@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

ราคะโทสะโมหะ ก็เป็นพลังงานที่ไม่ใช่วัตถุเป็นพลังงานทางนามธรรมเกิดอยู่ที่จิต มีเงื่อนไขหลักว่าเกิดอยู่ที่จิต เป็นราคะ ก็จิต โทสะโมหะก็จิต เราก็สร้างพลังงาน นัยเดียวกัน แต่อำนาจเหนือกว่า เป็นอุตระ แล้วก็พลังงานอันนี้แล้วมันก็มีประสิทธิภาพทำให้กิเลสราคะโทสะของคุณหมดไป คุณก็จะชัดเจนโดยเจโตปริยญาณ 16  สราค สโทส สโมห มันมีเท่านี้แล้วมันจางคลายลง คุณก็เห็นความจางคลาย ท่านอธิบายว่ามันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงแต่เพิ่มขึ้นมันก็ไม่เที่ยงนะ กิเลสเท่านี้ แต่ตัวโตขึ้นก็ไม่เที่ยง แต่นี่ไม่เที่ยงเพราะมันลดลงมันมี 100 มันก็เหลือ 80 บาทเหลือ 70 บาทเหลือ 50 คุณก็ต้องอ่านด้วยนามธรรมของใครของมันใครจะไปรู้ของคุณด้วย มันชัดเจนแล้วจะต้องเห็นจริง ถ้าคุณเห็นจริงจะพอพูดยังอาตมาพูดได้ ตำราพุทธเจ้ามีไว้ก่อน อธิบายอย่างกับเป็นพระพุทธเจ้าเลยแต่ที่แท้เราก็เอาของพระพุทธเจ้า แต่เราอธิบายได้อย่างมั่นใจ เพราะเรามีของจริงด้วยตรงกันมั่นใจ เด็ดเดี่ยว ก็จะชัดเจนในเจโตปริยญาณ 16 ก็มีคู่ๆ สราค สโทส สโมหะ แล้วลดลงเป็น วีตราค วีตโทส วีตโทส ก็ทำการวิราคานุปัสสี ให้มันลดลงไปตามลำดับ เหลืออีกคู่หนึ่ง สังขิตตัง(เป็นก้อน) วิกขิตตัง(ฟุ้งกระจาย)มันแน่นก็ตีให้แตกกระจายออก มันกระจายก็ต้องจับให้มันลงตัวมากเข้ารูปเข้าร่าง มี 2 ลักษณะพลังงานที่เข้ารูปเข้าร่างกับกิเลสมันหายไป ถ้าคุณทำได้ก็เรียกว่า มหัคตะ ก็ทำได้ยิ่งใหญ่ทำได้มากเลิศลอย ทั้งคุณภาพและปริมาณทั้งสองอย่างพร้อมกันไป มันก็เป็น มหัคตะ ทำไม่ได้มันก็เป็น อมหัคตะ แล้วทำได้เรื่อยๆๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก มันยังไม่จบ สอุตรรังจิตตัง มันยังไม่จบคุณก็ต้องทำให้มันจบเรียกว่า อนุตรังจิตตัง มันจบด้วยอะไร? จบด้วยอีกสองคู่สมาหิตัง กับอสมาหิตัง วิมุติ กับ อวิมุติวิมุตติหลุดพ้น สมาหิตังคือตั้งมั่นคือ สั่งสมจิตสะอาดแล้วตั้งมั่นก็จะสะสมเป็น สมาหิตัง แข็งแรงตั้งมั่นอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) ต้องรู้จบคุณก็จะรู้ของคุณเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 13:47:48 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) . รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์ 

  1. สราคจิต  (จิตมีราคะ) 

  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ) 

  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ) 

  1. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ) 

  2. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ) 

  3. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ) 

  4. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 

  5. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

  6. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  

  7. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 

  8. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 

  9. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .

  10. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 

  11. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 

  12. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 

  13. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

เวลาปฏิบัติของแต่ละคนแม้แต่จริตของแต่ละคน บางคนก็เป็นจริตศรัทธาบางคนก็เป็นพุทธิจริต คือสายปัญญา มาปฏิบัติแล้วก็ยังเกิดเป็น วิกขิตตัง หรือสังขิตตังก็ได้ สังขิตตัง จะเป็นในลักษณะของ ศรัทธา ส่วนวิกขิตตัง จะเป็นลักษณะของ พุทธิ ผู้ที่รู้สภาวะแม่นสภาวะแล้วจะเอาภาษาสลับยังไงก็ได้ เช่น มาเรียกอาตมาว่าผู้แพ้ก็ไม่มีปัญหา แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง มาสู่มหัคคตะ คือยิ่งใหญ่ เจริญ อมหัคคตะคือไม่ยิ่งใหญ่ไม่เจริญ คุณก็แช่ติดแป้น คุณต้องทำให้เป็นมหัคคตะ ทำยอดเยี่ยมมีจำนวนและคุณภาพเจริญ ก็ต้องทำให้เป็น มหัคคตะ แม้เป็นมหัคคตะไปแล้ว มันก็เจริญต่อไป สอุตตรังจิตตัง จิตเจริญดีแล้วแต่จิตที่เจริญกว่านี้ยังมีอีก ก็ต้องปฏิบัติเพิ่มอีกจนกระทั่งไม่มีที่เจริญกว่านี้อีกแล้วเรียกว่า อนุตตรังจิตตัง จบ จะจบอย่างไร บอกว่าไม่เหนือกว่านี้แล้ว จบตรงที่ว่า สายจิต มันเป็นจิตที่ตั้งมั่น เรียกด้วยภาษาว่าสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นแข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหนึ่งเด็ดขาดแล้ว ภาษาท่านเรียกว่า สมาหิตะ หรือถ้าไม่ก็ยังไม่ได้สุดยอดพวกนี้ อสมาหิตะ ต้องทำให้ได้ ทำได้แล้วก็ตรวจสอบอีกมันหลุดพ้นจริงหรือเปล่า วิมุติหรืออวิมุติ นี่คือเจโตปริยญาณ 16 วิมุติคือเจริญในจิตรู้ทั่วเลย คุณหลุดพ้นอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทุกอย่างในโลก และอัตตา โลกเราก็รู้ อัตตาเราก็รู้ โลกคือภายนอกที่มาเกี่ยวข้องสังเคราะห์สังขารกับเรา เราก็ลอยตัวอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง โลกทำอะไรเราไม่ได้ แม้แต่ความเป็นอัตตาตัวเราเอง เราก็ไม่มีที่จะมาเล่นงานเราได้เป็นคนไม่มีตัวตนหมดอัตตา นี่คือ เจโตปริยญาณ 16 คุณเข้าใจความหมายและทำถูกต้องทั้งหมดได้ ถึงขั้นวิมุติ คุณก็เป็นอรหันต์คุณก็บอกตัวเองได้ เพราะคุณรู้ทั้งสภาวะธรรมและคุณรู้ทั้งความหมายเอาทฤษฎีพุทธเจ้ามาจับเลย ตรงเป๊ะหมดเลยได้คุณภาพตามนั้น ได้ประสิทธิภาพ มันก็มีเครื่องชี้วัดยืนยันอ้างอิง คุณก็ต้องอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานออก อ่านอาการของจิต อ่านเครื่องหมายของจิตต่างๆ นิมิต ทีละคู่ทีละคู่เปรียบเทียบกันไป อันนี้เป็นกิเลส อันนี้ไม่เป็นกิเลส อันนี้เป็นกิเลสมาก กิเลสน้อย มีสูงมีต่ำ มีถูกมีผิดเป็นคู่ไป ซึ่งภาษาคู่นี้เรียกว่าเทวะ  เราเรียกว่าเรียนรู้ด้วยรูปและนาม เอาพยัญชนะมาเรียกสภาวะนี้ ใช้ภาษาอย่างนี้เลย

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2563 ( 09:41:18 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

คือความรู้รอบถ้วนในสภาวะต่างๆของจิต 16 อาการ

1. สราคจิต (จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ)

2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ ก็รู้ว่าจิตไม่มีราคะ)

3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ)

4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ ก็รู้ว่าจิตไม่มีโทสะ)

5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ)

6. วีตโมหจิต จิตไม่มีโมหะ ก็รู้ว่าจิตไม่มีโมหะ)

7. สังขิตตจิต (จิตหดหู ก็รู้ว่าจิตหดหู)

8. วิกขิตตจิต (จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน)

9. มหัคคตจิต (จิตสูงขึ้น ก็รู้ว่าจิตสูงขึ้น)

10. อมหัคคตจิต จิตไม่สูงขึ้น ก็รู้ว่าจิตไม่สูงขึ้น)

11. สอุตตรจิต (จิตมีดีอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีดีอื่นยิ่งกว่า)

12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีดีอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีดีอื่นยิ่งกว่า)

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่น ก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น)

14. อสมาหิตจิต (จิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น)

15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น)

16. อวิมุตตจิต (จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 9 “อัมพัฏฐสูตร” ข้อ 163


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 11:27:14 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

เจโตปริยญาณ 16 ผู้สามารถทำเจโตปริยญาณ 16 ได้สำเร็จผู้นี้เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่มีความรู้ในญาณ 16 สราค สโทส สโมหะ แล้วทำให้ไม่เป็น ราคะโทสะโมหะ คือวีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2565 ( 20:00:56 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นโลกุตรธรรม เป็นสมาธิที่มีเจโตปริยญาณ 16 เจโตปริยญาณ 16 ตัวสมาธิก็อยู่ที่คู่เกือบจะสุดท้ายเรียกว่า สมาหิตะ กับ อสมาหิตะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว แม้จะเป็นชาวพุทธก็ตาม นั่งหลับตาเป็นฤาษี เป็นพระป่าไปทำสมาธิและบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ บรรลุอรหันต์ บรรลุนิโรธอะไรก็ตามแต่ เพ้อเจ้อทั้งนั้น ถ้าไม่สามารถที่จะแยกแยะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 09:08:53 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

ข้อที่ 5 เจโตปริยญาณ 16 รู้จักเลยทั้งกิเลส 16 ขั้น 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ) 

แล้วทำให้มันกิเลสลดลงจนหมดไปเป็น 4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  

ทำกิเลสหมดไปได้มันก็จะมี 2 ตระกูลคือตระกูลฟุ้งซ่านกับตระกูล ถีนมิทธะ 

มันเป็นอย่างนั้น ตระกูลศรัทธาจริตกับพุทธิจริต มันมีจริต 2 อย่าง ใครยังมีรากเหง้าอะไรมาก ก็อ่านตัวเองเอาเองว่าตัวเองหนักไปทางศรัทธาหรือหนักไปทางปัญญา ก็ทำให้มันได้ให้มันเจริญรู้กิเลสและลดกิเลสได้ 

7. สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)  8. วิกขิตฺตํจิตตํ  (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 

ทำได้เก่งขึ้นมากขึ้น ได้มากขึ้น เรียกว่า 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) มหะคือมาก อัคคะคือเก่งเลิศยอด ทำให้ได้เก่งทำให้ดีเลิศยอดมากขึ้น มันเจริญขึ้นก็เป็นมหัคตะ แต่ว่ามันไม่เจริญขึ้นก็เป็น 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) นี่ต้องรู้อาการจิตตัวเองจริงๆ เลย ไม่ใช่ท่องพยัญชนะเอาไปสอบเปรียญ 9 อาตมาไม่สอบหรอกเปรียญแต่อาตมามีความจริงอธิบายได้คล่องแคล่วกว่าเปรียญ 9 ไม่ได้โม้หรอกเป็นเรื่องจริง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้ไปจนกระทั่ง เจโตปริยญาณ 16 ดังกล่าวได้ ทำให้จิตเจริญขึ้นไปได้จนถึงเรียกว่า 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) เป็นลำดับขั้นตอนที่จิตวิญญาณมันเจริญมันเรียงลำดับไปเลย อาตมาก็จำพยัญชนะใส่เข้าไปในสภาวะพวกนี้ มันเจริญขึ้นมากแล้วแต่ว่าจะรู้ปฏิภาณ รู้ว่ามันมี 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)  ยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง แล้ว อนุตระ ก็แบ่งเป็นคู่จบ 

คู่หนึ่งก็เป็น 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) เป็นตัวstatic ส่วน dynamic เป็น คู่ต่อมาคือ 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)  (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)   

ก็ตรวจสอบอย่างละเอียดลอออย่างนี้ สมบูรณ์ทั้งบวกลบ สมบูรณ์ทั้ง 2 อย่าง ลักษณะเจโตและปัญญา ครบหมด นี่คือลักษณะของธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และเอามาสอนไว้ เจโตปริยญาณ 16 ส่วน เตวิชโช ก็เอามาเช็คตรวจสอบที่เราได้ไม่ได้ ก็ดึงของเก่ามาตรวจสอบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2566 ( 14:18:51 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

จริตอย่างหนึ่งพอเรียนรู้ธรรมะได้ ทำให้มันลดละได้เป็นขั้นตอน เริ่มต้นลดได้ก็เรียกว่าเป็น สังขิตฺตํจิตตํ เป็นตระกูลศรัทธา 

ตระกูลปัญญาเป็นตระกูลฟุ้งๆ พวกฟุ้งกับพวกเป็นก้อน ซึ่งศัพท์สมัยใหม่อาตมาเรียกด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า Static กับ Dynamic อย่างนี้เป็นต้น มันก็มี 2 อย่างนี้แหละแต่ไหนแต่ไร มันได้มามันก็ยังยาก มันไม่กระจ่าง ไม่จับตัวเป็นเนื้อแท้ได้ง่ายๆ รู้แล้วเริ่มต้นได้แล้ววิธี 2 อย่างได้มาเป็นขั้น สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ ของใครก็ของมัน ของตัวเองอยู่ตระกูลไหน ก็เรียนรู้ ลดกิเลสให้ได้จริง ทำได้ก็เรียกว่า มหัคคตะ จิตเป็นมหัคตจิต ทำไม่ได้เป็นอมหัคตจิต ก็เป็นอีกคู่หนึ่ง ก็จำได้ง่าย 

ถ้าทำได้ดีเรื่อยๆ เลยจนกระทั่งรู้จักแล้วเก่งแล้ว กระทบสัมผัสก็รู้จักกิเลสแล้วมีวิธีทำให้กิเลสลดได้ ได้เก่งขึ้นชำนาญขึ้นก็เป็น สอุตรังจิตตัง เข้าไปสู่จิตที่มันเป็นอุตตระ ไปเรื่อยๆ แต่กิเลสมันยังไม่หมด กิเลสมันยังไม่จบ กิเลสมันยังมีอีก แต่ได้แล้วได้จริง แต่เป็นอาริยะแล้วเป็นโลกุตรบุคคลแล้วตรงนี้ สอุตรังจิตตัง เป็นโลกุตระบุคคลไปเรื่อยๆๆๆ

ท่านแปล สอุตรังจิตตังว่า จิตดีแล้ว แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก มันรู้ว่ายังไม่หมดกิเลส ยังไม่ถึงขั้นสูงสุด ยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง อนุตระคือ มันรู้จัก อุตระ มันคือความเหนือ เป็นโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นกิเลสยังไม่หมดไป ยังไม่สิ้นทีเดียว เรียกว่าได้แล้วทำได้แล้ว เข้าเป็นพระอาริยะไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย จะชื่อว่า อนุตตรังจิตตัง ก็เพราะแยกไปเป็น 2 อย่าง 

1. แกนจิต 2. แกนวิมุติ เพราะฉะนั้น จะต้องดูที่จิตกับดูที่วิมุติ อนุตตรังจิตตัง ทีนี้สมาธิของพระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตตั้งมั่นเรียกว่า สมาหิตะ มีจิตตั้งมั่น จิตที่จะตั้งมั่นเพราะว่ามีวิมุติ วิมุติคือกิเลสหลุดพ้นไป หลุดพ้นแล้วก็จึงจะตกผลึกลงไป ผลึกก็แน่นเข้า ตั้งมั่นเข้า 

เพราะฉะนั้นจิตที่จะเป็นจิตตั้งมั่นสมาธิของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่จิตตื้นๆ สะกดจิตเอาง่ายๆ ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ได้เก็บตั้งแต่ข้างนอกไปถึงข้างในละเอียดลออไป ไม่ใช่เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 

วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2566 ( 13:06:53 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

เมื่อสามารถเรียนรู้กรรมและสามารถทำกรรมไม่ให้มันเป็นกรรมที่เสื่อม กรรมต่ำ เป็นกรรมที่เจริญ เป็นกรรมที่ประเสริฐจนถึงขั้นโลกุตระ สามารถทำกรรมที่ล้างกิเลส เพราะรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต จิตมันมีกิเลส รู้จิตในจิต เจโตปริยญาณ 16 รู้จิตในจิต 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  แล้วก็รู้วิธีทำให้กิเลสมันลดได้ 4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  

ทำให้จิตมันลดกิเลสได้แล้วมันก็มีอีก 2 แบบ 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)  (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)  

นี่คือเจโตปริยญาณ 16 อีก 8 คู่ เมื่อทำได้ก็ทรงไว้เรียกว่าธรรมในธรรมปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็ต้องเรียนรู้นี่แหละ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมถ้าไม่เรียนรู้อันนี้และปฏิบัติอันนี้ได้จนกระทั่งถึง สมาหิตะ เป็นวิมุติ เจโตปริยญาณ 16 ปฏิบัติไปตามลำดับจนถึงจบ

ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีผัสสะ มันเป็นโมฆะ ไม่รู้เรื่องกายมันไม่มีแล้ว ไม่รู้แล้ว เวทนามันไม่มีสัมผัสภายนอก เวทนามันก็ไม่มี แล้วมันจะไปรู้อะไร มันก็มีแต่ กายเก๊ เป็น นิรมาณกาย เป็นสัมภเวสี กายทิพย์ สัมโภคกาย อทิสมานกาย กายทิพย์ก็กายเพ้อเจ้อไป ภาษาคำว่าทิพย์ มันเป็นความเจริญ แต่มันเก๊ มันอวิชชา เรื่องทิพย์ มันเป็นเรื่องหลอกตัวเอง เป็นมายา 

