤติการณ์(condition)”ขึ้นแล้ว ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กธุลีละอองปานใด ก็ต้องเป็น“ของตน” สั่งสมเป็น“วิบากของตน”หรือสะสม“ผลการกระทำเป็นของ

ตน”ทั้งหมด ไม่มีตกหล่น ไม่ระเหิดระเหยไปจากการเป็นของตนเลยทุก“วิบาก”ล้วนเป็นของตนและจะออกฤทธิ์เอากับตนเองอยู่ทั้งสิ้นไม่หายไปไหน จนกว่าสัตว์ตัวนั้น คนผู้นั้นทีี่สามารถ“ตาย”ขั้นสุดท้าย“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”สำเร็จได้จริงเท่านั้น!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 220 หน้า 182


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2564 ( 12:48:15 )

“กามภพ”ต้องจัดการก่อน ค่อยล้วงลึก “รูปภพ-อรูปภพ!

รายละเอียด

ลำดับขั้นตอนของการกำจัดกิเลส“กามภพ”ของตนให้ได้เป็น“ขั้นต้น”หรือ“ขั้นที่ 1”ก่อน แล้วคนผู้นี้จึงจะสามารถกำจัดกิเลส“รูปภพ”ที่เป็นกิเลส“ขั้นต่อไป”ได้ หากไม่ปฏิบัติกำจัดกิเลส“กามภพ”ให้ได้เสร็จสิ้นไปก่อน จะขืน“ลัด”ตัดตอนไปกำจัดกิเลส“ภายใน”คือ“รูปภพ-อรูปภพ”ก่อนนั้น มันเป็นเรื่อง“เป็นไปไม่ได้เลย”เป็นอันขาด!หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร มันก็“เป็นไปไม่ได้(impossible)” ไม่มี“มรรคผล” บรรลุ“อรหันต์”ไม่ได้เด็ดขาด ขอยืนยัน!!!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 351 หน้า 258


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:07:19 )

“กายสักขี”เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสไว้!

รายละเอียด

“กายสักขี”ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้อง(สัมผัส)วิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นกายสักขี (พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 151) “อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว”นั้นแหละ คือ ผู้ที่“อาสวะ”ของ“กาย”อันเป็น“ภายนอก”ได้แก่“กาม” นั่นเอง เป็นพยาน(สักขี)ที่ยืนยันเป็นกิเลสทาง“กาย”หมดสิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา 

“กาม”นั้นต้องเกี่ยวกับ“กาย” ไม่มี“กาย”ก็เรียนรู้“กาม”ไม่ได้ ผู้ยังหลงผิดว่า“กาม”เป็น“กามคุณ(เห็นกามว่าดี)” ยังหลงว่า “กามเป็นเรื่องดี”อยู่ ยังไม่เห็นว่า มันเป็น“กามาทีนวะ(เห็นกามเป็นโทส)”ยังไม่เห็นว่ามันเป็นภัยเป็นโทษทาง“กาย”ที่ภาษาว่า“กายกลิ” ผู้นั้นก็จะยังไม่คิดจะ“ออกจากกาม(เนกขัมมะ)”แน่ๆ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 460 หน้า 338


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 09:00:40 )

“กาย” คือ องค์รวมของจิตที่รู้ร่วมกับภายนอก

รายละเอียด

1. รูปรูป  คือ มหาภูตรูป4 ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ, อุตุ-พีชนิยาม

2. รูป,นาม  คือ รูปกับนาม เข้ามาประชุมกัน  แต่ยังไม่สังขารกัน  ทว่าถูกรู้ได้โดยแยกกันเป็นส่วนนามส่วนรูป

3. รูปกาย  คือ องค์ประชุมของรูปกับนามที่สังขารกัน

4. นามกาย  คือ องค์ประชุมของนาม (เน้นเฉพาะนาม)

5. นามรูป  คือ ทั้งนามและรูปอาศัยร่วมกันเพื่อเป็นองค์ 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 14:31:21 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 03:27:09 )

“การหลับตา” จึงไม่ผ่าน ไม่มี ไม่เกิดผลในทุกๆ ด้าน!

รายละเอียด

ตกลงก็ชัดเจนว่า “หลับตา”ปฏิบัติ ไม่มีตั้งแต่“ศีล” และไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”อีก “สัทธรรม 7”ก็เกิดไม่ได้ “ฌาน”ตามกระบวนการ“จรณะ 15”จึงมีไม่ได้ “ฌาน”ที่เกิดจากกระบวนการ“จรณะ 15 วิชชา 8”จึงเกิดไม่ได้  ..เห็นมั้ย?  ชัดเจนมั้ย? 

นั่นมันหลงผิดไปยึดเอาว่า ได้“จิตเป็น 1”เป็นแบบ“สมถะ”     มันไม่ใช่แบบ“วิปัสสนา”เลย มันไม่มี“วิชชา”แม้แต่“ข้อที่ 1”คือ 

“วิปัสสนาญาณ” มันไม่มี“ความรู้ที่เป็น‘ปัสสะ’คือ ‘เห็นด้วยตา                    กระทบ สัมผัสรูป’อยู่โต้งๆชัดๆ” ก็เป็นปรากฏการณ์โทนโท่แท้ๆ ก็ไม่มี

เห็น“ความผิด”ไปจาก“กระบวนการ‘จรณะ 15 วิชชา 8’ของพุทธศาสนา” ที่แจกแจงให้ชัดกันจนป่านนี้ “รู้เห็น”กันได้บ้างมั้ย?   

  “วิชชา 8”ของพระพุทธเจ้า ต้องเกิดในขณะ“ลืมตา”ทั้งสิ้น  ตั้้งแต่“วิปัสสนาญาณ”อันเป็น“วิชชาข้อที่ 1”ไปกระทั่ง“วิชชาข้อ ที่ 8”คือ“อาสวักขยญาณ” แม้แต่“อิทธิปาฏิหารย์”หรือ‘อาเทสนาปาฏิหารย์”ก็ล้วนเป็น“อภินิหาร(อำนาจทางธรรมที่ได้สะสมเป็นบารมีไว้ ซึ่งมิใช่การสะสม“บุญ”เด็ดขาดแน่นอน เพราะ“บุญ”สะสมไม่ได้ แต่“จิตที่สะอาด” ต่างหากที่สะสมเป็น “บารมี”อันเกิดจาก“บุญ”ได้ทำการกำจัดกิเลสออกไปได้แล้ว จึงเหลือแต่ “จิตสะอาดจากกิเลส” เท่านั้นที่สะสมได้ “บุญ”เสร็จงาน“บุญ”ก็หายไป)” ซึ่งผู้ปฏิบัติเข้าถึง“ปรมัตถธรรม”ย่อมเป็นไปตามพระอนุสาสนีย์ทั้งสิ้น

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 395 หน้า 285


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 15:54:11 )

“การหลับตา” แค่ศีลก็ไม่ได้ฝึกปรือ ไม่ได้ฝึกฝน!