ฟังแล้วพอเข้าใจได้นะ ตอนเราตายไปก็เหลือแต่ซากศพเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปแท้ แต่ยังไม่ตาย คุณเป็นอรหันต์แล้วคุณก็ยังมีกาย แต่กายคุณไม่มีกาม ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรแล้ว ก็อยู่กับสามัญ ยิ่ง ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย นอนหลับตาไป มันก็ยิ่งสบาย เพราะทวารที่จะไปสัมผัสเกี่ยวข้องเกิดปรุงแต่งกับกิเลสพวกนี้ คนที่ไม่เป็นพระอรหันต์ยังมีอยู่ แล้วแต่ฐานะของคน ใครอยู่ในฐานะที่มีกิเลสมาก กิเลสน้อย จนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว ลืมตามันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ใช่อรหันต์ อนาคามีก็ยังอยู่เหนือไปแล้ว เหลือแต่ข้างใน สกิทาคามี ก็มากหน่อย ยังมีกิเลสนอกกิเลสใน โสดาบัน ก็เริ่มเรียนรู้เบื้องต้น อย่างนี้ก็เป็นสัจธรรมไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2566 ( 18:39:44 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความเป็นปัญญาลักษณะของจิตที่มีธาตุรู้อันยิ่งมีธรรมฤทธิ์ เจอกิเลส หรือกิเลสมาเจอมันไม่เข้าใกล้ กิเลสมันไม่กล้าเข้าใกล้ห่างหายไปเลย ยิ่งมีฤทธิ์เท่าไหร่ มีปัญญาเท่าไหร่ยิ่งใหญ่ ปัญญาอันยิ่งจะยิ่งเท่าไหร่ กิเลสยิ่งหายไปเลย 

ฉะนั้น ผู้ที่สามารถทำจิตของตัวเองให้กิเลสมันหมดแล้วตกผลึก เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นจิตตั้งมั่นของศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่ไม่รู้เรื่องรายละเอียดแล้วก็สะกดจิตเข้าไปให้แข็ง ให้นิ่ง ให้หยุด เฉยๆ ซึ่งเป็นเดียรถีย์ สายหลับตานี่น่าสงสาร พูดแล้วพูดอีก บอกว่าอย่างนั้นมันไม่ใช่มันเป็นโมฆะ มาเรียนรู้สัจธรรมที่อาตมาพาทำได้ มีตัวอย่างให้ศึกษาด้วย ถ้ารักจริงก็มาเลย ถ้าพวกนั่งหลับตาเข้าใจสัมมาทิฏฐิที่อาตมาพูด มากันเลยเป็นร้อยเป็นพัน สนุกเลย พวกเราจะพาทำงาน พาศึกษาให้มีสภาวะเป็นแบบทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ที่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 จะมีประโยชน์คุณค่ามากเลย มีเยอะไม่รู้กี่พันกี่หมื่นกี่แสน สายหลับตา เข้ามาอยู่ในราชธานีได้อีกเป็นพันๆ คน นี่มันยังไม่ถึงพันเลยราชธานี ยินดีต้อนรับเลย มาๆๆ 

เจโตปริยญาณ 16 ปฏิบัติธรรมมีสภาวธรรมรองรับ ถึงจะถือว่ามีปัญญา มีวิชชา มีความรู้ เป็นวิชชา 1 ใน 8 จึงนับได้ว่า เป็นคน“อาริยกชน”ที่เกิดจริง นับเป็น“ความเจริญแท้ๆ”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มีปัญญารู้ตนด้วยเจโตปริยญาณ 16 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 15:45:37 )

เจโตปริยญาณ 16

รายละเอียด

เจโตปริยญาณ 16 จะแยกได้หมดเลย อันนี้ราคะ อันนี้โทสะ

อันนี้ปฏิฆะ อันนี้ ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้ลดได้ไหม วีตะ ราคะ โทสะ โมหะ ลดได้ขั้นที่ 1 จากนั้นเป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ 

เจริญขึ้นได้หรือไม่ได้มันก็เป็น มหัคตะ หรือ อมหัคตะ

ดีขึ้นอีกได้หรือไม่เป็น สอุตฺรํจิตตํ  ดีกว่านี้ยังมีอีกจนกระทั่งไม่มีดีกว่านี้อีกเป็น อนุตฺตรํจิตตํ 

ก็มีเงื่อนไขว่าดีกว่านี้ไม่มีแล้วต้องเจโตก็เต็ม ปัญญาก็เต็มเรียกว่า สมาหิตะหรือวิมุติ อีกสองคู่ ถ้ามันยังไม่เป็นสมาหิตะ เป็น อสมาหิตะ กับอวิมุติ  เป็นวิมุตแบบพระพุทธเจ้าที่มีญาณรู้สัจจะ รู้กิเลสหมดจริงจนกระทั่งรู้แน่นอนหมดจบครบ  นี่เป็น เจโตปริยญาณ 16

มันรู้แจ้งเห็นจริงด้วยสภาวธรรม  อาการ ลิงค นิมิต ของ จิตเจตสิกรูปสมบูรณ์แบบเป็นนิพพาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2567 ( 18:08:47 )

เจโตปริยญาณ 16 คืออะไร

รายละเอียด

เจโตปริยญาณ 16 คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆ ในจิตอาริยของตน (ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์

1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 

2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 

3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 

4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 

5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 

6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ) 

7. สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)  

8. วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  

10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 

11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 

12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) 

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 

14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 

15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น)

16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)

นานทวนทีฟังดีไหม สุดยอด อาตมาไม่ได้ท่องนะ เพราะมันมีหมวดหมู่ มีคู่ อธิบายให้ชัดง่ายๆ หมวดต้นคือ ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้กิเลสมันลดก็ได้ 6 อันแล้ว คู่ต่อไป สังขิตตัง กับวิกขิตตังอีกคู่เป็น มหัคตะ อมหัคตะ แล้วก็มาเจริญกว่านี้อีกมีไหม คือ สอุตระ กับ อนุตระ แล้วก็มาตั้งมั่น สมาหิโตหรืออสมาหิโต แล้วก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ หรือไม่หลุดพ้นอวิมุติ หากมีสภาวะแล้วจะไม่ต้องท่องเลย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 21:07:22 )

เจโตปริยญาณ 16 คู่ที่ 1 2 3

รายละเอียด

เจโตปริยญาณ 16 เป็นมาตรวัดสำคัญเลย ในสติปัฏฐาน 4 ข้อ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 

กายในกาย เริ่มต้น ถ้าผู้เข้าใจกายผิดเป็นมิจฉาทิฏฐินี่ ก็หมดหวังปิดประตูล้มละลายไปตั้งแต่ต้น เดี๋ยวนี้เยอะจริงๆให้เข้าถึงกายที่ถูกต้อง มิจฉาทิฏฐิไม่รู้ กายของตน ไม่รู้สักกายของตน ที่เป็นจิตเจตสิก รูป (สิ่งที่ถูกรู้) แล้วปฏิบัติให้ถึงนิพพาน 

ถ้าเผื่อว่า ไม่สามารถรู้กายอย่างถูกต้อง รู้กายถูกต้องแล้ว จะเข้าถึงเวทนา 

แยกเวทนาออกเป็น 108 แล้วก็สามารถอ่าน แยกมีสูตรทฤษฎีเจโตปริยญาณอ่านจิตในจิต 16 ก็คือ 8 คู่ เปรียบเทียบกันไป 

คู่ที่ 1 2 3 จาก 3 คู่ก็เป็น 6 แล้ว 

สราค สโทส สโมห วีตราค วีตโทส วีตโมหะ 

ส คือ มี วีต คือ ไม่มี หมดไป 

สราค คือ มีราคะอยู่ ผสมผสานกันอยู่ ก็ทำให้ราคะหมดไป ไม่มีก็คือวีตราค 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:37:20 )

เจโตปริยญาณ 16 คู่ที่ 4

รายละเอียด

คู่ที่ 4 สังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง

สังขิตตังจิตตัง เป็นจริตพวกศรัทธา หรือคุณทำสภาวะของคุณเป็นลักษณะของการกระจุกตัว ถ้าวิกขิตตังจิตตังก็กระจายตัว 

มีการกระจุกตัวกับกระจายตัว กระจุกตัวเป็นก้อนตีไม่ค่อยแตกแยกไม่ค่อยออกหรือกระจายตัวจะไม่ค่อยติดฟุ้งไปฟุ้งมา คุณก็รู้คู่นี้ ว่ามันได้สัดส่วนที่ต้องค่อยๆคลี่ออกได้ คลี่กระจายขยายความออกได้นะ ไม่จับตัวเป็นกระจุกจนตีไม่ออกแยกไม่ได้ 

ยิ่งไปสมมุติอีกว่าอย่าไปตีแตกแยกแยะอะไร โดยเฉพาะจิตเจตสิกต่างๆ โดยเฉพาะเทวะ อย่าไปแยกเป็นเทวะ 2 เป็นอันขาด จนถึงเทวะใหญ่ที่สุดเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ห้ามแยกเลยนี่ อธิบายเรื่องไปแวะไปถึงท่านหน่อย จบเลย ไปติดยึดอะไรไว้ บูชาเคารพเป็นเทวนิยมไปไม่ออก คนนี้ไม่มีทางจบ 

ถ้าสามารถไปรู้ว่าอันนี้เป็นลักษณะ สังขิตตังจิตตัง กับ วิกขิตตังจิตตัง ก็ทำให้มันได้สัดส่วนที่ไม่กระจุก ให้มันแยกกันได้ เคลียร์ได้เรียนรู้ได้จับมาทีละคู่รู้ได้ คำว่าทีละคู่ เทวะ สภาวะสองนี่แหละ เทวธัมมา นี่สุดยอดความหมายทุกอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:39:22 )

เจโตปริยญาณ 16 คู่ที่ 5

รายละเอียด

มหัคคตะ กับ อมหัคคตะ 

มหะ แปลว่า ทั้งใหญ่ ทั้งเลิศ ทั้งยอด มหะ กับ อัคคะ มีลักษณะยิ่งใหญ่ทั้งเลิศยอด ทั้งสองลักษณะที่คนสรุปไปว่าจบยิ่งใหญ่ที่สุดก็มี 2 ธาตุ 2 ใหญ่ สองเรื่องของเทวะ 

เราก็ดูว่า เราทำให้ยิ่งขึ้น ทั้งใหญ่ทั้งเลิศ มันเจริญยิ่งขึ้นกว่าเก่าหรือมันยังไม่ อมหัคคตะ มันยังทุกข์เหมือนเดิมหรือดีไม่ดีมันจะเสื่อมไป มันก็ชักไม่ดี ไม่ไปไม่เจริญไม่ก้าวหน้าก็ต้องอ่าน ว่า ไม่ได้นะ อย่างนี้ต้องให้เจริญมันผิดหรือไปติดขัดตรงไหน ก็ต้องตรวจสอบ มันขาดตกบกพร่องไม่พาให้เจริญได้อย่างไร จนกระทั่งทำได้หลุดพ้น หลุดพ้นขยักนี้เป็น มหัคคตะไปได้ เจริญก้าวหน้าสู่ความมากขึ้นสู่ความยิ่งขึ้นๆ ไปเรื่อย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:40:47 )

เจโตปริยญาณ 16 คู่ที่ 6

รายละเอียด

จนกระทั่ง ไปอีกคู่หนึ่ง ดีเรื่อยๆ ดีได้เรื่อยๆ แต่ก็มีปฏิภาณรู้ว่ามันยังไม่จบ มันยังไม่ถึงดีที่สุด จนหมดจนจบจนครบ ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว อนุตตรังจิตตัง กับสอุตตรังจิตตัง(ดี แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:42:38 )

เจโตปริยญาณ 16 คู่ที่ 7-8

รายละเอียด

ดีแล้วแต่มันยังไม่จบ คุณจะมีปฏิภาณรู้ จนกระทั่งรู้ว่ามันจบ ที่รู้จบก็เพราะว่ารู้ 2 นัย เทวะ นัยหนึ่งคือเจโต นัยหนึ่งคือปัญญา เจโต ตรวจจิตจบสมบูรณ์ ภาษาอันหนึ่งเรียกอธิจิต อันหนึ่งเรียกสมาธิ 

จิตที่เจริญ อธิจิต หรือสมาธิ แล้วก็อธิปัญญา วิมุติ ก็คือปัญญา จิตคืออธิจิตคือจิตเจริญ

เจริญไปอย่างสะอาด แข็งแรง ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อาเนญชา อาตมาก็นำพยัญชนะมาให้ เป็นเครื่องตรวจสอบคือ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) 

ลักษณะจบ ลักษณะจิตสมบูรณ์ จิตสะอาดที่ไม่มีกิเลส ทั้งความรู้สึก ทั้งลักษณะของจิตเอง มันไม่มีกิเลส คุณก็รู้ทุกนัย ทุกอย่างจนรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง  จุดสำคัญนัยยะสำคัญของมันทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:44:36 )

เจโตปริยญาณ 16 ทำไมไม่จบที่ อนุตฺตรํจิตตํ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดแห่งการตรวจสอบ อนุตฺตรํจิตตํ มีคู่ สอุตฺรํจิตตํ จิตที่ดี เจริญ พัฒนามาดีๆๆ แต่เราจะรู้ว่าจิตของเรายังมีดีกว่านี้อยู่ ดีกว่านี้ยังมีอีก โบราณาจารย์ท่านก็แปล สอุตฺรํจิตตํ ท่านก็แปลว่าดีแล้ว อาตมายังเคยชม จิตที่ดีกว่านี้ยังมีอีก จนกระทั่งไปถึงดีที่สุด อนุตฺตรํจิตตํ อย่างที่คุณสว่างแสง ถามมา ถึง อนุตฺตรํจิตตํ 

ทำไมต้องมีอีก 2 คู่ ที่มีอีกนี่ก็เพราะว่า แม้เราจะรู้สึก แม้เรารู้สึกแม้ว่าเราจะเห็นจริงเชื่อมั่นแล้ว ว่าเรานี่หมดแล้ว เรายังมีชีวิต เรายังตรวจสอบได้ เรายังมีสัมผัสเป็นปัจจัย เรายังได้รับกระทบกระทุ้งกระแทกกระเทือน พระพุทธเจ้าเตือนไว้ถึงขนาดว่า ลาภสักการะ สรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระขีณาสพ แม้แต่พระอรหันต์ 

คนก็สงสัยอีกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมลาภยศสรรเสริญอะไรต่างๆจึงเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดต่อพระอรหันต์ ก็นัยยะคล้ายกัน คือ อย่าประมาท 

มันมีเหตุปัจจัยที่สามารถทำให้เกิด มันไม่เที่ยง จิตมันไม่ นิยตะ เที่ยง มันหวั่นไหวได้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้ามีตลอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องจบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2567 ( 10:45:37 )

เจโตปริยญาณ 16 อย่างสั้น

รายละเอียด

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆ ในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

          1.สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ) เริ่มต้น 6 อย่างนี้ คุณก็มาปฏิบัติ ให้มันเกิด วีตะ ไม่มีไปตามลำดับ ได้ทีละนิด คุณก็จะเริ่มมี

          7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) เป็นสภาวะของ static 

          8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) เปลี่ยนสภาพของความฟุ้งซ่าน ซึ่งมีอยู่เยอะ สำหรับสายปัญญา เป็นสภาวะของ dynamic คุณเริ่มได้มาแล้วก็จะชัดเจนอันนี้เป็นลักษณะ สังขิตฺตํจิตตํ.  วิกขิตฺตํจิตตํ จริตเจโตก็จะได้อย่าง สังขิตตัง จริตปัญญาจะได้อย่าง วิกขิตตัง เราก็จะรู้ การก้าวหน้าของเจโตปริยญาณเป็น 8 แล้วทีนี้คุณก็เอามาทำต่อ

9. มหัคคตจิต         (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต    (จิตไม่เจริญขึ้น)

ถ้าหากทำได้เจริญยิ่งกว่า ก็ก้าวหน้าขึ้นเป็น มหัคคตะ ให้มากให้ใหญ่ให้เพิ่มขึ้น มีลักษณะที่เป็นปริมาณคุณภาพ มากยิ่งขึ้นกว่านี้ ถ้าคุณทำได้ เรียกว่า มหัคคตะ กับอมหัคคตะคือทำไม่ได้ ทำได้มากหรือน้อย จนทำให้มากขึ้น

11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) แล้วมันยังจะไปเป็น อีกสี่อันหลัง สอุตตรังนี้ประกอบยังไม่สิ้นสุด จนอุตระสมบูรณ์ อนุตตรังจิตตัง เป็นอุตระอย่างไม่ต้องประกอบอีก แต่ถ้าไม่สมบูรณ์ก็ต้องประกอบอีก จิตที่เป็นอุตระ เป็นความวิเศษ เป็นคุณวิเศษ เป็นจิตที่วิเศษพิเศษ จิตที่เป็นอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า หากคุณยังประกอบอยู่ ก็สอุตตรัง ถ้าไม่ต้องประกอบแล้วก็อนุตตรังจิตตัง ต้องประกอบอีก 4

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) คือความตั้งมั่น แต่เป็นขั้นที่สามของไวยกรณ์ คือได้แล้ว ได้แล้วต้องสั่งสมให้ตั้งมั่นๆ เป็นล้านๆ ครั้งสั่งสมอเนญชา จนมาทีเผลอไม่ทีเผลอ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะแรงขนาดไหนก็ชนะทุกกระบวนท่า เป็นจอมยุทธที่สมบูรณ์แบบ สมาหิตัง คือ static วิมุติอวิมุติคือ dynamic สมาหิตังคือแข็งแรงตั้งมั่น กับไม่แข็งแรงตั้งมั่น คืออสมาหิตัง แข็งแรงตั้งมั่นจนเป็น axiom ไม่ต้องเปรียบเทียบกับอะไรอีก มันจบแล้วจบเลย เป็นลักษณะของ static Dynamic จบสูญ ญาณปัญญาจะรู้ มีธาตุรู้ที่รู้อยู่ วิมุติหรือคุณยังรู้ไม่สมบูรณ์เหมือนมีกับไม่มี รู้อย่างสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ อีก

14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .

16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) ให้รู้แม้น้อยนิดว่าหมด แม้เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือรู้หรือไม่รู้ได้หรือไม่ได้ก็ยังก้ำกึ่ง ยังไม่รู้อีกนิดนึงก็ตาม จนมันไม่มีเลย จะไม่รู้ พ้นจากความไม่รู้เด็ดขาดเลย พ้นทั้งความไม่รู้ในอวิชชาสวะ พ้นทั้งความไม่รู้อวิชชานุสัย อาตมาเคยย้ำสิ่งที่มีนิดนึงกับไม่มีเลยมันรู้ได้ยากมาก จนเรามั่นใจว่าไม่มีคืออย่างนี้ นิดน้อยนึง ก็ไม่มี ต้องมีธาตุรู้ของความรู้ว่ามันไม่มี ทั้งรู้และหรือไม่รู้ เป็นธรรมะ 2 สุดท้ายเลย ธรรมะ 2 สุดท้ายคือวิมุตติญาณทัสสนะ วิมุติ นิโรธ นิพพาน คือไวยพจน์กัน จะใช้ญาณปัญญาใช้ภาษาสุดยอดแห่งความรู้ขนาดไหนก็เอามาเรียกมาบอก พยัญชนะก็เอามาสื่อสิ่งที่รู้ยิ่ง ไม่มีอื่นกว่านี้เป็นธรรมาธรรมะสงครามของเราเองสนุก

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 09:42:53 )

เจโตปริยญาณ 16 อาตมาอธิบายโดยสภาวะไม่ใช่พยัญชนะ

รายละเอียด

นี่คือเจโตปริยญาณ 16 อาตมาอธิบายโดยสภาวะไม่ได้อธิบายตามพยัญชนะที่แปลคำสู่คำ อาตมามีสภาวะเหล่านี้สมบูรณ์อาตมาพูดไปไม่ได้อวดอ้างแต่พูดความจริง เขาก็หาว่าอวดตัว หากไม่อวดตัวแล้วจะเอาที่ไหนมาอวด เอาใครที่ไหนมาอวด มันไม่รู้จริงเท่ากับตัวเองมีจริงหรอก ไม่รู้จะทำยังไงเกิดมาในชาตินี้ เกิดมาในชาตินี้อาตมามีความจริง มีความจริงที่จะเอามาแสดง แปลคำว่าเอามาอวด โชว์ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2563 ( 11:32:58 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:36:48 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:36:45 )

เจโตปริยญาณ 16 เครื่องมือวัด

รายละเอียด

“เจโตปริยญาณ 16” ก็ได้แก่ “สราคะ สโทสะ สโมหะ วีตราคะวีตโทสะ วีตโมหะ วิกขิตตังจิตตัง-สังขิตตังจิตตัง อมหัคคตัง-มหัคคตัง สอุตตรังจิตตัง-อนุตตรังจิตตัง อสมาหิตังจิตตัง-สมาหิตังจิตตัง 

อวิมุตตจิต-วิมุตตจิต” 

ซึ่งเป็นมาตรวัดเครื่องตรวจวัดว่า “จิต”ของเราหมดสิ้นเกลี้ยงทุกเหลี่ยมทุกมุมของ“กิเลสาวะ”แล้วหรือยัง?

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 446 หน้า 325


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 19:50:29 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:47:23 )

เจโตปริยญาณ 16 เป็นกระบวนการตรวจสอบความเป็นอรหันต์ในตน

รายละเอียด

ฌาน สมาธิ ที่ลืมตาปฏิบัติของพุทธ ต่างกับหลับตาปฏิบัติแบบเดียรถีย์ พระอรหันต์คือผู้ที่มีจิตสะอาด ปริสุทธา สะอาดจากกิเลสแล้วเป็นกิเลสขั้นอาสวะด้วย แล้วรู้จักความเป็นอาสวะด้วย รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการจิตขั้นอาสวะ คือขั้นปลายขั้นสุดท้ายของกิเลส เรียกว่ากิเลสาสวะ เป็นขั้นปลายสุดของกิเลสดับได้หมด เอาเจโตปริยญาณ 16 เป็นเครื่องเป็นกระบวนการที่จะตรวจสอบเป็นแผนที่ อ่านตามแผนที่ขั้นตอนชัดเจนถูกตรงหมด 

หมดกามาสวะเป็นขั้นต้น มีตาหูจมูกลิ้นกายเรียกว่ากามคุณ 5 สายหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีกามคุณ 5 ตัดทิ้งเลย ไปเอาแต่ข้างในภพ เป็น ภวภพ เป็นภวังค์ แล้วหลงตัวเองว่าไปดับๆๆๆ กดๆข่มๆ มันก็ไม่เกิดมาให้ พระพุทธเจ้าท่านจะยอมอนุโลมว่าจะถือว่าคุณดับอาสวะได้ก็เอา ที่จริงมันดับยังไม่เที่ยง ยังไม่เด็ดขาดหรอกเพราะคุณไม่ได้รู้จักรายละเอียดของกิเลสแต่ละตัว เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่างเป็นความจริง 

คำว่า ความจริง อาตมาก็อธิบายไว้ ความจริงมันมีอยู่ในปัจจุบันขณะ เรียกว่า ปัจจุบันชาติ เรียกภาษาบาลีว่า ทิฏฐกาละ เวลาขณะนั้น ปัจจุบัน ทิฏฐะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 สิงหาคม 2565 ( 14:11:15 )

เจโตปริยญาณ 16 เป็นมาตรวัดของนักปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

จนไม่มีอีกแล้วที่จะจัดการล้างอีกไม่มีเหลือความสกปรกที่เป็นเศษธุลีของกิเลส ไม่มีแล้วหมดจริงๆ ก็ เป็นวิมุติ แล้วก็สั่งสมวิมุตินี่แหละ หลุดพ้น ดับกิเลส ให้เป็นสมาหิโต เป็นจิตที่ตั้งมั่นใช้คำว่า สมาหิโต ไม่ได้ใช้คำว่า เจโตสมาธิ แต่ใช้สมาหิตะ เป็นเอกพจน์นะไม่ได้เป็นพหูพจน์ เฉพาะตน 

เป็นความตั้งมั่นของจิตที่เอาเจโตปริยญาณมาอธิบายได้ความละเอียดลออสมบูรณ์แบบ เจโตปริยญาณ 16 จึงเป็นมาตรวัดของนักปฏิบัติธรรม ไม่ต้องท่องจำ แต่สภาวะมันจะชัดเจนเป็นลำดับของมันมาเองเลย เข้าใจพยัญชนะตัวบาลีบ้าง ก็จับป้ายถูกกับสภาวะนั้นให้ได้เท่านั้นเอง ไม่ต้องท่องหรอก มันจะเรียงลำดับของมันชัดเจนอย่างที่อธิบายให้ฟัง มันเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ มันจะไม่สับสน ถ้าสับสนก็คือไม่แจ้งจริง ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ที่เรียงลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ที่ถูกต้องตามลำดับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 07:23:30 )

เจโตปริยญาณ เป็นแผนที่หลักมาเรียนรู้ด้วยรูป 28

รายละเอียด

กาย เวทนา จิต ขยายจิตให้ฟังแล้ว โลกียธรรมกับโลกุตรธรรมก็ขยายพอสมควร เมื่อเข้าใจแล้วทำตามสูตรเจโตปริยญาณ 16 ได้ คุณก็มาทำเวทนาเป็นตัวปฏิบัติแท้ คุณต้องมีความรู้เจโตปริยญาณ เป็นแผนที่เป็นหลักคร่าวๆ แม้จะจำพยัญชนะไม่ได้ แต่คุณก็คงพอเข้าใจ ว่าต้องมีราคะ โทสะ โมหะ มันมีหรือมันไม่มี เริ่มเข้าท่า ทำได้เป็นคู่แรก เป็นคู่ที่ 2 สูงขึ้น คู่ที่ 3 สูงขึ้นไปอีก แล้วคู่ที่ 3 ก็ตรวจสอบว่า เป็นความตั้งมั่นหรือความหลุดพ้น สมาหิตะหรือวิมุติ นี่ สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆ ในเจโตปริยญาณให้ฟังสั้นๆ 

เมื่อคุณมีหลักแล้ว คุณก็มาดูเวทนาในเวทนา เวทนาต้องมีกาย ไม่มีกาย ไม่มีผัสสะ ไม่มีฐานที่ตั้ง ในพระไตรปิฎก พระสูตรแรก พรหมชาลสูตร ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ เวทนาต้องมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณจะต้องเรียนรู้ด้วยรูป 28 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4

วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2565 ( 18:18:31 )

เจโตปริยญาณหัวใจของการหยั่งรู้จิต

รายละเอียด

  1. เจโตปริยญาณ ที่แยกเอาไว้ 16 อย่าง อันนี้แหละเป็นหัวใจของการหยั่งรู้จิตไม่ต้องไปหยั่งรู้หัวใจของคนอื่นแต่ไปหยั่งรู้หัวใจตัวเองนี่แหละ 

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) . 

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยะของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์. 

  1. สราคจิต  (จิตมีราคะ) 

  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ) 

  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ) 

  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ) 

  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ) 

  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ) 

  7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 

  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

  9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  

  10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 

  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 

  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .

  13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 

  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 

  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 

  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 9   ข้อ 135


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:49:50 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:28:32 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:35:45 )

เจโตปริยญาณเป็นมาตรวัดอะไร

รายละเอียด

เจโตปริยญาณเป็นมาตรวัด เป็นเครื่องวัด ว่า เราปฏิบัติธรรมได้จบสมบูรณ์หรือไม่ ตรวจสอบด้วยเจโตปริยญาณ 16 คุณเข้าใจแล้วก็รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของตัวเองหรืออาการ ลิงค นิมิต แล้วอุเทส ที่อาตมาพูด คุณก็ไปตรวจสอบอาการ ลิงค นิมิต ของจิตเจตสิกของคุณเอง ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้จนถึง อวิมุติไม่มีอีกแล้วที่มันจะบกพร่องเป็นวิมุติสมบูรณ์แบบแล้ว ตั้งมั่นสมบูรณ์แบบแล้ว คุณก็จะมีญาณปัญญา มีปัญญาตรวจสอบเอง 

นี่คือ วิชชา ข้อที่ 5 ส่วนวิชชาอีก 3 ข้อ ก็เป็นเครื่องวัด ในเตวิชโช

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 2 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 14:55:07 )

เจโตรู้ช้ากว่าปัญญา

รายละเอียด

ทีนี้ ปัญญาเป็นตัวแจ้ง ส่วนเจโตเป็นตัวที่มืด มันจึงรู้ช้ากว่าปัญญา ก็เป็นธรรมชาติธรรมดา สิ่งที่มีแสงก็ต้องเห็นก่อน ปัสสะ คือเห็นชัด ส่วนมโนมยิทธิ มโน มนะ จิตกับไม่ ม คือจิต น คือไม่ มโน มนูญ มนัส ใช้พยัญชนะผันไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นจิตเมื่อสามารถทำได้ ต้องอาศัยกันขาดกันไม่ได้ 2 สภาวะนี้ ปัญญากับเจโต ขาดกันไม่ได้ แน่นอนที่สุดแห่งที่สุดแล้ว ตระกูลปัญญากับตระกูลเจโต ก็ต้องชัด เป็นสัทธานุสารีกับธัมมานุสารี แน่นอน ก็ขอจบตรงที่ สัทธานุสารี กับธัมมานุสารี ยังจะไม่ลงลึกไปตรงนั้นต่อ ถ้าลงลึกไปจะเข้าไปถึงบุคคล 7 อีก แล้วจะยาว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 10:27:12 )

เจโตวสิปัตโต

รายละเอียด

 คือ การยังจิตให้เป็นไปในอำนาจตามที่เราต้องการได้

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 16:27:51 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:30:16 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:36:06 )

เจโตวัสสิปัตโต

รายละเอียด

เจโตวัสสิปัตโต แปลว่าการกระทำ ผู้นั้นเป็นเจ้าของและผู้นั้นกระทำ อาตมาอธิบายวัสสวัตตี เป็นอำนาจในตัวเอง ก็ไม่ผิดเป็นการขยายเพิ่ม

เจโต คือจิต วสี วัสสะ แปลว่าอำนาจ วัสสวัฏ รอบที่มีอำนาจ ปัตโต แปลว่าเข้าถึงบรรลุ รวมตัวเต็มบริบูรณ์เท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน ธรรมะ 2 ให้เป็น 0 ได้ต้องยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:48:53 )

เจโตวิมุติ , เจโตวิมุตติ

รายละเอียด

1. จิตตัวอาสวะนั้นรู้ก่อน บรรลุก่อน แล้วปัญญาจึงค่อยกระจ่างออกมาทีหลัง และทั้งสองวิมุตติ(เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ)นี้ก็-

ค่อย ๆ เข้าไปร่วมกัน คือคนผู้นี้จะต้องถึงซึ่งวิมุตติทั้งสองในโอกาสต่อไปแน่ ๆ ถ้าไม่ตายเสียก่อน 

2. สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาดับขาดจากจิต

3. จิตที่หลุดพ้น

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 386,ทางเอก ภาค 1 หน้า 225, รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 202


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:06:18 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:28:51 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:34:24 )

เจโตวิมุติเป็นโลกียะหรือโลกุตระ

รายละเอียด

คำว่าเจโตวิมุติ เอาพยัญชนะมาเรียกก็พอฟัง แต่เจโตถึงจิตมันไม่ได้ควบกับคำว่าปัญญา มันต้องแยกปัญญาออกจากจิต เพราะจิตเป็นหลายนัย จิตปัญญาก็ได้เป็นเจโตก็ได้ จะตอบสั้นๆแค่ว่าเจโตวิมุติ เป็นโลกียะก็ได้ จะมีโลกุตระต้องมีปัญญาคู่กัน โดยเฉพาะปัญญาวิมุติ พระพุทธเจ้ายกให้เป็นพระอรหันต์เลย ยังไม่เป็นเจโตวิมุติ หากเป็นเจโตวิมุติด้วย ก็เป็นอุภโตภาควิมุติ ทั้งปัญญาวิมุติ และเจโตวิมุติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาแยกแยะนามรูปได้เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2564 ( 20:39:59 )

เจโตสมาธิ ไม่ใช่สมาธิที่เกิดปัญญามีแต่สัญญา

รายละเอียด

คนไหนเป็นนั่งหลับตาสมาธิเข้าไปอยู่ในภพ ถ้าไม่มีของเก่ามาก่อนคุณก็เป็นเพียงตรรกะเท่านั้นเป็นสัญญาเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร อดีต 18 อย่างโดยกำหนดอนาคตอีก 44 ประการ มันก็มีได้เท่านี้ที่เข้าไปอยู่ในภพ ที่เข้าไปนั่ง ท่านเรียกว่า เจโตสมาธิ มันไม่ใช่สมาธิที่เกิดปัญญา ปัญญาต้องมีภายนอกต้องมีสัมผัส 6 ปัญญาต้องมีองค์ประกอบของโลกของอัตตา มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก นี่คือหลักฐานพระพุทธเจ้ามาประกอบ แต่เดี๋ยวนี้เขาไปนั่งหลับตาให้จิตเป็นสมาธิแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเอง เขาพูดขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนี้ ปัญญาหลับตาไม่มี มีแต่สัญญา ปัญญาไม่ได้เกิดในการหลับตา ปัญญาต้องเกิดตอนลืมตา สัญญาจะกำหนดภายนอกก็ได้ แต่มันไม่ได้เกิดปัญญา แต่สัญญาที่เป็นปัญญามันต้องมีภายนอก เพราะฉะนั้นหลับตาเลยไม่มีภายนอกไม่เกิดปัญญาได้แต่สัญญาอย่างเดียว

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:19:20 )

เจโตเกิดก่อนปัญญา 

รายละเอียด

เจโตเกิดก่อนปัญญา  คือ เพราะว่าอวิชชาเกิดก่อนวิชชา  การที่อาตมาต้องมาเกิดที่เมืองไทย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่เป็นโพธิสัตว์มาที่เมืองไทย มีพระจริยวัตรของพระองค์ตลอด 70 ปี ท่านเป็นสายปัญญา  ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นสายเจโต  ท่านทำมาได้จนกระทั่งขนาดนี้  ก็เลยได้มาเพราะอาตมาเป็นสายปัญญาต้องตามเจโต จนกว่าปัญญาจะนำเจโต ทีนี้เจโตต้องตามปัญญา  ตอนแรกๆ เจโตจะเกิดก่อนเพราะว่าอวิชชาเกิดก่อนวิชชา  ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอวิชชาก็ดำเนินไปตลอดกาล  แม้แต่ความฉลาดก็เป็นแบบโลกียะ ฉลาดแบบเฉโก ไม่รู้จักกาย  ไม่รู้จักธรรมะสอง  ไม่รู้จักรูปนาม  แยกธรรมะสองให้เป็นหนึ่งแยกไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:40:07 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:33:45 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:33:52 )

เจ็บป่วยสามารถบรรเทาให้ดีกว่าเดิมได้

รายละเอียด

ตอบไปก็ไม่หมดหรอกเพราะมันจะยากอย่าไปคิดมากเลย ตอบง่ายๆว่าในขณะนี้คุณพูดเองว่าต่างก็ระมัดระวังกันเยอะอยู่แล้วแล้วพระพุทธเจ้าที่คุณยกขึ้นมาคนที่ทำกรรมวิบากมีวิบากไม่พ้นอันนั้นก็ต้องจำนน แต่ในวิบากกรรมที่มันจะต้องมา แม้คุณจะต้องตายคุณจะต้องเจ็บป่วยก็ตาม คุณสามารถบรรเทาหรือคุณสามารถทำให้มันดีขึ้นกว่าเก่าได้  ถ้าสุดวิสัยก็ต้องจำนน แต่ถ้าทำการแก้ไขปรับปรุงขึ้นมาได้บ้างคุณก็ทำแต่ อย่าไปฮึดฮัดว่าฉันจะต้องเอาชนะเอาให้ได้อย่างนั้นก็จะกลายเป็นมากไป เมื่อยใจที่หมดเวลาแต่กำลังมันยังไม่หมด 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:43:48 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:36:54 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:32:34 )

เจ็บใจไม่ได้เจ็บที่หัวใจ แต่วิญญาณเจ็บ

รายละเอียด

อารมณ์นั้นคือจิตวิญญาณโดยสมอง ถ้าเข้าใจนามธรรมให้ดี มันจะเข้าใจจริงๆมันแยกกันขาดทีเดียวในส่วนที่ยังไม่ขาดทีเดียวได้ยาก แยกยาก แต่แยกขาดได้ด้วยความเข้าใจ ทำให้จิตวิญญาณเราขาดจากพลังงานที่มันจะเป็นความสุขความทุกข์ ก็อาศัยพลังงานที่ไม่สุขไม่ทุกข์เรียกว่าเป็นพืชะ ส่วนอุตุธาตุในร่างกายเราก็ทำได้ เราก็ทำให้มันพีชะธาตุได้ พีชธาตุก็ไม่ต้องอาศัยเลย จะมีอยู่บ้างก็อยู่ไป เช่นเป็นขี้ไคลเป็นต้น หรือพูดอีกให้ชัด อุตุ แปลว่าเลือดระดูไม่มีชีวะแล้ว ก็สลายทิ้งไป ไหลทิ้งไป ไม่ได้ผสมไข่ก็สลายไป เลือดนี่มีชีวิต แต่ให้เชื้อของชีวะให้อาศัย มีอาหารเลี้ยงตัวนั้นแต่พอมันไม่ทำหน้าที่แล้วไข่ไม่ผสมก็ฝ่อทิ้งไป ออกมาเป็นเลือด เลือดที่เป็นอุตุดินน้ำไฟลม ไม่เป็นชีวะ เลือดมันก็มีหัวใจ เป็นหัวอยู่ในเลือด เข้าใจได้ ไม่สับสน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:33:42 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:37:51 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:31:53 )