รายละเอียด

การหลับตาปฏิบัติมันมีแค่“จรณะ 1”จรณะเดียวคือ “หลับตา” ปฏิบัติเท่านั้น มันไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”ก็ยืนยันอยู่โทนโท่ แม้“ศีล”ก็ไม่ได้ใช้ปฏิบัติ จึงไม่เกิด“สัทธรรม 7” “ฌานแบบหลับตา”จึงไม่ใช่ของพุทธ ซึ่งต้องมี“ศีล”เป็นข้อกำหนด“อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา”  

เมื่อไม่มี“ศีล”อยู่ในพฤติบทของการปฏิบัติแต่ละขั้นแต่ละตอน ก็ไม่มีลำดับเลย ก็บรรลุธรรมไปตามลำดับโสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์ ไม่ได้เลย เพราะมันเละเทะไม่เป็นขบวน   

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 393 หน้า 284


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 15:50:12 )

“การหลับตา” แค่สำรวมอินทรีย์ก็ไม่ผ่าน!

รายละเอียด

“อปัณณกะ 3” อีกก็บอกอยู่แล้วโต้งๆ ว่าการปฏิบัติที่ไม่มีข้อปฏิบัติ 3 ข้อนี้ อันได้แก่ ปฏิบัติธรรมโดยการสำรวมอินทรีย์​ 6 ไม่ใช่มีแค่“อินทรีย์เดียว”แค่ภายในจิตเท่านั้น -และปฏิบัติธรรมโดยอาศัยการกินการใช้ในชีวิตสามัญนี่เองลดกิเลส(โภชเนมัตตัญญุตา) -และปฏิบัติธรรมโดยพยายามทำความตื่นให้เต็มอยู่ทั้งภายนอก-ภายในปกตินี้แหละ(ชาคริยานุโยคะ) จึงจะยืนยันชี้ชัดความเป็น“ศาสนาพุทธ”อย่างถูกต้องถ่องแท้กันโต้งๆ ถ้าไม่มี“3 ข้อ”นี้ในการปฏิบัติธรรม นั่นแหละ“ผิด”ต่างหาก

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 394 หน้า 285


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 15:51:54 )

“ขยันรับใช้- มีแต่ให้ - ไม่มีอคติ”

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นชาวอโศกจึงเป็นคนรับใช้อย่างขยันรวมเป็นภาษาว่า “ขยันรับใช้” แล้วชาวอโศกไม่เอาอะไร มีแต่ให้ “ขยันรับใช้- มีแต่ให้ - ไม่มีอคติ” สมาชิกของประชาชนกลุ่มนี้ ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด นี่คือเศรษฐกิจที่สุดยอดแล้ว ประชาธิปไตยก็สู้ไม่ได้ คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:40:42 )

“ข้อด้อย”ของพ่อครู

รายละเอียด

ที่อาตมาหยิบขึ้นมาพูดในวันนี้มันเป็นโอกาส ที่จริงก็ไม่ได้เตรียมทีเดียว แต่ก็สำรองเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้เจตนา เจตนาแท้อาตมาตั้งใจอธิบายธรรมะด้วยซ้ำไป เลยไม่ได้อธิบาย ธรรมะตรงๆ ไปเลย มีแต่อธิบายผสมผเสไปจาก sms ไปบ้างเท่านั้นเอง 

แต่เวลาชั่วโมงครึ่ง เหลืออีก 4 นาทีก็จะหมดลงแล้ว ก็พูดอย่างสรุปก่อนจะจบก็แล้วกันนะ อาตมาเกิดมาในปางนี้ มาทำงาน ที่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ อาตมาต้องใช้ความด้อย ที่เคยบอกไปแล้วถึง 10 ข้อ ที่คนเขาถือว่าเป็นความด้อยไม่ใช่ความดีงามอะไร อย่าไปพูดถึงความเด่นเลย คือเป็นความด้อย 

“ข้อด้อย”ของอาตมาที่ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ

อาตมามี“ข้อด้อย”อยู่มากมายหลายข้อจริงๆ ลองตรวจตนเองแล้วประมวลมาดู มีมากพอสมควร .... เช่น

1.มีความจริงใจสูง กับการแสดงออก ไม่ค่อยปิดบังอะไร ..ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ลดเลี้ยว สุดโต่งตรงเกิน

2.แสดงออกเต็มที่ ต้องการให้คนรู้ คนเห็นชัดๆ ไม่ออมมือ ไม่เหยาะๆแหยะๆ จึงแรง

3.ไม่สำรวมกิริยาให้สวย เท่ๆ งามๆ สุภาพๆ อะไรทำนองนั้น

4.ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจริงจัง ไม่อนุโลมเท่าที่คนยุคนี้เขาอ่อนแอ ล้มเหลว และอยากให้อนุโลมเอาใจบ้าง

5.เป็นคนไม่กลัวเสียหน้า ถ้าจะแสดงอะไรออกมา จะว่ามารยาทไม่ค่อยดีก็ได้ หรือมารยาทไม่มีเลยก็ใช่

6.เป็นคนไม่กลัวว่า จะไม่มีใครมาเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นบริวาร 

7.จึงไม่สร้างภาพ รังเกียจการสร้างภาพเอาด้วย เพราะเห็นการสร้างภาพเป็นการหลอกลวง

8.ไม่กลัวคนจะไม่ยกย่อง ไม่กลัวคนจะไม่นับถือ 

9.ยึดความจริง ซื่อตรงต่อความจริง ต่อสัจธรรมสูงสุด จนถูกเข้าใจผิดว่า ยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงดัน

10. เคร่งครัดกับคำตรัสที่ว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง  ปัคคัณเห ปัคคหารหัง เกินไป โดยเฉพาะนิคคัณเห นิคคหารหัง คือตำหนิคนที่ควรติ จนถูกเข้าใจผิดว่าคนอะไรเอาแต่ติเอาแต่ด่า

และอาตมาก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่อาตมาจะต้องมี“ข้อด้อย”เหล่านี้ ไม่แก้ไข และตั้งใจทำตาม“ข้อด้อย”นี้ต่อไปยังไม่เพลา จนกว่าจะถึงเวลาอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลง  

ด้อยไปด้อยมา หมดเวลา เป็นข้อด้อยอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  Neo Protest ประชาชนปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 12:50:41 )

“คนจนมหัศจรรย์อยากเป็นกันบ้างไหม?”

รายละเอียด

ที่สาธยายถึงการมาเป็น“คนจนมหัศจรรย์”นี้ได้จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เล่นละคร ไม่ใช่เรื่องอดเอาฝืนทนเอาเพื่อแสดงความเท่ ความน่านับถือ เพื่อให้คนมานับถือแต่อย่างใด แต่เป็น“ความจริง”ที่มี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วนำไปปฏิบัติจนเกิด“ผล”มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงชนิดที่“สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” ยืนยันเป็น“กายสักขี (ผู้มี‘กาย’เป็นพยานยืนยันกันแก่กันและกันได้)”กันโต้งๆทีเดียว จึงจะสามารถกำจัดกิเลสให้“สิ้นอาสวะ”ได้ไปตามลำดับกระทั่งที่สุด“หมดสิ้นอาสวะ”เป็น“ปัญญาวิมุติ”คือเริ่มนับว่าเป็นผู้“อาสวะหมดสิ้นแล้ว”จึงจะเรียก“อรหันต์”กันได้ (ผู้สนใจหลักฐานที่ยืนยันเรื่องนี้หาอ่านได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 151 เป็นต้น)

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 409-410 ข้อ 555


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 14:10:46 )

“คนจนโลกุตระ” ย่อมรู้จักรู้แจ้งจริงใจ “เศรษฐกิจ”!

รายละเอียด

การเป็น“คนจน”เพราะมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เศรษฐศาสตร์”อันหมายถึง“ความรู้อันประเสริฐยิ่ง”แท้จริงๆ นี้ ซึ่งยิ่งใหญ่มากที่สังคมคนต้องทำให้คนเกิด“ปัญญา”คือ“ความฉลาด”อันเป็น“ความรู้”ชนิดที่เรียกว่า“โลกุตระ”โดยปกติสามัญทั่วไปในโลกก็มีแต่“ความฉลาด-ความรู้”ของปุถุชนคน“โลกียะ”กันทั้งนั้น ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ในโลกสามัญปกติทั่วไป จึงมีแต่แบบโลกียะกันอยู่เป็นสามัญปกติ  “ความฉลาด”ที่เป็น“ความรู้”ของชาวโลกุตระ แตกต่างไปจาก“ความฉลาด-ความรู้”ของชาวโลกียะสามัญปกติ คนละทิศเลย “ปัญญา”จึงเป็น“ความฉลาด”ที่เป็น“ความรู้”แตกต่างจาก“ความฉลาด-ความรู้”แบบ“เฉโก”ของปุถุชนคนทั่วไปกันคนละโลก ซึ่งเป็น“มนุษย์ต่างดาว”ที่อยู่ในดาวคนละดวงดาวกันเลย 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 406  ข้อที่ 549


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 15:02:38 )

“คนจน”ชาวอโศกช่วยสังคมช่วยเศรษฐกิจเพราะมีคุณธรรมระดับโลกุตระ!

รายละเอียด

เพราะเป็น“คนจน”ที่มี“ปัญญา”เข้าใจเรื่อง“การเป็นคนจน”ที่ มี“โลกุตรธรรม”นี้ดียิ่ง ว่า 

การเป็น“คนจน”ที่เป็นโลกุตระนั้นมันเป็นความดีงาม เป็นความประเสริฐ เป็นความสุขสงบยั่งยืนได้จริง 

มันเป็น“เหตุ”ช่วยเศรษฐกิจสังคมประเทศชาติโดยแท้ 

ซึ่งมันแตกต่างจากความเป็น“คนจน”หรือแม้แต่จะเป็น“คนรวย”ที่มีแต่ฉลาด“เฉโกโลกียะ”แห่ง“ทุนนิยม” 

ซึ่งมันแตกต่างจากความเป็น“คนจน”ที่มี“ปัญญาโลกุตระ”แห่ง“บุญนิยม”ที่ตรงข้ามกับ“ทุนนิยม”ที่หันหลังชนกัน ต่างเดินตรงไปคนละทิศ 180 องศากันทีเดียว 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 404  ข้อที่ 546


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 14:52:19 )

“คนจน”ที่เสียสละ คือคนที่ยอมขาดทุนเพื่อคนอื่น! คือคนประเสริฐยิ่งยอด!

รายละเอียด

เพราะไม่มี“ปัญญา”รู้ว่าการเป็น“คนจน”ที่ยินดีเสียสละหรือเสียเปรียบได้นั้นคือ “คนประเสริฐ”ยิ่งยอดจริงๆ จึงเลิกเป็น“คนรวย”ได้อย่างเต็มใจด้วย“ปัญญาอันยิ่ง” ตั้งใจเป็นคนผู้“เสียสละ”แก่ผู้อื่นไปตลอดกาลให้ได้ในชีวิตนี้จริงๆ ซึ่งผู้ทำได้แน่นอนบริบูรณ์ก็เป็นการ“จบกิจ”ได้เลยในตน เป็นคนผู้มีชีวิต“ขาดทุน”แก่ผู้อื่นอยู่นิรันดร มี“วิญญาณอรหันต์”สังคม“คนจนสาธารณโภคี”จึงเป็นสังคมที่อยู่กันอย่าง“คนจน” สงบอบอุ่น เป็นประโยชน์ต่อตนต่อผู้อื่นกว้างขวางขึ้นๆ ไปได้ยิ่งๆ ขึ้นอันนอกจากพวกตนได้เจริญเป็นปฏิภาคทวีอีกกันจริงๆ ล้วนเป็นเรื่อง“เหนือสามัญปุถุชนโลกีย์”ทั้งนั้น

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 408 ข้อ 553


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 13:55:19 )

“ความรู้”โลกุตระในยุคนี้พ่อครูเป็นผู้ยืนยันเอง

รายละเอียด

และ“ความรู้ความเห็น”ที่อาตมาแสดงออกไปนี้เป็น“ความรู้เฉพาะของอาตมาเอง”ที่อาตมาได้มาจากพระพุทธเจ้า อันไม่ใช่แบบ“โลกียะเทฺวนิยม”ที่ชาวโลกซึ่งยังถูก“เทฺว”ครอบงำเล่นเล่ห์หลอกอยู่มากมายในโลกเพราะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ภาวะของเทฺว”

ซึ่ง“ความรู้”ภาวะของเทฺวนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันเองอีกแหละ เพราะ“เทฺว”นั้นต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย“ความรู้”ที่เป็น“ปัญญา”อันเข้าขั้น“โลกุตระ”จึงจะ“รู้จบ-ทำจบ”ได้ยุคนี้ไม่มีใครในโลกปัจจุบันจะสามารถ“ตัดสิน” ความเป็น“โลกุตระ”ได้เด็ดขาด ว่า ถูกต้องแท้คือไฉน? 

แต่คนสามัญทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า “แตกต่าง” จาก“ความรู้”ที่มันยังมีความเป็น“โลกียะ”กันไม่ยากเลยตรงที่มัน“ทวนกระแส” มันแปลกประหลาดมาก! เช่น คนโลกียะจะนิยม“ความรวย” แต่คนโลกุตระจะนิยม“ความจน” เป็นต้น หรือคนโลกียะจะนิยม“ความสุข”กัน แต่คนโลกุตระจะนิยม“ความไม่สุขไม่ทุกข์”

เรื่อง“สุข-ทุกข์”นี้แหละที่เป็น“ความรู้”ที่แปลกแยกแตกต่างจากคนโลกียะหรือเทฺวนิยมไปชนิดที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งยวด เพราะคนโลกียะจะรู้สึกตื้นๆง่ายๆว่า มีด้วยหรือที่คนจะ“ไม่เอาสุข”  ถ้าไม่เอา“ทุกข์”ใครๆก็เข้าใจได้ แต่คนที่ไปคิด“ไม่เอาสุข”นั้น จะคิดบ้าๆ แปลกประหลาด พิกลพิการ วิตถารไปหรือเปล่า? 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2566 ( 11:02:32 )

“ความเกิด”ของ“ความโง่”