เจ้าของชีวิตเป็นจิตนิยาม

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สิ่งที่สุดยอดจริงๆ ไม่มีอะไรเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของชีวิตเป็นจิตนิยาม แล้วท่านก็จัดการกับจิตนิยาม ความรู้ที่อาตมาเอามาอธิบายเป็นของพระพุทธเจ้าที่เอามาอธิบายอย่างพิสดารที่สุด แยกแยะตามปฏิภาณของอาตมาที่ใช้ภาษาสมัยนี้สื่อให้พวกเราเข้าใจโดยเป็นภาษาไทย แปลออกมาจากภาษาบาลี ก็อะไรที่รู้ก็เอามาเป็นภาษาไทยเอามาประกอบยืนยันอ้างอิง สำหรับพวกที่จะหาว่าอาตมาพูดเอาเอง ถ้ามีภาษาบาลีเขาก็จะมีรู้ว่ามีอ้างอิง 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:14:02 )

เจ้าของบริษัทอโศกเงินเดือน 0 บาทเสมอภาคกับสมาชิกเพราะใจพอ

รายละเอียด

แต่พวกเรามีใจพอแล้วที่มีเงินเดือนเป็นศูนย์ อาตมาก็เป็นเจ้าของบริษัทอโศก อาตมามีรายได้เป็นศูนย์ เท่ากับพวกคุณมาทำงานนี้ ทุกคนมาเข้าสมัครครั้งแรกวันแรกเงินเดือนเท่ากับอาตมาเลยเงินเดือน 0 ถ้าใจของคุณพอด้วย คุณมาสมัครแล้วเงินเดือน 0 ใจของคุณพอด้วยก็อยู่ในที่นี้สบาย เพราะอย่างไรก็เท่ากับเจ้าของบริษัทแล้ว เสมอภาคแล้ว ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่พูดเรื่องจริง อันนี้เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่ทำให้คนเป็นเช่นนี้ได้ สังคมเช่นนี้มีอยู่ได้ อยู่ในสังคมโลก สังคมแบบนี้มันสุดยอด ประชาธิปไตยก็ตาม ต้องการคนที่เป็นสมาชิกของประเทศนั้นทำงานแล้วเสียภาษีให้แก่รัฐ ประชาธิปไตยก็ตาม ต้องการมากที่สุด คอมมิวนิสต์ก็ตาม ต้องการให้คนเสียภาษีให้แก่รัฐมากที่สุด แนวคิดเหมือนกันหมดเลย ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่จะเป็นเผด็จการก็แล้วแต่ ประชาชนเขาไม่อยากให้ถ้าเกิดเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อยากให้แต่ไม่อยากให้ เผด็จการ เขาก็ไม่ได้อยากให้แก่สมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือจอมเผด็จการที่จะหาวิธีดูดเอาไปเขาไม่อยากให้หรอกแต่เขาสู้ไม่ได้ แต่พวกเรานี่ อยากให้หรือไม่อยากให้ ทำงานแล้วให้กองกลางหมดเลย ก็อยากให้ เอาละไม่ถึงอยากให้หรอก ก็แค่ยินดีให้ก็พอแล้ว ยินดีแล้วก็ไม่ได้ไปแย้งไม่เถียง ไม่มุบมิบ ไม่ได้มาโกง ใครคิดว่าจะอยู่จนตาย ไม่เป็นไร เราก็เป็นที่อาศัยพอใจแล้วในสัปปายะ 4 สบายแล้ว จนถามไม่รู้กี่ทีแล้วว่าจะอยู่กับอโศกไปจนตายหรือไม่ มีคนไม่ยกมือหรือไม่นะ ไม่สมัครใจไม่เต็มใจ แต่คนที่สมัครใจเต็มใจจะเห็นแล้วว่า ดี เป็นแต่เพียงเราจะอยู่ไม่ได้เท่านั้น ผีเข้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผีไม่เข้านี่ก็รู้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2563 ( 15:16:01 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:39:49 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:31:11 )

เจ้าของวิญญาณคือตัวเรา ทำลายส่วนที่ควรทำลายด้วยตัวเรา ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา อมตธรรมก็ของเรา!

รายละเอียด

“ตน (อัตตา)”เป็น“ของตนเอง” เพราะสามารถทำ“อัตตา”ของตนให้สลายหายไปเป็น“สูญ”คือ แยก“ธาตุวิญญาณ”ตนเอง ตั้งแต่“สังขาร-เวทนา-ตัณหา” และทำลายส่วนที่ควรทำลายไปให้เหลือเพียง“1”เป็น“พีชธาตุ”ก็ได้ หรือจะทำลายให้“สูญ”สิ้นหมดความเป็นชีวะเป็น“อุตุธาตุ”ไปได้อย่างเป็น“เจ้าของธาตุ”ที่ควบคุมให้อยู่ในอำนาจได้ โดยการทำ“วิมุติ”สำเร็จ จนกระทั่งได้ชื่อว่า“อมตธรรม” “อมตธรรม”คือ ผู้ที่เป็น“อมตะ”คือ ผู้สามารถทำตนให้“หลุดพ้น”หรือตีแตกแยกแยะความ“เป็นกาย-เป็นจิต”ได้ชนิดที่สามารถทำ“เทฺว”ให้เป็น“อุตุ”ไปเลยก็ได้ หรือจะให้“เทฺว”เป็นแค่“พืช”ที่ไม่มี“กาย”แล้วในตน แต่ยังมีความเป็น“ชีวะอยู่” เป็นอยู่แค่“พืช”ก็ได้ เพราะผู้นี้สามารถทำ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็นได้ ตาม“มูลกรรมฐาน 5”ที่อุปัชฌาย์สอนให้ตั้งแต่เริ่มบวช นั่นคือ พิจารณาจาก“ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง”ในส่วนที่มัน“ไม่เป็น‘กาย’แล้ว”เป็นต้น 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 445-446 ข้อที่ 614


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 14:44:22 )

เจ้าของวิญญาณไม่ใช่ใคร แต่คือตัวเรา! “อัตตา”ก็ไม่ใช่ใครก็ตัวเราอีกแหละ!

รายละเอียด

ชาว“โลกุตระ”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“วิญญาณ” และสามารถ“ทำ“วิญญาณ”ของตนให้แตกแยก“ธาตุวิญญาณ”สลายเป็น“อุตุธาตุ”ไปได้ ไม่ต้องไปอยู่กับ“พระเจ้า” อย่างไม่“ลึกลับ”เลย เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”หรือ“เทฺว”จึงเป็นการพิสูจน์ความเป็น“เจ้าของวิญญาณ”หรือความเป็น“อัตตา”ว่า“เป็นของตน”โดยแท้  “อัตตา”ไม่ใช่เป็นของใคร แม้แต่พยัญชนะก็ยืนยันว่า “อัตตา”คือ“ตัวตนของตนเอง”“อัตตา”ไม่ได้แปลว่า “ตัวตนของผู้อื่น”สักหน่อยจึงยิ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่า “พระเจ้า”ที่เป็นใหญ่เป็น“เจ้าแห่งอัตตา”แท้ๆ นั้น ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแม้แค่“ตัวเอง”คือความเป็น“อัตตา”ของตนในตน ก็ไปยก“อัตตา”ให้เป็นของผู้อื่น

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 252 หน้า 204


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:08:00 )

เจ้าที่เจ้าทางที่เป็นจิตวิญญาณนอกตัวไม่มีจริง

รายละเอียด

เจ้าที่เจ้าทางในศาสนาพุทธไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ต้นๆเลยว่า คนที่ยังเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณไม่ได้ก็เป็นเทวนิยม ไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้อะไรพวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ต้นๆแล้ว 

สรุปดีกว่า คนที่ยังศึกษาเรื่องของจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูปนิพพาน ที่เป็นเรื่องปรมัตถ์แท้ๆ ศึกษายังไม่ดีพอ โดยเฉพาะยังไม่จบกิจ ยังไม่ถึงขั้นอรหันต์มันจะยังมีเชื้อของเทวนิยม นึกว่าเป็นเจ้าที่มีวิญญาณอันนั้นอันนี้สถิต สรุปให้ชัดๆว่าไม่มีวิญญาณที่ว่านี้อยู่ที่นอกตัวนอกตนมาเป็นอะไรกับเราเลย อุปาทานทั้งสิ้น แล้วตัวเองก็เป็นผีบ้าเอง เช่นพวกที่ทรงเจ้าลงมีวิญญาณเข้าทรง ตัวเองผีบ้าเองสะกดจิตตัวเอง ชักดิ้นชักงอเองโดยมีสัญญาเก่ามีความเชื่อเดิมติดยึดมา มันเป็นอย่างนี้ ฉันก็จะต้องทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ โดยมีจิตติดยึดเชื่อว่ามันมีจริง 

ถ้าคุณฟังอาตมาเข้าใจแล้วจิตวิญญาณที่ล่องลอยจะมาเข้าทรงคนนั้นคนนี้ อะไรพวกนี้ ไม่มี วิญญาณเจ้าที่เจ้าทางใดๆไม่มี วิญญาณคือธาตุจิตที่อยู่ในตัวมนุษย์เท่านั้น ขออภัยแม้แต่วิญญาณพระเจ้าที่เขาว่ามี นี่ก็ไม่มี ให้ลึกๆไปถึงขั้นนั้นเลยมันเป็นอุปาทาน เพราะฉะนั้นศาสนาเทวนิยมจึงมีพระเจ้าอยู่ ศาสนาพุทธไม่มี พระเจ้าก็คือจิตวิญญาณเรา พระเจ้าทำอะไรเราไม่ได้ เราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณพอตายก็ปรินิพพานเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ไปอยู่กับพระเจ้านี่คือของพุทธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆ ถ้าพลังเงียบไม่ช่วย วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 20:33:52 )

เจ้าหนี้ทางบุญนิยมคือลูกหนี้ทางธรรม

รายละเอียด

อาตมามองเห็นว่าอเมริกานี้เสื่อมตั้งเศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้น ตอนนี้ยิ่งเห็นชัดเจน เป็นงูกินหาง กินหางกินหัวตัวเองจนเกือบหมดตัวแล้ว เศรษฐกิจอเมริกา ไม่ได้เป็นความเจริญเลยสำหรับพวกทุนนิยมนี้ เป็นพวกที่สร้างหนี้ เห่อเหิมหลงใหลเรื่องมาก จะกลายทำให้ตัวเองเหมือนเป็นเจ้าหนี้ แต่คนที่ทำตนเองให้เป็นเจ้าหนี้นั้น คือผู้ไปเอาเปรียบเขา ไปโลภมากหาวิธีเอาเปรียบแล้วก็ได้เปรียบมามากๆ จึงกลายเป็นลูกหนี้ทางธรรม นี่ อเมริกาจึงเป็นลูกหนี้ทางธรรมโดยสัจจะเยอะเลย เพราะฉะนั้นดอลลาร์ของอเมริกาแต่ละดอลลาร์ทุกวันนี้ที่เกิดกระจายทั่วทุกมุมโลกคือเศษกระดาษที่ ถ้าเอาตลาดไปแลกเอาสิ่งมีค่ากลับมาจะขายประเทศอเมริกาจะพอไหม พอจะใช้หนี้เงินดอลลาร์ไหม นี่คือสัจจะ ที่เขาไม่มองกัน แต่มันทำได้ สักวันหนึ่งถ้าล้มละลายเมื่อไหร่ดอลลาร์ตกก็จะรู้สึก ตอนนี้ก็ยังเก่ง ถ้าในอนาคต โลก ไม่ต้องพึ่งพาเรื่องอาวุธ ไม่ต้องเอาเทคโนโลยีอื่นด้วยซ้ำไป เอาแค่โลกไม่ต้องพึ่งพาอาวุธอเมริกาจะรู้สึกตัว ตอนนี้ ประเทศอื่นเขาก็ไม่ได้กลัวและอาวุธ ขนาดเกาหลีเหนือก็ยังไม่กลัวอเมริกา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:23:02 )

เจ้าแม่กวนอิม

รายละเอียด

เจ้าแม่กวนอิม  คือ  เจ้าแม่กวนอิมเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นผู้หญิงเขาเลยบอกว่าเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร  ซึ่งก่อนเป็นพี่ของสมณโคดมเสียด้วย  แล้วเจ้าแม่กวนอิมเขาเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรจะว่าไปก็ใหญ่กว่าพระสมณโคดมอีก

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2562 ( 17:44:28 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:36:32 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:29:15 )

เจ้าแห่งความตาย

รายละเอียด

คือ ทางศาสนาพุทธสามารถพิสูจน์ได้ ทั้งที่เป็น“ธรรมะ”ทั้งที่เป็น“ตัวตนบุคคล” ที่เป็น“ธรรมะ”ก็เช่น “ความตายทางธรรม” นั่นคือ ผู้ปฏิบัติธรรม ก็คือ ปฏิบัติ“ธรรมะ2”นั่นเอง ให้บรรลุผล

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 367


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 15:08:36 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:41:02 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 17:29:39 )

เฉกตา หรือเฉกา

รายละเอียด

แปลว่าความฉลาด แต่ก่อนมีคำนี้คำเดียวที่ใช้กันอยู่ในสังคมชุมชน เมื่อพระพุทธเจ้ามาอุบัติจึงมีคำว่าปัญญาขึ้นมาหมายถึงความฉลาดที่เป็นโลกุตระ ไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกีย์ แล้วก็เอามาใช้ พอใช้แล้วคนก็ชักลาม เหมือนเล่นกับหมา หมาก็เลียปาก เล่นกับสาก สากก็ต่อยหัว ได้เข้ามาใกล้ผู้ที่สูงผู้ที่เจริญก็ชักลาม ภาษาไทย คำว่าลาม 

คำว่าปัญญาถูกลาม คำว่าเฉโกก็เลยเท่ากันกับปัญญา ตีเสมอกันเลย ดีไม่ดีจะเกินเลยหน้าปัญญาไปอีก 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:48:08 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:48:24 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:55:20 )

เฉกะ

รายละเอียด

เฉกะ มีรากศัพท์คือ ฉ คือ 6 เอกคือ เก่งเป็นเลิศ ก็เก่งในทางทวาร 6 แต่ความฉลาดไม่ได้ออกมานอกกรอบของโลกียะ อยู่ในฉฬายตนะ 6 ในกรอบของทวาร 5 หรือ 6 ไม่มีการทวนกระแส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:35:31 )

เฉกะ , เฉโก , เฉกตา

รายละเอียด

1. ความฉลาด 

2. ความฉลาดชนิดแกมโกง แกมเลว แกมร้าย

3. ความฉลาดของกิเลส , ความฉลาดที่ใช้กิเลส , ความฉลาดแกมโกง 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 435

อีคิวโลกุตระ หน้า 52

ค้าบุญคือบาป หน้า 75,247


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:14:24 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:30:45 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:59:33 )

เฉยแบบโลกีย์ กับเฉยแบบโลกุตระ

รายละเอียด

อันนี้ตากระทบแล้วเห็นว่าอยากได้อยากมีอยากกิน แต่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าต่อไปถ้ามองแล้วเฉยๆ ชินชา ไม่ได้หมายความว่าสำเร็จนะ แต่ถ้าบาลี ชินชา แปลว่าความรู้ที่ชนะแล้วสำเร็จแล้วนะ แต่ชินชาในภาษาไทย กลายเป็นว่าเฉยด้าน ถ้าเฉยเนกขัมมสิตะ เป็นฐานนิพพาน เนกขัมมสิตอุเบกขาแต่ถ้าสัมผัสแล้วเฉยๆ เป็นเคหสิตอุเบกขา รู้แล้วชินชาแล้วที่จริงเอาไปแล้ว 1 ลูก ได้แล้วก็เฉยๆเป็นชินชาโง่ๆ โลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตระต้องล้างกิเลสได้แล้ว มีคุณสมบัติจิต ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ฟังทันไหม ฟังแล้วไม่ทันแต่ถ้าทำสำเร็จได้ก็ถือว่าดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน 4 วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 16:56:21 )

เฉลย คำตอบสำหรับข้อสอบ กากบาท ว.บบบ. ปี 2564-2565 

รายละเอียด

เฉลย คำตอบสำหรับข้อสอบ กากบาท ว.บบบ. ปี 2564-2565  (ข้อละ 1 คะแนน)

 

ชื่อ………………………….……...สกุล…………………………...…….กลุ่มที่………



 

ข้อ

1

   

x

 

2

x

     

3

     

x

4

   

x

 

5

     

x

6

     

x

7

   

x

 

8

 

x

   

9

   

x

 

10

x

     

11

   

x

 

12

     

x

13

     

x

14

   

x

 

15

x

     

16

x

     

17

   

x

 

18

   

x

 

19

     

x

20

x

     

21

     

x

22

   

x

 

23

x

     

24

     

x

25

     

x


 

ข้อ

26

x

     

27

     

x

28

 

x

   

29

 

x

   

30

x

     

31

 

x

   

32

   

x

 

    33

x

     

34

     

x

35

x

     

36

x

     

37

     

x

38

 

x

   

39

   

x

 

40

x

     

41

     

x

42

x

     

43

   

x

 

44

   

x

 

45

x

     

46

   

x

 

47

     

x

48

     

x

49

     

x

50

   

x

 




 

ข้อสอบอัตนัย  ว.บบบ. ปี 2564-2565 ให้เขียนอธิบายสั้นๆ (ข้อละ 5 คะแนน)

  1.  การปฏิบัติธรรมต้องทวนกระแส(ปฏิโสตัง) ท่านเข้าใจอย่างไร ท่านฝึกตัวเองทวนกระแสอย่างไรบ้าง

ตอบ ชาวโลกอยากรวย กลัวจน นักปฏิบัติธรรมกลัวรวย อยากจน

 

  1. เมื่อเจอผัสสะปัจจุบัน จัดการกับมันอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วท่านปฏิบัติอย่างไร    ตอบ ตามสภาวะที่เคยทำบ่อยๆ 

 

  1. อยู่กับหมู่มิตรดี กับ อยู่คนเดียว อย่างไหนเห็นกิเลส ฆ่ากิเลสได้ ถูกตัวจริงของจริง ในปัจจุบันได้มากกว่ากัน จงอธิบายมา

ตอบ อยู่กับมิตรดี เจอกิเลสตัวจริงได้มากกว่า ฆ่าก็ได้ตรงตัวจริง ไม่ใช่นึกเอา

 

  1. ท่านติดตามฟังธรรมของชาวอโศกกี่รายการ ท่านได้ประโยชน์จากรายการใดมากๆ ได้อะไรบ้าง          ตอบ ตามความจริง

 

  1. พ่อครูอายุมาก 88 ปีแล้ว ท่านเทศน์บอกกับลูกๆว่า เดี๋ยวนี้เหนื่อยง่าย และอยากให้ลูกช่วยกันคือ…..ด้านใดบ้าง 

ตอบ 1.ทำตัวให้หมดกิเลสเร็วๆ จะได้ช่วยผู้อื่น ช่วยกันทำกสิกรรมสร้างมากๆ 

 

  1. ท่านปฏิบัติตัวอย่างไรในระบบสาธารณโภคี และตัวท่านเองมีจุดดี จุดด้อยในระบบสาธารณโภคีอย่างไรบ้าง            ตอบ ตามความจริง

 

  1. ท่านเป็นอาริยะหรือไม่เพราะเหตุใด…ตอบ ตามความจริง

 

  1. ให้อธิบายวิธีลดละกิเลสในชีวิตจริงและเป็นรูปธรรม  ตอบ ตามความจริง.