รายละเอียด

“ความเกิด”ของ“ความโง่”หรือ“ความไม่รู้” ไม่ว่า“ความเกิด”ของ“วิญญาณ”ที่เป็น“อัตตา”ของตน ทุกๆคนที่มีความเป็นคนนั้น มีสิทธิ์ทำได้ ไม่ว่า“คน”ในศาสนาใด ลัทธิไหน ก็มีสิทธิ์เช่นกันทั้งนั้น ไม่มีละเว้นเลยสักคน 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่ได้ปิดกั้นใครที่จะมาเรียนรู้ จนหมดกิเลส จนดับภพจบชาติ ไม่ปิดกั้นที่ใครจะมาเรียนรู้ฝึกฝน ให้สัมมาทิฏฐิเถอะแล้วสัมมาปฏิบัติจะได้มรรคผล ถ้าคนผู้นั้นไม่สามารถเรียนรู้“ความเจริญ”เป็น“อาริยบุคคล”ให้“สัมมาทิฏฐิ”แบบ“โลกุตระ”ได้กันอย่างแท้จริง ก็จะทำ“ความเกิด”ที่“เกิด”อยู่ คือ ผู้ยังมี“ชีวะ”ของตนอยู่ ซึ่งคนชาว“เทฺวนิยม”ที่ยังมีภูมิแค่“โลกียะ”หรือ “เฉโก”อยู่จะ“ตาย”ลง คือ ตายสิ้นลมหายใจไปแต่ละชาติ ร่างของคนผู้นี้ที่เป็นซากศพถูกเผา หรือถูกฝังทิ้งไว้ในโลกแล้ว คนผู้นี้ก็จะยัง“ตาย-เกิด ; เกิด-ตาย”วนเวียนอยู่ในกาล  คนผู้นี้ยังไม่มี“ปัญญา”เป็น“โลกุตระ”บรรลุ“อรหันต์”
จึงยังไม่สามารถ“ตาย”ด้วย“นิพพาน 3”อันได้แก่ “สุญญต
นิพพาน-อนิมิตตนิพพาน-อัปปณิหิตตนิพาน”ไปจาก“กาล”ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:36:33 )

“ความเน่า” คืออะไร

รายละเอียด

“ความเน่า” คืออะไร ความเน่าคือ “ความหมักหมมของความไม่รู้ หรือโง่ หรืออวิชชา” ที่ไม่รู้ “ภาวะ 2” ของ “ชีวะ” ที่เป็น “พืช” หรือ “จิต” ที่ทรงอยู่หรือทรงไว้ = ธรรมะหรือเรียกว่า “เทฺว” อันเริ่มจาก “ภาวะ 2” นี่เอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 20:28:01 )

“คำตรง”ที่ตรง“ความจริง”

รายละเอียด

ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น“คำตรง”ที่ตรง“ความจริง” ชนิด 180 องศา เหมือนคนอวดตน อย่างไม่มีอาการถ่อมตนในตัวเลย ซึ่งจะมองว่า ไม่มี“จริตแห่งความเป็นผู้ดีที่ควรมีในตน”ได้เลยคนเรามีปฏิภาณรู้ว่าการอวดตนมันไม่ดี น่าเกลียด จริง ในสภาวธรรมถ้าคุณมีจิต สาเฐยจิต พยัญชนะว่า สาเฐยจิต แปลว่ามีจิตที่อยากอวดอยากโอ่ การอวดการโอ่คืออะไร คือ การเอาสิ่งดีๆ มาโชว์ว่าเป็นของตน 

เพราะฉะนั้นคนที่มีจิตอยากอวดอยากโอ่ว่าของดีๆ นี้เป็นของตน เขาก็มีกิเลสอย่างนั้น แต่คนที่จริงนั้นไม่ได้มีตัวอยากอวดอยากโอ่ แต่เอาของจริงที่ตัวเองมีจริงๆ นั้นมาเปิดเผย อันนี้น่ะ โดยสามัญคนเขาจะไม่เชื่อว่าของดีจริงนี้จะมีกันง่ายๆ และอีกทีก็คือ เขาเชื่อว่า ไอ้ที่จริงนั้นเขาไปเชื่อคนหลอกว่าจริงเป็นอย่างนั้น แล้วไอ้ที่มาบอกว่าเป็นตัวจริงนั้น มันแย้งกับที่เขาเชื่อว่าจริงด้วย นี่แหละคือตัวร้าย ที่ทำให้เขา ตราหน้าอาตมาว่ากบฏ และมีมวลมากด้วย มันก็ยิ่งยืนยันความจริงว่ายุคนี้เสื่อมจริงๆ คือโง่ไปยึดถือสิ่งไม่จริงนั้นว่าจริง มันจึงยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าเสื่อมจริงๆ เหมือนคนที่จะเอาความจริงที่มันค้านแย้งกับที่เขายึดถือผิดๆ เอามาสถาปนาลงไปนี้ นั้นจึงยากมาก 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาบรรยายก็แล้วสาธยายขยายความก็แล้วเอาตำราพระไตรปิฎก เอาคำบาลี เอาคำอะไรต่ออะไรมาขยายถึงเนื้อหาสภาวะ เขาก็เรียนบาลีมาแล้ว เขาก็ยึดถือคำแปลที่เพี้ยนๆ นั้นไป พออาตมามาแปลถึงเนื้อหาสภาวะที่จริง มันก็เลยยิ่งทำให้เขาตัดสินเลยว่าอาตมามาทำลายทุกอย่าง ทำลายทั้งความรู้ที่เขาเรียนมาทำลายทั้งสภาวะเก๊ที่เขายึดอยู่ เพราะสิ่งที่เขาเรียนมามันผิดเพี้ยน แล้วเขาก็ได้มาตามที่เรียนมาผิดเพี้ยน มันก็เลยเป็นของเก๊ เพราะที่เรียนมามันเป็นความรู้ที่ผิดเพี้ยน เขาก็ได้ผลที่เป็นของเก๊ ของผิดเพี้ยน แต่เขาไม่รู้เขานึกว่าจริง พอไอ้ที่มันไม่เหมือนมาปั๊บ มาแสดงแย้ง 

ซึ่งแน่นอนอาตมานี้จะยืนยันความจริงที่อาตมาเอามาเปิดเผย แม้ขัดแย้งกับผู้ที่มีมวลมากยึดถือกันเพราะพากันเสื่อมไปตั้งมากแล้ว อาตมาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนไปหาคุณเด็ดขาดเลย ไม่ใช่อาตมาดื้อด้านดึงดันยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ มันต้องยืนยันความจริงเท่านั้นไม่ใช่ดื้อด้าน แต่ความจริงมีสิ่งเดียว มันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คุณไม่รู้ว่าสิ่งนี้ถูก เพราะคุณไม่รู้ 2 อย่าง แต่อาตมารู้ 2 อย่าง รู้ว่าอันนั้นไม่จริง อันนี้จริง อันนี้ยากนะ ทางเขาไม่รู้ 2 อย่าง ไม่รู้อันที่จริง เพราะมันเหนือกว่าความเก๊ เขาไม่มีสิทธิ์ เก๊จะไม่มีสิทธิ์รู้ความจริง มันยาก ต้องค่อยๆ ศึกษาว่าอันนี้จริง เราเก๊ ถ้ายอมรับเสีย รู้ความจริง เมื่อนั้นคุณจะละอายอย่างแรงกล้า ศรัทธาอย่างแรงกล้า หิริโอตตัปปะอย่างแรงกล้า แล้วจะเคารพอย่างแรงกล้า จะรักเคารพและบูชาอย่างแรงกล้า 

เพราะหลงยึดมั่นถือมั่นด้วยดูถูกดูแคลนสิ่งที่ถูกต้อง หลงไปจริงๆ อาตมาตั้งใจจะอธิบายไปถึงชั่วโมงครึ่ง เพราะอายุ 90 แต่อัชฌาสัยที่ทนไม่ได้ต่อความกรุณามีมาก ก็เลยคิดว่าไม่กระไรนะ อาตมาก็ไม่ถึงขั้นจะแย่ถึงขนาดนั้น ก็ยังทำได้อยู่ พวกคุณก็ยังตั้งใจฟังอยู่ ใครอยากหยุดแล้วยกมือขึ้น ไม่เห็นมีใครอยากให้อาตมาหยุดสักคน แล้วอาตมาทำผิดอะไร อาตมาไม่ได้ทำผิดนี่ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2566 ( 15:05:16 )

“งูร้าย” คืออะไร

รายละเอียด

คนก็ไม่มี“ปัญญา”ต้องตกเป็นทาส“เงินๆทองๆ” เพราะรู้ไม่ได้ว่า เงินทองมันคือ งูร้าย คือ ผี มาร ซาตาน“เงินๆทองๆ”ไม่ใช่“พระเจ้า” แต่เป็นผี มาร ซาตาน 

ซึ่ง“คน”ที่“โง่”อยู่ต่างหากคือผี มาร ซาตาน เองด้วย ฟังให้ดีนะมันซ้อนอยู่ในตัวเองทั้งนั้น หลงเงินๆทองๆเป็นพระเจ้า โง่นะ คนโง่นั้นเป็นผีๆมารๆเป็นซาตาน อันเดียวกันหมดเลย ทั้งคำว่าพระเจ้า ทั้งคำว่าโง่ ทั้งคำว่าผี มารซาตาน อันเดียวกันหมดเลย แท้จริง“เงินๆทองๆ”มันไม่รู้ตัวหรอก ว่า มันเป็น“งูร้าย” หรือมันเป็น ผี มาร ซาตาน เพราะมันเป็นแค่“วัตถุ”  

คนต่างหากที่“โง่” ที่ไม่มี“ธาตุรู้”จนสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ว่า ตนหลงโง่เองว่า “งูร้าย”คือ “เงินๆทองๆ” นั้นมันไม่ใช่“พระเจ้า”เลย มันเป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้นใช้แทน“ค่า”เป็น“ตัวเลข”ให้รู้“จำนวน”กันเท่านั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 11:29:56 )

“ฉันทะ” เป็นเรื่องสำคัญที่บัญญัติไว้ในหัวข้อธรรมต่างๆ!

รายละเอียด

“มูลสูตร 10”ก็มี“ความยินดี”หรือ“ฉันทะ”นี้ เป็นเบื้องต้นรากเค้าที่สำคัญยิ่งใหญ่จริงๆ เป็นแก่นของ“ตัวตั้ง”หรือแกนพลังงานขั้วบวกกันทีเดียว สำหรับ“ภาวะ 2”ที่ยิ่งใหญ่ของ nucleus หรือของโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มอะตอม ซึ่งก็คือ “ภาวะ 2”นี่เอง อันศึกษาได้ด้วย“วิญญาณ”หรือ“นามรูป” “อิทธิบาท 4”ก็มี“ความยินดี”หรือ“ฉันทะ”นี้ เป็นเบื้องต้นรากเค้าที่สำคัญยิ่งใหญ่จริงๆ ใน“การขับเคลื่อน” พลังทั้งหลายอื่นต่อไป ก็จะมีพลังงาน 2 ภาวะเสมอ คือขั้วบวกกับขั้วลบ เป็นคู่ที่ต่างกันอยู่แท้สำหรับ“สภาวะ 2 (เทฺว)” ที่ยิ่งใหญ่ของ nucleusหรือของพลังปรมาณู โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มอะตอมกันเลยแม้แต่ในสูตรต่างๆ“ความยินดี”หรือ“ฉันทะ”นี้ก็สำคัญมากสุดๆ ที่ต้องร่วมเป็นพลังในการสร้างสรรค์พัฒนาขั้นหัวหน้าของ“สภาวะ 2”ที่ยิ่งใหญ่ของ nucleus หรือของความเป็น“เทฺว”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 162 หน้า 143


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 11:08:54 )

“ฌานวิสัย” แบบพุทธฝึกแบบหลับตาก็หมดสิทธิ์!

รายละเอียด

ถ้า“สัมมาทิฏฐิ”จริง อุตสาหะพากเพียรจริง ก็สามารถบำเพ็ญให้จิตใจบรรลุ“ฌานวิสัย”แบบพุทธได้

“ฌาน”ที่เป็นแบบพุทธ“สัมมาทิฏฐิ”กันจริงๆ นั้น จะไม่ใช่“ฌาน”ที่“หลับตา”ปฏิบัติกันเป็นสามัญของโลกีย์ทั่วไปแน่ๆ

“ฌาน”ของพุทธนั้น คนผู้ใดจะสามารถปฏิบัติได้ถึงขั้น “ฌานวิสัย”ที่เป็น“อจินไตย” จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆตื้นๆ อย่างที่พูดกัน ทำกันอยู่ดื่นๆดาษๆ ในโลก เช่น “หลับตา”ปฏิบัติกันเข้าไปอยู่ใน“ภวังค์”นั้นเป็นอันขาด

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 279 หน้า 219


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:59:39 )

“ฌานหลับตา” ย่อมไม่รับรู้สังคมภายนอกแต่ปรุงแต่งมีจินตนาการ เป็นมโนล้วนๆ!

รายละเอียด

“ฌานหลับตา”นั้นไม่มี“โลกวิทู”เพราะเป็น“ฌาน”ที่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“โลก”อันมีความเป็น“ภายนอก”ซึ่งรู้เห็นเป็นไปร่วมกับคนอื่นตามที่สังคมเกี่ยวข้องกันเป็นไปกันอยู่จริงๆ “ฌานหลับตา”อาจจะเก่งในทาง“อัตตา”ที่อยู่“ในภายในภวังค์เฉพาะตน” แต่มันไม่รู้ความเป็น“โลก”ที่เกี่ยวกับมวลสังคมมนุษยชาติเขาเป็นไป มันมีเฉพาะ“อัตตาภายใน”เท่านั้นเป็น“จินตนาการ”ที่รู้อยู่ของตนคนเดียว คนอื่นไม่มีใครร่วมรู้ที่จะ“เห็นด้วตา-ได้ยินด้วยหู-ได้กลิ่นด้วยจมูก-ลิ้มรสด้วยลิ้น-รับรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งด้วยการสัมผัสภายนอกที่มีทวาร 5”กับคนอื่นๆ เขาเป็นเขามีกันเลย  มันจึงมีแต่“อัตตา”อันไม่มี“โลก”ที่เป็น“ภายนอก”ร่วมกับใครๆ ภายนอกเขาเลย “ฌานหลับตา”จึงไม่มี“โลกุตรจิต” (อันเป็น“ฌาน”มีประสิทธิภาพร่วมกับ“โลกภายนอก”ในขณะ“ลืมตา”สัมผัส“โลก”กับใครๆเขาเลย) มันเป็น“ฌาน”มีแต่ประสิทธิภาพแค่“หลับตา”เก่งเท่านั้น!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 404 หน้า 291


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 16:10:55 )

“ฌานเกิดไม่ได้เพราะเหตุนี้!