 

  1. ท่านมีวิธีทำเวทนา 2  ให้เป็นเวทนา 1 ได้หรือไม่อย่างไร ให้ยกตัวอย่างมาให้สั้นๆ พอให้เข้าใจได้(ผู้ตรวจอายุยาวแล้วอ่านมากไม่ไหว)

ตอบ ตามความจริง

 

  1. ท่านมีวิธีฝึกฝนการปฏิบัติมองตนอย่างไร    ตอบ ตามความจริง



 

รวมทั้งหมด 100 คะแนน


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2565 ( 14:03:32 )

เฉลี่ยให้ทั่วถึงกันได้ดีเท่าใดเศรษฐกิจก็เจริญเท่านั้น

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจจะดียิ่งต้องสัมมาทิฏฐิจริงๆ อย่างชาวอโศกนี่เศรษฐกิจจบกิจแล้ว เพราะตัวเองไม่ได้เป็นภาระของคนอื่น สร้างสรรพออยู่พอกินพอใช้เหลือ สร้างให้เกิน แจกเกื้อกูลผู้อื่นช่วยเศรษฐกิจบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาเลย โดยไม่ต้องมาโฆษณาว่าจะต้องจ่ายหัวละหมื่น อายุ 16 ขึ้นไป ไม่ต้องไปหลอกคนโง่ของมนุษยชาติเรียกว่าติดสินบนประชาชนไม่เอา ก็ทำไปโดยไม่ต้องพูด ไม่ต้องไปติดสินบนให้มารับรอง คุยโม้ให้คนอื่นยกย่องยกยอมาเลือกตั้ง ให้ขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ผู้บริหาร เราก็ไม่แย่ง เราทำกิจการของเราไป 

เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเป็นคนพวกที่เป็นนักเศรษฐกิจตัวจริง เป็นนักเศรษฐกิจที่ทำให้สังคมเจริญอยู่ เป็นนักเศรษฐกิจที่สะพัด 

สะพัดการเคลื่อนอย่างคล่อง ของทั้งรูปทั้งนาม ชนิดที่มีไปเร็วสู่กันและกัน ถึงกันในสังคมมนุษย์ได้ 

โอ้โห เอาลายมือโย้เย้ของอาตมาไปออกได้

อาศัยกินใช้อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ที่เขียนหวัดเพราะอาตมาอ่านของอาตมาออกเอง 

กิเลสยิ่งลดยิ่งละยิ่งดับยิ่งหยุดไปจากจิตตนได้ กายกรรมวจีกรรมก็ยิ่งคล่อง ยิ่งทำงานจึงยิ่งไม่ขาดแคลนไม่แย่งชิง ไม่ทำความเดือดร้อนให้สังคม 

อาการเช่นนี้คือความคล่องของการสะพัดรูปและนามสู่กันและกัน เฉลี่ย ให้ทั่วถึงกันได้ดีเท่าใดเศรษฐกิจก็เจริญเท่านั้นๆๆ  แต่เราสามารถที่จะเฉลี่ย สิ่งที่แบ่งปันกันกินกันใช้ได้อยู่อย่างนี้

ถ้าคนอื่นเห็นตามสังคมกลุ่มอื่นเห็นด้วยก็ทำอย่างนี้ต่อไป มันก็จะเป็นการต่อยอดๆๆ จากสังคม หนึ่ง ได้ แล้วสังคมเป็นกลุ่มอื่นมากขึ้น ก็เป็นสังคมเครือแหที่จะกระจายสู่สังคมประเทศ 

อาตมาแน่ใจว่าชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือแก้ปัญหาการเมืองจบกิจ พูดอย่างฮุบเอาเองเลย คนอื่นเขายังไม่ยอมเชื่อก็ช่างเขา แต่อาตมาว่าพวกเรานี่ จะเข้าใจ เห็นจริงไหม...เห็นจริง

เพราะเราแก้ปัญหา เศรษฐกิจคืออะไร เศรษฐกิจคือสมบัติทรัพย์สินที่เราอาศัยกินใช้ที่จำเป็น มันมีจำนวนจำกัด เราก็สร้างขึ้นเองได้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นเราก็ใช้กาละ ใช้แรงงาน ใช้ทุนรอนมาสร้าง สร้างขึ้นมาแล้วก็กินใช้ จนเหลือจนเกินแล้วสะพัดแบ่งแจกให้แก่สังคม ขายอย่างขาดทุนหรือแจก

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:08:14 )

เฉโก

รายละเอียด

คือ ความฉลาดแบบโลกียะ เป็นความฉลาดที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมลึกร้าย ซับซ้อน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเอง (อวิชชา) หรือแม้รู้ก็ยังใช้เล่ห์เพื่อเอาเปรียบถึงขั้นโกงทุจริตหนัก เป็นความฉลาดที่ไม่ซื่อสัตย์

หนังสืออ้างอิง

 “คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า.69


เวลาบันทึก 08 พฤศจิกายน 2562 ( 15:51:32 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 18:22:26 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:02:54 )

เฉโก

รายละเอียด

ที่เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ ความแตกต่างระหว่างเฉโกกับปัญญา มันเป็นคนละสกุลเป็นดาวคนละดวง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซีวิต ที่บวรปฐมอโศก ครั้งที่ 65 วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 15:59:44 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:51:51 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:01:04 )

เฉโก

รายละเอียด

คือทางสายศรัทธาก็สอนกันว่าไม่สะสมดี แต่กดข่ม แรงกดข่มไม่ยั่งยืน   ไม่ใช่ฉลาดแท้  ไม่ใช่ปัญญา  เมื่อหมดแรงกดข่มไว้ มันก็ขึ้นมาอีก  ก็จะกลับมาแย่ง ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  รูป  รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนเดิม  มันไม่ได้ล้าง  ไม่ได้เรียนรู้โลกธรรมที่แท้จริง  ไม่ได้เรียนรู้กาม  ไม่ได้เรียนรู้จิต เจตสิกที่เป็นกิเลสจริง ๆ  ไม่ได้เรียนรู้อกุศลจิต  หรือไม่ได้เรียนรู้  กลิ หรือ  กายกลิ เรียกว่าตัวตนของกิเลส  กลิ  แปลว่า เป็นโทษภัย  กลิ คือ  ก  กับ  ลิ  ก.  คือ  สสาร  ล.ลิง   คือ  เอาเศษวรรคมาใช้  เศษวรรค มี   ย ร ล ว ส ห ฬ อํ    ล.ลิงเป็นตัวเส้าที่สามของเศษวรรค เป็นพลังงาน อรูปเล็ก  พลังงานนี้ เดินคู่กับ  ก. กล คือ กลล  เริ่มต้นจะมีเชลล์  แรงเคลื่อนคือ  กลล คือ  Static   ของ  ISH     สามเส้า  ญาณปัญญา ยังแยกไม่ออก  กลล   จนกว่าจะมีการศึกษาก็แยก  ลล ออกเป็นสองอัน   ตัว  จุดแรงของเซลล์   กลล  จึงควบแน่น แกะไม่ออกจนกว่าจะศึกษา ทำ ล  ให้เป็น  ร.   ล.สามเส้า    ร. เหลือสองเส้า   ทำสองเส้าให้เป็นหนึ่ง  ก็เรียกว่า มีแรงเหนี่ยวไว้  คือ    อย  ท่านแปลว่า  แรงแม่เหล็ก แรงเหนี่ยว   อย   ยั่วก็พัวก็พัน     ใครเคยได้ฟังโคลงโลกนิติ  มันก็มาดูดและมาติด   กลล   ถ้าไปกร  นี่ยิ่งเป็นการกระทำเลย  คือ  ผู้กระทำเลย    กร.

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:37:04 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:57:43 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:00:37 )

เฉโก

รายละเอียด

ทางสายศรัทธาก็สอนกันว่าไม่สะสมดี แต่กดข่ม แรงกดข่มไม่ยั่งยืน   ไม่ใช่ฉลาดแท้  ไม่ใช่ปัญญา  เมื่อหมดแรงกดข่มไว้ มันก็ขึ้นมาอีก  ก็จะกลับมาแย่ง ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  รูป  รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหมือนเดิม  มันไม่ได้ล้าง  ไม่ได้เรียนรู้โลกธรรมที่แท้จริง  ไม่ได้เรียนรู้กาม  ไม่ได้เรียนรู้จิต เจตสิกที่เป็นกิเลสจริง ๆ  ไม่ได้เรียนรู้อกุศลจิต  หรือไม่ได้เรียนรู้  กลิ หรือ  กายกลิ เรียกว่าตัวตนของกิเลส  กลิ  แปลว่า เป็นโทษภัย  กลิ คือ  ก  กับ  ลิ ก. คือ  สสาร  ล.ลิง   คือ  เอาเศษวรรคมาใช้  เศษวรรค มี   ย ร ล ว ส ห ฬ อํ  ล.ลิงเป็นตัวเส้าที่สามของเศษวรรค เป็นพลังงาน อรูปเล็ก  พลังงานนี้ เดินคู่กับ  ก. กล คือ กลล  เริ่มต้นจะมีเชลล์  แรงเคลื่อนคือ  กลล คือ  Static  ของ  ISH  สามเส้า  ญาณปัญญา ยังแยกไม่ออก  กลล จนกว่าจะมีการศึกษาก็แยก  ลล ออกเป็นสองอัน ตัว จุดแรงของเซลล์   กลล  จึงควบแน่น แกะไม่ออกจนกว่าจะศึกษา ทำ ล  ให้เป็น  ร.          

ล.สามเส้า  ร. เหลือสองเส้า  ทำสองเส้าให้เป็นหนึ่ง ก็เรียกว่า มีแรงเหนี่ยวไว้  คือ  อย  ท่านแปลว่า  แรงแม่เหล็ก แรงเหนี่ยว อย ยั่วก็พัวก็พัน ใครเคยได้ฟังโคลงโลกนิติ  มันก็มาดูดและมาติด กลล   ถ้าไปกร  นี่ยิ่งเป็นการกระทำเลย  คือ  ผู้กระทำเลย กร.

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก  วันอาทิตย์ที่  17 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 17:11:27 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:41:34 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:59:51 )

เฉโก

รายละเอียด

คือ ความฉลาดที่วนอยู่ในวัฏฏะของโลกโลกีย์เท่านั้นยังไม่ใช่โลกุตระ

หนังสืออ้างอิง

คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 284


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 13:24:33 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:10 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:58:17 )

เฉโก คือ

รายละเอียด

เฉโก คือ ความฉลาดบงการ มีความฉลาดที่เป็นตัวบงการคือ กิเลส ชาวโลกีย์ยังไม่รู้จักกิเลส ยังฆ่ากิเลส ยังกำจัดกิเลสในจิตตัวเองไม่ได้ มันจึงเป็นเจ้าเป็นพระเจ้าที่บงการจิตใจของตนเอง เป็นพระเจ้าจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องพูดไปพล่อยๆ พูดไปอย่างขี้ตู่ พูดไปว่าเอา ไม่ใช่  มันเป็นเรื่องจริงเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 11:17:49 )

เฉโก คือ มันมีความเป็นตัวตนของโลกมากขึ้น

รายละเอียด

เฉโก คือ มันมีความเป็นตัวตนของโลกมากขึ้น แต่ถ้าคุณมาเอาหมดตัวหมดตน เชื่อว่าเราไม่ต้องมีตัวมีตน แต่มีพวก มีสาธารณโภคี มีเพื่อน มีอันอื่น ที่ไม่ต้องเป็นตัวตน คนอื่นเขารับเป็นตัวตน องค์รวมหมู่ทั้งหมดเป็นตัวตน คุณไม่ต้องมีตัวตนเลย คุณอยู่ในกลางความไม่มีตัวตน ซึ่งหลายคนก็ไม่มีตัวตน แต่ความไม่มีนั่นแหละคือมีของส่วนรวม ล้านนี่เป็น 0 หรือเป็น 1 หรือ 1 นี่เป็นล้านๆๆๆ ความไม่มีของเรานั่นแหละคือความมีทั้งหมด เปลี่ยนความเข้าใจของโลกและจักรวาล ผู้เข้าใจจะเข้าใจเลยแล้วกล้าด้วยมันชัดเจนยิ่งเราทำได้แล้วโอ้โห ทำไมมันชัดเจนขนาดนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:06:41 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:35 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:56:21 )

เฉโก 

รายละเอียด

เฉโก  คือ  ความรู้โลกียะ  เป็นความเฉลียวฉลาดที่ยังไม่ใช่ปัญญาธาตุรู้ที่เรียกว่าเฉโก  จะไม่สามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง  สักกาย  ของตนที่เป็น กายกลิ(กิเลส)  คือ  ตัวตนของกิเลสในตน  แม้ฉลาดขนาดความรู้ของพระศาสดา  ของศาสนาอื่น ก็ยังเป็นความฉลาดแบบเฉโกทั้งสิ้น

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วันศุกร์ที่ 27 กันยายน2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:19:28 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:03:32 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:55:42 )

เฉโกกับปัญญา

รายละเอียด

อาตมาพยายามขยายความคำว่า เฉโก กับปัญญา โลกีย์มีแต่ฉลาดเฉโก แม้แต่พระศาสดาก้นเวียนอยู่ในโลกีย์ ต้องฟังธรรมจากสัตบุรุษให้เกิดอัญญธาตุ เป็นธาตุอื่นจากที่มันเป็นอยู่ จากนั้นก็จะเกิดเป็นปัญญาขยายผลสูงสุดไปเป็นพระอรหันต์ ความรู้ของเทวนิยมไม่มีหรอกปัญญา มีแต่เฉโก แต่เขาเอาภาษานี้ไปใช้ปู้ยี่ปู้ยำเขาไม่ใช้คำว่าเฉโก มันเป็นความฉลาดของเขา เขาก็ว่าเขามีปัญญา แต่มันไม่เป็นปัญญามันได้แต่พยัญชนะคำว่าปัญญา คำว่าปัญญาก็เลยเสียหายเละเทะเพราะคนขี้โกงพวกนี้ เอาพรรษาเขาทำให้เสียหมด ที่อธิบายไปนี้ไม่ง่ายเลย พยายามเขียนเรื่องปัญญา 8 ให้เป็นหนังสือหนึ่งเล่มได้ เป็นของที่ไม่ใช่จะรู้ด้วยตัวเอง มีพระพุทธเจ้ากับ สยังอภิญญาขึ้นไปเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งด้วยตัวเอง คุณก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองเพื่อคนเป็นสัตบุรุษ สยังอภิญญาขึ้นไป หากคุณไม่ได้ฟังธรรมที่สัมมาทิฏฐิ หรือผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิไม่ว่าตัวเองจะไม่บรรลุแต่มีสัมมาทิฏฐิก็จะได้ปัญญาตรง เหมือนอย่างกับพระโปฐิละได้แต่ภาษา สอนคนอื่นให้บรรลุตั้งมากมายแต่ตัวเองไม่ได้บรรลุ สุดท้ายต้องให้เณรที่เป็นอรหันต์สอน เณรพาปฏิบัติให้เดินลงน้ำไป สรุปแล้วจิตวิทยาคือความรู้ทางจิตของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ทางจิตที่สุดยอด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 11:14:53 )

เฉโกกับปัญญาต่างกัน

รายละเอียด

ปัญญาเริ่มต้น คือ  อัญญธาตุที่ไม่ใช่เฉกะหรือเฉโก  แค่เฉกะ  เฉโก กับ  ปัญญาต่างกันอย่างไร  เดี่ยวนี้  ค่าศาสนาพุทธไม่รู้กันแล้วนอกจากชาวอโศก จะรู้ คำว่า  ความฉลาดที่เรียกว่า  ปัญญานั้น  ไม่มีในศาสนาใดเลย  ศาสนาอื่นไม่มี  ความฉลาดที่เป็นปัญญาเป็นความฉลาดที่เป็นโลกุตระ  ฉลาดอะไรที่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์  ผู้ที่ได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้น  แล้วดำเนินงอกงามต่อไป ไพบูลย์ ต่อไป  บริบูรณ์ต่อไป  แห่งปัญญา จบปัญญาสูงสุด  คือ  อรหันต์ในเรื่องของโลกีย์ กับโลกุตระ เป็นพระอรหันต์  ส่วนโพธิสัตว์ที่จะเพิ่มภูมิปัญญา ไปอีกก็เป็นโพธิสัตว์  ซึ่งคนโดยเฉพาะทางไทย  เถรวาท  ไม่ค่อยจะรู้เรื่องโพธิสัตว์  ยากที่จะพูดกัน  นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เบื้องต้น  แค่ปัญญาอันแรก เป็นเบื้องต้น  แห่งพรหมจรรย์ งอกงามไพบูลย์เป็นปัญญา  8

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:18:36 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:10:29 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 19:53:08 )