รายละเอียด

เพราะไม่มี“ศีล”และไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3” จึงไม่มี “สัทธรรม 7” ดังนั้น“ฌาน 1-2-3-4”แบบโลกุตระจึงเกิดไม่ได้

เมื่อไม่ใช่การปฏิบัติที่เป็นไปตามกระบวนการ“จรณะ 15 วิชชา 8” การจะเกิด“รูปฌาน 4-อรูปฌาน 4”แบบ“โลกุตระ”จึงเกิดไม่ได้-มีไม่ได้  ก็มีกันแต่“ฌาน 4”แบบ“โลกียะ”

“รูปฌาน 4”และ“อรูปฌาน 4”ของ“ฌานโลกีย์”นั้น เป็นคนละแบบ คนละเรื่องกับ“รูปฌาน 4”และ“อรูปฌาน 4”ของ“ฌานโลกุตระ” หันทิศไปคนละขั้ว เดินหันหลังให้กัน ตรงข้ามกันไป ชนิดที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่า ตรงกันข้าม 180 องศาไปเลยทีเดียว

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 302 หน้า 231


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:40:32 )

“ฌานโลกีย์” แตกต่างจาก “ฌานโลกุตระ” ดังนี้... 

รายละเอียด

“ฌานโลกีย์”ไม่สามารถรู้จักอะไรที่เกี่ยวกับ“ภายนอก”ที่มี“ทวาร 5 สัมผัสรู้ร่วมกับคนอื่น”เลย หลงงมจมรู้อยู่ของตนคนเดียว แต่“ฌานโลกีย์” นั้นพุทธก็สามารถรู้ได้ทำได้ตามที่ “ฌานโลกีย์”ทำกัน สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้ง“2 แบบ” จึงเห็น “ความแตกต่าง”ของ“ฌานทั้ง 2 แบบ”กันจริงๆ ก็เปรียบเทียบกันได้ว่า อย่างไร เป็นอย่างไร? แบบไหนบริบูรณ์สัมบูรณ์ยิ่งกว่ากัน?

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 303 หน้า 231


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:41:25 )

“ฌาน”คือ พลังงาน เพ่งเผาทำลายทุกตัว! เหล่ากิเลสขนานนามมันว่า “จอมยุทธแห่งการทำลาย!”

รายละเอียด

ซึ่งกิเลสหมดสิ้นไปได้ก็เพราะถูก“ฌาน”อันเป็น“พลังงานไฟ”ที่เป็น“พลังงานทางจิต”เผากิเลสลงไปได้จริงตามลำดับของ “ฌาน 1-2-3-4”ที่เกิดด้วยการปฏิบัติ“จรณะ 15 วิชชา 8”ไม่ใช่ด้วยการปฏิบัติ“หลับตา”สะกดจิตเข้าไปๆๆ แน่ๆ เพราะการปฏิบัติแบบพุทธสัมมาทิฏฐิจริง จะรู้จัก“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ต่างๆอย่างถูกสภาพของสภาวะนั้นๆ จะมี“ปัญญา” คือ พลังงานที่เป็น“ธาตุรู้โลกุตระ”ที่ตรัสรู้โดยเฉพาะของพระพุทธเจ้า จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”กันอย่างถูกต้องสภาวะแท้ๆ ไม่คลุมเครือ ไม่สับสน

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 286 หน้า 222


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:20:37 )

“ฌาน”ที่ไม่ใช่แบบพุทธไม่เป็น “บุญ”

รายละเอียด

ผู้ไม่มี“ฌาน”แบบพุทธ และ“ไม่มี“ปัญญา”ที่สัมมาทิฏฐิ ย่อมไม่ใกล้นิพพานแน่ๆ เพราะพลังงาน“ฌาน”คือพลังงานเผากิเลสให้หมดสิ้นไป เมื่อกิเลสหมดสิ้นไปก็คือ “บุญ” ตามที่ได้พยายามอธิบายมายากเย็นหนักหนานั้นแล้ว

ดังนั้น “บุญ”จึงคือตัวบ่งบอกถึงความสะอาดเกลี้ยงสิ้นจากกิเลส และเมื่อเสร็จหน้าที่“บุญ”แล้ว “บุญ”ก็ไม่ต้อง“มี”กันอีก 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 77 หน้า 89


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 05:11:56 )

“ทำทาน” “ปฏิบัติศีล” ต้องฝึก “ทำใจในใจเป็น”!

รายละเอียด

นั่นคือ “ทำทาน”หรือ“ปฏิบัติศีล” ก็ต้อง“พ้นมิจฉาทิฏฐิ” ว่า“ทำใจในใจ”อย่างไร? จึงจะ“ไม่เป็นการสร้าง‘ภพ’ใส่จิตตนเอง”

แต่เป็นการ“กำจัดกิเลสออกจากจิตตนเอง”เรียกว่า เนกขัมมะ “เนกขัมมะ”คือ “มโนปวิจาร”ซึ่งเป็น“อาการหรือพฤติในจิต” “อาการ”ของจิตที่“ทาน”ก็ดี ปฏิบัติ“ศีล”ก็ดี ที่ยังมี“ภาวะหวังสวรรค์”อยู่ ตนก็ยัง“ทำใจในใจ”ของตนให้มี“อาการ”ของ“ความหวัง” นั่นแหละเป็น“ภพ-ชาติ” 

คุณจึงจะต้อง“ทำใจในใจ”ของตนให้เป็น“อาการ”ที่“ไม่มีภพ -ไม่มีชาติ”ในใจตนให้ถูกจริงตรงอาการ จึงจะชื่อว่า ไม่มี“สาเปกโข”

“ทาน”แล้วจะ“ทำใจในใจ(มนสิกโรติ)”อย่างไร? จึงจะไม่มี“สาเปกโข”

นั่นคือ ในใจของเราไม่มีอาการของ‘ความหวัง’เกิดในใจ “สาเปกโข”

หมายถึง “อาการของความหวัง”ที่เกิดในใจ 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 345 หน้า 255


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 10:58:57 )

“นิพพาน” ของผู้ปฏิบัติแบบ “ลืมตา” กับ “หลับตา” ย่อมแตกต่างกัน!

รายละเอียด

“นิพพาน”จึงหลงผิดไปมีได้ใน“ปัจจุบัน”ที่“มิจฉาทิฏฐิ”เช่น ผู้ปฏิบัติ“หลับตา”แล้วหลงว่ามี“นิพพาน” เป็นต้นแต่“นิพพาน”จริงมีได้ใน“ปัจจุบัน”ที่“สัมมาทิฏฐิ”เท่านั้น“การหลับตา”แล้วหลงผิดว่า ตนอยู่ใน“ปัจจุบัน”นั้น เป็นความหลงผิด เป็น“มิจฉาทิฏฐิ”แท้ๆ “นิพพาน”จึงชื่อว่า เป็น“ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ” หมายความว่า “นิพพาน”ที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นต้องเป็น“นิพพานของผู้ตื่น“ลืมตา”“ทิฏฐธรรม”คือ “ปัจจุบันชาติ” หรือ“ปัจจุบันกาล” “หลับตา”ที่เขาก็เชื่อว่า“เขามี“ปัจจุบัน”อยู่นั้น มันเป็นได้แค่ “ปัจจุบัน”ที่ไม่มีใครที่ร่วมรับรองว่าเป็น“ความจริง”ด้วย“ความจริง”หรือ“สัจธรรม”ต้องมีผู้ร่วมรับรองจึงจะชื่อว่า“ความจริง”โดยมีคนรับรองมากเท่าใดก็ยิ่งชื่อว่า“ความจริง”แท้ได้

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 425-426 ข้อที่ 579


เวลาบันทึก 05 มิถุนายน 2565 ( 14:54:00 )

“บุญ” เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น!

รายละเอียด

“บุญ”จึงเป็น“ความตรัสรู้”ของพระพุทธเจ้าที่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น ในศาสนาอื่นใดทำความเป็น“บุญ”ไม่ได้หรอก ศาสดาในศาสนาอื่นใดก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นพลังงานจิตที่สำเร็จเป็น“บุญ”เป็นอันขาด เพราะ“บุญ”เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ศาสดาอื่นใด นอกจาก “ศาสดาพุทธเจ้า” จึงไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งในคำว่า“บุญ” จึงทำ“ความจริง”ถึงขั้น“นิพพาน”ไม่ได้“บุญ”คือ พลังงานของ“ฌาน”ที่ทำการ“เผา”กิเลสสำเร็จ

ดังนั้น ผู้ที่สามารถ“ทำพลังงานจิต”ของตนหรือมี“การทำใจในใจ(มนสิการ)”ของตนให้เป็น“ฌาน”ตามทฤษฎี“จรณะ 15 วิชชา 8”และเป็น“บุญ”สำเร็จ ที่“สัมมาทิฏฐิ” ตามความตรัสรู้่พระพุทธเจ้าถูกต้องถ่องแท้แยบคายบริบูรณ์ จึงจะสามารถ“เผากิเลส”ได้หมดสิ้นจากจิตเป็นผู้“นิพพาน”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคนิยม เล่ม 2 ข้อ 492 หน้า 365


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2564 ( 09:01:17 )

“ปฏิจจสมุปบาท” ดับได้ด้วย “ปัญญา”!

รายละเอียด

ทุกตัวตนในปฏิจจสมุปบาทสามารถดับได้ด้วย“ปัญญา” ถ้า“ความรู้”ของผู้ใดไม่ถึงขั้น“ปัญญา”ก็“ดับเหตุ”ที่เป็น“จิต-เจตสิก-รูป”ให้เป็น“นิพพาน”ดังกล่าวนี้ได้ เพราะไม่มี“ความรู้”ระดับ“โลกุตระ”ที่ยิ่งกว่า“เฉโก”ขึ้นไป นั่นคือ ยังไม่มี“ธาตุรู้”ที่เรียกว่า“ปัญญา”อันเป็น“อัญญะ (อื่น)”ที่เป็น“ธาตุ”ตัวใหม่อีกชนิดหนึ่งที่จะอุบัติขึ้นในจิตของผู้นั้น “ปัญญา”จึงเป็น“ธาตุอื่น”จาก“ธาตุรู้เก่า”ที่เคยมีในชีวิตมาแต่เดิมอันเป็นคนโลกียะมาตลอดกาลนานของมนุษยโลก 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 

อื่นๆ

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 454-455 ข้อที่ 629


เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2565 ( 14:06:35 )

“ปัญญาวิมุติ”ไม่ใช่แค่กิเลสบางตัวหมดสิ้น แต่ต้องถึงขั้น“อาสวะ”หมดสิ้น!

รายละเอียด

แต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดนะว่า“ปัญญาวิมุตติ”นั้นคือ ผู้“อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา”!  

“ปัญญาวิมุตติ”นั้นไม่ใช่แค่“บุคคลผู้ที่กิเลสบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา”เท่านั้น แต่“อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา” ...ใช่มั้ย? 

ก็ดูแค่ผู้ถึงขั้นมี“กายสักขี” หรือผู้“ทิฏฐิปัตตะ” หรือผู้“สัทธา

วิมุต”เท่านั้น 

ก็ยังสามารถทำ“อาสวะบางอย่าง ให้สิ้นไปได้”กันแล้ว พยายามศึกษาให้แม่น ตรง คม ชัดๆ อย่าให้สับสน

[หมายเหตุ : ในพระไตรปิฎกไทย ฉบับหลวง เล่ม 36 ข้อ 151 “ปัญญาวิมุตติ” ท่านแปลบาลี “น เหว โข อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสฺิตวา วิหรติ ปัญญาย จัสส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ)”” ว่า“มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ...ฯ” นั้นน่าจะทำให้งง สับสนย้อนแย้งกันอยู่ 

“ปัญญาวิมุตติ” นั้นต้องเป็นผู้“ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” จึงจะเป็นคนที่“อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา] 

“กาย”จึงมีความสำคัญยิ่งปานฉะนี้ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 442 หน้า 321


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:38:15 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:54:42 )

“ปัญญา”ในศาสนาพุทธไม่ใช่รู้ทั่วไปหมด แต่รู้เฉพาะเจาะลึกใน“อริยสัจ 4”!

รายละเอียด

ผู้เริ่มมี“ปัญญา”รู้ใน“อริยสัจ 4”จึงจะเป็นผู้มี“สัมมามรรค” แล้วจึงจะปฏิบัติให้เกิด“สัมมาผล”ได้“ปัญญา” เป็น“ความรู้เฉพาะของศาสนาพุทธ” ไม่ใช่“ความรู้”ที่ไปหมายถึง“ความรู้”อะไรก็ได้ ในเรื่องทั้งหลายของ“โลกจินตา” แต่“ปัญญา”คือ ความรู้ใน“อริยสัจ 4”อันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความรู้เฉพาะในศาสนาพุทธ เพราะเป็น“โลกุตระ” และ“โลกวิทู”ผู้จะมี“สัมมาทิฏฐิ”รู้จัก“สัมมามรรค”ขึ้นมาได้ ก็จะต้องได้ยินได้ฟังจากผู้มี“สัมมาทิฏฐิ-สัมมามรรค-สัมมาผล” ใครใดจะรู้เองไม่ได้

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 456 หน้า 333


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 08:20:50 )

“ปุพเพกตปุญญตา” อธิบายกันอย่างไร?