เฉโกประดิษฐ์ AI กับและปฏิบัติการทางการสื่อสาร IO

รายละเอียด

มาเข้าถึงเรื่องสาระที่ควรจะพูดเรื่อง AI IO กำลังมีผลงานของมันด้วยมาถึงในยุคนี้ เอา AI ก่อน คือ artificial intelligence แล้วก็ให้ชื่ออย่างโก้ว่า Artificial ก็คือ art คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาประกอบขึ้นมา ไม่ใช่ของสัจจะตามธรรมชาติแต่สร้างขึ้นมา แล้วจะเป็นตัวที่กำหนดความรู้ความฉลาด Intelligence มันก็ประดักประเดิดแล้ว มันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เกิดจากนามธรรม แต่มันเกิดจากเครื่องมือวัตถุ เพราะฉะนั้นมันจะไปเป็นจริงอย่างที่มันเป็นสัจจะของชีวิต แค่พืชยังไม่ได้เลยมันเป็นแค่วัตถุเป็นแค่อุตุ เพราะฉะนั้นยังไกล AI ที่เขาก็เป็นเครื่องมือที่ใช้กันตามหน้าที่ควรจะทำได้ 

ที่นี้ IO มันละเอียดลึกไปกว่า AI เพราะมันเป็นเรื่องของธาตุรู้ขึ้นไปแล้วเป็นนามธรรมขึ้นไปกว่าแล้ว Information ก็คือเป็นพวกข้อมูลข่าวสารต่างๆ การให้ความรู้ทางข้อมูลข่าวสารกัน Operation คือการปฏิบัติหรือการทำงาน เขาเรียกรวมกันว่ายุทธการสื่อสารมวลชน IO ก็มีผลงานของมันทั้งนั้นเกิดมา IO ยังมีลึกเข้าไปสู่นามธรรมมากกว่า AI 

ที่นี้ความรู้นี้เป็นนามธรรม ความรู้ตามรหัสของเครื่องประดิษฐ์ เขาเรียกกันว่า artificial intelligence มันเป็นเครื่องประดิษฐ์วัตถุ มันจะไม่มีความรู้เกินกว่าที่มันมีโปรแกรมเอาไว้หมดแล้ว ตามรหัสที่จะกำหนดออกมา มันรู้เกินนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่คิดเครื่องมือพวกนี้เป็นชาวเทวนิยม เป็นชาวโลกียะ ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมาละลาบละล้วงเกินกว่าโลกุตรธรรมเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นได้แค่ เฉโกประดิษฐ์ เฉโก คือความรู้ในโลกียะตามกรอบแต่ปัญญาคือความรู้ออกนอกกรอบเกินกว่ากำหนด เพราะฉะนั้นจึงเกินกว่ารหัสเกินกว่าโปรแกรมขอบเขตที่วัตถุเขามี 

คนที่มีนามธรรม มันเป็นไปได้ แต่ความรู้ของคนที่ยังไม่มีโลกุตระ จะมาโมเมเอาไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องจะโมเมขึ้นมาได้ เพราะมันละเอียดเกินกว่า มันเป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง โลกุตระเป็นคุณวิเศษที่เหนือเกินกว่าที่จะเอามาทำเล่นๆมันทำไม่ได้ ความรู้ที่เป็นโลกุตระนั้นมันไม่มีในภาษาอังกฤษ ที่บอกว่าเป็น artificial intelligence หรือ Operation information นั้นเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น แต่โลกุตระนั้นไม่มีในภาษาอังกฤษ เพราะเป็นความรู้ที่แปลกใหม่ มันวิเศษเกินกว่าสามัญธรรมดา ที่เป็นความรู้ทั้งหลายที่เคยมีมาแล้วในโลกสามัญปุถุชน มันเป็นความพิเศษเกินกว่า เพราะฉะนั้นอีกนาน ต้องพูดว่าอีกนานไม่เร็วเท่าไหร่หรอก ที่คนตะวันตกหรือชาวเทวนิยมชาวที่นับถือศาสนาพระเจ้าจะมาเข้าใจ แล้วเป็นคนส่วนมากด้วยในโลก คนที่รู้จักโลกุตรธรรมนั้นเป็นส่วนน้อย มีอยู่ในกัปหนึ่ง กัปหนึ่ง พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาแล้วก็ประกาศโลกุตรธรรมให้คนได้ใช้ เสร็จแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน รู้จักความจบเป็นอมตบุคคล 

พอบรรลุเป็นอมตบุคคลแล้วจะเกิดจะตายอีก เป็นพระโพธิสัตว์เพื่อที่จะสืบทอดศาสนาช่วย เพื่อที่จะช่วยรื้อขนสัตว์มนุษย์ไปต่อ หรือจะทำบารมีของตนเองเพิ่มเติมขึ้นไปก็ตาม ก็จะเกิดต่อเชื่อมไป แล้วก็จะหมดยุคกัปอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีโพธิสัตว์ก็จะมียุคกัปที่หมดเลยเรียกว่าพุทธันดร ว่าง ไม่มีศาสนาพุทธ ไม่มีพระโพธิสัตว์ ถึงแม้มีโพธิสัตว์อุบัติมาก็สอนใครไม่ได้ สอนก็สูญเปล่า เพราะฉะนั้นก็เกิดมาเพื่อที่จะเห็นสิ่งจริงเหล่านั้นได้ มันเป็นกลียุค โพธิสัตว์เกิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คนมันเสื่อมจนรับโลกุตระไม่ได้ ทำไปก็สูญเปล่า ก็ไม่ต้องแสดงออก ก็รู้เขารู้สิ่งที่มันเกิดเหตุการณ์อุบัติที่มันมีในโลกในสังขารโลกที่มันเกิดก็เท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เศรษฐกิจดี หรือ เศรษฐกิจไม่ดี คืออย่างไร วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2566 ( 17:14:17 )

เชิงคิดแข่งดีแบบอาริยะนิยม

รายละเอียด

ใช่ มันมีเชิงแข่งดี แต่เราไม่ได้แข่งดีเพื่อเอาชนะคะคานหรือไปเบ่งข่มใคร เอาเปรียบเอารัดใคร แม้ว่าเราแข่งดีได้มากได้ผลผลิตมากก็ไม่ได้เอาไปเอาเปรียบเอารัดเอากำไรแบบทุนนิยม แต่เราเอาไปแบ่งปันแจกจ่ายกัน ไม่ได้เป็นเชิงคิดแบบทุนนิยม แต่เป็นเชิงคิดแบบอาริยะนิยม นี่สุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:12:41 )

เชิงชัง

รายละเอียด

ไม่ชอบใจ

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 3 หน้า 500


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:22:02 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:31:27 )

เชิญชวนผู้เห็นดี เห็นงามเข้ามารวมกับชาวอโศก

รายละเอียด

ก็ขอบอก ผู้ที่เห็นดีเห็นงามจะเข้ามารวมกับชาวอโศก ผู้ใดจะเลือกชุมชนที่เหมาะสมกับตัวเอง ที่เราจะอยู่ชุมชนนี้ก็เข้ามาเลย เราก็ยินดีต้อนรับ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจจริงนะต้องมีศีลต้องมีธรรมะที่แท้จริง ไม่ใช่ว่ามาแล้วก็ไม่เอาถ่านกับเรื่องศีลเลย ต้องเป็นผู้ที่มีศีลอย่างน้อยมีศีล 5 ไม่มีอบายมุขไม่รับประทานเนื้อสัตว์ นี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้น ถึงมีคุณก็จะต้องมาเลิกให้เด็ดขาดไม่กินเนื้อสัตว์ พื้นฐานง่ายๆเท่านั้นแหละ ถ้ายิ่งคุณดีแล้ว 3 ประเด็นนี้คุณยิ่งสบายแล้วก็มีศีลที่สูงมากขึ้นศีล 8 ศีล 10 ก็อนุโมทนาสาธุ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2563 ( 11:10:11 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:57 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:08:26 )

เชิญชวนให้เลิกล้มการหลับตาทำสมาธิ

รายละเอียด

มันไม่ใช่เลย นอกจากไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีทางบรรลุอรหันต์แล้วก็ยังหลงติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เป็นกาม ที่ติดหมากติดพลู ก็ไม่สะดุดไม่ฉุกคิดกันเลย เวลาบอกว่าตัวเองบรรลุก็อธิบายอะไรไม่รู้ นั่งหลับตาไป เอาจริงเอาจัง ฆ่ากิเลสอย่างเดียว แล้วกิเลสเป็นอย่างไรอธิบายกิเลสไม่ออกสักตัวเดียว แล้วบอกให้สู้ต่อ พูดโมเมไป ก็เชิญชวนให้มาทำการลืมตาทำสมาธิ อาตมาก็พยายามพูดความจริงตามความจริงที่รู้และมีหลักฐาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 11:14:51 )

เชิดชูและชักชวนคนมาทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร

รายละเอียด

สิ่งที่อธิบายไปเป็นเรื่องซับซ้อนพิศดารของชีวิต เราจะรู้จักชีวิต อาตมามาทำงานศาสนา เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความ จนกระทั่งพวกคุณหลายคนประกอบอาชีพกันจากเดิมก็เลิกมา จนมาอยู่นี่พามาทำ พืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่บางคน แม้ว่าที่นี่ทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลักใหญ่ แม้บางคนไม่ชอบทำงานนี้ มันก็มีงานอื่นบ้างให้ทำ จนกระทั่ง มีทั้งงานการศึกษา งานสอนนักเรียน งานสื่อสาร งานทางธุรกิจ เทคโนโลยี งานวิศวกรรม ก็ต้องอาศัยบ้าง แต่การทำพืชพันธุ์ธัญญาหารอาตมาก็เน้น งานอื่นเราก็รู้กันว่าก็ทิ้งไม่ได้เหมือนกัน แต่ใครจะลงไปทำกสิกรรมโดยงานอื่นก็พอเป็นไปไม่เสียงาน ก็ยินดี ถ้าจะโถมร่างโถมชีวิตโถมแรงงาน ให้ได้มากๆ ด้วย ไม่ต้องห่วงหรอกว่าเราจะแจกไม่ออก ฟังไว้นะ ชุมชนอื่นๆใดๆ ที่กำลังฟังธรรมอยู่ก็ตามของชาวอโศก  

อาตมาประกาศไปอธิบายไปชักชวนคนไทย หันหน้ามาเอาเรื่องกสิกรรมขยันหมั่นเพียรกันแล้วเชิดชูกสิกร เชิดชูคนมาทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร เชิดชูจนกระทั่งอาตมาพูดเลยเถิดไปจนถึงให้เหรียญตรา ราชการหรือดีไม่ดีเบื้องบนให้เลย เป็นคุณูปการทางด้านกสิกร มีเหรียญตราให้ยศชั้นให้เงินด้วยเชิดชูกันเลย อาตมาว่าจะเป็นประเทศที่รู้จักว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก หรือข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริงๆ นี่สุดยอด นะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
 


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 17:51:35 )

เชียร์กับประจบต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

เขาคอยจับผิด อ๋อ อาตมาเชียร์ลุงตู่เขาก็ว่าประจบ อาตมาเชียร์แต่ไม่ได้ประจบ อาตมาไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรญเสริญ สุขอะไรจากลุงตู่เลย นี่คือไม่ได้ประจบ แต่ว่าอาตมาชมคนที่ควรชม ตำหนิคนที่ควรตำหนิ ปัคคัณเห ปัคคหารหัง นิคคัญเห นิคคหารหัง คุณมองภาษากิริยาในมนุษย์ประจบคุณก็มองไม่ออกว่าคืออะไร

แล้วมาหาว่าอาตมาประจบ เพราะฉะนั้นภูมิธรรมของคุณยังต่ำมากที่จะมาวิจารณ์อาตมา คุณยังไม่ถึง ที่จะมาวิจารณ์อาตมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:26:13 )

เชียร์พลเอกประยุทธ์ให้ทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด

รายละเอียด

ซึ่งเราก็ทำมามีรูปธรรมตั้งแต่ออกไปรบซัดพวกนายทุนศักดินา จะมารุกรานมายึดครองบ้านเมืองเราก็ป้องกันให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปได้เรียบร้อยหมด จนในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านสิ้นไปก็ไม่มีปัญหา ก็มีรัชทายาทมีในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ยังอยู่ ที่ยังเป็นผู้ค้ำบัลลังก์และพลเอกประยุทธ์ก็มาเป็นนักรบแทน จึงชื่อว่าเป็นประยุทธ์ แม้จะไม่ชื่อว่าตะวันโอชา ก็ยังคือจันทร์โอชา 

อาตมาพูดด้วยความจริงใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปประจบประแจงพลเอกประยุทธ์ ให้ท่านทำหน้าที่ของตัวเองไปให้ดีที่สุดเลย อาตมาเชียร์ แม้ทุกวันนี้ก็ยังแสดงออก อยู่ให้ถึง 10 ปีเลยก็ได้ยังแข็งแรงทำได้เต็มที่เลย เพราะยังเป็นไปได้ แม้แต่ที่สุดสงคราม covid มันยิ่งร้ายกาจ เขาก็พยายามกันทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ อะไรต่างๆ นานา แต่ด้านต่างประเทศสงบเรียบร้อยดีมาก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:47:51 )

เชื่อคำสาปแช่งได้หรือไม่

รายละเอียด

อย่าไปเชื่อคำแช่งคำด่าเลยมันเป็นการแสดงออกของคนโง่ที่แช่งที่ด่ากันอยู่ แล้วนึกว่าจะจริงตามที่คำแช่งคำด่าของตัวเอง คุณมีประกาศิตอย่างไรทำให้เป็นไปได้อย่างนั้น การแสดงออกถึงความโง่ของคนแช่งเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:27:29 )

เชื่อด้วยภูมิปัญญาของตนและเชื่อสิ่งที่เป็นจริงถูกต้อง

รายละเอียด

คนที่ฟังอาตมาอธิบายมีเยอะแต่ก็ยังเข้าใจไม่ทันบ้าง บางคนเข้าใจทันแต่ไม่เชื่อเท่าไหร่อันนี้ก็บังคับกันไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรอาตมาไม่มีปัญหาใครเชื่อว่าดีก็เอาตาม ใครยังไม่เชื่อก็บังคับกันไม่ได้ แล้วอาตมาไม่ชอบบังคับด้วย ไปบังคับให้เชื่อมันเสียเหลี่ยมโพธิสัตว์ ไม่ต้องไปบังคับให้เชื่อหรอก  

คนที่จะเชื่อเรา เขาเชื่อด้วยภูมิปัญญาของเขามันเป็นของจริง หากไปบังคับให้เชื่อไปหว่านล้อมไปประเล้าประโลมให้เชื่อ มันเป็นฝีมือขี้กะโล้โท้ เขาต้องเชื่อด้วยความจริงใจสนิทใจเขาจะฉลาดหรือโง่ก็ใช้ปัญญาเป็นผู้ตัดสินวินิจฉัยเอง อย่างนี้เชื่อ

ผู้ที่เชื่อสิ่งที่เป็นสัจธรรมความจริงได้ และเป็นความจริงที่จริง ผู้นั้นก็ได้สุดยอด เพราะเชื่อสิ่งที่จริง แล้วก็เชื่อถูกต้องอย่างนี้สุดยอดแล้ว แล้วก็มีแต่จะสะสมความจริงไป คนที่ยังไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องปล่อยไป เห็นใจเขาเหมือนกัน ยังไงอาตมาก็ได้แต่พูดไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:43:16 )

เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น คือศรัทธา

รายละเอียด

ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ผู้ที่จะเกิดศรัทธา มีศรัทธา เป็นการเชื่อถือเชื่อมั่น เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น เชื่อถือนี้ก็เชื่อกันไปเหมือนพวกนับถือศาสนาพุทธก็เชื่อถือไป เป็นแต่ในทะเบียนบ้าน ว่าถือศาสนาพุทธ ก็เชื่อถือแต่ไม่ค่อยเอาถ่านทำอย่างนี้แหละดีไม่ดีทำแต่เดรัจฉานวิชา เมื่อศึกษาให้ดีเข้าไปก็จะปฏิบัติตามคือเชื่อฟัง ภาษาไทยเชื่อฟังคือพูดอะไรแล้วก็ทำตาม สูงกว่าเชื่อถือ กระทั่งเกิดมีมรรคผลก็จะเชื่อมั่น อาตมาใช้ภาษาไทย 3 คำ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 21:48:14 )

เชื่อปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ

รายละเอียด

ไม่ใช่ไปเชื่อใคร แต่เชื่อปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ เชื่อจากที่ตัวเองได้มรรคได้ผลเอง แล้วจะรู้แจ้งจริงของตัวเอง ไม่ได้ไปเชื่อใคร จะบอกว่าเชื่อจากพระพุทธเจ้าเชื่อจากสัตบุรุษ เชื่อจากผู้อื่นมาก่อนแล้วมาพิสูจน์ตนเกิดแล้วเป็นของตนเองจริงๆ ก็เชื่อของตนเองของตน จึงชื่อว่า ไม่ใช่หยิ่งผยองอวดดีลบหลู่คุณท่าน แต่ภาษาอธิบายเปรียบเทียบว่าเชื่อของตัวเองไม่ได้ไปเชื่อใคร ไม่ได้ลบหลู่ครูบาอาจารย์ ไม่ได้ลบหลู่ผู้ที่รู้นำมาก่อน นี่มันเป็นภาษาบอกความจริง บอกว่าเป็นภาษาอวดดีไม่เชื่อใคร เราเชื่อตัวเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 16:32:24 )

เชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่าไม่ต้องไปเสียเวลากับสิ่งไร้สาระ

รายละเอียด

อาตมาพูดอย่างนี้ อาตมาไปบรรยายธรรมะที่ไม่ส่งเสริมเรื่องการกีฬาการละเล่น เพราะว่ามันเกินหรือมากแล้ว ไปบรรยายอยู่ที่ มหาวิทยาลัยของประวิช รัตนเพียร ใกล้สันติอโศก ตอนนั้นดาราฟุตบอลคนหนึ่ง อาตมาบรรยายไปว่านักกีฬาดาราดังทำให้โลกเสื่อม เป็นอบายมุข ตอนนั้นมีปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เขาฟังอยู่ ก็ตาเขียวใส่อาตมาเลย อาตมาว่าดูถูกการกีฬา อาตมาก็พูดด้วยความจริงใจ ไม่ต้องไปเสียเวลากับสิ่งไร้สาระเหล่านั้น เชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่า การละเล่นมหรสพเป็นอบายมุข ถ้าเอาอบายมุขมาเป็นอาชีพเป็นตัวเด่นดังของชีวิตแล้วก็เป็นชีวิตไร้สาระ แล้วไปหลงเชิดชูส่งเสริมมากเข้า ก็เลยเป็นไปทั้งประเทศ

เอาพลังงานความรู้ความสามารถ มาปลูกผักพวกนี้ก็ใช้แรงงานเหมือนกัน จะไปซ้อมเช้าเย็นก็เชิญ จริง ซ้อมเช้าซ้อมเย็น อาตมาว่า เจริญแน่นอนรุ่งเรืองเลย และเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์โลกเลย ไอ้นั่นมีอะไร มีแต่ลมๆแล้งๆ มีแต่เทคนิคแทคติก กับมันส์ อร่อยชนะ เล่ห์เหลี่ยมวิธีการ เก่งชิบเป๋ง มีแต่เทคนิคกับแทคติก

ฉันเดียวกันกับศิลปะเลย แข่งเทคนิคกับแทคติก นอกนั้นมีแต่การสร้างอุปาทานให้คนหลงเชื่อ ว่าอย่างนี้แนวใหม่คือศิลปะ คือก่อเทคนิคกับแท็กติกเท่านั้น แล้วก็อธิบายไป เป็น abstract คนหัวไม่ถึงคิดไม่ออกหรอกมันเป็นนามธรรม อาตมาเรียนศิลปะมาก็เลยถล่มศิลปะ คือมันเลอะ น่าสงสาร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 15:49:58 )

เชื่อมั่นในกรรมวิบาก

รายละเอียด

เราก็พยายาม ไม่มีเจตนาจะไปทำผิดเลย มันผิดก็เป็นการผิดนอกเจตนา เป็นการสุดวิสัย ถือว่าเป็นวิปลาส ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเกินวิสัยที่เราจะควบคุมได้ เพราะเราไม่มีเจตนาไม่ได้อยาก ไม่ได้มีอกุศลจิตอะไรที่จะทำให้มันผิดเลย สุดวิสัยก็ต้องจำนน 

อาตมาถึงกล้าพูดว่า อาตมาพูดอะไรไม่จริงไม่มี มั่นใจว่าพูดทุกอย่างมีเจตนา มีความซื่อตรง ว่า จริงใจจริงจัง ไม่ต้องการให้ผิดไปจากความจริง ที่ตนเองมีภูมิรับรู้และก็รับรอง รับรู้รับรองของตนเอง เพราะอาตมา เชื่อมั่นในกรรมวิบาก หากอาตมาพูดผิดมันก็เป็นกรรมวิบาก คุณไม่เอาไม่ได้นะ โดยสัจจะไม่มีใครมาตัดสินหรอก สัจจะจะตัดสินสัจจะเอง ถ้ามันผิดสัจจะจริงๆ อาตมาก็จะต้องรับวิบาก มันเป็นอกุศลวิบาก มันดีหรืออย่างไร เราพยายามแล้ว ศึกษามาแล้ว เราไม่ทำ เราละเว้นอกุศล เราทำแต่กุศล 

ส่วนบุญส่วนบาปนั้น อาตมาไม่ได้ทำแล้ว อาตมาจบบุญจบบาปแล้ว อันนี้ก็รู้กันไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถทำใจในใจ ซึ่งเป็นมูลสูตรข้อที่ 2 มนสิการ 

ที่มา ที่ไป

พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2565 วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 21:59:00 )

เชื่อว่าตายแล้วไม่เกิดอีกเป็นพวกอุจเฉทิฏฐิ

รายละเอียด

พวกที่เชื่อว่าตายแล้วไม่เกิดอีกก็เป็นพวกอุจเฉททิฏฐิหมดทางที่จะช่วยเลย ศาสนาที่ไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่รู้กัมมัสกตา ไม่รู้ว่ากรรมเป็นของตนกรรมคือพระเจ้า ไม่รู้จักจิตวิญญาณที่แท้ ไม่รู้จักอัตภาพ แล้วก็จัดการเรื่องกรรมการกระทำ แม้แต่แค่เรื่องดีชั่วก็ไม่บริบูรณ์

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2563 ( 11:31:45 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:44:17 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:07:52 )

เชื่ออย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แล้วเชื่ออย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์ ตอบได้ไหม? ตรงอื่นเขาก็บอกว่าสำนักของตนเองเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน หลายองค์อยู่ในประเทศไทยขณะนี้ยืนยันว่าท่านเองก็เป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อกัณหาก็บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์และบอกว่าอาตมาเป็นพระอนาคามี เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังยืนยันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แม้ท่านไม่บอกเองก็ให้ลูกศิษย์บอก ถ้าจะมาบอกว่ามันมีอะไรลึกๆที่บอกกันได้ เอาพระไตรปิฎกมาเปรียบเทียบกันเลยว่าอย่างนี้ก็มีสาราณียธรรม 6 ปฏิบัติได้จริงเป็นอย่างนี้อย่างนี้พูดไปหมด จนกระทั่งจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิจจสมุปบาท มีสภาวะทำอย่างไรก็ไล่เรียงให้ดูเขาก็ไม่เชื่อ เขาฟังแล้วก็ยังไม่เชื่อ อาตมาก็ไม่มีปัญหา อาตมาเข้าใจว่า คนที่เขาไม่เชื่อนั้นดี แทนที่จะไปหลงงมงาย เชื่อโดยที่ไม่เข้าใจ อย่างนี้ก็ไม่เข้าท่าหรอก เขายืนยันว่าไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อจนกว่าเขาจะเข้าใจ คุณจะเชื่อก็เพราะว่าคุณเข้าใจ เข้าใจแล้วไม่ใช่เข้าใจธรรมดา มันจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างนี้ต้องใช่ เออ อย่างนั้นค่อยตัดสินค่อยเชื่อ อย่างนี้ใช่อย่างนี้ดี ไม่ถูกหลอกง่ายๆ หากเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างโมเมอย่างนี้ไม่ดี อาตมาเองก็ไม่อยากได้คนที่ไม่มีภูมิตัดสินตัวเองแบบนี้ โมเม เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง หากคนอย่างนี้มาอยู่ด้วยมากๆก็แย่เลย ไม่เป็นทิฏฐิสามัญญตา ไม่เป็นศีลสามัญญตา ไม่มีภูมิเป็นลำดับๆ พระโสดาบันเสมอพระโสดาบัน พระสกิทาคามีเสมอพระสกิทาคามี พระอนาคามีเสมอพระอนาคามี พระอรหันต์เสมอพระอรหันต์ มันต้องเป็นลำดับ มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลโอวาทปาฏิโมกข์ ก็เข้าใจเนื้อหาว่าขนาดนี้เป็นอย่างนี้ มีศีล 5 มีเท่านี้ มีศีล 8 สูงกว่าศีล 5 อย่างไร มีเนื้อหาแท้ๆ แม้แต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คนที่มีศีล 8 ก็จะมีความลึกซึ้งมีความละเอียดมากกว่าเราอย่างนี้นะ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช เขามีศีลสูงกว่าเรามากกว่าเรานะ ในศีลข้อเดียวกันนี้เขามีคุณสมบัติมากกว่าเราสูงกว่าเรา ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับเรื่องเพศเกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เขามีคุณสมบัติสูงกว่าเราอยู่นะ ความหมายกลุ่มเดียวกัน แต่เขาสูงกว่า คนที่มีภูมิปัญญาก็สามารถเข้าใจสภาพเหล่านี้ได้ หรือศีล 10 เกี่ยวกับเรื่องเงินทองเลย คนนี้เขาศีล 10 เขาสบายเขาไม่ติดยึดเขาไม่มีเลยก็ได้ เราก็ยังสะสมกักตุน มุบมิบ ยังไม่เชื่อมั่นในส่วนกลางวาพึ่งพากันได้ สูงกว่านั้นเป็นศีล 26 ข้อ มันมีเนื้อหาลึกซึ้งละเอียด มันมีความคัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)  (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563

หนังสืออ้างอิง

พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 10:39:31 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:44:53 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:07:28 )

เชื่ออย่างไรเป็นอปรับปัจจยาญาณ เอเมสวัสสะ เอตถะ โหติ

รายละเอียด

อาตมาไม่รู้นะพวกคุณที่อยู่ฟังนี้เป็นร้อยนี่ ทางบ้านมีอีกกี่ร้อยกี่พันก็แล้วแต่ คุณจะเชื่อเต็มหรือไม่เต็มอย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาไม่มีปัญหา คุณเชื่อเต็มได้ เพราะคุณฟังแล้วเข้าใจแล้วไปปฏิบัติได้ผลสำเร็จเอง ได้ผลอย่างนี้เอง แล้วคุณก็สรุปได้ว่าอย่างนี้มันเข้ากับคำสอนพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริงตรวจสอบได้ตามหลักฐานพระไตรปิฎกมีให้ตรวจสอบ คุณทำความเข้าใจ อาตมาเอามาอธิบายขยายความคุณก็ทำความเข้าใจ เอาไปทำให้เป็นได้ด้วยตัวเองตามที่จะมีปฏิภาณปัญญารู้มันก็ใช่ แล้วคุณก็โดยเฉพาะอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส มันเชื่อด้วยตัวเองของตัวเอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร อปรับปัจจยาญาณ เอเมสวัสสะ เอตถะ โหติ โดยไม่ต้องไปเชื่อผู้ใด เป็นความเชื่อที่พร้อมด้วยเหตุปัจจัย ด้วยปัญญา ครบพร้อมความจริง จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมายิ่งทำงานไปยิ่งเชื่อตัวเองยิ่งเชื่อว่าสิ่งนี้ มันเป็นไปได้นะ เราก็เป็นอย่างนั้นจริง เป็นอย่างนี้จริง อาตมาก็ไม่อยากจะเอาอะไรมาเป็นเหตุปัจจัย เป็นสิ่งชี้ชวนให้คนมาหลงตามเชื่อตาม จะให้พวกคุณฟังแล้วเอาไปปฏิบัติพิสูจน์ แล้วมันเกิดผลจริง อันนั้น เป็นตัวที่อาตมาต้องการให้พวกคุณได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 10:31:13 )

เชื่อโดยไม่ต้องเชื่อใคร

รายละเอียด

มันเป็นนามธรรมอย่างยิ่ง มันเป็นคุณวิเศษอย่างยิ่ง แล้วก็ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ผู้ได้ด้วยตนเองนั่นแหละ ถึงจะเชื่อโดยไม่ต้องเชื่อใคร สุดท้าย เชื่อสิ่งที่ตนเองเป็น แม้แต่พระศาสดาก็ไม่ต้องเชื่อ เชื่อในสิ่งที่เรามีเราเป็น แต่มันเป็นอย่างไร ตรงกับพระศาสดาทุกพระองค์และที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ตรงกับกาลามสูตร 10 ไม่ต้องเชื่อแม้แต่ครูของเรา ผู้เป็นศาสดาของเราก็ไม่ต้องเชื่อ มันเหมือนกันกับคนเย่อหยิ่งจองหอง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:22:23 )

เชื่อในกรรมวิบาก

รายละเอียด

หากอาตมาพูดผิดไม่เป็นความจริง บาปก็เป็นของอาตมาเอง แล้วมาย้ำอีก พูดซ้ำซากอีก อาตมาเชื่อในกรรมวิบาก เราจะไปทำให้ตัวเองมีวิบากทำไม เห็นๆก็ไม่ได้แลกมาซึ่งลาภ ยศ เงินทองอะไร อาตมาไม่ได้ทำเพื่อต้องการแย่งชิง แต่เอาความจริงมาเปิดเผย

ที่มา ที่ไป

การวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:53:07 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:14:57 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:05:16 )

เชื่อในสิ่งที่เรามีเราเป็นเราไม่ต้องเชื่อใคร

รายละเอียด

เป็นแต่เพียงว่าเราฟังแล้วเราพอรู้พอเข้าใจ แต่เราทำได้หรือไม่ เราทำได้หรือยัง ถ้าคุณทำได้แล้วก็ ผู้มีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย เพราะรู้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสก็ไม่เห็นจะต้องเชื่อท่าน เพราะเราเชื่อในสิ่งที่เรามีเราเป็นไม่ต้องเชื่อใคร เราพิสูจน์ความจริงมีที่ตัวเราเองแล้วมีแล้วเป็นแล้วก็ไม่ต้องเชื่อใคร เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ เชื่อตัวเราเอง นี่คือคำสอนพระพุทธเจ้าแค่ 2 ข้อนี้ข้อ 43 44 บริบูรณ์นะถ้วนรอบอยู่ตรงนี้ 

ที่มา ที่ไป

ราการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:13:17 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:39:24 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:03:48 )

เชื้อของพระอริยะไม่มีสูญหมด แม้ยุคของพระสมณโคดม 5000 ปีสูญ

รายละเอียด

สมมุติว่า ศาสนาพุทธในยุคนี้คือยุคของพระสมณโคดม 5000 ปี สูญ

5000 ปี สูญ ก็ไม่ได้หมายความว่าเชื้อของพระอริยะจะหมดไป ยังจะมีเชื้อเกิดต่อไปอีก แต่ก็ไปเป็น พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ จะเป็นบริวารของพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้าเองก็ตาม ก็ต้องต่อไปอีกองค์ จะสูญหมดไม่ได้ หากสูญหมด ก็หมดสิ้นศาสนาพุทธมันก็ต่อไปไม่ได้นานแล้วไม่มาถึงเรา แต่นี่มันตั้งกี่ล้านปีแล้วศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:32:52 )

เชื้อของพุทธ

รายละเอียด

ศาสนาพุทธก็ยังเหลือเชื้อ ยืนยันเป็นความจริงอยู่ได้ อาตมาได้นำเอาธรรมะพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกต่างๆมาไขความไป พวกเราเกิดปัญญา อาตมาเอาศีลสมาธิปัญญามาอธิบาย ว่าศีลคืออย่างนี้ พวกเรามีศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ ยกอธิศีล ไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ พวกเราก็ชัดเจนขึ้นมีหลักปฏิบัติที่จับต้องได้ สอนกันมาจนกระทั่งเคยชินกันว่า อย่าฆ่าสัตว์ แต่มันไม่สะดุดไม่มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สะดุด แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้กินเนื้อสัตว์ก็สะดุดใจขึ้นมันเป็น อธิศีล พอสูงขึ้นละเอียดขึ้นก็จะได้ปัญญาเพิ่มขึ้น ปฏิบัติ อธิจิตได้เพิ่มขึ้นก็จะมี อธิปัญญา 

คำว่าปัญญา อาตมาก็พยายามเน้นย้ำ ว่ามันคืออะไรกันแน่ ตอนนี้เขียนเป็นหนังสือ เขียนไปจนกระทั่งคอมพิวเตอร์มันรวน เขียนต่อไปไม่ได้ ก็ให้สมณะช่วยแก้ไข

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:42:23 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:19:02 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:03:10 )

เชื้อชาติต่างจากสัญชาติอย่างไร

รายละเอียด

เชื้อชาติหมายความว่า นับตั้งแต่เป็นต้นเป็นรากเหง้า ปักหลักเริ่มต่อเชื้อกันมาจากสายกำเนิด อยู่ที่นี่ เกิดที่นี่ เกิดพร้อมทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายายมีเชื้อเผ่าไทยทั้งนั้น ส่วนสัญชาตินั้นอาจจะไม่เป็นเชื้อไทย แต่เป็นเชื้อชาติอื่นมาขอร่วมเป็นคนไทย ขอให้เป็นประชาชนคนไทย  มีทะเบียนเป็นสมาชิกคนไทยเป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าสัญชาติไทย สัญชาติกับเชื้อชาติต่างกันตรงนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2563 ( 09:28:44 )

เชื้อโรควัดสถานะจิตใจของมนุษย์โลก

รายละเอียด

ส่วนร้านค้าก็ขายกันไปเถอะไปปิดก็ลำบากลำบน สังคมทุกวันนี้มีความอ่อนแอ อ่อนแอแม้กระทั่งข่าวลือตื่นเต้นตกใจเดือดร้อนวุ่นวายกันไปหมดมันอ่อนแอมากเลยอาตมาว่า เอาน่า.. จริงๆแล้ว โควิด ไม่ได้ร้ายแรงเร็วอย่างอหิวาห์ตกโรค ก็ยังพอจะสู้ยังพอจะรับมือดีไม่ดีก็หายมากกว่าตาย ก็อย่าตกใจกันมาก ต่อให้อหิวาห์ตกโรคอย่างแรงกว่าเท่าที่เคยมีมาก็ยังรับมือกันจนกระทั่งสุดท้ายก็กลายเป็นโรคห่า อันนี้อาตมาว่ามันเป็นเชื้อโรควัดสถานะจิตใจของมนุษย์โลกว่าอ่อนแอมาก พวกเรามีภูมิคุ้มกันสูงพอสมควร สัปปายะ 4 มีสถานที่ดี บุคคลดี อาหารเครื่องอาศัยดี ธรรมะที่ดี ของเรามีเชื้อคุณธรรมอันวิเศษ แต่อย่าประมาท พวกเราก็ทำดีแล้ว ระมัดระวังรอบรัด ดูให้รอบคอบ ดีแล้ว แต่สรุปแล้วเอาเถอะขายก็ขายกันในนี้ ดูแลกันในสามอันนี้ น้ำไม่ไหล ไฟไม่ดับ ไม่ต้อนรับโควิด 19 ส่วนที่ไหนจะอะไรอย่างไรก็ตัดสินไปตามกรรมการ สังคมก็วนเวียนไปมา มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนยึดถือกันไปในแต่ละยุค

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:07:00 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:40:18 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:02:21 )

เชื้อโลกุตรธรรมต้องได้รับจากสัตบุรุษ

รายละเอียด

ศาสนาพุทธจึงบอกว่าบรรลุธรรมโดยไม่มีสัตบุรุษไม่พบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงบอก ท่านเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นต้นทางต้นธรรมต้นแบบ ซึ่งก่อนจะเป็นต้นแบบท่านก็พบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาเหมือนกัน แต่เมื่อค้นหาพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็อ้างถึงพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ยิ่งผู้ใดมีบุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกได้ก็ยิ่งรู้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นอจินไตยที่พูดกันแล้ว ไม่สามารถตามด้วยการเดาหรือคาดคะเนต้องมามีเชื้อเอง เป็นเชื้อโลกุตรธรรมเอง คุณจะรู้ได้เป็นปัจจัตลักษณ์ เป็นลักษณะแท้ด้วยตัวเองดูเอง ของตัวเองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ มันต้องรู้ด้วยจิตของตัวเองเป็น นั่นแหละจึงจะเป็นของแท้ กว่าจะได้คุณจะต้องรับจากสัตบุรุษ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 12:50:50 )

เช่นจะหลุดพ้นก็บอกว่าต้องปฏิบัติ“หลับตา”เช่นสิ่งที่เป็น“กุศล”ก็บอกว่าเป็น“บุญ”!“กาย”ก็แค่“วัตถุ”ตื้นๆ! 