รายละเอียด

“ปุพเพกตปุญญตา”ที่มีอยู่ใน“จักกสูตร”คือ”“จักร 4”(พระไตรปิฎก

เล่ม 21 ข้อ 31)นั้น บรรดาผู้รู้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้แปล“ปุพเพกตปุญญตา”

หรือให้ความหมายกันมาว่า “ความเป็นผู้ทำบุญไว้ในกาลก่อน”

หรือ“ความเป็นผู้มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน”

ซึ่งถ้าคนใดยังเข้าใจคำว่า“บุญ”เป็น “สมบัติ” “บุญ”ก็คือ 

สิ่งที่“ได้มาใส่ตน” ความเป็น“บุญ”ก็เติมเพิ่มขึ้นใส่“อัตตา”ของตน

เป็น“สมบัติ”ข้ามภพข้ามชาติมาด้วยเลย ..นั่น“ผิด”ถนัดแล้ว! 

ถ้าเป็นอย่างนี้“บุญ”นั้นก็จะไม่ใช่“วิบัติ”อันหมายถึงทำ“ความ

ฉิบหายกิเลสไป-กิเลสเสื่อมสิ้นไปจากจิตผู้นั้น”แน่ 

ก็จะกลายเป็นว่าผู้นั้นทำบุญก็“สะสมบุญ” 

“บุญ”ก็เป็น “สมบัติ”ที่ยิ่งทำ“บุญ” บุญก็ยิ่งมากขึ้น 

“บุญ”ก็ไม่ใช่“วิบัติ” “บุญ”กลายเป็นตัว“สมบัติ” ก็เลยไม่

เป็นอัน“สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกฺขีโณ)”ได้สำเร็จสักที

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 486 หน้า 361


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2564 ( 15:06:10 )

“พญานาค” จะกินตัว!

รายละเอียด

ส่วน“พญานาค”คือ คนผู้หลงติดยึดใน“ความดับ” หมายถึงการไม่รับรู้ หลบผัสสะทวาร 5 ภายนอก หลับเข้าไปดับในความดำมืด จึงเทียบได้กับนาคใต้บาดาลลึกและลับ ไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วยได้ เรื่อง“พญาครุฑ”กับ“พญานาค”ไว้ค่อยอธิบายละเอียดพิสดารในโอกาสหน้า ตอนนี้ขอผัดไปก่อนแล้วกัน หรือ ทั่วไปสัตว์ทั้งหลายก็ใช้“หลับตา”เป็นการ“พักผ่อน” ก็คือภาวะเข้าสู่“นิทรา”นอนหลับกันเท่านั้นแหละ  ส่วนใครจะ“นิทรา”กันแบบไหน อย่างไรก็มีอีกหลายสภาพ ของแต่ละบุคคลต่างก็เป็นไป ตามความรู้ความเป็นนั้นๆ ซึ่งตามสมรรถนะของตนๆ  

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2  หน้า 426-427 ข้อที่ 581


เวลาบันทึก 07 มิถุนายน 2565 ( 14:17:53 )

“พระธรรม” เน้น “หลักธรรม” มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ติดตัวตลอดไป!

รายละเอียด

มีแต่สอนให้ศึกษาปฏิบัติพิสูจน์ว่า “กรรม”เป็นของของตน“กรรมมีวิบาก”ในตัวมันเอง ตน“ทำ”ผลกรรมก็เป็นของของตนเอง ตนต้องรับมรดกกรรมวิบากของตนเอง ตนไม่ได้ทำก็ไม่ใช่ของตน เอามายัดเยียดให้กันก็ไม่ได้ “กรรม”ของตนพาตนเป็นพาตนไปตามกรรมที่ตนเองทำเองทั้งสิ้น “กรรม”สั่งสมเป็นเผ่าเป็นพันธุ์ของตนเอง “ที่พึ่ง”ของตนแท้ๆคือ“กรรม” ไม่มี“ที่พึ่งอื่น”จริงจังได้เด็ดขาดเท่ากับ“พึ่งตนอง”  “กรรม”เป็นตัวจัดการเรา ให้เราเป็นไปตามสัจจะความจริงที่เราทำเองแท้ๆ อย่าให้ใครมาสั่งมาจัดการ“วิญญาณ”ของเรา “พุทธ”ไม่มี God หรือ“พระเจ้า”เป็นผู้มาสั่งจัดการเราได้ พุทธมี“กรรม”ของตนเอง เป็นผู้สั่งจัดการเราเอง

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 480 ข้อที่ 670


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2565 ( 14:44:24 )

“พระธรรม”เป็นคำบอกกลางๆ ไม่บังคับต้องเชื่อ ไม่ให้อ้อนวอนร้องขอ ใครอยากได้ต้องทำเอง!

รายละเอียด

ส่วน“พระธรรม”ของ“พระพุทธเจ้า”นั้น เป็น“คำสอน (doctrine)” เป็น“คำบอก”ถึงสัจจะกลางๆ ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้จะแย้งจะวิจัยวิจารณ์ก็ได้ เพราะเป็น“สิทธิอิสระเสรี”ของคนแต่ละคน ศาสนาพุทธนั้นอย่าว่าแต่“บังคับให้เชื่อ”เลย แม้แต่“พระธรรม”ของ“พระพุทธเจ้า”ก็ไม่ให้หลงว่า“ศักดิ์สิทธิ์” หลงว่า“ขลัง” จึงไม่ให้มี“การอ้อนวอน-ร้องขอ”ความศักดิ์สิทธิ์จาก“พระพุทธเจ้า”จาก“พระธรรม” ใครอยากได้“ทำเอง”ได้เอง ทุกคนต้องเรียนรู้ และฝึกฝนปฏิบัติเอาเอง พระพุทธเจ้า-พระธรรมไม่ใช่“คำสั่ง” และไม่ใช้“คำสั่ง” ไม่ใช้“อำนาจ”ที่จะไปบังคับใครให้“เชื่อ”ตาม“คำลั่ง”  ศาสนาพุทธไม่ใช้“คำสอน”เป็น“คำสั่ง”หรือ“คำบงการ”

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 478-479 ข้อที่ 667


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2565 ( 14:35:42 )

“พระเจ้า” เป็นแต่ “อุปาทานหมู่” ที่สมมติแล้ว ถือเป็น “สัจจะ”!

รายละเอียด

“พระเจ้า”จึงเป็นแค่“อุปาทานหมู่ (สัมโภคกาย)”ชนิดหนึ่ง ของคนแต่ละหมู่ ที่ต่างก็“สมมุติ”ขึ้นมานับถือบูชากันของตนในตนแต่ละคน ว่าเป็น“สัจจะ”เอาเอง และต่างก็หลงร่วมกันว่า“เป็นสิ่งเดียวกันตรงกัน”  แต่แท้จริงแล้วต่างก็“เนรมิตเอาเองของใครของมัน (นิรมานกาย) ในจิตตน” ซึ่งทุกคนแต่ละคนต่างก็ไม่มีใครเห็นภาวะนั้นของใครกันเลย (อทิสสมานกาย)   

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 474 ข้อที่ 661


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2565 ( 13:58:08 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์