รายละเอียด

เช่น ยึดว่า วิธีปฏิบัติจะได้ฌานได้สมาธิก็ต้อง“หลับตา”ดั่งที่เดียรถีย์ทั้งหลายออกป่าพากันไปทำอยู่ทั่วไปเป็นสามัญเหมือนยุคก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก ก็มีแต่“ลัทธิเดียรถีย์” ที่พากันออกป่า นั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นสมาธิสะกดจิต ซึ่งมีแต่แบบโลกีย์ ยังไม่มี“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า ก็เข้าใจ“สมาธิ”ที่เป็น“สัมมาสมาธิ”ไม่ได้เรียนรู้ความเป็น“บุญ”ก็เพี้ยนเป็น“กุศล”เข้าใจความเป็น“ปัญญา”เป็น“เฉโก”เข้าใจ“กาย”เป็น“รูปวัตถุ”เท่านั้น เป็นต้น และอื่นๆ วิปริตผิดเพี้ยนไปหมด พุทธจึงสิ้นเชื้อโลกุตระ ดังที่เป็น

อาตมาพูดจริงๆ นะ ไม่ได้หาเรื่องพูดเลอะเทอะ ใส่ความ แต่มันเป็น“ความจริง”ยืนยัน ใช่มั้ย? ตามที่เห็นและเป็นอยู่โต้งๆ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 246 หน้า 200


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 12:53:06 )

เช่นมายากลในความสุข!

รายละเอียด

“ความสุข”ตัวนี้เอง ที่เป็น“อุปาทาน”ตัวร้ายของมนุษย์ มันหลอกคนให้เป็น“ทาส”ได้ทุกคน ล้วนเคยหลงเป็น“ทาส”มันมาทั้งนั้น จนกว่าจะได้พบ“โลกุตรศาสตร์”ของพระพุทธเจ้า แล้วศึกษาปฏิบัติกำจัดตัว“ผีหลอก”ตัวนี้ เพราะมันเป็น“ความทุกข์”ที่หลอกอยู่ใน“สัญญา” มี“ทิฏฐิ”เป็นตัวการกำกับการแสดง คนจึงหลง“มายา”ที่มันแสดง“สุขเวทนา”หลอกกันเพราะอวิชชา แท้ๆ มันคือ“อุปาทาน” ที่เป็น“นักมายากล”ตัวร้าย 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 185 หน้า 159


เวลาบันทึก 26 มิถุนายน 2564 ( 19:21:43 )

เช่นมายากลในตัณหา!

รายละเอียด

แม้แต่“ตัณหา”ที่เป็นปัจจัยอยู่เคียงข้างติด“อุปาทาน”เอง“อุปาทาน”ยังใช้“ตัณหา”ให้แสดงตัวเป็น“ผี”ออกหน้าหลอกคน “อุปาทาน”เองมันยังซ่อนอยู่เบื้องลึกของ“ตัณหา” เห็นมั้ย?เห็นความเป็น“นักมายากล”ของ“อุปาทาน”ตัวร้ายนี้มั้ย?ลึกสุดๆ ก็คือ พยัญชนะว่า “สัญญาย นิจจานิ” ที่เป็นทั้ง“ภาษา”และเป็นทั้ง“สภาวะ” ซึ่งก็เป็นธรรมดาของความเป็น“เทฺว”ที่ยังไม่พ้นไปจาก“กรรมกับกาล”ในโลก แห่งมหาจักรวาล  

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 186 หน้า 161


เวลาบันทึก 26 มิถุนายน 2564 ( 19:23:18 )

เช่นมายากลในรสอร่อย!  

รายละเอียด

เช่น “รสอร่อย”มันไม่ใช่“ความจริง” มันคือ“อุปาทาน”แท้ๆมันเป็น“มายา”จริงๆ แต่ผู้ตกเป็น“ทาสอุปาทาน”ก็ยังมี“รสอร่อย”เป็น “เวทนา(ความรู้สึก)”ที่ 2 คือ “เวทนาเก๊”ที่ตนหลงเสพอยู่นั่นแหละ ซึ่งร่วมกับ“เวทนา”ตามความเป็นจริงอยู่บัดนั้น เห็น“มายา”แสดงตัวอยู่หลัดๆมั้ย? เมื่อ“สัมผัส”สิ่งที่เรา“ตกเป็นทาส”อยู่ทีไร “ความอร่อย” มันก็ยังไม่หายไปจาก“ความรู้สึก” ..นี่แหละ“อุปาทาน”คือ มายา หรือ“ความสุข”มันก็ไม่ใช่“ความจริง” มันเป็น“มายา” 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 184 หน้า 159


เวลาบันทึก 26 มิถุนายน 2564 ( 19:19:43 )

เซนคืออะไร

รายละเอียด

เซนคือเอาปัญญาตรรกะ ไม่ใช่ปัญญาแท้มาใช้ ซึ่งเซน เป็นผู้ที่ฉวยเอาผู้ที่มีบารมีแล้ว แล้วมาเจอความรู้ทางบัญญัติภาษา ประโยคเดียว 2 ประโยค ห้าคำห้าประโยค ก็บรรลุธรรมแล้ว น้ำอีกแค่หยดเดียวก็เต็มชามแล้ว แต่คณเป็นผู้มีบารมีทำสะสมมาเท่าไหร่กันเชียว ยังเป็นบัวใต้น้ำ ไม่ใช่อุคคติตัญญา หรือวิปัญญจิตัญญู ที่ได้รับไอน้ำก็บานแล้ว เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:51:02 )

เซ็นเป็นศาสนาแบบฟรุ้งฟริ้งพญาครุฑตกยุค

รายละเอียด

เซ็นคือศาสนาแบบฟรุ้งฟริ้ง พวกตกยุค พวกพญาครุฑ ไม่ใช่พญานาคนะ พวกเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงไปหลงวิมานฝันด้วยพยัญชนะ ด้วยตรรกะ ด้วยเหตุผล อยู่กับความคมคาย คำว่า คมบาด สนใจศัพท์สำนวนโวหารประโยคที่คมบาดจิตบาดใจ อย่างท่านเพาะพุทธนี้ชอบมาก คือติดใจในพยัญชนะมากเกินหลงในพยัญชนะเกินไปจะไม่เข้าถึงเนื้อหาสาระ อันนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะยังติดยึดในความรู้ตำราบัญญัติมาก ยากมากเลยที่จะเข้าหาเนื้อหาสาระที่เป็นสาระที่แท้ แม้แต่ต้นๆ พยัญชนะคำว่า กาย ยังไม่รู้สาระแท้ของคำว่า กายเลย

เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงลึกซึ้งอย่างอื่นเลยคำว่า “บุญ” คำว่า “ฌาน” คำว่า “สมาธิ” คำว่า “กาย” เป็นเบื้องต้นของสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ไม่รู้ แล้วยิ่งสักกายะของตัวเองไม่เข้าหาตัวหรอกไปอยู่กับพยัญชนะไปอยู่กับความรู้กับปรัชญา กับสิ่งที่ศึกษาแล้วไปหลงความรู้ เป็นพญาครุฑ น่าสงสารเดี๋ยวนี้อาตมาก็ระลึกถึงท่านองค์หนึ่งขณะนี้ แต่ไม่บอกชื่อหรอก สงสารท่านมาก ถ้าท่านเข้าใจแล้วสะดุดเรื่องนี้ มาสนใจตัวเองอ่านจิตใจตัวเองให้ดี จนกระทั่งให้รู้สภาวะตั้งแต่คำว่า กาย เป็นคำต้น พิจารณา กาย กายนอกกายใน แล้วสามารถพิจารณากายในกายได้ พอพิจารณากายในได้ถูกสภาวะมันถึงจะเชื่อมมาหาเวทนา แต่นี่แยกกายนอกกายในไม่ถูกเลยเข้าใจว่า กาย มีแต่ภายนอกอย่างเดียวมันก็ มืดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาพาตีทิ้งการนั่งหลับตาปฏิบัติ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ 


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:44:31 )

เฒ่า กับ เถ้า เท่ากันได้อย่างไร

รายละเอียด

เฒ่า กับ เถ้า มันก็ เท่ากัน นั่นแหละ ท.ทหาร ยังขี้เถ้าเดินได้อยู่ ก็คือผู้เฒ่าผู้แก่อยู่ ยังไม่ตายก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว แต่อาตมายื้ออยู่ ไม่ยอมให้ถึงตายง่ายๆ มันยอมจำนน มันเฒ่าก็เฒ่าวะ แต่ยังไม่ยอมให้เป็นขี้เถ้า พยายามจะยื้อให้เรา เอ็งเป็นเฒ่าแล้วนะ เอ็งเฒ่าแล้วเอ็งก็เท่ากับขี้เถ้าล่ะว้า 

ก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นถ้าเรายื้อได้อยู่ว่า เอ็งจะบอกว่าเราเฒ่า แล้วดึงเราไปเป็นเถ้า เอ็งว่าเท่ากัน เราบอกว่ายังไม่เฒ่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:29:14 )

เฒ่าทารกทางศาสนาเป็นไฉน

รายละเอียด

ท่านทั้งหลายที่อายุบางคนมากกว่าอาตมา ก็ยังเป็นเฒ่าทารกอยู่ พูดง่ายๆ ใช้ศัพท์ชัดๆ ทางโลก เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นผู้เยาว์วัยอยู่ แม้แต่อายุมากก็เป็นผู้เยาว์วัย ไม่เดียงสาเลย งมอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ เห็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นของสกปรก เป็นของไม่น่าไปแตะ เป็นของไม่ควรจะไปแปดเปื้อน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น
จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 14:48:59 )

เดรัจฉาน

รายละเอียด

1. สัตว์โลกที่มีกายหยาบซึ่งรวม ๆ อยู่กับโลกของคน คือพวกสัตว์ หมู หมา เหี้ย หงส์ อะไรพวกนี้ 

2. จิตที่โง่เง่า มัวเมา หลงเสพย์ติดอยู่ ไม่รู้ทุกข์เอาเลย หลงยึดแต่สุข จึงมีแต่โลภก็ไม่รู้ว่าตัว มีราคะก็ไม่รู้ว่าตัวมีราคะ โกรธก็ไม่รู้ว่าตัวโกรธ 

3. ความหลงเดินทางหมุนวนอยู่แต่ในทาง 3 สาย  สายแห่งสัตว์นรก สัตว์มนุษย์ สัตว์สวรรค์

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 321

ทางเอก ภาค 2 หน้า 235

ทางเอก ภาค 2 หน้า 239


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:23:34 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:33:00 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:14:47 )

เดรัจฉาน

รายละเอียด

คือความรู้ที่นำพาไปสู่การติดยึดในโลก หรือติดยึดลึกลับ ปรุงแต่งเป็นโลกีย์หยำฉ่าหนักเข้าไปมาก จมในความหลง เรียกว่าผู้ข้องอยู่ในถ้ำ ตั้งอยู่จมในความหลง ก็ยิ่งจะถูกดึงให้จมอยู่ในความหลงความงมงายความมืด สลับไปสลับมายิ่งหนัก ต้องมีความรู้ความสามารถนำพาให้ชีวิตเดินทางไปสู่นิพพานคือศิลปะของชีวิต แต่ถ้าไม่ได้เดินทางไปสู่นิพพานมีแต่โลกียะที่หนาขึ้นและเพิ่มขึ้นสลับซับซ้อนเป็นมายาหลอกตัวเองซ้ำซ้อนอีก อย่างนั้นไม่ใช่ศิลปะ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา  วันอาทิตย์ที่ 1ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:19:34 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:21:58 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:19:29 )

เดรัจฉานกถา

รายละเอียด

คำพูดคำสอนที่ไม่พาไปนิพพาน

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 211


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:24:17 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:33:45 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:15:32 )

เดรัจฉานกถา

รายละเอียด

ก็เป็นเดรัจฉานกถาตามที่คุณเข้าใจ แต่คำว่า เดรัจฉานกถาหมายถึง พูดอะไรก็แล้วแต่ มันไม่พาไปสู่นิพพาน อันนั้นเป็นคำพูดที่เป็นเดรัจฉานกถา แต่อาตมาไม่ได้พูดเดรัจฉานกถาเลย กถาหรือคำพูดของอาตมาไม่ได้เป็นเดรัจฉานกถา แปลเป็นคำพูดไปสู่นิพพาน คุณเข้าใจไม่ได้ก็เลยนึกว่าอาตมาพูดเดรัจฉานกถาตามความคิดของคุณ อาตมาก็พอจะเข้าใจว่าคุณเข้าใจอย่างไร แต่จะครบหรือไม่ครบก็ตาม อาตมาขอบอกไปบ้างก็คือทำความเข้าใจเดรัจฉานกถาของคุณว่าหมายถึงพูดถึงเรื่องโลกๆ พูดถึงเรื่องน้ำเรื่องคนเรื่องความดีความชั่วเรื่องความเกิดความดับ พูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละในเรื่องของโลก คุณจะต้องพูดถึงนิพพานความว่าง นิพพานความว่างคุณติดอยู่ในพยัญชนะนั้นเท่านั้น  คุณยังไปไหนไม่ออกจากพยัญชนะเหล่านั้น คุณเข้าใจไม่ได้ คำว่าเดรัจฉานกถาก็เข้าใจได้แต่พยัญชนะ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:16:48 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 13:42:41 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:14:47 )

เดรัจฉานกถาใช้ได้เฉพาะนักบวชหรือฆราวาสด้วย

รายละเอียด

เดรัจฉานกถา ก็มีได้ทั้งคู่เหมือนกัน ไม่ได้มีเฉพาะนักบวช แต่นักบวชนั้นจะต้องศึกษา ฆราวาสไม่ได้ศึกษา เขาก็จะพูดไม่ได้ง่ายๆ คำว่าเดรัจฉานกถา คือคำพูดที่เป็นเดรัจฉาน ไม่ได้ด่านะ แต่เป็นคำพูดที่ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน มันไม่ถูกต้องตามทางที่จะพาไปนิพพานหรือขวางทางนิพพาน เป็นคำพูดที่ไม่สอดคล้อง พาไปหานิพพานเลย มันหมุนวนเป็นโลกียะไม่เป็นโลกุตระเลย นั่นคือเดรัจฉานกถา โมฆบุรุษ ก็เป็นได้ทั้งฆราวาสและพระนักบวช สูญเปล่า เกิดมาชาติหนึ่งๆ หรือพูดไม่เป็นไปทางเพื่อนิพพาน ก็เป็นได้ทั้งพระทั้งฆราวาส และไม่จำเป็นต้องให้เฉพาะพระเท่านั้น ฆราวาสนี่แหละ ยิ่งตัวดี ถ้าพวกเราศึกษาแล้วก็ไม่พูดเดรัจฉานกถา พูดไปอย่างนั้นเสียเวลา อาจจะอนุโลมพูดกับเด็กเล็กๆ เขายังไม่รู้เรื่องไม่ประสีประสา หรือแม้แต่คนข้างนอกคนนี้ยังไม่ได้เข้าโลกุตระ ยังไม่เข้าใจทางไปนิพพาน ก็เอาแค่ความดีความชั่วกับเขาพูดอนุโลมไปกับเขา ถ้ามีเวลาไม่มากก็พูดพอประมาณ มีเวลามากก็พูดกับเขามากหน่อย คนนี้ควรช่วยมากหน่อย หรือคนนี้น่าจะเข้าสู่โลกุตระได้ก็ลงทุนหน่อย ถ้าใครที่ไม่น่าลงทุนเลย ยังเอาอัตตาเป็นใหญ่ ถ้าไม่ได้สมใจแล้วลาออกจากอโศก ไอ้อย่างนี้อาตมาว่า ก็คงจะไปที่ชอบที่ชอบ วนเวียนอยู่ในนรกอเวจีนานเลยนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 15:02:14 )

เดรัจฉานคาถา

รายละเอียด พระราชา โจร อำมาตย์ กองทัพ ภัย การรบ ข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน ดอกไม้ ยานพาหนะ สตรี บุรุษ โลก ทะเล ความเสื่อม ฯ ไม่ควรกล่าว อย่าพูดคำพูดในทางขวางทางนิพพาน สรุปว่าพูดได้ทุกเรื่อง แต่พูดแล้วทำให้ลดกิเลส พูดแล้วไปสู่นิพพาน


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2562 ( 15:43:47 )

เดรัจฉานคาถา

รายละเอียด

คือ  หมายความว่าพูดอย่างเดียรัจฉานคืออะไร พูดอย่างที่มันขวางทางนิพพานพูดไปแล้วมันไม่เป็นเพื่อนนิพพานไม่เป็นเพื่อธรรมะ พูดไปแล้วมันสั่งสมกิเลสเพิ่มให้ตัวเองมีกิเลสหนายิ่งขึ้น ซึ่งในวงการศาสนาโดยไม่รู้ตัวโดยไม่เข้าใจ ที่เขาทำกันอย่างเช่นสอนทาน มีแต่เพิ่มกิเลสนั่นแหละคือเดรัจฉานกถา แนะนำให้สอนทานและตั้งใจมีภพชาติ ถ้าเข้าใจว่าการได้พบชาติคือเป็นบุญมันไม่ใช่บุญมันคือการล้างภพชาติ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:31:56 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:25:03 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:13:11 )

เดรัจฉานคาถา

รายละเอียด

หมายความว่าพูดอย่างเดียรัจฉานคืออะไร พูดอย่างที่มันขวางทางนิพพานพูดไปแล้วมันไม่เป็นเพื่อนนิพพานไม่เป็นเพื่อธรรมะ พูดไปแล้วมันสั่งสมกิเลสเพิ่มให้ตัวเองมีกิเลสหนายิ่งขึ้น ซึ่งในวงการศาสนาโดยไม่รู้ตัวโดยไม่เข้าใจ ที่เขาทำกันอย่างเช่นสอนทาน มีแต่เพิ่มกิเลสนั่นแหละคือเดรัจฉานกถา แนะนำให้สอนทานและตั้งใจมีภพชาติ ถ้าเข้าใจว่าการได้พบชาติคือเป็นบุญมันไม่ใช่บุญมันคือการล้างภพชาติ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 20:36:48 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:20:53 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:12:10 )

เดรัจฉานวิชา

รายละเอียด

วิชาที่ไม่พาไปนิพพาน

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 211


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:24:54 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:34:35 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 20:11:04 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์